ยอดนักสืบวิน & ยิ้ม [1] หลังจากออกจากบ้านหลังนั้น ผมก็เดินออกไปหน้าหมู่บ้านเองกับไอ้ยิ้มสองคน
แถวนี้หารถยากหน่อยเพราะเป็นเขตหมู่บ้าน ไม่ค่อยมีรถผ่าน ถ้าจะรอก็มารอที่ปากทางเข้าเพราะติดกับถนนใหญ่
2นก จ.XXX 4157 เลขทะเบียนรถของวินมอไซค์’ เด่นหราอยู่บนหน้าจอมือถือ นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องออกไปตามหา แล้วเอามือสัมผัสดูเหตุการณ์ว่าวันนั้นเขาขับรถพามายไปส่งที่ไหน
ก็คงต้องไม่พ้นสถานีขนส่งของจังหวัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมของพวกวินมอไซค์’ แล้วก็แท็กซี่มากมาย เพื่อรอรับลูกค้าไปส่งตามสถานที่ต่างๆ
ที่มาที่นี่ก็เพราะว่าสถานีขนส่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านนี้ ห่างไปประมาณสามกิโล’ น่าจะเป็นวินมอไซค์’ สายเดียวกันกับหมู่บ้านคนรวยนั่นอย่างแน่นอน แล้วตอนนี้ผมก็ต้องเดินหาเลขทะเบียนดังกล่าว ส่วนไอ้ยิ้มก็ตามหลังผมต้อยๆ ไม่พูดไม่จาอะไรสักอย่างตั้งแต่อยู่ในบ้านนั้นแล้ว
ผมจึงถามมันออกไป “เป็นอะไร”
มันตอบสนองกับคำถามของผม “เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วทำไมถึงเงียบ ปกติเห็นกวนกูตลอด” ถามเสร็จก็หันกลับมามองหน้าจอ
2นก จ.XXX 4157 จะหาเจอยังไงวะ รถมีเป็นร้อยคัน...
มันที่เดินตามผมมาเรื่อยๆ เริ่มมีปฏิกิริยากับสิ่งที่ผมพูดไป “ทำไม...อยากให้กวนเหรอ พร้อมกวนเสมอนะ อยากให้กวนเมื่อไหร่ก็บอก”
ไอ้สัส...พอได้พูดทีก็ยาวเลย แถมกวนกูอีก เออ มันก็กวนอยู่นี่ไงวะ “ไม่โว้ย! ...เร็วเลย ช่วยกันหารถทะเบียน
2นก จ.XXX 4157 จำไว้ด้วย” ผมเดินนำมันไปลิ่ว มันที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ก็เดินตามผมมาติดๆ แล้วไปดูด้านใน
ผมเดินเข้าไปดูท้ายรถตั้งแต่คันแรกที่เจอ พี่วินเสื้อกั๊กสีส้มเห็นผมก็มองกันใหญ่ เพราะคิดว่าผมเป็นลูกค้า แล้วคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา
“ไปไหนครับ” ผมโบกมือให้เป็นเชิงบอกว่าไม่ครับ
ตามด้วยอีกคน
“ทองไหลทองหล่อ หนอกหงอก บางแขๆ”
และอีกคน และคนอื่นๆ อีกพูดเสียงดังระงม
“ไปไหนครับ ไปไหน”
“พี่ถูกสุดแล้วน้อง ส่งไกลจ่ายถูกครับ”
“สะพานสามโคก ห้างทองเจ๊ปุ๊ย แซนแท่นแพแซ่”
ทุกคนล้วนถูกผมปฏิเสธ ผมจึงรีบเดินหาไปเรื่อยๆ ไม่ว่าคันไหนๆ ก็ไม่ใช่ 2นก จ.XXX 4157 เลยสักคัน สงสัยจะยากแล้วสิ มองไปหาไอ้ยิ้ม มันเองก็เดินหาอย่างสบายใจ คันไหนก็ไม่ใช่อยู่ดี จนมาบรรจบกับผมที่ท้ายแถว
“กวินท์เจอป้ะ”
“ไม่เจอ...สงสัยจะยากจริงๆ วินมีเป็นร้อยคัน...อีกอย่างอาจจะมาจากสายอื่นก็ได้” ผมพูดไปแล้วมันก็พยักหน้าคิด แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องไปที่ที่หนึ่งข้างหน้าตัวเอง “อะไร”
“ถ้าไปถามตรงนั้นจะได้ไหม” มันชี้ไป ผมจึงมองตาม
‘ติดต่อสอบถามบริการสถานีขนส่ง’
‘วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถให้เช่า จักรยานยนต์ จักรยาน'
“เออ ฉลาด น่าจะได้อยู่นะ”
“แน่นอน คนมันหล่อ” ผมลุกไปไม่สนใจคำพูดของมันที่อวยตัวเองจนมันทำหน้างอใส่ สมน้ำหน้า ฮ่าๆ ๆ “เอ้า รอด้วยดิ!”
