― 11 blocks away ;#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก update ch.13 (23/11/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ― 11 blocks away ;#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก update ch.13 (23/11/2019)  (อ่าน 3974 ครั้ง)

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





― 11 blocks away ;

this novel is participating in the #fictober2019 challenge
will be updated daily during october 2019
[/size]




11 blocks from my door to your doorstep

ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อกคือบ้านของฟีม ที่เจ้าตัวย้ายออกไปตั้งแต่แต่งงานเมื่อเจ็ดปีก่อน
ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อกคือบ้านของปลาย รุ่นน้องคนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอกันมาเจ็ดปีแล้ว

หากเพียงสิบเอ็ดบล็อกยังคงระยะไว้เท่าเดิม ปลายก็จะเจอฟีมที่ปลายทาง
หากเพียงสิบเอ็ดบล็อกยังคงระยะไว้เท่าเดิม ฟีมก็หวังว่าระยะทางจะยืดไกลออกไป

ห่างออกมาเจ็ดปี ปลายกลับมาที่เดิมเพื่อนับบล็อก
ห่างออกมาเจ็ดปี ฟีมกลับมาที่เดิมเพื่อเริ่มต้นใหม่

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก
[/i][/size]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2019 20:45:32 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter one

Ring

 



               เสียงนาฬิกาปลุกดัง มือของฟีมเอื้อมไปกดปิดตามสัญชาตญาณก่อนจะลุกขึ้นอัตโนมัติโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองเวลาหรือวันที่ จำไม่ได้ว่าวันนี้วันอะไร แต่เมื่อวานบนถนนรถติดมากตอนเลิกงาน ก็คงจะ...สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่าเมื่อวานวันศุกร์ และวันนี้เป็นวันเสาร์...ไม่ต้องไปทำงาน

               แต่ก็ต้องลุกจากเตียงอยู่ดี ไม่งั้นฟองตื่นมาก็จะหิว ให้เด็กวัยกำลังโตหิ้วท้องรอกินข้าวเช้าคงไม่ดีนัก อย่างไรเสียเขาก็ต้องตื่นทุกวันอยู่แล้ว ตื่นเช้าหรือตื่นสาย ก็ต้องตื่นมาเผชิญกับความเป็นจริงทุกวันอยู่ดี ไม่ว่าจะวันอะไร ความจริงก็จะยังเหมือนเดิม ต่างกันแค่วันนี้ไปทำงาน วันนี้ไม่ต้องไปทำงาน ก็แค่นั้นเอง

               เวลาเจ็ดโมงนิดๆ อากาศในแถบปริมณฑลก็ยังคงเย็นอยู่ ถ้าเป็นในตัวเมืองก็คงจะร้อนกว่านี้ไปด้วยควันรถไปแล้ว ฟีมล้างหน้าแปรงฟัน ใส่รองเท้าแตะ และไม่ลืมที่จะหยิบกล่องข้าวเก็บความร้อนออกไปด้วย เป้าหมายคือร้านโจ๊กถัดไปสามช่วงตึกเพียงเท่านั้น ฟองไม่ชอบกินโจ๊ก แต่ว่าวันนี้ฟองต้องไปเรียนพิเศษแต่เช้า และร้านเดียวที่เปิดตรงช่วงตึกแถวนี้ก็คือร้านโจ๊ก ถ้าเลือกได้ฟีมก็คงจะไปตลาด แต่ว่าตลาดไม่ได้ใกล้เลย ต้องขับรถออกไป กว่าจะขับกลับมา ฟองก็ต้องหิ้วท้องรออีกแล้ว

               ฟีมก้าวไปตามช่วงตึกที่คุ้นเคยอย่างเดิม กับวันที่ไม่ได้ต่างอะไรมากนัก คุณป้าร้านโจ๊กก็ยังมีลูกค้าประจำในช่วงตึกนี้รออยู่เหมือนเคย บางคนแค่เห็นหน้าไม่พูดอะไร ก็จะได้รับคำว่า เอาเหมือนเดิมใช่ไหม และการพยักหน้าตอบกลับ เป็นจบการสั่ง และฟีมก็เช่นกัน

               “เอาเหมือนเดิมใช่ไหม”

               “ครับ”

               “เจ้าฟองเป็นยังไงบ้าง”

               วันนี้ฟีมได้รับคำถามอื่นนอกจากการสั่งโจ๊ก ไม่ใช่คำถามแปลกใหม่ แต่ก็ยังยากที่จะตอบเหมือนเคย เพราะฟีมรู้ว่าคำถามของอีกฝ่ายสื่อถึงอะไร ไม่ใช่สารทุกข์สุขดิบ แต่เป็นการจากไปของผู้เป็นแม่ หรือภรรยาของฟีม ดุจดาว

               “ก็ดีครับ ไม่ค่อยงอแงแล้ว” ฟีมตอบเลี่ยงๆ แหวนเงินเรียบๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ใบหน้ายังคงนิ่งสนิทและไร้สีสันเหมือนเคย ฟีมเก็บอารมณ์ความรู้สึกเก่ง บวกกับที่ตนเองหน้าตาเฉยชาและผิวขาวซีด จึงไม่ค่อยทำให้คนอยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่นัก และเขาก็ไม่ชอบให้คนมายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวมากเกินไป โดยเฉพาะคนนอก แต่เพราะว่าตอนนี้ฟีมตัวคนเดียว ถ้าจะทำตัวไม่เป็นมิตรเลยกับเพื่อนบ้านนักก็คงไม่ดี อย่างน้อยถ้าคนเหล่านี้เอ็นดูฟอง ก็ยังพอเป็นหูเป็นตาให้ได้ตอนที่ฟีมไม่อยู่

เขาเพิ่งจะย้ายกลับมาบ้านเก่านี้ไม่นานหลังจากดาวจากไป ตึกแถวสมัยที่ยังคงอยู่กับพ่อและแม่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้เหลือเพียงเขาตัวคนเดียว และเฟย์ที่แต่งงานออกไปพร้อมกับพาแม่ไปอยู่ที่อเมริกาด้วย ถ้าพ่อยังอยู่ ก็คงจะอยู่บ้านนี้กับแม่สองคน พ่อกับแม่ไม่ชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบที่ใหม่ๆ แต่เพราะว่าพ่อเสียทันทีไม่นานหลังจากเฟย์แต่งงานตามเขา แม่จึงต้องอยู่คนเดียว และเฟย์ก็เป็นห่วงแม่เกินกว่าจะปล่อยให้คนแก่คนหนึ่งอยู่ตึกแถวคนเดียว ดังนั้นบ้านนี้จึงยังเหลือไว้ให้ฟีมกลับมาพิงใจยามที่ดาวจากไป ถึงจะต้องอยู่คนเดียวกับฟอง แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าบ้านหลังเดิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายกรุ่นของดาว ฟีมไม่สามารถเรียกที่แห่งนั้นว่าบ้านได้อีก คงจะเป็นเพียงแค่อนุสรณ์สถานแห่งความอาลัย

               “เอามาฝากที่ร้านฉันก็ได้นะเจ้าฟองน่ะ เธอทำงานกลับดึกทุกวัน ให้เจ้าฟองไปห้อยอยู่ที่เรียนพิเศษทุกวันเดี๋ยวเด็กมันจะเบื่อเอา” ประโยคนี้ไม่ใช่เสียงของคุณป้าร้านโจ๊กแต่เป็นคุณป้าพยาบาลที่เกษียณไปแล้วที่อยู่ข้างบ้านเขา ก็คือบล็อกข้างๆ นั่นเอง ฟีมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกปัดไปอย่างสุภาพ เขารู้ว่าการปล่อยฟองไว้ที่เรียนพิเศษจนกว่าเขาจะเลิกงานนั้นไม่ดี แต่จะให้เอาไปฝากไว้กับคนอื่นก็ไม่ดีต่อตัวฟองเช่นกัน

               “แล้วเธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังไปหาหมออยู่รึเปล่า”

               “ไปบ้างตามนัดครับ” ฟีมโกหก จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ไปตามนัดมาสามเดือนแล้ว การสูญเสียย่อมต้องเยียวยาบำบัด ฟีมเข้าใจดีในจุดนี้ เขาเข้มแข็งพอที่จะผ่านจุดนั้นมาได้โดยที่รับเพียงยานอนหลับ ก่อนจะค่อยๆ เลิกรา ฟื้นตัว และกลายเป็นเพียงการพบปะพูดคุยกับนักจิตบำบัดเพียงเท่านั้น

               เหตุผลที่ฟีมเลิกไปพบนักจิตบำบัดช่วงสามเดือนมานี้ก็เพราะฟองกำลังจะเข้าโรงเรียนประถมแล้ว ค่าใช้จ่ายกำลังเพิ่มขึ้น การที่ความเสียใจของเขานำมาสู่การใช้จ่ายที่แพงเกินจำเป็นทำให้ฟีมเลิกที่จะไปตามนัดเพื่อตัวเอง และหันมาทำงานกลับสู่ชีวิตปกติเหมือนตอนที่ดาวยังอยู่ เขาไม่เป็นไรก็ได้ แต่ฟองจะต้องเติบโตและไม่ลำบาก สำหรับคนอายุสามสิบห้าปีแบบเขาแล้ว ในหัวก็คงจะมีแต่เรื่องลูกชายคนเดียวหรือสิ่งสุดท้ายที่ดาวเหลือไว้ให้ในชีวิต

               “โจ๊กใส่ไข่สองฟองไม่ใส่ขิงครับ”

               ฟีมใจลอย มือขวาลูบแหวนบนมือซ้ายของตนเองอย่างติดเป็นนิสัย ความเย็นเยียบของแหวนเงินบนมือยังคงทำให้ฟีมรู้สึกอ้างว้างในใจอยู่เช่นเคย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเก่าๆ ดาวเสียไปจวบจะปีนึงแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าตอนต้องไปยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพของดาวอีกครั้ง เขาจะต้องทำตัวอย่างไร พูดอย่างไรต่อหน้าฟอง ยากยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับดาว คือการทำหน้าที่พ่อให้ไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าฟอง

               “พี่ฟีม”

               ฟีมหันตามเสียงเรียก ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้าจวบจนทั้งเสียงและรูปร่างตกตะกอน รอยยิ้มบางๆ ที่เน้นโหนกแก้ม ใบหน้าซื่อๆ และรอยบุ๋มข้างแก้ม ฟีมค่อยๆ รื้อลิ้นชักความทรงจำตัวเองเมื่อเจ็ดปีก่อนขึ้นมาช้าๆ คิ้วเลิกขึ้น ตาเบิกกว้างเล็กน้อย

               “ปลาย ยังอยู่บ้านนี้เหรอ ทำไมไม่เคยเจอ”

               ฟีมถามเสียงติดสั่นในพยางค์แรกของชื่อรุ่นน้องคนสนิทสมัยที่เขายังเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาเจอกันครั้งล่าสุดก็คืองานแต่งงานของฟีมและดาว หลังจากนั้นอีกเจ็ดปีก็ไม่ได้เจออีกเลย ปลายยังคงตัวสูงเหมือนเดิม แต่อาจจะเพราะระยะเวลาที่นานเท่าที่ความสัมพันธ์นึงจะเป็นตัวชี้วัดได้ ปลายตรงหน้าเขาตอนนี้เลยดูตัวสูงเหมือนยักษ์ไม่มีผิดเพี้ยน

               “ปลายเพิ่งย้ายกลับมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้เองพี่ฟีม” ปลายตอบช้าๆ โทนเสียงทุ้มแต่กลับเย็นและสบายใจที่ได้ยิน “ปลายแปลกใจมากกว่าว่าพี่ฟีมยังอยู่ ไม่ใช่ว่าย้ายออกไปอยู่บ้านใหม่กับพี่ดาวแล้วเหรอครับ”

               “ดาวเสียแล้วน่ะ เลยย้ายกลับมาที่บ้านเดิม” ฟีมตอบเรียบๆ ไม่ได้ถือโทษโกรธปลายที่ถามคำถามนั้น ไม่ได้เจอหรือติดต่อกันเลยตลอดเจ็ดปี ก็คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะคิดว่าดาวยังอยู่

               “ขอโทษด้วยนะครับ”

               ฟีมส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร มุมปากขยับขึ้นเล็กน้อยตามมารยาทเพื่อสื่อว่าไม่ถือสา คำขอโทษของปลาย ผ่านมาเจ็ดปีก็ยังฟังดูจริงใจและลึกซึ้งถึงเนื้อแท้เหมือนเดิม เขารู้ว่าปลายไม่ได้แค่ขอโทษที่ถามเรื่องนี้ แต่เป็นการแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างนึงของปลาย

               “สองคนนี้รู้จักกันเหรอ”

               คุณป้าร้านโจ๊กถามกะทันหัน แต่คุณป้าพยาบาลเป็นคนตอบให้แทน เพราะว่าอยู่ในแถบนี้มานานที่สุด

               “เจ้าฟีมกับเจ้าปลายน่ะเหรอ รู้จักกันตอนเรียนมหาลัยนู่นตอนที่เจ้าปลายเพิ่งย้ายบ้านมาแถวนี้ บ้านเจ้าปลายห่างออกไปสิบสองบล็อกนี่เอง แต่พอโตขึ้นก็แยกย้ายตามประสาคนแต่งงานน่ะเนอะ ว่าแต่เจ้าปลายทำไมย้ายกลับมาล่ะ หรือว่าพาแฟนมาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยล่ะ”

               คำถามถูกโยนกลับมาให้ปลาย และฟีมเองก็สงสัยเช่นกันว่าทำไม ก่อนที่คำตอบจะทำให้เขาแปลกใจ ราวกับก้อนหินเล็กๆ ถูกโยนลงน้ำจนเกิดวง

               “ไม่มีหรอกครับแฟน ผมทำงานหนักขนาดนี้จะไปมีได้ยังไง” ปลายตอบก่อนจะหัวเราะเขินๆ “แม่ผมก็แต่บ่นว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน ผมก็เลยย้ายหนีมานี่แหละครับ”

               “เจ้าปลาย ทำแบบนี้กับแม่ได้ยังไง แล้วแบบนี้แม่เขาจะไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”

               “อ๋อ ผมลืมบอกว่าแม่แต่งงานใหม่น่ะครับ ตอนนี้อยู่กับคุณพ่อใหม่ แล้วก็มีน้องสาวเพิ่มมา แม่น่าจะไม่เหงาเท่าไหร่”

ปลายเล่ามากเกินความจำเป็นในความคิดฟีม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะห้ามอยู่ดี ปลายเป็นคนหัวอ่อนยอมคนง่าย แต่ไม่ใช่ว่าไม่สู้คน หากแต่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ประนีประนอมตามที่เห็นสมควร สุภาพและมีกาลเทศะเสมอ ฟีมคิดว่ากับครอบครัวใหม่ ปลายคงจะไม่มีปัญหามากนัก ที่ย้ายออกมาก็คงจะจริง ฟีมยังจำได้ว่าแม่ของอีกฝ่ายนิสัยเป็นอย่างไร ปลายคงจะหาข้ออ้างหลบออกมาที่นี่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างที่ฟังดูเข้าท่า

               แต่การที่ปลายยังไม่มีแฟนนั้นแปลกเหลือเกิน ไม่รู้ทำไม แต่ฟีมสะดุดใจกับจุดนี้เป็นพิเศษ

               “เอ้า เจ้าฟีม โจ๊กได้แล้ว รีบเอาไปกินกับเจ้าฟองก่อนอืดเร็ว”

               “ฟอง? น้องสาวพี่เปลี่ยนชื่อเหรอครับ”

               “ไม่ใช่ นั่นลูกชายพี่กับดาว” ฟีมตอบแล้วก็หัวเราะน้อยๆ ท่าทางเจ็ดปีจะนานพอให้ปลายสับสนชื่อ แต่ก็แน่ล่ะ เล่นชื่อฟ.ฟันกันหมดเลยนี่นะ

               “หา พี่ฟีมมีลูกตอนไหนเนี่ย ไม่เห็นบอกปลายเลย”

               “ไม่มีโอกาสได้บอกมากกว่า”

               “พี่เป็นพ่อคนแล้วเหรอ นี่พี่ดูไม่เปลี่ยนไปจากตอนแต่งงานเลยเนี่ยนะ”

               “งั้นเหรอ”

               “พี่แค่ดูผอมลงน่ะ แล้วใต้ตาก็ยังคล้ำเหมือนเดิม โหมงานใช่ไหม”

               “รู้ดีเหมือนเดิมเลยปลาย”

               ฟีมตอบเรียบๆ ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับบ้านตนเอง ก่อนจะชะงักเท้า ลังเลอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง

               เจ็ดโมงยี่สิบห้าแล้ว อีกห้านาทีฟองจะตื่น วันนี้ให้ฟองรอโจ๊กไปอีกสักห้าหกนาทีก็แล้วกัน

               “ไปกินข้าวบ้านพี่ไหม จะได้พาไปเจอฟองด้วย”

               ตอนนี้ระยะเวลาเจ็ดปีเท่ากับระยะทางสิบเอ็ดบล็อกจากบ้านของพวกเขาสองคนแล้ว 

             









tbc.





สวัสดีเดือนตุลาคมค่ะ พยายามจะอัพทุกวันตามชาเล้นจ์ fictober ของปีนี้ ฝากปลายกับฟีมและเจ้าฟองด้วยค่ะ :•)


#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก




ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


Chapter two

Mindless



 

               ฟีมไม่ได้ตั้งใจให้ทุกๆ อย่างเป็นแบบนี้

               ตั้งแต่การเจอปลายในตอนนี้ และการไม่ได้ติดต่อปลายเลยตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ฟีมแต่งงานกับดาวและมีฟอง เขาลังเลในหลายๆ รอบในการติดต่อหาปลาย แม้กระทั่งการส่งข้อความผ่านไลน์ก็ยังไม่กล้าจะทำ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การโทรหาปลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับฟีม อาจจะเพราะลึกๆ แล้วฟีมรู้และกลัวบางอย่างในตัวอีกฝ่าย

พวกเขาสนิทกันมาก มากพอที่จะรู้นิสัยใจคอเนื้อแท้กันอย่างหมดเปลือก ถ้าดุจดาวคือคนที่ฟีมรักที่สุด เขาก็กล้าบอกอีกว่าปลายคือคนที่รู้จักตัวเขาดีที่สุด พวกเขาเป็นคนแบบเดียวกันแต่ต่างนิสัย ต่างบุคลิก ฟีมอธิบายไม่ถูก เพียงแต่รู้ว่าหากปลายมองตาเขา แทบไม่ต้องพูดอะไร ปลายก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่ากลัวหากคิดในอีกแง่นึง

“โกรธรึเปล่า”

“เรื่องไหนเหรอครับ”

“ไม่ต้องมาพูดครับ ขนลุก แกเคยพูดแบบนั้นกับพี่ซะที่ไหน” ฟีมพูดก่อนจะลูบแขนตัวเองให้รู้ว่าเขาขนลุกจริงๆ พวกเขารู้เนื้อแท้กันหมดไส้หมดพุง คำหยาบก็พูดใส่กันมาเกือบทุกคำที่จะสรรหาแล้ว คงจะมีเพียงแค่ศักดิ์พี่น้องที่ยังคงไว้ด้วยความเคยชินตั้งแต่แรกที่ไม่เปลี่ยนไป

“ปลายไม่ได้เจอพี่มาตั้งเจ็ดปี จะไม่ให้พูดครับเลยก็รู้สึกแปลกๆ น่ะ”

ฟีมหันไปมองปลายที่เดินตามหลังเขาก่อนจะหันกลับไป

“แกโกรธพี่จริงๆ ด้วย”

“อืม ปลายขอโทษนะ จริงๆ มันเล็กน้อยมากเลย”

“พี่ไม่ว่าที่แกคิดเล็กคิดน้อยแบบผู้หญิงหรอก แกก็นิสัยแบบนี้อยู่แล้ว” ฟีมบอกก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองใช้คำพูดไม่เหมาะสม ดังนั้นถึงได้เงียบและประมวลคำพูดใหม่ “พี่ต่างหากที่ผิดที่ไม่ติดต่อแกไปเลย ปลาย”

“พี่คิดว่าปลายโกรธเรื่องที่พี่ไม่ติดต่อปลายมาอย่างเดียวเหรอ”

“แล้วมันเรื่องอะไรอีกที่แกโกรธ”

“เรื่องที่พี่ไม่บอกอะไรปลายเลยต่างหากพี่ฟีม” ปลายตอบเสียงเรียบ แต่ฟีมจับน้ำเสียงได้ว่าอีกฝ่ายกำลังน้อยอกน้อยใจ ฟีมถอนหายใจอย่างไม่เก็บอาการ แต่ปลายก็ไม่ได้หยุดพูด “พี่ไม่ได้บอกเรื่องพี่ดาวเสีย ไม่ได้บอกเรื่องที่พี่มีลูก ปลายไม่ได้อยู่ในช่วงที่พี่ดีใจและเสียใจที่สุด...”

“แล้วมันใช่หน้าที่แกรึเปล่าล่ะปลาย” ฟีมตอบตัดบท เขาเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากและไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น ยอมรับว่าหงุดหงิดเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะคนรองรับอารมณ์คือปลาย เขาเลยกล้าจะพูดจาแบบนี้ใส่ เพราะเขารู้ว่าปลายจะไม่โกรธเขาจริงๆ จังๆ ฟีมเห็นแก่ตัวมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

“แกก็ไม่ได้ติดต่อพี่มาเหมือนกันนั่นแหละ”

ปลายเงียบไปก่อนที่จะพูดขึ้นมาเพื่อตัดบท

“ขอโทษครับ”

ฟีมกำถุงพลาสติกหิ้วในมือแล้วเร่งฝีเท้า รู้สึกเสียใจในภายหลังเล็กน้อยที่ชวนอีกฝ่ายมากินข้าวที่บ้านด้วย แต่เพราะลึกๆ ก็ยังรู้สึกผิดทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็เจ๊ากันทั้งคู่ ไม่มีใครคิดจะติดต่ออีกฝ่ายนึง ไม่มีใครคิดจะเริ่มสานต่อสิ่งที่ค้างคา เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย พวกเขาไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของตนเองจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพราะคิดว่าสักวันก็คงหายไปตามวัฏจักรของชีวิตและเวลาที่ไม่เคยจะตรงกันของพวกเขา

 

ฟีมไขกุญแจประตูเหล็กก่อนจะออกแรงดันให้ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิทฝืดๆ เปิดออกอย่างทุลักทุเล ปลายกำลังจะมาช่วยเขาดันประจวบกับที่ฟีมผลักได้จนสุดพอดี สงสัยต้องหาน้ำมันมาหยอดจริงๆ จังๆ เสียแล้ว

“ป๊า กลับมาช้าจังเลย”

เสียงฟองดังมาจากในครัว เจ้าลูกชายตื่นแล้วอย่างที่คิด ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆ นั่นวิ่งเตาะแตะมาที่ประตูเหล็ก

“พอดีป๊าเจอเพื่อนเก่าน่ะ” ฟีมตอบแล้วถอดรองเท้าแตะไว้ที่หน้าประตูก่อนจะเดินเข้าบ้าน บุ้ยใบ้ให้ปลายเดินตามเข้ามา อีกฝ่ายดูเงอะงะขึ้นอีกเท่าตัวกับรูปร่างสูงชะลูดที่ทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กเจ็ดขวบแบบนี้ “คนนี้อาปลาย เพื่อนเก่าป๊าสมัยมหาลัย สวัสดีเร็ว”

“สวัสดีครับอาปลาย”

ฟีมมองอีกรุ่นน้องตัวเองที่รับไหว้อย่างงุนงงก่อนจะทำตาโตจ้องมองฟองอย่างจริงๆ จังๆ ราวกับจะพิจารณาอะไรบางอย่าง

“จ้องฟองแบบนั้นทำไม”

“เปล่า แค่คิดว่า ฟองหน้าเหมือนพี่จนปลายตกใจเลยน่ะ” ปลายตอบช้าๆ “ไม่เคยคิดเลยว่าพี่จะมีลูกจนตัวโตขนาดนี้แล้ว แถมยังหน้าเหมือนพี่...มากเลย”

“แปลกเหรอ ก็ลูกชายพี่” ฟีมตอบก่อนจะขำน้อยๆ ฟองหลบอยู่หลังขาเขาก่อนจะมองอาปลายด้วยสีหน้าเหมือนเวลาเจอคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย “แต่ใครๆ ก็บอกว่าฟองหน้าเหมือนดาว แค่ตาก็ไม่เหมือนพี่แล้ว มีแต่แกคนแรกที่บอกว่าฟองหน้าเหมือนพี่”

“ตาเหมือนพี่ดาวจริงครับ แต่คิ้ว จมูก ปาก สีผิว ท่าทาง นอกนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ฟีมมากเลย”

“เมื่อไหร่แกจะเลิกพูดครับสักที”

“คงต้องรอให้ฟองชินกับปลายก่อนล่ะมั้ง”

ปลายตอบยิ้มๆ และฟีมก็พ่นลมทางจมูก ฟอทำหน้างุนงงและมองปลายด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิมสลับกับมองหน้าเขา

“ไปเอาโต๊ะญี่ปุ่นมาตั้งได้แล้วฟอง เดี๋ยวน้ำย่อยกัดกระเพาะหมด ป๊าจะไปเทโจ๊กมาให้”

“โอเคป๊า” ฟองตอบก่อนที่จะหยุดไปพักนึงเพื่อมองฟีมและปลาย “แล้วอาปลายจะกินข้าวกับเราด้วยใช่ไหม”

“กิน คงต้องนั่งกินบนโต๊ะกลม ฟองนั่งกินบนโต๊ะญี่ปุ่นคนเดียวได้ไหม”

“ได้ แต่ป๊าต้องให้ฟองเปิดทีวีดูการ์ตูนนะ” ฟองเริ่มต่อรอง และฟีมก็ชั่งใจ เขาไม่ชอบให้ฟองดูทีวีนอกเวลาที่ตกลงกันเท่าไหร่ ฟองเห็นท่าทางเขาก็เริ่มจะตื๊อให้ตกลง “นะนะน้าป๊า เดี๋ยวฟองจะไม่ดูตอนกลางคืนเลยถ้าป๊าให้ดูตอนเช้า”

“ก็ได้” ฟีมตอบ หันไปมองก็เห็นปลายยืนยิ้มๆ อยู่ข้างๆ ก็เลิกคิ้วข้างนึงประมาณว่ามีอะไรกับการตัดสินใจของเขานัก ก่อนจะเดินไปฝั่งครัวด้านในเพื่อที่จะหาชามกับช้อนอย่างละสามมาเทโจ๊กของพวกเขาทั้งคู่และฟอง เสียงการ์ตูนช่องที่เช้าที่สุดอย่างรายการดิสนีย์คลับดังขึ้นมาเป็นเสียงรบกวนจากห้องกลางบ้าน ปลายเดินตามมายืนขนาบข้างเคาทน์เตอร์ครัว

“เข้มงวดกับลูกจังนะพี่ฟีม”

“ดูได้แต่ไม่ใช่ดูเยอะเกินไป” ฟีมตอบ “พี่ก็ต้องฝึกให้ลูกอ่านหนังสือด้วยไหม”

“พี่ให้ฟองอ่านอะไร”

“ก็ทั่วไป การ์ตูนความรู้ นิทาน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย” ฟีมตอบแบบไม่ได้ใส่ใจ “ดาวซื้อหนังสือพวกนี้ทิ้งไว้เต็มไปหมด จนตอนนี้ยังอ่านไม่หมดกองที่ดาวไปเหมาจากงานหนังสือมาเลยด้วยซ้ำ”

“พี่ดาวเสียไปตอนไหนครับ”

“ปีที่แล้ว ก็เกือบๆ จะปีนึงได้แล้ว”

“ฟองโอเคไหม”

“ก็ไม่ค่อย ตามประสาเด็ก กระจองอแงเวลาคิดถึงดาวตอนก่อนนอน” ฟีมตอบ ในหัวนึกไปถึงช่วงที่ดุจดาวจากไปใหม่ๆ แค่ตัวเขายังเกือบจะไม่รอด ตอนนั้นถ้าไม่ขอร้องให้เฟย์พาแม่กลับมาช่วยกันดูฟองเขาก็คงจะตายเอาได้เหมือนกัน กว่าจะปรับตัวได้ก็ค่อนข้างนานเลยทีเดียว

“แล้วพี่ฟีมล่ะ ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง” ปลายถามคำถามที่ฟีมคาดไว้อยู่แล้ว

“ก็แย่” ฟีมตอบสั้นๆ “เกือบตาย”

“แล้วตอนนั้นพี่ผ่านมันมาได้ยังไง” ปลายถามต่อ “ขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับพี่ตอนนั้น”

“ไม่เป็นไร ก็บอกไปแล้วไง” ฟีมพูดและละข้อความไว้ให้รู้กันว่าเขาหมายถึงอะไร “แต่ถึงจะไม่ใช่หน้าที่แก พี่ก็นึกถึงแกอยู่นิดนึงเหมือนกันนั่นแหละ ปลาย”

“พี่ไม่ชอบให้ปลายกอดไม่ใช่หรือไง” ปลายย้อนกลับมาพลางหัวเราะในลำคอ

“แต่อย่างน้อยพี่ก็กล้าร้องไห้ต่อหน้าแก” ฟีมพูดตามจริง “การไม่ร้องไห้ต่อหน้าลูกมันยากรู้ไหมวะปลาย”

“รู้ ทำไมผมจะไม่รู้นิสัยพี่” ปลายตอบเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาราวกับมองหลังมือของตัวเอง “กับลูกพี่ก็ยังจะเป็นแบบนี้ ปลายล่ะเชื่อเลยว่ะ”

“ถ้าพ่อมันร้องไห้ต่อหน้าลูกชายตัวเอง โตขึ้นเด็กมันจำจะทำไง”

“ก็จริงของพี่ แต่ไม่เห็นจะต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นเลย”

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว พี่ไม่ใช่คนที่จะใจดีกับตัวเองเหมือนแก”

“ปลายใจดีกับพี่ต่างหาก”

จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม แต่ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัดมากนัก เสียงการ์ตูนยังคงเป็นเสียงรบกวนมา คงเป็นการเทโจ๊กใส่ชามที่ช้าที่สุดตั้งแต่ฟีมเทโจ๊กมา เขายกไปให้ฟองที่นั่งขัดสมาธิอยู่พร้อมโต๊ะญี่ปุ่นที่กางอยู่ตรงหน้า ตากลมโตจ้องแป๋วไปที่การ์ตูนมิกกี้เม้าส์คลับเฮ้าส์อย่างจดจ่อ ฟีมปล่อยให้เจ้าลูกชายนั่งอยู่อย่างนั้นก่อนที่ตัวเองจะเดินไปที่ครัวเพิ่งนั่งโต๊ะกลมที่ครัวตรงข้ามกับปลาย

“คิดถึงตอนมากินข้าวบ้านพี่สมัยก่อนมาก ตอนนี้ม๊ากับพี่เฟย์ยังอยู่รึเปล่าครับ”

“เฟย์แต่งงานกับคนเมกา เลยพาม๊าไปอยู่ด้วยแล้ว ไม่มีคนทำอาหารเป็นเหลือเลย”

“พี่ยังไม่หัดทำอาหารอีกเหรอเนี่ย”

“ใช่ มีเงินก็ซื้อข้าวกินได้เหมือนกันนั่นแหละ” ฟีมตอบก่อนจะตักโจ๊กเข้าปาก เขารู้ว่าตัวเองเป็นพ่อและแม่ที่ไม่ได้เรื่อง แต่จะให้ทำไงได้ แค่ทำงานก็ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว วันหยุดก็อยากจะพักผ่อน จะให้มานั่งหัดทำอาหารคงไมเกรนขึ้นสมองกันหมดพอดี

“ซื้อโจ๊กให้ฟองกินทุกวันเลยเหรอครับ”

“เปล่า บางวันก็ขับมอไซไปซื้อข้าวมันไก่ซอยอื่น ไม่ก็เกี๊ยวน้ำ ไม่ก็อุ่นกับข้าวเก่า” ฟีมตอบเรื่อยๆ พลางเหม่อมองกำแพง ไม่มีจุดพักสายตาเป็นพิเศษ “แล้วแกย้ายกลับมาอยู่นี่เพราะไม่อยากแต่งงานแค่นั้นเลยจริงๆ เหรอปลาย”

“จริงพี่ นี่ปลายไปทำเรื่องขอย้ายสาขากับบริษัทมาเลยด้วย เพราะจะได้เป็นข้ออ้างย้ายมาได้ แม่บ่นทุกวัน แถมหนักข้อพาคนนู้นคนนี้มาบ้านมาแนะนำเต็มไปหมด ไม่ก็ลากไปงานนู้นงานนี้บ้าง ปลายปวดหัว”

“แกทำงานอะไรนะตอนนี้”

“เมเนเจอร์ดูแลประจำสาขาของ...” ปลายบอกชื่อยี่ห้อรถญี่ปุ่นมายี่ห้อหนึ่งและฟีมก็พยักหน้า ก็ดูจะตรงสายที่จบมาดี

“พี่ล่ะ?”

