The Wolf and Beauty มนุษย์หมาป่า มันเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ไม่ใช่เหรอ?
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Wolf and Beauty มนุษย์หมาป่า มันเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ไม่ใช่เหรอ?  (อ่าน 4457 ครั้ง)

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ้างถึง
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ







นิยายเรื่องนี้คือนิยายวาย (ชายรักชาย)
มีเนื้อหาสิบแปดบวก และเป็นเพียงสิ่งที่สร้างมาจากจินตนาการของผู้แต่ง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่จริง เหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น



 

Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
1


 

Plastic Heart - Ciscandra Nostalghia





เสียงกระดาษแผ่นบางที่เสียดสีกันดังสลับกับเสียงของแฟ้มเอกสารปึกหนาที่ถูกเหวี่ยงลงกับพื้น

“ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ อยู่ไหนกันวะ” น้ำเสียงของผู้พูดเจือไปด้วยความหงุดหงิด ขณะที่สายตายังคงไล่มองตัวอักษรในกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ไหลซึมผ่านเรื่อยมาถึงลำคอ อากาศที่อบอ้าวยิ่งทำให้ชายหนุ่มอึดอัด เขาจึงปลดเนคไทให้คลายออกเล็กน้อย

ชายหนุ่มชะงักการกระทำทันทีเพราะประสาทสัมผัสรู้สึกได้ถึงเสียงปริศนาที่ดังอยู่นอกห้อง

เขาหยุดนิ่งเพื่อเงี่ยหูฟังอีกครั้ง มือหนากดปิดไฟฉายที่ตนเตรียมมา ทำให้ทั้งห้องมืดมิดไร้แสงไฟอย่างที่มันควรจะเป็น

สายตาของชายหนุ่มเห็นแสงสีนวลสว่างอยู่ด้านนอกห้อง ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินเอื่อยเฉื่อยซึ่งเขาเดาได้ทันทีว่าผู้ที่กำลังเดินถือไฟฉายอยู่ด้านนอก คือ “เบนจามิน” ยามคนหนึ่งของบริษัท

เบนจามินเป็นยามที่เขารู้สึกว่าไม่สมควรได้ทำหน้าที่ยาม เพราะแกอายุรุ่นราวคราวทวดของเขาก็ว่าได้ การเดินเหินหรือการได้ยินก็บกพร่องตามลักษณะของคนชราทั่วไป อันที่จริงหากเป็นบริษัทอื่น เบนจามินคงต้องหมดวาระในการเป็นยามไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับบริษัทแห่งนี้

อาจจะด้วยความสงสารและความเห็นใจหรืออาจเพราะเบนจามินทำงานที่นี่มาตั้งแต่บริษัทเริ่มก่อตั้ง เจ้าของ “เบคเทล กรุ๊ป” จึงยังคงจ้างเบนจามินให้ทำหน้าที่ต่อไป แต่สำหรับเขา มันช่างไร้สาระสิ้นดี การจ้างยามแก่ๆ ไร้ประโยชน์ที่แค่แมววิ่งชนก็เกือบหงายหลังล้มนั้นมันสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ แต่ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวกับเขานี่

“ไปให้พ้นๆ ซะที” มาร์ตินกระซิบอย่างหัวเสีย เมื่อยามเฒ่า ยังวนเวียนอยู่หน้าประตูห้องที่เขาซ่อนตัวอยู่ หากเจ้านั่นเปิดเข้ามาคงได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไร จะแก้ตัวอย่างไรดีนะ ในเมื่อกองเอกสารมันกระจัดกระจายอยู่รอบตัวเขาขนาดนี้ เบนจามินคงนึกเอะใจ ว่าเหตุใด พนักงานเช่นเขาจึงมารื้อค้นเอกสารในยามวิกาลนอกเหนือเวลางาน

ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เขาจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าตนกำลังทำอะไร เบนจามินก็เช่นกัน บางทีตาเฒ่านี่อาจอยู่ดูโลกมานานจนเกินไปแล้ว

มาร์ตินยกยิ้มแม้จะรู้สึกพรั่นพรึงในอก แต่เขายังหนุ่มยังแน่น ส่วนอีกฝ่ายเป็นเพียงยามแก่ๆ ที่แทบไร้เรี่ยวแรง ไม่มีทางสู้เขาได้อยู่แล้ว

มาร์ตินกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูมันขยับ ไม่ผิดแน่ เบนจามินกำลังไขประตูเข้ามาในห้องนี้

เขาจ้องไปทางประตูและเตรียมใจเพื่อเข้าปะทะกับชายชรา แต่อยู่ๆ ลูกบิดประตูก็นิ่งไหว บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง มันเงียบมากจนมาร์ตินเผลอกลั้นหายใจเพราะเกรงว่าเสียงหายใจของตนจะดังออกไปนอกห้อง

แต่ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เพราะแสงจากไฟฉายของเบนจามินมันเบนหันไปสาดทางอื่น เสียงฝีเท้าของรองเท้าหนังดังแผ่วลงเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเบนจามินเดินห่างออกไปแล้ว

“เฮ่อ…” มาร์ตินปล่อยลมหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยความลับก็ยังไม่แตก ชายหนุ่มเปิดไฟฉายใกล้มืออีกครั้งแล้วเร่งหาสิ่งที่ตนต้องการในแฟ้มที่วางเรียงรายบนชั้น แต่ไม่ว่าแฟ้มไหนก็ไม่มีข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างของเขาต้องการเลย

เฮือก!!

มาร์ตินสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงปิดประตูดังปัง ชายหนุ่มหันหลังไปดูยังประตูห้อง ในใจสั่นระรัวเกรงว่าจะมีใครเข้ามา แต่ปรากฏว่าประตูห้องยังคงปิดสนิท ไม่มีร่องรอยของผู้มาเยือน ทุกอย่างคงเป็นเช่นเดิม คือมืดและเงียบ…

“อะไรกันวะ?” ชายหนุ่มพยายามระงับอาการหวาดกลัวของตน เขาสาดไฟฉายในมือกวาดไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบใครสักคน ในห้องนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

บางทีเขาอาจจะประสาทหลอนไปเอง ชายหนุ่มได้ข้อสรุป เขาคิดว่าวันนี้ควรจะพอแค่นี้ก่อนเอาไว้ค่อยหาโอกาสมาค้นข้อมูลใหม่ เพราะอะไรบางอย่างในตัวเขากำลังส่งเสียงเตือนให้รีบออกจากที่นี่

อยู่ๆ มาร์ตินก็นึกถึงแม่

แม่ของเขาเป็นชาวแอฟริกาที่ประกอบอาชีพหมอดู มาร์ตินเกลียดแม่ และรังเกียจทุกครั้งเวลาที่แม่แสร้งว่าสามารถทำนายอนาคตหรือสามารถสาปผู้อื่นได้ เพราะมาร์ตินรู้ดีว่าสิ่งที่แม่ทำนั้นมันเป็นการเล่นละครเพื่อหลอกเอาเงินจากลูกค้า

เพราะฉะนั้นคำพูดของแม่จึงเป็นเรื่องที่มาร์ตินจะไม่ยอมรับฟังและต่อต้านเสมอ เรียกได้ว่าไม่เคยเข้าหูเขาเลย

แต่ตอนนี้…คำพูดของแม่มันกลับผุดขึ้นมาในหัวเอาดื้อๆ

“จิตของมนุษย์มีอำนาจยิ่งกว่าสิ่งใด จงรับฟังมัน จงเชื่อมันแล้วลูกจะปลอดภัย”

มาร์ตินกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ขนตรงต้นคอลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำไมคำพูดของแม่มันวนเวียนในหัวไม่ยอมหยุด

จิตที่แม่ของเขากล่าว เขาตีความได้ว่า มันหมายถึงลางสังหรณ์…

สัญชาตญาณของมนุษย์นั้นเชื่อถือได้ และในตอนนี้สัญชาตญาณของเขากำลังส่งเสียงเตือนให้รีบไปจากตรงนี้

มาร์ตินเชื่อมัน ชายหนุ่มก้มลงเก็บเอกสารที่กระจายเต็มพื้น ตั้งใจจะหยิบกลับไปใส่แฟ้มตามเดิม แล้วต้องส่งเสียงร้องลั่นเมื่อฝ่ามือที่กวาดกระดาษบนพื้น สัมผัสเข้ากับวัตถุแปลกๆ มันๆ ลื่นๆ

มาร์ตินถอยหนีจนหลังไปติดกับตู้ที่เก็บเอกสาร เขารีบส่องไฟฉายไปทางวัตถุลึกลับนั่นด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ พอเห็นว่าวัตถุที่ตนจับเมื่อครู่คืออะไรก็ถอนหายใจออกมาหยาวเหยียด

มันคือรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงนั่นเอง

มาร์ตินยกไฟฉายในมือส่องหน้าผู้ที่กำลังสวมใส่รองเท้าส้นสูงผิวมันสีดำขลับ

“อะ แอนนี่” มาร์ตินเผยอยิ้มโง่ๆ เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่เป็นใคร เธอส่งยิ้มหวานตอบมาให้เขา

“อรุณสวัสดิ์แอนนี่” มาร์ตินพูดอย่างเคยตัวทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะพูดทักทายเธอแบบนี้เสมอ

“ไม่ๆ มาร์ติน อรุณสวัสดิ์ไม่ได้นะ ตอนนี้มันจะเที่ยงคืนแล้ว” แอนนี่หัวเราะนิดๆ ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะ

“นั่นสินะ ฮ่าๆ” มาร์ตินหัวเราะแห้ง เขามักลืมตัวทำอะไรเฉิ่มๆ เวลาอยู่ใกล้แอนนี่เสมอ

“ว่าแต่ นี่คุณยังไม่กลับบ้านเหรอ ทำงานค้างเหรอ ขยันจัง” แอนนี่เอ่ยชม

“ช่ะ ใช่ งานค้าง ผมเลยอยู่เคลียร์” มาร์ตินรับคำ เกือบลืมว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแค่ไหน

“แล้วทำไมไม่เปิดไฟล่ะ หรือว่า…กลัวเปลืองไฟใช่ไหม คุณนี่ใจดีจัง ประหยัดไฟให้บริษัทด้วย” แอนนี่หัวเราะอีกครั้ง ทำให้มาร์ตินเผลอยิ้มตาม แอนนี่เป็นผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดีเสมอ และนั่นทำให้เขาหลงรักเธอได้ไม่ยาก

“แต่ไม่ได้นะ ตาคุณจะเสียถ้าทำงานในความมืด เปิดไฟก่อนดีกว่า” ไม่ทันที่มาร์ตินจะส่งเสียงห้าม แอนนี่หันหลังก้าวฉับๆ ไปยังสวิตช์ไฟ เธอเดินเร็วมากจนมาร์ตินนึกแปลกใจที่เธอเดินในความมืดตรงไปยังสวิตช์ไฟได้โดยไม่ชนกับโต๊ะหรืออะไรเลย

มาร์ตินหลับตาทันทีที่แสงไฟจากหลอดนีออนสว่างทั่วห้อง เขานั่งในความมืดมานานพอเจอแสงสว่างกะทันหันดวงตาจึงรู้สึกระคายเคือง

เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวตรงหน้าเรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เรือนผมสีทองของเธอช่างเหมาะกับผิวขาวราวหิมะ สายตากวาดมองทั่วเรือนร่างของแอนนี่อย่างเผลอไผล แอนนี่ยังอยู่ในชุดทำงานที่ใส่มาตลอดวัน เดรสสีดำรัดรูปเผยให้เห็นทรวดทรงที่สวยงามยิ่งกว่าพระเจ้าประทาน เธอสวยจริงๆ

“ตายจริงมาร์ติน ทำไมเอกสารมันกระจัดกระจายอย่างนี้ล่ะ” แอนนี่ทำหน้าตื่นตระหนกได้น่ารักมาก เธอกระวีกระวาดเข้ามานั่งใกล้ๆ มาตินเพื่อดูเอกสารที่หล่นอยู่บนพื้น

“ผมมาหาข้อมูลแล้ว เอ่อ ไม่ระวัง เอกสารมันเลยหล่นครับ” มาร์ตินรีบแก้ตัวหวังว่าแอนนี่จะไม่สงสัยอะไร เธอเป็นคนสวย และคนสวยมักไม่ค่อยฉลาดนัก

“งั้นเรามาช่วยกับเก็บเอกสารพวกนี้เถอะ จะได้กลับบ้านกัน ดีไหม” แอนนี่ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่พยักหน้าเห็นด้วย เขารีบรวบกระดาษให้มากองเป็นปึกๆ เพื่อจะนำกลับไปใส่แฟ้ม

“เอกสารพวกนี้…คุณอยากรู้ไปทำไมคะ ไม่น่าจะเกี่ยวกับงานของทีมเรานี่” แอนนี่ชูกระดาษแผ่นหนึ่งให้มาร์ตินดู ชายหนุ่มใจหายวาบเมื่อเห็นว่ามันเป็นข้อมูลบัญชีรายได้ของบริษัท

“นี่ก็ด้วย เอกสารสรุปรายการซื้อขายของบริษัท พวกนี้ต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนใช่ไหมถึงจะขอดูได้”

“เอ่อ ผม คือว่า” มาร์ตินอึกอั่ก มันกะทันหันเกินไปจึงนึกหาข้อแก้ต่างไม่ทัน

“ให้ฉันเดานะ ถ้าคุณขออนุญาตจริงคงไม่ต้องมารื้อเอกสารกลางดึกในเวลาที่ไม่มีใครเห็นแบบนี้”

“,,,” ชายหนุ่มนิ่งเงียบมองสาวสวยผู้เป็นที่หมายปองของคนทั้งบริษัท แอนนี่ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่ดวงตาของเธอฉายแววซุกซนและรู้ทัน

“คุณมาขโมยข้อมูลของบริษัทใช่มั้ยคะ มาร์ติน” แอนนี่พูดด้วยรอยยิ้มเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเจอได้ในทุกวัน

มาร์ตินเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เขาถูกจับได้ หากเรื่องนี้ไปถึงหูประธานบริษัท เขาคงถูกไล่ออก และที่เลวร้ายกว่านั้น เขาอาจถูกดิสเครดิตไม่ให้ทำงานที่ไหนได้อีกเลยตลอดชีวิต

“แอนนี่ ผมขอร้อง…” มาร์ตินวิงวอน

“อะไรคะ?” แอนนี่ยังคงมีดวงตาที่ใสซื่อ

“เก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหม ผมจะตอบแทนคุณอย่างงาม” มาร์ตินลองยื่นข้อเสนอ

“อย่างงามนี่ งามขนาดไหนคะ” คำพูดของแอนนี่ทำให้มาร์ตินใจชื้น เพราะเธอคงยินดีรับฟังข้อเสนอของเขา

“นายจ้างของผมจะจ่ายให้คุณไม่อั้นแน่ๆ ถ้าคุณยอมปิดปากเงียบและช่วยผมหาข้อมูลของบริษัทนี้”

มาร์ตินเสนอ เขามองหญิงสาวที่ทำหน้าครุ่นคิดราวกับประเมินตีค่าข้อเสนอของเขา เธอคิดอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มหวาดบาดตาซึ่งนั่นทำให้มาร์ตินใจชื้น เพราะเธอคงยอมร่วมด้วยแน่ๆ

“ฉันขอปฏิเสธค่ะ” แอนนี่พูดหนักแน่น แต่เช่นเคย ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าสวย

“ทำไมล่ะแอนนี่! คุณจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำเลยนะ”

“เงินเดือนของฉันเยอะมากอยู่แล้ว ของคุณก็ด้วย”

“แต่เรามีได้มากกว่านี้ถ้าเรายอมช่วยนายจ้างของผม!” มาร์ตินเริ่มโมโหเพราะหญิงสาวไม่เห็นด้วยและแผนของเขากำลังจะแตก

“ไม่ล่ะมาร์ติน ฉันไม่ทรยศพวกพ้องตัวเองค่ะ คุณควรสำนึกผิดนะ สิ่งที่คุณทำมันแย่ มันแย่มาก เบคเทลกรุ๊ปให้ค่าเหนื่อยคุณมากมายสมกับมันสมองของคุณ แต่คุณกลับหักหลังคนที่ให้งานคุณแบบนี้ ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ” แอนนี่พูดรัวเร็วไม่สังเกตว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป

“คุณรออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะโทรแจ้งประธาน ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้เค้าลงโทษคุณหนักเกินไป แต่ยังไงคุณก็ต้องรับโทษนะ มาร์ติ…”

ผั๊วะ!!

เสียงของแข็งกระทบกับกะโหลกดังลั่น หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มหวานดุจนางฟ้าล้มลงไปกองกับพื้นทันที

“ขอโทษแอนนี่” ไม่มีความสำนึกเสียใจปรากฏในน้ำเสียงผู้พูด มาร์ตินมองร่างหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองมาเนิ่นนานนับตั้งแต่เขาได้เข้าทำงานที่นี่ บัดนี้เธอที่เคยสวยงามและมีชีวิตชีวา กลายเป็นร่างไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดสีแดงเข้มโดยฝีมือเขา

มาร์ตินรอเวลาไม่ได้แล้ว เขาต้องรีบจัดการเอกสารพวกนี้ให้เข้าที่เข้าทางแล้วหลบหนีออกจากบริษัทให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้เช้าคงจะมีคนพบศพแอนนี่ และแน่นอนว่าต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าเธอ

แม้มาร์ตินจะเป็นคนใจร้อนแต่เขาก็เป็นคนรอบคอบพอที่จะใส่ถุงมือเอาไว้เพื่อไม่ให้รอยนิ้วมือปรากฏบนกระดาษ บนแฟ้ม ในห้องนี้ต้องไม่มีรอยนิ้วมือของเขาอยู่ แม้แต่รูปปั้นสุนัขหมาป่าอันใหญ่ที่เขาเพิ่งยกขึ้นฟาดหัวเธอก็ไม่มีรอยนิ้วมือของเขาติดอยู่แน่นอน

มาร์ตินจัดการเก็บกระดาษใส่แฟ้มงานหลายอันหลังจากนั้นก็ยัดแฟ้มเข้าไปยังชั้นวางตามหมวดหมู่ที่มันเคยเป็น

ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ไปยังประตูห้องโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นสักนิด ฝ่ามือจับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิดออก

“คนโง่” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลัง ขนคอของเขาลุกชันขึ้นทันที

มาร์ตินอ้าปากค้างเมื่อหันกลับมามองต้นเสียง ในห้องนี้มีเพียงเขากับอีกคน เสียงเมื่อครู่ เขาไม่ได้พูด เพราะฉะนั้นคนพูดจะเป็นใครไปได้ นอกจาก…

“แอนนี่ คุ คุณ ไม่…ไม่ตาย!” มาร์ตินจ้องร่างหญิงสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เธอมองเขาตอบด้วยดวงตาที่แดงฉาน

“ฉันให้โอกาสรอดคุณแล้ว แต่คุณกลับเลือกทางนี้ โง่จริงๆ” แอนนี่เหยียดยิ้มพลางใช้มือปาดเลือดที่ไหลจากบาดแผลบนศีรษะ

“อ้าก!!!” ด้วยความตกใจระคนความกลัวมาร์ตินไม่รอช้า หยิบแจกันกระเบื้องเคลือบใกล้มือหมายจะฟาดใส่คนสวยอีกครั้ง เขาปล่อยให้แอนนี่รอดชีวิตไปไม่ได้

“โอ๊ย!” มาร์ตินร้องลั่น เมื่อข้อมือที่เงื้อขึ้นหมายจะทำร้ายอีกคน กลับถูกหญิงสาวจับไว้แล้วบีบอย่างแรงจนกระดูกข้อมือเขาแทบหัก

“ปล่อยนะ อีชั่ว!!” มาร์ตินตะโกนด่า มืออีกข้างบีบเข้าที่คอระหงของหญิงสาว แต่แม้จะออกแรงบีบสุดกำลัง แต่คอของเธอกลับไม่สะทกสะท้านซ้ำผิวหนังกลับแข็งแกร่งราวเหล็กก็ไม่ปาน

“พูดจาหยาบคายจังมาร์ติน ไม่ดีนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายเลือดจนมาร์ตินรู้สึกว่ากำลังถูกมองด้วยดวงตาของปิศาจ

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ดวงตาของชายหนุ่มมองเห็น ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ หลุดลอยไป





v
v
v



ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

แรงสั่นสะเทือนทำให้เขารู้สึกตัว ในท้องของเขาปั่นป่วนเหมือนใกล้จะสำรอกอาหารมื้อเย็นออกมา ศีรษะของเขาเต้นตุบๆ ระคนความปวด กลิ่นเลือดลอยเข้ามาในจมูกซึ่งเขารับรู้ได้ว่ามันคือเลือดของเขาเอง

มาร์ตินจำภาพสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขายังไม่กล้าลืมตาขึ้น แรงขับเคลื่อนทำให้รู้ว่าตนอยู่บนรถ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นในรถดังแผ่วๆ เป็นเพลงยุคเก่าที่เขาคุ้นเคยดีเพราะช่วงนี้เขาได้ฟังบ่อยๆ

Fooled around and fell in love เขานึกชื่อเพลงออกทันที่ดนตรีบรรเลงมาถึงท่อนฮุค

“เปลี่ยนเพลงเถอะโทนี่ เอาเพลงที่มัน สมัยใหม่หน่อย” มาร์ตินเกร็งกายเมื่อได้ยินเสียงพูดของแอนนี่

“เพราะดีออก ฉันชอบนะ ใครร้อง?” เสียงผู้ชายดังขึ้นใกล้ๆ ตัว มาร์ตินรู้ทันทีว่าเป็นใครเพราะชายคนนี้ก็ทำงานอยู่ทีมเดียวกับเขาเช่นเดียวกับแอนนี่

“เอลวิน บิชอป…เห็นไหมแอนนี่ แพททริคยังชอบเลย เธอน่ะหูไม่ถึง” คนขับรถพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อมีคนเห็นด้วยกับแนวเพลงที่เขาชอบ

“ไม่ได้บอกว่าไม่เพราะ แค่อยากฟังเพลงสมัยใหม่บ้าง เนอะอลัน” แอนนี่ที่นั่งข้างคนขับ หันหลังมาถามเพื่อนอีกคนที่นั่งเล่มเกมส์อยู่เบาะหลังเงียบๆ

“ฉันฟังได้ทุกแนว แต่เพลงที่โทนี่เปิดก็เพราะดี” อลันพูดขณะที่ตายังจ้องจอโทรศัพท์

“เกลียดพวกเธอจริงๆ” แอนนี่ทำหน้างอเพราะถูกรุมแกล้ง

“อย่าอารมณ์เสียสิ คืนนี้เรามีเรื่องสนุกๆ รออยู่นะ ว่าแต่แกจะแกล้งหลับไปถึงไหน ลุกมาคุยกันหน่อยไหมเพื่อน” แพททริคมองร่างชายผิวสีที่นอนนิ่งอยู่

“แขกของเราฟื้นแล้วเหรอ” เสียงของแอนนี่ไม่ปกปิดความดีใจ

“อ่า ฟื้นนานแล้ว แค่แกล้งตายอยู่ ลุกขึ้นมา!” ไม่พูดเปล่า แพททริคยกเท้าถีบเข้าที่สีข้างของมาร์ตินอย่างแรง จนคนถูกถีบร้องโหยหวน

“F*ck!!” มาร์ตินพ่นคำด่าทันที เจ็บระบมที่ข้าวตัวจนน้ำตาเล็ด

“สำออยชิบ ทีตอนแย้งงานที่ฉันเสนอไม่เห็นทำหน้าใกล้ตายแบบนี้”

“ไม่เอาน่าแพททริค เรื่องมันผ่านไปแล้ว และเราอย่าเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวสิ” แอนนี่ยิ้มขำในท่าทางหัวเสียของแพททริค

“พวกแกจะพาฉันไปไหน” มาร์ตินไม่ปกปิดความกลัว เขากวาดสายตามองไปทั่วรถ โทนี่พี่ชายฝาแฝดของแอนนี่ทำหน้าที่ขับรถ แอนนี่นั่งข้างคนขับ ด้านหลังรถมีเขากับแพททริคและอลัน แปลว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาอยู่กันครบ ไม่สิ ขาดคนหนึ่ง

เจ้านั่นไม่อยู่ ดีแล้วที่เจ้านั่นไม่อยู่ หากมันอยู่เขาคงประสาทกินก่อน

“มองหาหัวหน้าเหรอ” อลันที่นั่งเล่นเกมส์โทรศัพท์อยู่พูดขึ้นมาโดยไม่มองหน้ามาร์ตินแม้แต่น้อย

“หึ” แพททริคเห็นท่าทางหวาดหวั่นของชายผิวสีผู้ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมแล้วนึกสมเพช มาร์ตินกลัวหัวหน้าของพวกเขา ข้อนี้ทุกคนรู้ดี ก็ไม่น่าแปลกหรอกที่จะกลัว

“พวกคุณจะพาผมไปที่ไหน ไปส่งตำรวจเหรอ” มาร์ตินกลั้นใจถาม ท้องถนนยามวิกาลเงียบสงัดแทบไม่เห็นคนเดิน จะมีก็เพียงหมาเร่รอนที่นอนข้างถนนเท่านั้นในยามดึกสงัดเช่นนี้

“อย่าฆ่าผมเลยนะ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมถูกทรัมป์จ้างมาขโมยข้อมูลบริษัท! พวกข้อมูลการวางแผนในอนาคต ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลแหล่งต้นทุน! ผมขอโทษ!” มาร์ตินสารภาพเพราะอับจนหนทาง เพราะเท่าที่ดูรถคันนี้ไม่ได้พาเขาไปส่งสถานีตำรวจแน่ มันขับออกมานอกเขตเมือง นั่นหมายความว่า เขากำลังจะถูกเก็บ

“ทรยศบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ไม่พอ ยังหักหลังนายจ้างตัวเองอีก แกสะกดคำว่าซื่อสัตย์เป็นไหมมาร์ติน” ดวงตาของแพททริคที่จ้องมาทำให้มาร์ตินใจไม่ดี

“เย็นไว้แพททริค หัวหน้าสั่งมาแล้ว เราจะไม่ทำร้ายเขา” แอนนี่รีบปรามเกรงว่าแพททริคจะคุมตัวเองไม่อยู่ เธอไม่ได้ห่วงว่ามาร์ตินจะโดนทำร้าย แต่เธอกลัวว่าหากแพททริคลงมือ นั่นคือการขัดคำสั่งของหัวหน้า และมันไม่ใช่เรื่องดีเลย

“พวกคุณจะพาผมไปไหน จะทำอะไรผม!” มาร์ตินถามซ้ำไปซ้ำมาจนชายหนุ่มอีกสามคนบนรถเริ่มคุมความหงุดหงิดไว้ไม่ไหว ผู้ที่ใจเย็นที่สุดจึงจัดการคลี่คลายสถานการณ์นี้เสีย

“คือแบบนี้มาร์ติน ตอนแรกที่ฉันเจอคุณฉันตั้งใจว่าจะพาคุณส่งตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย แต่พอดีคุณมันเลวกว่าที่พวกเราคิดไว้ คุณจะฆ่าฉัน…” แอนนี่หยุดพูดแล้วทำหน้าคล้ายเจ็บปวดแบบเสแสร้ง

“ใช้คำว่าจะไม่ได้ เขาฆ่าเธอ แต่เธอไม่ตาย” โทนี่แก้คำพูดของแอนนี่

“ใช่ๆ ประมาณนั้นแหล่ะ แล้วทีนี้ พวกเราทุกคนเลยยอมไม่ได้ โดยเฉพาะเค้า ฉันหมายถึงหัวหน้าน่ะ เค้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนของเค้าหรอก และฉันเองก็เป็นคนของเค้า” แอนนี่อธิบายพร้อมเหยียดยิ้มเห็นใจ

“จริงสิ ทำไมคุณไม่ตายล่ะ ผมเห็นคุณตายไปแล้วนี่” มาร์ตินมองหน้าหญิงสาวที่สวยกว่าผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยพบ บัดนี้ หน้าเธอซีดลงเล็กน้อย แต่เรียวปากอิ่มยังมีสีลิปสติกแต่งแต้มอยู่ ข้างขมับมีรอบเลือดเกรอะกรังติดอยู่

“หรือว่า…คุณไม่ใช่คนเหรอ!” มาร์ตินทำตาโตเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ แอนนี่ไม่ตายเพราะเธอไม่ใช่คนแน่ๆ แล้วเธอเป็นอะไร เป็นภูตผี เป็นปิศาจจำแลงมางั้นรึ

“ที่รัก…ฉันเคยเห็นในใบประวัติของคุณ คุณเป็นนักวิ่งของมหาลัยใช่ไหม” แอนนี่ไม่ตอบข้อสงสัยของมาร์ติน แต่กลับถามในสิ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันแทน

“ผมไม่เข้าใจ พวกคุณต้องการอะไร!” มาร์ตินตะโกนลั่น นึกหวาดกลัวจนระงับอาการสั่นเทาของร่างกายไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถจอด โทนี่ดับเครื่องยนต์และทั้งหมดก้าวลงจากรถพร้อมเพรียงกัน

“หวังว่าแกจะวิ่งเร็วอย่างที่แกเคยโม้นะ ลงจากรถได้แล้ว” แพททริคกระชากคอเสื้อของมาร์ตินให้ออกมานอกรถ มาร์ตินพยายามจะวิ่งหนีหากแต่ฝ่ามือของแพคทริคนั้นมีกำลังมหาศาลชนิดที่ว่าหากออกแรงบีบ คอของมาร์ตินคงได้หักคามือแน่

“พวกแกจะทำอะไรฉัน” มาร์ตินสะอื้นถาม เขามองรอบๆ พบว่าตนเองยืนอยู่กลางถนนที่ดูคุ้นตา หากแต่ดวงไฟของถนนนั้นติดๆ ดับๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยติด ทำให้ถนนยามราตรีช่างมืดมิดและเงียบจนวังเวง

“พวกแกจะเก็บฉันใช่ไหม อย่าเลยนะ ได้โปรด ฉันมีลูกที่ต้องดูแล ให้ฉันกลับไปหาเขาเถอะ” มาร์ตินอ้อนวอน

“แกไม่มีลูก ไม่มีเมีย แกไม่มีครอบครัว” อลันพูดขณะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง เพราะตอนนี้มีเกมส์ที่น่าสนุกกว่าทุกเกมส์บนโลกรออยู่ตรงหน้า

“เลิกอ้อนวอนเสียที มันน่ารำคาญ!” แพททริคตะคอกใส่ชายที่พ่นคำวิงวอนขอชีวิตไม่หยุดปาก

“ใจเย็นนะมาร์ติน คุณอยากรอดไหม” แอนนี่เดินมาด้านหน้ามาร์ติน เธอใช้มือจับที่ข้างแก้มของมาร์ตินแผ่วเบา

“อยากสิ อยาก ได้โปรด ผล่อยผมไป” มาร์ตินปล่อยน้ำตาให้รินไหล

“งั้นเรามาเล่นเกมส์กัน ถ้าคุณชนะเราจะปล่อยคุณไป จะไม่ไปยุ่งกับชีวิตคุณอีก ไม่แฉคุณด้วยเรื่องที่คุณถูกจ้างมา ดีไหม” แอนนี่ยิ้มกว้างเหมือนคนใจดี

“เกมส์เหรอ เกมส์อะไรกัน” มาร์ตินเงยหน้ามองหญิงสาวที่มีแววตาเย็นเยียบ

“เกมส์นี้เล่นง่ายมากเลยที่รัก คุณดูสิว่าคุณอยู่ที่ไหน” แอนนี่เบี่ยงตัวหลบให้มาร์ตินมองไปรอบๆ ชายหนุ่มทำตามที่เธอว่า

“บร๊องซ์” มาร์ตินพูดขึ้นเมื่อรู้แล้วว่าตนอยู่ที่ไหน เขายืนอยู่ไม่ไกลจากย่านบร๊องซ์ที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยซึ่งมีคนผิวสีชุกชม รวมทั้งเพื่อนของเขาหลายคนก็อยู่ที่นั่นด้วย

“ใช่ๆ แต่มันต้องเดินไปอีกหน่อยนะ บร๊องซ์น่าจะอยู่ห่างจากตรงนี้สักเก้าสิบเมตรได้” แอนนี่อธิบาย

“พวกคุณจะให้ผมทำอะไร” มาร์ตินถามอย่างมีหวัง อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ยังไม่ลงมือฆ่าเขาเลย ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว

“แกแค่วิ่งหนีพวกเรา วิ่งไปย่านบร๊องซ์ ถ้ามีใครยอมเปิดประตูรับแกเข้าไป แกก็เป็นอิสระ พวกเราจะไม่ไปยุ่งกับแกอีก ง่ายดีไหม” โทนี่เป็นคนพูด

“วิ่งหนีพวกคุณ? หมายถึงพวกคุณจะไล่ยิงผมเหรอ!”

“เราไม่มีอาวุธ มันก็เหมือนการวิ่งไล่จับนั่นแหล่ะ เราจะให้คุณนำไปก่อนสักสามนาทีแล้วกัน” แอนนี่อธิบาย

“ผมจะเชื่อพวกคุณได้ยังไงว่าจะไม่เล่นตุกติก นั่นพวกคุณจะทำอะไร!” มาร์ตินตกใจเมื่อโทนี่ แพททริค รวมทั้งอลัน ถอดเสื้อออก ทำให้ท่อนบนเปลือยเปล่า จะมีก็เพียงแอนนี่ที่ใส่เสื้อผ้าครบชุด

“เราแค่อยากให้แกเห็นว่าพวกเราไม่มีอาวุธ และฉันขอเตือนอีกอย่างนะ แกไม่ได้มีทางเลือกมากนัก” แพททริค หยิบนาฬิกาพกในกางเกงส่งให้แอนนี่

“จะเริ่มกันเลยไหม” แอนนี่ถามหนุ่มๆ

“พวกแกต้องสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับฉันอีก” มาร์ตินย้ำ ซึ่งชายหนุ่มทั้งสามก็มองกลับมาไม่กระพริบตา

“พวกฉันสาบาน จะไม่ไปยุ่งกับแก ไม่ทำร้ายแก ถ้าแกหนีเราทันนะ” แพททริคกระตุกยิ้ม

“เราจะต่อให้คุณก่อนนะ ครบสามนาทีเราถึงจะวิ่งไปจับคุณ โอเคนะ ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!” แอนนี่จับเวลา เธอมองมาร์ตินที่วิ่งห่างออกไปไม่วางตา

“หูววว เขาวิ่งเร็วนะเนี่ย” แอนนี่ชมจากใจจริง ดูท่าเรื่องที่มาร์ตินเคยเป็นนักกีฬาวิ่งจะไม่ใช่เรื่องโกหก

“ครบสามนาทีแล้วบอกนะ” อลันพูดขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมส์ฆ่าเวลา…



มาร์ตินเป็นนักวิ่ง เขาวิ่งได้เร็วมาก นี่เป็นอีกเรื่องที่เขาภูมิใจในชีวิต เพียงแต่ที่เขาไม่ค่อยบอกใครเพราะไอ้ความสามารถวิ่งเร็วมันไม่ค่อยน่าโอ้อวดหรือมีประโยชน์สักเท่าไร ยกเว้นเวลานี้

เขาไม่ได้เชื่อใจเจ้าพวกนั้นหรอกที่ว่ามันจะปล่อยเขาไปหากเขาเข้ามาในเขตบร๊องที่แน่นไปด้วยอพาร์ทเมนท์ของชาวผิวสี แต่เขามีแผน…เจ้าพวกนั้นคงไม่รู้ว่าเขาเองก็มีพรรคพวกอยู่ในเขตบร๊องซ์หลายคน และเพื่อนๆ ของเขามีอาวุธ

มาร์ตินเผลอยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาแค่ยืมปืนจากเพื่อนสักคนมาจัดการพวกมัน เท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย การตายของพวกมันจะถูกจัดฉากว่าเกิดจากการปล้น เพราะแถวย่านนี้มีการปล้นฆ่ากันแทบทุกวันอยู่แล้ว

มาร์ตินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แม้จะรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจแต่ตนจะหยุดวิ่งไม่ได้ เขาวิ่งมาได้สักพักแล้วนี่คงใกล้จะครบสามนาทีที่พวกมันต่อให้เขา

เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่ว เขาเข้ามาในเขตบร๊องซ์แล้ว มาร์ตินเคาะประตูบ้านทุกบ้าน ลามไปถึงห้องในอพาร์ทเมนท์ที่เขาจะสามารถไปถึงได้ แต่ไม่มีใครเปิดรับเขาเลย

มาร์ตินสบถอย่างหัวเสีย แม้แต่บ้านเพื่อนของเขาที่เคยเข้ามาซื้อขายยาเสพติดก็ไม่ยอมเปิดประตูให้เขา มาร์ตินเริ่มใจไม่ดีขณะที่เท้ายังวิ่งเรื่อยๆ และพยายามเคาะประตูทุกบ้าน

เสียงหมาจรจัดหอนกันระงมเหมือนกับว่าพวกมันนัดหมายกันมาสังสรรค์คืนนี้ แต่เสียงเหล่านั้นยิ่งทำให้มาร์ตินใจสั่น เขาเห็นสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่ผอมโซกำลังส่งเสียงหอนโหยหวน นึกหัวเสียโดยไม่ทราบสาเหตุจึงสิ่งไปเตะมันจนกระเด็น เจ้าสุนัขตัวนั้นส่งเสียงครางหงิงเพราะความเจ็บปวด

“เปิดประตูสิโว๊ย! ไอ้พวกเวร!” มาร์ตินสบถพยายามทุบประตูจนมือเจ็บ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างดังอยู่ไม่ไกล

เจ้าพวกนั้นตามเขามาแล้ว

มาร์ตินเลือกที่จะซ่อนตัวใกล้ถังขยะใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมถนน โชคดีที่ตรงนี้เป็นมุมอับที่แสงส่องไม่ถึง ทำตัวให้ร่างของเขาที่นั่งคุดคู้อยู่ดูเหมือนถูกกลืนไปกับเงามืด

แทนที่จะวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทาง เขาหยิบท่อนเหล็กที่มีคราบสนิมเขรอะมาไว้ในมือ หวังจะใช้มันโจมตีเจ้าพวกนั้น

เขานิ่งเงียบเพื่อฟังเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ แต่จู่ๆ เสียงนั้นก็หยุดลง มีเพียงเสียงเห่าหอนของสุนัขที่ยังคงดังระงมไม่ขาดสาย มันดังมากขึ้นทุกที จากเดิมที่น่าจะมีเพียงไม่กี่ตัวที่ส่งเสียง แต่ตอนนี้เสียงหอนโหยหวนนั้นกลับเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมาร์ตินเดาได้เลยว่าต้องมีสุนัขไม่ต่ำกว่า10ตัวอยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้

มาร์ตินหอบหายใจ ไอสีขาวพ่นออกจากปาก อากาศคืนนี้หนาวกว่าทุกคืน ยิ่งตรงที่เขาซ่อนตัวมีน้ำจากท่อแอร์ด้านบนหยดลงมาถูกผิว ยิ่งทำให้เขาหนาวสั่นกว่าเดิม

ชายผิวสีค่อยๆ เอนใบหน้าออกมาจากมุมอับเพียงนิดเพื่อดูว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ตรงไหน นึกดีใจที่บนท้องถนนของย่านบร๊องซ์ไม่ปรากฏร่างของมนุษย์สักคน มีเพียงสุนัขจรจัดร่างผอมโซยืนอยู่ประปราย

แหมะ…แหมะ…

หยดน้ำเย็นเยือกหยดลงบนศีรษะของมาร์ติน เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ว่าหัวเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำจากท่อแอร์และหยาดเหงื่อของตัวเอง

มาร์ตินหงุดหงิดจนเผลอสบถเบาๆ เขาควรจะไปหาที่ซ่อนตรงอื่น เพราะตรงนี้น้ำแอร์มันหยดลงมามากขึ้นทุกที ซ้ำยังเหนียวข้นอีกด้วย

น้ำจากแอร์มันไม่ควรจะเหนียวหนืดนี่…ใช่ไหม?

มาร์ติดฉุกคิดเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองด้านบน ขนที่หลังคอลุกชันขึ้นพร้อมกับความรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นกำลังคว้านเข้าไปในคอแล้วบีบหลอดลมเขา

สิ่งที่อยู่บนฝาถังขยะใกล้ตัว คือสุนัขหมาป่าขนสีน้ำตาลตัวเขื่อง นัยน์ตาสีแดงฉานนั้นจ้องมายังเขา มันแยกเขี้ยวคล้ายแสยะยิ้ม ปล่อยน้ำลายไหลย้อยหยดลงมาใส่ศีรษะของมาร์ติน

มาร์ตินไม่ใช่คนประเภทที่กลัวขยาดพวกสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะหมา แต่เจ้าหมาป่าตัวนี้ มันต่างจากสัตว์ตัวอื่นๆ ที่เขาเคยพบ แม้ขนาดตัวของมันจะไม่ได้ใหญ่กว่าสุนัขบ้านเท่าใดนัก แต่มันกลับดูดุร้าย และแผ่รังสีคุกคามจนใจของมาร์ตินบีบรัดด้วยความกลัว

เจ้าสุนัขหมาป่ายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีทีท่าว่าจะโจมตี ส่วนพวกสุนัขจรจัดรอบๆ ก็ยังคงเห่าหอนไม่หยุด

มาร์ตินค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้า เขามั่นใจว่าหากหันหลังวิ่งหนี เจ้าหมาป่านี่คงได้กระโดดเข้ามากัดเขาแน่

สายตาของชายหนุ่มมองรอบๆ เพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าพวกบ้านั่นพบ เขาสบถในใจเป็นร้อยครั้ง เขาต้องหนีทั้งคนหนีทั้งหมา สองมือกระชับท่อนเหล็กไว้มั่นขณะก้าวเดินถอยหลังช้าๆ โดยยังจ้องตากับเจ้าสุนัขหมาป่าเอาไว้

แกร๊บ…!

เวรเอ๊ย! มาร์ตินด่าตัวเอง เขาดันถอยหลังไปชนขวดแก้วใบหนึ่ง ซึ่งมันล้มไปโดนขวดแก้วอีกหลายใบจนเกิดเสียงแตกระเนระนาด และแน่นอน หมาป่าตัวนั้นมันเริ่มขยับตัว ขนที่หลังของมันพองขึ้นเป็นสัญญาณอันตราย ขาทั้งสี่ย่อลงพร้อมกระโดด

มาร์ตินไม่อาจรอให้ตัวเองถูกโจมตี จึงฟาดท่อนเหล็กไปที่เจ้าหมาป่านั่น แต่ทว่าสัตว์ป่านั้นว่องไวมาก เพียงพริบตา เขี้ยวแหลมยาวโค้งก็ฝังเข้าที่ท่อนแขนของมาร์ตินจนจม

“อ๊ากกกกก!” มาร์ตินร้องลั่นเมื่อถูกกัด ทั้งตกใจทั้งเจ็บ สุนัขหมาป่าตัวนี้กัดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยแม้ตนจะพยายามสลัดให้หลุด เขายกมืออีกข้างเพื่อหมายจะฟาดท่อนเหล็กใส่เจ้าสัตว์ร้าย แต่เพียงแค่เงื้อมือขึ้น ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็แล่นเข้าสมอง

“ฟัค!!” มาร์ตินตะโกนด่า มีสุนัขหมาป่าขนขาวอีกตัวกระโดดเข้ามากัดแขนอีกข้าง มันตัวใหญ่กว่าเจ้าตัวสีน้ำตาล และแรงกัดก็มีมากจนมาร์ตินหวาดกลัว หากยังสลัดไม่หลุดแขนของเขาได้ขาดแน่

เลือดสดๆ ไหลทะลักใส่ปากหมาป่าทั้งสอง

เขาพยายามดิ้นหนี สลัดแขนเพื่อให้เจ้าสองตัวนี้ปล่อย ยิ่งเขาดิ้น พวกมันก็ยิ่งฝังเขี้ยวแน่นขึ้น แต่อยู่ๆ วินาทีที่เขาเริ่มคุมสติไม่อยู่ สุนัขหมาป่าทั้งสองก็ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ

มาร์ตินหอบหายใจ พยายามกดแผลที่แขน เลือดมากมายไหลออกมาไม่หยุด เขาเริ่มตัวสั่น รู้สึกหน้ามืดเพราะเสียเลือดไปมาก

เขาจ้องมองสนัขหมาป่าสองตัวที่เยื้องกายเดินไปยืนเคียงข้างกัน นัยน์ตาของพวกมันเปล่งประกายสีแดงเหมือนแสงเลเซอร์ในภาพยนตร์ที่เคยเคยดู

พวกมันจ้องมาร์ตินกลับ ปากเปื้อนเปรอะเลือดสดๆ

ตัวสีขาวหันไปเลียปากตัวสีน้ำตาลเหมือนขอชิมเลือดที่ติดอยู่ตรงปาก เลือดของมาร์ติน

พวกมันเป็นแค่หมา เป็นแค่สัตว์ แต่ทำไมกัน มาร์ตินไม่เคยรู้สึกกลัวขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิต ตาของพวกมัน ดวงตาของพวกมันต่างจากสัตว์ทั่วไปที่เขาเคยเห็น เหมือนพวกมันกำลังคิด กำลังเล่นสนุก มันเหมือนแววตาของมนุษย์! เหมือนแววตาของพวกนักฆ่า!

ร่างกายของมาร์ตินไวกว่าสมอง เท้าทั้งสองข้างหันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้อย่างเดียว หากหนีไม่พ้น เขาต้องตายแน่

มาร์ตินวิ่งผ่าความมืดสลัว พลันน่องข้างซ้ายถูกแรงกระชากดึงกลับไปด้านหลัง ชายหนุ่มหน้าคว่ำหน้าผากโขกกับพื้นถนนเสียงดังสะท้าน ความเจ็บปวดถูกแทนที่ด้วยความมึนงง กะโหลกเขาถูกกระแทกอย่างแรกจนได้ยินเสียงคล้ายโถแก้วใบใหญ่ร่วงหล่นพื้นดังโพล๊ะ สติเริ่มล่องลอย เขาพลิกกายนอนหายอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงหมาหอนดังแว่วเข้ามาในหู เลือดอุ่นๆ ไหลซึมจากบาดแผลจนพื้นถนนถูกอาบย้อมด้วยสีแดง

ร่างกายของมาร์ตินขยับเขยื้อนแทบไม่ไหวแล้ว ดวงตาของชายผิวสีกลอกมองด้านข้างช้าๆ เขาเห็นฝูงสุนัขจรจัดตัวผอมโซไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัว เยื้องกรายเข้ามาใกล้อย่างระวังตัว มาร์ตินอยากจะไล่พวกมันไปแต่เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเปล่งเสียง

พลันสุนัขจรจัดกลับเดินหลบไปข้างทาง พวกมันกำลังหลบให้พวกมนุษย์กลุ่มนั้นที่ไล่ล่าเขาเดินเข้ามา

แต่สิ่งที่ทำให้มาร์ตินกลัวจับใจจนร่างกระตุกสั่นแรงไม่ใช่คนเหล่านั้น หากแต่เป็นสุนัขที่เดินนำเข้ามาต่างหาก

สุนัขหมาป่าสีดำ ตัวใหญ่…มันตัวใหญ่มากกว่าสุนัขทั่วๆ ไปหลายเท่า ความสูงของมันเกือบจะเท่าความสูงของแอนนี่ที่สูงตั้ง173เซนต์ เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นสุนัขหมาป่าที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

แววตาสีฟ้าเข้มของมันที่จับจ้องมาทางเขา ยิ่งทำให้เขาอยากจะร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต ไม่มีเสียงขู่คำรามเล็ดลอดออกมา แต่มาร์ตินกลับรู้สึกได้ว่ามันกำลังพูดกับเขา มันกำลังสื่อถึงเขา

มันกำลังบอกว่าถึงเวลาที่เขาต้องได้รับการลงโทษแล้ว

“ย่ะ อย่า อย่า ได้โปรด” มาร์ตินส่งเสียงอ้อนวอนให้บรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา แต่ทั้งหมดกลับมองเขาราวกับเศษขยะชิ้นหนึ่งที่น่าสมเพช

ปีศาจบนโลกมนุษย์!!!

มาร์ตินคำรามในใจ เขาพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้พบสิ่งที่เขามั่นใจว่ามันคือปิศาจอยู่ตรงหน้า

เจ้าหมาป่าร่างยักษ์ยืดกายขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างของมันบิดเบี้ยวราวกับถูกบีบรัด ขนตามลำตัวหดกลับเข้าไปใต้ผิวหนัง จมูกที่เคยยื่นยาวยุบลงไปจนกลายเป็นจมูกของมนุษย์!

เพียงเสี้ยววินาทีที่หมาป่าตนนั้นกลายร่างเป็นมนุษย์ มาร์ตินก็ส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนคนเป็นบ้า ด้วยไม่เคยพบอะไรเหลือเชื่อและน่าหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน ที่สำคัญ ร่างของมนุษย์ที่เมื่อครู่เป็นสุนัข มันคือคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นคนที่เขาเกรงกลัวมาตลอด

เขาจำชายคนนี้ได้ดี ไม่มีทางที่เขาจะตาฝาด ร่างกายสูงเฉียด190มันสมส่วนจนน่าอิจฉา ผิวกายที่ขาวสว่างยิ่งกว่าผิวผู้หญิง และเรือนผมหยักศกสีวอลนัท ที่ตอนนี้ถูกเสยขึ้นไปเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าเข้มซึ่งเป็นที่ชื่นชมของบรรดาสาวๆ ในบริษัท

หัวหน้าทีม ผู้ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่าเขา

เจย์

“อย่า ทำผม” ฟันของมาร์ตินสั่นกระทบกันจนเกิดเสียงดัง กึก กึก เขาส่งสายตาน่าสมเพชให้เจย์ที่มองกลับมาอย่างเย็นชา

“ยังเจ็บอยู่ไหม?” เจย์เบนหน้าไปด้านข้างเพียงนิด เพื่อถามหญิงสาวข้างๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกคล้ายกำลังปลอบประโลม ฝ่ามือแกร่งซึ่งมีเส้นเลือดเขียวเข้มเด่นชัดทั่วแขนยกขึ้นลูบศีรษะของแอนนี่เบามือ

“ตอนนี้แทบไม่เจ็บแล้ว แต่ตอนโดนทุบเจ็บมากเลย” แอนนี่ตอบตามจริง เธอมองหน้าของผู้ที่เธอเคารพรักยิ่งด้วยความปลื้มปริ่ม

เจย์ห่วงใยคนของเขาเสมอ

และแน่นอน เจย์ไม่ปราณีผู้เป็นศัตรูเช่นกัน

มาร์ตินสั่นสะท้านไปทั้งร่างเมื่อถูกนัยน์ตาสีฟ้าเข้มมองอย่างเยือกเย็น

มาร์ตินพยายามลุกหนี เมื่อเจย์เดินเข้ามาใกล้ แต่ร่างกายที่เกิดอาการช็อกและหวาดกลัวสุดขีดกลับไม่ตอบสนอง น้ำตาไหลอาบแก้มเมื่อเจย์ย่อกายลงนั่งข้างๆ พร้อมประกาศคำตัดสินอย่างแผ่วเบา

“ใครก็ทำร้ายคนของฉันไม่ได้…” เจย์มองชายตรงหน้าเพียงนิดแล้วลุกยืนขึ้น ปรายตามองไปยังเพื่อนๆ ผู้ภักดีด้านหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รีบส่งบุหรี่ราคาแพงมาให้เขา และเป็นแอนนี่ที่รู้งาน เดินเข้ามาจุดไฟแช็ค จ่อที่ปลายบุหรี่อย่างที่เคยทำให้เป็นประจำ

ชายหนุ่มผู้เป็นจ่าฝูงพ่นควันสีขาวออกมาเคล้าคลุ้งกับไอหมอกและน้ำค้างยามดึก ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเก่าเล็กน้อย

“หิวไม่ใช่เหรอ เอาสิ”

มาร์ตินรู้ดีว่าเจย์ไม่ได้พูดกับตน

เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน คือเสียงฝีเท้าของสุนัขจรจัดหลายตัวเคลื่อนเข้ามาใกล้ เพื่อรุมฉีกทึ้งร่างกายของเขาทั้งเป็น….





..............................................................


ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
2



The Weeknd - Earned It




การผูกเนคไทเป็นอะไรที่เขาเกลียดที่สุด เพราะมันทำให้เขาเสียเวลาไปร่วมยี่สิบนาทีและสุดท้ายความพยายามที่จะทำตัวให้” ดูเป็นมืออาชีพ” ของเขาก็ต้องไร้ผล เมื่อแท่งงี่เง่าที่เขาเอามาพันคอมันทั้งเบี้ยว ทั้งยับ ไม่เข้ารูปเข้ารอยเสียที

นิ้วเรียวยาวที่ไร้ตำหนิคล้ายคนไม่เคยทำงานหนักขยุ้มเนคไทอย่างหงุดหงิดแล้วตัดสินใจถอดเหวี่ยงเจ้าผ้าที่เป็นตัวปัญหาออกไป

ทรอยแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแล้วถอดโยนไปข้างๆ เนคไทที่อยู่บนพื้น เชิ๊ตฟ้าอ่อนดูสุภาพซึ่งเขาตั้งใจเลือกให้มันเข้ากับสูทสีเข้มตัวนอกถูกโยนทิ้งไม่ใยดี ร่างสูงโปร่ง เพรียวบางตามแบบฉบับของชายชาวเอเชียเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเชิ๊ตตัวใหม่ออกมาสวมแทน

เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีกรมท่า แค่นี้ก็น่าจะสุภาพแล้วล่ะ

ชายหนุ่มสำรวจตัวเองในกระจก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างเคยตัวเวลารู้สึกเครียด

“ไอ้ลูกหมา นายทำได้อยู่แล้ว” ทรอยพูดกับคนในกระจก พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ เหมือนอย่างที่พ่อเคยทำตอนปลอบโยนและให้กำลังใจเขา

“ยิ้มหน่อยเพื่อนยาก” พูดจบก็ฉีกยิ้มหวานให้คนในกระจกแล้วหันหลังเดินออกจากห้องนอนโดยไม่ลืมที่จะรวบแฟ้มเอกสารที่ใส่ของสำคัญเอาไว้ข้างในไปด้วย

“ทรอย อย่าวิ่งลงบันได มันอันตรายเดี๋ยวก็ล้มหน้าคว่ำเหมือนตอนไปบ้านคุณยายหรอก”

ทรอยอมยิ้ม ไม่นึกกลัวในสิ่งที่มารดาขู่ ทุกครั้งที่เขาวิ่งหรือทำอะไรที่มันน่าหวาดเสียว (ในสายตาของแม่) มารดาจะต้องยกเรื่องที่เขาเคยหกล้มหน้าคะมำที่บ้านคุณยายขึ้นมาพูดเสมอ ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กชายวัยสิบขวบที่กำลังเล่นซน ต่างจากตอนนี้ที่เขาอายุใกล้จะเข้าเบญจเพสแล้ว แต่ในสายตาของเธอ ทรอยยังคงเป็นเด็กน้อยแก้มแดงที่ยังไม่โตเสมอ

“หอมจังครับคุณผู้หญิง” ทรอยเดินเข้าไปกอดเอวมารดาจากด้านหลังพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด

“ของโปรดลูกไง” แม่ของทรอยยิ้มกว้างพร้อมกับแกะมือของลูกชายตัวดีออกจากเอวเพื่อจะจัดโต๊ะอาหารสำหรับมื้อเช้า

ทรอยไม่รอช้า ตักออมเล็ตของโปรดเข้าปากทันที แม้มันจะร้อนมากจนลิ้นแทบพอง เขาก็ยังคงทำหน้าระรื่นหลับตาพริ้มเพื่อรับรสอาหารเช้าที่มารดาตั้งใจทำให้ แม้ความจริงเขาจะเริ่มเบื่อเมนูไข่บ้างแล้วเพราะทานติดต่อกันมาเกือบเดือน แต่ทรอยไม่มีทางแสดงท่าทีเบื่อหน่ายให้แม่ของเขาเห็นแน่

แม่ของเขาเจอเรื่องทุกข์ใจมามากพอแล้ว อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้แม่มีความสุขได้ เขาจะทำโดยไม่ลังเล

สองแม่ลูกลงมือทานมื้อเช้าที่มีเพียงออมเล็ตเมนูเดียวอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่สายตาของคนเป็นลูกจะเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ

“มือแม่ไปโดนอะไรมา?” ทรอยถามขึ้นพร้อมกับจับที่ข้อมือเล็กๆ ของคนเป็นแม่

“อ่อ เอ่อ แม่ซุ่มซ่าม คงเดินชนนู่นชนนี่ไม่รู้ตัวน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

ทรอยขมวดคิ้วขณะที่แม่ของเธอพยายามใช้แขนเสื้อตัวยาวมาปิดบังรอยช้ำที่เริ่มขึ้นสีเขียวคล้ำตรงข้อมือ เขาไม่ได้โง่ขนาดที่จะดูไม่ออกว่ารอยแบบนี้เกิดจากการถูกใครบางคนบีบข้อมืออย่างแรง แต่ที่น่าเจ็บใจคือเขารู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต่างหาก

“ผมขอโทษ” ทรอยพูดเสียงแผ่ว ผิดกับแววตาที่แข็งกร้าว

“ไม่ทรอย ลูกไม่จำเป็นต้องขอโทษ ลูกไม่ผิดอะไรเลย คนเก่งของแม่”

แม่บีบมือทรอยไว้แน่น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทรอยรู้สึกดีขึ้นสักนิด

“ถ้าผมหาเงินได้ แม่ก็ไม่ต้องไปทำงานที่นั่นอีก ผมมันไม่ได้เรื่อง” ทรอยกัดฟัน ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว เขาเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะหาเงินมาจุนเจือเราสองแม่ลูก แม่ของเขาเลยต้องไปทำงานที่ร้านนวดแผนไทยของญาติ แม้ที่ร้านจะไม่มีการค้าประเวณีขายบริการแอบแฝง แต่เชื่อเถอะ ลูกค้าที่เข้ามานวดแทบทั้งหมดไม่คิดแบบนั้นหรอก

อย่างแม่เขาก็ถูกพวกลูกค้าผู้ชายพยายามขอซื้อบริการบ่อยครั้งทั้งที่แม่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ขายบริการ แม่เป็นเพียงหมอนวดแผนไทยเท่านั้น พอไม่ได้ดังใจ บางคนก็เริ่มบังคับใช้กำลังกับแม่ แม้เจ้าของร้านจะเข้ามาช่วยได้ทุกครั้ง แต่บางทีแม่ก็ได้รับบาดเจ็บกลับมาบ้าง อย่างเช่นครั้งนี้

“ทรอย เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนี่ ลูกทำหน้าที่ตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องงาน แม่กำลังพยายามหางานใหม่อยู่ เราต้องผ่านมันไปได้ เหมือนทุกครั้งไง”

ทรอยน้ำตาซึมเมื่อมือบอบางของมารดาลูบหัวเขาแผ่วเบา มันเป็นคำปลอบใจเล็กๆ ที่เอาไว้หลอกตัวเองในตอนที่สิ้นหวัง

เกิดเหตุน่าสลดเมื่อยามดึก พบศพชายนิรนามเสียชีวิตในสภาพที่ทั้งร่างฉีกขาด ราวกับถูกสัตว์ป่าขย้ำ…

เสียงรายงานข่าวจากทีวีเครื่องเก่าเรียกความสนใจของสองแม่ลูกให้หันไปดู

“ตายในย่านบร๊องซ์ใช่มั้ย น่ากลัวจัง ลูกอย่าไปแถวนั้นนะ”

“ครับ” ทรอบตอบสั้นๆ ขณะที่ฟังรายงานข่าว อันที่จริงก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร เพราะในเขตบร๊องซ์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องเช่าของเขานั้น มีข่าวการฆ่าการปล้นกันแทบไม่เว้นวันอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือ ข่าวนี้บอกว่าศพเหมือนถูกสัตว์ป่าขย้ำเนี่ยสิ ในนิวยอร์กมันจะไปมีสัตว์ป่าดุร้ายขนาดนั้นได้ยังไง

“ผมต้องไปแล้วครับแม่ ไว้เจอกันเย็นนี้ครับ” ทรอยกระดกแก้วน้ำเปล่าดื่มรวดเดียว เมื่อเข็มนาฬิกาเดินไปใกล้ถึงเวลานัดหมาย

“แม่อวยพรให้ขายงานได้นะจ๊ะ”

“ขอบคุณครับคุณผู้หญิง” ทรอยรวบแฟ้มเอกสารมาไว้ในมือและไม่ลืมที่จะหอมแก้มมารดาชาวไทยของเขาฟอดใหญ่




หนุ่มลูกครึ่งชาวไทยจีนเดินก้าวฉับๆ ไปยังท้องถนน เขาตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินแทนการเรียกแท็กซี่เพื่อที่จะประหยัดเงินในกระเป๋า จากอพาร์ทเม้นท์ในเขตควีนที่เขาอาศัยอยู่กับแม่มันอยู่ห่างจากที่ทำงานไม่มากเท่าไรนัก เพียงไม่ถึงชั่วโมงเขาก็มาถึงจุดนัดพบ ซึ่งเพื่อนร่วมงานอีกสองคนรออยู่แล้ว

“นายควรมาให้ไวกว่านี้ เราต้องขับรถไปบ้านลูกค้าอีก รอนายคนเดียว” เพื่อนร่วมงานร่างท้วมทำหน้าหงุดหงิดใส่ทรอย

“เอาน่า นี่ก็ยังไม่ถึงเวลานัดนี่ ทรอยมันก็มาตรงเวลา พวกเรามาไวกันเอง” เจสัน เพื่อนร่วมงานที่ทรอยสนิทมากที่สุดรีบออกหน้ารับก่อนจะหันมายักคิ้วให้ทรอย

ทั้งสามนั่งรถของบริษัทโดยมีเจสันเป็นคนขับ ระหว่างทาง ทรอยและเพื่อนร่วมงานก็ทบทวนและซักซ้อมการเสนองานในวันนี้ไม่ต่ำกว่าสามรอบ

ทรอยหยิบแผ่นกระดาษในมือขึ้นมาดูแล้วอมยิ้ม อดไม่ได้ที่จะชื่นชมผลงานชิ้นนี้ของตัวเอง เขาตั้งในออกแบบงานชิ้นนี้อย่างหนัก และมั่นใจว่าลูกค้าต้องชอบงานของเขาแน่

ถ้าลูกค้ายอมซื้องานชิ้นนี้ นอกจากเขาจะไดเงินก่อนโต เขายังจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของบริษัทอีกด้วย วันนี้เป็นวันตัดสินชะตาของเขาล่ะ

อาชีพมัณฑนากรของเขาจะได้เดินหน้าสักที



มือของเขาชื้นเหงื่อขณะที่กำลังนั่งอยู่หน้าห้องรับรองของคฤหาสน์หรู ไม่ได้มีเพียงทีมจากบริษัทเขาเท่านั้น ยังมีอีกหลายบริษัทที่มานั่งรอเสนองานให้ลูกค้ารายนี้อีกด้วย

เมื่อเดือนก่อน ลูกค้ารายนี้ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของคฤหาสน์หรู ได้ประกาศว่าตนต้องการเปลี่ยนแปลงการตกแต่งของคฤหาสน์หลังนี้โดยให้หัวข้อและตัวอย่างคร่าวๆ มา ซึ่งยอมทุ่มงบประมาณไม่อั้น บรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้างจึงรีบเสนอตัวเข้ารับงานนี้เพราะรู้ดีว่าจะฟันกำไรได้อย่างงาม

บริษัทของเขาก็เช่นกัน วันนี้เจสันจะเป็นคนพรีเซนต์เสนองาน โรเจอร์เป็นสถาปนิกจึงออกแบบส่วนที่จะต่อเติมดัดแปลงให้คฤหาสน์หลังนี้ตรงไปตามคอนเซปที่ลูกค้าเลือก ส่วนเขาจะดูแลเรื่องการตกแต่งภายใน เขาออกแบบคิดรายละเอียดส่วนต่างๆ ที่จะเข้าตกแต่งมาอย่างดี และค่อนข้างมั่นใจมากว่างานของตัวเองจะเข้าตาลูกค้า

“บริษัทVV เชิญค่ะ” สาวสวยที่น่าจะเป็นแม่บ้านของคฤหาสน์แห่งนี้เปิดประตูออกมาพร้อมกับเชิญให้ทีมจากบริษัทที่นัดเป็นคิวแรกๆ เข้าไปพบลูกค้า

ทรอยพยายามควบคุมสติไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป นี่เป็นการเสนองานครั้งแรกของเขาเลยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ปกติเขาจะแค่ได้รับการบรีฟงานมาจากบริษัทว่าต้องการให้ออกแบบสไตล์ไหน จากนั้นก็ส่งงานให้ แต่ครั้งนี้เป็นการขายงานกับตัวผู้จ้างโดยตรง ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน

เจสันบีบไหล่เขาเบาๆ เมื่อเห็นว่าที่หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

ทรอยมองดูทีมงานจากบริษัทอื่นที่เข้าไปแล้วออกมาสับเปลี่ยนกัน อีกแค่สองคิวก็จะถึงบริษัทเขาแล้ว

ผ่านไปสิบห้านาทีคิวก่อนหน้าของเขาก็ถูกเรียกเข้าไป นั่นก็หมายความว่า คิวต่อไปที่จะได้เสนองานก็คือทีมพวกเขา ทรอยกลืนน้ำลายลงคอหลายอึก พยายามใจเย็น เขากลัวว่าตอนเสนองานจะพูดติดๆ ขัดๆ เพราะความตื่นเต้น

“ให้ตายสิ พวกนั้นมาได้ไง” คำพูดของโรเจอร์ทำให้ทรอยต้องละสายตาจากประตูห้องหันไปมอง แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง

ทรอยรู้สึกเหมือนลืมหายใจ ขณะที่ดวงตาจ้องมองผู้มาใหม่ทั้งห้าคน

ไม่บอกก็รู้ว่าพวกนี้มาจากไหน เนคไทที่ติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ของ เบคเทล กรุ๊ป บริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ติดอันดับโลกโชว์เด่นหราดึงดูดสายตาของทุกคน

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น บางส่วนถอนหายใจและบอกยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้เสนองานเพราะหากเบคเทลกรุ๊ปมาร่วมลงสนามแข่ง ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องได้รับชัยชนะ

“ทำไมเบคเทลมารับงานแบบนี้” ทรอยบ่นเบาๆ เขาไม่เห็นด้วยและไม่พอใจที่เบคเทลกรุ๊ปมาร่วมการเสนองานในครั้งนี้ เพราะอันที่จริง งานเล็กๆ อย่างตกแต่งคฤหาสน์เศรษฐี เบคเทลไม่น่าจะลดตัวลงมารับงาน ควรจะแบ่งปันให้กับบริษัทเล็กๆ ให้ได้รับโอกาสบ้าง ไม่ใช่จะกินรวบหมดทั้งงานเล็กงานใหญ่

ทรอยจ้องมองผู้มาใหม่ที่เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทีมจากเบคเทลกรุ๊ปมากัน5คน มีฝาแฝดชายหญิง และผู้ชายร่างสูงที่ดูทรงควรจะไปเป็นนายแบบหรือดารามากกว่ามาเป็นนักธุรกิจ

ทรอยพยายามสะกดสายตาที่ฉายแววไม่พอใจของตนให้ลึกลงไปในขณะที่กวาดมองชายที่นั้งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา

ไม่บอกก็รู้ว่าคนนี้คงเป็นหัวหน้าทีม ราศีความเป็นผู้นำแผ่ออกมากดดันทุกคนในบริเวณนั้นชัดเจน

ทรอยกวาดสายตาไล่มองจากรองเท้าคัทชูสีดำขลับซึ่งถูกขัดจนขึ้นเงาไร้ตำหนิ เรื่อยขึ้นมายังท่อนขายาวที่เห็นแล้วนึกอิจฉา ผู้ชายคนนี้มีช่วงขาที่ยาวมาก ความสูงคงไม่ต่ำกว่า180เซน

สายตาซุกซนยังคงจ้องมองอย่างห้ามไม่ได้ ที่ข้อมือของชายคนนี้ใส่นาฬิกาหรูแบรนด์ที่เขารู้จักดี เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเกือบได้เป็นเจ้าของ ทรอยมองนาฬิกาสีดำที่ได้ฉายาจากนักสะสมว่า อินทรีย์ดำ แล้วนึกอิจฉาในใจ เขาเคยอ้อนวอนขอให้พ่อซื้อให้ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่พ่อปฏิเสธเพราะเห็นว่าเขายังเด็กเกินไปที่จะได้เป็นเจ้าของคริสทอพ คลาเรต์ เรือนงามนี้

และตอนนี้เขาไม่มีปัญญาได้ครอบครองมันแล้ว

ทรอยเบนสายตาออกจากนาฬิกาเรือนนั้นอย่างยากลำบาก และไล้สายตาขึ้นไปเรื่อยๆ จนเผลอสบตากับเจ้าของร่างพอดี

ทรอยทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องประสานสายตากับดวงตาสีฟ้าหม่นที่มองจ้องกลับมาแบบไม่กระพริบ เรียวปากบางยกยิ้มแก้เก้อให้ที่เสียมารยาทแอบมอง แต่เจ้าของดวงตาสีฟ้าหม่นนั้นกลับไม่มีรอยยิ้มส่งกลับมา ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แววตาที่ดูคล้ายกับจะมองเหยียดหยามคนทั้งโลกยังคงไม่ละจากใบหน้าของทรอยแม้แต่วินาทีเดียว มองอยู่แบบนั้น จ้องอยู่แบบนั้น และไม่กระพริบตาเลยสักนิด

อึดอัดจะบ้า

ทรอยเป็นฝ่ายยอมแพ้หลบสายตาแสร้งมองไปทางอื่น แต่สัญชาตญาณก็บอกให้เขารู้ว่าดวงตาดุร้ายนั้นยังคงจับจ้องมาที่เขา

ว่ากันว่าสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกและความทรงจำของมนุษย์ได้ดีที่สุดคือ กลิ่น

เพราะประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นนั้นเชื่อมโยงกับสมอง เมื่อเราได้กลิ่นบางอย่างที่แตกต่างจากเดิม สมองจะจดจำความรู้สึกนั้นไว้ แม้เวลาจะผ่านไปจนเราลืมเลือน แต่พอได้กลิ่นนั้นอีกครั้ง ความทรงจำ อารมณ์ และความรู้สึกในตอนที่ได้กลิ่นครั้งแรก มันจะย้อนกลับมาเสมอ

เช่นในตอนนี้

จมูกโด่งรั้นของทรอยถูกกระตุ้นจากกลิ่นหอมจากบางอย่าง มันเป็นกลิ่นหอมคล้ายเครื่องเทศเจือด้วยไม้หอมและวนิลา กลิ่นที่เขาลืมเลือนไปเสียนาน แต่ตอนนี้มันกลับลอยเข้ามาวนเวียนในหัวอีกครั้ง

มันเป็นช่วงใกล้วันเกิดอายุ15ปีของเขา

พ่อแม่พาเขาเที่ยวเมืองแห่งประวัติศาสตร์ของตุรกี ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกรู้จักดี เป็นเมืองที่พ่อและแม่พบรักกัน และท่านทั้งสองได้นำชื่อของเมืองมาตั้งเป็นชื่อของเขา

เมืองทรอย

ตอนนั้นเขาค่อนข้างผิดหวังที่ปัจจุบัน อดีตเมืองที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นลานโล่งๆ มีแต่ซากปรักหักพัก ไร้เสน่ห์ในสายตาของเขา ไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยวน่าอภิรมย์ให้เขาสนใจ

เราสามคนพักอยู่ที่เมืองนี้เพียงสามวันเท่านั้น ในคืนหนึ่งที่พ่อและแม่ออกไปดื่มฉลองกับชาวพื้นเมือง เขาที่ได้แต่นอนเบื่ออยู่ที่โรงแรมจึงหาอะไรฆ่าเวลาด้วยการดูหนัง

โชคดีที่ในโรงแรมมีทีวีเครื่องเก่าและเครื่องเล่นดีวีดีตั้งไว้ในห้องนอนของแขก และแน่นอน ดีวีดีแผ่นนั้นคือเรื่อง ทรอยที่ฉายในปี2004 ที่แบรดพิตต์เป็นนักแสดงนำ

เขายังไม่เคยดูเพราะมันไม่ใช่หนังแนวที่เขาชอบ แต่ในเมื่อไม่มีตัวเลือกมากนักในเวลานี้ เขาเลยยัดแผ่นดีวีดีเข้าเครื่องเล่นแล้วรอให้หนังฉาย

ใช่…มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนนั้น ตอนที่ฉากนั้นปรากฏขึ้นในหน้าจอทีวี มีกลิ่นหอมแบบนี้โชยเข้ามาในห้องของเขา มันเป็นกลิ่นที่พาให้นึกถึงบรรยากาศของกรุงทรอยสมัยก่อน กลิ่นเครื่องเทศที่น่าจะแรงจนฉุนจมูกกลับหอมเย้ายวนผสมกับความลึกลับที่เชิญชวนให้เขาอยากจะท้าทายมัน






v
v
v



ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


ทรอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อนึกถึงฉากของหนังที่เขาเคยดู

ดวงตากลมที่ปลายหางตาชี้เชิดขึ้นนิดๆ เบือนหน้ากลับมามองประสานกับคนที่ยังไม่หยุดจ้องเขาอีกครั้ง

ผู้ชายตรงหน้า หัวหน้าทีมจากเบคเทลกรุ๊ป ทำให้เขาคิดถึงฉากในหนังเรื่องทรอยโดยไม่มีสาเหตุ

ทรอยพินิจมองคนที่นั่งตรงข้าม สูทสีกรมนั้นเรียบไร้รอยยับ กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกติดเรียบร้อยทุกเม็ด เนคไทที่เข้ากับสีสูทถูกผูกอย่างพิถีพิถันชนิดที่ทรอยไม่มีวันจะทำได้ ผมสีวอลนัทหยักศกนิดๆ ถูกเซตทรงมาอย่างดี ผู้ชายคนนี้คือตัวอย่างของความสมบูรณ์แบบที่คนธรรมดาเอื้อมไม่ถึง

จริงสิ อคิลลีส พระเอกของเรื่องทรอยซึ่งเป็นวีรบุรุษในตำนานก็มีผมหยักศกเช่นกัน

หนุ่มลูกครึ่งจีนไทย กลืนน้ำลายอึกใหญ่อีกครั้ง ดวงตาที่มีแววมึนงงและสงสัยมองตอบประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าหม่น

ทรอยห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ จมูกเขารับรู้กลิ่นหอมคุ้นเคยและภาพในหัวปรากฏขึ้นชัดเจน

ฉากหนึ่งในหนังที่เขาประทับใจ ในตอนที่อะคิลลีสตั้งค่ายพักเพื่อเตรียมทำสงครามกับเมืองทรอย ทหารของอะคลิลิสได้จับตัวนางเอกซึ่งเป็นหลานสาวของกษัตริย์เมืองทรอยมาถวายเป็นบรรณาการ ไบรเซอีส นั่นคือชื่อของเธอ

เธอเป็นหญิงที่เลือกครองพรหมจรรย์ เป็นหลานสาวฝ่ายศัตรู ถูกจับตัวมาเป็นเชลย เป็นของขวัญแก่อะคลิลิส

อะคิลลิสไม่ได้แตะต้องเธอเพราะรู้ว่าเธอไม่เต็มใจ แต่หลังจากทั้งสองอยู่ด้วยกันมาหลายคืน ในค่ำคืนหนึ่ง ไบรเซอีสเยื้องกรายเดินเข้าไปหาอะคลิลิสช้าๆ เธอยืนจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มที่เป็นนักรบแกร่งกล้าซึ่งตอนนี้เขานอนหลับใหลไร้พิษสง

หญิงสาวจ่อมีดสั้นไปที่ลำคอของชายที่เธอคิดว่าหลับอยู่ มือเล็กๆ นั้นหยุดชะงักยังไม่กดน้ำหนักคมมีด

“ฆ่าข้าสิ ก็แค่พลิกฝ่ามือ” อะคลิลิสลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่กำลังเอามีดจ่อคอของตน

“ไม่กลัวเลยเหรอ” ไบรเซอิสถามด้วยแววตาฉงน ชายคนนี้ไม่เกรงกลัวความตายเลยเหรอ

“ทุกคนย่อมต้องตาย ไม่วันนี้ก็อีกห้าสิบปีข้างหน้า ต่างกันตรงไหน” อะคลิลิสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตานักรบจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวที่กุมชะตาเขาไว้ ในแววตาที่ไร้ความกลัวมันกลับฉายแววเหนื่อยล้าออกมาแทน

ฝ่ามือสองข้างที่กรำศึกมาหลายสงครามยกขึ้นจับที่ไหล่เล็กของหญิงสาวจากนั้นจึงดึงเธอลงมาใกล้แล้วพลิกกายทาบทับแทน แม้มือของหญิงสาวยังคงจ่อมีดที่คอของนักรบหนุ่ม แต่เขาไม่เกรงกลัวมันสักนิด เพราะรู้สึกได้ถึงความลังเลของเธอ

สายตาของทั้งสองมองจับจ้องกันไม่ละ ในขณะที่มือหนาของอะคลิลิศ ค่อยๆ เลื่อนไปที่ชายกระโปรงยาวซึ่งดูเหมือนชุดนอนตัวยาวของผู้หญิงยุคปัจจุบัน จากนั้นจึงเลิกชายผ้าขึ้นมาช้าๆ ฝ่ามือร้อนบรรจงลูบผิวเนียนแผ่วเบา ก่อนจะโน้มกายเข้าประทับจุมพิตที่เรียวปากอิ่มของหญิงสาว เคล้าคลึงบดเบียดให้เธอยอมจำนน และสุดท้าย มีดสั้นในมือของไบรเซอิสก็ถูกโยนทิ้งไป


ตอนที่ทรอยดูถึงฉากนี้เขารู้สึกสาบหวิวในท้องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาชื่นชมอะคลิลิสที่สามารถใช้เสน่ห์ของตนทำให้อีกฝ่ายคล้อยตามได้อย่างมีชั้นเชิง อารมณ์ของตัวละครถ่ายทอดมาให้คนดูได้รับรู้ มันทั้งลุ่มหลง มัวเมา แต่ก็แฝงความไร้เดียงสาไปด้วย

และในตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง

จมูกของเขายังวนเวียนได้กลิ่นหอมลึกลับนั้น คอของเขาแห้งผากในตอนที่ดวงตาสีฟ้าหม่นละจากดวงตาของเขาแล้วเลื่อนมาจับจ้องที่ริมฝีปากของเขาแทน ทรอยเผลอกัดปากโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเผยออ้าปากออกเล็กน้อยเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอด

เขารู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจ…

จนกระทั่งถูกเจสันเพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างๆ จับไหล่เรียกสติ เพราะเห็นว่าเขาเหม่อไปพักใหญ่

“เป็นอะไร อย่าสติแตกตอนพรีเซนต์นะ” โรเจอร์เตือน

“รู้แล้วน่า ใครใช้น้ำหอมกลิ่นนี้นะ หอมดี” ทรอยเปลี่ยนเรื่องแต่เพื่อนร่วมงานทั้งสองกลับทำหน้าไม่เข้าใจ

“ฉันก็ใช้น้ำหอมกลิ่นเดิม” เจสันบอกส่วนโรเจอร์ก็เลิกสนใจทรอยไปแล้ว

“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่น้ำหอมของนาย กลิ่นนี้ไง ไม่ได้กลิ่นเหรอ มันหอมมากเลยนะ” ทรอยสูดความหอมเข้าปอดอีกครั้ง เขาพยายามหาต้นตอของกลิ่นว่าใครเป็นเจ้าของ อยากจะถามเหมือนกันว่าใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไร เพราะมันหอมถูกใจเขามาก

“มีแต่กลิ่นกาแฟที่เขาเอามาเสิร์ฟ” เจสันลองสูดจมูกหลายครั้งติดๆ กัน แต่ก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นแบบที่ทรอยว่า

“ช่างเถอะ” ทรอยส่ายหัวนิดๆ กลิ่นมันหอมรุนแรงขนาดนี้ ทำไมเจสันไม่ได้กลิ่น จมูกพังหรือไง

“ทำไมหมอนั่นต้องจ้องนายขนาดนั้นด้วย คนรู้จักเหรอ” เป็นโรเจอร์ที่กระซิบถาม

“ไม่รู้จัก” ทรอยตอบเบาๆ สายตาหลุบต่ำมองพื้นแทน เขาไม่กล้ามองคนตรงข้ามแม้สายตาดุดันนั้นจะยังจ้องเขาไม่หยุด จ้องแบบไม่กระพริบ ประหลาดจัง หากไม่เห็นว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นคลายเนคไทออกเล็กน้อย เขาคงจะคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นรูปปั้นที่ไร้ชีวิตเพราะแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย

ทรอยพยายามสนใจกระดาษในมือ แต่ก็ทำได้ยากมากเพราะยังคงรู้สึกว่าตัวเองถูกสายตาคมนั้นมองตลอด ใจหนึ่งอยากจะถามเหมือนกันว่ามีปัญหาอะไรถึงได้ไร้มารยาทมองเขาไม่วางตาแบบนี้ แต่ลึกๆ บางอย่างในตัวเขาส่งเสียงเตือนว่าอย่าได้พูดออกไปเชียว อย่าไปท้าทายคนๆ นี้

ทรอยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ใกล้จะบ่ายสามแล้ว เขามารอเสนองานตั้งแต่เช้า ตอนนี้เหลืออีกแค่สี่ทีมเท่านั้น ทีมจากบริษัทเขา ทีมจากเบคเทล และทีมจากบริษัทรับเหมาเล็กๆ อีกสองทีม ใจของทรอยเริ่มเต้นเร็วขึ้นเมื่อประตูห้องพรีเซนต์เปิดออก พร้อมกับทีมที่เข้าไปเสนองานเดินคอตกออกมา

ทรอยและเพื่อนร่วมงานอีกสองคน รีบจัดแจงเอกสารและดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าทรงผมตัวเอง เพราะมันถึงคิวที่ทีมของพวกเขาต้องเข้าไปเจอกับลูกค้าแล้ว แต่แล้วพวกเขาก็ต้องหน้าเสียเมื่อหญิงสาวร่างผอมบางซึ่งเป็นคนของลูกค้าประกาศเชิญทีมจากเบคเทลกรุ๊ปแทนที่จะเป็นทีมจากบริษัทของเขา

“ขอโทษนะครับ คิวต่อไปเป็นคิวของบริษัทพวกผมไม่ใช่เหรอครับ” ทรอยยืนขึ้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เขาคิดว่าสุภาพแล้ว พยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามแสดงให้ลูกค้าเห็น

“ใช่ค่ะ แต่คุณอีริคท่านต้องการพบทีมจากเบคเทลก่อน พวกคุณกรุณารอสักครู่นะคะ” หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มแต่ทรอยกลับมองว่ามันเป็นการยิ้มเหยียด

“ทรอย นั่งลง” เจสันดึงแขนให้ทรอยนั่งลง

“ได้ครับ เราจะรอ” โรเจอร์ฉีกยิ้มพูด ไหนๆ ก็รอมาแทบทั้งวันแล้ว รออีกนิดจะเป็นไรไป

ทรอยตีหน้านิ่งแล้วนั่งลงตามเดิม เขาเหลือบมองทีมจากเบคเทลกรุ๊ปที่เดินเข้าไปในห้องพรีเซนต์ด้วยความไม่สบอารมณ์

แค่เป็นบริษัทใหญ่ก็ข้ามหัวบริษัทเล็กๆ ไปได้เลยเหรอ ไม่แฟร์

ทรอยถอนหายใจออกมาหลายครั้ง เขาอารมณ์เสียขึ้นมาอีกนิดเมื่อพยายามสูดหาความหอมเมื่อครู่ไม่เจอ กลิ่นมันหายไปแล้ว

มันเป็นช่วงเวลาที่ยืดยาวแม้จะผ่านไปแค่สิบนาที หน้าผากของทรอยมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยแม้ในห้องจะเปิดเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในอุณภูมิที่จัดว่าเย็นจัด

มันเป็นความกลัวที่ผุดขึ้นมา เขามีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่ตัวเองหวังกำลังจะหลุดลอยไป

และในที่สุดความกลัวของเขาก็เกิดขึ้นจริงจนได้

ห้องพรีเซนต์เปิดออก ผู้ที่ก้าวออกมาคนแรกคือหัวหน้าทีมจากเบคเทลกรุ๊ป ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาแบบจับต้องไม่ได้ ตามด้วยคนอื่นๆ อีกห้าคน และผู้ประกาศข่าวร้ายคือชายชราร่างท้วมที่เดินอุ้ยอ้ายออกมา

เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง

ทรอยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้ยืนรอรถประจำทางที่ทำท่าจะจอดรับเขาแต่พอเขาจะก้าวขึ้นไป ล้อสีดำนั้นกลับเริ่มหมุนและเคลื่อนผ่านเขาไปแทน

เจ้าของคฤหาสน์ประกาศว่าตนตกลงทำสัญญากับเบคเทลกรุ๊ปและขอบคุณทีมงานจากบริษัทอื่นที่สนใจงานนี้ ในอนาคตหวังว่าจะได้ร่วมงานกัน

มีเสียงถอนหายใจยอมแพ้ดังขึ้นระงม ทีมจากบริษัทอื่นต่างทยอยเก็บของและเดินออกจากคฤหาสน์ ทีมของทรอยก็เช่นกัน

ทรอยมองตามแผ่นหลังของเจ้าของคฤหาสน์ที่เดินขนาบข้าง พูดคุยกับคนของเบคเทลกรุ๊ป เสียงหัวเราะของพวกนั้นทำให้ทรอยอยากจะร้องไห้

เขาพยายามกับงานในครั้งนี้มาก อดหลับอดนอนจนร่างกายแทบจะพัง แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เสนองานให้ลูกค้าดูเหรอ

ไม่!

ดวงตาของทรอยฉายแววมุ่งมั่น เขามั่นใจว่างานออกแบบภายในของเขามันตรงกับคอนเซปที่ลูกค้าต้องการ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้มีโอกาสสักนิดเถอะ

“ทรอย ไปกันเถอะ เฮ้ย! ทรอย เดี๋ยว!” เจสันร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ ทรอยก็วิ่งถลาเข้าไปหาเจ้าของคฤหาสน์ที่ยนคุยกับทีมจากเบคเทลกรุ๊ป

“คุณอีริค! ได้โปรด ลองดูงานของผมก่อนเถอะครับ” ทรอยยื่นกระดาษที่เขาบรรจงออกแบบมาอย่างดี ให้กับชายร่างท้วม แต่ทว่าอีริคที่เป็นชายชรากลับตกใจอย่างมากเมื่อถูกทรอยวิ่งเข้ามาอย่างไว จึงถอยหลังหนีจนไปชนเข้ากับแอนนี่ที่ยืนใกล้ๆ

แอนนี่เกือบจะเซล้มแต่โชคดีที่ทรอยปฏิกิริยาไวมากจึงรีบดึงแขนเธอเข้าหาตัวเองเพื่อไม่ให้เธอล้มลง แต่ด้วยความที่แอนนี่เป็นผู้หญิงรูปร่างสูงเหมือนนางแบบ ส่วนสูงของเธอพอๆ กับทรอย ทำให้ทรอยรับน้ำหนักตัวของแอนนี่ไม่ไหวเลยเซถอยหลังไปหลายก้าวและเกือบจะล้มลง

แผ่นหลังของทรอยปะทะเข้ากับแผงอกกว้างที่แผ่ไอร้อนออกมาจนหลังของทรอยรู้สึกได้ถึงความอุ่นนั้น ทรอยหันหน้าไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่หัวหน้าทีมของเบคเทลกรุ๊ปก้มมามองเขาเช่นกัน

เจ้าของคฤหาสน์หน้าซีดเผือดเพราะอาการตกใจถูกสาวใช้พาเข้าไปพักเป็นการด่วน แอนนี่ที่ได้ทรอยช่วยไว้รีบหันกลับมาขอบคุณทรอยพร้อมกับส่งยิ้มหวานบาดตาให้

ส่วนทรอยที่พอรู้ว่าตนล้มไปโดนใครก็รีบดีดตัวออกทันที

“โอ๊ย!” ทรอยร้องเสียงหลงเมื่อเจ็บแปล๊บที่ศีรษะ ผมของเขาดันไปพันเข้ากับกระดุมเสื้อของหัวหน้าทีมจากเบคเทลซะได้

“ขอโทษครับ” ทรอยหน้าเสีย ล้มไปชนเขาไม่พอ ผมดันไปติดกับกระดุมเขาอีก ขายหน้าชะมัด

ทรอยพยายามแกะผมตัวเองออกแต่เพราะมันอยู่ด้านหลังเขาจึงมองไม่เห็น เพื่อนร่วมงานทั้งสองของเขาก็ไม่ช่วยอะไรเลย ได้แต่ยืนทำหน้าเจื่อนอยู่เฉยๆ

“เดี๋ยวฉันแกะให้ค่ะ อยู่นิ่งๆ ก่อนนะ” หญิงสาวคนเดียวในทีมของเบคเทลกรุ๊ปเสนอตัวช่วย เธอค่อยๆ แกะผมของทรอยออกทีละนิด พร้อมกับบ่นเบาๆ ว่ามันติดกับกระดุมซะแน่นเลย

ทรอยรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยวัยห้าขวบที่กำลังถูกพ่อแม่หรืออาจารย์รุมดุเพราะตนดันเล่นซนจนข้าวของเสียหาย ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนเขากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ของตน มันผิดที่ผิดทาง เหมือนตอนเขาเดินเข้าไปฉี่ในห้องน้ำหญิงเพราะมัวแต่เล่นโทรศัพท์ไม่ได้ดูป้ายก่อน หรือตอนที่เขาแอบเอาการบ้านของวิชาเลขมาทำให้วิชาภาษาไทยแล้วอาจารย์จับได้

“แย่จริง มันแกะไม่ออก” แอนนี่ทำหน้ามุ่ยส่วนทรอยยิ่งหน้าเสียกว่าเก่า

“เอ่อ ใครมีกรรไกรมั้ย ตัดผมไปเลยก็ได้ครับ” ทรอยมองไปยังเจสันและโรเจอร์ที่ได้แต่ส่ายหัวให้ แต่ทันใดนั้นทรอยกลับรู้สึกได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่กำลังโอบศีรษะด้านหลังของเขา เขาได้ยินเสียงดัง กึด เบาๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาผมของเขาก็เป็นอิสระ

ทรอยรีบถอยหลังไปยืนรวมกับเพื่อนร่วมงานของตัวเองทันที

ทรอยมองผู้ชายร่างสูงที่ตัวเองซุ่มซ่ามไปชนแล้วก้มหัวให้นิดๆ เพื่อเป็นการขอโทษ แต่หัวหน้าทีมของเบคเทลก็ยังคงทำเหมือนเดิม คือทำหน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ มีเพียงแววตาสีฟ้าอมเทาที่จากเดิมมันแข็งกร้าวแต่ตอนนี้มันดูอ่อนโยนขึ้น รึเปล่านะ?

ทีมจากเบคเทลไม่คิดจะต่อบทสนทนาอะไรกับเขา มีเพียงหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มที่ก่อนจะจากกันเธอโบกมือลาให้พวกเขานิดหนึ่ง

หยิ่งยโส ไม่เป็นมิตร และบรรยากาศรอบตัวแปลกๆ

นั่นคือคำนิยามที่ทรอยมอบให้คนของเบคเทลกรุ๊ปทั้งห้า พวกนั้นเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ในขณะที่เขาพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงสนาม ทรอยคอตก ทั้งเจ็บใจและเสียใจ แต่เขาก็เข้าใจดี โลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ พวกอภิสิทธิ์ชนจะได้เหยียบข้ามหัวคนธรรมดาอย่างพวกเขาเสมอ

“กลับกันเถอะ” ทรอยหันไปบอกเจสันและโรเจอร์ พวกเขาเดินสาวเท้าก้าวไปที่จอดรถเพื่อกลับบริษัทพร้อมกับข่าวร้ายว่าพวกเขาชวดงานอีกแล้ว







ทรอยยืนอ่านใบแจ้งหนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ประดังเข้ามา เขาเดินออกมารับลมที่ระเบียงห้อง แต่สายลมและแดดยามเช้าไม่ได้ทำให้ทรอยรู้สึกดีขึ้นสักนิด เขามองไปยังกระถางต้นไม้ที่แม่เขาเป็นคนปลูก พวกมันชูช่อรับแสงอาทิตย์ต่างจากเขาที่ห่อเหี่ยวเหมือนเป็นต้นไม่ที่ขาดการรดน้ำมาหลายปี

เมื่อวานเขาเข้าไปพบฝ่ายบัญชีของบริษัทที่เขาทำงานให้เรื่องเงินค่าตอบแทนงานที่เขาออกแบบ แต่ปรากฏว่าถูกเลื่อนจ่ายเช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้เป็นพนักงานประจำ การจ่ายค่าตอบแทนจึงล่าช้าไปสักหน่อย อีกอย่างงานล่าสุดที่เขาออกแบบก็ขายไม่ได้ ฝ่ายบัญชีจึงยังไม่ออกค่าคอมมิชชั่นให้

“เฮงซวย” ทรอยพูดผ่านสายลม ถ้าถามว่าเขาด่าใคร ก็ต้องบอกว่าเขาด่าตัวเองที่มันช่างห่วยแตก เขาเองก็อยากจะหางานใหม่ที่รายได้มันดีกว่านี้ แต่มันติดตรงที่ว่าเขาผู้ชายวัย25ปีที่เรียนไม่จบปริญญาตรีแถมการเป็นชาวเอเชียก็ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมของชาวตะวันตกนักหรอก

ทรอยเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ราคาถูก เขาเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำเปล่าขึ้นจา จากนั้นจึงเดินไปยังห้องนอนตัวเอง

ทรอยยิ้มเหยียดหยันให้กับรูปภาพบนผนังห้อง มันเป็นภาพของเขาและเพื่อนสมัยเรียนไฮสคูลในโรงเรียนเอกชนของชิคาโก้ซึ่งมีแต่บรรดาลูกคนรวยไปเรียน เขาเดินเข้าไปใกล้รูปนั้น มองไปยังใบหน้าของอดีตเพื่อนเก่าที่ยิ้มรื่นแล้วตัดสินใจโยนรูปนั้นลงถังขยะเพราะตอนนี้พวกคนเหล่านั้นต่างเลิกคบหาเขากันหมดแล้ว

ทรอยทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง หยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึกพลันสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างที่สางไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง

กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาว

ทรอยหยิบขึ้นมาดู เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาถูกทีมเบคเทลตัดหน้าในการขายงานและได้เจ้ากระดุมเม็ดเล็กนี่มาเป็นสิ่งตอบแทน

เขาคิดว่าหัวหน้าทีมของเบคเทลกรุ๊ปยอมสละกระดุมจากเสื้อเชิ้ตราคาแพงเพื่อแลกกับการตัดรำคาญที่เส้นผมของเขาไปพันกับกระดุม

เขาพึ่งรู้ว่ากระดุมมันติดคาหัวเขาไว้ก็ตอนที่อาบน้ำสระผมนั่นแหล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะทิ้ง แต่ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ยังเก็บไว้

ทรอยหัวเราะนิดๆ โดยไม่มีเหตุผล เขาวางกระดุมนั่นไว้ที่เดิม เสียงแจ้งเตือนดังใกล้ตัว ทรอยจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค คนที่ส่งมาคือเจสัน แต่พอเห็นข้อความแล้วทรอยก็หน้าหมองยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้ทรอย นายพอจะคืนเงินที่ยืมได้มั้ย ฉันต้องใช้”

ทรอยจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ท้องของเขาเริ่มปวดขึ้นมานิดๆ ซึ่งหมอเคยวินิจฉัยว่าเกิดจากความเครียด

“พรุ่งนี้นะเจสัน เดี๋ยวแวะไปที่บริษัท” ทรอยพิมพ์ข้อความตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ความจริงยังไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปคืน

เขามองรูปถ่ายที่ใส่กรอบไว้อย่างดี มันวางตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

รูปถ่ายครอบครัวของเขา ทุกคนในรูปยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนเป็นของแบรนด์เนมราคาแพง พ่อของเขาเป็นชายชาวจีนที่ทำงานวิจัยให้รัฐบาลอเมริกา ผลตอบแทนมันดีมากจนครอบครัวของเราสุขสบาย แต่แล้ว พ่อก็หายไป…

“อย่าร้อง” ทรอยพูดกับตัวเองขณะกลั้นน้ำตา เขาถอนหายใจแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ก่อนอื่นต้องแก้ปัญหาเร่งด่วนก่อน กว่าเงินเขาจะออกก็อีกหลายวัน เขาต้องหาเงินจากทางอื่นเพื่อนนำไปคืนเจสัน

ทรอยรื้อค้นสมบัติไม่กี่ชิ้นของตน เขาเจอนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนสุดท้ายของพ่อที่เก็บไว้เป็นอย่างดี บางทีถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องปล่อยมันไป

ทรอยหยิบเสื้อยืดสีดำขึ้นมาใส่ ก่อนจะออกจากห้องไป ที่ๆ เขาจะไปคงไม่พ้นโรงรับจำนำ

ระหว่างทาง ทรอยยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดส่งข้อความไปหาเจสัน

“พรุ่งนี้ขอคืนให้ครึ่งหนึ่งก่อนได้มั้ย ฉันมีเงินไม่พอ”

ทรอยรอคอคำตอบจากเจสัน หน้าจอขึ้นมาเจสันอ่านแล้วแต่ไม่มีทีท่าจะตอบกลับมา ทรอยจึงยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม

ออกจากโรงจำนำ ทรอยรู้สึกใจหายเกินกว่าจะรีบกลับบ้าน เขายังไม่อยากเจอหน้าแม่ตอนนี้ ถ้าแม่รู้ว่าเขาเอาสมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อมาขาย แม่จะต้องเสียใจมาก

หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนจึงตัดสินใจเดินเตร็ดเตร่ตามท้องถนนในเมืองนิวยอร์ค รู้ตัวอีกทีเขาก็เดินเลยมาหยุดที่เซ็นทรัลพาร์ค สวนสาธารณะของเมืองจนได้

ทรอยเลือกที่จะนั่งมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา บางคนก็มากันเป็นครอบครัว บางคนก็มากับคู่รัก และบางคนก็มานั่งเหงาหงอยอยู่คนเดียว เช่นตัวเขาเอง

ปกติแล้วทรอยเป็นคนมองโลกเชิงบวกและไม่ค่อยท้ออะไรง่ายๆ แต่ตอนนี้เขายอมรับให้ความรู้สึกสิ้นหวังนั้นมันครอบงำจิตใจเขาได้เต็มที่

เหนื่อยที่จะสู้กับอะไรแล้ว

เขาหลับตาลงปล่อยให้นาฬิกามันเคลื่อนผ่านไปตามหน้าที่ของมัน ปล่อยให้ดวงอาทิตย์หลบหายเพื่อหลีกให้ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นมาแทน

จนกระทั่งเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้น ทรอยเดาว่าน่าจะเป็นแม่ที่ส่งข้อความมาถามว่าทำไมเขายังไม่กลับบ้าน แต่ทว่ามันกลับเป็นข้อความจากเจสันแทน

ทรอยอ่านข้อความที่เพื่อนร่วมงานส่งมาสามรอบเพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิด

“เฮ้ทรอย ฉันรู้ว่านายไม่ค่อยมีเงิน คือฉันมีข่าวดีมาบอก คนรู้จักของเจ้านายเก่าฉันเขาสนใจงานของนายน่ะ งานล่าสุดที่นายออกออกแบบตกแต่งภายในของคฤหาสน์เมื่ออาทิตย์ก่อน จำได้มั้ย เขาอยากเจอนายและพร้อมจะจ่ายให้นายเต็มที่โดยไม่ต้องผ่านบริษัทนะ”

ทรอยหุบยิ้มได้เลยในตอนที่อ่าน

“มันเยี่ยมมากเจสัน นายไม่ได้โกหกใช่มั้ย” ทรอยมือสั่น ในที่สุดผลจากการที่เขาเติมน้ำมันตะเกียงเวลาไปวัดกับแม่ที่เมืองไทยก็เริ่มส่งผลแล้วสินะ

“ไม่หรอก นายเตรียมเสนองานได้เลย เขาอยากเจอนายคืนนี้” เจสันส่งข้อความกลับมา

“คืนนี้เลยเหรอ?” ทรอยถามกลับ

“ใช่ ไม่สะดวกเหรอ โอกาสแบบนี้ไม่มีมาง่ายๆ นะเพื่อน” เจสันส่งข้อความกลับมาแทบจะทันที

“สะดวกสิ ได้เลย ที่ไหนกี่ทุ่มบอกมาเลย ขอบคุณมากนะเจสัน ถ้าฉันขายงานนี้ได้ จะเลี้ยงเบียร์นายไม่อั้นเลย” ทรอยก้าวเท้าเร็วจนแทบจะกลายเป็นวิ่งไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อตรงกลับบ้านไปเอางาน

“ห้าทุ่มตรง ที่โรงแรม…ไปถึงแล้วนายโทรหาฉันนะ แต่งตัวสุภาพด้วยล่ะ”

ทรอยไม่ได้ตอบข้อความ แต่คิดในใจไว้ว่าครั้งนี้เขาจะให้แม่ผูกเนคไทให้ด้วยดีกว่า





.........................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2019 11:46:53 โดย chittaphone23 »

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
3


 



ปกติแล้วทรอยเป็นคนใจเย็น ไม่ตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ แม้จะเจอภาวะกดดัน ถ้าจะบอกว่าเหตุการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่ทำให้ทรอยตื่นเต้นเต้นมากที่สุดก็คงจะเป็นเมื่อ16ปีที่แล้ว ตอนที่เขาอายุ9ขวบ ในวันนั้นเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าการเป็นลูกของพ่อจะทำให้เขาโชคดีกว่าเด็กคนอื่นๆ ขนาดนี้ เขาเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กๆ ไม่กี่คนที่มีโอกาสรับเชิญให้เข้าชมทำเนียบขาวในคืนก่อนวันฮาโลวีน แถมยังได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอีกสองสามประโยค

เขาจำได้ว่าตื่นเต้นมาก ทั้งประหม่าและกดดัน เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำคนสำคัญเขาซึ่งเป็นเด็กจึงต้องถูกกดดันให้ทำตัวมีระเบียบ มีสายตาจากผู้ใหญ่หลายคนมองมาที่เขา ยิ่งเป็นเด็กชายชาวเอเชียคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้เขายิ่งถูกจับตา เพราะไม่ว่าเมื่อไรคนยุโรปก็มักจะมองคนเอเชียเป็นพวกไร้อารยธรรมมาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนเสมอ ทุกอย่างก้าวของเขามันจึงเต็มไปด้วยความกดดันมากกว่าที่จะสนุกสนานเหมือนเด็กคนอื่นๆ

ตอนนี้ก็เช่นกัน

เขาทั้งเครียดและกดดันจนแทบจะบ้า ทั้งๆ ที่ตนก็มั่นใจในผลงานของตัวเองมาก เชื่อว่าวันนี้เขาจะขายงานออกแบบชิ้นนี้ได้แน่ แต่ทว่าเวลานี้ที่เขานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมหรูอันดับต้นๆ ของเมืองนิวยอร์ก ร่างกายของเขากำลังเครียดเขม็ง หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมออกมา มือทั้งสองข้างประสานกันแน่นรู้สึกหายใจลำบาก อาจเป็นเพราะแม่ของเขาผูกเนคไทให้แน่นจนเกินควร

ทรอยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มห้าสิบแล้ว เขามาก่อนเวลานัดเล็กน้อยเพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม

เขานึกว่าลูกค้าคงจะรอนัดพบที่ล็อบบี้โรงแรมหรือร้านอาหาร แต่ทว่ามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ผู้คนเดินเข้าออกโรงแรม ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนที่นัดคุยเรื่องงานเลย

ทรอยเห็นว่าใกล้เวลานัดเข้าไปทุกที จึงกดโทรศัพท์ต่อสายไปยังเจสัน เพื่อนร่วมงานที่เป็นคนบอกให้เขามาที่นี่ เจสันไม่รับสายแม้ว่าเขาจะโทรไปถึงสามรอบ

“เจสัน ฉันมารออยู่ที่โรงแรมแล้ว ลูกค้าอยู่ไหน?”

ทรอยกดส่งข้อความไปหาเพื่อนร่วมงาน ผ่านไปไม่ถึงนาทีเจสันก็ตอบกลับมา

“โอเค นายเดินไปบอกพนักงานนะว่านัดคุณจาเร็ดไว้”

ทรอยลุกขึ้นยืนแล้วยัดปลายเสื้อเชิ้ตที่ร่นออกมาให้กลับเข้าไปในกางเกงตามเดิม เขามองไปรอบๆ แต่ก็เช่นเคย ไม่มีใครสนใจเขา ทุกคนสนใจแต่ตัวเองเท่านั้น

หนุ่มเอเชียร่างสูงโปร่งเดินก้าวไปหาพนักงานต้นรับที่เคาเตอร์ เธอดูดีมากและเรียวปากที่แต่งแต้มสีแดงนั้นก็เหมาะกับเธอ

“เอ่อ” ทรอยส่งเสียงเบาๆ ไม่กล้าขัดจังหวะเมื่อเห็นว่าเธอติดสายคุยกับใครอยู่

หญิงสาวหันมายิ้มให้เขาแล้ววางโทรศัพท์ลง

“ให้ช่วยอะไรไหมคะ” พนักงานสาวสวยพูดอย่างนอบน้อม

“คือผมนัดกับคุณจาเร็ดไว้ ตอนห้าทุ่มน่ะครับ”

“รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวตอบรับทันทีแล้วก้มลงไปดูหน้าจอเพื่อไล่ดูข้อมูล

“ห้อง 1408 ค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับทรอยที่ยังยืนนิ่งอยู่

“ครับ?”

“คุณจาเร็ดอยู่ที่ห้อง1408ค่ะ เชิญขึ้นไปพบได้เลยค่ะ” เธอพูดอย่างรวดเร็วพร้อมกับผายมือไปทางด้านซ้ายซึ่งเป็นลิฟต์ของโรงแรม ทรอยมึนงงชั่วขณะแต่ก็เดินไปขึ้นลิฟต์ตามที่เธอบอก

ในลิฟต์ไม่มีใคร มีเพียงความเงียบที่อยู่เป็นเพื่อนทรอย เขาแปลกใจเล็กน้อยที่ลูกค้านัดพรีเซนต์กันที่ห้อง แต่จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกเศรษฐีขี้เกียจคงไม่ยอมลดตัวเดินลงมาหาเขาที่เป็นแค่ฟรีแลนซ์ไร้ชื่อคนหนึ่งเท่านั้น

ร่างกายของทรอยโอนเอนเล็กน้อย ขณะที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นชั้นบนช้าๆ อะไรแปลกๆ มันเริ่มกัดกินในอก ทรอยรู้สึกยุบยิบในใจเมื่อนึกถึงเบอร์ห้องที่พนักงานสาวบอก มันเหมือนจะนึกออกแต่ก็ยังนึกไม่ออก ช่างเป็นความรู้สึกที่นี่รำคาญจนทรอยต้องสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือเขาต้องมีสมาธิให้กับการพรีเซนต์งานในครั้งนี้ ต้องทำให้ลุกค้าชอบงานออกแบบของเขาให้ได้

ว่าแต่ทำไมในลิฟต์มันเย็นขนาดนี้นะ อย่างกับอยู่ในตู้แช่อาหารสด

ตึ้ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ผวาสุดตัวจนเกือบจะส่งเสียงร้อง ดีที่ทรอยปิดปากตัวเองได้ทัน

ประตูลิฟต์เปิดออกช้าๆ ทรอยมองไปยังทางเดินข้างหน้าที่มันยาวจนแทบสุดตา พรมสีแดงตัดกับผนังสีทองดูหรูหราสมกับเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่ดูมีมนต์ขลัง แต่ก็ดูวังเวงและน่ากลัวแม้จะมีแสงสว่างจากหลอดไฟประดับสาดส่องไปทั่วทุกมุมก็ตาม

ทรอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาหันมองผนังลิฟต์ที่มีกระจกติดอยู่รอบทิศ ในเงาสะท้อนคือชายหนุ่มผิวขาวเหลืองที่มีหน้าตาบอกบุญไม่รับ ผมข้างหน้าที่จัดเซตเสยขึ้นไปเริ่มปรกลงมาปิดบังหน้าผาก อาจจะเพราะเหงื่อออกมากไป ทรอยรีบจัดแต่งทรงผมตัวเองใหม่พร้อมกับจับเนคไทที่มันผูกมาเป็นระเบียบดีอยู่แล้วให้คลายออกเล็กน้อย จากนั้นก้าวออกจากลิฟต์ช้าๆ

ทำไมไม่มีใครเลย พนักงานสักคนก็ไม่มี

ทรอยสังเกตประตูห้องที่เขาเดินผ่าน มันปิดสนิททุกห้อง ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา ปกติแม้จะเป็นยามวิกาลดึกสงัด แต่ก็น่าจะมีพนักงานอยู่บ้าง หรือน่าจะมีเสียงคุยหรือเสียงเพลงดังจากในห้องต่างๆ แต่ที่นี่กลับเงียบเชียบจนทรอยแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นรัว 1401 1402

ทรอยมองหมายเลขของประตูห้อง พนักงานบอกว่าคุณจาเร็ดอยู่ที่ห้อง1408ใช่มั้ย

ห้อง 1408 เหรอ ทำไมเขารู้สึกคุ้นกับเลขนี้จังนะ

1408 1408 1408

ทรอยพึมพำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูที่มีเลขห้องเขียนไว้ว่า 1408

ทรอยกระแอมเพื่อให้คอโล่ง เขาจัดแต่งทรงผมให้มันเรียบร้อยเข้าที่เข้าทางเตรียมจะเคาะประตู แต่ทันใดนั้น เสี้ยวความทรงจำบางอย่างก็เกิดขึ้น

ทรอยเป็นคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกับพ่อ พ่อของเขาเป็นนักสะสมหนังสือตัวยง บางครั้งทรอยก็จะหยิบเอานิยายจากชั้นหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา หนึ่งในหนังสือที่เขาอ่านแล้วทำให้นอนไม่หลับไปหลายคืนจนต้องอ้อนขอไปนอนร่วมห้องกับพ่อแม่ก็คือหนังสือที่มีชื่อเดียวกับหมายเลขห้องนี้แหล่ะ

1408 ห้องสุสานแตก

มันเป็นเรื่องสั้นของนักเขียนชื่อดังนามว่า สตีเฟน คิง เนื้อเรื่องที่เขาจำได้คร่าวๆ ก็คือตัวเอกของเรื่องเป็นนักเขียนที่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาน เขาเดินทางไปที่ต่างๆ ที่ลือว่ามีผีเพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้มาลองของที่โรงแรมหนึ่ง ห้อง1408 แล้วก็เจอเข้ากับอาถรรพ์จนได้ ไม่มีใครที่เข้ามาแล้วจะหนีรอดออกไปได้

พอนึกขึ้นได้ ทรอยก็ล้วงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมากดส่งข้อความหาเจสันทันที

“เจสัน ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี นายแคนเซิลนัดไปก่อนได้มั้ย”

ทรอยไม่รู้หรอกว่าตัวเองสติแตกฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า มันเป็นแค่นิยายที่แต่งขึ้นมา อาจจะไม่เกี่ยวกับห้องนี้เลยก็ได้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่ดีมาก ใจเต้นผิดจังหวะ ประสาทหลอนเพราะบรรยากาศจนเกินจะควบคุม

เจสันอ่านข้อความแต่ไม่ตอบกลับมา ทรอยรอเพียงครู่เดียวแล้วตัดสินใจว่าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้

แต่พอเขาหันหลังเตรียมจะเดินจากไป กลับมีเสียงดังแกร๊กเบาๆ ดังขึ้นใกล้ตัวพร้อมกับความเย็นชนิดที่ว่าเหมือนถูกน้ำแข็งสาดปะทะเข้าที่ตัวจนทรอยผวาขนชัน

ประตูห้อง1408เปิดออก ทำเอาคนที่กำลังจะเดินหนีสะดุ้งสุดตัว

ทรอยยืนนิ่งค้างอยู่ในท่าที่เหมือนกำลังสับสนในชีวิตว่าจะอยู่จุดเดิมหรือก้าวถอยกลับไปที่เก่า

คนที่เปิดประตูออกมาคือชายผิวขาวหน้าตาดี เครื่องหน้าคมเข้มออกไปทางแขก เขาสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงลำลองสีน้ำเงินเข้มและรองเท้าสลิปเปอร์รูปตัวการ์ตูนกระต่ายบั๊กบันนี่

แม้การแต่งตัวจะดูสบายๆ เกินไปหน่อยสำหรับการนัดคุยงาน ทรอยก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ทรอยรู้สึกไม่ถูกชะตากับชายคนนี้คือกลิ่นน้ำหอมที่มันฉุนกึก ทรอยรู้ว่ากลิ่นนี้เป็นน้ำหอมจากแบรนด์ดังซึ่งมีราคาแพงลิบ แต่ทว่าพอมันมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ กลับไม่เข้ากันซะเลย

“ใช่ที่นัดไว้หรือเปล่า” ชายคนนั้นถามขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังยืนนิ่งไม่พูดไม่จา

“ใช่ครับ” ทรอยตอบเสียงเบา จะปฏิเสธคงไม่ได้เพราะเขาหอบเอาแฟ้มเอกสารมาด้วยขนาดนี้ ถ้าบอกว่าไม่ใช่ก็ต้องรู้ว่าเขาโกหก

“เลยเวลานัดแล้ว เข้ามาก่อนสิ” ชายคนนั้นเปิดประตูเชื้อเชิญให้ทรอยเข้าไป แม้ไม่อยากตอบรับคำเชิญนั้นแต่ถึงตอนนี้คงไมม่มีทางเลือกแล้ว

“ขอบคุณครับ” ทรอยได้แต่คิดในใจว่าคงไม่มีอะไร รีบพรีเซนต์ให้มันจบๆ แล้วกลับบ้าน จะขายงานได้หรือไม่ก็ช่างมันเถอะ

เมื่อก้าวเข้ามาในห้องทรอยก็ต้องยกแฟ้มเอกสารที่ตนเตรียมมาขึ้นมากอดแน่น ในห้องมันหนาวมากคงจะเปิดแอร์ไว้ที่อุณภูมิต่ำๆ แล้วดูเจ้าของห้องสิ แต่งตัวแบบนี้แต่ไม่เห็นมีทีท่าสะทกสะท้านกับความหนาวเย็นเลย ต่างจากทรอยที่แม้จะใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวก็ไม่ได้ปกป้องผิวเนื้อจากไอความเย็นนี้ได้เลย

ทรอยยืนนิ่งจนกระทั่งเจ้าของห้องเชื้อเชิญให้ไปนั่งตรงโซฟาสีแดงเข้มบุด้วยกำมะหยี่

ทรอยกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องแล้วคิดในใจว่าที่นี่สมกับเป็นโรงแรมหรูจริงๆ ทุกการตกแต่งดูมีระดับ การดีไซด์ของห้องนี้น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมยุคเก่า มีภาพวาดขนาดใหญ่แขวนอยู่บนผนัง เป็นภาพวาดภูเขาสูงที่ทรอยมองแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนภาพวาดวงแหวนนรกเก้าชั้นจากวรรณกรรมของดันเต้ที่กลับหัวอยู่

มันเป็นความหรูหราที่ชวนให้อึดอัด

“คุณชื่ออะไรนะ” จาเร็ดเดินมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม พร้อมกับวางแก้วน้ำเปล่าไว้ตรงหน้าทรอย

“ทรอยครับ” ทรอยรู้ตัวว่าตนพูดเสียงเบากว่าปกติและตนไม่กล้าสบตาคนๆ นี้แม้ว่าเขาจะดูใจดีก็ตาม

“ทรอยเหรอ ใช่เมืองทรอยที่มีหญิงงามนามว่าเฮเลนหรือเปล่า” จาเร็ดถามยิ้มๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่วงท่าสบายๆ

“ครับ” ทรอยไม่อยากอธิบายอะไรมากมายนักว่าเฮเลนเป็นหญิงงามจากสปาตาร์ ไม่ใช่คนของเมืองทรอย

“เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งเหรอ หรือคุณอึดอัด”

“ไม่ครับ คือผม…เอ่อ คุณจาเร็ดลองดูงานของผมก่อนนะครับ” ทรอยเปลี่ยนเรื่องแล้วรีบยื่นแฟ้มงานให้คนตรงหน้าดู

“สวยมาก” จาเร็ดรับแฟ้มมาดู ทรอยสังเกตว่าเขาอมยิ้มนิดๆ แววตาของชายคนนี้มันดูคล้ายกับพวกวัยรุ่นที่ชอบทำเรื่องเดือดร้อนให้คนอื่นแลให้เหตุผลว่าเพราะมันสนุก

“ตรงนี้คืออะไร” จาเร็ดถามขึ้นแล้วชี้ไปที่กระดาษในมือ

“ครับ ตรงนี้เดิมทีมันเป็นห้องโถงที่เก็บงานศิลปะพวกรูปปั้นครับ ของเดิมมันค่อยข้างแออัด โทนสีก็ทำให้ห้องดูคับแคบ ผมเลยเปลี่ยนเป็นสีโทนอบอุ่นแทน จะได้ดูสบายตาและขับให้งานโชว์เด่นขึ้นมาอีกครับ” ทรอยโน้มไปอธิบาย

“แล้วนี่ล่ะ ทำไมต้นไม้เยอะจัง”

“ครับ ลูกค้ากำหนดหัวข้อมาว่าอยากอยู่กับธรรมชาติ ผมเลยออกแบบให้มีสวนอยู่ภายในบ้านด้วย เน้นเป็นพืชสีเขียวคนละเฉดกับพวกต้นไม้ในสวนนอกบ้านครับ แต่หากคุณจาเร็ดเห็นว่ามันเยอะไป ผมจะแก้ไขปรับเปลี่ยนให้ครับ” ทรอยขยับลุกขึ้นไปนั่งใกล้ลูกค้า เพราะจาเร็ดยังคงวนเวียนถามนู่นถามนี่อีกหลายคำถาม แต่ทรอยกลับไม่รำคาญเลยสักนิด เพราะเขาเต็มใจจะอธิบายผลงานของตนให้ลูกค้าเข้าใจถึงแก่นแท้ของงานอยู่แล้ว

“คุณจาเร็ดอยากให้ผมทำอะไรบอกมาได้เลยครับ” เมื่ออธิบายงานของตนเสร็จ ทรอยก็ถามความต้องการของลูกค้า ทว่าพอเงยหน้าขึ้นจากงาน หน้าของเขากับจาเร็ดก็อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ทรอยเลื่อนตัวออกห่างทันที

มัวคุยงานเพลินจนเผลอตัวไปนั่งเบียดลูกค้าซะได้

ทรอยลุกขึ้นยืนเพื่อจะย้ายไปนั่งโซฟาตรงข้ามตามเดิม แต่กลับถูกมือแข็งแรงจับเข้าที่ข้อมือแน่น