พอมาถึงก็เห็นเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ด้านใน เป็นผู้ชายอ้วนดำวัยกลางคนกำลังกินหมี่ผัดอยู่อย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจคนรอบข้าง...พอเห็นเขากินหมี่ผัดปุ้บ ผมกับไอ้ยิ้มก็กลืนน้ำลายพร้อมกันโดยบังเอิญ ลืมไปว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ส่วนข้าวเช้าก็กินไปนิดเดียวเอง ขนมปังกับแยมสับปะรด
เริ่มรู้สึกได้ถึงความหิวขึ้นมามหาศาล...
“สวัสดีครับ มาสอบถามเรื่องวินมอไซค์’ ครับ” ผมพูดออกไป เส้นหมี่ผัดคำโตที่กำลังจะคีบเข้าปากก็หยุดชะงักแล้วหันมาหาผม
“จะมาสมัครวินเหรอ วินเต็มแล้ว ไม่รับ” พูดจาเกรี้ยวกราดมากพี่ สมกับหน้าตาและหุ่นห้าง พอผมหันไปมองไอ้ยิ้ม มันไม่ได้สนใจเจ้าหน้าที่สักนิด แต่ไปสนใจสิ่งที่อยู่ในจานแทน พลางทำตาละห้อย กลืนน้ำลายด้วยความหิว สงสารว่ะ...
“ไม่ใช่ครับพี่ ผมมาตามหารถเลขทะเบียน
2นก จ.XXX 4157 ครับ” พอพูดจบ เส้นหมี่ที่จะเข้าปากอ้วนตุ้ยก็หยุดชะงักอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันมาหาผมอย่างสงสัย
“รอเดี๋ยว” เขาพูดแล้วหยิบสมุดจดเล่มใหญ่สีกรม เปิดๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าหน้าหนึ่ง “อ๋อ รถของไอ้แสน...เป็นญาติมันเหรอ”
“เอ่อ...ไม่ใช่ครับ พอดีมาธุระนิดหน่อยครับ”
“มีธุระกับคนหรือกับรถ”
“มันต่างกันยังไงเหรอครับ ถ้าผมไปหารถก็ต้องเจอคน ไปหาคนก็ต้องเจอรถ...” ทำไมอยู่ดีๆ ก็กวนพี่เขาวะ คงไม่เอาปืนออกมายิงผมหรอกนะ หน้าตาเป็นฆาตกรได้อยู่ ขอโทษครับ!