“พนักงานกินเงินเดือนไปวันๆ ดีหน่อยก็ตรงขึ้นเงินเดือนทุกปีกับโบนัสท้ายปีนี่แหละ”

“งานหนักล่ะสิ ปลายดูท่าแล้วพี่น่าจะบ้างานน่าดู”

“คุ้มเงินก็ทำ” ฟีมตอบก่อนจะเปลี่ยนใจตอบใหม่ “ไม่ล่ะ ไม่คุ้มเท่าไหร่หรอก ก็ได้เยอะแต่ก็ไม่เยอะเท่าเวลาและสุขภาพที่เสียไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้ไปหางานใหม่ก็เสี่ยง กว่าจะได้เงินมาถึงตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาอีก”

“อืม ปลายเข้าใจ”

“แล้วย้ายกลับมาถาวรเลยเหรอ”

“ก็คงงั้นแหละครับ”

“จริงๆ พี่แปลกใจมากที่แกยังไม่แต่งงาน คนอย่างแกเนี่ยนะจะไม่มีคนมาติด”

“พี่ฟีมจะให้ปลายพูดจริงๆ น่ะเหรอว่าทำไมปลายยังไม่แต่งงาน”

จู่ๆ ปลายก็เงยหน้ามาสบตาเขาจริงจัง ฟีมสบกลับ ใบหน้านิ่งเฉย แต่ในใจกลับมีคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นมา ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็เท่านั้น

“พี่ก็รู้ว่าปลายไม่ได้ชอบผู้หญิง” ปลายพูดตรงๆ และฟีมก็รู้ข้อนั้นอยู่แล้ว “สาวเจ้ามาติดแต่ละคนปลายก็ปฏิเสธตรงๆ ทั้งนั้น”

“พี่หมายถึงผู้ชาย มันก็ต้องมีบ้างแหละ แกเล่นปฏิเสธสาวหมดซะขนาดนี้”

“ก็มีคุยๆ แต่ปลายไม่ได้จริงจัง ปลายก็บ้างานเหมือนกับพี่นั่นแหละ เข้ามากี่คนๆ ก็ทนไม่ไหวเพราะปลายยุ่งมาก ไม่ได้มีเวลาเทคแคร์ดูแลขนาดนั้น พอมีเวลาปลายก็อยากพักทำเรื่องของตัวเอง ไม่ได้อยากไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น”

ฟีมเข้าใจข้อนั้นดี เพราะตัวเขาก็เป็นเช่นนั้น การที่ได้รู้จักดุจดาว เหมือนเป็นจังหวะชีวิตมากกว่า

“แล้วพอทุกอย่างอยู่ตัวแล้ว ก็ไม่ได้มีใครเข้ามาอีก คนเดิมๆ ก็เวียนไปเวียนมา ปลายทำงานอยู่ที่เดิมๆ ไม่ได้เจอคนใหม่ๆ หรอกพี่ฟีม”

“อืม” ฟีมรับคำเป็นเชิงรับฟัง ก็สมกับเป็นปลายดีเท่าที่ฟังมาทั้งหมด นึกโล่งใจที่ปลายไม่ได้ให้ค่ากับประโยคแรกเป็นอย่างอื่น

“แต่จริงๆ ปลายรู้ตัวเองตลอดนะ”

“รู้ว่า?”

“ว่าคนที่เข้ามา ไม่มีคนไหนที่ปลายอยากจะแต่งงานด้วยสักคนเลย”

“พูดเหมือนกับว่าที่ไทยแต่งงานเพศเดียวกันได้แล้วงั้นแหละ” ฟีมตอบเรียบๆ ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

“ก็แต่งเป็นพิธีให้รู้กันแค่คนรอบตัวก็พอแล้วไงครับ” ปลายยิ้มบางๆ “ต่อให้กฎหมายอนุมัติแล้วจริงๆ ปลายก็คงไม่ได้แต่งงานหรอกพี่ฟีม สามสิบสามแล้ว เดี๋ยวนี้เขาก็ชอบเด็กๆ ยี่สิบกว่าๆ กันทั้งนั้น”

“ไม่หรอก คนแบบแก ใครๆ ก็รักได้ไม่ยาก”

“ไม่จริงหรอกพี่ฟีม”

ฟีมเงยหน้ามองปลาย วางช้อนลงกับชามเพื่อเป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้วทั้งๆ ที่โจ๊กยังเหลืออยู่ครึ่งชาม ภายในดวงตาของปลาย ฟีมพยายามจะมองข้าม แต่ก็รู้ว่าเจ็ดปีที่ผ่านมา ปลายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว

 







tbc.



เขียนถึงคนอายุสามสิบกว่าๆ นี่ยากจัง เป็นเรื่องแรกเลยที่เขียนแบบที่ตัวละครมีลูกมีเต้าจริงจัง เพราะส่วนตัวเราไม่ชอบธรรมชาติของเด็กเลย

ฝากคอมเม้นติชมได้นะคะ หรือจะแท็กทางทวิต #ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก ก็ได้ค่ะ เจอกันตอนใหม่พรุ่งนี้ค่า :-D

             

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


Chapter three

Bait

 





               ราวกับมีเหยื่อมาแกว่งอยู่ตรงหน้า ปลายเป็นเสมือนปลาอยู่ใต้ผืนน้ำรอเวลาที่จะกระโจนตะครุบเหยื่อโดยที่รู้ว่าตนเองจะกลายเป็นอาหารต่อไป

               พี่ฟีมยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิดแผก ตัวผอม ทำงานหนักเกินกว่าที่ร่างกายตนเองจะรับไหว ดื่มกาแฟวันละสองแก้วเป็นอย่างน้อยหลังอาหารเช้า พูดจาขวานผ่าซากไม่ถนอมน้ำใจ แต่ก็ยังแสดงความเป็นห่วงต่อคนรอบข้างอย่างตรงไปตรงมา ความแตกต่างก็คงจะมีเพียงอีกเลือดเนื้อหนึ่งที่ถือกำเนิด­ขึ้นมา ลูกชายของพี่ฟีม

               ปลายบอกไม่ถูกตอนที่เห็นฟองครั้งแรก รู้แค่ว่าเด็กตรงหน้าคือสิ่งที่พี่ฟีมให้กำเนิดด้วยความรัก ราวกับสิ่งแปลกปลอมก็ไม่ปาน ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้รู้สึกแย่ แค่ไม่คุ้นชิน ไม่เคยคิดเลยว่าในวันหนึ่งจะเห็นคนอย่างพี่ฟีมมีลูก ปลายน่าจะตื่นตะลึงมากพอสมควรในตอนนี้

               จริงๆ แล้วปลายรู้ว่าตนเองเก็บความรู้สึกไม่เก่งเท่าที่ควร ตอนที่สนทนากับพี่ฟีมบนโต๊ะกลมตัวเดิมที่แวะเวียนมาฝากท้องบ่อยๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ปลายกลัวว่าพี่ฟีมจะเห็นว่าแววตาของเขายังคงเป็นคู่เดิมกับที่มองพี่ฟีมในวันวานเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

               เรียกว่าฝังใจก็คงไม่แปลก แต่ปลายเป็นพวกยึดติด แม้จะในวันที่พี่ฟีมแต่งงาน วันที่พี่ฟีมยิ้มกว้างและนัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างล้นเหลือให้แก่พี่ดาว ปลายก็ยังยินดี ยินดีที่พี่ฟีมเจอพี่ดาว ยินดีที่พี่ฟีมมีความสุข

               ดังนั้นถึงได้เสียใจ ที่ไม่อาจได้อยู่ข้างพี่ฟีมในวันที่ฟองลืมตาดูโลก และในวันที่พี่ดาวหลับตาลาลับไป 

               พวกเขาสองคนเป็นคนเถรตรง แต่มีเพียงแค่เรื่องเดียวระหว่างเรา ที่ไม่เคยมีใครพูดออกเสียงออกมาต่อหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว

               “พี่ยังติดกินเบียร์อยู่รึเปล่า”

               “ไม่ล่ะ ติดกาแฟมากกว่า แกล่ะ ยังสูบบุหรี่อยู่รึเปล่า”

               “พี่ฟีมคงจำผิดแล้ว ปลายไม่เคยสูบบุหรี่”

               “เหรอ แต่ทำไมฉันมีภาพแกคาบบุหรี่ในหัววะ”

               “คงเป็นตอนใกล้จบ ที่ปลายเครียดจนติดบุหรี่อยู่เดือนสองเดือนก่อนจะเลิก”

               “แล้วมาพูดได้ไงว่าไม่เคยสูบ ไอ้นี่นิ”

               ปลายหัวเราะ เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขเยอะนักเพราะทางบ้านค่อนข้างเข้มงวด และเขาคร้านจะฟังเสียงบ่น เลยยอมที่จะอยู่ในลู่ในทางอย่างดี เบียร์เหล้าไม่แตะ บุหรี่ไม่สูบ ขนาดมอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่ขับ ทุกอย่างที่ที่บ้านมองว่าอันตราย ปลายไม่เคยแหกคอกเลยสักครั้ง คงจะมีแค่เรื่องการรักชอบเพศเดียวกันของตัวเอง ที่ปลายเลือกที่จะเก็บเป็นความลับที่ดูไม่ลับนักแต่ก็ไม่เคยพูดออกไปให้ทางบ้านรู้จริงๆ จังๆ

               “พี่ไปรับฟองยังไงถ้าเลิกงานดึกขนาดนี้”

               “พี่ให้ฟองเรียนพิเศษหน้าโรงเรียน ปกติก็ปล่อยให้รออยู่ตรงนั้น เพราะกว่าที่เรียนจะปิด ก็สองทุ่ม พี่เลิกทุ่มนึงไปถึงก็รับฟองกลับบ้าน”

               “พี่ให้ฟองเรียนพิเศษทุกวันเลยเหรอ”

               “ไม่ทุกวัน เรียนแค่จันทร์ พุธ ศุกร์ วันอื่นก็ให้นั่งรถโรงเรียนกลับมาบ้าน”

               “พี่ปล่อยให้ฟองอยู่บ้านคนเดียวเหรอ”

               “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากปล่อยเหมือนกัน แต่ว่าจะให้ฟองเรียนพิเศษทุกวันก็ไม่ใช่เรื่อง”

               พี่ฟีมดูฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด ปลายไม่รู้ว่าเขายุ่มย่ามเกินไปรึเปล่า แต่ว่าเขาเป็นห่วงพี่ฟีมจากใจจริง ในครั้งแรกที่มองฟอง เขารู้ว่าตัวเองจะรักและเอ็นดูเด็กคนนี้พอๆ กับคนพ่อ

               “ปลายไปรับฟองให้ไหม วันอังคารกับพฤหัสน่ะ”

               “ปลาย”

               พี่ฟีมเรียกเขาเป็นการเตือนกลายๆ และปลายเงียบลง เขากระโดดงับเหยื่อด้วยความเต็มใจแล้ว พี่ฟีมไม่ได้ตามหาปลาอย่างเขา แต่ตัวเขาเองก็ชอบมาติดเบ็ดอยู่เรื่อยไป เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรฉวยโอกาส ถึงจะไม่ได้ล่วงเกิน ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้ร้องขอ แต่ปลายก็ทำในสิ่งที่เกินหน้าที่แบบที่พี่ฟีมว่า

               ปลายฉวยโอกาสที่จะทำให้ตัวเองสบายใจ ว่าเขายังได้ดูแลพี่ฟีม ยังมีโอกาสที่จะแก้ตัวในเจ็ดปีที่พวกเขาปล่อยกันและกันให้หายไปตามสายน้ำแห่งชีวิต และภาวนาว่าจะไม่หวนกลับมาเจอกันอีก

               ปลายเห็นแก่ตัวในแบบของเขาเอง

               “แกเพิ่งจะบอกว่ายุ่งจนไม่มีเวลาดูแลแฟนคนก่อนๆ ที่ผ่านมา”

               “นั่นมันเมื่อก่อน ปลายย้ายสาขา ตอนนี้อยู่ตัวแล้ว ปลายโหมงานเพื่อจะมาอยู่จุดที่คงตัว ไม่ได้คิดจะทำงานหนักไปตลอดสักหน่อย”

               “วางแผนชีวิตเก่งเหมือนเคยเลยนะ” ดวงตาของพี่ฟีมหม่นแสงลงอีกครั้ง

               “พี่ฟีมก็วางแผนเก่ง แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้ ปลายรู้ว่าตอนนี้ในหัวพี่คิดแต่เรื่องอนาคตของฟอง ไม่ใช่เรื่องตัวเอง” ปลายพูดตรงๆ และพี่ฟีมนิ่งเงียบไปทำให้ปลายรู้ว่าตัวเองเดาถูก ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเดาใจรุ่นพี่คนนี้ไม่ถูก แม้กระทั่งเรื่องความรู้สึกตอบกลับ ปลายรู้ผลลัพธ์ของทุกอย่าง แต่ก็เลือกที่จะปล่อยไว้อย่างนั้น

               จริงๆ แล้วปลายทำได้ทุกอย่างให้คนตรงหน้าเขา ต่อให้ปลายจะยุ่ง ไม่ว่าง หรือว่าติดขัดแค่ไหน ปลายก็พร้อมจะเอาเวลาที่เหลือมากระเบียดกระเสียนให้พี่ฟีมเสมอ จนบางทีปลายก็เคยคิดว่าเขาอาจจะเกิดมาเพื่อดูแลพี่ฟีมก็เป็นได้ ไม่ว่าจะถูกวางในฐานะไหน เขาก็ชอบที่จะดูแลเอาใจใส่พี่ฟีมเสมอ

               เจ็ดปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ปลายเดาใจพี่ฟีมไม่ออกว่าเหตุใดจึงไม่ติดต่อมา เขาคำนึงถึงหลายๆ อย่างที่อาจจะเป็นไปได้ในหัวของอีกฝ่าย ขับรถกลับมาที่ตึกแถวแห่งนี้หลายต่อหลายครั้ง เดินจากบล็อกของตัวเอง ถัดไปอีกสิบเอ็ดบล็อกจนถึงบ้านของพี่ฟีม ทุกอย่างว่างเปล่าเงียบเชียบ

และสุดท้ายปลายก็ได้แต่คิดเอาเองว่าพี่ฟีมคงอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ชีวิตที่ไม่ต้องมีปลายอยู่ร่วมทุกข์สุขในนั้นแล้ว ปลายสรุปได้ดังนั้นจึงปล่อยวาง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเจ็บปวดปะปนอยู่ในความยินดีนั้น

แต่เมื่อปลายได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพี่ฟีมอีกครั้ง ปลายถึงได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่เขาคิดนั้นผิดหมดเลยทุกอย่าง พอได้มายืนตรงหน้าและมองสายตาคู่เดิมของพี่ฟีม ปลายถึงรู้ว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวในตัวตนของเขามากขนาดไหน เพราะพี่ฟีมรู้สึกผิดกับเขามาตลอดตั้งแต่แต่งงานกับพี่ดาว และขลาดเกินกว่าจะผลักไสเขาออกไป

ไม่มีอะไรที่ปลายไม่รู้เกี่ยวกับพี่ฟีม แต่ในบางครั้งเพื่อความสบายใจ ปลายก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พูดในเฉพาะสิ่งที่ควรพูด และอมพะนำในสิ่งที่รู้ว่าเมื่อเปล่งออกไปจะรบกวนใจเจ้าตัว

“แกว่าพี่เลี้ยงฟองดีไหม”

“...”

“มันยากมากเลยว่ะปลาย ตอนที่ต้องเลี้ยงฟองคนเดียวโดยไม่มีดาวน่ะ”

“แล้วพี่ผ่านมาได้ยังไง” ปลายถามซ้ำอีกครั้ง

“พี่จำไม่ได้ แต่ตอนนั้นวุ่นวายมาก พี่คิดถึงดาว แต่ฟองก็คิดถึงดาวเหมือนกัน แล้วพี่เป็นพ่อ พี่ร้องไห้งอแงแบบฟองไม่ได้” พี่ฟีมเสยผมฟูๆ ของตัวเอง และปลายสังเกตเห็นโคมผมหงอกหลายเส้นที่ปะปนอยู่ในเรือนผมสีดำนั่นอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนั้นเฟย์กับแม่เกือบจะพาพี่กับฟองย้ายไปอยู่เมกาด้วยแล้ว แต่พี่ไม่อยากไป”

“ทำไมล่ะ ปลายคิดว่าถ้าพี่ย้ายไปก็คงจะดีที่สุดรึเปล่า ดีกับฟองด้วย”

“ไม่รู้ว่ะ อาจจะเพราะดาวพูดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับอนาคตฟองไว้ที่นี่ และดาวก็ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ พี่ไม่กล้าทิ้งดาว”

ปลายมองผู้ชายตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าพี่ฟีมดูแก่ลงเยอะ อีกฝ่ายดูเหนื่อยและเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ดูเหมือนพ่อคนที่มีลูกชายหนึ่งคนและแต่งงานแล้วแม้แต่น้อย

“แต่พี่ดีใจที่เจอแกนะปลาย” พี่ฟีมเอามือนวดขมับตนเองพลางพูดไปด้วย “ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย”

“ไม่เป็นไร ปลายเลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนั้นไปแล้ว”

“แกไม่เชื่อเหรอว่าพี่ดีใจที่ได้เจอแกจริงๆ”

ปลายขำฝืดๆ พี่ฟีมบทจะพูดอะไรตรงๆ เขินๆ ก็เอาซะเขาไปไม่เป็นเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแต่แค่ไม่ชินต่างหาก

“ตั้งแต่ดาวเสีย พี่ก็ไม่ได้พูดอะไรแบบนี้กับใครเลย พี่ไม่เคยตั้งคำถาม พี่เอาแต่ทำงานแล้วก็คิดเรื่องฟอง” พี่ฟีมพูดต่อโดยไม่ได้สนใจเขา “แต่พอแกโผล่มา พี่ก็รู้สึกว่าตัวเองดูโทรมมากเมื่อเทียบกับแก แล้วยังจะ...”

“พี่ฟีม” ปลายเรียกกะทันหันขัดจังหวะคนที่กำลังพูดไม่หยุด รุ่นพี่ตรงหน้าชะงักก่อนจะมองหน้าเขา ดวงหน้าขาวดูโทรมอย่างเห็นได้ชัด ไรหนวดตรงคางและเหนือริมฝีปากพอจะบอกได้ว่าอีกฝ่ายไม่โกนมาสามสี่วันได้แล้ว ปลายยิ้มจางๆ เขาไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร แต่เขาเข้าใจว่าพี่ฟีมกำลังจะสื่ออะไรให้เขาฟัง

“พี่รู้ใช่ไหมว่าพี่บอกปลายได้ทุกอย่าง”

“รู้ดิวะ” พี่ฟีมตอบทันทีแบบที่ปลายคาดไว้

“แล้วพี่รู้ใช่ไหมว่าอยู่ต่อหน้าปลาย พี่ไม่ต้องอาย เพราะปลายรู้ว่าพี่คิดอะไรยังไง”

พี่ฟีมมองเขา นัยน์ตาวูบไหว

“พี่ร้องไห้ได้นะ ปลายไม่ตัดสินพี่หรอก”

สิ้นประโยค พี่ฟีมก็ร้องไห้จริงๆ อย่างที่ปลายพูด แต่ปลายไม่ได้คาดไว้ว่าพี่ฟีมจะร้องไห้หนัก ท่าทางจะเก็บกดมากจนกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่ ปลายไม่กล้าเอื้อมมือไปแตะตัวอีกคน เขาแค่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะกลม และมองพี่ฟีมที่ซื่อสัตย์กับตัวเองที่สุดในรอบเกือบปีที่ผ่านมา

“แก...ไม่น่าบิ๊วท์พี่เลยว่ะปลาย แม่ง...แล้วงี้จะฮึบไงวะ”

ปลายหัวเราะเสียงดังเกินจำเป็นเมื่อเห็นคนตรงหน้าพยายามจะหยุดร้องไห้แถมยังเริ่มจะคาดโทษเขาแล้วอีกต่างหาก เป็นครั้งแรกที่ปลายผ่อนคลายลงเมื่อเห็นพี่ฟีมกลับมาเป็นแบบนี้ จริงๆ ปลายก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ฟีมเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน แต่เพราะมีฟองอยู่ ก็เลยต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาต่างหาก

“ป๊า”

เสียงฟองที่เรียกมาจากประตูที่แบ่งกั้นห้องครัวกับห้องกลางทำให้ปลายสะดุ้งน้อยๆ ลืมไปเลยว่าฟองก็อยู่ พี่ฟีมไม่ได้ร้องไห้เสียงดังขนาดนั้น แต่ก็สะอื้นพอให้รู้ว่าผิดปกติ หันไปเห็นเด็กตาโตกลมแป๋วใสที่มองมาที่เขาเขม็งแล้วก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา...นี่ ไม่ใช่ความผิดเขานะ

“อาปลายทำป๊าร้องไห้เหรอ”

“ฟอง ทำไมไม่ไปดูการ์ตูน ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”

คำบอกไล่เด็กสุดคลาสสิค ปลายคิดพลางถอนหายใจ พี่ฟีมชอบพูดจาเหมือนคนยุคหัวเก่าทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ให้ลูกอยู่ในกรอบขนาดนั้น ถ้าจะมีกรอบเดียวที่พี่ฟีมจัดให้ฟองอยู่ก็คงจะเป็นพี่ดาวเท่านั้น

“ก็อาปลายทำป๊าร้องไห้”

“ป๊าฮึบแล้วไม่เห็นรึไง”

“ทีฟองยังร้องไห้ไม่ได้เลย ป๊าบอกเป็นผู้ชายห้ามร้องไห้ แถมยังบอกอีกว่าป๊าไม่เคยร้องไห้”

ปลายหลุดขำพรืดอย่างไม่ได้ตั้งใจ ที่แท้ก็ไม่ร้องไห้เพราะดันไปบอกลูกไว้แบบนี้นี่เองสิน่า บอกว่าตัวเองไม่เคยร้องไห้แล้วแบบนี้จะให้กลืนน้ำลายตัวเองก็ไม่ใช่เรื่อง เอ้อ พี่ฟีมนี่มันพี่ฟีมจริงๆ สิท่า

“แกขำอะไรปลาย”

พี่ฟีมหันมาค้อนพลางสูดจมูกแดงๆ นั่น ปลายยักไหล่ก่อนจะส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นเดินไปนั่งยองๆ คุยกับฟองเป็นครั้งแรก

“ขอโทษที่ทำป๊าฟีมร้องไห้นะ อาให้ตีทีนึงจะได้หายกัน”

“ไม่ได้โกรธอาปลาย โกรธป๊าฟีมที่ขี้ตู่ ตัวเองมาบอกให้คนอื่นเลิกร้อง แต่ตัวเองก็ร้องไห้แงๆ เหมือนกัน คนที่เก่งที่สุดคืออาปลายแล้วตอนนี้ เพราะทำป๊าร้องไห้ได้”

เจ้าฟองพูดจบรวดเดียวเป็นตรรกะของตัวเองก่อนที่จะวิ่งหนีปรู๊ดไปที่หน้าทีวีเหมือนเดิม ทิ้งให้ปลายนั่งยองๆ ขำไหล่สั่นอยู่คนเดียว สรุปก็คือเด็กชายมองว่าเขาเป็นคนเก่งไปแล้วเหรอ จะรู้ไหมว่าพ่อตัวเองทำเขาน้ำตาตกมาไม่รู้กี่รอบแล้ว

“สนิทกันเร็วนะ”

“ลูกพี่ต่างหากที่สนิทกับปลายเร็ว”

ปลายบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นมายืนตรงมองคนตัวผอมตรงหน้าที่ยังหน้าเหน้อแดงอยู่แต่หยุดร้องไห้แล้ว พี่ฟีมเมินเขาอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเก็บจานไปล้างในซิ้งค์

“ว่างๆ ก็แวะมากินข้าวก็แล้วกัน”

“ครับ” ปลายตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

“บอกให้เลิกครับซะที จั๊กจี้”

 

 

 tbc.







อัพเลทไปหนึ่งวัน ตอนที่สี่จะพยายามเข็นออกมาวันนี้นะคะ ;-;

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก





 

 

 

             

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

Chapter four

Freeze

 

ปลายลังเลเล็กน้อยตอนที่เดินมาหยุดอยู่ที่บล็อกที่สิบเอ็ดเป็นครั้งที่สองหลังจากครั้งแรก

บอกไม่ถูกหลังจากที่เจอพี่ฟีมครั้งแรก ถึงพี่ฟีมจะลดปราการลงมาบ้างแต่ปลายก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไรกันแน่ เห็นแก่ตัวรึเปล่า ทำให้อีกฝ่ายอึดอัดหรือไม่ ดูคิดมากเกินกว่าที่ผู้ชายอายุสามสิบนิดๆ อย่างเขาจะคิดได้ โดนพี่ฟีมเอ็ดหลายต่อหลายครั้งว่านิสัยจุกจิกเหมือนผู้หญิง การคิดการอ่านก็ราวกับเพศสตรี โดนหาว่าผิดเพศจากคนอื่นก็ยังมี อาจจะเป็นเพราะปลายใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะเกินไปและเลือกที่จะอยู่คนเดียวมาตลอด โลกส่วนตัวของเขาเลยค่อนข้างสูงมากกว่าคนอื่น

ปลายกดกริ่งหน้าบ้าน หวนคิดถึงตอนมหาลัยไม่ได้ว่าตอนนั้นบ้านพี่ฟีมชินกับการที่พี่ฟีมลากเขามากินข้าวด้วยจนแค่เห็นเขาเดินผ่านหน้าบ้านก็ยังเรียกให้เข้าไปนั่งทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดกับพี่ฟีมไว้ แต่ว่าคราวนี้บ้านพี่ฟีมช่างเงียบเหงา หลายคนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่ดาว

“อาปลาย”

“อะ...อ้าว ฟอง ป๊าฟีมอยู่ไหมครับ”

“อาปลายมาทำอะไร”

ฟองส่งสายตาไม่ไว้วางใจเต็มที่มาให้หลังบานประตูเลื่อนเหล็ก เจ้าตัวเล็กโผล่ตัวออกมาหลังบานประตูกระจกเลื่อนชั้นในอีกชั้นเพียงครึ่งตัว ก่อนที่ปลายจะพึงระลึกได้ว่าวันนี้วันอังคาร วันที่ฟองไม่มีเรียนพิเศษ และพี่ฟีมก็ทำงานเลิกทุ่มอยู่แล้วทุกวัน คิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอาให้ตัวเองที่สะเพร่า ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเพียงเท่านั้นเอง แต่ครั้นจะกลับไปเลยก็สงสารเด็กตรงหน้าที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ฟองเหมือนพี่ฟีมอย่างกับแกะ ต่อให้หน้าตาส่วนใหญ่จะได้จากพี่ดาวมาก็เถอะ แต่ไอ้นิสัยตั้งกำแพงขู่เป็นแมวแบบนี้ได้พ่อมาเต็มๆ เลยนี่หว่า

“อาปลายจะมาหาป๊าฟีม แต่ว่าลืมไปว่าป๊าฟีมทำงานเลิกค่ำๆ” ปลายตอบก่อนจะย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับฟองเพื่อให้ตัวเองดูเป็นมิตรมากขึ้น “ฟองไม่มีเรียนพิเศษใช่ไหมวันนี้ ป๊าฟีมบอกอาปลายมาครั้งก่อน”

“ครับ” ฟองตอบสั้นๆ ยังคงไม่ยอมเปิดประตูให้ และปลายเองก็รู้ว่าตัวเองยังดูไม่น่าไว้ใจมากนัก พี่ฟีมคงจะสอนลูกมาดี ฟองถึงได้ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าแบบเขาเร็วแม้จะเคยเข้าไปในบ้านมาแล้วครั้งนึงก็ตาม

“เดี๋ยวอาปลายนั่งรอป๊าฟีมตรงนี้ก็ได้” ปลายบอกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านหน้าที่ค่อนข้างเก่ามากแล้ว เมื่อก่อนตอนที่แม่ของพี่ฟีมยังอยู่ที่นี่ แม่พี่ฟีมชอบใส่บาตรตอนเช้า เลยมีเก้าอี้ตัวนี้ตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านเพื่อให้แกนั่งรอพระ กลิ่นยากันยุงที่โชยจากมวนยาสีเขียวด้านล่างทำให้ฟีมนึกอุ่นใจหน่อยๆ ที่ตัวเองจะไม่โดนยุงหามไประหว่างรอคนพ่อกลับมา

“แต่ป๊าฟีมอีกนานเลยนะกว่าจะกลับมา”

“นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“นานมากกกก หลายล้านชั่วโมงเลยยยย”

เด็กหนอเด็ก ชอบพูดอะไรเป็นเลขหลักล้านกันหมด แต่ก็พอเข้าใจได้ การ์ตูนที่ฉายตามโมเดิร์นไนน์การ์ตูนก็มีแต่อะไรที่ออกจะเกินจริงไปเยอะอยู่ การที่เด็กจะพูดอะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกเท่าไหร่

“งั้นเหรอ แย่จังครับ แบบนี้ป๊าฟีมไม่หิวตายเหรอ อาปลายอุตส่าห์ไปซื้อกุ้งอบวุ้นเส้นเจ้าที่ป๊าฟีมชอบกินมา ซื้อมาฝากฟองด้วยนะ” ปลายชูถุงพลาสติกในมือที่มีกล่องโฟมสามกล่องให้ดูก่อนจะยิ้มบางๆ พี่ฟีมชอบกินเจ้านี้มาก ไม่รู้ว่าได้มีโอกาสกินบ้างไหมตั้งแต่มาอยู่นี่เป็นปี แต่ดูท่าน่าจะไม่มีเวลาคิดเรื่องอาหารการกินตัวเองเลยด้วยซ้ำไป

“แต่ฟองไม่กินขิง”

“เดี๋ยวให้ป๊าฟีมเขี่ยออกให้ก็ได้ครับ”

“แต่ว่ามันมีกลิ่นขิง”

“งั้นเดี๋ยวตอนป๊าฟีมกลับมาอยู่กับฟองแล้วอาปลายไปซื้ออะไรมาให้กินใหม่เอาไหม”

“ไม่เป็นไร ป๊าฟีมบอกว่าอย่าเรื่องมาก เป็นผู้ชายต้องหัดกินผักให้ได้ทุกชนิด”

ฟังคำตอบฟองแล้วปลายก็ยิ้มแหย พี่ฟีมต้องเลิกเอาข้ออ้างคำว่าเป็นผู้ชายมาสอนลูกได้แล้วแล้วเหตุผลที่โยงก็ไม่ได้เมคเซ้นส์เลยสักนิดเดียว ปลายกุมหัว ไม่แน่ใจว่าจะแก้นิสัยใครก่อนดีระหว่างคนพ่อหรือคนลูก ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากก็จริง แต่ฟองก็ดูท่าจะไม่ฟังใครนอกจากพ่อตัวเองเหมือนกัน

“จริงๆ ป๊าฟีมพูดแบบนั้นเพราะว่าอยากให้ฟองกินผักแล้วจะได้แข็งแรงไงครับ ไม่ต้องเป็นผู้ชายก็ได้ จะผู้หญิงหรือเพศไหน หัดกินผักก็ดีต่อร่างกายหมดเลยนะ”

“อาปลายพูดเยอะจัง”

โดนเด็กบอกว่าพูดมากแหละไอ้ปลาย

“แล้วอาปลายเป็นเพื่อนกับป๊าตอนไหน ทำไมฟองไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ตอนนั้นฟองยังเป็นวุ้นอยู่เลยมั้งนั่น อาปลายรู้จักกับป๊าฟีมตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยนู่นเลย ตอนนั้นป๊าฟีมยังไม่เจอหม่าม๊าของฟองเลยด้วยซ้ำ”

“อาปลายรู้จักม๊าดาวด้วยเหรอ!?”

“รู้จักครับ ป๊าฟีมเจอม๊าดาวตอนเริ่มไปทำงานใหม่ๆ แล้วก็มาเล่าให้อาปลายฟังตลอดเลย” ปลายนึกถึงตอนนั้นออก ตอนที่พี่ฟีมเอาแต่พูดถึงผู้หญิงที่ชื่อดุจดาว อาการแรกเริ่มของคำว่าชอบและพัฒนามาเป็นรักใคร่อย่างง่ายดาย ปลายดูออก พี่ฟีมปรึกษาเขาหลายอย่างด้วยความที่สนิทกันและอายเพื่อนตัวเอง ก็เลยมาพึ่งปลายเพราะว่าตัวเองเป็นคนขวานผ่าซากแถมพูดจาดีๆ ไม่ค่อยเป็น ซึ่งตรงข้ามกับบุคลิกปลายโดยสิ้นเชิง

‘ขอเป็นแฟนยังไงดีวะปลาย แม่งยากอะ คือทำไมคนเราพูดกันตรงๆ เลยไม่ได้วะ’

‘จริงๆ ต่อให้ปลายแนะนำพี่ไป พี่ก็จะพูดตรงๆ กับพี่ดาวอยู่ดี’

‘มาสลับร่างกันวันนึงได้ปะ ยากชิบหายเลย คือเนี่ย คิดสถานที่คิดของที่จะให้ออกนะ แต่แค่ขอคบทำไมยากที่สุดเลยวะ’

‘เพราะพี่ชอบเขาไง เวลาจะพูดอะไรมันก็ยากไปหมด แต่กลับกันเวลาพี่ทำอะไรมันดูง่ายไปหมดใช่ไหม ผมก็เหมือนพี่ กระทำง่ายกว่าคำพูด ผมว่าพี่ดาวไม่ปฏิเสธพี่หรอกต่อให้พี่พูดตรงๆ สั้นๆ ว่าเป็นแฟนกันไหม เพราะการกระทำพี่ชัดเจน’

‘ก็จริงของแกว่ะปลาย ขอบคุณมากนะ’

               “แล้วๆ แล้วป๊าฟีมจีบม๊าดาวก่อน หรือม๊าดาวจีบป๊าฟีมก่อน” ฟองถามอย่างตื่นเต้นที่จะฟังก่อนจะนั่งลงกับพื้นบ้านด้านใน กลายเป็นว่าพวกเขาคุยกันโดยที่มีประตูเหล็กกั้นอยู่ ถ้าพี่ฟีมกลับมาเห็นคงจะด่าลูกชายน่าดูว่าทำไมปล่อยให้เขานั่งตากยุงแบบนี้

               “ป๊าฟีมจีบก่อนสิ แต่ตอนแรกม๊าดาวก็ไม่ได้ชอบนะ เพราะว่าป๊าฟีมพูดไม่เก่ง แล้วก็ชอบพูดห้วนๆ” ปลายเล่าพลางหัวเราะ

               “อ้าว แล้วทำไมม๊าดาวแต่งงานกับป๊าฟีมได้”

               “ม๊าดาวรู้ว่าป๊าฟีมจริงใจไงครับ อาปลายว่าม๊าดาวดูคนเป็นนะ เพราะอาปลายเองก็มองว่าป๊าฟีมเป็นคนดีแล้วก็เก่งมากที่เลี้ยงฟองมาได้จนตัวโตขนาดนี้”

               “แล้วๆ ป๊าฟีมจีบม๊าดาวยังไง”

               “อืม...อาปลายขอนึกก่อนนะ นานมากแล้ว แถมตอนนั้นอาปลายก็ไม่ได้ทำงานที่เดียวกับป๊าฟีมด้วย ก็เลยไม่รู้รายละเอียดชัดๆ เลยครับ” ปลายพยายามขุดลงไปในความทรงจำระหว่างตนเองกับพี่ฟีม ยิ่งขุดลึกเท่าไหร่ ความคิดถึงเก่าๆ หรือบางอย่างที่เราเคยมีและหลงลืมไปแล้วก็ยิ่งล้นทะลักออกมา จนเขากลัวว่าเด็กชายตรงหน้าจะรู้ ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อพี่ฟีมนั้นท่วมท้นอย่างน่ากลัวเหลือเกิน

               “อ้อๆ ป๊าฟีมเคยพูดถึงเพื่อนคนนึงอยู่บ่อยๆ ฟองเพิ่งนึกออก แบบว่าเพื่อนคนนั้นของป๊าฟีมชอบกวนประสาทป๊าฟีมบ่อยๆ แต่พูดเพราะมากกกก ไม่พูดคำหยาบเลยยย แต่ฟองไม่แน่ใจว่าใช่ม๊าดาวรึเปล่า เพราะว่าป๊าฟีมบอกว่าเพื่อนสมัยก่อน แล้วก็บอกว่าคิดถึงอยู่บ่อยๆ ตอนที่ม๊าดาวเพิ่งจะไป ฟองเลยงงๆ เพราะว่าม๊าดาวชอบอุทานคำหยาบแบบไม่รู้ตัว แต่ๆ ปกติม๊าดาวก็ไม่พูดคำหยาบนะ เวลาม๊าดาวเผลออุทาน ป๊าฟีมจะรีบบบบดุเลย แต่ป๊าฟีมก็บ่นคิดถึงม๊าดาวอยู่บ่อยมากๆๆๆ เหมือนกัน”

ปลายหัวเราะเสียงดังหลังจากฟังที่ฟองพูดมายาวยืด เขาชอบเด็กก็ตรงที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองนี่แหละ บางทีเครื่องจับโกหกก็ควรจะใช้คลื่นสมองของเด็กมาพัฒนาได้แล้ว

และปลายคิดว่าเพื่อนคนนั้นที่พี่ฟีมพูดถึง ถ้าหากไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ก็คงจะเป็นตัวเขาเอง

ที่พี่บอกว่าดีใจที่ได้เจอปลายน่ะ พูดจริงสินะ

“อาปลายว่าไม่ได้พูดถึงม๊าดาวหรอก ม๊าดาวพูดคำหยาบเยอะอยู่นา ตอนจีบใหม่ๆ ป๊าฟีมยังชอบมาบ่นให้ฟังเลยว่าปากจัด แต่ป๊าฟีมก็ยังชอบอยู่ดี” ปลายยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าพี่ฟีมตอนนั้นที่เหนื่อยหน่ายเหลือเกินตอนพูดถึงพี่ดาวว่าโดนดุโดนบ่นมาอย่างงู้นอย่างงี้เพราะตัวเองเป็นเด็กเทรนด์ในความควบคุมของพี่ดาว “ม๊าดาวเป็นคนสวยแล้วก็เก่งมาก ทำอะไรเร็วตลอด พอมาเจอคนทำอะไรช้าแบบป๊าฟีมก็เลยได้เถียงกันบ่อยน่ะ”

“จริงงงงอาปลาย ม๊าดาวขี้บ่นม๊ากมาก เวลาฟองโดนยุงกัดก็บ่นตลอด แต่ๆ บ่นยุงนะ ไม่ได้บ่นฟอง”

“แล้วป๊าฟีมก็จะเป็นคนมาทายาแทนใช่ไหม ม๊าดาวจะได้เลิกบ่นแล้วไปทำอย่างอื่น” ปลายเดาต่อโดยอิงจากนิสัยของพี่ฟีม

“ใช่ๆๆ อาปลายเก่งจัง เดาถูกหมดเลย เป็นเพื่อนอันดับหนึ่งของป๊าฟีมแน่นอน ถูกต้องนะคร้าบบบ”

ปลายขำร่วนเมื่อเห็นฟองเลียนเสียงเหมือนตามรายการเกมโชว์ เขาไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเด็กมากนัก แต่เขารู้สึกมาตลอดว่าความคิดของเด็กในวัยที่ยังเป็นผ้าขาวอยู่นั้นช่างน่าสนใจที่จะรับฟังให้เยอะมากกว่าสั่งสอนให้มาก เมื่อเราโตขึ้น เราก็คงไม่มีโอกาสที่จะมานั่งคิดนั่งสังเกตอะไรรอบข้างเล็กๆ น้อยๆ และนำมาเป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว ทุกวันผ่านไปอย่างจืดชืด เราสนใจเพียงแค่สิ่งที่เราเคยชินและหมกมุ่น เราทำตามหน้าที่ที่หมุนวนเป็นเข็มนาฬิกา ก่อนที่เรื่องรอบตัวจะกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นที่จะเก็บมาเล่าสู่กันฟังอีกต่อไป

“แล้วทำไมอาปลายไม่เคยมาหาป๊าฟีมเลยอะ”

ปลายชะงักกับคำถามนี้ราวกับโดนแช่แข็ง เขาไม่ใคร่แน่ใจนักว่าควรตอบอย่างไรให้เด็กตรงหน้าเข้าใจว่าระหว่างพวกเขาที่ควรจะมีระยะห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อกนั้น ได้ห่างไกลออกไปอีกจนนับไม่ถ้วน

“ป๊าฟีมกับอาปลายโตขึ้นจนความเป็นผู้ใหญ่ทำให้เราไม่ยอมติดต่อกันครับ”

“แล้วความเป็นผู้ใหญ่คืออะไร อาปลายพูดอะไรยากจัง”

“ความเป็นผู้ใหญ่คือการที่อาปลายคิดถึงป๊าฟีม แต่ก็คิดเยอะเกินไปว่าป๊าฟีมอาจจะไม่อยากเจออาปลาย หรือว่าไม่ได้อยากคุยกับอาปลายแล้ว อาปลายก็เลยเลือกที่จะไม่มาหาป๊าฟีม”

“อ้าว แล้วอาปลายคิดเยอะทำไมอะ”

“นั่นสิ อาปลายคิดเยอะทำไมเนอะ ไม่งั้นคงได้เจอฟองเร็วกว่านี้แล้ว” ปลายยิ้มอย่างเสียดาย เขาไม่ได้เจอพี่ฟีม ถ้าวัดเป็นระยะเวลาที่แน่นอน ก็เท่ากับการเติบโตของเด็กคนนึงที่ชื่อฟอง

“แล้วทำไมป๊าฟีมไม่ติดต่ออาปลายอะ”

“อันนี้อาปลายไม่แน่ใจครับ ไม่กล้าคิดแทนป๊าฟีม” ปลายเลี้ยงที่จะตอบเพราะถ้าตอบออกไปเป็นภาษาที่อธิบายง่ายๆ ก็ยากพอตัวที่จะเลี่ยงความรู้สึกตัวเอง ปลายรู้สาเหตุที่ค่อนข้างมั่นใจ แต่เขาพูดต่อหน้าฟองไม่ได้ก็แค่นั้น

“แล้วทำไมฟองชื่อฟองล่ะ ใครตั้งชื่อให้ครับ” ปลายถามเปลี่ยนเรื่องด้วยความอยากรู้ส่วนตัวกึ่งหนึ่ง

“ม๊าดาวตั้งให้ เพราะป๊าฟีมชื่อฟ.ฟัน ม๊าดาวก็เลยอยากให้ชื่อฟ.ฟัน เพราะชื่อด.เด็กม๊าดาวบอกว่าอาม่าไปดูหมอมาบอกว่าไม่ดี ก็เลยจะตั้งฟ.ฟัน ทีนี้พอตั้งฟ.ฟันใช่มะ ก็นึกเป็นร้อยชื่อเลย ม๊าดาวบอกว่าปวดหัว ก็เลยให้ชื่อฟอง เพราะว่าตอนแพ้ท้องม๊าดาวอยากกินฟองดูว์ของสเวนเซ่น”

ปลายขำเพราะว่าแบคกราวด์ของชื่อเด็กตรงหน้าช่างง่ายดายเหลือเกิน จะบอกว่ามักง่ายก็ดูไม่มีมารยาทไปนิดนึง แต่ก็สมกับเป็นพี่ดาวดี พี่ฟีมก็ตามใจอยู่แล้ว แต่ปลายไม่ได้คาดคิดว่าชื่อฟองของเด็กชายจะมาจากฟองดูว์สเวนเซ่นสักหน่อยนี่นา

“แล้วทำไมอาปลายชื่อปลาย ใครตั้งให้”

คำถามโดนย้อนศรกลับมา ช่างลอกจริงๆ นะ

“อาปลายเกิดท้ายปี แล้วก็ชื่อปลายมาจากคำว่าปลายทางครับ”

“แล้วๆ ปลายทางแปลว่าอะไร”

“อืม...แปลว่าสุดทาง สิ้นสุดของทางนั้นๆ แม่บอกว่าตั้งชื่อนี้ให้เพราะว่าอยากให้อาปลายทำอะไรก็ทำให้สุด แล้วแม่ก็เชื่อว่าถ้าเราไปได้ไกลถึงปลายทาง เราก็จะเจอสิ่งดีๆ หรือใครดีๆ รออยู่ตรงนั้นครับ”

“อ๋ออออ แบบนี้เอง แล้วป๊าฟีมล่ะ อาปลายรู้ไหมว่าทำไมป๊าฟีมชื่อฟีม”

“เห็นป๊าฟีมบอกว่าเพราะว่าอาแมะชอบดูหนังฝรั่งน่ะครับ ชื่อของอี้เฟย์? ใช่ไหม...? ฟองต้องเรียกว่าอาอี้ใช่เปล่า อาปลายไม่ใช่คนจีน เรียกไม่ถูกเหมือนกัน” ปลายหยุดกลางคันก่อนจะถาม

“ใช่ๆ อี้เฟย์”

“ชื่ออี้เฟย์ เห็นป๊าฟีมบอกว่าเป็นชื่อนางเอกในนิยายที่อาแมะชอบอ่านสมัยสาวๆ ก็เลยได้ชื่อนี้กันมาครับ”

“อาปลายรู้เยอะจัง แสดงว่าป๊าฟีมพูดเยอะกับอาปลายใช่ไหม”

“อาปลายพูดเก่งกว่าอีก แย่งป๊าฟีมพูดไปหมดแล้ว”

ปลายยิ้ม เขารู้สึกถูกชะตากับฟองเหมือนพี่รู้สึกกับพี่ฟีม ความรู้สึกดีมันสามารถถ่ายทอดทางสายเลือดได้ด้วยงั้นสินะ การสนทนากับฟองในครั้งนี้ทำให้ปลายรื้อลงไปในจิตใจและหีบความทรงจำมากกว่าที่ควรจะล้ำเส้นไป และนั่นทำให้เขารู้สึกผิดเมื่อนั่งอยู่ตรงหน้าเด็กชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยตรงนี้

ฟองเป็นตัวแทนของระยะห่างระหว่างปลายกับพี่ฟีมอย่างชัดเจน 

บางทีถ้าย้อนกลับไปได้ ปลายก็จะกลับไปหยุดเวลาไว้ตอนที่เขาปีสองและพี่ฟีมปีสี่ ถึงตอนนั้นจะขรุขระและมีรสขมไปบ้าง แต่ก็ยังสวยงามกว่าสิ่งที่อยู่ในหีบความทรงจำของเขาตอนนี้ เป็นม้วนฟิล์มที่ถูกลืมเลือน เจือจาง และหม่นแสงจนดูไม่รู้เรื่องอีกต่อไป





tbc.



แชปนี้ให้แอร์ไทม์น้องฟองเต็มที่ หายไปหลายวันเลยค่ะ ไม่แน่ใจเลยว่าเล่นชาเล้นจ์จริงๆ ไหม แง จะมาตามให้ทันๆๆๆ

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก

 

 

 

             

ออฟไลน์ pearlluv

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter five

Build

 

ฟีมขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยเดิมที่คุ้นเคย ก่อนจะจอดลงที่หน้าบ้านตึกแถวของตัวเอง ตามองเห็นหลังไวๆ ของใครสักคนที่นั่งอยู่หน้าบ้าน ด้วยความที่ตาไม่ค่อยจะดีนักในที่มืดและไฟถนนสลัว จึงไม่แน่ใจว่าใครกันที่มานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านเขากันแน่ มือปลดหมวกกันน็อกออกก่อนจะเปิดเบาะเพื่อเก็บหมวก ขาวาดลงมาจากตัวรถก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ ประจวบกับที่แผ่นหลังนั้นหันกลับมาหาเขาพอดี

“ปลาย แกมานั่งอะไรตรงหน้าบ้านพี่วะ”

“ป๊าฟีม อาปลายมาหาป๊าฟีม!”

“เอ้า ฟอง ทำไมมานั่งตรงหน้าประตูแบบนั้น”

ฟีมงงๆ กับทั้งสองคน ปลายยิ้มแหยๆ ให้เขาและเจ้าลูกชายตัวดีที่วิ่งปรู๊ดเข้าไปในตัวบ้านแล้ว ทิ้งให้เขากับปลายมองหน้ากันอย่างงงงวย

“ปลายมาหาพี่ฟีม แล้วลืมไปว่าพี่ฟีมเลิกงานทุ่มนึงน่ะ”

“เอ้า แล้วทำไมแกไม่กลับไปรอที่บ้านก่อน ห่างกันแค่สิบเอ็ดบล็อกแค่เนี้ย”

“ก็ฟองอยู่บ้านคนเดียวนี่นาจะให้ปลายทิ้งลูกพี่ไว้อย่างงี้ก็ใจร้ายไปหน่อยไหม”

“แกนั่นแหละใจดีเกินไป บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้” ฟีมตอบกลับติดจะเย็นชาเล็กน้อย แต่เขาหวังว่าปลายจะดูออก ไม่สิ ปลายคงดูออกอยู่แล้วว่าเขาเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ฟีม ปลายไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ช่วงนี้เพิ่งย้ายบ้านมา แล้วทำเรื่องย้ายสาขาก็ยังไม่เรียบร้อยดี ทางบริษัทเขาก็เลยให้พักงานไปก่อนช่วงนึง ปลายว่างมากนะ”

“ก็เลยต้องมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านพี่ว่างั้น?”

“คราวก่อนพี่บอกเองนี่นาว่าแวะมากินข้าวได้” ปลายยิ้มให้เขาเหมือนว่าที่เขาพูดไปทั้งหมดไม่ใช่คำพูดใจร้าย “ปลายเลยซื้อกุ้งอบวุ้นเส้นเจ้าที่พี่ชอบกินมาฝาก คิดว่าพี่ฟีมย้ายมานี่น่าจะลืมแล้ว”

“แกจำได้ไงวะปลาย กุ้งอบวุ้นเส้นนี่ตั้งแต่สมัยพี่ปีสามเลยนะ”

“แต่พี่พาปลายไปกินติดกันเกือบเดือนเลยนะ” ปลายพูดพลางทำท่าเหมือนจะขำ และฟีมก็เพิ่งจะนึกออกว่าตอนนั้นตัวเองติดกินร้านนี้มากจริงๆ แล้วก็เป็นพวกกินซ้ำกินซากจนกว่าจะเบื่อไปข้างนึงถึงเลิกกิน ไม่แปลกถ้าคนจุกจิกอย่างปลายจะจำได้

“แล้วนี่นั่งรอเป็นชั่วโมงเลยเรอะ”

“ชั่วโมงเดียวเองพี่ ไม่ถึงด้วยมั้ง คุยกับฟองเพลินเลย”

“นี่เจ้าฟองไม่เปิดประตูให้แกเข้าไปนั่งในบ้านเหรอวะ” ฟีมถามอย่างฉงน เพราะประตูเหล็กตรงหน้ายังล็อกอยู่ แถมปลายก็เริ่มเอามือลงไปเกาขายุกยิกๆ ด้วย

“อ่า ก็เด็กอะเนอะพี่ฟีม เขาฟังพี่นี่ คงจะกลัวปลายเป็นคนไม่ดี เลยยังไม่ไว้ใจน่ะ”

“มันน่าจับตี พี่พาแกเข้าบ้านมาแล้วรอบนึง ถ้ายังไม่รวมตอนเจ้าฟองยังเป็นวุ้นก็ไม่รู้กี่รอบแล้ว ไอ้ลูกคนนี้ แยกแยะไม่เป็น” ฟีมบ่นกระปอดกระแปดพลางควานหากุญแจพวงเล็กมาไขประตูเหล็กก่อนจะเลื่อนเปิดเข้าบ้าน เตรียมจะดุไอ้ลูกชายตัวดีที่ทำตัวไม่มีมารยาทกับปลาย มันน่าจะฟาดขาสักทีสองที

“ไม่เอาน่ะพี่ฟีม อย่าตีเด็กสิ”

“ดาวตีไปไม่รู้กี่รอบแล้ว ฟองซนเป็นลิง จะนิ่งก็ต่อเมื่อมีโทรทัศน์เท่านั้นแหละ หนังสือที่ดาวซื้อมาถึงได้กองเป็นกะตั๊กอยู่อย่างนั้นไม่ลดซะที” ฟีมพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านพลางตะโกนเรียกลูกชายตัวเองที่ไม่รู้ไปมุดอยู่ตรงไหน บ้านก็มีอยู่แค่สองสามชั้น ไม่รู้จะซ่อนไปทำไม

“เห็นพี่ดุลูกชายแบบนี้ปลายไม่ชินเลยแฮะ”

“ทำไม พี่ก็ดุแกเหมือนกัน อย่ามาทำเป็นลืม”

“ครับป๊าฟีม กับปลายไม่เรียกดุหรอก เขาเรียกแถ เพราะสุดท้ายพี่ก็ฟังปลายหมดนั่นแหละ”

ฟีมหันมาเห็นปลายยิ้มยิงฟันอย่างน่าหมั่นไส้แล้วก็อยากจะเตะมันสักทีเหมือนสมัยก่อน นี่ถ้าไม่ใช่ว่าข้อเข่าเริ่มจะเจ็บแล้วก็จะยกขามาถีบมันสักกะที ตอนนี้แค่จะงอเข่ายังขี้เกียจ แต่ครั้นจะสู้ด้วยฝีปากก็รู้ว่าตัวเองแพ้รุ่นน้องแน่ๆ ก็เลยทำได้แต่อ้าปากด่าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วด้วยความหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้

“โอ๊ย พี่ฟีม แก่ป่านนี้แล้วยังจะเล่นมุกแบบนี้อีกเหรอ เห็นปลายฟังไม่ออกแล้วได้ใจใหญ่เลยนะ”

“เออ จะทำไม” ฟีมพูดแล้วก็จัดการเมินปลายต่อ แล้วเดินไปหาฟองที่เพิ่งวิ่งดุ๊กๆ ลงจากบันไดมาพร้อมกับอัลบั้มภาพ พลางตะโกนลั่นบ้าน

“อาปลาย! อาปลาย! ฟองเจออาปลายในรูปจริงๆ ด้วย”

“ไหน เก่งจัง มาชี้อาปลายให้ดูหน่อย”

“สนิทกันจริงๆ แล้วเรอะ”

ฟีมกอดอกมองอาหลานที่นั่งลงกับพื้นกลางบ้านพลางเปิดอัลบั้มภาพของเขาสมัยเรียน มีตั้งแต่รูปถ่ายตอนไปเที่ยว ทำกิจกรรมในมอ รับปริญญา และรูปคนในบ้านที่ส่วนมากจะเป็นรูปฟีมกับเฟย์ ไม่ก็ฟีมกับอาม่าอากง มีปลายติดมาในภาพหลายรูปด้วยสาเหตุที่มาฝากท้องที่บ้านเขาบ่อย ส่วนบุคคลที่ไม่ค่อยปรากฏในรูปเลยก็คือม๊า ตัวการถ่ายรูปทั้งหมดนี้

“นี่ก็อาปลาย นี่ก็อาปลาย เอ้ย นี่ก็อาปลาย อาปลายเต็มไปหมดเลยยย”

“เป็นไง อาปลายตอนหนุ่มๆ หล่อกว่าป๊าฟีมไหม”

“เห้ย ไอ้ปลาย พูดให้มันดีๆ หน่อย” ฟีมแทรกขึ้นมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ปลายด้วย เผื่อมีอะไรไม่ถูกหูจะได้เอาตีนยันได้ง่ายๆ หน่อย

“หล่อกว่าจริงด้วย ป๊าฟีมผอมเป็นกุ้งแห้งเลย”

“ว่าปลายไม่ได้แล้วนะพี่ฟีม นี่ลูกพี่พูดเองเลยนะว่าปลายหล่อกว่า”

ฟีมถองศอกใส่ไอ้รุ่นน้องตัวโตข้างๆ อย่างหมั่นไส้ เขายอมรับว่าตัวเองตอนเรียนก็หล่อไม่สู้ปลายมันจริงๆ ปลายมันแทบจะเป็นสเปคสาวๆ ทั้งมหาลัยตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ ใจดี พูดเพราะ แต่ใครจะรู้ว่าลับหลังกวนประสาทยิ่งกว่าอะไรดี โดยเฉพาะกับฟีมนี่สิ ชอบมาพูดจายียวนวอนตีนกันตลอดเวลา เอาเท้ายันเท่าไหร่ก็ไม่เข็ดที่จะแหย่เขาตลอด มันเป็นอะไรกันนักกันหนา ฟีมเคยคิดอยู่ช่วงแรกๆ ที่รู้จักกับไอ้รุ่นน้องคนนี้ใหม่ๆ

‘รำคาญโว้ย เป็นเหี้ยไรนักหนาเนี่ย มากวนตีนอยู่ได้’

‘เอ๋า ปลายก็คุยด้วยดีๆ นะเนี่ย’

‘ดีเหี้ยอะไรล่ะ กวนประสาทชิบหาย ไม่มีเพื่อนคบเหรอวะ’

‘มี แต่ก็อยากสนิทกับพี่ด้วยไง พี่ตลกดี’

‘แต่กูไม่อยากสนิทกับมึงไอ้ตุ๊ด’

 “นึกถึงตอนนั้นเลยว่ะ ที่พี่พูดจาไม่ดีกับแก” ฟีมเปรยขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่ไม่น่าจดจำ แต่ดันจดจำฝังหัวฝังใจไปแล้ว

“หืม ตอนไหน”

“ก็ตอนที่แกมาชวนพี่คุยบ่อยๆ ตอนรับน้องกับตอนไปก๊งเหล้า”

“อ๋อ ตอนนั้น ปลายจำได้ละ พี่ฟีมยังคิดมากอยู่เหรอ”

“เปล่า” ฟีมตอบแบบขอไปที แต่จริงๆ แล้วยังคงคิดมากอยู่อย่างที่ว่า “แค่นึกขึ้นได้”

“พี่ขอโทษปลายไปแล้วไง ไม่เป็นไรหรอก เรื่องตั้งนานแล้ว”

“อาปลายกับป๊าฟีมทะเลาะกันเหรอ แล้วป๊าฟีมพูดอะไร ทำไมต้องขอโทษอาปลาย”

“เรื่องของผู้ใหญ่น่าฟอง”

ฟีมตอบปัดให้ลูกชายเงียบแต่ปลายกลับหันไปคุยกับลูกตัวเองต่อ

“ช่ายครับ ตอนนั้นทะเลาะกัน แต่ป๊าฟีมไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีใส่อาปลาย ก็เลยมาขอโทษ อาปลายก็ไม่โกรธแล้ว”

ฟีมเบือนหน้าหนี ตอนนั้นเขาด่าไปอย่างนั้นก็เพราะว่าในหมู่รุ่นพี่เขาลือกันว่าปลายเป็นพวกเพศที่สาม โดยตัดสินจากท่าทาง การกระทำ คำพูด และรสนิยมหลายๆ อย่างที่ออกจะดูเจ้าสำอางและตุ้งติ้งในบางที ทำให้เกิดข่าวลือลับๆ ที่พูดลับหลังปากต่อปากมา แต่เอาเข้าจริงพอพูดออกไปแล้วเห็นปฏิกิริยาของปลายตอนนั้น ฟีมก็รู้สึกผิดไปหลายวัน ทำเป็นไม่สนใจ ไม่ยุ่งก็จริง แต่ความร้อนรนในคำพูดตัวเองที่เอาคืนมาไม่ได้ยังคงคาอก ก็เลยตัดสินใจเดินไปขอโทษตรงๆ หลังจากผ่านมาสามสี่วัน

‘ขอโทษที่พูดจาสั่วๆ เกลียดกันแล้วปะวะ’

‘ไม่เป็นไรพี่ฟีม ปลายยกโทษให้พี่’

‘ก็เกลียดขี้หน้ากันแล้วปะวะ’

‘ปลายต้องถามพี่มากกว่าไหมว่าเกลียดอะไรปลายรึเปล่า’

“ไหนๆ เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนั้นแกโกรธพี่จริงๆ ปะวะปลาย” ฟีมตัดสินใจถามใหม่ สำหรับเขาแล้ว เรื่องไม่ดีมักจะแจ่มชัดมากกว่าเรื่องดีๆ เสมอ ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกินที่ความทรงจำดีๆ ของเขากับปลายช่างเลือนราง

“ก็มันนานแล้ว ปลายจะไปจำได้ไหมล่ะพี่ฟีม” ปลายตอบแล้วก็ขำน้อยๆ “อย่าไปคิดมากเลย ถ้าปลายจะโกรธจริงๆ ก็ตอนที่พี่ไม่ติดต่อมาเลยมากกว่า แต่นั่นแหละ กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

“แกล้งลืมปะเนี่ย”

“จะบ้าเหรอพี่ฟีม เป็นสิบๆ ปีแล้ว ปลายลืมจริงๆ จำเรื่องได้ แต่จำความรู้สึกไม่ค่อยได้แล้ว มากินข้าวดีกว่า กุ้งอบวุ้นเส้นเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวปลายเอาไปอุ่นให้” ปลายพูดพลางลุกขึ้นไปทางครัวอย่างคุ้นเคย ฟองยังคงนั่งเปิดดูอัลบั้มภาพอย่างสนอกสนใจ เล่มนี้ปกติฟองไม่ค่อยได้ดูมากนักเพราะไม่มีรูปดาวเลย แต่คราวนี้กลับตั้งอกตั้งใจดูเป็นพิเศษ

“นั่งดูอะไรไอ้ลูกชาย บอกมาสิว่าป๊าหล่อกว่าอาปลายมัน”

“นั่งดูอาปลายต่างหาก ป๊าฟีมอย่ามา”

“อาปลายคุยอะไรให้ฟังบ้าง”

“อาปลายพูดถึงป๊ากับม๊าให้ฟัง เล่าเรื่องสมัยก่อนนู่น อาปลายพูดเยอะไปหน่อย ฟังแล้วเข้าใจยาก แต่ก็สนุกดี” ฟองตอบเจื้อยแจ้วตามประสาเด็ก ตาจดจ่อไปตามรูปภาพ นิ้วเล็กๆ ไล่ไปตามรูปอัดที่ออกโทนสีเหลืองด้วยความเก่าของมันอย่างสนอกสนใจ

“ชอบคุยกับอาปลายไหม”

“ก็โอเค๊ อาปลายใจดี ทำไมป๊าฟีมชอบว่าอาปลายเยอะแยะ”

“เข้าข้างคนอื่นมากกว่าพ่อมันแล้วนะ”

ฟีมพูดพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกไปทางครัวเพื่อที่จะช่วยปลายจัดจานจัดโต๊ะ

“เอ็นดูฟองเหรอ” ฟีมถามขึ้นมาลอยๆ เขาไม่ใจนักว่าปลายคิดอะไรอยู่ในบางที ถึงจะรู้ว่าปลายหวังดีกับเขาตลอดก็ตามที

“ก็นั่นลูกชายพี่นี่” ปลายตอบสั้นๆ

“แค่เพราะเป็นลูกชายพี่เหรอ”

“อืม แค่นั้นแหละ ถ้าไม่ใช่ลูกพี่ ปลายก็คงไม่เห็นพี่อยู่ในนั้นรึเปล่า” สีหน้าของปลายเรียบนิ่งในขณะที่เจ้าตัวยืนรออาหารสุกผ่านไมโครเวฟ “ปลายบอกแต่แรกแล้วนี่นาว่าฟองเหมือนพี่มากเลย”

“แต่พี่เห็นดาวอยู่ในตัวฟองทุกวันเลย”

ปลายเงียบไปเมื่อเขาพูดดังนั้น

“แกอย่าชอบฟองแค่เพราะฟองเหมือนพี่” ฟีมพูดต่อ แม้จะรู้ว่าตัวเองกำลังล้ำเส้นเล็กน้อย “ฟองไม่ใช่ทั้งพี่แล้วก็ดาว ฟองก็คือฟอง”

“อืม ปลายรู้แล้วครับ”

“บอกว่าเลิกครับสักที แกจะประชดทำไม”

“ปลายไม่ได้ประชด ปลายบอกแล้วนี่ว่าไม่ชิน”

ฟีมไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเขามองไปที่จุดเดียวกันก็คือไมโครเวฟที่หมุนไฟสีส้มอยู่ เวลาสองนาทีช่างผ่านไปนานระหว่างความเงียบของพวกเขาสองคน

“ปลาย”

“ว่าไงพี่ฟีม”

“แก...”

มาหาพี่เพราะว่าแกยังหวังอยู่เหรอ?

คำถามถูกกลืนลงคอ ฟังดูหลงตัวเอง แต่ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรปกติมาตั้งนานแล้ว เป็นคำถามที่ดูใจร้ายเหลือเกินในความคิดฟีม ขนาดคนพูดตรงๆ อย่างเขา ยังไม่กล้าจะถามออกไปเลย

“พี่ฟีมจะถามว่าปลายกลับมาหาพี่เพราะปลายหวังอะไรรึเปล่าใช่ไหม”

ถ้าเดาใจเขาไม่ถูกสิถึงจะไม่ใช่ปลาย

“ถ้าปลายโกหก พี่ฟีมก็จับไม่ได้หรอก แต่ปลายไม่เคยโกหกพี่” ปลายตอบช้าๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด “ปลายไม่เคยคิดร้ายกับพี่ฟีม ปลายตอบเท่านี้ได้รึเปล่า”

“แต่พี่ไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้แกเลย”

“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ปลายก็เห็นแก่ตัวมากแล้วพี่ฟีม”

“แกจะมาแทนที่ดาวเหรอ”

ปลายชะงัก ไม่สิ เหมือนพูดไม่ออกเสียมากกว่า ก่อนจะคลี่ยิ้มเศร้าหมอง ฟีมไม่เข้าใจ ถ้าปลายยังหวังอยู่ ก็แสดงว่าปลายจะเข้ามาแทนที่ดาว และปลายก็รู้ดีว่าไม่มีใครจะมาแทนที่ดาวได้

“ปลายไม่กล้าจะมาแทนที่ใครหรอกพี่ฟีม ไม่เลย ปลายไม่เคยคิดแบบนั้นด้วยซ้ำ”

และประโยคนั้นทำให้ฟีมรู้ว่าเขาพลาดอีกแล้ว เขาทำร้ายความรู้สึกของปลายอีกแล้ว

“ถ้าปลายจะขอน้อยที่สุด ก็คงเป็นเจ็ดปีที่หายไปนั่นแหละพี่ฟีม ปลายก็แค่คิดถึงพี่ แค่นั้นจริงๆ”

“ปลาย พี่...”

ติ๊ง!

“กินข้าวกันเถอะพี่ฟีม ไปเรียกฟองมาเร็ว เดี๋ยวปลายเขี่ยขิงออกให้”

             



 tbc.



