“แอนนี่ เธอหน้าซีด อาการกำเริบอีกแล้วเหรอ” อยู่ๆ เจย์ก็หันกลับมองหน้าแอนนี่แล้วถามขึ้น แอนนี่ที่ถูกถามตกใจจนตาโตไม่คิดว่าเจย์จะกล้าถามเรื่องอาการฮีทของเธอต่อหน้ามนุษย์ อีกอย่าง อาการเธอก็ไม่ได้กำเริบตอนนี้เสียหน่อย
“เอ๊ะ เป็นอะไรเหรอคะ” แม่ของทรอยมองหน้าแอนนี่ด้วยความสงสัย
“แอนนี่แพ้เกสรดอกทานตะวันครับ ถ้าอาการกำเริบจะจามไม่หยุดและผื่นขึ้นเต็มตัว” เจย์พูดแล้วปรายตามองไปยังแอนนี่
“ตายจริง” แม่ของทรอยอุทานเบาๆ แล้วรีบยกมือทาบอกเมื่อแอนนี่จามออกมาแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาด้วย
“แอนนี่แพ้เกสรดอกทานตะวันเหรอ” ทรอยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นหญิงสาว จามออกมาสองสามครั้ง
“แพ้มากค่ะทรอย เริ่มคัยตัวแล้วค่ะ” แอนนี่ยกมือขึ้นเกาที่แขนเบาๆ ทรอยและแม่ต่างสนใจอาการของหญิงสาว จนไม่ได้สังเกตว่าโทนี่แอบขยิบตาให้จ่าฝูงของตัวเองที่ปั้นหน้านิ่งอยู่
“แม่เอาไปทิ้งเถอะครับ เดี๋ยวแอนนี่จะเป็นมาก” ทรอยรีบบอกเพราะเกรงว่าหญิงสาวจะเกิดอาการแพ้หนักขึ้น ซึ่งแม่ของทรอยก็รีบทำตามลูกชายทันที
“แม่เอาไปทิ้งถังขยะข้างนอกนะ” แม่ของทรอยรีบหยิบช่อทานตะวันขึ้นมาแล้วใช้มืออีกข้างหยิบทิชชู่เปียกเช็ดโต๊ะเพราะเกรงจะมีละอองเกสรหล่นค้างอยู่
“ผมไปด้วยครับ” โทนี่รีบกุลีกุจอตามแม่ของทรอยออกจากห้องไป
“ฉันไปขอยาแก้แพ้จากคุณพยาบาลดีกว่า เดี๋ยวมานะทรอย” พูดจบแอนนี่ก็จามออกมาอีกครั้ง ซึ่งทรอยเผลอคิดไม่ได้ว่าขนาดจามยังดูเป็นผู้ดีเลย น่ารักแฮะ
พอแอนนี่ออกไปทรอยถึงได้รู้ตัวว่าในห้องเหลือแค่เขากับคุณเจย์เท่านั้น แต่น่าแปลกว่าอาการประหม่ามันกลับลดน้อยลงกว่าเดิม ทรอยมองช่อดอกไม้ในมือแล้วกลั้นยิ้มจนเมื่อหน้าไปหมด ดอกกุหลาบเป็นสิบดอก ทุกดอกเป็นสีแดงเข้ม แต่มีอยู่ดอกหนึ่งที่เข้มกว่าใครแทบจะกลายเป็นสีดำอมแดงด้วยซ้ำ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เจย์ที่ยืนอยู่ข้างเตียงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทรอยทำหน้าแปลกๆ
“ห๊ะ อะไรครับ” ทรอยหันไปมองผู้พูด คิ้วของคุณเจย์ขมวดนิดๆ เหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง
“เธอทำเหมือนหน้าจะเป็นตะคริว เกร็งหน้าทำไม”
“อ่อ เอ่อ ผมแค่เกร็งหน้าแบบ เอ่อ เป็นการบริหารใบหน้าแบบจีนครับ ทำให้หน้าเด็ก” ทรอยอ้างไปเรื่อย ในหัวคิดอะไรก็พูดๆ ออกมาก่อน จะให้บอกได้ไงว่ากลั้นยิ้มจนจมูกบานเพราะดีใจที่คุณเจย์ให้ดอกกุหลาบ แถมเป็นสีแดงเข้มอีก คุณเจย์รู้ความหมายของมันรึเปล่านะ
“เหรอ แล้วเป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลมากมั้ย”
“ก็ปวดนิดหน่อยครับ แต่คุณหมอบอกว่าให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้พรุ่งนี้ วันมะรืนผมจะไปทำงานนะครับ”
“ยังไม่ต้อง พักให้แผลหายดีก่อน เดี๋ยวอักเสบ”
“โห รอจนแผลหายผมก็โดนไล่ออกสิครับ ผมยังไม่ได้ทำเรื่องลางานเลย”
“ฉันจัดการแล้ว เลิกกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วรักษาตัวดีๆ”
“ครับ แล้วหมาของผมล่ะ เฮกเตอร์เป็นไงบ้าง” ทรอยถามขึ้นเพราะเป็นห่วงชิวาว่าของตัวเอง อาการมันไม่ค่อยดีเท่าไร
“พักรักษาตัวอยู่ ต้องพักสักระยะ ลูกน้องเธอร่างกายอ่อนแอมาก แต่ไม่ถึงตายหรอก อยู่ในมือหมอแล้วไม่ต้องห่วง” เมื่อเห็นว่าทรอยหน้าเสีย เจย์ก็รีบพูดให้กระจ่าง
“แล้วเรื่องค่ารักษาล่ะครับ ทั้งผมทั้งเฮกเตอร์เลย ห้ามบอกว่าไม่ต้องนะครับ ผมเกรงใจ” ทรอยรู้สึกกังวลอีกครั้งเพราะค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลลหรูแบบนี้คงจะแพงมาก
“ค่าใช้จ่ายของเธอ เบคเทลจะรับผิดชอบ มันเป็นสวัสดิการพนักงานอยู่แล้ว ส่วนเรื่องลูกน้องเธอ...ยังไม่รู้เท่าไร”
“จะแพงมากมั้ยครับ” ทรอยหน้าหมองเพราะค่ารักษาสัตว์ต้องไม่ใช่ถูกๆ แน่ แต่ยังไงเขาก็ต้องหามาให้ได้ เจ้าเฮกเตอร์คือครอบครัวของเขา เมื่อคิดจะเลี้ยงก็ต้องมีความรับผิดชอบมากพอที่จะดูแลมัน
“ก็คงมากหน่อย ถ้าเธอไม่มีฉันออกให้ก็ได้”
“คุณเจย์ อย่าแบบนี้สิครับ ผมลำบากใจ” ทรอยพูดออกมาตรงๆ เรื่องเงินทองมันละเอียดอ่อนและเขาก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครอีก
“ค่ารักษา ผ่อนจ่ายได้มั้ยครับ” ทรอยลองหยั่งเชิงถาม เห็นคุณเจย์บอกว่าสัตวแพทย์คนนั้นเป็นเพื่อนก็น่าจะคุยกันง่ายหน่อย
“ก็คงได้ ฉันจะคุยให้ เธอเลิกห่วงเรื่องพวกนี้ได้แล้ว” เจย์ไม่ปกปิดน้ำเสียงหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจมนุษย์ ไม่สิ เขาไม่เข้าใจทรอยมากกว่า มนุษย์คนอื่นที่เขาเคยเจอ หากเสนอผลประโยชน์แบบนี้จะรีบตะครุบไว้ทันที แต่กับทรอยนั้นตรงกันข้าม ทั้งที่ตัวเองก็แทบจะไร้หนทางแต่ก็ยังเย่อหยิ่งไม่ยอมรับความช่วยเหลือเรื่องเงิน มันทั้งน่าหงุดหงิดและก็น่าประหลาดใจไปด้วย
“คุณเจย์ไม่นั่งเหรอครับ” ทรอยเมื่อเห็นว่าทำให้เจ้านายอารมณ์ไม่ดีก็หน้าเสีย พยายามชวนอีกฝ่ายคุย เจย์ไม่ตอบแต่กลับลากเก้าอี้เข้ามาใกล้แล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียงคนเจ็บ สองมือกอดอกและยกเท้าขึ้นไขว่ห้างตามความเคยชิน
“อะไร?” เจย์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าทรอยจ้องมองตนด้วยแววตาแปลกๆ เหมือนพวกลูกหมาที่หูหางตกเพราะโดนดุเลย
“เปล่าครับ ผมจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่ามั้ยครับ?” ทรอยหัวเราะนิดๆ ต่างจากคนฟังที่ทำหน้าตื่นตระหนก
“ทำไมเธอพูดแบบนั้น” เจย์ยืดหลังตรง ถามกลับด้วยน้ำเสียงคาดคั้นคล้ายระวังภัย
“เอ่อ ก็ผมโดนสุนัขหมาป่ากัด ผมอาจกลายเป็นมนุษย์หมาป่าก็ได้ แบบในหนังไงครับ” ทรอยเลิ่กลั่กไม่รู้ว่าทำไมคุณเจย์ต้องทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นด้วย เขาพูดอะไรผิดเหรอ
“ผมพูดเล่นครับ คุณเจย์อย่าซีเรียสขนาดนี้สิ คือ ผมกลัว” ทรอยยอมรับตามตรงตอนนี้ใบหน้าที่แต่เดิมก็ดุอยู่แล้วตอนนี้กลับดูน่ากลัวเหมือนคุณเจย์กำลังโกรธจัด ไม่ใช่สิ เหมือนคุณเจย์ตื่นกลัว ตื่นตระหนกมากว่า
ผู้เป็นจ่าฝูงพอรู้ตัวว่าตนเองเผลอแสดงออกมากไปก็รีบปรับอารมณ์ เจย์ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นคนตรงหน้าคอตกเพราะถูกดุ แม้ความจริงเขาจะไม่ได้ดุอะไรก็ตาม
“เธอไม่เป็นหรอก” เจย์พูดแค่นั้นแล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้นิดๆ เหมือนต้องการปลอบขวัญ เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองได้ทำลายบรรยากาศดีๆ ไปเสียแล้ว เพราะตอนนี้ทรอยหน้าเสียแถมปิดปากเงียบสนิทเหมือนไม่อยากสนทนากับเขา
“เธอชอบมั้ย” เจย์ลองเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง
“ครับ?”
“ดอกไม้น่ะ ชอบรึเปล่า” เจย์มองไปที่ช่อกุหลาบบนตักของทรอย
“อ่อ ใครเลือกมาให้เธอครับ แอนนี่ โทนี่ หรือเจ้าของร้านดอกไม้” ทรอยถามกลับ
“ฉันเลือกเอง”
พอได้ยินคำตอบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี ทรอยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณเจย์มีสีหน้าอ่อนลง
“ทำไมถึงเป็นดอกกุหลาบล่ะครับ ทำไมต้องเป็นสีนี้” ทรอยลองถามลึกลงไปอีกหน่อย
“ฉันคิดว่ามันเหมาะกับเธอ” เจย์ตอบมาสั้นๆ เขาแค่รู้สึกว่าทรอยเหมาะกับสีแดงเข้มและดอกกุหลาบที่ทั้งสวยและมีหนามแหลมคม
“ดอกนี้แดงเข้มจนแทบจะกลายเป็นกุหลาบสีดำเลยครับ” ทรอยชี้ให้ดูซึ่งเจย์ก็เห็นด้วยว่าดอกนั้นมีสีเข้มมากจริงๆ
“รู้ความหมายของมันมั้ยครับ” ทรอยถามสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ แต่ทว่าคนถูกถามกลับส่ายหน้า ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทรอยคาดไว้ไม่ผิด
“ฝากเอาวางไว้บนโต๊ะทีครับ” ทรอยยื่นช่อดอกไม้ให้เจย์นำไปวางไว้ที่โต๊ะ ส่วนตนเองนั้นล้วงมือไปใต้หมอนเพื่อหยิบกระดาษแผ่นบางที่ตนซ่อนไว้ออกมา จากนั้นจึงลงมือวาดรูปในกระดาษด้านที่ยังว่างเปล่า
“เมื่อคืน...ทำไมเธอถึงไปอยู่ที่นั่น” เจย์กลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม มองคนเจ็บที่กำลังวาดรูปบางอย่าง
“ผมจะพาเฮกเตอร์ไปหาหมอครับ แต่ดันหลงทาง” ทรอยตอบสั้นๆ เวลาวาดรูปเขียนงาน สมาธิทรอยจะจดจ่ออยู่กับงานมากกว่าสิ่งใด
“ไปกับใคร” เจย์ถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ไปกับพี่หลงครับ เขาเข้าไปถามทางในร้านค้า ส่วนผมก็วิ่งตามเฮกเตอร์ไปแล้วก็ไปเจอหมาป่าเวรนั่น” ทรอยพูดโดยไม่ละสายตาจากที่สิ่งตัวเองกำลังวาด
“มันทิ้งเธอ” เจย์พูดขึ้นทันที
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เขาติดคุยจนลืมผม” ทรอยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับไม่เดือดร้อนอะไร
“หมอนั่นมันไม่ได้เรื่อง เธอไม่ควรให้มันมายุ่งอีก อย่าไว้ใจคนอื่นมากเกินไปอันตรายจะถึงตัว”
มือที่กำลังวาดอยู่ชะงักทันที ทรอยเบนสายตาจากกระดาษหันมามองหัวหน้าทีมที่กำลังจ้องเขาอยู่
“อย่าไว้ใจใคร รวมถึงคุณด้วยรึเปล่าครับ” ทรอยยิ้มนิดๆ เพราะได้หยอกล้อคุณเจย์ แต่คนถูกหยอกกลับกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิดก่อนจะตอบ
“โดยเฉพาะฉัน”
ทรอยเผลอยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ แม้จะฟังดูเหมือนเป็นการพูดเล่น แต่เมื่อมองเข้าไปลึกข้างในดวงตาสีฟ้าหม่น ทรอยกลับรู้สึกว่าคุณเจย์นั้นพูดจริง
“คุณเจย์ครับ” ทรอยวางดินสอในมือแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ความประหม่าเขินอายหายไปสิ้น ตอนนี้รู้สึกแค่เพียงว่า เขาอยากมองประสานนัยน์ตาสีฟ้านั้นให้นานเท่าที่จะนานได้
“ฉันฟังอยู่” เจย์ขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิดโดยที่ไม่ยอมหลบสายตาเช่นกัน
“ถ้าผมหายแล้ว เราไปร้านกาแฟนั่นด้วยกันมั้ยครับ”
“เราเหรอ?”
“ครับ แค่เราสองคน”
ทรอยช่างไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางและคำพูดของตนเองนั้นเชื้อเชิญเขาแค่ไหน
“ได้สิ แค่เราสองคน”
น้ำเสียงของคุณเจย์ที่เอ่ยออกมานั้น มันทั้งทุ้มและนุ่มแต่ก็เร่าร้อนคล้ายกับตอนที่เขาดื่ม วิสกี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
และสุดท้ายก็เป็นทรอยที่ยอมแพ้ให้กับสงครามสู้สายตาในครั้งนี้ หากคุณเจย์มองเขาด้วยแววตานิ่งๆ เหมือนเคย เขาคงจะขอสู้ แต่นี่คุณเจย์เล่นมองเขาด้วยแววตาที่มัน..หวานฉ่ำ หยาดเยิ้มขนาดนี้ เขาไม่อาจเอาชนะได้หรอก
“คุณเจย์ทานแอปเปิ้ลกันมั้ยครับ” ทรอยกระแอมสองสามครั้งแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“เธอหิวเหรอ” เจย์ยืนขึ้นแล้วเดินไปหยิบแอปเปิ้ลที่ตนสั่งให้โทนี่ซื้อมา
“อยากกินน่ะครับ” ทรอยโกหก เขาแค่จะหาอะไรทำแก้เขินเฉยๆ
“ฉันก็อยากกิน” เจย์หยิบแอปเปิ้ลสีแดงสดมาหนึ่งลูก
“อ่อ งั้นกินด้วยกันมั้ยครับ” นี่เขากำลังชวนคุณเจย์กินแอปเปิ้ลที่คุณเจย์ซื้อมาให้เนี่ยนะ
“เอาสิ…” เจย์เดินมาข้างเตียงตามเดิม ดวงตาของหมาป่ามองหน้าคนที่นั่งรออยู่
เจย์อ้าปากกัดผลแอปเปิ้ลในมือหนึ่งคำจนเกิดรอยแหว่งขนาดใหญ่ ฟันคมเคี้ยวเนื้อผลไม้ที่เขาไม่ค่อยจะชอบรสชาติเท่าไรนักขณะที่ตาก็ยังมองหน้าทรอยแบบไม่กระพริบเช่นเดิม
“…” ทรอยมองสิ่งที่คุณเจย์แสดงออกอย่างสงสัย จากนั้นความสงสัยกลับกลายเป็นความร้อนลุ่มขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อจู่ๆ เจย์ก็ยื่นผลแอปเปิ้ลด้านที่มีรอยกัดส่งให้ทรอย
ทรอยมองแอปเปิ้ลที่ยื่นมาให้ แล้วมองหน้าคุณเจย์ที่มองตอบกลับมาด้วยแววตาที่ทรอยเข้าใจว่า เป็นการหยอกล้อและท้าทาย และแน่นอน ทรอยรับคำท้านั้น
ทรอยหยิบผลไม้ในมือของหัวหน้าทีมแล้วเลือกที่จะกัดซ้ำรอยเดิมที่คุณเจย์ได้สร้างเอาไว้ เขาไม่แน่ใจว่าตนตีความหมายของแววตาที่คุณเจย์มองมาผิดหรือไม่
คุณเจย์กำลังพึงพอใจในสิ่งที่เขาตอบสนอง
“ฉันกินด้วยได้มั้ย?” เจย์ถามด้วยน้ำเสียงที่คนฟังต้องขนลุกซู่ มันเหมือนคำกระซิบที่ออดอ้อนให้ยอมศิโรราบแต่โดยดี ซึ่งทรอยก็ทำได้เพียงพยักหน้าน้อมรับแล้วยกมือข้างที่ว่างกุมหัวใจตนเองเพราะเกรงว่าจะหลุดออกมา
ในตอนที่คุณเจย์นั่งลงบนเตียงข้างกายเขา ในยามที่มือของคุณเจย์โอบกุมมือของเขาที่กำผลแอปเปิ้ลอยู่ หรือแม้แต่ในยามที่คุณเจย์เอียงหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้และอ้าปากกัดผลไม้สีแดงก่ำนั้น
ดวงตาของเราทั้งคู่ยังคงประสานกันตลอดเวลาราวกับเรากำลังตกอยู่ในวังวนของมนต์สะกดที่ยังไม่คลาย
ทรอยอ้าปากหอบหายใจเพียงนิด คุณเจย์เคี้ยวเนื้อผลไม้นั้นแค่สองสามครั้งก็กลืนลงคอ ทรอยเผยอปากหอบหายใจโดยไม่รู้ตัวในยามที่เจ้าของดวงตาสีฟ้าหม่นออกแรงผลักให้ผลแอปเปิ้ลในมือเราทั้งสองมาจรดที่ริมฝีปากของเขา
คำพูดใดๆ ในโลกนี้ มันไม่จำเป็นสำหรับเราสองคน
ทรอยรู้ว่าคุณเจย์ต้องการให้ทำอะไรและคุณเจย์ก็รู้ดีในสิ่งที่ทรอยเองก็ต้องการเช่นกัน
เราสองคนค่อยๆ กัดกินผลแอปเปิ้ลสีแดงสดนั้นช้าๆ ละเลียดรสหวานฝาดลิ้นไปด้วยกัน
“อุ๊ย!” เสียงตกใจของแม่เรียกสติของทรอยให้หลุดจากภวังค์ ทรอยดีดตัวผละออกห่างคุณเจย์จนหัวไปกระแทกขอบเตียงทันที
“ระวังหน่อยสิ” คุณเจย์ดุนิดๆ แต่คนถูกดุกลับทำหน้าดื้อเพราะที่เขาเจ็บตัวมันก็เพราะคุณเจย์นั่นแหล่ะครับ
แม่ของทรอยทำหน้าบอกไม่ถูก เธอจึงเดินเข้าห้องน้ำไปก่อน ส่วนโทนี่และแอนนี่ที่มาเห็นก็ไม่ได้มีทีท่าเขินอายอะไร เป็นทรอยเสียอีกที่แทบไม่กล้ามองหน้าใครแล้ว
“ทรอย ซื้อขนมมาฝาก เอ๊ะ แต่ว่า กินได้รึเปล่า คุณหมอจะดุมั้ย” แอนนี่เดินตรงรี่เข้ามาหาทรอยพร้อมกับถุงขนมสามสี่ห่อที่เธอเคยเห็นทรอยกิน
“กินได้ ไม่ดุหรอกก็หมอไม่รู้ แอนนี่หายแล้วใช่มั้ย ที่ไม่สบาย วันนี้ดูสวยเป็นพิเศษเลย” ทรอยยิ้มกว้างและเอ่ยชมตามมารยาทของชายหนุ่มส่วนคนถูกชมก็หัวเราะร่วน
“ทรอยได้ตาของคุณแม่มาเหรอคะ ดูสิ ตอนทรอยยิ้มมันจะเป็นเสี้ยวพระจันทร์เหมือนของคุณแม่เลยค่ะ”
“ใช่ครับ ปากผมก็เหมือนแม่นะยิ่งเวลายิ้มมีแต่คนบอกว่าถอดกันมาเลย”
“คุณแม่ของทรอยยิ้มสวยมากค่ะ”
“งั้นก็แปลว่าผมยิ้มสวยด้วยใช่มั้ยครับ” ทรอยยิ้มกว้าง
“ไม่ค่ะ ทรอยยิ้มได้หล่อมากต่างหาก”
ทั้งสองหัวเราะร่วนโดยมีโทนี่ร่วมวงสนทนาอีกคน
“เฮ้ยทรอย แมลงเกาะหัวนาย” โทนี่ชี้ไปที่ผมของทรอย ส่วนแอนนี่ที่ยืนอยู่ใกล้พอเห็นตัวแมลงก็รีบยื่นมือไปเพื่อจะหยิบออก
แต่ก่อนที่ฝ่ามือนิ่มของหญิงสาวจะสัมผัสโดนผมของทรอย มือของเธอกลับต้องชะงักค้างเพราะถูกฝ่ามือใหญ่จับเข้าที่ข้อมือก่อน
ทรอย โทนี่และแอนนี่ต่างหันไปมองคุณเจย์ที่อยู่ๆ ก็จับข้อมือแอนนี่แล้วดึงออกมาเบาๆ
ใจของทรอยมันหวิวเหมือนตอนที่หิวข้าวจัดๆ แต่ไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เมื่อมองเห็นว่าคุณเจย์และแอนนี่มองตากัน จากนั้นแอนนี่ก็ลดมือลงพร้อมกับถอยออกไปยืนด้านหลังคุณเจย์เล็กน้อย
ทรอยกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน การกระทำของคุณเจย์นั้นมันแสดงออกให้รู้เลยว่า คุณเจย์กำลังหวงแอนนี่
ทรอยรู้สึกเหมือนมีใครมาบีบหัวใจเขา
“เอ่อ...เรากลับกันเลยมั้ยครับ มีงานต่อ” โทนี่พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทรอยเห็นคุณเจย์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาหาตน ก่อนจะยกมือขึ้นเหมือนต้องการจะจับหัวเขา
ทรอยปัดมือคุณเจย์ออกทันที
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โดยที่ทรอยรับรู้ได้ว่าสายตาของคุณเจย์กำลังมองตนอยู่ แต่ทรอยเลือกที่จะไม่สนใจกลับลงมือวาดงานที่ค้างไว้อย่างหวัดๆ แล้วส่งยื่นให้คุณเจย์
“ขอบคุณที่มาเยี่ยม ไว้เจอกันที่ทำงานครับหัวหน้าทีม” ทรอยพูดโดยที่ไม่มองหน้าใครทั้งนั้น
“…” จ่าฝูงหมาป่ายืนงงกับพฤติกรรมของทรอยที่ปัดมือเขาออกแล้วก็มามึนตึงใส่ทุกคน แต่เจย์ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรอีก เขารับกระดาษที่ทรอยส่งมาให้แล้วเดินหันหลังออกจากห้องไปทันที
เมื่อทั้งสามกลับไป ทรอยก็ไม่ปกปิดความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอก
คุณเจย์ทำแบบนี้อีกแล้ว มาหว่านเสน่ห์ให้เขาแพ้ทางแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คุณเจย์สนใจ ยิ่งเห็นท่าทางที่คุณเจย์หวงแอนนี่จนไม่อยากให้เธอมาถูกตัวผู้ชายอื่น ทรอยก็ยิ่งอยากร้องไห้ เขากำลังอิจฉาแอนนี่เหรอ ไม่หรอก เขาไม่ได้อิจฉาเธอ เขาชอบเธอด้วยซ้ำ แอนนี่ไม่ได้ผิดอะไร คนที่ผิดคือคุณเจย์ต่างหาก
คนเจ้าชู้...
“น่าโมโหชะมัด” ทรอยหัวเสีย
“อ้าว กลับกันไปแล้วเหรอ” แม่ของทรอยที่เดินออกมาจากห้องน้ำถามขึ้นเมื่อเห็นว่าทั้งห้องมีเพียงลุกชายที่นั่งอยู่บนเตียงคนป่วย
“ครับ”
“เป็นอะไรทรอย” แม่จับน้ำเสียงความไม่พอใจของลูกชายเธอได้
“เปล่านี่ครับ” ทรอยตอบแค่นั้นเหมือนไม่ต้องการพูดอะไรต่อแต่อยู่ๆ ก็นึกเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อๆ เมื่อความสงสัยมันมีมากกว่าความหงุดหงิด
“เจ้านายของผม คุณเจย์ แม่ว่าเขาคิดยังไงกับผมครับ” นี่เป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายของทรอย เวลาโมโหทรอยจะพูดจะบอกอะไรไปตรงๆ ซึ่งบางครั้งคำพูดที่ตรงกับใจเกินไปก้ไม่ส่งผลดีนัก
“อืม...แม่ว่าเค้าน่าจะชอบลูกนะ” แม่ของทรอยทำท่าคิด
“ผมก็คิดแบบนั้นครับ” ทรอยยอมรับตามตรง
“แล้วยังไงต่อจ๊ะ” แม่ถามย้ำเพราะต้องการให้ทรอยบอกสิ่งที่ติดค้างในใจ
“ประเด็นคือ เขาทำเหมือนจีบผม แต่ไม่ได้จีบผมคนเดียว เขาดูเหมือนกำลังคบกับแอนนี่ด้วย” ทรอยโพล่งสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาให้แม่รับรู้ ขอบตาร้อนผ่าวนิดๆ ไม่คิดว่าตนเองจะอ่อนแอขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าตนจะชอบคุณเจย์ได้มากขนาดนี้
“แอนนี่ แม่หนูคนสวยเมื่อกี้เหรอ”
“นั่นล่ะครับ”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็เขาดูแลเธอ เขาไปไหนมาไหนกับเธอ เขาดูห่วงใยเธอ ไม่รู้สิครับ ผมบ้าไปแล้ว พอแล้วครับผมเลิกคิดดีกว่า” ทรอยเกาหัวแล้วล้มตัวลงนอนพยายามไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น
“เขาบอกเหรอว่าคบกันอยู่” แม่ทรอยเดินมาใกล้แล้วทิ้งตัวนั่งข้างๆ ลูกชายเธอ
“ไม่ได้บอกครับ แต่ใครๆ ก็ดูออก”
“ใครล่ะ มีใครมาบอกลูกเหรอว่าเขาคบกัน”
“…” ทรอยนิ่งเงียบ
“ที่แม่เห็น สายตาที่คุณเจย์มองแม่หนูคนนั้น กับที่มองลูกมันต่างกันนะ”
“ยังไงครับ” ทรอยหันมามองหน้ามารดาของตน
“ก็ แหม...ไม่รู้สิ แม่อธิบายไม่ถูก แต่ว่าถ้าลูกอยากรู้ทำไมไม่ถามเค้าล่ะว่าเค้าคบกันหรือเปล่า”
“ใครจะไปกล้าถาม ผมอาย ถ้าเค้าบอกว่าคบกันผมก็หน้าแตกสิครับ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว” ทรอยทำปากยื่นเหมือนเด็กงอแงซึ่งคนเป็นแม่ก็ได้แต่ส่ายหัวอ่อนใจ แต่อย่างน้อยลูกชายเธอก็ยอมรับหัวใจตัวเอง
“งั้นลูกก็ตัดใจสิ ลูกใจแข็งอยู่แล้ว”
“...” ทรอยไม่ตอบแต่ในหัวนั้นคิดวนเวียนไม่รู้จบ
“ลูกตัดใจได้แต่ไม่ยอมตัดสินะ” แม่ของทรอยรู้ใจลูกชายเธอเสมอ ทรอยชอบเขามาก และที่ยังไม่ยอมตัดใจจริงๆ ก็เพราะยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสองคนนั้นคบกันหรือเปล่า
“ไม่ว่าใครก็ต่างเคยทำเรื่องโง่ๆ เพราะความรักกันทั้งนั้น…”
“ลอกมาจากหนังเรื่อง Predestination ครับ”
“รู้ทันอีก ลูกคนนี้” แม่ของทรอยหัวเราะร่วน ดีใจที่ทำให้ทรอยคลายจากความหงุดหงิดได้บ้าง
“ถ้าเป็นแม่ จะทำยังไงครับ” ทรอยมองหน้าหญิงสาวที่ตนรักมากที่สุดในชีวิต
“ถ้าเป็นแม่ แม่จะถามให้รู้กันไปเลยว่าเขาคบกันหรือเปล่า จะได้รู้ว่าเราควรจะทำยังไงต่อไป”
“ผมไม่กล้าถามเขา ผมอาย”
“ไม่จำเป็นต้องถามเจ้าตัวหรอกทรอย เรามีเพื่อนไว้เพื่อการนี้แหล่ะ สืบจากคนรอบตัวเขาก็ได้ มันไม่ยากเลย”
ทรอยทำหน้าประทับใจ นั่นสินะ ทำไมเขาลืมวิธีนี้ไปได้ มันโคตรจะง่ายเลยที่จะรู้
เมื่อนึกขึ้นได้ทรอยก็ผุดลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าโทรศัพท์ของตนกดเข้าอีเมลทันที เขาพิมพ์ข้อความไม่ยืดยาวนักเพราะไม่อยากเสียเวลาจากนั้นจึงกดส่งเมลแล้วเฝ้ารอคอยคำตอบที่จะถูกส่งกลับมา
เจย์หงุดหงิดเล็กน้อยเพราะตนไม่อาจเข้าใจอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของทรอยได้
เขาเลือกขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับตามเดิม ฝาแฝดนั่งยังเบาะหลังทั้งคู่ เพราะเบาะข้างคนขับไม่ว่างเสียแล้ว
“เอาดอกไม้มาทำไมเหรอ” แอนนี่ถามขึ้นเพราะเห็นว่าช่อดอกทานตะวันที่เธอแกล้งแสดงว่าแพ้เกสรของมันวางอยู่บนเบาะ
“ไม่รู้ เจย์ให้เอามาด้วย” โทนี่ยักไหล่ ยื่นมือไปยังเครื่องเล่นเพลงของรถแล้วกดเล่นเพลงที่ตนชอบฟัง ส่วนแอนนี่ก็ยื่นหน้าไปถามจ่าฝูงอย่างสงสัย
“ทรอยให้กระดาษอะไรมาเหรอคะ”
เมื่อแอนนี่ถามขึ้น เจย์ถึงนึกออกว่าตนเก็บแผ่นกระดาษนั้นใส่กระเป๋าสูทไว้โดยที่ยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ นึกได้จึงล้วงหยิบออกมาดูเพราะตนก็สงสัยเช่นกัน
บนกระดาษที่มีรอยยับนั้น ทรอยวาดดอกกุหลาบหนึ่งดอกเอาไว้ พร้อมกับเขียนข้อความกำกับว่า Black Rose…
“กุหลาบสีดำเหรอคะ?” แอนนี่มองรูปวาดของทรอยไม่วางตาจนผู้เป็นจ่าฝูงต้องใช้มือดันหัวของเธอให้หดกลับไปนั่งเบาะหลังตามเดิม
เจย์ขมวดคิ้วนึกสงสัยว่าทรอยให้รูปวาดนี้แก่เขาทำไม เมื่อเขาลองพลิกกลับไปอีกด้านของกระดาษก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ทว่านอกจากความไม่เข้าใจเจย์กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว
สุนัชหมาป่าสีดำที่ดวงตาถูกระบายด้วยสีฟ้า ซึ่งเจย์รู้ได้ทันทีว่าเป็นตัวเขาเอง
ทรอยบรรจงวาดร่างหมาป่าของเขา ถ่ายทอดมุมมองที่มีต่อเขาในร่างนั้นออกมาได้ชัดเจน
ในสายตาของทรอย เขาสวยงามและสง่างามได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
คำถามผุดขึ้นในหัวพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงมากกว่าปกติหลายเท่า นี่สินะ ที่พวกมนุษย์เรียกมันว่า ความยินดี ความสุขสม เขาเข้าใจแล้ว
“คุณเจย์ครับ” โทนี่เรียกเขาด้วยเสียงหวาดหวั่นจนเจย์ต้องละสายตาจากกระดาษในมือไปมอง พบว่าโทนี่กำลังกอดร่างน้องสาวเอาไว้แน่น ตัวของแอนนี่สั่นเทาและหน้าซีดขาว แม้แต่โทนี่เองก็มีอาการบ้างเล็กน้อยแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง
“กลิ่นของคุณ มันแรงมาก มากเกินไปครับ” โทนี่รีบเตือนและกอดร่างน้องสาวไว้แน่น กลิ่นฟีโรโมนของเจย์กระตุ้นอาการของแอนนี่จนเธอปวดร้าวไปทั้งตัว แม้แต่โทนี่ยังหวั่นใจ จริงอยู่ว่าทุกตัวในฝูงเคยได้กลิ่นของเจย์ในยามที่เจย์ปล่อยฟีโรโมน แต่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบนัก แต่กับครั้งนี้ มันมากเกินไป มากจนเขาเองยังใจสั่น ไม่ต้องพูดถึงแอนนี่ เธอกำลังอยู่ในช่วงฮีท การถูกกระตุ้นแบบนี้ทำให้ร่างของเธอเจ็บจนร้าวไปหมด
เจย์เมื่อรู้ตัวว่าตนนั้นทำอะไรลงไป ก็รีบควบคุมกลิ่นหอมของตนแต่ทว่าก็ยังทำได้ไม่ดีนัก เจย์จึงหยิบบุหรี่แล้วออกจากรถไป เจย์พยายามวิ่งออกห่างตัวรถให้มากที่สุด เขาไม่ได้ต้องการให้แอนนี่ต้องทรมานแบบนี้
เมื่อออกห่างมามากพอ เจย์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สาธารณะ โชคดีนักที่ไม่มีมนุษย์หมาป่าแถวนี้ เจย์รวบรวมสติให้มั่นคงจากนั้นจึงอัดตัวยาจากบุหรี่เข้ากายต่อเนื่อง ผ่านไปสักพักหัวใจที่เต้นเร็วแรงจึงกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้เขาควบคุมกลิ่นหอมของตนได้แล้ว
เจย์ปาดเหงื่อที่ไหลชุ่มไปทั่วใบหน้า เขาคลายเนกไทออกเล็กน้อยเพราะรู้สึกอึดอัด หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหาโทนี่ เพื่อถามว่าอาการแอนนี่ดีขึ้นหรือยัง เมื่อรู้ว่าดีขึ้นแล้วเจย์จึงกดวางสาย หน้าจอปรากฏการแจ้งเตือนเข้า เจย์กดดูทันทีเพราะชื่ออีเมลคือชื่อของคนที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองแทบไม่ได้อย่างนี้
เมื่ออ่านข้อความเจย์ก็เผลอยิ้มกว้างอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาระวังตัวมากขึ้น ควบคุมตัวเองมากขึ้น
“ฉันมีเรื่องจะถาม คุณเจย์คบกับแอนนี่อยู่หรือเปล่า เฮ้โทนี่ นายอย่าไปบอกใครนะว่าฉันถาม ขอบคุณมาก”
------------------------------------------------------
สวัสดีรีดเดอร์ทุกคนนะคะ ^^
บทนี้คือยาวมาก แบบมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนเลย หมดพลังงานไปเยอะ
ปวดหลังมากเลยค่ะไรเตอร์อ้อนขอคอมเม้นมาแทนยาแก้ปวดได้มั้ยคะ 555+
ต่ายขอแจ้งนิดนึงว่า ว่าเรื่องนี้ เป็นเรท PG - 13 นะคะ มีฉากความรุนแรงอยู่
หากฉากไหนที่ค่อนข้างส่งผลต่อใจหรือความเครียดของผู้อ่าน
ต่ายจะขึ้นแจ้งเตือนให้ก่อนนะคะ
และต่ายกำลังแก้ไขคำผิดตั้งแต่ตอนที่1มาจนถึงตอนนี้ ต้องขออภัยนักอ่านที่บางทีมันมีคำผิดหลายจุด T^T
เจอกันบทหน้านะคะทุกคน อย่าลืมคอมเม้นให้กันบ้างนะคะ ไรท์จะได้มีแรงมาอัพต่อ อ้อนๆ