“ก็ถ้ากับรถ ไปอยู่อู่ซ่อมโน่น...แต่ถ้ากับคน เพิ่งตายเมื่อวานเช้า”
เชี่ย...ตายเลยเหรอวะ อะไรมันจะเป้ะขนาดนั้น
ผมได้แต่ยืนอึ้งกับคำตอบที่ได้ เจ้าของรถตายเมื่อวานเช้า...ส่วนรถก็เข้าอู่ซ่อม...เป็นขนาดนี้แสดงว่ารถนี่เกือบยับแน่ๆ
“ขับรถตัดหน้ากับรถเก๋ง ชนตายห่าไปเลย...สมน้ำหน้ามัน ไม่ดูทางก่อน” โอ้โห...คนตายยังต้องแช่งกันอีกเหรอวะเนี่ย โคตรเหี้ยมเลย...เอาเป็นว่าภารกิจตอนนี้ต้องยืดยาวไปอีก ต้องไปถึงอู่ซ่อมเลยว่ะ ไกลชัวร์
“ขอบคุณมากครับพี่” ผมไหว้พี่เขาแล้วไอ้ยิ้มก็ไหว้ตาม “แล้วอู่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
พี่แกทำหน้างงใส่ “เอ้า! ไม่เคยมาขนส่งเรอะ ถึงได้ไม่รู้ว่าอู่อยู่แค่ข้างหลังสถานีนี่เอง เอ้อ...” พี่แกส่ายหัวแล้วหันไปกินหมี่ผัดต่อ ผมจึงเดินนำออกไปจากตรงนี้ทันที
ณ อู่ซ่อมรถหลังสถานีขนส่ง
มีอู่ตั้งอยู่ตรงนี้จริงอย่างที่พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้ ด้านในได้ยินเสียงหวีดๆ ของเครื่องจักร สะเก็ดไฟที่เกิดจากแรงเสียดสีรุนแรงเป็นประกายกระจายออกมา
ผมที่ยืนมองอยู่ด้านนอกอู่ ดูว่ารถของพี่วินคนนั้นอยู่ตรงไหน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ชายเสื้อขาวที่มีรอยน้ำมันเครื่องดำติดจนไม่เหลือที่ให้ขาว เขาหันมาทางผม บนหน้าของเขาใส่กะบังหน้าครอบหัวป้องกันสะเก็ดไฟกระเด็นใส่เอาไว้ เลยเห็นหน้าไม่ชัด แล้วเขาก็หยุดเครื่องลง เปิดหน้าพลาสติกที่บังหน้าออก เผยให้เห็นชายหนุ่มที่เจอกันตั้งสองครั้ง และนี่รอบที่สาม
นี่มันอาร์มเพื่อนของชมพู่นี่หว่า...ทำงานอยู่อู่นี้เหรอเนี่ย
“อ้าว คุณวิน...มาทำอะไรเหรอครับ” เขาถามผมขึ้น “มารับรถเหรอ...ไม่มีรถของคุณนะ”
“สนิทกันเหรอ...” ไอ้ยิ้มถามผมเบาๆ
“เปล่า เพื่อนของชมพู่ ที่ติดรถไปด้วยวันนั้นไง จำไม่ได้เหรอ”
“อ่อ” มันมองด้วยหางตาใส่แปลกๆ “ก็พอดีผมไม่ได้สนใจคนด้านหน้าเลย” ...ห้ะ
ผมไม่สนใจมันแล้วหันไปถามอาร์มต่อทันที “ผมมาตามหารถคันนึง มันเพิ่งเข้าอู่มา ทะเบียน
2นก จ.XXX 4157 ครับ” ผมบอกออกไป เขาฟังแล้วหันซ้ายหันขวาไปมอง ว่ารถคันดังกล่าวอยู่ส่วนไหนของร้าน...
“อ้อ...คันนี้เองเหรอ” เขาหันมาที่รถตัวนั้นที่กำลังซ่อมอยู่ ดูสภาพแล้วยับเยินพอสมควร “พอดีถอดทะเบียนออกเลยไม่เห็น...คันนี้แหละครับ”
“อ่อครับ...เอ่อ” จะทำไงต่อดี...จะเดินเข้าไปจับเลยดีป้ะ “ผมขอเช็กรถหน่อยได้ไหม”
“นี่รถคุณหรอกเหรอ...ไม่ใช่สิ เห็นเขาบอกกันว่าเมื่อวานตอนเช้าคนขับขับไปชนกับรถเก๋งตาย”
“อ่อ ครับ...ผมขอดูอะไรนิดหน่อยนะครับ แป้บเดียว” อาร์มพยักหน้าให้อย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าผมจะดูไปเพื่ออะไร ถ้าแตะลงไปบนเบาะ ก็จะได้รู้เบาะแสว่ามายไปไหนในวันนั้นสักที
ไม่รอช้า ผมกลั้นใจยื่นมือตัวเองลงไปทาบบนเบาะรถทันที...เริ่มใช้สติและสมาธิอย่างสูง อย่างที่อ่านในหนังสือเล่มนั้นมา การใช้สติและสมาธิจดจ่อทำให้มองเห็นภาพชัดขึ้นและยาวนานกว่าเดิม
ไม่นานนัก ผมก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นและเป็นสีเทาเรืองๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆ โผล่มาเป็นฉากๆ ให้ผมเห็น...รถขับเคลื่อนผ่านไปที่ที่หนึ่ง ผ่านโรงพยาบาลที่ตาแม้นเคยมาพัก...ผ่านร้านหมูปิ้งที่เคยพาไอ้ยิ้มไปซื้อ ทางข้างหน้าถ้าตรงไปจะเป็นร้านหนังสือตาแม้น...แต่ก็เลี้ยวเข้าทางแยกซอยเสียก่อน...
นั่นซอยบ้านผม! ใกล้จะเห็นแล้วว่ามายไปไหน! หัวใจผมเริ่มเต้นตุบๆ เพราะต้องการสิ่งที่อยากรู้เต็มแก่ เลยทำให้สติเลยเถิดออกไป แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดจบลงทันที
แม่ง...น่าเสียดายจริงๆ! ทำไมต้องรู้สึกตื่นเต้นเวลานี้ด้วยเนี่ย จะบ้าตาย! เกือบจะรู้อยู่แล้วว่ามายไปไหน ผมสัมผัสมือลงบนเบาะอีกครั้งอย่างใจร้อน แต่ก็ไม่ได้ปรากฏภาพใดๆ ขึ้นมาอีกจนผมล้มเลิกการกระทำ
หันไปมองทางอาร์มที่มองมาทางผมแบบแปลกๆ “เป็นอะไรไหมครับ”
ผมที่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป “พลังจิตน่ะครับ...คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ”
อาร์มดูเหมือนจะเชื่อเลยพยักหน้าให้เบาๆ “แล้วคุณวินได้ข่าวเรื่องของมายบ้างยังครับ เผื่อผมเจอชมพู่จะได้บอกให้ได้”
“ยังเลยครับ...กำลังสืบอยู่ แต่คงใกล้จะรู้แล้วล่ะครับ”
“อ่อ...ครับ”
ผมกลับมาที่บ้านตอน 4 โมงเย็นกว่าๆ
แต่ก่อนหน้านั้นผมแวะไปที่บ้านชมพู่ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่บ้านสักคน เงียบกริบ มองลอดผ่านประตูรั้วก็ไม่เห็นรถเก๋งสีขาวคันกระชับของเธอจอดอยู่ เลยตัดสินใจไม่รอแล้วกลับบ้านเลย
พอถึงบ้านก็เห็นตาแม้นนอนเปิดพัดลมใส่ขาอย่างสบายใจเฉิบอยู่ที่เก้าอี้นอน ช่วงนี้ตาแม้นไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่ต้องใช้รถวิลแชร์ ดูแข็งแรงเป็นปรกติ แต่เรื่องสภาพจิตใจของตาแม้นกับร้านหนังสือยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มถามตาแก
“ทุกอย่างคือความทรงจำของตา...” เสียงเศร้าเปล่งออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ผมเข้าใจว่าร้านหนังสือนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตา ทั้งที่ซุกหัวนอน ทั้งที่ทำมาหากิน อยู่กินกันมาตั้งหลายปี ก็มีวันหนึ่งที่ต้องจากลา...
“ไม่ต้องกังวลนะครับ...อยู่กับผมที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ ตาไม่ต้องห่วงเลย...ขอบพระคุณตามากๆ นะครับที่เคยเลี้ยงข้าวผมหลายครั้ง ร้านหนังสือของตาผมชอบมากจริงๆ ผมก็อยากจะตอบแทนตาบ้างเวลาตาลำบาก” ผมพูดออกไปอย่างจริงใจแล้วยิ้มให้
ชายชรายิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ...ช่างมันเถอะ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ถือเสียว่าเป็นเวรกรรมของตา และก็ถือว่าเป็นบุญของตาที่ได้รู้จักคนดีๆ อย่างหนุ่ม...อย่าไปสนใจว่าใครเขาจะว่าหนุ่มเป็นยังไง...เป็นตัวของเราเอง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทุกอย่างก็จะดีเอง เราก็จะอยู่กับสังคมนี้อย่างสบายใจ” ตาแม้นสอนผมทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก พอฟังแล้วก็นึกถึงแม่ ยาย และตา เมื่อก่อนพวกท่านก็พร่ำสอนผมมาตลอด แต่พอโตขึ้นแล้วปีกกล้าขาแข็งก็ออกจากบ้านมาหาเงินจนถึงทุกวันนี้ นับว่ามีทั้งเรื่องดีบ้างและเรื่องไม่ดีบ้างปนเปกันไป เป็นสีสันสำหรับคนประหลาดอย่างผมในชาตินี้...เป็นไงล่ะ มีสีสันมากเลย มีคนอย่างไอ้ยิ้มมาอยู่ด้วย จะจากกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
อยู่ดีๆ ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายขึ้นมาวะ...
ผมคุยเล่นกับตาแม้นไปสักพัก
ไอ้ยิ้มที่อยู่ๆ ก็นิสัยดีขึ้นมา ขออาสาไปซักผ้าผมให้ บอกว่าไม่รังเกียจเรื่องซักกางเกงในผม แต่ผมก็ไม่ยอมอยู่ดี แอบแยกมันออกมาก่อนที่มันจะยกตะกร้าไปซัก...โรคจิตสัสๆ
แล้วก็ต้องย้อนกลับมาคิดถึงภาพที่เห็นตอนสัมผัสกับเบาะรถ เป็นเรื่องแปลกใจอย่างหนึ่ง...มายเคยมาที่นี่เมื่อวันนั้น...แล้วบ้านคุณชมพู่ก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน แสดงว่ามายต้องไปหาชมพู่แน่ๆ ...แต่ที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ วันนั้นชมพู่ไม่ได้เจอมายน่ะสิ...หรือมายจะไปที่อื่นวะ
“อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่าผมเห็นภาพมายมาที่นี่...คุณว่าเขาจะไปที่ไหนต่อ” ผมพูดกับมันที่ตั้งใจเทผงซักฟอกลงไปในถัง โดยกะปริมาณผงให้เป้ะๆ เต็มช้อนตักพอดีแล้วค่อยๆ เทลงไป “ว่าไงวะ ไม่ตอบกู”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...” และนี่คือคำตอบที่ได้จากมัน
“งั้นขอถามไรหน่อยดิ”
“ถามมาตอบหมด” เออ ไอ้สัส!
“คุณเห็นผีได้เหมือนผม...มีบ้างไหมที่...แตะแล้วเห็นภาพอดีตที่เกิดขึ้นกับสิ่งๆ นั้น...” มันฟังผมแล้วกดหมุนเครื่องซักผ้าไปที่เลขสามสิบ แล้วหันมาทางผมแล้วครุ่นคิด
“ก็ไม่เหมือนกันหมดเสมอไปหรอกมั้ง...บางคนเกิดมาเห็น...บ้างก็แค่ได้ยิน บ้างก็แค่ได้กลิ่น หรือไม่บางคนก็มีญาณสูงถอดจิตเองได้” ทำไมมันพูดเหมือนจำอะไรมาได้วะ...แปลกอีกแล้ว!
“อือ...แล้ว หลายวันมานี่...จำอะไรได้บ้างป้ะ” ผมถามมันอีกรอบ แล้วมันก็ทำหน้าครุ่นคิดชุดใหญ่...แล้วก็ส่ายหัวหมายความว่าจำเชี่ยไรไม่ได้อีกตามเคย...แต่คำพูดแต่ละคำเหมือนเคยเปิดอ่านในเน็ตแล้วจำได้แม่นอย่างนั้นอ่ะ...แต่ช่างเถอะ จำไม่ได้คือจำไม่ได้ จะไปบังคับให้คนจำอะไรไม่ได้ให้จำได้ได้ยังไงล่ะเอ้อ...มึน!
“อันที่จริง...ผมก็ไม่อยากจำอะไรได้เลยสักอย่าง...เพราะบางที...มันอาจจะแย่เกินไปสำหรับผมก็ได้ คุณคิดว่า สำหรับผมมันดีหรือเปล่า” ไอ้สัส! ถ้าจำอะไรไม่ได้แล้วคิดว่ามันดีสำหรับมึง แต่มันไม่ได้ดีสำหรับกูไง! ผลาญทรัพยากรชีวิตกูมากกกกก
“แล้วถ้าเป็นเรื่องดีๆ ล่ะ อย่างเช่น...เรื่องพ่อแม่ของตัวเอง คุณไม่อยากจดจำเรื่องของพวกท่านเหรอ...” มันเงียบไปหลังจากฟังที่ผมตอบกลับ เห็นมันถอนหายใจเบาๆ
“เนอะ...ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่ของผมเป็นใคร” มันตอบแล้วงุดหน้าลงเหมือนจะร้องไห้ แต่จู่ๆ ก็เงยหน้ามามองผมอย่าเอาจริงเอาจัง “แต่ถ้าเกิดว่าอดีตมันเลวร้าย เหมือนตอนที่คุณบอกว่าเจอผมตอนเมาอยู่หน้าบ้านขนาดนั้นสองวันติดๆ ...ผมก็คงไม่อยากรู้เหมือนกันว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง...แต่ที่รู้ๆ และอยากจดจำตอนนี้ก็คือ...”
“...” ผมเงียบฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวรรคเรื่องสำคัญให้ขัดใจด้วย!
“ความทรงจำที่มีคุณตอนนี้น่ะคุณกวินท์...ผมไม่อยากจำอะไรได้อีกแล้ว” คนตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับเขา...
ความรู้สึกที่ประหลาดเกิดขึ้นภายในจิตใจซ้ำๆ ซากๆ กับเขาคนนี้ กลายเป็นความรู้สึกที่ยากเกินอธิบายหลังจากที่เขาพูดออกมา...มันเหมือนมีความหมาย เหมือนกับมีความรู้สึกผูกพันกันมานานอะไรทำนองนั้น
“ยังไงคุณก็ต้องเจอครอบครัวของคุณสักวัน...ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนหรอกยิ้ม...ผมจะช่วยคุณเอง” ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาในจิตใจ ทำให้ผมโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
คนตัวสูงค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นมากอดกลับผมอย่างแผ่วเบาแล้วหลับตาลง กักเก็บความรู้สึกช่วงเวลานี้ไว้ไม่ให้หายไปไหน เป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน...ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันในหลายๆ อย่าง แต่เพียงแค่อยู่กับปัจจุบันตอนนี้...ถ้าเลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ ผมก็อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว...ไม่อยากให้ไอ้ยิ้ม...จำเรื่องที่ผ่านมาของเขาได้สักเรื่องเลย
FOLLOWER