เนื้อเรื่องเนิบๆ มาก คนที่สดใสที่สุดในเรื่องก็คือเจ้าฟอง

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0


Chapter six

Husky

 



ปลายไอเสียงแหบแห้งก่อนจะทุบอกตัวเอง เสียงมอเตอร์ไซค์กับหมาแมวคลออยู่ในซอยตึกแถวแห่งนี้ บุหรี่ในมือออกจะเข้ากันได้ดีแปลกๆ กับบรรยากาศเก่าๆ กึ่งเจริญแบบนี้

'แกจะมาแทนที่ดาวเหรอ'

แค่คำพูดนั้นคำพูดเดียว ทำเอาปลายถึงกับต้องหาควันมาสูบเข้าปอดสองมวนเลยทีเดียว ตลกร้ายเหลือเกิน แต่จะให้พูดว่าไม่เจ็บก็คงไม่ได้ ปลายแยกแยะออก คิดอ่านทะลุใจพี่ฟีมได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลายไม่รู้สึก

แทนที่พี่ดาว...ปลายน่ะเหรอ ที่เห็นแก่ตัวอยู่ทุกวันนี้ก็มีเพียงแค่ปลอบประโลมความรู้สึกตัวเองที่ได้กลับมาดูแลพี่ฟีมเหมือนเมื่อก่อนก็เท่านั้นเอง มีเพียงเรื่องพี่ดาวเท่านั้นที่ปลายไม่เคยจะเอาตัวเองเข้าไปเป็นสับเซ็ตด้วย

ควันถูกสูดเข้าปอดอีกรอบก่อนที่ปลายจะไอออกมาเป็นเสียงเหมือนปอดกำลังรั่วอย่างไรอย่างนั้น จริงๆ แล้วปลายไม่เคยถูกกับบุหรี่เลย ไม่ว่าจะเป็นตอนสูบครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ปลายก็ยังไอราวกับกำลังหัดสูบครั้งแรกทุกครั้งไป

เสียงมอเตอร์ไซค์ขับแล่นมาทางถนนนี้อีกครั้ง ปลายเงยหน้าขึ้นมองแสงแล่นจากรถก่อนจะพ่นควัน และก่อนจะทันรู้ตัว ปลายก็ได้ยินเสียงรองเท้าแตะและข้อเท้าผอมคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงตีนบันไดหน้าบ้านเขาเสียแล้ว

"รู้เหรอว่าพี่จะมาหาแก มานั่งเป็นสิงห์พ่นควันหน้าบ้าน"

ปลายยิ้มบางๆ ทำท่าจะดับบุหรี่แต่พี่ฟีมทำมือว่าไม่จำเป็น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดมานั่งข้างๆ

"ปล่อยฟองอยู่บ้านคนเดียวไม่ดีนะ"

"ล็อกบ้านหมดแล้ว ฟองเข้านอนแล้ว แค่มาหาแกแป๊บเดียวเองปะวะ"

ปลายรับคำในลำคอก่อนจะไออีกครั้ง เขามองไปที่ถนนตรงหน้า ไม่รู้ว่าควรสนทนาอย่างไรดีในอารมณ์แบบนี้

"เครียดเหรอ"

"หาอะไรเข้าปอดมากกว่าพี่" ปลายตอบเลี่ยงๆ รู้ว่าพี่ฟีมตามมาถึงนี่เพราะรู้สึกผิด

"ขอโทษที่พูดไม่ดีกับแกอีกแล้ว"

"อืม ไม่เป็นไรหรอก เป็นปลาย ปลายก็คิดแบบนั้น" ปลายตอบตามจริง พี่ดาวจากไปแล้วก็จริง แต่ยังคงมีตัวตนและชีวิตอยู่ในใจพี่ฟีมเสมอปลายเคารพตรงจุดนั้นและไม่คิดจะก้าวก่าย

"ไหนบอกเลิกแล้ว"

"ไม่ขาดน่ะ" ปลายหัวเราะเสียงลมอีกครั้ง

"ติดใจอะไรนักหนา"

หมายถึงพี่ฟีมหรือบุหรี่ ปลายนึกในใจ แต่ก็รู้ว่าพี่ฟีมบางทีจะพูดอ้อมโลก ก็อ้อมจนปลายนึกขัน บทจะตรงก็ตรงเสียเหมือนเอาขวานสับกลางใจ แต่บทจะอ้อมก็อ้อมราวกับจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอกันอีกเลย

"รังเกียจเหรอ" ปลายหย่อนคำถามที่แทนทั้งสองบริบทในหัวตนเองกลับไปหวังลองเชิง

"เปล่า" พี่ฟีมตอบทันใด ราวกับกลัวว่าหากตอบช้ากว่านี้ ปลายจะเสียใจเอาได้

"ถ้าไม่ชอบก็บอกปลายตรงๆ ได้" ปลายพูดลอยๆ อีกครั้ง หวังว่าในบทสนทนาพวกนี้ จะพอมีอะไรให้พี่ฟีมจับยึดไปได้บ้าง "ปลายไม่ถือหรอกพี่ รู้จักกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ปลายรู้ไส้รู้พุงพี่หมดแล้ว"

"คิดถึงตัวเองบ้างดิ"

"ไม่ต้องห่วงปลายหรอกพี่ฟีม" ปลายตอบพลางคลี่ยิ้มในเงาสลัวใต้แสงไฟถนน "ปลายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร"

"แกก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว"

"อืม ปลายรู้"

ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ คลอกับเสียงไอแห้งๆ ของปลายเป็นระยะ บุหรี่จวนจะหมดมวน แต่ปลายกก็ยังไม่รู้สึกว่าถูกเติมเต็ม ความรู้สึกว่างเปล่าในอกมีมานานตั้งแต่ตอนที่สิบเอ็ดบล็อกของเราไม่สามารถตีค่าได้ หรือจริงๆ แล้วระยะทางสิบเอ็ดบล็อกระหว่างเรามีไว้เพื่อให้วางใจกันแน่ว่าเป็นจำนวนแน่นอน ไม่ห่างออกไปมากกว่านี้...แต่ก็ไม่ขยับเข้ามาใกล้กว่านี้เช่นกัน

"ปลาย"

"ว่าไงพี่ฟีม"

"ฟองชอบแกมากนะ"

"ก็เหมือนที่คนพ่อชอบปลายสินะ" ปลายแกล้งเป็นหมาหยอกไก่ และตามคาดพี่ฟีมยกมือขึ้นฟาดไหล่เขาดังอั้ก ชอบในที่นี้ปลายแหย่ไปอย่างนั้น ชอบของเราสองคนไม่เหมือนกัน ปลายรู้ดี

"คารมดีขนาดนี้ไม่เก็บเอาไว้ไปพูดกับคนอื่นล่ะ"

"พี่ฟีมก็ไล่ปลายอย่างงี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วรึเปล่า" ปลายตอบก่อนจะหยุดไอ "ปลายสามสิบสามแล้ว จะให้ไปหยอกใคร ตอนนี้ก็มีแต่พี่ฟีมคนเดียวให้ปลายหยอกด้วย"

"อย่ามาอ้อนตีนให้มันมากนักไอ้ปลาย พี่ไม่พูดหยาบกับแกแล้วก็ทำเป็นได้ใจ"

"ไม่ได้ห้ามพี่ฟีมเลยนะ จะด่าปลายก็ได้"

"เนี่ย เพราะแกกวนตีนแบบนี้ แต่ก็ลุคพ่อพระชิบหาย พี่ด่าแกไป คนไม่ดีก็พี่ปะวะ"

พี่ฟีมบ่นเหมือนเมื่อก่อนเป๊ะๆ เวลาคนอื่นเห็นพี่ฟีมชอบใช้คำหยาบคายกับปลาย แล้วก็โดนมองว่ารังแกเขาเสียอย่างนั้น

"พี่ก็อย่าสนใจคนอื่นมากนักซี่"

"ถ้าสนใจแต่แก วันๆ พี่ก็งอมืองอตีนกันพอดี"

ปลายหัวเราะ เขามันพวกตามใส่ใจคนรอบตัว ยิ่งพี่ฟีมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปลายแทบจะตามเก็บหมดทุกอย่างโดยที่กว่าพี่ฟีมจะรู้ตัว ปลายก็ทำให้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครบังคับปลายเลย มีแต่ตรเองที่ทำไปเพราะใส่ใจจริงๆ

"ขอโทษนะปลาย"

ปลายมองพี่ฟีมใต้แสงไฟถนน ขอโทษ คำๆ นี้บอกหลายๆ อย่างเหลือเกิน...ตั้งแต่ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อ ขอโทษที่พูดจาไม่ดี และขอโทษที่มอบความรักตอบไม่ได้ตลอดมา

ขอโทษงั้นเหรอ ปลายไม่เห็นว่าพี่ฟีมจะทำอะไรผิดด้วยซ้ำไป

"พี่ฟีมไม่ต้องรู้สึกผิดกับทุกเรื่องหรอก" ปลายเกริ่น "เพราะปลายก็เลือกที่จะตามใจตัวเองเหมือนกัน"

"แล้วแกยังจะมาหาพี่อยู่ไหม"

"โถ่ พี่ฟีม" ปลายเผลอสำลักควันอย่างไม่ได้ตั้งใจ "บ้านเราห่างกันอยู่แค่นี้ แต่ต่อให้พี่อยู่อีกจังหวัด ปลายก็ถ่อไปหาได้"

"เยอะไปละปลาย" พี่ฟีมกระชากเสียงหน่อยๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า "พอแกกลับมาก็วางใจเรื่องฟองหน่อยๆ"

"หืม ยังไงนะพี่"

"พี่ไม่เคยคิดจะหาคนมาช่วยดูฟองเลย พี่เลี้ยงของพี่อยู่คนเดียว แต่เห็นฟองชอบแกก็ดี อย่างน้อยมีอะไรก็ฝากฟองไว้กับแกได้"

พอเป็นเรื่องลูกชาย พี่ฟีมจะพูดเยอะเสมอ

เรื่องพี่ดาวก็เช่นกัน

"อืม ฝากได้ ลูกพี่ทั้งคน ปลายก็ชอบฟองเหมือนกัน"

"ตอนดาวอยู่ ดาวไม่ไว้ใจให้พี่ดูฟองคนเดียวเลย ชอบเอาไปฝากบ้านแม่ยายให้ดูให้แทน มากกว่าฝากพี่ดู ตอนดาวไปกะทันหัน พี่ยังแอบคิดอยู่เลยว่าดาวจะโมโหไหมที่พี่ไม่พึ่งใครเลย"

"เป็นปลาย ปลายก็ห่วง ถึงได้บอกว่านึกภาพพี่เลี้ยงลูกไม่ออก" ปลายตอบเข้าข้างพี่ดาว

"แล้วแกล่ะ อยากมีลูกไหม"

"ถามปลายก่อนไหมว่าอยากแต่งงานไหม"

"ก็สมมติเอาดิวะ"

"ปลายอะไรก็ได้ ถ้าคู่อยากมีก็มีได้ แต่ถ้าไม่อยากมีก็ไม่เป็นไร" ปลายตอบตามที่ใจคิด เพราะอย่างไรเขาก็เป็นพวกชอบเพศเดียวกัน ตั้งท้องไม่ได้อยู่แล้ว การมีลูกสุดท้ายก็ต้องไปรับเลี้ยงเอาอยู่ดี

"ก็ฟังดูเป็นแกดี" พี่ฟีมตอบแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดตูด แล้วก็หันมองเขา "ไปละ แกก็รีบนอนล่ะ"

"เดินไปส่งไหม"

"แกเห็นพี่อ้อนแอ้นเหรอ"

"ไม่เห็นเกี่ยว" ปลายถอนหายใจ "สังคมสมัยนี้อันตรายจะตายพี่"

"ปลาย แกคิดมากไปละ นี่ซอยบ้าน ห่างกันสิบเอ็ดบล็อกแค่นี้"

"ปลายแค่อยากเดินไปส่งพี่" ปลายงัดไม้ตายออกมา "ตามใจปลายหน่อยได้ไหมครับ"

"บอกให้เลิกครับสักที ขนลุกว้อย"

พี่ฟีมสบถ แต่ก็ยอมให้เขาเดินไปข้างๆ อย่างไม่อิดออด

 

"ถ้าปลายไม่แวะมาดู บ้านพี่ไฟไหม้แล้วไหม"

"เออรู้แล้ว ขอบคุณๆๆ เลิกบ่นได้ยัง"

ปลายถอนหายใจ ผ่านไปแค่อาทิตย์นึง ปลายแวะเวียนมาบ้านพี่ฟีมบ้างสามสี่ครั้ง ทุกครั้งที่มาจะต้องมีอะไรสะเพร่าสักอย่าง ร้ายแรงบ้างไม่ร้ายแรงบ้าง และครั้งนี้เต้าเสียบระเบิดจนเกิดประกายไฟเพราะพี่ฟีมเสียบกาน้ำร้อนทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า ยังคิดอยู่เลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา พี่ฟีมโชคดีหรือพี่ฟีมโชคดีมากกันแน่ที่ยืนหยัดคนเดียวทั้งที่สะเพร่าขนาดนี้

"ป๊าโดนดุซะบ้าง"

"นี่ ไอ้ลูกชาย เงียบ ลามปามใหญ่แล้วนะ"

"พี่ฟีมนั่นแหละเงียบ ว่าลูกทำไม ฟองเขาเป็นห่วงพี่นะ"

"ให้ท้ายกันเก่ง เอาไปเลี้ยงเองเลยไหมปลาย พี่ยกให้"

"ป๊า!"

ปลายถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะอุ้มฟองพาดบ่าอย่างง่ายดายแล้วเดินออกมาทีนั่งที่กลางบ้านหน้าทีวีแทนไม่ให้พ่อลูกทะเลาะกัน พี่ฟีมเจ้าอารมณ์พอตัว ตอนพี่ดาวอยู่คงต้องเป็นคนคอยเอาน้ำลูบ เพราะพี่ดาวเจ้าอารมณ์กว่าเป็นเท่าตัว

"ป๊าฟีมนิสัยไม่ดี"

"ไม่ว่าป๊าฟีมน่ะฟอง ป๊าฟีมนอนน้อยเลยขี้หงุดหงิดแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็หาย"

"ก็ป๊าฟีมพูดเหมือนไม่อยากเลี้ยงฟองแล้ว"

อ่า...ท่าทางคำพูดพี่ฟีมจะจี้ใจเด็ก พี่ฟีมนะพี่ฟีม เรื่องคำพูดคำจาไม่มีใครเกิน ปลายคิดอย่างเหนื่อยใจปนเคยชิน

"ป๊าฟีมพูดเพราะรู้สึกผิดที่เกือบทำบ้านไฟไหม้ไง เลยบอกจะยกให้อาปลายเลี้ยง" ปลายคิดเหตุผลที่ดีกว่านี้ไม่ออก จะหลอกเด็กโดยที่ไม่โกหกนี่ยากจัง จะบอกว่าพี่ฟีมปากเสียแบบนี้อยู่แล้ว เด็กมันก็ไม่เคารพกันหมดพอดี

"แต่ฟองไม่ได้อยากเป็นลูกอาปลาย ฟองเป็นลูกป๊าฟีมกับม๊าดาว"

"ครับ อาปลายรู้ นี่ไง อาปลายไม่ได้รับปากป๊าฟีม ป๊าฟีมก็ยกให้อาปลายไม่ได้ แล้วจริงๆ ป๊าฟีมก็ไม่ได้อยากยกให้อาปลายด้วย"

"พูดจริงๆ เหรออาปลาย"

"จริงดิ อาปลายโกหกขอให้นิ้วกุดเลย" ปลายชูนิ้วก้อยขึ้นมา แบบนี้เรียกโกหกไหมไม่รู้ แต่ก็ดูพบกันครึ่งทางดี นิ้วกุดครึ่งนิ้วคงไม่แย่เท่าขอให้ฟ้าผ่าหรอก...มั้ง

"โอเค เชื่ออาปลายก็ได้"

"เก่งมาก เดี๋ยวรอป๊าฟีมใจเย็นก่อนเนอะ แล้วเดี๋ยวชวนไปซื้อข้าวกินกัน ฟองหิวมากไหม หรือให้อาปลายทำอะไรให้กินก่อน"

"อาปลายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ!?"

"เป็นครับ แต่ว่าทำได้ไม่เยอะนะ พอทำให้ตัวเองกินได้เฉยๆ" ปลายตอบแบบถ่อมตน จริงๆ ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ฟองกินข้าวเย็นดึกมากถ้าเทียบกับเด็กทั่วไป แต่ว่าเหมือนร่างกายเจ้าตัวจะปรับเวลาจนชินแล้ว ถึงได้หิ้วท้องรอมื้อเย็นเป็นทุ่มๆ ได้

"งั้นๆ คราวหน้าอาปลายทำให้้กิน!"

"ได้ คราวหน้านะ คราวนี้ออกไปซื้อกินกัน เพราะว่าเดี๋ยวป๊าฟีมหิวจนเป็นลมล่ะแย่เลย" ปลายพูดก่อนจะหัวเราะ เพราะพี่ฟีมเดินมาจากครัวแล้ว ฟองหันหลังให้ประตูกั้นครัวอยู่เลยไม่เห็นว่าพี่ฟีมกำลังมองหน้าเขานิ่งๆ เป็นเชิงว่าถ้าพูดอะไรเพ้อเจ้อมากกว่านี้จะอาละวาดแล้วนะ

"จริงงงงง ป๊าฟีมผอมเป็นกุ้งแห้งในส้มตำมะละกอ"

"เลอะเทอะใหญ่นะฟอง"

ฟองเห็นพ่อตัวเองโผล่มาไม่มีปี่มีขลุ่ยก็กระโดดผลุงมาหลบหลังเขาแถมแลบลิ้นปลิ้นตาให้พี่ฟีมเต็มที่ ปลายกลายเป็นคนกลางระหว่างพ่อลูกคู่นี้อีกครั้ง

"พี่ฟีม ขอโทษฟองด้วย"

"เรื่องอะไร ทำไมพี่ต้องขอโทษลูกตัวเอง"

"ทีปลายพี่ยังขอโทษเป็นสิบๆ รอบเลย"

"ก็นั่นแก ไม่ใช่ฟอง พ่อแม่ที่ไหนขอโทษลูกตัวเองบ้าง"

"พ่อแบบป๊าฟีมนี่แหละ ฟองกลัวพี่จะยกฟองให้ปลายเลี้ยงจริงๆ ฟองไม่อยากเป็นลูกคนอื่นนอกจากลูกป๊าฟีมกับม๊าดาว เนอะฟอง" ปลายหาพรรคพวกเป็นเด็กเจ็ดขวบที่ตอบช่ายยยเต็มปากเต็มคำ

"นี่แกกดดันพี่เหรอ"

"เปล่า ก็พี่ทำฟองเสียใจอะ"

"ขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"ขนาดนั้นเลยแหละคุณป๊าฟีม" ปลายส่ายหน้ากับท่าทางไม่ยอมลดทิฐิของพี่ฟีม ก็เข้าใจว่าโดนเลี้ยงแบบครอบครัวคนจีนมา ก็จะมีอะไรหัวโบราณติดมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าเอาเข้าจริงจะดื้อขนาดนี้

ระหว่างฟองกับพี่ฟีม ใครดื้อกว่ากันนะ

"เออๆ ขอโทษไอ้ลูกชาย"

"เกี่ยวก้อยคืนดีกันด้วย ปลายไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง ออกมาอย่าทะเลาะกับลูกอีกนะพี่ฟีม จะได้ออกไปซื้อข้าวกัน"

"สั่งเป็นพ่อเลยว่ะไอ้ปลาย นี่เป็นลูกเอ็งทั้งสองคนเลยปะทั้งพี่ทั้งฟอง"

"ฟองน่ะลูกพี่ ส่วนปลายน่ะ พ่อทูนหัวของพี่"

"ไอ้ปลาย!"

"อาปลายๆ พ่อทูนหัวแปลว่าอะไรอะ!"

 

tbc.

 







น่ารักขึ้นบ้างไหมนะ เอามาตัดความเทา ชมพูตุ่นๆ แหละ

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก

             

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น่ารัก ภาษาสละสลวย ลื่นไหล ตัวละครชัดเจน บทฟองเหมาะสม กับเด็ก 7 ขวบ ผู้เขียน เป็นมืออาชีพจริง บอกว่าไม่ชอบธรรมชาติเด็ก แต่บรรยายได้เหมาะสมกับบทฟองมาก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

Chapter seven

enchanted

 

 

"ป๊า"

"ว่า"

"อาปลายมีแฟนรึยังอะ"

ฟีมถึงกับชะงักมือที่กำลังจะตัดผมให้ลูกตัวเองอย่างจังก่อนจะขมวดคิ้ว

"ถามทำไมไอ้ลูกชาย"

"ก็อาปลายใจดีแถมหล่ออีก"

"แล้ว?"

"ไม่เห็นเหมือนป๊าเลย"

ฟีมคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ถ้าไม่ใช่ลูกชายตัวเองก็จะหยิกให้แขนเขียวไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าต้องบอกลูกตัวเองยังไงดี

"อาปลายยังไม่มีแฟน"

"ขี้ตู่อีกปะเนี่ย"

"โอ๊ย พูดจริง รายนั้นดูท่าน่าจะโสดตลอดชีพแล้วมั้ง"

"เอ้าๆๆ ได้ไง เสียดายออก"

"นี่ ไปคิดแทนเขาทำไม แล้วนี่ชอบเขามากรึไง ไปเป็นลูกเขาไหม" ฟีมชักจะอยากฟาดก้นลูกตัวเองสักป้าบสองป้าบ กระทั่งลูกก็ยังเข้าข้างเห็นดีเห็นงามกับเจ้ารุ่นน้องหน้าซื่อใจคดแบบไอ้ปลาย มันจะมีใครเข้าข้างเขาบ้างไหม ขนาดดุจดาวก็ยังเคยบอกให้เขาเอาอย่างปลายบ้าง ผู้หญิงถึงจะชอบ เหอะ ไอ้ปลายมันแลผู้หญิงซะที่ไหน

"ม่ายยย เป็นลูกม๊าดาว ไม่เป็นลูกป๊าฟีม"

"ไม่มีป๊า แกก็เป็นวุ้นต่อไปนั่นแหละ"

"แล้วๆ อาปลายเคยมีแฟนไหม"

"ยังไม่จบอีก"

ฟีมถอนหายใจตอนที่โดนวกกลับมาที่ปลายอีกแล้ว เขายกกรรไกรขึ้นใหม่เพื่อจะตัดหน้าม้าให้ลูกชายตัวดีก่อนที่จะตัดสินใจบอกไปตามตรง ยังไงถ้าไม่ได้คำตอบจากเขา ฟองก็น่าจะวิ่งโร่ไปถามปลายโดยตรงอยู่ดี แล้วปลายมันโกหกเป็นที่ไหน

"อาปลายเขาชอบผู้ชาย ไม่ชอบผู้หญิง"

"ห้ะๆ อาปลายเป็นตุ๊ดเหรอ"

พ่อลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ฟีมคิดแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกระลอก ก็เด็กน่ะเนอะ ต้องค่อยๆ สอนเรื่องแบบนี้ ฟีมก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องเพศมากนักหรอก ออกจะไม่เปิดกว้างด้วยซ้ำไป แต่ตั้งแต่เจอปลายเขาก็เริ่มทำความเข้าใจและเคารพรวมถึงมองเห็นความหลากหลายมากขึ้น

"พูดแบบนี้ไม่ได้ฟอง แบบนี้เป็นคำไม่ดีนะ"

"อ้าว ตุ๊ดเป็นคำไม่ดีเหรอ"

"ไม่ควรพูดแบบนี้กับเอ่อ ผู้ใหญ่แล้วก็คนไม่รู้จัก อีกอย่างอาปลายไม่ใช่ตุ๊ด แค่เป็นคนที่ชอบผู้ชายเฉยๆ" ฟีมพยายามนึกถึงปลายว่าถ้าเป็นเจ้านั่นในเวลานี้จะพูดแบบไหนกันแน่ "จริงๆ ก็เป็นเกย์นั่นแหละ"

"เกย์คืออะไรอะป๊า"

"ก็คือผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันเอง"

"แล้วผู้หญิงชอบผู้หญิงอะ มีไหม"

"มี เขาเรียกเลสเบี้ยน"

"ถ้าอาปลายเป็นเกย์ แล้วป๊าเป็นเกย์ไหม"

ฟีมสะดุ้งแรงจนตัดผมพลาดไปปอยนึง เห็นหน้าม้าฟองแหว่งแล้วก็อยากจะส่งไปร้านตัดผมแทนถ้าไม่ติดว่าตัวเองอยากจะประหยัดเงิน

"คนเรามันเลือกเป็นหลายๆ อย่างได้ที่ไหนฟอง"

"ก็ป๊าบอกเองว่าเป็นความชอบ ถ้าป๊าชอบม๊าดาวได้ ป๊าก็ชอบผู้ชายได้ ชอบผู้หญิงได้ ชอบใครก็ได้"

"นี่ ฟอง รู้ดีกว่าป๊าแล้วยังต้องถามอีกเรอะ" ฟีมเริ่มละอายใจน้อยๆ เด็กตัวแค่นี้ยังรู้ดีกว่าเขาอีก อาจจะเป็นเพราะฟองมองเป็นความชอบมากกว่าการจำกัดกรอบในรูปแบบเพศ มุมมองของเด็กก็ง่ายแบบนี้เอง

ถ้าตอนนั้นฟีมคิดเหมือนฟองได้บ้างก็คงจะดี

"แน่นอนอยู่แล้ว ฟองเก่ง" ฟองยิ้มยักคิ้วกวนตีน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาเก๊กท่าหล่อ "รู้เยอะกว่าป๊าอีก"

"จ้า"

"แล้วเมื่อไหร่อาปลายจะมาหาอีก"

"นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย เขาก็มีงานมีการต้องทำ" ฟีมพูดไปอย่างงั้น จริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายไปทำงานรึยัง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มาหาสี่ห้าวันแล้ว

"ป๊าไม่คิดถึงอาปลายเหรอ"

"ทำไมต้องคิดถึง"

"ก็อาปลายยังคิดถึงป๊าเลย"

ฟีมฟังแล้วก็เงียบลง เขาตัดผมปอยสุดท้ายให้หน้าม้าจัดเรียงเท่ากันกะจากระยะสายตาก่อนจะเลิกตัด มือปัดผมออกจากหน้าผากลูกชายลวกๆ

"คิดถึงดิ"

"แล้วทำไมไม่ไปหาอาปลายบ้าง"

เรื่องแค่นี้ยังต้องให้ลูกชายสอนว่ะ

"อืม เดี๋ยวไป"

 

"อาปลาย! อาปลายอยู่บ้านไหมมมมม!"

"ฟอง! เสียงดัง! กริ่งก็มีให้กด!"

ปลายงัวเงียอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงฟองดังมาจากหน้าบ้านแล้วก็ลุกจากโซฟาขึ้นมา เขาเผลอหลับไปหลังจากดูข่าวหุ้นช่วงสายๆ อีกแล้ว ปลายวิ่งวุ่นกลับไปที่ทำงานเก่าอยู่หลายวันในสัปดาห์นี้เพราะเรื่องระบบกับการสอนงานที่ยังไม่ลงตัวมากนัก สุดท้ายก็ต้องเรียกเขาไปจัดการอีกรอบ

ตอนแรกก็กะจะค้างบ้านแม่ แต่พอนึกถึงเสียงเซ้าซี้ของแม่แล้ว เขายอมเทียวไปเทียวกลับเอาดีกว่า

"อยู่ครับอยู่ อาปลายอยู่บ้าน" ปลายขานตอบ บิดขี้เกียจแล้วก็ลุกขึ้นไปที่หน้าประตู เห็นพี่ฟีมมองมาแล้วเขาก็ยิ้มให้บางๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจ

"อาปลายทำไมไม่มาหาฟองกับป๊าเลยอะ"

"อาปลายไปทำงานครับ เลยยุ่งมากเลย"

"เห็นไหม ป๊าพูดผิดซะที่ไหน" พี่ฟีมเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก ราวกับโล่งใจที่ไม่ใช่การหลบหน้าของเขา

"คิดถึงเหรอฟอง"

"ใช่! ฟองคิดถึง! แต่ป๊าคิดถึงอาปลายมากกว่า!"

"จริงเหรอพี่ฟีม" ปลายเงยหน้าขึ้นมายิ้มยิงฟันแบบที่รู้ว่าพี่ฟีมอยากจะเอาเท้ามาแนบหน้าเขาแน่นอน รู้ว่าเด็กไม่เคยโกหกและพี่ฟีมอาจจะพูดไปอย่างนั้นแต่ปลายก็อดดีใจไม่ได้นี่นา

"แกยิ้มอะไร"

"เปล่าครับ"

"ครับอีกรอบที่ตีนกูนี่"

"ป๊าฟีมนิสัยไม่ดี! อาปลายตีปากป๊าเลยๆๆ"

ปลายหัวเราะตอนพี่ฟีมเผลอพูดหยาบๆ กับเขาก่อน แต่แค่นี้ถือว่าเพลาลงเยอะมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนพี่ฟีมหยาบมากกว่านี้อีกแยะ ใช้เวลาอยู่หลายเดือนทีเดียวกว่าจะลดทอนลงมาขนาดนี้เพราะความสุภาพเสมอต้นเสมอปลายของเขา

"ตอนอยู่กับพี่ดาวโดนตีปากบ้างปะเนี่ย" ปลายกึ่งถามกึ่งแซว

"จะเหลือเหรอ" พี่ฟีมตอบแล้วถอดรองเท้า พาฟองเดินเข้าบ้าน

"คิดยังไงมาหากัน"

"ฟองอยากมา"

"ขี้ตู่อีกแล้ว! ป๊าก็อยากมาด้วยเหอะ!"

พี่ฟีมค้อนลูกชายตาเขม็ง และทำท่าจะด่าปลายเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วอีกรอบ เพราะรอยยิ้มที่ติดอยู่บนปากเขานี่แหละ

“ขอเข้าห้องน้ำที” พี่ฟีมเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินตรงไปหาห้องน้ำบ้านเขาด้วยความรู้ทาง ใบหน้าปลายยังคงเปื้อนยิ้ม

“อาปลายๆ”

“ว่าไงเจ้าฟอง” ปลายลงนั่งยองๆ อีกรอบเพื่อคุยกับฟอง เขาอารมณ์ดีจริงๆ นั่นแหละ แค่เพราะรู้ว่าพี่ฟีมคิดถึงกันบ้าง ก็ใจฟูมากโขแล้ว

“อาปลายมีแฟนรึยัง”

“หา ไม่มีหรอกของแบบนั้น อาปลายดูเหมือนคนมีแฟนเหรอ”

“ก็เมื่อเช้าถามป๊า ป๊าก็บอกไม่มี แล้วก็บอกว่าอาปลายชอบผู้ชาย อันนี้จริงไหม คือๆ มาถามอีกรอบ เพราะป๊าชอบขี้ตู่”

พี่ฟีมเป็นเด็กเลี้ยงแกะในสายตาฟองไปแล้วเหรอ...เขาเรียกว่าอะไรนะ แบบตามการ์ตูนญี่ปุ่นเขาเรียกกัน อ้อ ซึนเดเระ

“ครับ อาปลายชอบผู้ชาย”

“แล้วๆ อาปลายชอบผู้หญิงด้วยไหม เพราะฟองถามป๊าว่าป๊าชอบผู้ชายไหม ป๊าก็ไม่ตอบ”

“ของแบบนี้ต้องอยู่ที่ว่าเราเจอใครน่ะ” ปลายตอบกว้างๆ เขาไม่อยากเหมารวมใครแล้วก็ไม่อยากจะยึดติดกับเพศสภาพของตัวเองมากนัก จะบอกว่ายืดหยุ่นก็คงจะได้ “อาปลายชอบผู้ชายก็จริง แต่ถ้าอาปลายเจอใครสักคนแล้วรู้สึกชอบ แล้วคนนั้นเป็นผู้หญิง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ความเป็นไปได้อาจจะน้อยเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย”

“ก็แสดงว่าฟองพูดถูก เห็นไหมๆๆ ป๊า ดูดิ ฟองพูดถูก”

“แอบฟังกันเงียบๆ อีกแล้วเหรอพี่ฟีม” ปลายหันไปเจอพี่ฟีมที่ยืนมองเขาเงียบๆ อีกแล้ว

“อยากรู้ว่าสอนลูกยังไง กรณีศึกษา” พี่ฟีมตอบแล้วก็อ้อมมานั่งลงข้างๆ เขา “แบบนี้แกก็เคยชอบผู้หญิงเหรอ ปลาย ไหนใครคือสาวผู้โชคดีคนนั้น”

“อิจฉาสาวผู้โชคดีคนนั้นเหรอครับ”

“เห้ย มันเอาใหญ่แล้วนะ” พี่ฟีมเริ่มโวยวายแต่ฟองนั่งรอฟังตาแป๋ว

“ไม่มีหรอกสาวผู้โชคดีอะไรนั่นน่ะ พี่ฟีมคิดไปเองทั้งนั้น” ปลายตอบก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าพี่นึกถึงพลอยอะ พลอยไพลินที่ตอนปีสองปลายเป็นพี่ติววิชาการคณะอะ”

“จำชื่อไม่ได้ ใครวะพลอย จำได้แต่สาวที่แกเดินมาโรงอาหารด้วยกันบ่อยๆ ตอนปีสอง”

“อาปลายอย่างฮอตเลยอะ! มีสาวหลายคน!”

“ตลกละ คนเดียวกันนั่นแหละที่พี่พูดถึง พลอยไพลินนั่นแหละ คนนั้นก็เพื่อนกัน ไม่ได้มีอะไร” ปลายบอก ตะกอนความทรงจำเริ่มกวนขึ้นมาขุ่นคลักในใจ และปลายก็นึกออกว่าตอนนั้นพี่ฟีมออกท่าทางประหลาดชอบกลกับเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะพลอยไพลินออกหน้าออกตามากไปหน่อย และปลายเองก็ปฏิเสธคนไม่เป็น เลยลงเอยเหมือนตัวติดกันไปช่วงหนึ่ง

“เพื่อนห่าอะไรตัวติดกันขนาดนี้ ผู้หญิงนี่ก็เหลือเกิน”

“ว่าเขาทำไมพี่ฟีม เรื่องมันก็นานแล้ว ตอนนั้นคนที่ออกไปก็ผู้หญิงเองไง” ปลายบอก คิดแล้วก็ขำ พลอยไพลินคนนั้นสุดท้ายก็ต้องล่าถอยออกไปเพราะว่าเขาไม่ได้มีท่าทีแสดงออกอะไร บวกกับคงไปได้ยินมาว่าเขาชอบผู้ชาย

แล้วปลายก็เหมือนเพิ่งนึกบางอย่างได้ แต่เลือนรางจนไม่ใคร่แน่ใจว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องไหม

‘ไหนแกบอกว่าชอบพี่ไง’

‘ใช่ ปลายชอบพี่’

‘แล้วผู้หญิงอะ’

‘ปลายไม่ได้ชอบผู้หญิง’

‘ไม่จริงปะวะ เป็นผู้ชายให้ตายก็ชอบผู้หญิงทั้งนั้น’

‘พี่อย่าเหมารวมปลายแบบนั้นดิ’

‘ก็ทำตัวให้มันสมกับที่พูดหน่อยดิ’

‘พี่หวงปลายเหรอ’

ปลายจำได้แค่นี้ ส่วนคำตอบ ปลายจำไม่ได้แล้วว่าพี่ฟีมตอบว่าอะไรเรื่องพลอยไพลิน ราวกับเทปขาดช่วงเหมือนโดนตัดออกไป แต่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา สมองคงจะอนุญาตให้จำได้แค่อย่างละนิดละหน่อย แต่ถ้าให้เดา พี่ฟีมน่าจะไม่ตอบ ไม่ก็ตอบอะไรทำนองปฏิเสธ เพราะยังไงเสีย ปลายก็คิดไปเองมาคนเดียวตั้งนมนานอยู่แล้ว

 

พอพูดถึงพลอยไพลิน ฟีมก็อยากตบปากตัวเองขึ้นมา หลายๆ เรื่องเวลาพูดขึ้นมาแล้วมีเรื่องเขาสองคนพ่วงมาด้วยในหัวทีไรนี่อยากจะเอาหน้าไปมุดฝาท่อจริงๆ

‘เออ หวง พี่หวงแก ห่าเอ๊ย’

จำได้ว่าตัวเองพูดแบบนั้นไปด้วยความโมโห แล้วก็นิสัยไม่ดีเอาซะเลย ถ้าเรียงตามเวลาแล้ว ปลายเพิ่งจะเผลอบอกว่าชอบเขาตอนช่วงที่เขาใกล้ๆ จะจบ แล้วตอนนั้นก็ทะเลาะกันบ่อยมากขึ้น ฟีมมาย้อนนึกๆ ดูแล้วสาเหตุก็มาจากตัวเองทั้งนั้นที่ชวนตี ปากหมาก่อน เพราะอาศัยว่าปลายชอบเขา

แม่ง ไอ้ฟีม นิสัยไม่ดีเลยว่ะตอนนั้น ทำไปได้ไงวะ

“แล้วอาปลายกับป๊าฟีมสนิทกันได้ยังไง”

               “อาปลายมาป้วนเปี้ยน”

               “ป๊าฟีมชอบให้ไปกินข้าวต้มโต้รุ่งเป็นเพื่อน”

               ฟีมเงยขึ้นมามองหน้ารุ่นน้องและปลายเองก็ยักไหล่กลับประมาณว่าไม่ได้พูดอะไรผิด แต่นี่ คนมาป้วนเปี้ยนก่อนก็มันทั้งนั้นเลยนะ ถึงเรื่องข้าวต้มโต้รุ่งจะเป็นจริงเพราะว่าเขาติดไปร้านเหล้าอยู่ช่วงนึงแล้วก็ชอบโทรให้ปลายออกมานั่งกินข้าวต้มเป็นเพื่อนตอนตีสองตีสาม

               พอมานึกๆ ดูแล้วฟีมก็นิสัยไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ มีแต่เรื่องที่ไปเอาเปรียบอีกฝ่ายทั้งนั้น แถมปากหมาอีก อะไรวะเนี่ย

               “ทำไมตอบไม่เหมือนกันอะ ฟองต้องเชื่อใคร”

               “ไม่เชื่อพ่อตัวเองแล้วแกจะเชื่อใครฟอง”

               “ป๊าชอบขี้ตู่อะ”

               “เลิกว่าป๊าเป็นชื่อนายกสักทีได้ไหม บอกว่าตอแหลยังเจ็บน้อยกว่านี้”

               “ไม่เอาน่ะพี่ฟีม เลิกสอนคำหยาบให้ลูกสักที”

               “ตอแหลคืออะไรอะป๊า”

               “แปลว่าโกหกนั่นแหละ แต่อย่าไปพูดกับคนอื่นนะ เดี๋ยวโดนเขากระทืบเอา” ปลายตอบลูกให้แทนเขา ซึ่งก็ดีไปอย่าง ถ้าเป็นตัวเขาคนเดียวก็จะชอบตัดปัญหาโดยการไม่ตอบซะเลย

               “แล้วทำไมต้องข้าวต้มโต้รุ่ง”

               “ถามเยอะจังวะฟอง” ฟีมว่าลูกชายไปดอกนึง แต่ปลายก็ยังตอบเหมือนไม่ได้รำคาญอะไร

               “ป๊าฟีมขี้เหล้าช่วงนั้น กินเหล้าเสร็จก็ต้องมากินข้าวต้มให้หายเมา”

               “ป๊าขี้เมาเหรอ”

               “เลิกแล้ว” ฟีมบอกก่อนจะปรายตามองปลาย “มีแต่คนแถวนี้ยังเลิกบุหรี่ไม่ขาด”

               “เห้ย ไม่พาลสิพี่ฟีม”

               “อย่าทะเลาะกันๆๆ”

               ฟีมขยี้หัวลูกชายตัวเองที่เพิ่งนั่งเล็มผมไปให้เมื่อเช้า ก่อนจะนั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับปลาย ฟองนั่งดูอัลบั้มรูปเก่าๆ เงียบๆ ที่ปลายลงทุนไปรื้อมาให้ในตู้เก็บของ จดจ่อจนไม่ได้สนใจว่าพวกเขาสองคนคุยอะไรกันเพราะไม่มีเสียงแจ้วๆ เอ่ยถามคำถามแบบเจ้าหนูจำไมอีก

               “ทำหน้าแบบนั้นทำไมพี่ฟีม”

               “รู้สึกผิดหลายเรื่อง พอโตแล้วก็เพิ่งรู้ว่าเมื่อก่อนทำตัวเหี้ย” ฟีมตอบแบบไม่โกหก เพราะรู้ว่าโกหกไปปลายก็จับได้อยู่ดี “ดาวรับพี่ได้เพราะตอนนั้นแกดัดนิสัยพี่ แต่ตอนแกเจอพี่นี่ดิ เอาอะไรมาทนคบต่อวะ”

               “ปลายน่ะเหรอดัดนิสัยพี่ พี่เปลี่ยนเองมากกว่า” ปลายหัวเราะเหมือนเขาพูดเพ้อเจ้อ

               “อยู่กับแกนั่นแหละเลยกลายเป็นแบบนี้ อันนี้ก็ความดีความชอบแกแล้วไหม”

               “เหรอพี่ฟีม ปลายไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรขนาดนั้นเลยนะ”

               “แกเคยรู้สึกแบบเห้ย ไม่น่าเจอไอ้พี่ฟีมเลยว่ะ แบบนี้บ้างปะ เพราะทางนี้ยังอยากจะย้อนกลับไปไม่ต้องเจอแกเลย” ฟีมพูดติดตลกเล็กน้อยก่อนจะนึกได้ว่าประโยคสุดท้ายออกจะทำร้ายจิตใจกันไปหน่อย “ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากเจอแกแบบนั้นนะ พูดไงดีวะ คือรู้สึกว่าแกคนดีจนแบบ...โอ๊ย แม่ง”

               ฟีมประสบปัญหาในการอธิบายความรู้สึกตัวเองและปลายที่นั่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขาเหมือนเดิมราวกับว่าความผิดพลาดของเขาตลอดมานั้น ปลายได้เก็บเอาไว้ให้หมองใจเลยแม้แต่น้อย

               “เอาน่าพี่ฟีม ปลายยินดีที่ได้เจอพี่ตลอดนั่นแหละ”

               “เหอะๆ เฉพาะตอนนี้รึเปล่า”

               “เมื่อก่อนด้วยดิ แต่ตอนนี้เพิ่มมาอีกอย่าง...” ปลายเว้นวรรคก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังเล็กๆ ของฟอง สายตาของปลายยังคงโทนเดิม จริงใจ อบอุ่น และเชื่อถือได้เสมอ แววตาอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่พูดออกมา “ดีใจที่ได้เจอฟองในแบบที่พี่เลี้ยงมาด้วย”

               ฟีมก็ดีใจที่ฟองได้เจอปลายเช่นกัน





tbc.



พี่ฟีมค่อนข้างจะหัวโบราณหน่อยนะคะ แต่ปลายก็รักของเขาอะเนอะ เราว่าเราจบเลยเดือนตุลาแน่นอน แง แต่จะไม่เทค่าบ

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก

 

 

 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter eight

Frail



วันนี้เป็นวันที่แย่ ฟีมรู้ตั้งแต่ตอนที่โดนเจ้านายตำหนิเรื่องงานที่ตนเองเป็นคนที่ได้รับการมอบหมาย เขาเป็นพวกเอาจริงเอาจังแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แล้วบางทีการทำงานที่ต้องร่วมหรือประสานกับคนเยอะๆ ก็ทำให้เกิดปัญหาได้เช่นกันกับคนพูดจาขวานผ่าซากแบบเขา

ลืมไปว่าทุกคนบนโลกไม่ใช่ปลาย

ตั้งแต่ปลายกลับมา ฟีมก็อ่อนแอลง...อย่างเห็นได้ชัด เอะอะก็ปลาย และบางที ฟีมก็ไม่เข้าใจว่าแค่ไม่กี่สัปดาห์ที่มีปลาย ทำให้เขาเสียศูนย์ขนาดนี้

และแย่กว่านั้นคือการที่เขาลืมไปรับฟองที่เรียนพิเศษ เพราะเข้าใจว่าวันนี้เป็นวันอังคาร ไม่ใช่วันพุธ ก็เพิ่งรู้ตอนโทรศัพท์ดังตอนจอดมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยเพื่อจะแวะซื้อข้าว และรู้ว่าตัวเองลืมไปรับลูก จนที่เรียนพิเศษจะปิดอยู่แล้ว

"ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ช่วยรออีกสักพักได้ไหมครับ พอดีเพิ่งเลิกงาน ครับ...ครับ กำลังไปครับ ขอโทษจริงๆ นะครับ"

ฟีมขอโทษขอโพยก่อนจะวางสาย สวมหมวกกันน็อกก่อนจะขับทะยานออกไปในแสงไฟถนน ลัดเลาะตามข้างรถใหญ่เพื่อฝ่าไปให้ถึงที่เรียนพิเศษให้เร็วที่สุด โรงเรียนที่เคยมองว่าไม่ไกลมาก ระยะทางตอนนี้กลับดูไกลจนน่าโมโห

ฟองนั่งรออยู่ริมฟุตบาท ไฟที่เรียนพิเศษดับลงแล้ว ท่าทางพนักงานจะรอไม่ได้ และต้องปล่อยฟองให้นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว ฟีมโมโหเมื่อเห็นดังนั้น แต่จะโทษพนักงานก็ไม่ได้ เพราะเขาเองที่ลืมทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยจำวันผิดแบบนี้เลย

ถ้าฟองเป็นอะไรไป เขาคงต้องโทษตัวเองไปตลอดชีวิต หรืออาจจะเป็นบ้าไปซะก่อน

"ฟอง รอนานไหม ป๊าขอโทษ"

ฟองไม่ตอบ แต่ใบหน้านิ่งสนิทใต้ไฟถนนของลูกชายตัวเล็กที่เหมือนกับตอนที่คิดถึงดาวทำให้ฟีมใจไม่ดี อีกฝ่ายเบะปาก และร้องไห้เหมือนคนกลั้นไม่อยู่ตอนเห็นหน้าพ่ออย่างเขา

"ถ้า...ถ้าม๊าดาวอยู่ ก็ให้ม๊ามารับแทนก็ได้แล้ว"

ฟีมยืนนิ่ง ทำตัวไม่ถูก ภายใต้หมวกกันน็อก คือน้ำตาของตัวเองที่ร้อนผ่าวอยู่ตรงหัวตา ทำอย่างไรดี ฟีมคิด ก่อนที่หัวสมองจะว่างเปล่า เขานึกไม่ออกว่าต้องทำตัวอย่างไร เพราะตอนนี้เขาก็อยากให้ดาวอยู่ตรงนี้เหมือนกัน

ถ้าเป็นดุจดาว ก็คงจะเสียงดังและออกปากว่าลูกชายให้เข้มแข็งกว่านี้ก่อนจะพาไปหาอะไรกินเพื่อง้อแล้ว

แล้วถ้าเป็นปลายล่ะ...ปลายจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้

ฟีมมืดแปดด้าน แต่สุดท้ายก็ต้องพาฟองกลับบ้าน...ใช่ ฟองยังไม่ได้กินข้าว ต้องให้ฟองกินข้าวก่อน

"ฟอง กลับบ้านกัน"

"คิดถึงม๊า ป๊าฟีม ฟองคิดถึงม๊า"

"ฟอง กลับบ้านกันเถอะนะ ป๊าขอ"

ฟองยังคงร้องไห้ลูบน้ำตาป้อยๆ แต่ก็ยอมให้เขาอุ้มแบกขึ้นไปบนรถและใส่หมวกกันน็อกให้ทั้งที่ยังไม่หยุดร้องไห้ ไม่รู้ว่าฟองจะจับได้ไหมว่าเขาก็ร้องไห้อยู่เหมือนกัน แต่วินาทีนี้ ฟีมไม่สนใจ นอกจากดาวแล้ว เขานึกถึงปลายทั้งๆ ที่ไม่ควร

จริงๆ มันเป็นเช่นนี้มาตลอด การนึกถึงปลายต่อจากดาว ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา หากเกิดสถานการณ์ที่มืดแปดด้านแบบนี้ ดาวคือคนแรก รองมาคือปลาย

ความเห็นแก่ตัวของเขาคือเมื่อเจ็ดปีที่ผ่านมา ปลายไม่อยู่ แต่ตอนนี้ ปลายอยู่ตรงนี้ ห่างเพียงแค่สิบเอ็ดบล็อกเท่านั้น

ฟีมขับมาจอดที่หน้าบ้านตัวเองอีกครั้ง ฟองหยุดร้องไห้แล้ว แต่ซึมกะทือและหน้าเหน้อหูเหอแดงไปหมด ฟีมยังคงไม่กล้าถอดหมวกกันน็อก เพราะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อเพื่อจะเผชิญหน้ากับลูกชายตนเอง

"อาปลาย"

ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง อาจจะเป็นเพราะก้มหน้าอยู่ แต่เสียงฟองที่เรียกคนที่เขานึกถึงอยู่ทำให้ฟีมเงยหน้าขึ้นมาเพื่อเห็นว่าปลายกำลังนั่งรออยู่ที่เดิมบนเก้าอี้ที่อาม่าชอบนั่งใส่บาตร และตบยุงเป็นพัลวัน

"ไปไหนกันมาดึกดื่น อาปลายหิ้วขนมมานั่งรอตั้งนาน แล้วนี่เป็นอะไร ใครทำฟองนี่ เดี๋ยวอาปลายไปตีให้เลย"

"ป๊า ป๊าฟีมทำ"

ปลายเงยหน้าขึ้นมามองเขา และวินาทีนั้นฟีมรู้สึกอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกพังทลายและหงุดหงิดตัวเองที่ฟองเลือกจะพูดกับปลายมากกว่าตัวเขาที่เป็นพ่อ

ฟีมนั่งยองๆ อย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนจะก้มหน้า ภายใต้หมวกกันน็อก ขอบตาของฟีมร้อนผ่าว การเป็นพ่อมันยากขนาดนี้เลยเหรอ ฟีมนึกอย่างเลื่อนลอยปนโมโห หูของตนเองอื้ออึง และภาพตรงหน้าพร่าเบลอ ฟีมกลับไปที่จุดเริ่มต้นตรงที่ไม่มีดาวอีกครั้ง



ปลายมองผู้ชายตรงหน้าที่ดูตัวเล็กเหลือเกินในตอนนี้ พี่ฟีมแบกทุกอย่างเกินกว่าที่คนๆ หนึ่งจะรับไหว

"พี่ฟีม"

"อือ"

"เปิดบ้านก่อนเร็ว ฟองหิวข้าวนะ"

"อือ รู้แล้ว"

พี่ฟีมค่อยๆ ลุกขึ้นมาโดยที่ยังไม่ถอดหมวกกันน็อกเพื่อไปไขกุญแจที่ประตูเหล็ก และปลายพอจะเดาได้ว่าทำไม ฟองวิ่งตึกๆ หิ้วถุงเกี๊ยวน้ำเข้าบ้านทันที่ที่เลื่อนเปิดได้ เปิดไฟสว่างโร่ก่อนจะไปที่ครัวทันที ท่าทางจะหิวมาก

"เทเองได้ไหมครับฟอง"

"ได้!"

ฟองตะโกนตอบปลายและนั่นทำให้ปลายวางใจ พี่ฟีมคงหัดอีกฝ่ายมาเยอะแล้ว

"พี่ฟีม"

"อือ"

"พี่ฟีมไม่ต้องอายปลายหรอกนะ"

พี่ฟีมพยักหน้า และปลายก็บรรจงถอดหมวกกันน็อกอีกคนออกมา ผมพี่ฟีมยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงเถือกจากการกลั้นสะอื้น เป็นรอบที่สองที่พี่ฟีมร้องไห้ต่อหน้าปลายหลังเจ็ดปีที่ไม่ได้เจอกันมา ปลายเอามือเสยผมอีกฝ่ายให้เข้าที่อย่างอดไม่ได้ ถ้าเป็นตอนปกติ พี่ฟีมคงด่าหรือปัดมือทิ้ง แต่เพราะนี่คือสถานการณ์ไม่ปกติ พี่ฟีมถึงได้ยืนนิ่งๆ และว่าง่าย

"ไม่เป็นไรหรอกพี่" ปลายพูดปลอบทั้งๆ ที่ไม่รู้สาเหตุ แต่ปลายไม่เคยหาเหตุผลอยู่แล้วเวลาใครเสียใจ "เดี๋ยวนอนแล้วพรุ่งนี้ตื่นมาเอาใหม่ได้"

"พรุ่งนี้...ถ้าแกตายไปอีกคนจะทำไงวะปลาย"

"ปลายไม่ตายหรอกพี่ฟีม"

"ตอนนั้นก็ไม่มีใครคิดว่า...ดาว...ดาวจะตายเหมือนกัน...ปะวะ"

"ปลายไม่ตายจริงๆ"

พี่ฟีมมองเขาเหมือนคนโกหก เหมือนตอนที่เขาบอกว่าไม่ได้ชอบพี่ฟีม ก่อนจะต้องสารภาพออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหลักฐานแดงคามือ แต่ครั้งนี้ปลายก็ไม่คิดว่าตัวเองจะตายวันตายพรุ่งจริงๆ นี่นา

"ฮึบก่อนดิพี่"

"เหนื่อย"

"ปลายรู้"

"แกจะมารู้อะไร"

ปลายไม่โกรธ แต่เหมือนพี่ฟีมจะกลัวเขาโกรธที่เผลอพูดแบบนั้นออกมา

"ปลาย"

"ว่าไงพี่ฟีม"

"พี่คิดถึงดาวว่ะ"

"อืม ไม่คิดถึงสิแปลก"

"ทำยังไงถึงจะเลิกทรมานเวลาคิดถึงดาววะ"

ปลายเองก็ไม่รู้วิธีเช่นกัน เพราะเขาเองก็ยังทำไม่ได้เลยในเจ็ดปีที่ผ่านมา กับการคิดถึงพี่ฟีม

เสียงทีวีดังลอดออกมาจากในบ้าน และพี่ฟีมก็มองเข้าไปอย่างเหม่อลอย ฟองนั่งกินข้าวและดูโทรทัศน์แล้ว พี่ฟีมก็คงจะพอมีเวสลาให้พักหายใจสักเล็กน้อยและเล่าเรื่องให้ปลายฟัง

“ไหนมันเป็นยังไง บอกปลายหน่อย”

“ฟองบอกว่าคิดถึงดาว” พี่ฟีมพูดเหมือนคนหายใจไม่สะดวก ราวกับว่ากลัวคำพูดของตนเองที่กำลังจะหลุดออกจากปาก “ฟองบอกว่าถ้าดาวยังอยู่...จะไม่ลืมไปรับฟองเหมือนวันนี้”

“พี่ลืมไปรับฟองเหรอ”

“อืม”

ปลายมองผู้ชายตรงหน้าที่ห่อไหล่ลง ตัวเล็กลงไปอีกเท่าตัว ปลายนึกภาพพี่ฟีมมีลูกยังแทบไม่ออกเลย แล้วการเป็นทั้งพ่อและแม่สำหรับพี่ฟีมจะหนักหนาขนาดไหนกันนะ หัวใจจะต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้เท่าไหร่ ปลายไม่เข้าใจ อาจจะเพราะในสายตาปลาย พี่ฟีมก็คือพี่ฟีม และฟองก็คืออีกชิ้นส่วนหนึ่งของพี่ฟีม มีค่าเท่ากัน แต่ไม่มีความผูกพันเท่าเขาและพี่ฟีม

“ปลายไปรับฟองให้ไหม”

“ไม่เอา”

“ไม่ก็ให้ปลายมาอยู่กับฟองช่วงอังคาร พฤหัสตอนเย็นก็ได้ อย่างน้อยฟองก็ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว” ปลายต่อรองด้วยความเป็นห่วง

“แล้วถ้าพี่เคยตัวขึ้นมาจะทำยังไงวะปลาย” พี่ฟีมถามกลับเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งหยาดน้ำตาแล้ว มีเพียงแค่เปลือกน้ำแข็งบางๆ ที่ในบางครั้งปลายก็จะสัมผัสได้ว่าพี่ฟีมสร้างขึ้นมาเพื่อนเคลือบส่วนอ่อนแอของตัวเองไม่ให้คนอื่นเห็น

“พี่กลัวปลายตายจริงๆ เหรอ” ปลายหัวเราะเพราะรู้สึกเหมือนโดนแช่งกลายๆ

“ไม่ แกไม่ตายหรอก แต่ถ้าวันนึงแกไม่อยู่ หรือแกมีใครเป็นตัวเป็นตน แล้วพี่จะทำยังไงวะ”

คำพูดนั้นทำให้ปลายหัวเราะเฝื่อนๆ ออกมาโดยอัตโนมัติ

"ปลายน่ะเหรอ มีคนอื่น พี่ีฟีมเป็นแบบนี้แล้วปลายจะเอาเวลาไหนไปมีคนอื่น"

พวกเขาพูดจาราวกับคู่รักที่อยู่ด้วยกัน ปลายนึกอย่างตลกร้าย พี่ฟีมไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ในขณะที่ปลายรู้ดี แต่ก็เลือกที่จะนิ่งเฉย

เมื่อคนเราอ่อนแอจนถึงจุดนึงที่ร่างกายและสมองจะสร้างเกราะหุ้มกำบังขึ้นมาให้ ในบางครั้งกลไกร่างกายก็พลั้งเผลอทำร้ายคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวเช่นกันเพื่อที่ปกป้องตนเอง

"อะไรก็ไม่แน่นอนปะวะ"

"ครับ ปลายรู้"

ในครั้งนี้พี่ฟีมไม่ได้ตอบสนองเหมือนเคยกับหางเสียงของปลาย

ปลายรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนขวานผ่าซากอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าพี่ฟีมจะใจร้ายได้อย่างถึงที่สุดเหมือนกัน

"แล้วนี่แกไม่ต้องไปทำงานเหรอ"

"เริ่มงานเดือนหน้าครับ รอทางสาขานี้ทำเรื่องย้ายคนฝั่งนี้เหมือนกัน" ปลายตอบ ยินดีที่ถูกเปลี่ยนเรื่อง "ปลายไปรับฟองให้ได้จริงๆ นะ ต่อให้เริ่มงานแล้ว ปลายก็ไปรับให้ได้ ปลายเลิกงานปกติห้าโมง"

"แล้วรถโรงเรียนล่ะ"

"เขาเหมาเป็นเทอมหรือเป็นเดือน?" ปลายถามอิงจากที่ญาติๆ บ้านฝั่งแม่คุยกัน

"เดือน"

"มะรืนขึ้นเดือนใหม่แล้วนะ"

"อือ"

"แล้ว?"

"เดี๋ยวตอนเขาโทรมาเก็บเงินจะบอกให้ว่ายกเลิก" พี่ฟีมตอบ เท่ากับว่าปลายมีสิทธิ์ไปรับฟองที่โรงเรียน "ฝากด้วยแล้วกัน"

"ครับ"

"พอได้ยัง พอไม่พูดก็ครับใหญ่ ไหนบอกสนิทกับฟองแล้วจะเลิกครับ"

"เจ็ดปีไม่ได้เจอกัน แก้ไม่ได้ง่ายๆ หรอกพี่"

ปลายตอบก่อนจะยื่นขนมให้ ขนมเบื้องเจ้าทครีมเยอะแต่หวานน้อยแบบที่พี่ฟีมชอบกินเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังจะชอบอยู่ไหม

"ขับไปซื้อมาจากแถวมอเลยเหรอ"

"ใช่ วันนี้ผ่านน่ะ ออกไปหาเพื่อนมา"

"แกรู้ไหมว่าจริงๆ พี่โคตรเกลียดครีม แต่กินตามแก ถึงรู้ว่าเจ้านี้ครีมไม่หวานมาก พี่กินได้"

พี่ฟีมพูดและปลายก็เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกินขนมเบื้องตามเขา ปลายไม่ได้ชอบกินเลยด้วยซ้ำ ก็แค่บังเอิญซื้อ แล้วให้พี่ฟีมชิม จากนั้นก็เห็นพี่ฟีมซื้ออีก เลยติ๊ต่างไปเองว่าอีกฝ่ายชอบ

"เขายังขายอยู่อีกเหรอ เป็นสิบๆ ปีแล้วปะ"

"อือ แต่คนขายไม่ใช่ป้าคนเดิม"

"งี้รสก็เปลี่ยนดิ"

"เข้าบ้านก่อนเถอะพี่ ยุงกัด"

ปลายผลักหลังอีกฝ่ายเข้าบ้าน และชูถุงขนมขึ้นมาเรียกฟองที่อยู่หน้าทีวี

"ป๊า! ขอกินขนมกระเบื้องได้ไหม!"

ท่าทางฟองจะลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้โกรธป๊าตัวเองอยู่ ไม่ใช่ว่าลืมง่ายหรอก แต่ความสนใจของเด็ก หากมีอะไรที่น่าสนใจกว่า ก็จะไม่ถือสาเรื่องหมองใจเลยแม้แต่น้อย

"กินข้าวให้หมดก่อน" พี่ฟีมพูดเสียงเนือยๆ เหมือนเดิม

"เขาเรียกขนมเบื้อง" ปลายแก้ให้ก่อนจะหยิบทิชชู่พกในกระเป๋าตนเองส่งให้พี่ฟีมที่กินคำแรกจนครีมเลอะมุมปาก

"อยากกินเลย! ทำไมป๊ากินได้เลย! ป๊าก็ยังไม่ได้กินข้าว!"

"เพราะป๊าโตแล้ว"

ปลายเอามือลูบหน้าตัวเองอีกรอบ พี่ฟีมต้องเลิกตอบลูกส่งๆ แบบนี้ก่อน รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เลี้ยงเด็กควรจะมีเหตุผลกว่านี้นิดนึงสิ!

"ฟอง"

"ว่าไงอาปลาย"

"อยากเก่งกว่าป๊าฟีมต้องกินข้าวให้หมดแล้วกินขนมทีหลังนะ ป๊าฟีมไม่เก่งเลย กินขนมก่อนกินข้าว"

"เห้ย ปลาย อย่างงี้ก็ได้เหรอวะ"

"ได้! ฟองเทพกว่าป๊าอยู่แล้ว!"

เทพ...ศัพท์เด็กประถมหนึ่งเหรอ ปลายคิดก่อนจะยิ้มกวนๆ ให้พี่ฟีมแล้วก็นั่งลงหยิบขนมเบื้องเขาปากตัวเองบ้าง

ขนมเบื้องหวานกว่าปกติ



talk

555555555555 ฟิคโทเบอร์บ้านแกสิ แง จะหมดตุลาแล้วยังอยู่แค่ตอนที่แปด555555555

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก



ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter nine

Swing



ปลายยืนอยู่ท่ามกลางฝูงเด็กเป็นล้าน

และทุกคนล้วนหน้าตาเหมือนฟองไปหมดเลย

โอ้ ฟองเป็นล้านคน ให้ตายเถอะ จะบ้าเหรอวะไอ้ปลาย

มือชื้นเหงื่อกดโทรศัพท์หาพี่ฟีมอย่างไม่มั่นใจ คุณครูหน้าประตูเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปร่งประหลาดเหมือนจะจับได้ว่าเขาไม่รู้ธรรมเนียม หรือไม่ก็คงคิดว่าเขาหาลูกตัวเองไม่เจอเหรอ

พี่ฟีมไม่รับสาย และนั่นทำให้ปลายต้องเดินไปหาคุณครูอย่างจำยอมด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ

"เอ่อ ขอโทษนะครับ พอจะช่วยประกาศหาเด็กชายชัชวาล ปอหนึ่งให้หน่อยได้ไหมครับ"

"ปอหนึ่งห้องอะไรคะ"

"เอ่อ..." ห้องอะไรวะ ปลายจะไปรู้ได้ยังไง เดี๋ยวนี้เด็กปอหนึ่งก็แบ่งห้องแล้วเหรอ เกาท้ายทอยอย่างเคอะเขินก่อนจะต้องยิ้มสุภาพแล้วตอบว่า "ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอดีเพิ่งมารับแทนพ่อเขาครั้งแรก"

"เป็นอะไรกับเด็กชายชัชวาลคะ?"

"อาครับ"

"ถ้าไม่ทราบห้อง ก็ประกาศให้ไม่ได้ค่ะ แล้วก็ปกติเด็กจะนัดกับผู้ปกครองไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ ไม่ทราบว่าพ่อเขานัดน้องไว้ตรงไหนคะปกติ"

"เอ่อ ปกติกลับรถโรงเรียนน่ะครับ"

คุณครูมองเขาด้วยสายตาแปร่งประหลาดเหมือนเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมในโรงเรียน ก่อนที่ปลายจะค้อมตัวออกมาอย่างเหนียมอายเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นพอดี

เป็นพี่ฟีมอย่างที่คิด โล่งอกนัก

"ฮัลโหลพี่ฟีม"

[ว่า]

"สะดวกคุยไหม?"

[สะดวกๆ มีไร หาฟองไม่เจอ?]

"...ใช่"

[ถามครูยัง]

"ครูมองปลายเป็นผู้ปกครองที่ล้มเหลวมากคนนึง" ปลายพูดกลั้วหัวเราะเจื่อนๆ "เขาถามว่าเด็กชายชัชวาลปอหนึ่งห้องอะไร จะได้ประกาศหาถูก แล้วก็บอกปกติต้องนัดเอาไว้ พี่ได้นัดฟองไว้ไหนไหม?"

[ปอหนึ่งทับสาม นัดเหรอ? ก็บอกแค่ให้รออยู่ในโรงเรียนอะ]

ปลายยิ้มค้าง โรงเรียนไม่ได้กว้างมาก แต่เห็นจำนวนเด็กที่ยังล้นโรงเรียน และทยอยลงจากอาคารเรียน (ซึ่งห้ามผู้ปกครองขึ้นไป) แล้วนั้น เขาก็อยากจะพลีชีพมันตรงนี้

[เอาไงดี ลองไปหาคุณครูคนอื่นถามไหม บอกปอหนึ่งทับสาม]

"เขามองเหมือนไม่เชื่อว่าปลายเป็นผู้ปกครองอะดิพี่ เขามองเหมือนปลายจะมาลักพาตัวเด็กหิ้วขึ้นรถตู้"

พี่ฟีมขำมาตามสาย ซึ่งปลายคิดว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันใหม่ที่พี่ฟีมหัวเราะ

[บอกแล้วว่าแกมันหน้าโจร]

"แล้วต้องทำยังไงดีเนี่ยพี่ หาฟองไม่เจอ"

[ไปถามครู ถ้าครูไม่เชื่ออีกก็โทรมาใหม่ แล้วเอาให้พี่คุย แค่นี้ก่อนนะ เจ้านายตาม]

"เคครับ" ปลายตอบก่อนจะวางสายอย่างสิ้นหวัง ตัดสินใจเดินหาเองก่อน เอาวะ ถ้าฟองเห็นเขา ก็น่าจะตะโกนเรียกสิ เพราะพี่ฟีมก็บอกฟองไปแล้วนี่นาว่าปลายมารับ

เดินวนอยู่นาน เข้าไปหาในห้องน้ำด้วยรอบนึง เด็กเริ่มซาลงแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของฟอง เริ่มจะร้อนใจขึ้นมานิดนึง มีเปอร์เซ็นที่ฟองจะออกไปเดินนอกรั้วโรงเรียนไหมนะ? แต่ฟองไม่ใช่เด็กดื้อนี่นา

"ขอโทษนะครับ ช่วยประกาศหาเด็กชายชัชวาล ปอหนึ่งทับสามให้มาพบตรงนี้ได้ไหมครับ"

ปลายตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากคุณครูคนใหม่ที่ไม่ใช่หน้าประตูคนเดิม และถึงคุณครูคนใหม่จะมองเขาแปลกๆ นิดหน่อย แต่ก็ยอมไปที่ห้องประกาศให้

'ประกาศ เด็กชายชัชวาล ปอหนึ่งทับสาม ผู้ปกครองมารอรับแล้ว เชิญมาหาผู้ปกครองที่หน้าเวทีด้วยค่ะ...ประกาศ...'

ปลายรออยู่ที่หน้าเวที นานสองนานฟองก็ยังไม่โผล่มา ร้อนใจจนนั่งไม่ติดที่ และคุณครูที่ประกาศให้เขาถึงได้ถามอีกครั้ง

"ไม่ได้นัดน้องไว้เหรอคะ?"

"ผมเป็นอา มารับแทนพ่อเขาครั้งแรกเลยครับ แล้วเหมือนพ่อเขาจะไม่ได้นัดไว้" ปลายตอบตามตรง โดยสายตาทิ่มแทงมาอีกดอก

"ลองไปดูสนามเด็กเล่นหลังตึกอนุบาลดูค่ะ เด็กฝั่งประถมบางทีก็ชอบไปเล่นฝั่งนั้น"

"ขอบคุณครับ งั้นถ้าเด็กชายชัชวาลมาตรงนี้ฝากบอกให้นั่งรอตรงนี้ทีนะครับ กลัวเขามาแล้วหาไม่เจอ"

"ได้ค่ะ"

ปลายค้อมตัวน้อยๆ ก่อนจะขอตัวเดินไปตามที่คุณครูชี้ เขาลัดตึกผ่านรูปปั้นพระแม่มารีย์ที่ตั้งตระหง่านขัดกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ไม่เอื้อกับการตั้งสถาปัตยกรรมแบบนี้เลยสักนิดเดียว

อ้อมมุมตึกไปคือสนามเด็กเล่นที่เล็กที่สุดที่ปลายเคยเห็นมา เพราะมีเครื่องเล่นอยู่แค่สามอย่างเท่านั้น สไลเดอร์ ชิงช้า และบ้านของเล่น

และฟองอยู่ตรงชิงช้ากับเด็กอีกสองสามคน

"ฟอง!"

"อาปลาย! มาตอนไหน!"

ปลายก้าวไปเพียงสามสี่ก้าวก็ถึงตัวฟอง มองเด็กตาโตที่ยิ้มจนตาหยีให้เขา

"ไม่ได้ยินประกาศเหรอครับ เขาเรียกให้มาหาอาปลายที่เวทีน่ะ"

"ไม่ได้ยินเลย คุณครูเรียกฟองไปช่วยงานที่ห้อง ในห้องไม่มีลำโพง แล้ว-แล้วฟองเพิ่งจะลงมาเล่นชิงช้าเอง" ฟองตอบก่อนจะ

"ชัชวาลอู้งานต่างหาก!"

"ตะวันอย่ามามั่ว!"

"ภูเพียงทำงานคนเดียว ชัชวาลอู้งาน!"

"เราไปช่วยอัครเดชทำอีกงานต่างหาก!"

เด็กสมัยนี้...เรียกกันด้วยชื่อจริงเหมือนละครหลังข่าวเหรอ

"เอาเป็นว่ากลับกันเถอะฟอง เดี๋ยวป๊าดุอาปลาย"

"ไม่คุยกับตะวันแล้วโป้ง โป้ง โป้ง! ตะวันหน้าตูด!"

"ไปเลยชัชวาลหน้าตูด!"

ปลายหัวเราะในคอเบาๆ ไม่คุ้นชินกับบทสนทนาและคำด่าเด็กๆ แบบนี้ เหมือนก่อนเขาก็พูดจาแบบนี้เหมือนกันน่ะเหรอ อ่า ย้อนไปตั้งเกือบสามสิบปี จำไม่ได้แล้วล่ะ

"ไปละ ไม่คุยกับตะวันแล้ว"

"นี่ใครอะชัชวาล" เด็กชื่อตะวันถามก่อนจะชี้มาที่เขา

"อาปลาย เพื่อนซี้ป๊า" ฟองตอบก่อนจะลากมือเขาออกมาทันที ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น เหมือนขี้คร้านจะต่อความยาวสาวความยืด แต่ปลายดูแล้วท่าจะงอนเพื่อนมากกว่า แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้มาโรงเรียนก็คงลืมโกรธเล่นกันเหมือนเดิม

"อยากกินอะไรไหม"

"ม่าย กินขนมปังมาแล้ว"

"ซื้อกินเองเหรอ"

"ช่าย อันละสิบบาท"

"ป๊าให้เงินวันละเท่าไหร่เนี่ยเรา"

"สามสิบบาท"

"งี้เหลือเก็บเยอะเลยสิ" ได้เยอะกว่าปลายสมัยก่อนนู่นตั้งมากโข แต่ก็ว่าไม่ได้ ของแพงขึ้นตามยุคสมัย เอามาเทียบก็คงแปลกพิกล

"ไม่เห็นเยอะเลย กว่าจะรอป๊ามา ซื้อขนมกินหมดแล้ว"

"แล้วอาปลายมารับดีกว่าไหม" ปลายหลอกถาม อยากรู้ว่าตัวเองจุ้นจ้านไหม ว่ากันว่าเด็กไม่พูดโกหก เลยอยากดูเสียหน่อยว่าฟองคิดอย่างไรกับเพื่อนซี้ป๊าคนนี้ที่เพิ่งโผล่มาได้เดือนเกือบสองเดือนดี

"ดีกว่า เพราะว่าจะรอป๊าไม่เบื่อ"

"เมื่อก่อนม๊าดาวก็มารับแบบนี้รึเปล่า"

"อือฮึ"

ปลายมองเด็กชายที่ตอบด้วยใบหน้าบริสุทธิ์ หัวใจของเด็กที่สูญเสียแม่คงจะยังไม่รู้จักกับความเศร้าและเจ็บปวดของโลกมากพอที่จะเสียใจเท่าผู้เป็นพ่อ

"แล้วๆ อาปลายไม่มีงานมีการทำเหรอ"

"..."

ได้ขวานสืบทอดมาจากพ่อหรืออย่างไรกันนะ ถึงได้พูดจาขวานผ่าซากเหมือนกันขนาดนี้

"อาปลายรอทำเรื่องกับสาขาใหม่อยู่ครับ เจ้านายสาขานี้ยังจัดการไม่เรียบร้อย อาปลายเลยเข้าไปทำแทนไม่ได้" ปลายตอบโดยพยายามใช้คำพูดให้ง่ายที่สุด

"แล้วถ้าไปทำงาน จะยุ่งเหมือนป๊าไหม"

"ไม่ขนาดป๊าฟีมหรอก" ปลายตอบกลางๆ ตำแหน่งการงานเขาคงตัวพอที่จะทำงานนอกออฟฟิศเลยก็ยังได้ถ้าจำเป็น เพราะบางทีสาขาก็ต้องส่งเขาไปประชุมต่างจังหวัดหรือต่างประเทศบ้าง การเข้าออฟฟิศทุกวันจึงเป็นเรื่องรอง

"ดีจัง ฟองก็อยากให้ป๊ากลับบ้านเร็วๆ บ้าง"

ปลายมองเด็กชายอีกครั้ง ก่อนจะเข้าใจ

การที่พี่ดาวจากไปไม่ได้ทำให้ฟองเศร้าเท่ากับการที่พี่ฟีมอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่



ฟีมจอดรถมอเตอร์ไซค์อย่างที่ทำเช่นทุกวัน หากแต่คราวนี้เสียงปลายและฟองในบ้านทำให้ทุกอย่างที่ควรจะเหมือนเดิมเปลี่ยนไป

ปลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ตัวเขา และฟองได้อย่างกลมกลืนและธรรมชาติจนบางทีฟีมก็กลัว ว่าในวันหนึ่งหากปลายหายไปจริงๆ เขาจะกลับมาตั้งตัวได้ไหม

ดาวจากไปเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้

แต่หากปลายจากไปโดยความตั้งใจ มีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก แต่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป...คงจะเศร้ากว่าความตายที่รู้อยู่แล้วว่าเรียกร้องกลับคืนไม่ได้ตลอดไป

"ป๊า!"

"ว่าไงไอ้ลูกชาย ไถเงินอาปลายไปกี่บาท" ฟีมแกล้งพูดหยอกพลางแบมือขอเงินลูกตัวเอง "เอามาแบ่งป๊าบ้างดิ อย่ารวยคนเดียว"

"ไถมาห้าสิบบาท!"

"โห เยอะโคตร รวยแล้ว ป๊าลาออกมาให้้ฟองเลี้ยงละ" ฟีมแสร้งทำตาโตที่ไม่เนียนเอาซะเลย และบีบแก้มย้วยๆ ของฟองทีนึง มองปลายที่ยิ้มบางๆ แต้มที่มุมปากเหมือนเคยบนเก้าอี้ไม้ในบ้าน ดูเป็นส่วนหนึ่งโดยไม่ต้องพยายามอย่างน่ากลัว

ปลายน่ากลัวหรือว่าเขาเองที่กลัวว่าสักวันจะขาดอีกฝ่ายไม่ได้

"ลาออกเลย!"

"แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวให้แกกิน"

"เงินอาปลาย ไถเงินอาปลายเอา อาปลายรวย"

ฟีมหัวเราะอย่างไม่สมควร ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะฝืดๆ เมื่อปลายพูดขึ้นมาบ้าง

"ปลายเลี้ยงพี่ฟีมกับฟองได้จริงๆ นะไม่อยากจะโม้"

"รวยนักเหรอ หมั่นไส้ว่ะ" ฟีมตอบก่อนจะทำเป็นยกขาถีบ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นมีมีฝ้าจางๆ ปลายหวังอะไรทำไมฟีมจะดูไม่ออก

ไม่มีหรอกความรักที่จะไม่ต้องการผลตอบแทน ต่อให้ปลายดีแค่ไหน มักน้อยแค่ไหน อีกฝ่ายก็ต้องการความรู้สึกบางอย่างจากฟีมเป็นสิ่งตอบแทนอยู่ดี



พี่ฟีมมองเขาด้วยสายตาวูบไหว

ปลายหลบสายตานั้นก่อนจะแสร้งทำเป็นว่าตัวเองพูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง

ก็อย่างที่เป็นตลอดมาไม่ว่าจะสิบเอ็ดบล็อกที่เท่าเดิม เจ็ดปีที่แก้ไขไม่ได้และกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปลายก็ยังเชื่อว่าตัวเองเกิดมาเพื่อดูแลพี่ฟีมเสมอ





Talk

อยากรู้ว่าเรื่องน่าเบื่อไหม เราสายเอื่อย แต่ก็กลัวเอื่อยจนไม่น่าติดตาม คนอ่านเรื่องนี้เรามีไม่กี่คน ก็ไม่อยากให้หายไปไหน5555555 ;-; ขอบคุณที่คอมเม้นเสมอต้นเสมอปลายนะคะ เป็นเรื่องอื่นเราคงเลิกเขียนไปแล้วเพราะเม้นน้อยกว่าที่เคยได้ แต่เรื่องนี้ไม่รู้เราฮึดอะไร อีกอย่างพล็อตนี้เรามีเก็บไว้ในหัวนานมากแล้วด้วย พอได้เขียนออกมาก็รู้สึกเหมือนเดบิวต์อะไรสักอย่าง55555 ฝากด้วยนะคะ เราจะเขียนให้จบ

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก








ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ OrangeryLemon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

ขอบคุณมากค่ะ ภาษาดี สละสลวย อ่านลื่นไหลมากๆ

ไม่ได้ตินะคะ แค่แสดงความรู้สึก 11 blocks มันเป็น kimmick บวกกับเป็นสัญลักษณ์แทนอารมณ์ของตัวละคร

และเราเข้าใจที่ผู้เขียนอยากจะสื่อเรื่องความไม่ห่าง แต่ห่างนะคะ

แต่ด้วยบริบทแบบสังคมไทย มันค่อนข้างแปลกนิดๆนะคะ ยิ่งฉากที่ฟีมเจอปลาย ตัวละครอื่นๆก็พลอยพูดไปด้วย

อย่างไรก็ตามเราชอบเรื่องนี้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะติดตามค่ะ

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 Chapter ten
Pattern

เวลาจะไม่เมาทีไรนี่ก็เมาทุกทีสิน่า

ฟีมคิดระหว่างที่กำลังสวมหมวกกันน็อค จริงๆ ก็พอจะรู้ว่าไม่ควรเมาแล้วขับ แล้วเขาก็ทิ้งรถไว้ไม่ได้ด้วย

ฟีมไม่ได้เมามากขนาดนั้น ในความรู้สึกตนเอง ปวดหัวมากก็จริง แต่ความหดหู่และกดดันที่เกิดขึ้นเมื่อเมาหนักทำให้ฟีมอยากกลับไปนอนบนเตียงเงียบๆ คนเดียว

ด้วยความที่ตัวคนเดียวมาจนเคยชิน จึงติดนิสัยไม่ขอความช่วยเหลือใคร วาดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ก่อนจะหยุดมือที่กำลังบิดกุญแจเมื่อมีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง

"ฟีม ขับไหวเหรอ"

ฟีมหันกลับไปมองคุณภู เจ้านายตนเองที่ยืนตรงถามเสียงเรียบนิ่ง มองแล้วช่างจืดชืดและน่าเบื่อเสียจริง ไม่ใช่ว่าเกลียดเจ้านายหรืออะไรหรอกนะ แต่ภาพลักษณ์ของคุณภูให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แข็งทื่อ เข้มงวด และน่าเบื่อหน่าย

ท่าทางเขาจะเมามากจริงๆ ถึงได้วิจารณ์เจ้านายในใจอย่างออกรสขนาดนี้

"ไหวครับ" ฟีมตอบคำนึงตัดบท คุณภูจุดจิกกับเขาเป็นพิเศษในหลายๆ เรื่อง ยิ่งช่วงที่ดาวเสียใหม่ๆ ยิ่งจุกจิกเข้าไปใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว แต่ก็ว่าไม่ได้ ฟีมอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณภูที่ให้ความช่วยเหลือ

"ผมไปส่งฟีมดีกว่าไหม"

"คุณภูก็เอารถมานี่ครับ ลำบากเปล่าๆ"

"ผมจอดรถที่บอได้ลืมแล้วเหรอครับ" คุณภูแจง และฟีมก็ลอบก่นด่าในใจว่า ใครมันจะไปรู้วะ ไม่ใช่เมียมึงสักหน่อย

"ก็คือ...?"

"ผมจะขับมอไซฟีมแทนไงครับ"

"อ๋อ" ฟีมรับคำในลำคอ อยากจะถามว่าขับเป็นด้วยเหรอ แต่ก็ออกจะหยุมหยิมไปหน่อย เลยเลือกที่จะตามน้ำไป ทำงานมาด้วยกันก็เข้าปีที่สามแล้วตั้งแต่คุณภูสมัครเข้าบอนี้มา คุณภูคงอยากรับผิดชอบที่สั่งให้เขาอยู่คุยงานกับฝั่งสาขาญี่ปุ่นด้วยทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้ฟังญี่ปุ่นรู้เรื่องเลย ดีที่ไม่โดนพาไปต่อบาร์หรือคาราโอเกะ แค่สาเกชั้นดีที่คุณภูกับอีกฝั่งหาซื้อมาดื่มก็เพียงพอให้เขาหดหู่ได้ขนาดนี้แล้ว

พูดถึงภาษาญี่ปุ่นก็นึกถึงเจ้าปลายขึ้นมา

ถ้าปลายอยู่ตรงนี้ วันนี้ ก็คงจะพูดญี่ปุ่นปร๋อเลยสินะ

"หมวกกันน็อกของฟองเหรอครับ"

"ครับ" ฟีมตอบก่อนจะยื่นหมวกที่ใส่ไว้ใต้เบาะอีกใบให้เจ้านายตัวเอง "แล้วคุณภูไม่เมาเรอะ"

"อ๋อ ไม่ครับ ผมจิบบ่อยๆ แต่ทีละนิด ดื่มไปแค่สองแก้วเองมั้งครับ" คุณภูตอบก่อนจะยิ้มน้อยๆ อย่างหาได้ยาก "ผมน่าจะบอกฟีมก่อนว่าให้ค่อยๆ จิบ ฟีมเล่นดื่มอึกใหญ่ พออีกฝั่งเห็นว่าฟีมดื่มหมดเร็ว ก็ชวนให้ดื่มอีกเป็นเรื่องธรรมดา"

"อ๋อ" ฟีมตอบพลางขึ้นคร่อม รู้สึกแปลกๆ ที่เจ้านายต้องขับรถพาตัวเองไปส่งบ้านและในฐานะที่ตัวเองเป็นลูกน้องและคนซ้อน "รบกวนคุณภูแล้ว อย่าหักโอทีผมแล้วกัน"

"ผมจะหักเงินรองผู้จัดการได้ยังไง นี่ก็งานครับ" คุณภูตอบพลางเสริม "อย่าอ้วกใส่ผมก็พอ อันนั้นผมหักแน่"

"ครับ" ฟีมตอบสั้นๆ รถสตาร์ตออก ก่อนที่ฟีมจะหลับตาให้ลมถนนตอนกลางคืนพัดผ่านหน้า



"อาปลาย! ป๊ากลับมาแล้ว!"

ปลายเงยหน้าจากจอไอแพดตัวเองก่อนจะมองแสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ด้านนอก เขาเห็นวิวนี้มาสักพักนึงแล้วจากการที่ไปรับฟองและมาอยู่เป็นเพื่อนฟองทุกวันอังคารและพฤหัส

เดือนหน้าเขาก็ต้องไปทำงานจริงๆ แล้ว คงได้เห็นภาพแบบนี้อีกไม่นาน

ปลายเดินตามฟองที่วิ่งออกไปหาพ่อตนเองตามประสาเด็กที่ตื่นเต้นเวลาพ่อแม่กลับบ้านสักที เสียงคนไม่คุ้นเคยทำให้ปลายขมวดคิ้วน้อยๆ

ใครกันนะ?

ปลายเดินออกไปก่อนจะเจอกับชายวัยกลางคนที่ดูทรงแล้วน่าจะสามสิบปลายๆ ได้ แต่งตัวดูดีตามฉบับคนทำงานบริษัท คงเป็นเพื่อนร่วมงามของพี่ฟีม

"พี่ฟีม" ปลายเรียกก่อนจะค้อมหัวให้คนแปลกหน้า

"พอดีว่าฟีมเมา ผมกลัวเขาจะเกิดอุบัติเหตุ เลยขับมาส่งครับ" อีกฝ่ายชะงักนิดหน่อยตอนเห็นเขา ก่อนจะรีบแจง "ว่าแต่คุณคือน้องฟีมเหรอครับ? ผมก็จำผิดนึกว่าฟีมมีน้องสาว"

"จำถูกแล้วครับ ผมเพื่อนพี่ฟีมเฉยๆ" ปลายตอบอย่างเป็นธรรมชาติและค้อมหัวให้อีกที "ขอบคุณที่ขับมาส่งนะครับ รบกวนมากเลย"

"ไม่เป็นไรครับ" เพื่อนร่วมงานพี่ฟีมยิ้มกลับตามมารยาทก่อนจะมองพี่ฟีมที่ลงไปนั่งยองๆ คุยกับฟอง
อ่า ถ้าปลายไม่ได้คิดมากไป อีกฝ่ายน่าจะชอบพี่ฟีมสินะ

ไม่หรอก ไม่ได้คิดมากไป สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองพี่ฟีมไม่ได้ต่างจากเขาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความหวังดีและความรักจางๆ ที่สะท้อนอยู่ในแววตาดำที่กระทบกับไฟถนนสลัวๆ นั่น

ความรู้สึกเจ็บแปลบอันคุ้นเคยถูกนำมาแขวนบนกระดูกซี่โครงราวกับตู้เสื้อผ้า ทำให้นึกไปถึงตอนที่พี่ฟีมดูใจกับพี่ดาวใหม่ๆ แต่หลังจากนั้นปลายก็รู้จักปรับตัวให้อยู่กับความรู้สึกนี้ได้ และชินไปเอง

คราวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ปลายนึกปลอบใจตนเอง

"พี่ฟีม พาฟองเข้าบ้านเถอะ ยุงตอมหมดแล้ว"

"เออ รู้แล้ว" พี่ฟีมตอบก่อนจะยืดตัวขึ้นสุด หันไปคุยกับเพื่อนร่วมงานตนเอง

"ขอบคุณคุณภูอีกรอบครับที่มาส่ง เดี๋ยวผมพาเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าปากซอย"

ท่าทางจะเป็นเจ้านายเมื่อดูจากสรรพนามที่ใช้ ปลายเดาเงียบๆ และมอง

"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมเรียกแกร๊ปแล้ว ฟีมเข้าบ้านไปดูฟองเถอะ"

"อาภูสวัสดีครับ" ฟองสวัสดีเสียงดังก่อนจะลากข้อมือฟีมให้รีบเข้าบ้าน เหลือปลายที่จะเดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย

"กลับดีๆ นะครับ ขอบคุณอีกรอบที่พาพี่ฟีมมาส่ง" ปลายพูดอย่างสุภาพ กำลังจะเดินเข้าบ้านตามพี่ฟีมกับฟองไป ก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบให้ต้องหันมาอีกรอบ

"ฝากดูฟีมให้ด้วยนะครับ ถ้าไม่ไหวโทรมาลางานได้"

สายตาของคนที่ชื่อว่าภู คงจะมองเขาได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนกันสินะ สมแล้วกับคำที่ว่าผีเห็นผี

"ได้ครับ"



โทษไม่ได้หรอกที่พี่ฟีมดันเกิดมาเป็นผู้ชายที่รูปร่างไม่สมชายอย่างสมบูรณ์ เลยดึงดูดเพศเดียวกันเสียมากกว่าเพศตรงข้าม ผิวขาวจัดไปทางซีด ผอมบางแต่ก็แข็งแรง มือใหญ่เท้าใหญ่แต่โครงร่างและใบหน้ากลับเล็ก ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกอยากทะนุถนอม

เพราะอย่างนั้นกว่าจะจีบพี่ดาวติดก็ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร

"คุยอะไรกับคุณภู" พี่ฟีมถามขณะที่เอนนอนบนเตียงตัวเองและเอามือเท้าหน้าผาก ปลายลอบมองและปักหมุดไว้ในใจว่าเดี๋ยวจะต้องออกไปทำน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆ กับหายาแก้แฮงค์เตรียมไว้พรุ่งนี้เช้า

"เจ้านายพี่เหรอ"

"อือ"

"ใจดีจัง มาส่งถึงบ้านเลย สมัยก่อนตอนผมยังเป็นลูกน้องเขา เมาขนาดไหนเขาก็ไล่กลับเอง" น้ำเสียงของปลายไม่มีเค้าส่อความเหน็บแนม เพียงแค่เล่าไปตามจริง เจ้านายที่ใจดีขนาดนี้ ถ้าไม่สนิทกันมากทั้งสองฝ่าย...ก็มีฝ่ายหนึ่งที่เอ็นดูมาก

"ใจดีห่าอะไร ไล่ไปแก้งานยับ ใช้งานเป็นวัวเป็นควาย" พี่ฟีมโอดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ปลายมองก่อนจะขำออกมาน้อยๆ

"เอาน่า เขามาส่งเลยนะ"

"ให้ขับกลับมาเองยังจะดีกว่า"

"แล้วทำไมไม่โทรเรียกให้ปลายไปรับล่ะ" ปลายอดถามไม่ได้ จริงๆ คำถามนี้ติดอยู่ในลำคอมาตั้งแต่เห็นคุณภูแล้ว

บางทีก็อยากให้พี่ฟีมมองว่ายังมีเขาอีกคนให้พึ่งพาได้บ้าง

"ปลายก็ยังอยู่ตรงนี้นะ"

"แต่เจ็ดปีที่ผ่านมาแกไม่ได้อยู่ตรงนี้"

พี่ฟีมแทรกขึ้นมาทันที ปลายยืนนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง มองคนที่ตัวเองรักและอยากดูแลพ่นคำเหล่านั้นออกมาด้วยสติที่ไม่เต็มร้อย

"เจ็ดปีที่ผ่านมา แกหายหัวไปไหนวะ" พี่ฟีมถามเสียงขาดห้วง "จู่ๆ แกก็หายไปเลย หายไปแบบตามตัวไม่ได้ พี่ไม่ได้ขอให้แกหายไปแบบนั้น"

พี่ฟีมคงหมายถึงตอนหลังแต่งงานที่พวกเราเริ่มห่างกันเพราะหลายๆ ปัจจัย ไม่แปลกที่คนแต่งงานแล้วจะห่างออกไป เพราะเขาไม่ใช่ความสำคัญแรกในชีวิตพี่ฟีมอีกต่อไปแล้ว ปลายนึกมาถึงตรงนี้ก็ขำอีกครั้ง เขาอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ในใจพี่ฟีมก็ยังไม่ใคร่แน่ใจเลย

ดังนั้นปลายจึงปล่อยให้ระยะห่างของพวกเราห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อถึงจุดที่พวกเขาไม่สามารถติดต่อกันได้โดยไม่รู้สึกผิด เราทั้งสองจึงล้วนพรากจากกัน

"แล้วพอดาวตายไป แกก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม—"

"ปลายกลับมาแล้วไงพี่ฟีม"

"หนึ่งปี ปลาย หนึ่งปีที่ดาวไม่อยู่ และแกไม่อยู่ ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้นยกเว้นฟอง" พี่ฟีมเริ่มพูดไม่หยุด "แกทิ้งพี่ไว้ แล้วก็กลับมาเพราะความบังเอิญ อย่ามาปฏิเสธเลยว่าแกก็แค่ฉวยโอกาสจากความบังเอิญ"

ปลายมองพี่ฟีมที่พูดอยู่อย่างนั้น บางทีพี่ฟีมก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่สิ ปลายรู้ว่าพี่ฟีมเป็นอะไรอยู่ รู้ว่าพี่ฟีมพูดไปเรื่อยเพราะเมาและเครียดจากหลายๆ เรื่อง แต่ปลายก็ยังปล่อยให้คำพูดพวกนั้นทำร้ายเขาได้

ความเจ็บแขวนจนหนักและคานเริ่มจะรับน้ำหนักไม่ไหว พี่ฟีมจะรู้ไหมว่าปลายกลับมาเดินนับบล็อกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สงสัยครุ่นคิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกับการที่เราตายจากกันไปทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ที่ไหนสักแห่งกันทั้งคู่

พี่ฟีมจะรู้ไหมว่าเขาเฝ้ารอ เจ็บปวด ก่อนจะด้านชาและยอมปล่อยไป

พี่ฟีมจะรู้ไหมว่าเขาทรมานกับความคิดว่าตัวเขาไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้วในชีวิตอีกฝ่ายนานแค่ไหน

พี่ฟีมไม่รู้ และปลายไม่คิดจะบอก เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็กลัวพี่ฟีมเจ็บที่สุดอยู่ดี

ปลาย แกมันน่าสมเพชเหมือนเด็กที่หัดรักครั้งแรกแล้วหมกมุ่นจนทำทุกอย่างไม่เลิกไม่รา

"พี่ฟีมปวดหัวไหม" ปลายแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนเรื่องแบบคนสิ้นคิด "เดี๋ยวปลายไปทำน้ำผึ้งมะนาวให้"

"ไม่เหนื่อยเหรอ" พี่ฟีมถามกลับทันทีโดยที่ไม่ได้ลืมตาด้วยซ้ำ "แกหวังลมๆ แล้งๆ เหนื่อยบ้างไหม"

"..."

"ลงทุนกับคนแบบพี่มันคุ้มเหรอปลาย"

พี่ฟีมปากร้ายไม่เปลี่ยน เป็นคนแบบที่ปลายเกลียด คนที่พูดไม่คิด ใช้อารมณ์แทนเหตุผล แต่เขาว่ากันว่าเกลียดอะไรได้อย่างนั้น
เพราะปลายรักพี่ฟีมมากเหลือเกิน

คงแก้ไขแบบแผนการคิดและความรู้สึกที่ย้ำติดต่อกันมาเป็นสิบปีไม่ได้อีกแล้ว ปลายไม่เคยบอกใครเรื่องพี่ฟีม เพื่อนก็มีอยู่จำนวนหยิบมือที่ยังติดต่อกันอยู่ ที่บ้านก็คะยั้นคะยอถามว่าเมื่อไหร่เขาจะแต่งงาน พี่ฟีมจึงเป็นความลับเดียวของปลายที่ยามนึกถึงทีไรก็ช่างหวานและขมในคราเดียวกัน

เจ็ดปีที่พี่ฟีมค่อยๆ จืดจางลงในทุกปี ปลายคิดเล่นๆ ทุกปีใหม่ว่าปีนี้เขาอาจจะเจอคนใหม่ๆ และปลายเคยคิดว่าหากขึ้นปีที่แปด เขาอาจจะเจอคนที่มาทำให้รู้สึกเหมือนพี่ฟีมเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว คนที่ร่างกายจะขยับไปปกป้องและดูแลก่อนสมองสั่งการ

แล้วปีที่แปด หรือปีนี้นี่เอง ที่ปลายได้เจอพี่ฟีม...อีกครั้ง

ปลายกลับมาเริ่มต้นนับบล็อกใหม่อีกครั้ง 

"เดี๋ยวปลายไปบอกให้ฟองแปรงฟันเตรียมเข้านอนนะ" ปลายทำเป็นหูทวนลม "อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกนะพี่ฟีม พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงาน เดี๋ยวปลายแวะมาหาอีกทีตอนสาย"

"ปลาย พอเหอะว่ะ"

พี่ฟีมลุกขึ้นมาลืมตามองเขาที่ยืนอยู่ปลายเตียง

"อย่าทำแบบนี้ดิวะ"

ปลายทำอะไรผิด

"แกอย่ามาทำให้พี่ขาดแกไม่ได้แบบนี้ดิวะ เหี้ยเอ๊ย..."

พี่ฟีมสบถอีกหลายคำ แต่ปลายไม่รับรู้ เขาเดินออกมาจากห้องนอนพี่ฟีม ไม่รู้ว่าควรคุยกับคนเมาอย่างไรดี มองฟองที่ยืนมองเขาอยู่ถึงรู้ว่าตัวเองออกมายืนเหม่ออยู่นานไม่พูดไม่จา จึงค่อยคลี่ยิ้มแก้เก้อ

"ไปแปรงฟันเร็วคนเก่ง เดี๋ยวอาปลายทำน้ำผึ้งมะนาวให้ป๊า ส่งป๊าเข้านอน ส่งฟองเข้านอน แล้วจะได้กลับแล้ว"
"แต่-แต่มันดึกแล้ว"

"บ้านอาปลายอยู่แค่นี้เอง"

"นอนกับฟอง!"

"ไม่ได้หรอก ป๊าฟีมว่า" ปลายพูดชื่อพี่ฟีมลำบากปากเล็กน้อย

"ทำไมอะ ป๊ากับอาปลายเป็นเพื่อนซี้กันนะ"

"นั่นสิเนอะ" ปลายตอบแล้วฝืนยิ้ม "แต่อาปลายคิดถึงบ้านตัวเองเองแล้วน่ะฟอง อาปลายนอนไม่หลับถ้าไม่ได้กลับไปกอดน้องหมีที่บ้านนะ"

"โหย อาปลายโตแล้วทำไมยังติดหมีอีก!"

"อา..."

"ฟอง!"

พี่ฟีมที่เปิดประตูห้องนอนตัวเองตอนไหนไม่รู้ตะโกนจากชั้นสองลงมา

"ว่าไงป๊า!"

"รีบขึ้นนอน!"

"ป๊าๆ ให้อาปลายค้างได้ไหม!"

"..."

พี่ฟีมเงียบไป และปลายยิ้มออกมาฝืนๆ หวังว่าจะไม่ดูเศร้าเกินไปนักในสายตาของฟอง หวังว่าฟองจะยังเด็กเกินกว่าจะแยกแยะอารมณ์อันซับซ้อนของผู้ใหญ่ออก

"ไปแปรงฟันแล้วรีบขึ้นไปนอนเถอะฟอง เดี๋ยวอาปลายทำน้ำผึ้งมะนาวแป๊บเดียว ยกขึ้นไปให้ป๊าที อย่าทำหกนะ"

"ได้! อาปลายกลับบ้านดีๆ นะ! เดินทางปลอดภัย!"

"ครับผม"

ปลายหัวเราะก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหามะนาวและน้ำผึ้งที่จำได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีติดบ้านไว้เสมอตอนเรียน แต่ว่าตอนนี้กลับไม่มีสักอย่าง

สุดท้ายจึงได้แต่หยิบซองน้ำขิงสำเร็จรูปมาชงแทน และตะโกนบอกฟองกำชับให้หยิบขึ้นไปให้พี่ฟีมด้วย ก่อนจะเก็บของใส่รองเท้าเดินออกจากบ้านพี่ฟีม

อยากจะเดินไปซื้อยาแก้แฮงค์ให้แต่ก็ต้องหยุดเท้าตัวเองเพราะคำพูดที่พี่ฟีมไม่ได้ตั้งใจ

'ปลาย พอเหอะว่ะ'

นั่นสิไอ้ปลาย พอเถอะ




tbc.





Talk
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆ เลยนะคะ ดีใจที่มีหลายคนยังอยากอ่านต่อ จะพยายามต่อไปค่าบ
#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก



*ป.ล. ส่วนเรื่องลักษณนามตึกแถว ส่วนตัวดีใจมากค่ะที่มีคนเม้นในแง่มุมนี้ เพราะเราจะได้ปรับปรุงต่อไปได้ จริงๆ ตอนแรกคิดไว้แล้วว่าต้องแปลกแน่ๆ สำหรับหน่วยบล็อก แต่ว่าไม่แน่ใจว่าลักษณนามของตึกแถวของไทยเขาเรียกยังไงกัน เราเรียกบล็อกเพราะว่าอิงจากเพลงและกิมมิคเรื่อง ถามมาหลายคนสรุปเราจะไปแก้ในตัวบทให้เป็นห้องตามภาษาปากค่ะ แต่ว่าชื่อเรื่องกับตัวแท็กคงแก้ไม่ทันแล้ว ;-; ยังไงก็ฝากติชมต่อไปได้นะคะ ✊

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter eleven

Snow



"ป๊า! ป๊า!"

ฟีมหลับตาแน่นก่อนจะหดหัวมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มเหมือนเดิม

"ป๊าาาาา! สายแล้วนะ!"

ฟีมลืมตาตอนที่มีน้ำหนักปีนขี้นมาทับช่วงเอว เป็นฟองนั่นเอง แถมยังอาบน้ำใส่ชุดนักเรียนแล้วด้วย

เดี๋ยวนะ

ฟีมเด้งตัวขึ้นมาตาเหลือกพลางมองหน้าฟองเหมือนเห็นผี

"กี่โมงแล้ว"

"เจ็ดโมงครึ่ง ป๊านอนสลบเหมือด ตะวันเลียตูดหมดแล้ว ตื่นเถิดชาวไทย! อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง!"

ฟองร้องเพลงเสียงแหลมในขณะที่ฟีมเอามือลูบหน้าตัวเอง อยากจะบ้าตาย สายขนาดนี้แล้ว จะอาบน้ำแต่งตัวฟองก็ไปเรียนสายแน่ แต่ถ้าไม่อาบน้ำแต่งตัวเขาก็ต้องลางาน...

"เดี๋ยวฟอง ว่าแต่ใครปลุกให้ไปอาบน้ำ"

"อาปลายแวะเอายาแก้แฮงค์มาให้ป๊า กดกริ่งกริ๊งๆๆ ป๊าไม่ได้ยินเลยเหรอ"

"ไม่เลยไอ้ลูกชาย"

ฟีมตอบก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อปลาย สมองประมวลผลว่าเมื่อวานที่เมาเป็นบ้าเป็นบอแต่ไม่วาร์ปทำอะไรไปบ้าง แล้วก็ต้องเอามือลูบหน้าตัวเองด้วยความเครียดกว่าเดิม

เขาพูดแบบนั้นไปได้ยังไงวะ

"ป๊า! ไม่ไปอาบน้ำซะที! เดี๋ยวฟองไปสาย!"

"เออๆ รู้แล้ว" ฟีมพูดเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะลุกจากเตียง "เดี๋ยวล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปเลย ป๊าไม่ไปทำงานแล้ว"

"เอ้า ไม่ไปทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน"

"เห้ย เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมพูดจาแบบนี้"

"ก็ตัวเองชอบพูดแบบนี้ใส่อะ"

ฟีมมองลูกชายตัวเองที่เถียงตาใสแล้วก็ดุไม่ลง เขาผิดเองแหละ เมาแฮงค์จนตื่นสายโด่งขนาดนี้ ถ้าปลายไม่มากดกริ่ง วันนี้ฟองก็ไม่ต้องไปเรียนกันพอดี

พูดถึงปลาย ฟีมควรทำอย่างไรดี

'แกทิ้งพี่ไว้ แล้วก็กลับมาเพราะความบังเอิญ อย่ามาปฏิเสธเลยว่าแกก็แค่ฉวยโอกาสจากความบังเอิญ'

เป็นนางเอกละครน้ำเน่าเหรอวะไอ้ฟีม

ปลายเป็นรุ่นน้องและเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดเท่าทีฟีมเคยมีในวัยเรียน แล้วสิ่งที่เขาทำคือพูดจาเหมือนปลายทำผิดกับเขาหนักหนา เหมือนปลายหักอกเขา เหมือนว่าระหว่างเขากับปลายมีบางอย่างจริงๆ

'อืม ปลายชอบพี่ฟีม'

คำสารภาพในวันนั้นยังคงติดแน่นราวกับรอยสักในใจ ฟีมจำคำพูดวันที่เขาบอกรักดาวเป๊ะๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้แค่คำตอบและสีหน้าท่าทางของดาวในวันนั้น แต่บทสนทนาของเขาและปลายเมื่อเกือบสิบปีก่อน ฟีมกลับจำได้ราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

'แต่แกเป็นผู้ชาย'

'พี่ฟีมพูดเหมือนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าปลายชอบผู้ชายมานานแล้ว'

'แต่พี่ไม่ได้ชอบผู้ชาย'

'ปลายรู้แล้ว'

'เท่ากับเราจะเลิกสนิทกันเหรอวะ'

'พี่ฟีมคิดว่าไง'

'เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ'

'พี่ ปลายถามจริงเหอะ'

'ทำไมจะไม่ได้วะ แกก็เป็นมาตลอด แค่พี่รู้ว่าแกชอบพี่ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปไหม'

'พี่ฟีม พี่คิดอย่างงั้นจริงๆ ดิ ปลายชอบพี่นะเว้ย ไม่ใช่—'

'ก็พี่ไม่ได้ชอบแก แกชอบก็ชอบไปดิ แต่แกกับพี่ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม'

'แล้วถ้าปลายบอกว่าปลายเป็นเพื่อนกับพี่ไม่ได้ล่ะ'

'แกเป็นมาตลอด แล้วจะเป็นอย่างงี้ไปอีกมันทำไมจะไม่ได้วะปลาย แกจะเลิกเป็นเพื่อนกับพี่เพราะแค่นี้จริงดิ'

ในตอนนั้น ฟีมไม่ได้สนใจว่าปลายจะชอบหรือไม่ชอบเขา ฟีมสนใจแค่ว่าปลายจะหายไปไหนรึเปล่า เพราพว่า ณ ตอนนั้น ปลายสำคัญกับเขามากเกินกว่าที่จะยอมปล่อยให้หายไป

หลายคนรอบตัวยังเคยบอกเขาว่าเขากับปลายเหมือนแฟนกันมากกว่าเพื่อนกัน ขนาดดาวยังเคยเข้าใจผิด ที่จีบอยู่นานก็เพราะดาวคิดว่าปลายเป็นแฟนเขานี่แหละ

ระหว่างเขากับปลาย มีอะไรบางอย่างจริงๆ น่ะเหรอ อะไรคือสับเซ็ตร่วมของพวกเขาในเมื่อปลายชอบฟีม แต่ฟีมไม่ได้ชอบปลายด้วยซ้ำไป

เหตุการณ์อีกอย่างวาบขึ้นมาในหัว และฟีมจงใจเลิกคิด เขาตัดปัญหาโดยการคิดว่าเดี๋ยวไปส่งฟองเสร็จค่อยไปง้อปลาย...ยังไงปลายก็คงไม่โกรธเขานานหรอกใช่ไหม

อย่าหายไปอีกเลย แค่นี้รอบตัวฟีมก็มีวิญญาณเยอะมากพอแล้ว



ปลายนอนมองเพดานอย่างเหม่อลอย เมื่อก่อนยุ่งจนหัวหมุน แต่ตอนนี้ว่างจนไม่มีอะไรทำ เมื่อไหร่จะเดือนหน้าสักทีนะ จะได้ไปทำงานแล้วก็คิดอะไรฟุ้งซ่านให้มันน้อยลง

รู้งี้ผูกมิตรคนไว้เยอะๆ กว่านี้ก็ดีหรอก

ป่านนี้พี่ฟีมจะตื่นรึยังนะ จะโทรไปลางานรึเปล่า จะไปส่งฟองไหวไหม จะหายปวดหัวรึยัง ได้กินยาที่ปลายซื้อให้ไหม

ปลายเอาแต่คิดถึงพี่ฟีม คิดถึงคนที่เอาแต่พูดจาราวกับหิมะ ตอนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นปลายไม่ชอบหิมะเลย หิมะเยอะหรือน้อยก็หนาวจนเจ็บกระดูกไปหมด แถมยังเปียกชื้นอีกตามเสื้อผ้าหน้าผมอีกต่างหาก 

แต่ปลายกลับชอบพี่ฟีม หิมะที่เย็นยะเยียบเสียจนเสียดแทงเข้าไปในเนื้อกระดูก ความขาวโพลนที่ปกคลุมกลับสวยงาม ก่อนจะละลายหายไป ทิ้งเพียงคราบความเปียกชื้นเอาไว้ พี่ฟีมเป็นเสมืือนฤดูหนาวตลอดปีของปลาย

อะไรที่ทำให้เขาตัดใจไม่ได้สักที

ก็คงจะเป็นเพราะระหว่างพวกเขา ในความคิดปลาย เคยมีบางอย่างก่อตัวขึ้นมาจริงๆ

ปลายยังจำได้ดี เมื่อตอนปีสอง คืนนึงที่พี่ฟีมเมาจากการเที่ยวกลางคืน และเรียกให้เขามาหิ้วปีกกลับบ้านเหมือนเดิม

คืนนั้นพี่ฟีมจูบเขา

ปลายจำได้ว่าตัวเองตกใจจนนิ่งไป และอีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดแค่การทาบริมฝีปาก กลีบปากแห้งแตกนั่นยังคงบดเบียดและพยายามที่จะทำให้เขาจูบตอบให้ได้

แทนที่จะหยุด ปลายกลับปล่อยให้ตัวเองจูบกับอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น มือโอบกอดลำตัวที่เล็กกว่าเขาจนจมอก ก่อนจะเอียงใบหน้าเพื่อจูบอีกฝ่ายให้ถนัดถนี่มากขึ้น พี่ฟีมรสชาติเหมือนแอลกอฮอล์ ไฟถนน และลมกลางคืน

'เพื่อนกันเขาทำแบบนี้เหรอพี่ฟีม'

'ก็แกคิดเกินเพื่อน'

'แต่พี่ไม่ได้คิดไง พี่ทำแบบนี้กับปลายไม่ได้ปะวะ'

'แล้วแกจูบตอบทำไม'

'แล้วพี่จูบปลายก่อนทำไม'

บทสนทนานั้นไม่นำพาไปสู่คำตอบของทั้งสองคำถาม ในตอนนั้นปลายรู้สึกว่าทุกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะการกระทำ คำพูดที่ว่าหึงหวง พี่ฟีมรู้สึกอะไรกับเขาจริงๆ อย่างน้อยก็ที่ปลายมั่นใจในตอนนั้น

พี่ฟีมจะรู้ไหมว่าจูบในวันนั้น รั้งให้ปลายอยู่มาจวนเจียนจะสิบปีดีดักได้อยู่แล้ว

รักตัวเองบ้างเหอะไอ้ปลาย ไปหาอะไรให้ตัวเองทำบ้างเถอะ

สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นคว้ากุญแจรถเพื่อออกไปด้านนอก



ปลายไม่อยู่บ้าน

ฟีมรู้เพราะว่ากดกริ่งและยืนรอมานานแล้ว ตะโกนก็แล้ว แต่สิ่งเดียวที่ไม่กล้าทำคือกดโทรออก

แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองลืมโทรไปลางาน

"ชิบหาย"

ฟีมสบถกับตัวเอง มือลนลานกดโทรหาคุณภูทั้งๆ ที่ตอนนี้สายโด่งจนเกือบจะเที่ยงแล้ว ต้องโดนด่าเช็ดแน่ๆ ตายแน่ๆ จะโดนหัักเงินไหมวะเนี่ย

[สวัสดีครับฟีม ผมว่าจะโทรหาอยู่พอดี]

"ผมลืมโทรมาลางานคุณภู ขอโทษด้วยครับ พอดีว่า...เพิ่งตื่น"

[อ้อ เพื่อนฟีมโทรมาลาให้แล้วนี่ครับ ใช้เบอร์บ้านฟีมโทรมาเข้าเครื่องผมเลย] 

"...ห้ะ? ว่าไงนะครับ"

[เพื่อนฟีมเมื่อวานที่ตัวสูงๆ ผิวเข้มๆ น่ะ โทรมาลาให้แล้ว ไม่งั้นผมก็คงหักเงินฟีมจริงๆ]

คุณภูพูดเสียงเย็น และหัวสมองของฟีมก็ผระมวลผลช้าๆ อีกครั้ง

ใช้โทรศัพท์บ้านโทร...แสดงว่าต้องคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาลุกไม่ขึ้นงั้นเหรอ เหมือนตอนสมัยเรียนที่ชอบแอบเข้าไปเช็คชื่อแทนเขาเพราะจำตารางเรียนเขาได้ไม่มีผิด...

ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องนั้นสิวะ ไอ้ปลายมันรู้เบอร์คุณภูได้ยังไง ฟีมขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มนึกหน้าตาเสาบ้านตัวเองออก เขาแปะกระดาษเบอร์โทรศัพท์ไว้ที่เสาเต็มไปหมด เพราะว่าเวลาฟองจะโทรหา จะได้ดูง่ายๆ หรือเวลาเขาจะกดโทรศัพท์บ้าน จะได้ไม่ต้องไปเปิดมือถือตัวเองใหม่

"...ขอโทษด้วยครับ"

[ฟีม]

"ครับคุณภู?"

[ผมถามตรงๆ นะ ไม่ต้องปิด นั่นเพื่อนฟีมจริงๆ หรือแฟนครับ?"

"..."

คุณภูก็เอากับเขาอีกคนเหรอวะเนี่ย แฟนอีกแล้ว ปลายทำตัวเหมือนแฟนฟีมเกินไป หรือว่าพวกเขาดูเป็นเคมีที่ลงตัวกันแน่

[ถ้าไม่สะดวกใจ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับฟีม ผมก็ถามไปงั้น]

"เพื่อนครับ โดนเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนบ่อยๆ เหมือนกัน" ฟีมตอบเพื่อไม่ให้เจ้านายตัวเองเสียหน้า

[อ๋อ ผมก็ว่าอยู่ แต่ตอนคุณดาวเสีย ทำไมผมไม่เห็นเขาเลยล่ะครับ แบบว่า...ผมก็ทำงานกับฟีมมาหลายปีแล้ว มาส่งบ้านไม่เคยเห็นเลย]

"เขา...เพิ่งกลับมาน่ะครับ"

[ไปต่างประเทศเหรอครับ?]

"...ครับ"

ฟีมโกหกเพื่อตัดบท คุณภูจุกจิกกับเขาอีกแล้ว แต่ต้องดูแปลกมากแน่ๆ เลยสินะที่เขามีเมียมีลูก แล้วจู่ๆ ผู้ชายตัวโตๆ ก็เข้าบ้านเป็นว่าเล่น แถมยังสนิทกันจนโดนเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนอีกต่างหาก

คุณภูจะมองเขาเป็นเกย์ไหมวะ

"คุณภูครับ"

[ว่าไงฟีม]

"คือ...ผมไม่ได้เอ่อ ชอบ...หมายถึงชอบไม้ป่าเดียวกันนะครับ กลัวคุณภูจะเข้าใจผิด"

[อ่า...]

คุณภูลากเสียงเหมือนเข้าใจก่อนจะเงียบอยู่นานจนฟีมเริ่มงงว่าเจ้านายตายคาโทรศัพท์รึเปล่า

"คุณภู?"

[...ยังอยู่ครับ ผมทำความเข้าใจนิดหน่อย แบบนี้ผมก็ไม่มีหวังเลยสินะ]

"ห้ะ?" ฟีมเอาโทรศัพท์ชิดหูเพราะได้ยินท้ายประโยคไม่ชัด เจ้านายเขาควรจะพูดจาให้มันรู้เรื่องเหมือนตอนแก้งานหน่อยนะ

[ไม่มีอะไรครับ เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้ฟีมมาตอกบัตรเข้างานให้ตรงเวลาด้วย มีงานใหม่เข้ามารออยู่]

"รับทราบครับ" ฟีมตอบก่อนจะกดวางสายพลางถอนหายใจยาว มือเลื่อนรายชื่อเบอร์ก่อนที่นิ้วโป้งจะหยุดอยู่ที่ชื่อปลาย

'ปลาย'

ชื่อสั้นๆ ที่เมมไว้โดยไม่ต้องกำกับอย่างอื่นห้อยท้ายให้จำได้ต่างจากเพื่อนหรือคนรอบตัวคนอื่น อย่าง 'คุณภู เจ้านาย' 'ดิว บัญชี' หรือ 'แพรว เฮชอาร์'

นอกจากปลายก็มีแค่คนในครอบครัวอย่างม๊ากับเฟย์และดาว ที่เขาไม่ได้เมมชื่อห้อยท้าย แบบนี้ปลายนับว่าเป็นครอบครัวของเขาด้วยรึเปล่า

โทรดีไหม ศักดิ์ศรีที่ไม่มีอยู่จริงมันค้ำคอซะจนฟีมลังเลอยู่นาน เป็นคนไล่เขาไปเองแท้ๆ เพราะตอนเมา ฟีมจะเครียดและพูดทุกอย่างที่คิดในแง่ลบออกมาทั้งหมดโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง

ปลายทนเขามาได้ยังไง

ฟีมคิดถึงดาวอีกครั้ง ถ้าดาวอยู่ ฟีมก็จะถามดาว ให้อีกฝ่ายด่าเขาสักประโยคสองประโยคแล้วไล่ให้เขาไปขอโทษปลาย ดาวเคยบอกว่าปลายเป็นคนดี ให้คบไว้ยืดๆ

แต่ดาวไม่เคยรู้ว่าปลายชอบเขา จนกระทั่งตอนนี้ที่ดาวไม่อยู่แล้ว ฟีมก็ยังไม่คิดจะบอกหน้าเถ้ากระดูกของอีกฝ่าย อยากจะให้ความรักของปลายที่มอบให้เขาตายไปเสมือนไม่มีอยู่จริง

แล้วถ้าปลายหายไปจริงๆ เราล้วนกลายเป็นคนแปลกหน้า ฟีมจะทำอย่างไรดี

ถ้าดาวมองลงมาดาวจะโกรธไหมที่เขาเป็นแบบนี้ ฟองจะโกรธไหมที่อาปลายไม่ไปคุยด้วยแล้ว

แค่สองเดือนที่ปลายกลับมา เขาก็ขาดอีกฝ่ายไม่ได้แล้วงั้นเหรอ ฟีมนึกอย่างสมเพชตัวเอง

ต้องง้อยังไงให้ปลายหายโกรธ ฟีมรื้อความทรงจำตัวเองอีกครั้ง เพราะว่าเขาพูดจาไม่ดีบ่อย ก็หลายครั้งที่ปลายโกรธ แต่ก็เกือบทุกครั้งที่ปลายเข้าใจเขา เพราะปลายรู้ว่าเขาคิดยังไง

อย่างคืนนั้นที่เขาจูบปลายก็เหมือนกัน

'โกรธไหม'

'ก็โกรธ แต่ปลายรู้ว่าพี่พูดไม่คิดเฉยๆ พอพี่คิดได้พี่ก็จะตามมาง้อปลายแบบนี้'

'รู้แล้วก็หายโกรธพี่หน่อยดิ'

'พี่ตอบคำถามปลายก่อน แล้วจะหายโกรธ'

'อะไร'

'พี่จูบปลายก่อนทำไม'

ฟีมจำได้ว่าตัวเองโกหก

'เมา'

และฟีมก็จำได้อีกเช่นกันว่าปลายหัวเราะหยันตัวเอง ก่อนจะตอบเขาตามข้อตกลง

'โอเค รู้แล้วล่ะว่าพี่ต้องตอบแบบนี้'

'แล้วหายโกรธไหม'

'ก็ต้องหายดิ ตกลงกันแล้วเมื่อกี้'

ปลายมีเหตุผล ในขณะที่เขาไม่มีเหตุผลเลย ตอนจูบปลายก็เช่นกัน เขาก็แค่อยากจูบ แอลกอฮอล์ทำให้เขากล้าขึ้น และตอนนั้นก็คิดแค่ว่ารู้สึกดีที่ได้จูบโดยที่ไม่ต้องบอกเหตุผล

ถ้าการง้อคือการโกหก งั้นถ้าฟีมโกหกอีก ปลายจะหายโกรธเหมือนกันไหม

มือเลื่อนกดโทรออก ฟีมฟังเสียงรอสายด้วยใจทีขุ่นมัว



tbc.



Talk

เป็นคนใจร้อนที่ชอบแต่ง slow burn สารภาพว่าตัวละครดำเนินเรื่องเองเยอะมาก อยากจับตีเรียงตัว ยกเว้นเจ้าฟองที่เป็นเด็กดีเสมอ คุณพ่อกับคุณอามีเมฆฝนลอยบนหัว แต่เจ้าฟองเป็นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแก้มแดง

ฝากติชมและส่งความเห็นกันได้เหมือนเดิมนะคะ ไปเล่นในแท็กกันได้ เหงาหงอย

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

Chapter twelve

Dragon

 

ปลายมองสายเรียกเข้ามือถือเป็นชื่อพี่ฟีมก่อนจะถอนหายใจ

มาง้อสินะ

ปลายรู้นิสัยพี่ฟีมดี แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใจแข็งพอที่จะไม่กลับไปไหม สำหรับปลาย มันยากมากเลยกับการที่เราจะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิมแต่ดูแลไม่ได้เท่าเดิม เพราะว่าล้ำเส้นไม่ได้

ปลายเคารพพี่ดาวเสมอ จนถึงตอนนี้ปลายก็ยังคิดว่าชั่วทั้งชีวิตเขากับพี่ฟีมคงไม่มีวันคู่กันได้

แต่ความเห็นแก่ตัวทำให้ปลายเลือกที่จะกลับมาอยู่ข้างๆ พี่ฟีม แค่คิดว่าได้ดูแลก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ข้างในใจของปลาย หวังเพียงแค่ว่าขอให้พี่ฟีมใจร้ายกับเขาน้อยลงสักนิด

ใจร้าย ณ ที่นี้ หมายถึงการปาความจริงใส่หน้าพี่ฟีมจะโกหกความรู้สึกต่อเขาปลายไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่ได้โปรดอย่าพูดความจริงใส่หน้าเขา...แบบเมื่อคืนอีกเลยเถิด

หัวใจของปลาย โดดเดี่ยว อ้างว้าง และกว้างขวาง เต็มไปด้วยระยะทางอนันต์ ถนนหนทางที่ไร้เส้นขอบฟ้า ปลายทางของเขาคือความหวังที่หล่อเลี้ยงเพียงว่าในตอนจบ แม้ไม่คู่แต่ได้อยู่เคียงกัน

ร่างกายล้าถอย แต่หัวใจกลับเต้นรัวทุกครั้งเมื่อเห็นภาพหลอน ยามหลับนอนที่ทรมานแต่ฝันกลับหวานเสียยิ่งกว่าขัณฑสกร ปลายเสพติดรสชาติที่หวานอมขมกลืน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ได้แค่ต้องการ แต่จำเป็น...

พี่ฟีมคือสิ่งจำเป็นสำหรับปลาย


 

[ฮัลโหล ว่าไงพี่ฟีม หายปวดหัวรึยัง]

เสียงของปลายอบอุ่น ปลอบโยน และโอบกอดเสมอ ไม่ว่าจะตอนไหนๆ ปลายก็มีน้ำเสียงที่น่าฟัง ผู้คนล้วนไว้ใจและพึ่งพา บวกกับบุคลิกความเป็นผู้นำ คนจึงรักได้ไม่ยาก...ไม่ยากเลยจริงๆ

ความรู้สึกผิดกัดกิน เป็นคนโทรหาเขาเองแท้ๆ แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นน่ะเหรอ ไม่ใช่วิสัยฟีมเลยสักนิดเดียว

"หายแล้ว แกล่ะ พี่ทำอะไรไม่ดีไปบ้าง"

[พี่ฟีมก็รู้อยู่แก่ใจนี่นา] ปลายตอบพลางหัวเราะขมๆ กลับมา ทำเอาฟีมถึงกับหายใจลำบาก

"ขอโทษ เมาแล้วเป็นงี้ตลอด"

[ไม่เป็นไร ปลายชินแล้ว แค่นี้เอง]

"บางทีพี่ก็คิดว่าแกห่างออกไปเพราะแบบนี้ด้วยรึเปล่า" ฟีมกลั้นใจพูด เขากำลังหยั่งเชิงโดยการล้ำเส้น

[พี่ฟีม...คิดว่าปลายหายไปเพราะ...รำคาญนิสัยพี่น่ะเหรอ?]

"คิดเหตุผลอื่นไม่ออกว่ะ" ฟีมตอบลวกๆ ก่อนจะเสริม "แล้วพี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยด้วย"

[พี่ฟีมเปลี่ยนนะ เวลาอยู่กับพี่ดาว กับฟอง พี่ลดทิฐิตัวเองลง] ปลายตอบ และฟีมสะอึกไปเล็กน้อย

นั่นหมายความว่ากับปลาย เขาไม่เปลี่ยนไปเลยสินะ ใจร้ายอย่างไร ก็ยังใจร้ายอย่างนั้นเหมือนเดิม

[บอกให้พี่สบายใจก่อนแล้วกัน ปลายไม่ได้รำคาญพี่เลย] ปลายตอบเสียงเนิบ [คนเราพอสนิทกันมากๆ มันก็มีช่วงที่ห่างเหมือนกัน พี่เองก็มีพี่ดาวแล้วด้วย ไม่ได้มีแค่ปลายเหมือนตอนเรียน]

"แก ไม่ได้ไม่ชอบพี่แล้วใช่ไหมวะปลาย"

[ชอบแบบไหนล่ะพี่] ปลายถามติดเสียงหัวเราะที่ท้ายประโยค นุ่มหู แต่กลับไม่เจือความขบขันเลยแม้แต่น้อย

"แกยังชอบพี่อยู่ใช่ไหม"

[ปลายก็เหมือนเดิม]

"ทำไมแกไม่ทำตัวให้มันชัดเจน"

[ถ้าปลายทำแบบนั้น พนันเลยว่าพี่เกลียดปลายแน่ๆ]

"พี่เนี่ยนะจะเกลียดแก"

[ไม่ต้องทำให้ปลายดีใจหรอกพี่ฟีม ปลายไม่ไปไหนหรอก]

ฟีมหยุดพูด มือกำโทรศัพท์แน่น และวินาทีนั้นฟีมเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังใจร้ายอีกแล้ว

เขากำลังขอให้ปลายอยู่ เขากำลังขอให้ปลายอย่าเลิกชอบเขา เขากำลังขอให้ปลายรักเขาโดยไม่มีเงื่อนไข ยอมรับว่าวางใจเพราะคำพูดนั้น คำที่ให้สัญญาว่าจะไม่ไปไหน

[ลางานแล้วใช่ไหม ปลายขอโทษที่จุ้นจ้าน]

"...ไม่เป็นไร แกอยู่ไหนน่ะ" ฟีมถามเสียงแหบ ยังดีที่ปลายเปลี่ยนเรื่อง เพราะฟีมคงไม่มีความกล้าพอด้วยว่าชนักติดหลัง

[ปลายออกมาห้างน่ะ ตอนนี้ก็เดินดูหนังสือเรื่อยเปื่อย]

"พี่อยู่หน้าบ้านแก"

[ไม่กลับไปนอนพักล่ะพี่ นานๆ ได้หยุดทั้งที]

"จะอยู่ห้างอีกนานไหม"

[ก็คงนาน ปลายไม่มีอะไรทำ]

"รออยู่ตรงนั้นแหละ" ฟีมว่าก่อนจะออกขาก้าวเดินกลับไปทางบ้านตัวเอง "เดี๋ยวไปหา"


 

ปลายมองพี่ฟีมที่ใส่เสื้อยืดกางเกงขาบานย้วยๆ แบบที่ชอบมาหาเขา ไม่ว่าเมื่อไหร่ อีกฝ่ายก็จะไม่หาชุดไปรเวทดีๆ ใส่จนกว่าจะต้องออกไปงานสังสรรค์ที่เจอผู้คนเยอะๆ หรือเข้าเมือง

ปลายมองคนที่เตี้ยกว่าเขาหลายคืบยืนดูหนังสือนิทาน เขาเว้นระยะห่างด้วยไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก และเพื่อไม่ให้พี่ฟีมกังวล

"ปลาย"

"ว่าไงพี่ฟีม"

ยังไม่เท่าไหร่อีกฝ่ายก็ชะเง้อชะแง้คอมองหาเขาผ่านชั้นหนังสือเสียแล้ว ปลายเดินไปกี่ก้าวก็ไปถึงตัวพี่ฟีมที่หยิบหนังสือนิทานมาสองสามเล่ม

"ฟองยังฟังนิทานอยู่เหรอ เอาเล่มหนากว่านี้ไหมพี่ฟีม อันนี้บาง อ่านแป๊บเดียวก็จบแล้ว"

"ฟองชอบฟังซ้ำๆ" พี่ฟีมตอบโดยยังไม่ละสายตาจากหนังสือ "ดาวอ่านเรื่องเดิมๆ ทุกวัน อ่านจนกว่าฟองจะท่องได้ทั้งหมดจนเบื่อ ไอ้ลูกชายถึงจะยอมเปลี่ยนเรื่อง"

"ประหยัดค่าหนังสือดี" ปลายเปรย

"แต่เดี๋ยวนี้ฟองไม่ได้ฟังนิทาน เพราะพี่เหนื่อยเกินกว่าจะอ่าน แล้วพอปล่อยมันอ่านเอง ก็เบื่อเร็วอีกซะงั้น" พี่ฟีมตอบ แล้วก็มองชั้นหนังสือก่อนจะพูดต่อ "ฟองชอบมังกร เลยเลือกแต่เรื่องที่มีมังกร เรื่องไหนไม่มีมังกร ไม่เปิดหนังสือด้วยซ้ำมั้ง ไม่ก็ฟังรอบเดียว ไม่อยากฟังอีก"

ปลายมองพี่ฟีม ใบหน้าขาวซีดเซียวจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังตรงกรอบหน้า คนใจร้ายตรงหน้าดูดีโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไร

หากดาวคู่กับฟีม ดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชาย ปลายคงเป็นเพียงมังกรที่นอนอย่างเงียบสงบในถ้ำและรอวันที่เจ้าชายจะมาฆ่าตนโดยไร้สาเหตุ

มังกรบางตนไม่เคยจับเจ้าหญิง มังกรเพียงแค่ปกป้องสิ่งที่ควรปกป้อง สิ่งที่โดนสั่งมาว่าชีวิตแลกชีวิต วีรบุรุษครองคู่กับสตรีแสนงาม

มังกรถูกฆ่าเพียงเพราะว่าปกป้องสิ่งสำคัญของตนเอง


 

"วันนี้ไปรับฟองด้วยกันไหม"

ฟีมโพล่งถามเมื่อเห็นปลายเอาแต่เงียบและจดจ่อกับตัวเอง พวกเขากินข้าวร้านที่ปลายชอบ ฟีมทำตัวเหมือนพวกขี้แพ้ที่ตบหัวแล้วลูบหลัง ตามมาเอาอกเอาใจ ด้วยหวังว่าเพียงแค่นี้จะชดเชยไม่ให้ปลายไปไหน

"ได้พี่ ยังไงปลายต้องไปรับฟองอยู่แล้ววันนี้" ปลายตอบพลางยิ้มเหมือนคนเพิ่งหลุดจากภวังค์

"แล้วนี่แกเริ่มงานเมื่อไหร่"

"เดือนหน้าแล้ว ปลายว่าจะบอกอยู่พอดี"

"ก็ยุ่งแล้วอะดิ"

"อืม แต่ปลายเลิกงานห้าโมง บอกแล้วนี่ ว่ายังไปรับให้ได้อยู่ พี่ฟีมจะได้ประหยัดค่ารถโรงเรียนไปอีกหนึ่ง"

"...อืม"

ฟีมรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เขาทำตัวแย่ ปลายก็จะไม่ไปไหน เพียงแต่เจ็ดปีที่ปลายหายไปโดยฝีมือเขาเอง ก็มากพอจะทำให้ฟีมหวาดกลัวอีกครั้ง

เมื่อครั้งมีดาว ฟีมไม่เคยตระหนักถึงการมีอยู่หรือหายไปของปลายเลยแม้แต่น้อย หากแต่เมื่อดาวจากไป ฟีมจึงรับรู้ว่าตนเองไม่เหลือใครเลยนอกจากฟอง

เขามันพวกสันโดษแต่ไหนแต่ไร เพื่อนมีอยู่แทบนับนิ้วได้ แถมยังแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ไม่ได้ติดต่อกันเป็นนิจ

แตกต่างจากปลายที่ญาติสนิทมิตรสหายเต็มไปหมดตอนเรียน หากสุ่มพูดกับสักคน สักคนที่ว่านั่นก็จะรู้จักปลาย ดังนั้นการที่ฟีมสนิทกับปลายจึงไม่ใช่สิ่งพิเศษอะไร ก็แค่หนึ่งในฝูงเพื่อนของเจ้าตัว

จะพิเศษก็คงเป็นความรู้สึกที่ปลายมีต่อเขา รวมถึงความแปลกของปลายที่เลือกจะติดต่อกับน้อยคนทั้งๆ ที่มีคนรู้จักเจ้าตัวมากมาย ความพิเศษที่ทำให้ฟีมย้อนกลับมามองตนเองว่าเขาคนนี้มันวิเศษวิโสอะไรนักหนา มีคุณค่าอะไรให้คนอย่างปลายมาใส่ใจ

ฟีมเป็นคนกระด้างโดยพื้นเพ การกระทำ การมองโลก รวมถึงความรู้สึก ล้วนผ่านการคิดปราดเดียวและไม่เก็บมานึกถึงอีก เมื่อกังวลและเครียดขึงจนถึงจุดหนึ่ง ฟีมจะหยุดคิดและกลายเป็นปล่อยผีตอนเมาเสียจนหมดเปลือก

"แกหายโกรธพี่ยัง" สุดท้ายก็ถามออกไปเพราะว่าไม่ชอบให้ปลายเป็นแบบนี้กับเขานานๆ

"ปลายไม่ได้โกรธด้วยซ้ำพี่"

"หน้าแกมันฟ้อง"

"เขาเรียก...เสียใจ ไม่ดิ น้อยใจปะ? ปลายมีสิทธิ์ใช้คำนี้ไหมอะพี่ ถ้าปลายโกรธจริงๆ ปลายไม่มาอยู่ตรงหน้าพี่หรอก" ปลายพูดโทนเดิมของตัวเอง ช้าเนิบ ชวนให้คนฟังคล้อยความรู้สึกตามเสมอ

"อยู่กับพี่เหนื่อยอะดิ"

"นั่นดิพี่ แต่มีปลายอยู่พี่ก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกันเปล่า"

"มีแกเนี่ยนะเหนื่อย ไม่เลยว่ะ สบายจนรู้สึกผิดเลยเนี่ย แกทำให้ทุกอย่างเลย" ฟีมตอบพลางแค่นยิ้ม ยกมือขึ้นมาตักข้าวเข้าปากอีกคำ

"ไม่อยากให้ปลายยุ่งก็บอกได้นะ บางทีปลายก็ทำเกินตัว"

คำพูดนั้นทำให้ฟีมหยุดเคี้ยวอาหารไปพักนึง ปลายพูดปกติ แต่ฟีมรู้ว่ามันต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนที่จะพูดออกมา

ควรพอไหมน่ะเหรอ หนึ่งหวาดกลัว หนึ่งเททั้งใจ ฟีมกำลังไตร่ตรองระหว่างการหักดิบและปล่อยไปตามใจ เขาชั่งตวงวัดอยู่ในใจ

ถ้าดาวอยู่ จะโกรธเขาไหม ที่เป็นคนแบบนี้

ฟีมนึกถึงดาวบ่อยขึ้นหลังจากปลายเข้ามาในชีวิต ซึ่งตรงกันข้ามกับตอนที่ดาวจากไป เขากลับนึกถึงปลาย ฟีมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงกลับตาลปัตรไปหมดขนาดนี้...

เสียงริงโทนไอโฟนที่ดังขึ้นทำให้ปลายผงกหัวขออนุญาตรับโทรศัพท์ ซึ่งฟีมมองว่าไม่จำเป็นจะต้องพิธีรีตองกันขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ทำงานกับชาติเจ้าระเบียบเนี้ยบกริบแบบญี่ปุ่นคงจะปลูกฝังให้ปลายเป็นเช่นนี้

"ฮัลโหลครับคุณแม่"

ฟีมลอบฟังบทสนทนาด้วยสีหน้าเฉื่อยชา และแสร้งทำเป็นกินข้าว

"ครับ...เดือนหน้าครับ เดี๋ยว คุณแม่ ไม่ได้ ปลายไม่ว่างครับ...ปลายไม่สะดวกจริงๆ"

ปลายมีสีหน้าลำบากใจและลอบมองมาทางฟีม ทำให้เขาต้องเงยขึ้นไปสบตาอย่างช่วยไม่ได้

"ปลายกลับไม่ได้จริงๆ ครับ...คุณแม่อย่าทำแบบนี้สิครับ ปลายก็บอกอยู่ว่าปลายไม่อยากมีใครตอนนี้ งานก็ยุ่ง ทำเขาเสียเวลาเสียใจกันเปล่าๆ"

ท่าทางจะโดนจับคลุมถุงชน นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ผู้ใหญ่ยังจุ้นจ้านกับอะไรแบบนี้อยู่อีกเหรอ

"คุณแม่...เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ ปลายทานข้าวกับพี่ฟีมอยู่...ใช่ครับ ก็มีอยู่ฟีมเดียวนี่แหละ ใช่ครับ ที่ห่างจากตึกบ้านเราไป 11 ห้อง ใช่ครับ"

ฟีมมองอีกฝ่ายที่พยักหน้าหงึกหงักอยู่คนเดียวแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อปลายหันมาสบตาเขากะทันหันพลางยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

"เหมือนเดิมครับคุณแม่ ว่างๆ แวะมาทางนี้ก็ได้นะครับ พี่ฟีมมีหลานชายให้คุณแม่อุ้มเล่นสมใจแน่นอน...โห่ คุณแม่ อุ้มลูกพี่ฟีมไปก่อนสิครับ ปลายไม่น่าได้แต่งหรอกชาตินี้"

ฟีมหน้าร้อนๆ ขึ้นมาแปลกๆ กันคำพูดนั้น ทำไมบทสนทนามันเหมือนแม่สามีจะมาอุ้มหลานขนาดนี้วะเนี่ย

"ฟองอุ้มไม่ได้แล้ว ตัวหนักชิบหาย จะบ้าเรอะ" ฟีมพูดลอยๆ เสียงเบาตอบกลับไป

"ฟองผอมเหมือนพี่ขนาดนี้ เอาอะไรมาตัวหนัก" ปลายตอบฟีมทั้งๆ ที่ยังไม่วางสาย "แล้วพี่ก็ตัวแค่นี้ อุ้มฟองขึ้นสิแปลก"

ฟีมขมวดคิ้วก่อนจะเอาขาเตะปลายใต้โต๊ะ แต่เจ้าตัวไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะลอยหน้าลอยตาคุยกับแม่ต่อ

"เมื่อกี้คุยกับพี่ฟีมครับ...ครับ โอเคครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ไว้ปลายเริ่มงานได้พักนึงแล้วจะกลับไปเยี่ยมครับ...สวัสดีครับ"

ปลายวางสาย และฟีมก็แทรกขึ้นมาทันทีเหมือนรอจังหวะนี้มานาน

"โดนคลุมถุงชนเรอะ?"

"อืม ก็แบบนี้ตลอด ปลายเลยต้องย้ายหนีมานี่ไง"

"แม่แกไปหาผู้หญิงมาจากไหนเยอะแยะ"

"ลูกหลานเพื่อนทั้งนั้นพี่ฟีม ไม่ก็ลูกหลานคุณพ่อ ไม่ก็เพื่อนคุณพ่อ"

"หมายถึงพ่อใหม่น่ะเหรอ" ฟีมย้อนนึกไปถึงตอนเจอครั้งแรก ที่ปลายพูดถึงว่าแม่แต่งงานใหม่ แถมยังมีลูกสาวเป็นน้องสาวปลายเพิ่มมาอีกต้างหาก "น้องชื่ออะไร ยังไม่ได้ถามเลย"

"ปลายฟ้า"

"ซ้ำกับแกอะดิ"

"ก็ซ้ำแต่พยางค์แรก เพราะของปลายมาจากปลายทาง" ปลายหัวเราะ

"นึกว่ามาจากเสมอต้นเสมอปลาย" ฟีมเปรยตามที่นึกมาตลอด "แต่ก็ดูยาวไปว่ะ"

"อืม แล้วฟองล่ะ ชื่อฟองมาจากที่พี่ดาวแพ้ท้องอยากกินฟองดูว์สเวนเซ่นจริงเหรอ" ปลายถามกลั้วหัวเราะ

"ดาวชอบเล่าให้ลูกฟังแบบเพ้อเจ้อ จริงๆ ชื่อฟองมาจากฟองสบู่ต่างหาก"

"พี่ดาวชอบเหรอ"

"อืม ดาวชอบ ที่ตอนแต่งงานตรงเวทีมีฟองสบู่เยอะๆ ก็เพราะงี้ ดาวขอตั้งแต่ตอนไปคุยกับทางสตู ตอนถ่ายพรีเวดก็มีรูปเป่าฟองสบู่ ตอนนั้นถ้าไม่ตามใจก็โวยวายตลอดว่าครั้งหนึ่งในชีวิต"

ฟีมพูดก่อนจะลูบแหวนตนเองพลางยิ้มอ่อนๆ ปลายมองเขา ไม่ได้พูดอะไร ฟีมรู้สึกสมเพชตัวเองทุกครั้งเวลาที่หยุดพูดถึงดาวต่อหน้าปลายไม่ได้ เขาเหมือนพวกที่ติดอยู่ในอดีตแล้วออกมาไม่ได้

"แกก็ปลายทางสมชื่อจริงๆ ชีวิตดูมั่นคงแล้ว ดูพี่ดิ ยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เลย"

"พี่ฟีมคิดไปเอง ตอนนี้พี่ฟีมมีพี่ดาว มีฟอง มีงาน แต่ปลายที่ไม่มีใครไม่เปลี่ยวกว่าเหรอ"

"แกมีพี่ไง แล้วพี่ก็มีแกด้วย"

ฟีมพูดโดยไม่ได้คิดอะไรพลางปรายตาไปนอกร้าน ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ตอบเขา

เขาพูดอะไรผิดหูเหรอวะ

"เงียบไมวะปลาย"

"เปล่า แค่ไม่รู้จะตอบยังไงดี พี่ฟีมดูเป็นคนไม่ชอบพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้า"

"ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็พี่มีแก แกมีพี่จริงๆ จะปฏิเสธเหรอว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น"

"อ่า...ก็จริงเนอะ"

ปลายหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะวกกลับมาเรื่องชื่อ

"จริงๆ ปลายโตมาก็ไม่ชอบความหมายชื่อตัวเองสักเท่าไหร่ ปลายทางมันไม่แน่นอนเลยว่าจะเจอดีหรือไม่ดี ยอมชื่อเสมอต้นเสมอปลายดีกว่า"

"แกคิดไปเอง ชื่อก็แค่ชื่อไหม"

"แต่มันเป็นตัวตนเราทั้งหมดเลยนะพี่"

"แล้วชื่อพี่ล่ะ แกจะว่ายังไง ฟีม มาจากที่ป๊าม๊าชอบดูหนังกลางแปลงงี้"

"พี่ฟีมก็เหมือนหนังกลางแปลงไง"

คำตอบนั้นทำเอาฟีมกลอกตาก่อนจะเอาขาเตะรุ่นน้องตนเองใต้โต๊ะอีกรอบ

"เห้ย ปลายไม่ได้ล้อเล่น พี่คิดอะไรแสดงออกหมด เหมือนเวลาเราขับผ่านหนังกลางแปลงแล้วเห็นทั้งหน้าและหลังว่าเกิดอะไรขึ้นงี้"

"จะบอกว่าพี่ดูออกง่าย?"

"ก็...แล้วแต่จะคิด แต่ก็ดีกว่ามาจากหนังสดปะพี่"

"ไอ้ปลาย มึงเยอะละ เดี๊ยะเหอะ" ฟีมขึ้นเสียงสูง เผลอสบถไม่รู้ตัว แล้วทำท่าจะตีต่อยไอ้คนตรงข้ามโต๊ะที่นั่งขำเขาตาหยี

"อย่าเลยพี่ ตัวเองตอนนั้นก็นั่งดูหน้านิ่งทั้งๆ ที่ปลายนั่งอยู่ในห้องด้วยเนี่ย"

"เอ้า ก็ผู้ชายด้วยกันปะวะ นี่ดูผู้หญิง ถ้าไม่ติดว่าแกชอบผู้ชายจะชวนมานั่งดูด้วยกันละเนี่ย"

ปลายขำเฝื่อนๆ แต่ฟีมไม่ได้สนใจ แต่ประโยคต่อไปทำให้ฟีมต้องตระหนัก

"ปลายอยากจะบอกว่าปลายไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต และรสนิยมก็บอกแค่ความสนใจส่วนใหญ่"

"..."

"ปลายชอบคนคนเดียว ถ้าคนที่ปลายมั่นใจว่าชอบจริงๆ คนนั้นจะเป็นเพศอะไรก็ตาม ปลายไม่สนใจ"

ฟีมไม่กล้าสบตาปลายในประโยค เขากลัว กลัวความรู้สึกของปลาย...และของตัวเอง

"และเผอิญว่าคนที่ปลายชอบดันเป็นผู้ชาย...ก็เท่านั้นเอง"

 

tbc.





Talk

ตอนนี้แต่งนานมาก ยัดอะไรลงไปหลายๆ อย่าง สอบเดือดงานเดือดมากค่ะ พิมพ์เมาๆ ให้อภัยด้วย นอนน้อย แหง่

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก

 

 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ hopeniverse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Chapter thirteen

Ash

 

"พี่ฟีม ไม่ได้ขับมอ'ไซค์มาใช่ไหม"

"เออ นั่งแท็กมา รู้ว่าแกต้องเอารถมา มากินน้ำมันรถแกดีกว่า"

ปลายยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่เดือดร้อนเรื่องเงินค่าน้ำมัน ทำเอาฟีมอยากจะขูดรถมันสักทีสองที เข้าไปนั่งในรถพลางเอนหลังลงกับเบาะแล้วหลับตาเมื่ออาการหน้ามืดจู่โจมเพราะเมื่อคืนดื่มหนัก ร่างกายมันก็ไม่ได้ฟิตปึ๋งปั๋งเหมือนตอนหนุ่มๆ แล้วสักเท่าไหร่

"ปวดหัวเหรอ"

"หน้ามืดนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย"

"เอาน้ำไหม"

"ไม่เป็นไร แกออกรถเหอะ เดี๋ยวไปรับฟองไม่ทัน"

ฟีมพูดทั้งๆ ที่หลับตา แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงสตาร์ทรถสักที กำลังจะลืมตาขึ้นมาเอ็ดให้ขับไปโดยไม่ต้องสนเขา ก็รับรู้ว่าปลายโน้มตัวมาทางเขาแล้วเอื้อมแขนดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ดังกริ๊กโดยที่ไม่พูดอะไร

ลมหายใจปลายที่เป่ารดเรือนผมและใบหน้าฟีมแผ่วเบาทำให้ฟีมขนลุกน้อยๆ จนกระทั่งปลายผละออกไปสตาร์ทรถ ฟีมถึงได้กล้าพูดขึ้นมาเพราะหายใจหายคอสะดวกขึ้น

"วันหลังก็บอกให้คาดเองก็ได้ปะวะ"

"เห็นพี่หน้ามืดอยู่ ก็คาดให้เฉยๆ"

"อืม ขอบใจ"

"นอนไปก็ได้นะ เดี๋ยวถึงโรงเรียนฟองแล้วปลายปลุก"

"นอนไม่หลับหรอก บ่ายแก่ๆ ใครเขานอนลงบ้าง"

"ก็จริง"

จากนั้นในรถก็ปกคลุมด้วยความเงียบ ปลายเป็นพวกเปิดเพลงหรือวิทยุระหว่างขับรถ ฟีมเลยงงว่าทำไมรอบนี้เงียบฉี่ผิดวิสัยเจ้าตัว

"ไม่เปิดเพลงอะ?"

"ก็พี่ปวดหัว"

"อ๋อ เปิดไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก"

"ไม่ล่ะ วันนี้ปลายไม่มี'รมฟัง"

บางทีปลายก็ตามใจเขาจนน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือฟีมไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิดกับการโดนปลายตามใจ ปกติคนเราจะมีลิมิตความเกรงใจ ต่อให้เป็นคนสนิทก็ตาม ถ้าตามใจมากไป ก็จะรู้สึกไม่ดี

แต่กับปลายนั้น ฟีมตักตวงอย่างคนไม่รู้จักพอ และปลายก็พร้อมจะให้อย่างคนไม่มีวันหมด

เขาหลับตาพิงเบาะรถพลางถอนใจเบาๆ เมื่อนึกเรื่องบางอย่างที่สำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้

ใกล้วันที่จะต้องเจอดาวมากขึ้นทุกทีแล้ว

และฟีมเหม่อบ่อยมากขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้

ตอนอยู่ต่อหน้าดาว ต่อให้จะเป็นแค่เถ้ากระดูกหรืออนุสรณ์สถานของวิญญาณ ฟีมไม่เคยโกหกได้เลย

ตอนดาวเสียใหม่ๆ ฟีมไม่เคยฝันถึงอีกฝ่ายเลย ยอมรับว่าเหมือนคนบ้า เขาคิดถึงดาวมาก คิดถึงจนลุกขึ้นมานั่งบนเตียงตอนกลางดึก แล้วก็ยกมือขึ้นไหว้แบบหวังลมๆ แล้งๆ ให้ดาวมาหา

แต่ดาวก็ไม่เคยมา น่าจะดัดนิสัยที่เขาโดนใครต่อใครตามใจจนเคยตัว เพราะดาวเป็นคนเดียวที่ขัดใจฟีม และฟีมไม่เคยโกรธเป็นจริงเป็นจังเลย

แต่ตอนนี้ฟีมกลับกลัวที่จะเจอดาว

'และเผอิญว่าคนที่ปลายชอบดันเป็นผู้ชาย...ก็เท่านั้นเอง'

ไอ้หน้าหนา ไร้ยางอายชิบหาย มันอายบ้างไหมวะตอนพูดแบบนั้นออกมา บอกชอบเขาต่อหน้า คิดว่าพูดอ้อมโลกแบบนั้นแล้วเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นรึไง ฟีมคิดแล้วก็หงุดหงิด

เพราะส่วนหนึ่งคือด้านในของเขาที่มันตายไปพร้อมกับดาวฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ฟีมอายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบห้าปีแล้ว ดังนั้นการรู้สึกใจเต้นเหมือนตอนวัยรุ่นมันช่างเป็นความรู้สึกที่เลือนรางเหลือเกิน เหมือนตอนที่พยายามเข้าหาดาว เหมือนตอนที่พูดจาจีบดาวแบบที่ไม่เคยพูดมาก่อน

ความรู้สึกผิดกัดกิน ความไม่ถูกต้องค้ำคอ ความรู้สึกเดียวกับเมื่อตอนสิบกว่าปีก่อน เหมือนตอนที่สร่างเมาและจำได้ว่าตัวเองจูบปลาย ตอนนั้น...ฟีมก็รู้สึกแบบนี้

ถ้าฟองรู้ เขาจะดูเป็นพ่อที่แย่ไหม

ถ้าดาวรู้ ดาวจะเกลียดเขาไหม

หวังว่าถึงตอนนั้นที่เขาไปหาดาว ดาวจะมาเข้าฝันแล้วบอกคำตอบกับเขาบ้าง

ฟีมคิดถึงดาวมากเหลือเกิน

 

"ชัชวาล นี่ใครอะ"

"คนนี้ป๊าฟีม คนนี้อาปลาย"

"แล้วม๊าไปไหน"

เพื่อนที่ชื่อตะวันถามเสียงเจื้อยแจ้ว ในขณะที่ปลายยืนมองและยิ้มแห้งๆ ฟีมดูจะชินกับสรรพนามเหล่านั้น ถึงได้ยืนรอลูกชายโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ดีลเอง

"ม๊า...ม๊าดาวไม่อยู่แล้ว" ฟองกลั้นใจตอบไปแล้วก็เบือนหน้าหนีเพื่อนที่ชื่อตะวัน เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มถามพรวดขึ้นมาเหมือนไม่เข้าใจ

"ม๊าของชัชวาลไปไหน ทำไมไม่มารับชัชวาล ทำไมต้องส่งอามารับแทนตลอด"

"หรือว่าป๊าของชัชวาลเป็นตุ๊ด!"

ชิบ...ปลายสะดุ้งเมื่อเห็นเพื่อนของฟองพูดแบบนั้น แล้วคนอื่นก็เริ่มเห็นดีเห็นงามเมื่อฟองพยายามเถียง แต่ก็ไม่พูดสักทีว่าม๊าดาวเสียแล้ว

"เป็นตุ๊ด เป็นตุ๊ดแน่ๆ!"

"พอได้ยัง"

พี่ฟีมเริ่มทนไม่ไหว เสียงเย็นยะเยียบจนขนลุก แต่เด็กก็คือเด็ก ไม่สามารถจับสัญญาณของอารมณ์ซับซ้อนไปมากกว่านั้นได้ เพื่อนของฟองมองหน้าพี่ฟีมอย่างไม่เข้าใจ

"แล้วม๊าของชัชวาลไปไหน"

"แล้วพ่อแม่พวกแกไปไหน ไม่มาอบรมสั่งสอนลูก"

ปลายเห็นท่าไม่ดี เพราะว่าพี่ฟีมคว้ามือลูกชายบีบแน่น ตั้งใจจะลากให้กลับบ้าน ไม่ได้การ ถ้าปล่อยให้พี่ฟีมทะเลาะกับเด็กคงไม่ดีแน่

"พี่ฟีม"

ปลายเรียกเป็นการเตือน และพี่ฟีมก็หยุดพูดเมื่อเห็นเด็กสองสามคนตรงหน้าเริ่มตั้งแง่กับลูกชายมากขึ้น ไม่ได้สนใจตนเองเลยแม้แต่น้อย

"ชัชวาลเป็นลูกแหง่! พ่อก็เป็นตุ๊ด!"

ว่าแล้วก็วิ่งหนีไปทั้งฝูง ทิ้งให้พี่ฟีมบีบมือลูกตัวเองอยู่อย่างนั้น ใบหน้าพี่ฟีมเหม่อลอย ส่วนฟองสะอื้นฮัก มือข้างที่ไม่ได้โดนป๊าบีบปาดน้ำตาป้อยๆ ปลายมองภาพนั้นพลางถอนหายใจ

"ฟอง" ปลายเรียกพลางอ้าแขนออกแล้วยิ้มปลอบใจ "กลับบ้านกัน มา เดี๋ยวอาปลายอุ้ม"

"ไม่! เกลียดอาปลายแล้ว! อาปลายเป็นตุ๊ด! อาปลายทำป๊าเป็นตุ๊ด!"

"ฟอง!"

พี่ฟีมตะโกนปรามจนแทบจะเป็นการตะคอก มือที่บีบข้อมือลูกชายอยู่บีบแน่นกว่าเดิมจนฟองนิ่วหน้า

"ไม่เป็นไรหรอกพี่ฟีม" ปลายยืดตัวขึ้น สัมผัสได้ว่าใบหน้าตัวเองต้องดูแย่มากแน่นอน "กลับกันเถอะ...นะครับ"

ฟีมพยักหน้าทั้งๆ ที่ใบหน้าซีดขาวนั้นยังคงเหม่ออยู่แบบนั้น ฟองที่ร้องไห้โดนกึ่งลากกึ่งจูงมาเรื่อยๆ จนถึงที่รถ

ปลายขับรถด้วยใจที่เจ็บหนึบ ภาพและเสียงของฟองที่ตราหน้าว่าเขาเป็นตุ๊ดชวนให้นึกถึงตอนนั้นที่พี่ฟีมเองก็เผลอกล่าวหาเขาแบบนี้เช่นกัน

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่ก็โทษใครไม่ได้เช่นกัน เพราะปลายเข้าใจ ถึงจะเจ็บปวดก็ตาม

บางครั้งการที่ปลายเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าปลายไม่เจ็บปวด และเพราะการเข้าใจนี่แหละ ที่ทำให้เรารู้สึกผิดที่จะเจ็บปวด เพราะสมองที่ทำงานด้านตรรกะสั่งมาว่าถูกต้องแล้ว ในขณะที่หัวใจบีบตัวจากส่วนลึกความรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

"ฟอง ขอโทษอาปลาย"

พี่ฟีมสั่งเสียงเย็นตอนที่ขึ้นนั่งบนรถเบาะหน้าและฟองนั่งเบาะหลัง ปลายถอยรถขณะมองผ่านกระจกหลัง รับรู้ว่าฟองหันหน้าหนีพลางเงียบเข้าสู้

"ฟอง"

"พี่ฟีม ไม่เป็นไรหรอก ปลายเข้าใจ"

"ฟอง แกอยากโดนไม้เรียวเหรอ"

"พี่ฟีม!"

ปลายเรียกอย่างเหลืออด เขาตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยโดนตี ดังนั้นจึงรับไม่ได้ถ้าพี่ฟีมจะเลี้ยงลูกด้วยการตีเมื่อทำผิด เด็กตัวแค่นี้ ต้องมาโดนตีเหมือนวัวเหมือนควาย คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำลงไปได้ยังไง

"ปลาย แกจะโมโหอะไรอีกคนวะ"

"พี่ตีลูกลงได้ไง"

"ทำไม เขาก็เลี้ยงกันมาแบบนี้"

"ไม่ได้ พี่ห้ามตีลูก คนเราคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้เหรอ"

"แล้วแกดูดิว่าฟองมันมีเหตุผลไหม"

"แต่นั่นลูกชายพี่นะ พี่ตีลูกลงได้ยังไงวะ!"

ปลายเสียงดังอย่างเหลือทน เขาไม่ชอบให้พี่ฟีมเป็นแบบนี้เลย ฟองยังเด็ก ยังมีโอกาสที่จะเติบโตและเรียนรู้ที่จะขอโทษ ดังนั้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องว่าใครผิดใครถูก แต่เป็นการให้อภัยต่างหาก

"ปลาย เป็นบ้าอะไรไปอีกคนวะ แกจะตะคอกพี่ทำไม"

"พี่ยังไม่ชอบโดนตะคอกเลย แล้วนี่พี่จะตีฟอง ปลาย...ปลายรับไม่ได้ว่ะพี่"

"เป็นห่าอะไรไปอีกคนเนี่ย ลูกตัวเองก็ไม่ใช่"

ปลายเงียบเมื่อได้ยินดังนั้น

เขาจุ้นจ้านเกินไปอีกแล้วสินะ

และเหมือนพี่ฟีมก็จะหมายความตามที่บอกจริงๆ ด้วย เพราะอีกฝ่ายมองตรงไปด้านหน้าโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

"ขอโทษ..."

เสียงฟองดังจากเบาะหลังขึ้นมาเลาๆ ทะลุเสียงแอร์ในรถ ปลายมองผ่านกระจกหลัง ถึงจะดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็คงขอโทษเพราะว่าเขาช่วยไม่ให้โดนตี เอาเถอะ...ฟองไม่ใช่เด็กไม่น่ารัก ปลายเข้าใจว่ามันยาก ยากทั้งสำหรับฟองและพี่ฟีม กับการอยู่โดยไม่มีพี่ดาว

ปลายไม่ควรจะแส่มือเข้ามายุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่น

ปลายพาฟองกับพี่ฟีมไปส่งถึงบ้านก่อนที่ตัวเองจะแบกใจอันหนักอึ้งขับผ่านสิบเอ็ดบล็อกที่ยาวราวกับร้อยๆ บล็อกกลับบ้านตัวเอง

กำลังจะไขกุญแจเข้าบ้านก็มีคนมาสะกิดจากด้านหลังก่อน ทำเอาปลายสะดุ้งโหยง

"พี่ปลายคะ"

"น้องมีน เดี๋ยว มาได้ไงเนี่ย"

ปลายมองสาวเจ้าตรงหน้าที่แต่งตัวสวยสะพรั่งมาอยู่ที่หน้าบ้านเก่าเขาอย่างงงๆ มีนเป็นลูกสาวติดของพ่อใหม่ก่อนจะแต่งงานกับแม่เขา เป็นหนึ่งในรายชื่อสาวที่แม่พยายามจะจับคู่เขาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนั้นมีนเพิ่งจะมัธยมปลาย แล้วปลายก็เพิ่งจะเริ่มทำงานหัวหมุน เจอหน้ากันไม่เท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไปเรียนต่อตรีที่อังกฤษแล้ว ทำเอาปลายโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

"คุณแม่ให้มาเซอร์ไพร์สค่ะ มีนเกือบจะโทรหาพี่ปลายแล้ว แต่พี่ปลายกลับมาพอดี โชคดีจัง"

"จะมาจับคู่พี่่กับมีนอีกเปล่าเนี่ย" ปลายถามตรงๆ พลางยิ้มแห้ง เพราะเขากับมีนโดนเลี้ยงมาอย่างเปิดเผย

"โห่ ไม่ปะพี่ปลาย นี่มีนก็มีแฟนแล้วเถอะค่ะ"

"เห้ย จริงปะ พี่ไม่อัพเดตเลย"

"อย่าเพิ่งบอกคุณแม่นะคะ" น้องมีนทำหน้ามีลับลมคมในก่อนจะกระซิบบอก "ว่าแฟนมีนสวยมากกกก"

"อ่า..." ท่าทางตระกูลเขาจะอดอุ้มลูกอุ้มหลานไปแล้วในเจเนเรชั่นนี้ ฝากความหวังไว้ที่น้องสาวอีกคนที่ตอนนี้เพิ่งหัดเดินได้ก็แล้วกัน "ได้ครับ พี่เองก็ชีวิตนี้น่าจะไม่ได้แต่งงานแล้วเหมือนกัน"

"ไว้จะพาแฟนมานอนค้างบ้านค่ะ อวดๆ ถ้ามีนพาผู้หญิงมาค้างแล้วบอกเพื่อนสนิทพี่ปลายกับคุณพ่อรู้ไว้เลยว่านั่นแฟน"

"แล้วงี้ไม่บอกคุณแม่จะดีเหรอครับ"

"คุณพ่อบอกว่าอย่าเพิ่งบอก รอให้แน่ใจก่อนว่าคนนี้ แต่นั่นแหละ คุณแม่พี่ปลายน่ากลัวง่า ดีนะพี่ปลายชอบผู้หญิง แต่ดันไม่อยากแต่งงานซะงั้น"

"คือ...พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงครับน้องมีน"

"อ้าว" น้องมีนตาโตเป็นไข่ห่านก่อนจะปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ "เดี๋ยว งั้นแบบนี้ พี่ปลายต้องมีแฟนซ่อนไว้ใช่ไหมคะ!"

"คือ...ไม่มีครับน้องมีน ใจเย็นๆ" ปลายบอกก่อนจะหัวเราะ หน้าพี่ฟีมลอยขึ้นมา ทำเอาหัวใจเจ้ากรรมเจ็บแปลบๆ

"ถ้ามีแล้วพาเข้าบ้านแล้วบอกว่าเพื่อนสนิทนะคะ เวิร์กๆ แบบน้องมีน"

ปลายหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะพยักหน้า

"โอเคครับโอเค แล้วนี่มาตามกลับบ้านจริงจังใช่ไหม ตอนแรกพี่ปฏิเสธคุณแม่ไป"

"อะใช่ค่า ว่าจะมา come out กับพี่ปลายนี่แหละ จะได้ไม่อึดอัดใจกัน ให้คุณแม่เขาจับค่งจับคู่ไปคนเดียว"

"สงสารเลย แต่ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจครับ งั้นเดี๋ยวปลายกลับไปนอนบ้านสักคืนสองคืนแล้วกัน"

"ดีลค่า"

 

ฟีมกำไม้เรียว มองลูกชายที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าที่ทำหน้าดื้อถือดีไม่รู้สึกผิดแล้วก็โมโห แต่พอนึกถึงคำพูดที่ปลายตะคอกใส่เขาแล้ว...ฟีมก็ตีฟองไม่ลง

ทั้งชีวิตที่คบกันมา ปลายแทบไม่เคยตะคอกใส่เขาเลย ไม่เลยสักครั้งเดียว

สุดท้ายก็วางไม้เรียว ตัดสินใจไม่ตีลูกชายตัวเอง

"แกเกลียดอาปลายแล้วจริงๆ เหรอ" ฟีมถามลูกชายตัวเอง รู้สึกแย่น้อยๆ ที่ปลายจะโดนฟองไม่ชอบ

"...เปล่า"

"แล้วทำไมพูดกับอาปลายแบบนั้น"

"ก็อาปลายทำให้ป๊าโดนล้อ"

"เขายืนเฉยๆ เขาไปทำอะไร ป๊าต่างหากที่ทำให้แกโดนล้อ"

ฟีมตอบอย่างเหนื่อยหน่าย เขาไม่ชอบที่ปลายมายุ่งหลายๆ เรื่อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ทุกอย่างดีขึ้นจากมุมที่เขาไม่เคยมองเห็นมาก่อน

ถ้าเขาตีฟอง เรื่องก็จะจบที่เขาใช้อำนาจความเป็นพ่อมาข่มให้ฟองเงียบ แล้วเราก็จะไม่ได้คุยกัน

ตอนดาวอยู่ ฟองยังไม่ถึงวัยดื้อ เพราะยังไม่เข้าโรงเรียน ปกติแล้วฟองจะติดดาวมากกว่าเขา ฟีมเลยไม่รู้ธรรมชาติของฟองเท่าดาว

ตอนนี้ดาวไม่ได้เห็นฟองใส่ชุดนักเรียน ไม่ได้เห็นฟองไปโรงเรียน หรือว่าทะเลาะกับเพื่อน

ตั้งแต่ดาวตายไป ฟีมก็นั่งคิดอยู่หลายรอบถึงโลกหลังความตาย จะมีจริงๆ แบบที่ตามรายการทีวีออกมาเล่าหรือแชร์ประสบการณ์จริงๆ น่ะเหรอ ถ้าแบบนั้นทำไมเขาไม่เคยเจอดาวเลย ทำไมดาวไม่เคยมาหาเขาเลย

"ป๊า..."

"อะไร"

"อาปลายโกรธฟองแล้วไหม"

ฟีมส่งเสียงเหอะในลำคอเล็กน้อย คนอย่างปลายที่ยึดคิดกับเขามาเป็นสิบๆ ปีน่ะเหรอจะโกรธฟองกะอีเรื่องแค่นี้

"ไม่หรอก แต่กับป๊าน่ะ ไม่แน่"

"ทำไมป๊าชอบว่าอาปลาย"

"แกก็ว่าอาปลายเหมือนกันเมื่อกี้"

"ก็ป๊าอะ!"

"โทษป๊าอีก อะไรวะเนี่ย"

ฟีมเกาหัวงงๆ ก็ดีที่ฟองไม่เกลียดปลาย แต่เขากับปลายนี่สิ อึมครึมอีกแล่ว ได้ข่าววันนี้เพิ่งไปง้อ ต้องบากหน้าไปง้ออีกรอบเหรอวะเนี่ย สรุปแล้วปลายขี้งอนเป็นผู้หญิงหรือเขาปากร้ายกันแน่

"ป๊า"

"ไรอีก"

"ไม่ให้อาปลายมารับแล้วได้ไหม..."

"ไม่อยากโดนล้อ?"

"อือ"

ฟีมถอนหายใจยาวกว่าเดิม ยากไปหมด เขาโดนมองว่าเป็นตุ๊ดมันก็รู้สึกแย่อยู่หรอก แต่ปลายน่ะสิ ถ้าเขาไปบอกว่าไม่ต้องไปรับฟองแล้ว จะไปทำร้ายอีกฝ่ายไหม

"ไว้ค่อยคุยกับอาปลายพรุ่งนี้"

ฟีมว่าก่อนจะเดินเข้าห้องตัวเองแล้วนอนลงทั้งๆ ที่ไม่ง่วงเลยแม้แต่นิด

 

tbc.

 



Talk

อดนอนทั้งสัปดาห์ งานก็ต้องทำ สอบก็ต้องสอบ แต่ว่าผลักทุกอย่างเพื่อมาอัพนิยายแก้เครียด แง อยากปิดเท๊อม ฝากคอมเม้นติชมได้เช่นเดิมนะคะ

#ห่างเพียงสิบเอ็ดบล็อก

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2019 21:11:23 โดย hopeniverse »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เขียนได้ดีมากๆ เลย เรื่องไม่ได้อืดนะ
ตัวละครทุกตัวมีมิติ
ฟอง: เด็กก็คือเด็กนะ แก่นแก้วบ้าง การพูดจารู้สึกยังไงก็พูดอย่างนั้น
ฟีม:  พยายามนึกแต่สิ่งรอบข้าง  เพื่อปกปิดความรู้สึกลึกๆ ในใจตัวเอง
ปลาย: น่าสงสารที่สุด คนที่แพ้คือคนที่รักเขาก่อน แม้จะโดนคำพูดที่บาดลึก
ก็ต้องยอมเจ็บช้ำในใจ ทำได้แค่ยอมรับกับตัวเองว่าล้ำเส้นคนอื่น โอ๊ยพระเอก..
 :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด