Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020  (อ่าน 21187 ครั้ง)

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
« เมื่อ19-10-2019 12:53:12 »

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Blue Dragon in the Red Ocean


ก่อนจบชีวิตลงท่ามกลางความหนาวเหน็บในชาติก่อน หลี่คุนเพียงปรารถนาว่าคุณความดีที่เขาเฝ้าปกป้องดูแลบ้านเมืองยุคราชวงศ์หมิงมาทั้งชีวิตจะช่วยนำพาเขาไปเกิดใหม่ในดินแดนแห่งเทพเซียน หรือหากว่านั่นเป็นความหวังที่เกินเอื้อม อย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ได้ก็คงดี

มิคาดว่าสวรรค์จะตอบรับคำภาวนาครั้งสุดท้ายนี้ด้วยการส่งเขาข้ามเวลาไปยังมหานครแห่งเทพยดาที่อบอุ่นเสียยิ่งกว่าฤดูร้อน ไม่นานหลี่คุนก็ได้เรียนรู้ว่า การใช้ชีวิตใหม่ในกรุงเทพยุค Digital Disruption แม้จะแสนสะดวกสบาย แต่ก็ทำการค้าได้ยากยิ่ง!!!



บทนำ

บนหน้าผาสูงชันปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนมีชายชุดขาวยืนอยู่ตรงริมหุบเหวท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก เบื้องหน้ามีกองทหารร่างใหญ่ผิวขาวเผือดนัยน์ตาสีขุ่นในชุดสีแดงบ่งบอกว่ามาจากโพ้นทะเลตั้งแถวเป็นระเบียบโอบล้อมชายคนนั้นไว้พร้อมประทับปืนไฟโลหะสีดำทะมึนไว้บนบ่า น่าประหลาดที่ผู้นำของกองทหารต่างชาตินี้กลับเป็นชายชาวฮั่นผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันที่กำลังยกมือให้สัญญาณพร้อมยิงก่อนจะตวาดด้วยเสียงข่มขู่กึกก้อง

“หลี่คุน ถึงเจ้าจะมีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน แต่โดนพิษสะบั้นชีพจรเข้าไปยามนี้กำลังภายในคงเหลือไม่ถึงสองส่วน ต่อหน้าทหารปืนไฟนับร้อยของข้า เจ้าไม่มีทางหนีไปไหนรอด บอกวิธีเปิดผนึกหีบกลแห่งฉางอันมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะเมตตาให้เจ้าได้ตายอย่างสงบ”

บุรุษชุดขาวมีสีหน้าเฉยชาแฝงท่าทีเกียจคร้านขณะตอบกลับ

“ขุนนางชั่วอย่างเจ้า คบคิดกับคนเถื่อนโพ้นทะเล เอากำลังทหารของพวกมันมาในต้าหมิงของเรา ชักศึกเข้าบ้านยังไม่รู้ตัว ถึงตายข้าก็ไม่ยินยอมให้เจ้าครอบครองความลับพันปีของบรรพชนแห่งราชวงศ์ถังไปได้หรอก อย่าว่าแต่ผนึกหีบกลแห่งฉางอานอยู่ที่ใดเจ้ายังมิอาจรู้ได้”

“งั้นหรือ ลองเบิกตาเจ้าดูสิว่าของในมือข้าคือสิ่งใด”

ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้นหยิบหีบไม้สีดำขนาดย่อมออกมาจากอกเสื้อ ด้านบนมีสลักโลหะที่ขัดกันไปมาดูซับซ้อนยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าสถานการณ์จะดูอันตรายเพียงใดบุรุษหนุ่มก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งไว้ได้ แต่ในยามนี้เขากลับมีท่าทางร้อนรนส่งประกายฆ่าฟันรุนแรงออกมา

“เป็นไปไม่ได้ นางไม่มีทางบอกใคร หรือว่า หรือว่าเจ้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับนาง”

อีกฝ่ายตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

“ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร ในเมื่อนางคือบุตรสาวนอกสมรสของข้าที่ส่งไปอยู่ข้างกายเจ้าตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนเพื่อการนี้ หากมิใช่ผู้ที่เจ้าไว้ใจมีหรือจะหาโอกาสวางลอบวางยาพิษสะบั้นชีพจรได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เวลานี้ข้าได้รับนางกับมารดาหญิงชาวบ้านของนางเข้าตระกูลตามสัญญาแล้ว อีกไม่นานนางก็จะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแต่งเข้าจวนแม่ทัพประจิมเพื่อเสริมอำนาจให้กับข้าอีกทอดหนึ่ง”

บุรุษหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอย่างปวดร้าว

“ใยนางถึงทรยศข้าได้ลงคอ หรือว่าสิบปีที่ผ่านมาคือการหลอกลวงทั้งสิ้น ดี งั้นข้าก็ไม่มีห่วงอันใดแล้ว ข้ายินยอมตายและให้ทุกอย่างสูญสิ้นดีกว่าตกอยู่ในเงื้อมือเจ้า”

“น่าขำ ผนึกหีบกลแห่งฉางอันอยู่ในมือข้าเยี่ยงนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในแคว้นต้าหมิงอันไพศาลจะหาคนเปิดมันไม่ได้ เจ้าจงตายอยู่เสียที่นี่ เมื่อข้าได้ตราประจำตระกูลในหีบมา อำนาจสั่งการองครักษ์เงาสุสานบรรพกาลและความลับพันปีของตระกูลหลี่ ก็จะมีข้าเป็นผู้สืบทอดเอง”

บุรุษชุดขาวฟังแล้วก็ยิ้มหยันในใจ คนผู้นี้คงไม่คิดฝันว่าความลับในการเปิดหีบกลคือต้องใช้เลือดผู้สืบทอดในการคลายผนึกออกก่อน หากใช้วิธีการอื่นไม่ว่าจะระมัดระวังอย่างไรน้ำกรดเข้มข้นด้านในจะทำลายตราประจำตระกูลทันที นั่นเท่ากับเคล็ดวิชากำลังภายใน คัมภีร์วรยุทธ์ สูตรปรุงโอสถ ตำราแพทย์ วิถีค่ายกล และความลับต่างๆ แต่โบราณ ที่ตระกูลหลี่ใช้กอบกู้บ้านเมืองและยุทธภพในสถานการณ์คับขันเป็นตายอย่างลับๆ มาตลอดพันปีจะต้องมาสูญหายลงในรุ่นของหลี่คุน รวมถึงกองกำลังองครักษ์เงาสุสานบรรพกาลที่จะไร้ผู้นำอีกต่อไป

“ตระกูลหลี่ของข้ามีบุญคุณกับเจ้าเทียมฟ้า ตัวสารเลวอย่างเจ้ากลับเนรคุณได้ถึงเพียงนี้ ถึงตายเป็นผีข้าก็จะจองล้างจองผลาญเจ้าตลอดไป”

“หลี่คุน เจ้ารู้จักตำนานของหุบเหวที่ด้านหลังเจ้าหรือไม่ ผากาลวิปโยคแห่งนี้ ว่ากันว่าแม้แต่เซียนถ้าตกลงไป วิญญาณจะถูกดูดกลืนในกระแสกาลเวลา หมดโอกาสแม้แต่จะไปเกิดใหม่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ข้าจะสับร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้นแล้วโยนลงไป ดูสิว่าเจ้าจะกลับมาล้างแค้นข้าได้อย่างไร”

หลี่คุนรู้ดีว่าเขาไม่อาจสู้ปืนไฟนับร้อยกระบอกในการประจัญหน้าตรงๆ แบบนี้ แต่ถึงตายเขาก็ไม่อาจให้ขุนนางชั่วย่ำยีศพตัวเองได้ ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะให้สัญญาณสั่งยิง ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งตัวลงสู่หุบเหวเบื้องล่างทันที แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ความลับวิธีการเปิดผนึกหีบกล แต่เขาไม่อาจเปิดโอกาสให้หลงเหลือโลหิตตัวเองไว้ได้ ลมหนาวที่พัดเข้าหาหน้าผากระทบร่างในชุดขาวที่ร่วงลงไปเย็นเยียบยิ่งนัก ในใจของหลี่คุณปล่อยวางจากทุกสิ่ง แม้เคล็ดวิชาและความรู้ลึกลับต่างๆ ในตำนานจะต้องสาบสูญไปตลอดกาล แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องตกอยู่ในมือคนชั่ว เขารู้สึกเพียงความหนาวเหน็บถึงหัวใจ ไม่รู้ว่าผากาลวิปโยคจะพันธนาการวิญญาณของเขาไว้ในมิติเวลาอย่างในตำนานหรือไม่ หวังว่าคุณธรรมที่เขายึดถือมาทั้งชีวิตจะนำเขาไปสู่ดินแดนแห่งเทพเซียน หรืออย่างน้อยถ้าได้ไปในที่ที่อบอุ่นกว่านี้ได้ก็คงดี นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่สติของหลี่คุนจะดับวูบไป

********
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2020 11:00:00 โดย insomniac »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 1] 19/10/2019
«ตอบ #1 เมื่อ19-10-2019 12:57:46 »

บทที่ 1

หลี่คุนค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นจากความฝันยาวนานที่แสนเลือนลาง ร่างกายที่ปวดร้าวบ่งบอกว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นี่เขายังไม่ตายอีกหรือ หรือที่ใต้หุบเหวกาลเวลาจะมีความเร้นลับอันยิ่งใหญ่อยู่จริง หลี่คุนพยายามโคจรกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลขั้นเจ็ดของตัวเองเพื่อรักษาอาการ แต่มิอาจสัมผัสถึงกระแสพลังในจุดตันเถียนได้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งร่างเหมือนคนไร้วรยุทธ์

หลี่คุนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากแล้วก็ต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นแสงสีขาวที่ไม่คุ้นเคยส่องสว่างอยู่บนฝ้าเพดาน เขากรอกตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องสีขาวที่แปลกตายิ่งนัก มีเด็กหนุ่มในอาภรณ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนตั่งหน้าตาประหลาดที่ตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อรวมกับผมที่ตัดสั้นชี้ตั้งจนน่าขำบ่งบอกว่าเด็กคนนี้คงไม่ใช่คนของดินแดนจงหยวนหรือแม้แต่ชนเผ่าอื่นๆ ที่เขารู้จัก แม้ว่าลักษณะใบหน้าจะไม่ต่างจากชาวฮั่นมากนัก

“我在哪裡?”

หลี่คุนตัดสินใจส่งเสียงถามออกไปถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ในเมื่อรอดพ้นความตายจากการตกลงไปในผาลึกมาได้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลไปมากกว่านี้แล้ว เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวแล้วปรี่เข้ามาตรงฟูกยกสูงที่เขานอนอยู่ สีหน้าท่าทางดูตื่นเต้นยินดียิ่งนัก

“ฟื้นแล้ว พี่คุนฟื้นแล้ว เจ็บมากไหมครับ พี่อย่าเพิ่งขยับนะ อย่ากระชากแขนด้วยเดี๋ยวสายน้ำเกลือจะหลุด ผมไปตามพยาบาลก่อน อ้อ แล้วต้องโทรไปบอกคุณลุงคุณป้าด้วย เห็นร้อนใจอยากจะบินกลับมาเยี่ยมพี่จะแย่แล้ว เมื่อกี๊พี่ว่าอะไรนะผมฟังไม่รู้เรื่องเลย หรือพี่จะยังมึนฤทธิ์ยาอยู่ ผมว่าผมรีบออกไปพี่พยาบาลดีกว่า ขอให้เขาช่วยตามหมอมาดูเลย”

เด็กหนุ่มพูดภาษาสำเนียงแปลกหูออกมาชุดใหญ่ก่อนจะวิ่งหายผ่านประตูออกไป ที่น่าประหลาดคือหลี่คุนรู้จักคำทุกคำที่ได้ยินแม้จะไม่เข้าใจถึงความหมายที่สื่อออกมาทั้งหมด เด็กคนนั้นบอกว่าท่านลุงท่านป้าจะบินมาเยี่ยมเขางั้นหรือ หรือว่าเขาหลงมาอยู่ในดินแดนเทพเซียนที่ผู้คนล้วนบินได้ ในมิตินี้ดูเหมือนจะมีท่านหมอเช่นกัน ไม่คล้ายว่าจะสามารถใช้อิทธิฤทธิ์รักษาตัวเองได้ ระหว่างที่ทบทวนถ้อยคำที่ได้ยิน ความรู้ความทรงจำแปลกๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองจนท้วมท้น ภาพยานพาหนะขนาดมโหฬารที่สามารถพาคนบินไปที่ต่างๆ ในพื้นพิภพที่ห่างไกลได้อย่างสะดวกสบาย ใช่.. ไปได้ทั่วทั้งโลกทรงกลมใบนี้ หลี่คุนตื่นตระหนกยิ่งนัก ทำไมเขาถึงมีความคิดนอกรีตว่าโลกกลมขึ้นมาได้ แล้วคนที่อยู่ด้านล่างจะไม่ตกลงมาตายหรือ อ้อ มีสิ่งที่เรียกว่าแรงโน้มถ่วงยึดติดไว้อยู่ คำตอบนี้เหมือนเขาไปเปิดดูจากหนังสือบันทึกความทรงจำของผู้อื่นมา งั้นที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นสถานที่เยี่ยงใด คำว่าโรงพยาบาลผุดขึ้นมาในหัว นี่เป็นคำเรียกสำนักแพทย์ที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้แทบจะทุกอย่าง ถึงขนาดที่ผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในหรือแม้แต่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะก็ทำได้

หลี่คุนสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเย็นเยียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้นำตระกูลลับที่ค้ำจุนแว่นแคว้นตั้งแต่เล็ก แต่ไหนเลยที่ชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองอย่างเขาจะเคยเจอประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึงเยี่ยงนี้ เขาได้แต่ต้องบังคับตัวเองให้ยอมรับว่าบัดนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ที่แปลกประหลาดจนน่ากลัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้ หลี่คุนตั้งใจจะปกปิดความลับนี้ไว้ให้ถึงที่สุด เมื่อลองไล่นึกถึงเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะมีทั้งความรู้และความทรงจำของคนๆ หนึ่งขึ้นมาด้วยด้วยไม่ทราบที่มา หลี่คุนยกฝ่ามือตัวเองขึ้นมาดูแล้วพบว่าเส้นลายมือต่างๆ ไม่เหมือนเดิม นี่ไม่ใช่ตัวเขา คาดว่าวิญญาณของเขาคงได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ทำให้ได้รับความทรงจำมาด้วย ทางรอดคือต้องทำตัวกลมกลืนไปก่อนจนกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

แม่นางในชุดสีขาวอายุราวยี่สิบกว่าปีเดินเข้ามาในห้อง ความรู้ที่ติดอยู่ในร่างนี้บอกว่านางคือพยาบาลซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งในโลกนี้มีหน้าที่คอยช่วยเหลือท่านหมอดูแลคนเจ็บ เขานอนตัวแข็งทื่อปล่อยให้นางเอาเครื่องมือหน้าตาประหลาดมาทาบตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยไม่กล้าตอบคำถามใดๆ แม้แต่น้อย ในใจได้แต่ร่ำร้องว่าบุรุษสตรีมิควรใกล้ชิดกันเยี่ยงนี้

“ชีพจร ความดัน อุณหภูมิปกตินะคะ แต่คนไข้ยังไม่พูดอะไรเลย เป็นไปได้ว่ายังมึนอยู่ ยังไงดิฉันตามอาจารย์เจ้าของไข้ให้แล้ว สักครู่คงขึ้นมาตรวจให้ละเอียดอีกทีค่ะ”

พยาบาลหันไปพูดกับเด็กหนุ่มผู้เป็นญาติ เมื่อเห็นว่าคนไข้หนุ่มหน้าตาดีไม่มีท่าทีตอบสนองกับคำถามใดๆ  ก่อนจะขอตัวออกไปรอหมอเจ้าของไข้ที่ด้านนอก เด็กหนุ่มหันมาคุยกับหลี่คุนด้วยท่าทางกังวล

“คงไม่เหมือนในละครที่พี่ตื่นมาแล้วจะความจำเสื่อมนะ พี่คุนจำผมได้ไหม ไม่ๆ เอาชื่อพี่ก่อน พี่ชื่อจริงชื่ออะไร”

หลี่คุนพยายามทำตัวให้แนบเนียนที่สุด เขาค้นเข้าไปในความทรงจำของร่างเดิมแล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

“คะ คุณานนท์ ลี้ไพรีพ่าย”

การออกเสียงภาษาของโลกนี้ไม่ยากอย่างที่คิด ถึงจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาแต่ร่างกายนี้ดูคุ้นชินเป็นอันมาก นับว่าเป็นนามที่ยืดยาวน่าขันยิ่งนัก กว่าผู้อื่นจะเรียกชื่อนี้จบ คนก็คงเดินไปไกลแล้ว

“เฮ้อ โล่งอก นึกว่าพี่คุนจะความจำเสื่อมขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว งั้นพี่คงจำซูกัสน้องชายสุดเลิฟคนนี้ได้สิ”

คนพูดทำหน้าเบิกบานยิ้มตาหยีน่าเอ็นดู พอตั้งใจมองดีๆ หลี่คุนก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่ความทรงจำบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของร่างนี้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่น้อย ตาโต คิ้วเข้ม ปากแดง ฟันขาว เสียแต่เม็ดสิวรอยสิวทั้งใหม่ทั้งเก่าที่กระจายไปเกือบทั้งหน้าลดทอนความน่ามองลงไปกว่าครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็เกิดความสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน

พอมั่นใจว่าชายหนุ่มผู้เป็นพี่มิได้ความจำเสื่อม ซูกัสหรือที่หลี่คุนเรียกในใจว่าซูเอ๋อร์ก็หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งเรื่องคนที่ขับรถชนเขาจนซี่โครงหักปรากฎว่าเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ เรื่องเพื่อนสนิทของซูเอ๋อร์ที่เปลี่ยนใจไม่ยอมจะไปเรียนต่อในคณะเดียวกันหลังจบมอปลาย เรื่องห้างเปิดใหม่ที่คนแห่กันไปจนรถติดเป็นกิโล เรื่องการเมืองของประเทศที่ยังวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ถึงเขาจะรำลึกถึงหัวข้อเหล่านี้ได้จากความทรงจำของร่างเดิมบ้าง แต่ก็เป็นแค่ความรู้หาได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งไม่ ความคิดมุมมองของหลี่คุนก็ยังเป็นของโลกก่อนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย เขาจึงได้แต่อือออไปตามสถานการณ์

เมื่อหมอเจ้าของไข้มาตรวจด้วยตัวเองก็ยืนยันว่าไม่พบอะไรที่น่ากังวลอย่างอาการเลือดครั่งในสมอง น่าจะแค่มึนเบลอชั่วคราวเนื่องจากหมดสติไปสองสามวัน หมอแนะนำว่า ในระหว่างที่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อให้กระดูกซี่โครงที่หักประสานตัวขึ้นมาบ้างควรจะให้ผู้ป่วยเริ่มใช้งานสมองโดยการอ่านหนังสือหรือเล่นเกมส์ปริศนาต่างๆ ซูกัสทำตามที่หมอบอกโดยยื่นเกมส์ในมือถือให้ญาติผู้พี่เล่น แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจทั้งยังแสดงอาการเหมือนจะขยาดโทรศัพท์ของเขาเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจึงลองหยิบนิยายกำลังภายในตั้งใหญ่ที่ขนจากบ้านมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างเฝ้าไข้มาให้หลี่คุน

“งั้นลองอ่านเรื่องนี้ไหมพี่ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า แปดเล่มจบ สนุกดีนะ นี่ผมก็อ่านเพลินๆ ไปถึงเล่มสี่แล้วตอนรอพี่ฟื้น”

ภาพตัวละครที่มีทรงผมและเสื้อผ้าที่คุ้นตาบนหน้าปกทำให้หลี่คุนสนใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าโลกเดิมกับโลกนี้จะไม่มีความสัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิงเสียอีก การแต่งกายที่ร่างนี้รับรู้ว่าเป็นชุดจีนโบราณกลับละม้ายคล้ายเสื้อผ้าของชาวฮั่นในโลกของเขามาก เขารีบรับหนังสือเล่มนั้นที่เข้าเล่มอย่างปราณีตกระทัดรัดกว่าของโลกเดิมมาดูอย่างตื่นเต้น ภาษาของโลกนี้ที่ความทรงจำบอกว่าคือภาษาไทยนั้นแปลกยิ่งนัก ตัวอักษรซึ่งเขียนติดกันเป็นพรืดแทบหาช่องว่างไม่ได้นั้นต้องอ่านจากซ้ายไปขวาจนสุดบรรทัดแล้วค่อยไล่จากบนลงล่าง ไม่เหมือนภาษาโลกเดิมที่จะอ่านจากบนลงล่างแล้วค่อยไล่จากขวาไปซ้าย การเปิดหน้าหนังสือก็เปิดจากคนละด้าน แต่หลังจากติดขัดด้วยความไม่คุ้นชินในช่วงต้น เขากลับอ่านภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วในเวลาไม่นาน ความเป็นอัจฉริยะด้านการอ่านจากโลกก่อนผสมผสานกับทักษะของร่างนี้ได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเนื้อเรื่องที่เขาอ่านก็สนุกชวนติดตามอย่างที่สุด หนังสือบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในยุทธภพที่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เขาคุ้นเคยยิ่ง ตัวละครในเรื่องโลดแล่นไปกับความแค้นระหว่างสองผู้กล้า เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้ วิชาฝีมือที่ลึกล้ำอย่างสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร ไม้ตีสุนัข กระบี่หกชีพจร ดาวเคลื่อนดาราคล้อย ดรรชนีสุริยน ไหมพิษน้ำแข็ง พิศดารจนคล้ายจริงคล้ายไม่จริง วิธีการเล่าเรื่องเหมือนกับนักเล่านิทานตามเหลาสุราแต่แยบยลกว่ามาก เขาอ่านเพลินจนจบทั้งแปดเล่มในเวลาเพียงแค่สองชั่วยามเศษ ซูกัสมองคนที่อ่านหนังสือตั้งใหญ่จบลงด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อจนตาค้าง ตอนแรกที่เห็นมือของญาติผู้พี่ผลิกกระดาษผ่านไปหน้าต่อหน้าก็ยังนึกว่าพี่คุนคงยังมึนอยู่แค่เปิดผ่านไม่ได้อ่านเข้าหัว แต่เมื่อเห็นว่าเล่มที่หนึ่งผ่านไปด้วยท่าทางที่ลุ้นไปกับฉากต่างๆ ในนิยาย ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านอย่างตั้งใจอยู่จริงๆ เป็นที่รู้กันในหมู่ญาติว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาเรียนเก่งแต่ก็ไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือได้เร็วขนาดนี้

“มีอีกไหม”

หลี่คุนที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็แทบจะไม่เปิดปากพูดอะไรเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าซูกัสอย่างคาดหวัง เด็กหนุ่มยื่นนิยายที่เป็นเรื่องราวการต่อสู้ฝ่าฟันขององค์ชายรัชทายาทกับหญิงงามคู่ใจก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้และฮองเฮาสองเล่มหนาๆ ให้โดยทันที เนื้อหาที่สะท้อนถึงการชิงไหวชิงพริบของราชวงศ์ได้อย่างคล้ายคลึงกับความจริงทำให้เขาดื่มด่ำไปได้อีกหนึ่งชั่วยาม เขาเงยหน้ามองซูเอ๋อร์หวังจะได้หนังสือเล่มใหม่ที่ชวนติดตามมาอ่านอีก

“ผมเอามาแค่นี้ ปกติเขาอ่านกันเป็นอาทิตย์เลยมั๊งจะจบซักเรื่อง พี่คุนอ่านเข้าไปได้ยังไงหมดแค่ช่วงเช้านี้ ถ้าพี่อยากอ่านอีก เดี๋ยวผมลงไปดูข้างล่างให้ ตึกแถวฝั่งตรงข้ามเหมือนจะมีร้านเช่าหนังสืออยู่”

หลี่คุนใช้เวลาพักฟื้นสองสามวันนับจากนั้นอ่านนิยายจีนไปมากมาย ทั้งนิยายกำลังภายใน นิยายอิงประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งนิยายแนวทะลุมิติกลับไปอดีตที่กำลังเป็นที่นิยมในช่วงหลังเขาก็อ่านไปมิใช่น้อย ยิ่งอ่านก็ยิ่งฉุกคิดว่าวิญญาณตัวเองอาจไม่ได้หลงมาโลกอื่น แต่ข้ามเวลามายังอนาคตของโลกใบเดิมต่างหาก ดินแดนจงหยวนที่เขาเคยอยู่น่าจะกลายมาเป็นแคว้นที่เรียกว่าประเทศจีนในปัจจุบัน เมื่อเขาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของจีนที่ขอให้ซูเอ๋อร์ช่วยหามาให้แล้วพบเรื่องกำแพงเมืองจีนและพระราชวังต้องห้ามแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเขายังอยู่บนโลกใบเดิมแต่คนละเวลา หลี่คุนรู้สึกเศร้าใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่าหลังจากเขาตกหน้าผาไป แคว้นต้าหมิงของเขาจะอยู่ต่อได้แค่ประมาณสองร้อยปี ก่อนที่จะเสียการปกครองให้กับชาวแมนจูผู้ก่อตั้งราชวงค์ชิงซึ่งเป็นราชวงค์สุดท้ายของประเทศจีนซึ่งสิ้นสุดลงในอีกสองร้อยกว่าปีต่อมา ที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้นคือโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจนเขาจำไม่ได้นี้ล้วนเกิดจากวิทยาการความก้าวหน้าของพวกคนเถื่อนโพ้นทะเลที่ยังคงครองความเป็นผู้นำมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว รวมแล้วเขาข้ามเวลามาถึงหกร้อยปีเลยทีเดียว

ในระหว่างนั้นหลี่คุนก็ค่อยๆ พบว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด จริงอยู่ที่เขาสูญเสียกำลังภายในจนอ่อนแอแทบจะไม่มีแรงเชือดไก่ แต่สุขภาพพื้นฐานของร่างนี้ก็ไม่เลวนัก อย่างน้อยเขาก็ยังคงความเป็นบุรุษรูปงามหน้าตาคมคายไว้ได้เหมือนชาติก่อน ที่น่าแปลกใจคือใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกมีความคล้ายคลึงกับตัวจริงของเขาถึงเจ็ดแปดส่วนความแตกต่างใหญ่ๆ มีเพียงดวงตาคมกร้าวเดิมที่กลายมาเป็นนัยน์ตาดอกท้อกับรูปร่างที่บางลงคล้ายพวกบัณฑิต อาการบาดเจ็บหลักๆ ก็มีเพียงกระดูกซี่โครงหักซึ่งต้องปล่อยให้ร่างกายค่อยๆ รักษาตัวเองไปตามธรรมชาติ เขายังสามารถเดินไปมาได้บ้างเพียงแต่ต้องระวังสายน้ำเกลือเท่านั้นเอง

การใช้ชีวิตในยุคนี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะในห้องน้ำ หลี่คุนชื่นชอบโถชักโครกที่แสนสะดวกสบายมาก สายชำระก็ทำความสะอาดได้ล้ำลึก เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ในยุคเขาที่ใช้ผ้าไหมเช็ดยังไม่สำราญเท่า กระจกเงาก็ชัดกว่าที่ใช้แผ่นทองแดงขัดเงาเป็นไหนๆ  โคมไฟส่องสว่างบนเพดานก็สั่งเปิดปิดได้ตามใจแม้ยามค่ำคืนไม่ต้องจุดตะเกียงหรือใช้ไข่มุกราตรี เช่นเดียวกับห้องพักที่ควบคุมความอุ่นความหนาวได้ง่ายๆ ด้วยปุ่มบนแท่งสี่เหลี่ยม

ถึงจะมีความรู้ความทรงจำของร่างนี้ติดมาแต่ก็ไม่ได้ซึมซับมาทั้งหมดในคราเดียว เขาเพียงแต่สามารถเข้าไปดูได้เป็นเรื่องๆ เมื่อมีเหตุให้นึกถึง บางเรื่องที่ร่างเดิมไม่ค่อยสนใจก็จะอยู่ลึกจนอาจค้นไม่เจอ เรื่องที่หาเจอก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนหรือสามารถทำความเข้าใจได้หมด เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่คุนจึงต้องค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้เรื่องต่างๆ ในยุคนี้สะสมไปทีละเรื่อง

ซูกัสไม่ได้รบกวนการอ่านหนังสืออย่างเป็นบ้าเป็นหลังของหลี่คุน ตรงข้ามเด็กหนุ่มออกไปร้านเช่าหนังสือถึงวันละสองสามครั้งเพื่อเอาหนังสือตั้งใหญ่ไปคืนแล้วเช่าชุดใหม่กลับมาให้ ญาติผู้พี่ยังคงพูดน้อยนักแต่เขาก็ไม่กังวลนัก คนที่อ่านหนังสือมากมายได้ด้วยความเร็วขนาดนี้สมองคงไม่มีปัญหาอะไร เขาวิดีโอคอลไปหาพ่อแม่ของคุณานนท์ที่ต่างประเทศให้ทางนั้นเห็นสภาพลูกชายจะได้สบายใจจะได้ไม่ต้องรีบกลับมาเยี่ยมในช่วงที่งานยังติดปัญหาอยู่

***************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2019 14:13:21 โดย insomniac »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 2] 21/10/2019
«ตอบ #2 เมื่อ21-10-2019 11:48:59 »

ถึงแม้หลี่คุนจะห้ามซูเอ๋อร์ไว้ไม่ให้บอกมิตรสหายของร่างเดิมทราบเรื่องอุบัติเหตุนี้ แต่ก็ไม่ได้ไร้คนมาเยี่ยมไข้ซะทีเดียว บ่ายวันที่สี่หลังจากฟื้นก็มีชายวัยกลางคนใส่สูทถือกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังเข้ามาพบกับหลี่คุน

“ผมเป็นตัวแทนจากคนที่เกิดอุบัติเหตุร่วมกับคุณคุณานนท์ครับ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมนำมาให้ในนามคุณชายครับ”

ชายคนนั้นมอบเทียบกระดาษแข็งใบเล็กๆ ที่ระบุชื่อแซ่และอาชีพว่าเป็นทนายความส่งให้กับหลี่คุน ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรญาติผู้น้องของเขาเลยตอบแทน

“เขาน่าจะมาขอโทษด้วยตัวเองนะ พี่ชายผมเจ็บไปทั้งตัวขนาดนี้ เพราะเขาเมาแล้วขับมาชนแท้ๆ”

“คุณมีหลักฐานหรือว่าคุณชายท่านเมาแล้วขับ แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะคุณคุณานนท์ตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด สุดวิสัยที่ทางเราจะหักหลบได้ กรุณาอย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง”

“จะเป็นไปได้ยังไง พี่ผมข้ามถนนบนทางม้าลายดีๆ นะครับ แถมดูเหมือนทางคุณจะฝ่าไฟแดงด้วย ตำรวจเขากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ แถวนั้นเป็นย่านจอแจ น่าจะมีกล้องวงจรปิดของห้างร้านแถวนั้นบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ ไม่ก็พวกกล้องหน้ารถ”

“เรื่องทางตำรวจผมเคลียร์จบแล้ว เจ้าหน้าที่สอบสวนก็ลงความเห็นว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจากความประมาทของฝั่งคุณ ส่วนคลิปจากกล้องหน้าที่คุณพูดถึง ผมว่าคงไม่มีใครได้เห็นมันอีก ที่ผมมาวันนี้ก็อยากทำความเข้าใจไม่ให้พวกคุณกระจายข่าวที่ไม่เป็นความจริงออกไป ไหนๆ ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แถมคุณมีประกันอุบัติเหตุอยู่แล้วไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าคุณเซ็นยอมรับผิดว่าเป็นฝ่ายประมาท ทางเราจะมีเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ ถึงไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะครับ”

“คุณใช้เงินซื้อไว้หมดแล้วใช่ไหม ผมจะร้องเรียนนักข่าวแล้วก็เอาลงโซเชียลด้วย”

“แล้วก็เสียเงินเสียเวลาไปกับการถูกฟ้องนะหรือครับ คดีแบบนี้มันยืดเยื้อไปได้หลายปีเลยนะ ผมไม่พูดกับเด็กเลือดร้อนที่ไม่เข้าใจโลกหรอกนะครับ”

ทนายวัยกลางคนทำท่าไม่สนใจซูกัสอีก เขาหันมาพูดกับหลี่คุนโดยตรง

“คุณคุณานนท์ คุณบรรลุนิติภาวะแล้วสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง อย่าไปฟังคนอื่นเลย คุณคงไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปถึงครอบครัวคุณหรอกนะครับ เงินช่วยเหลือที่ทางเราจะให้คือห้าหมื่นบาทก็ไม่น้อยนะครับ”

หลี่คุนคำนวนตัวเลขในใจเทียบกับราคาทองคำที่เคยถามซูเอ๋อร์ ห้าหมื่นบาทก็ประมาณแค่หนึ่งตำลึงทอง ช่างน้อยนิดยิ่งนักเมื่อเทียบฐานะของเขาในชาติก่อน แต่เมื่อยังประเมินสถานการณ์ได้ไม่ถี่ถ้วนก็ไม่ควรรีบตัดสินใจ

“คำตอบในเรื่องนี้มิอาจเร่งรัดได้ ท่านจงกลับมาใหม่ในอีกสองสามวัน”

อีกฝ่ายมีสีหน้าพิกลเมื่อได้ยินสำนวนประหลาดออกจากคู่กรณีของเจ้านาย

“ดูท่าคุณคุณานนท์จะต้องพักผ่อนอีกหน่อย ไว้ผมจะกลับมาเอาคำตอบก่อนคุณจะออกจากโรงพยาบาลนะครับ”

ซูกัสปราดเข้ามาข้างเตียงของหลี่คุนทันทีที่ทนายความออกจากห้องไป

“เลิกอ่านนิยายพวกนี้เถอะ พี่ชอบพูดเป็นสำนวนหนังจีนอยู่เรื่อยเลย ตาลุงทนายนั่นจะยิ่งไม่เชื่อถือ เราต้องวางมาดให้น่าเกรงขามสิ  อย่าให้เห็นว่าเราเป็นเด็กแล้วจะมารังแกกันได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนมีเงินขนาดนั้น จะซื้อผิดเป็นถูกมันง่ายนิดเดียว นี่คงเอาเงินยัดตำรวจไปเต็มที่แล้ว”

ถึงแม้หลี่คุนจะพูดภาษาไทยได้จากความทรงจำของคุณานนท์ แต่การเรียบเรียงประโยคในหัวของเขายังยึดรูปแบบของภาษาจีนโบราณ เมื่อรวมกับนิยายจีนย้อนยุคแปลไทยหลายสิบเรื่องที่เขาอ่านไปทำให้เขาซึมซับสำนวนภาษาที่รู้สึกคุ้นเคยกว่าจนติดปากไปแล้ว

“เบื้องหลังก็เป็นเพียงพ่อค้าตระกูลหนึ่ง มิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด ใยถึงสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกลับผิดเป็นถูกได้”

ซูกัสเข้าใจว่าญาติผู้พี่ยังคงสนุกอยู่กับการพูดจาแบบหนังจีนกำลังภายในก็ปล่อยเลยตามเลยไป ไม่อยากขัดใจคนเจ็บ ดีกว่าเอาแต่นิ่งเงียบแบบตอนฟื้นใหม่ๆ เขาไม่ได้เฉลียวใจซักนิดเลยว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่คนเดิม

“โห พี่ไม่รู้อะไร ธุรกิจเขาออกจะมากมาย รวยเป็นหมื่นๆ ล้าน สมัยนี้มีเงินนี่แหละทำได้ทุกอย่าง”

“เขาทำกิจการใดถึงได้ร่ำรวยนัก ค้าเกลือ แพรพรรณ หรือว่าอาชา”

“ของพวกนั้นมันจะไปรวยได้ยังไงพี่ ยิ่งเกลือนี่กิโลไม่กี่บาทเองมั๊ง เขาทำธุรกิจเครื่องดื่ม ทั้งชาเขียว น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ขยายตลาดไปต่างประเทศอีก ตำรวจ ทหาร ข้าราชการใหญ่ๆ เจอยังต้องเกรงใจ”

ไม่น่าเชื่อว่าของจำเป็นสูงค่าอย่างเกลือจะแทบไม่มีราคาไปแล้ว ถ้าขนาดพวกขุนนางยังต้องก้มหัวให้พ่อค้าแสดงว่ายุคสมัยนี้เงินสำคัญที่สุด เคล็ดวิชาชั้นสูง ฝีมือทางการแพทย์ หรือความรู้ลึกลับต่างๆ ที่มีติดมาในหัวจากชาติก่อนดูจะไม่มีประโยชน์เลยเมื่อเทียบกับวิทยาการในยุคนี้ มีแต่จะต้องหาเงินให้ได้มากๆ เท่านั้นถึงจะไม่ถูกผู้อื่นรังแก

“แล้วพี่คุนจะตกลงยังไง ผมก็ขู่ๆ ลุงนั่นไปอย่างนั้นแหละ เอาจริงเราจะไปสู้คนระดับนั้นได้ซะที่ไหน ขนาดลูกไฮโซที่มีข่าวเมาแล้วขับรถชนจราจรตายเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้คดีก็ยังดองอยู่เลย อีกหน่อยคงหมดอายุความ แต่ผมว่าเขากดค่าเสียหายมากเกินไป รวยซะตั้งขนาดนั้น แถมคนทำก็ไม่มาเยี่ยมมาขอโทษพี่ซักนิดยังจะให้เซ็นหนังสือยอมรับผิดอีก”

หลี่คุนก็รู้สึกไม่เป็นธรรมเช่นกัน แต่เขาที่ไร้วรยุทธ์ในยามนี้ก็เปรียบดั่งเช่นมังกรพลัดถิ่นไม่อาจสู้งูเจ้าที่ เขายังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ของยุคนี้ดีพอจึงมิอาจทำตัวโดดเด่นได้ นายคุณานนท์เจ้าของร่างเดิมอายุยี่สิบเอ็ดปีเวลานี้เป็นเพียงนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ในสำนักมีชื่อเสียงของแคว้นนี้ เขาเป็นบุตรเพียงคนเดียวของบ้าน ครอบครัวของเขาไม่ยากไร้ก็จริงแต่ก็ไม่นับว่าเป็นคหบดี บิดามารดาทำงานรับจ้างอยู่ในหอการค้าขนาดใหญ่ ตอนนี้ถูกส่งไปดูแลสำนักสาขาที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในดินแดนโพ้นทะเล

หลี่คุนรักษาตัวต่อจนเริ่มมีอาการดีขึ้น ถ้าไม่ขยับตัวเร็วๆ หรือหายใจแรงๆ ก็แทบไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บแปลบในทรวงอก แต่เขาเริ่มมีปัญหากับโอสถคลายความเจ็บปวดที่ท่านหมอสั่งให้ มันเม็ดเล็กทานสะดวกและได้ผลก็จริง แต่มีผลข้างเคียงทำให้สมองไม่ปลอดโปร่งแจ่มใสเท่าที่ควร หลี่คุนขอไม่ทานโอสถนั้นอีกแต่ท่านหมอยืนยันว่าถ้าไม่ลดความเจ็บปวดลงจะทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนเป็นเหตุให้การฟื้นตัวช้าลงกว่าที่ควร จึงแนะนำให้ใช้แพทย์ทางเลือกลดความเจ็บปวดโดยการฝังเข็มโดยท่านหมออีกคนในโรงแพทย์เดียวกัน

หลี่คุนได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก เขาไม่นึกว่าศาสตร์ฝังเข็มจะตกทอดมาถึงยุคอนาคตนี้ ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยการแพทย์ตะวันตกโพ้นทะเลไปเสียหมด พอเข้าทำการรักษาจริงก็ยิ่งปลาบปลื้มเมื่อเห็นวิธีการฝังเข็มที่ยังคงรักษาพื้นฐานที่ถูกต้องจากยุคเขาไว้ได้เกือบหมด

“รู้สึกว่าอาการเจ็บลดลงไหมครับคุณคุณานนท์”

หมอหนุ่มใบหน้าขาวตี๋ถามหลังจากปักเข็มลงไปครบชุดแล้ว

“ยอดเยี่ยมมากท่านหมอ ไม่ทราบว่าได้ร่ำเรียนมาจากสำนักไหน หรือว่าเป็นวิชาที่สืบทอดกันในตระกูล”
 
ถึงคนไข้จะพูดจาแปลกๆ แต่คนเป็นหมอก็ไม่ได้ถือสาอะไร ได้แต่ตอบคำถามไปอย่างใจดี

“ผมจบแพทย์แผนปัจจุบันที่เมืองไทยนี่แหละครับ แต่สนใจแพทย์แผนจีนโดยเฉพาะเรื่องการฝังเข็ม เลยไปเรียนต่อเฉพาะทางที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์แผนจีนปักกิ่ง”

“ไอหยา เรียนมาจากปักกิ่ง ใช่เมืองเป่ย์จิงที่มีพระราชวังต้องห้ามจื่อจิ้นเฉิงหรือไม่”

หลี่คุนตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อเจอคนที่เคยไปอยู่เมืองเดียวกับเขาในชาติก่อน หมอหนุ่มมองท่าทางที่ดีใจเกินเหตุแล้วนึกขำในใจ ใครๆ ก็รู้ว่าพระราชวังต้องห้ามอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลย

“ที่นั่นแหละครับ ทีนี้ลองหายใจตามปกติแต่ให้แรงขึ้นอีกนิดนะครับว่ารู้สึกเจ็บหรือเปล่า ถ้ามีผมจะลองกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้าดู น่าจะช่วยได้”

หลี่คุนรู้ว่าไฟฟ้าคือสื่อพลังงานหลักที่ยุคนี้ใช้กัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเอามาใช้ร่วมกับการฝังเข็มได้

“ขอลองหน่อยได้ไหมท่านหมอ ข้าอยากรู้ว่าเป็นเยี่ยงไร”

ยิ่งคุยก็ยิ่งพิลึกขึ้นทุก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีหยาบคายอะไรหมอหนุ่มก็เลยปล่อยเลยตามเลย เขาเอาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าโวลต์ต่ำเข้ามาต่อที่เข็มเพื่อกระตุ้นจุดบนร่างผู้ป่วย หลี่คุนเข้าใจทันทีว่ามันให้ผลคล้ายๆ กับการกระตุ้นเข็มด้วยลมปราณ ในยุคที่วิชากำลังภายในดูเหมือนจะหายสาบสูญไป กลับคิดค้นวิธีการอื่นมาทดแทนได้นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ

“นี่มันดียิ่งนัก ถ้าท่านหมอฝังเข็มให้ข้าเพิ่มอีกตรงจุดเก๋อซู ข้าคงลุกขึ้นกระโดดได้โดยไม่เจ็บปวดสักน้อยนิด แถมยังจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้หายเร็วยิ่งขึ้น”

คนเป็นหมอมองหน้าคนไข้หนุ่มอย่างประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าวิชาฝังเข็มของหลี่คุนในยุคนั้นถ้าจะกล่าวว่าเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าอ้างตัวว่าเป็นที่หนึ่ง ยังไม่นับเคล็ดวิชาและตำแหน่งจุดฝังเข็มลึกลับที่ตระกูลหลี่แห่งฉางอันเก็บรักษามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง

“คุณศึกษาเรื่องการฝังเข็มมาบ้างหรือครับ แต่ผมคงฝังเข็มให้คนไข้ตามใจชอบไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ”

ที่จริงเขารู้สึกว่าจุดเก๋อซูที่ว่ามันมีความเกี่ยวพันกับอาการบาดเจ็บของคนไข้รายนี้จริงๆ แต่ในตำราไม่ได้ระบุให้เป็นวิธีรักษามาตรฐานเขาจึงต้องยึดมั่นในจรรยาแพทย์ที่จะไม่ทดลองอะไรที่ไม่มีหลักวิชาการกับร่างกายคนไข้

“ถ้าท่านหมอลำบากใจก็แล้วไปเถอะ ข้าจัดการเองได้”

ว่าแล้วหลี่คุนก็ถอนเข็มที่ฝังบนตัวเขาตรงจุดเฟ่ยซูออกมาฝังที่จุดเก๋อซูอย่างรวดเร็วแม่นยำจนหมอหนุ่มร้องห้ามไม่ทัน ที่น่าแปลกใจคือคนไข้รู้ได้อย่างไรว่าในบรรดาเข็มเกือบยี่สิบเล่มที่ฝังอยู่ จุดเฟ่ยซูสำคัญน้อยที่สุดแทบจะไม่มีผลต่อการรักษาเลย ถึงได้เลือกถอนออกมาฝังลงจุดใหม่ที่ตัวเองต้องการท่ามกลางอาการตกตะลึงของหมอหนุ่ม หลี่คุนหลับตาปิดฉากการสนทนาแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่พักใหญ่จึงค่อยลืมตาในที่สุด

“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยรักษาให้ คนเป็นหมออย่างไรก็อย่าลืมรักษาสุขภาพตัวเอง ข้าสังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นร่างกายช่วงบนของท่านตึงเครียดจนเกินไป การเคลื่อนไหวจึงไม่นิ่งอาจเกิดผลกระทบต่อการลงมือฝังเข็มได้ ข้าความรู้ต่ำต้อยแต่ขอบังอาจแนะนำให้ท่านฝังเข็มลงบนจุดปี้น่าว เจียนหวี และฟูตู้ ทิ้งไว้ประมาณสองเค่อ จากนั้นถอนออกแล้วฝังเข็มตรงจุดไม่มีชื่อที่อยู่ด้านล่างจุดหยางเหอลงมาหนึ่งชุ่นกระตุ้นไฟฟ้าทิ้งไว้ประมาณครึ่งเค่อ ข้ารับรองว่าอาการคอบ่าไหล่ติดขัดของท่านหมอจะหายเป็นปลิดทิ้ง การรักษาตำหรับนี้ข้ามอบให้เพื่อตอบแทนคุณที่ช่วยฝังเข็มให้ข้าในวันนี้ ไม่ว่าอาการใดๆ ที่เกิดจากความตึงเครียดในบริเวณนั้นล้วนคลี่คลายได้”

เมื่อพูดจบหลี่คุนก็ถอดเข็มที่ฝังอยู่บนตัวส่งคืนให้หมอหนุ่มอย่างชำนิชำนาญ จากนั้นก็เอ่ยคำอำลาสั้นๆ แล้วเดินออกจากห้องฝังเข็มไปอย่างแคล่วคล่องไม่เหมือนคนกระดูกซี่โครงหัก ทิ้งให้อีกฝ่ายอ้าปากค้างอยู่ในห้อง คนไข้คนนี้ถือดีอะไรถึงได้ฝังเข็มตัวเองตามอำเภอใจ แถมยังกล้ามาสอนวิชาฝังเข็มในจุดประหลาดนอกตำราให้กับเขาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของประเทศ

ก่อนออกจากโรงพยาบาล ทนายของคู่กรณีก็ได้กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เอาสำเนาสำนวนคดีที่ตำรวจทำเสร็จแล้วว่านายคุณานนท์เป็นผู้ประมาททำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างสุดวิสัยมาใช้ข่มขู่ด้วย ถึงหลี่คุนจะไม่มีความทรงจำที่แน่ชัดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาอ่านท่าทางและลักษณะของชีพจรภายใต้ใบหน้ามั่นใจดูน่าเชื่อถือออกว่าทนายคนนี้กล่าววาจาโป้ปด เขาตรึกตรองมาดีแล้วว่าการมีคดีกับคนที่มีฐานะสูงกว่าไม่ว่าจะยุคนี้หรือยุคของเขาล้วนเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนอย่างแท้จริง ถึงจะเจ็บใจแต่ตอนนี้เขายังไม่มีตัวหมากที่ได้เปรียบอันใดเลย สุดท้ายเขาก็อาศัยทักษะอ่านใจจากอากัปกิริยาต่อรองเงินช่วยเหลือได้ที่สองแสนบาท ซูเอ๋อร์ยิ้มหน้าบานเมื่อทนายความรุ่นลุงกลับออกไปโดยทิ้งตั๋วแลกเงินที่เรียกว่าเช็คจำนวนดังกล่าวไว้ให้

“พี่คุนสุดยอด เห็นพูดแต่สำนวนหนังจีนจนผมนึกว่าตาลุงนั่นจะไม่ยอมคุยด้วยแล้ว ที่ไหนได้ เรียกค่าเสียหายได้ตั้งหลายเท่าจากที่เสนอมาตอนแรก แต่มานึกดูผมว่ามันก็ยังน้อยไป ค่ารักษาโรงบาลเอกชนนี่ถ้าเราไม่มีประกันก็แทบจะเกินอยู่แล้ว น่าจะเรียกให้มากกว่านี้อีก”

หลี่คุนยิ้มไม่ตอบอะไร แต่ในใจเขารู้ว่านี่เป็นขีดสุดแล้ว ถ้าเขาไม่ยอมเกรงว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะลงมือเล่นงานเขาแถมยังไม่ได้อะไรเลย นี่คือสิ่งที่เขาอ่านได้จากปฏิกิริยาทางร่างกายของทนายคนนั้น

ในระหว่างที่หลี่คุนกำลังนั่งรอรอซูเอ๋อร์ที่เอาหนังสือที่เช่ามาตั้งสุดท้ายไปคืนเพื่อจะออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกัน หมอที่เคยฝังเข็มให้หลี่คุนเมื่อหลายวันก่อนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง

“คุณคุนานนท์ โชคดีจริงที่คุณยังไม่กลับไป ทางวอร์ดบอกว่าคุณจะออกเช้านี้ ผมก็รีบวิ่งมาเลย”

หลี่คุนมองแวบเดียวก็รู้ว่าการเคลื่อนไหวดูสมบูรณ์ถูกต้องกว่าครั้งก่อน หมอหนุ่มพักหายใจเล็กน้อยจากอาการหอบก่อนจะพูดต่อ

“ตำหรับฝังเข็มที่คุณให้ไว้ มะ ไม่น่าเชื่อเลย มันแก้อาการออฟฟิศซินโดรมได้ชะงักจริงๆ ผมเพิ่งได้ลองกับตัวเองเมื่อกี๊นี้ พอเห็นผลก็รีบตามหาตัวคุณเลย เกือบไม่ทันแล้วสิ คุณเรียนมาจากที่ไหนหรือครับ ที่นั่นต้องมีอาจารย์ชั้นยอดแน่ คุณอายุแค่นี้ยังมีฝีมือทั้งการวินิจฉัยโรคทั้งการลงเข็มที่แม่นยำขนาดนี้ จุดที่ไม่มีชื่อนั้นผมไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากไปขอเจอท่านบ้าง”

“ท่านหมอพูดถูก อาจารย์ของข้าเป็นยอดคนอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่อยู่แล้ว โอกาสที่จะได้พบคงไม่มี”

คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์หมิง ย่อมไม่สามารถมาเจอคนรุ่นหลังในอีกหกร้อยปีได้

“ท่านสิ้นแล้วหรือครับ น่าเศร้าจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตำหรับจุดฝังเข็มที่คุณบอก พอผมทดลองจนมั่นใจแล้ว ผมขอเอาไปรักษาคนไข้บ้างได้ไหมครับ ทุกวันนี้มีคนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมกันมาก การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังรักษาได้ไม่ดีนักถ้าคนไข้ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม มีแต่การฝังเข็มที่ค่อนข้างได้ผลในการบรรเทาอาการแต่ก็ไม่หายขาด”

“การรักษาคนก็คือการสร้างกุศลอยู่แล้ว หากท่านหมอมั่นใจก็นำไปใช้เถิด”

“เอาไปใช้เฉยๆ ผมก็รู้สึกไม่ค่อยถูกต้อง ถ้าได้ค่ารักษามาผมจะรวบรวมมาแบ่งให้นะครับ”

“ไม่ต้องหรอก พบกันวันนี้ถือว่ามีวาสนาต่อกัน สามารถคบหาเป็นสหายได้ วันหน้าอาจได้พึ่งพากันอีก หากท่านหมอต้องการช่วยเหลือ ข้าขอให้ท่านช่วยตัดหาชุดฝังเข็มให้ซักหนึ่งชุด หากได้เครื่องกระตุ้นด้วยไฟฟ้าได้ก็ยิ่งดี”

หมอหน้าตี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดว่าชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นอย่างคุณานนท์ก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว นี่กลับเป็นคนที่มีความสนใจตรงกันในเรื่องการฝังเข็ม คนเป็นหมออย่างเขายากนักที่จะมีเพื่อนต่างวัยแบบนี้

“ผมมีเข็มชุดสำรองส่วนตัวอยู่ คุณคุณานนท์เอาไปได้เลยครับ แต่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า มันเป็นของโรงพยาบาลครับ ขนาดก็ใหญ่มาก แต่เดี๋ยวผมจะลองถามบริษัทดูว่าจะสั่งซื้อชุดเล็กๆ แบบพกพามาได้หรือเปล่า ถ้าได้เดี๋ยววันหลังผมจะเอาไปให้นะครับ นี่นามบัตรผม มีอะไรก็ติดต่อได้”

หลี่คุนรับเทียบเล็กๆ ที่คนยุคนี้นิยมใช้กันมาอ่านดูก็พบว่าท่านหมอชื่อนายแพทย์ภีม นี่นับว่าเป็นสหายคนแรกของเขาในยุคอนาคตแห่งนี้

ก่อนออกจากโรงพยาบาลหลี่คุนก็พบว่าตัวเองมีทรัพย์สมบัติที่หามาได้หลังจากที่ข้ามเวลามาคือเงินบาทประมาณสี่ตำลึงทองและชุดฝังเข็มหนึ่งชุด นับว่าไม่เลวเลยเมื่อคิดว่าเขาในตอนนี้ไร้ซึ่งวรยุทธ์มีแค่วิชาการแพทย์ล้าสมัยไม่กี่แขนง แต่นี่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่จะเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่งราวกับมดตัวน้อยหมายมั่นปืนป่ายเขาไทซาน ใช่ เขาตัดสินใจแล้วที่จะมุ่งไปสู่หนทางของความร่ำรวย ในเมื่อภาระอันหนักอึ้งถูกทิ้งไว้ในชาติก่อน ชาตินี้ก็ขออยู่อย่างสำราญใจเห็นจะดี ขอเพียงมีเงินให้มากพอในยุคนี้ก็สามารถเสพสุขได้ยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 2] 21/10/2019
«ตอบ #3 เมื่อ21-10-2019 18:08:34 »

 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #4 เมื่อ22-10-2019 10:55:51 »

-3-

ประสบการณ์นั่งรถยนต์ครั้งแรกของหลี่คุนน่าอนาถยิ่งนัก แค่ออกมาข้างนอกโรงแพทย์เขาก็ต้องผงะกับอากาศที่เต็มไปด้วยละอองพิษเจือจาง แม้จะไม่ถึงกับเป็นอันตราย หากสูดดมเข้าไปหลายๆ ปี ย่อมทำให้เส้นลมปราณแขนงย่อยเส้นเล็กเส้นน้อยอุดตันได้ การฝึกฝนกำลังภายในของคนยุคนี้รวมถึงตัวเขาเห็นทีจะทำได้ยากยิ่ง

ไม่นานก็มีรถม้าสีเขียวเหลืองรูปร่างแปลกตาวิ่งเข้ามาเทียบ อันที่จริงเขาก็ทำความคุ้นเคยกับรถม้าเหล็กที่วิ่งได้เองไม่ต้องเทียมอาชานี้จากความทรงจำของคุณานนท์มาก่อนเพราะเห็นว่าเป็นพาหนะหลักของคนยุคนี้ แต่การนั่งรถยนต์รับจ้างจริงๆ นี้มันต่างจากที่เขาคิดไว้ในหัวมาก ประการแรกคือความเร็วที่ถึงกับล้ำหน้าอาชาเหงื่อโลหิตอยู่หลายเท่า เมื่อมันทะยานไปพร้อมกับรถม้าเหล็กอื่นๆ อีกหลายสิบคัน ทั้งวิ่งตามทั้งวิ่งสวนมาด้วยความเร็วที่เหมือนจะแข่งกันแบบนี้ แม้เขาจะขวัญกล้าขนาดกระโจนลงหน้าผาได้โดยไม่กลัวก็ยังอดพรั่นพรึงไม่ได้ ประการที่สองคือถนนที่ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าค่ายกล บางครั้งก็ยกสูงขึ้นไปบนฟ้า บางคราก็มุดลงใต้ดินน่าเวียนหัวยิ่ง หลี่คุนโยกตัวหลบทุกครั้งที่มีรถวิ่งสวนมาจนคนขับแท็กซี่หันมามองอยู่หลายที ยิ่งเขาไม่มีวรยุทธ์ก็ยิ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยจนนั่งตัวเกร็งไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่พักก็รู้สึกมึนหัวเต็มที

คุณานนท์อยู่ในสิ่งก่อสร้างสูงเสียดฟ้าที่เรียกว่าคอนโด หลี่คุนไม่ได้มีปัญหากับความสูงเพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าคนเราทำไมถึงอยากไปนอนบนที่ที่สูงขนาดนั้น ยังดีที่สามารถขึ้นไปชั้นต่างๆ โดยอาศัยตู้ขนส่งที่เรียกว่าลิฟท์ซึ่งเขาคุ้ยเคยมาบ้างจากที่โรงพยาบาล มิฉะนั้นก็นึกไม่ออกเลยว่าคนยุคนี้ที่ไม่มีวรยุทธ์จะปืนขึ้นลงตึกสูงขนาดนี้ได้ยังไงทุกวัน

หลี่คุนค่อยทราบว่าคอนโดแห่งนี้ไม่ได้เป็นของร่างเดิมคนเดียว คุณานนท์เป็นเจ้าของแค่ห้องๆ หนึ่งบนชั้นสิบเจ็ด ห้องอื่นก็มีคนอาศัยอยู่แต่ไม่รู้จักกัน รูปแบบคล้ายๆ กับในโรงเตี้ยม เมื่อเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าไม่ต่างกับห้องในโรงพยาบาลแต่มีสีสันและข้าวของมากกว่า ไม่นานหลี่คุนก็ค่อยๆ ซึมซับความทรงจำจากสิ่งต่างๆ ในห้องที่ร่างเดิมใช้ชีวิตประจำวันอยู่มาแล้วสามปี ซูกัสช่วยจัดของให้เข้าที่อย่างแข็งขัน หลี่คุนรู้สึกว่าถ้าไม่มีญาติผู้น้องของคุณานนท์คนนี้ ชีวิตหลังข้ามเวลามาของเขาคงจะลำบากไม่น้อย คิดแล้วก็ยิ่งเอ็นดูซูเอ๋อร์ขึ้นมาอีกหลายส่วน

“พี่คุน ไอนี่คือชุดฝังเข็มที่หมอหล่อๆ คนนั้นให้พี่มาก่อนกลับใช่ป่ะ เอามาทำไมก็ไม่รู้ ใครจะใช้เป็น ผมแค่เห็นเข็มยาวๆ ก็ขนลุกซู่แล้ว”

“ข้าใช้เป็น อย่างผื่นแดงอักเสบบนใบหน้าเจ้าข้าก็รักษาได้ ว่าแต่ไฉนเจ้าถึงปล่อยให้มันลุกลามเช่นนี้ มิใช่ว่าการแพทย์ในยามนี้สามารถรักษาเจ้าได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ”

หลี่คุนให้ค่าวิชาแพทย์ในยุคนี้ไว้สูงมาก หากแม้แต่การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะภายในยังทำได้ เรื่องอื่นคงมิต้องพูดถึง

“จะล้อเลียนว่าผมเป็นไอหน้าสิวเขลอะอีกล่ะสิ พี่ก็รู้ว่าผมไปรักษามาไม่รู้ตั้งกี่หมอแล้ว ดีได้แป๊บๆ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นหนักกว่าเดิมอีก”

“เป็นเช่นนั้นหรือ ซูเอ๋อร์ ข้าจะช่วยเจ้ารักษาโรคบนใบหน้าให้เจ้าว่าดีหรือไม่”

“ว๊าก บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกซูเอ๋อร์ ฟังดูเหมือนเด็กพิเศษยังไงไม่รู้ เรียกซูกัสสิพี่ หรือจะเรียกกัสเฉยๆ ก็ได้ถ้าขี้เกียจ”

“มันไม่น่าฟังสำหรับข้า ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวซูแทนก็ได้”

“ห้ามเลยนะ มันยิ่งฟังแปลกๆ เดี๋ยวคนจะนึกว่าไปล้อเลียนพี่น้องภาคอีสาน”

“งั้นก็เรียกซูเอ๋อร์นี่แหละ เหมาะกับเจ้ามาก”

ซูเอ๋อร์เบ้ปากแดงๆ ดูหล่อเหลาน่ารักราวกับเด็กน้อย ในยุคก่อน บุรุษหนุ่มในวัยนี้หลายคนก็ออกทัพจับศึกหรือแม้แต่มีครอบครัวไปแล้ว ไม่มีใครจะยังทำตัวเป็นคุณชายน้อยมีท่าทางออดอ้อนเอาแต่ใจแบบนี้ แต่ความทรงจำของร่างเดิมก็บอกว่า วัยสิบหกสิบเจ็ดของซูเอ๋อร์ในยุคนี้ก็ถือว่ายังเด็กอยู่จริงๆ

“ให้ข้าจับชีพจรตรวจอาการเจ้าดูเสียก่อน จะได้รู้ว่าจะต้องรักษาอย่างไร”

“พี่คุน นี่มันแปลกเกินไปแล้ว พี่เล่นเป็นจอมยุทธ์หนังจีนไม่เลิกแบบนี้ ผมชักกลัวแล้วนะ เหมือนพี่ไม่ใช่คนเดิมอย่างนั้นแหละ ถามจริง พี่ทะลุมิติมาเหมือนในนิยายป่ะนี่ ฮ่าๆ”

“ข้าก็คือพี่ชายของเจ้านั่นแหละจะเป็นใครได้ ตอนเด็กๆ เจ้าเคยจะหนีออกจากบ้านมารดาเจ้าเพราะน้อยใจที่ข้าได้ขนมชิ้นใหญ่กว่า เขียนจดหมายลาลายมือโย้เย้ทิ้งเอาไว้แล้วด้วย แต่สุดท้ายก็มัวแต่เก็บของที่จะเอาไปอยู่นั่น ทั้งของเล่น ขนม ชุดโปรด เก็บแล้วเก็บอีกจนหลับไปบนกองเสื้อผ้า พอทุกคนมาเจอเห็นจดหมายของเจ้าก็แอบอ่านแล้วหัวเราะกันใหญ่ เจ้าจำได้หรือไม่”

ยามที่หลี่คุนค้นเข้าไปในความทรงจำของคุณานนท์เพื่อหาเรื่องมายืนยันตัวเองก็พบภาพที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของร่างนี้มากที่สุด ซูเอ๋อร์ในวัยเจ็ดขวบปีที่หลับอยู่บนกองเสื้อผ้าแก้มแดงใบหน้ามีเหงื่อออกนิดๆ จนปลายผมเปียกชื้นดูน่ารักเป็นหนักหนา เขารู้สึกถึงความผูกพันที่พี่น้องคู่นี้มีให้ต่อกันว่ามีมากแค่ไหน

“พอเลย ไหนพี่สัญญาไว้ตั้งแต่สามปีก่อนไง ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกเลยตลอดชีวิต นี่พี่ยังไม่ตายก็เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้วเหรอ”

ใบหน้าขี้เล่นของซูกัสเปลี่ยนมาเป็นจริงจังด้วยความไม่พอใจ หลี่คุนไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่าเมื่อวิญญาณของเขามาอยู่ในร่างนี้แล้ววิญญาณเจ้าของร่างที่แท้จริงจะไปอยู่ที่ไหน เป็นไปได้มากว่าคุณานนท์ตัวจริงจะสิ้นชีพไปแล้วตั้งแต่ตอนที่โดนรถชน ซูเอ๋อร์ พี่ชายเจ้าไม่ได้ผิดสัญญาหรอกนะ เพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในร่างนี้แล้ว

“เด็กน้อย ในอดีตพี่ชายคนนี้ดีต่อเจ้ามากใช่ไหม ข้าขอโทษ ข้าสัญญาว่าจะยังดีต่อเจ้าตลอดไป”

ซูกัสหายโกรธทันทีรีบโผเข้ากอดพี่ชายอย่างรักใคร่ แม้ใบหน้าจะมีสิวแดงๆ ขึ้นเป็นสิบเม็ดแต่ก็ยังชวนมอง หลี่คุนนึกในใจว่าเขาต้องรักษาน้องชายของร่างนี้จนหายให้จงได้ เขาถือโอกาสที่ได้สัมผัสตัวกันลอบตรวจอาการของซูเอ๋อร์ ในยามที่ไม่มีพลังลมปราณที่จะโคจรเข้าไปตรวจสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มโดยละเอียดได้ หลี่คุนจึงอาศัยเพียงการจับชีพจรและตรวจสมดุลหยินหยางผ่านการวัดความร้อนเย็นของอวัยวะส่วนต่างๆ แทน  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มั่นใจอยู่หลายส่วนว่าสาเหตุมาจากอากาศที่ไม่ค่อยสะอาดของโลกนี้ เมื่อสะสมนานวันเข้าก็ทำให้เส้นลมปราณหลายเส้นบนใบหน้าซูเอ๋อร์อุดตัน พลังหยางที่ปั่นป่วนจากวัยหนุ่มยิ่งกระตุ้นพิษอากาศภายในจนปะทุออกทางผิวหน้ากลายเป็นสิวที่ไม่หายขาดเสียที การเปิดเส้นลมปราณที่อุดตันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไม่สามารถส่งลมปราณจากภายนอกเข้าไปช่วยทะลวงจนปลอดโปร่ง นั่นเป็นสิ่งที่หลี่คุนซึ่งไม่มีกำลังภายในไร้ความสามารถที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ขอเพียงเขาใช้การฝังเข็มช่วยเปิดลมปราณให้มีช่องทางไหลเวียนได้แม้เพียงนิด อาการน่าจะบรรเทาลงไปได้เกือบหมด

“ข้าต้องฝังเข็มบนใบหน้าเจ้า มันจะช่วยลดอาการบวมและการอุดตันที่รูขุมขนลงได้”

“ไม่เอา ใครจะให้เอาเข็มน่ากลัวนั่นมาทิ่มหน้า แถมพี่ยังไม่ใช่หมออีกด้วย ไม่ใช่ว่าไปดูคลิปยูทูปมาแค่สองสามคลิปแล้วจะเอาน้องเป็นหนูทดลองหรอกนะ ไหนว่าจะดีกับผมไปตลอดไง”

“เชื่อใจข้า ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าซูเอ๋อร์กลัวจริงๆ ขอแค่เข็มเดียวก็ได้ ฝีมือระดับข้า เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บสักนิด”

“พี่ฝังเข็มเป็นจริงๆ เหรอ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่ใช่ว่าฝังไปแล้วผมกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตปากเบี้ยวตาเหล่หมดหล่อกันพอดี”

“ข้ารับรองว่าซูเอ๋อร์จะหล่อเหลาขึ้นอีกมาก”

“เข็มเดียวจริงๆ นะ งั้นผมมีข้อแม้ว่าพี่จะต้องเลิกพูดภาษาหนังจีนเสียที”

“แต่ข้าชินแบบนี้นี่ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามแล้วกัน”

“งั้นดีล รีบฝังมา”

ซูกัสยื่นหน้ามาให้อย่างกล้าๆ กลัวๆ หลี่คุนค่อยๆ เอาเข็มเล่มหนึ่งฝังไปบนไปหน้านั้นอย่างเบามือ เด็กหนุ่มมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ซูเอ๋อร์ เจ้าเจ็บหรือไม่”

“ไม่รู้สึกเลย”

ที่แท้จุดหยิงเซียงที่หลี่คุนปักลงไปคือจุดที่ใช้คลายอาการกังวลและสกัดความเจ็บปวด ยังไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอาการบนใบหน้าเลย

“งั้นข้าขอลงเข็มอีกสามสี่จุดได้หรือไม่”

ซูกัสดูจะไม่ตื่นตัวกับการฝังเข็มอีกแล้ว เขากลับติดใจในประเด็นอื่นแทน

“ไม่เอาสิ พี่คุนต้องแทนตัวเองว่าพี่เหมือนเดิม แล้วต้องลงท้ายว่าครับด้วย”

“ก็ได้ งั้นพี่ขอฝังเข็มเพิ่มนะ..ครับ”

“โอเชพี่”

ในที่สุดเด็กน้อยก็ยอมให้ฝังเข็มแต่โดยดี หลี่คุนคาดเดาจุดที่เส้นลมปราณอุดตันบนใบหน้าของผู้น้อง เขาค่อยๆ ใช้การฝังเข็มเพื่อช่วยคลี่คลายเปิดช่องทางให้กับเส้นลมปราณทีละเส้น แต่มลพิษที่สะสมมานานแรมปียากนักที่จะทะลุทะลวงได้โดยไม่ใช้กำลังภายใน เขาทดลองค่อยๆ หมุนเข็มกระตุ้นตรงจุดที่คาดว่าจะมีปัญหาร่วมกับการนวดเฟ้นไปตามเส้นลมปราณอย่างใจเย็น เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามจนซูเอ๋อร์ถึงกับหลับไป ในที่สุดความพยายามก็บังเกิดผล เส้นลมปราณที่ติดขัดค่อยๆ เปิดเป็นช่องทางเล็กๆ แม้จะน้อยนิดแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เลือดลมบนใบหน้าเริ่มเกิดการหมุนเวียนอย่างช้าๆ เพื่อปรับตัวเข้าสู่สมดุล

ซูกัสลืมตาขึ้นพร้อมกับส่งเสียงบ่นออกมา

“ทำไมหน้ามันแสบๆ อย่างนี้”

“แสบมากหรือไม่”

“ก็ไม่มากนะพี่ มันออกจะร้อนๆ คันๆ ยุบยิบมากกว่า”

“ไม่ต้องวิตก ร่างกายเรากำลังค่อยๆขับพิษออกมา ไม่นานก็จะบรรเทาไปเอง”

“พี่อย่ามาอำให้ผมตกใจเลย ผมจะไปถูกพิษมาจากไหนได้   ไม่ใช่ว่าเอาเข็มมาทิ่มหน้าผมเล่นจนมันระคายเคืองเรอะ  ฮือๆ พรุ่งนี้สิวอักเสบต้องขึ้นเต็มหน้าอีกแน่เลย”

“คอยดูไปก็แล้วกัน ระหว่างนี้ต้องคอยระวังเรื่องอาหารการกินด้วยนะ อย่าทานอะไรที่มีสิ่งเจือปนมากๆ ถ้าเป็นอาหารจากธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่งจะดีมากๆ”

“เอ๊ะ หมายถึงพวกอาหารคลีนเหรอ ก่อนหน้านี้พี่คุณก็บ้าทานอยู่พักนึงนี่ แต่ไม่ถึงเดือนก็เบื่อ ยังเห็นมีของที่พี่ตุนไว้เหลืออยู่เลยนะ เดี๋ยวผมลองไปเอามาดู”

ว่าแล้วซูกัสก็ไปก้มๆ เงยๆ เปิดตู้รื้อลิ้นชักอยู่ตรงบริเวณครัว เพียงครู่เดียวก็ถือโหลแก้วใบย่อมภายในบรรจุถั่วผสมกับผลไม้แห้งสีแดงเม็ดเล็กกลับมาด้วย

“นี่ไง ว่าแล้วว่าเห็นอยู่ มิ๊กซ์นัทกับโกจิเบอรี่”

“นี่มันเก๋ากี้นี่”

หลี่คุนร้องขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง เก๋ากี้เป็นสมุนไพรที่ใช้กันโดยทั่วไปในยุคของเขา มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับบำรุงไตและชะลอวัย ไม่นึกว่าผ่านมาหกเจ็ดร้อยปียังคงมีให้เห็นแม้ในแว่นแคว้นอันห่างไกลจากเมืองเดิมของเขา ความหวังที่จะหาสมุนไพรต่างๆ มาใช้ปรุงโอสถที่เขาเชี่ยวชาญเริ่มผุดขึ้นมา หลี่คุณหยิบเก๋ากี้สองสามเม็ดมาใส่ปาก เขารู้สึกได้ว่าสรรพคุณทางยาอ่อนกว่าปกติอยู่มาก ดูท่าว่าความสกปรกในดินน้ำอากาศของยุคนี้ส่งผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสมุนไพรไม่น้อย ถ้าสมุนไพรที่หาได้ล้วนเป็นเช่นนี้ อย่าว่าจะปรุงโอสถล้ำค่าที่อยู่ในตำราลับของตระกูลเลย แค่ยาพื้นบ้านทั่วไปเกรงว่าคงออกมามิมีอันใดดี

ยิ่งคิดก็รู้สึกน้อยใจในโชคชะตายิ่ง จากนิยายจีนที่เขาอ่านมาไม่รู้กี่เรื่อง ผู้คนที่ย้อนอดีตกลับไปในยุคเขาล้วนนำความรู้ที่เป็นประโยชน์จากอนาคตติดไปด้วย มีทั้งวิชาแพทย์ การคำนวณ การประดิษฐ์สิ่งของ การสร้างอาวุธ ไปจนถึงวิชาทำอาหาร ได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง และที่ยอดเยี่ยมจนเหมือนโกงคือความรู้หน้าประวัติศาสตร์ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ในขณะที่เขาสูญสิ้นกำลังภายในมิอาจใช้วรยุทธ์ต่างๆ ได้แม้แต่น้อย วิชาการแพทย์ที่มีก็ล้าหลังซ้ำยังขาดลมปราณรักษา เหลือเพียงการปรุงโอสถที่เขามั่นใจแต่หากขาดวัตถุดิบที่จำเป็นก็คงไร้ซึ่งประโยชน์ สวรรค์ช่างไม่เป็นธรรม

“ซูเอ๋อร์ ในเมืองนี้มีร้านค้าสมุนไพรบ้างไหม”

“งื้อ พี่จะเอาไปทำอะไรอ่ะ อย่าบอกนะว่าต้มยาจีนกิน”

“แค่บอกพี่มาว่ามีหรือไม่”

“โอเค อย่าทำเสียงดุสิ ผมค้นในมือถือให้แป๊บนึง… อ๊ะ เจอแล้ว น่าจะต้องไปที่เยาวราชนะ ร้านใหญ่ๆ มีขายทั้งสมุนไพรไทยจีน”

“ดียิ่งนัก เราจงนำทางพี่ไป”

“ผมพาไปก็ได้ แต่พี่ต้องห้ามพูดจาเพี้ยนๆ แบบนี้นอกบ้านนะ ผมอายคน”

“พี่ตกลง.. ครับ”

ทั้งคู่พากันไปถึงเยาวราชมรดกทางวัฒนธรรมจีนใจกลางกรุง แม้จะไม่ค่อยชื่นชอบอากาศที่ไม่สะอาดและผู้คนพลุกพล่าน แต่หลี่คุนก็อดตื่นตาตื่นใจไปกับอารยธรรมของชาวฮั่นที่สืบทอดข้ามผ่านยุคสมัยสู่ดินแดนอันห่างไกลทางตอนใต้นี้ไม่ได้ เขาเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ตรวจสอบสมุนไพรที่วางขายอย่างเพลิดเพลิน แม้วัตถุดิบในการทำยาระดับสูงจำพวกถั่งเช่า โสมคน หรือเห็ดหลินจือร้อยปีจะราคาสูงลิ่วเกินเอื้อมและไม่แน่ว่าจะเป็นของแท้ แต่ก็ยังได้สมุนไพรทั่วไปอย่างตังกุย รากโสมอ่อน ฮวยซัว ดีบัว โป๊ยกั๊ก ติดมือมาไม่น้อย กว่าจะรู้ตัวเขาก็สิ้นเงินไปหลายร้อยตำลึงเงินทั้งๆ ที่สมุนไพรพวกนี้หากเป็นในสมัยก่อนล้วนพบเห็นได้ทั่วไปรวมแล้วคงไม่กี่ตำลึงเงินเท่านั้น ยังดีที่เขาเจอสมุนไพรพื้นบ้านหลายตัวที่น่าสนใจของแคว้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจร ข้าวเย็นเหนือ ไพล กวาวเครือ เถารางจืด และอื่นๆ อีกมาก ทั้งหลากหลายทั้งราคาย่อมเยา เขาเลยทดลองซื้อมาอย่างละนิดละหน่อย บางตัวมีกลิ่นคล้ายสมุนไพรหายากในอดีต มิแน่ว่าอาจใช้ทดแทนกันได้

พอหลี่คุนออกมาจากร้านสมุนไพรร้านที่ห้า ซูเอ๋อร์ก็สิ้นความอดทน เขาฉุดกระชากญาติผู้พี่ไปย่านของกินแล้วบังคับให้ไล่ชิมกันไปทีละร้าน หลี่คุณออกจะดูแคลนอาหารการกินของยุคนี้อยู่มาก แต่ละมื้อที่เขากินในโรงพยาบาลล้วนแต่จืดชืดไร้รสชาติ วัตถุดิบก็ไม่ค่อยสมบูรณ์คงเพราะภาวะดินน้ำอากาศที่สกปรกของยุคนี้ แต่เพียงแค่ตักก๋วยจั๊บที่แวะเป็นร้านแรกเข้าปากเขาก็ต้องตกตะลึง เครื่องเทศในน้ำซุปปรุงออกมาได้จัดจ้านหอมกลิ่นพริกไทย หมูกรอบและเครื่องในก็ทำได้ดียิ่ง ร้านต่อไปคือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เตาถ่านที่อร่อยกลมกล่อมหอมอบอวนด้วยกลิ่นกระทะเข้ากับซ๊อสเผ็ดหวานสีแดงส้ม ถัดมาเป็นแผงลอยขายหอยทะเลลวก เขาไม่คุ้นเคยกับหอยชนิดนี้ แต่เนื้อที่สดหวานแน่นเด้ง กับน้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวถึงใจใส่ผักชีพร้อมโรยถั่วคั่วเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด เด็กหนุ่มวัยกำลังกินกำลังนอนอย่างซูเอ๋อร์ยังไม่หยุดแค่นั้น เขาพาไปต่อกับร้านหมูเสียบไม้ย่างร้อนๆ กลิ่นหอมที่เรียกว่าหมูสะเต๊ะ หมูติดมันนิดๆ  หมักมานุ่มนวลรสชาติกลมกล่อม ทานกับน้ำจิ้มถั่วและแตงกวา ก่อนจะไปจบที่แผงสุดท้ายด้วยหมางกั่วลูกใหญ่สุกเหลืองกำลังดี ปอกมาพร้อมกับข้าวเหนียวรสชาติหวานมันราดกะทิเข้มข้นโรยถั่วสีทองเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด อร่อยจนต้องฝืนทานอิ่มแน่นไปถึงคอหอย

หลี่คุนตบท้องที่อิ่มจนแทบจะแตกของตัวเองเบาๆ ไม่คิดว่าอาหารของแคว้นนี้ในยุคนี้จะล้ำเลิศถึงเพียงนี้ จริงอยู่ที่มิได้เป็นอาหารที่ปราณีตบรรจงอะไรนัก ผู้คนก็เบียดเสียดไร้ความเป็นส่วนตัว แต่การปรุงรสช่างยอดเยี่ยมจัดจ้านแปลกใหม่ชวนให้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ แต่ละคำล้วนมีรสอร่อยล้ำลึกเคลือบติดอยู่ที่ปลายลิ้น มิรู้ว่าใช้เวทมนต์หรือเครื่องปรุงสูงค่าอันใด ความหลากหลายผันแปรในแต่จะจานก็ถึงกับผลิกฟ้าสะเทือนดิน บ้างก็คล้ายสืบทอดจากอาหารจงหยวน แต่บางจานก็มิใช่ หมูย่างสีเหลืองมีกลิ่นอายของชมพูทวีป น้ำจิ้มหอยผสานความเปรี้ยวเผ็ดเค็มหวานคล้ายมิเคยมีมาก่อน ที่สุดจะคาดคิดคือหมางกั่ว ข้าวเหนียว และนมมะพร้าวที่ผสานออกมาเป็นของหวานชั้นเลิศ สถานที่นี้มันคือสวรรค์ของนักกินหรือไร

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #5 เมื่อ22-10-2019 11:54:30 »

ชอบมากเลยค่ะ ปรับตัวไว และอยู่เป็น หนทางรวยไม่ไกล 5555555555555555555

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #6 เมื่อ22-10-2019 14:11:17 »

กลั้นยิ้มหน้าเป็นกบเลยค่ะ5555 เอ็นดูพี่คุณมาก เป็นน่ารักยิ่ง :-[

ออฟไลน์ แมว

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #7 เมื่อ22-10-2019 15:17:46 »

แบบ 555555555555555555555 น่ารักกกก
ปล.คุณนักเขียนอย่าลืมแปะกฎเล้านะคะะะ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #8 เมื่อ22-10-2019 18:13:01 »

ชอบครับอ่านสนุกดี
แต่ผู้แต่งลืมลงกฎหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
«ตอบ #9 เมื่อ22-10-2019 19:52:01 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 3] 22/10/2019
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-10-2019 19:52:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 4] 23/10/2019
«ตอบ #10 เมื่อ23-10-2019 11:13:05 »

-4-


หลี่คุนอารมณ์ดียิ่งนักเมื่อกลับถึงที่พัก สองมือเต็มไปด้วยสมุนไพรทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยขณะที่ในท้องอัดแน่นด้วยอาหารเลิศรส เขารีบรื้อค้นสมุนไพรแต่ละตัวออกมาตรวจสอบโดยละเอียด ทั้งดมทั้งชิมแล้วใช้ความรู้ในชาติก่อนประเมินสรรพคุณคัดแยกพวกที่พอใช้การได้ออกมา ที่ควรบดก็บดที่ควรหั่นก็หั่น แล้วจัดเก็บไว้ในโถแก้ววางเรียงเป็นตับ จากนั้นก็ลองปรุงยาขนานแรกขึ้นโดยเคี่ยวสมุนไพรตามตำหรับลับของตระกูลจนกลิ่นฟุ้งไปทั้งห้อง เตาไฟฟ้าของยุคนี้ใช้ง่ายนัก จะเพิ่มหรือลดความแรงก็เพียงใช้นิ้วกด เมื่อทดลองไปสักพักก็สามารถควบคุมร้อนในการสกัดสมุนไพรได้อย่างใจ นี่นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งต่อการปรุงโอสถ

แต่ฤทธิ์ทางยาของสมุนไพรยุคนี้มีความอ่อนแก่ไม่เท่ากับในยุคก่อน หลี่คุนต้องปรับแก้สัดส่วนอยู่หลายรอบ สมุนไพรดั้งเดิมบางตัวที่หาไม่ได้เขาก็ทดลองใช้สมุนไพรไทยแทน ล้มเหลวอยู่หลายครั้งกว่าจะได้ผลที่พอใช้การได้

ในที่สุดโอสถขนานแรกก็แล้วเสร็จ หลี่คุนเลือกจะปรุงขี้ผึ้งสมานแผลเพราะอยากใช้กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแดงของซูเอ๋อร์ ขี้ผึ้งสูตรนี้ของตระกูลหลี่แม้จะเป็นโอสถระดับสามัญแต่ก็ให้ผลยอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถขจัดได้แม้รอยแผลเป็นขนาดใหญ่หากเป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์แปดส่วนขึ้นไป เพียงแค่ขวดหยกใบเล็กๆ ใบหนึ่งก็ขายได้หนึ่งตำลึงทองแล้ว

โอสถในยุคของหลี่คุนมีสามระดับแบ่งตามความยากในการปรุง โอสถระดับสามัญคือโอสถที่ปรุงง่ายสุด ขอเพียงทราบสูตรและวิธีเคี่ยวตัวยาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณ นี่เป็นโอสถที่คนส่วนใหญ่รวมทั้งหมอใช้กัน สรรพคุณจะขึ้นกับความบริสุทธิ์ ยิ่งสูงก็ยิ่งส่งผลดีต่อการรักษา ความบริสุทธิ์ของโอสถระดับสามัญขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบเท่านั้นเนื่องจากมิได้ใช้ลมปราณมาช่วยในการหลอมรวมและชำระสิ่งเจือปน

โอสถระดับสูงขึ้นมาคือโอสถระดับปฐพี โอสถระดับนี้จะใช้วัตถุดิบสูงค่าที่หายากยิ่งขึ้น เวลาปรุงจะต้องใช้ลมปราณของผู้ปรุงมาชำระสิ่งเจือปนและหลอมรวมวัตถุดิบ คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักพรตหรือหมอเทวดาผู้มีกำลังภายในแก่กล้ายากนักที่จะปรุงได้สำเร็จ ความบริสุทธิ์ขึ้นกับคุณภาพของวัตถุดิบและความล้ำลึกของกำลังภายในของผู้ปรุงเท่าๆ กัน

โอสถขั้นสูงสุดคือโอสถระดับนภานั้นเรียกได้ว่าเป็นตำนาน มิต้องพูดถึงว่าความล้ำค่าของวัตถุดิบและความสูงส่งซับซ้อนของพลังลมปราณที่ต้องใช้จะสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขนาดไหน ในสมัยราชวงศ์หมิง ตำหรับตำราในการปรุงโอสถระดับนี้คาดว่าได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงโอสถที่ปรุงเสร็จแล้วจำนวนน้อยนิดที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ ส่วนใหญ่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นสมบัติลับภายในวังหลวงและจวนตระกูลใหญ่ ที่เหลือล้วนกระจายอยู่กับยอดคนระดับเสือเร้นมังกรซ่อน

หลี่คุนรีบตรวจสอบความบริสุทธิ์ของขี้ผึ้งสมานแผลที่เพิ่งปรุงเสร็จทันที แม้จะเตรียมใจเรื่องข้อจำกัดของวัตถุดิบไว้แล้วแต่ก็อดผิดหวังไม่ได้เมื่อพบว่าโอสถในมือมีความบริสุทธิ์เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น นั่นหมายความว่าน่าจะใช้รักษาได้เพียงรอยขีดข่วนเล็กๆ หากเป็นในชาติก่อนเขาคงไม่รีรอที่จะโยนทิ้งไป แต่เมื่อนึกถึงว่าต้องลองผิดลองถูกสิ้นเปลืองสมุนไพรที่ราคาแพงกว่าปกติไปมากมายก็แสนจะปวดใจ

“ซูเอ๋อร์ เอาไปทาหน้าเข้าเย็นทุกวัน ริ้วรอยบนใบหน้าน้องน่าจะดีขึ้นบ้าง”

ด้วยความเสียดาย หลี่คุนจึงเอาขี้ผึ้งมาแบ่งใส่ตลับเล็กๆ ได้สิบตลับ ก่อนจะหยิบอันนึงส่งให้กับญาติผู้น้อง ที่เหลือเก็บไว้ทาแก้รอยยุงกัดก็ยังดี ซูเอ๋อร์รับมาดมอย่างไม่มั่นใจ

“เอาจริงดิพี่ กลิ่นประหลาดแท้ ทาไปสิวคงไม่เห่อเต็มหน้านะ”

“ทาไปเถอะ พี่รับประกัน”

คนที่ปรุงยามากับมือยืนยันหนักแน่น ทั้งที่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาไม่เคยใช้โอสถที่ความบริสุทธิ์ต่ำเยี่ยงนี้มาก่อน

“งั้นผมถ่ายรูปหน้าผมตอนก่อนใช้เก็บไว้ก่อนดีกว่า เป็นอะไรขึ้นมาจะได้ฟ้องพี่ให้หมดตัว”

ซูเอ๋อร์พูดเล่นแต่ทำจริง เขาหยิบแท่งสื่อสารสารพัดประโยชน์เรียกว่าโทรศัพท์มือถือที่หลี่คุนเห็นคนยุคนี้ติดกันงอมแงมขึ้นมาบันทึกภาพใบหน้าตัวเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เด็กหนุ่มปั้นหน้าหล่อก่อนจะกดถ่ายหนึ่งภาพ จากนั้นก็เปลี่ยนมุมถ่ายจากด้านซ้าย ด้านขวา มุมกด มุมเสย ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มไม่เห็นฟัน ทำปากจู๋ ทำแก้มป่อง ดูหล่อน่ารักแต่ก็เวียนหัวยิ่งนัก กว่าจะได้ทาจริงก็เสียเวลาไปมากมาย

หลี่คุนเริ่มสนใจแท่งสื่อสารที่ซูเอ๋อร์ใช้จึงเอ่ยปากถามขึ้น อีกฝ่ายรีบกุลีกุจออธิบาย

“โทษทีพี่ พอดีพี่ไม่ได้ถามถึงเลยผมก็ลืมบอกไป มือถือของพี่มันหล่นกระแทกตอนถูกรถชนผมเลยส่งไปซ่อมให้ แล้วที่ร้านเพิ่งโทรมาแจ้งว่าพังจนซ่อมไม่ได้น่าจะต้องซื้อใหม่ พี่จะเอายี่ห้อเดิมหรือว่าจะย้ายค่าย ค่ายเดิมผมว่าก็ดีนะใช้ง่ายแต่รุ่นใหม่ราคาแรงมาก พี่จะเอาจอเล็กหรือจอใหญ่  แต่ถ้าย้ายค่ายก็มีตัวเลือกเพียบ จะเอาจอเล็กกลางใหญ่หรือใหญ่มากก็มีหมด ซีพียูแรงมากแรงน้อย หน่วยความจำเอาเท่าไหร่ กันน้ำกันฝุ่นด้วยเปล่า ที่สำคัญคือกล้อง หน้าชัดหลังเบลอ เลนส์ซูมเลนส์ไวด์  ถ่ายในที่มืดได้ พี่บอกมาได้เลยจะเอาสเป็คไหน เรื่องพวกนี้ผมเทพมาก ติดตามตลอด”

หลี่คุนรับฟังจนเวียนหัวไม่กล้าบอกว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย อ้ำๆ อึ้งๆ แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่

“ปกติพี่ก็ไม่ค่อยสนใจพวกเรื่องไอทีอยู่แล้วนี่ หรือจะใช้แบบเดิมไป แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ค่ายจีนนี่กำลังมาแรงเลย ความคุ้มค่าผมให้ห้าดาว เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้เผลอๆ จะแซงหน้าเกาหลีไปแล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงจะโดนอเมริกาสะกัดดาวรุ่ง อาจจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงบริการต่างๆ  ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

หลี่คุนได้ยินก็ปลาบปลื้มที่ลูกหลานเชื้อสายชาวฮั่นกำลังกลับมายิ่งใหญ่ในการค้าแท่งสื่อสารที่เขาคาดว่าน่าจะมีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ ในขณะเดียวกันก็อดเจ็บแค้นแทนมิได้ที่ถูกแคว้นใหญ่ตั้งใหม่ที่เพิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นในยุคหลังใช้กลยุทธ์พิชัยสงครามมากดดัน เขาบอกให้ซูเอ๋อร์พาไปซื้อโทรศัพท์ชั้นหนึ่งของค่ายจีนทันที พอได้มาก็หยิบคลำชื่นชมตลอดเวลาทั้งๆ ที่ใช้แทบไม่เป็น

วันเวลาของหลี่คุนหลังข้ามมายังอนาคตเรียบง่ายและมีความสุขกว่าที่คิด ภาระหนักอึ้งของตระกูลเมื่อเวลาล่วงเลยมากว่าหกร้อยปีก็ไร้ซึ่งความสำคัญอันใด เขาเพียงแต่คิดว่าจะหาเงินอย่างไรในชาตินี้ แต่ละวันหลี่คุนจะง่วนอยู่กับการศึกษาทดลองสมุนไพรไทยที่ซื้อมา สลับกับการอ่านนิยายจีนย้อนยุคที่ซูเอ๋อร์เช่ามาให้ เขาแอบหัดใช้โทรศัพท์ทีละนิดโดยอ้างกับญาติผู้น้องว่าระบบคนละอย่างกับของเดิมทำให้ต้องมาถามเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ใช้กล้องถ่ายรูปเป็นรวมถึงการตอบข้อความถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและรูปดอกไม้สวัสดีตามวันทร์จากท่านพ่อท่านแม่ที่โพ้นทะเลด้วย แม้จะเป็นธรรมเนียมที่แปลก แต่ก็สะดวกสบายกว่าการไปโขกศีรษะคำนับด้วยตัวเองทุกวันตามแบบแผนในชาติก่อนอยู่มาก

สิ่งที่หลี่คุนชื่นชอบมากที่สุดของการใช้ชีวิตในแคว้นนี้คืออาหาร ถ้าเป็นมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นส่วนใหญ่จะพากันออกไปทานข้าวข้างนอก หรือไม่ซูเอ๋อร์ที่มีนัดกับเพื่อนหรือออกไปทำธุระก็จะซื้อมาฝาก ผัดไทย ข้าวขาหมู ข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง กระเพราหมูกรอบไข่ดาว บะหมี่เป็ด ล้วนแต่เป็นซูเอ๋อร์เลือกสรรมาให้ เด็กคนนี้รู้จักเสพสุขในชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านไหนก็มีรสอร่อยกลมกล่อมติดปลายลิ้น ชีวิตที่ไม่ต้องแบกภาระไว้บนบ่ามันช่างสบายยิ่งนัก ช่วงค่ำๆ บางทีหลี่คุนก็นั่งดูงิ้วตู้หลังข่าวเป็นเพื่อน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก แต่มันก็ช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนยุคนี้ขึ้นมาบ้าง ซูเอ๋อร์มักกล่าวถึงนักแสดงงิ้วพวกนั้นอย่างชื่นชม ดูเหมือนว่าหกร้อยปีให้หลัง อาชีพนักแสดงงิ้วที่เคยต้อยต่ำจะกลายเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องทำเงินทำทองได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

ผ่านมาได้สามสี่วันซูเอ๋อร์ก็ตะโกนเสียงดังเข้ามาปลุกพี่ชายตั้งแต่เช้า หลี่คุนที่ทดลองเคี่ยวสมุนไพรกว่าจะได้เข้านอนก็เกือบยามอิ๋นแล้วยังลืมตาไม่ขึ้นได้แต่ส่งเสียงถามออกไป

“เป็นเรื่องใหญ่โตอันใด”

“พี่มาดูหน้าผมสิ ทั้งสิวทั้งรอยแดงหายไปหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเลย ทำไมพี่เก่งอย่างนี้ มามะ มาหอมแก้มที”

หลี่คุนดิ้นหนีการปล้ำจูบของน้องชายที่ดีใจเกินขนาดจนตาสว่าง เขาดึงหูทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้ให้อยู่นิ่งๆ แล้วก็ตรวจสอบอย่างละเอียด ใบหน้าของซูเอ๋อร์ดีขึ้นมากจริงๆ  เขาไม่แปลกใจที่สิวยุบตัวเพราะเมื่อเส้นลมปราณบนใบหน้าเริ่มหมุนเวียนขับของเสียได้แล้ว เพียงรอคอยไม่กี่วันย่อมคืนสภาพมาเป็นปกติ แต่เขาไม่คิดว่ายาสมานแผลความบริสุทธิ์สามส่วนจะออกฤทธิ์ได้เร็วขนาดนี้ บัดนี้รอยแดงบนใบหน้าที่เคยมีจางลงเกือบหมดเผยให้เห็นผิวพรรณแท้จริงของซูเอ๋อร์ที่เนียนใสชมพูระเรื่อเห็นเส้นเลือดฝอยจางๆ หล่อเหลาดังสลักจากหยกเนื้อดี

“พอสิวหายแล้วผมหล่อใช่ไหมล่ะ ที่จริงผมก็เริ่มเอะใจตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว แต่ก็คิดว่าเป็นอุปทาน เมื่อวานยุ่งๆ ไม่ได้สนใจ แค่ทาครีมของพี่ตามปกติ พอเช้านี้ตื่นมาส่องกระจกตอนแปรงฟันผมยังนึกว่าฝันเลย เอ๊ะ หรือว่าเป็นฝัน พี่หยิกผมแรงๆ ที”

หลี่คุนเอามือหยิกแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของซูเอ๋อร์จนหน้ายืดอย่างหมั่นเขี้ยว ถึงแม้ยาตำหรับนี้ของตระกูลหลี่จะล้ำเลิศ แต่ความบริสุทธิ์เพียงสามส่วนย่อมมิอาจให้ผลเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าไพลซึ่งเป็นสมุนไพรไทยที่เขาใส่ไปทดแทนวัตถุดิบตามตำหรับเดิมที่ขาดไปจะช่วยยกระดับยาตำหรับนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

“เดี๋ยวผมถ่ายรูปเปรียบเทียบก่อนหลังไปลงไอจีดีกว่า ไอพวกที่เคยว่าผมเป็นไอหน้าสิวเขลอะจะต้องตาค้างแน่”

ซูเอ๋อร์วิ่งร่าเริงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพใบหน้าตัวอีกรอบ คราวนี้เพิ่มเติมอิริยาบถไปกว่ารอบที่แล้วเป็นสามเท่าเพราะเริ่มมั่นใจในใบหน้าตัวเอง หลี่คุนรับชมจนเวียนหัวไม่ต่างจากเดิม ในที่คนก็เลือกรูปที่คิดว่าดีที่สุดซึ่งถ่ายทั้งก่อนและหลังในมุมเดิมส่งขึ้นไปในไอจีตัวเองพร้อมคำบรรยาย

หลี่คุนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่น้องชายทำนัก เขาค้นเข้าไปในความทรงจำของคุณานนท์แต่ความซับซ้อนของพฤติกรรมคนยุคนี้ที่เกี่ยวข้องกับไอจีมันเกินกว่าที่จะเปรียบเทียบกับการกระทำในยุคของเขาได้ อธิบายได้ดีที่สุดน่าจะเป็นการนำข่าวสาร รูปภาพ หรือบทประพันธ์ความคิดต่างๆ ไปติดไว้บนกำแพงให้มิตรสหายหรือผู้คนที่สนใจเข้ามาอ่านมาดู ถึงจะเปรียบเทียบอย่างนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เห็นได้ชัดว่ารูปภาพหรือข้อความเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญ ดีไม่ดีกลายเป็นการโอ้อวดให้คนหมั่นไส้เสียเปล่าๆ นี่ไม่เท่ากับกินข้าวอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรหรอกหรือ ถึงจะรู้สึกอย่างนั้นแต่ญาติผู้น้องก็ดูจะมีความสุขดี ทุกครั้งที่เสียงเตือนดังขึ้น ซูเอ๋อร์จะรีบเข้าไปอ่านอย่างรวดเร็วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะพิมพ์ตอบในทันที บางครั้งก็มีคนติดต่อเข้ามาสนทนาทางเสียง เด็กหนุ่มก็จะคุยโม้เรื่องความหล่อในชั่วข้ามคืนของตัวเองเสียงโขมงโฉงเฉง เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดช่วงเช้าจนหลี่คุนคร้านที่จะสนใจหนีไปทดลองปรุงยาของตัวเองต่อ

หลังจากนั้นพักใหญ่ ซูเอ๋อร์ก็ตามเข้าไปเอาหัวถูไถกับแขนของหลี่คุนราวกับลูกแมวน้อย บอกว่าบรรดาเพื่อนสนิทของเขาล้วนอยากได้ขี้ผึ้งมหัศจรรย์นี้ หลี่คุนลำบากใจอยู่บ้าง ถึงต้นทุนวัตถุดิบรวมๆ จะไม่ถึงร้อยตำลึงเงิน แต่ก็เป็นโอสถขนานแรกที่เขาได้ทุ่มเทกำลังปรับปรุงสูตรและปรุงขึ้นในชาตินี้ แต่คนเป็นพี่ย่อมสละให้น้องได้ ไม่ต้องพูดถึงท่าทางออดอ้อนน่ารักที่ยากจะต่อต้านนั้น เขาตัดใจหยิบขี้ผึ้งที่เหลือทั้งเก้าตลับส่งให้ ซูเอ๋อร์เมื่อสมหวังก็รีบออกไปหาเพื่อนข้างนอกทันที

หลี่คุนไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปเป็นการหว่านพืชแต่อย่างใด ยิ่งไม่คาดว่าผลที่ได้จะเติบโตงอกงามยิ่ง แต่สรรพคุณของขี้ผึ้งสมานแผลที่บอกกันปากต่อปากในหมู่เพื่อนจะทำให้โพสต์ตั้งต้นในไอจีอันนั้นของซูเอ๋อร์แทบจะระเบิดในอีกไม่กี่วันต่อมา จากแรกเริ่มที่ความเห็นส่วนใหญ่จะเป็นการชื่นชมความหล่อของเด็กหนุ่มพร้อมกับสอบถามคลีนิคหรือศูนย์เลเซอร์ที่ไปทำหน้ามา แต่หลังจากนั้นจะเป็นหมู่เพื่อนที่ได้ขี้ผึ้งไปเข้ามาแสดงความตกใจกับสรรพคุณของมัน บางคนก็เข้ามาแปะรูปก่อนหลังให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งตามด้วยเพื่อนของเพื่อนที่มายืนยันอีกต่อหนึ่ง ในที่สุดโพสต์นี้ก็กลายเป็นร้านขายของ มีแต่คนติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อขี้ผึ้งมหัศจรรย์ที่ว่า แรกๆ เจ้าของไอจีก็บอกปัดไป แต่ในที่สุดก็ต้านความต้องการของชาวเน็ตไม่ไหวเปิดให้ลงชื่อจองไว้ก่อน

หลี่คุนเมื่อได้ทราบข่าวก็หัวร่อฮ่าๆ อย่างยินดี เขากำลังหาช่องทางที่จะค้าขายหาเงินหาทองในยุคนี้อยู่ทีเดียว สองพี่น้องพากันไปเยาวราชอีกครั้งเพื่อเก็บตุนสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบ หลี่คุนตั้งใจจะให้ลูกค้าได้ของที่ดียิ่งขึ้นจึงทุ่มเงินซื้อสมุนไพรที่คุณภาพสูงกว่าครั้งที่แล้วมาชุดใหญ่ ทั้งคู่เก็บตัวอยู่ในห้องช่วยกันเคี่ยวสมุนไพรทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็ปรุงขี้ผึ้งสมานแผลออกมาได้ประมาณสี่ร้อยตลับ หลังจากถกเถียงกันพักใหญ่ก็ตกลงตั้งราคาไว้ที่ตลับละห้าร้อยบาทหรือประมาณยี่สิบตำลึงเงินโดยมีต้นทุนอยู่ที่สิบตำลึงเงิน หลี่คุนไม่ยอมตั้งราคาสูงเพราะกลัวจะสู้กับโอสถปัจจุบันไม่ได้ ในที่สุดโอสถที่รู้จักกันในนามขี้ผึ้งมหัศจรรย์ของน้องซูกัสก็ถูกทะยอยส่งมอบให้กับลูกค้าที่จองไว้ สองพี่น้องเอาของบรรจุหีบห่อฝากส่งไปกับบริการม้าเร็วของสำนักไปรษณีย์กันมือเป็นระวิง หลังส่งให้กับลูกค้าที่จองจนหมดก็ยังมียอดสั่งซื้อใหม่เข้ามาเรื่อยๆ หลี่คุนฝันหวานดีดลูกคิดในใจว่าจะเปิดร้านยาใหญ่โตขึ้นในเมือง มิคาดว่าการทำการค้าในยุคนี้จะง่ายดายถึงเพียงนี้

แต่ฝันหวานของหลี่คุนที่แท้แล้วยังห่างไกลอยู่มาก หรือบางทีอาจมิมีทางไปถึงฝั่งได้เลย เริ่มจากมีคนสงสัยว่าคนที่มาแสดงความชื่นชมครีมในช่วงแรกๆ ที่แท้เป็นหน้าม้าหรือไม่ ยิ่งสืบไปก็ยิ่งพบว่าคนกลุ่มนั้นแล้วแต่เป็นเพื่อนของซูกัส เรื่องก็ลุกลามไปถึงว่าภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังน่าจะใช้แอพตกแต่ง ในขณะที่ความน่าเชื่อถือของสินค้าเริ่มตก ก็มีไอจีอื่นมาโพสต์ขายครีมที่อ้างว่าเป็นขี้ผึ้งมหัศจรรย์ของน้องซูกัสของแท้แต่เพียงผู้เดียวสร้างความสับสนกับลูกค้าเป็นอันมาก ตลับที่หลี่คุนใช้เป็นตลับพลาสติกสีขาวฝาแดงที่มีขายทั่วไปไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่จะแยกของจริงของปลอมได้ ในยุคเดิมของเขานั้น ใช่ว่าจะไม่มีการคดโกงกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าแอบอ้างสินค้าคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ อย่างนี้ จากนั้นก็มีคนโจมตีว่าครีมที่จำหน่ายไม่มี อย. ตามด้วยข้อสงสัยว่าอาจผสมสารปรอทหรือสเตียรอยด์เพราะราคาถูกเกินไป ในที่สุดยอดสั่งซื้อก็หดหาย ลูกค้าทะยอยขอเงินคืน ซ้ำร้ายมีคนมาโพสต์ข้อความว่าใช้แล้วเกิดอาการแพ้ทั้งหน้า ไม่รู้ว่าเป็นอาการดั้งเดิมของตัวเองหรือว่าเพราะไปใช้ยาปลอม แต่ก็จนใจที่จะหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ ในที่สุดไอจีของซูเอ๋อร์ก็โดนถล่มจนต้องหยุดเล่นไป

แม้จะมีลูกค้าที่เห็นผลจากการใช้จริงยังติดต่อขอซื้อของเข้ามาบ้าง แต่หลี่คุนก็ตัดใจเลิกขายทั้งหมด เขาเพิ่งได้รับทราบกฎหมายบ้านเมืองว่าการจำหน่ายยาในยุคนี้ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการก่อนมิฉะนั้นจะมีโทษที่ค่อนข้างร้ายแรง แต่การขึ้นทะเบียนนั้นต้องแจกแจงส่วนประกอบของยาอย่างละเอียด  เช่นนี้ตำหรับยาจะยังคงเป็นความลับได้อย่างไร เมื่อไม่อยากมีปัญหากับทางการแต่ก็ไม่สามารถจด อย. ได้ ก็มีแต่จะต้องยุติการขายอย่างจำยอม

หลี่คุนจ้องมองกองตลับขี้ผึ้งสมานแผลที่ขายไม่ออกแถมยังมีบางส่วนที่รับคืนมาแล้วต้องคืนเงินให้ลูกค้าอย่างปวดใจ ไม่คิดว่าการค้าขายในยุคนี้จะชวนพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ พฤติกรรมของคนบนสังคมเสมือนจริงช่างซับซ้อนแปรเปลี่ยนยากที่จะเข้าใจ เหตุการณ์หนึ่งสามารถขยายตัวเกิดผลกระทบวงกว้างได้อย่างรวดเร็วและไปในทิศทางที่ไม่อาจควบคุมได้ เขาได้แต่สงสัยว่าคนเช่นไรจึงสามารถทำการค้าได้สำเร็จในสภาพที่ผู้คนเป็นแบบนี้ การนี้นอกจากเขาจะขาดทุนอย่างย่อยยับแล้วยังทำให้ชื่อเสียงของซูเอ๋อร์ต้องมามีมลทินไปด้วย

******************

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
«ตอบ #11 เมื่อ24-10-2019 19:20:05 »

5

กลับกลายว่าเด็กหนุ่มอย่างซูเอ๋อร์เป็นคนที่ฟื้นตัวขึ้นมาได้ก่อนหลี่คุนเสียอีก ทีแรกเขาก็เสียใจไม่น้อยที่โดนคนมากมายในอินเตอร์เน็ตมาด่าเสียเทเสียทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่ไม่นานก็คิดได้ว่าทำไมต้องสนใจในเมื่อเขาไม่ได้ไปขอข้าวใครกิน ทั้งที่แค่อยากให้คนที่ติดตามเขาในไอจีได้ใช้ของดีๆ ลูกค้าที่คิดไปเองว่าของมีปัญหาพี่ชายเขาก็คืนเงินให้หมดแล้วไม่ได้ติดค้างอะไรใคร เพื่อนสนิทในกลุ่มที่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นก็มาให้กำลังใจ บอกว่าดีแล้วที่คนอื่นไม่ได้ใช้ขี้ผึ้งมหัศจรรย์นี้ จะได้เก็บไว้หล่อสวยกันเองเฉพาะในกลุ่ม เมื่อปล่อยวางได้เด็กหนุ่มก็ยกเลิกไอจีที่มีปัญหาแล้วไปสมัครใหม่อย่างสบายใจ ไอจีของใหม่เขาไม่ได้ใช้ชื่อซูกัสแล้วเปลี่ยนไปเป็นซูเอ๋อร์แทน มีแต่คนเข้ามาชมว่าชื่อน่ารัก ดูเข้าเทรนด์กับกระแสเอเชียที่กำลังมาแรง

กับเรื่องนี้แม้กระทั่งหลี่คุนก็ยังอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมถึงใช้นามว่าซูเอ๋อร์ในนี้ล่ะ พี่คิดว่าเราไม่ได้ชื่นชมที่จะถูกเรียกขานเช่นนี้เสียอีก”

“ก็นั่นมันตอนที่ผมยังไม่หล่อสิวบานอ่า ตอนนี้หล่อแล้วจะชื่ออะไรก็ดูดีทั้งนั้น ไม่เคยได้ยินเหรอ คนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิด นี่ผมอุตส่าห์ตั้งชื่อนี้เอาใจพี่คุนเลยนะ”

แวบแรกหลี่คุนรู้สึกว่าช่างเป็นตรรกะที่ไร้เหตุผลสิ้นดี ในยุคของเขาความหล่อเหลาของบุรุษหาได้มีความสำคัญเหมือนความงดงามของสตรีไม่ แก่นแท้ของบุรุษล้วนวัดกันที่ความสามารถในเชิงบู๊เชิงบุ๋น ผู้คนมิสนใจหรอกว่าเจ้าจะหน้าตาธรรมดาสามัญไปบ้างหากว่าเจ้าเป็นบัณฑิตผู้ชาญฉลาดหรือเป็นนักรบผู้แกร่งกล้า แน่นอนว่ามีใบหน้าดูดีด้วยก็นับเป็นการแต้มผกาลงบนผืนผ้าดิ้นทอง แต่หากหล่อเหลาจนเกินไปย่อมเป็นที่ริษยาไปทั่ว เหมือนกับสี่บุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์จีนล้วนแต่ไม่มีจุดจบอันดีสักคน

แต่ยุคนี้ต่างออกไป เมื่อตรึกตรองตามคำพูดเชิงขำขันว่าคนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิดนั้นแล้วเขากลับพบว่ามีความจริงบางประการแฝงอยู่  อย่างนักแสดงงิ้วชายหญิงหน้าตาดียิ่งพวกนั้น มิใช่ว่ามีทั้งเกียรติทั้งชื่อเสียงหาเงินหาทองได้มากมายหรอกหรือ ไหนจะสินค้าที่ได้รับความสนใจในชั่วข้ามคืนเพียงเพราะใบหน้าหล่อเหลาของซูเอ๋อร์ ในตอนที่ชื่อเสียงบนไอจีของน้องชายเขาตกต่ำจนถึงที่สุด กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่มิได้รู้จักกันเข้ามาช่วยกันปกป้องด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าหน้าตาดีอย่างนี้ไม่น่าทำเรื่องคดโกงผู้คน หากคนยุคนี้ให้ความสำคัญในเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกถึงเพียงนี้ เห็นทีเขาต้องลงมือส่งเสริมญาติผู้น้องสักครา

หลี่คุนนำตำหรับโอสถประทินโฉมในยุคก่อนมาทดลองคิดค้นดัดแปลงให้เข้ากับสมุนไพรที่มี เมื่อปรุงโอสถเหล่านี้ไปก็นึกถึงยามแปดเก้าขวบที่เขาเริ่มฝึกหัดการปรุงยาและได้พยายามเรียนรู้โอสถเหล่านี้เพื่อนำไปมอบให้กับท่านแม่ที่งดงามของตน ช่างน่าเศร้าที่ท่านอายุสั้นยิ่งนัก หลังทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมาก ผลที่ได้นับว่าไม่เลวเลย แป้งชาดกระชับรูขุมขนกับขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากชมพูมีสรรพคุณไม่ต่างกับสูตรดั้งเดิม น้ำมันบำรุงเส้นผมและขนคิ้วก็เทียบเคียงได้ราวแปดส่วนจากต้นฉบับ  น้ำสกัดสมุนไพรสร้างประกายดวงตาและผงขัดผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใสถึงกับเหนือล้ำกว่าตำหรับเดิม เพื่อให้เหมาะกับซูเอ๋อร์ หลี่คุนจึงใช้ร่างกายตัวเองทดลองปรับสูตรให้พอดีกับบุรุษ ริมฝีปากย่อมต้องไม่ชมพูเกินไปจนเหมือนอิสตรีแต่ควรมีสีส้มเจือระเรื่อดูสุขภาพดี โอสถบำรุงขนคิ้วต้องเข้มข้นขึ้นอีกเจ็ดส่วนเพื่อให้ดูคมเข้มสมชาย

ภายใต้การบำรุงด้วยสูตรลับจีนโบราณหลายพันปีที่คู่ควรกับฮองเฮาและพระสนมชั้นสูงเท่านั้นเพียงไม่กี่วันซูเอ๋อร์ก็ยิ่งหล่อขึ้นไปอีกมาก ด้วยความมั่นใจบวกกับความเห่อในรูปลักษณ์ใหม่ เด็กหนุ่มจึงให้เพื่อนสนิทในกลุ่มมาช่วยถ่ายรูปเก็บไว้มากมายหลายโอกาส หลี่คุนเห็นภาพแล้วยังชื่นชมว่าคนผู้นี้มีฝีมือมิใช่เล่น แม้ตัวเขาจะยังใช้กล้องมือถือถ่ายรูปเป็นเพียงแค่งูๆ ปลาๆ แต่ในชาติก่อนวิชาจรดพู่กันวาดภาพของเขาสูงส่งยิ่ง แม้จะต่างยุคต่างสมัยเขาย่อมต้องเข้าใจว่าอะไรคือความงดงามขององค์ประกอบภาพ รูปพวกนั้นที่ซูเอ๋อร์นำไปลงในไอจีใหม่ของตัวเองได้รับความนิยมเป็นอันมาก ยอดผู้ติดตามสูงขึ้นเรื่อยๆ จนจะกล่าวว่าเขากลายเป็นเน็ตไอดอลไปแล้วก็ไม่ผิด

เขาค้นพบว่าบนดาดฟ้าคอนโดซึ่งตกแต่งเป็นสวนและมีลานกว้างให้ทำกิจกรรมได้เป็นสถานที่ที่เงียบสงบเหมาะที่เขาจะใช้ฝึกกระบวนท่าง่ายๆ ยิ่งในตอนกลางวันที่ยังมีแดดอยู่ก็จะไม่มีผู้คนขึ้นมาเลย หลี่คุนให้นึกแปลกใจมาก แสงแดดที่ทรงพลังร้อนแรงสดชื่นเช่นนี้ ในชาติก่อนหาได้ยากยิ่งนัก ทำไมผู้คนที่นี่จึงไม่นิยมออกมาให้ร่างกายได้สัมผัสความอบอุ่นสว่างสดใสนี้

เนื่องจากไร้ซึ่งกำลังภายใน กระบวนท่าที่หลี่คุนฝึกได้จึงจำกัดอย่างยิ่ง แรกเริ่มเขาฝึกเพียงท่าหม่าปู้หรือท่ายืนนั่งม้า ท่านี้ถือเป็นพื้นฐานของการฝึกยุทธ์โดยแท้จริง แม้คนธรรมดาไม่มีกำลังภายในก็ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงได้ หลี่คุนยืนเท้าขนานกันย่อเข่าลงเล็กน้อยหย่อนก้นคล้ายทรุดนั่งลง โดยระวังไม่ให้ก้นต่ำเกินเข่า จากนั้นกระดกหัวเหน่าไปด้านหน้าเล็กน้อย จัดหลังตรงและศีรษะให้ตั้งตรง ด้วยร่างกายของคุณานนท์ที่ไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อนอีกทั้งยังต้องมาพักผ่อนรักษาอาการเจ็บอยู่นาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยและลมหายใจติดขัดขึ้นมาหลังจากยืนเพียงไม่ถึงห้านาที หลี่คุนต้องอาศัยการตั้งสมาธิและสำรวมลมหายใจทำให้ผ่อนคลายได้มากขึ้นและช่วยให้ความปวดเมื่อยลดน้อยลงได้ เขาแบ่งการฝึกออกเป็นรอบ รอบละประมาณห้านาที ในวันหนึ่งพยายามฝึกได้สี่ห้ารอบ แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลายืนให้มากขึ้นในแต่ละวัน จนในที่สุดก็สามารถยืนต่อเนื่องได้กว่าครึ่งชั่วโมง

เมื่อร่างกายมีความพร้อมมากขึ้นเขาก็เริ่มฝึกกระบวนท่าร่วมด้วย เพียงแต่วิชาที่เลือกมาฝึกหาได้เป็นอะไรที่พื้นฐานสามัญอย่างท่ายืนนั่งม้าไม่ เคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้เป็นสิ่งที่ยอดบรรพชนตระกูลหลี่พยายามรื้อฟื้นขึ้นมาจากวิชาท่าเท้าท่องคลื่นเล่งปอมุ้ยโป่วของสำนักยุทธ์ลึกลับในตำนานที่สาบสูญไปแล้ว แม้จะไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้กำลังภายในลึกล้ำที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชา แต่กลับสามารถค้นคว้าเจ็ดสิบสองตำแหน่งพันหมื่นวิถีผันแปรของกระบวนท่ามาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน ตำแหน่งเท้าส่วนที่สูญหายไปก็มาศึกษาผสานต่อยอดวิชาของตระกูลหลี่เข้าไปแทนจนสามารถใช้ร่ายรำได้ต่อเนื่อง มาตรว่ามิอาจเทียบเคียงได้แม้สักหนึ่งส่วนของยอดวิชาต้นตำหรับที่แท้จริง แต่ก็มีข้อดีที่สามารถฝึกฝนได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานกำลังภายใน บุตรธิดาในตระกูลหลี่ล้วนได้รับการถ่ายทอดท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้จนแคล่วคล่องตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเผชิญสภาวะคับขันจากผู้คิดร้ายอย่างน้อยก็สามารถพลิกพริ้วหลบหนีไปได้ พึงทราบว่าท่าเท้าท่องคลื่นที่แท้จริงนั้นพิสดารสุดประมาณ

‘การเคลื่อนไหวไร้กฎเกณฑ์ เฉกเช่นคับขันคล้ายปลอดภัย เร่งหยุดยากกำหนด ดุจมุ่งหน้าดั่งหวนกลับ’

ต่อให้ท่าเท้าท่องคลื่นน้อยรับถ่ายทอดความล้ำลึกนี้มาได้เพียงเศษอณู หากฝ่ายตรงข้ามมิได้บรรลุวิชาตัวเบาขั้นสูง จะมิอาจแตะต้องตัวบุตรหลานตระกูลหลี่ได้แม้แต่น้อย

ผู้สืบทอดตระกูลหลี่อย่างหลี่คุนย่อมต้องจดจำตำแหน่งเท้าทั้งเจ็ดสิบสองจุดได้อย่างขึ้นใจ เขาเพียงแค่ค่อยๆ ฝึกไปทีละตำแหน่งเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับร่างใหม่ จากความเพียรพยายามฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดทุกวัน ในที่สุดเขาก็ร่ายรำกระบวนท่าได้ครบทั้งเจ็ดสิบสองตำแหน่งเท้า จากนั้นการฝึกพันหมื่นวิถีผันแปรก็นับว่าเป็นเรื่องง่าย การพลิกแพลงเหล่านี้ล้วนอยู่ในหัวของหลี่คุนทั้งสิ้น ร่างใหม่นี้สามารถร่ายรำออกมาได้อย่างไม่ติดขัดแทบจะในทันที

การฝึกท่ายืนนั่งม้าและท่าเท้าท่องคลื่นน้อยทำให้ร่างใหม่ของหลี่คุนมีกำลังขึ้น การนั่งยืนเดินจึงมีความมั่นคงสงบนิ่ง เขาตั้งใจว่าจะให้ซูเอ๋อร์มาฝึกวิชาพื้นฐานพวกนี้ไว้บ้าง แต่เด็กวัยรุ่นอายุสิบหกสิบเจ็ดในยุคนี้ช่างมีกิจกรรมให้ทำมากมายเหลือเกิน ทั้งเรียนพิเศษ เล่นเกมส์ อัพโซเชียล ซ้อมดนตรีกีฬา เขาลองเกริ่นเพื่อหยั่งท่าทีกับญาติผู้น้องดู ก็คล้ายว่าจะไม่มีความอดทนที่จะฝึกฝนเช่นนี้นัก ตรงข้ามซูเอ๋อร์กลับเห็นว่าหลี่คุนเก็บตัวแต่ในคอนโดมากเกินไป ในเมื่ออาการกระดูกซี่โครงหักเกือบจะหายดีแล้ว ควรจะออกไปข้างนอกให้มากขึ้น

เด็กหนุ่มชักชวนแกมบังคับให้ออกไปกินข้าวที่ห้างหรูกับกลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง หลี่คุนพอทราบอยู่บ้างว่าห้างสรรพสินค้าคือหอการค้าขนาดใหญ่ตกแต่งงดงามเป็นแหล่งพบปะของผู้คน ภายในมีทั้งร้านรวงหลากหลาย ทั้งจำหน่ายอาภรณ์ เครื่องประดับ เครื่องประทินโฉม ของสดของแห้ง โรงน้ำชา เหลาอาหาร โรงงิ้วขนาดใหญ่ มากมายสุดจะบรรยาย เขาเลือกเสื้อผ้าสีขาวเรียบง่ายทั้งชุดอย่างที่ชอบ อาภรณ์ในยุคนี้ล้วนออกแบบให้สวมใส่ได้สะดวกไม่ต้องอาศัยบ่าวไพร่มาคอยช่วยให้วุ่นวาย มีปัญหาก็เพียงเรื่องผมเท่านั้น หลี่คุนเริ่มคุ้นตากับผมทรงสั้นที่บุรุษในปัจจุบันไว้กัน แต่จนปัญญาที่จะจัดแต่งให้ดูดี วันอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันปรกหน้าปรกตาไป แต่วันนี้ต้องออกไปพบปะผู้คนภายนอกเขาต้องไว้หน้าตัวเองบ้าง ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็นำกาวสำหรับใส่ผมมาจัดทรงให้จึงเสร็จกระบวนความออกจากบ้านได้

ตลอดช่วงที่เดินทางไปห้างโดยรถไฟฟ้ามีแต่คนมองมาที่คนทั้งคู่จนผิดปกติ ทีแรกหลี่คุนก็ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน เขามัวแต่ระวังที่จะใช้บริการพาหนะที่เหมือนกับหนอนยักษ์นี้ให้ถูกต้องแนบเนียนเหมือนกับคนยุคปัจจุบัน ขั้นตอนการซื้อตั๋วไม่มีอะไรยากเพราะซูเอ๋อร์จัดการให้หมด หลี่คนเพียงแต่รับชมอย่างอัศจรรย์ใจที่สามารถเอาเหรียญไปซื้อตั๋วจากตู้ได้โดยไม่ต้องมีคนขาย แต่พอมาถึงประตูกั้นที่จะต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเองเขาก็เริ่มเหงื่อตก ปากขมุบขมิบท่องขั้นตอนที่แอบซ้อมอยู่คนเดียวเมื่อคืนมาหลายสิบครั้ง สายตาสอดส่องจนเห็นเครื่องหมายลูกเกาทัณฑ์สีเขียวเรืองแสงแสดงว่าเป็นช่องทางที่ถูกต้องแล้วจึงสอดตั๋วเข้าไปอย่างระมัดระวังก่อนจะรับคืนมาด้วยมือที่สั่นเทา ทันทีที่แผงกั้นเปิดออกหลี่คุนรู้ว่ามีเวลาจำกัดยิ่งนัก  เขาใช้พลิกพริ้วร่างกายอย่างพิสดารตามกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพุ่งตัวเข้าช่องทางเล็กแคบไปในใจหวั่นเกรงว่าแผงกั้นจะกระแทกกลับเมื่อใดก็ได้ ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเสียงปิดฉับก็ดังขึ้นไล่หลังตัวคนที่พ้นไปได้อย่างเฉียดฉิว คนที่เดินตามมาด้านหลังถึงกับขยี้ตาอย่างงงงวย เห็นชัดๆ ว่าชายหนุ่มชุดขาวข้างหน้าขยับตัวถอยหลังกลับไฉนร่างกายถึงพุ่งไปข้างหน้าผ่านแผงกั้นไป ไหนเลยที่คนยุคปัจจุบันจะเคยเห็นท่าร่างดุจมุ่งหน้าดั่งหวนกลับของเคล็ดวิชาท่าเท้าท่องคลื่นน้อยนี้ได้

หลี่คุนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกในมือกำตั๋วโดยสารไว้แน่นจนเหงื่อซึม สถานการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้นับว่ายังคับขันกว่าตอนที่เขาบุกตะลุยกับดักค่ายกลเกาะดอกท้อทะเลบูรพาเสียอีก การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเมื่อครู่กับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นยิ่งเรียกสายตาผู้คนให้จ้องมองมาอย่างเปิดเผยจนเขาเริ่มรู้สึกตัว หลี่คุนไม่เข้าใจว่าทั้งที่เขาทำได้แนบเนียนขนาดนี้ทำไมคนพวกนี้ถึงได้จับจ้องคล้ายสงสัย หรือเขาจะเผยพิรุธอะไรออกไปว่าไม่ใช่คนยุคนี้ หลี่คุนพยายามไม่สบตาคนอื่นที่มองมาชวนให้อึดอัด พอลงจากรถไฟฟ้าได้ก็ใช้กระบวนท่าเรียบง่ายพลิกพริ้วหลบหนีสายตาคนไปอย่างแนบเนียนจนซูเอ๋อร์ต้องตะโกนเรียกวิ่งตามแทบไม่ทันเรียกความสนใจจากคนอื่นเข้าไปอีก

“ผิดทางแล้วพี่ ตามผมมาทางนี้เร็วๆ คนเยอะแยะเดี๋ยวหลงกัน ออกประตูนี้ไปก็ถึงแล้ว”

หลี่คุนต้องทุ่มเทสมาธิในการฝ่าด่านแผงกั้นอีกรอบ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาเจอกับกลุ่มเพื่อนๆ ของซูเอ๋อร์ที่นัดกันไว้ ทั้งหมดมีกันสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง ล้วนแต่หน้าดีตามมาตรฐานคนยุคนี้

“เฮ้ย ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย นี่พี่คุน พี่ชายสุดรักเราที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ ”

“สวัสดีครับ/ค่าพี่คุน”

ทั้งสี่คนทำตาโตมองหน้าหลี่คุนอย่างอึ้งๆ แล้วยกมือไหว้พร้อมทักทายประสานเสียงกัน

“พี่คุน นี่เพื่อนๆ ผม ชื่อปังปอนด์ กันดั้ม แอนฟิลด์ แล้วก็แชมเปญ”

“เป็นชื่อที่แปลกยิ่งนัก มีความหมายหรือไม่”

“พี่คุณ ไม่เอาสิ ไหนตกลงกันแล้วว่าออกนอกบ้านจะพูดดีๆ”

ซูเอ๋อร์ส่งเสียงประท้วง

“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซูกัสเล่าให้พวกหนูฟังแล้ว พี่คุนอยากพูดแบบไหนตามสบายนะคะ”

หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างประจบเอาใจ ใครใช้ให้พี่ชายเพื่อนหน้าตาดีถึงเพียงนี้ล่ะ ถึงจะได้แค่ดูแต่ก็ชวนปลาบปลื้มยิ่งนัก เด็กทั้งหมดแย่งกันอธิบายความหมายชื่อเล่นตัวเองอย่างภาคภูมิใจ หลี่คุนรับฟังจนกลัดกลุ้ม พวกเจ้าน่าสงสารยิ่งนัก ไฉนคนเป็นมารดาผู้หนึ่ง ถึงได้ตั้งชื่อลูกเป็นก้อนแป้งอบ หุ่นกระบอกเหล็ก สนามหญ้า หรือสุรามีฟองกันเล่า มิคาดว่าแม้แต่ชื่อน้องชายเขาเองก็มีที่มาจากลูกกวาดเคี้ยวหนึบชนิดหนึ่ง ลองคิดดูว่าหากคนผู้หนึ่งในยุคเขามีชื่อแซ่ว่าถังหูลู่ คนผู้นั้นจะพบหน้าผู้คนได้อย่างไร

“งั้นพี่ขอเรียกขานพวกเราอย่างที่พี่ถนัดได้หรือไม่ พวกเราหากไล่เลียงอายุกันแล้ว จะมีลำดับอย่างไร”

“อ๋อ ก็มีกันดั้มอายุเยอะสุด รองมาก็ปังปอนด์ แอนฟิลด์ แล้วก็หนูค่ะ ซูกัสเด็กสุด”

เป็นแชมเปญเป็นผู้ตอบอีกเช่นเคย

“ดี งั้นพี่จะเรียกพวกน้องเรียงตามอายุว่า เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม น้องสี่ แล้วก็ซูเอ๋อร์ ดีหรือไม่”

ทั้งสี่คนรับคำเออออไปกับการเรียกหาแปลกใหม่ มีแต่ซูเอ๋อร์ที่สงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ชื่อว่าเจ้าห้าตามเพื่อนๆ

“หนูว่าเราย้ายที่ไปคุยกันแอบๆ หน่อยตรงโน้นไหมคะ หรือไม่ก็ไปที่ร้านอาหารเลย อยู่ตรงนี้เหมือนโดนแต่สายตาจิกกัดยังไงไม่รู้”

แชมเปญหรือน้องสี่พูดขึ้น นางมิได้กล่าวเกินจริง ตอนนี้กลุ่มของพวกเขายืนคุยกันอยู่ข้างน้ำตกในร่มผู้คนผ่านมาผ่านไปพลุกพล่านยิ่ง สายตาชื่นชมรายรอบที่จับจ้องหนุ่มๆ โดยเฉพาะหลี่คุนและซูเอ๋อร์นั้นมีการเผื่อแผ่รังสีริษยามาที่ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างนางเป็นระยะๆ

“ก็วันนี้พี่คุนเล่นมาอย่างหล่อ ผมว่าจะทักตั้งแต่ออกจากห้องแล้วว่าชุดขาวทั้งตัวแบบนี้ยังกะดาราเกาหลีแน่ะ เซ็ทผมหน้าใสออร่าพุ่ง เดินด้วยกันผมงี้โคตรดร็อปเลย สาวๆ บนรถไฟฟ้ามองกันตาค้างจนจะตกส้นสูงอยู่แล้ว”

ซูเอ๋อร์บ่นอุบอิบขณะที่กำลังย้ายที่คุย

ที่แท้หลี่คุนเอาตัวเองทดลองยาให้กับญาติผู้น้องจนใบหน้าที่เดิมก็หล่อเหลาอยู่แล้วกลับยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก เมื่อผสมกับบุคลิกองอาจรูปร่างโดดเด่นซึ่งเป็นผลพวงมาจากการฝึกฝนท่ายืนนั่งม้าและท่าเท้าท่องคลื่นน้อยยิ่งทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ความสง่างามในท่วงท่ายามนี้สามารถเทียบเคียงกับในชาติก่อนที่เป็นผู้สำเร็จยุทธ์ขั้นสูงได้ถึงเจ็ดแปดส่วน นับว่ายังเหนือล้ำกว่าบุรุษทั่วไปในยุคนี้นัก

“ว่าแต่ท่านพี่นี่หน้าตาดีมากนะขอรับ ผู้น้องเห็นแล้วยังตกใจ เดิมก็คิดว่าหน้าใหม่ของซูเอ๋อร์นี่ดูดีมากแล้ว ไม่คิดว่าคนเป็นพี่จะยิ่งเหนือล้ำไปกว่า เห็นว่าขี้ผึ้งที่ใช้รักษาหน้าของซูเอ๋อร์นี้ท่านพี่เป็นผู้ปรุงขึ้นใช่ไหมครับ สรรพคุณยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผู้น้องก็ได้แบ่งปันมาหนึ่งตลับ เสียดายว่าเกือบหมดแล้ว”

แอนฟิลด์หรือเจ้าสามหัวไวยิ่ง พอจับทางได้ว่าพี่ชายเพื่อนชมชอบสำนวนแบบนี้จริงๆ ก็อาศัยประสบการณ์ที่นั่งดูหนังจีนเป็นเพื่อนพ่อมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ชิงความได้เปรียบเข้าไปพูดจาประจบประแจงด้วยสำนวนจีนอย่างแคล่วคล่องเพื่อหวังผล หลี่คุนได้ยินก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยขึ้นมาทันที

“พี่ถูกชะตาเรายิ่งนัก เจ้าสาม ขี้ผึ้งเล็กน้อยพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้ เดี๋ยวกลับไปพี่จะฝากซูเอ๋อร์มาให้สักสิบตลับ ทีหลังหากไม่พอก็มาบอกได้”

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็รู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับใคร ก่อนหน้านี้กว่าจะได้ขี้ผึ้งมาใช้สักตลับ ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบซูกัสเสียมากมาย ยิ่งตอนหลังหยุดขายเด็ดขาดแม้ว่ามีเงินก็หาซื้อไม่ได้ แต่นี่เจ้าสามแค่พูดประโยคเดียวกลับได้มาถึงสิบตลับ เมื่อเห็นเช่นนั้นทั้งเจ้าใหญ่เจ้ารองและน้องสี่จึงกรูกันเข้าไปพูดจาสำนวนหนังจีนผิดมั่งถูกมั่งเอาใจหลี่คุนเพื่อหวังจะได้ขี้ผึ้งโดยไม่เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย ซูกัสที่กลายเป็นอยู่วงนอกมุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจ จริงอยู่ที่เขาอยากให้พี่ชายเข้ากับเพื่อนๆ ของเขาได้ แต่นี่มันเข้ากันได้ดีเกินไปจนเขาที่เป็นน้องตัวจริงจะตกกระป๋องอยู่แล้ว

เด็กๆ ตกลงไปทานสุกี้ร้านดังซึ่งถูกใจหลี่คุนมาก เขาไม่เคยเห็นหม้อไฟอะไรที่ใส่เครื่องหลากหลายอย่างนี้ ที่สำคัญคือน้ำจิ้มกลมกล่อมครบรส ยิ่งถ้าเติมพริกตำกระเทียมตำกับน้ำมะนาวลงไปยิ่งอร่อย หลังจากทานกันเสร็จ น้องสี่ก็ชวนทุกคนไปซื้อหาเสื้อผ้ากัน ทีแรกเจ้าใหญ่เจ้าสามและซูเอ๋อร์ทำท่าจะหลบเลี่ยงไป  แต่เมื่อน้องสี่ประกาศว่าจะพาหลี่คุนไปเลือกเสื้อผ้าที่สมกับความหล่อทุกคนก็สนใจตามไปด้วย จากคำบอกเล่าของซูเอ๋อร์ หลี่คุนได้ทราบว่าน้องสี่จัดว่ามีรสนิยมด้านเสื้อผ้าที่สูงล้ำกว่าวัยสิบหกสิบเจ็ดนัก ความสามารถอันนี้ได้มาจากมารดาที่เป็นนักออกแบบเสื้อผ้ามีชื่อ เด็กสาวพาชายหนุ่มกลุ่มใหญ่เข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อเลือกเฟ้นชุดที่เข้าตาให้ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดของกลุ่มลองสวม พนักงานถึงกับตื่นตะลึงเมื่อเห็นหลี่คุนสวมชุดออกมาจากห้องลองเสื้อ พวกเขาไม่นึกเลยว่าเสื้อผ้าสีขาวที่ดูเรียบๆ เวลาอยู่บนไม้แขวนหรือหุ่นโชว์เสื้อพอถูกสวมใส่โดยชายหนุ่มผู้นี้กลับดูดีดูแพงราวกับมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงหลายเท่า หากสามารถแอบถ่ายรูปเอาไปทำเป็นโฆษณาได้ มิทราบว่าลูกค้าจะแย่งชิงเสื้อผ้าพวกนี้ขนาดไหน หรือว่าจะเป็นดาราฮ่องกงไต้หวันนึกสนุกมาเดินเที่ยวห้างเมืองไทย

หลี่คุนคล้อยตามรสนิยมการเลือกเสื้อผ้าของน้องสี่จนเผลอซื้อชุดโทนสีขาวหลายตัวคิดเป็นหลายร้อยตำลึงเงิน พอรู้สึกตัวอีกทีก็ให้ปวดใจยิ่งนัก กลับไปต้องคิดช่องทางหาเงินหาทองให้ได้โดยเร็ว มิฉะนั้นก็จะมีแต่เงินออกไม่มีเงินเข้าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

เพื่อนๆ ของซูกัสชื่นชมหลี่คุนเป็นอันมาก ในด้านรูปลักษณ์นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแซงหน้าซูเอ๋อร์ซึ่งขึ้นแท่นเน็ตไอดอล อัธยาศัยก็เปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตรไมตรี มีท่าทีสง่าน่ายำเกรงของความเป็นผู้นำแต่ก็ยิ้มง่ายเมื่อเจออาหารหรือเสื้อผ้าถูกใจชวนให้ผู้คนใจละลาย แม้จะชอบพูดจาด้วยสำนวนจีนย้อนยุคแต่ก็ถือว่าเป็นความพิเศษให้รู้สึกสนิทชิดเชื้อกันในกลุ่มยิ่งขึ้น ปังปอนด์หรือเจ้ารองซึ่งมีงานอดิเรกเป็นตากล้องฝีมือดีหมายมั่นปั้นมือว่าจะขอร้องพี่ชายเพื่อนคนนี้ให้มาเป็นนายแบบสักคราหนึ่ง เขาถึงกับกังวลล่วงหน้าว่าฝีมือการถ่ายภาพและอุปกรณ์กล้องชั้นเลิศที่มีอาจไม่เพียงพอที่จะถ่ายทอดความหล่อเหลาองอาจสง่าผ่าเผยของหลี่คุนอย่างที่ตาเห็นออกมาได้

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
«ตอบ #12 เมื่อ24-10-2019 20:02:13 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 5] 24/10/2019
«ตอบ #13 เมื่อ25-10-2019 07:28:01 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 6] 25/10/2019
«ตอบ #14 เมื่อ25-10-2019 13:27:11 »

6

ซูเอ๋อร์กลายเป็นเด็กติดโซเซียลไปแล้ว

มันเริ่มมาจากกระแสความดังของเขาในฐานะเน็ตไอดอลหน้าใหม่ ฐานแฟนคลับเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ รูปถ่ายเท่ๆ น่ารัก น่าเอ็นดู ของเด็กหนุ่มวัยสิบหกจากฝีมือตากล้องวัยเดียวกันถูกแชร์ผ่านไอจีเรียกไลค์เรียกคอมเม้นท์กันไม่เว้นแต่ละวัน ซูกัสกับปังปอนด์ที่เป็นตากล้องพากันตระเวนไปหาโลเคชั่นถ่ายรูปสวยๆ กันเป็นประจำ คนเป็นนายแบบก็เห่อหน้าใหม่ของตัวเอง คนเป็นช่างภาพก็กระหายอยากโชว์ฝีมือ บางครั้งเด็กๆ ก็ชวนหลี่คุนออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างซึ่งก็โดนปังปอนด์แอบถ่ายรูปทีเผลอเก็บไว้ไม่น้อย

หลี่คุนไม่เข้าใจว่าเด็กสองคนนี้จะทำไปให้เหนื่อยไปทำไม เป็นเน็ตไอดอลที่ว่าแล้วมันดียังไง จนกระทั่งซูเอ๋อร์ต้องมาอธิบายให้ฟัง

“อย่างนี้นะพี่คุน พอเป็นเน็ตไอดอลคนก็รู้จักเราเยอะใช่มะ แล้วก็มาติดตามเรา เราจะโพสต์อะไรทำอะไรคนก็จะเห็น ที่นี้เราก็รับงานได้ แค่เขียนรีวิวหรือโฆษณาสินค้า ก็ได้ตังค์แล้ว ถ้าอยากได้เงินเยอะขึ้นเราก็รับสินค้ามาขายเองเลย พวกครีม อาหารเสริม วิตามิน แล้วต่อไปถ้าดังมากๆ ก็จะมีคนจ้างไปโชว์ตัว ออกอีเวนท์ ได้เงินเป็นกอบเป็นกำเลยนะ ผมจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพี่ที่ขาดทุนตอนทำขี้ผึ้งดีไหมล่ะ”

หลี่คุนจึงค่อยเข้าใจ เช่นนี้เน็ตไอดอลก็คือคนมีชื่อเสียงนั่นเอง อาจจะคล้ายในยุคเขาที่มีการเฟ้นหาหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองซึ่งไม่เพียงเพียบพร้อมไปด้วยความงาม ยังต้องแตกฉานในศิลปะแขนงเอกทั้งสี่ของจีนอันได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน และวาดภาพอีกด้วย พอคิดได้อย่างนี้เขาก็รู้สึกว่าหากเน็ตไอดอลใช้ใบหน้าของตัวเองในการหาเงินหาทอง แล้วจะต่างอะไรกับนางคณิกาขายศิลปะตามหอนางโลมเล่า หากผู้คนสามารถจ่ายเงินเพื่อมายลโฉมหน้าฟังเจ้าดีดสีตีเป่าหรือร่ายรำได้อยู่ทุกค่ำคืน ถึงจะเก็บเงินเก็บทองได้มากมายแต่คุณค่าของเจ้าจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร มาตรแม้นว่ามิได้ขายเรือนร่าง แต่สุดท้ายก็คงถูกเศรษฐีประมูลไปเป็นอนุอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับคุณหนูสกุลใหญ่ที่เฝ้ารักษาเนื้อตัวชื่อเสียงมิให้ถูกแพ้วพาน เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ก็จะได้รับเกียรติขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานเป็นภรรยาเอกของขุนนางหรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์ ยามนั้นสินสอดคงยาวเรียงรายไม่รู้กี่สิบหาบ ดีดลูกคิดแล้วอย่างไรก็คุ้มค่ากว่ามาก

เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชาติก่อนจนได้ข้อสรุป รวมกับประสบการณ์ไม่ดีตอนปรุงขี้ผึ้งขาย หลี่คุนจึงสั่งกำชับซูเอ๋อร์อย่างเด็ดขาดว่าห้ามรีวิวหรือขายสินค้าใดๆ เด็ดขาด

“ขนาดของของพวกเราเอง ยังเกิดปัญหาตั้งมากมาย แล้วเราจะไว้ใจของๆ คนอื่นได้อย่างไร ห้ามรับงานใดๆ เด็ดขาด เมื่อใดที่ผู้คนรู้สึกว่าซูเอ๋อร์ได้ประโยชน์หรือเงินทองจากพวกเขา ความเกรงใจย่อมหมดไป เราชอบทางนี้ย่อมต้องถนอมตัวให้ดี รักษาชื่อเสียงอย่าให้ด่างพร้อย อย่าไปหวังเงินทองเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาย่อมได้ทรัพย์ก้อนใหญ่กลับมาในคราเดียว”

ซูเอ๋อร์ได้ยินก็งุนงงไม่เข้าใจว่าหลี่คุนหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบการเชียร์สินค้าอะไรมั่วซั่วอยู่แล้ว ที่พูดไปเพราะอยากช่วยจริงๆ แต่ถ้าพี่ชายเห็นว่าไม่เหมาะเขาย่อมต้องเชื่อฟัง จริงๆ ซูกัสมองแฟนๆ ที่ติดตามว่าเป็นเพื่อนไม่ใช่ลูกค้าอยู่แล้ว นอกจากลงรูปตัวเอง ถ้าไปเจออะไรดีๆ ก็จะเอามาแบ่งปันกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สวยๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ร้านอาหารอร่อยที่แอบซ่อนตามมุมหลืบ เคล็ดลับในชีวิตประจำวันที่น่าสนใจ หรือกิจกรรมดนตรีกีฬาดีๆ แฟนคลับของเขาจึงน่ารักและมีความสัมพันธ์ที่สนิทใจกัน

ในบรรดาคนที่ติดตามไอจีของซูกัส มีไม่กี่คนที่เด็กหนุ่มจะติดตามกลับ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นบอท!!!

บอทคืออะไรเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่หลี่คุนจะเข้าใจ จากที่ซูเอ๋อร์ปากเปียกปากแฉะอธิบายให้ฟังอยู่หลายรอบ บอทดูเหมือนจะเป็นใครก็ไม่รู้ที่สวมบทบาทของคนมีชื่อเสียงอย่างพวกศิลปินดารานักร้องหรือแม้กระทั่งตัวการ์ตูน เพื่อไปคุยกับคนอื่นๆ ผ่านทางอินเตอร์เน็ตเหมือนว่าตัวเองเป็นศิลปินคนนั้นจริงๆ

จะทำไปเพื่อ?

หลี่คุนอยากตะโกนระบายความไม่เข้าใจออกมาดังๆ โลกของอินเตอร์เน็ตก็ดูไม่ใช่ความจริงสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่นี่ยังปลอมตัวเข้าไปคุยกับคนที่ก็รู้ว่านี่เป็นตัวปลอม ลวงในลวง งงในงง

บอทที่ซูเอ๋อร์คุยส่วนตัวด้วยจนติดเป็นบอทของแฮ็คส์ศิลปินนักร้องนักแสดงชายที่มีชื่อเสียง ชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอายุน้อยด้วยการตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ กลายเป็นขวัญใจของเด็กวัยรุ่นมากมาย ซูเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชื่นชมผลงานของแฮ็คส์มาตั้งแต่ก่อนมอต้น ปัจจุบันแฮ็คส์ก็ยังมีผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงงานแสดงในหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องด้วย นักร้องหนุ่มไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวของตัวเองมากนัก มีข่าวลือว่าเขาเป็นลูกชายของนักธุรกิจใหญ่ชาวต่างชาติที่เข้าวงการมาด้วยใจรัก ไม่ได้สนใจชื่อเสียงเงินทองเท่าไรนัก

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมซูเอ๋อร์ถึงชอบคุยกับบอทอะไรนี่นัก แต่ก็เห็นว่าแค่คุยผ่านตัวหนังสือทางอินเตอร์เน็ตก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร หลี่คุนจึงเพียงแค่ให้ญาติผู้น้องรับปากว่าจะไม่ไปเจอกับอีกฝ่ายจริงๆ เขากลัวว่าคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้นอาจถือโอกาสคิดร้ายกับซูเอ๋อร์ซึ่งยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งตามมาตรฐานของยุคนี้

ในบรรดารูปที่ซูเอ๋อร์ลงในไอจี มีอยู่รูปหนึ่งซึ่งเขาเซลฟี่ตัวเองแล้วบังเอิญถ่ายติดหลี่คุนเป็นฉากหลังไม่ถึงกับชัดนักไปด้วย กลายเป็นว่าภาพนั้นได้รับยอดไลค์สูงจนเป็นสถิติใหม่ คอมเม้นท์แปลกๆ ผุดขึ้นจนตามอ่านแทบไม่ทัน

‘เอ๊ะ ข้างหลังนั่นใคร อะไร ยังไง’

‘แค่เห็นลางๆ ยังรู้ว่าหล่อ’

‘หือออออออ เค้าเป็นใครเหรอจ๊ะซูน้อย’

‘อยู่บ้านเดียวกัน!!!!!’

‘งานดีคูณสอง อิป้านี่เลียจอเลยจ๊า’

‘ขอวาร์ปพี่ข้างหลังด้วย’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
.
.
.
.
.

คอมเม้นท์ทำนองนี้ล้นหลามจนซูกัสต้องออกมาดับกระแส

‘หยุดมโนครับ!!! พี่คุนเป็นพี่ชายซูเอ๋อร์เอง หวงมากด้วย ห้ามพี่ๆ แทะโลมนะครับ ^^’

‘รักพี่คุนรัวๆๆ’

‘พี่ชายแซ่บเว่อร์อ่ะเอ๋อร์ ไหนเรียกพี่สะใภ้สิคะ

‘ขอรูปคุณพี่ชายเพิ่มนะน้องซูกัส ด่วนๆๆๆ’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
‘+1’
.
.
.
.
.

บรรดาแฟนคลับพากันกดดันจนซูเอ๋อร์แทบร้องไห้ ส่วนหนึ่งก็อยากเอาใจแฟนๆ อีกส่วนก็ไม่อยากเก็บพี่ชายไว้จนหล่อเสียของ ในที่สุดก็ต้องมาขอร้องหลี่คุนเอารูปที่ปังปอนด์เคยแอบถ่ายทีเผลอเก็บไว้ไปลงในไอจีตัวเองเพื่อลดกระแสความอยากรู้อยากเห็นของเหล่าผู้ติดตาม หลี่คุนมิได้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด เขาไม่ใช่สตรีที่ต้องคอยมาระวังว่าโฉมหน้าตัวเองจะปรากฎต่อสายตาผู้คนจึงตอบตกลงไป เป็นเด็กอย่างซูกัสกับปังปอนด์เสียอีกที่เข้าใจพฤติกรรมของคนบนอินเตอร์เน็ตมากกว่า ทั้งคู่จึงเลือกรูปสวยๆ เท่ๆ ของหลี่คุนที่ไม่เห็นหน้าชัดมากสี่ห้ารูป เอาไปทะยอยโพสต์บนไอจีของซูกัส

ผลตอบรับที่ได้เกินคาดไปมาก จำนวนผู้ติดตามของซูเอ๋อร์พุ่งทะยานขึ้นไปแตะที่หลักแสนคน จำนวนอาจไม่เยอะเหมือนเน็ตไอดอลสายยั่วหรือสายเถื่อน แต่ก็ดูมีคุณภาพมากกว่า แถมยังผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น  แม้จะได้ชมรูปคุณพี่ชายตามที่ขอ แต่กระแสความสนใจในตัวหนุ่มหล่อคนนี้ยังไม่ซาลง ถึงซูเอ๋อร์จะไม่อิจฉาอะไรในตัวพี่ชายสุดรักแม้แต่น้อย แต่ก็เริ่มรู้สึกรำคาญจนอยากจะไล่หลี่คุนให้พ้นๆ ไปเปิดไอจีของตัวเองซะที

กลับเป็นปังปอนด์ตากล้องกับแชมเปญลูกสาวดีไชเนอร์ที่อยากจะเกาะกระแสนี้ต่ออีกหน่อย ทั้งคู่เสนอโครงการที่จะเอาชุดในร้านของแม่แชมเปญมาให้หลี่คุนถ่ายแฟชั่นเซ็ทเพื่อเอาไปลงในไอจีของซูเอ๋อร์ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อการโฆษณา แต่เป็นความอยากที่จะผสมผสานนายแบบที่ดูดีจนไม่น่าเชื่อกับเสื้อผ้าดีไซน์เรียบหรูตัดเย็บปราณีตและฝีมือการถ่ายภาพของเด็กหนุ่มตากล้องที่ไม่ธรรมดา เอาไปถ่ายทอดเพื่อดูความเห็นและเสียงตอบรับจากฐานแฟนคลับที่มีคุณภาพของซูเอ๋อร์

พวกเด็กๆ พากันวางแผนเตรียมการเพื่อให้โครงการนี้ออกมาดีที่สุด เสื้อผ้าหน้าผมสถานที่ถูกเลือกเฟ้นมาอย่างดี หลี่คุนเห็นความตั้งใจของน้องๆ ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ในที่สุดแฟชั่นเซ็ทที่คัดแล้วคัดอีกจำนวนสิบภาพก็ถูกโพสต์ลงในไอจีของซูเอ๋อร์ สามรูปในนั้นมีซูกัสถ่ายร่วมด้วยในธีมพี่ชายน้องชายที่ดูอบอุ่น

เพียงไม่กี่นาทีหลังเผยแพร่ภาพออกไป ไอจีของซูเอ๋อร์ก็ลุกเป็นไฟ แม้ทุกภาพที่ลง หลี่คุนจะวางตำแหน่งหน้าในมุมที่ไม่เห็นเต็มๆ แต่ก็ไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาที่เกินธรรมดาไปได้ เกิดเป็นข้อสงสัยว่าจะมีคนที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงคำว่าเพอร์เฟคท์ขนาดนี้ด้วยหรือ ถึงกับมีคนเซฟรูปของหลี่คุนที่ซูมใบหน้างดงามในแบบบุรุษใกล้ๆ ไปตรวจสอบโดยวิธีทางนิติวิทยาศาตร์ เขาใช้การวิเคราะห์รูปแบบการกระจายตัวของน๊อยซ์ที่เกิดจากเซนเซ่อร์ของกล้อง ว่าถูกรีทัชบริเวณใบหน้ามาหรือไม่ สุดท้ายก็ออกมายืนยันว่าใบหน้าที่เรียบเนียนคมสันเปล่งประกายราวกับหยกสลักนี้ไม่ได้ถูกปรับแต่งมาแม้กระทั่งการลบริ้วรอยไฝฝ้าใดๆ

นอกจากกระแสในไอจีแล้ว รูปของหลี่คุนยังถูกส่งต่อไปตามสื่อโซเชียลต่างๆ เรียกกระแสนิยมไปทั่ว ท่วงท่าที่สง่างามองอาจต่างจากนายแบบทั่วไปทำให้เสื้อผ้าที่เน้นส่งเสริมบุคลิคผู้นำบรรลุแก่นแท้ที่ดีไซเนอร์ต้องการจะสื่อ ถึงจะไม่ได้เปิดเผยหรือโฆษณาว่าเสื้อผ้าที่หลี่คุนสวมมาจากไหน แต่ด้วยการออกแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คนในวงการแฟชั่นระบุได้ว่าเป็นของแบรนด์ใด เมื่อข้อมูลอันนี้หลุดออกไปในอินเตอร์ก็มีคนจำนวนมากสนใจจะซื้อหา แต่ก็ต้องถอดใจเมื่อทราบระดับราคาที่เกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป

แต่ผลกระทบในเรื่องนี้กลับออกมาแปลกๆ แม่ของแชมเปญบอกว่าเสื้อผ้าคอลเลคชั่นเดียวกันกับที่หลี่คุนใช้ถ่ายแบบ จากเดิมที่ขายได้เรื่อยๆ ตอนนี้กลับขายยากขึ้น ลูกค้าที่หน้าตาธรรมดาเหมือนจะไม่มีใครกล้าซื้อไปใส่ ที่ขายได้บ้างก็ล้วนแต่เป็นลูกค้าที่หน้าตารูปร่างโดดเด่น และถึงกับมีดารานักร้องชื่อดังมากว้านซื้อไปทั้งคอลเลคชั่นเลยทีเดียว สรุปรวมแล้วถึงจะทำให้สินค้าขายไม่ออกค้างสต๊อคอยู่ไม่น้อย แต่แบรนด์กลับได้ชื่อเสียงจากการที่มีดาราและไฮโซหน้าตาดีเอาไปใส่ออกงานใหญ่ๆ พอมีคนจำได้ กระแสความดังของหลี่คุนและแบรนด์เสื้อผ้าก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ความอยากรู้อยากเห็นว่าที่แท้แล้วหลี่คุนคือใครหนักหน่วงมากขึ้นทุกที มีทั้งการขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว ทั้งเสียงเรียกร้องให้เข้าวงการไปเลย จนเรื่องราวลุกลามมากขึ้นทุกที หลี่คุนจะไปไหนมาไหนกลายเป็นต้องสวมมาสก์ปิดปาก ซูเอ๋อร์ที่เปิดเผยตัวตนจนเป็นที่รู้จักมากกว่าก็ต้องคอยปฏิเสธที่จะตอบเรื่องพี่ชายจากคนมากหน้าหลายตา เพื่อไม่ให้เรื่องใหญ่โตไปมากกว่านี้ ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็เอาข้อความมาโพสต์ในไอจี

‘พี่ชายของผมเป็นแค่มือสมัครเล่นฮะ เวลานี้ยังไม่ได้สนใจที่จะเข้าวงการหรือทำงานแนวนี้ พี่ชายฝากขอบคุณและดีใจมากกับความชื่นชมที่ทุกคนมีให้ _/|\_ แต่ตอนนี้เขายังมีภาระหลักที่ต้องไปฝึกงานและเรียนหนังสือต่ออีกหนึ่งปีซึ่งค่อนข้างหนัก ขอให้ทุกคนให้กำลังใจและสนับสนุนความตั้งใจนี้ของพี่ชายด้วยครับ หากมีโอกาสก็อาจจะมีผลงานเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันใหม่ ^^’

ข้อความสั้นๆ ข้อความเดียวแต่ซูเอ๋อร์กับเพื่อนๆ คิดแล้วคิดอีกจนแทบหัวแตก ถ้าทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกร้องของแฟนคลับก็อาจจะถูกหมั่นไส้เอาได้ง่ายๆ ในที่สุดก็คิดได้ว่า พี่คุนยังเป็นนักศึกษาอยู่ ถ้าอ้างเรื่องเรียนคนไทยอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญ เรียกว่าไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ถึงกับปฏิเสธ แถมยังทิ้งเชื้อไว้นิดๆ เผื่อเปลี่ยนใจ เหล่านี้ล้วนลอกเลียนมาจากการให้สัมภาษณ์ของพวกดาราทั้งสิ้น

โชคดีที่สุดท้ายบรรดาแฟนคลับก็เข้าใจ ต่างคนต่างฝากให้กำลังใจหนุ่มสุดหล่อในเรื่องเรียน ทั้งยังช่วยปรามกันเองหากจะมีใครยังคิดที่จะขุดคุ้ยจนกระทบความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีก หลี่คุนได้ฟังจากพวกเด็กๆ ว่าเรื่องราวจบลงด้วยดีก็โล่งใจ เขารู้สึกว่าผู้คนในยุคอนาคตที่เขาข้ามเวลามาอยู่นี้ อันที่จริงก็มีคนดีๆ อยู่มาก

แต่เขาลืมไปว่าคนไม่ว่าจะที่ไหนสมัยใดก็มีดีชั่วปนกัน ถ้าโชคดีได้พบพานแต่คนดีก็ดีไป แต่ถ้าบังเอิญต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนชั่ว ก็นับว่าโชคร้ายแล้ว ความโชคร้ายที่ว่าเริ่มขึ้นจากคลิปๆ หนึ่ง

“แฉวินาทีไฮโซทายาทหลายพันล้านเมาขับซุปเปอร์คาร์ฝ่าไฟแดงชนคนกระเด็นกลางทางม้าลาย (มีคลิป)”

ออฟไลน์ oiw08

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 6] 25/10/2019
«ตอบ #15 เมื่อ25-10-2019 22:50:55 »

สนุกมากเลยค่ะ​ หลี่คุณกับซูเออร์น่ารักกก
ว่าแต่พระเอก​สงสัยค่าตัวแพง​เลยยังไม่โผล่​ อิอิ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
«ตอบ #16 เมื่อ26-10-2019 14:44:57 »

7

“แฉวินาทีไฮโซทายาทหลายพันล้านเมาขับซุปเปอร์คาร์ฝ่าไฟแดงชนคนกระเด็นกลางทางม้าลาย (มีคลิป)”

คลิปวิดีโอที่ถ่ายให้เห็นภาพรถสปอร์ตสีเหลืองสดคันหรูโผล่มาจากมุมอับของกล้องชนเข้ากับชายหนุ่มที่กำลังข้ามถนนตรงทางม้าลายจนล้มไปด้านข้างก่อนจะวิ่งหายไปโดยมองเห็นแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลังพออ่านตัวเลขได้ลางๆ ถูกแชร์ผ่านโชเชียลเน็ตเวิร์คจนกลายเป็นประเด็นร้อนภายในชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่าคนขับรถที่คนโพสต์คลิปอ้างว่าเป็นไฮโซหนุ่มชื่อดังนั้นที่แท้เป็นผู้ใด

ไม่นานก็มีคนมาเฉลยว่าเจ้าของรถคือแบงค์บุตรชายคนสุดท้องของนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ ไฮโซหนุ่มคนนี้เดิมก็เป็นที่สนใจของสื่ออยู่แล้วเพราะหน้าตาดีมีความสามารถทางด้านดนตรี โดยเป็นถึงนักเปียโนผู้มีพรสวรรค์ที่มีฐานแฟนคลับอยู่ไม่น้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่นานมานี้ก็เพิ่งเปิดตัวเตรียมสืบทอดธุรกิจจากผู้เป็นพ่อ พอมีคลิปนี้ออกมาเลยโดนพุ่งเป้าจากคนในอินเตอร์เน็ตทันที ยิ่งเจ้าตัวไม่ได้ออกมาปฏิเสธแถมมีมือดีเข้าไปขุดรูปในเฟสบุ๊คออกมายืนยันอีกว่าเขาใช้รถรุ่นนี้สีนี้อยู่จริง ผู้คนก็ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก โดยเฉพาะเรื่องเมาแล้วขับกับชนคนแล้วไม่หยุดรถลงมาช่วยเหลือ ในที่สุดก็เริ่มลุกลามเป็นประเด็นใหญ่โตจนส่งผลกระทบต่อแผนการสืบทอดกิจการจากบิดา ยังดีที่มีกลุ่มแฟนคลับออกมาแก้ต่างให้ช่วยลดกระแสลงสังคมไปได้บ้าง

ไฮโซหนุ่มหงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก เขาเรียกทนายความประจำตระกูลคนที่เป็นผู้จัดการเรื่องนี้มาตำหนิอย่างไม่เกรงใจอายุอานามรุ่นลุงของอีกฝ่าย

“จัดการยังไงเรื่องถึงไม่จบ ทำงานไม่คุ้มเงินซะเลย นี่พวกตาแก่ในบอร์ดบริหารก็เริ่มพูดกันแล้วว่าผมน่าจะยังเด็กเกินไปอยากให้ชะลอการแต่งตั้งไปก่อน จ้องหาเรื่องอยู่แล้วสิไม่ว่า”

“ขออภัยคุณชายอย่างสูงครับ ตอนนั้นผมเคลียร์หมดแล้วจริงๆ ทางคนเจ็บก็ถูกเราบีบให้รับเงินแลกกับลงชื่อในคำให้การยอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายตัดหน้ารถคุณชายเอง กล้องวงจรปิดของอาคารย่านนั้นก็ถูกลบออกหมด สำนวนตำรวจก็เขียนเข้าข้างทางเรา”

ชายสูงวัยกว่าพยายามอธิบายอย่างอดทน นายน้อยของเขาคนนี้มีความสามารถทางธุรกิจและดนตรีที่โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก มันเป็นความแตกต่างจะไฮโซลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นคนอื่น ไม่แปลกใจเลยที่เจ้านายใหญ่จะมองข้ามหัวลูกชายคนโตจากภรรยาเก่าเตรียมส่งมอบธุรกิจให้ แต่ข้อเสียคือความเอาแต่ใจ ชอบดูถูกไม่เห็นหัวคนอื่น แถมด้วยความเจ้าอารมณ์แปรปรวนง่ายคาดเดาไม่ถูกแบบพวกศิลปิน

“แล้วคลิปบ้านี่มันโผล่ขึ้นมาได้ยังไง ไอคนที่โดนชนมันปล่อยออกมาหรือเปล่า”

“ไม่น่าใช่นะครับ คนที่โดนชนเป็นนักศึกษาธรรมดาท่าทางไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ออกจะพูดจาเพี้ยนๆ หน่อย พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยคงทำเรื่องใหญ่ไม่ได้ ตอนนั้นโดนผมขู่ไปตั้งเยอะ ไม่น่าจะกล้าทำแบบนี้ ถ้าเขามีคลิปนี้อยู่ ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้”

“หึ มันอาจใช้เงินจนหมดแล้วโลภอยากได้เพิ่มล่ะสิ ไอพวกคนจนๆ ก็งี้ งั้นไม่ต้องสืบต่อแล้ว ผมจะใช้คำสารภาพที่มันเซ็นไว้ออกมาโชว์ให้ทุกคนเห็นเพื่อเคลียร์ภาพลักษณ์ แล้วก็จะฟ้องมันกลับให้คืนเงินที่ได้ไป สังคมจะได้เห็นว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ”

ทนายเฒ่าขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่เรื่องคลิปที่เกิดขึ้นนี้ผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะใช่ฝีมือของนักศึกษาคนนั้นหรอก อาจจะเป็นพวกคู่แข่งทางธุรกิจก็ได้ ให้ผมสืบต่อให้ละเอียดก่อนเถอะครับคุณชาย ไม่งั้นอาจลงมือผิดคน”

“ช่างมันปะไร ชื่อเสียงผมเสียหายขนาดนี้รอได้ที่ไหน ก็ใครใช้ให้มันเดินทะเล่อทะล่าข้ามถนนตอนนั้นล่ะ ถ้าไม่มีมันซะคนคงไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องน่ารำคาญแบบนี้หรอก ไปจัดการซะ”

ด้วยเหตุนี้จึงมีจดหมายจากสำนักงานทนายความชื่อดังไปถึงคอนโดที่พักของหลี่คุนยื่นเงื่อนไขให้เขาไปออกงานแถลงข่าวร่วมกับไฮโซแบงค์นักเปียโนพรสวรรค์ชื่อดังทายาทนักธุรกิจใหญ่ โดยหลี่คุนจะต้องสารภาพออกสื่อว่าตัวเองเป็นคนเซถลามาตัดหน้ารถเองเพราะอาการมึนเมาแอลกอฮอล์ ทางฝ่ายทนายใช้ข้อสัญญาที่เขาเคยเซ็นรับผิดไปมาเป็นตัวบังคับให้ต้องทำตาม ทั้งยังแจ้งว่าจะขอค่าเสียหายที่เคยจ่ายให้ไปคืนเพราะทางฝ่ายไฮโซแบงค์ไม่ได้เป็นคนผิด หากไม่ยินยอมก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายและฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หลี่คุนอ่านจบถึงกับกำจดหมายในมือแน่นจนยับยู่ยี่ด้วยความโกรธ คนผู้นี้กล้าดียังไงถึงได้ใช้อำนาจมาข่มขู่รังแกผู้คนตามใจชอบ ตอนที่เขาจำยอมรับเงินชดเชยสี่ตำลึงทองแลกกับการเลิกแล้วต่อกันนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว แต่นี่จะให้ไปสารภาพผิดต่อหน้าธารกำนัลในเรื่องที่เขาไม่ได้ทำ แถมยังจะยึดเงินคืนทั้งๆ ที่ตกลงไปแล้ว นั่นมันเงินสี่ตำลึงเลยนะ ตอนนี้เขามีไม่ถึงด้วยซ้ำเพราะขาดทุนอย่างหนักในตอนที่ทำขี้ผึ้งสมานแผลออกจำหน่าย

เมื่อซูเอ๋อร์กลับมาถึงทราบเรื่องก็โมโหจนหน้าแดง เขาเรียกเพื่อนๆ ให้มาช่วยระดมความคิดหาทางตอบโต้ไฮโซแบงค์ ทุกคนช่วยกันรวบรวมข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามเพื่อหาจุดอ่อน แต่พยายามกันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เจออะไรที่เป็นประโยชน์ ก่อนหน้าที่จะมีผู้ปล่อยคลิปเมาแล้วขับออกมาแบงค์มีภาพลักษณ์ที่ดีมาโดยตลอด ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ โปรไฟล์นักเรียนนอกที่มีพรสวรรค์ด้านเปียโน รูปร่างหน้าตาดี เพื่อนฝูงในกลุ่มล้วนแต่เป็นเหล่าไฮโซและดารานักร้องที่มีชื่อ ข่าวกิ๊กกั๊กกันกับดาราสาวดาวรุ่งก็ออกไปในแนวน่ารัก แถมยังปรากฏตัวในคอนเสิร์ตร่วมกับนักร้องดังในกลุ่มเพื่อนเพื่อช่วยระดมทุนให้การกุศลอยู่เป็นประจำ แม้จะเคยมีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับความเจ้าอารมณ์และนิสัยดูถูกคน แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือที่เงียบหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีคนคอยจัดการอยู่ แถมยังมีกลุ่มแฟนคลับที่คอยออกมาปกป้องเวลามีข่าวไม่ดีขึ้น

แม้แบงค์จะไม่ได้เป็นดาราหรือศิลปินมืออาชีพ แต่ก็มีฐานแฟนคลับที่เกิดจากช่องในยูทูบที่เขาทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น วิดีโอส่วนใหญ่จะเป็นคลิปการเล่นเปียโนของเขา แบงค์ชอบแสดงความสามารถด้วยการเล่นเพลงคลาสสิคชั้นสูงที่นักเปียโนทั่วไปไม่สามารถเล่นได้ นานๆ ถึงจะมีคลิปทักทายแฟนๆ หรือเล่นเพลงป๊อบทั่วไปและร้องเพลงคลอเรียกกระแสบ้าง ตอนที่เพื่อนๆ ของซูเอ๋อร์ไล่เปิดคลิปพวกนี้เพื่อหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์หลี่คุนก็เข้ามาดูด้วยความสนใจ

“นี่คือเปียโนหรือ เป็นเครื่องดนตรีใหญ่โตที่มีเสียงสูงต่ำน่าอัศจรรย์นัก คนผู้นี้มีฝีมือจริงๆ เห็นแล้วก็นึกถึงพิณกู่ฉินของพี่”

“พี่คุนจะชมทำไม นี่มันคนที่ขับรถชนพี่นะ”

ซูเอ๋อร์โวยวายเสียงดัง เขาไม่เข้าใจว่าในช่วงเวลาคับขันอย่างนี้ ทำไมหลี่คุนถึงยังมามัวสนใจคลิปเล่นเปียโนพวกนี้อยู่ได้

“พี่ก็ว่าไปตามความจริง บทเพลงพวกนี้มีท่วงทำนองแปรเปลี่ยนลึกล้ำยิ่ง มีเพลงอื่นอีกหรือไม่”

แอนฟิลด์ผู้ถูกบังคับให้เรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ เพิ่งจะได้เลิกไปเมื่อตอนขึ้นมอปลายด้วยข้ออ้างว่าจะกระทบการเรียน สบโอกาสที่จะประจบเอาใจพี่ชายเพื่อน จึงรีบเปิดคลิปอื่นของแบงค์ให้ดูพร้อมอธิบายถึงเพลงที่แต่งโดยนักประพันธ์ในยุคต่างๆ ว่าแต่ละเพลงมีความยากอย่างไร หลี่คุนจดจ้องปลายนิ้วทั้งสิบของแบงค์ที่พริ้วไปมาบนคีย์ขาวดำอย่างสนใจ ก่อนจะถามข้อมูลเกี่ยวกับเปียโนและระดับความสามารถของแบงค์อีกมาก

ในที่สุดการค้นหาข้อมูลจุดอ่อนเกี่ยวกับแบงค์ก็สิ้นสุดลงโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่น่าเชื่อว่าจากข้อมูลข่าวสารมหาศาลบนอินเตอร์เน็ต แบงค์จะไม่มีจุดด่างพร้อยอะไรทั้งสิ้นยกเว้นเรื่องเมาแล้วขับที่เพิ่งถูกขุดคุ้ยขึ้น มิน่าอีกฝ่ายถึงได้พยายามสุดตัวที่จะลบเรื่องนี้ออกไปให้ได้

ในที่สุดก็ถึงวันแถลงข่าวที่ไฮโซแบงค์จัดขึ้น หลี่คุนตัดสินใจไม่ไปตามที่ทนายของอีกฝั่งแจ้งมา เขาเห็นว่าเรื่องนี้ถึงฝ่ายเขาจะถูกกดดันให้ลงนามสัญญาไป แต่ก็ถือว่าตกลงและรับเงินไปแล้ว แม้ว่าครั้งนี้จะมีคนเอาหลักฐานเพิ่มเติมมาพยายามสร้างกระแสจากเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ แต่เขาก็ไม่คิดจะไปวุ่นวายเรียกร้องหาประโยชน์อะไรจากอีกฝ่ายอีก ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันน่าจะดีที่สุด

แต่อีกฝ่ายไม่คิดอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าหลี่คุนไม่ปรากฎตัวในงานนี้ แบงค์ก็สั่งให้ทนายเอาสัญญายอมรับความผิดที่อีกฝ่ายลงนามไว้ พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนของคุณานนท์ที่ใช้ประกอบการทำสัญญาออกมาแสดงให้กับนักข่าว

“อย่างที่เห็นตามหลักฐานล่ะครับ ที่จริงเรื่องนี้เคลียร์ไปหมดแล้วตั้งแต่ต้นเดือนก่อนว่าผมเป็นฝ่ายถูกตัดหน้าในระยะกระชั้นชิด คนที่ถูกชนเขาก็รับผิดแล้ว คนของผมคงเห็นแก่มนุษยธรรมให้เงินไปอีกสองแสนบาท นั่นก็ถือว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันแยะมากแล้ว ที่จริงทางผมต้องเรียกร้องค่าเสียหายด้วยซ้ำ เพราะรถก็เป็นรอย แต่พอได้เงินไป เหมือนทางนั้นยังไม่รู้จักพอ พยายามจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นข่าวใหญ่ นี่คงหวังจะเรียกเงินเรียกทองเพิ่มอีก”

“สรุปว่าคนที่โพสต์คลิปนี้คือนายคุณานนท์ที่เป็นคู่กรณีใช่ไหมครับ”

นักข่าวชายถามขึ้นเป็นคนแรก

“ทางเราก็ไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่สื่อลองคิดดูแล้วกันว่าใครที่ได้ประโยชน์จากการทำแบบนี้”

“แต่ในคลิปนี่ก็ค่อนข้างชัดนะครับว่ารถคุณแบงค์ขับชนคู่กรณีตรงทางม้าลาย ดูเหมือนรถจะควบคุมทิศทางไม่ตรงด้วย ไม่ทราบว่าเรื่องเมาแล้วขับ...”

“มุมกล้องในคลิปมันแคบมากนะครับ ถ้าใจอคติก็อาจเดามั่วไปได้เรื่อย เรื่องเมาแล้วขับนี่ตำรวจก็สรุปสำนวนเสร็จตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าผมทำจริงป่านนี้คงนอนคุกไปแล้ว”

“ไม่ทราบว่าได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ขนาดไหนคะ”

นักข่าวสาวอีกสำนักข่าวถามขึ้น

“ก็หนักหนาอยู่ครับ คนไม่รู้ก็แชร์กันไปคิดว่าผมทำจริงๆ หลายคนในอินเตอร์เน็ตก็ตัดสินผมไปแล้วว่าคนรวยรังแกคนจน ทำไมครับ การที่ผมเก่งผมรวยมันแปลว่าผมจะต้องไปเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่าด้วยเหรอ ทุกคนก็รู้นะครับว่าผมทุ่มเทกับการทำงานเพื่อสังคมมากแค่ไหน ผมขอวอนสื่ออย่าให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของคนระดับล่างที่เอาประเด็นความไม่เป็นธรรมมาหาประโยชน์ใส่ตัว คนรวยก็โดนรังแกได้นะครับ”

“แล้วทางคุณแบงค์จะดำเนินการอย่างไรต่อคะ”

“ก็คงต้องว่ากันไปตามกฎหมายครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมใจดีเกินเลยให้เงินช่วยเหลือไปอีกฝ่ายอาจจะถือโอกาสกลับผิดเป็นถูกว่าผมให้เพราะเป็นฝ่ายผิด ผมคงต้องฟ้องศาลเอาเงินที่ให้ไปคืนทั้งหมด แล้วจะเรียกค่าเสียหายที่เกิดกับชื่อเสียงผมด้วย ในเมื่อสังคมทุกวันนี้มองอะไรอย่างฉาบฉวยจนคนดีถูกรังแก ผมคงต้องขอความเมตตาจากศาลล่ะครับ”

แบ็งค์กล่าวอย่างมั่นใจ ทนายของเขาเตรียมการไว้แล้วที่จะเอาสัญญาที่คุณานนท์ลงนามไปฟ้องต่อศาลแพ่ง ข้อความในสัญญาฉบับนั้นแฝงนัยยะทางกฎหมายให้เขาได้เปรียบอย่างมาก มันมีเงื่อนไขระบุว่าถ้าเขาได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้แม้แต่น้อยอีกฝ่ายจะต้องคืนเงินให้ทันที เมื่อเรื่องถึงศาลอย่างไรในทางแพ่งเขาก็ต้องชนะได้เงินคืนเพราะศาลถือว่าเป็นเรื่องที่คู่สัญญาตกลงกันไว้แต่แรกแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคดีอาญาที่เขาขับรถชนคนแต่อย่างไร แต่ความเข้าใจของคนเดี๋ยวนี้ตื้นเขินมาก พอมีคำพิพากษามาให้เขาชนะคดี ร้อยละร้อยก็ต้องเข้าใจว่าศาลพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดในคดีขับรถชน เพียงแค่นี้เขาก็จะเรียกชื่อเสียงคืนมาได้ทันที

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
«ตอบ #17 เมื่อ26-10-2019 15:27:17 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 7] 26/10/2019
«ตอบ #18 เมื่อ26-10-2019 15:41:41 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 8] 27/10/2019
«ตอบ #19 เมื่อ27-10-2019 10:54:53 »

8

คลิปการให้สัมภาษณ์ของไฮโซแบงค์กระจายไปทั่วทั้งในโซเชียลและสื่อกระแสหลัก บรรดาแฟนคลับถือโอกาสรุมกันประนามคุณานนท์ว่าเป็นพวกฉกฉวยโอกาสในขณะที่ชูภาพลักษณ์ไฮโซหนุ่มเสียบริสุทธิ์ผุดผ่อง พอพวกซูกัสเห็นก็ของขึ้นเรียกรวมพลกันมาฟ้องหลี่คุนทันที

“ทำงี้มันเกินไปแล้ว ตีหน้าเศร้าว่าโดนรังแก ป้ายความผิดให้คนอื่นหน้าตาเฉย ท่านพี่ ถ้าเป็นในหนังจีนมันต้องโดนโบยตีสักหลายสิบทีนะขอรับ”

เป็นเจ้าสามที่ประเดิมการสุมไฟ หลี่คุนพยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย

“ใช่ๆ มันเอาสำเนาบัตรประชาชนพี่คุนให้กล้องถ่ายด้วย อย่างนี้จงใจประจานกันเห็นๆ ดีนะว่ารูปในบัตรไม่ชัด”

เจ้ารองรีบเสริม ใบหน้าเรียบเฉยของหลี่คุนเริ่มขมวดคิ้ว

“แล้วถ้าศาลมีคำสั่งมา พี่คุนก็ต้องเอาเงินไปคืนมันอีก ไม่งั้นติดคุก”

ครานี้เขาถึงกับลุกขึ้นผาง

“นั่นเป็นเรื่องที่มิอาจยอมได้ เงินตั้งสี่ตำลึงทองเชียวนะ”

“ใช่พี่ใช่ แต่เราจะทำยังไงดี ถ้าขึ้นศาลจริง ก็ต้องหาทนายมาสู้คดี แต่จะเอาเก่งๆ ค่าตัวก็จะแพงตาม”

หลี่คุนยกมือขึ้นห้ามทันที

“ห้ามเสียเงินเสียทองเด็ดขาด วิธีรับมือเรื่องนี้พี่คิดไว้แล้ว จงเร่งติดต่อทนายความคนนั้น บอกว่าพี่ขอพบเจ้านายของเขาเพื่อเจรจาความเรื่องนี้ ต้องได้พบกับตัวเท่านั้นนะพี่ถึงจะยื่นข้อเสนอให้”

ทนายความวัยกลางคนเมื่อได้รับเรื่องก็รีบนำข้อเสนอของหลี่คุนไปบอกไฮโซแบงค์ทันที เขาแปลกใจไม่น้อยเมื่อเจ้านายเขายินยอมพบกับคู่กรณี แต่ก็คิดได้ว่าคงมีแผนอะไรอยู่ การสร้างเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลมาใช้ข่มขู่บีบคั้นผู้คนเป็นสิ่งที่เจ้านายเขาถนัด คนธรรมดาทั่วไปใครจะมีเงินมีเวลามาต่อสู้คดีที่ส่วนใหญ่จะยืดเยื้อยาวนานได้

หลี่คุนไปพบกับไฮโซแบงค์ที่ตึกสำนักงานใหญ่โตแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ไม่ยอมให้พวกซูเอ๋อร์ติดตามมาด้วย เขาถูกชายชุดดำค้นตัวเพื่อตรวจอาวุธก่อนจะพาไปนั่งรอที่ห้องรับรองแขกที่อยู่ชั้นล่าง ที่นั่นมีแม่บ้านมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เป็นชาอู่หลงบรรจุขวด เมื่อเห็นยี่ห้อบนฉลากก็จำได้ว่าเป็นสินค้าในเครือกิจการเครื่องดื่มของคู่กรณีตัวเองที่ซูเอ๋อร์เคยบอก

หลี่คุนหยิบขวดเครื่องดื่มมาดูอย่างนึกชื่นชมทุกครั้งที่เห็น ภาชนะเก็บของเหลวที่ทั้งใสทั้งเบาไม่แตกง่ายมีฝาปิดที่แสนสะดวกเช่นนี้ ถ้านำกลับไปที่ยุคเขาได้จะเป็นของล้ำค่าถึงเพียงไหน ไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยนี้จะใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเลย มันช่างสิ้นเปลืองจนพูดไม่ออก เขาเห็นมันถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามถนนหนทางแม่น้ำลำคลอง ในถังขยะกองขยะก็เต็มไปด้วยขวดพวกนี้ ชวนให้ปวดใจจริงๆ

เมื่อนั่งรออยู่นานอีกฝ่ายยังไม่มาสักที หลี่คุนก็เลยหยิบชวดชามาเปิดฝาเพื่อดื่มแก้กระหาย ใจจริงเขาอยากได้ชาร้อนๆ เป็นที่สุด ไม่เข้าใจรสนิยมของคนยุคนี้ที่ชอบดื่มชาเย็นเฉียบเลยจริงๆ ทันทีที่น้ำชาอึกแรกเข้าปาก เขาก็พ่นมันออกมาทันที ในใจกร่นด่าว่าชาอู่หลงมารดามันสิ ไม่รู้ว่าเอากากชาชั้นต่ำที่ใดมาหลอกลวงผู้คน รสชาติแปร่งปร่าหยาบกระด้าง กลิ่นผิดเพี้ยนไร้ความหอมละมุน ที่เลวร้ายคือปรุงรสมาจนหวานเลี่ยน หากดื่มน้ำชาที่หวานขนาดนี้เป็นประจำ สมดุลหยินหยางในร่างกายจะไม่พังพินาศเอาหรอกหรือ นี่ช่างสมกับเป็นสินค้าของเจ้าคนไร้คุณธรรมนั่นจริงๆ

พอพูดถึงคนคนก็มา ไฮโซแบงค์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบอดี้การ์ดสี่ห้าคน เขาใช้สายตามองหลี่คุนที่ลุกขึ้นยืนต้อนรับตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยิ่งยโส ก็แค่คนระดับล่าง เสื้อผ้าเกรดธรรมดาที่หาซื้อได้ตามห้าง หรืออาจจะซื้อลดราคาจากตลาดนัดก็ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องประดับมีค่า มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยี่ห้อจีน อย่างที่เดาไว้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่คนระดับที่เขาจะลดตัวมาเสวนาด้วยเลย แต่ท่วงท่าที่สง่างามใบหน้าดูดีสมบูรณ์แบบเกินคาดคิดนั่นมันทำให้หงุดหงิดไม่น้อย แม้เพื่อนๆ ในกลุ่มที่เป็นดาราก็ยังดูไม่มีออร่าเท่านี้

“มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา เวลาผมเป็นเงินเป็นทอง แต่คิดจะอ้อนวอนขอความเห็นใจคงยาก ตอนแรกผมให้โอกาสไปแล้วไม่ยอมรับเอง ยังไงผมก็จะเดินหน้าไปจนสุดให้ศาลมีคำสั่งออกมา”

ไฮโซแบงค์ไม่รอให้เสียเวลาเปิดฉากทันที

“ข้า เอ่อ ผมขอหารือกับคุณตามลำพัง จะได้หรือไม่ เอ่อ ครับ”

หลี่คุนตะกุกตะกักเพราะยังไม่ชินกับสำนวนภาษาแบบนี้ ไฮโซแบงค์กลับเข้าใจว่าเป็นเพราะกลัวจนเก็บอาการไม่อยู่ ท่าทางอีกฝ่ายคงอยากจะร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตาแต่อายพวกบอดี้การ์ด เขาก็ไม่อยากให้มีคนมาเกะกะตอนเสพสุขจากการบีบคั้นคนที่ต่ำกว่าให้หมดหนทางอยู่พอดี

“ออกไปรอหน้าห้อง ถ้าฉันเรียกให้เข้ามาทันที”

เมื่อชายชุดดำออกจากห้องไปหมดแล้ว หลี่คุนก็ยื่นข้อเสนอของเขา

“ผมขอให้คุณยกเลิกการฟ้องศาลแล้วช่วยแก้ความเข้าใจผิดกับพ่อค้าข่าวพวกนั้นด้วย แล้วผมจะรักษาสัญญาที่ตกลงกัน ไม่มายุ่งเกี่ยงอะไรกันอีก”

ไฮโซหน่มแปลกใจมากที่อีกฝ่ายมีท่าทีไม่ยอมจำนนผิดกับที่คาดไว้ น้ำเสียงที่โต้ตอบจึงแฝงไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น

“ตลกล่ะ แกคิดว่ามีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้อง คงคร่ำครวญว่าไม่เป็นธรรมสินะ แต่โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ มันคือการแข่งขัน คนที่มีอำนาจมากกว่า ร่ำรวยกว่า ฐานะทางสังคมสูงกว่า ก็ชนะไป”

“ดี โลกของผมกับโลกของคุณดูท่าจะเป็นโลกเดียวกัน ใครมีอำนาจมากกว่าก็ได้เปรียบ แต่อำนาจมันหลากหลายกว่าที่คุณคิด ลองดูวิธีการของผมบ้างเป็นไร”

ไม่ทันขาดคำหลี่คุนก็พลิกพริ้วร่างกายด้วยกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพันหมื่นวิถีผันแปร แบงค์มองการเคลื่อนไหวแปลกพิสดารจนตาลาย มิอาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะมุ่งไปทิศทางใด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคล้ายจะหลบหนีไปที่ประตูทางออก แต่เพียงพริบตาเดียวกลับพุ่งตัวมาประชิดอย่างฉับพลันพร้อมสาดละอองผงสีเงินเข้าใส่ ไฮโซหนุ่มสูดกลิ่นหอมเย็นเข้าไปเล็กน้อยร่างกายพลันแข็งทื่อ สมองสั่งให้ตะโกนเรียกคนมาช่วยด้วยความตกใจแต่ปากกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

หลี่คุนมีสีหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ประกายตาเย็นยะเยือกชวนให้ผู้คนพรั่นพรึงในมือพลันปรากฎเข็มยาวหลายเล่มขึ้นมา เขาฝังมันลงไปบนจุดต่างๆ บนมือทั้งสองข้างของแบงค์ที่ขยับตัวไม่ได้ พริบตาเดียวเข็มหกเจ็ดเล่มล้วนถูกใช้ออกไปจนหมด ไฮโซหนุ่มมีสีหน้าพรั่นพรึงยิ่งนัก เขาเป็นนักเปียโนมือทั้งสองข้างจึงสำคัญเท่าชีวิต มิรู้ว่าชายหนุ่มท่าทางแปลกประหลาดคนนี้ตั้งใจทำสิ่งใดกับมือเขา หากเกิดอะไรขึ้นแม้เพียงนิดเดียว เขาจะจัดการให้มันให้สาสมที่สุด

หลี่คุนคลี่ยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาพลางกล่าวด้วยท่าทีเฉื่อยชา

“ไม่ต้องเป็นห่วง มือทั้งสองข้างของคุณจะไม่เป็นอันใดดอก วิชาฝังเข็มของผมมิได้มีไว้ทำร้ายผู้คน ผมเพียงแต่มอบของกำนัลอย่างหนึ่งให้ตอบแทนสิ่งที่คุณทำไว้ หากคุณชอบมันก็มาคุยกับผมอีกครั้งก่อนวันนัดหมายศาล”

ไฮโซหนุ่มไหนเลยจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขามีแต่ความกังวลเรื่องมือของตัวเองเท่านั้น หลี่คุนคำนวณในใจเห็นว่าได้เวลาแล้วก็ถอนเข็มที่ปักไว้คืนแล้วก็เดินออกไปจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลุ่มชายชุดดำที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเห็นคู่กรณีเจ้านายเดินออกมาคนเดียวก็กรูเข้ามาสกัดไว้ก่อน แต่มิทราบว่าผิดท่าอย่างไร เงาร่างในชุดขาวจึงหมุนวนหลบออกไปอีกด้านหนึ่ง จนบอดี้การ์ดสองสามคนชนกันเองหัวกระแทกเสียงดัง พริบตาเดียวหลี่คุนก็พริ้วร่างไปถึงหน้าล็อบบี้ก่อนจะเดินออกไปจากอาคารอย่างสง่างาม

หัวหน้าบอดี้การ์ดรู้สึกขายหน้าความไม่เป็นมืออาชีพของลูกน้องตัวเอง เมื่อมองเข้าไปในห้องก็เห็นเจ้านายยืนเฉยๆ ไม่ได้สั่งการให้ไปจับตัวชายชุดขาวกลับจึงไม่ได้ส่งคนติดตามไป ชั่วครู่เดียวแบงค์ก็ขยับตัวได้เป็นปกติ เขาเป็นห่วงมือและนิ้วของตัวเองมากแต่พอลองขยับดูก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร พอคิดจะเอาตัวอีกฝ่ายกลับมาถามคนก็ไม่อยู่เสียแล้ว สุดท้ายเขาก็สรุปเองว่าอีกนักศึกษาคนนั้นคงทำไปเพื่อขู่ แค่เข็มไม่กี่เล่มจะทำอะไรได้ ไว้ค่อยเล่นงานกลับตอนขึ้นศาลแล้วกัน ในใจเหลือเพียงความสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง

หลังจากเสร็จธุระกับไฮโซธามแล้วหลี่คุนก็มุ่งหน้ากลับคอนโดทันที เขาชมชอบการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าที่วิ่งในทางของตัวเองมากกว่าที่จะนั่งรถยนต์ที่มีคันอื่นวิ่งสวนไปสวนมาด้วย ความไม่สะดวกใจจากสายตาผู้คนที่จดจ้องก็แก้ได้ง่ายนิดเดียวด้วยการคาดผ้าปิดปาก พอมาถึงในล็อบคอนโดเขาก็หยุดพักเพื่อถอดมาสก์ที่สวมอยู่ออก วินาทีนั้นเองหางตาก็เหลือบไปเห็นฝ่ามือที่โจมตีมาจากด้านหลัง เขาไม่ทราบว่าพลังที่แฝงมาในฝ่ามือนี้มีความล้ำลึกเพียงใดจึงใช้วิถีผันแปรในท่าเท้าท่องคลื่นน้อยพริ้วกายหลบแล้วถอยห่างออกไปหลายฉื่อ

“เชี่ยคุน เพื่อนจะตบหัวทักทายนิดเดียวหลบทำไม แล้วเมื่อกี๊มึงทำยังไงวะ แป๊บเดียวไปโผล่ตรงโน้น กูมองไม่ทันเลย”

หลี่คุนมองใบหน้าของคนที่ลอบจู่โจมโดยปราศจากจิตสังหารแล้วก็ต้องตกตะลึง หน้าตาของคนผู้นี้ช่าง…

ธรรมดาสามัญยิ่งนัก!!!

ใบหน้าไม่หล่อเหลาไม่ขี้เหร่ ผิวไม่ขาวไม่ดำ นัยน์ตาไม่ใหญ่ไม่เล็ก จมูกไม่โด่งไม่บี้ คิ้วไม่หนาไม่บาง รวมๆ แล้วไม่มีจุดเด่นใดๆ ให้จดจำ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างปกติทั่วไป ไม่ผอมไม่อ้วน ความสูงไม่ถึงกับมากเกินจนเป็นที่สังเกต หากแต่สัดส่วนร่างกายเมื่อมองโดยละเอียดแล้วล้วนถูกต้องสมบูรณ์

ร่างกายหลี่คุนถึงกับสะท้านด้วยความตื่นเต้นยินดี สายตายามมองดูคนตรงหน้าแฝงความหลงไหลอยู่หลายส่วน


#####

ขวดพลาสติกขวดเดียวแต่ก็ล้ำค่าสำหรับพี่คุนนะครับ คนยุคเราอย่าทิ้งขว้างให้พี่คุนปวดใจ ช่วยกันใส่ในถังรีไซเคิลดีกว่า ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 8] 27/10/2019
« ตอบ #19 เมื่อ: 27-10-2019 10:54:53 »





ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
«ตอบ #20 เมื่อ28-10-2019 13:09:53 »

9


“เฮ้ย ทำไมเดี๋ยวนี้มึงหล่อแบบนี้วะไอคุน ที่ปลีกวิเวกหายไปนี่คือไปทำหน้าที่เกาหลีมาช่ะ แล้วไมมองกูหยาดเยิ้มเอาซะกูขนลุกซู่เลย เกิดหวั่นไหวเบี่ยงเบนขึ้นมาจะทำไง นี่เพื่อนนะ เพื่อนตินไง”

ติน?

ที่แท้คนผู้นี้ก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุดในความทรงจำของคุณานนท์ เรื่องราวระหว่างทั้งคู่ไหลหลั่งเข้ามาในสมองของหลี่คุน ความรู้สึกผูกพันที่เหลืออยู่ในร่างเดิมก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วย ตินเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่สำนักศึกษาเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเรียนนิเทศโฆษณา ส่วนตินเรียนสาขาเครื่องคำนวณที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ ทั้งคู่กำลังจะไปฝึกงานที่บริษัทเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อว่าร่างเดิมจะได้เป็นเพื่อนกับคนที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ สัดส่วนร่างกายชั้นยอดที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์มาจับคู่กับใบหน้าแสนธรรมดาสามัญไม่เป็นที่จดจำของผู้คน นี่จึงจะเป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมขององครักษ์เงา สามารถปะปนไปกับผู้คนทั่วไปโดยไม่มีใครสังเกต ต่อให้มีพยานพบเห็นถึงสามครั้งสามคราก็ยังอธิบายหน้าตาไม่ถูก  จะทำภารกิจแฝงกายคุ้มครองหรือลอบโจมตีล้วนแต่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ในชาติก่อนเขาเสาะค้นไปทั่วหาได้พบพานบุรุษที่ดีเลิศเช่นนี้ไม่ ช่างล้ำค่าราวกับกระบี่ซ่อนคมในฝัก มิคิดว่าข้ามเวลามาแล้วหกเจ็ดร้อยปีกลับเจอตัวได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก

“เป็นเหี้ยไรไม่พูดไม่จา มึงเปลี่ยนเบอร์มือถือเหรอติดต่อไม่ได้ มึงจะไม่ชอบเล่นโซเชียลอะไรกูก็ไม่ว่า แต่มือถือนี้ขอเถอะ ปล่อยให้เพื่อนติดต่อไม่ได้เป็นเดือน ถ้ามีเรื่องด่วนจะทำยังไง นี่กูกลับมาจากญี่ปุ่นก็รีบมานั่งดักรอมึงที่คอนโดเลย กลัวตายห่าคาห้องไปไม่มีใครรู้”

“เอ่อ คือมือถือข้ามันพัง น้องชายข้าเลยเปิดเบอร์ใหม่ตอนซื้อเครื่อง”

“เดี๋ยวนี้ขึ้นเอ็งขึ้นข้ากับเพื่อนเหรอ แสรด หยาบคายว่ะ ทำไมไม่พูดกูมึงเหมือนเดิม ต้องโดนทำโทษ นี่แน่ะ”

ตินเงื้อมือขึ้นสูง หลี่คุนที่สัญชาตญาณสั่งให้ใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหนีไปกลับถูกแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายตึงไว้หลบไปไหนไม่ได้ ในที่สุดก็โดนเพื่อนตบหัวแบบกึ่งโดนกึ่งเฉียดเสียงดังเพี๊ยะ ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลี่แห่งฉางอัน หลี่คุนเป็นบุคคลที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน ไหนเลยจะเคยถูกหยามเช่นนี้ เขาขืนตัวเองออกจากแขนที่ยึดจับของอีกฝ่าย แววตาส่งประกายฆ่าฟันออกมา

“เดี๋ยวนี้หัดสู้เหรอไอคุน มึงก็รู้กูเรียนมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ชวนไปเรียนด้วยก็ไม่ไป ตอนนี้มาทำแข็งข้อ”

หลี่คุนพยายามต้านเท่าไหร่ก็ยังดิ้นไม่หลุด คนผู้นี้มีกำลังภายนอกที่ฝึกฝนมาไม่น้อย ในใจเปลี่ยนเป็นรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก หากสามารถหาช่องทางให้ฝึกปรือกำลังภายในร่วมด้วยย่อมสามารถเป็นองครักษ์เงาที่ยอดเยี่ยมได้แน่

“ปล่อยข้า เอ้ย ปล่อยกู มีอะไรก็ขึ้นไปคุยบนห้อง คนมองกันเต็มไปหมด”

หลี่คุนยินยอมพูดสำนวนที่ไม่คล่องปากออกมาเพราะกลัวโดนตบหัวอีก หากพวกซูเอ๋อร์ทราบคงเชื่อไม่ลงเลยทีเดียวว่าพี่คุนที่พวกเขาเทิดทูนจะแพ้ทางเพื่อนขนาดนี้

“ไปสิ นี่กูเอารายละเอียดการฝึกงานมาให้ จะเริ่มอาทิตย์หน้านี่แล้ว ใจคอมึงจะไม่ติดต่อนัดแนะอะไรกูเลยเหรอ”

ตินพูดพลางกอดคอเพื่อนรักขึ้นลิฟต์ไป รู้สึกว่าคุณานนท์แปลกไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก

บริษัทที่คุณานนท์กับตินไปฝึกงานด้วยกันเป็นบริษัทลูกในเครือธุรกิจข้ามชาติที่กำลังเติบโต ทั้งคู่ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทแม่มากนักแต่ที่สนใจมาฝึกงานที่บริษัทลูกเล็กๆ แห่งนี้เพราะขอบข่ายงานที่เน้นการตลาดดิจิตอลโดยเฉพาะ สาขาที่ทั้งคู่เรียนต่างกันค่อนข้างมาก หากไม่ใช่บริษัทนี้คงยากที่จะได้ฝึกงานด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก ก่อนที่หลี่คุนจะมาเกิดใหม่ในร่างนี้ คุณานนท์กับตินมีความฝันที่จะทำธุรกิจของตัวเองเมื่อเรียนจบ การตลาดด้านดิจิตอลเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและยังเติบโตได้อีกเยอะ ทั้งคู่รู้สึกว่ามีโอกาสที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาจะสร้างกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางได้โดยไม่ต้องไปแข่งขันกับบริษัทโฆษณาเจ้าตลาด

ความรู้สึกซาบซึ้งมุ่งมั่นในเรื่องนี้ของคุณานนท์สืบทอดมาที่หลี่คุนไม่มากนัก อย่าว่าแต่อะไรที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาขยาดอยู่แล้ว ร่างเดิมน่าจะเลือกเรียนพวกเภสัชหรือแพทย์ทางเลือกมากกว่า แต่มาถึงขั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงไม่ได้ ได้แต่ต้องตามน้ำไปก่อน

สองเพื่อนซี้เข้าไปรายงานตัวกับแผนกบุคคลของบริษัท หลี่คุนใส่มาสก์เข้าไปในตัวอาคารด้วยเพราะรู้สึกสบายใจกว่าเวลาที่ต้องเจอคนเยอะๆ พี่พนักงานท่าทางใจดีแนะนำเรื่องในบริษัทให้คร่าวๆ แล้วก็บอกให้พวกเขาเข้าไปฟังบรรยายที่จัดขึ้นช่วงเช้าวันนี้โดยยังไม่ต้องเข้าไปรายงานตัวที่หน่วยงาน

“พวกน้องโชคดีมากเลยนะคะ พอดีมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานใหญ่บริษัทแม่ที่จีนเข้ามาเยี่ยมที่บริษัทเราแบบเซอร์ไพรส์นิดหน่อย ผู้บริหารเราเลยเชิญให้เขามาถ่ายทอดแนวคิดการทำงานของบริษัทแม่ให้กับพนักงานทั้งหมด แล้วก็อนุญาตให้นักศึกษาฝึกงานเข้าฟังด้วย ไหนๆ จะต้องทำงานร่วมกันไปอีกสองสามเดือน อันนี้บัตรพนักงานชั่วคราวจ้า ที่นี่เราถือว่านักศึกษาฝึกงานก็เป็นพนักงานเหมือนกัน เดี๋ยวน้องคุนกับน้องตินขึ้นลิฟต์ไปห้องสัมมนาใหญ่ที่ชั้นสามนะ อีกเดี๋ยวเขาคงเริ่มพูดแล้ว มีน้ำกับขนมให้ทานด้วย”

ปรากฎว่าเมื่อทั้งคู่ไปถึงที่ห้อง พี่ๆ ที่เป็นพนักงานก็จับจองที่นั่งด้านหลังกันจนเต็มตามประสาคนไทยแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้แถวหน้าสุดทั้งแถวให้นักศึกษาฝึกงานสองคนเดินเจี๋ยมเจี้ยมถือขวดน้ำส้มคั้นกับกล่องขนมเบรคเข้าไปนั่งอย่างตัวเกร็ง

รออยู่ไม่นาน ก็มีชายหนุ่มวัยราวๆ สามสิบรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบแต่มีสูทสีดำเรียบหรูทับเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยทักทายผู้คน

“สวัสดีครับ ผมจางอี้หลง พูดไทยได้คล่องครับเพราะคุณแม่เป็นคนไทย ตอนนี้ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทเราที่เซินเจิ้น…..”

ชายหนุ่มผู้บรรยายแนะนำตัวเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่หลี่คุนยังมองค้างอย่างตกตะลึงตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น พอเริ่มตั้งสติได้ เขาก็หันหน้าไปกระซิบถามเพื่อนที่นั่งติดกัน

“ติน มึงมองคนนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ บ้างหรือไม่”

“อื้อ มึงก็สังเกตเหมือนกันใช่ป่ะ พูดไทยชัดจังเลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษซะอีก กูงี้แคะหูรอเก้อเลย หน้าตาก็ดีถึงจะไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมเหมือนมึง คือยิ่งดูยิ่งเท่อ่ะ”

สิ่งที่เพื่อนเขาพูดก็ไม่ผิด ใบหน้าเข้มคมสันดูแกร่งจนเกือบดุดันนั้นจัดได้ว่าโดดเด่น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลี่คุนสนใจ เขาตกใจที่สัมผัสได้ถึงปราณบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากชายคนนี้ต่างหาก มันไม่ใช่พลังวัตรของผู้ฝึกยุทธ์ แต่เป็นปราณอำนาจที่สร้างความเคารพเชื่อฟังเทิดทูนให้เกิดกับผู้คน ในชาติก่อนจะพบได้จากแม่ทัพหรือขุนนางที่โดดเด่นเป็นยอดคนแห่งยุคเท่านั้น ตั้งแต่ที่เขาข้ามเวลามายังไม่เคยสัมผัสถึงปราณอำนาจจากคนยุคปัจจุบันมาก่อน อย่าว่าแต่กลิ่นอายเข้มข้นรุนแรงเช่นนี้แม้ในยุคก่อนก็หาได้ยากเต็มที

หลี่คุนกำหนดจิตทำสมาธิเพื่อต้านปราณอำนาจของอีกฝ่าย แม้จะไม่รู้สึกถึงการคุกคามจากร่างสูงตรงหน้าห้อง แต่คนที่มีสิ่งนี้จะมีแรงดึงดูดสามารถชักจูงคนหมู่มากให้คล้อยตามได้โดยง่าย คนอื่นที่ไม่อาจสัมผัสแยกแยะปราณนี้ได้อาจรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้รูปลักษณ์ดูดี ท่าทางเปิดกว้างจริงใจ น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกแสดงความมั่นใจ ในที่สุดก็จะเชื่อฟังไปทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว

“…อย่างที่เล่าไปเบื้องต้น กลุ่มบริษัทของเราทำธุรกิจหลากหลายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเกมส์บนแพลตฟอร์มต่างๆ การค้าออนไลน์ การโฆษณาดิจิตอล บริการด้านไอทีที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือนวัตกรรมหรืออินโนเวชั่น แม้ว่าบริษัทที่เพิ่งเติบโตของเราจะยังเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการไม่ได้ แต่เราก็ทุ่มเทด้านการวิจัยและเปิดรับไอเดียใหม่ๆ เพื่อให้เกิดอินโนเวชั่นอย่างต่อเนื่อง…”

หลี่คุนลอบมองไปรอบห้อง ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ แววตาคล้อยตามราวกับถูกล้างสมองไปแล้ว ปราณอำนาจของคนผู้นี้น่ากลัวจริงๆ

“…อินโนเวชั่น ความหมายจริงๆ ของมันคืออะไร ไหนลองแลกเปลี่ยนความเห็นกันดูสิครับ”

“หมายถึงการทำสิ่งใหม่ๆ ครับ”

ความดึงดูดของคนที่ยืนหน้าห้อง ทำให้หลายคนแย่งกันตอบ

“ก็มีส่วนถูกนะครับ แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ไหนใครมีความเห็นอะไรจะช่วยเสริมบ้างไหมครับ”

“สิ่งใหม่ที่ทำน่าจะต้องเกิดประโยชน์ด้วยครับ”

เป็นตินที่นั่งข้างๆ เป็นคนตอบ

“ถูกต้องครับ ถึงเป็นเรื่องใหม่ แต่ถ้าเอาไปทำเป็นสินค้าหรือบริการที่มีคนเต็มใจเสียเงินซื้อไม่ได้ สิ่งนั้นยังไม่นับว่าเป็นอินโนเวชั่น”

เมื่อหลี่คุนได้ยินเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็หูผึ่ง เขาเองก็อยากทำเงินจากไออินโนเวชั่นอะไรนี่เหมือนกัน แต่เขาจะไปคิดสิ่งใหม่ๆ ได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างในยุคนี้ล้วนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ทันใดนั้นก็มีความคิดแวบนึงขึ้นมา หลี่คุนยกมือตามธรรมเนียมที่เห็นคนยุคนี้ทำในทันทีเพื่อถามคำถาม

“แล้วถ้าเป็นสิ่งเก่าๆ ล่ะ เอ่อ ครับ สามารถเอามาทำอินโนเวชั่นที่ใช้หาเงินได้หรือไม่”

มีเสียงหัวเราะเล็กน้อยดังขึ้นจากคนในห้อง นักศึกษาฝึกงานหน้าห้องช่างกล้าถามคำถามกวนโอ๊ยออกมาได้

“สิ่งเก่าๆ? สิ่งเก่าๆ ก็น่าจะมีคนใช้หาเงินหาทองไปแล้วหรือเปล่า อ้อ ถ้าจะคุยกับผม ช่วยถอดหน้ากากออกด้วยนะครับ”

หลี่คุนถอดผ้าปิดปากออก จากตำแหน่งที่นั่ง มีเพียงคนที่ยืนตรงหน้าห้องเท่านั้นที่จะเห็นใบหน้าของเขาได้ จางอี้หลงมองใบหน้าเต็มๆ ของนักศึกษาหนุ่มตรงหน้า สายตาเปล่งประกายแรงกล้าวาบขึ้นมาจนหลี่คุนรู้สึกเหมือนถูกสะกดไปชั่วอึดใจหนึ่ง

“เอ่อ ผมหมายถึงสิ่งเก่าๆ ที่คนลืมไปแล้ว หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์มันเหมือนเดิม”

“นั่นคือคำตอบครับ อินโนเวชั่นไม่ได้เฉพาะว่าจะต้องเป็นสิ่งใหม่ที่โลกยังไม่เคยมีมาก่อน อาจจะเป็นของเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ทำใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากขึ้น หรือหาวิธีใช้ในรูปแบบใหม่แทนของเดิมที่หมดประโยชน์ไปแล้ว  อย่างเช่น สตีฟ จ๊อบส์ ไม่ใช่คนแรกที่ทำเมาส์คอมพิวเตอร์  แต่เขาเป็นผู้ที่ทำให้อุปกรณ์นี้ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี หรือน้ำยาอุทัยที่เคยใช้ผสมน้ำดื่มแต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว ก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยเอาใช้เป็นเครื่องสำอางค์แต้มสีสรรใบหน้าที่ทำจากธรรมชาติ”

“แม่ม รู้จักน้ำยาอุทัยด้วยเว้ย คนไทยบางคนยังไม่รู้จักเลย”

ตินหลุดปากอุทานขึ้นมาเบาๆ หลี่คุนไม่ได้สนใจอะไร ในหัวกำลังคิดตามสิ่งที่คนหน้าห้องพูด เขามีความรู้ในเรื่องที่คนยุคนี้ลืมไปแล้วเป็นพันเป็นหมื่นสิ่ง มันจะต้องมีซักอย่างสองอย่างที่เอามาใช้หาเงินหาทองได้ใหม่ หลังจากนั้นเขาจึงเปิดใจให้กับความรู้ด้านการตลาดที่จางอี้หลงถ่ายทอดให้ตลอดทั้งช่วงเช้า หลี่คุนรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ที่ดีมาก คอยสบตากับคนฟังอย่างเขาอยู่ตลอด เพียงแค่เขาขมวดคิ้วเพราะรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจ จางอี้หลงก็จะบังเอิญอธิบายเนื้อหาตรงนั้นเพิ่มเติมอีกที ไม่รู้ว่าตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญของเขาที่สำนักงานใหญ่เป็นตำแหน่งระดับไหน คนที่มีปราณอำนาจเข้มข้นขนาดนี้ มาตรว่ายังหนุ่ม แต่ระดับความก้าวหน้าคงไม่ธรรมดา

ในที่สุดการบรรยายในช่วงเช้าก็จบลง พี่ๆ พนักงานด้านหลังทะยอยกันออกจากห้องไป หลี่คุนที่นั่งหน้าก็กำลังจะลุกขึ้นเหมือนกัน แต่มีร่างสูงใหญ่มาบังด้านหน้าเสียก่อน

“ฟังจบแล้ว อย่าลืมคาดผ้าปิดปากไว้เหมือนเดิมก่อนออกจากห้องนะครับ น้อง…”

จางอี้หลงเหลือบมองบัตรพนักงานที่หลี่คุนห้อยคออยู่ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงทุ้มลึก

“…คุณานนท์”

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
«ตอบ #21 เมื่อ28-10-2019 14:55:08 »

สรุปแล้วหลี่คุณจะมีแฟนเป็นใครกันครับเนี่ยย (ฮา) แต่พอเปิดตัวตินมาแล้วผมนี่เอนเอียงเลยนะครับ ชอบคาแรกเตอร์ของคู่นี้ครับ (ยิ้ม) ยิ่งตินฝึกฝนกำลังภายนอกมาตั้งแต่เด็ก แถมรูปร่างก็ยังบรรยายไว้ด้วยว่าสัดส่วนร่างกายชั้นยอด เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์ แล้วก็ยังมีความผูกพันเบื้องลึกที่จู่ๆก็ตีขึ้นมาในร่างเดิมอีกด้วย แสดงว่าเดิมทีสองคนนี้มีอะไรคลิ๊กกันรึเปล่าครับ แต่คิดว่าตินนี่ก็ยังต้องฝึกอีกมาก หลี่คุณได้โอกาสแล้ว ปรุงโอสถบำรุงร่างกายสำหรับออกกำลังกายให้ตินเป็นหนูทดลองเลย! (ฮา) ในเมื่อน้องซูไม่ยอม ก็เอาให้คนชอบออกกำลังกายแบบตินนี่ล่ะ จะได้ทดสอบประสิทธิภาพยาด้วย o18

แต่พอเปิดตัวจางอี้หลงมาก็ดูท่าทางจะเท่เหมือนกันนะครับ แถมยังมีปราณแผ่ออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นปราณธรรมชาติที่แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือว่าเจ้าตัวมีความสามารถเชิงยุทธ์อะไรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไหม แต่ที่สำคัญคือดูเหมือนเขาจะสังเกตถึงหลี่คุณเสียด้วย ก็ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสนใจนะครับ เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมา หลี่คุณยังไม่เจอใครที่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลย แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะต้องปรับตัวยังไง ปรับตัวแบบงูๆปลาๆมันอาจจะทำให้ขลุกขลักไปนิดนึง ถ้าบทบาทของจางอี้หลงเป็นอาจารย์ (เพราะอายุที่ 30 แล้ว มีช่องว่างระหว่างวัยกับร่างของหลี่คุณเยอะเหมือนกันนะครับ) ก็ถือว่าอาจจะทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้นอีก

แล้วที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง ก็ต้องยกให้ซูเอ๋อร์นี่แหละครับ น้องน่ารักมากก สดใสสมวัยสุดๆ มีคาแรกเตอร์ของน้องชายที่น่ารักน่าเอ็นดูและบรรยายออกมาได้เห็นภาพชัดเจนมาก อ่านมาไม่กี่ตอนถึงกับหลงรักเลยครับ :man1: มาให้พี่ลูบหัวเสียดีๆน้องเอ๊ย ก็หวังว่าหลี่คุณจะเป็นพี่ชายที่ดี ดันน้องให้เก่งๆหน้าตาเลิศๆนะครับ (นี่ถึงขั้นปรุงของประทินโฉมระดับฮองเฮาให้น้องด้วย แหม่ ท่านก็หลงน้องเหมือนกันนี่หว่าหลี่คุณ :laugh:) อยากรู้จังเลยว่าคู่ของซูเอ๋อร์จะเป็นใคร จะผ่านด่านพี่ชายอรหันต์ได้ไหม ผมชอบฉากที่หลี่คุณยั้งซูเอ๋อร์ตอนรับงานรีวิวนะครับ มันเป็นการสอนด้วยสติและประสบการณ์ของคนสมัยก่อน เป็นฉากที่พี่ชายสอนน้องชายได้ดีครับ โดยรวมๆประทับใจมาก ติดตามอ่านอยู่ครับผม

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 9] 28/10/2019
«ตอบ #22 เมื่อ28-10-2019 20:14:03 »

โอ๊ยๆๆ คุณ Grey Twilight เข้ามาอ่าน เขียนคอมเมนท์ให้ยาวๆ อีกต่างหาก
ดีใจมากครับ เหมือนบรรลุอะไรสักอย่าง 555
เรื่องนี้จะมาต่อเรื่อยๆ ครับ ถึงไม่ค่อยมีคนอ่านก็จะลง 55

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 10] 29/10/2019
«ตอบ #23 เมื่อ29-10-2019 12:22:29 »

10


สองเพื่อนซี้เริ่มฝึกงานอย่างจริงจัง บริษัทนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากจึงรับนักศึกษาฝึกงานมาแค่สองคนนี้เท่านั้น เนื่องจากต้องออกข้างนอกทุกวัน ซูเอ๋อร์จึงไปหาซื้อผ้าปิดปากแบบซักได้มาให้ เป็นผ้าเนื้อนิ่มสีดำมีลวดลายเป็นรูปมังกรแบบจีน หลี่คุนเห็นแล้วชอบใจมาก เขาใส่มันไปทำงานทุกวัน แม้แต่ตอนที่กำลังทำงานอยู่ก็ไม่ค่อยถอดออก จนภาพเด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีสวมผ้าปิดปากสีดำลายมังกรดูเท่ราวกับนักร้องเกาหลีคู่แพคคู่มากับหนุ่มหน้าจืดกลายเป็นที่คุ้นตาของคนทั้งบริษัท 

หลี่คุนรู้สึกสนิทสนมกับตินมากยิ่งขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะชอบลงมือรุนแรงเวลาที่เขาทำอะไรแปลกๆ ในสายตาของตินออกไป ความทรงจำของคุณานนท์บอกว่าเป็นนิสัยของตินมาตั้งแต่เด็กซึ่งร่างเดิมก็ยอมมาโดยตลอด หลี่คุนต้องคอยระวังการพูดจาแบบที่ตัวเองเคยชิน เห็นอะไรแปลกใหม่ของยุคนี้ถ้าเขาทำท่าเปิ่นๆ ออกมาจะโดนเพื่อนประทุษร้ายร่างกายทันทีบอกว่าอายคน  เมื่อโดนบ่อยๆ เข้า ก็ทำให้หลี่คุนทำตัวกลมกลืนกับยุคนี้ได้ดีขึ้น แต่ในใจลอบเก็บงำความแค้นไว้ว่าหากหาทางฟื้นคืนกำลังภายในมาได้ ตินจะต้องโดนเอาคืนเป็นคนแรก

หลี่คุนยังได้พบกับจางอี้หลงอีกหลายครั้งช่วงก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับเมืองจีน แต่พยายามระวังตัวไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่ จริงๆ เขาสนใจความรู้เรื่องการค้าขายของยุคปัจจุบันที่จางอี้หลงมีอยู่มาก แต่เหนื่อยที่จะตั้งสมาธิไม่ให้หลงไปกับแรงดึงดูดที่เกิดจากปราณอำนาจของอีกฝ่าย จากประสบการณ์ในชาติที่แล้ว คนที่มีปราณอันเข้มข้นเช่นนี้มักชอบฉกฉวยหาโอกาสใช้ประโยชน์จากคนอื่น แม้จะพยายามหลบเลี่ยงไปมา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าบังเอิญเจอกันบ่อยเกินไป

เขากับตินไม่ได้รับมอบงานสำคัญให้ทำเท่าไหร่แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กฝึกงาน อย่างน้อยก็ยังค่อยๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์ของพวกพี่ๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ เมื่อรวมกับความทรงจำของคุณานนท์ที่ถูกงานที่ทำช่วยกระตุ้นออกมา หลี่คุนก็ถือว่ามีความรู้พื้นฐานเรื่องการตลาดไม่เลวเลย แต่ส่วนที่ไปประยุกต์ใช้ในเชิงดิจิตอลเขายังตามไม่ค่อยทัน 

ถึงเรื่องฝึกงานจะไม่มีปัญหา แต่หลี่คุนก็ยังมีความยุ่งยากอีกด้านรออยู่

“พี่คุน ทำไมพี่ใจเย็นอย่างนี้ อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันที่ศาลนัดเข้าไปไต่สวนแล้วนะ ยังไม่เห็นพี่ทำอะไรเลยนี่พวกผมเริ่มช่วยกันหาเงินสองแสนแล้ว ท่าทางเราคงแพ้คดีแหงๆ”

ซูกัสพูดอย่างร้อนใจ ทีแรกที่พี่ชายบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาก็นอนใจเพราะเชื่อมั่นในตัวหลี่คุน แต่นี่ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนอกจากหมายศาลที่ส่งมาถึงบ้าน  วันๆ นอกจากไปฝึกงาน ขึ้นไปรำมวยจีนบนดาดฟ้า แล้วก็ต้มยาเล่น ก็ไม่เห็นพี่คุนทำอะไรอีก ทนายที่จะให้ช่วยว่าความก็ยังไม่ได้หา สิ่งเดียวที่พี่ชายเขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือขอให้เขาเปิดคลิปเล่นเปียโนเพลงใหม่ๆ ในชาเนลของไฮโซแบงค์อยู่บ่อยๆ ฟังไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แอนฟิลด์ได้ยินก็มาร่วมวิพากษ์วิจารย์ว่าเพลงพวกนี้ระดับสูงมากจริงๆ โดยเฉพาะที่เป็นบทประพันธ์ของรัคมานินอฟฟ์ หลี่คุนได้ยินก็ทำท่าเหมือนชื่นชมไอเลวนั่นซะเต็มประดา ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นงานตัวเองให้ย่อยยับ ซูเอ๋อร์ถึงกับเกิดความคิดประหลาดว่า พี่ชายอาจจะเบี่ยงเบนไปหลงเสน่ห์ไอไฮโซชั่วนั่น เลยยอมให้กระทำย่ำยีแต่โดยดี นี่มันมิใช่พล๊อตละครน้ำเน่าที่พวกเขาพี่น้องนั่งดูไปก็ด่าไปหรอกหรือ ตั้งแต่หลี่คุนฟื้นขึ้นมาดูจะมีอะไรแปลกๆ หลายอย่าง แต่เรื่องนี้เขารู้สึกว่ามันเกินไปจริงๆ

“ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกซูเอ๋อร์”

“ไม่กังวลได้ไง งั้นพี่คุนยอมเปิดตัวดีไหม ให้รู้ไปเลยว่านายคุณานนท์คนที่ถูกไฮโซดังฟ้องร้องอยู่ คือคนเดียวกับนายแบบลึกลับคนนั้น ทางโน้นเขามีแฟนคลับ ทางเราก็มีเหมือนกัน ให้แฟนคลับผมออกมาช่วยปกป้องแล้วก็สร้างกระแสให้พวกเพจดังๆ สนใจเราก็จะได้เรียกร้องขอความเป็นธรรม ถึงทางโน้นจะมีเงินมีอำนาจกว่า แต่ถ้าจุดเสียงสนับสนุนในโซเชียลติด เราอาจจะชนะก็ได้นะพี่”

“พี่บอกแล้วไงว่าอย่าหวังใช้ประโยชน์จากแฟนคลับพร่ำเพรื่อ ยังไงพี่ก็ไม่ให้พวกเราต้องมาเดือดร้อนไปกับเรื่องนี้หรอก น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะดำเนินไปสู่จุดจบของมัน”

หลี่คุนตอบอย่างมั่นใจ ปรากฎว่าเย็นวันนั้น ไฮโซแบงค์ที่หยิ่งยโสกลับเป็นฝ่ายมาหาหลี่คุนถึงคอนโด พร้อมกับนำกระเช้าใบใหญ่จัดวางพวกวิตามินอาหารเสริมบำรุงร่างกายเป็นสิบๆ กล่องมาอย่างสวยงาม ซูเอ๋อร์เห็นเข้ายังอุทานในใจว่านี่สิถึงจะเป็นของชั้นดีจริงๆ ไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังถูกๆ ที่ทนายความเอามาเยี่ยมไข้เมื่อครั้งก่อน

ไฮโซหนุ่มท่าทางร้อนรนมาก ใต้ตาดำคล้ำแสดงอาการอิดโรย พอหาที่นั่งคุยกันตรงล็อบบี้ได้ก็เปิดฉากทันที

“แก เอ่อ คุณทำอะไรกับมือของผม”

“ผมทำอะไรกับมือของคุณหรือ ก็เห็นอยู่ว่ายังเป็นปกติดี ผมเปิดดูในคลิปก็ยังเห็นเล่นเปียโนได้พริ้วไหวกว่าเดิมน่าประทับใจนัก”

“แก แกรู้เรื่องนี้ แสดงว่าแกจงใจแต่แรก”

แววตาของแบงค์แสดงอาการเคียดแค้นขึ้นมา

“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ ลองถามตัวเองสิว่า มือคู่นี้ของคุณมันยังอยู่ในสภาพเดิมก่อนที่จะพบกับผมหรือไม่”

แบงค์ยกมือตัวเองขึ้นมอง เขาจำต้องยอมรับว่ามือของเขายามนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเมื่อก่อน

“มันก็ใช่ แต่มันไม่เหมือน ผมเล่นเพลงพวกนั้นไม่ได้ดีอีกแล้ว”

เขาคร่ำครวญอย่างหมดอาย

“ก่อนหน้าที่จะพบกับผม คุณก็เล่นมันไม่ได้ดีอยู่แล้ว จะโอดครวญไปทำไม”

หลี่คุนตอบอย่างเย็นชา ที่แท้ตั้งแต่ตอนที่เขาดูคลิปการบรรเลงเปียโนเพลงต่างๆ ของแบงค์ในครั้งแรก ด้วยสายตาของผู้เคยฝึกยุทธ์ที่สามารถแยกแยะการเคลื่อนไหวซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย ผนวกกับความเข้าใจในศาสตร์ทางดนตรีจากการฝึกปรือพิณกู่ฉินจนแตกฉานในชาติก่อน เขาจึงสังเกตได้ว่าเสียงตัวโน๊ตบางตัวมันไม่คมชัดอย่างที่ควรจะเป็น พอจับตามองเปรียบเทียบหลายๆ เพลง ก็พบว่าส่วนใหญ่การบรรเลงของแบงค์จะคมชัดกระจ่างใสไร้ที่ติ มีเพียงสองเพลงเท่านั้นที่การกดลิ่มนิ้วมือซ้ายระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วก้อยจะห่างกันมากจนคล้ายกางนิ้วไม่ถึง พอมีเจ้าสามที่เคยเรียนเปียโนมาช่วยอธิบายก็ยิ่งยืนยันความคิดของเขา

บทเพลงบรรเลงเปียโนเกือบทั้งหมดบนโลกนี้ ใช้การกางนิ้วไม่เกินความห่างของลิ่มคีย์สีขาวแปดคีย์หรือที่เรียกว่าคู่แปดเท่านั้น เพลงที่ใช้ถึงคู่เก้าหรือคู่สิบมีน้อยยิ่งนัก แต่ก็มีนักเปียโนอัจฉริยะในอดีตเช่นรัคมานินอฟฟ์ที่มีมือใหญ่โตกว่าปกติ เขาได้ประพันธ์บทเพลงซับซ้อนที่ใช้การกางนิ้วถึงคู่สิบเอ็ดหรือคู่สิบสองออกมาได้ไพเราะยิ่ง ความสามารถในการกางนิ้วขึ้นอยู่กับสรีระมือของแต่ละคน การฝึกซ้อมอาจช่วยขยายได้บ้างแต่ก็ไม่มาก จึงมีนักเปียโนมากมายที่ไม่สามารถเล่นบทเพลงพิเศษพวกนั้นได้ หรือเล่นได้ก็ไม่สมบูรณ์ตามที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจ

หลี่คุนจับตามองการเคลื่อนไหวของไฮโซหนุ่มอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าเขาเล่นได้ดีเยี่ยมแค่ไม่เกินคู่เก้าเท่านั้น หากเป็นคู่สิบเสียงจะขาดพลังไม่คมชัด ส่วนคู่ที่กว้างกว่านั้นไม่ปรากฎอยู่ในการเล่นของแบงค์แม้แต่ครั้งเดียว ด้วยวิชาฝังเข็มของเขา การจะขยายเส้นเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณมือนั้นทำได้ง่ายราวกับเดินไปเตะก้นสุนัข ในชาติก่อนเขาก็เคยช่วยแก้ปัญหาให้กับองครักษ์เงาที่ฝึกวิชากงเล็บหรือฝ่ามือชั้นสูงมานักต่อนัก ด้วยคุณธรรมในใจ เขามิอาจใช้วิชาฝังเข็มทำลายมือที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของอีกฝ่ายได้ แต่หากจะส่งเสริมให้มือคู่นั้นให้สามารถถ่ายทอดบทเพลงได้ล้ำลึกพริ้วไหวมากขึ้นเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่กับคนผู้นี้เขาให้มันได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

นี่คือการตลาดที่เขาเห็นพ่อค้าแม่ค้ายุคนี้ทำกัน

แจกตัวอย่างให้ลิ้มลองสักเพียงเล็กน้อย!

“ขอร้องเถอะ คุณคุณานนท์ ช่วยฝังเข็มให้มือของผมเป็นอย่างที่คุณทำให้ตอนนั้นอีกที เรื่องคดีความผมก็จะเคลียร์ให้ ตอนนี้ผมสืบได้แล้วว่าคนที่สร้างประเด็นเรื่องคลิป เป็นพี่ชายคนละแม่ที่อยากแย่งตำแหน่งผมเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลย ต้องขอโทษจริงๆ ที่เข้าใจผิด ส่วนเรื่องค่าฝังเข็มจะเสียเงินเท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย”

ไฮโซหนุ่มสละศักดิ์ศรีอ้อนวอนคนตรงหน้าอย่างร้อนรน หลังจากโดนหลี่คุนฝังเข็มที่มือในวันนั้น ก็รีบกลับบ้านไปหาเปียโนราคาแพงสุดรักทันที เขาเริ่มเล่นเพลงโปรดด้วยความกังวลว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำจะส่งผลต่อความสามารถด้านเปียโนของตัวเอง มิคาดว่ายิ่งเล่นไปมือคู่นั้นของเขากลับพร่างพรมไปบนคีย์ขาวดำได้รื่นไหลตามใจนึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การกางนิ้วกว้างๆ ที่เคยติดขัดกลับรู้สึกยืดหยุ่นทำได้ง่ายดายยิ่งนัก ความรู้สึกเหลือเฟือนี้ทำให้เขาเปลี่ยนไปบรรเลงเพลงที่ใช้ความกว้างถึงคู่สิบ วินาทีที่เขากดโน๊ตตัวที่เคยสร้างความยากลำบากให้ในอดีต บัดนี้เสียงที่ออกมากลับคมชัดทรงพลังยิ่งนัก แบงค์น้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ เขาไปค้นโน๊ตเพลงระดับสูงที่ใช้ถึงคู่สิบเอ็ดที่เคยอยากจะฉีกทิ้งไปด้วยความปวดใจออกมาหัดเล่นใหม่ มิคาดว่ากลับเล่นออกมาได้อย่างงดงามยิ่งนัก

ตลอดสัปดาห์นั้นเขาเก็บตัวเอาแต่ฝึกซ้อมบทเพลงที่ไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะเล่นได้สมบูรณ์จนคล่องเพื่ออัพขึ้นชาเนล ไม่นานคลิปพวกนั้นก็ถูกแชร์ไปทั่ว คนนอกวงการอาจไม่รู้ถึงความต่างนี้ แต่บรรดาเพื่อนๆ นักเปียโน หรือแม้แต่คู่แข่งในอดีต ต่างก็เข้ามาคอมเม้นท์แสดงความยินดีที่เขาทะลุขีดจำกัดสำคัญไปได้อย่างไม่มีใครนึกฝัน โปรเฟสเซอร์สมัยเรียนถึงกับติดต่อเชิญให้ไปเล่นคอนเสิร์ตร่วมกับวงออเคสตราที่มีชื่อเสียงของเมืองเวียนนา นั่นนับว่าเป็นเกียรติสูงสุดที่ชาวเอเซียน้อยรายจะได้รับ

ในเวลาที่ความสำเร็จทางด้านดนตรีของเขาพุ่งทะยานอย่างไม่หยุด ความสามารถที่ราวกับสวรรค์ประทานนี้กลับหายไปเสียเฉยๆ ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ไฮโซหนุ่มหัวใจสลาย เขาฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งแต่เสียงแปร่งปร่ายามกดตัวโน๊ตคู่สิบก็กลับมาหลอกหลอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือคู่นี้ ก่อนหน้านี้ก็มัวแต่ดีใจจนไม่ได้สนใจที่มา แต่พอกลับมานึกดูอีกครั้งเขาก็มั่นใจว่าการฝังเข็มของคนที่เขาขับรถชนเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตุให้เขาลดศักดิ์ศรีมาหาอีกฝ่ายถึงที่นี่

“คุณคิดว่าผมหวังเงินทองอย่างนั้นหรือ ค่าตอบแทนย่อมสูงกว่านั้นมาก คุณจะต้องโกนศีรษะสวมชุดขาวเขียนคำสารภาพผิดเรื่องคดีรถชนให้ครบหนึ่งร้อยจบต่อหน้าผู้คน”

หลี่คุนไม่สนใจเงินทองจากการนี้ คำปฏิญานที่เขาให้ไว้ท่านหมอเทวดาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดพื้นฐานวิชาฝังเข็มให้ในกาลก่อน ทำให้เขาไม่สามารถขูดรีดเงินทองจากการช่วยเหลือผู้คน แต่ความประพฤติอันไร้คุณธรรมของคนผู้นี้มิอาจปล่อยไปได้ เขาจึงยื่นเงื่อนไขการลงโทษที่ยึดตามบทบรรญัติในยุคเขาสำหรับความผิดประเภทนี้ให้กับอีกฝ่าย

ซูกัสที่นั่งเงียบๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกันเริ่มเข้าใจเรื่องราวขึ้นบ้าง ที่แท้พี่คุนก็มีแผนที่จะจัดการอีกฝ่ายอย่างนี้นี่เอง มิน่าถึงได้ติดตามดูคลิปใหม่ๆ ของไฮโซหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อจนเขาเข้าใจผิดไปถึงไหนๆ นี่เป็นการเอาคืนที่สาสมจริงๆ อยากจะลุกขึ้นตบมือดังๆ ให้พี่คุนเหลือเกิน

“แก!! นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ ใครจะไปทำเรื่องทุเรศเสียหน้าพรรค์นั้น อย่าคิดว่าแกเก่งอยู่คนเดียวนะ หมอฝังเข็มจริงๆ ที่ไม่ใช่หมอเถื่อนอย่างแกมีตั้งเยอะ ถ้าแกไม่ยอมทำ นอกจากอดได้เงินแล้ว เรื่องคดีก็จะไม่จบนะ”

“คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าก่อนคุณจะมานี่ คุณไปหาหมอฝังเข็มมากี่คนแล้ว ในโลกนี้มีผมคนเดียวที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ หากคุณไม่ยินยอมก็กลับไปเถอะ กลับไปอยู่กับมือคู่เดิมของคุณแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ”

หลี่คุนตัดบทอย่างเย็นชา จริงๆ ก่อนที่จะตัดสินใจทำเรื่องนี้ เขาได้ไปหารือกับท่านหมอภีมหมอแผนปัจจุบันที่เชี่ยวชาญวิชาฝังเข็มของยุคนี้ซึ่งเขาได้คบหาเป็นสหายมาแล้วว่า สิ่งที่เขาทำท่านหมอคนอื่นก็ทำได้ด้วยหรือไม่ หลังจากอธิบายกันอยู่พักใหญ่หมอภีมก็สรุปว่าการขยายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นมือที่หลี่คุณอธิบาย ไม่สามารถทำได้ด้วยการฝังเข็มหรือแม้แต่การแพทย์ปัจจุบันแขนงอื่น มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่มีโอกาสทำได้ แต่นักเปียโนที่ต้องรักษามือเท่าชีวิต จะมีใครกล้าเสี่ยงที่จะสูญเสียมือไปหากการผ่าตัดผิดพลาดเพียงเพื่อที่จะเล่นเพลงเพิ่มได้อีกแค่ไม่กี่เพลง ภายหลังเมื่อไฮโซแบงค์ไปพบกับหมอภีมเพื่อขอให้ใช้การฝังเข็มทำสิ่งเดียวกับที่หลี่คุนมาหารือไว้ หมอภีมที่เดาเรื่องได้บางส่วนจึงโทรไปเล่าให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่ไฮโซหนุ่มก็ไปหาหมอฝังเข็มคนอื่นๆ เกือบจะหมดวงการด้วย

“มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมทนไม่ได้จริงๆ ขอร้องล่ะคุณคุณานนท์ เรื่องที่คุณเรียกร้องมันเกินไป ชื่อเสียงผมจะป่นปี้หมด การรับช่วงธุรกิจต่อจากพ่อก็คงมีปัญหา ให้ผมทำอย่างอื่นเถอะ อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องให้คนอื่นรับรู้”

ไฮโซหนุ่มยินยอมแทบจะทุกสิ่งขอให้ได้พรสวรรค์ชั่วคราวนั้นกลับมา ตัวเขาเหมือนดังคนตาบอดตั้งแต่เกิดแล้วพลันได้เห็นความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นคราหนึ่ง ไหนเลยจะยินยอมที่จะกลับไปเป็นไปเป็นคนตาบอดได้ หากไม่เคยได้สัมผัสก็คงไม่ถวิลหาเจียนเป็นเจียนตายเช่นนี้ ไม่นึกว่าเด็กหนุ่มนักศึกษาอย่างคุณานนท์จะเลือดเย็นถึงเพียงนี้

แววตาปวดร้าวล้ำลึกที่ฉายออกมาทำให้หลี่คุนใจอ่อน คนผู้นี้ถึงจะไร้คุณธรรมแต่มีความรักให้กับดนตรีอย่างลึกซึ้ง เขาเองก็ชื่นชอบฝีมือของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เห็นทีจะต้องผ่อนปรนให้สักคราหนึ่ง

“เอาเถอะ คุณไปจัดการเรื่องคดีให้ถูกต้องเรียบร้อย อย่าให้ชื่อเสียงของผมด่างพร้อยเป็นอันขาด แต่โทษทัณฑ์ที่คุณลุแก่อำนาจบีบคั้นผมจนคนรอบกายต้องเดือดร้อนกันไปหมดไม่อาจละเว้นได้ คุณจะต้องรับการถอดกางเกงโบยก้นด้วยไม้พลองสิบที นี่ถือว่าผมเมตตาที่สุดแล้ว จะยอมรับหรือไม่”

ซูกัสที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด บัดนี้มองพี่ชายตัวเองตาโตแทบจะถลน สีหน้าเลื่อนลอยราวกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว แบงค์เองเมื่อได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่ายก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด เขามองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู

“คุณ.. คุณเป็นพวกมีรสนิยมอย่างว่าเหรอ”

ซูกัสได้ยินข้อสงสัยที่ไฮโซหนุ่มมีต่อญาติผู้พี่ก็อ้าปากหวอ ส่ายหน้าช้าๆ อย่างรับไม่ได้จนหลี่คุนรู้สึกว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงดึงตัวน้องชายเข้ามากระซิบถามเรื่องรสนิยมอย่างว่า พอรู้คำตอบก็ถึงกับทะลึ่งตัวขึ้นยืนชี้หน้าแบงค์ใบหน้าขาวกลายเป็นแดงก่ำ

“บังอาจ!!! ถอดกางเกงโบยก้นเป็นการลงทัณฑ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน มักใช้กับขุนนางที่ไม่อาจลงมือรุนแรงจนบาดเจ็บพิการได้ จึงให้ถอดกางเกงโบยตีจำนวนน้อยครั้งเพื่อสร้างความอับอายจนหลาบจำ หาได้มีนัยยะต่ำช้าอย่างที่คุณคิด ซูเอ๋อร์!! หยุดทำหน้าแตกตื่น แล้วก็ห้ามมองพี่ด้วยสายตาแบบนั้น พี่ไม่ได้เป็นต้วนซิ่วแล้วก็ไม่ได้ชอบการทรมานผู้คน”

หลี่คุนโกรธจนถึงขีดสุด คนผู้นี้คิดว่าเขาเป็นอย่างพวกคนชั้นสูงในอดีตที่นิยมเลี้ยงทาสชายหญิงเอาไว้โบยตีเพื่อสนองความวิปริตทางเพศได้อย่างไร มันน่าจัดการให้มือพิการไปเสียทั้งสองข้างยิ่งนัก แม้กระทั่งน้องชายของเขาเองก็เป็นไปกับคนอื่นด้วย นี่เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้าเลยเหรอซูเอ๋อร์

กลับเป็นแบงค์ที่พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจัง ต่อให้คนคนนี้จะพูดจาสำนวนแปลกๆ และท่าทางเพี้ยนหลุดโลกแค่ไหน ถ้าช่วยทำให้เขาเป็นนักเปียโนที่ยอดเยี่ยมได้ เขาพร้อมจะกลั้นใจทำมัน ไฮโซหนุ่มรักการเล่นเปียโนมาก ขนาดที่เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าจะต้องเลือกระหว่างเปียโนกับการสืบทอดธุรกิจของบิดา เขาคงเลือกเปียโนโดยไม่ต้องคิด หากเงื่อนไขการถูกโบยก้นมันไม่แย่มากจริงๆ เขาก็อาจจะยอมเพื่อให้ได้ความรู้สึกอิสระในการพรมนิ้วทั้งสิบไปบนเปียโนโดยไม่มีข้อจำกัดกลับคืนมาอีกครั้ง

“ขอโทษจริงๆ ครับคุณคุณานนท์ ผมไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาคุณเลย แต่เรื่องถอดกางเกงโบยก้นนี่มันออกจะ… แปลกใหม่ไปสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะต้องถอดกางเกงในโชว์ เอิ่ม สัดส่วนด้วยไหม  แล้วการโบยตีจะรุนแรงแค่ไหน ถึงขั้นเลือดออกเป็นอันตรายเลยหรือเปล่า แล้วคุณคงไม่ถือโอกาสถ่ายคลิปไว้ด้วยหรอกนะครับ”

หลี่คุนกำลังจะตอบแต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นซูเอ๋อร์มีสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ หลังจากได้ยินคำถามแต่ละข้อของหนุ่มไฮโซ เขามิอาจสูญเสียภาพลักษณ์ในใจซูเอ๋อร์ไปได้มากกว่านี้แล้ว

“เรื่องลงทัณฑ์เอาไว้ค่อยหารือกันภายหลัง ผมยังไม่รู้ว่าจะส่งเสริมมือของคุณได้เป็นการถาวรเพียงใด คุณเคยฝังเข็มครั้งแรกมาแล้ว วันนี้ผมจะฝังเข็มให้อีกครั้งหนึ่ง มันควรจะส่งผลไปอีกสามเดือน หากระหว่างนั้นคุณดำรงอยู่ในคุณธรรม ผมจะฝังเข็มครั้งที่สามซึ่งจะมีผลไปอีกหกเดือนให้ ส่วนครั้งที่สี่ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายจะมีผลต่อไปอีกถึงหนึ่งปี”

“อ้าว แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

แบงค์อุทานออกมาอย่างผิดหวัง ไม่คิดว่าต่อให้เขายอมถูกโบยก้น ก็ยังไม่อาจรักษามือที่ยอดเยี่ยมนั้นได้ตลอด

“หลังจากนั้นมือของคุณจะกลับสู่สภาพเดิม น่าเสียดายยิ่งนัก หากผมสามารถคิดค้นรูปแบบการฝังเข็มครั้งที่ห้าได้สำเร็จ มือของคุณน่าจะคงสภาพนั้นไปได้ชั่วชีวิต แต่ผมยังติดขัดอยู่อีกเพียงนิดเดียว เพียงนิดเดียวเท่านั้น”

“แต่ถึงไม่สำเร็จ คุณก็ยังฝังเข็มแบบครั้งที่สี่ต่อเวลาไปครั้งละหนึ่งปีไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหมครับ”

หนุ่มไฮโซพยายามเกาะเกี่ยวความหวังสุดท้ายไว้

“จุดฝังเข็มรูปแบบหนึ่ง สามารถใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากผมไม่สามารถบรรลุรูปแบบที่ห้าได้ เกรงว่าคุณจะต้องอยู่ในสภาพเดิมไปตลอด ผมไม่รับรองว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงสองปีนี้ จะทำมันสำเร็จหรือไม่ แต่หากคุณคงความเป็นผู้มีคุณธรรม ใช้อำนาจเงินทองความสามารถให้เกิดประโยชน์กับผู้คน ผมย่อมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดค้นหนทางเพื่อช่วยคุณให้ถึงที่สุด ซูเอ๋อร์ จงไปนำเข็มของพี่มา”

ไฮโซเจ้าอารมณ์ผู้เคยเกรี้ยวกราดบัดนี้สีหน้าเศร้าหมองต่อความไม่แน่นอนในอนาคต แม้หลี่คุนจะทำการฝังเข็มครั้งที่สองให้จนมือทั้งคู่กลับมายืดหยุ่นเหมือนเดิมแล้ว สีหน้าก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เขามีเวลาเพียงไม่ถึงสองปีหากอีกฝ่ายยังไม่สามารถหาจุดฝังเข็มรูปแบบที่ห้าได้ ไม่รู้ว่าเมื่อความพิเศษบนมือคู่นี้ถูกพรากไปอีกครั้งเขาจะรู้สึกเจียนตายเพียงใด

หลี่คุนทอดสายตามองหนุ่มไฮโซที่เดินห่อเหี่ยวกลับไปอย่างสาสมใจ ในฐานะที่ได้สืบทอดวิชาต่างๆ มาจากปรมาจารย์หลายท่าน หลี่คุนมีสัจจะที่ต้องรักษาอยู่หลายข้อ แต่ในบรรดาข้อห้ามเหล่านั้น หาได้ห้ามการพูดปดไว้ไม่ ทุกอย่างที่เขาบอกไฮโซหนุ่มไปล้วนแต่เป็นเรื่องผายลมมดเท็จสิ้นดี การรักษาให้หายขาดไปเลยนั้นง่ายที่สุด การคิดค้นตำแหน่งฝังเข็มให้หมดฤทธิ์ลงเมื่อเวลาผ่านไปตามที่กำหนดสิจึงจะเป็นเรื่องยาก นี่จึงเป็นบทลงโทษที่แท้จริงที่เขามอบให้ หลี่คุนมีความเชื่อตามยุคสมัยของเขาว่าสำเนียงดนตรีย่อมสะท้อนจิตใจผู้บรรเลง ท่วงทำนองเปียโนที่หนักแน่นงดงามกระจ่างชัดบ่งบอกว่าคนผู้นี้ยังถูกขัดเกลาได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกเนิ่นนานเท่าไหร่เขาถึงจะพอใจกับความประพฤติของไฮโซหนุ่มจนยินยอมปลดเปลื้องนรกในใจนี้ให้

### แถม ###

อิน้อง : พี่คุนนนนน ไม่เก็บค่ารักษาจากเฮียไฮโซนั่นหน่อยเหยอ (เผื่อได้ตังกินหนม ^^)
อิพี่ : จริงด้วย แต่’จารย์ห้ามเก็บตังเกินท่านหมอคนอื่น แถวนี้เค้าคิดกันโรคละเท่าไหร่อ่า
อิน้อง : สามสิบบาท
อิพี่ : T_T

####

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
«ตอบ #24 เมื่อ30-10-2019 13:19:54 »

11

หลังจากวันที่หลี่คุนตกลงเรื่องการฝังเข็มที่มือกับไฮโซแบงค์ได้ อีกฝ่ายก็รีบไปถอนฟ้องคดีกับศาลอย่างลนลาน หลังจากนั้นก็แก้ข่าวกับสื่อว่าคุณานนท์ผู้ถูกชนไม่ได้เป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ในเมื่อคู่กรณีมีแค่สองคน ก็เท่ากับยอมรับออกมากลายๆ ว่าตัวเองเป็นสาเหตุ

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ในโซเชียลอีกครั้ง คนที่คอยสร้างกระแสเล่นงานไฮโซหนุ่มในครั้งก่อนถือโอกาสนี้ลงมืออย่างต่อเนื่อง แต่เหมือนแบงค์จะไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอินเตอร์เน็ตเมืองไทยอีกแล้ว เขาประกาศพักการรับช่วงต่อธุรกิจจากผู้เป็นบิดาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ก่อนจะรับคำเชิญครั้งก่อนของอาจารย์บินไปร่วมงานกับวงออเคสตร้าแห่งเมืองเวียนนามุ่งหน้าสู่หนทางการเป็นนักเปียโนระดับโลกอย่างสุดตัว ไม่นานผลงานคอนเสิร์ตที่เขาร่วมแสดงก็ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์สายดนตรีคลาสสิคจากทั่วโลก

‘...ใครจะคิดว่านักเปียโนหนุ่มหน้าใหม่จากประเทศไทยจะบรรเลงเพลงของ เซอร์เก รัคมานินอฟ ได้ทรงพลังเช่นนี้ ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจทุกครั้งเมื่อมองมือขนาดชาวเอเซียที่สวยงามคู่นั้นสามารถกางออกไปกดคู่สิบสองบนคีย์เปียโนได้อย่างสมบูรณ์แบบ...’

‘…เรายอมรับว่าเทคนิคของเขาในการเล่นคู่สิบเอ็ดหรือสิบสองมันน่าทึ่งมาก แต่สิ่งที่ทำให้เพื่อนนักเปียโนชาวไทยคนนี้เหนือล้ำกว่านักเปียโนชั้นเยี่ยมคนอื่นคือจิตวิญญาณ ถ้าคุณได้ไปฟังการแสดงสดของเขา คุณจะบอกได้เลยว่าเขาบรรเลงมันด้วยความรู้สึกว่านั่นคือเพลงสุดท้ายในชีวิต...’

ในขขณะที่ไฮโซหนุ่มกำลังทะยานขึ้นสู่แถวหน้าของเส้นทางนักดนตรีคลาสสิค หลี่คุนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นกำลังกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

น้องชายเขากำลังมีปัญหา!!!

ซูเอ๋อร์ที่เคยร่าเริงตอนนี้กลับเงียบขรึมอย่างหนักจนเหมือนมีอาการซึมเศร้า ทั้งๆ หลังจากเขาจัดการไฮโซหนุ่มไปอย่างสาสมแล้วน้องชายก็ดูสดใสอารมณ์ดียิ่งนัก แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน ทั้งอมทุกข์ เก็บตัว บางทีก็หวาดผวาเหมือนระแวงผู้คน ไอจีที่เคยเล่นทุกวัน มือถือที่เคยหยิบจับแทบจะตลอด เดี๋ยวกลับถูกทิ้งร้างจนแฟนคลับกังวลว่าเกิดอะไรร้ายแรงกับไอดอลของพวกเขาหรือไม่ หลี่คุณเรียกเจ้าใหญ่เจ้ารองเจ้าสามไปจนน้องสี่มาสอบถาม ก็ไม่มีใครรู้สาเหตุสักคน มีแต่จะกลัดกลุ้มไปตามๆ กัน

คนเป็นพี่ร้อนใจยิ่งนัก อะไรเล่าจึงสามารถทำให้คนที่มองทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามอย่างซูเอ๋อร์เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แต่จนใจที่ทั้งปลอบทั้งขู่อย่างไร เด็กน้อยก็ไม่ปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว มีเพียงสายตาหวาดกลัวเคล้าน้ำตาที่จ้องมาราวกับจะพยายามขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่อาจบอกใครได้

หลี่คุนมิอาจทนต่อไปได้ เขาทุ่มเทกำลังหลายวันหลายคืนติดต่อกันจนผสมกำยานมอมจิตของพรรคมารนอกรีตในอดีตออกมาได้สำเร็จ หากเป็นก่อนหน้านี้ที่มีเพียงสมุนไพรที่ขาดความสมบูรณ์เขาคงไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้ แต่ในตะกร้าของบำรุงสุขภาพที่ไฮโซแบงค์นำมาให้ นอกจากวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ ที่เขาไม่ค่อยรู้จักแล้ว ก็ยังมีพวกสมุนไพรสกัดบรรจุแคปซูลรวมอยู่หลายชนิด หลี่คุนไม่รู้มาก่อนว่าในยุคนี้มีความก้าวหน้าถึงขั้นกลั่นแยกคุณค่าสำคัญของสมุนไพรออกมาได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณ เขาตรวจสอบสารสกัดในแคปซูลพวกนั้นแล้วพบว่า ตัวที่เป็นโสมเกาหลีกับเห็ดหลินจือมีสรรพอยู่บ้าง แต่ก็มีบางตัวอย่างถั่งเช่าที่ไม่ได้มาจากพันธุ์ดั้งเดิม

การค้นพบนี้ทำให้สามารถใช้วัตถุดิบราคาแพงอย่างโสมหรือเห็ดหลินจือได้โดยไม่ต้องซื้อมาทั้งต้น เขาไปตระเวนหาซื้อสมุนไพรแคปซูลแบบนี้มาได้อีกไม่น้อย ค่อยๆ ทดลองไป บางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็ต้องโยนทิ้ง แต่รวมๆ ก็ทำให้เขามีวัตุดิบในการปรุงยาเพิ่มขึ้นหลายชนิด แถมยังไม่ต้องเสียเวลาเคี่ยวเหมือนแต่ก่อน

เขาจุดกำยานมอมจิตทิ้งไว้ในห้องที่ซูเอ๋อร์นอนอยู่คะเนเวลาประมาณหนึ่งก้านธูปจึงเอาออกเปิดหน้าต่างไล่ควันที่ตกค้างอยู่จนหมด พอปลุกญาติผู้น้องขึ้นมา อีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพมึนเมาคล้ายถูกมอมด้วยสุรา กำยานที่เขาปรุงมีฤทธิ์อ่อนมากเมื่อเทียบกับต้นตำหรับของพรรคมาร แต่กับเด็กสิบหกขวบปีที่ไม่เคยผ่านการฝึกจิตอย่างซูเอ๋อร์ นี่น่าจะเพียงพอที่จะสอบถามสิ่งที่เขาอยากรู้ทั้งหมดได้

“ซูเอ๋อร์ ช่วงนี้เรากังวลใจอะไรอยู่หรือไม่”

“พี่คุนเหรอ พี่คุน ผมกลัว”

“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรน้อง”

“ผมไม่กล้าพูด พี่จะเกลียดผม ผมไม่น่าทำเรื่องแบบนั้นลงไปเลย”

“ไม่ต้องกลัว มิว่าน้องจะทำเรื่องอะไรลงไป พี่คุนไม่มีทางเกลียดเรา ขอเพียงแค่บอกเรื่องที่อยู่ในใจออกมา ทุกอย่างย่อมแก้ไขได้”

กำยานมอมจิตกับการปลอบโยนของหลี่คุนใช้การได้อย่างยิ่ง ซูเอ๋อร์ค่อยๆ เล่าเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมาจนหมดสิ้น เรื่องมันเริ่มมาจากบอทของแฮ็คส์นักร้องนักแสดงลูกครึ่งที่มาทักทายน้องชายเขาในไอจีตั้งแต่ยังไม่ดังมาก หลังจากคุยการผ่านหน้าไอจีอยู่ช่วงหนึ่งก็เริ่มไปคุยผ่านทางช่องทางส่วนตัวจนสนิทสนมกัน บอทของแฮ็คส์ชอบเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ของแฮ็คส์ตัวจริงมาเล่า รวมถึงมีรูปภาพพิเศษๆ ที่ยังไม่ได้เผยแพร่ที่ไหนส่งมาให้ดูเป็นประจำ  ซูเอ๋อร์ชื่นชมผลงานของแฮ็คส์จนยึดเป็นไอดอลขวัญใจมาหลายปีแล้วเลยชอบคุยกับบอทแอคเค้าท์นี้เป็นพิเศษ เขาคาดว่าตัวจริงของบอทน่าจะเป็นหัวหน้าแฟนคลับของแฮ็คส์จากเพจใดเพจหนึ่ง  จากที่พูดคุยกันเรื่องแฮ็คส์ ก็เริ่มไปคุยเรื่องความชอบความสนใจอื่นซึ่งปรากฏว่าเข้ากันได้ดีมากจนซูเอ๋อร์รู้สึกว่าเป็นพี่ชายอีกคน

หลังจากคุยกันอย่างสนิทสนมผ่านตัวหนังสือมานาน บอทของแฮ็คส์ก็ชักชวนให้คุยกันผ่านกล้อง ซูเอ๋อร์ไม่คิดอะไรมากตอบตกลงทันทีเพราะอยากรู้จักตัวจริงของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นใบหน้าผ่านกล้องชัดๆ เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อรู้ว่าบอทของศิลปินที่เขาคุยด้วยมานานนั้นมีใบหน้าที่เหมือนแฮ๊คส์ตัวจริงไม่มีผิด พออีกฝ่ายชวนคุยมาเสียงพูดก็ยังเป็นของแฮ๊คส์ที่แสนจะจำได้ขึ้นใจ พอมั่นใจว่าคือตัวจริงแน่ๆ ซูเอ๋อร์ก็ถึงกับปิดกล้องวางสายหนีไปด้วยความอับอายอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้พูดคุยแสดงความชื่นชมจนเกินเลยกับอีกอีกฝ่ายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แฮ็คส์ส่งข้อความมาง้อที่ปิดบังความจริงอยู่หลายครั้ง ทำแม้กระทั่งส่งคลิปร้องเพลงดังของตัวเองที่ดัดแปลงเนื้อเพื่อขอโทษมาให้ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทำใจที่จะเปิดกล้องคุยกันอีกครั้ง หลังจากที่เอาชนะความเขินที่มีไปได้ทั้งคู่ก็ยิ่งทวีความสนิทสนมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องอะไรที่สรรหามาคุยก็ถูกคอไปเสียหมด ในฐานะที่ซูกัสเป็นเน็ตไอดอลถึงแม้ว่ายังไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าวงการแต่ก็ถือว่าเป็นคนดังในระดับหนึ่ง แฮ็คส์สอนเคล็ดลับหลายอย่างของการเป็นคนมีชื่อเสียงให้ ตั้งแต่การวางตัวให้คนรัก การสร้างฐานแฟนคลับ การสร้างกระแสให้คนพูดถึงซึ่งล้วนแต่เป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ในที่สุดก็คุยกันไปถึงเรื่องแต่งตัว การดูแลร่างกาย และการฟิตซ้อมหุ่น ประการหลังนี้ซูกัสซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในช่วงเติบโตไม่อาจสู้หรุ่มลูกครึ่งซึ่งเป็นดารานักแสดงที่ว่ากันว่าหุ่นดีเบอร์ต้นๆ ของวงการได้แม้แต่น้อย

แฮ็คส์สอนวิธีออกกำลังกายฟิตซ้อมหุ่นที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้านให้กับซูกัส สอนไปสอนมาเขาก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามที่ตึงแน่นผ่านทางกล้องให้ดูบอกว่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เกือบจะทุกวันหากนักร้องหนุ่มไม่ได้รับงานช่วงค่ำ ทั้งคู่ก็จะออกกำลังกายร่วมกันผ่านกล้อง ในช่วงนั้นถึงกับมีข่าวลือออกไปว่าแฮ็คส์ลดการรับงานลงเพื่อเตรียมจะออกจากวงการไปสืบทอดธุรกิจของครอบครัว ต่อมาแฮ็คส์ก็เริ่มออกกำลังกายด้วยการใส่บ๊อกเซ่อร์ตัวเดียวทำให้ซูกัสร้อนหน้าอย่างบอกไม่ถูก ผ่านไปสักพักก็ถูกคะยั้นคะยอให้มาออกกำลังกายในชุดแบบเดียวกัน เด็กน้อยค่อยๆ ชินและหลวมตัวไปทีละนิดจนแม้กระทั่งเวลาพูดคุยกันทั่วไปก็ยังอยู่ในชุดเกือบเปลือย

การสนทนาเองก็เริ่มขยับจากเรื่องทั่วไปกลายเป็นสิ่งที่เด็กวัยรุ่นสนใจทุกคนคือเรื่องทางเพศ แฮ๊คส์ค่อยๆ อ้อมไปมาทำตัวให้คำแนะนำถึงเรื่องต่างๆ ที่ลึกลงใต้สะดือเรื่อยๆ ราวกับเป็นครูวิชาสุขศึกษาเสียเอง ไปๆ มาๆ ด้วยอารมณ์คุกรุ่นของทั้งคู่บวกกับความคารมหว่านล้อมของฝ่ายที่อายุมากกว่า ในที่สุดเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่มีอยู่ก็ไม่เหลือ จบลงที่ทั้งคู่ทำเรื่องน่าอับอายร่วมกันผ่านกล้องไป

หลังจากปลดปล่อยจนสติรับรู้ผิดชอบชั่วดีตามมา ซูกัสก็กังวลเป็นอย่างมาก ถ้าเรื่องที่ทำนี้รู้ไปถึงสาธารณะ คนที่เป็นดาราดังจะเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน แต่หนุ่มลูกครึ่งก็บอกว่าไม่ต้องกังวลก็มีกันแค่สองคนคนอื่นจะมารู้ได้อย่างไร เขาเชื่อใจในตัวซูกัสมากว่าจะดูแลชื่อเสียงของเขาอย่างดี เด็กน้อยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งวางใจและผูกพันในตัวนักร้องหนุ่มมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าเขาสังเกตดีๆ จะพบว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานดังกล่าวกล้องอีกฝ่ายจะจับภาพมุมต่ำลงทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของดาราหนุ่ม

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซูกัสเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นแบบไหนกันแน่ หนุ่มๆ หน้าตาดีเขาก็สนใจ  สาวๆ สวยๆ ก็ยังชอบมอง แต่เหตุการณ์พิเศษในวันนั้นทำให้น้ำหนักเทไปทางเพศเดียวกันมากกว่า เด็กหนุ่มไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่มีกับแฮ๊คส์เป็นแค่ความชื่นชมหรือได้ถลำลึกลงไปมากกว่านั้นแล้ว ที่แน่ๆ คือความสัมพันธ์ของทั้งคู่นับวันยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกทีในความคิดของเขา

หลังเหตุการณ์นั้นซูกัสยังเคอะเขินอยู่มาก แต่ด้วยการทำตัวตามสบายของแฮ็คส์ที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งคู่ก็กลับมาคุยกันทุกวันเหมือนเดิม แต่เพียงไม่ถึงสัปดาห์หนุ่มนักร้องก็เริ่มเผยความต้องการออกมาว่าอยากทำเรื่องแบบวันนั้นอีก รวมถึงขอนัดออกมาเจอกันจริงๆ ด้วย คราวนี้ซูกัสแข็งใจปฏิเสธทันที เขาตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนมอปลายควรจะทำกับดาราชื่อดัง แฮ็คส์พยายามเกลี้ยกล่อมว่าอยากทำเป็นกำลังใจก่อนจะต้องไปเก็บตัวในกองถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ที่มีฉากต่อเนื่องในต่างประเทศ บทบาทที่ได้รับต้องใช้สมาธิสูงอาจจะต้องหยุดการติดต่อกับเด็กหนุ่มไปหลายวัน ซูกัสใจหายรู้สึกว่าจะต้องคิดถึงอีกฝ่ายมากเพราะเคยคุยกันทุกวัน แต่เขาก็ไม่ยอมใจอ่อนได้แต่อวยพรให้อีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการถ่ายทำ

แฮ็คส์ไม่ได้ติดต่อมาสองสามวัน ซูเอ๋อร์กังวลด้วยไม่แน่ใจว่าเริ่มถ่ายหนังแล้วหรือว่าโกรธที่เขาไม่ยอมตามใจ แต่ในคืนวันนั้นเขาก็ได้ข้อความตัดความสัมพันธ์จากแฮ็คพร้อมกับสั่งให้เขาลบรูปหรือคลิปที่แอบบันทึกไว้จากการเปิดกล้องคุยกันทั้งหมด เด็กหนุ่มตกใจมาก พยายามคอลหาเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แฮ็คส์ก็ไม่รับ ซูกัสร้อนใจหนักคิดว่าทางนักร้องหนุ่มคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ สุดท้ายก็ส่งข้อความกลับไปอธิบายว่าเขาไม่เคยแคปรูปหรือบันทึกวิดีโอที่คุยกับนักร้องหนุ่มแม้แต่ครั้งเดียว ฝั่งโน้นก็ถามกลับมาว่าจะเชื่อได้ยังไงจนเด็กหนุ่มต้องพิมพ์ข้อความสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับไป

ไม่คาดว่าหลังจากนั้นแฮ็คส์เหมือนจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาส่งรูปภาพที่แคปจากตอนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันผ่านกล้อง โดยเห็นใบหน้าและร่างกายช่วงบนที่ปราศจากเสื้อผ้าของซูกัสอย่างชัดเจน พร้อมข้อความข่มขู่ว่าในคลิปเต็มที่แอบอัดไว้จะเห็นหมดจดตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะเผยแพร่ออกไปทางอินเตอร์เน็ตทันที

คำสั่งที่ซูกัสได้รับคือให้ถอดเสื้อผ้าจนหมดแล้วถ่ายคลิปแนะนำตัวเอง ให้พูดทั้งชื่อนามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และโรงเรียนที่เรียนอยู่ ปิดท้ายด้วยการทำเรื่องปลดปล่อยอารมณ์จนถึงจุดต่อหน้ากล้องแนบเป็นไฟล์ส่งกลับไปเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่เอาสิ่งที่ทำผ่านวิดีโอคอลก่อนหน้านี้ไปบอกใคร เด็กหนุ่มตกใจจนเกือบช๊อค ไม่น่าเชื่อว่านักร้องหนุ่มที่เขาคุยอย่างสนิทใจมาเป็นเดือนๆ จะทำร้ายกันถึงขนาดนี้ พอไม่ตอบอะไรกลับไป ก็โดนข้อความข่มขู่ต่างๆ นาๆ ส่งเข้ามาไม่หยุด

เด็กหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง ถึงจะเผลอตัวในครั้งแรกด้วยความไว้ใจนักร้องขวัญใจมากเกินไปจนเหมือนไม่ทันคน แต่ซูกัสก็เป็นเด็กยุคอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้อ่อนต่อโลก เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าทำตามที่สั่งแล้วแฮ็คส์จะหยุดแค่นี้ ยิ่งยอมทำตามก็จะยิ่งเสียเปรียบไปเรื่อยๆ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือจะต้องวัดดวงว่านักร้องหนุ่มมีคลิปอยู่จริงและตัดสินใจจะปล่อยหรือไม่ ถึงแม้จะตัดสินใจดีแล้วแต่ก็หนีไม่พ้นความหวาดกลัวที่จะเห็นคลิปตัวเองโผล่ออกมาวันใดวันหนึ่ง

เรื่องทั้งหมดนี้ซูเอ๋อร์เล่าออกมาทั้งน้ำตาทำให้หลี่คุนโกรธแค้นยิ่งนัก แม้จะตกอยู่ในอาการมึนเมาแต่เด็กหนุ่มก็ยังกังวลกับความรู้สึกของพี่ชาย

“พี่คุนโกรธผมมากเลยใช่ไหมที่ผมทำตัวแบบนี้  พี่จะเอาเรื่องที่ผมเป็นเกย์ไปบอกพ่อกับแม่เปล่า”

ในยุคก่อนก็มีบุรุษที่มีรสนิยมชมชอบตัดแขนเสื้ออยู่ในสังคมไม่น้อย ที่เป็นมิตรสหายของหลี่คุนก็มีอยู่บ้าง แต่เกือบทั้งหมดต้องเก็บซุกซ่อนไว้ ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้ชายคือการสืบทอดวงศ์ตระกูล ต้วนซิ่วหลายคนจึงแต่งภริยาเข้าบ้านเพื่อให้กำเนิดบุตรธิดาในขณะที่มีบ่าวรับใช้ชายหน้าตาดีไว้คอยอุ่นเตียง หลี่คุนไม่ถึงกับชิงชังคนพวกนี้หากเขายังดูแลฮูหยินของตัวเองได้ดีในฐานะสามี ดูไปก็ไม่ต่างกับบุรุษที่ลุ่มหลงอนุแต่ยังให้เกียรติภรรยาหลวง

“พี่ไม่ได้ตำหนิเราในเรื่องนี้ แต่หากต่อไปน้องได้แต่งการแต่งงานออกหน้าออกตาและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับหญิงคนรักจะไม่เป็นสุขกว่าหรือ”

“แม้แต่พี่คุนก็คิดว่าผมไม่ควรเป็นอย่างที่ผมเป็น อย่างนี้คลิปหลุดไปเลยก็ดี คนจะได้รู้ว่าผมเป็นอะไร ไม่ต้องมาปิดบังกันอีก”

ซูกัสที่เหมือนจะดีขึ้นจากคำปลอบโยนก่อนหน้านี้กลับน้ำตาคลอขึ้นมา หลี่คุนมองอย่างกลัดกลุ้มนึกอยากจับตัวคนที่หลอกลวงน้องชายไปลงทัณฑ์ด้วยห้าม้าแยกร่างยิ่งนัก แต่จะว่าไปในบรรดาองครักษ์เงาระดับสูงในชาติก่อน ก็มีอยู่สองคนที่สนิทสนมกันยิ่งนัก ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีวงศ์ตระกูลให้ต้องสืบทอด ยิ่งต้องเร้นกายไม่มีสังคมให้ต้องรักษาหน้าตา บุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่แต่งงาน ไม่เที่ยวเตร่หอนางโลม คนอื่นอาจมองว่าเป็นสหายที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่น แต่หลี่คุนที่เชี่ยวชาญการแพทย์สัมผัสได้ถึง ‘กลิ่น’ ที่ไม่ควรมีจากการใดๆ ระหว่างบุรุษด้วยกัน เขาไม่ได้เห็นชอบแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม วิถีชีวิตองครักษ์เงานั้นเสี่ยงตายยิ่งนัก เมื่อเห็นความสุขเต็มเปี่ยมสะท้อนออกมาแววตาของทั้งคู่แล้วก็มิอาจออกปากอันใดได้ หลังจากเขาตายลงในชาติก่อนโดยไม่มีทายาทสืบทอด เหล่าองครักษ์เงาที่ไร้ผู้นำคงหมดหน้าที่ลง ได้แต่หวังว่าทั้งคู่จะเร้นกายไปมีชีวิตที่มีความสุขด้วยกันต่อไป หลี่คุนฉุกคิดขึ้นมาว่า หากตนยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ของผู้อื่นได้ แล้วความสุขของน้องชายตัวเอง เขาจะต่อต้านมันไปทำไม

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตำหนิเรา อะไรที่ทำให้มีความสุขโดยไม่ผิดกับตัวเองและผู้อื่น ล้วนกระทำได้ทั้งสิ้น  แต่ตอนนี้เรารู้เรื่องอะไรของเจ้าคนสารเลวนั่นต้องบอกพี่มาให้หมด พี่ต้องจัดการมันอย่างสาสม”

ซูกัสเล่าข้อมูลที่เกี่ยวกับแฮ็คส์ทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเห็นรูปของนักร้องลูกครึ่งชัดๆ โทสะของหลี่คุนก็ยิ่งทวีขึ้น รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีอ่อน ตาโต จมูกโด่งเป็นสัน แสดงให้เห็นว่ามีเชื้อพันธุ์ของพวกคนเถื่อนโพ้นทะเลที่ใช้ปืนไฟร่วมมือกับขุนนางชั่วล้อมจับเขาจนต้องโดดหน้าผาตายในชาติก่อน ไม่คิดว่าน้องชายของเขาในชาตินี้ต้องมาเจอลูกหลานของเผ่าพันธุ์นี้หลอกลวงทำร้ายจิตใจเอาอีก

หลี่คุนลงมือปรุงยาอีกครั้ง ตำหรับยาพิษนี้ชั่วร้ายสุดประมาณจนไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่จะต้องปรุงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ภาพอันน่าสังเวชของเหยื่อสำนักมารที่ต้องผงพิษผลาญทวารส้างโห่จิ่วเชี่ยวในชาติก่อนยังติดตามาจนถึงชาตินี้ พิษตำหรับนี้ไม่ทำให้ถึงแก่ความตาย แต่หากไม่ได้รับยาถอนพิษเหยื่อมักจะสติวิปลาสหรือทำร้ายตัวเองจนตายในที่สุด อาการของผงพิษผลาญทวารจะเริ่มจากการปวดแสบปวดร้อนตามทวารทั้งเก้า ได้แก่ ตา หู จมูก ปาก อวัยวะเพศ และทวารหนัก แล้วหายไปเอง จากนั้นอาการจะเกิดขึ้นใหม่ทุกๆ สามชั่วยามวนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งนานเข้าความแสบร้อนในแต่ละครั้งจะมากขึ้นมากขึ้นจนคล้ายโดนไฟเผา ถึงตอนนั้นหากไม่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อนก็จะเสียสติอยู่ดี

ตัวยาสำหรับปรุงพิษร้ายนี้พิสดารยิ่งนัก เกือบครึ่งล้วนหาไม่ได้ในยุคนี้ หลี่คุนพยายามใช้สมุนไพรอื่นที่มีสรรพคุณใกล้เคียงมาทดแทน จนใจก็แต่หัวกิมซาจัวที่เป็นตัวยาสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแสบร้อนแสนสาหัสที่ยังไม่สามารถหาอะไรมาเทียบเคียงได้ หลี่คุนไม่สามารถปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนอีกฝ่ายลงมือทำลายชื่อเสียงของซูเอ๋อร์ เขาตัดสินใจใช้พริกขี้หนูสวนและหมามุ่ยแทนซึ่งน่าจะสร้างอาการแสบคันตามทวารทั้งเก้าได้ไม่น้อย

แฮ็คส์หยุดส่งข้อความข่มขู่ไปเฉยๆ หลังจากส่งต่อเนื่องอยู่หลายวัน ตามมาด้วยการลบเพื่อนออกทำให้ซูกัสไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้อีก เด็กหนุ่มร้อนใจมากเพราะนี่น่าจะเป็นสัญญานว่าหนุ่มลูกครึ่งกำลังจะลงมือตามที่ขู่ไว้ สอดคล้องกับข้อมูลจากเพจแฟนคลับของแฮ็คส์ที่เอาข่าววงในมาบอกว่าขวัญใจของพวกเขาถ่ายหนังที่ประเทศจีนเสร็จแล้ว กำลังจะบินกลับมาในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับกองถ่ายให้ช่วยไปต้อนรับให้กำลังใจกันที่สนามบินด้วย

หลี่คุนได้รับข่าวที่ซูกัสหามาให้ก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะเล่นงานอีกฝ่ายได้ แผนการขอหลี่คุนเรียบง่ายยิ่งไม่ต่างอะไรกับที่ใช้จัดการไฮโซแบงค์ในครั้งก่อน เพียงหาโอกาสเข้าไปประชิดตัวเพื่อแพร่พิษผลาญทวารใส่ จากนั้นก็ปล่อยให้ไอ้คนสารเลวนั่นลิ้มรสความทรมานสักหลายวันค่อยยื่นข้อเสนอให้ เขาลาป่วยกับบริษัทที่ฝึกงาน สวมชุดสีขาวอย่างที่ชอบพร้อมผ้าปิดปากสีดำลายมังกรที่ใส่ประจำมุ่งหน้าไปที่สนามบินพร้อมกับผงพิษผลาญทวารโดยไม่บอกให้ซูกัสรู้

ที่สนามบินมีผู้คนพลุกพล่านแต่หลี่คุนก็หากลุ่มแฟนคลับของแฮ็คส์ที่ระบุจุดนัดพบไว้ในเพจอยู่แล้วได้ไม่ยากนัก เขาทำตัวกลมกลืนเหมือนเป็นแฟนคลับคนหนึ่ง รอบตัวได้ยินแต่เสียงพูดคุยชื่นชมในตัวนักร้องลูกครึ่งชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ในความจอมปลอมแอบซ่อนสันดานเลวร้ายของคนผู้นี้จนแทบจะทนไม่ได้ เมื่อใกล้ได้เวลา หัวหน้าแฟนเพจผู้มากประสบการณ์เริ่มจัดแถวให้บรรดาแฟนคลับเตรียมต้อนรับแฮ็คส์ที่กำลังจะออกมาจากด้านในสนามบินอย่างเป็นระเบียบไม่ให้เกะกะผู้คน

หลี่คุนผงกหัวขอโทษแฟนคลับสาวๆ ขณะที่แทรกตัวเองไปอยู่แถวหน้าสุด ในแขนเสื้อซ่อนผงพิษที่เตรียมมาไว้ ในที่สุดคณะกองถ่ายก็เดินออกมา เสียงฮือฮาแสดงความตื่นเต้นดังขึ้นรอบตัว หลายคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป หลี่คุนเห็นร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาของนักร้องหนุ่มเดินตามมาทิ้งระยะกับกองถ่ายคนอื่นเล็กน้อย ด้านข้างมีบุรุษในชุดสีดำประกบอยู่หลายคน ประเมินดูแล้วสามารถใช้ท่าเท้าท่องคลื่นน้อยหลบหลีกผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร เมื่อเป้าหมายเดินมาถึงจุดที่รออยู่ หลี่คุนก็ลงมือทันที เขาใช้ท่าก้าวย่างอันพิสดารพลิกพริ้วตัวเองผ่านบอดี้การ์ดคนร้ายคนเล่าในช่วงไม่กี่วินาทีก็ถึงเบื้องหน้าของนักร้องหนุ่ม ในมือเตรียมจะสาดผงพิษออกไป มิคาดว่าชายชุดดำที่ประกบอยู่ด้านข้างปฏิกิริยาฉับไวยิ่งเคลื่อนกายเข้ามาบังร่างหนุ่มลูกครึ่งในทันที หลี่คุนลังเลใจที่จะแพร่พิษให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงชะงักมือเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกกระตุกเจ็บแปล๊บที่หัวไหล่ มองไปเห็นชายชุดดำอีกคนกำลังจี้อาวุธหน้าตาแปลกมีประกายไฟสีขาวฟ้าส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ เข้ามาที่ร่างกายของตน

หลี่คุนเห็นสถานการณ์คับขัน ทางเป้าหมายของเขาก็มีคนมาคุ้มกันอย่างหนาแน่น แม้ว่าคนพวกนี้จะไม่มีกำลังภายใน แต่ท่วงท่าก็มีแบบแผนรัดกุมอย่างคนที่ได้รับการฝึกฝนและผ่านประสบการณ์จริงมา หลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นหมุนวนไปรอบๆ เพื่อหาโอกาสแพร่พิษ แต่กลับถูกอาวุธสั้นที่ส่งประกายไฟคอยโจมตีเฉียดฉิวไปมา เขามิอาจดูแคลนอาวุธที่สร้างความเจ็บปวดจากระยะห่างนี้ได้ ท่าเท้าท่องคลื่นเดิมทีก็มิได้มีไว้เพื่อการจู่โจมอยู่แล้ว สถานการณ์จึงยากลำบากยิ่ง

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเรียกความสนใจจากแฟนคลับและผู้คนบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไร เห็นแต่ร่างเงาในชุดขาวพลิกพริ้วหลบไปหลบมาอย่างพิสดารท่ามกลางกลุ่มบอดี้การ์ดชุดดำ หนึ่งในนั้นหยิบกระป๋องโลหะขึ้นมาฉีดไปทางโน้นทีทางนี้ทีหวังจะให้โดยฝ่ายตรงข้ามที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเดาทิศทางไม่ถูก ละอองของเหลวที่ถูกฉีดออกมามีส่วนหนึ่งเข้าตาของหลี่คุนโดยบังเอิญ เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนเป็นที่สุด ไม่คิดว่ายุคนี้จะมีการใช้พิษเช่นนี้ด้วย ดวงตาข้างหนึ่งปิดสนิทส่วนอีกข้างแทบจะลืมไม่ขึ้น ร่างกายบางส่วนอ่อนแรงจากประกายไฟประหลาด เขารู้ดีว่าการใหญ่ในวันนี้เห็นทีจะไม่สำเร็จ จำต้องจากไปให้เร็วที่สุด

หลี่คุนฝืนลืมตาข้างที่เหลือใช้ท่าเท้าพิสดารหลบหนีเหล่าองครักษ์ชุดดำของนักร้องหนุ่ม แต่สายตาที่มองได้เพียงมุมแคบๆ กับกระบวนท่าที่ต้องแปรเปลี่ยนทิศทางในทุกย่างก้าวทำให้เขาชนกับผู้คนที่เบียดเสียดไปทั่ว แม้ทิ้งห่างมาได้ระยะหนึ่ง แต่หากมีผู้ตั้งใจติดตามมา อาจจะจับกุมตัวเขาได้ในที่สุด ตอนนี้หลี่คุนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว เขาประมาทเกินไป ลืมไปว่ายุคนี้มีความก้าวหน้าขนาดไหน เมื่อเจอกับอาวุธประกายไฟพิสดารหรือยาพิษทำลายดวงตา เขาที่ปราศจากวรยุทธ์มีเพียงความรู้คร่ำครึจากยุคโบราณจะไปเอาชนะได้อย่างไร หลี่คุนกำลังคิดว่าจะหลบหนีไปให้พ้นจากสถานที่นี้เพื่อไปรักษาดวงตาได้อย่างไรโดยไม่ให้คนพวกนั้นพบเห็น ตอนขามาเขาใช้รถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับสนามบินซึ่งต้องลงไปชั้นล่างสุด ทันใดนั้นต้นแขนเขาก็ถูกยึดกุมไว้อย่างแน่นหนาดิ้นหนีไปไหนไม่ได้แม้จะพยายามอย่างเต็มที่

ออฟไลน์ Kanni

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
«ตอบ #25 เมื่อ30-10-2019 21:27:46 »

ให้พี่คุณปลอดภัยนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
«ตอบ #26 เมื่อ30-10-2019 21:40:15 »

โอ้โห

สนุกเป็นบ้าเป็นหลัง ขำความงกของพี่คุน ฮ่าๆ ๆ ๆ  ๆ

ลุ้นแล้ว ใครมาจับพี่คุนนะ!

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 11] 30/10/2019
«ตอบ #27 เมื่อ31-10-2019 07:30:45 »

สนุกมากก คุณพี่มีความหลงยุค

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 12] 31/10/2019
«ตอบ #28 เมื่อ31-10-2019 13:04:36 »

12

“อย่าดิ้นสิ ผมมาช่วยนะ รีบไปจากที่นี่กันก่อน ไม่รู้ว่าการ์ดของดาราคนนั้น หรือพวก รปภ. จะตามมาหรือเปล่า ลืมตายังไม่ขึ้นก็เกาะแขนผมดีๆ”

หลี่คุนไม่ได้ตอบอะไร ในสถานการณ์คับขันเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เสี่ยงไปกับใครก็ไม่รู้ยังน่าจะดีกว่าอยู่รอให้โดนฝั่งที่เขาไปก่อเรื่องไว้มาลากตัวไป เขายังลืมตาไม่ขึ้น ได้แต่เดินเกาะชายคนนั้นไปจนสัมผัสได้ถึงอากาศอบอุ่นนอกอาคาร ก่อนจะถูกประคองเข้าไปในนั่งในรถยนต์ซึ่งเคลื่อนตัวออกทันทีเมื่อทั้งอีกฝ่ายนั่งลงข้างกันเรียบร้อยแล้ว แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ถึงเบาะหนังหนานุ่ม ความกว้างขวางโอ่โถงภายใน และการเคลื่อนที่ที่นุ่มเงียบ แตกต่างจากรถยนต์ที่เขาเคยนั่งมาก

“เอาไปเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนครับ แค่สเปรย์พริกไทย ซักพักก็จะดีขึ้นเอง”

หลี่คุนรับผ้าชุบน้ำที่คนนั่งข้างๆ ส่งมาให้ไปเช็ดบริเวณดวงตาอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้ปลดผ้าปิดปากสีดำลายมังกรที่ใช้อำพรางใบหน้าอยู่ออก เขารู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นแต่ยังลืมตาไม่ได้

“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันแท้ๆ”

“ไม่รู้จักเหรอ ไม่ใช่มั๊งครับ น้องคุน คุณานนท์”

หลี่คุนเกร็งตัวอย่างระแวดระวัง รู้ว่าเขาเป็นใครทั้งๆ ที่ปิดหน้าไปตั้งครึ่งนี่นะ

“คุณรู้จักผม?”

“เรารู้จักกันครับ อยากทายไหมว่าผมเป็นใคร”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณจางอี้หลง”

คนที่มีพลังปราณอำนาจเข้มข้นแผ่ออกมาแบบนี้เห็นจะมีคนเดียว เขาสัมผัสได้มาพักหนึ่งแล้วถึงได้เสี่ยงที่จะมาด้วย

“อ้าว โดนเซอร์ไพรส์ซะเอง รู้ได้ยังไงครับนี่ จำเสียงได้เหรอ ดูท่าเราจะรู้จักกันมากกว่าที่คิดนะครับน้องคุน งั้นต้องเรียกพี่ว่าพี่อี้หลงแล้วล่ะ”

“เรียกคุณจางอี้หลงก็ดีอยู่แล้วนี่ครับ คุณเป็นคนของบริษัทแม่ ผมเป็นนักศึกษาฝึกงานในบริษัทลูกเล็กๆ ไม่ได้มีอะไรให้ต้องสนิทสนมกัน”

ในอดีตคนที่มีปราณอำนาจเช่นนี้ล้วนแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ถนัดการใช้งานผู้อื่นสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง บางครั้งถึงขั้นหลอกลวงผู้คนด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่เขาจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยหากไม่จำเป็น

“เหรอครับ งั้นนักศึกษาคุณานนท์พอจะบอกเหตุผลดีๆ ที่วันนี้ไม่ไปทำงาน แต่บุกเข้าหาดาราหนุ่มขวัญใจประชาชนกลางสนามบินจนเกือบถูกบอดี้การ์ดจับตัวไว้ได้ ให้คนจากบริษัทแม่ฟังหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเป็นเรื่องขึ้นมาบริษัทก็อาจจะเสียชื่อเสียงไปด้วยนะครับ”

หลี่คุนโทษตัวเองที่ใจร้อนวู่วามแถมยังประมาทจนเสียงานใหญ่ ก็เขาทั้งโกรธแค้นทั้งกังวลว่าคลิปจะถูกปล่อยไปตอนไหนก็ได้จึงรีบลงมือ หน้ามืดตามัวเกินไปแล้ว ในชาติก่อนก็เหมือนกัน เขาทรนงที่สำเร็จกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลขั้นเจ็ดจนไร้ผู้ต่อกรยังต้องมาเสียทีให้กับพิษสะบั้นชีพจรและกองทหารปืนไฟภายใต้แผนการของขุนนางชั่ว ชาตินี้ตัวเองช่างโง่เขลาที่ไม่จดจำบทเรียนนั้นไว้ ทั้งที่ไร้ซึ่งกำลังภายใน มีเพียงท่าเท้าท่องคลื่นน้อยอันเป็นแค่วิชาสำหรับหลบหนีของผู้เยาว์ ก็หาญกล้าบุกโจมตีโดยไม่ประเมินฝ่ายตรงข้ามให้ดี การ์ดของนักร้องหนุ่มแกร่งว่าของไฮโซแบงค์ที่เขาเคยจัดการไปมาก แถมยังมีอาวุธทุ่นแรงของยุคนี้ที่เขาไม่คุ้นเคย

“เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ คุณจางอี้หลง อย่าแจ้งไปที่บริษัทเลย ยังไงผมก็ปิดหน้าไว้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ว่าผมฝึกงานที่ไหนหรอกครับ”

“ถ้าเป็นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานกับพนักงานบริษัทแม่ ก็คงต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องระหว่างพี่น้องก็ไม่มีความจำเป็นต้องบอกออกไป”

“งั้นอย่าบอกไปที่บริษัทนะครับ..พี่อี้หลง”

หลี่คุนถูกไล่ต้อนจนต้องจำยอม ถ้าเรื่องไปถึงบริษัทก็อาจจะมีปัญหาไปถึงเพื่อนของเขาได้ ว่าแล้วว่าคนผู้นี้ถนัดการบังคับล่อลวงผู้คนไม่ใช่คนดีจริงๆ เอาเถอะ ก็แค่คำเรียกขาน อย่างไรวันนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ คราวหลังค่อยหาทางปลีกตัวออก ตอนนี้เขาพอลืมตาได้บ้างแล้วค่อยๆ ลอบมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็เห็นเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนพอใจอะไรบางอย่าง

“ก็ได้ครับ แต่ในฐานะที่เป็นพี่ น้องคุนคงต้องเล่าหน่อยว่าตั้งใจทำอะไรกับดาราคนนั้น พี่บินไฟลท์เดียวกันกับเขา เดินตามมาด้านหลังเลยเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทีแรกก็สะดุดใจลายผ้าปิดปาก พอมองรูปร่างสีผิวทั้งคิ้วทั้งดวงตาแบบนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นได้”

“คือ.. ผมเป็นแฟนคลับของไอ้.. เอ่อ พี่แฮ็คส์ครับ พอเห็นตัวจริงก็ดีใจจนลืมตัว วิ่งไปหาพี่เขาเลย”

คำพูดชื่นชมโจรราคะอย่างแฮ็คส์ที่ออกจากปากแม้จะโป้ปดแต่ก็ชวนให้คลื่นเหียนสิ้นดีพอพูดออกไป หลี่คุนก็ใช้ความชำนาญที่ติดตัวมาประเมินว่าอีกฝ่ายเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่ แต่ก็โดนปราณอำนาจบดบังจนอ่านไม่ออกแม้แต่น้อย

“อืม ไม่คิดว่าเราจะชอบแนวฝรั่งนะ แล้วไอท่าแปลกๆ ที่เราใช้ มันคืออะไร”

“เอ่อ อ๋อ เป็นท่าเต้นโคฟเวอร์แนวเกาหลีครับ กะโชว์ให้พี่เขากับทีมงานประทับใจ เผื่อได้ไปร่วมงานด้วยจะได้ใกล้ชิดพี่แฮ็คส์”

เขาเคยร่ายรำกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยให้ซูเอ๋อร์ชมหวังถ่ายทอดไว้ให้ใช้ป้องกันตัว นอกจากอีกฝ่ายจะไม่สนใจแล้วยังบอกว่าเหมือนท่าเต้นของนักร้องประเทศโคกูรยอยุคใหม่ ตอนนั้นเขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง มิคาดว่ากลับต้องใช้ถ้อยคำของเจ้าเด็กมีตาแต่ไม่มีแววนั่นมาใช้เอาตัวรอดในครั้งนี้

“ฝึกงานกับบริษัทอยู่คิดจะไปรับงานอื่นได้ยังไง พี่ไม่อนุญาต!”

ท่าทางน่าจะเชื่อคำพูดเขาแหละ ดูโมโหที่เขาจะแบ่งเวลาช่วงที่ฝึกงานไปทำอย่างอื่นด้วยซะขนาดนั้น

เมื่อเข้ามาถึงกลางกรุง หลี่คุนขอลงตรงรถไฟฟ้าสถานีไหนก็ได้ที่เป็นทางผ่าน ปรากฎว่าโชคดีมากที่จางอี้หลงให้รถคันใหญ่นั้นแวะส่งเด็กหนุ่มตรงสถานีที่ติดกับคอนโดของเขาเองโดยบังเอิญ เมื่อขึ้นไปถึงที่ห้องก็เจอกับซูกัสที่นั่งมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะอย่างวิตกกังวล

“พี่ไม่ได้ไปฝึกงานเหรอ ทำไมกลับมาเร็ว”

“วันนี้พี่ชายลา ซูเอ๋อร์ เรื่องของน้องพี่ยังจัดการไม่สำเร็จ แต่มิต้องกังวลไป พี่จะหาทางให้จงได้”

“พี่คุน เขาติดต่อมาอีกแล้ว ผมจะทำยังไงดี”

“ในตอนนั้นเขาลบเพื่อนเราออกไปแล้วมิใช่หรือ เราบอกว่าพยายามติดต่อกลับไปใหม่ก็หาแอคเค้าท์นั้นไม่เจอแล้ว”

“ใช่พี่ แต่ตอนนี้มีแอคเค้าท์ใหม่ขอแอดเป็นเพื่อนมา รูปดีสเพลย์ก็เป็นอันเดิม แอพนี้มีพี่เขาคนเดียวที่ผมเล่นด้วย คนอื่นไม่รู้ไอดีนี้แน่ๆ ผมจะลองคุยขอร้องเขาอีกทีดีไหม แต่ถ้าโดนขู่อีกจะทำยังไง”

“ไม่มีทางอื่นแล้ว น้องตอบรับไป แล้วหาทางนัดออกมาให้เจอกันจริงๆ บอกว่าขอเจรจากันต่อหน้า”

“พี่คุนผมกลัว ไม่กล้าไปเจอหรอก”

“พี่จะไปแทนเราเองไม่ต้องห่วง น้องไปบอกให้เจ้าใหญ่เจ้ารองเจ้าสามไปซุ่มรออยู่ที่จุดอื่นคอยช่วยเหลือพี่อีกที”

อันที่จริงเรื่องนี้โอกาสสำเร็จมีไม่มาก ตัวสารเลวเชื้อสายคนเถื่อนนั่นคงเพิ่มการระวังตัวหลังจากโดนจู่โจมเมื่อเช้า  แต่เขาไม่มีทางอื่นที่จะเข้าถึงตัวนักร้องมีชื่อเสียงได้ในเวลาอันใกล้ หวังว่าความอ่อนเดียงสาของซูเอ๋อร์จะทำให้อีกฝ่ายมองว่าเป็นลูกพลับนิ่มลดยอมมาพบได้ง่ายๆ

หลี่คุนเตรียมการอย่างเต็มที่ เขาไปเลือกยาต่างๆ ที่ปรุงเก็บไว้ เมื่อเช้าเขามุ่งแก้แค้นเอาไปแต่ผงพิษผลาญทวารซึ่งใช้ไม่ได้ในการต่อสู้จริง นับว่าประมาทเกินไป คราวนี้เลยจัดเต็มที่ทั้งยาพิษยาถอนพิษ ส่วนใหญ่ยังมีความบริสุทธิ์แค่สามสี่ส่วน หลายๆ ตัวเขาก็ยังไม่ได้ทดสอบสรรพคุณให้แน่ใจ

เมื่อหลี่คุนเตรียมยาเสร็จ ซูกัสก็มาแจ้งข่าวอย่างตื่นเต้นแกมวิตกว่าแฮ็คส์ตกลงที่จะมาเจอกันแล้ว แถมยังเร่งรัดให้เป็นเย็นวันนี้อีกด้วย สถานที่เป็นร้านกาแฟหรูในห้างขนาดใหญ่ หลี่คุนประเมินแล้วเห็นว่าเป็นทำเลที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบ อย่างน้อยก็มีจุดให้ซูเอ๋อร์และพวกหลบซ่อนตัวอย่างปลอดภัยได้ในระยะไม่ไกลมาก

เมื่อนึกถึงว่าเมื่อเช้าเขาเพิ่งไปปะทะกับอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ หากโดยจำได้ตั้งแต่ต้นคงไม่ดีกับแผนการแน่ หลี่คุนจึงพยายามกำจัดจุดที่เชื่อมโยงกับตัวเขาเมื่อเช้าออกให้หมด ผ้าปิดปากถึงจะเปลี่ยนรูปแบบแล้วก็อาจสร้างความไม่ไว้วางใจจึงไม่ควรใส่ไป จางอี้หลงจำเขาได้จากสีผิวและลักษณะดวงตาทำให้ต้องปรับเปลี่ยนสักเล็กน้อย หลี่คุนใช้ผงสมุนไพรผสมน้ำนำมาล้างหน้าสองสามรอบ ผิวที่ขาวเนียนเปล่งประกายโดเด่นเมื่อเทียบกับผู้คนเมืองนี้ก็ถูกฉาบด้วยสีน้ำตาลอมแดงบางเบาคล้ายโดนแดดเผา ดวงตาดอกท้อถูกบดบังบางส่วนด้วยแว่นตาแฟชั่นกรอบดำของซูกัส เมื่อรวมกับผมทรงปรกหน้านิดๆ และปากแดงอมส้มระเรื่อที่ไม่เผยให้เห็นเมื่อเช้าคงยากที่จะมีใครจดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับหนุ่มคาดผ้าลายมังกรที่ก่อความวุ่นวายจนเป็นข่าวฮือฮาบนอินเตอร์เน็ต เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำตัวใหญ่ภายในเก็บซ่อนด้วยยาผงยาน้ำหลายขนาน

ซูกัสกับเพื่อนประจำอยู่ที่ร้านขนมห่างออกไปสี่ห้าคูหาในขณะหลี่คุนแยกไปนั่งรอในร้านกาแฟที่นัดพบก่อนเวลาสังเกตการณ์ ผู้คนมองมาที่เขาเป็นระยะทำให้สมาธิลดลง ใบหน้านี้แม้จะปลอมแปลงไปบ้างแล้วยังคงเป็นที่ดึงดูดสายตาเกินไป เขาคร่ำครวญในใจรู้สึกอิจฉาเพื่อนตินผู้มีใบหน้าที่ไม่เรียกความสนใจและยากแก่การจดจำยิ่งนัก หลี่คุนไหนเลยจะรู้ว่าหนุ่มแว่นที่ดูดีเช่นนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากขนาดไหน

ก่อนเวลานัดเล็กน้อยเขาก็จับสังเกตได้ถึงลูกค้าสองสามรายที่ดูคล้ายจะมาด้วยกัน แต่พอสั่งเครื่องดื่มแล้วกลับแยกไปนั่งคนละมุม แม้จะไม่อยู่ในชุดดำเหมือนเมื่อเช้าแต่ใบหน้าคุ้นตาพวกนั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่เขาได้ประมือมาทั้งสิ้น ไม่นานก็มีชายร่างสูงใหญ่สวมหมวกและแว่นกันแดดสีดำเดินไปนั่งที่โซฟาตรงมุมด้านในที่ทั้งอับสายตาและไม่มีโต๊ะอื่นอยู่ใกล้เคียงเลย เพียงครู่เดียวซูเอ๋อร์ก็ส่งข้อความมากบอกว่าอีกฝ่ายมาถึงแล้วอยู่ที่โซฟาด้านใน หลี่คุนหยิบเครื่องดื่มของตัวเองเดินไปนั่งตรงข้ามกับนักร้องหนุ่ม หางตาเห็นการ์ดนอกเครื่องแบบพวกนั้นขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาประเมินสถานการณ์ในใจ ด้วยท่าเท้าท่องคลื่นหากไม่คิดจู่โจมย่อมสามารถหลบหลีกคนพวกนี้ไปได้

“ผมเป็นพี่ชายของซู.. เอ่อ ซูกัส”

นักร้องลูกครึ่งได้ยินก็เลิกคิ้วสูงคล้ายประหลาดใจ เขาถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นใบหน้าคมสันตามแบบชาวตะวันตก หลี่คุนเห็นแล้วให้นึกถึงพวกกองทหารปืนไฟจากโพ้นทะเลยิ่งไม่รู้สึกดีด้วย

“แล้วซูกัสไปไหนครับ เขาไม่ได้มาด้วยเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”

น้ำเสียงที่ติดจะร้อนลนนั้นดูคล้ายจะมิใช่การแสแสร้ง หรือโจรราคะผู้นี้นึกเกรงกลัวต่ออำนาจบ้านเมืองจึงคิดจะไกล่เกลี่ย ดูเหมือนว่าโทษฐานการทำมิดีมิร้ายกับชายหญิงที่อายุต่ำกว่าสิบแปดขวบปีจะรุนแรงไม่น้อย

“ยังต้องพูดอะไรอีกเหรอ ก็คุณเป็นคนทำมันทั้งหมด น้องชายผมต้องหวาดกลัวแค่ไหนที่ต้องโดนข่มขู่”

“เรื่องที่เกิดขึ้นผมยอมรับผิดทั้งหมด ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ น้องน่ารักมากจริงๆ แต่ผมไม่ได้ข่มขู่อะไรเลยนะครับ น้องอายมากก็จริง แต่เราเข้าใจกันดี ผมวางแผนไว้หมดแล้วว่าจะค่อยๆ ถอนตัวออกจากวงการ เป็นคนของสังคมมันถูกจับตามองมากเกินไป แบบนี้น้องน่าจะมีความสุขกว่า แล้วพอน้องครบสิบแปด ผมจะพาไปจดทะเบียนกันที่เนเธอร์แลนด์หรือไม่ก็สเปน ไม่สิ ไปจดให้หมดทุกประเทศที่มีเลย ถือโอกาสอันนีมูนรอบโลกด้วย คุณพี่ชายครับ ถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่ก็ทำสร้างครอบครัวที่มีความสุขให้น้องได้แน่ๆ อย่าขัดขวางเราเลย”

นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกัน เขามาด้วยความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้ซูเอ๋อร์อย่างเต็มที่ ไฉนต้องมานั่งฟังบุรุษคลั่งรักพูดพล่ามอะไรที่ไม่เข้าหูเช่นนี้ มิใช่ว่ายุคนี้กว่าจะแต่งการแต่งงานอายุก็ปาเข้าไปสามสิบกันแล้วไม่ใช่เหรอ ซูเอ๋อร์ยังอยู่ในวัยสิบหกขวบปีเท่านั้น ยังต้องอยู่กับพี่ชายไปอีกสิบยี่สิบปี ในใจลอบคิดว่าจะวางยาคนตรงหน้าด้วยพิษร้ายตัวไหนดีให้อยู่มิสู้ตายโทษฐานแย่งชิงน้องชาย

“คุณพูดบ้าอะไรนี่ ทำเรื่องชั่ว ข่มขู่บีบบังคับซูเอ๋อร์ขนาดนั้น ยังจะคิดตบแต่งน้องชายผู้อื่นไปอีก”

“ผมไม่ได้ทำอะไรน้องจริงๆ นะครับ ผมเพิ่งกลับมาจากถ่ายหนัง ผู้กำกับเข้มงวดมากเลยสั่งเก็บโทรศัพท์นักแสดงทุกคน ผมไม่ได้ติดต่อซูกัสเป็นอาทิตย์แล้ว พอถ่ายเสร็จปรากฎว่าโทรศัพท์ที่ผมฝากผู้จัดการไว้เกิดเสียแบบซ่อมไม่ได้ขึ้นมา ผมก็รีบซื้อเครื่องใหม่แทนแต่ก็ติดต่อน้องไม่ได้ เหมือนแอคเค้าท์ผมจะถูกลบไป ผมสร้างอันใหม่แล้วพยายามติดต่อเข้าไปอีก ถึงได้นัดน้องได้วันนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณพี่ชาย ดูน้องแปลกๆ ไป ใครทำอะไรเขา”

“ยังต้องให้ผมพูดอีก คุณข่มขู่ให้เขาทำเรื่องบัดสี ไม่งั้นจะเอาคลิปที่คุณล่อลวงเขาผ่านทางกล้องปล่อยออกไปในอินเตอร์เน็ท ผมเห็นข้อความพวกนั้นกับตา”

“ไม่จริง!!! ผมไม่เคยทำอย่างนั้น ผมรักน้องจะตายอยู่แล้ว โทรศัพท์ ใช่ๆ ผมฝากโทรศัพท์ไว้กับผู้จัดการ แต่เขาไม่มีพาสเวิร์ดเข้าแอพที่ผมใช้คุยกับน้องนี่ เขาเป็นเพื่อนผมเองไว้ใจได้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครกล้าสวมรอยเป็นผมมาทำร้ายน้อง”

หลี่คุนใช้ทักษะอ่านใจจากการเต้นชีพจรแล้วก็บอกตัวเองว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะโกหก งั้นใครกันที่สวมรอยมาทำร้ายซูเอ๋อร์

แฮ็คส์ยกมือขึ้นส่งสัญญาณ การ์ดนอกเครื่องแบบสี่คนที่นั่งปะปนกับลูกค้าในร้านพุ่งตัวเขามายังโต๊ะที่เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ทันที หลี่คุนเตรียมผงยาชาในแขนเสื้อไว้ป้องกันตัวหากถูกจู่โจม แต่คนพวกนั้นเพียงแค่มารับคำสั่งเจ้านาย

“ทิ้งโชคไว้กับผมคนเดียวพอ ที่เหลือไปสืบเรื่องโทรศัพท์ที่พังไปแล้วของผมว่ามีการใช้งานช่วงที่ผมถ่ายหนังบ้างหรือเปล่า อ้อ เข้าไปคุยกับผู้จัดการด้วยนะว่ามีพิรุธอะไรไหม ถ้าจำเป็นก็ติดต่อขอคนของแด๊ดได้เลย งานนี้ด่วนที่สุด ไม่ต้องเกรงใจใคร”

บอดี้การ์ดรับคำสั่งแล้วก็กระจายตัวออกไป ท่าทางเฉียบขาดมีอำนาจนั้นไม่ต่างจากพวกองค์ชายในอดีต ไหนเลยจะเหมือนดารานักร้องทั่วไป นี่ซูเอ๋อร์ไปพัวพันคนที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้วใช่ไหม เขาแค่อยากอยู่กับน้องชายอย่างสงบสุข ทำมาหากินเก็บเงินเก็บทองจนกลายเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่ง

“ว่ากันต่อนะครับคุณพี่ชาย ผมต้องหาความจริงมาให้ได้แน่ๆ แต่ไม่รู้ป่านนี้น้องจะกลัวขนาดไหน ขอให้ผมได้พบน้องเถอะครับคุณพี่ชาย”

“ผมยังไม่ไว้ใจคุณ เอาแค่เรื่องที่คุณเป็นโจรราคะ ล่อลวงเด็กสาว เอ่อ เด็กหนุ่ม พฤติกรรมเช่นนี้ก็ยอมรับไม่ได้แล้ว คุณต้องลบคลิปทั้งหมดของน้องผมให้หมด”

“ผมไม่เคยอัดคลิปน้องเก็บไว้เลยครับ ใครจะยอมเสี่ยงให้มีคนอื่นเห็นน้องในเวลาแบบนั้น มีแค่แคปรูปที่น้องน่ารักสุดๆ ไว้รูปเดียวเป็นที่ระลึกในโทรศัพท์เก่า”

“แค่คำพูดเป็นยืนยันอะไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าอยากเจอน้องผมจริง ขอให้คุณสูดผงนี่เข้าไป ถือเป็นหลักประกันไงครับ”

“แค่สูด? ผงอะไรครับนี่”

“ผงสมุนไพร ทำให้แสบคันทุกหกชั่วโมงไปเรื่อยๆ ไม่มีอันตรายกับร่างกาย แต่ก็รำคาญและทรมานไม่น้อยครับ ถ้าคุณกล้าสูดมันเข้าไป ผมก็จะให้โอกาสคุณแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าสำเร็จ คุณก็จะได้ยาถอนไปพร้อมกับความไว้ใจจากผม ไม่ได้บังคับนะครับ น้องผมถึงคุณไม่ยุ่งผมก็จัดการเองได้”

หนุ่มลูกครึ่งมองผงสีส้มอ่อนหน้าตาประหลาดในห่อกระดาษตรงหน้าแล้วก็ทำท่าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมันขึ้นมาในระดับสายตา หลี่คุนประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะยอมสูดผงพิษเข้าไปจริงๆ  ศีรษะของนักร้องหนุ่มก้มต่ำลงไปที่ห่อกระดาษเพียงเท่านี้ก็เกิดอาการยุบยิบที่ด้านในจมูกใจเกิดอาการลังเลอีกครั้ง

“พี่แฮ็คส์ อย่าสูดนะ ผมเชื่อพี่ ผมเชื่อพี่แล้วจริงๆ”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาน่ารักของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีที่แสนคิดถึงวิ่งหน้าตื่นร้องตะโกนห้ามเข้ามา ในใจหนุ่มลูกครึ่งพองโตอย่างบอกไม่ถูก ไม่ถือโอกาสนี้ซื้อใจว่าที่ภรรยา? แล้วจะรอให้ใครมาตัดริบบิ้น หวังว่าไอผงนี้คงไม่ทำให้ถึงตายนะ ตัดสินใจแล้วก็ทิ่มจมูกเข้าไปสูดหายใจเฮือกใหญ่ ความรู้สึกแสบคันยุบยิบผ่านรูจมูกเข้าไปเหมือนจะทรมานมากแต่กลับหายไปไร้ร่องรอย นักร้องหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ก็ยังไม่รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติตรงไหน หรือว่าพี่ภรรยาจะแค่ลองใจ นึกแล้วเชียวว่าจะมียาแปลกๆ อย่างกับในหนังแบบนี้จริงๆ ได้ยังไง

รู้สึกตัวอีกทีร่างขาวๆ อุ่นๆ ที่เคยเห็นแค่ผ่านหน้าจอก็โผเข้าใส่ ลูกครึ่งหนุ่มหน้าบานทันทีความเหนื่อยยากที่ถ่ายหนังมาเป็นอาทิตย์หายไปหมด

“ซูเอ๋อร์ ลุกออกมาเดี๋ยวนี้ บุรุษผู้นั้นยังไม่พ้นมลทิน”

“ผมฟังที่พี่คุยกันหมดแล้วไม่ใช่ฝีมือพี่แฮ็คส์ไม่ใช่เหรอ พี่คุนเอายาพิษที่พี่ปรุงมั่วๆ ให้พี่แฮ็คส์ดม ถ้ากล่องเสียงพังไปจะทำยังไง พี่เขาเป็นนักร้องนะ”

ตอนที่หลี่คุนเริ่มคุยกับแฮ็คส์เขาก็ได้ต่อโทรศัพท์ทิ้งไว้เพื่อให้พวกซูเอ๋อร์ได้ยินบทสนทนาด้วย นี่เป็นความคิดของกันดั้มเผื่อว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้หาทางช่วยทัน เห็นน้องชายมาถึงก็เข้าข้างบุรุษที่เป็นคนนอกทำให้คนเป็นพี่ชายปวดใจยิ่งนัก

“ตอนที่เราทุกข์ใจเพราะการกระทำของคนๆ นั้นก็มีแต่พี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างน้อง ฟังข้อแก้ตัวคำสองคำก็ด่วนสรุปหลายเหรอ เราหัวอ่อนเกินไปถึงได้ถูกผู้คนหลอกเอา ให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทำดีชดใช้ความผิดก่อนก็ยังไม่สาย เรามานั่งด้านนี้ พี่ชายมีอะไรจะให้”

ซูกัสผละออกจากร่างของนักร้องหนุ่มมาหาผู้เป็นพี่อย่างหงอยๆ

“นี่เป็นยาถอนพิษเก็บไว้ที่เรา มั่นใจเมื่อไหร่ค่อยมอบให้กับคนผู้นั้น แต่อย่าลืมว่าหากเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงคำลวง หรือเขามีคลิปของเราเก็บไว้ หากมอบยาไปแล้ว ก็ไร้หนทางต่อรอง”

ซูกัสมองยาลูกกลอนในมือสลับกับใบหน้าหล่อเหลาของนักร้องหนุ่มราวกับอยากจะมอบมันให้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย คนเป็นพี่ต้องทำหน้าถมึงทึงใส่เด็กหนุ่มถึงค่อยๆ เก็บยาใส่กระเป๋าอย่างทนุถนอม

“คุณก็ระวังตัวให้ดี คุณแฮ็คส์ ไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย ถ้ามีคลิปน้องผมหลุดออกมาคุณตาย”

แฮ็คส์พยักหน้าเหมือนจะรับคำแต่สายตากลับประสานแลกเปลี่ยนความเชื่อใจในกันและกันกับซูกัส หลี่คุนเห็นแล้วก็เบ้ปากกลอกตาขึ้นด้านบน เรื่องกลุ้มใจนี้ยังไม่ทันคลี่คลายก็มีความยุ่งยากใหม่เกิดขึ้นเสียแล้ว หากซูเอ๋อร์แต่งออกไปจริงเขาก็ต้องเตรียมสินเดิมไว้ไม่ให้น้อยหน้ากับฝ่ายเจ้าบ่าว แต่ตัวเขายามนี้ยากจนยิ่งนักเหลือเพียงสองตำลึงทอง

ต้องเร่งหาเงินโดยด่วน!!!


ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 12] 31/10/2019
«ตอบ #29 เมื่อ31-10-2019 21:12:27 »

ถถถถถถถ

ใคร ๆ ก็รวยกว่าพี่คุนค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เดี๋ยว ๆ พี่อี้หลง ตีสนิทน้องคืออัลไลลลลลลล

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด