พิมพ์หน้านี้ - Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: insomniac ที่ 19-10-2019 12:53:12

หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-10-2019 12:53:12
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Blue Dragon in the Red Ocean


ก่อนจบชีวิตลงท่ามกลางความหนาวเหน็บในชาติก่อน หลี่คุนเพียงปรารถนาว่าคุณความดีที่เขาเฝ้าปกป้องดูแลบ้านเมืองยุคราชวงศ์หมิงมาทั้งชีวิตจะช่วยนำพาเขาไปเกิดใหม่ในดินแดนแห่งเทพเซียน หรือหากว่านั่นเป็นความหวังที่เกินเอื้อม อย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ได้ก็คงดี

มิคาดว่าสวรรค์จะตอบรับคำภาวนาครั้งสุดท้ายนี้ด้วยการส่งเขาข้ามเวลาไปยังมหานครแห่งเทพยดาที่อบอุ่นเสียยิ่งกว่าฤดูร้อน ไม่นานหลี่คุนก็ได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตใหม่ในกรุงเทพยุค Digital Disruption แม้จะแสนสะดวกสบาย แต่ก็ทำการค้าได้ยากยิ่ง!!!



บทนำ

บนหน้าผาสูงชันปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนมีชายชุดขาวยืนอยู่ตรงริมหุบเหวท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก เบื้องหน้ามีกองทหารร่างใหญ่ผิวขาวเผือดนัยน์ตาสีขุ่นในชุดสีแดงบ่งบอกว่ามาจากโพ้นทะเลตั้งแถวเป็นระเบียบโอบล้อมชายคนนั้นไว้พร้อมประทับปืนไฟโลหะสีดำทะมึนไว้บนบ่า น่าประหลาดที่ผู้นำของกองทหารต่างชาตินี้กลับเป็นชายชาวฮั่นผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันที่กำลังยกมือให้สัญญาณพร้อมยิงก่อนจะตวาดด้วยเสียงข่มขู่กึกก้อง

“หลี่คุน ถึงเจ้าจะมีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน แต่โดนพิษสะบั้นชีพจรเข้าไปยามนี้กำลังภายในคงเหลือไม่ถึงสองส่วน ต่อหน้าทหารปืนไฟนับร้อยของข้า เจ้าไม่มีทางหนีไปไหนรอด บอกวิธีเปิดผนึกหีบกลแห่งฉางอันมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะเมตตาให้เจ้าได้ตายอย่างสงบ”

บุรุษชุดขาวมีสีหน้าเฉยชาแฝงท่าทีเกียจคร้านขณะตอบกลับ

“ขุนนางชั่วอย่างเจ้า คบคิดกับคนเถื่อนโพ้นทะเล เอากำลังทหารของพวกมันมาในต้าหมิงของเรา ชักศึกเข้าบ้านยังไม่รู้ตัว ถึงตายข้าก็ไม่ยินยอมให้เจ้าครอบครองความลับพันปีของบรรพชนแห่งราชวงศ์ถังไปได้หรอก อย่าว่าแต่ผนึกหีบกลแห่งฉางอานอยู่ที่ใดเจ้ายังมิอาจรู้ได้”

“งั้นหรือ ลองเบิกตาเจ้าดูสิว่าของในมือข้าคือสิ่งใด”

ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้นหยิบหีบไม้สีดำขนาดย่อมออกมาจากอกเสื้อ ด้านบนมีสลักโลหะที่ขัดกันไปมาดูซับซ้อนยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าสถานการณ์จะดูอันตรายเพียงใดบุรุษหนุ่มก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งไว้ได้ แต่ในยามนี้เขากลับมีท่าทางร้อนรนส่งประกายฆ่าฟันรุนแรงออกมา

“เป็นไปไม่ได้ นางไม่มีทางบอกใคร หรือว่า หรือว่าเจ้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับนาง”

อีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

“ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร ในเมื่อนางคือบุตรสาวนอกสมรสของข้าที่ส่งไปอยู่ข้างกายเจ้าตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนเพื่อการนี้ หากมิใช่ผู้ที่เจ้าไว้ใจมีหรือจะหาโอกาสวางลอบวางยาพิษสะบั้นชีพจรได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เวลานี้ข้าได้รับนางกับมารดาหญิงชาวบ้านของนางเข้าตระกูลตามสัญญาแล้ว อีกไม่นานนางก็จะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งเข้าจวนแม่ทัพประจิมเพื่อเสริมอำนาจให้กับข้าอีกทอดหนึ่ง”

บุรุษหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอย่างปวดร้าว

“ใยนางถึงทรยศข้าได้ลงคอ หรือว่าสิบปีที่ผ่านมาคือการหลอกลวงทั้งสิ้น ดี งั้นข้าก็ไม่มีห่วงอันใดแล้ว ข้ายินยอมตายและให้ทุกอย่างสูญสิ้นดีกว่าตกอยู่ในเงื้อมือเจ้า”

“น่าขำ ผนึกหีบกลแห่งฉางอันอยู่ในมือข้าเยี่ยงนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในแคว้นต้าหมิงอันไพศาลจะหาคนเปิดมันไม่ได้ เจ้าจงตายอยู่เสียที่นี่ เมื่อข้าได้ตราประจำตระกูลในหีบมา อำนาจสั่งการองครักษ์เงาสุสานบรรพกาลและความลับพันปีของตระกูลหลี่ ก็จะมีข้าเป็นผู้สืบทอดเอง”

บุรุษชุดขาวฟังแล้วก็ยิ้มหยันในใจ คนผู้นี้คงไม่คิดฝันว่าความลับในการเปิดหีบกลคือต้องใช้เลือดผู้สืบทอดในการคลายผนึกออกก่อน หากใช้วิธีการอื่นไม่ว่าจะระมัดระวังอย่างไรน้ำกรดเข้มข้นด้านในจะทำลายตราประจำตระกูลทันที นั่นเท่ากับเคล็ดวิชากำลังภายใน คัมภีร์วรยุทธ์ สูตรปรุงโอสถ ตำราแพทย์ วิถีค่ายกล และความลับต่างๆ แต่โบราณ ที่ตระกูลหลี่ใช้กอบกู้บ้านเมืองและยุทธภพในสถานการณ์คับขันเป็นตายอย่างลับๆ มาตลอดพันปีจะต้องมาสูญหายลงในรุ่นของหลี่คุน รวมถึงกองกำลังองครักษ์เงาสุสานบรรพกาลที่จะไร้ผู้นำอีกต่อไป

“ตระกูลหลี่ของข้ามีบุญคุณกับเจ้าเทียมฟ้า ตัวสารเลวอย่างเจ้ากลับเนรคุณได้ถึงเพียงนี้ ถึงตายเป็นผีข้าก็จะจองล้างจองผลาญเจ้าตลอดไป”

“หลี่คุน เจ้ารู้จักตำนานของหุบเหวที่ด้านหลังเจ้าหรือไม่ ผากาลวิปโยคแห่งนี้ ว่ากันว่าแม้แต่เซียนถ้าตกลงไป วิญญาณจะถูกดูดกลืนในกระแสกาลเวลา หมดโอกาสแม้แต่จะไปเกิดใหม่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้าจะสับร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้นแล้วโยนลงไป ดูสิว่าเจ้าจะกลับมาล้างแค้นข้าได้อย่างไร”

หลี่คุนรู้ดีว่าเขาไม่อาจสู้ปืนไฟนับร้อยกระบอกในการประจัญหน้าตรงๆ แบบนี้ แต่ถึงตายเขาก็ไม่อาจให้ขุนนางชั่วย่ำยีศพตัวเองได้ ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะให้สัญญาณสั่งยิง ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งตัวลงสู่หุบเหวเบื้องล่างทันที แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ความลับวิธีการเปิดผนึกหีบกล แต่เขาไม่อาจเปิดโอกาสให้หลงเหลือโลหิตตัวเองไว้ได้ ลมหนาวที่พัดเข้าหาหน้าผากระทบร่างในชุดขาวที่ร่วงลงไปเย็นเยียบยิ่งนัก ในใจของหลี่คุณปล่อยวางจากทุกสิ่ง แม้เคล็ดวิชาและความรู้ลึกลับต่างๆ ในตำนานจะต้องสาบสูญไปตลอดกาล แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องตกอยู่ในมือคนชั่ว เขารู้สึกเพียงความหนาวเหน็บถึงหัวใจ ไม่รู้ว่าผากาลวิปโยคจะพันธนาการวิญญาณของเขาไว้ในมิติเวลาอย่างในตำนานหรือไม่ หวังว่าคุณธรรมที่เขายึดถือมาทั้งชีวิตจะนำเขาไปสู่ดินแดนแห่งเทพเซียน หรืออย่างน้อยถ้าได้ไปในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ได้ก็คงดี นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่สติของหลี่คุนจะดับวูบไป

********
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 1] 19/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-10-2019 12:57:46
บทที่ 1

หลี่คุนค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นจากความฝันยาวนานที่แสนเลือนลาง ร่างกายที่ปวดร้าวบ่งบอกว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นี่เขายังไม่ตายอีกหรือ หรือที่ใต้หุบเหวกาลเวลาจะมีความเร้นลับอันยิ่งใหญ่อยู่จริง หลี่คุนพยายามโคจรกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลขั้นเจ็ดของตัวเองเพื่อรักษาอาการ แต่มิอาจสัมผัสถึงกระแสพลังในจุดตันเถียนได้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งร่างเหมือนคนไร้วรยุทธ์

หลี่คุนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากแล้วก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นแสงสีขาวที่ไม่คุ้นเคยส่องสว่างอยู่บนฝ้าเพดาน เขากรอกตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องสีขาวที่แปลกตายิ่งนัก มีเด็กหนุ่มในอาภรณ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนตั่งหน้าตาประหลาดที่ตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อรวมกับผมที่ตัดสั้นชี้ตั้งจนน่าขำบ่งบอกว่าเด็กคนนี้คงไม่ใช่คนของดินแดนจงหยวนหรือแม้แต่ชนเผ่าอื่นๆ ที่เขารู้จัก แม้ว่าลักษณะใบหน้าจะไม่ต่างจากชาวฮั่นมากนัก

“我在哪裡?”

หลี่คุนตัดสินใจส่งเสียงถามออกไปถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ในเมื่อรอดพ้นความตายจากการตกลงไปในผาลึกมาได้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลไปมากกว่านี้แล้ว เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวแล้วปรี่เข้ามาตรงฟูกยกสูงที่เขานอนอยู่ สีหน้าท่าทางดูตื่นเต้นยินดียิ่งนัก

“ฟื้นแล้ว พี่คุนฟื้นแล้ว เจ็บมากไหมครับ พี่อย่าเพิ่งขยับนะ อย่ากระชากแขนด้วยเดี๋ยวสายน้ำเกลือจะหลุด ผมไปตามพยาบาลก่อน อ้อ แล้วต้องโทรไปบอกคุณลุงคุณป้าด้วย เห็นร้อนใจอยากจะบินกลับมาเยี่ยมพี่จะแย่แล้ว เมื่อกี๊พี่ว่าอะไรนะผมฟังไม่รู้เรื่องเลย หรือพี่จะยังมึนฤทธิ์ยาอยู่ ผมว่าผมรีบออกไปพี่พยาบาลดีกว่า ขอให้เขาช่วยตามหมอมาดูเลย”

เด็กหนุ่มพูดภาษาสำเนียงแปลกหูออกมาชุดใหญ่ก่อนจะวิ่งหายผ่านประตูออกไป ที่น่าประหลาดคือหลี่คุนรู้จักคำทุกคำที่ได้ยินแม้จะไม่เข้าใจถึงความหมายที่สื่อออกมาทั้งหมด เด็กคนนั้นบอกว่าท่านลุงท่านป้าจะบินมาเยี่ยมเขางั้นหรือ หรือว่าเขาหลงมาอยู่ในดินแดนเทพเซียนที่ผู้คนล้วนบินได้ ในมิตินี้ดูเหมือนจะมีท่านหมอเช่นกัน ไม่คล้ายว่าจะสามารถใช้อิทธิฤทธิ์รักษาตัวเองได้ ระหว่างที่ทบทวนถ้อยคำที่ได้ยิน ความรู้ความทรงจำแปลกๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองจนท้วมท้น ภาพยานพาหนะขนาดมโหฬารที่สามารถพาคนบินไปที่ต่างๆ ในพื้นพิภพที่ห่างไกลได้อย่างสะดวกสบาย ใช่.. ไปได้ทั่วทั้งโลกทรงกลมใบนี้ หลี่คุนตื่นตระหนกยิ่งนัก ทำไมเขาถึงมีความคิดนอกรีตว่าโลกกลมขึ้นมาได้ แล้วคนที่อยู่ด้านล่างจะไม่ตกลงมาตายหรือ อ้อ มีสิ่งที่เรียกว่าแรงโน้มถ่วงยึดติดไว้อยู่ คำตอบนี้เหมือนเขาไปเปิดดูจากหนังสือบันทึกความทรงจำของผู้อื่นมา งั้นที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นสถานที่เยี่ยงใด คำว่าโรงพยาบาลผุดขึ้นมาในหัว นี่เป็นคำเรียกสำนักแพทย์ที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้แทบจะทุกอย่าง ถึงขนาดที่ผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในหรือแม้แต่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะก็ทำได้

หลี่คุนสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้นำตระกูลลับที่ค้ำจุนแว่นแคว้นตั้งแต่เล็ก แต่ไหนเลยที่ชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองอย่างเขาจะเคยเจอประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึงเยี่ยงนี้ เขาได้แต่ต้องบังคับตัวเองให้ยอมรับว่าบัดนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ที่แปลกประหลาดจนน่ากลัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้ หลี่คุนตั้งใจจะปกปิดความลับนี้ไว้ให้ถึงที่สุด เมื่อลองไล่นึกถึงเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะมีทั้งความรู้และความทรงจำของคนๆ หนึ่งขึ้นมาด้วยด้วยไม่ทราบที่มา หลี่คุนยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดูแล้วพบว่าเส้นลายมือต่างๆ ไม่เหมือนเดิม นี่ไม่ใช่ตัวเขา คาดว่าวิญญาณของเขาคงได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ทำให้ได้รับความทรงจำมาด้วย ทางรอดคือต้องทำตัวกลมกลืนไปก่อนจนกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

แม่นางในชุดสีขาวอายุราวยี่สิบกว่าปีเดินเข้ามาในห้อง ความรู้ที่ติดอยู่ในร่างนี้บอกว่านางคือพยาบาลซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งในโลกนี้มีหน้าที่คอยช่วยเหลือท่านหมอดูแลคนเจ็บ เขานอนตัวแข็งทื่อปล่อยให้นางเอาเครื่องมือหน้าตาประหลาดมาทาบตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยไม่กล้าตอบคำถามใดๆ แม้แต่น้อย ในใจได้แต่ร่ำร้องว่าบุรุษสตรีมิควรใกล้ชิดกันเยี่ยงนี้

“ชีพจร ความดัน อุณหภูมิปกตินะคะ แต่คนไข้ยังไม่พูดอะไรเลย เป็นไปได้ว่ายังมึนอยู่ ยังไงดิฉันตามอาจารย์เจ้าของไข้ให้แล้ว สักครู่คงขึ้นมาตรวจให้ละเอียดอีกทีค่ะ”

พยาบาลหันไปพูดกับเด็กหนุ่มผู้เป็นญาติ เมื่อเห็นว่าคนไข้หนุ่มหน้าตาดีไม่มีท่าทีตอบสนองกับคำถามใดๆ  ก่อนจะขอตัวออกไปรอหมอเจ้าของไข้ที่ด้านนอก เด็กหนุ่มหันมาคุยกับหลี่คุนด้วยท่าทางกังวล

“คงไม่เหมือนในละครที่พี่ตื่นมาแล้วจะความจำเสื่อมนะ พี่คุนจำผมได้ไหม ไม่ๆ เอาชื่อพี่ก่อน พี่ชื่อจริงชื่ออะไร”

หลี่คุนพยายามทำตัวให้แนบเนียนที่สุด เขาค้นเข้าไปในความทรงจำของร่างเดิมแล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“คะ คุณานนท์ ลี้ไพรีพ่าย”

การออกเสียงภาษาของโลกนี้ไม่ยากอย่างที่คิด ถึงจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาแต่ร่างกายนี้ดูคุ้นชินเป็นอันมาก นับว่าเป็นนามที่ยืดยาวน่าขันยิ่งนัก กว่าผู้อื่นจะเรียกชื่อนี้จบ คนก็คงเดินไปไกลแล้ว

“เฮ้อ โล่งอก นึกว่าพี่คุนจะความจำเสื่อมขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว งั้นพี่คงจำซูกัสน้องชายสุดเลิฟคนนี้ได้สิ”

คนพูดทำหน้าเบิกบานยิ้มตาหยีน่าเอ็นดู พอตั้งใจมองดีๆ หลี่คุนก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่ความทรงจำบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของร่างนี้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่น้อย ตาโต คิ้วเข้ม ปากแดง ฟันขาว เสียแต่เม็ดสิวรอยสิวทั้งใหม่ทั้งเก่าที่กระจายไปเกือบทั้งหน้าลดทอนความน่ามองลงไปกว่าครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็เกิดความสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน

พอมั่นใจว่าชายหนุ่มผู้เป็นพี่มิได้ความจำเสื่อม ซูกัสหรือที่หลี่คุนเรียกในใจว่าซูเอ๋อร์ก็หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งเรื่องคนที่ขับรถชนเขาจนซี่โครงหักปรากฎว่าเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ เรื่องเพื่อนสนิทของซูเอ๋อร์ที่เปลี่ยนใจไม่ยอมจะไปเรียนต่อในคณะเดียวกันหลังจบมอปลาย เรื่องห้างเปิดใหม่ที่คนแห่กันไปจนรถติดเป็นกิโล เรื่องการเมืองของประเทศที่ยังวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ถึงเขาจะรำลึกถึงหัวข้อเหล่านี้ได้จากความทรงจำของร่างเดิมบ้าง แต่ก็เป็นแค่ความรู้หาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งไม่ ความคิดมุมมองของหลี่คุนก็ยังเป็นของโลกก่อนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่อือออไปตามสถานการณ์

เมื่อหมอเจ้าของไข้มาตรวจด้วยตัวเองก็ยืนยันว่าไม่พบอะไรที่น่ากังวลอย่างอาการเลือดครั่งในสมอง น่าจะแค่มึนเบลอชั่วคราวเนื่องจากหมดสติไปสองสามวัน หมอแนะนำว่า ในระหว่างที่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อให้กระดูกซี่โครงที่หักประสานตัวขึ้นมาบ้างควรจะให้ผู้ป่วยเริ่มใช้งานสมองโดยการอ่านหนังสือหรือเล่นเกมส์ปริศนาต่างๆ ซูกัสทำตามที่หมอบอกโดยยื่นเกมส์ในมือถือให้ญาติผู้พี่เล่น แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจทั้งยังแสดงอาการเหมือนจะขยาดโทรศัพท์ของเขาเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจึงลองหยิบนิยายกำลังภายในตั้งใหญ่ที่ขนจากบ้านมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างเฝ้าไข้มาให้หลี่คุน

“งั้นลองอ่านเรื่องนี้ไหมพี่ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า แปดเล่มจบ สนุกดีนะ นี่ผมก็อ่านเพลินๆ ไปถึงเล่มสี่แล้วตอนรอพี่ฟื้น”

ภาพตัวละครที่มีทรงผมและเสื้อผ้าที่คุ้นตาบนหน้าปกทำให้หลี่คุนสนใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าโลกเดิมกับโลกนี้จะไม่มีความสัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิงเสียอีก การแต่งกายที่ร่างนี้รับรู้ว่าเป็นชุดจีนโบราณกลับละม้ายคล้ายเสื้อผ้าของชาวฮั่นในโลกของเขามาก เขารีบรับหนังสือเล่มนั้นที่เข้าเล่มอย่างปราณีตกระทัดรัดกว่าของโลกเดิมมาดูอย่างตื่นเต้น ภาษาของโลกนี้ที่ความทรงจำบอกว่าคือภาษาไทยนั้นแปลกยิ่งนัก ตัวอักษรซึ่งเขียนติดกันเป็นพรืดแทบหาช่องว่างไม่ได้นั้นต้องอ่านจากซ้ายไปขวาจนสุดบรรทัดแล้วค่อยไล่จากบนลงล่าง ไม่เหมือนภาษาโลกเดิมที่จะอ่านจากบนลงล่างแล้วค่อยไล่จากขวาไปซ้าย การเปิดหน้าหนังสือก็เปิดจากคนละด้าน แต่หลังจากติดขัดด้วยความไม่คุ้นชินในช่วงต้น เขากลับอ่านภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน ความเป็นอัจฉริยะด้านการอ่านจากโลกก่อนผสมผสานกับทักษะของร่างนี้ได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเนื้อเรื่องที่เขาอ่านก็สนุกชวนติดตามอย่างที่สุด หนังสือบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในยุทธภพที่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เขาคุ้นเคยยิ่ง ตัวละครในเรื่องโลดแล่นไปกับความแค้นระหว่างสองผู้กล้า เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้ วิชาฝีมือที่ลึกล้ำอย่างสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร ไม้ตีสุนัข กระบี่หกชีพจร ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ดรรชนีสุริยน ไหมพิษน้ำแข็ง พิศดารจนคล้ายจริงคล้ายไม่จริง วิธีการเล่าเรื่องเหมือนกับนักเล่านิทานตามเหลาสุราแต่แยบยลกว่ามาก เขาอ่านเพลินจนจบทั้งแปดเล่มในเวลาเพียงแค่สองชั่วยามเศษ ซูกัสมองคนที่อ่านหนังสือตั้งใหญ่จบลงด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อจนตาค้าง ตอนแรกที่เห็นมือของญาติผู้พี่ผลิกกระดาษผ่านไปหน้าต่อหน้าก็ยังนึกว่าพี่คุนคงยังมึนอยู่แค่เปิดผ่านไม่ได้อ่านเข้าหัว แต่เมื่อเห็นว่าเล่มที่หนึ่งผ่านไปด้วยท่าทางที่ลุ้นไปกับฉากต่างๆ ในนิยาย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านอย่างตั้งใจอยู่จริงๆ เป็นที่รู้กันในหมู่ญาติว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาเรียนเก่งแต่ก็ไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือได้เร็วขนาดนี้

“มีอีกไหม”

หลี่คุนที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็แทบจะไม่เปิดปากพูดอะไรเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าซูกัสอย่างคาดหวัง เด็กหนุ่มยื่นนิยายที่เป็นเรื่องราวการต่อสู้ฝ่าฟันขององค์ชายรัชทายาทกับหญิงงามคู่ใจก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาสองเล่มหนาๆ ให้โดยทันที เนื้อหาที่สะท้อนถึงการชิงไหวชิงพริบของราชวงศ์ได้อย่างคล้ายคลึงกับความจริงทำให้เขาดื่มด่ำไปได้อีกหนึ่งชั่วยาม เขาเงยหน้ามองซูเอ๋อร์หวังจะได้หนังสือเล่มใหม่ที่ชวนติดตามมาอ่านอีก

“ผมเอามาแค่นี้ ปกติเขาอ่านกันเป็นอาทิตย์เลยมั๊งจะจบซักเรื่อง พี่คุนอ่านเข้าไปได้ยังไงหมดแค่ช่วงเช้านี้ ถ้าพี่อยากอ่านอีก เดี๋ยวผมลงไปดูข้างล่างให้ ตึกแถวฝั่งตรงข้ามเหมือนจะมีร้านเช่าหนังสืออยู่”

หลี่คุนใช้เวลาพักฟื้นสองสามวันนับจากนั้นอ่านนิยายจีนไปมากมาย ทั้งนิยายกำลังภายใน นิยายอิงประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งนิยายแนวทะลุมิติกลับไปอดีตที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงหลังเขาก็อ่านไปมิใช่น้อย ยิ่งอ่านก็ยิ่งฉุกคิดว่าวิญญาณตัวเองอาจไม่ได้หลงมาโลกอื่น แต่ข้ามเวลามายังอนาคตของโลกใบเดิมต่างหาก ดินแดนจงหยวนที่เขาเคยอยู่น่าจะกลายมาเป็นแคว้นที่เรียกว่าประเทศจีนในปัจจุบัน เมื่อเขาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของจีนที่ขอให้ซูเอ๋อร์ช่วยหามาให้แล้วพบเรื่องกำแพงเมืองจีนและพระราชวังต้องห้ามแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเขายังอยู่บนโลกใบเดิมแต่คนละเวลา หลี่คุนรู้สึกเศร้าใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่าหลังจากเขาตกหน้าผาไป แคว้นต้าหมิงของเขาจะอยู่ต่อได้แค่ประมาณสองร้อยปี ก่อนที่จะเสียการปกครองให้กับชาวแมนจูผู้ก่อตั้งราชวงค์ชิงซึ่งเป็นราชวงค์สุดท้ายของประเทศจีนซึ่งสิ้นสุดลงในอีกสองร้อยกว่าปีต่อมา ที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้นคือโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจนเขาจำไม่ได้นี้ล้วนเกิดจากวิทยาการความก้าวหน้าของพวกคนเถื่อนโพ้นทะเลที่ยังคงครองความเป็นผู้นำมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว รวมแล้วเขาข้ามเวลามาถึงหกร้อยปีเลยทีเดียว

ในระหว่างนั้นหลี่คุนก็ค่อยๆ พบว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด จริงอยู่ที่เขาสูญเสียกำลังภายในจนอ่อนแอแทบจะไม่มีแรงเชือดไก่ แต่สุขภาพพื้นฐานของร่างนี้ก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยเขาก็ยังคงความเป็นบุรุษรูปงามหน้าตาคมคายไว้ได้เหมือนชาติก่อน ที่น่าแปลกใจคือใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกมีความคล้ายคลึงกับตัวจริงของเขาถึงเจ็ดแปดส่วนความแตกต่างใหญ่ๆ มีเพียงดวงตาคมกร้าวเดิมที่กลายมาเป็นนัยน์ตาดอกท้อกับรูปร่างที่บางลงคล้ายพวกบัณฑิต อาการบาดเจ็บหลักๆ ก็มีเพียงกระดูกซี่โครงหักซึ่งต้องปล่อยให้ร่างกายค่อยๆ รักษาตัวเองไปตามธรรมชาติ เขายังสามารถเดินไปมาได้บ้างเพียงแต่ต้องระวังสายน้ำเกลือเท่านั้นเอง

การใช้ชีวิตในยุคนี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะในห้องน้ำ หลี่คุนชื่นชอบโถชักโครกที่แสนสะดวกสบายมาก สายชำระก็ทำความสะอาดได้ล้ำลึก เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ในยุคเขาที่ใช้ผ้าไหมเช็ดยังไม่สำราญเท่า กระจกเงาก็ชัดกว่าที่ใช้แผ่นทองแดงขัดเงาเป็นไหนๆ  โคมไฟส่องสว่างบนเพดานก็สั่งเปิดปิดได้ตามใจแม้ยามค่ำคืนไม่ต้องจุดตะเกียงหรือใช้ไข่มุกราตรี เช่นเดียวกับห้องพักที่ควบคุมความอุ่นความหนาวได้ง่ายๆ ด้วยปุ่มบนแท่งสี่เหลี่ยม

ถึงจะมีความรู้ความทรงจำของร่างนี้ติดมาแต่ก็ไม่ได้ซึมซับมาทั้งหมดในคราเดียว เขาเพียงแต่สามารถเข้าไปดูได้เป็นเรื่องๆ เมื่อมีเหตุให้นึกถึง บางเรื่องที่ร่างเดิมไม่ค่อยสนใจก็จะอยู่ลึกจนอาจค้นไม่เจอ เรื่องที่หาเจอก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนหรือสามารถทำความเข้าใจได้หมด เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่คุนจึงต้องค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้เรื่องต่างๆ ในยุคนี้สะสมไปทีละเรื่อง

ซูกัสไม่ได้รบกวนการอ่านหนังสืออย่างเป็นบ้าเป็นหลังของหลี่คุน ตรงข้ามเด็กหนุ่มออกไปร้านเช่าหนังสือถึงวันละสองสามครั้งเพื่อเอาหนังสือตั้งใหญ่ไปคืนแล้วเช่าชุดใหม่กลับมาให้ ญาติผู้พี่ยังคงพูดน้อยนักแต่เขาก็ไม่กังวลนัก คนที่อ่านหนังสือมากมายได้ด้วยความเร็วขนาดนี้สมองคงไม่มีปัญหาอะไร เขาวิดีโอคอลไปหาพ่อแม่ของคุณานนท์ที่ต่างประเทศให้ทางนั้นเห็นสภาพลูกชายจะได้สบายใจจะได้ไม่ต้องรีบกลับมาเยี่ยมในช่วงที่งานยังติดปัญหาอยู่

***************
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 2] 21/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-10-2019 11:48:59
ถึงแม้หลี่คุนจะห้ามซูเอ๋อร์ไว้ไม่ให้บอกมิตรสหายของร่างเดิมทราบเรื่องอุบัติเหตุนี้ แต่ก็ไม่ได้ไร้คนมาเยี่ยมไข้ซะทีเดียว บ่ายวันที่สี่หลังจากฟื้นก็มีชายวัยกลางคนใส่สูทถือกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังเข้ามาพบกับหลี่คุน

“ผมเป็นตัวแทนจากคนที่เกิดอุบัติเหตุร่วมกับคุณคุณานนท์ครับ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมนำมาให้ในนามคุณชายครับ”

ชายคนนั้นมอบเทียบกระดาษแข็งใบเล็กๆ ที่ระบุชื่อแซ่และอาชีพว่าเป็นทนายความส่งให้กับหลี่คุน ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรญาติผู้น้องของเขาเลยตอบแทน

“เขาน่าจะมาขอโทษด้วยตัวเองนะ พี่ชายผมเจ็บไปทั้งตัวขนาดนี้ เพราะเขาเมาแล้วขับมาชนแท้ๆ”

“คุณมีหลักฐานหรือว่าคุณชายท่านเมาแล้วขับ แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะคุณคุณานนท์ตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด สุดวิสัยที่ทางเราจะหักหลบได้ กรุณาอย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง”

“จะเป็นไปได้ยังไง พี่ผมข้ามถนนบนทางม้าลายดีๆ นะครับ แถมดูเหมือนทางคุณจะฝ่าไฟแดงด้วย ตำรวจเขากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ แถวนั้นเป็นย่านจอแจ น่าจะมีกล้องวงจรปิดของห้างร้านแถวนั้นบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ ไม่ก็พวกกล้องหน้ารถ”

“เรื่องทางตำรวจผมเคลียร์จบแล้ว เจ้าหน้าที่สอบสวนก็ลงความเห็นว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจากความประมาทของฝั่งคุณ ส่วนคลิปจากกล้องหน้าที่คุณพูดถึง ผมว่าคงไม่มีใครได้เห็นมันอีก ที่ผมมาวันนี้ก็อยากทำความเข้าใจไม่ให้พวกคุณกระจายข่าวที่ไม่เป็นความจริงออกไป ไหนๆ ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แถมคุณมีประกันอุบัติเหตุอยู่แล้วไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าคุณเซ็นยอมรับผิดว่าเป็นฝ่ายประมาท ทางเราจะมีเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ ถึงไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะครับ”

“คุณใช้เงินซื้อไว้หมดแล้วใช่ไหม ผมจะร้องเรียนนักข่าวแล้วก็เอาลงโซเชียลด้วย”

“แล้วก็เสียเงินเสียเวลาไปกับการถูกฟ้องนะหรือครับ คดีแบบนี้มันยืดเยื้อไปได้หลายปีเลยนะ ผมไม่พูดกับเด็กเลือดร้อนที่ไม่เข้าใจโลกหรอกนะครับ”

ทนายวัยกลางคนทำท่าไม่สนใจซูกัสอีก เขาหันมาพูดกับหลี่คุนโดยตรง

“คุณคุณานนท์ คุณบรรลุนิติภาวะแล้วสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง อย่าไปฟังคนอื่นเลย คุณคงไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปถึงครอบครัวคุณหรอกนะครับ เงินช่วยเหลือที่ทางเราจะให้คือห้าหมื่นบาทก็ไม่น้อยนะครับ”

หลี่คุนคำนวนตัวเลขในใจเทียบกับราคาทองคำที่เคยถามซูเอ๋อร์ ห้าหมื่นบาทก็ประมาณแค่หนึ่งตำลึงทอง ช่างน้อยนิดยิ่งนักเมื่อเทียบฐานะของเขาในชาติก่อน แต่เมื่อยังประเมินสถานการณ์ได้ไม่ถี่ถ้วนก็ไม่ควรรีบตัดสินใจ

“คำตอบในเรื่องนี้มิอาจเร่งรัดได้ ท่านจงกลับมาใหม่ในอีกสองสามวัน”

อีกฝ่ายมีสีหน้าพิกลเมื่อได้ยินสำนวนประหลาดออกจากคู่กรณีของเจ้านาย

“ดูท่าคุณคุณานนท์จะต้องพักผ่อนอีกหน่อย ไว้ผมจะกลับมาเอาคำตอบก่อนคุณจะออกจากโรงพยาบาลนะครับ”

ซูกัสปราดเข้ามาข้างเตียงของหลี่คุนทันทีที่ทนายความออกจากห้องไป

“เลิกอ่านนิยายพวกนี้เถอะ พี่ชอบพูดเป็นสำนวนหนังจีนอยู่เรื่อยเลย ตาลุงทนายนั่นจะยิ่งไม่เชื่อถือ เราต้องวางมาดให้น่าเกรงขามสิ  อย่าให้เห็นว่าเราเป็นเด็กแล้วจะมารังแกกันได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนมีเงินขนาดนั้น จะซื้อผิดเป็นถูกมันง่ายนิดเดียว นี่คงเอาเงินยัดตำรวจไปเต็มที่แล้ว”

ถึงแม้หลี่คุนจะพูดภาษาไทยได้จากความทรงจำของคุณานนท์ แต่การเรียบเรียงประโยคในหัวของเขายังยึดรูปแบบของภาษาจีนโบราณ เมื่อรวมกับนิยายจีนย้อนยุคแปลไทยหลายสิบเรื่องที่เขาอ่านไปทำให้เขาซึมซับสำนวนภาษาที่รู้สึกคุ้นเคยกว่าจนติดปากไปแล้ว

“เบื้องหลังก็เป็นเพียงพ่อค้าตระกูลหนึ่ง มิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด ใยถึงสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกลับผิดเป็นถูกได้”

ซูกัสเข้าใจว่าญาติผู้พี่ยังคงสนุกอยู่กับการพูดจาแบบหนังจีนกำลังภายในก็ปล่อยเลยตามเลยไป ไม่อยากขัดใจคนเจ็บ ดีกว่าเอาแต่นิ่งเงียบแบบตอนฟื้นใหม่ๆ เขาไม่ได้เฉลียวใจซักนิดเลยว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่คนเดิม

“โห พี่ไม่รู้อะไร ธุรกิจเขาออกจะมากมาย รวยเป็นหมื่นๆ ล้าน สมัยนี้มีเงินนี่แหละทำได้ทุกอย่าง”

“เขาทำกิจการใดถึงได้ร่ำรวยนัก ค้าเกลือ แพรพรรณ หรือว่าอาชา”

“ของพวกนั้นมันจะไปรวยได้ยังไงพี่ ยิ่งเกลือนี่กิโลไม่กี่บาทเองมั๊ง เขาทำธุรกิจเครื่องดื่ม ทั้งชาเขียว น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ขยายตลาดไปต่างประเทศอีก ตำรวจ ทหาร ข้าราชการใหญ่ๆ เจอยังต้องเกรงใจ”

ไม่น่าเชื่อว่าของจำเป็นสูงค่าอย่างเกลือจะแทบไม่มีราคาไปแล้ว ถ้าขนาดพวกขุนนางยังต้องก้มหัวให้พ่อค้าแสดงว่ายุคสมัยนี้เงินสำคัญที่สุด เคล็ดวิชาชั้นสูง ฝีมือทางการแพทย์ หรือความรู้ลึกลับต่างๆ ที่มีติดมาในหัวจากชาติก่อนดูจะไม่มีประโยชน์เลยเมื่อเทียบกับวิทยาการในยุคนี้ มีแต่จะต้องหาเงินให้ได้มากๆ เท่านั้นถึงจะไม่ถูกผู้อื่นรังแก

“แล้วพี่คุนจะตกลงยังไง ผมก็ขู่ๆ ลุงนั่นไปอย่างนั้นแหละ เอาจริงเราจะไปสู้คนระดับนั้นได้ซะที่ไหน ขนาดลูกไฮโซที่มีข่าวเมาแล้วขับรถชนจราจรตายเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้คดีก็ยังดองอยู่เลย อีกหน่อยคงหมดอายุความ แต่ผมว่าเขากดค่าเสียหายมากเกินไป รวยซะตั้งขนาดนั้น แถมคนทำก็ไม่มาเยี่ยมมาขอโทษพี่ซักนิดยังจะให้เซ็นหนังสือยอมรับผิดอีก”

หลี่คุนก็รู้สึกไม่เป็นธรรมเช่นกัน แต่เขาที่ไร้วรยุทธ์ในยามนี้ก็เปรียบดั่งเช่นมังกรพลัดถิ่นไม่อาจสู้งูเจ้าที่ เขายังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ของยุคนี้ดีพอจึงมิอาจทำตัวโดดเด่นได้ นายคุณานนท์เจ้าของร่างเดิมอายุยี่สิบเอ็ดปีเวลานี้เป็นเพียงนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ในสำนักมีชื่อเสียงของแคว้นนี้ เขาเป็นบุตรเพียงคนเดียวของบ้าน ครอบครัวของเขาไม่ยากไร้ก็จริงแต่ก็ไม่นับว่าเป็นคหบดี บิดามารดาทำงานรับจ้างอยู่ในหอการค้าขนาดใหญ่ ตอนนี้ถูกส่งไปดูแลสำนักสาขาที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในดินแดนโพ้นทะเล

หลี่คุนรักษาตัวต่อจนเริ่มมีอาการดีขึ้น ถ้าไม่ขยับตัวเร็วๆ หรือหายใจแรงๆ ก็แทบไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บแปลบในทรวงอก แต่เขาเริ่มมีปัญหากับโอสถคลายความเจ็บปวดที่ท่านหมอสั่งให้ มันเม็ดเล็กทานสะดวกและได้ผลก็จริง แต่มีผลข้างเคียงทำให้สมองไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสเท่าที่ควร หลี่คุนขอไม่ทานโอสถนั้นอีกแต่ท่านหมอยืนยันว่าถ้าไม่ลดความเจ็บปวดลงจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนเป็นเหตุให้การฟื้นตัวช้าลงกว่าที่ควร จึงแนะนำให้ใช้แพทย์ทางเลือกลดความเจ็บปวดโดยการฝังเข็มโดยท่านหมออีกคนในโรงแพทย์เดียวกัน

หลี่คุนได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก เขาไม่นึกว่าศาสตร์ฝังเข็มจะตกทอดมาถึงยุคอนาคตนี้ ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยการแพทย์ตะวันตกโพ้นทะเลไปเสียหมด พอเข้าทำการรักษาจริงก็ยิ่งปลาบปลื้มเมื่อเห็นวิธีการฝังเข็มที่ยังคงรักษาพื้นฐานที่ถูกต้องจากยุคเขาไว้ได้เกือบหมด

“รู้สึกว่าอาการเจ็บลดลงไหมครับคุณคุณานนท์”

หมอหนุ่มใบหน้าขาวตี๋ถามหลังจากปักเข็มลงไปครบชุดแล้ว

“ยอดเยี่ยมมากท่านหมอ ไม่ทราบว่าได้ร่ำเรียนมาจากสำนักไหน หรือว่าเป็นวิชาที่สืบทอดกันในตระกูล”
 
ถึงคนไข้จะพูดจาแปลกๆ แต่คนเป็นหมอก็ไม่ได้ถือสาอะไร ได้แต่ตอบคำถามไปอย่างใจดี

“ผมจบแพทย์แผนปัจจุบันที่เมืองไทยนี่แหละครับ แต่สนใจแพทย์แผนจีนโดยเฉพาะเรื่องการฝังเข็ม เลยไปเรียนต่อเฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์แผนจีนปักกิ่ง”

“ไอหยา เรียนมาจากปักกิ่ง ใช่เมืองเป่ย์จิงที่มีพระราชวังต้องห้ามจื่อจิ้นเฉิงหรือไม่”

หลี่คุนตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อเจอคนที่เคยไปอยู่เมืองเดียวกับเขาในชาติก่อน หมอหนุ่มมองท่าทางที่ดีใจเกินเหตุแล้วนึกขำในใจ ใครๆ ก็รู้ว่าพระราชวังต้องห้ามอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลย

“ที่นั่นแหละครับ ทีนี้ลองหายใจตามปกติแต่ให้แรงขึ้นอีกนิดนะครับว่ารู้สึกเจ็บหรือเปล่า ถ้ามีผมจะลองกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้าดู น่าจะช่วยได้”

หลี่คุนรู้ว่าไฟฟ้าคือสื่อพลังงานหลักที่ยุคนี้ใช้กัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเอามาใช้ร่วมกับการฝังเข็มได้

“ขอลองหน่อยได้ไหมท่านหมอ ข้าอยากรู้ว่าเป็นเยี่ยงไร”

ยิ่งคุยก็ยิ่งพิลึกขึ้นทุก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีหยาบคายอะไรหมอหนุ่มก็เลยปล่อยเลยตามเลย เขาเอาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโวลต์ต่ำเข้ามาต่อที่เข็มเพื่อกระตุ้นจุดบนร่างผู้ป่วย หลี่คุนเข้าใจทันทีว่ามันให้ผลคล้ายๆ กับการกระตุ้นเข็มด้วยลมปราณ ในยุคที่วิชากำลังภายในดูเหมือนจะหายสาบสูญไป กลับคิดค้นวิธีการอื่นมาทดแทนได้นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ

“นี่มันดียิ่งนัก ถ้าท่านหมอฝังเข็มให้ข้าเพิ่มอีกตรงจุดเก๋อซู ข้าคงลุกขึ้นกระโดดได้โดยไม่เจ็บปวดสักน้อยนิด แถมยังจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้หายเร็วยิ่งขึ้น”

คนเป็นหมอมองหน้าคนไข้หนุ่มอย่างประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าวิชาฝังเข็มของหลี่คุนในยุคนั้นถ้าจะกล่าวว่าเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าอ้างตัวว่าเป็นที่หนึ่ง ยังไม่นับเคล็ดวิชาและตำแหน่งจุดฝังเข็มลึกลับที่ตระกูลหลี่แห่งฉางอันเก็บรักษามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง

“คุณศึกษาเรื่องการฝังเข็มมาบ้างหรือครับ แต่ผมคงฝังเข็มให้คนไข้ตามใจชอบไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ”

ที่จริงเขารู้สึกว่าจุดเก๋อซูที่ว่ามันมีความเกี่ยวพันกับอาการบาดเจ็บของคนไข้รายนี้จริงๆ แต่ในตำราไม่ได้ระบุให้เป็นวิธีรักษามาตรฐานเขาจึงต้องยึดมั่นในจรรยาแพทย์ที่จะไม่ทดลองอะไรที่ไม่มีหลักวิชาการกับร่างกายคนไข้

“ถ้าท่านหมอลำบากใจก็แล้วไปเถอะ ข้าจัดการเองได้”

ว่าแล้วหลี่คุนก็ถอนเข็มที่ฝังบนตัวเขาตรงจุดเฟ่ยซูออกมาฝังที่จุดเก๋อซูอย่างรวดเร็วแม่นยำจนหมอหนุ่มร้องห้ามไม่ทัน ที่น่าแปลกใจคือคนไข้รู้ได้อย่างไรว่าในบรรดาเข็มเกือบยี่สิบเล่มที่ฝังอยู่ จุดเฟ่ยซูสำคัญน้อยที่สุดแทบจะไม่มีผลต่อการรักษาเลย ถึงได้เลือกถอนออกมาฝังลงจุดใหม่ที่ตัวเองต้องการท่ามกลางอาการตกตะลึงของหมอหนุ่ม หลี่คุนหลับตาปิดฉากการสนทนาแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่พักใหญ่จึงค่อยลืมตาในที่สุด

“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยรักษาให้ คนเป็นหมออย่างไรก็อย่าลืมรักษาสุขภาพตัวเอง ข้าสังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นร่างกายช่วงบนของท่านตึงเครียดจนเกินไป การเคลื่อนไหวจึงไม่นิ่งอาจเกิดผลกระทบต่อการลงมือฝังเข็มได้ ข้าความรู้ต่ำต้อยแต่ขอบังอาจแนะนำให้ท่านฝังเข็มลงบนจุดปี้น่าว เจียนหวี และฟูตู้ ทิ้งไว้ประมาณสองเค่อ จากนั้นถอนออกแล้วฝังเข็มตรงจุดไม่มีชื่อที่อยู่ด้านล่างจุดหยางเหอลงมาหนึ่งชุ่นกระตุ้นไฟฟ้าทิ้งไว้ประมาณครึ่งเค่อ ข้ารับรองว่าอาการคอบ่าไหล่ติดขัดของท่านหมอจะหายเป็นปลิดทิ้ง การรักษาตำหรับนี้ข้ามอบให้เพื่อตอบแทนคุณที่ช่วยฝังเข็มให้ข้าในวันนี้ ไม่ว่าอาการใดๆ ที่เกิดจากความตึงเครียดในบริเวณนั้นล้วนคลี่คลายได้”

เมื่อพูดจบหลี่คุนก็ถอดเข็มที่ฝังอยู่บนตัวส่งคืนให้หมอหนุ่มอย่างชำนิชำนาญ จากนั้นก็เอ่ยคำอำลาสั้นๆ แล้วเดินออกจากห้องฝังเข็มไปอย่างแคล่วคล่องไม่เหมือนคนกระดูกซี่โครงหัก ทิ้งให้อีกฝ่ายอ้าปากค้างอยู่ในห้อง คนไข้คนนี้ถือดีอะไรถึงได้ฝังเข็มตัวเองตามอำเภอใจ แถมยังกล้ามาสอนวิชาฝังเข็มในจุดประหลาดนอกตำราให้กับเขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของประเทศ

ก่อนออกจากโรงพยาบาล ทนายของคู่กรณีก็ได้กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เอาสำเนาสำนวนคดีที่ตำรวจทำเสร็จแล้วว่านายคุณานนท์เป็นผู้ประมาททำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างสุดวิสัยมาใช้ข่มขู่ด้วย ถึงหลี่คุนจะไม่มีความทรงจำที่แน่ชัดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาอ่านท่าทางและลักษณะของชีพจรภายใต้ใบหน้ามั่นใจดูน่าเชื่อถือออกว่าทนายคนนี้กล่าววาจาโป้ปด เขาตรึกตรองมาดีแล้วว่าการมีคดีกับคนที่มีฐานะสูงกว่าไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคของเขาล้วนเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนอย่างแท้จริง ถึงจะเจ็บใจแต่ตอนนี้เขายังไม่มีตัวหมากที่ได้เปรียบอันใดเลย สุดท้ายเขาก็อาศัยทักษะอ่านใจจากอากัปกิริยาต่อรองเงินช่วยเหลือได้ที่สองแสนบาท ซูเอ๋อร์ยิ้มหน้าบานเมื่อทนายความรุ่นลุงกลับออกไปโดยทิ้งตั๋วแลกเงินที่เรียกว่าเช็คจำนวนดังกล่าวไว้ให้

“พี่คุนสุดยอด เห็นพูดแต่สำนวนหนังจีนจนผมนึกว่าตาลุงนั่นจะไม่ยอมคุยด้วยแล้ว ที่ไหนได้ เรียกค่าเสียหายได้ตั้งหลายเท่าจากที่เสนอมาตอนแรก แต่มานึกดูผมว่ามันก็ยังน้อยไป ค่ารักษาโรงบาลเอกชนนี่ถ้าเราไม่มีประกันก็แทบจะเกินอยู่แล้ว น่าจะเรียกให้มากกว่านี้อีก”

หลี่คุนยิ้มไม่ตอบอะไร แต่ในใจเขารู้ว่านี่เป็นขีดสุดแล้ว ถ้าเขาไม่ยอมเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะลงมือเล่นงานเขาแถมยังไม่ได้อะไรเลย นี่คือสิ่งที่เขาอ่านได้จากปฏิกิริยาทางร่างกายของทนายคนนั้น

ในระหว่างที่หลี่คุนกำลังนั่งรอรอซูเอ๋อร์ที่เอาหนังสือที่เช่ามาตั้งสุดท้ายไปคืนเพื่อจะออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกัน หมอที่เคยฝังเข็มให้หลี่คุนเมื่อหลายวันก่อนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง

“คุณคุนานนท์ โชคดีจริงที่คุณยังไม่กลับไป ทางวอร์ดบอกว่าคุณจะออกเช้านี้ ผมก็รีบวิ่งมาเลย”

หลี่คุนมองแวบเดียวก็รู้ว่าการเคลื่อนไหวดูสมบูรณ์ถูกต้องกว่าครั้งก่อน หมอหนุ่มพักหายใจเล็กน้อยจากอาการหอบก่อนจะพูดต่อ

“ตำหรับฝังเข็มที่คุณให้ไว้ มะ ไม่น่าเชื่อเลย มันแก้อาการออฟฟิศซินโดรมได้ชะงักจริงๆ ผมเพิ่งได้ลองกับตัวเองเมื่อกี๊นี้ พอเห็นผลก็รีบตามหาตัวคุณเลย เกือบไม่ทันแล้วสิ คุณเรียนมาจากที่ไหนหรือครับ ที่นั่นต้องมีอาจารย์ชั้นยอดแน่ คุณอายุแค่นี้ยังมีฝีมือทั้งการวินิจฉัยโรคทั้งการลงเข็มที่แม่นยำขนาดนี้ จุดที่ไม่มีชื่อนั้นผมไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากไปขอเจอท่านบ้าง”

“ท่านหมอพูดถูก อาจารย์ของข้าเป็นยอดคนอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่อยู่แล้ว โอกาสที่จะได้พบคงไม่มี”

คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์หมิง ย่อมไม่สามารถมาเจอคนรุ่นหลังในอีกหกร้อยปีได้

“ท่านสิ้นแล้วหรือครับ น่าเศร้าจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตำหรับจุดฝังเข็มที่คุณบอก พอผมทดลองจนมั่นใจแล้ว ผมขอเอาไปรักษาคนไข้บ้างได้ไหมครับ ทุกวันนี้มีคนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมกันมาก การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังรักษาได้ไม่ดีนักถ้าคนไข้ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม มีแต่การฝังเข็มที่ค่อนข้างได้ผลในการบรรเทาอาการแต่ก็ไม่หายขาด”

“การรักษาคนก็คือการสร้างกุศลอยู่แล้ว หากท่านหมอมั่นใจก็นำไปใช้เถิด”

“เอาไปใช้เฉยๆ ผมก็รู้สึกไม่ค่อยถูกต้อง ถ้าได้ค่ารักษามาผมจะรวบรวมมาแบ่งให้นะครับ”

“ไม่ต้องหรอก พบกันวันนี้ถือว่ามีวาสนาต่อกัน สามารถคบหาเป็นสหายได้ วันหน้าอาจได้พึ่งพากันอีก หากท่านหมอต้องการช่วยเหลือ ข้าขอให้ท่านช่วยตัดหาชุดฝังเข็มให้ซักหนึ่งชุด หากได้เครื่องกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ก็ยิ่งดี”

หมอหน้าตี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดว่าชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นอย่างคุณานนท์ก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว นี่กลับเป็นคนที่มีความสนใจตรงกันในเรื่องการฝังเข็ม คนเป็นหมออย่างเขายากนักที่จะมีเพื่อนต่างวัยแบบนี้

“ผมมีเข็มชุดสำรองส่วนตัวอยู่ คุณคุณานนท์เอาไปได้เลยครับ แต่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า มันเป็นของโรงพยาบาลครับ ขนาดก็ใหญ่มาก แต่เดี๋ยวผมจะลองถามบริษัทดูว่าจะสั่งซื้อชุดเล็กๆ แบบพกพามาได้หรือเปล่า ถ้าได้เดี๋ยววันหลังผมจะเอาไปให้นะครับ นี่นามบัตรผม มีอะไรก็ติดต่อได้”

หลี่คุนรับเทียบเล็กๆ ที่คนยุคนี้นิยมใช้กันมาอ่านดูก็พบว่าท่านหมอชื่อนายแพทย์ภีม นี่นับว่าเป็นสหายคนแรกของเขาในยุคอนาคตแห่งนี้

ก่อนออกจากโรงพยาบาลหลี่คุนก็พบว่าตัวเองมีทรัพย์สมบัติที่หามาได้หลังจากที่ข้ามเวลามาคือเงินบาทประมาณสี่ตำลึงทองและชุดฝังเข็มหนึ่งชุด นับว่าไม่เลวเลยเมื่อคิดว่าเขาในตอนนี้ไร้ซึ่งวรยุทธ์มีแค่วิชาการแพทย์ล้าสมัยไม่กี่แขนง แต่นี่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่จะเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่งราวกับมดตัวน้อยหมายมั่นปืนป่ายเขาไทซาน ใช่ เขาตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งไปสู่หนทางของความร่ำรวย ในเมื่อภาระอันหนักอึ้งถูกทิ้งไว้ในชาติก่อน ชาตินี้ก็ขออยู่อย่างสำราญใจเห็นจะดี ขอเพียงมีเงินให้มากพอในยุคนี้ก็สามารถเสพสุขได้ยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 2] 21/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-10-2019 18:08:34
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 22-10-2019 10:55:51
-3-

ประสบการณ์นั่งรถยนต์ครั้งแรกของหลี่คุนน่าอนาถยิ่งนัก แค่ออกมาข้างนอกโรงแพทย์เขาก็ต้องผงะกับอากาศที่เต็มไปด้วยละอองพิษเจือจาง แม้จะไม่ถึงกับเป็นอันตราย หากสูดดมเข้าไปหลายๆ ปี ย่อมทำให้เส้นลมปราณแขนงย่อยเส้นเล็กเส้นน้อยอุดตันได้ การฝึกฝนกำลังภายในของคนยุคนี้รวมถึงตัวเขาเห็นทีจะทำได้ยากยิ่ง

ไม่นานก็มีรถม้าสีเขียวเหลืองรูปร่างแปลกตาวิ่งเข้ามาเทียบ อันที่จริงเขาก็ทำความคุ้นเคยกับรถม้าเหล็กที่วิ่งได้เองไม่ต้องเทียมอาชานี้จากความทรงจำของคุณานนท์มาก่อนเพราะเห็นว่าเป็นพาหนะหลักของคนยุคนี้ แต่การนั่งรถยนต์รับจ้างจริงๆ นี้มันต่างจากที่เขาคิดไว้ในหัวมาก ประการแรกคือความเร็วที่ถึงกับล้ำหน้าอาชาเหงื่อโลหิตอยู่หลายเท่า เมื่อมันทะยานไปพร้อมกับรถม้าเหล็กอื่นๆ อีกหลายสิบคัน ทั้งวิ่งตามทั้งวิ่งสวนมาด้วยความเร็วที่เหมือนจะแข่งกันแบบนี้ แม้เขาจะขวัญกล้าขนาดกระโจนลงหน้าผาได้โดยไม่กลัวก็ยังอดพรั่นพรึงไม่ได้ ประการที่สองคือถนนที่ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าค่ายกล บางครั้งก็ยกสูงขึ้นไปบนฟ้า บางคราก็มุดลงใต้ดินน่าเวียนหัวยิ่ง หลี่คุนโยกตัวหลบทุกครั้งที่มีรถวิ่งสวนมาจนคนขับแท็กซี่หันมามองอยู่หลายที ยิ่งเขาไม่มีวรยุทธ์ก็ยิ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยจนนั่งตัวเกร็งไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่พักก็รู้สึกมึนหัวเต็มที

คุณานนท์อยู่ในสิ่งก่อสร้างสูงเสียดฟ้าที่เรียกว่าคอนโด หลี่คุนไม่ได้มีปัญหากับความสูงเพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าคนเราทำไมถึงอยากไปนอนบนที่ที่สูงขนาดนั้น ยังดีที่สามารถขึ้นไปชั้นต่างๆ โดยอาศัยตู้ขนส่งที่เรียกว่าลิฟท์ซึ่งเขาคุ้ยเคยมาบ้างจากที่โรงพยาบาล มิฉะนั้นก็นึกไม่ออกเลยว่าคนยุคนี้ที่ไม่มีวรยุทธ์จะปืนขึ้นลงตึกสูงขนาดนี้ได้ยังไงทุกวัน

หลี่คุนค่อยทราบว่าคอนโดแห่งนี้ไม่ได้เป็นของร่างเดิมคนเดียว คุณานนท์เป็นเจ้าของแค่ห้องๆ หนึ่งบนชั้นสิบเจ็ด ห้องอื่นก็มีคนอาศัยอยู่แต่ไม่รู้จักกัน รูปแบบคล้ายๆ กับในโรงเตี้ยม เมื่อเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าไม่ต่างกับห้องในโรงพยาบาลแต่มีสีสันและข้าวของมากกว่า ไม่นานหลี่คุนก็ค่อยๆ ซึมซับความทรงจำจากสิ่งต่างๆ ในห้องที่ร่างเดิมใช้ชีวิตประจำวันอยู่มาแล้วสามปี ซูกัสช่วยจัดของให้เข้าที่อย่างแข็งขัน หลี่คุนรู้สึกว่าถ้าไม่มีญาติผู้น้องของคุณานนท์คนนี้ ชีวิตหลังข้ามเวลามาของเขาคงจะลำบากไม่น้อย คิดแล้วก็ยิ่งเอ็นดูซูเอ๋อร์ขึ้นมาอีกหลายส่วน

“พี่คุน ไอนี่คือชุดฝังเข็มที่หมอหล่อๆ คนนั้นให้พี่มาก่อนกลับใช่ป่ะ เอามาทำไมก็ไม่รู้ ใครจะใช้เป็น ผมแค่เห็นเข็มยาวๆ ก็ขนลุกซู่แล้ว”

“ข้าใช้เป็น อย่างผื่นแดงอักเสบบนใบหน้าเจ้าข้าก็รักษาได้ ว่าแต่ไฉนเจ้าถึงปล่อยให้มันลุกลามเช่นนี้ มิใช่ว่าการแพทย์ในยามนี้สามารถรักษาเจ้าได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ”

หลี่คุนให้ค่าวิชาแพทย์ในยุคนี้ไว้สูงมาก หากแม้แต่การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะภายในยังทำได้ เรื่องอื่นคงมิต้องพูดถึง

“จะล้อเลียนว่าผมเป็นไอหน้าสิวเขลอะอีกล่ะสิ พี่ก็รู้ว่าผมไปรักษามาไม่รู้ตั้งกี่หมอแล้ว ดีได้แป๊บๆ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นหนักกว่าเดิมอีก”

“เป็นเช่นนั้นหรือ ซูเอ๋อร์ ข้าจะช่วยเจ้ารักษาโรคบนใบหน้าให้เจ้าว่าดีหรือไม่”

“ว๊าก บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกซูเอ๋อร์ ฟังดูเหมือนเด็กพิเศษยังไงไม่รู้ เรียกซูกัสสิพี่ หรือจะเรียกกัสเฉยๆ ก็ได้ถ้าขี้เกียจ”

“มันไม่น่าฟังสำหรับข้า ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวซูแทนก็ได้”

“ห้ามเลยนะ มันยิ่งฟังแปลกๆ เดี๋ยวคนจะนึกว่าไปล้อเลียนพี่น้องภาคอีสาน”

“งั้นก็เรียกซูเอ๋อร์นี่แหละ เหมาะกับเจ้ามาก”

ซูเอ๋อร์เบ้ปากแดงๆ ดูหล่อเหลาน่ารักราวกับเด็กน้อย ในยุคก่อน บุรุษหนุ่มในวัยนี้หลายคนก็ออกทัพจับศึกหรือแม้แต่มีครอบครัวไปแล้ว ไม่มีใครจะยังทำตัวเป็นคุณชายน้อยมีท่าทางออดอ้อนเอาแต่ใจแบบนี้ แต่ความทรงจำของร่างเดิมก็บอกว่า วัยสิบหกสิบเจ็ดของซูเอ๋อร์ในยุคนี้ก็ถือว่ายังเด็กอยู่จริงๆ

“ให้ข้าจับชีพจรตรวจอาการเจ้าดูเสียก่อน จะได้รู้ว่าจะต้องรักษาอย่างไร”

“พี่คุน นี่มันแปลกเกินไปแล้ว พี่เล่นเป็นจอมยุทธ์หนังจีนไม่เลิกแบบนี้ ผมชักกลัวแล้วนะ เหมือนพี่ไม่ใช่คนเดิมอย่างนั้นแหละ ถามจริง พี่ทะลุมิติมาเหมือนในนิยายป่ะนี่ ฮ่าๆ”

“ข้าก็คือพี่ชายของเจ้านั่นแหละจะเป็นใครได้ ตอนเด็กๆ เจ้าเคยจะหนีออกจากบ้านมารดาเจ้าเพราะน้อยใจที่ข้าได้ขนมชิ้นใหญ่กว่า เขียนจดหมายลาลายมือโย้เย้ทิ้งเอาไว้แล้วด้วย แต่สุดท้ายก็มัวแต่เก็บของที่จะเอาไปอยู่นั่น ทั้งของเล่น ขนม ชุดโปรด เก็บแล้วเก็บอีกจนหลับไปบนกองเสื้อผ้า พอทุกคนมาเจอเห็นจดหมายของเจ้าก็แอบอ่านแล้วหัวเราะกันใหญ่ เจ้าจำได้หรือไม่”

ยามที่หลี่คุนค้นเข้าไปในความทรงจำของคุณานนท์เพื่อหาเรื่องมายืนยันตัวเองก็พบภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของร่างนี้มากที่สุด ซูเอ๋อร์ในวัยเจ็ดขวบปีที่หลับอยู่บนกองเสื้อผ้าแก้มแดงใบหน้ามีเหงื่อออกนิดๆ จนปลายผมเปียกชื้นดูน่ารักเป็นหนักหนา เขารู้สึกถึงความผูกพันที่พี่น้องคู่นี้มีให้ต่อกันว่ามีมากแค่ไหน

“พอเลย ไหนพี่สัญญาไว้ตั้งแต่สามปีก่อนไง ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกเลยตลอดชีวิต นี่พี่ยังไม่ตายก็เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้วเหรอ”

ใบหน้าขี้เล่นของซูกัสเปลี่ยนมาเป็นจริงจังด้วยความไม่พอใจ หลี่คุนไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่าเมื่อวิญญาณของเขามาอยู่ในร่างนี้แล้ววิญญาณเจ้าของร่างที่แท้จริงจะไปอยู่ที่ไหน เป็นไปได้มากว่าคุณานนท์ตัวจริงจะสิ้นชีพไปแล้วตั้งแต่ตอนที่โดนรถชน ซูเอ๋อร์ พี่ชายเจ้าไม่ได้ผิดสัญญาหรอกนะ เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในร่างนี้แล้ว

“เด็กน้อย ในอดีตพี่ชายคนนี้ดีต่อเจ้ามากใช่ไหม ข้าขอโทษ ข้าสัญญาว่าจะยังดีต่อเจ้าตลอดไป”

ซูกัสหายโกรธทันทีรีบโผเข้ากอดพี่ชายอย่างรักใคร่ แม้ใบหน้าจะมีสิวแดงๆ ขึ้นเป็นสิบเม็ดแต่ก็ยังชวนมอง หลี่คุนนึกในใจว่าเขาต้องรักษาน้องชายของร่างนี้จนหายให้จงได้ เขาถือโอกาสที่ได้สัมผัสตัวกันลอบตรวจอาการของซูเอ๋อร์ ในยามที่ไม่มีพลังลมปราณที่จะโคจรเข้าไปตรวจสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มโดยละเอียดได้ หลี่คุนจึงอาศัยเพียงการจับชีพจรและตรวจสมดุลหยินหยางผ่านการวัดความร้อนเย็นของอวัยวะส่วนต่างๆ แทน  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มั่นใจอยู่หลายส่วนว่าสาเหตุมาจากอากาศที่ไม่ค่อยสะอาดของโลกนี้ เมื่อสะสมนานวันเข้าก็ทำให้เส้นลมปราณหลายเส้นบนใบหน้าซูเอ๋อร์อุดตัน พลังหยางที่ปั่นป่วนจากวัยหนุ่มยิ่งกระตุ้นพิษอากาศภายในจนปะทุออกทางผิวหน้ากลายเป็นสิวที่ไม่หายขาดเสียที การเปิดเส้นลมปราณที่อุดตันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไม่สามารถส่งลมปราณจากภายนอกเข้าไปช่วยทะลวงจนปลอดโปร่ง นั่นเป็นสิ่งที่หลี่คุนซึ่งไม่มีกำลังภายในไร้ความสามารถที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ขอเพียงเขาใช้การฝังเข็มช่วยเปิดลมปราณให้มีช่องทางไหลเวียนได้แม้เพียงนิด อาการน่าจะบรรเทาลงไปได้เกือบหมด

“ข้าต้องฝังเข็มบนใบหน้าเจ้า มันจะช่วยลดอาการบวมและการอุดตันที่รูขุมขนลงได้”

“ไม่เอา ใครจะให้เอาเข็มน่ากลัวนั่นมาทิ่มหน้า แถมพี่ยังไม่ใช่หมออีกด้วย ไม่ใช่ว่าไปดูคลิปยูทูปมาแค่สองสามคลิปแล้วจะเอาน้องเป็นหนูทดลองหรอกนะ ไหนว่าจะดีกับผมไปตลอดไง”

“เชื่อใจข้า ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าซูเอ๋อร์กลัวจริงๆ ขอแค่เข็มเดียวก็ได้ ฝีมือระดับข้า เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บสักนิด”

“พี่ฝังเข็มเป็นจริงๆ เหรอ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าฝังไปแล้วผมกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตปากเบี้ยวตาเหล่หมดหล่อกันพอดี”

“ข้ารับรองว่าซูเอ๋อร์จะหล่อเหลาขึ้นอีกมาก”

“เข็มเดียวจริงๆ นะ งั้นผมมีข้อแม้ว่าพี่จะต้องเลิกพูดภาษาหนังจีนเสียที”

“แต่ข้าชินแบบนี้นี่ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามแล้วกัน”

“งั้นดีล รีบฝังมา”

ซูกัสยื่นหน้ามาให้อย่างกล้าๆ กลัวๆ หลี่คุนค่อยๆ เอาเข็มเล่มหนึ่งฝังไปบนไปหน้านั้นอย่างเบามือ เด็กหนุ่มมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ซูเอ๋อร์ เจ้าเจ็บหรือไม่”

“ไม่รู้สึกเลย”

ที่แท้จุดหยิงเซียงที่หลี่คุนปักลงไปคือจุดที่ใช้คลายอาการกังวลและสกัดความเจ็บปวด ยังไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอาการบนใบหน้าเลย

“งั้นข้าขอลงเข็มอีกสามสี่จุดได้หรือไม่”

ซูกัสดูจะไม่ตื่นตัวกับการฝังเข็มอีกแล้ว เขากลับติดใจในประเด็นอื่นแทน

“ไม่เอาสิ พี่คุนต้องแทนตัวเองว่าพี่เหมือนเดิม แล้วต้องลงท้ายว่าครับด้วย”

“ก็ได้ งั้นพี่ขอฝังเข็มเพิ่มนะ..ครับ”

“โอเชพี่”

ในที่สุดเด็กน้อยก็ยอมให้ฝังเข็มแต่โดยดี หลี่คุนคาดเดาจุดที่เส้นลมปราณอุดตันบนใบหน้าของผู้น้อง เขาค่อยๆ ใช้การฝังเข็มเพื่อช่วยคลี่คลายเปิดช่องทางให้กับเส้นลมปราณทีละเส้น แต่มลพิษที่สะสมมานานแรมปียากนักที่จะทะลุทะลวงได้โดยไม่ใช้กำลังภายใน เขาทดลองค่อยๆ หมุนเข็มกระตุ้นตรงจุดที่คาดว่าจะมีปัญหาร่วมกับการนวดเฟ้นไปตามเส้นลมปราณอย่างใจเย็น เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามจนซูเอ๋อร์ถึงกับหลับไป ในที่สุดความพยายามก็บังเกิดผล เส้นลมปราณที่ติดขัดค่อยๆ เปิดเป็นช่องทางเล็กๆ แม้จะน้อยนิดแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เลือดลมบนใบหน้าเริ่มเกิดการหมุนเวียนอย่างช้าๆ เพื่อปรับตัวเข้าสู่สมดุล

ซูกัสลืมตาขึ้นพร้อมกับส่งเสียงบ่นออกมา

“ทำไมหน้ามันแสบๆ อย่างนี้”

“แสบมากหรือไม่”

“ก็ไม่มากนะพี่ มันออกจะร้อนๆ คันๆ ยุบยิบมากกว่า”

“ไม่ต้องวิตก ร่างกายเรากำลังค่อยๆขับพิษออกมา ไม่นานก็จะบรรเทาไปเอง”

“พี่อย่ามาอำให้ผมตกใจเลย ผมจะไปถูกพิษมาจากไหนได้   ไม่ใช่ว่าเอาเข็มมาทิ่มหน้าผมเล่นจนมันระคายเคืองเรอะ  ฮือๆ พรุ่งนี้สิวอักเสบต้องขึ้นเต็มหน้าอีกแน่เลย”

“คอยดูไปก็แล้วกัน ระหว่างนี้ต้องคอยระวังเรื่องอาหารการกินด้วยนะ อย่าทานอะไรที่มีสิ่งเจือปนมากๆ ถ้าเป็นอาหารจากธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่งจะดีมากๆ”

“เอ๊ะ หมายถึงพวกอาหารคลีนเหรอ ก่อนหน้านี้พี่คุณก็บ้าทานอยู่พักนึงนี่ แต่ไม่ถึงเดือนก็เบื่อ ยังเห็นมีของที่พี่ตุนไว้เหลืออยู่เลยนะ เดี๋ยวผมลองไปเอามาดู”

ว่าแล้วซูกัสก็ไปก้มๆ เงยๆ เปิดตู้รื้อลิ้นชักอยู่ตรงบริเวณครัว เพียงครู่เดียวก็ถือโหลแก้วใบย่อมภายในบรรจุถั่วผสมกับผลไม้แห้งสีแดงเม็ดเล็กกลับมาด้วย

“นี่ไง ว่าแล้วว่าเห็นอยู่ มิ๊กซ์นัทกับโกจิเบอรี่”

“นี่มันเก๋ากี้นี่”

หลี่คุนร้องขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง เก๋ากี้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันโดยทั่วไปในยุคของเขา มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับบำรุงไตและชะลอวัย ไม่นึกว่าผ่านมาหกเจ็ดร้อยปียังคงมีให้เห็นแม้ในแว่นแคว้นอันห่างไกลจากเมืองเดิมของเขา ความหวังที่จะหาสมุนไพรต่างๆ มาใช้ปรุงโอสถที่เขาเชี่ยวชาญเริ่มผุดขึ้นมา หลี่คุณหยิบเก๋ากี้สองสามเม็ดมาใส่ปาก เขารู้สึกได้ว่าสรรพคุณทางยาอ่อนกว่าปกติอยู่มาก ดูท่าว่าความสกปรกในดินน้ำอากาศของยุคนี้ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสมุนไพรไม่น้อย ถ้าสมุนไพรที่หาได้ล้วนเป็นเช่นนี้ อย่าว่าจะปรุงโอสถล้ำค่าที่อยู่ในตำราลับของตระกูลเลย แค่ยาพื้นบ้านทั่วไปเกรงว่าคงออกมามิมีอันใดดี

ยิ่งคิดก็รู้สึกน้อยใจในโชคชะตายิ่ง จากนิยายจีนที่เขาอ่านมาไม่รู้กี่เรื่อง ผู้คนที่ย้อนอดีตกลับไปในยุคเขาล้วนนำความรู้ที่เป็นประโยชน์จากอนาคตติดไปด้วย มีทั้งวิชาแพทย์ การคำนวณ การประดิษฐ์สิ่งของ การสร้างอาวุธ ไปจนถึงวิชาทำอาหาร ได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง และที่ยอดเยี่ยมจนเหมือนโกงคือความรู้หน้าประวัติศาสตร์ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ในขณะที่เขาสูญสิ้นกำลังภายในมิอาจใช้วรยุทธ์ต่างๆ ได้แม้แต่น้อย วิชาการแพทย์ที่มีก็ล้าหลังซ้ำยังขาดลมปราณรักษา เหลือเพียงการปรุงโอสถที่เขามั่นใจแต่หากขาดวัตถุดิบที่จำเป็นก็คงไร้ซึ่งประโยชน์ สวรรค์ช่างไม่เป็นธรรม

“ซูเอ๋อร์ ในเมืองนี้มีร้านค้าสมุนไพรบ้างไหม”

“งื้อ พี่จะเอาไปทำอะไรอ่ะ อย่าบอกนะว่าต้มยาจีนกิน”

“แค่บอกพี่มาว่ามีหรือไม่”

“โอเค อย่าทำเสียงดุสิ ผมค้นในมือถือให้แป๊บนึง… อ๊ะ เจอแล้ว น่าจะต้องไปที่เยาวราชนะ ร้านใหญ่ๆ มีขายทั้งสมุนไพรไทยจีน”

“ดียิ่งนัก เราจงนำทางพี่ไป”

“ผมพาไปก็ได้ แต่พี่ต้องห้ามพูดจาเพี้ยนๆ แบบนี้นอกบ้านนะ ผมอายคน”

“พี่ตกลง.. ครับ”

ทั้งคู่พากันไปถึงเยาวราชมรดกทางวัฒนธรรมจีนใจกลางกรุง แม้จะไม่ค่อยชื่นชอบอากาศที่ไม่สะอาดและผู้คนพลุกพล่าน แต่หลี่คุนก็อดตื่นตาตื่นใจไปกับอารยธรรมของชาวฮั่นที่สืบทอดข้ามผ่านยุคสมัยสู่ดินแดนอันห่างไกลทางตอนใต้นี้ไม่ได้ เขาเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ตรวจสอบสมุนไพรที่วางขายอย่างเพลิดเพลิน แม้วัตถุดิบในการทำยาระดับสูงจำพวกถั่งเช่า โสมคน หรือเห็ดหลินจือร้อยปีจะราคาสูงลิ่วเกินเอื้อมและไม่แน่ว่าจะเป็นของแท้ แต่ก็ยังได้สมุนไพรทั่วไปอย่างตังกุย รากโสมอ่อน ฮวยซัว ดีบัว โป๊ยกั๊ก ติดมือมาไม่น้อย กว่าจะรู้ตัวเขาก็สิ้นเงินไปหลายร้อยตำลึงเงินทั้งๆ ที่สมุนไพรพวกนี้หากเป็นในสมัยก่อนล้วนพบเห็นได้ทั่วไปรวมแล้วคงไม่กี่ตำลึงเงินเท่านั้น ยังดีที่เขาเจอสมุนไพรพื้นบ้านหลายตัวที่น่าสนใจของแคว้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร ข้าวเย็นเหนือ ไพล กวาวเครือ เถารางจืด และอื่นๆ อีกมาก ทั้งหลากหลายทั้งราคาย่อมเยา เขาเลยทดลองซื้อมาอย่างละนิดละหน่อย บางตัวมีกลิ่นคล้ายสมุนไพรหายากในอดีต มิแน่ว่าอาจใช้ทดแทนกันได้

พอหลี่คุนออกมาจากร้านสมุนไพรร้านที่ห้า ซูเอ๋อร์ก็สิ้นความอดทน เขาฉุดกระชากญาติผู้พี่ไปย่านของกินแล้วบังคับให้ไล่ชิมกันไปทีละร้าน หลี่คุณออกจะดูแคลนอาหารการกินของยุคนี้อยู่มาก แต่ละมื้อที่เขากินในโรงพยาบาลล้วนแต่จืดชืดไร้รสชาติ วัตถุดิบก็ไม่ค่อยสมบูรณ์คงเพราะภาวะดินน้ำอากาศที่สกปรกของยุคนี้ แต่เพียงแค่ตักก๋วยจั๊บที่แวะเป็นร้านแรกเข้าปากเขาก็ต้องตกตะลึง เครื่องเทศในน้ำซุปปรุงออกมาได้จัดจ้านหอมกลิ่นพริกไทย หมูกรอบและเครื่องในก็ทำได้ดียิ่ง ร้านต่อไปคือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เตาถ่านที่อร่อยกลมกล่อมหอมอบอวนด้วยกลิ่นกระทะเข้ากับซ๊อสเผ็ดหวานสีแดงส้ม ถัดมาเป็นแผงลอยขายหอยทะเลลวก เขาไม่คุ้นเคยกับหอยชนิดนี้ แต่เนื้อที่สดหวานแน่นเด้ง กับน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวถึงใจใส่ผักชีพร้อมโรยถั่วคั่วเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด เด็กหนุ่มวัยกำลังกินกำลังนอนอย่างซูเอ๋อร์ยังไม่หยุดแค่นั้น เขาพาไปต่อกับร้านหมูเสียบไม้ย่างร้อนๆ กลิ่นหอมที่เรียกว่าหมูสะเต๊ะ หมูติดมันนิดๆ  หมักมานุ่มนวลรสชาติกลมกล่อม ทานกับน้ำจิ้มถั่วและแตงกวา ก่อนจะไปจบที่แผงสุดท้ายด้วยหมางกั่วลูกใหญ่สุกเหลืองกำลังดี ปอกมาพร้อมกับข้าวเหนียวรสชาติหวานมันราดกะทิเข้มข้นโรยถั่วสีทองเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด อร่อยจนต้องฝืนทานอิ่มแน่นไปถึงคอหอย

หลี่คุนตบท้องที่อิ่มจนแทบจะแตกของตัวเองเบาๆ ไม่คิดว่าอาหารของแคว้นนี้ในยุคนี้จะล้ำเลิศถึงเพียงนี้ จริงอยู่ที่มิได้เป็นอาหารที่ปราณีตบรรจงอะไรนัก ผู้คนก็เบียดเสียดไร้ความเป็นส่วนตัว แต่การปรุงรสช่างยอดเยี่ยมจัดจ้านแปลกใหม่ชวนให้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ แต่ละคำล้วนมีรสอร่อยล้ำลึกเคลือบติดอยู่ที่ปลายลิ้น มิรู้ว่าใช้เวทมนต์หรือเครื่องปรุงสูงค่าอันใด ความหลากหลายผันแปรในแต่จะจานก็ถึงกับผลิกฟ้าสะเทือนดิน บ้างก็คล้ายสืบทอดจากอาหารจงหยวน แต่บางจานก็มิใช่ หมูย่างสีเหลืองมีกลิ่นอายของชมพูทวีป น้ำจิ้มหอยผสานความเปรี้ยวเผ็ดเค็มหวานคล้ายมิเคยมีมาก่อน ที่สุดจะคาดคิดคือหมางกั่ว ข้าวเหนียว และนมมะพร้าวที่ผสานออกมาเป็นของหวานชั้นเลิศ สถานที่นี้มันคือสวรรค์ของนักกินหรือไร
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-10-2019 11:54:30
ชอบมากเลยค่ะ ปรับตัวไว และอยู่เป็น หนทางรวยไม่ไกล 5555555555555555555
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 22-10-2019 14:11:17
กลั้นยิ้มหน้าเป็นกบเลยค่ะ5555 เอ็นดูพี่คุณมาก เป็นน่ารักยิ่ง :-[
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 22-10-2019 15:17:46
แบบ 555555555555555555555 น่ารักกกก
ปล.คุณนักเขียนอย่าลืมแปะกฎเล้านะคะะะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 22-10-2019 18:13:01
ชอบครับอ่านสนุกดี
แต่ผู้แต่งลืมลงกฎหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-10-2019 19:52:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 4] 23/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-10-2019 11:13:05
-4-


หลี่คุนอารมณ์ดียิ่งนักเมื่อกลับถึงที่พัก สองมือเต็มไปด้วยสมุนไพรทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยขณะที่ในท้องอัดแน่นด้วยอาหารเลิศรส เขารีบรื้อค้นสมุนไพรแต่ละตัวออกมาตรวจสอบโดยละเอียด ทั้งดมทั้งชิมแล้วใช้ความรู้ในชาติก่อนประเมินสรรพคุณคัดแยกพวกที่พอใช้การได้ออกมา ที่ควรบดก็บดที่ควรหั่นก็หั่น แล้วจัดเก็บไว้ในโถแก้ววางเรียงเป็นตับ จากนั้นก็ลองปรุงยาขนานแรกขึ้นโดยเคี่ยวสมุนไพรตามตำหรับลับของตระกูลจนกลิ่นฟุ้งไปทั้งห้อง เตาไฟฟ้าของยุคนี้ใช้ง่ายนัก จะเพิ่มหรือลดความแรงก็เพียงใช้นิ้วกด เมื่อทดลองไปสักพักก็สามารถควบคุมร้อนในการสกัดสมุนไพรได้อย่างใจ นี่นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการปรุงโอสถ

แต่ฤทธิ์ทางยาของสมุนไพรยุคนี้มีความอ่อนแก่ไม่เท่ากับในยุคก่อน หลี่คุนต้องปรับแก้สัดส่วนอยู่หลายรอบ สมุนไพรดั้งเดิมบางตัวที่หาไม่ได้เขาก็ทดลองใช้สมุนไพรไทยแทน ล้มเหลวอยู่หลายครั้งกว่าจะได้ผลที่พอใช้การได้

ในที่สุดโอสถขนานแรกก็แล้วเสร็จ หลี่คุนเลือกจะปรุงขี้ผึ้งสมานแผลเพราะอยากใช้กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแดงของซูเอ๋อร์ ขี้ผึ้งสูตรนี้ของตระกูลหลี่แม้จะเป็นโอสถระดับสามัญแต่ก็ให้ผลยอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถขจัดได้แม้รอยแผลเป็นขนาดใหญ่หากเป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์แปดส่วนขึ้นไป เพียงแค่ขวดหยกใบเล็กๆ ใบหนึ่งก็ขายได้หนึ่งตำลึงทองแล้ว

โอสถในยุคของหลี่คุนมีสามระดับแบ่งตามความยากในการปรุง โอสถระดับสามัญคือโอสถที่ปรุงง่ายสุด ขอเพียงทราบสูตรและวิธีเคี่ยวตัวยาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณ นี่เป็นโอสถที่คนส่วนใหญ่รวมทั้งหมอใช้กัน สรรพคุณจะขึ้นกับความบริสุทธิ์ ยิ่งสูงก็ยิ่งส่งผลดีต่อการรักษา ความบริสุทธิ์ของโอสถระดับสามัญขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบเท่านั้นเนื่องจากมิได้ใช้ลมปราณมาช่วยในการหลอมรวมและชำระสิ่งเจือปน

โอสถระดับสูงขึ้นมาคือโอสถระดับปฐพี โอสถระดับนี้จะใช้วัตถุดิบสูงค่าที่หายากยิ่งขึ้น เวลาปรุงจะต้องใช้ลมปราณของผู้ปรุงมาชำระสิ่งเจือปนและหลอมรวมวัตถุดิบ คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักพรตหรือหมอเทวดาผู้มีกำลังภายในแก่กล้ายากนักที่จะปรุงได้สำเร็จ ความบริสุทธิ์ขึ้นกับคุณภาพของวัตถุดิบและความล้ำลึกของกำลังภายในของผู้ปรุงเท่าๆ กัน

โอสถขั้นสูงสุดคือโอสถระดับนภานั้นเรียกได้ว่าเป็นตำนาน มิต้องพูดถึงว่าความล้ำค่าของวัตถุดิบและความสูงส่งซับซ้อนของพลังลมปราณที่ต้องใช้จะสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขนาดไหน ในสมัยราชวงศ์หมิง ตำหรับตำราในการปรุงโอสถระดับนี้คาดว่าได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงโอสถที่ปรุงเสร็จแล้วจำนวนน้อยนิดที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ ส่วนใหญ่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นสมบัติลับภายในวังหลวงและจวนตระกูลใหญ่ ที่เหลือล้วนกระจายอยู่กับยอดคนระดับเสือเร้นมังกรซ่อน

หลี่คุนรีบตรวจสอบความบริสุทธิ์ของขี้ผึ้งสมานแผลที่เพิ่งปรุงเสร็จทันที แม้จะเตรียมใจเรื่องข้อจำกัดของวัตถุดิบไว้แล้วแต่ก็อดผิดหวังไม่ได้เมื่อพบว่าโอสถในมือมีความบริสุทธิ์เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น นั่นหมายความว่าน่าจะใช้รักษาได้เพียงรอยขีดข่วนเล็กๆ หากเป็นในชาติก่อนเขาคงไม่รีรอที่จะโยนทิ้งไป แต่เมื่อนึกถึงว่าต้องลองผิดลองถูกสิ้นเปลืองสมุนไพรที่ราคาแพงกว่าปกติไปมากมายก็แสนจะปวดใจ

“ซูเอ๋อร์ เอาไปทาหน้าเข้าเย็นทุกวัน ริ้วรอยบนใบหน้าน้องน่าจะดีขึ้นบ้าง”

ด้วยความเสียดาย หลี่คุนจึงเอาขี้ผึ้งมาแบ่งใส่ตลับเล็กๆ ได้สิบตลับ ก่อนจะหยิบอันนึงส่งให้กับญาติผู้น้อง ที่เหลือเก็บไว้ทาแก้รอยยุงกัดก็ยังดี ซูเอ๋อร์รับมาดมอย่างไม่มั่นใจ

“เอาจริงดิพี่ กลิ่นประหลาดแท้ ทาไปสิวคงไม่เห่อเต็มหน้านะ”

“ทาไปเถอะ พี่รับประกัน”

คนที่ปรุงยามากับมือยืนยันหนักแน่น ทั้งที่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาไม่เคยใช้โอสถที่ความบริสุทธิ์ต่ำเยี่ยงนี้มาก่อน

“งั้นผมถ่ายรูปหน้าผมตอนก่อนใช้เก็บไว้ก่อนดีกว่า เป็นอะไรขึ้นมาจะได้ฟ้องพี่ให้หมดตัว”

ซูเอ๋อร์พูดเล่นแต่ทำจริง เขาหยิบแท่งสื่อสารสารพัดประโยชน์เรียกว่าโทรศัพท์มือถือที่หลี่คุนเห็นคนยุคนี้ติดกันงอมแงมขึ้นมาบันทึกภาพใบหน้าตัวเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เด็กหนุ่มปั้นหน้าหล่อก่อนจะกดถ่ายหนึ่งภาพ จากนั้นก็เปลี่ยนมุมถ่ายจากด้านซ้าย ด้านขวา มุมกด มุมเสย ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มไม่เห็นฟัน ทำปากจู๋ ทำแก้มป่อง ดูหล่อน่ารักแต่ก็เวียนหัวยิ่งนัก กว่าจะได้ทาจริงก็เสียเวลาไปมากมาย

หลี่คุนเริ่มสนใจแท่งสื่อสารที่ซูเอ๋อร์ใช้จึงเอ่ยปากถามขึ้น อีกฝ่ายรีบกุลีกุจออธิบาย

“โทษทีพี่ พอดีพี่ไม่ได้ถามถึงเลยผมก็ลืมบอกไป มือถือของพี่มันหล่นกระแทกตอนถูกรถชนผมเลยส่งไปซ่อมให้ แล้วที่ร้านเพิ่งโทรมาแจ้งว่าพังจนซ่อมไม่ได้น่าจะต้องซื้อใหม่ พี่จะเอายี่ห้อเดิมหรือว่าจะย้ายค่าย ค่ายเดิมผมว่าก็ดีนะใช้ง่ายแต่รุ่นใหม่ราคาแรงมาก พี่จะเอาจอเล็กหรือจอใหญ่  แต่ถ้าย้ายค่ายก็มีตัวเลือกเพียบ จะเอาจอเล็กกลางใหญ่หรือใหญ่มากก็มีหมด ซีพียูแรงมากแรงน้อย หน่วยความจำเอาเท่าไหร่ กันน้ำกันฝุ่นด้วยเปล่า ที่สำคัญคือกล้อง หน้าชัดหลังเบลอ เลนส์ซูมเลนส์ไวด์  ถ่ายในที่มืดได้ พี่บอกมาได้เลยจะเอาสเป็คไหน เรื่องพวกนี้ผมเทพมาก ติดตามตลอด”

หลี่คุนรับฟังจนเวียนหัวไม่กล้าบอกว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย อ้ำๆ อึ้งๆ แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่

“ปกติพี่ก็ไม่ค่อยสนใจพวกเรื่องไอทีอยู่แล้วนี่ หรือจะใช้แบบเดิมไป แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ค่ายจีนนี่กำลังมาแรงเลย ความคุ้มค่าผมให้ห้าดาว เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้เผลอๆ จะแซงหน้าเกาหลีไปแล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงจะโดนอเมริกาสะกัดดาวรุ่ง อาจจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงบริการต่างๆ  ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

หลี่คุนได้ยินก็ปลาบปลื้มที่ลูกหลานเชื้อสายชาวฮั่นกำลังกลับมายิ่งใหญ่ในการค้าแท่งสื่อสารที่เขาคาดว่าน่าจะมีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ ในขณะเดียวกันก็อดเจ็บแค้นแทนมิได้ที่ถูกแคว้นใหญ่ตั้งใหม่ที่เพิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นในยุคหลังใช้กลยุทธ์พิชัยสงครามมากดดัน เขาบอกให้ซูเอ๋อร์พาไปซื้อโทรศัพท์ชั้นหนึ่งของค่ายจีนทันที พอได้มาก็หยิบคลำชื่นชมตลอดเวลาทั้งๆ ที่ใช้แทบไม่เป็น

วันเวลาของหลี่คุนหลังข้ามมายังอนาคตเรียบง่ายและมีความสุขกว่าที่คิด ภาระหนักอึ้งของตระกูลเมื่อเวลาล่วงเลยมากว่าหกร้อยปีก็ไร้ซึ่งความสำคัญอันใด เขาเพียงแต่คิดว่าจะหาเงินอย่างไรในชาตินี้ แต่ละวันหลี่คุนจะง่วนอยู่กับการศึกษาทดลองสมุนไพรไทยที่ซื้อมา สลับกับการอ่านนิยายจีนย้อนยุคที่ซูเอ๋อร์เช่ามาให้ เขาแอบหัดใช้โทรศัพท์ทีละนิดโดยอ้างกับญาติผู้น้องว่าระบบคนละอย่างกับของเดิมทำให้ต้องมาถามเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ใช้กล้องถ่ายรูปเป็นรวมถึงการตอบข้อความถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและรูปดอกไม้สวัสดีตามวันทร์จากท่านพ่อท่านแม่ที่โพ้นทะเลด้วย แม้จะเป็นธรรมเนียมที่แปลก แต่ก็สะดวกสบายกว่าการไปโขกศีรษะคำนับด้วยตัวเองทุกวันตามแบบแผนในชาติก่อนอยู่มาก

สิ่งที่หลี่คุนชื่นชอบมากที่สุดของการใช้ชีวิตในแคว้นนี้คืออาหาร ถ้าเป็นมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นส่วนใหญ่จะพากันออกไปทานข้าวข้างนอก หรือไม่ซูเอ๋อร์ที่มีนัดกับเพื่อนหรือออกไปทำธุระก็จะซื้อมาฝาก ผัดไทย ข้าวขาหมู ข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง กระเพราหมูกรอบไข่ดาว บะหมี่เป็ด ล้วนแต่เป็นซูเอ๋อร์เลือกสรรมาให้ เด็กคนนี้รู้จักเสพสุขในชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านไหนก็มีรสอร่อยกลมกล่อมติดปลายลิ้น ชีวิตที่ไม่ต้องแบกภาระไว้บนบ่ามันช่างสบายยิ่งนัก ช่วงค่ำๆ บางทีหลี่คุนก็นั่งดูงิ้วตู้หลังข่าวเป็นเพื่อน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่มันก็ช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนยุคนี้ขึ้นมาบ้าง ซูเอ๋อร์มักกล่าวถึงนักแสดงงิ้วพวกนั้นอย่างชื่นชม ดูเหมือนว่าหกร้อยปีให้หลัง อาชีพนักแสดงงิ้วที่เคยต้อยต่ำจะกลายเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องทำเงินทำทองได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

ผ่านมาได้สามสี่วันซูเอ๋อร์ก็ตะโกนเสียงดังเข้ามาปลุกพี่ชายตั้งแต่เช้า หลี่คุนที่ทดลองเคี่ยวสมุนไพรกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบยามอิ๋นแล้วยังลืมตาไม่ขึ้นได้แต่ส่งเสียงถามออกไป

“เป็นเรื่องใหญ่โตอันใด”

“พี่มาดูหน้าผมสิ ทั้งสิวทั้งรอยแดงหายไปหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเลย ทำไมพี่เก่งอย่างนี้ มามะ มาหอมแก้มที”

หลี่คุนดิ้นหนีการปล้ำจูบของน้องชายที่ดีใจเกินขนาดจนตาสว่าง เขาดึงหูทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้ให้อยู่นิ่งๆ แล้วก็ตรวจสอบอย่างละเอียด ใบหน้าของซูเอ๋อร์ดีขึ้นมากจริงๆ  เขาไม่แปลกใจที่สิวยุบตัวเพราะเมื่อเส้นลมปราณบนใบหน้าเริ่มหมุนเวียนขับของเสียได้แล้ว เพียงรอคอยไม่กี่วันย่อมคืนสภาพมาเป็นปกติ แต่เขาไม่คิดว่ายาสมานแผลความบริสุทธิ์สามส่วนจะออกฤทธิ์ได้เร็วขนาดนี้ บัดนี้รอยแดงบนใบหน้าที่เคยมีจางลงเกือบหมดเผยให้เห็นผิวพรรณแท้จริงของซูเอ๋อร์ที่เนียนใสชมพูระเรื่อเห็นเส้นเลือดฝอยจางๆ หล่อเหลาดังสลักจากหยกเนื้อดี

“พอสิวหายแล้วผมหล่อใช่ไหมล่ะ ที่จริงผมก็เริ่มเอะใจตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว แต่ก็คิดว่าเป็นอุปทาน เมื่อวานยุ่งๆ ไม่ได้สนใจ แค่ทาครีมของพี่ตามปกติ พอเช้านี้ตื่นมาส่องกระจกตอนแปรงฟันผมยังนึกว่าฝันเลย เอ๊ะ หรือว่าเป็นฝัน พี่หยิกผมแรงๆ ที”

หลี่คุนเอามือหยิกแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของซูเอ๋อร์จนหน้ายืดอย่างหมั่นเขี้ยว ถึงแม้ยาตำหรับนี้ของตระกูลหลี่จะล้ำเลิศ แต่ความบริสุทธิ์เพียงสามส่วนย่อมมิอาจให้ผลเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าไพลซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่เขาใส่ไปทดแทนวัตถุดิบตามตำหรับเดิมที่ขาดไปจะช่วยยกระดับยาตำหรับนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวผมถ่ายรูปเปรียบเทียบก่อนหลังไปลงไอจีดีกว่า ไอพวกที่เคยว่าผมเป็นไอหน้าสิวเขลอะจะต้องตาค้างแน่”

ซูเอ๋อร์วิ่งร่าเริงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพใบหน้าตัวอีกรอบ คราวนี้เพิ่มเติมอิริยาบถไปกว่ารอบที่แล้วเป็นสามเท่าเพราะเริ่มมั่นใจในใบหน้าตัวเอง หลี่คุนรับชมจนเวียนหัวไม่ต่างจากเดิม ในที่คนก็เลือกรูปที่คิดว่าดีที่สุดซึ่งถ่ายทั้งก่อนและหลังในมุมเดิมส่งขึ้นไปในไอจีตัวเองพร้อมคำบรรยาย

หลี่คุนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่น้องชายทำนัก เขาค้นเข้าไปในความทรงจำของคุณานนท์แต่ความซับซ้อนของพฤติกรรมคนยุคนี้ที่เกี่ยวข้องกับไอจีมันเกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับการกระทำในยุคของเขาได้ อธิบายได้ดีที่สุดน่าจะเป็นการนำข่าวสาร รูปภาพ หรือบทประพันธ์ความคิดต่างๆ ไปติดไว้บนกำแพงให้มิตรสหายหรือผู้คนที่สนใจเข้ามาอ่านมาดู ถึงจะเปรียบเทียบอย่างนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เห็นได้ชัดว่ารูปภาพหรือข้อความเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญ ดีไม่ดีกลายเป็นการโอ้อวดให้คนหมั่นไส้เสียเปล่าๆ นี่ไม่เท่ากับกินข้าวอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรหรอกหรือ ถึงจะรู้สึกอย่างนั้นแต่ญาติผู้น้องก็ดูจะมีความสุขดี ทุกครั้งที่เสียงเตือนดังขึ้น ซูเอ๋อร์จะรีบเข้าไปอ่านอย่างรวดเร็วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะพิมพ์ตอบในทันที บางครั้งก็มีคนติดต่อเข้ามาสนทนาทางเสียง เด็กหนุ่มก็จะคุยโม้เรื่องความหล่อในชั่วข้ามคืนของตัวเองเสียงโขมงโฉงเฉง เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดช่วงเช้าจนหลี่คุนคร้านที่จะสนใจหนีไปทดลองปรุงยาของตัวเองต่อ

หลังจากนั้นพักใหญ่ ซูเอ๋อร์ก็ตามเข้าไปเอาหัวถูไถกับแขนของหลี่คุนราวกับลูกแมวน้อย บอกว่าบรรดาเพื่อนสนิทของเขาล้วนอยากได้ขี้ผึ้งมหัศจรรย์นี้ หลี่คุนลำบากใจอยู่บ้าง ถึงต้นทุนวัตถุดิบรวมๆ จะไม่ถึงร้อยตำลึงเงิน แต่ก็เป็นโอสถขนานแรกที่เขาได้ทุ่มเทกำลังปรับปรุงสูตรและปรุงขึ้นในชาตินี้ แต่คนเป็นพี่ย่อมสละให้น้องได้ ไม่ต้องพูดถึงท่าทางออดอ้อนน่ารักที่ยากจะต่อต้านนั้น เขาตัดใจหยิบขี้ผึ้งที่เหลือทั้งเก้าตลับส่งให้ ซูเอ๋อร์เมื่อสมหวังก็รีบออกไปหาเพื่อนข้างนอกทันที

หลี่คุนไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปเป็นการหว่านพืชแต่อย่างใด ยิ่งไม่คาดว่าผลที่ได้จะเติบโตงอกงามยิ่ง แต่สรรพคุณของขี้ผึ้งสมานแผลที่บอกกันปากต่อปากในหมู่เพื่อนจะทำให้โพสต์ตั้งต้นในไอจีอันนั้นของซูเอ๋อร์แทบจะระเบิดในอีกไม่กี่วันต่อมา จากแรกเริ่มที่ความเห็นส่วนใหญ่จะเป็นการชื่นชมความหล่อของเด็กหนุ่มพร้อมกับสอบถามคลีนิคหรือศูนย์เลเซอร์ที่ไปทำหน้ามา แต่หลังจากนั้นจะเป็นหมู่เพื่อนที่ได้ขี้ผึ้งไปเข้ามาแสดงความตกใจกับสรรพคุณของมัน บางคนก็เข้ามาแปะรูปก่อนหลังให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งตามด้วยเพื่อนของเพื่อนที่มายืนยันอีกต่อหนึ่ง ในที่สุดโพสต์นี้ก็กลายเป็นร้านขายของ มีแต่คนติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อขี้ผึ้งมหัศจรรย์ที่ว่า แรกๆ เจ้าของไอจีก็บอกปัดไป แต่ในที่สุดก็ต้านความต้องการของชาวเน็ตไม่ไหวเปิดให้ลงชื่อจองไว้ก่อน

หลี่คุนเมื่อได้ทราบข่าวก็หัวร่อฮ่าๆ อย่างยินดี เขากำลังหาช่องทางที่จะค้าขายหาเงินหาทองในยุคนี้อยู่ทีเดียว สองพี่น้องพากันไปเยาวราชอีกครั้งเพื่อเก็บตุนสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบ หลี่คุนตั้งใจจะให้ลูกค้าได้ของที่ดียิ่งขึ้นจึงทุ่มเงินซื้อสมุนไพรที่คุณภาพสูงกว่าครั้งที่แล้วมาชุดใหญ่ ทั้งคู่เก็บตัวอยู่ในห้องช่วยกันเคี่ยวสมุนไพรทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็ปรุงขี้ผึ้งสมานแผลออกมาได้ประมาณสี่ร้อยตลับ หลังจากถกเถียงกันพักใหญ่ก็ตกลงตั้งราคาไว้ที่ตลับละห้าร้อยบาทหรือประมาณยี่สิบตำลึงเงินโดยมีต้นทุนอยู่ที่สิบตำลึงเงิน หลี่คุนไม่ยอมตั้งราคาสูงเพราะกลัวจะสู้กับโอสถปัจจุบันไม่ได้ ในที่สุดโอสถที่รู้จักกันในนามขี้ผึ้งมหัศจรรย์ของน้องซูกัสก็ถูกทะยอยส่งมอบให้กับลูกค้าที่จองไว้ สองพี่น้องเอาของบรรจุหีบห่อฝากส่งไปกับบริการม้าเร็วของสำนักไปรษณีย์กันมือเป็นระวิง หลังส่งให้กับลูกค้าที่จองจนหมดก็ยังมียอดสั่งซื้อใหม่เข้ามาเรื่อยๆ หลี่คุนฝันหวานดีดลูกคิดในใจว่าจะเปิดร้านยาใหญ่โตขึ้นในเมือง มิคาดว่าการทำการค้าในยุคนี้จะง่ายดายถึงเพียงนี้

แต่ฝันหวานของหลี่คุนที่แท้แล้วยังห่างไกลอยู่มาก หรือบางทีอาจมิมีทางไปถึงฝั่งได้เลย เริ่มจากมีคนสงสัยว่าคนที่มาแสดงความชื่นชมครีมในช่วงแรกๆ ที่แท้เป็นหน้าม้าหรือไม่ ยิ่งสืบไปก็ยิ่งพบว่าคนกลุ่มนั้นแล้วแต่เป็นเพื่อนของซูกัส เรื่องก็ลุกลามไปถึงว่าภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังน่าจะใช้แอพตกแต่ง ในขณะที่ความน่าเชื่อถือของสินค้าเริ่มตก ก็มีไอจีอื่นมาโพสต์ขายครีมที่อ้างว่าเป็นขี้ผึ้งมหัศจรรย์ของน้องซูกัสของแท้แต่เพียงผู้เดียวสร้างความสับสนกับลูกค้าเป็นอันมาก ตลับที่หลี่คุนใช้เป็นตลับพลาสติกสีขาวฝาแดงที่มีขายทั่วไปไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่จะแยกของจริงของปลอมได้ ในยุคเดิมของเขานั้น ใช่ว่าจะไม่มีการคดโกงกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าแอบอ้างสินค้าคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ อย่างนี้ จากนั้นก็มีคนโจมตีว่าครีมที่จำหน่ายไม่มี อย. ตามด้วยข้อสงสัยว่าอาจผสมสารปรอทหรือสเตียรอยด์เพราะราคาถูกเกินไป ในที่สุดยอดสั่งซื้อก็หดหาย ลูกค้าทะยอยขอเงินคืน ซ้ำร้ายมีคนมาโพสต์ข้อความว่าใช้แล้วเกิดอาการแพ้ทั้งหน้า ไม่รู้ว่าเป็นอาการดั้งเดิมของตัวเองหรือว่าเพราะไปใช้ยาปลอม แต่ก็จนใจที่จะหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ ในที่สุดไอจีของซูเอ๋อร์ก็โดนถล่มจนต้องหยุดเล่นไป

แม้จะมีลูกค้าที่เห็นผลจากการใช้จริงยังติดต่อขอซื้อของเข้ามาบ้าง แต่หลี่คุนก็ตัดใจเลิกขายทั้งหมด เขาเพิ่งได้รับทราบกฎหมายบ้านเมืองว่าการจำหน่ายยาในยุคนี้ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการก่อนมิฉะนั้นจะมีโทษที่ค่อนข้างร้ายแรง แต่การขึ้นทะเบียนนั้นต้องแจกแจงส่วนประกอบของยาอย่างละเอียด  เช่นนี้ตำหรับยาจะยังคงเป็นความลับได้อย่างไร เมื่อไม่อยากมีปัญหากับทางการแต่ก็ไม่สามารถจด อย. ได้ ก็มีแต่จะต้องยุติการขายอย่างจำยอม

หลี่คุนจ้องมองกองตลับขี้ผึ้งสมานแผลที่ขายไม่ออกแถมยังมีบางส่วนที่รับคืนมาแล้วต้องคืนเงินให้ลูกค้าอย่างปวดใจ ไม่คิดว่าการค้าขายในยุคนี้จะชวนพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ พฤติกรรมของคนบนสังคมเสมือนจริงช่างซับซ้อนแปรเปลี่ยนยากที่จะเข้าใจ เหตุการณ์หนึ่งสามารถขยายตัวเกิดผลกระทบวงกว้างได้อย่างรวดเร็วและไปในทิศทางที่ไม่อาจควบคุมได้ เขาได้แต่สงสัยว่าคนเช่นไรจึงสามารถทำการค้าได้สำเร็จในสภาพที่ผู้คนเป็นแบบนี้ การนี้นอกจากเขาจะขาดทุนอย่างย่อยยับแล้วยังทำให้ชื่อเสียงของซูเอ๋อร์ต้องมามีมลทินไปด้วย

******************
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-10-2019 19:20:05
5

กลับกลายว่าเด็กหนุ่มอย่างซูเอ๋อร์เป็นคนที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้ก่อนหลี่คุนเสียอีก ทีแรกเขาก็เสียใจไม่น้อยที่โดนคนมากมายในอินเตอร์เน็ตมาด่าเสียเทเสียทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่ไม่นานก็คิดได้ว่าทำไมต้องสนใจในเมื่อเขาไม่ได้ไปขอข้าวใครกิน ทั้งที่แค่อยากให้คนที่ติดตามเขาในไอจีได้ใช้ของดีๆ ลูกค้าที่คิดไปเองว่าของมีปัญหาพี่ชายเขาก็คืนเงินให้หมดแล้วไม่ได้ติดค้างอะไรใคร เพื่อนสนิทในกลุ่มที่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นก็มาให้กำลังใจ บอกว่าดีแล้วที่คนอื่นไม่ได้ใช้ขี้ผึ้งมหัศจรรย์นี้ จะได้เก็บไว้หล่อสวยกันเองเฉพาะในกลุ่ม เมื่อปล่อยวางได้เด็กหนุ่มก็ยกเลิกไอจีที่มีปัญหาแล้วไปสมัครใหม่อย่างสบายใจ ไอจีของใหม่เขาไม่ได้ใช้ชื่อซูกัสแล้วเปลี่ยนไปเป็นซูเอ๋อร์แทน มีแต่คนเข้ามาชมว่าชื่อน่ารัก ดูเข้าเทรนด์กับกระแสเอเชียที่กำลังมาแรง

กับเรื่องนี้แม้กระทั่งหลี่คุนก็ยังอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมถึงใช้นามว่าซูเอ๋อร์ในนี้ล่ะ พี่คิดว่าเราไม่ได้ชื่นชมที่จะถูกเรียกขานเช่นนี้เสียอีก”

“ก็นั่นมันตอนที่ผมยังไม่หล่อสิวบานอ่า ตอนนี้หล่อแล้วจะชื่ออะไรก็ดูดีทั้งนั้น ไม่เคยได้ยินเหรอ คนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิด นี่ผมอุตส่าห์ตั้งชื่อนี้เอาใจพี่คุนเลยนะ”

แวบแรกหลี่คุนรู้สึกว่าช่างเป็นตรรกะที่ไร้เหตุผลสิ้นดี ในยุคของเขาความหล่อเหลาของบุรุษหาได้มีความสำคัญเหมือนความงดงามของสตรีไม่ แก่นแท้ของบุรุษล้วนวัดกันที่ความสามารถในเชิงบู๊เชิงบุ๋น ผู้คนมิสนใจหรอกว่าเจ้าจะหน้าตาธรรมดาสามัญไปบ้างหากว่าเจ้าเป็นบัณฑิตผู้ชาญฉลาดหรือเป็นนักรบผู้แกร่งกล้า แน่นอนว่ามีใบหน้าดูดีด้วยก็นับเป็นการแต้มผกาลงบนผืนผ้าดิ้นทอง แต่หากหล่อเหลาจนเกินไปย่อมเป็นที่ริษยาไปทั่ว เหมือนกับสี่บุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนล้วนแต่ไม่มีจุดจบอันดีสักคน

แต่ยุคนี้ต่างออกไป เมื่อตรึกตรองตามคำพูดเชิงขำขันว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิดนั้นแล้วเขากลับพบว่ามีความจริงบางประการแฝงอยู่  อย่างนักแสดงงิ้วชายหญิงหน้าตาดียิ่งพวกนั้น มิใช่ว่ามีทั้งเกียรติทั้งชื่อเสียงหาเงินหาทองได้มากมายหรอกหรือ ไหนจะสินค้าที่ได้รับความสนใจในชั่วข้ามคืนเพียงเพราะใบหน้าหล่อเหลาของซูเอ๋อร์ ในตอนที่ชื่อเสียงบนไอจีของน้องชายเขาตกต่ำจนถึงที่สุด กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่มิได้รู้จักกันเข้ามาช่วยกันปกป้องด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าหน้าตาดีอย่างนี้ไม่น่าทำเรื่องคดโกงผู้คน หากคนยุคนี้ให้ความสำคัญในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกถึงเพียงนี้ เห็นทีเขาต้องลงมือส่งเสริมญาติผู้น้องสักครา

หลี่คุนนำตำหรับโอสถประทินโฉมในยุคก่อนมาทดลองคิดค้นดัดแปลงให้เข้ากับสมุนไพรที่มี เมื่อปรุงโอสถเหล่านี้ไปก็นึกถึงยามแปดเก้าขวบที่เขาเริ่มฝึกหัดการปรุงยาและได้พยายามเรียนรู้โอสถเหล่านี้เพื่อนำไปมอบให้กับท่านแม่ที่งดงามของตน ช่างน่าเศร้าที่ท่านอายุสั้นยิ่งนัก หลังทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมาก ผลที่ได้นับว่าไม่เลวเลย แป้งชาดกระชับรูขุมขนกับขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากชมพูมีสรรพคุณไม่ต่างกับสูตรดั้งเดิม น้ำมันบำรุงเส้นผมและขนคิ้วก็เทียบเคียงได้ราวแปดส่วนจากต้นฉบับ  น้ำสกัดสมุนไพรสร้างประกายดวงตาและผงขัดผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใสถึงกับเหนือล้ำกว่าตำหรับเดิม เพื่อให้เหมาะกับซูเอ๋อร์ หลี่คุนจึงใช้ร่างกายตัวเองทดลองปรับสูตรให้พอดีกับบุรุษ ริมฝีปากย่อมต้องไม่ชมพูเกินไปจนเหมือนอิสตรีแต่ควรมีสีส้มเจือระเรื่อดูสุขภาพดี โอสถบำรุงขนคิ้วต้องเข้มข้นขึ้นอีกเจ็ดส่วนเพื่อให้ดูคมเข้มสมชาย

ภายใต้การบำรุงด้วยสูตรลับจีนโบราณหลายพันปีที่คู่ควรกับฮองเฮาและพระสนมชั้นสูงเท่านั้นเพียงไม่กี่วันซูเอ๋อร์ก็ยิ่งหล่อขึ้นไปอีกมาก ด้วยความมั่นใจบวกกับความเห่อในรูปลักษณ์ใหม่ เด็กหนุ่มจึงให้เพื่อนสนิทในกลุ่มมาช่วยถ่ายรูปเก็บไว้มากมายหลายโอกาส หลี่คุนเห็นภาพแล้วยังชื่นชมว่าคนผู้นี้มีฝีมือมิใช่เล่น แม้ตัวเขาจะยังใช้กล้องมือถือถ่ายรูปเป็นเพียงแค่งูๆ ปลาๆ แต่ในชาติก่อนวิชาจรดพู่กันวาดภาพของเขาสูงส่งยิ่ง แม้จะต่างยุคต่างสมัยเขาย่อมต้องเข้าใจว่าอะไรคือความงดงามขององค์ประกอบภาพ รูปพวกนั้นที่ซูเอ๋อร์นำไปลงในไอจีใหม่ของตัวเองได้รับความนิยมเป็นอันมาก ยอดผู้ติดตามสูงขึ้นเรื่อยๆ จนจะกล่าวว่าเขากลายเป็นเน็ตไอดอลไปแล้วก็ไม่ผิด

เขาค้นพบว่าบนดาดฟ้าคอนโดซึ่งตกแต่งเป็นสวนและมีลานกว้างให้ทำกิจกรรมได้เป็นสถานที่ที่เงียบสงบเหมาะที่เขาจะใช้ฝึกกระบวนท่าง่ายๆ ยิ่งในตอนกลางวันที่ยังมีแดดอยู่ก็จะไม่มีผู้คนขึ้นมาเลย หลี่คุนให้นึกแปลกใจมาก แสงแดดที่ทรงพลังร้อนแรงสดชื่นเช่นนี้ ในชาติก่อนหาได้ยากยิ่งนัก ทำไมผู้คนที่นี่จึงไม่นิยมออกมาให้ร่างกายได้สัมผัสความอบอุ่นสว่างสดใสนี้

เนื่องจากไร้ซึ่งกำลังภายใน กระบวนท่าที่หลี่คุนฝึกได้จึงจำกัดอย่างยิ่ง แรกเริ่มเขาฝึกเพียงท่าหม่าปู้หรือท่ายืนนั่งม้า ท่านี้ถือเป็นพื้นฐานของการฝึกยุทธ์โดยแท้จริง แม้คนธรรมดาไม่มีกำลังภายในก็ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงได้ หลี่คุนยืนเท้าขนานกันย่อเข่าลงเล็กน้อยหย่อนก้นคล้ายทรุดนั่งลง โดยระวังไม่ให้ก้นต่ำเกินเข่า จากนั้นกระดกหัวเหน่าไปด้านหน้าเล็กน้อย จัดหลังตรงและศีรษะให้ตั้งตรง ด้วยร่างกายของคุณานนท์ที่ไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อนอีกทั้งยังต้องมาพักผ่อนรักษาอาการเจ็บอยู่นาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและลมหายใจติดขัดขึ้นมาหลังจากยืนเพียงไม่ถึงห้านาที หลี่คุนต้องอาศัยการตั้งสมาธิและสำรวมลมหายใจทำให้ผ่อนคลายได้มากขึ้นและช่วยให้ความปวดเมื่อยลดน้อยลงได้ เขาแบ่งการฝึกออกเป็นรอบ รอบละประมาณห้านาที ในวันหนึ่งพยายามฝึกได้สี่ห้ารอบ แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลายืนให้มากขึ้นในแต่ละวัน จนในที่สุดก็สามารถยืนต่อเนื่องได้กว่าครึ่งชั่วโมง

เมื่อร่างกายมีความพร้อมมากขึ้นเขาก็เริ่มฝึกกระบวนท่าร่วมด้วย เพียงแต่วิชาที่เลือกมาฝึกหาได้เป็นอะไรที่พื้นฐานสามัญอย่างท่ายืนนั่งม้าไม่ เคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้เป็นสิ่งที่ยอดบรรพชนตระกูลหลี่พยายามรื้อฟื้นขึ้นมาจากวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วของสำนักยุทธ์ลึกลับในตำนานที่สาบสูญไปแล้ว แม้จะไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้กำลังภายในลึกล้ำที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชา แต่กลับสามารถค้นคว้าเจ็ดสิบสองตำแหน่งพันหมื่นวิถีผันแปรของกระบวนท่ามาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน ตำแหน่งเท้าส่วนที่สูญหายไปก็มาศึกษาผสานต่อยอดวิชาของตระกูลหลี่เข้าไปแทนจนสามารถใช้ร่ายรำได้ต่อเนื่อง มาตรว่ามิอาจเทียบเคียงได้แม้สักหนึ่งส่วนของยอดวิชาต้นตำหรับที่แท้จริง แต่ก็มีข้อดีที่สามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานกำลังภายใน บุตรธิดาในตระกูลหลี่ล้วนได้รับการถ่ายทอดท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้จนแคล่วคล่องตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเผชิญสภาวะคับขันจากผู้คิดร้ายอย่างน้อยก็สามารถพลิกพริ้วหลบหนีไปได้ พึงทราบว่าท่าเท้าท่องคลื่นที่แท้จริงนั้นพิสดารสุดประมาณ

‘การเคลื่อนไหวไร้กฎเกณฑ์ เฉกเช่นคับขันคล้ายปลอดภัย เร่งหยุดยากกำหนด ดุจมุ่งหน้าดั่งหวนกลับ’

ต่อให้ท่าเท้าท่องคลื่นน้อยรับถ่ายทอดความล้ำลึกนี้มาได้เพียงเศษอณู หากฝ่ายตรงข้ามมิได้บรรลุวิชาตัวเบาขั้นสูง จะมิอาจแตะต้องตัวบุตรหลานตระกูลหลี่ได้แม้แต่น้อย

ผู้สืบทอดตระกูลหลี่อย่างหลี่คุนย่อมต้องจดจำตำแหน่งเท้าทั้งเจ็ดสิบสองจุดได้อย่างขึ้นใจ เขาเพียงแค่ค่อยๆ ฝึกไปทีละตำแหน่งเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับร่างใหม่ จากความเพียรพยายามฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดทุกวัน ในที่สุดเขาก็ร่ายรำกระบวนท่าได้ครบทั้งเจ็ดสิบสองตำแหน่งเท้า จากนั้นการฝึกพันหมื่นวิถีผันแปรก็นับว่าเป็นเรื่องง่าย การพลิกแพลงเหล่านี้ล้วนอยู่ในหัวของหลี่คุนทั้งสิ้น ร่างใหม่นี้สามารถร่ายรำออกมาได้อย่างไม่ติดขัดแทบจะในทันที

การฝึกท่ายืนนั่งม้าและท่าเท้าท่องคลื่นน้อยทำให้ร่างใหม่ของหลี่คุนมีกำลังขึ้น การนั่งยืนเดินจึงมีความมั่นคงสงบนิ่ง เขาตั้งใจว่าจะให้ซูเอ๋อร์มาฝึกวิชาพื้นฐานพวกนี้ไว้บ้าง แต่เด็กวัยรุ่นอายุสิบหกสิบเจ็ดในยุคนี้ช่างมีกิจกรรมให้ทำมากมายเหลือเกิน ทั้งเรียนพิเศษ เล่นเกมส์ อัพโซเชียล ซ้อมดนตรีกีฬา เขาลองเกริ่นเพื่อหยั่งท่าทีกับญาติผู้น้องดู ก็คล้ายว่าจะไม่มีความอดทนที่จะฝึกฝนเช่นนี้นัก ตรงข้ามซูเอ๋อร์กลับเห็นว่าหลี่คุนเก็บตัวแต่ในคอนโดมากเกินไป ในเมื่ออาการกระดูกซี่โครงหักเกือบจะหายดีแล้ว ควรจะออกไปข้างนอกให้มากขึ้น

เด็กหนุ่มชักชวนแกมบังคับให้ออกไปกินข้าวที่ห้างหรูกับกลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง หลี่คุนพอทราบอยู่บ้างว่าห้างสรรพสินค้าคือหอการค้าขนาดใหญ่ตกแต่งงดงามเป็นแหล่งพบปะของผู้คน ภายในมีทั้งร้านรวงหลากหลาย ทั้งจำหน่ายอาภรณ์ เครื่องประดับ เครื่องประทินโฉม ของสดของแห้ง โรงน้ำชา เหลาอาหาร โรงงิ้วขนาดใหญ่ มากมายสุดจะบรรยาย เขาเลือกเสื้อผ้าสีขาวเรียบง่ายทั้งชุดอย่างที่ชอบ อาภรณ์ในยุคนี้ล้วนออกแบบให้สวมใส่ได้สะดวกไม่ต้องอาศัยบ่าวไพร่มาคอยช่วยให้วุ่นวาย มีปัญหาก็เพียงเรื่องผมเท่านั้น หลี่คุนเริ่มคุ้นตากับผมทรงสั้นที่บุรุษในปัจจุบันไว้กัน แต่จนปัญญาที่จะจัดแต่งให้ดูดี วันอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันปรกหน้าปรกตาไป แต่วันนี้ต้องออกไปพบปะผู้คนภายนอกเขาต้องไว้หน้าตัวเองบ้าง ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็นำกาวสำหรับใส่ผมมาจัดทรงให้จึงเสร็จกระบวนความออกจากบ้านได้

ตลอดช่วงที่เดินทางไปห้างโดยรถไฟฟ้ามีแต่คนมองมาที่คนทั้งคู่จนผิดปกติ ทีแรกหลี่คุนก็ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน เขามัวแต่ระวังที่จะใช้บริการพาหนะที่เหมือนกับหนอนยักษ์นี้ให้ถูกต้องแนบเนียนเหมือนกับคนยุคปัจจุบัน ขั้นตอนการซื้อตั๋วไม่มีอะไรยากเพราะซูเอ๋อร์จัดการให้หมด หลี่คนเพียงแต่รับชมอย่างอัศจรรย์ใจที่สามารถเอาเหรียญไปซื้อตั๋วจากตู้ได้โดยไม่ต้องมีคนขาย แต่พอมาถึงประตูกั้นที่จะต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเองเขาก็เริ่มเหงื่อตก ปากขมุบขมิบท่องขั้นตอนที่แอบซ้อมอยู่คนเดียวเมื่อคืนมาหลายสิบครั้ง สายตาสอดส่องจนเห็นเครื่องหมายลูกเกาทัณฑ์สีเขียวเรืองแสงแสดงว่าเป็นช่องทางที่ถูกต้องแล้วจึงสอดตั๋วเข้าไปอย่างระมัดระวังก่อนจะรับคืนมาด้วยมือที่สั่นเทา ทันทีที่แผงกั้นเปิดออกหลี่คุนรู้ว่ามีเวลาจำกัดยิ่งนัก  เขาใช้พลิกพริ้วร่างกายอย่างพิสดารตามกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพุ่งตัวเข้าช่องทางเล็กแคบไปในใจหวั่นเกรงว่าแผงกั้นจะกระแทกกลับเมื่อใดก็ได้ ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเสียงปิดฉับก็ดังขึ้นไล่หลังตัวคนที่พ้นไปได้อย่างเฉียดฉิว คนที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับขยี้ตาอย่างงงงวย เห็นชัดๆ ว่าชายหนุ่มชุดขาวข้างหน้าขยับตัวถอยหลังกลับไฉนร่างกายถึงพุ่งไปข้างหน้าผ่านแผงกั้นไป ไหนเลยที่คนยุคปัจจุบันจะเคยเห็นท่าร่างดุจมุ่งหน้าดั่งหวนกลับของเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้ได้

หลี่คุนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกในมือกำตั๋วโดยสารไว้แน่นจนเหงื่อซึม สถานการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้นับว่ายังคับขันกว่าตอนที่เขาบุกตะลุยกับดักค่ายกลเกาะดอกท้อทะเลบูรพาเสียอีก การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเมื่อครู่กับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นยิ่งเรียกสายตาผู้คนให้จ้องมองมาอย่างเปิดเผยจนเขาเริ่มรู้สึกตัว หลี่คุนไม่เข้าใจว่าทั้งที่เขาทำได้แนบเนียนขนาดนี้ทำไมคนพวกนี้ถึงได้จับจ้องคล้ายสงสัย หรือเขาจะเผยพิรุธอะไรออกไปว่าไม่ใช่คนยุคนี้ หลี่คุนพยายามไม่สบตาคนอื่นที่มองมาชวนให้อึดอัด พอลงจากรถไฟฟ้าได้ก็ใช้กระบวนท่าเรียบง่ายพลิกพริ้วหลบหนีสายตาคนไปอย่างแนบเนียนจนซูเอ๋อร์ต้องตะโกนเรียกวิ่งตามแทบไม่ทันเรียกความสนใจจากคนอื่นเข้าไปอีก

“ผิดทางแล้วพี่ ตามผมมาทางนี้เร็วๆ คนเยอะแยะเดี๋ยวหลงกัน ออกประตูนี้ไปก็ถึงแล้ว”

หลี่คุนต้องทุ่มเทสมาธิในการฝ่าด่านแผงกั้นอีกรอบ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาเจอกับกลุ่มเพื่อนๆ ของซูเอ๋อร์ที่นัดกันไว้ ทั้งหมดมีกันสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง ล้วนแต่หน้าดีตามมาตรฐานคนยุคนี้

“เฮ้ย ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย นี่พี่คุน พี่ชายสุดรักเราที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ ”

“สวัสดีครับ/ค่าพี่คุน”

ทั้งสี่คนทำตาโตมองหน้าหลี่คุนอย่างอึ้งๆ แล้วยกมือไหว้พร้อมทักทายประสานเสียงกัน

“พี่คุน นี่เพื่อนๆ ผม ชื่อปังปอนด์ กันดั้ม แอนฟิลด์ แล้วก็แชมเปญ”

“เป็นชื่อที่แปลกยิ่งนัก มีความหมายหรือไม่”

“พี่คุณ ไม่เอาสิ ไหนตกลงกันแล้วว่าออกนอกบ้านจะพูดดีๆ”

ซูเอ๋อร์ส่งเสียงประท้วง

“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซูกัสเล่าให้พวกหนูฟังแล้ว พี่คุนอยากพูดแบบไหนตามสบายนะคะ”

หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างประจบเอาใจ ใครใช้ให้พี่ชายเพื่อนหน้าตาดีถึงเพียงนี้ล่ะ ถึงจะได้แค่ดูแต่ก็ชวนปลาบปลื้มยิ่งนัก เด็กทั้งหมดแย่งกันอธิบายความหมายชื่อเล่นตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลี่คุนรับฟังจนกลัดกลุ้ม พวกเจ้าน่าสงสารยิ่งนัก ไฉนคนเป็นมารดาผู้หนึ่ง ถึงได้ตั้งชื่อลูกเป็นก้อนแป้งอบ หุ่นกระบอกเหล็ก สนามหญ้า หรือสุรามีฟองกันเล่า มิคาดว่าแม้แต่ชื่อน้องชายเขาเองก็มีที่มาจากลูกกวาดเคี้ยวหนึบชนิดหนึ่ง ลองคิดดูว่าหากคนผู้หนึ่งในยุคเขามีชื่อแซ่ว่าถังหูลู่ คนผู้นั้นจะพบหน้าผู้คนได้อย่างไร

“งั้นพี่ขอเรียกขานพวกเราอย่างที่พี่ถนัดได้หรือไม่ พวกเราหากไล่เลียงอายุกันแล้ว จะมีลำดับอย่างไร”

“อ๋อ ก็มีกันดั้มอายุเยอะสุด รองมาก็ปังปอนด์ แอนฟิลด์ แล้วก็หนูค่ะ ซูกัสเด็กสุด”

เป็นแชมเปญเป็นผู้ตอบอีกเช่นเคย

“ดี งั้นพี่จะเรียกพวกน้องเรียงตามอายุว่า เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม น้องสี่ แล้วก็ซูเอ๋อร์ ดีหรือไม่”

ทั้งสี่คนรับคำเออออไปกับการเรียกหาแปลกใหม่ มีแต่ซูเอ๋อร์ที่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ชื่อว่าเจ้าห้าตามเพื่อนๆ

“หนูว่าเราย้ายที่ไปคุยกันแอบๆ หน่อยตรงโน้นไหมคะ หรือไม่ก็ไปที่ร้านอาหารเลย อยู่ตรงนี้เหมือนโดนแต่สายตาจิกกัดยังไงไม่รู้”

แชมเปญหรือน้องสี่พูดขึ้น นางมิได้กล่าวเกินจริง ตอนนี้กลุ่มของพวกเขายืนคุยกันอยู่ข้างน้ำตกในร่มผู้คนผ่านมาผ่านไปพลุกพล่านยิ่ง สายตาชื่นชมรายรอบที่จับจ้องหนุ่มๆ โดยเฉพาะหลี่คุนและซูเอ๋อร์นั้นมีการเผื่อแผ่รังสีริษยามาที่ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างนางเป็นระยะๆ

“ก็วันนี้พี่คุนเล่นมาอย่างหล่อ ผมว่าจะทักตั้งแต่ออกจากห้องแล้วว่าชุดขาวทั้งตัวแบบนี้ยังกะดาราเกาหลีแน่ะ เซ็ทผมหน้าใสออร่าพุ่ง เดินด้วยกันผมงี้โคตรดร็อปเลย สาวๆ บนรถไฟฟ้ามองกันตาค้างจนจะตกส้นสูงอยู่แล้ว”

ซูเอ๋อร์บ่นอุบอิบขณะที่กำลังย้ายที่คุย

ที่แท้หลี่คุนเอาตัวเองทดลองยาให้กับญาติผู้น้องจนใบหน้าที่เดิมก็หล่อเหลาอยู่แล้วกลับยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก เมื่อผสมกับบุคลิกองอาจรูปร่างโดดเด่นซึ่งเป็นผลพวงมาจากการฝึกฝนท่ายืนนั่งม้าและท่าเท้าท่องคลื่นน้อยยิ่งทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ความสง่างามในท่วงท่ายามนี้สามารถเทียบเคียงกับในชาติก่อนที่เป็นผู้สำเร็จยุทธ์ขั้นสูงได้ถึงเจ็ดแปดส่วน นับว่ายังเหนือล้ำกว่าบุรุษทั่วไปในยุคนี้นัก

“ว่าแต่ท่านพี่นี่หน้าตาดีมากนะขอรับ ผู้น้องเห็นแล้วยังตกใจ เดิมก็คิดว่าหน้าใหม่ของซูเอ๋อร์นี่ดูดีมากแล้ว ไม่คิดว่าคนเป็นพี่จะยิ่งเหนือล้ำไปกว่า เห็นว่าขี้ผึ้งที่ใช้รักษาหน้าของซูเอ๋อร์นี้ท่านพี่เป็นผู้ปรุงขึ้นใช่ไหมครับ สรรพคุณยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผู้น้องก็ได้แบ่งปันมาหนึ่งตลับ เสียดายว่าเกือบหมดแล้ว”

แอนฟิลด์หรือเจ้าสามหัวไวยิ่ง พอจับทางได้ว่าพี่ชายเพื่อนชมชอบสำนวนแบบนี้จริงๆ ก็อาศัยประสบการณ์ที่นั่งดูหนังจีนเป็นเพื่อนพ่อมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ชิงความได้เปรียบเข้าไปพูดจาประจบประแจงด้วยสำนวนจีนอย่างแคล่วคล่องเพื่อหวังผล หลี่คุนได้ยินก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมาทันที

“พี่ถูกชะตาเรายิ่งนัก เจ้าสาม ขี้ผึ้งเล็กน้อยพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้ เดี๋ยวกลับไปพี่จะฝากซูเอ๋อร์มาให้สักสิบตลับ ทีหลังหากไม่พอก็มาบอกได้”

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็รู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับใคร ก่อนหน้านี้กว่าจะได้ขี้ผึ้งมาใช้สักตลับ ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบซูกัสเสียมากมาย ยิ่งตอนหลังหยุดขายเด็ดขาดแม้ว่ามีเงินก็หาซื้อไม่ได้ แต่นี่เจ้าสามแค่พูดประโยคเดียวกลับได้มาถึงสิบตลับ เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งเจ้าใหญ่เจ้ารองและน้องสี่จึงกรูกันเข้าไปพูดจาสำนวนหนังจีนผิดมั่งถูกมั่งเอาใจหลี่คุนเพื่อหวังจะได้ขี้ผึ้งโดยไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ซูกัสที่กลายเป็นอยู่วงนอกมุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจ จริงอยู่ที่เขาอยากให้พี่ชายเข้ากับเพื่อนๆ ของเขาได้ แต่นี่มันเข้ากันได้ดีเกินไปจนเขาที่เป็นน้องตัวจริงจะตกกระป๋องอยู่แล้ว

เด็กๆ ตกลงไปทานสุกี้ร้านดังซึ่งถูกใจหลี่คุนมาก เขาไม่เคยเห็นหม้อไฟอะไรที่ใส่เครื่องหลากหลายอย่างนี้ ที่สำคัญคือน้ำจิ้มกลมกล่อมครบรส ยิ่งถ้าเติมพริกตำกระเทียมตำกับน้ำมะนาวลงไปยิ่งอร่อย หลังจากทานกันเสร็จ น้องสี่ก็ชวนทุกคนไปซื้อหาเสื้อผ้ากัน ทีแรกเจ้าใหญ่เจ้าสามและซูเอ๋อร์ทำท่าจะหลบเลี่ยงไป  แต่เมื่อน้องสี่ประกาศว่าจะพาหลี่คุนไปเลือกเสื้อผ้าที่สมกับความหล่อทุกคนก็สนใจตามไปด้วย จากคำบอกเล่าของซูเอ๋อร์ หลี่คุนได้ทราบว่าน้องสี่จัดว่ามีรสนิยมด้านเสื้อผ้าที่สูงล้ำกว่าวัยสิบหกสิบเจ็ดนัก ความสามารถอันนี้ได้มาจากมารดาที่เป็นนักออกแบบเสื้อผ้ามีชื่อ เด็กสาวพาชายหนุ่มกลุ่มใหญ่เข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อเลือกเฟ้นชุดที่เข้าตาให้ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดของกลุ่มลองสวม พนักงานถึงกับตื่นตะลึงเมื่อเห็นหลี่คุนสวมชุดออกมาจากห้องลองเสื้อ พวกเขาไม่นึกเลยว่าเสื้อผ้าสีขาวที่ดูเรียบๆ เวลาอยู่บนไม้แขวนหรือหุ่นโชว์เสื้อพอถูกสวมใส่โดยชายหนุ่มผู้นี้กลับดูดีดูแพงราวกับมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า หากสามารถแอบถ่ายรูปเอาไปทำเป็นโฆษณาได้ มิทราบว่าลูกค้าจะแย่งชิงเสื้อผ้าพวกนี้ขนาดไหน หรือว่าจะเป็นดาราฮ่องกงไต้หวันนึกสนุกมาเดินเที่ยวห้างเมืองไทย

หลี่คุนคล้อยตามรสนิยมการเลือกเสื้อผ้าของน้องสี่จนเผลอซื้อชุดโทนสีขาวหลายตัวคิดเป็นหลายร้อยตำลึงเงิน พอรู้สึกตัวอีกทีก็ให้ปวดใจยิ่งนัก กลับไปต้องคิดช่องทางหาเงินหาทองให้ได้โดยเร็ว มิฉะนั้นก็จะมีแต่เงินออกไม่มีเงินเข้าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

เพื่อนๆ ของซูกัสชื่นชมหลี่คุนเป็นอันมาก ในด้านรูปลักษณ์นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแซงหน้าซูเอ๋อร์ซึ่งขึ้นแท่นเน็ตไอดอล อัธยาศัยก็เปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตรไมตรี มีท่าทีสง่าน่ายำเกรงของความเป็นผู้นำแต่ก็ยิ้มง่ายเมื่อเจออาหารหรือเสื้อผ้าถูกใจชวนให้ผู้คนใจละลาย แม้จะชอบพูดจาด้วยสำนวนจีนย้อนยุคแต่ก็ถือว่าเป็นความพิเศษให้รู้สึกสนิทชิดเชื้อกันในกลุ่มยิ่งขึ้น ปังปอนด์หรือเจ้ารองซึ่งมีงานอดิเรกเป็นตากล้องฝีมือดีหมายมั่นปั้นมือว่าจะขอร้องพี่ชายเพื่อนคนนี้ให้มาเป็นนายแบบสักคราหนึ่ง เขาถึงกับกังวลล่วงหน้าว่าฝีมือการถ่ายภาพและอุปกรณ์กล้องชั้นเลิศที่มีอาจไม่เพียงพอที่จะถ่ายทอดความหล่อเหลาองอาจสง่าผ่าเผยของหลี่คุนอย่างที่ตาเห็นออกมาได้
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-10-2019 20:02:13
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2019 07:28:01
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 6] 25/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 25-10-2019 13:27:11
6

ซูเอ๋อร์กลายเป็นเด็กติดโซเซียลไปแล้ว

มันเริ่มมาจากกระแสความดังของเขาในฐานะเน็ตไอดอลหน้าใหม่ ฐานแฟนคลับเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ รูปถ่ายเท่ๆ น่ารัก น่าเอ็นดู ของเด็กหนุ่มวัยสิบหกจากฝีมือตากล้องวัยเดียวกันถูกแชร์ผ่านไอจีเรียกไลค์เรียกคอมเม้นท์กันไม่เว้นแต่ละวัน ซูกัสกับปังปอนด์ที่เป็นตากล้องพากันตระเวนไปหาโลเคชั่นถ่ายรูปสวยๆ กันเป็นประจำ คนเป็นนายแบบก็เห่อหน้าใหม่ของตัวเอง คนเป็นช่างภาพก็กระหายอยากโชว์ฝีมือ บางครั้งเด็กๆ ก็ชวนหลี่คุนออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างซึ่งก็โดนปังปอนด์แอบถ่ายรูปทีเผลอเก็บไว้ไม่น้อย

หลี่คุนไม่เข้าใจว่าเด็กสองคนนี้จะทำไปให้เหนื่อยไปทำไม เป็นเน็ตไอดอลที่ว่าแล้วมันดียังไง จนกระทั่งซูเอ๋อร์ต้องมาอธิบายให้ฟัง

“อย่างนี้นะพี่คุน พอเป็นเน็ตไอดอลคนก็รู้จักเราเยอะใช่มะ แล้วก็มาติดตามเรา เราจะโพสต์อะไรทำอะไรคนก็จะเห็น ที่นี้เราก็รับงานได้ แค่เขียนรีวิวหรือโฆษณาสินค้า ก็ได้ตังค์แล้ว ถ้าอยากได้เงินเยอะขึ้นเราก็รับสินค้ามาขายเองเลย พวกครีม อาหารเสริม วิตามิน แล้วต่อไปถ้าดังมากๆ ก็จะมีคนจ้างไปโชว์ตัว ออกอีเวนท์ ได้เงินเป็นกอบเป็นกำเลยนะ ผมจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพี่ที่ขาดทุนตอนทำขี้ผึ้งดีไหมล่ะ”

หลี่คุนจึงค่อยเข้าใจ เช่นนี้เน็ตไอดอลก็คือคนมีชื่อเสียงนั่นเอง อาจจะคล้ายในยุคเขาที่มีการเฟ้นหาหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองซึ่งไม่เพียงเพียบพร้อมไปด้วยความงาม ยังต้องแตกฉานในศิลปะแขนงเอกทั้งสี่ของจีนอันได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน และวาดภาพอีกด้วย พอคิดได้อย่างนี้เขาก็รู้สึกว่าหากเน็ตไอดอลใช้ใบหน้าของตัวเองในการหาเงินหาทอง แล้วจะต่างอะไรกับนางคณิกาขายศิลปะตามหอนางโลมเล่า หากผู้คนสามารถจ่ายเงินเพื่อมายลโฉมหน้าฟังเจ้าดีดสีตีเป่าหรือร่ายรำได้อยู่ทุกค่ำคืน ถึงจะเก็บเงินเก็บทองได้มากมายแต่คุณค่าของเจ้าจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร มาตรแม้นว่ามิได้ขายเรือนร่าง แต่สุดท้ายก็คงถูกเศรษฐีประมูลไปเป็นอนุอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับคุณหนูสกุลใหญ่ที่เฝ้ารักษาเนื้อตัวชื่อเสียงมิให้ถูกแพ้วพาน เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ก็จะได้รับเกียรติขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานเป็นภรรยาเอกของขุนนางหรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์ ยามนั้นสินสอดคงยาวเรียงรายไม่รู้กี่สิบหาบ ดีดลูกคิดแล้วอย่างไรก็คุ้มค่ากว่ามาก

เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชาติก่อนจนได้ข้อสรุป รวมกับประสบการณ์ไม่ดีตอนปรุงขี้ผึ้งขาย หลี่คุนจึงสั่งกำชับซูเอ๋อร์อย่างเด็ดขาดว่าห้ามรีวิวหรือขายสินค้าใดๆ เด็ดขาด

“ขนาดของของพวกเราเอง ยังเกิดปัญหาตั้งมากมาย แล้วเราจะไว้ใจของๆ คนอื่นได้อย่างไร ห้ามรับงานใดๆ เด็ดขาด เมื่อใดที่ผู้คนรู้สึกว่าซูเอ๋อร์ได้ประโยชน์หรือเงินทองจากพวกเขา ความเกรงใจย่อมหมดไป เราชอบทางนี้ย่อมต้องถนอมตัวให้ดี รักษาชื่อเสียงอย่าให้ด่างพร้อย อย่าไปหวังเงินทองเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาย่อมได้ทรัพย์ก้อนใหญ่กลับมาในคราเดียว”

ซูเอ๋อร์ได้ยินก็งุนงงไม่เข้าใจว่าหลี่คุนหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบการเชียร์สินค้าอะไรมั่วซั่วอยู่แล้ว ที่พูดไปเพราะอยากช่วยจริงๆ แต่ถ้าพี่ชายเห็นว่าไม่เหมาะเขาย่อมต้องเชื่อฟัง จริงๆ ซูกัสมองแฟนๆ ที่ติดตามว่าเป็นเพื่อนไม่ใช่ลูกค้าอยู่แล้ว นอกจากลงรูปตัวเอง ถ้าไปเจออะไรดีๆ ก็จะเอามาแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สวยๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ร้านอาหารอร่อยที่แอบซ่อนตามมุมหลืบ เคล็ดลับในชีวิตประจำวันที่น่าสนใจ หรือกิจกรรมดนตรีกีฬาดีๆ แฟนคลับของเขาจึงน่ารักและมีความสัมพันธ์ที่สนิทใจกัน

ในบรรดาคนที่ติดตามไอจีของซูกัส มีไม่กี่คนที่เด็กหนุ่มจะติดตามกลับ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นบอท!!!

บอทคืออะไรเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่หลี่คุนจะเข้าใจ จากที่ซูเอ๋อร์ปากเปียกปากแฉะอธิบายให้ฟังอยู่หลายรอบ บอทดูเหมือนจะเป็นใครก็ไม่รู้ที่สวมบทบาทของคนมีชื่อเสียงอย่างพวกศิลปินดารานักร้องหรือแม้กระทั่งตัวการ์ตูน เพื่อไปคุยกับคนอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเหมือนว่าตัวเองเป็นศิลปินคนนั้นจริงๆ

จะทำไปเพื่อ?

หลี่คุนอยากตะโกนระบายความไม่เข้าใจออกมาดังๆ โลกของอินเตอร์เน็ตก็ดูไม่ใช่ความจริงสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่นี่ยังปลอมตัวเข้าไปคุยกับคนที่ก็รู้ว่านี่เป็นตัวปลอม ลวงในลวง งงในงง

บอทที่ซูเอ๋อร์คุยส่วนตัวด้วยจนติดเป็นบอทของแฮ็คส์ศิลปินนักร้องนักแสดงชายที่มีชื่อเสียง ชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยด้วยการตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ กลายเป็นขวัญใจของเด็กวัยรุ่นมากมาย ซูเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชื่นชมผลงานของแฮ็คส์มาตั้งแต่ก่อนมอต้น ปัจจุบันแฮ็คส์ก็ยังมีผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงงานแสดงในหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องด้วย นักร้องหนุ่มไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวของตัวเองมากนัก มีข่าวลือว่าเขาเป็นลูกชายของนักธุรกิจใหญ่ชาวต่างชาติที่เข้าวงการมาด้วยใจรัก ไม่ได้สนใจชื่อเสียงเงินทองเท่าไรนัก

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมซูเอ๋อร์ถึงชอบคุยกับบอทอะไรนี่นัก แต่ก็เห็นว่าแค่คุยผ่านตัวหนังสือทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร หลี่คุนจึงเพียงแค่ให้ญาติผู้น้องรับปากว่าจะไม่ไปเจอกับอีกฝ่ายจริงๆ เขากลัวว่าคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้นอาจถือโอกาสคิดร้ายกับซูเอ๋อร์ซึ่งยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งตามมาตรฐานของยุคนี้

ในบรรดารูปที่ซูเอ๋อร์ลงในไอจี มีอยู่รูปหนึ่งซึ่งเขาเซลฟี่ตัวเองแล้วบังเอิญถ่ายติดหลี่คุนเป็นฉากหลังไม่ถึงกับชัดนักไปด้วย กลายเป็นว่าภาพนั้นได้รับยอดไลค์สูงจนเป็นสถิติใหม่ คอมเม้นท์แปลกๆ ผุดขึ้นจนตามอ่านแทบไม่ทัน

‘เอ๊ะ ข้างหลังนั่นใคร อะไร ยังไง’

‘แค่เห็นลางๆ ยังรู้ว่าหล่อ’

‘หือออออออ เค้าเป็นใครเหรอจ๊ะซูน้อย’

‘อยู่บ้านเดียวกัน!!!!!’

‘งานดีคูณสอง อิป้านี่เลียจอเลยจ๊า’

‘ขอวาร์ปพี่ข้างหลังด้วย’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
.
.
.
.
.

คอมเม้นท์ทำนองนี้ล้นหลามจนซูกัสต้องออกมาดับกระแส

‘หยุดมโนครับ!!! พี่คุนเป็นพี่ชายซูเอ๋อร์เอง หวงมากด้วย ห้ามพี่ๆ แทะโลมนะครับ ^^’

‘รักพี่คุนรัวๆๆ’

‘พี่ชายแซ่บเว่อร์อ่ะเอ๋อร์ ไหนเรียกพี่สะใภ้สิคะ

‘ขอรูปคุณพี่ชายเพิ่มนะน้องซูกัส ด่วนๆๆๆ’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
.
.
.
.
.

บรรดาแฟนคลับพากันกดดันจนซูเอ๋อร์แทบร้องไห้ ส่วนหนึ่งก็อยากเอาใจแฟนๆ อีกส่วนก็ไม่อยากเก็บพี่ชายไว้จนหล่อเสียของ ในที่สุดก็ต้องมาขอร้องหลี่คุนเอารูปที่ปังปอนด์เคยแอบถ่ายทีเผลอเก็บไว้ไปลงในไอจีตัวเองเพื่อลดกระแสความอยากรู้อยากเห็นของเหล่าผู้ติดตาม หลี่คุนมิได้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด เขาไม่ใช่สตรีที่ต้องคอยมาระวังว่าโฉมหน้าตัวเองจะปรากฎต่อสายตาผู้คนจึงตอบตกลงไป เป็นเด็กอย่างซูกัสกับปังปอนด์เสียอีกที่เข้าใจพฤติกรรมของคนบนอินเตอร์เน็ตมากกว่า ทั้งคู่จึงเลือกรูปสวยๆ เท่ๆ ของหลี่คุนที่ไม่เห็นหน้าชัดมากสี่ห้ารูป เอาไปทะยอยโพสต์บนไอจีของซูกัส

ผลตอบรับที่ได้เกินคาดไปมาก จำนวนผู้ติดตามของซูเอ๋อร์พุ่งทะยานขึ้นไปแตะที่หลักแสนคน จำนวนอาจไม่เยอะเหมือนเน็ตไอดอลสายยั่วหรือสายเถื่อน แต่ก็ดูมีคุณภาพมากกว่า แถมยังผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น  แม้จะได้ชมรูปคุณพี่ชายตามที่ขอ แต่กระแสความสนใจในตัวหนุ่มหล่อคนนี้ยังไม่ซาลง ถึงซูเอ๋อร์จะไม่อิจฉาอะไรในตัวพี่ชายสุดรักแม้แต่น้อย แต่ก็เริ่มรู้สึกรำคาญจนอยากจะไล่หลี่คุนให้พ้นๆ ไปเปิดไอจีของตัวเองซะที

กลับเป็นปังปอนด์ตากล้องกับแชมเปญลูกสาวดีไชเนอร์ที่อยากจะเกาะกระแสนี้ต่ออีกหน่อย ทั้งคู่เสนอโครงการที่จะเอาชุดในร้านของแม่แชมเปญมาให้หลี่คุนถ่ายแฟชั่นเซ็ทเพื่อเอาไปลงในไอจีของซูเอ๋อร์ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อการโฆษณา แต่เป็นความอยากที่จะผสมผสานนายแบบที่ดูดีจนไม่น่าเชื่อกับเสื้อผ้าดีไซน์เรียบหรูตัดเย็บปราณีตและฝีมือการถ่ายภาพของเด็กหนุ่มตากล้องที่ไม่ธรรมดา เอาไปถ่ายทอดเพื่อดูความเห็นและเสียงตอบรับจากฐานแฟนคลับที่มีคุณภาพของซูเอ๋อร์

พวกเด็กๆ พากันวางแผนเตรียมการเพื่อให้โครงการนี้ออกมาดีที่สุด เสื้อผ้าหน้าผมสถานที่ถูกเลือกเฟ้นมาอย่างดี หลี่คุนเห็นความตั้งใจของน้องๆ ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ในที่สุดแฟชั่นเซ็ทที่คัดแล้วคัดอีกจำนวนสิบภาพก็ถูกโพสต์ลงในไอจีของซูเอ๋อร์ สามรูปในนั้นมีซูกัสถ่ายร่วมด้วยในธีมพี่ชายน้องชายที่ดูอบอุ่น

เพียงไม่กี่นาทีหลังเผยแพร่ภาพออกไป ไอจีของซูเอ๋อร์ก็ลุกเป็นไฟ แม้ทุกภาพที่ลง หลี่คุนจะวางตำแหน่งหน้าในมุมที่ไม่เห็นเต็มๆ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาที่เกินธรรมดาไปได้ เกิดเป็นข้อสงสัยว่าจะมีคนที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงคำว่าเพอร์เฟคท์ขนาดนี้ด้วยหรือ ถึงกับมีคนเซฟรูปของหลี่คุนที่ซูมใบหน้างดงามในแบบบุรุษใกล้ๆ ไปตรวจสอบโดยวิธีทางนิติวิทยาศาตร์ เขาใช้การวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวของน๊อยซ์ที่เกิดจากเซนเซ่อร์ของกล้อง ว่าถูกรีทัชบริเวณใบหน้ามาหรือไม่ สุดท้ายก็ออกมายืนยันว่าใบหน้าที่เรียบเนียนคมสันเปล่งประกายราวกับหยกสลักนี้ไม่ได้ถูกปรับแต่งมาแม้กระทั่งการลบริ้วรอยไฝฝ้าใดๆ

นอกจากกระแสในไอจีแล้ว รูปของหลี่คุนยังถูกส่งต่อไปตามสื่อโซเชียลต่างๆ เรียกกระแสนิยมไปทั่ว ท่วงท่าที่สง่างามองอาจต่างจากนายแบบทั่วไปทำให้เสื้อผ้าที่เน้นส่งเสริมบุคลิคผู้นำบรรลุแก่นแท้ที่ดีไซเนอร์ต้องการจะสื่อ ถึงจะไม่ได้เปิดเผยหรือโฆษณาว่าเสื้อผ้าที่หลี่คุนสวมมาจากไหน แต่ด้วยการออกแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คนในวงการแฟชั่นระบุได้ว่าเป็นของแบรนด์ใด เมื่อข้อมูลอันนี้หลุดออกไปในอินเตอร์ก็มีคนจำนวนมากสนใจจะซื้อหา แต่ก็ต้องถอดใจเมื่อทราบระดับราคาที่เกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป

แต่ผลกระทบในเรื่องนี้กลับออกมาแปลกๆ แม่ของแชมเปญบอกว่าเสื้อผ้าคอลเลคชั่นเดียวกันกับที่หลี่คุนใช้ถ่ายแบบ จากเดิมที่ขายได้เรื่อยๆ ตอนนี้กลับขายยากขึ้น ลูกค้าที่หน้าตาธรรมดาเหมือนจะไม่มีใครกล้าซื้อไปใส่ ที่ขายได้บ้างก็ล้วนแต่เป็นลูกค้าที่หน้าตารูปร่างโดดเด่น และถึงกับมีดารานักร้องชื่อดังมากว้านซื้อไปทั้งคอลเลคชั่นเลยทีเดียว สรุปรวมแล้วถึงจะทำให้สินค้าขายไม่ออกค้างสต๊อคอยู่ไม่น้อย แต่แบรนด์กลับได้ชื่อเสียงจากการที่มีดาราและไฮโซหน้าตาดีเอาไปใส่ออกงานใหญ่ๆ พอมีคนจำได้ กระแสความดังของหลี่คุนและแบรนด์เสื้อผ้าก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ความอยากรู้อยากเห็นว่าที่แท้แล้วหลี่คุนคือใครหนักหน่วงมากขึ้นทุกที มีทั้งการขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว ทั้งเสียงเรียกร้องให้เข้าวงการไปเลย จนเรื่องราวลุกลามมากขึ้นทุกที หลี่คุนจะไปไหนมาไหนกลายเป็นต้องสวมมาสก์ปิดปาก ซูเอ๋อร์ที่เปิดเผยตัวตนจนเป็นที่รู้จักมากกว่าก็ต้องคอยปฏิเสธที่จะตอบเรื่องพี่ชายจากคนมากหน้าหลายตา เพื่อไม่ให้เรื่องใหญ่โตไปมากกว่านี้ ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็เอาข้อความมาโพสต์ในไอจี

‘พี่ชายของผมเป็นแค่มือสมัครเล่นฮะ เวลานี้ยังไม่ได้สนใจที่จะเข้าวงการหรือทำงานแนวนี้ พี่ชายฝากขอบคุณและดีใจมากกับความชื่นชมที่ทุกคนมีให้ _/|\_ แต่ตอนนี้เขายังมีภาระหลักที่ต้องไปฝึกงานและเรียนหนังสือต่ออีกหนึ่งปีซึ่งค่อนข้างหนัก ขอให้ทุกคนให้กำลังใจและสนับสนุนความตั้งใจนี้ของพี่ชายด้วยครับ หากมีโอกาสก็อาจจะมีผลงานเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันใหม่ ^^’

ข้อความสั้นๆ ข้อความเดียวแต่ซูเอ๋อร์กับเพื่อนๆ คิดแล้วคิดอีกจนแทบหัวแตก ถ้าทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกร้องของแฟนคลับก็อาจจะถูกหมั่นไส้เอาได้ง่ายๆ ในที่สุดก็คิดได้ว่า พี่คุนยังเป็นนักศึกษาอยู่ ถ้าอ้างเรื่องเรียนคนไทยอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญ เรียกว่าไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ถึงกับปฏิเสธ แถมยังทิ้งเชื้อไว้นิดๆ เผื่อเปลี่ยนใจ เหล่านี้ล้วนลอกเลียนมาจากการให้สัมภาษณ์ของพวกดาราทั้งสิ้น

โชคดีที่สุดท้ายบรรดาแฟนคลับก็เข้าใจ ต่างคนต่างฝากให้กำลังใจหนุ่มสุดหล่อในเรื่องเรียน ทั้งยังช่วยปรามกันเองหากจะมีใครยังคิดที่จะขุดคุ้ยจนกระทบความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีก หลี่คุนได้ฟังจากพวกเด็กๆ ว่าเรื่องราวจบลงด้วยดีก็โล่งใจ เขารู้สึกว่าผู้คนในยุคอนาคตที่เขาข้ามเวลามาอยู่นี้ อันที่จริงก็มีคนดีๆ อยู่มาก

แต่เขาลืมไปว่าคนไม่ว่าจะที่ไหนสมัยใดก็มีดีชั่วปนกัน ถ้าโชคดีได้พบพานแต่คนดีก็ดีไป แต่ถ้าบังเอิญต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนชั่ว ก็นับว่าโชคร้ายแล้ว ความโชคร้ายที่ว่าเริ่มขึ้นจากคลิปๆ หนึ่ง

“แฉวินาทีไฮโซทายาทหลายพันล้านเมาขับซุปเปอร์คาร์ฝ่าไฟแดงชนคนกระเด็นกลางทางม้าลาย (มีคลิป)”
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 6] 25/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: oiw08 ที่ 25-10-2019 22:50:55
สนุกมากเลยค่ะ​ หลี่คุณกับซูเออร์น่ารักกก
ว่าแต่พระเอก​สงสัยค่าตัวแพง​เลยยังไม่โผล่​ อิอิ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-10-2019 14:44:57
7

“แฉวินาทีไฮโซทายาทหลายพันล้านเมาขับซุปเปอร์คาร์ฝ่าไฟแดงชนคนกระเด็นกลางทางม้าลาย (มีคลิป)”

คลิปวิดีโอที่ถ่ายให้เห็นภาพรถสปอร์ตสีเหลืองสดคันหรูโผล่มาจากมุมอับของกล้องชนเข้ากับชายหนุ่มที่กำลังข้ามถนนตรงทางม้าลายจนล้มไปด้านข้างก่อนจะวิ่งหายไปโดยมองเห็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลังพออ่านตัวเลขได้ลางๆ ถูกแชร์ผ่านโชเชียลเน็ตเวิร์คจนกลายเป็นประเด็นร้อนภายในชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่าคนขับรถที่คนโพสต์คลิปอ้างว่าเป็นไฮโซหนุ่มชื่อดังนั้นที่แท้เป็นผู้ใด

ไม่นานก็มีคนมาเฉลยว่าเจ้าของรถคือแบงค์บุตรชายคนสุดท้องของนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ ไฮโซหนุ่มคนนี้เดิมก็เป็นที่สนใจของสื่ออยู่แล้วเพราะหน้าตาดีมีความสามารถทางด้านดนตรี โดยเป็นถึงนักเปียโนผู้มีพรสวรรค์ที่มีฐานแฟนคลับอยู่ไม่น้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่นานมานี้ก็เพิ่งเปิดตัวเตรียมสืบทอดธุรกิจจากผู้เป็นพ่อ พอมีคลิปนี้ออกมาเลยโดนพุ่งเป้าจากคนในอินเตอร์เน็ตทันที ยิ่งเจ้าตัวไม่ได้ออกมาปฏิเสธแถมมีมือดีเข้าไปขุดรูปในเฟสบุ๊คออกมายืนยันอีกว่าเขาใช้รถรุ่นนี้สีนี้อยู่จริง ผู้คนก็ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก โดยเฉพาะเรื่องเมาแล้วขับกับชนคนแล้วไม่หยุดรถลงมาช่วยเหลือ ในที่สุดก็เริ่มลุกลามเป็นประเด็นใหญ่โตจนส่งผลกระทบต่อแผนการสืบทอดกิจการจากบิดา ยังดีที่มีกลุ่มแฟนคลับออกมาแก้ต่างให้ช่วยลดกระแสลงสังคมไปได้บ้าง

ไฮโซหนุ่มหงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก เขาเรียกทนายความประจำตระกูลคนที่เป็นผู้จัดการเรื่องนี้มาตำหนิอย่างไม่เกรงใจอายุอานามรุ่นลุงของอีกฝ่าย

“จัดการยังไงเรื่องถึงไม่จบ ทำงานไม่คุ้มเงินซะเลย นี่พวกตาแก่ในบอร์ดบริหารก็เริ่มพูดกันแล้วว่าผมน่าจะยังเด็กเกินไปอยากให้ชะลอการแต่งตั้งไปก่อน จ้องหาเรื่องอยู่แล้วสิไม่ว่า”

“ขออภัยคุณชายอย่างสูงครับ ตอนนั้นผมเคลียร์หมดแล้วจริงๆ ทางคนเจ็บก็ถูกเราบีบให้รับเงินแลกกับลงชื่อในคำให้การยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายตัดหน้ารถคุณชายเอง กล้องวงจรปิดของอาคารย่านนั้นก็ถูกลบออกหมด สำนวนตำรวจก็เขียนเข้าข้างทางเรา”

ชายสูงวัยกว่าพยายามอธิบายอย่างอดทน นายน้อยของเขาคนนี้มีความสามารถทางธุรกิจและดนตรีที่โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก มันเป็นความแตกต่างจะไฮโซลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นคนอื่น ไม่แปลกใจเลยที่เจ้านายใหญ่จะมองข้ามหัวลูกชายคนโตจากภรรยาเก่าเตรียมส่งมอบธุรกิจให้ แต่ข้อเสียคือความเอาแต่ใจ ชอบดูถูกไม่เห็นหัวคนอื่น แถมด้วยความเจ้าอารมณ์แปรปรวนง่ายคาดเดาไม่ถูกแบบพวกศิลปิน

“แล้วคลิปบ้านี่มันโผล่ขึ้นมาได้ยังไง ไอคนที่โดนชนมันปล่อยออกมาหรือเปล่า”

“ไม่น่าใช่นะครับ คนที่โดนชนเป็นนักศึกษาธรรมดาท่าทางไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ออกจะพูดจาเพี้ยนๆ หน่อย พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยคงทำเรื่องใหญ่ไม่ได้ ตอนนั้นโดนผมขู่ไปตั้งเยอะ ไม่น่าจะกล้าทำแบบนี้ ถ้าเขามีคลิปนี้อยู่ ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้”

“หึ มันอาจใช้เงินจนหมดแล้วโลภอยากได้เพิ่มล่ะสิ ไอพวกคนจนๆ ก็งี้ งั้นไม่ต้องสืบต่อแล้ว ผมจะใช้คำสารภาพที่มันเซ็นไว้ออกมาโชว์ให้ทุกคนเห็นเพื่อเคลียร์ภาพลักษณ์ แล้วก็จะฟ้องมันกลับให้คืนเงินที่ได้ไป สังคมจะได้เห็นว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ”

ทนายเฒ่าขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่เรื่องคลิปที่เกิดขึ้นนี้ผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะใช่ฝีมือของนักศึกษาคนนั้นหรอก อาจจะเป็นพวกคู่แข่งทางธุรกิจก็ได้ ให้ผมสืบต่อให้ละเอียดก่อนเถอะครับคุณชาย ไม่งั้นอาจลงมือผิดคน”

“ช่างมันปะไร ชื่อเสียงผมเสียหายขนาดนี้รอได้ที่ไหน ก็ใครใช้ให้มันเดินทะเล่อทะล่าข้ามถนนตอนนั้นล่ะ ถ้าไม่มีมันซะคนคงไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องน่ารำคาญแบบนี้หรอก ไปจัดการซะ”

ด้วยเหตุนี้จึงมีจดหมายจากสำนักงานทนายความชื่อดังไปถึงคอนโดที่พักของหลี่คุนยื่นเงื่อนไขให้เขาไปออกงานแถลงข่าวร่วมกับไฮโซแบงค์นักเปียโนพรสวรรค์ชื่อดังทายาทนักธุรกิจใหญ่ โดยหลี่คุนจะต้องสารภาพออกสื่อว่าตัวเองเป็นคนเซถลามาตัดหน้ารถเองเพราะอาการมึนเมาแอลกอฮอล์ ทางฝ่ายทนายใช้ข้อสัญญาที่เขาเคยเซ็นรับผิดไปมาเป็นตัวบังคับให้ต้องทำตาม ทั้งยังแจ้งว่าจะขอค่าเสียหายที่เคยจ่ายให้ไปคืนเพราะทางฝ่ายไฮโซแบงค์ไม่ได้เป็นคนผิด หากไม่ยินยอมก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายและฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หลี่คุนอ่านจบถึงกับกำจดหมายในมือแน่นจนยับยู่ยี่ด้วยความโกรธ คนผู้นี้กล้าดียังไงถึงได้ใช้อำนาจมาข่มขู่รังแกผู้คนตามใจชอบ ตอนที่เขาจำยอมรับเงินชดเชยสี่ตำลึงทองแลกกับการเลิกแล้วต่อกันนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว แต่นี่จะให้ไปสารภาพผิดต่อหน้าธารกำนัลในเรื่องที่เขาไม่ได้ทำ แถมยังจะยึดเงินคืนทั้งๆ ที่ตกลงไปแล้ว นั่นมันเงินสี่ตำลึงเลยนะ ตอนนี้เขามีไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะขาดทุนอย่างหนักในตอนที่ทำขี้ผึ้งสมานแผลออกจำหน่าย

เมื่อซูเอ๋อร์กลับมาถึงทราบเรื่องก็โมโหจนหน้าแดง เขาเรียกเพื่อนๆ ให้มาช่วยระดมความคิดหาทางตอบโต้ไฮโซแบงค์ ทุกคนช่วยกันรวบรวมข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามเพื่อหาจุดอ่อน แต่พยายามกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์ ก่อนหน้าที่จะมีผู้ปล่อยคลิปเมาแล้วขับออกมาแบงค์มีภาพลักษณ์ที่ดีมาโดยตลอด ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ โปรไฟล์นักเรียนนอกที่มีพรสวรรค์ด้านเปียโน รูปร่างหน้าตาดี เพื่อนฝูงในกลุ่มล้วนแต่เป็นเหล่าไฮโซและดารานักร้องที่มีชื่อ ข่าวกิ๊กกั๊กกันกับดาราสาวดาวรุ่งก็ออกไปในแนวน่ารัก แถมยังปรากฏตัวในคอนเสิร์ตร่วมกับนักร้องดังในกลุ่มเพื่อนเพื่อช่วยระดมทุนให้การกุศลอยู่เป็นประจำ แม้จะเคยมีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับความเจ้าอารมณ์และนิสัยดูถูกคน แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือที่เงียบหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีคนคอยจัดการอยู่ แถมยังมีกลุ่มแฟนคลับที่คอยออกมาปกป้องเวลามีข่าวไม่ดีขึ้น

แม้แบงค์จะไม่ได้เป็นดาราหรือศิลปินมืออาชีพ แต่ก็มีฐานแฟนคลับที่เกิดจากช่องในยูทูบที่เขาทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น วิดีโอส่วนใหญ่จะเป็นคลิปการเล่นเปียโนของเขา แบงค์ชอบแสดงความสามารถด้วยการเล่นเพลงคลาสสิคชั้นสูงที่นักเปียโนทั่วไปไม่สามารถเล่นได้ นานๆ ถึงจะมีคลิปทักทายแฟนๆ หรือเล่นเพลงป๊อบทั่วไปและร้องเพลงคลอเรียกกระแสบ้าง ตอนที่เพื่อนๆ ของซูเอ๋อร์ไล่เปิดคลิปพวกนี้เพื่อหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์หลี่คุนก็เข้ามาดูด้วยความสนใจ

“นี่คือเปียโนหรือ เป็นเครื่องดนตรีใหญ่โตที่มีเสียงสูงต่ำน่าอัศจรรย์นัก คนผู้นี้มีฝีมือจริงๆ เห็นแล้วก็นึกถึงพิณกู่ฉินของพี่”

“พี่คุนจะชมทำไม นี่มันคนที่ขับรถชนพี่นะ”

ซูเอ๋อร์โวยวายเสียงดัง เขาไม่เข้าใจว่าในช่วงเวลาคับขันอย่างนี้ ทำไมหลี่คุนถึงยังมามัวสนใจคลิปเล่นเปียโนพวกนี้อยู่ได้

“พี่ก็ว่าไปตามความจริง บทเพลงพวกนี้มีท่วงทำนองแปรเปลี่ยนลึกล้ำยิ่ง มีเพลงอื่นอีกหรือไม่”

แอนฟิลด์ผู้ถูกบังคับให้เรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ เพิ่งจะได้เลิกไปเมื่อตอนขึ้นมอปลายด้วยข้ออ้างว่าจะกระทบการเรียน สบโอกาสที่จะประจบเอาใจพี่ชายเพื่อน จึงรีบเปิดคลิปอื่นของแบงค์ให้ดูพร้อมอธิบายถึงเพลงที่แต่งโดยนักประพันธ์ในยุคต่างๆ ว่าแต่ละเพลงมีความยากอย่างไร หลี่คุนจดจ้องปลายนิ้วทั้งสิบของแบงค์ที่พริ้วไปมาบนคีย์ขาวดำอย่างสนใจ ก่อนจะถามข้อมูลเกี่ยวกับเปียโนและระดับความสามารถของแบงค์อีกมาก

ในที่สุดการค้นหาข้อมูลจุดอ่อนเกี่ยวกับแบงค์ก็สิ้นสุดลงโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่น่าเชื่อว่าจากข้อมูลข่าวสารมหาศาลบนอินเตอร์เน็ต แบงค์จะไม่มีจุดด่างพร้อยอะไรทั้งสิ้นยกเว้นเรื่องเมาแล้วขับที่เพิ่งถูกขุดคุ้ยขึ้น มิน่าอีกฝ่ายถึงได้พยายามสุดตัวที่จะลบเรื่องนี้ออกไปให้ได้

ในที่สุดก็ถึงวันแถลงข่าวที่ไฮโซแบงค์จัดขึ้น หลี่คุนตัดสินใจไม่ไปตามที่ทนายของอีกฝั่งแจ้งมา เขาเห็นว่าเรื่องนี้ถึงฝ่ายเขาจะถูกกดดันให้ลงนามสัญญาไป แต่ก็ถือว่าตกลงและรับเงินไปแล้ว แม้ว่าครั้งนี้จะมีคนเอาหลักฐานเพิ่มเติมมาพยายามสร้างกระแสจากเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ แต่เขาก็ไม่คิดจะไปวุ่นวายเรียกร้องหาประโยชน์อะไรจากอีกฝ่ายอีก ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันน่าจะดีที่สุด

แต่อีกฝ่ายไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าหลี่คุนไม่ปรากฎตัวในงานนี้ แบงค์ก็สั่งให้ทนายเอาสัญญายอมรับความผิดที่อีกฝ่ายลงนามไว้ พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนของคุณานนท์ที่ใช้ประกอบการทำสัญญาออกมาแสดงให้กับนักข่าว

“อย่างที่เห็นตามหลักฐานล่ะครับ ที่จริงเรื่องนี้เคลียร์ไปหมดแล้วตั้งแต่ต้นเดือนก่อนว่าผมเป็นฝ่ายถูกตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด คนที่ถูกชนเขาก็รับผิดแล้ว คนของผมคงเห็นแก่มนุษยธรรมให้เงินไปอีกสองแสนบาท นั่นก็ถือว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันแยะมากแล้ว ที่จริงทางผมต้องเรียกร้องค่าเสียหายด้วยซ้ำ เพราะรถก็เป็นรอย แต่พอได้เงินไป เหมือนทางนั้นยังไม่รู้จักพอ พยายามจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นข่าวใหญ่ นี่คงหวังจะเรียกเงินเรียกทองเพิ่มอีก”

“สรุปว่าคนที่โพสต์คลิปนี้คือนายคุณานนท์ที่เป็นคู่กรณีใช่ไหมครับ”

นักข่าวชายถามขึ้นเป็นคนแรก

“ทางเราก็ไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่สื่อลองคิดดูแล้วกันว่าใครที่ได้ประโยชน์จากการทำแบบนี้”

“แต่ในคลิปนี่ก็ค่อนข้างชัดนะครับว่ารถคุณแบงค์ขับชนคู่กรณีตรงทางม้าลาย ดูเหมือนรถจะควบคุมทิศทางไม่ตรงด้วย ไม่ทราบว่าเรื่องเมาแล้วขับ...”

“มุมกล้องในคลิปมันแคบมากนะครับ ถ้าใจอคติก็อาจเดามั่วไปได้เรื่อย เรื่องเมาแล้วขับนี่ตำรวจก็สรุปสำนวนเสร็จตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าผมทำจริงป่านนี้คงนอนคุกไปแล้ว”

“ไม่ทราบว่าได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ขนาดไหนคะ”

นักข่าวสาวอีกสำนักข่าวถามขึ้น

“ก็หนักหนาอยู่ครับ คนไม่รู้ก็แชร์กันไปคิดว่าผมทำจริงๆ หลายคนในอินเตอร์เน็ตก็ตัดสินผมไปแล้วว่าคนรวยรังแกคนจน ทำไมครับ การที่ผมเก่งผมรวยมันแปลว่าผมจะต้องไปเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าด้วยเหรอ ทุกคนก็รู้นะครับว่าผมทุ่มเทกับการทำงานเพื่อสังคมมากแค่ไหน ผมขอวอนสื่ออย่าให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของคนระดับล่างที่เอาประเด็นความไม่เป็นธรรมมาหาประโยชน์ใส่ตัว คนรวยก็โดนรังแกได้นะครับ”

“แล้วทางคุณแบงค์จะดำเนินการอย่างไรต่อคะ”

“ก็คงต้องว่ากันไปตามกฎหมายครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมใจดีเกินเลยให้เงินช่วยเหลือไปอีกฝ่ายอาจจะถือโอกาสกลับผิดเป็นถูกว่าผมให้เพราะเป็นฝ่ายผิด ผมคงต้องฟ้องศาลเอาเงินที่ให้ไปคืนทั้งหมด แล้วจะเรียกค่าเสียหายที่เกิดกับชื่อเสียงผมด้วย ในเมื่อสังคมทุกวันนี้มองอะไรอย่างฉาบฉวยจนคนดีถูกรังแก ผมคงต้องขอความเมตตาจากศาลล่ะครับ”

แบ็งค์กล่าวอย่างมั่นใจ ทนายของเขาเตรียมการไว้แล้วที่จะเอาสัญญาที่คุณานนท์ลงนามไปฟ้องต่อศาลแพ่ง ข้อความในสัญญาฉบับนั้นแฝงนัยยะทางกฎหมายให้เขาได้เปรียบอย่างมาก มันมีเงื่อนไขระบุว่าถ้าเขาได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้แม้แต่น้อยอีกฝ่ายจะต้องคืนเงินให้ทันที เมื่อเรื่องถึงศาลอย่างไรในทางแพ่งเขาก็ต้องชนะได้เงินคืนเพราะศาลถือว่าเป็นเรื่องที่คู่สัญญาตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญาที่เขาขับรถชนคนแต่อย่างไร แต่ความเข้าใจของคนเดี๋ยวนี้ตื้นเขินมาก พอมีคำพิพากษามาให้เขาชนะคดี ร้อยละร้อยก็ต้องเข้าใจว่าศาลพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดในคดีขับรถชน เพียงแค่นี้เขาก็จะเรียกชื่อเสียงคืนมาได้ทันที
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-10-2019 15:27:17
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 26-10-2019 15:41:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 8] 27/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 27-10-2019 10:54:53
8

คลิปการให้สัมภาษณ์ของไฮโซแบงค์กระจายไปทั่วทั้งในโซเชียลและสื่อกระแสหลัก บรรดาแฟนคลับถือโอกาสรุมกันประนามคุณานนท์ว่าเป็นพวกฉกฉวยโอกาสในขณะที่ชูภาพลักษณ์ไฮโซหนุ่มเสียบริสุทธิ์ผุดผ่อง พอพวกซูกัสเห็นก็ของขึ้นเรียกรวมพลกันมาฟ้องหลี่คุนทันที

“ทำงี้มันเกินไปแล้ว ตีหน้าเศร้าว่าโดนรังแก ป้ายความผิดให้คนอื่นหน้าตาเฉย ท่านพี่ ถ้าเป็นในหนังจีนมันต้องโดนโบยตีสักหลายสิบทีนะขอรับ”

เป็นเจ้าสามที่ประเดิมการสุมไฟ หลี่คุนพยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย

“ใช่ๆ มันเอาสำเนาบัตรประชาชนพี่คุนให้กล้องถ่ายด้วย อย่างนี้จงใจประจานกันเห็นๆ ดีนะว่ารูปในบัตรไม่ชัด”

เจ้ารองรีบเสริม ใบหน้าเรียบเฉยของหลี่คุนเริ่มขมวดคิ้ว

“แล้วถ้าศาลมีคำสั่งมา พี่คุนก็ต้องเอาเงินไปคืนมันอีก ไม่งั้นติดคุก”

ครานี้เขาถึงกับลุกขึ้นผาง

“นั่นเป็นเรื่องที่มิอาจยอมได้ เงินตั้งสี่ตำลึงทองเชียวนะ”

“ใช่พี่ใช่ แต่เราจะทำยังไงดี ถ้าขึ้นศาลจริง ก็ต้องหาทนายมาสู้คดี แต่จะเอาเก่งๆ ค่าตัวก็จะแพงตาม”

หลี่คุนยกมือขึ้นห้ามทันที

“ห้ามเสียเงินเสียทองเด็ดขาด วิธีรับมือเรื่องนี้พี่คิดไว้แล้ว จงเร่งติดต่อทนายความคนนั้น บอกว่าพี่ขอพบเจ้านายของเขาเพื่อเจรจาความเรื่องนี้ ต้องได้พบกับตัวเท่านั้นนะพี่ถึงจะยื่นข้อเสนอให้”

ทนายความวัยกลางคนเมื่อได้รับเรื่องก็รีบนำข้อเสนอของหลี่คุนไปบอกไฮโซแบงค์ทันที เขาแปลกใจไม่น้อยเมื่อเจ้านายเขายินยอมพบกับคู่กรณี แต่ก็คิดได้ว่าคงมีแผนอะไรอยู่ การสร้างเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลมาใช้ข่มขู่บีบคั้นผู้คนเป็นสิ่งที่เจ้านายเขาถนัด คนธรรมดาทั่วไปใครจะมีเงินมีเวลามาต่อสู้คดีที่ส่วนใหญ่จะยืดเยื้อยาวนานได้

หลี่คุนไปพบกับไฮโซแบงค์ที่ตึกสำนักงานใหญ่โตแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ไม่ยอมให้พวกซูเอ๋อร์ติดตามมาด้วย เขาถูกชายชุดดำค้นตัวเพื่อตรวจอาวุธก่อนจะพาไปนั่งรอที่ห้องรับรองแขกที่อยู่ชั้นล่าง ที่นั่นมีแม่บ้านมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เป็นชาอู่หลงบรรจุขวด เมื่อเห็นยี่ห้อบนฉลากก็จำได้ว่าเป็นสินค้าในเครือกิจการเครื่องดื่มของคู่กรณีตัวเองที่ซูเอ๋อร์เคยบอก

หลี่คุนหยิบขวดเครื่องดื่มมาดูอย่างนึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็น ภาชนะเก็บของเหลวที่ทั้งใสทั้งเบาไม่แตกง่ายมีฝาปิดที่แสนสะดวกเช่นนี้ ถ้านำกลับไปที่ยุคเขาได้จะเป็นของล้ำค่าถึงเพียงไหน ไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยนี้จะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเลย มันช่างสิ้นเปลืองจนพูดไม่ออก เขาเห็นมันถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามถนนหนทางแม่น้ำลำคลอง ในถังขยะกองขยะก็เต็มไปด้วยขวดพวกนี้ ชวนให้ปวดใจจริงๆ

เมื่อนั่งรออยู่นานอีกฝ่ายยังไม่มาสักที หลี่คุนก็เลยหยิบชวดชามาเปิดฝาเพื่อดื่มแก้กระหาย ใจจริงเขาอยากได้ชาร้อนๆ เป็นที่สุด ไม่เข้าใจรสนิยมของคนยุคนี้ที่ชอบดื่มชาเย็นเฉียบเลยจริงๆ ทันทีที่น้ำชาอึกแรกเข้าปาก เขาก็พ่นมันออกมาทันที ในใจกร่นด่าว่าชาอู่หลงมารดามันสิ ไม่รู้ว่าเอากากชาชั้นต่ำที่ใดมาหลอกลวงผู้คน รสชาติแปร่งปร่าหยาบกระด้าง กลิ่นผิดเพี้ยนไร้ความหอมละมุน ที่เลวร้ายคือปรุงรสมาจนหวานเลี่ยน หากดื่มน้ำชาที่หวานขนาดนี้เป็นประจำ สมดุลหยินหยางในร่างกายจะไม่พังพินาศเอาหรอกหรือ นี่ช่างสมกับเป็นสินค้าของเจ้าคนไร้คุณธรรมนั่นจริงๆ

พอพูดถึงคนคนก็มา ไฮโซแบงค์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบอดี้การ์ดสี่ห้าคน เขาใช้สายตามองหลี่คุนที่ลุกขึ้นยืนต้อนรับตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยิ่งยโส ก็แค่คนระดับล่าง เสื้อผ้าเกรดธรรมดาที่หาซื้อได้ตามห้าง หรืออาจจะซื้อลดราคาจากตลาดนัดก็ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องประดับมีค่า มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยี่ห้อจีน อย่างที่เดาไว้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่คนระดับที่เขาจะลดตัวมาเสวนาด้วยเลย แต่ท่วงท่าที่สง่างามใบหน้าดูดีสมบูรณ์แบบเกินคาดคิดนั่นมันทำให้หงุดหงิดไม่น้อย แม้เพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นดาราก็ยังดูไม่มีออร่าเท่านี้

“มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา เวลาผมเป็นเงินเป็นทอง แต่คิดจะอ้อนวอนขอความเห็นใจคงยาก ตอนแรกผมให้โอกาสไปแล้วไม่ยอมรับเอง ยังไงผมก็จะเดินหน้าไปจนสุดให้ศาลมีคำสั่งออกมา”

ไฮโซแบงค์ไม่รอให้เสียเวลาเปิดฉากทันที

“ข้า เอ่อ ผมขอหารือกับคุณตามลำพัง จะได้หรือไม่ เอ่อ ครับ”

หลี่คุนตะกุกตะกักเพราะยังไม่ชินกับสำนวนภาษาแบบนี้ ไฮโซแบงค์กลับเข้าใจว่าเป็นเพราะกลัวจนเก็บอาการไม่อยู่ ท่าทางอีกฝ่ายคงอยากจะร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตาแต่อายพวกบอดี้การ์ด เขาก็ไม่อยากให้มีคนมาเกะกะตอนเสพสุขจากการบีบคั้นคนที่ต่ำกว่าให้หมดหนทางอยู่พอดี

“ออกไปรอหน้าห้อง ถ้าฉันเรียกให้เข้ามาทันที”

เมื่อชายชุดดำออกจากห้องไปหมดแล้ว หลี่คุนก็ยื่นข้อเสนอของเขา

“ผมขอให้คุณยกเลิกการฟ้องศาลแล้วช่วยแก้ความเข้าใจผิดกับพ่อค้าข่าวพวกนั้นด้วย แล้วผมจะรักษาสัญญาที่ตกลงกัน ไม่มายุ่งเกี่ยงอะไรกันอีก”

ไฮโซหน่มแปลกใจมากที่อีกฝ่ายมีท่าทีไม่ยอมจำนนผิดกับที่คาดไว้ น้ำเสียงที่โต้ตอบจึงแฝงไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น

“ตลกล่ะ แกคิดว่ามีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้อง คงคร่ำครวญว่าไม่เป็นธรรมสินะ แต่โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ มันคือการแข่งขัน คนที่มีอำนาจมากกว่า ร่ำรวยกว่า ฐานะทางสังคมสูงกว่า ก็ชนะไป”

“ดี โลกของผมกับโลกของคุณดูท่าจะเป็นโลกเดียวกัน ใครมีอำนาจมากกว่าก็ได้เปรียบ แต่อำนาจมันหลากหลายกว่าที่คุณคิด ลองดูวิธีการของผมบ้างเป็นไร”

ไม่ทันขาดคำหลี่คุนก็พลิกพริ้วร่างกายด้วยกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพันหมื่นวิถีผันแปร แบงค์มองการเคลื่อนไหวแปลกพิสดารจนตาลาย มิอาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะมุ่งไปทิศทางใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคล้ายจะหลบหนีไปที่ประตูทางออก แต่เพียงพริบตาเดียวกลับพุ่งตัวมาประชิดอย่างฉับพลันพร้อมสาดละอองผงสีเงินเข้าใส่ ไฮโซหนุ่มสูดกลิ่นหอมเย็นเข้าไปเล็กน้อยร่างกายพลันแข็งทื่อ สมองสั่งให้ตะโกนเรียกคนมาช่วยด้วยความตกใจแต่ปากกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

หลี่คุนมีสีหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ประกายตาเย็นยะเยือกชวนให้ผู้คนพรั่นพรึงในมือพลันปรากฎเข็มยาวหลายเล่มขึ้นมา เขาฝังมันลงไปบนจุดต่างๆ บนมือทั้งสองข้างของแบงค์ที่ขยับตัวไม่ได้ พริบตาเดียวเข็มหกเจ็ดเล่มล้วนถูกใช้ออกไปจนหมด ไฮโซหนุ่มมีสีหน้าพรั่นพรึงยิ่งนัก เขาเป็นนักเปียโนมือทั้งสองข้างจึงสำคัญเท่าชีวิต มิรู้ว่าชายหนุ่มท่าทางแปลกประหลาดคนนี้ตั้งใจทำสิ่งใดกับมือเขา หากเกิดอะไรขึ้นแม้เพียงนิดเดียว เขาจะจัดการให้มันให้สาสมที่สุด

หลี่คุนคลี่ยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาพลางกล่าวด้วยท่าทีเฉื่อยชา

“ไม่ต้องเป็นห่วง มือทั้งสองข้างของคุณจะไม่เป็นอันใดดอก วิชาฝังเข็มของผมมิได้มีไว้ทำร้ายผู้คน ผมเพียงแต่มอบของกำนัลอย่างหนึ่งให้ตอบแทนสิ่งที่คุณทำไว้ หากคุณชอบมันก็มาคุยกับผมอีกครั้งก่อนวันนัดหมายศาล”

ไฮโซหนุ่มไหนเลยจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขามีแต่ความกังวลเรื่องมือของตัวเองเท่านั้น หลี่คุนคำนวณในใจเห็นว่าได้เวลาแล้วก็ถอนเข็มที่ปักไว้คืนแล้วก็เดินออกไปจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลุ่มชายชุดดำที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเห็นคู่กรณีเจ้านายเดินออกมาคนเดียวก็กรูเข้ามาสกัดไว้ก่อน แต่มิทราบว่าผิดท่าอย่างไร เงาร่างในชุดขาวจึงหมุนวนหลบออกไปอีกด้านหนึ่ง จนบอดี้การ์ดสองสามคนชนกันเองหัวกระแทกเสียงดัง พริบตาเดียวหลี่คุนก็พริ้วร่างไปถึงหน้าล็อบบี้ก่อนจะเดินออกไปจากอาคารอย่างสง่างาม

หัวหน้าบอดี้การ์ดรู้สึกขายหน้าความไม่เป็นมืออาชีพของลูกน้องตัวเอง เมื่อมองเข้าไปในห้องก็เห็นเจ้านายยืนเฉยๆ ไม่ได้สั่งการให้ไปจับตัวชายชุดขาวกลับจึงไม่ได้ส่งคนติดตามไป ชั่วครู่เดียวแบงค์ก็ขยับตัวได้เป็นปกติ เขาเป็นห่วงมือและนิ้วของตัวเองมากแต่พอลองขยับดูก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร พอคิดจะเอาตัวอีกฝ่ายกลับมาถามคนก็ไม่อยู่เสียแล้ว สุดท้ายเขาก็สรุปเองว่าอีกนักศึกษาคนนั้นคงทำไปเพื่อขู่ แค่เข็มไม่กี่เล่มจะทำอะไรได้ ไว้ค่อยเล่นงานกลับตอนขึ้นศาลแล้วกัน ในใจเหลือเพียงความสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากเสร็จธุระกับไฮโซธามแล้วหลี่คุนก็มุ่งหน้ากลับคอนโดทันที เขาชมชอบการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าที่วิ่งในทางของตัวเองมากกว่าที่จะนั่งรถยนต์ที่มีคันอื่นวิ่งสวนไปสวนมาด้วย ความไม่สะดวกใจจากสายตาผู้คนที่จดจ้องก็แก้ได้ง่ายนิดเดียวด้วยการคาดผ้าปิดปาก พอมาถึงในล็อบคอนโดเขาก็หยุดพักเพื่อถอดมาสก์ที่สวมอยู่ออก วินาทีนั้นเองหางตาก็เหลือบไปเห็นฝ่ามือที่โจมตีมาจากด้านหลัง เขาไม่ทราบว่าพลังที่แฝงมาในฝ่ามือนี้มีความล้ำลึกเพียงใดจึงใช้วิถีผันแปรในท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพริ้วกายหลบแล้วถอยห่างออกไปหลายฉื่อ

“เชี่ยคุน เพื่อนจะตบหัวทักทายนิดเดียวหลบทำไม แล้วเมื่อกี๊มึงทำยังไงวะ แป๊บเดียวไปโผล่ตรงโน้น กูมองไม่ทันเลย”

หลี่คุนมองใบหน้าของคนที่ลอบจู่โจมโดยปราศจากจิตสังหารแล้วก็ต้องตกตะลึง หน้าตาของคนผู้นี้ช่าง…

ธรรมดาสามัญยิ่งนัก!!!

ใบหน้าไม่หล่อเหลาไม่ขี้เหร่ ผิวไม่ขาวไม่ดำ นัยน์ตาไม่ใหญ่ไม่เล็ก จมูกไม่โด่งไม่บี้ คิ้วไม่หนาไม่บาง รวมๆ แล้วไม่มีจุดเด่นใดๆ ให้จดจำ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างปกติทั่วไป ไม่ผอมไม่อ้วน ความสูงไม่ถึงกับมากเกินจนเป็นที่สังเกต หากแต่สัดส่วนร่างกายเมื่อมองโดยละเอียดแล้วล้วนถูกต้องสมบูรณ์

ร่างกายหลี่คุนถึงกับสะท้านด้วยความตื่นเต้นยินดี สายตายามมองดูคนตรงหน้าแฝงความหลงไหลอยู่หลายส่วน


#####

ขวดพลาสติกขวดเดียวแต่ก็ล้ำค่าสำหรับพี่คุนนะครับ คนยุคเราอย่าทิ้งขว้างให้พี่คุนปวดใจ ช่วยกันใส่ในถังรีไซเคิลดีกว่า ^^
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 28-10-2019 13:09:53
9


“เฮ้ย ทำไมเดี๋ยวนี้มึงหล่อแบบนี้วะไอคุน ที่ปลีกวิเวกหายไปนี่คือไปทำหน้าที่เกาหลีมาช่ะ แล้วไมมองกูหยาดเยิ้มเอาซะกูขนลุกซู่เลย เกิดหวั่นไหวเบี่ยงเบนขึ้นมาจะทำไง นี่เพื่อนนะ เพื่อนตินไง”

ติน?

ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุดในความทรงจำของคุณานนท์ เรื่องราวระหว่างทั้งคู่ไหลหลั่งเข้ามาในสมองของหลี่คุน ความรู้สึกผูกพันที่เหลืออยู่ในร่างเดิมก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วย ตินเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่สำนักศึกษาเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเรียนนิเทศโฆษณา ส่วนตินเรียนสาขาเครื่องคำนวณที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ ทั้งคู่กำลังจะไปฝึกงานที่บริษัทเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อว่าร่างเดิมจะได้เป็นเพื่อนกับคนที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ สัดส่วนร่างกายชั้นยอดที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์มาจับคู่กับใบหน้าแสนธรรมดาสามัญไม่เป็นที่จดจำของผู้คน นี่จึงจะเป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมขององครักษ์เงา สามารถปะปนไปกับผู้คนทั่วไปโดยไม่มีใครสังเกต ต่อให้มีพยานพบเห็นถึงสามครั้งสามคราก็ยังอธิบายหน้าตาไม่ถูก  จะทำภารกิจแฝงกายคุ้มครองหรือลอบโจมตีล้วนแต่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในชาติก่อนเขาเสาะค้นไปทั่วหาได้พบพานบุรุษที่ดีเลิศเช่นนี้ไม่ ช่างล้ำค่าราวกับกระบี่ซ่อนคมในฝัก มิคิดว่าข้ามเวลามาแล้วหกเจ็ดร้อยปีกลับเจอตัวได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก

“เป็นเหี้ยไรไม่พูดไม่จา มึงเปลี่ยนเบอร์มือถือเหรอติดต่อไม่ได้ มึงจะไม่ชอบเล่นโซเชียลอะไรกูก็ไม่ว่า แต่มือถือนี้ขอเถอะ ปล่อยให้เพื่อนติดต่อไม่ได้เป็นเดือน ถ้ามีเรื่องด่วนจะทำยังไง นี่กูกลับมาจากญี่ปุ่นก็รีบมานั่งดักรอมึงที่คอนโดเลย กลัวตายห่าคาห้องไปไม่มีใครรู้”

“เอ่อ คือมือถือข้ามันพัง น้องชายข้าเลยเปิดเบอร์ใหม่ตอนซื้อเครื่อง”

“เดี๋ยวนี้ขึ้นเอ็งขึ้นข้ากับเพื่อนเหรอ แสรด หยาบคายว่ะ ทำไมไม่พูดกูมึงเหมือนเดิม ต้องโดนทำโทษ นี่แน่ะ”

ตินเงื้อมือขึ้นสูง หลี่คุนที่สัญชาตญาณสั่งให้ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหนีไปกลับถูกแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายตึงไว้หลบไปไหนไม่ได้ ในที่สุดก็โดนเพื่อนตบหัวแบบกึ่งโดนกึ่งเฉียดเสียงดังเพี๊ยะ ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลี่แห่งฉางอัน หลี่คุนเป็นบุคคลที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน ไหนเลยจะเคยถูกหยามเช่นนี้ เขาขืนตัวเองออกจากแขนที่ยึดจับของอีกฝ่าย แววตาส่งประกายฆ่าฟันออกมา

“เดี๋ยวนี้หัดสู้เหรอไอคุน มึงก็รู้กูเรียนมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ชวนไปเรียนด้วยก็ไม่ไป ตอนนี้มาทำแข็งข้อ”

หลี่คุนพยายามต้านเท่าไหร่ก็ยังดิ้นไม่หลุด คนผู้นี้มีกำลังภายนอกที่ฝึกฝนมาไม่น้อย ในใจเปลี่ยนเป็นรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หากสามารถหาช่องทางให้ฝึกปรือกำลังภายในร่วมด้วยย่อมสามารถเป็นองครักษ์เงาที่ยอดเยี่ยมได้แน่

“ปล่อยข้า เอ้ย ปล่อยกู มีอะไรก็ขึ้นไปคุยบนห้อง คนมองกันเต็มไปหมด”

หลี่คุนยินยอมพูดสำนวนที่ไม่คล่องปากออกมาเพราะกลัวโดนตบหัวอีก หากพวกซูเอ๋อร์ทราบคงเชื่อไม่ลงเลยทีเดียวว่าพี่คุนที่พวกเขาเทิดทูนจะแพ้ทางเพื่อนขนาดนี้

“ไปสิ นี่กูเอารายละเอียดการฝึกงานมาให้ จะเริ่มอาทิตย์หน้านี่แล้ว ใจคอมึงจะไม่ติดต่อนัดแนะอะไรกูเลยเหรอ”

ตินพูดพลางกอดคอเพื่อนรักขึ้นลิฟต์ไป รู้สึกว่าคุณานนท์แปลกไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก

บริษัทที่คุณานนท์กับตินไปฝึกงานด้วยกันเป็นบริษัทลูกในเครือธุรกิจข้ามชาติที่กำลังเติบโต ทั้งคู่ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทแม่มากนักแต่ที่สนใจมาฝึกงานที่บริษัทลูกเล็กๆ แห่งนี้เพราะขอบข่ายงานที่เน้นการตลาดดิจิตอลโดยเฉพาะ สาขาที่ทั้งคู่เรียนต่างกันค่อนข้างมาก หากไม่ใช่บริษัทนี้คงยากที่จะได้ฝึกงานด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก ก่อนที่หลี่คุนจะมาเกิดใหม่ในร่างนี้ คุณานนท์กับตินมีความฝันที่จะทำธุรกิจของตัวเองเมื่อเรียนจบ การตลาดด้านดิจิตอลเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและยังเติบโตได้อีกเยอะ ทั้งคู่รู้สึกว่ามีโอกาสที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาจะสร้างกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางได้โดยไม่ต้องไปแข่งขันกับบริษัทโฆษณาเจ้าตลาด

ความรู้สึกซาบซึ้งมุ่งมั่นในเรื่องนี้ของคุณานนท์สืบทอดมาที่หลี่คุนไม่มากนัก อย่าว่าแต่อะไรที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาขยาดอยู่แล้ว ร่างเดิมน่าจะเลือกเรียนพวกเภสัชหรือแพทย์ทางเลือกมากกว่า แต่มาถึงขั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงไม่ได้ ได้แต่ต้องตามน้ำไปก่อน

สองเพื่อนซี้เข้าไปรายงานตัวกับแผนกบุคคลของบริษัท หลี่คุนใส่มาสก์เข้าไปในตัวอาคารด้วยเพราะรู้สึกสบายใจกว่าเวลาที่ต้องเจอคนเยอะๆ พี่พนักงานท่าทางใจดีแนะนำเรื่องในบริษัทให้คร่าวๆ แล้วก็บอกให้พวกเขาเข้าไปฟังบรรยายที่จัดขึ้นช่วงเช้าวันนี้โดยยังไม่ต้องเข้าไปรายงานตัวที่หน่วยงาน

“พวกน้องโชคดีมากเลยนะคะ พอดีมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานใหญ่บริษัทแม่ที่จีนเข้ามาเยี่ยมที่บริษัทเราแบบเซอร์ไพรส์นิดหน่อย ผู้บริหารเราเลยเชิญให้เขามาถ่ายทอดแนวคิดการทำงานของบริษัทแม่ให้กับพนักงานทั้งหมด แล้วก็อนุญาตให้นักศึกษาฝึกงานเข้าฟังด้วย ไหนๆ จะต้องทำงานร่วมกันไปอีกสองสามเดือน อันนี้บัตรพนักงานชั่วคราวจ้า ที่นี่เราถือว่านักศึกษาฝึกงานก็เป็นพนักงานเหมือนกัน เดี๋ยวน้องคุนกับน้องตินขึ้นลิฟต์ไปห้องสัมมนาใหญ่ที่ชั้นสามนะ อีกเดี๋ยวเขาคงเริ่มพูดแล้ว มีน้ำกับขนมให้ทานด้วย”

ปรากฎว่าเมื่อทั้งคู่ไปถึงที่ห้อง พี่ๆ ที่เป็นพนักงานก็จับจองที่นั่งด้านหลังกันจนเต็มตามประสาคนไทยแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้แถวหน้าสุดทั้งแถวให้นักศึกษาฝึกงานสองคนเดินเจี๋ยมเจี้ยมถือขวดน้ำส้มคั้นกับกล่องขนมเบรคเข้าไปนั่งอย่างตัวเกร็ง

รออยู่ไม่นาน ก็มีชายหนุ่มวัยราวๆ สามสิบรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบแต่มีสูทสีดำเรียบหรูทับเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยทักทายผู้คน

“สวัสดีครับ ผมจางอี้หลง พูดไทยได้คล่องครับเพราะคุณแม่เป็นคนไทย ตอนนี้ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทเราที่เซินเจิ้น…..”

ชายหนุ่มผู้บรรยายแนะนำตัวเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่หลี่คุนยังมองค้างอย่างตกตะลึงตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น พอเริ่มตั้งสติได้ เขาก็หันหน้าไปกระซิบถามเพื่อนที่นั่งติดกัน

“ติน มึงมองคนนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ บ้างหรือไม่”

“อื้อ มึงก็สังเกตเหมือนกันใช่ป่ะ พูดไทยชัดจังเลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษซะอีก กูงี้แคะหูรอเก้อเลย หน้าตาก็ดีถึงจะไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมเหมือนมึง คือยิ่งดูยิ่งเท่อ่ะ”

สิ่งที่เพื่อนเขาพูดก็ไม่ผิด ใบหน้าเข้มคมสันดูแกร่งจนเกือบดุดันนั้นจัดได้ว่าโดดเด่น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลี่คุนสนใจ เขาตกใจที่สัมผัสได้ถึงปราณบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากชายคนนี้ต่างหาก มันไม่ใช่พลังวัตรของผู้ฝึกยุทธ์ แต่เป็นปราณอำนาจที่สร้างความเคารพเชื่อฟังเทิดทูนให้เกิดกับผู้คน ในชาติก่อนจะพบได้จากแม่ทัพหรือขุนนางที่โดดเด่นเป็นยอดคนแห่งยุคเท่านั้น ตั้งแต่ที่เขาข้ามเวลามายังไม่เคยสัมผัสถึงปราณอำนาจจากคนยุคปัจจุบันมาก่อน อย่าว่าแต่กลิ่นอายเข้มข้นรุนแรงเช่นนี้แม้ในยุคก่อนก็หาได้ยากเต็มที

หลี่คุนกำหนดจิตทำสมาธิเพื่อต้านปราณอำนาจของอีกฝ่าย แม้จะไม่รู้สึกถึงการคุกคามจากร่างสูงตรงหน้าห้อง แต่คนที่มีสิ่งนี้จะมีแรงดึงดูดสามารถชักจูงคนหมู่มากให้คล้อยตามได้โดยง่าย คนอื่นที่ไม่อาจสัมผัสแยกแยะปราณนี้ได้อาจรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้รูปลักษณ์ดูดี ท่าทางเปิดกว้างจริงใจ น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกแสดงความมั่นใจ ในที่สุดก็จะเชื่อฟังไปทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว

“…อย่างที่เล่าไปเบื้องต้น กลุ่มบริษัทของเราทำธุรกิจหลากหลายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเกมส์บนแพลตฟอร์มต่างๆ การค้าออนไลน์ การโฆษณาดิจิตอล บริการด้านไอทีที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือนวัตกรรมหรืออินโนเวชั่น แม้ว่าบริษัทที่เพิ่งเติบโตของเราจะยังเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการไม่ได้ แต่เราก็ทุ่มเทด้านการวิจัยและเปิดรับไอเดียใหม่ๆ เพื่อให้เกิดอินโนเวชั่นอย่างต่อเนื่อง…”

หลี่คุนลอบมองไปรอบห้อง ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ แววตาคล้อยตามราวกับถูกล้างสมองไปแล้ว ปราณอำนาจของคนผู้นี้น่ากลัวจริงๆ

“…อินโนเวชั่น ความหมายจริงๆ ของมันคืออะไร ไหนลองแลกเปลี่ยนความเห็นกันดูสิครับ”

“หมายถึงการทำสิ่งใหม่ๆ ครับ”

ความดึงดูดของคนที่ยืนหน้าห้อง ทำให้หลายคนแย่งกันตอบ

“ก็มีส่วนถูกนะครับ แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ไหนใครมีความเห็นอะไรจะช่วยเสริมบ้างไหมครับ”

“สิ่งใหม่ที่ทำน่าจะต้องเกิดประโยชน์ด้วยครับ”

เป็นตินที่นั่งข้างๆ เป็นคนตอบ

“ถูกต้องครับ ถึงเป็นเรื่องใหม่ แต่ถ้าเอาไปทำเป็นสินค้าหรือบริการที่มีคนเต็มใจเสียเงินซื้อไม่ได้ สิ่งนั้นยังไม่นับว่าเป็นอินโนเวชั่น”

เมื่อหลี่คุนได้ยินเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็หูผึ่ง เขาเองก็อยากทำเงินจากไออินโนเวชั่นอะไรนี่เหมือนกัน แต่เขาจะไปคิดสิ่งใหม่ๆ ได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างในยุคนี้ล้วนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ทันใดนั้นก็มีความคิดแวบนึงขึ้นมา หลี่คุนยกมือตามธรรมเนียมที่เห็นคนยุคนี้ทำในทันทีเพื่อถามคำถาม

“แล้วถ้าเป็นสิ่งเก่าๆ ล่ะ เอ่อ ครับ สามารถเอามาทำอินโนเวชั่นที่ใช้หาเงินได้หรือไม่”

มีเสียงหัวเราะเล็กน้อยดังขึ้นจากคนในห้อง นักศึกษาฝึกงานหน้าห้องช่างกล้าถามคำถามกวนโอ๊ยออกมาได้

“สิ่งเก่าๆ? สิ่งเก่าๆ ก็น่าจะมีคนใช้หาเงินหาทองไปแล้วหรือเปล่า อ้อ ถ้าจะคุยกับผม ช่วยถอดหน้ากากออกด้วยนะครับ”

หลี่คุนถอดผ้าปิดปากออก จากตำแหน่งที่นั่ง มีเพียงคนที่ยืนตรงหน้าห้องเท่านั้นที่จะเห็นใบหน้าของเขาได้ จางอี้หลงมองใบหน้าเต็มๆ ของนักศึกษาหนุ่มตรงหน้า สายตาเปล่งประกายแรงกล้าวาบขึ้นมาจนหลี่คุนรู้สึกเหมือนถูกสะกดไปชั่วอึดใจหนึ่ง

“เอ่อ ผมหมายถึงสิ่งเก่าๆ ที่คนลืมไปแล้ว หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์มันเหมือนเดิม”

“นั่นคือคำตอบครับ อินโนเวชั่นไม่ได้เฉพาะว่าจะต้องเป็นสิ่งใหม่ที่โลกยังไม่เคยมีมาก่อน อาจจะเป็นของเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ทำใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากขึ้น หรือหาวิธีใช้ในรูปแบบใหม่แทนของเดิมที่หมดประโยชน์ไปแล้ว  อย่างเช่น สตีฟ จ๊อบส์ ไม่ใช่คนแรกที่ทำเมาส์คอมพิวเตอร์  แต่เขาเป็นผู้ที่ทำให้อุปกรณ์นี้ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี หรือน้ำยาอุทัยที่เคยใช้ผสมน้ำดื่มแต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว ก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยเอาใช้เป็นเครื่องสำอางค์แต้มสีสรรใบหน้าที่ทำจากธรรมชาติ”

“แม่ม รู้จักน้ำยาอุทัยด้วยเว้ย คนไทยบางคนยังไม่รู้จักเลย”

ตินหลุดปากอุทานขึ้นมาเบาๆ หลี่คุนไม่ได้สนใจอะไร ในหัวกำลังคิดตามสิ่งที่คนหน้าห้องพูด เขามีความรู้ในเรื่องที่คนยุคนี้ลืมไปแล้วเป็นพันเป็นหมื่นสิ่ง มันจะต้องมีซักอย่างสองอย่างที่เอามาใช้หาเงินหาทองได้ใหม่ หลังจากนั้นเขาจึงเปิดใจให้กับความรู้ด้านการตลาดที่จางอี้หลงถ่ายทอดให้ตลอดทั้งช่วงเช้า หลี่คุนรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ที่ดีมาก คอยสบตากับคนฟังอย่างเขาอยู่ตลอด เพียงแค่เขาขมวดคิ้วเพราะรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจ จางอี้หลงก็จะบังเอิญอธิบายเนื้อหาตรงนั้นเพิ่มเติมอีกที ไม่รู้ว่าตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญของเขาที่สำนักงานใหญ่เป็นตำแหน่งระดับไหน คนที่มีปราณอำนาจเข้มข้นขนาดนี้ มาตรว่ายังหนุ่ม แต่ระดับความก้าวหน้าคงไม่ธรรมดา

ในที่สุดการบรรยายในช่วงเช้าก็จบลง พี่ๆ พนักงานด้านหลังทะยอยกันออกจากห้องไป หลี่คุนที่นั่งหน้าก็กำลังจะลุกขึ้นเหมือนกัน แต่มีร่างสูงใหญ่มาบังด้านหน้าเสียก่อน

“ฟังจบแล้ว อย่าลืมคาดผ้าปิดปากไว้เหมือนเดิมก่อนออกจากห้องนะครับ น้อง…”

จางอี้หลงเหลือบมองบัตรพนักงานที่หลี่คุนห้อยคออยู่ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงทุ้มลึก

“…คุณานนท์”
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 28-10-2019 14:55:08
สรุปแล้วหลี่คุณจะมีแฟนเป็นใครกันครับเนี่ยย (ฮา) แต่พอเปิดตัวตินมาแล้วผมนี่เอนเอียงเลยนะครับ ชอบคาแรกเตอร์ของคู่นี้ครับ (ยิ้ม) ยิ่งตินฝึกฝนกำลังภายนอกมาตั้งแต่เด็ก แถมรูปร่างก็ยังบรรยายไว้ด้วยว่าสัดส่วนร่างกายชั้นยอด เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์ แล้วก็ยังมีความผูกพันเบื้องลึกที่จู่ๆก็ตีขึ้นมาในร่างเดิมอีกด้วย แสดงว่าเดิมทีสองคนนี้มีอะไรคลิ๊กกันรึเปล่าครับ แต่คิดว่าตินนี่ก็ยังต้องฝึกอีกมาก หลี่คุณได้โอกาสแล้ว ปรุงโอสถบำรุงร่างกายสำหรับออกกำลังกายให้ตินเป็นหนูทดลองเลย! (ฮา) ในเมื่อน้องซูไม่ยอม ก็เอาให้คนชอบออกกำลังกายแบบตินนี่ล่ะ จะได้ทดสอบประสิทธิภาพยาด้วย o18

แต่พอเปิดตัวจางอี้หลงมาก็ดูท่าทางจะเท่เหมือนกันนะครับ แถมยังมีปราณแผ่ออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นปราณธรรมชาติที่แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือว่าเจ้าตัวมีความสามารถเชิงยุทธ์อะไรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไหม แต่ที่สำคัญคือดูเหมือนเขาจะสังเกตถึงหลี่คุณเสียด้วย ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจนะครับ เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมา หลี่คุณยังไม่เจอใครที่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลย แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะต้องปรับตัวยังไง ปรับตัวแบบงูๆปลาๆมันอาจจะทำให้ขลุกขลักไปนิดนึง ถ้าบทบาทของจางอี้หลงเป็นอาจารย์ (เพราะอายุที่ 30 แล้ว มีช่องว่างระหว่างวัยกับร่างของหลี่คุณเยอะเหมือนกันนะครับ) ก็ถือว่าอาจจะทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้นอีก

แล้วที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง ก็ต้องยกให้ซูเอ๋อร์นี่แหละครับ น้องน่ารักมากก สดใสสมวัยสุดๆ มีคาแรกเตอร์ของน้องชายที่น่ารักน่าเอ็นดูและบรรยายออกมาได้เห็นภาพชัดเจนมาก อ่านมาไม่กี่ตอนถึงกับหลงรักเลยครับ :man1: มาให้พี่ลูบหัวเสียดีๆน้องเอ๊ย ก็หวังว่าหลี่คุณจะเป็นพี่ชายที่ดี ดันน้องให้เก่งๆหน้าตาเลิศๆนะครับ (นี่ถึงขั้นปรุงของประทินโฉมระดับฮองเฮาให้น้องด้วย แหม่ ท่านก็หลงน้องเหมือนกันนี่หว่าหลี่คุณ :laugh:) อยากรู้จังเลยว่าคู่ของซูเอ๋อร์จะเป็นใคร จะผ่านด่านพี่ชายอรหันต์ได้ไหม ผมชอบฉากที่หลี่คุณยั้งซูเอ๋อร์ตอนรับงานรีวิวนะครับ มันเป็นการสอนด้วยสติและประสบการณ์ของคนสมัยก่อน เป็นฉากที่พี่ชายสอนน้องชายได้ดีครับ โดยรวมๆประทับใจมาก ติดตามอ่านอยู่ครับผม
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 28-10-2019 20:14:03
โอ๊ยๆๆ คุณ Grey Twilight เข้ามาอ่าน เขียนคอมเมนท์ให้ยาวๆ อีกต่างหาก
ดีใจมากครับ เหมือนบรรลุอะไรสักอย่าง 555
เรื่องนี้จะมาต่อเรื่อยๆ ครับ ถึงไม่ค่อยมีคนอ่านก็จะลง 55
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 10] 29/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-10-2019 12:22:29
10


สองเพื่อนซี้เริ่มฝึกงานอย่างจริงจัง บริษัทนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากจึงรับนักศึกษาฝึกงานมาแค่สองคนนี้เท่านั้น เนื่องจากต้องออกข้างนอกทุกวัน ซูเอ๋อร์จึงไปหาซื้อผ้าปิดปากแบบซักได้มาให้ เป็นผ้าเนื้อนิ่มสีดำมีลวดลายเป็นรูปมังกรแบบจีน หลี่คุนเห็นแล้วชอบใจมาก เขาใส่มันไปทำงานทุกวัน แม้แต่ตอนที่กำลังทำงานอยู่ก็ไม่ค่อยถอดออก จนภาพเด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีสวมผ้าปิดปากสีดำลายมังกรดูเท่ราวกับนักร้องเกาหลีคู่แพคคู่มากับหนุ่มหน้าจืดกลายเป็นที่คุ้นตาของคนทั้งบริษัท 

หลี่คุนรู้สึกสนิทสนมกับตินมากยิ่งขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะชอบลงมือรุนแรงเวลาที่เขาทำอะไรแปลกๆ ในสายตาของตินออกไป ความทรงจำของคุณานนท์บอกว่าเป็นนิสัยของตินมาตั้งแต่เด็กซึ่งร่างเดิมก็ยอมมาโดยตลอด หลี่คุนต้องคอยระวังการพูดจาแบบที่ตัวเองเคยชิน เห็นอะไรแปลกใหม่ของยุคนี้ถ้าเขาทำท่าเปิ่นๆ ออกมาจะโดนเพื่อนประทุษร้ายร่างกายทันทีบอกว่าอายคน  เมื่อโดนบ่อยๆ เข้า ก็ทำให้หลี่คุนทำตัวกลมกลืนกับยุคนี้ได้ดีขึ้น แต่ในใจลอบเก็บงำความแค้นไว้ว่าหากหาทางฟื้นคืนกำลังภายในมาได้ ตินจะต้องโดนเอาคืนเป็นคนแรก

หลี่คุนยังได้พบกับจางอี้หลงอีกหลายครั้งช่วงก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับเมืองจีน แต่พยายามระวังตัวไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่ จริงๆ เขาสนใจความรู้เรื่องการค้าขายของยุคปัจจุบันที่จางอี้หลงมีอยู่มาก แต่เหนื่อยที่จะตั้งสมาธิไม่ให้หลงไปกับแรงดึงดูดที่เกิดจากปราณอำนาจของอีกฝ่าย จากประสบการณ์ในชาติที่แล้ว คนที่มีปราณอันเข้มข้นเช่นนี้มักชอบฉกฉวยหาโอกาสใช้ประโยชน์จากคนอื่น แม้จะพยายามหลบเลี่ยงไปมา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าบังเอิญเจอกันบ่อยเกินไป

เขากับตินไม่ได้รับมอบงานสำคัญให้ทำเท่าไหร่แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กฝึกงาน อย่างน้อยก็ยังค่อยๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์ของพวกพี่ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ เมื่อรวมกับความทรงจำของคุณานนท์ที่ถูกงานที่ทำช่วยกระตุ้นออกมา หลี่คุนก็ถือว่ามีความรู้พื้นฐานเรื่องการตลาดไม่เลวเลย แต่ส่วนที่ไปประยุกต์ใช้ในเชิงดิจิตอลเขายังตามไม่ค่อยทัน 

ถึงเรื่องฝึกงานจะไม่มีปัญหา แต่หลี่คุนก็ยังมีความยุ่งยากอีกด้านรออยู่

“พี่คุน ทำไมพี่ใจเย็นอย่างนี้ อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันที่ศาลนัดเข้าไปไต่สวนแล้วนะ ยังไม่เห็นพี่ทำอะไรเลยนี่พวกผมเริ่มช่วยกันหาเงินสองแสนแล้ว ท่าทางเราคงแพ้คดีแหงๆ”

ซูกัสพูดอย่างร้อนใจ ทีแรกที่พี่ชายบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาก็นอนใจเพราะเชื่อมั่นในตัวหลี่คุน แต่นี่ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนอกจากหมายศาลที่ส่งมาถึงบ้าน  วันๆ นอกจากไปฝึกงาน ขึ้นไปรำมวยจีนบนดาดฟ้า แล้วก็ต้มยาเล่น ก็ไม่เห็นพี่คุนทำอะไรอีก ทนายที่จะให้ช่วยว่าความก็ยังไม่ได้หา สิ่งเดียวที่พี่ชายเขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือขอให้เขาเปิดคลิปเล่นเปียโนเพลงใหม่ๆ ในชาเนลของไฮโซแบงค์อยู่บ่อยๆ ฟังไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แอนฟิลด์ได้ยินก็มาร่วมวิพากษ์วิจารย์ว่าเพลงพวกนี้ระดับสูงมากจริงๆ โดยเฉพาะที่เป็นบทประพันธ์ของรัคมานินอฟฟ์ หลี่คุนได้ยินก็ทำท่าเหมือนชื่นชมไอเลวนั่นซะเต็มประดา ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นงานตัวเองให้ย่อยยับ ซูเอ๋อร์ถึงกับเกิดความคิดประหลาดว่า พี่ชายอาจจะเบี่ยงเบนไปหลงเสน่ห์ไอไฮโซชั่วนั่น เลยยอมให้กระทำย่ำยีแต่โดยดี นี่มันมิใช่พล๊อตละครน้ำเน่าที่พวกเขาพี่น้องนั่งดูไปก็ด่าไปหรอกหรือ ตั้งแต่หลี่คุนฟื้นขึ้นมาดูจะมีอะไรแปลกๆ หลายอย่าง แต่เรื่องนี้เขารู้สึกว่ามันเกินไปจริงๆ

“ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกซูเอ๋อร์”

“ไม่กังวลได้ไง งั้นพี่คุนยอมเปิดตัวดีไหม ให้รู้ไปเลยว่านายคุณานนท์คนที่ถูกไฮโซดังฟ้องร้องอยู่ คือคนเดียวกับนายแบบลึกลับคนนั้น ทางโน้นเขามีแฟนคลับ ทางเราก็มีเหมือนกัน ให้แฟนคลับผมออกมาช่วยปกป้องแล้วก็สร้างกระแสให้พวกเพจดังๆ สนใจเราก็จะได้เรียกร้องขอความเป็นธรรม ถึงทางโน้นจะมีเงินมีอำนาจกว่า แต่ถ้าจุดเสียงสนับสนุนในโซเชียลติด เราอาจจะชนะก็ได้นะพี่”

“พี่บอกแล้วไงว่าอย่าหวังใช้ประโยชน์จากแฟนคลับพร่ำเพรื่อ ยังไงพี่ก็ไม่ให้พวกเราต้องมาเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้หรอก น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะดำเนินไปสู่จุดจบของมัน”

หลี่คุนตอบอย่างมั่นใจ ปรากฎว่าเย็นวันนั้น ไฮโซแบงค์ที่หยิ่งยโสกลับเป็นฝ่ายมาหาหลี่คุนถึงคอนโด พร้อมกับนำกระเช้าใบใหญ่จัดวางพวกวิตามินอาหารเสริมบำรุงร่างกายเป็นสิบๆ กล่องมาอย่างสวยงาม ซูเอ๋อร์เห็นเข้ายังอุทานในใจว่านี่สิถึงจะเป็นของชั้นดีจริงๆ ไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังถูกๆ ที่ทนายความเอามาเยี่ยมไข้เมื่อครั้งก่อน

ไฮโซหนุ่มท่าทางร้อนรนมาก ใต้ตาดำคล้ำแสดงอาการอิดโรย พอหาที่นั่งคุยกันตรงล็อบบี้ได้ก็เปิดฉากทันที

“แก เอ่อ คุณทำอะไรกับมือของผม”

“ผมทำอะไรกับมือของคุณหรือ ก็เห็นอยู่ว่ายังเป็นปกติดี ผมเปิดดูในคลิปก็ยังเห็นเล่นเปียโนได้พริ้วไหวกว่าเดิมน่าประทับใจนัก”

“แก แกรู้เรื่องนี้ แสดงว่าแกจงใจแต่แรก”

แววตาของแบงค์แสดงอาการเคียดแค้นขึ้นมา

“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ ลองถามตัวเองสิว่า มือคู่นี้ของคุณมันยังอยู่ในสภาพเดิมก่อนที่จะพบกับผมหรือไม่”

แบงค์ยกมือตัวเองขึ้นมอง เขาจำต้องยอมรับว่ามือของเขายามนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเมื่อก่อน

“มันก็ใช่ แต่มันไม่เหมือน ผมเล่นเพลงพวกนั้นไม่ได้ดีอีกแล้ว”

เขาคร่ำครวญอย่างหมดอาย

“ก่อนหน้าที่จะพบกับผม คุณก็เล่นมันไม่ได้ดีอยู่แล้ว จะโอดครวญไปทำไม”

หลี่คุนตอบอย่างเย็นชา ที่แท้ตั้งแต่ตอนที่เขาดูคลิปการบรรเลงเปียโนเพลงต่างๆ ของแบงค์ในครั้งแรก ด้วยสายตาของผู้เคยฝึกยุทธ์ที่สามารถแยกแยะการเคลื่อนไหวซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย ผนวกกับความเข้าใจในศาสตร์ทางดนตรีจากการฝึกปรือพิณกู่ฉินจนแตกฉานในชาติก่อน เขาจึงสังเกตได้ว่าเสียงตัวโน๊ตบางตัวมันไม่คมชัดอย่างที่ควรจะเป็น พอจับตามองเปรียบเทียบหลายๆ เพลง ก็พบว่าส่วนใหญ่การบรรเลงของแบงค์จะคมชัดกระจ่างใสไร้ที่ติ มีเพียงสองเพลงเท่านั้นที่การกดลิ่มนิ้วมือซ้ายระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วก้อยจะห่างกันมากจนคล้ายกางนิ้วไม่ถึง พอมีเจ้าสามที่เคยเรียนเปียโนมาช่วยอธิบายก็ยิ่งยืนยันความคิดของเขา

บทเพลงบรรเลงเปียโนเกือบทั้งหมดบนโลกนี้ ใช้การกางนิ้วไม่เกินความห่างของลิ่มคีย์สีขาวแปดคีย์หรือที่เรียกว่าคู่แปดเท่านั้น เพลงที่ใช้ถึงคู่เก้าหรือคู่สิบมีน้อยยิ่งนัก แต่ก็มีนักเปียโนอัจฉริยะในอดีตเช่นรัคมานินอฟฟ์ที่มีมือใหญ่โตกว่าปกติ เขาได้ประพันธ์บทเพลงซับซ้อนที่ใช้การกางนิ้วถึงคู่สิบเอ็ดหรือคู่สิบสองออกมาได้ไพเราะยิ่ง ความสามารถในการกางนิ้วขึ้นอยู่กับสรีระมือของแต่ละคน การฝึกซ้อมอาจช่วยขยายได้บ้างแต่ก็ไม่มาก จึงมีนักเปียโนมากมายที่ไม่สามารถเล่นบทเพลงพิเศษพวกนั้นได้ หรือเล่นได้ก็ไม่สมบูรณ์ตามที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจ

หลี่คุนจับตามองการเคลื่อนไหวของไฮโซหนุ่มอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเขาเล่นได้ดีเยี่ยมแค่ไม่เกินคู่เก้าเท่านั้น หากเป็นคู่สิบเสียงจะขาดพลังไม่คมชัด ส่วนคู่ที่กว้างกว่านั้นไม่ปรากฎอยู่ในการเล่นของแบงค์แม้แต่ครั้งเดียว ด้วยวิชาฝังเข็มของเขา การจะขยายเส้นเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณมือนั้นทำได้ง่ายราวกับเดินไปเตะก้นสุนัข ในชาติก่อนเขาก็เคยช่วยแก้ปัญหาให้กับองครักษ์เงาที่ฝึกวิชากงเล็บหรือฝ่ามือชั้นสูงมานักต่อนัก ด้วยคุณธรรมในใจ เขามิอาจใช้วิชาฝังเข็มทำลายมือที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของอีกฝ่ายได้ แต่หากจะส่งเสริมให้มือคู่นั้นให้สามารถถ่ายทอดบทเพลงได้ล้ำลึกพริ้วไหวมากขึ้นเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่กับคนผู้นี้เขาให้มันได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

นี่คือการตลาดที่เขาเห็นพ่อค้าแม่ค้ายุคนี้ทำกัน

แจกตัวอย่างให้ลิ้มลองสักเพียงเล็กน้อย!

“ขอร้องเถอะ คุณคุณานนท์ ช่วยฝังเข็มให้มือของผมเป็นอย่างที่คุณทำให้ตอนนั้นอีกที เรื่องคดีความผมก็จะเคลียร์ให้ ตอนนี้ผมสืบได้แล้วว่าคนที่สร้างประเด็นเรื่องคลิป เป็นพี่ชายคนละแม่ที่อยากแย่งตำแหน่งผมเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย ต้องขอโทษจริงๆ ที่เข้าใจผิด ส่วนเรื่องค่าฝังเข็มจะเสียเงินเท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย”

ไฮโซหนุ่มสละศักดิ์ศรีอ้อนวอนคนตรงหน้าอย่างร้อนรน หลังจากโดนหลี่คุนฝังเข็มที่มือในวันนั้น ก็รีบกลับบ้านไปหาเปียโนราคาแพงสุดรักทันที เขาเริ่มเล่นเพลงโปรดด้วยความกังวลว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำจะส่งผลต่อความสามารถด้านเปียโนของตัวเอง มิคาดว่ายิ่งเล่นไปมือคู่นั้นของเขากลับพร่างพรมไปบนคีย์ขาวดำได้รื่นไหลตามใจนึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การกางนิ้วกว้างๆ ที่เคยติดขัดกลับรู้สึกยืดหยุ่นทำได้ง่ายดายยิ่งนัก ความรู้สึกเหลือเฟือนี้ทำให้เขาเปลี่ยนไปบรรเลงเพลงที่ใช้ความกว้างถึงคู่สิบ วินาทีที่เขากดโน๊ตตัวที่เคยสร้างความยากลำบากให้ในอดีต บัดนี้เสียงที่ออกมากลับคมชัดทรงพลังยิ่งนัก แบงค์น้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ เขาไปค้นโน๊ตเพลงระดับสูงที่ใช้ถึงคู่สิบเอ็ดที่เคยอยากจะฉีกทิ้งไปด้วยความปวดใจออกมาหัดเล่นใหม่ มิคาดว่ากลับเล่นออกมาได้อย่างงดงามยิ่งนัก

ตลอดสัปดาห์นั้นเขาเก็บตัวเอาแต่ฝึกซ้อมบทเพลงที่ไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะเล่นได้สมบูรณ์จนคล่องเพื่ออัพขึ้นชาเนล ไม่นานคลิปพวกนั้นก็ถูกแชร์ไปทั่ว คนนอกวงการอาจไม่รู้ถึงความต่างนี้ แต่บรรดาเพื่อนๆ นักเปียโน หรือแม้แต่คู่แข่งในอดีต ต่างก็เข้ามาคอมเม้นท์แสดงความยินดีที่เขาทะลุขีดจำกัดสำคัญไปได้อย่างไม่มีใครนึกฝัน โปรเฟสเซอร์สมัยเรียนถึงกับติดต่อเชิญให้ไปเล่นคอนเสิร์ตร่วมกับวงออเคสตราที่มีชื่อเสียงของเมืองเวียนนา นั่นนับว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ชาวเอเซียน้อยรายจะได้รับ

ในเวลาที่ความสำเร็จทางด้านดนตรีของเขาพุ่งทะยานอย่างไม่หยุด ความสามารถที่ราวกับสวรรค์ประทานนี้กลับหายไปเสียเฉยๆ ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ไฮโซหนุ่มหัวใจสลาย เขาฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งแต่เสียงแปร่งปร่ายามกดตัวโน๊ตคู่สิบก็กลับมาหลอกหลอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือคู่นี้ ก่อนหน้านี้ก็มัวแต่ดีใจจนไม่ได้สนใจที่มา แต่พอกลับมานึกดูอีกครั้งเขาก็มั่นใจว่าการฝังเข็มของคนที่เขาขับรถชนเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุให้เขาลดศักดิ์ศรีมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่

“คุณคิดว่าผมหวังเงินทองอย่างนั้นหรือ ค่าตอบแทนย่อมสูงกว่านั้นมาก คุณจะต้องโกนศีรษะสวมชุดขาวเขียนคำสารภาพผิดเรื่องคดีรถชนให้ครบหนึ่งร้อยจบต่อหน้าผู้คน”

หลี่คุนไม่สนใจเงินทองจากการนี้ คำปฏิญานที่เขาให้ไว้ท่านหมอเทวดาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดพื้นฐานวิชาฝังเข็มให้ในกาลก่อน ทำให้เขาไม่สามารถขูดรีดเงินทองจากการช่วยเหลือผู้คน แต่ความประพฤติอันไร้คุณธรรมของคนผู้นี้มิอาจปล่อยไปได้ เขาจึงยื่นเงื่อนไขการลงโทษที่ยึดตามบทบรรญัติในยุคเขาสำหรับความผิดประเภทนี้ให้กับอีกฝ่าย

ซูกัสที่นั่งเงียบๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกันเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นบ้าง ที่แท้พี่คุนก็มีแผนที่จะจัดการอีกฝ่ายอย่างนี้นี่เอง มิน่าถึงได้ติดตามดูคลิปใหม่ๆ ของไฮโซหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อจนเขาเข้าใจผิดไปถึงไหนๆ นี่เป็นการเอาคืนที่สาสมจริงๆ อยากจะลุกขึ้นตบมือดังๆ ให้พี่คุนเหลือเกิน

“แก!! นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ ใครจะไปทำเรื่องทุเรศเสียหน้าพรรค์นั้น อย่าคิดว่าแกเก่งอยู่คนเดียวนะ หมอฝังเข็มจริงๆ ที่ไม่ใช่หมอเถื่อนอย่างแกมีตั้งเยอะ ถ้าแกไม่ยอมทำ นอกจากอดได้เงินแล้ว เรื่องคดีก็จะไม่จบนะ”

“คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าก่อนคุณจะมานี่ คุณไปหาหมอฝังเข็มมากี่คนแล้ว ในโลกนี้มีผมคนเดียวที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ หากคุณไม่ยินยอมก็กลับไปเถอะ กลับไปอยู่กับมือคู่เดิมของคุณแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ”

หลี่คุนตัดบทอย่างเย็นชา จริงๆ ก่อนที่จะตัดสินใจทำเรื่องนี้ เขาได้ไปหารือกับท่านหมอภีมหมอแผนปัจจุบันที่เชี่ยวชาญวิชาฝังเข็มของยุคนี้ซึ่งเขาได้คบหาเป็นสหายมาแล้วว่า สิ่งที่เขาทำท่านหมอคนอื่นก็ทำได้ด้วยหรือไม่ หลังจากอธิบายกันอยู่พักใหญ่หมอภีมก็สรุปว่าการขยายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นมือที่หลี่คุณอธิบาย ไม่สามารถทำได้ด้วยการฝังเข็มหรือแม้แต่การแพทย์ปัจจุบันแขนงอื่น มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่มีโอกาสทำได้ แต่นักเปียโนที่ต้องรักษามือเท่าชีวิต จะมีใครกล้าเสี่ยงที่จะสูญเสียมือไปหากการผ่าตัดผิดพลาดเพียงเพื่อที่จะเล่นเพลงเพิ่มได้อีกแค่ไม่กี่เพลง ภายหลังเมื่อไฮโซแบงค์ไปพบกับหมอภีมเพื่อขอให้ใช้การฝังเข็มทำสิ่งเดียวกับที่หลี่คุนมาหารือไว้ หมอภีมที่เดาเรื่องได้บางส่วนจึงโทรไปเล่าให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่ไฮโซหนุ่มก็ไปหาหมอฝังเข็มคนอื่นๆ เกือบจะหมดวงการด้วย

“มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมทนไม่ได้จริงๆ ขอร้องล่ะคุณคุณานนท์ เรื่องที่คุณเรียกร้องมันเกินไป ชื่อเสียงผมจะป่นปี้หมด การรับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อก็คงมีปัญหา ให้ผมทำอย่างอื่นเถอะ อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องให้คนอื่นรับรู้”

ไฮโซหนุ่มยินยอมแทบจะทุกสิ่งขอให้ได้พรสวรรค์ชั่วคราวนั้นกลับมา ตัวเขาเหมือนดังคนตาบอดตั้งแต่เกิดแล้วพลันได้เห็นความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นคราหนึ่ง ไหนเลยจะยินยอมที่จะกลับไปเป็นไปเป็นคนตาบอดได้ หากไม่เคยได้สัมผัสก็คงไม่ถวิลหาเจียนเป็นเจียนตายเช่นนี้ ไม่นึกว่าเด็กหนุ่มนักศึกษาอย่างคุณานนท์จะเลือดเย็นถึงเพียงนี้

แววตาปวดร้าวล้ำลึกที่ฉายออกมาทำให้หลี่คุนใจอ่อน คนผู้นี้ถึงจะไร้คุณธรรมแต่มีความรักให้กับดนตรีอย่างลึกซึ้ง เขาเองก็ชื่นชอบฝีมือของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เห็นทีจะต้องผ่อนปรนให้สักคราหนึ่ง

“เอาเถอะ คุณไปจัดการเรื่องคดีให้ถูกต้องเรียบร้อย อย่าให้ชื่อเสียงของผมด่างพร้อยเป็นอันขาด แต่โทษทัณฑ์ที่คุณลุแก่อำนาจบีบคั้นผมจนคนรอบกายต้องเดือดร้อนกันไปหมดไม่อาจละเว้นได้ คุณจะต้องรับการถอดกางเกงโบยก้นด้วยไม้พลองสิบที นี่ถือว่าผมเมตตาที่สุดแล้ว จะยอมรับหรือไม่”

ซูกัสที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด บัดนี้มองพี่ชายตัวเองตาโตแทบจะถลน สีหน้าเลื่อนลอยราวกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว แบงค์เองเมื่อได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่ายก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด เขามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู

“คุณ.. คุณเป็นพวกมีรสนิยมอย่างว่าเหรอ”

ซูกัสได้ยินข้อสงสัยที่ไฮโซหนุ่มมีต่อญาติผู้พี่ก็อ้าปากหวอ ส่ายหน้าช้าๆ อย่างรับไม่ได้จนหลี่คุนรู้สึกว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงดึงตัวน้องชายเข้ามากระซิบถามเรื่องรสนิยมอย่างว่า พอรู้คำตอบก็ถึงกับทะลึ่งตัวขึ้นยืนชี้หน้าแบงค์ใบหน้าขาวกลายเป็นแดงก่ำ

“บังอาจ!!! ถอดกางเกงโบยก้นเป็นการลงทัณฑ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน มักใช้กับขุนนางที่ไม่อาจลงมือรุนแรงจนบาดเจ็บพิการได้ จึงให้ถอดกางเกงโบยตีจำนวนน้อยครั้งเพื่อสร้างความอับอายจนหลาบจำ หาได้มีนัยยะต่ำช้าอย่างที่คุณคิด ซูเอ๋อร์!! หยุดทำหน้าแตกตื่น แล้วก็ห้ามมองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น พี่ไม่ได้เป็นต้วนซิ่วแล้วก็ไม่ได้ชอบการทรมานผู้คน”

หลี่คุนโกรธจนถึงขีดสุด คนผู้นี้คิดว่าเขาเป็นอย่างพวกคนชั้นสูงในอดีตที่นิยมเลี้ยงทาสชายหญิงเอาไว้โบยตีเพื่อสนองความวิปริตทางเพศได้อย่างไร มันน่าจัดการให้มือพิการไปเสียทั้งสองข้างยิ่งนัก แม้กระทั่งน้องชายของเขาเองก็เป็นไปกับคนอื่นด้วย นี่เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้าเลยเหรอซูเอ๋อร์

กลับเป็นแบงค์ที่พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจัง ต่อให้คนคนนี้จะพูดจาสำนวนแปลกๆ และท่าทางเพี้ยนหลุดโลกแค่ไหน ถ้าช่วยทำให้เขาเป็นนักเปียโนที่ยอดเยี่ยมได้ เขาพร้อมจะกลั้นใจทำมัน ไฮโซหนุ่มรักการเล่นเปียโนมาก ขนาดที่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าจะต้องเลือกระหว่างเปียโนกับการสืบทอดธุรกิจของบิดา เขาคงเลือกเปียโนโดยไม่ต้องคิด หากเงื่อนไขการถูกโบยก้นมันไม่แย่มากจริงๆ เขาก็อาจจะยอมเพื่อให้ได้ความรู้สึกอิสระในการพรมนิ้วทั้งสิบไปบนเปียโนโดยไม่มีข้อจำกัดกลับคืนมาอีกครั้ง

“ขอโทษจริงๆ ครับคุณคุณานนท์ ผมไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาคุณเลย แต่เรื่องถอดกางเกงโบยก้นนี่มันออกจะ… แปลกใหม่ไปสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะต้องถอดกางเกงในโชว์ เอิ่ม สัดส่วนด้วยไหม  แล้วการโบยตีจะรุนแรงแค่ไหน ถึงขั้นเลือดออกเป็นอันตรายเลยหรือเปล่า แล้วคุณคงไม่ถือโอกาสถ่ายคลิปไว้ด้วยหรอกนะครับ”

หลี่คุนกำลังจะตอบแต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นซูเอ๋อร์มีสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ หลังจากได้ยินคำถามแต่ละข้อของหนุ่มไฮโซ เขามิอาจสูญเสียภาพลักษณ์ในใจซูเอ๋อร์ไปได้มากกว่านี้แล้ว

“เรื่องลงทัณฑ์เอาไว้ค่อยหารือกันภายหลัง ผมยังไม่รู้ว่าจะส่งเสริมมือของคุณได้เป็นการถาวรเพียงใด คุณเคยฝังเข็มครั้งแรกมาแล้ว วันนี้ผมจะฝังเข็มให้อีกครั้งหนึ่ง มันควรจะส่งผลไปอีกสามเดือน หากระหว่างนั้นคุณดำรงอยู่ในคุณธรรม ผมจะฝังเข็มครั้งที่สามซึ่งจะมีผลไปอีกหกเดือนให้ ส่วนครั้งที่สี่ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายจะมีผลต่อไปอีกถึงหนึ่งปี”

“อ้าว แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

แบงค์อุทานออกมาอย่างผิดหวัง ไม่คิดว่าต่อให้เขายอมถูกโบยก้น ก็ยังไม่อาจรักษามือที่ยอดเยี่ยมนั้นได้ตลอด

“หลังจากนั้นมือของคุณจะกลับสู่สภาพเดิม น่าเสียดายยิ่งนัก หากผมสามารถคิดค้นรูปแบบการฝังเข็มครั้งที่ห้าได้สำเร็จ มือของคุณน่าจะคงสภาพนั้นไปได้ชั่วชีวิต แต่ผมยังติดขัดอยู่อีกเพียงนิดเดียว เพียงนิดเดียวเท่านั้น”

“แต่ถึงไม่สำเร็จ คุณก็ยังฝังเข็มแบบครั้งที่สี่ต่อเวลาไปครั้งละหนึ่งปีไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหมครับ”

หนุ่มไฮโซพยายามเกาะเกี่ยวความหวังสุดท้ายไว้

“จุดฝังเข็มรูปแบบหนึ่ง สามารถใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากผมไม่สามารถบรรลุรูปแบบที่ห้าได้ เกรงว่าคุณจะต้องอยู่ในสภาพเดิมไปตลอด ผมไม่รับรองว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองปีนี้ จะทำมันสำเร็จหรือไม่ แต่หากคุณคงความเป็นผู้มีคุณธรรม ใช้อำนาจเงินทองความสามารถให้เกิดประโยชน์กับผู้คน ผมย่อมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดค้นหนทางเพื่อช่วยคุณให้ถึงที่สุด ซูเอ๋อร์ จงไปนำเข็มของพี่มา”

ไฮโซเจ้าอารมณ์ผู้เคยเกรี้ยวกราดบัดนี้สีหน้าเศร้าหมองต่อความไม่แน่นอนในอนาคต แม้หลี่คุนจะทำการฝังเข็มครั้งที่สองให้จนมือทั้งคู่กลับมายืดหยุ่นเหมือนเดิมแล้ว สีหน้าก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เขามีเวลาเพียงไม่ถึงสองปีหากอีกฝ่ายยังไม่สามารถหาจุดฝังเข็มรูปแบบที่ห้าได้ ไม่รู้ว่าเมื่อความพิเศษบนมือคู่นี้ถูกพรากไปอีกครั้งเขาจะรู้สึกเจียนตายเพียงใด

หลี่คุนทอดสายตามองหนุ่มไฮโซที่เดินห่อเหี่ยวกลับไปอย่างสาสมใจ ในฐานะที่ได้สืบทอดวิชาต่างๆ มาจากปรมาจารย์หลายท่าน หลี่คุนมีสัจจะที่ต้องรักษาอยู่หลายข้อ แต่ในบรรดาข้อห้ามเหล่านั้น หาได้ห้ามการพูดปดไว้ไม่ ทุกอย่างที่เขาบอกไฮโซหนุ่มไปล้วนแต่เป็นเรื่องผายลมมดเท็จสิ้นดี การรักษาให้หายขาดไปเลยนั้นง่ายที่สุด การคิดค้นตำแหน่งฝังเข็มให้หมดฤทธิ์ลงเมื่อเวลาผ่านไปตามที่กำหนดสิจึงจะเป็นเรื่องยาก นี่จึงเป็นบทลงโทษที่แท้จริงที่เขามอบให้ หลี่คุนมีความเชื่อตามยุคสมัยของเขาว่าสำเนียงดนตรีย่อมสะท้อนจิตใจผู้บรรเลง ท่วงทำนองเปียโนที่หนักแน่นงดงามกระจ่างชัดบ่งบอกว่าคนผู้นี้ยังถูกขัดเกลาได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกเนิ่นนานเท่าไหร่เขาถึงจะพอใจกับความประพฤติของไฮโซหนุ่มจนยินยอมปลดเปลื้องนรกในใจนี้ให้

### แถม ###

อิน้อง : พี่คุนนนนน ไม่เก็บค่ารักษาจากเฮียไฮโซนั่นหน่อยเหยอ (เผื่อได้ตังกินหนม ^^)
อิพี่ : จริงด้วย แต่’จารย์ห้ามเก็บตังเกินท่านหมอคนอื่น แถวนี้เค้าคิดกันโรคละเท่าไหร่อ่า
อิน้อง : สามสิบบาท
อิพี่ : T_T

####
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 30-10-2019 13:19:54
11

หลังจากวันที่หลี่คุนตกลงเรื่องการฝังเข็มที่มือกับไฮโซแบงค์ได้ อีกฝ่ายก็รีบไปถอนฟ้องคดีกับศาลอย่างลนลาน หลังจากนั้นก็แก้ข่าวกับสื่อว่าคุณานนท์ผู้ถูกชนไม่ได้เป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ในเมื่อคู่กรณีมีแค่สองคน ก็เท่ากับยอมรับออกมากลายๆ ว่าตัวเองเป็นสาเหตุ

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ในโซเชียลอีกครั้ง คนที่คอยสร้างกระแสเล่นงานไฮโซหนุ่มในครั้งก่อนถือโอกาสนี้ลงมืออย่างต่อเนื่อง แต่เหมือนแบงค์จะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอินเตอร์เน็ตเมืองไทยอีกแล้ว เขาประกาศพักการรับช่วงต่อธุรกิจจากผู้เป็นบิดาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ก่อนจะรับคำเชิญครั้งก่อนของอาจารย์บินไปร่วมงานกับวงออเคสตร้าแห่งเมืองเวียนนามุ่งหน้าสู่หนทางการเป็นนักเปียโนระดับโลกอย่างสุดตัว ไม่นานผลงานคอนเสิร์ตที่เขาร่วมแสดงก็ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์สายดนตรีคลาสสิคจากทั่วโลก

‘...ใครจะคิดว่านักเปียโนหนุ่มหน้าใหม่จากประเทศไทยจะบรรเลงเพลงของ เซอร์เก รัคมานินอฟ ได้ทรงพลังเช่นนี้ ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจทุกครั้งเมื่อมองมือขนาดชาวเอเซียที่สวยงามคู่นั้นสามารถกางออกไปกดคู่สิบสองบนคีย์เปียโนได้อย่างสมบูรณ์แบบ...’

‘…เรายอมรับว่าเทคนิคของเขาในการเล่นคู่สิบเอ็ดหรือสิบสองมันน่าทึ่งมาก แต่สิ่งที่ทำให้เพื่อนนักเปียโนชาวไทยคนนี้เหนือล้ำกว่านักเปียโนชั้นเยี่ยมคนอื่นคือจิตวิญญาณ ถ้าคุณได้ไปฟังการแสดงสดของเขา คุณจะบอกได้เลยว่าเขาบรรเลงมันด้วยความรู้สึกว่านั่นคือเพลงสุดท้ายในชีวิต...’

ในขขณะที่ไฮโซหนุ่มกำลังทะยานขึ้นสู่แถวหน้าของเส้นทางนักดนตรีคลาสสิค หลี่คุนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นกำลังกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

น้องชายเขากำลังมีปัญหา!!!

ซูเอ๋อร์ที่เคยร่าเริงตอนนี้กลับเงียบขรึมอย่างหนักจนเหมือนมีอาการซึมเศร้า ทั้งๆ หลังจากเขาจัดการไฮโซหนุ่มไปอย่างสาสมแล้วน้องชายก็ดูสดใสอารมณ์ดียิ่งนัก แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน ทั้งอมทุกข์ เก็บตัว บางทีก็หวาดผวาเหมือนระแวงผู้คน ไอจีที่เคยเล่นทุกวัน มือถือที่เคยหยิบจับแทบจะตลอด เดี๋ยวกลับถูกทิ้งร้างจนแฟนคลับกังวลว่าเกิดอะไรร้ายแรงกับไอดอลของพวกเขาหรือไม่ หลี่คุณเรียกเจ้าใหญ่เจ้ารองเจ้าสามไปจนน้องสี่มาสอบถาม ก็ไม่มีใครรู้สาเหตุสักคน มีแต่จะกลัดกลุ้มไปตามๆ กัน

คนเป็นพี่ร้อนใจยิ่งนัก อะไรเล่าจึงสามารถทำให้คนที่มองทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามอย่างซูเอ๋อร์เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แต่จนใจที่ทั้งปลอบทั้งขู่อย่างไร เด็กน้อยก็ไม่ปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว มีเพียงสายตาหวาดกลัวเคล้าน้ำตาที่จ้องมาราวกับจะพยายามขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่อาจบอกใครได้

หลี่คุนมิอาจทนต่อไปได้ เขาทุ่มเทกำลังหลายวันหลายคืนติดต่อกันจนผสมกำยานมอมจิตของพรรคมารนอกรีตในอดีตออกมาได้สำเร็จ หากเป็นก่อนหน้านี้ที่มีเพียงสมุนไพรที่ขาดความสมบูรณ์เขาคงไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้ แต่ในตะกร้าของบำรุงสุขภาพที่ไฮโซแบงค์นำมาให้ นอกจากวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ ที่เขาไม่ค่อยรู้จักแล้ว ก็ยังมีพวกสมุนไพรสกัดบรรจุแคปซูลรวมอยู่หลายชนิด หลี่คุนไม่รู้มาก่อนว่าในยุคนี้มีความก้าวหน้าถึงขั้นกลั่นแยกคุณค่าสำคัญของสมุนไพรออกมาได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณ เขาตรวจสอบสารสกัดในแคปซูลพวกนั้นแล้วพบว่า ตัวที่เป็นโสมเกาหลีกับเห็ดหลินจือมีสรรพอยู่บ้าง แต่ก็มีบางตัวอย่างถั่งเช่าที่ไม่ได้มาจากพันธุ์ดั้งเดิม

การค้นพบนี้ทำให้สามารถใช้วัตถุดิบราคาแพงอย่างโสมหรือเห็ดหลินจือได้โดยไม่ต้องซื้อมาทั้งต้น เขาไปตระเวนหาซื้อสมุนไพรแคปซูลแบบนี้มาได้อีกไม่น้อย ค่อยๆ ทดลองไป บางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็ต้องโยนทิ้ง แต่รวมๆ ก็ทำให้เขามีวัตุดิบในการปรุงยาเพิ่มขึ้นหลายชนิด แถมยังไม่ต้องเสียเวลาเคี่ยวเหมือนแต่ก่อน

เขาจุดกำยานมอมจิตทิ้งไว้ในห้องที่ซูเอ๋อร์นอนอยู่คะเนเวลาประมาณหนึ่งก้านธูปจึงเอาออกเปิดหน้าต่างไล่ควันที่ตกค้างอยู่จนหมด พอปลุกญาติผู้น้องขึ้นมา อีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพมึนเมาคล้ายถูกมอมด้วยสุรา กำยานที่เขาปรุงมีฤทธิ์อ่อนมากเมื่อเทียบกับต้นตำหรับของพรรคมาร แต่กับเด็กสิบหกขวบปีที่ไม่เคยผ่านการฝึกจิตอย่างซูเอ๋อร์ นี่น่าจะเพียงพอที่จะสอบถามสิ่งที่เขาอยากรู้ทั้งหมดได้

“ซูเอ๋อร์ ช่วงนี้เรากังวลใจอะไรอยู่หรือไม่”

“พี่คุนเหรอ พี่คุน ผมกลัว”

“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรน้อง”

“ผมไม่กล้าพูด พี่จะเกลียดผม ผมไม่น่าทำเรื่องแบบนั้นลงไปเลย”

“ไม่ต้องกลัว มิว่าน้องจะทำเรื่องอะไรลงไป พี่คุนไม่มีทางเกลียดเรา ขอเพียงแค่บอกเรื่องที่อยู่ในใจออกมา ทุกอย่างย่อมแก้ไขได้”

กำยานมอมจิตกับการปลอบโยนของหลี่คุนใช้การได้อย่างยิ่ง ซูเอ๋อร์ค่อยๆ เล่าเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมาจนหมดสิ้น เรื่องมันเริ่มมาจากบอทของแฮ็คส์นักร้องนักแสดงลูกครึ่งที่มาทักทายน้องชายเขาในไอจีตั้งแต่ยังไม่ดังมาก หลังจากคุยการผ่านหน้าไอจีอยู่ช่วงหนึ่งก็เริ่มไปคุยผ่านทางช่องทางส่วนตัวจนสนิทสนมกัน บอทของแฮ็คส์ชอบเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ของแฮ็คส์ตัวจริงมาเล่า รวมถึงมีรูปภาพพิเศษๆ ที่ยังไม่ได้เผยแพร่ที่ไหนส่งมาให้ดูเป็นประจำ  ซูเอ๋อร์ชื่นชมผลงานของแฮ็คส์จนยึดเป็นไอดอลขวัญใจมาหลายปีแล้วเลยชอบคุยกับบอทแอคเค้าท์นี้เป็นพิเศษ เขาคาดว่าตัวจริงของบอทน่าจะเป็นหัวหน้าแฟนคลับของแฮ็คส์จากเพจใดเพจหนึ่ง  จากที่พูดคุยกันเรื่องแฮ็คส์ ก็เริ่มไปคุยเรื่องความชอบความสนใจอื่นซึ่งปรากฏว่าเข้ากันได้ดีมากจนซูเอ๋อร์รู้สึกว่าเป็นพี่ชายอีกคน

หลังจากคุยกันอย่างสนิทสนมผ่านตัวหนังสือมานาน บอทของแฮ็คส์ก็ชักชวนให้คุยกันผ่านกล้อง ซูเอ๋อร์ไม่คิดอะไรมากตอบตกลงทันทีเพราะอยากรู้จักตัวจริงของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นใบหน้าผ่านกล้องชัดๆ เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อรู้ว่าบอทของศิลปินที่เขาคุยด้วยมานานนั้นมีใบหน้าที่เหมือนแฮ๊คส์ตัวจริงไม่มีผิด พออีกฝ่ายชวนคุยมาเสียงพูดก็ยังเป็นของแฮ๊คส์ที่แสนจะจำได้ขึ้นใจ พอมั่นใจว่าคือตัวจริงแน่ๆ ซูเอ๋อร์ก็ถึงกับปิดกล้องวางสายหนีไปด้วยความอับอายอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้พูดคุยแสดงความชื่นชมจนเกินเลยกับอีกอีกฝ่ายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แฮ็คส์ส่งข้อความมาง้อที่ปิดบังความจริงอยู่หลายครั้ง ทำแม้กระทั่งส่งคลิปร้องเพลงดังของตัวเองที่ดัดแปลงเนื้อเพื่อขอโทษมาให้ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทำใจที่จะเปิดกล้องคุยกันอีกครั้ง หลังจากที่เอาชนะความเขินที่มีไปได้ทั้งคู่ก็ยิ่งทวีความสนิทสนมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องอะไรที่สรรหามาคุยก็ถูกคอไปเสียหมด ในฐานะที่ซูกัสเป็นเน็ตไอดอลถึงแม้ว่ายังไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าวงการแต่ก็ถือว่าเป็นคนดังในระดับหนึ่ง แฮ็คส์สอนเคล็ดลับหลายอย่างของการเป็นคนมีชื่อเสียงให้ ตั้งแต่การวางตัวให้คนรัก การสร้างฐานแฟนคลับ การสร้างกระแสให้คนพูดถึงซึ่งล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ในที่สุดก็คุยกันไปถึงเรื่องแต่งตัว การดูแลร่างกาย และการฟิตซ้อมหุ่น ประการหลังนี้ซูกัสซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในช่วงเติบโตไม่อาจสู้หรุ่มลูกครึ่งซึ่งเป็นดารานักแสดงที่ว่ากันว่าหุ่นดีเบอร์ต้นๆ ของวงการได้แม้แต่น้อย

แฮ็คส์สอนวิธีออกกำลังกายฟิตซ้อมหุ่นที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้านให้กับซูกัส สอนไปสอนมาเขาก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามที่ตึงแน่นผ่านทางกล้องให้ดูบอกว่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เกือบจะทุกวันหากนักร้องหนุ่มไม่ได้รับงานช่วงค่ำ ทั้งคู่ก็จะออกกำลังกายร่วมกันผ่านกล้อง ในช่วงนั้นถึงกับมีข่าวลือออกไปว่าแฮ็คส์ลดการรับงานลงเพื่อเตรียมจะออกจากวงการไปสืบทอดธุรกิจของครอบครัว ต่อมาแฮ็คส์ก็เริ่มออกกำลังกายด้วยการใส่บ๊อกเซ่อร์ตัวเดียวทำให้ซูกัสร้อนหน้าอย่างบอกไม่ถูก ผ่านไปสักพักก็ถูกคะยั้นคะยอให้มาออกกำลังกายในชุดแบบเดียวกัน เด็กน้อยค่อยๆ ชินและหลวมตัวไปทีละนิดจนแม้กระทั่งเวลาพูดคุยกันทั่วไปก็ยังอยู่ในชุดเกือบเปลือย

การสนทนาเองก็เริ่มขยับจากเรื่องทั่วไปกลายเป็นสิ่งที่เด็กวัยรุ่นสนใจทุกคนคือเรื่องทางเพศ แฮ๊คส์ค่อยๆ อ้อมไปมาทำตัวให้คำแนะนำถึงเรื่องต่างๆ ที่ลึกลงใต้สะดือเรื่อยๆ ราวกับเป็นครูวิชาสุขศึกษาเสียเอง ไปๆ มาๆ ด้วยอารมณ์คุกรุ่นของทั้งคู่บวกกับความคารมหว่านล้อมของฝ่ายที่อายุมากกว่า ในที่สุดเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่มีอยู่ก็ไม่เหลือ จบลงที่ทั้งคู่ทำเรื่องน่าอับอายร่วมกันผ่านกล้องไป

หลังจากปลดปล่อยจนสติรับรู้ผิดชอบชั่วดีตามมา ซูกัสก็กังวลเป็นอย่างมาก ถ้าเรื่องที่ทำนี้รู้ไปถึงสาธารณะ คนที่เป็นดาราดังจะเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน แต่หนุ่มลูกครึ่งก็บอกว่าไม่ต้องกังวลก็มีกันแค่สองคนคนอื่นจะมารู้ได้อย่างไร เขาเชื่อใจในตัวซูกัสมากว่าจะดูแลชื่อเสียงของเขาอย่างดี เด็กน้อยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งวางใจและผูกพันในตัวนักร้องหนุ่มมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าเขาสังเกตดีๆ จะพบว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานดังกล่าวกล้องอีกฝ่ายจะจับภาพมุมต่ำลงทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของดาราหนุ่ม

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซูกัสเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นแบบไหนกันแน่ หนุ่มๆ หน้าตาดีเขาก็สนใจ  สาวๆ สวยๆ ก็ยังชอบมอง แต่เหตุการณ์พิเศษในวันนั้นทำให้น้ำหนักเทไปทางเพศเดียวกันมากกว่า เด็กหนุ่มไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่มีกับแฮ๊คส์เป็นแค่ความชื่นชมหรือได้ถลำลึกลงไปมากกว่านั้นแล้ว ที่แน่ๆ คือความสัมพันธ์ของทั้งคู่นับวันยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกทีในความคิดของเขา

หลังเหตุการณ์นั้นซูกัสยังเคอะเขินอยู่มาก แต่ด้วยการทำตัวตามสบายของแฮ็คส์ที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็กลับมาคุยกันทุกวันเหมือนเดิม แต่เพียงไม่ถึงสัปดาห์หนุ่มนักร้องก็เริ่มเผยความต้องการออกมาว่าอยากทำเรื่องแบบวันนั้นอีก รวมถึงขอนัดออกมาเจอกันจริงๆ ด้วย คราวนี้ซูกัสแข็งใจปฏิเสธทันที เขาตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนมอปลายควรจะทำกับดาราชื่อดัง แฮ็คส์พยายามเกลี้ยกล่อมว่าอยากทำเป็นกำลังใจก่อนจะต้องไปเก็บตัวในกองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ที่มีฉากต่อเนื่องในต่างประเทศ บทบาทที่ได้รับต้องใช้สมาธิสูงอาจจะต้องหยุดการติดต่อกับเด็กหนุ่มไปหลายวัน ซูกัสใจหายรู้สึกว่าจะต้องคิดถึงอีกฝ่ายมากเพราะเคยคุยกันทุกวัน แต่เขาก็ไม่ยอมใจอ่อนได้แต่อวยพรให้อีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการถ่ายทำ

แฮ็คส์ไม่ได้ติดต่อมาสองสามวัน ซูเอ๋อร์กังวลด้วยไม่แน่ใจว่าเริ่มถ่ายหนังแล้วหรือว่าโกรธที่เขาไม่ยอมตามใจ แต่ในคืนวันนั้นเขาก็ได้ข้อความตัดความสัมพันธ์จากแฮ็คพร้อมกับสั่งให้เขาลบรูปหรือคลิปที่แอบบันทึกไว้จากการเปิดกล้องคุยกันทั้งหมด เด็กหนุ่มตกใจมาก พยายามคอลหาเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แฮ็คส์ก็ไม่รับ ซูกัสร้อนใจหนักคิดว่าทางนักร้องหนุ่มคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ สุดท้ายก็ส่งข้อความกลับไปอธิบายว่าเขาไม่เคยแคปรูปหรือบันทึกวิดีโอที่คุยกับนักร้องหนุ่มแม้แต่ครั้งเดียว ฝั่งโน้นก็ถามกลับมาว่าจะเชื่อได้ยังไงจนเด็กหนุ่มต้องพิมพ์ข้อความสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับไป

ไม่คาดว่าหลังจากนั้นแฮ็คส์เหมือนจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาส่งรูปภาพที่แคปจากตอนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันผ่านกล้อง โดยเห็นใบหน้าและร่างกายช่วงบนที่ปราศจากเสื้อผ้าของซูกัสอย่างชัดเจน พร้อมข้อความข่มขู่ว่าในคลิปเต็มที่แอบอัดไว้จะเห็นหมดจดตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะเผยแพร่ออกไปทางอินเตอร์เน็ตทันที

คำสั่งที่ซูกัสได้รับคือให้ถอดเสื้อผ้าจนหมดแล้วถ่ายคลิปแนะนำตัวเอง ให้พูดทั้งชื่อนามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และโรงเรียนที่เรียนอยู่ ปิดท้ายด้วยการทำเรื่องปลดปล่อยอารมณ์จนถึงจุดต่อหน้ากล้องแนบเป็นไฟล์ส่งกลับไปเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่เอาสิ่งที่ทำผ่านวิดีโอคอลก่อนหน้านี้ไปบอกใคร เด็กหนุ่มตกใจจนเกือบช๊อค ไม่น่าเชื่อว่านักร้องหนุ่มที่เขาคุยอย่างสนิทใจมาเป็นเดือนๆ จะทำร้ายกันถึงขนาดนี้ พอไม่ตอบอะไรกลับไป ก็โดนข้อความข่มขู่ต่างๆ นาๆ ส่งเข้ามาไม่หยุด

เด็กหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง ถึงจะเผลอตัวในครั้งแรกด้วยความไว้ใจนักร้องขวัญใจมากเกินไปจนเหมือนไม่ทันคน แต่ซูกัสก็เป็นเด็กยุคอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้อ่อนต่อโลก เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าทำตามที่สั่งแล้วแฮ็คส์จะหยุดแค่นี้ ยิ่งยอมทำตามก็จะยิ่งเสียเปรียบไปเรื่อยๆ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือจะต้องวัดดวงว่านักร้องหนุ่มมีคลิปอยู่จริงและตัดสินใจจะปล่อยหรือไม่ ถึงแม้จะตัดสินใจดีแล้วแต่ก็หนีไม่พ้นความหวาดกลัวที่จะเห็นคลิปตัวเองโผล่ออกมาวันใดวันหนึ่ง

เรื่องทั้งหมดนี้ซูเอ๋อร์เล่าออกมาทั้งน้ำตาทำให้หลี่คุนโกรธแค้นยิ่งนัก แม้จะตกอยู่ในอาการมึนเมาแต่เด็กหนุ่มก็ยังกังวลกับความรู้สึกของพี่ชาย

“พี่คุนโกรธผมมากเลยใช่ไหมที่ผมทำตัวแบบนี้  พี่จะเอาเรื่องที่ผมเป็นเกย์ไปบอกพ่อกับแม่เปล่า”

ในยุคก่อนก็มีบุรุษที่มีรสนิยมชมชอบตัดแขนเสื้ออยู่ในสังคมไม่น้อย ที่เป็นมิตรสหายของหลี่คุนก็มีอยู่บ้าง แต่เกือบทั้งหมดต้องเก็บซุกซ่อนไว้ ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้ชายคือการสืบทอดวงศ์ตระกูล ต้วนซิ่วหลายคนจึงแต่งภริยาเข้าบ้านเพื่อให้กำเนิดบุตรธิดาในขณะที่มีบ่าวรับใช้ชายหน้าตาดีไว้คอยอุ่นเตียง หลี่คุนไม่ถึงกับชิงชังคนพวกนี้หากเขายังดูแลฮูหยินของตัวเองได้ดีในฐานะสามี ดูไปก็ไม่ต่างกับบุรุษที่ลุ่มหลงอนุแต่ยังให้เกียรติภรรยาหลวง

“พี่ไม่ได้ตำหนิเราในเรื่องนี้ แต่หากต่อไปน้องได้แต่งการแต่งงานออกหน้าออกตาและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับหญิงคนรักจะไม่เป็นสุขกว่าหรือ”

“แม้แต่พี่คุนก็คิดว่าผมไม่ควรเป็นอย่างที่ผมเป็น อย่างนี้คลิปหลุดไปเลยก็ดี คนจะได้รู้ว่าผมเป็นอะไร ไม่ต้องมาปิดบังกันอีก”

ซูกัสที่เหมือนจะดีขึ้นจากคำปลอบโยนก่อนหน้านี้กลับน้ำตาคลอขึ้นมา หลี่คุนมองอย่างกลัดกลุ้มนึกอยากจับตัวคนที่หลอกลวงน้องชายไปลงทัณฑ์ด้วยห้าม้าแยกร่างยิ่งนัก แต่จะว่าไปในบรรดาองครักษ์เงาระดับสูงในชาติก่อน ก็มีอยู่สองคนที่สนิทสนมกันยิ่งนัก ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีวงศ์ตระกูลให้ต้องสืบทอด ยิ่งต้องเร้นกายไม่มีสังคมให้ต้องรักษาหน้าตา บุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่แต่งงาน ไม่เที่ยวเตร่หอนางโลม คนอื่นอาจมองว่าเป็นสหายที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่น แต่หลี่คุนที่เชี่ยวชาญการแพทย์สัมผัสได้ถึง ‘กลิ่น’ ที่ไม่ควรมีจากการใดๆ ระหว่างบุรุษด้วยกัน เขาไม่ได้เห็นชอบแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม วิถีชีวิตองครักษ์เงานั้นเสี่ยงตายยิ่งนัก เมื่อเห็นความสุขเต็มเปี่ยมสะท้อนออกมาแววตาของทั้งคู่แล้วก็มิอาจออกปากอันใดได้ หลังจากเขาตายลงในชาติก่อนโดยไม่มีทายาทสืบทอด เหล่าองครักษ์เงาที่ไร้ผู้นำคงหมดหน้าที่ลง ได้แต่หวังว่าทั้งคู่จะเร้นกายไปมีชีวิตที่มีความสุขด้วยกันต่อไป หลี่คุนฉุกคิดขึ้นมาว่า หากตนยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ของผู้อื่นได้ แล้วความสุขของน้องชายตัวเอง เขาจะต่อต้านมันไปทำไม

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตำหนิเรา อะไรที่ทำให้มีความสุขโดยไม่ผิดกับตัวเองและผู้อื่น ล้วนกระทำได้ทั้งสิ้น  แต่ตอนนี้เรารู้เรื่องอะไรของเจ้าคนสารเลวนั่นต้องบอกพี่มาให้หมด พี่ต้องจัดการมันอย่างสาสม”

ซูกัสเล่าข้อมูลที่เกี่ยวกับแฮ็คส์ทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเห็นรูปของนักร้องลูกครึ่งชัดๆ โทสะของหลี่คุนก็ยิ่งทวีขึ้น รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีอ่อน ตาโต จมูกโด่งเป็นสัน แสดงให้เห็นว่ามีเชื้อพันธุ์ของพวกคนเถื่อนโพ้นทะเลที่ใช้ปืนไฟร่วมมือกับขุนนางชั่วล้อมจับเขาจนต้องโดดหน้าผาตายในชาติก่อน ไม่คิดว่าน้องชายของเขาในชาตินี้ต้องมาเจอลูกหลานของเผ่าพันธุ์นี้หลอกลวงทำร้ายจิตใจเอาอีก

หลี่คุนลงมือปรุงยาอีกครั้ง ตำหรับยาพิษนี้ชั่วร้ายสุดประมาณจนไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่จะต้องปรุงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ภาพอันน่าสังเวชของเหยื่อสำนักมารที่ต้องผงพิษผลาญทวารส้างโห่จิ่วเชี่ยวในชาติก่อนยังติดตามาจนถึงชาตินี้ พิษตำหรับนี้ไม่ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่หากไม่ได้รับยาถอนพิษเหยื่อมักจะสติวิปลาสหรือทำร้ายตัวเองจนตายในที่สุด อาการของผงพิษผลาญทวารจะเริ่มจากการปวดแสบปวดร้อนตามทวารทั้งเก้า ได้แก่ ตา หู จมูก ปาก อวัยวะเพศ และทวารหนัก แล้วหายไปเอง จากนั้นอาการจะเกิดขึ้นใหม่ทุกๆ สามชั่วยามวนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งนานเข้าความแสบร้อนในแต่ละครั้งจะมากขึ้นมากขึ้นจนคล้ายโดนไฟเผา ถึงตอนนั้นหากไม่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนก็จะเสียสติอยู่ดี

ตัวยาสำหรับปรุงพิษร้ายนี้พิสดารยิ่งนัก เกือบครึ่งล้วนหาไม่ได้ในยุคนี้ หลี่คุนพยายามใช้สมุนไพรอื่นที่มีสรรพคุณใกล้เคียงมาทดแทน จนใจก็แต่หัวกิมซาจัวที่เป็นตัวยาสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแสบร้อนแสนสาหัสที่ยังไม่สามารถหาอะไรมาเทียบเคียงได้ หลี่คุนไม่สามารถปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนอีกฝ่ายลงมือทำลายชื่อเสียงของซูเอ๋อร์ เขาตัดสินใจใช้พริกขี้หนูสวนและหมามุ่ยแทนซึ่งน่าจะสร้างอาการแสบคันตามทวารทั้งเก้าได้ไม่น้อย

แฮ็คส์หยุดส่งข้อความข่มขู่ไปเฉยๆ หลังจากส่งต่อเนื่องอยู่หลายวัน ตามมาด้วยการลบเพื่อนออกทำให้ซูกัสไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้อีก เด็กหนุ่มร้อนใจมากเพราะนี่น่าจะเป็นสัญญานว่าหนุ่มลูกครึ่งกำลังจะลงมือตามที่ขู่ไว้ สอดคล้องกับข้อมูลจากเพจแฟนคลับของแฮ็คส์ที่เอาข่าววงในมาบอกว่าขวัญใจของพวกเขาถ่ายหนังที่ประเทศจีนเสร็จแล้ว กำลังจะบินกลับมาในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับกองถ่ายให้ช่วยไปต้อนรับให้กำลังใจกันที่สนามบินด้วย

หลี่คุนได้รับข่าวที่ซูกัสหามาให้ก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะเล่นงานอีกฝ่ายได้ แผนการขอหลี่คุนเรียบง่ายยิ่งไม่ต่างอะไรกับที่ใช้จัดการไฮโซแบงค์ในครั้งก่อน เพียงหาโอกาสเข้าไปประชิดตัวเพื่อแพร่พิษผลาญทวารใส่ จากนั้นก็ปล่อยให้ไอ้คนสารเลวนั่นลิ้มรสความทรมานสักหลายวันค่อยยื่นข้อเสนอให้ เขาลาป่วยกับบริษัทที่ฝึกงาน สวมชุดสีขาวอย่างที่ชอบพร้อมผ้าปิดปากสีดำลายมังกรที่ใส่ประจำมุ่งหน้าไปที่สนามบินพร้อมกับผงพิษผลาญทวารโดยไม่บอกให้ซูกัสรู้

ที่สนามบินมีผู้คนพลุกพล่านแต่หลี่คุนก็หากลุ่มแฟนคลับของแฮ็คส์ที่ระบุจุดนัดพบไว้ในเพจอยู่แล้วได้ไม่ยากนัก เขาทำตัวกลมกลืนเหมือนเป็นแฟนคลับคนหนึ่ง รอบตัวได้ยินแต่เสียงพูดคุยชื่นชมในตัวนักร้องลูกครึ่งชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ในความจอมปลอมแอบซ่อนสันดานเลวร้ายของคนผู้นี้จนแทบจะทนไม่ได้ เมื่อใกล้ได้เวลา หัวหน้าแฟนเพจผู้มากประสบการณ์เริ่มจัดแถวให้บรรดาแฟนคลับเตรียมต้อนรับแฮ็คส์ที่กำลังจะออกมาจากด้านในสนามบินอย่างเป็นระเบียบไม่ให้เกะกะผู้คน

หลี่คุนผงกหัวขอโทษแฟนคลับสาวๆ ขณะที่แทรกตัวเองไปอยู่แถวหน้าสุด ในแขนเสื้อซ่อนผงพิษที่เตรียมมาไว้ ในที่สุดคณะกองถ่ายก็เดินออกมา เสียงฮือฮาแสดงความตื่นเต้นดังขึ้นรอบตัว หลายคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป หลี่คุนเห็นร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาของนักร้องหนุ่มเดินตามมาทิ้งระยะกับกองถ่ายคนอื่นเล็กน้อย ด้านข้างมีบุรุษในชุดสีดำประกบอยู่หลายคน ประเมินดูแล้วสามารถใช้ท่าเท้าท่องคลื่นน้อยหลบหลีกผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร เมื่อเป้าหมายเดินมาถึงจุดที่รออยู่ หลี่คุนก็ลงมือทันที เขาใช้ท่าก้าวย่างอันพิสดารพลิกพริ้วตัวเองผ่านบอดี้การ์ดคนร้ายคนเล่าในช่วงไม่กี่วินาทีก็ถึงเบื้องหน้าของนักร้องหนุ่ม ในมือเตรียมจะสาดผงพิษออกไป มิคาดว่าชายชุดดำที่ประกบอยู่ด้านข้างปฏิกิริยาฉับไวยิ่งเคลื่อนกายเข้ามาบังร่างหนุ่มลูกครึ่งในทันที หลี่คุนลังเลใจที่จะแพร่พิษให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงชะงักมือเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกกระตุกเจ็บแปล๊บที่หัวไหล่ มองไปเห็นชายชุดดำอีกคนกำลังจี้อาวุธหน้าตาแปลกมีประกายไฟสีขาวฟ้าส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ เข้ามาที่ร่างกายของตน

หลี่คุนเห็นสถานการณ์คับขัน ทางเป้าหมายของเขาก็มีคนมาคุ้มกันอย่างหนาแน่น แม้ว่าคนพวกนี้จะไม่มีกำลังภายใน แต่ท่วงท่าก็มีแบบแผนรัดกุมอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนและผ่านประสบการณ์จริงมา หลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหมุนวนไปรอบๆ เพื่อหาโอกาสแพร่พิษ แต่กลับถูกอาวุธสั้นที่ส่งประกายไฟคอยโจมตีเฉียดฉิวไปมา เขามิอาจดูแคลนอาวุธที่สร้างความเจ็บปวดจากระยะห่างนี้ได้ ท่าเท้าท่องคลื่นเดิมทีก็มิได้มีไว้เพื่อการจู่โจมอยู่แล้ว สถานการณ์จึงยากลำบากยิ่ง

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเรียกความสนใจจากแฟนคลับและผู้คนบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไร เห็นแต่ร่างเงาในชุดขาวพลิกพริ้วหลบไปหลบมาอย่างพิสดารท่ามกลางกลุ่มบอดี้การ์ดชุดดำ หนึ่งในนั้นหยิบกระป๋องโลหะขึ้นมาฉีดไปทางโน้นทีทางนี้ทีหวังจะให้โดยฝ่ายตรงข้ามที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเดาทิศทางไม่ถูก ละอองของเหลวที่ถูกฉีดออกมามีส่วนหนึ่งเข้าตาของหลี่คุนโดยบังเอิญ เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนเป็นที่สุด ไม่คิดว่ายุคนี้จะมีการใช้พิษเช่นนี้ด้วย ดวงตาข้างหนึ่งปิดสนิทส่วนอีกข้างแทบจะลืมไม่ขึ้น ร่างกายบางส่วนอ่อนแรงจากประกายไฟประหลาด เขารู้ดีว่าการใหญ่ในวันนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จ จำต้องจากไปให้เร็วที่สุด

หลี่คุนฝืนลืมตาข้างที่เหลือใช้ท่าเท้าพิสดารหลบหนีเหล่าองครักษ์ชุดดำของนักร้องหนุ่ม แต่สายตาที่มองได้เพียงมุมแคบๆ กับกระบวนท่าที่ต้องแปรเปลี่ยนทิศทางในทุกย่างก้าวทำให้เขาชนกับผู้คนที่เบียดเสียดไปทั่ว แม้ทิ้งห่างมาได้ระยะหนึ่ง แต่หากมีผู้ตั้งใจติดตามมา อาจจะจับกุมตัวเขาได้ในที่สุด ตอนนี้หลี่คุนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว เขาประมาทเกินไป ลืมไปว่ายุคนี้มีความก้าวหน้าขนาดไหน เมื่อเจอกับอาวุธประกายไฟพิสดารหรือยาพิษทำลายดวงตา เขาที่ปราศจากวรยุทธ์มีเพียงความรู้คร่ำครึจากยุคโบราณจะไปเอาชนะได้อย่างไร หลี่คุนกำลังคิดว่าจะหลบหนีไปให้พ้นจากสถานที่นี้เพื่อไปรักษาดวงตาได้อย่างไรโดยไม่ให้คนพวกนั้นพบเห็น ตอนขามาเขาใช้รถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับสนามบินซึ่งต้องลงไปชั้นล่างสุด ทันใดนั้นต้นแขนเขาก็ถูกยึดกุมไว้อย่างแน่นหนาดิ้นหนีไปไหนไม่ได้แม้จะพยายามอย่างเต็มที่
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 30-10-2019 21:27:46
ให้พี่คุณปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-10-2019 21:40:15
โอ้โห

สนุกเป็นบ้าเป็นหลัง ขำความงกของพี่คุน ฮ่าๆ ๆ ๆ  ๆ

ลุ้นแล้ว ใครมาจับพี่คุนนะ!
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-10-2019 07:30:45
สนุกมากก คุณพี่มีความหลงยุค
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 12] 31/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 31-10-2019 13:04:36
12

“อย่าดิ้นสิ ผมมาช่วยนะ รีบไปจากที่นี่กันก่อน ไม่รู้ว่าการ์ดของดาราคนนั้น หรือพวก รปภ. จะตามมาหรือเปล่า ลืมตายังไม่ขึ้นก็เกาะแขนผมดีๆ”

หลี่คุนไม่ได้ตอบอะไร ในสถานการณ์คับขันเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เสี่ยงไปกับใครก็ไม่รู้ยังน่าจะดีกว่าอยู่รอให้โดนฝั่งที่เขาไปก่อเรื่องไว้มาลากตัวไป เขายังลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่เดินเกาะชายคนนั้นไปจนสัมผัสได้ถึงอากาศอบอุ่นนอกอาคาร ก่อนจะถูกประคองเข้าไปในนั่งในรถยนต์ซึ่งเคลื่อนตัวออกทันทีเมื่อทั้งอีกฝ่ายนั่งลงข้างกันเรียบร้อยแล้ว แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ถึงเบาะหนังหนานุ่ม ความกว้างขวางโอ่โถงภายใน และการเคลื่อนที่ที่นุ่มเงียบ แตกต่างจากรถยนต์ที่เขาเคยนั่งมาก

“เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนครับ แค่สเปรย์พริกไทย ซักพักก็จะดีขึ้นเอง”

หลี่คุนรับผ้าชุบน้ำที่คนนั่งข้างๆ ส่งมาให้ไปเช็ดบริเวณดวงตาอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้ปลดผ้าปิดปากสีดำลายมังกรที่ใช้อำพรางใบหน้าอยู่ออก เขารู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นแต่ยังลืมตาไม่ได้

“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันแท้ๆ”

“ไม่รู้จักเหรอ ไม่ใช่มั๊งครับ น้องคุน คุณานนท์”

หลี่คุนเกร็งตัวอย่างระแวดระวัง รู้ว่าเขาเป็นใครทั้งๆ ที่ปิดหน้าไปตั้งครึ่งนี่นะ

“คุณรู้จักผม?”

“เรารู้จักกันครับ อยากทายไหมว่าผมเป็นใคร”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณจางอี้หลง”

คนที่มีพลังปราณอำนาจเข้มข้นแผ่ออกมาแบบนี้เห็นจะมีคนเดียว เขาสัมผัสได้มาพักหนึ่งแล้วถึงได้เสี่ยงที่จะมาด้วย

“อ้าว โดนเซอร์ไพรส์ซะเอง รู้ได้ยังไงครับนี่ จำเสียงได้เหรอ ดูท่าเราจะรู้จักกันมากกว่าที่คิดนะครับน้องคุน งั้นต้องเรียกพี่ว่าพี่อี้หลงแล้วล่ะ”

“เรียกคุณจางอี้หลงก็ดีอยู่แล้วนี่ครับ คุณเป็นคนของบริษัทแม่ ผมเป็นนักศึกษาฝึกงานในบริษัทลูกเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรให้ต้องสนิทสนมกัน”

ในอดีตคนที่มีปราณอำนาจเช่นนี้ล้วนแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ถนัดการใช้งานผู้อื่นสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง บางครั้งถึงขั้นหลอกลวงผู้คนด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่เขาจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยหากไม่จำเป็น

“เหรอครับ งั้นนักศึกษาคุณานนท์พอจะบอกเหตุผลดีๆ ที่วันนี้ไม่ไปทำงาน แต่บุกเข้าหาดาราหนุ่มขวัญใจประชาชนกลางสนามบินจนเกือบถูกบอดี้การ์ดจับตัวไว้ได้ ให้คนจากบริษัทแม่ฟังหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเป็นเรื่องขึ้นมาบริษัทก็อาจจะเสียชื่อเสียงไปด้วยนะครับ”

หลี่คุนโทษตัวเองที่ใจร้อนวู่วามแถมยังประมาทจนเสียงานใหญ่ ก็เขาทั้งโกรธแค้นทั้งกังวลว่าคลิปจะถูกปล่อยไปตอนไหนก็ได้จึงรีบลงมือ หน้ามืดตามัวเกินไปแล้ว ในชาติก่อนก็เหมือนกัน เขาทรนงที่สำเร็จกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลขั้นเจ็ดจนไร้ผู้ต่อกรยังต้องมาเสียทีให้กับพิษสะบั้นชีพจรและกองทหารปืนไฟภายใต้แผนการของขุนนางชั่ว ชาตินี้ตัวเองช่างโง่เขลาที่ไม่จดจำบทเรียนนั้นไว้ ทั้งที่ไร้ซึ่งกำลังภายใน มีเพียงท่าเท้าท่องคลื่นน้อยอันเป็นแค่วิชาสำหรับหลบหนีของผู้เยาว์ ก็หาญกล้าบุกโจมตีโดยไม่ประเมินฝ่ายตรงข้ามให้ดี การ์ดของนักร้องหนุ่มแกร่งว่าของไฮโซแบงค์ที่เขาเคยจัดการไปมาก แถมยังมีอาวุธทุ่นแรงของยุคนี้ที่เขาไม่คุ้นเคย

“เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ คุณจางอี้หลง อย่าแจ้งไปที่บริษัทเลย ยังไงผมก็ปิดหน้าไว้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ว่าผมฝึกงานที่ไหนหรอกครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานกับพนักงานบริษัทแม่ ก็คงต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องระหว่างพี่น้องก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอกออกไป”

“งั้นอย่าบอกไปที่บริษัทนะครับ..พี่อี้หลง”

หลี่คุนถูกไล่ต้อนจนต้องจำยอม ถ้าเรื่องไปถึงบริษัทก็อาจจะมีปัญหาไปถึงเพื่อนของเขาได้ ว่าแล้วว่าคนผู้นี้ถนัดการบังคับล่อลวงผู้คนไม่ใช่คนดีจริงๆ เอาเถอะ ก็แค่คำเรียกขาน อย่างไรวันนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ คราวหลังค่อยหาทางปลีกตัวออก ตอนนี้เขาพอลืมตาได้บ้างแล้วค่อยๆ ลอบมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็เห็นเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนพอใจอะไรบางอย่าง

“ก็ได้ครับ แต่ในฐานะที่เป็นพี่ น้องคุนคงต้องเล่าหน่อยว่าตั้งใจทำอะไรกับดาราคนนั้น พี่บินไฟลท์เดียวกันกับเขา เดินตามมาด้านหลังเลยเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทีแรกก็สะดุดใจลายผ้าปิดปาก พอมองรูปร่างสีผิวทั้งคิ้วทั้งดวงตาแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นได้”

“คือ.. ผมเป็นแฟนคลับของไอ้.. เอ่อ พี่แฮ็คส์ครับ พอเห็นตัวจริงก็ดีใจจนลืมตัว วิ่งไปหาพี่เขาเลย”

คำพูดชื่นชมโจรราคะอย่างแฮ็คส์ที่ออกจากปากแม้จะโป้ปดแต่ก็ชวนให้คลื่นเหียนสิ้นดีพอพูดออกไป หลี่คุนก็ใช้ความชำนาญที่ติดตัวมาประเมินว่าอีกฝ่ายเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่ แต่ก็โดนปราณอำนาจบดบังจนอ่านไม่ออกแม้แต่น้อย

“อืม ไม่คิดว่าเราจะชอบแนวฝรั่งนะ แล้วไอท่าแปลกๆ ที่เราใช้ มันคืออะไร”

“เอ่อ อ๋อ เป็นท่าเต้นโคฟเวอร์แนวเกาหลีครับ กะโชว์ให้พี่เขากับทีมงานประทับใจ เผื่อได้ไปร่วมงานด้วยจะได้ใกล้ชิดพี่แฮ็คส์”

เขาเคยร่ายรำกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยให้ซูเอ๋อร์ชมหวังถ่ายทอดไว้ให้ใช้ป้องกันตัว นอกจากอีกฝ่ายจะไม่สนใจแล้วยังบอกว่าเหมือนท่าเต้นของนักร้องประเทศโคกูรยอยุคใหม่ ตอนนั้นเขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง มิคาดว่ากลับต้องใช้ถ้อยคำของเจ้าเด็กมีตาแต่ไม่มีแววนั่นมาใช้เอาตัวรอดในครั้งนี้

“ฝึกงานกับบริษัทอยู่คิดจะไปรับงานอื่นได้ยังไง พี่ไม่อนุญาต!”

ท่าทางน่าจะเชื่อคำพูดเขาแหละ ดูโมโหที่เขาจะแบ่งเวลาช่วงที่ฝึกงานไปทำอย่างอื่นด้วยซะขนาดนั้น

เมื่อเข้ามาถึงกลางกรุง หลี่คุนขอลงตรงรถไฟฟ้าสถานีไหนก็ได้ที่เป็นทางผ่าน ปรากฎว่าโชคดีมากที่จางอี้หลงให้รถคันใหญ่นั้นแวะส่งเด็กหนุ่มตรงสถานีที่ติดกับคอนโดของเขาเองโดยบังเอิญ เมื่อขึ้นไปถึงที่ห้องก็เจอกับซูกัสที่นั่งมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะอย่างวิตกกังวล

“พี่ไม่ได้ไปฝึกงานเหรอ ทำไมกลับมาเร็ว”

“วันนี้พี่ชายลา ซูเอ๋อร์ เรื่องของน้องพี่ยังจัดการไม่สำเร็จ แต่มิต้องกังวลไป พี่จะหาทางให้จงได้”

“พี่คุน เขาติดต่อมาอีกแล้ว ผมจะทำยังไงดี”

“ในตอนนั้นเขาลบเพื่อนเราออกไปแล้วมิใช่หรือ เราบอกว่าพยายามติดต่อกลับไปใหม่ก็หาแอคเค้าท์นั้นไม่เจอแล้ว”

“ใช่พี่ แต่ตอนนี้มีแอคเค้าท์ใหม่ขอแอดเป็นเพื่อนมา รูปดีสเพลย์ก็เป็นอันเดิม แอพนี้มีพี่เขาคนเดียวที่ผมเล่นด้วย คนอื่นไม่รู้ไอดีนี้แน่ๆ ผมจะลองคุยขอร้องเขาอีกทีดีไหม แต่ถ้าโดนขู่อีกจะทำยังไง”

“ไม่มีทางอื่นแล้ว น้องตอบรับไป แล้วหาทางนัดออกมาให้เจอกันจริงๆ บอกว่าขอเจรจากันต่อหน้า”

“พี่คุนผมกลัว ไม่กล้าไปเจอหรอก”

“พี่จะไปแทนเราเองไม่ต้องห่วง น้องไปบอกให้เจ้าใหญ่เจ้ารองเจ้าสามไปซุ่มรออยู่ที่จุดอื่นคอยช่วยเหลือพี่อีกที”

อันที่จริงเรื่องนี้โอกาสสำเร็จมีไม่มาก ตัวสารเลวเชื้อสายคนเถื่อนนั่นคงเพิ่มการระวังตัวหลังจากโดนจู่โจมเมื่อเช้า  แต่เขาไม่มีทางอื่นที่จะเข้าถึงตัวนักร้องมีชื่อเสียงได้ในเวลาอันใกล้ หวังว่าความอ่อนเดียงสาของซูเอ๋อร์จะทำให้อีกฝ่ายมองว่าเป็นลูกพลับนิ่มลดยอมมาพบได้ง่ายๆ

หลี่คุนเตรียมการอย่างเต็มที่ เขาไปเลือกยาต่างๆ ที่ปรุงเก็บไว้ เมื่อเช้าเขามุ่งแก้แค้นเอาไปแต่ผงพิษผลาญทวารซึ่งใช้ไม่ได้ในการต่อสู้จริง นับว่าประมาทเกินไป คราวนี้เลยจัดเต็มที่ทั้งยาพิษยาถอนพิษ ส่วนใหญ่ยังมีความบริสุทธิ์แค่สามสี่ส่วน หลายๆ ตัวเขาก็ยังไม่ได้ทดสอบสรรพคุณให้แน่ใจ

เมื่อหลี่คุนเตรียมยาเสร็จ ซูกัสก็มาแจ้งข่าวอย่างตื่นเต้นแกมวิตกว่าแฮ็คส์ตกลงที่จะมาเจอกันแล้ว แถมยังเร่งรัดให้เป็นเย็นวันนี้อีกด้วย สถานที่เป็นร้านกาแฟหรูในห้างขนาดใหญ่ หลี่คุนประเมินแล้วเห็นว่าเป็นทำเลที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบ อย่างน้อยก็มีจุดให้ซูเอ๋อร์และพวกหลบซ่อนตัวอย่างปลอดภัยได้ในระยะไม่ไกลมาก

เมื่อนึกถึงว่าเมื่อเช้าเขาเพิ่งไปปะทะกับอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ หากโดยจำได้ตั้งแต่ต้นคงไม่ดีกับแผนการแน่ หลี่คุนจึงพยายามกำจัดจุดที่เชื่อมโยงกับตัวเขาเมื่อเช้าออกให้หมด ผ้าปิดปากถึงจะเปลี่ยนรูปแบบแล้วก็อาจสร้างความไม่ไว้วางใจจึงไม่ควรใส่ไป จางอี้หลงจำเขาได้จากสีผิวและลักษณะดวงตาทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสักเล็กน้อย หลี่คุนใช้ผงสมุนไพรผสมน้ำนำมาล้างหน้าสองสามรอบ ผิวที่ขาวเนียนเปล่งประกายโดเด่นเมื่อเทียบกับผู้คนเมืองนี้ก็ถูกฉาบด้วยสีน้ำตาลอมแดงบางเบาคล้ายโดนแดดเผา ดวงตาดอกท้อถูกบดบังบางส่วนด้วยแว่นตาแฟชั่นกรอบดำของซูกัส เมื่อรวมกับผมทรงปรกหน้านิดๆ และปากแดงอมส้มระเรื่อที่ไม่เผยให้เห็นเมื่อเช้าคงยากที่จะมีใครจดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับหนุ่มคาดผ้าลายมังกรที่ก่อความวุ่นวายจนเป็นข่าวฮือฮาบนอินเตอร์เน็ต เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำตัวใหญ่ภายในเก็บซ่อนด้วยยาผงยาน้ำหลายขนาน

ซูกัสกับเพื่อนประจำอยู่ที่ร้านขนมห่างออกไปสี่ห้าคูหาในขณะหลี่คุนแยกไปนั่งรอในร้านกาแฟที่นัดพบก่อนเวลาสังเกตการณ์ ผู้คนมองมาที่เขาเป็นระยะทำให้สมาธิลดลง ใบหน้านี้แม้จะปลอมแปลงไปบ้างแล้วยังคงเป็นที่ดึงดูดสายตาเกินไป เขาคร่ำครวญในใจรู้สึกอิจฉาเพื่อนตินผู้มีใบหน้าที่ไม่เรียกความสนใจและยากแก่การจดจำยิ่งนัก หลี่คุนไหนเลยจะรู้ว่าหนุ่มแว่นที่ดูดีเช่นนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากขนาดไหน

ก่อนเวลานัดเล็กน้อยเขาก็จับสังเกตได้ถึงลูกค้าสองสามรายที่ดูคล้ายจะมาด้วยกัน แต่พอสั่งเครื่องดื่มแล้วกลับแยกไปนั่งคนละมุม แม้จะไม่อยู่ในชุดดำเหมือนเมื่อเช้าแต่ใบหน้าคุ้นตาพวกนั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่เขาได้ประมือมาทั้งสิ้น ไม่นานก็มีชายร่างสูงใหญ่สวมหมวกและแว่นกันแดดสีดำเดินไปนั่งที่โซฟาตรงมุมด้านในที่ทั้งอับสายตาและไม่มีโต๊ะอื่นอยู่ใกล้เคียงเลย เพียงครู่เดียวซูเอ๋อร์ก็ส่งข้อความมากบอกว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้วอยู่ที่โซฟาด้านใน หลี่คุนหยิบเครื่องดื่มของตัวเองเดินไปนั่งตรงข้ามกับนักร้องหนุ่ม หางตาเห็นการ์ดนอกเครื่องแบบพวกนั้นขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาประเมินสถานการณ์ในใจ ด้วยท่าเท้าท่องคลื่นหากไม่คิดจู่โจมย่อมสามารถหลบหลีกคนพวกนี้ไปได้

“ผมเป็นพี่ชายของซู.. เอ่อ ซูกัส”

นักร้องลูกครึ่งได้ยินก็เลิกคิ้วสูงคล้ายประหลาดใจ เขาถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นใบหน้าคมสันตามแบบชาวตะวันตก หลี่คุนเห็นแล้วให้นึกถึงพวกกองทหารปืนไฟจากโพ้นทะเลยิ่งไม่รู้สึกดีด้วย

“แล้วซูกัสไปไหนครับ เขาไม่ได้มาด้วยเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”

น้ำเสียงที่ติดจะร้อนลนนั้นดูคล้ายจะมิใช่การแสแสร้ง หรือโจรราคะผู้นี้นึกเกรงกลัวต่ออำนาจบ้านเมืองจึงคิดจะไกล่เกลี่ย ดูเหมือนว่าโทษฐานการทำมิดีมิร้ายกับชายหญิงที่อายุต่ำกว่าสิบแปดขวบปีจะรุนแรงไม่น้อย

“ยังต้องพูดอะไรอีกเหรอ ก็คุณเป็นคนทำมันทั้งหมด น้องชายผมต้องหวาดกลัวแค่ไหนที่ต้องโดนข่มขู่”

“เรื่องที่เกิดขึ้นผมยอมรับผิดทั้งหมด ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ น้องน่ารักมากจริงๆ แต่ผมไม่ได้ข่มขู่อะไรเลยนะครับ น้องอายมากก็จริง แต่เราเข้าใจกันดี ผมวางแผนไว้หมดแล้วว่าจะค่อยๆ ถอนตัวออกจากวงการ เป็นคนของสังคมมันถูกจับตามองมากเกินไป แบบนี้น้องน่าจะมีความสุขกว่า แล้วพอน้องครบสิบแปด ผมจะพาไปจดทะเบียนกันที่เนเธอร์แลนด์หรือไม่ก็สเปน ไม่สิ ไปจดให้หมดทุกประเทศที่มีเลย ถือโอกาสอันนีมูนรอบโลกด้วย คุณพี่ชายครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็ทำสร้างครอบครัวที่มีความสุขให้น้องได้แน่ๆ อย่าขัดขวางเราเลย”

นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกัน เขามาด้วยความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้ซูเอ๋อร์อย่างเต็มที่ ไฉนต้องมานั่งฟังบุรุษคลั่งรักพูดพล่ามอะไรที่ไม่เข้าหูเช่นนี้ มิใช่ว่ายุคนี้กว่าจะแต่งการแต่งงานอายุก็ปาเข้าไปสามสิบกันแล้วไม่ใช่เหรอ ซูเอ๋อร์ยังอยู่ในวัยสิบหกขวบปีเท่านั้น ยังต้องอยู่กับพี่ชายไปอีกสิบยี่สิบปี ในใจลอบคิดว่าจะวางยาคนตรงหน้าด้วยพิษร้ายตัวไหนดีให้อยู่มิสู้ตายโทษฐานแย่งชิงน้องชาย

“คุณพูดบ้าอะไรนี่ ทำเรื่องชั่ว ข่มขู่บีบบังคับซูเอ๋อร์ขนาดนั้น ยังจะคิดตบแต่งน้องชายผู้อื่นไปอีก”

“ผมไม่ได้ทำอะไรน้องจริงๆ นะครับ ผมเพิ่งกลับมาจากถ่ายหนัง ผู้กำกับเข้มงวดมากเลยสั่งเก็บโทรศัพท์นักแสดงทุกคน ผมไม่ได้ติดต่อซูกัสเป็นอาทิตย์แล้ว พอถ่ายเสร็จปรากฎว่าโทรศัพท์ที่ผมฝากผู้จัดการไว้เกิดเสียแบบซ่อมไม่ได้ขึ้นมา ผมก็รีบซื้อเครื่องใหม่แทนแต่ก็ติดต่อน้องไม่ได้ เหมือนแอคเค้าท์ผมจะถูกลบไป ผมสร้างอันใหม่แล้วพยายามติดต่อเข้าไปอีก ถึงได้นัดน้องได้วันนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณพี่ชาย ดูน้องแปลกๆ ไป ใครทำอะไรเขา”

“ยังต้องให้ผมพูดอีก คุณข่มขู่ให้เขาทำเรื่องบัดสี ไม่งั้นจะเอาคลิปที่คุณล่อลวงเขาผ่านทางกล้องปล่อยออกไปในอินเตอร์เน็ท ผมเห็นข้อความพวกนั้นกับตา”

“ไม่จริง!!! ผมไม่เคยทำอย่างนั้น ผมรักน้องจะตายอยู่แล้ว โทรศัพท์ ใช่ๆ ผมฝากโทรศัพท์ไว้กับผู้จัดการ แต่เขาไม่มีพาสเวิร์ดเข้าแอพที่ผมใช้คุยกับน้องนี่ เขาเป็นเพื่อนผมเองไว้ใจได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครกล้าสวมรอยเป็นผมมาทำร้ายน้อง”

หลี่คุนใช้ทักษะอ่านใจจากการเต้นชีพจรแล้วก็บอกตัวเองว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะโกหก งั้นใครกันที่สวมรอยมาทำร้ายซูเอ๋อร์

แฮ็คส์ยกมือขึ้นส่งสัญญาณ การ์ดนอกเครื่องแบบสี่คนที่นั่งปะปนกับลูกค้าในร้านพุ่งตัวเขามายังโต๊ะที่เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ทันที หลี่คุนเตรียมผงยาชาในแขนเสื้อไว้ป้องกันตัวหากถูกจู่โจม แต่คนพวกนั้นเพียงแค่มารับคำสั่งเจ้านาย

“ทิ้งโชคไว้กับผมคนเดียวพอ ที่เหลือไปสืบเรื่องโทรศัพท์ที่พังไปแล้วของผมว่ามีการใช้งานช่วงที่ผมถ่ายหนังบ้างหรือเปล่า อ้อ เข้าไปคุยกับผู้จัดการด้วยนะว่ามีพิรุธอะไรไหม ถ้าจำเป็นก็ติดต่อขอคนของแด๊ดได้เลย งานนี้ด่วนที่สุด ไม่ต้องเกรงใจใคร”

บอดี้การ์ดรับคำสั่งแล้วก็กระจายตัวออกไป ท่าทางเฉียบขาดมีอำนาจนั้นไม่ต่างจากพวกองค์ชายในอดีต ไหนเลยจะเหมือนดารานักร้องทั่วไป นี่ซูเอ๋อร์ไปพัวพันคนที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้วใช่ไหม เขาแค่อยากอยู่กับน้องชายอย่างสงบสุข ทำมาหากินเก็บเงินเก็บทองจนกลายเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่ง

“ว่ากันต่อนะครับคุณพี่ชาย ผมต้องหาความจริงมาให้ได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ป่านนี้น้องจะกลัวขนาดไหน ขอให้ผมได้พบน้องเถอะครับคุณพี่ชาย”

“ผมยังไม่ไว้ใจคุณ เอาแค่เรื่องที่คุณเป็นโจรราคะ ล่อลวงเด็กสาว เอ่อ เด็กหนุ่ม พฤติกรรมเช่นนี้ก็ยอมรับไม่ได้แล้ว คุณต้องลบคลิปทั้งหมดของน้องผมให้หมด”

“ผมไม่เคยอัดคลิปน้องเก็บไว้เลยครับ ใครจะยอมเสี่ยงให้มีคนอื่นเห็นน้องในเวลาแบบนั้น มีแค่แคปรูปที่น้องน่ารักสุดๆ ไว้รูปเดียวเป็นที่ระลึกในโทรศัพท์เก่า”

“แค่คำพูดเป็นยืนยันอะไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าอยากเจอน้องผมจริง ขอให้คุณสูดผงนี่เข้าไป ถือเป็นหลักประกันไงครับ”

“แค่สูด? ผงอะไรครับนี่”

“ผงสมุนไพร ทำให้แสบคันทุกหกชั่วโมงไปเรื่อยๆ ไม่มีอันตรายกับร่างกาย แต่ก็รำคาญและทรมานไม่น้อยครับ ถ้าคุณกล้าสูดมันเข้าไป ผมก็จะให้โอกาสคุณแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าสำเร็จ คุณก็จะได้ยาถอนไปพร้อมกับความไว้ใจจากผม ไม่ได้บังคับนะครับ น้องผมถึงคุณไม่ยุ่งผมก็จัดการเองได้”

หนุ่มลูกครึ่งมองผงสีส้มอ่อนหน้าตาประหลาดในห่อกระดาษตรงหน้าแล้วก็ทำท่าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมันขึ้นมาในระดับสายตา หลี่คุนประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะยอมสูดผงพิษเข้าไปจริงๆ  ศีรษะของนักร้องหนุ่มก้มต่ำลงไปที่ห่อกระดาษเพียงเท่านี้ก็เกิดอาการยุบยิบที่ด้านในจมูกใจเกิดอาการลังเลอีกครั้ง

“พี่แฮ็คส์ อย่าสูดนะ ผมเชื่อพี่ ผมเชื่อพี่แล้วจริงๆ”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาน่ารักของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีที่แสนคิดถึงวิ่งหน้าตื่นร้องตะโกนห้ามเข้ามา ในใจหนุ่มลูกครึ่งพองโตอย่างบอกไม่ถูก ไม่ถือโอกาสนี้ซื้อใจว่าที่ภรรยา? แล้วจะรอให้ใครมาตัดริบบิ้น หวังว่าไอผงนี้คงไม่ทำให้ถึงตายนะ ตัดสินใจแล้วก็ทิ่มจมูกเข้าไปสูดหายใจเฮือกใหญ่ ความรู้สึกแสบคันยุบยิบผ่านรูจมูกเข้าไปเหมือนจะทรมานมากแต่กลับหายไปไร้ร่องรอย นักร้องหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ก็ยังไม่รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติตรงไหน หรือว่าพี่ภรรยาจะแค่ลองใจ นึกแล้วเชียวว่าจะมียาแปลกๆ อย่างกับในหนังแบบนี้จริงๆ ได้ยังไง

รู้สึกตัวอีกทีร่างขาวๆ อุ่นๆ ที่เคยเห็นแค่ผ่านหน้าจอก็โผเข้าใส่ ลูกครึ่งหนุ่มหน้าบานทันทีความเหนื่อยยากที่ถ่ายหนังมาเป็นอาทิตย์หายไปหมด

“ซูเอ๋อร์ ลุกออกมาเดี๋ยวนี้ บุรุษผู้นั้นยังไม่พ้นมลทิน”

“ผมฟังที่พี่คุยกันหมดแล้วไม่ใช่ฝีมือพี่แฮ็คส์ไม่ใช่เหรอ พี่คุนเอายาพิษที่พี่ปรุงมั่วๆ ให้พี่แฮ็คส์ดม ถ้ากล่องเสียงพังไปจะทำยังไง พี่เขาเป็นนักร้องนะ”

ตอนที่หลี่คุนเริ่มคุยกับแฮ็คส์เขาก็ได้ต่อโทรศัพท์ทิ้งไว้เพื่อให้พวกซูเอ๋อร์ได้ยินบทสนทนาด้วย นี่เป็นความคิดของกันดั้มเผื่อว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้หาทางช่วยทัน เห็นน้องชายมาถึงก็เข้าข้างบุรุษที่เป็นคนนอกทำให้คนเป็นพี่ชายปวดใจยิ่งนัก

“ตอนที่เราทุกข์ใจเพราะการกระทำของคนๆ นั้นก็มีแต่พี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างน้อง ฟังข้อแก้ตัวคำสองคำก็ด่วนสรุปหลายเหรอ เราหัวอ่อนเกินไปถึงได้ถูกผู้คนหลอกเอา ให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทำดีชดใช้ความผิดก่อนก็ยังไม่สาย เรามานั่งด้านนี้ พี่ชายมีอะไรจะให้”

ซูกัสผละออกจากร่างของนักร้องหนุ่มมาหาผู้เป็นพี่อย่างหงอยๆ

“นี่เป็นยาถอนพิษเก็บไว้ที่เรา มั่นใจเมื่อไหร่ค่อยมอบให้กับคนผู้นั้น แต่อย่าลืมว่าหากเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงคำลวง หรือเขามีคลิปของเราเก็บไว้ หากมอบยาไปแล้ว ก็ไร้หนทางต่อรอง”

ซูกัสมองยาลูกกลอนในมือสลับกับใบหน้าหล่อเหลาของนักร้องหนุ่มราวกับอยากจะมอบมันให้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย คนเป็นพี่ต้องทำหน้าถมึงทึงใส่เด็กหนุ่มถึงค่อยๆ เก็บยาใส่กระเป๋าอย่างทนุถนอม

“คุณก็ระวังตัวให้ดี คุณแฮ็คส์ ไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย ถ้ามีคลิปน้องผมหลุดออกมาคุณตาย”

แฮ็คส์พยักหน้าเหมือนจะรับคำแต่สายตากลับประสานแลกเปลี่ยนความเชื่อใจในกันและกันกับซูกัส หลี่คุนเห็นแล้วก็เบ้ปากกลอกตาขึ้นด้านบน เรื่องกลุ้มใจนี้ยังไม่ทันคลี่คลายก็มีความยุ่งยากใหม่เกิดขึ้นเสียแล้ว หากซูเอ๋อร์แต่งออกไปจริงเขาก็ต้องเตรียมสินเดิมไว้ไม่ให้น้อยหน้ากับฝ่ายเจ้าบ่าว แต่ตัวเขายามนี้ยากจนยิ่งนักเหลือเพียงสองตำลึงทอง

ต้องเร่งหาเงินโดยด่วน!!!

หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 12] 31/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-10-2019 21:12:27
ถถถถถถถ

ใคร ๆ ก็รวยกว่าพี่คุนค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เดี๋ยว ๆ พี่อี้หลง ตีสนิทน้องคืออัลไลลลลลลล
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 12] 31/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-10-2019 22:18:13
อยากให้มีแท็คกรี๊ดร้องงง พระเอกของคุณพี่แน่นอน ชีวิตบ้านนี้ผัวพันแต่กับคนใหญ่คนโต


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 13] 1/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-11-2019 10:32:01
13

หลี่คุนได้รับคำบอกเล่าจากน้องชายว่าแฮ็คส์กำลังเร่งสืบความจริงของเรื่องทั้งหมดอยู่  เห็นว่ามันไปพัวพันกับคนใกล้ตัวทำให้มิอาจทำอะไรผลีผลามได้ ดูเหมือนซูเอ๋อร์จะมั่นใจในตัวหนุ่มลูกครึ่งคนนี้มาก หลี่คุนไม่เร่งรัดอะไร ส่วนหนึ่งเขาอยากให้โอกาสเพราะเห็นแก่ความกล้าที่ยอมกินยาของเขาทั้งๆ ที่ยังไม่บังคับ อีกส่วนหนึ่งเพราะเขารู้ดีว่า ด้วยฤทธิ์ของผงพิษผลาญทวารที่จะสร้างความทรมานให้มากขึ้นเรื่อยๆ ยังไงบุรุษหน้าเหม็นที่คิดแย่งชิงน้องชายผู้อื่นคงต้องเร่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อแลกกับยาแก้พิษโดยไม่ชักช้าแน่

แต่ที่เขาไม่รู้คือกับดักที่เขาวางไว้ทำให้น้องชายเกิดความผูกพันกับนักร้องหนุ่มมากขึ้นทุกที ซูกัสจะคุยวิดีโอคอลกับแฮ็คส์เพื่อให้กำลังใจทุกๆ หกชั่วโมงในช่วงที่อาการกำเริบขึ้น เด็กหนุ่มสงสารจับใจเมื่อเห็นขวัญใจตัวเองอยู๋ในสภาพน้ำหูน้ำตาไหลทั้งแสบทั้งคับไปทั้งหน้า ยิ่งเมื่ออาการหนักขึ้น การล้วงแคะแกะเการ่างกายช่วงล่างก็ยิ่งออกแนวทุเรศหมดสภาพนักร้องรูปหล่อสุดเท่จนไม่มีเหลือ ซูเอ๋อร์ตั้งใจจะไปขอยาบรรเทาอาการจากพี่ชายมาให้หรือไม่ก็เอายาถอนพิษที่อยู่กับตัวเองไปทานก่อน อีกฝ่ายก็ไม่ยินยอมบอกว่าเป็นการลงโทษตัวเองที่ทำให้คนที่เขารักต้องเดือดร้อน แผนทรมานสังขารนี้นับว่าได้ผล จากที่เด็กหนุ่มออกจะไม่แน่ใจตัวเองว่าแค่ปลื้มชื่นชมจนเผลอไผลไปกับความสามารถและเสน่ห์ของอีกฝ่าย ก็เริ่มคิดว่ามันน่าจะเป็นความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันจริงๆ

หลี่คุณไม่ได้ระแคะระคายความในใจที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ของซูเอ๋อร์ เขายังคิดว่ามันเป็นความสัมพันธ์กึ่งเล่นกึ่งจริงของคนยุคนี้ที่ยังไม่แน่ว่าจะไปไกลได้สักแค่ไหน ก่อนหน้านี้เขาถูกการเล่นใหญ่ของอีกฝ่ายที่ฟุ้งไปถึงเรื่องแต่งงานซึ่งถูกจริตกับคนยุคเขาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้จนไขว้เขวไปหน่อย แต่มาถามๆ คนอื่นดู ถึงเป็นสมัยที่เปิดกว้างนี้ การแต่งงานระหว่างผู้ชายด้วยกันในแคว้นนี้ยังมีน้อยยิ่งนัก แม้กระทั่งการแต่งงานระหว่างชายหญิงก็ดูจะไม่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเหมือนสมัยก่อน เขาจึงคลายใจในเรื่องนี้ลงหันไปสนใจเรื่องอื่นแทน

หลี่กำลังเร่งคิดหาวิธีฝึกฝนกำลังภายในอย่างหนัก เหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่าหากไร้ซึ่งกำลังภายใน เขาก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งที่รังแต่จะถูกรังแก ไม่ต้องมองไปที่ไหนไกล ทุกวันนี้เขายังถูกตินเพื่อนสนิทใช้กำลังบังคับให้ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอด ทั้งๆ ที่มวยไทยที่ตินเรียนนั้น หากเป็นยุคโน้นก็จัดเป็นแค่มวยแข็งใช้เพียงกำลังภายนอกซึ่งหัดกันในหมู่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

ที่ผ่านมาเขาก็พยายามใช้การฝังเข็มและโอสถที่ปรุงขึ้นกรุยช่องทางลมปราณที่อุดตันของร่างนี้ไปได้บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะฝึกกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลเหมือนในอดีตได้ การฝึกฝนลมปราณเก้ามังกรจะต้องเริ่มตั้งแต่ยังเยาว์เพื่อให้จุดตันเถียนที่เป็นแหล่งสะสมลมปราณค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมๆ กับร่างกายที่กำลังเติบโต นั่นเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ผู้ฝึกฝนลมปราณนี้มีกำลังภายในสำรองที่มากกว่ายอดยุทธ์ผู้อื่นหลายเท่านัก ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องช่องทางโคจรพลังทั่งร่างอุดตันจากมลภาวะในยุคปัจจุบัน คุณานนท์ที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จึงมิอาจฝึกฝนลมปราณลับประจำตระกูลหลี่ได้

ในบรรดาสรรพวิชาที่บรรจุอยู่ในความทรงจำของหลี่คุน กล่าวได้ว่าไม่มีเคล็ดวิชากำลังภายในของสำนักอื่นๆ อยู่เลย ลมปราณเก้ามังกรมีความเหนือล้ำเกินไปจนเขาไม่ได้ให้ความสำคัญวิชากำลังภายที่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย มีเพียงวิชากำลังภายในอีกสายหนึ่งเท่านั้นที่เขาเคยศึกษาทำความเข้าใจเพื่อนำไปถ่ายทอดให้ผู้อื่น

‘เคล็ดวิชากำลังภายในบุปผาเร้นวารี’

เคล็ดวิชานี้มีความแปลกพิสดารจนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิชานอกรีต มีส่วนคล้ายลมปราณเก้ามังกรตรงที่เน้นการสะสมกำลังภายในไว้ที่จุดตันเถียน หากต่างกันตรงที่ผู้ฝึกจะอาศัยพลังจากภายนอกไม่ได้สร้างจากการโคจรกำลังภายในด้วยตัวเอง พลังภายนอกที่ว่าคือพลังหยางของผู้อื่น บรรพชนในอดีตกาลได้คิดค้นวิชานี้เพื่อให้สตรีอ่อนแอที่ไม่ได้ฝึกฝนลมปราณสามารถดูดซับพลังหยางของบุรุษใกล้ชิดมาเปลี่ยนเป็นกำลังภายในเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

ในชาติก่อนหลี่คุนเคยลอบเข้าวังหลวงถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีให้กับฮองเฮาเพื่อให้นางใช้ป้องกันตัวเองจากการแก่งแย่งชิงดีประทุษร้ายในราชวงศ์ ฮองเฮาได้รับความรักใคร่ใกล้ชิดสนิทสนมจากฮ่องเต้มากทำให้ดูดซับพลังหยางเข้มข้นของโอรสสวรรค์สะสมเป็นกำลังภายในเก็บไว้ไม่น้อย ในคราที่ถูกยาพิษจากกุ้ยเฟยคู่อาฆาตก็สามารถขับพิษออกได้เองสร้างความประหลาดใจให้กับหมอหลวงเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเคยถึงกับช่วยชีวิตองค์ฮ่องเต้สะกัดการจู่โจมลอบสังหารของนักฆ่าได้อย่างหวุดหวิด ไม่มีใครคิดว่าฮองเฮาผู้เป็นสตรีอ่อนแอไม่เคยฝึกวรยุทธ์จะสามารถปัดลูกธนูดอกนั้นได้ด้วยมือเปล่า

วิชานี้เป็นความลับอย่างยิ่ง หากสตรีอ่อนแอทั่วแคว้นสามารถเพาะบ่มกำลังภายในได้ด้วยวิธีลัดเช่นนี้จะเกิดความวุ่นวายเพียงใด ตลอดทุกยุคตระกูลหลี่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับสตรีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อแว่นแคว้นและมีคุณธรรมสูงเท่านั้น ผู้ที่ได้รับเคล็ดวิชานี้ไม่อาจถ่ายทอดต่อให้ผู้อื่นได้เพราะต้องใช้การฝังเข็มตามตำแหน่งลับเพื่อปรับสภาพร่างกายด้วย แม้จะเป็นวิชาที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับอิสตรี แต่ตระกูลหลี่มีบันทึกไว้ว่าในสมัยราชวงศ์ซ่งเคยมีการถ่ายทอดวิชานี้ให้กับบุตรชายคนรองของตระกูลที่ร่างกายบกพร่องแต่กำเนิดฝึกฝนลมปราณไม่ได้จนสามารถใช้วรยุทธ์ได้ หลี่คุนตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขาผู้เคยสำเร็จถึงขั้นเจ็ดของยอดวิชาลมปราณเก้ามังกรย่อมทำใจไม่ได้ที่จะฝึกฝนวิชาลมปราณที่ใช้แล้วหมดไป จะฟื้นฟูเองก็ไม่ได้ต้องพึ่งพาพลังหยางจากผู้อื่น แต่คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น

หลี่คุนเริ่มการฝึกเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีด้วยการฝังเข็มตัวเองเพื่อปรับสภาพจุดตันเถียนให้พร้อมที่จะซึมซับพลังหยางจากภายนอก การฝังเข็มที่พิสดารซับซ้อนนี้กินเวลาถึงหกชั่วยามและต้องใช้การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าร่วมด้วย เมื่อแล้วเสร็จอาณาเขตจุดตันเถียนของหลี่คุนก็เริ่มมีรูปร่างชัดเจนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว แม้จะเล็กยิ่งแต่ก็เป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมแล้วที่จะเริ่มเก็บสะสมกำลังภายใน

บุรุษคนอื่นในยามนั้นก็มีแต่ซูเอ๋อร์เท่านั้น เขาหาข้ออ้างหลอกล่อน้องชายมาจับมือเพื่อดูดซับพลังหยางเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็พยายามโคจรพลังไปเส้นลมปราณที่ค่อนข้างตีบตันเพื่อเปลี่ยนสภาพให้กายเป็นกำลังภายในไปเก็บกักไว้ที่จุดตันเถียน เขาพยายามอยู่นานจนซูกัสสงสัย แต่จุดตันเถียนขนาดเพียงเมล็ดถั่วเขียวนั้นก็ไม่เต็มเสียที จะว่าไปความเข้าใจในเรื่องการดูดซับพลังหยางตามเคล็ดวิชานี้ของเขาก็มีไม่มากเท่าไหร่ คราเมื่อถ่ายทอดให้ฮองเฮาในตำรากล่าวไว้ว่าหากเป็นสตรีที่มีสามีแล้วเรื่องพวกนี้ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติเขาถึงมิได้ใส่ใจในจุดนี้

หลี่คุนให้ซูเอ๋อร์ตามเจ้าใหญ่เจ้ารองและเจ้าสามมาที่คอนโดโดยบอกว่าจะแจกโอสถบำรุงผิวหน้าให้เพิ่มเติมทำให้ทั้งหมดรีบรุดมาทันที จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างว่าจะตรวจสอบสภาพผิวลูบคลำร่างกายส่วนต่างๆ เพื่อทดลองฝึกฝนการดูดซับพลังหยาง หลังจากทดลองกลับไปกลับมาระหว่างหนุ่มรุ่นน้องทั้งสี่จึงค้นพบว่าซูเอ๋อร์อายุน้อยกว่าเพื่อนทำให้มีพลังหยางที่บริสุทธิ์แต่บางเบาเกินไป เจ้ารองและเจ้าสามดีกว่าเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ส่วนเจ้าใหญ่กันดั้มที่สูงวัยกว่าเกือบหนึ่งปีและเป็นนักกีฬาให้พลังหยางที่เข้มข้นกว่าจนเกือบจะใช้การได้ เสียดายที่ปนเปื้อนพลังอื่นมากเกินไป

“พี่คุนเป็นอะไรนี่ มาถึงก็ลูบๆ คลำๆ พวกเราเสียหายนะ”

เด็กสี่คนเขินหน้าแดงจนต้องโวยวายออกมา ถึงแม้ไม่ได้คิดอะไรในแง่นั้นแต่การถูกหนุ่มหล่อระดับเทพมาแตะเนื้อต้องตัวใกล้ชิดก็ทำให้ใจไม่ดีเอาง่ายๆ หลี่คุนได้ยินก็หยุดมืออย่างเสียดาย สงสัยจะทำมากเกินไปจนเจ้าพวกนี้นึกว่าโดนหลอกกินเต้าหู้

“บุรุษด้วยกันแตะเนื้อต้องตัวนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไรไป พี่ชายก็แค่เอ็นดูพวกเรา”

“พี่พูดเองนะ งั้นผมขอแล้วกัน หมั่นเขี้ยวมานาน คนอะไรแก้มใสน่าฟัดเหมือนหลานชายผมเลย”

กันดั้มตรงเข้าไปเอาจมูกถูไถแก้มของหลี่คุนอย่างหยอกล้อ คนอื่นๆ เห็นเข้าก็เอาอย่างบ้าง ต่างแย่งชิงความใกล้ชิดสนิทสนมกับพี่ชายที่ชื่นชมจนหลี่คุนเหมือนถูกรุมแกล้งด้วยเด็กยักษ์กลุ่มใหญ่ พลังหยางจากแต่ละคนแม้ไม่มากนักแต่ก็หลั่งไหลเข้าร่างกายหลี่คุนหมุนเวียนไปตามวงโคจรเปลี่ยนเป็นกำลังภายในไปเก็บสะสมไว้ที่จุดตันเถียนอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็เกินกว่าอาณาเขตขนาดเม็ดถั่วเขียวจะรองรับได้เกิดการระเบิดเบาๆ ขึ้นภายใน

จุดตันเถียนพลันขยายออกจนมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง

หลี่คุนเผลอวาดฝ่ามือออกไปกระทบจุดบนร่างใหญ่แบบนักกีฬาที่ทาบมาจนเขาดิ้นไม่หลุด กระแสลมปราณบางเบาไหลออกไปจากปลายนิ้วด้วยความชำนาญที่ติดมาจากชาติก่อน ร่างของกันดั้มแน่นิ่งหยุดเคลื่อนไหวทันทีทำให้หลี่คุนดิ้นหลุดออกมาจากการถูกรุมได้

กำลังภายในบุปผาเร้นวารีครึ่งขั้น?

วิชาสะกัดจุดเขากลับมาใช้ได้แล้ว!!!

หลี่คุนรีบฉวยโอกาสที่เจ้าใหญ่กันดั้มยังงงๆ รีบคลี่คลายจุดให้ทันที เขาทำทีเป็นตำหนิเพื่อกลบเกลื่อน

“เลิกเล่นได้แล้ว พวกนายเป็นเด็กทารกหรือไง”

กันดั้มเกาหัวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกช๊อตแล้วเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่ช่วงนึงสั้นๆ แม้ตอนนี้จะขยับได้แต่ยังรู้สึกขัดๆ

“พี่คุน เมื่อกี๊เล่นกันเหมือนผมเป็นตะคริวที่หลัง ยังชาหนึบๆ อยู่เลย”

นั่นเป็นอาการปกติหลังจากที่ถูกคลายจุด การสะกัดจุดเป็นการใช้พลังลมปราณไปขัดขวางเส้นทางโคจรพลังพื้นฐานทำให้ร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนขยับไม่ได้ แม้จะขจัดพลังลมปราณภายนอกออกไปแล้ว เลือดลมก็จะยังเดินไม่สะดวกไปอีกระยะหนึ่ง ที่จริงปล่อยไว้สักพักก็จะหายเอง แต่หลี่คุนลอบตรวจสอบกำลังภายในที่สะสมอยู่พบว่าหายไปเกือบหมดแล้วต้องเร่งเติมโดยด่วน

“งั้นถอดเสื้อแล้วนอนคว่ำลง พี่จะนวดเฟ้นให้”

กันดั้มทำตามแต่โดยดี หลี่คุนค่อยๆ นวดคลายเส้นให้พร้อมกับดูดซับพลังหยางของเด็กหนุ่มเข้ามาสะสมอีกรอบ พลังหยางมีความสัมพันธ์กับความมุ่งมั่นอำนาจความเข้มแข็งเป็นผู้นำซึ่งเป็นลักษณะของบุรุษของแต่ละคน พลังหยางของคนยุคนี้บางเบากว่าแต่ก่อนมาก อาจจะเพราะชีวิตค่อนข้างสะดวกสบาย แม้เป็นบุรุษก็ไม่ต้องป้องกันตัวเองจากโจรผู้ร้าย ปกป้องสตรี ออกทัพจับศึก หรือแม้แต่คิดทำการใหญ่ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมากมาย ในกรณีของเจ้าใหญ่ น่าจะเพราะเป็นนักกีฬาที่ต้องมุ่งมั่นทุ่มเทฝึกซ้อมแข่งขันเอาชัย ทำให้มีพลังหยางที่เข้มข้นมากกว่าเพื่อนๆ น่าเสียดายที่ปนเปื้อนพลังหยินมากเกินไป ดูถ้าน้องชายผู้นี้จะมีชะตาดอกท้อเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแม่นางที่ไม่ค่อยสงวนตัวในยุคนี้ไม่น้อย

“เจ้าใหญ่ พี่ชายได้ศึกษาการแพทย์จีนมาบ้าง รู้สึกว่านายจะหมกมุ่นกับการรวมหยินผสมหยางมากเกินไป เวลานี้ยังหนุ่มแน่นอาจไม่เป็นอะไร แต่ต่อไปจะเกิดอาการไตบกพร่อง แก่กว่าวัย ผมหงอก ไม่คึกคะนองเหมือนเดิม ยิ่งนายทำมันกับสตรีมากหน้าหลายตา ผลเสียจะยิ่งมากขึ้น”

กันดั้มตกใจมาก เขาเป็นพวกเงียบๆ แต่ฟาดเรียบไม่เหลือ ตั้งแต่เข้าสู่วัยหนุ่มก็ใช้หุ่นนักกีฬาและหน้าตาที่คมคายสร้างสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดกับสาวๆ รุ่นพี่มาโดยตลอด แม้แต่เพื่อนๆ ก็ไม่รู้ด้านมืดอันนี้ของเขาเท่าไหร่ ถึงจะพูดจาแปลกๆ ตามสไตล์พี่คุน แต่เขาพอเดาได้ว่ากำลังเตือนเขาเรื่องนี้ พี่แกรู้ได้ยังไง

“นายต้องลดการร่วมหอกับสตรีเหล่านั้นลงบ้าง”

หลี่คุนเตือนต่ออย่างหวังดี
 
“เอ่อ อ่า ผมก็ไม่ค่อยได้ทำที่หอหรอกครับ พวกเจ๊ๆ ชอบไปที่โรงแรมมากกว่า ต่อไปผมจะเลี่ยงการร่วม..ที่หอนะครับ”

“จะที่ไหนก็ลดๆ ลงบ้าง เจ้าลูกเต่า!”

พอดูดซับพลังหยางจากกันดั้มจนเต็ม หลี่คุนก็แจกยาเสริมหล่อให้ทุกคนแถมยาจีนบำรุงหยางชุดใหญ่ให้กันดั้มเป็นพิเศษก่อนจะไล่กลับไปเพราะทดลองเรื่องนี้จนเป็นที่พอใจแล้ว กำลังภายในบุปผาวารีครึ่งขั้นเพียงพอให้สะกัดจุดและคลายจุดได้เพียงหนึ่งรอบ ช่างน้อยนิดจนไม่นับเป็นอันใดได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็พิสูจน์ว่าเขามาถูกทางแล้วในการนำกำลังภายในกลับมาใช้ในยุคนี้ อย่างน้อยวิชาสะกัดจุดก็สามารถใช้เป็นไม้ตายก้นหีบในยามคับขับได้ดี

ในวันรุ่งขึ้น หลี่คุนก็ไปฝึกงานพร้อมกับกำลังภายในที่เต็มเปี่ยมในจุดตันเถียน เมื่อเจอใบหน้าสุดแสนธรรมดาที่ยอดเยี่ยมของเพื่อนสนิท เขาก็นึกได้ว่านี่คือหนึ่งในเป้าหมายของการแก้แค้น เขาเกร็งฝ่ามือฉาบด้วยกำลังภายในบางเบาตบไปตามแนวขนานของหัวตินแบบที่คนยุคนี้เรียกว่าเบิ๊ดกะโหลกจนอีกฝ่ายหัวคะมำ

“ไอเชี่ยเจ็บ”

“แล้วทีมึงทำกูล่ะ ไอเหี้ยติน”

กับตินเขาพูดภาษายุคนี้ได้คล่องปากมาก

“กูตบมึงแรงขนาดนี้ที่ไหน มึงตาย”

ตินชกท้องอีกฝ่ายอย่างแรง กับเพื่อนคนนี้เขาไม่เคยออมมืออยู่แล้ว ด้วยหน้าตาแบบไอคุนถ้าไม่มีเขาคอยเตือนสติสักคน คนอื่นคงเอาใจจนมันเหลิงกลายเป็นพวกหล่อไม่เห็นหัวคนอื่นแน่ นี่คือความหวังดีที่มาพร้อมกำปั้นของเขา

ปึ่ก!

หมัดของเขากระทบกับหน้าท้องที่แข็งอย่างไม่น่าเชื่อ นี่มันไม่ต่างอะไรกับกล้ามท้องของนักมวยเจนเวทีที่ฟิตร่างกายมาเป็นอย่างดี จะเป็นไปได้ยังไง คุณานนท์หุ่นดีแบบนายแบบแต่ไม่มีหน้าท้องที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อย่างนี้แน่เขามั่นใจ เขาพยายามถลกเสื้อนักศึกษาสีขาวของเพื่อนออกหวังดูให้หายข้องใจ แต่การปัดป้องของอีกฝ่ายดูจะมีพละกำลังมากกว่าแต่ก่อนจนเขาต้องเอาจริง ไหนเลยเขาจะรู้ว่าหลี่คุนลอบใช้กำลังภายในบางส่วนมาสร้างระฆังทองคุ้มครองกายตามเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลิน

“อ้าว เด็กฝึกงานอย่าเล่นกันสิจ๊ะ ถึงเห็นแล้วมันจะกระชุ่มกระชวยดีก็เถอะ เอาไว้ช่วงพักนะหนุ่มๆ เจ๊จะรอดู”

พอได้ยินเสียงกึ่งดุกึ่งแซวดังขึ้นจากพี่พนักงานทั้งคู่ก็พักรบชั่วคราว หลี่คุนลอบถอนหายใจ เพียงการต่อสู้สั้นๆ ที่ไม่จริงจังเขาก็ใช้กำลังภายในที่เก็บไว้จนหมดสิ้น ความสำเร็จของวิชาบุปผาเร้นวารีแค่ครึ่งขั้นนี่ไม่พอที่จะใช้ในการต่อสู้แน่ๆ เขาจำเป็นต้องหาแหล่งพลังหยางดีๆ เข้ามาเยอะๆ ในคราเดียวเพื่อทะลวงอาณาเขตจุดตันเถียนให้ขยายตัวออกไปอีก

“ไปสิวะ จะยืนอยู่ให้พี่เขาด่าอีกเหรอ”

ตินเอาแขนโอบคอเพื่อนแล้วลากตัวออกไปทางโต๊ะเด็กฝึกงาน พลังงานหยางไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายหลี่คุนอย่างต่อเนื่อง เขาถึงกับเอามือไปโอบเอวตินอีกทางเพื่อเพิ่มพื้นที่รับพลัง มันเข้มข้นกว่าของเจ้าใหญ่กันดั้มราวสามส่วนแต่ความบริสุทธิ์สูงกว่ามาก ตินฝึกมวยไทยซึ่งเป็นกีฬาเชิงต่อสู้ไม่แปลกที่จะให้พลังหยางที่คุณภาพดีเช่นนี้ แถมยังไม่ปนเปื้อนพลังหยินด้วย

“เฮ้ยติน พวกนักมวยนี่ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ หรอกหรอวะ”

“ใช่ที่ไหน นักมวยโคตรเท่เลย สาวตรึม แต่ต้องคอยระวังตัว พวกค่ายมวยไทยส่วนใหญ่จะเคร่งครัดเรื่องพวกนี้ ต่อให้มีแฟนแล้วก็ยังไม่ค่อยได้จู๋จี๋กัน ช่วงฟิตซ้อมก่อนแข่งนี่ ห้ามมีอะไรกันเด็ดขาด ช่วยตัวเองยังไม่ได้เลย”

ตินตอบเพื่อนไปตรงๆ หลี่คุนได้ยินถึงกับตาวาว เหล่าชายฉกรรจ์ที่มุ่งมั่นฝึกยุทธ์ แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ  ห้ามมีอะไรกับสตรี ห้ามปลอดปล่อยพลังหยางเข้มข้นออกจากร่างกาย นี่มันแหล่งพลังงานชั้นยอดชัดๆ

“ตินนนนนน จะไปค่ายมวยอีกเมื่อไหร่”

————————————

Tag เรื่องนี้ #อี้หลงคุน
แท็คที่วังเวงที่สุดในจักรวาลทวิต 55
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 14] 6/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-11-2019 15:01:10
14

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหล่ะครับ ผู้จัดการผมเขากลัวเรื่องที่ผมหลงน้องมากจะทำให้งานเสีย คิดไปเองว่าน้องจะมาหลอกลวงอะไรผม เลยวู่วามใช้มือถือผมแกล้งส่งข้อความขู่ออกไป แต่เขาไม่ได้คิดจะทำจริงหรอกครับ กะว่าถ้าน้องไม่จริงจังคงจะเงียบหายไปเอง ผมรู้จักพีทมาตั้งแต่มัธยม เขาไม่ใช่คนที่จะทำร้ายคนอื่นหรอกครับ”

แฮ็คส์เล่าเรื่องที่ไปสืบมาได้ให้กับพี่ชายของซูกัสที่นัดมาเจอกันที่ร้านกาแฟอย่างโล่งใจ ทีแรกเขากังวลมากเมื่อลูกน้องแจ้งร่องรอยการใช้โทรศัพท์เขาในช่วงที่โดนเก็บตัวอยู่กับกองถ่ายว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พีทผู้จัดการของเขาเป็นคนเก็บรักษาโทรศัพท์ไว้ แถมเมื่อเช็คข้อความข่มขู่แต่ละอันที่ซูกัสได้รับ ก็ตรงกับการใช้ดาต้าบนโทรศัพท์เครื่องนั้นที่เช็คมาจากเครือข่ายผู้ให้บริการ เมื่อไปสอบถามจากพีทที่แรกก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายเมื่อหลักฐานแน่นหนา ก็สารภาพว่าเป็นคนส่งข้อความไปข่มขู่เองเพราะกลัวแฮ็คส์ถูกหลอก แต่ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายซูกัสอย่างแน่นอน

นักร้องหนุ่มยังติดใจสงสัยอยู่บ้าง จริงอยู่ที่เขาให้รหัสเข้าโทรศัพท์ไว้กับผู้จัดการเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน แต่แอฟที่เขาใช้คุยกับน้องมันมีพาสเวิร์ดต่างหากพีทไม่ควรเข้าไปใช้งานได้ พอถามไปพีทก็บอกว่ามันเข้าใช้งานเองอัตโนมัติ เนื่องจากโทรศัพท์เครื่องนั้นพังไปตั้งแต่ต้นแล้วเลยพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนสมัยเรียนสารภาพเรื่องราวออกมาอย่างน่าเห็นใจ และยืนยันถึงขั้นสาบานว่าไม่มีเจตนาทำร้ายซูกัสเขาเลยมั่นใจว่าเป็นจริงตามนั้น

“ต้องขอโทษทุกคนด้วยครับที่ผมทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ พอดีผมกับแฮ็คส์เป็นทั้งเพื่อนทั้งผู้ร่วมงานกันมานาน เลยออกจะกังวลแทนเขามากไปหน่อย”

ผู้จัดการของแฮ็คส์ค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษเด็กหนุ่มสองคนที่อ่อนอาวุโสกว่า

“นี่เราพามาเจอซูกัสแล้วนะพีท นายจะได้เห็นกับตาว่าเด็กน่ารักอย่างนี้จะมาหลอกอะไรเราได้ หรือถ้าโดนหลอกจริง เราก็เต็มให้หลอกทั้งตัวทั้งหัวใจ”

นักร้องหนุ่มพูดกับเพื่อนควบตำแหน่งผู้จัดการอย่างสบายใจ แล้วถือโอกาสหยอดใส่เด็กหนุ่มที่หมายปองแถมไปด้วย หลี่คุนได้ยินถึงกับกลอกตามองไปด้านบนอย่างที่เห็นคนสมัยนี้ชอบทำ แม้แต่เขาที่มาจากหกเจ็ดร้อยปีก่อน ยังรู้สึกว่าวาจาเกี้ยวพาราสีนี้เชยจนสุดจะทนจริงๆ

“จริงครับ หน้าตาดีมากทั้งพี่ทั้งน้องเลย ถ้ายังไงพี่พาเข้าวงการให้ได้นะครับ จะดูแลให้เป็นพิเศษเลย”

พีทพูดกับสองพี่น้องอย่างผูกมิตรพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ ซูกัสเห็นท่าทางที่ดูจริงใจในการชักชวนของอีกฝ่ายก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ถ้าพี่คุนของเขาได้เข้าวงการจริงจะโด่งดังขนาดไหน แต่พอนึกถึงนิสัยประหลาดๆ ตั้งแต่หลังอุบัติเหตุของพี่ชายก็รู้สึกว่าเอาไว้ให้หายสนิทก่อนก็แล้วกัน

“ผมยังไม่สนใจครับ ตกลงว่าเรื่องทั้งหมดสรุปจบลงแบบนี้ใช่ไหมครับคุณแฮ็คส์”

“ใช่ครับ พีทเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ส่วนเรื่องที่น้องต้องมาตกใจเสียขวัญ ผมเองก็ปวดใจครับ ถ้ามีอะไรที่จะให้ผมชดเชยได้ คุณพี่ชายบอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดีรับผิดชอบทั้งหมด อ้อ นอกจากการรักน้องให้มากกว่านี้นะครับ เพราะมันเต็มร้อยไปนานแล้ว”

พอเถอะ อย่าได้พ่นวาจาแสนเชยนั้นออกมาอีกเลย แม้แต่สมัยราชวงศ์หมิงของเขาก็ไม่มีใครเกี้ยวสตรีหวานเลี่ยนเช่นนี้ หลี่คุนนึกในใจแล้วก็หันไปมองหน้าซูเอ๋อร์

“งั้นก็ต้องแล้วแต่ซูกัสแล้วกัน ตัดสินใจเอาเอง ยาเม็ดนั้นพี่ให้ไปแล้วจะทำยังไงก็แล้วแต่”

“ผมเชื่อใจพี่แฮ็คส์ครับ พี่เขาก็พยายามเต็มที่จนได้ความจริงมาแล้ว  ที่ผ่านมาทรมานขนาดไหนพี่เขาก็ไม่เคยบ่น พี่แฮ็คส์ ทานยาเถอะครับ”

แฮ็คส์มองเด็กน้อยปากแดงอย่างซาบซึ้ง ใจหนึ่งก็นึกเสียดายที่ช่วงเวลาพิเศษระหว่างกันทุกๆ หกชั่วโมงต้องสิ้นสุดลง แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อ เขาต้องกลับไปทำงาน เด็กน้อยพอเปิดเทอมก็ต้องไปโรงเรียน จะมามัวนั่งคันนั่งเฝ้ากันแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ เขารับยาลูกกลอนมาจากมือขาวเนียนเอาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามทันที พีทมองอย่างงงๆ ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เขารู้แต่ว่าแฮ็คส์ขอลางานยาวเพราะปัญหาสุขภาพ

หลี่คุนสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจคิดว่าสุดท้ายเรื่องก็จบไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ เขาปล่อยให้น้องชายตัดสินใจด้วยตัวเองเพราะอีกไม่นานซูเอ๋อร์ก็จะเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จะมามัวพึ่งพาคนอื่นไปตลอดไม่ได้ ซูเอ๋อร์เชื่อใจคนผู้นั้นเขาก็จะเชื่อด้วย เสียดายที่ในบรรดาคนเหล่านี้ มีหนึ่งคนที่โกหก!

ตั้งแต่ที่หลี่คุนฟื้นกำลังภายในมาได้เล็กน้อย ความสามารถในการอ่านการเต้นของชีพจรและอาการทางกายอื่นๆ ของเขาก็พัฒนาขึ้น ผู้จัดการของแฮ็คส์ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย เรื่องนี้ยังมีเบื้องหลังที่ถูกปกปิดไว้เป็นแน่ เขารู้สึกผิดหวังในตัวนักร้องหนุ่มเป็นอย่างมาก ความคิดตื้นเขินไม่ทันคนเช่นนี้จะดูแลน้องชายเขาได้อย่างไร

“งั้นถือว่าเรื่องทั้งหมดก็เคลียร์กันไปแล้วนะครับ ผมต้องขอโทษแทนผู้จัดการของผมอีกครั้ง ส่วนพีท ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนายไม่ต้องมาดูแลเราอีกแล้วนะ ค่าชดเชยที่เลิกสัญญาก่อนกำหนดเราจะให้ทนายความจัดการให้ นายได้เต็มที่แน่นอนไม่ต้องห่วง”

หน้าตาที่สุภาพชวนให้สนิทใจของผู้จัดการขึ้นสีเลือดอย่างตกใจแกมโกรธจัด

“นายทำอย่างงี้ได้ไง เราอธิบายเรื่องทั้งหมดไปแล้ว เจ้าตัวเขาก็ไม่เห็นเดือดร้อน เด็กนี่มันสำคัญกว่าเราที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานตรงไหน”

“เรารู้แต่ว่าคงทำงานกับคนที่ทำลายความไว้ใจของเราต่อไปไม่ได้แล้วล่ะพีท ให้จบกันด้วยดีเถอะ ต่อไปเจอหน้ากันยังทักทายตามประสาเพื่อนเก่าได้บ้าง

พีททำท่าระงับอารมณ์ก่อนจะผลุนผลันออกไปจากร้านกาแฟ หลี่คุนนึกในใจว่าเขาอาจดูเบานักร้องลูกครึ่งผู้นี้เกินไป ถึงจะดำเนินการไม่เด็ดขาดอย่างที่เขาอยากเห็น แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักแยกแยะว่าผู้ใดไม่ควรเก็บไว้ใกล้ตัว แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพอใจกับผลลัพธ์เพียงแค่นี้ จากการดูโหงวเฮ้งและอ่านอากัปกิริยาของผู้จัดการคนนั้นอย่างละเอียด หลี่คุนรับรู้ได้ถึงความคิดชั่วร้ายที่ซ่อนไว้ไม่มิด คนแบบนี้หากเป็นในชาติก่อนต้องสังหารทิ้งหรือเนรเทศออกไปในทันที แต่ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงแล้ว ก็ต้องหาวิธีจัดการแบบอื่น ก่อนอื่นเขาควรจะหาทางเพิ่มกำลังภายในให้มากกว่านี้ คิดทำงานใหญ่จะประมาทแบบครั้งก่อนไม่ได้แล้ว

………………………………………………………………………

“นี่คือค่ายมวยที่มึงฝึกมาตั้งแต่เด็กเหรอวะติน”

หลี่คุนมองไปรอบๆ ค่ายมวยไทยที่ตินพามา บรรยากาศที่คล้ายสำนักฝึกยุทธ์ในชาติก่อนทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก นักมวยหลายคนกำลังฝึกซ้อมมีตั้งแต่รุ่นเด็กไปจนถึงหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ แต่ก็จำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดของโรงฝึก

“ค่ายมวยครูเผด็จ คนในวงการรู้จักทุกคน แต่ก่อนดังมาก มีนักมวยเก่งๆ ระดับแชมป์หลายคน แต่เดี๋ยวนี้ซบเซาลงเยอะ มีค่ายมวยใหญ่ๆ ที่เจ้าของเป็นนายทุนหรือผู้มีอิทธิพลเปิดใหม่เต็มไปหมด พวกนี้แหละมาดูดคนไปทำเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ จะหาค่ายมวยที่เจ้าของเป็นครูมวยเองอย่างนี้ไม่ค่อยได้แล้ว”

หลี่คุนฟังคำอธิบายของตินอย่างสนใจ แค่เห็นการฝึกซ้อมที่ทั้งเข้มงวดมีวินัยแต่ก็ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันเขาก็บอกได้ว่าเจ้าของค่ายมวยแห่งนี้มีจิตวิญญานของครูผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง หลี่คุนไม่คุ้นเคยกับศาสตร์แห่งมวยไทยเท่าใดนัก แต่ก็บอกได้ว่าเป็นวิชามวยแข็งที่มีท่วงท่าเด็ดขาดดุดันสามารถใช้ทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธในการต่อสู้จริง

ตินพาหลี่คุนไปแนะนำให้รู้จักพี่ๆ น้องๆ ในค่าย ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แม้จะโดนแซวอยู่บ้างว่าขาวหล่อแบบนี้จะฝึกมวยไหวเหรอ หลี่คุนยิ้มรับไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่ได้ตั้งใจจะเรียนมวยไทยอย่างจริงจังอยู่แล้ว พื้นฐานวรยุทธ์เขาในชาติก่อนเป็นวิชามวยอ่อนที่เน้นการใช้กำลังภายใน หากมาเรียนมวยแข็งที่ใช้กำลังภายนอกอย่างมวยไทยจะทำให้แนวทางสับสนได้

หลี่คุนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทำทีไปฝึกหัดมวยขั้นพื้นฐานพอเป็นพิธี สิ่งที่เขาสนใจริงๆ คือพลังหยางที่แผ่กระจายไปทั่วค่ายมวยมากกว่า ยิ่งนักมวยรุ่นใหญ่เนื้อตัวตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อก็ยิ่งมีไอหยางที่เข้มข้นดึงดูดให้เขาเข้าไปตีสนิท หลี่คุนได้จับเนื้อจับตัวนักมวยหนุ่มที่เปลือยท่อนบนฝึกพวกนั้นไปบ้างเท่าที่พอมีโอกาส พลังหยางของบุรุษเชื้อสายนักรบวัยฉกรรจ์พรั่งพรูเข้าจุดตันเถียนของเขาอย่างรวดเร็ว เสียดายว่าการสัมผัสในช่วงสั้นๆ ไม่นานพอที่จะเติมเต็มจุดตันเถียนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองของเขาได้ จับนานไปนิดก็เริ่มโดยแซวว่าคิดอะไรกับพวกพี่ๆ เขาหรือเปล่า ทำให้ต้องวางมือเพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นต้วนซิ่วหวังกินเต้าหู้นักมวยหุ่นล่ำขึ้นมา

หลี่คุนออกมาเดินเตร็ดเตร่เพื่อคิดหาช่องทางในการดูดซับพลังหยางจากบรรดานักมวยหนุ่มให้แนบเนียนขึ้น เขาเข้าไปตรงด้านในของโรงฝึกโดยไม่รู้ตัวจนไปพบกับแคร่ไม้สี่ห้าตัวเรียงกันเป็นตับ แคร่อันที่ใกล้ที่สุดมีนักมวยผิวเข้มอายุประมาณปลายยี่สิบสวมกางเกงมวยตัวเดียวกำลังนอนหงายให้ชายสูงอายุนวดตัวอยู่จนเนื้อตัวมันละเลื่อมไปด้วยน้ำมันมวย หลี่คุนเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างสนใจ วิธีที่ใช้รีดคลายเส้นมีทั้งส่วนที่เหมือนและส่วนที่ต่างกับวิชาแพทย์ที่เขาศึกษามาในอดีต สังเกตไปสักพักเขาก็เริ่มจับแนวทางการนวดแบบไทยนี้ได้ ไม่นึกว่าจะสามารถใช้การนวดเพียงอย่างเดียวเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังลมปราณเข้าช่วย

“ผู้อาวุโส นี่เป็นการนวดเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมออกศึกใช่หรือไม่ครับ”

หลี่คุนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามขึ้น

“ผู้อาวุโสอะไรของเอ็งวะ เรียกข้าลุงมีเหมือนคนอื่นๆ แหล่ะ เอ็งมาจากไหนวะไอหนุ่ม หน้าตาไม่คุ้น”

ลุงมีครูมวยสูงวัยของค่ายเห็นหลี่คุนหน้าตาผิวพรรณหล่อเหลาท่วงท่ามีสง่าราศีต่างจากคนหนุ่มทั่วไปก็ไม่กล้าดูแคลน หลี่คุนแนะนำตัวเองบอกว่าเห็นการนวดแบบไทยแล้วรู้สึกสนใจมาก เขาถามในหลายจุดที่สงสัย ได้พูดคุยกันเพียงครู่เดียวครูมีก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาคนนี้มีภูมิรู้ในเรื่องจุดเรื่องเส้นของร่างกายคนตามแนวแพทย์แผนโบราณมากมายนัก ยิ่งได้ถามตอบแลกเปลี่ยนความรู้ก็ยิ่งถูกใจ ไปๆ มาๆ ก็ถ่ายทอดวิชานวดเฟ้นนักมวยที่สั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปีให้โดยสาธิตเอากับนักมวยผิวเข้มที่นอนอยู่ตรงนั้นเอง แม้หลี่คุนจะมีความรู้ในแพทย์แผนจีนโบราณจากในชาติก่อน ก็ยังรู้สึกว่าการนวดแบบไทยนี้ยังมีหลายจุดที่เขาไม่รู้ ยิ่งวิชาการนวดนักมวยที่ทำได้ทั้งเตรียมความพร้อมก่อนขึ้นชกและทั้งช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังชกโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลังภายในนี้ถือว่าเปิดหูเปิดตาจริงๆ

จริงๆ แล้วหลี่คุนได้พบกับยอดคนโดยไม่รู้ตัว ครูมีเป็นครูมวยที่เชี่ยวชาญการนวดอย่างที่สุดในวงการมวย  สมัยก่อนถ้ามีการชกใหญ่ๆ เป็นต้องถูกค่ายมวยแย่งตัวกันไปนวดให้นักมวยของตน จนตอนหลังอายุมากขึ้นเรี่ยวแรงไม่มากเหมือนเดิมจึงมานวดให้กับค่ายมวยของครูเผด็จที่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้น

“ข้าไม่เคยเจอใครหัวไวอย่างเอ็งมาก่อน ยังเด็กอยู่แท้ๆ คุยกันแป๊บๆ เอาวิชาไปได้เกือบหมด แต่ลงมือจริงมันไม่ง่ายเหมือนที่เห็นนะโว๊ย เอ็งจะลองหน่อยไหมล่ะ นวดให้ไอ้เมฆมันนี่แหละ เห็นตัวดำๆ แบบนี้ แต่มันเป็นเบอร์หนึ่งของค่ายเลยนะ ทั้งทนทั้งถึก นวดผิดนิดหน่อยไม่สะเทือน”

นักมวยหนุ่มผิวหมึกร่างกำยำที่ก่อนหน้านี้นอนหลับตานิ่งปล่อยให้ครูมีนวดตัวไปเรื่อยๆ ลืมตาโพลงส่งเสียงประท้วงออกมาทันที

“อ้าวลุง พูดราวกับฉันเป็นวัวเป็นควาย ฉันก็คนนะ เอาเด็กใหม่มานวดผิดท่าฉันไม่เดี้ยงเอาเหรอ”

น้ำเสียงติดเหน่อต่อว่าอย่างทีเล่นทีจริง ก่อนจะหันมายิ้มกว้างเห็นฟันขาวตัดกับสีผิวให้กับหลี่คุน

“โทษที พี่ไม่ใช่ไม่ไว้ใจเรานะไอน้อง แต่พรุ่งนี้พี่จะขึ้นชกแล้ว ถ้าว่างก็ไปเชียร์ได้นะ คู่เอกเลย รู้จักพี่อยู่แล้วใช่ป่ะ เมฆขาว ศ.เผด็จศึก”

หลี่คุนเห็นสายตาคมปลาบที่มองมาก็ทราบว่าชายผู้นี้มิใช่ธรรมดา ภายใต้ใบหน้าที่เป็นมิตรกลับระอุไปด้วยกลิ่นไอของยอดนักสู้ กล้ามเนื้อแน่นคมชัดถูกถูนวดด้วยน้ำมันมวยจนเป็นมันวาวบ่งบอกว่าได้ผ่านการฝึกปรือกำลังภายนอกมาจนถึงขีดสุด เห็นแล้วให้อยากทดสอบความแข็งแกร่งร่างกายนี้ยิ่งนัก

“ให้ผมลองนวดดูนิดนึงนะครับพี่เมฆ รับรองไม่มีปัญหาแน่นอน”

ใบหน้าหล่อเหลาชวนให้รู้สึกดีด้วยเมื่อทำท่าอ้อนวอนก็ยากที่ใครจะต้านทานแม้จะเป็นบรุษเพศเหมือนกัน เมฆขาวรับคำอย่างไม่เรื่องมาก คิดว่าเอาร่างกายเป็นวิทยาทานให้หนุ่มรุ่นน้องได้ลองฝึกปรือฝีมือดู แต่เมื่อหลี่คุนลงมือนวด เขากลับต้องประหลาดใจ ทั้งจุดนวดวิธีการน้ำหนักมือล้วนถูกต้องสร้างความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อได้จริงๆ เมฆขาวเป็นนักมวยมาเกือบทั้งชีวิต เขาย่อมรู้ดีว่าการนวดแบบไหนที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งก่อนขึ้นชกอย่างได้ผล ครูมีที่ดูอยู่ข้างๆ ยิ่งไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ไม่คิดว่าเคล็ดลับการนวดนักมวยที่เขาถ่ายทอดไปเมื่อครู่ จะถูกนำมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตัวเขาผู้เป็นเจ้าของวิชาเสียอีก

“ไอหนุ่ม!!! เอ็งนี่อัจฉริยะแท้ๆ เลยว่ะ”

“อย่าโกรธกันนะลุง ฉันว่าน้องมันนวดดีกว่าลุงอีก”

“เออสิวะ ข้ามันแก่แล้ว เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี”

ขณะที่สองคนยังทึ่งกับความสามารถซ่อนเร้นของเด็กหนุ่มหน้าใหม่อยู่นั้น หลี่คุนก็กำลังดูดซับพลังหยางที่ทะลักล้นออกมาจากเนื้อตัวของนักมวยผิวเข้มอย่างแปลกใจแกมยินดี หนุ่มฉกรรจ์เลือดนักสู้ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับอิสตรีมานานวันเพื่อเก็บตัวขึ้นชกช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ทุกมัดกล้ามที่หลี่คุนใช้มือขาวสะอาดของเขานวดเฟ้นลงไปล้วนปลดปล่อยพลังหยางอันบริสุทธิ์ให้เขาได้ใช้เคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีผันเปลี่ยนเป็นลมปราณเก็บสะสมในจุดตันเถียนมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก จุดตันเถียนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองของเขาก็เต็มเปี่ยม

หลี่คุนดีใจยิ่งนัก เขานวดไปทั่วกายแกร่งกำยำของนักมวยผิวเข้มต่ออย่างเต็มที่ด้วยความหวังว่าจะสามารถทะลวงขยายจุดตันเถียนได้ในคราวนี้ แม้จะต้องสัมผัสร่างกายที่เต็มไปคราบเหงื่อและน้ำมันมวยของบุรุษเพศด้วยกันก็ไม่นึกรังเกียจ แต่เมื่อนวดต่อไปอีกพักใหญ่ก็ยังไม่สมความตั้งใจ การทะลวงจุดตันเถียนต้องอาศัยพลังหยางจำนวนมากอย่างฉับพลันเพื่อทำลายขอบเขต พลังหยางที่กระจายออกมาจากร่างของนักมวยหนุ่ม แม้จะเข้มข้นกว่าของคนทั่วไปแต่ก็ยังไม่เพียงพอ

อันที่จริงหลังจากได้นวดเฟ้นไปทั่วร่างของชายฉกรรจ์ตรงหน้าหลี่คุนก็มีวิธีแก้ปัญหานี้อยู่ในใจแล้ว เขาสังเกตเห็นว่ายิ่งสัมผัสใกล้จุดกึ่งกลางบุรุษเพศเท่าใดพลังหยางจะยิ่งรุนแรงขึ้น แต่เขาจะหักใจทำเรื่องแบบนั้นได้หรือ ไม่ว่าจะด้วยขนบธรรมเนียมของยุคสมัยใด การแตะต้องพวงหยกของบุรุษอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ หลี่คุนตะขิดตะขวงใจเหลือจะกล่าว อยากได้พลังลมปราณก็อยาก แต่หากให้แลกกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย เขาหายินยอมไม่

ขณะที่หลี่คุนกำลังคิดหนักอยู่นั้น ครูมีที่เฝ้าจับตาการนวดของเขาอย่างใกล้ชิดก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“คนหนุ่มนี่นะ ถึงจะเก่งยังไงก็ยังด้วยประสบการณ์ เอ็งนวดต้นขายังไม่ถูก ต้นขานี่สำคัญมากสำหรับนักมวยนะ ถ้าไม่นวดคลายเส้นให้ยืดหยุ่นพอ เวลาเตะมันจะไม่คล่องตัว เอ็งต้องยกขาให้ตั้งขึ้นก่อนแล้วนวดรีดกล้ามเนื้อไล่จากหัวเข่าไปถึงขาหนีบ ไม่ใช่ไปสุดแค่ขาอ่อนอย่างที่เอ็งทำ ต้องทำแบบนี้”

ครูมีรู้สึกได้หน้าขึ้นมาเมื่อพบว่าการนวดที่ไร้ที่ติของหลี่คุนยังมีจุดที่เขาช่วยแนะนำได้ เขาจับมือที่ชุ่มน้ำมันของหลี่คุนซึ่งพักอยู่ตรงหน้าขาของเมฆขาวดันอย่างแรงเข้าไปในขากางเกงมวยให้ถึงขาหนีบตามที่ได้พูดไว้ ด้วยความลื่นของน้ำมันมวยทำให้มือของหลี่คุนลื่นพรวดลอดผ่านขากางเกงในเก่าๆ ยานๆ จนสัมผัสกับพวงหยกสีนิลของหนุ่มนักมวยอย่างแรง เมฆขาวงอตัวขึ้นพร้อมกับหุบขาด้วยความจุกแต่กลับกลายเป็นการหนีบให้มือขาวเรียวของอีกฝ่ายแนบชิดกับจุดกึ่งกลางของตัวเองเข้าไปอีก หลี่คุนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก แต่ก่อนที่จะตั้งสติดึงมือออกมา พลังหยางจากจุดกำเนิดที่เข้มข้นกว่าปกติหลายเท่าก็ไหลทะลักเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาจนท่วมท้น ต่อให้กระอักกระอ่วนใจเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจหักใจจากการก้าวข้ามขีดจำกัดที่อยู่แค่เอื้อมไปได้

ทันใดนั้นลมปราณของหลี่คุนเกิดการระเบิดขึ้นภายใน จุดตันเถียนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองพลันขยายออกจนมีขนาดเท่าเมล็ดผลท้อ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ถูกแปดเปื้อนกลับตอบแทนมาด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์ เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูกจนลืมเอามือออกจากจุดสงวนของหนุ่มนักมวยผู้โชคร้าย

“จุกเชี่ยๆ  เอามือออกจากน้องกูซะที แสบน้ำมันมวยไปหมดแล้วนี่”

“โอ๊ะ โทษทีพี่ ท่านลุงดันมือผมเลยลื่นไปโดน เดี๋ยวผมนวดให้รับรองหายจุก”

หลี่คุนรีบนวดเฟ้นบริเวณท้องน้อยของเมฆขาวพร้อมกับแอบส่งผ่านกำลังภายในไปคลายเลือดลมที่ติดขัดบริเวณส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่าย เพียงครู่เดียวนักมวยหนุ่มก็สีหน้าดีขึ้น

“ทีหลังก็นวดระวังๆ หน่อย อย่างอื่นดีแล้ว มึงมีฝีมือขนาดนี้ ต่อไปน่าจะมาช่วยนวดให้นักมวยในค่าย คนแก่ๆ แถวนี้จะได้กลับไปเลี้ยงหลานซะที”

“ไอ้เมฆ ข้านวดให้เอ็งมาจนชกชนะไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ไม่สำนึกบุญคุณ”

“ก็ฉันเป็นห่วงลุงไง อายุขนาดนี้แล้ว”

“แล้วเอ็งไม่แก่เหรอวะ อายุจะสามสิบ ถ้าเป็นนักมวยทั่วไปก็คงแขวนนวมไปแล้ว”

“ร่างกายฉันยังไหวลุงก็เห็น เลิกชกมวยไปก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร อีกอย่างนักมวยรุ่นใหม่ๆ ที่มีฝีมือหน่อยก็ถูกฉกไปค่ายอื่นหมด ถ้าฉันกับพวกไอ้แสนไอ้เพชรแขวนนวมไปอีก ทั้งค่ายคงไม่เหลืออะไร เฮ้อ แต่ก็ไม่รู้จะชกต่อไปได้อีกกี่ปี”

“ข้าเข้าใจ ข้าถึงได้ฝืนสังขารอยู่ช่วยกันไป”

“ฉันถึงบอกให้พักบ้างไง ไหนๆ ก็มีคนมารับช่วงแล้ว”

ทั้งคู่หันมามองหลี่คุนอย่างคาดหวัง

“เอ่อ ผมคงไม่ได้มาประจำนะครับ แต่น่าจะช่วยได้บ้างช่วงที่ท่านลุงไม่ว่าง ยังไงก็บอกผ่านไอ้ตินเพื่อนผมมาได้”

หลี่คุนตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เขาไม่แน่ใจว่าต่อไปจะมีเวลามากน้อยขนาดไหน แต่ค่ายมวยเป็นแหล่งพลังหยางชั้นดีขนาดนี้ ยังไงคงต้องแวะเวียนมาบ่อยๆ

“ดีๆ ข้าจะสอนเคล็ดลับให้หมดเลย วิชาข้าไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะ เก็บไว้ก็มีแต่จะตายไปกับตัว ต่อไปไอนักมวยพวกนี้จะต้องมาคอยง้อเอ็งแล้ว”

“ขอบคุณท่านลุงมากครับ ไว้วันหลังผมจะมาเรียนใหม่ วันนี้ต้องขอตัวก่อน เพื่อนผมน่าจะรอนานแล้ว ไปนะครับท่านลุง พี่เมฆ”

หลี่คุนรีบลากลับอย่างสุภาพ มาค่ายมวยวันนี้บรรลุผลได้เกินกว่าที่คิดไว้ นอกจากจะได้เคล็ดลับการนวดเสริมความแข็งแกร่งของมวยไทยมาอย่างไม่คาดฝัน ยังสามารถบรรลุกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งได้ หลี่คุนนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ทะลวงขอบเขตได้สำเร็จ เขาก็รีบไปล้างมือในห้องน้ำอยู่หลายรอบก่อนจะชวนตินออกจากค่ายมวยไป
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 14] 6/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-11-2019 22:40:59
กร๊ากกกกกกกกก สงสารพี่คุน ถถถถถ เสียความบริสุทธิ์ทางมือไปเสียแล้วววว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 14] 6/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-11-2019 23:48:47
555 จ่อจี้มากคุณพี่ ต้องไปแตะตัวผช.


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 15] 7/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-11-2019 16:41:31
15

“สวัสดีครับคุณพีท รอนานไหมครับ”
 
หลี่คุนเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวที่ออกจะหรูหราไม่น้อยก่อนจะยกมือไหว้เจ้าของห้องอย่างนอบน้อม พีทอดีตผู้จัดการส่วนตัวของแฮ็คส์มองเด็กหนุ่มหน้าหล่อที่เคยหมายตาไว้ตอนเกิดเรื่องให้ต้องแตกหักกับนักร้องหนุ่มแล้วก็เผยยิ้มที่ดูน่าสนิทชิดเชื้อออกมา
 
“รอเรออะไรกันครับ น้องคุนมาหาถึงที่แท้ๆ อยู่ๆ เมื่อคืนก็โทรมาว่าสนใจอยากเข้าวงการ พี่ก็ยังนึกว่าล้อเล่น วันนั้นเห็นท่าทางไม่สนใจเท่าไหร่ แต่มาถึงนี่ถ้าทางจะเอาจริง แล้วนี่...”
 
สายตามองไปทางชายหนุ่มอีกคนที่มาด้วยกัน
 
“เพื่อนผมชื่อตินครับ”
 
“อยากเข้าวงการเหมือนกันเหรอ แต่พี่ว่าพื้นฐานยังไม่ค่อยมีนะ”
 
พีทอยากจะบอกออกไปตรงๆ ว่า หน้าจืดไร้จุดเด่นอย่างนี้ ไปเล่นเป็นตัวประกอบเดินผ่านกล้องยังไม่ได้เลย ต่อให้หุ่นดีก็เถอะ
 
“มาเป็นเพื่อนเฉยๆ ครับ ปกติมันเป็นนักมวย”
 
ผู้จัดการหนุ่มนึกสาธุอยู่ในใจ หน้าอย่างนี้ไปเป็นนักมวยดีอยู่แล้ว เผื่อโดนต่อยจนจมูกเบี้ยวจะได้ทำให้หน้าตามีจุดเด่นขึ้นมาบ้าง
 
“ก็ดีนะครับ เดี๋ยวนี้เป็นนักมวยก็ดังได้ ว่าแต่น้องคุนสนใจทางด้านไหนล่ะ เป็นนักร้องหรือนักแสดง แต่พี่ว่าอย่างน้องคุนนี้เริ่มจากเป็นนายแบบก็ไม่เลวนะครับ เดินแบบไปซักพัก แล้วค่อยหาโฆษณาหรือเอ็มวีปังๆ ก็ดังได้”
 
“ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย คุณพีทช่วยแนะนำด้วยแล้วกัน”
 
“เรียกพี่พีทสิครับ จะได้สนิทกันไว้ เอ่อ แต่เรื่องที่น้องคุนจะเข้าวงการนี้ แฮ็คส์เขาทราบไหมครับ”
 
“ไม่เกี่ยวกันนี่ครับ เขาแค่คนที่คุยๆ กับน้องชายผม จะจริงจังกับผู้ชายด้วยกันแค่ไหนก็ไม่รู้ อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยถูกชะตากับเขาด้วย ถ้าผมจะเข้าวงการ ก็ขอใช้ความสามารถตัวเอง คงไม่ไปขอให้เขาช่วยหรอกครับ”
 
“ดีแล้วครับ คนแบบนั้นพอได้ดิบได้ดีก็ไม่เห็นหัวคนอื่น น้องก็เห็น พี่เป็นคนวิ่งเต้นหางานให้เขาจนดังขนาดนี้ อยู่ๆ ก็เฉดหัวพี่ทิ้ง ไม่ต้องห่วงนะครับ อยู่กับพี่ พี่จะปั้นให้ดังกว่าแฮ็คส์ซะอีก ไหนๆ วันนี้ก็มาถึงนี่แล้ว พี่ขอถ่ายรูปเราเก็บไว้เลยดีกว่า เผื่อมีงานดีๆ เข้ามา พี่จะได้เอาไปคุยกับเอเยนซี่เลย ถ่ายกันตรงนี้แหละ ง่ายๆ น้องคุนหล่ออยู่แล้ว”
 
“เอ่อ ไม่ต้องมีตากล้อง ช่างแต่งหน้า จัดเสื้อผ้า อะไรพวกนั้นเหรอครับ”
 
กลายเป็นตินที่นั่งฟังแล้วอดสงสัยไม่ได้ ถามขึ้นมา
 
“ถ่ายกับมือถือพี่นี่แหละ เดี๋ยวนี้กล้องมันดีจะตาย เสื้อผ้าก็ไม่ต้องหรอก ยังไงต้องถอดอยู่แล้ว เราจะทำงานนายแบบก็ต้องให้ลูกค้าเห็นหุ่นชัดๆ โชว์เนื้อโชว์ตัวบ้าง ก็เรื่องธรรมดาไม่ต้องตกใจนะ พี่ว่าน้องตินออกไปรอข้างนอกดีกว่า เพื่อนจะได้มีสมาธิ”
 
พีทหยิบมือถือรุ่นล่าสุดขึ้นมาโชว์ พร้อมกับทำท่ากึ่งเชิญกึ่งไล่ให้ตินออกจากห้องไป หลี่คุนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นไปตามที่เขาคาดไว้
 
“เรื่องถ่ายรูปยังไม่ต้องรีบครับพี่พีท พวกเรายังมีเวลาอีกนาน”
 
ขณะที่พูดเขาก็จับข้อมือของพีทที่ถือโทรศัพท์อยู่ไปด้วย ผู้จัดการหนุ่มคล้ายกับโดนไฟซ๊อตตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ ปล่อยให้หนุ่มหน้าหล่อปลดโทรศัพท์ในมือออกไปส่งให้เพื่อนที่มาด้วยกันแต่โดยดี
 
“เอ้า มึงเอาไปจัดการอย่างที่คุยกัน”
 
“มึงต้องให้พี่เขาปลดล็อคให้ก่อน รุ่นนี้ต้องสแกนหน้า”
 
หลี่คุนหยิบโทรศัพท์ไปจ่อหน้าของพีทที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ขยับหนีไม่ได้แม้แต่น้อย ตินรีบรับโทรศัพท์ไปจัดการตามที่ได้เตรียมการไว้กับเพื่อน เขาไม่รู้ว่าทำไมพีทถึงยินยอมให้ดูโทรศัพท์แต่โดยดี คิดว่าอาจจะมีข้อตกลงหรือโดนหลี่คุนบีบบังคับด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อนไม่บอกเขาก็ไม่ถาม นี่เป็นนิสัยของตินที่หลี่คุนชอมชอบยิ่งนัก ช่างเหมือนองครักษ์เงาจริงๆ ไม่งั้นเขาคงไม่รู้จะอธิบายเรื่องวิชาสะกัดจุดที่ใช้ยังไง
 
ตินจดจ่ออยู่กับการไล่ดูข้อมูลในโทรศัพท์ที่ได้มาก่อนจะเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่นำมาด้วย สำหรับหนุ่มวิศวะคอมอย่างเขา การค้นหาข้อมูลในโทรศัพท์ที่ถูกปลดล็อคแล้วและถ่ายโอนมันออกมาทำได้ง่ายดายมาก ในระหว่างที่รอหลี่คุนก็จุดกำยานมอมจิตอันเล็กที่เตรียมมาวางบนโต๊ะทำงานให้ควันรมตรงหน้าของพีทโดยตรง
 
ตินใช้เวลาอยู่ไม่นานเขาก็ค้นเจอสิ่งที่คุณานนท์ตั้งข้อสงสัยไว้ แถมยังมากมายกว่าที่คิดนัก
 
“เจอไหมวะ ติน”
 
“ยิ่งกว่าเจออีก ถ้าจะก็อปปี้ออกมาให้หมด น่าจะต้องใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมง”
 
“ไม่เป็นไร ไม่รีบ จริงไหมครับพี่พีท”
 
ประโยคหลังหันมาพูดกับผู้จัดการหนุ่มที่นั่งไม่กระดุกกระดิกแต่เหงื่อไหลพรากด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับร่างกายของตัวเอง และยิ่งไม่รู้ว่าสองหนุ่มตั้งใจจะทำอะไร พีทพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแต่คนธรรมดาไม่มีทางที่จะคลายจุดที่ถูกสะกัดด้วยกำลังภายในบุปผาวารีขั้นหนึ่งได้เลย กลิ่นหอมแปลกๆ ของควันประหลาดค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกๆ เคลิ้มๆ ลอยๆ ไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นทุกที
 
หลี่คุนกลับไปสนใจสิ่งที่ตินทำก็เห็นเพื่อนกดหน้าจอโทรศัพท์ทั้งของพีทและของตินเองวุ่นวายไปหมด ตินอธิบายคร่าวๆ ว่าเป็นการแคปภาพหน้าจอหลักฐานที่สำคัญๆ ในโทรศัพท์ของพีทก่อนจะส่งออกพร้อมข้อมูลต้นฉบับไปเก็บไว้ที่โน๊ตบุ๊คของตัวเอง
 
“มีประวัติแชทที่เขาคุยกับใครก็ไม่รู้ ดูเหมือนเขาระแคะระคายว่าพี่แฮ็คส์จะถอนตัวออกจากวงการ เลยแอบเข้าโทรศัพท์ของพี่แฮ็คส์ปลอมตัวส่งข้อความไปหลอกจะเอาคลิปซูกัสมา ถ้าพี่แฮ็คส์จริงจังกับซูกัส เขาก็จะเอาคลิปไปต่อรองไม่ให้พี่แฮ็คส์ออกจากวงการจะได้ทำประโยชน์ให้ตัวเองต่อ แต่ถ้าพี่แฮ็คส์ไม่ได้จริงจังกับน้องมึง เขาก็จะให้ซูกัสมันไปขายบริการแบบพรีเมี่ยมกับพวกผู้มีอิทธิพลหาเงินแทน ทำไมชั่วแบบนี้ เห็นหน้าตาดูน่าเชื่อถือแท้ๆ โชคดีที่น้องมึงไหวตัวทันไม่ตกหลุมพลาง จนสุดท้ายพี่แฮคส์จับได้เสียก่อน”
 
ตินตรวจสอบข้อมูลไปก็บ่นไป แต่ไม่รู้ว่าหลี่คุนโกรธจนถึงขั้นไฟลุกแล้ว คนผู้นี้กล้าดียังไงถึงจะเอาซูเอ๋อร์ไปเป็นนายโลมหอโคมเขียว ยังดีที่ข้อมูลนี้ยืนยันได้ว่าแฮ็คส์จริงใจกับน้องเขาจริงๆ ไม่งั้นซูเอ๋อร์คงน่าสงสารมาก
 
“คุน มึงมาดูนี่ รูปเด็กหนุ่มๆ หน้าตาดีๆ ทั้งนั้น บางคนก็คุ้นๆ นะ คนนี้ใช่เดือนมอเราที่เป็นนายแบบด้วยเปล่า โดนถ่ายหวิวโชว์หุ่น เชร็ด ไม่ใส่อะไรเลยก็มี  คงไม่มีใครกล้าขนาดนี้แล้ว เชรี่ย กูถอนคำพูด คนนี้กล้ากว่าอีก มีถ่ายเป็นคลิปด้วย กูไม่กล้าเปิดดูหรอกนะ ก็อปเก็บหลักฐานไปก่อนแล้วกัน ไอคุนเอ๊ย ถ้ามึงอยากเข้าวงการจริง มึงเสร็จแม่งไปแล้ว”
 
ตั้งแต่ที่รู้ว่าพีทเป็นตัวการข่มขู่ซูกัสและยังดูท่าทางว่ายังมีเป้าหมายชั่วร้ายมากกว่าที่สารภาพออกมา หลี่คุนก็สืบข้อมูลของคนๆ นี่เพื่อจะจัดการให้เด็ดขาด เขาไม่ได้เชี่ยวชาญกับเทคโนโลยีสมัยนี้นักแต่ตินเพื่อนเขาที่เรียนด้านนี้นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยทีเดียว หนุ่มหน้าตาธรรมดากลับสามารถรวบรวมข้อมูลลับๆ ของพีทจากอินเตอร์เน็ตมาได้อย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าพวกองครักษ์เงาในอดีตเสียอีก แม้ส่วนใหญ่จะเป็นการซุบซิบนินทาในโซเชียล แต่ก็เป็นเบาะแสอย่างดีว่าอดีตผู้จัดการของแฮ็คส์มีพฤติกรรมเป็นนายหน้าจัดหาชายหนุ่มในวงการส่งให้กับลูกค้ากระเป๋าหนักในแวดวงสังคม แถมยังได้ยินว่าใช้การบังคับข่มขู่บางอย่างจนทำให้ดารานายแบบพวกนั้นตกอยู่สภาวะจำยอมด้วย
 
แน่นอนว่าเสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้นใช้เล่นงานคนผู้นี้ไม่ได้ หลี่คุนต้องการหลักฐานที่หนักแน่น หากเป็นในอดีตเขาคงใช้วิทยายุทธ์ลอบเข้าจวนของอีกฝ่ายเพื่อค้นหาสมุดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมา แต่เมื่อปรึกษากับตินแล้วก็พบว่าง่ายดายยิ่งนัก เขาไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าของที่ต้องการจะเก็บอยู่ในตู้กลไกลห้องลับหรือเรือนหลบภัยที่ไหน ยุคนี้ผู้คนล้วนเก็บความลับไว้ในโทรศัพท์ แม้จะถูกปกป้องด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสอันซับซ้อน แต่เมื่อมองในมุมของหลี่คุนกลับเป็นเรื่องโง่เง่าจนน่าขัน พวกเขานำความลับของตัวเองติดตัวไปทุกที่ ส่วนกุญแจที่จะไขมันออกมาก็คือลายนิ้วมือหรือใบหน้าของตนเอง ขอเพียงจับกุมคนได้ย่อมสามารถเปิดเผยความลับทั้งหมดได้ในทันที ไม่นึกว่าในโลกนี้จะมีสิ่งสะดวกสบายถึงเพียงนี้
 
ข้อมูลที่ตินดึงออกมาได้จากโทรศัพท์ย่อมมีทั้งรายชื่อดารานายแบบจำนวนมากที่ตกอยู่ใต้อาณัติของพีท คลิปที่ใช้ข่มขู่ รายชื่อลูกค้าที่ใช้บริการ หลักฐานการโอนเงิน รหัสเข้าระบบสำรองรูปและคลิปตัวเต็มที่พีทเก็บไว้ตามที่ต่างๆ เขายังค้นเจอฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูลพวกนี้ในตู้เอกสารของพีทและจัดการยึดไว้ พีทอาศัยชื่อเสียงความน่าเชื่อถือในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของแฮ๊คส์ซึ่งเป็นนักร้องนักแสดงชื่อดังมาล่อลวงชายหนุ่มที่อยากเข้าวงการพวกนี้ หลายปีที่ผ่านมาสามารถรวบรวมไว้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว หลายคนที่มีความสามารถจริงๆ ก็ก้าวหน้าจนมีชื่อเสียงไม่เลว แต่บางคนก็ไปไม่ถึงไหนเป็นได้แค่ชายขายบริการภายใต้สังกัดของพีทหรือต้องไปถ่ายหนังสือวาบหวิวอย่างไม่เต็มใจ
 
“ไอคุนๆ มีคลิปพี่แฮ็คส์ตอนอาบน้ำด้วยว่ะ สงสัยถูกแอบตั้งกล้อง เอิ่ม กูว่า มึงไปบอกซูกัสให้เลิกกับพี่เขาเถอะว่ะ น้องมึงก็ตัวแค่นั้นเอง”
 
หลี่คุนมองผ่านๆ ไปที่คลิปแอบถ่ายของนักร้องหนุ่มแล้วก็อดสมเพชแฮ๊คส์ในใจไม่ได้ ไหนว่าเป็นเพื่อนกัน รู้จักนิสัยกันดีไง ไม่รู้ว่าคลิปลับนักร้องดังนี้จะถูกขายออกไปหรือยัง ไม่ทันคนไม่ว่านี่จะพาเอาน้องชายเขาโชคร้ายไปด้วย หลี่คุนพยายามระงับความโกรธที่ประทุขึ้นมาอีกครั้ง
 
พอตินทำงานของตัวเองเสร็จ หลี่คุนก็เอาโทรศัพท์กลับไปยัดคืนในมือของพีทที่ขยับไม่ได้ก่อนจะบอกให้ตินเปิดแชทหรือคลิปที่เป็นหลักฐานสำคัญๆ แล้วถ่ายวิดีโอเก็บไว้ทำทีเหมือนว่าพีทเป็นคนเปิดให้ดูเอง เขาถามที่มาที่ไปของเรื่องที่พีทไปล่อลวงนายแบบแต่ละคนมาอย่างสั้นๆ ที่ละคน เรื่องราวแทบไม่ต่างอะไรกัน เด็กวัยรุ่นพวกนั้นอยากเข้าวงการจนถูกหลอก นี่เท่ากับเป็นหลักฐานในการสารภาพของพีทว่าเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ เมื่อเก็บหลักฐานต่างๆ ครบจนพอใจแล้ว หลี่คุนก็ให้ตินทำลายข้อมูลทั้งหมดของพีทไม่ให้เก็บไปทำร้ายใครได้ เขาเก็บกำยานคืนแล้วก็ชวนตินกลับปล่อยให้พีทนั่งตัวแข็งต่อไป จุดที่เขาสะกัดไว้จะคลายออกเองภายในครึ่งชั่วยาม
 
หลี่คุนส่งหลักฐานที่พีทตั้งใจจะหลอกซูกัสไปขายตัวไปให้แฮ็คส์พร้อมข้อความว่าจัดการให้เรียบร้อย แถมด้วยคลิปที่เจ้าตัวโดนแอบถ่ายตอนอาบน้ำ อีกทางหนึ่งเขาก็ทยอยติดต่อกับดารานายแบบที่เป็นเหยื่อของพีทแต่ละคนแจ้งว่าเขาได้จัดการเรื่องนี้แล้ว พีทไม่สามารถข่มขู่ใครได้อีกต่อไป เขาส่งคลิปสารภาพความผิดของพีทไปให้ดูด้วยพร้อมบอกว่าหากใครต้องการดำเนินคดีกับพีทเขาก็ยินดีมอบหลักฐานเพิ่มเติมให้ กว่าจะเสร็จก็กินเวลาอยู่หลายวัน ไม่น่าเชื่อว่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา พีทจะใช้ชื่อเสียงในฐานะผู้จัดการของแฮ็คส์หลอกเด็กหนุ่มที่อยากเข้าวงการมาได้มากมาย หลี่คุนเห็นใจคนเหล่านี้มาก หากตอนนั้นซูเอ๋อร์ไหวตัวไม่ทันก็อาจตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน ในบรรดาคนเหล่านี้มีส่วนหนึ่งที่ได้เข้าวงการไปจริงๆ ที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงก็มีอยู่หลายคน ที่เหลือถ้าไม่ดิ้นรนอยู่ในวงการต่อ ก็กลับไปเรียนหรือไปทำมาหากินอย่างอื่นตามทางของแต่ละคน แต่เรื่องที่เคยถูกหลอกลวงไว้ยังเป็นอดีตที่ดำมืดอยู่ในใจของทุกคน ไม่รู้ว่าพีทจะหยิบเรื่องนี้มาข่มขู่หรือเผลอปล่อยคลิปหลุดมาเมื่อไหร่ พอมีคนติดต่อพร้อมส่งหลักฐานมาว่าจัดการพีทจนไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ทุกคนก็มีแต่ความรู้สึกขอบคุณอย่างที่สุด
 
หลี่คุนไม่รู้ว่าแฮ็คส์ทำอะไรกับอดีตผู้จัดการตัวเอง แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน พฤติกรรมเลวร้ายของพีทก็ถูกแฉออกมาทั้งในโซเซียลและจากสื่อหลักจนหมดเปลือก มีคลิปอนาจารที่เห็นใบหน้าของเจ้าตัวอย่างชัดเจนกระจายออกไปทั่วอินเตอร์เน็ต ไม่นานก็มีหมายจับพีทออกมาในข้อหาค้าประเวณีเด็กชายอายุต่ำกว่าสิบแปดปี แต่โชคไม่ดีที่พีทดิ้นรนหลบหนีออกนอกประเทศไปได้สำเร็จแม้จะต้องทิ้งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไว้เพราะถูกอายัด
 
ถึงแม้ตำรวจจะพูดชัดเจนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการกระทำส่วนตัวของพีทไม่ได้เกี่ยวกับแฮ็คส์ แต่นักร้องหนุ่มลูกครึ่งก็ออกมาแถลงข่าวขอโทษประชาชนอย่างเสียใจที่ไม่สอดส่องพฤติกรรมของผู้จัดการตัวเองจนถูกนำชื่อเสียงไปใช้จนเกิดความเสียหายกับคนอื่น เขาประกาศให้ความร่วมมือกับทางราชการอย่างเต็มที่ในคดีของพีท พร้อมทั้งจะให้การช่วยเหลือเยียวยาคนที่ได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้โดยเงินส่วนตัว การกระทำของแฮ็คส์ได้รับความชื่นชมเป็นอันมาก แทนที่ชื่อเสียงจะมัวหมองลงจากที่เคยร่วมงานกับพีทกลับกลายเป็นได้รับความนิยมมากกว่าเดิมเสียอีก ช่างเป็นคนที่รับมือกับกระแสสังคมได้เก่งจริงๆ หลี่คุนอดชื่นชมไม่ได้และตั้งใจที่จะเรียนรู้เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดเหมือนตอนที่ขี้ผึ้งขายขี้ผึ้งมหัศจรรย์แล้วเกิดปัญหาขึ้น
 
หลี่คุนรับทราบเรื่องที่พีทหนีหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศไปอย่างน่าสมเพช สายตาเขามองยาแก้ฤทธิ์ผงพิษผลาญทวารที่เตรียมไว้แล้วก็ถอนใจ เช่นนี้แล้วคงจะส่งไปให้ไม่ได้แล้ว เขาได้แพร่พิษตัวนี้ให้กับพีทตั้งแต่ตอนที่ค้นมือถือวันนั้น กะว่าจะปล่อยให้ทรมานอยู่สักเดือนหนึ่งโทษฐานที่คิดชั่วกับซูเอ๋อร์ แต่ในเมื่อหนีออกไปโพ้นทะเลแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะส่งยาถอนพิษตามไปให้ที่ไหน เขาคาดว่าคงใช้เวลาเป็นปีกว่าที่ยาตำหรับใหม่นี้จะเสื่อมลง เวรกรรมจริงๆ
 
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 16] 11/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-11-2019 13:32:42
 16

การฝึกงานในบริษัทโฆษณาที่เน้นการตลาดดิจิทัลนับว่าไม่เลวเลยจริงๆ ถ้ามองข้ามความปวดหัวของเทคโนโลยีที่ซับซ้อนไป ก็นับว่าหลี่คุนได้เรียนรู้การทำการค้าของโลกยุคใหม่มาได้ไม่น้อย โดยทั่วไปนักศึกษาฝึกงานไม่ได้เข้าไปมีส่วนในการสร้างสรรค์งานให้ลูกค้ามากนักได้แต่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ  แต่โชคดีที่โปรเจ็คใหม่ของบริษัทกลับเปิดกว้างให้นักศึกษาฝึกงานที่มีอยู่เพียงสองคนได้เข้าร่วมด้วย
 
“น้องคุนกับน้องตินโชคดีมากเลยนะคะ ปีก่อนๆ นี่ทางฝ่ายบริหารไม่เคยให้น้องฝึกงานเข้ามาเป็นสมาชิกในทีมเต็มตัวแบบนี้หรอก แถมยังมีมิสเตอร์จางที่โคตรเทพจากบริษัทแม่มาร่วมให้คำแนะนำด้วย บริษัทเราก็เล็กๆ เอง ไม่นึกว่าจะได้รับความสำคัญแบบนี้”
 
พนักงานสาวที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงพูดกับสองหนุ่มอย่างปลาบปลื้ม แต่กลับถูกพนักงานชายอีกคนแขวะขึ้นมาลอยๆ
 
“เข้าไปก็เกะกะเปล่าๆ คนหนึ่งยังดียังพอรู้เรื่องระบบไอทีบ้าง แต่อีกคนไม่ไหว แค่ถ่ายเอกสารยังเสียเวลาเป็นชั่วโมง”
 
หลี่คุนหันขวับไปทางคนพูด บุรุษผู้นี้มิรู้ไม่ถูกชะตาเขามาจากไหน ใช้งานก็มีแต่ให้ทำพวกถ่ายเอกสาร ยกของ ซื้อกาแฟ เขาไม่ได้รังเกียจเพราะในอดีตเด็กฝึกงานของพวกช่างฝีมือต่างๆ ฐานะต่ำต้อยนักก็ต้องเริ่มจากงานจิปาถะเยี่ยงนี้ แต่เอ่ยวาจาดีๆ กันก็ได้ ไม่ใช่หน้าเชิดชอบมองด้วยหางตาคอยจ้องจับผิดกันแบบนี้ ตอนโดยใช้ให้ถ่ายเอกสารปึกใหญ่ก็เหมือนกัน ใครไม่รู้ทำกระดาษติดเครื่องถ่ายเอกสารทิ้งไว้ เขาต้องมาเปิดช่องโน้นดึงแป้นนั้นหมุนแกนนี้ตามที่หน้าจอเครื่องแนะนำกันจนเหงื่อตก ทำเอาเขาที่เคยชื่นชอบเครื่องกลมหัศจรรย์นี้ที่สามารถคัดลอกตำราได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นขยาดมันไปเลย
 
“จะพูดให้น้องเสียกำลังใจทำไมกันยะ มีน้องคุนมาอยู่ในทีม ก็เท่ากับมีอาหารตาหล่อๆ ให้ดู จะให้มีผู้ชายเฉพาะพวกแก ชั้นก็เฉาตายสิ อ้อ ลืมคุณจางอี้หลงไปได้ไง นั่นก็เท่สุดๆ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าถ้ามีคนๆ นี้อยู่ ยังไงโปรเจ็คก็สำเร็จ แต่ขอดูอยู่ห่างๆ แล้วกัน ท่าทางเก่งขนาดนั้นไม่กล้าเข้าใกล้”
 
นั่นเป็นผลจากปราณอำนาจที่มีต่อผู้คนทั่วไป ยกเว้นหลี่คุนที่อ่านมันออกและคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ไป ชายหนุ่มลูกครึ่งไทยจีนผู้นั้น ก็นับว่าอัธยาศัยดีไม่น้อย ถ้าจะกล่าวตามภาษาของคนยุคนี้ก็ต้องบอกว่าออกจะเนียนตีซี้ทำตัวสนิทสนมเกินไปสักหน่อย เขาพูดจากที่เคยเจอมาด้วยตัวเองตอนที่อีกฝ่ายกลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยเขาไว้ที่สนามบิน ก่อนที่จะยอมปล่อยเขาลงจากรถก็โดนบังคับให้เป็นเพื่อนกันบนแอพแชทชื่อดังของจีน ขนาดว่าเครื่องเขาไม่มีโปรแกรมแชทที่ว่า มิสเตอร์จางอี้หลงหรือที่เขาถูกมัดมือชกให้เรียกว่าพี่อี้หลงก็เป็นคนลงให้ด้วยตัวเองก่อนที่จะแอ็ดตัวเองให้เป็นเพื่อนคนเดียวของหลี่คุนบนแอพแชทดังกล่าว
 
หลังจากนั้นหลี่คุนก็เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนยุคนี้ถึงได้ชอบพูดคุยกันผ่านทางข้อความ มันทั้งง่ายทั้งสะดวกรวดเร็วและมีเวลาให้คิดก่อนจะตอบอะไรลงไป ยิ่งในกรณีของเขา การคุยผ่านแชทที่ไม่โดนกดดันด้วยปราณอำนาจของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกสนิทใจกว่ากันมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะมีอคติตั้งแต่ชาติก่อนว่าคนที่มีปราณอำนาจมักไม่ค่อยจริงใจชอบหาประโยชน์จากผู้อื่น แต่จางอี้หลงคุยสนุกกว่าที่เขาคิด การที่มีเชื้อสายวัฒนธรรมชาวฮั่นเหมือนกันแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแต่ก็ทำให้รู้สึกเข้าอกเข้าใจเหมือนเจอเพื่อนเก่า คนผู้นี้มีความรู้กว้างขวาง ทั้งการทำธุรกิจ การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์จีนโบราณก็เล่าได้เป็นฉากๆ หลี่คุนติดการแชทกับจางอี้หลงไปเสียแล้ว การพูดคุยผ่านแป้นพิมพ์ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจนเปิดใจปรึกษาเรื่องต่างๆ ไปไม่น้อย
 
แต่นั่นก็เป็นเพียงความสนิทสนมกันผ่านโลกออนไลน์เท่านั้น หากมีเหตุให้ต้องเจอกันที่บริษัท หลี่คุนจะพยายามหลบหน้าหลบตาไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อน หนึ่งเพราะไม่อยากโดนครอบงำด้วยปราณอำนาจที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา ประการที่สองคือไม่อยากเป็นจุดเด่นที่อยู่ๆ นักศึกษาฝึกงานจะมาสนิทสนมกับผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทแม่ที่แม้แต่พนักงานเองยังไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะพูดคุยด้วย เรื่องนี้เขาที่มาจากอดีตย่อมเข้าใจได้ถึงสถานะชนชั้นที่ยังมีอยู่แม้ในบริษัทยุคใหม่
 
“อย่างที่ทราบกันนะครับว่าโจทย์ของลูกค้ารายนี้ต่างจากที่เราเคยทำมามาก ปกติเรามักจะใช้การตลาดดิจิทัลจากจุดเด่นที่สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ครั้งนี้สินค้าคือบ้านพักตากอากาศระดับหรูใจกลางเขาใหญ่ที่มีพื้นที่ส่วนกลางหลักร้อยไร่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่นับหมื่นต้นล้อมรอบทะเลสาบ เจ้าของโครงการไม่ต้องการให้กระพือโฆษณาไปทั่วจนเสียระดับของสินค้า แต่จะต้องให้เป็นที่รู้จักของคนระดับสูงสุดของประเทศซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย เรื่องนี้จึงยากมาก”
 
หัวหน้าโครงการสรุปความต้องการของลูกค้าให้ทีมฟังอีกรอบ การประชุมครั้งนี้เขาค่อนข้างเกร็งเล็กน้อยเพราะมีคนจากบริษัทแม่มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
 
“ปกติการลงโฆษณาในเฟสบุ๊ค มันก็กลั่นกรองกลุ่มที่จะเห็นแอดตัวนั้นได้ระดับหนึ่งนะครับ ถ้าเราเจาะจงเป้าหมายให้เป็นกลุ่มระดับสูง ก็น่าจะตรงกับที่เจ้าของสินค้าต้องการ”
 
“แต่จากการวิจัยบอกว่าลูกค้าระดับสูงสุดเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีเวลาเล่นเฟสบุคเป็นประจำนะคะ จะให้เขาเห็นโฆษณาที่ว่าก็ยากแล้ว แถมกลุ่มพวกนี้ก็ไม่ค่อยสนใจอะไรจากโฆษณาด้วย”
 
พนักงานในทีมเริ่มออกความเห็นอย่างกระตือรือล้น หลี่คุนกับตินที่เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานได้แต่นั่งสงบเสงี่ยบฟังเขาหารือกัน
 
 “งั้นต้องใช้พวกอินฟลูเอนเซอร์ ให้คนที่เป็นที่สนใจมาพูดถึงสินค้าออกสื่อ จะได้กระตุ้นความสนใจ”
 
“แต่กลุ่มเป้าหมายเป็นคนระดับท็อปของประเทศนะ ใครจะมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ล่ะ เน็ตไอดอลนี่ไม่ต้องพูดถึง ขนาดเอาพวกดารามาคนกลุ่มนั้นยังอาจไม่สนใจเลย”
 
การออกความเห็นดำเนินต่อไปพักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้แนวทางที่น่าพอใจ พนักงานชายคนที่ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับหลี่คุนเท่าใดจึงออกความเห็นขึ้นมา
 
“เราน่าจะให้นักศึกษาฝึกงานออกความเห็นบ้างนะครับ ไม่ใช่มานั่งฟังเฉยๆ ว่าไงครับ คุณานนท์ พอมีความคิดอะไรดีๆ หรือเปล่า”
 
หลี่คุณทำหน้าเหรอหรา เขากำลังนั่งฟังและคิดตามเพลินๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกโยนเรื่องนี้มาได้ ยังดีที่หัวข้อที่คุยกันไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีดิจิตอลอะไรที่เขายังไม่ค่อยซาบซึ้งกับมันนัก หลี่คุนจึงพอมีความเห็นของตัวเองอยู่บ้าง
 
“ผมคิดว่าอินฟลูเอนเซอร์ของคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกเขาด้วยกันเองครับ พวกเขาคือคนระดับสูงสุดของประเทศ สิ่งที่เขาสนใจคือ คนในระดับเดียวกันมีอะไรใช้อะไร เขาสามารถครอบครองสิ่งที่คนอื่นในสังคมเดียวกันสนใจได้ก่อนคนอื่นหรือไม่ หรือถ้าได้เป็นเจ้าของในสิ่งที่คนอื่นยังหามาไม่ได้ย่อมเชิดหน้าชูตาที่สุด”
 
หลี่คุนอาจไม่เชี่ยวชาญด้านการค้าของยุคสมัยนี้ แต่ถ้าพูดเรื่องชนชั้นทางสังคม ไม่มีใครซาบซึ้งเท่าคนจีนโบราณอย่างเขาอีกแล้ว ในอดีตร้านค้าระดับสูงล้วนแต่แบ่งออกเป็นชั้นๆ ชั้นล่างสำหรับลูกค้าทั่วไป ชั้นสองสำหรับลูกค้าประจำ ชั้นบนๆ ขึ้นไป สำหรับคนชั้นสูงหรือราชวงศ์ แต่ละชั้นการตกแต่งและความพิเศษของสินค้าจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ หลี่คุนนึกถึงภาพเหล่าองค์หญิงท่านหญิงหรือคุณหนูตระกูลใหญ่ ต่างแย่งชิงทุ่มเทเงินทองแสดงความอิจฉาใส่กันเพื่อจะมีโอกาสใช้บริการในชั้นสูงกว่าเดิม
 
“อินฟลูเอนเซอร์ก็คือคนพวกเดียวกัน แหม ตอบแบบนี้ก็เหมือนกำปั้นทุบดินหรือเปล่าครับ คุณานนท์”
 
“ไม่นะ ผมว่ามันเข้าเค้ามากเลย คนพวกนี้มีอิทธิพลสูงสุดอยู่แล้ว ไม่มีระดับบนกว่าให้แหงนมอง เขาก็ต้องเปรียบเทียบกันเองอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเราจะทำการตลาดกับคนพวกนี้ยังไง เขาคงไม่มีเวลามาเล่นโซเชียลละมั๊ง”
 
หัวหน้าโครงการออกปากชม แต่ก็ตั้งคำถามเพิ่มเติมกลับมาอีก
 
หลี่คุณอึ้งไป เรื่องนี้เขาก็ตอบไม่ได้ ในสมัยก่อนหาได้มีสื่อสารพัดช่องทางแบบในยุคนี้ นอกจากประกาศของทางการและการสืบเสาะข่าวสารกันเองแล้วก็เห็นจะมีเรื่องซุบซิบนินทาตามโรงน้ำชานี่แหล่ะที่แพร่ข่าวไปได้เร็วยิ่ง และเท่าที่เขาเห็น แหล่งซุบซิบนินทาคล้ายลับคล้ายไม่ลับที่คนสมัยนี้นิยมกันมากที่สุด ย่อมไม่พ้นช่องทางนี้
 
“น่าจะต้องเป็นวงเฉพาะที่เขาคุยกันเองนะครับ พวกไลน์กลุ่มอะไรอย่างงี้ เราอาจเชิญคนบางกลุ่มในนั้นแบบให้เกียรติอย่างที่สุดไปเยี่ยมชมโครงการ ถ้าเขาประทับใจ ย่อมจะพูดถึงในทางดีต่อกันไปในกลุ่ม ยิ่งถ้ามีเอกลักษณ์อะไรบาง”
 
ความเห็นของหลี่คุนทำให้คนในห้องประชุมถกเถียงกันว่าใช่หรือไม่และจะหาทางต่อยอดได้อย่างไรดังเซ็งแซ่ไปหมด จนจางอี้หลงที่นั่งฟังนิ่งๆ มาโดยตลอดต้องสรุป
 
“ความคิดของน้องคุน เอ่อ คุณคุณานนท์ถือว่าใกล้เคียงกับที่ผมคิด ส่วนการต่อยอดนั้นผมอยากแชร์ความเห็นไว้หน่อยว่า ถึงบริษัทนี้จะเน้นด้านการตลาดดิจิตัล แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันตรงๆ เสมอไป พวกคุณในทีมลองไปคิดดูแล้วเอามาคุยกันครั้งหน้าว่าจะประยุกต์ใช้กับโครงการนี้ได้ยังไง เสนอความเห็นที่เป็นของตัวเองดูบ้าง อย่าให้แพ้นักศึกษาฝึกงานนะครับ”
 
พนักงานหนุ่มที่โยนภาระการออกความเห็นมาให้หลี่คุนก่อนหน้านี้หน้าเจื่อน เขาไม่ชอบหน้านักศึกษาฝึกงานคนนี้มาตั้งแต่แรกเจอเพราะอิจฉาใบหน้าหล่อเหลาและท่าทางที่สง่างาม หลังจากจางอี้หลงออกไปโครงการก็แจกงานกัน หลี่คุนถูกบางคนในทีมกีดกันจนได้เพียงงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญ แต่ถึงอย่างไรการที่ความเห็นของเขาได้รับการยอมรับในวันนี้ก็นับว่าได้หน้ามากแล้วสำหรับนักศึกษาฝึกงาน
 
หลี่คุนไม่ถือสา ไม่ให้เขาทำก็ไม่เห็นเป็นอะไร เอาเวลาว่างไปคิดหาเงินหาทองให้ตัวเองดีกว่า เขากลับไปทำสิ่งที่ถนัดที่สุดนั่นคือการปรุงยา เขาพัฒนาสูตรขี้ผึ้งลดริ้วรอยบำรุงผิวหน้าขึ้นมาใหม่ ใช้วัตถุดิบเป็นสมุนไพรจีนสำเร็จรูปที่สกัดโดยเทคโนโลยีของยุคนี้แต่นำมาปรุงตามสูตรลับโบราณผสานด้วยสมุนไพรไทยตามที่เขาคิดค้นขึ้น
 
ด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นหนึ่งทำให้เขาสามารถใช้ลมปราณในการตรวจสอบวัตถุดิบแต่ละแหล่งแต่ละล๊อตทำให้ปรับสัดส่วนในการปรุงยาได้อย่างเที่ยงตรง ผลที่ได้น่าทึ่งมาก ทั้งประหยัดเวลาในการเคี่ยวสมุนไพร ต้นทุนที่ใช้ก็ถูกกว่าการซื้อสมุนไพรจริงมาทำเองตั้งแต่ต้น แถมสรรพคุณยังเหนือล้ำไปกว่าเพราะความเข้มข้นไร้สิ่งเจือปนของสมุนไพรที่สกัดมาแล้ว โอสถที่ปรุงขึ้นมาด้วยวิธีนี้มีความบริสุทธิ์ถึงห้าส่วนแถมช่วยบำรุงแก้ไขปัญหาผิวพรรณได้เกือบจะครอบจักรวาล
 
หลี่ใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์ในการปรับปรุงสูตรขี้ผึ้งบำรุงรักษาผิวหน้าจนเป็นที่พอใจ เขาให้พวกซูเอ๋อร์และตินมาเป็นหนูทดลองให้ผลที่ได้ก็เกินคาด เด็กๆ ที่เดิมหน้ามันบ้างหน้าสิวบ้างตามธรรมชาติของวัยรุ่นตอนนี้กลายเป็นหล่อสวยยิ่งกว่าเดิมจนซูเอ๋อร์บอกว่าเหมือนใช้แอพแต่งรูป ส่วนตินนั้นคงพอพูดชมได้แค่ว่าเป็นคนธรรมดาที่หน้าใสที่สุด
 
ในระหว่างนั้นโครงการทำการตลาดให้กับบ้านพักตากอากาศระดับหรูใจกลางเขาใหญ่ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ หลี่คุนพยายามเสนอไอเดียต่างๆ เข้าไป แม้จะไม่มีประสบการณ์การค้าขายในยุคนี้แต่เขาก็พยายามศึกษาแหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ มาผสมผสานกับประสบการณ์ในชาติที่แล้ว จางอี้หลงที่เขาได้คุยผ่านแชทอยู่เรื่อยๆ ก็คอยช่วยแนะนำเคสต่างๆ ในโลกธุรกิจให้เขาไปศึกษาดู
 
ความเห็นของหลี่คุนมีคนเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้าง สุดท้ายไม่รู้ว่าได้ถูกนำไปใช้หรือเปล่า เพราะช่วงหลังๆ ดูเหมือนเขาจะถูกกันออกจากทีมโครงการจนแทบไม่ได้มีส่วนร่วม หลี่คุนเข้าใจว่าพอจะเป็นงานที่ส่งลูกค้าจริงอาจจะไม่เหมาะที่จะให้นักศึกษาฝึกงานมารับรู้สิ่งที่อาจเป็นความลับ แม้กระทั่งเมื่อแผนการดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์ทีมงานก็ไม่ได้บอกอะไรเขา กลายเป็นหลี่คุนทราบจากจางอี้หลงที่ตอนหลังแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการแทน
 
ZYL : พี่เห็นแผนงานโครงการที่ทีมเสนอขึ้นมาแล้วนะ มีไอเดียเราอยู่เยอะเลย
 
LK : อ้าว เสร็จแล้วเหรอครับคุณจาง ผมยังไม่เห็นเลย
 
ZYL : พี่อี้หลง!
 
LK : ??
 
ZYL : บอกให้เรียกพี่อี้หลงไง
 
LK : ก็เวลาพิมพ์คุณจางมันง่ายกว่าอ่ะ ผมพิมพ์ช้าอยู่ด้วย พี่เป็นคนจีนแท้ๆ ยังพิมพ์ไทยเร็วกว่าผมเลย
 
ZYL : งั้นไม่คุยก็ได้ครับ
 
LK : พี่อี้หลง พี่อี้หลง พี่อี้หลง พี่อี้หลงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
ZYL : ว่าไงครับน้องคุน
 
LK : โครงการเอาไอเดียผมไปใช้เหรอครับ ไม่น่านะครับ ตอนผมเสนอไป ก็บอกว่าไม่เข้าท่าตลอดเลย ตอนสรุปกันก็ไม่ให้ผมเข้าด้วย
 
ZYL : เรื่องเชิญแขกระดับท๊อปแบบเอ๊กซ์คลูซีพ เรื่องจำกัดจำนวนคนในรอบแรกๆ เรื่องให้กระจายภาพคนมีชื่อเสียงที่ถ่ายกับป่าที่เป็นแลนด์มาร์คโครงการออกไปแบบไม่ตั้งใจ พวกนี้เป็นความคิดเราหรือเปล่าล่ะ
 
LK : ของผมครับ ก็อย่างที่เคยคุยๆ กับพี่ไว้แล้วส่งร่างให้ดู
 
ZYL : ไอเดียพวกนี้ถูกเอาไปใช้ในโครงการหมดเลย ไม่ใช่แค่คอนเซ็ปท์นะ แต่รายละเอียดปลีกย่อยที่น้องคุนร่างไว้ก็เอามาใช้เกือบหมด สุดท้ายไม่มีเครดิตให้เรานะ เป็นชื่อคนอื่น
 
LK : อ้าว ไหนพี่เค้าบอกว่าผมคิดมันเด็กๆ ใช้ไม่ได้
 
ZYL : ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จัดการให้ ยังไงเราต้องมีชื่ออยู่ในผลงานนี้
 
LK : ไม่ต้องล่ะครับ อีกไม่กี่วันผมก็ฝึกงานจบแล้ว พี่ๆ ส่วนใหญ่ก็ดี ผมไม่อยากให้มีปัญหา อีกอย่างถึงพี่จะมาจากบริษัทแม่  ไม่ควรไปล้วงลูกการทำงานงานของฝ่ายบริหารบริษัทลูกหรือเปล่า เดี๋ยวระดับสูงเขาจะว่าเอา
 
ZYL : น้องคุนเป็นห่วงพี่เหรอครับ
 
LK : ก็พี่อี้หลงช่วยผมหลายเรื่องแล้ว ไม่อยากให้พี่มีปัญหากับเรื่องเล็กๆ
 
ZYL : โอเคครับ ยังไงซะพี่ก็รู้แล้ว คนอื่นในบริษัทก็ไม่สำคัญหรอก
 
LK : แหม พูดยังกะเป็นประธานบริษัทซะเอง 55
 
ZYL : หึหึ ใช่ซะที่ไหน
 
แม้จะรู้ว่าตัวเองถูกนำไอเดียไปใช้หลี่คุนก็ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไร เขาได้รับความรู้เกี่ยวการค้าในยุคนี้จากการฝึกงานก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ไม่คิดว่าวันสุดท้ายของการฝึกงาน เขาจะได้รับเช็คมูลค่าห้าหมื่นบาทจากหัวหน้าเป็นค่าตอบแทนพิเศษจากการทำงานในโครงการดังกล่าว และดูเหมือนว่าทีมโครงการที่ต้องไปทำงานต่อจะถูกปรับเปลี่ยนคนขนานใหญ่ หลี่คุนแอบหัวเราะร่าในใจด้วยความดีใจ เครดิตอะไรไม่ได้ไม่เป็นไร เงินนี่แหละดีที่สุด เขาจะได้เอาไปต่อยอดทำมาหากินต่อ
 
หลี่คุนมีเวลาอีกพอสมควรก่อนที่จะเปิดเทอม เขาเร่งคิดหาทางทำเงินทำทองจากขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณตำหรับใหม่ที่อุตส่าห์คิดค้นขึ้น ด้วยสรรพคุณยอดเยี่ยมที่เทียบเคียงได้กับสิ่งที่ใช้กันในวังเมื่อยุคก่อนหลี่คุนจึงตั้งชื่อว่าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิ จริงๆ เขายังเข็ดขยาดความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในครั้งที่แล้วอยู่มาก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ หลี่คุนวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในคราวที่แล้วอย่างละเอียด สินค้าไม่มี อ.ย. ไม่อาจวางขายโดยทั่วไปได้ ถูกของเลียนแบบตัดราคา โดนโจมตีทางโซเซียลจนเสียชื่อเสียง เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไขก่อนจะออกสินค้าชุดใหม่
 
จริงๆ แล้วหลี่คุนไม่ต้องการขึ้นทะเบียน อ.ย. เพราะไม่ต้องการเปิดเผยสูตรออกไป แต่เมื่อคิดจะทำอาชีพนี้จริงจังก็ต้องทำตามกฎหมายให้ถูกต้อง เขาไปปรึกษาเรื่องนี้คร่าวๆ กับนายแพทย์ภีมหมอฝังเข็มชื่อดังที่หลี่คุนรู้จักตอนอยู่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลังข้ามเวลามา หมอภีมพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้างบอกว่าถ้าเป็นเครื่องสำอางค์ที่ใช้แต่สมุนไพรไม่ได้มีสารเคมีออกฤทธิ์ควบคุมก็จะไม่ได้เข้มงวดมากนัก ขอแค่ไม่ได้ผสมสารอันตรายหรือโฆษณาเกินจริงก็พอ เขาแนะนำให้หลี่คุนใช้บริการคนที่รับจ้างจด อย. ในที่สุดก็สามารถขึ้นทะเบียนได้โดยแจกแจงสมุนไพรที่ใช้เป็นชื่อรวมๆ ไม่ละเอียดมากพอที่ใครจะลอกเลียนแบบได้
 
เมื่อแก้ปัญหาเรื่อง อ.ย. ได้แล้ว เขาก็เริ่มคิดแผนการขาย เดิมสินค้าเขาเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วผ่านทางไอจีของซูเอ๋อร์  นั่นดูเหมือนจะดีแต่กลับทำให้สินค้าของเขาเข้าไปอยู่ในตลาดล่าง ตลาดล่างมีดีแค่ปริมาณแต่นำปัญหาสินค้าปลอมและการตัดราคาที่ยากจะป้องกันมาให้
 
การฝึกงานที่บริษัทโฆษณาของหลี่คุนไม่เสียเปล่า แม้จะไม่ได้ทำงานสำคัญ แต่เขาก็ได้เรียนรู้พฤติกรรมของคนยุคนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก บริบทเงื่อนไขอาจเปลี่ยนไป แต่เนื้อแท้แล้วคนก็ยังเป็นคนไม่ต่างจากในอดีต พอจับหลักได้ หลี่คุนก็เอาความรู้ในสองชาติภพมาผสมผสานเป็นแผนการตลาดที่แตกต่างขึ้นมา ขี้ผึ้งบำรุงตัวใหม่ของเขาจะต้องจับตลาดบน มีแต่สมาชิกเท่านั้นที่จะซื้อได้ ราคาต้องวางไว้ในระดับสูงแม้ต้นทุนจะต่ำเพียงใด สินค้าเพื่อความงามมิอาจตั้งราคาต่ำได้ผู้คนจะไม่เชื่อถือ บรรจุภัณฑ์ต้องหรูหราสวยงามยากต่อการปลอมแปลง ทั้งหมดเป็นเงื่อนไขที่เขาวางไว้
 
ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิถูกแจกจ่ายไปให้กับผู้คนในวงจำกัด คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนที่เขารู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องที่เขาคาดว่าจะช่วยแนะนำสินค้าของเขาไปให้กลุ่มเป้าหมายได้ เขามีประสบการณ์แล้วว่าลูกค้ายุคนี้เชื่อคนที่เขาสนใจมากกว่าโฆษณา คนพวกนี้เรียกว่าอินฟลูเอนเซอร์เหมือนตอนที่คนในเน็ตใช้ขี้ผึ้งตัวเก่าตามซูเอ๋อร์ หลี่คุนไม่คิดที่จะใช้น้องชายตัวเองอีกเพราะไม่อยากให้เปลืองตัวและคนที่ติดตามซูเอ๋อร์อยู่ก็คงมีแต่วัยรุ่นที่กำลังซื้อไม่สูง เขาจึงมองหาคนอื่นถึงได้พบว่าคนรอบตัวเขามีทั้งคนหน้าตาดีมีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ยอดเยี่ยมได้ทั้งนั้น
 
คนแรกที่ได้รับขี้ผึ้งคือหมอภีม นายแพทย์หนุ่มเชื่อถือในวิชาฝังเข็มของหลี่คุนอยู่แล้วจึงนำไปใช้กับตัวเองในทันที ผลที่ได้น่ามหัศจรรย์มาก เขารีบแนะนำให้กับคนไข้สาวน้อยสาวใหญ่ไฮโซที่สนิทกันอย่างไม่ลังเล รายที่สองคือแฮ็คส์นักร้องนักแสดงหนุ่มว่าที่น้องเขยของหลี่คุนเอง แฮ็คส์ได้รับการรับรองแข็งขันจากซูกัสจึงนำเอาไปบังคับขายกับกลุ่มเพื่อนดาราเพื่อเอาใจพี่แฟน นอกนั้นก็มีพวกนายแบบที่หลี่คุนช่วยไว้จากพีทหลายคนที่อาสาเอาไปช่วยแนะนำให้กับคนในวงการบันเทิง ไฮโซแบ๊งค์นักเปียโนชื่อดังก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในแวดวงคนชั้นสูง เขากลัวว่าหลี่คุนจะไม่ช่วยฝังเข็มให้มือของเขาอีก จึงถึงกับยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกมาเดินสายขายขี้ผึ้งอยู่เป็นเดือนๆ จนได้ยอดสูงกว่าคนอื่นทั้งหมด
 
หลังจากใช้เวลาเกือบเดือนในการกระจายสินค้าล๊อตแรกไป หลี่คุนก็ได้แต่รอลุ้นว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร ถึงแม้ซูเอ๋อร์ หมอภีม ไฮโซแบ๊งค์ หรือคนอื่นๆ จะยืนยันว่าขี้ผึ้งของเขามีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ คนกลุ่มนี้สนิทกับเขา หรือไม่ก็มีเหตุให้ต้องพยายามเอาอกเอาใจเขาจึงไม่อาจนับเป็นผลตอบรับที่เที่ยงตรงได้ ประสบการณ์ขาดทุนในครั้งที่แล้วยังทำให้เข็ดขยาดอยู่ไม่น้อย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 16] 11/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-11-2019 17:17:34
พี่อี้หลงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

วี้ดว้ายยยยย เอาใจน้องคุณออกหน้ามากกกก

ผจก. นั่นไม่เลิกง่าย ๆ แน่ ๆ  เดี๋ยวต้องมาแว้งกัดชัวร์ แต่ระหว่างนั้นก็คันคะเยอะแสบร้อนไปก่อนละกัน ฮ่าๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 16] 11/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-11-2019 22:53:19
พี่อี้หลงจะเป้นพระเอกใช่มะ ดูห่างไกลเรื่องความรักละเกิน เงินสำคัญใช่มะหลี่คุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 16] 11/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Icegemini04 ที่ 12-11-2019 22:55:48
โอ้ยยยย เพลินมากกก สนุกมากค่ะ อ่านไปยิ้มไปขำไป รอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 16] 11/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-11-2019 07:24:12
สนุกมากกก ล่าสุดเกณฑ์คนไปขายครีม 555


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 17] 13/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-11-2019 12:14:01
 
หลังจากที่เขากระจายสินค้าล๊อตแรกไปไม่กี่วันมหาลัยก็เปิดเทอม หลี่คุนกลับไปร่วมเรียนปีสี่คณะนิเทศภาคโฆษณาร่วมกับเพื่อนๆ ของคุณานนท์โดยไม่เครียดอะไรเพราะความทรงจำของร่างเดิมได้ฟื้นคืนมาพอสมควรและเขาก็ปรับตัวกับยุคนี้ได้ดีแล้ว หลี่คุนมีแต่ความตื่นเต้นที่จะได้เรียนในสำนักศึกษาที่เกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากยุคที่แท้จริงของตัวเอง เขาถอดผ้าปิดปากที่ใส่เป็นประจำระหว่างเดินทางออกเมื่อเข้ามาในคณะ คนที่ตกตะลึงจริงๆ กลับเป็นเพื่อนๆ กำลังคุยกันเซ็งแซ่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน
 
คุณานนท์ในความทรงจำของพวกเขาเป็นคนหน้าตาดีก็จริงแต่ในคณะที่เต็มไปด้วยคนหล่อๆ สวยๆ ที่พร้อมจะเข้าวงการก็ไม่นับว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่คุณานนท์ที่มาปรากฎตัวในวันเปิดเทอมกลับเปลี่ยนไปจนคนมองแทบจะลืมหายใจ ดวงตาหงส์เรียวยาว ปากแดงฟันขาวผมดำราวหมึก ที่สำคัญคือผิวขาวเนียนราวส่องแสงได้ไร้ตำหนิริ้วรอยแม้แต่น้อย เมื่อรวมกับรูปร่างแข็งแรงท่าทางองอาจผ่าเผยและการเคลื่อนไหวแคล่วคล่องงามสง่าทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้ แม้แต่เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งเป็นนักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่เข้าวงการมาแล้วหลายปีก็ยังมีออร่าไม่เท่า
 
การฝังเข็มทะลวงเส้นปราณที่อุดตันและการบรรลุกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งทำให้สุขภาพของหลี่คุนสมบูรณ์ถึงขีดสุด สิ่งนี้ย่อมสะท้อนออกมายังรูปลักษณ์ภายนอก โอสถบำรุงในตำนานหลากหลายขนานที่หลี่คุนทดลองกับตัวเองยิ่งส่งเสริมให้ความหล่อเหลางดงามเปล่งประกายไร้ที่ติ ท่วงท่าองอาจได้มาจากการฝึกยุทธ์ที่ชายหนุ่มทำเป็นประจำอย่างไม่เกียจคร้าน ดวงจิตที่เป็นของผู้นำตระกูลหลี่แห่งฉางอันครั้งบรรพกาลฉายแววผ่าเผยสูงศักดิ์ที่เกินกว่านักศึกษาธรรมดาจะมีได้ออกมาผ่านแววตาคมกล้า
 
“ไอ้ เอ่อ อ่า คุน ไปทำอะไรมา กู เอ่อ เรา เอ๊ย ผมเกือบจำไม่ได้เลย คะ..ครับ”
 
เพื่อนที่คุ้นเคยกับคุณานนท์เพราะทำงานกลุ่มเดียวกันบ่อยๆ เข้ามาทักด้วยท่าทางฝืนๆ เขารู้สึกไม่กล้าพูดจาไม่สุภาพกับคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
 
“ทำไมพูดจาแปลกๆ วะกอล์ฟ สุภาพซะจนกูตอบไม่ถูกเลย”
 
หลี่คุนสวมรอยเป็นคุณานนท์ตอบกลับได้อย่างแนบเนียน เขาจำเพื่อนร่วมคณะคนนี้ได้จากความทรงจำของคุณานนท์ เมื่อมองว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งไม่ต่างจากตินปฏิกิริยาของเขาก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ
 
เพื่อนคนนั้นตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ยังเหมือนเดิมของคนตรงหน้า
 
“ไอคุนจริงๆ ด้วย ไปทำหน้าที่ไหนมาวะ หล่อเด้งขนาดนี้ เชร็ด นี่กูใจสั่นกับผู้ชายเหรอวะ”
 
เพื่อนคนอื่นๆ ที่หายจากอาการตกตะลึงก็เข้ามารุมล้อมยิงคำถามกับหลี่คุนราวกับอีกฝ่ายเป็นดารา จนหลี่คุนยืนยันหลักแน่นว่าไม่ได้ไปทำศัลยกรรมใบหน้าที่ไหนมาถึงได้ยอมสลายตัว แต่ไม่วายมีสาวสวยเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า
 
“คุน ชั้นตัดสินใจแล้ว ยังไงแกต้องมาแสดงละครนิเทศปีนี้ให้ชั้น หน้าตาท่าทางแบบนี้ทำไมชั้นไม่เห็นแววมาก่อนนะ พลาดไปแล้ว พลาดไปแล้ว”
 
หญิงสาวทำท่าตีโพยตีพายเหมือนเสียใจเสียเต็มประดา หลี่คุนยิ้มน้อยๆ แต่ตอบปฏิเสธในทันที
 
“เราคงไม่เหมาะหรอก ตอนนี้เพิ่งเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ อยู่ด้วย คงไม่มีเวลา”
 
“อุ๊ย ไม่เสียเวลาอะไรเลย บทแกมีไม่เยอะแต่โคตรเด่น เรียนที่นี่แต่ไม่ได้เล่นละครนิเทศสักครั้งถือว่าเสียชาติเกิดนะ ชั้นจะให้แกเล่นเป็นบัณฑิตดีดพิณลึกลับ ที่ออกมาอย่างคาดไม่ถึงเวลาที่พระเอกกับนางเอกเข้าตาจน บทนี้เด่นกว่าวีรบุรุษเจ้าสำราญที่เป็นพระรองอีกนะ บทพูดก็ไม่ค่อยมี แค่ทำท่าดีดพิณจีนโบราณเท่ๆ ชิลๆ  ก็พอแล้ว แต่รับรองสาวกรี๊ด”
 
“หือ ทำไมมีพิณจีนโบราณด้วย ละครเรื่องอะไร”
 
หญิงสาวเห็นหลี่คุนทำท่าสนใจก็รีบขายของ
 
“ละครชื่อยิ้มเย้ยยุทธจักร เรื่องจะย้อนยุคไปสมัยจีนโบราณโน่นเลย ช่วงนี้กำลังฮิต ชุดก็ออกแบบไว้หมดแล้ว ถ้าแกใส่ต้องดูสง่าเหมือนองค์ชายในซีรี่ส์จีนแน่ๆ ว๊ายๆ ชั้นอยากจะจับแกไปฟิตติ้งซะตอนนี้เลย”
 
หลี่คุนลังเล ถึงแม้เขาจะมีความสุขกับโลกปัจจุบันแต่ก็ใช่ว่าใจจะไม่ถวิลหายุคสมัยที่จากมา ถ้าได้สวมชุดที่คุ้นเคยอีกครั้งคงพอบรรเทาความรู้สึกอ้างว้างคิดถึงบ้านไปได้บ้าง ละครเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรเหรอ เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงนะ ในที่สุดเขาก็ตอบตกลง
 
“เราคงไม่มีเวลาซ้อมเท่าไหร่ แต่จะลองดูแล้วกัน ขอเงื่อนไขเดียวว่าชุดเราต้องเป็นสีขาวล้วนนะ”
 
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวดีไซน์ให้พิเศษเลย” 
 
หลี่คุนเริ่มวันแรกของการเรียนปีสี่ด้วยการรับแสดงละครเวทีไปอย่างเผลอตัว โชคดีที่ทีมงานละครอยู่ระหว่างเตรียมการช่วงนี้ยังไม่ต้องทำอะไรมากนัก เขาจึงสามารถทุ่มเทให้กับการเรียนได้อย่างเต็มที่ วิชาปีสี่ส่วนใหญ่เป็นการนำวิชาพื้นฐานไปประยุกต์ใช้ หลี่คุนที่ได้ผ่านการฝึกงานมาอย่างเข้มข้นแถมด้วยการชี้แนะของจากอี้หลงที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจจึงเอาตัวรอดไปได้สบายๆ
 
ในช่วงที่นั่งฟังแลคเชอร์ หลี่คุนจะจดน้อยมาก เขาเขียนแต่หัวข้อที่เป็นประเด็นสำคัญๆ เพราะยังไม่สามารถรื้อฟื้นความแคล่วคล่องในการเขียนภาษาไทยของร่างเดิมออกมาได้เต็มที่ แต่พอกลับถึงบ้าน เขาจะสรุปสิ่งที่เป็นหัวใจของเนื้อหาในวันนั้นลงในสมุดบันทึกส่วนตัวอีกเล่ม
 
แม้จะข้ามเวลามาอยู่ในยุคอีกหลายร้อยปีให้หลัง แต่หลี่คุนก็ยังไม่ทิ้งนิสัยของชาวจีนโบราณที่ชอบจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ สิ่งนี้ทำให้ชนชาติจีนสร้างความยิ่งใหญ่มาได้อย่างยาวนานในยุคประวัติศาตร์ การคิดค้นกระดาษเมื่อสองพันปีก่อนทำให้การจดบันทึกเพื่อรวบรวมความรู้ประสบการณ์สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ศิลปวิทยาการของชาวจีนจึงถูกส่งต่อไปได้อย่างกว้างไกล
 
หลี่คุนมีพู่กันจีนที่มีหมึกในตัวซึ่งซูเอ๋อร์ไปหาซื้อมาให้ เขาใช้มันคู่กับสมุดที่มีหน้ากระดาษขาวล้วนเล่มหนาจดบันทึกเรื่องราวที่พบเจอ มีทั้งเนื้อหาที่เรียนในมหาลัย ความเป็นมาและนิสัยของเพื่อนๆ แต่ละคน กลยุทธ์การค้าที่ได้จากจางอี้หลง ส่วนมากจะเขียนถึงสิ่งแปลกใหม่ต่างๆ ที่พบเจอในยุคนี้ เขาเปรียบเทียบความแตกต่างกับยุคโบราณที่เขาเกิดมา และด้วยความกลัวว่าความทรงจำที่ติดมาจากอดีตชาติอาจจะจางหายไปในวันใดวันหนึ่ง เขาจึงค่อยๆ บันทึกเรื่องราวของตัวเองสมัยราชวงศ์หมิงตั้งแต่เด็กจนโตไว้ในสมุดเล่มนั้น
 
หลี่คุนใช้อักษรของอาณาจักรเซี่ยตะวันตกในการจดบันทึก แม้แต่ในยุคราชวงศ์หมิงที่เขาเกิดก็ไม่เหลือผู้คนที่สามารถอ่านภาษาของอาณาจักรที่ล่มสลายไปแล้วหลายร้อยปีนี้ออก แต่หลี่คุนในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลหลี่แห่งฉางอันได้เรียนอักษรที่สาบสูญนี้มาตั้งแต่เด็กจึงใช้มันในการจดบันทึกสิ่งที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้มาโดยตลอด ยิ่งในยุคนี้ภาษาเซี่ยตะวันตกคงเป็นดั่งรหัสลับที่ไม่อาจถอดความได้ เขาจึงเขียนสิ่งที่เป็นความลับลงไปได้โดยไม่ต้องกลัวว่าผู้ใดจะมาอ่านพบ
 
ในขณะที่การเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น การค้าที่เริ่มไว้ก่อนเปิดเทอมยังไปได้ไม่ดีนัก ยอดขายของขี้ผึ้งในเดือนแรกน้อยนิดจนน่าปวดใจ ส่วนใหญ่สั่งซื้อเพราะเกรงใจคนที่แนะนำ หมอภีมช่วยหาลูกค้าในแวดวงคนมีเงินที่ชอบแนวแพทย์แผนโบราณมาได้พอสมควร แต่จะรุกหนักกว่านี้ก็ไม่ได้ด้วยจรรยาบรรณที่ยังค้ำคออยู่ กลุ่มนายแบบเองก็พอจะเจาะตลาดดารานางแบบระดับกลางๆ ได้บ้าง ส่วนแฮ็คส์ก็ใช้การบังคับขายกลุ่มนักร้องนักแสดงที่สนิทสนมกันดื้อๆ แต่คนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจที่สุดคือแบ็งค์ หลังจากเลื่อนทัวร์คอนเสิร์ตของตัวเองออกไป เขาก็กลับไทยมาวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านคุณหญิงคุณนายในแวดวงไฮโซเพื่อแนะนำขี้ผึ้งอย่างไม่ห่วงหน้าตาตัวเอง ที่จริงเขาอยากจะเหมาซื้อเอาไว้เองทั้งหมดด้วยซ้ำแต่หลี่คุนไม่ยินยอม
 
ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิอาศัยแค่การแนะนำบอกต่อในวงแคบไม่มีการโฆษณาขาย วิธีการซื้อก็จำกัดยุ่งยาก ขี้ผึ้งหนึ่งกระปุกใช้ได้หนึ่งเดือนและก็มีอายุการใช้งานแค่หนึ่งเดือนด้วย ทุกตลับจะมีผนึกตราครั่งประทับไว้อย่างวิจิตรบรรจงว่าเป็นของเดือนอะไร หากหมดเดือนก็จะหมดสภาพไม่สามารถใช้ต่อได้ ผู้ซื้อจะต้องสมัครเป็นสมาชิก ทุกๆ เดือนจะได้รับขี้ผึ้งของเดือนนั้นหนึ่งกระปุก ความซับซ้อนนี้ประกอบกับราคาที่สูงกว่าครีมหรูหราของเคาเตอร์แบรนด์ดัง ทำให้หลายคนไม่อยากทดลองแม้จะได้รับคำแนะนำจากคนที่น่าเชื่อถือก็ตาม เรื่องนี้ทำให้บรรดาหนุ่มหล่อทีมขายปวดใจมาก พวกเขาควักเงินตัวเองเป็นลูกค้าของหลี่คุณอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใช้ก็ยิ่งหล่อหน้าใสอย่างไม่น่าเชื่อ แต่จนใจไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นฟังยังไง พูดไปก็เหมือนโฆษณาเกินจริง
 
เมื่อเห็นผลในเดือนแรกเป็นเช่นนี้ หลี่คุนที่มั่นใจในสรรพคุณของโอสถที่ตัวเองปรุงกว่าเหนือล้ำกว่าที่มีขายกันมากนักก็ยังชักจะหวั่นใจจนต้องขอคำปรึกษาจากกูรูส่วนตัว
 
LK : พี่อี้หลง ทักๆ
 
ZYL : ว่า?
 
LK : สมมุติถ้าเรามีสินค้าที่ดีมากๆ แต่ราคาสูงหน่อย แล้วคนไม่กล้าลองใช้จะทำยังไงดี
 
ZYL : หาคนน่าเชื่อถือมารีวิว แต่เขาต้องใช้เองจริงๆ นะ
 
LK : ทำแล้ว
 
ZYL : แจกตัวอย่างทดลอง อ้อ เป็นสินค้าราคาสูงใช่ไหม เน้นภาพลักษณ์ด้วยเปล่าครับ?
 
LK : ใช่เลยครับ
 
ZYL : งั้นแจกฟรีอาจจะไม่เหมาะ ภาพลักษณ์สินค้าจะเสีย เอาเป็นรับประกันแบบไม่มีเงื่อนไข ถ้าไม่พอใจไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร ก็คืนเงินให้หมด
 
LK : อย่างนี้ไม่เจ๊งแย่เหรอพี่
 
ZYL : ก็ถ้าของดีจริงเขาจะมาคืนทำไม
 
LK : จริงด้วย
 
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 17] 13/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nuja ที่ 14-11-2019 06:16:20
รอค่ะรออออออออ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 18] 17/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-11-2019 11:05:20
18

หลี่คุนได้เพิ่มแผนประกันความพึงพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ให้กับขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิตามคำแนะนำของจางอี้หลง หากใช้แล้วไม่ชอบไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เขาจะคืนเงินให้เต็มจำนวนเท่ากับยอดที่ซื้อจริงย้อนหลังไปสูงสุดหกเดือน บรรดาทีมขายหนุ่มหล่อต่างพากันเดินสายโปรโมทสินค้าตัวนี้อีกรอบ ลูกค้าเห็นการรับประกันที่บ้าบิ่นแสดงถึงความมั่นใจในคุณภาพสินค้าก็เริ่มเข้ามาเป็นสมาชิกเพื่อทดลองมากขึ้น ผลตอบรับก็มีแนวโน้มที่ดีแทบจะไม่มีสมาชิกที่ยกเลิกเลย อันที่จริงผู้ใช้ก็เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าดีขึ้นตั้งแต่เดือนแรกๆ แต่หลายคนใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวมากประโคมไปบนใบหน้าตัวเองจนไม่รู้ว่าดีขึ้นจากตัวไหน แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็มั่นใจว่าเป็นเพราะขี้ผึ้งของหลี่คุณ
 
หลังจากนั้นยอดขายรายเดือนของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดารานักแสดงที่ใช้ก็ได้รับคำชมจากช่างแต่งหน้าว่าหน้าใสกระจ่างสุขภาพดีจากภายใน แต่ละคนต่างยิ้มรับแต่เก็บความลับไว้ไม่บอกใครเพราะกลัวดาราคู่แข่งจะสวยเท่า แต่ในหมู่คุณหญิงคุณนายไฮโซดูจะมีมิตรไมตรีกันมากว่าต่างพากันแนะนำให้เพื่อนๆ อย่างไม่หวงแหน
 
ยอดสมาชิกไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วทุกเดือน แต่ก็เริ่มมีลูกค้าที่ไม่ซื่อตรงไม่กี่คน พอใช้ไปได้ซักระยะก็มาขอยกเลิกอ้างว่าผลิตภัณฑ์ไม่ดีอย่างที่พูดๆ กัน หลี่คุนคืนเงินให้เต็มจำนวนโดยไม่บิดพริ้ว  ลูกค้ากลุ่มนี้รับเงินคืนไปก็คิดจะกลับไปสมัครใหม่ แต่หลี่คุนกลับประกาศนโยบายใหม่ในการขายขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่น่าตกตะลึงขึ้นมาเสียก่อน
 
ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิจะไม่ขายให้กับคนทั่วไป ผู้ที่จะสมัครสมาชิกใหม่จะต้องได้รับการรับรองจากสมาชิกเดิม สมาชิกแต่ละท่านสามารถรับรองสมาชิกใหม่เพิ่มได้หนึ่งคนต่อปีเท่านั้น
 
ประกาศที่หลี่คุนออกมาสร้างความปั่นป่วนอย่างแท้จริง สิ่งที่คิดว่ามีเงินก็ซื้อได้แม้จะแพงหน่อยกลับไม่สามารถใช้เงินเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป คนที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วต่างคิดว่าตัวเองโชคดีที่เจอขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิก่อนคนอื่น คนที่เพิ่งได้ยินสรรพคุณยังไม่ได้เป็นสมาชิกต่างร้อนรนจะเป็นจะตายกลัวไม่สามารถหาผู้รับรองได้ สิทธิรับรองสมาชิกรายเดียวที่มีในหนึ่งปีมีค่าราวกับทอง ถ้าไม่รักชอบกันจริงไม่มีทางที่ใครจะยกให้ใครโดยเด็ดขาด ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์สินค้าในทางเสียหายโดยไม่มีมูลเพราะกลัวถูกตัดสิทธิ์สมาชิก คนที่ชอกช้ำที่สุดคือพวกที่เคยใช้อยู่จนรู้สรรพคุณดีแต่ไปยกเลิกเพราะหวังได้เงินคืนแล้วค่อยไปสมัครใหม่ ตอนนี้ทำอย่างไรก็ไม่สามารถกลับไปเป็นสมาชิกได้
 
มีหลายเสียงเรียกร้องให้หลี่คุนผ่อนปรนการรับสมาชิกมากขึ้น คนค้าขายมิใช่หวังเงินทองหรอกหรือ จะจำกัดยอดขายตัวเองทำไม หลี่คุนไม่ตอบอะไร เขาไม่ได้โง่แต่นี่เป็นแผนการตลาดที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถึงอย่างไรเขาที่เปิดเรียนแล้วก็ไม่มีกำลังที่จะทำขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิได้พอกับทุกคนที่ต้องการ และการปรุงขี้ผึ้งก็ไม่สามารถให้คนอื่นทำแทนได้ เขาจึงหยุดในระดับที่ทำได้สบายๆ แล้วปล่อยให้การค้าค่อยๆ โตไปทีละนิด จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นและป้องกันไม่ให้กิจการเด่นเกินไปจนโดนโจมตีอีก เพียงแค่นี้เขาก็มีรายได้ที่มั่นคงเข้าทุกๆ เดือนแล้ว ทีมขายรูปหล่อทุกคนถูกปลดกระทันหันเพราะขี้ผึ้งมีแทบไม่พอขาย แต่ทุกคนก็ยังขอเป็นลูกค้าต่ออย่างเหนียวแน่น
 
พอการค้าเริ่มอยู่ตัว ก็เข้าสู่ช่วงการฝึกซ้อมของละครนิเทศพอดี บทพูดของหลี่คุนในบทบัณฑิตดีดพิณลึกลับมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นการทำท่านิ่งๆ เท่ๆ เสียมากกว่าทำให้เขาไม่ต้องซ้อมหนักเท่านักแสดงคนอื่น หลังจากนั้นไม่นานเสื้อผ้าชุดหลักของนักแสดงก็ตัดเสร็จ เขาถูกเรียกให้เข้าไปลองชุดพร้อมกับนักแสดงคนอื่นๆ หลี่คุนเดินเข้าไปในห้องเสื้อผ้าก็เห็นชายหญิงหน้าตาดีหลายคนเดินกันขวักไขว่ไปมาในชุดแบบจีนคล้ายกับยุคที่เขาจากมาก็อดรู้สึกท่วมท้นในใจไม่ได้ ทีมงานเสื้อผ้าเห็นเข้าก็รีบพาเขาไปเปลี่ยนเป็นชุดบัณฑิตสีขาวล้วนทันที พอเขากลับมาในห้องรวมอีกครั้งสายตาทุกคนในห้องก็จ้องมองมาที่หลี่คุนเป็นตาเดียว
 
ไม่ใช่แค่ชุดที่เป็นแบบจีนโบราณ แต่ผมของหลี่คุนก็ถูกต่อจนยาวแล้วมัดเป็นทรงที่บัณฑิตหนุ่มยุคนั้นชอบไว้กัน ความลงตัวสง่าผ่าเผยของบุรุษหนุ่มตรงหน้าทำให้หลายคนอดจินตนาการไม่ได้ว่าคนผู้นี้ได้ข้ามเวลาจากอดีตกาลมาจริงๆ แม้แต่ตัวหลี่คุนเองก็ตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปอยู่ในเมืองต้าชิงเมื่อหลายร้อยปีก่อน หลี่คุนยิ้มบางเบาเป็นเชิงทักทายชายหญิงในชุดเสื้อผ้าแบบจีนโบราณพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อผายมือเป็นเชิงให้เกียรติทุกคน ท่วงท่าทรงศักดิ์สง่างามของชนชั้นสูงในอดีตเช่นนี้แม้แต่นักแสดงมากฝีมือของจีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้
 
“กรี๊ด ไอคุน ชั้นว่าแล้วว่าแกต้องเหมาะกับชุดนี้ ขาวออร่าทั้งคนทั้งชุดเห็นแล้วแข้งขาอ่อนไปหมด ตายๆๆๆๆ เจออย่างนี้แล้วใครยังจะมาสนใจพระเอกพระรองของเรื่องอีกเนี่ย”
 
สาวสวยผู้ชักชวนหลี่คุนให้มาแสดงละครเป็นคนแรกที่หาเสียงตัวเองเจอ หลังจากกรีดร้องอย่างปลาบปลื้มจนหนำใจแล้วก็หยิบเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปหลี่คุนอย่างไม่นับ ปากก็พึมพำว่าละครเรื่องนี้ต้องดังแน่ๆ
 
หลี่คุนได้รับรูปพวกนั้นทางไลน์ คนถ่ายบอกว่าคัดมาไม่กี่รูปที่ถ่ายออกมาได้ดีที่สุด หลี่คุนไล่ดูแล้วก็พบว่าไม่เลวเลยจริงๆ บางรูปก็คล้ายกับตัวเขาเมื่อหลายร้อยปีก่อนถึงแปดเก้าส่วน หลังจากนั่งดูอยู่นานก็คลิ้มใจอดไม่ได้ที่จะส่งรูปพวกนี้ไปให้คนอื่นดูบ้าง เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องแชร์ให้ชาวโลกรู้ขึ้นมานิดๆ
 
ไม่ทันไรทั้งซูเอ๋อร์กับเพื่อนๆ ติน จางอี้หลง หมอภีม แบ็งค์ แฮ็คส์ พี่ๆ ที่ค่ายมวย ไปจนบรรดานายแบบที่เคยช่วยขายขี้ผึ้ง ก็ได้รับรูปหลี่คุนในชุดจีนโบราณสีขาวกันโดยทั่วหน้า หลังจากนั้นไลน์ของหลี่คุนก็ลุกเป็นไฟ มีทั้งคำชมทั้งส่งข้อความมาถามว่าอะไรยังไงถึงได้ไปแต่งตัวแบบนั้นได้ หลี่คุนก็ตอบไปคร่าวๆ เป็นชุดของละครเวทีที่ตัวเองจะร่วมแสดงด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดไปมากกว่านั้นเพราะไม่รู้ว่าทีมงานยังปกปิดอะไรไว้เป็นความลับหรือเปล่า
 
หลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ก็มีการนัดถ่ายรูปเพื่อโปรโมทละคร สถานที่ก็ไม่ต้องไปไหนไกลเนื่องจากในมหาลัยมีอาคารวัฒธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนซึ่งถูกออกแบบให้เหมือนเก๋งจีนอยู่แล้ว กระแสของละครเรื่องนี้กำลังมาแรงในกลุ่มนักศึกษาจากภาพในชุดจีนโบราณสีขาวของหลี่คุนที่เล็ดรอดออกไปทำให้มีคนมารอดูการถ่ายรูปเป็นกลุ่มใหญ่
 
เมื่อทีมงานตั้งกล้องเซ็ทแสงเรียบร้อยก็มีคนผู้หนึ่งสวมชุดขาว แขนเสื้อชายผ้าและเส้นผมยาวพลิ้วไหวลู่ลมดูงดงาม เดินออกมาตรงหน้ากล้อง บุรุษหนุ่มผู้นั้นยืนสงบนิ่งสายตาผลุบมองข้างล่าง แล้วก็ช้อนสายตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นประกายดำขลับสดใสก่อนจะคลี่รอยยิ้มบางเบา เขาแหงนหน้าขึ้นสายตาทอดไปยังฟ้าคราม แสงแดดส่องกระทบใบหน้า สายลมพัดผมม้วนปลิวไสว แลดูสูงส่งดั่งเทพเซียน กลุ่มคนที่มุงดูแทบจะหยุดหายใจ จนเมื่อเห็นตากล้องรัวชัตเตอร์เก็บภาพตรงหน้าอย่างต่อเนื่องก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพงดงามนี้เก็บไว้เหมือนกัน
 
หลังจากถ่ายภาพชุดแรกเสร็จ ทางทีมงานก็ยกพิณที่ใช้ประกอบฉากเข้ามา หลี่คุนเห็นแล้วถึงกับตกตะลึง พิณที่ใช้ตอนซ้อมละครเป็นกู่เจิงขนาดเล็กที่ใช้ประดับบ้านอาม่าของใครสักคนหนึ่งในคณะ แต่พิณที่ถูกยกมาวางบนโต๊ะตัวนี้เป็นพิณโบราณกู่ฉินไม่ผิดแน่ ซ้ำยังถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยไม้สีดำมันวาวประดับมุก มิคาดว่าจะได้เห็นกู่ฉินโบราณเช่นนี้ในยุคปัจจุบัน หากพิณตัวนี้ปรากฏขึ้นในสมัยเขา ยังจัดได้ว่าเป็นกู่ฉินอันล้ำค่าตัวหนึ่ง
 
หลี่คุนลูบคลำกู่ฉินตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ตั้งแต่ข้ามเวลามาก็นับว่านานแล้วที่ไม่มีโอกาสบรรเลงเครื่องดนตรีแสนรักชนิดนี้ เขากรีดนิ้วไปบนสายพิณจนเกิดเป็นเสียงหนึ่ง สำเนียงคุ้นเคยเสนาะหูที่ดังขึ้นทำให้ย้อนคิดถึงความทรงจำยามที่ได้หัดเล่นกู่ฉินในวัยเด็ก หลี่คุนพรมนิ้วไปบนสายทั้งเจ็ดอย่างไม่รู้ตัว เขาลืมความคิดที่จะไม่ทำตัวเด่นให้เกิดความสงสัยไปโดยสิ้นเชิง ท่วงทำนองจีนโบราณที่สูญหายไปแล้วกลับถูกนำมาถ่ายทอดอีกครั้งผ่านความทรงจำข้ามชาติภพของหลี่คุน
 
เสียงของกู่ฉินนั้นไม่ดังแต่แฝงไว้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกส่งผ่านถึงใจตรึงผู้ฟังให้ตกอยู่ในภวังค์ นิ้วมือขาวเรียวยาวทั้งซ้ายและขวาบรรเลงประสานกันด้วยท่วงท่าซับซ้อนทว่าสง่างาม เสียงทุ้มต่ำคล้ายคร่ำครวญของเครื่องดนตรีโบราณแฝงความอาวรณ์ถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน ความรู้สึกที่มีต่อบิดามารดาที่ล่วงลับ พี่น้องที่รักใคร่ มิตรสหายในยุทธภพ หญิงสาวที่เคยให้ใจ หน้าที่ ความรัก ความผูกพัน ที่จบลงด้วยการทรยศในชาติก่อน ถูกหลี่คุนถ่ายทอดผ่านสำเนียงพิณอันโศกเศร้าจนทำให้ผู้ฟังหลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
 
หลี่คุนปลดปล่อยอารมณ์ผ่านเสียงดนตรีจนภายในใจสงบขึ้น เขาสังเกตเห็นผู้คนรายรอบที่ตกอยู่ในความเศร้าอาลัยของเสียงเพลงแล้วก็คิดว่าผิดท่า ละครเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรที่พวกเขาตั้งใจโปรโมทนี้เป็นแนวสนุกขบขัน เป็นเช่นนี้จะขายบัตรได้หรือ ฉับพลันทำนองพิณก็แปรเปลี่ยนเป็นจังหวะสดใสเร่งเร้า ท่อนฮุคของเพลงฮิตร้อยล้านวิวถูกบรรเลงผ่านเครื่องดนตรีโบราณได้อย่างแปลกใหม่ บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่เคยสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นพูดคุยกันเสียงเซ็งแซ่ ไม่ว่าใครก็มีแต่ชื่นชมความหล่อความเก่งที่ไม่น่าเชื่อของนักแสดงมือสมัครเล่นอย่างหลี่คุน
 
บรรดาทีมงานทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น คุณานนท์ไม่เห็นเคยบอกมาก่อนว่าสามารถดีดพิณโบราณได้ไพเราะอย่างนี้ ไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา ละครปีนี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายจนเกือบจะถ่ายรูปโปรโมทต่อไม่ได้ คนดูมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการไลฟ์สดของเพจคิ้วบอยของมหาลัยที่ถ่ายทอดไปก่อนหน้านี้  มีแต่คนมารุมล้อมขอถ่ายรูปกับหลี่คุนจนทีมงานต้องระดมกำลังช่วยกันออกไป ในที่สุดก็ต้องเอาตัวหลี่คุนไปซ่อนไว้เพื่อเปิดโอกาสให้พระเอกนางเอกและตัวละครอื่นๆ ถ่ายรูปให้เสร็จ
 
หลี่คุนที่เข้ามาหลบอยู่ในห้องที่ใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าถามทีมงานรุ่นน้องสองสามคนอย่างสงสัย
 
“ใครเป็นคนไปหากู่ฉินตัวนั้นมาให้นี่ ของดีจริงๆ นะ”
 
“อ้าว ไม่ใช่เป็นของพี่คุนเองเหรอครับ”
 
รุ่นน้องทำหน้าสงสัย น้องอีกคนก็ช่วยเสริมขึ้น
 
“นั่นสิพี่ เมื่อวานตอนพัสดุมาส่ง เขาก็จ่าหน้าถึงพี่คุนแต่ลงที่อยู่ไว้เป็นห้องชมรม ผมก็คิดว่าเป็นพี่สั่งมาเองให้ใช้กับละคร เห็นมันสวยกว่าตัวเดิมด้วยเลยยกมาประกอบฉากวันนี้ซะเลย พี่เล่นคล่องมือขนาดนั้น จะไม่ใช่ของพี่ไปได้ยังไง ว่าแต่พี่ซุ่มจริงๆ นะ เล่นเก่งขนาดนี้ก็ไม่บอก ไม่งั้นคนเขียนบทคงเพิ่มช่วงดีดพิณให้ยาวขึ้นอีก”
 
“ไม่ใช่ของพี่จริงๆ นะ มาได้ไงเนี่ย”
 
หลี่คุนยืนยัน ทั้งเขาและรุ่นน้องงงไปตามๆ กัน กู่ฉินที่ดูล้ำค่าขนาดนี้ ราคาคงไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าใครในทีมละครเสาะหามาให้ แต่เมื่อหลี่คุนสอบถามกับคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครทราบ สุดท้ายต้องโทรไปที่บริษัทขนส่ง ปรากฎว่าทั้งชื่อผู้ส่งและชื่อผู้รับกลายเป็นคนเดียวกันคือคุณานนท์หรือหลี่คุนนั่นเอง
 
“ตกลงมันของใครกันเนี่ย เราไม่ได้เป็นคนสั่งแน่ๆ”
 
หลี่คุนบ่นออกมาอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ถูกเพื่อนสาวผู้จัดละครตัดบทเอาดื้อๆ
 
“จะของใครก็ช่าง อย่าให้เขามาทวงคืนก่อนแสดงจบก็พอ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนเปย์แกก็ได้”
 
เปย์คือ?
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 18] 17/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 17-11-2019 11:56:25
เปย์คือ?   :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 18] 17/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-11-2019 21:48:07
ต้องอี้หลงเท่านั้นนนน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 18] 17/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-11-2019 23:09:55
หืมมมม

จดลงสมุดไปถามซูเอ๋อร์

เปย์คือ?

คริคริ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 18] 17/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-11-2019 00:45:20
สนุกมาก
พี่อี้หลงไหม จอมเปย์น่ะ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 19] 19/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-11-2019 07:41:43
19

หลังจากที่มีคลิปหลี่คุนเล่นกู่ฉินเผยแพร่ออกไปก็เป็นกระแสไปทั่วมหาลัย ทีแรกหลี่คุนไม่สบายใจนักว่าจะมีคนสงสัยหรือไม่ที่เขาเล่นกู่ฉินได้ แต่พอค้นข้อมูลของโลกปัจจุบันก็พบว่ามีการสืบทอดกู่ฉินอยู่บ้าง แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ยังมีลูกหลานชาวจีนและผู้สนใจที่เล่นเป็นอยู่ เขาจึงอธิบายคนอื่นไปว่าเคยเรียนเมื่อตอนเด็กกับอากงของเพื่อนก็ดูจะไม่มีใครติดใจอะไร
 
ทีมละครซ้อมกันอย่างหนักอยู่เป็นเดือนจนในที่สุดก็ถึงวันแสดง  บัตรที่ออกมาขายล่วงหน้าก็หมดเกลี้ยงอย่างเป็นประวัติการณ์ ขนาดว่ามีการเพิ่มเก้าอี้และออกบัตรเสริมออกมาก็หายวับภายในพริบตา หลี่คุนกลายเป็นคนดังของมหาลัยไปแล้ว  เขาจะไปไหนมาไหนแม้แต่ในมหาลัยยังต้องใส่ผ้าปิดปากไม่งั้นจะถูกคนขอถ่ายรูปจนไม่เป็นอันทำอะไร ผ้าปิดปากสีดำลายมังกรของเขากลายเป็นที่นิยมไปทั้งมหาลัย กลุ่มแฟนคลับที่จัดตั้งขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากการบรรเลงกู่ฉินในตำนานตอนนี้มีสมาชิกหลายพันคนทั้งในและนอกมหาลัย
 
ละครของคณะจัดแบบเรียบง่ายมีเพียงแค่รอบเดียวถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย ที่นั่งในห้องประชุมจึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนไม่มีที่ว่างแม้แต่ที่เดียว หลี่คุนปรากฎตัวบนเวทีเพียงแค่ไม่กี่ฉากแต่ทุกครั้งก็สร้างความตราตรึงกับผู้ชมจนไม่อาจละสายตา ร่างสมส่วนผมดำยาวงามสง่าในชุดจีนโบราณขาวล้วนโดดเด่นเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟดูราวกับองค์ชายสูงศักดิ์ก้าวออกมาจากพระราชวังต้องห้ามในอดีต แม้จะมีบทพูดไม่มากแต่ฉากดีดพิณที่ทุกคนรอคอยก็สร้างความอิ่มเอมเต็มตื้น พระเอกกับพระรองแอบกอดคอร้องไห้กันอยู่ตรงมุมเวที ทั้งซาบซึ้งกับบทเพลงทั้งพูดไม่ออกที่ถูกแย่งความเด่นไปจนเกือบไม่มีใครสนใจ
 
เมื่อละครจบลงกลุ่มแฟนคลับของหลี่คุนก็ไปออกันอยู่หลังเวที ยังดีที่ทีมละครจัดคนมาดูแลเป็นอย่างดีจึงคุมความเรียบร้อยไว้ได้ ไม่นานหลี่คุนก็ออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ใช้แสดงอย่างเต็มยศ เป็นธรรมเนียมที่นักแสดงจะออกมาทักทายและถ่ายรูปกับผู้ชมหลังจบการแสดง แต่ก่อนที่แฟนคลับจะเข้าไปรุมล้อม ก็มีชายหนุ่มแต่งตัวภูมิฐานเดินถือดอกไม้ช่อใหญ่เดินเข้าไปถึงตัวของหลี่คุนก่อน หลายคนจำได้ว่าชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มคนแปลกหน้าที่นั่งดูละครอยู่แถวหน้าสุด
 
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณคุณานนท์ เป็นการบรรเลงกู่ฉินที่เข้าถึงจิตวิญญาณจริงๆ”
 
หลี่คุนมองช่อดอกไม้มือหนุ่มหล่ออย่างคาดไม่ถึง
 
“คุณแบงค์มาได้ยังไงครับ ไม่ได้ทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ที่ยุโรปเหรอ แล้วรู้ได้ไงครับว่าผมมีเล่นละครวันนี้ อ้อ ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับ จริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้”
 
แฟนคลับสาวของหลี่คุนยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้ส่งเสียงกรี๊ดออกมาเกือบไม่ทัน เธอจำได้แล้วว่าคนที่เอาช่อดอกไม้มาให้ไอดอลของตัวเองคือหนุ่มหล่อไฮโซนักเปียโนระดับโลกชื่อดัง ช่อดอกไม้นั้นสวยงามแปลกตาท่าทางจะเป็นดอกไม้นำเข้าราคาแพงทั้งหมด ที่แท้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ถึงเอาช่อดอกไม้มามอบให้ถึงที่
 
หลี่คุนมองหน้าชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร หลังจากที่อนาคตการเป็นนักเปียโนของอีกฝ่ายถูกผูกไว้กับการฝังเข็มของเขา นิสัยพฤติกรรมของแบงค์ก็ปรับปรุงจนดีขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญแบงค์เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิ์ของเขาสามารถเจาะตลาดไฮโซได้ เขาจึงไม่รังเกียจที่จะคบหาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็มิกล้าหักหลังหรือทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน ส่วนนิสัยที่แท้จริงจะเปลี่ยนไปแล้วหรือไม่คงต้องดูกันไปยาวๆ
 
“ได้ยังไงครับ วันนี้เป็นวันสำคัญของคุณคุณานนท์ ยังไงผมต้องมาอยู่แล้ว แต่ลำบากเหมือนกันนะกว่าจะหาบัตรแถวหน้าสุดได้ ต้องให้คณบดีคณะดุริยางค์ของที่นี่ช่วย ได้ฟังคุณเล่นกู่ฉินสดๆ แบบนี้ นับว่าเปิดโลกทางดนตรีของผมจริงๆ”
 
หลี่คุนมีใจรักดนตรีอยู่แล้ว พอได้ยินคำชมจากคนที่เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านดนตรีของยุคปัจจุบันก็พอใจจนคลายท่าทางสง่าสูงส่งลง เขาเผยรอยยิ้มเห็นไรฟันขาวจนคนที่มองอยู่ใจสั่นไปตามๆ กัน แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรต่อ ก็มีกลุ่มหนุ่มหล่อหลายคนแหวกฝูงชนเข้ามา พร้อมทั้งส่งเสียงเรียกน้องคุนพี่คุนก่อนจะยื่นช่อดอกไม้หลายช่อออกมาให้พร้อมๆ กัน ผู้คนรอบข้างกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น
 
คนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากกว่านักเปียโนอย่างแบงค์ ทั้งหมดเป็นดารานายแบบที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยในหมู่วัยรุ่น หลี่คุนกวาดตามองแล้วก็จำได้ หนุ่มหล่อกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นอดีตเหยื่อของพีทที่เขาได้เคยช่วยเหลือไว้ หลายคนได้ช่วยแนะนำขี้ผึ้งของเขาให้เป็นที่รู้จักของคนในวงการบันเทิง หลี่คุนไม่ได้สนิทอะไรนักส่วนใหญ่จะติดต่อกันผ่านโซเซียล มีแค่บางคนเท่านั้นที่เคยเจอหน้ากันจริงๆ ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่าเขามีละครวันนี้
 
หลี่คุนทักทายถามไถ่กลุ่มนายแบบได้สองสามคำ ตินเพื่อนสนิทก็พาชายฉกรรจ์หุ่นล่ำในชุดวอร์มสามคนเข้ามาหา ทั้งหมดคือนักมวยรุ่นใหญ่ของค่ายมวยครูเผด็จที่คุ้นเคยกันดี นักมวยทั้งสามคนเอาพวงมาลัยมาคล้องให้หลี่คุนเป็นการแสดงความยินดี เด็กวัยรุ่นที่มุงดูกันอยู่เห็นแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ แต่นึกอีกทีก็ดูซื่อๆ จริงใจสมกับพี่ๆ นักมวยหุ่นบึ้กพวกนี้ดี หลี่คุนเห็นเมฆขาวมาด้วยก็ดีใจรีบเข้าไปจับไม้จับมือลูบหน้าลูบหลังแอบซึมซับพลังหยางมาชดเชยกำลังที่อ่อนล้าจากการแสดง สักพักตินที่ไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่มีผู้คนเยอะแยะวุ่นวายจึงขอตัวกลับก่อนพร้อมกับนักมวยรุ่นพี่ทั้งสามคนบอกว่าจะไปซ้อมมวยต่อ
 
“พี่คุนๆ พวกผมอยู่ทางนี้”
 
เขาหันไปคุยต่อกับแบงค์และกลุ่มนายแบบได้ซักครู่ หลี่คุนก็ได้ยินเสียงซูกัสตะโกนโหวกเหวกดังมาจากวงนอก พอมองไปก็เห็นน้องชายเขากับเพื่อนๆ วัยมอปลายในชุดจีนย้อนยุคดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนคุณหนูคุณชายจากหนังจีนกำลังภายใน ซูเอ๋อร์ถือดอกไม้มาด้วยช่อหนึ่ง ฝูงคนแหวกทางให้กลุ่มเด็กที่มาทีหลังโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นว่ารู้จักกันกับหลี่คุน
 
“พวกผมอุตส่าห์เตรียมชุดจีนมาเปลี่ยนด้วยจะได้ใส่ถ่ายรูปกับพี่ ใส่กันไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่เลยเสียเวลาไปหน่อย อ้อ ดอกไม้นี่ไม่ใช่ของผมนะ หมอภีมฝากมาให้บอกว่าติดธุระจริงๆ อย่างผมไม่เสียตังค์ซื้อของที่กินไม่ได้แบบนี้หรอก”
 
หลี่คุนไม่แปลกใจที่เจอเด็กๆ พวกนี้ เขาเป็นคนให้บัตรไปเอง แต่ผู้ชายร่างสูงใหญ่สวมหมวกใส่แว่นดำที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ห่างนั่นไม่ใช่ว่าเป็นแฮ็คส์นักร้องลูกครึ่งชื่อดังหรอกหรือ ใครเชิญมานี่ ห่างกันสักวันไม่ได้เลยนะ
 
ตอนนี้เขามองไปทางไหนก็มีแต่คนหล่อเหลาหน้าใสกิ๊กเต็มไปหมด คิดดูแล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นลูกค้าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิของเขานี่นา รวมถึงพวกเด็กๆ ที่ได้ใช้ฟรีด้วย มิน่าถึงได้ออร่าพุ่งกันขนาดนี้ หลี่คุนนึกภูมิใจอยู่ในใจ เหล่าแฟนคลับตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเอาตาไปมองทางไหนดี คนนี้ก็หล่อ คนนั้นก็น่ารัก เจ็ดแปดส่วนของแฟนคลับหลี่คุนก็เป็นพวกหลงหน้าตาหนุ่มหล่ออยู่แล้ว ช่างคุ้มค่ากับการที่ทุ่มเทเสาะหาบัตรมาจนได้จริงๆ
 
หลังจากนั้นก็กินเวลาเกือบชั่วโมงกว่าทุกคนจะได้ถ่ายรูปร่วมกับหลี่คุนจนหมด โชคดีที่แฟนคลับน่ารักยอมถ่ายรูปหมู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ถ้าให้ถ่ายรูปคู่ทีละคนทั้งวันคงไม่เสร็จ ไฮโซแบงค์เห็นโอกาสเหมาะจึงได้ออกปากชวนหลี่คุนไปอาหารเย็นต่อ
 
“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ ผมว่าไปทานดินเนอร์สบายๆ กับผมดีกว่า ผมมีร้านแนะนำอยู่ปกติจองยากมากเลย แต่ถ้าวันนี้ไปลองแล้วติดใจ คุณคุณานนท์อยากทานเมื่อไหร่ ผมจองให้ได้ทันที”
 
หลี่คุนไม่ทันจะตอบอะไรก็มีเสียงทุ้มลึกทรงอำนาจดังขึ้น
 
“จะชวนเขาไปไหน ถามพี่ชายเขาหรือยัง”
 
หลี่คุนสะท้านใจเล็กน้อย ปราณอำนาจที่แฝงมากับคำพูดนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เมื่อมองตามเสียงไปก็พบกับคนที่คิดไว้จริงๆ กลิ่นอายอำนาจตามธรรมชาติที่แผ่ออกมาจากคนผู้นั้นส่งผลต่อกลุ่มคนที่อยู่ที่นั่น เกิดเป็นความรู้สึกที่ทั้งดึงดูดทั้งยำเกรง หลี่คุนลอบโคจรกำลังภายในบุปผาวารีไปทั่วร่างจึงพอต้านอยู่ได้ไม่ต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักตลอดเวลาเหมือนครั้งก่อนๆ
 
แบงค์มองชายที่เข้ามาใหม่อย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่กล้าเสียมารยาทต่อคนผู้นี้ขึ้นมา ความรู้สึกนี้แทบไม่ต่างจากเวลาที่ไปพบคนระดับผู้นำประเทศหรือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในประเทศแถบยุโรปที่เขาได้มีโอกาสเข้าพบช่วงที่ตระเวนเล่นคอนเสิร์ต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามรวบรวมพลังใจถามกลับไป
 
“พี่ชายใครเหรอครับ คุณคุณานนท์ไม่มีพี่ชายสักหน่อย”
 
อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแต่ใช้สายตาคมปลาบมองไปที่หลี่คุน เกิดเป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัด คนกลางอย่างเขารู้สึกว่าต้องคลี่คลายสถานการณ์จึงรีบกล่าวทักทาย
 
“พี่อี้หลงมายังไงครับนี่ ไม่ได้อยู่ที่เสิ่นเจิ้นเหรอ”
 
ถึงจะคุยผ่านแชทกันจนรู้สึกคุ้นเคย แต่พอมาเจอตัวจริง ปราณอำนาจที่แผ่ออกมาก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ อยากคุยแบบออนไลน์มากกว่า ไม่อยากเจอตัวจริงเลย
 
“พี่ตั้งใจบินมาดูเรานั่นแหละ”
 
แบงค์เห็นตัวเองถูกมองข้ามไปก็พูดเปรยออกมา
 
“ถ้าตั้งใจมาจริงก็น่าจะมีของติดไม้ติดมือมาให้กำลังใจกันบ้าง ไม่ใช่มามือเปล่าแบบนี้”
 
ไฮโซหนุ่มปรายตาไปทางช่อดอกไม้นำเข้าหรูหราที่เขามอบให้กับหลี่คุน ของเขาทั้งช่อใหญ่ทั้งราคาแพงกว่าของใครทั้งหมดแถมยังไม่เชยเหมือนพวงมาลัยไหว้ศาลของพวกนักมวยจึงรู้สึกได้หน้ามาก จางอี้หลงมองตามอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรจากนั้นก็หันกลับไปเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างสนิทสนมให้กับหลี่คุน
 
“ของขวัญในโอกาสพิเศษแบบนี้ย่อมต้องมี พี่ส่งมาให้เราก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ถูกใจน้องคุนหรือเปล่า แต่พี่เห็นว่าเราบรรเลงของขวัญชิ้นนี้ได้แคล่วคล่องมาก”
 
“เป็นกู่ฉินตัวนั้น? ขอบคุณพี่อี้หลงมากครับ”
 
หลี่คุนลืมตาโพลงพึมพำคำพูดขอบคุณออกมาอย่างประหลาดใจ ที่แท้ผู้ที่ส่งกู่ฉินมาให้ก็คือจางอี้หลงนี่เอง ทำไมถึงกล้าส่งของหายากขนาดนี้มาให้นะ ถ้าเขาเล่นไม่เป็นไม่เท่ากับสูญเปล่าเลยหรือ ว่าแต่การให้ของขวัญเป็นพิณล้ำค่านี่มันคุ้นๆ แปลกๆ ยังไงอยู่นะ
 
แบงค์ผู้ดูคลิปหลี่คุนบรรเลงพิณที่เก๋งจีนมาเป็นร้อยครั้งย่อมคาดเดาได้ถึงคุณค่าของกู่ฉินตัวนั้นดี เขารู้สึกเสียหน้าเรื่องของขวัญจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยการหันไปขอคำตอบที่ค้างไว้จากหลี่คุน
 
“ตกลงเรื่องไปดินเนอร์ว่าไงครับ”
 
“คงไม่สะดวกครับ พอดีผมรับปากน้องชายไว้ว่าจะใส่ชุดนี้เล่นกู่ฉินอัดคลิปเพลงโปรดให้เขา เดี๋ยวจะต้องคืนชุดเขาไปผมคงจะอัดคลิปเย็นนี้เลย”
 
“ดีจริง งั้นผมขอเล่นเปียโนเป็นไลน์ประสานให้ รับรองว่าต้องออกมาเพราะมากๆ แต่ไม่รู้จะไปหาเปียโนได้ที่ไหนนี่สิ”
 
กลุ่มแฟนคลับของหลี่คุนเกือบทั้งหมดยังโต๋เต๋ไม่ไปไหน มีอยู่คนหนึ่งร้องตะโกนออกมาอย่างไม่กลัวว่าคนจะรู้ว่าตัวเองแอบฟัง
 
“ไปใช้ที่ห้องซ้อมของคณะดุริยางค์ได้ครับ มีแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ ที่ทางก็กว้างขวาง เดินไปตรงมุมตึกนี่เอง”
 
เด็กหนุ่มนักศึกษาคณะดุริยางค์ตัวสั่นด้วยความยินดีในโอกาสที่เข้ามาอย่างคาดไม่ถึง นี่เขาจะได้ฟังการบรรเลงสดๆ ของแบงค์เชียวนะ ชาวเอเซียเพียงคนเดียวที่ได้การยอมรับจากวงออเคสตร้าระดับโลกอย่างเวียนาฟิลฮาโมนิค คนที่เป็นแรงบรรดาลใจให้กับนักเปียโนไทยทั้งประเทศ
 
หลี่คุนใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อยแล้วก็ตกลง เขาเองก็ชื่นชมในฝีมือของแบงค์จริงๆ จึงให้คนช่วยไปยกกู่ฉินตัวนั้นมา คนทั้งหมดเดินตามเด็กหนุ่มจากคณะดุริยางค์เป็นขบวนใหญ่ แต่ด้วยข้อจำกัดของสถานที่จึงมีแค่คนรู้จักของหลี่คุนที่ได้เข้าไปให้ห้องซ้อม ซูกัสไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดเพลงโปรดของตัวเองให้นักดนตรีทั้งสองคนฟัง
 
เพลงที่ชูกัสเลือกมาเป็นเพลงประกอบซีรี่ส์จีนย้อนยุคที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ท่วงทำนองมีกลิ่นอายจีนโบราณแต่ผสานเข้ากับความเป็นป๊อปทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ไม่ยาก เรียกได้ว่าทั้งละครทั้งเพลงก็ดังไม่แพ้กัน ทีมละครที่ช่วยยกกู่ฉินมาเป็นเด็กเอกภาพยนตร์ แถมยังเอากล้องชุดใหญ่มาด้วยจึงอาสาช่วยบันทึกวิดีโอให้ พระเอกนางเอกพระรองนางรองได้ทราบข่าวก็ตามมาดูโดยยังอยู่ในชุดที่ใช้แสดงเต็มยศเช่นกัน
 
แบงค์นั่งลงตรงเปียโนสีดำหลังใหญ่ก่อนจะพรมนิ้วลงเป็นท่วงทำนองในช่วงอินโทรของเพลงขึ้นมา เด็กดุริยางค์ได้ยินก็ถึงกับเคลิบเคลิ้ม นี่ต้องเทพขนาดไหนถึงได้สามารถเรียบเรียงเพลงที่ได้ยินเพียงครั้งเดียวออกมาไพเราะอ่อนหวานได้ขนาดนี้ ทันใดนั้นเสียงกู่ฉินก็ดังขึ้นอย่างเว้าวอนในท่วงทำนองของเมโลดี้หลัก กล้องแพนภาพจากเปียโนไปยังบุรุษผมยาวชุดขาว เสียงเปียโนกับกู่ฉินสอดประสานกันอย่างลงตัวราวกับได้ซ้อมร่วมกันเป็นร้อยๆ ครั้ง
 
กล้องแพนต่อไปยังบรรยากาศด้านผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ก็ล้วนแต่หล่อสวยกันราวกับไม่ใช่เรื่องจริง มีทั้งกลุ่มนักแสดงนำของละครเวทีที่เพิ่งจบไปชุดจีนโบราณเข้ากับท่วงทำนองเพลง ข้างๆ กันก็เป็นเด็กมัธยมหน้าตาดีหลายคนในชุดจีนแบบเดียวกัน ประกบด้วยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหมวกใส่แว่นดำที่ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็บอกได้ว่าต้องเป็นหนุ่มหล่อเกรดเออีกคนอย่างแน่นอน ชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าคนอื่นแต่ก็เปล่งประกายความหล่อเหลาในแบบผู้ใหญ่ที่ท่าทางเคร่งขรึมนั้นปิดไม่มิด ตบท้ายด้วยนายแบบหน้าตาดีกลุ่มใหญ่ยืนเรียงกันราวกับบอยแบนด์ ช่างเป็นกลุ่มนักดนตรีและคนดูที่ขึ้นกล้องยิ่งนัก
 
ในขณะที่เสียงพิณและเปียโนบรรเลงร่วมกันอย่างเข้าขา หนุ่มฉกรรจ์ผู้เคร่งขรึมคนนั้นก็หยิบขลุ่ยจีนลำใหญ่ออกมาจากที่ไหนไม่รู้แล้วออกมายืนข้างๆ คนเล่นกู่ฉิน ก่อนจะเอาริมฝีปากหยักได้รูปเป่าออกมาเป็นท่วงทำนองสอดประสานกับเสียงกู่ฉินอย่างลงตัว เครื่องดนตรีจีนโบราณสองชนิดรับส่งกันได้อย่างกลมกลืนจนไม่มีที่เหลือให้กับเสียงเปียโนในทำนองหลัก ฝั่งเปียโนขัดใจไม่น้อยแต่ก็เห็นแก่ความสมบูรณ์ในองค์รวมของบทเพลงจึงได้ลดบทบาทลงมาเล่นทำนองแบล็คกราวด์คลอตามไป การเสียสละนี้ทำให้เสียงเพลงไพเราะงดงามเกินจะกล่าว
 
เสียงกู่ฉินและขลุ่ยไม้ไล่ล้อสอดรับกันเปรียบดั่งคนรู้ใจ เสียงเปียโนคลอประสานโอบอุ้มท่วงทำนองหลัก ในครึ่งหลังของเพลง ดนตรีทั้งสามชิ้นก็ค่อยๆ ดังขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สะท้อนถึงอารมณ์ที่ท่วมท้น ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงจังหวะที่หนักแน่นเร่งเร้าประสานขึ้นมาเป็นเสียงที่สี่ กล้องจับไปที่ภาพของชายร่างสูงใหญ่สวมหมวกใส่แว่นดำที่กำลังทำเสียงบีทบ๊อกซ์เข้าไมค์พร้อมท่าประกอบสไตล์ฮิปฮอป เสียงดนตรีต่างยุคต่างสมัยผสมผสานอย่างลงตัว
 
นักดนตรีทั้งสี่สบตากันอย่างยอมรับฝีมือของกันและกันก่อนจะปล่อยของที่ซ่อนเร้นออกมาในช่วงท้ายเพลง  นิ้วมือขาวพร่างพรมไปมาบนคีย์เปียโนขาวดำมองตามแทบไม่ทันราวกับคนเล่นมีสี่มือ อีกด้านนิ้วเรียวที่ขาวยิ่งกว่ากรีดไล่ไปตามสายทั้งเจ็ดของพิณโบราณด้วยท่วงท่าซับซ้อน เสียงขลุ่ยทั้งกระซิบทั้งออดอ้อนสอดรับกับเสียงพิณราวกับผู้เล่นเป็นคนๆ เดียวกัน บีทบ๊อกซ์หนักแน่นกระแทกกระทั้นเหมือนกับออกมาจากกลองชุดใหญ่ เสียงดนตรีที่ทะยานขึ้นอย่างผ่าเผยจนถึงขีดสุดแล้วก็พลันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทันใดนั้นเสียงกู่ฉินก็ดังขึ้นอย่างโดดเดี่ยวในท่วงทำนองท่อนจบก่อนจะจางหายไปเหลือเพียงเสียงลมหายใจของผู้คนในห้องดนตรี
 
ท่ามกลางความเงียบสงัดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นของทั้งคนเล่นและคนฟังเป็นเวลาชั่วครู่ใหญ่ เสียงตบมือที่เริ่มจากคนๆ หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ ดังกระหึ่มขึ้นจากคนทั้งหมดในห้อง ไม่มีใครไม่ซาบซึ้ง ไม่มีใครเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของบทเพลงที่เพิ่งจบลง ตากล้องปาดเหงื่อที่ออกมาท่วมหน้าอย่างโล่งอก ดนตรีที่ทั้งยิ่งใหญ่และงดงามขนาดนี้ หากเขาบันทึกภาพเสียไปแม้แต่วินาทีเดียวคงจะต้องสำนึกผิดไปจนตาย เขาบอกว่าจะรีบเอาไปตัดต่อให้สมบูรณ์แล้วจะส่งให้หลี่คุนโดยไม่เอาไปเผยแพร่ที่ไหน
 
หลี่คุนตั้งใจจะคืนกู่ฉินให้จางอี้หลง เขารู้สึกไม่ดีที่จะรับของมีค่าขนาดนี้จากคนที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่หลังจากอีกฝ่ายยืนกรานหนักแน่นอยู่พักใหญ่หลี่คุนจึงจำใจรับไว้ ในใจก็แอบดีใจเพราะกู่ฉินที่ดีขนาดนี้คงหาได้ไม่ง่ายนักในยุคปัจจุบัน ไว้เก็บเงินได้มากกว่านี้จะหาทางชดใช้คืน
 
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบทุ่มนึงแล้ว หลี่คุนจึงได้ออกปากช่วนทุกคนไปทานบะหมี่หลังมหาลัยเจ้าประจำของเขากัน น่าแปลกที่ไฮโซอย่างแบงค์กับนักธุรกิจอย่างจางอี้หลงไม่ปฏิเสธที่จะไปทานร้านข้างทาง นั่นรวมไปถึงกลุ่มนายแบบและนักร้องดังที่ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวอย่างแฮ็คส์ด้วย บรรยากาศที่ร้านบะหมี่เล็กๆ ก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน คนที่ร้านมีไม่พอที่จะรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ขนาดนี้พร้อมๆ กัน ทุกคนจึงช่วยกันคนละไม้คนละมือทั้งเสิร์ฟน้ำทั้งจัดถ้วยชามทั้งหั่นหมูหั่นผัก ถ้าไม่กลัวว่าจะทานไม่ได้คงจะไปลวกเส้นบะหมี่กันเองแล้ว คุณป้ายิ้มแก้มแดงดีใจที่มีลูกค้าที่ทั้งหล่อทั้งนิสัยดีมากันเต็มร้าน หลี่คุนสังเกตว่าจางอี้หลงกับแบงค์ก็ดูจะไม่เขม่นกันมากเหมือนก่อนหน้านี้ ดูท่าทางว่าดนตรีจะช่วยขัดเกลาผู้คนได้จริงๆ
 
เมื่อเห็นว่าหลี่คุนยืนยันหนักแน่นปฏิเสธทุกคนที่เข้ามาอาสาว่าจะกลับบ้านพร้อมกับซูกัสไม่จำเป็นต้องให้ใครไปส่ง เหล่าหนุ่มหล่อที่มารวมตัวกันในวันนี้โดยไม่ได้นัดหมายจึงแยกย้ายกันกลับ หลี่คุนส่งคนทั้งหมดด้วยสายตาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ บรรยากาศในวันนี้ดูแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ในชาติก่อนเขาก็มีชายหนุ่มมากมายในยุทธภพเป็นมิตรสหาย แต่ก็ไม่เคยเกิดความอึดอัดใจเช่นนี้  รู้สึกราวกับตัวเองกำลังถูกแย่งชิง หลี่คุนหัวเราะเก้อๆ ให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง มันจะเป็นไปได้ยังไง เขาไม่ใช่คุณหนู วัยพร้อมจะออกเรือนเสียหน่อย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 19] 19/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Icegemini04 ที่ 19-11-2019 19:57:22
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 19] 19/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-11-2019 23:37:43
หลี่คุนฉลาดมาก แต่ยังไม่รู้ทันยุคสมัยที่นิยมหนุ่ม มากกว่าสาว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 19] 19/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-11-2019 00:18:42
ล้อมรอบไปด้วยคนหน้าตาดี


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 20] 21/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-11-2019 17:17:36
20

ตอนที่ซูกัสเอาคลิปที่ตัดต่อเสร็จแล้วไปลงในช่องยูทูบและแชร์ผ่านไอจีของตัวเองเขาก็ไม่คิดว่าจะได้รับความสนใจอะไรนัก เขาก็แค่อยากให้เพื่อนๆ ในโซเชียลได้ฟังเพลงจากซีรี่ส์เรื่องโปรดที่พี่คุนอุตส่าห์เล่นให้ฟังตามคำขอ แรกๆ ก็เป็นแฟนคลับของเขากับแฟนซีรี่ส์เรื่องนั้นที่เข้ามาดู แต่ไม่นานคลิปนี้ก็ถูกแชร์ไปถึงแฟนคลับของแบงค์ หลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าดังระเบิดจนติดเทรนด์ของยูทูบในวันที่สองและเข้าหลักล้านวิวในวันที่สาม สำหรับคนที่ชื่นชมหรืออยู่ในแวดวงดนตรีคลิปนี้ถือได้ว่าเป็นการรวมตัวของผู้มีฝีมือขั้นปรมาจารย์ที่หาชมได้ยากยิ่ง สำหรับคนทั่วไปเสียงดนตรีก็เพราะดีแต่ความหน้าตาดีของทุกคนในคลิปที่มารวมตัวกันนั่นต่างหากที่น่าสนใจ ความอยากรู้ว่าพวกเขาเป็นใครทำให้เกิดการขุดคุ้ยสืบเสาะขึ้น
 
นอกเหนือไปจากฝีไม้ลายมือทางดนตรีและความหล่อเหลาของทั้งผู้เล่นผู้ชมแล้ว ความมีชื่อเสียงของแบงค์ทั้งในฐานะนักเปียโนและไฮโซคนดัง ความใหม่สดของหลี่คุนที่เป็นแค่นักแสดงสมัครเล่นแต่ความหล่อเหลาสง่างามยังเหนือระดับกว่าดาราดังเสียอีก ความลึกลับของชายหนุ่มผู้เป่าขลุ่ยที่สืบเสาะไม่ได้แม้แต่น้อยว่าเขาคือใคร และความน่าสงสัยของคนเล่นบีทบอกซ์ผู้พรางหน้าตาว่าจะจะใช้แฮ็คส์นักร้องคนดังหรือเปล่า ยิ่งทำให้คลิปนี้มีเสน่ห์น่าค้นหามากกว่าคลิปเพลงทั่วไป ยอดวิวอาจจะไม่ได้วิ่งไปถึงระดับหลายสิบล้านเหมือนคลิปเพลงฮิตอื่นๆ แต่ผู้ชมได้พูดคุยวิเคราะห์วิจารณ์แตกประเด็นออกไปมากมายจนยอดคอมเม้นท์ทะลุขึ้นไปเป็นประวัติการณ์

‘เลียจอรัวๆ’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      .
      .
 
‘ทำไมงานดีอย่างนี้ ทั้งนักดนตรี ทั้งคนดู ไม่รู้จะมองมุมไหนของจอแล้วจ้า ละลานตาไปหมด’
 
‘พี่ชุดจีนสีขาวหล่อสุด ละสายตาไม่ได้เลย ทำไมถึงมีคนหล่อขนาดนี้ได้นะ’
 
‘ใครดูคลิปนี้ก่อนล้านวิวกดไลค์ตรงนี้’
 
‘อย่าดูกันแค่ความหล่อสิ ฟังไม่ออกกันเหรอว่าทั้งสี่คนเล่นได้เทพมาก’
      ‘ฉันเรียนเปียโนอยู่ คนในคลิปเทคนิคสูงมาก บางอย่างครูฉันยังทำไม่ได้เลย’
      ‘รีบนไม่รู้จักแบงค์เหรอ เรียนเปียโนอยู่จริงเปล่า ไปเสิร์ชชื่อแบงค์ภาวิศดูนะ จะได้รู้ว่าเขาระดับไหน’
      ‘พิณจีนกับขลุ่ยเข้ากันดีมาก คงเล่นด้วยกันมานาน ดนตรีจีนนี่เพราะมากๆ ไม่นึกว่าจะเข้ากับเปียโนแล้วก็บีทบ๊อกซ์ได้ดีแบบนี้’
      ‘บีทบ๊อกซ์ก็เทพนะ เสียดายมาแค่ตอนหลัง’
      ‘นี่ดนตรีคนละยุคเลยนะ เอามายำได้เพราะเกินไปแล้ว’
      ‘กู่ฉินนี่เล่นยากนะ ยากกว่ากู่เจิงมาก เห็นว่าแค่ดีดโน๊ตให้ครบ ก็ต้องหัดอยู่สองปีแล้ว’
      ‘ขลุ่ยจีนเพราะขนาดนี้เลยเหรอ คนเป่าก็ดูเท่มากๆ เสียดายเห็นหน้าไม่ชัด เขาหันไปทางคนเล่นจะเข้จีนตลอดเลย’
      ‘ถึงเห็นไม่ชัดยังไงก็หล่อแน่ๆ หุ่นดีขนาดนี้ มีใครบ้างในคลิปนี้ไม่หล่อ หล่อสุดคือชุดขาว’
      ‘ชุดขาวหล่อจริงๆ เห็นสายตาแล้วละลาย’
      ‘เราชอบพี่ที่เป่าขลุ่ยมากกว่า ขลุ่ยลำใหญ่มาก!’
      ‘ทะลึ่ง แต่ก็น่าจะจริง 55’
      ‘เม้นท์นี้ไว้คุยกันเรื่องทางดนตรี ถ้าจะออกทะเล ไปเม้นท์อื่น’
 
‘ใครตามมาจากไอจีของซูเอ๋อร์มารวมกันตรงนี้’
      ‘เรา’
      ‘แฟนคลับอันดับหนึ่งของซูเอ๋อร์อยู่นี่’
      ‘น้องใส่ชุดจีนน่ารักมาก แต่พี่ๆ ที่เล่นดนตรีก็หล่อแบบผู้ใหญ่ ไม่นะ เราจะปันใจจากซูน้อยไม่ได้’
      ‘ซูเอ๋อร์คือน้องผู้ชายชุดสีฟ้าเหรอ ขอวาร์ปหน่อย’
      ‘ไอจีซูเอ๋อร์ตามลิ้งค์นี้ไปเลยจ้า’
      ‘อันนี้แฟนเพจซูเอ๋อร์ ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ล่วงหน้านะ’
      ‘ทำไมเดี๋ยวนี้นางไม่ค่อยอัพไอจี’
     ‘เห็นว่าน้องมีแฟนแล้วค่า กำลังสวีท เลยห่างหายไปหน่อย’
      ‘แฟนนางเป็น ญ หรือ ช? ชั้นว่านางเป็น!!!’
      ‘น้องเป็นไม่เป็นแล้วมันยังไง น้องน่ารัก นิสัยดี ยังไม่พอเหรอ’
 
‘ชุดขาวนี่ พ่อของลูกเลย’
 
‘เชี่ย กูชายแท้นะ ทำไมเห็นชุดขาวแล้วใจสั่น’
 
‘นักดนตรีหล่อกว่านายแบบที่เป็นคนดูอีก’
 
‘ทำไมทุกคนหน้าใส ใช้ฟิลเตอร์อะไรตอนถ่ายเหรอ’
 
‘คนเล่นเปียโนนี่มันคุณแบงค์ภาวิศไม่ใช่เหรอ นักเปียโนคลาสสิคระดับโลก ทำไมมาเล่นเพลงแนวนี้ แต่ก็เพราะแบบไม่น่าเชื่อเลยนะ อัจฉริยะนี่ทำอะไรก็ดีไปหมด ’
      ‘พี่แบงค์มาเล่นแบบนี้ก็โอนะ ดูหล่อแบบชิลๆ ดี เสียดายเปียโนน่าจะเด่นกว่านี้ นี่ดูเหมือนเป็นตัวประกอบให้พิณกับขลุ่ยเลย’
      ‘เรารักแบงค์นะ แต่พี่ชายชุดขาวนี่หล่อกว่าแบงค์ซะอีก’
      ‘มีเพื่อนอยู่ตอนอัดคลิปนี้ บอกว่าพี่แบงค์กับนักดนตรีคนอื่นไม่เคยซ้อมมาก่อน ฟังต้นฉบับแค่รอบเดียวแล้วเล่นเลย’
      ‘จริงดิ เพื่อนนายถ้าไม่โม้ก็โชคดีเกินไปแล้ว ได้ไปฟังแบบสดๆ’
      ‘ชุดขาวนี่หล่อจริงๆ ดีดพิณก็เพราะมาก’
      ‘ทำไมถึงพูดเหมือนแบงค์ลดตัวลงมาเล่นเพลงนี้  ซีรีย์จีนเรื่องนี้ดังจะตาย จะให้ปีนบันไดฟังเพลงคลาสิคกันทุกคนหรือไง’
      ‘มีข่าวลือว่าแบงค์ตกอับแล้ว ตอนนี้ต้องมาเร่ขายครีมอยู่’
      ‘เม้นท์บนท่าจะเพี้ยน คุณแบงค์เขาเป็นใคร ธุรกิจบ้านเขาใหญ่ขนาดไหน’
      ‘ไม่รู้เหรอ เห็นอยู่ดีๆ ก็ยกเลิกคอนเสิร์ตที่ยุโรป’
 
‘ใครคิดว่าคนใส่แว่นดำที่ทำบีทบ๊อกซ์คือพี่แฮ็คส์บ้าง เราว่าชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ เราเคยเห็นพี่เขาทำบีทบ๊อกซ์แบบนี้ในคอนเสิร์ต’
      ‘แค่คล้ายๆ มั๊ง พี่แฮ็คส์ดังจะตาย คงไม่มาทำอะไรแบบนี้หรอก’
      ‘รูปร่างทรงผมท่าทางแบบนี้ ไม่น่าใช่คนอื่นนะ’
      ‘ขนาดไฮโซแบงค์ยังมา พี่แฮ็คส์ก็น่าจะมาได้นะ เขาอาจเป็นเพื่อนกัน’
      ‘คนอย่างแฮ็คส์จะมาเป็นตัวประกอบให้คนอื่นเหรอ’
      ‘คนอย่างแฮ็คส์เป็นยังไง พี่เขาเป็นนักร้องที่นิสัยดีที่สุดในโลก ดูอย่างตอนผู้จัดการเขาก่อเรื่องสิ เขาก็ออกมาช่วยผู้เสียหาย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับพี่เขาเลย’
       ‘มีข่าวว่าพ่อแฮ็คส์ที่อยู่เมืองนอก เป็นพวกผู้มีอิทธิพล แบบเจ้าพ่อมาเฟียอะไรงี้ จริงป่ะ’
      ‘ถ้าดูแค่มาดพี่เค้าก็ให้อยู่นะ ตัวสูงใหญ่ ดูมีบารมี ถ้าไม่ยิ้มก็อาจจะน่ากลัวนิดๆ แต่ถ้าดูจากนิสัย ไม่ใช่ 100%’
 
‘เหยด แป๊บเดียวจะห้าล้านวิวแล้ว คนดูมาจากไหนกันเยอะแยะ’
 
‘ไอพวกไหนมาเม้นเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน กับภาษาอะไรไม่รู้ กูอ่านไม่ออกเฟ้ย’
 
‘ใครก็ได้ช่วยสรุปให้ที ตกลงหนุ่มหล่อในคลิปนี้มีใครบ้าง เราไม่ค่อยได้ติดตามวงการบันเทิงเท่าไหร่ ขอบคุณล่วงหน้าค่า’
      ‘คนเล่นเปียโนชื่อแบงค์ ภาวิศ เป็นนักเปียโนระดับโลก คนเดียวกับไฮโซแบงค์ที่เคยเป็นข่าวเมื่อก่อน’
      ‘คนชุดขาวที่เล่นกู่ฉินชื่อคุน คุณานนท์ เป็นเด็กนิเทศปีสี่มหาลัยดังแถวๆ สวนสาธารณะที่ใหญ่สุดในกรุงเทพ ชุดที่ใส่มาจากละครนิเทศเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรที่เล่นเป็นนักแสดงสมทบ’
      ‘คนเป่าขลุ่ย เห็นหน้าไม่ชัด ไม่มีข้อมูล’
      ‘คนทำเสียงบีทบ๊อกซ์ใส่แว่นดำ มีคนเดาว่าคือแฮ็คส์นักร้องนักแสดงลูกครึ่งชื่อดัง แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าใช่’
      ‘คนดูมีเด็กผู้ชายชุดจีนสีฟ้าชื่อซูกัสเคยเป็นเน็ตไอดอล คนชุดจีนที่เหลือเป็นพระเอกนางเอกและนักแสดงจากเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักร คนดูคนอื่นก็เป็นนายแบบในวงการ มีชื่อเสียงกันพอสมควร’
 
‘ตกลงนี่เป็นคลิปโปรโมทละครเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรเหรอ เล่นเมื่อไหร่ ขายบัตรที่ไหน จะตามไปดู’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      .
      .
 
‘ละครคณะเราเอง มีรอบเดียว เล่นจบไปแล้วจ้า’
      ‘จบไปแล้วได้ไง ไม่ยอม’
      ‘ไม่ยอม +1’
      ‘ไม่ยอม +1’
      ‘ไม่ยอม +1’
      ‘ไม่ยอม +1’
      ‘ไม่ยอม +1’
      .
      .
 
‘พวกเรามารวมพลังรวบรวมเสียง ขอให้เปิดการแสดงละครเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรอีกรอบเถอะ ใครอยากดูพี่คุนดีดพิณไปลงชื่อกันใน Change.org ตามลิ้งค์เลยนะ’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      ‘+1’
      .
      .
 
ไฮโซแบงค์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้นัก แต่ก็มีผลดีที่ทำให้ฐานแฟนคลับของเขากว้างขึ้นจากเดิมที่มีแต่คนที่สนใจในเปียโนและดนตรีคลาสสิค จางอี้หลงก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน นอกจากในคลิปจะไม่เห็นใบหน้าตรงๆ ของเขาแล้ว คนที่รู้จักเขาส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักธุรกิจฝั่งประเทศจีนซึ่งไม่ได้มีโอกาสที่จะดูคลิปแบบนี้จากไทยอยู่แล้ว ส่วนกรณีของแฮ็คส์นั่นนับว่ายังเป็นปริศนาอยู่ เวลาไปร้องเพลงหรือออกรายการอะไรก็มักจะมีคนแซวให้เขาลองทำบีทบอกซ์ให้ฟังเพื่อจะจับผิดว่าเขาใช่คนในคลิปหรือไม่
 
คนอื่นที่ปรากฏตัวอยู่ในคลิปนั้นก็พลอยได้รับความสนใจจากโซเชียลอย่างล้นหลามไปด้วย ไอจีของซูกัสมีคนติดตามเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นคน กลุ่มนายแบบก็มีงานเข้ามามากขึ้น ทีมนักแสดงจากเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรก็เริ่มถูกทาบทามจากเอเจนซี่ต่างๆ ให้เข้าวงการ เรียกได้ว่าชื่นมื่นกันโดยทั่วหน้า
 
คนที่เรียกได้ว่าดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืนจริงๆ คือหลี่คุน ผู้คนที่ได้ดูคลิปนั้นต่างก็หลงไหลชื่นชมในตัวชายหนุ่มในชุดจีนโบราณสีขาวกันทั้งนั้น เรียกว่าเพียงคลิปเดียวก็ตกแม่ยกแฟนคลับมาได้เป็นแสนเป็นล้านคน โชคดีที่เรื่องนี้ยังไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของเขามากนัก คนทั่วไปที่รู้จักเขาในสภาพบัณฑิตหนุ่มผมยาวสวมอาภรณ์จีนสีขาว ย่อมจำเขาในสภาพปกติที่ผมสั้นมิได้ มีเพียงในมหาลัยเท่านั้นที่เขาดังพอๆ กับดาราคนหนึ่งเลย
 
หลี่คุนตั้งใจดูแลธุรกิจขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิให้เต็มที่ไม่ได้คิดจะรับงานบันเทิงอะไรอยู่แล้ว กลยุทธ์การขายที่เขาวางไว้ให้ผลดีอย่างที่ตั้งใจ ของที่มีจำกัดจึงมีคุณค่า แม้จะตั้งราคาไว้สูงลิ่วแต่คนยังรู้สึกยินดี มันคือความภูมิใจที่ได้ครอบครองในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มีโอกาส ชื่อเสียงของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดินับวันยิ่งเลื่องลือ กระทั่งคนในแวดวงไฮโซบางคนยังได้ยินแค่ข่าวลือ แต่ไม่รู้ว่ามีสรรพคุณยอดเยี่ยมขนาดนั้นจริงหรือไม่ คนที่เป็นสมาชิกแต่ละคนมีขี้ผึ้งแค่พอใช้สำหรับตัวเอง ไม่สามารถแบ่งปันให้ใครได้ ความงามที่ดูเป็นธรรมชาติไม่ต้องฉีดโน่นยิงนี่ให้เจ็บตัวอย่างนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว จะแนะนำให้เป็นสมาชิกเพิ่ม ก็ทำได้แค่ปีละคนเท่านั้น
 
หลี่คุนมีความสุขกับฐานลูกค้าที่มั่นคงและรายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอหลายแสนบาทต่อเดือน การหาเงินได้ด้วยตัวเองนี่มันดีจริงๆ อยากใช้อะไรก็ได้ใช้ เขาเก็บเงินไปดาวน์และผ่อนคอนโดห้องหัวมุมข้างๆ เพื่อขยายห้องตัวเองให้ใหญ่ขึ้น รองรับช่วงปลายเดือนที่ห้องเขาจะแน่นขนัดไปด้วยพวกซูเอ๋อร์ที่ถูกเกณฑ์มาช่วยแพ็คของส่งลูกค้า เงินอีกส่วนก็ไปซื้อรถญี่ปุ่นคันเล็กมาจอดไว้ทั้งๆ ที่ตัวเองยังเพิ่งหัดขับ คนในยุคเดิมของเขาที่พอมีฐานะหน่อยก็ต้องมีจวนมีรถม้าใหญ่โตหรูหราเป็นหน้าเป็นตาให้ตัวเองกันทั้งนั้น
 
เขาเล่าเรื่องการค้าที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จนี้ให้กับจางอี้หลงด้วยความภูมิใจ แล้วถือโอกาสที่จะจ่ายเงินค่ากู่ฉินตัวนั้นเสียเลยจะได้กลายเป็นสมบัติของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ
 
ZYL :  จะจ่ายเงินทำไม พี่ให้เราเป็นของขวัญ
 
LK : ผมรับมาเฉยๆ ไม่ได้หรอกครับ กู่ฉินตัวนี้ดูก็รู้ว่าราคาคงไม่ใช่ถูกๆ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย
 
ZYL : ดื้อ
 
LK : พี่บอกมาเลยว่าราคาเท่าไหร่ ตอนนี้ผมพอมีเงินแล้ว
 
ZYL : กู่ฉิน “หวางหยู่” ตัวนั้นสร้างขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนโดยปรมาจารย์หม่าเว่ยเฮงศิลปินแห่งชาติของประเทศจีน เมื่อปีที่แล้วมีนายหน้าประมูลมาประเมินราคาขั้นต่ำไว้ที่สองแสนห้าหมื่นหยวน แต่ถ้าออกประมูลจริงก็ไม่รู้ว่าราคาจะวิ่งขึ้นไปขนาดไหน น้องคุนคิดว่าควรจะจ่ายเงินให้พี่เท่าไหร่ดีครับ
 
LK : ผมไม่คิดว่ามันจะแพงขนาดนี้
 
ZYL : ถ้ายังมีเงินไม่พอ พี่ขอเป็นหุ้นแทนแล้วกัน
 
LK : หุ้นอะไรครับ?
 
ZYL : หุ้นบริษัทยาของคุนไงครับ ธุรกิจขนาดนี้ควรจะต้องตั้งเป็นบริษัทแล้ว จะได้แยกความรับผิดชอบทางธุรกิจกับความรับผิดชอบส่วนบุคคลออกจากกัน แล้วจะได้ทำบัญชีจ่ายภาษีให้ถูกต้องด้วย ยังไงถ้าตั้งบริษัทที่ไทยก็ต้องมีผู้ถือหุ้นอย่างน้อยสามคนอยู่แล้ว พี่ขอเป็นหุ้นสักห้าเปอร์เซ็นต์แล้วกัน นี่ประเมินอย่างเป็นธรรมแล้วนะ ส่วนเรื่องการบริหารน้องคุนมีอำนาจเต็มที่
 
LK : เยอะไปเปล่าครับ ธุรกิจผมต่อไปต้องโตขึ้นกว่านี้แน่ ผมให้ได้แค่สามเปอร์เซ็นต์
 
ZYL : กู่ฉินตัวนั้นจริงๆ ถึงมีเงินก็ไม่แน่ว่าจะหาซื้อได้ ถ้าน้องคุนไม่รับเป็นของขวัญก็คืนมาเถอะ
 
LK : สี่เปอร์เซ็นต์ครับ ผมให้พี่สี่เปอร์เซ็นต์เลย ตกลงนะครับพี่อี้หลง
 
ZYL : หึหึ ก็ได้ครับ
 
LK : แต่ต่อไปถ้าผมมีเงินเยอะๆ ผมขอซื้อหุ้นส่วนนี้คืนน้า
 
ZYL : เอาไว้ค่อยว่ากันครับ แต่เชื่อเถอะ มีพี่เป็นผู้ถือหุ้นด้วย ดีกว่าที่คิด
 
หลังจากตกลงกันได้หลี่คุนก็จัดตั้งบริษัทขึ้นมาตามคำแนะนำของจางอี้หลง เขาคิดอยู่นานแล้วก็ไปเชิญหมอภีมมาเป็นผู้ถือหุ้นคนที่สาม ถึงจะถือแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่การมีนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาเข้าหุ้นด้วย ก็น่าจะสร้างความน่าเชื่อถือให้บริษัทเขาที่ทำทางด้านยามากขึ้น
 
หลี่คุนรวบรวมเอกสารจากผู้ถือหุ้นอีกสองคนมาเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เมื่อเขาเห็นปีเกิดของจางอี้หลงก็ต้องตกใจรีบส่งข้อความไปหาทันที
 
LK : พี่อี้หลง เอกสารที่ส่งมามันผิดเปล่า!!!
 
ZYL : ก็ไม่นะ มีอะไรเหรอ
 
LK : พี่เพิ่งอายุยี่สิบแปดเองเหรอครับ!!!
 
ZYL : ใช่ครับ น้องคุนจะแฮปปี้เบิร์ธเดย์พี่ย้อนหลังเหรอ
 
LK : ผมนึกว่าพี่สามสิบกว่าแล้ว พี่เพิ่งยี่สิบแปด ทำไมหน้าถึงไปขนาดนี้ งานหนักมากเหรอครับ หรือตากแดดมากไป
 
ZYL : (⊙.⊙*)
 
LK : ไม่ได้นะ!!! ถึงพี่จะหล่อแล้วดูภูมิฐานก็เถอะ แต่พอเทียบอายุแล้วมันส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
 
ZYL : (╥﹏╥)
 
LK : พี่เอาที่อยู่มา ผมจะส่งขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิไปให้ที่จีน ต้องทาทุกวันนะครับ ริ้วรอยจะได้หายไวๆ
 
ZYL : ริ้วรอยอะไรกัน น้องคุนพูดเกินไปแล้ว
 
LK : หรือจะให้ส่งกระจกไปด้วย
 
ZYL : ไม่ต้องก็ได้
 
LK : ตามนี้นะครับ แล้วคอยถ่ายรูปส่งมาให้ด้วย ผมจะดูความคืบหน้าเป็นระยะ
 
ZYL : ...


##################################
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 20] 21/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-11-2019 18:23:48
หน้าตาภูมิฐานเกินอายุ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 20] 21/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-11-2019 00:02:43
 :laugh: 

เจ็บปวดแทนพี่อี้หลง รู้สึกคันตามริ้วรอยยิบ ๆ บนใบหน้าเลย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 20] 21/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 22-11-2019 01:43:13
ฮาๆๆๆ พีอี้ โดดว่าหน้าไปก่อน สนุกมากเลย ปกติแนวเก่ามาใหม่จะไม่ใช่ทาง แต่เรื่องนี้ทำได้ดีมาก
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 21] 24/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-11-2019 16:23:25
21

หลี่คุนใช้เวลาดำเนินการไม่นานก็จัดตั้งบริษัทที่เขาใช้ชื่อว่า ‘ฉางอันโอสถ’ แล้วเสร็จ เขามีนักบัญชีและนักกฎหมายอย่างละคนคอยให้ความช่วยเหลือ สองคนนี้เคยถูกพีทหลอกลวงมาเช่นเดียวกับกลุ่มนายแบบ พอเกิดเหตุก็เข็ดขยาดกับวงการบันเทิงกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือจบออกมาทำงานได้ประมาณสองปีแล้ว  ทั้งคู่ถือว่าหลี่คุนมีบุญคุณเลยมาช่วยงานเป็นพาร์ทไทม์ให้ ค่าจ้างก็รับเป็นขี้ผึ้งโอสถแทน
 
หลี่คุนนึกขึ้นได้ว่าเคยรับปากจะส่งขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิไปให้จางอี้หลงด้วยเหมือนกัน จึงรีบจัดเตรียมของมาใส่กล่องพัสดุ เขารู้สึกว่าตั้งแต่ที่คุยกันวันนั้นอีกฝ่ายดูจะอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่ ตอนแรกเขากังวลว่าการพาดพึงถึงใบหน้าที่เกินวัยจะทำให้จางอี้หลงรู้สึกไม่ดี แต่มานึกอีกที บุรุษที่มีความสามารถยอดเยี่ยมเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณอำนาจเช่นนั้น ไหนเลยจะมาใส่ใจกับคำพูดเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ออกจากปากอนุชนรุ่นหลังคนหนึ่ง ไม่นับว่าใบหน้าที่ดูอาวุโสไปบ้างนั้นนับว่าคมสันหล่อเหลายิ่งนัก คิดว่าคงมีเรื่องในใจอย่างอื่นมากกว่า
 
ในฐานะหุ้นส่วนการค้าที่ดี หลี่คุนจึงคิดที่จะส่งของไปให้มากหน่อย นอกจากขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิแล้ว เขายังเติมโอสถบำรุงรูปลักษณ์สำหรับบุรุษที่เขาปรุงให้กับซูเอ๋อร์ลงไปด้วย มีทั้งแป้งชาดกระชับรูขุมขน ขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปาก น้ำมันฟื้นฟูเส้นผมและขนคิ้ว น้ำสมุนไพรสร้างประกายดวงตา ไปจนถึงผงขัดผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส เมื่ออีกฝ่ายเห็นรายการยาวเหยียดเช่นนี้ ย่อมต้องซาบซึ้งในน้ำใจของเขาเป็นแน่
 
หลี่คุนกำลังคิดว่าชีวิตตัวเองไม่เลวเลยจริงๆ สำหรับคนหลงยุคผู้หนึ่ง การค้าไปได้ดี ชื่อเสียงหลั่งไหลมา ทรัพย์สมบัติก็เริ่มเพิ่มพูน โดยเฉพาะกู่ฉินล้ำค่าตัวนั้น ซูเอ๋อร์ก็มีเรื่องน่ายินดีมาบอกอีก ดูท่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภไฉ่เสินเย่จะอยู่ข้างเขาจริงๆ
 
“พี่คุน คลิปที่พวกพี่เล่นดนตรีกันที่ลงช่องผมยอดวิวมันสูงมากเลย กูเกิลประมาณรายได้ออกมาแล้วสี่หมื่นกว่าบาทเลยนะ สิ้นเดือนหน้าน่าจะถอนออกมาได้ ดูเหมือนจะโดนหักค่าลิขสิทธิ์เพลงไปแล้วด้วย ไม่งั้นยอดวิวขนาดนี้น่าจะได้เป็นแสน เดี๋ยวถ้าได้เงินแล้วผมจะถอนมาให้นะครับ เพราะพี่เป็นเจ้าของผลงาน”
 
“แค่ลงคลิปเช่นนั้นก็หาเงินได้แล้วหรือ ตกลงยุคนี้มันหาเงินยากหรือง่ายกันแน่ แล้วต้องแบ่งให้คนอื่นในคลิปด้วยเปล่า พี่ไม่รู้ธรรมเนียมของการนี้เลย”
 
“ไฮโซนั่นรวยขนาดนั้นพี่ให้ไปคงเท่าเศษเงินเดี๋ยวก็โดนดูถูกอีกหรอก ส่วนพี่แฮ็คส์ยิ่งแล้วใหญ่ รับงานทีก็เป็นแสนแล้ว  มาเล่นนิดๆ หน่อยๆ ปิดหน้าปิดตาไม่ต้องไปให้เขาหรอก แต่พี่ที่เป่าขลุ่ย ชื่อพี่อี้หลงใช่ไหม ผมไม่รู้  พี่ลองไปถามเขาดูแล้วกัน แต่ผมว่านะ ขนาดพิณที่ดูแพงแบบนั้นเขายังส่งให้พี่เป็นของขวัญหน้าตาเฉยเลย เขาคงไม่มาเอาเงินนิดๆ หน่อยๆ หรอก”
 
“แต่ก็รู้สึกแปลกๆ นะ มันเหมือนไม่ใช่เงินตัวเอง ตอนนี้พี่ก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองอะไร”
 
“งั้นพี่ไม่เอาไปบริจาคล่ะ ถือว่าทำบุญร่วมกัน แต่ก่อนพี่คุนก็ชอบบริจาคโน่นนี่นั่นอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังไม่เห็นทำแล้ว”
 
หลี่คุนเย็นวาบไปทั้งร่าง นอกจากเรื่องการพูดจาแปลกๆ ของเขาในช่วงแรกแล้ว ซูเอ๋อร์ก็ไม่เคยทักหรือแสดงความสงสัยว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เด็กคนนี้เป็นน้องชายที่สนิทสนมกับเจ้าของร่างเป็นที่สุด ถึงจะไม่พูดอะไรแต่ย่อมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง บางทีเขาอาจจะสวมรอยเป็นคุณานนท์ได้สนิทใจเกินไป จนลืมไปว่าเขาไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ที่แท้จริง
 
หลี่คุนไม่รู้ว่าวิญญาณของคุณานนท์ไปอยู่ที่ไหน ไปเกิดใหม่แล้ว หรือยังวนเวียนอยู่เพื่อรอเวลากลับเข้าร่าง ถ้าไม่มีดวงจิตเขายืมร่างคืนชีพเสียก่อน ซูเอ๋อร์คงจะไม่ต้องพรากจากพี่ชายที่แท้จริง หลี่คุนไม่ได้อยากให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณเขาถึงข้ามเวลามาแสนไกล และยิ่งไม่รู้ว่าจะคืนร่างให้คุณานนท์ได้หรือไม่ เขาทำได้เพียงรักษาร่างนี้ให้ดี ไม่ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงมากเกินไป พร้อมกับดูแลคนรอบข้างของคุณานนท์ไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้ในขณะนี้
 
หลังจากจัดการเรื่องราวจนเรียบร้อย หลี่คุนก็มีเวลาที่จะตามตินไปค่ายมวยครูเผด็จหลังจากหายหน้าไปนาน พอมาถึงตินก็รีบไปซ้อมมวยในขณะที่เขาแยกออกมาเพื่อไปพบลุงมีครูมวยประจำค่ายผู้เชี่ยวชาญการนวดนักมวย
 
“เป็นยังไงบ้างครับ ผมไม่ได้มาช่วยนวดที่ค่ายซะนานเลย วุ่นๆ กับเรื่องละครเวทีของที่คณะ แล้วก็ยุ่งๆ เรื่องอื่นด้วยครับ”
 
“ละครจีนอะไรนั่นใช่ไหม เห็นเจ้าตินพาไอ้สามคนนั้นไปดู กลับมาชมกันเปาะเลยว่าเอ็งแสดงเก่งมาก เรื่องที่ค่ายไม่ต้องห่วง ข้าคนเดียวก็เอาอยู่ เดี๋ยวนี้นักมวยในค่ายก็ลดลงเอ็งก็เห็น นี่ก็เพิ่งออกไปอีกสามคน”
 
หลี่คุนกวาดตามองบรรยากาศในค่ายมวยครูเผด็จที่ดูเงียบเหงากว่าแต่ก่อนแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ได้แต่พูดปลอบใจออกไป
 
“ยังดีที่รุ่นใหญ่ๆ อย่างพวกพี่เมฆพี่แสนพี่เพชรยังอยู่นะลุง”
 
“เฮ้อ พวกนั้นมันมีน้ำใจ อยู่กันมานานคงไม่ทิ้งกันไปยามลำบากหรอก แต่อายุก็มากขึ้นทุกวันอีกไม่นานก็คงต้องแขวนนวมแล้ว พวกรุ่นกลางๆ ที่พอจะมาแทนก็ออกกันไปเกือบหมด เหลือแต่รุ่นเล็กกับพวกที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์  ครูเผด็จแกก็อายุขนาดนั้นแล้ว ไอแผ่นดินลูกชายมาดูแลค่ายแทนมันก็พอใช้ได้แต่บารมียังไม่ถึง ต่อไปคงมีแต่จะซบเซาลงเรื่อยๆ”
 
“ทำไงถึงจะพลิกฟื้นค่ายขึ้นมาได้นะ”
 
หลี่คุนเปรยขึ้นเบาๆ กับตัวเอง ในใจนึกว่าเขาจะเอาความรู้จากอดีตกาลมาช่วยอะไรค่ายได้บ้างไหม ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าจะเอาวิชาหมัดมวยที่สาบสูญไปแล้วมาถ่ายทอดให้นักมวยในค่ายเพื่อสร้างความได้เปรียบ แต่ดูแล้วพื้นฐานท่าร่างที่ต่างกันเกินไปยังไงก็คงเป็นที่ผิดสังเกต เผลอๆ จะเป็นการทำลายรากเหง้าของมวยไทยแบบดั้งเดิมซึ่งครูเผด็จคงไม่ยอม
 
เมื่อยังนึกอะไรไม่ออก หลี่คุนจึงเปลี่ยนเรื่อง
 
“น้ำมันมวยที่ผมทำมาให้คราวก่อนโน้นใช้แล้วเป็นไงบ้างครับลุง”
 
ครูมีเคยถ่ายทอดสูตรการทำน้ำมันมวยของตัวเองให้กับหลี่คุน แต่เขารู้สึกว่าถึงจะดีกว่าของที่มีขาย แต่ก็ยังมีกลิ่นฉุน ใช้แล้วแสบๆ ร้อนๆ มันเยิ้มติดเสื้อผ้า ใช้นวดให้นักมวยทีไรกว่าจะเสร็จก็ดมกลิ่นจนเวียนหัว จึงได้ปรับปรุงส่วนผสมไปใช้สมุนไพรทั้งไทยและจีนที่ให้กลิ่นหอมและมีฤทธิ์ทางยาที่ดีขึ้น รวมถึงเปลี่ยนเป็นสูตรน้ำที่ให้ความลื่นแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ เมื่อพัฒนาเทียบยาจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็ได้ผสมออกมาหลายขวดใหญ่มาให้ครูมีทดลองใช้เมื่อสองเดือนก่อน
 
“ใช้ดีมากเลย ดีกว่าที่ข้าทำเยอะ กลิ่นหอม ไม่แสบร้อน แล้วก็ไม่มันเลอะเสื้อผ้าด้วย”
 
“แล้วเวลาขึ้นชกจริงมันลื่นพอไหมครับ พอดีปรับเป็นสูตรน้ำแล้ว ไม่ได้ใช้น้ำมัน ไม่รู้ต่างกันมากเปล่า”
 
นอกจากการนวดน้ำมันจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กล้ามเนื้อของนักมวยมีความทนทานแล้ว ความมันลื่นที่ชะโลมอยู่บนเนื้อตัวของนักมวยยังช่วยให้หลุดจากการยึดเกาะของคู่ต่อสู้ได้ดียิ่งขึ้น จุดนี้จึงเป็นสิ่งที่หลี่คุนให้ความสำคัญ
 
“ข้าว่าดีกว่าแบบที่ใช้น้ำมันอีก ลื่นปรื๊ด คู่ชกเกาะไม่ค่อยอยู่หรอก ขนาดไอพวกนักมวยที่เพิ่งย้ายค่ายออกไป ยังหน้าด้านกลับมาขอปันไปใช้เวลาขึ้นชกนัดสำคัญๆ ด้วย บอกว่านอกจากลื่นแล้ว ยังรู้สึกกล้ามเนื้อแข็งแรงทนเจ็บได้มากกว่าน้ำมันมวยทั่วไป ที่ค่ายมวยซื้อมาจากร้านสู้ไม่ได้เลย”
 
หลี่คุนฟังแล้วก็หูผึ่งด้วยความสนใจ
 
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ แล้วลุงให้เขาไปเปล่า”
 
“เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย มาทำตาปริบๆ ข้าก็สงสาร ไอพวกนี้มันก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีอะไร ที่มาเป็นนักมวยก็เพราะจะหาเงินส่งทางบ้าน พอพวกค่ายใหญ่ๆ เอาเงินมาล่อ มันก็ปฏิเสธไม่ลง พอดีน้ำมันที่เอ็งทิ้งไว้มันก็เยอะอยู่ ข้าก็เลยแบ่งให้ไปบ้าง แต่ถ้าเอ็งหวง ทีหลังข้าจะได้ไม่ให้อีก”
 
“ผมไม่ได้หวงหรอกครับ แต่กำลังคิดว่าเราน่าจะทำขายเลย ร่วมกันสามฝ่าย ลุง ผม แล้วก็ค่าย ศ.เผด็จศึก ผมมีบริษัททำพวกยาสมุนไพรอยู่แล้วก็เป็นคนดำเนินการไป กำไรก็แบ่งกัน ทางค่ายจะได้มีรายได้เพิ่มด้วย นักมวยที่ทำเงินได้ก็เหลือน้อยลง พวกที่กำลังฝึกหัดต้องเลี้ยงดูกันไปก็ยังมีอยู่มาก”
 
หลี่คุนดีดลูกคิดในใจอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ถือเป็นโอกาสค้าขายที่ไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้เขามีแค่ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิซึ่งปรุงขึ้นมาได้ในจำนวนจำกัด แต่น้ำมันมวยสูตรนี้ผสมไม่ยาก ถ้าขายดีขึ้นมาก็ยังสามารถจ้างคนอื่นผลิตก็ได้ วงการมวยไทยในประเทศนี้ก็ใหญ่โตไม่ใช่เล่น  สินค้าแบบนี้คงตั้งราคาสูงไม่ได้ แต่ถ้าขายได้เยอะๆ ความร่ำรวยจะไปไหนเสีย
 
“แต่สูตรนี้เอ็งคิดขึ้นนะ ทำไมต้องมาแบ่งให้ข้ากับทางค่ายด้วย”
 
“ผมปรับปรุงสูตรจากที่ลุงให้มานะ ลุงต้องมีส่วนอยู่แล้ว ผมกะจะให้ลุงเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วย ส่วนทางค่ายก็ต้องได้ส่วนแบ่งเพราะเราจะออกผลิตภัณฑ์นี้ในนามค่าย ถึงตอนนี้ค่ายจะอยู่ในขาลงแต่คนยังจำชื่อเสียงของนักมวยดังๆ ที่เป็นลูกศิษย์ค่ายนี้ในอดีตได้อยู่ มันจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้น้ำมันนวดของเราได้ครับ”
 
ในหัวของหลี่คุนมีแผนการค้าที่ผสมผสานความรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ น้ำมันมวยตำหรับนี้ไม่ได้ซับซ้อนนักในภายหน้าอาจถูกลอกเลียนได้ไม่ยาก เขาจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งตั้งแต่แรกเพื่อให้สินค้าอยู่ได้ในระยะยาว ชื่อเสียงดั้งเดิมของค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ถือเป็นจุดตั้งต้นที่ดี
 
ความกระตือรือร้นของเขาเริ่มส่งผลให้ครูมีตื่นเต้นไปด้วย
 
“เอาวะ ข้าไม่รู้จักไอเด้อๆๆ อะไรของเอ็งหรอกนะ แต่ถ้าจะช่วยค่ายได้ จะให้ข้าเป็นอะไรก็ได้ งั้นเอ็งไปเตรียมการฝั่งเอ็งได้เลย ข้าจะไปคุยกับไอ้แผ่นดินให้”
 
หลังจากได้คำยืนยันจากแผ่นดินหรือครูดินซึ่งเป็นคนดูแลค่าย หลี่คุนก็ทำข้อตกลงความร่วมมือการค้านี้กับครูมีและค่าย ศ.เผด็จศึกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เขาเร่งดำเนินการเรื่องการจดแจ้ง อย. จนแล้วเสร็จในเวลาไม่นานแล้วจึงเริ่มวางขายน้ำมันมวยสูตรใหม่ที่ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก เป็นแห่งแรก
 
สินค้าตัวนี้หลี่คุนตั้งชื่อไปตรงๆ ว่า น้ำมันมวยมีคุณ ค่าย ศ.เผด็จศึก เขาตั้งราคาไว้สูงกว่าน้ำมันมวยเจ้าตลาดอยู่พอสมควรแต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่คนทั่วไปซื้อหามาใช้ได้ ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ก็คือพวกนักมวยที่เคยเป็นศิษย์เก่าและรู้จักสรรพคุณของน้ำมันตัวนี้ดี ถึงลูกค้าที่ว่าก็มีไม่มากนัก แต่ครูมีก็สวมวิญญาณนักขายมือทอง หลอกล่อนักมวยกลุ่มนี้ชักจูงให้คนในค่ายมวยที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมวยมีคุณด้วย สุดท้ายทุกคนก็ติดใจทำให้ทางค่ายมวยต้องเปลี่ยนมาซื้อของแพงขึ้นตามที่นักมวยเรียกร้อง ครูมีได้ทราบก็หัวเราะชอบใจที่หาทางเอาคืนพวกค่ายมวยที่ดึงคนไปแม้จะแค่เล็กๆ น้อยๆ ค่ายมวยหนึ่งๆ ใช้น้ำมันมวยไม่ใช่น้อย ทั้งทาทั้งนวด ยิ่งมีขึ้นชกด้วยแทบจะชโลมทั้งตัว ทำรายได้กลับมาไม่น้อยเลยทีเดียว
 
หลี่คุนเห็นครูมีหาลูกค้าอย่างแข็งขันก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ของตัวเองบ้างไม่ให้เสียชื่อที่เรียนด้านโฆษณามา เขาใช้ครูมีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างที่ตั้งใจ โดยยกทีมของพวกซูเอ๋อร์มาถ่ายทำคลิปครูมีสอนการนวดนักมวยขั้นพื้นฐานเป็นตอนๆ ครูมีเองมีใจที่จะถ่ายทอดเพื่อรักษาวิชานวดของตัวเองให้คงอยู่สืบไปในแวดวงมวยอยู่แล้วจึงตั้งใจทำเต็มที่ ในคลิปจะเห็นว่าลุงมีใช้น้ำมันมวยมีคุณในการนวดแต่ก็ไม่ได้เน้นจนผิดสังเกต ครูมีอธิบายการนวดไปก็สอดแทรกสรรพคุณของน้ำมันมวยมีคุณเล็กๆ น้อยๆ ออกมาบ้างเหมือนไม่ตั้งใจ หลี่คุนไม่ต้องการให้ออกมาเป็นคลิปขายของ ขอแค่ให้คนที่เข้ามาดูคลิปสอนนวดของครูมีรู้จักน้ำมันมวยมีคุณเท่านั้นก็พอ
 
เจ้ารองปังปอนด์ที่มาเป็นตากล้องถ่ายคลิปก็ทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ นายแบบที่โดนนวดคือนักมวยที่พอมีชื่อเสียงหน่อยของค่ายแน่นอนว่าต้องมีกล้ามเนื้อที่คมชัดสมบูรณ์ ปังปอนด์ใช้การจัดไฟและวางมุมกล้องในการถ่ายให้ภาพออกมาเห็นกล้ามเนื้อที่สวยงามอย่างเป็นศิลปะมากกว่าคลิปสาธิตทั่วไป เมื่อตัดต่อเสร็จ ซูกัสก็ค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละตอนทางช่องยูทูบของตัวเอง ส่วนหลี่คุนก็บอกให้นักมวยในค่ายครูเผด็จช่วยกันโปรโมทคลิปพวกนี้ตามช่องทางที่แต่ละคนพอมี
 
เมื่อคลิปแรกออกมาปรากฏว่ายอดวิวไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนแรกมาจากชื่อเสียงของค่าย ศ.เผด็จศึกและของครูมีเองที่ยังเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงมวย ส่วนที่สองมาจากช่องยูทูบของซูกัสที่มียอดผู้ติดตามอยู่ไม่น้อยซึ่งเป็นอานิสงส์มาจากการลงคลิปสี่หนุ่มหล่อเล่นดนตรี ส่วนสุดท้ายมาจากการถ่ายทำที่น่าสนใจของปังปอนด์ แม้สาวๆ ที่ไม่สนใจเรื่องมวยหลงเข้ามาดู ก็ยังชมกล้ามงามๆ ของนักมวยไปเพลินๆ ได้จนจบ
 
คนที่ดูคลิปแล้วสนใจน้ำมันมวยมีคุณก็มักจะเสิร์ชหาข้อมูลต่อ ตรงจุดนี้หลี่คุนคาดการณ์ไว้แล้วจึงให้ตินที่เรียนด้านคอมพิวเตอร์ใช้เทคนิคทำเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์การให้คะแนนของกูเกิ้ล ข้อมูลของน้ำมันมวยมีคุณจึงติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของการค้นหา คนที่สนใจจะเจอว่าน้ำมันมวยมีคุณเป็นผลิตภัณฑ์ของค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ซึ่งเก่าแก่น่าเชื่อถือ รวมไปถึงลิ้งค์ที่จะสั่งซื้อได้ทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ
 
วิธีการนี้ทำให้สามารถหาลูกค้าที่อยู่ในวงการมวยได้กว้างขึ้น ยอดสั่งซื้อจากค่ายมวยทั่วทั้งประเทศเริ่มทยอยเข้ามา ยิ่งลงคลิปสอนนวดของครูมีเพิ่มขึ้น ยอดขายก็ยิ่งสูงตาม ประกอบกับคนที่ใช้แล้วดีก็บอกต่อกันเรื่อยๆ หลี่คุนพอใจมาก ครั้งนี้ถือว่าเขาประสบความสำเร็จกับการใช้สื่อโซเชียลในการค้าอย่างงดงาม ล้างอายจากที่เคยเจ็บตัวจากการขายขี้ผึ้งรุ่นแรกได้เสียที การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยของเขานับว่าก้าวหน้าไปอีกขั้น ในที่สุดหลี่คุนก็ต้องหาโรงงานข้างนอกมาช่วยผลิตน้ำมันมวยให้ได้ทันกับความต้องการ โชคดีที่หมอภีมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทช่วยหาโรงงานที่ไว้ใจได้มาให้ปัญหานี้เลยคลี่คลายได้ไม่ยาก
 
หลี่คุนเชื่อว่าการที่เขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับวิถีฟ้าดิน สิ่งที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน ภายหน้าหากคุณานนท์ได้กลับมาอยู่ในร่างนี้อีกครั้ง เขาหวังว่าจะสามารถหลงเหลือการค้าน้ำมันมวยนี้ไว้ให้เป็นการตอบแทน ส่วนขี้ผึ้งโอสถที่มีความซับซ้อนในการปรุงคงไม่สามารถดำเนินต่อได้หากเขาไม่อยู่แล้ว
 
แต่หลังจากที่ยอดขายน้ำมันมวยขึ้นต่อเนื่องมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มอิ่มตัว ที่จริงหลี่คุนเองก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าตลาดเฉพาะอย่างน้ำมันมวยนี้ยังไงปริมาณความต้องการก็คงมีอย่างจำกัด สินค้าของเขามีราคาแพงกว่าของคู่แข่งเจ้าใหญ่คงเจาะตลาดไม่ได้มาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงทางตันเร็วขนาดนี้ ยังดีที่ส่วนแบ่งรายได้ของค่ายมวยตอนนี้อยู่ในระดับที่ช่วยพยุงค่าใช้จ่ายไม่ให้ติดลบได้
 
จริงๆ หลี่คุนก็เสียดายอยู่มาก โรงงานที่เขาจ้างมีกำลังการผลิตที่ค่อนข้างสูง หากมียอดสั่งซื้อน้ำมันมวยมากกว่านี้ก็สามารถผลิตเพิ่มได้ทันที เขาพยายามนึกถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จางอี้หลงเคยสอนแต่ก็ยังหาทางออกไม่ได้ จริงๆ เขาสนใจที่จะขยายตลาดด้วยการส่งออกเพราะมวยไทยก็เป็นที่สนใจในต่างประเทศ แต่ในทางธุรกิจเขารู้สึกว่ายังไม่พร้อม จะเพิ่มฐานลูกค้าไปยังการออกกำลังกายประเภทอื่น ภาพลักษณ์ของสินค้าตัวนี้ก็ยังดูเฉพาะทางเกินไป
 
หลี่คุนกลุ้มใจกับสินค้าสองตัวที่อยู่ในมือมาก ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิมีความต้องการท่วมท้นแต่สามารถผลิตได้จำนวนจำกัด ส่วนน้ำมันมวยมีคุณสามารถผลิตเท่าไหร่ก็ได้แต่ยอดขายถึงจุดอิ่มตัว ชีวิตมันช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย เขาอยากจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาจางอี้หลงแต่ก็อยากพยายามด้วยตัวเองก่อน ตอนนี้อีกฝ่ายมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นด้วยเขาจึงอยากพิสูจน์ตัวเองในฐานะฝ่ายจัดการให้มากกว่านี้
 
ขณะที่หลี่คุนกำลังปวดใจอยู่นั้น ยอดขายของน้ำมันมวยมีคุณที่คงที่มานาน อยู่ดีๆ กลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อจนเกือบจะเป็นสองเท่า เขาดีใจก็จริง แต่ถ้าไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เป็นแค่ชั่วคราวหรือถาวร ก็คงจะจัดการต่อไม่ถูก หลี่คุนให้ทุกคนช่วยกันหาสาเหตุ ในที่สุดก็เริ่มเข้าเค้าตรงข้อมูลที่ได้จากนักมวยรุ่นหนุ่มกะทงของค่าย
 
เด็กหนุ่มคนนั้นบอกว่า มีเรื่องที่เล่าต่อๆ กันในแวดวงนักมวยว่า มีนักมวยคนหนึ่งเพิ่งชกเสร็จอยู่ในอารมณ์ที่จะปลดปล่อยเต็มที่ นัดเจอกับแฟนสาวได้ก็เข้าไปพัลวันแต่ลืมเอาตัวช่วยมา ฝ่ายชายเห็นว่าน้ำมันมวยมีคุณมันลื่นดีแล้วก็ไม่แสบร้อน จึงเอามาใช้ชโลมแท่งหยกตัวเองช่วยหล่อลื่นแก้ขัด ปรากฎว่าใช้การได้ดีเกินคาด ทั้งลดความเจ็บและทั้งเพิ่มเวลาแห่งความสุขจนอิ่มเอมหลายระลอกไปด้วยกันทั้งฝ่ายบุรุษและสตรี พอข่าวนี้กระจายออกไป ปรากฎว่ามีคนทดลองแล้วได้ผลจริง เทียบราคาแล้วก็คุ้มค่ากว่าซื้อเจลแพงๆ เป็นไหนๆ แถมมีสรรพคุณเสริมความแข็งแรงทนทาน เรื่องนี้จึงถูกบอกต่อๆ กันไปอย่างรวดเร็ว จนน่าจะเป็นที่มาของยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนนี้
 
หลี่คุนฟังแล้วก็รู้สึกว่านี่นับเป็นขนมเปี๊ยะที่หล่นจากฟ้าโดยแท้ เขาพินิจพิเคราะห์สินค้าตัวเองอยู่ในใจ ทั้งความหอมลื่นไม่ระคายผิว ทั้งสรรพคุณที่เสริมความทนทานลดความเจ็บปวดให้กล้ามเนื้อ คุณสมบัติเช่นนี้มันช่าง...พอดิบพอดี มิหนำซ้ำการเชื่อมโยงสินค้าเข้ากับมวยไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกีฬาของลูกผู้ชายที่มีน้ำอดน้ำทนลำหักลำโค่นถึงใจ รวมไปถึงชื่อสินค้าที่มีคำว่าเผด็จศึก ทำให้ภาพลักษณ์สำหรับการใช้งานประเภทที่สองดูเหมาะเจาะราวกับตั้งใจมาตั้งแต่แรก ไม่แปลกใจที่ยอดขายถึงเพิ่มขึ้นถล่มทลาย
 
หลี่คุนต้องคิดหนักว่าจะคงการใช้งานแบบเดิมไว้แล้วสร้างความเข้าใจว่าไม่ควรใช้งานสินค้าผิดวัตถุประสงค์ หรือจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งสินค้าไปเน้นการใช้งานแบบที่สองซึ่งตลาดยังเติบโตได้อีกดี ถึงเขาจะอยากรวยแค่ไหนแต่ก็ยังรักหน้าตาตัวเองตามแบบคนจีนในอดีต กิจการที่เกี่ยวกับเรื่องในห้องหอเป็นสิ่งที่พ่อค้าดีๆ ไม่ทำกัน อย่างเช่นเจ้าของหอโคมเขียวแม้จะทำเงินทำทองได้มากมายแต่ก็ไม่ได้รับการนับหน้าถือตา หากเขาค้าขายสินค้าเสริมโลกีย์เช่นนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เห็นทีจะต้องเพิ่มคำเตือนตัวโตๆ ว่าห้ามใช้เป็นสารหล่อลื่นลงบนฉลาก แต่อีกทางหนึ่งโอกาสใหม่ทางการค้านี้ช่างเย้ายวนใจ ฐานลูกค้าจากที่เคยจำกัดแค่กลุ่มนักมวยจะสามารถขยายเป็นชายไทยวัยเจริญพันธุ์จำนวนยี่สิบเอ็ดล้านคนทันทีหากเขายอมปรับเปลี่ยนตำแหน่งผลิตภัณฑ์
 
หลี่คุนนอนคิดอยู่หลายคืนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ หน้าตาของบุรุษยิ่งใหญ่ดังเขาไท่ซานพึงรักษาไว้ยิ่งชีพ เขาเลิกคิดที่ปรับเปลี่ยนอะไรในสินค้าตัวนี้ ยกเว้นการเพิ่มข้อความแบบเน้นๆ ลงไปบนฉลากเพียงข้อความเดียว
 
“เหมาะสำหรับกีฬาในร่มทุกประเภท”
 
####

#อี้หลงคุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 21] 24/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-11-2019 16:54:47
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 21] 24/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-11-2019 21:27:52
วลีเดียวชนะทุกศึก "เหมาะกับกีฬาในร่มทุกประเภท"

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ  ๆ ๆ 

นอกจากเขียนนิยายสนุกแล้ว คุณยังเก่งการตลาดอีกด้วย นับถือค่ะ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-11-2019 14:57:07
22

หลังจากที่ตั้งบริษัทฉางอันโอสถขึ้น หลี่คุนก็ให้นักกฎหมายที่มาช่วยงานเป็นผู้รับการติดต่อเรื่องทางด้านธุรกิจทั้งหมด ปรากฎว่าเริ่มมีคนขอเจรจาธุรกิจเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีทั้งเสนอขอซื้อสูตร ขอร่วมลงทุน ไปจนถึงขอซื้อกิจการทั้งหมด หลี่คุนให้นักกฎหมายตอบปฏิเสธไปทั้งหมด สูตรปรุงยาตำหรับโบราณที่ซับซ้อนนี้มีเขาเพียงผู้เดียวที่สามารถปรุงและใช้ปราณตรวจสอบคุณภาพของมันได้ หรือต่อให้สามารถขายต่อให้ผู้อื่นไปขยายกิจการจนใหญ่โตได้เขาก็คงไม่ยินยอมเพราะเกรงว่าธุรกิจเครื่องสำอางค์บำรุงผิวทั้งหมดคงล่มสลาย คนคงตกงานกันอีกมากมาย เขายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบเรื่องใหญ่ขนาดนั้น อีกอย่างคนที่ข้ามกาลเวลามาอย่างเขา หากทำตัวโดดเด่นมากเกินไปจะกลายเป็นการนำภัยมาสู่ตัวเอง ข้อคิดนี้ในนิยายทะลุมิติที่เขาอ่านตอนข้ามเวลามาใหม่ๆ ทุกเรื่องก็มีพูดไว้
 
ของมีน้อยแต่คนต้องการมาก ในที่สุดก็เกิดของปลอมของเลียนแบบขึ้น มีทั้งพยายามปลอมให้หน้าตาผลิตภัณฑ์แทบจะไม่แตกต่างกับขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิของจริง แต่ของพวกนี้หลอกลวงได้แค่คนที่ไม่เคยใช้เท่านั้น ต่อให้พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถปลอมผนึกตราครั่งประทับที่ระบุว่าเป็นขี้ผึ้งของเดือนอะไรได้ ครั่งที่หลี่คุนใช้ประทับเป็นครั่งแท้ที่ผสมกับผงทองคำตามตำหรับโบราณ พอประทับตราประจำเดือนลงไปรอให้แข็งตัวดีแล้วแล้วจะเกิดลวดลายพิเศษที่ไม่สามารถลอกเลียนได้ ต่อให้นำครั่งตัวจริงไปหลอมใหม่ ผงทองคำก็จะนอนก้นไม่กระจายตัวเป็นลวดลายที่ว่า คนที่พยายามทำของปลอมขึ้นมานอกจากจะยุ่งยากปลอมของออกเป็นล็อตๆ รายเดือนแล้ว ทำอย่างไรตราครั่งก็ไม่เหมือน ยิ่งพอมีคนถ่ายรูปตราประทับครั่งของจริงกับของปลอมชัดๆ กระจายกันไปในกลุ่มไลน์แล้ว ก็ไม่มีใครหลงซื้ออีกเลย
 
ถัดจากของปลอมก็มีของเลียนแบบที่พยายามเคลมว่าเป็นขี้ผึ้งสูตรใหม่ที่สรรพคุณดีกว่าเดิมทั้งยังเก็บรักษาได้นานเป็นปีๆ  ไม่หมดอายุรายเดือนอย่างขี้ผึ้งที่หลี่คุนขาย บ้างก็สร้างเรื่องราวว่าเป็นสูตรต้นตำหรับเดียวกัน แต่ผลิตมาอีกยี่ห้อที่ราคาถูกกว่าเพราะไม่อยากเอาเปรียบลูกค้า แรกๆ ก็มีคนสนใจแต่พอซื้อไปใช้จริงก็รู้ว่าคุณภาพต่างกันราวฟ้ากับเหว มีคนเอามาด่าประจานกันในกลุ่มสองสามทีก็เงียบหายไป
 
หลี่คุนติดตามดูสถานการณ์อย่างใจเย็น เรื่องทั้งหมดยังอยู่ในการคาดคำนวณที่เขาได้คิดป้องกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ประสบการณ์ที่เคยขาดทุนย่อยยับในครั้งก่อนทำให้เขาออกแบบสิ่งที่ยุคนี้เรียกว่าโมเดลธุรกิจไว้เป็นอย่างดีแล้ว ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีอายุการเก็บรักษาสั้นเพียงแค่หนึ่งเดือน แต่เขาจงใจใส่สมุนไพรที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพลงไป แม้การส่งของให้ลูกค้าแบบรายเดือนเช่นนี้ทำให้งานเพิ่มขึ้นบ้าง แต่วิธีนี้ทำให้ไม่มีใครสามารถกักตุนสินค้าได้ การปลอมแปลงก็ทำได้ยากและไม่คุ้มค่า เช่นนี้เขาจึงควบคุมระบบสมาชิกไว้ได้
 
ยิ่งสินค้าของเขาแข็งแรงลอกเลียนแบบไม่ได้ ความพยายามที่จะครอบครองก็ดูจะรุนแรงขึ้น นักกฎหมายถึงกับได้รับการติดต่อในเชิงข่มขู่จากบุคคลเดิมที่เคยขอซื้อสูตร หลี่คุนรับฟังอย่างไม่สนใจ ถึงแม้ศีลธรรมของคนยุคนี้จะดูหย่อนยานจากสมัยก่อนอยู่มาก แต่การควบคุมให้ทำตามกฎหมายบ้านเมืองนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว การฆ่ากันตาย การค้ามนุษย์ การใส่ความยึดทรัพย์ แม้จะยังไม่หมดสิ้นไป แต่ก็นับว่าลดน้อยลงไปมาก ในเมื่อเขาทำการค้าอย่างถูกต้องซื่อสัตย์สุจริต ยังจะมีใครละเมิดกฎหมายแย่งชิงเอาไปได้
 
ทั้งๆ ที่รายได้ของเขาเรียกว่าเยอะมากสำหรับนักศึกษามหาลัยคนหนึ่งแต่หลี่คุนก็มีเงินเก็บไม่มากนัก เขาเอาเงินที่ได้ในแต่ละเดือนไปตามหาซื้อวัตถุดิบดั้งเดิมอย่างโสมคน อำพันทะเล ยางไม้กฤษณา หรือผงไข่มุกดำทะเลลึก ทั้งหมดหาได้ยากยิ่งในเมืองไทยและราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ โชคดีที่หลี่คุนสามารถใช้ปราณตรวจสอบคุณสมบัติของสมุนไพรพวกนี้ได้จึงไม่เคยเสียเงินเปล่าไปกับสมุนไพรปลอมหรือเสื่อมสภาพ
 
หลี่คุนทุ่มเทแรงกายแรงใจและเงินทองมากมายไปกับสมุนไพรพวกนี้เพราะความปรารถนาที่จะปรุงยาระดับที่สูงขึ้น ตำหรับยาโบราณมีข้อได้เปรียบเพียงในเรื่องการบำรุงฟื้นฟูสุขภาพรวมถึงการประทินโฉม แต่ในด้านการรักษาโรคอย่างตรงจุด ไม่อาจเทียบยารักษาโรคสมัยใหม่ของยุคนี้ได้เลย  รวมถึงความภาคภูมิใจของเขาในการปรุงยาถอนพิษร้ายแรงชนิดต่างๆ กลายเป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ในยุคนี้ที่ผู้คนไม่ได้ทำร้ายกันด้วยยาพิษอีกแล้ว
 
เขามุ่งหวังที่จะปรุงโอสถระดับปฐพีขึ้นมาอีกครั้ง โอสถสร้างปราณ โอสถทะลวงชีพจร โอสถชำระไขกระดูก เหล่านี้ล้วนเป็นโอสถระดับปฐพีที่สามารถบำรุงลมปราณเสริมสร้างวรยุทธ์ การแพทย์ในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะไม่มียาชนิดใดให้ผลในลักษณะนี้ โอสถดังกล่าวแม้ในยุคที่หลี่คุนจากมาก็ยังหาวัตถุดิบปรุงได้ไม่ง่ายนัก ผู้ปรุงที่มีความแตกฉานในการใช้ปราณหลอมรวมโอสถกลับหายากยิ่งกว่า โอสถระดับปฐพีจึงไม่ใช่ของที่คนทั่วไปจะครอบครองได้
 
ความเชี่ยวชาญในการหลอมรวมโอสถของหลี่คุนนั้นหากพูดว่าเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่ยามนี้กลับมีข้อจำกัดในเรื่องวัตถุดิบกับลมปราณที่มีเพียงน้อยนิด เขาเอาสมุนไพรหายากที่ได้มาทดลองหาวิธีหลอมรวมที่ใช้ลมปราณให้น้อยที่สุด หลี่คุนใช้เตาไฟฟ้าที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ละเอียดเที่ยงตรงมาช่วยให้การเคี่ยวโอสถง่ายขึ้น แต่ขั้นตอนในการหลอมรวมยังต้องใช้ลมปราณไม่น้อยอยู่ดี
 
ในแต่ละคืนเขาพยายามพลิกแพลงวิธีการหลอมโอสถแบบต่างๆ แต่ก็ยังความก้าวหน้านับว่าเชื่องช้ายิ่งนัก กำลังภายในบุปผาเร้นวารีเมื่อใช้จนสิ้นกำลังแล้วจะไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง หลี่คุนทดลองได้แค่ครั้งสองครั้งลมปราณก็มักจะหมดลงเสียก่อน เพื่อนร่วมห้องของเขามีแต่ซูเอ๋อร์ซึ่งมีพลังหยางไม่มากนักไม่สามารถเติมเต็มกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นหนึ่งได้ ต้องรอไปรวบรวมพลังหยางจากเพื่อนๆ ที่มหาลัยจนเต็ม ถึงจะกลับมาทดลองฝึกฝนการหลอมโอสถได้ในคืนถัดไป หลี่คุนคิดว่าถ้าได้ตินที่มีพลังหยางค่อนข้างดีมาค้างที่คอนโดด้วยเพื่อใช้เป็นแบตสำรองเขาน่าจะคืบหน้าได้เร็วกว่านี้ แต่จนใจที่อีกฝ่ายเป็นคนติดบ้านไม่ค่อยยอมไปค้างที่ไหนเพราะจะนอนไม่หลับ
 
หลี่คุนไม่รู้เลยว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้เพื่อนที่มหาลัยเข้าใจว่าเขาเป็นพวกสกินชิปติดการสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน แน่นอนว่าไม่มีใครรังเกียจ มีแต่จะชื่นชมว่าคนที่หน้าตาดีมีชื่อเสียงดูสูงส่งเช่นนี้กลับไม่ถือเนื้อถือตัวแม้แต่น้อย ใครๆ  ก็อยากให้คุณานนท์มาจับมือลูบแขนกอดคอโอบไหล่กันทั้งนั้น หลายคนก็ถือโอกาสเซลฟี่เอาไปลงโซเชียลด้วยถือเป็นความภาคภูมิใจที่ได้ใกล้ชิดคนดังของมหาลัย
 
วันนี้หลี่คุนเข้าคณะมาด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เขาสิ้นเปลืองวัตถุดิบล้ำค่าไปมากมายจนเมื่อคืนเขาทดลองหลอมโอสถด้วยแนวทางใหม่จนน่าจะได้ผลแล้วแต่กำลังภายในกลับหมดลงเสียก่อน วันนี้เขามีเรียนแค่ช่วงเช้า ตั้งใจว่าจะรีบรวบรวมพลังหยางให้เต็มช่วงบ่ายจะได้กลับคอนโดไปฝึกฝนต่อ  สายตาหลี่คุนสอดส่ายหาคนที่พอจะดูดกลืนพลังได้ก่อนจะถึงเวลาเข้าเรียน
 
“ว่าไง คุน ไม่เจอนายตั้งนาน วันนี้เรียนแต่เช้าเหรอ”
 
หลี่คุนหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับบุรุษหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่ง เขาคุ้นๆ ว่าคนผู้นี้เป็นเดือนคณะแต่เรียนคนละภาคกันไม่ได้สนิทสนมนัก เขายังจำชื่อเล่นไม่ได้ด้วยซ้ำได้แต่ตอบตามน้ำไป
 
“ใช่ นายก็เรียนเช้าเหมือนกันเหรอ”
 
“เรียนสิบโมง แต่กิ๊กเรามีเรียนแปดโมง ตื่นมาก็งอแงให้มาส่ง”
 
หลี่คุนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เขาไม่แปลกใจนักเพราะเคยดูดซับพลังหยางของอีกฝ่ายมาก่อน พลังหยางที่ปนเปื้อนหยินอันหลากหลายสับสนบ่งบอกว่าเดือนคณะคนนี้คือคุณชายเสเพลเจ้าสำราญผู้หนึ่ง ในครั้งนั้นเขาถึงกับออกปากตักเตือนไปด้วยเป็นห่วงสุขภาพไตของเพื่อนร่วมคณะ มิคาดว่าคนผู้นี้กลับภูมิอกภูมิใจในความเป็นยอดนักรักของตัวเองไม่สนใจคำเตือนของเขาแม้แต่น้อย
 
“เจอนายแต่เช้าก็ดีแล้ว หน้าตายังสดชื่นอยู่ เห็นคนอื่นถ่ายรูปกับนายกันโครมๆ เราขอมั่งสิ คนหล่อๆ ถ่ายคู่กัน คนต้องกรี๊ดยอดไลค์ถล่มทลายแน่”
 
เดือนคณะถือวิสาสะกอดคอหลี่คุนให้ใบหน้าหล่อเหลาของทั้งคู่เข้ามาใกล้กันแล้วหยิบโทรศัพท์เปิดกล้องหน้ายืดแขนจนสุดเพื่อถ่ายเซลฟี่อย่างชำนิชำนาญ หลี่คุนไม่ได้อยากดูดซับพลังหยางที่ปนเปื้อนของอีกฝ่าย แต่เมื่อมีบุรุษเข้ามาสัมผัสก็เผลอเปิดช่องลมปราณของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีด้วยความเคยชิน พลังหยางที่ดูดซับได้กลับแตกต่างจากครั้งก่อนจนน่าประหลาดใจ แม้จะยังมีความสับสนอยู่บ้างแต่แทบไม่หลงเหลือการปนเปื้อนของพลังหยินอยู่เลย หรือว่าคนผู้นี้จะเริ่มคิดได้จากคำเตือนที่เขาเคยให้ไป
 
หลี่คุนปล่อยให้อีกฝ่ายถ่ายรูปจนเสร็จแล้วก็เอ่ยปากชม
 
“รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้นายจะทำตัวดีขึ้นนะ ไม่หักโหมหมกมุ่นในเรื่องประเภทนั้นเหมือนเมื่อก่อน ดีแล้วล่ะ บุรุษหนุ่มอย่างนายถนอมกำลังส่วนล่างไว้บ้าง ถึงเวลาแต่งงานสืบต่อวงตระกูลจะได้มีทายาทเร็วๆ”
 
“ฮ่าๆ นายนี่ตลกดีนะ พูดเหมือนแม่เราเลย วัยอย่างพวกเราต้องสนุกกับชีวิตให้มากสิ จะไปรีบคิดเรื่องแต่งงงแต่งงานมีลูกทำไม อย่างเราน่ะนอนคนเดียวไม่ได้แล้ว  ถ้าไม่ได้ออกแรงทำกิจกรรมเข้าจังหวะก่อนนอนทุกคืนหลับไม่ลงหรอก”
 
“ทุกคืนนี่นะ?”
 
หลี่คุนถามอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่เห็นพลังหยางจะปนเปื้อนหยินเหมือนเมื่อก่อนเลย แต่ลักษณะร่างกายอย่างอื่นก็ดูเหมือนจะหักโหมเรื่องอย่างว่ามาจริงๆ หรือว่าอีกฝ่ายจะได้ยาบำรุงร่างกายดีๆ ที่ช่วยชำระหยินตกค้างออกไปได้ เขาไม่กล้าดูแคลนการแพทย์ยุคนี้จริงๆ ท่าทางจะต้องศึกษาให้มากขึ้น
 
“ใช่ แต่จะว่าเราทำตัวดีขึ้นก็ได้นะ เพราะช่วงนี้เราติดเด็กปีหนึ่งเลยไม่ได้เวียนไปหากิ๊กคนอื่นเลย เราว่าบางทีเราอาจจะหยุดที่คนนี้ น้องเค้าดูรักเรามากให้เกียร์มาด้วย เรานอนกับน้องเค้าทุกคืน บางคืนก็หลายรอบเลยเพราะเรามีตัวช่วยดีๆ นี่แอบบอกนายคนเดียวนะ เห็นว่าเป็นหนุ่มหล่อเหมือนกัน”
 
เดือนคณะทำเสียงกระซิบกระซาบในตอนท้ายก่อนจะหยิบขวดเล็กๆ ที่คุ้นตาหลี่คุนจากกระเป๋าสะพายออกมาให้ดูอย่างภูมิใจ
 
“เราอาศัยทาเจ้านี่แหละ น้ำมันมวยมีคุณ อย่าเห็นว่าดูเชยๆ นะ สรรพคุณงี้ยืนหนึ่งเลย นายต้องลองใช้เองถึงจะรู้ความแตกต่าง ไม่อยากจะเล่าละเอียดเดี๋ยวหาว่าทะลึ่ง ราคาก็ไม่แพง ใช้กับถุงยางก็ได้เป็นสูตรน้ำไม่ทำให้มันรั่ว แม่เราบอกว่าใช้นวดแก้ปวดเมื่อยดีกว่ายาที่หมอให้อีกแต่เราว่าใช้แบบนั้นเสียของไปหน่อย คนคิดสูตรนี่เจ๋งจริงน่าจะทำออกมาขายตั้งนานแล้ว แต่นายอย่าไปบอกใครนะเดี๋ยวนี้ชักเริ่มหาซื้อยาก สั่งทางแอพส้มบางทีก็ของหมด ถ้าคนรู้จักเยอะๆ เรากลัวเขาขึ้นราคา ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ท่าทางต้องไปซื้อถึงค่ายมวย ศ.เผด็จศึก อย่าซื้อผิดล่ะ ถ้าเอาน้ำมันมวยธรรมดาไปทาแสบตายชัก”
 
หลี่คุนได้ฟังก็รู้สึกตัวลอย ลูกค้าท่านนี้พูดชมเกินไปแล้ว ในใจรู้สึกสนิทสนมกับอีกฝ่ายขึ้นอีกหลายส่วนจนอยากจะส่งเทียบเชิญให้มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของน้ำมันมวยมีคุณ เขารีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็วอย่างเสียดาย สินค้าของฉางอันโอสถจะเกี่ยวพันกับเรื่องในห้องหอโดยโจ่งแจ้งมิได้
 
“ถ้านายจะซื้อเมื่อไหร่บอกเราได้ ตินเพื่อนเราที่เรียนอยู่ไอทีไปซ้อมมวยที่ค่าย ศ.เผด็จศึกประจำ บางทีเราก็ไปด้วย ที่ค่ายมีของเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าของจะหมดหรือขึ้นราคา”
 
“อ้าว นายก็รู้จักน้ำมันมวยมีคุณอยู่แล้วเหรอ ไม่เบานี่หว่า เห็นเงียบๆ ไม่มีข่าวคราวกับสาวๆ เราก็ว่าล่ะ หล่อๆ อย่างนี้จะธรรมดาได้ไง แล้วตินเพื่อนนายจะไปที่ค่ายอีกทีเมื่อไหร่ เราว่าจะซื้อมาตุนไว้อุ่นใจดี พอดีต้องใช้ทุกวัน ถ้าซื้อเยอะเขามีส่วนลดให้ไหม”
 
“เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวเราคุยกับทางค่ายให้นายเอามาใช้ฟรีๆ เลยสองโหล แค่นายช่วยเอาน้ำมันมวยมีคุณไปโชว์ในพวกไอจีอะไรงี้ นายเป็นเดือนคณะ น่าจะมีคนติดตามเยอะอยู่นะ นายช่วยบอกต่อให้เขามีลูกค้าเพิ่มขึ้น ของเขาขายดีสินค้าก็จะกระจายออกมามาก นายจะยิ่งหาซื้อง่ายนะ แอบใช้อยู่คนเดียวเขาเจ๊งไปนายจะเอาที่ไหนใช้”
 
“ก็ดีนะ ได้ของมาใช้ฟรีๆ ไอจีเรา คนตามไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่อีกแอคในทวิตนี่ดาร์คๆ หน่อยคนตามเพียบ เดี๋ยวเราทำแฮชแทคให้ด้วย เอาอันนี้ไหม #ทนกว่าที่คิส”
 
“จริงๆ มันก็น้ำมันมวยนะ แต่นายไปใช้อย่างอื่นแล้วดี จะบอกอะไรก็แล้วแต่นาย”
 
หลังจากแยกจากเดือนคณะ หลี่คุนก็โทรแจ้งให้เพิ่มการผลิตน้ำมันมวยมีคุนก่อนจะรีบเข้าห้องเรียนไป ระหว่างเรียนเขาจำเป็นต้องไปนัวเนียกับเพื่อนผู้ชายในห้องเพื่อจะเก็บสำรองลมปราณไปเรื่อยๆ นักศึกษาภาคโฆษณาไม่มีใครมีพลังหยางเข้มข้นแบบนักมวยอาชีพอย่างเมฆขาวทำให้ต้องใช้เวลานานและหมุนไปหลายคนกว่าจะเต็ม โชคดีที่ทุกคนคุ้นเคยกับอาการสกินชิปของเขาอยู่แล้วจึงปล่อยให้ลูบๆ คลำๆ ไปจนจบคาบเรียน
 
หลังเลิกหลี่คุนคิดว่าจะหาข้าวเที่ยงทานแล้วค่อยกลับคอนโดไปฝึกฝนการหลอมโอสถตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ได้รับข้อความจากจางอี้หลงเสียก่อน
 
ZYL : พี่อยู่สิงคโปร์ กำลังจะขึ้นเครื่องไปสุวรรณภูมิ ถ้าว่างช่วยมารับที่สนามบินหน่อยครับ มีเรื่องจะคุยด้วย
 
LK : เงียบไปนานเลยนะครับพี่ ได้ใช้ขี้ผึ้งที่ผมส่งไปเปล่าเนี่ย ไม่เห็นส่งรูปมาให้ดูบ้างเลย
 
ZYL : เดี๋ยวก็เจอตัวจริงแล้ว จะดูรูปทำไม ตกลงลงมารับพี่ได้เปล่าครับ
 
LK : แต่ผมไม่ได้ขับรถนะ ไม่กล้าออกถนนจริง
 
ZYL : เดี๋ยวพี่ให้รถวนไปรับครับ อยู่ที่มหาลัยใช่ไหม
 
LK : อ้าว พี่มีรถแล้วจะให้ผมไปรับทำไม
 
ZYL : พี่อยากเจอน้องคุนเร็วๆ
 
LK : ก็ได้ครับ
 
หลี่คุนรับปากอย่างไม่อิดออด ถึงจะไม่ชอบความกดดันจากปราณอำนาจของอีกฝ่ายเวลาเจอตัวจริง แต่อย่างไรเสียก็เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ต้องรักษาสัมพันธ์ไว้ อีกอย่างเขายังมีปัญหาด้านการค้าบางอย่างที่อยากลอบถามความเห็นโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว รวมถึงอยากตามผลการใช้ขี้ผึ้งโอสถด้วยว่าจะฟื้นฟูสภาพผิวจางอี้หลงได้มากน้อยแค่ไหน
 
รถยนต์คันใหญ่ที่มารับหลี่คุนทั้งหรูหราทั้งวิ่งนุ่มนั่งสบาย แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับโลกยุคใหม่นี้ขึ้นมามากแล้วแต่เขากลับไม่คุ้นยี้ห้อรถคันนี้เท่าไหร่ น่าจะไม่เป็นที่นิยมนัก ไม่เหมือนรถคันเล็กของเขาที่ไปไหนก็เห็นยี่ห้อเดียวกันนี้เต็มบ้านเต็มเมือง เขาเข้าไปรอจางอี้หลงตรงชั้นผู้โดยสารขาเข้าบริเวณเดียวกับที่เขาต้องเสียท่าอย่างใหญ่หลวงให้กับบอดี้การ์ดของแฮ็คส์เมื่อหลายเดือนก่อน หลี่คุนที่สวมผ้าปิดปากลายมังกรแบบเดิมหวังว่าจะไม่มีใครในที่นี้จำความอัปยศในครั้งนั้นของเขาได้
 
รออยู่ไม่นานหลี่คุนก็เห็นคนที่เขามารับเดินออกมาจากด้านใน ผู้คนที่ยืนประปรายกันอยู่บริเวณนั้นถูกปราณอำนาจที่แผ่ออกกดดันจนแหวกออกเป็นทางโดยไม่ตั้งใจ สายตาจำนวนมากจับจ้องไปที่บุรุษร่างสูงในเสื้อแจ็คเกตแบบลำลองอย่างไม่รู้ตัว หลี่คุนเห็นจากไกลๆ ยังรู้สึกว่าอาจไม่ใช่ปราณอำนาจเพียงอย่างเดียวแล้วที่ดึงดูดสายตาคน รูปลักษณ์ที่แปลกตากว่าที่เคยเห็นนั้นน่าจะเป็นสาเหตุหลักเสียด้วยซ้ำ จางอี้หลงตัดผมสั้นกว่าปกติและเซ็ทเป็นทรงทันสมัยกว่าเดิม เสื้อผ้าเข้ารูปกว่าทุกทีเผยให้เห็นหุ่นสวยที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อได้สัดส่วน ใบหน้าที่หล่อเหลาภูมิฐานแบบชายวัยต้นสามสิบบัดนี้ดูอ่อนเยาว์กระจ่างใสขึ้นโดยไม่เสียความคมสันในแบบบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะความสง่าน่าเกรงขามกว่าปกติที่แผ่ออกมา คาดว่าคงมีคนเข้าไปรุมล้อมเพราะคิดว่าเป็นดาราใหญ่มาจากไหนเป็นแน่
 
หลี่คุนฉีกยิ้มกว้างอย่างพอใจให้จางอี้หลงแต่ไกล เรื่องเสื้อผ้าและทรงผมนั่นช่างเถิด แต่ใบหน้าที่เยาว์วัยลงนั้นต้องเป็นผลงานขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ขึ้นจนหลี่คุนเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน รอยยิ้มของเขากลับหุบลงทันทีก่อนที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่คุนจะขึ้นสีแดงระเรื่อร้อนผ่าวไปด้วยโทสะ
 
“ไปทำอะไรกับหน้ามาครับ พี่อี้หลง!!!”
 
#########################

#อี้หลงคุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Icegemini04 ที่ 29-11-2019 15:33:14
 :z3: :z3:

ทำอะไรรรรรรร. อยากรู้ด้วยคนนนนน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-11-2019 17:15:13
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-11-2019 20:40:22
อ้าว เกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-11-2019 21:19:52
ติดมากกอีพี่คงแบบเฟลสุดดด น้องบอกจะส่งครีมมาให้ ก็คงไม่คิดว่าจะส่งมาเยอะจัด แบบหน้าแตกไปเลยมั่นมานานมากว่าหล่อ เจอน้องส่งไปเป็นกล่องใหญ่คงประโคมสุดตัวกันเลยทีเดียว

อยากอ่านต่อแล้ววว ติดมากค่ะ สนุกมากเลย ;)


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 29-11-2019 23:39:41
ไปทำอะไรมาหล่ะอยากรู้ๆ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-12-2019 12:31:59
23

หลี่คุนรู้สึกเหมือนโดนดูถูก สายตาของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาย่อมเฉียบคมกว่าคนทั่วไป ใบหน้าของจางอี้หลงแม้จะหล่อเหลาเยาว์วัยไร้ริ้วรอยแต่มีบางจุดไม่เป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ผลของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่เขาส่งไปให้ด้วยความห่วงใยเลย
 
“ขึ้ผึ้งที่ผมส่งไปให้ทุกเดือน พี่ไม่ได้ใช้มันเลยเหรอครับ”
 
จางอี้หลงทำหน้าไม่ถูก เขาอุตส่าห์เอาใบหน้าที่ฟื้นฟูมาอย่างดีให้คนตรงหน้าดูถึงเมืองไทย หวังจะล้างคำพูดที่ว่าตัวเองหน้าแก่กว่าวัย ทำไมกลับโดนโกรธเสียได้
 
ที่จริงหลังจากที่จางอี้หลงได้รับขี้ผึ้งกระปุกแรกก็ได้ทดลองใช้อยู่หลายวันและเห็นผลว่าผิวหน้าดีขึ้นจนไม่น่าเชื่อ เขากังวลว่าสินค้าตัวนี้ของหลี่คุนอาจจะผสมสารออกฤทธิ์ต้องห้ามบางอย่าง จึงเอาขี้ผึ้งที่เหลือส่งไปยังห้องปฏิบัติการของบริษัทในเครือให้ตรวจสอบดู หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้รีบเตือนให้หลี่คุนหยุดขายก่อนที่จะเกิดอันตรายกับผู้ใช้จนเป็นเรื่องใหญ่โต โชคดีที่ไม่พบสารอันตรายใดๆ แต่การที่ห้องแล็บไม่สามารถวิเคราะห์สูตรการผลิตที่แน่ชัดออกมาได้ทั้งๆ ที่มีเครื่องมือทันสมัยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศทำให้ชายหนุ่มแปลกใจเป็นอย่างมาก แม้จะทำการทดสอบจนใช้ตัวอย่างไปจนหมดก็ทราบเพียงคร่าวๆ ว่ามีส่วนประกอบหลักเป็นพืชสมุนไพรจำนวนหนึ่งเท่านั้น
 
จนเมื่อได้รับขี้ผึ้งกระปุกที่สอง จางอี้หลงจึงตัดสินใจส่งไปที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ภายนอกที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรโดยเฉพาะ ไม่คาดว่าสถาบันแห่งนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการถอดสูตรขี้ผึ้งของหลี่คุน นักวิจัยสามารถระบุชื่อสมุนไพรออกมาได้แปดชนิดด้วยการวิเคราะห์สารประกอบธรรมชาติที่ซับซ้อนออกมาเทียบกับฐานข้อมูล แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหาสัดส่วนที่สมดุลของสมุนไพรแต่ละตัวได้ ตัวอย่างเลียนแบบที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้มีประสิทธิภาพไม่ถึงหนึ่งในสี่ของของจริง นี่เป็นเรื่องที่นักวิจัยขบคิดเท่าใดก็ยังไม่เข้าใจ
 
ในระหว่างนั้นจางอี้หลงก็เข้าไปฟื้นฟูสภาพผิวที่คลินิกที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง เขาเสียความมั่นใจเรื่องหน้าตาของตัวเองไปไม่น้อยจนต้องทำเรื่องที่แต่ก่อนไม่เคยคิดสนใจจะทำ งานหนักที่ทำมาตลอดตั้งแต่ตอนวัยรุ่นประกอบกับการพักผ่อนที่ไม่ค่อยเพียงพอเริ่มส่งผลต่อใบหน้าจริงๆ หลี่คุนอายุน้อยกว่าเขาถึงหกเจ็ดปีแถมยังผิวพรรณดีดูอ่อนกว่าวัยอย่างไม่น่าเชื่อทำให้ความแตกต่างระหว่างกันมีมากเกินไป แม้ว่าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิจะดูว่าให้ผลดีแต่ยาทาภายนอกเช่นนี้คงต้องใช้เวลาเป็นปีๆ จางอี้หลงทั้งใจร้อนทั้งเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และการแพทย์ปัจจุบันมากกว่า เขาเลือกคอร์สราคาสูงตามที่แพทย์แนะนำว่าช่วยลดริ้วรอยและทำให้หน้าใส มีทั้งฉีดโบท็อกซ์ ร้อยไหม ฟิลเลอร์ เมโสแฟต และอีกหลายอย่างที่จำไม่ได้  รู้แต่ว่าต้องไปนอนเจ็บตัวอยู่หลายครั้งกว่าจะครบคอร์ส เขาเกลียดเข็มพวกนั้นจริงๆ
 
จางอี้หลงไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองเท่าใดนัก แต่ในเมื่อหลี่คุนหล่อเหลาไร้ที่ติเช่นนี้เขาก็ควรทำตัวให้คู่ควรเสียหน่อย เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น แต่เขายอมเจ็บตัวและเสียเวลาจนสามารถลบช่องว่างระหว่างวัยได้ขนาดนี้ ทำไมคนตรงหน้าคำชมสักนิดยังไม่มีแล้วยังดูไม่พอใจอีก ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างจนไม่อยากตอบอะไรออกไป
 
“มาให้ผมดูหน่อย พี่ก้มลงอีกนิดได้ไหมครับ”
 
หลี่คุนพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเดิมและเจ้อไปด้วยความสนใจ จางอี้หลงสูงกว่าเขาพอประมาณ หลี่คุนจึงเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้ก้มลงต่ำเพื่อจะสังเกตให้ชัดเจน ปราณอำนาจที่แผ่ออกมาในระยะประชิดทำให้เขาต้องโคจรพลังช้าๆ ทั่วร่างเพื่อไม่ให้ถูกกดดันและดึงดูดจนเสียสมาธิ หลี่คุนเคลื่อนปราณไปที่ปลายนิ้วก่อนจะลูบไล้เบาๆ ไปทั่วหน้าของจางอี้หลงเพื่อตรวจสอบความผิดปกติที่เห็นในตอนแรก
 
จางอี้หลงเกร็งตัวเล็กน้อย เขาไม่เคยมีโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ อย่างนี้มาก่อน ใบหน้างดงามทว่าหล่อเหลาดูจริงจังกับดวงตาเรียวยาวส่องประกายสงสัยใคร่รู้นั้นดูดึงดูดจนเขาเผลอเอนหน้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
 
“พอแล้วครับ ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้”
 
หลี่คุนร้องขึ้นมาก่อนจะถอยหลังออกในทันที ปราณอำนาจกลิ่นอายบุรุษและพลังหยางที่แผ่ออกมาในระยะประชิดสร้างความกดดันจนเขาต้องผละออกทั้งๆ ที่โคจรพลังต้านไว้แล้ว พลังหยางงั้นหรือ? ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจใบหน้าของจางอี้หลงจนไม่ได้สังเกตว่าบุรุษผู้นี้มีมีพลังหยางที่เข้มข้นรุนแรงจนน่าตกตะลึงขนาดไหน จากสัมผัสเมื่อครู่เขารู้สึกราวกับพลังหยางของอีกฝ่ายพยายามทะลุทะลวงเข้าสู่ร่างกายเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดช่องลมปราณของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีไว้ แต่ก่อนเขาไม่ชอบปราณอำนาจของอีกฝ่ายเลยไม่เคยได้ใกล้ชิดเกินความจำเป็นจนพลาดเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
 
“ตกลงหน้าพี่เป็นยังไงครับ มันดูไม่ดีเหรอ พี่ว่าพี่ไม่ได้ดูแก่ก่อนวัยอย่างที่น้องคุนบอกแล้วนะ”
 
จางอี้หลงที่ได้สติแล้วเช่นกันถามคำถามที่คาใจออกมา
 
“มันก็ใช่ครับ แต่สิ่งที่พี่ทำมันเกินไป ร่างกายนี้ล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดาให้มา เราควรจะต้องทะนุถนอมให้ดี พี่ไปทำอะไรมากันแน่ ตรงหน้าผากกับหางตาเหมือนถูกพิษจนกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเล็กน้อย ตรงร่องแก้มมีสิ่งแปลกปลอมแทรกอยู่ใต้ผิว ถ้าพี่ตั้งใจทำมันเพื่อจะได้ดูหนุ่ม ผมว่ามันน่าจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็อาจมีผลเสียอย่างอื่นผมยังไม่แน่ใจ ถ้าทำตอนอายุมากๆ ก็พอเข้าใจได้ แต่พี่ยังหนุ่มยังแน่นมันมีวิธีอื่นที่เหมาะสมกว่านะครับ”
 
หลี่คุนใช้ลมปราณตรวจสอบจนเข้าใจขึ้นมาบ้าง นี่มันคล้ายคลึงกับโอสถพรรคมารที่ใช้ในการแปลงโฉมอยู่ไม่น้อย เมื่อดูใกล้ๆ ยิ่งเห็นความไม่เป็นธรรมชาติได้ชัด เสียดายใบหน้าหล่อเหลาคมสันนี้ยิ่งนัก
 
จางอี้หลงก็ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเหมือนกัน แต่เมื่อคิดอีกทีการที่ใบหน้าเขาดีขึ้นขนาดนี้ภายในเวลาไม่นาน เด็กฉลาดอย่างหลี่คุนต้องเดาได้ว่าเขาไปฉีดโบท็อกซ์เติมฟิลเลอร์อะไรพวกนี้มาอยู่แล้ว โบท็อกซ์เองก็พัฒนามาจากสารพิษ สิ่งที่พูดมาก็ไม่ผิด
 
“พี่ก็แค่ไปทำคอร์สฟื้นฟูผิวหน้ามาครับ แต่ถ้าน้องคุนไม่ชอบ ทีหลังพี่จะได้ไม่ไปอีก เห็นหมอว่าไม่เกินปีมันก็ค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
 
จางอี้หลงตอบ นึกดีใจที่ต่อไปไม่ต้องเสียเวลาไปนอนเจ็บตัวให้หมอจิ้มหน้าอีกแล้ว ลาแล้วลาลับนะไอเข็มบ้า เขาไม่ใช่ดาราไม่จำเป็นต้องหล่อขนาดนั้นก็ได้
 
“ช้าเกินไปครับ ของแบบนี้ทิ้งไว้ในร่างกายนานๆ ไม่น่าดี พี่มาไทยเที่ยวนี้พอมีเวลาไหมครับ ผมสามารถขับพิษออกมาให้พี่ได้นะครับถ้าพี่ไว้ใจ แต่ต้องไปทำที่คอนโดผมนะเพราะต้องใช้ยากับเครื่องมือบางอย่าง”
 
“ไปครับไป เที่ยวนี้พี่มาเมืองไทยก็จะมาพักยาวๆ นี่แหละ ทำงานมากเกินไปก็ไม่ดีนะ เดี๋ยวหน้าแก่ไปกว่านี้”
 
“งั้นไปเลยไหมครับ คนมารุมอะไรกันตรงนี้ตั้งมากมาย”
 
หลี่คุนบ่นเมื่อมองไปรอบๆ แล้วพบคนกลุ่มใหญ่จ้องมองมาที่พวกเขาทั้งคู่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ก็แค่คนสองคนยืนคุยจับหน้าจับตากันนิดหน่อยไม่รู้จะมองทำไม เขายิ่งไม่อยากเป็นเป้าสายตาจึงรีบจับมืออีกฝ่ายพาเดินออกไปตรงจุดที่คนขับรถรออยู่ จางอี้หลงสะดุ้งเล็กน้อยอีกมือคว้ากระเป๋าเดินทางใบย่อมลากตามไปทันที ในใจนึกว่าในโชคร้ายยังมีโชคดี ถึงจะไม่ได้รับคำชมให้สมกับความพยายาม แต่ก็ได้บุกไปถึงคอนโดน้องคุนเลยนะ ยิ่งตื่นเต้นพลังหยางเข้มข้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ หลี่คุนถึงได้เปลี่ยนมาจับมือแบบประสานนิ้วแถมยังผ่อนฝีเท้ารอจนทั้งคู่ตัวเกือบติดกัน จางอี้หลงใจสั่นเล็กน้อยกับความใกล้ชิดนี้ นี่คนข้างๆ เริ่มเปิดใจแล้วใช่ไหมถึงได้มาสัมผัสแนบแน่นไม่มีทีท่าห่างเหินเหมือนเดิม

.... ต่อตรงนี้....

เมื่อเห็นคอนโดขนาดกลางที่หลี่คุนพักจางอี้หลงก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยแม้จะไม่หรูหราอะไร ระบบความปลอดภัยนับว่าใช้ได้ ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป การดูแลของส่วนกลางก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี พอเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เจือกลิ่นสมุนไพรจางๆ ชวนให้นึกถึงผู้เป็นเจ้าของ พื้นที่ในห้องไม่ใหญ่มากในขณะที่ข้าวของดูออกจะเยอะไปเสียหน่อย แต่พอหลี่คุนเปิดประตูด้านข้างก็พบว่ามันทะลุไปที่คอนโดอีกห้องหนึ่งที่ใหญ่กว่าห้องนี้มาก
 
“ของรกหน่อยนะครับ ผมเพิ่งโอนคอนโดห้องติดกันและทำประตูเชื่อมเสร็จ ยังไม่ได้แบ่งของจากห้องนี้ไป พี่อี้หลงเอาเครื่องดื่มอะไรครับ น้ำเย็น น้ำอัดลม หรือน้ำชาก็มี”
 
“ชาก็ได้ครับ”
 
หลี่คุนกุลีกุจอไปทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี จางอี้หลงนับว่าเป็นแขกคนแรกที่มาเยือนถ้าไม่นับตินและเพื่อนของซูเอ๋อร์ที่สนิทกัน ไม่นานชาร้อนกาหนึ่งก็ถูกยกมาวางพร้อมกับจอกชาใบเล็กสองใบ
 
“ขออภัยที่ไม่มีชาดีมาต้อนรับ ต้องขายหน้าพี่แล้ว”
 
หลี่คุนพูดออกตัวขณะที่รินชาส่งให้กับแขกอย่างเป็นพิธีรีตองด้วยท่วงท่าราวกับคุณชายตระกูลสูง จางอี้หลงรับจอกชามาจิบอย่างประหลาดใจ ใบชาคุณภาพไม่เลวเลยถูกชงอย่างบรรจงรินลงในจอกชาเนื้อดี นับเป็นความพิถีพิถันแบบดั้งเดิมของจีนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอจากเด็กหนุ่มอายุยี่สิบเศษเช่นนี้ ดูเป็นคนจีนชั้นสูงยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทีแรกยังคิดว่าอีกฝ่ายจะเอาชาบรรจุขวดแช่เย็นแบบที่วัยรุ่นดื่มกันมาให้
 
“นี่ก็ดีมากแล้ว ไม่รู้ว่าน้องคุนชอบดื่มชา ไว้วันหลังพี่จะเอาชาดีๆ จากเมืองจีนมาฝาก”
 
การที่ได้รู้จักความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ตัวเองสนใจมันรู้สึกดีจริงๆ
 
“ได้ยินว่าชาดีจริงๆ เดี๋ยวนี้ราคาสูงมาก พี่ไม่ต้องลำบากหรอกครับ งั้นถ้าหายเหนื่อยแล้ว ผมจะตรวจดูใบหน้าพี่ให้ละเอียดแล้วเริ่มรักษาเลยนะครับ พี่จะได้ไม่เสียเวลามาก”
 
ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มกระบวนการรักษา ซูกัสในชุดนักเรียนมัธยมกางเกงน้ำเงินก็เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างร่าเริง
 
“พี่คุน ผมกลับมาแล้ว อ้าว มีแขก พี่ เอ่อ พี่อี้หลงใช่เปล่าครับ ผมซูกัสเอง ที่เคยเจอกันตอนหลังละครไง”
 
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ชายหนุ่มร่างสูงที่เจอในห้องพี่ชายอย่างนอบน้อมแล้วส่งยิ้มหวานจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว จางอี้หลงเห็นแล้วก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ คนพี่หล่อเหลาแฝงความสูงส่งน่าค้นหา คนน้องน่ารักเปิดเผยจริงใจ ช่างเป็นคู่พี่น้องที่ชวนให้ใจละลายเสียจริงๆ
 
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ หรือจะอาบน้ำเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ต้องขับพิษให้พี่อี้หลงใช้เวลาซักพัก ถ้าหิวก็หาอะไรกินไปก่อนนะ”
 
“ขับพิษแบบเดียวกับที่พี่ทำให้ผมตอนนั้นใช่ไหม เดี๋ยวผมอยู่ช่วยด้วย งั้นผมไปเตรียมชุดฝังเข็มมาให้เลยนะครับ”
 
ซูกัสวิ่งหายไปอีกห้องหนึ่งขณะที่จางอี้หลงกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก
 
“ฝังเข็ม!!!?”
 
“ใช่ครับ เดี๋ยวผมจะฝังเข็มบนหน้าพี่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงผมไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ แต่เรื่องฝังเข็มนี่ หมอภีมที่เป็นผู้ถือหุ้นอีกคนของฉางอันโอสถรับประกันให้ได้เลย พี่ไปนอนตรงโซฟาเลยครับ เดี๋ยวซูเอ๋อร์เอาเข็มมาแล้วจะได้เริ่มฝังเลย”
 
“ต้องฝังเยอะไหมครับน้องคุน” เสียงสั่นเล็กน้อย
 
“แค่สิบห้าสิบหกเล่มก็น่าจะพอครับ เดี๋ยวผมดูอีกที”
 
พอซูกัสเอาเข็มที่ฆ่าเชื้อเสร็จแล้วมาให้ จางอี้หลงก็ต้องขึ้นไปนอนให้หลี่คุนเอาเข็มฝังลงไปบนหน้าที่ละเล่มๆ อย่างตัวเกร็งไม่กล้ากะดุกกะดิก ในใจคร่ำครวญว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ไปให้หมอที่เมืองจีนเอาเข็มฉีดโน่นฉีดนี้เข้าใบหน้าไม่รู้กี่รอบเพื่อน้องคุน กลับต้องมาโดนน้องคุนฝังเข็มสิบกว่าเล่มเพื่อแก้สิ่งที่ทำไป
 
หลังจากฝังเข็มจนครบทุกตำแหน่งหลี่คุนก็บอกให้จางอี้หลงนอนนิ่งๆ เพื่อให้เข็มค่อยๆ ขับสิ่งแปลกปลอมออกมา จากนั้นก็ขอตัวไปทำงานโดยให้น้องชายคอยเฝ้าดูอาการไว้ เด็กช่างพูดอย่างซูกัสมีหรือจะเฝ้าเฉยๆ เขาสรรหาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้ฟังได้ไม่หยุดถึงอีกฝ่ายจะต้องทำหน้านิ่งตอบอะไรกลับไม่ได้ก็ตาม
 
“พี่อี้หลงเกิดที่เมืองจีนเหรอครับ ทำไมพูดไทยชัดจัง แล้วมารู้จักพี่คุนได้ยังไง พี่รู้เปล่าว่าพี่เป็นคนแรกเลยนะนอกจากเพื่อนสนิทของพี่คุนกับเพื่อนผมที่พี่คุนให้เข้ามาที่ห้อง สงสัยเพราะพี่คุนชอบกู่ฉินที่พี่ให้มาก เล่นเกือบทุกวันเลย เห็นว่าแพงมากเลยใช่เปล่าครับ ผมชอบตอนที่พี่เป่าขลุ่ยคู่กับกู่ฉินของพี่คุนจังเลย พี่คุนบอกว่าเพิ่งเคยได้ยินพี่อี้หลงเล่นวันนั้นเป็นครั้งแรก ผมบอกเพื่อนก็ไม่มีใครเชื่อนะครับ เข้าคู่กันอย่างนั้นแล้วบอกว่าไม่เคยซ้อมด้วยกันจะเทพเกินไปแล้ว”
 
คนฟังได้ยินแล้วต้องเกร็งหน้าแทบแย่ อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ ได้แต่นอนฟังต่อไป
 
“พี่ได้กลิ่นยาไหมครับ นี่พี่คุนกำลังฝึกเคี่ยวยาอยู่ในห้องอักษร ไม่รู้ทำไมพี่เค้าถึงเรียกว่าห้องอักษร ในห้องนั้นก็ไม่เห็นมีหนังสืออะไรเท่าไหร่ เหมือนเป็นห้องทำงานมากกว่า พี่คุนเขาชอบใช้พู่กันจดงานเป็นภาษาจีนอะไรไม่รู้ผมอ่านไม่ออก แล้วก็มีพวกขวดใส่สมุนไพรกับเตาไฟฟ้าเล็กๆ ไว้ฝึกเคี่ยวยาด้วย พอเสร็จแต่ละทีดูเหนื่อยจนหมดแรง แต่ถ้าทำขายจริงๆ อย่างขี้ผึ้งโอสถ พี่คุนจะไปทำที่เคาเตอร์ครัวครับ เพราะต้องใช้หม้อใบใหญ่ กวนกันเมื่อยมือเลย ยังดีที่ทำแค่เดือนละครั้ง เสร็จแล้วก็เกณฑ์ผมกับเพื่อนมาช่วยกันแบ่งใส่กระปุก ผนึกครั่ง แล้วก็แพ็คใส่กล่องส่งให้บริษัทขนส่ง แต่ค่าจ้างดีครับ ไม่บ่น ฮ่าๆ”
 
ถ้าไม่ถูกเข็มปักหน้าอยู่จางอี้หลงคงอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไปแล้ว ไม่คิดว่าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่สร้างความลำบากให้นักวิจัยชั้นแนวหน้าของจีนจนแทบเผาตำราทิ้ง จะเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่กวนเองบรรจุเองง่ายๆ เหมือนครีมเถื่อน การค้าของฉางอันโอสถที่พวกเขาคุยกันมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตลาด หลี่คุนไม่เคยพูดถึงการผลิตจนเขาคิดว่าเป็นการสั่งทำหรือไม่ก็รับมาจากโรงงานยาอื่น ไม่รู้ได้สูตรมาอย่างไรแน่
 
ซูกัสเล่าเรื่องของหลี่คุนออกมาไม่หยุดแต่คนฟังก็ยังฟังอย่างตั้งใจไม่มีเบื่อ เด็กหนุ่มนึกในใจว่าพี่ชายคนนี้เป็นผู้ฟังที่ดีเสียจริงๆ เขาเล่าต่อไปได้สักพักหลี่คุนก็เปิดประตูห้องอักษรเดินออกมาด้วยท่าทางหมดแรง หลี่คุนเข้ามาตรวจสอบสภาพใบหน้าของจางอี้หลงแล้วก็บอกว่ายังต้องทิ้งไว้อีกพักใหญ่
 
“พี่อี้หลง ผมขอลองจับหน้าท้องพี่หน่อยได้ไหม”
 
อาการเด็ดแอร์จากคำขอของหลี่คุนเกิดขึ้นในฉับพลัน อะไร? ยังไง? ทำไม? จางอี้หลงอยากรู้สาเหตุอย่างที่สุดแต่จนใจที่ยังขยับปากไม่ได้ ไม่รู้ว่าการจับหน้าท้องเกี่ยวอะไรกับการรักษาหน้า โชคดีที่เด็กช่างพูดอย่างซูกัสถามแทนให้ พร้อมทั้งเดาคำตอบให้เสร็จสรรพ
 
“เอ๋า แล้วจะไปจับของพี่เขาทำไมครับ อ๋อ ผมรู้แล้ว พี่คุนอยากรู้ว่าพี่อี้หลงมีซิกส์แพคหรือเปล่าใช่ไหมครับ ถ้ามีจะได้ถามเคล็ดลับ ผมบอกพี่แล้วว่าเอาแต่รำมวยจีนบนดาดฟ้าน่ะกล้ามไม่ขึ้นหรอก ต้องเข้ายิม ผมก็อยากมีมั่ง ไอกันดั้มก็ชวนไปอยู่ แต่พี่แฮ็คส์บอกว่าไม่ต้องไป งั้นพี่คุนก็เปิดดูเลยสิครับ พี่อี้หลงไม่ว่าอะไรหรอก ใช่ไหมครับพี่”
 
จางอี้หลงฟังเด็กหนุ่มที่พูดเองเออเองแล้วก็กลุ้มใจ เขาจะโต้แย้งอะไรได้ในเมื่อถูกเข็มปักหน้าแบบนี้ ว่าแต่ให้น้องคุนจับซิกส์แพคตัวเองนี่มันจะดีจริงๆ เหรอ ถึงจะมั่นใจที่เทรนเนอร์ชมอยู่ก็เถอะ
 
จางอี้หลงลังเลแต่หลี่คุนกลับรวบรัดชัดเจนยิ่งนัก เขาเลิกชายเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นทันทีจนเห็นกล้ามหน้าท้องหกลูกคมชัดที่มีไรขนเรียงตัวสวยไล่ลงจากสะดือหายไปในขอบกางเกงก่อนจะเอามือลูบไล้ไปมาอย่างช้าๆ ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าค่อยๆ สดชื่นขึ้น หลี่คุนไม่รีบร้อน เขาวนมือไปเรื่อยๆ พร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงที่ละนิดๆ จนแทบดูไม่ออก ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา
 
“ซูเอ๋อร์ โทรศัพท์ใหม่ของน้อง ที่บอกว่าเติมไฟได้เร็วๆ เขาเรียกว่าฟังก์ชันอะไรนะ”
 
“อ๋อ เค้าเรียกควิกชาร์จ สะดวกมากเลยนะ เสียบแป๊บเดียวก็เต็มแล้ว”
 
“อืม สะดวกจริงๆ ด้วย”
 
จางอี้หลงฟังอย่างไม่เข้าใจ ทำไมไม่ถามว่าซิกส์แพ็คที่เขาภูมิใจนี้ต้องทำยังไงถึงได้มา เขาจะได้เล่าให้ฟังว่าต้องลำบากอดทนฝึกซ้อมมีวินัยในตัวเองขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ มือขาวๆ เรียวๆ ที่ลูบหน้าท้องเขาอยู่นี่มันให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ตอนนี้นอกจากจะต้องเกร็งใบหน้าไม่ให้ขยับแล้วยังต้องบังคับส่วนล่างไม่ให้ขยายด้วย โชคดีที่เขาไม่ต้องทรมานอยู่นาน หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวใบหน้าของหลี่คุนก็เจือสีแดงระเรื่อดูเปล่งปลั่งสดใสเต็มที่ เขาเอามือออกท่ามกลางความโล่งใจปนเสียดายของอีกฝ่าย แล้วบอกว่าจะกลับไปทำงานอีกรอบให้ซูกัสอยู่เป็นเพื่อนจางอี้หลงต่อ
 
ตอนที่จางอี้หลงส่องกระจกหลังจากที่หลี่คุนถอนเข็มออกจนหมดเขายังไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าใบหน้าของเขาแทบจะกลับไปเหมือนเดิมก่อนเข้าคอร์สฟื้นฟูยกกระชับผิวหน้าได้จริงๆ ฝีมือการฝังเข็มของหลี่คุนจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว แต่คิดอีกทีชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดแทบหลั่งน้ำตาให้กับใบหน้าวัยสามสิบกว่าของตัวเอง ความเจ็บตัวการเสียเวลาและเงินหลายหมื่นหยวนที่ใช้ไปหายวับไปในพริบตา
 
“พี่อี้หลงอย่าใจร้อนครับ ค่อยๆ ทาขี้ผึ้งที่ผมให้ไปทุกวัน ไม่น่าเกินสามเดือนก็หล่อกว่าเดิมแล้ว วันนี้เสร็จแล้วครับ พี่จะกลับหรือยัง ผมว่าเราออกไปหาอะไรทานกันแล้วพี่ค่อยออกไปดีไหมครับ พี่พักโรงแรมไหน อยู่ไกลหรือเปล่า”
 
หลี่คุนที่แอบดูดซับพลังหยางของอีกฝ่ายไปแล้วเป็นรอบที่สี่มองจางอี้หลงอย่างอาลัยอาวรณ์ พี่อี้หลงนี่ดีจริงๆ นะ เหมือนฟังก์ชันควิกชาร์จในโทรศัพท์ซูเอ๋อร์เลย แค่ลูบท้องแป๊บเดียวก็เติมกำลังภายในบุปผาวารีขั้นที่หนึ่งของเขาได้เต็มปรี่แล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงวันนี้เขาก็ทดลองฝึกฝนการหลอมยาระดับปฐพีไปได้หลายรอบ พอได้ฝึกต่อเนื่องแบบนี้ก็ก้าวหน้ากว่าตอนที่ต้องเว้นช่วงเป็นวันมาก
 
“พี่ยังไม่ได้จองไว้เลยครับ ไม่รู้ว่าโรงแรมแถวนี้แพงเปล่า”
 
“อ้าว แล้วทุกทีพี่พักที่ไหนครับ”
 
“ถ้าพี่มาทำงาน บริษัทเขาจะเตรียมให้ครับ แต่เที่ยวนี้พี่มาพักผ่อนเลยต้องหาเอง ลืมไปเลย ไม่รู้โรงแรมจะเต็มหมดยัง” ต้องได้ผลสิ น้องคุนเป็นคนมีน้ำใจ
 
“งั้นคืนนี้พี่พักห้องผมไปก่อนไหมครับ อาจจะไม่สะดวกเหมือนอยู่โรงแรม แต่ก็มีห้องนอนว่างตรงที่เพิ่งทำใหม่” อยู่ซักคืนเถอะพี่อี้หลง หลอมยานี่มันเปลืองลมปราณจริงๆ
 
“แหม พี่เกรงใจจังเลย น้องคุนเปิดเป็นเกสต์เฮาส์ให้เฉพาะพี่ได้ไหมครับ พี่ขอนอนหลายคืนหน่อย จะได้ประหยัดเงิน” จริงๆ นอนห้องเดียวกับน้องคุนเลยก็ได้นะ จะได้ยิ่งประหยัดแอร์
 
“พี่จะอยู่หลายๆ คืนจริงเหรอครับ อย่าหลอกผมนะ อยู่นานๆ เลยครับพี่อี้หลง ไม่คิดเงิน แต่ขอดูหน้าท้องพี่อีกเรื่อยๆ นะครับ” ขอให้พี่อี้หลงอยู่เป็นเดือนเลยได้ไหม ใช้งานดีที่สุดแล้วคนนี้
 
“พี่น้องกัน ซิกส์แพคพี่ก็เหมือนของน้องคุนอยู่แล้ว งั้นพี่ไม่เกรงใจล่ะ ขอนอนกับน้องคุนยาวๆ เลยนะ” แค่วันแรกก็โดนน้องคุนลูบซิกส์แพคแล้ว วันต่อๆ ไปจะขนาดไหนนี่
 
“นั่นสิครับ พี่น้องกัน ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ”
 
“ฮ่าๆๆๆๆ”
 
เสียงหัวเราะดังประสานกันอย่างสมใจในเป้าหมายแอบแฝงด้วยกันทั้งคู่


##############
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-12-2019 20:44:16
5555 อีพี่คิดไม่ถึงงง


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Icegemini04 ที่ 01-12-2019 21:47:17
5555555 ต่างคนต่างร้าย มีแผนการของตัวเองงง

 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-12-2019 22:52:14
แหม น้องคุน ไปหาพลังหยางซะทั่ว เสียชื่อว่าชอบสกินชิฟ
พลาดพี่อี้หลงไปได้
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-12-2019 14:05:21
24


จางอี้หลงมาพักด้วยแค่ไม่กี่วันแต่ก็ช่วยทำให้การฝึกหลอมรวมโอสถระดับปฐพีของหลี่คุนก้าวหน้ารวดเร็วราวกับติดปีก หลี่คุนนึกชื่นชมร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังหยางอันเข้มข้นและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แถมเจ้าตัวยังเหมือนรู้ความ พอเขาหลอมยาจนพลังหมดเมื่อใด เปิดประตูออกมาก็จะพบจางอี้หลงอยู่ตรงหน้าห้องแล้ว คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำถึงได้ชอบถอดเสื้อฝึกร่างกายด้วยท่าร่างที่เรียกว่าซิทอัพจนเหงื่อท่วมแผ่กลิ่นอายบุรุษเพศเต็มห้องไปหมด หลี่คุนไม่ได้ว่าอะไร เช่นนี้นับว่าสะดวกยิ่งนัก เขาทำทีขอจับหน้าท้องเหมือนทุกทีเพื่อดูดซับพลังหยางมาเติมเต็มลมปราณที่ว่างเปล่าของตัวเอง ถึงหน้าท้องแข็งๆ เต็มไปด้วยไรขนชุ่มเหงื่อจะไม่น่าสัมผัสเพียงใด แต่ตำแหน่งนี้มีพลังหยางเข้มข้นที่สุดแล้วรองจากจุดต้องห้ามนั้น เขาลูบวนไปวนมาไม่นานก็สามารถกลับไปฝึกหลอมยาต่อได้ทันที
 
เมื่อมีแหล่งพลังให้ใช้อย่างสิ้นเปลืองเขาจึงเริ่มทดลองฟื้นฟูวรยุทธ์ที่ต้องใช้พลังลมปราณมากขึ้น หากวันไหนกลับมาเร็ว เขาจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าคอนโดในตอนที่ยังมีแดดอยู่เพราะเป็นช่วงที่ไร้ผู้คน หลี่คุนทำท่ายืนนั่งม้าปล่อยให้ร่างกายอาบแสงอาทิตย์ที่ทรงพลังร้อนแรงสดชื่นซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในชาติก่อนจนเต็มที่ หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกฝนโดยร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นน้อยเจ็ดสิบสองตำแหน่งพันหมื่นวิถีผันแปรซึ่งเป็นวิชาที่ไม่ต้องใช้กำลังภายในออกมาชุดใหญ่ ในใจนึกเฟ้นหาสรรพวิชามากมายในหัวว่ามีกระบวนท่าใดที่น่าจะเหมาะกับระดับกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งบ้าง
 
ในที่สุดเขาก็ตกลงใจเลือกฝ่ามือเมตตาบารมีของวัดเส้าหลิน วิชานี้ใช้ลมปราณไม่มากนักเพราะไม่ได้มีไว้จู่โจมให้ถึงแก่ชีวิต แต่เน้นไปที่การสยบคู่ต่อสู้ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นมากกว่า ในอดีตวัดเส้าหลินมักจะถ่ายทอดให้กับศิษย์ฆราวาสเพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากคนพาล ความทรงจำของหลี่คุนมีท่วงท่าที่ถูกต้องของฝ่ามือเมตตาบารมีอยู่แล้ว เขาเพียงแต่ร่ายรำมันออกมาพร้อมๆ กับโคจรลมปราณไปยังจุดพลังต่างๆ บนร่างกายให้สอดคล้องกัน แต่กระบวนท่าของฝ่ามือนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องสิ้นเปลืองกำลังภายในอยู่บ้าง เพียงไม่นานกำลังที่สะสมไว้ของเขาก็หมดลง
 
หลี่คุนร้องอุทานว่าบัดซบอยู่ในใจ หากเป็นเช่นนี้ในการต่อสู้จริงจะทำเช่นไร เขานึกถึงตอนที่เข้าจู่โจมแฮคส์ที่อยู่ในวงล้อมของบอดี้การ์ด ถึงผู้คนสมัยนี้จะไม่มีวรยุทธ์แล้วแต่ถ้ามากันหลายคนเขาคงจัดการไม่ไหวอยู่ดี หลี่คุนกำลังคิดว่าจะลงไปทำควิกชาร์จกับจางอี้หลงเพื่อกลับมาฝึกฝนท่าฝ่ามืออีกสักรอบก็พอดีมองเห็นเจ้าตัวยืนมองอยู่เงียบๆ ใต้ร่มไม้ที่ห่างไปพอสมควรจึงส่งเสียงทัก
 
“พี่อี้หลง ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับ”
 
จางอี้หลงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสายตาแปลกๆ ที่จับจ้องอย่างผิดสังเกต หลี่คุนเหลือบมองร่างกายตัวเองก็ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ ก็แค่ชุ่มเหงื่อจนทำให้เสื้อยืดสีขาวบางๆ ที่สวมอยู่แนบติดลำตัวไปบ้าง
 
“เห็นซูกัสบอกว่าน้องคุนชอบขึ้นมารำมวยจีนบนนี้ พี่เลยลองขึ้นมาดู แล้วออกกำลังกลางแดดอย่างนี้ไม่ร้อนแย่เหรอครับ”
 
“ผมชอบอากาศอุ่นๆ ครับ ตอนเด็กๆ ต้องออกมาฝึกกลางอากาศหนาวๆ ทรมานจริงๆ มองไปทางไหนก็ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาผมเกลียดมากเลย”
 
จางอี้หลงทำท่าสะกิดใจเหมือนจะถามอะไร ก็พอดีกับที่หลี่คุนดึงชายเสื้อออกมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าจนหน้าท้องเปิดโล่งเสียก่อน พอเห็นอีกฝ่ายดูนิ่งอึ้งดูลอยๆ ไปไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอย่างที่คิด หลี่ที่เช็ดเหงื่อเปิดเสื้อผึ่งลมจนรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้างแล้วเลยพูดต่อ
 
“พี่มาก็ดีแล้วครับ ขอผมดูหน้าท้องพี่อีกทีสิครับ”
 
อีกฝ่ายเปิดเสื้อออกให้หลี่คุนลูบคลำอย่างว่าง่าย ในใจยังนึกถึงภาพหน้าท้องขาวเนียนไร้ไขมันส่วนเกินมีลอนกล้ามเนื้อจางๆ ที่เพิ่งเห็นไปเมื่อสักครู่
 
“น้องคุนไม่อยากมีซิกส์แพคชัดๆ แบบนี้บ้างเหรอ พี่ช่วยเทรนให้ได้นะ”
 
หลี่คุนหัวเราะเบาๆ ปากตอบปฏิเสธไป ในยุคสมัยเขาหากไม่นับแม่ทัพขุนพลที่มีเกียรติอยู่บ้าง ก็มีแต่ข้าทาสใช้แรงงานฐานะต่ำต้อยหรือคนเถื่อนนอกกำแพงใหญ่เท่านั้นที่จะมีกล้ามเนื้อเช่นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ก็เน้นที่ความสมดุลของร่างกายและกำลังภายในมากกว่าการเพาะบ่มกล้ามเนื้อจนใหญ่โต เขาเข้าใจว่ายุคนี้นิยมร่างกายแบบคนตรงหน้าด้วยความคิดว่ามันสะท้อนถึงรูปลักษณ์ในอุดมคติของบุรุษเพศ หากเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างการฝึกมวยของตินก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าจงใจเร่งรัดเพื่อความสวยงามก็คงน่าขันเกินไป
 
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับ จางอี้หลงก็เปลี่ยนเรื่อง
 
“ท่ามวยจีนของคุนนี่แปลกตาจริงๆ นะ พี่ว่าที่เขาฝึกกันที่จีนก็ไม่ใช่แบบนี้ แล้วตอนช่วงแรกๆ นี่ไม่ใช่ว่ามันคล้ายๆ กับท่าเต้นที่น้องคุนเคยโชว์ที่สนามบินต่อหน้าแฮ็คส์ที่เป็นนักร้องเหรอ ตกลงมันเป็นท่าเต้นหรือท่ามวยกันแน่”
 
“เอ่อ ก็ประยุกต์ผสมๆ กันน่ะครับ ไม่งั้นมันก็ซ้ำกับคนอื่น”
 
“พี่ดูซะเพลินเลย ตอนนั้นที่สนามบินเห็นแป๊บเดียว ดูๆ ไปมันก็เหมือนท่าต่อสู้อยู่นะ เสียดายใช้แค่เท้าเท่านั้น ถ้าใช้มือโจมตีด้วย น่าจะใช้งานจริงได้เลย”
 
“พี่อี้หลงรู้เรื่องวิชาต่อสู้ด้วยเหรอครับ”
 
หลี่คุนเริ่มระแวง
 
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่บริษัทเกมในเครือมีทำพวกเกมต่อสู้ที่อิงมาจากกังฟูอยู่น่ะ”
 
พอรู้ว่าเป็นแค่เกมหลี่คุนก็โล่งใจ แต่ถึงปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ของยุคนี้จะมาด้วยตัวเอง คาดว่าคงดูไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของเคล็ดวิชาลับที่เขาฝึกซ้อมไปเมื่อครู่แม้เพียงหนึ่งส่วน น่าเศร้าที่ศาสตร์ความรู้อันยิ่งใหญ่ของชาวฮั่นแขนงนี้เมื่อผ่านยุคสมัยมาจะสูญหายไปเกือบหมด หากขุมความลับของตระกูลหลี่แห่งฉางอันไม่ได้สาบสูญไปพร้อมกับชีวิตเขาในชาติก่อน อาณาจักรจีนอาจจะคงความยิ่งใหญ่มาได้จนถึงทุกวันนี้
 
เมื่อซึมซับพลังหยางจนเต็ม หลี่คุนก็กลับไปฝึกฝ่ามือเมตตาบารมีและท่าเท้าท่องคลื่นต่อโดยไม่สนใจจางอี้หลงที่หาที่ทางให้ตัวเองแล้วนั่งเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา
 
หลี่คุนใช้ประโยชน์จากช่วงที่จางอี้หลงมาพักอยู่ด้วยอย่างเต็มที่ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ทราบแต่หลี่คุนก็ตั้งใจจะตอบแทนอะไรกลับไปบ้าง เขาเคยจับชีพจรดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานหนักเกินไป เมื่อรวมกับพักผ่อนไม่เพียงพอและมลภาวะที่คนยุคนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมกว่าวัยไปบ้าง โชคดีที่ร่างกายของจางอี้หลงยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทนทั้งสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว หากกล่าวว่าตินสหายของเขามีร่างกายที่สุดยอดสำหรับการเป็นองครักษ์เงา จางอี้หลงก็เรียกได้ว่ามีร่างกายที่เหมาะกับการเป็นแม่ทัพอย่างที่หาได้ยากนักเช่นกัน หากทั้งคู่เกิดเร็วกว่านี้สักหลายร้อยปี ย่อมกลายเป็นยอดคนในเส้นทางของตนเองเป็นแน่
 
พรสวรรค์นี้ของจางอี้หลงทำให้การหักโหมทำงานในอดีตส่งผลต่อร่างกายไม่มากนักแต่ก็ยังปรากฏร่องรอยบนใบหน้าอยู่ดี แม้เขาจะฝังเข็มขับพิษที่ตกค้างออกและกรุยเส้นลมปราณที่อุดตันบนใบหน้าให้แล้ว แต่เมื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมนานๆ ริ้วรอยก่อนวัยย่อมกลับมาเยือนอีก แม้จะทาขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิไปเรื่อยๆ ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาความหล่อเหลาของใบหน้านี้ไว้ได้เต็มสิบส่วน หลี่คุนจึงมีความคิดที่จะฝังเข็มเพื่อกรุยเส้นลมปราณตลอดทั้งร่างให้เพื่อเป็นการตอบแทน
 
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กล่าวเช่นนั้นออกมาโดยตรง เพียงแต่บอกว่าจะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ด้วยการฝังเข็ม เมื่อเห็นจางอี้หลงทำหน้าเหมือนกลืนยาขมเมื่อได้ยินคำว่าเข็มเขาก็ต้องแอบหัวร่ออยู่ในใจ จากความใกล้ชิดกันในช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลี่คุนได้แอบประเมินบุรุษผู้มีปราณอำนาจอันเข้มข้นผู้นี้เสียใหม่ ที่แท้จางอี้หลงก็มิได้น่ากลัวหรือมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจอันใด ประสบการณ์ชาติก่อนที่ว่าคนที่มีปราณอำนาจมักชอบฉกฉวยหาประโยชน์จากคนอื่นน่าจะไม่จริงเสมอไป หากเป็นคนเผด็จการเจ้าเล่ห์ชอบครอบงำผู้คนมีหรือจะกลัวเข็มเล็กๆ จนเสียงสั่นแต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกลัว

อีกประการหนึ่งถ้าจางอี้หลงรู้จักใช้ปราณอำนาจของตัวเองจริง ความสำเร็จของชีวิตในวัยยี่สิบแปดย่อมต้องสูงล้ำกว่านี้ ตำแหน่งที่ปรึกษาจากบริษัทแม่แม้จะฟังดูดี แต่เอาเข้าจริงก็คงแค่ลูกจ้างคนหนึ่ง มิเช่นนั้นจะต้องกังวลกับค่าโรงเตี้ยมไม่กี่ตำลึงจนต้องมาอาศัยอยู่ที่คอนโดเขาหรือ เสื้อผ้าที่ใช้ตอนอยู่ที่นี่ก็ไปซื้อจากห้างที่ขายของราคาถูก หลี่คุนมิได้ดูแคลนคนที่ฐานะ เขาเพียงแต่คิดว่าในเมื่อจางอี้หลงเป็นเพียงคนธรรมดาเขาก็ไม่จำเป็นต้องระวังตัวเช่นที่ผ่านมา
 
คิดไปแล้วก็นับเป็นโชคดีของจางอี้หลงที่ไปได้กู่ฉินล้ำค่าตัวนั้นมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ในเมื่อเขาใช้มันแปลงเป็นหุ้นในฉางอันโอสถแล้ว ต่อไปต้องได้ส่วนแบ่งไม่น้อย ถึงอย่างไรความรู้ทางธุรกิจของจางอี้หลงก็เป็นของจริง การให้เขาเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ย่อมสร้างประโยชน์ให้กับฉางอันโอสถเหมือนกับที่คหบดีเลี้ยงบัณฑิตตกยากไว้ในจวนเพื่อไว้หารือหรือใช้งานอักษรต่างๆ
 
จางอี้หลงถูกทั้งหลี่คุนและซูกัสกล่อมเรื่องการฝังเข็มทั้งร่างเพื่อฟื้นฟูร่างกายจนยอมจำนนในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ผลัดผ่อนไปจนถึงวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับจีน ซูกัสตื่นแต่เช้ามาช่วยเตรียมชุดฝังเข็มให้ก่อนที่จะออกไปเรียนพิเศษกับเพื่อน จางอี้หลงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเห็นเข็มหลายสิบเล่มเรียงรายอยู่ในกล่องโลหะ
 
“น้องคุน ต้องฝังทั้งหมดนี้เลยหรือครับ พี่ไม่กลายเป็นเม่นไปก่อนเหรอ”
 
หลี่คุนได้ยินเสียงที่สั่นนิดๆ จากชายร่างสูงใหญ่ที่นอนสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวบนโซฟาแล้วก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
 
“ใช้แค่บางส่วนแค่นั้นแหละครับ เจ็บเหมือนมดกัด พี่จะกลัวอะไร แต่อาจจะฝังลึกกว่าตอนฝังที่หน้าหน่อยนะครับ เส้นมันลึกกว่า ต้องแทงเข็มลงไปให้ถึง แล้วก็ต้องหมุนเข็มไปมาหลายๆ รอบ”
 
“ไม่ต้องบรรยายแล้ว น้องคุนจะฝังก็ฝังเลยเถอะ”
 
จางอี้หลงกัดฟันแล้วหลับตาปี๋ หลี่คุนส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็เริ่มลงมือฝังเข็มตามจุดต่างๆ อย่างชำนาญ ร่างกายตรงหน้าเต็มไปด้วยมัดกล้ามชัดเจน เขาจับไปตรงไหนก็แน่นมือไปหมด อาจจะไม่ได้ปูดโปนใหญ่โตจนน่าเกลียดแต่ก็เกินความจำเป็นสำหรับอาชีพที่เน้นใช้สมองมิใช่กำลังกาย ถ้าเป็นนักมวยอย่างศิษย์พี่เมฆขาวก็ว่าไปอย่าง
 
หลี่คุนไม่ต้องใช้โอสถเข้าช่วยในการฝังเข็มเพื่อไล่เปิดเส้นทางลมปราณเหมือนที่เคยทำกับตัวเอง ตอนนี้เขาสามารถใช้กำลังภายในของตัวเองทำหน้าที่นั้นแทน ถึงแม้กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งจะหมดลงหลังจากที่ใช้กรุยเส้นลมปราณได้ไม่กี่จุด แต่เขาสามารถดึงพลังหยางของจางอี้หลงมาเติมเต็มจุดตันเถียนที่ว่างเปล่าได้ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้การเปิดช่องลมปราณจึงทำได้รวดเร็วมาก ยิ่งเป้าหมายเป็นแค่การให้ลมปราณที่เคยติดขัดอุดตันโคจรทั่วร่างได้ดีขึ้นจนสามารถขับมลพิษและพลังด้านลบออกมาได้เอง เมื่อไม่ได้ต้องการให้จางอี้หลงถึงขนาดสามารถใช้กำลังภายในได้ ขั้นตอนในการรักษาจึงเรียบง่ายรวดเร็วยิ่งนัก ในช่วงไม่กี่ก้านธูป หลี่คุนก็สามารถทะลวงเส้นลมปราณหลักในร่างของจนเปิดโล่งถึงกันได้ตามที่ต้องการ
 
หลี่คุนยิ้มอย่างพอใจในพัฒนาการของตัวเอง เห็นทีว่าเขาจะต้องทำเช่นเดียวกันนี้ให้กับซูเอ๋อร์และตินบ้างสักคราหนึ่ง หลี่คุนดูดซับพลังหยางเพื่อเติมเต็มจุดตันเถียนที่แห้งเหือดของตัวเองจากการรักษาในขั้นตอนสุดท้าย ช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ หลังจากจางอี้หลงกลับไปเขาคงต้องคิดถึงอีกฝ่ายมากแน่ๆ
 
ทันใดนั้นความคิดอันไม่เหมาะสมอย่างยิ่งก็แวบเข้ามาในหัว  ถ้าเขาเอาพลังหยางของจางอี้หลงมาใช้จนบรรลุขั้นสองของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีได้ การฝึกยุทธ์ย่อมก้าวหน้ากว่านี้มาก แต่หากทำเช่นนั้น บุรุษผู้นี้ต้องกร่นด่าไปถึงบรรพบุรุษว่าเขาเป็นต้วนซิ่วแน่ หลี่คุนมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังหลับตาแน่นของอีกฝ่ายอย่างลังเล ถ้าเขาไม่ลงมือในครั้งนี้ ก็ไม่รู้เมื่อใหร่ที่จางอี้หลงจะมานอนทอดกายให้เขาตรงหน้าอีก แต่ถึงเขากระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จสมใจ การก้าวข้ามสู่กำลังภายในบุปผาขั้นที่สองย่อมต้องใช้พลังหยางที่มากมายกว่าตอนบรรลุขั้นที่หนึ่งเป็นหลายเท่าทวีคูณนัก
 
จางอี้หลงขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะลืมตาตื่นขึ้น หลี่คุนตัดสินใจลงมือในทันที เมื่อคิดตกแล้วเขาก็ไม่เหลือความลังเลแม้แต่น้อย ทุกท่วงท่าการกระทำล้วนหมดจดรวบรัด ดรรชนีจี้ออกไปตามจุดทั้งสี่บนร่างตรงหน้าด้วยความเร็วสุดประมาณจนคล้ายเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จางอี้หลงคอพับคออ่อนไร้สิ้นเรี่ยวแรงหมดสติไปในทันที หลี่คุนจับใบหน้าหล่อเหลาพลิกไปมาจนมั่นใจว่าไม่รู้สึกตัว แล้วจึงผินหน้าไปทางอื่นก่อนจะจับขอบกางเกงยางยืดของอีกฝ่ายรูดลงไปพร้อมกับกางเกงชั้นในจนติดหัวเข่า ปากพึมพำเบาๆ คุณชายจาง ข้าหลี่คุนขอล่วงเกินแล้ว  มือทั้งสองข้างผละออกจากขอบกางเกงลูบคลำสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงแหล่งกำเนิดของพลังหยางอันเข้มข้น นิ้วเรียวขาวราวหยกมันแพะเกาะกุมไปที่ถุงหนังใบเขื่องทว่าอ่อนนุ่มปกคลุมด้วยเส้นไหมหยาบๆ  ก่อนจะกอบกุมแนบแน่นจนล้นอุ้งมือทั้งสองข้าง

กระบวนท่าต่างๆ นี้ ยามบรรยายเชื่องช้า แท้ที่จริงรวดเร็วชั่วพริบตา เพียงเพิ่มแรงบีบเค้น พลังหยางมหาศาลจากจุดกำเนิดที่เก็บกักไว้กว่ายี่สิบแปดปีก็ไหลทะลักเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาจนท่วมท้น ทันใดนั้นลมปราณของหลี่คุนเกิดการระเบิดขึ้นจากภายในแล้วกระจายออกคล้ายดอกไม้ไฟถึงสองครั้งติดกัน จุดตันเถียนขนาดเมล็ดผลท้อพลันขยายออกจนมีขนาดเท่าผลพุทราสด การกระทำไร้ยางอายของหลี่คุนกลับตอบแทนมาด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่ง!!!
 
หลี่คุนถึงกับตะลึงเมื่อแน่ใจว่าว่าตนเองก้าวข้ามขั้นที่สองไปอีกถึงครึ่งขั้น ไร้ยางอายแล้วอย่างไร ในเมื่อพลังที่ครอบครองเป็นของจริง เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมจอมยุทธ์มากมายถึงได้ทิ้งอุดมการณ์ไปฝึกปรือตนด้วยวิถีมารเพียงเพื่อจะได้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปได้
 
“พวงหยกอันประเสริฐ!!!”
 
หลี่คุนอดร้องอุทานอย่างชื่นชมไม่ได้ สายตาเผลอมองไปยังสิ่งที่ยังกอบกุมอยู่ในอุ้งมือแล้วก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาปล่อยมือในทันทีแล้วรีบดึงกางเกงยางยืดของจางอี้หลงกลับขึ้นมาให้อยู่ในสภาพเดิม หลี่คุนถ่ายเทกำลังภายในบุปผาเร้นวารีระดับสองขั้นครึ่งเพื่อช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณอีกครั้งก่อนจะคลายจุดสลบให้กับจางอี้หลง

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับท่าทางสดชื่นดูกระปรี้กระเปร่า
 
“นี่พี่เผลอหลับไปเหรอ น่าอายจัง เสร็จแล้วใช่ไหม พี่ว่ารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนก่อนฝังเข็ม เหมือนหายใจโล่งขึ้น คงไม่ได้อุปทานไปหรอกนะ”
 
จางอี้หลงลุกขึ้นนั่งบนโซฟาท่าทางโล่งใจที่การฝังเข็มจบลงแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ที่วางพิงข้าวของกระจุกกระจิกตรงชั้นข้างๆ โชฟามาจิ้มๆ สองสามทีแล้วจึงหยิบเสื้อผ้าที่ถอดพาดออกมาสวม หลี่คุนรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจึงตั้งใจปลีกตัวออกไปก่อน
 
“รู้สึกแบบนั้นก็ดีแล้วนี่ครับ พี่จะไปตอนบ่ายใช่ไหม เก็บของเรียบร้อยยัง ตามสบายเลยนะพี่ เดี๋ยวผมขอตัวไปฝึกบนดาดฟ้าก่อน วันหยุดอย่างนี้จะได้ต่อเนื่องนานๆ หน่อย”
 
“ดีเลย พี่กำลังอยากไปดูท่าเต้นที่ใช้แต่เท้าของน้องคุนอีกครั้งอยู่พอดี แล้วพี่มีอะไรจะให้ด้วย”
 
“อะไรครับ จริงๆ พี่อย่าขึ้นไปเลย พี่ไม่ชอบแดดไม่ใช่เหรอ”
 
หลี่คุนอยากรีบไปฝึกฝ่ามือเมตตาบารมีกับกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งเต็มที่แล้ว ถ้าจางอี้หลงตามไปดู ก็ชอบแต่ให้เขาร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นน้อยทุกที จริงๆ อีกฝ่ายเคยขอถ่ายคลิปด้วยซ้ำแต่เขาปฏิเสธไป ถึงอย่างไรท่าเท้าท่องคลื่นน้อยก็เป็นวิชาลับประจำตระกูลหลี่ แม้ในยุคนี้จะไม่มีใครเข้าใจตื้นลึกหนาบางของวิชานี้ การเผยแพร่ออกไปก็ดูจะไม่เคารพบรรพชนอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงว่าตัวเองเพิ่งล่วงเกินคนผู้นี้ไป ก็ไม่อยากขัดใจจางอี้หลงในครั้งนี้
 
ปรากฎว่าที่จางอี้หลงขอไปดูเขาฝึกมวยเพราะอยากมอบรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งให้ทดลองใส่ดูก่อนจะมอบเป็นของขวัญ หลี่คุนเกรงใจไม่อยากรับเพราะท่าทางน่าจะราคาสูงเอาการ หลังจากโดนคะยั้นคะยออยู่นานเขาก็ยอมใส่รองเท้าคู่นั้นร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นให้จางอี้หลงดูอยู่หลายรอบ มิคิดว่ารองเท้าที่คนยุคนี้ประดิษฐ์มาเพื่อใช้เล่นกีฬาจะช่วยเสริมการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดีขนาดนี้ หลี่คุนร่ายรำไปตามพันหมื่นวิถีผันแปรของกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยแล้วรู้สึกคล่องตัวยิ่งนัก เขาได้สวมรองเท้าผ้าใบของคุณานนท์อยู่บ้าง แต่ไม่อาจเทียบเคียงกับรองเท้าคู่นี้ได้เลย
 
หลังจากชมสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นการเต้นแบบประยุกต์ของหลี่คุนจนเป็นที่พอใจแล้วจางอี้หลงก็ไม่ได้อยู่รบกวนการฝึกต่อ เขาเพียงแต่ขอเอารองเท้าคู่นั้นกลับไปด้วยก่อนบอกว่าจะเอาไปใส่กล่องให้สมกับเป็นของขวัญที่จะมอบให้ก่อนจากกัน หลี่คุนไม่ได้ว่าอะไร ถึงอย่างไรฝ่ามือเมตตาบารมีที่เขาตั้งใจจะฝึกต่อก็ไม่ได้มีท่าเท้าที่ซับซ้อนอะไร กำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งทำให้เขามีลมปราณสำรองจนสามารถโคจรพลังร่ายรำท่าฝ่ามือที่เคยติดขัดออกมาได้ดียิ่งขึ้น การฝึกยุทธ์ของเขากินเวลาช่วงเช้าไปจนเกือบเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่เขานัดกับจางอี้หลงไว้ว่าจะทานข้าวร่วมกันก่อนที่จะออกไปส่งอีกฝ่ายที่สนามบิน
 
ในที่สุดช่วงวันหยุดที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปีของจางอี้หลงก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นั่งกว้างขวางหรูหราชั้นเฟิร์สคลาสของเที่ยวบินกรุงเทพเซินเจิ้น พนักงานต้อนรับยอบตัวเข้ามาดูแลอย่างนอบน้อมพร้อมกับเสนอเครื่องดื่มที่จะเสิร์ฟให้ก่อนเครื่องออก ไม่บ่อยนักที่แอร์ประจำที่นั่งชั้นหนึ่งอย่างเธอจะเจอนักธุรกิจหน้าตาดีอายุน้อยเช่นนี้ จางอี้หลงเลือกไวน์ขาวจากรายการเครื่องดื่มแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบิน เขานั่งพิงหลังอย่างผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งเปิดดูคลิปที่แอบตั้งกล้องบันทึกขั้นตอนการฝังเข็มที่น่าทึ่งของหลี่คุนเมื่อเช้าไว้ มืออีกข้างก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างพอใจไปเรื่อยๆ จางอี้หลงดูคลิปอย่างครุ่นคิดไปจนเกือบจบก็เห็นเหตุการณ์วาบหวิวที่ทำให้เขาสำลักพ่นไวน์ราคาแพงกระจายไปทั่วอย่างไม่เหลือมาดนักธุรกิจระดับสูงที่บรรดาแอร์แอบชื่นชม

#########################
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2019 18:36:12
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-12-2019 19:55:50
ว่าแล้วมีแอบถ่ายน้องคุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-12-2019 22:45:26
Omggggg ตายแร้วววว แตกเปงแตกก


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-12-2019 12:31:24
 25

หลี่คุนไปส่งจางอี้หลงที่สนามบินแล้วก็รีบกลับมาที่คอนโดทันที เขาตั้งใจจะรีบทดลองหลอมโอสถด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่ง แน่นอนว่าก่อนจากกันเขาได้ดูดซับพลังหยางจนเต็มที่แล้ว ต่อไปเขาจะคิดถึงความสะดวกสบายนี้ถึงเพียงไหนกันนะ เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เห็นซูเอ๋อร์ที่กลับจากเรียนพิเศษแล้วกำลังลูบคลำรองเท้ากีฬาที่จางอี้หลงมอบให้เขาอย่างตื่นเต้น
 
“พี่คุน ไปได้มายังไงครับ รุ่นนี้เทพมากๆ หายากสุดๆ นักกีฬาดังๆ ยังใช้กันเลย โอ๊ย ผมอยากได้บ้าง”
 
หลี่คุนลูบหัวซูเอ๋อร์อย่างเอ็นดู ในใจคิดว่าจะต้องเสาะหาของสิ่งนี้ที่มีขนาดเหมาะสมกับเท้าของน้องชายมาให้จนได้ หากหายากจริงอาจจะต้องขอร้องจางอี้หลง มอบเงินให้มากหน่อยอีกฝ่ายคงไม่ปฏิเสธ คนผู้นี้หน้าใหญ่ใจโตจริงๆ แม้ไม่ค่อยมีเงิน ยังอุตส่าห์สรรหาของดีมาให้เขา
 
พูดคุยกับซูเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง หลี่คุนก็รีบเข้าห้องอักษรไปเพื่อปรุงยา เขาหยิบโถกระเบื้องที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทีละใบเพื่อตักตวงวัตถุดิบล้ำค่าภายในมาใส่ในหม้อหลอมยาตามตำหรับที่อยู่ในหัว หลี่คุนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าของบางโถเหมือนจะพร่องไปจากครั้งก่อน ถ้าเป็นผงคงดูไม่ออก แต่อันที่หั่นเป็นชิ้นไว้แล้วน่าจะหายอย่างน้อยชิ้นหนึ่งเป็นแน่ หลี่คุนมีความจำที่ดีมากจากพรสวรรค์และการฝึกฝนในวัยเด็ก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถจดจำคัมภีร์ตำราลับมากมายไว้ในหัวได้ โชคดีที่ความสามารถนี้ดูจะติดตามดวงจิตมาด้วย พอสังเกตไปรอบๆ ก็พบว่าตำแหน่งข้าวของสมุดเครื่องใช้ดูจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยจากที่เขาจำได้ในบางจุด หลี่คุนเห็นแล้วก็ออกจากห้องทันที
 
“ซูเอ๋อร์ พี่ชายบอกแล้วไง ว่าอย่าไปยุ่งในห้องอักษรของพี่”
 
“ผมไม่ได้เข้าไปทำให้อะไรเสียหายสักหน่อย”
 
“ในนั้นมีข้าวของส่วนตัวของพี่ตั้งมาก ยังไงเราก็ไม่ควรเข้าไปโดยพละการ”
 
ในยุคของหลี่คุน ห้องอักษรของประมุขบ้านถือเป็นสถานที่หวงห้ามที่สุดในจวน ในนั้นอาจมีความลับที่ไม่ควรเผยแพร่อยู่มากมาย แม้แต่ฮูหยินหรือบุตรชายคนโตของเจ้าของบ้านก็มิอาจเข้าไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาต หลี่คุนโต้กลับเสียงดังด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายละเลยกฎพื้นฐานนี้ เขาลืมไปว่านี่เป็นธรรมเนียมโบราณที่ซูกัสไม่เข้าใจ
 
“ทำไมพี่คุนต้องหวงขนาดนี้ด้วย ผมเป็นน้องชายพี่นะ ถึงไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เราก็โตมาด้วยกัน แต่ก่อนพี่ไม่เคยมีความลับอะไรกับผม แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมต้องกีดกันผมออกมามากขึ้นทุกที ในห้องนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ผมเข้าไปดูไม่รู้กี่ทีแล้ว แต่เรื่องแปลกๆ อย่างอื่นที่ผมถามไป พี่ไม่เคยพูดความจริงออกมาเลย”
 
หลี่คุนได้ยินก็ตกใจ ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในใจซูเอ๋อร์คาดว่าคงเห็นความผิดปกติและสะสมความข้องใจมานานแล้ว เขาไม่ได้อยากปิดบังความจริงจากน้องชายคนสนิทของร่างนี้ แต่จะให้เขาบอกไปได้อย่างไรว่าพี่ชายที่แท้จริงของซูเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในร่างนี้แล้ว แต่เป็นดวงจิตเร่ร่อนจากอดีตอันห่างไกลที่เข้ามาสวมรอยอาศัยอยู่ หากถามถึงคุณานนท์ เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นยังจะมีโอกาสกลับเข้าร่างนี้ในวันข้างหน้าหรือได้ตายจากไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะโศกเศร้าขนาดไหนหากความจริงเปิดเผย เมื่อถึงตอนนั้นความรักความอบอุ่นที่คนรอบข้างมีให้แก่เขาคงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและเกลียดชัง
 
ตำแหน่งซื่อจื่อของตระกูลหลี่แห่งฉางอันทำให้หลี่คุนต้องแยกตัวออกมาฝึกฝนร่ำเรียนอย่างหนักตั้งแต่เล็ก ไม่มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกับญาติพี่น้องเหมือนคนอื่น ยังไม่ถึงสิบขวบปีบิดามารดาก็มาด่วนจากไปพร้อมๆ กัน ชีวิตในฐานะผู้นำตระกูลหลังจากนั้นยิ่งอ้างว้างโดดเดี่ยว หากไม่มีเด็กหญิงผู้สดใสบริสุทธิ์มาอยู่ข้างกายเขาคงผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากนั้นได้ยากยิ่ง เด็กหญิงเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นสตรีที่เขาให้ใจหวังจะร่วมสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตนเอง กาลกลับเป็นว่านางได้หักหลังส่งเขาไปสู่เงื้อมมือของขุนนางชั่วบิดาของนางจนเขาถูกบีบคั้นให้ต้องจบชีวิตลงอย่างหนาวเหน็บในชาติที่แล้ว
 
ซูเอ๋อร์ผู้เป็นน้องชาย ตินผู้เป็นสหายสนิท บิดามารดาของคุณานนท์ที่เขายังไม่มีโอกาสพบหน้าได้แต่สนทนาไถ่ถามทุกข์สุขกันผ่านหน้าจอ เขาตั้งใจจะดูแลคนรอบข้างของคุณานนท์ให้ดีที่สุดโดยไม่อาจเอาตัวเข้าไปผูกพัน แต่ใจที่โหยหาความอบอุ่นของครอบครัวทำให้เขาถลำตัวเข้าไปทีละนิด ยามนี้จะกลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็แสดงความสงสัยคับข้องใจออกมา เขาไม่อยากโกหกอีกแล้วแต่ก็มิอาจบอกความจริงได้
 
“อย่าโกรธพี่ชายเลยนะซูเอ๋อร์ พี่มิได้อยากปิดบังอะไร หากเป็นไปได้ภายหน้าพี่ย่อมบอกเราทั้งหมด แต่ตอนนี้ขอให้มั่นใจว่าพี่มีแต่จะทำเรื่องที่ดีที่สุดให้กับน้อง”
 
หลี่คุนมองดวงตาแดงเรื่อของซูเอ๋อร์ด้วยความอึดอัดใจ ตอนนี้ดูเหมือนซูเอ๋อร์จะน้อยใจจนไม่ฟังอะไร คงต้องปล่อยให้อารมณ์เย็นลงก่อนค่อยพูดจากันอีกที เขาพึมพำปลอบโยนไปอีกสองสามคำก่อนจะหลบเข้าห้องอักษรไป
 
ซูกัสเองก็คว้ากระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือเดินผลุนผลันออกจากคอนโดเหมือนกัน เด็กหนุ่มไม่อยากดึงดันจนต้องทะเลาะใหญ่โตกับพี่ชาย ตั้งแต่พี่คุณฟื้นจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็มีอะไรแปลกไปหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในทางที่ดี ทั้งความชำนาญในการฝังเข็มปรุงยาดีดพิณที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่คุนทำได้ ทั้งบุคลิกที่แฝงความสูงศักดิ์สง่างามเด็ดขาดในบางครั้ง แต่สิ่งที่ซูกัสไม่ชอบใจมากๆ คือ เขารู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงเบื้องลึกในจิตใจของพี่คุนเหมือนเดิม แม้สิ่งที่แสดงออกจะดีและทุ่มเทเพื่อเขาเพียงไร แต่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความระวังตัวปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง เขาอาจจะคิดมากไปเอง แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นจริง
 
ซูกัสขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ห้างหรูหราแห่งใหม่ เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นเพื่อคลายความเสียใจลง แวบแรกเขาคิดจะไประบายความในใจนี้กับแฮ็คส์ แต่นึกไปอีกทีเขาก็ไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวของพี่ชายไปเล่าให้แฟนตัวเองที่พี่คุนอาจยังมองว่าไม่ได้รู้จักกันดี ซูกัสเดินไปเดินมาอยู่ในห้าง ข้าวของมากมายที่น่าดึงดูดใจสำหรับวัยรุ่นกลับไม่ทำให้เขาสลัดความกังวลสงสัยออกไปได้เลย ในที่สุดก็มานั่งอยู่ตรงสวนหย่อมภายในตัวห้างอย่างซึมเซา
 
นั่งอยู่ได้สักพักก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจ้องมอง ซูกัสเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามี รปภ. วัยหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา  เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่พี่คุนช่วยรักษาหน้าเขาจนหล่อเหลาก็มักจะมีคนจ้องมองอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ไม่โจ่งแจ้งเช่นนี้ เมื่อเห็นเขามองกลับ รปภ. คนนั้นก็ยกมือขึ้นเหมือนทักทาย ซูกัสทำหน้าเลิ่กลั่ก ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อยทักทำไม ยิ่งพอเห็นอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาเขาก็ยิ่งรู้สึกระแวง มัดกล้ามที่เห็นได้ชัดภายใต้เครื่องแบบตึงเปี๊ยะเพิ่มความน่ากลัวจนเขาอยากลุกเดินหนี แต่คิดอีกทีอยู่ในห้างใหญ่โตผู้คนมากมาย อีกฝ่ายก็มีหน้าที่รักษาความปลอดภัย คงไม่มีอะไรหรอก
 
“ทำไมมาคนเดียวล่ะซูกัส”
 
เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งขนลุกซู่ ทำไมถึงรู้จักชื่อเขาได้ล่ะ ในใจนึกหนังฆาตกรรมที่โจรโรคจิตมักจะสืบประวัติเหยื่อก่อนลงมือ แต่จะว่าไปเสียงนี้ก็ฟังดูคุ้นเคยอยู่บ้าง ซูกัสมอง รปภ. หนุ่มอีกที ใบหน้าเรียบๆ นั้นจะว่าเคยเห็นก็ไม่แน่ใจ  หรือเพราะดูธรรมดาไปจนไปเหมือนคนที่เขาเคยเจอ
 
“พี่ถามทำไมไม่ตอบ ไอ้เชี่ยคุนมันไม่มาด้วยเหรอ”
 
คำถามที่สองจุดประกายวาบให้กับเด็กหนุ่ม คนที่เรียกพี่คุนได้สนิทสนมขนาดนี้มีคนเดียว
 
“พี่ติน!! นี่ปลอมตัวมาทำอะไรที่ห้างครับ ผมกลัวจนเกือบฉี่ราดแล้ว”
 
“ปลอมตัวห่านอะไร ไอเด็กเอ๋อ ก็แค่ใส่เครื่องแบบ รปภ. ไม่ได้ทำอะไรกับหน้าตาผมเผ้าซักกะนิด ทำไมชอบโดนแบบนี้อยู่เรื่อยวะกู”
 
“แต่มันดูผิดตาไปมากเลยนะครับ ตอนแรกผมจำไม่ได้เลยว่าเป็นพี่ หรือเพราะเคยเห็นแต่พี่ใส่ชุดนักศึกษาหรือไม่ก็ชุดกีฬา”
 
“จะใส่ชุดอะไร คนสมองปกติเขาก็ต้องจำได้เปล่าวะ”
 
รู้สึกเหมือนถูกด่าว่าโง่ซูกัสเลยไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นประเภทปากร้ายใจดี ปกติก็ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเปิดปากละก็เลือดซิบ แม้แต่พี่คุนที่ดูยอดเยี่ยมสูงส่งก็ยังไม่เว้น
 
“แล้วเรามานั่งจ๋องอะไรอยู่คนเดียว ไม่ลากไอ้คุนมาด้วยเหรอไอเด็กติดพี่ งั้นพี่พาไปกินไอติมไหม ทำหน้าที่แทนไอ้คุนมันซักวันนึง”
 
“แล้วพี่ไม่ต้องเฝ้ายามเหรอ”
 
“ไม่ต้องๆ พี่เลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แค่มาลองเรียนรู้งานเฉยๆ ไปกันเลยไหม”
 
ซูกัสพยักหน้า ไปทานไอสครีมกับพี่ตินก็ดีเหมือนกัน เห็นแล้วก็นึกได้ว่าคนที่รู้จักพี่คุนดีมากๆ อีกคนนอกจากตัวเขาเอง ก็คงมีแต่พี่ตินที่เป็นเพื่อนสนิท เขาจะได้ลองปรึกษาเรื่องนี้ดูว่าเห็นเหมือนกันหรือเปล่า
 
ตินถอดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือแต่เสื้อยืดรัดกล้ามข้างใน เขาบอกว่าคนจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซูกัสมองหุ่นล่ำๆ กล้ามอกเป็นลูกเห็นหัวนมดุนทะลุเสื้อแล้วก็เบะปากด้วยความหมั่นไส้เบาๆ หุ่นดีกว่าพี่แฮ็คส์แล้วยังไง หน้ากับหุ่นไปคนละทางแบบนี้ยังไงสาวก็ไม่กรี๊ด
 
ระหว่างที่รอไอสครีม ซูกัสที่โดนตินทำให้ตกใจแล้วเปลี่ยนมาขำตัวเองลืมเรื่องกังวลใจไปบ้างก็ชวนคุยด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น
 
“ทำไมพี่ต้องมาทำงานพิเศษเป็น รปภ. ด้วยอ่า ถ้าอยากหาเงิน ก็ไปช่วยพี่คุนแพ็คขี้ผึ้งก็ได้นิ ทำเดือนนึงไม่กี่วันเอง”
 
“พี่แค่มาเรียนงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยที่พ่อพี่หุ้นกับเพื่อน เพื่อนพ่อเขาอยากจะวางมือแล้ว ธุรกิจนี้หาคนก็ยาก ฝึกคนก็ยาก กำไรก็ไม่ได้เยอะ พ่อพี่เองงานราชการก็มาก ไม่มีเวลามาดูหรอก ก็เลยให้พี่มาลองดูว่าอยากจะรับช่วงต่อหรือเปล่า แต่ดูๆ แล้วก็ไม่ใช่แนวถนัดว่ะ ถ้าเป็นงานรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ก็ว่าไปอย่าง”
 
“พ่อพี่รับราชการเหรอ”
 
“อื้อ เป็นสันติบาลน่ะ”
 
“โห คือตำรวจนอกเครื่องแบบใช่ป่ะ แบบที่ต้องแฝงตัวไปสืบราชการลับ แล้วตอนสุดท้ายก็เฉลยว่า ‘ผม ร้อยตำรวจเอกจุดจุดจุด ปลอมตัวมาครับผม’ มิน่า พี่ถึงปลอมตัวเก่ง”
 
“ไม่ได้ปลอมเฟ้ย ดูละครมากไปป่ะ ตำรวจสันติบาลเขาทำพวกเรื่องข่าวกรอง กับงานรักษาความปลอดภัยให้วีไอพีแขกบ้านแขกเมือง ไอเรื่องสืบข่าวอะไรมันก็ต้องมี แต่ไม่ได้ปัญญาอ่อนแบบซูเอ๋อร์ว่า”
 
“โหยพี่ เรียกซูกัสก็ดีอยู่แล้ว ซูเอ๋อร์ให้พี่คุนเรียกคนเดียวเหอะ”
 
“ก็ทำตัวเอ๋อๆ เองนี่หว่า”
 
“พี่อย่าด่าผมอีกเลย วันนี้ผมโดนมาเยอะแล้ว พี่คุนเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ ก็เสียงดังหาว่าผมเข้าไปซนในห้องทำงานพี่เขา นานๆ ผมจะเข้าไปทีแล้วก็ไม่ได้แตะต้องอะไรด้วย พี่ว่าเดี๋ยวนี้พี่คุนไม่เหมือนเดิมเปล่า”
 
“เรื่องอะไรล่ะที่ว่าไม่เหมือนเดิม”
 
“ที่ชัดๆ ก็อยู่ๆ พี่เขาก็ฝังเข็มเป็น แล้วก็ผสมยาได้เอง มีท่าเต้นหรือมวยจีนก็ไม่รู้แบบแปลกๆ อ้อ แล้วก็ดีดพิณได้เพราะด้วยนะ ที่ผมลงคลิปไง”
 
“มันก็เรียนก็หัดกันได้ป่ะ”
 
“เรื่องพวกนี้มันน่าจะยากไม่ใช่เหรอพี่ จู่ๆ จะเก่งขึ้นมาเลยได้ไง”
 
“แล้วเราคิดว่าไงล่ะ”
 
“พี่เคยอ่านนิยายทะลุมิติเปล่า ที่วิญญาณนางเอกย้อนเวลากลับไปเป็นพันปีแล้วเข้าร่างคุณหนูที่โดนกลั่นแกล้งจนจมสระบัวตาย พอฟื้นมาก็เอาวิชาความรู้เล่ห์เหลี่ยมของคนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไปใช้ต่อกรกับพวกคนชั่ว จากนั้นก็ได้แต่งงานกับองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แล้วสุดท้ายก็ช่วยสามีให้ขึ้นครองบัลลังก์ ตัวเองก็กลายเป็นฮองเฮา อะไรแบบนี้อ่ะ ผมว่าพี่คุนคนนี้ก็เหมือนกัน  อาจจะมาจากศตวรรษที่สามสิบที่วิทยาการก้าวหน้าจนสามารถอัพโหลดความรู้ต่างๆ เข้าสมองคนได้โดยตรง จากนั้นก็ย้อนเวลามาเป็นพันปีสู่ยุคปัจจุบัน ซึ่งเทียบแล้วคือยุคโบราณของเขา ก็เลยมีความรู้จากโลกอนาคตติดมาด้วย”
 
“ไอ้คุนหรือโดเรม่อนวะ ไปเอามาจากไหนเนี่ย กาวมาก”
 
“ก็ผมคิดไม่ออก มั่วไปมั่วมาก็เลยเป็นแบบนี้ ถ้าจริงนี่เหมือนพวกเราเป็นตัวละครในนิยายออนไลน์เลยนะ ไม่รู้คนอ่านจะชอบผมบ้างเปล่า ผมอยากไปแอบอ่านตอนจบจัง จะได้รู้ทุกอย่างแล้วตัดสินใจไม่ผิด พี่ว่าผมเอาพล๊อตนี้ไปเขียนนิยายลงเน็ตบ้างดีไหม ไหนๆ ก็คิดออกมาแล้ว เผื่อดังจะได้รวมเล่มขายอีบุ๊คกะเขาบ้าง”
 
“พี่ว่าเราไม่ต้องสงสัยไอ้คุนแล้ว สงสัยตัวเองเถอะว่ายังปกติหรือเปล่า”

“ไม่งั้นพี่จะอธิบายเรื่องพี่คุนยังไง”
 
“พี่เราอาจจะซุ่มหัดโน่นหัดนี่มาเป็นปีๆ แล้วก็ได้ พอมั่นใจถึงค่อยเอาออกมาโชว์”
 
“อืม ก็ดูมีเหตุผลกว่าเรื่องของผมอยู่บ้างนะ พี่คุนหัวดีความจำดีตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าตั้งใจจริงทำไมจะทำไม่ได้ เฮ้อ สบายใจล่ะ”
 
“อ้าว หายสงสัยง่ายจัง แค่นี้เรื่องยังไม่กระจ่างหรอกนะ วิชาพวกนี้คงหัดเองไม่ได้ ไอที่ผสมยาเจ๋งๆ ออกมา พี่ว่าถ้ามีสูตรก็คงไม่ยากล่ะมั๊ง แต่ฝังเข็มกับกู่ฉินยังไงต้องมีคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ มาสอน ที่คุนมันบอกคนอื่นว่าเคยเรียนพิณเมื่อตอนเด็กกับอากงของเพื่อนน่ะไม่ใช่เรื่องจริง พี่อยู่ห้องเดียวกับมันมาตั้งแต่เด็กไม่เห็นมันเคยไปเรียนอะไรแบบนี้เลย น่าจะต้องมีคนอื่นสอนให้”
 
“พี่อี้หลงแน่ๆ พี่เขาเป็นคนให้กู่ฉินมาเอง แล้วเป่าขลุ่ยจีนได้เพราะขนาดนั้นกู่ฉินก็น่าจะเล่นเป็นด้วย ผมนึกออกแล้ว พี่คุนเคยบอกว่าพี่อี้หลงเป็นหุ้นส่วนในบริษัทยาที่พี่คุนเปิด สูตรยาพวกนั้นก็น่าจะมาจากพี่อี้หลงนั่นแหละ คงเอามาจากประเทศจีน ส่วนหุ้นส่วนอีกคนก็คือพี่หมอภีม แล้วพี่หมอภีมก็เป็นหมอฝังเข็ม โป๊ะเชะ! เขาคงมีข้อตกลงลับทางธุรกิจด้วยกันเลยให้เด็กอย่างผมรู้ไม่ได้ ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว!!!โอ๊ย ดีใจ พี่คุนก็ยังเป็นพี่คุนคนเดิม ซูเอ๋อร์ เจ้ามันคิดมากไปเอง”
 
ตินมองซูกัสที่กลับไปร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ยิ้มน้อยๆ เขาคงกังวลใจตามซูกัสไปด้วยถ้าไม่รู้สึกว่าแม้จะมีบางอย่างแปลกไปแต่นิสัยลึกๆ ของเพื่อนดูจะไม่ได้เปลี่ยน รักความยุติธรรม แรงมาแรงตอบแต่ไม่ร้าย ชอบช่วยเหลือคน แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่เรียบง่ายอย่างที่ว่ามาแน่ แต่สิ่งที่ซูกัสคาดเดาก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ทราบแน่ชัดแต่เขาก็พอประเมินได้ว่าธุรกิจยาของคุณานนท์มีโอกาสขยายใหญ่โตทำเงินทำทองได้มากขนาดไหน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นความลับที่อยู่เบื้องหลัง แต่เพื่อนเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยุคนี้แม้แต่เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบก็เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดเขาก็จะไม่ถาม หน้าที่ของเพื่อนที่ดีในแบบของเขาคือการอยู่ข้างๆ คอยสนับสนุนให้กำลังใจแต่ไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่เมื่อใดที่เพื่อนขอความช่วยเหลือเขาก็จะเข้าไปในทันที
 
ตอนนี้ที่ตินรู้สึกกังวลคือคนที่ไม่ธรรมดาอย่างจางอี้หลง นักธุรกิจที่ดูคร่ำหวอดคนนั้นเห็นอะไรในตัวเพื่อนเขาถึงพยายามเข้าหาทั้งทางด้านธุรกิจและด้านส่วนตัว คุณานนท์จะถูกหลอกให้ทำเรื่องผิดกฎหมายเช่นใช้เป็นแหล่งฟอกเงินหรือเปล่า เห็นทีเขาต้องให้พ่อช่วยตรวจสอบเบื้องหลังของคนๆ นี้ อาจจะยากสักหน่อยเพราะต้องสืบหาข้อมูลข้ามประเทศ แต่เชื่อว่าพ่อน่าจะพอมีหนทาง
 
ในช่วงเวลาเดียวกันแต่ข้ามฟ้าไปที่ประเทศจีน ไฮโซแบงค์ก็ได้เดินทางมาถึงปักกิ่งตามคำเชิญของเกาเฉียนนักเปียโนที่มีชื่อเสียงของจีน ทั้งคู่เคยเรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยด้านดนตรีในกรุงเวียนนาโดยมีความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ สาเหตุของคำเชิญนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปียโน แต่เกิดจากคำขอร้องของชายชราผู้หนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมดนตรีแบบดั้งเดิมของประเทศจีน
 
“ท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ยอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ท่านทุ่มเทให้กับการอนุรักษ์ฟื้นฟูดนตรีจีนโบราณมาตลอดหลายสิบปีจนได้รับการยกย่องจากรัฐบาล เป็นบุคคลที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราไม่อาจลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด”
 
เกาเฉียนอธิบายข้อมูลของบุคคลสำคัญที่ทั้งคู่กำลังจะไปพบให้แบงค์ฟังเป็นภาษาอังกฤษ ที่มาของเรื่องนี้นั้นเกิดจากคลิปวิดีโออันหนึ่งซึ่งแบงค์ได้แชร์ลงในชาแนลของตัวเองเมื่อหลายเดือนก่อน ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นกลับเผยให้เห็นถึงภาพของบุรษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติท่วงท่าสง่างามในชุดจีนโบราณสีขาวกำลังดีดพิณกู่ฉินเป็นท่วงทำนองทุ้มต่ำคล้ายคร่ำครวญอาวรณ์ถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน
 
คลิปนี้ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามของแบงค์อยู่บ้างแต่ไม่นานนักเพราะหลังจากนั้นก็มีคลิปที่ใหม่ที่เป็นแนวเพลงจีนเหมือนกันแต่เป็นการเล่นประสานของนักดนตรีมากความสามารถถึงสี่คนซึ่งรวมทั้งแบงค์ด้วย เพลงจากซีรีส์ดังในคลิปใหม่มีท่วงทำนองแบบป๊อปจึงติดหูกว่า ประกอบกับมีคนหน้าตาดีหลายคนในคลิปจึงได้รับความนิยมจนกลบความสนใจของคลิปที่แชร์มาในตอนแรกไป
 
มีเพียงเกาเฉียนที่แม้จะเป็นนักดนตรีคลาสสิกแบบตะวันตก แต่ก็มีรากเหง้าความเป็นจีนอยู่มากจนมิอาจตัดใจจากคลิปแรกได้ เขาอยากให้เพื่อนพ้องทางดนตรีในประเทศจีนได้ฟังบทเพลงกู่ฉินที่เข้าถึงจิตวิญญาณเช่นนี้ แต่ถ้าแชร์หรือส่งลิ้งค์ยูทูบนี้ให้ไป คนในประเทศจีนก็เปิดไม่ได้อยู่ดี เกาเฉียนไม่ได้เก่งไอทีนัก เขาไม่รู้ว่าจะเก็บคลิปในยูทูบไว้ได้อย่างไร ในที่สุดพอใกล้จะถึงวันที่จะต้องกลับประเทศจีน เขาจึงแก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินด้วยการเปิดคลิปนี้ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วถ่ายหน้าจอด้วยกล้องมือถือ ถึงคุณภาพคลิปที่ได้จะไม่ดีนักแต่อย่างน้อยก็ส่งต่อไปให้คนอื่นที่จีนดูได้
 
ปรากฎว่าเพื่อนๆ ของเกาเฉียนที่ชำนาญด้านกู่ฉินให้ความสนใจคลิปนี้มาก ทั้งรูปร่างหน้าตาที่น่ามองของคนเล่น ทั้งฝีมือที่น่าประทับใจ และความล้ำค่าของกู่ฉินตัวนั้น แต่ที่ทุกคนติดใจคือบทเพลงที่งดงามเช่นนี้เหตุใดถึงไม่เคยมีใครได้ฟังมาก่อน ต่อมาคลิปก็ถูกส่งต่อไปในแวดวงอาจารย์ด้านกู่ฉิน สุดท้ายก็มีคนเอาไปเปิดให้ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยดู เพียงเท่านั้นก็มีคำขอร้องจากท่านผู้เฒ่าให้เชิญตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาให้ได้
 
ลูกศิษย์ลูกหาของท่านปรมาจารย์ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสืบกลับมาจนถึงเกาเฉียนซึ่งเป็นผู้ที่ส่งคลิปคนแรก นักเปียโนหนุ่มชาวจีนรีบติดต่อแบงค์ทันที ไฮโซหนุ่มยืนยันว่าไม่อาจเปิดเผยตัวของเด็กหนุ่มในชุดจีนสีขาวนั้นได้จนกว่าจะทราบจุดประสงค์ที่ชัดเจน ในที่สุดจึงเกิดคำเชิญนี้ขึ้นเพื่อให้แบงค์ได้มาพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าด้วยตนเอง
 
ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยนับว่ายังดูกระฉับกระเฉงแม้ว่าจะอยู่ในวัยเจ็ดสิบกว่าแล้ว ที่สำคัญคือแววตาที่ยังสดใสมุ่งมั่นบ่งบอกว่ายังมีไฟที่จะสานต่อในสิ่งที่รัก บุรุษต่างวัยต่างเชื้อชาติสนทนากันโดยมีเกาเฉียนทำหน้าที่เป็นล่าม
 
“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสสนใจอะไรในเด็กหนุ่มคนนั้นครับ หรือว่าเพราะฝีมือการเล่นกู่ฉิน แต่ประเทศจีนกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะหาคนเล่นเก่งๆ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรนะครับ”
 
“ฝีมือนับว่าเยี่ยมแต่ก็ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ ที่จริงเด็กคนนั้นมีศักยภาพมากนะ แต่เหมือนการเคลื่อนไหวของนิ้วมือยังตามไม่ทันความคิดอยู่บ้าง  ดูไปแล้วก็แปลก ความเชี่ยวชาญในหัวนับว่าสูงล้ำแต่กลับไม่สัมพันธ์กับมือ เหมือนไม่ได้ฝึกซ้อมให้กล้ามเนื้ออยู่ตัว ไม่รู้ว่าเขาได้รับอุบัติเหตุจนไม่ได้เล่นมาเป็นหลายๆ ปีหรือเปล่า แต่ที่ฉันสนใจจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือการเล่น แต่เป็นบทเพลงที่บรรเลง”
 
“เกาเฉียนบอกผมแล้วว่าไม่มีใครเคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อน หรือว่าจะถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ท่านผู้เฒ่าสนใจความสามารถในการแต่งเพลงของเขาใช่ไหม”
 
“เพลงนั้นไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ฉันรู้จักมันมาก่อน แต่แค่บนกระดาษนะ”
 
“หมายความว่า...”
 
“บทเพลง ‘สายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยว’ นี้ มีการบันทึกไว้ในพงศาวดารสมัยราชวงศ์ถังว่าเป็นบทเพลงที่โศกเศร้าแต่ว่างดงามที่สุดเท่าที่ได้มีการประพันธ์ขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ทำนองที่แท้จริงขาดการสืบทอดจนสูญหายไปในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่อสามสิบปีที่แล้วถึงได้มีการค้นพบเอกสารโบราณที่บันทึกทำนองเพลงนี้ไว้เป็นตัวหนังสือ เพียงแต่อักษรที่ใช้ไม่ได้สมบูรณ์เช่นโน๊ตแบบบรรทัดห้าเส้นของตะวันตก ทำให้ทราบเพียงเสียงสูงต่ำของบทเพลงขาดข้อมูลความสั้นยาวหนักเบาของแต่ละเสียง และโชคร้ายไปกว่านั้นที่เอกสารดังกล่าวได้ถูกทำลายไปบางส่วนทำให้บทเพลงในท่อนแยกหายไป ฉันใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตค้นคว้าคาดเดาทำนองและจังหวะที่สมบูรณ์ของบทเพลงนี้ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่บรรยายไว้ในพงศาวดาร ทำนองที่ฉันฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ยังขาดความลึกซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น”
 
“ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าบทเพลงในคลิปนั้นคือเพลงที่สาบสูญไปแล้วหลายร้อยปีหรือครับ ท่านจะแน่ใจได้ยังไง”
 
“เสียงสูงต่ำของเพลงที่บรรเลงในคลิปตรงกับที่อยู่ในเอกสารโบราณฉบับนั้นไม่ผิดแน่ ความสั้นยาวของเสียงที่ใช้ทำให้เพลงนี้ลึกซึ้งกว่าที่ฉันจินตนาการไว้อีก น่าเสียดายที่เขายังเล่นไม่จบก็เปลี่ยนไปเล่นเพลงอื่นเสียก่อน ฉันต้องการพบเด็กหนุ่มคนนั้น ฉันอยากฟังบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่แท้จริงกับหูตัวเองก่อนที่จะตาย”
 
“ผมยังรับปากไม่ได้จริงๆ ครับ อีกอย่างมันฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไปที่อยู่ๆ เพลงนี้จะปรากฏขึ้นนอกประเทศจีน”
 
“เพลงนี้เป็นสมบัติแห่งชาติของประเทศเรา ได้โปรดนำกลับคืนมายังบ้านเกิดด้วย”
 
แบงค์ตอบไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะพยายามหาทางช่วย ในใจคิดว่าคุณานนท์มีความเป็นมาที่แท้จริงยังไงกันแน่ เขาติดใจตั้งแต่การฝังเข็มที่ทำให้มือขยายได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว เขามาจีนเที่ยวนี้ก็จะถือโอกาสคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านฝังเข็มของจีนว่ามันเป็นไปได้ยังไง ทั้งเรื่องขี้ผึ้งโอสถที่ทุกวันนี้ถึงเขาจะเลิกขายไปแล้วแต่ก็ยังมีคนมาตื้อขอซื้ออยู่เป็นประจำ ลำพังที่เขาต้องหามาให้คนในครอบครัวใช้ในแต่ละเดือนก็ไม่พออยู่แล้ว วันนี้ยังมีเรื่องบทเพลงในตำนานที่สาบสูญไปอีก เห็นทีจะต้องหาคนไปสืบข้อมูลทุกอย่างของคุณานนท์ให้ละเอียดอีกครั้งเสียแล้ว
 
เมื่อแบงค์ลากลับไป ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยก็ได้เรียกลูกศิษย์เข้ามาสั่งความทันที
 
“ส่งคนไปติดตามและสืบเรื่องของนักเปียโนชาวไท่กั๋วคนนั้น เขาจะต้องรู้จักกับชายหนุ่มชุดขาวในคลิปแน่ ฉันจะไปพบนายพลหยางด้วยตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรเราจะต้องเอาบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวกลับคืนมาประเทศจีนให้ได้!!!”
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-12-2019 12:34:42
ตอนพิเศษ ขุนนางชั่วแห่งต้าหมิง

################

ราตรีที่มีหิมะโปรยปรายหนาวเหน็บยิ่งนัก ผู้คนในเมืองใหญ่เช่นนี้ล้วนซุกตัวอยู่บนเตียงนอนอุ่นสบาย แต่ในจวนอันงดงามของเสนาบดีกลาโหมแห่งอาณาจักรต้าชิงกลับมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งร่ำสุราในศาลากลางสวนเพียงลำพัง ทุกคนในจวนรู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้มิอาจเข้าไปรบกวนนายท่านได้ แม้จะกังวลว่าท่านขุนนางใหญ่จะต้องพิษลมเย็นจนถึงแก่เจ็บไข้ขนาดไหนแต่ทุกคนก็รักชีวิตของตัวเองมากกว่า เสียงสะอื้นโหยหาเช่นนั้น หากมีผู้ใดเข้าไปพบเห็น นายท่านผู้ไร้ความปราณียังจะปล่อยให้มีชีวิตต่อไปได้ฤา
 
พ่อบ้านคนสนิทซ่อนตัวเฝ้ารอรับใช้อยู่ตรงด้านนอก หากคืนนี้นายท่านร่ำไห้เมาสุราจนหลับไหลก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเห็นทีคุณชายที่เรือนตะวันออกจะต้องรับเคราะห์หนัก น่าสงสารคุณชายท่านนี้ยิ่งนัก เป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษที่เดิมต้องถูกเนรเทศไปหัวเมืองชายแดนก็นับว่าอนาถแล้ว แต่กลับถูกนายท่านซื้อตัวมาเป็นชายบำเรอเช่นนี้ช่างหยามศักดิ์ศรีคนเหลือเกิน
 
นายท่านช่างแปลกคนยิ่งนัก ยามปกติดูแลประคบประหงมคุณชายไม่ได้ขาด อาภรณ์สีขาวล้วนที่สั่งให้คุณชายสวมใส่ล้วนใช้ผ้าบรรณาการค่าควรเมือง แม้แต่กู่ฉินมีชื่อราคาสูงลิ่วก็ยังทุ่มประมูลสรรหามาให้ แต่ยามอารมณ์แปรปรวนเช่นค่ำคืนนี้ นายท่านจะใช้ร่างกายที่เคยทะนุถนอมนั้นมาสมสู่เยี่ยงสัตว์ป่า เห็นทีจะต้องให้เด็กไปแจ้งคุณชายให้เตรียมขยายร่างกายให้พร้อม คืนนี้จะได้ไม่น่าสมเพชจนเกินไป
 
แม้อากาศหนาวเหน็บ แต่ในใจของเสนาบดีกลาโหมกลับเย็นเยียบยิ่งกว่า ความทรงจำในอดีตปรากฎขึ้นในหัวราวกับภาพฝัน จากเด็กกำพร้าหลายสิบคนที่ตระกูลหลี่แห่งฉางอันได้อุปการะไว้ มีเขาคนเดียวที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบจนได้รับการส่งเสียให้เล่าเรียนในสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียง จากผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเขาจึงถูกเรียกเข้าจวนอยู่หลายครั้งเพื่อรับรางวัลและฟังคำสั่งสอนจากนายท่าน ที่นั่นเองเขาได้มีโอกาสพบกับคุณชายน้อยซื่อจื่อของตระกูล แม้ยังเป็นเด็กแต่ใบหน้าน่ารักฉายแววหล่อเหลานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสง่างามสูงศักดิ์จนละสายตาไม่ได้ เสียงร่ำลือว่านายน้อยเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ศาสตร์ความรู้ทั้งบู๊ทั้งบุ๋นสำหรับผู้ใหญ่กลับถูกเด็กวัยเท่านี้ศึกษาออกมาได้อย่างแตกฉาน
 
เขาแอบเฝ้ามองนายน้อยอยู่ห่างๆ  ยิ่งเติบใหญ่ขึ้นความงดงามหล่อเหลาก็เพิ่มพูนทวี ในด้านความสามารถนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลยังออกปากว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ไม่รู้ด้วยเหตุใด เด็กกำพร้าไร้ที่มาอย่างเขาถึงได้เกิดแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้า เขาเคยคิดว่าตัวเองทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณตระกูลหลี่ไม่ให้เสียแรงที่อุตส่าห์ส่งเสียเล่าเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ เขาไม่พอใจช่องว่างอันยิ่งใหญ่ระหว่างเด็กกำพร้าต่ำต้อยกับซื่อจื่อของตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวยอย่างตระกูลหลี่แห่งฉางอัน
 
เขามุมานะจนสอบได้เป็นซิ่วไฉอันดับหนึ่งของอำเภอ ในที่สุดเขาก็พบหนทางของตนเอง ตระกูลหลี่แม้จะดูร่ำรวยเพียงใดแต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเข้าสู่เส้นทางขุนนาง หากเขาผ่านการสอบเช่นนี้เรื่อยๆ จนได้เป็นจอหงวนและเข้ารับราชการ ถึงตอนนั้นตระกูลหลี่จะนับว่าเป็นอะไรได้
 
ทางเดินเส้นนี้มิใช่ง่าย เขาอาศัยรูปร่างหน้าตาและเล่ห์เหลี่ยมวาจาอันแพรวพราว หลอกล่อมีสัมพันธ์กับหญิงสาวชาวบ้านบุตรีพ่อค้าธิดาขุนนางมากมายเพื่อที่จะได้เส้นสายข้อมูลทุนทรัพย์มาเอื้อประโยชน์ในการสอบ แต่มิว่าจะเป็นนางใด ก็ไม่อาจเติมเต็มหลุมแปลกปลอมในใจลงได้ ในตอนที่เขาสอบได้เป็นที่หนึ่งระดับมณฑล ก็พลั้งพลาดมีบุตรสาวนอกสมรสกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งได้ปกปิดไว้เพื่อไม่ให้กระทบกับชื่อเสียง
 
ในยามนั้นเขาก็นับว่ามีหน้ามีตาขึ้นมากแล้ว กระทั่งงานวันเกิดของนายน้อยที่กลายมาเป็นผู้นำตระกูลหลี่หลังการจากไปของนายท่านเมื่อหลายปีก่อนก็ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย เขาได้เข้าคารวะนายน้อยผู้มีท่วงท่าสง่าผ่าเผยและใบหน้าหล่อเหลางดงามจนละสายตาไม่ได้ กระทั่งคำบอกกล่าวด้วยความเมตตาที่ว่าหากเขาสอบผ่านจนได้เป็นขุนนางขั้นหกขึ้นไปจะให้เป็นไทไปตั้งวงศ์ตระกูลของตัวเองก็ยังแทบไม่รับรู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินสำเนียงกู่ฉินอันไพเราะงดงามที่นายน้อยบรรเลงขึ้นตามคำขอของญาติพี่น้อง ภาพบุรุษชุดขาววัยกำลังย่างเข้าสู่ความเป็นหนุ่มบรรจงดีดกู่ฉินในบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวครั้งนั้นยังตราตรึงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำแม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน
 
ด้วยความพยายามอย่างบ้าคลั่งทั้งในการศึกษาและการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ในที่สุดเขาก็ได้ตำแหน่งจอหงวนในการสอบหน้าพระพักตร์จนได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกล เขาตกแต่งภรรยาเอกภรรยารองและอนุคนแล้วคนเล่าเพื่อสร้างสายสัมพันธ์มาหนุนความก้าวหน้าของตัวเอง อีกเพียงไม่นาน ตระกูลหลี่ที่มีเพียงแค่ความร่ำรวยก็จะไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผงใต้เท้าของขุนนางอย่างเขา
 
แต่แล้วสิ่งที่ใกล้เพียงเอื้อมมือที่แท้กลับอยู่ห่างไกลไม่ต่างจากดวงจันทร์บนฟากฟ้า ด้วยความไว้วางใจจากท่านมหาเสนาบดีเขาบังเอิญได้รู้ความลับที่น่าตกตะลึงของราชสำนัก ตระกูลหลี่แห่งฉางอันมิใช่ตระกูลร่ำรวยธรรมดาแต่กลับเป็นถึงเสาหลักอันซ่อนเร้นที่คอยค้ำจุนบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อันยาวนาน มิรู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ราชวงศ์และชาติบ้านเมืองได้รับความช่วยเหลือจากสรรพวิชาลึกลับมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาแพทย์และวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศของตระกูลหลี่ 
 
เมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องให้เขาปฏิวัติยึดอำนาจของฮ่องเต้เลยหรือถึงจะสามารถอยู่เหนือตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ เขายังไม่ขวัญกล้าถึงเพียงนั้น หากไม่อาจอยู่เหนือได้ก็ไร้โอกาสครอบครอง ในเมื่อเขาขึ้นสูงไปกว่านี้มิได้ก็มีทางเดียวคือต้องกระชากสิ่งที่เกินเอื้อมให้ตกลงมา เขาทุ่มเทกำลังมากมายสืบความลับที่มาของอำนาจตระกูลหลี่ ทำแม้กระทั่งลอบส่งลูกสาวนอกสมรสที่ยังเยาว์ของตัวเองไปอยู่ข้างกายนายน้อย

เขาค่อยๆ ดำเนินการแต่ละเรื่องอย่างใจเย็น อำนาจตระกูลหลี่ลึกล้ำมิอาจสั่นคลอนได้โดยง่าย แต่ไม่มีอะไรเกินความพยายามของมนุษย์ ยิ่งเป็นมนุษย์ไร้คุณธรรมที่ไม่เลือกวิธีการด้วยแล้ว หลายปีต่อมาเขาก็พร้อมที่จะลงมือในขั้นสุดท้าย ขอเพียงเปิดผนึกหีบกลแห่งฉางอันได้ อำนาจในการควบคุมองครักษ์เงาสุสานบรรพชนและขุมความลับที่สืบทอดมาตั้งแต่ราชวงค์ถังของตระกูลหลี่ก็จะตกอยู่กำมือเขา เช่นเดียวกับตัวผู้นำตระกูลที่ยามนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
 
แต่นายน้อยที่สำเร็จเคล็ดวิชากำลังภายในเก้ามังกรถึงขั้นเจ็ด ก็มิใช่สิ่งที่เขาหรือจอมยุทธ์ในใต้หล้าจะต่อกรได้ เขาจึงให้บุตรสาวลอบวางยาพิษสะบั้นชีพจรและชักนำกองทหารปืนไฟของคนเถื่อนตาสีฟ้าจากโพ้นทะเลไล่ล่าจนบุรุษในความทรงจำผู้นั้นต้องมาจนมุมอยู่ตรงขอบเหวลึกของผากาลวิปโยคในตำนาน อีกเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็จะได้ทั้งอำนาจและตัวคนมาอยู่ในครอบครอง เขายกมือขึ้นทำทีเหมือนจะส่งสัญญาณสั่งยิงไปที่กองทหารปืนไฟเพื่อบีบคั้นให้คนในวงล้อมเผยความลับสุดท้ายออกมา
 
ท่ามกลางความเหน็บหนาวของหิมะสีขาวโพลน บุรุษหนุ่มรูปงามยิ้มเหยียดให้กับคนชั่วร้ายอย่างเขา ใบหน้าขาวคมสันเงยขึ้นเล็กน้อย ไร้คำพูดเอื้อนเอ่ย สายตาทอดไปยังฟ้าคราม แสงสลัวของฤดูเหมันต์กระทบใบหน้า หิมะบางเบาราวขนนกเริ่มโปรยปราย สายลมพัดเส้นผมม้วนปลิวไสว ชายแขนเสื้อสีขาวโบกสะบัด แลดูสูงส่งดุจดั่งเทพเซียนผู้ละทิ้งโลกโลกีย์อย่างไร้อาวรณ์  ก่อนที่ร่างนั้นจะพลันถอยหลังทิ้งตัวลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างโดยไม่ลังเล
 
นั่นคือภาพสุดท้ายของคนเพียงผู้เดียวในดวงใจที่เขาได้ประทับไว้จนชั่วกาล
 
คืนนี้หิมะโปรยปรายเช่นเดียวกับวันนั้น เวลาล่วงเลยไปแล้วหลายปี แต่ภาพบุรุษรูปงามชุดขาวทิ้งตัวลงไปยังหุบเหวลึกยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำที่ปรากฎขึ้นในฝันร้ายทุกค่ำคืน
 
เขาเดินโซเซเปิดประตูเข้าไปในเรือนปีกตะวันออก ชายในชุดขาวรูปร่างคล้ายบุรุษในความทรงจำยืนก้มหน้าตัวสั่นด้วยความกลัว เขาเอื้อมมือกระชากอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด ส่งเสียงร่ำไห้แทบไม่เป็นภาษา
 
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้วใช่ไหม อย่าจากข้าไปอีก ท่านชอบลูกสาวข้า ข้าจะให้นางหย่าขาดจากสามีมาเป็นอนุท่านดีหรือไม่ หีบกลแห่งฉางอันถูกทำลายไปแล้ว ตระกูลหลี่ของท่านก็เร้นหายไปจากต้าหมิง ราชสำนักระส่ำระสาย แต่ไม่ต้องกลัว ท่านมาอยู่กับข้า ข้าเป็นถึงเสนาบดี ไม่ใช่เด็กกำพร้าต่ำต้อยอีกแล้ว ข้าจะปกป้องท่านเอง”
 
เสียงคร่ำครวญแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นความเกรี้ยวกราด คนที่อยู่ในอ้อมกอดหาใช่คนในความทรงจำไม่ เสียงครวญครางโหยหวนราวกับการสมสู่ของเดรัจฉานดังขึ้นท่ามกลางจวนอันเงียบสงัด เนิ่นนานจนค่อยสงบลง เสียงสะอื้นไห้เช่นเดียวกับตอนแรกค่อยๆ ดังขึ้นมาอีก ก่อนจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงรุนแรงเร่าร้อนทรมานของแรงกำหนัดอันดำมืด วนเวียนเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจวบจนฟ้าสาง

##################

#อี้หลงคุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 07-12-2019 12:48:54
เหมือนเรื่องจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แถมดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ หวังว่าจะไม่ทิ้งกันไป

อีกเรื่อง คนที่ไม่น่าไว้ใจก็คือ คุณพี่จาง เนี่ยแหละ
แอบตรวจสอบสูตรของน้อง และก็น่าจะเป็นคนเอาส่วนผสมในห้องอักษรไป
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-12-2019 17:29:41
พี่อี้หลง มือไวนัก! โดนน้องคุนควักพวงยังถือว่าน้อยไป น่าจะบีบให้หน้าเขียวไปเลย ฮึ่ย!

ตลกติณอ้ะ ไร้จุดเด่นจนกลมกลืนจริง ๆ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

อ่านตอนพิเศษแล้วเศร้าใจ ความปรารถนารุนแรงบิดเบี้ยวของคน ๆ เดียว ทำลายทุกอย่างจนย่อยยับเลย สงสารคนที่มาเป็นตัวแทน

พิณนั้นมีที่มาอย่างนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-12-2019 17:38:24
เรื่องเข้มข้นขึ้น ไม่ชิวๆแล้ว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 09-12-2019 16:48:17
แหม่ เหมือนคุณ insomniac เริ่มรู้โทนอารมณ์คนอ่านเลยครับ (ฮา)

สำหรับผม ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องเนือยนิดนึง เพราะการแสดงออกของแต่ละตัวละครไปไม่สุดในมิติของจุดเด่นแต่ละตัว เลยทำให้เหมือนกลืนๆกับเรื่องไปหมด แม้กระทั่งคู่หลัก (จางอี้หลงกับหลี่คุน) ซึ่งอันนี้ผมเดาจากแท็กนะครับ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ว้าว เช่นเดียวกับคู่รอง (แฮ็คส์กับซูกัส) ที่ดูคาแรกเตอร์จืดเกินไปหน่อยทำให้กลืนไปกับเรื่องมากๆ

ในบางเคส เราไม่จำเป็นต้องยัดทุกตัวละครหรือทุกบทเข้ามาให้มีบทบาทนะครับ การใส่เข้ามาทั้งหมดมันจะทำให้จับโฟกัสไม่ได้ ประโยชน์อีกอย่างนึงที่ถ้าไม่ต้องใส่บททุกตัวละครในฉากนึงคือ เผื่อเอาไว้เราขยายสเกลเรื่อง บทตัวละครที่เว้นว่างๆไปในอีเวนท์นั้น เราสามารถเอามาประดิษฐ์พล็อตรองเชื่อมต่อได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆคือฉากเล่นเปียโนในละครเวที ทุกตัวละครใส่มาหมดเลย แบงค์ จางอี้หลง หลี่คุน ซูกัส เพื่อนซูกัส ติน เพื่อนนักค่ายมวย สังเกตว่ามันดู...เยอะ (ฮา) แล้วเรายังอัดเรื่องของการอยู่เหนือแบงค์ของจางอี้หลงผ่านการเล่นดนตรีเข้ามาอีก ยังโชว์เรื่องการผสานบีทบ็อกเข้ามาด้วยของแฮ็คส์ มันเลยทำให้สาส์นแท้จริง เรื่องความไพเราะของบทเพลงที่หายสาบสูญ โดนกลืนไปท่ามกลางฉากบรรยายเรื่องอื่นๆน่ะครับ พอสาส์นไม่เด่น มาอ่านตอนที่แบงค์โชว์ให้ปรมาจารย์ในประเทศจีนเห็นก็เลยดูดรอปความน่าสนใจลงไป

พอเจอคุณ insomniac เอาบทบรรยายหุ่นของตินมายั่ว เลยหนีไม่รอดครับ (ฮา) ต้องกลับมาดูพ่อหนุ่มหุ่นฟิตเสื้อ โอ้โฮฮฮ นี่แหละครับนักรบที่เรารอคอย! /หัวเราะ ไม่งั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ ในบรรดาตัวละครเรื่องนี้ ผมนี่ FC ติณสุดแล้ว ฮะๆ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-12-2019 22:33:17
ความลับเริ่มจะรั่วทีละอย่างสองอย่างแล้วนะ จะเอาตัวรอดกันยังไง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 10-12-2019 23:48:29
ต้องขอชมว่า​ โดยรวม​ สนุก​ แพรวพราว​ และลื่นไหล
แม้ในบทท้ายๆ​ จะยืดยาดไปบ้าง​ แต่ก็ยังชวนติดตาม​ ชวนลุ้นอยู่​

ขอตินิดนึงว่า​ เหมือนผู้เขียนต้องการแชร์บทให้แต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน​ เรียกได้ว่าไม่มีตัวไหนที่ถูกลืม​ เลยทำให้อัดแน่นไปจนล้นๆ​ ไม่กระชับ​

แต่อย่างที่บอกโดยรวมแล้วสนุกดี​ค่ะ
จะติดตามจนจบ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-12-2019 13:11:39
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
รู้ตัวว่ายังเขียนไม่ค่อยดีแต่ไม่รู้ว่าควรปรับที่จุดไหน การมีคนอ่านมาช่วยให้ความเห็นอย่างตั้งใจแบบนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 15-12-2019 00:33:54
คิดถึงแล้ววว หายไปนานจังเลยย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 15-12-2019 17:14:26
อย่าหายไปนานซิครับคิดถึง  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 31-01-2020 02:51:23
 :mew1: อ่านรวดเดียวสนุกมากกกก รอดูปมต่าง.ๆ เฉลยย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 28-03-2020 11:43:08
รู้สึกเหมือนยังเดินทางไม่ถึงกลางเรื่องเลยค่ะ ปริ่มๆมาก สุดท้ายความพยายามทุกอย่างสูญเปล่านะลุงนะ อยากครอบครอบเขาแต่เขามีปีก เขาไม่ยอมอยู่ในกรงอะ กางปีกเลยจ่ะ ขำความสกินชิพแอบทัชๆของยัยน้องไม่ไหว ก็รู้สึกผิดบาปแหละ แต่พลังก็ก้าวหน้าไง พี่อี้ตาเหลือกแล้วโดนน้องลวนลามไม่รู้ตัว55555555555555555555 นี่ถ้าน้องกัสเราเชื่อความเพ้อเจ้ออีกนิดก็ใกล้ความจริงแล้วนะ อีกนิดนึง น้องจะได้กลับไปเยือนจีนแล้ว สะไภ้จีนนนนน เรื่องนี้พระเอกค่าตัวแพงมาก บทน้อยกว่าพี่ตินอีก5555555555
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:39:31
26

 
ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่ก่อนหน้านี้ก็ขายมาได้อย่างราบรื่นอยู่หลายเดือนเริ่มมีคู่แข่งตัวจริงปรากฎตัว บริษัทเครื่องสำอางค์รายหนึ่งได้ออกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่ชื่อ ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮา ออกมา ทั้งชื่อและบรรจุภัณฑ์ล้วนชวนให้อดเปรียบเทียบกับสินค้าของหลี่คุนไม่ได้ ยิ่งเมื่อเจ้าของโหมซื้อโฆษณาให้ทั้งดาราทั้งเน็ตไอดอลโปรโมทผลิตภัณฑ์ออกตามสื่อโซเชียลต่างๆ คนที่ไม่อยู่วงในจริงๆ แต่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิมาบ้างก็คิดว่าขี้ผึ้งฮองเฮานี่แหละคือใช่สิ่งที่ไฮโซใช้กัน
 
หลี่คุนเห็นโฆษณาพวกนี้ผ่านๆ ทางโซเชียลก็ไม่ได้สนใจคิดว่าคงไม่ต่างกับของเลียนแบบที่เคยมีมาแป๊บๆ แล้วก็เงียบหายไป ถึงจะได้ยินคำชื่นชมทางอินเตอร์เน็ตอยู่บ้างแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นหน้าม้า แต่พอพวกซูเอ๋อร์ทดลองสั่งซื้อมาให้ดูหลี่คุนก็ต้องตกตะลึง เพียงได้กลิ่นก็ทราบว่าขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮานี้มีส่วนผสมหลายอย่างใกล้เคียงกับขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิของเขามาก พอลองใช้ปราณตรวจสอบดูก็พบว่าสัดส่วนของสมุนไพรมีความถูกต้องอยู่ไม่น้อย
 
ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาในยุคของเขา การจะลอกเลียนโอสถของผู้อื่นโดยไม่ทราบสูตรต้นฉบับก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ทันที จะต้องอาศัยทั้งโชคและเวลาในการพยายามลองผิดลองถูกอยู่หลายๆ ปี แต่สินค้าของเขาเพิ่งออกขายได้ไม่ถึงครึ่งปี ในยุคนี้จะยังหลงเหลือปรมาจารย์โอสถที่มีความสามารถกว่าในอดีตอีกหรือ ถ้าไม่พบว่าส่วนประกอบของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮามีสมุนไพรไทยสองสามชนิดผสมอยู่ด้วยซึ่งเป็นตำหรับที่เขาพัฒนาขึ้นเอง หลี่คุนคงนึกว่าสินค้าคู่แข่งนี้ใช้สูตรที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากยุคโบราณจริงๆ
 
หลี่คุนตื่นตระหนกกับเรื่องนี้มาก ขี้ผึ้งจักรพรรดิเป็นสินค้าที่สร้างกำไรกว่าเจ็ดแปดส่วนให้กับฉางอันโอสถ น้ำมันมวยมีคุณแม้ยอดขายจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กำไรต่อหน่วยยังน้อยเมื่อเทียบกับขี้ผึ้งจักรพรรดิ ไหนจะต้องแบ่งออกไปให้กับโรงงานผู้ผลิต ครูมี ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก และร้านค้าต่างๆ ทั้งออนไลน์และหน้าร้านจริง น้ำมันมวยมีคุณมีอนาคตที่ดีแต่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาขี้ผึ้งจักรพรรดิอยู่ หากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันนี้มากๆ เข้า ต่อไปเขาจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อวัตถุดิบเพื่อปรุงยาระดับปฐพีที่ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที
 
หลี่คุนเร่งตรวจสอบสินค้าคู่แข่งโดยละเอียด สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาคิด ถึงคู่แข่งจะสามารถลอกเลียนส่วนผสมและสัดส่วนเบื้องต้นของขี้ผึ้งจักรพรรดิได้ แต่เมื่อไม่มีการใช้ปราณตรวจสอบความผันแปรของวัตถุดิบแต่ละแหล่งแต่ละล๊อตเพื่อปรับสัดส่วนในการปรุงยาโดยละเอียดอย่างที่เขาทำ โอสถเลียนแบบที่ได้จึงมีสรรพคุณแค่เพียงสองส่วนเท่านั้น แต่เจ้าของผลิตภัณฑ์เหมือนจะทราบจุดอ่อนตรงนี้ จึงได้มีการผสมตัวยาสมัยใหม่ที่ค่อนข้างแรงลงไปช่วยเสริม การใช้ในตอนแรกจะรู้สึกว่าได้ผลเร็วอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวย่อมไม่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้ต่อเนื่องอย่างขี้ผึ้งจักรพรรดิ
 
ถึงจะมีความต่างตรงนี้แต่ก็ยากที่ลูกค้าจะรับรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่นับเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อการทำมาหากินของหลี่คุน เขายังนึกไม่ออกว่าสูตรยามันรั่วไหลไปขนาดนี้ได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นคนคิดเองผสมเองทั้งหมด เด็กๆ เพื่อนซูเอ๋อร์ที่มาช่วยก็ไว้ใจได้และทำแค่เรื่องบรรจุและแพ็คของ  แต่ในเมื่อสินค้าเขาโดนลอกเลียนแบบแน่ๆ มันน่าจะมีวิธีทางกฎหมายอะไรของยุคนี้ที่จะจัดการได้ หลี่คุนติดต่อนักกฎหมายของบริษัทเพื่อขอความเห็นทันที
 
LY : มันยากมากๆ นะครับบอสที่จะเอาเรื่องนี้มาเป็นมูลฟ้อง ชื่อขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮากับขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิ มันก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดทำให้คนเข้าใจผิด บรรจุภัณฑ์ก็แค่คล้ายๆ ในต่างประเทศมีการฟ้องกันเรื่องลุคแอนด์ฟิลของสินค้าไอที แต่ผมว่าศาลไทยยังไม่รับฟ้องเรื่องแบบนี้
 
LK : แล้วที่สูตรยาโดนลอกเลียนล่ะครับ
 
LY : ในทางธุรกิจมีวิธีปกป้องสินค้าอยู่สองแบบ อย่างแรกคือการจดทรัพย์สินทางปัญญา แต่เจ้าของต้องเปิดเผยข้อมูลสูตรโดยละเอียดเลยนะครับ และต้องพิสูจน์ด้วยไม่เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ข้อดีคือได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ข้อเสียคือทุกคนสามารถเห็นรายละเอียดนั้นได้ ถ้ามีใครหาทางพลิกแพลงจนหลุดจากกรอบที่เราจดไว้ก็สามารถผลิตสินค้ามาแข่งได้ทันที ส่วนอีกวิธีคือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้า แต่ถ้ารั่วไหลไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการขโมยหรือได้มาอย่างผิดกฎหมายครับ
 
LK : ซับซ้อนจังครับ ดูเหมือนเราจะยังทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
 
LY : ถ้ามีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมมากกว่านี้ก็อาจยื่นฟ้องได้ครับ แต่ผมเช็คแล้วบริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าตัวนี้ดูเหมือนจะมีเครือธุรกิจขนาดใหญ่หนุนหลังอยู่ เขาคงมีทั้งเงินทั้งทนายเก่งๆ ท่าทางจะต้องสู้กันยาว ผมเพิ่งจบใหม่กระดูกยังอ่อน ถ้าจะเอาจริงบอสคงต้องจ้างทนายที่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ ค่าตัวคงสูงมาก
 
LK : ยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าเขาได้สูตรไปได้ยังไง แล้วเราจะเล่นประเด็นที่เขาโฆษณาว่าเป็นขี้ผึ้งสมุนไพร แต่จริงๆ ผสมสารเคมีลงไปด้วยได้ไหมครับ
 
LY : น่าจะยากนะครับ เขาไม่ได้บอกว่าเป็นสมุนไพรร้อยเปอร์เซ็นต์ปราศจากสารเคมี แล้วก็ระบุชื่อสารออกฤทธิ์ไว้บนกล่องตามกฎหมายแล้ว ถึงจะพิมพ์ตัวเล็กๆ จางๆ ก็เถอะ คนใช้ส่วนใหญ่ไม่อ่านดูเองกฎหมายก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
 
LY : ยังมีข้อมูลอีกอย่างที่ต้องบอกบอสครับ บริษัทที่จำหน่ายขี้ผึ้งฮองเฮานี้ เมื่อก่อนเคยมาขอซื้อสูตรขี้ผึ้งจักพรรดิด้วย ถ้าไม่ได้ก็ขอซื้อทั้งกิจการฉางอันโอสถเลย พอบอสให้ผมปฏิเสธไป ก็ตอบกลับแบบไม่ค่อยดี
 
LK : จำได้แล้วครับ งั้นรอดูไปก่อนละกัน
 
การโหมโฆษณาของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาเริ่มมีผลกระทบต่อยอดขายขี้ผึ้งจักรพรรดิ แค่ชื่อก็รู้สึกว่าโดนข่มแล้ว ระหว่างจักรพรรดิกับฮองเฮา คนที่ใส่ใจเลือกเฟ้นเครื่องประทินโฉมแน่นอนว่าคือฝ่ายหลัง มีสมาชิกที่ลองใช้สินค้าตัวใหม่แล้วรู้สึกว่าดีคล้ายๆ กันก็เริ่มไขว้เขว พอเห็นว่าราคาก็ย่อมเยากว่า มีดาราไอดอลที่มีชื่อเสียงมายืนยันคุณภาพ หาซื้อก็ง่าย ในที่สุดก็เริ่มชวนๆ กันยกเลิกสมาชิกขี้ผึ้งจักรพรรดิไปหลายราย ต่อมาก็เริ่มจุดกระแสบอกต่อกันเรื่อยๆ ทำให้ยอดสมาชิกตกลงไปไม่น้อย
 
หลี่คุนโต้กลับด้วยการขอให้ทีมขายหนุ่มหล่อชุดเดิมมาช่วยชี้แจงความแตกต่างของผลิตภัณฑ์สองตัวนี้ให้กับลูกค้าปัจจุบันและก็เดินสายหาลูกค้าเพิ่ม แต่เมื่อเหตุเกิดกระทันหันเช่นนี้ หมอภีมก็งานยุ่งมาก ส่วนนักขายมือทองอย่างแบงค์บอกว่าติดธุระอยู่ที่จีน ยังกลับมาช่วยทันทีไม่ได้ ความเสียหายจึงถูกชะลอไว้ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คนที่เคยคิดว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ได้ ส่วนใหญ่เก็บความไม่พอใจที่ต้องรอคิวสมาชิกขี้ผึ้งจักรพรรดิอยู่นาน ตอนนี้เลยหันไปใช้ขี้ผึ้งฮองเฮากันหมดแล้ว สมาชิกหดหายลูกค้าใหม่ก็ไม่มา ถ้าไม่มีรายได้จากน้ำมันมวยมีคุนมาช่วยไว้ อย่าว่าแต่เงินที่จะเอาไปซื้อวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถระดับปฐพีเลย เกรงว่าแม้แต่ค่าผ่อนคอนโดของเดือนนี้หลี่คุนก็ยังไม่มีปัญญา แต่เดือนต่อๆ ไปไม่รู้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
 
หลี่คุนคิดว่าตัวเองไม่ควรทุ่มเงินไปกับการทดลองโอสถระดับปฐพีจนไม่เหลือเงินเก็บเลยเช่นนี้ แต่โลกนี้ไหนเลยจะมียาแก้เสียใจภายหลัง เขาทำได้แค่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด ตอนนี้มีปัญหาสองอย่าง อย่างแรกคือต้องพยายามเพิ่มยอดขายสินค้าเดิมหรือหาผลิตภัณฑ์ใหม่มาทำให้สภาวะการเงินของบริษัทกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สองเรื่องที่ว่าความลับรั่วไหลไปได้อย่างไร เขาจะวางใจออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างไร
 
เมื่อเจอปัญหาธุรกิจที่พัวพันเช่นนี้ หลี่คุนนึกถึงแต่จางอี้หลง แต่ตั้งแต่อีกฝ่ายกลับไป การพูดคุยผ่านแชทระหว่างทั้งคู่ดูจะน้อยลง หลี่คุนแปลกใจกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่จางอี้หลงเคยพูดว่างานยุ่งมาก ประกอบกับเขาเองถึงจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้นจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยหลายวัน แต่ก็ยังละอายใจกับเรื่องน่าอายที่แอบทำลงไป เขาจึงรู้สึกเข้าหน้าไม่ติดอยู่บ้างถึงอีกจางอี้หลงจะไม่รู้ตัวก็ตาม แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจริงๆ
 
LK : พี่อี้หลงครับ
 
LK : ทักๆ ครับพี่
 
LK : ตอบน้องหน่อย
 
ZYL : มีอะไรครับ
 
LK : ขอคำปรึกษาครับ พี่สะดวกไหม
 
ZYL : พอได้ แต่มีเวลาไม่มากนะ
 
LK : ในทางธุรกิจ เขาใช้วิธีไหนในการขโมยความลับของคู่แข่งครับ พวกสูตรการผลิตอะไรแบบนี้
 
ZYL : สรุปว่าน้องคุนสนใจเรื่องการล้วงของลับของคนอื่นสินะ จริงๆ ก็มีหลายวิธี ง่ายๆ เลยก็ซื้อข้อมูลจากคนใน หรือซื้อตัวคนที่รู้ออกมาเป็นพนักงานตัวเองเลย แต่ถ้าเจาะไม่ได้ ก็อาจจะสืบจากคู่ค้ารายต่างๆ ที่ส่งวัตถุดิบให้ แต่เดี๋ยวนี้เขามักทำวิศวกรรมย้อนกลับ ก็เอาสินค้าคู่แข่งมาชำแหละเลยว่าประกอบด้วยอะไร ถ้าเป็นพวกผลิตภัณฑ์เคมีหรือยา ก็ส่งเข้าห้องแลบวิเคราะห์องค์ประกอบเลยว่ามีสารเคมีอะไรบ้าง แล้วก็เอาไปเทียบฐานข้อมูลถอดออกมาเป็นรายการวัตถุดิบได้ ถ้าคู่แข่งไม่ได้จดสิทธิบัตรไว้ก็เสร็จเรา
 
LK : วิเคราะห์องค์ประกอบนี่ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอครับ
 
ZYL : เดี๋ยวนี้เครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบมันละเอียดมาก เทคโนโลยีที่ใช้ก็มีหลายแบบ อย่าว่าแต่สารเคมีตัวเดี่ยวๆ เลย ขนาดสารซับซ้อนทางชีวภาพเช่นสมุนไพรต่างๆ ยังวิเคราะห์ออกมาได้หมด ทำไม เราจะไปล้วงอะไรใครเหรอครับ
 
LK : เปล่าครับ คือตอนนี้ขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิของเราโดนคู่แข่งเลียนแบบสูตร ถึงคุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่เขาโหมโฆษณาทั้งออฟไลน์ออนไลน์ ตอนนี้ยอดเราตกลงเรื่อยๆ จนสภาพทางการเงินมีแนวโน้มไม่ดี ต้องขอโทษพี่อี้หลงในฐานะผู้ถือหุ้นด้วยที่ผมดูแลไม่ดี
 
ZYL : อืม เรื่องใหญ่จริงๆ แล้วเราจะให้พี่ช่วยอะไร
 
LK : ผมอยากพยายามด้วยตัวเองก่อนครับ ตอนนี้ขอแค่คำปรึกษา ส่วนหนึ่งที่เขาขายดีกว่าเราเพราะราคาต่ำกว่า พี่ว่าเราลดราคาลงสู้ดีไหมครับ
 
ZYL : ทำอย่างนั้นก็เป็น Red Ocean สิ
 
LK : หมายถึงอะไรครับ???
 
ZYL : เป็นศัพท์ด้านกลยุทธ์ธุรกิจครับ หมายถึงการแข่งขันในสินค้าบริการที่เหมือนๆ กัน จนสุดท้ายต้องมาแข่งกันที่ราคา คนหนึ่งลดราคาลงก็เหมือนแทงคู่แข่งจนเลือดไหลไปหนึ่งแผล อีกคนก็ลดราคาสู้ให้ต่ำลงไปอีกก็เหมือนแทงกลับหนึ่งแผล ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่เหลือกำไรกันเลย มีแต่บาดแผลที่ผลัดกันแทงเลือดไหลนองจนกลายเป็นทะเลสีแดงหรือเรดโอเชียนที่ว่า
 
LK : โอ้วว แล้วจะออกจากสถานการณ์น่ากลัวนี้ได้ยังไงครับ
 
ZYL : ก็ต้องหานวัตกรรมใหม่ๆ ให้สินค้าบริการของเราจนไม่ต้องแข่งด้านราคา ที่พี่เคยสอนในวันแรกที่เราเจอกันไง ถ้าทำได้สำเร็จก็เหมือนเราหนีออกจากทะเลเลือดไปสู่ทะเลสีน้ำเงินแห่งใหม่ที่เรียกว่า Blue Ocean ครับ
 
LK : แต่ตอนนี้ลูกค้ารู้สึกว่าขี้ผึ้งของเราไม่ได้ต่างจากคู่แข่งนะครับ กว่าจะเห็นความต่างคงต้องใช้เวลา ถ้าไม่ลดราคาตอนนี้จะขายได้ยังไง
 
ZYL : พี่ว่าขี้ผึ้งน้องคุนมีนวัตกรรมในตัวเองอยู่แล้ว ควรต้องขึ้นราคาครับ
 
LK : ยิ่งขายไม่ได้เข้าไปอีก เดือนหน้าผมจะไม่มีเงินผ่อนคอนโดอยู่แล้วนะพี่
 
ZYL : น้องคุนบอกเองนะว่าสินค้าคู่แข่งไม่ดีเท่าของเรา พี่ก็มั่นใจอย่างนั้น น้องคุนแค่ต้องออกขี้ผึ้งสูตรใหม่ คุณภาพจริงๆ จะปรับปรุงขึ้นมากน้อยไม่สำคัญ ของเราดีอยู่แล้ว แต่ต้องมีเรื่องราวภาพลักษณ์ประกอบว่าเป็นของใหม่ที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน ทีนี้ประกาศให้สมาชิกปัจจุบันจะซื้อได้ในราคาเดิมหากยังเป็นสมาชิกต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ส่วนลูกค้าใหม่จะต้องซื้อในราคาเต็มที่แพงขึ้น พี่ว่าขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไปได้เลย
 
LK : แพงขึ้นอีกตั้งห้าส่วน แล้วใครจะซื้อครับ ฮือ เจ๊งแน่ๆ
 
ZYL : ลองคิดตามนะครับ ถ้าทำอย่างนี้ ขี้ผึ้งของเราจะต่างกับคู่แข่งทั้งด้านภาพลักษณ์และราคาอย่างชัดเจน พอคนเห็นราคาที่ต่างกันขนาดนี้ เขาย่อมไม่คิดว่าคุณภาพจะเหมือนกัน ส่วนจะจริงหรือเปล่า น้องคุนก็บอกแล้วว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ ไหนๆ กำลังการผลิตขี้ผึ้งจักพรรดิก็เพิ่มขึ้นมากไม่ได้ ถ้าไม่ถือโอกาสขึ้นราคาตอนนี้ ต่อไปจะเพิ่มกำไรได้ยังไง
 
LK : ฟังดูเสี่ยงมากเลยครับ
 
ZYL : พี่รับรองว่าลูกค้าปัจจุบันที่เชื่อมั่นในขี้ผึ้งของน้องคุน ยังไงก็ไม่กล้ายกเลิกสมาชิก ไม่งั้นตอนกลับมาเป็นใหม่จะต้องจ่ายแพงกว่าเดิม เราก็ใช้ฐานสมาชิกตรงนี้เลี้ยงไปก่อน พอลูกค้าใหม่หรืออดีตลูกค้าทราบความแตกต่าง ก็ต้องยอมจ่ายที่ราคาสูงขึ้น อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่สุดท้ายไปได้สวยแน่นอน
 
LK : ผมเริ่มเห็นด้วยแล้วครับ แต่กว่าจะเห็นผล บริษัทเงินไม่พอแน่ๆ
 
ZYL : เรื่องนี้พี่ขออนุญาตช่วยนะครับ น้องคุนต้องเพิ่มทุนบริษัท แล้วพี่จะเป็นคนใส่ทุนส่วนใหม่ให้เองและซื้อหุ้นตรงจากเราส่วนหนึ่งด้วย ตอนนี้พี่ประเมินมูลค่าฉางอันโอสถไว้สูงกว่าเดิมมาก รับรองน้องคุนจะต้องพอใจ สัดส่วนใหม่พี่จะถือเป็นประมาณสิบห้าเปอร์เซ็นต์ น้องคุนก็ยังเป็นหุ้นใหญ่และฝ่ายบริหารอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
 
LK : จริงเหรอพี่ ถ้าอย่างนั้นผมก็มีเงินไปผ่อนคอนโดแล้ว แต่ว่าพี่มีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ
 
ZYL : พี่มีทางของพี่ครับ น้องคุนไม่ต้องเป็นห่วง นั่งรอรับเงินได้เลย
 
LK : ขอบคุณนะพี่อี้หลง ถ้าไม่ได้พี่ช่วยผมตายแน่ๆ ดีล่ะ ผมจะรีบไปคิดสูตรขี้ผึ้งตัวใหม่ รับรองดีกว่าตัวเดิมไม่น้อยแน่ๆ
 
ความเชี่ยวชาญในการปรุงยาของหลี่คุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง เขาใช้เวลาไม่นานนักในที่สุดปรับขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณสูตรใหม่ที่ทั้งดีกว่าเดิมและลดต้นทุนลงได้อีก ที่สำคัญเขามั่นใจในความซับซ้อนของสูตรที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ถ้าของเก่ายังเลียนแบบได้แค่นั้นของใหม่ก็ไม่ต้องพูดถึง หลังจากประชุมหารือกับพวกเด็กๆ เขาก็ตัดสินใจตั้งชื่อสินค้าตัวนี้ว่า ‘ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญู’
 
เรื่องราวเบื้องหลังที่เด็กๆ นำโดยซูเอ๋อร์ที่มีจินตนาการบรรเจิดกว้างไกลช่วยกันแต่งคือ ขี้ผึ้งสูตรนี้ได้สืบทอดจากตำหรับของฮ่องเต้ในยุคจีนโบราณที่มีราชโองการให้หมอหลวงระดมความรู้ทั่วหล้าปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับให้ฮ่องเต้ทูลถวายต่อองค์ไทเฮาผู้เป็นมารดาเพื่อแสดงความกตัญญู ลองคิดดูว่าระหว่างฮองเฮากับไทเฮา ใครจะต้องการสรรพคุณการลบเลือนริ้วรอยที่มากกว่ากัน อีกทั้งของที่บุรุษผู้อยู่เหนือคนใต้หล้านำมาให้แก่มารดาย่อมต้องดีที่สุด เพียงแค่เพิ่มความว่ากตัญญูลงในชื่อ เรื่องราวก็เหนือชั้นกว่าสินค้าคู่แข่งไปไกลลิบแล้ว
 
สินค้าตัวใหม่ที่มาทดแทนของเดิมพร้อมกับราคาที่ปรับขึ้นถูกประกาศให้สมาชิกทราบในทันที เรื่องราวน่าประทับใจระหว่างฮ่องเต้และไทเฮาได้ถูกถ่ายทอดเติมแต่งโดยทีมขายหนุ่มหล่ออย่างซาบซึ้งและเต็มไปด้วยสีสรร สมาชิกที่อยู่ระหว่างชั่งใจว่าจะย้ายค่ายหรือไม่ ตัดสินใจที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน ความเสียหายไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ หลี่คุนเข้าใจว่ามันต้องใช้เวลา ตอนนี้เขาต้องรีบดำเนินการเรื่องเพิ่มทุนกับขายหุ้นบางส่วนให้กับจางอี้หลงเพื่อให้มีเงินมาหมุนเวียนใช้ในธุรกิจและใช้จ่ายส่วนตัว เลยถือโอกาสเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หมอภีมทราบในฐานะผู้ถือหุ้นอีกรายหนึ่ง
 
“คุณคุณานนท์ตัดสินใจไปแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้องหรอกครับ ที่มาถือหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี่ก็ช่วยให้มีผู้ถือหุ้นครบสามคน คลีนิคฝังเข็มผมก็ไปได้ดีอยู่ ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็บอกได้นะครับ ส่วนเพิ่มทุนครั้งนี้ผมก็ขอตามเพื่อรักษาสัดส่วนให้เป็นหนึ่งเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแล้วกัน หุ้นนิดเดียวถึงราคาใหม่จะสูง คูณแล้วส่วนของผมก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร”
 
“ขอบคุณมากครับ ตอนนี้การเงินผมไม่ค่อยดี งั้นเรื่องรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีขึ้นไปที่ผมให้คุณหมอช่วยหา ถ้าเจอก็นิ่งๆ ไว้ก่อนนะครับ ไว้มีเงินค่อยว่ากันใหม่ แล้วตัวแผนธุรกิจใหม่ คุณหมอมีอะไรจะแนะนำบ้างไหมครับ”
 
“ผมเป็นหมอ เรื่องธุรกิจลึกๆ ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ แต่ถ้ามองมุมกลับ พอตั้งราคาขี้ผึ้งใหม่ให้สูงขนาดนั้น คนที่เป็นอดีตสมาชิกที่เขาอยากจะกลับมาใช้ของเรา พอเจอราคาสูงๆ เขาจะไม่ชะงักเอาเหรอ ถ้าราคาเท่าเดิม เขาก็คงทะยอยกลับเรื่อยๆ อย่างนี้คล้ายๆ เราปิดประตูไม่ยอมให้เขากลับบ้านนะครับ ถ้าไม่บอกคงนึกว่าตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้คู่แข่ง แต่ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้ประกาศออกไปแล้ว คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้สินะครับ”
 
หลี่คุนนิ่งไปเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาบ้าง เขาไม่เคยมองในแง่นี้เลย และยิ่งหวั่นใจขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดทิ้งท้ายของหมอภีม
 
“สุดท้ายถ้าลูกค้ามองว่าความต่างในคุณภาพนี้ไม่คุ้มค่าเงิน คุณคุณานนท์ไม่ต้องเพิ่มทุนหรือเทขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ เหรอครับ สุดท้ายใครกันที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนี้”
 
###################

ขออภัยครับ หายไปนานมากกกก
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:41:53
27

 
หลี่คุนเฝ้ารอผลจากใจจดใจจ่อว่าแผนธุรกิจใหม่ของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูจะไปได้ดีขนาดไหน ความเห็นจากหมอภีมก็น่ากังวล แต่เขาเลือกที่จะใช้วิธีของจางอี้หลงไปแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อ จะว่าไปมันก็มีเหตุผลทั้งคู่ เพียงแต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าให้น้ำหนักอะไรมากกว่ากันระหว่างเงินกับความงาม ยอดยืนยันสมาชิกทั้งเก่าและใหม่จะตัดตอนใกล้ๆ สิ้นเดือนช่วงนี้จึงยังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ หลี่คุนรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ไม่น้อย ในทางธุรกิจเขาก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใครนอกจากจางอี้หลง แต่อีกฝ่ายก็ดูจะธุระยุ่งเสียเหลือเกิน ยังดีที่เจียดเวลามาตอบคำถามของเขาบ้างโดยมีคำแนะนำให้ว่าช่วงนี้คือต้องศึกษาคู่แข่งให้ดี ในยุคนี้คนที่มีข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องกว่าจะเป็นผู้ชนะในสงครามธุรกิจ หลี่คุนฟังแล้วก็รู้สึกคล้ายกับหลักการรู้เขารู้เราในตำราพิชัยสงครามซุนวู ต่างกันที่ในอดีตมีปัญหาว่าจะหาข้อมูลข่าวสารจากไหนและส่งไปให้ทันท่วงทีได้อย่างไร แต่สมัยนี้ที่สามารถส่งข่าวได้รวดเร็วเพียงพริบตา กลับมีปัญหาว่าข้อมูลมีมากมายมหาศาลจนเกินไปไม่รู้อันไหนจริงอันไหนปลอมอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ
 
หลี่คุนตัดสินใจเริ่มจากบริษัทคู่แข่ง เขาให้นักกฎหมายช่วยตรวจสอบความเป็นมาให้ว่าเป็นบริษัทของเครือกิจการไหน โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีใคร ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ก่อตั้งมานานแล้วหรือยัง ส่วนนักบัญชีก็ให้ช่วยเอาข้อมูลงบการเงินมาวิเคราะห์ให้ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมีทุนมากน้อยขนาดไหน นักกฎหมายรับเรื่องไปแล้วกลับมาบอกว่าต้องใช้เวลาสักพักเพราะบริษัทนี้มีการถือหุ้นที่ค่อนข้างอำพราง จึงต้องค่อยไล่ผู้ถือหุ้นที่ซ้อนกันขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจะเจอเจ้าของที่แท้จริง
 
หลี่คุนไม่แน่ใจว่าทำไมช่วงหลังนี้ ตินดูจะเกาะติดกับเขามากกว่าเดิม จะบอกว่าเป็นห่วงธุรกิจของเขาที่กำลังมีปัญหาก็ไม่เชิง ใช่ว่าตินจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็น เพียงแต่หลี่คุนมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามอง ต่างจากซูเอ๋อร์ที่อยู่ๆ ก็ไม่ได้แสดงอาการสงสัยติดใจในเรื่องที่อธิบายได้ยากของเขาอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้ น้องชายที่มองโลกในแง่ดีไม่คิดอะไรมากเช่นนี้น่ารักเหลือเกิน แต่เนื่องจากเขาไม่เหลือวัตถุดิบที่จะใช้ฝึกหลอมยาระดับปฐพีแล้ว หลี่คุนเลยมีเวลาว่างตามตินไปค่ายมวยเพื่อช่วยครูมีนวดพวกพี่ๆ น้องๆ นักมวยตามที่โดนชวน
 
หลี่คุนได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่มาที่ค่ายครูเผด็จ เดิมก็ด้วยฝีมือในการนวดที่สืบทอดมาจากครูมี ต่อมาก็เพิ่มฐานะผู้สร้างสรรน้ำมันมวยมีคุณที่สร้างกำไรทำให้ค่ายอยู่ในภาวะตกต่ำยังสามารถเลี้ยงนักมวยฝึกหัดที่ยังไม่มีค่าตัวไว้ได้ แม้แต่ครูแผ่นดินลูกชายครูเผด็จที่รับช่วงบริหารค่ายมวยต่อจากผู้เป็นพ่อยังต้องเกรงใจหลี่คุณอยู่เจ็ดแปดส่วน เขาเพิ่งเสร็จจากการช่วยครูมีนวดนักมวยไปสี่ห้าคนก็มีคนมาตามให้ไปพบครูแผ่นดิน
 
ครูแผ่นดินเป็นหนุ่มใหญ่พ่อหม้ายเมียทิ้งมีลูกชายวัยมอต้นหนึ่งคน วันนี้ดูหน้าตาเต็มไปด้วยความกังวลเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น หลี่คุนเห็นแล้วก็แปลกใจมาก ถึงค่ายจะยังอยู่ระหว่างฟื้นตัว แต่ปัญหาเรื่องเงินก็ถูกแก้ไขไปแล้วด้วยส่วนแบ่งกำไรจากน้ำมันมวยที่มีเข้ามาทุกเดือน ถึงตอนนี้คู่แข่งอย่างขี้ผึ้งฮองเฮาจะทำให้ฉางอันโอสถอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยมีกำไรนัก แต่นั่นไม่กระทบต่อส่วนแบ่งของค่ายที่มาจากน้ำมันมวยมีคุณซึ่งยังไปได้ดีอยู่
 
“คุน พี่ปรึกษาหน่อยว่ะ ถ้าพี่ขอยกเลิกว่าต่อไปไม่เอาส่วนแบ่งของน้ำมันมวยมีคุณแล้ว แต่ขอเป็นสักเงินก้อนแทนได้ไหมวะ แลกกับสิทธิ์ขาดให้เราสามารถใช้ชื่อค่ายมวยพี่ได้ตลอดไป”
 
“ไม่ดีหรอกพี่ ถึงตอนนี้ส่วนแบ่งที่ค่ายได้จะยังไม่เยอะมาก แต่ต่อไปมีแต่จะโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากชื่อเสียงความเป็นต้นตำหรับมวยไทยของค่าย พี่ดินเอาสิทธิ์มาขายขาดแบบนี้จริงๆ ตัวเองเสียเปรียบนะ”
 
“พี่ไม่มีทางเลือกแล้วว่ะ ถ้าสิ้นปีนี้ไม่มีเงินก้อนไปให้ ที่ดินแปลงนี้จะถูกธนาคารยึด ถึงตอนนั้นยังไงค่ายมวยก็ต้องปิดอยู่ดี”
 
“เดี๋ยวพี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงได้เร่งด่วนแบบนี้”
 
หลี่คุนฟังแล้วก็ยิ่งให้เจ็บใจตัวเองที่ไม่เก็บเงินก้อนเอาไว้เลย วัตถุดิบล้ำค่าที่ทุ่มเทเงินซื้อหามาเพื่อใช้ปรุงยาระดับปฐพีแล้วยังไม่สำเร็จ ตอนนี้กลายเป็นก้อนเหนียวๆ ดำๆ เก็บใส่โถกระเบื้องไว้เต็มไปหมดไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทำไมเรื่องต้องมาเกิดตอนที่เขาถังแตกแบบนี้
 
แผ่นดินเล่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนให้หลี่คุนฟัง ตอนนั้นยิมมวยไทยในรูปแบบทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่กำลังได้รับความนิยม แผ่นดินก็ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนไปเปิดยิมลักษณะนี้ในห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แห่งหนึ่ง ตอนนั้นจึงได้มาขอให้ครูเผด็จเอาที่ดินแปลงนี้ไปเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินก้อนใหญ่จากธนาคารมาลงทุน ในตอนแรกธุรกิจก็ดูจะไปได้ดีด้วยมีชื่อเสียงของค่ายมวย ศ.เผด็จศึกหนุนหลังอยู่ แถมยังมีนักมวยดังๆ ของค่ายผลัดกันไปเป็นเทรนเนอร์ด้วย
 
แต่ต่อมาก็มีนายทุนใหญ่มาเปิดธุรกิจแบบเดียวกันด้วยสถานที่ที่ใหญ่และตกแต่งสวยหรูกว่า การฝึกหัดมวยก็สบายๆ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องชกมวยได้จริงๆ เน้นไปที่การตั้งท่าเพื่อถ่ายรูปเท่ๆ มากกว่า นอกจากนั้นยังสร้างบรรยากาศด้วยพริตตี้สาวในชุดนักมวยสั้นๆ เดินไปเดินมา รูปแบบนี้กลับถูกจริตลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฐานะมากกว่า ยิมมวยไทยที่เน้นการฝึกแบบเข้มงวดจริงจังเพื่อให้เป็นมวยจริงๆ ของแผ่นดินก็ค่อยๆ ซบเซาลง สุดท้ายแผ่นดินก็ต้องยอมรับว่าแนวทางของตัวเองไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าจนต้องปิดยิมมวยลงพร้อมกับหนี้สินก้อนใหญ่
 
หลังจากเคลียร์หนี้ด้วยสินทรัพย์บางส่วนไปและเข้าสู่การประนอมหนี้ ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ก็มีภาระที่ต้องผ่อนจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นพร้อมเงินต้นอีกเล็กน้อยในแต่ละเดือน โดยมีเงื่อนไขที่จะต้องชำระเงินต้นอีกก้อนหนึ่งทุกๆ สิ้นปี นี่เป็นเหตุให้ทางค่ายไม่มีเงินทุนมาใช้จ่ายในการดึงตัวหรือพัฒนานักมวยในช่วงหลังๆ จนเริ่มตกต่ำลง ด้วยความประหยัดของแผ่นดิน ทำให้ชำระเงินรายเดือนได้ครบถ้วนตลอด แต่ปัญหาคือเงินก้อนที่ต้องจ่ายสิ้นปีนี้
 
“แล้วปีก่อนๆ พี่ดินทำยังไงครับ”
 
“ก็พยายามออมเงินไว้จนสิ้นปี แล้วไปเจรจากับแบ๊งค์ มีเท่าไหร่ก็จ่ายไปเท่านั้น ทุกปีเขาก็ยอมนะ แต่ปีนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผู้จัดการยืนยันหนักแน่นว่าต้องเอามาให้ครบยอด ไม่งั้นจะยึดที่ดินไปขายทอดตลาด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะผ่อนผันให้เหมือนทุกปีอยู่เลย”
 
“แล้วทางด้านเงินรางวัลจากแข่งชกมวยไม่มีบ้างเหรอ พี่ได้เงินส่วนแบ่งจากน้ำมันมวยไปดูแลนักมวยมากขึ้น คนที่คิดจะออกก็อยู่ต่อ ผลงานรวมๆ น่าจะดีขึ้นนะครับ ไหนจะพวกสปอนเซอร์อีก”
 
“มันก็เหมือนจะดีนะ มีสปอนเซอร์เข้ามาคุยเกือบจะตกลงกันได้แล้ว แต่ดันเกิดเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงค่ายซะก่อน คุนยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ ตินมันไม่ได้เล่าใช่ไหม พี่เองก็ไม่อยากจะเล่าเลยว่ะ ขายขี้หน้าชะมัด”
 
“เกิดอะไรพี่ นอกจากเรื่องหนี้แล้วยังมีอะไรอีก”
 
“ก็ไอ้จอมกับไอ้เด่นนะสิ ก่อเรื่อง”
 
“สองคนนี้อ่ะนะ ปกติเห็นเชื่อฟังพี่กับพวกครูฝึกจะตาย จะก่อเรื่องอะไรได้”
 
หลี่คุนแปลกใจ จอมกับเด่นเป็นนักมวยวัยสิบแปดสิบเก้าปีที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของค่ายหลายปีแล้ว มาจากคนละจังหวัด คนหนึ่งเข้มคนหนึ่งขาวแต่ก็สนิทกันดี ตอนนี้ทั้งคู่ขึ้นชกจนเริ่มมีค่าตัวแล้ว
 
“มันมีปัญหา คนนึงยายป่วย คนนึงที่นาพ่อจะถูกยึด แล้วดันไปเข้าตาสตูดิโอถ่ายภาพที่ไหนไม่รู้ ชวนมันไปถ่ายนู้ดคู่ พวกแม่งก็ไป กลับมาก็ปิดเงียบ จนหนังสือใกล้จะออก พี่ถึงได้เห็นรูปที่เขาโปรโมทมา ผ่างเลยว่ะ ทั้งเสื้อทั้งกางเกงมวยตอนก่อนที่จะถอด มีชื่อค่ายมวยเราหราเลย พี่พยายามติดต่อทางสำนักพิมพ์ไปว่าอย่าเพิ่งเผยแพร่ แต่เขาไม่รับรู้บอกว่าออกเป็นอีบุ๊คส่งไฟล์ไปที่ไต้หวันแล้ว สุดท้ายเล่มเต็มก็ออกมา แล้วธีมก็ดันเป็นนักมวยนวยเนียกันด้วยนะ ไปถ่ายที่ค่ายมวยไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ของเรา ตากล้องก็โรคจิต ให้แม่งเลื้อยกันไปทั่วค่าย บนเวทีบ้าง ในห้องน้ำบ้าง แนวเพื่อนนักมวยแมนๆ คลุกวงในกันเอง พี่งี้หน้าชาเลยว่ะ ใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นที่ค่ายเรา ปกติหนังสือหัวนี้แรงอย่างนี้ซะที่ไหน ช่วงนี้หนังสือออกน้อย เล่มนี้เลยกลายเป็นค่อนข้างดังขึ้นมา สองตัวนั้นมันก็หน้าตาใช้ได้ อย่างอื่นก็ไม่น้อยหน้า บ้านๆ แปลกตาดีด้วยมั๊ง ไม่ใช่ตี๋ๆ ขาวๆ เข้ายิมตากแอร์แบบเล่มอื่น”
 
หลี่คุนฟังเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ ไม่ขัดจังหวะ
 
“สักพักคนในแวดวงมวยก็เริ่มรู้ พอส่งต่อๆ กัน เรื่องก็ไปถึงผู้ใหญ่ในสมาคม พี่ถูกเรียกไปตักเตือน ถึงไม่ได้ถ่ายที่ค่าย ศ.เผด็จศึก แต่ก็เถียงไม่ออกว่าไอ้สองตัวนั้นมันไม่ใช่นักมวยเรา ตอนนี้ค่ายเราเลยถูกมองว่าเป็นค่ายมวยโป๊ๆ เปลือยๆ ไปแล้ว ชื่อเสียงเสียหาย โปรโมเตอร์มวยก็สลับเอานักมวยเราออก สปอนเซอร์ก็เปลี่ยนใจ นี่พ่อพี่ยังไม่รู้เรื่องเลยนะ กลัวแกเป็นลม”
 
“แล้วจอมกับเด่นว่าไงล่ะพี่”
 
“จะว่าไงได้ นี่พี่ต้องไปช่วยมาจากยำตีนของคนอื่นๆ มันสองตัวก็สำนึกนะที่ทำลายชื่อเสียงของค่าย แต่คนที่จ้างงานบอกว่าถ้าไม่ยอมใส่กางเกงมวยที่มีชื่อค่ายก็จะไม่ให้เงิน ขอต่อรองเป็นกางเกงมวยธรรมดาเขาก็ไม่เอา มันเข้าตาจน ร้อนเงิน ก็เลยจำใจทำไป”
 
“แล้วพี่จะไล่จอมกับเด่นออกไหม”
 
“อยากไล่ก็ไล่ไม่ลงว่ะ บอกว่าไม่มีที่ไป ค่ายมวยอื่นก็ไม่มีทางรับพวกมัน ไม่งั้นก็ต้องกลับต่างจังหวัดไปทำนา ไม่มีโอกาสอะไรในชีวิตอีก แต่สุดท้ายถ้าโดนยึดที่ ก็คงไม่มีที่ไปกันทั้งค่ายละวะ”
 
“พี่ว่ามีคนจงใจทำให้เกิดเรื่องพวกนี้เปล่า”
 
“ก็เป็นไปได้ เหมือนตั้งใจทำลายชื่อเสียงค่าย ก่อนหน้านี้ก็มีเด็กมาบอกว่ามีคนจะจ้างมันล้มมวยด้วย แต่มันไม่เอา รีบมาบอกพี่ก่อน ถ้าถูกจับได้นี่ใครจะมาเชื่อถือค่ายเราอีก ตั้งแต่เกิดเรื่องไอ้จอมไอ้เด่น คุนรู้เปล่า มีแต่คนโทรเข้ามือถือพี่มาขอมาถ่ายทำชีวิตนักมวยแบบวาบหวิวในค่ายบ้าง ขอให้ส่งเด็กคนนั้นคนนี้ไปเอ็นเตอร์เทนบ้าง ไม่รู้มาจากไหนกันมากมาย ทั้งๆ ที่เบอร์นี้พี่ให้เฉพาะคนวงในสำหรับติดต่อเรื่องมวยเท่านั้น ตอนหลังก็เริ่มกระจายไปทั่ว ขนาดเพื่อนพี่ยังโทรมาถามเลยว่ามีนักมวยรับงานเสริมเปล่า แล้วก็โดนปล่อยข่าวในวงการมวยอีกว่าน้ำมันมวยมีคุณของค่ายเราเอาไว้ใช้มั่วเซ็กส์ได้ดีกว่าใช้นวดตัวอีก ไม่รู้เริ่มมีผลกระทบกับยอดขายบ้างหรือเปล่า”
 
มีสิครับ ว่าแล้วทำไมยอดล่าสุด ถึงขายดีเป็นพิเศษ หลี่คุนตอบในใจ
 
“เดี๋ยวเรื่องเงินส่งธนาคาร ผมขอไปทำการบ้านก่อนนะครับ ยังไงจะพยายามหาทางออกให้อย่างเต็มที่ พี่ประคองขวัญคนในค่ายไว้ก่อน อย่าให้ใครออกเด็ดขาด รวมถึงสองคนนั้นด้วย”
 
“ถ้ามีคนตั้งใจทำลายค่ายมวยนี้จริง คุนเองก็ต้องระวังหน่อยนะ ตอนนี้ทั้งชื่อเสียงทั้งแหล่งรายได้ของค่ายก็ถูกตัดหมดแล้ว เหลือแต่น้ำมันมวยมีคุณนี่แหละ เรื่องที่คุนเป็นเจ้าของตัวจริงแถวนี้ก็รู้กันทั้งนั้น ถ้าเขาจะตัดแหล่งรายได้สุดท้าย ก็อาจจะพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจน้ำมันมวยหรือไม่ก็ตัวคุนเลย”
 
แผ่นดินพูดอย่างเป็นห่วง
 
“ก็อยากให้มาเหมือนกันครับ”
 
 “อย่าพูดเป็นเล่นไป พวกอันธพาลน่ะ มันทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวขากลับให้พวกนักมวยเดินไปส่งจนถึงรถไฟฟ้าไหม มันมีจุดเปลี่ยวๆ อยู่”
 
ทำเลของค่ายมวย ศ.เผด็จศึกนับว่าไม่เลว ถึงจะอยู่ห่างย่านชุมชนออกไปหน่อย แต่ก็ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ยิ่งภายหลังมีการสร้างสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายตรงบริเวณใกล้เคียง ทำให้สามารถเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าได้ แต่ต้องเดินลัดเลาะต่ออีกเป็นระยะทางไกลพอสมควร ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นตามความเจริญ อาจเป็นสาเหตุให้ธนาคารเริ่มเร่งรัดหนี้สินก็เป็นได้
 
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมเดินไปกับไอ้ติน กล้ามซะขนาดนั้น ใครจะมาทำอะไรได้”
 
ปรากฏว่ามี และมากันเยอะด้วย!!!
 
หลี่คุนกับตินเดินมาตามถนนเส้นเล็กๆ ที่นอกจากนักมวยในค่ายแล้วก็แทบจะไม่มีใครใช้กันก็เจอกับคนชุดดำกลุ่มใหญ่ดักรออยู่ จิตสังหารที่หลี่คุนรู้สึกได้บอกว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาดี ตินหันมาสบตากับเขาเหมือนจะเตือนให้ระวังตัว คนบางส่วนตีโอบไปด้านหลังแสดงท่าทีว่าจะกันไม่ให้พวกเขาหนีกลับไปทางค่ายมวย
 
“จับตัวไอ้หน้าหล่อให้ได้!! ระวังไอ้ล่ำด้วย ท่าทางมันจะเป็นนักมวย”
 
คนเป็นหัวหน้าออกคำสั่ง ลูกน้องกว่าสิบคนเคลื่อนไหวทันที คนจำนวนเยอะแต่การลงมือไม่สับสน หลี่คุนเห็นแล้วก็นึกในใจว่าไม่ใช่อันธพาลทั่วไปแน่ น่าจะเป็นมืออาชีพในการทำเรื่องชั่วช้า
 
ตินเอาตัวเข้ามาขวางระหว่างคนชุดดำกับหลี่คุน ชายหนุ่มตั้งการ์ดแบบนักมวยฉายแววอันตรายออกมา ท่าทางพึ่งพาได้จนหลี่คุนรู้สึกตื้นตันในตัวเพื่อน เขาเริ่มใช้ท่าเท้าท่องคลื่นเพื่อเตรียมรับมือกับชายชุดดำที่เข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
 
“อย่าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว อยู่ข้างกูไว้”
 
ท่าเท้าท่องคลื่นยังไม่ทันได้เปล่งประกาย หลี่คุนก็ถูกตินฉุดตัวกลับเข้ามาอยู่ใกล้ๆ หนุ่มนักมวยโยกตัวฟุตเวิร์คไป รอบๆ ตัวเพื่อน คอยออกหมัดใส่คนที่บุกเข้ามา ฝีมือของตินไม่ธรรมดา เขาเรียนมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะไม่ได้ขึ้นชกอาชีพ แต่น้ำหนักหมัดนั้นน็อคคนส่วนใหญ่ได้เลย คนแรกที่บุกเข้ามาเจอจังๆ ถึงกับหงายหลังไป มิเสียแรงที่สัดส่วนร่างกายยอดเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกยุทธ์ยิ่งนัก
 
“เข้าไปพร้อมๆ กัน จัดการไอ้นักมวยก่อน ที่เหลือล้อมไว้ด้านนอก อย่าให้ไอ้หล่อหนีไปได้”
 
ชายชุดดำดาหน้ากันเข้ามา ตินรีบกระซิบบอก
 
“ถ้ามีช่องมึงรีบหนีไปก่อนเลยนะ ค่อยตามคนมาช่วยกู”
 
ถ้าหลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นก็คงหนีไปได้อย่างง่ายดายนัก แต่เขาหรือจะทิ้งเพื่อนไปเช่นนั้น ตอนนี้ตินรับศึกหนักจากหลายทาง เขาล้มไปได้อีกคน แต่กำลังถูกเล่นงานจากสองคนที่เข้ามาเสริม หลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นพลิกพริ้วเอาตัวเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว เขาเกร็งกำลังภายในซัดฝ่ามือเมตตาบารมีเข้าใส่ทันที ชายชุดดำรู้สึกเหมือนโดนพลังประหลาดปะทะอย่างแรงแล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขากระเด็นออกไปไกลกองอยู่บนพื้นแล้วขยับตัวไม่ได้อีกเลย
 
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
 
ตินที่ยังพัวพันกับชายชุดดำอีกคนเห็นเหตุการณ์เพียงแว้บๆ ด้วยหางตาร้องถามขึ้น หลี่คุนชะงักท่าร่างที่กำลังจะใช้ฝ่ามือเมตตาบารมีจัดการคนทั้งหมดในคราเดียว ช่วงนี้ตินเหมือนจะสงสัยในตัวเขา ถ้าเผยวรยุทธ์นี้ออกไปอีกเขาคงไม่มีทางอธิบายได้แน่ ในระหว่างนั้นเอง หัวหน้าของชายชุดดำก็เหมือนจะหมดความอดทน
 
“แค่เด็กสองคนยังจัดการไม่ได้ เอากระบองไฟฟ้าไปช๊อตมันให้จบๆ ไป เสียเวลาจริง งานง่ายๆ แค่นี้”
 
หลี่คุนยังลังเลว่าจะจัดการสถานการณ์นี้อย่างไรโดยไม่ให้เพื่อนรู้ความลับนี้ เขาไม่อยากเสียความเป็นเพื่อนของตินไป แต่ความล่าช้าอันนี้ทำให้ตินถูกกระบองไฟฟ้าช๊อตจนลงไปกองกับพื้น ชายชุดดำรีบกรูเข้าไปรุมอัดหนุ่มนักมวยจนร่างกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป
 
หลี่คุนแผ่รังสีฆ่าฟันอันอำมหิตออกมาอย่างรุนแรงจนแม้แต่คนธรรมดาอย่างชายชุดดำยังสัมผัสได้ พวกเขามองอย่างเสียวสันหลังไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่ตอนแรกคิดว่าอ่อนแอกว่าอีกคน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงเงาพร่าเลือนเคลื่อนที่ไปมาอย่างซับซ้อนมองตามไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกกระแทกอย่างแรงตรงหน้าอกกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ทั่วร่างเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยพลังประหลาดถ้าไม่สลบก็ขยับตัวไม่ได้ เพียงไม่กี่อึดใจคนชุดดำนับสิบก็ลงไปนอนกองกับพื้นจนหมด ตั้งแต่อยู่ในวงการใต้ดินมา ไม่มีใครเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
 
ตอนนี้เหลือชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าเพียงคนเดียว ดวงตากร้านชีวิตนั้นเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาล้วงด้านในเสื้อแจ็คเก็ตหยิบเอาปืนพกสีดำทะมึนขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะปลดล็อก คนที่เคยเป็นเป้าหมายในการลงมือก็มาอยู่ตรงหน้าในพริบตาต่อมาร่างเขาก็ลงไปกองอยู่บนพื้นเหมือนคนอื่นแต่ดูจะเจ็บปวดกว่ามาก
 
หลี่คุนใช้เท้าเตะปืนไฟที่เขาแสนเกลียดชังทีเดียวลอยไปไกลหลายร้อยเมตรจนตกลงไปกลางแม่น้ำเจ้าพระยาที่เห็นอยู่ไกลลิบๆจากนั้นเขาก็รีบตรวจสอบในปากของคนร้ายตรงหน้า เมื่อไม่พบยาพิษฆ่าตัวตายซ่อนไว้ที่ฟันก็วางใจเริ่มสอบสวนทันที
 
“พูด!!! แกต้องการอะไร”
 
แม้ความเจ็บปวดที่ได้รับจะทำให้สติยังไม่กลับคืนมาเต็มที่ แต่หัวหน้าชายชุดดำก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามชวนขนลุก บรรยากาศแทบไม่ต่างจากนายทหารชั้นแม่ทัพที่เขาเคยเจอมา แต่นายจ้างตัวจริงก็ดูจะมีความเป็นมาใหญ่หลวงเช่นกันเช่นกัน เมื่อเทียบกับเด็กที่มีประวัติแสนธรรมดาคนนี้ เขาจึงเลือกที่จะไม่ปริปาก
 
แต่หลี่คุนไม่ได้มีความอดทนมากนัก ชายชุดดำรู้สึกหมือนโดนกดเบาๆ ตรงข้อพับแขน ทันใดนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสเจียนตายก็ลามไปทั่วร่าง
 
“ยังไม่รีบพูดอีก ทัณฑ์แยกเส้นเอ็นนี้แกรับไหวเหรอ”
 
ความเจ็บปวดระลอกใหม่ถาโถมเข้ามาเมื่อจุดเดิมตรงข้อพับถูกกระตุ้น เขารับไม่ไหวจริงๆ
 
“ยอมแล้วๆ มีคนจ้างผมมา ให้จับตัวคุณไป”
 
“เพื่ออะไร”
 
“ผมไม่รู้ เหมือนเขาต้องการของหรือข้อมูลอะไรสักอย่างจากคุณ”
 
หลี่คุนอ่านลักษณะของชีพจรแล้วคาดว่าคนผู้นี้ไม่ได้โกหก
 
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
 
หลี่คุนตบหน้าฉาดใหญ่เพื่อระบายโทสะ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือต่อ เสียงครางเบาๆ จากทางด้านหลังหันเหความสนใจของหลี่คุนไปอีกทาง
 
“โอย ไอคุน อยู่ไหน... หนีไป...”
 
เขาไม่ควรมาเสียเวลากับเศษสวะตรงหน้า ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคืออาการบาดเจ็บของเพื่อน หลี่คุนเก็บงำประกายฆ่าฟันแล้วรีบเข้าไปตรวจสอบอาการของตินทันที โชคดีที่อาการไม่หนักหนาอย่างที่คิด หลี่คุนลอบถ่ายทอดลมปราณเข้าไปช่วยฟื้นคืนกำลังและสลายจุดฟกช้ำทั่วร่าง เพียงชั่วครู่ตินก็ได้สติเต็มที่แล้วมองบรรดาชายชุดดำที่นอนฟุบอยู่รอบๆ
 
“เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมพวกมันหมอบกันหมดแบบนี้”
 
“พอดีไอ้นั่นมันโดนมึงต่อยจนเกือบหมดแรงแล้วก่อนมึงจะล้มลง กูฉวยโอกาสแย่งกระบองไฟฟ้ามาได้ เลยไล่ซ๊อตพวกมันสลบไปทีละคนเพิ่งจะเสร็จนี่แหละ”
 
“มึงเจ๋งว่ะ ไม่น่าเชื่อเลย รีบออกไปจากตรงนี้ก่อนที่พวกมันจะฟื้นขึ้นมาเถอะ กูว่ากูพอเดินไหว ไม่รู้พวกแม่งมาจากไหนกันว่ะ อยู่ๆ ก็เข้ามาเล่นงานเฉยเลย”
 
อานุภาพของฝ่ามือเมตตาบารมีมิใช่สามัญ แม้จะไม่ทำอันตรายถึงอวัยวะภายใน เกรงว่าภายในสามชั่วยามคงยังไม่มีใครลุกขึ้นมาได้ หลี่คุนยังอยากจะสืบความกับพวกคนร้ายอีกสักหน่อย แต่ก็ไม่อาจสร้างความน่าสงสัยไปมากกว่านี้จึงรีบประคองตินเดินออกมา
 
จนเมื่อขึ้นมานั่งบนแทกซี่ได้ตินถึงรู้สึกโล่งใจ เขารีบโทรหาคนรู้จักที่เป็นตำรวจให้เข้าไปดูที่เกิดเหตุ ทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรงจึงฝากตำรวจช่วยสืบต่อว่าใครเป็นคนจ้างวานให้ลักพาตัวในครั้งนี้ ไม่คาดว่าตำรวจจะแจ้งมาภายหลังว่าไม่พบผู้ร้ายแล้วตอนที่เดินทางไปถึง ตินไม่แปลกใจอะไรเพราะรู้ว่าตำรวจไทยไม่ได้มีกำลังคนหรือทรัพยากรมากพอที่จะทำงานได้ฉับไวขนาดนั้น แต่หลี่คุนยังข้องใจอยู่มาก คนกลุ่มนั้นโดนฝ่ามือเมตตาบารมีไปไม่น่าจะสามารถขยับเขยื้อนได้ด้วยตัวเอง แล้วเขาก็นึกได้ว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกสยบด้วยฝ่ามือแต่โดนหมัดของตินสอยจนสลบไปในช่วงแรก คาดว่าคงฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วขอความช่วยเหลือจากคนอื่นจนหลบหนีไปได้อย่างน่าเสียดาย
 
ไม่รู้คนที่จ้างลักพาตัวเขามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ หรือจะเป็นคนเดียวกับที่จงใจจะทำลายค่ายมวย ศ.เผด็จศึกอย่างที่ครูแผ่นดินให้ระวังตัว หลี่กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ก็พอดีมีข้อความจากนักกฎหมายเข้ามา
 
LY : ได้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทเครื่องสำอางผู้ผลิตและจำหน่ายขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาแล้วครับบอส บริษัทนี้เพิ่งตั้งได้ไม่นาน น่าจะเพื่อมาขายขี้ผึ้งฮองเฮาโดยเฉพาะ ถึงเป็นบริษัทใหม่ แต่ตรวจสอบได้ว่ามีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นบริษัทแม่ของบริษัทเครื่องสำอางแห่งนี้ หรืออย่างน้อยก็เป็นกลุ่มที่หนุนหลังอยู่ครับ กลุ่มธุรกิจนี้ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือยา แต่เป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม มีแบรนด์ในเครือมากมาย ทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำเกลือแร่ น้ำชา น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ รายละเอียดผมแนบมาเป็นไฟล์ครับ
 
หลี่คุนอ่านข้อมูลและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มที่คาดว่าเป็นบริษัทแม่ตัวจริงนี้แล้วรู้สึกคุ้นมาก อย่างน้อยเขาก็เคยกินชาอู่หลงบรรจุขวดรสชาติแย่ๆ แบบนี้มาแล้ว เมื่อเปิดดูรายชื่อคณะกรรมการบริหารก็ถึงกับพบชื่อที่คุ้นเคยชื่อหนึ่ง

########
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:44:07
28

ยอดสั่งซื้อและจำนวนสมาชิกของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูประจำเดือนออกมาแล้ว ปรากฎว่าผลตอบรับมีบางส่วนเป็นตามที่จางอี้หลงคาดคือยอดสมาชิกที่เคยลดลงเรื่อยๆ ในช่วงสองเดือนก่อน ตอนนี้กลับมาคงที่แล้ว แต่สมาชิกที่เคยยกเลิกไปก็ยังไม่ได้กลับมาซึ่งตรงกับที่หมอภีมตั้งข้อสังเกต สถานการณ์เงินขาดมือจึงดำเนินต่อไป หลี่คุนคิดว่าคงต้องรอให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างระหว่างขี้ผึ้งฮองเฮากับขี้ผึ้งจักรพรรดิทั้งตัวเก่าและตัวใหม่มากกว่านี้
 
ขั้นตอนเพิ่มทุนบริษัทยังต้องใช้เวลา โชคดีที่หลี่คุนได้รับเงินค่าหุ้นล่วงหน้าก้อนใหญ่จากจางอี้หลงแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าอีกฝ่ายจะหาเงินมาได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าจางอี้หลงเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทคนหนึ่งเหรอ ทำไมเวลาเพียงเท่านี้ถึงหาเงินมาได้แถมยังเอามาให้ใช้ก่อนทั้งที่เอกสารทางกฎหมายยังไม่เสร็จโดยไม่กลัวว่าจะถูกเขาโกง
 
หลี่คุนพยายามติดต่อไฮโซแบงค์เพื่อสอบถามเรื่องเจ้าของที่แท้จริงของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาแต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่เป็นที่น่าพอใจ อีกฝ่ายเพียงแต่แชทตอบกลับมาสั้นๆ ว่าตอนนี้อยู่ที่ประเทศจีนยังไม่สะดวกที่จะให้คำอธิบายในเรื่องนี้ และหวังว่าหลี่คุนจะเห็นแก่สิ่งที่เขาเคยทุ่มเททำให้กับขี้ผึ้งจักรพรรดิ ขอให้อย่าเพิ่งลงมือใดๆ จนกว่าเขาจะกลับไปถึงเมืองไทย
 
หลี่คุนยังค่อนข้างกังวลกับเหตุการณ์ที่ถูกรุมทำร้ายเมื่อหลายวันก่อน ถึงยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ตินต้องมาเจ็บตัว แม้เขาจะฟื้นฟูวรยุทธ์ได้จนการจัดการคนพวกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในหลายๆ สถานการณ์ เขาคงไม่สามารถเปิดเผยฝีมือที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกยุคนี้ออกไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าคนร้ายเลือกใช้ปืนตั้งแต่แรกจะเกิดอะไรขึ้น ท่าเท้าท่องคลื่นของเขาจะรวดเร็วและพรางตาคนแค่ไหน ขอแค่ลูกปืนมั่วๆ นัดหนึ่งก็อาจจบชีวิตเขาลงได้ หลี่คุนชิงชังคนขี้ขลาดที่ใช้อาวุธประเภทนี้ยิ่งนัก เมื่อนึกถึงว่าชาติก่อนเขาก็ถูกอำนาจของมันตัดหนทางจนต้องจบชีวิตลง จะบอกว่าถูกงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปเจ็ดปีก็ไม่ผิด
 
หากในยุคนี้ยังมีองครักษ์เงาคงดีไม่น้อย องครักษ์เงาแต่ละคนฝึกฝนวิชาเฉพาะตัวไปมาไร้ร่องรอย ชำนาญการพรางตัวสะกดรอยดักฟัง แฝงกายติดตามให้การคุ้มกัน ไปจนถึงการลอบสังหาร ในบางเรื่องหลี่คุนเองยังไม่เชี่ยวชาญเท่า นับเป็นฐานอำนาจที่แท้จริงของตระกูลหลี่ในชาติที่แล้ว หากมีติดตามเขาสักคนสองคน ชายชุดดำพวกนั้นคงถูกลอบจัดการโดยที่เขาไม่ต้องลงมือเองไปแล้ว
 
ตินมีสัดส่วนร่างกายยอดเยี่ยมที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์กับใบหน้าแสนธรรมดาสามัญไม่เป็นที่จดจำของผู้คน คุณลักษณะที่เหมาะกับการเป็นองครักษ์เงาเช่นนี้กลับปรากฎขึ้นในอีกหกเจ็ดร้อยปีให้หลังชวนให้เสียดายยิ่งนัก ถ้าไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัวจนเสียเพื่อนเขาคงยอมเปิดเผยความลับและชักชวนให้มาฝึกฝนวิชาเพื่อเป็นหัวหน้าองครักษ์เงาไปแล้ว
 
ถึงจะทำเช่นนั้นไม่ได้แต่หลี่คุนก็ไม่อาจยินยอมให้เพื่อนตกอยู่ในอันตรายเช่นวันนั้นได้อีก เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลคนรอบตัวของคุณานนท์ให้ดีที่สุด และที่สำคัญตินคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวหลังจากที่ข้ามเวลามาในความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
 
หลี่คุนมียาไม่สมบูรณ์ที่ได้จากการฝึกหลอมรวมวัตถุดิบล้ำค่าให้เป็นโอสถระดับปฐพีอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบใหม่ๆ มาฝึกเพิ่ม เขาก็ได้ลองเอายาที่ล้มเหลวพวกนี้มาชำระความบริสุทธิ์เพิ่มโดยใช้พลังลมปราณ หลี่คนได้ความคิดนี้มาจากการรณรงค์เรื่องการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติกที่คอนโดตัวเอง แม้จะทำให้ของที่ล้มเหลวไปแล้วกลับมาเป็นโอสถปฐพีไม่ได้ แต่โอสถที่ผ่านการชำระด้วยวิธีนี้กลับมีสรรพคุณของโอสถปฐพีแฝงอยู่บ้าง ถ้าจะให้เปรียบเทียบเทียบก็คงใกล้เคียงกับโอสถปฐพีที่มีความบริสุทธิ์เพียงครึ่งส่วน
 
วิธีการนี้สิ้นเปลืองลมปราณมาก แต่เนื่องจากหลี่คุนได้บรรลุเคล็ดวิชาบุปผาวารีถึงระดับสองขั้นครึ่งแล้ว หากเติมพลังในจุดตันเถียนมาจนเต็ม อย่างน้อยก็ต้องชำระยาที่ไม่สมบูรณ์พวกนั้นออกมาเป็นโอสถปฐพีเทียมได้หนึ่งเม็ด แต่ไม่ใช่ทุกวันจะทำเช่นนี้ได้ เคล็ดวิชาบุปผาวารีระดับสองขั้นครึ่งยากนักจะเติมเต็มได้ด้วยพลังหยางของคนธรรมดาไม่กี่คน การจะเข้าไปนัวเนียเพื่อนร่วมภาคมากขนาดนั้นแม้แต่หลี่คุนที่พยายามทำเป็นหน้าหนามาตลอดก็ยังรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
 
แหล่งที่ดีที่สุดในการเก็บพลังหยางในมหาลัยคือพวกชมรมกีฬาต่างๆ การที่อยู่ๆ มีคนดังของมหาลัยเข้าไปแวะเวียนทำความสนิทสนมแล้วอาสาช่วยนวดคลายกล้ามเนื้อให้บรรดานักกีฬาสร้างความแตกตื่นให้กับคนในชมรมเหล่านั้นอยู่มาก หลี่คุนอาศัยความหน้าหนาทำเช่นนี้ในวันที่มีเวลาว่างช่วงเย็น ในที่สุดก็สามารถรีไซเคิลโอสถปฐพีเทียมออกมาเก็บสะสมได้สิบกว่าเม็ด ทั้งหมดเป็นโอสถเสริมสร้างบำรุงปราณซึ่งเป็นโอสถที่มีระดับความยากในการปรุงน้อยที่สุดในบรรดาโอสถปฐพีทั้งหมด เขาได้ทดลองกับตัวเองแล้วว่าปลอดภัยและมีสรรพคุณอยู่บ้าง แต่เขาที่ใช้แนวทางของเคล็ดวิชาบุปผาวารีในการสร้างปราณไปแล้วโอสถนี้จึงไม่มีประโยชน์อันใด
 
สิ่งที่หลี่คุนทำเพื่อเตรียมตัวหากเกิดเหตุเช่นนี้อีกคือการฝึกฝนวิชาใหม่ที่ไม่เผยร่องรอยในการลงมือ ฝ่ามือเมตตาบารมีใช้ได้ผลดีอย่างยิ่งแต่การลงมือสง่าผ่าเผยโดดเด่นเกินไปไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องเร้นกาย เขาคิดถึงท่านแม่ผู้งดงามที่จากไปก่อนวัยอันควรแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าเคล็ดวิชาลับประจำตัวท่านแม่ที่ชื่อว่า ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์
 
แม้ว่าไม่เคยฝึกฝนวิชานี้โดยตรงเพราะไม่เข้ากับแนวฝีมือหลักของเขาในชาติก่อน แต่หลี่คุนก็เห็นมารดาใช้วิชานี้ต่อหน้ามานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก เพียงขยับนิ้วเบาๆ อย่างนุ่มนวลคล้ายปลิดกลีบดอกไม้ พลังดรรชนีอันแรงกล้าก็จะพุ่งผ่านอากาศตามทิศทางที่ต้องการไปได้ไกลถึงเกือบสิบจั้ง พลังดรรชนีนี้สามารถผันแปรได้อย่างน่าอัศจรรย์ จะใช้ป้องกันจู่โจมสะกัดจุดรักษาหรือแม้แต่ลอบสังหารก็ทำได้ทั้งนั้นหากผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญและกำลังภายในที่มากพอ เนื่องจากสิ่งที่ส่งออกไปเป็นกำลังภายในกระแสหนึ่งจึงมองไม่เห็นและยากแก่การป้องกันยิ่งนัก
 
ในชาติก่อนหลี่คุนท่องจำคัมภีร์ภูติบุปผาไร้ลักษณ์จนขึ้นใจดั้งแต่เด็กแล้วแต่ยังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ยามนี้จึงค่อยๆ ฝึกหัดไปทีละนิดอย่างยากลำบากไม่น้อย โชคดีที่เขาจำท่วงท่าและกระแสกำลังภายในของท่านแม่ในยามที่แสดงวิชานี้ออกมาได้ขึ้นใจ หลังจากศึกษาทดลองหามรุ่งหามค่ำอยู่หลายวันก็เห็นเค้าลางที่จะบรรลุวิชานี้ในขั้นแรก
 
ท่าร่างและวิถีโคจรพลังไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ขาดแคลนกลับเป็นลมปราณที่มีจำกัด แม้จะสำเร็จเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีถึงระดับสองขั้นครึ่ง แต่เมื่อเทียบกับกำลังภายในของมารดาในครั้งกระโน้นนับว่าห่างไกลมากมายนัก หลี่คุนจึงไม่สามารถส่งกำลังภายในออกจากดรรชนีให้พุ่งไปข้างหน้าในรูปไร้ลักษณ์ซึ่งเป็นจุดเด่นของเคล็ดวิชานี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร
 
หากนี่เป็นวิชาอื่นหลี่คุนคงถอดใจไปนานแล้ว แต่ในโลกใหม่ที่ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ระลึกถึงอดีต ข้าวของเครื่องใช้หนังสือตำราเครื่องประดับอาภรณ์ที่เป็นของมารดาคงสูญหายไปหมดสิ้นตามกาลเวลา ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์จึงเป็นเหมือนสายสัมพันธ์เชื่อมโยงเขากับท่านแม่ที่ยังเหลืออยู่ หลี่คุนคิดหาวิธีพลิกแพลงต่างๆ มากมายที่จะทำให้วิชาโปรดของมารดากลับมามีคุณค่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
 
หลี่คุนหลับไหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ครุ่นคิดเรื่องดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์อย่างหนัก เขาฝันถึงอดีตที่ตัวเองในวัยเด็กกำลังคร่ำเคร่งกับการท่องตำราจนดึก มารดาผู้งดงามและใจดีได้เข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยขนมร้อนๆ มีควันขึ้นส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน
 
‘เสี่ยวคุน เจ้าหิวหรือไม่ แม่ต้มถั่วเขียวกับรากบัวร้อนๆ มาให้ เจ้าพักทานสักครู่เถอะ ท้องอิ่มแล้วค่อยกลับไปอ่านตำราต่อ’
 
‘เป็นท่านแม่ที่รู้ใจลูกที่สุด ถั่วเขียวต้มน้ำตาลฝีมือมารดาทานตอนหนาวๆ เช่นนี้ดียิ่งนัก’
 
‘บิดาเจ้าก็ช่างใจร้าย ลูกยังเล็กนักจะกะเกณฑ์ให้ท่องคัมภีร์ยากๆ เล่มนี้ในคืนเดียวได้ยังไง’
 
‘ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กนะ ข้าแปดขวบแล้ว แล้วคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับข้า อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็น่าจะจำได้ทั้งหมดแล้ว’
 
‘เด็กโง่ ถ้าเจ้าโตแล้วจะมีเม็ดถั่วติดปากแบบนี้หรือเสี่ยวคุน มา แม่เอาออกให้’
 
ภาพมารดาผู้งดงามในความฝันขยับนิ้วเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น พลังอบอุ่นสายหนึ่งก็พุ่งไปยังเม็ดถั่วที่ติดมุมปากของหลี่คุนจนหลุดออกอย่างอ่อนโยนและสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยโดยไม่ทันตกถึงพื้น
 
‘ท่านแม่ ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์ของท่านยอดเยี่ยมที่สุด เช่นนี้เองท่านพ่อถึงไม่กล้ารับอนุ’
 
ท่านพ่อที่เดินเข้ามาในห้องทันได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูกหัวร่อเสียงดัง
 
‘ฮ่าๆๆๆ บุตรคนดี เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ของเจ้าทั้งงดงามทั้งเก่งกล้าไม่มีใครเทียบ ถ้าข้ายังขวัญกล้ารับอนุก็นับว่าเป็นตัวโง่งมแล้ว’
 
ในสายตาของหลี่คุนท่านพ่อสง่างามยิ่งนัก มือข้างหนึ่งประคองกอดท่านแม่ อีกข้างลูบศีรษะตัวเขาในวัยแปดขวบ ภาพที่เห็นในฝันช่างเต็มไปด้วยความสุขอันแสนอบอุ่นของครอบครัวเหลือเกิน
 
หลี่คุนตื่นขึ้นทั้งน้ำตา ความอ่อนโยนของท่านแม่ท่านพ่อในความฝันทำให้เขานึกถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืนจนตกอยู่ในภวังค์อีกพักใหญ่ แต่แล้วก็นึกสะกิดใจในกระบวนท่าที่ท่านแม่ใช้จัดการกับถั่วเขียวเมล็ดนั้น ท่านแม่จงใจให้เมล็ดถั่วหลุดจากริมฝีปากของเขาไปก่อน กำลังภายในที่ค้างอยู่ในนั้นจึงค่อยสลายเมล็ดถั่วให้หายไปในภายหลัง คงกลัวว่าพลังที่ใช้สลายเมล็ดถั่วจะสร้างความรำคาญให้กับเขา ช่างเป็นการควบคุมพลังที่แม่นยำจนน่าเหลือเชื่อ ถ้าเมล็ดถั่วสามารถโอบอุ้มพลังไร้ลักษณ์ของท่านแม่ไว้ได้ เช่นนี้เขาเองก็น่าจะส่งพลังดรรชนีภูติบุปผาออกไปในระยะไกลโดยใช้เมล็ดถั่วเขียวเป็นสื่อได้เช่นกัน
 
หลี่คุนตื่นเต้นกับแนวทางการพลิกแพลงดรรชนีภูติบุปผาที่ท่านแม่บอกใบ้มาให้ในฝันนี้มาก เขารีบไปตลาดแต่เช้าซื้อถั่วเขียวมาถุงใหญ่ หลังจากฝึกหัดอยู่ไม่นาน เขาก็สามารถหลอมรวมกำลังภายในของดรรชนีภูติบุปผาจำนวนเล็กน้อยลงในเมล็ดถั่วแล้วส่งออกไปในระยะทางที่ไกลออกไปได้สำเร็จ นี้เป็นทักษะที่เขาได้จากการฝึกฝนพลิกแพลงการหลอมรวมยาด้วยลมปราณอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
 
พลังเพียงเล็กน้อยที่เขาหลอมรวมลงในเมล็ดถั่วนี้ แท้จริงแล้วกลับเพียงพอที่จะสะกัดจุดของคนผู้หนึ่งได้ชั่วครู่จากระยะไกล แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นไร้ลักษณ์อย่างของมารดา แต่ถั่วเขียวนั้นเมล็ดเล็กยิ่งนัก เมื่อส่งออกไปในอากาศก็ยากที่ผู้ใดจะมองออก ต่อไปนี้เขาก็สามารถลงมือกระทำการบางอย่างได้อย่างไร้ร่องรอยแล้ว หลี่คุนนึกโขกศีรษะคารวะมารดาอย่างซาบซึ้งอยู่ในใจ
 
ในที่สุดหลี่คุนก็สามารถปิดจุดอ่อนบางส่วนของวิชากำลังภายในของตัวเองได้ ท่าเท้าท่องคลื่นน้อย ฝ่ามือเมตตาบารมี ดรรชีภูติบุปผาถั่วเขียว น้ำมาเอาดินต้านทหารมาเอาขุนพลเข้ารับมือ เขาสามารถเลือกใช้สามวิชานี้ได้ตามสถานการณ์ หรือใช้ร่วมกันเพื่อเสริมอานุภาพให้สูงขึ้น ต่อไปหากมีคนมาลุมทำร้ายอีกการป้องกันตัวเองย่อมไม่มีปัญหาแน่ แต่เขาก็มิอาจคอยคุ้มครองตินได้ตลอดเวลาเช่นกัน
 
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน หลี่คุนจึงหลอกตินมาที่คอนโดแล้วก็สกัดจุดให้หมดสติไป จากนั้นก็เปลื้องเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่กางเกงชั้นในเพื่อทำการฝังเข็มทั้งตัว จุดฝังเข็มในครั้งนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเคยทำให้จางอี้หลงมากมายนักจนตินดูคล้ายเม่นไปจริงๆ หลี่คุนเห็นแล้วก็อดคิดถึงบุรุษตัวโตผู้แอบกลัวเข็มคนนั้นไม่ได้ หากโดนแบบนี้เข้าคาดว่าอาจจะถึงขั้นเป็นลมได้
 
หลี่คุนใช้กำลังภายไล่เปิดเส้นทางลมปราณของตินไปเรื่อยๆ เคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งทำให้การเปิดช่องลมปราณทำได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก ครั้งนี้เป้าหมายไม่ได้เป็นเพียงแค่การให้ลมปราณที่เคยติดขัดอุดตันโคจรทั่วร่างได้ดีขึ้นเหมือนที่เคยทำให้กับจางอี้หลง แต่ต้องการให้เส้นลมปราณเปิดโล่งจนถึงระดับที่ฝึกฝนกำลังภายในได้ กว่าที่จะฟื้นฟูได้สำเร็จจึงกินเวลาไปถึงหนึ่งชั่วยาม
 
หลี่คุนหยิบโอสถบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมในขวดหยกขึ้นมาหนึ่งเม็ดดีดเข้าปากของตินไป หลังจากเอาเข็มออกและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงตบคลายจุดสลบให้กับเพื่อน ตินตกใจมากที่พอมาถึงห้องของหลี่คุนแล้วตัวเองก็หลับไปถึงสองชั่วโมงจนท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่การหลับลึกแบบแปลกๆ นี้ทำให้เขารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก ในร่างกายรู้สึกคล้ายว่ามีกระแสบางเบาทว่าอบอุ่นอันหนึ่งเคลื่อนไปมา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สอนคอมพิวเตอร์ให้หลี่คุนอย่างที่ตั้งใจเพราะเจ้าของห้องบอกว่าค่ำแล้วให้ออกไปทานข้าวกันก่อนกลับแล้วค่อยมาวันอื่น
 
หลังจากนั้นก็เหมือนจะมีเหตุให้ตินต้องตามคุณานนท์กลับมาที่คอนโดบ่อยๆ บางครั้งเขาก็หลับลึกไปโดยไม่รู้ตัว บางทีเช่นครั้งนี้เพื่อนสนิทที่หมู่นี้มีท่าทางแปลกๆ ก็ชวนเขาทำเรื่องที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเช่นการฝึกสมาธิ พอเขาปฏิเสธไปเพื่อนรูปหล่อก็หาเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่าฝึกสมาธิแล้วจะทำให้เรียนหนังสือเข้าใจมากขึ้น เอาไปใช้วิชาต่อสู้อย่างมวยไทยก็จะเพิ่มความเฉียบขาด สุดท้ายก็ทำท่าอ้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นเขาไม่สนใจ หน้าตาแบบนี้พอมาทำท่าอ้อนๆ แบบสมัยเด็กทำให้เขานึกถึงเมื่อก่อนขึ้นมาสุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ลง
 
“ตินมึงทำตามกูนะ การฝึกสมาธิแบบนี้ง่ายมากๆ เลย”
 
“มึงไปเอามาจากไหนวะไอ้คุน เกิดทำผิดวิธีเอ๋อแดกไปจะทำยังไง ถ้ามึงสนใจจริงไปเรียนที่วัดไม่ดีกว่าเหรอ”
 
“วัดเหรอ ไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวเจอพระแล้วท่านทักอะไรออกมา”
 
ตินเห็นเพื่อนตอบแบบนั้นพร้อมท่าทางหวั่นๆ ก็นึกแปลกใจ แค่ไปวัดแล้วเจอพระ ทำไมจะต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น พระนะไม่ใช่ผีซะหน่อย
 
“ติน ค่อยๆ ทำแบบนี้นะ จะหลับตาก็ได้จะได้รวมสมาธิได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพจุดตันเถียนของมึงนะ เพ่งความสนใจไปจนมันเริ่มเกิดความร้อนอุ่นๆ เป็นจุดเล็กๆ มันน่าจะเริ่มจากขนาดแค่เม็ดทราย เล็กจนเกือบมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ ไม่ต้องรีบ ช้าๆ ช้าๆ เพ่งไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ”
 
“อ๊ะ?”
 
“เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหม เยี่ยม นับว่ามึงมีพรสวรรค์เหมือนกันนะติน”
 
“เปล่า กูจะถามว่าจุดตันเถียนคืออะไรวะ”
 
“เอิ่ม งั้นมึงไม่ต้องสนใจ เอาเป็นว่ามึงเพ่งสมาธิไปตรงจุดต่ำกว่าสะดือลงไปสามนิ้วมือชิดกัน”
 
“สามนิ้วมือนะ โอเค อือ แปลกดีเหมือนกันที่ต้องเพ่งสมาธิไปที่ไข่ตัวเอง”
 
“ควายติน!!! กูบอกว่าสามนิ้วมือชิดกันก็ต้องตามขวางสิวะ มึงทำนิ้วชิดกันตามยาวได้เหรอสัด!!!”
 
“อ่อๆ มึงก็ไม่บอกให้ละเอียด งั้นต้องอยู่ตรงแถวท้องน้อยสินะ แล้วไงต่อ”
 
“เออ เพ่งไปตรงท้องน้อยจนรู้สึกว่ามันมีจุดอุ่นๆ เกิดขึ้น จากจุดที่แทบมองไม่เห็นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าเม็ดทราย จะเล็กกว่านั้นก็ไม่เป็น ขอแค่มึงรู้สึกได้ถึงจุดนั้นก็พอ ถ้ารู้สึกว่ามันเสถียรพอแล้วค่อยๆ กำหนดจิตให้มันเคลื่อนออกจากท้องน้อยไปทางซ้ายไล่ลงตามขาไปจนสุดที่ปลายนิ้วเท้าแล้วก็ค่อยๆ ไล่กลับขึ้นมาที่ละนิดไปจนสุดปลายแขนซ้าย จากนั้นก็วนกลับลงมาที่หัวไหล่แล้วค่อยๆ ขึ้นไปบนกระหม่อม นี่นับเป็นครึ่งรอบ จากกระหม่อม เพ่งสมาธิให้จุดที่ว่าไล่ไปที่ร่างกายซีกขวาตามเส้นทางเดียวกับที่มาจากด้านซ้าย ไปตามปลายแขน ปลายขา จนวนกลับมาที่ตรงหน้าท้องจุดเดิมเป็นหนึ่งรอบ มึงตามทันเปล่าติน”
 
“ก็ได้อยู่ แต่มันติดๆ ขัดๆ”
 
“แค่วนครบรอบได้ก็เก่งแล้ว ลองอีกทีสิ มันน่าจะค่อยๆ สะดวกขึ้น พอครบรอบแล้วก็ลองทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากูจะบอกให้พอนะ แต่ถ้ามึงเบื่อก่อนก็บอกกูได้ ครั้งแรกไม่ต้องหักโหมมาก”
 
หลี่คุนเห็นตินไม่ตอบอะไร แต่นั่งโคจรพลังขั้นพื้นฐานด้วยวิธีที่เขาหลอกว่าเป็นการนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่งลมหายใจเข้าออกดูถูกต้องก็เบาใจ เขาหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์แชทรายงานสถานการณ์ต่างๆ ของฉางอันโอสถไปหาจางอี้หลง อีกฝ่ายท่าทางยุ่งเหมือนทุกที นอกจากคำแนะนำเล็กน้อยๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยเขาตัดสินใจอะไร บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่หลี่คุนในฐานะผู้บริหารของบริษัทต้องจัดการเอง หลี่คุนจึงเปลี่ยนเรื่องไปเล่าเหตุการณ์ที่เกือบโดนลักพาตัวไปเมื่อหลายวันก่อน กลายเป็นว่าจางอี้หลงสนใจเรื่องนี้มาก ถามไม่หยุดว่าตัวหลี่คุนเองได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า เรื่องเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนทำ แล้วเอาตัวรอดมาได้อย่างไร ยิ่งรู้ว่าฝ่ายคนร้ายมีปืนก็ยิ่งดูตกใจมาก ถามรายละเอียดกลับมายาวเหยียดจนเขาตอบแทบไม่ทัน แถมตบท้ายด้วยว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมากรุงเทพให้เร็วที่สุด กว่าเขาจะค่อยๆ พิมพ์ตอบจนอีกฝ่ายพอใจ เวลาก็ล่วงเลยไปนานกว่าที่ควรสำหรับการฝึกโคจรพลังครั้งแรก
 
“ตินๆ พอได้แล้ว”
 
“พอแล้วเหรอ กำลังเพลินๆ อยู่เลย นั่งสมาธิวิธีมึงนี่แปลกดีนะ ไม่เหมือนที่กูเคยได้ยินมา กูทำไปเรื่อยๆ พอหลายๆ รอบเข้า ก็รู้สึกอุ่นๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ได้ว่าร้อนแบบเหงื่อแตกนะ คือมันอุ่นสบายชอบกล”
 
“ใช่เลย มึงมาถูกทางแล้ว เก่งเหมือนกันนี่หว่า ต่อไปมึงก็พยายามเลี้ยงจุดที่ท้องน้อยไว้นะ อย่าให้มันหายไป ถ้ามันเย็นลงหรือขนาดเริ่มเล็กกว่าเม็ดทราย มึงก็โคจร เอ่อ เพ่งสมาธิให้มันวนรอบร่างกายแบบเมื่อกี้หลายๆ รอบจนกว่ามันจะแข็งแรงขึ้น”
 
“ไม่น่าหายไปหรอกมั๊ง ก็จุดมันใหญ่กว่าเม็ดทรายตั้งเยอะ”
 
“มึงอย่ามาโม้ เพิ่งครั้งแรกมันจะใหญ่แบบนั้นได้ยัง”
 
หลี่คุนรู้สึกขำมากกับสิ่งที่ตินบอก คนที่เกิดในยุคที่เต็มไปด้วยมลภาวะจนเส้นชีพจรอุดตันมาทั้งชีวิต เพิ่งถูกทะลวงออกได้ไม่กี่วัน อาศัยโอสถบำรุงปราณขั้นปฐพีแบบเทียมๆ และเพิ่งฝึกโคจรพลังเป็นวันแรก จะมีจุดตันเถียนขนาดใหญ่กว่าเม็ดทรายได้ยังไง
 
แต่ดูอีกที ท่าทางของตินก็ไม่คล้ายโกหก เขาจับข้อมือของเพื่อนเพื่อตรวจสอบระดับของกำลังภายใน แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่ามีกระแสพลังสายหนึ่งสะท้อนปราณของเขากลับมาจนรู้สึกได้ชัดเจน เขาคาดว่าตอนนี้ตินน่าจะมีขนาดของจุดตันเถียนเกือบเท่าเมล็ดถั่วเขียวแล้ว
 
อัจฉริยะ!!!
 
หลี่คุนตีอกร่ำไห้อยู่ในใจทั้งอิจฉาทั้งเสียดาย ด้วยสภาพที่ตินเป็นอยู่แต่กลับทำได้ถึงขั้นนี้ในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่เรียกว่าอัจฉริยะระดับหนึ่งในสิบหมื่นก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว คนเช่นนี้หากไปเกิดในยุคของเขาแล้วฝึกฝนกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลตระกูลหลี่ตั้งแต่เด็ก มิแน่ว่าอาจจะบรรลุได้ถึงขั้นสูงสุด ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
 
แต่ต่อให้เป็นอัจฉริยะจริง ด้วยข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมในยุคนี้ และอายุที่เลยวัยเริ่มฝึกกำลังภายในมามากแล้ว ผลสำเร็จของตินคงก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ไม่เท่าไหร่ สุดท้ายคงมิอาจเทียบกับเคล็ดวิชากำลังภายในบุปผาวารีที่เขาเลือกฝึกได้แม้แต่น้อย ถึงกระนั้นหลี่คุนก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ กำลังภายในของตินเกิดจากตัวเองโดยแท้ สามารถฟื้นฟูเพิ่มเติมได้ไม่เหมือนกับเขาที่ต้องอาศัยพลังหยางจากผู้อื่น แค่ในแง่ศักดิ์ศรีก็ดูจะต่างกันแล้ว
 
หลังจากทดลองฝึกสมาธิด้วยวิธีของคุณานนท์จนเสร็จตินก็โดนปล่อยตัวกลับบ้าน ระหว่างทางเขาก็อดเพ่งสมาธิให้จุดตรงท้องน้อยหมุนวนไปทั่วร่างไม่ได้ ยิ่งทำความติดขัดที่มีในตอนแรกๆ ก็ลดลงเรื่อยๆ เดินเหินก็ตัวเบาร่างกายสดชื่นแคล่วคล่องกระปรี้กระเปร่าแปลกๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นผลของการฝึกสมาธิแบบใหม่นี้ น่าจะเป็นฤทธิ์ของยาลูกกลอนสมุนไพรเม็ดเล็กๆ ที่คุณานนท์ให้กินก่อนกลับมากกว่า ตินไม่ได้คิดมากอะไรเห็นว่าขี้ผึ้งสมุนไพรที่เพื่อนผสมเองดูได้ผลดี แค่ยาลูกกลอนบำรุงร่างกายคงไม่มีอันตรายอะไร แต่พอกินลงไปก็รู้สึกซู่ซ่าแปลกๆ สงสัยว่าอาจมีฤทธิ์กระตุ้นแบบคาเฟอีนในกาแฟ คุณานนท์คงไม่ได้ผสมอะไรที่ไม่ควรใช้อย่างใบกระท่อมกัญชงกัญชาลงไปหรอกนะ ถ้าจริงเขาจะอัดหน้าให้หมดหล่อเลย
 
ตอนปิดไฟเตรียมจะเข้านอนคืนนั้น ตินก็ยังเผลอตัวเคลื่อนจุดอบอุ่นจากท้องน้อยให้หมุนวนในร่างกายไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะหลับไปก็ได้ยินเสียงลุงป้าข้างบ้านคุยกัน เขารู้สึกแปลกใจมาก ระยะห่างระหว่างบ้านสองหลังก็ไม่ได้ติดกันมาก แถมยังมีผนังกั้นอยู่หลายชั้นทำไมเสียงถึงเล็ดลอดออกมาได้ ลุงป้าคงไม่ลุกขึ้นมาตะโกนคุยกันกลางดึกหรอกนะ มือควานหารีโมทกดปิดแอร์แล้วเงี่ยหูฟังไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงยามค่ำคืนอื่นๆ ที่ปกติจะไม่ได้ยินเข้ามาในห้อง เสียงถีบจักรยานดังเอี๊ยดอ๊าดไปรอบๆ หมู่บ้านของ รปภ. เสียงสัตว์เลื้อยคลานอะไรสักอย่างวิ่งไปตามใบไม้แห้งกรอบ แม้กระทั่งเสียงน้ำหยดติ๋งๆ จากก๊อกที่ปิดไม่สนิทของบ้านไหนสักแห่งไกลออกไปก็ยังได้ยิน
 
ตินลืมตาโพลง พอหันไปรอบๆ ห้องที่เกือบมืดสนิทก็ตกใจที่ตัวเองพอจะมองเห็นสิ่งของในห้องได้ราวกับมีใครมาเปิดไฟดวงจิ๋วทิ้งไว้ แม้แต่ตัวอักษรที่สันหนังสือบนชั้นด้านตรงข้ามก็อ่านออกเสียด้วยซ้ำ ตินหายง่วงทันทีด้วยความแปลกใจว่าทำไมถึงเกิดหูไวตาไวอย่างผิดปกติขึ้นมาแบบนี้ เขาคิดหาสาเหตุอยู่ครู่หนึ่งก็ลงจากเตียงลุกขึ้นยืนทำมือเป็นท่าไอเลิฟยูแต่หงายฝ่ามือขึ้นตรงระดับเอวขนานกับพื้น เขากลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึกแล้วยื่นออกไปข้างหน้าอย่างเร็ว เมื่อรออยู่ชั่วครู่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติออกมาจากข้อมือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
 
“นึกว่าไปโดนแมงมุมกัมมันตภาพรังสีกัดมาซะอีก

##########
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:45:38
29

จางอี้หลงไม่ได้ผิดคำพูดที่บอกว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมากรุงเทพให้เร็วที่สุด เพียงสองวันหลังจากที่หลี่คุนบอกเรื่องที่มีคนจะลักพาตัวไปหนุ่มนักธุรกิจก็บินมาถึงไทยแต่เช้าตรู่ หลี่คุนนั่งรถคันเดิมมารับที่สนามบินซึ่งครั้งนี้เป็นที่ดอนเมือง
 
จางอี้หลงที่เพิ่งลงจากเครื่องดูอ่อนล้าอยู่บ้างแต่ใบหน้านั้นหล่อเหลาอ่อนวัยเป็นธรรมชาติกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมาก หลี่คุนเห็นก็พอใจเป็นอย่างมากที่การฝังเข็มและขี้ผึ้งจักรพรรดิของเขาใช้ได้ดีกับคนตรงหน้า ผลลัพธ์อันนี้เมื่อรวมกับปราณอำนาจตามธรรมชาติของจางอี้หลงแล้วทำให้หลี่คุนเข้าใจว่าหล่อเหลาองอาจถึงกระดูกเป็นเช่นไร
 
จางอี้หลงปล่อยให้หลี่คุนเอามือลูบไล้ใบหน้าตัวเองอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สนใจผู้คนมากมายที่มองมา จากความทุ่มเทในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้เขาเข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้น จนเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น เขาก็จับมือหลี่คุนแบบประสานแนบแน่นพาเดินออกไปจากสนามบินโดยมีสายตาของผู้คนมองตามกระซิบกระซาบไล่หลังมา หลี่คุนได้โอกาสก็ดูดซับพลังหยางมาเติมเต็มจุดตันเถียนที่พร่องอยู่บ้าง ดูเหมือนการเปิดช่องทางลมปราณให้เดินสะดวกขึ้นเมื่อครั้งที่แล้วจะทำให้สุขภาพของจางอี้หลงดีขึ้นจริงๆ พลังหยางถึงได้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก ยังเดินกุมมือกันไปไม่เท่าไหร่ก็เต็มแล้ว
 
เมื่อมาถึงรถคันหรูคนขับก็รีบเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม จางอี้หลงกับหลี่คุนนั่งคู่กันที่เบาะหลังนุ่มสบาย
 
“ทำไมวันนี้พี่มาลงที่ดอนเมืองล่ะครับ”
 
“พี่อยากมาถึงเร็วๆ พอเคลียร์งานจบเมื่อคืนไฟล์ทไหนออกก่อนพี่ก็เอาเลยครับ”
 
“ไม่เห็นจะต้องรีบแบบนี้เลย แล้วเที่ยวนี้พี่มาทำงานหรือมาส่วนตัวครับ”
 
“พี่อยากรีบมาเห็นกับตาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ครั้งนี้ก็มาทั้งสองอย่างครับ เรื่องงานด้วยเรื่องส่วนตัวด้วย”
 
“งั้นก็เบิกค่าโรงแรมได้สิครับ จะได้นอนหรูๆ สบายๆ”
 
“ไม่ควรครับ มันมีเรื่องส่วนตัวปนด้วยไม่ใช่งานอย่างเดียว ถ้าพี่เบิกค่าโรงแรมมันจะเอาเปรียบบริษัท พี่คงต้องขอไปนอนที่คอนโดน้องคุนเหมือนเดิมครับ”
 
“ไม่มีปัญหาครับ พี่อี้หลงมาถึงวันนี้จะเข้าประชุมผู้ถือหุ้นเรื่องเพิ่มทุนฉางอันโอสถที่มีจดหมายเชิญไปด้วยหรือเปล่า นักกฏหมายของบริษัทเห็นพี่ไม่ได้ตอบรับก็เลยจะใช้เวียนเอกสารเอาเหมือนคราวก่อน แต่พี่มาเองแล้วจะเข้าประชุมกับผมและหมอภีมไหมครับ ห้าโมงครึ่งเย็นวันนี้”
 
“ก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นครับ”
 
จางอี้หลงตอบ ก็พอดีกับมีสายโทรศัพท์เข้า เขาจึงรับสายด้วยหูฟังไร้สายตัวเล็ก
 
“เหวย?”
 
หลี่คุนฟังคนที่นั่งข้างๆ คุยโทรศัพท์เป็นภาษาจีนด้วยความสนใจ ภาษาที่เขาใช้ในชาติก่อนกับภาษาจีนในยุคนี้เป็นภาษาเดียวกันก็จริง แต่สำเนียงการออกเสียงเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่บ้าง แล้วก็มีคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เขาไม่รู้จักมากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอจับใจความได้ จางอี้หลงหันมามองหลี่คุนเล็กน้อยก่อนจะหันไปอีกทางกระชับหูฟังให้แน่นแล้วเบาเสียงลง หลี่คุนจึงหันไปมองหน้าต่างอีกด้านเช่นกันทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจภาษาจีน ดูเหมือนจะเป็นมารยาทในสังคมที่จะไม่ฟังผู้อื่นสนทนาโทรศัพท์ แต่จริงๆ เขาก็แอบเงี่ยหูฟังอยู่ แถมยังลอบโคจรพลังให้การได้ยินไวขึ้นอีก แม้เสียงปลายสายที่ออกจากหูฟังไร้สายจะเบามากและอุดอยู่ในหูของอีกฝ่ายแต่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาก็ยังพอฟังได้ยิน
 
จางอี้หลงแทบไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังฟังรายงานจากคนที่โทรเข้ามาอยู่ หลี่คุนได้ยินไม่ทั้งหมดและฟังเข้าใจเป็นช่วงๆ ไม่ปะติดปะต่อนัก
 
‘…เราเตรียมระบบประมวลผลขนาดใหญ่บนกลุ่มเมฆเสร็จแล้วครับ การเรียนรู้ของเครื่องจักรกลด้วยการจำลองการเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเดิมอย่างน้อยห้าเท่า ตำแหน่งแรกน่าจะออกมาในวันสองวันนี่แหละครับ…’
 
‘…ส่วนเรื่องนั้นก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช่จุดมั่วๆ แน่ แต่อาจารย์กล่าวว่าลึกล้ำเกินไปจนยังบอกเป้าหมายทางการแพทย์ไม่ได้…’
 
‘…ไม่มีความคืบหน้าเลยครับทั้งของเก่าของใหม่ ดูเหมือนว่าของใหม่จะซับซ้อนกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผลสรุปออกมาแล้วว่า ตัวอย่างที่ท่านนำมาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสูตรเลยครับ…’
 
‘…ใช่ครับ เรามีสัญญารักษาความลับอย่างเข้มงวด…’
 
‘…ทีมวิจัยขอเวลาเพิ่มครับ มีหลายตัวยังไม่เคยเจอมาก่อน เขาขอให้เชิญศาสตราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญภาษาเซี่ยจากเป่ยต้ามาร่วมทีมด้วย แต่ผมเกรงว่าจะคุมข่าวไม่อยู่ เขาอาจจะขอไปต่อยอดกับงานที่เขาศึกษาอยู่เดิม…’
 
‘…ทีมถอดรหัสกำลังทำเต็มที่ครับ ถ้าได้เอกสารมาเพิ่มอีกซักหลายๆ สิบหน้า น่าจะเพิ่มโอกาสที่จะถอดความให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นครับ…’
 
หลี่คุนคิดว่าจางอี้หลงคงคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่ ท่าทางคงกำลังทำโครงการอะไรที่ใหญ่โตซับซ้อนไม่น้อย ดูมีประเด็นหลายเรื่องที่ต้องติดตาม งั้นที่หายไปก่อนหน้านี้คงเพราะยุ่งจริงๆ แต่เขาอดสะกิดใจบางจุดไม่ได้ เขาคิดว่าได้ยินปลายสายพูดถึงภาษาเซี่ย  จะใช่ภาษาเซี่ยตะวันตกที่เขาใช้จดบันทึกอยู่ทุกวันหรือเปล่า ธุรกิจอะไรจะมาเกี่ยวข้องกับภาษาโบราณที่หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ เขาอาจแค่ฟังผิดไป หรืออาจจะเป็นชื่อภาษาคอมพิวเตอร์สักภาษาหนึ่งในจำนวนที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนยุคนี้จะเข้าใจภาษาโบราณที่แม้แต่คนในยุคราชวงศ์หมิงยังไม่รู้จัก ยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี
 
เมื่อถึงคอนโด จางอี้หลงก็เปิดกระเป๋าเอาชาจีนขึ้นมาสองสามกระป๋อง แค่เปิดฝาออกมาโดยยังไม่ได้ชงกลิ่นหอมละมุนที่ออกมาก็ทำให้หลี่คุนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นจนแก้มแดงไปหมด
 
“ชาหลงจิ่งของหางโจว!!! ท่านแม่กับผมชอบที่สุด ไม่นึกว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่”
 
หลี่คุนอดทนรักษามารยาทต่อไปไม่ได้รีบเอาของฝากไปติดไฟต้มน้ำเพื่อจะลิ้มรสชาดีให้เร็วที่สุด ไม่นานกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมาพร้อมๆ กับที่หลี่คุนยกถาดน้ำชากลับออกมาอย่างกระตือรือล้น
 
“ชายิ่งชงยิ่งเข้มข้น คนยิ่งคบยิ่งสนิทแนบแน่น พี่อี้หลง เชิญดื่ม”
 
จางอี้หลงได้ยินคำว่า ‘คบ’ กับคำว่า ‘แนบแน่น’ ก็ยิ้มมุมปากอย่างกลั้นไม่อยู่ ไม่ว่าความหมายของคนพูดจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเข้าใจอย่างที่เขาอยากเข้าใจ
 
หลี่คุนจิบชาอึกเล็กๆ แล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
 
“ที่แท้เป็นใบชาหลงจิ่งทะเลสาบซีหู กลิ่นหอมรสชาติดียิ่งนัก เสียดายที่ไม่ใช่เป็นยอดชาที่เด็ดก่อนเทศกาลเช็งเม้ง ราคาแพงมากหรือไม่พี่อี้หลง วันหน้าเผื่อผมจะฝากซื้อมามากหน่อย”
 
จางอี้หลงแปลกใจไม่น้อย หลี่คุนบอกแหล่งที่มาและระยะเวลาเด็ดใบชาได้ถูกต้องเพียงแค่จิบแรก แสดงว่าต้องได้เคยดื่มอยู่เป็นประจำ แต่กลับไม่รู้ราคาของชาที่มีชื่อเสียงชนิดนี้
 
“ไม่แพงเท่าไหร่หรอก คนทั่วไปไม่ค่อยนิยมดื่ม แต่จะหายากสักหน่อย น้องคุนไม่ต้องฝากซื้อหรอก ถ้าพี่หามาได้จะเอามาฝากอีก ถือว่าเป็นค่าที่พักไง”
 
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่อี้หลงด้วย คนสมัยนี้แปลกจริงๆ ชาดีๆ อย่างนี้กลับไม่ชอบ ไปดื่มกากชารสหยาบๆ ผสมน้ำตาลแช่เย็นน่าคลื่นไส้นัก”
 
จางอี้หลงคิดในใจ ไม่แพงเท่าไหร่จริงๆ คิดเป็นเงินไทยก็แค่ไม่กี่ร้อยบาท......…ต่อกรัม คนทั่วไปถึงได้ไม่นิยมดื่ม ถ้าเป็นยอดชาที่เด็ดก่อนเทศกาลเช็งเม้งละก็ราคาจะขึ้นไปถึงสามสี่พันบาทต่อกรัม น้องคุนช่างรสนิยมดียิ่งนัก ภายหน้าจะต้องหาเงินให้มากหน่อยจะได้เลี้ยงดูไหว
 
หลังจากทานอาหารเช้าง่ายๆ และพูดคุยกันพักใหญ่ หลี่คุนเห็นคนที่เดินทางมามีท่าทางอ่อนล้าก็เสนอให้ไปอาบน้ำและงีบเอาแรงเสียหน่อย จางอี้หลงเห็นดีด้วย เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อไขข้อข้องใจอะไรหลายๆ อย่าง พอได้ยินว่ามีคนจ้องทำร้ายหลี่คุนก็ใจไม่ดีต้องรีบบินมาดูให้เห็นกับตาว่าน้องยังสบายดีไม่บุบสลายที่ตรงไหน พอเคลียร์งานได้ก็นั่งเครื่องบินเที่ยวแรกมาเลยโดยไม่เกี่ยงว่าจะไม่มีชั้นเฟิร์สคลาส แต่ปรากฎว่าเป็นสายการบินราคาประหยัด ที่นั่งคับแคบไม่เหมาะกับคนตัวสูงใหญ่อย่างเขาทำให้ต้องนั่งตาค้างมาจนถึงเมืองไทยแม้จะเป็นเที่ยวบินกลางคืน เมื่อได้เจอตัวหลี่คุนจนโล่งใจแล้ว ความเหนื่อยล้าที่สะสมก็เริ่มแสดงอาการออกมา
 
เขารีบอาบน้ำฟอกสบู่ที่ดูเหมือนหลี่คุนจะทำเองจนเนื้อตัวมีกลิ่นหอมแบบเดียวกับน้องแล้วก็มีความสุขมาก พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบางๆ ราคาถูกเหมาะกับอากาศเมืองไทยที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนก็รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน หลี่คุนให้เขานอนที่โซฟาตัวเดิมบอกว่าจะช่วยนวดผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้
 
แค่เห็นโซฟาตัวนี้เขาก็นึกถึงคลิปจนรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาบ้าง กางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรมากนัก ยิ่งพอนอนทอดตัวถูกมือขาวๆ นวดไปตามร่างกายส่วนต่างๆ บางอย่างก็ยิ่งออกหน้าออกตามากขึ้นเรื่อยๆ จางอี้หลงไม่คิดจะปกปิดอะไร ร่างกายของเขาไม่ได้มีตรงไหนที่เป็นความลับสำหรับหลี่คุนอีกแล้ว มีแต่อยากจะแสดงความพร้อมของศักยภาพอันยิ่งใหญ่ให้เห็น เผื่ออีกฝ่ายจะสนใจทำสิ่งที่คืบหน้ามากกว่าครั้งก่อนที่แค่สัมผัสเฉยๆ
 
หลี่คุนไม่ได้ตาบอด เขาย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงหน้าที่เกือบจะทิ่มตาอยู่แล้ว ในชาติก่อนตอนที่ออกไปทำภารกิจใหญ่ตามหัวเมืองห่างไกล เขารอนแรมร่วมกินร่วมนอนกับกลุ่มองครักษ์เงาอยู่เป็นเดือนๆ ย่อมเข้าใและคุ้นเคยกับธรรมชาติของชายฉกรรจ์เป็นอย่างดี พลังหยางของจางอี้หลงบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้แสดงว่าไม่ได้ผ่านการร่วมหอกับอิสตรีมาอย่างน้อยก็หนึ่งปี และดูจากการหักโหมงานที่ผ่านมาคาดว่าแม้แต่การช่วยเหลือด้วยตัวเองคงไม่ได้กระทำ
 
แต่พี่อี้หลงดีกับเขาถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พี่อี้หลงจะขายหน้าเอาได้ เขารีบกดจุดสามสี่จุดแฝงไปกับการนวดเพื่อไล่เลือดลมออกจากส่วนนั้นทันที ในเวลาไม่นานความคึกครื้นตรงบริเวณนั้นก็หายไปกลับเข้าสู่ความสงบเหมือนทะเลราบเรียบไร้คลื่น หลี่คุนลอบมองจางอี้หลงเห็นใบหน้าแดงก่ำหลบสายตาเหมือนอับอายเสียเต็มปะดาแล้วก็โล่งใจ เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว หากปล่อยไปโดยไม่ลงมือจัดการ พี่อี้หลงคงรู้สึกขายหน้ามากกว่านี้
 
จางอี้หลงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมความอหังการของเขาอยู่ดีๆ ถึงได้ห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งยางขนาดห้าสิบหกมิลลิเมตรถูกปล่อยลม เขาไม่เคยมีประวัติเช่นนี้มาก่อน ที่สำคัญมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาน้องคุนด้วย น้องจะคิดว่าเขาไม่แข็งแรงสมบูรณ์หรือไม่ จางอี้หลงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ได้แต่ต้องแกล้งทำเป็นหลับจนสุดท้ายก็หลับไปจริงๆ
 
หลี่คุนเห็นจางอี้หลงหลับไปแล้วก็เปลี่ยนจากการนวดร่างกายไปเป็นการใช้กำลังภายช่วยกรุยช่องทางเส้นลมปราณให้เปิดโล่งขึ้น คนผู้นี้ยังหักโหมร่างกายไม่เลิกเขาจึงต้องช่วยปรับสภาพร่างกายให้สามารถขับมลพิษตกค้างและความเครียดสะสมได้ดียิ่งขึ้นอีก เมื่อทำเสร็จตามที่ตั้งใจเขาก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่มีแหล่งพลังหยางมาถึงที่ หลี่คุนไปหยิบโถกระเบื้องเก็บยาที่ไม่สมบูรณ์ที่ยังเหลืออีกมากมายมาวางข้างๆ โซฟา มือหนึ่งดูดพลังหยางจากจางอี้หลงที่นอนอยู่แปลงเป็นกำลังภายในเข้าไปเก็บในจุดตันเถียน พร้อมๆ กันนั้นก็ดึงกำลังกำลังภายในจากจุดตันเถียนให้วิ่งไปที่มืออีกข้างเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของยาที่ไม่สมบูรณ์ กระบวนการเช่นนี้เหมือนกับไลน์การผลิตแบบต่อเนื่องของโลกยุคใหม่ที่หลี่คุนเคยดูในสารคดี แม้การใช้ปราณชำระโอสถจะสิ้นเปลืองกำลังภายในมากแต่พอมีแหล่งพลังงานที่ไม่จำกัดปัญหานี้จึงหมดไป ของในโถกระเบื้องถูกรีไซเคิลออกมาเรื่อยๆ อย่างมีประสิทธิภาพ จนในที่สุดเขาก็ได้โอสถบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมบรรจุเต็มในขวดหยกหลายขวดเรียงรายเต็มไปหมดภายในก่อนเที่ยงของวัน
 
หลี่คุนมองขวดหยกพวกนั้นอย่างอิ่มเอมใจ ปกติเขาต้องไปช่วยนวดให้ชมรมกีฬาต่างๆ เป็นชั่วโมงถึงจะเติมพลังได้จนเต็มซึ่งเอามาใช้ชำระโอสถบำรุงปราณได้เม็ดสองเม็ดเท่านั้น  ถ้าไม่มีจางอี้หลง ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนเขาถึงจะรีไซเคิลหมด

……
 
เพราะเป็นบริษัทเล็กๆ คล้ายพวกสตาร์ทอัพ ทั้งเจ้าของและพนักงานก็ทำกันแบบพาร์ทไทม์ การประชุมผู้ถือหุ้นของฉางอันโอสถจึงจัดกันง่ายๆ ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเวลาหลังเลิกงาน
 
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้พบหน้าพร้อมๆ กัน จึงต้องมีการทักทายกันตามมรรยาทอยู่บ้าง
 
“ตอนแรกไม่คิดว่ามิสเตอร์จางจะมาประชุมด้วยนะครับ เลยโชคดีได้เจอกัน”
 
หมอภีมชวนคุยพอเป็นพิธีหลังจากแนะนำตัว เขาลอบมองคู่สนทนาอย่างประเมิน ถึงจะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ร์ตกางเกงสแล็คแบบกึ่งทางการ แต่ดูอย่างไรก็มีราศรีของนักธุรกิจใหญ่ ไม่น่าจะเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทที่ยังต้องประหยัดโน่นประหยัดนี่แบบที่คุณานนท์เคยเล่าให้ฟัง
 
“พอดีเคลียร์งานได้ทันนะครับ เลยบินมาลงดอนเมืองเมื่อเช้านี้”
 
ดอนเมืองมีแต่โลว์คอสท์แอร์ไลน์ หรือว่าจะเป็นอย่างที่หลี่คุนว่าจริงๆ หมอหนุ่มคิด แต่ดูจากแบรนด์เสื้อเชิร์ตที่ใส่มา ถ้าไม่ใช่ของปลอม ก็ต้องมีฐานะไม่ธรรมดา
 
“เงินเพิ่มทุนที่คุณลงมา นี่ช่วยบริษัทได้เยอะเลยนะครับ ผมเองเป็นหมอไม่ได้เข้าใจเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ เลยแค่ตามเพื่อคงสัดส่วนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไว้ โชคดีที่มิสเตอร์จางหาเงินได้เร็ว เห็นว่าส่งมาให้ก่อนแล้วด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่ามีแหล่งเงินทุนจากไหนหรือครับ”
 
นี่เป็นอีกเรื่องที่ภีมไม่เข้าใจ ถ้าจางอี้หลงเป็นพนักงานธรรมดาจริงๆ ถึงจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ไม่น่าจะกล้าทุ่มมาลงกับบริษัทใหม่ที่แทบไม่มีอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจใหญ่อย่างที่คิด ก็ไม่น่าที่จะเสียเวลามายุ่งอะไรกับบริษัทเปิดใหม่ขนาดเล็กจิ๋วที่อยู่คนละประเทศด้วยซ้ำ ใจเขาเอนเอียงไปข้อหลัง แสดงว่าต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝงแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งระแวงแทนคุณานนท์
 
“ก็พอหาได้ครับ บริษัทดีๆ อย่างนี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะถือหุ้นให้เยอะหน่อย”
 
“พี่อี้หลงพูดแบบนี้เดี๋ยวราคาหุ้นต้องเพิ่มหน่อยแล้ว เราเริ่มประชุมกันเลยดีไหมครับ เสร็จแล้วค่อยคุยกันต่อ”
 
หลี่คุนเกรงใจนักกฎหมายอดีตนายแบบที่มาทำพาร์ทไทม์ให้กับบริษัทว่าจะต้องรอนาน ก็เลยตัดบทให้เริ่มการประชุมที่มีนักกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการประชุมโดยมีหลี่คุนผู้ถือหุ้นใหญ่และฝ่ายจัดการเป็นประธานการประชุม
 
การประชุมวาระเพิ่มทุนบริษัทเป็นไปอย่างพอเป็นพิธี ในเมื่อหลี่คุนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เห็นชอบ คนอื่นจะโหวตอย่างไรก็ไม่มีผลอะไร เพียงครู่เดียววาระนี้ก็จบลง หลี่คุนเห็นว่ามีผู้ถือหุ้นอยู่กันครบเลยเล่าสถานการณ์ล่าสุดของกิจการที่ยังทรงๆ อยู่ให้ที่ประชุมฟังรวมถึงเรื่องของคู่แข่งที่สืบมาได้ด้วย
 
“ตกลงบริษัทคู่แข่งนี่น่าจะเป็นบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจของตระกูลไฮโซแบงค์คนนั้นหรือนี่ มันทำอย่างนี้ได้ยังไง ตัวเองเป็นคนช่วยขายขี้ผึ้งอยู่ตั้งหลายเดือน ข้อมูลอะไรๆ ก็คงรู้หมด อย่างนี้ถือว่าเอาความลับข้างในไปใช้ประโยชน์จนสร้างความเสียหายกับฉางอันโอสถนะ น้องคุนจะจัดการอย่างไงต่อกับคนๆ นี้ครับ”
 
จางอี้หลงของขึ้นกับข้อมูลใหม่ที่หลี่คุนไม่ได้บอกมาก่อน เรื่องทางธุรกิจก็แล้วไปเถอะเขาตั้งใจอยู่แล้วว่าต้องปล่อยให้น้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาเนี๊ยบๆ สไตล์ลูกหลานไฮโซที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันตอนวันแสดงละครเวทีแล้วก็หมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ทำไมรอบตัวน้องคุนถึงได้มีแต่คนหน้าตาดีนะ หมอภีมก็ดูเกินหมอไปมาก วันๆ ใส่แต่หน้ากากอนามัยไม่รู้จะต้องดูดีตี๋อินเตอร์ไปทำไม แล้วนักกฏหมายพาร์ทไทม์อะไรนี่จำเป็นต้องคิ้วเข้มจมูกโด่งขนาดนี้ด้วยเหรอ ไปหามาจากไหนกันนักหนา เห็นแล้วหงุดหงิด
 
“ก็ไม่ยังไงครับ เรื่องบริษัทคู่แข่งก็คงสืบต่อไปว่าเขาเอาความลับเราไปได้ยังไง แต่คุณแบงค์นี่ไม่เกี่ยวข้องแน่ๆ ที่ขี้ผึ้งจักรพรรดิติดตลาดได้ก็เพราะเขา ทุกวันนี้เขาก็ยังอุดหนุนเดือนละหลายๆ กระปุกอยู่เลย เห็นว่าใช้กันทั้งบ้าน พอดีตอนนี้เขาอยู่ที่จีน ถ้ากลับมาผมจะคุยกับเขาอีกทีครับ”
 
จางอี้หลงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ คนแบบนี้น้องคุนจะเก็บไว้ทำไม
 
“ทำไมน้องคุนมั่นใจจังครับ พี่ว่ามันน่าสงสัยที่สุด ทั้งรู้ข้อมูลภายใน ทั้งมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทคู่แข่ง”
 
ถ้าแบงค์จะทิ้งมือคู่นั้นและเส้นทางทางดนตรีแลกกับธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ได้เศษเสี้ยวของที่บ้านตัวเองก็เอาเถอะ หลี่คุนคิด
 
“เอาเป็นว่าผมมีเหตุผลที่ทำให้มั่นใจครับ แต่คงบอกออกมาชัดๆ ไม่ได้ ไม่รู้คุณหมอภีมมีความเห็นยังไงครับ”
 
“คุณแบงค์นี่คนที่เป็นไฮโซกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มใช่ไหมครับ ผมพอรู้จักอยู่เพราะเขาเคยมาปรึกษาเรื่องฝังเข็ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นคนไข้ผมหรอกครับ สิ่งที่เขาอยากทำมันใช้การฝังเข็มไม่ได้ต้องผ่าตัดโน่นเลย แต่เรื่องที่ตอนนี้เขาอยู่จีนน่าจะจริง เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยติดต่อขอทราบชื่อแพทย์ฝังเข็มที่มีชื่อเสียงในจีนจากผมไป บอกว่าจะไปตระเวนปรึกษาดู ถ้าเขาไปหาทั้งหมดจริงตามลิสท์ที่ผมให้ น่าจะต้องอยู่เกือบเดือน ถ้าจะบอกว่าน่าสงสัยก็พูดได้ไม่เต็มปาก ผมว่าเราควรมองความเป็นไปได้อื่นๆ นะครับ  อย่างเช่นว่า ยังมีใครที่รู้ข้อมูลธุรกิจของฉางอันโอสถโดยละเอียดอีกบ้าง”
 
นักกฎหมายสะดุ้งเฮือกรีบพูดขึ้นมาว่า
 
“ไม่ใช่ผมนะครับ ผมทำแต่เอกสารกฏหมาย กับเป็นตัวแทนบอสติดต่อคนข้างนอกนิดหน่อย ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรของบอสเลยนอกจากว่าทั้งขี้ผึ้งจักรพรรดิกับน้ำมันมวยมีคุณใช้ดีมากๆ ทั้งคู่”
 
“นั่นไง มันต้องเป็นคนที่รู้ธุรกิจ เผลอๆ อาจจะมีส่วนในการวางกลยุทธ์ให้เสียเปรียบคู่แข่ง รวมถึงอาจพยายามจะครอบงำบริษัทด้วย”
 
หมอภีมสงสัยในกลยุทธ์ที่ให้ขึ้นราคาขี้ผึ้งของจางอี้หลงมาก เขาเป็นหมอคงไม่ได้โง่มากหรอกมั๊ง นี้มันเหมือนยื่นดาบให้ศัตรูชัดๆ เขาเคยพูดเตือนสติคุณานนท์ไปแล้ว แต่วันนี้จะพูดอีก ต่อหน้าตัวการนี่แหละ
 
“หมอพูดแบบนี้ตั้งใจหมายถึงผมหรือเปล่า งั้นระบุชื่อมาเลยก็ได้”
 
จางอี้หลงลุกขึ้นถลกแขนเสื้อถึงข้อศอก ท่าทางท้าต่อยท้าตีมาก เหมือนอันธพาลมากกว่านักธุรกิจไปแล้ว ปกติไม่ว่าวงเจรจาธุรกิจระดับไหนเขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ใครอ่านเกมออกได้ตลอด แต่มาใส่ความกันต่อหน้าน้องคุนนี่ยอมไม่ได้จริงๆ
 
“อย่าทะเลาะกันครับ ผมเชื่อใจพี่อี้หลงมาก พี่ไม่มีทางทำไม่ดีกับฉางอันโอสถหรอกใช่ไหมครับ”
 
จางอี้หลงเห็นหลี่คุนแสดงออกว่าเชื่อใจเขาเต็มที่ก็ใจเย็นลง
 
“แน่นอนครับ ที่พี่เข้ามาถือหุ้นเพิ่มนี่ก็หวังดีจริงๆ ไม่ได้คิดจะมาครอบงำอะไรเลย”
 
“ที่จริงตอนนี้ผมก็ต้องการเงินอีกก้อนอยู่พอดี ถ้าพี่อี้หลงสนใจและให้ราคาเท่าเดิม ผมก็อยากจะขายหุ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์ให้ครับ”
 
“หุ้นของฉางอันโอสถปล่อยออกมาเท่าไหร่ พี่เอาหมดเลย ถ้าจะให้ดี ไอ้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของคนที่ดีแต่พูดไม่ได้ทำอะไรจะขายๆ มาก็ได้นะ หาคนหน้าตาธรรมดาสักคนมาถือแทน ตินเพื่อนน้องคุนก็ได้”
 
ระหว่างที่หมอภีมกับจางอี้หลงทำหน้าตึงใส่กัน นักกฎหมายก็ทำท่าบุ้ยปากให้หลี่คุนเหมือนมีเรื่องจะบอกแต่ไม่อยากให้หมอภีมกับจางอี้หลงได้ยิน
 
“ไม่เป็นไรครับ บอกมาในที่ประชุมเลยก็ได้ ผมเปิดเผยอยู่แล้ว”
 
หลี่คุนบอก
 
“บอสทราบใช่ไหมครับว่าสำหรับบริษัทจำกัด ถ้ามีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถือถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เขาจะมีสิทธิ์คัดค้านการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของบริษัทได้ เช่นการแก้ไขข้อบังคับบริษัท การเพิ่มทุนลดทุนควบรวมบริษัท เมื่อการเพิ่มทุนและการขายหุ้นครั้งนี้แล้วเสร็จ มิสเตอร์จางจะถือหุ้นสิบห้าเปอร์เซนต์ในบริษัท ถ้าบอสขายหุ้นให้มิสเตอร์จางอีกสิบเปอร์เซ็นต์ เขาจะมีอำนาจในการใช้สิทธ์คัดค้านที่ว่าทันที ต่อไปบอสจะทำอะไรสำคัญๆ กับบริษัท บอสจะต้องไปปรึกษาขอการสนับสนุนจากมิสเตอร์จางก่อนทุกครั้งนะครับ”
 
“ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ ปกติผมก็ปรึกษาพี่อี้หลงอยู่แล้ว ที่สำคัญผมมั่นใจในพี่นะครับ”
 
ประโยคสุดท้ายหลี่คุนหันมาพูดกับเจ้าตัวโดยตรง จางอี้หลงเห็นอีกฝ่ายเชื่อมั่นขนาดนี้ก็ดีใจน้ำตาแทบไหล ความจริงใจของเขาได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในใจของน้องคุนแล้ว
 
ในที่สุดการประชุมก็จบลง แต่ก่อนจะแยกย้ายกัน หมอภีมก็แอบดึงตัวหลี่คุนแยกออกไปคุยต่างหาก
 
“ผมว่าคุณคุณานนท์ ไม่น่าจะขายหุ้นให้เขาง่ายๆ นะครับ ผมเห็นแล้วท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย ผมว่าเขาต้องตั้งใจจะเทคโอเวอร์ฉางอันโอสถอยู่แน่ๆ”
 
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่อี้หลงเค้าอยากได้ ก็เอาไปเลย”
 
“ไว้ใจเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ งั้นคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคลแล้ว ขอโทษที่ผมก้าวก่ายนะครับ”
 
“ไม่ใช่ครับคุณหมอ ผมหมายถึงว่าถ้าพี่เขาอยากได้ ก็เอาเงินมาซื้อหุ้นไปให้หมดเลย ตัวบริษัทฉางอันโอสถมีอะไรซะที่ไหน ทรัพย์สิน โรงงาน คน องค์ความรู้ ไม่มีทั้งนั้น ขี้ผึ้งจักรพรรดิผมก็ทำเอง สูตรก็อยู่หัว ถ้าผมออกมาก็จบทำต่อไม่ได้ น้ำมันมวยมีคุนมีสูตรที่ทำสัญญาจ้างโรงงานผลิตก็จริง แต่มีสัญญาผูกไว้ว่าต้องแบ่งกำไรให้กับลุงมีเจ้าของสูตรดั้งเดิมกับค่ายมวย ศ.เผด็จศึกเจ้าของแบรนด์ ผมขายหุ้นเที่ยวนี้ก็จะเอาไปซื้อสิทธิ์รับส่วนแบ่งกำไรคืนจากค่ายมวยมาไว้กับตัว ถ้าฉางอันโอสถเปลี่ยนเจ้าของ สิ่งที่ทำได้จริงๆ ก็มีแค่ขายน้ำมันมวยมีคุน ซึ่งต้องแบ่งกำไรมาให้ผมอยู่ดี ได้เงินก้อนตอนขายหุ้นแล้ว นอนเฉยๆ ยังได้ส่วนแบ่งอีก ถ้าเบื่อก็ค่อยตั้งบริษัทใหม่ มีอะไรที่ต้องกังวลครับ”
 
หมอภีมหนาวไปทั้งตัว นึกอวยพรให้จางอี้หลงอยู่ในใจ ที่แท้คนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดคือคุณานนท์นี้เอง เป็นหมอก็ดีอยู่แล้ว ไม่ควรคิดไปคาดเดาเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจของใคร  หุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ถอนออกตอนนี้จะทันไหมนี่
 
#############
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:48:59
30

 
หลังจากที่ได้รับคำขอที่แปลกประหลาดจากปรมาจารย์หานเกิงเว่ย แบงค์ก็คิดว่าอาจจะต้องอยู่จีนยาวกว่าแผนเดิม ในตอนที่ได้รับคำเชิญจากเกาเฉียนเพื่อนนักเปียโนชาวจีน เขาก็คิดว่าจะแค่มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านดนตรีตะวันออกกับคนในวงการนี้ของจีนเท่านั้น อย่างมากก็อาจจะทำงานดนตรีร่วมกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เมื่อเสร็จเขาก็จะถือโอกาสไปปรึกษาบรรดาแพทย์ฝังเข็มผู้มีชื่อเสียงของจีนว่ามีใครจะช่วยฝังเข็มรักษาความสามารถมือทั้งสองข้างของเขาให้ถาวรได้บ้าง แต่ไม่คาดว่าเรื่องจะออกมาเป็นการตามหาคนเช่นนี้
 
ถ้าเป็นคนทั่วไปเขาคงไม่ลังเลที่จะให้ข้อมูลออกไป แต่นี่เกี่ยวพันถึงคุณานนท์แถมเรื่องราวบทเพลงสมบัติของชาติอะไรนั่นก็ฟังดูเกินจริงไปมาก เขาแอบสงสัยว่าเป้าหมายที่แท้จริงจะเป็นตัวคุณานนท์เองโดยใช้เรื่องบทเพลงที่หายสาบสูญเป็นข้ออ้าง
 
ถึงเขาจะชอบเป็นนักเปียโนมากกว่า แต่เขาก็ถูกสอนให้เป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเขาจะประเมินไม่ออกว่าความรู้ที่คุณานนท์ครอบครองอยู่มีมูลค่ามหาศาลขนาดไหน สูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิที่ไม่รู้ว่าคิดหรือได้มายังไงนั่นมหัศจรรย์มาก หากสามารถผลิตได้ในระดับโรงงานคงจะปฏิวัติอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกได้เลย
 
แต่ที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้นคือการฝังเข็มที่สามารถเพิ่มความสามารถทางกายภาพได้ ในกรณีของเขาคือการเปลี่ยนนักเปียโนพรสวรรค์คนหนึ่งที่มีข้อจำกัดด้านสรีระมือให้กลายเป็นนักเปียโนระดับโลกได้ในชั่วข้ามคืน เขาไม่รู้ว่าความสามารถในการฝังเข็มของคุณานนท์จะมีถึงระดับไหน แค่ความเป็นไปได้ที่เขาคิดก็ทำให้รู้สึกกังวลแทน ลองนึกดูว่าหากนำไปใช้ในวงการกีฬาอาชีพที่มีเงินสะพัดมากมายกว่าวงการดนตรีคลาสิกเป็นไหนๆ จะเกิดอะไรขึ้น โปรกอล์ฟระดับโลก นักเทนนิสแกรนด์สแลม ดารานักเตะในลีกฟุตบอลต่างๆ นักบาสเอ็นบีเอทีมดัง ไม่ว่าใครก็ย่อมมีข้อจำกัดทางร่างกายกันทั้งนั้น ถ้าแก้ไขด้วยการฝังเข็มได้ เม็ดเงินที่ได้จากเงินรางวัลและสปอนเซอร์จะเพิ่มพูนขนาดไหน นี่ยังไม่รวมศักดิ์ศรีหน้าตาของประเทศหากเอาไปใช้กับนักกีฬาโอลิมปิกหรือการแข่งกีฬาอื่น
 
เสียดายที่คุณานนท์บอกว่ายังไม่สามารถคิดค้นการฝังเข็มรูปแบบที่ห้าที่จะทำให้ความสามารถของเขาคงอยู่ถาวรได้ นั่นทำให้เขาต้องตระเวนไปปรึกษาหมอฝังเข็มชื่อดังของจีนหลายต่อหลายคนอยู่ในตอนนี้ แต่ยิ่งแบงค์ไปพบผู้เชี่ยวชาญในการฝังเข็มจีนมากขึ้นเท่าไหร่  เขาก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่คุณานนท์ทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเลยสำหรับคนในวงการนี้ หมอส่วนใหญ่จะค่อยๆ อธิบายว่าการฝังเข็มแม้จะช่วยรักษาโรคได้หลากหลายแต่ไม่สามารถทลายขีดจำกัดของร่างกายได้ แต่บางคนแค่ได้ยินความต้องการของเขาผ่านล่าม ก็ด่าออกมาล้งเล้งแล้วไล่ออกมาเลย แบงค์เห็นแบบนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าคุณานนท์คือความหวังเดียวของตัวเอง จะทำให้ขุ่นข้องหมองใจไม่ได้โดยเด็ดขาดถ้าเขายังคิดที่จะเป็นนักดนตรีต่อ
 
ยิ่งได้ข้อสรุปแบบนี้แบงค์ก็ยิ่งระวังตัว เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกหลอกใช้ ในระหว่างที่อยู่เมืองจีนเขาจึงลองหาช่องทางอื่นตรวจสอบเรื่องของปรมาจารย์หานเกิงเว่ยกับบทเพลงแห่งชาติที่หายสาบสูญไปด้วยว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาหรือไม่ แบงค์ประสานไปทางคณะดุริยางค์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าไปคุยกับอาจารย์ด้านดนตรีโบราณของจีน ข้อมูลที่ได้ออกมาตรงกัน ข้อแรกปรมาจารย์หานเกิงเว่ยเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในวงการดนตรีจีนโบราณจริงๆ โดยรูปถ่ายที่ได้มาก็เป็นคนที่แบงค์ได้พูดคุยด้วยในตอนนั้นไม่ใช่ตัวปลอมแน่ๆ ข้อที่สองบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวนั้นก็เป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกชัดเจน และท่วงทำนองที่แท้จริงยังไม่ถูกค้นพบตรงตามที่เขาได้รับฟังมาจากปรมาจารย์หาน
 
ขณะที่แบงค์ยังคิดไม่ตกว่าจะบอกเรื่องของคุณานนท์ออกไปเพื่อสร้างบุญคุณกับบุคคลระดับนี้ดีหรือไม่ ก็พอดีได้รับทราบเรื่องที่ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิถูกลอกเลียนพร้อมกับข้อสงสัยของคุณานนท์ว่าบริษัทของครอบครัวเขาจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แบงค์ก็ตกใจจนเกือบช็อค ในโลกนี้เขาจะล่วงเกินใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนี้ เขาเคยทำผิดไปครั้งหนึ่งแล้วที่ทั้งขับรถชนและพยายามโยนความผิดกลับไปให้อีกฝ่าย ถ้าครั้งนี้เรื่องมันเกิดจากตระกูลเขาจริง มือสองข้างนี้ไม่เหลือแน่
 
แบงค์สังหรณ์อะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้พี่ชายต่างแม่ที่ไม่ค่อยลงรอยกันเคยมาปะเหลาะถามว่าเรื่องขี้ผึ้งที่เขาส่งไปให้พี่สะใภ้ใช้ทุกเดือนว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของใคร มีโอกาสที่จะร่วมมือทางธุรกิจด้วยไหม แต่เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดไปหลายครั้ง พี่ชายคนนี้เรียกว่าไม่มีอะไรดีเลยในสายตาเขา ฝีมือทางธุรกิจก็ไม่เท่าไหร่ แต่ทะเยอทะยาน ไม่พัฒนาตัวเองชอบใช้แต่ทางลัด เลือกคบเพื่อนก็ไม่เป็นมีแต่คนที่หวังประโยชน์รุมล้อม แถมยังขี้อิจฉาเรื่องที่เขาถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดกิจการต่อ
 
ที่จริงเขาเองก็อยากจะมุ่งไปทางสายดนตรีให้เต็มที่เหมือนกัน แต่ก็ทำใจไม่ได้หากธุรกิจครอบครัวจะต้องมาล่มสลายในมือของพี่ชาย นักดนตรีคลาสสิคถึงจะมีชื่อเสียงแต่รายได้ไม่ได้ดีขนาดนั้น  เขายังติดการใช้เงินทองอย่างสบายแบบไฮโซอยู่ ถ้าปล่อยให้พี่รับช่วงธุรกิจไปคงต้องกินแกลบในเวลาไม่นาน โชคดีที่ตอนนี้พ่อของเขายังแข็งแรงดีอยู่เรื่องการสืบทอดธุรกิจถึงยังชะลอออกไปได้ก่อน
 
ในบรรดาข้อเสียมากมายพี่ชายยังมีข้อดีอยู่บ้างคือความหล่อเหลามีเสน่ห์ที่ได้รับจากแม่ผู้เป็นภรรยาเก่าของพ่อเขา แบงค์ต้องยอมรับว่าพี่ชายตัวเองหน้าตาดีกว่าดาราเสียอีก ข้อดีนี้ทำให้ลูกสาวเพื่อนพ่อที่เขานับถือเป็นพี่สาวคนสนิทตกลงแต่งงานด้วยเมื่อหลายปีก่อนโดยไม่ฟังคำทัดทานของเขา แบงค์เสียดายจับใจ พี่สะใภ้เขาคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างยกเว้นบ้าผู้ชายหน้าตาดีทำให้ต้องมาตกล่องปล่องชิ้นกับคนแบบพี่ชายเขา
 
แบงค์ไม่ค่อยชอบพี่ชายตัวเอง แต่เขาก็สนิทกับพี่สะใภ้และหลานชายหญิงสองคนดี โชคดีที่พี่สะใภ้เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งมีธุรกิจของตัวเองไม่ต้องพึ่งพาผู้เป็นสามีแถมยังสามารถกุมอำนาจในบ้านได้หมด พี่สะใภ้เลี้ยงลูกเองเด็กๆ จึงได้มาเฉพาะดีเอ็นเอความหน้าตาดีแต่ไม่ได้มีนิสัยเหมือนพ่อ ตอนที่เขาเป็นตัวแทนขายขี้ผึ้งจักพรรดิก็ทราบว่าเป็นของดี จึงซื้อมาใช้เองและส่งให้มารดากับพี่สะใภ้ด้วยทุกเดือน ไม่นึกว่าจะเป็นเหตุให้พี่ชายสนใจสินค้าของคุณานนท์ขึ้นมา
 
แบงค์รีบติดต่อคนของตัวเองให้สืบความจริงเรื่องนี้ระหว่างที่เขายังติดพันอยู่ที่จีน เขาน่าจะเป็นคนเพียงน้อยนิดที่รู้ว่าถ้าทำให้คุณานนท์โกรธขึ้นมาจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือของพี่ชายจริงก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเพิ่งทำอะไรที่รุนแรงเลยเถิดไปไม่งั้นเขาคงจะรับสิ่งที่ตามมาจากคุณานนท์ไม่ไหว เพียงแค่คิดถึงตรงนี้ ไฮโซหนุ่มก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก
 
เพราะเรื่องนี้เป็นการสืบข้อมูลภายในธุรกิจของตัวเอง ผลจึงออกมาในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้แบงค์ทราบแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของพี่ชายจริงๆ เจ้าตัวเห็นโอกาสที่เขาชะลอการรับช่วงธุรกิจออกไปเพื่อทุ่มเทให้กับอาชีพด้านเปียโน จึงกลับไปขอพิสูจน์ฝีมือทางธุรกิจของตัวเองอีกครั้งจากผู้เป็นพ่อหลังจากที่เคยทำโครงการล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้พี่ชายเสนอที่จะแตกธุรกิจออกไปทำเครื่องสำอาง ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนสูงมากทั้งจากการพัฒนาสูตรขี้ผึ้งฮองเฮา การซื้อโรงงานผลิตแบบเร่งด่วน และการทุ่มโฆษณาอย่างไม่อั้น แต่ผลตอบรับในช่วงเดือนสองเดือนแรกกำลังไปได้สวยจนผู้เป็นบิดาออกปากชม
 
เรื่องอื่นที่พี่ชายทำเขาไม่แปลกใจ ถ้ามีการสนับสนุนทางการเงินและทีมผู้เชี่ยวชาญจากเครือธุรกิจของตระกูล การซื้อโรงงานหรือการโหมโฆษณาอย่างที่ทำก็เป็นเรื่องง่ายๆ แต่หัวใจของความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่สูตรของขี้ผึ้งฮองเฮาเป็นหลัก ไม่รู้ว่าพี่ชายงี่เง่าของเขาทำอย่างไรถึงแกะสูตรขี้ผึ้งของคุณานนท์ออกมาได้ไม่เลวอย่างนี้ เขารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะที่ผ่านมามีผู้ผลิตมากมายที่พยายามจะเลียนแบบสินค้าตัวนี้แต่ไม่มีใครทำได้แม้แต่จะใกล้เคียง
 
ไฮโซหนุ่มร้อนตัวอย่างหนัก เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้กุมความสำเร็จทางด้านดนตรีของเขาไว้ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้แค่ไหน ที่ผ่านมาเขาอุตส่าห์ได้รับความไว้วางใจก็เพราะทุ่มเทเดินสายขายขี้ผึ้งอย่างไม่ห่วงหน้าตาจะปล่อยให้ถูกทำลายไปไม่ได้ ถ้าหาความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ เขานั่นเองที่จะเป็นคนที่ถูกสงสัยมากที่สุด
 
แบงค์ทุ่มเงินส่วนตัวจ้างนักสืบมือดีไปสอบสวนความจริงเรื่องนี้ เขาถึงกับให้งบไปซื้อตัวลูกน้องคนสนิทของพี่ชายให้บอกความจริงออกมาก เขาทำแทบจะทุกอย่างเหลือแค่จับตัวคนไปข่มขู่เท่านั้น ถ้ายังหาความจริงมาไม่ได้ ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าที่เขาเจอกับคุณานนท์จะเกิดอะไรขึ้นกับมือของเขา อย่างเบาะๆ คงจะเล่นเปียโนไม่ได้ตลอดชีพกระมัง
 
ในที่สุดความพยายามก็บรรลุผล ข้อมูลที่ได้บอกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน พี่ชายเขาได้เอาขี้ผึ้งจักรพรรดิไปส่งห้องแลบที่ทันสมัยที่สุดในไทยเพื่อพยายามถอดส่วนผสมออกมาแต่ไม่สำเร็จ ทราบเพียงแต่ว่าน่าจะมีส่วนผสมของสมุนไพรจีนหลายชนิด พี่ชายไม่ละความพยายาม นำตัวอย่างใหม่ส่งไปส่งไปที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นนำของจีนที่เชี่ยวชาญเป็นอันดับหนึ่งในด้านสมุนไพรจีนโดยเฉพาะ ไม่คาดว่าสถาบันแห่งนี้ปฏิเสธที่จะรับงานที่ต้องใช้ทรัพยากรในการวิจัยจำนวนมากเช่นนี้หากไม่ได้เป็นคำขอจากหน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือของประเทศจีนเอง
 
แต่ก่อนที่พี่ชายจะถอดใจ เขาก็ได้รับการติดต่อจากนักวิจัยคนหนึ่งของสถาบันแห่งนั้นบอกว่าทีมวิจัยที่ตนร่วมงานอยู่เคยได้รับตัวอย่างที่มีบรรจุภัณฑ์แบบเดียวกัน และสามารถถอดสูตรออกมาได้ระดับหนึ่ง ถึงประสิทธิภาพจะยังไม่สามารถเทียบเคียงได้กับของจริงแต่ก็ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาดมาก คนที่ลักลอบเอาสูตรมาเสนอบอกว่าสามารถให้เภสัชกรที่มีความสามารถของจีน ช่วยออกสูตรปรับปรุงที่เสริมด้วยสารบำรุงสังเคราะห์สมัยใหม่ ที่จะช่วยลดความแตกต่างของประสิทธิภาพไปได้อีก
 
แบงค์ได้ข้อมูลว่าพี่ชายเขาคว้าโอกาสนี้ไว้โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมาก จากนั้นก็ไปเร่งรัดบีบซื้อโรงงานผลิตยาและเครื่องสำอางคุณภาพดีของบริษัทเอสเอ็มอีแห่งหนึ่งมาได้ ในที่สุดก็สามารถออกผลิตภัณฑ์ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาออกมาวางจำหน่ายอย่างรวดเร็ว
 
ไฮโซหนุ่มเหงื่อแตกซ่กเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด พี่ชายเขาจะโชคดีในเรื่องชั่วๆ มากเกินไปหน่อย ถ้าไม่มีคนบัดซบคนหนึ่งเอาตัวอย่างขี้ผึ้งจักพรรดิไปส่งให้สถาบันวิจัยแห่งนั้นแต่แรก เรื่องนี้คงเกินกำลังพี่ชายไปนานแล้ว แบงค์ไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ต่อให้นำเรื่องนี้ไปบอกพ่อก็คงจะไม่เกิดผลอะไร ในทางธุรกิจ ถ้าไม่นับเรื่องติดสินบนให้เอาข้อมูลในสถาบันวิจัยออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องอื่นที่พี่ชายทำก็ไม่ถือว่าผิด ทางบ้านเขาอยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มที่มีการแข่งขันรุนแรงมานาน การเลียนแบบสินค้า ตัดราคา กีดกันช่องทางการจำหน่าย อัดโปรโมชั่นฆ่าคู่แข่ง มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่เคยผ่านมา ทั้งในฐานะผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
 
แต่ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ ถึงตัวเองจะไม่ได้รู้เห็นเป็นใจแต่แรกแต่ในสายตาของคุณานนท์ก็คงไม่ต่างกัน ยิ่งพอเขาเดินสายพบกับหมอฝังเข็มตามรายชื่อจนหมด เขาก็ได้ข้อสรุปว่าฝีมือฝังเข็มของคุณานนท์นั้นล้ำเลิศกว่าต้นตำหรับในประเทศจีนเสียอีก แบงค์ตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทยทันทีโดยปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวจริงของผู้เล่นพิณที่ครอบครองสมบัติแห่งชาติจีนให้กับปรมาจารย์หาน เขาไม่คิดจะเสี่ยงต่อความไม่พอใจของคุณานนท์ไปมากกว่านี้
 
น่าเสียดายที่แบงค์มัวแต่ลังเลคิดล่าช้าไป ในตอนที่เขากลับถึงไทยก็พบว่าตัวเองไม่มีโอกาสช่วยคลี่คลายสถานการณ์คับขันของคุณานนท์แล้ว โอกาสนั้นได้ถูกตัดหน้าไปโดยนักธุรกิจลึกลับชาวจีนเจ้าของกู่ฉินล้ำค่าผู้ที่เขาไม่ชอบหน้ามาตั้งแต่วันแสดงละครเวที
………………………
 
จางอี้หลงก็เป็นคนจริงคนหนึ่ง ในวันถัดมาจากการประชุมผู้ถือหุ้นเขาก็โอนเงินสดก้อนโตซื้อหุ้นฉางอันโอสถอีกสิบเปอร์เซ็นต์จากหลี่คุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ในบริษัท และดูเหมือนว่าดวงของเขาจะสมพงศ์กับบริษัทนี้ไม่น้อย หลังจากวันนั้นลูกค้าเก่าก็เริ่มกลับมาขณะที่ลูกค้าใหม่ที่เคยลังเลดูท่าทีพอได้ข่าวว่ามีคนเริ่มสมัครก็รีบสมัครตามเพราะกลัวสมาชิกจะเต็มอีก แน่นอนว่าต้องโดนที่ราคาใหม่ ตอนนี้ลูกค้าเริ่มรู้แล้วว่าขี้ผึ้งฮองเฮาคุณภาพไม่ดีเท่าขี้ผึ้งจักรพรรดิเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นการเปรียบเทียบกับขี้ผึ้งจักรพรรดิตัวเก่า ส่วนขี้ผึ้งจักรพรรดิกตัญญูเพิ่งออกมาได้สองเดือน แต่ก็มีเสียงร่ำลือว่ายอดเยี่ยมกว่าตัวเก่าขึ้นไปอีก สถานการณ์ของฉางอันโอสถจึงมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ
 
หลังจากจัดการเรื่องหุ้นแล้ว จางอี้หลงก็ยังไม่ยอมกลับทั้งๆ ที่ดูงานยุ่งมาก บอกว่าควรจะมีการฉลองกันในโอกาสที่เขาได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นหลักอีกคนของฉางอันโอสถ ซูกัสทราบเรื่องก็สนับสนุนตามประสาเด็กที่ชอบความครึกครื้น พร้อมกับออกความคิดว่าควรจะทำสุกี้กินกันเพราะจางอี้หลงเป็นคนจีนน่าจะชอบของแบบนี้ ในระหว่างที่สองพี่น้องเตรียมของกันอยู่ตินก็มาถึงที่คอนโด
 
“ผมลืมไปว่านัดตินมาเอาของเย็นนี้ งั้นให้มันอยู่กินข้าวเย็นด้วยแล้วกัน พี่อี้หลงชวนมันคุยไปก่อนนะ ผมต้องใช้เวลาเตรียมของกับซูกัสอีกพักนึง”
 
หลี่คุนเอาของให้ตินแล้วก็ฝากฝังเพื่อนไปกับแขกก่อนที่จะกลับไปที่ครัวซึ่งแยกอยู่คนละห้อง จางอี้หลงรับไหว้ตินอย่างเป็นกันเอง ทั้งคู่คุ้นเคยกันอยู่แล้วตั้งแต่ตอนฝึกงาน ในบรรดาคนรู้จักของหลี่คุน ไม่รู้ทำไมเขาถึงถูกชะตากับเด็กคนนี้ที่สุดต่างจากคนอื่นที่เขาไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่
 
“น้องคุนนัดมาเหรอติน”
 
“ครับพี่ จริงๆ แค่มาเอายาสมุนไพรอะไรไม่รู้ของมันอ่ะครับ เห็นว่าเพิ่งทำเพิ่มมาได้อีกเยอะ เลยอยากให้ผมกินให้ต่อเนื่อง”
 
“หือ ยาสมุนไพรเหรอ รักษาโรคอะไรล่ะ”
 
ตินเห็นจางอี้หลงสนใจ ก็หยิบขวดหยกใบเล็กๆ ที่เพิ่งได้มาส่งให้ดู
 
“นี่ครับ เห็นว่าเป็นยาบำรุง คงไม่ได้รักษาอะไรเป็นพิเศษ กลิ่นหอมดี แต่กินแล้วซู่ซ่ายังไงไม่รู้ ถ้าคุนมันไม่ยัดเยียดให้ ผมคงไม่เอาหรอก”
 
“เม็ดเล็กแค่นี้เอง น้องคุนให้ทานวันละกี่เม็ดนี่”
 
“สัปดาห์ละเม็ดครับ ขวดนี้อยู่ได้หลายเดือนเลย ผมว่ากินไปคงไม่ได้อะไรอ่ะ น้อยเกิ๊น”
 
จางอี้หลงสนใจยาสมุนไพรของหลี่คุนมาก เขาขอตินมาลองกินไปหนึ่งเม็ดก็รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ตินบอก
 
“จริงแฮะ ซ่าๆ แปล้บๆ คล้ายๆ ถูกไฟซ๊อตนิดๆ แต่ก็รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาหน่อยนะ”
 
“ฮ่าๆ พี่คิดไปเองมั๊ง ผมว่าแปลกๆ ไม่ค่อยอยากทานเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่ชอบก็แบ่งไปสิครับ หรือไม่ก็ไปขอที่ไอ้คุน กับพี่มันไม่หวงหรอก”
 
“แบ่งจากตินไปดีกว่า พี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อยู่ๆ จะให้ไปขอมันดูน่าเกลียด แต่ตินไม่ต้องไปบอกน้องคุนนะ เดี๋ยวเขาหาว่าพี่มาแย่งของเรา”
 
จางอี้หลงกับตินคุยกันต่ออีกพักใหญ่จนอาหารเสร็จ งานเลี้ยงฉลองง่ายๆ ค่ำนั้นเป็นไปอย่างสนุกสนาน จะมีขลุกขลักบ้างตรงที่ซูกัสเอาผงหมาล่ามาปรุงสุกี้ในถ้วยของจางอี้หลงให้เป็นพิเศษเพราะคิดว่าคนจีนทุกคนจะชอบแต่เจ้าตัวกลับทานเผ็ดไม่เก่งนัก ในที่สุดก็ต้องแบ่งให้ทุกคนช่วยกันรับชะตากรรมนี้ด้วยกัน
 
จางอี้หลงเป็นกันเองมากไม่มีท่าทีน่าเกรงขามแบบในเวลาปกติ ตินรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนละคนกับที่ปรึกษาจากสำนักงานใหญ่ที่แม้แต่ประธานของบริษัทตอนฝึกงานยังต้องเกรงใจ หลี่คุนเองก็ยังลืมไปเลยว่าแต่ก่อนตัวเองเคยขยาดและระแวงปราณอำนาจของอีกฝ่ายขนาดไหน ไม่ต้องพูดถึงซูกัสที่เห็นจางอี้หลงเป็นพี่ใหญ่ใจดีอีกคนไปนานแล้ว จนเมื่อทานเสร็จเปลี่ยนเป็นของขบเคี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ประกอบการพูดคุย จางอี้หลงก็ไปหยิบขวดกระเบื้องจากในห้องพักตัวเองออกมาวางบนโต๊ะ
 
“งานฉลองจะขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ยังไง นี่พี่เอามาจากจีนเลยนะ”
 
จางอี้หลงรินของเหลวในขวดออกมาแจกทุกคน ทันทีที่ได้กลิ่นหลี่คุนก็ตาลุกวาว
 
“หนูเอ่อฮง!!! เหล้านารีแดงหรือนี่”
 
หลี่คุนรีบกระดกแก้วซดสุราคำโตลงไปทันทีโดยไม่รอคำเชิญชวนแล้วทำเสียงในคออย่างมีความสุข
 
“นารีแดงเหมือนในหนังจีนเหรอ ผมดื่มมั่ง”
 
ซูกัสเรียกร้องส่วนแบ่งของตัวเอง
 
“ไอ้คุน น้องมันยังอายุไม่ถึง”
 
ตินรีบร้องห้ามทันที
 
“เหลวไหล เป็นบุรุษห้าวหาน อายุสิบหกขวบปีก็ถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะหัดลิ้มรสสุราบ้างมีอันใดไม่ดี ซูเอ๋อร์ พี่ชายรินให้เจ้าหนึ่งจอก”
 
“ผู้น้องขอคารวะพี่ชาย”
 
ซูกัสรีบรับลูก อยู่ๆ ภาษาประหลาดของพี่คุนก็กลับมาอีก แต่ใครจะสนล่ะ เพื่อให้ได้ลองดื่มเหล้า จะให้เล่นงิ้วร้องลิเกก็ยอม  โอกาสดีๆ แบบนี้ต้องประจบเอาใจไว้ก่อน ไม่นึกว่าพี่คุนที่แต่ก่อนเข้มงวดเรื่องนี้นักหนาจะยอมให้เขากินเหล้าได้ง่ายๆ
 
ตินทำท่าไม่ยอม สุดท้ายจางอี้หลงก็ไกล่เกลี่ยว่าเหล้านารีแดงไม่แรงมาก ให้ลองสักแก้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ซูกัสยิ้มย่องเมื่อมีสองแรงสนับสนุน แต่จิบไปนิดเดียวก็เริ่มออกอาการแก้มแดงหูแดง
 
ยิ่งมีเหล้าการพูดคุยก็ยิ่งออกรส ตินไม่ได้ร่วมวงดื่มด้วย เขาเป็นนักมวยค่อนข้างรักษาสุขภาพ นั่งฟังหลี่คุนคุยโม้อยู่พักใหญ่หันมาอีกทีซูกัสก็ฟุบลงไปแล้วทั้งที่เหล้าแก้วแรกยังเหลือเกือบครึ่ง เห็นอีกสองคนยังคุยกันติดลมเขาก็พาเด็กคออ่อนเข้าไปนอนในห้อง กลับมาอีกทีก็ทนนั่งฟังคำพูดแนวๆ ‘กระบี่ออกจากฝักต้องได้ดื่มโลหิต คนพบมิตรสหายต้องได้ลิ้มรสสุรา’ ‘พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังนับว่าน้อย’ หรือ ‘เราดื่มสุรากลัวเพียงฟ้าสว่าง’ หนักเข้าก็ทนไม่ไหว จึงขอตัวกลับบ้านไปก่อน
 
หลี่คุนเทเหล้าหยดสุดท้ายออกมาอย่างเสียดาย สุราไหเท่านี้เขาดื่มอีกสิบไหยังไม่สะทกสะท้าน แต่พอเห็นจางอี้หลงหยิบไหใหม่ออกมาจากในห้องก็ร้องอุทานอย่างยินดี ยิ่งได้กลิ่นหอมใบไผ่ระคนสมุนไพรก็รู้ว่านี่คือสุราไผ่เขียวที่เขาโปรดปรานในรสชาติลุ่มลึกของมันยิ่งนัก เสียดายมีเพียงไหเดียวไม่พอให้เขาได้มึนเมาสักนิด
 
จนไหที่สองหมดไปสุราไหที่สามก็ตามออกมาอีก คราวนี้เป็นสุราสามดอกไม้ที่หลี่คุนชื่นชอบในความแรงที่ผ่านการกลั่นหลายครั้งของมันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่พอดื่มๆ ไปไม่ถึงครึ่งไหหลี่คุนก็รู้สึกว่าผิดท่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเขาในชาติก่อนที่คอแข็งยิ่งนัก พอรู้สึกตัวอย่างนี้ อาการมึนเมาก็เหมือนจะถาโถมมาในครั้งเดียว หลี่คุนพยายามโคจรพลังไล่พิษสุราแต่ปรากฎว่าช้าไปเสียแล้ว เขาน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่เห็นซูเอ๋อร์ออกอาการแก้วเดียวจอด คนเป็นญาติกันร่างกายคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ นั่นเป็นความคิดสุดท้ายของหลี่คุนก่อนจะหลับไหลไปภายใต้สายตาที่มองมาอย่างสมใจของใครอีกคน
 
...z z z Z Z Z

พี่อี้ : จะสงสารหรือสงสัยผมคร๊าบ เอาให้แน่
ติน : ผมไม่ดื่มครับ พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง
ไฮโซแบงค์ : ผมใกล้จะโดนเชือดแล้วใช่ไหม
น้องคุน : ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจะโดน... /เมาหลับต่อ


หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:50:14
31

 
หลี่คุนรู้สึกตัวในตอนสายโด่งของอีกวัน เขาปวดหัวมากจนต้องโคจรพลังอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยขับพิษสุราออกไปได้หมด เมื่อค่อยๆ นึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนไปเรื่อยๆ ก็ให้รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก
 
หากมีใครในชาติก่อนรู้เข้าว่าหลี่คุนผู้นำตระกูลหลี่แห่งฉางอันเมามายจนหลับไปหลังจากดื่มสุราไปแค่ไม่ถึงสามไหคงขบขันยิ่งนัก แม้ตอนนี้เขาจะเป็นแค่วิญญาณยืมร่างคืนชีพก็ยังมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
 
หลี่คุนสำรวจตัวเองจนทั่วก็รู้สึกว่าสดชื่นดี ทั้งๆ ที่เมื่อคืนคงเมาหลับไปโดยไม่ได้อาบน้ำแต่ก็ไม่มีอาการเหนียวตัวแต่อย่างใด นับว่าเขาไม่ถึงกับเมาสิ้นจนอนาถ แม้จะจำอะไรไม่ได้แต่ยังอุตส่าห์กลับมานอนบนเตียงได้เองแถมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อย แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติภายในร่างกายพอลองโคจรพลังแบบตั้งใจดูอีกที ก็รู้ที่มาของความรู้สึกแปลกๆ นั้นทันที
 
กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสาม!!!
 
จุดตันเถียนขนาดเท่าไข่ไก่ใบย่อมยืนยันความจริงเรื่องนี้ได้ แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดทำไมระดับถึงเลื่อนขึ้นเองได้ ถึงจะเป็นความก้าวหน้าแค่ครึ่งขั้นแต่หลี่คุนรู้ดีว่าการบรรลุเคล็ดวิชาต่างๆ แม้ตั้งใจพยายามยังไม่ใช่เรื่องง่าย ในคัมภีร์บุปผาเร้นวารีก็ไม่มีกล่าวถึงไว้ว่าระดับขั้นจะเลื่อนขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยพลังหยางจากภายนอก ถึงจะยังขบคิดถึงสาเหตุไม่ออกแต่หลี่คุนก็ดีใจมาก แม้แต่ในยุคก่อนระดับกำลังภายเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้วสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ไม่แน่ว่าร่างกายของคุณานนท์อาจมีความพิเศษใดที่ทำให้เพิ่มระดับกำลังภายในได้เอง
 
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่งั้นคงต้องเข้าเรียนสายหรือไม่ก็ต้องโดดไปเลย หลี่คุนเดินออกมาจากห้องก็เจอซูกัสนั่งเล่นเกมส์อยู่
 
“โห กว่าจะตื่นได้นะพี่ พี่อี้หลงกลับไปตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ ผมจะปลุกพี่มาส่งพี่เขาก็บอกว่าไม่ต้อง แต่มีฝากเอกสารอะไรไม่รู้ให้พี่อยู่ตรงโต๊ะโซฟาอ่ะ ผมไม่ได้เอาเข้าไปวางในห้องทำงานให้ เดี๋ยวพี่ว่าอีก”
 
“พี่บอกเราทั้งแต่คราวก่อนแล้วไง ว่าต่อไปน้องเข้าห้องอักษรพี่ได้ตลอด”
 
“นั่นแหละ เข้าไปก็ไม่เห็นมีอะไร ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปเลย พี่ตื่นก็ดีแล้ว รอตั้งนานแน่ะเดี๋ยวผมจะได้ออกไปหาพี่แฮ็คส์เลย บรัยยย”
 
ซูกัสบอกแล้วก็ผลุนผลันออกจากห้องไปตามประสาเด็กวัยรุ่นใจร้อน หลี่คุนหยิบซองเอกสารเข้าไปดูในห้องอักษร แต่ยังไม่ทันเปิดดูก็เห็นความผิดปกติบนโต๊ะทำงานเสียก่อน
 
ข้าวของเขาขยับไปจากเดิมอีกแล้ว ต้องมีคนเข้ามาค้นโต๊ะทำงานเมื่อเร็วๆ นี้แน่นอน คราวนี้เขาไม่คิดว่าเป็นซูกัส น้องเพิ่งพูดเมื่อครู่ว่าไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว ซูกัสถึงจะพูดมากแต่ก็ไม่ใช่เด็กโกหก ถ้างั้นจะเป็นใครได้อีก ติน? เพื่อนเขาอยู่ที่นี่เมื่อวานก็จริง แต่ก็กลับไปก่อน ดูๆ ก็ไม่น่ามีช่วงไหนที่จะเข้าไปในห้องได้โดยเขาไม่รู้ ถ้าเช่นนั้นก็เหลือแค่คนเดียว พี่อี้หลง!!
 
หลี่คุนยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจ คราวก่อนที่เขาเจอว่ามีคนมาสำรวจในห้องอักษรก็เป็นตอนที่จางอี้หลงมาพักอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่เขาเข้าใจไปว่าเป็นฝีมือซูกัส เสียแรงอุตส่าห์ไว้ใจ แต่โชคดีเที่ยวนี้เขาเกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดโทรศัพท์เกี่ยวกับภาษาเซี่ย เลยพยายามไม่ทิ้งอะไรที่อาจจะสร้างความน่าสงสัยไว้ วัตถุดิบล้ำค่าที่ใช้ปรุงยาระดับปฐพีใช้ไปหมดแล้ว ยาบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมก็เอาไปแอบซ่อนไว้ภายใต้ค่ายกลขนาดเล็กพร้อมกับสมุดสองเล่มที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ เป็นภาษาเซี่ยตะวันตก เหลือสมุดเล่มที่สามที่เขาเพิ่งใช้ได้ไม่นานที่ยังวางอยู่บนโต๊ะเพราะเพิ่งเอาออกมาจดบันทึกลงไป ต่อให้เกิดปาฏิหาริย์ที่ทำให้จางอี้หลงอ่านภาษาโบราณนี้ได้ก็ยังไม่รู้ความลับอยู่ดี เรื่องที่เขาได้ข้ามเวลามาจากสมัยราชวงศ์หมิงนั้นได้เขียนไปหมดแล้วในสมุดสองเล่มแรก ส่วนเล่มที่สามเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น
 
แต่ถึงอย่างนั้นหลี่คุนก็โกรธมาก สมุดเล่มที่สามมีรอยกรีดพับชัดเจนทุกหน้าแสดงว่าจางอี้หลงมาเปิดดูจริงๆ พฤติกรรมเช่นนี้ได้ทำลายความไว้ใจของเขาไปเกือบหมด ชาติก่อนเขาก็ถูกคนใกล้ชิดทรยศหักหลังทำให้เกิดความรู้สึกรุนแรงเป็นพิเศษ นี่เขาเปิดรับโจรเข้าบ้านหรืออย่างไร หลี่คุนตั้งใจที่จะตำหนิจางอี้หลงอย่างหนักในเรื่องนี้และจะลดระดับความสนิทสนมลงไปเป็นแค่คนรู้จัก เขาคิดว่าชั้นเชิงทางธุรกิจสมัยใหม่ที่ได้เรียนรู้มาน่าจะเพียงพอให้เขาไม่ต้องไปปรึกษาอะไรกับคนๆ นั้นอีก ดูไม่ผิดจริงๆ คนที่มีปราณอำนาจรุนแรงเช่นนี้มักมีเล่ห์เหลี่ยมจนคบไม่ได้
 
หลี่คุนนั่งสงบสติอารมณ์สักครู่ก็ส่งข้อความแชทรัวๆ ไปทิ้งไว้
 
LK : มิสเตอร์จาง! คุณเข้าไปรื้อของในห้องทำงานผมใช่ไหม
 
LK : ทำอย่างนี้ไม่ดีเลย
 
LK : ผมอุตส่าห์ไว้ใจคุณให้มาพักด้วย
 
LK : ผมว่าต่อไปเราคงไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะ
 
LK : ส่วนหุ้นในฉางอันถ้าผมเก็บเงินได้ครบจะขอซื้อคืนนะครับ
 
ZYL : น้องคุนทราบเหรอครับ พี่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังแค่ยังไม่ได้บอกเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะครับ อาจเป็นนิสัยเสียของพี่เองที่ชอบเก็บข้อมูลไปทั่ว
 
LK : แล้วสิ่งที่ได้ไปมีประโยชน์อะไรเหรอ คนดีๆ เขาคงไม่ทำอย่างที่คุณทำหรอก มิสเตอร์จาง
 
ZYL : ใจเย็นๆ นะครับ จะอธิบายยังไงดี สมมุตินะ ถ้าน้องซูกัสดูมีท่าทางผิดปกติ หรือมีแนวโน้มที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องใหญ่ น้องคุนจะไม่สนใจเหรอครับ
 
LK : ซูเอ๋อร์เป็นน้องรักผม ถ้าเขาเจอเรื่องอะไรแบบนั้นผมจะเข้าไปถามตรงๆ อยู่แล้ว
 
ZYL : น้องคุนแน่ใจนะครับว่าเรื่องทุกเรื่องมันถามได้ตรงๆ ยังไม่นับนะครับว่าถามไปแล้วจะบอกความจริงหรือเปล่า
 
LK : แล้วซูเอ๋อร์เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
 
ZYL : ลองกลับไปคิดดีๆ ก่อน ทุกอย่างที่พี่ทำมาทั้งหมด มันบอกอะไรน้องคุนบ้าง
 
ZYL : พี่ให้เวลาน้องคุน เราพักกันซักช่วงก็ดีครับ อีกหนึ่งเดือนค่อยคุยกันอีกที บางทีอาจจะเห็นภาพชัดขึ้น
 
ZYL : ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ
 
หลี่คุนพิมพ์แล้วลบอยู่สองสามที สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่คุยกันหนึ่งเดือนเหรอ เขาตั้งใจจะเลิกคุยไปตลอดเลยต่างหาก ไม่รู้เป็นคำแก้ตัวประเภทไหน ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าจางอี้หลงมีสิทธ์มาละลาบละล้วงเรื่องของเขาได้ยังไง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
 
เขาเดินออกมาจากห้องอักษรตั้งใจว่าจะชวนน้องชายไปหาอะไรอร่อยๆ ทานให้คลายความหงุดหงิดลงบ้างก็นึกได้ว่าซูเอ๋อร์ออกไปหาแฮ็คส์ข้างนอก ดูๆ ไปแล้วที่สองคนนี้ได้มาคบหาดูใจกันได้ก็เป็นฝีมือผู้เฒ่าจันทราอย่างเขาอยู่พอควรนะ ถ้าตอนนั้นเขาไม่เอะใจท่าทีแปลกๆ ของซูเอ๋อร์สืบหาความจริงจนตามไปเอาเรื่องกับแฮ็คส์ ทั้งคู่คงไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจและพิสูจน์ความจริงใจด้วยผงพิษของเขาจนลงเอยกันแบบนี้
 
หล่คุนสะกิดใจขึ้นมา จะว่าไปสิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างกับที่จางอี้หลงทำ ตอนนั้นเขาถึงกับใช้กำยานมอมจิตพรรคมารกับซูเอ๋อร์ ถ้าน้องรู้จะโกรธไหม แต่เขาถามตรงๆ ไปไม่ตอบเองนี่หน่า แล้วเขาเป็นพี่ชายซูเอ๋อร์ด้วย ย่อมมีสิทธิ์สอดส่องความเป็นไปของน้องชายอยู่แล้ว ถึงสิ่งที่ทำจะคล้ายๆ กัน แต่จางอี้หลงไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไม่ควรจะมีสิทธิ์ในแบบเดียวกัน หรือเปล่านะ ที่เขาโกรธมากเพราะกลัวความลับที่ตัวเองมีเต็มไปหมดจะรั่วไหล หรือเพราะน้อยใจที่โดนทำแบบนี้ทั้งที่ไว้ใจกันแน่นะ
 
เรื่องนี้รบกวนจิตใจหลี่คุนตลอดทั้งวัน ตอนวางแผนทำการค้าใหม่ๆ ก็เผลอคิดว่าถ้าเป็นจางอี้หลงจะมีกลยุทธ์ยังไง ฝึกยุทธ์จนกำลังภายในเหลือไม่ถึงครึ่งก็คิดถึงพลังหยางเข้มข้นของอีกฝ่าย แม้แต่ตอนชงชาหลงจิ่งพอได้กลิ่นก็ยังนึกถึงคนที่เอามาให้ หลี่คุนพยายามหาอะไรเพลินๆ ทำจะได้ไม่คิดมาก แต่พอลืมตัวก็เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะพิมพ์แชทกับจางอี้หลงอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดต้องเอาโทรศัพท์ไปซ่อนไว้
 
แม้แต่วันถัดมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ หลี่คุนก็ยังดูไม่ค่อยสบายใจจนซูกัสสังเกตเห็น เด็กหนุ่มจึงชวนให้ออกไปหาอะไรทำข้างนอกพร้อมกับโทรไปตามตินมาด้วย หลังจากที่รวมตัวกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ซูกัสก็ทำท่าลึกลับไม่บอกว่าจะไปที่ไหน ในที่สุดพวกเขาก็ตามเข้าไปในร้านที่ตกแต่งแปลกตา
 
“ยินดีต้อนรับค่าาาาา นายท่านและคุณหนู”
 
หลี่คุนเห็นเด็กสาวแต่งตัวแปลกๆ ดูเยอะกว่าคนยุคนี้ทั่วไปออกมาต้อนรับที่ประตูทางเข้าด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะนำพวกเขาทั้งสามเข้าไปในร้านที่ตกแต่งน่ารักสดใสมีแสงสีเสียงวิบวับเต็มไปหมด หลี่คุนว่าตัวเองก็คุ้นกับโลกยุคใหม่นี้มากอยู่แต่ยังไม่เคยเจออะไรที่ดูฟุ้งๆ กึ่งจริงกึ่งในแบบนี้มาก่อนจนอดใจไม่ไหวต้องกระซิบถามติน
 
“กูไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ก็ได้ยินอยู่ เป็นร้านเมดค่าเฟ่ที่นิยมกันที่ญี่ปุ่น ก็เป็นร้านอาหารนี่แหละ แต่ให้พนักงานแต่งตัวแบบสาวใช้เน้นน่ารักฟรุ้งฟริ้ง แต่กูว่าไม่เหมาะกับคนแมนๆ แบบกูหรอกว่ะ”
 
ที่แท้เด็กสาวพวกนี้คือสาวใช้นี่เอง มิน่าถึงได้เรียกเขาว่านายท่าน ฟังดูแล้วก็เกิดความคุ้นเคยไม่น้อย การแต่งตัวเช่นนี้คาดว่าน่าจะเป็นสาวใช้ระดับสูง เห็นแล้วอดนึกถึงสาวใช้ประจำตัวทั้งสี่ในอดีตไม่ได้
 
เมื่อสาวใช้หรือที่ให้เรียกขานว่าน้องเมดนำพวกเขามานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มพิธีการแปลกๆ ด้วยการจุดเทียน
 
“ต่อจากนี้นายท่าน และคุณหนูจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน ให้ร่วมกันนับถอยหลัง สาม…….สอง……….หนึ่ง”
 
จากนั้นน้องเมดก็สอนท่าเราว่าถ้าอยากจะสั่งอาหารต้องพูดว่า เหนี่ยว เหนี๊ยว เห็นว่าเป็นเสียงร้องของแมวในภาษาญี่ปุ่น พร้อมยกมือสองข้างกำหลวมๆ ชูขึ้นมาที่ข้างแก้มทำท่าแมวเหมียว
 
หลี่คุนเส้นเลือดขึ้นหน้าขมับ ท่าทางเช่นนี้ก็ทำต่อหน้าธารกำนัลได้ด้วยหรือ ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
 
“ลองทำตามสิค๊าาาาาาาาา”
 
“เหนี่ยว เหนี๊ยว”
 
ซูกัสออกเสียงทำท่าตามอย่างสนุกสนาน เหลือบมองไปทางตินก็ดูเหมือนจะมีอารมณ์ร่วมไปแล้ว พอถูกสายตาของทั้งคู่กดดัน รวมถึงท่าทางออดอ้อนเสียใจของน้องเมด ทำให้หลี่คุนต้องทำตามในที่สุด
 
“เหนี่ยว เหนี๊ยว” สองมือยกขึ้นทำท่าแมวน้อยประกอบไปด้วย
 
เขาหน้าชานิดๆ ประสาทสัมผัสที่ว่องไวของผู้ฝึกยุทธ์ทำให้รู้ว่าเขาและซูเอ๋อร์กำลังถูกคนทั้งร้านจับจ้อง นึกแล้วให้อิจฉาติน ทำท่าเดียวกันแท้ๆ ทำไมไม่มีใครมองเลย สมกับเป็นผู้มีคุณสมบัติกับการเป็นองครักษ์เงาอันยอดเยี่ยมจริงๆ
 
จากนั้นน้องเมดก็พูดเสียงงุ้งงิ้งแนะนำอาหารไปเรื่อยๆ หลี่คุนได้แต่เออออสั่งตามไปอย่างงงๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็รับที่คาดผมหูแมวมาใส่แล้ว
 
ในที่สุดเครื่องดื่มก็ถูกนำมาเสริฟ์ แต่ก่อนจะได้ทานก็มีพิธีกรรมอีก น้องเมดคนหนึ่งเขย่ากระบอกผสมเครื่องดื่ม อีกคนเอาเครื่องดนตรีให้จังหวะมาเคาะ เชคไปเต้นไปร้องเพลงไป
 
"นายท่าน หล่อจัง ดูดี คาวาอี้ๆ"
 
ช่างเป็นการประจบประแจงเจ้านายที่ไม่ปิดบังซ่อนเร้นอะไรแม้แต่น้อย หลี่คุนหน้าชาอีกรอบ เท่านั้นยังไม่พอ น้องเมดยังให้ช่วยทำท่าร่ายมนต์ทำพิธีให้เครื่องดื่มอร่อย หลี่คุนจำใจวาดมือเป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจของโลกยุคนี้ ก่อนจะทำมืองอๆ ประกบกันเป็นรูปหัวใจยื่นไปที่แก้วเครื่องดื่มพร้อมกับร่ายมนต์
 
"โออิชิ คุนาเระ โมเอะ บีม!!!” สามครั้งสามคราตามจำนวนเครื่องดื่มที่สั่ง
 
รู้สึกเหมือนกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามถูกดูดไปเพิ่มความอร่อยให้แก้วเครื่องดื่ม ใช่ซะที่ไหน!!!
 
แต่พอเห็นตินจิบไปแล้วร้องเอะอะว่าอร่อยมากก็เริ่มสับสน หรือเวทมนต์คาถาในยุคนี้จะมีจริง คาถาเดียวกันนี้ถูกใช้เมื่อข้าวผัดรูปกระต่ายนอนห่มผ้าห่มไข่เจียวสีเหลืองอร่ามถูกนำมาวางบนโต๊ะ
 
“อุซางิ โออิชิ คุนาเระ โมเอะ บีม!!!”
 
หลี่คุนยิ่งทำยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ต้องพูดถึงซูเอ๋อร์กับตินที่วาดมือท่องคาถาเสียงเล็กเสียงน้อยได้ไม่ต่างจากมืออาชีพอย่างน้องเมด จะว่าไปก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ถ้าเขาได้มีโอกาสกลับไปสมัยราชวงศ์หมิงอีก อาจจะลองให้สาวใช้ในจวนเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดกระโปรงที่มีผ้ากันเปื้อนแบบนี้ดู หลี่คุนคิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะถ่ายรูปเก็บไว้ดูเป็นแบบ
 
“ไม่ได้นะค๊าาาาาาาาา ห้ามถ่ายรูปน้องเมดค่ะ เป็นกฎของทางร้าน แต่ถ้านายท่านสั่งชุดของหวานเป็นไจแอนท์ไอศครีมทาวเวอร์ ก็จะได้รับไปเลยฟรีๆ กับสิทธิ์การถ่ายรูปกับน้องเมดหนึ่งใบ พร้อมการแสดงสดประกอบการบีบช็อคโกแล็ตแต่งหน้า นายท่านจะรับไหมค้า...”
 
ช่างเป็นการค้าที่ได้กำไรยิ่งนัก มองไปที่ผู้ร่วมโต๊ะก็เห็นพยักหน้าหงึกๆ ตาเป็นประกาย เขาเองก็ชอบขนมหวานเย็นของโลกยุคนี้อยู่ด้วย ไม่นึกว่าพอถึงเวลาเสิร์ฟ ไฟทั้งร้านจะดับลงแล้วมีไฟดิสโก้ตรงกลางร้าน หมุนๆ อยู่เรียกความสนใจจากคนทั้งร้าน แล้วน้องเมดก็พูดใส่ไมค์ว่า
 
“วันนี้มีคนสั่งเมนูไจแอนท์ไอศครีมทาวเวอร์ด้วยค่ะ แต่เอ อยากทราบว่านายท่านโต๊ะไหนสั่งกันน้าาาาา นายท่านโต๊ะไหนสั่ง ให้ทำท่าเนี๊ยวๆ ด้วยนะค๊าาาาาา”
 
จัดไป!!! “เหนี่ยว เหนี๊ยว” ประสานกันสามเสียงคนมองทั้งร้าน
 
ในที่สุดหลี่คุนก็ได้ทำกิจกรรมในร้านเมดค่าเฟ่ตั้งแต่โมเอะบีมไปจนถึงถ่ายรูปกับน้องเมดอย่างเพลิดเพลินจนลืมความไม่สบายใจเรื่องจางอี้หลงไปได้ไม่น้อยราวกับมีเวทมนต์เยียวยา แต่ในที่สุดน้องเมดก็เดินมาบอกว่า
 
“ต่อจากนี้จะหมดเวลาของดินแดนแห่งความฝันแล้ว ขอให้นายท่านและคุณหนู ร่วมกันนับถอยหลัง สาม…….สอง……….หนึ่ง พร้อมกันนะค๊าาาาาาาาาาาาาาาา”
 
แล้วน้องเมดก็เป่าดับเทียน ตินทำท่าเหมือนตื่นจากความฝัน พอออกจากร้านมาก็ยังเพ้ออยู่หน่อยๆ
 
“มิคายุจังน่ารักดีน้า เสียดายที่ร้านมีกฎไม่ให้ถูกตัวน้องเมด กูว่าจะขอจับมือเค้าสักหน่อย”
 
ตินผู้ซึ่งหลี่คุนเห็นว่าชอบแต่ดูหนังไม่เคยเห็นว่าจะสนใจสาวไหนมาก่อนยังดูติดใจ
 
“พี่ตินอยากจับก็ไม่บอก เดี๋ยวเราไปเดินย่อยอาหารกัน ถ้าพี่ตินซื้อแผ่นเกมส์ให้ผมสักแผ่นสองแผ่น เดี๋ยวผมพาไปอีกที่นึง แนวญี่ปุ่นเหมือนกัน รับรองลูบคลำได้ตามใจ”
 
“จริงเหรอซูกัส น้องเค้าไม่ว่าเอานะ”
 
“ไม่หรอกฮะ ถ้าพี่ไม่รุนแรงกับน้อง”
 
ตินตาเป็นประกาย ยอมให้ซูกัสลากไปเข้าร้านโน้นร้านนี้และควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อของให้แต่โดยดี ทำให้พี่ชายตัวจริงอย่างหลี่คุนสบายไป พอซูกัสเห็นว่าไถทรัพย์เพื่อนพี่ได้พอประมาณแล้ว ก็พาออกจากห้างมาที่ร้านข้างนอกซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
 
‘เนโกะ เนโกะ แคท คาเฟ่’
 
ตินเห็นป้ายชื่อร้านแล้วถึงกับตะลึงไป หลังจากตั้งสติได้ก็หันไปทำหน้าถมึงทึงใส่ซูกัสแต่น้องน้อยสุดทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะนำพี่ชายทั้งสองเดินเข้าไปในร้านที่ตกแต่งน่ารักอย่างไม่รู้ไม่ชี้
 
หลี่คุนสำรวจในร้านด้วยความสนใจ ด้านในมีโซนห้องกระจกที่มีแมวสายพันธุ์แปลกตากำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยมีคนที่มาใช้บริการนั่งจิบเครื่องดื่มมองอย่างมีความสุขตรงที่นั่งที่จัดไว้รอบๆ ห้องกระจกนั้น ถัดเข้าไปข้างในจะเป็นบริเวณที่มีแมวหลายตัวถูกปล่อยอย่างอิสระให้เข้าไปนั่งเล่นด้วยได้
 
ที่แท้เจ้าพวกนี้เป็นแมวหอโคมเขียวนี่เอง ทั้งยังมีแบ่งระดับเป็นคณิกาขายศิลปะในห้องกระจกที่ได้เพียงมองมิอาจแตะต้อง กับคณิกาขายเรือนร่างที่ลูกค้าสามารถลูบคลำได้เต็มที่อย่างที่ซูเอ๋อร์สัญญาไว้จริงๆ
 
ตินหน้าบูดบึ้งจนซูกัสต้องบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงขนมกับเครื่องดื่มเองพร้อมกับอาสาเดินไปสั่งให้ที่เค้าเตอร์ กลับมาอีกทีก็เห็นตินนั่งเล่นกับแมวทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบที่น้องเมดในร้านที่แล้วทำแล้วก็ต้องส่ายหัวให้กับเพื่อนพี่ชายคนนี้
 
หลี่คุนนั่งมองนักศึกษาปีสี่กับเด็กมอห้าเล่นกับแมวอยู่พักใหญ่ก็มีเสียงโทรศัพท์เข้า ปรากฎว่าเป็นไฮโซแบงค์ที่เพิ่งกลับถึงเมืองไทยอยากนัดเจอเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด หลี่คุนเห็นเพื่อนกับน้องกำลังสนุกเลยบอกว่าจะขอตัวไปทำธุระก่อนถ้าเสร็จแล้วให้ตินพาซูเอ๋อร์กลับไปส่งที่คอนโดด้วย
 
หลี่คุนเลือกที่จะไปพบไฮโซหนุ่มที่อาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มของอีกฝ่าย เที่ยวนี้เขาไม่ได้ถูกบอดี้การ์ดค้นตัวเพื่อตรวจอาวุธเหมือนครั้งที่แล้ว แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างนอบน้อมจากทั้ง รปภ. ที่ตะเบ๊ะแล้วตะเบ๊ะอีกตั้งแต่ที่ประตูทางเข้า กับรองประธานกรรมการบริหารที่มารอรับอยู่ที่ล็อบบี้อย่างกระวนกระวายจนทำให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อยู่ไม่สุขไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะมีวีไอพีท่านใดมาเยือน พอเธอเห็นว่าแขกที่มาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในรายชื่อนักธุรกิจหรือทำเนียบคนดังใดๆ ก็แปลกใจหนักหนาที่ท่านรองกุลีกุจอมาต้อนรับและพาขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นบนสุดด้วยตัวเอง
 
แบงค์ไม่ได้เจอหลี่คุนมาสองสามเดือนรู้สึกได้ถึงความองอาจน่าเกรงขามที่เพิ่มขึ้น ยิ่งตอนนี้เขามีชะงักติดหลังอยู่เรื่องบริษัทในเครือของพี่ชายมาทำธุรกิจแข่งโดยวิธีที่ไม่โปร่งใสสักเท่าไหร่ก็ยิ่งใจคอไม่ดี ท่าทางที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายกลายเป็นเจียมเนื้อเจียมตัวจนถ้าคนมาเห็นคงงงว่าใครเป็นถึงรองประธานและใครเป็นเพียงนักศึกษาปีสี่กันแน่ คราวนี้ชาที่เอามาเสิร์ฟก็เป็นชาจีนอย่างดี หลี่คุนจิบไปก็พบว่าไม่เลว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับชาหลงจิ่งที่จางอี้หลงเอามาให้ เขาวางจอกชาทันทีอย่างไม่สบอารมณ์ที่กลับไปนึกถึงคนคนนั้นอีก ทำเอาแบงค์ออกจะผวาเล็กน้อย
 
ไฮโซหนุ่มรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังว่าบริษัทที่ผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาออกมาขายมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มของตระกูลเขาจริง ตอนนี้กำลังหาวิธีจัดการเพื่อลดความเสียหายที่เกิดกับหลี่คุนอยู่ แบงค์ปิดบังความจริงที่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือพี่ชายของเขาเองเพราะกลัวว่าหลี่คุนจะมีอคติกับครอบครัวของเขาและที่สำคัญคือเขายังหว่านล้อมให้พ่อถอนการสนับสนุนโครงการนี้ของพี่ชายไม่ได้ เขาพูดเพียงว่าโครงการนี้เกิดจากทีมผู้บริหารสองสามคนซึ่งแยกออกมาทำอย่างอิสระเลยยังสั่งยกเลิกไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถให้ข้อมูลได้ว่าสูตรการผลิตนี้รั่วไหลออกมาจากสถาบันวิจัยด้านสมุนไพรชั้นนำของจีนได้อย่างไร
 
“ตกลงที่เล่ามายืดยาว สรุปว่าคุณก็ยังทำอะไรไม่ได้งั้นสิ”
 
หลี่คุนหลี่ตามองมาที่แบงค์อย่างเย็นชา ไฮโซหนุ่มเสียวสันหลังวาบ รีบเอามือทั้งสองข้างไขว้ไปแอบไว้ด้านหลังแล้วรีบอธิบาย
 
“แค่เฉพาะตอนนี้นะครับ บริษัทมีการแยกอำนาจบริหารออกมาไม่ขึ้นกับบริษัทแม่เพื่อให้คล่องตัวในการเจาะธุรกิจใหม่ แต่ผมกำลังเร่งระงับโครงการอยู่ อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
 
“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าพ่อคุณโทรสั่งคำเดียวก็จบเหรอครับ ยังไงก็ธุรกิจกึ่งครอบครัว ถึงจะบอกว่าแยกโครงสร้างออกไป แต่ถ้านายใหญ่เอาจริง ผู้บริหารคนไหนจะกล้าไม่ทำตาม”
 
แบงค์เหงื่อตก คุณานนท์รู้ดีเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นแค่นักศึกษาปีสี่ภาคโฆษณาหรอกหรือ ทำไมถึงได้เข้าใจการทำธุรกิจจริงๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีได้ ไม่ใช่เขาไม่พยายามคุยกับพ่อ แต่นี่เป็นงานแรกของพี่ชายที่มีแนวโน้มจะทำสำเร็จหลังจากที่ล้มเหลวในธุรกิจมาโดยตลอด พ่อจึงลังเลที่จะถอนการสนับสนุนออก เมื่อต้องเลือกระหว่างลูกชายกับจริยธรรมทางธุรกิจ ถึงอย่างไรคนเป็นพ่อก็ยังลำเอียงไปทางสายเลือดตัวเองอยู่ดี
 
เขาก็ยังไม่ลืมว่าเคยติดการลงทัณฑ์ถอดกางเกงโบยก้นของหลี่คุนไว้จากความผิดครั้งที่แล้วจึงรีบอธิบายรัวเร็วแทบไม่เป็นภาษา
 
“คือบริษัทเครื่องสำอางที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ ก็ได้มีการดึงมือดีจากหลายๆ ด้านจากข้างนอกเข้ามารวมตัวกัน มีการจ่ายผลตอบแทนตามความสำเร็จ อยู่ๆ จะสั่งเลิกตอนที่กำลังไปได้ดีก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นครับ”
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่มือดีที่พี่ชายไปดึงตัวมานั้นน่าจะเรียกว่ามือชั่วมากกว่า ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน ประวัติโชกโชนไม่ขาวสะอาดสักคน
 
“ถึงเรื่องนี้จะทำให้เสียหายหนัก แต่ผมก็แก้เกมคืนไปแล้ว อีกเดือนสองเดือนยอดขายของขี้ผึ้งจักรพรรดิตัวใหม่คงจะฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว ถ้ารอคุณจัดการผมคงหมดเนื้อหมดตัวพอดี ผมว่ายอดที่คุณสั่งอยู่หลายกระปุกทุกเดือนก็เลิกซะเถอะ ไปใช้ขี้ผึ้งฮองเฮาของพวกคุณเอง ผมจะได้เก็บโควต้านี้ไปรองรับลูกค้ารายใหม่ๆ ในราคาที่ปรับขึ้นแล้ว”
 
หลี่คุนตอบกลับอย่างไม่ใยดีเท่าไหร่ ถึงจะจัดการได้ แต่ก็ต้องไปพึ่งความช่วยเหลือจากจางอี้หลงอยู่ดี
 
“ไม่ได้นะครับ แม่ผมกับพี่สะใภ้ต้องด่ากราดแน่ๆ ผมยอมจ่ายที่ราคาใหม่เลยครับ”
 
“อย่างนี้ค่อยพอคุยกันได้หน่อย ว่าแต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ต้องการสูตรขี้ผึ้งนี้แต่แรกใช่ไหม”
 
แบงค์ถอนหายใจที่อีกฝ่ายดูจะระงับอารมณ์โกรธไว้ได้บ้าง ท่าทางวันนี้มือกับก้นของเขาน่าจะรอดแล้ว
 
“ยังไม่ทราบครับ ทางผมก็พยายามสอบถามไปที่สถาบันวิจัยแห่งนั้นแล้วโดยใช้เรื่องที่นักวิจัยของเขาทุจริตไปบีบ เขาบอกจะรับผิดชอบโดยการลงโทษและดำเนินการตามกฎหมายกับนักวิจัยคนนั้น แต่ไม่สามารถเปิดเผยความลับของผู้จ้างเดิมที่เอาขี้ผึ้งจักรพรรดิมาทดสอบให้เราได้”
 
“งั้นก็หมดหวัง ลูกค้าขี้ผึ้งมีเป็นร้อยๆ ใครก็สามารถส่งตัวอย่างไปตรวจได้”
 
“ก็ไม่เชิงครับ คนที่น่าสงสัยจะว่ากว้างก็กว้าง จะว่าแคบก็แคบ ที่ผมสืบมาสถาบันวิจัยนี้เกี่ยวพันกับภาครัฐ ถ้าไม่ใช่องค์กรหรือเอกชนรายใหญ่ๆ ของจีน เขาจะไม่รับงานแบบนี้ แสดงว่าคงไม่ใช่ลูกค้าธรรมดาๆ หรอกครับ ไม่ทราบว่าคุณคุณานนท์คิดว่าคนที่ได้ขี้ผึ้งไปมีใครเข้าข่ายนี้บ้าง”
 
จางอี้หลง!!! หลี่คุนคำรามชื่อที่น่าสงสัยที่สุดอยู่ในใจ นี่เหรอที่บอกว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี
 
หลี่คุนกลับออกมาจากบริษัทของแบงค์ ขณะที่เขานั่งคิดว่าจะจัดการกับจางอี้หลงยังไงก็มีโทรศัพท์จากตินเข้ามา
 
“ไอ้คุน มึงอยู่ไหน รีบกลับมาเร็ว ซูกัสโดนทำร้าย!!!”

#######


 
 
 
 
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 25 + ตอนพิเศษ] 7/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:52:03
32

หลี่คุนปวดใจเรื่องที่ซูเอ๋อร์โดนทำร้ายยิ่งนัก เขานั่งแทกซี่อย่างร้อนใจจนมาถึงที่หน้าคอนโดแล้วก็วิ่งไปขึ้นลิฟต์ทันที ผู้โดยสารร่วมลิฟต์เป็นหญิงสาววัยทำงานสองคนกำลังคุยกันอย่างตื่นเต้น
 
“แกเห็นกับตาเลยเหรอ”
 
“ใช่ ไม่น่าเชื่อนะว่าก่อนถึงหน้าคอนโดเรานิดเดียว จะมีคนร้ายกล้ามาลักพาตัวคนกันซึ่งๆ หน้า น้องผู้ชายคนที่โดนดูคุ้นๆ รู้สึกจะอยู่ที่คอนโดเรานี่แหละ ยังเรียนมัธยมอยู่เลย หน้าตาดี๊ดี”
 
“หรือว่าจะเอาตัวไปทำเรื่องอย่างว่า เดี๋ยวนี้ผู้ชายยังไม่ปลอดภัย ใจกลางเมืองแท้ๆ  โชคดีนะที่ไม่สำเร็จ”
 
“ไม่ใช่แค่โชคนะ แต่คนที่มาช่วยเก่งมากๆ มาถึงก็อัดคนร้ายสามสี่คนลงไปนอนกับพื้นฉันมองตามไม่ทัน แล้วขนาดน้องผู้ชายถูกเอาตัวขึ้นรถตู้ปิดประตูไปแล้วนะ เขาชกทีเดียวกระจกแตกเอามือปลดล็อกจากข้างในเปิดประตูดึงน้องออกมาได้ เรื่องมันเกิดเร็วมาก ฉันยังนึกว่าถ่ายหนังหรือเปล่า ไม่งั้นคงได้เอามือถือขึ้นมาถ่ายแล้ว”
 
“เก่งขนาดนั้นเลย ใช้คาราเต้เทควันโด้อะไรงี้เปล่า”
 
“มวยไทยเลยจ้า เตะศอกเข่าแข้งเน้นๆ”
 
“โอ๊ย เถื่อนๆ เร้าใจไปอีก หล่อด้วยใช่เปล่าแก”
 
“เห็นหน้าไม่ค่อยชัด มันเร็วไปหมด  แต่กล้ามแน่นหุ่นดีดูยังหนุ่มๆ อยู่”
 
“ขอให้หล่อด้วยเถอะเพี้ยง”
 
หลี่คุนแอบฟังมาได้ถึงตอนนี้ก็ถึงชั้นตัวเองพอดีจึงรีบออกจากลิฟต์ไป พอเข้ามาในห้องก็เห็นซูเอ๋อร์นั่งคุยเสียงดังอยู่กับตินท่าทางไม่เหมือนคนโดนทำร้ายมาสักเท่าใด ทันทีที่เห็นพี่ชาย เด็กหนุ่มก็กระโจนเข้ามาถึงตัวน้ำหูน้ำตาไหลเต็มไปหมด
 
“พี่คุน มันน่ากลัวมาก อยู่ๆ ก็รุมเข้ามาจับตัวผม กระชากแขนจะเอาขึ้นรถตู้ให้ได้ เจ็บไปทั่งตัวแล้วเนี่ย”
 
หลี่คุนสำรวจไปทั่วร่างของน้องชาย ถึงท่าทางซูเอ๋อร์จะดูเกินจริงไปบ้าง แต่ดูอาการแล้วก็คงเจ็บไม่น้อย ทั้งแผลปริแตกที่มุมปาก รอยถูกบีบเค้นที่ข้อมือและต้นแขนแดงช้ำตัดกับผิวขาวๆ ที่สำคัญคืออาการฟกช้ำตรงหัวไหล่ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงกินบริเวณกว้างบ่งบอกว่าถูกบิดกระชากมาอย่างไม่ปราณี
 
“ที่จริงมีตรงก้นด้วย มีคนนึงมาถีบผมอย่างแรงให้เข้าไปในรถตู้ หัวคะมำเลยพี่”
 
ซูกัสเห็นพี่ชายเป็นห่วงก็ฟ้องสิ่งที่โดนกระทำออกมาจนหมด หลี่คุนยิ่งได้ฟังก็ลมปราณเดือดพล่านทั่วร่าง ซูเอ๋อร์คือเกล็ดย้อนมังกรของเขา ใครบังอาจมาทำอะไรมันจะต้องได้รับผลนั้นกลับเป็นร้อยเท่าพันเท่า
 
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะติน เล่ามาให้ละเอียดอีกที”
 
นักมวยหนุ่มเห็นอาการของเพื่อนก็รู้ว่าโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว เขาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่ระวังจนน้องเพื่อนถูกทำร้ายเอาได้ ตินเล่าย้อนไปว่าหลังเสร็จจากคาเฟ่แมวก็มาส่งซูกัสที่คอนโดตามที่รับปากหลี่คุนไว้ แต่พอลงรถไฟฟ้าตรงหน้าปากซอย เจอคุณยายขายพวงกุญแจเป็นตุ๊กตาถักรูปสไปเดอร์แมนอยู่เลยหยุดดู เขาเห็นว่าอากาศช่วงนี้มีฝุ่นละอองเยอะเลยให้ซูกัสรีบเดินกลับเข้าคอนโดในซอยไปก่อน เขาคุยกับคุณยายสักครู่ พอจ่ายเงินเสร็จก็เดินตามไปเจอชายฉกรรจ์หลายคนกำลังฉุดกระชากซูกัสให้เข้าไปในรถตู้สีดำที่จอดดักอยู่ตรงก่อนถึงคอนโดจึงรีบเข้าไปช่วย ตินไม่ได้พูดถึงรายละเอียดให้หลี่คุนฟังว่าเขาจัดการคนสี่ห้าคนได้อย่างง่ายดายแถมยังใช้มือเปล่าชกกระจกรถจนแตกออกถึงได้ช่วยซูกัสออกมาได้
 
“สุดท้ายพวกมันหนีไปได้เหรอ”
 
“เออ น้องเจ็บอยู่กูก็ไม่กล้าทิ้งไป แล้วพวกมันก็มีกันหลายคน ไม่รู้ว่ามีอาวุธอะไรหรือเปล่า กูเลยไม่ได้ตาม แต่กูจำทะเบียนได้ แล้วตอนนั้นคนก็เริ่มเห็นกันเยอะแล้ว น่าจะมีใครถ่ายรูปไว้ได้บ้าง กูให้พรรคพวกพ่อสืบอยู่””
 
หลี่คุนไม่ได้หวังอะไรในพรรคพวกตำรวจของตินเท่าไหร่ เรื่องคราวที่แล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลย
 
“มึงว่ามันเจาะจงซูเอ๋อร์หรือเปล่าวะ”
 
“ถ้าให้กูเดาก็คิดว่าใช่ พวกมันจงใจเอารถมาดักรอตรงก่อนจะถึงคอนโด พอเห็นน้องเดินมาคนเดียวก็ลงมือเลย”
 
“ชั่วช้า เด็กคนนึงยังทำได้”
 
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มึงรีบรักษาแผลซูกัสเถอะ น้องมันไม่ยอมไปโรงพยาบาล จะรอมึง”
 
หลี่คุนรีบเอายาสมุนไพรแก้แผลฟกช้ำที่ปรุงไว้มาจัดการนวดให้ซูเอ๋อร์ทันที เขาถ่ายพลังปราณรักษาลงไปด้วยโดยไม่สนใจว่าบาดแผลและรอยฟกช้ำที่เกือบจะสมานตัวได้ในทันทีนี้จะดูผิดปกติขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ไม่อาจให้ซูเอ๋อร์ต้องทนเจ็บไปนานกว่านี้ ตินเฝ้ามองอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ในที่สุดการรักษาก็เสร็จสิ้นลงในขณะที่ซูเอ๋อร์หลับสนิทไปแล้วเนื่องจากการกดจุดของหลี่คุน
 
“ขอบใจมึงมากติน ถ้าไม่ได้มึง น้องคงโดนลักพาตัวไปแล้ว”
 
และถ้าซูเอ๋อร์เป็นอะไรไป เขาคงต้องลงมือทำร้ายคนทั้งๆ ที่สัญญากับตัวเองไว้เนิ่นนานแล้วว่าจะไม่ใช้วิทยายุทธ์พรากชีวิตใคร โชคดีเหลือเกินที่ได้ชำระทางเดินลมปราณที่อุดตันโดยใช้การฝังเข็มและโอสถระดับปฐพีให้กับตินไปก่อนหน้านี้ มิฉะนั้นตินคงไม่สามารถเอาชนะชายฉกรรจ์หลายคนและช่วยซูเอ๋อร์ได้ทันท่วงที
 
“เฮ้ย มึงอย่าพูดอย่างนั้น กูยังรู้สึกผิดอยู่เลยที่ดูแลน้องไม่ดี”
 
ตินพูดก่อนจะกลับบ้านไป หลี่คุนไม่รอช้า เขาหยิบชุดฝังเข็มออกมาแล้วฝังไปยังจุดต่างๆ บนร่างกายของซูเอ๋อร์ตามเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารี สัดส่วนร่างกายของน้องชายไม่ได้ดีเลิศเหมือนของติน เกรงว่าในสภาวะแวดล้อมของยุคนี้คงไม่สามารถฝึกกำลังภายในที่ใช้การได้สำเร็จ มีแต่เคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีเท่านั้นที่จะช่วยให้ซูเอ๋อร์มีกำลังภายในไว้ปกป้องตัวเองได้ หลี่คุนใช้เวลาคืนนั้นหลายชั่วยามจนสำเร็จ เขาถ่ายพลังหยางของตัวเองเข้าไปในร่างกายของน้องชายเพื่อเปลี่ยนเป็นกำลังภายในสะสมที่จุดตันเถียน พลังหยางของเขาก็ไม่ได้เข้มข้นเป็นพิเศษอะไร อีกทั้งซูเอ๋อร์ก็ไม่ได้รู้วิธีที่จะชักนำพลังหยางภายนอกให้เข้าสู่จุดตันเถียนด้วยตัวเอง หลี่คุณพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ช่วยน้องชายให้บรรลุได้เพียงแค่ขั้นที่หนึ่งของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีเท่านั้น อย่างน้อยถ้าใช้ให้เป็น ซูเอ๋อร์ก็น่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหา เขาคิดว่าต่อไปจะค่อยๆ หาทางสอนวรยุทธ์ง่ายๆ ให้โดยต้องระวังไม่ให้ผิดสังเกต
 
หลี่คุนไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนร้ายคืออะไรกันแน่ แต่จากรูปแบบการลงมือเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวพันกับคนที่เคยพยายามจะจับตัวเขาไปตอนที่กลับจากค่ายมวย ในเมื่อพวกมันรู้ที่อยู่แน่ชัดอย่างนี้ต่อไปซูเอ๋อร์คงไม่ปลอดภัย เขาเองในยามนี้มีสิ่งที่ต้องทำมากมายเพื่อตัดรากถอนโคนเรื่องนี้คงไม่สามารถอยู่กับน้องได้ตลอดเวลา เห็นที่จะต้องให้ลี้ภัยหลบไปอยู่ที่อื่นก่อนพร้อมทั้งหาคนดูแล เสียดายที่ในยุคนี้ไม่มีองครักษ์เงาให้ใช้งานเช่นนี้แล้ว
 
หลี่คุนโทรหาคนๆ หนึ่งเพื่อฝากฝังให้มารับซูเอ๋อร์ไปดูแลสักระยะหนึ่ง ในวันถัดมาวงการบันเทิงก็มีข่าวใหญ่เรื่องแฮ็คส์นักร้องนักแสดงลูกครึ่งชื่อดังประกาศพักงานตัวเองอย่างไม่มีกำหนด ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ในอินเตอร์เน็ตมีการคาดเดาไปต่างๆ นาๆ มีข่าวลือว่านักร้องหนุ่มเตรียมตัวจะไปรับช่วงธุรกิจจากผู้เป็นพ่อ บ้างก็ว่าถูกดองเพราะมีปัญหากับผู้หลักผู้ใหญ่ แฟนคลับกลับกังวลว่าอาจจะเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง  มีคนที่อ้างว่าเป็นวงในบอกว่ากำลังซุ่มทำโปรเจ็คใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่านักร้องหนุ่มขวัญใจมหาชนเพียงแค่ไปทำหน้าที่เป็นคนขับรถรับส่งเด็กมัธยมคนหนึ่งที่มาพักอยู่ด้วยกันเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
 
หลี่คุนแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัยของซูเอ๋อร์ไปได้เปลาะหนึ่งปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น อยู่ๆ ก็มีกระแสในโซเซียลออกมาโจมตีปลุกปั่นผลิตภัณฑ์ของฉางอันโอสถว่าผสมสารอันตราย ถ้าเป้าหมายเป็นเฉพาะขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิหลี่คุนจะไม่กังวลเลยเพราะขี้ผึ้งจำหน่ายในวงจำกัดด้วยระบบสมาชิก เขาสามารถติดต่อชี้แจงข้อมูลที่แท้จริงได้อยู่แล้ว ยิ่งเพิ่งผ่านสถานการณ์ที่สมาชิกบางส่วนเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าตัวอื่นสุดท้ายก็ต้องกลับมาใช้ขี้ผึ้งจักรพรรดิในราคาที่สูงขึ้นทำให้ทุกคนมีความหนักแน่น แต่ครั้งนี้เป้าหมายกลับมุ่งเน้นไปที่น้ำมันมวยมีคุณมากกว่า ถึงจะไม่ได้มีหลักฐานอะไรแต่อาศัยการระดมโพสต์แบบเป็นขบวนการ เริ่มจากคนจุดประเด็นเรื่องสารอันตรายขึ้นมาก่อน ต่อด้วยคนที่มารับลูกว่าถึงจะมี อย. แต่หน่วยงานของไทยไม่น่าเชื่อถือ  จากนั้นก็มีโพสต์อื่นๆ ออกมายืนยันว่ามีปัญหาเหมือนกัน โชคดีที่มีลูกค้าจำนวนมากที่ใช้จริงออกมาตอบโต้ แต่ก็ทำให้เกิดการถกเถียงลุกลามไปจนสร้างความสนใจในวงกว้าง
 
ฝั่งโจมตีเห็นว่ายังจุดกระแสเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ได้ไม่ติดนักก็เลยพยายามดีสเครดิตด้วยเรื่องอื่น ในที่สุดก็ไปเล่นเรื่องค่ายมวย ศ.เผด็จศึกซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าว่าตกต่ำจนต้องส่งนักมวยไปถ่ายนู้ด ทำให้เรื่องที่เคยรู้กันเฉพาะในวงการมวยกับกลุ่มคนที่สนใจในหนังสือประเภทนั้นถูกดึงขึ้นมาจนเป็นที่รู้กันทั่ว
 
กระแสการโจมนี้นี้เกิดขึ้นเร็วมากจนหลี่คุนตั้งตัวไม่ทัน ที่ผ่านมาเขาเคยโดนเล่นงานคล้ายๆ อย่างนี้มาแล้วจากตอนที่ขายขี้ผึ้งมหัศจรรย์ผ่านไอจีของซูเอ๋อร์ ในตอนนั้นเขายอมแพ้หยุดขายแต่โดยดีเพราะตัวเองทำผิดกฎหมายจริงที่ไม่มี อย. แต่ครั้งนี้เขาทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง ตั้งใจให้ลูกค้าใช้ของดีในราคาที่เป็นธรรม ตำแหน่งของสินค้าก็เป็นเกรดพรีเมี่ยมไม่ได้ไปแข่งกับน้ำมันมวยทั่วไปโดยตรง แถมยังสร้างตลาดใหม่ที่ใช้เป็นตัวช่วยสำหรับกิจกรรมในห้องหอ ไม่น่าจะมีคู่แข่งที่ไหนจะมาทุ่มเทจัดการน้ำมันมวยมีคุณขนาดนี้ หลี่คุนเคยฝึกงานบริษัทด้านการตลาดออนไลน์มา เขาพอจะบอกได้ว่าคนที่ลงมือทำเรื่องนี้คงจ้างมืออาชีพซึ่งใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
 
หลี่คุนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันทางการค้าแบบปกติแล้ว มันเหมือนพยายามตัดแหล่งรายได้เพื่อบีบให้ฉางอันโอสถเลิกกิจการมากกว่า ข่าวร้ายต่อมายิ่งทำให้เขาแน่ใจ โรงงานที่รับจ้างผลิตน้ำมันมวยมีคุณเป็นประจำแจ้งว่าตอนนี้ไม่สามารถรับงานนี้ได้แล้ว เพราะโดนลูกค้ารายอื่นกดดันว่าจะไม่ยอมจ้างผลิตสินค้าของตัวเองในโรงงานเดียวกับที่ผสมสินค้าอันตรายอย่างน้ำมันมวยมีคุณ เจ้าของโรงงานนั้นบอกว่าเรื่องนี้ผิดสังเกตมากเพราะลูกค้ารายอื่นไม่ยอมฟังคำชี้แจงและหลักฐานที่ส่งให้เลย แต่เขาทำอะไรไม่ได้เพราะถ้าไม่ยอมเลิกผลิตน้ำมันมวยมีคุณ ลูกค้ารายอื่นทั้งหมดจะยกเลิกการว่าจ้างผลิตสินค้าในโรงงานเขา ถึงตอนนั้นโรงงานก็ต้องปิดอยู่ดี
 
เรื่องพวกนี้เกิดได้ไม่กี่วันนักกฎหมายของฉางอันโอสถก็ได้รับการติดต่อเพื่อขอซื้อกิจการและสูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิอีกครั้งจากบริษัทที่ขายขี้ผึ้งฮองเฮา คราวนี้มีการฝากมาบอกถึงหลี่คุนด้วยว่าถ้าไม่รีบขายเร็วๆ ราคาจะตกลงอีกเพราะได้ข่าวว่ากำลังมีปัญหาทั้งที่ตัวสินค้าและการผลิต หลี่คุนทราบดีถึงความนัยที่แผงมา ในที่สุดก็โผล่หางออกมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะทราบถึงปัญหาภายในและเตรียมข้อเสนอซื้อกิจการได้เร็วขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเสียเอง
 
หลี่คุนกำลังคิดหาทางออกทางธุรกิจอยู่ เขาอยากจะปรึกษาจางอี้หลงแต่ก็ติดว่ายังอยู่ในช่วงห่างกันสักพักจึงต้องพยายามด้วยตัวเอง เรื่องเงินยังไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้เพราะทั้งเขาและบริษัทเพิ่งได้รับเงินก้อนใหญ่จากการขายหุ้นให้จางอี้หลง สต๊อกสินค้าของน้ำมันมวยมีคุนก็ยังมีกระจายเก็บไว้ตามช่องทางจำหน่ายต่างๆ คงอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่งถึงโรงงานรับจ้างจะไม่ผลิตของให้ ปัญหาสำคัญคือต้องระงับการโจมตีทางโซเชียลไม่ให้ชื่อเสียงเสียหายไปมากกว่านี้ แต่หลี่คุนยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร สถานการณ์ทางโซเชียลก็พลิกกลับได้อย่างไม่น่าเชื่อ
 
ในทุกช่องทางที่เคยโดนโจมตี มีคนเอาเอกสารผลการทดสอบโดยสถาบันและห้องปฏิบัติการชั้นนำหลายแห่งไปชี้แจงว่าขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิ์และน้ำมันมวยมีคุณมีแต่ส่วนประกอบจากธรรมชาติปราศจากสารอันตราย และที่สำคัญคือหลักฐานที่บอกว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอฟดีเอของสหรัฐ อีเอ็มเอของสหภาพยุโรป และหน่วยงานในลักษณะเดียวกันของญี่ปุ่น เกาหลี จีน แคนาดา และออสเตรเลีย ข้อมูลพวกนี้มีเลขทะเบียนอ้างอิงชัดเจน เมื่อมีคนนำไปตรวจสอบกับเวบไซต์ของหน่วยงานเหล่านั้นก็พบรายชื่อของผลิตภัณฑ์ทั้งสองของฉางอันโอสถอยู่จริง เรียกได้ว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็สามารถส่งขายทั่วโลกได้ทันที
 
หลี่คุนไล่อ่านคำชี้แจงในโซเชียลดูก็ทราบว่าทีมที่ทำเรื่องนี้เป็นมืออาชีพด้านการตลาดเสียยิ่งกว่ากลุ่มคนที่ออกมาตั้งประเด็นโจมตีเสียอีก ทุกโพสต์อ่านแล้วเข้าใจง่ายมีหลักฐานชัดเจน เอกสารที่นำมาแสดงก็มีแนบคำแปลเป็นภาษาไทย ถ้าใครไม่ถนัดเนื้อหาหนักๆ ก็มีความเห็นเสริมมาอธิบายเป็นภาษาชาวบ้านด้วย คนไทยมีแนวโน้มที่จะเชื่อถือหน่วยงานของต่างประเทศมากกว่าของไทยเองอยู่แล้ว เมื่อเห็นข้อมูลชุดเต็มแบบนี้ก็ยิ่งให้ความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของฉางอันโอสถมากขึ้นไปอีก สถานการณ์ที่เคยแย่พลิกกลับมาส่งเสริมให้สินค้าสองตัวมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีกในไม่กี่วัน
 
วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าหลี่คุนไม่เคยคิด แต่ในเวลาอันจำกัดเขาไม่มีทางได้รับการรับรองจากหน่วยงานในต่างประเทศพวกนั้นได้แน่ ผลทดสอบและวันที่ที่ได้รับการรับรองก็เป็นช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ แสดงว่าได้มีการส่งตัวอย่างไปทดสอบก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว แถมทีมการตลาดก็เชี่ยวชาญมากทำให้จบเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ หรือว่าจะเป็นไฮโซแบงค์ที่ทำไปเพื่อชดใช้ความผิด แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะคิดการณ์ล่วงหน้าไว้ขนาดนี้เพราะดูเหมือนแบงค์ก็จะเพิ่งทราบเรื่องพี่ชายตัวเองมาไม่นานนัก
 
หนึ่งในผลการทดสอบที่เอามาลงในโซเชียลมาจากสถาบันวิจัยของจีนที่แบงค์บอกกว่าได้แกะสูตรของขี้ผึ้งจักพรรดิ์แล้วโดนนักวิจัยขโมยสูตรมาขายให้กับพี่ชายของเขา หลี่คุนจึงคิดว่าคนที่มาช่วยเขาแก้ปัญหาในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่มีส่วนในการสร้างปัญหาตั้งแต่ทีแรก เช่นนี้เขาควรจะขอบคุณหรือโมโหคนคนนั้นกันแน่
 
หลี่คุนโทรไปสอบถามกับพี่ที่บริษัทการตลาดดิจิตอลที่เขาเคยไปฝึกงานเผื่อว่าจะได้ข้อมูลจากคนในวงการบ้าง
 
‘พี่พอทราบเรื่องในเน็ตที่มีการโจมตีสินค้าขี้ผึ้งบำรุงผิวโอสถจักพรรดิ์กับน้ำมันมวยยี่ห้อมีคุณบ้างไหมครับ ผมว่าทั้งสองฝั่งน่าจะมีการจ้างทีมการตลาดออนไลน์มาช่วย ดูเป็นมืออาชีพมากเลยครับ’
 
‘อุ๊ย ทำไมจะไม่ทราบล่ะค้า เรื่องนี้เป็นกระแสในวงการเราจะตาย แล้วที่สำคัญ น้องคุนปิดไว้เลยนะ ทีมที่แก้ข่าวก็บริษัทเราเอง’
 
‘จริงเหรอครับ ว่าแล้วทำไมเก่งจัง นี่เจ้าของสินค้ามาจ้างเองหรือเปล่า’
 
‘งานนี้ทำฟรีค่า ทางสำนักงานใหญ่ที่เซินเจิ้นสั่งมา แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไรหรอก งานง่ายๆ ข้อมูลหลักฐานที่ได้มาก็แน่นอยู่แล้ว ทีมเขาก็อยากหักหน้าบริษัทการตลาดคู่แข่งเราที่ฝ่ายโน้นจ้างด้วย มีอย่างที่ไหน ไปรับงานโจมใส่ร้ายตีคนอื่นเขาแบบมั่วๆ เสียชื่อวงการนี้หมด’
 
‘ที่ว่าสำนักงานใหญ่สั่งนี่ ทราบผ่านมิสเตอร์จางหรือเปล่าครับ’
 
‘เปล่านี่คะ เป็นคำสั่งจากท่านประธานของบริษัทแม่เอง ตั้งแต่น้องคุนฝึกงานเสร็จ มิสเตอร์จางก็ไม่ได้เข้ามาที่บริษัทอีกเลย สาวๆ บ่นคิดถึงกันใหญ่’
 
‘ขอบคุณพี่มากครับ’
 
แม้จะยังสรุปได้ไม่ชัดเจน แต่พฤติกรรมทำตัวน่าสงสัยแต่ก็คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเช่นนี้ก็ดูคุ้นเคยเกินกว่าที่จะเป็นคนอื่น หลี่คุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรนับว่าปัญหาได้คลี่คลายลงไปได้อีกเปลาะ หลี่คุนเริ่มคิดถึงซูเอ๋อร์ที่ต้องลี้ภัยไปอาศัยที่อื่นว่ายังสุขสบายดีหรือเปล่าจึงได้เข้าไปเยี่ยมที่คอนโดของแฮ็คส์
 
หลี่คุนไม่เคยเห็นคอนโดที่เป็นเพนเฮ้าส์ขนาดใหญ่กินเนื้อที่ทั้งชั้นเช่นนี้มาก่อน มันเทียบเท่ากับเรือนๆ หนึ่งในจวนขุนนางใหญ่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกสร้างขึ้นสูงจากพื้นดินได้ขนาดนี้ ระบบการรักษาความปลอดภัยก็จัดได้ว่าเข้มงวดแน่นหนาตามมาตรฐานขั้นสูงของยุคนี้ เมื่อเข้าไปในห้องชุดที่ตกแต่งไว้เรียบๆ แต่หรูหรา นักร้องหนุ่มก็ออกมาต้อนรับแล้วปล่อยให้พี่น้องได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
 
“ซูเอ๋อร์ น้องเป็นไงบ้าง มีใครท่าทางไม่น่าไว้ใจเข้าใกล้บ้างไหม”
 
“พี่คุน คิดถึงๆ ผมสบายดีมาก พี่แฮ็คส์ไปรับไปส่งโรงเรียนทุกวัน ถ้าออกไปที่อื่นพี่แฮ็คส์ก็ไปด้วยทุกครั้ง แล้วก็มีคนใส่สูทตามมาด้วยตั้งหลายคนจนรู้สึกปลอดภัยเกินไปหน่อย”
 
“ระวังไว้ดีแล้ว”
 
หลี่คุนนึกชื่นชมว่าที่น้องเขยอยู่ในใจ แฮ็คส์เป็นคนที่ไม่พูดมาก แต่การกระทำจริงใจชัดเจน ทีมบอดี้การ์ดของแฮ็คส์เขาก็เคยประมือมา ฝีมือไม่ธรรมดาเลย
 
“เมื่อไหร่จะจับตัวคนร้ายได้ซะทีล่ะพี่คุน ตอนกลางคืนผมจะได้นอนสบายๆ ไม่ต้องเบียดพี่แฮ็คส์”
 
“หือ คอนโดกว้างขนาดนี้ ดูเหมือนจะมีตั้งหลายห้อง ทำไมต้องนอนเบียดกันด้วย”
 
“ห้องนอนอื่นรีโมทแอร์มันหายอ่า เลยต้องไปนอนเตียงพี่แฮ็คส์ ผมนอนดิ้นซะด้วย ไม่รู้ตอนกลางคืนเผลอเอาแขนขาไปโดนพี่เขาบ้างเปล่า ตอนเช้าตื่นมาถึงโดนจับตัวไว้แน่นทุกที”
 
หลี่คุนขมวดคิ้วด้วยความหวงน้อง แต่แล้วก็คิดว่าสองคนนี้ก็นับได้ว่าคบหาดูใจกันอยู่ สำหรับยุคที่เปิดกว้างเช่นนี้คงไม่เป็นไรกระมัง บางทีอาจจะส่งผลดีก็ได้ ซูเอ๋อร์ยังไม่รู้วิธีชักนำพลังหยาง หากได้สัมผัสตัวบุรุษอยู่เรื่อยๆ บ้าง ก็จะซึมซับพลังหยางได้ตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งในจุดตันเถียนให้เต็มอยู่ตลอดเวลา
 
หลี่คุนจับข้อมือซูเอ๋อร์แล้วส่งลมปราณเข้าไปตั้งใจจะตรวจสอบสภาพของจุดตันเถียนของน้องชาย หากอยู่ตัวดีแล้วก็จะได้หลอกล่อแอบสอนเคล็ดวิชาป้องกันตัวง่ายๆ มิคาดว่ากำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามของเขาถูกสะท้อนกลับจนลมปราณปั่นป่วนแทบกระอักโลหิต หลี่คุนเก็บงำความทรมานไว้รีบโคจรลมปราณอยู่หลายรอบจนอาการค่อยดีขึ้น
 
“พี่คุนๆ เป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ก็นิ่งไป เรียกก็ไม่ตอบ”
 
หลี่คุนมองน้องชายเหมือนคนแปลกหน้า ลมปราณสะท้อนกลับเช่นนี้มิใช่ว่าอีกฝ่ายมีกำลังภายในสูงส่งกว่าเขาหรอกหรือ มันจะเป็นไปได้ยังไง กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสามของเขาถ้าเป็นในชาติก่อนก็เทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกลางๆ ของสำนักทั่วๆ ไปด้วซ้ำ แต่ยังพ่ายแพ้ให้กับซูเอ๋อร์ นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังภายในน้องชายเขาต้องอยู่ในขั้นที่สี่ขึ้นไปหรือ
 
เลือดจอมยุทธ์ในตัวหลี่คุนเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมาทันที ฟ้าดินไม่ยุติธรรม เขาเพิ่งถ่ายทอดวิชาบุปผาเร้นวารีให้กับซูเอ๋อร์ได้แค่สัปดาห์เดียว ในขณะที่ตัวเองใช้เวลาฝึกฝนก่อนหน้านี้มากว่าครึ่งปี ต้องทำเรื่องน่าอับอายมากมายกว่าจะบรรลุได้ถึงขั้นสาม แล้วทำไมความสำเร็จของซูเอ๋อร์ถึงก้าวล้ำนำหน้าเขาได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นน้องชายสุดที่รัก แต่การถูกเด็กยุคใหม่ข้ามหน้าข้ามตาในเรื่องเคล็ดวิชาโบราณที่เป็นปมเขื่องของเขาเช่นนี้มันสุดจะทานทนจริงๆ
 
หลี่คุนหมกมุ่นอยู่กับการพยายามทำใจในเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ต้องใช้วิธีลืมๆ มันไป อย่างน้อยในเรื่องกระบวนท่าของวรยุทธ์พิสดารทั้งหลายซูเอ๋อร์ก็ไม่มีทางสู้เขาได้ หลี่คุนประเมินดูแล้วด้วยกำลังภายในระดับสูงที่ซูกัสครอบครองอยู่ เมื่อต้องประมือกับคนธรรมดา ใช้เพียงการดิ้นรนธรรมดาก็ไม่มีทางถูกจับกุมได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสอนกระบวนท่าใดๆ ให้น่าสงสัย อีกอย่างภายใต้การคุ้มครองที่แน่นหนาของแฮ็คส์ โอกาสเกิดเรื่องแทบจะเป็นศูนย์เลยทีเดียว
 
เมื่อมั่นใจในความปลอดภัยของน้อง หลี่คุนก็ไปตามความคืบหน้าเรื่องคนร้ายจากติน ผลการตรวจสอบจากตำรวจที่ตินไปขอให้ช่วยนั้นออกมาว่าทะเบียนรถตู้คันนั้นเป็นทะเบียนปลอม แต่ครั้งนี้ตำรวจไทยก็ไม่ได้ไร้ฝีมือ เนื่องจากเกิดเหตุใจกลางเมือง ทางตำรวจจึงสามารถแกะรอยจากกล้องที่ติดไว้ตามสี่แยก ตามรอยรถตู้คันนั้นตามถนนใหญ่ไปได้เรื่อยๆ จนเข้าซอยไป โชคดีที่ในซอยนั้นมีร้านสะดวกซื้อซึ่งเมื่อตำรวจไปขอดูภาพที่บันทึกไว้ก็เห็นรถคันนั้นวิ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเพราะต้องรอตำรวจท้องที่ทำสรุปเพื่อขอหมายค้นจากศาล สำหรับคดีที่ยังเป็นแค่ความพยายามลักพาตัวเช่นนี้คงต้องรอคิวไปอีกยาว หลี่คุนให้ตินช่วยใช้เส้นสายตำรวจสันติบาลของพ่อเอาข้อมูลบ้านหลังนั้นออกมาได้สำเร็จตามที่ขอ เขาอ่านดูแล้วก็พบว่าอยู่ไม่ไกล
 
เห็นทีจะได้เวลา ‘ล่า’ เสียแล้ว!!!
 
…………………………

เปิดตัวจอมยุทธ์ซูกัสผู้ที่เก่งที่สุดในเรื่อง ผ่าง!!!
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 26 - 33 รวดเดียว 7 ตอน] 6/6/2020 P.3-P.4
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-06-2020 19:55:42
33


“ไอ้คุน มึงจะเอาจริงเหรอวะ ไม่รู้พวกมันมีกันกี่คน ให้ตำรวจจัดการไม่ดีกว่าเหรอ รอแค่วันสองวันก็คงลงมือกันแล้ว กูขอให้พ่อกูช่วยตามเรื่องให้อยู่”

ตินที่ทนการรบเร้าของหลี่คุนไม่ได้จนยอมพามาดูลาดเลาบ้านหลังที่ตำรวจแกะรอยได้ว่ารถตู้ที่ดักทำร้ายซูกัสเข้ามาจอด แต่คิดไม่ถึงว่าเพื่อนตัวเองจะใจกล้าถึงขนาดจะลอบเข้าไปในบ้านตอนกลางดึกแบบนี้

“กลัวอะไรวะ นี่ใช่ตินคนเดียวกับที่สู้พวกมันทั้งโขยงแถมใช้มือเปล่าชกกระจกรถจนแตกเปล่าวะ พวกมันทำน้องกู กูต้องถอนรากถอนโคนพวกมันออกมาให้หมด เอาให้รู้ถึงตัวคนบงการ ไม่งั้นกูจะมั่นใจความปลอดภัยของซูเอ๋อร์ได้ยังไง ถ้ามึงกลัวก็หลบอยู่ข้างนอก”

เมื่อศักดิ์ศรีหนุ่มนักมวยลูกตำรวจถูกท้าทายตินก็โยนความลังเลทิ้งไป

“มึงพูดถูก จะยอมให้พวกเชี่ยนี่ทำเราแต่ฝ่ายเดียวได้ไง งั้นมึงตามกูมา หลบอยู่ข้างหลังกูไว้ อย่าว่ากูคุยเถอะ ช่วงหลังนี่ฝีมือกูเก่งกว่าเดิมโคตรเยอะเลย โจรกระจอกพวกนี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก”

“ดูพึ่งได้จริงๆ เลยเพื่อน งั้นมึงช่วยปกป้องกูด้วยนะ”

สองหนุ่มในชุดดำคลุมใบหน้าอย่างดีเลือกปืนกำแพงบ้านจากมุมที่อับสายตาคน กำแพงสูงพอสมควรแต่ตินกระโดดแค่ครั้งเดียวก็สามารถเกาะขอบด้านบนได้แล้ว เขาออกแรงดึงตัวเองแล้วใช้ขาช่วยอีกเล็กน้อยก็ขึ้นไปนั่งบนกำแพงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ตินยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจกับความสามารถของตัวเองก่อนจะยื่นแขนลงไปด้านล่างเพื่อจะช่วยฉุดเพื่อนขึ้นมาด้วยอีกคน

“เฮ้ย!! มึงขึ้นมาได้พร้อมๆ กูเลยเหรอวะคุน”

ตินอุทานออกมาเมื่อหันไปเห็นหลี่คุนขึ้นมาอยู่ข้างๆ กันบนกำแพงแล้ว

“อ๋อ ตรงที่กูขึ้น กำแพงมันแตกเป็นร่องอยู่อ่ะ เลยปืนขึ้นมาง่าย ไปเถอะ อย่าเสียเวลาเก๊กหล่ออยู่เลย”

หลี่คุนกระโดดลงไปบริเวณบ้านอย่างเงียบเชียบ ตินจึงรีบตามลงไปอย่างติดๆ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนที่ไม่ค่อยเล่นกีฬาคนนี้ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้แคล่วคล่องรัดกุมกว่าเขาเสียอีก

บ้านหลังนี้มีบริเวณพอสมควร ทั้งคู่เข้าไปตรงโรงรถแล้วไม่พบรถตู้คันที่ใช้ดักทำร้ายซูกัส แต่หลี่คุนตาดีไปพบแผ่นป้ายทะเบียนหลายแผ่นเรียงซ้อนกันอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นเลขทะเบียนเดียวกับรถตู้คันที่ว่า คาดว่าจะเป็นป้ายทะเบียนปลอมที่คนร้ายใช้เปลี่ยนเวลาลงมือ จากนั้นหลี่คุนก็นำสำรวจไปรอบๆ บ้านก่อนจะลอบเข้าไปทางประตูหลัง ตินไม่ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายทำอย่างไรถึงปลดล็อกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย สงสัยจะลืมล็อกประตู

“ต้องจัดการก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวนะติน ระวังด้วยเผื่อมันมีปืน จำที่มึงเคยหัดสมาธิกับกูได้เปล่า มึงลองเพ่งสมาธิให้จุดอุ่นๆ ตรงท้องน้อยเคลื่อนไปที่มือข้างถนัด แล้วมึงก็ใช้วิชามวยของมึงได้เลย ได้ยินว่าสมาธิจะช่วยให้ทำให้เรามีสติ ทำอะไรได้แม่นยำขึ้น”

หลี่คุนกระซิบเบาๆ บอกติน นักมวยหนุ่มรับคำ หลังจากที่เคยตามน้ำยกพวกตีกันกับเพื่อนตอนมอปลายจนโดนพ่อที่เป็นตำรวจคาดโทษไว้อย่างรุนแรง เขาก็ไม่เคยทำเรื่องบ้าระห่ำแบบนี้อีกเลย แต่เขาก็มั่นใจในความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาอย่างแปลกๆ ของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

“ใครวะ!”

คนร้ายคนแรกที่เจอมีโอกาสได้แค่อุทานออกมาคำเดียวก่อนจะถูกตินที่ชิงลงมือจัดการก่อน เขาไม่นึกว่าตัวเองจะสามารถผสมผสานทักษะมวยไทยในสถานการณ์การต่อสู้จริงได้ดีอย่างนี้ ประสาทสัมผัสที่ไวกว่าเดิมทำให้เขาคาดเดาตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ไม่ยาก การรวมจุดสมาธิไปที่กำปั้นที่หลี่คุนแนะนำก็ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ เขาชกแค่ทีสองทีก็ทำเอาชายวัยฉกรรจ์ลงไปนอนหมดสติทันที ตินรู้สึกทั้งสนุกทั้งตื่นเต้นเหมือนตัวเองกำลังเล่นวิดีโอเกมอยู่

“ติน ช่วยกูด้วย”

หลังจากตินจัดการคนร้ายคนสุดท้ายที่พัวพันตัวเองอยู่ลงได้สำเร็จก็ได้ยินเสียงเพื่อนร้องให้ช่วย หันไปดูก็เห็นคนร้ายสองคนยืนนิ่งขวางหน้าหลี่คุนอยู่ เขาตำหนิตัวเองอยู่ในใจแต่ที่มัวแต่ติดพันการต่อสู้จนไม่ได้สนใจเพื่อน แต่เมื่อเข้าไปช่วยแค่ออกหมัดเบาๆ คนร้ายสองคนที่ยืนอยู่นั้นก็ลงไปกองกับพื้นทันที

“โคตรเจ๋งเลยติน กูนึกว่าจะไม่รอดแล้ว”

หลี่คุนออกปากชม ตินมองคนร้ายที่ตัวเองจัดการได้อย่างงงๆ แต่ก็ไม่มีเวลาจะคิดอะไรมาก เขาตามหลี่คุนไปจัดการพวกคนร้ายตามห้องต่างๆ ไปได้อีกคนสองคนก็รู้สึกว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของคนอื่นในบ้านอีก ทั้งคู่ลากคนร้ายที่สลบไสลมากองรวมกัน นับดูก็มีอยู่แค่เจ็ดคนน้อยกว่าที่คิดไว้

“ไอคนนี้มันเป็นคนที่ดักทำร้ายเราตอนกลับจากค่ายมวยนี่ ไอนี่ก็ด้วย กูจำหน้ามันได้”

หลี่คุนพูดขึ้นมาหลังจากดูหน้าคนร้ายทีละคนแล้ว

“กูจำไม่ได้ว่ะ ก็หลายเดือนแล้วมึงจำได้ไงวะ แต่ก็น่าจะใช่แหละ กูสงสัยอยู่แล้วว่าแม่งคงเป็นพวกเดียวกัน แต่ไม่มีไอพวกที่ดักลักพาตัวซูกัสเลยนะ กูสู้กับพวกมันอยู่พักนึงพอจำหน้าพวกมันได้”

“ไม่ต้องเดาแล้ว ปลุกพวกมันมาถามเลย”

“มึงแยกถามทีละคนนะ ถ้ามันตอบไม่ตรงกันเราจะได้รู้ว่ามันโกหก”

ตินแนะนำในฐานะลูกตำรวจที่พอจะรู้เรื่องการสอบสวนอยู่บ้าง แต่แล้วเขาต้องทึ่งกับวิธีการสอบปากคำคนร้ายของหลี่คุนที่แค่กดจุดตรงริมฝีปากแล้วตบหน้าคนร้ายสองสามทีมันก็ฟื้นขึ้นมาให้สอบถามทันที ทีแรกคนร้ายก็ไม่ยอมบอก หลี่คุนจับบิดข้อมือนิดเดียวก็ดิ้นทุรนทุรายเหมือนเจ็บปวดเสียเต็มประดาแต่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอ่ะ หลังจากทำอย่างนี้อยู่สองสามทีคนร้ายก็ตอบออกมาจนหมดอย่างไม่กล้าปิดบัง เมื่อถามคนแรกจนหมดเปลือกหลี่คุนทำอย่างไรไม่รู้มันก็กลับไปสลบอีกครั้ง ทำอย่างนี้กับโจรอีกสองสามคนทั้งคู่ก็ได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจ

คนร้ายพวกนี้สังกัดอยู่กับขาใหญ่คนหนึ่งที่มีอิทธิพลพอสมควร ขาใหญ่คนนั้นเลี้ยงพวกมันไว้คอยทำเรื่องชั่วช้าต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากที่พยายามจะไปลักพาตัวหลี่คุนและซูกัสแล้ว เห็นว่าเจ้านายมันกำลังร่วมทำธุรกิจเครื่องสำอางกับพรรคพวก พวกมันเลยถูกสั่งให้ไปข่มขู่ก่อกวนโรงงานผลิตเครื่องสำอางอยู่สองสามแห่ง เพื่อบังคับซื้อโรงงานและตัดช่องทางคู่แข่ง หลี่คุนปะติดปะต่อเรื่องได้ในที่สุด เขาทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจ้าของบริษัทที่ทำขี้ผึ้งฮองเฮาคือพี่ชายต่างแม่ของไฮโซแบงค์ ส่วนขาใหญ่คนนี้คงเป็นคนที่ร่วมทำธุรกิจด้วย

นอกจากนั้นหลี่คุนยังได้ทราบว่า จริงๆ พวกมันมีกันมากกว่านี้ แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกของมันชุดที่ไปร่วมลักพาตัวซูกัส ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างชาติไล่ล่าจนต้องหนีกันหัวซุกหัวซุน บางส่วนก็ขาดการติดต่อไปเลย บางส่วนรวมทั้งเจ้านายใหญ่ก็หนีข้ามชายแดนไปกบดานที่แถวลาวแถวเขมร พวกมันที่เหลือคือคนที่ไม่เกี่ยวกับการลักพาตัวหน้าคอนโดครั้งนั้น ได้แต่มารวมตัวกันที่บ้านหลังนี้ได้สองสามวันแล้วเพื่อรอการติดต่อกลับของเจ้านาย

ตินกับหลี่คุนจัดการมัดพวกคนร้ายไว้อย่างแน่นหนา พอเคลียร์ร่องรอยของตัวเองที่มีอยู่เล็กน้อยและตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่มีอุปกรณ์พวกกล้องวงจรปิดอยู่แล้วจึงหลบออกจากบ้านหลังนั้นมา ตินส่งข้อมูลให้พรรคพวกตำรวจของตัวเองไปจัดการเรื่องนี้ต่อ

“วู้ โคตรมันส์ กูรู้สึกเหมือนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ยังไงยังงั้นเลย”

ตินร้องออกมาอย่างอดใจไม่อยู่หลังจากขับรถออกมาได้ไกลแล้ว

“มึงเก่งจริงๆ ติน”

หลี่คุนทำท่านับถือ

“กูรู้ ว่าแต่มึงก็ไม่ใช่เล่นนะคุน ทำไงให้พวกมันหลับๆ ตื่นๆ ได้ตามสั่งวะ แล้วตอนบิดข้อมือให้รับสารภาพอีก”

“กูก็มั่วๆ เอา เหมือนเคยเห็นในหนัง”

“หนังเรื่องอะไรวะ”

จะไปรู้ได้ยังไงล่ะหลี่คุนคิดในใจ เขาชอบอ่านหนังสือมากกว่าการดูหนังของยุคนี้ที่ภาพและเสียงมันสมจริงเกินไปจนไม่ชิน

“เออน่า จะถามทำไมนี่ หรือมึงสงสัยอะไรกู”

“ถ้ากูจะสงสัยอะไรมึง กูควรสงสัยตั้งแต่ตอนที่อยู่ๆ มึงก็ลุกขึ้นมากวนยาอะไรก็ไม่รู้สรรพคุณออกมายังกับยาวิเศษแล้วเปล่าวะ หรือว่าควรจะถามตอนมึงเล่นพิณจีนแบบได้อย่างเทพโดยไม่เคยหัด ไม่ก็เรียนวิชานวดนิดๆ หน่อยๆ แล้วดันเก่งกว่าครูขึ้นมาเฉยเลย ไม่นับที่น้องมึงบอกว่ามึงฝังเข็มเป็น เขียนภาษาจีนก็ได้ รำมวยจีนก็ดี”

ตินพูดด้วยท่าทางจริงจังขึ้น

“มึง เอ่อ มึงสังเกตเห็นมาตลอดเลยเหรอ”

“ก็กูไม่ได้ตาบอด”

“ไม่เห็นมึงพูดอะไร”

“ก็มึงเพื่อนกูเปล่าวะ แล้วมึงก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน กูไม่จำเป็นต้องเผือกในทุกเรื่องของมึงก็ได้ มึงอยากบอกอะไร พอมึงพร้อม มึงก็คงบอกกูเองแหล่ะ”

“มึงเป็นเพื่อนรักของกู ติน”

“เออๆ รู้แล้ว ไม่ต้องมากอด มึงยังไม่บอก กูก็เดาโน่นเดานี่ไปพลางๆ ก่อนได้”

“แล้วมึงเดาว่ายังไง”

หลี่คุนรู้สึกลุ้นมาก นิยายยุคนี้หลายต่อหลายเรื่องใช้โครงเรื่องที่วิญญาณของคนยุคหนึ่งข้ามชาติภพทะลุมิติไปเข้าร่างคนอีกยุคหนึ่งแล้วใช้ความรู้แปลกๆ จากต่างยุคสร้างความได้เปรียบต่างๆ มากมาย ตินจะเดาความจริงถูกก็ไม่ใช่อะไรเรื่องแปลก และหากตินมีความคิดนี้อยู่จริงแสดงว่าในใจคงยอมรับได้อยู่หลายส่วน การเล่าความจริงให้ฟังก็อาจจะไม่ยากอย่างที่คิด หลี่คุนไม่ได้มองตินว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทของคุณานนท์ แต่เขาเห็นเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองจริงๆ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากปิดบังอะไร

“ตอนแรกก็ยากอยู่นะ แต่พอกูพบว่ามึงอาจจะไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ๆ ก็เก่งขึ้นมา แต่กูเองก็ด้วย ทำให้พอเดาได้ลางๆ”

“ยังไงวะติน”

หลี่คุนตั้งใจฟังมาก ต่อให้สิ่งที่ตินคิดจะไม่ตรงกับความจริงเสียทีเดียว เขาก็น่าจะพอใช้เป็นแนวในการปรับเรื่องราวจริงๆ ให้เข้ากับสิ่งที่ตินพอจะยอมรับได้

“คนบางคนอาจเกิดมาพร้อมกับอะไรบางอย่าง ทีแรกก็ดูเหมือนเด็กธรรมดา แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหนุ่มสาวความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาจะได้ครอบครองความสามารถพิเศษที่ทะลุขีดจำกัดของคนปกติ อาจเป็นพลังแม่เหล็กที่ควบคุมโลหะได้ทุกชนิด หรือมีพลังจิตที่เชื่อมโยงจิตใจใครก็ได้ คนนึงควบคุมไฟ อีกคนอาจควบคุมน้ำแข็ง กระดูกเล็บเหล็กไหล รังสีพิฆาตจากดวงตา ควบคุมสภาพอากาศได้ตามใจนึก พลังพิเศษที่เกิดจากการกลายพันธ์ของยีนส์ พวกเขาคือเหล่ามิวแทนส์”

มารดามึงเถอะติน!!!!!

………

“อะไรวะ อยู่ๆ จะมาถอนตัว สูตรยาก็ยังเอามาไม่ได้ ถ้าพวกมึงถอนตัวไปตอนนี้ ส่วนแบ่งที่ตกลงกันไว้ก็อย่าหวังเลย!!!”

ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าตะคอกใส่คู่สนทนาก่อนจะตัดสายทิ้งแล้วโยนโทรศัพท์ราคาแพงลงไปบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด แม้จะอารมณ์เสียจนใบหน้าบูดบึ้ง แต่ไม่ได้ทำให้ความดูดีที่ยิ่งกว่าดาราชั้นแนวหน้านั้นลดน้อยลงไปเลย ตรงกันข้ามกลับเสริมบุคลิกที่ดูหล่อเนี้ยบแต่แฝงความร้ายกาจแบบแบดบอยโดดเด่นขึ้นไปอีก

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องน้ำหรูหราขนาดใหญ่เพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการออกกำลังรอบเย็นอย่างหนักในห้องฟิตเนสส่วนตัวจนสะอาด เขาเดินออกมาด้วยร่างกายที่เปล่าเปลือยหยิบผ้าขนหนูสีขาวมานั่งเช็ดตัวตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกบานใหญ่ ชายหนุ่มมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเด็กกว่าอายุและรูปร่างที่ฟิตแน่นราวกับนายแบบในกระจกด้วยความพอใจ เขารู้ดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ภรรยาที่เก่งกาจและเพียบพร้อมไปทุกอย่างยังคงอดทนกับความไม่เอาไหนของเขาอยู่จนถึงตอนนี้ แต่เรื่องนั้นกำลังจะเป็นอดีต เมื่อโครงการบุกเบิกธุรกิจเครื่องสำอางของเขาประสบความสำเร็จ ธุรกิจของครอบครัวบางส่วนต้องตกเป็นของเขาตามที่พ่อให้สัญญาไว้ ดีไม่ดีเขาอาจได้สืบทอดกิจการทั้งหมดแทนน้องชายนักดนตรีเส็งเคร็งเสียด้วยซ้ำ

สายสนทนาที่เพิ่งวางไปทำให้เขาหงุดหงิดไม่น้อย ทั้งๆ ที่บริษัทเครื่องสำอางที่ตั้งใหม่กำลังไปได้สวย แต่พรรคพวกมือดีที่เขาดึงมาร่วมตั้งแต่ต้นกำลังถอนตัวออกไปทีละคนด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ฟังไม่ขึ้น คนหนึ่งบอกว่าถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนกดดัน อีกคนได้ระแคะระคายว่าโดนตำรวจจับตา ที่พิสดารกว่านั้นแหล่งข่าวที่บอกว่ามีมาเฟียจากยุโรปกำลังตามสืบเรื่องของพวกเขาอยู่ จนล่าสุดกลุ่มที่เป็นกำลังหลักก็ถอนตัวไปกันหมดบอกว่าต้องหนีไปกบดานที่เขมร

เขารู้ว่าการทำงานของคนพวกนี้ไม่ได้โปร่งใสเท่าไหร่ แต่ถ้ามันได้ผลดีเขาก็พร้อมที่จะหลับตาข้างหนึ่ง งานสกปรกก็ปล่อยให้พวกมันทำไปไม่ต้องไปสนใจรายละเอียด เขามีหน้าที่รับผลสำเร็จของมันเท่านั้น

ชายหนุ่มหยิบขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูขึ้นมาทาบำรุง ช่างเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้ ถ้าเขาได้ครอบครองสูตรของมันเมื่อไหร่การก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องสำอางอันดับหนึ่งก็ไม่ใช่ความฝัน เช่นเดียวกับการเป็นผู้สืบทอดธุรกิจเครื่องดื่มของตระกูล ถึงตอนนั้นน้องชายที่เขาแสนจะเกลียดขี้หน้าก็จะได้เป็นเพียงนักเปียโนยาจกสมใจ

ขณะที่เขากำลังตั้งใจเกลี่ยขี้ผึ้งจักรพรรดิให้ทั่วใบหน้าก็เห็นเงาดำวูบผ่านด้านหลังเขาผ่านจากกระจก ชายหนุ่มหันขวับไปทันทีก็ไม่พบอะไรผิดปกติ พอหันกลับไปทาขี้ผึ้งอีกครั้งก็รู้สึกว่ามีอะไรมากระทบที่ต้นคอเบาๆ เขารู้สึกเหมือนเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งจากจุดนั้นไปตามแนวกระดูกสันหลังทั้งร่างจนชาหนึบไปหมด หลังจากนั้นก็มีอะไรแบบเดียวกันมากระทบที่เอวด้านซ้ายและด้านขวาติดๆ กัน มีอันหนึ่งกระเด็นตกลงบนโต๊ะเครื่องแป้งเห็นว่าเป็นเพียงถั่วเขียวเมล็ดหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว

ชายหนุ่มเหลือบตามองกระจกก็เห็นร่างดำทะมึนยืนอยู่ด้านหลังตัวเองแต่ความสูงของกระจกนั้นไม่พอที่จะสะท้อนให้เห็นหน้าของร่างๆ นั้น เขาตกใจจนเกือบช็อค ผี!!!? โจร!!!? บ้านหลังนี้ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังมีทั้งยามและสุนัขเฝ้าบ้านหลายตัว ไม่มีทางที่คนนอกจะเข้ามาถึงในห้องน้ำได้อย่างนี้ หรือว่าจะเป็นผีจริงๆ

ชายหนุ่มสะกดความกลัว เขานึกถึงปืนพกพร้อมกระสุนที่เก็บไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียงพร้อมกับคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะพุ่งตัวออกจากห้องน้ำไปหยิบมันออกมา โชคดีที่วันนี้เมียกับลูกทั้งสองคนไปนอนค้างที่บ้านพ่อตาแม่ยาย ไม่งั้นเขาคงยิ่งห่วงหน้าห่วงหลังยิ่งกว่านี้ ชายหนุ่มพยายามเคลื่อนไหวร่างกายแต่ตั้งแต่คอลงมาไม่มีส่วนไหนขยับ หรือว่านี้คืออาการผีอำ เขาเริ่มเหงื่อซึมด้วยความเครียดได้แต่ลองพูดข่มขู่ออกไป

“แกเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ นะ บ้านนี้มีทั้งยามทั้งหมาล่าเนื้อเฝ้าอยู่ แกไปไหนไม่รอดหรอก”

ชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยชวนให้ยำเกรง

“ยามแค่ไม่กี่คนตอนนี้สลบกันไปหมดแล้ว ส่วนหมาล่าเนื้อ ได้ยินเสียงมันเห่าซักแอะไหมล่ะ”

ความเงียบที่ผิดปกติของบริเวณบ้านทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่ายามฝีมือดีและหมาล่าเนื้อดุร้ายน่าจะถูกจัดการไปแล้วจริง ที่สำคัญคือเขาขยับตัวไม่ได้อย่างนี้ จะป้องกันตัวเองได้ยังไง แต่อย่างน้อยถ้าไม่ใช่ผี ก็น่าจะต่อรองกันได้

“ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม คุณต้องการอะไรเราคุยกันได้ ในบ้านนี้ไม่ได้เก็บของมีค่าไว้ แต่เงินสดยังพอมีอยู่บ้างน่าจะหลายหมื่นอยู่ คุณเอาไปแล้วรีบออกไปเลย ระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านนี้เชื่อมต่อไปที่สถานีตำรวจด้วย แล้วตรงหน้าบ้านก็มีตู้แดงที่สายตรวจต้องแวะมาเซ็นชื่อเรื่อยๆ ยิ่งอยู่นานจะยิ่งเสี่ยงถูกจับนะครับ”

ชายหนุ่มคิดว่ายังไงต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน ถ้าถูกฆ่าตายทั้งๆ ที่ยังล่อนจ้อนแบบนี้คงโดนประโคมข่าวจนลูกเมียขายหน้าแน่

“ผมไม่อยากได้เงิน วันนี้แค่จะเอาอะไรมาฝากสองสามอย่างเดี๋ยวก็ไปแล้ว”

ผู้บุกรุกที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดจบก็ยื่นมือเอาของสองอย่างวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง ชายหนุ่มขยับตัวไม่ได้แต่ยังพอเหลือบตามองเห็นของตรงหน้าได้ชัดเจน

“ของเล่นของลูก ทั้งของวอร์ของวินเลย แกเอามาได้ยังไง แกทำอะไรลูกฉัน”

“ตอนนี้คุณหนูทั้งสองยังมีความสุขดี แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับ...”

“อย่าทำอะไรเด็กนะ แกอยากได้อะไรมีความแค้นอะไรมาลงกับฉันนี่ เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”

“ดูเป็นคนรักครอบครัวดีนี่ ได้ งั้นก็จัดการคุณก่อนเลย”

ผู้บุกรุกในชุดดำขยับเข้าไปจนชิดด้านหลังของเจ้าของบ้าน ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในความกลัวแต่ชายหนุ่มก็ยังได้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อนๆ ที่คุ้นเคย เข็มหลายเล่มปรากฎขึ้นในมือทั้งสองข้างของผู้บุกรุกก่อนจะปักลงไปบนจุดต่างๆ บนความเป็นชายของชายหนุ่มท่ามกลางความสยดสยองและสุดจะคาดคิดของเจ้าตัว

“อ๊ากกกกกกกกกกกก”

เสียงร้องโหยหวนจากบ้านหรูหลังใหญ่ดังก้องในยามค่ำคืน แต่ไม่ปรากฏว่ามีปฏิกิริยาจากคนใช้ ยาม หรือสุนัขเฝ้าบ้านในบ้านหลังนั้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเข้าใจว่าตัวเองจะสูญเสียของรักของหวงไปเสียแล้ว แต่นอกจากอาการกระตุกคล้ายไฟช็อตเบาๆ พอชายชุดดำดึงเข็มทั้งหมดออก เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแม้แต่น้อย

“ทำอะไรวะไอสัด แกเป็นพวกโรคจิตชอบทรมานหนุ่มรูปหล่อใช่ไหม ไอวิปริต ไอซาดิสม์ ไอโจรปล้นฆ่าข่มขืน”

ชายหนุ่มสติหลุดจนพ่นคำด่าออกมาไม่ยั้ง

“เห้ย มันเรื่องธุรกิจล้วนๆ ผมไม่ได้เป็นพวกนั้นนะ เยี่ยมยอดกว่านี้ผมก็สัมผัสมาแล้ว เอ้ย ไม่ใช่สิ จะต้องเล่าทำไมนี่”

ชายชุดดำที่ดูสงบนิ่งน่าเกรงขามมาโดยตลอดตอนนี้ออกอาการลนลานเล็กน้อย

“เรื่องธุรกิจเหรอ งั้นแกก็เป็นคนที่ฉางอันโอสถส่งมาข่มขู่ฉันละสิ”

“นับถือๆ  รู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนของฉางอัน”

“กลิ่นของขี้ผึ้งที่แกทาหน้าไงล่ะ ไม่มีใครรู้จักขี้ผึ้งจักรพรรดิดีเท่าฉันอีกแล้ว ฉันทุ่มเทศึกษาไปตั้งเท่าไหร่ ภรรยาฉันก็ใช้ทุกวันทำไมจะจำกลิ่นไม่ได้ ถ้าแกเป็นคนของฉางอันโอสถจริง หาทางเอาสูตรมาให้ฉันสิ แล้วแกจะสบายไปทั้งชาติ ถึงแกไม่ทำอีกไม่นานบริษัทฉันก็ขยี้ฉางอันได้อยู่ดี แกจะอยู่กับบริษัทที่ไม่มีอนาคตไปทำไม เจ้าของก็เป็นแค่เด็กมหาลัยคนนึง ถึงไงก็ไม่รอด”

“คุณนี่สมกับเป็นคุณชายบนหอคอยงาช้างจริงๆ นะครับ อายุตั้งสามสิบกว่าแล้วยังไม่ประสีประสาอะไรเลย เบื้องหลังฉางอันโอสถที่ทำการใหญ่โตขนาดนี้จะมีแค่นักศึกษาธรรมดาคนเดียวได้ยังไง คุณไปวุ่นวายกับเด็กคนนั้นหรือคนรอบข้างเขาก็ไม่ช่วยอะไรหรอก เขาก็แค่ลูกจ้างที่ออกหน้าเป็นคนดำเนินการแทนเจ้านายใหญ่”

“ฉันก็นึกไว้เหมือนกันว่าเด็กนั่นคงเป็นแค่นอมินี งั้นเจ้าของตัวจริงคงเป็นคนจีนที่ถือหุ้นรองล่ะสิ หรือไม่ก็กลุ่มอิทธิพลจีนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง งั้นให้ฉันไปเจราจากับเขาโดยตรงสิ รับรองว่า...”

“เงียบ! คุณไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งนั้น จากนี้ไปรอฟังคำสั่งจากผมดีๆ ไม่งั้นชีวิตครอบครัวคุณพังแน่”

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านไปวูบหนึ่งแล้วจู่ๆ เขาก็ขยับร่างกายได้เป็นปกติ หันไปหันมาก็ไม่พบร่างของชายชุดดำแม้แต่น้อย ชายหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว ความเก่งกาจของคนๆ นั้นราวกับนักฆ่าในตำนาน เขาทั้งกดกริ่งเรียกคนรับใช้ ทั้งโทรตามหัวหน้า รปภ. วุ่นวายไปหมด เสียงเห่าเสียงครางของสุนัขเฝ้าบ้านดังขึ้นเบาๆ จากในสวน บรรยากาศคึกคักตื่นตัวตามปกติราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ถ้าไม่มีของเล่นสองชิ้นวางอยู่ตรงหน้ากระจกเขาก็คงคิดว่าตัวเองฝันไปเหมือนกัน


####################

คุกเข่าโขกศีรษะขออภัยคนอ่านรัวๆๆ จนหน้าผากแตก

ยังจำเรื่องนี้ได้ไหมครับ นานจนแต่งเองยังลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว ต้องกลับไปอ่านใหม่ถึงจะแต่งต่อได้ รอบนี้จะเอาให้จบให้ได้ครับถ้ายังเหลือคนอ่านอยู่
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 26 - 33 รวดเดียว 7 ตอน] 6/6/2020 P.3-P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 08-06-2020 22:46:43
มาจัดการเองถึงที่เลย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 26 - 33 รวดเดียว 7 ตอน] 6/6/2020 P.3-P.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-06-2020 00:33:52
ไม่ได้อ่านมานาน มาทียาวสะใจเลย
สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 26 - 33 รวดเดียว 7 ตอน] 6/6/2020 P.3-P.4
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 09-06-2020 01:15:12
 :pig4:
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-06-2020 20:46:20
34

ไฮโซบรูคพี่ชายต่างมารดาของแบงค์พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะหาตัวของชายชุดดำลึกลับที่บุกมาหยามศักดิ์ศรีเขาถึงในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดวันนั้นไม่แม้แต่จะรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น กล้องวงจรปิดจับอะไรไม่ได้เลยนอกจากเงาดำวูบวาบแค่เสี้ยววินาที ชายหนุ่มกังวลความปลอดภัยของครอบครัวตัวเองมาก ของเล่นที่ลูกชายลูกสาวเอาติดไปที่บ้านภรรยาซึ่งก็มีการรักษาความปลอดภัยอย่างดีกลับถูกชายชุดดำเอามาใช้ข่มขู่เขาโดยที่ภรรยาเขายังไม่รู้เลยว่าหายไปตั้งแต่เมื่อใด

บรูคอัพเกรดระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ทั้งบ้านโดยไม่สนใจราคาว่าจะแพงขนาดไหน เขาเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนใช้ในบ้านใหม่หมดเพราะกลัวเกลือเป็นหนอน เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบบอกให้ภรรยาและลูกกลับมาที่บ้านเพราะคิดว่าปลอดภัยกว่าบ้านพ่อตาแม่ยาย ภรรยาของเขาตกลงที่จะพาลูกกลับมาในวันรุ่งขึ้นแต่ในคืนนั้นก็เกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

แม่บ้านคนเก่าคนแก่ที่เขาเพิ่งขอมาจากบ้านใหญ่ให้มาช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ในระหว่างที่เขาเปลี่ยนคนทำงานในบ้านส่งเสียงร้องกรี๊ดดังไปทั้งบ้านเมื่อพบว่าบนเตียงของคุณหนูทั้งสองมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ บนเตียงคนโตมีกรงเล็กๆ ใส่แมงป่องสีดำตัวใหญ่น่ากลัววางอยู่ ส่วนของคนเล็กเป็นตะขาบยักษ์ที่ชวนสยดสยองไม่แพ้กัน บรูคมาเห็นถึงกับทรุด มันมาได้ยังไงในเมื่อเขาป้องกันหนาแน่นขนาดนี้แล้ว หากกรงนั้นถูกเปิดออกแล้วปล่อยให้สัตว์พวกนั้นเข้าไปซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มตั้งแต่แรก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกน้อยของเขากลับมาถึงบ้าน

บรูคไม่ต้องเดาว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใครเพราะหลังจากนั้นเขาก็ได้รับข้อความเข้าเบอร์ส่วนตัวที่ไม่เคยบอกคนนอกมาก่อน

‘ลูกๆ ของคุณรักสัตว์หรือเปล่า? /ฉอ.โอสถ’

ไฮโซหนุ่มเปลี่ยนแผนทันที เขายังจำได้ถึงคำขู่ของชายชุดดำลึกลับก่อนที่จะจากไปในคืนนั้น เขาอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อให้ภรรยาและลูกย้ายไปยังคอนโดสุดหรูที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาไม่ต่างอะไรกับเซฟเฮ้าส์ คอนโดนี้เป็นสมบัติของภรรยาเขาเอง แม้แต่คนฝั่งบ้านเขาก็ไม่มีใครรู้จัก ที่สำคัญการหลบเจ้าหน้าที่แล้วบุกขึ้นคอนโดชั้นสามสิบกว่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย เขาอยากจะไปหาครอบครัวใจแทบขาดแต่กลัวจะถูกแกะรอยจนเปิดเผยที่ซ่อนของภรรยาและลูก

บรูคคลายกังวลได้ไม่นาน ในตอนเย็นของวันที่ครอบครัวเขาย้ายเข้าไปในคอนโด ก็มีรูปภาพพร้อมข้อความส่งเข้ามาที่เครื่องส่วนตัวเขาอีก

‘คืนนี้ผมจะเอาของเล่นของเด็กๆ ไปฝากอีก คุณจะได้หายคิดถึงพวกเขา /ฉอ.โอสถ
ป.ล. วิวชั้น 32 นี่สวยดีจริงๆ’

รูปที่แนบมาเป็นของเล่นอีกสองชิ้นที่เขาเห็นลูกเล่นอยู่บ่อยๆ

บรูคร้อนใจจนแทบเป็นบ้า เขารีบขับรถไปยังคอนโดของภรรยาทันทีโดยไม่สนว่าจะมีใครตามรอยมาหรือไม่ วินาทีนี้เขาห่วงแต่ความปลอดภัยของลูกและภรรยา เวลาไม่ถึงชั่วโมงที่ใช้ในการเดินทางสร้างความทรมานให้เขาอย่างสุดจะทน ยิ่งได้รับข้อความอีกอันที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเขาก็ยิ่งลนลาน

‘ก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น เมื่อคุณเจอภรรยาคุณก็จะเข้าใจ /ฉอ.โอสถ’

บรูคโทรหาภรรยาทันทีเมื่อพบว่ายังสบายดีก็ใจชื้นขึ้น เขาชวนคุยโน่นคุยนี่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายวางสายตลอดทางไปจนถึงคอนโด

“ที่รัก ทำไมคุณดูโทรมอย่างนี้ ได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่านี่ เด็กๆ คุณพ่อมาแล้วจ้า”

ภรรยาของเขาทักทันทีที่เห็นหน้า พอเห็นกับตาว่าครอบครัวยังปลอดภัยดี บรูคที่เครียดมาตลอดหลายวันก็รู้สึกหมดแรงแทบจะลงไปนอนกับพื้น แต่เด็กที่ไม่ได้เจอหน้าพ่อมาหลายวันก็มะรุมมะตุ้มแย่งทักทายคุณพ่อกันใหญ่

“คุณพ่อขา พี่วอร์ทำของเย่นหายแล้วไม่ยอมหาค่ะ”

“ยายบ๊อง น้องก็ทำของตัวเองหายเหมือนกันแหละ”

บรูคหน้าเปลี่ยนสี

“ทำหายที่ไหน เมื่อไหร่ครับ”

“หายที่นี่ครับคุณพ่อ ตอนมาถึงลูกเทออกจากเป้มันยังอยู่เลย”

บรูคพูดจาปลอบลูกสองสามคำแล้วก็ดึงตัวภรรยาไปอีกห้องหนึ่ง

“ตอนคุณเข้ามาที่นี่มีอะไรผิดสังเกตไหม หรือมีคนนอกเข้ามาด้วยหรือเปล่า ของเล่นของลูกหายไปได้ยังไง”

“จะมีอะไรได้ยังไงล่ะคะ เด็กก็ทำของเล่นหายเป็นประจำอยู่แล้วเดี๋ยวหาดีๆ ก็เจอเอง ที่รัก เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้น มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นใช่ไหม”

ชายหนุ่มทำท่าอึกอัก แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ถูกข่มขู่ให้ภรรยาฟังโดยปิดบังสาเหตุไว้ ยิ่งเห็นภรรยามีสีหน้าซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อนั้น กลับเป็นภรรยาคนเก่งของเขาที่ตัดสินใจเผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆ

“ฉันเข้าใจค่ะ ที่รัก แล้วก็กลัวเหมือนกัน แต่ฉันรับรองว่าไม่มีใครเข้ามาที่นี่จริงๆ สุดท้ายเราจะหลบซ่อนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ฉันก็มีกิจการที่ต้องดูแล ลูกๆ ก็ต้องไปเรียนหนังสือ ฉันว่าเราควรจะแจ้งตำรวจให้เขาหาตัวคนร้ายมาให้ได้ ระหว่างนี้เราก็จ้างมืออาชีพมาดูแลความปลอดภัยให้”

“คุณไม่เข้าใจ คนๆ นั้น หรือใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเขาน่ากลัวมากจริงๆ ผมว่าพวกมันเป็นคนของโลกมืด คนดีๆ อย่างพวกเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว”

“นั่นสิคะ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ คนพวกนั้นมายุ่งเกี่ยวกับคนทำมาหากินสุจริตอย่างเราทำไม”

บรูคสะดุ้งอย่างคนมีชะงักติดหลัง

“ใครจะรู้ บางทีเราทำๆ ธุรกิจไปก็อาจไปโยงใยกับเรื่องพวกนี้โดยไม่รู้ตัว จริงๆ แล้ว เพื่อคุณ เพื่อลูก ผมพร้อมจะปล่อยมือจากอะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว แต่ผมกลัวว่าคุณจะขายหน้าคนอื่นเขาที่สามีไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอะไรเลย”

“ที่รักคะ เรื่องของเราทำไมต้องให้คนอื่นมาตัดสิน ฉันไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น บ้านเราก็ไม่ได้ยากจน จริงๆ มีคนทำงานหาเงินแค่คนเดียวก็เกินพอแล้ว สิ่งที่ลูกๆ ต้องการมากกว่าคือความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถ้าพวกเราดิ้นรนทำงานงกๆ กันทั้งคู่ใครจะคอยดูแลพวกเค้าที่กำลังเติบโตล่ะคะ คุณอยากทำงานก็ไม่แปลก แต่เราควรหาอะไรที่เหมาะกับตัวเอง งานประจำสบายๆ ก็ไม่เลวนะคะ เข้างานเก้าโมงเลิกห้าโมงอู้ได้พักได้ คุณจะได้มีเวลาดูแลลูกๆ แล้วก็ไปฟิตหุ่นเข้าสปาหาเสื้อผ้าหน้าผมให้หล่อๆ เพื่อฉันไงคะ เผลอๆ หล่อยิ่งกว่าดาราอย่างคุณไปทำงานวงการบันเทิงขำๆ เป็นงานอดิเรกยังได้เลย”

บรูคปลื้มใจที่ภรรยาที่รักยังหลงไหลในความหล่อของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็อดรู้สึกแปลกๆ กับความคาดหวังของอีกฝ่ายไม่ได้

“ที่รักมั่นใจเหรอว่านั่นคือสิ่งที่ต้องการ”

“แน่นอนที่สุดค่ะ”

หลังจากที่ได้เปิดเผยความในใจกันก็เป็นเวลาหวานชื่นของคู่สามีภรรยา เด็กๆ ถูกกล่อมให้นอนแต่หัวค่ำ แต่เมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ ทุกอย่างกลับราบเรียบคลื่นลมสงบไปหมด นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยกับหนุ่มพลังม้าอย่างบรูค เขาเหงื่อแตกหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ภรรยาที่แสนดีก็ยังช่วยปลอบใจว่าคงเพราะเครียดเกินไป เดี๋ยวพอแก้ปัญหาความขัดแย้งทางธุรกิจได้แล้วพักผ่อนมากๆ ก็เป็นปกติเอง บรูคทำทีรับฟังภรรยา แต่ลึกๆ เขารู้ว่ามันไม่ใช่ ที่ผ่านมาต่อให้มีปัญหากลุ้มอกกลุ้มใจแค่ไหน หรือร่างกายจะป่วยหนักเพียงใด ส่วนนั้นไม่เคยป้อแป้ไร้สัญญาณชีพแบบนี้

บรูคนึกถึงเข็มสิบกว่าเล่มที่เคยปักลงไปท่อนลำของตัวเองอย่างน่าหวาดเสียว เขารู้แล้วว่าคำขู่ของชายลึกลับที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาพังหมายถึงอะไร ที่แท้เป้าหมายก็คือตัวเขามาโดยตลอด แถมยังลงมือไปแล้วตั้งแต่คืนนั้น เรื่องโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมแบบนี้ก็ทำกันได้ลงคอ บรูคไม่ได้นอนทั้งคืน เขาพยายามส่งข้อความกลับไปหาชายชุดดำบอกว่าพร้อมจะรับเงื่อนไขอะไรก็ได้ที่อีกฝ่ายจะเสนอเป็นสิบๆ ข้อความแต่ก็ไม่ได้รับอะไรกลับมา

วันรุ่งขึ้นเมื่อดูแลความปลอดภัยของลูกและภรรยาแล้วเขาก็ปรี่ไปหาน้องชายต่างแม่ถึงห้องทำงานที่ไม่เคยเหยียบย่างเลยตั้งแต่อีกฝ่ายถูกเปิดตัวให้เป็นผู้สืบทอดกิจการของผู้เป็นบิดา

“ไอแบงค์ แกต้องช่วยฉันนะโว้ย ถึงยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน”

“ใจเย็นพี่ชาย จู่ๆ ก็บุกมาแต่เช้า เป็นไงถึงยอมคุยกับผมได้นี่ ค่อยๆ เล่าก็ได้”

“แกสนิทกับไอพวกฉางอันโอสถใช่ไหม แกรู้จักนายใหญ่จริงๆ ของพวกมันหรือเปล่า มีทางติดต่อให้ฉันไหมไหม”

“นายใหญ่ตัวจริงเหรอ ก็น่าจะพอติดต่อได้นะ พี่มีอะไร ถ้าเป็นเรื่องซื้อสูตรหรือกิจการ เขาคงไม่ขาย”

“ฉันไม่ยุ่งแล้วเรื่องนั้น ขอแค่เขาส่งคนมาช่วยแก้อาการที่ฉันถูกฝังเข็ม จะให้ทำอะไรก็ยอม”

“พี่ก็ถูกฝังเข็มเหรอ ตรงไหน”

“ที่ไอ้นั่น”

“พี่หมายถึง…”

“เออ ก็ไอ้นั่นไง”

“แล้วตอนนี้…”

“หมดสภาพ”

“เชี่ยแล้ว พี่ไม่น่าไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งเลย”

ถึงจะไม่ถูกกัน แต่เป็นไม่ได้เลยที่แบงค์จะไม่เห็นใจในสิ่งที่บรูคเจอ

“ก็ว่างั้นแหละ โคตรเลือดเย็น”

“โหดสุดๆ ผมก็โดนมาเหมือนกัน”

แบงค์เห็นด้วยอย่างที่สุด

“ถึงว่าเห็นแกไปช่วยเขาขายของต้อยๆ ของแกโดนตรงไหน”

“ที่มือ”

“แค่ที่มือ? อือๆ แต่มือนักเปียโนก็น่าจะสำคัญมั๊ง”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะพี่”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่โตขึ้นมาที่สองพี่น้องเกิดความรู้สึกร่วมกัน

“หรือฉันจะไปหาหมอดี ลองไปหาหมอโรงบาลก่อน ถ้าไม่หายค่อยไปหาหมอฝังเข็ม”

“ไม่มีประโยชน์พี่ ผมหามาทุกหมอแล้ว ไปถึงเมืองจีนด้วยซ้ำ ไม่มีใครแก้ได้ วิชาเขาเลิศล้ำเกิน”

“งั้นรีบติดต่อให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ทิ้งไว้นานเดี๋ยวมันกลับมาไม่เหมือนเดิมฉันถูกเมียทิ้งแน่”

“ได้ๆ”

แบงค์รีบติดต่อหาคนของฉางอันโอสถต่อหน้าบรูคทันที หลังจากคุยได้สองสามประโยค แบงค์ก็หันมารายงานบรูคด้วยสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไหร่

“เขาบอกว่าจริงๆ ก็เตรียมเงื่อนไขไว้แล้ว แต่ดูๆ ไปพี่คงรับไม่ได้ เขาเลยไม่ได้เสนอมาครับ”

“แกบอกไปเลยว่าฉันยอมหมด บอกมาไวๆ”

บรูคตอบอย่างคนที่ปลงตกในเรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อเห็นเงื่อนไขจริงๆ เขาก็ด่าลมด่าแล้งแทบไม่หยุด แบงค์แอบดูเงื่อนไขที่ว่าก็อดสงสารพี่ชายไม่ได้ หลี่คุนจะทำแบบนี้ก็ปล้นไปเลยดีกว่า

ในที่สุดบรูคก็ต้องยอมตามเงื่อนไขของหลี่คุนทั้งหมด หลี่คุนดึงเรื่องไว้พักใหญ่ก่อนจะยอมฝังเข็มแก้ให้อีกฝ่าย ใจจริงเมื่อนึกถึงสิ่งที่คนพวกนั้นทำกับซูเอ๋อร์เขาก็อยากจะปล่อยให้หมดสภาพถาวรไปเลยเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าครอบครัวของบรูคจะแตกจริงๆ สงสารเด็กตาดำๆ

ฉางอันโอสถส่งนักกฎหมายมาจัดการเรื่องเอกสารที่เกี่ยวข้องใช้เวลาอยู่หลายวันถึงได้ดำเนินการเสร็จ การปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้ข้อตกลงนี้ส่งผลให้บรูคต้องโอนหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทเครื่องสำอางของตัวเองให้กับหลี่คุนในราคาต่ำ การดำเนินการนี้ทำผ่านนอมินีทำให้ไม่มีใครรู้ว่าบริษัทได้ถูกเปลี่ยนตัวเจ้าของแล้ว บทเรียนที่ได้รับทำให้หลี่คุนไม่อยากออกหน้าในการทำธุรกิจมากเกินไป บรูคยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแต่จริงๆ ทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างของหลี่คุนในการบริหารบริษัทนี้ต่อไป ค่าตอบแทนก็ได้รับเพียงเงินเดือนประจำกับเปอร์เซนต์ยอดขายเล็กน้อยที่ไม่ต่างอะไรกับพนักงานขายคนหนึ่ง

หลี่คุนปรับแผนธุรกิจของบริษัทนี้โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกยังคงผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาออกมาจำหน่ายเหมือนเดิม แต่เป็นสูตรที่หลี่คุนปรับปรุงสรรพคุณให้ดีขึ้นโดยลดสารออกฤทธิ์ทางเคมีลงและเพิ่มสมุนไพรพื้นฐานอีกสองสามตัว สิ่งที่ได้เมื่อเทียบกับขี้ผึ้งฮองเฮาตัวเดิมคือไม่ส่งผลกระทบเมื่อใช้ในระยะยาวและยังมีต้นทุนที่ต่ำลงด้วย นอกจากนั้นเขายังปรับแผนการตลาดใหม่โดยลดระดับกลุ่มเป้าหมายลงเล็กน้อยไม่ให้ทับซ้อนกับขี้ผึ้งจักรพรรดิ

ธุรกิจอีกส่วนจะเป็นการรับจ้างผลิตน้ำมันมวยมีคุณให้กับฉางอันโอสถ บริษัทมีโรงผลิตยาและเครื่องสำอางขนาดใหญ่อยู่แล้วซึ่งปัจจุบันใช้ผลิตขี้ผึ้งฮองเฮาไม่ถึงสองส่วน นี่ทำให้ฉางอันโอสถไม่ต้องไปพึ่งโรงงานคนอื่นที่อาจเกิดปัญหาในการผลิตได้อีกและทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มจากการใช้เครื่องจักรให้เต็มกำลังการผลิตด้วย จริงๆ หลี่คุนอยากให้จางอี้หลงมาช่วยดูแผนธุรกิจใหม่เป็นที่สุด แต่เรื่องที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจแถมอีกฝ่ายก็เป็นคนบอกเองว่าให้ห่างกันสักพัก

บรูคหัวหมุนวิ่งทำงานตามนโยบายของหลี่คุนอยู่พักใหญ่ธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ถึงเริ่มเข้าที่ เขาไม่กล้ามีปากมีเสียงกับหลี่คุนแม้แต่น้อยเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของผู้มีอิทธิพลที่แสนจะน่ากลัว เอาเข้าจริงไฮโซหนุ่มคนนี้ก็มีความสามารถในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนไม่เลวเลย ถึงหัวคิดทางธุรกิจจะไปได้ไม่สุดแต่ด้วยรูปร่างหน้าตาบุคลิคการผูกใจคนรวมถึงตำแหน่งหัวโขนที่สวมอยู่ทำให้การสั่งการคนในบริษัทเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ไม่นานยอดขายของขี้ผึ้งฮองเฮาที่แบ่งตลาดกับขี้ผึ้งจักรพรรดิอย่างชัดเจนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีแนวโน้มที่จะไปได้ไกลกว่าขี้ผึ้งจักพรรดิเสียอีกเพราะไม่ติดข้อจำกัดเรื่องกำลังการผลิต บรูคเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งตั้งใจขยายตลาดออกไปอีก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ได้หน้าจากความสำเร็จของบริษัทนี้บวกกับส่วนแบ่งตามสมควร เมื่อธุรกิจเริ่มอยู่ตัวเขาก็ปล่อยงานประจำให้ระดับผู้จัดการทำไป ส่วนเขาก็ใช้รูปร่างหน้าตาและฐานะทางสังคมออกสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ หลี่คุนก็ไม่ได้คัดค้าน บรูคเป็นหนึ่งในคนหน้าตาดีที่สุดที่เขาเจอมา ให้ใบหน้าเช่นนั้นมาช่วยขยายตลาดขี้ผึ้งฮองเฮาน่าจะเป็นการใช้คนให้เหมาะกับงานที่สุดแล้ว

ในฐานะบิดาเมื่อเห็นความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันก็มองลูกชายคนโตด้วยสายตาที่ดีขึ้น ยิ่งบรูคแยกบริษัทเครื่องสำอางออกไปบริหารเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตระกูลก็ยิ่งทำให้ไม่เหลือความขัดแย้งกับแบงค์ ภาพลักษณ์ในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่บุกเบิกธุรกิจด้วยตัวเองของบรูคดูจะเหนือกว่าภาพลักษณ์นักเปียโนระดับโลกผู้สืบทอดธุรกิจตระกูลของแบงค์เสียอีก เมื่อลูกชายคนโตคลายปมในใจความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงเริ่มดีขึ้น

ในขณะที่บรูคกำลังดื่มด่ำกับชื่อเสียงและความสำเร็จหน้าฉากของตัวเอง  เขาไม่รู้เลยว่าคนใกล้ตัวของเขาสองสามคนที่นัดทานข้าวกันเพื่อฉลองความสำเร็จอีกด้านพูดถึงเขาลับหลังอย่างไร

“พี่ต้องขอบคุณคุณคุณานนท์ด้วยนะคะ ที่ช่วยขัดเกลาบรูคเขาจนกลายเป็นสามีในแบบที่พี่อยากให้เป็น”

“ไม่มีปัญหาครับ ทางนี้เสียอีกที่ต้องขอบคุณที่ตอนนั้นพี่ช่วยขู่และกล่อมคุณบรูคจนสำเร็จ ผมเลยได้บริษัทกับแรงงานระดับบริหารมาใช้แทบจะฟรีๆ เลย ที่จริงก็เพราะคุณแบงค์ด้วยนะครับ ที่เล่านิสัยของคุณบรูคซะละเอียด เลยทำให้แผนสำเร็จ”

“ผมสนิทกับพี่บรูคขนาดนั้นที่ไหนล่ะ จริงๆ ก็เอามาจากที่ซ้อเล่านั่นแหละ แต่พูดก็พูดนะ ซ้อไม่อายปากบ้างเหรอ พูดมาได้ว่าจุดอ่อนสามีตัวเองคือรักลูกรักเมียมากเกินไป”

“ไม่อายจ้า ก็หลัวชั้นดีจริงๆ นี่ ไม่ต้องอะไรมาก ขอแค่หล่อกับรักครอบครัวก็พอแล้ว”

“คร๊าบ คนเรานี่ก็แปลกเนอะ คนดีๆ กว่านี้มีตั้งเยอะแยะ น้องนุ่งเตือนก็ไม่รู้จักฟัง จะเอาแต่คนหล่อ แล้วเป็นไง พี่แกอยากทำธุรกิจซะจนไปคบกับโจร ดีว่าช่วยกันดึงออกมาได้ทันแล้วคุณคุณานนท์ก็ไม่เอาเรื่องด้วย หล่อแล้วกินได้ที่ไหน”

“ก็กินได้นี่ แซ่บนัวด้วย”

“แล้วเรื่องนั้นของคุณบรูคมีปัญหาอะไรไหมครับ หลังจากที่ผมฝังเข็มแก้ให้แล้ว

“ว๊าย มาถามอะไรตรงนี้คะ พี่จะกล้าเล่าออกสื่อได้ยังไง บอกได้แค่ว่าเริ่ดค่ะ เริ่ดมากกกกกกๆ”

“พอเถอะ ใครเค้าจะอยากไปรู้เรื่องบนเตียงของซ้อ ลูกสองแล้วนะ”

“ก็บรูคเค้าดีอ่ะ ชั้นก็อยากอวดบ้างอะไรบ้าง ยิ่งเดี๋ยวนี้ฟิตหุ่นซะน้ำลายจะไหล อ้อ คุณคุณานนท์คะ ต่อไปขอเพิ่มขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูของบ้านพี่เป็นเดือนละสามกระปุกได้ไหมคะ สามีสามสิบกว่าแล้วกลัวจะเหี่ยวเร็วอ่ะค่ะ หักเงินจากเงินเดือนบรูคได้เลย”

“ทาเยอะไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดตัวอื่นเสริมให้ดีกว่าถือเป็นสวัสดิการบริษัท จริงๆ แล้วเรื่องเงินเดือนกับค่าตอบแทน ผมเพิ่มให้คุณบรูคได้อีกนะ เขาก็ทำงานตามสั่งได้ดี แถมยังเอาตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าบริษัทประหยัดเงินไปได้ตั้งเยอะ”

“เท่านั้นพอแล้วค่ะ ผู้ชายน่ะ ถ้ามีเงินเยอะเดี๋ยวก็อดฟุ้งซ่านไม่ได้ พี่ไม่อยากจะไปสู้รบตบมือกับเด็กเอ๊าะๆ ที่หวังทั้งเงินหวังทั้งตัวแฟนพี่หรอกนะคะ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขานิยมแนว ‘พ่อ’ กันอยู่ด้วย”

ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ชื่อเสียงในฐานะนักธุรกิจของบรูคจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามธุรกิจเครื่องสำอางที่เติบโต แต่คนที่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ก็คือหลี่คุนนี่เอง

###########
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 10-06-2020 21:53:33
คนที่่ร้ายกาจที่สุดก็คืออออ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 12-06-2020 10:46:15
นิยายสไตล์จีนแบบนี้ ต้องอ่านรวดเดียว ยาวๆ ถึงจะสนุก เพราะตัวละครจะเยอะ รายละเอียดมาก
แต่ละคนในเรื่องถ้าเป็นคนจริง ก็จะมีเรื่องราวเยอะ พอมาผูกเรื่องกัน จะมีบางช่วงที่ตัวหลักดูจะหายไป ยิ่งถ้าเว้นการอัพไปนาน คนอ่านจะงง ต่อไม่ติด

เนื้อเรื่องสนุก ชวนติดตาม เมื่อคนในอดีตผู้สูญเสียวรยุทธ และลมปราณอันเลิศล้ำ หลงเหลือความรู้วิทยาการอันล้ำค่าในอดีตที่แทบสูญหาย นำความรู้ที่มีมาประยุกต์เข้ากับความรู้สมัยใหม่ เพื่อเลี้ยงชีพ ประกอบรูปลักษณ์นายเอกที่โดดเด่นมาจากภายใน โดยไม่พึ่งพาวิทยาการสมัยใหม่ ทำให้ดูเลอค่าเสมอเหมือนเพชรบนยอดมงกุฎ เป็นความแตกต่างโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ยิ่งอ่านยิ่งติดใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 12-06-2020 10:47:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-06-2020 20:27:34
แหม ร่วมมือกันได้ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 34] 10/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 15-06-2020 18:56:27
35


เมื่อหลายเดือนก่อนหลี่คุนเอาเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการขายหุ้นฉางอันโอสถจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ให้กับจางอี้หลงไปช่วยค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ที่กำลังจะถูกธนาคารยึดที่ดิน ทีแรกเขาตั้งใจจะจ่ายเงินก้อนนี้แลกกับสิทธิ์ขาดในน้ำมันมวยมีคุณ แต่เมื่อประเมินแล้วก็พอจะมองออกว่า ถึงจะปลดหนี้ธนาคารออกไปได้ แต่ด้วยสถานะชื่อเสียงที่ตกต่ำจากกรณีนักมวยในค่ายไปถ่ายนู้ดจนถูกแบนจากผู้ใหญ่ในวงการไม่ให้ทุกคนในค่ายขึ้นชก ค่ายมวยนี้คงอยู่ต่อไปได้ไม่นาน แล้วพี่ๆ น้องๆ นักมวยที่หลี่คุนรู้สึกเหมือนเป็นศิษย์ร่วมสำนักจะไปอยู่ที่ไหน นักมวยส่วนใหญ่ฐานะยากจน หลายคนมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะอาศัยกินอยู่กับค่ายแล้วค่ายยังส่งเรียนหนังสือด้วย  ถ้าค่ายล้มจะลำบากมากและคงไม่ได้เรียนต่อในที่สุด

หลี่คุนตัดสินใจให้ครูแผ่นดินจดทะเบียนค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ให้กลายเป็นบริษัทแล้วเอาเงินก้อนนั้นเพิ่มทุนลงไปเพื่อให้ค่ายมวยเอาไปใช้หนี้ธนาคาร เขากลายมาเป็นผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งพร้อมกับขออำนาจในการบริหารมาจากครูแผ่นดินซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ หลี่คุนเห็นว่าพื้นฐานจากเป็นค่ายมวยเก่าแก่นี้ยังมีคุณค่าอยู่ อีกอย่างพื้นที่ของค่ายก็กว้างขวางติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จากอยู่ตรงรอบนอกของตัวเมืองแต่ก็เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายใหม่ จึงมีโอกาสต่อยอดธุรกิจไปได้อีก

การถูกแบนไม่ให้ขึ้นชกทำให้ค่ายขาดรายได้รางวัลค่าตัวนักมวยและเงินสนับสนุนจากสปอนเซ่อร์ไป ส่วนแบ่งกำไรน้ำมันมวยมีคุณเพียงอย่างเดียวไม่พอเลี้ยงคนทั้งค่ายแน่ แต่ก่อนค่ายยังพอมีรายได้เสริมจากคนทั่วไปที่มาเรียนมวยบ้าง แต่หลังจากที่ชื่อเสียงตกต่ำลูกค้าก็หายไปเลย หลี่คุนคิดว่าต้องหาทางฟื้นฟูรายได้ส่วนนี้ขึ้นมาก่อน ในตอนนั้นเป็นช่วงที่เขายังไม่ได้ทะเลาะกับจางอี้หลงเขาจึงปรึกษาอีกฝ่ายค่อนข้างมาก หนุ่มนักธุรกิจให้ความเห็นว่าหากลูกค้าที่มาเรียนมวยหายไปเพราะข่าวเสียหายที่เกิดขึ้น ก็ควรจะหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาแนะนำว่ามวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คนต่างชาติชื่นชอบอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้คงไม่มาใส่ใจอะไรกับข่าวฉาวในวงการมวย

หลี่คุนเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับครูแผ่นดิน อีกฝ่ายมีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่มากเนื่องจากเคยเปิดยิมฝึกสอนมวยไทยในห้างด้วย ครูดินบอกว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาตินับเป็นตลาดใหญ่และได้เงินดีจริง แต่ปัญหาคือเรื่องภาษาที่จะใช้สื่อสารเวลาสอน ครูมวยเก่งๆ ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือถึงพูดได้บ้างแต่ลูกค้าจากหลากหลายประเทศเองก็ใช่ว่าจะพูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคน สุดท้ายก็ต้องสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้ซึ่งทำให้การถ่ายทอดมวยไม่ได้ผลจนเลิกเรียนกันไปในที่สุด

ปัญหาอีกเรื่องคือสภาพของค่ายมวยเอง ชาวต่างชาติที่อยากเรียนมวยอย่างจริงจังต้องมากินนอนอยู่ที่ค่ายมวยไม่ต่างกับลูกศิษย์คนหนึ่ง แต่สภาพความเป็นอยู่ในค่ายไม่ได้ดีมากนักทั้งที่หลับที่นอนห้องน้ำห้องท่าอาหารการกิน บางคนเจอส้วมแบบนั่งยองๆ ก็ไปไม่เป็นแล้ว ถ้าต้องอยู่แบบนี้เป็นเดือนๆ ลูกค้าเงินหนาจากประเทศที่มีมาตรฐานชีวิตสูงก็รับไม่ไหวเอา แต่จะให้ไปเรียนในยิมมวยไทยหรูๆ คนกลุ่มนี้ที่ดูสารคดีหรือหนังเกี่ยวกับมวยไทยมาจนฝังหัวแล้ว ก็รู้สึกว่าแบบนั้นไม่น่าจะได้วิชามวยไทยของแท้

เรื่องสภาพแวดล้อมในค่ายเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงโดยเร่งด่วน หลี่คุนเชิญไฮโซอย่างแบงค์และนักร้องหนุ่มลูกครึ่งอย่างแฮ็คส์ให้มาสำรวจที่ค่าย เขาใช้สายตาของทั้งคู่เป็นมาตรฐานว่าจุดใดในค่ายที่ควรปรับปรุงจุดใดที่ควรเก็บไว้เพื่อความดั้งเดิม หลี่คุนสรุปรายการที่มีทั้งหมดออกมา เขาจัดเรียงความสำคัญเพื่อจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ บางเรื่องที่ใช้เงินเยอะและไม่ได้มีความสำคัญลำดับต้นๆ ก็เก็บไว้ทำทีหลังเมื่อสถานะทางการเงินดีขึ้น จางอี้หลงเป็นที่ปรึกษาเลยไม่ต้องลองผิดลองถูกอะไรมาก

หลี่คุนตัดสินใจปรับปรุงห้องน้ำใหม่หมด เขายังคงรูปแบบห้องอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ที่มีอ่างตักอาบตรงกลางไว้เพราะสองหนุ่มไฮโซที่เขาเชิญมาบอกว่ามันคือบรรยากาศของค่ายมวย แต่เปลี่ยนวัสดุใหม่ให้ดูดีและสะอาดตาขึ้น ด้านข้างติดฝักบัวเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกรวมทั้งกั้นห้องอาบน้ำส่วนตัวให้สำหรับลูกค้าด้วย ห้องส้วมทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบมาตรฐานพร้อมติดตั้งระบบระบายอากาศ เพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ล็อคเกอร์เก็บของ ที่แขวนผ้าเช็ดตัว ที่กดสบู่ ไดร์เป่าผม กระดาษเช็ดมือ รวมถึงจัดเวรให้นักมวยแบ่งเวลาซ้อมเข้ามาดูแลความสะอาดตลอดทั้งวัน

โชคดีที่หอพักซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่สมัยค่ายมวยยังรุ่งเรืองมีขนาดใหญ่มาก หลี่คุนวางผังใหม่กั้นเป็นห้องพักติดแอร์มีทั้งห้องเดี่ยว ห้องคู่ และห้องสี่คน สามารถรองรับลูกค้าแบบกินอยู่ได้จำนวนหนึ่ง เขากันพื้นที่อีกส่วนไว้เพื่อเพิ่มเติมห้องพักภายหลังหากกิจการดีขึ้น พื้นที่ส่วนที่เหลือทำเป็นห้องนอนรวมขนาดใหญ่สำหรับนักมวยและเด็กในค่าย เขาเพียงแต่ทาสีและตกแต่งเล็กน้อยให้ดูใหม่ พร้อมกับติดตั้งตู้เก็บของเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ข้าวของดูรกตา

ในส่วนของโรงฝึกและเวทีมวยที่เป็นอาคารเพดานสูงเปิดโล่งนั้นเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากเพื่อคงเสน่ห์ของค่ายมวยไทยไว้ แค่ปรับผังพื้นที่ให้ผู้ที่มาเรียนมวยสามารถสัมผัสได้ถึงทิวทัศน์และลมเย็นๆ ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างเต็มที่ในระหว่างการฝึกซ้อม นอกนั้นก็เป็นการจัดระเบียบให้นักมวยในค่ายช่วยกันดูแลความสะอาดและเก็บของให้เป็นระเบียบไม่ให้ดูรกรุงรังเหมือนค่ายมวยทั่วไป

สำหรับเรื่องอาหารไม่มีอะไรยุ่งยาก แม่ครัวของค่ายมวยเป็นแม่ของนักมวยฝึกหัดคนหนึ่งในค่าย นางมีฝีมือในการทำอาหารไทยอยู่แล้วเพียงแต่ที่ผ่านมาต้องควบคุมค่าวัตถุดิบเลยไม่ได้ทำอาหารดีๆ ออกมา หลี่คุนให้แฮ็คส์หนุ่มลูกครึ่งซึ่งเคยอยู่ต่างประเทศมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารไทยที่คนต่างชาติชื่นชอบพร้อมทั้งช่วยกันทดลองปรับรสชาติและรูปแบบให้เป็นสากลมากขึ้น

คุณานนท์เรียนนิเทศโฆษณา หลี่คุนที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ทั้งเรียนทั้งฝึกงานและทำธุรกิจมาเกือบปีแล้วย่อมเข้าใจถึงความสำคัญถึงการวางแผนการตลาดในยุคนี่เป็นอย่างดี โชคดีที่โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลกช่วยให้การทำโฆษณากับคนหมู่มากเป็นไปได้ง่ายกว่ายุคโน้นมาก ด้วยงบประมาณที่แทบจะเป็นศูนย์ เขาดึงตัวพวกซูเอ๋อร์มาให้สร้างเนื้อหาที่จะนำไปโปรโมทหลักสูตรของค่ายมวยในอินเตอร์เน็ต เจ้าสองปังปอนด์ทำหน้าที่ช่างภาพตามความถนัด น้องสี่แชมเปญลูกสาวของดีไซเนอร์ชื่อดังดูแลรูปลักษณ์ของนักมวยตอนถ่ายทำ เจ้าใหญ่กันดั้มหุ่นนักกีฬาช่วยเป็นนักแสดงเสริมรับบทเด็กที่เพิ่งหัดมวย เจ้าสามแอนฟิลด์เก่งภาษาให้ดูแลคำบรรยายที่จะสื่อออกไป ส่วนซูเอ๋อร์ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเพื่อนๆ ในฐานะที่เป็นน้องชายของหุ้นส่วนค่ายมวย

หลี่คุนต้องการเนื้อหาออนไลน์ที่จะดึงดูดจากคนทั่วทุกมุมโลก เขาขอให้เพื่อนเอกภาพยนตร์ที่คณะมาช่วยสอนปังปอนด์เรื่องการถ่ายภาพและการตัดต่อให้ออกมาสวยงามเหมือนหนังสั้น วิถีชีวิตของนักมวยในค่าย ศ.เผด็จศึก ค่อยๆ ถูกถ่ายทอดให้คนทั่วโลกรับรู้ผ่านทางสื่อโซเชียลค่ายต่างๆ ภาพนักมวยที่วิ่งเรียงแถวไปบนถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อออกกำลังกายในตอนเช้า ความมุ่งมั่นจริงจังของครูและนักมวยขณะถ่ายทอดวิชา พละกำลังอันอัดแน่นของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ปะทุขึ้นมาระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนัก การปะทะกันอย่างดุเดือดด้วยอาวุธศอกเข่าหมัดที่โรมรันกันบนสังเวียนจนเหงื่อกระจาย ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายทำขึ้นอย่างสมจริงและสวยงาม แม้เบื้องหลังจะมีการจัดฉากอยู่บ้าง เช่นการคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของนักมวยในค่าย การวางพล็อตของเรื่องราวให้น่าสนใจ แต่การฝึกมวยไทยของค่าย ศ.เผด็จ ศึกก็เป็นของแท้ที่ผู้ชมสัมผัสได้

ทีมซูเอ๋อร์ลงเนื้อหาวิดีโอหลักที่ยูทูบและเฟสบุค ภาพสวยๆ อาร์ตๆ จะถูกใส่ไว้ในไอจี นอกจากนั้นยังตัดคลิปสั้นๆ ไปลงในทวิตและติกตอกเพื่อเรียกความสนใจ ข้อมูลชุดเดียวกันนี้ยังถูกนำไปลงในสื่อโซเชียลดังๆ ให้คนจีนที่ถูกปิดกั้นจากสื่อโซเชียลหลัก ช่วงแรกหลี่คุนต้องอาศัยเพื่อนฝูงพรรคพวกที่อยู่ในทีมที่เคยขายขี้ผึ้งจักพรรดิให้ช่วยกันกระจายสื่อพวกนี้ออกไป แต่ไม่นานคลิปหลายอันก็เริ่มถูกแชร์กันมากขึ้น บางคลิปถึงกับเป็นไวรัลในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกมวยแล้ว ในคลิปพวกนั้นยังได้สอดแทรกความเป็นไทยที่น่าดึงดูดเข้าไปด้วย ชาวเน็ตต่างชาติถึงกับเลียจอเมื่อเห็นผัดไทยกระทะยักษ์ที่แสนน่าทานถูกนำมาเสิร์ฟเป็นอาหารกลางวันให้กับบรรดานักมวยตามด้วยข้าวเหนียวมูลใบเตยและมะม่วงเนื้อเต่งตึง การนวดน้ำมันแผนไทยเพื่อเพิ่มสมรรถนะก่อนขึ้นสังเวียนก็เป็นอะไรหลายคนอยากทดลอง

 หลี่คุนไม่ได้โฆษณาตรงๆ ว่าค่าย ศ.เผด็จศึก รับลูกศิษย์ต่างชาติ แต่คนที่ดูคลิปก็จะพอเดาได้เองจากภาพที่ถูกสอดแทรกไปอย่างแนบเนียน มีคนติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก หลี่คุนตั้งราคาคอร์สไว้สูงพอสมควรแต่ก็มีคนที่สนใจอย่างจริงจังที่จะคุยในรายละเอียดอยู่บ้าง

นอกจากการทำการตลาดของค่ายผ่านทีมกลางของพวกซูเอ๋อร์แล้ว แอนฟิลด์ยังเสนอว่าควรให้นักมวยบางส่วนเปิดแอคเค้าท์ส่วนตัวเพื่อลงเรื่องราวในชีวิตให้คนติดตามกัน ถ้าได้รับความสนใจจนเกิดเป็นฐานแฟนคลับขึ้น คนกลุ่มนี้จะรู้สึกผูกพันกับนักมวยที่ตัวเองติดตามจนคอยเป็นกระบอกเสียงพูดสิ่งดีๆ ของค่ายมวยต่อไป หลี่คุนไม่ค่อยแน่ใจกับความคิดนี้เท่าไหร่ นักมวยที่พอมีชื่อเสียง ก็ออกจากค่ายมวย ศ.เผด็จศึกกันไปเกือบหมด ใครจะมาสนใจนักมวยโนเนมตัวดำๆ อย่างพวกที่เหลือ แต่ในเมื่อไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรก็ไม่เสียหายที่จะลอง หลี่คุนหาคนที่สมัครใจจากนักมวยในค่าย ปรากฎว่ามีคนสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะนักมวยวัยรุ่น เด็กยุคนี้ชอบเล่นโซเชียลอยู่แล้วถ้ามันจะช่วยเหลือค่ายได้พวกเขาก็ยินดีทำ

จอมกับเด่นนักมวยฝึกหัดที่เคยโดนหลอกไปถ่ายนู้ดจนสร้างปัญหาให้กับค่ายทำเรื่องนี้อย่างกระตือรือร้น ทั้งคู่รู้สึกผิดกับค่ายมวยและเพื่อนนักมวยแต่ก็ไม่มีที่ไป ได้แต่ทำงานใช้แรงทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือทางค่ายเท่าที่จะทำได้ สองคนนี้โพสต์รูปและข้อความทุกวัน แม้จะไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นน่าสนใจแต่ก็พยายามสรรหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าอยู่ตลอด เมื่อสองคนนี้หรือนักมวยในค่ายโพสต์อะไร กลุ่มเพื่อนซูเอ๋อร์ก็จะตามไปแปลเป็นภาษาอังกฤษให้โดยมีแอนด์ฟิลด์เป็นตัวหลัก

กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จเงินเพิ่มทุนของค่ายมวยก็แทบหมดลง เหลือแต่รอลุ้นว่าจะมีคนมาสมัครเป็นลูกศิษย์วีไอพีแบบกินอยู่ประจำได้ตามเป้าหรือไม่ ในระหว่างนั้นก็มีคนที่สนใจจะมาเรียนมวยแบบชั่วครั้งชั่วคราวอยู่พอสมควร แต่กลุ่มนี้คงเรียกเก็บค่าสอนได้ไม่มากเท่าไหร่เพราะราคาตลาดก็มีอยู่ นอกจากยังมีคนที่ไม่ได้ต้องการเรียนมวยแต่ติดตามจากในโซเชียลแล้วสนใจอยากจะขอมาเยี่ยมค่ายมวยเฉยๆ กลุ่มหลังนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จะปล่อยให้มาเยี่ยมจริงคงวุ่นวายและไม่เกิดรายได้อะไร แต่ถ้าปฏิเสธไปทั้งหมดอาจจะทำให้เสียชื่อเสียงได้

ในที่สุดหลี่คุนก็กัดฟันใช้เงินก้อนสุดท้ายของค่ายจัดพื้นที่ริมน้ำให้กลายเป็นร้านกาแฟที่มีขนมและอาหารขายด้วย ถ้านั่งทานอาหารในร้านก็จะมองเห็นการฝึกซ้อมมวยผ่านกระจกใสได้อย่างชัดเจน ใครที่อยากแค่มาดูบรรยากาศของค่ายมวยหรือต้องรอเพื่อนที่มาเรียนมวยก็สามารถมาอุดหนุนร้านนี้ได้ เนื่องจากหลี่คุนไม่ได้อยากให้คนนอกมาพลุกพล่านมากเกินไปจึงตั้งราคาอาหารและเครื่องดื่มไว้สูงทีเดียว ขนาดแม่ครัวของค่ายมวยเห็นแล้วยังตะลึงเลยว่าอาหารที่นางทำจะขายได้ราคานั้นจริงหรือ

ทั้งหมดคือสิ่งที่หลี่คุนริเริ่มไว้และทำเสร็จไปเมื่อสองสามเดือนก่อนโดยใช้ชื่อครูดิน เรื่องที่เขาเข้ามาเป็นเจ้าของค่ายมวยครึ่งหนึ่งยังไม่มีใครรู้ยกเว้นพวกครูมวยและนักมวยรุ่นใหญ่อย่างพวกแสน หลังจากนั้นเขาก็วางมือชั่วคราวเพื่อไปทุ่มเทกับการปรับโครงสร้างธุรกิจบริษัทเครื่องสำอางที่บังคับซื้อมาจากบรูค เรื่องที่เหลือของค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ก็ให้ครูดินกับตินและพวกซูเอ๋อร์ช่วยกันจัดการไป ในระหว่างนั้นหลี่คุนยุ่งจนไม่ได้ตามเรื่องของค่ายมวยเลย เขาคิดว่าถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นตินกับซูเอ๋อร์ต้องบอกเขาอยู่ดี

หลังจากที่จัดการบริษัทเครื่องสำอางของบรูคจนอยู่ตัวแล้วหลี่คุนก็เริ่มกลับมาเป็นห่วงค่ายมวย ศ.เผด็จศึก เขาคำนวณกำไรจากบริษัทที่จะได้ในแต่ละเดือนแล้วพบว่าน่าจะดึงไปช่วยสถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ของทางค่ายได้ หลี่คุนจึงแอบเข้าไปดูสถานการณ์ปัจจุบันที่ค่ายให้เห็นกับตาโดยไม่ได้บอกใครก่อน

หลี่คุนลงรถไฟฟ้าตรงสถานีส่วนต่อขยายที่อยู่ใกล้ค่ายมวยที่สุด เขาเดินต่อไปตามทางเท้าเล็กๆ ที่ก่อนนั้นเคยถูกกลุ่มคนชุดดำลูกน้องของพรรคพวกไฮโซบรูคมาดักจับเพื่อจะลักพาตัวเนื่องจากมีบางจุดที่เปลี่ยวจริงๆ แต่วันนี้เขาเห็นคนแต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวเดินสวนมาบ้างทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมีแต่พวกนักมวยใช้กัน เมื่อเดินต่อมาอีกพักใหญ่จนถึงค่ายมวย เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นลานกว้างว่างๆ ที่ปรับพื้นที่ไว้เป็นที่จอดรถของค่ายวันนี้มีรถจอดอยู่จนเกือบเต็มอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนแม้แต่ตอนที่ค่ายยังพอมีชื่อเสียงอยู่

หลี่คุนเดินเข้าไปในค่ายมวยอย่างเคยชินแต่กลับถูกนักมวยรุ่นเด็กของค่ายขวางไว้ก่อน

“พี่ครับๆ มาทานอาหารหรือเปล่าครับ ได้จองไว้ก่อนไหม วันนี้ร้านแน่นมากถ้าไม่ได้จองไว้ต้องรออยู่ด้านนอกก่อนถึงบ่ายสามเลยนะครับถึงจะมีโต๊ะว่าง”

เมื่อเห็นหลี่คุนทำท่างง นักมวยหนุ่มน้อยก็กระแอมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

“เอ่กสะคิ้ว มี เซ่อ แฮบ ยู้ บุ๊คท์ อะ เท่เบิ้ล?

หลี่คุนรีบถอดผ้าปิดปากสีดำที่ใส่เป็นประจำเวลาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะออก

“อะไรวะ จำพี่ไม่ได้เหรอ”

“อ้าวพี่คุน แล้วก็หลอกให้ผมพูดภาษาปะกิดอยู่ได้ พี่หายไปไหนมาตั้งนาน ทุกทีต้องมากับพี่ตินไม่ใช่เหรอ มาคนเดียวปิดหน้าปิดตาผมก็จำไม่ได้สิ”

“งานยุ่งหน่อยว่ะ แล้วนี่รถมาจากไหนกันเยอะแยะ”

“ก็มีคนที่มาเรียนมวย แต่ส่วนใหญ่ก็คนที่มาทานอาหาร พี่เข้าไปดูเองเลย มีแต่คนบ่นคิดถึงพี่ ผมเป็นเวรคอยรับแขกอยู่ตรงนี้”

หลี่คุนเดินเข้าไปในบริเวณค่าย พอเห็นตรงริมน้ำที่ทำเป็นร้านขายอาหารเครื่องดื่มคนพลุกพล่านดูน่าสนใจ เขาจึงเดินไปตรงนั้นก่อน โต๊ะที่เดิมตั้งไว้ไม่กี่ตัว ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาน่าจะเกือบยี่สิบตัวจนเต็มพื้นที่ ที่สำคัญคือมีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะโดยเป็นชาวต่างชาติกว่าครึ่ง อาหารร้อนๆ น่ารับประทานกำลังถูกเสิร์ฟไปตามโต๊ะต่างๆ โดยหนุ่มนักมวยสามสี่คนในชุดฝึกซ้อมนั่นคือสวมกางเกงมวยตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ

“อ้าวคุน มายังไงวะ หิวเปล่า เดี๋ยวเราไปบอกป้าแม่ครัวให้ทำผัดไทยมาให้ซักจาน”

นักมวยหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังเสิร์ฟอาหารอยู่ทักขึ้นอย่างคุ้นเคย หลี่คุนเห็นทุกโต๊ะต้องมีผัดไทยหน้าตาหน้าทานอย่างน้อยหนึ่งจานแสดงว่าได้รับความนิยมจริงจึงพยักหน้าให้ อีกฝ่ายกุลีกุจอเอาเก้าอี้มาวางให้นั่งตรงเค้าเตอร์แล้วก็ขอตัวไปสั่งอาหารให้ หลี่คุนมองบรรยากาศในร้านแล้วรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ดูเหมือนแขกที่มาทานอาหารจะชื่นชอบนักมวยที่มาคอยให้บริการกันมาก ถึงจะคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ดูจะไม่เป็นอุปสรรคในการส่งเสียงแซวแล้วหัวเราะคิกคักกันเมื่อเห็นนักมวยหุ่นล่ำเขิน แขกบางคนก็นั่งดูการฝึกซ้อมในโรงฝึกมวยอย่างตั้งใจ แต่ที่ดูความสุขกับการทานอาหารจริงๆ ก็มีอยู่หลายโต๊ะ

นักมวยคนเดิมเอาผัดไทยหอมฉุยมาส่งให้

“ป้าบอกว่าทำสุดฝีมือเลยให้น้องคุนคนหล่อของแก”

“ทำไมคนเยอะขนาดนี้วะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าตามลายแทงกันมาจากในเน็ต ยิ่งตั้งแต่เดือนที่แล้วนะ จู่ๆ ก็มากันจากไหนไม่รู้ทั้งไทยจีนฝรั่งญี่ปุ่นเกาหลี จนต้องขยายร้านกันหลายรอบ”

“แล้วนายใส่ชุดซ้อมมวยมาเสิร์ฟอาหารแบบนี้ลูกค้าไม่ว่าเอาเหรอ ดูไม่ค่อยถูกอนามัยเท่าไหร่”

“กลายเป็นว่าลูกค้าชอบแบบนี้ว่ะ คือช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น ป้าแม่ครัวกับผู้ช่วยทำกันไม่ไหวก็เลยขอให้พวกนักมวยที่พักเหนื่อยอยู่มาช่วยเสิร์ฟ ปรากฎว่าลูกค้าติดใจกันใหญ่ ทีหลังถ้าไม่ใช่นักมวยมาเสิร์ฟจะไม่ยอมเอา ใส่เสื้อยืดก็ไม่ได้นะ เราเดาว่าคนที่มาทานอาหารถึงที่นี่น่าจะเป็นคนต่างชาติที่ชอบมวยไทยแต่เคยเห็นแต่ในทีวีไง พอเจอนักมวยตัวจริงเลยตื่นเต้น ชอบแกล้งโน่นแกล้งนี่ด้วย เออ เดี๋ยวนายทานต่อตามสบายนะ หมดเวรเราแล้วต้องไปซ้อมต่อ ถ้าจะเอาอะไรเพิ่มก๋บอกคนอื่นได้เลย พวกเรากันทั้งนั้น”

ผัดไทยอร่อยจริงสมกับที่สั่งกันทุกโต๊ะ พอได้ใช้วัตถุดิบที่ดีขึ้นฝีมือของป้าแม่ครัวก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก หลี่คุนนั่งชมความสำเร็จของร้านอาหารที่เขาริเริ่มไว้อีกครู่หนึ่ง ดูเหมือนลูกค้าจะชอบแกล้งนักมวยจริงๆ ด้วย เห็นโดนขอให้เบ่งกล้ามมั่ง ขอจับแขนมั่ง ตามแต่จะนึกออก แต่ถ้าโดนขอถ่ายรูปนักมวยจะปฏิเสธ

หลี่คุนลุกจากโต๊ะตั้งใจว่าจะไปสอบถามถึงสถานการณ์ของค่ายมวยกับครูแผ่นดิน แต่ระหว่างทางต้องผ่านห้องน้ำรวมซึ่งมีต่อเติมด้านข้างเป็นห้องชายสำหรับแขกที่มาทานอาหาร ส่วนห้องน้ำหญิงได้ทำขึ้นใหม่ไว้ใกล้ๆ กับร้านอาหารแล้ว ขณะที่เดินผ่าน หลี่คุนมองเข้าไปด้านในส่วนที่ห้องน้ำรวมของคนในค่ายก็เห็นนักมวยหน้าคุ้นๆ เปลือยกายอาบน้ำอยู่ตรงใกล้ๆ ช่องประตู

“ไอจอม ใช่เอ็งเปล่าวะ”

หลี่คุนตะโกนถาม ถ้ามาจากฝั่งร้านอาหารจะมีรั้วไม้ระดับเอวกั้นอยู่เข้าไปในส่วนของห้องน้ำรวมไม่ได้

“พี่คุน ผมเอง”

นักมวยวัยรุ่นผิวเข้มหุ่นแน่นออกมายืนตรงช่องประตู โชว์ทุกสัดส่วนของร่างกายอย่างไม่อายใคร

“เพิ่งบ่ายสองอาบน้ำทำไมวะ ฝึกเสร็จแล้วเหรอ”

“เปล่าพี่ เดี๋ยวอาบเสร็จผมก็ไปฝึกต่อ คือผมผลัดเวรกับไอเด่นอ่ะ ต้องคอยมาอาบน้ำโชว์แขก ยกเว้นตอนเย็นๆ ที่มีคนมาอาบน้ำจริงๆ”

“หา ใครใช้ให้พวกเอ็งทำ”

จอมฉีกยิ้มอย่างภูมิใจเห็นฟันขาวตัดกับสีผิว

“ไม่มีใครใช้หรอก พวกผมคิดกันเอง จะได้ช่วยเรียกลูกค้าให้ค่ายมวยไง”

“สัด ลูกค้าหนีกันหมดแน่ แล้วพวกเอ็งไม่อายเหรอวะ”

“โหยพี่ อาชีพนักมวยไทย ถ้ามาอายกับเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี กติกามวยไทยต้องให้ขึ้นชั่งน้ำหนักตัวเปล่าอยู่แล้ว คนมุงดูเยอะแยะไปหมด ไหนจะกล้องนักข่าวอีก”

หลี่คุนฟังแล้วรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก เขากระโดดข้ามรั้วอย่างคล่องแคล่วไปหาอีกฝ่ายจนนักมวยหนุ่มอดทึ่งเล็กๆ ไม่ได้ หลี่คุนทำท่าให้เด็กหนุ่มขยับหลบมุมเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าท้าสายตาเกินไป ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่พักใหญ่ จอมเล่าให้ฟังว่า เขากับเด่นรู้สึกผิดมากที่ทำให้ค่ายมีปัญหา พอค่ายพยายามหารายได้เสริมด้วยวิธีต่างๆ เขาก็คอยเข้าไปดูในโซเชี่ยลว่าคนพูดถึงค่ายว่าอย่างไร จากที่แทบไม่เคยเล่นแอพพวกนี้เลยตอนนี้คล่องทุกสำนัก มีความพยายามถึงขั้นใช้กูเกิลแปลความเห็นที่เป็นภาษาต่างๆ อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

จอมไปเจอความเห็นหนึ่งที่รีวิวร้านอาหารของค่ายว่าบรรยากาศดี อาหารอร่อย ตอนไปเข้าห้องน้ำผ่านห้องน้ำรวมของค่ายด้วยเสียดายไม่มีคนอาบอยู่เลยไม่รู้ว่าที่ค่ายมวยไทยแก้ผ้าอาบน้ำกันจริงหรือไม่ ความเห็นเชิงขำๆ นี้ได้รับความสนใจและกดไลค์กันล้นหลาม เขาจึงปรึกษากับเด่นแล้วตกลงกันว่าจะลองเอาใจคนกลุ่มนี้โดยการไปอาบน้ำในช่วงที่ลูกค้าเยอะๆ ดู ทั้งคู่ทำอย่างนี้อยู่สัปดาห์หนึ่งก็เห็นผลอย่างมาก มีคนโพสต์ถึงเรื่องนี้ในเน็ตสร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่มีรสนิยมแบบเดียวกันเป็นอย่างมาก หลายคนถึงกับเม้นท์ว่าจะจองตั๋วมาเมืองไทยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“แปลกดีนะพี่ ทั้งผมทั้งไอ้เด่นถ่ายนู้ดแบบจะๆ จนรูปถูกก็อปกระจายไปถึงไหนต่อไหน ให้ดูฟรียังไม่มีใครอยากดู แต่พอมาทำลับๆ ล่อๆ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง คนกลับชอบ ในเน็ตนี่เรียกว่าแทบคลั่งเลยนะพี่ โคตรดีใจเลย เหมือนเราของไร้ราคามารีไซเคิลให้เป็นของที่มีคุณค่าได้  อย่างน้อยชดเชยความผิดพวกผมไปได้บ้างก็ยังดี”

ระหว่างที่เขายืนคุยกับจอมที่เปลือยโชว์แท่งหยกอยู่ มีคนที่เดินผ่านไปชะเง้อมองเข้ามาจริงๆ หลี่คุนไม่แน่ใจว่าตัวเองตามโลกยุคนี้ได้ทันจริงอย่างที่เคยคิดหรือเปล่า เรื่องเรียกแขกเข้าร้านนี่คนไทยเขาใช้ตุ๊กตานางกวักกันไม่ใช่หรือ เอ๊ะ หรือว่าใช้ปลัดขิกแบบนี้ถูกแล้ว เขาก็ไม่แม่นศาสตร์ฮวงจุ้ยของไทยเท่าไหร่

##################
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 15-06-2020 19:00:06
36
“พี่ดิน กิจการเราเป็นไงบ้าง”

หลี่คุนที่เดินผ่านโรงฝึกมวยและทักทายคนคุ้นเคยกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็รีบเข้าไปในห้องสำนักงานของค่ายมวยเพื่อสอบถามผลการดำเนินงานในช่วงที่เขาไม่อยู่จากครูแผ่นดิน แต่จากบรรยากาศคึกคักในโรงฝึกมวยที่เขาเห็น ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่แย่แน่นอน

ครูดินได้ยินเสียงหลี่คุนก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายวิบวับอย่างมีความสุข ใบหน้าของเขาไม่ได้หมองคล้ำแบบคนอมทุกข์อย่างทุกที

“ที่คุนวางแผนไว้มันได้ผลเกือบหมดเลยว่ะ บางอย่างก็ดีกว่าที่คาดไปมาก เดือนที่แล้วค่ายเรามีเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่งส่วนแบ่งจากน้ำมันมวยมีคุน ต่อไปเราจะมีเงินเก็บไว้พัฒนาค่ายกันซักที”

“มีลูกศิษย์แบบอยู่ประจำเข้ามาบ้างแล้วเหรอครับ”

“ตอนนี้ที่พักเราเต็มหมดแล้ว มันบ้ามากจริงๆ เด็กๆ มาเล่าให้พี่ฟังว่าค่ายเราฮิตในโซเชียลโคตรๆ ยิ่งมีลูกศิษย์ฝรั่งที่สมัครเข้ามาเป็นคนแรกๆ เขาถ่ายคลิปการฝึกมวยและความเป็นอยู่ในค่ายไปลงในเน็ต คนก็จองคอร์สเรียนเข้ามาจนเต็ม ทั้งฝรั่งทั้งเอเชีย มันไม่ใช่แค่เรื่องมวยแล้ว พี่ว่าคนพวกนี้เขาหลงไหลประเทศไทย ทั้งผู้คน อาหาร วัฒนธรรม มีคนเขาคุยกันในเน็ตว่า ถึงดูเหมือนราคาคอร์สเรียนจะสูงแต่รวมทุกอย่างไว้แล้ว คุ้มกว่าหาที่พักและซื้อข้าวกินเองเป็นไหนๆ แถมยังได้ใช้ชีวิตและฝึกมวยแบบคนไทยแท้ๆ เป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ นี่พี่ว่าจะปรึกษาคุนเรื่องขยายห้องพักอีก ครูฝึกเรามีตั้งหลายคน ไหนจะนักมวยรุ่นใหญ่อีก รับลูกศิษย์เพิ่มได้สบายๆ ไหนๆ ก็ยังไม่มีแมทช์อะไรให้เตรียมตัว”

“แล้วพี่จะดูแลกันไหวเหรอครับ คนที่จะสอนมวยเป็นภาษาอังกฤษได้ก็แทบจะมีพี่คนเดียว แล้วลูกค้าเอเชียก็น่าจะพูดอังกฤษไม่ค่อยได้พอกัน”

“อ้าว น้องคุนยังไม่รู้อีกเหรอ คุณจางอี้หลงหุ้นส่วนน้องคุนที่มาช่วยตั้งแต่ตอนแรกๆ เขาส่งเครื่องแปลภาษาพกพามาให้ตั้งเป็นสิบเครื่อง ใช้สะดวกมาก มันแปลภาษาอังกฤษดีกว่าพี่เสียอีก ภาษาอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ไม่ว่าชาติไหนในค่ายก็คุยกันรู้เรื่องหมด พี่เลยสั่งเพิ่มไปอีกยี่สิบเครื่องเลย เห็นว่าแพงเหมือนกันนะ แต่คุณภาพดีกว่าของจีนทั่วไปที่พี่เห็นแม่ค้าเขาใช้กันจริงๆ”

“พี่จ่ายเงินเขาให้ครบเลยนะ ทั้งของชุดแรกด้วย ผมไม่อยากติดหนี้บุญคุญเขาอีก คนนิสัยแย่ๆ แบบนี้”

“อ้าว ไปโกรธอะไรกันตอนไหนนี่ แต่ก่อนพี่เห็นน้องคุนชมเขาจะตาย พูดสามประโยคก็เป็นเรื่องเขาซะสองประโยคแล้ว ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใหม่ แล้วของเก่าล่ะ เราใช้คืนเค้าหมดยัง”

พอเห็นหลี่คุนทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูดินก็รีบพูดเอาใจ

“เอาเถอะ พี่ปากมากไปเอง อย่าถือสาเลยนะคุน”

“ไม่เป็นไรพี่”

“ส่วนเรื่องร้านอาหารเอาไงดี รายได้มันดีมากเลยนะ พี่ว่าจะหาทางขยายอีก”

“ผมว่าเลิกคิดเรื่องขยายร้านอาหารไปได้เลย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ต้องปรับปรุงขนานใหญ่”

“ทำไมล่ะ พี่ว่ามันดีมากเลยนะ หรือว่าราคาจะสูงไป พี่เห็นคุนตั้งไว้แต่แรกเลยไม่กล้าเปลี่ยน ถ้าปรับราคาลงพี่ว่าลูกค้าจะเยอะกว่านี้มาก”

“ตรงข้ามครับ ผมว่าต้องหาทางเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้าให้เพิ่มขึ้นอีก ผมเพิ่งคุยกับจอมมามีเหตุผลให้มั่นใจว่าลูกค้ายังยอมจ่าย แล้วจำนวนโต๊ะอาจจะต้องลดลงด้วย ดูจำนวนลูกค้าตอนนี้แล้วมันวุ่นวายเกินไป ผมอยากเคลียร์พื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านให้ว่างๆ ไว้ เราต้องปรับกติกาการใช้บริการร้านใหม่ หลักๆ คือจำกัดเวลาในการใช้บริการตามจำนวนอาหารเครื่องดื่มที่สั่ง อีกส่วนคือห้ามแตะต้องเนื้อตัว ขอถ่ายรูป หรือทำอะไรนักมวยที่เป็นพนักงานเสิร์ฟของเราฟรีๆ ถ้าจะอยากจะแกล้งนักมวยของเราต้องสั่งเมนูพิเศษถึงจะทำได้”

“พี่ตามไม่ทันแล้วว่ะคุน”

“ที่ผมคิดๆ ไว้นะ เช่น ถ้าสั่งมิลค์เชคในเมนูพิเศษ นักมวยของเราจะเอาส่วนผสมใส่ในแก้วเชคตรงโต๊ะที่สั่ง แล้วจับแก้วใบนั้นเต้นฟุตเวิร์คชกลมไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมได้ที่ถึงเอามารินเสิร์ฟ แบบนี้คนสั่งจะได้แกล้งนักมวยที่ตัวเองชอบให้ชกลมจนเหงื่อแตก หรืออีกเมนูชื่อข้าวกะเพราถาดจัดหนัก จริงๆ ก็เป็นข้าวกะเพราะรวมมิตรธรรมดาที่จานใหญ่หน่อยนี่แหละ แต่ตอนที่นักมวยยกมาเสิร์ฟ จะรองด้วยถาดเหล็กกลมๆ ที่ทำจากแผ่นเพลทของบาร์เบลเอาหนักซักยี่สิบสามสิบกิโล คนสั่งก็จะได้เห็นนักมวยออกแรงจนกล้ามเนื้อปูดสมใจ เมนูพิเศษนี้ราคาต้องแพงพิเศษไปด้วย รวมถึงพวกบัตรถ่ายรูปบัตรจับมือด้วย ผมว่าพี่ต้องไปดูงานก่อนถึงจะเข้าใจชัด เดี๋ยวผมส่งพิกัดเมดคาเฟ่ไปให้นะครับ แนะนำว่าควรพาลูกไปด้วยจะได้กลมกลืนหน่อย”

“เอิ่ม ขอเวลาพี่หน่อยแล้วกัน พี่แก่แล้ว”

“ค่อยๆ ไปก็ได้ครับ พอดีผมแค่คิดว่ากระแสพวกนี้มันเกิดขึ้นเร็วก็อาจจะหายไปเร็วเหมือนกัน ถึงยังไงเรื่องการขายอาหารมันก็ไม่ได้ค่อยเกี่ยวอะไรกับค่ายมวยอยู่แล้ว ถึงต่อไปคนจะเลิกเห่อก็ไม่ได้กระทบอะไรเรามาก เลยอยากอาศัยจังหวะนี้ทำเงินเก็บเป็นทุนรอนไว้ให้มากที่สุด ที่น่าสนใจคือเรื่องบริการนวดเนื้อนวดตัวแบบนักมวยมากกว่า คนที่สนใจมวยจริงๆ น่าจะอยากลอง เดี๋ยวไปคุยกับครูมีดีกว่าให้ช่วยคิดคอร์สนวดพื้นฐานที่ไม่ยากนัก เอาแบบนักมวยที่มีประสบการณ์ของเราก็นวดได้ ถ้าลูกค้าติดใจ ถึงต่อไปไม่ได้มาใช้บริการเองก็คงซื้อน้ำมันมวยมีคุณไปใช้ต่อ เราจะได้ขยายออกไปตลาดต่างประเทศได้”

“น้องคุนเอาความคิดมาจากไหนมากมายครับ พี่จะพยายามให้เต็มที่นะ แต่คงต้องมาช่วยดูๆ ให้พี่หน่อย”

“ได้ครับพี่ดิน ว่าแต่เรื่องที่ค่ายเราถูกแบนไม่ให้ขึ้นชก พอจะคลี่คลายลงไปหรือยังครับ ปกติคนไทยเราลืมง่ายจะตาย เรื่องที่สองคนนั้นถ่ายนู้ดมันก็ผ่านมานานแล้ว ถึงตอนนี้ค่ายเราจะพอเลี้ยงตัวได้จากรายได้เสริมต่างๆ แต่ถ้านักมวยในค่ายไม่ได้ขึ้นชก ผมกลัวว่าจะเสียแรงผลักดันในระยะยาวไป”

“พี่ก็กังวลแบบเดียวกันว่ะคุน ก่อนหน้านี้ก็ดูกระแสตำหนิค่ายเราก็หายไปเกือบหมดแล้วนะ ผู้ใหญ่ในวงการก็ดูจะหยวนๆ ทำเป็นลืมไป แต่พอมีข่าวว่ามีโปรโมเตอร์มวยจะให้เด็กเราขึ้นชก ก็มีคนปั่นมันขึ้นมาใหม่ พี่ว่าน่าจะเป็นค่ายใหญ่ที่เคยมีเรื่องขัดใจกับเรามานานนมแล้ว พอเห็นพ่อพี่วางมือก็เลยถือโอกาสแก้แค้น”

“อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมนี่หว่า ผมว่าถ้ามีกระแสด้านที่เข้าข้างเราเกิดขึ้นมาบ้าง ผู้ใหญ่น่าจะใช้เป็นทางลงได้ แต่เรื่องนี้เราจะดันเองไม่ได้ดูไม่เป็นกลาง มันต้องมาจากคนนอก”

“แล้วคนนอกที่ไหนจะออกหน้ามาช่วยเราล่ะ คนไทยหน้าบางจะตาย มันพัวพันถึงเรื่องเกย์เรื่องสื่ออนาจาร คนที่มีอำนาจเป็นคนรุ่นเก่า เขามองว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว”

หลี่คุนก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เขาจึงกลับไปคุยถึงแผนการเพิ่มขวัญกำลังใจนักมวยในค่ายที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้

“เรื่องแผนที่จะแบ่งลูกศิษย์ของค่ายให้ชัดเจนแล้วเอาระบบแต้มคุณูปการมาใช้พี่รีบดำเนินการเลยนะครับ อย่างน้อยช่วงที่ยังไม่มีเป้าหมายในการขึ้นชก แถมยังต้องแบ่งเวลาไปช่วยค่ายหารายได้เสริม ทุกคนจะได้ไม่หมดไฟและยังตั้งใจฝึกซ้อมอยู่”

หลี่คุณแบ่งลูกศิษย์ในค่ายออกเป็นสามกลุ่มเพื่อไม่ให้สับสน นักมวยที่อยู่ประจำกินนอนที่ค่ายเลี้ยงดูส่งเรียนไม่ว่าจะขึ้นชกจนมีค่าตัวแล้วหรือไม่ก็ตามอย่างจอมและเด่นนับเป็นศิษย์ใน ส่วนคนที่มาเรียนมาฝึกมวยเป็นบางวันอย่างตินหรือลูกค้าที่สมัครเรียนคอร์สทั่วไปนับเป็นศิษย์นอก สำหรับลูกศิษย์ต่างชาติกระเป๋าหนักที่ซื้อคอร์สอบรมแบบจริงจังมากินอยู่ร่วมฝึกกับศิษย์ในเรียกแบบให้เกียรติว่าศิษย์วีไอพี

“พี่เอานิยายจีนที่เราแนะนำไปอ่านจนพอจะเข้าใจระบบแต้มอะไรนี่แล้วล่ะ คือเวลาศิษย์ในช่วยงานค่ายไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือฝึกซ้อมได้ตามเป้าหมายที่กำหนดจะได้แต้มคุณูปการนี่เหมือนเป็นคะแนนสะสมไปเรื่อยๆ ใช่เปล่า แล้วเอาไปแลกเป็นเงินหรือของจากทางค่ายได้ ว่าแต่จะเอาจริงๆ เหรอ เราไม่ได้เป็นสำนักยุทธที่มีคัมภีร์พิศดารหรือโอสถทะลวงปราณเหมือนในนิยายซะหน่อย พวกมันได้แต้มไปก็เอามาแลกเป็นเงินกันหมดแหละ อย่างงั้นเราก็น่าจะให้เป็นเบี้ยเลี้ยงเลยตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”

“แต้มคุณูปการมีค่าจะตาย ต่อให้มีตังค์ก็ซื้อไม่ได้ใครจะยอมเอาไปแลกเป็นเบี้ยเลี้ยง พี่คอยดูไปเถอะ ส่วนของที่จะเปิดให้แลกในร้านค้าสวัสดิการค่าย ตอนแรกจะยังมีไม่เยอะเท่าไหร่ มีแค่ ขี้ผึ้งสมานแผล ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮา แล้วตั๋วแช่สมุนไพร แต่ต่อไปผมจะเอาของใหม่ๆ มาเพิ่มให้เรื่อยๆ”

“ไอขี้ผึ้งอะไรนั่นพอเข้าใจ ถ้าเป็นของที่น้องคุนทำต้องดีแน่ๆ แต่ไอตั๋วแช่สมุนไพรนี้คืออะไร”

“คือผมมีสมุนไพรสูตรโบราณอยู่ครับ ถ้าผสมน้ำแล้วเอาไปแช่ตัวจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นแข็งแรงขึ้นได้บ้าง ผมว่าเหมาะกันนักมวยมากๆ แต่ต้นทุนมันค่อนข้างสูงอยู่ซักหน่อยเลยให้แลกเป็นคนๆ ไม่ได้ สมุนไพรหนึ่งชุดจะพอดีกับน้ำในอ่างกลางห้องน้ำรวมค่ายเรา ลงแช่แบบสบายๆ ได้สิบคน พอมีคนมาแลกตั๋วไปครบสิบใบ พี่ก็นัดมารวมตัวกันทีเดียว เอาเป็นช่วงกลางคืนที่คนใช้ห้องน้ำกันเสร็จหมดแล้วก็ได้ พอละลายสมุนไพรเข้ากับน้ำในอ่างแล้ว ก็ให้ทุกคนลงไปแช่พร้อมกันอย่างน้อยสองก้านธุ..เอ่อ ครึ่งชั่วโมงเป็นอันเสร็จ ผมรับรองว่าร่างกายภายนอกจะแข็งแรงขึ้น ทนหมัดทนเข่ามากกว่าเดิม แต่ก็คงไม่ได้มากมายอะไรนะครับ ไม่ใช่ยาวิเศษ”

“อืม ไว้ถ้ามีคนมาแลกของ พี่จะเล่าสรรพคุณของยาแช่นี้ให้นะ แต่พี่กลัวว่าพวกมันอาจจะตาไม่ถึง เราเตรียมเป็นเงินเผื่อไว้ด้วยดีกว่า”

ครูดินพูดอย่างถนอมน้ำใจ ในตอนนี้คงไม่มีคิดหรอกว่าต่อไปบรรดาศิษย์ในของค่ายจะพยายามสะสมแต้มคุณูปการกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแลกตั๋วแช่สมุนไพรสักใบหนึ่ง นั่นเป็นเพราะสรรพคุณที่ปรากฎทำให้ร่ำลือกันว่าที่แท้มันคือการอาบน้ำว่านอาคมอยู่ยงคงกระพันของเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีต แต่นั่นเป็นเรื่องภายหลังแล้ว

“พี่มีเรื่องนึงอยากจะปรึกษาอีก ไอเด็กฝรั่งคนที่พี่เล่าให้ฟัง มันลงคอร์สสามเดือนไว้จะหมดสิ้นเดือนนี้แล้ว มันบอกว่าไม่มีตังค์ต่อคอร์สแล้วจะขอสมัครเป็นนักมวยฝึกหัดของค่ายเราแบบเพื่อนมันคนอื่นๆ ไอนี่มันสนิทกับเขาไปหมดอยู่แค่สองเดือนกว่าพูดไทยง่ายๆ พอรู้เรื่องแล้ว นิสัยมันก็ดี ขยันซ้อม คุนว่าไงวะ”

“มีตังค์มาเรียนคอร์สแพงๆ ได้ตั้งสามเดือน บ้านมันคงไม่จนหรอกมั๊งครับ จะให้มาอยู่ฟรีกินฟรีเหมือนเด็กไทยเราได้ยังไง”

“ดูมีฐานะเลยล่ะ พี่ว่ามันน่าจะยังไม่อยากกลับประเทศเลยทะเลาะกับที่บ้านจนถูกตัดเงิน ดูมันเป็นพวกกล้าทำกล้าเสี่ยง ถ้าเราไม่ให้มันอยู่ด้วย พี่กลัวมันจะเตลิดไปกลายเป็นฝรั่งขี้นกเจอพวกคนไม่ดีเข้าก็แย่เลย ถ้าให้มันอยู่เหมือนเด็กไทยก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรหรอก”

“มันเป็นเด็กชาติไหนครับพี่”

“อังกฤษนะ เห็นว่ามาจากลอนดอนเลย”

“งั้นก็ได้ครับ พี่รับมันเข้ามาเป็นศิษย์ในเลย แต่คงอยู่ฟรีเลยไม่ได้ มันต้องมีหน้าที่สอนให้คนในค่ายพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะคนที่ยังเรียนอยู่นะ รุ่นใหญ่อย่างพวกพี่เมฆพี่แสนด้วย ต่อไปจะมีวัดผลทุกเดือน ถ้าไม่ค่อยมีความก้าวหน้ามันต้องออกจากค่ายไป ส่วนคนในค่าย ใครที่ภาษาอังกฤษใช้การได้ดี ผมจะเพิ่มแต้มคุณูปการให้เป็นรายเดือนเหมือนเป็นค่าวิชา”

“มันจะยุ่งยากเกินไปเปล่า เรามีเครื่องแปลภาษาอยู่แล้ว”

“ภาษอังกฤษมีติดตัวไว้ได้ใช้แน่ๆ ครับ ยังไงอาชีพนักมวยก็ทำได้แค่ช่วงหนึ่ง”

“เอางั้นก็ดี เด็กพวกนั้นต้องตั้งใจเรียนแน่ มันสนิทกันจะตายคงไม่อยากให้เด็กฝรั่งนี่ออกจากค่ายไปหรอก”

หลังจากคุยงานที่คั่งค้างมานานเสร็จ หลี่คุนก็ออกจากค่ายมวยแล้วก็แวะไปหาหมอภีมที่โรงพยาบาล ปกติเขากับหมอภีมจะนัดถกวิชาฝังเข็มกันอยู่เรื่อยๆ แต่ช่วงที่ผ่านมายุ่งมากเลยไม่ได้เจอหมอภีมมาสองเดือนแล้ว หลี่คุนได้ทราบข่าวว่ารากเหอโส่วอูอายุร้อยปีที่เขาฝากให้หมอภีมช่วยหามานานแล้ว ตอนนี้ได้รับการติดต่อจากเพื่อนของหมอภีมที่ปักกิ่งว่ามีคนต้องการขาย หลี่คุนต้องการสมุนไพรตัวนี้มากเพราะสามารถใช้ปรุงยาสำคัญที่เขากำลังต้องการอยู่ แน่นอนว่าของหายากเช่นนี้ราคาย่อมไม่ธรรมดา แต่หลี่คุนมีเริ่มมีรายได้เพิ่มจากบริษัทเครื่องสำอางของบรูค กิจการอื่นก็ไปได้ดี เรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหา เขาบอกหมอภีมว่าถ้าทางโน้นขายจริงน่าจะต้องบินไปถึงปักกิ่งเพื่อดูกับตาให้มั่นใจว่าเป็นของแท้

หลี่คุนกลับถึงคอนโดแต่ใจก็ยังพะวงถึงปัญหาค่ายมวยถูกแบนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเป็นจางอี้หลงจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ยังไง เมื่อนึกถึงหน้าอีกฝ่ายใจก็หวิวๆ ยังไงชอบกล นี่เขาไม่ได้เจอคนๆ นั้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ สามเดือน สี่เดือน หรือนานกว่านั้น ระหว่างที่คิดมือก็ไถปลดล็อกโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว เขาเกือบจะกดเข้าแอพแชทของประเทศจีนที่ใช้พูดคุยกับจางอี้หลงแต่นึกได้เสียก่อนว่าตัวเองเป็นฝ่ายบล็อคการติดต่อไปแล้วเลยรีบปิดโทรศัพท์ไป

หลี่คุนด่าตัวเองในใจ พอเริ่มว่างก็ฟุ้งซ่านอะไรขึ้นมา ซูเอ๋อร์ยังไม่กลับ ตั้งแต่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่กับแฮ็คส์เขารู้สึกว่าเจอหน้าน้องชายน้อยลงแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นปกติแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน หลี่คุนหยิบสมุดจดบันทึกภาษาเซี่ยเล่มปัจจุบันที่เขาใช้อยู่ขึ้นมาดู นานแล้วที่เขาไม่ได้จดอะไรลงไป อันที่จริงการทะเลาะของเขากับจางอี้หลงก็เกิดขึ้นจากสมุดเล่มนี้ ตอนนั้นเขาโมโหที่อีกฝ่ายแอบมาเปิดสมุดที่เป็นความลับของเขาดูทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์เชื่อใจ

ทำไมพอเขาต่อว่าไปถึงไม่อธิบายความจริงออกมาให้หมด

ทำไมถึงพูดแค่ว่าทำไปเพราะความเป็นห่วง

ทำไมถึงเป็นฝ่ายที่ขอห่างกันชั่วคราวขึ้นมาก่อน

ทำไมพอเขาไม่กลับไปคุยด้วยถึงได้ยอมรับง่ายๆ

ทำไมคนธรรมดาอย่างนั้นถึงได้ทั้งมีความลับทั้งเข้าใจยากกว่าคนที่ข้ามภพข้ามชาติมาอย่างเขาเสียอีก

สายตาของหลี่คุนไปสะดุดกับซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ นี่เป็นเอกสารที่จางอี้หลงฝากให้เขาก่อนหน้าที่จะทะเลาะกันนิดเดียว ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่คิดจะเดามันออกมาดูเลย อยู่ๆ หลี่คุนก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมาอย่างรุนแรงว่ามันคืออะไร เขาเปิดซองที่ถูกผนึกไว้หลายเดือนออกทันที ภายในมีกระดาษพับทบกันอยู่เมื่อกางออกก็กลายเป็นแผนผังวงกลมขนาดใหญ่ หลี่คุนมองในภาพรวมก็รู้สึกว่าคุ้นเคยไม่น้อย แต่พอดูในรายละเอียดเขาก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ

ภายในแผนภาพวงกลมถูกตีกรอบแบ่งออกเป็นแปดทิศ แต่ละทิศมีภาพกราฟฟิกรูปฝ่าเท้าของมนุษย์พิมพ์ไว้เจ็ดตำแหน่ง รวมทั้งหมดเป็นเจ็ดสิบสองตำแหน่งการวางเท้า ที่แท้นี่คือตำแหน่งเท้าตามเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้เป็นสิ่งที่ยอดบรรพชนตระกูลหลี่รื้อฟื้นขึ้นมาจากวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วของสำนักยุทธ์ลึกลับในตำนานที่สาบสูญไปแล้ว แต่ตำแหน่งเท้าในแผนผังนี้ไม่ตรงกับสิ่งที่หลี่คุนจำได้ขึ้นใจเสียทีเดียว จากเจ็ดสิบสองตำแหน่งมีประมาณสิบตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนไปจากเดิม ที่น่าตกใจก็คือแผนผังนี้แสดงความแตกต่างนี้ไว้อย่างชัดเจนโดยตำแหน่งเดิมไว้เป็นภาพสีจาง คล้ายกับว่าแผนผังนี้ทำขึ้นเพื่อแก้ไขตำแหน่งบางจุดของท่าเท้าท่องคลื่นน้อยตระกูลหลี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล บรรพชนตระกูลหลี่ได้ศึกษาผสานต่อยอดวิชาของตระกูลเข้าไปแทนตำแหน่งเท้าส่วนที่สูญหายไปจากเคล็ดวิชาดั้งเดิมจนสามารถใช้ร่ายรำได้ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าท่าเท้าท่องคลื่นตระกูลหลี่ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง

แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร จางอี้หลงเป็นคนยุคปัจจุบันย่อมไม่สามารถล่วงรู้ตำแหน่งเท้าของวิชาลับเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่าว่าจะแก้ไขให้มันดีขึ้นเลย นอกเสียจากว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วฉบับดั้งเดิมของสำนักยุทธ์ลึกลับที่สูญหายมานับพันปี

หลี่คุนใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงความเป็นไปอีกข้อหนึ่ง หรือว่าจางอี้หลงจะเป็นคนที่ข้ามเวลามาเช่นเดียวกับเขา แต่เรื่องพิศดารแบบนี้จะเกิดซ้ำกันได้เชียวหรือ นิยายกี่เรื่องๆ ก็มีแต่ย้อนจากอนาคตไปอดีต แต่พอเขาย้อนศรจากอดีตมาอนาคต ก็ดันมีคนตามมาด้วยอีกคนเหรอ แถมยังมาจากยุคที่โบราณยิ่งกว่าเขาด้วย ไม่นับว่าในโลกที่มีคนกว่าเจ็ดพันล้านคนยังอุตส่าห์มาเจอกันได้ ตามหลักความน่าจะเป็นของศาสตร์คำนวณยุคนี้ การเกิดเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นน้อยมากๆ สองเหตุการณ์พร้อมกันนั้นจะยิ่งมีโอกาสแทบเป็นศูนย์เลยทีเดียว

ก่อนจะไปคิดถึงเรื่องนั้น มีสิ่งหนึ่งที่หลี่คุนต้องพิสูจน์ให้มั่นใจก่อน เขาเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบแล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นไปบนดาดฟ้าทันที หลังจากที่ทำความเข้าใจจุดที่เปลี่ยนแปลงของท่าเท้าตามแผนผัง หลี่คุณก็ค่อยๆ ร่ายรำมันออกมาอย่างช้าๆ ช่วงแรกเกิดความติดขัดอย่างมากจนเขาคิดว่าการแก้ไขนั้นถูกทำขึ้นมาอย่างมั่วๆ แต่พอเริ่มชินขึ้น เขากลับรู้สึกว่าบางจุดดูเหมาะสมกว่าของเดิมจริงๆ ในที่สุดเขาก็ปล่อยตัวให้ลื่นไหลไปกับการผสมผสานท่าเท้าใหม่และเก่าตามสัญชาตญาณ หลี่คุนรู้สึกว่าตัวเองเป็นธรรมชาติที่สุดเมื่อเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเท้าเจ็ดจุดจากสิบจุดตามแผนผังใหม่

ความจริงที่เคล็ดวิชาในแผนผังที่จางอี้หลงให้มาประเสริฐกว่าสิ่งที่ตกทอดมาในตระกูลหลี่ทำให้หลี่คุนสะท้านใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่การเดาสุ่มหรือความพยายามเล็กๆ น้อยๆ จะทำได้ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นบรรพชนตระกูลหลี่คงปรับปรุงเคล็ดวิชานี้ไปนานแล้ว จางอี้หลงเป็นใครกันแน่ เขามาจากอดีตหรือไม่ ถ้าใช่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่

ความสับสนนี้ทำให้หลี่คุนอยากพูดคุยกับจางอี้หลงเป็นที่สุด เขาหยิบโทรศัพท์มาเปิดๆ ปิดๆ แอพแชทจะปลดบล็อคอยู่หลายครั้ง ในที่สุดความกลัวก็ชนะความสงสัย เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะเป็นฝ่ายติดต่อไป เขากลัวเหลือเกินว่าจางอี้หลงในตอนนี้จะไม่ใช่คนเดิมที่เขารู้จัก

##############

#อี้หลงคุน

ฝากด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 15-06-2020 21:26:22
อยากไปดูค่ายมวยมั่งจัง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 15-06-2020 21:27:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 15-06-2020 23:49:38
คิดถึงอี้หลงแล้ว
แต่ดูมีความลับเยอะนะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 35, 36] 15/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 16-06-2020 19:50:20
ปัญหาค่ายมวยก็ยังไม่คลี่คลาย ปัญหาหัวใจก็ยุ่ง หลี่คุนจะแก้ยังไงดี
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 18-06-2020 19:08:51
37

หลี่คุนเดินทางไปที่สนามบินอย่างตื่นเต้นปนกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ขึ้นเครื่องบิน แถมยังจะเป็นการเดินทางกลับไปยังนครปักกิ่งหรือเมืองเป่ยจิงในความทรงจำที่เขาจากมากว่าหกร้อยปี เขาเปิดอินเตอร์เน็ตศึกษาขั้นตอนการขึ้นเครื่องอยู่หลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดี

“คุณคุณานนท์ ทางนี้ครับ”

หลี่คุนเดินไปหานายแพทย์ภีมตามเสียงเรียก โชคดีที่การเดินทางในครั้งนี้มีหมอหนุ่มไปเป็นเพื่อน

“ต้องขอบคุณจริงๆ ครับที่คุณหมออาสาไปด้วย”

“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ ผมมีธุระที่ต้องไปจีนอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว ครั้งนี้ก็แค่ปรับช่วงเดินทางให้มาตรงกับของคุณคุณานนท์”

“ว่าแต่คนที่ติดต่อมาเขายังยืนยันที่จะขายรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีที่คุณหมอส่งรูปให้ผมอยู่ใช่ไหมครับ”

“ก็นัดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วครับ พอเราถึงปักกิ่งก็จะรีบไปเจอเขาเลย คุณคุณานนท์จะได้ตรวจสอบด้วยตัวเองว่าเป็นของแท้หรือเปล่า ว่าแต่ราคาที่เขาเสนอมามันไม่สูงไปเหรอครับ ราคาขนาดนั้น ผมยังนึกไม่ออกว่าซื้อไปทำอะไรถึงจะคุ้ม”

รากเหอโส่วอูเป็นสมุนไพรหลักที่ขาดไม่ได้ในการปรุงโอสถระดับปฐพีหลายตำหรับ หลังจากที่จัดการคู่แข่งไปจนราบคาบแล้วรายได้จากการขายโอสถต่างๆ ของหลี่คุนก็ยิ่งทวีคูณ เรื่องเงินยังพอจัดสรรมาใช้เพื่อการนี้ได้ ขอแค่ให้เป็นของแท้เถอะ

“มันคุ้มสำหรับผมครับ เอ๊ะ สายการบินเราต้องเช็คอินตรงช่องนี้ใช่ไหมครับ คุณหมอช่วยถ่ายรูปให้ผมหน่อย ผมจะโพสต์ในโซเชียลว่าถึงสุวรรณภูมิกำลังจะบินไปจีนแล้ว”

นายแพทย์หนุ่มรับโทรศัพท์มากดถ่ายรูปให้ นึกแปลกใจว่าถึงมีแอคเคาท์แต่ปกติไม่เห็นอีกฝ่ายเล่นโซเชียลอะไรพวกนี้เลย ทำไมถึงได้ดูตื่นเต้นลงเรื่องที่เกี่ยวกับทริปนี้ออกสื่อตลอด เมื่อวานก็ลงรูปตอนจัดกระเป๋าเดินทาง ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเปิดพาสปอร์ตถ่ายหน้าวีซ่าไป

หลี่คุนตามนายแพทย์หนุ่มเข้าไปเช็คอินและโหลดกระเป๋า เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าในกระเป๋ามีสิ่งของต้องห้ามตามรายการหรือเปล่าหลี่คุนก็ขอเปิดกระเป๋าเอาของด้านในขึ้นมาให้ตรวจทีละชิ้นไม่จนเจ้าหน้าที่ต้องห้ามแล้วรีบรับกระเป๋าของหลี่คุนไป ผู้โดยสารที่เข้าคิวอยู่มองหนุ่มหล่อที่มีพฤติกรรมแปลกๆ คนนี้กันใหญ่ หลี่คุนไม่สนใจแม้แต่น้อย เขามุ่งมั่นที่จะทำให้การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเป็นไปอย่างถูกต้องมากที่สุด เป็นหมอภีมที่ทนต่อสายตาคนไม่ได้รีบดึงแขนหลี่คุนให้ออกจากบริเวณนั้นทันที

ทั้งคู่มาเข้าคิวที่จุดเอ็กซเรย์ผู้โดยสารขาออกและถูกแยกไปคนละช่อง เมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้ถอดเสื้อนอก เข็มขัด และรองเท้าออก หลี่คุนก็รีบทำตามอย่างแข็งขัน เขาถึงกับเลิกชายเสื้อตัวในขึ้นมาถึงหน้าอกเตรียมจะถอดออกอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่กล้ามเนื้อลีนขาวเนียนที่ปรากฏขึ้นเรียกความสนใจผู้คนจนแถวแตกสับสนไปหมด เจ้าหน้าที่ต้องรีบดึงเสื้อลงให้แล้วกึ่งเชิญกึ่งไล่ให้ผ่านเครื่องสแกนไปโดยเร็ว

นายแพทย์ภีมที่รออยู่ด้านในถึงกับปาดเหงื่อเมื่อเห็นวุ่นวายที่หลี่คุนก่อขึ้น หน้าตาหล่อขนาดนั้นแล้วยังทำตัวแปลกๆ เป็นจุดเด่นอีก เมื่อหลี่คุนผ่านช่องสแกนออกมาได้ หมอหนุ่มก็รีบกำชับ

“เดี๋ยวไปผ่าน ตม. ตรงช่องอัตโนมัติดีกว่า ไม่วุ่นวายดี ทำตัวนิ่งๆ ไว้หน่อย คนจะได้ไม่มอง”

“ผมไปตรงช่องที่มีนายด่านดีกว่า จะได้ให้สินน้ำใจไว้หน่อย ขากลับเข้าเมืองจะได้สะดวก”

“เฮ้ย ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาหาว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่ ตอนขากลับก็ไม่ได้เจอคนเดิมซะหน่อย”

หลี่คุนได้ยินก็รู้สึกตัว ท่าทางเขาจะตั้งใจเกินไปกับการขึ้นเครื่องบินและออกนอกประเทศครั้งแรก ถึงได้เอาไปเทียบกับการผ่านเข้าออกประตูเมืองของชาวบ้านในยุคก่อนที่ถ้ามีค่าน้ำร้อนน้ำชาสักเล็กน้อยก็จะสะดวกสบายขึ้นอีกมาก พอผ่านด่าน ตม. มาได้ เขาจึงพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนยุคนี้ให้มากที่สุดโดยการทำเลียนแบบหมอภีมทุกอย่าง โชคดีที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากอะไร

หลี่คุนกลับมารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งตอนที่ขึ้นมานั่งประจำที่บนเครื่อง เขาส่งข้อความไปหาคนสนิทเกือบทุกคนอีกรอบว่าเครื่องจะขึ้นแล้วก่อนที่จะปิดโทรศัพท์ไป เขาฟังวิดีโอความปลอดภัยอย่างตั้งใจพร้อมกับทำปากขมุบขมิบท่องจำไปด้วย เมื่อหน้าจอบอกให้ทำอะไรเขาก็ทำตามอย่างเคร่งครัดขันแข็ง แม้กระทั่งเอกสารความปลอดภัยบนเครื่องที่วิดีโอพูดถึงในตอนท้ายเขาก็หยิบมาศึกษาโดยละเอียด ท่าทางจริงจังจนดูน่ารักของหนุ่มหล่อสะดุดตาคนนี้ ทำให้แอร์ประจำชั้นแอบอมยิ้มไปตามๆ กัน

ขณะที่เครื่องกำลังลอยตัวขึ้น หลี่คุนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นตึกรามบ้านช่องด้านล่างเล็กลงเรื่อยๆ ก็เริ่มกังวล นี่มันสูงกว่าที่เขาเคยใช้วิชาตัวเบาเหินไปตามยอดไม้หรือไต่ขึ้นหน้าผาเป็นไหนๆ แวบหนึ่งเขาเกิดความไม่มั่นใจว่าพาหนะเหล็กที่บรรทุกทั้งคนทั้งสัมภาระจนหนักอึ้งนี้จะลอยขึ้นได้อย่างปลอดภัยจริงหรือ หลี่คุนโคจรกำลังภายในวิชาตัวเบาไปทั่วร่างเพื่อช่วยลดน้ำหนักให้กับเครื่องบินจนตัวเกร็ง ในที่สุดเครื่องก็ทะลุผ่านเมฆจนไม่เห็นพื้นดิน หลี่คุนทอดตามองท้องฟ้าสีครามสุดลูกหูลูกตากับปุยเมฆขาวด้านล่างจิตใจพลันสงบลง นี่เป็นภาพที่เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นหากไม่ข้ามเวลาหลายร้อยปีเช่นนี้ หลี่คุนนึกขำตัวเอง แม้แต่โดดหน้าผาตายก็ผ่านมาแล้ว ชีวิตในยุคนี้แต่ละวันคือกำไร เขาจะกลัวอะไรกับแค่การขึ้นเรือเหาะจากวิทยาการสมัยใหม่

เมื่อมองไปที่นั่งข้างๆ ก็เห็นหมอภีมหลับไปแล้ว เขาเริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศบนเครื่องและเพลิดเพลินไปกับบริการต่างๆ ที่แอร์สาวสวยดูจะวนเวียนมาคอยดูแลให้เป็นพิเศษ หลี่คุนที่คุ้นชินกับการเดินทางข้ามเมืองแรมสัปดาห์แรมเดือนในยุคก่อน จึงรู้สึกว่าเวลาสองสามชั่วยามบนเครื่องดูจะสั้นเกินไปเมื่อเทียบกับระยะทางที่เขาประมาณไว้ ก่อนเครื่องจะลงจอดที่สนามบินหลี่คุนได้มีโอกาสเห็นทิวทัศน์พื้นดินด้านล่างจากมุมสูง เมืองเป่ยจิงที่เห็นไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านเกิดของเขาในความทรงจำเลย ตึกสี่เหลี่ยมที่ตั้งอย่างเบียดเสียดพาดผ่านด้วยถนนเส้นต่างๆ ดูสับสนวุ่นวาย พื้นที่สีเขียวที่มีอยู่น้อยมากและอากาศขมุกขมัวไม่สดใสทำให้ภาพเมืองเป่ยจิงตรงหน้านี้ดูซีดจางกว่าความทรงจำของเขาเสียอีก

หลี่คุนเดินตามหมอภีมเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาเข้า นอกจากตัวอักษรภาษาจีนแบบย่อที่เขาออกจะขัดตาทุกครั้งที่เห็นแล้ว ภายในอาคารก็ดูเหมือนอาคารทั่วไปในกรุงเทพไม่ได้มีเอกลักษณ์ความเป็นจีนทำให้หลี่คุนผิดหวังไม่น้อย หลี่คุนเดินตามคนกลุ่มใหญ่ไปแต่ถูกหมอหนุ่มดึงไปอีกทาง

“ชาวต่างชาติเข้าคิวทางนี้ครับ”

หลี่คุนได้ยินแล้วก็สะท้อนในใจ เขาเป็นชาวเมืองเป่ยจิงโดยกำเนิดแท้ๆ ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นคนเถื่อนนอกกำแพง

ระหว่างที่รออยู่ในแถว หมอภีมเริ่มกังวลอีกฝ่ายจะทำอะไรแปลกๆ เหมือนที่สนามบินขาออกขึ้นมาจนทำให้การเข้าเมืองมีปัญหาได้ จึงพูดจากำชับขึ้น

“เดี๋ยวพอถึงคิวเขาจะชี้ช่องที่จะให้เข้าไปตรวจคนเข้าเมืองนะครับ คุณคุณานนท์ยื่นพาสปอร์ตให้เขาแล้วทำตัวให้ปกติ เดี๋ยวจะมีการให้สแกนลายนิ้วมือ อะไรที่เขาไม่บอกให้ทำก็ไม่ต้องทำนะครับ เขาไม่ค่อยถามอะไรหรอก”

“เคยมีคนถูกไม่ให้เข้าเมืองไหมครับ”

หลี่คุนกังวลนิดๆ ถึงที่แห่งนี้แทบจะไม่ใช่เมืองเป่ยจิงที่เขารู้จัก แต่มาถึงขนาดนี้แล้วเขาก็อยากเข้าไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมากว่าหกร้อยปีให้ได้

“จีนไม่เข้มงวดขนาดนั้นหรอกครับ เรามีวีซ่าอยู่แล้ว ผมเข้าออกจีนมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่เคยมีปัญหาเลย”

เมื่อถึงคิว หลังจากที่มองหน้าหลี่คุนสองสามรอบด้วยความสงสัยว่าเป็นดาราจากเมืองไทยหรือเปล่า เจ้าหน้าที่หนุ่มก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น หลี่คุนไม่เห็นหมอภีมอยู่ตรงบริเวณนั้นจึงเดินตามกลุ่มคนไปยังสายพานรับกระเป๋า เขารออยู่นานจนกระเป๋ามาถึงแล้วพักใหญ่จึงได้รับการติดต่อจากนายแพทย์หนุ่มผ่านโทรศัพท์

“ผมยังติด ตม. อยู่เลยครับ เขาบอกว่าข้อมูลในระบบมีปัญหา ไม่รู้เกิดขึ้นได้ยังไง ต้องรอตรวจสอบอาจจะหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน แต่ผมประสานเพื่อนคนจีนสมัยเรียนไว้ให้แล้วครับ เดี๋ยวคุณคุณานนท์ออกไปก่อนเลยเขารออยู่ด้านนอก เรานัดคนขายสมุนไพรไว้แล้วถ้าผิดนัดมันจะเสียมรรยาทการซื้อขายจะไม่สำเร็จเอา แล้วไว้พบกันที่โรงแรม”

หลี่คุนกังวลอยู่บ้าง เมืองเป่ยจิงในยุคนี้ก็เหมือนต่างถิ่นของเขา ยังดีที่เมื่อลากกระเป๋าออกไปก็พบกับมิสเตอร์เหยียนเพื่อนของหมอภีมถือป้ายรออยู่ พวกเขาทักทายแนะนำตัวกันเป็นภาษาอังกฤษ อีกฝ่ายมีท่าทีกุลีกุจอต้อนรับแข็งขันทำให้หลี่คุนสบายใจขึ้น มิสเตอร์เหยียนพาไปขึ้นรถสีดำคันใหญ่ที่จอดรออยู่ถึงข้างในสนามบิน หลี่คุนนั่งตรงเบาะหลังข้างมิสเตอร์เหยียนในขณะที่ด้านหน้ามีผู้ชายนั่งอยู่แล้วสองคน

“สองคนข้างหน้าเป็นนี่เป็นเพื่อนมิสเตอร์เหยียนหรือเปล่าครับ”

หลี่คุนถามเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะแนะนำสองคนนั้นให้รู้จัก

“แค่คนขับรถน่ะครับ ไม่ต้องสนใจหรอก”

หลี่คุนแปลกใจอยู่บ้างที่ต้องใช้คนถึงสองคนสำหรับการขับรถในเมือง แล้วนี่ถ้าหมอภีมออกมาด้วยแต่แรกจะเบียดกันไปยังไง แถมยังเป็นสองคนที่รูปร่างใหญ่มีกลิ่นอายของนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน ถ้าเทียบกับยุคก่อนคงเหมือนกับเอาทหารชำนาญศึกมาเป็นคนขับรถม้ากระมัง

เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน หลี่คุนก็หันไปสนใจทิวทัศน์สองข้างทาง ใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็เข้าเขตชุมชนเมือง เขาเห็นว่ายังมีสิ่งปลูกสร้างแบบดั้งเดิมอยู่บ้างไม่ได้เป็นอาคารสมัยใหม่ไปเสียหมดแต่ก็เหลือน้อยเต็มที เมืองเป่ยจิงในยุคนี้เหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่า เขานั่งอยู่นานจนในที่สุดรถก็ขับเลาะเลี้ยวเข้าไปยังอาคารเรียบๆ ขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าซับซ้อนดูแล้วไม่ได้เป็นย่านการค้าอย่างที่หลี่คุนคาด

“ที่นี่ดูไม่เหมือนร้านค้าสมุนไพรเลยนะครับ”

หลี่คุนเปรยขึ้นลอยๆ กับมิสเตอร์เหยียน

“พวกสมุนไพรล้ำค่าจริงๆ เขาไม่เก็บกันไว้ที่ร้านค้าทั่วไปหรอกครับ คุณคุณานนท์น่าจะพอทราบว่ารากเหอโส่วอูอายุร้อยปีไม่ใช่ของที่จะมีกันได้ง่ายๆ”

มิสเตอร์เหยียนตอบแล้วก็พาหลี่คุนเข้าไปในตัวตึกโดยมีคนขับรถทั้งสองตามขนาบมาด้วยในระยะที่ค่อนข้างประชิด หลี่คุนขยับหนีอย่างอึดอัดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสถานที่ด้วยว่าอยู่บริเวณไหน เผื่อหมอภีมติดต่อมาจะได้บอกถูก ภายในชั้นล่างของตัวอาคาร มีชายฉกรรจ์ชุดดำลักษณะท่าทางคล้ายกับคนขับรถสองคนนั้นยืนกระจายตัวตามจุดต่างๆ เฉพาะที่เห็นก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน หลี่คุนถูกพาตัวผ่านระบบรักษาความปลอดภัยหลายขั้นตอนก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด

เมื่อมาถึงชั้นบนสุด ที่สุดทางเดินหน้าลิฟต์เป็นประตูคู่บานใหญ่ที่มีลวดลายแบบจีนโบราณตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ด้านข้างประตูมีชายฉกรรจ์หลายคนเฝ้าอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เชิญคุณคุณานนท์เข้าไปในห้องนั้นได้เลยครับ คนที่คุณควรจะพบรออยู่ข้างใน ตอนนี้หมดหน้าที่ของผมแล้วคงต้องขอตัวก่อน”

มิสเตอร์เหยียนจากไปอย่างรวดเร็วจนหลี่คุนแม้จะเรียกยังไม่ทัน กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับคนขับรถเข้ามารับช่วงต่อทันทีคล้ายกับว่าได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว  หลี่คุนประเมินสถานที่ด้วยการกวาดตามองในพริบตาแล้วพบว่าลิฟต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัดน่าจะเป็นทางออกจากที่นี่เพียงทางเดียว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกทีก็พบว่าไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว

หลี่คุนไม่ตื่นตระหนกแต่ก็ลอบโคจรกำลังภายในบุปผาเร้นวารีเตรียมความพร้อมไว้หากเผชิญหน้าเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาก้าวเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่ลังเล ด้านในมีการตกแต่งแบบจีนโบราณอย่างหรูหราอลังการราวจะข่มให้ผู้มาเยือนต้องยอมศิโรราบให้ แต่หลี่คุนที่เคยลอบเข้าออกวังหลวงเป็นว่าเล่นจึงไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อยกับของที่ทำเลียนแบบพวกนี้

ตรงกลางห้องมีชายสูงวัยสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ กัน คนกลางทั้งผมทั้งหนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วแต่นั่นไม่ทำให้แววตาข่มขวัญลดทอนอำนาจลงเลย ด้านข้างมีชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่อย่างพินอบพิเทา ถัดออกมาเป็นแถวของชายฉกรรจ์ชุดดำที่มีกลิ่นอายนักรบยืนเรียงเป็นระเบียบออกมาทั้งสองด้านสร้างความน่าเกรงขามให้กับผู้เฒ่าทั้งสามที่นั่งเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง สัญชาตญาณบอกหลี่คุนว่าคนชุดดำเหล่านี้ไม่เรียบง่าย หากพวกมันมีปืนไฟสมัยใหม่แอบซ่อนไว้ด้วยก็ถือว่าคับขันแล้ว

ชายชราผมขาวที่นั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านใช้สายตาคมกล้าผิดกับวัยจับจ้องมาที่หลี่คุนก่อนจะพูดภาษาจีนออกมาสามสี่ประโยค ชายหนุ่มด้านข้างรับฟังแล้วก็หันมาพูดกับหลี่คุนเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

“สวัสดีครับคุณคุณานนท์ ผมมารับหน้าที่เป็นล่ามให้กับคุณในการสนทนาวันนี้ ท่านผู้อาวุโสที่อยู่ตรงกลางคือท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ย ประธานสมาพันธ์ดนตรีจีนดั้งเดิมแห่งกรุงปักกิ่งซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงขนาดเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของวงการนี้ในประเทศจีนเลยก็ว่าได้ เมื่อสักครู่ท่านได้กล่าวต้อนรับคุณที่ได้มาเยือนเพื่อทำข้อตกลงกันในเรื่องบทเพลงที่คุณแอบครอบครองอยู่”

หลี่คุนพอจะคุ้นเคยกับสำเนียงภาษาจีนของคนยุคนี้บ้างแล้วจึงฟังออกตั้งแต่ต้น แต่เขายังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และรู้ตื้นลึกหนาบางในตัวเขามากขนาดไหน จึงได้ตอบกลับออกไปเป็นภาษาไทยผ่านทางล่าม

“น่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่าครับ ผมมาที่นี่เพราะต้องการซื้อสมุนไพรจีนเท่านั้นเอง ซื้อเสร็จผมก็จะรีบกลับไปเมืองไทย”

เมื่อฟังคำตอบของหลี่คุน ปรมาจารย์หานก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังขึ้น ล่ามหนุ่มรับฟังคำสั่งแล้วก็รับแทบเล็ตจากชายชุดดำคนหนึ่งมาเปิดคลิปที่หลี่คุนเล่นกู่ฉินเป็นครั้งแรกตอนที่ถ่ายโปรโมทละครยิ้มเย้ยยุทธจักรให้เจ้าตัวดู

“ท่านกล่าวว่าบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่คุณคุณานนท์เล่นในคลิปนี้ เป็นสมบัติแห่งชาติของประเทศจีน คุณต้องนำมันมาคืนให้กับเรา หากตกลงกันได้ดี ท่านผู้อาวุโสตู้ หัวหน้าสมาคมการค้าทั้งเจ็ด ที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย จะจัดการเรื่องรากเหอโส่วอูที่คุณต้องการให้เอง แต่ถ้าไม่ ท่านนายพลหยางทางด้านขวา จะดูแลให้ความแน่ใจว่าท่านจะยังอยู่ที่เมืองจีนต่อไปจนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”

ยิ่งฟังหลี่คุนก็ยิ่งงง เหตุใดต้องมีท่าทีข่มขู่กันถึงขนาดนี้

“ผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็เป็นชาวจีนอยู่แล้ว พวกคุณจะเรียกบทเพลงที่ยอดเยี่ยมนี้ว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของจีนก็ไม่แปลก แต่จะบรรเลงก็บรรเลงไปสิ เกี่ยวอะไรกับผม”

“ท่านปรมาจารย์บอกว่า คุณคุณานนท์อาจจะไม่ทราบว่าบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่สมบูรณ์ได้สูญหายไปจากประเทศจีนมากว่าสามร้อยปีแล้ว”

“ก็แค่นั้น ผมนึกว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โต เดี๋ยวผมจะเล่นเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวให้ฟังจนจบ พวกท่านก็จดจำทำนองไว้ หรือจะอัดเป็นคลิปวิดีโอไว้ก็ได้”

หลี่คุนยินดีที่จะถ่ายทอดเพลงนี้กลับสู่ประเทศจีนอยู่แล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่บทเพลงอันงดงามนี้ต้องสูญหายไปในยุคหลัง

ชายชราทั้งสามคนมีท่าทางตื่นเต้นเมื่อทราบว่าหลี่คุนมีทำนองที่สมบูรณ์ของบทเพลงนี้อยู่จริงๆ ปรมาจารย์หานรีบพูดเงื่อนไขยืดยาวออกมาอย่างยินดี แต่นั่นทำให้หลี่คุนที่ฟังออกตั้งแต่ต้นโมโหจนต้องสวนกลับเป็นภาษาจีนทันทีโดยไม่รอล่าม

“หมายความว่ายังไงที่หลังจากให้ข้าถ่ายทอดบทเพลงนั้นให้กับพวกท่านแล้ว จะห้ามไม่ให้ข้าถ่ายทอดให้กับคนอื่นอีก หรือแม้แต่จะเล่นเองก็ไม่ได้ไปจนตลอดชีวิต”

“เจ้าหนุ่มไท่กั๋ว เจ้าพูดภาษาจีนได้ด้วยหรือ”

ปรมาจารย์หานถามอย่างประหลาดใจ ภาษาจีนของอีกฝ่ายแม้จะไม่ใช่สำเนียงที่ใช้กันแต่ก็ฟังเข้าใจแถมยังมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์น่ายำเกรงที่ยากจะอธิบาย

หลี่คุนเลือดขึ้นหน้าแล้วเมื่อพอจะคาดเดาได้ว่าเหตุใดบทเพลงยิ่งใหญ่ที่เคยแพร่หลายในหมู่บัณฑิตที่เข้าถึงศาสตร์แห่งพิณจำนวนไม่น้อยถึงได้ไร้ผู้สืบทอดเช่นนี้

“ใช่ ข้าพูดได้ และข้าจะพูดอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยว่า เพราะความใจแคบที่จะเก็บบทเพลงล้ำค่าไว้เฉพาะกับพรรคพวกตัวเองเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้บทเพลงนี้สูญหายไปจากประเทศจีน การที่พวกท่านได้มันกลับมาอีกครั้งก็เป็นวาสนา กลับไม่คิดเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ให้ทั่วโลกได้รู้ซึ้งถึงอัจฉริยะภาพของบรรพชนชาวจีน นี่คือความคิดของคนที่อ้างตัวว่าเป็นเสาหลักของวงการดนตรีจีนอย่างนั้นหรือ”

หลี่คุนที่หลังจากข้ามเวลามาก็ได้ศึกษาประวัติศาสตร์จีนด้วยความข้องใจว่าเหตุใดชนชาติยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายพันปีของตัวเองถึงได้เสื่อมถอยลงจนพ่ายแพ้ให้กับคนเถื่อนจากตะวันตกในเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปี เมื่อมองในภาพใหญ่ด้วยสายตาของคนยุคปัจจุบัน เขาต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจัดการองค์ความรู้ที่แตกต่างกัน ตะวันออกเก็บรักษาสืบทอดกันเฉพาะในวงศ์ตระกูลหรือศิษย์เอก ส่วนตะวันตกเปิดกว้างผ่านสถาบันการศึกษาและการเผยแพร่ทางวิชาการ เมื่อเวลาผ่านไปความรู้ฝั่งหนึ่งจึงหดหายลงเรื่อยๆ เมื่อขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสม ในขณะที่ความรู้อีกฝั่งหนึ่งได้รับการต่อยอดจากคนหมู่มากสะสมจนเป็นวิทยาการสมัยใหม่

“บังอาจ!!! ท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ยมิใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้”

นายพลหยางที่นั่งอยู่ทางด้านขวาตวาดเสียงดัง แรงกดดันจากกลุ่มคนชุดดำยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นถึงกับเกิดเป็นรังสีอำมหิตเจือจางขึ้นในบรรยากาศ คนพวกนี้เป็นทหารชำนาญศึกอย่างที่คิด หลี่ส่งประกายฆ่าฟันกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวจนเกิดการปะทะกันของจิตสังหารคมกล้า หลี่คุนเร่งเร้ากำลังภายในบุปผาวารีหมุนวนไปทั่วร่าง ไม่แน่ใจว่าลมปราณที่เหลืออยู่จะเพียงพอให้จัดการคนทั้งหมดหรือไม่ ไม่น่าสิ้นเปลืองกำลังภายในไปกับการช่วยยกเครื่องบินขึ้นตอนออกจากสุวรรณภูมิเลย ยิ่งได้ยินเสียงโลหะดังขึ้นเบาๆ บ่งบอกว่าคนพวกนี้กำลังเตรียมพร้อมที่จะใช้ปืนไฟขนาดเล็กเขาก็ยิ่งเกิดความกดดัน

###########

ทักทายกันได้นะครับ แอบเหงา 55
#อี้หลงคุน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-06-2020 21:45:47
แหม นึกว่าหมอภีมโดนจางอี้หลงกัก ที่ไหนได้....
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 18-06-2020 21:57:37
จะมีบู๊กันมั้ยล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 37] 18/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 18-06-2020 22:22:21
หลี่คุนสู้ไม่ถอยจริงๆ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-06-2020 22:03:53
38

บรรยากาศในห้องระอุขึ้นจนรู้สึกได้สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับการต่อสู้ฆ่าฟัน ชายชุดดำคนที่อยู่ด้านหน้าสุดพลันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาประชิดตัว แล้วยื่นมือออกมาคล้ายจะคว้าจับข้อมือของหลี่คุนไปไพล่หลังไว้ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเขาก็เจอกับแรงสะท้อนรุนแรงที่มองไม่ทันว่าเกิดจากการออกท่วงท่าอย่างไรของชายหนุ่มจากเมืองไทย ชายชุดดำมองการลงมือที่พลาดเป้าของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่หลี่คุนรู้สึกเกินคาดอยู่บ้างกับการเคลื่อนไหวที่รวบรัดหวังผลลัพธ์ของชายชุดดำ นี่ไม่คล้ายมวยจีนยุคนี้ที่เน้นกระบวนท่าสวยงาม น่าจะเป็นศาสตร์สมัยใหม่ทางทหารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุดในการจู่โจม หากชายชุดดำทุกคนมีฝีมือระดับนี้สถานการณ์นับว่าคับขันแล้ว
 
ปรมาจารย์หานไม่รู้เรื่องราวอะไรกับกระบวนท่าโจมตีและตั้งรับที่เกิดขึ้นในช่วงพริบตานี้ เขายกมือโบกส่งสัญญาให้นายพลหยางเอาคนถอยออกไป
 
“อย่าเพิ่งใจร้อน ท่านนายพล สิ่งสำคัญคือสหายน้อยไท่กั๋วของเราครอบครองบทเพลงที่สมบูรณ์ครบถ้วนจริงหรือไม่ สหายน้อย เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรล้วนยินดีรับฟัง แต่ช่วยไขข้อข้องใจให้เราผู้เฒ่าในเรื่องนี้ก่อนเถอะ”
 
เมื่อพูดจบก็มีชายชุดดำยกกู่ฉินตัวหนึ่งจากด้านหลังออกมาทันที หลี่คุนเห็นพิณโบราณล้ำค่าตรงหน้าก็ตาลุกวาว รังสีฆ่าฟันอันเข้มข้นสลายไปจนหมด ดูแล้วความเป็นมาของพิณตัวนี้จะเก่าแก่กว่ายุคราชวงศ์หมิงที่เขาจากมาเสียอีก แถมยังถูกเก็บรักษาดูแลอย่างดีแม้เวลาจะผ่านมาร่วมพันปี ตาเฒ่าคนนี้สมกับที่อวดอ้างตัวว่าเป็นเสาหลักของวงการดนตรีจีนอยู่บ้าง
 
อารมณ์ขุ่นมัวของหลี่คุนหายไปถึงเจ็ดแปดส่วน เขาลูบคลำกู่ฉินล้ำค่าเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนจะดีดเป็นเสียงหนึ่งขึ้นเบาๆ
 
“ระวังหน่อย หากไม่นับพิณของราชวงศ์ที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์หลวง กู่ฉินของปรมาจารย์หานตัวนี้นับว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง แล้วอย่าได้คิดเอาเพลงปาหี่อะไรมาหลอกลวงเด็ดขาด ต่อหน้าปรมาจารย์หานที่ศึกษาสืบเสาะบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวมากว่ายี่สิบปี ท่านคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าบทเพลงที่สมบูรณ์ควรเป็นเช่นไร”
 
นายพลหยางสำทับอย่างดุดัน
 
หลี่คุนนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาทราบมาก่อนแล้วว่าพิพิธภัณฑ์คือสถานที่เยี่ยงไร พิณดีต้องหมั่นนำออกมาบรรเลง ใครสั่งสอนให้นำไปเก็บไว้ในตู้กระจกให้เพียงคนผ่านไปผ่านมาชม เพื่อไม่ให้ผิดต่อกู่ฉินสูงค่าตรงหน้า หลี่คุนจึงพรมนิ้วลงไปบนสายพิณทั้งเจ็ดเส้นโดยไม่คิดออมมือแม้แต่น้อย ท่วงทำนองจีนโบราณที่สูญหายไปแล้วกลับถูกนำมาถ่ายทอดอีกครั้งผ่านความทรงจำข้ามชาติภพของหลี่คุน เสียงแว่วอาวรณ์ของกู่ฉินส่งผ่านถึงใจตรึงคนในห้องให้ตกอยู่ในภวังค์ นิ้วมือขาวเรียวยาวทั้งซ้ายและขวาบรรเลงประสานกันด้วยท่วงท่าซับซ้อนทว่าสง่างาม เสียงทุ้มต่ำคล้ายคร่ำครวญของเครื่องดนตรีโบราณพรรณาถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน สำเนียงพิณอันโศกเศร้าจนทำให้ผู้ฟังถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา แต่ในขณะอารมณ์ถวิลหาอาวรณ์ดำดิ่งลงถึงขีดสุดนั้น แว่วเสียงแรกที่กระจ่างสดใสก็ดังขึ้น ความหมองหม่นเปลี่ยนเป็นความหวังถึงวันข้างหน้า จันทร์เสี้ยวเลือนลับแสงอรุณสีแดงเรื่อปรากฎขึ้นหลังแนวขุนเขา ฤดูหนาวจากไปฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือน ความพลัดพรากกลายเป็นการหวนคืนมาพบเจอ
 
ปรมาจารย์หานปล่อยน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาย นี่คือบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวอย่างไม่ต้องสงสัย ที่แท้บทเพลงฉบับสมบูรณ์ก็จบลงอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าบันทึกในประวัติศาสตร์หลายฉบับถึงได้กล่าวชื่นชมว่าเป็นบทเพลงอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เมื่อนึกถึงว่าฝีมือพิณต้องสูงส่งเพียงใดหนอถึงจะถ่ายทอดบทเพลงระดับสูงสุดนี้ได้ปรมาจารย์หานก็ถึงกับลมหายใจขาดห้วง เมื่อสักครู่ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มชาวไท่กั๋วเพิ่งบรรเลงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติหรือ แล้วสำเนียงพิณอันลึกล้ำสง่างามในตอนจบถ้ามีใครบอกว่ามันคือทักษะสามประสานดินฟ้าในตำนานเขาก็พร้อมจะเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาใดๆ เลย
 
“สหายน้อย ไม่สิ ด้วยฝีมือเช่นนี้ต้องเรียกว่าท่านอาจารย์น้อย อาศัยความรู้น้อยนิดของตาแก่คนนี้ย่อมบอกได้ว่านี่เป็นบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวฉบับสมบูรณ์ไม่ผิดแน่ แต่ในท่อนสุดท้ายใช่ทักษะสามประสานดินฟ้าหรือไม่ โปรดบอกให้ข้าตายตาหลับด้วยเถิด”
 
“ย่อมเป็นสามประสานดินฟ้า ท่านรู้จักด้วยหรือ”
 
หลี่คุนประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ปรมาจารย์หานตื่นเต้นจนพูดแทบไม่ออก
 
“ไม่ผิดจริงๆ ข้าเพียงมีวาสนาได้อ่านจากบันทึกของต้นตระกูล ท่านปรมาจารย์หานจงอี้แห่งเมืองเฉาไป่ผู้มีชื่อเสียงด้านกู่ฉินเป็นอันดับหนึ่งในยุคราชวงศ์หมิง ซึ่งว่ากันว่าเป็นบรรพชนของสายตระกูลข้าเอง ท่านบันทึกเล่าเรื่องการบรรเลงพิณด้วยทักษะสามประสานดินฟ้าเอาไว้อย่างละเอียด อาศัยการดีดพิณเพียงเส้นเดียวแต่สั่นสะเทือนไปถึงสายพิณข้างเคียงทั้งบนและล่างจนเกิดเสียงประสานอันโอ่อ่าขึ้น พูดง่ายแต่ทำยาก นี่ก็เป็นหนึ่งในเทคนิคชั้นสูงที่คนรุ่นหลังได้แต่จินตนาการถึงแต่ไม่มีปัญญาฝึกฝนสำเร็จ ทั้งบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยว ทั้งทักษะสามประสานดินฟ้า ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านคือผู้สูงส่งท่านใด”
 
หานจงอี้เมืองเฉาไป่!! หลี่คุนอุทานในใจ ที่แท้ผู้เฒ่าหานคนนี้ก็คือลูกหลานหลายชั่วคนต่อมาของเสี่ยวหานศิษย์น้องในสำนักพิณของเขานี่เอง ไม่คิดว่าภายหลังจากที่เขาตายไปเสี่ยวหานจะมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ เขาชักจะเชื่อตามคนยุคนี้แล้วว่าโลกกลมจริงๆ สายตาที่หลี่คุนมองไปยังใบหน้าสูงวัยของปรมาจารย์หานแฝงแววเอ็นดูขึ้นมาอยู่หลายส่วน เขาจะถือสาหาความเด็กรุ่นหลังไปทำไม เมื่อไล่เรียงกันดีๆ เขาถือเป็นอาจารย์ลุงรุ่นบรรพชนของคนพวกนี้เชียวนะ
 
“นามของอาจารย์ข้าไม่สามารถบอกออกไปได้ อีกทั้งท่านไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”
 
ปรมาจารย์หานรู้สึกผิดหวังมากแต่ก็พอที่จะเข้าใจ เขาคาดเดาเอาเองว่าอาจารย์ของชายหนุ่มคนนี้คงสืบทอดวิชาพิณต่อๆ กันมาหลายชั่วอายุคนจากยอดคนท่านหนึ่งที่อพยพออกจากแผ่นดินใหญ่ไปยังดินแดนสยามเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว เคราะห์ดีเหลือเกินที่สมบัติแห่งชาติบทเพลงนี้ยังไม่ได้สูญหายไปจากโลก นึกแล้วก็ใจหายวาบ เมื่อสักครู่เขามัวแต่ดื่มด่ำกับการบรรเลงที่ยอดเยี่ยมจนลืมที่จะจดจำท่วงทำนองเพลงไป หากตกหล่นไปเพียงแม้แต่น้อยคงไม่มีหน้าไปพบบรรพชนในปรโลกแน่
 
“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์น้อยจะช่วยบรรเลงเพลงนี้อีกครั้งจะได้หรือไม่ ทางสมาพันธ์ดนตรีจีนของเราจะขอบันทึกวิดีโอไว้เพื่อรับมอบสมบัติแห่งชาตินี้กลับสู่ประเทศจีน ผู้อาวุโสตู้แห่งสมาคมการค้าได้เตรียมรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีและสมุนไพรจีนล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทนไว้แล้ว”
 
“นั่นแล้วแต่ว่าเราจะตกลงเงื่อนไขกันได้หรือไม่”
 
“ท่านอาจารย์น้อยเชิญบอก”
 
“พวกท่านเมื่อได้รับเพลงนี้กลับไปต้องเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มากรวมไปถึงนอกประเทศจีนด้วย บทเพลงจะมีคุณค่าต่อเมื่อมีผู้เล่นผู้ฟัง มิใช่หวงแหนเก็บไว้เป็นสมบัติในพิพิธภัณฑ์รอวันที่จะสูญหายไปอีกครั้ง เช่นนั้นไม่เท่ากับขัดเจตจำนงของท่านปรมาจารย์ผู้ประพันธ์ที่จะใช้ดนตรีขัดเกลาจิตใจและให้ความหวังกับผู้คนหรอกหรือ เจตจำนงพิณอันพิสุทธิ์ย่อมมิอาจสรรสร้างออกมาจากจิตใจที่คับแคบ”
 
ปรมาจารย์หานก้มหน้าไม่กล้าเถียงแม้ครึ่งคำ แววตาเข้มงวดแฝงไปด้วยความอิดหนาระอาใจที่มองมานั้นทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกอบรมจากผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าด้วยสำเนียงการพูดที่ชวนให้นึกถึงผู้สูงศักดิ์ในยุคราชวงศ์ หรือเพราะท่าทางองอาจสง่างามไม่เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปกันแน่
 
หลี่คุนรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะต้องสั่งสอนยุวชนรุ่นหลังให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของศิษย์น้องของเขาเอง เขาอยากจะดุด่าว่ากล่าวให้ยิ่งกว่านี้เลยด้วยซ้ำ แต่เห็นใจว่าศิษย์หลานเหล่านี้ก็อาวุโสจนหนวดหงอกแล้ว ย่อมต้องรักษาหน้าตัวเองต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหาเป็นธรรมดา จะบีบคั้นผู้คนอย่างไรก็ต้องเหลือทางรอดไว้บ้าง
 
ปรมาจารย์หานขอเวลาที่จะจัดเตรียมกล้องวิดีโอและไมโครโฟนบันทึกเสียงชุดใหม่ ที่จริงสมาพันธ์ก็ได้เตรียมอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานไว้อยู่แล้ว แต่ปรมาจารย์หานต้องเปลี่ยนเป็นของที่ดีที่สุดจนต้องไปขอยืมมาจากสตูดิโออันดับหนึ่งของเมืองเป่ยจิง
 
ในระหว่างที่รอ ผู้อาวุโสตู้ก็ให้คนนำรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีและสมุนไพรจีนหายากอีกจำนวนมากมาให้ หลี่คุนตรวจสอบลักษณะภายนอกและดมกลิ่นก็ทราบว่าเป็นรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีของแท้อย่างไม่ต้องสงสัย สมุนไพรอื่นๆ ที่ให้มาเป็นของกำนัลก็เป็นของดีทำให้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ศิษย์หลานพวกนี้รู้จักประจบประแจงเอาใจนับว่ารู้ความไม่น้อย หลี่คุนขอกระดาษปากกาจากคนของสมาพันธ์มาชุดหนึ่ง เขาใช้เวลาไม่นานนักกับกระดาษสามสี่แผ่นเขียนสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบทความภาษาจีนด้วยความเร็วอันน่าทึ่งออกมายื่นให้กับปรมาจารย์หาน
 
“ข้าให้ ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้า ทักษะพิณสามประสานดินฟ้าแม้จะไม่ยากนักแต่หากไม่ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรงก็คงยุ่งยากอยู่บ้างหากจะฝึกปรือด้วยตัวเองให้บรรลุ ข้าเขียนหลักการทั้งหมดและแนวทางการฝึกฝนลงในนี้ให้แล้ว คนที่มีความสำเร็จทางกู่ฉินไม่ต่ำทรามน่าจะสามารถสำเร็จทักษะนี้ในเวลาไม่นานนัก”
 
ปรมาจารย์หานประคองแผ่นกระดาษไม่กี่แผ่นในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ที่แท้ทักษะสามประสานดินฟ้าที่บรรพชนบันทึกไว้จำเป็นต้องมีคนถ่ายทอดเคล็ดลับให้ ที่ฝึกไม่สำเร็จไม่ใช่เป็นเพราะเขาด้อยพรสวรรค์ เขาแม้จะฝันยังไม่กล้าหวังเลยว่าจะมีวันที่สามารถบรรลุทักษะนี้ได้ แต่คำเกริ่นนำที่สั่งสอนถึงหลักจรรยาอันควรของนักดนตรีที่เขียนไว้ตอนต้นอย่างจงใจก็ทำให้เขาหน้าชาอยู่ไม่น้อย
 
ในขณะที่ปรมาจารย์หานกำลังไล่อ่านตัวหนังสือของหลี่คุนอย่างงมงายลุ่มหลงอยู่นั้น นายพลหยางก็ขัดขึ้น
 
“ท่านอาจารย์น้อย เจ้าคล้ายจะพูดภาษาจีนได้แคล่วคล่องแต่ยังไม่ลึกซึ้งพอ ของขวัญแรกพบหน้า เป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของจีนที่อาจารย์หรือผู้อาวุโสจะให้ของขวัญหรือสิ่งที่มีประโยชน์กับการศึกษาเล่าเรียนให้กับลูกศิษย์หรือผู้เยาว์ในวันที่พบกันครั้งแรก เจ้าอายุเพียงเท่านี้ยังห่างชั้นจากปรมาจารย์หานอย่างน้อยก็สองรุ่น เจ้าต้องใช้คำว่าของกำนัลผู้อาวุโสถึงจะถูก ตาเฒ่าหาน เอาของกำนัลของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากเห็นว่าลายมือของพ่อหนุ่มไท่กั๋วคนนี้เป็นอย่างไร ดูท่าทางการเขียนแคล่วคล่องไม่น้อย”
 
นายพลหยางพูดจบก็ดึงกระดาษออกมาจากมือปรมาจารย์หานอย่างไม่เกรงใจ อีกฝ่ายกลัวว่าบันทึกล้ำค่านี้จะฉีกขาดจึงปล่อยมือทันที เมื่อนายพลผู้เฒ่าเห็นตัวหนังสือในมือชัดๆ เขาก็ร้องลั่นอย่างไม่เชื่อสายตา
 
“อักษรสิงซูนี่มันอะไรกัน”
 
แม้จะเป็นอักษรตัวเล็กที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึมธรรมดา แต่นายพลหยางที่หลงใหลอักษรภาพพู่กันจีนก็เห็นถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ ไม่ต้องพูดถึงตัวหนังสือแบบดั้งเดิมที่แทบจะหาคนเขียนไม่ได้แล้วแม้ในประเทศจีนเอง นายทหารผู้เฒ่าหันไปมองหลี่คุนด้วยแววตาหลงไหลจนอีกฝ่ายถึงกับขนลุก
 
“อาจารย์น้อย เจ้าเขียนอักษรภาพพู่กันจีนเป็นใช่ไหม ดูตัวหนังสือโบราณที่น่าทึ่งพวกนี้สิ เจ้าต้องเขียนเป็นอยู่แล้ว ผู้อาวุโสตู้ ให้คนของท่านไปเอาสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมาเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างต้องเป็นของดีที่สุดรวมถึงกระดาษเซวียนจื่อด้วย ไม่สิ เอาเป็นม้วนผ้าไหมมาดีกว่า”
 
คนของผู้อาวุโสตู้ทำงานได้ฉับไวสมกับที่อยู่ในสมาคมการค้า ไม่นานอุปกรณ์วาดเขียนแบบจีนก็มาอยู่ตรงหน้าอย่างครบครัน นายพลหยางแทบจะก้มหัวคารวะเพื่อขอให้หลี่คุนช่วยเขียนภาพอักษรให้ หลี่คุนครุ่นคิดเพียงไม่กี่อึดใจก็ฝนหมึกจับพู่กันลากลงไปบนผืนผ้าไหมอย่างเชี่ยวชาญถึงที่สุด ทุกๆ ลายเส้นที่ปรากฏจากการตวัดพู่กันอันมั่นคงทรงพลังทำให้หัวใจของนายทหารเฒ่ากระตุกจนเต้นไม่เป็นจังหวะ กว่าหลี่คุนจะเขียนเสร็จ ในใจของนายพลหยางก็ศิโรราบต่อฝีมือการเขียนอักษรภาพที่งดงามราวกับเทพยดาตรงหน้าจนหมดสิ้น
 
หลี่คุนเห็นนายพลหยางฝึกลูกน้องมาได้ดีไม่น้อยคิดว่าคงเป็นนายทหารที่เก่งกล้าผู้หนึ่ง เขาจึงเลือกเขียนบทกลอนโบราณที่กล่าวถึงความในใจของแม่ทัพชำนาญศึกที่เกษียณกลับไปพักผ่อนในช่วงท้ายของชีวิตแต่ยังเต็มเปี่ยมด้วยสำนึกรักชาติมอบให้ นายพลหยางยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ อย่าว่าแต่บทกลอนอันซาบซึ้งนี้เลย ด้วยลายมือปานเทพเซียนเช่นนี้ ต่อให้หลี่คุนเขียนเพียงคำว่า ‘หนีฮ่าว’ เขาก็ยินดีเอาไปติดประดับในห้องรับแขกเพื่ออวดสายตาผู้คนแล้ว
 
ขณะที่รอให้หมึกแห้งสนิทนายพลหยางก็จับมุมหนึ่งของผ้าไหมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใจจริงเขาอยากจะรีบม้วนเก็บลงกล่องเอากลับบ้านไปเดี๋ยวนั้นเพราะกลัวใครแย่งเอาไป หลี่คุนมองท่าหวงของเหมือนเด็กๆ ของนายทหารเฒ่าแล้วอดขำมิได้ ก็แค่ภาพอักษรภาพหนึ่ง ในสมัยเขาเวลามีงานชุมนุมของเหล่าบัณฑิตก็เขียนแข่งกันออกมาตั้งมากมาย เสร็จแล้วแจกจ่ายแลกเปลี่ยนกันไป ที่ลายมืองดงามกว่าเขาก็มี
 
หลี่คุนหันไปมองผู้อาวุโสตู้แห่งสมาคมการค้าแล้วก็นึกขึ้นได้ เขาเป็นถึงคนรุ่นบรรพชนของเด็กรุ่นหลังพวกนี้จะทำตัวไม่ยุติธรรมไม่ได้ เขาได้มอบเคล็ดวิชาดีดพิณให้กับปรมาจารย์หานและเขียนอักษรภาพให้นายพลหยางเป็นของขวัญวันแรกพบหน้าไปแล้ว ปล่อยให้เด็กคนนี้กลับไปมือเปล่าคงไม่ดี หลี่คุนจึงคลี่ม้วนผ้าไหมเปล่าขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะ แล้วจับพู่กันขีดเขียนตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ ภาพฝูงม้าที่กำลังวิ่งอย่างคึกคะนองก็ปรากฏลงบนผ้าไหมสีขาวสะอาด ม้าแต่ละตัวดูทรงพลังดุจมีชีวิต หางม้าทำด้วยการตวัดไกวพู่กันจีนเป็นพู่กระจายทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามคนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง
 
ผู้อาวุโสตู้ดีใจจนเสียอาการเมื่อรู้ว่าภาพม้ามงคลนี้ถูกวาดขึ้นเพื่อมอบให้กับตัวเอง ม้าคือธาตุไฟบ่งบอกถึงความมีพลังและการพบปะผู้คนมากมาย จึงเป็นสิ่งมงคลสำหรับคนค้าขายเนื่องจากมีนัยยะถึงการมีลูกค้าคึกคักมากกว่าใคร ต่อให้ไม่พูดถึงศาสตร์ความเชื่อด้านฮวงจุ้ยที่ว่า เอาแค่ลายเส้นที่งดงามทรงพลังเช่นนี้หากไปติดไว้ที่ร้านค้าก็เรียกลูกค้าได้มากมายแล้ว
 
หลี่คุนเห็นทั้งสามคนมีท่าทางชื่นชอบของขวัญแรกพบหน้าที่ตัวเองมอบให้ก็เบาใจ ยังไงเสียก็เป็นเด็กรุ่นหลังสายตายังไม่กว้างไกล แค่ของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็ดีใจเสียใหญ่โต ถือเป็นโชคดีที่ไม่ต้องควักเงินทองขึ้นมาแจกเป็นของขวัญแรกพบหน้าให้ปวดใจ
 
“ท่านอาจารย์น้อย ศิลปะเอกสี่แขนงของบัณฑิตจีนแต่โบราณ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน วาดภาพ ท่านบรรลุไปแล้วถึงสามแขนง ช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่น่าทึ่ง ไม่ทราบว่าหากมีผู้สนใจ ท่านจะยินดีเขียนอักษรเช่นนี้อีกหรือไม่ นี่ย่อมมีค่าตอบแทนไม่น้อย”
 
หลักจากรอจนหมึกแห้งแล้วม้วนเก็บอักษรภาพใส่กล่องมากอดไว้กับอกแล้ว นายพลหยางจึงวางใจไถ่ถามสิ่งที่อยากรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากพรรคพวกของเขาได้เห็นผลงานชิ้นนี้ จะอยากได้ไว้ครอบครองขนาดไหน
 
หลี่คุนคิดเล็กน้อย ในสมัยเขาได้ยินว่ามีการจ้างบัณฑิตที่ลายมืองดงามไปคัดลอกตำราอยู่บ้าง นับเป็นงานที่ทั้งน่าเบื่อทั้งเมื่อยมือ ต่อให้ได้เงินหลายตำลึงต่อเล่มก็ดูจะไม่คุ้มเท่าไหร่ การเขียนภาพอักษรหรือวาดภาพวิวทิวทัศน์ก็ใช่ว่าจะได้เงินมากหากมิใช่ปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริงๆ
 
“จริงๆ ข้าไม่ได้ชอบทำงานเช่นนี้เท่าไหร่ ครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำใจที่มอบให้ในวันแรกพบหน้า”
 
นายพลหยางได้ฟังก็ยิ่งตีค่าของหลี่คุนในใจสูงขึ้นไปอีก ขนาดเงินเป็นแสนๆ หยวนแลกกับการสะบัดพู่กันแค่ไม่กี่ทียังไม่ใยดี นับเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจมั่นคงจริงๆ ไม่แปลกที่จะบรรลุถึงฝีมือขนาดนี้ หลี่คุนไม่รู้ตัวเลยว่าได้ปฏิเสธโอกาสทำเงินมหาศาลได้อย่างง่ายดายไปเสียแล้ว
 
ระหว่างที่หลี่คุนกำลังบรรเลงบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวอีกรอบเพื่อให้ทีมงานมืออาชีพถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ชายฉกรรจ์ชุดดำก็เข้าไปรายงานเรื่องด่วนต่อท่านนายพลหยาง
 
“ท่านครับ มีกองกำลังตำรวจพยายามบุกขึ้นมาครับ”
 
นายทหารเฒ่าขมวดคิ้ว
 
“พวกตำรวจจะกล้าได้ยังไง เขาไม่รู้เหรอว่าตึกนี้อยู่ในการดูแลของพวกเรา น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แล้วครั้งนี้มันอะไร”
 
“พวกเขาทราบครับท่าน แต่เห็นว่าข้างบนสั่งการมาให้ตามหาคน เราจะปะทะตรงๆ ก็กลัวเรื่องจะลุกลามใหญ่โต ตอนนี้อ้างไปว่าเด็กๆ ข้างล่างปลดระบบรักษาความปลอดภัยของตึกเองไม่ได้ให้พวกตำรวจรออยู่ข้างล่าง”
 
“แล้วคนที่พวกเขาต้องการตัวคือใคร”
 
“มิสเตอร์คุณานนท์ ลี้ไพรีพ่าย จากประเทศไทย คนที่เราไปเอาตัวมานั่นแหละครับท่าน”
 
“ท่านอาจารย์น้อย? หรือจะเป็นเพื่อนเขาที่มาจากเมืองไทยด้วยกันเป็นคนพาตำรวจมา”
 
“ไม่ใช่ครับ หมอฝังเข็มคนนั้นยังถูกพรรคพวกเรากักตัวไว้ที่สนามบิน และพวกเขาสองคนไม่น่าจะติดต่อกันได้ด้วยเพราะในตัวตึกนี้เราติดคลื่นรบกวนสัญญาณมือถือไว้”
 
นายพลหยางกังวลว่าอาจจะมีกลุ่มอิทธิพลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ระแคะระคายความพิเศษของอาจารย์น้อยและต้องการนำตัวไปหาประโยชน์ นึกถึงว่าพวกตัวเองกว่าจะสืบเรื่องของอาจารย์น้อยได้ก็แสนยากเย็น แถมยังต้องวางแผนอยู่นานกว่าจะหลอกล่ออาจารย์น้อยมาถึงประเทศจีนได้ จนตอนนี้ประสบผลสำเร็จในการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์น้อยจนเกินคาดแล้วเขามีหน้าที่ที่จะต้องส่งอาจารย์น้อยกลับประเทศไทยไปอย่างปลอดภัย
 
นายพลหยางเช็คกับทีมงานพบว่าการถ่ายวิดีโอการบรรเลงกู่ฉินของอาจารย์น้อยเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปสั่งการลูกน้องที่เป็นทหารนอกเครื่องแบบ
 
“เตรียมมือดีของเราคุ้มกันอาจารย์น้อยออกจากตึก ต้องระวังให้ดี กลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ธรรมดาไม่งั้นคงผลักดันตำรวจให้เคลื่อนไหวไม่ได้”
 
“ท่านครับ คนของเราข้างล่างบอกว่าระบบรักษาความปลอดภัยถูกแฮ็กได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้พวกเขากำลังขึ้นลิฟท์มาแล้วครับ”
 
นายพลหยางหน้าเปลี่ยนสี ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดในตลาดเวลานี้ ทำไมถึงถูกแฮกได้ง่ายดายนัก
 
“กระจายกำลังคุ้มกันอาจารย์น้อย ปรมาจารย์หาน และผู้อาวุโสตู้เดี๋ยวนี้ ถ้าสถานการณ์รุนแรงให้ลงมือได้เต็มที่!!!”
 
ชายฉกรรจ์ชุดดำเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสมกับเป็นทหารมืออาชีพ พวกเขาแบ่งทีมกันไปคุ้มกันบุคคลสำคัญในห้อง อาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ถูกชักขึ้นมาอย่างเตรียมพร้อม นายพลหยางตะโกนบอกสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทุกคนทราบ คนของสมาพันธ์ดนตรีจีนและสมาคมการค้าอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน ภายใต้ความดูแลของนายพลหยาง ไม่มีใครเคยตกอยู่ในสภาวะโดนคุกคามแบบนี้มาก่อน
 
หลี่คุนรู้สึกกดดันไม่น้อย การเดินทางกลับมาเยือนบ้านเกิดของเขาในครั้งนี้ดูจะมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ไม่รู้ฝ่ายที่มาใหม่มีวัตถุประสงค์อะไร เขาในชาตินี้ไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ กับประเทศจีน แต่แล้วหลี่คุนก็นึกถึงเรื่องที่มีสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในจีนที่สามารถแกะสูตรขี้ผึ้งจักรพรรดิออกมาได้ส่วนหนึ่งแล้วขายมาให้พี่ชายของแบงค์ หรือจะมีคนที่นี่ต้องการตัวเขาไปเพื่อบีบบังคับให้เปิดเผยสูตรลับ ถ้าเกิดปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเขามีความมั่นใจว่าจะเร้นกายเอาตัวรอดไปได้ ยิ่งชุลมุนก็ยิ่งเปิดโอกาสให้เขาใช้วิชาลับต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ แต่ในฐานะคนรุ่นบรรพชนเขายังมีหน้าที่ต้องดูแลศิษย์หลานสูงอายุทั้งสามคนนี้คงจะหนีหายไปไหนไม่ได้
 
เสียงสัญญาณจากประตูลิฟท์ดังขึ้นเบาๆ บ่งบอกว่าคนจากด้านล่างขึ้นมาถึงชั้นบนแล้ว หลี่คุนโคจรกำลังภายในบุปผาเร้นวารีที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวไปทั่วร่าง รังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรงจนทหารนอกเครื่องแบบที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนยังถูกกดดันจนอึดอัด ประสาทสัมผัสของเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ขณะที่ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก หลี่คุนก็รู้สึกถึงปราณอำนาจมหาศาลที่แผ่ออกมาจากด้านใน ความรุนแรงนั้นถึงกับข่มรังสีสังหารของเขาให้ล่าถอยออกมาได้
 
เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธครบมือหลายนายก้าวออกจากลิฟต์มาด้วยด้วยท่าทางระวังตัว ตรงใจกลางของกลุ่มตำรวจนั้นมีชายร่างสูงในชุดสูทที่ดูไม่เข้าพวกอยู่ด้วย ท่าทีร้อนลนของเขาดูจะเป็นที่มาของปราณอำนาจปริมาณมหาศาลที่หลี่คุนสัมผัสได้
 
หลี่คุนแทรกตัวผ่านการคุ้มกันของทหารนอกเครื่องแบบออกมาเพื่อประเมินชายคนนั้นให้ชัดๆ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่เขาคิดถึงมาตลอดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
 
“พี่อี้หลง!!!”

#####

ค่าตัวไม่แพงนะ มาแล้ว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 20-06-2020 22:34:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-06-2020 23:08:10
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 21-06-2020 00:07:19
คุณพี่มาแล้วววว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 38] 20/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-06-2020 13:55:19
น้องคุนส่งสัญญาณไป ได้ผลสำเร็จจ้า พี่อี้มาแล้ว
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-06-2020 20:56:28
39

“พี่อี้หลง!!!”
 
หลี่คุนเผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ จางอี้หลงเองก็สังเกตเห็นหลี่คุนเช่นกัน เขาพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่เกรงกลัวต่อบรรดาชายชุดดำด้านข้างที่มีอาวุธครบมือ กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจจีนติดตามมาคุ้มกันจางอี้หลงในทันทีจนมาประจันหน้ากับกลุ่มทหารนอกเครื่องแบบของนายพลหยาง ทั้งสองฝ่ายดูจะรับรู้สถานการณ์ที่พวกเขาต่างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้น ได้แต่คุมเชิงกันขณะที่จับตามองท่าทีของบุคคลที่พวกเขาให้การคุ้มกันอยู่ แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่จางอี้หลงทำคือการตรงเข้าไปกอดหลี่คุนจนใบหน้าแนบกับอกของตัวเองแล้วก็พูดภาษาไทยตรงข้างๆ หูของอีกฝ่าย
 
“น้องคุนไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
 
จางอี้หลงคลายอ้อมกอดแล้วถอยหลังออกเล็กน้อยเพื่อดูให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บที่ตรงไหน เมื่อดูจนพอใจแล้วเขาก็รั้งตัวหลี่คุนเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองอีกที
 
“ปล่อยก่อนครับ ผมสบายดี”
 
หลี่คุนดิ้นรนให้พ้นจากการกอดรัดของอีกฝ่าย อาการเก้อเขินจากการที่ไม่ได้คุยกันนานทำให้ทำตัวไม่ค่อยถูก แต่ในใจลึกๆ เมื่อได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่คุ้นเคยก็ไม่อยากจะไปไหนอีก ความโกรธ ความระแวง ความสับสน ที่เคยมีก่อนหน้านั้นมันหายไปไหนก็ไม่รู้ สายตาที่แสดงความเป็นห่วงและอะไรลึกๆ อีกหลายอย่างในนั้นมันสื่อถึงใจเขา เขาไม่รู้หรอกว่าคนตรงหน้านี้เป็นวิญญาณที่ข้ามเวลามาเหมือนกันหรือเปล่า แต่เขามั่นใจว่าจางอี้หลงหรือใครก็ตามที่อยู่ในร่างตรงหน้าคือคนเดียวกับที่เขารู้จักมาตั้งแต่แรก
 
หลี่คุมควบคุมอารมณ์ตัวเองและเอาตัวออกมาจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ถึงอย่างไรก็รู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้างที่ผู้ชายสองคนจะมายืนกอดกันต่อหน้ากลุ่มทหารและตำรวจที่ก่อนหน้านี้เกือบจะปะทะกันอยู่แล้ว
 
นายพลหยางจับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจอยู่บ้าง ระหว่างนั้นเขาได้ส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งไปสอบถามความเป็นมาของชายในชุดสูทจากตำรวจ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเพราะไม่อยากให้กองกำลังของรัฐด้วยกันมาปะทะกันเองอยู่แล้ว
 
“ที่แท้เป็นคุณชายจาง อุตส่าห์มาเยือนถึงที่นี่ น่าอายนักที่ทางเราทราบข่าวช้า เตรียมต้อนรับไม่ได้เต็มที่ ต้องขออภัยจริงๆ”
 
ความหมายคือ ท่านบุกมาอย่างกระทันหันถึงถิ่นของผู้อื่น ไม่คิดจะไว้หน้ากันบ้างหรือ
 
นายพลหยางเพิ่งทราบตัวตนและข้อมูลเบื้องต้นว่าจางอี้หลงเป็นผู้ที่กรมตำรวจให้ความสำคัญ แต่นายทหารผู้คร่ำหวอดอย่างเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครเกินไป
 
“ท่านนายพลหยางไม่ต้องลำบาก ผมทราบว่าเพื่อนจากเมืองไทยได้รับการเชื้อเชิญอย่างไม่รู้ตัวให้มาที่นี่ เลยตามมาดูแลเท่านั้น บังเอิญว่าระบบต่างๆ ของตึกนี้ค่อนข้างเป็นมิตร เลยมาถึงเร็วไปสักหน่อย”
 
ความหมายของจางอี้หลงคือ ท่านลักพาตัวผู้อื่นมาช่างหน้าไม่อาย ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ก็กระจอกสิ้นดี
 
นายพลหยางถูกย้อนจนมีน้ำโห เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงข่มขวัญ
 
“คุณชายจางคงทำเรื่องเช่นนี้บ่อย ต่อไปต้องระวังตัวเองไว้บ้าง”
 
“ท่านนายพลก็สมกับเป็นทหาร เพื่อผลสำเร็จ ยุทธวิธีใดก็ใช้ออกมาได้”
 
นายพลหยางประเมินท่าทางไม่เกรงกลัวที่แฝงมาด้วยอำนาจบางอย่างของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ นักธุรกิจระดับไหนกันที่สามารถทำให้ตำรวจนครเป่ยจิงเคลื่อนไหวได้ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการแฮ็กระบบระดับนั้นที่เขาเชื่อว่าไม่ได้เป็นฝีมือของตำรวจแน่ๆ ทั้งคุณานนท์ทั้งจางอี้หลง เด็กรุ่นหลังเก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือผู้เฒ่าอย่างเขาจะแก่เกินไปแล้ว
 
ตั้งแต่ที่จางอี้หลงเข้ามาหลี่คุนก็ไม่ได้กลับไปพูดภาษาจีนอีก เขาอธิบายให้ล่ามของพวกของนายพลหยางสั้นๆ เป็นภาษาไทยว่าเพื่อนที่ทำธุรกิจด้วยกันมารับ แต่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเลยพาตำรวจไม่กี่คนมาด้วย นายพลหยางสบถในใจขึ้นมาทันที ตำรวจไม่กี่คนอะไร นี่ขนกันมาแบบอาวุธครบมือแทบจะทั้งหน่วยพิเศษเลยมั๊ง ไม่นับรถหวอไม่รู้กี่คันต่อกี่คันที่มาล้อมตึกไว้อีกตามที่ลูกน้องรายงานขึ้นมา
 
ปรมาจารย์หานแม้ยังจะอยากรั้งตัวหลี่คุนให้อยู่ต่อเพราะยังอยากจะคุยเรื่องกู่ฉินอีก แต่เมื่อเห็นว่าหลี่คุนต้องการจะกลับไปกับชายในชุดสูทก็ไม่กล้าขัด ส่วนหนึ่งเพราะวิธีการที่พวกตัวเองใช้เชิญตัวหลี่คุนมามันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะเกิดเกรงใจในตัวหลี่คุนอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสามารถหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากอีกฝ่าย แต่เพราะหลี่คุนเหมือนมีอำนาจบางอย่างแบบเดียวกับครูที่มีกับลูกศิษย์ แม้แต่ตอนที่ส่งให้หลี่คุนจากไปพร้อมสมุนไพรมากมายที่เตรียมไว้ให้ ก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังน้อมส่งปรมาจารย์อาวุโสอย่างไรอย่างนั้น
 
หลี่คุนคลายความตื่นเต้นที่ได้เจอจางอี้หลงลงก็นึกได้ว่าตัวเองยังโกรธอีกฝ่ายอยู่ ตอนนั้นเขาจับได้ว่าจางอี้หลงถือโอกาสช่วงที่ไปพักอยู่ด้วยที่คอนโดแอบไปค้นของๆ เขา ที่เขาไม่พอใจมากไม่รู้เป็นเพราะโดนทำลายความไว้วางใจหรือกลัวจางอี้หลงจะรู้ความจริงกันแน่ ถ้าบอกว่าจางอี้หลงไม่จริงใจมีเรื่องปิดบังเขา แล้วเขาเองล่ะมีเรื่องปิดบังที่มากกว่าเสียอีก บางทีความจริงใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องบอกทุกสิ่งทุกอย่างออกมาทั้งหมด
 
“ปล่อยมือก่อนครับ”
 
“ทำไมครับ ยังโกรธพี่อยู่เหรอ พี่อุตส่าห์ให้เวลาเราทบทวนตั้งเดือนนึง ไม่คิดว่าน้องคุนจะไม่ยอมคุยกับพี่อีกยาวมาหลายเดือนเลย”
 
แม้ตอนนี้จางอี้หลงจะคลายความร้อนลนจนกลับมาดูมีท่าทีสุขุมแบบนักธุรกิจตามเดิมแล้วแต่หลี่คุนก็สังเกตได้ถึงริ้วรอยความอิดโรยที่เกิดจากความกังวลและการเร่งรีบเดินทางก่อนหน้านั้นได้อย่างชัดเจน ในใจของหลี่คุนอ่อนยวบลง ถึงอีกฝ่ายจะมีเรื่องปกปิดไม่พูดความจริงและทำอะไรลับหลังเขาอยู่เรื่อย แต่ความห่วงใยที่จางอี้หลงมีให้กับเขาคือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ หลี่คุนเคยแต่เป็นผู้นำที่ต้องคอยดูแลคนอื่นมาโดยตลอด เขาไม่รู้เลยว่าการมีคนคอยปกป้องคุ้มครองมันจะให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยถึงเพียงนี้
 
“แล้วพี่อี้หลงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว พี่รู้เหรอว่าผมมาจีน”
 
“หมอภีมติดต่อพี่มา เขาบอกว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ น้องคุนส่งข้อความไปหาเขาใช่ไหมว่าคนที่มาด้วยกันกับเพื่อนของหมอภีมมีท่าทางแปลกๆ หลังจากนั้นหมอภีมก็ติดต่อทั้งเราและเพื่อนคนนั้นไม่ได้ โชคดีที่เราส่งโลเคชันของตึกนี้ไปให้หมอภีมก่อนสัญญาณจะหายไป”
 
ตอนนั้นหลี่คุนรู้สึกผิดสังเกตในท่าทีของชายชุดดำอยู่บ้างเลยส่งข้อความไปเล่าให้หมอหนุ่ม แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายถึงขนาดนี้ ที่ส่งโลเคชั่นไปก็เผื่อว่าถ้าหมอภีมออกจากสนามบินได้ก็จะได้ตามมาสะดวก ไม่นึกว่าหมอภีมจะกังวลจนติดต่อไปหาจางอี้หลงทั้งๆ ทั้งสองคนก็ดูไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่แม้จะเป็นผู้ถือหุ้นในฉางอันโอสถเหมือนกัน
 
บรรยากาศหลังการกลับมาคืนดีกันของทั้งคู่นั้นดีมาก แน่นอนว่าหลี่คุนยังข้อสงสัยมากมายในตัวตนและการกระทำของจางอี้หลง แต่นั่นเป็นเรื่องที่ยังรอได้ ตอนนี้เขาขอเชื่อความรู้สึกตัวเองไปก่อนว่า ไม่ว่ายังไงจางอี้หลงก็มีแต่เจตนาดีให้เขา หลี่คุนเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถึงจางอี้หลงขนาดไหน แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกสบายใจ ได้เห็นหน้าก็ไม่นึกอยากมองไปทางอื่น นี่คงเป็นอาการระหว่างเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานสินะ ในชาติก่อนแม้เขาจะมีมิตรสหายอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องเร้นกายทำภารกิจต่างๆ มากมายทำให้เขาไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่แท้จริง เขาถึงไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างเพื่อนสนิทมันจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้
 
รถที่จางอี้หลงเอามารับทั้งกว้างขวางทั้งหรูหรากว่าที่ใช้ที่เมืองไทยเสียอีกแต่หลี่คุนกลับเบียดตัวเข้าไปชิดคนข้างๆ กึ่งซบนิดๆ พร้อมกับกุมมืออีกฝ่ายไปด้วย วันนี้เขาสิ้นเปลืองกำลังภายในโดยไม่จำเป็นไปมากมาย พลังหยางบริสุทธิ์ที่กำลังไหลเข้ามาในร่างกายที่ละนิดนี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาคิดถึงที่สุด ไม่คาดว่าจางอี้หลงเลิกชายเสื้อตัวเองขึ้นแล้วจับมือของหลี่คุนมาวางบนหน้าท้องแกร่งแน่นอย่างเป็นธรรมชาติ หลี่คุนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นทำไมแต่ก็พึงใจกับพลังหยางที่ถ่ายเทมาได้เร็วกว่าเดิมจนไม่อยากเอามือออก
 
“มาถึงปักกิ่งทั้งที ยังไงวันนี้ก็ต้องมาลองเป็ดปักกิ่งอาหารประจำชาติจีนนะ ที่ดังๆ มีร้านเฉวียนจวี้เต๋อ ที่ว่ากันว่าสืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง แล้วก็ร้านเปี้ยนอี้ฟางที่ก่อตั้งสมัยราชวงศ์ชิง น้องคุนอยากทานร้านไหนครับ”
 
“เฉวียนจวี้เต๋อ”
 
หลี่คุนตอบอย่างไม่ต้องคิด จากการศึกษาประวัติศาสตร์จีนในยุคหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงในชาติก่อน เขาก็ทราบด้วยความเศร้าใจว่าราชวงศ์ชิงคือราชวงศ์ของชาวแมนจูที่ยึดอำนาจมาจากราชวงศ์หมิงของชาวฮั่น ดังนั้นเขาย่อมอยากทานร้านที่สืบทอดมาจากยุคของตัวเองมากกว่า
 
มื้อเย็นวันนั้นหลี่คุนก็ได้ลิ้มลองอาหารที่ยุคนี้ถือว่าเป็นอาหารประจำชาติจีน ในสมัยของเขายังไม่มีอาหารที่เรียกว่าเป็ดปักกิ่งเช่นนี้ แต่มีจานที่คล้ายกันมากคือเป็ดย่างตำหรับเมืองหนานจิง ในยุคของเขาเป็ดย่างสูตรนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองเป่ยจิง คาดว่าต่อมาคงได้รับการปรับปรุงต่อยอดจนกลายมาเป็นอาหารประจำเมืองในที่สุด หลี่คุนทานอาหารอย่างมีความสุข เป็ดปักกิ่งจานนี้และอาหารพื้นเมืองเป่ยจิงหลายอย่างทำให้เขาระลึกถึงความทรงจำในชาติก่อน แม้สภาพบ้านเมืองจะเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่รากเหง้าของผู้คนยุคนั้นยังคงอยู่ในอาหารที่สืบทอดกันมา
 
“อิ่มจัง”
 
หลี่คุนตบพุงตัวเองเบาๆ เรื่องราวตึงเครียดของวันก็คลี่คลายลงไปแล้ว สมุนไพรที่ตามหาก็อยู่ในครอบครอง ความสัมพันธ์ของเขากับจางอี้หลงก็สนิทสนมดีเหมือนเดิม ท้องที่เคยหิวตอนนี้มีอาหารบรรจุอยู่จนแน่น แต่หลี่คุนยังรู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ เขานั่งละเลียดของหวานขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วย
 
“พี่อี้หลง เชี่ยแล้ว หมอภีม เราลืมหมอภีมไปหรือเปล่า”
 
หลี่คุนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเจอว่าเขาปิดมันไปตอนที่สัญญาณโทรศัพท์หายแล้วลืมไปสนิทเลย  พอเปิดเครื่องก็เจอสายที่ไม่ได้รับและข้อความจากหมอภีมในทุกช่องทางเต็มไปหมด หลี่คุนรีบติดต่อกลับก็พบว่าหมอภีมยังถูกกักตัวอยู่ที่สนามบินอยู่
 
“หมอภีมยังติดอยู่ที่สนามบินติดต่อใครไม่ได้เลย เขาบอกว่าโทรหาพี่หลายทีมาก ติดแต่ไม่มีคนรับ”
 
หลี่คุนเล่าให้จางอี้หลงฟังอย่างกังวล แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้ร้อนใจตามไปด้วย
 
“เขาว่างั้นหรอ ไม่เห็นรู้สึกแฮะ สงสัยมันสั่นเบาไป แล้วหมอนั่นคงใจร้อนรีบวาง”
 
“งั้นเรารีบไปสนามบินเคลียร์ตัวเขาออกมาเถอะครับ ที่โดนกักตัวทีแรกคงเป็นฝีมือของเจ้าเด็กสามคนนั่นแน่ พอได้ของที่ต้องการแล้วก็ไม่มาจัดการเรื่องวุ่นวายที่ทำไว้ ถ้าเจอคราวหน้าผมต้องสั่งสอนให้หนัก”
 
“กว่าเราจะนั่งรถกลับไปถึงสนามบินก็อีกเป็นชั่วโมงๆ เลยนะ พี่ส่งคนที่อยู่ใกล้ๆ ไปจัดการเร็วกว่า หมอนั่นโดนกักตัวนานขนาดนี้คงทั้งเหนื่อยทั้งหิว เราทานข้าวมาอิ่มขนาดนี้ถ้าเจอกันจะกระอักกระอ่วนใจเปล่าๆ พี่ว่าทริปนี้แยกกันเลยดีกว่าพี่ดูแลเราต่อเอง เขาจะได้ไปทำธุระอะไรของเขาไม่ต้องมาพะวงกับน้องคุนอีก”
 
“จะไม่น่าเกลียดเหรอพี่ หมอเขาอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนจนตัวเองต้องเดือดร้อนเพราะผม ไหนจะพยายามติดต่อพี่จนมาช่วยผมได้ทันถึงจะไม่ได้เกิดเรื่องจริงๆ ก็เถอะ”
 
“เรื่องมันเกิดจากเราที่ไหน หมอนั่นถูกเพื่อนหลอกจนปล่อยให้น้องคุนไปเข้าถ้ำเสือแท้ๆ เราไม่รู้หรอกนายพลหยางมีอิทธิพลขนาดไหน ไม่ได้ถูกข่มขู่เอาของสำคัญไปใช่ไหม นี่พี่ยังงงเลยว่าเขาปล่อยเรามาง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไง แถมยังดูท่าทางเกรงใจจนดูผิดปกติ”
 
“ฮี่ๆ ก็แค่ทำการแลกเปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ งานนี้ผมกำไรเพียบเลย”
 
“แยกกันไปแหล่ะดีแล้ว พรุ่งนี้พี่จะพาเราไปเที่ยวที่สำคัญๆ ในปักกิ่ง พระราชวังต้องห้าม หอสักการะฟ้าเทียนถาน พระราชวังฤดูร้อน แต่อาจจะไปวันเดียวไม่หมดนะคงต้องเลือกเอา หมอภีมเขาเคยมาเรียนที่นี่หลายปีไม่ใช่เหรอ เอาเขาไปด้วยก็เบื่อแย่สิ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นเราจะบินไปเซินเจิ้นเลย อีกวันพี่จะได้พาเราไปดูที่ทำงานพี่”
 
หลี่คุนสนใจอยู่บ้างว่าสถานที่สำคัญของราชสำนักพวกนั้นจะเป็นอย่างไรหลังจากผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี แต่เขาไม่ใช่ราชวงศ์ที่จะผูกพันอะไรนักหนากับสิ่งก่อสร้างใหญ่โตพวกนั้น ส่วนบ้านเกิดของเขานั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตตระกูลหลี่ที่อยู่ในคราบตระกูลค้าขายจึงมิได้สร้างจวนให้ใหญ่โตคงทนนัก แม้หลี่คุนอยากเสาะหาในเวลานี้ก็คงไม่เจอแล้ว สิ่งสำคัญคือเขาสนใจความเป็นมาของจางอี้หลงมากกว่า ถ้าได้ไปดูถึงที่ทำงานของอีกฝ่ายอาจพบความจริงสำคัญที่เขาตามหาก็ได้
 
“งั้นไปดูแค่วังหลวงที่เดียวก็พอครับ ถ้าเสร็จเร็วก็เดินดูแถวรอบๆ แล้วเราไปถึงเซินเจิ้นให้เร็วหน่อย หาร้านดีๆ เงียบๆ ทานมื้อค่ำกัน ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่เยอะเลยแต่ขอตกผลึกความคิดอีกสักคืนนะครับ”
 
จางอี้หลงกล่อมหลี่คุนจนอยู่หมัดก็ปล่อยให้อีกฝ่ายโทรไปร่ำลาหมอภีม ก่อนจะพาเข้าเช็คอินโรงแรมสุดหรูที่บังเอิญเหลือห้องเดียวและมีเตียงขนาดใหญ่เพียงเตียงเดียวอย่างไม่สมราคาค่าห้องแม้แต่น้อย
 
แต่ค่ำคืนนั้นหาได้หวานชื่นอย่างที่จางอี้หลงคิด กว่าหลี่คุนจะขึ้นมานอนบนเตียงก็เกินค่อนคืนแล้ว หลี่คุนเอาแต่หยิบสมุนไพรที่ได้จากผู้เฒ่าทั้งสามมานั่งดูนั่งตรวจทีละชิ้น เขาเร่งเร้ากำลังภายในในการตรวจสอบอย่างไม่กลัวหมดเปลืองเพราะจะเดินไปชาร์จพลังเมื่อไหร่ก็ได้ จางอี้หลงเหนื่อยล้าเต็มทีจากการวิ่งวุ่นมาทั้งวันเพื่อบุกชิงตัวหลี่คุนจนตาจะปิด พอเคลิ้มหน่อยก็สะดุ้งตื่นเพราะหลี่คุนเข้ามาลูบๆ คลำๆ หน้าท้องอยู่สักครู่แล้วก็กลับไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้เกือบทั้งคืนจนในตอนเช้าจางอี้หลงตื่นขึ้นด้วยสภาพที่โทรมสุดๆ สุดท้ายต้องยอมเคี้ยวสมุนไพรดิบขมปี๋เพื่อฟื้นฟูร่างกายแทนการถูกหลี่คุนฝังเข็ม
 
หลี่คุนไม่ได้ตื่นเต้นนักกับการเยี่ยมชมวังหลวงหรือที่คนยุคปัจจุบันเรียกกันว่าพระราชวังเก่า เขารู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้างที่การเข้าวังซึ่งเคยต้องใช้ป้ายผ่านตามยศและฐานะ ยามนี้ใครๆ ก็สามารถเข้าชมได้โดยจ่ายเงินจำนวนไม่มากนัก แถมยังเดินเข้าได้ทางประตูอู่เหมินซึ่งสมัยเขาจะสงวนไว้ให้กับจักรพรรดิเท่านั้น การได้เห็นพระราชวังแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง นอกจากการเป็นเครื่องยืนยันว่าเขายังอยู่บนโลกใบเดิมเพียงแต่ต่างยุคต่างสมัยแล้ว ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาอีก ตรงกันข้ามความเปลี่ยนแปลงจากกาลเวลาที่เห็นทำให้เขาออกจะเศร้าใจอยู่บ้าง เขาดูป้ายชื่อตำหนักต่างๆ ที่เดิมมีเพียงอักษรของชาวฮั่นยามนี้กลับปรากฎอักษรของชาวแมนจูจารึกควบคู่กันไปด้วย นี่เป็นร่องรอยจากการสิ้นสลายของราชวงศ์หมิงผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ชิงขึ้นมาเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ แต่เมื่อผ่านเวลาอันยาวนาน ฮั่นแล้วทำไม แมนจูแล้วอย่างไร สุดท้ายทุกเผ่าพันธุ์บนผืนดินแห่งนี้ก็รวมตัวกันเป็นประเทศจีนที่ปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน
 
หลี่คุนพลันคิดตกเหมือนบรรลุอะไรบางอย่าง ไม่มีอีกแล้วภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่เขาเคยแบกไว้บนบ่า แม้โลกยุคนี้จะสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่มีอย่างมากมายเมื่อเทียบกับยุคโน้นคืออิสรภาพ เส้นแบ่งของชนชั้น ทาส พ่อค้า ชาวนา ขุนนาง ที่เคยขีดไว้อย่างชัดเจนได้เลือนหายไปเกือบหมดแล้ว ถึงโอกาสอาจจะไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไปตามความฝันของตัวเองโดยไม่มีขีดจำกัดบน และเป้าหมายในชาตินี้ของหลี่คุนที่บอกกับตัวเองมีเพียงหนึ่งเดียว
 
!!!หาเงินมาเสพสุขในชีวิตให้ได้มากที่สุด!!!
 
จางอี้หลงเห็นสายตามุ่งมั่นที่อยู่ๆ หลี่คุนก็แสดงออกมาระหว่างหยุดมองป้ายชื่อตำหนักในกู้กงก็อมยิ้มนิดๆ เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนข้างๆ เกิดปณิธานอะไรขึ้นมาแต่ท่าทางนั้นมันน่ารักชะมัด หวังว่าเขาจะมีส่วนร่วมทำให้มันเป็นจริง
 
ทั้งคู่ไม่ได้ใช้เวลาในเมืองหลวงของประเทศจีนนานนัก ช่วงบ่ายก็ออกเดินทางไปเซินเจิ้นและเข้าไปที่อพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ของจางอี้หลงก่อนพระอาทิตย์ตก
 
“ห้องนอนอื่นไม่ได้ทำความสะอาดไว้เลย คืนนี้น้องคุนคงต้องนอนกับพี่อีกแล้วล่ะ”
 
“เกรงใจอ่าครับ ขอห้องไหนก็ได้มาสักห้องนึง เดี๋ยวผมเข้าไปปัดๆ แป๊บเดียวก็นอนได้แล้ว”
 
“ฝุ่นหนาเป็นนิ้วเลยมั๊ง”
 
“โห งั้นท่าจะไม่ไหว กว่าจะได้นอน พี่อี้หลงนี่ หน้าตาดีๆ ปล่อยบ้านให้ซกมกอย่างนี้ได้ไง”
 
“คนโสดสนิทก็แบบนี้แหละ แล้วคืนนี้น้องคุนอยากทานอาหารแบบไหน ถ้าเบื่ออาหารจีนแล้ว เปลี่ยนเป็นอาหารชาติอื่นก็ได้นะครับ ที่เซินเจิ้นนี้มีร้านดังๆ เกือบจะทุกชาติ อาหารไทยก็มี”
 
“หนักมาหลายมื้อแล้ว คืนนี้เบาๆ หน่อยก็ดีครับ ผมอยากคุยกับพี่มากกว่า เอาเป็นหม้อไฟอะไรง่ายๆ ก็ได้”
 
“งั้นไม่ต้องไปทานที่ร้านหรอก สั่งร้านอร่อยๆ ก็ได้ นั่งทานสบายๆ กันที่ห้องก็ดี”
 
ระหว่างที่ทานมื้อค่ำเบาๆ จนพอประมาณ จางอี้หลงก็ขนสุราดั้งเดิมของจีนมาวางเรียงรายให้หลี่คุนเลือก
 
“เอาเหล้าซีเฟิ้งแล้วกันครับ”
 
“แรงอยู่นะ น้องคุนจะไหวเหรอ”
 
“เวลาคุยกันจะได้คึกครื้นไงครับ พี่อี้หลงว่าไหม เราก็เจอกันมาเกือบปีแล้ว เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันด้วย แต่เรายังไม่รู้จักตัวตนจริงๆ กันเท่าไหร่”
 
“น้องคุนคิดเหมือนพี่เลยครับ”
 
“ผมอ่านเจอในนิยายครับ มันจะมีเกมที่เขาชอบเล่นกันในกลุ่มเพื่อนให้สนิทกันมากขึ้น คือจะผลัดกันถามคำถามอะไรก็ได้คนละหนึ่งคำถาม ถ้าไม่ตอบต้องโดนทำโทษดื่มเหล้าหมดแก้ว ถ้าตอบก็ไม่โดน แต่ต้องพูดความจริงเท่านั้นและตอบให้ตรงคำถามห้ามบ่ายเบี่ยงอ้อมค้อม”
 
“โฮ่ ฟังดูน่าสนุกนี่ งั้นพี่สาบานว่าถ้าพูดไม่จริงขอให้ค้าขายไม่ขึ้น น้องคุนกล้าสาบานหรือเปล่า”
 
หลี่คุนกลืนน้ำลายเอือก ช่างเป็นคำสาบานที่ร้ายแรงอะไรเช่นนี้ คนยุคโบราณอย่างเขายิ่งจริงจังกับคำสาบานที่สุด แต่ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง
 
“ผมสาบานครับ ผมเป็นน้อง ขอเริ่มถามก่อนแล้วกัน”
 
“เอาเลยครับ พี่ตั้งใจจะตอบคำถามน้องคุนทุกเรื่อง คืนนี้พี่คงไม่ได้กินเหล้าแน่”
 
หลี่คุนรีบถามคำถามที่เขาคาใจมากที่สุดออกมาทันที
 
“ตัวจริงของพี่อี้หลง คนที่พูดคุยกับผมอยู่ตอนนี้ เป็นใครกันแน่ครับ”
 
หลี่คุนเห็นจางอี้หลงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก็กลั้นใจรอฟังคำตอบแทบไม่ไหว
 
“อืม เป็นคำถามที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีแฮะ พี่ชื่อจางอี้หลง อายุยี่สิบแปดปี เคยมีคนบอกว่าพี่หน้าแก่กว่าวัยด้วยแต่ตอนนี้เขาชมว่าพี่หล่อแล้ว สมัยวัยรุ่นพี่มีอาชีพเป็นนักพัฒนาเกมบนคอมพิวเตอร์และมือถือ แต่ตอนนี้พี่เป็นนักลงทุนครับ พี่เอาเงินที่ได้จากธุรกิจเกมมาลงในบริษัทหลายแห่ง มีการซื้อๆ ขายๆ กิจการและหุ้นอยู่ตลอด ธุรกิจที่พี่สนใจจะเป็นพวกบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สถานภาพโสด ไม่เคยมีแฟนแบบจริงจัง ตอนนี้พี่มีคนที่ชอบแล้ว ชอบมากๆ ด้วย และจากเหตุนี้ พี่คิดว่าตัวเองเป็นเกย์ครับ”
 
หลี่คุนแปลกใจไม่น้อย จางอี้หลงเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ  เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนั้น สิ่งที่เขาสงสัยที่สุดในตอนนี้ จางอี้หลงเป็นวิญญาณที่ข้ามเวลามาเหมือนกันหรือไม่ แต่คนที่มาจากอดีตจะมาทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้หรือ
 
“งั้นพี่ถามบ้างนะครับ น้องคุนที่อยู่ตรงหน้าพี่ เป็นใครกันแน่ครับ”

#########
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-06-2020 22:32:11
ลุ้นแทบแย่ ว่าพี่จางแกจะมาดีมาร้าย แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้อย่างนึงว่าเป็นพระเอกใช่มะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 21-06-2020 22:42:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 21-06-2020 23:42:33
พระเอกมาทวงน้องคืนแล้ววววว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 21-06-2020 23:55:21
ถึงเวลาเปิดใจแล้ววว
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 39] 21/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-06-2020 11:01:59
น้องจะตอบว่ายังไงนะ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 40] 26/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-06-2020 20:36:16
หลี่คุนหน้าเสียทันทีที่ได้ยินคำถาม เขาชิงเป็นผู้ถามคำถามก่อนก็เพื่อที่ว่าหากจางอี้หลงเป็นคนที่ข้ามเวลามาจริง เขาก็จะเปิดเผยความลับของตัวเองออกมาเหมือนกัน แต่ในเมื่อไม่ใช่ ควรจะตอบอย่างไรดีไม่ให้ผิดคำสาบานที่ร้ายแรงนั้น เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะเสียความผูกพันที่สร้างขึ้นในฐานะคุณานนท์ไป
 
“ทำไมพี่ถึงถามคำถามนี้กับผม พี่สงสัยอะไร”
 
“ไม่ได้สงสัยอะไรนี่ครับ ก็เห็นน้องคุนถามพี่แบบนี้ก่อน พี่ก็แค่ลอกคำถามน้องคุน”
 
“ถ้าไม่สงสัย งั้นผมขอดื่มแล้วกันครับ”
 
หลี่คุนประกาศแล้วก็ยกแก้วใบไม่เล็กตรงหน้าขึ้นซดทีเดียวหมดอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาลอบโคจรกำลังภายในบุปผาเร้นวารีบรรเทาพิษสุราจากข้างใน ยกแรกเขาเพลี่ยงพล้ำไปแล้วแต่ยังดีที่มีตัวช่วย หมากกระดานนี้เขาเป็นคนวางย่อมเหลือทางออกให้ตัวเองเสมอ ถ้าคำถามแรกยังไม่อาจเปิดเผยที่มาของจางอี้หลงได้ คำถามต่อไปต้องรู้อะไรเพิ่มเติมแน่
 
“คำถามที่สอง พี่รู้จักท่าเท้าท่องคลื่นทั้งเจ็ดสิบสองตำแหน่งได้ยังไง และใช้วิธีไหนในการปรับปรุงมันขึ้นมา”
 
“นี่นับเป็นสองคำถามหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร พี่จะบอกให้หมดเลย มันชื่อท่าเท้าท่องคลื่นเหรอ ฟังดูคุ้นๆ พี่รู้จักก็เพราะลอกตำแหน่งท่าเท้ามาจากน้องคุนนั่นแหละ”
 
“เป็นไปไม่ได้ ถึงท่าเท้านี้จะมีแค่เจ็ดสิบสองตำแหน่ง แต่เวลาร่ายรำออกมา ความผันแปรในการผสานทิศเรียงตำแหน่งก่อนหลังมีเป็นพันเป็นหมื่นกระบวนท่า ถึงจะเห็นกับตาก็ไม่มีทางรู้ถึงตำแหน่งพื้นฐานที่แท้จริงได้”
 
“น้องคุนอย่าโกรธพี่นะ คือพี่ไม่ได้ดูด้วยตาหรอก แต่ในรองเท้าผ้าใบที่พี่เคยให้น้องคุนสวมตอนร่ายรำกระบวนท่าพวกนี้ มันติดเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบละเอียดไว้ พอพี่กลับมาจีนก็เอาข้อมูลที่ได้มาเข้าเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ให้วิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวออกมา ไม่น่าเชื่อว่าการเคลื่อนไหวที่ดูซับซ้อนไร้รูปแบบอย่างนั้น จริงๆ กลับถูกกำหนดด้วยกฎเกณฑ์ที่น่าทึ่งมากๆ ขนาดซุปเปอร์คอมพิวเตอร์พลังประมวลผลอันดับต้นๆ ของจีน ยังใช้เวลาเกือบเดือนถึงจะได้รูปแบบที่สมบูรณ์ออกมา และทุกอย่างพี่เก็บเป็นความลับให้น้องคุนหมด”
 
หลี่คุนฟังแล้วบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในเมื่อท่าเท้าท่องคลื่นถูกปรับปรุงด้วยวิทยาการสมัยใหม่ จางอี้หลงก็ไม่ใข่คนที่ข้ามเวลามาอย่างที่เคยคิด ความหวังที่จะมีเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจชะตากรรมร่วมกันหายไป แต่จางอี้หลงเป็นคนธรรมดาอย่างนี้เขาก็ไม่มีเหตุให้ต้องระแวงอีกฝ่ายอีก
 
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าควรจะปรับแก้ตรงตำแหน่งไหน”
 
“หลังจากรู้กฎเกณฑ์การเคลื่อนไหวทั้งหมดแล้ว พี่ก็เอาไปเข้าระบบจำลองการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นจากเกม พูดง่ายก็เหมือนกับจำลองให้มีคนสองคนที่ใช้กระบวนท่านี้มาต่อสู้กันเอง พอต่อสู้เสร็จครั้งหนึ่งก็เอาผลที่ได้มาวิเคราะห์แล้วให้ปัญญาประดิษฐ์ปรับปรุงรูปแบบการเคลื่อนไหวแล้วส่งเข้าไปสู้กันใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำๆ เราก็จะได้กระบวนท่าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ พี่เห็นว่ามันปรับปรุงขึ้นพอสมควร เลยส่งให้น้องคุนเอาไปลองใช้ดู”
 
“ไม่น่าเป็นไปได้ การปรับเปลี่ยนกระบวนท่าที่เกือบจะสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ต่อให้คนผู้หนึ่งหมกมุ่นกับมันทุกวัน ก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอในสิบหรือยี่สิบปี”
 
“แต่บนคอมพิวเตอร์ เราทำเรื่องที่ว่าได้เร็วกว่านั้นเยอะครับ ในหนึ่งเดือน ระบบจำลองที่ว่าทำการต่อสู้ไปทั้งหมดแปดแสนกว่าครั้ง เท่ากับคนที่น้องคุนพูดถึงทำอย่างนั้นทุกวันเป็นเวลาสองพันกว่าปี ไม่นับว่าเอไอจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เอาผลมาวิเคราะห์นะครับ หรือถ้าน้องคุนไม่เชื่อลองหาข่าวเมื่อหลายปีก่อนที่ระบบปัญญาประดิษฐ์สามารถโค่นแชมป์โลกหมากล้อมลงได้สิครับ นั่นก็ใช้วิธีการเดียวกัน”
 
ดวงตาของหลี่คุนลุกโพลง กลยุทธ์การเล่นหมากล้อมเป็นศาสตร์โบราณของจีนที่ซับซ้อนยิ่ง และเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดต่อยอดกันมาโดยไม่หายสาบสูญเหมือนศาสตร์หลายๆ แขนง เขาเคยดูการเล่นหมากล้อมระดับโลกของคนยุคนี้ ต้องยอมรับมีกลยุทธ์ลึกล้ำพิศดารหลายอย่างที่ไม่เคยปรากฏในสมัยของเขา แล้วเครื่องกลคำนวณเครื่องหนึ่งจะสามารถเอาชนะคนระดับแชมป์โลกได้อย่างไร โกงชัดๆ ในหัวของหลี่คุนเห็นภาพเป็นลูกคิดรางหนึ่งกำลังวางหมากไล่ต้อนปรมาจารย์หมากล้อมชื่อดังในยุคของตัวเองแล้วรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมา
 
“ตอบคำถามนี้หมดแล้ว ตาพี่บ้างนะครับ”
 
หลี่คุนหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องถามถึงที่มาของท่าเท้าท่องคลื่น ต่อให้เขาหลบเลี่ยงอย่างไรก็คงต้องเผยความลับออกไปหลายส่วนถ้าไม่อยากละเมิดคำสาบานที่น่ากลัวนั้น เห็นทีจะต้องดื่มสุราคำโตอีกแล้ว
 
“พี่จะถามว่า น้องคุนพูดภาษาจีนได้ใช่ไหม ช่วยลองพูดกับพี่หน่อยสิครับ”
 
ใบหน้าอึมครึมของหลี่คุนสดใสขึ้นมาทันที เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก แม้เขาจะไม่เคยบอกคนตรงหน้าเพราะกะจะแอบไว้ฟังเวลาจางอี้หลงคุยโทรศัพท์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร หลี่คุนรีบตอบคำถามนี้เป็นภาษาจีนทันที
 
“ผมพูดได้ครับ อี้หลงเก่อเกอ คือว่าเคยเรียนเมื่อนานมาแล้ว แต่สำเนียงจะไม่ค่อยเหมือนที่คนจีนตอนนี้เขาพูดกันนะครับ”
 
เรียนมาเมื่อหกร้อยปีก่อนก็ถือว่านานจริงๆ นะ ไม่ได้พูดโกหก หลี่คุนคิดในใจ พอมองหน้าอีกฝ่ายก็เห็นดวงตาทั้งเยิ้มทั้งเป็นประกายวิบวับ ปากก็อมยิ้มจนแก้มตุ่ยนิดๆ พิลึกคน จากนั้นก็ตอบกลับเป็นภาษาจีนเช่นกัน
 
“เวลาคุนเอ๋อร์พูดภาษาจีนแล้วน่ารักมากๆ ดูอ้อนนิดๆ  เหมือนเป็นคนละคนเลย ไหนเรียก อี้หลงเก่อเกออีกทีสิครับ ฟังแล้วระทวยมากๆ”
 
หลี่คุนได้ยินก็ทำปากยื่น เปลี่ยนกลับมาพูดภาษาไทยทันที
 
“ไม่เรียกคุนเอ๋อร์สิพี่ มันฟังดูเหมือนคุณเอ๋อในภาษาไทย ถ้าอย่างนั้นก็ด่าผมว่าไอ้เอ๋อมาเลยเถอะ ไปต่อข้อที่สามแล้วนะครับ พี่เป็นคนแอบเอาขี้ผึ้งโอสถผมไปแกะสูตรใช่เปล่า แล้วก็เป็นคนส่งไปขอใบรับรองจากประเทศต่างๆ จนเอามาใช้ช่วยผมตอนที่โดนโจมตีทางโซเชียลใช่ไหมครับ”
 
“ใช่ครับ พี่เห็นสรรพคุณมันดีกว่าเครื่องสำอางปกติไปมาก เป็นห่วงว่าน้องคุนจะใช้ส่วนผสมอันตรายโดยไม่รู้ตัว เลยส่งไปวิเคราะห์เอาผลไปขออนุมัติจากประเทศต่างๆ ไว้ก่อน กันน้องคุนมีปัญหาทีหลัง ที่สูตรรั่วออกมา เป็นความทุจริตข้างในสถาบันวิจัยแห่งนั้น พี่ต้องขอโทษน้องคุนด้วยจริงๆ”
 
“ถ้าไม่เห็นว่าเรื่องนี้พี่ช่วยผมไว้ในตอนหลัง ผมคงไม่ยกโทษให้ง่ายๆ อย่างนี้หรอกนะครับ ทีหลังอย่าทำอีก มีอะไรก็คุยกันตรงๆ”
 
“พี่ไม่ทำแล้วครับ งั้นพี่ขอถามต่อจากเรื่องนี้เลย ยาลูกกลอนที่เราให้ตินทาน มีสรรพคุณยังไงครับ”
 
“ไอตินมันบอกพี่เหรอ ก็เป็นยาที่ทำจากสมุนไพรนี่แหละ”
 
“พี่ถามถึงสรรพคุณครับ”
 
“ไม่บอกหรอก ผมดื่มเหล้าก็ได้ เก่งจริงก็ไปวิเคราะห์หาเอาเอง”
 
หลี่คุนเทเหล้าใส่แก้วก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด ความลับเกี่ยวกับโอสถระดับปฐพีย่อมบอกออกไปไม่ได้
 
“ข้อที่สี่ บริษัทโฆษณาที่ผมไปฝึกงาน เกี่ยวข้องอะไรกับพี่ครับ”
 
“พี่ถือหุ้นอยู่บางส่วน”
 
“เท่าไหร่ครับ”
 
“เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์”
 
“ตั้งสามในสี่ แล้วตอนนั้นพี่บอกว่าเป็นแค่ที่ปรึกษาจากบริษัทแม่”
 
“ก็พี่เป็นที่ปรึกษาด้วยจริงๆ นี่ครับ เวลาซื้อบริษัทมา พี่ต้องเอามาดูว่าจะปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง หรือมีทางร่วมมือต่อยอดอะไรกับบริษัทอื่นที่พี่ถือหุ้น ตาพี่บ้าง น้องคุนรู้สึกยังไงที่ผู้ชายจะคบกันเอง แบบคนรัก”
 
“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนี่ครับ ซูกัสก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แอนฟิลด์เพื่อนเขาก็ดูเหมือนจะเป็นเกย์ พี่หมายถึงผมจะรับไม่ได้หรือเปล่า ทำไมถึงคิดอย่างนั้น อ้อ ที่จีนตอนนี้ค่อนข้างปิดกั้นเรื่องนี้สินะครับ พี่คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นเกย์เลยกังวล พี่รู้เปล่าจีนเมื่อก่อน อย่างยุคราชวงศ์ซ่งหรือราชวงศ์หมิง คู่รักที่เป็นบุรุษเหมือนกันก็มีอยู่ไม่น้อยและก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่คนสมัยนั้นยังให้ความสำคัญกับการมีบุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล ก็เลยไม่มีการแต่งงานออกหน้าออกตาเหมือนสมัยนี้ที่บางประเทศให้จดทะเบียนสมรสได้”
 
“น้องคุนรู้ประวัติศาสตร์จีนดีจัง แต่ที่พี่ถามหมายถึงตัวน้องคุนเองครับ คิดยังไงถ้าจะคบกับผู้ชาย หรือว่าชอบแต่ผู้หญิงจนยังไงก็ไม่เปิดรับเรื่องแบบนี้”
 
“เอ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ถ้าถามตอนนี้ผมรู้สึกว่าเรื่องเพศไม่ได้สำคัญมากเท่าที่ผมเคยคิด เมื่อนานมากแล้วผมเคยมีใจให้ผู้หญิงคนนึง แต่พอถูกหักหลังอย่างเจ็บแสบ ผมก็ไม่ค่อยมองผู้หญิงในแง่นั้นสักเท่าไหร่แล้ว กับผู้ชายเหรอ ผมมองแบบเพื่อนมากกว่า แต่ถ้ามีใครที่ผมสนิทมากๆ จนอยากอยู่ด้วยตลอดเวลาก็ไม่รู้สิ อาจยังไม่ถึงเวลาด้วยมั๊ง ตอนนี้รู้สึกว่าอยากหาเงินมากกว่า ฮ่าๆ พูดถึงเรื่องเงิน ผมถามต่อเลยนะครับ เป็นนักลงทุนอย่างพี่นี่รวยขนาดไหนกันแน่ อยากรู้มากๆ”
 
“คำตอบคือ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เงินเกือบทั้งหมดของพี่ ลงไปในบริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ ซึ่งกำลังตั้งไข่อยู่ ถ้ามีบริษัทไหนประสบความสำเร็จมากๆ ขึ้นมา พี่ก็อาจรวยมหาศาล แต่ถ้าล้มเหลวกันหมด พี่ก็ถังแตก ต้องใช้เงินปันผลจากฉางอันโอสถเลี้ยงชีวิตไปวันๆ เพราะงั้นน้องคุนต้องดูแลบริษัทของเราให้ดีนะครับ”
 
“ขนาดนั้นเลย ลงทุนแบบพี่นี่มันน่าหวาดเสียวจริงๆ”
 
“พี่ชอบแบบนี้ครับ ได้ก็ได้ เสียก็เสีย คำถามต่อไปของพี่คือ จำตอนที่น้องคุนฝังเข็มฟื้นฟูร่างกายให้พี่ได้ไหมครับ พอพี่หลับไป น้องคุนจับอี้หลงน้อยกับดราก้อนบอลของมันทำไมครับ”
 
“พี่อี้หลง!! พี่รู้ได้ยังไง”
 
“คือพี่สนใจวิชาฝังเข็มของเราเลยเอาโทรศัพท์ตั้งถ่ายคลิปได้แต่แรก ไม่นึกว่าจะจับเด็กซุกซนได้ พี่ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ แค่สงสัยว่าทำทำไม”
 
หลี่คุนอายจนหน้าแดง ตอนนั้นเขาไม่น่าเห็นแก่การทะลวงขั้นเคล็ดวิชาจนทำเรื่องแบบนี้ลงไป นึกว่าจะไม่มีใครรู้ แต่กำแพงมีหูจริงๆ
 
“ผมไม่ตอบ ผมยอมดื่มแก้วนี้แล้วพี่ช่วยลืมๆ มันไปเถอะครับ”
 
“ดื่มเหล้ามันแค่ค่าปรับที่ไม่ยอมตอบคำถาม แต่เรื่องที่พี่โดนล่วงเกินขนาดนั้น น้องคุนจะชดเชยยังไง”
 
“ก็… ก็เราสนิทกัน จะถูกเนื้อต้องตัวกันนิดหน่อย พี่ไม่น่าจะถือสา”
 
“อืม ถูกเนื้อต้องตัวกันได้ไม่ถือสา แน่ใจนะครับ เห็นชอบมาจับกล้ามท้องพี่ บอกว่าอยากมีบ้าง ฟิตของตัวเองไปถึงไหนแล้วครับ มา พี่ช่วยดูให้”
 
จางอี้หลงดึงตัวหลี่คุนที่เริ่มตึงๆ จากฤทธิ์สุรามานั่งข้างๆ แล้วเอามือโอบเอวจากทางด้านหลัง เขาค่อยๆ ขยับมือล้วงเข้าไปในเสื้อลูบที่หน้าท้องอีกฝ่ายเบาๆ
 
“อื้อหือ กำลังพอดีเลย รู้สึกว่าแข็งแรงแต่ก็ยังเนียนมือ ไม่ต้องมากไปกว่านี้แล้วนะครับ”
 
“พี่อี้หลง อย่าจับพุง มันจั๊กกะจี้ พอแล้ว”
 
“ก็สนิทกันไง น้องคุนบอกเองว่าจับได้ไม่ถือสา ที่พี่ยังโดนมากกว่านี้เลย”
 
จางอี้หลงเนียนอยู่สักพักถึงได้ยอมปล่อยมือ
 
“พอเถอะพี่ ผมจะถามคำถามซีเรียสแล้วนะ ทำไมตอนนั้นที่ผมโมโหใส่พี่ พี่ถึงเสนอให้เราห่างกันซักพัก แล้วพอผมไม่กลับไปคุยกับพี่อีก พี่ก็ยอมง่ายๆ พี่ทิ้งผม”
 
“ก็ตอนนั้นเราดูโกรธมาก พี่ก็อยากให้เย็นลงก่อน อีกอย่างพี่ก็น้อยใจนิดๆ เหมือนกันที่น้องคุนไม่คิดจะมองพี่ในแง่ดีเลย”
 
“เพราะงั้นพอผมบล๊อคการติดต่อ พี่ถึงทิ้งผมไปเลยใช่ไหม”
 
“พี่ไม่เคยทิ้งเราไปไหนนะ ตอนนั้นพี่มีเหตุให้เสียความมั่นใจบางอย่าง เลยรู้สึกยังไม่ค่อยพร้อมที่จะกลับไปเจอน้องคุนก็พอดีกับที่เราบล๊อคพี่มา แต่พี่ก็ให้พรรคพวกที่ไทยคอยดูแลติดตามน้องคุนแล้วรายงานพี่ตลอดนะครับ พี่เป็นห่วง”
 
“ผมไม่ชอบเลย ทั้งที่พี่หายไป แล้วก็ให้คนอื่นมาคอยสืบเรื่องของผม ถ้าเป็นห่วงก็มาดูเองสิ”
 
“แน่นอนครับ เปลี่ยนเป็นพี่ถามบ้าง ตอนนั้นที่จะโดนกลุ่มคนร้ายลักพาตัวแถวค่ายมวย น้องคุนสู้กับพวกมันด้วยวิธีไหนครับ ท่าเท้าท่องคลื่นของน้องคุนมันร้ายกาจมากก็จริงแต่คงทำได้แค่หลบหลีก แต่จากที่พี่สืบได้พวกคนร้ายสลบหมดทุกคนเลย
 
“ข้อนี้ขอผ่านครับ”
 
หลี่คุนตอบหน้าตาเฉยก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เริ่มตึงๆ หน้าขึ้นมาเหมือนกัน กำลังภายในเขาไม่ได้สูงส่งมากขนาดจะกำจัดพิษสุราได้ อย่างมากก็ยืดเวลาเมาออกไป แต่จะให้ตอบคำถามนี้คงไม่ได้ ท่าเท้าท่องคลื่นถูกเปิดเผยออกมาจนหมดเปลือกก็แย่แล้ว เป็นตายยังไงเขาก็ไม่ยอมเอ่ยถึงฝ่ามือเมตตาบารมีหรอก
 
“น้องคุนไม่ค่อยตอบคำถามพี่เลย ทีพี่ยังตั้งใจตอบทุกคำถาม”
 
“ก็ผมกินเหล้าเป็นค่าปรับแล้วไง ตาผมถามอีก เห็นมีข้อมูลว่าคนร้ายพวกนั้นส่วนใหญ่โดนมาเฟียล่าจนต้องหนีออกนอกประเทศ ตำรวจก็พูดคล้ายๆ กันเป็นพวกอิทธิพลต่างชาติสั่งเก็บ ฝีมือพี่ใช่ไหมครับ”
 
“ไม่ใช่ครับ พี่คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของแฟนซูกัส เขาคงโมโหมากที่น้องโดนทำร้าย”
 
หลี่คุนอึ้งไปเล็กน้อย ทำไมคนรอบๆ ตัวเขาถึงไม่มีใครธรรมดาเอาเสียเลย เมื่อคิดถึงฝีมือบอดี้การ์ดของแฮ็คส์ที่เขาเคยประมือด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
 
“คำถามต่อไปของพี่ อะไรคือความสุขจริงๆ ของน้องคุนครับ”
 
“ก็เงินสิครับ ถ้ามีเงินเยอะๆ เราก็เอามาซื้อความสุขได้ ยุคนี้ทุกอย่างมีขาย”
 
“พี่ให้โอกาสตอบใหม่ครับ เรื่องเงินไม่นานน้องคุนก็จะมีเยอะแยะแน่ แต่สิ่งที่ทำให้น้องคุนมีความสุขในชีวิตคืออะไร สิ่งที่น้องคุนปรารถนาจะได้มามากที่สุด”
 
หลี่คุนนิ่งคิด วิญญาณเร่ร่อนข้ามชาติภพอย่างเขาจะปรารถนาอะไรได้อีก ย้อนกลับไปเป็นหลี่คุนในยุคราชวงศ์หมิงเหรอ ไม่มีใครรอเขาอยู่ที่นั่น บิดา มารดา สตรีที่รัก ไม่ตายจากกายก็ตายจากใจไปหมดแล้ว คนที่เขาเริ่มผูกพันด้วยอยู่ที่ชาติภพนี้ เพียงแต่เป็นความผูกพันสำหรับคุณานนท์ไม่ใช่หลี่คุน ไม่แน่ว่าความปรารถนาสูงสุดของเขาคือการได้กลายเป็นคุณานนท์อย่างแท้จริง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราเป็นวิญญาณคนละดวงกัน ต่อให้ไม่มีใครรู้แต่ตัวเขาก็รู้
 
“ผมตอบไม่ได้ครับ ขอดื่ม”
 
หลี่คุนยกเหล้าดีกรีแรงขึ้นดื่มจนหมดแก้วแล้วรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที  ดูเหมือนกำลังภายในบุปผาวารีจะยื้อฤทธิ์สุราหลายแก้วก่อนหน้านี้ไว้ไม่ไหวแล้ว
 
“ผมสงสัยอย่างนึง ทำไมพี่ไม่ถามว่าผมได้สูตรยามาจากไหน แล้วก็ที่มาของท่าท่องคลื่นด้วย”
 
“น้องคุนจะมีความลับกับพี่แค่ไหนพี่ก็ไม่ว่าหรอกครับ ขอแค่ไม่ใช่ความลับที่ส่งผลร้ายกับตัวน้องคุนเอง พร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกพี่ ไม่พร้อมก็ไม่ต้องบอก คนเราก็ต้องมีความลับกันบ้าง”
 
“แสดงว่าพี่ยังมีอะไรปิดบังผมอยู่อีก”
 
หลี่คุนถามเสียงอู้อี้ หน้าแดงหูแดงตาปรือ
 
“ฮ่าๆ ก็มีบ้าง ยังจะถามต่ออีกหรอครับ เมาจนตาจะปิดอยู่แล้ว ให้พี่พาเราไปนอนนะ”
 
“ไม่เอา ผมจะถามอีก มาคิดดูตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมา เหมือนผมจะได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว บางเรื่องพี่คอยช่วยอยู่ลับหลัง ไม่คิดจะบอกผมด้วยซ้ำ นักลงทุนอย่างพี่ทำอย่างนี้ได้อะไรเหรอครับ ขนาดผมยังรู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบพี่อยู่”
 
ฟังดูเหมือนการระบายความในใจของคนเมามากกว่าจะเป็นคำถาม
 
“ก็เอาเปรียบไปสิครับ พี่ไม่ติด”
 
“พี่อี้หลง พี่…จีบผมอยู่เหรอครับ”
 
“ใช่ครับ คนดี”
 
จางอี้หลงมองหลี่คุนที่ผลอยหลับไปก่อนจะได้ยินคำตอบสุดท้ายแล้ว แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เขามีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะตอบคำถามนั้น
 
ในที่สุดก็รู้ตัวเสียทีนะ

#############
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 40] 26/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-06-2020 22:25:07
สมเป็นคนไอทีจริงๆนะ อี้หลง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 40] 26/6/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 26-06-2020 23:45:44
บางเรื่องมันก็บอกให้คนอื่นฟังยากจริงๆน่ะแหละ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:18:16
-41-

หลี่คุนตื่นนอนตอนเช้าด้วยความสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอย่างน่าประหลาด รู้สึกเหมือนมีกำลังภายในบริสุทธิ์ไหลเข้าร่างตลอดทั้งคืน สติแจ่มใสไม่มีอาการเมาค้างแม้แต่น้อย
 
“เจ่าซ่างห่าว พี่อี้หลงตื่นนานยังครับ”
 
หลี่คุนทักทายจางอี้หลงที่เดินไปมาในห้องนอนใหญ่ แต่พอเห็นสายตาที่มองกลับมาเขาก็นึกถึงคำพูดเมื่อคืนก่อนที่จะเมาหลับไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆ จนต้องหลบสายตา
 
จางอี้หลงเดินเข้ามาใกล้หลี่คุนที่ยังนอนอยู่บนเตียง
 
“ตื่นก่อนน้องคุนไม่นานครับ เรานอนเล่นไปก่อนได้ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวพี่เข้าไปอาบน้ำก่อน”
 
หลี่คุนเห็นประกายวิบวับอย่างไม่ซ่อนเร้นก็ทราบว่าจางอี้หลงรู้ว่าเขาจำเรื่องเมื่อคืนได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็สลัดความรู้สึกเคอะเขินทิ้งไป แล้วยังไง ก็แค่มีบุรุษมาจีบ จะให้เขาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ราวกับเป็นคุณหนูไร้เดียงสาจนดูโง่งมไม่ได้หรอก อย่างนั้นยิ่งน่าอายกว่าเป็นไหนๆ
 
“วันนี้พี่จะพาไปดูอาณาจักรธุรกิจของพี่ใช่ไหมครับ อยากรู้จังว่าจะมีอะไรบ้าง”
 
“น้องคุณพูดเกินไปอีกแล้ว อาณาจักรอะไรกัน ก็แค่กลุ่มบริษัทเล็กๆ ไม่กี่แห่ง”
 
จางอี้หลงตอบพลางถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดแล้วเอาผ้าเช็ดตัวผืนย่อมมาคล้องคอไว้ หลี่คุนที่ยังนอนอยู่บนเตียงจึงเห็นอี้หลงน้อยที่ไม่เกรงกลัวต่ออากาศเย็นยามเช้าในระดับสายตาพอดี
 
“พี่อี้หลง แก้ผ้าอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปถอดในห้องน้ำ”
 
“น้องคุนจะตกใจทำไม คนจีนอยู่กับเพื่อนผู้ชายก็แบบนี้ ไม่ได้หน้าบางเหมือนคนไทย”
 
“แต่พี่ไม่ได้มองผมเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ”
 
“งั้นยิ่งต้องเชิญชวนให้ดูเข้าไปใหญ่ น้องคุนจับก็จับมาแล้วนะครับ อีกอย่างพี่ก็รับปากไว้แล้วว่าจะไม่ปิดบังอะไรเราอีก”
 
หลี่คุนไร้คำพูดจะโต้ตอบกับบุรุษเช่นนี้ เขาเบือนสายตาจากแท่งหยกของคนหน้าไม่อายแล้วนึกแปลกใจตัวเอง ชาติก่อนเขาก็ออกเดินทางรอนแรมกับพี่น้ององครักษ์เงากลุ่มใหญ่ หากโชคดีเจอลำธารใสสะอาดก็มักจะเปลื้องผ้าลงไปชำระร่างกายพร้อมๆ กัน ชาตินี้การเปลือยกายอาบน้ำของนักมวยในค่ายก็เป็นสิ่งที่เขาเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะยุคใดเขาไม่เคยต้องเขินอายกับเรื่องเช่นนี้ แต่กับจางอี้หลงมันแปลกออกไป เพียงเพราะทราบว่าตนกำลังถูกคนผู้นี้หมายปองอยู่เช่นนั้นหรือ
 
เมื่อทั้งคู่อาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารเช้าง่ายๆ จากร้านค้าละแวกนั้นแล้วจางอี้หลงก็พาหลี่คุนไปยังย่านอาคารสำนักงานด้านไอทีของเซินเจิ้นที่เปรียบเสมือนซิลิกอนวัลเลย์แห่งประเทศจีน ตึกแต่ละตึกมีบริษัทเล็กบริษัทน้อยอยู่มากมายส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพทางด้านเทคโนโลยี จางอี้หลงพาชมธุรกิจหลากหลายที่เขาเป็นเจ้าของหรือร่วมถือหุ้นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นการค้าออนไลน์ การโฆษณาดิจิตอล อุปกรณ์ไฮเทคต้นแบบ บริการด้านไอทีที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน ส่วนใหญ่หลี่คุนก็ดูไปอย่างนั้นเอง เขาไม่ได้มีความเข้าใจลึกซึ้งกับวิทยาการของโลกยุคใหม่เช่นนี้ แต่ยังดีที่มีพวกห้องแลบวิจัยด้านสมุนไพรและยาให้เขารู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
 
หลังจากดูบริษัทที่สิบซึ่งชวนให้หาวนอนไม่ต่างอะไรกับบริษัทก่อนหน้านั้น หลี่คุนก็พูดเปรยๆ ขึ้น
 
“ทำไมบริษัทเยอะจังครับ ยังเหลืออีกเยอะไหม”
 
“เอาเฉพาะที่เซินเจิ้นนี้ก็ยังไม่ถึงครึ่งเลยครับ นี่ขนาดหลายๆ บริษัทที่ซื้อมาพี่ก็ปิดไปเยอะแล้ว”
 
จางอี้หลงเล่าให้ฟังว่าบริษัทสตาร์ทอัพพวกนี้จำนวนมากที่ไปต่อไม่ได้ เขาก็ไปเลือกซื้อมาในราคาถูก แยกเอาสิ่งที่ยังมีประโยชน์ เช่น สิทธิบัตร ผลงานวิจัย หรือข้อมูลลูกค้า ออกมาแล้วปิดบริษัททิ้งไป
 
“บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีแข่งขันกันรุนแรงมาก ในแต่ละตลาดมีแต่จะต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดและทำเงินได้ การเป็นที่สองที่สามแทบจะไม่ได้อะไรเลย พี่ยังอยากขยายการลงทุนไปพวกธุรกิจบันเทิงบ้าง อุตสาหกรรมบันเทิงก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ หากสามารถสร้างคอนเท้นต์ดีๆ ได้ ก็อาจจะได้รับความนิยมไปทั่วโลกและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่รู้จบ ต่อให้ไม่ได้เป็นที่หนึ่งก็ยังทำเงินได้เยอะอยู่ดี แต่ตอนนี้พี่ก็ยังเข้าลงทุนในธุรกิจบันเทิงของจีนไม่ได้เพราะมีนักลงทุนแข่งขันกันสูงมากจริงๆ”
 
พอช่วงบ่ายที่จางอี้หลงพาไปดูบริษัทเกมซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เขาตั้งขึ้นและประสบความสำเร็จจนตอนนี้มีขนาดใหญ่โต หลี่คุนก็รู้สึกทึ่งกับส่วนงานที่วิจัยและพัฒนาเกมต่อสู้และเกมกีฬาที่เน้นความสมจริง
 
เพื่อนคนหนึ่งของจางอี้หลงเป็นผู้ดูแลงานส่วนนี้ เขาเป็นลูกครึ่งจีนอเมริกันที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาการเคลื่อนไหวของมนุษย์และเอามาประยุกต์ใช้กับเกมสมัยใหม่ได้อย่างประสบความสำเร็จและมีแผนจะพัฒนาต่อไปใช้งานด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและการช่วยเหลือการเคลื่อนไหวสำหรับผู้พิการ
 
“คนนี้ใช่ไหม ใช่แน่ๆ ฉันจำรูปร่างเขาได้”
 
เพื่อนของจางอี้หลงเข้ามาทักทายหลี่คุนราวกับรู้จักกันมานาน
 
“ใช่ คนนี้แหล่ะเจ้าของการเคลื่อนไหวต้นแบบของโปรเจ็ค ‘เอ็กซ์แดนซ์’ ที่นายอดหลับอดนอนทำ’
 
หนุ่มหน้าฝรั่งแต่ตาตี่พาหลี่คุนดูห้องปฏิบัติการอย่างภูมิใจ แม้แต่หลี่คุนก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกันการเคลื่อนไหวของมนุษย์ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฝึกวรยุทธ์นัก เขาสนใจเป็นพิเศษกับระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวที่สามารถแปลงท่วงท่าของการเล่นกีฬาการเต้นหรือแม้แต่ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ ให้กลายเป็นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้ นอกจากนั้นระบบวีอาร์หรือเวอร์ชัลเรียลลิตี้ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าไปฝึกท่าทางเหล่านี้ภายใต้การช่วยเหลือของโลกเสมือนจริงก็เป็นอีกอันที่หลี่คุนสนใจ
 
“การเคลื่อนไหวพวกนั้น น้องชายทำได้จริงๆ หรือ คอมพิวเตอร์ของเราสามารถถอดรูปแบบการเคลื่อนไหวและปรับปรุงมันได้ก็จริง แต่พอเอาไปให้นักกีฬาเก่งๆ หรือแม้แต่อาจารย์ด้านศิลปะป้องกันตัว ก็ไม่มีใครทำตามได้ จนเราคิดว่ามันเป็นผลงานที่ผิดพลาด ถึงเรามีตัวที่พัฒนาบนคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ก็ไม่กล้าให้อี้หลงไป”
 
“ไหนขอผมดูหน่อยสิครับ”
 
หลี่คุนนับถือความทุ่มเทของชายคนนี้อยู่แล้ว เขาจึงอยากรู้ว่าของใหม่มันจะดีกว่าเดิมยังไง หลี่คุนดูผังตำแหน่งท่าเท้าใหม่จากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วรู้สึกว่ามันแก้ปัญหาที่เขาเคยติดอยู่ได้หลายอย่าง เขาจินตนาการตำแหน่งท่าเท้าพวกนั้นในใจแล้วก็ร่ายรำออกมาต่อหน้าจางอี้หลงและเพื่อนทันที หลี่คุนเห็นความจริงใจของจางอี้หลงที่เปิดเผยทุกอย่างออกมาเมื่อคืน จึงไม่ปิดบังในสิ่งที่ไม่สามารถสาวต่อไปยังความลับของเขาโดยตรงอีกต่อไป
 
“ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว การเคลื่อนไหวนี่มันอะไรกัน”
 
หนุ่มลูกครึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหวร้องชมไม่ขาดปากเมื่อเห็นท่วงท่าที่พลิกพริ้วจนขัดกับสามัญสำนึกของคนธรรมดา จนเมื่อหลี่คุนร่ายรำจนจบกระบวนท่า จางอี้หลงจึงได้เสนอขึ้นมา
 
“ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมากจริงๆ นะน้องคุน เพื่อเป็นที่ระลึกในการทำงานร่วมกันครั้งนี้ พี่ขอตั้งชื่อกระบวนท่านี้ว่า ‘ท่าเท้าท่องคลื่นสองจุดศูนย์บีพรีเมียมเอดิชั่นไฟนอลรีลีส’ น้องคุนจะว่ายังไงครับ”
 
หลี่คุนทำเป็นไม่ได้ยิน เขาชอบท่าเท้าที่ปรับปรุงใหม่มาก แต่ชื่อน่าเกลียดแบบนี้ อย่าได้เอ่ยถึงเป็นครั้งที่สองจะประเสริฐกว่า
 
…………………………
 
จอมกับเด่นพยายามทำทุกอย่างให้ค่ายมวยเพื่อชดใช้ความผิดอย่างเต็มที่ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานที่คนอื่นรังเกียจอย่างงานล้างห้องน้ำหรือซักผ้าให้ลูกศิษย์วีไอพี ขณะเดียวกันก็รักษาวินัยการฝึกซ้อมไม่เคยขาดถึงแม้ความหวังที่จะได้ขึ้นชกนั้นริบหรี่เหลือเกิน นักมวยส่วนใหญ่ในค่ายก็ค่อยๆ ให้อภัยและกลับมาสู้ร่วมกันเหมือนเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ถอดใจและเริ่มถอนตัวไปอยู่ค่ายคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ในตอนนี้ค่ายจะมีเงินเลี้ยงดูนักมวยให้กินอิ่มนอนหลับ แต่ถ้าไม่ได้ขึ้นชกก็เท่ากับไม่มีทางไปถึงความฝัน
 
จอมกับเด่นได้รับมอบหมายจากหลี่คุนให้โพสต์รูปและคลิปที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ลงในแอคเคาท์โซเชียลที่สร้างขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่เข้าใจแน่ชัดว่าทำไปเพราะอะไรแต่ก็ตั้งใจกันเต็มร้อย แรกๆ จอมจะเน้นไปเรื่องวิธีการต่างๆ ที่เขาใช้สร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ส่วนเด่นจะชอบเล่าเรื่องเทคนิคการฝึกมวยไทย พวกเขาโพสต์ด้วยกันบ้างแยกกันบ้างจนคนติดตามที่เริ่มมีบ้างรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ต่อมาไม่ค่อยมีเรื่องจะเล่าก็โพสต์เรื่องการใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ เพื่อนของซูกัสจะคอยเข้าไปดูแล้วแปลข้อความที่ลงหรือใส่คำบรรยายคลิปเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้คนต่างชาติเข้าใจได้
 
คลิปและโพสต์ที่ทั้งคู่ลงเป็นเรื่องเรียบง่ายของวัยรุ่นไทยสู้ชีวิตบ้านๆ แต่ก็มีเสน่ห์ในความซื่อไม่ปรุงแต่ง เรื่องธรรมดาของคนไทยหลายอย่างกลับน่าสนใจในสายตาของคนต่างชาติ หน้าตาของทั้งคู่อยู่ในระดับที่ถูกทาบทามไปถ่ายแบบนู้ดมาแล้วเรียกว่าดูได้ทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างแบบนักมวยที่ผ่านการฝึกอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จอมหรือเด่นทำ เช่นการวิ่งเป็นกิโลๆ ไปตลาดเพื่อซื้อหมูปิ้งข้าวเหนียวมาแบ่งกินกันคนละไม้ก็เรียกคอมเม้นท์มากมายว่ามันคืออะไร
 
‘อาหารเสียบไม้นั้นดูน่าอร่อยมาก มันคืออะไร เผ็ดหรือเปล่า’
 
‘มันคือหมูปิ้ง หรือบาบีคิวพอร์คแบบไทย รสชาติออกหวานไม่เผ็ดเลย คนไทยชอบทานมาก มีขายริมทางทั่วไป’
 
‘ฉันดีใจที่อาหารไทยมีอะไรที่ไม่เผ็ดด้วย ฉันทานเผ็ดไม่ได้ และสิ่งนั้นดูดีมาก ถ้าฉันได้ไปประเทศไทยฉันจะลองมัน’
 
‘จอมกับเด่นดูมีความสุขนะที่ได้ทานมัน เหมือนกับเป็นอาหารพิเศษของพวกเขา สตรีทฟู้ดของไทยมีเสน่ห์จริงๆ’
 
‘ทำไมถึงซื้อมาทานแค่คนละไม้ มันแพงมากเหรอ ไม้นึงมันเล็กนิดเดียว จอมกับเด่นจะอิ่มเหรอ ฉันเป็นห่วงพวกเขาจริงๆ’
 
‘ที่ประเทศฉันก็มีอาหารที่คล้ายๆ แบบนี้ พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อมันมาทานพร้อมกับดูคลิปนี้ไปด้วย’
 
คนเข้ามาติดตามดูขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นฐานแฟนคลับขึ้นมา จอมกับเด่นโพสต์เกือบจะทุกวันจนไม่รู้จะลงอะไรใหม่ คลิปสอนล้างห้องน้ำ คลิปกินข้าว คลิปรดน้ำต้นไม้ คลิปวิ่งริมแม่น้ำ คลิปตักบาตรไปวัด คราวนี้แม้แต่การบ้านที่โรงเรียนก็ยังเอามาโพสต์ขอให้แฟนคลับช่วยสอน ทุกคนตามติดชีวิตที่แสนจะไม่มีอะไรของสองนักมวยเหมือนดูหมีแพนด้าในรายการเรียลลีตี้เมื่อหลายปีก่อน จอมกับเด่นตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษกับเควินฝรั่งวัยรุ่นที่ครูดินรับเข้ามาเป็นศิษย์ในจนเริ่มอัดคลิปเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ ได้บ้าง แม้จะกะท่อนกะแท่นอยู่มากแต่ก็ดูออกถึงความพยายามเรียกเสียงเอ็นดูจากแฟนคลับอินเตอร์ไม่น้อย ยิ่งทั้งคู่โพสต์เกือบทุกวันก็ยิ่งได้ฝึกฝนภาษาไปในตัว บางครั้งที่อยากเล่าเรื่องที่ซับซ้อนขึ้นก็ใช้วิธีพูดเป็นภาษาไทย แล้วให้เควินที่รู้ภาษาไทยพอใช้มาเล่าต่อเป็นภาษาอังกฤษให้ เมื่อเห็นแขกรับเชิญตาฟ้าผมบลอนด์คนนี้ แฟนคลับก็รู้ว่าสองหนุ่มไทยที่เรียนโรงเรียนวัดติดสำเนียงบริติชมาจากไหน
 
‘ฉันชอบที่จอมกับเด่นพยายามพูดภาษาอังกฤษ ฉันจะเป็นกำลังใจให้พวกเขา’
 
‘ฉันลุ้นไปกับพวกเขาจริงๆ ฉันคิดว่าเด่นพูดเก่งกว่าจอมอยู่นิดหน่อยนะ’
 
‘เควินก็เป็นนักมวยเหรอ มันดูแปลกที่มีนักมวยไทยหน้าตาเป็นชาวตะวันตกขนาดนี้’
 
สองหนุ่มนักมวยรากหญ้าสร้างกระแสในสังคมชาวเน็ตอย่างเงียบๆ แต่ตัวเลขผู้ติดตามน่าตกใจไม่น้อย สังเกตจากคอมเม้นท์แล้วเป็นชาวต่างชาติเกือบทั้งหมด นอกนั้นยังมีกระแสคู่จิ้นของนักมวยทั้งสองที่ส่งให้ความนิยมในตัวสองหนุ่มเพิ่มขึ้นทั้งที่เป็นแค่เพื่อนสนิทกันธรรมดาที่ผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตมาด้วยกัน
 
หลังจากกลับมาจากจีน หลี่คุนก็ได้รับรายงานจากพวกซูเอ๋อร์ว่าจอมกับเด่นได้รับการตอบรับดีกว่าที่คาดจึงได้ต่อยอดความนิยมตรงนี้ทันที เขาปรึกษากับพรรคพวกดารานายแบบที่เคยช่วยขายขี้ผึ้งให้ตอนเริ่มธุรกิจแล้วพบว่ากระแสในแวดวงบันเทิงตอนนี้ที่กำลังมาแรงคือซีรีส์วาย ละครที่ตัวเอกเป็นผู้ชายทั้งคู่ของไทยกำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ด้วยความที่สังคมยังไม่เปิดกว้างเต็มที่ทำให้ซีรีส์หลายเรื่องที่ฟอร์มไม่ใหญ่มากยังขาดสปอนเซอร์อยู่
 
พวกเขาใช้เส้นสายช่วยกันหาจนเจอละครเรื่องหนึ่งจากสดูดิโอเล็กๆ ถ่ายทำเกือบเสร็จใกล้จะออนแอร์แล้วแต่ยังไม่มีโฆษณารายใหญ่เข้า เมื่อไปพูดคุยแล้วก็พบว่าบทดีนักแสดงมีฝีมือแม้จะเป็นหน้าใหม่ หลี่คุนไม่ได้สนใจว่าเป็นซีรีส์วายหรืออะไร แต่เชื่อที่พรรคพวกดารานายแบบบอกว่าค่าสปอนเซอร์ไม่แพงและผู้จัดละครคุยง่าย หลี่คุนสั่งการให้ไฮโซบรูคเอาขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮามาขอเป็นสปอนเซอร์หลักของซีรีย์เรื่องนี้แลกกับการเพิ่มบทขึ้นมาสำหรับจอมและเด่น ผู้จัดละครรับข้อเสนอนี้ทันทีอย่างไม่ต้องคิดมาก แค่นัดกองถ่ายและคนเขียนบทมาถ่ายทำฉากเพิ่มสองสามฉากวันเดียวก็เสร็จแต่ได้เครื่องสำอางที่กำลังดังมาเป็นสปอนเซอร์แบบนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
 
กลุ่มดารานายแบบที่ช่วยประสานงานตั้งแต่ต้นพาหลี่คุนมาที่กองถ่ายนัดพิเศษของ ‘นิโคติน เดอะซีรีส์’ เพื่อยืนยันบทที่แก้ไขและดูการถ่ายทำ ซูกัสก็ตามมาดูด้วยเพราะนึกสนุก นอกนั้นก็มีไฮโซบรูคในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์สปอนเซอร์โดยมีแบงค์น้องชายพ่วงมาด้วย คนในกองถ่ายตั้งแต่ผู้จัดละครผู้กำกับไปถึงคนเขียนบทกรีดร้องในใจเมื่อเห็นหน้าตาของแต่ละคนในคณะสปอนเซ่อร์ ไม่ว่าจะใครก็งานดีไปหมดโดยเฉพาะซูกัส หลี่คุน และบรูค ครบเครื่องทั้งรุ่นเล็กกลางใหญ่ เห็นแล้วอยากอันเชิญทั้งคณะมาแสดงซีรีส์วายสักเรื่อง คนเขียนบทหัวเล่นคิดพล็อตเรื่องได้เป็นสิบๆ ฉากเพียงแค่มองหน้าคนกลุ่มนี้ ด้วยเหตุนี้คำขอของหลี่คุนจึงได้รับการตอบรับจากกองถ่ายเป็นอย่างดีด้วยหวังจะสร้างสัมพันธ์ในอนาคต
 
ผู้จัดละครสาววัยสามสิบเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาคุยกับหลี่คุน นอกจากไฮโซรูปหล่อเจ้าของแบรนด์สินค้าแล้วเธอก็ไม่ทราบว่าใครเป็นใครในคณะสปอนเซอร์ที่มากันมากมายหลายคนนี้ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้จะมีบทบาทในการกำหนดฉากที่ถ่ายทำเพิ่มมากที่สุด
 
“คุณคุณานนท์เห็นเบื้องหลังการถ่ายทำแล้วรู้สึกยังไงคะ ชอบหรือเปล่า”
 
เธอลอบมองหลี่คุนอย่างชื่นชม หน้าเนียนใสอะไรขนาดนี้ ดูใกล้ๆ ยังมองไม่เห็นรูขุมขนสักนิด อยากรู้จริงๆ ว่าเหงื่อออกทางไหน พอเธอนึกภาพหลี่คุนทำอะไรสักอย่างจนเหงื่อซึมก็เขินจนหน้าแดง ถ้าได้เล่นละครวายๆ สักเรื่องจะชวนจิ้นขนาดไหน
 
“ก็แปลกใหม่นะครับ ผมเคยแต่ร่วมเล่นละครเวทีของคณะ พอมาเห็นกองถ่ายจริง หลายๆ อย่างก็ดูน่าสนใจดี”
 
“อุ้ย อย่างนี้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะพอมีโอกาสร่วมงานกันบ้างไหมคะ ทางเราเองก็กำลังดูโปรเจ็คต่อไปอยู่”
 
หน้าตาอย่างนี้จะให้เธอปล่อยไปได้ไง เวลานิ่งๆ ก็ดูองอาจมีราศีน่าเกรงขามเหมือนท่านชาย แต่พอยิ้มเท่านั้นแหละความน้องมาเต็มจนใจเหลวไปหมด นี่มันตัวเอกวายในฝันชัดๆ จับคู่กับนักแสดงตัวเล็กๆ หน่อยออร่าพระเอกคงพุ่งปรี๊ด แต่ถ้าไปแสดงกับคนตัวสูงใหญ่น่าจะออกแนวนายเอกที่ฟาดฟันกับพระเอกได้แบบสมน้ำสมเนื้อ
 
“สนใจสิครับ สนใจมากๆ เลย ผมอยากถามเหมือนกันตั้งแต่แรกแล้วว่าพอมีโอกาสไหม แต่เจอกันแป๊บๆ ดูจะเสียมรรยาทไปหน่อย”
 
ผู้จัดสาวได้ฟังก็ตื่นเต้นแทบร้องกรี๊ด ที่แท้ก็คิดตรงกัน ไม่นึกว่างานดีระดับเพชรยอดมงกุฎแบบนี้ก็สนใจแสดงซีรีส์วายด้วย ไม่รู้ว่าทักษะการแสดงของน้องเป็นยังไง แต่ต่อให้เล่นออกมาแข็งทื่อเป็นตอไม้ เธอก็จะปรับบทให้เข้ากันเอง เป็นเจ้าชายเย็นชาหรือแวมไพร์ชาเย็นอะไรก็ว่าไป
 
“งั้นคุณคุณานนท์ว่างวันไหนเรานัดคุยเรื่องสัญญากันเลยดีไหมคะ ยิ่งเร็วยิ่งดี เราเป็นสตูดิโอเล็กๆ รับรองว่าไม่เรื่องมากค่ะ”
 
“ทำไมต้องรอวันหลังด้วยล่ะครับ ผมต้องอยู่ดูการถ่ายทำอีกนาน เดี๋ยวผมโทรตามนักกฎหมายที่บริษัทให้เขาร่างสัญญามา ถ่ายเสร็จเราก็คุยต่อให้จบวันนี้เลย”
 
ผู้จัดสาวดีใจเหมือนเห็นคู่จิ้นที่ติดตามอยู่มาจูบกันตรงหน้า รีบไปกำชับกองถ่ายให้ทำตามที่หลี่คุนบอกทุกอย่างเพื่อที่งานจะได้เสร็จเร็วๆ แล้วเธอจะได้สัญญามากอดไว้กับตัว
 
บทที่เพิ่มขึ้นมาในซีรีส์นิโคตินจะเป็นตอนที่พระเอกซึ่งเป็นคนที่คิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนที่ตัวเองชอบ จากเดิมที่พระเอกแค่ขอให้เพื่อนช่วยชกหน้าตัวเอง ในบทใหม่จะปรับให้พระเอกไปที่ชมรมชกมวยของมหาลัยเพื่อขอขึ้นซ้อมกับนักชกมือดีจนหน้าปูดตาเขียว จอมกับเด่นเล่นเป็นตัวประกอบนักมวยในชมรมที่กำลังซ้อมกันอยู่ดีๆ ก็มีรุ่นพี่แปลกๆ มาขอขึ้นชกด้วย บทนี้ไม่ต้องใช้ความสามารถทางการแสดงใดๆ เหมือนเล่นเป็นตัวเอง สองคนแค่ถ่ายฉากที่ซ้อมมวยกันอย่างดุเดือด ก่อนที่จะทำท่าซื่อๆ งงๆ ที่จู่ๆ ก็มีคนมาขอให้ชกหน้าตัวเอง จอมกับเด่นแสดงท่าทางเด๋อด๋าแปลกใจกับรุ่นพี่ประหลาดๆ อย่างพระเอกได้สมจริงไม่น้อย นี่ไม่ใช่เพราะตีบทแตก แต่เพราะทั้งคู่มึนจริงๆ กับการถ่ายละครในกองถ่ายครั้งแรก
 
ค่ำวันนั้นผู้จัดละครสาวก็ได้สัญญามากอดไว้จริงๆ ไม่ใช่สัญญานักแสดงของหลี่คุน แต่เป็นสัญญาที่ระบุว่าหลี่คุนได้ร่วมลงทุนและจะได้รับส่วนแบ่งห้าเปอร์เซ็นต์ของผลประโยชน์จากละครเรื่องนี้ รวมทั้งมีสิทธิร่วมลงทุนในโครงการต่อไปของสตูดิโอ เธอมองเช็คเงินลงทุนในมืออย่างงงงวย ถึงเงินก้อนนี้จะช่วยเพิ่มงบประชาสัมพันธ์ให้กับซีรีส์ที่กำลังจะฉายได้มาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดไว้ ทำไมเธอถึงปฏิเสธไม่ออกนะ เพราะแววตาคมกล้าแฝงแววดอกท้อคู่นั้นเหรอ หรือจะเป็นปากแดงฟันขาวที่เจรจาได้อย่างพลิกพริ้ว นี่ยังไม่ได้พูดถึงจมูกได้รูปเป็นสัน คิ้วกระบี่องอาจ ผิวขาวเนียนเหมือนหยกสลัก รวมๆ คือความผิดของใบหน้าที่หล่อเหลางดงามล่อลวงผู้คน
 
หลี่คุนรู้สึกว่าตัวเองนำหน้าจางอี้หลงขึ้นมานิดหน่อย หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมกิจการของจางอี้หลงที่จีนแล้วเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่มากๆ ที่เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น เขาเห็นแล้วก็อยากเป็นนักลงทุนเช่นกัน คอยเฟ้นหากิจการที่ดูมีอนาคตน่าสนใจ ซื้อหุ้นหรือร่วมทุนแล้วอัดฉีดเงินเข้าไป ดูแลออกความคิดในช่วงต้นจนกิจการเติบโต หลังจากนั้นก็นอนรับผลตอบแทนไม่ต้องลงมือทำเอง แต่เขาไม่ได้มีความเข้าใจในวิทยาการของยุคนี้ที่จะลงทุนในธุรกิจไฮเทคอย่างจางอี้หลง โชคดีที่ได้แนวคิดจากจางอี้หลงว่า นอกจากพวกบริษัทด้านเทคโนโลยีแล้วอุตสาหกรรมบันเทิงก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ หากสามารถสร้างคอนเท้นต์ดีๆ ได้ ก็อาจจะได้รับความนิยมไปทั่วโลกและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่รู้จบ แต่ขนาดจางอี้หลงเองก็ยังไม่สามารถเข้าลงทุนในธุรกิจบันเทิงของจีนได้เพราะมีนักลงทุนแข่งขันกันสูงมาก
 
ทีมงานนิโคตินเดอะซีรีส์ใช้เวลาตัดต่อเพิ่มเติมไม่นานละครก็พร้อมออนแอร์ตอนแรก ฉากของจอมและเด่นอยู่ในตอนที่สี่ เมื่อถึงตอนที่ทั้งคู่ได้ปรากฏตัวสั้นๆ ในฉากชมรมมวย ซีรีส์นอกกระแสเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างเกินคาดไปก่อนหน้าแล้ว มีคนจำจอมกับเด่นที่เล่นเป็นตัวประกอบในเรื่องนี้ได้จึงแชร์ต่อๆ กันไป ความดังของซีรีส์กับฐานแฟนคลับเดิมของจอมกับเด่นที่ช่วยกันสร้างกระแส ทำให้ตัวตนของทั้งคู่เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นอย่างน่าตกใจ
 
แต่โชคร้ายที่เมื่อเริ่มติดเทรนด์โซเชียล ก็มีคนไปขุดคุ้ยอดีตของนักมวยทั้งสองตามประสาคนไทยที่ชอบใส่ใจเรื่องของคนอื่น ในที่สุดเรื่องที่จอมกับเด่นเคยถ่ายหนังสืออนาจารก็ถูกลากขึ้นมาประจาน รูปนู้ดในธีมมวยไทยของทั้งคู่ที่เคยกระจายแค่ในแวดวงเฉพาะก็ถูกนำมาเป็นหลักฐานเผยแพร่ไปทั่ว คอมเมนท์วิพากษ์วิจารณ์ด่าทอว่าทำตัวไม่เหมาะสมสิ้นคิดไร้ศักดิ์ศรีผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการมวยยิ่งออกมาประนามและกดดันค่าย ศ.เผด็จศึกมากขึ้นที่ทำให้ภาพลักษณ์มวยไทยแปดเปื้อน ดราม่าที่ถกกันในกลุ่มคนไทยเริ่มกระจายออกไปในกลุ่มโซเชียลต่างชาติทำให้การถกเถียงความเห็นต่างทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดก็เกิดดราม่าซ้อนดราม่าเรียกความสนใจไปทั่วจนกลายเป็นหัวข้อไวรัลอันร้อนแรง
 
จอมกับเด่นรู้สึกแย่มากที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตนี้ขึ้น เขาไม่ได้เสียใจที่ถูกใครก็ไม่รู้มานั่งด่าหลังคีย์บอร์ดทั้งที่พวกเขาไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น แต่ผิดหวังที่หลี่คุนอุตส่าห์ตั้งใจจะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ให้กับพวกเขาเพื่อช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของค่ายให้กลับคืนมา ไม่คิดว่าความผิดพลาดในอดีตจะทำให้ความพยายามนี้ต้องพังลง

#####
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:19:35
-42-

กระแสดราม่านี้ดึงดูดความสนใจให้ชาวเน็ตมากมายเข้ามาดู พอรู้เรื่องก็ตามไปสนใจเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเรื่องของค่ายมวย ศ.เผด็จ ที่ถูกแบน หรือตัวซีรีส์ที่กำลังออนแอร์ พอเข้าไปดูซีรีส์ก็ติดกันงอมแงมแชร์ต่อให้เพื่อนเข้ามาดู คนใหม่ๆ ที่เข้ามาดูซีรีส์ก็กลับไปสนใจดราม่านักแสดงตัวประกอบ ซีรีส์ทำให้คนสนใจดราม่า ดราม่าเพิ่มยอดคนดูซีรีส์ เป็นอย่างนี้วนเวียนทวีคูณเพิ่มผู้ติดตามไปเรื่อยๆ จนซีรีส์มียอดผู้ชมสูงอย่างที่ไม่เคยมีละครวายค่ายเล็กเรื่องไหนประสบความสำเร็จอย่างนี้มาก่อน
 
ในขณะที่ดราม่ากำลังพีคถึงขีดสุด แอคเคาท์โซเชียลของจอมและเด่นก็มีการโพสต์คลิปที่ถ่ายจากบ้านเกิดของแต่ละคนที่หลี่คุนให้กลับไปเยี่ยมได้เป็นกรณีพิเศษ ครอบครัวของจอมมีกันแค่สองคนกับยายที่เคยป่วยหนัก หลังจากได้เงินที่ได้จากการถ่ายนู้ดไปผ่าตัดใหญ่ในครั้งนั้นอาการก็ดีขึ้นมากแต่ยังต้องระวังสุขภาพอยู่ คลิปนี้ถ่ายอย่างง่ายๆ จากโทรศัพท์มือถือของจอมแต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันของยายหลานได้เป็นอย่างดี ยายถามจอมว่าความฝันที่จะได้เป็นนักมวยมีชื่อเสียงไปถึงไหนแล้ว จอมตอบเพียงว่ายังอีกไกล ยายได้แต่ให้ศีลให้พรและบอกให้จอมตั้งใจฝึกซ้อมต่อไปรวมทั้งต้องกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และค่ายมวยที่ให้โอกาส คลิปที่จอมอัดได้ถ่ายทอดสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากของเด็กยากจนในชนบทแต่ก็เรียบง่ายบริสุทธิ์และกลมกลืนกับธรรมชาติ จอมเล่าผ่านกล้องในตอนท้ายว่ายายเป็นคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก ถ้าเพื่อยายเขาทำได้ทุกอย่างแม้จะต้องขายศักดิ์ศรีตัวเองก็ตาม
 
‘สงสารจอมนะ อยากให้กลับไปขึ้นชกได้ไวๆ’
 
‘นี่คือบ้านจอมเหรอ โอเอ็มจี ฉันไม่คิดว่ามันจะเล็กและดูบอบบางอย่างนี้ ตอนวินเทอร์ถ้าหิมะตกจะอยู่กันยังไง’
 
‘เมืองไทยไม่มีหิมะนะ’
 
‘จอมมีความจำเป็นอย่างนี้นี่เอง ก็คุณยายของเขาป่วยนะ จะให้ทำยังไง’
 
บ้านที่ต่างจังหวัดของเด่นมีคนเยอะกว่าของจอมมากแต่ก็ยากจนไม่ต่างกัน มีญาติพี่น้องที่อาศัยที่ดินของครอบครัวช่วยกันทำนาเลี้ยงชีวิตอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ด้วยปัญหาราคาข้าวตกต่ำต่อเนื่องกันมาหลายปีและภัยแล้งที่ซ้ำเติมทำให้ที่ทำกินของบรรพบุรุษเกือบหลุดจำนอง ญาติพี่น้องทุกคนช่วยกันสุดชีวิตแทบจะขายสมบัติหมดทั้งบ้านเพื่อที่จะรักษาที่ดินผืนนี้ไว้ เงินที่ได้จากการขายศักดิ์ศรีของเด่นมีส่วนช่วยให้ครอบครัวผ่านวิกฤตินั้นมาได้ เด่นพาชมที่ดินเขียวขจีจากต้นกล้าที่คนทั้งครอบครัวร่วมใจปลูกผ่านกล้อง มันทั้งสวยงามทั้งสะท้อนความลำบากของชาวนาออกมาได้โดยไม่ต้องมีคำบรรยาย
 
‘ชกมวยไทยนี่ได้เงินมากไหม ถ้าเด่นได้ขึ้นชกและเป็นแชมป์เขาจะกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาหรือเปล่า ฉันอยากให้เด่นสร้างบ้านหลังใหม่ คนเยอะขนาดนี้เขาควรมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้’
 
‘อยากให้คนที่ว่าเด่นได้เข้ามาดู พวกที่บอกว่าทำไมไม่พยายามหาวิธีอื่น ถ้าทำได้คงทำไปแล้ว หรือจะให้ขายไต?’
 
‘ฉันชอบข้าวหอมๆ จากประเทศไทยมาก ไม่นึกว่าชาวนาไทยจะลำบากขนาดนี้ นักมวยก็เหมือนกัน เด่นซ้อมหนักมากทุกวัน เขาควรจะได้พิสูจน์ตัวเองบนเวที’
 
คลิปเรียบง่ายที่จอมและเด่นโพสต์เปิดเผยเรื่องราวสู่สายตาชาวโลกอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาไม่ได้พยายามแก้ตัว ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ได้โอดครวญว่าชีวิตลำบากแค่ไหน ทั้งคู่แค่ถ่ายทอดชีวิตตัวเองออกมาอย่างที่เป็น ใครจะเห็นอะไรในนั้นก็สุดที่จะมอง มันได้เปิดมุมมองของคนจำนวนมหาศาลที่กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่ ความจริงที่ว่าคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน มีบางคนที่ได้รับโอกาสน้อยกว่าคนอื่น มีหลายคนไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตมากนัก ใครกันที่จะมีสิทธิ์ทำลายอนาคตของคนๆ หนึ่งโดยใช้การกระทำเพียงครั้งเดียวของเขามาตัดสิน
 
กระแสตอนที่เกิดเรื่องรุนแรงและรวดเร็วขนาดไหนตอนที่พลิกกลับก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แฮชแทก #saveจอมเด่น ถูกตั้งขึ้นและมีคนร่วมสนับสนุนอย่างมหาศาลจนติดเทรนด์โซเชียลทั่วโลกอยู่หลายวัน นักแสดงในซีรีส์นิโคตินที่สองคนไปเล่นเป็นตัวประกอบทยอยกันออกมาให้กำลังใจผ่านสื่อโซเชียล คนที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนตอนนี้ก็ได้ทราบกันโดยถ้วนหน้า คนต่างชาติเห็นแฮชแท็กภาษาแปลกๆ มาติดเทรนด์ประเทศตัวเองก็แปลกใจ ในที่สุดก็มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติเข้ามาออกความเห็นเต็มไปหมด
 
‘ก็รู้นะว่ามวยไทยเป็นศิลปะการป้องกันตัวเก่าแก่ แต่ไม่เห็นจำเป็นว่าคนในวงการจะต้องคร่ำครึหัวโบราณไปด้วยนี่ #saveจอมเด่น’
 
‘ผมเป็นนักมวยเก่า ถึงจะไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่แรก แต่อยากบอกว่าชีวิตนักมวยไทยลำบากมาก ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเป้าหมายชีวิตของหลายๆ คนที่จะพาให้ครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจน การทำลายความฝันของเด็กสองคนนั้นด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้มันโหดร้ายเกินไป #saveจอมเด่น’
 
‘ในฐานะคนต่างชาติที่ชื่นชมมวยไทย ฉันผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ #saveจอมเด่น’
 
‘ถ้าเราปล่อยให้เรื่องนี้ทำลายอนาคตของน้องๆ ต่อไปใครจะยอมถ่ายนู้ดให้เราดูอีก เก้งกวางบ่างชะนี ช่วยกันปั่นแท็กนี้ค่ะ  #saveจอมเด่น’
 
‘ฮือ สงสารน้องนักมวย อยากวอนให้ผู้มีอำนาจลงมาช่วยดูแลด้วยค่ะ #saveจอมเด่น #nicotinetheseries’
 
‘ฉันมาจากประเทศในเซ้าท์อีสท์เอเชียเหมือนกัน ในประเทศฉันก็มีเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ ฉันเคยคิดว่าประเทศไทยเปิดกว้าง แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างกันนัก #saveจอมเด่น’
 
‘ไม่รู้เราคิดต่างจากคนอื่นหรือเปล่านะ แต่ถ้าวงการมวยจะกีดกันคนเพราะเรื่องแบบนี้ เราก็อยากให้น้องทั้งสองเปลี่ยนเป้าหมายไปเลย อะไรที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนก็ปล่อยให้เสื่อมไปกับกาลเวลาเถอะ จอมกับเด่นควรไปหาอย่างอื่นทำตั้งแต่ตอนที่ยังไม่สาย เห็นเล่นเป็นตัวประกอบในซีรีส์ก็น่ารักดี ไม่แน่ว่ามาทางสายบันเทิงอาจจะรุ่งก็ได้นะ #saveจอมเด่น #nicotinetheseries’’
 
‘ตามมาจากซีรีส์นิโคตินนะคะ ไม่รู้ว่าดราม่าอะไรกัน แต่ก็ขอเป็นกำลังให้ทุกคนเลย #saveจอมเด่น #nicotinetheseries’
 
‘ถ้าเป็นที่ประเทศฉันคงโดนฟ้องทั้งวงการแล้ว #saveจอมเด่น’
 
‘ก็แค่ถ่ายรูปโป๊ อวัยวะส่วนตัวของเขา คนอื่นก็ทำกันเกลื่อนเน็ต ไม่ได้ฆ่าใครตาย #saveจอมเด่น’
 
‘เห็นคนประเทศนี้ชอบพูดกันว่า คนไทยแปลว่าอิสระ แล้วนี่มันอะไร ล้าหลัง #saveจอมเด่น’
 
‘ทำไมประเทศไทยถึงมีเรื่องแบบนี้ มีสิทธ์อะไรไปห้ามไม่ให้พวกเขาขึ้นชก แล้วยังลามไปถึงค่ายมวยต้นสังกัดด้วย มันมีกฎหมายรองรับด้วยเหรอ หรือเป็นกฎหมู่ #saveจอมเด่น’
 
ไม่มีใครคิดว่าเรื่องเล็กๆ ในวงการมวยไทยจะลุกลามใหญ่โตขึ้นมาจนกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาคนต่างชาติ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงกับเต้นผางเมื่อตกเป็นเป้าและโดนโจมตีถึงความใจแคบในวงการ สื่อมวลชนเริ่มทำข่าวนี้ในแง่มุมต่างๆ การกีฬาแห่งประเทศไทยให้เจ้าหน้าที่มาสอบถามสมาคมมวยไทยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนบ่ายเบี่ยงว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่มีใครอยากออกตัวปะทะกับกระแสสังคมระดับโลกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ร่วมมือกันคนละนิดละหน่อยใช้เหตุนี้สะกัดดาวรุ่งค่ายมวย ศ.เผด็จศึก เพื่อกำจัดคู่แข่งและแย่งตัวนักมวย
 
โปรโมเตอร์มวยที่อ่านทิศทางลมออกรีบติดต่อ ค่าย ศ.เผด็จศึก เพื่อจัดคิวขึ้นชกให้นักมวยของค่าย แม้แต่ค่าตัวก็เพิ่มให้มากกว่าอัตราปกติ โปรโมเตอร์อื่นก็รีบตามมาเป็นทิวแถว ครูดินเลือกร่วมงานกับโปรโมเตอร์ที่ดูจริงใจมากที่สุดสามสี่ราย ในเวลาไม่นานนักมวยตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนรุ่นใหญ่ของค่ายก็มีกำหนดการขึ้นชกกันคนละหลายเวทีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนแม้ในยามที่ค่ายยังรุ่งเรืองอยู่ ยิ่งมีประกาศออกมาว่าทางค่ายจะไม่หักค่าตัวนักมวยเพราะมีรายได้จากทางอื่นมากพอแล้ว แต่ละคนที่อัดอั้นจากการไม่ได้ขึ้นสังเวียนมานานก็ยิ่งฮึกเหิม การฝึกซ้อมอย่างหนักและการแช่สมุนไพรในช่วงที่ผ่านมาทำให้ร่างกายสมบูรณ์ถึงขีดสุด โอกาสครั้งใหม่นี้มีจุดพลิกผันมาจากแฮชแทก #saveจอมเด่น เพียงแฮชแทกเดียว
 
จอมกับเด่นขึ้นชกในวันเดียวกันท่ามกลางกองเชียร์กลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกันมากมายสร้างความคึกคักให้กับสนามมวยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งป้ายไฟทั้งเสียงเชียร์จากกลุ่มวัยรุ่นที่ปกติจะไม่ค่อยพบเห็นมากนักตามเวทีมวยทำให้กำลังใจของทั้งคู่พุ่งทะยาน กองเชียร์ที่เป็นชาวต่างชาติก็มีไม่น้อย กลุ่มนี้มาจากการรวมตัวกันแบบนานาชาติทางอินเตอร์เน็ตเพื่อจัดทริปเที่ยวเมืองไทยให้ตรงกับการขึ้นชกของนักมวยหนุ่มทั้งสอง หลังจากนั้นคงมีการตระเวนไปสถานที่และหาทานอาหารตามรอยคลิปโซเชียลของจอมเด่นรวมถึงนิโคตินเดอะซีรีส์กันต่ออีกหลายวัน
 
ด้วยการฟิตซ้อมอย่างดีและกำลังใจท่วมท้นจากแฟนคลับทั้งจอมและเด่นก็เอาชนะคู่ชกของตัวเองได้อย่างขาวสะอาด ทั้งคู่แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อเจอกับหลี่คุนในห้องพักนักมวย
 
“พี่คุน สำเร็จแล้ว ผมกลับมาชกมวยได้อีกแล้ว ชนะด้วย”
 
“ใช่พี่คุน ทั้งพวกผม ทั้งคนอื่นๆ ในค่ายด้วยก็มีคิวขึ้นชกกันหมด ไม่ต้องมาเดือดร้อนกับสิ่งที่ผมกับไอ้จอมทำแล้ว”
 
ความรู้สึกผิดในใจของนักมวยวัยรุ่นทั้งสองที่สร้างปัญหาให้กับค่ายมวยและเพื่อนร่วมค่ายได้ถูกยกออกแล้ววันนี้
 
“ก็ผลจากความพยายามของพวกเราทุกคนแหล่ะ จอมกับเด่นทำได้ดีมาก ทั้งการชกวันนี้ ทั้งความอดทนไม่ย่อท้อตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา”
 
หลี่คุนรู้ว่าความกดดันที่ทั้งคู่ต้องแบกรับมันไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้มีโอกาสในชีวิตมากนัก
 
“ต้องขอบคุณคนในเน็ตจริงๆ นะพี่ ไม่นึกว่าเขาจะมาช่วยอะไรคนที่ไม่รู้จักกันจริงๆ ได้ขนาดนี้  วันนี้เขาก็มีมากันตั้งเยอะ ผมทั้งไหว้ทั้งขอบคุณบนเวทีจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”
 
จอมยังไม่อยากเชื่อว่าสุดท้ายสิ่งที่มาช่วยแก้ปัญหาที่ไม่มีทางออกของค่ายมวยได้ จะไม่ใช่คนใหญ่คนโตหรือผู้มีอำนาจจากที่ไหน แต่เป็นเสียงเล็กๆ ของคนทั่วไปที่รวมกันเป็นแสนเป็นล้านจากทั่วทุกมุมโลก
 
“ใช่อย่างที่ไอ้จอมว่าแหล่ะพี่ แต่มานึกดูแล้ว ที่พวกผมเป็นที่รู้จักจนได้รับแรงสนับสนุนจากทุกคนขนาดนี้ก็เพราะทำตามที่พี่บอกใช่เปล่า พี่คุนคือเทพตัวจริง พี่รู้ได้ยังไงว่าทำแบบนั้นแล้วคนในเน็ตตั้งเยอะแยะจะมาเข้าข้างเรา”
 
“พี่ไม่ได้มั่นใจหรอก แต่ก็แอบหวังอยู่เหมือนกัน จริงๆ ก็เพราะพวกเราด้วยที่ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจและจริงใจ คนเขาเลยชอบและติดตามกันมากขนาดนี้”
 
“ถึงยังไงก็เพราะพี่คุนนั่นแหละที่ทำให้ผมมีวันนี้ ยายต้องดีใจมากแน่ๆ เลย”
 
หลี่คุนพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างก็เพื่อวันนี้ นี่เป็นการเดินหมากซับซ้อนต่อเนื่องครั้งแรกในโลกยุคใหม่ที่เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะประสบความสำเร็จ เริ่มจากการสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลให้กับจอมเด่น ให้คนเห็นว่าทั้งคู่เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ ที่ตั้งใจพยายามเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต่างจากคนทั่วไป ด้วยเสน่ห์ตามธรรมชาติในความซื่อของจอมเด่น ทำให้ขั้นตอนนี้ไปได้ดีกว่าที่คิด
 
หมากต่อไปเป็นการชูจอมเด่นขึ้นเป็นเป้าสายตาด้วยการส่งทั้งคู่ไปปรากฏในที่ที่ไม่ควรอยู่อย่างการเป็นตัวประกอบซีรีส์วาย โชคดีที่กระแสละครเรื่องนั้นดังกว่าที่คาดไว้มาก หลังจากนั้นพฤติกรรมมนุษย์ก็ทำหน้าที่ของมัน หลี่คุนเห็นใจจอมเด่นที่ดูเหมือนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือจนโดนประนามยิ่งกว่าเดิม แต่ขั้นตอนนี้มันจำเป็นเหมือนการผ่าฝีให้หนองที่อักเสบอยู่ได้ระบายออกมา
 
การให้จอมเด่นลากลับบ้านเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเบื้องหลังอย่างซื่อตรงเป็นการเดินหมากรุกฆาตของหลี่คุน ถ้าหลังจากเปิดให้เห็นความจริงของเหรียญทั้งสองด้านแล้วสังคมยังคิดว่าสิ่งที่ทั้งคู่ทำไปไม่ควรค่าแก่การให้อภัย หลี่คุนก็พร้อมที่จะถอย เขาคงช่วยหาเส้นทางชีวิตใหม่ให้กับจอมเด่นถึงแม้ทั้งคู่จะต้องทิ้งในสิ่งที่รักก็ตาม
 
โชคดีที่ว่าแม้สิ่งที่เกิดขึ้นมันจะหลุดการควบคุมและขยายตัวรุนแรงจนหลี่คุนนึกกลัว แต่ผลสุดท้ายของมันก็ออกมาเป็นบวกและช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของค่ายมวยได้ อาจจะดูเหมือนหลี่คุนเดินหมากอยู่ข้างหลังอย่างมั่นใจ แต่จริงๆ เขากังวลเป็นอันมาก การเล่นกับกระแสสังคมมันเหมือนการใช้พิษรักษาพิษ ทั้งเสี่ยงทั้งอันตราย ความผิดพลาดเพียงน้อยนิดก็ทำให้ถึงชีวิตได้ ยิ่งหลี่คุนมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการโจมตีทำร้ายกันทางโซเชียลมาหลายครั้งหลายคราอยู่แล้วด้วย แต่เขาถือคติว่ายิ่งกลัวก็ต้องยิ่งบุกตะลุย เคยพ่ายแพ้ก็ต้องกลับไปแก้แค้น ถ้าโซเชียลเน็ตเวิร์คเคยทำร้ายเขา เขาก็จะต้องหาทางใช้ประโยชน์จากมัน
 
นอกจากกระแสดราม่าที่เกิดขึ้นจะกดดันวงการมวยจนต้องกลับตัวพลิกลิ้นกันแทบไม่ทันแล้ว มันยังทำให้ค่ายมวย ศ.เผด็จศึกเป็นที่รู้จักกันในระดับนานาชาติยิ่งขึ้นไปอีก ผลการชกของนักมวยคนอื่นๆ ในเวลาต่อมาแม้จะไม่ถึงกับชนะรวดทั้งค่ายแต่ก็ใกล้เคียง ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก พุ่งทะยานจากความตกต่ำขึ้นเป็นค่ายมวยอันดับต้นๆ ของประเทศในเวลาไม่กี่เดือน

คอร์สเรียนมวยไทยของทางค่ายเต็มจนไม่รู้จะเต็มอย่างไรโดยเฉพาะคอร์สกินอยู่ประจำที่ต้องจองกันข้ามปี ร้านอาหารคนแน่นเอี๊ยดจนต้องมีเซ็ทข้าวกล่องพรีเมียมขายให้ไปนั่งทานกันตรงท่าน้ำริมเจ้าพระยาที่ทำขึ้นใหม่ โซนนวดแผนไทยก็ก็ต้องขยายออกไปหลายสิบเตียง ร้านขายของที่เคยมีแค่น้ำมันมวยมีคุณจำหน่าย ตอนนี้มีทั้งกางเกงมวย นวม ผ้าพันมือ มงคลประเจียด และอุปกรณ์ของที่ระลึกที่เกี่ยวกับมวยไทยสาระพัดอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรออกมาก็ขายได้ทั้งนั้น แม้แต่เสื้อยืดธรรมดาที่พิมพ์คำว่า #saveจอมเด่น ตัวละพันก็ยังขายดิบขายดี
 
ถ้าจะมีอะไรที่ดังกว่าค่ายมวย ศ.เผด็จศึกในนาทีนี้ก็เห็นจะมีแต่นิโคตินเดอะซีรีส์ ส่วนแบ่งห้าเปอร์เซ็นต์จากละครที่หลี่คุนได้รับมากมายกว่าเงินลงทุนไปหลายเท่านัก หลี่คุนยิ้มแก้มปริ เขารีบส่งผลงานการลงทุนครั้งแรกในธุรกิจบันเทิงไปอวดจางอี้หลงทันทีให้อีกฝ่ายอิจฉาเล่น
 
LK : พี่อี้ พี่อี้
 
ZYL : ครับ
 
LK : ส่งไฟล์ให้ดู รีบเปิดเลย
 
ZYL : ไม่เอา จะหลอกเอาคำปรึกษาฟรีๆ อีกละสิ นี่ค่าตัวแพงนะ
 
LK : พี่อี้หลง อย่าแกล้งน้องสิ
 
ZYL : ขี้เกียจอ่า
 
LK : อี้หลงเก่อเกอ เปิดไฟล์นะครับ
 
ZYL : 555 ไม่แกล้งแล้ว ขอดูแป๊บ
 
LK : เป็นไงล่ะ พี่ดูอัตราผลตอบแทนได้เลย
 
ZYL : พี่ยอมๆ เก่งมากครับ น้องคุน เดี๋ยวเจอครั้งหน้า พี่มีรางวัลให้
 
LK : ก็แค่นี้  อย่าลืมชาหลงจิ่งด้วย ไปล่ะพี่
 
แต่เงินก้อนใหญ่จริงๆ ที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋าหลี่คุนอย่างไม่ขาดสายมาจากยอดขายของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาที่เขาเป็นเจ้าของอย่างลับๆ กระแสความดังของซีรีส์นิโคตินทำให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องติดลมบนกันหมด ไม่ว่าจะนักแสดงหลัก นักแสดงรอง หนังสือนิยายต้นฉบับ เพลงประกอบละคร แน่นอนว่ารวมถึงสปอนเซ่อร์หลักอย่างขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาด้วย เดิมทีผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก็มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจเท่าไหร่ แต่หลังจากถูกเป่าหูจากโฆษณาในซีรีส์แต่ละตอนและอยากจะสนับสนุนนักแสดง หลายคนก็ตัดสินใจกัดฟันซื้อมาลอง พอใช้จริงก็ติดใจกับผลลัพธ์ที่เกินราคากลายเป็นลูกค้าต่อกันไปยาวๆ แถมยังไปชักชวนแฟนคลับคนอื่นๆ มาลองใช้ด้วย จนยอดขายพุ่งอย่างก้าวกระโดด
 
แฟนคลับอินเตอร์ก็ตามกระแสมาติดๆ เรียกร้องให้ส่งขี้ผึ้งฮองเฮาไปวางจำหน่ายในประเทศของตนบ้าง หลี่คุนตัดสินใจขยายตลาดไปต่างประเทศทันที ต้องขอบคุณที่จางอี้หลงที่สืบรู้อย่างลับๆ ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าของขี้ผึ้งฮองเฮาถูกเปลี่ยนมือเป็นหลี่คุน จึงแอบส่งตัวอย่างไปทดสอบจนได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศต่างๆ มาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้บอกเพราะหลี่คุนยังโกรธเขาอยู่ พอหลี่คุนมาขอคำปรึกษาเรื่องจำหน่ายและกระจายสินค้าในต่างประเทศก็ดำเนินการได้ทันทีไม่ต้องรอขั้นตอนอนุมัติที่ยืดยาวอีก
 
หลี่คุนประมาณการรายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นแต่ละเดือนแล้วกับตกตะลึง ขนาดไฮโซบรูคที่ได้ส่วนแบ่งเล็กน้อยยังเอาเงินไปซื้อแหวนเพชรน้ำงามไปเซอร์ไพรส์ภรรยาได้ จนฝ่ายนั้นโทรมาคาดคั้นหลี่คุนว่าแอบปรับเพิ่มเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งให้สามีของนางหรือเปล่า หลี่คุนรู้สึกเป็นครั้งแรกนับจากข้ามเวลามาว่าตัวเองรวยแล้วจริงๆ ระยะห่างระหว่างเขากับจางอี้หลงที่เคยมองว่าไกลก็ดูจะไม่มากมายถึงขนาดนั้น ต่อไปเขาจะต้องเสพสุขกับชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยเงินทองให้ยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก ก่อนอื่นจะต้องหาซื้อสิ่งที่เขาอยากได้มานานแล้ว สิ่งที่จะเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของเขาเสียที

#######
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:24:18
-43-


“พี่คุนซื้อรถคันใหม่แล้วจริงๆ เหรอครับ”

ซูกัสร้องออกมาอย่างดีใจ เมื่อรู้พี่ชายกำลังจะพาเขาไปดูรถคันใหม่ที่แอบซื้อมาตอนไหนไม่รู้ไม่ยอมให้เขาช่วยเลือก ถึงพี่แฮ็คส์จะมีรถหรูๆ หลายคันแต่ก็ไม่เหมือนกับรถพี่ชายตัวเอง อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะทำไปขับขี่ได้แล้ว ถึงตอนนั้นจะได้ยืมรถคันใหม่ไปขับเล่นอวดเพื่อนๆ ให้หนำใจ

“อื้อ เขาเพิ่งเอาไปส่งที่ค่ายมวย”

ทั้งคู่นั่งอยู่เบาะหน้าของรถญี่ปุ่นคันเท่ากระป๋องนมคันเดิม โดยมีตินนั่งห่อตัวเพราะความคับแคบของเบาะหลัง

“แหม น่าจะให้ศูนย์มาส่งที่คอนโดเลยจะได้ลองนั่งเร็วๆ คันนี้เท่าไหร่ครับ เกินล้านหรือเปล่า”

“เดี๋ยวนี้พี่ไม่ซื้อของถูกๆ หรอก เกือบห้าล้านแหนะ ค่ายยุโรปมันแพงหน่อย”

“โอโห พี่ตินรู้เปล่าเนี่ย”

เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวไปถามตินที่ด้านหลัง อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วก็ไม่สนใจสองคนพี่น้องอีก

ซูกัสจินตนาการถึงรถสปอร์ตคันสวย ถึงห้าล้านบาทจะไม่พอกับค่าตัวของซุปเปอร์คาร์ตัวท็อปๆ แต่อย่างน้อยความเป็นรถสปอร์ตก็ต้องเรียกสายตาคนได้แน่

ช่วงก่อนนี้ซูกัสเข้ามาช่วยถ่ายวิดีโอที่ค่ายมวยค่อนข้างบ่อย แต่หลังจากที่ค่ายมวยกลับมามีชื่อเสียงแล้ว การถ่ายวิดีโอโปรโมทก็ว่างเว้นไป ตอนนี้รถที่พวกเขานั่งมากำลังวิ่งเข้าไปในบริเวณลานจอดรถที่แม้จะขยายพื้นที่ออกไปอีกเท่าตัว

“โห ผมไม่ได้มาหน่อยเดียว ทำไมมันคึกคักอย่างนี้ ทัวร์ลงใช่เปล่าเนี่ย”

บริเวณลานจอดมีทั้งรถส่วนตัวรถสองแถวรถบัสจอดเต็มไปหมด ผู้คนก็พลุกพล่านเดินซื้อข้าวซื้อจากร้านค้าบริเวณรอบๆ ค่ายมวยกันยกใหญ่ ตั้งแต่ที่ดังขึ้นมาในระดับนานาชาติ ค่ายมวยแห่งนี้ก็กลายเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ในพื้นที่นี้ จางอี้หลงแนะนำหลี่คุนว่าการทำธุรกิจต้องดูแลชุมชนรอบข้างด้วย ยิ่งทำมาหากินประสบความสำเร็จก็ต้องยิ่งเผื่อแผ่ชุมชนจะได้อยู่ข้างเราคอยสนับสนุนให้ธุรกิจยั่งยืนต่อไป หลี่คุนจึงได้จัดพื้นที่โดยรอบซอยเป็นร้านค้าย่อยๆ ให้ชาวบ้านใกล้เคียงเอาของมาขายให้กับนักท่องเที่ยวโดยไม่คิดค่าเช่าแต่ต้องมีคุณภาพและความซื่อสัตย์ ปรากฎว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก สามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชุมชนทำให้ความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่กับค่ายมวยที่ดีอยู่แล้วดีขึ้นไปอีก มีอะไรชาวบ้านก็คอยช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้ แม้นักท่องเที่ยวจะทำให้ดูวุ่นวายหรือการจราจรพลุกพล่านไปบ้างก็ไม่มีใครบ่น

“ไหนล่ะรถคันใหม่ของพี่คุน หรือเอาไปจอดแอบคนไว้ข้างในค่าย”

“ทางนี้ซูเอ๋อร์ คันใหญ่สุดนี่เลย พอจอดเทียบกับรถคันอื่นแล้วโดดเด่นจริงๆ แฮะ กระเรียนในฝูงไก่แท้ๆ”

ซูกัสมองหลี่คุนที่ทำท่าผายมือโชว์ไปทางรถบัสวีไอพีสองชั้นใหม่เอี่ยมสีสันแสบทรวงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเห็นมันผ่านๆ แต่แรกแล้วแต่สายตาที่สอดส่องแต่รถสปอร์ตไม่ได้ให้ความสนใจ

“นี่มันรถทัวร์ไม่ใช่เหรอ มันคือรถทัวร์พี่คุน!!! คน-ปกติ-เขา-ไม่-ซื้อ-รถทัวร์-กัน-หรอก”

หลี่คุนไม่สนใจเสียงโวยวายของน้องชาย เขาเดินไปรอบๆ พาหนะขนาดใหญ่อย่างภูมิใจ สิ่งนี้เติมเต็มความใฝ่ฝันและความอัดอั้นในวัยเด็กของเขาจนล้นปรี่ ตระกูลหลี่ที่ยิ่งใหญ่กลับเร้นกายอยู่ในคราบตระกูลค้าขายตระกูลหนึ่ง การกระทำใดๆ ล้วนแต่คิดอย่างถี่ถ้วนไม่ให้ตกเป็นเป้าความสนใจของผู้คน รถม้าตระกูลหลี่ทุกคันเป็นแบบเรียบง่ายรวบรัด ไหนเลยจะเทียบกับรถม้าอันใหญ่โตหรูหรากว้างขวางนั่งสบายภายในมีทั้งเบาะหนานุ่ม เตาอุ่นขา ผ้าขนสัตว์ ลิ้นชักเก็บของว่างผลไม้เชื่อมถั่วต่างๆ ของบรรดาขุนนางใหญ่และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงได้ หลี่คุนตัวน้อยเห็นรถม้าบ้านตัวเองไม่อาจทัดเทียบกับของเพื่อนฝูงลูกขุนนางก็ได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งๆ ที่ผู้นำตระกูลของคนเหล่านั้นเวลามาขอความช่วยเหลือจากบิดาเขาก็ได้แต่คำนับแล้วคำนับอีก เขาคิดว่าเมื่อเติบใหญ่จะต้องสั่งทำรถม้าที่ทั้งสูงใหญ่กว้างขวางทั้งหรูหรากว่าที่เคยเห็นให้ได้

ยามเมื่อหลี่คุนกลายมาเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เขาแทบจะไม่มีโอกาสนั่งรถม้าอีกต่อไป ภารกิจอันเร่งเร้าทำให้การเดินทางส่วนใหญ่ของเขาอยู่บนอานม้าที่แข็งกระด้าง แม้จะสร้างรถม้าอย่างที่เคยฝันมาไว้ชื่นชมก็มิอาจทำได้ ชนชั้นพ่อค้าถือว่าต่ำศักดิ์ไม่สามารถมีพาหนะที่เกินหน้าเกินตาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ สิ่งนี้ไม่ได้จารึกไว้เป็นกฎแต่ก็ไม่มีใครกล้าละเมิด แม้แต่หลี่คุนก็ไม่อาจสนองความต้องการของตัวเองจนทำให้โดนจับจ้องจนเสี่ยงแก่การเผยตัวตนได้

แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาข้ามเวลามายังยุคสมัยที่ผู้คนมีอิสระ ไม่มีทาส ไม่มีชนชั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขอเพียงมีความสามารถ ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถไขว่คว้ามาได้ด้วยตัวเอง หลี่คุนที่มีเงินในกระเป๋ามากพอจนอุ่นใจแล้วก็ไม่รีรอที่จะครอบครองสุดยอดพาหนะที่เขาหมายตาตั้งแต่ข้ามเวลามาใหม่ๆ ดูรถบัสที่สูงใหญ่ราวกับตำหนักเคลื่อนที่นี่สิ มันบรรทุกคนได้เป็นสิบๆ คน กว้างขวางกว่ารถม้าที่เขาเคยอิจฉาไม่รู้ตั้งกี่เท่า ภายในมีทั้งเครื่องปรับอากาศ เบาะนวดเจ็ดจุดปรับเอนได้ เครื่องเสียง ทีวี คาราโอเกะ ตู้เย็น ส่วนท้ายมีห้องน้ำ ชั้นล่างปรับเป็นเตียงนอน ด้านนอกทำสีเป็นโฆษณาค่ายมวย ศ.เผด็จศึกกับน้ำมันมวยมีคุณ รอบตัวรถติดไฟกระพริบแอลอีดีหลากสีเรียกสายตา เครื่องจักรที่ใช้น้ำมันดินกลั่นให้กำลังเท่ากับอาชาสามร้อยหกสิบตัว ถ้าคนในยุคเดียวกับเขามาเห็นคงต้องกระอักเลือดตายด้วยความอิจฉาเป็นแน่

“พี่คุนอ่ะ ซื้อรถทั้งที ทำไมไม่เอารถสปอร์ตเท่ๆ แบบคันนั้น”

ซูกัสประท้วงพร้อมกับชี้ไปที่รถสปอร์ตสีดำสนิทรูปทรงโฉบเฉี่ยวที่จอดอยู่ไม่ไกล หลี่คุนหันไปมองแล้วทำเสียงดูถูก

“เหอะ ทั้งเตี้ยทั้งแคบแบบนั้นใครจะอยากนั่งกัน รสนิยมของน้องนี่แย่จัง”

“พี่ติน ช่วยพูดให้พี่คุนเข้าใจหน่อยสิ”

ซูกัสหันไปสบตากับตินอย่างมีความหวัง

“พี่ว่ารถบัสก็ดีนะ เวลาพานักมวยไปขึ้นชก จะได้ไปคันเดียวกันได้หลายๆ คน”

ความฝันที่จะยืมรถพี่ชายไปขับโฉบเฉี่ยวในคณะยามเข้ามหาลัยของซูกัสต้องพังทะลายลง คนพวกนี้แปลกเกินไปแล้ว

หลังจากส่งซูกัสไปนั่งสงบสติอารมณ์ด้วยของกินที่ร้านอาหารของค่ายมวย หลี่คุนกับตินก็เข้าไปคุยกับครูดินในเรื่องที่ทั้งคู่หารือกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

“พวกพี่ๆ รุ่นใหญ่ของค่ายเขามากันหรือยังครับ”

“ใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้แล้ว เดี๋ยวคงเข้ามากัน”

“ที่พี่ดินไปคุยมา พวกเขาวางแผนไว้ยังไงครับ”

“ก็คงทยอยแขวนนวมกันไปเรื่อยๆ ว่ะคุน อายุก็มากขึ้นเรื่อยๆ มวยไทยมันใช้ร่างกายหนัก ต้องหนุ่มแน่นจริงๆ ถึงจะไหว เสียดายที่ค่ายเรามีช่วงตกต่ำอยู่พักใหญ่ ไอพวกนี้มันเลยยังเก็บเงินได้ไม่มากนัก เหมือนพวกไอ้เมฆไอ้แสนไอ้เพชรที่ออกจากค่ายไปก่อนหน้านี้ จริงๆ พี่ก็อยากให้ช่วยเป็นครูฝึกต่อเหมือนกัน แต่พวกมันก็อิ่มตัวเรื่องมวยพอควรแล้ว อยากลองไปหางานประจำที่มั่นคงดูมั่ง แล้วค่อยมาช่วยสอนมวยวันเสาร์อาทิตย์ที่ลูกค้าเยอะๆ ยังดีนะที่คุนยืนยันให้นักมวยทุกคนเรียนภาษาอังกฤษกับไอ้เควิน เลยยังพอมีภาษาติดตัวกันไปมากบ้างน้อยบ้าง”

“ที่จริงพี่สามคนเขามาทำงานกับพวกผมครับ”

“จริงดิ ไม่เห็นพวกมันบอกพี่เลย”

“ฮ่าๆ สงสัยพี่เขายังไม่มั่นใจว่าจะไปรอด ไอติน มึงเล่าสิ”

“คือพ่อผมมีบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ทำกับเพื่อนตำรวจด้วยกันอยู่ ปกติเพื่อนพ่อเขาก็บริหารไปพ่อผมภารกิจเยอะกว่าแทบไม่ได้เข้าไปยุ่ง แต่เพื่อนพ่อเขาก็อยากจะวางมือเหมือนกัน ถ้าผมรับช่วงต่อ เขาก็จะขายหุ้นทั้งหมดมาให้ผม แต่ถ้าผมไม่เอา พ่อกับเพื่อนก็จะขายทั้งบริษัทคนอื่นไปเลย”

“แล้วไงวะ”

“ผมเลือกจะทำต่อครับ จริงๆ ผมก่อนหน้านี้ผมก็เข้าไปดูอยู่บ้าง ตอนนี้งานส่วนใหญ่ก็เป็นพวกจัดหา รปภ. ไปตามห้างตามออฟฟิศ ผมคุยกับไอ้คุนแล้วอยากขยายบริการอย่างอื่นบ้างแต่ยังขาดคนอยู่”

“พวกไอเมฆมันจะไปทำงานเป็น รปภ. เหรอ เป็นครูฝึกมวยที่นี่ต่อยังจะดีซะกว่า รายได้เลี้ยงตัวเองสบาย”

“พวกพี่เขาเข้าไปเป็นระดับหัวหน้าอ่ะพี่ ต่อไปคงมีงานอย่างอื่นให้ทำด้วย”

“ใช่ครับพี่ดิน ผมเข้าไปร่วมหุ้นในบริษัทนี้กับตินด้วย ถ้าไม่ดีผมไม่กล้าเอามาเสนอหรอกครับ ที่จริงหลังขึ้นชกครั้งสุดท้าย พวกพี่เขาก็เริ่มฝึกทักษะด้านการรักษาความปลอดภัย ตอนนี้ฝีมือพัฒนาไปมากเลย”

“อ้าว ก็ไม่บอกแต่แรกว่าน้องคุนทำด้วย ถ้าเป็นแค่บริษัทเอ็ง ไอติน ใครจะมั่นใจวะ”

ทั้งสามคนคุยกันต่อได้ไม่นาน นักมวยรุ่นใหญ่ของค่ายก็เข้ามาในห้องสำนักงานกันจนครบ หลี่คุนให้ตินเป็นคนออกหน้าเล่าเรื่องบริษัทรักษาความปลอดภัยนี้ให้กับพวกนักมวยฟัง

“ตามที่ผมเล่าไปครับ พี่ๆ นักมวยค่าย ศ.เผด็จศึกคนไหนแขวนนวมโดยความเห็นชอบของทางค่าย บริษัทสำนักคุ้มกันของผมกับไอ้คุนจะรับเข้าทำงานต่อทันที รายได้สวัสดิการไม่ต่ำกว่าตอนชกมวยแน่นอน แถมยังโอนแต้มคุณูปการไปใช้ต่อที่สำนักคุ้มกันได้ด้วย”

เสียงฮือฮาดังออกมาจากกลุ่มนักมวย พวกเขาเป็นรุ่นใหญ่มีประสบการณ์ ถึงไม่ได้ดังมากแต่รายได้รวมๆ ก็คนละหลายหมื่น บางคนเริ่มชกตั้งแต่อายุยังน้อยร่างกายเริ่มเสื่อมแล้วแต่ยังตัดใจแขวนนวมไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรดีที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ มีแต่จะต้องทนขึ้นชกเก็บเงินไว้ให้ได้มากที่สุดจนกว่าร่างกายจะหมดสภาพจริงๆ

“เป็น รปภ. ตามห้างมันจะได้เงินขนาดนั้นเลยเหรอวะติน”

“ต่อไปบริษัทผมจะไม่รับงานแบบนั้นแล้วครับ จะเน้นพวกงานรักษาความปลอดภัยบุคคลมีชื่อเสียง หรือต่อให้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ก็จะเป็นร้านแบรนด์เนมไฮโซที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษมีบุคลิคภาพดีรู้จักมารยาทสากลอะไรพวกนี้ ค่าจ้างสูงมากนะครับ”

“แล้วพวกข้าจะทำได้เหรอวะ”

“ทางบริษัทมีอบรมหลักสูตรเร่งรัดให้ครับ ภาษาอังกฤษพวกพี่ก็เรียนจากเควินมาพอใช้การได้แล้ว ฝึกพวกมารยาทสากล กับทักษะเฉพาะของบอดี้การ์ดอีกหน่อยก็รับงานได้ นอกจากนั้นยังมีพวกงานภารกิจพิเศษเวลาว่างจากงานประจำที่จะได้แต้มคุณูปการเยอะมาก พี่เอาไปแลกเป็นเงินหรือสินค้าพิเศษได้เลย ถ้าใครยังไม่มั่นใจก็ลองคุยกับพวกพี่เมฆพี่แสนพี่เพชรดูก่อนได้ พวกพี่เขามาทำกับผมหลายเดือนแล้ว แต่รับรองถ้างานนี้ไม่ดีจริงผมไม่เอามาบอกพวกพี่หรอก เราก็รู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว ผมไม่มาทำให้เสียอนาคตอยู่แล้ว บริษัทสำนักคุ้มภัยนี้ไอ้คุนก็มาช่วยด้วย พวกพี่ก็รู้ฝีมือมันอยู่ที่ช่วยพี่ดินพลิกฟื้นค่ายมวยได้ขนาดนี้”

หลายเดือนก่อนหน้านี้ เมฆแสนและเพชรและนักมวยรุ่นใหญ่อีกจำนวนหนึ่งได้เข้ามาเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกของบริษัทสำนักคุ้มกันและเริ่มฝึกกันอย่างหนักมาโดยตลอด หลี่คุนผสมผสานทักษะที่ใช้ฝึกจากศาสตร์หลายแขนงเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย เขาเชิญคนของนายพลหยางมาช่วยฝึกทักษะการต่อสู้ประชิดตัวแบบทหาร ส่วนเทคนิคจำเพาะของการเป็นบอดี้การ์ดได้ลูกน้องของแฮ็คส์มาถ่ายทอดให้ หลี่คุนสั่งระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวและระบบวีอาร์ช่วยฝึกการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับแลบวิจัยบริษัทเกมของจางอี้หลงแต่เป็นรุ่นถูกกว่ามาใช้ เขาป้อนข้อมูลวรยุทธ์พื้นฐานขององครักษ์เงาที่ดัดแปลงให้ไม่ต้องต้องใช้กำลังภายในลงไป แล้วให้พนักงานมาฝึกตามผ่านระบบวีอาร์

วิชามวยไทยซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวชั้นยอดที่เน้นใช้งานจริงอยู่แล้ว เมื่อผสมผสานกับทักษะเฉพาะทางอื่นๆ ที่หลี่คุนคัดสรรมาและการแช่สมุนไพรเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ก็ทำให้พนักงานชุดแรกของบริษัทสำนักคุ้มกันมีความสามารถไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต้น เมื่อรวมกับอุปกรณ์ไฮเทคบางอย่างของจางอี้หลง เช่นแว่นตาดำที่ทำหน้าที่เป็นทั้งอุปกรณ์สื่อสารเครื่องดักฟังเครื่องช่วยมองและบันทึกภาพในที่มืด ก็ทดแทนวิชาแบบเดียวกันที่ต้องใช้กำลังภายในได้ ในที่สุดองครักษ์เงาของโลกสมัยใหม่ชุดแรกก็ถือกำเนิดขึ้นโดยมีตินเป็นผู้ดูแลควบคุมกองกำลังนี้

ความสำเร็จนี้ทำให้หลี่คุนต้องการรับและฝึกพนักงานรุ่นสองอย่างเร่งรีบ สมัยนี้ไม่สามารถไปหาซื้อทาสแบบทำสัญญาขายตัวหรือรับเด็กกำพร้ามาฝึกหัดได้เหมือนชาติก่อน เขาจึงได้ขอครูดินเปิดรับสมัครนักมวยเพิ่มเติมขึ้นในวันนี้ ลูกศิษย์จากค่าย ศ.เผด็จศึก นอกจากจะมีฝีมือพร้อมที่จะต่อยอดเป็นองครักษ์เงาแล้วยังซื่อสัตย์เชื่อใจได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าความสามารถด้านการต่อสู้เสียอีก

หลังจากอธิบายรายละเอียดของงานต่ออีกเล็กน้อย นักมวยที่มาฟังส่วนใหญ่ก็ลงชื่อสมัครเข้าบริษัทสำนักคุ้มกันทันที มีเพียงส่วนน้อยที่ขอกลับไปคิดก่อน จริงๆ ทางเลือกอาชีพหลังแขวนมวยก็มีไม่มากอะไร คนไหนที่ไม่ได้เรียนปริญญาตรีไปด้วยระหว่างที่ชกมวยก็อาจต้องเอาเงินที่สะสมไว้มาลงทุนค้าขาย ไม่งั้นก็ไปเป็นเทรนเนอร์หรือพนักงานขายเครื่องกีฬาตามห้าง ถ้าจะให้ได้เงินเยอะจริงๆ ก็ต้องไปทำงานต่างประเทศ เป็นการ์ดตามผับตามบาร์หรือดีหน่อยก็ได้เป็นครูสอนมวยไทยในยิม งานที่ตินและหลี่คุนเสนอจึงถือว่าดีมากและไม่ต้องจากบ้านจากเมืองไปไหน หลี่คุนยิ้มแก้มแทบปริ ถึงพวกพี่นักมวยเหล่านี้จะอยู่ในช่วงปั้นปลายของอาชีพมวยไทย แต่จริงๆ ก็เพิ่งอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ยังมีเวลาฝึกฝนและทำงานในฐานะบอดี้การ์ดระดับสูงหรือองครักษ์เงาได้อีกไม่รู้ตั้งกี่ปี

ถึงการรับคนเพิ่มจำนวนมากจะทำให้สิ้นเปลืองสมุนไพรสำหรับแช่ตัวมากขึ้น แต่โชคดีที่หลังจากที่ได้รู้จักพวกของปรมาจารย์หาน หลี่คุนก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เขาให้ผู้อาวุโสตู้แห่งสมาคมการค้าเป่ยจิงช่วยจัดหาสมุนไพรจากเมืองจีนให้โดยตรงแลกเปลี่ยนกับความร่วมมืออื่นๆ ปัญหาเรื่องสมุนไพรหายากจึงหมดไป เงินค่าสมุนไพรก็ไม่ได้เป็นประเด็นเนื่องจากเขามีแหล่งรายได้จากขี้ผึ้งบำรุงความงามและน้ำมันมวยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่เริ่มมีปัญหาน่ารำคาญคือบริษัทขี้ผึ้งฮองเฮาประสบความสำเร็จมากเกินไป จนทำให้ไฮโซบรูคซึ่งเป็นเจ้าของหุ่นเชิดเริ่มเกิดความคิดฟุ้งซ่านอยากจะขยายธุรกิจไปทำอย่างอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีความถนัด พอเสนอมาหลายครั้งหลี่คุนไม่เอาด้วย ก็แอบไปสั่งการให้ลูกน้องในบริษัททำโน่นทำนี่สิ้นเปลืองทรัพยากรของบริษัทไปโดยไม่จำเป็น หลี่คุนระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแต่ยังไม่มีเวลาจัดการอย่างจริงจัง จะทำอะไรรุนแรงไปก็ยังเกรงใจอาซ้อภรรยาของบรูคซึ่งเป็นนักธุรกิจหญิงแกร่งที่เขานับถือและถูกชะตาด้วย

สมุนไพรล้ำค่าที่ผู้อาวุโสตู้จัดหาให้นอกจากจะใช้ปรุงยาสำหรับแช่ให้กับองครักษ์เงาฝึกหัดแล้ว หลี่คุนยังพยายามหลอมโอสถชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา นอกจากพวกโอสถบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมที่เขาปรุงให้ตินแล้ว เขายังประสบความสำเร็จในการหลอมโอสถอายุวัฒนะความบริสุทธ์แปดเก้าส่วนขึ้นมา ถึงจะไม่ใช่โอสถระดับปฐพีแต่ความบริสุทธิ์ในระดับสูงและส่วนผสมของรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีนี้ทำให้มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายคืนความเยาว์วัยได้ไม่น้อยเลย

คนรอบข้างของหลี่คุนล้วนอยู่ในวัยหนุ่มแน่นไม่ค่อยได้ประโยชน์จากโอสถตำหรับนี้ หลี่คุนจึงส่งไปให้บิดามารดาของคุณานนท์ที่ต่างประเทศซึ่งเขาก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงได้แต่ทักทายพูดคุยกันบ้างผ่านทางวิดีโอคอลหรือโปรแกรมแชท ดูเหมือนว่างานที่นั่นจะยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับไทย แต่ทั้งคู่ก็แสดงความห่วงใยและส่งเงินมาให้คุณานนท์อยู่ตลอด นึกแล้วหลี่คุนก็รู้สึกสงสารสามีภรรยาคู่นี้นักที่ไม่รู้ความจริงว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของตัวเองไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับคนทั้งคู่นัก แต่ก็ตั้งใจจะช่วยดูแลคนทั้งคู่ให้ดีที่สุดเป็นการตอบแทนคุณานนท์ที่เขาได้มาอาศัยร่างอยู่ นอกจากโอสถอายุวัฒนะหลี่คุนยังส่งโอสถบำรุงร่างกายและเสริมความงามต่างๆ ที่เขาทำขึ้นไปให้เป็นประจำ

ทีมองครักษ์เงารุ่นแรกของบริษัทสำนักคุ้มกันได้กระจายกันไปรับงานเป็นบอดี้การ์ดให้กับดารานักร้องที่มีชื่อเสียง หลี่คุนเจาะตลาดวงการบันเทิงก่อนเพราะเขามีเส้นสายอยู่บ้างจากทางแฮ็คส์และฐานลูกค้าสมาชิกขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิ์ ส่วนตลาดลูกค้าไฮโซก็กำลังให้แบงค์หาช่องทางอยู่เพราะส่วนใหญ่จะเน้นใช้คนของตัวเอง ฝีมือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอาชีพบอดี้การ์ดแต่ในยุคปัจจุบันที่บ้านเมืองสงบสุขอาจจะไม่ได้มีโอกาสแสดงออกมามากนัก หลี่คุนจึงสร้างความโดดเด่นให้กับบริการของสำนักคุ้มกันโดยการยกระดับรูปลักษณ์ของบอดี้การ์ดให้ดูดีราวกับออกมาจากภาพยนตร์ ความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้ก็เป็นเช่นนี้ สินค้าต่างๆ นอกจากคุณภาพสูงแล้วยังต้องสวยงามชวนมองด้วย

องครักษ์เงาแต่ละคนรูปร่างดีอยู่แล้ว ส่วนผิวพรรณใบหน้าส่วนใหญ่ก็เรียบเนียนใสด้วยอานิสงส์จากขี้ผึ้งฮองเฮาที่ใช้บำรุงมาก่อนหน้านั้น หลี่คุนฟื้นฟูเคล็ดวิชาผลัดกระดูกย้ายเส้นเอ็นซึ่งในยุคโน้นเป็นศาสตร์ลับทางการแพทย์ชั้นสูงที่ใช้กำลังภายในมหาศาลปรับสัดร่างกายให้เหมาะสมกับการฝึกวรยุทธมากขึ้น แม้ชาติก่อนเขาจะมีกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลถึงขั้นเจ็ดก็ยังใช้เคล็ดวิชานี้ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงชาตินี้ที่กำลังภายในบุปผาเร้นวารีของเขายังไม่บรรลุถึงถึงขั้นสี่ด้วยซ้ำ แต่หลี่มิได้หมายใจจะใช้เคล็ดวิชานี้ปรับสัดส่วนร่างกายเพื่อการฝึกยุทธ เขาใช้มันปรับสัดส่วนองคาพยพบางจุดบนใบหน้าขององครักษ์เงาเท่านั้น

พวกซูเอ๋อร์ถ่ายรูปใบหน้าขององครักษ์เงาแต่ละคนเอามาทดลองแต่งภาพบนคอมพิวเตอร์ให้ดูดีขึ้นแล้วพิมพ์ออกมา หลี่คุนใช้รูปพวกนี้เป็นแนวทางใช้เคล็ดวิชาลับแอบดึงสันจมูกขึ้นนิด ตบปีกจมูกเข้าไปหน่อย ลบเหลี่ยมโหนกแก้มสันกรามอีกเล็กน้อย ด้วยข้อจำกัดด้านกำลังภายในทำให้ผลที่ได้ไม่ต่างจากใบหน้าเดิมนักแต่รวมๆ ก็ดูดีขึ้น หลี่คุนไม่ได้คิดจะแข่งกับวิชาแพทย์ยุคใหม่ของอาณาจักรโคกรูยอนที่เป็นยอดฝีมือในการแปลงโฉมผู้คนให้งดงามอย่างน่าตกตะลึงอยู่แล้ว

ใจจริงหลี่คุนยังชื่นชอบเครื่องแต่งกายสีดำล้วนมีเกราะอ่อนทำจากหนังสัตว์ขององครักษ์เงาในยุคก่อนมากกว่าแต่แบบนั้นคงสะดุดตาเกินไป เขาให้มารดาของแชมเปญเพื่อนซูเอ๋อร์ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ชื่อดังออกแบบชุดสูทสำหรับบอดี้การ์ดให้ ผลงานที่ได้เป็นสูทสีดำเรียบหรูทรงเข้ารูปฟิตพอดีตัวเน้นรูปร่างที่มีมัดกล้ามสมบูรณ์แต่สวมแล้วเคลื่อนไหวสะดวกด้วยเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อรวมกับแว่นตาดำซึ่งเป็นอุปกรณ์ไฮเทคจากบริษัทของจางอี้หลงก็ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกขององครักษ์เงากลายเป็นบอดี้การ์ดระดับสูงที่ทั้งเท่ทั้งน่าเกรงขาม

แม้จะเริ่มทำงานได้ไม่นาน บริษัทสำนักคุ้มกันก็ได้รับเสียงชื่นชมจากลูกค้ากลับมาเป็นอย่างมาก บอดี้การ์ดแต่ละคนรูปร่างเป็นเลิศหน้าตาก็ใช้ได้ ไม่พูดมาก ไม่มีท่าทีสอดรู้สอดเห็น พูดภาษาอังกฤษได้ รู้มรรยาทสากล เมื่อเกิดเหตุคับขันก็แสดงฝีมือที่ยอดเยี่ยมออกมา องครักษ์เงารุ่นแรกซึ่งมีจำนวนไม่มากนักถูกว่าจ้างจนหมดไม่มีเหลือด้วยค่าตัวสูงลิ่ว ดาราสาวรุ่นใหญ่แทบจะตบกันตายเพียงเพื่อจะแย่งตัวบอดี้การ์ดจากบริษัทรักษาความปลอดภัยเล็กๆ แห่งนี้

ไม่มีใครจะปลาบปลื้มใจไปมากกว่าหลี่คุน เขาได้พิสูจน์ว่าตัวตนขององครักษ์เงาไม่ใช่สิ่งที่ตกยุคตกสมัย ในชาติก่อนที่ไร้ญาติพี่น้องใกล้ชิด เหล่าองครักษ์เงาซึ่งเป็นสหายร่วมรบถือเป็นกลุ่มคนที่เขาไว้ใจที่สุด นั่นทำให้เขาอยากสร้างกองกำลังนี้ขึ้นมาใหม่ในโลกยุคปัจจุบัน

แต่ตอนนี้หลี่คุนกำลังมีปัญหากับการฝึกฝนองครักษ์เงารุ่นสองซึ่งมีจำนวนมากกว่ารุ่นแรกหลายเท่าตัว นอกจากนักมวยที่กำลังจะแขวนนวมจากค่าย ศ.เผด็จศึกแล้ว เขายังรับพวกนายแบบที่เขาเคยช่วยไว้จากการถูกแบล็คเมลโดยอดีตผู้จัดการของแฮ็คส์มาฝึกอีกหลายคน คนพวกนี้ไม่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงแล้วก็ไปได้ไม่ดีนักกับอาชีพอื่น เมื่อเห็นหลี่คุนมาทำบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับสูงแล้วมีแนวโน้มไปได้ด้วยดีก็สนใจมาสมัคร หลี่คุนเห็นใจรับไว้ ยังไงสมัยที่ยังลำบากคนพวกนี้ก็เคยช่วยวิ่งขายขี้ผึ้งจักรพรรดิด้วยกันมา หลายคนก็เป็นนักกีฬาหรืออย่างน้อยก็ต้องเข้ายิมเพื่อฟิตหุ่นน่าจะพอฝึกได้บ้างถึงจะไม่ทรหดเท่านักมวย

ปัญหาคือด้วยจำนวนองครักษ์ฝึกหัดที่เพิ่มขึ้นมากในรุ่นสอง ทำให้สถานที่ฝึกฝนซึ่งใช้ตึกแถวที่เป็นสำนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอ เครื่องฝึกกระบวนท่าด้วยระบบวีอาร์ที่มีอยู่เพียงเครื่องเดียวผลัดกันใช้แทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ยังได้ฝึกกันไม่ถึงครึ่ง หลายคนก็มีปัญหาเรื่องที่พักหลังจากย้ายออกจากค่ายมวย ปัญหานี้ยิ่งปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้การสร้างองครักษ์เงารุ่นสองล่าช้าออกไปเรื่อยๆ จะไปขอความช่วยเหลือเรื่องสถานที่จากค่ายมวย ศ.เผด็จศึก หลี่คุนก็เกรงใจครูดิน ทางโน้นก็เพิ่งรับลูกศิษย์รุ่นใหม่เข้ามาทดแทนคนที่เขาดึงตัวออกมาคงไม่มีที่ทางมากพอ

ในช่วงที่หลี่คุนกำลังกลุ้มใจกับปัญหาเรื่องสถานที่อยู่นั้น จางอี้หลงก็บอกว่าเคลียร์วันหยุดได้ช่วงหนึ่งกำลังจะมาหาที่กรุงเทพ หลี่คุนถึงได้สบายใจขึ้น เรื่องเกี่ยวกับการบริหารจัดการทางธุรกิจแบบนี้ ยังไงอีกฝ่ายย่อมมีคำแนะนำดีๆ ให้แน่

………
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:25:38
-43- [ต่อ]


“พี่อี้หลง ทางนี้ครับ”

หลี่คุนโบกไม้โบกมืออย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นจางอี้หลงเดินออกมาจากโซนผู้โดยสารขาเข้าด้วยมาดอย่างกับดาราใหญ่ นี่ถ้ามีองครักษ์เงาจากบริษัทสำนักคุ้มกันของเขาเดินตามสักสองคนจะต้องเท่มากแน่ๆ

“เดี๋ยวเราเดินไปรอรถตรงโน้นนะครับ ไกลหน่อยวันนี้ผมเอารถมารับพี่เองมันเข้ามาถึงข้างในไม่ได้”

ทั้งคู่รออยู่ไม่นานรถบัสวีไอพีสองชั้นคันใหญ่มีลวดลายนักมวยในท่าแม่ไม้มวยไทยสีสรรสดใสเต็มรอบคันก็เข้ามาจอดเทียบฟุตบาทพร้อมเปิดประตูออก จางอี้หลงแหงนหน้าค้างมองความใหญ่โตของพาหนะตรงหน้า

“เรากำลังจะไปทัวร์ต่างจังหวัดเป็นหมู่คณะกันเหรอครับน้องคุน”

“ไปเที่ยวหัวหินกันไหมครับ ใช่ที่ไหนล่ะพี่ ก็เอามารับพี่ไง มาขึ้นมา ผมจะพาชมว่ารถคันนี้นั่งสบายขนาดไหน เป็นไงแอร์เย็นฉ่ำใช่ไหมพี่ เบาะนั่งทุกตัวนวดได้นะ ถ้าหิวน้ำก็มีแช่ไว้ในตู้เย็น”

จางอี้หลงอมยิ้มเดินตามหลี่คุนที่กำลังแนะนำพาหนะสุดรักอย่างมีความสุข ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซื้อรถคันนี้มาและชื่นชอบมันมากขนาดไหน เพียงแต่ไม่คิดว่าของจริงสีสรรมันจะแสบสันเล่นใหญ่ไฟกระพริบขนาดนี้ แต่ถ้าบอกออกไปก็อาจจะโดนข้อหาสอดส่องเรื่องส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ส่งเสียงอือออตามอย่างใสซื่อ

“นั่งเครื่องมาตั้งนาน ปวดฉี่จัง ถ้ารถคันนี้มีห้องน้ำด้วยคงสุดยอดไปเลยนะ”

หลี่คุนดวงตาเป็นประกายสดใส

“ทำไมจะไม่มีล่ะ พี่ตามผมมาเลย ห้องน้ำอยู่ตรงด้านท้าย ทั้งสะอาดทั้งสะดวก”

“น้องคุนเข้าไปช่วยพี่หน่อย พี่ไม่เคยใช้”

“เฮ้ย มันก็เหมือนห้องน้ำปกติแหละพี่”

“นั่นแหละ พี่ไม่คุ้น เดี๋ยวทำอะไรพังไปเสียดายแย่ รถใหม่เอี่ยมขนาดนี้”

“ไม่ได้นะพี่ ห้ามทำพัง รอผมเข้าไปช่วยก่อน”

“มาช่วยพี่ถือหน่อย หนักมาก เมื่อยมือมาก”

“ไอ้พี่อี้หลง %#&*&%@#!”

หลี่คุนโวยวายอย่างอับอาย แต่ถามว่าไม่จับเหรอ ไม่...ปฏิเสธ ตอนนี้กำลังภายในเขาเหือดแห้งเต็มทีจากการหักโหมหลอมโอสถความบริสุทธิ์สูงจำนวนมากให้กับบิดามารดาของคุณานนท์ในทีเดียวเพื่อจะได้ประหยัดค่าส่ง เมื่อมีแหล่งพลังหยางจุดที่เข้มข้นที่สุดมาอยู่ตรงหน้าเขาจะปฏิเสธไปทำไม

แต่พอเสร็จธุระออกมาจากห้องน้ำทั้งสองคนหลี่คุนก็รู้สึกเขินอายคนขับรถอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าได้ยินอะไรแค่ไหน

“พี่อี้หลงครับ บริษัทของพี่มีที่ทำพวกปัญญาประดิษฐ์อยู่ด้วยใช่เปล่า แบบว่าสามารถทำให้เก่งกว่าคนเลยได้เปล่า ผมอยากใช้บ้าง”

จางอี้หลงยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ

“พี่ก็ไม่ได้อยากจะอวดนะครับ แต่บริษัทของพี่นับว่าเป็นระดับต้นๆ ของจีนเลยในเรื่องนี้ น้องคุนอยากใช้กับระบบอะไรครับ”

“อยากได้ระบบรถยนต์ไร้คนขับครับ จะได้เอามาใช้กับเจ้าคันนี้”

จางอี้หลงถึงกับอึ้ง เขามองสภาพการจราจรในกรุงเทพที่มีทั้งปาดเบียดแซง มอเตอร์ไซค์โฉบไปโฉบมาแถมมีวิ่งสวนเลน ถนนที่เดี๋ยวปิดเดี๋ยวกั้น เปิดเลนเสริมมั่งเดินรถทางเดียวมั่ง แล้วก็ปาดเหงื่อ

“เอ่อ ยังน่าจะไม่ได้นะครับ เทคโนโลยีทางด้านนี้ยังต้องพัฒนาต่ออีกเยอะ”

“เอ แต่ผมเห็นในข่าวว่ามีเอามาใช้งานแล้วนะครับ แสดงว่าของบริษัทพี่ยังสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่เป็นไรนะครับ สู้ๆ ผมเอาใจช่วย”

จางอี้หลงรู้สึกหน้าแตกยับเยินจริงๆ จะแก้ตัวอะไรไปก็เกรงใจว่าจะกระทบถึงประเทศที่น้องคุนรัก ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่น

“น่าจะใกล้ถึงตำแหน่งที่พี่อี้หลงส่งให้แล้วครับ เที่ยวนี้พี่ไม่มาค้างคอนโดผมเหรอ”

“เดี๋ยวว่ากันครับ พอดีพี่อยากพาเรามาแวะดูตรงนี้ก่อน”

รถบัสเลี้ยวเข้าไปจอดในอาคารขนาดกลางที่มีบริเวณกว้างขวางไม่น้อย ด้านหน้ามีลานจอดรถ และดูเหมือนจะอีกแห่งตรงชั้นใต้ดินด้วย พื้นที่ด้านข้างมีแนวต้นไม้บังตา แต่จากที่นั่งระดับสูงบนรถบัสทำให้มองข้ามไปเห็นเป็นสนามหญ้าโล่งๆ และสระว่ายน้ำสีฟ้าเย็นตา

“ที่นี่คืออะไรเหรอครับ”

“ของขวัญ”

หลี่คุนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ ของขวัญอะไร ใครให้ใคร แล้วอาคารสิบกว่าชั้นแบบนี้เอามาเป็นของขวัญก็ได้หรือ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถามขณะมองหน้าจางอี้หลง

“ขึ้นไปดูข้างบนตึกก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน”

 เมื่อลงไปที่ชั้นล่างของตึก ก็มีคนเอาคีย์การ์ดมายื่นให้และนำทางไปส่งยังลิฟท์พิเศษที่แยกจากลิฟท์ตรงโถงหลักก่อนจะขอตัวจากไป ภายในอาคารดูเหมือนจะเพิ่งตกแต่งเสร็จยังได้กลิ่นสีจางๆ จางอี้หลงพาขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุด เมื่อเปิดประตูลิฟท์ออกมาก็เหมือนมาอยู่ในบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง

“เหมือนกับเพนเฮ้าส์ของคุณแฮ็คส์เลย นี่เป็นที่พักของใครกันครับ”

“ของน้องคุน....กับพี่”

“แต่ว่า...”

“อย่าเพิ่งถามอะไร ลองเดินดูก่อนว่าชอบไหม”

จางอี้หลงไม่สนใจอาการงงงวยของหลี่คุน เขาพาอีกฝ่ายเดินชมไปตามจุดต่างๆ ห้องนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำหรูหรากว้างขวางพร้อมอ่างแช่สปา ตู้เสื้อผ้าแบบเดินเข้าไปได้ ห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์บันเทิงครบครัน ห้องออกกำลังกายที่เหมือนยิมขนาดย่อม ห้องทำงานโต๊ะคู่ ที่ทำให้หลี่คุนต้องตาลุกวาวคือห้องครัวที่แบ่งออกเป็นสองส่วนคือส่วนที่ทำอาหารปกติ กับส่วนที่มีเตากับที่ดูดควันแยกต่างหากพร้อมตู้ขนาดใหญ่ที่มีลิ้นชักเล็กๆ เป็นร้อยอันเหมือนตามร้านขายยาจีน

“พี่อี้หลง นี่มัน..”

“เอาไว้ให้น้องคุนเคี่ยวยาสมุนไพรไง”

“สุดยอดมาก”

“ลองออกไปดูตรงระเบียงสิ”

หลี่คุนรีบเปิดประตูเลื่อนออกไปตรงระเบียงด้วยความตื่นเต้น เขาเห็นสวนขนาดย่อมที่มีสมุนไพรไทยจีนที่เข้ากับอากาศเมืองไทยปลูกไว้อย่างสวยงาม

“มีบันไดตรงนั้นด้วยนะ น้องคุนขึ้นไปดูเลย”

บันไดสิบกว่าขั้นนั้นพาทั้งคู่ขึ้นไปยังดาดฟ้าของตึก บนนั้นกลายเป็นสวนจริงๆ ที่มีทั้งสนามหญ้าต้นไม้ใหญ่สระน้ำเล็กๆ และศาลาทรงเก๋งจีน หลี่คุนปลาบปลื้มดีใจจนบอกไม่ถูก พี่อี้หลงเป็นเทพลงมาจุติเหรอ ทำไมถึงรู้ว่าเขาชอบอะไรราวกับพยาธิในท้อง ถ้าเขาได้มาอยู่ในสถานที่แห่งนี้จริงๆ จะมีความสุขสักแค่ไหน

แต่นี่มันไม่ถูกต้อง!!!

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นครับ ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบครับ แต่ก็ไม่เกี่ยวเปล่า ตึกของพี่ พี่อยากจะทำแบบไหนก็แล้วแต่พี่สิ”

“แต่พี่ทำตึกนี้ให้น้องคุนนะครับ เป็นของขวัญไง”

“จะได้ยังไงครับ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“น้องคุนจำไม่ได้เหรอ ว่าพี่จีบเราอยู่”

“แต่ผม...”

“อย่าเพิ่งปฏิเสธครับ ลองฟังดูก่อนว่าตึกนี้มีอะไรอีกบ้าง ชั้นสิบสองเป็นบ้านของเราอย่างที่น้องคุนเห็นแล้ว ส่วนชั้นสิบเอ็ดก็เป็นบ้านเหมือนกันเผื่อน้องคุนจะให้ครอบครัวมาอยู่ด้วย สามชั้นแรกเป็นสำนักงาน รับรองมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับบริษัทสามแห่งของน้องคุน ชั้นสี่กับห้าเป็นเหมือนยิมขนาดใหญ่ใช้เป็นพื้นที่ฝึกซ้อมของพนักงานบริษัทสำนักคุ้มกันได้ ตอนนี้พี่ติดตั้งระบบวีอาร์ฝึกการเครื่องไหวไว้ห้าเครื่อง ไม่นับอุปกรณ์ยิมอื่นๆ ชั้นหกเป็นพื้นที่ส่วนกลางไว้ทานอาหารและพักผ่อนของพนักงาน ชั้นเจ็ดชั้นแปดยังว่างเผื่อขยายในอนาคต ชั้นเก้าและสิบเป็นห้องพักย่อยๆ สำหรับพนักงานที่ต้องอยู่ประจำ ส่วนด้านนอกน้องคุนคงเห็นแล้วว่ามีลานฝึกและสระว่ายน้ำ ที่สำคัญลานจอดรถด้านหน้าใช้จอดรถบัสได้ ไม่ต้องไปฝากไว้ที่ค่ายมวยอีก”

จางอี้หลงสาธยายราวกับกำลังใช้ขนมหลอกล่อเด็กสามขวบ

“มันดีมากจริงๆ ครับ ถ้างั้นผมขอเช่าได้ไหม”

“ไม่ได้ครับ ตึกที่ทำขึ้นมาอย่างพิเศษนี้ เงินลงทุนจะขนาดไหนครับ ถึงจะไม่ได้อยู่ในย่านตัวเมือง แต่ที่ดินในกรุงเทพก็ไม่มีที่ไหนถูก น้องคุนคิดว่าต้องให้เช่าเดือนละเท่าไหร่ถึงจะคุ้มครับ ต้องมีความสัมพันธ์กับเจ้าของตึกเท่านั้นถึงจะใช้ได้”

“แต่ผมยังไม่ได้คิดกับพี่แบบนั้น”

“พี่ก็ไม่ได้ขออะไรมากนี่ครับ  แค่น้องคุนเปิดใจให้พี่ก็พอแล้ว คบๆ ดูๆ กันไป มั่นใจแล้วค่อยเป็นแฟนกันทีหลังก็ได้”

“ผมยังไม่รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นต้วน.. เอ่อ เกย์นะครับ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจพี่ในแง่นั้นด้วย บางทีมันอาจจะดีก็ได้ แต่ผมต้องบอกพี่ไว้ก่อนว่ามันคงไม่ยั่งยืน”

“ทำไมครับ น้องคุนกลัวว่าพี่จะเปลี่ยนใจทีหลังเหรอ ไม่มีทาง ถึงพี่จะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่พี่มั่นใจว่าจะไม่ทำให้น้องคุนเสียใจแน่นอน”

หลี่คุนมองหน้าอีกฝ่าย เห็นแววตาที่มั่นคงนั้นแล้วก็รับรู้ถึงความจริงใจที่มีอย่างท่วมท้น

“ผมไม่สงสัยความรู้สึกของพี่เลย แต่เป็นที่ตัวผมเองครับ”

“น้องคุนกลัวว่าต่อไปตัวเองจะเปลี่ยนใจใช่ไหมครับ ไม่ต้องห่วงนะ มันเป็นหน้าที่ของพี่เองที่จะทำให้น้องคุนมีความสุขมากที่สุดจนไม่คิดจะไปไหน”

“ไม่ใช่ครับ คนอย่างผมถ้ามั่นใจความรู้สึกตัวเองเมื่อไหร่ก็จะไม่ทางเปลี่ยนใจเหมือนกัน แต่ผมกลัวว่าต่อไปจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้ผมอยู่กับพี่อีกไม่ได้ แล้วพี่จะเสียเวลาที่ควรเอาไว้สร้างอนาคตกับคนที่จะอยู่กับพี่ไปได้ตลอด”

จางอี้หลงรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังมีปมอะไรบางอย่าง

“หมายถึงครอบครัวของน้องคุนเหรอ เราเป็นลูกคนเดียวนี่นะ จะกังวลเรื่องนี้พี่ก็เข้าใจ แต่พี่คิดว่าไม่มีอะไรที่ความรักอย่างมีเหตุผลจะหาทางออกไม่ได้ เมื่อไหร่น้องคุนมั่นใจในความรู้สึกตัวเองเราก็เข้าไปคุยกับพ่อแม่น้องคุนด้วยกัน รับฟังความคิดของท่าน เล่าความรู้สึกของเรา พี่เชื่อว่าจะต้องมีจุดที่พวกท่านยอมรับได้”

“แต่ถ้าคนที่จะตัดสินเรื่องนี้ไม่อยู่แล้วล่ะครับ เราจะไม่มีวันรู้ว่าเขาคิดยังไงไปตลอดกาล”

“พี่ไม่เข้าใจครับ หมายถึงพวกคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายเหรอครับ”

“ไม่ใช่ครับ ผมคงบอกอะไรพี่ตอนนี้ไม่ได้ แต่หากมีวันที่ผมต้องไปเพราะเรื่องนี้จริงๆ ผมจะบอกพี่ทั้งหมดครับ”

ที่แท้ก็เกี่ยวกับความลับที่น้องคุนไม่เคยปริปากนี้เอง จางอี้หลงตัดสินใจที่จะไม่ซักไซร้เรื่องนี้ต่อ ตอนนี้เขาขอแค่โอกาสเท่านั้น

“งั้นพี่มีเวลาเท่าไหร่ครับ”

“ประมาณห้าปีหรืออาจจะนานกว่านั้นไม่มากครับ”

จางอี้หลงจับไหล่ทั้งสองข้างของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วมองตรงๆ ไปยังดวงตาเรียวยาวที่ตอนนี้มีแววสั่นระริกด้วยความไม่แน่ใจ

“ฟังพี่นะครับ เวลาห้าปีนี้ของน้องคุนพี่ขอรับมาดูแล แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเราจะฝ่าฟันไปด้วยกัน ผลสุดท้ายจะเป็นยังไงพี่ก็ไม่เสียใจ ขอแค่คุนมีความสุขก็พอ”

“แต่ผมเอาเปรียบพี่อย่างนั้นไม่ได้”

“เอาเปรียบที่ไหนครับ นี่มันดีกว่าน้องคุนไม่ให้โอกาสพี่เลยตั้งหนึ่งพันแปดร้อยยี่สิบหกเท่าแล้ว”

“เวลาแค่ห้าปีมันสำคัญกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ถ้าเป็นเวลาของเราก็ใช่ครับ”

แววตาของหลี่คุนส่งประกายมั่นคงขึ้นราวกับตัดสินใจอะไรได้แล้ว

“ตกลงครับ งั้นพี่ต้องจีบผมให้ติดเร็วๆ แล้วล่ะ จะได้ใช้มันให้คุ้มค่าหน่อย”

จางอี้หลงฉีกยิ้มกว้าง น้องคุนที่สลัดท่าทีจริงจังเคร่งเครียดออกอย่างนี้น่ารักเป็นบ้าเลย

“รับปฏิบัติครับ งั้นเริ่มจากพี่พาไปลองเรือนหอของเราก่อนเลย”

“พี่อี้หลง!!!”

##########
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:26:49
-44-


 
หลี่คุนเตรียมการย้ายเข้าไปที่พักแห่งใหม่แต่คงรอให้จางอี้หลงได้หยุดยาวมาไทยรอบหน้า ระหว่างนี้ก็ให้พนักงานของบริษัทสำนักคุ้มกันเป็นกลุ่มแรกที่ย้ายเข้าไปในส่วนของออฟฟิศ หลี่คุนเกือบจะลมจับเมื่อทราบว่าค่าใช้จ่ายรายเดือนในการดูแลตึกๆ หนึ่งมันสูงขนาดไหน โชคดีที่ตึกนี้ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานการประหยัดพลังงานขั้นสูง มีการติดตั้งฉนวนความร้อน ใช้แสงสว่างธรรมชาติร่วมกับหลอดไฟพลังงานต่ำ ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง กระจกที่ใช้เป็นแผงโซลาร์เซลล์ในตัว  และเทคโนโลยีล่าสุดอีกหลายตัวจากบริษัทในกลุ่มของจางอี้หลง ทำให้ค่าไฟฟ้าไม่สูงมากนัก แต่ลำพังค่าแม่บ้าน ค่า รปภ. คนสวน ช่างซ่อมบำรุง เดือนหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่น้อย หลี่คุนจึงนำระบบจากค่ายมวย ศ.เผด็จศึกมาใช้ แบ่งเวรให้องครักษ์เงาฝึกหัดมาช่วยดูแลทำความสะอาดอาคารสถานที่แลกกับแต้มคุณูปการช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
 
พอมีอุปกรณ์และพื้นที่ฝึกเกินพอการฝึกฝนองครักษ์เงารุ่นสองก็เข้าที่เข้าทาง หลังจากหลี่คุนใช้เครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหวป้อนกระบวนท่าต่างๆ ที่ใช้ฝึกฝนเข้าไปในระบบงานที่เหลือก็ปล่อยให้ตินและองครักษ์เงารุ่นหนึ่งจัดการต่อ เห็นหน้านิ่งๆ อย่างนั้นแต่เวลาคุมการฝึกตินโหดกว่าหลี่คุนเสียอีก ถึงเคยเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ค่ายมวยแต่เวลาฝึกซ้อมก็ไม่ผ่อนปรนให้แม้แต่น้อย กำลังภายในแท้จริงที่ตินมีอยู่ทำให้เกิดราศีผู้ฝึกยุทธ์ที่ทำให้คนยำเกรงโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องพูดถึงฝีมือที่เหนือล้ำกว่าองครักษ์เงาทั้งหมดจนทำให้คนมาใหม่ตาค้างไปตามๆ กัน หลี่คุนเห็นก็ได้แต่แอบชื่นชมเพื่อนตัวเองที่มีคุณสมบัติเป็นหัวหน้าองครักษ์เงาชั้นยอดระดับที่แม้ในยุคก่อนก็ยังหาได้ยากเย็นนัก
 
พอวางมือจากสำนักคุ้มกันได้หลี่คุนก็คิดหาช่องทางทำเงินต่อ กำไรที่ได้จากการลงทุนในอุตสาหกรรมบันเทิงครั้งแรกทำให้เออกจะติดใจไม่น้อย ตอนนี้พวกซูเอ๋อร์ก็ทำโปรเจ็คเล็กๆ ร่วมกับภาคฟิล์มที่คณะของหลี่คุนเป็นรายการเรียลลิตี้โชว์เรื่องใช้ชีวิตช่วงเก็บตัวการฝึกซ้อมลดน้ำหนักของจอมเด่นก่อนจะขึ้นชกในแต่ละครั้งฉายเป็นตอนๆ ทางอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่าต้องมีน้ำมันมวยมีคุณเป็นสปอนเซ่อร์ รายการนี้ช่วยให้จอมเด่นซึ่งยังคงมุ่งมั่นกับการเป็นนักมวยไม่ได้หลงไปกับชื่อเสียงทางโซเชี่ยล มีรายได้เสริมไปช่วยเหลือทางบ้านนอกเหนือจากค่าตัวที่ได้จากการชกแล้ว หลังจากปล่อยฉายทางอินเตอร์เน็ตก็ได้รับความสนใจจากแฟนคลับของจอมเด่นรวมถึงคนที่ยังจำทั้งคู่ได้จากดราม่าครั้งก่อนซึ่งมีอยู่ไม่น้อย เมื่อถึงวันขึ้นชกจริงก็มีคนติดตามไปดูทั้งในสนามจริงและทางออนไลน์ทำให้บรรยากาศคึกคักกว่ามวยคู่ปกติ ไม่นานสมาคมมวยก็สนใจรายการลักษณะนี้ที่ทำให้คนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติมาสนใจมวยไทยให้มากกว่าเดิมจนถึงกับส่งเสริมให้ค่ายมวยอื่นๆ ทำตาม แต่รายการของพวกซูเอ๋อร์ที่มีจอมกับเด่นเป็นแม่เหล็กดึงดูดก็ยังมียอดวิวและโฆษณาเข้ามากที่สุด
 
รายการเรียลลิตี้โชว์แบบนี้ถือเป็นธุรกิจบันเทิงที่หลี่คุนสนใจ แต่เขาเห็นเด็กๆ ทำได้ดีอยู่แล้วก็ปล่อยให้หาค่าขนมกันต่อไป ส่วนตัวเขายังติดใจกับความสำเร็จของซีรีส์วายอยู่ก็พอดีผู้จัดละครสาวจากสตูดิโอเดิมก็ติดต่อเข้ามา
 
“วันนี้พี่นัดคุณคุณานนท์มา ก็อยากจะหารือเรื่องโปรเจ็คต่อไปของสตูดิโอเราค่ะ เนื่องจากความสำเร็จของซีรีส์นิโคติน เราเลยเตรียมจะทำอีกสองเรื่องเลย ไม่เชิงว่าเป็นภาคต่อของนิโคตินนะคะ แต่เหตุการณ์สถานที่อาจมีเชื่อมกันบ้าง รวมถึงนักแสดงเรื่องที่แล้วอาจได้มาเล่นเป็นนักแสดงรับเชิญบางฉากเพื่อดึงแฟนคลับเดิม”
 
“อืม ฟังดูน่าสนใจนะครับ ตามข้อตกลงครั้งก่อนผมต้องได้สิทธิ์ร่วมลงทุนด้วยใช่ไหมครับ”
 
“ใช่ค่ะ แต่สัดส่วนและจำนวนเงินยังไม่ได้ระบุไว้ แล้วจริงๆ ก็สิทธิ์นั้นก็สำหรับเรื่องเดียวด้วย เราจึงต้องมาเจรจากันอีกที คือพี่อยากจะคุยเป็นภาพใหญ่ไปเลยค่ะ ทั้งเรื่องสิทธิ์การร่วมทุน สปอนเซ่อร์ แล้วก็ตัวนักแสดง ไม่ทราบคุณคุณานนท์พอจะนำข้อเสนอเรื่องสปอนเซ่อร์ของทางเราไปเรียนถามคุณบรูคให้ด้วยได้ไหมครับ”
 
“คุยกับผมได้เลยครับ ยังไงคุณบรูคก็ตกลงตามผม ว่าแต่สองเรื่องนี้เป็นแนวไหนบ้างครับ”
 
ทำไมประธานบริษัทอย่างบรูคถึงจะทำตามเด็กมหาลัยคนหนึ่งง่ายๆ  หรือว่าคนตรงหน้าจะมีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับคนมีครอบครัวแล้ว เรือบาปในใจผู้จัดสาวแล่นมาอย่างรวดเร็ว
 
“เรื่องแรกชื่อกาเฟอีนเดอะซีรีส์ค่ะ จะเป็นแนวน่ารักใสๆ อ่อนโยนกว่านิโคติน ธีมของเรื่องจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่รักในการเต้นโคฟเวอร์ ตัวแสดงหลักจะอยู่ในวัยมอหกเตรียมเข้าปีหนึ่ง เน้นความความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านในวัยเด็กที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตที่คาบเกี่ยวกับความเป็นผู้ใหญ่ คือจะมีอะไรขมๆ ขึ้นมานิดหน่อยแต่หอมเย้ายวนเหมือนกาแฟ ส่วนอีกเรื่องชื่อมอร์ฟีนเดอะซีรีส์อันนี้จะฉีกไปเลย เป็นดราม่าหนักๆ ของนักธุรกิจผู้สมบูรณ์แบบไปทุกด้านที่ใช้อำนาจของตัวเองเล่นสนุกกับคนที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อลบปมในใจ สุดท้ายก็ทั้งรักทั้งเกลียดเสพติดซึ่งกันและกันจนถอนตัวไม่ขึ้น เปรียบเหมือนมอร์ฟีนที่เป็นสารเสพติด แต่ถ้าใช้ให้ถูกก็เป็นยารักษาความเจ็บปวดของคนทั้งคู่ได้เช่นกัน”
 
“อืม ก็น่าจะโอเคนะครับ แต่ไม่มีแบบเรื่องจีนโบราณฝึกวิทยายุทธ์ปรุงยาบ้างเหรอครับ จะได้มีสีสันไม่เรียบๆ แบบนี้”
 
ผู้จัดละครสาวสะกัดกั้นอาการมองบนของตัวเองได้ทัน
 
“เอ่อ คือหนังจีนโบราณ ต้นทุนสูงมากเลยนะคะ ทั้งฉากทั้งเสื้อผ้า และถึงเราทำขึ้นมาก็คงสู้ทางฝั่งจีนฝั่งฮ่องกงหรือไต้หวันไม่ได้”
 
“น่าเสียดายจัง งั้นเอาสองเรื่องนี้ตามที่ว่าก็ได้ครับ ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาจะเป็นสปอนเซอร์ให้ทั้งสองเรื่อง ราคาก็ตามเดิม ส่วนผมขอลงทุนยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะครับ”
 
“ราคาเดิมคงไม่ได้แล้วค่ะ เรื่องที่แล้วที่ช่วยกรุณามาเป็นสปอนเซ่อร์ให้ทางเราต้องขอบคุณจริงๆ แต่เนื่องจากเรื่องนั้นดังมากเรตค่าโฆษณาของสองเรื่องนี้ที่เราใช้ทีมงานเดิมทั้งผู้กำกับกับและคนเขียนบทก็ต้องขึ้นตาม นี่เป็นเรื่องปกติของธุรกิจนี้จริงๆ นะคะไม่ใช่ว่าเราจะโก่งราคา ตอนนี้ก็มีเจ้าของผลิตภัณฑ์ติดต่อมาหลายเจ้าแล้วแต่เราอยากให้ทางคุณพิจารณาก่อนในฐานะที่สนับสนุนกันมาก่อน”
 
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แต่ยังไงคงให้ได้แค่เรตเดิม ขอแค่เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักแล้วกันครับ ใช่ว่าสปอนเซ่อร์ต้องมีรายเดียวนี่ เลือกสินค้าที่ไม่แข่งกันมาหลายๆ ตัว ถ้าซีรีส์ดีจริง ช่วงแนะนำสปอนเซ่อร์จะยาวขึ้นอีกนิด คนดูก็ไม่ว่าหรอกครับ”
 
“ทำไมพี่ถึงนึกไม่ถึงนะ ขอบคุณมากค่ะ งั้นทางเราจะขอดำเนินการที่คุณคุณานนท์แนะนำ แต่ยังไงช่วยเก็บอัตราค่าสปอนเซ่อร์ที่ได้ไว้เป็นความลับนะคะ เพราะมันต่ำมากจริงๆ ส่วนเรื่องการลงทุนที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ดูแล้วลำบากค่ะ โครงการทั้งสองเรื่องนี้ มีนักลงทุนสนใจกันเยอะ ต่างชาติก็เข้ามาด้วย  แล้วไม่ได้ลงแต่เงินนะคะ หลายเจ้าที่เสนอยังมีคอนเน็กชั่นต่างๆ แถมให้อีก แต่ในฐานะที่เคยร่วมงานกันมาก่อน ถ้าคุณคุณานนท์พอจะสนับสนุนเรื่องตัวนักแสดงได้ซักสองคน ทางเรายินดีที่จะพิจารณาให้ที่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ”
 
“ไม่มีปัญหาเลยครับ จะเอาจอมเด่นก็ได้ หรือไม่งั้นที่ค่ายมวยตอนนี้ยังมีให้เลือกอีกเป็นร้อยคน รับรองมีครบทุกช่วงอายุ”
 
ถ้าไม่เกรงใจหนังหน้าหล่อๆ ผู้จัดสาวก็อยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ ตัวเองก็ร่วมลงทุนในเรื่องนิโคติน ได้เคยดูบ้างไหมว่าแนวละครของสตูดิโอนี้มันเข้ากับนักมวยหุ่นล่ำๆ เอะอะถีบเอะอะต่อยที่ตรงไหน ไม่ใช่แนวรักด้วยลำแข้งนะ
 
“เอ่อ คือ นักมวยในค่ายอาจจะไม่เหมาะกับบทในเรื่องเท่าไหร่ นักแสดงที่เราอยากจะขอคือคุณคุณานนท์กับน้องชายเองค่ะ บังเอิญว่าคุณน้องชาย ชื่อน้องซูกัสใช่ไหมคะ บุคลิกเหมาะกับบทนายเอกในเรื่องกาเฟอีนมาก เราไปดูผลงานสมัยเป็นเน็ตไอดอลแล้ว ตรงกับตัวละครจริงๆ”
 
“ซูเอ๋อร์นะเหรอ น้องยังเด็กอยู่เลยนะครับ”
 
“มอหกนี่ไม่เด็กแล้วนะคะ หลายคนเข้าวงการตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้อีก ส่วนคุณคุณานนท์เองก็ตรงกับทั้งสองบทเลย รูปร่างหน้าตาบุคลิกอย่างนี้ จะเล่นเป็นพระเอกคู่กับน้องซูกัสในเรื่องกาเฟอีนก็ได้ หรือจะรับบทนายเอกในเรื่องมอร์ฟีนก็เหมาะสม เลือกมาได้เลย ใจจริงอยากให้รับทั้งสองบทเลยนะคะ แต่กลัวคนดูสับสน”
 
“ผมนี่นะ ถ้าเลือกกาเฟอีนจะต้องเล่นกับซูเอ๋อร์”
 
ก็เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากการจิ้นพวกนายทั้งคู่ที่เป็นพี่น้องกันนี่ไง ผู้จัดละครสาวอยากตะโกนออกมาดังๆ เรือบาปอีกลำแล่นเข้ามาตีคู่กับเรือบาปลำแรก
 
“ไม่ดีหรือคะ ถึงเรื่องกาเฟอีนจะออกแนวใสๆ แต่ก็จะมีบทจูบบทถึงเนื้อถึงตัวนิดหน่อย คุณคุณานนท์มาเล่นเองจะได้ดูแลน้องชายได้เต็มที่ไงคะ แต่ถึงพระเอกจะเป็นคนอื่น เราก็ดูแลให้อย่างดีค่ะ ไม่มีอะไรเสื่อมเสียแน่นอน”
 
“แล้วถ้าเลือกเรื่องมอร์ฟีนจะให้เล่นกับใครครับ”
 
“ยังไม่ได้ตัวนักแสดงค่ะ แต่ที่คิดไว้ บุคลิกจะประมาณคุณบรูคประธานบริษัทของคุณคุณานนท์นั่นแหละค่ะ พระเอกในเรื่องโปรไฟล์แบบเดียวกันเป๊ะ หน้าตาและหุ่นดีมากๆ ชาติตระกูลดี เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเอง อยู่ในวัยสามสิบกว่าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดูดีที่สุดของผู้ชาย มีลูกสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ต่างกันแค่ในซีรีส์พระเอกจะหย่าขาดจากภรรยาไปนานแล้ว”
 
จะไม่ให้เหมือนยังไงล่ะ ก็พล๊อตเรื่องนี้นักเขียนร่างขึ้นมาโดยมีบรูคกับคุณานนท์เป็นต้นแบบตัวละคร หากได้มาเล่นคู่กันจริงๆ ทั้งเธอทั้งนักเขียนคงตายอย่างสงบศพสีชมพู แต่คนระดับบรูคจะมาเล่นละครแบบนี้ได้ยังไง ความหวังเพียงหนึ่งเดียวคือใช้ผลประโยชน์เข้าล่อเพื่อทาบทามคุณานนท์มาแสดงให้ได้
 
ใจจริงหลี่คุนไม่ค่อยอยากให้ซูเอ๋อร์มาทำอะไรอย่างนี้ เขาเห็นความดังของนักแสดงนำเรื่องนิโคตินหรือแม้แต่จอมเด่นที่เป็นแค่ตัวประกอบแล้วรู้สึกว่ามันกระทบชีวิตมากเกินไป แต่น้องชายเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ถ้าเป็นในยุคก่อนบุรุษวัยนี้ที่ตบแต่งภรรยาหรือยกทัพจับศึกก็มีให้เห็น เขาควรให้ซูเอ๋อร์ตัดสินใจด้วยตัวเอง อาชีพนักแสดงงิ้วในยุคนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี ซูเอ๋อร์ก็ดูจะชอบทางนี้อยู่ไม่น้อย
 
“เอาอย่างนี้นะครับ ผมมีข้อเสนอแค่อย่างเดียว ผมขอลงทุนยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วจะจัดหานักแสดงที่คุณต้องการให้หนึ่งคน”
 
“ถ้าแค่หนึ่งคน ไม่ว่าจะเป็นน้องซูกัสหรือคุณคุณานนท์เองเราก็ให้เต็มที่แค่สิบเปอร์เซ็นต์นะคะ”
 
“ผมไม่แสดงละครแน่นอนครับ พอดีไม่สะดวกใจออกสื่อขนาดนั้น ส่วนซูกัสผมจะถามน้องให้ว่าเขาสนใจหรือเปล่า แต่จะไม่เกี่ยวอะไรกับข้อตกลงของเรา”
 
“อ้าว แล้วนักแสดงหนึ่งคนในเงื่อนไขคือใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คนที่ทางเราต้องการ น่าจะคุยกันต่อลำบากค่ะ”
 
“อย่าบอกนะครับว่านักธุรกิจไฮโซอย่างคุณบรูค ไม่ใช่คนที่คุณอยากให้มาแสดงนำในเรื่องมอร์ฟีน ด้วยชื่อเสียงภาพลักษณ์ขนาดนี้มาร่วมงานกับสตูดิโอคุณ ยังต้องกลัวอีกเหรอครับว่าเวลาคุณไปเชิญนักแสดงรายอื่นๆ พวกเขาจะปฏิเสธ”
 
“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงคะ คุณบรูคเขาเป็นตั้งคนระดับนั้น”
 
ถ้าคนที่สมบูรณ์แบบในทุกด้านอย่างบรูคมาเล่นซีรีส์วายจริง เท่ากับภาพลักษณ์ของวงการนี้จะถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก นักแสดงมีฝีมือที่เคยตะขิดตะขวงใจจะรับบทชายรักชายแบบนี้คงไม่ปฏิเสธอีก ซีรีส์วายจะไม่ใช่สำหรับดาราเกรดรองหรือนักแสดงหน้าใหม่อีกต่อไป
 
“ถ้าผมบอกว่าได้ก็ได้ครับ แต่ขอผมเช็คอะไรอีกนิดนึง”
 
หลี่คุนกดโทรศัพท์คุยเรื่องนี้กับใครคนหนึ่งต่อหน้าผู้จัดละครสาว แวบแรกเธอนึกดีใจว่าอีกฝ่ายจะโทรไปขอกับบรูคโดยตรง แต่เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงจากปลายสายดังแว่วมาความหวังก็กลับริบหรี่ หลี่คุนคุยอยู่สักครู่ก็วางสายแล้วหันมาบอกผู้จัดละครสาว
 
“ตกลงตามนั้นครับ คุณรีบไปเตรียมสัญญามาได้เลย เราจะลงนามพร้อมกันทีเดียวทั้งสัญญาร่วมทุนสัญญาสปอนเซอร์และสัญญานักแสดงของคุณบรูค”
 
ง่ายๆ แค่นั้นนะเหรอ ผู้จัดสาวตกตะลึง!!!
 
แม้จะเซ็นสัญญากันไปแล้ว แต่ผู้จัดละครสาวก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ซีรีส์ทั้งสองโปรเจ็คเตรียมการในเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็วรวมถึงการหาและคัดตัวนักแสดง ทุกฝ่ายอยากให้มีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องสามารถออนแอร์ได้ทันในระหว่างที่กระแสจากเรื่องแรกยังไม่จางหาย
 
พอได้ตัวนักแสดงครบ ก็มีการจัดเวิร์คช็อปขึ้นเพื่อให้นักแสดงเกิดความคุ้นเคยกันทันที
 
“สวัสดีค่ะ คุณบรูค”
 
ผู้จัดละครสาวออกไปต้อนรับนักแสดงหน้าใหม่ที่จะมารับบทพระเอกของมอร์ฟีนเดอะซีรีส์อย่างประหม่าอยู่บ้าง จะไม่ให้เธอเกร็งได้อย่างไรในเมื่อฐานะของคนๆ นี้เหนือกว่าคนในกองถ่ายทั้งหมดแถมยังเป็นหนึ่งในสปอนเซ่อร์หลักของละครเรื่องนี้ด้วย นักแสดงคนอื่นก็มองมาเป็นตาเดียวกัน จากความนิยมของเรื่องนิโคตินซึ่งเป็นซีรีส์ก่อนหน้าและงบประมาณที่ได้รับมากขึ้น ทำให้ซีรีส์ทั้งสองเรื่องที่กำลังจะเปิดกล้องเต็มไปด้วยนักแสดงหน้าตาดีมีความสามารถมารวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการละครวาย
 
ขณะที่คนส่วนใหญ่เข้าไปรุมล้อมแนะนำตัวกับไฮโซคนดัง ยังมีบางคนสังเกตเห็นการมาอย่างเงียบๆ ของคนสองคนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาแต่ยังดูโดดเด่นท่ามกลางนักแสดงหน้าตาดี
 
“สองคนนั้นใครครับพี่”
 
นักแสดงวัยรุ่นที่รับบทเป็นพระเอกคู่สองของกาเฟอีนเดอะซีรีส์ถามผู้ช่วยผู้กำกับ เขาแสดงซีรีส์วายในบทนำมาหลายเรื่องจนมีแฟนคลับหลายแสนคน
 
“คนเด็กๆ หน่อยก็น้องซูกัส ตัวเอกของเรื่องกาเฟอีนไง ส่วนคนใส่มาสก์นั่นรู้สึกจะพี่ชายเขา คงพามาส่ง หน้าตาดีมากทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”
 
“ซูกัสอะไรนั่นหน้าตาดีจริงผมไม่เถียง แต่เป็นหน้าใหม่แล้วได้บทตัวเอกเลย นี่คัดตัวมาดีแล้วเหรอ”
 
“ไม่มีการคัดตัวนะบทนี้ ข้างบนระบุซูกัสมาตั้งแต่แรก ดูเหมือนจะเป็นญาติกับนักลงทุนที่ลงในโปรเจ็คทั้งสองเรื่องเลย”
 
“เด็กเส้นนี่หว่า จะแสดงเป็นเหรอพี่ ซีรีส์วายไม่ใช่หมูๆ นะ เดี๋ยวผมรับน้องให้เอง”
 
นักแสดงรุ่นพี่อดแสดงสีหน้าดูถูกออกมาไม่ได้ การที่ผู้ชายแท้ๆ จะมาแสดงความรักกับผู้ชายด้วยกันมันไม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เดี๋ยวเจอของจริงจะรู้สึก แต่ก่อนที่จะมีใครได้ลงมือทำอะไร ผู้จัดละครสาวก็ได้เรียกนักแสดงมารวมตัวกันก่อน
 
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โปรเจ็ค กาเฟอีนเดอะซีรีส์ และมอร์ฟีนเดอะซีรีส์ นะคะ เวิร์คช็อปนี้เป็นวันแรกที่นักแสดงทุกคนได้มาเจอกัน เดี๋ยวเราจะแบ่งกลุ่มกันไปสร้างความคุ้นเคยต่อไป วันนี้ทีมงานจะดูเคมีความเข้ากันของแต่ละคู่ด้วย ถ้าดูไม่เหมาะกันจริงๆ ก็อาจมีปรับได้อีกค่ะ และอย่างที่น่าจะทราบกันแล้วนะคะ ทั้งสองโปรเจ็คนี้มีเวลาจำกัดกว่าปกติและจะเป็นแบบถ่ายไปออนแอร์ไป  ข้อดีคือเราสามารถปรับเปลี่ยนบทตามกระแสคนดูได้แลกกับการที่พวกเราจะต้องทำงานกันหนักหน่อย แต่เรามีตัวช่วยให้บรรดานักแสดงนะคะ”
 
ผู้จัดละครสาวหยิบกระปุกกระเบื้องเคลือบสีขาวแวววาวเหมือนหยกเนื้อดีตรงฝาผนึกไว้ด้วยครั่งสีแดงเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงขึ้นมาโชว์ให้ทุกคนเห็นชัดๆ
 
“หลายคนที่อยู่ในวงการน่าจะเคยได้ยินเรื่องเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าในตำนานที่ดาราเกรดเอสกับไฮโซใช้กันนะคะ ข่าวลือบอกว่าสรรพคุณในการฟื้นฟูและบำรุงผิวมันคือที่สุดแต่มีขายแค่ในวงจำกัด คนที่ใช้ถึงไม่มีใครพูดถึงมันเพราะกลัวจะเกิดการแย่งชิงไปมากกว่านี้ สิ่งที่อยู่ในมือดิฉันคือขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูของแท้ในตำนานค่ะ ทางผู้ลงทุนที่ไม่ประสงค์จะออกนามในโปรเจ็คของเราให้ความอนุเคราะห์มอบให้กับนักแสดงทุกคนคนละหนึ่งกระปุกต่อเดือนตลอดระยะเวลาถ่ายทำและโปรโมทละคร รับรองว่ากองถ่ายเราจะประหยัดเวลาแต่งหน้าไปได้โข”
 
เสียงพึมพำอย่างสนใจดังขึ้นไปทั่ว หลายคนได้ยินชื่อเสียงของขี้ผึ้งในตำนานมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลายคนยังคลางแคลงใจอยู่
 
“ใครต้องการรับขี้ผึ้งตัวนี้เรามีเงื่อนไขว่าต้องนำไปใช้เองเท่านั้น ส่วนใครที่ไม่ต้องการก็แจ้งมาได้เลย”
 
บรูคเป็นคนแรกที่ตอบขึ้นมา
 
“ของผมไม่ต้องครับ ปกติก็ใช้ตัวนี้อยู่แล้ว”
 
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีก ที่แท้ความลับของไฮโซหนุ่มรูปหล่อวัยสามสิบที่ยังคงความเนียนใสของผิวหน้าไว้ได้ก็คือสิ่งนี้นี่เอง พอเป็นคำพูดของบรูคเจ้าของบริษัทเครื่องสำอางแบรนด์ดัง ก็ไม่มีใครสงสัยในสรรพคุณของขี้ผึ้งอีก ซูกัสมองนักแสดงที่เฮโลกันลงชื่อรับขึ้ผึ้งโอสถแล้วทำปากยื่นอย่างไม่ค่อยพอใจ นับรวมๆ ปาเข้าไปตั้งกี่สิบกระปุกแล้วนั่น เสร็จแล้วใครกันที่ต้องมาลำบากช่วยพี่คุนหั่นสมุนไพรช่วยกวนช่วยตักแบ่งใส่กระปุกจนเมื่อยไปหมด
 
หลังจากผ่านความวุ่นวายในการแย่งชิงขี้ผึ้งไปได้ บรรดานักแสดงก็ถูกทีมงานแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามบทที่ต้องร่วมงานกัน หลี่คุนพาซูกัสเดินตามทีมงานไปที่ห้องเวิร์คช็อปของซีรีส์กาเฟอีน
 
“ตื่นเต้นเหมือนกันนะพี่คุน ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เลย”
 
“แล้วคุณแฮ็คส์เขาโอเคแล้วใช่ไหมที่เรามาเล่นละครแบบนี้”
 
“ผมโตแล้วเถอะพี่ พ่อแม่ยังไม่ว่าอะไรเลย”
 
“ตกลงเขารู้ยัง”
 
“พี่เขาไปถ่ายหนังที่ต่างประเทศยาวเลย กลับมาผมค่อยบอก”
 
“ทำไมไม่รู้จักรีบบอกๆ ไป ช่างเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว เรารับงานมาก็ต้องตั้งใจทำงานล่ะ พี่จะนั่งดูอยู่ริมๆ ห้อง จะได้ไม่เกะกะทีมงานเขา”
 
ซูกัสเข้าไปรวมกลุ่มกับทีมงานและนักแสดงคนอื่นของซีรีส์อย่างกระตือรือล้นสดใสเรียกสายตาเอ็นดูจากคนในกลุ่มทันที
 
“เข้ามาเลยจ่ะน้องซูกัส พี่ชายน่ารักนะ ตามมาดูแลตลอด”
 
“ร่ำลาอะไรกันนักหนา พี่ชายหรืออะไรกันแน่ จริงๆ ทีมงานไม่น่าจะปล่อยให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาข้างในแบบนี้นะครับ ถ้ามาแอบถ่ายอะไรเอาไปลงในเน็ต โปรเจ็คเสียหายแย่”
 
พระเอกคู่สองของเรื่องพูดขึ้นมาลอยๆ ทำเอาคนในกลุ่มทำหน้าไม่ถูก จะค้านก็พูดไม่เต็มปาก ความจริงก็ไม่ควรให้คนนอกเข้ามาดูจริงๆ นั่นแหละ แต่ผู้จัดละครเป็นคนอนุญาตเอง และคู่พี่น้องนี้ก็ดูนิสัยดีด้วย ไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไร
 
“รับรองไม่มีปัญหาแน่นอนครับพี่ๆ มีอะไรก็แนะนำซูกัสคนนี้ได้เลยนะครับ”
 
ซูกัสไม่ถือสากลับยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ทุกๆ คน ทำให้ความรู้สึกดีต่อนักแสดงหน้าใหม่คนนี้พุ่งขึ้นไปอีก
 
“งั้นเริ่มเลยนะครับ กลุ่มนี้เรามีหกคนสามคู่ ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรกหมดเลย เดี๋ยวจะขอให้จับคู่กันตามบทและผลัดกันเล่าเรื่องส่วนตัวให้กันนะครับ เดี๋ยวเราจะมีคำถามมาเช็ค คู่ไหนตอบได้มากที่สุดชนะไปเลย”
 
พระเอกของเรื่องคู่ของซูกัสดูเป็นพี่ชายอบอุ่นเหมาะกับบทมาก เรื่องนี้เป็นละครวายเรื่องแรกของเขาเช่นกันแต่มีงานแสดงอื่นมาหลายเรื่องแล้ว ทั้งคู่เข้ากันได้อย่างรวดเร็วจนทีมงานเบาใจที่เห็นเคมีตรงกัน เวิร์คชอปช่วงแรกเน้นให้นักแสดงได้ลองเต้นร่วมกันเพราะเป็นธีมหลักของซีรีส์นี้ หลังจากนั้นกิจกรรมก็เข้มข้นถึงเนื้อถึงตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักแสดงเกิดความคุ้นเคยกับความใกล้ชิดระหว่างผู้ชายด้วยกัน เวลาเข้าบทตอนถ่ายจริงจะได้ไม่เคอะเขินกันเอง
 
ผู้กำกับที่คอยเดินไปคำแนะนำกลุ่มต่างๆ เข้ามากระซิบถามทีมงาน
 
“กลุ่มนี้เป็นยังไงบ้างวะ พี่เห็นตอนซ้อมเต้นด้วยกันแล้วดูใช้ได้เลย เหลือแค่ฝีมือแสดง คู่รองทั้งสองคู่ไม่น่าเป็นห่วงมั๊ง ผ่านงานแบบนี้กันมาแล้วทั้งนั้น แต่คู่หลักพายุกับซูกัส เพิ่งเล่นซีรีส์วายเป็นเรื่องแรกทั้งคู่ ไหวไหมวะ”
 
“เคมีเข้ากันดีอยู่ครับพี่ แต่พอเริ่มสนิทกันมันดันกลายเป็นอารมณ์พี่น้องเฉยเลย คือไม่ใช่ไม่น่ารักนะ แต่พอเข้าเลิฟซีนจริงกลัวจะเหมือนพี่น้องหยอกกันมากกว่า”
 
“งั้นลองให้ประกบกับคนอื่นดูบ้างว่าเป็นอย่างนี้กับทุกคนไหม”
 
เมื่อได้แนวทางจากผู้กำกับ ทีมงานก็เอากิจกรรมใหม่ขึ้นมาเล่นทันที
 
“เดี๋ยวแบ่งออกเป็นทีมนายเอกกับทีมพระเอกนะครับ ให้ทุกคนเอาผ้าปิดตาไว้ ทีมนายเอกมายืนเรียงกันสามคนตรงนี้ ส่วนทีมพระเอกจะเข้ามาเล่นทีละคน โดยจะต้องจับๆ คลำๆ ทีมนายเอกไปเรื่อยๆ นะครับ เอาให้มั่นใจแล้วก็ทายออกมาเลยว่าคู่ของเราคือคนไหน ใครทายไม่ถูกต้องโดนทำโทษนะ เสร็จแล้วค่อยสลับฝั่งกัน”
 
นักแสดงทั้งหกคนทำกิจกรรมใหม่ร่วมกันอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อถึงตาพระเอกคู่สองเป็นคนปิดตาทาย เขากลับลูบคลำร่างกายของซูกัสอยู่นาน พอเดินออกไปหานายเอกคนอื่นยังไม่ทันที่ซูกัสจะโล่งใจ ก็วนกลับมาอีก คราวนี้เอาหน้าเข้ามาใกล้จนซูกัสรู้สึกอึดอัด มือที่เปะป่ายไปมาเริ่มเลื่อนลงต่ำ จนเมื่อลงมาถึงก้นและถูกเป่าร้อนๆ ลมเข้าหู ซูกัสก็รู้ว่ามันเป็นการล่วงละเมิดแล้ว ปฏิกิริยาป้องกันตัวเองของเด็กหนุ่มเกิดขึ้นทันที เขาจับร่างกายใหญ่ที่กำลังจาบจ้วงตัวเองอยู่เหวี่ยงออกไปอย่างไม่รู้ตัว เสียงกระแทกพื้น เสียงคนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เสียงระเบิดดังสนั่น ตามด้วยไฟทั้งอาคารดับพรึบจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด
 
คนในห้องแตกตื่นไม่น้อย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานก็มีคนใช้โทรศัพท์ส่องไฟเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทีมงานวิ่งติดต่อทางอาคารวุ่นวายไปหมด ไม่นานไฟฉุกเฉินก็เริ่มทำงานแต่ก็นับว่าไม่สว่างเท่าไหร่ พระเอกคู่สองที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของเสียงร้องหายไปจากห้อง หลี่คุนอาศัยประสาทสัมผัสของผู้ฝึกยุทธ์เข้าไปดูซูกัสและพูดคุยก่อนหน้านี้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว พอรู้ว่าน้องไม่เป็นอะไรก็กลับเข้าไปยืนแอบอยู่ตรงมุมห้อง มีร่างในชุดสูทดำจากไหนไม่รู้มาปรากฏตัวข้างๆ
 
“ฝีมือใคร”
 
“น่าจะเป็นบอดี้การ์ดของคุณแฮ็คส์ ระเบิดตู้จ่ายไฟซะเละเลย”
 
“คนล่ะพี่เมฆ”
 
“ถูกเอาตัวขึ้นรถไปแล้ว”
 
“พี่ช่วยติดต่อไปว่าให้ยั้งมือไว้ไมตรีหน่อย เดี๋ยวละครมีปัญหา”
 
เมฆหายไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนที่มา มีองครักษ์เงานี่มันสะดวกสบายเสียจริง หลี่คุนนึกในใจ เมื่อกี้ซูเอ๋อร์คงใช้กำลังภายในบุปผาวารีโดยไม่รู้ตัวจับนักแสดงคนที่ตั้งใจแกล้งทุ่มลอยละลิ่วไปที่อีกมุมของห้องโถงขนาดใหญ่ โชคดีที่ไฟดับเสียก่อนเลยไม่มีใครรู้สึกผิดสังเกต
 
หลี่คุนนึกเป็นห่วงนักแสดงคนนั้นอยู่บ้าง ไม่ใช่อะไร แค่กลัวว่าจะบาดเจ็บจนงานถ่ายทำล่าช้าแล้วละครของเขางบจะบานปลาย อยู่ดีๆ ไปยุ่งกับสิ่งที่น่ากลัวอย่างคู่รักถังหูลู่ทำไม
 
#############
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:28:06
-45-

ไม่กี่วันหลังจากเวิร์คช็อปที่ต้องเลิกก่อนเวลาเพราะไฟฟ้าดับ โปรเจ็คคู่กาเฟอีนเดอะซีรีส์และมอร์ฟีนเดอะซีรีส์ก็มีการปรับบทและเปลี่ยนแปลงตัวละครบางส่วน ผู้จัดละครสาวมาขอยกเลิกสัญญานักแสดงนำของซูกัสอย่างกังวลใจ เธอบอกว่าผู้ใหญ่ในบริษัทถูกกดดันจากผู้มีอิทธิพลในวงการให้เอาเด็กหนุ่มออก นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการถูกข่มขู่จากบุคคลที่ท่าทางเหมือนมาเฟียจนทั้งบริษัทประสาทเสียไปตามๆ กัน หลี่คุนปลอบใจไปตามสมควรแล้วบอกว่าแค่เอาซูกัสออกก็ไม่มีปัญหาแล้ว ให้เริ่มถ่ายทำได้เลย
 
เนื่องจากมีนักแสดงบทนำหายไปคนหนึ่งจึงต้องมีการปรับตัวนักแสดงกันใหม่ ตัวแสดงคู่สองของกาเฟอีนเดอะซีรีส์ถูกปรับเปลี่ยน นายเอกของคู่นั้นถูกเลื่อนมาแทนซูกัส ส่วนพระเอกคู่สองที่มีอาการฟกช้ำพอสมควรจากอุบัติเหตุตอนที่ไฟดับถูกย้ายไปเล่นมอร์ฟีนเดอะซีรีส์แทน แต่จากที่เคยรับบทเป็นพระเอกหรือบทรุกในซีรีส์วายมาโดยตลอด คราวนี้กลับต้องกลายเป็นฝ่ายรับในความสัมพันธ์มาโซเข้มข้นตบจูบกับตัวเอกร่างสูงใหญ่ในคู่สามของเรื่อง แต่นอกจากเรื่องนี้แล้วการเปิดกองถ่ายของซีรีส์ทั้งสองเรื่องก็เป็นไปได้ด้วยดี ทีมนักแสดงเริ่มงานกันด้วยอารมณ์และใบหน้าที่สดใสกว่าปกติด้วยอานิสงส์ของขี้ผึ้งจักรพรรดิ
 
หลังจากเปิดตัวอย่างอลังการและออนแอร์ไปได้แค่สามตอน กาเฟอีนเดอะซีรีส์ก็ดังจนติดกระแสโลกไปอย่างสบายๆ เสียงชื่นชมในความน่ารักของนักแสดงระดับฟินจิกหมอนทำให้ยอดคนดูพุ่งตามนิโคตินเดอะซีรีส์ไปติดๆ ซูกัสตอนแรกก็บ่นอุบที่ตัวเองโดนถอดออกจากเรื่องโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พอเห็นเพื่อนนักแสดงที่มารับบทแทนดังจนแทบไปไหนมาไหนไม่ได้ก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อย เขาอยากมีชื่อเสียงเอาไว้อวดเพื่อนเท่ๆ แต่ถ้าต้องแลกกับชีวิตส่วนตัวขนาดนั้นไม่เอาด้วยดีกว่า เขาแค่เกาะกระแสความดังไปขอถ่ายรูปด้วยเอาไปโชว์คนอื่นว่ามีเพื่อนเป็นดาราก็พอแล้ว
 
ความดังระดับโลกของซีรีส์วายสามเรื่องติดๆ กันของสตูดิโอแห่งนี้ทำให้วงการบันเทิงต้องหันมาจับตามอง แม้แต่ซีรีส์วายของค่ายอื่นๆ ก็พลอยได้รับความสนใจมากขึ้นจนกลายเป็นกระแส จากที่ละครวายเคยถูกมองว่าเป็นงานเกรดรองๆ ทำออกมาจับตลาดเฉพาะกลุ่มใช้แต่นักแสดงหน้าใหม่ที่จำใจเล่นกลับกลายมาเป็นเทรนด์ระดับโลก ยอดวิวที่ท่วมท้น ของที่ระลึกที่ขายดิบขายดี บัตรแฟนมีตที่ขายหมดในพริบตา สปอนเซอร์ที่หลั่งไหลเข้ามา และช่องทางทำเงินผ่านกิจกรรมออนไลน์จากฐานแฟนคลับทั่วโลก ทำให้ผู้สร้างละครแนวอื่นมองด้วยความอิจฉา
 
“พี่คุน วันนี้เพื่อนๆ ผมที่เล่นเรื่องกาเฟอีนได้รับเชิญไปออกรายการสารพันโชว์อ่า ผมเพิ่งรู้ตะกี้นี้ รายการนี้ดังมากเลยนะ เราตามไปเชียร์เขาในห้องส่งดีไหม”
 
ซูกัสเกาะแขนพี่ชายแล้วเขย่าอย่างออดอ้อน หลี่คุนอดใจอ่อนไม่ได้ ซูเอ๋อร์ก็อัธยาศัยดีเกินเหตุ ไม่ได้ถ่ายงิ้วเรื่องนี้กับเขาเสียหน่อย แค่เคยไปเวิร์คช็อปร่วมกันเพียงครั้งเดียว ไฉนถึงได้คบหาเป็นมิตรสหายกันมาจนถึงตอนนี้ ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ไม่ได้มีงานด่วนอะไร นักแสดงของซีรีส์ที่เขาร่วมลงทุนด้วยก็กึ่งๆ เป็นคนของเขา จะตามไปดูเสียหน่อยก็คงจะดี หลี่คุนโทรหาผู้จัดละครสาวก็ได้ความว่ารายการทอล์คโชว์นี้ติดต่อมากระทันหัน แต่เธอก็ตอบรับไปเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับละครที่กำลังออนแอร์อยู่ พอรู้ว่าหลี่คุนจะไปดูที่ห้องส่งผู้จัดละครสาวก็เลยถือโอกาสฝากฝังทีมนักแสดงไว้ด้วยเลยด้วยเหตุผลว่าสตูดิโอเล็กๆ มีคนน้อยงานเยอะต้องช่วยๆ กัน
 
หลี่คุนที่ต้องรับเป็นพี่เลี้ยงให้นักแสดงไปด้วยถือโอกาสนี้เอารถบัสวีไอพีที่ตัวเองภูมิใจออกมาใช้งาน ไม่คิดว่าซูเอ๋อร์จะเริ่มเห็นความสะดวกสบายของรถคันนี้ที่สามารถขนนักแสดงหลักทั้งหกคนรวมกับพวกเขาสองพี่น้องและผู้จัดการของนักแสดงบางคนที่ขอตามไปด้วยได้ในคราวเดียว เด็กหนุ่มอวดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ติดตั้งไว้อย่างเต็มพิกัดกับเพื่อนๆ นักแสดงของตัวเองอย่างภูมิใจ ใครจะอยากนั่งขดตัวอยู่ในรถสปอร์ตแคบๆ ที่ก็วิ่งได้เร็วแค่ตามจังหวะรถติดกันล่ะถ้ามีรถคันใหญ่ๆ กว้างๆ ยืดเหยียดแขนขาได้เต็มที่แบบนี้ รู้สึกตัวอีกทีซูเอ๋อร์ก็เหมือนว่าตัวเองถูกล้างสมองไปแล้ว
 
ขณะที่รถบัสสีแสบสันกำลังจะจอดเทียบเพื่อส่งผู้โดยสารลงตรงหน้าอาคารของสตูดิโอถ่ายทำขนาดใหญ่ย่านชานเมือง รถตู้สีดำเรียบหรูก็ปาดเข้ามาจอดตรงด้านหน้าก่อน ทำเอาคนขับรถบัสต้องเบรคกระทันหันจนคนบนรถหน้าคะมำไปตามๆ กัน ผู้โดยสารที่ลงจากรถตู้เป็นหนุ่มสาววัยรุ่นหน้าตาดีแต่งตัวโฉบเฉี่ยวหลายคน คนกลุ่มนั้นหันมามองรถบัสด้านหลังอย่างแปลกใจแล้วชี้มือชี้ไม้พูดคุยกันซึ่งพวกหลี่คุนและนักแสดงกาเฟอีนลงจากรถบัสทันได้ยินพอดี
 
“คณะทอดกฐินผ้าป่าที่ไหนหลงมาเปล่าเนี่ย”
 
“พวกนายดูลายนักมวยไทยอะไรไม่รู้รอบรถสิ สีแปร๋นมาก เชยโคตรๆ”
 
“อย่าพูดดัง เขาลงจากรถกันมาแล้ว สงสัยเป็นวงดนตรีนักร้องลูกทุ่งมากันจากต่างจังหวัด”
 
ดูแล้ววัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ยังพอมีมารยาทอยู่บ้างถึงแค่หันมามองหลี่คุนที่ลงจากรถเป็นคนแรกผ่านๆ ด้วยแววตาดูถูกเล็กน้อยแล้วก็เดินเข้าสตูดิโอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่คุนเบ้ปากที่อยู่ใต้มาสก์ผ้าสีดำแล้วก็มองฝ่ายนั้นกลับด้วยสายตาดูแคลนเหมือนกัน  คนตั้งเยอะเบียดกันมาในรถสีทึมๆ คันแค่นั้นนะ เบาะนวดก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า พวกเจ้าน่าสงสารยิ่งนัก
 
“พี่คุน พวกนั้นที่เล่นซีรีส์เรื่องจังหวะทะลุฝันนี่ กำลังดังเลย เป็นแนวเต้นเหมือนกาเฟอีนด้วย บังเอิญจังน้า”
 
บรรดานักแสดงเรื่องกาเฟอีนพยักหน้าให้กันว่าพวกเขาก็จำดารากลุ่มนั้นได้ แต่เมื่อเข้าไปที่สดูดิโอซึ่งเป็นที่ถ่ายทำรายการสารพันโชว์ พวกเขาก็พบว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
 
“พี่จะให้นักแสดงจากซีรีส์สองเรื่องมาถ่ายรายการเดียวกันเลยเหรอคะ หนูว่ามันดูไม่ค่อยเหมาะนะคะ แนวเรื่องมันก็ดูแข่งๆ กันอยู่”
 
ถึงหลี่คุนจะเป็นคนพาบรรดานักแสดงมา แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องการดีลงานในวงการบันเทิงนัก จึงให้ผู้จัดการสาวของพายุพระเอกของเรื่องที่มาด้วยกันไปสอบถามจากผู้ประสานงานรายการแทน
 
“ออกพร้อมกันสองเรื่องจะเป็นไรจ๊ะ ทางนั้นเขาค่ายใหญ่ยังไม่เห็นจะมีปัญหาเลย ถึงซีรีส์ของนักแสดงหนูจะเริ่มดังแต่ก็ไม่น่าจะเรื่องมากนะ”
 
“หนูก็ไม่ได้จะว่าอะไร แต่น่าจะบรีพกันก่อนค่ะ น้องๆ นักแสดงฝั่งหนูจะได้เตรียมตัวมา”
 
“จะต้องเตรียมอะไรมากมายจ๊ะ ก็แค่ให้นักแสดงจากสองซีรีส์เต้นประชันกันสนุกๆ ตามโจทย์ของทางรายการ ไหนๆ ธีมเรื่องก็เกี่ยวกับการเต้นทั้งคู่ เห็นในละครก็มีฉากเต้นตั้งหลายฉากอย่าบอกนะว่าเด็กๆ กาเฟอีนเต้นกันไม่ได้ ทางฝั่งจังหวะทะลุฝันเขาก็เพิ่งทราบเหมือนกัน น้องๆ เขาก็เตรียมตัวกันเดี๋ยวนั้น มืออาชีพสุดๆ”
 
ผู้จัดการสาวเถียงไม่ออกได้แต่กลับมาบอกเรื่องนี้ให้กับทีมนักแสดงทราบ ทุกคนดูกังวลอยู่บ้างเพราะไม่ใช่นักเต้นอาชีพ แต่เป็นพายุพระเอกของซีรีส์ที่ออกมาให้กำลังใจทุกคน
 
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เต้นไปตามที่เราซ้อมกันมา พี่จะคอยนำให้เหมือนทุกทีไง ทำของเราเองให้ดีที่สุด อย่าไปคิดว่าต้องแข่งกับใคร”
 
เมื่อเห็นพี่ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในวงการบันเทิงและทักษะการเต้นแข็งแรงมากที่สุดพูดอย่างมั่นใจทุกคนก็รู้สึกดีขึ้น ซูกัสเองก็ช่วยให้กำลังใจเพื่อนๆ
 
“พี่พายุพูดถูก พวกนายอย่าไปซีเรียสว่าเป็นการแข่งกับฝ่ายโน้น แค่คิดว่าแฟนคลับจะต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เห็นพวกนายได้มาเต้นในรายการดังขนาดนี้”
 
ยิ่งได้ยินซูกัสพูดถึงแฟนคลับทุกคนก็มีกำลังใจขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม แฟนคลับของพวกเขาน่ารักกันมากจริงๆ
 
ก่อนที่จะบันทึกเทปจริง ทางรายการก็มีให้ทีมนักแสดงจากทั้งสองซีรีส์ได้ขึ้นมาซ้อมเต้นบนเวทีคนละหนึ่งรอบก่อนที่ผู้ชมจะเข้ามาในห้องส่ง ฝั่งกาเฟอีนเห็นการเต้นระดับมืออาชีพของฝั่งจังหวะทะลุฝันแล้วต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเหนือกว่าจริงๆ ถ้าไม่บอกว่าเพิ่งได้รับโจทย์เต้นมาพร้อมๆ กันก็คงคิดว่าได้ซ้อมตามโจทย์นี้ล่วงหน้ามาเป็นสัปดาห์ๆ แล้ว แถมยังมีสเต็ปท่ายากในตอนพีคก่อนจบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครท้อ ทุกคนไม่ได้คิดจะแข่งกับอีกฝ่ายแค่อยากทำให้เต็มที่เพื่อบรรดาแฟนคลับ
 
เมื่อถึงคิวซ้อมของตัวเอง ทีมนักแสดงจากกาเฟอีนเดอะซีรีส์ก็ทำได้ดี ไลน์การเต้นอาจจะไม่ได้พร้อมเพรียงเท่ากับทีมจังหวะทะลุฝัน แต่ภายใต้การนำของพายุ กลับทำให้ลูกทีมแต่ละคนแสดงสไตล์ความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อรวมกับการเต้นที่โดดเด่นทรงพลังของพายุในตำแหน่งเซ็นเตอร์ ก็ยากจะชี้ขาดได้ว่าการเต้นของทีมไหนดีกว่ากัน
 
ซูกัสที่นั่งอยู่ข้างๆ หลี่คุนชมความสามารถในการเต้นของกลุ่มเพื่อนนักแสดงของตัวเองไม่ขาดปาก เด็กหนุ่มซึ่งชื่นชอบในการเต้นคอยอธิบายถึงความยากและเทคนิคการเต้นที่แต่ละคนใช้โดยเฉพาะของพายุให้พี่ชายฟังอยู่ตลอด
 
แต่ก่อนจะเริ่มอัดรายการจริงเพียงนิดเดียวก็มีเหตุไม่คาดฝันขึ้น พายุที่ยืนอยู่ดีๆ เกิดอุบัติเหตุถูกทีมงานกองถ่ายเข็นรถเข็นเหล็กที่บรรทุกของมาหนักอึ้งชนเข้าที่ขาข้างหนึ่งอย่างจังจนล้มไปนอนกับพื้นแล้วลุกขึ้นยืนไม่ได้อีก ทีมงานของซีรีส์กาเฟอีนรีบเข้าไปดูอาการของพายุที่กัดฟันเหงื่อแตกด้วยความเจ็บปวดอย่างกังวล หลี่คุนตรวจสอบอาการที่ขาของนักแสดงหนุ่มแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง ถ้าเป็นแค่อุบัติเหตุบาดแผลไม่น่ารุนแรงขนาดนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นกระดูกหักแต่กล้ามเนื้อเส้นเอ็นก็เสียหายไม่น้อย เขาลอบใช้กำลังภายในคลี่คลายอาการเลือดครั่งแล้วใช้ขี้ผึ้งสมุนไพรรักษาแผลครอบจักรวาลที่พกติดตัวมาพอกให้เพื่อลดความเจ็บปวดและอาการฟกช้ำ พายุมีสีหน้าดีขึ้นแต่การขึ้นเวทีเต้นในสภาพเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่นอน
 
ในระหว่างที่ดูอาการของพายุอยู่นั้น ประสาทหูผู้ฝึกยุทธ์ของหลี่คุนที่ไวกว่าคนปกติ ก็ได้ยินบทสนทนาของทีมงานรายการสองคนที่กระซิบกระซาบกันอยู่ตรงมุมหนึ่งที่ห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุ
 
“ทำเกินไปหรือเปล่า ท่าทางกระแทกแรงมากเลยนะ”
 
“ทำไงได้ ก็บอสเล็กของมายากรุ๊ปสั่งลงมาเองแบบนี้ ใครจะกล้าขัด”
 
หลี่คุนไม่ได้ตามไปเอาเรื่องทีมงานที่พูดลอยๆ สองคนนั้น เขาเพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความสั้นๆ
 
‘สืบเรื่องนายน้อยของมายากรุ๊ปและอุบัติเหตุวันนี้ที่ห้องส่งรายการสารพันโชว์’
 
ผู้กำกับรายการรู้สึกว่าพายุจะไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างอาการที่เห็นตอนแรกก็สอบถามขึ้นมา
 
“ตกลงน้องเขาจะไหวไหมนี่ หรือจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวจะเรียกรถให้ แต่ยังไงรายการก็ต้องอัดต่อตามคิวนะ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
 
“น้องพายุขึ้นเต้นไม่ไหวแน่ๆ ค่ะ ยังไงพี่ช่วยตัดพาร์ทที่จะเต้นแบทเทิลอันออกไปเลยได้ไหม เหลือแค่ช่วงทอล์ค ดูอาการหลังปฐมพยาบาลแล้วน้องพายุน่าจะทนได้จนอัดรายการเสร็จ”
 
“ไม่ได้สิ ทุกอย่างวางไว้หมดแล้วจะปล่อยให้พังเพราะอุบัติเหตุแค่นี้ได้ยังไง โปรดิวเซอร์ไม่ยอมแน่ เหลือห้าคนก็เต้นไปสิ”
 
ผู้จัดการสาวรู้ดีว่านักแสดงของเธอเป็นคนพยุงทีมในเรื่องการเต้นมาโดยตลอด ถ้าพายุไม่ได้ขึ้นเต้นด้วยถึงไม่ล่มก็คงดูไม่จืด
 
“น้องๆ เขาเต้นเป็นทีมกันมาตลอด อยู่จะให้ขาดคนไหนไปไม่ได้หรอกนะคะ ทางเราคงต้องขอให้พี่ช่วยปรับพาร์ทเต้นจริงๆ ถึงยังไงเรื่องที่นักแสดงของหนูต้องมาเจ็บตัวก็น่าจะเป็นความรับผิดชอบของรายการ”
 
ผู้จัดการสาวพยายามปกป้องประโยชน์ของนักแสดงในสังกัดอย่างเต็มที่เท่าที่ผู้จัดการตัวเล็กๆ อย่างเธอกล้าที่จะพูดกับผู้กำกับรายการใหญ่ขนาดนี้
 
“ก็มันเป็นอุบัติเหตุไง มีแต่จะต้องช่วยกันแก้ไขไปตามสถานการณ์ จะมาเรียกร้องอะไรตอนนี้ คนอื่นเขาเสียเวลานะ ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย”
 
ผู้จัดการสาวหน้าแดงที่โดนต่อว่าแบบไม่ไว้หน้า เธอหันไปมองหลี่คุนอย่างขอความช่วยเหลือ มาถึงขั้นนี้เธอในฐานะผู้จัดการของพายุก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดต่อไปอาจทำให้ซีรีส์กาเฟอีนเสียหาย เธอจึงต้องส่งต่อให้หลี่คุนซึ่งเป็นตัวแทนฝั่งซีรีส์เป็นผู้ตัดสินใจ
 
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็อัดรายการไปตามแผนเดิม แต่ทางผมจะขอเอาทีมมาแทนนักแสดงที่บาดเจ็บนะครับ”
 
“ก็แล้วแต่ทางซีรีส์แล้วกัน แต่คุณจะอธิบายคนดูยังไงที่มีคนนอกเข้ามาร่วมเต้นด้วย”
 
“ไม่ต้องห่วงครับ คนที่มาเสริมก็เป็นนักแสดงร่วมในซีรีส์นี่แหละครับ แต่ยังไม่ออกอากาศ”
 
ทีมนักแสดงของกาเฟอีนเดอะซีรีส์เหลือเวลาแค่สั้นๆ ที่จะเตรียมตัวก่อนขึ้นเต้นจริงต่อหน้าผู้ชมในห้องส่ง แต่ละคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าคนที่จะมาเสริมคือใคร แล้วจะมาทันได้ยังไง มีแต่ซูกัสที่มั่นใจในตัวพี่ชายอย่างเต็มที่
 
“พี่คุน คนที่จะมาเสริมทีมเราเป็นใครครับ ต้องเต้นเก่งมากแน่ๆ”
 
“ก็เราไง ซูเอ๋อร์ ตอนที่นั่งดูด้วยกัน เรายังพากย์ท่าเต้นของพายุให้ฟังเป็นฉากๆ เลย”
 
ซูกัสเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น คนอื่นๆ ก็ตะลึงกับคำตอบของหลี่คุนไม่ต่างกัน
 
“พี่คุน อย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิ ผมนึกว่าพี่มีไม้เด็ดอะไร แค่พูดเฉยๆ กับให้เต้นจริงมันต่างกันนะ ไม่เคยซ้อมอะไรเลยจะมาเต้นได้ไง”
 
“อ้าว ไม่ได้เหรอ ก็เมื่อกี๊นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบมาด้วยกัน ไม่น่าจะร่ายรำยาก กระบวนท่าพื้นฐานแบบนี้”
 
หลี่คุนถามกลับด้วยความรู้สึกแปลกใจจริงๆ
 
“พี่คุน เอาดีๆ ไม่ขำนะ”
 
“ใช่ครับพี่ ดูแค่รอบเดียวไม่มีใครจำท่าได้หมดหรอก หรือถึงจำได้จริงแต่ร่างกายมันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามสมองสั่งได้ขนาดนั้น มันต้องซ้อมจนร่างกายชินกับท่าแล้วเคลื่อนไหวไปเอง”
 
พายุช่วยเสริมให้ในฐานะคนที่มีประสบการณ์เรื่องการเต้นมากที่สุด
 
“ก็แค่เต้นให้เหมือนที่พายุเต้นเมื่อกี๊ไม่ใช่เหรอ งั้นพี่แทนเอง ไม่มีเวลาแล้ว พวกเราเตรียมขึ้นเวทีกันเถอะ”
 
หลี่คุนตัดบทเมื่อเห็นทีมงานเดินมาตามรอบสองแล้ว นักแสดงคนอื่นได้แต่จำยอม ถึงอย่างไรก็คงไม่ต่างกับการเต้นโดยไม่มีเซ็นเตอร์อย่างพายุหรอก
 
แต่การได้ยินเสียงกรี๊ดชื่นชมอย่างล้นหลามของผู้ชมในห้องส่งที่มีต่อการเต้นของทีมนักแสดงจังหวะทะลุฝันก็ทำให้กำลังใจน้อยนิดของทีมฝ่อลงไปอีก หลี่คุนไม่สนใจว่าฝ่ายที่เพิ่งแสดงจบไปจะได้รับเสียงเชียร์ขนาดไหน เขาขยับมาสก์ผ้าปิดปากสีดำให้กระชับขึ้นก่อนเข้าไปยืนตรงตำแหน่งของพายุแล้วโพสต์ท่าเริ่มต้นได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน สมาชิกที่เหลือก็เข้าประจำที่ตามหลี่คุนโดยอัตโนมัติ ท่าทางที่มั่นใจของเซ็นเตอร์คนใหม่และเสียงเชียร์จากแฟนคลับซีรีส์ทำให้ความมุ่งมั่นของทุกคนกลับมา
 
ทันทีที่เสียงเพลงเริ่มขึ้น การขยับร่างกายของหลี่คุนก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง ทุกสเตปการเต้นของพายุถูกลอกเลียนออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่รูปแบบท่าเต้นเท่านั้นที่เหมือน แม้แต่ระยะการขยับ องศาการหมุน รายละเอียดเล็กๆ น้อยของร่างกายทุกส่วน ก็ถูกเก็บมาหมดราวกับพายุมาเต้นด้วยตัวเอง สมาชิกคนอื่นถูกการเคลื่อนไหวของหลี่คุนชักนำให้ปลดปล่อยฝีมือของแต่ละคนอย่างเต็มที่ ในที่สุดการเต้นที่มีเอกลักษณ์ของกาเฟอีนเดอะซีรีส์ก็ถูกแสดงออกมาอย่างท็อปฟอร์ม แม้แต่ต้นตำหรับอย่างพายุที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ซูกัสก็ยังต้องยอมรับว่าท่วงท่าที่รื่นไหลทว่าสง่างามของหลี่คุนนั้นดูดีมากเมื่อเทียบกับการเต้นที่เน้นพลังอันดุดันของตน
 
ทีมงานรายการสารพันโชว์ที่รู้สายสนกลในเรื่องนี้และมารอดูความน่าอับอายของทีมนักแสดงเรื่องกาเฟอีนเดอะซีรีส์ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ชายหนุ่มมาสค์ดำที่มาเต้นแทนพายุนั่นไม่ใช่แค่คนที่สตูดิโอผู้ผลิตซีรีส์ส่งมาดูแลนักแสดงเหรอ ทำไมถึงเต้นได้ยอดเยี่ยมไม่ต่างจากพายุหรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
 
หลี่คุนเคลื่อนไหวร่างกายไปตามท่วงท่าที่ปรากฏชัดเจนในความจำ ในฐานะทายาทผู้รับสืบทอดสรรพวิชาของตระกูลหลี่แห่งฉางอัน หลี่คุนได้รับการฝึกฝนด้านการจดจำตั้งแต่ยังเด็ก คัมภีร์ลับของเคล็ดวิชาที่ผู้คนทั่วหล้าเข้าใจว่าสูญหายไปแล้วมิใช่สิ่งที่จะนำติดตัวไปได้ ผู้นำตระกูลหลี่ทุกรุ่นมีแต่จะต้องอ่านและจำสรรพวิชามากมายเหล่านั้นไว้ในหัวให้พร้อมที่จะนำมาใช้เมื่อบ้านเมืองเกิดเหตุคับขัน ส่วนการเคลื่อนไหวร่างกายให้สอดคล้องกับความจำในหัวนั่นยิ่งเป็นเรื่องง่ายดาย กระบวนท่าพิศดารซับซ้อนของวรยุทธ์นับไม่ถ้วนเขายังฝึกปรือได้สำเร็จ นับประสาอะไรกับการเคลื่อนไหวร่างกายง่ายๆ เช่นนี้
 
ก่อนจบมีช่วงที่เป็นการเต้นเดี่ยวสั้นๆ ของพายุ แต่หลี่คุนกลับไม่ได้เต้นตามต้นฉบับ เขาใช้สเต็ปท่ายากที่สุดของทีมนักแสดงจังหวะทะลุฝันที่เห็นเพียงครั้งเดียวมาดัดแปลงให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกจนเจ้าของท่าหน้าถอดสีไปตามๆ กัน ขนาดพวกเขาเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ด้านการเต้นกันทุกคนยังซ้อมเกือบตายเป็นเดือนถึงจะทำได้
 
เมื่อการแสดงของทีมกาเฟอีนจบลงเสียงเชียร์ก็ดังสนั่นจนเพดานของสตูดิโอกระเทือน แม้แฟนคลับจะผิดหวังที่พายุไม่ได้ขึ้นมาเต้นด้วยแต่สมาชิกลึกลับที่หล่อทะลุมาสก์และเต้นได้สง่างามน่าหลงไหลก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี นักแสดงหลักหกคนของเรื่องก็ถือว่าครบคู่ แล้วคนๆ นี้มาจากไหน รับบทเป็นใคร จะเคะหรือเมะ นับว่าในส่วนของการเต้นแบทเทิลทีมซีรีส์วายทำคะแนนนำซีรีส์นอร์มอลไปอย่างขาดลอยถ้าวัดจากความดังของเสียงเชียร์
 
เมื่อมาถึงช่วงทอล์คโชว์ความสนใจก็ยังวนเวียนอยู่ที่ทีมนักแสดงจากกาเฟอีนเดอะซีรีส์ เริ่มจากการเล่าถึงอุบัติเหตุในกองถ่ายที่เกิดขึ้นกับพายุจนทำให้ไม่สามารถขึ้นเต้นกับเพื่อนๆ ได้ทำให้คนในห้องส่งทั้งเห็นใจทั้งเป็นห่วงไปตามๆ กัน หลังจากไปพูดคุยกับนักแสดงจากเรื่องจังหวะทะลุฝันอยู่ครู่หนึ่ง พิธีกรรายการก็รีบกลับมาถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้กับพายุผู้เหมือนพี่ใหญ่ของเด็กๆ จากเรื่องกาเฟอีน
 
“ตกลงคนที่มาเต้นแทนน้องพายุคือใครครับ ใช่นักแสดงในกาเฟอีนเดอะซีรีส์หรือเปล่า”
 
“ผมยังยืนยันเรื่องนี้ของพี่เขาไม่ได้ครับ คงต้องคอยติดตามกาเฟอีนกันต่อไป”
 
พายุยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต่อไปหลี่คุนจะมีบทบาทอะไรหรือไม่ ซีรีส์นี้เป็นแบบถ่ายไปฉายไปอะไรก็เกิดขึ้นได้
 
“ตกลงว่าเป็นนักแสดงรุ่นพี่ของพายุ”
 
“ก็ไม่เชิงครับ จริงๆ ก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมหรืออาจจะแก่กว่าแค่นิดหน่อย แต่พอดีเขาเป็นพี่ชายของน้องอีกคนที่ทีมนักแสดงในเรื่องสนิทด้วย ก็เลยเรียกพี่ตามน้องเค้าทุกคน”
 
“ถ้าไม่ใช่นักแสดงในเรื่อง ทำไมถึงได้ซ้อมเต้นกับพวกเรามาจนเข้าขากันอย่างนี้”
 
“พูดไปก็เหมือนโกหกครับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เขาเต้นกับพวกเราจริงๆ ไม่เชื่อถามน้องๆ ดูก็ได้”
 
เด็กๆ คนอื่นในทีมต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ได้เต้นกับหลี่คุน
 
“โห แย่งกันพูดขนาดนี้ผมเชื่อก็ได้ มาอีกคำถามนึงที่สาวๆ ในห้องส่งน่าจะอยากรู้ ใต้มาสก์สีดำอันนั้น หล่อไหมครับ”
 
“ถามกันตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอครับ พี่เขายังนั่งดูอยู่เลย ฮ่าๆ เขาหล่อครับ เขาหล่อมาก เขาควรมาเป็นพระเอกแทนผม”
 
“อื้อหือ ลองถ้าพระเอกขวัญใจสาวๆ ที่ตอนนี้คงรวมหนุ่มๆ เข้าไปด้วยอย่างน้องพายุพูดแบบนี้แสดงว่าหล่อจริงจัง งั้นให้เขามารับบทพระเอกเรื่องนี้แทนเราไปเลยดีไหมล่ะ”
 
“คิดอีกทีก็ไม่ดีหรอกครับ พอดีว่าคนนี้ผมหวง”
 
พายุโอบไหล่ของนายเอกคู่จิ้นตัวเองที่นั่งข้างกันให้เอนเข้ามาหาแล้วหัวเราะแบบทีเล่นทีจริง เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนคลับห้องส่งแทบแตก
 
“หวานกันออกสื่ออีกแล้ว เดี๋ยวเราจะมาคุยกันถึงความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ในช่วงถัดไป แต่ตอนนี้ขอถามถึงหนุ่มปริศนาอีกนิดแล้วปัจจุบันเขามีบทบาทอะไรในซีรีส์นี้ ทางทีมงานแจ้งว่าวันนี้เขามาในนามของสตูดิโอต้นสังกัด”
 
“ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่เข้าใจว่าเหมือนจะเป็นผู้ร่วมทุนหรือสปอนเซ่อร์ของกาเฟอีนนี่แหล่ะ”
 
“น่าสนใจจริงๆ ครับคุณผู้ชม หนุ่มหล่อลึกลับที่ดูเหมือนจะมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดาคนนี้คือใครกันแน่ น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธคำเชิญของทางทีมงานที่จะให้ขึ้นมาร่วมพูดคุยกับเราในวันนี้”
 
“วันนี้ยังไม่รู้จักพี่เขาไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ช่วยติดตามกาเฟอีนเดอะซีรีส์กันเยอะๆ นะครับ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์จากพี่เขาก็ได้”
 
พายุไม่วายฝากละครแถมท้ายไว้อย่างคนที่เป็นงาน
 
ด้วยการกอบกู้สถานการณ์ช่วงเต้นแบทเทิลของหลี่คุน ความน่ารักของทีมนักแสดง ทัศนคติที่ดีต่อความรักในทุกรูปแบบของซีรีส์ และความพลิกแพลงลูกล่อลูกชนในการให้สัมภาษณ์ของพายุ ทำให้ความสนใจในสารพันโชว์เทปนี้เทไปทางกาเฟอีนเดอะซีรีส์เกือบหมด แม้จะมีทีมงานบางส่วนของสารพันโชว์จะแอบเข้าข้างซีรีส์จังหวะทะลุฝันโดยตัดต่อให้น้ำหนักเทไปทางด้านนั้น แต่พอไปถึงโปรดิวเซอร์พาร์ทที่น่าสนใจก็ถูกเอากลับเข้ามาซึ่งเป็นส่วนของกาเฟอีนแทบจะทั้งนั้น บทสัมภาษณ์ที่แฝงความเหยียดเพศอยู่บ้างของนักแสดงซีรีส์จังหวะทะลุฝันก็ถูกตัดออกเกือบหมด ในเทปที่จะออนแอร์เลยดูเหมือนว่าฝ่ายหลังจะเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น
 
มายากรุ๊ปต้นสังกัดของซีรีส์จังหวะทะลุฝันเป็นค่ายยักษ์ใหญ่ที่ผลิตละครป้อนให้ทั้งช่องมากสีและช่องน้อยสีมาอย่างต่อเนื่อง สมัยก่อนการเสพสื่อละครของผู้ชมจำกัดอยู่ทางทีวีเสียเป็นส่วนใหญ่ทำให้อิทธิพลของมายากรุ๊ปในวงการนี้สูงมากถึงขั้นกำหนดทิศทางธุรกิจละครไทยได้เลย แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลังการเข้ามาของสื่อบันเทิงและแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งรายเล็กรายใหญ่ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของสื่อกระแสหลักอย่างฟรีทีวีเริ่มลดลงรวมถึงบทบาทในฐานะผู้นำของมายากรุ๊ปด้วย
 
ภาคินทายาทรุ่นสามของมายากรุ๊ปมองการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ เกิดขึ้นนี้อย่างไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด เขาคิดว่าละครที่ทำออกมาฉายทางอินเตอร์เน็ทหรือช่องดิจิตอลเล็กๆ ล้วนแต่เป็นงานด้อยคุณภาพทุนต่ำใช้แต่นักแสดงโนเนมที่ไม่มีทางเลือกอื่น ยิ่งเห็นซีรีส์นอกกระแสพวกนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่ยอมรับมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดก็คือพวกละครวายที่กำลังดังอยู่ตอนนี้นี่เอง
 
ภาคินไม่ชอบเพศที่สามอย่างฝังหัว แต่ด้วยความที่อยู่ในธุรกิจบันเทิงทำให้เขาพยายามที่จะไม่แสดงมันออกมา เป็นที่รู้กันว่าวงการนี้มีเพศทางเลือกซึ่งมักมีพรสวรรค์ด้านศิลปะมากกว่าคนทั่วไปทำงานอยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้นในใจเขาก็เต็มไปด้วยอคติที่มีต่อคนพวกนี้ มีแนวปฏิบัติที่รู้กันทั่วว่านักแสดงชายที่รับบทในซีรีส์วายไม่ว่าของค่ายไหนจะถูกแบนจากมายากรุ๊ปทันที ภาคินให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของภาพลักษณ์นักแสดงที่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีกับเยาวชน
 
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพยายามจะฝืนข้อห้ามนี้ ถึงอย่างไรดาราค่ายใหญ่ก็ไม่มีใครคิดจะไปแสดงละครวายซึ่งถูกมองว่ามีแต่นักแสดงเกรดบีเล่นอยู่แล้ว แต่กระแสความดังของซีรีส์วายและการเข้ามารับบทนำในมอร์ฟีนเดอะซีรีส์ของนักธุรกิจหนุ่มไฮโซอย่างบรูคทำให้ภาพมุมมองในเรื่องนี้เปลี่ยนไป นักแสดงมีฝีมือหลายคนเริ่มมีท่าทีสนใจที่จะรับบทในซีรีส์วายซึ่งมีการพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
 
ภาคินมองเรื่องนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจอย่างชัดเจน มายากรุ๊ปไม่เคยและไม่คิดจะทำแนวละครที่น่ารังเกียจอย่างนี้แน่ ถ้าปล่อยให้ซีรีส์วายได้รับความนิยมเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใครจะรับรองได้ว่าคนดูจะไม่ถูกล้างสมองจนหมด เขากำลังมีโปรเจ็คละครเจาะกลุ่มผู้ชมรุ่นใหม่โดยมีธีมเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ตามฝันของตัวเองในเรื่องการเต้นซึ่งชนกับกาเฟอีนเดอะซีรีส์ของสตูดิโอที่เขากำลังจับตามองด้วยความไม่ชอบใจเข้าอย่างจัง
 
ถ้าจะวัดตัวเลขเรตติ้ง ละครเรื่องจังหวะทะลุฝันของเขาที่ฉายผ่านฟรีทีวีช่องหลักมีสัดส่วนผู้ชมมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในโซเชียลเนตเวิร์กและในหมู่ผู้ชมต่างประเทศกลับเป็นกาเฟอีนเดอะซีรีส์ที่ได้รับความสนใจมากกว่า ภาคินยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ นักแสดงวัยรุ่นชายจริงหญิงแท้ที่เขาคัดมาทั้งหล่อทั้งสวยและมีความสามารถในการเต้นอย่างแท้จริง ทำไมจะสู้พวกตุ๊ดเกย์หรือคนที่ยอมแสดงเป็นเกย์เพื่อเงินของอีกฝ่ายไม่ได้
 
ภาคินทราบจากสายว่ากับดักในรายการสารพันโชว์ที่เขาวางไว้ให้กับนักแสดงซีรีส์กาเฟอีนถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี เรื่องนี้ต้องโทษเด็กเมื่อวานซืนที่เขาเพิ่งสืบได้ว่าชื่อคุณานนท์ ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่าคนๆ นี้ไม่ธรรมดาอยู่บ้าง ทั้งเป็นผู้ร่วมลงทุน ทั้งสามารถดึงเครื่องสำอางชื่อดังมาเป็นสปอนเซอร์ ไม่นับครีมในตำนานที่แจกจ่ายให้นักแสดงราวกับหาได้ง่ายมาก ทำให้ค่ายละครหลายแห่งสนใจจะร่วมงานด้วย บางเรื่องถึงกับแก้บทให้มีคู่วายเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปเสนอให้ ทุกอย่างที่คุณานนท์ทำเหมือนตั้งใจท้าทายอิทธิพลของมายากรุ๊ป ถ้าปล่อยให้เติบโตต่อไปอาจจะ ภาคินคิดว่าเบื้องหลังของเด็กคนนี้อาจไม่เรียบง่าย แต่เรื่องสกปรกของวงการบันเทิงแบบไหนล่ะที่เขาไม่เคยผ่าน วงการบันเทิงเป็นอาณาจักรของเขา การที่จะทำลายชื่อเสียงคนๆ หนึ่งมันง่ายนิดเดียว

#############
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:30:25
-46-


‘อกอีแป้นจะแตกค่ะคุณขา ซ้อว่าซ้อเห็นพวกวอนน่าบีในวงการนี้มาเยอะแล้ว ยังไม่เห็นใครมั่นหน้ามั่นโหนกอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นนักลงทุนใหญ่อย่างคนๆ นี้มาก่อนเลย เสนอหน้าไปตามกองถ่ายเรื่องโน้นเรื่องนี้ว่าเป็นผู้สนับสนุนบ้างล่ะเป็นหุ้นส่วนบ้างล่ะ ซ้อฟังแล้วอยากจะหัวเราะเป็นภาษาอูกานด้า ใครจะหน้ามืดเชื่อกันลงเจ้าคะ อายุเพิ่งจะเท่าไหร่กันเชียว ถ้าจะหัดเป็นจอมลวงโลก บอกว่าเป็นกิ๊กผู้กำกับหรือน้องชายเมียน้อยผู้อำนวยการสร้างยังจะน่าเชื่อซะกว่า เผื่อจะใช้เบ่งกับพวกตัวประกอบหรือเด็กยกไฟในกองถ่ายได้บ้าง

เม้าท์มอยมาถึงตรงนี้ แฟนคลับที่ไม่ได้อยู่ในวงการเริ่มสะกิดถาม ซ้อๆ ซ้อหมายถึงใครคะ? จะใครที่ไหน ก็นักลงทุนชื่อย่อ ค. นี่ไง เห็นปล่อยข่าวลือว่าตัวเองร่วมลงทุนในละครวายตลาดล่างอยู่สองสามเรื่อง และมีโปรเจ็คใหม่ที่จะลงกับอีกหลายค่าย มีคนถามซ้อว่าจริงไหม โธ่คุณขาปลอมจนไม่รู้จะปลอมยังไง ได้ข่าวว่ายังเรียนไม่จบ พื้นเพทางบ้านก็ธรรมดา จะเอาเงินที่ไหนมาลงขนาดนั้นคะ ต่อให้เป็นซีรีส์เกรดบีก็เถอะ ไหนๆ จะสตรอว์กันหน้าด้านๆ แบบนี้ ไม่มโนตัวเองว่าเป็นนักลงทุนในละครฟอร์มใหญ่น้ำดีชายจริงหญิงแท้อย่างของมายากรุ๊ปไปเลยล่ะคะ

ถึงน้องนักลงทุน ค. ถ้าผ่านมาอ่านเจอ ซ้อจะแนะนำให้เอาบุญนะหนู อายุแค่นี้ เห็นว่าหน้าตาก็พอใช้ได้ คงผ่านมีดผ่านหมอมาเยอะ อยากจะเสนอหน้าในวงการนี้จริง ก็เข้ามาเป็นดาราตัวประกอบเลยค่า ยอมรับมาเถอะว่าจริงๆ ก็อยาก ไม่งั้นคงไม่สร้างเรื่องจนได้ขึ้นไปเต้นกระย่องกระแย่งในทอล์คโชว์ชื่อดังหรอก เอาซีรีส์วายผู้ชายได้กันแบบที่ชอบนั่นแหละ แล้วค่อยใช้ของดีของตัวเองไต่เต้าไป ในวงการพวกที่ชอบแบบนี้มันมีเยอะ ถ้าไม่โทรมซะก่อนคงพอได้รับบทเพื่อนพระเอกให้คนรู้จักหน้าบ้าง เอ หรือว่าไฮโซชื่อดังมีลูกมีเมียแล้วที่แอบกิ๊กกันอยู่เขาจะไม่ยอมคะ เลิกได้ก็เลิกเถอะซ้อขอเตือน หาคนเกาะคนใหม่ดีกว่า หนามต้นงิ้วมันแหลมนะเออ’

อยู่ๆ เพจกอสซิปวงการบันเทิงชื่อดังก็ออกมาแฉคนๆ หนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นนักลงทุนของซีรีส์วายที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ มีลูกเพจวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนักเพราะเป็นเรื่องของนักลงทุนซึ่งเป็นเบื้องหลังไม่ใช่ดาราดังที่ทุกคนรู้จัก ที่คนสนใจกันจะเป็นเรื่องของไฮโซชื่อดังที่มีลูกมีเมียแล้วมากกว่าว่าหมายถึงใคร

คุณานนท์กำลังเป็นนักลงทุนเนื้อหอมที่ผู้จัดละครค่ายต่างๆ กำลังให้ความสนใจ เมื่อเกิดข่าวลือแบบนี้ขึ้นมาทำให้พวกเขาชะงักไปบ้าง ไม่ใช่เพราะเชื่อเนื้อหาในข่าวแต่เพราะรู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้หมายถึงมีผู้มีอิทธิพลในวงการต้องการเล่นงานนักลงทุนหนุ่มหน้าใหม่คนนี้ วงการบันเทิงไทยไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากพอรู้กันอยู่ว่าใครเป็นพวกใคร ค่ายละครที่มีความสัมพันธ์อันดีกับมายากรุ๊ปจึงเริ่มถอนตัวไป แต่นั่นไม่ได้กระทบกับคนที่เหลือที่ยังต้องการร่วมมือกับหลี่คุน

หลี่คุนเองก็ไม่ได้ให้ค่าอะไรกับเรื่องนี้ เขาผ่านประสบการณ์เรื่องการโจมตีกันทางโซเชียลมาหลายครั้งหลายคราแล้ว วาจาดั่งผายลมพวกนี้มาแล้วก็ไป เขาไม่ได้เป็นดาราที่ต้องมานั่งแก้ข่าวด้วยซ้ำ ใครจะถอนตัวไปเพราะเหตุนี้เขาก็ถือว่าไม่เป็นมืออาชีพพอที่เขาจะทำธุรกิจด้วย

ในบรรดาโครงการที่นำมาเสนอให้เขามีละครฟอร์มใหญ่ที่น่าสนใจอยู่บ้าง แต่ด้วยเงินลงทุนที่สูงทำให้ความคุ้มค่าไม่น่าจะเท่ากับพวกละครวายที่เคยลงทุน หลี่คุนจำได้ว่าจางอี้หลงสนใจที่จะเข้าธุรกิจบันเทิงจีนมาโดยตลอดแต่ยังเข้าไม่ได้เพราะการแข่งขันที่สูงจึงส่งข้อเสนอนี้ไปให้ดูจางอี้หลงสนใจมาก เขามองว่าธุรกิจบันเทิงไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในตลาดโลกแม้กระทั่งที่จีนเอง ทั้งคู่นัดแนะกันว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่ของวงการบันเทิงไทยที่จัดขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างค่ายบันเทิงผู้สร้างนักแสดงตลอดไปจนถึงสปอนเซอร์และนักลงทุนที่กำลังจะมีขึ้น

เมื่อถึงวันงาน หลี่คุนและจางอี้หลงที่ได้รับบัตรเชิญจากโควต้าของต้นสังกัดซีรีส์นิโคตินก็ได้ไปถึงโรงแรมสุดหรูที่จัดงานด้วยรถบัส นักข่าวที่รอถ่ายรูปอยู่ด้านนอกถึงกับงงไปตามๆ กัน ที่ผ่านมาดาราและคนในวงการต่างใช้พาหนะที่โดดเด่นในการเรียกความสนใจจากพื้นที่สื่อ รถสปอร์ตตัวท็อป รถลีมูซีนคันหรู รถยนต์โบราณหายาก มอเตอร์ไซค์ไฮโซคันโต ไปจนถึงรถแฮมเมอร์ทหารหน้าตาดุดัน แต่ไม่เคยมีใครมางานแบบนี้ด้วยรถบัสคันใหญ่มาก่อน แต่เมื่อเห็นใบหน้าไม่คุ้นตาของชายหนุ่มต่างรุ่นสามคนที่ลงจากรถคันดังกล่าวนักข่าวก็หมดความสนใจ แม้ทั้งสามคนจะมีหน้าตาและบุคลิกดีที่ดีมากแต่วงการบันเทิงไม่เคยขาดแคลนคนเช่นนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าคงเป็นแค่ดาราหางแถวสองสามคนที่โชคดีได้มาร่วมงานใหญ่เช่นนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง

“พี่คุน งานใหญ่มว๊ากกก ดาราเต็มไปหมดเลย”

ซูกัสในชุดสูทสีขาวผูกหูกระต่ายสีแดงทำให้ดูหล่อน่ารักมากหันไปหันมาอย่างตื่นเต้น ส่วนอีกสองหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีดำเชิ้ร์ตตัวในสีขาวเรียบๆ ไม่ได้เน้นแฟชั่นสะดุดตาเหมือนคนในวงการบันเทิงแต่ก็ดูดีด้วยรูปลักษณ์ของคนใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่คุนที่ปกติจะใส่แต่สีขาวพอมาสวมชุดสีดำยิ่งขับผิวที่ขาวใสไร้ตำหนิออกมาเหมือนจะเรืองแสงได้

“ใจเย็นๆ ซูเอ๋อร์ เพียงแค่คนมากสักหน่อย ไม่เห็นต้องตื่นเต้นอย่างนี้เลย”

หลี่คุนไม่ได้มีอาการอะไร ด้วยฐานะผู้นำตระกูลหลี่ในชาติก่อน งานเลี้ยงใหญ่โตแบบไหนล่ะที่เขาไม่เคยผ่าน จางอี้หลงก็เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ที่เขาเข้าสู่วงการธุรกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้งานเลี้ยงเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรได้

ด้วยรูปแบบของงานคอกเทลทำให้การพบปะสร้างสัมพันธ์ทำได้อย่างคล่องตัว หลี่คุนพาจางอี้หลงไปแนะนำตัวกับผู้บริหารค่ายต้นสังกัดของซีรีส์วายสามเรื่องที่เขาร่วมลงทุนด้วย อีกฝ่ายดูจะประทับใจกับท่าทางแบบนักธุรกิจผู้คร่ำหวอดที่แผ่ออกมาอย่างปิดไม่มิดใครๆ ก็ทราบว่าประเทศจีนมีทุนมหาศาลขนาดไหน แต่ปัญหาด้านการสื่อสารและความเข้าใจในแนวคิดวัฒนธรรมยังเป็นอุปสรรคอยู่มากสำหรับการร่วมมือกันในธุรกิจบันเทิง การได้พบกับนักธุรกิจจีนลูกครึ่งที่พูดไทยและเข้าใจคนไทยอย่างจางอี้หลงจึงเป็นโอกาสอันดีในอนาคต

ค่ายละครอื่นๆ ก็คิดอย่างเดียวกัน ตอนแรกพวกเขาสนใจขี้ผึ้งจักรพรรดิของหลี่คุนที่จะช่วยเสริมสภาพผิวพรรณของนักแสดงในเรื่องอย่างที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะสิ่งนี้ทำให้ภาพที่ออกมาเวลาซูมหน้านักแสดงใกล้ๆ ต่างกันราวฟ้ากับเหว เหล่าดาราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หากหลี่คุนรับปากลงทุนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหานักแสดงดีๆ มาร่วมงานไม่ได้ ยิ่งในคืนนี้หลี่คุนมาพร้อมกับนักธุรกิจจีนที่ดูจะมีทุนหนาอย่างแท้จริง ทำให้กลุ่มเล็กๆ ของหลี่คุนถูกรุมล้อมด้วยผู้บริหารของค่ายละครต่างๆ ที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้

ซูกัสเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันจะน่าเบื่อมากขึ้นทุกทีจึงขอตัวออกไปหาอะไรทาน หลี่คุนกับจางอี้หลงคุยต่อกับคนอีกหลายคนทั้งแลกเปลี่ยนนามบัตรทั้งฟังไอเดียโครงการจนแทบจะหูชา เมื่อได้จังหวะทั้งคู่ก็ปลีกตัวมาอีกมุมเพื่อจะพักเหนื่อยก่อน จางอี้หลงโบกมือเรียกบริการที่ถือถาดเครื่องดื่มเดินเฉียดมา มีแก้วทรงสูงบรรจุเครื่องดื่มสีเหลืองอ่อนใสมีฟองเกาะดูสวยงามเหลือเพียงสามแก้ว จางอี้หลงหยิบมาส่งให้หลี่คุนหนึ่งใบแล้วจึงหยิบให้ตัวเองด้วย

“แชมเปญก็ดีเหมือนกันนะ ไม่แรงมาก เหมาะกับงานเลี้ยงแบบนี้”

หลี่คุนรู้สึกสนใจขึ้นมา นี่หรือคือสุรามีฟองที่มาของชื่อเพื่อนซูเอ๋อร์ เขาดมกลิ่นและลิ้มลองรสชาติเล็กน้อย มีความคล้ายกับสุราที่หมักจากองุ่นของชาวปอสืออยู่บ้าง ด้วยความคอแห้งเขาจึงดื่มต่ออีกครึ่งค่อนแก้ว รสออกเปรี้ยวเล็กน้อยทำให้สดชื่นฟองก็นุ่มไม่บาดคอ เขาจิบต่ออีกเล็กน้อยเพื่อวิเคราะห์รสชาติ เห็นอีกทีจางอี้หลงก็ดื่มของตัวเองหมดแก้วแล้ว

“เอาอีกแก้วไหมครับน้องคุน”

“ไม่เอาดีกว่าพี่ ทีแรกก็อร่อยดีนะ แต่เหมือนออกเค็มๆ ตอนปลายๆ ไม่ค่อยชอบ”

“อ้าวเหรอ พี่ยกทีเดียวหมดแก้วเลยคอแห้งจัด”

จางอี้หลงรับแก้วที่ยังมีเครื่องดื่มเหลืออยู่บางส่วนจากหลี่คุนมาดื่มจนหมดอย่างไม่รังเกียจ เขาชูแก้วเปล่าในมือขึ้น บริกรที่ถือถาดเครื่องดื่มอยู่บริเวณนั้นปรี่เข้ามาทันที แต่เมื่อเกือบถึงตัวชายหนุ่มทั้งสอง บริกรหนุ่มกลับเซถลาเข้ามาทำให้ไวน์แดงสีเข้มในถาดกระฉอกรดเสื้อของจางอี้หลงเข้าอย่างจังในขณะที่หลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหลบหลีกไปได้ แต่ไม่คาดว่าบริกรอีกคนที่วิ่งจากจุดไหนไม่รู้พยายามเข้ามาช่วยจะสะดุดเข้าอย่างจังจนสาดไวน์ที่ถืออยู่กระจายทั่วบริเวณ แม้แต่หลี่คุนที่มีท่าร่างพลิกพริ้วยังไม่สามารถหลบพ้นได้

แววตาคมปลาบของหลี่คุนฉายแววดุดันออกมา บ่าวไพร่ไม่รู้ความเช่นนี้ต้องถูกโบยตีจนลุกไม่ขึ้นอยู่หลายวันแน่ บริกรทั้งคู่ถูกสายตาทรงอำนาจของหลี่คุนสะกดไว้รู้สึกตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก หันไปอีกทางก็เหมือนจะมีรังสีกดดันอีกแบบแพร่ออกมาจากชายร่างใหญ่ข้างๆ

“ขออภัยด้วยครับคุณท่าน ขออภัยจริงๆ”

“คุณท่านเลอะไวน์ไปทั้งตัวแล้ว ออกไปทำความสะอาดก่อนเถอะครับ ทางเราจะช่วยดูแลให้เต็มที่”

บริกรทั้งคู่ยกมือไหว้ขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มที่จนอารมณ์หลี่คุนเริ่มอ่อนลงเล็กน้อยเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบสั่งลงโทษอะไรพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่ในยุคที่มีข้าทาสบ่าวไพร่อีกแล้วใครทำความผิดอะไรก็แก้ไขชดใช้กันไป ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาโบยตีกัน

“คุณท่านทั้งสองตามผมมาทางนี้ครับ ทางโรงแรมมีเตรียมห้องไว้สำหรับแขกอยู่ ท่านเข้าไปทำความสะอาดตัวได้ เรามีเสื้อเชิ้ตให้เปลี่ยน สูทตัวเดิมเป่าให้แห้งหน่อยน่าจะยังใช้ได้ ส่วนตัวที่เลอะเราจะซักรีดแล้วส่งกลับไปให้ภายหลังนะครับ”

หลี่คุนรู้สึกว่ากลิ่นไวน์แดงที่หกตามเสื้อทำให้รู้สึกมึนหัวขึ้นมาเล็กน้อยก็ดึงจางอี้หลงให้เดินตามบริกรทั้งสองไป หลังจากเดินลัดเลาะออกทางประตูหลังของห้องจัดงานชั่วครู่ ก็มาถึงห้องที่ดูเหมือนห้องพักตามโรงแรมทั่วไปที่มีห้องน้ำในตัว

“เชิญตามสบายเลยนะครับคุณท่าน ต้องขออภัยจริงๆ ถ้ายังไงช่วยถอดสูทกับเสื้อเชิ้ตให้เลยได้ไหมครับ สวมเสื้อคลุมอาบน้ำตรงนั้นไว้ก่อนก็ได้ เราจะเอาสูทไปเป่าแห้งแล้วกลับมาพร้อมกับเชิ้ตตัวใหม่ รับรองไม่เกินสิบห้านาทีครับ”

แววตาซื่อๆ ของบริกรทั้งสองบ่งบอกว่าอยากจะแก้ไขปัญหาที่ตัวเองทำขึ้นให้ดีที่สุด หลี่คุนรีบเข้าไปเปลี่ยนถอดเสื้อผ้าในห้องน้ำ ส่วนจางอี้หลงดูเหมือนจะหลบมุมถอดเสื้อออกตรงในห้องเลย พอหลี่คุนออกจากห้องน้ำก็ส่งเสื้อที่เปื้อนไวน์ให้กับบริกรที่ยืนรออยู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะยกมือไหว้อย่างสุภาพแล้วออกจากห้องไป

แม้จะเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแทบไม่เหลือกลิ่นไวน์แล้วแต่อาการมึนๆ ของหลี่คุนก็ยังคงอยู่ เขาหันไปหาจางอี้หลงก็เห็นอีกฝ่ายนอนแผ่ไปบนเตียงทั้งๆ ยังเปลือยท่อนบนอยู่ หลี่คุนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง เขารีบโคจรพลังให้หมุนวนทั่วร่างแต่ปรากฏว่าเกิดความติดขัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

โอสถพิษ!!!

หลี่คุนรีบตรวจสอบอาการของจางอี้หลงก็พบว่าอยู่ในอาการสะลึมสะลือที่ไม่คล้ายว่าเมาสุราลมหายใจถี่ๆ ที่เริ่มติดขัดบอกว่าอีกฝ่ายก็ถูกพิษจนอาการหนักกว่าเขาเสียอีก

เป็นพิษเยี่ยงใด!!!

หลี่คุนมองหาโทรศัพท์เพื่อจะติดต่อองครักษ์เงาแต่มันไม่อยู่ที่ๆ เขาวางไว้เสียแล้ว เขากวาดตาดูรอบห้องและค้นในกระเป๋ากางเกงของจางอี้หลงที่เริ่มไม่ได้สติก็ไม่พบโทรศัพท์ของอีกฝ่ายเช่นกัน หลี่คุนฝืนความรู้สึกมึนงงที่มากขึ้นทุกทีเคลื่อนกายไปที่ประตูทันที แต่เขาไม่สามารถเปิดออกไปได้เหมือนถูกล็อคจากข้างนอก เขาทุบมันดังๆ อยู่หลายทีแต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะมีคนด้านนอกสนใจ ยามนี้ร่างกายเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะทะลวงออกไปโดยใช้กำลังได้

หลี่คุนรู้ว่าผิดท่าแล้ว เขารีบนั่งสมาธิตรงหน้าประตูแล้วโคจรพลังไล่พิษทันที ไม่นานเขาก็พบว่าพิษน่ารังเกียจนี้ไม่คล้ายกับพิษใดในหนึ่งพันตำหรับที่เขาเชี่ยวชาญแม้แต่น้อย อาการมึนงงสะลึมสะลือจนสติขาดความยั้งคิดที่เพิ่มขึ้นทุกทีทำให้เขารู้ว่าต้านมันไม่อยู่ หลี่คุนรีดเค้นกำลังภายในมาใช้อย่างเต็มที่ เขาเปิดช่องลมปราณที่มีทั้งหมดแล้วหมุนวนกำลังภายในอย่างบ้าคลั่งเพื่อเร่งการกำจัดสิ่งแปลกปลอมตามธรรมชาติของร่างกาย วิธีการนี้ได้ผลอยู่บ้าง หลี่คุนประคองสติตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง แต่หากจะกำจัดพิษนี้ออกไปอย่างสิ้นเชิง เกรงว่าระดับขั้นของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ

ประสาทหูผู้ฝึกยุทธ์ของหลี่คุนจับเสียงสนทนาเบาๆ จากด้านนอกประตูได้

“เราเข้าไปได้หรือยังว่ะ”

“ถ้าจะให้ชัวร์ต้องน่าจะต้องรออีกซักสิบนาที ไอ้ยามอมสาวเสียสาวอะไรนี่ช่วงที่ยังไม่หลับ คนที่โดนจะมีอารมณ์แบบยาปลุก กูไม่อยากเปิดเข้าไปเห็นพวกเกย์แม่งเอากันอยู่”

“แต่กูใส่ไปเกือบสองเท่าเลยนะ ป่านนี้คงไม่ได้สติกันหมดแล้ว”

“ใส่มากขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตายห่ากันพอดีหรอก รอก่อนแล้วกัน ยังไงแม่งก็หนีไปไหนไม่ได้ เดี๋ยวเราค่อยเข้าไปจัดฉากถ่ายรูปส่งให้นาย”

“แล้วเด็กที่มาด้วยอีกคนล่ะ”

“นายไม่ได้สั่งไว้ เอาไงดีวะ หรือจะจัดการไปพร้อมกันทีเดียว”

“เอาทางนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน เด็กนั่นอยู่ในงานไม่หนีไปไหนหรอก หน้าตาไม่เลว ค่อยวางยาแบล็คเมล์บังคับให้เซ็นสัญญาทาสเป็นนักแสดงในสังกัดของนายน่าจะดี”

ฟังมาถึงตรงนี้หลี่คุนก็ใช้กำลังภายในที่สะสมไว้จนหมด เขารู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ก็รู้ว่ามันเป็นแค่ชั่วคราว เขาไม่มีทางรอดจากสถานการณ์นี้เพื่อไปช่วยซูเอ๋อร์และจางอี้หลงได้ถ้าไม่บรรลุถึงขั้นสี่ของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารี

หลี่คุนทั้งปลอบทั้งขู่ซูเอ๋อร์มาก่อนหน้านี้จนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนที่น่าจะทำให้น้องชายบรรลุขั้นสี่ได้ก่อนเขา ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยตัวเองให้ลังเลได้อีกแล้ว

หลี่คุนประคองตัวลุกขึ้นไปยืนต่อหน้าจางอี้หลงที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขาประสานมือคารวะไปที่ชายหนุ่มก่อนจะเปล่งวาจาออกมาอย่างตั้งใจและหนักแน่น

“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าหลี่คุนประมุขรุ่นที่ยี่สิบเอ็ดของตระกูลหลี่แห่งฉางอัน มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมพลังหยางจากคุณชายจางอี้หลง ข้าหาได้มีเจตนาหมิ่นเกียรติของคุณชายจางแม้แต่น้อย การใดที่ข้าจะกระทำต่อไปนี้อาจจะดูล่วงเกินไปบ้างแต่ก็ทำไปเพื่อพิทักษ์ความปลอดภัยของทุกคน ภายหน้าข้าจักมอบฐานะที่เหมาะสมให้กับคุณชายจางอย่างแน่นอน”

หลี่คุนใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เหลือของคนตรงหน้าออกจนหมด พี่ชายท่านนี้ช่างได้รับพรฟ้าประทานไปทุกส่วนจริงๆ เขาใช้สองมือปลุกปล้ำอยู่เพียงครู่เดียวแท่งหยกเย็นก็กลายเป็นหยกอุ่นร้อนผ่าว ความรู้สึกแปลกๆ คล้ายอารมณ์วาบหวามระหว่างชายหญิงเกิดขึ้นในใจ มิรู้ว่าเป็นอาการของยาหรือว่าอย่างไร เพ่งดูอีกครั้งความอหังการ์ที่อยู่เบื้องหน้ายากจะรับได้อยู่บ้าง หลี่คุนเปิดช่องลมอ้าปากกว้างเปล่งเสียงออกมาในเคล็ดวิชาราชสีห์คำรามโดยไม่ใส่กำลังภายใน หลังจากผ่านไปสามครั้งสามคราเขาก็มั่นใจว่าขากรรไกรของตัวเองได้รับการขยายอย่างเต็มที่แล้ว หลี่คุนก้มหน้าลงด้วยความเด็ดเดี่ยวอย่างทหารที่พร้อมออกศึก หลังจากนั้นสายตาของเขาก็เสไปจับจ้องอยู่ที่โคมไฟหัวเตียงปล่อยให้ความรู้สึกในปากและลำคอนำทางไป

………
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-07-2020 07:32:31
-46- [ต่อ]

ในเวลาไม่เร็วไม่ช้านักแสดงตัวประกอบมากฝีมือสองคนในคราบบริกรก็ไขกุญแจเข้ามาในห้อง พวกเขาแปลกใจอยู่บ้างที่ได้กลิ่นหอมสดชื่นอันคุ้นเคยอบอวลอยู่

“กลิ่นอะไรวะ”

“กลิ่นมิ้นท์ๆ เหมือนยาสี..”

ชายหนุ่มคนหลังหยุดพูดไปเฉยๆ เขาเกิดอาการเย็บวาบไปทั้งตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ มันคืออาการกลัว คล้ายกับความทรงจำในวัยเด็กที่เคยถูกเสือในสวนสัตว์คำรามใส่

ในวินาทีถัดมาเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดาบฟาดฟันจนร่างกายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาขาสั่นจนลงไปนั่งกับพื้นแล้วก็ขยับตัวไม่ได้อีกเลย เพื่อนที่มาด้วยกันดูเหมือนจะทรุดตัวไปก่อนหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ

ร่างๆ หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้สร้างความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวราวกับการคืบคลานของมัจจุราชเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ได้แต่ปล่อยให้ร่างกายตัวเองถูกค้นจนโทรศัพท์ที่แอบหยิบมาถูกนำกลับคืนไป

หลี่คุนมองบริกรปลอมสองคนที่ตัวสั่นอยู่กับพื้นราวกับเศษสวะ พลังระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกลางที่ได้จากการทะลวงขั้นสี่ของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีมันต่างจากขอบเขตขั้นสามมากจริงๆ เพียงแค่จิตสังหารก็ทำเอาพวกมันหมดสภาพถึงเพียงนี้ นับว่าเขาเป็นหนี้วารีพิสุทธิ์อันเต็มไปด้วยพลังหยางของพี่อี้หลงจริงๆ

หลี่คุนรีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซูเอ๋อร์เพื่อยืนยันความปลอดภัยตามด้วยการติดต่อไปที่องครักษ์เงาเพื่อสั่งความหลายอย่าง ชุดแรกรีบไปประกบดูแลความปลอดภัยให้ซูกัส ชุดที่สองให้กลับไปเอาสิ่งของบางอย่างมาส่ง

ในระหว่างที่รอหลี่คุนก็ถ่ายกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสี่ชักนำการโคจรลมปราณในร่างของจางอี้หลงเพื่อขับพิษออก บัดนี้เขามีความเข้าใจในโอสถพิษยุคใหม่ตัวนี้ขึ้นมาไม่น้อย นี่คล้ายว่าจะเป็นผงกำหนัดผสมกับผงนิทรา เพียงสรรพคุณไม่ว่าจะด้านใดล้วนต่ำต้อยเทียบไม่ได้เลยกับโอสถประเภทเดียวกันในอดีต แถมยังมีผลข้างเคียงที่อันตรายจากฤทธิ์กดประสาท จางอี้หลงที่ดื่มไปมากกว่าเขาโดนพิษหนักจริงๆ ถ้าไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงและพลังฟื้นตัวของผู้ที่เปี่ยมไปด้วยปราณอำนาจเช่นนี้ อาจเกิดอาการหายใจผิดปกติอย่างรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตไปแล้วก็ได้

ไม่นานหลี่คุนก็ได้รับถุงโอสถและสิ่งของอื่นที่ต้องการจากองครักษ์เงาพร้อมๆ กับที่จางอี้หลงได้สติขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้นครับน้องคุน ทำไมพี่มานอนอยู่ตรงนี้”

หลี่คุนชี้ไปทางบริกรปลอมที่ถูกทัณฑ์ทรมานเค้นความลับจนนอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้น

“มีคนวางยาครับ สองคนที่กองอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ พี่ทานสมุนไพรฟื้นกำลังตัวนี้ก่อนแล้วรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยครับ”

จางอี้หลงตาลุกวาวไปด้วยความโกรธ เขาไม่ได้ระวังตัวกับเรื่องแบบนี้เช่นทุกทีเพราะเห็นว่าเป็นงานเลี้ยงในไทยซึ่งไม่มีใครรู้จักเขา

“พวกไหนที่กล้าขนาดนี้ น้องคุนไม่ได้ถูกมอมไปด้วยใช่ไหม ไม่งั้นพี่เอาพวกมันตายแน่”

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ เราต้องรีบกลับเข้างานก่อน ไฮไลต์ในงานกำลังจะเริ่มแล้ว ทางนี้ผมให้คนของสำนักคุ้มกันจัดการต่อเอง”

หลี่คุนหยิบชุดสำรองที่องครักษ์เงาเตรียมมาส่งให้กับอีกฝ่าย ไม่นานทั้งคู่ก็กลับเข้าไปปรากฎตัวที่งานในสภาพหล่อเหลาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บนเวทีกำลังเป็นช่วงที่สปอนเซอร์หลักของงานซึ่งเป็นค่ายละครใหญ่สามสี่บริษัทสลับกันมานำเสนอโปรเจ็คที่อยู่ในแผนงานปีหน้าของตัวเอง และค่ายยักษ์ใหญ่อย่างมายากรุ๊ปก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยในฐานะผู้กำหนดกระแสหลักของวงการละครไทย ภาคินผู้กุมบังเหียนคนต่อไปของมายากรุ๊ปเป็นคนขึ้นไปนำเสนอด้วยตัวเอง เขาอยู่ในชุดสูทพอดีตัวที่เสริมบุคลิกให้ดูดีสมกับเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ ท่าทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในระหว่างที่พูดทำให้หญิงสาวในห้องหลายคนส่งสายตาให้ด้วยความชื่นชม

หลี่คุนกลับมองคนบนเวทีด้วยสายตาที่ต่างกันออกไป ข้อมูลที่องครักษ์เงาสืบมาได้ก่อนหน้านี้ตรงกันกับที่เขาใช้ทัณฑ์ทรมานบีบคั้นเอาจากคนร้ายวางยา นายน้อยของมายากรุ๊ปคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด เรื่องการกลั่นแกล้งทีมนักแสดงกาเฟอีนกับการออกข่าวนินทาเสียหายในอินเตอร์เน็ตยังพอมองได้ว่าเป็นการขัดขากันทางธุรกิจ แต่การวางยาในคืนนี้มันคือการแตะเกล็ดย้อนมังกรของเขาโดยแท้ 

หลี่คุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ถูกทำน้ำชาหกใส่กลางงานเลี้ยงชมบุปผา จากนั้นต้องตามบ่าวไพร่แปลกหน้าของเจ้าภาพไปยังเรือนห่างไกลเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมิรู้ว่ามีบุรุษเสเพลผู้หนึ่งเร้นกายอยู่เพื่อทำลายชื่อเสียงของนางตามที่ได้ถูกว่าจ้างมา อุบายเช่นนี้ปรากฎอยู่ในงิ้วหลายเรื่องตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง จนถึงยุคราชวงค์หมิงของหลี่คุนนักประพันธ์ก็มิใคร่จะผูกเรื่องให้มีฉากซ้ำซากโง่งมเยี่ยงนี้อีกแล้ว ไม่คาดว่าเวลาผ่านมาถึงหลายร้อยปีจะยังมีผู้ใช้อุบายสิ้นคิดนี้ออกมาจริงๆ ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือเขาผู้เป็นถึงผู้นำของตระกูลหลี่แห่งฉางอันกลับตกลงไปในกับดักอันตื้นเขินนี้เสียได้ ความน่าอับอายใหญ่หลวงเช่นนี้หากมิได้ระบายความแค้นออกมาเขาจะหลับตาลงในยามค่ำคืนได้อย่างไร

ลูกเต่าบัดซบ กล้าสั่งวางยากำหนัดชั้นต่ำกับเซียนโอสถเช่นบิดา บิดาจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย

ภาคินที่ยืนโดดเด่นอยู่บนเวทีกำลังเปิดตัวโปรเจ็คละครของมายากรุ๊ปสำหรับปีหน้ามากมายหลายเรื่อง ไล่ตั้งแต่ละครรีเมกเรื่องดังที่วนเวียนสร้างกันมาเกือบสิบรอบอันเป็นการรับประกันความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ตามด้วยละครสะท้อนปัญหาครอบครัวที่เข้มข้นด้วยฉากริษยาอาฆาตเชือดเฉือนฝีปากตบตีแย่งผัวแย่งเมียตลอดทั้งเรื่อง อีกเรื่องเป็นละครซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่นางเอกติดหนวดปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปอยู่ใต้จมูกพระเอกอย่างชวนลุ้นระทึกในการเอาตัวรอดไม่ให้ถูกจับได้ ต่อด้วยพล๊อตเรื่องของนางเอกผู้แสนรันทดที่วิญญาณหลุดออกจากร่างเดินทางข้ามเวลาไปเข้าร่างใหม่ในอดีตแล้วสร้างเรื่องสร้างราวต่าง ๆ จนได้พบรักหวานชื่นกับพระเอก

แขกในงานปรบมือแสดงความชื่นชมต่อละครเรื่องแล้วเรื่องเล่าของมายากรุ๊ปตามมรรยาทแต่ในใจหลายคนเบื่อหน่ายสิ้นดี เป็นสิบปีแล้วก็ไม่มีอะไรใหม่ อาศัยอิทธิพลเบียดบังช่วงเวลาออกอากาศของละครดีๆ ไปตั้งเท่าไหร่ ไม่รู้ที่เรตติ้งยังพอไปได้เพราะคนดูก็ไม่รู้จะหนีไปช่องไหนหรือเปล่า ใครใช้ให้มายากรุ๊ปครอบครองทั้งดาราทั้งทีมงานเบื้องหลังดีๆ ไว้แทบจะคนเดียว ไม่แปลกที่คนรุ่นใหม่ถึงได้หันไปหาสื่อบันเทิงและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีความหลากหลายกว่าแทน

ธุรกิจละครไม่เพียงแต่จะทำเงินได้มากแต่ยังสร้างอำนาจและความสุขให้ภาคินไม่รู้จบ ดาราสาวสวยมีชื่อเสียงมาจากไหนก็ต้องคอยออดอ้อนเอาใจเขาถ้าอยากได้บทดีๆ ไฮโซชั้นสูงหรือนักธุรกิจต่างอยากคบค้าสมาคมกับเขาเพื่อเข้าถึงชื่อเสียงในวงการ ระหว่างที่นำเสนอผลงานแต่ละเรื่องอย่างภูมิใจ เขารู้สึกเย็นวาบราวกับมีสายตาอำมหิตจ้องมองมาจากด้านล่างเวที แต่ด้วยแสงสปอร์ตไลท์เจิดจ้าทำให้ไม่รู้ว่ามันมาจากใคร ในเสี้ยววินาทีนั้นมีบางอย่างขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวลอยเข้าปากเขาไป การนำเสนอของภาคินชะงักไปเล็กน้อย แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพทำให้เขาพูดต่อได้โดยไม่ติดขัด สิ่งนั้นคล้ายจะละลายเหลือเพียงกลิ่นหอมรัญจวนอบอวลอยู่ในปาก

ภาคินกำลังพูดถึงเรื่องสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลต์ของมายากรุ๊ปในปีหน้า ละครวัยรุ่นเอาใจตลาดเรื่องนี้สร้างความแปลกใหม่ด้วยพล๊อตแนวฮาเร็มที่รวบรวมดารานักแสดงเพศหญิงหน้าตาดีอายุน้อยที่ล้วนแต่เป็นลูกผสมลูกครึ่งหรือลูกเสี้ยวถึงสิบกว่าคนไว้ได้ในเรื่องเดียว

“เรื่องนี้เป็นเดบิวต์ของนักแสดงสาวหน้าใหม่หลายคนเลยครับ นมใหญ่ๆ กันทั้งนั้น”

ภาคินแนะนำดาราในเรื่องกับผู้ชมโดยไม่รู้ว่าตัวเองได้หลุดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแล้ว

“คนนี้ลูกครึ่ง จุกสีชมพูเลย ซี๊ดมาก”

ครั้งแรกผู้เข้าร่วมงานยังนึกว่าตัวเองฟังผิด แต่เมื่อคำพูดจาบจ้วงไม่ให้เกียรตินักแสดงเพศแม่หลุดออกมาอีกครั้งก็รู้ว่าไม่ได้หูฝาดกันแน่

“ยังไม่ทันเปิดกล้องจริง ตัวพ่ออย่างผมก็ฟาดไปสองคนแล้ว กำลังอ่อนๆ สิบแปดสิบเก้า กว่าจะถ่ายทำจบน่าจะครบคนพอดี”

จากแสงไฟสว่างจ้าบนเวทีทำให้ทุกคนเห็นถนัดตาว่ายิ่งพูดเป้ากางเกงทรงฟิตของภาคินก็ยิ่งโป่งพองขึ้นทุกที นอกจากเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวแล้วยังเอามือไปบีบๆ ถูๆ ตรงบริเวณนั้นจนนูนใหญ่ขึ้นสร้างความอุจาดตาขึ้นไปอีก ทีมออร์แกนไนเซอร์ที่จัดงานมองหน้ากันเลิกลั่กว่าจะจัดการอย่างไรดี

“เสียวโว้ย”

มือที่ลูบๆ คลำๆ อยู่ข้างนอกตอนนี้เข้าไปขยุกขยิกอยู่ด้านในกางเกงอย่างน่าบัดสี ทีมงานผู้ชายสามสี่คนวิ่งขึ้นไปบนเวทีฉุดกระชากตัวคนกลับไปทางด้านข้างเพื่อหลบเข้าไปหลังเวที เสียงดนตรีบรรเลงดังกระหึ่มเพื่อกลบเกลื่อนความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงโวยวายอย่างตกใจในพฤติกรรมอนาจารของภาคินที่เกิดขึ้นหลังเวทีดังแทรกขึ้นมา

หลี่คุนยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจใจ นี่สิถึงจะเป็นผงกำหนัดชั้นเลิศที่มอมเมาได้ทั้งร่างกายและจิตใจแม้แต่ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสูง มิเสียแรงที่ได้ทำออกมาเพื่อลองทบทวนวิชาเมื่อสองเดือนก่อน นี่ถ้าทำลายทิ้งไปตามที่ตั้งใจไว้เดิมคงไม่สามารถล้างอายได้ทันใจเยี่ยงนี้แน่

ผู้บริหารที่เหลือของมายากรุ๊ปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ ทุกคนย่อมรู้ถึงพฤติกรรมสำส่อนใช้อิทธิพลแลกเปลี่ยนหรือบีบบังคับดาราสาวๆ มาเป็นคู่นอนของนายน้อยมาไม่มากก็น้อย โชคดีที่ภาคินไม่ได้ชอบกินในที่ลับไขในที่แจ้งประกอบกับเส้นสายที่ไม่ธรรมดาของมายากรุ๊ปทำให้รอดพ้นจากการซุบซิบนินทาและข่าวหลุดต่างๆ ไปได้ แต่วันนี้มีนักข่าวมาร่วมงานไม่น้อยคงปิดไม่ได้อีกต่อไป ในฐานะที่เป็นทั้งบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทผลิตสื่อบันเทิงระดับแนวหน้า เกิดเรื่องอื้อฉาวจนชื่อเสียงย่ำแย่เช่นนี้ต้องส่งผลกระทบกับธุรกิจอย่างแน่นอน

หลังจากวันนั้นมายากรุ๊ปก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทันที ภาคินออกมาขอโทษอย่างน่าสงสารว่าพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่แสดงออกไปเกิดจากอาการสมองมึนงงเนื่องจากการทานยาแก้แพ้หลายชนิด เขามีอาการแพ้อากาศอย่างหนักแต่ต้องขึ้นเวทีงานใหญ่เมื่อคืนจึงอัดยาจนเบลอ คำพูดและอาการตื่นตัวทางกายที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการออกฤทธิ์ของยาหลายตัวผสมกันทั้งสิ้น

การทำงานอย่างมืออาชีพของบริษัทที่ออกมาชี้แจงทันทีก่อนที่ข่าวฉาวนี้จะแพร่กระจายออกไปวงกว้างเสียอีกทำให้สามารถควบคุมความเสียหายได้ระดับหนึ่ง แต่กระนั้นดาราสาวหลายคนที่มีรายชื่อเป็นนักแสดงในละครวัยรุ่นแนวฮาเร็มเรื่องก็พร้อมใจกันถอนตัวด้วยเหตุผลว่าถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

ในขณะที่คนในบริษัทคิดว่านี่เป็นจุดต่ำสุดของภาคินและมายากรุ๊ปแล้ว เรื่องราวโสมมของภาคินที่เคยถูกซุกซ่อนไว้ก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด การล่อลวงหญิงสาวที่อยากเข้าวงการ การจัดปาร์ตี้มั่วยาและเซ็กส์ระหว่างดารากับคนชั้นสูง การติดสินบนพนักงานสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้ได้เวลาออกอากาศ ไม่นับอาการที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศของตัวเองในที่สาธารณะครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวที่ถูกนำมาแฉทั้งชัดเจนทั้งมีเบาะแสเพียงพอให้นักข่าวและชาวเน็ตผู้กระหายจะเป็นพิทักษ์ความยุติธรรมไปสืบต่อได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายสื่อสารองค์กรของมายากรุ๊ปต้องทำงานกันยี่สิบสี่ชั่วโมงจนเข้าโรงพยาบาลไปนอนให้น้ำเกลือกันหลายคน

ข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังในวงการบันเทิงเช่นนี้มิใช่จะได้มาง่ายๆ แต่ตอนนี้ดาราไม่รู้กี่คนล้วนใช้บริการบอดี้การ์ดจากบริษัทสำนักคุ้มกันของตินด้วยกันทั้งนั้น คนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เคร่งขรึม ไม่พูดมาก ไม่มีท่าทีสอดรู้สอดเห็น ยามไม่มีเรื่องอันใดก็จะทำตัวราวท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่คอยระวังภัยให้กับนายจ้าง ดาราส่วนใหญ่จึงไว้ใจเผลอพูดเรื่องลับๆ ออกมาอยู่ตลอด โดยไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดเหล่านี้มีอีกบทบาทเป็นองครักษ์เงาคอยรวบรวมข่าวสารต่างๆ ไปให้ตินซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลัง

ในอีกด้านหนึ่งดารานักร้องที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคนก็ออกมาประนามและบอยคอทพฤติกรรมน่ารังเกียจของภาคิน คนพวกนี้อยู่ในวงการภาพยนตร์และดนตรีจึงไม่ต้องไว้หน้ามายากรุ๊ปซึ่งมีอิทธิพลแค่ในวงการละคร ปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ฝีมือของหลี่คุน เขาเพียงฝากองครักษ์เงาไปเล่าเรื่องที่คนโฉดพวกนี้คิดจะวางยาซูเอ๋อร์ไปให้บอดี้การ์ดของแฮ็คส์ซึ่งสนิทสนมกันอยู่พอสมควร

แม้เรื่องส่วนใหญ่จะไม่สามารถต่อยอดให้กลายเป็นคดีความใหญ่โตได้ แต่ก็ได้ทำลายชื่อเสียงของภาคินลงอย่างไม่มีชิ้นดี ชายหนุ่มที่ต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านได้แต่โทษอารมณ์ทางเพศที่มากล้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาหมกตัวอยู่ในห้องกับตุ๊กตายางเหมือนจริงที่ได้สั่งซื้อด้วยราคาสูงลิ่วมาเพื่อใช้ในช่วงที่ถูกบิดาให้พักงานโดยไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

แต่ด้วยความร่วมมือที่เกิดจากความแค้นของหลี่คุนและแฮ็คส์มีหรือที่ชื่อเสียงของมายากรุ๊ปจะฟื้นคืนมาง่ายๆ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทตกต่ำอย่างน่าใจหาย นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับธุรกิจบันเทิงที่ต้องอาศัยฐานผู้ชมทั้งประเทศแล้ว ชื่อเสียงสำคัญกว่าผลประกอบการที่แท้จริงเสียอีก

จางอี้หลงที่ต้องรีบกลับจีนไปก่อนตั้งแต่หลังเกิดเรื่องโดยไม่ได้มีส่วนร่วมในการแก้แค้นถึงกับคอลมาหาหลี่คุนด้วยเรื่องนี้

“พี่อี้หลง มีอะไรด่วนครับ ปกติเห็นชอบคุยทางข้อความ”

“น้องคุนเห็นราคาหุ้นของมายากรุ๊ปแล้วใช่ไหมครับ”

“ฝีมือผมเองแหละ ขอโทษทีนะครับที่ไม่ค่อยเหลืออะไรให้พี่แก้แค้นแล้ว ทั้งๆ ที่พี่โดนหนักที่สุดแท้ๆ ก็ใครใช้ให้พี่งานยุ่งตลอดเลยล่ะ”

หลี่คุนบอกอย่างภูมิใจในผลงานตัวเอง

“พี่จะคุยเรื่องนี้แหละ น้องคุนช่วยวางมือจากเรื่องนี้ได้ไหมครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่ หรือผมยังลงมือได้ไม่โหดพอ พี่จะจัดการเองใช่ไหมครับ ก็ดีครับ ผมจะรอดูว่านักธุรกิจเลือดเย็นอย่างพี่จะใช้วิธีไหน”

ตอนที่หลี่คุนไปดูงานธุรกิจของจางอี้หลงที่เซินเจิ้น เขาก็ทราบว่านอกจากจะลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่ตั้งใหม่แล้ว อีกฝ่ายยังใช้วิธีการซื้อบริษัทที่ผลประกอบการไม่ดีมาในราคาถูกๆแล้วเอามาแยกสินทรัพย์เป็นชิ้นๆ ขายออกไปเพื่อทำกำไรก่อนจะปิดส่วนที่เหลือของบริษัททิ้ง หลี่คุนจึงล้อจางอี้หลงว่าเป็นนักธุรกิจเลือดเย็นอยู่หลายวัน

“ไม่ใช่ครับ คือพี่ว่าราคาหุ้นมายากรุ๊ปมันต่ำไปแล้ว อย่างนี้ไม่ดีเลย”

หลี่คุนสะอึกในใจ ในขณะที่เขาคิดแต่การแก้แค้นจนถึงกับชวนอีกฝ่ายมาร่วมวงด้วย พี่อี้หลงกลับคิดถึงภาพใหญ่กว่านั้น นี่คงจะเป็นห่วงนักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นของมายากรุ๊ปอยู่สินะว่าราคาหุ้นที่ตกต่ำจะทำให้พวกเขาลำบากขนาดไหน จะว่าไปคนพวกนี้ก็ไม่ได้มีความผิดอันใด หลี่คุนหน้าชาอยู่บ้าง ช่างตรงกับคำกล่าวที่ว่าอย่าใช้ความคิดคนทรามมาประเมินน้ำใจวิญญูชนเสียจริงๆ

“คือว่าพี่กำลังไล่ซื้อหุ้นมายากรุ๊ปในตลาดอยู่นะครับ ขาดอีกก้อนหนึ่งก็จะได้สิทธิ์บางส่วนในการร่วมบริหารกิจการแล้ว แต่พอราคาหุ้นมันต่ำขนาดนี้และบริษัทมีแต่ข่าวแย่ๆ รายย่อยที่ถือหุ้นก้อนใหญ่หน่อยเขาจะมองว่าบริษัทกำลังอยู่ในจุดต่ำสุดและทำใจไม่ได้ที่จะขายออกมา ถ้ามันมีข่าวดีอะไรบ้างให้หุ้นมันขึ้นมาสักยี่สิบสามสิบเปอร์เซ็นต์ พวกนี้จะรีบปล่อยออกมาทันทีเพราะกลัวมันจะลงไปที่จุดต่ำสุดอีก พี่จะไปคอยดักซื้อตอนนั้นเพื่อยึดอำนาจบริหารบางส่วนมาครับ”

พ่อค้าหน้าเลือด!!! คนๆ นี้เป็นพ่อค้าหน้าเลือดที่กินคนไม่คายกระดูกโดยแท้!!!

######
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-07-2020 11:39:58
โหดออกหน้า กะ โหดหลบใน
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 19-07-2020 17:24:40
มาจุใจ และสะใจมากๆๆๆ
สนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม คอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-07-2020 23:13:19
สนุกมากๆเลย  :o8: พี่เค้าเล่นใหญ่มากเลย ทั้งตึกเลย อมก
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 01-08-2020 00:45:54
หน้าเลือดทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-08-2020 14:07:12
คู่สร้างคู่สมที่แท้
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 08-08-2020 18:15:15
มาที่ละตอนก็ได้นะ อยากอ่านต่อแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 08-08-2020 19:02:00
 :katai5: รออยู่นะคะ คูมคนเขียนนนน  :katai5:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nizxx ที่ 18-10-2020 16:43:54
อีพี่แฮคไปหลอกล่ออะไรลูกชั้นถึงเลื่อนขั้นเป็นขั้น4คะ น้องคุนงง ต้อง...พี่อี้เลยทีเดียว 55555555555 พี่อี้ก็ลงมือจริงจังสักทีค่า ขอร้องงงงงง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-10-2020 00:44:08
คิดถึงหลี่คุนแล้วอ๊ะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 41-46] P.5 19/7/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-11-2020 22:32:10
คิดถึงพี่คุนจัง
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 47] 21/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-11-2020 21:47:53
-47-

“พี่อี้หลงดูหุ้นมายากรุ๊ปอยู่เหรอ วันนี้ได้เพิ่มเท่าไหร่ล่ะครับ ใกล้ได้ตามเป้าหรือยัง”

“พี่ดูไปอย่างนั้นเอง ไม่เก็บเพิ่มแล้วล่ะ คงหยุดแค่ที่ยี่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ที่ได้ไว้ตั้งแต่เดือนก่อน เหมือนทางโน้นจะรู้ตัวก็เลยเริ่มมาซื้อแข่ง รายย่อยที่อยากขายก็ดูจะขายออกมากันหมดแล้ว ต่อไปคงซื้อได้เพิ่มยาก”

“เสียดายนะพี่ ต้องได้อย่างน้อยยี่สิบห้าเปอร์เซนต์ไม่ใช่เหรอถึงจะใช้อำนาจในฐานะผู้ถือหุ้นได้”

หลี่คุนออกความเห็นตามสิ่งที่ได้รู้มาตอนนักกฎหมายวิเคราะห์โครงสร้างผู้ถือหุ้นของฉางอันโอสถให้ฟัง

“นั่นมันสำหรับบริษัทจำกัดที่มีผู้ถือหุ้นไม่กี่ราย ไม่เหมือนมายากรุ๊ปที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้ถือหุ้นรายเล็กรายน้อยที่ถือทิ้งๆ ไว้อีกตั้งเยอะ พวกนี้เวลาประชุมผู้ถือหุ้นก็ไม่ได้เข้าร่วมหรอก เขาคิดว่าถือหุ้นอยู่นิดเดียวมาก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ประชุมผู้ถือหุ้นแต่ละครั้ง อย่างเก่งก็มากันแค่แปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นหุ้นยี่สิบสี่เปอร์เซนต์ของพี่ในวันประชุมจริงคิดเป็นอย่างน้อยก็ยี่สิบหกเปอร์เซนต์ของผู้ที่มาประชุมแล้วนะ ใช้คัดค้านวาระที่สำคัญได้สบาย”

“แต่เราก็ยังเป็นแค่ผู้ถือหุ้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารอยู่ดีนี่ครับ”

“ใครบอก พี่จะเอาฐานะผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์คัดค้านการตัดสินใจที่สำคัญบริษัทไปงัดข้อให้ได้ไปนั่งในบอร์ดสักที่หนึ่ง ทีนี้ก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการบริหารงานของมายากรุ๊ปได้ซะที ด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์ที่พี่มีอยู่ พี่มั่นใจว่าจะดึงบอร์ดอิสระให้เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารได้แน่ๆ มายากรุ๊ปควรจะเลิกใช้คนในครอบครัวมาบริหารได้แล้ว บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็ควรจะมีการบริหารแบบมืออาชีพจริงๆ”

ในที่สุดจางอี้หลงก็ได้เข้าไปนั่งเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทของมายากรุ๊ปได้จริงๆ หลังจากนั้นเขาก็ใช้ข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเฉียบคมโน้มน้าวให้คณะกรรมการอิสระเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงวิธีบริหารมายากรุ๊ป ความตกต่ำของบริษัททำให้ประธานและกรรมการที่เป็นคนจากตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่ทานไว้ไม่ไหว อันที่จริงพวกเขาก็ทนดูไม่ได้ที่จะเห็นราคาหุ้นของมายากรุ๊ปซึ่งเป็นสินทรัพย์หลักของครอบครัวต้องประสบหายนะเช่นนี้ จนต้องยอมเปิดรับแนวคิดใหม่ๆ แม้จะแลกมาด้วยอำนาจควบคุมที่ลดลง

ในเวลาไม่นานหลักเกณฑ์การบริหารฉบับใหม่ก็คลอดออกมาและประกาศใช้ทั่วทั้งองค์กรในทันที ผู้ที่ดำรงตำแหน่งบริหารในระดับต่างๆ จะพิจารณาจากฝีมือและผลงานไม่ได้ดูจากความเป็นเครือญาติอีกต่อไป แน่นอนว่าภาคินในฐานะตัวปัญหาก็ถูกปลดไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการทำงานต่างๆ ก็ถูกปรับให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้โดยใช้ระบบไอทีเข้าช่วย ในขณะเดียวกันก็ยังคงความอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับทีมงานอันเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตสื่อบันเทิง จางอี้หลงซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีค่าจ้างจนทำให้หลี่คุนรู้สึกเหนื่อยแทน

“ทำไมพี่ไม่ให้พวกเจ้าของใหญ่เขาเข้ามาทำเองล่ะ ยังไงก็บริษัทเขา ทำอย่างนี้เหมือนพี่ไปช่วยให้เขารวยฟรีๆ เลย”

“คนที่เขาทำอยู่เดิมเห็นไม่ชัดเท่าคนนอกหรอก เขาเคยทำแบบไหนมา เขาก็รู้สึกว่ามันดีอยู่แล้ว อีกอย่างแต่ละคนก็คงมีพวกพ้องของตัวเอง การตัดสินใจต่างๆ มันจะไม่เป็นกลาง ให้คนใหม่อย่างพี่มาทำดีกว่า แล้วก็อย่างที่พี่เคยบอกน้องคุนแหละ บริษัทนี้มีทรัพยากรดีๆ อยู่ตั้งเยอะ ทั้งทีมงานเก่งๆ ทั้งโรงถ่ายดีๆ ไหนจะลิขสิทธิ์ที่ถืออยู่ในมืออีก ดารานักแสดงในสังกัดก็ไม่เลว แค่ปรับปรุงระบบการบริหารให้ดีบริษัทต้องเติบโตไปได้อีกหลายเท่าแน่ๆ แล้วคนที่ช้อนซื้อหุ้นไว้ตอนราคาถูกๆ อย่างพี่จะไม่รวยได้ยังไง”

ดวงตาของจางอี้หลงเปล่งประกายเป็นเงินหยวน

“แต่มันก็เอาเปรียบกันเกินไป พี่รวยเขาก็รวยด้วยทั้งๆ พี่ทำอยู่คนเดียว ไม่งั้นก็ให้เขาเสียตังค์จ้างบริษัทที่ปรึกษาจากข้างนอกก็ได้ ค่อยยุติธรรมหน่อย””

“แล้วใครบอกว่าพี่ทำงานนี้ฟรีๆ ล่ะ ช่วงนี้เป็นการประเมินและวางตัวคนในตำแหน่งต่างๆ ตามโครงสร้างใหม่ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง พี่เข้ามาทำตรงนี้ก็เท่ากับได้ส่งคนมีความสามารถให้เข้าไปนั่งในตำแหน่งที่เหมาะสม ผู้บริหารรุ่นใหม่พวกนี้ก็เท่ากับเป็นคนของพี่ไปครึ่งตัว ทนทำงานเหนื่อยแค่ไม่กี่เดือนแต่ได้วางฐานอำนาจไว้ทั่วทั้งบริษัทธุรกิจบันเทิงระดับประเทศ ไม่คุ้มเหรอครับ”

“ข้าน้อยขอคารวะท่านเทพ”

หลี่คุนตอบอย่างซูฮกหมดใจ

เพื่อที่จะพลิกฟื้นมายากรุ๊ปขึ้นมาให้เข้าที่เข้าทาง จางอี้หลงต้องมาทำงานที่เมืองไทยบ่อยขึ้นจนเป็นเกือบทุกเดือน แต่ละครั้งที่มาก็พักอยู่หลายวัน แน่นอนว่าจางอี้หลงต้องเข้ามาพักในบ้านใหม่ที่อุตส่าห์สร้างไว้อย่างงดงาม หลี่คุนก็คิดว่าเป็นฤกษ์งามยามดีที่ตัวเองจะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยเช่นกัน ที่จริงส่วนที่พักทั้งสองชั้นก็พร้อมให้เข้าอยู่นานแล้วแต่เขาคิดว่าน่าจะรอเจ้าของห้องเสียหน่อยจะได้ไม่น่าเกลียด

เมื่อคนรอบตัวทราบเรื่องก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะต้องมีจัดงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ครื้นเครง หลี่คุนที่เป็นชาวจีนจากยุคโบราณย่อมไม่ปฏิเสธเรื่องเสริมมงคลเพิ่มความมีหน้ามีตาเช่นนี้ คนที่ตั้งตัวเป็นแม่งานมีสองคนคือตินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับซูกัสญาติใกล้ชิด หลังจากที่ทั้งคู่หารือกันไปมาเรื่องรูปแบบการจัดงานอยู่หลายวันก็ดูเหมือนจะตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดก็แยกการจัดงานตามกำลังคนออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกนำโดยตินที่ใช้คนจากค่ายมวยจะอยู่ในคณะที่เดินทางไปพร้อมกับหลี่คุน ส่วนอีกฝ่ายเป็นซูเอ๋อร์และเพื่อนๆ ดูแลการจัดงานที่สำนักงานใหม่ มีคนช่วยกันคนละไม้คนละมือเจ้าของงานอย่างหลี่คุนเลยสบายแทบจะไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไร

เมื่อถึงวันงาน ตินและนักมวยจากค่าย ศ.เผด็จศึกหลายสิบคนก็เอารถบัสวีไอพีไปรับหลี่คุนที่คอนโด ด้วยจำนวนคนที่เยอะขนาดนั้นแถมยังร่างกายแข็งแรง ข้าวของจำเป็นของหลี่คุนที่ต้องขนไปที่พักแห่งใหม่จึงถูกลำเลียงมาเก็บใต้ท้องรถรวดเดียวจบ หลี่คุนเห็นแต่ละคนที่มาช่วยแต่งกายด้วยเสื้อลายดอกสีสดใสก็รู้สึกถึงบรรยากาศมงคลเหมาะกับการย้ายบ้านใหม่ยิ่งนัก แต่ก่อนที่รถบัสจะเริ่มเดินทางออกจากคอนโด ซูเอ๋อร์แล้วกลับนั่งรถคันหรูเข้ามาจอดตรงหน้าทางเข้าคอนโดเสียก่อน

“อ้าว ไม่ใช่น้องไปรออยู่ที่ตึกใหม่แล้วเหรอ”

หลี่คุนทักด้วยความแปลกใจ

“พี่อี้หลงบอกว่าผมเป็นญาติผู้ชาย ต้องเป็นคนมาพาพี่ไปส่ง”

หลี่คุนแปลกใจเล็กน้อย ธรรมเนียมนี้มันคุ้นแบบแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อาจเป็นธรรมเนียมขึ้นบ้านใหม่ของไทยที่มีคนแนะนำจางอี้หลงมาก็เป็นได้

“พี่มีพวกที่ค่ายมวยเอารถบัสมารับแล้วนี่ไง ถึงเบียดหน่อยเพราะมากันเยอะเลยแต่ก็ไปกันได้”

“ไม่เป็นไรพี่คุน พี่อี้หลงบอกว่าให้ผมนั่งรถนำหน้าไปก็ใช้ได้แล้ว รีบออกเถอะเดี๋ยวจะถึงช้า”

ซูเอ๋อร์ลงมาคุยปุ๊บปั๊บก็กลับขึ้นรถไปอีก แล้วก็โผล่หน้าออกมาเร่งยิกๆ ให้รถบัสรีบขับตามมา

การเดินทางใช้เวลาเกือบชั่วโมงในสภาพการจราจรที่ค่อนข้างติดขัดของกรุงเทพ ในที่สุดขบวนรถเก๋งหนึ่งรถบัสหนึ่งก็มาถึงอาคารสำนักงานแห่งใหม่ หลี่คุนเห็นการตกแต่งสถานที่แล้วก็อึ้ง มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีแดง ทั้งผ้าแพรสีแดงที่ผูกที่ห้อยไปทั่วบริเวณ กระดาษสีแดงตัดเป็นตัวอักษรจีนมงคลคู่ขนาดใหญ่แปะไว้ตรงตัวอาคารตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสิบสอง นอกจากนั้นยังมีดอกไม้โคมไฟแบบจีนและริ้วธงล้วนแต่เป็นสีแดงตกแต่งอยู่เต็มไปหมด

ตินและเพื่อนๆ นักมวยที่ทยอยลงจากรถบัสก็อึ้งไปเหมือนกัน

“คนละธีมเลยเว้ย ทางนี้เขาจีนจ๋า แต่ไม่เป็นไร จีนไทยก็พี่น้องกัน เอ้า พวกเราตั้งขบวน”

ตินตะโกนบอก บรรดานักมวยในเสื้อลายดอกขนของออกมาจากใต้ท้องรถแล้วมายืนตั้งเป็นแถวยาว แต่นอกจากลังใส่ของของหลี่คุนแล้ว ยังมีของที่หลี่คุนไม่เห็นในตอนแรก ทั้งเครื่องดนตรีอย่างกลองยาวเป็นสิบใบฉิ่งฉาบกรับโหม่ง เครื่องเสียงชุดใหญ่ พานเงินพานทองหลายใบใส่หมากพลูข้าวตอกดอกไม้ถุงเงินถุงทอง ต้นกล้วยต้นอ้อยอย่างละสองต้น ปิดท้ายด้วยกล่องใส่ของของหลี่คุนอีกเป็นสิบๆ ใบ เรียกว่ามีของให้ได้ถือกันถ้วนหน้าทุกคน

หลี่คุนเข้าไปอยู่ในขบวนอย่างงงๆ ซูเอ๋อร์กับเพื่อนๆ เห็นความคึกคักก็เข้ามาร่วมด้วย แชมเปญเอาเสื้อแจ็คเก็ตและหมวกแก๊ปสีแดงมาสวมให้หลี่คุนทำให้ชุดขาวล้วนนั้นดูสดใสขึ้น

“เสื้อแดงเลยเหรอแชมเปญ ข้างหลังเป็นลายอะไรนะครับ”

หลี่คุนถามเมื่อเห็นลายปักงดงามเพียงแวบเดียว

“ลายนกฟินิกซ์ค่า”

พอทราบว่าเป็นสัตว์ในตำนานของทางตะวันตกหลี่คุนก็ไม่ได้สนใจอีก คลุมทับด้วยอาภรณ์สีแดงเช่นนี้ก็น่าจะเสริมกลิ่นอายมงคลได้ดีอยู่เหมือนกัน

เมื่อตินตั้งแถวเสร็จ เสียงโห่ก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงดนตรีจากวงกลองยาวฟังดูคึกครื้นยิ่งนัก

“โห......ฮิ้ว

เอ้ามาละเว้ย เอ้ามาละเว้ย เอ๋ยมาละวา เอ๋ยมาละวา

มาแต่ของเขา ของเราก็ไม่มา

ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว

ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย

เอาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตาลาลา...

หุย..ฮา..โห่..ฮี้ว”

จอมเด่นและพวกนักมวยที่ไม่ต้องถือของรำเฉิบๆ นำหน้าขบวน พวกซูกัสก็ไม่น้อยหน้าเข้าไปร่วมทันที ถึงจะรำแบบไทยไม่เป็นแต่ก็เอาท่าเต้นแนวโคพเว่อร์มาผสมโรงได้อย่างแนบเนียน หลี่คุนชมชอบความครื้นเครง แต่ในชาติก่อนตระกูลหลี่ระมัดระวังตนจึงไม่ค่อยจัดงานออกหน้าออกตาบ่อยนัก เขาสังเกตท่ารำของจอมและเด่นอยู่สักครู่ก็ออกท่าออกทางรำลอยหน้าลอยตาเข้ากับจังหวะจะโคนกระแทกกระทั้นของกลองยาวได้ไม่แพ้กัน

คนของสำนักคุ้มกันซึ่งช่วยพวกซูกัสจัดเตรียมสถานที่เสร็จได้ยินเสียงอึกทึกก็ออกมาดูแล้ววิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ

“ขบวนขันหมากนี่หว่า”

“ไหนน้องซูกัสบอกว่าให้เราตกแต่งสถานที่รอรับขบวนเจ้าสาวไง”

“เขาพูดขำๆ ไม่ใช่เหรอ”

“แล้วเราต้องไปช่วยกั้นประตูเงินประตูทองด้วยเปล่า”

“คุณจางอี้หลงสูงใหญ่ขนาดนั้นเอาอะไรคิดวะว่าจะเป็นฝ่ายโดนสู่ขอ”

“แต่พวกเราควรเชียร์น้องคุนกันไม่ใช่เหรอ”

“ให้เขาตกลงกันเองไหม”

เป็นความคิดของตินที่ไม่อยากให้เพื่อนเสียเปรียบ การย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันในมุมมองของคนรุ่นใหม่มันก็ไม่ต่างกับการแต่งงาน ถึงหลี่คุนจะตัวเล็กกว่าจางอี้หลงอยู่บ้างแต่ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เพื่อนเป็นฝ่ายเจ็บตัวจึงต้องชิงลงมือข่มสถานะของอีกฝ่ายก่อน

ในเรื่องนี้ซูกัสกลับเห็นตรงข้าม ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าใครเป็นใครก็ไม่ควรฝืนธรรมชาติ อีกอย่างเขาก็อยากให้พี่คุนเป็นพวกเดียวกันกับตัวเองด้วย สุดท้ายตกลงกับตินไม่ได้เลยต้องแยกการจัดงานมาชนกันแบบนี้

ขบวนขันหมากเดินวนตรงลานจอดรถอยู่สามรอบก็เข้าไปตรงบริเวณลอบบี้ของอาคาร ด้านในก็ตกแต่งด้วยป้ายมงคลจีนดอกไม้และผ้าแพรสีแดงเช่นกัน ด้านหนึ่งเป็นที่นั่งของแขกที่มาร่วมงาน หลี่คุนเห็นใบหน้าคุ้นเคยอย่างหมอภีม ไฮโซแบงค์ ไฮโซบรูคและครอบครัว ครูแผ่นดินกับพี่ๆ นักมวยรุ่นใหญ่ และอีกหลายๆ คนที่เขารู้จักสนิทสนมด้วย

ตรงกลางเป็นพรมสีแดงทอดยาวเป็นทางเดิน มีพนักงานสำนักคุ้มภัยใส่สูทยืนเรียงกันเป็นแถวซ้ายขวาเสริมความภูมิฐานให้บุรุษชุดแดงที่ยืนรออยู่ด้านในราวกับเป็นฉากเปิดตัวเจ้าพ่อในหนังฮ่องกง

“พี่อี้หลง.. อ๊ะ!”

หลี่คุนส่งเสียงเรียกบุรุษในเสื้อคอจีนสีแดงตกแต่งด้วยลวดลายมังกรสีทอง แต่ที่ทำให้หลี่คุนตกใจจนหลุดเสียงร้องออกมาคือจำนวนเล็บของมังกรที่เพิ่งเห็นชัดๆ

นี่ถึงกับเป็นมังกรห้าเล็บ!!!

เห็นแล้วให้เสียวศีรษะจะหลุดจากบ่าแทนยิ่งนัก มังกรห้าเล็บสงวนไว้สำหรับโอรสสวรรค์เท่านั้น

หลี่คุนตั้งสติสูดลมหายใจ กาลเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนาน ราชวงศ์หมิงล่มสลายแล้ว ระบอบกษัตริย์ในดินแดนจงหยวนก็สูญสิ้นไปกว่าร้อยปี ถ้ามองในมุมของคนยุคปัจจุบันนี่ก็เป็นแค่การคอสเพลย์ฮ่องเต้ แถมยังเป็นฮ่องเต้หนุ่มที่ดูดีมากๆ

“น้องคุนเหงื่อแตกพลั่กเลย เต้นเยอะไปล่ะสิ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่พี่นึกยังไงตกแต่งสถานที่ซะแดงเลย ชุดก็ด้วย อย่างกับมีงานมงคลเลย”

“ฝีมือพวกน้องๆ ของเรานั่นแหละ แต่งออกมาได้จีนซะคนจีนอย่างพี่ยังงงเลย นึกว่าจัดงานแต่ง ถ้าอย่างนั้นขบวนยาวเหยียดหลังน้องคุนนี่ก็ขบวนสินเดิมเจ้าสาวล่ะสิ”

จางอี้หลงพูดขำๆ หลี่คุนหันไปมองนักมวยที่ยืนถือลังใส่ของย้ายบ้านเรียงแถวกันเป็นสิบๆ คนก็รู้สึกว่าคล้ายขบวนสินเดิมอยู่เหมือนกัน

ตินที่ตามหลังมาด้วยรีบแย้งขึ้นมา

“ใช่ที่ไหน ขบวนขันหมากต่างหาก ทั้งกลองยาว พานดอกไม้หมากพลู ต้นกล้วย ต้นอ้อย พร้อมขนาดนี้”

หลี่คุนนึกมาโดยตลอดว่าพิธีรื่นเริงที่ตินจัดคือธรรมเนียมการขึ้นบ้านใหม่แบบไทยเพิ่งรู้ว่าคือขบวนขันหมากที่กำลังจะไปสู่ขอพี่อี้หลง เขาคิดอีกทีก็รู้สึกว่าอย่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เขาแอบล่วงเกินคุณชายท่านนี้ไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ควรยกสถานะให้สามารถออกหน้าออกตาได้เสียที เวลาของเขากับพี่อี้หลงก็มิใช่จะเหลือมากมายอะไร

จากประสบการณ์ในฐานะนักลงทุนซีรีส์วายมาแล้วถึงสามเรื่อง หลี่คุนทราบดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายคล้ายว่าจะแบ่งเป็นฝ่ายรุกกับฝ่ายรับ โดยทั่วไปฝ่ายรุกจะรูปร่างสูงใหญ่กว่าแต่ก็ไม่เสมอไป ละครบางเรื่องตัวเอกทั้งสองคนตัวเท่าๆ กัน เผลอๆ ฝ่ายรับจะตัวหนากว่าด้วยซ้ำ สุดท้ายต้องวัดที่การกระทำ ซึ่งหลี่คุนมองว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายถูกเขากระทำมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายรุกอย่างมิต้องสงสัย

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลี่คุนก็ปั้นหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน

“พี่อี้หลงครับ วันนี้ผมมาสู่ขอพี่นะครับ”

จางอี้หลงยิ้มไปถึงดวงตาอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ แล้วพยักหน้าช้าๆ อย่างมีความสุขโดยไม่สนใจเสียงตะโกนของซูกัสที่ร้องว่าผิดโพแล้วๆๆๆ

“จะขบวนขันหมากหรือขบวนเจ้าสาว แค่เราได้อยู่ด้วยกัน พี่ก็มีความสุขแล้วครับ”

กองเชียร์เห็นทั้งคู่ตกลงกันได้ก็ส่งเสียงเฮดังลั่น เสียงกองยาวฉิ่งฉาบกรับโหม่งประโคมกันอื้ออึงไปหมด

หลี่คุนกับจางอี้หลงหันหลังทำพิธีเคารพฟ้าดินคู่กัน คนที่รู้วัฒนธรรมจีนอยู่บ้างก็จะเห็นว่านกฟีนิกซ์ที่ปักอยู่ด้านหลังเสื้อแจ็คเก็ตของหลี่คุนที่แท้คือนกเฟิงหวงของจีน เมื่อยืนเคียงข้างกับชุดลายมังกรของจางอี้หลง ก็กลายเป็นหงส์คู่มังกรตามประเพณีนั่นเอง ภาพน่ารักที่เข้าคู่กันนี้ทำให้หลายคนที่เห็นอมยิ้มไปตามๆ กัน ยิ่งคนออกแบบชุดทั้งคู่อย่างแชมเปญก็ยิ่งปลื้มปริ่ม

จากนั้นก็ไม่มีพิธีรีตองอะไรกันมาก แค่เลี้ยงอาหารเที่ยงคนที่มาร่วมงานด้วยเมนูอาหารไทยธรรมดาไม่ได้หรูหราอะไร แต่เน้นที่รสชาติอร่อยด้วยสั่งมาจากเจ้าดังหลายๆ เจ้ามารวมกัน มีทั้งขนมจีบ ขนมจีน ลาบ ข้าวเหนียว ห่อหมก ผัดถั่วงอก ส่วนของหวานก็มี ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ฟักทองแกงบวด กินกันจนพุงกางไปตามๆ กัน

“อาหารอร่อยดีนะ ว่าแต่ใครจัดนี่ ทำไมมันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่”

แม้จะกำลังล้อมวงทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก็มีคนเจ้าปัญหาถามขึ้นมา

“อาหารมงคลทั้งนั้น เน้นความหวานชื่น โชคลาภ เงินทอง ความปรองดอง เออออห่อหมก เจริญงอกงาม”

ซูกัสตอบอย่างภาคภูมิใจในรายการอาหารที่ตัวเองคัดสรรมา

หลังจากทานอาหารกันเสร็จ คนที่สนิทๆ ก็ช่วยกันขนของของหลี่คุนขึ้นไปจัดเข้าที่ให้เรียบร้อยจนเสร็จภายในวันนั้นเลย

ส่วนที่หลี่คุนชอบมากที่สุดในบ้านหลังใหม่คือมุมปรุงยา พอจัดสมุนไพรชนิดต่างๆ เข้าเก็บในตู้ที่สั่งทำเฉพาะจนเป็นระเบียบแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะลองใช้อุปกรณ์ใหม่ในการหลอมโอสถขึ้นมาสักตำหรับหนึ่ง หลี่คุนหลอมยาอายุวัฒนะเตรียมจะส่งให้กับบิดามารดาของคุณานนท์ที่ต่างประเทศ คราวก่อนเขาได้รับคำชมว่าทานแล้วรู้สึกสุขภาพดีกระชุ่มกระชวยขึ้นจริงๆ จึงตั้งใจจะหลอมให้มากหน่อย ด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นสี่ทำให้เขาหลอมยาลูกกลอนอายุวัฒนะออกมาได้รวดเดียวหลายสิบเม็ดกว่ากำลังภายในจะหมด

แม้จะมีเครื่องดูดควันอย่างดี แต่หลี่คุนรู้สึกว่ามีกลิ่นสมุนไพรติดตัวอยู่บ้างจึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาอีกทีก็เห็นจางอี้หลงกำลังทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจก็เดินเข้าไปหา

“เครียดเปล่าพี่ ผมเล่นกู่ฉินเบาๆ ให้ฟังไหมครับ จะได้ผ่อนคลาย”

จางอี้หลงพยักหน้ายิ้มๆ หลี่คุนจึงเดินไปนั่งตรงกู่ฉินที่ตัดวางไว้ในบริเวณเดียวกัน

หลี่คุนเริ่มบรรเลงเพลงที่มีท่วงทำนองเรียบง่ายทว่างดงาม หลังจากดีดไปได้พักใหญ่เขาถึงรู้สึกตัวว่าเขากำลังเล่นเพลงในความทรงจำที่ท่านแม่บรรเลงอยู่บ่อยๆ นัยน์ตาของหลี่คุนพร่าเลือน ในห้วงคำนึงเขาเห็นภาพท่านพ่อที่กำลังนั่งอ่านตำราภายใต้แสงตะเกียง ท่านแม่นั่งดีดฉินอยู่ข้างๆ ตัวเขาในวัยเด็กพิงหลังกับเอวของท่านแม่ ขาสั้นป้อมพาดวางไปบนหัวเข่าของท่านพ่ออย่างไม่รู้ประสา บรรยากาศที่แสนอ้อยอิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความสุข และแล้วสายตาของเขาก็กลับมายังภาพปัจุบัน พี่อี้หลงกำลังนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เสียงฉินจากการบรรเลงของเขาดังแผ่วเบา กลิ่นหอมสมุนไพรเจือจางในอากาศ แม้จะเป็นยุคสมัยที่ห่างกันหลายร้อยปี แม้จะไม่มีคนในความทรงจำอีกต่อไป แม้สถานที่แห่งนี้จะไม่มีอะไรเหมือนจวนที่เขาเติบโตขึ้นมา แต่หลี่คุนรู้สึกเหมือนเขาได้กลับ ‘บ้าน’ ในที่สุด
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 47] 21/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 23-11-2020 19:07:03
มาแล้วๆๆ ดีใจมาก…ก
ยิ่งหลี่คุณได้กลับ “บ้าน” แล้ว…ว ปลื้มปริ่มมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 47] 21/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-11-2020 22:49:23
ดีใจมาก ได้อ่านต่อ
ได้ส่งหลี่คุนเข้าหอ
หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-11-2020 11:00:40
ที่บ้านใหม่ของจางอี้หลงกับหลี่คุนก็มีห้องของซูกัสเช่นกัน พี่น้องจึงได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แต่เอาเข้าจริงซูกัสก็ไม่ได้อยู่ที่นี่มากเท่าไหร่ ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบเข้ามหาลัยซูกัสต้องออกไปติวกับเพื่อนๆ แล้วค้างคืนอยู่บ่อยๆ ส่วนจะไปนอนที่คอนโดเดิมหรือค้างที่เพนเฮ้าส์ของแฮ็คส์นั้น หลี่คุนก็ไม่ได้เข้มงวดกับน้องชายขนาดนั้น
 
หลังจากคร่ำเคร่งอยู่กับการวางระบบงานใหม่ให้กับมายากรุ๊ปอยู่เป็นเดือนๆ ในที่สุดจางอี้หลงก็ค่อยวางมือได้บ้าง ผู้บริหารชุดใหม่เริ่มแสดงฝีมือให้เห็นบ้างแล้ว ทีมงานละครที่ไม่ถูกเรื่องเส้นสายมาครอบงำก็ทะยอยกันผลิตงานดีๆ ออกมาเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาดีนี้ทำให้จางอี้หลงไม่มีข้ออ้างที่จะยืดเวลาอยู่เมืองไทยออกไปเรื่อยๆ เขายังมีธุรกิจทางเซินเจิ้นที่ต้องไปจัดการด้วยตัวเองตามรายการยาวเหยียดเป็นหางว่าว การกลับไปจีนเที่ยวนี้คงต้องใช้เวลาอยู่ที่โน่นอีกค่อนข้างนาน
 
หลังจากอยู่ร่วมกันมาเป็นเดือนๆ บ้านที่ขาดจางอี้หลงไปก็ดูจะไม่เหมือนเดิม ซูกัสกลัวพี่ชายจะเหงาจึงเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนมากขึ้น อันที่จริงในแต่ละวันหลี่คุนก็มีเรื่องให้ทำมากมาย แต่ในช่วงหลายวันนี้ เขามุ่งมั่นอยู่กับการบรรเลงกู่ฉินแทบจะตลอดเวลาจนกระทั่งซูกัสอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้
 
“ทำไมพี่คุนนั่งเล่นพิณจีนทั้งวันเลย ไม่เห็นเคี่ยวยาสมุนไพรแล้ว”
 
“พอดีพี่ว่าจะไปร่วมงานแข่งกู่ฉินที่เมืองจีนอ่ะ มีคนชวน เลยต้องซ้อมมากหน่อย”
 
“โห พี่จะไปเที่ยวจีนอีกแล้ว ไม่เห็นชวนผมไปด้วยเลย”
 
“ก็เรายังต้องเตรียมสอบอีกนี่ แล้วก็เห็นตัวติดกับน้องเขยจะตาย ถึงพี่ชวนจะไปได้เหรอ”
 
“น้องเขยอะไร พี่บ้า ไม่คุยด้วยล่ะ พี่เขามารับแล้ว ผมไปก่อนนะ กลับพรุ่งนี้เย็นๆ เลยครับ”
 
หลี่คุนมองซูเอ๋อร์ที่ทำท่ากระเง้ากระงอดแล้วก็ออกจากบ้านไปด้วยความเอ็นดู แล้วจะไม่ให้มองว่าแฮ็คส์เป็นน้องเขยได้อย่างไรในเมื่อพูดยังไม่ขาดคำก็มารับกันถึงที่อีกแล้ว เขากลับไปซ้อมกู่ฉินอย่างตั้งใจ ยังมีรูปแบบการเล่นซับซ้อนหลายกระบวนท่าที่ร่างกายนี้ยังไม่คุ้นชิน ประเทศจีนกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนานก็คงไม่ไร้ผู้สืบทอดศาสตร์ดนตรีโบราณแขนงนี้ เขามิอาจปล่อยให้ตัวเองขายหน้าได้
 
หลี่คุนบินไปเมืองจีนเพียงลำพังคนเดียว จากการไปปักกิ่งและเซินเจิ้นครั้งที่แล้ว ทำให้เขาคุ้นชินกับการเดินทางทางอากาศจนทำตัวกลมกลืนไปกับคนยุคปัจจุบันได้ค่อนข้างแนบเนียนแม้ยังอดจะใช้กำลังภายในช่วยอยู่บ้างไม่ได้ตอนเครื่องขึ้นและเครื่องลง หลี่คุนทราบว่าจางอี้หลงกำลังยุ่งอยู่กับธุระอย่างอื่นจึงไม่ได้รบกวนให้อีกฝ่ายต้องเดินทางข้ามเมืองมารับที่สนามบิน เดี๋ยวนี้เขามีเส้นสายความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสสองสามท่านในประเทศจีนที่สร้างไว้ตั้งแต่คราวก่อน เพียงเขาแจ้งไปก่อนออกเดินทางนายพลหยางก็ส่งนายทหารมารอรับถึงด้านในสนามบินปักกิ่ง นายทหารผู้นี้คอยดูแลหลี่คุณตลอดตั้งแต่การจัดให้เข้าพักในโรงแรมหรูหรา พาไปทานอาหารค่ำมื้อใหญ่กับนายพลหยาง รวมถึงมารับไปส่งยังสถานที่แข่งขันกู่ฉินเพื่อลงทะเบียนรายงานตัวในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนการต้อนรับขับสู้ของชาวจีนก็ล้วนแต่ต้องกระทำอย่างเต็มที่เช่นนี้จนหลี่คุนอดนึกเกรงใจไม่ได้
 
เมื่อไปถึงสถานที่แข่งขันหลี่คุนก็ขอร้องไม่ให้ทหารนายนั้นคอยติดตามอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง เขาอยากซึมซับบรรยากาศการชุมนุมกันของเหล่าบัณฑิตกู่ฉินในอีกหลายร้อยปีให้หลังโดยไม่เกิดความแบ่งแยก หลี่คุนรู้สึกปลื้มใจที่เห็นคนยุคปัจจุบันไม่น้อยยังให้ความสนใจในดนตรีโบราณนี้ เขาแอบฟังบทสนทนารอบตัวถึงได้เพิ่งทราบรายละเอียดว่าการแข่งครั้งนี้เป็นการแข่งใหญ่ทั่วประเทศที่ไม่ได้จัดขึ้นมานานแล้ว เกิดจากความร่วมมือกันของสมาคมและสมาพันธ์กู่ฉินที่มีชื่อเสียงหลายแห่งเพื่อเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์นำไปเพาะบ่มสืบทอดสมบัติชาติแขนงนี้ รวมถึงจะได้รับการชี้แนะเป็นพิเศษจากเหล่าปรมาจารย์ต่อไป มิน่าเล่าถึงได้มีคนหนุ่มสาวจากทั่วประเทศมากันหลายร้อยคน
 
หลี่คุนกำลังคิดถึงอนาคตของกู่ฉินในโลกยุคนี้อย่างเพลินๆ ก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง
 
“นายๆ นายนั่นแหล่ะ แถวด้านหน้าเลื่อนไปแล้ว เดี๋ยวก็มีคนมาแทรกคิวหรอก”
 
“ขอโทษครับ ข้า เอ่อ ผมไม่ทันมอง”
 
หลี่คุนเดินตามคนอื่นจนเข้ามาอยู่ในแถวลงทะเบียนโดยไม่รู้ตัว เขาตอบกลับเป็นภาษาจีนอย่างขอโทษขอโพยพร้อมหันไปมองตามเสียงเรียก คนข้างหลังเป็นเด็กหนุ่มคิ้วเข้มหน้าตาเข้าที ท่าทางหยิ่งยโสยิ่งทำให้ดูคล้ายคุณชายตระกูลใหญ่ในยุคก่อน คนผู้นี้ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงแฝงการดูหมิ่นอยู่บ้าง
 
“หึ สำเนียงจีนกลางเหน่อๆ มาจากมณฑลไหนกันละนี่”
 
“ผมไม่ได้อยู่ที่จีนครับ มาจากไท่กั๋ว”
 
“คนจีนโพ้นทะเล? ที่โน่นเขารู้จักกู่ฉินด้วยเหรอ นึกยังไงถึงมาแข่งงานใหญ่ขนาดนี้ แล้วจะไปสู้คนจีนแท้ๆ ได้ยังไง นายไม่รู้เหรอ คนที่มาแข่งเที่ยวนี้ถูกคัดมาตั้งแต่ระดับมณฑลกันทั้งนั้น อย่างฉันนี่เป็นหนึ่งในตัวแทนของเซี่ยงไฮ้เลยนะ”
 
“แม้ความสามารถน้อยนิด แต่ได้มาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นเป็นการเปิดหูเปิดตาก็นับว่าไม่เลวแล้ว”

หลี่คุนตอบลอยๆ ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร
 
“ถึงเวลาเห็นฝีมือฉันก็อย่าฝ่อจนเลิกเล่นไปตลอดชีวิตแล้วกัน”
 
คนผู้นี้กล้าคุยโวขนาดนี้คงมีดีอยู่บ้าง หลี่คุนปราดตามองมือทั้งสองข้างของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วอดทักขึ้นมาไม่ได้
 
“นิ้วนางข้างขวาคล้ายมีความยืดหยุ่นไม่พอ ก่อนการบรรเลงประคบร้อนเฉพาะนิ้วนั้นแล้วนวดข้อนิ้วเบาๆ น่าจะช่วยได้”
 
“พูดบ้าอะไรของนาย ฉันจับกู่ฉินมาตั้งแต่สี่ขวบ ฝึกซ้อมขัดเกลาทุกวันสิบกว่าปี จะไปมีจุดอ่อนได้ไง”
 
“งั้นก็ช่างเถอะ”
 
หลี่คุนไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก เผลอหลุดปากแนะนำไปแต่ถ้าไม่เชื่อก็ปล่อยไป
 
ชายหนุ่มคิ้วเข้มตัวแทนของเซี่ยงไฮ้มองหลี่คุนที่หันกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ คนอย่างเขาใช่ว่าจะทักคนอื่นก่อนง่ายๆ แค่บังเอิญรู้สึกว่าชายหนุ่มด้านหน้ารูปร่างหน้าตาโดดเด่นท่าทีสง่าผ่าเผย เพียงแค่ปรากฎตัวขึ้นมาก็เป็นเป้าสายตาของคนนับไม่ถ้วน แม้จะไม่เป็นที่รู้จักในวงการกู่ฉินมาก่อน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้นผู้หนึ่ง สุดท้ายพื้นเพกลับธรรมดาไม่น่าสนใจ เมื่อมีโอกาสได้รู้จักเขาผู้เป็นตัวเก็งในการแข่งแทนที่จะรีบมาซูฮกสร้างโอกาสให้ตัวเองกลับทำตัวเพิกเฉย ไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ถ้าจับสลากได้อยู่สายเดียวกันเขาจะจัดการอย่างไม่ออมมือเสียให้เข็ด
 
เมื่อมาถึงคิวคนทั้งคู่ถูกแยกไปโต๊ะลงทะเบียนคนละโต๊ะ ชายหนุ่มจากเซี่ยงไฮ้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนจากการที่เขาเป็นนักดนตรีกู่ฉินรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว หลังจากรับฟังคำชื่นชมอยู่พักใหญ่เขาก็จับสลากได้สายการแข่งขันที่สองจากทั้งหมดแปดสาย เขาหันไปมองทางโต๊ะลงทะเบียนอีกโต๊ะเพื่อดูว่าผู้เข้าแข่งขันจากประเทศไทยคนนั้นจับได้สายไหนแต่ก็ไม่พบตัวคนเสียแล้ว ถ้าอยู่คนละสายกันเขาก็หวังว่าจะไม่ตกรอบเสียก่อนที่จะมาเจอเขา ไม่แน่ว่าด้วยหน้าตาหล่อเหลาเช่นนั้นกรรมการอาจใจอ่อนให้ผ่านรอบแรกๆ มาก็เป็นได้
 
.........
 
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ไฮโซแบงค์ก็เดินทางมาถึงประเทศจีนเช่นเดียวกัน เขาเพิ่งทราบจากการติดต่อทางข้อความว่าตอนนี้หลี่คุนก็อยู่ที่จีนเพื่อเข้าร่วมงานแข่งกู่ฉินระดับชาติ ความที่เขาเป็นนักดนตรีเช่นกันจึงอยากไปร่วมชมการแข่งขันที่ว่าด้วยแต่เสียดายที่จัดขึ้นคนละเมือง การเดินทางมาจีนเที่ยวนี้เขาต้องเข้าร่วมงานสัมนาด้านอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับชาติของจีนที่เซี่ยงไฮ้ นอกจากนั้นยังมีนัดประชุมกับนักธุรกิจชาวจีนอีกหลายคนเพื่อหาลู่ทางในการนำเครื่องดื่มของธุรกิจตระกูลเข้ามาทำตลาดในจีนหรือไม่ก็หาเครื่องดื่มชนิดใหม่ๆ จากจีนเข้าไปทำตลาดในไทย นึกๆ ไปก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน ทำไมไฮโซเจ้าของบริษัทในละครวันๆ ไม่ต้องทำอะไร แค่เซ็นเอกสารสองสามแก๊กก็มีเวลาไปยุ่งเรื่องผัวๆ เมียๆ ชิงรักหักสวาทได้ตลอด หรือจะเป็นเจ้าของแต่ในนามเหมือนพี่ชายเขา
 
ไฮโซแบ็งค์ตรวจสอบโปรแกรมการแข่งขันแล้วยังใจชื้นว่าการแข่งขันนี้จัดขึ้นยาวต่อเนื่องหลายวันเพื่อให้สามารถเฟ้นหาผู้มีความสามารถจากผู้เข้าแข่งจำนวนมากออกมาอย่างยุติธรรรม ถึงจะไม่รู้เรื่องกู่ฉินมากนัก แต่แบ็งค์ก็มั่นใจว่าฝีมือของหลี่คุนที่เขาเห็นต้องผ่านเข้าไปรอบลึกๆ ได้แน่นอน หากเขาเร่งการประชุมพบปะทางธุรกิจให้เร็วขึ้น อาจมีเวลาบินไปดูการแข่งขันของหลี่คุนในรอบท้ายๆ ที่ปักกิ่งได้ทัน
 
ในช่วงหลังคนทั้งคู่ได้ติดต่อกันมากขึ้น หลี่คุนที่เป็นเจ้าของและผู้บริหารตัวจริงของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาได้แสดงความสนใจในเรื่องการบริหารซัพพลายเชนธุรกิจเครื่องดื่มของแบงค์อย่างเห็นได้ชัด หลี่คุนถึงกับขอไปศึกษาดูงานที่บริษัทและโรงงานของอีกฝ่ายอยู่หลายครั้ง แบงค์ก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรตอนนี้หลี่คุนก็เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา ธุรกิจเครื่องสำอาง ธุรกิจค่ายมวย ธุรกิจรักษาความปลอดภัย ยังไม่นับการลงทุนในธุรกิจบันเทิงอีก เด็กหนุ่มไม่ได้เรียนมาทางสายธุรกิจย่อมสนใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเป็นธรรมดา
 
ในช่วงค่ำของวันสัมนาใหญ่ ทางสมาพันธ์อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแห่งประเทศจีนได้จัดเป็นงานค็อกเทลการกุศลที่จำหน่ายบัตรด้วยราคาสูงลิ่ว กิจกรรมการกุศลก็เรื่องหนึ่ง แต่วัตถุประสงค์จริงๆ ของงานนี้คือเพื่อสร้างสัมพันธ์ธุรกิจของผู้เล่นในวงการเครื่องดื่มจีนเป็นหลัก แบงค์แต่งกายด้วยชุดสูทที่ดีที่สุดของตัวเองไปร่วมงาน แม้จะเป็นเบอร์ต้นๆ ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศ แต่ขนาดตลาดของไทยที่เล็กมากเมื่อเทียบกับจีน ทำให้แบงค์เกือบจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะร่วมงานนี้
 
แบงค์วางตัวในงานด้วยท่าทีอ่อนน้อมแบบคนไทยแต่ก็มิได้กดตัวเองลงต่ำ ถึงเป็นผู้ประกอบการรายเล็กเมื่อเทียบกันคนอื่นแต่เขาก็มีศักดิ์ศรีของประเทศที่ต้องรักษา โชคดีที่เขายังมีชื่อเสียงในฐานะนักเปียโนระดับโลกทำให้ไฮโซในแวดวงธุรกิจนี้ที่วางตัวเองเป็นผู้มีรสนิยมยังคงไว้หน้าเข้ามาพบปะพูดคุยอยู่บ้าง แบงค์ใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาพยายามต่อยอดจากคนรู้จักเข้าไปแนะนำตัวเองกับคนใหม่ๆ ในวงสนทนา แผนการนี้นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย แต่ก็มีคนบางจำพวกที่เขาเอื้อมไม่ถึงจริงๆ
 
ธุรกิจเครื่องดื่มถึงเป็นธุรกิจใหญ่ ยิ่งในประเทศจีนซึ่งมีคนเป็นพันล้านคน มูลค่าของมันย่อมมหาศาลจนนึกไม่ถึง แต่ส่วนแบ่งเค้กส่วนใหญ่กลับถูกครอบครองโดยคนไม่กี่ตระกูล และไม่ใช่แค่ธุรกิจเครื่องดื่มเท่านั้น ตระกูลต่างๆ ที่ว่ายังมีขอบข่ายธุรกิจกว้างไกลครอบคลุมไปถึงธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง โรงแรม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก ค้าส่ง มากมายจนบรรยายไม่หมด เรียกว่าเป็นตระกูลชั้นผู้นำที่ฝังรากลึกอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน ไม่ใช่อะไรที่เศรษฐีใหม่หรือทายาทรุ่นสองรุ่นสามจะมาเทียบเคียงได้ ตระกูลเช่นนี้แค่ส่งลูกหลานสักคนมาร่วมงานดินเนอร์วันนี้ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว
 
แต่คนที่มาปรากฏตัวในวันนี้กลับเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลซ่งหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลทางธุรกิจมากที่สุด ท่านสามตระกูลซ่งผู้นี้เรียกได้ว่ากึ่งๆ วางมือไปแล้วไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มาร่วมงานนี้ได้ แบงค์เห็นระดับของคนใหญ่คนโตที่เข้าไปรุมล้อมท่านสามแล้วก็ได้แต่ถอดใจหลบออกมาสังเกตการณ์อยู่รอบนอก เขาจิบไวน์ไปเรื่อยๆ พลางนึกทบทวนโอกาสทางธุรกิจจากการพูดคุยที่ผ่านมา เขาตั้งใจว่าช่วงท้ายของงาน พอคนเริ่มหายตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของท่านสามกันแล้ว เขาอาจจะเข้าไปคุยกับบางคนในกลุ่มนั้นเพื่อสร้างความชัดเจนในความร่วมมือขั้นต่อไปอีกที
 
แบงค์ดื่มไวน์จนหมดแก้วหันไปอีกทีก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวท่านสามตระกูลซ่ง ท่านสามมีท่าทีให้ความสนใจพูดคุยกับคนหนุ่มสองคนต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ดูเบื่อหน่ายกับการพยายามเข้าหาของคนมากมาย ท่านสามถึงกับรับเครื่องดื่มที่ชายหนุ่มสองคนนั้นยื่นให้มาดื่มจนหมดแก้ว เรื่องนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างถึงกับตะลึง แต่แบงค์กลับตกใจยิ่งกว่าเพราะหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอในงานนี้
 
“จางอี้หลง?”
 
แบงค์พึมพำกับตัวเอง เขารู้คร่าวๆ ว่าจางอี้หลงมีธุรกิจหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นธุรกิจด้านไอที หรืออย่างน้อยก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับธุรกิจเครื่องดื่ม แบงค์บอกตัวเองว่าอาจจะจำคนผิด แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้นก็ลงความเห็นรูปร่างหน้าตาที่หล่อเข้มและบุคลิคที่เหมือนมีอำนาจแผ่ออกมาเช่นนี้ไม่น่าเป็นคนอื่นได้ เขาลอบมองผ่านกลุ่มคนจากจุดที่ไม่เป็นที่สังเกตนักไม่งั้นอาจจะเป็นการล่วงเกินท่านสามได้
 
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกหลายประโยค จางอี้หลงก็ยื่นนามบัตรให้กับท่านสาม ไม่รู้ว่ามีคนมากมายขนาดไหนวาดหวังจะทำเช่นนี้ แต่ดูท่าว่าโอกาสนี้จะเกิดขึ้นกับคนเพียงผู้เดียว ในที่สุดจางอี้หลงและคนที่อยู่ข้างกายก็ทำความเคารพท่านสามและแยกตัวออกมา แบงค์สังเกตเห็นท่าทีที่สนิทสนมจนเกินปกติของจางอี้หลงกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นแล้วก็สะกิดใจจนต้องหลบไปยืนหลังซุ้มน้ำแข็งแกะสลักเพื่อลอบมองพฤติกรรมของคนทั้งคู่ ยิ่งดูเขาก็ยิ่งโมโหเมื่อเห็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ที่จางอี้หลงแสดงออกถึงความดูแลเทคแคร์เด็กหนุ่มหน้าใสคนนั้น การโอบไหล่โอบเอวแตะมือแตะไม้แม้จะไม่นานแต่ก็ไม่ใช่การกระทำของคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ต้องพูดถึงการจิบไวน์จากแก้วเดียวกัน หรือการป้อนของทานเล่นชิ้นเล็กๆ ให้กัน ที่เขาเห็นอยู่ตำตาในตอนนี้
 
แบงค์โมโหจนเลือดขึ้นหน้า เขาเองก็ได้ไปร่วมงานขึ้นบ้านใหม่ในวันนั้นจนต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลายเป็นสักขีพยานในการอยู่ร่วมกันของคนทั้งคู่ ผ่านมาได้ไม่เท่าไหร่ จางอี้หลงกล้าดียังไงถึงได้หักหลังน้องคุนแบบนี้ ไม่รู้หรือว่าตอนนี้น้องคุนก็อยู่ในประเทศจีนเหมือนกันถึงจะคนละเมืองก็เถอะ ยิ่งนึกถึงว่าขณะที่น้องคุนกำลังตั้งใจอยู่กับการแข่งขันกู่ฉิน แฟนหนุ่มก็มาหลงระเริงพลอดรักกับเด็กหน้าใสคนใหม่ต่อหน้าธารกำนัล เด็กคนนั้นถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ อาจจะไม่หล่อเหลาราวหยกสลักไร้ที่ติแบบหลี่คุน แต่ใบหน้าโดดเด่นที่คล้ายแต่งหน้าสไตล์ผู้ชายมาบางๆ จนโฉบเฉี่ยวนั้น เรียกว่าดูดีกว่าดาราทั่วไปเสียอีก ท่าทางที่ดูอ้อนนิดๆ นั้นดูตรงข้ามกับท่าทีองอาจสง่าผ่าเผยของหลี่คุน แต่เมื่ออยู่ข้างกันกับจางอี้หลงก็ดูมีเคมีตรงกันไม่น้อย
 
แบงค์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ในฐานะคนสนิทและพระรองที่แสนดีของน้องคุนเขามีหน้าที่ต้องกระชากหน้ากากของคนลวงโลกอย่างจางอี้หลงออกมา โชคดีที่เขาเพิ่งเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นใหม่ที่ทั้งซูมไกลและถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี หลักจากหลบมุมแอบถ่ายรัวๆ จากระยะไกลไม่นาน เขาก็ถ่ายภาพความใกล้ชิดสนิทสนมที่ไม่สมควรของคนทั้งคู่ไว้ได้เกือบร้อยภาพ แต่ละภาพชัดแจ๋วสมราคาครึ่งแสนของโทรศัพท์ เขายังไม่คิดจะส่งภาพพวกนี้ไปให้น้องคุนในตอนนี้เพราะอาจกระทบต่อการแข่งขัน แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะรู้ไม่ได้
 
แบงค์สร้างกลุ่มแชทเฉพาะกิจขึ้นมาแล้วเพิ่มรายชื่อไปทีละคนขณะเหยียดยิ้มจางๆ
 
SpideyTin
 
ChewyYummyFruity
 
hacks.the.immortal!
 
PAcupuncturistMD
 
เมื่อใส่ชื่อจนครบเขาก็ส่งรูปที่เพิ่งถ่ายมาสดๆ ร้อนๆ ชุดใหญ่เข้าไปอย่างไม่ลังเล
 
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-11-2020 21:44:51
จางอี้หลง ทำอะไร
เดี๋ยวน้องคุนรู้ล่ะก็ ......
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 27-11-2020 18:24:47
ผู้ช่วยให้ยุ่งนะนี่………
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 11-12-2020 21:44:40
ได้มาอ่านแล้วชอบมากๆเลยค่ะ​ ได้ความคิดดีๆจากเรื่องเยอะมาก​ ชอบการดำเนินเรื่อง​ แล้วก็ตัวละครทุกตัวที่น่ารักค่ะ​ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-12-2020 15:48:25
รวดเดียวจบ ทำแบบนี้ได้ไงห๊าาาาา
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 17-12-2020 14:17:01
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-12-2020 08:20:02
ค้าง  ยังไงๆพี่อี้หลง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-05-2021 20:31:14
คิดถึงจัง
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 14-05-2021 19:01:05
ยังคอยอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-05-2021 19:18:52
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 31-05-2021 23:38:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 18-08-2021 07:03:32
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 20-08-2021 13:26:06
กำลังเพลินเลย
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-08-2021 11:54:46
หยุดเขียนแล้วเหรอ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 05-09-2021 08:29:10
รออยู่นะ ชอบนายเอกฉลาด