“ครับ?” ทรอยหันกลับมามองว่าจาเร็ดดึงมือเขาไว้ทำไม สายตาที่ตอนแรกมันดูอบอุ่นใจดี กลับฉายแววซุกซนไม่น่าไว้ใจ

“เล่นละครแบบนี้มันก็สนุกดี แต่ผมเบื่อแล้ว เราควรมาเริ่มงานกันจริงๆ สักที” จาเร็ดไม่พูดเปล่ากลับดึงฝ่ามือของทรอยเข้าไปหอมจนเกิดเสียงดังฟอด

“คุณทำอะไร!” ทรอยกระชากมือออกทันทีแล้วรวบแฟ้มงานเข้ามากอดไว้แนบอก

“ยังจะเล่นอีกเหรอ เราเสียเวลามาหลายนาทีแล้ว อีกอย่าง ผมจะทนไม่ไหวแล้วทรอย” จาเร็ดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาหาทรอย ซึ่งนั่นทำให้ทรอยรู้ตัวแล้วว่าตนกำลังถูกคุกคาม

ทรอยหันหลังวิ่งหนีทันที ยังไม่ทันที่มือจะเอื้อมแตะถึงประตูห้องก็ต้องร้องลั่น เมื่อถูกอีกคนตวัดแขนเกี่ยวเอวเขาแล้วอุ้มขึ้นจนตัวลอยจากนั้นจึงโยนลงบนโซฟาที่นั่งคุยกันเมื่อครู่

“ถอยออกไปนะ!” ทรอยตะโกนเสียงดัง พยายามถดตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกมือหนาดึงข้อเท้าแล้วกระชากให้กลับไปนอนบนโซฟาเช่นเดิม

“คุณน่ารักดี ผมถูกใจ” จาเร็ดไม่พูดเปล่า โน้มหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอของทรอยจนคนที่ตัวเล็กกว่าขนลุกเพราะขยะแขยง

ทรอยทั้งผลักทั้งดันจนสุดแรง แต่คนที่คร่อมร่างเขาอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะกระเทือนแม้แต่น้อย ในใจหวาดกลัวจนตัวสั่น เมื่อรู้ว่าตนกำลังจะถูกทำอะไร

“ตัวหอมจังทรอย งานดีจริงๆ” จาเร็ดมัวเมากับการใช้จมูกไล้โลมสูดดมความหอมละมุนของทรอย จากซอกคอเรื่อยมาที่แก้มนิ่งหมายจะครอบครองเรียวปากสีสดแต่ยังไม่ทันไปถึงก็ต้องร้องลั่น เมื่อหูของเขา ถูกเด็กหนุ่มกัดกระชากอย่างแรงจนแทบจะฉีกขาด

“ไอ้ลูกหมา! แกกล้ากัดฉันเหรอ!” จาเร็ดผุดลุกนั่งใช้มือจับที่หูข้างซ้ายซึ่งมีเลือดไหลรินออกมา

“ถอยไป ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ!” ทรอยรีบลุกขึ้นพยายามจะวิ่งหนีไปที่ประตูห้อง

“โอ๊ย!” ทรอยตะโกนอย่างเจ็บปวดเมื่อข้อเท้าถูกกระชากอย่างแรง จนหน้าของเขาทิ่มลงไปบนพรมห้อง ไม่ทันได้มีโอกาสพูดอะไร จาเร็ดที่ดูเหมือนคนไร้สติบ้าคลั่งจับทรอยให้นอนหงายและกระชากเข็มขัดของของทรอยขาดติดมือ

“อย่านะ!” ทรอยพยายามห้าม ยกเท้าขึ้นถีบแต่นั่นกลับทำให้ง่ายต่อการถอดกางเกง

“รับงานมาแล้วก็อย่าคิดเบี้ยวสิ ฉันจะจ่ายให้นายเพิ่มอีกเท่าตัวเลยถ้าเป็นเด็กดี” จาเร็ดเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหายเมื่อได้เห็นเรียวขาขาวเนียนชัดๆ เป็นผู้ชายที่มีเรียวขาสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก

“รับงานอะไร คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ผม ผมเปล่า!” ทรอยพยายามอธิบาย เขารีบดึงปลายเสื้อเชิ๊ตลงเพื่อปกปิดร่างกายจากสายตาหื่นกาม

“เด็กดี ลูกหมาน้อยของฉัน” จาเร็ดกัดปากแน่น อารมณ์ดิบพลุ่งพล่านยากจะห้าม รีบตะครุบต้นขาขาวนั่นแล้วบีบย้ำหมั่นเขี้ยว

“ลูกหมาน้อยพ่อมึงสิ!” ทรอยตะโกนด่ามือข้างหนึ่งปัดป่ายจนเจอวัตถุบางอย่างหล่นที่พื้น เขายกขึ้นมาแล้วแทงไปที่ดวงตาของจาเร็ดทันที

“อ๊ากกกกกกกก”

จาเร็ดแผดเสียงสะท้าน ความเจ็บปวดเล่นงานจนต้องลุกหนี เลือดสดๆ ไหลรินออกจากเบ้าตาขวา โดยที่อาวุธยังอยู่ในมือของทรอย

ทรอยกัดฟันน้ำตาไหลพรากทั้งกลัวทั้งตกใจที่ตนลงมือแทงปากกาเข้าตาของจาเร็ดเต็มๆ

ทรอยไม่อยู่รอฟังเสียงกร่นด่าตะโกนกรีดร้องคลั่งแค้นของจาเร็ด เขารีบคว้าแฟ้มงานของตนแล้ววิ่งออกจากห้อ

งโดยไม่หันหลังกลับ

ทรอยวิ่งสุดฝีเท้ามาที่ลิฟต์ตัวเดิมที่พาเขามาเจอเรื่องบ้าบอนี่ นิ้วมือกดย้ำๆ หลายครั้งแต่ลิฟต์ก็ไม่เปิดออก หลังคอของเขาลุกตั้งชันขึ้นเมื่อเห็นว่าจาเร็ดก้าวออกมาจากห้องด้วยสีหน้าถมึงทึง เลือดไหลรินออกจากตาและหูจนมันหยดเปื้อนเปรอะเสื้อยืดที่ใส่ ดูยังไงก็เหมือนพวกฆาตกรโรคจิตซึ่งเป้าหมายที่มันอยากฆ่าก็คือเขา

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย” ทรอยอ้อนวอนแล้วตัดสินใจวิ่งหนีไปทางบันไดหนีไฟแทน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองดังสลับกับเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่วิ่งตามเขามา ระหว่างที่วิ่ง ทรอยก็ตะโกนให้คนช่วย แต่ไม่มีใครตอบรับเลย ยิ่งวิ่งนานไร ขาก็ยิ่งล้ามากขึ้น ทั้งกลัวทั้งเหนื่อยแต่จะหยุดก็ไม่ได้

สัญชาติญาณบอกให้เขารู้ว่าหากถูกจับได้ เขาตายแน่

ทรอยไม่รู้ว่าตนวิ่งลงบันไดมากี่ชั้น แต่ในตอนนี้ที่ขาเขาแทบจะวิ่งไม่ไหวแล้วเสียงของจาเร็ดก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทรอยจึงตัดสินใจเปิดประตูแล้ววิ่งกลับเข้าไปด้านในของโรงแรม

ระเบียงทางเดินของชั้นนี้ ก็เหมือนกับชั้นเดิมที่ทรอยหนีมา ทรอยพยายามทุบประตูแทบทุกห้องเผื่อจะมีคนเปิดออกมาช่วยเหลือ แต่ยังไม่มีทีท่าว่าห้องไหนจะเปิด ทรอยวิ่งจนเกือบครึ่งทางเดิน เขาได้ยินเสียงจาเร็ดดังแว่วมา หมอนั่นอาจจะรู้ว่าเขาหนีมาชั้นนี้






v
v
v


ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


“พระเจ้าได้โปรด ช่วยลูกด้วยเถิด” ทรอยตัวสั่น ขาแทบจะก้าวไม่ออกแล้ว แต่จะเป็นเพราะความบังเอิญหรืออาจเป็นเพราะพระเจ้ารับฟังคำขอของเขาก็ได้ มือที่จับกลอนประตูห้องหนึ่งไม่ได้ล็อค ทรอยรีบเสือกกายเข้าไปในห้องนั้นทันที

ทรอยปิดประตูแล้วซบหน้าลงตรงนั้น ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะความกลัว เขายกมือขึ้นปิดปากตัวเองด้วยกลัวว่าเสียงสะอื้นจะหลุดรอดออกมา ก่อนจะแนบใบหูที่ประตูเพื่อฟังเสียงข้างนอก กลัวเหลือเกินว่าจาเร็ดจะรู้ว่าเขาแอบอยู่ที่ห้องนี้

หูข้างที่แนบกับประตูไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่หูอีกข้างกลับมีเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา

เพราะสถานการณ์คับขันทรอยจึงไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของห้อง และตอนนี้ทรอยก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าห้องนี้มันมีคนอยู่หรือไม่ เพราะในห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ

ทรอยทรุดตัวลงนั่งพิงหลังกับประตูห้อง เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ไม่รู้ว่ามีแขกพักอยู่ไหม อาจจะไม่มีก็ได้เพราะห้องปิดไฟมืดสนิทและไร้เสียง

แต่พอนั่งอยู่ตรงนั้นได้ไม่กี่นาที ทรอยก็พึ่งเข้าใจว่าห้องนี้ไม่ได้ไร้เสียง แต่ที่เขาไม่ได้ยินอะไรเพราะกำลังอยู่ในอาการช็อคและเหนื่อยจัดต่างหาก

พอได้นั่งพักอาการเหล่านั้นก็เริ่มหายไป หัวใจเริ่มเต้นช้าลง หูสองข้างก็เริ่มได้ยินเสียง บางอย่าง

ทรอยเงี่ยหูฟังว่ามันคือเสียงอะไร เขาไม่แน่ใจว่าควรจะส่งเสียงดีไหม ในใจยังหวาดกลัวว่าอาจหนีเสือปะจระเข้ เลยเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงประตูเงียบๆ ตั้งใจว่าอีกสักพักจะแอบออกไป

แต่ทว่า ยิ่งอยู่นานเท่าไรเสียงบางอย่างนั้นก็อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ทรอยหน้าแดงก่ำ พยายามปิดหูตัวเองแต่เสียงนั้นมันก็ดังเล็ดลอดให้ได้ยินจนได้

มันเป็นเสียงของคนที่กำลังMake loveกัน ไม่ผิดแน่

เสียงครางกระเส่าของผู้หญิงดังผสานกับเสียงกระทบกันของผิวเนื้อ ทรอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องมาเป็นพยานรักให้เจ้าของห้อง

เขาช่างเสียมารยาทจริงๆ

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์sex เขาเองก็เป็นคนหนุ่มที่เคยมีแฟน เพียงแต่ เขาไม่เคยได้ยินผู้หญิงคนไหน ครวญครางสุขสมได้ขนาดนี้เลย ผู้ชายของเธอคงจะเก่งน่าดูเพราะทรอยได้ยินคำชมจากปากหญิงสาวแทบไม่ขาด แต่ละคำมันช่างชวนให้มวนท้องน้อยเหลือเกิน

“ทำไมอยู่ๆ ก็รุนแรงขึ้นล่ะคะ อ๊ะ!”

“กัดฉันสิคะ แบบที่คุณชอบ”

อ่า เป็นคู่รักแนวBDSMเหรอ ทรอยคิดในใจแล้วก็ต้องรีบไล่ความคิดนั้นไป แค่นี้เขายังเสียมารยาทไม่พออีกเหรอ

ทรอยไม่รู้ว่าตนนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไร เขาลังเลว่าจะลองเสี่ยงเปิดประตูไปตอนนี้เลยมั้ย บางทีจาเร็ดอาจจะกลับห้องไปแล้ว หรืออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทรอยอยู่ชั้นนี้

ทรอยลุกขึ้นยืนช้าๆ มือจับที่กลอนประตูเตรียมจะแง้มเปิด

ก๊อกก็อก!!

เสียงเคาะประตูจากด้านนอกทำเอาทรอยตาเหลือกผวาถอยหลัง ใจสั่นกระตุกจนแทบหลุดออกจากอก

จาเร็ดรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ห้องนี้!

ทรอยตัวสั่นก้าวถอยหลังอย่างเร็วแต่ก็ต้องชะงักเมื่อแผ่นหลังขนเข้ากับอะไรบางอย่างในความมืด

บางอย่างที่อุ่นร้อนจนผิวของทรอยรู้สึกได้

ทรอยรีบหันกลับไปแล้วต้องตะโกนลั่น เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือแสงสีแดงจุดเล็กๆ ลอยอยู่ท่ามกลางความมืดเหนือศีรษะเขา

“ใครน่ะ ร้องทำไม!” เสียงหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางความมืด

“ผม ผม” ทรอยหุบปากลงพยายามระงับสติของตัวเองไม่ให้เป็นบ้า ท่ามกลางความมืดมืดตรงจุดสีแดงที่ลอยอยู่ปรากฏชัดเจนขึ้น

“ใครกันคะ เปิดไฟได้มั้ย” หญิงสาวคนนั้นคงไม่ได้ถามทรอยแน่

เมื่ออยู่ในความมืดนานขึ้น สายตาก็ปรับโฟกัสให้เห็นรอบๆ ได้ชัดขึ้นเล็กน้อย ทำให้เห็นว่าจุดเล็กๆ สีแดงที่เขามองอยู่นั้น มันคือปลายบุหรี่นั่นเอง

โถ่ แล้วมายืนสูบบุหรี่เงียบๆ ไม่คิดจะส่งเสียงบ้างเลยเหรอ

ทรอยถอนใจเฮือกใหญ่ วันนี้สติเขาจะหลุดหลายรอบแล้ว

“ขอโทษครับ ผม” ยังไม่ทันจะพูดจบ แสงไฟก็สว่างขึ้นมาฉับพลันจนทรอยต้องรีบหลับตาลงเพราะดวงตาสู้แสงไม่ไหว

“ใครคะเนี่ย คนของคุณเหรอ” หญิงสาวคนเดียวในห้องเดินเข้ามาใกล้

“เอ่อ….” ตอนแรกตกใจ แต่ตอนนี้กลับถูกความกระดากอายเข้าแทนที่ ทรอยต้องเบนหน้าหันไปทางอื่นแทน ไม่กล้าจะมองภาพตรงหน้าแม้ว่ามันจะสวยงามขนาดไหน ชายหญิงทั้งคู่เดินมายืนตรงหน้าทรอยโดยที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น!

“ผมขอโทษ ผมเข้าผิดห้องครับ” ทรอยพูดโดยที่ไม่หันไปมอง เขาเห็นแค่เพียงนิดเดียวว่าผู้ชายคือชายร่างสูงกำยำผิวขาวและหุ่นดีมากส่วนผู้หญิง อกอิ่มๆ นั่นยังติดตาไม่หายเลย

“….” มีแต่เสียงสูดบุหรี่เข้าปอดตอบกลับมาเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ทรอยทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิมเพราะรับรู้ได้ว่าสายตาของคนตรงหน้ายังคงจ้องเขาอยู่ แต่ทรอยไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งทำเอาทรอยสะดุ้งผวา เขาลืมไปได้ยังไงว่าถูกจาเร็ดไล่ต้อนอยู่

อาการตัวสั่นเริ่มกลับมาอีกครั้ง ทรอยทำอะไรไม่ถูก บางทีเขาควรจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าของห้องให้โทรเรียกตำรวจ

“คุณครับ ผมรบกวนขอโทร- “ทรอยชะงักคำพูดเมื่อหันกลับมาทางชายหญิงเปล่าเปลือย

ใบหน้าหยิ่งยโสกำลังมองมาทางเขา ดวงตาสีฟ้าหม่นที่เขาจำได้ไม่เคยลืม

คนของเบคเทลกรุ๊ปที่เจอในวันนั้น

“คุณ” ทรอยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังรู้สึกนี่คืออะไร จะเรียกว่างงก็คงได้เพราะเขาไม่คาดคิดว่าคนที่เขาจะขอหลบภัยจะเป็นคนรู้จัก เขาหมายถึง คนที่เคยเจอกัน

เสียงเคาะประตูดังอีกครั้งคราวนี้เจ้าของห้องหรือคนของเบคเทลกรุ๊ปเดินผ่านหน้าเขาเพื่อเตรียมจะไปเปิดประตูให้ผู้ที่มาเคาะ จังหวะนั้น ร่างกายของทรอยมันขยับไปเอง มือสองข้างยื่นไปจับเข้าที่แขนของร่างสูงแล้วออกแรงยื้อไว้

“…” เจย์หันกลับมามองคนที่ดึงแขนของตัวเองไว้ เขาเห็นดวงตาสั่นระริกที่ฉายแววหวาดกลัวกำลังมองจ้องเขาเหมือนจะอ้อนวอนให้ช่วยเหลือ

“ข่ะ ขอโทษครับ อย่าเปิดเลยครับ ผมโดนคนร้ายไล่ตามอยู่ถ้าเปิดมันเข้ามาฆ่าผมแน่” ทรอยไม่ปิดบังความกลัว เขาใจหายเมื่ออีกฝ่ายใช้มืออีกข้างปลดมือเขาออกจากแขนแข็งแรง

เจ้าของห้องไม่ยอมพูดอะไรเช่นเดิม แต่กลับทำในสิ่งที่ทรอยต้องประหลาดใจ

มือหนายื่นบุหรี่ที่สูบอยู่มาให้เขา ปลายด้านที่ไม่ได้จุดไฟจ่ออยู่ที่ริมฝีปากเขา และที่น่าประหลาดใจหนักกว่าเก่า คือเขากลับเผยอปากรับบุหรี่มวนนั้นไว้ทั้งที่ชีวิตนี้เขาไม่เคยสูบบุหรี่เลย

บางทีสมองเขาอาจเจอเรื่องกระทบกระเทือนจนเบลอไปเลยก็ได้

เจ้าของห้องเปิดประตูออกกว้างให้แขกที่มาเคาะประตู

ไม่ใช่จาเร็ด แต่เป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งราวนางแบบกำลังยืนอยู่ เธอก้าวเข้ามาในห้องแล้วฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับมองกวาดไปทั่ว จนสายตาที่แต่งแต้มเมคอัพมาอย่างดียั้นหยุดอยู่ที่ทรอย

“มีมาเพิ่มเหรอคะ ก็ดีนะ สี่คนคงสนุกดี” เธอพูดราวกับเป็นเรื่องทั่วๆ ไป แต่ทรอยกลับเข้าใจได้ว่ามันหมายถึงอะไร

เมื่อครู่เขาแค่เกิดอาการเบลอหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้มันหายแล้ว เขาควรจะรีบลงไปชั้นล่างให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ยังมีหน่วยรักษาความปลอดภัยของโรงแรม จากนั้นค่อยแจ้งความ

“ไม่ครับ ผมจะไปแล้ว ขอบคุณและก็ขอโทษที่เข้ามาโดยพลการ” ทรอยโค้งหัวให้ชายหนุ่มที่ยังจ้องเขาอยู่โดยที่ไม่พูดอะไรกลับมาเช่นเดิม

ทรอยก้าวออกมาจากห้องแล้วตรงไปยังลิฟต์ของโรงแรม เขากดไปยังชั้นล่างสุดรู้สึกหนาวเย็นที่ขาเพราะไม่ได้ใส่กางเกง

ทรอยยืนนิ่ง รู้สึกเบลอ ตอนนี้ทั้งสมองและร่างกายมันมึนงงไปชั่วขณะ อาจจะเป็นภาวะที่สมองกำลังปกป้องร่างกายของเขาให้กลับสู่สภาวะเดิมหลังจากเจอเรื่องเลวร้าย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการช็อกจนสติหลุด

ประตูลิฟต์เปิดออกเขาเตรียมจะก้าวออกไปโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามันยังไม่ถึงชั้นล่าง

“ไอ้ลูกหมา”

จาเร็ดยืนอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนคนเมา ทรอยไม่มีแม้แต่โอกาสจะกรีดร้องเมื่ออีกฝ่ายดันตัวเข้ามาในลิฟต์แล้วใช้มือปิดปาก มืออีกข้างก็กดปิดลิฟต์

“แกทำฉันเลือดออกเยอะขนาดนี้ คิดว่าจะรอดไปง่ายๆ เหรอ” จาเร็ดกระซิบเสียงเหี้ยม รอยยิ้มนั้นดูบ้าคลั่ง

“อ่อก! อย่า อย่า!” ทรอยพยายามอ้อนวอน กลัวขึ้นมาสุดชีวิตเมื่อจาเร็ดใช้ปลายเนคไทพันรอบคอเขาแล้วผูกปมจากนั้นจึงผลัดให้ทรอยนอนคว่ำลงกับพื้นแล้วออกแรงดึงปมเนคไทให้แน่นขึ้น แน่นขึ้นเรื่อยๆ

ดวงตาของทรอยเหลือขึ้นเมื่อคอถูกรัดแน่นจนหายใจไม่ออก พยายามตะเกียกตะกายหนีแต่ยิ่งดิ้น แรงรัดที่คอก็ยิ่งแน่นขึ้น ทรอยรับรู้ได้ว่าอีกไม่นานความตายจะมาเยือนเขาแล้ว...





.........................................................................

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
4

 

The Weeknd - Twenty Eight



สุนัขทุกตัวมีประสาทการรับกลิ่นที่ไวกว่ามนุษย์ ยิ่งเป็นสุนัขหมาป่าซึ่งมีสัญชาตญาณการเป็นผู้ล่า การรับรู้กลิ่นยิ่งไวกว่าปกติ

เจย์กดจมูกฝังลงบนผิวเนียนของหญิงสาวใต้ร่าง กลิ่นกายของเธอถูกปรุงแต่งมาจากกลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่พวกมนุษย์สรรค์สร้างขึ้น มันกลบกลิ่นธรรมชาติซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน

มือของชายหนุ่มลูบไล้ผิวกายของเธอไปทั่วร่าง ทุกสัดส่วนถูกมือแกร่งสัมผัสครอบครองเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้แก่คนทั้งคู่ ดวงตาสีฟ้าหม่นบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้มส่องประกายโดดเด่นในความมืด แม้ทั่วทั้งห้องจะมืดสนิทเพียงใดแต่ดวงตาของผู้เป็นหมาป่ากลับมองเห็นชัดเจน

เสียงครางดังสลับกับคำพูดชื่นชมในตัวเขาแทบไม่ขาดปาก แต่เจย์กลับไม่ได้รู้สึกดีกับอะไรแบบนั้น เขาเพียงต้องการปลดปล่อยความร้อนในกาย ทุกแรงขับเคลื่อนนั้นเกิดจากสัญชาตญาณ

แม้จะมัวเมากับกิจกรรมตรงหน้าแค่ไหน แต่หูของเจย์กลับได้ยินเสียงบางอย่างดังแทรกเข้ามาไม่ไกล มันเป้นเสียงคล้ายคนกำลังวิ่ง เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกที และมีเสียงหอบหายใจเหนื่อยจัดตามมาด้วย

เจย์สูดจมูกเข้าลึกๆ นอกจากกลิ่นน้ำหอมที่มันฉุนเกินไปนิดของคู่นอน กลับมีกลิ่นหอมบางอย่างลอยแทรกเข้ามา เป็นกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย กลิ่นเหมือนดอกจัสมินที่เจือจาง…

เมื่อได้กลิ่นร่างกายกลับถูกกระตุ้นฉับพลัน สองมือที่เคยลูบไล้หญิงสาวใต้ร่างแผ่วเบากลับบีบเข้าที่ทรวงอกอิ่มอย่างแรงจนเธอกระตุกร้อง

กลิ่นหอมที่เขาถูกใจลอยใกล้เข้ามาทุกที ไม่นานนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับมีร่างโปร่งบางเหงื่อท่วมแทรกกายเข้ามา

มุมปากของผู้เป็นจ่าฝูงกระตุกยิ้ม เมื่อมองมนุษย์ผู้ชายที่เขาพึ่งได้พบไปเมื่ออาทิตย์ก่อนกำลังนั่งอย่างหมดแรงอยู่ที่ประตูห้อง เหมือนลูกแมวที่กำลังหลบภัยจากคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย

ดวงตาสีฟ้าเข้มไล่มองใบหน้าของผู้มาเยือนซึ่งตอนนี้มันขึ้นสีแดงจัด เหงื่อไหลรินท่วมกายแต่กลับขับให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของผู้มาเยือนนั้นเย้ายวนมากกว่าเดิม เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่นั้นเปรอะเปื้อนรอยเลือด แต่มันเข้ากันได้ดีกับเจ้าของร่าง เหมือนผลงานศิลปะผืนผ้าใบที่ถูกสาดด้วยสีแดง

ทั้งงดงามและบ้าคลั่ง

ต้นขาขาวเนียนที่โผล่พ้นจากเสื้อเชิ้ตนั้นทำให้เจย์หายใจเริ่มติดขัด เขาไม่ได้มองคู่นอนที่ตนเองกำลังเล่นด้วย สายตาของหมาป่าไม่อาจละจากเรียวขาวยาวที่ไร้กางเกงปิดบัง มือแกร่งจับพลิกกายให้คนใต้ร่างนอนคว่ำแล้วบีบเข้าที่สะโพกของคู่นอนขณะที่ดวงตาจับจ้องสะโพกมนของร่างเล็กตรงประตูไปด้วย

เจย์กัดฟันแน่นจนสันกรามขึ้นชัด เมื่อดวงตากวาดมองมาจนถึงปลายเท้าของชายหนุ่มตรงประตู แม้จะไร้กางเกงแต่ถุงเท้าสีขาวยาวถึงข้อเท้านั่นกลับทำให้คนมองแทบจะคลั่ง ยิ่งในตอนนี้ปลายเท้านั่นจิกลงบนพื้นพรมเขายิ่งห้ามตัวเองไม่ให้สวนกายกระแทกเต็มแรงจนหญิงสาวที่เขากำลังเสพสุขจุกจนน้ำตาเล็ด

ดูเหมือนลุกแมวที่หลงเข้ามาจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังอยู่ในเหตุการณ์แบบไหน ใบหน้าที่หวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นกระดากอาย เจย์เผลอหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนั้นรีบยกมือขึ้นปิดหูตัวเองเพราะเก้อเขินเกินจะฟังเสียงครางของหญิงสาวที่ดังไม่หยุด

เวลาผ่านไปเพียงครู่แต่เขากลับรู้สึกเหมือนนานชั่วกัลป์ เมื่อร่างกายได้ปลดปล่อย หมาป่าหนุ่มก็หยิบบุหรี่ราคาแพงใกล้มือขึ้นมาสูบ ท่ามกลางความมืด ดวงตาสีฟ้ายังคงจดจ้องร่างเล็กที่กำลังเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงข้างนอก

ดูเหมือนจะหนีอะไรมา

เจย์ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง เขาไม่ใส่ใจที่จะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาปิดบังร่างกายสมบูรณ์แบบของตัวเอง สาวเท้าเดินไปหาคนที่อยู่ตรงประตู พอได้ยินเสียงเคาะประตู ร่างเล็กก็สะดุ้งถอยหลังหนีมาชนกับเขาจนได้

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เจย์แน่ใจว่าเป็นหญิงสาวอีกคนที่เขานัดมาเพราะกิจกรรมในคืนนี้คงจะอีกยาว แต่ทว่าพอเขากำลังจะเปิด กลับถูกมือเล็กๆ นั้นยื้อแขนเอาไว้ เจย์หันกลับมามองใบหน้าที่จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีซึ่งกำลังมองเขาด้วยดวงตาสั่นนิดๆ ในแววตานั้นมันมีความหวาดกลัว และอ้อนวอนอยู่

“ข่ะ ขอโทษครับ อย่าเปิดเลยครับ ผมโดนคนร้ายไล่ตามอยู่ถ้าเปิดมันเข้ามาฆ่าผมแน่”

ชายที่เกาะแขนเขาอยู่พูดโดยไม่ปิดบังความกลัวสักนิด เจย์มองใบหน้านั้นนิ่งๆ ก่อนจะตัดสินใจปลดมือเล็กนั่นออกจากแขน

อยากให้ช่วยเหรอ? แน่ใจเหรอ?

คำถามนี้ดังขึ้นในหัวของเจย์ ผู้ชายชาวเอเชียคนนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนยังมีแววตาอวดดีและไม่ชอบใจส่งมาให้เขาอยู่เลย

มาตอนนี้กลับอยากให้เขาช่วย ทำไมเขาจะต้องช่วยคนที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาด้วยล่ะ

เจย์กระตุกยิ้มเพียงนิดจนไม่มีใครสังเกตได้ ก่อนจะยื่นบุหรี่ของตนไปให้ชายหน้าหวานที่แสนอวดดี

เขามองปฏิกิริยาของคนตรงหน้า พร้อมกับคิดในใจ

ถ้าอยากให้ช่วยจริงๆ งั้นมาลองเสี่ยงดู เอาสิ อำนาจการตัดสินใจเป็นของเธอ…





















จาเร็ดยึดปลายเนคไทแล้วค่อยๆ ออกแรงดึงเพิ่มขึ้น เขาชอบนักล่ะเวลาเห็นเหยื่อทรมาน เจ้านี่กล้าดียังไงมาทำร้ายเขา

ตึง!

เสียงบางอย่างหนักๆ ดังขึ้นเหนือหัว ตามด้วยแรงสั่นสะเทือนของลิฟต์อย่างรุนแรง

จาเร็ดเงยหน้าขึ้นมอง ช่องด้านบนของลิฟต์ค่อยๆ แง้มออกเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าเข้มของสัตว์ร้ายที่จับจ้องมาอย่างอาฆาต

จาเร็ดรีบลุกขึ้นยืนเมื่อจำดวงตาสีฟ้าเข้มนั้นได้ดี ชายคนนั้นโดดลงมาในลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนที่ ดวงตาจับจ้องไปที่ทรอยซึ่งนอนคว่ำส่งเสียงไอและพยายามหายใจ

“เจย์ มีอะไร” ยังไม่ทันได้ไถ่ถาม อกของจาเร็ดก็ถูกผลักเต็มแรงจนกระแทกผนังลิฟต์ ก่อนที่รอบคอหนาจะถูกมือของเจย์บีบแน่นจนเหมือนคอจะหัก

“จะไม่มีการฆาตกรรมในโรงแรมของฉัน” เจย์พูดสั้นๆ ขณะออกแรงบีบมากขึ้น รู้สึกได้ถึงการขัดขืนของจาเร็ดจึงยกเข่ากระแทกที่ท้องของจาเร็ดเต็มแรง

จาเร็ดคู้ตัวลงนั่งกุมทอง แรงกระแทกนั่นทำให้อวัยวะภายในสะเทือน

“ดะ เดี๋ยว! ฉันไม่กล้าแล้ว!” จาเร็ดรีบแก้ตัวคุกเข่าแล้วยกมือขึ้นยอมแพ้ แต่เจย์กลับยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่หน้าจนจมูกของจาเร็ดบิดเบี้ยวตามด้วยเลือดสดๆ ไหลรินออกมาทันที

“แกท้าทายฉัน” เจย์พูดเสียงเรียบ ผิดกับดวงตาวาววับที่มองจ้องไม่กระพริบ

“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก!” จาเร็ดละล่ำละลักบอก เมื่อครู่ที่ถูกเจย์บีบคอ เขาเผลอขัดขืนตั้งท่าจะตอบโต้กลับ และนั่นเป็นข้อห้ามสำคัญ

จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าต่อต้านจ่าฝูง เพราะโทษของมันคือตาย!

“ไสหัวไปซะ อย่าโผล่มาในเขตของฉันอีก” เจย์ข่มอารมณ์ดิบของตัวเองไว้ เขาพยายามถึงที่สุดที่จะไม่แสดงความเป็นหมาป่าออกมาให้ใครเห็น แต่สันดานดิบในเลือดใช่ว่าจะสยบลงได้ง่ายๆ

เจย์กดแรงโกรธไว้แล้วหันไปสนใจคนที่นอนหมดแรงอยู่ ขยับเข้าไปใกล้ดึงเนคไทที่พันคอของทรอยออก ดวงตาของทรอยมีน้ำตาเปรอะเปื้อน ร่างเล็กอ้าปากหายใจแผ่วเบาเหมือนอากาศจะหายไปจากปอด

เจย์รวบร่างเล็กที่นอนหมดแรง มืองหนึ่งสอดเข้าข้อพับ ส่วนอีกมือสอดที่ต้นคอแล้วอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูเปิดออก

ก่อนที่เจย์จะก้าวออกไป เขารับรู้ได้ถึงแรงอาฆาตจากด้านหลัง เจย์หันกลับมามองทันที

“ฉันซื้อเขามา เขาเป็นของฉัน” จาเร็ดพูดเสียงเบาแต่ยังหลบสายตา

“ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” มีเสียงคำรามทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ ซึ่งนั่นทำให้จาเร็ดรีบก้มหัวให้อีกครั้ง

เจย์เตรียมจะกลับไปสั่งสอนหมาขี้แพ้ที่ยังไม่สลด ถ้าไม่ติดว่าคนในอ้อมกอดกำลังส่งเสียงไอเหมือนจะขาดอากาศอยู่รอมร่อ



















ทรอยกำลังจะตาย หัวใจมันบีบรัดและเต้นแรงจนเขาเจ็บหน้าอก ดวงตาพร่ามัวและหายใจไม่ออก

เขากำลังจะช็อก พยายามอ้าปากหายใจแต่ก็ทำไม่ได้ มือสองข้างกดไปที่หัวใจตัวเอง น้ำตาไหลไม่หยุด มันทรมานแทบขาดใจ ใครก็ได้ช่วยเขาที!

“ใจเย็นๆ หายใจช้าลงหน่อย” เขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนใกล้ตัว ทรอยดิ้นพล่านเพราะกำลังจะขาดอากาศ ในหัวมันมืด มือและเท้าจิกเกร็ง

“ทะ ทำอะไร” ทรอยพยายามส่งเสียง และใช้มือปัดป้องผลักคนตรงหน้าออก เพราะอยู่ๆ ก็ถูกมือหนาปิดมาที่จมูก ดูเหมือนคนๆ นี้กำลัวจะฆ่าทรอยโดยการปิดปาก

ทรอยพยายามผลักและปัดมือที่ป้องอยู่บนปากและจมูกเขาออก แต่แรงที่เหลือน้อยนั่นกลับขัดขืนอะไรไม่ได้เลย เขาคิดว่าเขาจะต้องตายแน่ๆ แต่พอผ่านไปครู่หนึ่งอาการหายใจไม่ได้กลับเริ่มดีขึ้น

ทรอยอาการดีขึ้น เมื่อเริ่มสูดออกซิเจนเข้าปอดได้ อาการหอบและใจเต้นแรงเริ่มคลายลง ดวงตาเริ่มกลับมามองเห็นทีละนิด แต่คนตรงหน้ายังคงใช้มือปิดป้องจมูกเขาไว้หลวมๆ

ทรอยมองตาคนตรงหน้าที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน ดวงตาสีฟ้าหม่นนั้นมันเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเป็นบางครั้งแม้จะประหลาดใจแต่ทรอยก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร

ผ่านไปพักใหญ่กว่าคนตรงหน้าจะยอมละมือออกไป ซึ่งอาการหายใจไม่ออกของทรอยก็ดีขึ้นจนแทบจะเป็นปกติ

ทรอยกำลังนั่งอยู่บนรถสปอร์ตสีดำ ซึ่งถ้าดูไม่ผิด มันคือจากัวร์ราคาแพงลิบ ซึ่งเจ้าของรถยังคงจ้องหน้าเขานิ่งๆ จนคนถูกจ้องเริ่มอึดอัด

“บ้านอยู่ที่ไหน”

“เอ่อ” ทรอยอึ่กอั่ก ยังคงทำตัวไม่ถูก อาการหวาดระแวงยังไม่หายไป ถ้าถามแบบนี้คือจะไปส่งใช่ไหม

“ผมกลับเองดีกว่าครับ” ทรอยตอบเสียงเบา เขาลูบคอตัวเองที่ตอนนี้ยังมีรอยถูกรัดอยู่ ในใจนึกหวาดกลัวที่ตนเกือบจะถูกฆ่า

“ฉันจะไปส่ง”

ทรอยเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้พูด มันเด็ดขาดและไม่ฟังความเห็นใดๆ จากใครทั้งสิ้น

“อยู่ที่ควีนครับ”

รถหรูขับเคลื่อนออกไปทันที แทบไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้น ทรอยลอบมองคนขับรถแล้วนึกในใจว่าคนที่ดูดุดันแบบนี้ไม่น่าจะขับรถได้นิ่มจนเขาแทบจะหลับได้

อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทรอยน้ำตาซึม ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนเจสันหลอกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โลกนี้เขาจะไว้ใจใครได้อีก สิ่งที่เขาเผชิญอยู่มันยังไม่แย่พออีกเหรอ

“ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้” ทรอยหันไปมองคนถาม

“…” หนุ่มเอเชียปิดปากเงียบ พึ่งสังเกตว่ารถมาจอดอยู่ริมแม่น้ำ ใกล้สวนสาธารณะ

“จอดทำไมครับ” ทรอยเริ่มระแวงแต่คนขับรถกลับไม่ตอบคำถามนั้น

“เธอขายตัวเหรอ”

เป็นคำถามที่ตรงและเสียมารยาทที่สุด ทรอยขมวดคิ้วมองผู้พูดที่ยังตีหน้านิ่ง

“เปล่าครับ” ทรอยปฏิเสธน้ำเสียงเจือด้วยความไม่พอใจ

“ถ้าไม่ขายแล้วไปโรงแรมนั้นทำไม” เจย์ถามในสิ่งที่เขาสงสัย เพราะโรงแรมของเขาสร้างขึ้นเพื่อให้แขกที่เป็นคน” แบบเขา” มาใช้บริการเท่านั้น

“ผมไปขายงาน ไม่ได้ขายตัว” ทรอยไม่ปกปิดความไม่พอใจแม้จะไม่กล้าสู้สายตาก็ตาม

“งานอะไร”

“ขอโทษนะ ผมว่าคุณลุกล้ำความเป็นส่วนตัวผมมากไปหน่อย” ทรอยตอบกลับทันที

“เหรอ แล้วมันงานอะไรล่ะ”

ทรอยแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าคนๆ นี้จะยังกล้าถามต่อทั้งที่เขาก็แสดงออกชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่พอใจ ยิ่งมองหน้าผู้พูดที่ยังคงทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สา ทรอยก็ยิ่งหงุดหงิด

“ก็งานออกแบบที่ถูกพวกคุณตัดหน้าไปเมื่ออาทิตย์ก่อนไง!” ทรอยไม่ได้ตั้งใจตะโกนออกไป แต่อะไรบางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้กระตุ้นความโกรธของทรอย หนุ่มเอเชียกัดปากแน่น แล้วปล่อยโฮร้องไห้ออกมาโดยไม่อายใคร ความรู้สึกที่ถูกบีบอัดมันระเบิดออกมา ทรอยทั้งตกใจ ทั้งอับอาย ทั้งเสียใจ และผิดหวัง ทุกอย่างมันประดังเข้ามาในคราวเดียวเกินจะรับไหว เขาไม่เข้าใจว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับชีวิตเขานัก จากคนที่เคยมีทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ความรัก กลับถูกพรากออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว เขาพยายามแล้ว ที่จะใช้ชีวิตในโลกที่บัดซบนี่ให้ได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าคงเกลียดเขาจริงๆ

ทรอยยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลรินไม่หยุด เขาโกรธเหลือเกิน โกรธทุกคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ โกรธพ่อที่หายไปทิ้งให้เขาอยู่กับแม่ลำพัง โกรธที่เขาต้องยอมออกมาหางานทำทั้งๆ ที่เขาควรจะเรียนจบเหมือนคนอื่น โกรธแฟนเก่าที่ทิ้งเขาไปเพียงเพราะเขาไม่มีเงินมากเหมือนแต่ก่อน โกรธเพื่อนๆ ที่พากันออกห่างเขาหลังจากรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสังคมชั้นเดียวกัน โกรธบริษัทที่กดค่าแรงเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดินทั้งทีฝีมือของเขาไม่ด้อยไปกว่าใคร โกรธเจสันที่หลอกเขาจนมาเจอเรื่องบ้าๆ ระยำแบบนี้ และโกรธตัวเองที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะหาทางออกให้ชีวิตของตัวเองได้อย่างไร

เขาทำได้แค่ร้องไห้ ตะโกนคลั่งแค้นในใจให้ชีวิตของตัวเองเท่านั้น

หางตาของทรอยเหลือบมองผู้ชายแสนเย็นชาที่เปิดประตูรถออกไปสูบบุหรี่ เขาไม่อยากจะสนใจนัก คนๆ นี้ก็ไม่ได้ดีกว่าคนอื่นที่เขาเคยเจอ สายตาที่มองเขาเหมือนมองผักปลา ไม่มีแววเห็นใจหรือเป็นมิตร ทรอยรู้ดีว่าในสายตาของผู้ชายคนนั้น ทรอยคงเป็นแค่ใบไม้แห้งๆ ที่หล่นผ่านหน้าลงบนพื้นเท่านั้น

ทรอยไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อเขาเริ่มคุมสติได้ ร้องไห้จนแทบจะหมดแรง คนที่อยู่ข้างนอกก็เปิดประตูรถเข้ามานั่งฝั่งคนขับเหมือนเดิม พร้อมกับส่งบางอย่างให้ทรอย

“…” ทรอยมองบางอย่างในมือที่ยื่นมาให้เขา

“อะไรครับ” ทรอยถามเสียงแหบเพราะร้องไห้มาอย่างหนัก ชายคนนั้นก็ไม่ตอบอะไรเหมือนเดิม

มันคือกางเกงวอร์มตัวโคร่งสีแดงสด

“คุณไปเอามาจากไหนครับ” ทรอยถามขึ้น

“ใส่ซะ” ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว

พอเห็นว่าคนตัวเล็กยังไม่ยอมใส่เจย์จึงถอนหายใจแล้วชี้มือไปทางซุปเปอร์มาเกตอีกฟากถนนให้ทรอยดู เจ้าตัวถึงได้ยอมใส่

“บอกทางด้วย” เจย์เคลื่อนรถกลับไปที่ถนนตามเดิม ทั้งคู่ไม่มีการพูดคุยอะไรทั้งนั้น โชคดีหน่อยที่อยู่ๆ เจ้าของรถก็กดเปิดเพลงเพื่อทำลายความเงียบ






V
V
V


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-10-2019 11:47:30 โดย chittaphone23 »

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทรอยสูดหายใจลึกๆ เมื่อได้ยิน สมาธิจดจ่ออยู่ที่เสียงเพลง ดนตรีแนวชูเกซซิงผสมดรีมพ็อพ ฟังแล้วรู้สึกสงบขึ้น เพลงรักหวานหูแต่ไม่หวานเลี่ยนทำให้ทรอยอยากหลับตาลงเพื่อซึมซับความโรแมนติกที่ช่วยปลอบประโลมให้เขาลืมเรื่องเลวร้ายที่พึ่งเกิดขึ้น

ผู้ชายคนนี้ ไม่คิดว่าจะมีรสนิยมฟังเพลงแนวนี้ด้วย ภาพในหัวของทรอย คิดได้เพียงว่าเขาจะต้องฟังแต่เพลงโอเปร่าหรือเพลงบันลาดฟังยากพวกนั้น

ทรอยห้ามตัวเองไม่ได้ เผลอหันมองคนที่กำลังขับรถอยู่ เขาพินิจมองเครื่องหน้าด้านข้างด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก รู้เพียงไม่อาจละสายตาไปได้

ทรอยกัดปากแน่นเมื่อมองเรียวปากอิ่มของเจย์ หัวใจที่สงบพลันกระตุกสั่นไหวเมื่อคนที่ถูกแอบมองหันกลับมาประสานสายตา พร้อมกับยกยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย



Your lips, my lips Apocalypse

Oh, please

Come out and haunt me, I know you want me

Come out and haunt me

เรียวปากของเธอ ริมฝีปากของฉัน ดึงดูดกันราวกับวันสิ้นโลก

ได้โปรด ออกมาทำร้ายฉันเถอะ ฉันรู้ คุณต้องการฉัน…




ทรอยรีบหลับตาลงเมื่อฟังปล่อยให้เสียงเพลงแทรกเข้ามาในโสตประสาทแทน เขาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้งเมื่อเพลงนั้นจบลง

กว่าจะรู้ตัวอีกที รถก็แล่นมาจอดสนิทอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์โทรมๆ แล้ว ทรอยไม่รอช้ารีบก้าวลงจากรถทันที ในใจภาวนาให้แม่หลับไปแล้ว เพราะหากแม่มาเห็นเขาสภาพนี้คงต้องคุยกันอีกยาว

มือที่จับลูกบิดประตูห้องชะงักไว้เหมือนนึกขึ้นมาได้ เขาหันหลังมองกลับไปยังรถสปอร์ตสีดำที่ยังคงจอดอยู่ที่เดิม แล้วตัดสินใจวิ่งกลับไปหา

เขามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างรถด้านที่ตัวเองนั่งเมื่อครู่ เผลอสะดุ้งนิดนึงเมื่อคนในรถเปิดประตูแล้วก้าวออกมายืนมองเขา

อ่อ ออกมาสูบบุหรี่อีกแล้ว

ทรอยมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนหันหลังพิงรถแล้วพ่นควันสีขาวออกมา

“มีอะไร” เจย์เป็นฝ่ายถามขึ้น เมื่อเห็นว่าทรอยยังคงยืนเงียบไม่พูดจา

“ผม ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงตายไปแล้ว” ทรอยเอ่ยด้วยเสียงที่เบาราวกับเสียงกระซิบ เขาเผลอทำตัวแย่ๆ ใส่ชายคนนี้ทั้งที่รอดมาได้ก็เพราะเขาช่วย

“…” มีเพียงความเงียบตอบกลับมาเช่นเดิม ทรอยมองแผ่นหลังของผู้ชายที่ยืนหันหลังให้เขาเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด

พลันจมูกกลับได้กลิ่นหอมโชยมา กลิ่นเดียวกับที่เขาเคยสัมผัสตอนอยู่คฤหาสน์ลุกค้าเมื่ออาทิตย์ก่อน กลิ่นเดียวกับที่เคยเคยรับรู้เมื่อตอนที่อยู่เมืองทรอย

ทรอยสูดหายใจเข้าลึกๆ มันหอมมากจนเขารู้สึกเคลิ้ม

“เข้าไปข้างในได้แล้ว” เสียงของเจย์เรียกสติให้ทรอยรู้สึกตัว ทรอยไม่กล้าที่จะเถรยงอะไร กลิ่นหอมนั้นเริ่มจางไปทุกที

“ขอบคุณอีกครั้งครับ” ทรอยพูดเบาๆ แล้ววิ่งกลับเข้าไปในอพาร์ทเม้น เมื่อเข้าไปข้างในก็ไม่ลืมที่จะแอบมองผ่านม่านเก่าๆ ว่าคนข้างนอกไปหรือยัง แต่พอได้ยินเสียงกุกกักจากด้านใน ทรอยก็รีบปิดไฟแล้วกลับเข้าไปในห้องนอนโดยเร็วเพราะรู้ว่าแม่เขาอาจจะตื่นแล้ว









เจย์พ่นควันบุหรี่จากปากช้าๆ ก่อนจะครีบบุหรี่ในมือออกมาดู

ไฟสีแดงค่อยๆ กัดกินบุหรี่ทีละนิด เจย์กระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ปกติแล้ว เขาจะไม่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะพวกมนุษย์ เพราะมันมักจะมีปัญหาตามมาเสมอ แต่กับคนๆ นี้ เจย์กลับให้เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนเลือกว่าต้องการให้เขาช่วยจริงไหม

ในตอนที่เขายื่นบุหรี่ให้ ผู้ชายเอเชียคนนั้นยินยอมที่จะรับมันไป มันเป็นเหมือนสิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกว่ายอมรับสิ่งที่เขามอบให้ ยินยอมศิโรราบที่จะอยู่ภายใต้ปีกของเขา…

แม้จะเพียงชั่วครู่ก็เถอะ แต่การที่คนอวดดีนั่นยอมพ่ายแก่เขา ก็เท่ากับว่า เขาจำเป็นต้องปกป้องคนๆ นี้

เจย์ทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วขยี้มันซะ ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง มือหนาหยิบแฟ้มเอกสารใกล้มือขึ้นมาดู มันคือเอกสารการออกแบบภายในที่หล่นอยู่ที่ห้องในโรงแรม

ดวงตาสีฟ้าหม่นไล่ดูรายละเอียดงานที่ออกแบบซ้ำไปซ้ำมา

ชื่อทรอยงั้นเหรอ

เจย์กระตุกยิ้มโดยๆ มมีสาเหตุ ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรไปหาเบอร์ที่คุ้นเคย แม้จะเป็นยามวิกาลแต่เขามั่นใจว่าคนๆ นี้ยังไม่หลับ

“ครับ” ปลายสายรับ

“หาข้อมูลให้ที ส่งไปทางอีเมลแล้ว” เจย์ออกคำสั่งอย่างเคยชิน

“ได้ครับ เอาตอนไหนครับ” อลันรับคำ

“เร็วที่สุด”

“อีก20นาทีผมจะส่งข้อมูงให้ทางเมลครับ” อลันตอบกลับเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ในการจะหาประวัติใครสักคน

เจย์กดวางสายแล้วมองไปยังด้านในของอาร์ทเม้นอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าหม่นทอประกายเข้มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้








.......................................................

มาคุยกันหน่อยดีกว่า

เรื่องอาการของน้องทรอยที่หายใจไม่ออก อันนี้คือภาวะHyperventilationค่ะ เกิดจากการเครียด กดดัน หรือร่างกายไม่แข็งแรง น้องเจอเรื่องร้ายมาเลยทำให้เกิดภาวะนี้ค่ะ การรักษาคือต้องเอาถุงหรือเอามือมาป้องปากป้องจมูกไว้ เพื่อควบคุมลมหายใจไม่ให้หายใจเร็วเกินเพื่อเพิ่มระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายและทำให้การหายใจช้าลงจนเป็นปกติค่ะ คุณเจย์เลยเอาอุ้งมือครอบปากกะจมูกน้องไว้ ><

เจอกันในตอนหน้านะคะ ขออ่านคอมเม้นหน่อยได้เปล่าาาาาา

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
5


 
Love Dont Change - Jeremih

               



               รอยเปื้อนจากฝุ่นดินถูกประทับลงบนพื้นกระเบื้องสีอ่อนเป็นรูปรองเท้าชัดเจน แม้ว่าตรงนี้แม่บ้านของบริษัทจะพึ่งถูพื้นไปหมาดๆทรอยก็ไม่ใส่ใจที่จะระวังและเดินเลี่ยงไปทางอื่น ตอนนี้มีสิ่งอื่นที่เขาหมกมุ่นมากกว่า

               ชายชาวเอเชียรูปร่างสูงโปร่งก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดไปยังชั้นสิบเอ็ด สีหน้าของทรอยบ่งบอกอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจนไม่มีใครในบริษัทกล้าทักทายเขาสักคน ดวงตากลมแต่ที่ปลายหางตาออกจะเรียวเชิดนั้นฉ่ยแววมุ่งร้ายแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็น

               ทรอยเลือกใส่เสื้อยืดสีแดงสดซึ่งเป็นสีที่มลคลของชาวจีนกับกางเกงยีนสีซีดและรองเท้าผ้าใบสีขาวแทนที่จะเลือกใส่เสื้อเชิ๊ตทรงสุภาพเช่นคนอื่นๆในบริษัท เพราะวันนี้เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเรื่องงาน

               ตึ้ง!

               ประตูลิฟต์เปิดออก ทรอยไม่รอช้า ก้าวฉับๆเข้าไปยังโซนทำงานของอดีตคนคุ้นเคยที่นั่งจิบกาแฟอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

               ทรอยเดินเข้าไปด้านหลัง พินิจมองคนที่นั่งจ้องหน้าคอมซึ่งกำลังฉายภาพยนตร์เรื่องดังในเวลางาน ทรอยหลับตาลงเพียงไม่กี่วิจากนั้นจึงยกเท้าขึ้นแล้วถีบเข้ากลางหลังคนที่นั่งอยู่เต็มๆจนคนโดนถรบหน้าทิ่มอัดจอคอม

               เสียงโวยวายตกใจดังขึ้น เมื่ออยู่ๆ ฟรีแลนซ์ที่บริษัทจ้างให้ทำงานบ่อยครั้งบุกเข้ามาทำร้ายพนักงาน

               “ทรอย!”เจสันหันกลับมามองคนที่ทำร้ายเขา ทั้งเจ็บทั้งอาย แต่ก็ไม่เท่ากับความกลัวในใจเพราะตนพึ่งทำผิดมา

               “เจสัน แกหลอกฉัน แกมันไอ้สารเลว”ทรอยกัดฟันด่า

               “เฮ้ย!”เจสันไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกทรอยง้างหมัดชกใส่หน้ารัวชุดใหญ่

               ทั้งสองต่อยเตะกันจนบริเวณนั้นข้าวของกระจัดกระจาย ทรอยแม้จะตัวเล็กกว่า แต่ความโกรธทำให้แรงกายไม่อ่อนลงเลย จนกระทั่งพนักงานชายคนอื่นรีบเข้ามาห้ามและจับทั้งสองแยกออก

               “เป็นหมาบ้ารึไง!”เจสันตะโกนด่าใบหน้าช้ำเพราะโดนไปหลายหมัด ส่วนทรอยที่ถูกล็อคตัวไว้ก็พยายามจะพุ่งเข้าใส่อีกรอบ

               “แกขายฉัน!”ทรอยตะคอกเสียงสั่น ในตาวาววับอยากจะแก้แค้นคนที่เขาเคยไว้ใจเรียกว่าเพื่อน ยิ่งเห็นเจสันหัวเราะหยันก็ยิ่งแค้น

               “ก็เห็นว่าไม่มีเงิน อุตส่าห์ช่วยจะโวยวายทำไมวะ!”เจสันยิ้มเหยียด ไม่นึกสลดใจในสิ่งที่ตนเองทำไป ในเมื่อทรอยติดหนี้อยู่และไม่มีเงินใช้ ก็ช่วยหาทางออกแล้วนี่ไง คุณจาเร็ดก็รวยซะขนาดนั้น หากถูกใจทรอยขึ้นมา ทรอยก็จะได้ดิบได้ดี เจสันเองที่รับค่าจ้างหาเด็กให้ก็ได้รับส่วนแบ่งมาอย่างงาม แค่ทรอยยอมเจ็บตัวนิดหน่อย จะสำออยทำไม

               “เสือก!”ทรอยโมโหจนเส้นเลือดที่ขมับขึ้นชัด คนๆนี้ทำไมมีความคิดที่น่าขยะแขยงได้ขนาดนี้

               “โมโหอะไรนักหนา ทำไม? เป็นเมียเศรษฐีมันไม่ดีตรงไหน เมื่อคืนเป็นไงบ้างทรอย ชอบมั้ยล่ะ ประสบการณ์ใหม่สินะ ฮ่าๆๆ”เจสันที่กำลังเลือดขึ้นหน้าตะโกนหยามเหยียดแล้วต้องหุบปากลงเมื่อหมัดของทรอยพุ่งเข้ามากระแทกปากเต็มแรงจนปากแตก

               ทั้งสองเตะต่อยกันพันวัล แม้จะล้มกลิ้งบนพื้นแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ไม่มีพนักงานชายคนไหนเข้ามาห้ามการวิวาทครั้งนี้ได้เพราะทรอยดูท่าจะโกรธจนคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว

               “ตาย! แกตาย!”ทรอยอัดกำปั้นใส่คนที่ตัวใหญ่กว่าแบบไม่เว้นให้หายใจ ในชีวิตนี้ไม่เคยรู้สึกโกรธได้ขนาดนี้ ใบหน้าที่เคยขาวใสตอนนี้มันแดงก่ำควันออกหู

               ปี๊ด!!!

               เสียงนกหวีดดังแสบแก้วหู จากนั้นร่างของทรอยก็ถูกจับแยกออกห่างเจสัน คราวนี้ทรอยม่สามารถดิ้นหลุดได้เพราะคนที่ล็อคตัวเขาไว้นั้นเป็นซีเคียวลิตี้ที่ตัวใหญ่มาก

               “เกิดบ้าอะไรขึ้น!”เจ้าของบริษัทเดินเข้ามาถามด้วยฝบหน้าถมึงทึง ทรอยไม่ตอบอะไรได้แต่จ้องเจสันไม่วางตา เรียกว่าหากหลุดไปได้ จะต้องเข้าไปตะกุยหน้ามันให้แหกแน่

               “อยู่ๆทรอยก็เข้ามาทำร้ายผมครับ”เจสันรีบหันไปฟ้องเจ้าของบริษัท

               “หุบปาก เจสัน!”ทรอยตะคอก

               “นายนั่นแหล่ะหุบปากทรอย!”เจ้าของบริษัทหันมาจ้องหน้าทรอยที่หน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ

               “ทรอยหาเรื่องผมจริงๆ ทุกคนที่นี่เป็นพยานได้ ผมนั่งทำงานอยู่เฉยๆทรอยก็เข้ามาต่อยผม”เจสันรีบรายงานทำหน้าเจ็บปวดเสแสร้งจนเท้าของทรอยกระตุก

               “ใครเห็นเหตุการณ์บ้าง”เจ้าของบริษัทหันไปถามบรรดาพนักงานที่มามุงดู

               “จริงครับ ทรอยเป็นคนหาเรื่องก่อน”พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้นตามที่ตนเห็น

               “ทรอย นายทำแบบนี้ทำไม”เจ้าของบริษัทหันมาถามทรอยอีกครั้ง

               “เจสันมัน…”ทรอยเกือบจะหลุดปากว่าตนถูกหลอกไปให้ผู้ชายเคลม เขาไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องน่าอายแบบนี้

               “ทรอยติดเงินผมครับ เมื่อวานผมทวง ทรอยคงไม่พอใจ”เจสันเมื่อเห็นว่าทรอยไม่กล้าพูดก็ฉวยโอกาสนี้พูดแก้ตัวให้คนอื่นๆเห็นใจตน

               “เจสัน แกยังไม่หยุดพล่ามอีกเหรอ!”ทรอยตะโกนใส่หน้า ไม่อยากเชื่อว่าเจสันที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีจะมีนิสัยแบบนี้

               “นายติดหนี้เจสันเหรอ”เจ้าของบริษัทหันมาถามทรอย

               “จริงครับ แต่ผมไม่ได้ทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องนั้น”ทรอยพยายามอธิบาย เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากคนรอบข้างที่ต่างดูถูกและตัดสินเขาในทางที่ผิดไปแล้ว

               “เรื่องเงินพวกนายไปเคลียร์กันเอง แต่ว่า ต่อไปนี้ ทรอย นายห้ามเข้ามาบริษัทฉันอีก ฉันเลิกจ้างนาย”เจ้าของบริษัทพูดตัดบท ทำเอาทรอยอ้าปากค้าง

               สุดท้าย เขาก็ถูกถีบออกทั้งๆที่โดนกระทำ

               “ได้ ก็ได้”ทรอยยิ้มเหยียดสลัดแขนออกจากการเกาะกุม เขาก็ไม่แปลกใจนักหรอก เขาที่เป็นแกะดำในฝูงไม่มีใครให้ความสำคัญอยู่แล้ว เรื่องนี้ยังไม่กระจ่างด้วยซ้ำ แต่เจ้าของบริษัทก็เลือกที่จะตัดเขาออกแล้วปกป้องเจสันแทน

               “แต่ผมขอค่าคอมมิชชั่นที่บริษัทคุณค้างจ่ายผมด้วยครับ”ทรอยกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ อับอายจนหน้าชาที่ถูกไล่ออกท่ามหลามสายตาคนทั้งบริษัท

               “นายเข้ามาทำร้ายพนักงานของฉันถึงบริษัท ฉันไม่ฟ้องร้องนายก็ดีแล้ว ค่าคอมมิชชั่นอะไรนั่นจะถือว่าเป็นค่าเสียหายที่นายทำข้าวของบริษัทพังแล้วกัน”

               “ผมไม่ยอม! คุณกำลังโกงผม!”ทรอยหันมาประจันหน้ากับเจ้าของบริษัทแทน ค่าเสียหายอะไร เขาต่อยกับเจนสันจนข้าวของกระจุยกระจายก็จริง แต่มันก็มีแค่พวกเอกสารกับปากกาที่หล่นและจอคอมที่แตกเท่านั้น จะเอาค่าคอมมิชชั่นที่เขาออกแบบงานให้มาหักกันได้อย่างไร

               “ระวังปากหน่อย! ถ้าไม่พอใจก็ไปฟ้องเอาเอง! ลากมันออกไป ทุกคนกลับไปทำงานได้แล้ว!”เจ้าของบริษัทตัดบท ไม่สนใจสิ่งที่ทรอยเรียกร้อง

               “ก็ดี ดีมาก”ทรอยพยักหน้าแล้วยิ้มเยาะ กวาดสายตามองไปยังทุกคน รปภ.เตรียมจะดึงเขาออกไปแต่ทรอยรีบสะบัดแขนออกก่อนจะประกาศกร้าว

               “ผมขอแช่ง! บริษัทที่มันคดโกงคนอื่น ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ชอบยัดใส่ทำงานชุ่ยๆให้ลูกค้าแบบนี้ มันจะต้องเจ๊ง! มันต้องล้มละลาย!! และแกเจสัน ขอให้แกเจอเรื่องระยำมากกว่าที่ฉันเจอ ถ้าวันนั้นมาถึงฉันจะไปถุยน้ำลายรดหน้าแกถึงที่!”ไม่พูดเปล่า ทรอยถ่มน้ำลายลงพื้นต่อหน้าทุกคน จากนั้นจึงยกมือขึ้นแล้วชูนิ้วกลางใส่บรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานและอดีตนายจ้าง

               “ออกไป”ซีเคียวลิตี้กระชากคอเสื้อทรอยจนตัวปลิว ก่อนจะเข้าลิฟต์ทรอยได้ยินเสียงหัวเราะของเจสันดังตามหลังพร้อมกับบอกให้ทรอยเอาเงินมาคืนด้วย

               ทรอยที่ถูกไล่ออกมาจากตึกหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง ไม่ใช่ความอาลัยอาวรณ์แต่มันคือความคับแค้นใจ วันนี้เขารู้แล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน หากมันไม่ถูกที่ ความพยายามนั้นก็สูญเปล่า และบทเรียนที่เขาจะจำไปจนตายคืออย่าไว้ใจใคร อย่าคิดว่ารอยยิ้มที่คนอื่นมอบให้มันเป็นเนื้อแท้ไม่ใช่เพียงหน้ากาก

ทรอยเดินเตะฝุ่นริมถนนกลางเมืองนิวยอร์ค เขาเริ่มเจ็บแสบที่ใบหน้าเพราะถูกเจสันต่อยเมื่อครู่

               เราจะเอาไงต่อดี?

               ทรอยถามตัวเองในใจ ตอนนี้ปัญหาเข้ามาประดังจนเขาไม่รู้จะแก้ตรงไหนก่อน

               เขายังเป็นหนี้เจสันอยู่ เงินที่ขายนาฬิกาของพ่อคงพอคืนแค่ครึ่งเดียว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็อยากจะคืนๆไปซะให้หมด

               แต่ปัญหาคือไม่รู้จะไปหาเงินจากไหน ค่าคอมมิชชั่นอันเก่าก็โดนเบี้ยว จะหางานใหม่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ และถึงหาง่ายกวาเงินจะออกก็ต้องรอให้ครบเดือน จะไปยืมคนอื่นเขาก็ไม่มีเพื่อน ไม่ใครเลย…

               ทรอยถอนหายใจหลายครั้ง ใบหน้ามองต่ำที่พื้นดิน คอตกจนรู้สึกว่าไม่มีแรงจะพยุงคอตัวเองไว้ เขาตั้งใจจะขายโทรศัพท์ แต่ก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนทิ้งไว้ในห้องของจาเร็ด ตอนที่หนีออกมาเขารวบเอามาได้แค่แฟ้มงานเท่านั้น ซึ่งตอนนี้แฟ้มงานนั่นก็คงหล่นอยู่ในห้องของผู้ชายจากเบคเทลกรุ๊ป

               พอนึกถึงเรื่องนี้ ขนที่แขนก็ลุกชัน สัมผัสของจาเร็ดมันทำให้เขาอยากจะอ้วก

               ต่างจากตอนที่ผู้ชายนัยน์ตาสีฟ้าเข้ามาใกล้

               “…”

               แล้วทำไมเราต้องเอาไปเปรียบเทียบกันด้วย บ้าหรือเปล่า

               ทรอยยกมือทึ้งหัวตัวเองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้จะพยายามดันภาพนั้นออกจากหัว แต่มันก็คอยจะผุดขึ้นมาตอนเผลอทุกที


               ตอนที่เขาหายใจไม่ออก ผู้ชายคนนั้นใช้ฝ่ามือใหญ่ที่มีไอความร้อนแผ่ออกมาปิดป้องจมูกของเขาไว้หลวมๆ ทำให้ใบหน้าของเราสองคนใกล้จนเกินจำเป็น ในช่วงเวลาแสนทรมาน ดวงตาสีฟ้าเหมือนสีของดาวโลกจ้องมองมาในตาของเขา

               ดวงตาสีฟ้าหม่นนั้น มันช่างสวยเหลือเกิน…

               “คุณคะ”

               ทรอยสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีฝ่ามือปริศนาจับเข้าที่ไหล่ เขากำลังเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนเรียก

               “อุ๊ย ขอโทษค่ะ ฉันทำให้คุณตกใจเหรอ”หญิงสาวที่สวยสดใสฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มของเธอทำให้ทรอยตาพร่าไปครู่หนึ่ง

               “อ่อ ไม่เป็นไรครับ เอ่อ คุณ”ทรอยมองเธอ รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน เธอมีลอนผมสีทองดัดลอนรูปร่างสูงโปร่งหุ่นนางแบบ แต่ที่โดดเด่นก็เห็นจะเป็นรอยยิ้มกว้างที่มองที่ไรก็แทบจะเผลอยิ้มตาม

               “เราเคยเจอกันเมื่ออาทิตย์ก่อนจำได้มั้ยคะ ฉันแอนนี่ค่ะ จากเบคเทล” เธอยื่นมือมาให้ทรอยเพื่อแนะนำตัว

               “เอ่อ ผมทรอยครับ”ทรอยจับมือเธอแล้วคิดในใจว่ามือเธอร้อนเหมือนกับคนเป็นไข้เลย

               “ฉันวิ่งตามคุณมาตั้งแต่ตรงนู้น”เธอชี้ไปข้างหลัง “คุณเดินเร็วมากเลย เรียกก็ไม่ได้ยิน”

               “ขอโทษครับ ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ว่าแต่ มีธุระอะไรเหรอครับ”ทรอยพยายามเสยผมที่มันยุ่งเหยิงและจัดเสื้อผ้าที่ยับย่นเหมือนผ่านสงครามให้มันเข้าที่เข้าทาง ต่อหน้าสาวสวย เขาไม่ควรมีสภาพคล้ายโจรแบบนี้

               “อ่อใช่ เกือบลืมเลย คือว่า เจ้านายของฉันอยากพบคุณค่ะ”แอนนี่เอียงหัวนิดๆซึ่งทรอยรู้สึกว่าท่าทางแบบนั้นมันน่ารักมาก

               “เจ้านายคุณเหรอครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”

               “คุณไปพบเขาเองดีกว่าค่ะ เชิญค่ะ รถฉันจอดอยู่ตรงนั้น เราไปด้วยกันนะคะ”แอนนี่เสนอ เธอยังคงไม่หยุดยิ้ม

               “เอ่อ ผมว่า ผมไม่ค่อยสะดวก”ทรอยลังเล เหตุการณ์เมื่อคืนสอนให้เขาระวังตัวมากขึ้น

               “แล้วสะดวกเมื่อไรคะ”แอนนี่ถามต่อ ดวงตาของเธอมีประกายซุกซนจนคนถูกมองเริ่มอยู่ไม่สุข

               “เขาจะคุยกับผมเรื่องอะไรเหรอครับ เจ้านายคุณคือคนนั้นใช่ไหม คนที่หน้าดุๆ”ทรอยถามกลับ

               “ดุๆเหรอคะ อืม…”แอนนี่ทำท่านึก เธฮนึกอยู่เพียงครู่ก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาพร่าตามเดิม

               “คนหน้าดุที่ว่าหมายถึงหัวหน้าทีมของฉันหรือเปล่าคะ”

               “คงจะยังงั้นครับ ที่เจอกันในคฤหาสน์นอกเมือง ที่ใส่นาฬิกาคริสทอฟคาเรต์”ทรอยอ้อมแอ้มตอบ

               “อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ คนนั้นเป็นหัวหน้าทีมของฉัน แต่คนที่อยากพบคุณ ขออนุญาตเรียกว่าทรอยนะคะ คนที่อยากพบทรอยคือคุณพอลค่ะ ประธานบริษัทเบคเทลกรุ๊ป”

               สิ่งที่แอนนี่บอกทำให้ทรอยหน้าเหวอกว่าเดิม พอลคนนั้นเนี่ยนะ พอลคนที่ออกทีวีบ่อยๆ พอลคนที่เป็นceoดังระดับโลก คนที่เป็นเจ้าของเบคเทลกรุ๊ปบริษัทรับเหมารายใหญ่อันดับต้นของโลกเนี่ยนะ อยากพบเขา

               “เขาอยากพบผมทำไมเหรอครับ”

               “เรื่องงานค่ะ ทรอยไปคุยกับเขาเองดีกว่า”

               “ต้องไปคุยตอนนี้เลยเหรอครับ หรือต้องคุยคืนนี้ครับ”ทรอยลองหยั่งเชิง เขากลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก

               “วันนี้ไม่สะดวกงั้นเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ ฉันจะนัดไว้ให้ คุณทรอยสะดวกกี่โมงคะ”

               “ขอเป็นสิบเอ็ดโมงนะครับ”

               “เจอกันที่บริษัทนะคะ คุณมาถูกใช่ไหม”แอนี่สรุปให้ เมื่อเห็นว่าทรอยพยักหน้ารับเธอจึงจากไปทิ้งให้ทรอยยังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่าฉับพลัน


               เขาควรจะทำยังไง ไม่กล้าไว้ใจใครแล้ว หากโดนหลอกอีกล่ะ?









             

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
  เนคไทของทรอยมันค่อนข้างจะ ไม่เรียบร้อย

               เขาพยายามแล้วจริงๆแต่ดูเหมือนความสามารถในเรื่องนี้จะติดลบ ปกติแล้วเขาจะวานให้แม่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ แต่ในวันนี้ เขาไม่สามารถให้เธอมาผูกเนคไทให้ได้เพราะเธอจะต้องเห็นรอยสีแดงปนเขียนคล้ำที่คอเขาแน่นอน และแม่เขาคงจะตื่นตระหนกจนเกินเหตุที่ลูกชายมีรอยเหมือนถูกเชือกรัด ซึ่งเขาไม่ค่อยอยากจะอธิบายต้นเหตุของร่องรอยน่ากลัวนี้เท่าไร

               เขาไม่คิดจะบอกใคร โดยเฉพาะแม่

               หากแม่รู้ว่าเขาไม่ระวังตัวพลาดโดนหลอกจนเกือบตาย รับรองว่าเธอคงไม่เป็นอันทำงานและคงอยากจะขังเขาไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปเจออันตรายใดๆอีก

               เพราะฉะนั้น แม่จะต้องไม่รู้เรื่องนี้เด็ดขาด

               ความทุกข์ที่แม่แบกรับมันมากพอแล้ว ถ้าเกิดรู้เรื่องของเขาอีก หัวใจของคนเป็นแม่คงแหลกสลาย

               เขาไม่โทษแม่เลย ที่แม่กลายเป็นคนตื่นตระหนก หวาดกลัวและเป็นห่วงเขามากเกินไปเพราะเธอเคยสูญเสียมาแล้ว ในตอนที่พ่อจากไป…

               เราเหลือกันอยู่แค่สองแม่ลูกกับหนี้ก้อนโตที่ทำให้แม่ต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

               ตอนนี้เราไม่มีหนี้ แต่ก็ไม่มีเงิน,,,

               ไม่สิ เขายังมีหนี้ที่ยืมจากอดีตเพื่อนร่วมงานอยู่ เขาต้องรีบหาเงินไปคืนเจสัน จะได้ไม่ต้องมายุ่งมาเกี่ยวกันอีก

               ทรอยชะงักเท้าอยู่หน้าตึกสูงขนาดใหญ่ที่ออกแบบทรวดทรงได้อย่างทันสมัย มันตั้งเด่นดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา

               เบคเทล กรุ๊ป

               ทรอยรู้สึกประหม่าขึ้นมาดื้อๆเมื่อมองเห็นบรรดาพนักงานภายในตึก ทุกคนดู…สมบูรณ์แบบจนเกินไป

               มือข้างหนึ่งยกขึ้นจัดทรงผมโดยอัตโนมัติ มืออีกข้างกระชับแฟ้มผลงานและประวัติส่วนตัวเอาไว้แน่น ประสบการณ์คืนนั้นทำให้ทรอยระวังตัวมากขึ้น แม้จะดีใจที่ตนมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์งานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แบบนี้ แต่ครั้งนี้เขาต้องระวังไม่พลาดซ้ำ โลกนี้มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก เขาไม่ได้เป็นนักออกแบบภายในชื่อดังอะไร เจ้าของบริษัทเบคเทลไม่น่าจะสนใจผลงานเขา อีกอย่างที่เขาสงสัย คือคุณพอลไปเห็นผลงานเขาจากไหน ในเมื่อแต่ละงานที่เขาเคยถูกว่าจ้างให้ทำ ล้วนแต่ทำในนามบริษัทโดยไม่ที่ไม่ยอมยกเครดิตให้ชื่อเขาด้วยซ้ำ

               มันน่าแปลกเกินไป

               เขานอนคิดมาทั้งคืน ว่าจะมาหรือไม่มาดี สุดท้ายเขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้ แม้ความหวังมันจะริบหรี่แต่ก็ใช่ว่าจะมืดสนิทจนไม่เห็นทาง

               เมื่อเช้าตรู่ก่อนที่เขาจะเดินทางมาที่นี่ เขาได้ไหว้วานขอยืมโทรศัพท์จากเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ซึ่งโชคดีมากที่ยายเจ้าของนั้นเอ็นดูเขาเพราะเป็นคนเอเชียเหมือนกัน คุณยายมอบโทรศัพท์แอนดรอยรุ่นไม่ใหม่มากของหลานสาวให้เขายืม จากนั้นเขาจึงโหลดแอปพลิเคชั่นที่จำเป็นมาไว้ในเครื่อง มันเป็นแอปที่มีไว้สำหรับกดส่งสัญญาณฉุกเฉินไปยังตำรวจใกล้พื้นที่ที่เขาอยู่ โดยที่ไม่ต้องต่อสายแจ้งความให้คนร้ายจับได้

               ทรอยตบกระเป๋ากางเกงอีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นยังอยู่ดี

               บางทีเขาอาจจะวิตกเกินไป มันก็แค่การสัมภาษณ์งาน แต่ยังไงซะ เขาก็ไม่วางใจอยู่ดี

               ทรอยดูนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นเดินเข้าใกล้เวลานัดหมายแล้วจึงรีบก้าวเข้าไปในตึกสูงใหญ่น่าเกรงขามนั้น ซีเคียวริตี้เปิดประตูให้เขาแล้วกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนกับเป็นเครื่องตรวจจับวัตถุแปลกปลอม พอพบว่าทรอยไม่มีอะไรที่มันแปลกปลอม ก็เลิกสนใจทันที

               “อ๊ะ ขอโทษครับ”ทรอยรีบเอ่ยขอโทษเพราะตนมัวแต่มองรอบๆโดยไม่ได้ดูข้างหน้า เกือบเดินไปชนชายชราที่น่าจะเป็นซีเคียวริตี้อีกคน เพราะในมือถือกระบองท่อนเล็กอยู่

               “พ่อหนุ่ม เวลาเดินต้องมองข้างหน้านะ ไม่ระวังเดี๋ยวก็ทำตัวเองเจ็บหรอก”เบญจามินตำหนิคนหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มๆ ยิ่งเห็นว่าทรอยก้มหัวขอโทษให้อีกครั้งก็ยิ่งยิ้มกว้าง นึกชื่นชมในใจว่าผู้ชายคนนี้อ่อนน้อมไม่นึกโกรธเคืองที่ถูกว่า

               ทรอยฟังคำเตือนโดยการเลิกเหม่อลอยมองนู่นนี่เสียที แต่เอาเข้าจริงก็ทำได้ยากมาก เพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในตึก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล่อตาให้หันไปมองไม่หยุด การออกแบบของที่นี่มันช่าง

               งดงาม ไม่สิ มันเกินคำว่างดงาม มันลึกล้ำกว่านั้น มันเป็นการผสมผสานของการตกแต่งยุคโบราณของหลายๆประเทศ รวมเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว แม้แต่สวนน้ำพุกลางลานก็ถูกออกแบบให้น่าดึงดูดเหมือนยกป่าของจริงมาตั้งไว้กลางตึก ไหนจะการหักเหของละอองน้ำที่ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำตลอดเวลานั่นอีกน่าประทับใจ

แต่สิ่งที่ทำให้ทรอยถูกใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นมุมของรูปปั้นสุนัขหมาป่าที่ยืนตระหง่านชูคอท่ามกลางต้นสน พร้อมกับไอหมอกสีขาวหม่นที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องสร้างควัน มันดูน่าพิศวง น่ากลัว แต่ก็น่าดึงดูดไปพร้อมๆกัน

               สมแล้วที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อนสร้างรายใหญ่ของโลก ทุกตารางนิ้วของที่นี่ บรรจงออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ต่างจากบริษัทอื่นจริงๆ

               แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมบรรยากาศ เขามีนัดสำคัญอยู่

               ทรอยเตือนตัวเองอีกครั้ง ด้วยความที่เขาเป็นพวกหลงใหลงานศิลป์เวลาเจออะไรน่าสนใจแบบนี้จะทำให้ลืมตัวตลอด

               หนุ่มลูกครึ่งไทยจีน เดินตรงไปยังพนักงานต้อนรับทันที มีพนักงานสาวสวยประจำอยู่สามคน เขาเดินเข้าไปหาคนที่ไม่ได้ติดธุระอะไรอยู่

               “มีอะไรให้ช่วยคะ”เธอพูดพร้อมกับยิ้มนิดๆ ให้ตายสิ พนักงานของที่นี่เป็นพวกเจ้าคนนายคนจากไหนหรือเลป่า ทำไมมันดูสูงส่งกันจัง เขาเกร็งไปหมดแล้ว

               “ผมมาพบคุณพอลครับ”ทรอยพยายามยืนนิ่งๆไม่ประหม่า

               “นัดกี่โมงคะ”

               “เอ่อ”

               “สักครู่นะคะ”ยังไม่ทันที่ทรอยจะตอบเธอก็ก้มหน้าลงเช็คจอมอนิเตอร์ทันที

               “วันนี้คุณพอลไม่มีนัดนะคะ มีเข้าประชุมและเดี๋ยวท่านจะบินไปต่างประเทศค่ะ”เธอบอกพร้อมกับยืนประสานมือ

               “แต่เมื่อวานคุณแอนนี่นัดผมไว้ บอกว่าคุณพอลอยากพบ”ทรอยอ้ำอึ้ง สรุปมันยังไงกันแน่ หรือเขาต้องมาเสียเที่ยวอีกแล้ว

               “ไม่มีแจ้งเข้ามาเลยค่ะ”พนักงานสาวสวยยังยิ้มเย็นเยือก เธอมองมาที่ทรอยนิ่งๆแทบไม่ขยับเขยื้อน ยิ่งทำให้ทรอยทั้งกดดันและเสียหน้า เขาจึงเอ่ยขอโทษเธอแล้วเตรียมหันหลังเดินจากไป ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงดังมาจากข้างหลัง

               “เฮ้ย! นายที่ตัวหอมๆ อย่าพึ่งไป!”

               ทรอยหันกลับไปมองต้นตอของเสียง ผู้ชายตัวสูงโปร่งผิวขาวและมีใบหน้าเหมือนแอนนี่กำลังวิ่งมาทางเขา ซึ่งทรอยได้แต่ขมวดคิ้วแน่นกับคำเรียกชวนจั๊กจี้หูว่า นายที่ตัวหอมๆ หมายถึงเขารึเปล่า

               “ผมเหรอ?”ทรอยชี้มือที่ตัวเองพลางทำหน้าสงสัย

               “เออ จำชื่อไม่ได้ ชื่ออะไรนะ”โทนี่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาทรอยที่ยังทำหน้างงอยู่ นึกหงุดหงิดเล็กๆที่อยู่ๆเจย์ก็ให้วิ่งลงมารับนายคนนี้ แทนที่จะเป็นแอนนี่ เพื่ออะไรกัน เขาต้องวิ่งมาจากชั้นสิบห้าเลยนะ

                    “ทรอยครับ” ทรอยมองผู้ชายตรงหน้า คนนี้คงจะเป็นฝาแฝดของแอนนี่ เคยเจอกันเมื่อครั้งก่อนแต่ไม่ได้พูดคุยด้วย

               “ไปกับฉัน เดี๋ยวพาไปหาคุณพอลเอง”โทนี่เสยผมขึ้นลวกๆ ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ลูกค้าผู้หญิงที่มาติดต่องานลอบมองจนเหลียวหลัง

               ทรอยพยักหน้ารับ มืออีกข้างตบที่กระเป๋ากางเกงเพื่อเช็คโทรศัพท์ว่ายังอยู่ดีไหม

               “เอ่อ เราจะเดินขึ้นบันไดกันเหรอ”ทรอยทวงเมื่อโทนี่พาเขามาทางบันไดแทนที่จะไปทางลิฟต์       

               “อ่อ ลืมเลย ขึ้นลิฟต์ดีกว่า”โทนี่นึกขึ้นได้ว่าทรอยไม่ได้เป็นแบบเขาที่ชอบใช้พลังงานมากกว่าการอยู่นิ่งๆ ปกติโทนี่กับแพททริคมักจะขึ้นลงโดยใช้บันได เพราะมันทำให้ร่างกายตื่นตัวกว่า การที่ต้องอยู่ในที่แคบๆมันน่าอึดอัดจะตาย

               เมื่อเข้ามาในลิฟต์ทรอยก็เริ่มเหงื่อแตกเพราะดันรู้สึกว่าสถานการณ์มันคล้ายกับคืนนั้นที่เกิดเรื่องเหลือเกิน

               “ไม่สบายเหรอ”โทนี่หันมาถามทรอยที่คลายเนคไทออก เหงื่อเม็ดเล็กผุดที่หน้าผากเรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น

               “เอ่อ เปล่าหรอก ผมแค่ แค่หิวน่ะ”ทรอยแสร้งโกหกไป ไม่อยากให้โทนี่สงสัย เขาเห็นโทนี่มองจ้องเหมือนคิดอะไรแล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูทแทน

               “เอ้านี่ กินรองท้องไปก่อน เดี่ยวเป็นลม”โทนี่ยื่นช็อคโกแลตอัดแท่งมาให้

               “ขอบคุณ”ทรอยรับมันมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อมองโทนี่ก็ยิ่งคิดในใจว่าฝาแฝดคู่นี้นอกจากหน้าตาที่เหมือนกันแล้ว บรรยากาศรอบตัวก็ยังเหมือนกันด้วย

               บรรยากาศสว่าง น่าเข้าหา ใจดี ซุกซน แต่ก็เจ้าเล่ห์

               “นายใส่น้ำหอมหรือเปล่า”โทนี่โพล่งขึ้นท่ามกลางเสียงเขี้ยวขนมของทรอย

               “เปล่าอ่ะ ไม่ชอบ”ทรอยโกหก ความจริงคือไม่มีเงินซื้อมาใช้ต่างหาก

               “เหรอ กลิ่นหอมดี”โทนี่พยักหน้าทำเหมือนเข้าใจ ซึ่งทรอยเป็นฝ่ายไม่เข้าใจเสียเอง ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ใช้น้ำหอมแล้วมันจะหอมได้ยังไง

               “คุณแอนนี่อยู่ไหนล่ะ”ทรอยชวนคุยบ้าง แต่พอถามแบบนี้โทนี่ก็ทำตาเจ้าเล่ห์ใส่เขาทันที

               “อะไร สนใจแอนนี่เหรอ อย่าหวังๆ”โทนี่ยกมือขึ้นพาดบ่าทรอยแล้วเขย่าเหมือนปลอบใจ

               “ผมแค่ถามเฉยๆ ก็เมื่อวานคุณแอนนี่เป็นคนมาหาผม”ทรอยรีบอธิบายแล้วก็ต้องรีบหลบแววตารู้ทันของโทนี่ เขาก็เป็นผู้ชาย จะสนใจผู้หญิงน่ารักแบบนั้นมันก็ไม่แปลกนี่

               “เหรอ เอาเป็นว่า อย่าสนใจแอนนี่เลย มีคนอื่นน่าสนใจกว่าอีก”โทนี่ตัดบท ยังไม่ทันที่ทรอยจะตอบอะไรประตูลิฟต์ก็เปิดออก โทนี่กอดไหล่พาทรอยเดินออกไปทำราวกับว่าพวกเขาสองคนสนิทกันมาก่อนทั้งๆที่พึ่งจะเคยได้คุยกัน

               พอมาถึงหน้าห้องที่เขียนชื่อเจ้าของบริษัทไว้ โทนี่ก็ขอตัวจากไปทิ้งให้ทรอยยืนอยู่กับเลขาสาวสวยหน้าห้องแทน เธอส่งยิ้มให้พร้อมกับบอกให้ทรอยรอสักครู่

               ทรอยตรวจเอกสารของตัวเองอีกรอบ จัดแต่งเสื้อผ้าทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง แม้จะนึกกลัวและสงสัยอยู่บ้าง แต่ในใจลึกๆเขาก็ภูมิใจไม่น้อยที่ตนได้มีโอกาสเข้าพบผู้บริหารที่เก่งขนาดนี้

               “คุณทรอย เชิญค่ะ”เลขาสาวที่เข้าไปในห้องเพียงนาทีเดียวเดินออกมา เธอเปิดประตูพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้ทรอยเข้าไป

               “ขอบคุณครับ”ทรอยสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้า

               ภายในห้อง มันทั้งกว้างและเย็น ในมโนภาพทรอยคิดว่าห้องของผู้บริหารคงจะเป็นห้องที่ติดกระจกใสเพื่อมองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอก แต่ผิดคาด เมื่อห้องนี้ปิดทึบไปด้วยผนังสีเทาเข้ม ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเขียวแก่ ดูเข้ากับรสนิยมของเจ้าของซึ่งก็คือ พอล

               ทรอยมองชายหนุ่มอายุเฉียด50ปีที่ยังดูภูมิฐานและหล่อเหลาสมวัย พอลสวมเสื้อเชิ้ตสีพื้นและไม่ได้ผูกเนคไท หนวดสีเทาถูกเล็มตัดแต่งเป็นอย่างดี

               “สวัสดีครับคุณพอล”ทรอยปากสั่น เขาเคยเห็นชายคนนี้ในรายการโทรทัศน์หลายครั้ง นักธุรกิจรายใหญ่ของโลกที่เป็นเจ้าของเบคเทลกรุ๊ป อภิมหาเศรษฐีที่มีเมียไม่ต่ำกว่าสิบคน

               “นั่งก่อนสิ”พอลเหมือนกำลังวุ่นอยู่กับเอกสารในมือ แต่เมื่อเห็นว่าทรอยเดินมานั่งเก้าอี้ตรงหน้าก็หยุดการกระทำทุกอย่าง

               “ถอดออกก็ได้นะ คุณดู ไม่ชอบมันเท่าไร เหมือนผมเลย ไม่รู้จะผูกทำไมให้อึดอัด”พอลพูดยิ้มๆแล้วชี้ไปที่เนคไทของทรอยซึ่งมันบิดเบี้ยวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

               “นั่นสิครับ”ทรอยเห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ถอดเนคไทออกตามที่พอลว่า เขาวางแฟ้มเอกสารงานและประวัติส่วนตัวไว้บนโต๊ะ สองเท้าขยับเบาๆอยู่ไม่สุข

               “ผมอยากจะคุยกับคุณมากกว่านี้ แต่พอดีผมมีนัดด่วน งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยมั้ย”พอลพูดอย่างสุภาพ ลุคของเขาในสายตาทรอยเหมือนหนุ่มใหญ่ที่เป็นอดีตดาราดังของฮอลลีวูด

               “ยินดีครับ”ทรอยรีบหยิบกระดาษในแฟ้มออกมายื่นให้พอล ในนั้นมีผลงานเก่าๆที่เขาวาดและออกแบบไว้ตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่จนมาถึงปัจจุบัน แต่พอลกลับยกมือขึ้นห้าม

               “ผมรีบจริงๆ อย่าหาว่าเสียมารยาทเลย ไว้วันหลังผมค่อยดูงานเก่าคุณแล้วกัน วันนี้เรามาคุยเรื่องงานชิ้นนี้ก่อน ทรอย”พอลหยิบกระดาษแผ่นบางที่ถูกหนังสือปึกหนาวางทับไว้ยื่นให้ทรอย

               “มาอยู่ที่คุณได้ยังไงครับ”ทรอยมองกระดาษในมือ นี่เป็นผลงานออกแบบการตกแต่งภายในชิ้นล่าสุดที่เขาทำหล่นไว้ที่โรงแรมในคืนเลวร้ายนั่น มาอยู่ที่พอลได้ยังไงกัน

               “คุณทำหล่นไว้ที่ไหนล่ะ เขาเอามาให้ผมดู ต้องขอบคุณเขานะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้คุยกัน”พอลอมยิ้มลอบสังเกตปฏิกิริยาคนตรงหน้า

               “เขาเอามาให้คุณดูเหรอครับ”ทรอยไม่ยากจะเชื่อ ว่าเจ้าของห้องที่ให้เขาหลบภัยจะใส่ใจเก็บงานของเขาไว้ ทรอยดีใจจนเผลอฉีกยิ้มกว้าง เขาเสียดายงานชิ้นนี้มากเพราะไฟล์งานเก็บอยู่ที่บริษัทเก่าซึ่งเขาไม่คิดจะเหยียบเข้าไปอีกแล้ว

               “ใช่ ผมชอบนะ คุณอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม”พอพูดถึงงานพอลก็หน้าเคร่งขึ้นมา พร้อมกับมองมายังทรอยเพื่อรอคอยคำอธิบาย

               “คือ ผมออกแบบตามที่ลูกค้าให้หัวข้อมาครับว่าอยากอยู่กับธรรมชาติ ผมก็เลยออกแบบ…”

               ตึ๊ง!

               ระหว่างที่ทรอยอธิบายมีเสียงดังขึ้นจากพอล

               “พูดต่อสิ”พอลบอกแล้วก้มหน้ากดโทรศัพท์เพื่อดูข้อความ

               เมื่อทรอยอธิบายคอนเซปของงานจบ พอลก็ยังคงนั่งนิ่งก้มดูโทรศัพท์ในมือ มีเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง

               “คุณได้ไอเดียมาจากไหนนะ”

               “จากความทรงจำตอนเด็กครับ”ทรอยอ้อมแอ้มตอบ เมื่อเห็นสายตาของพอลที่ตวัดขึ้นมองเหมือนรอคำอธิบายเพิ่มเติมจึงจำเป็นต้องพูดต่อ

               “ต้นไม้และโทนสีผมได้แรงบันดาลใจมาจากป่าสนในนิวซีแลนด์ครับ ที่นั่นเป็นป่าเขตหนาวดั้งเดิม จริงๆแล้วลูกค้าบอกว่าอยากอยู่กับธรรมชาติ ผมตีความว่าลูกค้าซึ่งเป็นคนชราไม่ได้หมายถึงอยากอยู่กับต้นไม้ แต่เขาต้องการอยู่กับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์มากกว่า”

               “ว่าต่อสิ”พอลคาดคั้น ดวงตาฉายแววสนใจในสิ่งที่ทรอยพูด

               “ผมคิดว่าลูกค้ากำลังคิดถึงสิ่งที่เป็นดั้งเดิม สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง สิ่งที่เป็นธรรมชาติจริงๆเพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านครับ การตกแต่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ส่วนใหญ่จะให้เจ้าของบ้านเป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง แต่แท้จริงแล้ว ตามธรรมชาติ ผู้คนหรือมนุษย์เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยตัวเล็กๆไม่ได้มีอำนาจเหนือโลกใบนี้ ไม่ได้มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งอื่นๆครับ”ทรอยหยุดพูด

 ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีแรงอัดบางอย่างอยู่ในอกและมันใกล้จะระเบิดออกมา เขาไม่รู้ว่าพอลเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการบอกไหม แต่การที่ให้ศิลปินมาบรรยายผลงานตัวเองให้คนอื่นเข้าถึงนั้น ทรอยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น คนรับสาร คนมอง คนที่เสพผลงาน ควรจะเข้าถึงได้เองไม่ใช่ให้ใครชี้นำ

                บางทีพอลอาจจะไม่เข้าใจจริงๆถึงได้ยังนิ่งอยู่

               ตึ้ง!

               เสียงแจ้งเตือนดังจากมือถือของพอลอีกครั้ง

               “บ้านที่แท้จริงของมนุษย์คือธรรมชาติดั้งเดิมไม่ปรุงแต่ง…คุณกำลังจะสื่อแบบนั้นใช่ไหม”

               พอพอลพูดขึ้นทรอยก็ยิ้มกว้าง

               “ใช่ครับ ผมอธิบายไม่เก่ง ขอโทษครับ”ทรอยหัวเราะนิดๆแล้วถอนใจโล่งอก นึกดีใจที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ แม้วันนี้จะไม่ได้งาน ก็ถือว่าคุ้มแล้ว

               “อืม…”พอลกอดอกแล้วหลับตานิ่งไปเพียงนิด จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนทรอยสะดุ้งเกือบตกเก้าอี้

               “โอเค! ยินดีด้วยทรอย ผมรับคุณเข้าทำงาน”พอลยื่นมือมาให้ทรอยที่ยังอ้าปากค้างอยู่

               “จริงเหรอครับ”ทรอยถามซ้ำขณะยื่นมือไปจับมือเจ้าของเบคเทลกรุ๊ปอย่างงุนงง

               “เอ้า จริงสิ เดี๋ยวคุยกับฝ่ายบุคคลนะ เรื่องเงินเดือนเรื่องงาน ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคุณทรอย เยี่ยมมาก”พอลยกนิ้วโป้งให้คนที่ยังเบลออยู่

               ง่ายแบบนี้เลยเหรอ? ทรอยคิดในใจ

               “แล้วก็งานนี้ คุณขายเท่าไรนะ?”พอลหยิบกระดาษในมือของทรอยขึ้นมาดู

               “เอ่อ…”ทรอยกำลังจะอ้าปากตอบแต่ก็ไม่ทันใจ

               “รับเป็นเช็คนะ เอ้า”พอลเซ็นเช็คแบบรวดเร็วแล้วยื่นให้ทรอย

               “อันนี้เงินเดือนเหรอครับ”

               “ไม่ใช่ งานชิ้นนี้ผมขอซื้อไว้ใช้ส่วนตัว เรื่องเงินเดือนคุณไปคุยกับฝ่ายบุคคลเอาเอง”พอลรวบรัดแล้วกดเรียกเลขาเพื่อสั่งงาน

               “คุณพอลครับ เขียนจำนวนเงินผิดหรือเปล่าครับ”ทรอยตกใจเมื่อเห็นตัวเลขในเช็ค

               “มันน้อยไปเหรอ”พอลเลิกคิ้ว

               “ไม่ครับ มันเยอะแบบ เยอะมากๆเลยครับ”ทรอยพูดตามจริง เรทงานออกแบบชิ้นนี้มันไม่ควรมีราคาสูงขนาดนี้

               “เยอะสิดี คุณไม่เห็นด้วยเหรอ”พอลยิ้มกว้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่เลขาสาวสวยเดินเข้ามา

               “พาคุณทรอยไปคุยเรื่องสัญญาจ้างงานกับรายละเอียดงานหน่อย รบกวนด้วย”พอลสั่งการเลขาคนสนิท

               “เชิญค่ะ”เธอพูดกับทรอย

               “คุณพอล ผม ขอบคุณมากจริงๆครับ”ทรอยรีบโค้งขอบคุณไม่ต่ำกว่าห้าครั้งจนพอลต้องรีบบอกให้หยุด หนุ่มใหญ่หัวเราะเอ็นดูในท่าทางอ่อนน้อมนั่น

               “คุณของคุณผิดคน แต่ช่างเถอะ เบคเทลกรุ๊ปยินดีต้อนรับนะทรอย”

 



               เมื่อหนุ่มลูกครึ่งไทยจีนเดินออกจากห้องไป พอลก็วกกลับมาดูแฟ้มเอกสารที่ทรอยลืมไว้ ในใบประวัติมีรูปถ่ายติดอยู่ด้วย พอลเลือกจะนั่งบนโต๊ะทำงาน เพราะเก้าอี้ประธานบริษัทบัดนี้มีคนนั่งแทนที่เสียแล้ว

               “ฝีมือดีนะ ดูงานเก่าๆเขาสิ ผมคิดว่าคุณช่วยเพราะหน้าตาเขาซะอีก ผมคงคิดผิด”พอลยื่นงานนออกแบบเก่าๆของทรอยส่งให้คนที่นั่งเก้าอี้อยู่

               “…”เจย์หยิบกระดาษหลายแผ่นที่เจ้าของผลงานพึ่งจะเดินออกไปจากห้องขึ้นมาดู ดวงตาของหมาป่ามีประกายความชื่นชมเผยออกมาเล็กน้อย

               “หรือผมคิดถูกแล้ว”พอลพูดต่อ พอเห็นว่าคนถูกแซวตวัดตาขึ้นมองเพียงนิดก็ลอบยิ้มออกมา

               “ทำไมไม่มาถามเอง  จะถามผ่านผมทำไม”พอลถามต่อเมื่อเห็นว่าเจย์ยังคงนิ่งก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไร

               เจย์ก็เป็นแบบนี้ จะตอบก็ต่อเมื่ออยากตอบ ใครก็ไม่มีทางบังคับได้

               “อย่าลืมจ่ายค่างานชิ้นนี้ให้ผมด้วยนะ”พอลทวงทีเล่นทีจริง

               “คุณได้เงินจากผมไปตั้งเท่าไร แค่นี้ต้องทวงเหรอ”เจย์วางกระดาษในมือแล้วจ้องมองพอล หุ่นเชิดคนสำคัญของเขา

               “แหม ที่จ่ายให้ทรอยไปไม่ใช่น้อยๆเลยนะ อีกอย่าง งานชิ้นนี้คุณก็ตั้งใจจะเอาไปตกแต่งคฤหาสน์ที่คุณไปซื้อมาไม่ใช่เหรอ”

               “แสนรู้จังนะ”เจย์ยกยิ้มนิดๆไม่ได้ถือสาอะไร น้อยคนนักที่จะกล้าต่อปากต่อคำกับเขาแบบนี้

               เจย์ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะก้าวไปยังประตูห้องถ้าไม่ติดว่าพอลเอ่ยถามเสียก่อน

               “ไปไหนต่อเหรอครับ” พอลเอ่ยถามตามประสาคนขี้สงสัย เมื่อได้ยินคำตอบก็ยิ่งลอบยิ้มรู้ทัน

               “ไปต้อนรับเด็กใหม่”

 



 

               อาจจะเพราะความเครียดเลยทำให้การตอบสนองทางอารมณ์ของเขาช้าไปสักหน่อย พอคุยงานกับเบคเทลกรุ๊ปเสร็จ ทรอยถึงพึ่งรู้สึกตัวเต็มที่ว่าตนมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว แถมเงินเดือนก็มากกว่าที่เก่า เรียกว่าเหมาะสมกับฝีมือของทรอยเลยด้วย

               วันต่อมา ทรอยไม่รอช้า เขารีบนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แล้วโอนจ่ายหนี้ให้เจสันทันทีพร้อมกับส่งข้อความไปด่าด้วยคำเจ็บๆประมาณสองหน้าเอสี่ เรียกว่าชาตินี้ถ้าเจอกันอีกก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

               เงินที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ทรอยตัดสินใจนำไปซื้อรองเท้าคัทชูคู่ใหม่ เพราะคู่เก่ามันแทบจะพังแล้ว เขาได้เข้าทำงานบริษัทใหญ่ขนาดนี้ก็ควรจะแต่งกายให้สมฐานะของบริษัทเสียหน่อย

               งานจะเริ่มในอีกห้าวันข้างหน้ายังมีเวลาให้เขาได้อยู่กับแม่ได้เต็มที่ จริงๆแล้วทรอยก็อยากจะจัดเลี้ยงทำอะไรอร่อยๆกินกับแม่เพื่อฉลองที่เขาได้งานใหม่ แต่ด้วยเงินที่มีอยู่ตอนนี้ ทรอยจึงตัดสินใจว่าคงต้องเลื่อนไปก่อน

               เมื่อวานที่เขาบอกแม่ว่าได้เข้าทำงานที่เบคเทลกรุ๊ป แม่ดีใจจนน้ำตาไหล นี่เป้ฯครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีเรื่องน่ายินดีแบบนี้ให้แม่ได้ชื่นใจ ทรอยเองก็แทบจะร้องตามไปด้วย ต่อจากนี้ชีวิตเขาและแม่คงจะดีขึ้น เขาจะตั้งใจทำงานให้สมกับที่ได้รับโอกาสนี้

               ทรอยยิ้มให้กับผักกาดขาวในมือที่กำลังถูกเขาหั่นเป็นท่อนๆ นึกดีใจที่เห็นแม่มีความสุขขนาดนี้

               แม่ของเขาส่งเสียงร้องเพลงอยู่ในห้องรับแขก เธอเก็บดอกไม้ที่เริ่มเฉาจากร้านที่ทำงานอยู่กลับมาบ้านเพื่อนำมาตกแต่งให้อพาร์ทเม้นห้องนี้มีชีวิตชีวาขึ้น

               ทรอยเองก็มีความสุขจนเผลอฮัมเพลงคลอไปกับแม่

ทรอยชะงักมือที่กำลังหั่นผักอยู่ เศษเสี้ยวความทรงจำถูกผลักดันออกมาให้เกิดภาพในสมอง

ดวงตาสีฟ้าหม่นที่จับจ้องมองเขาราวกับถูกตรึงร่างไม่ให้ขยับหนี

ริมฝีปากอิ่มที่มีลักยิ้มบุ๋มข้างแก้มปรากฏชัดทั้งสองข้าง บ้างก็ว่ามันคือ จุมพิตของนางฟ้า

แต่สำหรับชายคนนั้น มันควรเป็น จุมพิตของปิศาจเสียมากกว่า

แต่ทุกอย่างของเขา ทรอยไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่ามันช่าง…น่าดึงดูด

เหมือนเนื้อเพลงที่ดังแว่วมาจากห้องรับแขก

“My worst distraction, my rhythm and blues I can’t stop singing, it’s ringing, in my head for you”

ใช่แล้ว แรงดึงดูดของคุณ มันช่างอันตราย…

“ทรอย”

เฮือก!!

ทรอยสะดุ้งเฮือกจนมีดในมือหล่นลงพื้น

“ตกใจอะไรขนาดนั้นทรอย”แม่ของทรอยเอามือทาบอกตกใจไปด้วย ไม่คิดว่าแค่เธอจับไหล่ลูกเบาๆทรอยจะตกใจเพียงนี้

“แม่มาเงียบๆผมก็ตกใจสิครับ”ทรอยรีบเก็บมีดที่ตกพื้นขึ้นมา

“มีคนมาหาลูก แม่ให้รออยู่ที่ห้องรับแขกนะ”

“ใครเหรอครับ?”ทรอยแปลกใจ เขาไม่มีเพื่อนสักคน ไม่น่าจะมีใครมาหานะ?

“เขาบอกว่าทำงานที่เดียวกับลูก”
               “เจสันเหรอครับ”ทรอยกระชับมีดในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ใช่จ่ะ เพื่อนที่เบคเทลน่ะ”

คำตอบของแม่ทำให้ทรอยทำหน้างงกว่าเดิม จากเบคเทลเนี่ยนะ ใครกัน

หรือว่า…

 

 

 


............................................


ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


เป็นอย่างที่คิด แขกผู้มาเยือนในช่วงพลบค่ำคือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งที่มีรอยยิ้มขี้เล่นประดับไว้แทบจะตลอดเวลา 
   “ไงทรอย”
   “โทนี่ นายมาได้ไง”ทรอยถามกลับเมื่อมองเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในชุดทำงานแบบที่เคยเห็นทุกครั้ง โทนี่สวมเสื้อยืดแขนยาวและพับให้มันร่นขึ้นจนเกือบถึงข้อศอก กางเกงยีนส์สีฟ้าเข้มแต่งขาดเป็นริ้วอยู่หลายจุดดูเหมาะกับรองเท้าคัทชูหนังกลับสีเขียวขี้ม้าเป็นที่สุด ดูมีสไตล์โดยไม่ต้องพยายามอะไรเลย
   “ผ่านมาทางนี้ จำได้ว่าเป็นบ้านนาย เอ่อ ช่วยหน่อยได้มั้ย มันหนัก”โทนี่ทำหน้าเหยเกนิดๆ
   ‘อ้อ ได้ๆ โทษที เข้ามาก่อนสิ”ทรอยพึ่งรู้ตัวว่าโทนี่หอบของพะรุงพะรัง จึงรีบเช็ดมือที่พึ่งหั่นผักแล้วเข้าไปช่วยหิ้วถุงกระดาษที่โทนี่ถือมาด้วย จากนั้นจึงเดินนำโทนี่เข้ามาข้างใน
   “นายซื้ออะไรมาเยอะแยะ”ทรอยแหวกดูข้าวของมากมายที่อยู่ในถุงทั้งสามถุงที่โทนี่แบกมา มันเป็นพวกผัก หมูสดเนื้อสด ผลไม้ วัตถุดิบทำอาหารทั้งนั้น
   “ซื้อมาให้นายแหล่ะ ฉลองได้งานใหม่ไง แบบว่าต้อนรับเด็กใหม่หน่อย”โทนี่ยิ้มกว้างแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาที่มันมีรอยขาดหลายจุด แต่พอเห็นว่าแม่ของทรอยเดินเข้ามา โทนี่ก็เด้งตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับโปรยยิ้มบาดตาให้
   “สวัสดีครับคุณนาย ผมโทนี่ครับ เป็นเพื่อนร่วมงานของทรอย”โทนี่พูดอย่างสุภาพ
   “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฝากทรอยด้วยนะ”แม่ของทรอยยิ้มตอบนึกเอ็นดูในความเป็นมิตรของโทนี่
   “เฮ้โทนี่ นายซื้อพวกนี้มา ตั้งใจจะมาทำอาหารที่นี่เหรอ”ทรอยยกบรรดาวัตถุดิบออกจากถุง
   “ใช่สิ ก็นายเคยบอกว่าแม่ของนายทำอาหารอร่อยมาก ฉันเองก็อยากลองบ้าง คุณนายจะกรุณาได้ไหมครับ”โทนี่ยิ้มอ้อนซึ่งมันได้ผลกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แม่ของทรอย
   “แหมทรอย ไปพูดแบบนั้นได้ยังไง แม่ไม่ได้ทำอาหารเก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ”แม่ของทรอยหัวเราะขวยเขิน ดูก็รู้ว่าชอบที่ถูกชม
   “...”ทรอยหันไปมองทางโทนี่ด้วยสายตาที่บอกว่า ฉันไปพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่โทนี่ก็ทำตีมึนยักไหล่เหมือนไม่รู้เรื่อง
   “แต่ถ้าคุณนายไม่สะดวก ก็เอาไว้ทีหลังก็ได้ครับ ผมขอโทษจริงๆที่มาโดยพละการ”คราวนี้โทนี่ทำหน้าหมองลงนิดๆเหมือนหมาที่หางลู่หูตก เล่นเอาแม่ของทรอยรีบปฏิเสธพัลวัน
   “สะดวกสิคะ เราก็กำลังเตรีมฉลองให้ทรอยอยู่เหมือนกัน แต่อาหารมันมีไม่มาก”
   “เอาที่ผมซื้อมาไปทำได้เลยครับ”โทนี่รีบยกถุงวัตุดิบที่เขากับแพททริคไปเดินเลือกเป็นชั่วโมงเข้าไปในครัว
   “ซื้อมาเยอะเชียว เท่าไรเนี่ย”ทรอยกระซิบถามโทนี่ที่กำลังช่วยจัดแจงล้างผัก
   “ไม่เท่าไรหรอก”โทนี่ตอบ
   “นายจะซื้อให้ฟรีๆได้ไง เดี๋ยวฉันช่วยหาร”ทรอยกระซิบเพราะไม่อยากให้แม่ได้ยิน
   “ไม่เอา ไปยืนตรงนู้นไป นายเบียดฉันอยู่”โทนี่จงใจล้างผักและสะบัดมือแรงๆเพื่อให้น้ำกระเด็นไปเปื้อนหน้าทรอย จนทรอยต้องยอมถอยไปยืนตรงอื่น
   “หนุ่มๆอยากกินเมนูอะไรเป็นพิเศษมั้ยจ๊ะ”แม่ของทรอยเดินเข้ามาถามและเป็นโทนี่ที่ชิงตอบก่อนทรอย
   “อยากกินอาหารไทยครับ ต้มยำ”โทนี่พูดแค่นั้น แม่ของทรอยก็จัดเตรียมเมนูอาหารไทยอีกไม่ต่ำกว่าสี่เมนู เพราะวัตถุดิบที่โทนี่ซื้อเข้ามามันเยอะมากจนกินวันเดียวไม่น่าจะหมด
   ระหว่างที่แม่ครัวทำอาหาร ทรอยและโทนี่ก็ตัดสินใจตกแต่งห้องรับแขกนิดๆหน่อยๆโดยการนำสายรุ้งปีใหม่ที่โทนี่ซื้อมา ช่วยกันติดรอบๆห้อง พร้อมกับไฟประดับหลากสีซึ่งมันช่วยให้ห้องในอพาร์เม้นท์โทรมๆนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา
   ระหว่างมื้ออาหารที่มีเมนูประมาณห้าอย่าง ไม่รวมขนม ทรอยต้องลอบถอนหายใจและแอบเบ้ปากหลายต่อหลายครั้ง เพราะโทนี่เอาแต่พูดชมเยินยอแม่ของเขาไม่หยุด ทั้งฝีมือทำอาหาร ลามไปถึงว่าทรอยได้ความหน้าตาดีมาจากแม่นี่เอง ส่วนแม่เขาก็แทบไม่ปิดอาการดีใจสักนิด หัวเราะร่ามีความสุขจนเขาไม่อยากขัด เพราะก็นานแล้วที่แม่ไม่ได้หัวเราะขนาดนี้
   กว่าจะทานกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม แม่ของเขากับโทนี่คุยกันถูกคอชนิดที่ว่า ลูกชายคนนี้ถูกแม่ลืมไปเลย
   ทรอยบังคับให้แม่ไปนอนเพราะวันพรุ่งนี้แม่มีงานแต่เช้า ตอนแรกเธอก็จะไม่ยอมเพราะจะอยู่ล้างจานชามที่กินกันเสียก่อน แต่พอโทนี่หว่านล้อม แม่ของทรอยกลับเชื่อและยอมไปพักอย่างง่ายดาย
   ทรอยเป็นลูกคนเดียวก็เลยไม่เคยต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่วันนี้รู้แล้วว่าอาการอิจฉาพี่น้องเป็นแบบนี้เองเหรอ?
   เจ้าของบ้านลงมือล้างจานกองโตทีละใบโดยที่แขกรูปหล่อพยายามช่วยแต่ก็ถูกขอร้องว่าให้ช่วยอยู่เฉยๆเถอะ เพราะทรอยรู้ว่าโทนี่ ล้างจานไม่เป็น ทำอาหารก็ไม่เป็น ตอนล้างผักเมื่อครู่ ก็บีบจะผักแทบจะแหลกคามือ
   โทนี่ที่ไม่มีอะไรทำจึงหันไปเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทานข้างแทน และแน่นอนว่าทรอยก็ต้องมาทำซ้ำเพราะมันไม่เกลี้ยง
   “ทำไมนายมาหาฉันล่ะ”ทรอยถามสิ่งที่สงสัย
   “ก็มาสานสัมพันธ์กระชับมิตรเพื่อนร่วมงานไง ไม่เอาน่า อย่าทำเหมือนเราไม่สนิทกันสิ”โทนี่นั่งบนโซฟา เอนหลังพิงด้วยท่วงท่าสบายๆ
   “ก็พึ่งจะเคยเจอกันแค่ครั้งสองครั้งเอง”จริงแล้วทรอยอยากจะบอกว่าก็ไม่ได้สนิทกันจริงๆแต่ก็กลัวจะหักหน้าโทนี่เดินไป เขาไม่ได้อยากตั้งแง่อะไร เพียงแต่ประสยบการณ์ที่ผ่านมามันสอนให้เขาต้องระวังตัวอยู่เสมอ จะไว้ใจใครง่ายๆไม่ได้ ตัวโทนี่เองดูกระตือรือร้นอยากเข้าหาเขาเหลือเกิน มันดู แปลกเกินไป
   “นายกำลังจะมาอยู่ทีมเดียวกับพวกเรา ก็ต้องสนิทกันไว้หน่อย”โทนี่ยกน้ำสีส้มหวานๆขึ้นมาดื่ม เขาจำไม่ได้ว่าแม่ของทรอยเรียกมันว่าน้ำอะไร รู้แต่ว่ามันหวานชุ่มคอมาก
   “ฉันอยู่ทีมเดียวกับนายเหรอ?”
   “ใช่แล้ว นายมาแทนคนเก่าที่ออกไป”
   “คนเก่าทำไมถึงออกล่ะ”ทรอยสงสัยเพราะคงจะมีแต่คนโง่ที่ยอมลาออกจากเบคเทล ที่นี่ให้เงินเดือนสูงลิบต่างจากบริษัทอื่นๆ แล้วจะยอมออกทำไม
   “มันตายน่ะ”โทนี่พูดเรียบๆแล้วหยิบขนมตรงหน้าใส่ปาก ไม่ได้สนใจว่าทรอยกำลังอ้าปากค้าง
   “ตายเหรอ แบบพึ่งต่ายเหรอ ทำไมล่ะ”ทรอยสงสัย เขานึกว่าคนเก่าลาออกเองซะอีก
   “อย่าพูดเรื่องตายๆตอนฉันกินได้มั้ย มันแบบ…”โทนี่ทำหน้าสยองเหมือนจะอ้วก ทรอยเลยหยุดพูด
   “นายหอบของมาขนาดนี้เพื่อมาเลี้ยงต้อนรับฉันเหรอ ถ้าอย่างนั้น คนอื่นล่ะ หมายถึงพวกคนในทีมเดียวกัน แอนนี่?”ทรอยยังซักไซ้ต่อ เขามองโทนี่กินขนมสลับกับดื่มน้ำมะตูมแบบไม่หยุดปาก เห็นแล้วเลี่ยนแทน ทำไมกินจุขนาดนี้
   “คนอื่นไม่มาหรอก ฉันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”โทนี่กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ทรอยนิดๆจากนั้นจึงเดินเข้าไปล้างมือในครัว ปล่อยให้ทรอยสงสัยในคำตอบที่ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมของโทนี่
   เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว โทนี่จึงขอตัวกลับก่อน ทั้งสองคุยกันเรื่องรายละเอียดงานคร่าวๆโดยมีทรอยเป็นคนซักถามส่วนโทนี่ก็ตอบแบบขอไปทีเพราะกำลังให้ความสนใจกับรายงานข่าวการหายตัวไปของสุนัขพันธ์พุดเดิ้ลซึ่งเจ้าของเป็นคนรวยจึงลงประกาษตามหาไปแทบทุกช่องทาง
   ทรอยเดินมาส่งโทนี่ที่รถซึ่งจอดไว้ด้านหน้าของอพาร์ทเม้น รถของโทนี่เป็นรถหรูราคาแพงยี่ห้อเดียวกับแอนนี่เพียงแต่เป็นคนละสี ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแค่พนักงานของบริษัทรับเหมาก่อนสร้างจะมีเงินมากมายพอจะซื้อรถหรูขนาดนี้มาขับได้ สงสัยว่าโทนี่คงจะทำงานมานาน หรือไม่ก็เบคเทลให้เงินเดือนสูงจริงๆ หรืออีกอย่างคือ แอนนี่กับโทนี่ก็ต้องเป็นพวกลูกคนรวยที่มีเงินถุงเงินถังให้อยู่แล้ว
   “ขอบคุณนะโทนี่”
   “ขอบคุณอะไร?”โทนี่กวาดสายตามองไปรอบๆ ภายในใจคิดว่าแถวนี้ทั้งเก่าและโทรมจริงๆ
   “ที่นายเลี้ยงฉันวันนี้ไง ความจริงฉันเกรงใจ นายน่าจะให้ฉันช่วยออกบ้าง”ทรอยอึ้งแต่โทนี่ก็ยืนกรานปฏิเสธไม่รับเงิน
   “ขอบคุณผิดคนแล้ว”โทนี่พูดเสียงเบามากจนทรอยต้องถามซ้ำ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเพราะโทนี่กำลังมองสาวสวยคนหนึ่งที่เดินผ่านพวกเขาไปแล้วแต่ยังมองเหลียวหลังกลับมาไม่หยุด
   “แล้วเจอกัน”โทนี่ตบบ่าของทรอยเบาๆก่อนจะเข้าไปในรถ ยังไม่ทันที่รถจะออกตัวทรอยก็รีบทุบกระจกเบาๆ
   “มีอะไรเหรอ”โทนี่ลดกระจกมาถาม
   “รออยู่ตรงนี้ก่อนฉันขอหยิบของในบ้านหน่อย”ทรอยพูดจบก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ไม่นานนักก็กลับออกมาพร้อมถุงกระดาษสีฟ้าใบกลาง หลังจากนั้นก็ยัดใส่เข้าไปในรถของโทนี่
   “อะไรเหรอ อ๋อ”โทนี่หยิบของในถุงกระดาษขึ้นมาดู มันเป้นขนมปังไม่มีไส้ซึ่งยังอุ่นๆอยู่
   “ตอนนี้ฉันอิ่ม แต่เด่ยวไว้กินดึกๆก้ได้ ขอบใจมาก”โทนี่ยิ้มร่า แต่ทรอยรีบห้าม
   “ไม่ได้ให้นาย คือว่า ฝากใปให้คนนั้นหน่อย”ทรอยรีบบอก
   “คนนั้นนี่คนไหน”โทนี่ถามกลับวางขนมปังในมือกลับไปไว้ที่เดิม เขาเห็นแก้มของทรอยขึ้นสีแดงเรื่อ อาจจะเพราะลมหนาวยามดึกก็ได้
   “คนนั้นน่ะ เอ่อ หัวหน้าพวกนายน่ะ”ทรอยอ้อมแอ้มตอบ รู้สึกมือไม้มันเกะกะไม่รู้จะไปวางตรงไหน
   “พอลน่ะเหรอ ก็ได้ แต่คงต้องพรุ่งนี้ตอนเย็นนะ พอลถึงจะเข้าบริษัท”
   “ไม่ใช่สิ ไม่ใช่คุณพอล ฉันหมายถึงคนนั้นน่ะ ที่เป็นหัวหน้าพวกนาย ที่ตาดุๆ…”ทรอยพยายามอธิบาย แต่ยิ่งนึกถึงหน้าคนนั้นเขากลับพูดอะไรไม่ออกยิ่งกว่าเดิม ประหม่ายิ่งกว่าตอนเสนองานเสียอีก
   “หน้าดุๆ อ๋อ หัวหน้าทีมใช่ไหม ที่หล่อๆ”โทนี่ทำหน้าเข้าใจ
   “นั่นแหล่ะมั้ง ที่หล่อ หมายถึง ที่เป็นหัวหน้าทีมของพวกนาย”ทรอยเบนสายตาไปมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเพราะไม่อยากสบสายตาที่แสดงออกว่ารู้ทันของโทนี่ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดบอกไมถูก
   “หัวหน้าทีมของนายด้วย นายอยู่ทีมเรา อย่าลืมสิ”โทนี่รีบเตือน ซึ่งข้อนั้นทำให้มือของทรอยชื้นเหงื่อขึ้นมาดื้อๆ จริงสิ เขาอยู่ทีมเดียวกับโทนี่และแอนนี่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ทีมเดียวกับผู้ชายคนนั้นด้วย
   “รู้แล้วน่า ฝากให้เขาหน่อยสิ ได้ไหม”
   “ได้มันก็ได้ แต่ทำไมนายไม่เอาไปให้เองล่ะ จะฝากทำไม”โทนี่เขย่าถุงขนมปังนิดๆ
   “ก็กว่าจะได้เจอกัน หมายถึงกว่าฉันจะเริ่มงานก็อีกตั้งหลายวัน ฉันอยากขอบคุณเขาที่ทำให้ได้งานนี้ ฝากหน่อยแล้วกัน ยังไงนายก็ต้องเจอเขาอยู่แล้วนี่”ทรอยสรุป เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างห้อง เห็นม่านไหวๆและเงาคนคุ้นเคย คาดว่าแม่ของเขาคงจะแอบมองผ่านผ้าม่านเพราะเห็นเขาไม่เข้าไปเสียที
   โทนี่ไม่ตอบอะไร ทำเพียงยักคิ้วให้ทรอยและเลื่อนกระจกรถขึ้นแล้วขับออกไป

   กลางดึกของบริษัทเบคเทลกรุ๊ปนั้นแทบจะมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสีส้มไม่กี่ดวงเท่านั้นที่เปิดทิ้งไว้ เสียงเครื่องดูดฝุ่นดังก้องสะท้านไปทั่วตึก แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่พนักงานทำความสะอาดของที่นี่ยังคงแข็งขันที่จะจัดการทุกสัดส่วนให้สะอาดเรียบร้อย ทำงานให้เต็มที่คุ้มกับค่าจ้างที่ได้รับ
   “คุณโทนี่”พนักงานทำงานสะอาดซึ่งเป็นหญิงสูงวัยแต่ยังดูแข็งแรง เอ่ยทักทายโทนี่ที่ก้าวเข้ามาในตึก โทนี่ผงกหัวให้เล็กน้อย ดวงตาที่เคยแพรวพราวตอนนี้มันกลับทอประกายคล้ายดวงตาของผู้ล่าอย่าแท้จริง
   ยามค่ำคืน พวกเขาไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากมนุษย์ให้ใครเห็น
   ยามค่ำคืน พวกเขาสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงสายตาใคร
   โทนี่ก้าวเร็วๆไปยังช่องบันได แทนที่จะใช้ลิฟท์ เขาวางถุงกระดาษในมือไว้ที่พื้นก่อนที่เหยียดร่างกายให้บิดเบี้ยวผิดรูปร่าง ไม่กี่วินาที ชายหนุ่มรูปงามร่างสูงโปร่งก็กลับกลายเป็นร่างของมนุษย์หมาป่าสง่างาม ขนสีน้ำตาลนั้นเงาวับจัดเรียงเส้นสวยยิ่งกว่าผมของสตรี กรงเล็บโง้งคมกริบพร้อมจะตะกุยข่วนศัตรูทุกย่างก้าว ปากของหมาป่าแสยะแยกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่แข็งแรงพอจะกระชากคอของเหยื่อให้ขาดออกจากกัน
   โทนี่ในร่างหมาป่ามองบันไดเบื้องหน้าด้วยแววตาพึงพอใจ ฟันแข็งแรงไม่ลืมที่จะคาบถุงขนมปังที่วางไว้ขึ้นมาจากนั้นจึงทะยานวิ่งขึ้นบันไดข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีหยุด ไม่มีพัก ไม่มีเหนื่อย มีเพียงอิสระที่โอบล้อมให้หมาป่าวิ่งทะยานไปยังทีหมายเท่านั้น
   ฝีเท้าที่วิ่งได้รวดเร็วเทียมม้าหนุ่มคึกคะนองตรงมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องของประธานบริษัทเบคเทลกรุ๊ปซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึก
   หญิงสาวที่มีตำแหน่งเลาขาซึ่งนั่งอยู่ห้องห้องประธาน เธอมองสุนัขหมาป่าสีน้ำตาลตัวเขื่องซึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย เธอห้มหัวทักทายด้วยความนอบน้อมก่อนจะช่วยเปิดประตูห้องประธานให้สุนัขหมาป่าสีน้ำตาลเดินเข้า
   ภายในห้องนั้นแทบจะมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์ห้าหกจอของอลันที่ส่องแสงสว่างสีฟ้าท้าทายความมืด
   โทนี่มองไปยังอลันที่กำลังจ้องจอคอมไม่วางตา ดูท่าคงจะตรวจสอบระบบไอทีของเบคเทลอยู่
   โทนี่ละความสนใจจากอลัน มองไปยังสิ่งที่ทุกสายตาต้องสยบให้ ขนสีดำขลับกลืนไปกับความมืด ไม่สิ เหมือนความมืดต่างหากที่ถูกดูดกลืนแทน
   เจย์ จ่าฝูงของพวกเขา สุนัขหมาป่าเผ่าพันธุ์โบราณซึ่งหลงเหลือยู่น้อยมาก สุนัขหมาป่าพันธ์ไดร์วูล์ฟ ขนาดลำตัวที่ใหญ่เป็นสี่เท่าของสุนัขทั่วไป พละกำลังมหาศาลของสันกรามที่หากใครถูกงับไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอด ดวงตาสีฟ้าเข้มที่ไม่มีความลังเลแม้แต่นิด
   ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นจ่าฝูงโดยแท้จริง อาณาเขตของนิวยอร์คต้องสยบอยู่แทบเท้าของเจย์ จะไม่มีมนุษย์หมาป่าตัวไหน กล้าท้าทายหรือขัดขืนเจย์ ถ้ามันยังอยากมีชีวิตอยู่
   โทนี่คาบถุงขนมไปวางไว้ด้านหลังของเจย์
   กลิ่นหอมอุ่นของขนมปังลอยเข้าจมูกทำให้เจย์หันกลับมามองด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าเข้มมองถุงขนมบนพื้นแล้วตวัดตามองที่โทนี่
   “ทรอยฝากมาให้ ฝากบอกว่าขอบคุณ” ไม่มีเสียงสนทนาเอ่ยออกมาให้อลันในร่างมนุษย์ได้ยินไปด้วย
   ผู้เป็นจ่าฝูงไม่ตอบอะไร เบือนหน้าหันไปมองกำแพงสีดำตามเดิม โทนี่จึงคาบถุงขนมนั้นแล้วกระโดดขึ้นฌต๊ะทำงานก่อนจะวางเอาไว้ริมโต๊ะ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานมันคงไปตกอยู่ที่ถังขยะ เพราะเจย์ไม่ชอบกินขนมอะไรทั้งนั้น
   “พรุ่งนี้ต้องไปหรือเปล่าครับ”โทนี่ถามขึ้น
   “ไป วันอื่นก็ด้วย”เจย์ในร่างของหม่าป่าตอบสั้นๆโดยที่สายตายังมองจ้องกำแพงสีเทาเข้มไม่กระพริบ
   “ขอคุยด้วยหน่อยครับ”อลันเป็นคนเดียวที่อยู่ในร่างของมนุษย์พูดขึ้น ทำให้สุนัขหมาป่าทั้งสองตัวยอมเปลี่ยนร่างกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนอลัน
   “ว่าไง”เจย์ถามขึ้น
   “มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้นนอกเมือง เป็นข่าวการประท้วงเล็กๆของชุมชนหนึ่ง สุนัขจรจัดหลายตัวหายไป ชาวเมืองเข้าใจว่าถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับพวกมันไปการุณยฆาต จึงเกิดความไม่พอใจ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ”อลันอธิบายสรุปแล้วส่งเอกสารรายงานข่าวที่พึ่งปริ๊นออกมาให้กับเจย์
   “ข่าวนี้เงียบมาก ไม่เห็นออกทีวี หรือวิทยุเลย”โทนี่ให้ความเห็น
   “หายไปกี่ตัว”เจย์ถามอลัน
   “ยังไม่ชัดเจนเรื่องจำนวนครับ”
   “ไปทำให้มันชัดเจน ทั้งจำนวน และสาเหตุ”เจย์พูดสั้นๆซึ่งอลันก็รีบรับคำ ชายหนุ่มที่เป็นเสมือนฝ่ายข้อมูลของกลุ่ม รวบเอกสารและแล็บท็อปส่วนตัว อุปกรณ์ไอทีมากมายยัดลงกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป
   “เจย์”โทนี่ส่งเสียงเรียกคนที่กำลังจุดบุหรี่อยู่
   “ช่วงนี้มีข่าวเรื่องสุนัขบ้านที่มนุษย์เลี้ยงถูกขโมยไป อาทิตย์นี้ก็สองรายแล้วที่ออกข่าว คิดว่าเป็นสัญญาณอะไรมั้ย”โทนี่ให้ความเห็น
   “อ่า เป็นสิ เป็นอยู่แล้ว”เจย์พ่นควันสีขาวออกมา ดวงตาสีฟ้าหม่นหลับลง ทำให้โทนี่เดาไม่ออกว่าเจย์กำลังคิด หรือกำลังรู้สึกอะไรกันแน่
หลังจากวันนั้นที่โทนี่หอบของสดและผักผลไม้มาให้ วันต่อๆมาก็กลายเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้ว ทุกเย็น โทนี่จะมาเยือนพร้อมกับอาหารสดในมือ บางวันก็จะมีผลไม้มาด้วย ที่สำคัญคือจำนวนของมันมากขึ้นทุกวันจนเขาและแม่ต้องแยกบางส่วนเก็บไว้ในตู้เย็นเพราะกินวันเดียวคงไม่หมด เรียกว่าตอนนี้ตู้เย็นของเขาอัดแน่นไปด้วยอาหารสดซึ่งเพียงพอไปอีกหลายสัปดาห์
   แม้จะเกรงใจโทนี่แต่ก็ยอมรับว่าลึกๆเขาเองก็ดีใจที่เขาและแม่จะมีอาหารดีๆกินทุกมื้อ เพราะเงินที่เขาขายงานให้คุณพอลนั้น เขาเอาไปใช้หนี้ให้เจสันเกือบหมดแล้วและสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้เค้าจะไม่เล่นพนันบอลอีกแน่ ที่เหลือก็มีแค่นิดหน่อยพอให้ซื้อพวกจั๊งค์ฟู้ดมาทานประทังชีวิตรอเวลาสิ้นเดือนที่เงินเดือนจะออก
   และวันที่เขาทั้งรอคอยและหลีกหนีก็มาถึงจนได้
ทรอยหยุดมองตัวเองที่กระจกบานใสของประตูหน้าบริษัทเบคเทลกรุ๊ป วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของเขา เนคไทที่แม่ของเขาบรรจงผูกให้มันเรียบร้อยดีแล้ว ทรงผม เสื้อผ้าทุกอย่าง มันโอเคหมดแล้ว จะมีก็เพียงนัยน์ตาที่มันยังฉาวแววไม่มั่นใจเนี่ยแหล่ะ ที่เขายังแก้ไม่ได้
เขากำลังรวบรวมสติให้มันสงบ พยายามสวดมนต์ในใจเรียกสมาธิแล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อมีมือปริศนาตบที่ไหล่เขาอย่างแรง แรงจนเขาเจ็บและชาเลย
“ไม่เข้าไปข้างในล่ะ มายืนขวางทางคนอื่นอยู่ได้”เสียงเข้มพูดเหมือนดุ
“ขอโทษครับ”ทรอยหันไปมองคนที่เข้ามาทัก ผู้ชายผิวสีแทนหุ่นเหมือนนักกีฬา เขาจำได้ว่าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในทีมของโทนี่
“อ้าว ทรอย”เสียงโทนี่ดังมาจากด้านหลัง
“มายืนทำอะไรกันหน้าประตู ไม่เข้าไปข้างในล่ะ”โทนี่หันมาถามทรอยและแพททริค
“กำลังจะเข้า เห็นหมอนี่ยืนอยู่เลยมาทักก่อน”แพททริคตอบ แต่ทรอยอยากจะเถียงว่าไอ้การเข้ามาตีไหล่เขาเสียแรงขนาดนี้มันไม่เรียกว่าการทักทายนะ มันเรียกการทำร้ายร่างกายได้เลย
“รู้จักกันรึยัง”โทนี่ถาม แต่ทรอยส่านหน้า
“ทรอยนี่แพททริค เป็นสถาปนิคในทีมของเรา ส่วนนี่ทรอย จะมาดูแลเรื่องออกแบบตกแต่งภายในแทนคนเก่า พวกเราอยู่ทีมเดียวกัน รู้จักกันไว้นะ”โทนี่แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน ทรอยยิ้มให้ส่วนแพททริคจะเรียกว่ายิ้มก็ดูจะไม่ใช่ มันเหมือนอาการปากกระตุกเสียมากกว่า
“เข้าไปข้างในเถอะ หิวจัง ทรอยนายทานข้าวมาหรือยัง”โทนี่ยกแขนขึ้นโอบไหล่ทรอยให้เดินเข้าบริษัทส่วนแขนอีกข้างก็คล้องแขนแพททริคให้เดินเข้าไปด้วย
“กินกาแฟมาแล้ว”ทรอยตอบสั้นๆแต่คำตอบนั้นทำให้ทั้งโทนี่และแพททริคชะงักเท้า หันมามองทรอยเหมือนประหลาดใจ ไม่เชื่อหูตัวเอง
“อ่ะ อะไรเหรอ”ทรอยถามเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสอง
“นายไม่กินข้าวเช้าเหรอ”แพททริคเป็นคนถามซึ่งทรอยก็พยักหน้ารับ ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองต้องทำหน้าตกอกตกใจขนาดนั้น
“ไม่ได้นะทรอย มื้อเช้าสำคัญมาก ถ้านายกินแต่กาแฟ สุขภาพจะเสีย สมองก็จะไม่แล่น พูดง่ายๆคือนายจะโง่กว่าที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นนายต้องทานข้าวเช้านะ”โทนี่พูดยืดยาวจนคนฟังยังตัดสินใจไม่ถูกว่าโทนี่หวังดีหรือโทนี่กำลังด่าเขาว่าโง่
“เอ่อ ฉันยังไม่หิว”ทรอยรีบตอบ
“ไม่หิวก็ต้องกิน กินนิดๆหน่อยๆก็ยังดี ไปกินกับพวกเรา”แพททริคตัดบทแล้วเดินนำไปยังลิฟต์ ส่วนโทนี่ก็ยึดไหล่เขาไว้แน่น ชนิดที่ว่าต้องใช้แรงสุดกำลังถ้าคิดจะฝืนสะบัดตัวออก
ทรอยถูกลากมายังห้องหนึ่งในบริษัท มันอยู่เกือบจะถึงชั้นบนสุดของตึก ภายในห้องนั้นใหญ่พอๆกับห้องประชุมของมหาวิทยาลัย แต่ละมุมจะมีโต๊ะทำงานที่ตกแต่งไม่เหมือนกันเลย ตรงกลางห้องจะเป็นโต๊ะยาวที่น่าจะเอาไว้ประชุม และส่วนหนึ่งของห้องน่าจะเป็นโต๊ะอาหาร แถมในนี้ยังมีสวนพันธ์ไม้กับน้ำตกจำลองขนาดเล็กเอาไว้ด้วย เหมือนเป็นบ้านขนาดย่อมก็ว่าได้
“นั่งตรงนี้ๆ”โทนี่กดไหล่ให้ทรอยนั่งลงบนเก้าอี้ ตรงข้ามกันนั้นเป็นแพททริคที่นั่งอยู่ ยังมีเก้าอี้ว่างอีกสี่โต๊ะ ซึ่งพอจะเดาได้ว่าคงเป็นของเพื่อนร่วมทีม
และตำแหน่งหัวโต๊ะนั้น คงจะเป็น หัวหน้า
โทนี่เดินออกจากห้องไป ไม่กี่นาทีต่อมาก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายอีกคน คนนี้ทรอยก็เคยเจอแล้ว เขามักจะก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
“อลันนี่ทรอย เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเรา ทรอยนี่อลัน ฝ่ายข้อมูลกับไอที งานออกแบบก็ปรึกษาอลันได้นะ”โทนี่แนะนำ
“สวัสดีครับ”ทรอยทักทาย
“ไง ยินดีที่ได้รู้จัก”อลันพูดโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าทองทรอยด้วยซ้ำ
อีกไม่กี่วิต่อมาประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง คราวนี้ทรอยเผลอยิ้มกว้างเพราะคนที่เข้ามาคือหญิงสาวที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยและรู้สึกเป็นมิตร
“หนุ่มๆ รอฉันอยู่หรือเปล่า”แอนนี่ยิ้มหวานเดินไปนั่งเก้าอี้ประจำตัว
“อ้าวทรอย วันนี้เริ่มงานวันแรกสินะ ดีใจที่ได้ร่วมงานนะ”แอนนี่ที่นั่งอยู่ใกล้เก้าอี้หัวโต๊ะส่งยิ้มหวานบาดตามาให้ ทรอยรีบเอ่ยขอบคุณ
“เอ่อ เรายังไม่เริ่มงานกันเหรอ”ทรอยถามเสียงแผ่ว แล้วทุกสายตาก็หันมาทาทรอย
“เรารออาหารเช้าอยู่ไง”โทนี่เป็นคนตอบ
“ใช่ แต่…นี่มันเลยเวลาทำงานไปมากแล้วนะ มันจะไม่เป็นไรเหรอ”ทรอยไม่กล้าใช้คำตรงว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันน่าจะเรียกว่าการอู้งาน เอาเวลาทำงานมาทานข้าวเช้าเนี่ยนะ จะไม่เป็นปัญหาเหรอ
“ไม่เป็นไรหรอกทรอย งานก็สำคัญ แต่มื้อเช้าก็สำคัญนะ คนในทีมของเราต้องทานข้าวเช้าก่อนจะเริ่มงาน ห้ามอดเด็ดขาด”แอนนี่เป็นคนอธิบาย
“ไฟแรงจัง ทำงานวันแรกนี่นะ”อลันที่พูดขึ้นเบาๆซึ่งทรอยไม่แน่ใจว่ามันคือคำชมรึประชดเพราะน้ำเสียงของอลันที่พูดมันมันนิ่งและเรียบมาก ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆเลย
ไม่กี่นาทีต่อมา แม่บ้านของบริษัทสามคนก็ยกอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟ เป็นโจ๊กใส่เห็ดที่หอมเอามากๆ หอมจนทรอยหิวขึ้นมาดื้อๆทั้งที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยทานข้าวเช้าด้วยซ้ำ
เมื่อยกอาหารมาครบ ทั้งห้าคนกำลังจะลงมือตักโจ๊กหอมกรุ่นในชามถ้าไม่ติดว่าประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่การแต่งกายเรียกว่าเนี๊ยบสมบูรณ์แบบจนคนมองรู้สึกเหมือนตัวเองใส่ผ้าขี้ริ้วเก่าๆเมื่อต้องไปยืนเทียบกับคนนี้
“เจย์ วันนี้นึกยังไงมาทานด้วยกัน”แพททริคเป็นฝ่ายทัก และไม่รอให้ใครเชิญ เจย์เดินไปนั่งยังเก้าอี้หัวโต๊ะทันที
ทั้งห้องเงียบกริบมีเพียงเสียงของทัพพีที่กำลังตักโจ๊กสีขาวนวลใส่ลงในชามของเจย์ แม้แต่อลันก็เก็บโทรศัพท์ไม่เล่นต่อ
ทรอยใช้หางตาลอบมองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะที่กำลังตักโจ๊กในชามขึ้นใส่ปากโดยที่ไม่เป่าแม้แต่น้อย ในใจคิดว่าปากของเขาน่าจะพองไปแล้ว เพราะโจ๊กมันร้อนมาก แต่ดูคนทานก็ยังทำนิ่งเฉย ตักกินเรื่อยๆไม่สะทกสะท้านใดๆ
ทรอยเองก็ตักโจ๊กตรงหน้าขึ้นกินบ้าง เขาเป่าไอร้อนของโจ๊กในช้อนสองสามทีก่อนจะอ้าปากเพื่อที่จะกิน แต่ยังไม่ทันที่โจ๊กข้าวสีขาวนวลนั้นจะเข้าปาก ทรอยก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของรอบๆ
ไม่มีใครลงมือทานอาหารเช้าเลย นอกจากหัวหน้าทีม
ทุกคน(ยกเว้นหัวหน้าทีมที่กำลังกิน)จ้องมองมาที่ทรอยเป็นตาเดียว โทนี่และแอนนี่มองทรอยยิ้มๆเหมือนเอ็นดู แพททริคมองเหมือนหน้าของทรอยไปเลอะดินเลอะโคลนมา อลันมองทรอยเหมือนกำลังประเมินตีค่าว่าทรอยจะตั้งรับการโจมตีในเกมส์ออนไลน์ที่ชอบเล่นได้กี่นาที
เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงช้อนที่ทำจากเมลามีนดังกระทบชามใส่โจ๊กของหัวหน้าทีมที่กำลังตักข้าวกินไม่หยุดเท่านั้น
ทรอยหุบปากลงแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจวางช้อนในมือลงแล้วนั่งอยู่เฉยๆเหมือนคนอื่น
มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เข้าใจแต่ก็รู้ว่าควรจะทำตาม แต่ก็ยังไม่เช้าใจอยู่ดีว่าทำไมทุกคนต้องรอให้หัวหน้าทีมกินก่อน ตัวหัวหน้าเองก็ตักกินเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป
จนกระทั่งหัวหน้าทีมทานเสร็จ ทุกคนจึงเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองบ้าง ทรอยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร เอาไว้เขาค่อยไปถามโทนี่ทีหลังดีกว่า
   โจ๊กที่แม่บ้านของเบคเทลนั้นมันอร่อยมาก แต่ทว่าทรอยกลับกลืนไม่ค่อยลงเพราะรู้สึกถึงสายตาของคนๆนั้นที่ยังจ้องอยู่ตลอดเวลา และเมื่อหันไปมองสายตาก็ประสานกันพอดี
   ไม่เขินอาย ไม่ปิดบัง ไม่หลบหนี
   สายตาที่หัวหน้าทีมมองเขานั้น ทำให้ทรอยต้องรีบยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
   กว่ามื้ออาหารเช้าจะเสร็จสิ้น ก็ปาเข้าไปเกือบสิบนาฬิกา หัวหน้าทีมสั่งให้ทุกคนเริ่มทำงาน แต่ก่อนที่ชายที่สูงที่สุดในกลุ่มจะเดินออกจากห้องไป โทนี่ก็ท้วงขึ้นมา
   “ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่ ทรอย นั่นหัวหน้าทีมของพวกเรา”โทนี่ยิ้มเจ้าเล่ห์และทรอยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแกล้ง
   “เอ่อ”ทรอยอ้ำอึ้ง มองตามแผ่นหลังของหัวหน้าทีมที่ค่อยๆหันกลับมามองเขา
   ตื่นเต้นอะไร จะประหม่าทำไม? ไม่เอาสิทรอย!
   ทรอยสูดลมหายใจเข้าปอด ผู้ชายคนนี้ หัวหน้าทีมของเขาแค่ถูกมองก็เหมือนถูกขโมยลมหายใจไปแล้ว
   “ผมชื่อทรอยครับ ยินดีที่ได้รู้จัก และขอบคุณและขอ ขอโทษ ไม่สิ ขอบคุณนั่นแหล่ะถูกแล้ว”ทรอยตะกุกตะกั่ก ตั้งใจจะพูดให้มันจบๆแต่ดันลิ้นพันนึกคำพูดไม่ออกว่าควรจะขอบคุณที่ทำให้เขาได้งานรึขอโทษที่เคยเสียมารยาท หรือแค่แนะนำตัวเฉยๆ
   เขาได้ยินเสียงหัวเราเบาๆดังจากด้านหลัง ซึ่งเดาได้ว่ามาจากฝาแฝด
   หัวหน้าทีมที่สูงกว่าเขาหลายคืบเดินเข้ามาทีละก้าวโดยที่สายตาไม่ยอมลดละไปแม้แต่วินาทีเดียว เป็นทรอยเสียเองที่ค่อยๆถอยหลังหนีจากการไล่ต้อนให้จนมุม
   “Jay Galifianakis…”เสียงทุ้มต่ำดูดุดันแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น ดวงตาสีฟ้าหม่นที่จับจ้องราวกับต้องการดึงดูดให้คนถูกมองตกลงไปในห้วงมหาสมุทรสีฟ้านั้น
   ชื่อเจย์งั้นเหรอ? ทรอยใจเต้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และแทบห้ามมือตัวเองไม่ให้ยกขึ้นกุมหัวใจที่เต้นถี่รัวไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดต่อมา
   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ทรอย…”
   ความรู้สึกที่ว่า หวานกว่ารักแรก มันเป็นเช่นนี้เอง วันนี้ทรอยเข้าใจแล้ว…

ออฟไลน์ ρℓuto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ๊ากกกก บอกทีว่าแจเตนล์
รอตอนต่อไปปปปป

ออฟไลน์ jinutlove

  • ไม่คิดที่จะรัก
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออ่านต่อไม่ไหวแล้ว ชอบบบบมากอื้อรอต่อนะคะ :katai2-1: :pig4:

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
7





               วันนี้มีเรื่องที่ทรอยคิดผิดหลายครั้ง

เมื่อก้าวเข้ามาในตึกของเบคเทลกรุ๊ป ทรอยเข้าใจว่าการทำงานวันแรกมันคงจะหนักและยากมาก เพราะที่นี่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำงานเป็นระบบระเบียบ ต่างจากที่ทำงานเก่าของทรอย แต่ทว่าก่อนจะได้เริ่มงานทรอยกลับถูกลากไปทานข้าวเช้าร่วมกับพนักงานที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานในทีมเดียวกับทรอย ทุกคนนั่งรออาหาร และทานมื้อเช้ากันอย่างไม่เร่งรีบ ราวกับว่าเป็นกิจวัตรปกติที่เคยทำยามอยู่บ้าน ทรอยจึงเข้าใจว่าที่นี่คงทำงานกันแบบเป็นกันเอง สบายๆ และเป็นกันเอง

นั่นคือเรื่องแรกที่ทรอยคิดผิด

เพราะหลังจากทุกคนทานมื้อเช้าเสร็จ งานมากมายมหาศาลก็ประดังเข้ามาจนเด็กใหม่แทบหน้ามืด วันแรกในการทำงานนั้นหมดไปกับการโต้เถียงระหว่างทรอยที่เป็นนักออกแบบภายในกับพวกแผนกวิศวกรรมโยธา ก่อสร้าง ต่างๆนาๆ เพราะฝ่ายนั้นแย้งมาว่างานออกแบบของทรอยและงานออกแบบของแพททริคที่เป็นสถาปนิก มันสวยแต่ไม่สามารถทำได้จริง สองฝ่ายโต้เถียงกันไปมา แต่ทรอยกลับรู้สึกดีกับเรื่องแบบนี้ เพราะทุกคนใช้ความรู้มาแย้งกันและช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ใช่การทะเลาะกันของมือสมัครเล่น

ครั้งนี้ทรอยเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะมีแพททริคที่ความรู้ด้านออกแบบและก่อสร้างแน่นปึ้กมาช่วยเสริมทัพ หลังจากงานแรกเคลียร์ได้ ในหัวของทรอยก็อัดแน่นไปด้วยคำวิจารณ์ต่างๆนาๆเกี่ยวกับผลงานออกแบบของทรอย เขาเก็บทุกรายละเอียดเอาไว้ในใจเมื่อถึงเวลาพักก็รีบจดใส่สมุดบันทึกส่วนตัวทันที เพื่อจะได้นำไปทบทวนจุดอ่อนจุดแข็งของงานตัวเอง

เบคเทลกรุ๊ปเป็นองค์กรใหญ่ที่เลือกรับงาน ระบบการทำงานของที่นี่จะแบ่งเป็นทีม อย่างในทีมของทรอยก็จะมีคนคุมหรือที่เรียกว่าหัวหน้าทีมคือเจย์ และสมาชิกในทีมก็จะเป็นพวกฝ่ายออกแบบ เช่นทรอยและแพททริค ฝ่ายไอทีคืออลัน ฝ่ายเสนองานขายพูดคุยกับลูกค้าคือฝาแฝด หน้าที่ของทุกคนชัดเจน และที่นี่มีกฎว่าทำเฉพาะในส่วนที่ตัวเองได้รับมอบหมายเท่านั้น อย่าเสนอตัวไปช่วยงานคนอื่น ทรอยเองก็โดนหัวหน้าทีมดุมาเหมือนกันเพราะงานในส่วนของตัวเองเสร็จแล้ว แต่ดันไปช่วยทีมอื่นเรื่องออกแบบอีก

แม้จะเสียหน้าที่ถูกดุ แต่ทรอยก็เข้าใจในเหตุผลที่เจย์อธิบายว่าหากจุดไหนของงานผิดพลาด จะได้ตามตัวคนรับผิดชอบจุดนั้นได้ถูก ไม่ใช่ทำงานปนเปกันมั่วไปหมด หาคนรับผิดชอบไม่ได้

ทรอยเคยมั่นใจว่างานออกแบบของตัวเองนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ว่า ไม่เป็นรองใคร แต่ทว่าพอได้มาเจอผลงานการออกแบบของทีมอื่นๆในบริษัทเบคเทลแล้ว ทรอยยอมรับเลยว่าตนคิดผิด โลกที่ทรอยเคยอยู่มันเป็นแค่โลกแคบๆใบเล็กเท่านั้น เบคเทลเปิดโลกให้ทรอยเห็นว่าของจริงในการทำงานน่ะมันเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาเสนองานให้ลูกค้า ทักษาะการพูดการวางตัว ทรอยจำเป็นต้องฝึกใหม่และเรียนรู้ให้ไวที่สุด เพราะที่นี่ทุกคนเดินไปข้างหน้ากันไวมาก หากทรอยไม่รีบปรับ เขาคงต้องถูกทิ้งอยู่ข้างหลังและกลายเป็นแค่พนักงานไร้ประโยชน์

แม้จะกดดัน แต่ลึกๆแล้วทรอยกลับรู้สึกฮึกเหิม เหมือนกับการได้ลงแข่งขันในงานกีฬาใหญ่ๆที่เขาเคยได้เป็นเพียงผู้ชม แต่บัดนี้เขาได้กลายเป็นผู้เล่นด้วย ทรอยเหนื่อยมาก กดดันมาก แต่ก็สนุกมาก

เขาเข้ามาทำงานที่เบคเทลได้เกือบสัปดาห์แล้ว และความสนิทสนมในทีมก็เพิ่มมากขึ้น ทรอยพอจะจับทางนิสัยของแต่ละคนได้บ้าง อย่างแพททริคที่ภายนอกดูเป็นคนหัวร้อนน่ากลัว แต่ถ้าไม่มีใครไปแหย่หรือจงใจกวนประสาท แพททริคก็เป็นแค่ผู้ชายนิ่งๆคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ก็เริ่มเข้ากันได้ดีกับทรอยเพราะเป็นคนชอบเล่นกีฬาทั้งคู่ 

กับอลันที่เป็นฝ่ายไอที คนนี้ทรอยมองครั้งแรกแล้วคิดไปเองว่าคงเป็นพวกเนิร์ดไม่สนใจโลกเท่าไร แต่ความจริงแล้ว อลันเป็นคนให้คำปรึกษาและสอนงานได้ดีมาก เวลามีปัญหาที่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับงาน ให้ไปถามอลันได้เลย  อลันจะค่อยๆอธิบายอย่างใจเย็น ถ้าเขาไม่เข้าใจอลันก็จะอธิบายไปเรื่อยๆวนซ้ำใหม่จนเขาเข้าใจและค่าตอบแทนในการสอนก็มีแค่ลาเต้เย็นแก้วเดียวเท่านั้น

กับฝาแฝดนั้น เขาสนิทกับโทนี่มาก ซึ่งโทนี่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนที่เอาไว้คุยเล่นเฮฮากันได้ แต่ถ้าจะให้ไปปรึกษาอะไรจริงจัง คงต้องขอผ่าน เพราะโทนี่ออกจะติดนิสัยขี้เล่นชอบแหย่ชอบอำจนเกินควร เขายังนึกสงสัยว่าคนอย่างโทนี่ที่ชอบกวนชอบแกล้งคนอื่นไปสนิทกับแพททริคได้ยังไง และที่น่าแปลกคือแพททริคเองก็ไม่เคยดุเวลาโดนโทนี่หรือแอนนี่แกล้งเลย

สาวสวยคนเดียวในกลุ่มที่ต้องบอกว่าถอดแบบพี่ชายฝาแฝดมาไม่ผิดเพี้ยนทั้งหน้าตาและนิสัย เพียงแต่แอนนี่เป็นผู้หญิง เวลาโดนแกล้งโดนแหย่คนจะไม่ค่อยถือสาเหมือนโทนี่ เขาเองก็เช่นกัน หากโดนโทนี่แกล้ง ก็จะตอกกลับทุกรอบ แต่หากเป็นแอนนี่แกล้ง เขาก็ได้แต่ยิ้มโง่ๆให้

ส่วนหัวหน้าทีมของเขานั้น…. เขาจับทางคนๆนี้ไม่ได้เลย

เขาเจอเจย์แค่เฉพาะมื้อเช้าที่ต้องทานร่วมโต๊ะกัน หลังจากทานเสร็จ เจย์ก็จะออกไปไหนไม่รู้ บางวันก็จะพาแอนนี่ไปด้วย แทบไม่ได้เห็นหน้าหรือพูดคุยกับทรอยเลย

เขาเคยถามโทนี่ว่าหัวหน้าทีมไปไหน คำตอบของโทนี่ก็คือ ทำไม อยากเจอเหรอ? และนั่นทำให้เขาต้องเบ้ปากกรอกตามองบนใส่จากนั้นจึงหันไปถามอลัน ก็จะได้คำตอบว่า หัวหน้าทีมออกไปพบลูกค้า และไปเจรจาธุรกิจ

ในห้องทำงานของเขา ความจริงแล้วต้องเรียกว่าห้องทำงานของทีม เพราะทุกคนในทีมทำงานอยู่ในห้องนี้ เวลาประชุมคุยงานก็แค่ย้ายก้นมานั่งที่โต๊ะประชุมกลางห้อง เวลาทานข้าวก็แค่เดินไปไม่กี่ก้าวเพื่อไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แต่ละมุมห้องก็มีโต๊ะทำงานสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งไว้ให้แต่ละคน การตกแต่งก็แตกต่างกันออกไป ของแอนนี่มีแต่สีชมพูและกระจกบานเล็กตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน

โต๊ะของอลันใหญ่พอๆกับโต๊ะของหัวหน้าทีม มีจอคอมพิวเตอร์ประมาณสี่จอ ไม่รวมแล็ปท็อป กับสายอะไรไม่รู้ระโยงระยางเต็มไปหมด ทรอยไม่กล้าเข้าใกล้โต๊ะของอลันเท่าไร มันเหมือนเป็นกับระเบิดที่หากเขาพลาดไปโดนสายไฟอะไรสักอย่างบนโต๊ะนั้น มันอาจระเบิดได้ เขาจึงเลี่ยงๆเอาไว้ก่อน

โต๊ะของโทนี่จัดได้ว่าดูดีเป็นระเบียบเหมาะสำหรับการถ่ายเพื่อเอาไปลงในอินสตราแกม บนโต๊ะมีนิตยาสารแฟชั่นหลายเล่มรวมไปถึงหนังสือเกี่ยวกับการทำสมาธิแบบชาวพุทธซึ่งทรอยเห็นแล้วอยากจะขำใส่ทุกที โทนี่เนี่ยนะ อยากจะทำสมาธิ ยืนเฉยๆโดยไม่ส่งสายตาให้สาวๆได้ก่อนยังจะง่ายกว่า

และโต๊ะที่รกที่สุดนั้นก็ตกเป็นของแพททริคและทรอย บนโต๊ะของแพททริคมีกระดาษแผ่นใหญ่ที่ร่างงานออกแบบไว้เต็มไปหมด รวมถึงโน๊ตบุ๊ค เม้าส์ปากกาต่างๆ ห่างไกลจากความเป็นระเบียบหลายขุม ส่วนโต๊ะของทรอยนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาได้แล็ปท็อปเครื่องใหม่จากเบคเทลเพื่อใช้งานงานออกแบบ แต่ส่วนใหญ่เขาชอบร่างแบบโดยดินสอและสีมากกว่า จากนั้นจึงค่อยสแกนเข้าคอมเพื่อปรับแต่ง บนโต๊ะของเขาจึงมีดินสอสีกระจัดกระจาย รวมทั้งกระดาษเปื้อนๆหลายแผ่นที่เขาพยายามวางให้มันเรียบร้อย(ในสายตาเขา)

สรุปง่ายๆคือโต๊ะที่ดูเหมือนโต๊ะพนักงานทั่วไปที่สุด ก็ไม่พ้นโต๊ะรกๆของทรอยและแพททริคนั่นเอง

ทรอยเคาะดินสอลงบนโต๊ะทำงานของตนเบาๆก่อนจะค่อยๆเลื่อนเก้าอี้ที่มีล้อหมุนให้หันหลังไปช้าๆเพื่อมองจุดที่ลึกสุดของห้อง โต๊ะทำงานสีดำตั้งเด่นอยู่ตรงริมผนังสีดำ แทบจะกลืนเป็นสีเดียวกัน

บนโต๊ะนั้นว่างเปล่า มีเพียงรูปปั้นสุนัขหมาป่าสีดำสองตัวขนาดไม่เกิน5นิ้วทำจากเซรามิก รายล้อมด้วยต้นสนขนาดย่อส่วนที่ทรอยเดาว่าคงทำจากเซรามิกเช่นกัน

บนโต๊ะมีแค่นั้น เก้าอี้นั้นว่างเปล่า และเจ้าของโต๊ะซึ่งเป็นหัวหน้าทีมของเขา ก็ไม่อยู่ เจย์มักจะออกไปข้างนอกตอนบ่ายเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

“เลิกงานแล้วไปกินกาแฟข้างล่างมั้ย”

ทรอยละสายตาจากโต๊ะที่ว่างเปล่าหันมามองใกล้ตัว อลันมายืนพิงโต๊ะทำงานของเขาอยู่ ในมือถือโทรศัพท์เลื่อนขึ้นลงหน้าจอไปด้วย

“กินกาแฟตอนนี้ แล้วคืนนี้จะได้นอนมั้ยล่ะ”เขาตอบกลับ ขณะที่มือเก็บกวาดของใช้ของตัวเองลงกระเป๋าเพื่อเตรียมกลับบ้าน

“ไม่ได้นอน สรุปไปมั้ย”อลันถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ทรอยจ้องมองอลันแล้วอดเสียดายไม่ได้ว่าถ้าอลันไม่ทำหน้าเบื่อโลกรำคาญทุกคนแบบนี้ สาวๆคงเข้าหาพอๆกับแพททริคและโทนี่

“ไป แต่ขอเก็บของก่อน อ่ะ กระเป๋าขาด”ทรอยขมวดคิ้วเมื่อมองสายกระเป๋าของตัวเองที่เริ่มจะปริขาดเพราะเขายัดใส่ทั้งแล็ปท็อป หนังสือ และแฟ้มงานจนแน่นทุกวัน ไม่แปลกใจที่กระเป๋าราคาถูกใบนี้มันจะทนไม่ไหว

อลันไม่ตอบอะไรแต่กลับเดินไปชวนโทนี่และแพททริคแทน

จากนั้นทั้งสี่คนจึงลงลิฟท์แล้วตรงไปยังร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งถนน ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน ถนนของเมืองนิวยอร์คจึงเต็มไปด้วยรถมากมาย ทรอยรีบปิดจมูกเมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าพวกเขาพร้อมกับปล่อยควันดำออกมาคลุ้งไปหมด เขาโชคดีที่ไม่ได้สูดเข้าไปต่างจากอีกสามคนที่คงจะสูดควันนั่นเข้าไปเต็มๆจึงเกิดอาการจามติดๆกันทั้งสามคน

“มีแต่พวกขยะ รกโลก”

เขาได้ยินแพททริคบ่นพึมพำขณะทำจมูกฟุดฟิดเหมือนเหม็นอะไรสักอย่าง พวกเราทั้งหมดรีบก้าวยาวๆเพื่อตรงไปยังร้านกาแฟ โชคดีที่ร้านนี้เป็นร้านติดกระจกไว้ ฝุ่นควันจึงแทบไม่หลุดรอดเข้าไปในร้าน พอเข้ามาด้านในสีหน้าของทุกคนจึงดีขึ้น

“เหมือนเดิมนะคะ”หนักงานสาวที่ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่บริเวณเคาเตอร์พูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นอลัน เพราะเมนูที่อลันสั่งทุกครั้งที่เข้ามาในร้านคือ ลาเต้เย็น

แพททริคกับโทนี่เลือกกินเอสเพรสโซ่ร้อนคนละแก้ว ทรอยเผลอคิดในใจว่าพวกนี้ตั้งใจจะไม่หลับไม่นอนกันหรือไง

“รับอะไรดีคะ”พนักงานสาวหันมาถามทรอยที่ยืนนิ่งอยู่

“เอ่อ เอาน้ำเปล่าครับ”ทรอยกระแอมสองสามทีให้คอโล่ง คือเขาก็อยากกินเมนูอื่นหรอกนะ แต่พอดูราคาของแต่ละเมนูแล้ว เค้าเลือกน้ำเปล่าดีกว่า เงินเดือนยังไม่ออก ขืนควักมาจากค่าเครื่องดื่มวันนี้มีหวังเงินหมดก่อนสิ้นเดือน

“ไม่หิวเหรอ”แพททริคถามขึ้นเพราะเห็นทรอยสั่งแต่น้ำเปล่า
               “ไม่หิวเลย”ทรอยตอบยิ้มๆ มันก็หิวแหล่ะแต่เขารอไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า พวกหมูสดผักสดที่โทนี่หมั่นซื้อมาให้แทบทุกวันก็ยังอยู่อีกเยอะ

“พรุ่งนี้วันหยุดแล้ว นายมีโปรแกรมจะไปไหนมั้ยทรอย”โทนี่หันมาถาม มือข้างหนึ่งปลดเนคไทออก

“ยังไม่รู้เลย คงอยู่บ้าน อยากพัก นายล่ะ”

“พวกเราจะไปล่ากวาง”โทนี่พูด

“ล่ากวาง?”ทรอยถามย้ำ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินและไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ที่เห็นว่าทั้งแพททริคและอลันส่งสายตาข่มขู่ไปให้โทนี่

“อ่อ กวางสาว แบบกวางน้อย แม่กวางแสนสวย ทำนองนั้น”โทนี่พูดจบก็หัวเราะเสียงดัง ถ้าไม่ติดว่าโทนี่เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก คนอื่นๆคงจะคิดว่าไอ้บ้านี่มันโคตรจะเสียมารยาทที่หัวเราะออกมาดังลั่นกลางที่สาธารณะ ขนาดแพททริคยังส่ายหัวเหมือนอ่อนใจในความไม่อายสายตาใคร ส่วนอลันที่กำลังจะอ้าปากพูดแต่ดันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงเลือกรับสายนั้นแทน

“พวกนายไม่มีแฟนเหรอ”ทรอยถามขึ้นเพราะตั้งแต่ทำงานร่วมกันไม่เห็นคนไหนมีทีท่าว่าจะมีแฟนสักคน

“ไม่มี แอนนี่ก็ไม่มี”แพททริคเป็นคนตอบ

“แล้ว….คนนั้นล่ะ…”ทรอยอ้อมแอ้ม รีบหยิบหลอดน้ำขึ้นมาดูดแล้วแสร้งมองไปนอกกระจกร้าน

“คนนั้นน่ะคนไหนเหรอ?”โทนี่ลากเสียงยาวจนทรอยชักรำคาญ

“คุณเจย์เค้ามีแฟนรึยัง นายช่วยเลิกทำหน้าตาล้อเลียนสักทีได้มั้ย”ทรอยตีหน้าดุใส่แต่โทนี่ก็ยังยิ้มร่าไม่สะทกสะท้าน

“ไม่มี โสด”เป็นอลันที่ตอบแทน แล้วกลับไปคุยโทรศัพท์ต่อ

“ทำไมต้องถามถึงหัวหน้าทีมด้วยล่ะ”คราวนี้เป็นแพททริคที่พูดบ้าง

“ก็เป็นคำถามทั่วไป ฉันถามพวกนายรวมถึงแอนนี่แล้วก็เหลือคุณเจย์แค่คนเดียว ก็เลยถาม ก็แค่นั้น”ทรอยพูดจบก็รีบยกแก้วน้ำขึ้นมากินแล้วต้องสำลักพรวด น้ำในปากกระจายออกมาเลอะเป็นบริเวณกว้าง เปื้อนไปถึงเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย

“อี๋ ทรอย สกปรกว่ะ”โทนี่รีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้าเป็นการใหญ่ พนักงานในร้านรีบเข้ามาทำความสะอาดกันให้วุ่นไปหมด ทรอยที่เป็นตัวต้นเหตุได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพย

เขาดันซุ่มซ่ามพลาดไปหยิบแก้วกาแฟของโทนี่มาดื่มแทน มันทั้งขมทั้งเปรี้ยวจนชาลิ้นไปหมด

พวกเขาไม่ได้นั่งคุยอะไรกันมากมาย ส่วนใหญ่ก็คุยเรื่อง ทีมฟุตบอลที่เชียร์อยู่ จนไปถึงเรื่องรถที่แพททริคเถียงว่ามาเซลาติสวยกว่า แต่เขาน่ะชอบคาดิลแลคมากกว่า บทสรุปของเรื่องนี้คือโทนี่ที่แทรกเข้ามาพูดว่า จากัวส์ของหัวหน้าทีมสวยสุด ส่วนอลันที่แม้จะคุยโทรศัพท์อยู่แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังพวกเขาเถียงกันแล้วแอบหัวเราะนิดๆ

กว่าจะแยกย้ายกันกลับ พระอาทิตย์ก็หายไปเสียแล้ว ความมืดยามราตรีไม่มีผลกับเมืองนิวยอร์ค เพราะแสงไฟจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ส่องสว่างแทบทุกพื้นที่

“ทำงานกันมาเป็นสัปดาห์แล้ว ฉันยังไม่มีเบอร์นายเลย”แพททริคโบกมือเรียกแท็กซี่ที่มีไฟติดว่าว่าง แม้จะอยู่ไกลไปอีกหลายเมตร เนื่องจากตอนนี้รถบนถนนติดกันจนแทบไม่ขยับ

“จริงด้วย ฉันลืมเลย ขอเบอร์หน่อยสิ ติดต่อยากจัง”โทนี่หยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ยอดนิยมตามท้องตลาดขึ้นมาเตรียมส่งให้ทรอย แต่ทรอยรีบยกมือห้ามไว้

“ฉันไม่มีโทรศัพท์ ทำหายไปแล้วยังไม่ได้ซื้อใหม่เลย”

“อ้าว แล้วแบบนี้จะติดต่อกันยังไง”โทนี่ลดมือลง

“ก็ติดต่อผ่านอีเมลล์ไปก่อนเหมือนเดิม สิ้นเดือนฉันจะไปหาซื้อเครื่องใหม่ แล้วก็นะ โทนี่ นายไปบ้านฉันแทบทุกวันอยู่แล้ว ติดต่อฉันยากตรงไหน”ทรอยชกที่ไหล่ของโทนี่เบาๆเพราะหมั่นไส้ที่ชอบเสนอหน้ามาตีสนิทแม่ของเขา จนกลายเป็นลูกรักอีกคน

“ไปเถอะ รถมาแล้ว”แพททริคมองตรงไปยังรถแท็กซี่ที่ขับมาจอดเทียบริมถนน

“แล้วเจอกัน”อลันที่ยังติดสายอยู่หันมาโบกมือนิดๆให้ทรอยที่ก้าวเข้าไปนั่งรอในรถแท็กซี่แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ทุกคนมีรถส่วนตัวทั้งนั้น

“ไปควีนครับ”ทรอยบอกคนขับรถ จากนั้นจึงเบนความสนใจไปยังด้านนอกแทน ถนนยามค่ำคืนของเมืองนิวยอร์คนั้นหนาแน่นไปด้วยยานพาหนะหลากชนิด เสียงบีบแตรดังถ้วนทั่วท้องถนน ควันสีดำและเทาถูกปล่อยออกมาคละคลุ้งกับอากาศที่แทบไม่เหลือความบริสุทธิ์ให้สูดดม

ช่างวุ่นวายจริงๆ

ทรอยหลับตาลง ปิดกั้นความวุ่นวายด้านนอกเพื่อกลับมาอยู่กับตัวเอง เสียงเพลงจากวิทยุที่คนขับรถเปิดเป็นเพลงเก่าที่เขาค่อนข้างคุ้นหู เพราะเคยเปิดฟังกับแฟนเก่าคนหนึ่งตอนที่ไปตั้งแคมป์เดินเขา ซึ่งนั่นก็นานมากแล้ว

ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตของเขามันจะพลิกผันไปมาได้ขนาดนี้ จากลูกคุณหนูสู่ยาจกที่โดนหลอกไปขายตัวจนเกือบตายแต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่รอดมาได้พร้อมกับรับโอกาสใหม่ซึ่งเขาแทบจะอยากตะโกนโห่ร้องดีใจกับมัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้าทำงานในเบคเทล ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหางานที่เงินเดือนสูงขนาดนี้ แถมเขายังเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีอีกด้วย

แต่ทรอยจะย้ำตัวเองอยู่เสมอว่าจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆอีกแล้ว พลาดหนึ่งครั้งก็คือพลาด แต่ถ้าพลาดจุดเดิมอีกครั้ง นั่นคือโง่ และเขามั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน

 






ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


ทรอยตื่นสายกว่าทุกๆวัน แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอนบ่งบอกได้ว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว

หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนนั่งสะลึมสะลือบนเตียงอยู่พักใหญ่เพราะนอนมากเกินไป จากนั้นจึงพาร่างตัวเองเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว

ทรอยบีบหลอดยาสีฟันที่บี้แบนแทบทั้งหลอดจนสุดแรงแต่ก็มีเนื้อยาสีฟันออกมาเพียงนิดเท่านั้น เขาเลยเดินกลับมายังห้องนอนเพื่อหยิบกรรไกรแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง

กรรไกรที่มีความคมไม่มากแต่ก็ยังมากพอจะตัดหลอดยาสีฟันแบนๆนั้นให้ขาดเป็นสองอัน ทรอยกระตุกยิ้มเหมือนตัวเองชนะคนทั้งโลกแล้วหยิบแปรงสีฟันด้ามสีฟ้าล้วงไปกวาดเนื้อยาสีฟันจนเกลี้ยงหลอด

หลังจากอาบน้ำอยู่เพียงครู่เดียวแต่ใช้เวลาร้องเพลงในห้องน้ำพักใหญ่ ทรอยก็เดินตัวเปล่ามาที่ตู้เสื้อผ้าของตน เขากวาดมองบรรดาเสื้อและกางเกงที่แขวนยัดกันอยู่ในตู้แล้วตัดสินใจ หยิบเสื้อกล้ามสีขาวตัวโคร่งออกมาใส่ มือข้างซ้ายเปิดลิ้นชักเพื่อจะหยิบกางเกงใน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไปหยิบบ๊อกเซอร์ผ้านิ่มมาใส่แทน

วันนี้เป็นวันหยุดของเขา และไม่ก็ไม่อยู่ เขาไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเรียบร้อยนักหรอก

พอคิดถึงเรื่องวันหยุดทรอยก็รีบวิ่งไปเปิดแล็ปท็อปที่วางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือทันที เขาเข้าอีเมลล์ส่วนตัวเพื่อเช็คดูข้อมูลทุกอย่างแล้วก็ยิ้มออกมา เมื่อในนั้นยังมีเมลการสั่งงานคุยงานรวมถึงเมลคุยเล่นจากเพื่อนร่วมงานอย่างโทนี่

แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง เขาไม่ได้ฝันไป เขาไม่ได้คิดไปเอง

ทรอยผิวปากเป็นเพลงอิทมายไลฟ์ของวงดนตรียุคเก่าอย่างอารมณ์ดี มือปิดแล็บท็อปแล้วเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อรดน้ำให้ต้นไม้ต้นเล็กที่เรียงรายอยู่ในกระถาง แสงแดดสาดส่องเข้ามากระทบตาพอดิบพอดี ทรอยลืมตาสู้แสงสว่างนั้นแล้วกวาดมองไปรอบๆจากบนระเบียงห้องนอน

ตึกสูงเสียดฟ้า ต้นไม้เขียวครึ้มตรงปาร์ค เมฆที่จับตัวเป็นกลุ่มก้อน สายลมที่พัดมาเบาๆและฝูงนกพิราบที่บินเกาะตามหลังตาบ้าน รวมถึงระเบียงห้องนอนของทรอยด้วย

ทรอยยิ้มให้กับทุกสิ่งทุกอย่างแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ

“นี่สิชีวิต…”

ทรอยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วหลับตาลง ซึมซับความรู้สึกสงบนี้เอาไว้ มันนานมากแล้วที่เขาไม่ได้โล่งใจแบบนี้ ทุกวันที่ผ่านมามีแต่ความทุกข์ ความเศร้าและความผิดหวัง จากนี้ไปอะไรๆคงจะดีขึ้น
               เมื่อตื่นนอน ท้องก็เริ่มหิว ทรอยละจากระเบียงที่แสงแดดสาดใส่ เดินกลับเข้ามาในห้องนอน จากนั้นจึงหยิบผ้าห่มที่สีขาวที่ตอนนี้กลายเป็นสีเทาอมครีมเพราะไม่ได้ซักมานาน วันนี้เขาว่างทั้งวัน เอาผ้าห่มไปซักเสียหน่อยคงจะดี ทรอยหอบผ้าห่มเอาไว้กับตัวแล้วนึกขึ้นได้ว่าของใช้ส่วนตัวก็หมดหลายอย่าง เขาจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วแต่งตัวใหม่อีกรอบ

ทรอยเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตลายฮาวายสีส้มสดใสมาใส่คู่กับกางเกงสีครีมและแว่นกันแดด เหมือนกับว่าการออกจากบ้านครั้งนี้เขาตั้งใจจะเดินเรื่อยๆไปจนถึงทะเล

ทรอยไม่ลืมที่จะเดินเข้าไปในครัวเพื่อกินอาหารที่แม่เตรียมไว้ให้ จะได้ไม่ต้องไปหาอะไรทานขางนอกให้เปลืองเงิน เงินเดือนเขายังไม่ออก อะไรเซฟได้ก็ต้องเซฟไว้ก่อน

หนุ่มเอเชียเดินขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้บ้านที่สุด เขาหยิบตะกร้าที่ทางห้างเตรียมไว้ให้ลูกค้าเพื่อเลือกซื้อของได้ตามสะดวก ทรอยเดินตรงไปยังโซนที่ขายยาสีฟันทันที เขาหยิบยี่ห้อที่คุ้นเคยใส่ตะกร้า จากนั้นจึงเดินไปโซนน้ำหอม

ทรอยพยายามเปิดดมน้ำหอมหลายต่อหลายกลิ่นแต่ก็ยังไม่เจอกลิ่นที่ถูกใจเสียที จมูกเขายังจดจำกลิ่นหอมวันนั้นได้อยู่เลย มันอาจเป็นน้ำหอมราคาแพงของเคาเตอร์แบรนด์หรูๆ แต่ว่า เมื่อก่อนพ่อของเขาก็ใช้น้ำหอมแพงๆมาหลายต่อหลายแบรนด์ แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นนั้น ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

“ชอบกลิ่นไหนล่ะ”เสียงปริศนาพูดขึ้นด้านหลังแต่ทรอยที่จดจ่ออยู่กับขวดน้ำหอมตรงหน้าแทบไม่สนใจ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีมือใครไม่รู้จับเข้าที่ศีรษะเขาเลยรีบหันกลับไปทันที

“โอ๊ะ! ขอโทษ ไม่คิดว่านายจะตกใจขนาดนี้”ผู้ชายที่ถือวิสาสะมาจับหัวทรอยนั้นต้องเรียกว่าหน้าตาดีแบบที่หาได้ยากมาก ดวงตา สันจมูก ปาก และสันกราม มันคมชัดเสริมให้เจ้าตัวดูดีเหมือนไม่มีอยู่จริง ใช่แล้ว เหมือนพระเอกในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่พวกผู้หญิงชอบอ่าน

“พี่หลง”ทรอยพูดทันทีเมื่อเห็นหน้าอีกคนชัดๆ

“จำกันได้ด้วย นึกว่าลืมพี่ไปแล้ว”หลง หรือ แฮปปี้ ชายชาวจีนที่ทรอยรู้จักดีส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ ดวงตาที่ไม่ปิดอาการดีใจนั่นทำให้ทรอยรู้สึกแปลกๆ

“ผมจะลืมพี่ชายของคนที่ทิ้งผมไปได้ไง”ทรอยแสร้งยิ้มให้ ส่วนอีกคนก็หน้าเจื่อนลง

ต้องยอมรับว่าทรอยไม่ได้ดีใจนักหรอกที่เจอพี่หลง เพราะเราสองคนมีความทรงจำร่วมกันที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ตอนเด็กๆบ้านของทรอยและหลงไปมาหาสู่กันเสมอ ทำให้ทรอยและหลงสนิทกัน แต่พอเริ่มโตขึ้น ทรอยก็ดันไปจีบน้องสาวของหลง ซึ่งตอนนั้น พี่หลงกีดกันทรอยทุกวิถีทาง ชนิดที่ว่าแทบจะเกลียดขี้หน้ากันไปเลย แต่ด้วยความที่ทรอยชอบน้องสาวของหลงมากจึงอดทนจนได้คบกัน ตอนนั้นพี่หลงก็เรียบจบแล้วและตัดสินใจไปเดินทางเที่ยวรอบโลกตามประสาคนคูลและรวยมาก และระหว่างนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับทรอย ใช่แล้ว ทรอยกลายเป็นเศรษฐีตกยาก และแฟนสาวที่บอกว่ารักเขานักหนาก็เฉดหัวเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี

นั่นล่ะ คือความทรงจำของเขาที่มีต่อพี่หลง

พี่ชายที่หวงน้องสาวอย่างกับหมาบ้าและเป็นพี่ชายของผู้หญิงที่ทิ้งเขาเพราะเขาไม่มีเงินให้เธอ

“ทรอย นายพูดแบบนี้พี่ไปไม่ถูกเลย”หลงยิ้มอ่อนใจ เขาเองก็พึ่งรู้เรื่องที่น้องสาวตัวดีทิ้งทรอย แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดเขาเสียหน่อย ทรอยอาจจะกำลังหงุดหงิดเลยพาลมาโกรธเขาด้วย

“แล้วพี่กลับนิวยอร์กตั้งแต่เมื่อไร กลับมาอยู่หรือกลับมาเยี่ยมบ้านเฉยๆ”ทรอยเมื่อเห็นคนพี่เริ่มหน้าหมอง เขาก็อดสงสารไม่ได้

“กลับมาเมื่อวันก่อน ครั้งนี้ต้องอยู่ยาว ป๊าบอกให้กลับมาช่วยงานที่บริษัทน่ะ”หลงอธิบาย

“อ่อ เหรอครับ”ทรอยพยักหน้ารับ บ้านของหลงเป็นบริษัทผลิตเครื่องปรุงรสที่ส่งออกทั่วโลกและมีคนสืบทอดคนเดียวก็คือหลง จะเรียกตัวกลับมาช่วยก็ไม่แปลก

“แล้วนี่นายจะไปไหนต่อ ไปทานข้าวกันไหม มีเรื่องอยากคุยเยอะแยะเลย”หลงเสนอ

“ไม่สะดวกครับ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ”ทรอยโกหก จริงๆแล้วเขาว่างทั้งวัน เพียงแต่ยังไม่มีอารมณ์ไปสนทนากับใครทั้งนั้น เขาอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากกว่า

“อืม เข้าใจแล้ว พี่ไม่กวนนายดีกว่า แต่ขอเบอร์ไว้ได้มั้ย เผื่อเราได้นัดเจอกันอีก”หลงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทรอยคิดว่าหากตนเป็นผู้หญิงคงไม่วายรีบยื่นเบอร์โทรให้ทันที แต่นี่คือเขา และเขารู้ทันพี่หลงทุกอย่าง อย่าลืมสิว่าเราเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาก่อน ไอ้มุขกระตุกยิ้มอ่อนโยนส่งสายตาเว้าวอนน่ะมันใช้กับเขาไม่ได้

“ผมไม่มีโทรศัพท์ครับ”

“ทรอย พี่เข้าใจเรื่องที่นายโกรธ แต่อย่าลืมนะว่า พี่คือพี่ พี่ไม่ใช่ฮันนี่”

คำพูดของพี่หลงทำให้ทรอยชะงักเล็กน้อย คนที่ทิ้งเขาและทำร้ายใจเขาคือฮันนี่ ไม่ใช่พี่หลง สองคนนั้นแค่เป็นพี่น้องกันเฉยๆ

“ผมทำโทรศัพท์หายครับ ไม่มีจริงๆ จะซื้อสิ้นเดือนนี้”ทรอยเสียงอ่อนลง

“พี่ซื้อให้ใหม่ก็ได้ ไปเลือกกันวันนี้เลย ชั้นบนมีให้เลือกหลายร้าน”หลงรีบเสนอตามนิสัยของชายหนุ่มที่ชอบเอาอกเอาใจ แต่ทรอยกลับรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เอาครับ ผมจะซื้อเอง”ทรอยพูดสั้นๆแล้วมองจ้องประสานสายตากับอีกคน เมื่อรู้ว่าทรอยตัดสินใจแล้วจริงๆ หลงจึงยอมแพ้

“รอพี่ตรงนี้”หลงเดินไปยังร้านขายเครื่องสำอางร้านหนึ่ง พูดคุยกับหญิงสาวพนักงานอยู่เพียงครู่ก็วิ่งกลับมาหาทรอยพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้

“นี่เบอร์พี่ ถ้าพร้อมก็โทรมาโอเคมั้ย”หลงยื่นกระดาษค้างไว้ จนทรอยต้องรับมันไป

“วันนี้พี่ไม่กวนนายแล้ว แต่ว่าพี่ถามเรื่องหนึ่งได้มั้ย”หลงยกมือขึ้นกอดอกแล้วตีหน้าจริงจัง ซึ่งสำหรับคนที่ไม่รู้จัก จะกลายเป็นว่าหนุ่มหล่อคนนี้คงจะดุมาก

“ครับ ถ้าผมตอบได้นะ”ทรอยมองตากลับไม่ลดละเช่นกัน

“สบายดีใช่ไหมทรอย”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่มีความเสแสร้ง มีเพียงความห่วงใยจนคนถูกถามใจหวิว

“ไม่สบายครับ แต่ ผมไหว”ทรอยตอบพร้อมกับยิ้มให้นิดๆ เป็นคำตอบที่ตรงที่สุดสำหรับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของทรอยแล้ว

 

หลังจากแยกกับพี่หลง ทรอยใช้เวลาเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้า เข้าร้านนั้นออกร้านนี้แต่สุดท้ายก็ได้ของมาไม่กี่ชิ้นเพราะเงินมีลิมิต ร้านสุดท้ายที่ทรอยเข้าไปเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ตั้งอยู่ด้านนอก เขาได้ยินเสียงสัตว์ดังระงม แต่มีเสียงหนึ่งที่ดังลอดเข้าหูจนทรอยต้องหยุดดู เป็นเสียงเห่าเล็กๆแหบๆของสุนัขไม่ผิดแน่

ทรอยเดินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านที่ดูวุ่นวายกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นแทบไม่ได้สนใจทรอยเลย

เขามองหาต้นตอของเสียงที่ยังเห่าอยู่เรื่อยๆเพียงแต่มันแผ่วเบาลงทุกทีจนกระทั่งด้านในลึกสุดของร้าน มีกรงเล็กๆที่เหม็นอับไปด้วยผ้าชื้นและอาหารเม็ดหล่นกระจายทั่วกรง

ทรอยเพ่งมองก้อนสีน้ำตาลกลมๆเหมือนห่อผ้าขี้ริ้วเก่าๆม้วนกันอยู่ตรงมุมกรง แล้วต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าก้อนกลมนั้นส่งเสียงเห่าออกมา

“อ้าว มาทำอะไรตรงนี้ครับ ถ้าจะดูลูกหมาต้องไปดูหน้าร้านนะ ตรงนี้ไม่มีอะไรหรอก”เจ้าของร้านเดินเข้ามาสมทบ

“เอ่อ นั่น ชิวาว่าเหรอครับ”ทรอยชี้ไปที่สุนัขตัวเล็กจิ๋วที่ดูไม่สมประกอบ ดวงตาของมันเกรอะกรังไปด้วยขี้ตา ส่งเสียงร้องสลับกับเสียงเห่าแหบแห้ง

“ก็ชิวาว่าแหล่ะ แต่ตัวนี้มันพิการถ้าจะเลือกหมาไปดูข้างหน้าเถอะ ชิวาว่าสมบูรณ์ก็มีครับ”

หงิง

เสียงครางเล็กๆนั้นทำให้ทรอยไม่อาจหันหลังกลับออกไปได้ เขามองเข้าไปในดวงตาที่ชื้นแฉะของชิวาว่าตัวนั้นแล้วรู้สึกเหมือนมองเงาสะท้อนของตัวเอง

เขาเข้าใจมันดี เพราะเขาเองก็ถูกทั้งโลกทอดทิ้งเหมือนกัน

“ผมอยากซื้อตัวนั้น เท่าไรครับ”ทรอยใจตุ้มๆต่อมๆกลัวว่าเงินในกระเป๋าที่เหลืออยู่จะไม่พอ

เจ้าของร้านมองทรอยสลับกับชิวาว่าในกรงอย่างหนักใจ ก่อนจะตัดสินใจ

“อยากได้ก็ยกให้ฟรีๆเลย แต่ผมบอกไว้ก่อนนะว่ามันไม่สมบูรณ์ ไม่นานก็คงตาย”เจ้าของร้านด่วนสรุปง่ายๆ ทรอยไม่โต้เถียงอะไรมาก เขารีบขอบคุณแล้วยกกรงที่เปื้อนเปรอะน่าขยะแขยงนั้นขึ้นมา

“ไปอยู่กับฉันนะเพื่อน อาจไม่มีอะไรหรูๆให้นายกิน แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้นายอด”ทรอยมองตาเจ้าสุนัขตัวน้อยที่สั่นเทาส่งเสียงร้องหงิงแล้วรู้สึกอิ่มเอมในใจบอกไม่ถูก มันเหนือกว่าความสงสาร แต่นี่คือการเติมเต็ม ระหว่างเขาเพื่อนรักตัวใหม่ นัยน์ตาของชิวาว่าตัวน้อยที่มองกลับมานั้น มีแต่ความจงรักภักดีและยอมศิโรราบให้แก่เจ้านายหน้าหวานของมันผู้เดียว

 







กว่าเขาจะกลับถึงอพาร์ทเม้นท์ก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว วันนี้แม่ของเขาเลิกงานเร็วเพราะอยากใช้เวลาในวันหยุดของทรอย ในตอนแรกทรอยก็หวั่นใจว่าแม่จะไม่เห็นด้วยที่รับเจ้าชิวาว่าตัวนี้มาเลี้ยงเพราะที่ที่เราอยู่ก็เป็นห้องเช่า อีกทั้งการเลี้ยงสัตว์นั้นต้องมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกหลายอย่าง แต่ทว่า แม่ของเขากลับเข้าใจเป็นอย่างดี

เข้าใจว่าการที่ทรอยไม่มีเพื่อนที่จริงใจสักคนในชีวิต ทำให้ทรอยโหยหาความภักดีจากมุมนั้น และแน่นอน สิ่งที่ตอบโจทย์ได้คือสัตว์เลี้ยงสักตัวเนี่ยแหล่ะ

ทรอยมั่นใจว่ากับสัตว์เลี้ยงถ้าทรอยทุ่มความรักให้ จะได้รับความรักตอบกลับมา

ต่างจากมนุษย์ที่ไม่ว่าเราจะให้ใจแค่ไหน แต่เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจทุกคนก็จะมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น

ทรอยกับแม่ช่วยกันอาบน้ำให้เจ้าชิวาว่าตัวน้อย แล้วเอาเบาะนั่งอันเก่าที่ไม่ได้ใช้มาทำเป็นที่นอนให้มัน

ทรอยพึ่งสังเกตได้ว่า นอกจากเจ้าชิวาว่าตัวนี้จะตาบอดข้างซ้ายแล้ว ขาหลังข้างขวาของมันยังบิดนิดๆทำให้มันเดินไม่ค่อยจะตรงทางอีกด้วย

ทรอยลูบหัวปลอบใจมันแล้วบอกว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก ตัวทรอยเองยังมีผมหงอกก่อนวัยอันควรเลย

               เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามสี่ครั้ง ซึ่งทรอยไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นโทนี่

               “เดี๋ยวแม่ไปเปิดประตูเอง ลูกป้อนนมน้องเถอะ”แม่ของทรอยก้าวเร็วๆไปยังประตูห้องส่วนทรอยก็พยายามป้อนนมให้ชิวาว่าที่พึ่งอุปการะมาเพราะเหมือนมันจะกินอาหารเม็ดไม่ได้

               “มาซะดึกเลยโทนี่ เข้ามานี่สิมีอะไรให้ดูด้วย”ทรอยตะโกนเรียกสายตายังคงจดจ้องชิวาว่าตัวเล็กด้วยความเอ็นดู หางตาเหลือบเห็นรองเท้าคัทชูสีดำขลับมันวับมายืนอยู่ใกล้ๆ

               “โฮ่ง! โฮ่ง!”อยู่ๆเจ้าชิวาว่าที่เป็นเด็กเรียบร้อยก็ลุกพรวดขึ้นยืนแล้วส่งเสียงเห่ากรรโชกดุร้ายเท่าที่ชิวาว่าตัวหนึ่งจะดุร้ายได้ ทรอยเงยหน้าขึ้นมองคนที่สัตว์เลี้ยงของตนเห่าใส่ทันที

               “คุณเจย์!”ทรอยลุกขึ้นยืนโดยอัติโนมัติจนทำให้ถ้วยน้ำนมที่ถืออยู่หล่นกระจายเต็มพื้นห้องครัว

               เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นปนกัน ทั้งเสียงเห่าของเจ้าชิวาว่า สลับกับเสียงขอโทษของทรอย และเสียงตะโกนให้รีบเช็ดนมของแม่ มันวุ่นวายจนแขกผู้มาเยือนจำเป็นต้องเดินมาหลบอยู่ในห้องรับแขกแทน

               “เพื่อนเหรอทรอย”

               “ไม่ใช่เพื่อน นั่นหัวหน้าผม”สองแม่ลูกกระซิบกระซาบขณะเช็ดน้ำนมบนพื้นให้เกลี้ยง ส่วนเจ้าชิวาว่าตัวดีก็ยังอวดเก่งไม่เลิก เดินขากระเผลกไปยังห้องรับแขกเพื่อไปข่มขู่ผู้มาเยือน

               “ไปเอาหมามาเร็ว”แม่ของทรอยหน้าเสียเพราะเจ้าหมาตัวดีดันไปเห่าเจ้านายของลูก ทรอยรีบวิ่งไปคว้าตัวสัตว์เลี้ยงขึ้นมาไว้แนบอกแล้ววิ่งกลับเข้ามาในครัว

               “เอาหมามาให้แม่แล้วลูกไปคุยกับเจ้านายเถอะ มาดึกขนาดนี้ จะมีเรื่องไม่ดีรึเปล่าเนี่ย”แม่ของทรอยอุ้มหมาวิ่งขึ้นไปชั้นบน ภาวนาในใจไม่ให้ทรอยโดนเจ้านายไล่ออก

               ทางด้านทรอยที่กำลังเหนื่อยและตกใจสุดชีวิตก็รีบเดินกลับมาหาหัวหน้าทีมที่ยืนรออยู่กลางห้องรับแขก ในใจยังกระตุกไม่หายที่ต้องมาเจอกันกระทันหันแบบนี้

               “คุณ คุณเจย์ มาทำไมครับ เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ ผมหมายถึง เอ่อ ผ่านมาทำธุระแถวนี้เหรอครับ ฮ่าๆๆ”ทรอยหัวเราะโง่ๆออกไป มือไม้กวัดแกว่งข้างตัวเหมือนไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน ให้ตายสิ แค่คุณเจย์มา ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ทรอยกร่นด่าตัวเองในใจ และยิ่งด่าซ้ำอีกเมื่อเห็นว่าทั้งรองเท้าและปลายกางเกงสแล็คของคุณเจย์มันเปื้อนน้ำนมสีขาวไปด้วย

               “มาหาเธอ”

               “อ่อครับ เข้าใจแล้วครับ มาทำธุระแถวนี้เหรอครับ”สมาธิของทรอยยังคงจดจ้องไปที่คราบนมที่เปื้อนรองเท้าคุทชูของหัวหน้าทีม ในใจยังคิดวนไปมาว่าจะขอเช็ดให้ดีมั้ย แต่จะเว่อร์ไปหรือเปล่า แล้วคุณเจย์จะโกรธเขาจนไปฟ้องคุณพอลให้ไล่เขาออกมั้ย แต่มันก็แค่เรื่องนมเอง คงไม่หรอกมั้ง แต่ก็ไม่แน่หรอก เขายังไม่รู้นิสัยจริงๆของคนนี้เลย แทบไม่ได้คุยกัน อาจจะเป็นพวกโมโหแล้วพาลก็ได้

ทรอยคิดวนในหัวไปต่างๆนาๆ สติแทบไม่อยู่กับตัวเหมือนกับสมาธิถูกขยำให้เป็นก้อนแล้วเขวี้ยงออกไปที่ถนนแล้วมีรถแล่นมาทับจนแบน

จนกระทั่ง นิ้วเรียวยาวที่มีไออุ่นร้อนสัมผัสที่ปลายคางของเขาแผ่วเบาเพื่อให้ทรอยเลิกกังวลเรื่องรอยเปื้อนแล้วมาสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าแทน

ทรอยกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อสติของเขาที่ถูกรถทับเมื่อครู่มันไหลกลับมาที่ตัวอีกครั้ง คราวนี้ทั้งสติ สมอง และหัวใจกลับถูกดวงตาสีฟ้าหม่นคล้ายสีของดาวโลกสะกดไว้แทน

“ฉันบอกว่า มาหาเธอ”

 

 

 









..................................................................................



คุณเค้าเริ่มแล้วนะคะ><

คอมเม้นให้กันบ้างนะคะ รออ่านเม้นของทุกคนเลย

และขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจผ่านทางเม้นในเด็กดีและทวิตเตอร์นะคะ

มีคนขอ playlist มา https://spoti.fi/2CthApJ

อาจจะยังไม่ครบทุกเพลงนะคะ เอาไปเท่านี้ก่อน ^^

เจอกันบทหน้าค่า



 

 

 

                                                                 

 


ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
8



                  คุณเคยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกโป่งที่อัดแก๊สเข้าไปเต็มที่จนพองตัวขยายใหญ่เตรียมระเบิดไหม นั่นล่ะคือความรู้สึกของทรอยในตอนนี้

                  ออมเล็ตสีเหลืองหอมกรุ่นพึ่งลงจากกระทะร้อนๆ ถูกจัดวางไว้ในจานพลาสติกดูสวยงามน่าทาน ทรอยและแม่แทบจะกลั้นหายใจจนตัวเกร็งในตอนที่ออมเล็ตชิ้นหนึ่งถูกตักเข้าปากของแขกผู้มาเยือนยามค่ำคืน

                  ทรอยเผลอมองรอยบุ๋มข้างแก้มของชายที่นั่งใกล้ๆ เวลาที่เคี้ยวข้าว ลักยิ้มสองข้างของคุณเจย์จะปรากฏขึ้นชัดเจน ดูน่ามองจนเขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าสักวันอยากลองขอจิ้มลักยิ้มนั้นดู

                  “อร่อยมากครับ”

                  พอคุณเจย์พูดแบบนั้น ทั้งทรอยและแม่ต่างถอนใจกันเฮือกใหญ่ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเกร็งต้องลุ้นกันตัวโก่งขนาดนี้

                  ตั้งแต่คุณเจย์เข้ามา บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ห้องเป็นอพาร์ทเม้นโทรมๆเปรียบเหมือนกับไม้ยืนต้นที่ขาดน้ำมาบำรุงหลายวัน ตอนนี้คุณเจย์กลับทำให้บรรยากาศของห้องกลายเป็นไม้ยืนต้นที่ตั้งตระหง่านหลายต้นขึ้นติดๆกัน รกชัน เขียวครึ้ม คล้ายกับป่าสนที่มีไอหมอกกระจายปกคลุม ทั้งชุ่มฉ่ำแต่ก็วังเวง

                  หลังจากสร้างความประหลาดใจด้วยการปรากฏตัวกลางดึกแบบไม่มีที่มาที่ไป คุณเจย์ก็ทำให้ทรอยประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อแม่ของเขาถามว่าทานอะไรมาหรือยัง คำตอบที่เขาคาดว่าจะเป็น ทานมาแล้ว กลับกลายเป็น ยังครับ กำลังหิวพอดี

                  แม่ของเขาเลยเลือกจะทำเมนูง่ายๆเพื่อไม่ให้คนหิวต้องรอนาน โดยระหว่างที่รอแม่ทำอาหารในครัว คุณเจย์กับทรอยก็ไม่มีบทสนทนาใดๆทั้งสิ้น มีเพียงความเงียบน่าอึดอัด กับดวงตาที่แทบไม่ยอมละจากใบหน้าของทรอยเลย

                  “ไม่กินล่ะทรอย”แม่ของเขาถามขึ้นเพราะเห็นว่าทรอยยังนั่งนิ่งอยู่หน้าจานข้าวตัวเอง

                  “เอ่อ”ทรอยอึ่กอั่ก เพราะทุกครั้งที่ร่วมโต๊ะกัน เขาต้องรอให้เจย์ทานเสร็จก่อนแต่ครั้งนี้ แม่เขาที่ไม่รู้อะไรกลับตักข้าวใส่ปากทานพร้อมกับแขก ทรอยเหลือบมองปฏิกิริยาของเจย์ว่าจะพูดอะไรไหม จะห้ามไม่ให้เขากินพร้อมกันหรือเปล่า แต่สุดท้ายเจย์ก็ทำเพียงสนใจอาหารตรงหน้าเท่านั้น ทรอยจึงลงมือจัดการออมเล็ตตรงหน้าด้วย

                  เมื่อทานกันเสร็จ แม่ของเขาก็ขอตัวไปดูเจ้าชิวาว่าน้อยที่ยังส่งเสียงเห่าไม่เลิก แม้ตัวเองจะถูกขังอยู่ในห้อง

                  “คุณเจย์มีอะไรเหรอครับ”เมื่อเห็นว่าความเงียบกินเวลานานเกินไปแล้ว เขาจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น

                  “ไปคุยข้างนอกดีกว่า ลูกน้องเธอดูจะเกลียดฉันมาก”เจย์ลุกขึ้นจากโซฟาเก่าแล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่รอฟังคำตอบของทรอยด้วยซ้ำ

                  ทรอยรีบก้าวยาวๆตามผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย ได้ยินเสียงแม่ตะโกนบอกให้ใส่หมวกด้วยเดี๋ยวน้ำค้างโดนหัวจะไม่สบาย ทรอยจึงหยิบหมวกแก๊บสีแดงที่วางยัดๆอยู่บนชั้นวางหนังสือมาใส่โดยไม่ลืมที่จะปัดหยากไย่และคราบฝุ่นบนหมวกออกก่อน



                  เมื่อเปิดประตูออกมาทรอยถึงกับอ้าปากค้าง

                  รถสปอร์ตซีดานสุดหรูสัญชาติอเมริกาอย่างคาดิลแลค สีดำเงาวับโดดเด่นสู้แสงไฟของถนน จอดหราอยู่หน้าบ้านของเขา มันสวยมากจนทรอยเผลออุทานเป็นคำไม่สุภาพในภาษาไทย เขามัวแต่สนใจรถหรูโดยไม่ได้สังเกตุเลยว่ามุมปากของเจ้าของรถนั้นกระตุกยกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

                  “คุณเจย์ซื้อรถใหม่เหรอครับ”ทรอยถามขึ้น สายตายังคงวนเวียนชื่นชมรถหรูที่ตัวไม่มีทางได้เป็นเจ้าของ

                  “เปล่า ซื้อมานานแล้ว” เจย์ยืนพิงรถของตนก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบตามความเคยชิน

                  “สวยมากเลยครับ”ทรอยชมจากใจ

                  “เธอชอบมั้ย”

                  “ชอบสิครับ”

                  “อยากลองขับมั้ย”

                  คำถามของเจย์ทำให้ทรอยชะงักไปนิด ก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

                  “ไม่ล่ะครับ”เขาไม่ได้ขับรถยนต์มานาน ขืนขับไปทำเจ้าสปอร์ตซีดานคันนี้เป็นรอย มีหวังได้เป็นหนี้ไปตลอดชั่วชีวิต

                  เจย์พ่นควันบุหรี่ออกมา ดวงตาสีฟ้าหม่นนั้นมีแววเหนื่อยล้าจนคนมองสังเกตเห็น

                  “วันนี้คุณเจย์ไม่ได้หยุดเหรอครับ ผมนึกว่าทีมของเราได้หยุดทุกคน”เพราะเห็นว่าหัวหน้าทีมยังแต่งกายด้วยชุดทำงานเต็มยศจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยปนกับความเป็นห่วงเพียงนิด

                  “ไม่เคยได้หยุดเลย”น้ำเสียงนั้นฟังดูราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่แววตาที่มองประสานกับทรอยนั้นมีแววอ่อนล้าอยู่จริงๆ

                  “แล้วคุณเจย์มาหาผม เอ่อ มีธุระด่วนหรือเปล่าครับ”ทรอยเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว หากไม่มีอะไรเร่งด่วนเจย์ก็ไม่น่าจะมาหาเขา เพราะยังไงซะพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันที่ทำงานอยู่แล้ว

                  “ทำไมไปยืนซะห่าง ขี้เกียจตะโกนคุย”เจย์ตำหนิ แต่ทรอยกลับไม่เห็นด้วย เขาไม่ได้ยืนห่างขนาดนั้น และไม่ได้ตะโกนคุยเสียหน่อย ก็พูดกันปกติ แต่ทว่าขาสองข้างก็ยอมเดินเข้าไปใกล้เพื่อถือวิสาสะยืนพิงรถคาดิลแลคคันงามนั้นอีกคน

                  ยิ่งมาดูใกล้ๆก็ยิ่งชื่นชม รถสวยชะมัด คุณเจย์มีจากัวส์อยู่แล้ว แถมมีคาดิลแลคอีกคัน ที่บ้านคงมีฐานะมากแน่ๆ เพราะลำพังเงินเดือนของเบคเทลไม่น่าจะสูงจนซื้อรถหรูพวกนี้ได้ ยังไม่รวมนาฬิกาคริสทอพ คลาเรต์ที่ใส่อยู่เป็นประจำอีกนะ ต้องรวยขนาดไหนเนี่ย

                  “แล้วสรุปว่า…”ทรอยลากเสียงยาวเพื่อถามสิ่งที่เขาคาใจ

                  “….”เจย์ยังไม่ตอบอะไร แต่กลับล้วงมือเข้าไปด้านในของเสื้อสูทราคาแพง ก่อนจะยื่นบางอย่างให้ทรอยที่ยืนพิงรถอยู่ข้างๆ

                  “คุณเจย์ไปเอามาได้ยังไงครับ ผมทำหล่นไว้ที่ห้องนั้น…”ทรอยหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่ทำหล่นไว้ที่ห้องของจาเร็ดในโรงแรมคืนนั้น

                  “ก็ไม่ได้ยากอะไร”เจย์ตอบสั้นๆ

                  ทรอยรู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีที่โทรศัพท์ของตนกลับมาอยู่กับตัวแล้ว จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่ แต่ตอนนั้น เขาจำได้ว่าโทรศัพท์มันหล่นจนจอน่าจะแตกไปแล้วนี่นา

                  “คุณเจย์เอาไปซ่อมมาเหรอครับ”ทรอยถามคนที่ยังยืนสูบบุหรี่อยู่ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเช่นเดิม

                  “เท่าไรครับ ค่าซ่อม”ทรอยถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้คุณเจย์ยอมหันกลับมามอง

                  คุณเจย์มองเข้ามาในตาของเขานานเกือบนาทีก่อนจะพูดประโยคสั้นๆ

                  “ไม่เท่าไรหรอก เอาไว้ให้ตอนเงินเดือนออกแล้วกัน”เจย์ตัดบทง่ายๆ

                  “ขอบคุณครับ”ทรอยก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง มันเปิดไม่ติดซึ่งเขาคาดว่าแบตคงจะหมด

                  ทรอยถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะหันกลับไปมองหน้าคนข้างๆอีกครั้ง

                  “คุณเจย์ ขอบคุณนะครับ ทุกเรื่องเลย ผมขอบคุณจริงๆ”ทรอยไม่พูดเปล่า เขายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณด้วย เขารอดตายก็เพราะคนๆนี้ช่วย เขาได้งานก็เพราะคนๆนี้ช่วย เขาอยากตอบแทนมากกว่าคำขอบคุณ แต่ติดที่ว่าสภาพการเงินของเขา คงไม่มีปัญญาไปซื้อของเพื่อขอบคุณหัวหน้าทีมได้แน่

                  ใจของทรอยกระตุกหวิวทันทีเมื่อบนศีรษะสัมผัสกับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มีไออุ่นเกือบร้อน ขนาดเขาใส่หมวกอยู่ยังรู้สึกได้ถึงความอุ่นนั้นเลย

                  หัวหน้าทีมลูบหัวเขาเบาๆแล้วละมือออกไป ทรอยรีบยืดตัวตรงแล้วหันหลังพิงรถเช่นเดิม อาการทำตัวไม่ถูกกลับมาครอบงำทรอยอีกครั้ง เขาบีบมือตัวเองเบาๆสลับกับยกขึ้นเกาจมูกแก้เก้อ

                  “ดาวสวยจังครับ ถ้าคืนนี้ดาวตกคงจะดี”ทรอยพูดก่อนที่สมองจะทันคิด แล้วต้องมานึกอยากตีปากตัวเองเพราะคำพูดพวกนี้มันสุดแสนจะเห่ย เหมือนบทสนทนาของวัยรุ่นที่เอาไว้จีบสาวน้อยด้อยประสบการณ์เลย

                  ทรอยใช้หางตาแอบมองดูคนข้างๆว่ามีทีท่าอะไรไหม แต่เจย์ก็เอาแต่กอดอกแล้วแหงนหน้ามองไปบนฟ้า

                  “นั่นสิ ดาวสวยจริงอย่างที่เธอว่า”เจย์พูดเหมือนคนกำลังเหม่อลอย น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นมีเสน่ห์น่าฟังสะกดให้คนคล้อยตามได้ไม่ยาก

                  ทรอยเผลอมองใบหน้าด้านข้างที่เขากล้าเปรียบได้ว่าพระเจ้าเสกสรรให้มันงดงามรับกันไปทุกส่วนของเจย์ แล้วอดคิดในใจไม่ได้ว่า ชายคนนี้ ช่างเหมือนเทวดาที่มาโปรดเขา หรือบางที อาจจะเป็นปิศาจที่มาล่อลวงเขาก็ได้

                  “คุณเจย์ครับ ที่โรงแรมคืนนั้น ผมถูกหลอกไป ผมไม่ได้ขายตัว คุณเชื่อผมมั้ยครับ”ทรอยไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากจะพูดเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกด้วยซ้ำ

                  “เชื่อสิ”น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนจนคนฟังเผลอยิ้มให้

                  “ห้ามไปที่โรงแรมนั้นอีก”น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้ทรอยปรับอารมณ์ตามไม่ทัน มันไม่ใช่คำพูดทั่วไป สิ่งที่คุณเจย์พูด มันคือคำสั่ง และทรอยรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องทำตาม

                  “ครับ”ทรอยรับคำแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดุ

                  “ยกเว้นว่าจะไปกับฉัน”

                  ทรอยหันขวับกลับมามองผู้พูดที่ยังทำสีหน้าจริงจัง จากนั้นทรอยจึงสรุปเอาเองว่าทรอยคงฟังผิด ต้องฟังผิดแน่ๆ แต่เขาไม่คิดจะถามซ้ำให้มันชัวส์หรอกนะ

                  “’เรื่องที่ทำงาน”เจย์พูดเสียงนิ่งๆ ดวงตาของหมาป่าหันไปมองกลุ่มชายวัยรุ่นสามสี่คนที่เดินผ่านหน้า พวกนั้นเพ่งความสนใจมาที่รถสปอร์ตของเขา เจย์กระตุกยิ้มเยาะพลางนึกในใจว่าหากพวกมันมีความชั่วและความกล้าสักนิด คืนนี้เขาอาจได้ทำกิจกรรมที่เขาชอบ

                  การล่า

                  “อะไรครับ?”เมื่อเห็นว่าเจย์เงียบไป ทรอยจึงถามขึ้น

                  “เล่าให้ฟังหน่อยสิ”เจย์ละความสนใจจากพวกนั้นเพราะคนที่อยู่ข้างๆน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ เจย์มองใบหน้าด้านข้างของทรอยแล้วเผลอกัดปากตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ นึกขัดใจนิดๆที่ตอนนี้ตัวของทรอยมีกลิ่นของไอ้ลูกหมาจิ๋วนั้นติดอยู่บนเสื้อผ้า ทั้งที่ปกติแล้ว ทรอยน่ะตัวหอมมาก

                  ทรอยขมวดคิ้วทำหน้างง เล่าให้ฟังหน่อยสิ? จะให้เล่าอะไรล่ะ เรื่องที่ทำงานเหรอ?

                  แม้จะไม่เข้าใจแต่ทรอยก็จำเป็นต้องพูด ยังไงซะคนๆนี้ก็ตำแหน่งสูงกว่าเขา สั่งอะไรก็คงต้องทำตาม

                  “ก็ดีครับ เพื่อนในทีมทุกคนขยัน ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ทีมของเรามียอดขายมากกว่าทีมอื่นในบริษัทเลยครับ”

                  “แล้วทีมอื่น แผนกอื่นล่ะ เธอได้ไปทำความรู้จักมั้ย”

                  “ก็มีบ้างครับ แต่ส่วนใหญ่ผมก็อยู่แต่ในห้องของเรา เอ่อ หมายถึงห้องทำงานของทีมเรา ก็เลยไม่ค่อยเจอใคร มีตอนพักที่เจอคนอื่นบ้างตามแคนทีน แล้วก็คุยกับลุงเบนจามินที่เป็นยามบ้าง แกบอกว่าทำงานที่บริษัทนี้มาตั้งแต่หนุ่มๆ แกตลกมากเลยครับคุณเจย์ คุยสนุก แล้วก็มีป้าหัวหน้าแม่บ้านอีกคน แกชอบทำขนมแปลกๆมาฝากผมครับ แต่อร่อยทุกอย่างเลย แกเป็นคนอินเดียครับ เคยเอารูปตอนสาวๆมาโชว์ผมด้วย ป้าแกสวยมากเลยครับ หน้าคม แล้วก็….”

                  ทรอยที่ตอนแรกไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่ตอนนี้กลับพูดเจื้อยแจ้วเพลินปาก ดวงตาของทรอยเป็นประกาย ยิ่งเวลาเผลอหัวเราะหรือยิ้มยิ่งดูน่ามอง จนคนที่ยืนฟังอยู่ไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย

                  “เมื่อเย็นพวกผมไปนั่งกินกาแฟที่คาเฟ่ตรงข้ามบริษัทด้วยครับ มีผม โทนี่ แพททริคกับอลัน แอนนี่คงออกไปพบลูกค้า ร้านนั้นบรรยากาศดีมากเลยครับ แต่งร้านเรียบๆ โทนสีอบอุ่น มีต้นไม้เยอะ เค้กกับขนมก็เยอะ แต่ผมไม่รู้ว่าอร่อยมั้ย ผมยังไม่เคยลอง แบบว่า ไม่มีตังค์ครับ แต่เงินเดือนออกผมจะไปลอง”

                  “ไปด้วยได้มั้ย”

                  “อะไรนะครับ?”ทรอยมัวแต่พูดจนไม่ได้ฟังอีกคน

                  “ร้านที่เธอบอกว่าอยากไปน่ะ ไปด้วยได้มั้ย”เจย์พูดพร้อมกับยิ้มนิดๆ มือที่เคยกอดอกเปลี่ยนเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

                  “เอ่อ ได้สิครับ ใครก็ไปได้ทั้งนั้นแหล่ะ”ทรอยไม่รู้ตัวว่าตนพูดเสียงเบาลง

                  เสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มหญิงสาวที่เดินผ่านหน้าพวกเขาไปเรียกความสนใจจากทรอยให้มองตาม พวกเธอเป็นกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นที่สวยสะพรั่ง และแน่นอน พวกเธอทุกคนกำลังส่งสายตาเชื้อเชิญมาทางเขา ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าส่งมาให้หัวหน้าทีมของเขามากกว่า

                  ทรอยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาในตอนนี้ที่ใส่ชุดนอนกับหมวกแก๊บสีแดงเปื้อนๆจะไปเทียบรัศมีของคุณเจย์ที่มีครบทุกกอย่างทั้งหน้าตาที่หล่อเหลาคมคาย ความสูงไม่ต้องเทียบเพราะเจย์สูงกว่าเขาเยอะมาก ขาก็ยาว แถมยังรวยอีกต่างหาก ในสายตาพวกเธอคงมองเห็นเจย์เป็นเทพบุตรส่วนเขาคือคนรับใช้

                  รู้สึกหงุดหงิด ซึ่งทรอยก็ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไรนัก แล้วทำไมพวกเธอไม่เลิกส่งสายตามาเสียที รีบกลับบ้านไปได้แล้ว เป็นผู้หญิงยังกลับบ้านดึกขนาดนี้ พ่อแม่พวกเธอคงเหลาไม้เรียวรออยู่

                  ทรอยพ่นหายใจฮึดฮัดแล้วยืนกอดอก

                  “เป็นอะไร”เจย์ถามขึ้นเมื่ออยู่ๆก็รู้สึกเหมือนทรอยแปลกไป

                  “เปล่าครับ”ทรอยตอบกลับทันทีพร้อมส่งเสียงจิ๊ปากเบาๆอย่างห้ามไม่อยู่

                  หมาป่าอย่างเจย์แม้จะฉลาดแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจเข้าใจอารมณ์แปรปรวนของมนุษย์ได้หมด เจย์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบบุหรี่ออกมาอีกมวน

                  “คุณสูบเยอะมากเลย มันอร่อยเหรอครับ”อารมณ์หงุดหงิดยังไม่คลายเลยเผลอแขวะไปเบาๆ แต่เจย์ทำแค่ปรายตามองแล้วจุดไฟที่ปลายมวนบุหรี่ตามเคย

                  เจย์หลับตาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมากระจายคละคลุ้งร่วมกับไอหมอก ทรอยนึกสงสัยในใจว่าบุหรี่ที่เจย์สูบมันยี่ห้ออะไร ทำไมไม่เหม็นเลย

                  “อยากลองมั้ย?”เจยคีบบุหรี่ไว้ในมือก่อนจะหันมาถามด้วยรอยยิ้มที่ทรอยขอเรียกมันว่ายิ้มของพวกเพลย์บอย

                  “ผมไม่สูบบุหรี่”ทรอยตอบกลับทันที

                  “ฉันก็ไม่ได้หมายถึงบุหรี่”เจย์เอียงคอนิดๆเหมือนกำลังหยอกล้อให้ลูกแมวโมโห แต่ดวงตาที่มองทรอยนั้น ทำให้ทรอยเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่

                  มันร้อนแรง และจริงจัง ไม่ใช่การพูดเล่น

                  “…”ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตัวเล็ก

                  เจย์เฝ้ามองคนข้างๆไม่วางตา ทุกท่าทาง ทุกการกระทำของทรอย ไม่อาจรอดพ้นสายตาของหมาป่าได้

                  มือเล็กๆนั้นบีบเข้าหากัน เท้าสองข้างที่ยืนอยู่ขยับยุกยิกอยู่ไม่สุขใบหน้าหวานนั้นก้มลงมองพื้นถนนเหมือนว่าพื้นคอนกรีตนั้นน่าสนใจกว่าอะไรทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้เจย์เผลอเลียริมฝีปากอย่างห้ามไม่ได้คือแก้มเนียนๆและใบหูที่ขึ้นสีแดงชัดเจน

                  ถูกใจเขาชะมัด

                  เจย์คิดในใจ ขณะที่ร่างกายส่งกลิ่นฟีโรโมนเฉพาะตัวออกมานิดๆ

                  ในช่วงชีวิตนี้มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาควบคุมกลิ่นหอมของตนเองไม่ได้ อย่างเช่นในตอนนี้ ที่เขารู้สึกถูกใจคนตรงหน้า หรืออย่างครั้งก่อนที่เขาเขินอายเพราะคนตัวเล็กเอ่ยขอบคุณเขาหลังจากช่วยชีวิตไว้

                  เจย์กระตุกยิ้มในตอนที่ทรอยสูดหายใจเข้าลึกเพราะได้กลิ่นของเขา

                  ติ๊ดๆ  ติ๊ดๆ

              เสียงนาฬิกาข้อมือดังขึ้นทำลายความเงียบและช่วยฉุดทรอยให้พ้นจากภวังค์ของกลิ่นหอมน่าหลงใหล

                  เจย์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ก่อนจะดับบุหรี่ในมือ

                  “ต้องไปแล้ว”เจย์พูดสั้นๆขณะที่พยายามควบคุมตนเองไม่ให้ส่งกลิ่นหอมนั้นออกมา

                  “อ่อ ครับ”ทรอยมองหัวหน้าทีมที่จัดแจงเสื้อสูทตัวเองให้เรียบร้อย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

                  “คุณเจย์เหมือนซินเดอเรลล่าเลยครับ”

                  เจย์เลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนไม่เข้าใจ

                  “ก็พอนาฬิกาดัง เวลาเที่ยงคืน นางซินก็ต้องรีบจากเจ้าชายไป”ทรอยพูดยิ้มๆแต่นัยน์ตาดูหมองลงเล็กน้อย

                  “อ่อ”เจย์พยักหน้า เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับนิทานเรื่องนี้เหมือนกัน

                  ผู้เป็นจ่าฝูงมองหน้าที่หวานกว่าผู้ชายทั่วไปของคนข้างๆแล้วตัดสินใจย่นระยะห่างให้ใกล้ขึ้น สองเท้าเดินเข้าหาคนข้างๆช้าๆ

                  ทรอยที่เห็นว่าเจย์เดินเข้ามาใกล้ก็ยืดตัวตรงโดยอัติโนมัติเตรียมจะถอยหนีหากแต่ถูกวงแขนแข็งแรงกักตัวไว้ไม่ให้ขยับ ฝ่ามือใหญ่ของเจย์ยันที่รถหรูโดยมีทรอยอยู่ตรงกลาง ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเกือบฟุต

                  ยิ่งเห็นทรอยทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เจย์ก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง

                  “ฉันไม่ใช่ซินเดอเรลล่า ฉันเป็นหมาป่าที่จ้องจะกินหนูน้อยหมวกแดงต่างหาก” ไม่พูดเปล่า ดวงตาสีฟ้าหม่นจากที่จดจ้องใบหน้าหวานแกล้งมองเลื่อนขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นหมวกแก๊บสีแดงใบเก่าแทน

                  พลันสายตาของที่ทรอยแสร้งมองไปยังพื้นถนนกลับมองประสานดวงตาของหมาป่า

                  มันเป็นเสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างรอบกายละลายหายไป เหลือไว้แค่เรา…

                  เจย์เป็นฝ่ายหลับตาลงเสียเอง กลิ่นกายหอมฟุ้งพุ่งเข้าโจมตีทรอยอีกครั้ง เจย์เปิดรับสัญชาตญาณดิบของตน รับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่ายที่มันเต้นเร็วขึ้น แรงขึ้น พอๆกับหัวใจของเขาที่เต้นแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

                  หมาป่าหนุ่มพยายามสะกดอารมณ์ดิบของตนเองไว้ เขาหายใจเข้าลึกหลายครั้ง แต่นั่นกลับทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเก่า เพราะดันได้กลิ่นหอมของทรอยด้วย

                  “คุณเจย์ ตาคุณเปลี่ยนสี…”ทรอยพูดขึ้นอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆดวงตาสีฟ้าหม่นนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข็มชัดเจนมาก

                  เจย์หลับตาแน่น มือสองข้างจับที่ไหล่ของทรอยพยายามยั้งแรงตัวเองไว้จนสุดความสามารถ ไม่เช่นนั้นเขาอาจบีบไหล่ของทรอยจนระบมได้ จากนั้นจึงเลื่อนกายของทรอยให้เอนออกห่างตัวรถ

                  เจ้าของรถเปิดประตูรถแล้วหยิบบางอย่างออกมา เจย์เดินเข้าไปประชิดเสียจนแผ่นอกกว้างสัมผัสหลังของทรอย ดวงตาหมาป่าที่กลับมาเป็นสีฟ้าหม่นแล้วก้มมองคนตัวเล็กที่ยังยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก ก่อนจะใช้มือขวาของตนโอบไปด้านหน้าเพื่อยัดบางสิ่งใส่มือซ้ายของทรอย ทำให้ตอนนี้เหมือนทรอยถูกโอบกอดจากด้านหลัง

                  และนั่นยิ่งทำให้ทรอยเสียอาการยิ่งกว่าเดิม หนุ่มเอเชียยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นเหมือนยินยอมที่ถูกสวมกอด

                  “ฝันดีครับ ทรอย”เจย์โน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูของคนตัวเล็ก ทรอยสะดุ้งนิดๆเมื่อรู้สึกได้ว่าริมฝีปากอุ่นๆนั้นมันสัมผัสกับใบหูเขาด้วย

                  ทรอยไม่ตอบอะไรทั้งนั้น พอคุณเจย์คลายอ้อมกอดก็รีบวิ่งเข้าบ้านแบบไม่เสียเวลาหันมามองแม้แต่วิเดียว











                  ทรอยวิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตน ปิดประตูล็อกกลอนเรียบร้อยแล้วนั่งลงพิงประตูห้องเหมือนหมดแรง มือเล็กๆจับเข้าที่หัวใจซึ่งมันเต้นแรงจนเกรงว่าจะหลุดออกมาจากอก

                  ในหัวยังวนเวียนคิดถึงแต่เสียงนุ่มๆของเจ้านาย และสิ่งที่ทำให้ทรอยหวั่นใจมากขึ้น คือเรื่องกลิ่น

                  ทรอยมั่นใจแล้วว่ากลิ่นหอมที่ตนรับรู้นั้นมันมาจากตัวคุณเจย์ แต่ที่แย่ไปกว่านั้น คือทรอยรู้ตัวแล้วว่าเขาแพ้กลิ่นนั้น ไม่ใช่การแพ้ธรรมดา แต่เป็นการแพ้แบบยอมจำนนให้ กลิ่นของคุณเจย์มีอิทธิพลกับร่างกายของทรอย

                  ส่วนอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัวเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี

                  เขาแพ้กลิ่นของคุณเจย์ ไม่สิ เขาแพ้คุณเจย์ แพ้ผู้ชายคนนั้นหมดทุกทาง

                  “ทรอย ตั้งสติ”ไม่ใช่ว่าไม่เคยตกหลุมรัก แต่ครั้งนี้ มันมากเกินไปจนทรอยกลัวใจตัวเอง

                  “หยุดเลยทรอย อย่าคิด เค้าเป็นเจ้านาย มันไม่ได้ หยุดดิวะ”ทรอยทึ้งหัวตัวเองขณะที่หัวใจยังคงเต้นแรงสวนทางความตั้งใจ

                  ทรอยยกมือข้างซ้ายที่ถือบางอย่างอยู่ขึ้นมาดู บางอย่างที่ทำให้ทรอยรู้ตัวแล้วว่า

                  คงห้ามไม่ทันแล้ว

                  ถุงขนมสีฟ้าที่ทรอยเคยฝากโทนี่ไปให้คุณเจย์ บัดนี้มันกลับมาอยู่ในมือเขา เพียงแต่ในนั้นไม่มีขนมอยู่และด้านหน้าของถุง มีรอยปากกาหมึกซึมเขียนด้วยลายมือที่ทรอยจำได้ทันทีว่าเป็นของคุณเจย์

                  Thank.

              ให้ตายสิ เขากำลังเขินตัวหนังสือสั้นๆแค่นี้เหรอ

                  ทรอยจ้องมองถุงขนมสีฟ้าในมือพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจ วางมันไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นทรอยก็วิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง เพื่อไปหยิบเครื่องเล่นดีวีดีอันเก่าซึ่งตั้งอยู่ในห้องรับแขก แล้ววิ่งกลับมาห้องนอนของตน ไม่สนใจเสียงตะโกนของแม่ที่ห้ามไม่ให้ทรอยวิ่งขึ้นลงบันได

                  ทรอยจัดแจงต่อเครื่องเล่นดีวีดีกับลำโพงขนาดกลางที่เขาไม่ได้ใช้นานแล้วและหวังว่ามันจะยังไม่เสีย จากนั้นก็ยัดแผ่นดีวีดีกลมๆซึ่งเป็นของแม่ใส่ลงไปในเครื่องแล้วกดเล่นเพลง

                  ทรอยกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอขณะที่เสียงเพลงดังขึ้น

                  ตอนนี้ทรอยไม่แน่ใจแล้วว่า การที่เขานอนฟังเพลงรักที่ตัวเองเคยเกลียด กับการที่เขายิ้มเขินให้ถุงขนมสีฟ้า อะไรมันบ้ากว่ากัน

                 







               

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
  ทรอยอุทานคำหยาบคายต่างๆนานๆเมื่อมองไปยังถนนที่หนาแน่นไปด้วยรถ

                  เมื่อคืนทรอยแทบไม่ได้นอน กว่าจะหลับก็เกือบเช้า และนั่นเป็นสาเหตุทำให้ทรอยตื่นสาย จนต้องมาเจอช่วงเวลาเร่งรีบของทุกคน รถติดกันยาวจนสุดสายตา ทรอยมองไม่เห็นหนทางที่จะไปถึงที่ทำงานตามเวลานัดหมายได้เลย

                  วันนี้เขามีนัดคุยงานด้วย แพททริคด่าเขาแน่หากไปไม่ทัน

                  ทรอยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่ก็นึกเบอร์ใครไม่ออก เพราะข้อมูลในเครื่องถูกล้างเกลี้ยงไม่มีเหลือ มีเพียงเบอร์เดียวที่เมมไว้ เขียนว่า เจย์

                  และแน่นอนเขาไม่กล้ากดโทรหรอก แต่ว่า บางทีเขาควรจะโทรไปบอกหัวหน้าทีมดีมั้ยว่าเขาขอเข้าสายวันหนึ่ง

                  ทรอยชั่งใจขณะที่ตามองเบอร์ในโทรศัพท์ เสียงแตรรถที่ดังสลับกันไม่หยุดยิ่งทำให้ทรอยประสาทจะเสีย

                  ปิ๊น!

              ทรอยสะดุ้งเฮือกรีบกระโดดหลบเพราะคิดว่าจะโดนรถชน มีมอเตอร์ไซHerleyสีแดงดำขับมาหาเขา โดยคนขับที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

                  “พี่หลง ผมตกใจหมด นึกว่าจะโดนชน”ทรอยปาดเหงื่อที่หน้าผาก หน้าตาหงุดหงิดอารมณ์เสีย ต่างจากแฮปปี้ หรือหลงที่ยังยิ้มร่าเหมือนสุนัขได้เจอเจ้าของ

                  “มายืนเหม่อแบบนี้เดี๋ยวก็โดนชนหรอก”หลงพูดส่วนทรอยก็เอาแต่หน้าหงิก

                  “ไปทำงานเหรอ”หลงถามขึ้นเพราะเห็นว่าทรอยใส่ชุดคล้ายพนักงานออฟฟิศที่ผูกเนคไทไม่เป็น

                  “กำลังจะไป ผมหารถอยู่เนี่ย”

                  “ก็นี่ไงรถ ขึ้นมาสิเดี๋ยวพี่ไปส่ง”หลงยื่นหมวกกันน็อคให้ทรอย แต่อีกคนดูลังเล

                  “จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ”

                  “มันใช่เวลามาเกรงใจมั้ย หรือจะไปแท็กซี่ รถติดอีกเป็นชั่วโมงแน่”หลงอธิบายซึ่งทรอยก็เห็นด้วยจึงจำใจสวมหมวกกันน็อคแล้วขึ้นไปนั่ง

                  “ทำงานที่ไหนล่ะ”หลงหันกลับมาถาม

                  “เบคเทลครับ ไปด่วนเลยพี่”ทรอยตอบสั้นๆแล้วต้องรีบคว้าเอวคนจับไว้เพราะคำว่าไปด่วนของทรอย หลงคงตีความหมายว่าด่วนแบบไปทัวร์นรกด่วนๆ

                  พี่หลงยังคงขับรถได้น่าหวาดเสียวเช่นเดิม ทั้งขับแซง ขับแทรกจนคนตะโกนด่าตลอดทาง ทรอยได้แต่ก้มหน้างุด เพราะไม่อยากให้ใครจำหน้าได้

                  แต่การใช้บริการพี่หลงก็รวดเร็วสมใจจริงๆ เขามาถึงหน้าตึกเบคเทลทันเวลาฉิวเฉียด

                  “ขอบคุณครับพี่”ทรอยรีบวิ่งเข้าตึก

                  “เฮ้ยทรอย! หมวกพี่”หลงตะโกนบอกเมื่อทรอยวิ่งไปทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่ ทรอยจึงรีบวิ่งกลับมาที่พี่หลงอีกครั้ง สองมือพยายามแกะหมวกออก แต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า

                  “ใจเย็นๆครับ พี่ช่วย”หลงหัวเราะนิดๆในท่าทีเร่งรีบของทรอย สองมือกดปลดล็อคหมวกออกให้เสร็จทรอยก็วิ่งฉิวไปทางประตูเบคเทล

                  “เลิกงานพี่มารับนะ”หลงตะโกนบอก เขาเห็นทรอยยกมือขึ้นเหมือนทำท่าโอเค

                  ทรอยรีบกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นบน เสื้อผ้ายับย่น มีรอยเหงื่อและคราบเขม่ารถ เนคไทก็เบี้ยว ทรอยพยายามจัดมันให้เป็นระเบียบที่สุด ทรอยที่กำลังสนใจตัวเองอยู่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า มีดวงตาสีฟ้าของใครจับจ้องเขาตั้งแต่อยู่นอกตัวอาคารแล้ว

 

                 

 









----------------------------------------------------------------------------------------------------------



ทุกคนคะ แนะนำให้ลองฟังเพลงที่น้องทรอยฟังนะคะ ><

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอแซวคุณเจย์ได้มั้ยค๊ะ แน๊ๆๆ เค้าก็รู้หมดสิคะว่าตอนที่แล้วอลันคุยโทสับกะใคร กริ๊ด><


ในส่วนของน้องทรอย ต้องบอกว่า ลูกเราหลงเค้ามากเลยนะคะ ฮืออออออออ

ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ เจอกันบทหน้าค่า^^

                 

                                                                 

 


ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ jinutlove

  • ไม่คิดที่จะรัก
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 o13 o13 o13

สนุกมากกกกกมาต่อเร็วๆน่าาาา

ออฟไลน์ Fuzz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 
9




 





        วันนี้ทีมของทรอยไม่ได้อยู่ทานอาหารเช้ากัน เนื่องจากมีงานด่วนเข้ามาให้แก้ไข โดยเกิดจากความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของฝ่ายออกแบบซึ่งก็คือทรอย การดีลงานกับลูกค้ารายล่าสุดมีบางอย่างที่เข้าใจไม่ตรงกันทำให้งานออกมาผิดพลาด ทรอยโดนทั้งลูกค้าทั้งแพททริคบ่นจนหูแทบชา แต่ยังดีที่มีแอนนี่กับโทนี่คอยปลอบใจว่าทรอยเป็นมือใหม่ เรื่องทำพลาดมันก็มีกันทุกคน ส่วนอลันที่ดูจะไม่ค่อยสนใจอะไรก็ยังอุตส่าห์เดินมาตบบ่าเขาเบาๆซึ่งสำหรับคนอย่างอลันนั้น แค่นี้ก็เหมือนคำปลอบใจชุดใหญ่แล้ว

               ส่วนหัวหน้าทีมของเขานั้น ตั้งแต่เข้าบริษัทมาเขายังไม่เห็นแม้แต่เงา

               วันนี้เป็นวันที่เรียกว่าชีวิตทรอยกำลังเจอด่านทดสอบจิตใจว่าจะแข็งแกร่งพอไหมที่จะไม่ระเบิดคำว่า Fuck ออกมาดังๆ ตั้งแต่เรื่องแก้งานที่พลาด โดนลูกค้าด่า หยิบเสื้อเชิ้ตตัวที่ไม่รีดมาใส่ ถุงเท้าก็ข้างละสี แถมหน้าผากยังมีสิวอักเสบผุดขึ้นอีก

               ทรอยสั่นหัวไล่ความเครียดที่มันไม่ยอมหลุดจากตัวเสียที เขากระชับงานในมือเตรียมจะเดินไปอีกแผนกเพื่อประสานงาน กำลังจะเข้าลิฟต์ก็เข้าไม่ทัน จึงได้แต่ถอนหายใจแรงๆแล้วเดินขึ้นบันไดไปหลายต่อหลายขั้น

               ทรอยอารมณ์เสียเกินกว่าที่รอยยิ้มของแอนนี่จะเยียวยาได้ หลังจากต้องแก้งานไปหลายจุดก็ถึงเวลาพักเสียที

               หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนเดินกลับมาที่ห้องทำงานของทีมอย่างหมดแรง ในห้องนั้นไม่มีใครอยู่สักคน สงสัยจะออกไปทานข้างนอกกัน พอนึกถึงอาหาร ท้องของทรอยก็เริ่มส่งเสียง

               “ยังไม่ได้กินข้าวเช้านี่นา”ทรอยทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงาน เริ่มรู้สึกเวียนหัวเพราะใช้สมองและแรงกายไปเยอะบวกกับยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ทรอยคิดว่านั่งพักสักครู่แล้วจะเดินลงไปหาอะไรกินนอกตึกดีไหม หรือจะไปขอให้ป้าแม่บ้านของบริษัททำอะไรให้กินดี

               ทรอยตัดสินใจลุกขึ้นยืน เขาบิดตัวไปซ้ายทีขวาทีจนกระดูกลั่นดังคล้ายเสียงกิ่งไม้หัก ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วเตรียมเดินออกไปร้านอาหารนอกตึก

               แต่พอเปิดประตูห้องทำงานออก ทรอยกลับต้องชะงักอ้าปากค้าง เมื่อเจอเข้ากับร่างสูงใหญ่ของคนที่ทรอยยังตัดสินใจไม่ถูกว่าตัวเองนั้น อยากเจอ หรือ ไม่อยากเจอ

               “คุณเจย์”อาการอยู่ไม่สุขเริ่มกำเริบอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมที่มันหล่นลงมาปรกหน้า

               “ทรอย”เจย์ที่กำลังจะเดินเข้าในห้องก็ชะงักเท้าเช่นกัน ในมือถือแฟ้มเอกสารบางอย่างที่อ่านค้างไว้แต่เจย์เลือกที่จะปิดแฟ้มลงเมื่อเจออะไรที่มันน่าสนใจกว่าตัวหนังสือมากมาย

               “เอ่อ”ทรอยไม่รู้จะเริ่มพูดคุยอย่างไร ในใจเริ่มเต้นแรงหนักขึ้นทุกที เขาพยายามสงบสติแล้วด่าตัวเองกลายๆว่าอย่าทำตัวเป็นเด็กสาววัยมัธยมที่กำลังหลงรักรุ่นพี่ในทีมบาสเกตบอล มันดูน่าอาย แต่ว่า วันนี้คุณเจย์ใส่แว่นด้วย คุณเจย์สายตาสั้นเหรอ หรือว่าสายตายาว แต่…คุณเจย์ตอนใส่แว่นมัน หล่อมากเลยครับ

               ทรอยแก้มแดงเรื่อเมื่อต้องสบตากับหัวหน้าทีม

               “จะไปไหนเหรอ”เจย์ถอดแว่นสายตาออก ดวงตาสีฟ้าหม่นจับจ้องผู้ชายตรงหน้า

               “กำลังจะไปทานข้าวกลางวันครับ คุณเจย์ไปทานด้วยกันมั้ยครับ”มันเป็นประโยคที่ทรอยเคยตัว เมื่อพูดถึงทานข้าวก็ต้องชวนคนอื่นด้วยตามมารยาท แต่อันที่จริง ที่ชวนครั้งนี้ไม่นับเป็นมารยาทหรอก นับเป็นความหวังมากกว่า

               “ฉันกินแล้ว เธอไปเถอะ”

               พอเจย์พูดแบบนั้นทรอยก็หน้าหมองลงทันที ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้ามาทีละนิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าให้แล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

               ถ้าไม่ติดว่าคุณหัวหน้าทีมใช้มือข้างหนึ่งยันประตูไว้เพื่อกักไม่ให้ทรอยเดินต่อ

               “เอ่อ อะไรครับ”ทรอยถามเสียงแผ่วลง รู้สึกใจกระตุกเมื่อเจย์โน้มใบหน้าเข้ามาเสียใกล้จนเขาเริ่มเสียอาการ

               “หลังเลิกงาน รอฉันด้วย”น้ำเสียงของเจย์มันทำให้รู้สึกว่าเป็นการหว่านล้อมให้ใจอ่อน ทั้งที่แท้จริงแล้วมันเป็นคำสั่ง

               “ทำไมเหรอครับ”ทรอยหลุบตาต่ำไม่กล้าสู้ดวงตาสีฟ้าหม่นนั่น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปมาอยู่ไม่ไกล คาดว่าคงเป็นพนักงานในตึก พวกนั้นต้องเห็นเขากับเจย์ในตอนนี้แน่ๆ แต่ดูเหมือนคุณหัวหน้าทีม จะไม่แยแสสายตาใครทั้งนั้น

               ทรอยกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก เริ่มลุกลี้ลุกลนเพราะกลัวคนอื่นจะเห็น สองมือประสานเข้าหากันสลับกับการเขี่ยนิ้วตัวเองเล่นอย่างเคยตัว

               “ร้านกาแฟที่เธอบอก”คุณเจย์ไม่พูดเปล่า กลับใช้นิ้วชี้ของตนสอดเข้ามาในมือซ้ายที่ทรอยกำมือไว้หลวมๆด้วย และนั่นยิ่งทำให้ทรอยกลายร่างเป็นรูปปั้นที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหูและแก้มขึ้นสีแดงก่ำ ดูคล้ายผลของมะเขือเทศที่กำลังสุกปลั่ง

               “ฉันอยากกิน”เจย์ดึงนิ้วชี้ของตนออกมาจากกำมือของทรอยแล้วจับเข้าที่มือนุ่มที่สั่นเล็กน้อยก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ ทรอยรับรู้ได้เลยว่ามือของคุณเจย์มันใหญ่กว่ามือของตนเองมาก

               “ไปด้วยกันนะ”เจย์เอียงคอเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มขึ้นเพียงนิด

               ใครจะปฏิเสธรอยยิ้มแบบนี้ได้ ไม่มีหรอก ทรอยแหล่ะคนหนึ่งที่ยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้า

               “ครับ ผมจะรอ”

 

               หลังจากผ่านพ้นวิกฤติใจเต้นแรงเกินลิมิท อารมณ์เบิกบานของทรอยก็เริ่มเดือดขึ้นอีกครั้งเมื่อช่วงบ่ายของการทำงานอันสงบต้องพังลงเพราะไฟฟ้าของบริษัทเกิดลัดวงจร และงานของทรอยที่กำลังจัดการอยู่ในคอมนั้นหายวับไปภายในเสี้ยววินาที แต่เป็นวินาทีแห่งความบรรลัยเพราะทรอยยังไม่ทันได้เซฟงานก่อนที่คอมจะถูกตัด ความหวังสุดท้ายของทรอยคืออลัน คนเก่งด้านไอทีแบบอลันน่าจะกู้ไฟล์งานของเขาได้ แต่ทว่าตอนนี้อลันก็ไม่อยู่ ในห้องทำงานมีเพียงเขากับโทนี่ ซึ่งโทนี่เองก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน ดูเหมือนจะทะเลาะกับแพททริค แต่เขาก็ไม่ได้ถามว่ามีเรื่องอะไรกัน ช่วงบ่ายแพททริคเดินกระแทกเท้าออกจากห้องทำงานไป ส่วนโทนี่ก็ไม่พูดไม่จา นั่งหน้างออยู่ที่โต๊ะทำงาน บรรยากาศโดยรอบคุกรุ่นจนแต่ละคนไม่อยากจะเปิดปากคุยกัน

               ส่วนแอนนี่ สาวสวยเพียงคนเดียวในทีม เธอออกไปกับคุณเจย์ตั้งแต่ช่วงบ่ายยังไม่กลับมาเลย คงไปพบลูกค้าอีกตามเคย

               พอนึกถึงแอนนี่ เจ้าตัวก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี

               แอนนี่ในชุดเดรสสีชมพูกระโปรงพริ้วๆทำให้เธอดูเหมือนเจ้าหญิงในดงดอกไม้ แต่ว่าวันนี้ดูเหมือนเธอจะสดใสน้อยลงกว่าที่เป็น ใบหน้าสวยดูอิดโรย ผมดัดเป็นลอนที่เคยจัดเซทให้เหมือนลอนคลื่น บัดนี้ดูยุ่งเหยิงกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นทรอยก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าแอนนี่เป็นผู้หญิงที่สวยมากจริงๆ

                “ไปหาขนมกินก่อน เดี๋ยวมา”โทนี่พูดขึ้นแล้วก้าวเร็วๆเพื่อจะออกจากห้อง ทรอยอดยิ้มตามไม่ได้เมื่อเห็นว่าแอนนี่เดินไปซบไหล่พี่ชายฝาแฝดของเธอเหมือนเหนื่อยล้า โทนี่ก็รีบลูบหัวปลอบโยนสองสามครั้งแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป

               ตอนนี้ทั้งห้องจึงเหลือแค่ทรอยและแอนนี่

               “ไงทรอย วันนี้เป็นยังไงบ้าง”แอนนี่เดินมาใกล้แล้วถามตามมารยาท ทรอยไม่ได้คิดไปเองว่าแอนนี่ดูโทรมกว่าปกติจริงๆ เรียวปากอิ่มที่เคยมีเคลือบด้วยลิปสติกบัดนี้มันซีดและแห้ง

               “ไม่ค่อยดีเท่าไรครับ แล้วคุณล่ะ วันนี้ดูเหนื่อยๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า”ทรอยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดูเหมือนแอนนี่จะป่วย

               “เหนื่อยน่ะ พอถึงช่วงนี้จะเหนื่อยมากเลย”แอนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ก็ยังมีรอยยิ้มน่ารักประดับบนใบหน้า

               “ทำงานเหนื่อยเหรอ เห็นออกไปกับหัวหน้าทีมบ่อยๆ”

               “งานก็ด้วย เรื่องส่วนตัวก็ด้วยค่ะ”แอนนี่ทำหน้างอแง

               “แล้วที่ออกไปกับคุณเจย์วันนี้ ไปไหนกันมาเหรอ”ทรอยลืมตัว ถามรายละเอียดลงลึกไปนิด บางทีมันอดไม่ได้ที่จะถามถึงอีกคน

               “เปล่า วันนี้เจย์พาไปโรงแรมW แล้วก็พาไปเอายา อ่อ แวะคุยงานก่อนเข้าบริษัทด้วยนิดหนึ่ง”แอนนี่พิงสะโพกที่โต๊ะของโทนี่ ใบหน้าดูง่วงงุน

               “เอ๋?”ทรอยคิ้วขมวด เมื่อครู่ที่แอนนี่พูดว่าเจย์พาไปโรงแรมW มันคือโรงแรมเดียวกับที่เขาเกือบถูกจาเร็ดเล่นงานนี่นา

               “อุ๊ย!”แอนนี่ยกมือขึ้นปิดปากเพราะพึ่งรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากพูดอะไรออกไป เธอยิ้มแห้งให้ทรอยก่อนจะขอตัวไปชงกาแฟกิน

               ทรอยนั่งนิ่งอยู่กลางห้องทำงานขนาดใหญ่เพียงคนเดียว สมองหวนคิดไปถึงเรื่องโรงแรมWที่โทนี่เคยเล่าให้ฟังว่า มันเป็นโรงแรมที่มีไว้ให้คนรวยมาใช้บริการ พูดง่ายๆก็คือ ลูกค้ามักจะหิ้วหญิงหรือชายที่ขายบริการเกรดดีๆมาเปิดห้องที่โรงแรมนั้น

               จริงๆแล้วทรอยเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดีเลยล่ะ และตอนนี้ความทรงจำหลายๆเรื่องก็พุ่งเข้าใส่จนทรอยเริ่มปวดหัว

               ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่เบคเทล ทรอยเคยสังเกตว่าเวลาคุณเจย์ไปไหนมาไหน จะพาแอนนี่ไปด้วยเสมอ แม้อลันจะบอกว่าทั้งคู่ไปคุยงานกับลูกค้า แต่ความจริงแล้ว มันอาจมีอะไรมากกว่านั้น

               คุณเจย์เอ็นดูแอนนี่ นั่นคือสิ่งที่ทรอยเคยคิด แต่บัดนี้ในสายตาของทรอยความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันดูจะเกินเลยคำว่าเอ็นดูไปแล้ว

               เขาเคยเห็นแอนนี่เกาะแขนคุณเจย์อย่างสนิทสนม เขาเคยเห็นคุณเจย์ลูบหัวแอนนี่อยู่หลายครั้ง

               ทรอยหลับตาแน่น ภาพบางอย่างเข้ามาในหัว

               เมื่อครู่ที่แอนนี่คุยกับเขา เขาดันเผลอเห็นรอยบางอย่างที่คอของหญิงสาว มันเป็นรอยสีแดงจ้ำคล้ายรอยคิสมาร์ก

               อาการปวดเริ่มลามจากหัวลงมาที่หัวใจ

               ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลยนะ แอนนี่สวยขนาดนี้ กับคุณเจย์ที่เพอร์เฟคไปทุกอย่าง มันจะเป็นไปได้เหรอที่ทั้งสองคนจะไม่ถูกดึงดูดเข้าหากัน

               เป็นไปไม่ได้

               แล้วถ้าอย่างนั้น สิ่งที่คุณเจย์แสดงออกกับเขา มันคืออะไร?

               ทรอยลุกขึ้นยืน จากปวดใจก็เริ่มเจ็บใจ

               สิ่งที่คุณเจย์ปฏิบัติกับเขา ถ้าใครเห็นก็ต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณเจย์กำลังจีบเขา

               แล้วกับแอนนี่ล่ะ มันคืออะไร?

               ทรอยรู้สึกเหมือนเลือดในกายกำลังเดือด อารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วปะทุขึ้นมากกว่าเก่าเมื่อพบว่าแท้จริงแล้ว คุณเจย์เพียงแค่เล่นๆกับเขา

               แต่เขากลับยื่นหัวใจของตัวเองให้อีกคนโดยไม่ระแวดระวังอะไรเลย
               ทรอย ไอ้หน้าโง่

               เมื่อเริ่มมองเห็นอะไรมากขึ้น ทรอยก็ยิ่งเจ็บใจหนักกว่าเก่า ตอนที่คุณเจย์จับไหล่เขาไว้ ทำให้เขามองเห็นแหวนสีดำที่แกะลวดลายรูปหัวสุนัขหมาป่า ซึ่งมันเป็นลายเดียวกันกับเข็มกลัดของแอนนี่ที่เธอมักจะกลัดมันไว้ที่อกเวลาใส่ชุดทำงาน

               ทรอยเคยอกหัก เขาเคยเสียใจกับความรัก แต่กับคราวนี้ มันแย่กว่านั้นตรงที่เขาไม่เคยแม้แต่ได้รับความรักจากอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

               “ช่างแม่…”ทรอยสบถออกมาเบาๆ เขาไม่ร้องไห้แม้จะเจ็บใจแค่ไหน แต่ความโกรธมันมีมากกว่า ทรอยกวาดอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานของตนจนหลายอย่างหล่นลงกับพื้น เขาสูดหายใจลึกๆหลายครั้ง แล้วหยิบกระดาษสำหรับวาดรูปที่มีสีพื้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนออกมากางบนโต๊ะ ก่อนจะละเลงสีน้ำมากมายลงบนกระดาษแผ่นนั้นโดยไม่ใช้พู่กัน ระบายความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดลงไปและไม่แคร์ว่าตัวเองจะเปื้อนแค่ไหน เขาไม่สน

นี่ล่ะชีวิตของเขา ถ้ามีความสุขมากเกินไป นั่นคือเรื่องผิดพลาดของพระเจ้า

               ทรอยยอมรับความจริงข้อนี้แล้ว…

 





               หลังเลิกงาน ชุดของทรอยก็เปรอะเปื้อนไปด้วยสีสันมากมาย คนในบริษัทเดียวกันต่างถามเป็นเสียงเดียวกันว่าทรอยทำไมตัวเลอะขนาดนี้ ส่วนคำตอบของทรอยก็คือการกระตุกยิ้มแล้วบอกว่า มันสนุกดี

               ทรอยเดินออกมาหน้าตึกของเบคเทล ที่ถนนของกรุงนิวยอร์คหนาแน่นไปด้วยรถติด ควันดำ เสียงแตร และความหงุดหงิดของผู้คน ทรอยเห็นมอเตอไซHarleyคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากที่ทรอยยืน

               จริงสิ พี่หลงบอกจะมารับ เขาลืมเสียสนิท

               ทรอยถอนหายใจ อย่างน้อยกลับกับพี่หลงก็ประหยัดค่าเดินทาง นับว่าเป็นเรื่องดีเล็กๆน้อยๆ

               ทรอยที่กำลังจะก้าวเท้าต้องหยุดชะงัก เพราะถูกรถคาดิลแลคสีดำหรูหราแล่นมาจอดขวางหน้า ไม่บอกก็รู้ว่าใคร

               เจย์ลดกระจกลงแล้วมองสภาพของทรอยที่เหมือนไปตกถังสีมาด้วยความสงสัย

               “ทำไมตัวเปื้อนขนาดนี้”เจย์ถามคนที่ยืนอยู่นอกรถ

               “มันสนุกดีครับ”ทรอยพูดเสียงนิ่งแล้วแสร้งทำมองไปทางอื่น

               “ขึ้นรถสิ ไปร้านกาแฟกัน”เจย์แม้ไม่เข้าใจคำว่าสนุกดีของทรอยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก พวกมนุษย์มักมีความคิดซับซ้อนและการกระทำประหลาดๆให้น่าแปลกใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

               “ผมไม่อยากไป”ทรอยตอบด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ แต่หูของหมาป่ากลับได้ยินมันชัดทุกคำ

               “ทำไมล่ะทรอย หรือเราจะเดินข้ามถนนไป แต่ฉันว่าให้คุณเจย์ขับวนรถไปจอดที่ร้านดีกว่า ไม่อยากเดินอ่ะ แหนื่อย”

               อารมณ์โมโหตีขึ้นผสมกับความน้อยใจ เมื่อทรอยพึ่งสังเกตว่าที่นั่งข้างคนขับคือสาวสวยคนเดียวในทีม

               คุณเจย์นัดเขาโดยที่มีแอนนี่ไปด้วย ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าคุณเจย์ไปกับแอนนี่โดยมีเขาไปด้วยถึงจะถูกสินะ

               “วันนี้ผมไม่สะดวกครับ เอาไว้วันหลังแล้วกัน”ทรอยพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัดและเด็ดขาด เขาแอบเห็นว่าคิ้วคมเข้มของเจย์กระตุกและขมวดเข้าหากัน

               “ไม่สะดวกเพราะอะไร”เจย์ถามย้ำ ดวงตาสีฟ้าหม่นมองที่ทรอยนิ่งๆ

               “ผมมีนัดแล้ว”

               “กับใคร”เจย์ถามกลับแทบจะทันที ซึ่งในความคิดของทรอย การมาถามอะไรแบบนี้มันเสียมารยาทนะ แต่ครั้งนั้นคุณเจย์ก็เคยถามต้อนเขาแบบนี้ เรียกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเลย ทำอย่างกับเขาเป็นลูกน้อง เอ่อ ใช่ ก็เป็นลูกน้อง แต่นี่มันเลยเวลาทำงานแล้ว จะมาใช้อำนาจกับเขาได้ยังไง

               “ผมไม่สะดวกตอบ”ทรอยเชิดหน้าขึ้นนิดๆ ด้วยหน้าตาและท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้เจย์อยากจะบีบจมูกรั้นๆนั่นให้มันแดงไปเลย

               “ไม่สะดวกยังไง”เจย์ยังไม่ลดละ

               “ก็ผมมีนัดแล้ว”

               “กับใคร”

               “คุณเจย์ ผมว่าคุณละลาบละล้วงมากเกินไปหน่อยนะครับ”ทรอยเริ่มเดือดจนกล้าที่จะสู้สายตากับหัวหน้าทีมที่นั่งอยู่ในรถ

               “เหรอ แล้วนัดกับใครล่ะถ้าไม่ใช่ฉัน”

               ทรอยถอนหายใจ ขี้เกียจเถียงให้มันยืดยาวไปกว่านี้

               “นัดกับเพื่อนครับ”ทรอยตอบสั้นๆสายตามองไปทางพี่หลงที่จอดรถรออยู่

               ด้านจ่าฝูงหมาป่าที่มองตามสายตาของทรอยไปก็เริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่เมื่อเห็นว่าผู้ชายที่จอดรถอยู่ไม่ไกลมากเป็นคนเดียวกับที่มาส่งทรอยเมื่อเช้า

               ดวงตาสีฟ้าหม่นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าที่เข้มขึ้น แต่คนนอกรถยังคงไม่สังเกตเห็น

               “ทรอยขึ้นรถ ฉันจะไม่พูดซ้ำอีก”เจย์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกแต่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้ปืนจ่อมาที่หัวของทรอยให้ทำตาม

               “คุณจะพูดซ้ำเป็นร้อยรอบผมก็จะตอบแบบเดิมครับ ผมไม่สะดวกไป ขอตัวครับ”ทรอยก้มหัวนิดๆแล้วเดินสลับกับวิ่งไปหาพี่หลงที่จอดรถรออยู่ ไม่สนใจเสียงเรียกของแอนนี่เลยด้วยซ้ำ

               “เจย์คะ”แอนนี่มองหน้าจ่าฝูงของเธอแล้วใจไม่ดี มือของเจย์ที่กำพวงมาลัยรถนั้นบีบแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวขึ้นชัด ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองไปที่คนสองคนซึ่งกำลังช่วยกันใส่หมวกกันน็อคแล้วขับออกถนนไป

               เจย์ไม่ใช่คนใจเย็นนัก เขาเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมาข้างนอก มือหนึ่งรีบหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ส่วนหญิงสาวที่นั่งในรถก็ทำได้แค่เงียบลง เพราะรู้ว่าตอนนี้ไม่สมควรจะไปพูดหรือขัดอะไรเจย์ทั้งนั้น

               เจย์ยืนสูบบุหรี่นอกรถจนหมดมวนแล้วยังคงยืนนิ่งจ้องมองไปที่ถนนซึ่งมีรถแล่นผ่านไปมาไม่ขาดสาย นานเกือบสิบห้านาที จนกระทั่งอลันขับดูคาติสีแดงคู่ใจมาจอดใกล้ แล้วเอ่ยถามว่าทำไมมายืนตรงนี้

               เจย์ไม่ตอบอะไรยังคงมองที่ถนนไม่หยุด

               “อลัน”

               “ครับ”อลันดับเครื่องยนต์มอเตอไซค์ของตนแล้วก้าวเข้าไปหาจ่าฝูงที่ยืนนิ่ง

               “แลกรถกัน นายเฝ้าแอนนี่ เรียกแพททริคกับโทนี่มาอยู่กับแอนนี่ด้วย”เจย์พูดรัวเร็วแล้วเดินไปคร่อมดูคาติของอลันแล้วขับออกไปอย่างเร็ว ทิ้งให้อลันยืนงงอยู่แบบนั้น

               “เป็นไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นเหรอ”อลันเข้าไปนั่งแทนที่คนขับ ยกมือขึ้นลูบหัวแอนนี่ที่นั่งพิงเบาะอย่างหมดแรง

               “ทรอยกับเจย์เถียงกันน่ะ ไม่ดีเลยอลัน เราตามเจย์ไปดีมั้ย”แอนนี่พูดด้วยสีหน้ากังวล

               “เจย์ไม่ได้บอกให้ตามไป”อลันตอบแค่นั้นแอนนี่ก็เข้าใจว่าอลันกำลังบอกว่าถ้าตามไปมันคือการขัดคำสั่งของจ่าฝูง

               “เป็นห่วงทรอยจัง ดูตาของเจย์สิ”แอนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้แต่อลันเองก็พลอยกังวลไปด้วยเพราะดวงตาสีฟ้าหม่นที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มของจ่าฝูงนั้น มันดุดัน น่ากลัว ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเฉพาะตอนที่เจย์อยากจะขย้ำศัตรูให้ตายสถานเดียว



ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0



ทรอยก้าวเข้าประตูบ้านในตอนที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดิบพอดี

               หนุ่มลูกครึ่งไทยจีนจัดการเปิดไฟในห้องรับแขกแล้วบอกให้พี่หลงนั่งรอ ส่วนทรอยก็เดินหายเข้าไปในครัวเพื่อรินน้ำเปล่ามาให้แขกตามมารยาท

               “บ๊อก บ๊อก!”

เสียงเห่าที่เต็มไปด้วยความยินดีของเจ้าชิวาว่าตัวน้อยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของทรอยคลายได้บ้าง

               “ไงเฮกเตอร์ คิดถึงนายเหมือนกัน มานี่มา”ทรอยอุ้มลูกสุนัขชิวาว่าที่แม่ของเขาตัดสินใจตั้งชื่อมันว่า เฮกเตอร์ ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าชายคนสำคัญแห่งกรุงทรอย

               “เฮ้ ทำไมนายไม่กินอะไรเลย”ทรอยหน้ายู่ลง สองมืออุ้มเจ้าเพื่อนรักตัวจิ๋วขึ้นมาแล้วทำเสียงดุ แต่เจ้าหมาน้อยก็ได้แต่ตีหน้ารื่นแม้ร่างกายจะผอมโซ

               “น่ารักเชียว”หลงที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาในครัวส่งยิ้มให้เจ้าชิวาว่าในมือทรอย แต่เจ้าตัวดีกลับแยกเขี้ยวใส่โดยไม่สนขนาดและสภาพของตัวเอง

               “ชื่อเฮกเตอร์”ทรอยลูบหัวสุนัขของตนเพื่อให้มันใจเย็นลง แต่มันยังคงไม่ต้อนรับแขกอย่างหลงอยู่ดี

               “ชื่อเท่ห์ดี”หลงเอ่ยชมแล้วแอบสอดส่ายสายตากวาดมองไปทั่วบ้าน ก่อนที่สายตาจะเบนกลับมามองเจ้าของบ้านที่ยังลูบหัวลูบหางเจ้าชิวาว่าอยู่

               น่าสงสาร หลงคิดในใจ ความเป็นอยู่ของทรอยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อก่อนครอบครัวของทรอยร่ำรวยมากขนาดที่ว่าบ้านใหญ่เทียมคฤหาสน์ก็ว่าได้ แต่ยัดนี้ กลับต้องมาอาศัยทาวเฮ้าท์สองชั้นที่ทั้งเก่าและคับแคบ หลงยังคิดไม่ออกเลยว่าหากเขาเป็นทรอย เขาจะอยู่ได้ไหม ในใจก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมที่ทรอยยังสามารถยิ้มได้แม้จะผ่านเรื่องแย่มามาก

               แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม

               กาลเวลาและความลำบากพรากความสดใสไปจากชีวิตของทรอย แม้ภายนอกทรอยจะดูไม่เป็นไร แต่หลงกลับรู้สึกได้ว่าทรอยเปลี่ยนไป หลังจากได้เจอกันอีกครั้ง

               ทรอยแกร่งขึ้น แต่ก็ก้าวร้าวขึ้นด้วย มันเหมือนทรอยมีกำแพงกับทุกคนรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่กับเขาที่เคยสนิทกับทรอยมาก

               “พี่หลง มันไม่ยอมกินอะไรเลย นมก็กินนิดเดียว”เสียงพูดของทรอยทำให้หลงเลิกคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

               “พาไปหาหมอไหม สัตว์แพทย์น่ะ เจ้านี่มันดูขี้โรคยังไงไม่รู้”หลงให้ความเห็นและถูกเจ้าชิวาว่าเห่ากระโชกใส่ทันที

               “จริงด้วย เฮกเตอร์มานี่”ทรอยวางลูกสุนัขลงกับพื้นแล้วก้าวไปยังห้องรับแขก ค้นหาอะไรบางอย่างที่วางบนชั้นวางโทรทัศน์ หลงมองเห็นว่ามันคือกระดาษขนาดเท่าเอสี่

               “เมื่อวันก่อนแม่เจอใบปลิวมันหล่นอยู่แถวหน้าบ้าน พี่ดูสิ”ทรอยยื่นใบปลิวแผ่นบางในมือให้หลงดู

               “ร้านรักษาสัตว์เปิดใหม่ ลดราคาค่ารักษา50%”หลงอ่านตัวอักษรขนาดใหญ่บนแผ่นกระดาษนั้น มันไม่ได้ถูกพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ แต่น่าจะเป็นลายมือคนเขียนมากกว่า ตรงด้านล่างมีแผนที่วาดไว้ด้วย

               “ลองพาไปมั้ยล่ะ น่าจะไม่แพงมาก”หลงเสนอ ถึงจะแพงเขาก็ยินดีจะช่วยจ่ายให้อยู่แล้ว

               “พี่จะพาไปเหรอ”ทรอยทำหน้ากังวลเหมือนเกรงใจ

               “ก็ต้องงั้นสิ ไปเลยมั้ยล่ะ หมาของนายมันดูเหมือนจะหมดแรงเลย”

               “ผมเกรงใจ”ทรอยตอบตามตรง

               “นายก็เหมือนน้องพี่คนหนึ่ง พี่ยินดีช่วยเสมอ เอาเป็นว่า พี่ช่วยนายครั้งนี้เพื่อลบล้างเรื่องที่เราเคยทะเลาะกันเมื่อก่อน ตกลงมั้ย”หลงพยายามโน้มน้าว ซึ่งก็ได้ผล

               “ก็ได้ครับ อุ้มไปเลยหรือต้องใส่กรงดี”ทรอยแม้จะไม่อยากพึ่งใครแต่เขาก็อดห่วงเจ้าชิวาว่าน้อยไม่ได้ มันแทบจะไม่กินอะไรเลย ร่างกายผอมโซเหมือนจะหมดแรง แต่ก็ยังไม่วายอวดดีเห่าขู่คนอื่นได้

               “อุ้มไปเลยก็ได้มั้ง ตัวนิดเดียวเอง ใส่กรงไปพี่ว่านายจะนั่งลำบาก”

               ทรอยพยักหน้ารับ แล้วจัดแจงเช็คเงินในกระเป๋า ก่อนจะออกจากบ้านก็ไม่ลืมที่จะเขียนโน้ตสั้นๆแปะไว้ที่ตู้เย็น เผื่อว่าแม่ของเขาเลิกงานมาแล้วไม่เจอทรอย จะได้รู้ว่าทรอยพาเจ้าเฮกเตอร์ไปหาหมอ

             

               นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่พี่หลงจอดรถข้างทางเพื่อดูแผนที่

               “แผนที่ร้านมันวาดผิดหรือเปล่า”พี่หลงบ่นอย่างหัวเสีย เพราะยิ่งขับตามแผนที่ในกระดาษกลับยิ่งกลายเป็นออกนอกเมืองไกลมากขึ้นทุกทีและยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง

               ตึกสูงมากมายเริ่มหายไปจากสายตา ริมถนนพอจะมีมินิมาร์ทอยู่บ้างแต่ก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ถนนที่จากเดิมมีแสงไฟส่องสว่างก็เริ่มน้อยลง มีเพียงไฟหน้ารถเท่านั้นที่สาดส่องเข้าหาความมืด หลงตัดสินใจเดินหน้าขับต่อไปอีกนิด อุตส่าห์ขับมาตั้งไกลขนาดนี้แล้วลองเดินหน้าอีกสักหน่อย บางทีร้านเปิดใหม่อาจจะตั้งอยู่ในทำเลที่ห่างไกลผู้คนก็ได้

               แต่ยิ่งขับมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววจะเจอร้านในใบปลิวที่พกมาด้วยเลย คนน้องที่นั่งซ้อนท้ายดูท่าว่าจะถอดใจแล้วจึงตะโกนสู้เสียงลมบอกให้หลงจอดถามร้านมินิมาร์ทข้างหน้า

               “ซื้ออะไรกินมั้ย”หลงจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่ไฟหน้าร้านมันติดๆดับๆ แต่ข้างในยังพอมีของขาย

               “ไม่ครับ พี่ไปถามนะ ผมรอข้างนอก ไม่รู้ร้ายเขาห้ามเอาหมาเข้าไปหรือเปล่า”ทรอยยืนพิงรถมอเตอไซค์ด้วยใบหน้าที่เห็นได้ชัดว่าเซ็งสุดๆ มือหนึ่งอุ้มเฮกเตอร์มาซุกไว้ที่อกเพราะอากาศข้างนอกมันเย็นมาก

               ทรอยมองหลงที่เดินเข้าไปในร้านแล้วยื่นใบปลิวให้พนักงานขายที่หน้าตาเหมือนไม่ต้องการรับลูกค้า ตรงเคาเตอร์มีกระป๋องเบียร์ที่เปิดแล้วอยู่หลายกระป๋อง ดูท่าคนขายคงจะเปิดร้านเพื่อดื่มเองมากกว่าจะอยากขายให้คนอื่น

               เฮกเตอร์ที่ตอนแรกเหมือนจะหลับเริ่มยุกยิกอยู่ไม่สุก

               “ดิ้นทำไม”ทรอยดุชิวาว่าน้อยที่เริ่มดิ้นสู้แรงมือมากขึ้นทุกทีและไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อฟัง พี่หลงก็ยังไม่เห็นออกมา ทรอยเหลือบมองไปด้านในร้าน เห็นพี่หลงและคนขายกำลังหัวเราะร่วนเหมือนคุยกันถูกคอ และทรอยคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องฟุตบอลที่ทีวีในร้านเปิดโชว์หราอยู่

               “เฮกเตอร์ อย่าดิ้น”ทรอยชักจะหงุดหงิด เจ้าเฮกเตอร์ดิ้นแรงขึ้นเรื่องๆพร้อมกับส่งเสียงครางหงิง ทรอยจึงนึกออกว่าสงสัยเจ้าลูกสุนัขของตนคงจะปวดฉี่

               เขามองไปรอบๆ แถวนี้มีตึกซอมซ่อตั้งอยู่ประปราย มีพงหญ้าและต้นไม้สูงหนาทึบอยู่อีกฟากของถนน ทรอยไม่กล้าให้เฮกเตอร์ปลดทุกข์หน้าร้านมินิมาร์ทแน่ จึงเดินข้ามไปอีกฝั่งแล้วปล่อยชิวาว่าน้อยลงกับพื้นหญ้ารกชัน

               “เฮ้ย! เฮกเตอร์!!”ทรอยตะโกนลั่น พอปล่อยให้เท้าเล็กๆนั่นแตะพื้นเจ้าชิวาว่าก็วิ่งพรวดหายเข้าไปในดงหญ้าและความมืด ทรอยรีบวิ่งตามโดยไม่ทันคิด มือหนึ่งควักโทรศัพท์ออกมาเพื่อเปิดฟังก์ชั่นไฟฉายแล้วส่องที่พื้นเพื่อหาลูกสุนัขของตน

               “เฮกเตอร์! หยุด!” ทรอยตะโกนอย่างหัวเสีย เขาวิ่งตามตูดเจ้าเฮกเตอร์ไปติดๆ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าชิวาว่าที่ดูอิดโรยอยู่ๆจะคึกวิ่งหนีเขากระเจิงแบบนี้

               ทรอยเกือบจะจับตัวเฮกเตอร์ได้หลายหน แต่ชิวาว่าตัวเล็กก็หลุดรอดมือเขาไปแทบทุกครั้งจนทรอยเริ่มโมโห เขาสาดแสงไฟเห็นเจ้าเฮกเตอร์วิ่งอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนักจึงตัดสินใจพุ่งตัวกระโดดตะครุบชิวาว่าตัวแสบเอาไว้ได้ หน้าของทรอยโดนความคมของหญ้าบาดไปหายที่จนมีรอยบาดข้างแก้มและหน้าผาก ทั้งตัวเลอะไปด้วยฝุ่นดินและน้ำโคลนที่วิ่งย่ำผ่านมา

               “ไอ้หมาดื้อ! หยุดดิ้นไม่งั้นเจอดีแน่!”ทรอยตะคอกแล้วจับชิวาว่าในมือไว้มั่น เฮกเตอร์พยายามดิ้นรนหนีจากมือของทรอยแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงมนุษย์ที่ตัวใหญ่กว่าได้

               “ดี อยู่นิ่งๆ”ทรอยอ้าปากหอบหายใจนั่งหมดแรงโดยที่ในมือยังจับเฮกเตอร์ไว้

               “…”พอเฮกเตอร์หยุดดิ้น สติของทรอยก็เริ่มกลับมา เขาหยิบโทรศัพท์ที่ใช้เป็นไฟฉายขึ้นมาส่องไปรอบๆ มีเพียงความมืด

               ทรอยกลืนน้ำลายลงคอ ความมืด ความหนาว และความเงียบ ทำให้โสตประสาทของทรอยเริ่มตึงเครียด นี่เขาวิ่งมาไกลแค่ไหนกัน มองไม่เห็นถนนเลย

               “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินกลับไปตามรอยเท้าเดิม ไม่ต้องกลัวนะเฮกเตอร์”ทรอยพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบแต่นั่นกำลับทำให้เสียงของทรอยที่ดังก้องฟังดูหลอนหูจนทรอยไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อ

               สุนัขในมือตัวสั่นเทาครางหงิงจนทรอยต้องเอามือคอยลูบปลอบโยนมัน

               ทรอยใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องไปตามพื้นเพื่อมองหาร่องรอยการวิ่งของตัวเอง เห็นรอยรองเท้าผ้าใบของตนประทับอยู่บนพื้นดินจึงเดินตามรอยนั้นไป แสงไฟค่อยๆไล่ส่องตามหาร่องรอยที่พื้น

               “นั่นไง”ทรอยกระซิบบอกเฮกเตอร์อยู่ตลอดว่าเจอรอยเท้าตัวเอง

               “นั่นก็ใช่ อีกนิดเดียวก็กลับบ้านได้แล้ว”ทรอยพยายามไม่สนใจความมืดรอบตัว เสียงลมที่พัดโหยหวนเข้าหู สายตาและสมาธิเพ่งไปยังพื้นดินเพื่อมองหารอยเท้าของตน มีรอยเท้าเล็กๆของเจ้าเฮกเตอร์อยู่บ้างในบางจุด เขาส่องไฟไปเรื่อยๆ จนเจอกับรอยเท้าสุนัขที่ขนาดใหญ่กว่ารอยเท้าของชิวาว่า

               ทรอยแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก สายตายังคงมองหารอยรองเท้าตัวเองแล้วเดินตามไป แสงไฟจากโทรศัพท์ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี ท่ามกลางความมืดมิด ไฟฉายยังคงส่องให้เห็นรอยรองเท้าผ้าใบของทรอย รอยเท้าเล็กๆของชิวาว่าและเท้าสุนัขที่มีเล็บยาวแหลมคม

               เอ๊ะ

               ทรอยชะงักเท้าและหยุดแสงไฟไว้ที่ขาของสิ่งที่คาดว่าจะเป็นสุนัขที่โตเต็มวัย   

               ทรอยค่อยๆเลื่อนไฟฉายขึ้นไล่ดูสิ่งที่อยู่ห่างจากตนไม่กี่เมตร จากขาของสุนัขที่มีขนสีดำเรื่อยจนมาถึงใบหน้าของสุนัขหมาป่าตัวเขื่องพอๆกับหมาไซบีเรียนฮัคกี้ ดวงตาของมันเรืองรองสะท้อนไฟฉาย ปากที่ยื่นยาวแยกเขี้ยวเหมือนแสยะยิ้มปล่อยน้ำลายให้ไหลหล่นลงพื้น

               ทรอยหยุดนิ่ง แม้แต่เฮกเตอร์ก็นิ่งไปด้วย เขาค่อยๆถอยเท้าทีละก้าวเพื่อที่จะถอยห่างสุนัขหมาป่าตรงหน้าทีละนิด ช้าๆ ค่อยๆถอย

               ทรอยใจชื้นได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องร้องเสียงหลง เมื่อสุนัขหมาป่าตรงหน้าที่ยืนนิ่งบัดนี้มันย่อตัวพุ่งกระโดดมาทางทรอยเหมือนต้องการฝากฝังคมเขี้ยวให้จมเนื้อ เสียงขู่คำรามของมันดังก้องไปทั่ว ทรอยขวัญกระเจิงหันหลังแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต!



             

 







----------------------------------------------------------------------------------



เจอกันบทหน้าค่ะ

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

10


 






               สหรัฐอเมริกาเป็นแหล่งกบดานของหมาป่าที่แฝงตัวอยู่กับมนุษย์มากเป็นอันดับต้นๆ และแน่นอนนิวยอร์กซิตี้มีจำนวนมนุษย์หมาป่านับไม่ถ้วน ปัจจุบันทุกตัวต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆปะปนกับผู้คนอย่าทำอะไรให้มนุษย์สังเกตเห็น นั่นทำให้หมาป่าต้องงดกิจกรรมโปรดคือการล่า ต่างจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่พวกเราต่างใช้ชีวิตโดยไม่ระวัง เผลอเปิดเผยสัญชาติญาณดิบหลายต่อหลายครั้ง จนมนุษย์เริ่มสังเกตเห็น และนั่นทำให้เกิดสงครามเงียบกลางมหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้

               จากผู้ล่าจึงกลายเป็นผู้ถูกล่า บรรดามนุษย์หมาป่าที่แฝงตัวอยู่ค่อยๆโดนจับตัวไปทีละนิด บ้างก็ถูกจับไปทดลองบ้างก็ถูกฆ่าตายไปเลยก็มี และทุกอย่างถูกปกปิดเป็นความลับของรัฐบาลชาวมนุษย์ จนกระทั่ง ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้น

               ท่ามกลางสงครามของมนุษย์และหมาป่า เจย์ และบรรดาเพื่อนพ้องในฝูงผู้มาจากแดนไกล เลือกจะใช้วิธีเจรจากับผู้นำของอีกฝ่าย

               เจย์รู้ดีว่าสิ่งที่มนุษย์ทำต่อหมาป่านั้น เกิดจากความกลัว จึงยื่นข้อเสนอว่า ต่อจากนี้ เจย์จะเป็นควบคุมหมาป่าทุกตัวในนิวยอร์กซิตี้ จะไม่มีการล่ามนุษย์ ไม่มีการทำร้ายมนุษย์ พวกเราจะอยู่กันเงียบๆ ไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ

               มันเป็นช่วงเวลาแห่งความโกลาหล เพราะหมาป่าบางตัวไม่ยอมรับที่จะอยู่ใต้อำนาจของเจย์ เนื่องจากพวกเราเคยต่างคนต่างอยู่ ไม่มีหัวหน้า ไม่มีจ่าฝูง ใช้ชีวิตภายใต้อิสรภาพมาโดยตลอด อยู่ๆจะยอมศิโรราบให้หมาป่าตนใดตนหนึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้

               และดูเหมือนเจย์จะเข้าใจถึงข้อนี้ดี จึงเลือกใช้วิธีดั้งเดิมของสัตว์ป่า ผู้แข็งแกร่งคือผู้ชนะ

               เจย์และสมาชิกอีก4คน ต่อสู้กับหมาป่าที่แข็งข้อจำนวนมาก และทุกตัว พ่ายแพ้ให้กับฝูงของเจย์

               ไม่มีหมาป่าตัวไหนจะกล้าท้าทายลองดีอีก เพราะเห็นแล้วว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน และจำได้ฝังใจ ถึงความเด็ดขาดของเจย์ ต่อต้าน เท่ากับ ตาย

               ร่างหมาป่าของเจย์คือสายพันธ์โบราณที่เหลืออยู่น้อยนิดในโลกนี้ เปรียบได้กับราชาของบรรดาหมาป่าทั้งปวง ขนสีดำเหมือนท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีหมู่ดาวจรัส คมเขี้ยวแหลมยาวผนวกกับกำลังของสันกรามที่งับคอศัตรูให้หักเป็นสองท่อน แต่ที่น่าเกรงขามมากที่สุด เห็นจะเป็นขนาดของร่างหมาป่าที่สูงใหญ่เทียบเท่ากับกวางมูส ใครได้พบเห็นคงต้องบอกว่าเจย์ในร่างหมาป่าตอนกำลังจัดการศัตรูเหมือนสุนัขที่คอยเฝ้าประตูนรกเฉกเช่นเซอร์เบอรัส

               ผู้ต่อต้านถูกกำจัด ข้อตกลงกับมนุษย์เป็นอันเสร็จสิ้น

               เจย์กลายเป็นจ่าฝูงที่ควบคุมเขตนิวยอร์กอย่างสมบูรณ์ มนุษย์หมาป่าทุกตัวจะต้องรายงานตัวกับเจย์ มีการจดทะเบียนรายชื่อเพื่อเก็บข้อมูล แม้แต่หมาป่าจากที่อื่นหากต้องการเข้ามาในนิวยอร์ก ก็ต้องรายงานกับฝูงของเจย์ด้วย

               มันน่าอึดอัดเพราะสัตว์ป่าไม่ควรถูกควบคุม แต่ก็ยอมรับว่าความเป็นอยู่ของมนุษย์หมาป่าภายใต้การปกครองของเจย์มันดีขึ้นชัดเจน มีพื้นที่ให้ออกล่าสัตว์ แต่ห้ามล่ามนุษย์เด็ดขาด มีโรงแรมหลายแห่งไว้ให้บริการหมาป่าสำหรับเวลาที่ต้องการปลดปล่อย หมาป่าทุกตัวในอาณาเขตของเจย์ มีงานทำ มีชีวิตที่ดีขึ้น

               พวกเราแสร้งลืมตัวตนแล้วสวมหน้ากากมนุษย์ผู้ถูกขัดเกลากลมกลืนไปกับสังคม

สัญชาติญาณสัตว์ป่าถูกกดเอาไว้ แต่…ไม่ได้หายไป

               จาเร็ดเฝ้ามองเหยื่อที่ตนหมายตาไว้จากมุมมืด เจ้าหนุ่มนั่นกำลังเดินเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยงเหม็นๆแล้วอุ้มกรงลูกหมาพิการออกมา

               หลังจากเกิดเรื่องที่โรงแรมวันนั้น เขาตามเจ้านั่นไปจนถึงทาวเฮ้าส์โทรมๆที่ทรอยซุกหัวอยู่ แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะเข้าประชิดตัวเหยื่อได้เลย เพราะแทบทุกเย็น สมาชิกคนหนึ่งในฝูงของเจย์จะหอบอาหารมาทานที่บ้านของมันจนดึกดื่น จาเร็ดสืบทราบว่าทรอยได้เข้าทำงานในเบคเทลกรุ๊ปและอยู่ใกล้ชิดกับเจย์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า จ่าฝูงคนนั้น หมายตาเจ้าเด็กทรอยอยู่

               หึ ก็ดีน่ะสิ

               จาเร็ดกระตุกยิ้ม เขาเกลียดเจย์มาตลอด แต่เพราะความกลัวเลยไม่กล้าจะทำอะไร แต่กับครั้งนี้เขาจะไม่ยอม

               ไอ้ผู้ชายเอเชียนั่นบังอาจทำเขาบาดเจ็บสาหัส หากเขาไม่ได้เป็นมนุษย์หมาป่าที่ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้เร็ว ป่านนี้เขาคงตาบอดไปแล้ว ยังไงความแค้นครั้งนี้ก็ต้องเอาคืน

               จาเร็ดเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของทรอยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีโอกาสให้เขาลงมือ แต่เขาก็ไม่คิดจะลงมือในพื้นที่ๆมันใกล้ฝูงของเจย์ขนาดนี้หรอก และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขาบ้างแล้ว หมาพิการของทรอยดูใกล้ป่วยตายเต็มที เขาจึงลองวาดแผนที่เพื่อลวงให้ทรอยออกไปให้ให้ห่างจากใจกลางย่านควีนส์ ทุกอย่างดูเหมือนจะพลาดไปหมด เพราะคนที่เจอแผนที่คือแม่ของทรอย ซ้ำร้าย เย็นนั้นคนที่มาหาทรอยดันเป็นเจย์ เขารีบวิ่งหนีให้ห่างจากตรงนั้น นึกกลัวเหลือเกินว่าเจย์จะได้กลิ่นของตนเอง

               แต่ในที่สุดความพยายามของเขาก็เป็นผล จาเร็ดซ่อนกายแอบมองทรอยที่พึ่งเลิกงาน ดูว่าวันนี้จะมีหมาป่าตัวไหนไปป้วนเปี้ยนกับทรอยอีกหรือเปล่า แต่ทว่า เจ้านั่นดันกลับกับเพื่อนที่เป็นมนุษย์แทน จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะตามประชิดตัว บางที เขาอาจจะล่อให้ทรอยออกมาจากบ้านแล้วทำให้สลบจากนั้นค่อยพาตัวไปยังที่นั่น

               ที่สำหรับเกมส์การล่าของหมาป่า

               ใช่แล้ว หมาป่าทำข้อตกลงเอาไว้ว่าจะไม่ล่าและทำร้ายมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงต้องพูดว่า เราจะไม่ล่าให้ใครรู้ต่างหาก

               กิจกรรมการล่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพียงแต่ยังไม่มีมนุษย์คนไหนล่วงรู้และจับพิรุธได้ ส่วนใหญ่พวกมนุษย์ก็ฆ่ากันเองรายวันอยู่แล้ว หมาป่าก็แค่สวมรอยจัดการให้ศพให้ดูเหมือนคนฆ่ากันเอง เท่านี้ก็เรียบร้อย

               จะให้หมาป่าหยุดกินเนื้อ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

               วันนี้โชคเข้าข้างเขาจริงๆ จาเร็ดกระตุกยิ้ม เมื่อเห็นว่าทรอยอุ้มลูกหมาตัวจ้อยออกมาพร้อมกับกระดาษที่เขาเป็นคนวาดแผนที่ลวงเอง

ทรอยกับเพื่อนของมันกำลังเดินทางไปสู่กับดักที่เขาวางไว้ จาเร็ดไม่รอช้า รีบขับรถตามทรอยและเพื่อนทันที

แม้ว่าทรอยจะยังไปไม่ถึงจุดที่เขาต้องการ แต่เท่านี้ก็มากพอแล้ว ขอเพียงล่อทรอยให้ออกห่างจากใจกลางฝูงชน

ได้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องง่ายๆ

               จาเร็ดแอบซุ่มดูอยู่ในความมืด เฝ้ามองเพื่อนของทรอยที่เข้าไปในร้านมินิมาร์ทแล้วทิ้งให้ทรอยรออยู่ข้างนอกกับลูกหมา จาเร็ดกระตุกยิ้มเหี้ยมก่อนจะเปลี่ยนคืนสู่ร่างเดิม ร่างหมาป่าขนสีดำทมิฬ จากนั้นจึงส่งเสียงขู่คำรามที่ดังไม่มาก แต่ก็มากพอจะขู่ให้ชิวาว่าตัวน้อยนั้นหวาดกลัวและวิ่งหนีกระเจิงเข้าไปสู่ความมืด

               ทุกอย่างช่างเป็นใจ ทรอยวิ่งตามลูกหมาตัวนั้นไป จาเร็ดไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปทันที

 







               ทรอยรู้สึกหายใจไม่ทันเมื่อร่างกายแบกรับความเหนื่อยล้าจนถึงขีดจำกัด เนื้อตัวของทรอยเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลนและฝุ่นละอองที่ปลิวมาตามสายลมที่พัดกระโชกแรง รองเท้าผ้าใบสีแดงและกางเกงยีนส์สีซีดที่เปลี่ยนตอนก่อนจะออกมาจากบ้านมีร่องรอยถลอกและเศษหญ้าที่ทรอยเหยียบย่ำระหว่างวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต

               อากาศยามค่ำคืนที่เย็นเยือกบวกกับอัตราการเต้นของหัวใจที่สูบฉีดเร็วผิดปกติทำให้ทรอยต้องรีบยกมือที่ถือโทรศัพท์อยู่ขึ้นกุมหน้าอกตัวเองไว้ มืออีกข้างยังคงอุ้มเฮกเตอร์ไว้แน่น

               เขาจำไม่ได้ว่าเขาล้มระหว่างวิ่งหนีไปกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ฝีเท้าวิ่งช้าลงเขารู้สึกได้ถึงคมเขี้ยวและเล็บแหลมที่ยื่นมาที่เท้าและน่องของเขา หากเขาไม่ได้ใส่กางเกงยีนส์ขายาวไว้ ป่านนี้ขาทั้งสองข้างคงถูกสุนัขหมาป่านั่นตะปบฝากฝังรอยแผลไว้แน่

               ทรอยวิ่งหนี ตะโกนร้องท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์ในมือเท่านั้น ยิ่งได้ยินเสียงขู่คำรามจากด้านหลังทรอยยิ่งต้องวิ่งต่อไปแม้ว่าจะเหนื่อยจนแทบจะก้าวขาไม่ไหวก็ตาม

               เขาไม่รู้ว่าตนหนีมาไกลเท่าไร หูของเขาอื้ออึงและเริ่มปวดหน่วงข้างใน แต่ก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์ที่วิ่งตามมาชัดเจน

               ท่ามกลางความมืดรอบกาย ทรอยมองเห็นแสงสว่างลางๆอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไม่รอช้าเขารีบวิ่งไปทางนั้นทันที ด้วยหวังว่าจะเจอบ้านคนหรือร้านค้าหรืออะไรก็ได้ที่สามารถช่วยเขาจากสถานการณ์นี้ได้

               ทรอยขาสั่นในตอนที่วิ่งขึ้นเนินดินที่เริ่มสูงชันขึ้น เขาอ้าปากหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด เสียงฝีเท้าสัตว์ร้ายที่วิ่งตามมาดูเหมือนจะหายไปแล้ว

               ทรอยลองเสี่ยงดวงหันกลับไปดูด้านหลัง ส่องไฟฉายไปทั่วแต่ก็ไม่พบสุนัขหมาป่าที่วิ่งตามมาเมื่อครู่

               หรือมันจะไปแล้ว?

               ทรอยปลอบใจตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นเนินไปยังแสงสว่างแทนที่จะวิ่งกลับไปทางเดิม เพราะอาจจะบังเอิญเจอหมาป่าตัวนั้นเข้า

               เมื่ออยู่บนจุดสูงสุดของเนินดิน ทรอยกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอที่แห้งผาก เหงื่อไหลท่วมกายแม้อากาศจะเหน็บหนาว ทรอยกอดเจ้าเฮกเตอร์แน่นขึ้นเพราะรู้สึกว่าชิวาว่าของตนกำลังหนาวสั่น

               แสงสว่างที่ทรอยเห็น มาจากไฟสปอร์ตไลท์ที่ติดตั้งกระจายไปยังจุดต่างๆ ไฟนั้นติดๆดับๆ แม้จะมีแสงสว่างไม่มาก แต่ก็ทำให้ทรอยพอจะมองเห็นว่าเบื้องหน้าของทรอย เป็นเหมือนลานกว้างที่ใช้เก็บตู้คอนเทนเนอร์มากมาย มีรถยนต์สภาพเก่าผุพังหลายคันจอดทิ้งไว้ ที่นี่ดูเหมือนเป็นที่เก็บของหรือไม่ก็เป็นที่ทิ้งซากสิ่งของที่โทรมชำรุด

               ทรอยหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้งเพราะกลัวว่าหมาป่าตัวนั้นจะมาหาตนอีก เมื่อเห็นว่าไม่มีจึงรีบยกโทรศัพท์ของตนชูขึ้นสูงเพื่อหาสัญญาณมือถือ หน้าจอโชว์ให้เห็นว่ามีสัญญาณอ่อนๆอยู่ ทรอยยิ้มกว้างก่อนจะชะงักมือ

               เขาจำเบอร์ใครไม่ได้เลย เขาแทบไม่ได้โทรหาใครนอกจากแม่ แต่เบอร์แม่ที่เคยบันทึกไว้ในเครื่องตอนนี้ก็หายไปแล้ว ข้อมูลทั้งหมดหายไปเพราะคุณเจย์นำมือถือเขาไปซ่อมและไม่ได้สำรองข้อมูลไว้ สัญญาณอินเตอร์เน็ตยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตรงนี้เหมือนที่ห่างไกลความเจริญ เหมือนพื้นที่รกร้าง ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้

               หน้าจอโทรศัพท์มีเพียงเบอร์เดียวที่ถูกบันทึกไว้

               คุณเจย์

               ทรอยรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จะมัวลังเลหรือหยิ่งผยองไม่ได้ คุณเจย์เป็นคนเดียวที่เขาจะขอความช่วยเหลือได้

               ทรอยกดโทรออกเป็นนาทีเดียวกับที่น่องของเขาถูกงับ

               “โอ๊ย!! Fu*k!!!”ทรอยร้องลั่นด้วยความตกใจ ความเจ็บแล่นเข้ามาถึงโสตประสาท คมเขี้ยวของสุนัขหมาป่าฝังอยู่ในเนื้อน่องของเขา

               ทรอยถูกกระชากจนล้มคว่ำไปข้างหน้า เฮกเตอร์กระโจนหนีออกจากมือแล้ววิ่งเตลิดไปในความมืด

               ทรอยพยายามลุกนั่ง ขาข้างที่ไม่ถูกกัดยกขึ้นถีบเข้าที่ใบหน้าของสุนัขหมาป่าที่ยังไม่ยอมหยุดลากเขา จนกระทั่งเท้าของทรอยเตะเข้าที่จมูกของมันอย่างจัง หมาป่าตัวนั้นจึงได้ยอมละจากขาเขา แต่มันยังไม่ยอมจากไป ยังคงจ้องทรอยที่สั่นผวา ทรอยไม่รอช้าลุกขึ้นแล้ววิ่งไปข้างหน้าเพื่อหนีจากคมเขี้ยว แผลที่ถูกกัดมีเลือดไหลซึมออกมาจนย้อมสีกางเกงยีนส์ให้กลายเป็นสีแดงฉาน

               ทรอยเจ็บจนมันชา นาทีนี้เขาต้องลืมความเจ็บปวดแล้วหนีเอาชีวิตรอดให้ได้

               เขาวิ่งไปยังลานเบื้องหน้าแล้วเลือกที่จะเปิดประตูซากรถยนต์คันหนึ่งที่จอดทิ้งไว้ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังเพราะรถที่ถูกทิ้งไว้ไม่ได้ล็อคประตู

               ทรอยปิดประตูรถเก่าที่ข้างในมีแต่ฝุ่นจับหนาแน่น หยากไย่โยงใยไปทั่วรถ มีแมงมุมตัวเล็กไต่ไปมาให้เห็นอยู่บ้างท่ามกลางแสงสลัว

               ทรอยมองไปด้านนอกรถเพื่อหาหมาป่าที่หมายจะทำร้ายตน นึกโล่งใจที่มองไม่เห็นมัน บางทีมันอาจจะไปแล้ว

               “นี่มันวันห่าเหวอะไรของกูวะ”ทรอยสบถเป็นภาษาไทยที่เขาแทบไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ทรอยส่องไฟฉายจากมือถือไปที่น่องของตน ร้องโอดโอยเบาๆเมื่อมันเจ็บแปลบ ยิ่งเห็นว่าเลือดเปื้อนขากางเกงยีนส์มากมายทรอยยิ่งรู้สึกใจไม่ดี เขาค่อยๆถลกปลายกางเกงขึ้นเพื่อดูแผล

               รอยแผลที่โดนกัดไม่ได้ลึกมากอย่างที่คิด มีเลือดไหลซึมออกมาและมีไขมันจากผิวหนังไหลเยิ้มออกมาเพียงนิด เขาพยายามกดแผลของตนไว้แต่เลือดก็ยังไหลซึมออกมาบ้าง

               ทรอยพยายามตั้งสติ สิ่งแรกที่เขาควรจะทำตอนนี้คือขอความช่วยเหลือ โชคดีที่เมื่อครู่เขาไม่ได้ตกใจจนทิ้งโทรศัพท์ แต่ทว่า เจ้าเฮกเตอร์กลับหลุดมือวิ่งหนีหายไปแล้ว ทรอยใจเสียนึกกลัวว่าชิวาว่าของตนอาจไม่มีชีวิตรอด

               ไม่มีสัญญาณมือถือ ทรอยพยายามยกโทรศัพท์ขึ้นสูงจนแตะด้านบนของรถที่ตนนั่งอยู่แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น บางทีเขาอาจต้องรอจนเช้า อย่างน้อยกลางวันเขาก็น่าจะมีโอกาสรอดมากกว่ายามค่ำคืนแบบนี้ หรือบางทีพี่หลงอาจจะตามหาเขาอยู่ ถ้าโชคดีหน่อยพี่หลงอาจจะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยตามหาเขาอีกแรงก็ได้

               ทรอยหายใจเข้าออกช้าๆ ขนที่หลังคอลุกชันขึ้นเมื่อมองไปรอบๆตัว

               ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ๆน่าอภิรมย์ มันเหมือนเป็นดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง มีแต่ซากของเก่า และตู้คอนเทนเนอร์ผุพังสนิมเกาะ หมอกควันที่ฟุ้งกระจายโดยรอบยิ่งทำให้ที่นี่วังเวงยิ่งกว่าเดิม ในตู้พวกนี้มีอะไรอยู่

               ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นฉากจากภาพยนตร์เกี่ยวกับซอมบี้ที่พุ่งตัวออกจากตู้คอนเทนเนอร์แล้วไล่กัดกินมนุษย์

               ทรอยกลืนน้ำลายไม่ลง เขาอ่านหนังสือมาเยอะและรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังเผชิญนั้นเป็นกลไกการป้องกันตัวพื้นฐานของร่างกาย สมองของมนุษย์จะชักจูงให้เราคิดในแง่ร้ายไว้ก่อนเพื่อที่เราจะระวังภัยระวังตัวไม่พาตนเองไปสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตราย ทรอยรู้ดี แต่ก็สลัดภาพน่ากลัวจากหนังไม่ได้ ยิ่งมองขาของตัวเองที่มีเลือดไหลซึมเขายิ่งคิดในแง่ร้ายมากขึ้น บางทีหากรอจนถึงเช้า แผลของเขาอาจจะติดเชื้อ ลุกลามจนต้องตัดขาทิ้ง หรือบางที อาจจะไม่มีใครตามหาเขา เพราะชีวิตนี้เขาไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย

               ไม่สิ เขายังมีแม่

               ทรอยย้ำเตือนตัวเองซ้ำๆ เขาไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีคนที่รักเขา ยังมีคนที่ต้องการเขา แม่จะต้องตามหาเขา แม่จะไม่ทิ้งเขาไปเหมือนอย่างที่พ่อทำ

               ทรอยเม้มปากแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์และความกลัวของตน แต่ก็ทนไม่ไหวจนได้ เมื่อมันถึงขีดสุดเขาก็จำต้องปล่อยโฮร้องไห้ออกมา มือสองข้างกอดตัวเองไว้แน่น พยายามปลอบตัวเองสลับกับการคิดแต่เรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

               พลันรอบกายก็มืดสนิทลง ทรอยหยุดร้องไห้และกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามมองไปรอบๆ ไฟสปอร์ตไลท์ที่เคยติดๆดับๆ บัดนี้มันดับไปแล้ว มีเพียงความมืดโอบล้อมตัวเขาอยู่

               ทรอยรีบกดเปิดไฟฉายในมือถือของตน พอหน้าจอสว่างเขาก็เผลอร้องลั่นใจกระตุกเพราะดันตกใจหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่ตรงกระจกของรถ

               ใจของทรอยแทบจะหลุดจากอกอีกครั้ง เมื่อรอบกายที่มืดลงกลับมาสว่าง ไฟสปอร์ตไลท์ทำงานอีกครั้ง ทำให้ทรอยมองเห็นสุนัขหมาป่าสีดำตัวเดิมยืนอยู่ด้านหน้าห่างจากรถที่เขานั่งอยู่ไม่กี่เมตร





               ดวงตาสีแดงของมันจ้องเข้ามาในรถ ทรอยกลัวจับใจจนเผลอร้องตะโกนลั่นเมื่อมันกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคารถ จากนั้นก็ใช้เท้าตะกุยและขย่มจนเกิดเสียงดัง ทรอยรีบเอามืดปิดหูของตน ยิ่งเสียงเล็บของมันขูดหลังคารถมากเท่าไร ทรอยก็ยิ่งสติแตกเท่านั้น

               “ไม่ต้องกลัว! ไม่เป็นไรทรอย! มันเข้ามาไม่ได้! ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!”ทรอยตะโกนบอกกับตัวเอง เขาเพียงแค่รอในรถเท่านั้น อยู่ในนี้เขาจะปลอดภัย เพราะสุนัขมันไม่มีทางเข้ามาในรถนี้ได้

               เสียงที่ดังบนหลังคารถนั้นสงบลง ความเงียบมาเยือนอีกครั้ง

               ทรอยมองไปรอบๆพร้อมกับเงี่ยหูฟังว่าหมาป่ายังอยู่บนหลังคารถหรือเปล่า ทุกอย่างนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหว มันเงียบมากจนทรอยคิดว่าได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง



               กริ๊ก ... แอ็ดดดดดด

               เสียงบางอย่างดังขึ้นด้านหลัง ทรอยหันไปมองพบว่าประตูรถของเบาะหลังค่อยๆเปิดออกกว้าง ร่างของหมาป่าขนดำค่อยๆเยื้องกายมาใกล้ก่อนจะกระโดดเข้ามาที่เบาะหลัง

               เขี้ยวของมันเฉี่ยวหัวทรอยไปแค่ไม่กี่เซนต์ ทรอยร้องเสียงหลงรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งสุดฝีเท้า

               ทรอยวิ่งไปตามทางที่รายล้อมไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์เก่าๆที่มีมากมาย อย่างน้อยตู้พวกนี้ก็ทำให้สถานที่นี้คล้ายเขาวงกต หมาป่าตัวนั้นอาจจะหาเขาไม่เจอ ถ้าเขาวิ่งมาไกลพอ

               เขาแนบหลังชิดกับตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่ง ค่อยๆแอบมองจากมุมของตู้เห็นหมาป่าขนดำเดินอยู่ไกลๆ ทรอยถอนหายใจเมื่อเห็นว่ามันไม่มีทีท่าจะเดินมายังจุดที่ทรอยอยู่





               

             

             

 

             

               


ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

 

                กลิ่นเหม็นอับชื้นเหมือนผ้าขี้ริ้วเปียกๆโชยมาเตะจมูก ทรอยรีบกลั้นหายใจแต่กลิ่นเหม็นนั้นรุนแรงขึ้นทุกที เขาหันหลังเพื่อจะเดินออกไปให้ห่างจากจุดเดิม ให้ไกลจากหมาป่าที่จ้องทำร้ายเขา แต่ทว่าเมื่อหันมากลับพบสุนัขหมาป่าขนสีน้ำตาลเจ้าของกลิ่นเหม็นนั่น กำลังยืนประจันหน้ารอเขาอยู่

               มันแยกเขี้ยวเหมือนแสยะยิ้มให้ทรอย ก่อนจะกระโจนใส่ทรอยที่เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

               พวกมันมีสองตัว! ไม่ใช่! มีสาม ไม่สิ มีมากกว่านั้น! ไม่ว่าทรอยจะวิ่งไปมุมไหน ก็จะมีสุนัขหมาป่าตัวใหม่มาดักหน้ารอเขาเสมอ

               ทรอยวิ่งหนีจนมาถึงทางตัน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้วิ่งหนีพวกมัน แต่เขากำลังถูกพวกมันไล่ต้อนให้มาอยู่ตรงจุดนี้ต่างหาก

               ทรอยมองซ้ายมองขวา ไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก พลันแสงไฟสปอร์ตไลท์หลายดวงสาดส่องมายังจุดที่เขาอยู่ราวกับเขากำลังยืนเด่นอยู่กลางเวทีที่มีผู้ชมอยู่ด้านล่าง เพียงแต่มันต่างกันตรงที่ผู้ชมในวันนี้คือสุนัขหมาป่าที่มองตาก็รู้ว่าพวกมันกระหายเลือดอยากจะฉีกร่างเขามากกว่าแค่เป็นผู้ชม

               ทรอยหวาดกลัวที่สุดในชีวิต วินาทีที่พวกมันหกตัวค่อยๆเดินเยื้องกลายเข้ามาหาเขา

               ไม่มีทางหนี ไม่มีทางสู้ เขาคือเหยื่อที่จนตรอกรอการประหาร

               ทรอยนั่งลงกอดเข่าแล้วซุกหน้าลงยอมรับชะตากรรม สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาได้ในตอนนี้ คือขอให้เขาไม่ต้องทนทรมานในตอนที่พวกมันฝังคมเขี้ยวลงบนร่าง

               ทรอยปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอาบแก้ม มีเสียงสะอื้นเบาๆดังเคล้ากับเสียงฝีเท้าของพวกมันหลายตัวที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่เสียงทุกอย่างพลันเงียบลง แม้แต่เสียงสายลมที่พัดไม่หยุดก็ถูกกลืนหาย

               ไม่ใช่ ไม่ได้ถูกกลืนหาย แต่ถูกกลบต่างหาก

               ทรอยเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหน้า เสียงหอนทุ้มต่ำดังแว่วเข้าหู ฝูงสุนัขหมาป่าตรงหน้าทรอยมีทีท่าแปลกไป บางตัวสะดุ้ง บ้างก็เดินถอยหลังไปสองสามเก้า ทุกตัวหันมองหน้ากันด้วยแววตาที่ทรอยเข้าใจว่า พวกมันกำลังตื่นกลัว

               ทันใดนั้นพวกมันก็หันหลังวิ่งออกห่างทรอยไป ทรอยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แสงไฟที่สาดส่องมามันสว่างจ้าจนทำให้เขาเริ่มแสบตา

               เฮือก!!

               ทรอยสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงเห่าดังก้องระงมมาจากที่ไหนสักแห่งไม่ห่างจากจุดที่ทรอยนั่งหมดแรงอยู่

               มันเป็นเสียงเห่าของสุนัขหลายตัว เสียงขู่กระโชกสลับกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของสุนัข

               พวกมันกำลังกัดกัน เสียงแบบนี้เขาเคยได้ยินได้เห็นตอนที่ฝูงสุนัขจรจัดแถวบ้านกัดกัน ทรอยใจสั่นเมื่อเสียงของพวกมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ทั้งเสียงร้อง เสียงเห่าหอนและเสียงเหมือนมีใครเอาท่อนเหล็กฟาดเข้ากับตู้คอนเทนเนอร์

               เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าเหมือนมันนานชั่วกัลป์

               ในตอนที่เสียงอึกทึกทุกอย่างเงียบลง เป็นเวลาเดียวกับที่ทรอยเลิกล้มความพยายามที่จะลุกขึ้นเพื่อหนีจากตรงนี้ ขาของเขาเจ็บจนระบม เรี่ยวแรงทั้งชีวิตเหมือนถูกใช้ไปหมดภายในวันนี้ ไม่มีแรงจะลุกแล้ว

               ทรอยมองเบื้องหน้าของตน แสงไฟยังสาดส่องมาที่เขาไม่หยุด แต่ในจุดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง ท่ามกลางความมืด มีขาของสุนัขขนาดใหญ่กำลังเดินออกมา



               ทรอยไม่รู้ว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไรกับภาพตรงหน้า แน่นอนว่าเขากลัว เพราะสิ่งที่เดินเยื้องย่างออกมาจากความมืด คือสุนัขหมาป่าขนสีดำสนิท ขนาดตัวของมันใหญ่มากจนเขากล้าเรียกเต็มปากว่ามันคือหมาป่ายักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทรอยตัวสั่นเมื่อมองไปยังปากของมันซึ่งคาบหัวสุนัขสีดำตัวที่ทำร้ายเขาเอาไว้ เลือดสีแดงสดไหลจากคอของหมาป่าที่ถูกสังหารหยดลงบนพื้นไหลซึมลงไปยังใต้พื้นดิน

               สุนัขหมาป่าร่างยักษ์ปล่อยหัวที่คาบอยู่ลงกับพื้นราวกับเศษขยะ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่มีประกายราววาววับท้าทายนั้นจดจ้องมาที่ทรอย

               ทรอยยอมแพ้แล้ว เขาไม่มีทางหนีรอดจากมัจจุราชที่น่าเกรงขามตนนี้

               ทรอยร้องไห้โดยกลั้นเสียงสะอื้นไว้ อย่างน้อยคมเขี้ยวขนาดใหญ่ของสัตว์ป่าตรงหน้าคงจะทำให้ทรอยขาดใจได้โดยเร็ว ไม่ต้องทนเจ็บปวดมาก

               ทรอยหลับตาลง ทั่วทั้งร่างสั่นเทาเมื่อหมาป่ายักษ์เดินเข้ามาใกล้ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆของมัน แม้จะหลับตาแต่ก็รู้สึกได้ว่าคมเขี้ยวนั้นอยู่ห่างจากหน้าเขาเพียงนิดเท่านั้น

               เขากำลังจะถูกฆ่า มันกำลังจะกัดเขา








               ทรอยสะดุ้งสุดตัว หอบหายใจติดขัดเมื่อรู้สึกถึงความชื้นอุ่นจนเกือบร้อนที่ข้างแก้ม เขายังไม่กล้าลืมตาขึ้น ร่างกายรับรู้เพียงว่า หมาป่ายักษ์กำลังเลียแก้มเขาอยู่ ตอนแรกเขาเข้าใจว่ามันกำลังจะกิน แต่ยิ่งเข้าร้องไห้ มันก็ยิ่งเลียแก้มเขาทั้งสองข้างช้าๆจนเปียก ความร้อนของลิ้นมันทำให้หน้าของเขาร้อนผ่าวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเยือก

               ที่น่าแปลกคือลมหายใจของมัน ปากของมันไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนสุนัขตัวอื่นๆเลย

               ทรอยหยุดร้องไห้แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น หมาป่ายักษ์ผละออกไปเพียงนิดแต่ก็ยังใกล้มากอยู่ดี

               สวยเหลือเกิน…นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มนั้นเหมือนสีของมหาสมุทรที่กำลังคลั่งอยู่

               ทรอยนึกด่าตัวเองที่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ เขายังนึกชื่นชมดวงตาของหมาป่าตรงหน้าอีก แต่เขาไม่อาจละสายตาจากดวงตาคู่นี้ได้

               ทรอยหลับตาลงอีกครั้งเมื่อสุนัขหมาป่าร่างยักษ์ตรงหน้าค่อยๆยื่นหน้าผากของมันมาถูข้างแก้มของเขา คลอเคลียแผ่วเบาไปที่ซอกคอของเขา ไล้ต่ำลงไปจนถึงหน้าอกที่ยุบพองขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ

               หวาดกลัวแต่ก็อบอุ่น นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาตอนนี้

               ทรอยครางแผ่วเบาเมื่อหมาป่ายักษ์กลับมาคลอเค้าที่ซอกคอเขาอีกครั้ง ก่อนที่มันจะใช้หน้าผากของมันแตะมาที่หน้าผากของเขา แล้วถอยออกไปสองสามก้าว

               ทรอยมองจ้องนัยน์ตาของหมาป่าที่ยังมีความแข็งกร้าวดุดัน เขาไม่รู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่จึงได้ยื่นมือออกไปหาสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวตรงหน้า เขาเพียงแค่อยากลองสัมผัสเท่านั้น ขนสีดำที่เรียบเงากำลังเรียกร้องให้เขาสัมผัส

               หมาป่ายักษ์หลับตาลงเมื่อมือของทรอยลูบไล้ที่ใบหน้า มันขยับเอียงคอเล็กน้อยเหมือนกำลังเชิญชวนให้ทรอยสัมผัสมากขึ้น มากกว่านี้

               เขารู้สึกดีจนเริ่มกลัวตัวเอง

               กลิ่นคาวเลือดถูกกลบแทนที่โดยกลิ่นหอมรุนแรงที่ทรอยคุ้นเคย กลิ่นที่ทำให้เขาลุ่มร้อนราวกับกำลังฟังเพลงรักที่สอดแทรกด้วยถ้อยคำอีโรติค เย้ายวนให้อีกฝ่ายอยากจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกายแต่โดยดี

               กลิ่นหอมหวนคล้ายกลิ่นของคุณเจย์ เพียงแต่ครั้งนี้มันรุนแรงและชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ทรอยเคยได้รับ ทรอยไม่รู้ว่าต้อตอของกลิ่นนี้มาจากไหน ความสงสัยถูกกลืนหายเพราะกลิ่นหอมที่ทำให้ทรอยมัวเมา

               แต่เสี้ยววินาทีแห่งความลุ่มหลง หมาป่าร่างยักษ์ลืมตาขึ้นแล้วผละห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะเห่ากระโชกใส่ทรอยด้วยเสียงที่ดังกังวานจนทรอยรีบหดมือกลับแทบไม่ทัน จากนั้นสุนัขหมาป่าตรงหน้าก็หันหลังกระโจนวิ่งจากไป

               ทรอยมึนงงและหมดแรงท่ามกลางแสงไฟที่สาดมาจนเขาเริ่มร้อนผ่าวที่ผิว

ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่สติของทรอยจะกลับมาใช้งานได้ปกติ เขาไม่มีแรงจะลุกไปไหนจึงได้แต่นั่งอยู่กับที่พร้อมกับแผลที่เริ่มปวด เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ในมือเรียกความสนใจของทรอยได้เป็นอย่างดี

หัวใจของทรอยกระตุกสั่นไหวเมื่อเห็นว่ามีสายเรียกเข้าโทรเข้ามา เขากดรับสายแล้วแนบโทรศัพท์ไปที่หู เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ ไม่รู้จะอธิบายให้คนปลายสายเข้าใจได้อย่างไรว่าค่ำคืนนี้เขาเจออะไรมาบ้าง มีเพียงเสียงสะอื้นที่ดังจากปากของเขาเท่านั้น

               คุณเจย์ไม่ถามอะไรทั้งนั้น คุณเจย์แค่ฟังเสียงร้องไห้ของเขาเงียบๆ เมื่อเขาหยุดร้องอีกคนถึงได้ยอมพูด

               “ฉันจะไปรับ”น้ำเสียงนั้นมันฟังดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เราสองคนเคยได้คุยกัน

ทรอยเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม มันนานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ นานมากจนเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าตอนเป็นเด็กเขาเคยรู้สึกแบบนี้บ่อยๆตอนที่พ่ออยู่ด้วย

               ใช่แล้ว ความรู้สึกแบบนี้แหล่ะที่ทรอยลืมมันไปเนิ่นนาน

               เขารู้สึกปลอดภัย....






-----------------------------------------------------

คอมเม้นท์ให้กันบ้างนะคะ^^

ออฟไลน์ Nupammee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ครั้งแรกที่เม้นเลยค่ะ แบบว่า ไม่รู้ว่าเม้นยังไงเลยไม่เคยเขียนเม้นเลย แต่อยากให้นักเขียนมาต่อนิยายเลยต้องลอง 55555 รอมาต่อนะคะ อยากรู้ว่าทรอยเคลียร์กับคุณเจย์ยังไงเรื่องแอนนี่จังง

ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


11



มอเตอไซค์Harleyขับออกไปจากสายตาของเขาได้เกือบสิบห้านาทีแล้ว แต่ทว่าดวงตาของผู้เป็นจ่าฝูงกลับยังคงมองจ้องไปยังท้องถนนที่เนืองแน่นไปด้วยยานพาหนะหลากชนิด อารมณ์เดือดถูกแทนที่ไปด้วยความสงสัย บางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ซึ่งเจย์พยายามนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ถึงกลิ่นที่คุ้นเคยซึ่งตอนนี้จางหายไปแล้ว

หลังจากทรอยกับไอ้ผู้ชายคนนั้นขับออกไป แค่ไม่กี่นาทีเจย์ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นของบางสิ่งที่คุ้นๆ ว่าเคยได้กลิ่นมาก่อน มันเจือจางมากับกระแสลมเพียงนิดเดียวนั้น แต่ด้วยความที่เขาเป็นหมาป่าประสาทรับกลิ่นจึงไวกว่าพวกมนุษย์ โดยเฉพาะกลิ่นของพวกเดียวกัน

เจย์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งเพื่อพยายามขุดคุ้ยความทรงจำว่าตนเคยได้กลิ่นนี้จากไหน จนกระทั่งอลันขับมอเตอร์ไซค์ดูคาติมาจอดใกล้ๆ สีแดงของตัวรถทำให้เจย์นึกถึงเลือด ใช่แล้ว มันกระตุ้นความจำของเจย์ได้เป็นอย่างดี เขาเคยได้กลิ่นนี้ตอนอยู่ที่โรงแรมW และตอนที่ไปหาทรอยที่บ้าน กลิ่นนี้ก็โชยมาเข้าจมูกในตอนที่เขาปลดปล่อยสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตนเอง

กลิ่นของไอ้หมาป่า จาเร็ด

เขาไม่อาจรอช้าไปกว่านี้ จึงเลือกขับมอเตอร์ไซค์ของอลันซึ่งมีความคล่องตัวกว่ารถยนต์ออกไปทันที

เจย์ขับมาถึงที่อยู่ของทรอย แต่ในนั้นไม่พบใคร แปลว่าทรอยยังไม่กลับหรืออาจจะออกไปไหนต่อกับไอ้เวรนั่น

เจย์หัวเสียเมื่อนึกถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เขามั่นใจแล้วว่าเป็นกลิ่นของจาเร็ด และทรอยกำลังตกอยู่ในอันตราย ความคิดของเจย์แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบอกให้เจย์หยุด เพราะหากไม่หยุดตอนนี้ ต่อไปเขาอาจจะหยุดไม่ได้แล้ว





“ครับ ผมจะรอ...”





เจย์สบถหัวเสียเมื่อสมองไม่อาจลบคำพูดของทรอยจากหัวได้ นัยน์ตาที่มองเขาด้วยความหวัง เสียงหัวใจของทรอยที่เต้นถี่รัวแรงขึ้นทุกครั้งยามที่เราสองคนใกล้กัน มันดังสอดประสานกับเสียงหัวใจของเขา เหมือนเรากำลังบรรเลงบทเพลงไร้ท่วงทำนองที่มีเพียงเขาและทรอยที่เข้าใจมัน

กลิ่นหอมที่ทำให้เขาใจสั่น...เขาไม่อาจยอมทิ้งสิ่งเหล่านี้ได้

เจย์หลับตาลง เพ่งสมาธิเพื่อปลดปล่อยสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของตน สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่เกิดมาเป็นผู้ล่า หูของเขาได้ยินเสียงที่อยู่ทั้งใกล้และไกล ฟังคล้ายคลื่นวิทยุที่ดังแทรกซ้อนกัน จมูกรับกลิ่นที่ลอยคละเคล้ากับอากาศ เจย์เลือกที่จะควานหากลิ่นหอมที่เขาชอบ...กลิ่นของทรอย









การตามรอยของทรอยไม่ได้ยากนัก กลิ่นของทรอยพาเจย์ออกมาจากในเมืองเรื่อยๆ แสงสว่างรอบข้างเริ่มหายไปแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเจย์ที่สามารถมองเห็นในที่มืด

ทรอยออกมาไกลขนาดนี้ทำไม แบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางจาเร็ดน่ะสิ

นัยน์ตาสีน้ำเงินของผู้เป็นจ่าฝูงมันสะท้อนวาววับท้าทายความมืด พื้นที่ตรงนี้เป็นเขตนอกเมืองจึงแทบไม่มีตึกสูงให้เห็น สายลมที่พัดแรงไร้ทิศทางนั้นทำให้จมูกของเจย์เริ่มสับสน เขาขับเรื่อยมาจนถึงจุดที่รู้สึกได้ว่ากลิ่นของทรอยจางหายไป

เจย์จอดรถที่ร้านมินิมาร์ทโทรมๆ ดวงไฟหน้าร้านติดๆ ดับๆ พื้นที่ตรงนี้มีกลิ่นเหม็นสาบของสัตว์และกลิ่นเลือด กลิ่นกำมะถัน กลิ่นปูนขาวและอีกหลากหลายกลิ่นปนเปส่งกลิ่นฉุนจนเจย์แสบจมูก

ผู้เป็นจ่าฝูงเปิดประตูเข้าไปภายในร้านซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นคนที่เขาเคยเห็นหน้า แต่ไม่ใส่ใจจะจำชื่อนัก

พวกเดียวกับเขา เจ้าของร้านคือหนึ่งในหมาป่าที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนิวยอร์ก

“อ้าว เจย์ ลมอะไรหอบคุณมาถึงนี่ได้” เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายร่างท้วมใหญ่ หนวดเคราขึ้นรกเต็มใบหน้ารีบเอ่ยทักทายเมื่อเห็นว่าแขกผู้มาเยือนยามค่ำคืนนี้ คือเจย์ หมาป่าที่อยู่บนจุดสูงสุดของแดนนี้

“มนุษย์ผู้ชาย เอเชีย ตัวผอม ผิวขาว หน้าตาดี…” เจย์พูดช้าๆ ดวงตาจับจ้องไปที่เจ้าของร้านค้าซึ่งมีท่าทีพิรุธ

“มาทางนี้ ฉันมาตามหาเขา” เจย์ก้าวไปใกล้เคาเตอร์ชำระเงิน ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองอีกฝ่าย

“ม่ะ ไม่เห็นนะ วันนี้ฉันแทบไม่มีลูกค้าแวะมาเลย” เจ้าของร้านตอบแล้วหยิบกระป๋องเบียร์ใกล้มือยกขึ้นดื่ม เหงื่อที่หัวเริ่มซึมไหลออกมาเป็นเรื่องปกติในเวลาที่เขาตื่นกลัว

“เหรอ แล้วจาเร็ดล่ะ คุณรู้จักมันใช่มั้ย ได้ข่าวว่ามันชอบมาแถวนี้ เห็นมันบ้างมั้ย” เจย์ถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบของปิศาจ

“ไม่เห็นเหมือนกัน ไม่รู้สิ จาเร็ดไม่ได้มานานแล้...” ยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเจย์จับเข้าที่ท้ายทอยแล้วโขกเข้าไปที่เครื่องคิดเงินอย่างแรง จนจมูกแทบหัก เท่านั้นยังไม่พอ จ่าฝูงที่ตอนนี้เริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ กระโดดข้ามเข้ามาด้านในเคาเตอร์จากนั้นก็ล็อคคออีกฝ่ายจากด้านหลังจนแน่น พละกำลังของเจย์ไม่ว่าอยู่ในร่างมนุษย์หรือร่างหมาป่า ก็แข็งแกร่งเกินกว่าจะมีใครเทียบได้

“จาเร็ด มันไปทางไหน” เจย์กระซิบใกล้หู ยิ่งอีกฝ่ายดิ้นหนี เขาก็ยิ่งออกแรงแขนกดเข้าที่คออย่างหนักจนคนถูกล็อคเริ่มหายใจไม่ออก

“เจ็บ ผม หะ หายใจ...ไม่ออก!”

“แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกเป็นคนดูต้นทางให้ไอ้พวกนั้น ในร้านแกมีกลิ่นของมันแสดงว่ามันพึ่งจะมาที่นี่” ดวงตาของเจย์กลายเป็นสีน้ำเงินเข้มจัด

“ผะ ผม ไม่รู้ ไม่เกี่ยว...เจ็บ อ่อก” คนที่ถูกกดหลอดลมอยู่เริ่มหน้าแดงก่ำเพราะหายใจลำบาก นึกอยากจะเปลี่ยนร่างเป็นสุนัขหมาป่าแล้วหนีไป แต่ก็กลัวว่าเจย์จะเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นเห็นจะไม่มีโอกาสรอด

“ฉันถามแกว่าไง แกไม่ได้ยินเหรอ หรือหูไม่ดี” เจย์กระตุกยิ้ม มือข้างที่ว่างหยิบปากกาแท่งยาวสีน้ำตาลที่วางขายอยู่ตรงเคาเตอร์ขึ้นมา

“สงสัยต้องแคะหูหน่อย” พูดจบเจย์ก็ทิ่มปากกาในมือเข้าไปในหูข้างซ้ายของอีกฝ่ายช้าๆ

“เจ็บ!! อย่า! เจย์อย่าทำผม!” ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรู้ว่าสู้แรงจ่าฝูงหมาป่าไม่ได้ ยิ่งร้องเจย์กลับยิ่งยัดปลายแหลมของปากกาเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ความเจ็บแล่นเข้ามาในหัว ความกลัวพุ่งสูงถึงขีดจำกัด

“พวกมันไปทางนั้น! ได้โปรด! หยุด!! ได้โปรด!” หมาป่าที่อยู่ในคราบเจ้าของร้านสะดวกซื้อในที่เปลี่ยวรีบชี้มือไปยังถนนฝั่งตรงข้าม

“ก็แค่นั้น” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เจย์ก็ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอีก เขาปล่อยให้เจ้าของร้านเป็นอิสระ นึกสมเพชที่เห็นว่ามันร้องไห้ฟูมฟายเหมือนทารก เขามองรอยเลือดที่ไหลซึมตรงปลายปากกาแล้วแสยะยิ้ม เมื่อเปิดรับสัญชาตญาณสัตว์ป่า ความเป็นมนุษย์จะลดน้อยลง ความป่าเถื่อนของผู้ล่าจะเข้ามาแทนที่

เจย์ออกจากร้านแล้วลองสูดกลิ่นภายนอก มีกลิ่นของทรอยและจาเร็ดจางๆ แต่กระแสลมที่ปั่นป่วนทำให้เขาจับทางไม่ค่อยได้

ท่ามกลางเสียงลมกระโชกแรง หูของเขาได้ยินเสียงเห่าของสุนัข มันเบามาก แต่ทว่าเขามั่นใจว่าตนฟังไม่ผิด จ่าฝูงหมาป่ารีบคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับไปยังอีกฝั่งถนนซึ่งมีแต่พงหญ้าและความมืด

เสียงเห่าสลับกับการครางคล้ายเจ็บปวดดังผ่ากระแสลมให้ได้ยินเพียงแผ่วเบา เจย์ลดความเร็วของมอเตอร์ไซค์ลงแล้วกวาดสายตามองหาต้นตอของเสียง ไม่นานก็เจอ

ก้อนขนเล็กๆ ที่ดูคล้ายห่อผ้าขนหนูนอนหมดแรงอยู่ที่พื้นหญ้า แม้ร่างกายจะไปไม่ไหว แต่เจ้าชิวาว่าตัวจิ๋วยังพยายามส่งเสียงร้องด้วยหวังว่าจะมีใครสักคนช่วยเจ้านายของมันได้

เจย์ดับเครื่องยนต์แล้วเดินเข้าไปหาลูกหมาของทรอยที่ยังพยายามส่งเสียงไม่หยุด ดวงตาของหมาป่าจ้องมองลูกหมาตรงหน้าแล้วตัดสินใจถอดเสื้อผ้าของตนออกจนหมด จากนั้นจึงใช้เสื้อเชิ้ตห่อตัวเฮกเตอร์ไว้ผูกปมเหมือนเชือกแล้วยัดลูกหมาลงไปคล้ายกับยัดตุ๊กตาใส่ถุง

ร่างมนุษย์เพศชายสมบูรณ์แบบแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างของสุนัขหมาป่าขนาดใหญ่แทน

“ไอ้หนู เจ้านายแกอยู่ที่ไหน” หมาป่ายักษ์จดจ้องไปที่ชิวาว่าน้อยซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ต เมื่อได้คำตอบจากเฮกเตอร์ เจย์จึงคาบห่อผ้าที่โอบอุ้มลูกหมาเอาไว้และไม่ลืมที่จะคาบเสื้อผ้าที่ถอดเมื่อครู่ด้วย

ร่างหมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ทะยานไปยังทางที่เฮกเตอร์คอยส่งเสียงบอก กลิ่นเหม็นสาบของฝูงสุนัขลอยเข้าจมูกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เจย์ได้แต่ภาวนาขอให้คนที่กำลังรอเขาอยู่ยังรักษาชีวิตไว้ได้

เมื่อเข้าใกล้มากพอจะเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เจย์วางเจ้าเฮกเตอร์และกองเสื้อผ้าไว้ในมุมมืด เพราะหากหิ้วเจ้าลูกหมาไปด้วย เขาคงจะทำอะไรได้ไม่ถนัด

ตู้คอนเทนเนอร์มากมายถูกจัดวางในตำแหน่งที่ดูยังไงก็จงใจทำให้เป็นสนามเพื่อการล่า เจย์คำรามเสียงต่ำดวงตาวาววับฉายแววเกรี้ยวกราด เขาพึ่งรู้ว่ามีการแอบล่ามนุษย์ที่นี่

เจย์ย่อกายแล้วกระโจนลงสนาม เขาได้กลิ่นหอมของทรอยชัดมากขึ้นและนั่นยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาเดือดพล่านมากกว่าเดิม

ฝูงหมาป่าของจาเร็ดมารวมตัวกันต่อหน้าเขา พวกมันมี6ตัว แต่ละตัวก็เป็นแค่หมาป่าปลายแถวที่เขาแทบจะจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ

“เจย์ คุณไม่ควรมาขวางการล่าของพวกเรา” จาเร็ดในร่างสุนัขหมาป่าสีดำพยายามไม่แสดงอาการหวาดกลัว

“จาเร็ด ฉันเคยบอกแกแล้ว ว่าอย่าให้ฉันเห็นหน้าแกอีก” เจย์ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ พวกหมาป่าตรงหน้าเริ่มลนลาน

“ได้ พวกเราจะปล่อยเหยื่อในคืนนี้ให้คุณ พวกเราจะจากไป จะไม่กลับมาให้เห็…!!!”

ไม่ทันจะพูดจบกรงเล็บของจ่าฝูงก็ตบเข้าที่หน้าของจาเร็ดจนเป็นรอยพร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลทะลัก

ไม่มีความสงสาร ไม่จำเป็นต้องเจรจา เจย์ตัดสินแล้วว่า พวกหมาป่าเจ้าเล่ห์พวกนี้…ต้องตาย

สุนัขหมาป่าตัวอื่นๆ จากเดิมที่คิดจะหนี แต่พอรู้ว่าเจย์ไม่มีทางปล่อย พวกมันจึงเลือกที่จะสู้เหมือนกับหมาที่กำลังจนตรอก แต่ทว่า แม้สุนัขหมาป่าจะผลัดกันกระโจนรุมขย้ำมากแค่ไหน ก็เทียบความแข็งแกร่งของสายพันธ์โบราณอย่างเจย์ไม่ได้เลย

เจย์จัดการพวกมันด้วยเขี้ยวขนาดใหญ่และแรงกัดกระชากที่มหาศาล จนสุดท้ายเหลือเพียงจาเร็ดที่ยังมีลมหายใจอยู่

“เจย์ ได้โปรด…ไว้ชีวิต” จาเร็ดในร่างหมาป่าอ้อนวอนแต่ก็ไม่อาจขอความปราณีจากเพชฌฆาตร่างยักษ์ได้ สิ่งสุดท้ายที่ได้เห็นคือดวงตาสีน้ำเงินเปล่งประกายและคมเขี้ยวที่เข้ามาใกล้

เจย์ออกแรงกัดมากกว่าทุกครั้ง จากนั้นจึงกระชากหัวของหมาป่าจาเร็ดให้ขาดออกจากลำตัว

นี่คือโทษของผู้ที่กล้าลองดีกับเขา เขาผู้เป็นจ่าฝูงเหนือกว่าใคร

อารมณ์ร้ายของสัตว์ป่ากัดกินสติของเจย์เรื่อยๆ มันนานมากแล้วที่ไม่ได้ปะทะกับศัตรู เขาเคยนึกว่าสัญชาตญาณดิบเถื่อนของตัวเองลดน้อยลง แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่ เลือดในกายของเขายังคงกระหายการต่อสู้และการล่าอยู่เสมอ

ท่ามกลางกลิ่นเลือดสดๆ ที่คละคลุ้งไปทั่ว กลับมีกลิ่นหอมที่ทำให้ใจสงบลอยเข้าจมูก เจย์สูดกลิ่นความหอมที่ปะปนกับความกลัว ความป่าเถื่อนกระหายการฆ่าเริ่มจางลงบ้างแต่ยังไม่จางหายไป

จ่าฝูงหมาป่าคาบหัวของจาเร็ดแล้วเดินไปหาต้นตอของกลิ่นหอมนั้น

ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ที่สาดส่อง ทรอยในตอนนี้ช่างดูเหมือนเทวทูตรูปงามที่ถูกขับไล่ลงมาจากสวรรค์ ดวงตาที่ทอดมองนั้นล่องลอยดูไร้ความหวังที่จะต่อสู้เพื่อรักษาชีวิต รอยเลือดสีแดงอาบย้อมให้ทรอยดูเหมือนผลงานจิตรกรรมที่บ้าคลั่งแต่ก็เย้ายวนจนไม่อาจละสายตาได้

อ่อนแอ ไร้เดียงสา เปราะบางเสียจนเจย์อยากจะคุมขังเอาไว้กับตัวเพื่อปกป้องไม่ให้ถูกสิ่งใดทำร้ายได้อีก

น่าสงสาร…

นี่เขารู้สึกสงสารมนุษย์งั้นเหรอ?

ผู้เป็นจ่าฝูงไม่อาจทำความเข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ จึงเลือกที่จะโยนความสับสนนั้นทิ้งแล้วก้าวออกจากความมืด

ดวงตาของทรอยในยามที่ได้เห็นร่างหมาป่าของเขานั้นฉายแววหวาดกลัวและตกตะลึง เจย์ไม่แปลกใจเลยที่มนุษย์จะเกรงกลัวเขาในคราบของหมาป่ายักษ์ ทุกคนที่เคยพบต่างมองเห็นเขาเป็นปิศาจ แต่ทว่า นอกจากความหวาดกลัว ในดวงตาของทรอยมันกลับมีความชื่นชมฉายออกมาให้เห็นด้วย

ทรอยหลับตาลงปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอาบแก้มเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ร่างเล็กสั่นเทาเพราะความตื่นกลัวจนเขาอยากจะดึงเข้ามากอดปลอบโยนให้หายหวาดหวั่น

ไม่ได้จะทำร้าย เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายคนตรงหน้าเลย

เจย์ควรจะรีบจากไป เขาไม่ควรให้มนุษย์เห็นร่างจริง แต่ขาของเขากลับทำตรงข้าม มันเดินเข้าไปหาทรอยเรื่อยๆ ใกล้มากขึ้น มากจนห้ามตัวเองไม่ให้เช็ดน้ำตาบนใบหน้าหวานๆ ของทรอยได้

ยิ่งเข้าใกล้ กลิ่นหอมที่เขาชื่นชอบก็ยิ่งชัดเจน จนเจย์เผลอไผลเข้าไปคลอเคลียเพื่อปลอบโยนและถือวิสาสะทิ้งกลิ่นของตนเองประทับไว้บนกายของทรอยราวกับเป็นเจ้าของ

เสียงครางแผ่วเบาของมนุษย์หน้าหวานคนนี้ทำให้เลือดในกายของเขาร้อนขึ้น

อย่าทำแบบนี้ อย่าทำเหมือนกับเธอชอบที่ฉันสัมผัส…

เจย์ผละออกห่างเพียงนิดเมื่อเห็นว่าทรอยกล้าที่จะลืมตาขึ้นมองเขาชัดๆ และที่แย่ไปกว่านั้น คือทรอยกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาหาเขา กล้าที่จะลูบไล้ใบหน้าของหมาป่าดุร้ายเช่นเขา ทรอยกำลังทำเหมือนว่าชื่นชมร่างสุนัขหมาป่าของเขา

กลิ่นฟีโรโมนถูกปลดปล่อยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งทรอยสัมผัสเขา อารมณ์หนุ่มยิ่งลุกโชน เจย์ลอบมองดวงตาของทรอยที่กำลังหยาดเยิ้มเพราะมัวเมาในกลิ่นหอมของเขาก่อนจะหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกอบอุ่นจากมือนิ่มที่กำลังลูบไล้ร่างกายเขาแผ่วเบา

เขาต้องหยุดเดี๋ยวนี้ หากไม่ห้าม ทุกอย่างจะสายเกินแก้ เขากำลังอยากได้ทรอยจนใจจะขาด อยากขึ้นขี่ร่างเล็กตรงหน้าเสียตรงนี้

ในร่างนี้…

เจย์ฝืนกดอารมณ์ใคร่อย่างสุดกำลัง เขาถอยหลังห่างแล้วเห่ากระโชกใส่คนตรงหน้าเพื่อเรียกสติทรอย และเรียกสติตัวเองด้วย

เจย์วิ่งสุดฝีเท้าเพื่อออกห่างจากทรอย เขาวิ่งกลับมายังจุดที่วางเฮกเตอร์ไว้ จากนั้นจึงเปลี่ยนร่างกลับกลายมาเป็นมนุษย์ดังเดิม

จ่าฝูงหมาป่าเดินเข้าไปดูชิวาว่าตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ในห่อเสื้อเชิ้ตของเขาเพราะหมดแรง จากนั้นเจย์จึงจัดการสวมกางเกงและรองเท้า ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ไม่รู้สึกหนาวเหน็บเพราะกระแสแรงลมแม้แต่น้อย












ออฟไลน์ chittaphone23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แผลที่ถูกกัดเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ทรอยกัดฟันทนแล้วกระชับแขนของตนให้แน่นขึ้น ไม่รู้ว่าคุณเจย์เดินมาไกลแค่ไหนแล้ว แต่ทรอยรู้สึกว่ามันไกลมาก

คุณเจย์ปรากฏตัวโดยสวมแค่กางเกงขายาวรองเท้าคัทชูเปรอะเปื้อนดินโคลน ไม่ได้สวมเสื้อ แต่ในมือข้างหนึ่งถือเสื้อสูทเอาไว้ ส่วนอีกข้ามอุ้มสุนัขชิวาว่าของเขาโดยห่อตัวมันด้วยเสื้อเชิ้ตราคาแพง

คุณเจย์ยื่นเสื้อสูทมาคลุมตัวเขาโดยไม่ถามอะไรเขาสักคำ เพียงแค่บอกให้เขาขี่หลังแล้วพาเดินมาเรื่อยๆ ทรอยไม่รู้ว่าคุณเจย์แบกเขาเดินมาไกลแค่ไหน ตอนนี้เขารู้สึกปวดแผลเหลือเกิน อากาศคืนนี้ก็ช่างหนาว ลมก็พัดซะแรง โชคดีที่ผิวของคุณเจย์นั้นอุ่นมากทำให้เขาคลายหนาวไปได้บ้าง

ทรอยซบหน้าทิ้งน้ำหนักตัวไปที่คุณเจย์เพราะแทบไม่มีแรงเหลือแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่แบกเขาไว้บนหลังจะไม่สะทกสะท้านกับน้ำหนักตัวของเขาเลยสักนิด มือข้างหนึ่งอุ้มเจ้าเฮกเตอร์ที่นอนหลับไว้ ส่วนมืออีกข้างกอดไหล่คุณเจย์ไว้แน่น นึกอยากจะตีตัวเองที่บางครั้งเผลอจิกเข้าเนื้อคนที่กำลังแบกเขาอยู่เพราะทนความเจ็บปวดจากบาดแผลไม่ไหว

อุณภูมิร่างกายของคุณเจย์คงจะสูงกว่าคนทั่วไป แต่นั่นกลับเป็นเรื่องดีเพราะตอนนี้ทรอยรู้สึกอบอุ่นเหมือนนอนห่มผ้าอยู่บนเตียงในเช้าวันคริสต์มาสที่ไม่ต้องทำงาน

รู้สึกดีจัง…

คุณเจย์เดินเร็วๆ ท่ามกลางความมืด รอบกายมีเพียงเสียงลมพัดโหยหวน แต่น่าแปลกที่ทรอยไม่รู้สึกกลัวเลย เขาไม่กลัวความมืดรอบตัว ไม่กลัวว่าจะมีหมาป่าบุกเข้ามาโจมตีอีก เพราะอะไรกันนะ?

ทรอยผงกหัวขึ้นเมื่อคุณเจย์หยุดเดิน รถดูคาติสีแดงของอลันจอดอยู่กลางลานหญ้า คุณเจย์ค่อยๆ วางเขาลงแต่พอเห็นว่าเขายืนแทบไม่อยู่ก็อุ้มเขาจากด้านหลังเพื่อให้นั่งบนเบาะรถที่สูงกว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป

“หนาวมากมั้ย” เจย์หันมาถาม

“ไม่เท่าไรครับ” ทรอยส่ายหัวโดยที่ไม่รู้ว่าคุณเจย์จะเห็นหรือเปล่า เพราะรอบกายมันมืดมาก

“เอามันมาไว้ที่ฉันก็ได้” เจย์หมายถึงเฮกเตอร์แต่ทรอยรีบปฏิเสธ คุณเจย์ต้องขับรถแล้วจะถือเจ้าเฮกเตอร์ไปด้วยได้ยังไง ทรอยวางเจ้าเฮกเตอร์ไว้ตรงกลางระหว่างเขากับคุณเจย์ จากนั้นจึงกระชับเสื้อสูทราคาแพงเพื่อปิดป้องลมหนาวไม่ให้โดนตัว

“คุณเจย์ใส่เสื้อก็ได้นะครับ ไม่หนาวเหรอ” ทรอยถามอย่างเป็นกังวลเพราะคุณเจย์เล่นไม่ใส่เสื้อแถมต้องขับรถอีก คงหนาวแย่

แต่เจ้านายของเขาก็ไม่ตอบอะไรเช่นเคย กลับสตาร์ทรถแล้วขับออกไปเรื่อยๆ ซึ่งทรอยก็ได้แต่สงสัยว่าคุณเจย์รู้ทางได้อย่างไร

ความมืดรอบกายเริ่มมีแสงสว่าง ทรอยมองทางข้างหน้าที่เริ่มคุ้นตา จนกระทั่งคุณเจย์ขับมาจอดที่ร้านมินิมาร์ทซึ่งเขาแยกกับพี่หลง

ร้านปิดแล้วเพราะยามนี้คงจะดึกมาก คุณเจย์บอกให้เขานั่งรออยู่บนรถ ส่วนตัวคุณเจย์กลับเดินไปเตะประตูร้านที่ปิดอยู่เสียงดังลั่น หลายต่อหลายครั้งจนทรอยตกใจในความเสียมารยาทของเจ้านายตัวเอง

“คุณเจย์ ทำแบบนี้ไม่ดีนะครับ” ทรอยเตือนแต่เจ้านายก็ยังคงเตะประตูต่ออีกสามสี่ครั้ง จนประตูที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดออก

จะมีเรื่องกันมั้ยนะ? ทรอยนึกกลัวในใจ บางทีเจ้าของร้านอาจไม่พอใจแล้วชักปืนมายิงพวกเขาก็ได้

เจ้าของร้านเปิดประตูแล้วก้าวออกมาด้วยสีหน้าที่ทรอยตีความได้ว่า หวาดหวั่น

“ม่ะ มีอะไรอีก” เจ้าของร้านยกมือขึ้นปิดหูตัวเองทันทีเมื่อคุณเจย์เดินเข้าไปใกล้

“ฉันต้องการอุปกรณ์ล้างแผล และยาแก้ปวด” เจย์พูดเสียงนิ่งมองจ้องอีกฝ่ายด้วยท่าทีคุกคามอย่างเห็นได้ชัด

“ได้ ได้สิ” เจ้าของร้านกระวีกระวาดกลับเข้าไปในร้าน ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็หอบเอาอุปกรณ์ล้างแผลมาให้คุณเจย์ที่รับมันมาโดยไม่จ่ายเงิน

คุณเจย์เดินเข้ามาหาเขาที่ยังนั่งอยู่บนรถ

“ล้างแผลเหรอครับ” ทรอยถามเมื่อเห็นว่าเจย์ย่อกายนั่งลงแล้วค่อยๆ ดึงขากางเกงที่มีเลือดเปื้อนพับขึ้นไป

“ก็เห็นอยู่” คุณเจย์ตอบแค่นั้นแล้วกลับไปสนใจแผลที่น่องของเขาต่อ

“เอ่อ ไปทำแผลที่โรงพยาบาลดีกว่ามั้ยครับ ผม ผมเกรงใจ” และเขินด้วย แต่ทรอยไม่ได้พูดออกไป

“ถ้าไม่รีบทำความสะอาด แผลเธออาจติดเชื้อ กินยาแก้ปวดซะ” คุณเจย์พูดโดยที่มือยังเช็ดทำความสะอาดแผลให้ทรอย

มือเบากว่าที่คิด ทรอยคิดในใจแล้วแกะยาแก้ปวดในมือออกจากแผง

“น้ำเปล่า!” ยังไม่ทันที่ยาจะเข้าปาก คุณเจย์ก็พูดขึ้นเสียงดังจนทรอยเกือบสะดุ้งส่วนเจ้าของร้านมินิมาร์ทรีบวิ่งเข้าไปในร้านแล้วกลับออกมาพร้อมขวดน้ำดื่ม

“เอ่อ ขอบคุณครับ” ทรอยเอ่ยขอบคุณเจ้าของร้านที่ยื่นน้ำเปล่าให้

ใช้เวลาไม่นานคุณเจย์ก็จัดการทำแผลให้เขาเสร็จ ทรอยเหลือบมองดูน่องตนเองที่ตอนนี้ถูกแปะด้วยผ้าก๊อตสีขาว คุณเจย์มือเบามาก ทำแผลเรียบร้อยเหมือนพวกพยาบาลเลย

“เอ่อ แค่นี้ใช่มั้ยครับ” เจ้าของร้านถามขึ้น แต่คุณเจย์กลับส่ายหัว

“รถแก เอามาให้ฉันยืมหน่อย” คุณเจย์พูดเสียงเรียบ ดวงตาจดจ้องเจ้าของร้านไม่กระพริบ

“เอ่อ อะไรนะครับ” เจ้าของร้านถามย้ำ

“หูแกไม่ดีอีกแล้วเหรอ” เจย์พูดขึ้นทันที ส่วนเจ้าของร้านก็รีบยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง ท่าทางพวกนั้นทำให้ทรอยไม่เข้าใจยิ่งกว่าเก่า

“คุณเจย์รู้จักกับเจ้าของร้านเหรอครับ” ทรอยถามขึ้นเพราะดูจากท่าทีทั้งสองเหมือนกับว่าเป็นคนรู้จักกัน

“อ่า ใช่ เราสนิทกันเลยล่ะ” ไม่พูดเปล่าคุณเจย์เดินไปกอดไหล่เจ้าของร้านแล้วยกมือขึ้นตบที่แก้มเบาๆ ซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้ทรอยยิ้มแห้ง แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน แต่คุณเจย์ที่ยังหนุ่มไปตบแก้มคนที่แก่กว่าขนาดนั้นได้ยังไง

“ขอยืมรถหน่อยได้มั้ย เพื่อน” เจย์กระซิบเสียงเหี้ยม

“ได้ครับ!!” เจ้าของร้านมินิมาร์ทรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านแล้วหยิบกุญแจรถออกมายื่นให้คุณเจย์ แต่คุณเจย์ยังคงยืนเฉยมองกุญแจที่ยื่นมาแล้วเลื่อนสายตากลับไปจ้องหน้าเจ้าของร้านต่อ

“ผมไปเอามาให้ครับ!” เจ้าของร้านรีบวิ่งไปยังโรงรถของตนที่สร้างไว้ข้างหลัง ผ่านไปไม่กี่นาทีก็ขับรถยนต์สีเขียวเข้มยี่ห้อดังของญี่ปุ่นออกมาจอดหน้าร้าน

คุณเจย์ไม่สนใจคำถามของทรอยอีก แต่กลับอุ้มทรอยจากรถมอเตอร์ไซค์ไปนั่งในรถยนต์แทน จากนั้นคุณเจย์ก็เดินไปหาเจ้าของร้านอีกครั้ง

“ปกติเป็นหมาเฝ้าต้นทาง แต่ตอนนี้ฉันจะให้แกเป็นหมาเฝ้ารถ ดูแลให้ดีล่ะ ถ้ารถคันนี้หาย เจ้าของรถเอาแกตายแน่” เจย์ไม่ลืมที่จะข่มขู่หมาป่าปลายแถวอีกรอบ

“คุณเจย์คุยอะไรกับเค้าเหรอครับ” เมื่อเจย์เข้ามาในรถประจำที่คนขับ ทรอยก็เอ่ยถามทันที

“บอกว่าขอบคุณมากที่ช่วย” คุณเจย์พูดแค่นั้นแล้วปิดปากเงียบสนิท

เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถโดยที่คุณเจย์ขับ และทรอยนึกอยากจะขอโทษพี่หลงทันทีที่เคยด่าว่าพี่หลงขับรถเร็วเกิน เพราะถ้ามาเทียบกับคุณเจย์แล้ว ต้องเรียกว่า พี่หลงกลายเป็นคนขับรถได้นิ่มนวลที่สุดเลยก็ว่าได้

“คุณเจย์ ขับเร็วไปมั้ยครับ ช้าลงหน่อยก็ได้” ทรอยหวั่นใจเมื่อมองความเร็วรถ คุณเจย์ไม่มีทีท่าจะชะลอความเร็วลงเลย แม้ถนนจะโล่ง แต่ขับเร็วขนาดนี้ก็อันตรายอยู่ดี

“กลัวเหรอ?” เจย์ถาม

“ครับ” ทรอยยอมรับ ตอนนี้เขากอดเจ้าเฮกเตอร์ไว้แน่น มันยังคงหลับอยู่

“เธอต้องรีบรักษาเดี๋ยวแผลติดเชื้อ ลูกน้องเธอก็ต้องรีบรักษาด้วย ไม่งั้นคงไม่รอด” เจย์อธิบายเพราะเจ้าชิวาว่านั้น ใช้แรงกำลังเกินขีดจำกัดของร่างกาย จากเดิมที่ป่วยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งอยู่ในจุดอันตราย

“ครับ” ทรอยตอบรับเสียงเบาลง มือยังคงลูบขนเจ้าเฮกเตอร์แผ่วเบา

“เชื่อใจฉันมั้ย?” คุณเจย์หันมามองเขา ดวงตาสีฟ้าเข้มนั้นมีความแข็งแกร่งประดับไว้เสมอ ทรอยอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เขารู้แต่เพียงว่า อยู่กับคุณเจย์ เขาก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

“เชื่อครับ” ทรอยยิ้มนิดๆ ให้คุณเจย์ที่ยังมองเขาไม่เลิก

“เอ่อ คุณเจย์เลิกมองหน้าผมแล้วหันกลับไปมองถนนดีกว่าครับ” ทรอยรีบเตือน เขาเห็นคุณเจย์อมยิ้มเพียงนิดแล้วเม้มปากกลั้นขำจนลักยิ้มสองข้างบุ๋มลงไป

ผู้ชายคนนี้ อันตรายกับใจเขาจริงๆ















คุณเจย์พาเขามารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งราคาแพงสุดๆ เขาอยากจะอ้าปากปฏิเสธแต่พอเห็นสายตาดุๆ ของคุณเจย์ก็รีบหุบปากไว้แบบเดิม เขาถูกพยาบาลพาไปตรวจไปฉีดยาจากนั้นก็ถูกพามานอนพักที่ห้องพิเศษซึ่งมันใหญ่และหรูสมกับราคาของห้อง ส่วนเจ้าเฮกเตอร์นั้น คุณเจย์โทรเรียกหมอที่เป็นคนรู้จักมารับมันไปรักษา

โทรศัพท์ของเขามีข้อความและสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับจำนวนมาก เขาไม่รู้ว่าตนไปกดปิดเสียงตั้งแต่เมื่อไร แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์คุ้นตาก็รีบโทรกลับไป

เบอร์แม่ของเขา

แม่รับสายและรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับบ่นทรอยอีกชุดใหญ่ที่หายไปไม่บอกกล่าว แม่ของทรอยบอกว่าพี่หลงหาทรอยไม่เจอ เลยวกกลับไปที่บ้าน ซึ่งทรอยก็ยังไม่กลับ ทั้งคู่เป็นห่วงทรอยมาก ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ทรอยอยู่โรงพยาบาลแม่ก็ยิ่งว้าวุ่น บอกว่าจะรีบมาหา

ทรอยเริ่มประหม่าเพราะในห้องมีเพียงคุณเจย์เท่านั้น

“เป็นอะไร” คุณเจย์เดินเข้ามาใกล้เตียงที่ทรอยนอนอยู่

“เปล่าครับ” ทรอยอ้อมแอ้มตอบ พยายามแสร้งมองไปทางอื่น มองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่มองคุณเจย์ เวลาปกติก็แทบไม่กล้ามองอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้คุณเจย์ไม่ได้ใส่เสื้ออีก เขาจะกล้ามองได้ยังไง

ทำไมหุ่นดีจังนะ กล้ามอกกล้ามท้องขึ้นชัดจนน่าอิจฉา ผิวก็ขาวสว่างยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทรอยรู้สึกว่าหากเผลอจ้องตัวคุณเจย์นานๆ ตาอาจจะพร่าได้

“ยังปวดอยู่มั้ย” คุณเจย์เดินเข้ามาชิดขอบเตียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเขา ทรอยต้องรีบขยับตัวไปชิดข้างเตียงเพื่อให้มีที่ว่าง

“ไม่ค่อยปวดแล้วครับ เหมือนจะง่วง” ทรอยพูดเบาๆ หนังตาเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“อืม นอนสิ” เจย์หยิบผ้าห่มที่มันห่มแค่ท้องของคนตัวเล็กให้ห่มคลุมขึ้นมาจนถึงปลายคางของทรอย

“แล้วคุณเจย์ล่ะครับ” ทรอยหาวออกมาสองสามที

“ฉันทำไม?” คุณเจย์ถามกลับ

“ไม่นอนเหรอครับ” ทรอยตอบกลับ สติเริ่มจะไม่มั่นคงเพราะฤทธิ์ยาคลายเครียดที่หมอจ่ายให้

“ในนี้มีเตียงเดียว ให้นอนกับเธอมั้ยล่ะ” เจย์มองหน้าหวานๆ ที่กำลังง่วงนอนเต็มที่ ยิ่งเห็นทรอยปิดปากหาวแล้วขยี้ตาเบาๆ เขาก็ยิ่งนึกสงสัยว่าทำไม มนุษย์คนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดึงดูดสายตาเขาไปหมด

“ไม่เอาครับ คุณเจย์ตัวใหญ่ นอนกินที่ เดี๋ยวก็มาแย่งผ้าห่มผม” ทรอยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นงอแงเวลาง่วงนอนขนาดไหน สมองเริ่มเบลอไปหมด

“เธอนี่นะ” เจย์พูดเบาๆ แล้วหัวเราะนิดๆ ดวงตาของทรอยปิดลงแล้ว ดูท่าจะหลับ เขาจึงเตรียมจะลุกขึ้นไปนั่งที่โซฟาแทน แต่แค่ขยับตัว คนเจ็บก็พูดอะไรบางอย่าง

“ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณเจย์ฟังครับ ไม่รู้คุณจะเชื่อมั้ย” ทรอยพูดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่ น้ำเสียงนั้นงัวเงียเหมือนเด็กน้อยที่กำลังจะหลับ

“ลองเล่ามาสิ” เจย์ไม่รู้ตัวเลยว่าตนโน้มกายเข้าไปใกล้หนุ่มน้อยที่เป็นคนเจ็บ

“วันนี้ผมถูกฝูงสุนัขหมาป่าไล่ต้อนครับ โดนกัดด้วย” ทรอยยังคงหลับตาอยู่

“พวกมันจะไม่มาทำร้ายเธออีก” เจย์รับปากแต่ไม่รู้ว่าทรอยจะเข้าใจไหม

“ผมเจอสุนัขหมาป่ายักษ์ด้วยครับ” ลิ้นของทรอยเริ่มอ่อนทำให้คนฟังต้องพยายามเงี่ยหูฟัง

“หมาป่ายักษ์เหรอ”

“ครับ ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่ารถยนต์อีก ขนสีดำ ตาสีน้ำเงิน…”

“เธอกลัวมั้ย หมาป่าตัวนั้น เธอกลัวมันมากมั้ย” เจย์หยั่งเชิงถามในสิ่งที่เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้ว

“กลัวครับ กลัวมาก” ทรอยตอบเสียงแผ่วเบา เจย์หลุบตาลงเล็กน้อย แน่ล่ะ ใครจะไม่กลัวล่ะ ทรอยเองก็เป็นมนุษย์ เห็นหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนั้นย่อมต้องกลัวเป็นธรรมดา

“แต่ผมชอบเขาครับ”

เจย์ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่ทรอยพูดต่อ ชอบเหรอ

“เธอชอบอะไร หมาป่าที่เธอบอกว่าน่ากลัวเหรอ”

“ครับ เขาน่ากลัวแต่…เขาไม่ทำร้ายผม และเขา…สวยมากเลยครับ ผมยังไม่เคยเห็นอะไรที่สวยงามขนาดนั้นมาก่อน…เหมือนเขาออกมาจากเทพนิยายเลยครับ” ทรอยอมยิ้มทั้งที่หลับตาอยู่ราวกับว่าตอนนี้กำลังเพ้อรำพัน

“เขาตัวหอมด้วยครับ หอมมากๆ” ทรอยเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น

เจย์ไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่รับฟังสิ่งที่ทรอยอยากจะเล่า

“เธอก็ตัวหอม” เจย์กระซิบแผ่วเบาขณะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับตาอยู่ ลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้นชัดเจนเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเจย์ถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ทำให้ทั้งห้องมีกลิ่นหอมอบอวลโอบล้อมทั้งคู่

“เขากลิ่นหอมเหมือนคุณเจย์เลยครับ ผมชอบมาก” ทรอยเหมือนคนเมายาที่ใกล้จะหลับเต็มทนแต่ก็ฝืนเอาไว้

“ชอบอะไร ชอบกลิ่นหอม ชอบหมาป่าตัวนั้น หรือว่า…ชอบฉัน…” เจย์เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน เขาห้ามตัวเองไม่อยู่จึงใช้นิ้วเกลี่ยที่แก้มของทรอยเบาๆ หัวใจที่เคยสงบนิ่งมันเต้นรัวเมื่อต้องรอคอยคำตอบ

“ชอบ ผมชอบ…” ทรอยนิ่งไปดวงตาปิดสนิทลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เล่นเอาคนที่อยู่ใกล้ๆ เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะคิดว่าทรอยน่าจะหลับไปแล้ว แต่เมื่อเจย์ลุกยืนขึ้นทรอยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมมีเรื่องจะถามคุณเจย์ครับ” เจย์หันกลับมามองเด็กดื้อที่เขาคิดว่าหลับไปแล้ว

“ถามอะไรอีกล่ะ” เจย์จ้องมองคนขี้สงสัยแล้วอมยิ้มนิดๆ เครื่องหน้าของทรอยมันช่างน่ามองจริงๆ

“คุณเจย์รู้ได้ยังไงครับว่าผมอยู่ที่นั่น”

คำถามของทรอยทำให้เจย์ชะงักเล็กน้อย เขาจ้องมองดวงตากลมที่ตอนนี้ลืมตาขึ้นมาจับจ้องดวงตาของเขา

ทั้งสองสู้สายตากันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเจย์ยกมือขึ้นลูบหัวของทรอยแผ่วเบาเหมือนต้องการจะกล่อม

“วันนี้เธอเหนื่อยมากแล้ว ยังไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เธอต้องพัก” แม้จะเป็นคำสั่งแต่น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นทำให้ทรอยยินยอมที่จะทำตาม ทรอยถอนหายใจแผ่วเบา ความง่วงเอาชนะความสงสัย ในที่สุดก็ต้านฤทธิ์ยาไม่ไหว

เจย์ยกมือขึ้นเสยผมไปข้างหลังหลายครั้งขณะพยายามควบคุมกลิ่นหอมของตนเอง ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาในห้อง

ผู้เป็นจ่าฝูงนั่งมองใบหน้ายามหลับของทรอยอยู่อย่างนั้น เนิ่นนาน แทบไม่กระพริบตา จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่จึงมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

“คุณเจย์” แม่ของทรอยรีบเข้ามาขอบคุณที่ช่วยไปรับทรอยและพามาส่งที่โรงพยาบาล จากนั้นเธอจึงเดินไปดูทรอยที่นอนหลับอยู่

เสียงฝีเท้าของใครอีกคนทำให้เจย์หันหลังกลับไปมอง ใบหน้าที่เรียบเฉยฉายแววหยิ่งทะนงเมื่อเห็นว่าแม่ของทรอยมากับใคร

ไอ้เวรที่มารับมาส่งทรอยนั่นเอง

แม่ของทรอยมัวแต่สนใจลูกชายที่นอนหลับอยู่จึงไม่ได้สังเกตเลยว่า สองหนุ่มที่ยืนอยู่ในห้องกำลังจ้องตากันเขม็ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด