Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Follower ผู้ติดตาม END (20/08/2562) หน้า2  (อ่าน 19005 ครั้ง)

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************



FOLLOWER
ผู้ติดตาม


กวินท์ ชายหนุ่มสัมผัสวิญญาณ
กับเขา...ไอ้ยิ้ม ชายหนุ่มปริศนา
ผู้ที่มาเติมเต็มความสดใส ในชีวิตที่มืดมนของกวินท์...
สดใสจริงๆ เร้อ...


สารบัญ

Special
click here ---> Special 3Unit [NC]






FOLLOWER
ANCHEN.
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2019 20:08:12 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          บทนำ


          โลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่เป็นไปได้ดั่งใจเราทุกอย่าง

          แม้กระทั่งคำที่บอกว่า ‘ชีวิตเป็นของเรา เราลิขิตมันเอง’ ซึ่งมันก็จริงดั่งที่เขาว่า แต่มันใช้ไม่ได้ผลมากนักกับกลุ่มคนประเภทหนึ่ง

          ถ้าจับสุ่มเอาคนมาสักหนึ่งร้อยคนถ้วนพอดี จะมีคนประเภทนั้นอยู่ในหนึ่งร้อยคนที่ถูกสุ่มมาหรือเปล่า และแน่นอน คนประเภทนี้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวของทุกคน หรือจะนับรวมเป็นร้อยละเปอร์เซ็นต์ พวกเขาก็แค่ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์

          เป็นศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หลายคนเลือกที่จะมองข้าม

          เป็นศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หลายคนให้คำนิยามกลุ่มคนประเภทนี้ว่า ‘บ้า’

          แต่โลกให้คำนิยามแก่พวกเขา คือ ‘คนมีสัมผัสพิเศษทั้งหก’ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘คนมีซิกซ์เซนส์’

          หลายคนอาจจะเคยเห็นตามภาพยนตร์ ละครทีวี นวนิยาย หรือรายการต่างๆ เรื่องราวของใครคนหนึ่งผู้ซึ่งพบเจอกับ ‘วิญญาณ’ หรือที่ใครๆ ก็เรียกกันว่า ‘ผี’ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องงมงายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ จึงถือว่าพวกผีสางวิญญาณต่างๆ ไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครออกมายืนยันได้ว่ามีจริงหรือไม่และมันเป็นอย่างไร ผู้คนจึงเรียกมันว่าเรื่องงมงายไปเสียด้วยเหตุที่พวกเขานั้น มองไม่เห็น

          จริงไหม?

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2019 16:49:27 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ชายหนุ่มสื่อวิญญาณ VS วิญญาณป้าขายของ


          ประหลาด...

          เป็นคำคำเดียวที่พร้อมใจกันเกิดขึ้นในในความคิดของผู้คนทั้งสถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่ง

          ทุกสายตาจับจ้องแลมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังยืนเงียบๆ อยู่ข้างเสาปูนที่เต็มไปด้วยแผ่นป้ายโฆษณา

          ท่าทางที่ดูเงียบๆ ของเขา แต่กลับหวาดระแวงสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา...

          ฮูดของเสื้อแขนยาวสีดำได้บดบังเส้นผมและใบหน้าของเขาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาอยู่ดี ด้วยเพราะมีหน้ากากอนามัยกันฝุ่นปิดปากและจมูกไว้เหมือนเป็นคนขี้โรคยังไงยังงั้น แถมยังใส่แว่นกันแดดสีดำสนิทเอาไว้ เพื่อป้องกันการสบตากับใครหลายคน

          หูฟังบลูทูธอันเก่าก็ได้ครอบหูทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ พร้อมพาเขาเข้าสู่โลกส่วนตัวอันหนาทึบและมืดมน

          รถไฟใต้ดินเคลื่อนตัวผ่านไปแล้วสองขบวน แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง จ้องมองผู้คนขึ้นและลงรถไฟใต้ดินไปเรื่อยๆ เพียงแค่อยากให้ในหนึ่งขบวนมีที่โล่งมากพอที่จะหายใจเพราะคนแออัดเกินไป

          รถไฟใต้ดินขบวนต่อจากก่อนหน้านี้ได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดแรงลมขนาดย่อม เนื่องจากวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

          สายลมที่พัดพาเอาความเย็นสบายของอากาศภายในด้านใต้สถานีไปปะทะเข้ากับสิ่งต่างๆ รวมถึงผู้คนมากมาย

          สายลม...ที่พัดเอาเสียงหวีดหวิวปริศนาของใครบางคนมาด้วย

          “ช่ ว ย กู ด้ ว ย...”

          เพียงสิ้นเสียงแหบพร่าเย็นยะเยือกแค่ประโยคเดียว ถึงกับทำให้ชายหนุ่มท่าทางประหลาดรีบหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ไม่ให้ดูแปลกไปกว่าเดิม

          “ช่ ว ย ฉั น ด้ ว ย...ช่ วย ฉั น ที” เสียงนั้นก้องกังวานไปทั่ว เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ฟังแล้ว...รู้สึกหลอนและโศกเศร้าเหลือเกิน

          มันดังและใกล้เขาขึ้นมาเรื่อยๆ คล้ายกับว่าเจาะจงไปที่ชายหนุ่มโดยเฉพาะ มือของเขาเริ่มสั่นหงึกเบาๆ สมสั่งการให้ซุกไซร้หาสมาร์ทโฟนใน กระเป๋าเป้ใบโตอย่างรีบร้อน ก่อนจะเจอแล้วหยิบออกมา ใช้นิ้วโป้งกดปุ่มเร่งเสียงหูฟังบลูทูธขึ้นไปจนถึงระดับวอลลุมความดังสูงสุด

          เสียงเพลงได้นำพาเขาเข้าสู่โหมดหูดับพร้อมกับหลับตาลงทันที

          เสียงที่ดังโครมครามในหูราวกับเปิดลำโพงงานวัดสิบตัวพร้อมกัน เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บหูแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะความเคยชินจากการฟังแบบนั้นเป็นประจำ

          เขาดูสงบนิ่งและไม่ได้ยินเสียงอันใดภายนอกหูฟังอีกเลย แต่ประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของเขากำลังเริ่มเปิดสวิตช์ทำงานเข้าแล้ว...

          กลิ่นสาบเหม็นเน่าศพแสบจมูก เป็นกลิ่นเหม็นคาวของเลือด น้ำเหลือง กลิ่นอับชื้น และกลิ่นประหลาดอีกมากมายยากเกินอธิบาย กลิ่นได้แทรกซึมผ่านหน้ากากอนามัยทะลุเข้าไปถึงโพรงจมูกจนคัดและแสบจี๊ดขึ้นสมองจนแทบไม่ไหว

          เสียงแหบพร่าภายนอกนั้นไม่ได้หยุดเงียบไปแต่อย่างใด กลับเพิ่มความถี่เดซิเบลของเสียงตัวเองให้ดังขึ้นหลายร้อยเท่าทวีคูณ แทรกเล็ดเข้าไปถึงข้างในหูฟังบลูทูธ แข่งกับเสียงเพลงที่ดังจนแทบระเบิด มันเริ่มช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้ว!

          “ช่ วย ด้ว ย!...ช่ ว ย ด้ ว ย!...ช่ ว ย ฉั น ด้วยย ยยย ยย!!!”

          หูฟังบลูทูธของชายหนุ่มถูกถอดสะบัดตกลงไปบนพื้น เขานั่งย่อเข่าลงทันทีแล้วเอามือปิดหูแน่นทึ้งด้วยความเจ็บปวดที่แก้วหู จนได้ยินเสียงวิ้งยาววนเวียนภายใน สีหน้าเหยเกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างที่คนปรกติไม่เคยเป็น “โอ้ยยยย...เชี่ยเอ้ย!”

          “คุณคะ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!” หญิงใจดีที่ยืนดูอาการอยู่นานได้ฤกษ์วิ่งเข้ามาถามอาการแล้วก้มตัวนั่งลงตาม “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะคุณ”

          “ห่า!...ต่างคนต่างอยู่สิวะ!” ชายหนุ่มมองค้อนหนักไปที่บางอย่างด้านหลังตรงนั้น

          “คะ?” สีหน้าตกใจของเธอ ปนเปไปด้วยความงุนงงกับคำพูดของชายหนุ่ม แต่เขาหาได้พูดคุยกับเธอสักนิดไม่

          ด้านหลังของหญิงสาวใจดี ได้ปรากฏร่างเลือนรางของหญิงวัยกลางคน ร่างเธออ้วนท้วมในชุดแม่ค้าขายของ ทั้งเก่าและขาดวิ่น หน้าตาบวมเขียวช้ำอืดราวกับศพเน่า ปากแหว่งเป็นแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ ดวงตาขาวโพลนของเธอจับจ้องมาที่ชายหนุ่มนิ่งๆ

          “ช่ ว ย กู ด้ ว ย ฮือ ออ อ” เสียงที่ดังแปดหลอดแสบแก้วหูเมื่อสักครู่นี้เปลี่ยนเป็นเสียงของอารมณ์ที่กำลังโศกเศร้า และสีหน้าที่ไม่สบายใจของป้าแกก็ทำให้ชายหนุ่มถามออกมา

          “จะให้ช่วยอะไรก็รีบว่ามา” ความเจ็บปวดที่หูไม่ได้หายไปไหน ชายหนุ่มยังคงปิดไว้พลางกดแนบเป็นครั้งคราวเพราะความเจ็บจี๊ด

          “คะ? ก็...ฉันเห็นคุณดูแย่เมื่อสักครู่นี้ ก็เลยเข้ามาถามค่ะว่าเป็นอะไร”  เธอคนนี้ได้หลุดจากวงโคจรการสนทนาไปแล้ว...หรืออาจจะตั้งแต่แรกเลยก็ได้

          “ห า ข า อี ก ข้า ง ใ ห้ กู ที!” พลันสายตาของชายหนุ่มก็เพิ่งจะเห็นขาซ้ายอวบอ้วนของเธอที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว มันขาดและมีน้ำเหลืองไหลหยดติ๋งๆ 

          ชายหนุ่มไม่ได้สนใจหญิงสาวตรงหน้า ได้แต่จ้องมองและครุ่นคิดพิจารณาเรื่องขาของเธอ บวกพร้อมกับสถานที่นี้ที่เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน คิดแล้วก็กดสมาร์ทโฟนหาอะไรบางอย่างในอากู๋

          นั่นไง...

          ข่าวเมื่อสี่ปีก่อน...
 

         
          'ข่าวหญิงสาวร่างท้วม ตกรางรถไฟขาขาด'

          เมื่อวัน พุธ ที่ 16 พฤศภาคม พ.ศ. 25xx เวลา 18:36 นาที มีผู้ประสบอุบัติเหตุตกรางรถไฟเสียชีวิตถูกรถไฟฟ้าใต้ดินทับขาขวาขาด ณ สถานีรถไฟใต้ดินย่านxxx ในจังหวัดxxx ผู้เสียชีวิต คือ นางวิจิตร แสงง้าว เป็นแม่ค้าขายของในระแวกจุดเกิดเหตุ

          ผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้ให้ข้อมูลว่า นางวิจิตร ได้ไปต่อล้อต่อเถียงกับลูกค้ากลุ่มหนึ่งขณะที่พวกเขาเร่งรีบจะขึ้นรถไฟไปยังสถานีต่อไป ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ยอมซื้อมะม่วงถุงสุดท้ายของวันของนางวิจิตร จึงเดินเสียหลักตกทางรถไฟและโดนรถไฟทับนางวิจิตร ขาขวาขาดและเสียชีวิตคาที่

          ด้านหน่วยกู้ภัยก็ได้นำขาที่ขาดของนางวิจิตรไปดำเนินการต่อไป

         

          “อ๋อ...แบบนี้นี่เอง” ชายหนุ่มอ่านจบก็ยังไม่ละสายตาไปจากจอสมาร์ทโฟน และคนปากเก่งอย่างเขาก็เริ่มจะแผลงฤทธิ์ให้แล้ว...กับผีด้วยเสียด้วยล่ะ

          “นี่ป้า...ขาของป้าอ่ะ ปอเต๊กตึ๊งเขาเอาไปแล้วนะ อีกอย่างป้าตายที่นี่ ป้าก็ตามไปเอาขาของป้าคืนไม่ได้อยู่ดี และผมก็คงไม่ไปตามขาเน่าๆ ของป้ากลับมาให้ป้าได้หรอก เดี๋ยวฉิบหายกันพอดี” ใบหน้าเรียบนิ่งพูดออกมาจนทำให้หญิงสาวตรงหน้าหัวหมุนเข้าไปใหญ่

          “คุณพูดเรื่องอะไรคะ...คุณพูดกับใคร?” หญิงสาวมองซ้ายแลขวาอยู่เป็นพักๆ ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเก็บหูฟังที่หล่นไว้มาคล้องคอ แล้วก็ลุกขึ้นตามอีกคน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับคนข้างหน้าเลย

          “เลิกเซ้าซี้ผม แล้วไปซะป้า”

          “อะไรของคุณ ฉันก็แค่มาถามว่าคุณเป็นอะไร ทำไมต้องว่าฉันด้วย!” หน้ากลมเริ่มไม่พอใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมา แต่หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้พูดกับเธอสักคำ

          วิญญาณป้านิ่งเงียบไปแต่ก็ยังอยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอดเวลา...อีป้านี่ขยับเมื่อไหร่ เขาวิ่งแน่!

          “กู...ไ ม่ มี บุ ญ เห ลื อ แล้ ว...”

          “ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด!”

          “คุณคะ คุณเป็นอะไร!?”

          “เอ า กู ไป อยู่  ด้ วย ยย ย...”

          “ป้าอย่า!”

          “ฉันไม่ใช่ป้านะ...คุณ!”

          “เอ า กู ไ ป ด้ วย ยย ย...เอ า กู ไ ป ด้ วย ยย ย...เอ า กู ไป อยู่  ด้ วย ยย ย...” เสียงแหบพร่าที่พูดซ้ำๆ ของร่างท้วมไร้ขาขวา ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างอุกอาจ ดวงตากลมปูดขาวโพลนและใบหน้าเขียวอืดถูกเปรอะแต้มไปด้วยน้ำเหลืองที่ค่อยๆ นองไหลออกมาอาบแก้มหน้า และไหลลงตกพื้นแหมะๆ เป็นทางยาว

          ขาของชายหนุ่มเริ่มชาแปร่ง มือไม้สั่นเทาเพราะมีพลังงานวิญญาณอยู่ใกล้เกินไป

          เขาหลับตาแน่น กลั้นใจสุดกำลัง แล้วตะวาดออกไปเสียงดัง “อย่าเข้ามา!!!”

          “คุณคะ คุณเป็นอะไร?!”

          “บอกให้ไปก็ไปดิวะ!!!”

          “หน็อยยย ไอ้บ้า!!!” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นตามด้วยแรงฟาดอย่างหนักหน่วงจากกระเป๋าใบเล็กที่ได้กระหน่ำเข้ามาที่ศีรษะของเขาจนเซล้มลงไป “คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือ แต่กลับมาไล่กันแบบนี้ไม่มีมารยาท!” แล้วก็ลงแรงฟาดไปอีกครั้งที่กลางศีรษะจนปวดหนึบ

          ส้นสูงก้าวฉับๆ ออกไปด้วยอารมณ์โกรธและไม่พูดอะไรอีกเลย เหลือไว้เพียงชายหนุ่มที่ได้แต่กุมหัวด้วยความเจ็บปวดจากแรงกระทบ

          ร่างท้วมของวิญญาณป้าวิจิตรได้หายไปในชั่วพริบตา ไม่มีแม้แต่กลิ่นและร่องรอยการมีอยู่

          เขาที่นั่งลงกุมขมับอยู่กับที่ กำลังโดนกลุ่มคนแถวนั้นจ้องมองอย่างไร้เยื่อใยอะไรดี

          ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเจ็บใจจากการโดนกระเป๋าฟาดแต่อย่างใด แต่กลับเจ็บใจที่ตัวเองต้องมาเจออะไรแบบนี้ เพียงเพราะว่าเขามีสัมผัสพิเศษที่ไม่เคยพิเศษสำหรับเขาเลย มันกลับสร้างความเดือดร้อนและความไม่สงบสุขในชีวิตให้เขาเสียมากกว่า

          หลายครั้งหลายคราที่เขาได้พบเจอกับวิญญาณซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบหลากหลายประเภท และทุกครั้งที่เขาได้เจอ ก็มักจะสร้างความไม่สบายใจให้กับเขา เช่น การจะตามไปอยู่ด้วยอยู่เสมอ หรือไม่ก็มาขอส่วนบุญ ทำได้ที่สุดก็ช่วยแผ่เมตตา แต่ไม่ง่ายก็คือวิญญาณมีมากเหลือเกิน

          รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ใช้ร่างกายเราก็คือวิญญาณ ถึงยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสมควรที่จะรับรู้

          ตายๆ ไปเสียได้ก็ดี...

          เป็นเพียงความคิดภายในใจของชายหนุ่ม ที่วนเวียนไปมาทุกวันไม่รู้จบ



FOLLOWER
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2019 16:49:57 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ด.ช. กวินท์ และ ด.ช. จ็อบ [1]


          ผมชื่อ  ‘กวินท์ ประสิทธิ์’  เรียกสั้นๆ ว่า ‘วิน’  (คนบ้า, ประสาทแดก, วิปลาส, วิปริต, วิกลจริต, โรคจิต, สติแตก) และอีกร้อยพันแปดที่พวกเขาจะสรรหามาเรียกผมให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ด้วยการตัดสินจากสายตา
         
          ปีนี้ผมอายุ 20 ปี ผมไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ไหนเลยสักแห่งถึงแม้ว่าจะอยากเรียนก็ตาม ด้วยเหตุผลที่พวกเขาตั้งให้ก็คือ ผมเข้ากับใครไม่ได้...แต่ที่จริงแล้ว คนอื่นต่างหากที่ไม่อยากเข้ากับผมเอง
         
          เหตุผลของคนอื่นที่ไม่อยากเข้ากับผมน่ะเหรอ...
         
          ก็แบบว่า...เป็นคนเห็นผีไง พูดง่ายๆ ไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน ผมก็เลยแปลกหมู่ แปลกตา แปลกคนสำหรับคนปรกติ จึงจัดเป็นคนที่อยู่ในประเภทคนประหลาดโดยอัตโนมัติ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครที่รู้จักเป็นพิเศษ นอกเสียจากครอบครัว

          ก็เหลือแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะที่สอง (ขี้เหล้าเมาเบียร์จนเป็นมะเร็งตับ) ไม่หัวโล้นเพราะทำคีโมก็คงไม่หลาบจำ ส่วนพ่อผมก็หนีไปบวชที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้งแต่ผมจำความได้ ท่านก็ไม่อยู่แล้ว (ที่รู้ก็เพราะแม่บอกครับ) สุดท้ายคือคุณยายที่ตอนนี้ก็แก่มากแล้ว อายุตั้ง 74 ปี มีอาการเจ็บป่วยกระออดกระแอดเป็นธรรมดาตามประสาคนแก่

          พวกเขาอยู่ที่บ้านหลังหลักทั้งหมด แต่ผมย้ายมาอยู่บ้านเช่าหลังหนึ่งแถวชานเมือง เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลาง มีดาดฟ้าเล็กๆ ไว้ ชั้นสองเป็นเพียงแค่ห้องนอนกับห้องน้ำเล็กๆ เท่านั้น ไม่สบายมากนักเท่าไหร่ แต่ก็พอประทังชีวิตอยู่ได้ ค่าเช่าก็จ่ายเป็นรายเดือนไปไม่แพงมาก (โคตรถูก!)

          ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานรับจ้างตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ พวกแคชเชียร์ หรือรับจ้างจัดสินค้า โดยใช้วุฒิการศึกษาของมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นตัวช่วยในการสมัครงาน

          เงินเดือนที่ได้มาก็...อืม อย่างที่รู้ๆ กันทั่วไปสำหรับพนักงานรับจ้าง ก็พอมีพอกินไปเพราะผมไม่ได้เป็นคนใช้เงินเก่ง มีเงินเก็บบางส่วนที่ตกทอดมาตั้งแต่ก่อนย้ายมาบ้านเช่าเป็นตัวช่วยยามคับขัน และเงินเก็บจากการทำงานของผม เอาไว้เป็นค่ารักษาแม่

          อันที่จริง...ผมก็ไม่ได้ถึงกับว่าไม่มีเพื่อนเลยตั้งแต่เกิดนะ แต่ผมก็แค่หมายถึงตอนนี้เฉยๆ น่ะ

          ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งที่อยากจะมาเล่าให้ทุกคนฟัง ว่าก่อนที่ผมจะรู้ตัวเองว่าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้มันเริ่มจากตรงไหน

          มันเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญของผมกับเพื่อนในวัยเด็ก ที่ไม่อาจจะลืมมันได้ลง...

          ย้อนไปสมัยที่ผมอยู่แค่ ป.6 โรงเรียนบ้านนอกตามหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เป็นบ้านเกิดบ้านเก่าของแม่และยายของผม
         
          ที่นั่นพวกคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านก็มักจะหลอกเด็กให้กลัวกลางค่ำกลางคืนว่า ผีจะมาเอาตัวไปถ้าใครออกจากบ้านตอนค่ำ และแน่นอน...ผมกลัวจนเข้ากระดูกดำ
         
          วันนั้นเป็นกลางวันที่แดดร้อนฉิบหาย ณ โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ ทุกระดับชั้น ป.1 ถึง ป.6 มีแค่ชั้นละห้องเท่านั้น ผมได้เจอกับเพื่อนคนนั้น เด็กชายอมนิ้วหัวแม่มือซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของห้อง ป.6

          เขาชื่อ ‘จ็อบ’ เป็นเด็กที่มีนิสัยชอบอมนิ้วหัวแม่มืออยู่ตลอดเวลา

          มันนั่งอยู่หลังผมซึ่งแถวผมคือรองสุดท้าย และมันก็นั่งตรงแถวสุดท้ายที่ไม่มีใครนั่งคู่ด้วยเลยสักคน

          มันอมนิ้วหัวแม่มือจ๊วบๆ อยู่แบบนั้นได้ทั้งวัน...แปลกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนกลัวจ็อบมาก เพราะสายตาของมันดูกระวนกระวายเหมือนคนสติไม่สมประกอบ แต่ที่ขัดจากนิสัยของมันคือ การอมนิ้วหัวแม่มือพลางร้องฮัมเพลงไปเรื่อยๆ

          ผมที่อดใจไม่ไหว เห็นว่าไม่มีใครพูดกับจ็อบ เลยทักมันเสียเลย

          “ชื่อจ็อบเหรอ”

          “...” ไร้การตอบรับใดๆ นอกจากเสียงจ๊วบๆ และเพลงแปลกๆ ที่ฮัมในลำคอ ฟังแล้วขนลุกหลอนหู

          “เราชื่อกวินท์นะ อยู่บ้านใต้ แถวสวนกล้วยน่ะ...แล้วบ้านจ็อบอยู่ไหน”

          หลังจากนี้จะเป็นการกระทำของจ็อบที่ผมตกใจมาก

          และเมื่อผมถามออกไปเสร็จ จ็อบเริ่มทำสายตากระวนกระวายหนักเข้าไปใหญ่ หายใจหอบถี่หนักหน่วงเข้าไปอีก คล้ายกับอาการหอบแต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นโรค

          “จ็อบ! เป็นอะไร!” ผมเอามือยื่นเข้าจับแขนจ็อบประมาณปลอบใจ แล้วภาพแปลกๆ ก็แทรกเข้ามาในหัวของผมให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง...

          มันทั้งมืด...อับชื้น...มีแสงเทียนอยู่จำนวนมาก และเสียงกรีดร้องของใครบางคนเบาๆ ให้ความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

          เดี๋ยวๆๆ อีกอย่างหนึ่ง...รอยแผลเป็นทางยาวหลายรอย เหมือนโดนอะไรฟาดที่หลังของจ๊อบ!

          โต้ม!

          จ็อบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วทุบโต๊ะลงไปอย่างแรง ตามด้วยเสียงกรีดร้องของเขาซึ่งน่ากลัวมาก

          “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!”

          จ็อบกรี๊ดลั่นอยู่แบบนั้นเหมือนคนเสียสติ แล้วพังโต๊ะเก้าอี้ล้มทั้งของตัวเองและของเพื่อนกระจายระเนระนาด ไม่รู้ว่าตัวเล็กแค่นั้นไปเอาแรงมาจากไหน เสร็จแล้วก็วิ่งพรวดพราดออกห้องไปจากห้อง พลางเอามือสองข้างปิดหูเอาไว้อยู่แบบนั้น

          ผมและเพื่อนทุกคนในห้องตกใจจนพูดอะไรไม่ออก และสิ่งหนึ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผม บอกว่าผมต้องรีบตามจ็อบไปโดยด่วน ก่อนที่เขาจะวิ่งสติแตกหนีหายไป

          อาจารย์ผู้สอนได้เข้ามาที่ห้องด้วยท่าทางตื่นตระหนก ประจวบกับเวลาที่ผมได้วิ่งตามจ็อบออกไปแล้วพอดี เลยไม่ได้อยู่บอกเหตุการณ์อะไรเลยสักอย่าง

          จ็อบวิ่งไวมากจนผมแทบตามไม่ทันในช่วงหักมุมเลี้ยวไปทางโรงอาหาร เขาอยู่ตรงข้างหน้าผมไม่ไกลมาก และผมจะไม่ให้เขาคลาดสายตาไปจากเขาเด็ดขาด

          อีกไม่ไกลข้างหน้าจะเป็นป่าไผ่หลังโรงเรียน มีหญ้ารกครึ้มและบรรยากาศวังเวง...

          ท้องฟ้าเริ่มมีเมฆหม่นคับคล้ายจะมีฝนห่าใหญ่ตกมาที่นี่ในไม่ช้า ตามด้วยเสียงฟ้าร้องราวกับมีใครมาตีกลองดังครืนๆ

          จ็อบวิ่งมาที่นี่ทำไมตั้งไกลขนาดนี้ เขาคลาดสายตาผมไปสักพักหนึ่งแล้ว ไร้เสียงและการเคลื่อนไหวของเขา ในอารมณ์ที่ผมก็วิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ แต่ถ้าลองเงียบฟังดูดีๆ เสียงดูดนิ้วหัวแม่มือพลางฮัมเพลงไปพร้อมกันของจ็อบก็ทำให้ผมมั่นใจมากว่าเขาอยู่แถวนี้

          ตอนนี้เขาฮัมเพลงแปลกๆ แบบนั้นอยู่จริงๆ

          “จ็อบ...จ็อบอยู่แถวนี้ใช่ไหม” เสียงของจ็อบเงียบลงหลังจากที่ผมถามออกไป ผมจึงตัดสินใจพูดออกไปอีกครั้ง เพื่อให้จ็อบได้ตอบสนองผมสักนิด “จ็อบ...เราขอโทษนะที่ถามออกไป เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”

          กร็อบ!

          ผมสะดุ้งเล็กน้อย มันเป็นเสียงเหยียบใบไม้แห้งหนักๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ชัดเจนมาก จนทำให้ผมต้องเหลียวหันหลังกลับไปมอง “เหวอ!” จ็อบอยู่ข้างหลังผมจนผมตกใจ! “จ็อบ!”

          “ไม่กลับบ้าน...” เป็นสิ่งที่จ็อบพูดออกมาทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่

          “ทำไมล่ะจ็อบ...เลิกเรียนจ็อบก็ต้องกลับบ้านนะ...”
         
          “ไม่กลับบ้าน! ไม่กลับบ้าน...ไม่กลับ...” จ็อบเริ่มโวยวายเอามือขึ้นปิดหูแล้วนั่งลงไปกับพื้น น้ำตาของจ็อบเริ่มไหลรินออกมาช้าๆ พร้อมกับมือและขาสั่นเทา ถ้าจะให้ผมเดา...ที่บ้านจ็อบต้องมีอะไรที่ทำให้เขาไม่อยากกลับไปแน่ๆ

          “ได้ๆ ไม่กลับก็ไม่กลับ”
         
          “จริงนะ!” จ็อบมองหน้าผมอย่างเอาจริงเอาจัง ผมเลยนั่งยองๆ มองกลับเข้าไปในตาของจ็อบที่แดงระเรื่อและสั่นเครือจากการร้องไห้ มือที่สั่นหงึกหงักอย่างรู้สึกได้ว่าเขากำลังรู้สึกหวาดกลัวการกลับบ้าน

          “ใจเย็นๆ นะจ็อบ...”
         
          “...” ตาของจ็อบหลุบต่ำลง และผมว่า ผมต้องรู้เรื่องของจ็อบให้มากขึ้นเสียแล้ว เผื่อที่บ้านของจ็อบมีปัญหาอะไรจะได้ประสานงานกับอาจารย์ที่โรงเรียนเพื่อช่วยเหลือเขาได้

          “จ็อบ...ที่บ้านจ็อบมีอะไร”
         
          “ไม่กลับบ้าน ฮืออออ!!!”
         
          “จ็อบฟังเรา! จ็อบ!” ผมจับไหล่จ็อบแน่นเพื่อเรียกสติ “มองหน้าเราจ็อบ...” คราวนี้ได้ผล...จ็อบค่อยๆ มองกลับมา “ค่อยๆ พูดนะจ็อบ มีอะไรเราจะได้ช่วยจ็อบไง”
         
          “...”
         
          “เราพูดจริงนะ เราช่วยจ็อบได้นะ” เพื่อความสบายใจของเพื่อน เราก็พูดไปก่อนงั้นแหละ ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที “จ็อบไม่ต้องคิดอะไรมาก จ็อบแค่ตอบคำถามของเราก็พอ” จ็อบถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ ตอนนี้สติของเขาเริ่มกลับมา และคงจะยอมพูดคุยให้ข้อมูลกับผมบ้างแล้ว
         
          “คำถามแรก...ทำไมจ็อบไม่อยากกลับบ้าน” จ็อบไม่ได้ตอบอะไรแต่น้ำตาไหลรื้นปริ่มขอบตาอย่างน่าสงสาร แต่จู่ๆ เขาก็ปริปากพูดมาเอง “บ้านเรา...แม่...” จ็อบสะอื้นไห้แต่ก็พยายามตอบออกมาจนผมปะติดปะต่อได้ “แม่ขังเรา...ไว้ในที่มืดๆ ...มีตัวอะไรไม่รู้ อยู่ข้างในด้วย...เรากลัว ช่วยเราด้วย...” จ็อบร้องไห้ออกมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดใจ

          “ได้จ็อบ...อีกคำถามนะ ช่วยตอบเราด้วย”
         
          “...”
         
          “หลังจ็อบไปโดนอะไรมา” จ็อบสะบัดแขนผมออกจากการจับกุม เขาเริ่มยกมือขึ้นปิดหูอีกครั้ง หอบหายใจถี่หนัก น้ำตาเริ่มแห้งและอ้าปากกว้างมากจนผมตกใจขนลุกเกรียวกราว...ตาของจ็อบเบิกโพลงและเหลือกขึ้นจนเป็นตาขาว เสียงเหมือนจ็อบจะอาเจียนได้ดังออกมาจากปากที่อ้ากว้าง แต่ไม่ได้มีอาเจียนออกมาแต่อย่างใด

          และระหว่างนั้นเอง เสียงสวดก่นด่าสาปแช่งก็ได้ลอยแทรกเข้ามาในหูของผมจับทิศทางไม่ได้ เป็นเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์จนรู้สึกรำคาญหนวกหู
         
          ผมที่เกือบสติหลุดไปได้สติขึ้นมา จึงรีบตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังทันที “ครูครับ! ช่วยจ็อบด้วย จ็อบเป็นอะไรไม่รู้!”

          อาจารย์ที่ตามหาอยู่แถวนั้นสักพักก็วิ่งเข้ามาตามเสียงของผม “ว้าย! นักเรียน! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยเด็กด้วยค่ะ ทางนี้ค่ะทางนี้!” สิ้นเสียงของครูสาว ครูผู้ชายอีกสามคนและครูผู้หญิงอีกสองคน ก็เข้ามาช่วยพยุงตัวของจ็อบออกไปจากที่นี่

          ผมที่ตามรั้งท้ายแถวเดินออกไป หูก็ยังฟังเสียงสวดปริศนานั้นอยู่เรื่อยไป มันดังมาจากทางเหนือ...ก็ใช่ หรือทางไหนมันก็ใช่ ก็เลยเอานิ้วอุดหูเสียแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นให้ไวที่สุด


FOLLOWER
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2019 16:48:45 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Follower ผู้ติดตาม
«ตอบ #4 เมื่อ07-08-2019 22:17:09 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ด.ช. กวินท์ และ ด.ช. จ็อบ [2]


          มีคนมารับเอาจ็อบไปในช่วงบ่ายวันนั้น...

          ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร เพราะผมต้องเข้าเรียนในช่วงบ่ายเลยไม่ได้ออกมาดู

          ผมตรองแล้วว่าเรื่องของจ็อบมันจะต้องไม่ธรรมดา เพราะสิ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันก็คืออยู่ดีๆ ก็เห็นภาพแปลกๆ โผล่ขึ้นมาในหัว เห็นรอยแผลที่หลังของจ็อบ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้อยู่แน่ชัดว่าหลังจ็อบมีรอยแผลน่ากลัวแบบนั้นจริงหรือเปล่า

          หรือถ้ามี...แสดงว่าจ็อบคงโดนใครทำร้ายมาแน่ๆ

          ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งน่าสงสาร คงเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของไอ้จ็อบมัน

          มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกไปเกี่ยวกับยายของผมในช่วงแรก ก็คือ ยายผมเป็นคนถามเมื่อ (เป็นคำหนึ่งในภาคเหนือ ที่แปลว่า หมอดูนั่นแหละ) เป็นหมอดูที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ ที่รักษากันไม่ค่อยหาย โดยใช้ความเชื่อของชาวไทยในเรื่องผีสาง

          ที่บ้านก็เลยเปิดเป็นรับถามเมื่ออย่างที่ผมบอกไป โดยคุณยายของผมจะนุ่งขาวห่มขาว เกล้าผมหงอกไว้บนศีรษะเป็นกระจุก ผมเรียกยายว่าแม่หมอสายขาว แต่สายดำนี่เป็นยังไงผมก็ไม่รู้จักหรอก รู้แต่ว่าทำในสิ่งที่ไม่ดี  แต่ยายเป็นฝ่ายดี ชอบช่วยเหลือคน

          ผมจึงอยากจะช่วยยายบ้าง ด้วยการเป็นลูกมือตัวจิ๋วกับน้าแท่นที่เป็นลูกมือของยายอีกคน ช่วยยกขันน้ำส้มป่อย เอาผ้าฝ้ายมาให้ และอื่นๆ อีกมากมายจำไม่ค่อยได้แล้ว

          และเคสผู้ป่วยของยายเคสนี้ เป็นเคสแรกของยายที่รู้สึกว่าสาหัสพอสมควร เป็นเรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้ ซึ่งมีจ็อบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันกำลังจะเกิดขึ้น...

          “กรี๊ดดดดด! ปล่อยกู! ปล่อยยย!” ทันทีที่เสียงกรีดร้องของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างนอกบ้าน ผม แม่ ยาย ตาและน้าแท่น ที่กำลังกินข้าวเย็นอยู่ในตัวบ้านก็ตกใจ ผมเผลอทิ้งข้าวเหนียวที่ปั้นแล้วลงไปในน้ำแกงโดยที่ไม่ทันสังเกต พากันลุกขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก

          พ้นขอบหน้าต่างออกไปก็เผยให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีขาวที่เต็มไปด้วยรอยด่างเลือดแห้งสีน้ำตาล ผมของเธอยาวมากจนถึงบั้นท้าย กำลังดีดดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการการจับกุมของผู้ชายสองคนที่พยายามลากตัวของเธอมาที่บ้านหลังนี้

          ผู้คนในระแวกหมู่บ้านผมก็ทยอยมาดูกันอยู่นอกรั้วกันเป็นชุมนุม และที่ปะปนอยู่ตรงนั้น มีน้าสาวคนหนึ่งยืนปลอบจ็อบที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

          อีกใจก็อยากลงไปหามัน แต่เหตุการณ์ข้างล่าง ทำให้ผมกลัวและไม่มีอารมณ์ที่จะเดินลงบันไดไปหาตอนนี้

          “ปล่อยกูนะ! ปล่อยยยย!!!”

          “อุ้ยเจียม อุ้ยเจียม! ลงมาผ่อมันเลาะ แม่นี่ผ่อท่าผีจะสิง!” (ยายเจียม ยายเจียม! ลงมาดูมันที ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนผีจะเข้า!) เสียงภาษาเหนือทุ้มของผู้ชายหนึ่งในผู้จับกุมผู้หญิงคนนั้นตะโกนขึ้นมา ยายดูรนๆ รีบเอาผ้าเช็ดปากลวกๆ แล้วลงบันไดไปดู

          “เอ้อๆ อะหยังแต้ว่า แหกปากเสียงดังไปเป๋นแปดบ้านสิบบ้าน” (เออๆ อะไรหนักหนา แหกปากเสียงดังไปตั้งแปดหลังสิบหลัง) ยายของผมพูดพลางลงบันไดมา พอเห็นผู้หญิงคนนั้นก็ถึงกับอึ้งและพูดอะไรไม่ออก ปากสั่นพะงาบๆ อยู่แบบนั้น ผมเห็นได้เพราะกำลังยืนสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าต่าง “ไปเอามันมาได้จะไดหึ้ บ่าจั๋น บ่าแปง!” (ไปเอามันมาได้ยังไง อ้ายจันทร์ อ้ายแปง!)

          ยายว่าจบ น้าจันทร์ก็กล่าวตอบ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังดีดดิ้นอยู่ “ก็อี่นี่น่ะก่ะ ยืนบุบลูกอยู่ในบ้านจ้าดเมินบ่ยั้ง ลูกมันก็ฮ้องไห้เอ๋วๆ ตึงบ่าแอนดูกำแล้ว หั้วเฮียนมันก็แป๋งเหียสูง ไต่บ่ได้ ก็เลยจวนบ่าแปงตี๋นตั้งปะตู๋ไปยับตัวมันจ๋นยั้ง” (ก็เธอน่ะสิ ยืนตีลูกอยู่ในบ้านตั้งนานไม่หยุด ลูกมันก็ร้องไห้หนัก ไม่สงสารกันบ้างเลย รั้วบ้านมันก็ทำเสียสูง ปีนไม่ได้ ก็เลยไปชวนอ้ายแปงตีนถีบประตูไปจับตัวมันจนหยุด)

          “ผ่อแก่นต๋ามันเต้อะอุ้ยเจียม ดำกิ้กดำกี๋หยั่งคนผีสิงนิ” (ดูลูกตามันเถอะยายเจียม ดำสนิทอย่างกับคนผีเข้าเลย)

          “ปล่อยกู! ปล่อยยย!” ผู้หญิงคนนี้ยังดีดดิ้นไปเรื่อยๆ

          ยายถอนหายใจออกมาลูกใหญ่ “เอามันขึ้นเฮียนมา ละจ้วยกั๋นมัดหื้อแน่นตวย...อีนี่ของมันแฮง” (เอามันขึ้นเรือนมา แล้วช่วยกันมัดให้แน่นด้วย...อีนี่ของมันแรง)

          ไม่นานหญิงสาวตาดำก็เบิกโพลงอยู่ในท่านอนหงาย ทั้งมือและเท้าถูกมัดรวมกันไว้หนาแน่น เหลือแต่เสียงกรีดร้องโหยหวนของเธอที่รบกวน ทำลายสมาธิและโสตประสาทของทุกคน

          ตอนนี้คนเต็มในบ้านไปหมด ส่วนผมนั่งดูอย่างกลัวๆ อยู่ที่มุมหนึ่งกับแม่

          จ็อบถูกนำตัวไปส่งสถานีอนามัยใกล้ๆ เพื่อทำแผลจากการถูกทำร้าย ถ้าจะให้ผมเดา ผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็นแม่ของจ็อบ แต่เธอดูน่ากลัวกว่าที่ผมคิดเอาไว้ มิน่าล่ะ จ็อบมันถึงได้กลัวขนาดนั้นจนสติแตกไปเลย

          “โอ้ยยยยยย! ปล่อยกูสักที!”

          ยายของผมขึ้นไปนั่งที่แท่นทำพิธี ในชุดขาวและเกล้าผมเป็นกระจุกตามเคย

          ยายพนมมือสวดมนตร์บางอย่าง สักพักก็ผายไปมือขอบางอย่างจากน้าแท่น น้าแท่นก็หยิบเทียนกับไม้ขีดไฟให้อย่างรู้ใจ หลังจากนั้นก็ทำการจุดเทียนเอาไว้ที่แท่นบูชาพระพุทธรูป ตามด้วยธูปอีกกระจุกหนึ่ง

          ยายหันกลับมานั่งในท่าที่สบายแล้วเอ่ยปากถามออกไป

          “มึงเป๋นไผ” (มึงเป็นใคร)

          เสียงกรีดร้องได้เบาลงเปลี่ยนเป็นเสียงครางในลำคอน่ากลัว

          “กูไม่ได้โดนผีเข้า จับกูมาทำไม!”

          “มึงเล่นของดำแม่นก่อ” (มึงเล่นของดำใช่ไหม)

          เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เป็นหายใจถี่ๆ แทน ไม่นานเธอก็หัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ จนคนในนั้นขนลุกกันโดยพร้อมเพรียง ตามด้วยเสียงอื้ออึงอย่างสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านที่มาดู

          “กูจะไม่ตอบ...มึงเปลี่ยนไปถามผัวกูไป...ผัวกูมันอยากพูดมากก็ให้มันตอบแทนกูสิ!” ดวงตาของเธอได้เลื่อนไปมองทางปลายเท้า แล้วยิ้มหวานน่ากลัวให้กับอะไรบางอย่างตรงเสาของบ้านที่อยู่ตรงปลายเท้าของเธอพอดี

          และตรงปลายเท้าของเธอ ผมก็ค่อยๆ เห็นร่างเลือนรางของผู้ชายคนหนึ่ง...เป็นร่างโปร่งใสมองทะลุได้ ทำให้ผมขยี้ตาอยู่แบบนั้นถี่ๆ แต่ก็เห็นเป็นแบบเดิม ในตอนนั้นผมคิดว่า สายตาผมคงจะเสียไปแล้วจริงๆ

          “แม่ครับ วินมองคนนั้นไม่ชัด” ด้วยความไม่รู้ ผมจึงชี้มือออกไปทางจุดที่ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่

          แม่ทำหน้างงและไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมชี้ “อะไรวิน แม่ไม่เห็นคนเลยนะ ลูกชี้อะไร”

          “ก็ตรงนั้นไงครับแม่ ที่เสา”

          “มึงเห็นผัวกูด้วยเหรอ!” ผมสะดุ้งตัวจนก้นลอย ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามามองผม หน้าตาของเธอดูน่ากลัวมาก และเขากำลังจับจ้องผมโดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด “มึงเห็นผัวกู! มึงรู้ไหมไอ้เด็กน้อย คนที่มีดวงตาแบบมึง! ฉิบหายทุกคน! ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะยังคงเสียงดังอยู่ และผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมายถึงอะไรกันแน่

          ผมซุกไซร้กอดแม่ด้วยความกลัว แม่กอดปลอบผมอย่างแนบแน่น และหางตาก็หันไปเห็นผู้ชายที่ยืนที่เสาอีกครั้ง...เขาจ้องมองมาที่ผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ใบหน้าขาวซีดประแต้มไปด้วยคราบเลือด

          ...ดวงตาทั้งสองข้างของเขานั้นว่างเปล่า

          เสียงหัวเราะของผู้หญิงคนนั้นแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบอีกครั้งจนทุกคนตกใจ แล้วยายของผมเองที่เป็นคนหยุดการกระทำของเธอด้วยการลุกขึ้นยืนแล้วกระทึบเท้าไปที่พื้นเสียงดัง

          ตึง!

          “มึงดักปากบ่าเด่วนี้!” (มึงเงียบเดี๋ยวนี้!) ยายหันมาหาผมแล้วพูดต่อว่า “หลานบ่ต้องไปฟังมัน!” (หลานไม่ต้องไปฟังมัน!) ว่าจบยายก็หยิบขันน้ำมนตร์ขึ้นมา แล้วถ่มน้ำลายลงไปในขัน ต่อด้วยสวดมนตร์งึมงำแล้วถ่มน้ำลายลงไปอีกครั้ง

          ยายลงจากแท่นนั่งมายืนที่ข้างตัวของผู้หญิงคนนั้น เธอหันมาหายายแล้วเบิกตาดำโพลงใหญ่กว่าเดิม เสียงครางสั่นเครือถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเธอเสียงดัง เธอเริ่มดิ้นแรงขึ้นเสียงดังตึงตัง

          “มึงจะทำอะไรกูอีแก่! ปล่อยกู!”

          “ล้างซวยหื้อมึง อิผีสิง!” (ล้างซวยให้มึง อีผีสิง!)

          “อย่า! อย่า! ปล่อยกู! ปล่อย!!!” เธอดีดดิ้นสุดแรงแต่ยายของผมหาฟังอะไรไม่ ยายค่อยๆ ราดน้ำมนตร์ในขันลงไปบนตัวของเธอ บังเกิดเสียงแผดร้องด้วยความทรมาน มันแสบแก้วหูจนแทบทนไม่ได้ ทุกคนพากันปิดหู และมีบางส่วนวิ่งออกจากบ้านไปบ้างแล้ว

          แม่ของผมที่ทนไม่ไหว ก็รีบพาผมออกไปจากตัวบ้านตามคนอื่น

          ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากตัวบ้าน ฟังแล้วยังรู้สึกขนลุกไม่หาย






          เรื่องบนบ้านตอนนั้นก็ได้ขาดหายไป ด้วยเพราะแม่ไม่ให้ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย

          แม่ฝากผมไว้ที่บ้านของป้าฟองฝั่งตรงข้ามของบ้าน โดยให้ผมอยู่กับพี่บูแทน แต่แม่กลับบ้านไปเพื่อช่วยคนข้างบน

          มารู้อีกทีก็ตอนที่แม่มาเรียกผมให้ตื่นในช่วงสองทุ่มกว่าๆ

          ผู้หญิงคนนั้นเสียชีวิตลงด้วยสาเหตุที่ผมไม่เข้าใจและไม่มีใครยอมเล่าให้ผมฟังสักคน

          ยาย ตา และน้าแท่นไม่ได้อยู่ที่บ้านตอนนี้ เพราะเดินไปส่งศพของผู้หญิงคนนั้นที่บ้านของเขา

          พอผมก้าวเข้าในตัวบ้านก็ได้กลิ่นบางอย่างที่แปลกประหลาดหลายอย่างปะทะเข้าจมูกจนอยากจะอาเจียนออกมา ทั้งขมคอและแสบจมูกมาก ก็เลยไปนั่งดมยาหอมอยู่ที่หน้าบันได อากาศปลอดโปร่งดี

          มองออกไปเห็นประตูหน้าบ้าน ไฟบ้านหลังอื่นกำลังเปิดสว่าง ไฟหน้าบ้านของผมก็สว่างเช่นกัน

          จู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีทันใด

          ลมเบาๆ เย็นยะเยือกพัดโชยเข้ามาปะทะตัวผมจนหนาวขนลุกเป็นตุ่มๆ ผมลูบๆ แขนขาตัวเองแล้วเตรียมที่จะลุกขึ้นกลับเข้าไปอาบน้ำในบ้านต่อจากแม่

          แล้วหางตาของผมก็ไปปะทะกับบางอย่างที่หน้าบ้าน...

          พอปรับโฟกัสดวงตาให้ชัดขึ้นอีกที ก็พบกับสิ่งที่ผมไม่อยากรับรู้ถึงมันเลยทั้งชีวิตนี้

          ผู้ชายที่ผมมองเห็นไม่ชัดเมื่อบ่ายวันนี้ มายืนอยู่ตรงที่หน้าประตูบ้าน และกำลังยื่นมือมากวักๆ เรียกผมอยู่

          เขาไม่มีดวงตา...

          เขาใช่ไหมที่เรียกว่า ผี



FOLLOWER
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2019 12:33:33 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ด.ช. กวินท์ และ ด.ช. จ็อบ [3]


          กว่าจะข่มตานอนก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน

          เล่นนอนกอดแม่ไม่ปล่อยเพราะภาพติดตาเมื่อสองทุ่มกว่า...มันหลอนจนเกินบรรยาย (ร้องไห้ด้วย)

          ตอนนั้นผมไม่ได้เดินไปหาตามกิริยาเชื้อเชิญของเขาแต่อย่างใด ผมเห็นปุ้บก็เผ่นไปปิดประตูลงกลอนอย่างหนาแน่น จนยาย ตาและน้าแท่นกลับมาก็โวยวายเข้าบ้านไม่ได้

          ครับ...ผมลืมไปสนิทเลย แต่ก็คงไม่มีใครโง่ให้ผีไปหลอกได้ขนาดนั้นหรอกนะ ก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจออะไรแบบนี้ ขอให้พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเป็นเช้าที่สดใสด้วยเถิด...พระคุ้มครองครับ สาธุหนักๆ !

          และในวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปโรงเรียนอีกตามเคย วันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว พรุ่งนี้ก็จะได้เป็นวันเสาร์ หยุดอยู่บ้านสบายๆ ดูการ์ตูนช่องมากสีวนไป

          จุดไคลแมกซ์ของเรื่องที่ผมจะเล่าทั้งหมดมันอยู่ในเย็นของวันนี้ครับ...วันศุกร์ที่ 13 ที่มีคนบอกว่าชาวตะวันตกยกให้มันเป็นวันที่โชคร้ายที่สุดในทุกๆ วัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

          เย็นวันนี้หลังจากผมเลิกเรียน ทั้งแม่ ยายและตาของผมออกไปสวนข้าวโพดตอนนี้ยังไม่กลับบ้าน มีแต่น้าแท่นที่อยู่เป็นเพื่อนผม นั่งอ่านขายหัวเราะอยู่ฝั่งตะวันออกของบ้านซึ่งเป็นที่สำหรับนั่งเล่น ดูโทรทัศน์

          ก็อกๆๆ

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นในความเงียบ ในขณะที่ผมล้างจานอยู่ที่หลังบ้าน ผมไม่พูดอะไรเพราะน้าแท่นอยู่ใกล้ก็คงได้ยินเสียงเคาะนั่นแหละ...แต่ไม่ใช่แบบนั้น น้าแท่นยังคงขำอึกๆ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ลุกไปเปิดประตูแต่อย่างใด

          “น้าแท่นครับ มีคนมาหรือเปล่า”

          “...” น้าแท่นไม่ตอบผม แต่ก็ยังนั่งขำกับการ์ตูนขายหัวเราะของเขาอยู่เรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ยินเสียงของผมเลยสักนิด

          “น้าแท่น!”

          ก็อกๆๆ

          เห็นทีน้าแท่นคงจะยาก ผมเลยรีบเปิดก็อกน้ำล้างฟองออกจากมือให้สะอาด แล้ววิ่งไปเปิดประตูออกทันที

          ปรากฏว่าเป็นจ็อบเอง ที่เป็นคนมาเคาะประตู

          “อ้าวจ็อบ! หวัดดี เป็นไงบ้าง ไม่ไปโรงเรียนไม่สบายหรือเปล่า”

          จ็อบยืนก้มหน้าเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเงยมองหน้าผม...แววตาของจ็อบเหม่อลอยราวกับคนไร้ความรู้สึก ไม่มีรอยยิ้มใดๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าของจ็อบแม้แต่น้อย ผมสังเกตตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจ็อบที่โผล่พ้นเสื้อและกางเกงออกมา มีแต่รอยแดงๆ กระจายอยู่เต็มพื้นผิว แขนทั้งสองข้างและลำคอ มีรอยช้ำสีม่วงเป็นป้านขนาดใหญ่

          “...ตามเรามาหน่อย” จ็อบพูดชวนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และไม่ได้อมมือจ๊วบๆ ฮัมเพลงในลำคออย่างที่เคยทำ...แปลกมาก

          “หา? เอ่อ...” จ็อบไม่พูดอะไรอีก  เขาหันตัวเดินดุ่มๆ ออกไปแล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกไม่รอผมแม้แต่น้อย ซึ่งผมเองก็งงแดกสิครับ ทำได้แต่ตามไปแบบงงๆ ไม่ได้บอกน้าแท่นด้วย

          ดวงอาทิตย์เหลืออีกครึ่งเดียวก็จะหลุบหายไปหลังภูเขาเข้าสู่ช่วงวิกาลของวันนี้แล้ว ข้างหน้าของผมคือจ็อบที่เดินแข่งกับพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนผมก็คงจะเป็นสายลมที่ไล่ตามให้ถึงดวงอาทิตย์ แต่ก็ตามไม่ทันอยู่ดี เดินโคตรไว!

          จ็อบเดินนำเลี้ยวเข้าซอยแคบๆ ซอยหนึ่งซึ่งผมไม่เคยผ่านมาแถวนี้เลย มีวัชพืชขึ้นรกครึ้ม ต้นไม้สูงใหญ่ มีระร้อยห้อยสายลงมาเป็นเถาวัลย์ ทั้งมืดและน่ากลัว...

          ไม่ไกลจากปากทางเข้าซอยก็เป็นรั้วของบ้านหลังหนึ่ง บนรั้วมีเถาวัลย์ของใบตำลึงขึ้นเต็มไปหมด มีทั้งส่วนที่แห้งตายไปแล้วกับส่วนที่ขึ้นรกครึ้มเขียว มีทางเดินทะลุเข้าไปข้างในโดยมีเถาวัลย์ของต้นตำลึงบังปากทางเข้าจนมองไม่เห็น แต่จ็อบก็เดินแหวกทะลุเข้าไป...ทำไงได้ล่ะ ผมก็ตามเข้าไปสิ

          พอแหวกผ่านเข้ามาได้ ก็พบกับสถานที่นี้ มีบ้านสองชั้นอยู่ตรงกลางของพื้นที่ รอบๆ มีแต่หญ้าและวัชพืชขึ้นรกเต็มไปหมดเหมือนกับขาดการดูแล รั้วทั้งสี่ทิศก็สูงจนชาวบ้านขี้สอดรู้สอดเห็นต้องกลายเป็นยีราฟเท่านั้นถึงจะรู้ทุกอย่างในนี้ มันทั้งเงียบและวังเวงพิกล ผมรู้สึกได้เลย!

          พอสำรวจไปรอบๆ ก็รู้สึกว่าตอนนี้จ็อบหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!

          “จ็อบ!..หายไปไหนแล้วเนี่ย...อย่าทิ้งเราสิ” ฟ้าสลัวลงไปมากจนเกือบมืด ผมรู้สึกกลัวและขนลุกขึ้นมาจับใจ ที่นี่ไม่เปิดไฟบ้างหรือไงเนี่ย...

          และนั่นทำให้ผมนึกถึงคำที่คนเฒ่าคนแก่สอนไว้...ผีจะมาเอาตัวไปถ้าใครออกจากบ้านตอนค่ำ!

          แอ๊ดดด...

          เสียงประตูอ้าออกทำให้ผมต้องหันไปหาต้นเสียง เป็นจ็อบเองที่เปิดประตูออกมา ผมเลยรีบเดินเข้าไปหาเพราะกลัวจ็อบมันจะหายไปอีก

          ในบ้านที่ไม่ได้เปิดไฟมืดสนิท จ็อบเดินไปเปิดโคมไฟสีส้มนวลสลัวเพื่อให้มองเห็นภายในได้สะดวกขึ้น ผมมองไปรอบๆ บ้าน เห็นเป็นห้องนั่งเล่นแคบๆ ม่านขาดๆ ทีวีเก่าๆ

          ปัง!

          จ็อบเองที่เป็นคนไปปิดประตูจนผมสะดุ้ง...จ็อบยืนอยู่ข้างหลังของผมจนผมต้องหันไปหาเขา ซึ่งเขาเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาอะไรเลย

          “จ็อบ...เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า”

          “มึ ง เห็ น กูไ ด้ ใ ช่ ไ ห ม” เสียงที่ฟังแล้วไม่คุ้นหูเปล่งออกมาจากปากของจ็อบที่กำลังก้มหน้าอยู่ แต่ตัวของเขาเริ่มสั่นเทาหงึกหงัก

          “กูไหน...อะไรอ่ะจ็อบ อย่าแกล้งเราเล่นดิ เรากลัวนะ” สิ้นคำของผม จ็อบก็ตัวสั่นหงึกหงักแรงขึ้น ผมที่ยืนดูอยู่ก็ไม่กล้าทำอะไรจ็อบสักอย่างเพราะกลัวเหมือนกัน ผมยังคงมองจ็อบอย่างไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วตอนนี้ ตาก็เริ่มเหลือกขึ้นไปข้างบนจนผมต้องถอยตัวออกห่างโดยด่วน...รู้ได้เลยว่าเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว!

          “คุณไม่ใช่จ็อบ...คุณเป็นใคร!” แล้วจ็อบก็ล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างแรง แต่กลับต้องไปสนใจสิ่งอื่นตรงหน้ามากกว่าก็คือร่างของผู้หญิงผมยาวคนเมื่อวาน...ตอนนี้เข้าเป็นวิญญาณ! “คุณเข้าสิงจ็อบแล้วหลอกให้ผมมาที่นี่...!”

          เสียงหัวเราะดังขึ้นแทนคำตอบ มันแสบแก้วหูมากจนแทบจะทนไม่ได้ ดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ฉีกยิ้มไปจนถึงใบหู ดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าขาวซีด ปากที่เต็มไปด้วยเลือด และเท้าของเขาไม่ได้แตะอยู่บนพื้น

          ตอนนี้ผมควรจะตั้งสติให้มากๆ แล้วคิดหาทางออกโดยด่วน!

          “แ ก เ ห็ น พ ว ก เ ร า ไ ด้ จ ริ งๆ ด้ ว ย...ฉั นข อ อะ ไ ร อ ย่ าง ห นึ่ ง สิ”
 
          “เอ่อ...อะไร” ผมค่อยๆ ถอยเท้าไปด้านหลังอย่างช้าๆ ซึ่งด้านหลังมีทางวิ่งไปต่อได้ แต่ก็ต้องเสี่ยงแล้วว่าทางไหนจะได้ทางออกที่ดีที่สุด ขวาร้ายซ้ายดี!

          “ลูกตาของมึงไง มีไปก็มีแต่สร้างปัญหา และสร้างความฉิบหายให้แก่ตัวมึงเอง...เอามาให้กู!” เล็บยาวๆ ถูกเลื่อนเข้าข้างหน้าอย่างรวดเร็วหวังจะได้ลูกตาของผม แต่ไม่มีทางได้มันไปแน่!

          ผมออกตัววิ่งไปทางซ้ายสู่ห้องมืดที่อยู่ดีๆ ก็มีแสงเทียนประกายขึ้นมาเป็นทางยาวไปจนสุดโถง มีทางให้เลี้ยวซ้ายอีกข้างหน้า

          เสียงอึกกระทึกคึกโครมดังขึ้นภายในตัวบ้าน ผมที่วิ่งจนสุดตีนหมาก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยหอบ และด้านหลังก็มีเงาดำๆ ตามมาด้วยอย่างรวดเร็วและกระชั้นชิด

          วิ่งเข้าสู่อีกห้องที่เต็มไปด้วยกระดาษสีขาว ถูกแปะกระจัดกระจายไปทั่วผนังสีเข้ม โดยรอบดูคล้ายจะเหมือนเป็นห้องทำพิธีของยาย แต่ไม่ได้มีไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง และสายสิญจน์ระโยงระยางมากมายขนาดนี้...เป็นห้องทำพิธีกรรม และมีเทียนสว่างเหมือนภาพที่เห็นตอนจับแขนของจ็อบเมื่อวันก่อน

          และจะบอกว่ามันเป็นทางตัน!

          ผมจะหันกลับไปทางเดิม ก็กลัวว่าจะไปจ๊ะเอ๋กับสิ่งที่เรียกว่า ผี ตอนนี้หัวใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ความเป็นความตายมันอยู่ข้างหน้าผมแค่เพียงเอื้อมมือ ทำไมผมต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้ด้วย แล้วทำไมผีผู้หญิงคนนั้นไม่ตายๆ ไปแล้วไปผุดไปเกิดไปชดใช้กรรมในนรกหรือยังไง ตอนนี้สติผมกำลังจะแตกแล้ว!

          กรึก!!!

          พื้นด้านใต้มีการสั่นสะเทือนบางอย่างจนผมสะดุ้ง ตอนนี้ผมยังกังวลอยู่ว่าทางเดิมตรงหน้าถ้ายังเดินออกไปจะยังเจอผีเธออีกหรือไม่

          กรึก!!!

          พื้นด้านล่างสั่นอีกรอบและเปิดอ้าอย่างฉับพลันจนผมร้องเสียงลั่น แล้วตกลงไปบนพื้นด้านล่างอย่างไม่ทันตั้งตัวจนก้นกระแทกพื้น...ที่นี่ทั้งมืด และอับชื้นแปลกๆ ...คุ้นๆ เหมือนเห็นที่ไหนสักที่

          ประตูทางลงพื้นนี้ได้ปิดสนิทอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่ไม่มีคนปิดเลยสักคน...ตอนนี้สติผมแทบจะหลุดไปเสียแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีสติอยู่ต่อไป...ผมต้องรอดออกจากที่นี่ให้ได้ ผีผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจเกินกว่าที่ผมจะรับมือ...ครั้งแรกที่ผมเจอผีต้องเจอขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...มันจะเกินไปแล้ว

          ชีวิตผมตอนนี้กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่แสนบอบบาง...

          “พ่ อ ห นุ่ ม”

          ฮึก!!! ผมตกใจสะดุ้งเป็นครั้งที่ร้อย เสียงเรียบนิ่งของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาในความมืดมิดด้านใต้นี้

          ในใต้นี้...ผมกำลังอยู่กับใครกันแน่ ผมมองอะไรไม่เห็นเลย

          “ใครครับ” ผมถามออกไปในความเงียบ และความเงียบก็กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ในความมืด...

          “ผ ม ก็ ม อ ง ไ ม่ เ ห็ น”

          “เอ่อ...ครับ มันมืดใช่ไหมครับ”

          “มั น มื ด ก็ จ ริ ง” คราวนี้เขาตอบไวมากกว่าเดิม เป็นน้ำเสียงของผู้ชายที่ทำให้ผมคลายความกลัวไปได้ มีใครอีกคนอยู่ใต้นี้กับผมด้วย!!! “แ ต่ ...ผมไม่มีดวงตา”

          “อ๋อ...คุณตาบอดเหรอครับ?”

          “...” เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีแต่ผมที่รอฟังเขาพูดอย่างเดียว

          “เอ่อ...ครับ คุณ...อยู่ที่นี่มานานหรือยัง” แม้ว่าเขาจะเป็นใคร แต่เป็นคนปกติคุยกันได้ก็โอเค เขาแค่ตาบอด แถมยังอยู่ในที่มืด มันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้ใช้ดวงตาในที่มืดสักหน่อย

          “ไม่ น า น ม า นี้ ห ร อ ก ...ปรก ติ ผ ม อ ยู่ ข้ า ง บ น...”

          “ครับ...ผมเดินงมหาคุณได้ไหมครับ” ถามออกไปสักพักก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับใดๆ ส่งมาอีก มันเงียบและมืดเกินไปเกินความอดทนของผม เลยตัดสินใจเดินงมๆ หาดูข้างหน้าตัวเอง

          ห้องนี้ดูท่าแล้วคงจะกว้างพอสมควรนะ เพราะเดินๆ ไปก็ยังไม่ถึงสุดทางของห้องเลย...แต่เดี๋ยวนะ

          ตอนนี้ผมได้กลิ่นเน่าๆ แรงขึ้นๆ เหมือนเป็นของใหญ่ เลยเอามือขึ้นมาปิดจมูกด้วยความขมคอขั้นสุด อ้วกแทบพุ่ง!

          ปึก...

          ผมไปสะกิดใส่อะไรบางอย่างที่รู้สึกว่ามันฟีลของร่างกายคน

          ต้องใช่คนแน่ๆ อาจจะเป็นชายตาบอดคนนั้นก็ได้ ผมเลื่อนมือไปทางข้างๆ และจับสัมผัสลูบคลำร่างนั้นที่อยู่ข้างๆ ผม...แต่กลับนิ่งสงัด ผมไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวใดๆ “ใช่คุณหรือเปล่าครับ” กลิ่นแถวนี้แรงขึ้นกว่าเดิมจนผมต้องปิดจมูกเพราะเหม็นเน่าขมคอเกินไป

          “ก็ ใ ช่...เ ค ย ใ ช่” เขาตอบกลับมา แต่เสียงไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ที่เคียงผมเลยสักนิด แต่กลับดังไปอีกมุมหนึ่งของห้อง

          “อ้าวเหรอครับ...แล้วนี่อะไรครับเนี่ย”

          “อย่ า ต ก ใจ น ะ พ่ อ ห นุ่ ม” แค่คำๆ เดียวก็เล่นเอาเสียผมขนลุกไปอีกรอบ ขออย่าให้เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เถิดผมขอร้องล่ะ “ศพ ผ ม เ อ ง...

          “...”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ด.ช. กวินท์ และ ด.ช. จ็อบ [4]


          ศพงั้นเหรอ...ข้างๆ ของผม...คือศพ คนตาย!

          ตอนนี้ร่างกายของผมชาจนไม่รู้สึกอะไรไปแล้วหลังจากที่ฟังคำพูดของชายในความมืดคนนี้...

          ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...คนที่พูดอยู่กับผมตอนนี้...ไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่แรกน่ะสิ!!!

          “มะ...หมายความว่ายังไงครับ คุณตายแล้วงั้นเหรอครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือออกไป หัวใจเต้นเสียงดังในความเงียบ ตาผมเริ่มอุ่นขึ้นมาและมีน้ำตาเอ่อล้นมาที่ขอบตาด้วยความรู้สึกกลัว

          “...” เขาเงียบไปสงัด เหลือแต่ผมที่รอฟังเสียงที่จะตอบส่งมาในความมืดเท่านั้น อยู่เนิ่นนานเขาก็ไม่ได้ตอบมา แต่ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ...เสียงเท้าที่แผ่วเบา ค่อยๆ เดินบนพื้นไม้เก่า และเสียงนั่น ทำให้ผมหันมองไปรอบๆ ตัว แต่ก็พบแต่ความมืด

          “คุณตายแล้ว...คุณเป็นผีใช่ไหมครับ”

          “ใช่”

          ฉิบหายแล้ว...นี่ผมกำลังสนทนากับวิญญาณคนตาย เป็นไปไม่ได้...ผม...ผมกำลังฝันไป ต้องรีบตื่นจากฝันสิครับ ผมต้องทำให้ตัวเองเจ็บสิ

          นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูกชักนำให้ไปบิดที่แก้มขวาของผม ผมบิดอย่างสุดแรงหวังจะตื่นขึ้นมากับฝันร้ายนี้...แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ผมเจ็บที่แก้มและร้องออกมา มันไม่ใช่ความฝัน...มันคือความจริง

          “เร า เ ค ย เ จอ กั น สอ ง ค รั้ ง”

          “เจอ...เหรอครับ เราไม่เคยเจอกัน” ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่อยากพูดคุยอะไรสักอย่างกับเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คน เขาเป็นผี! ผีที่อยู่กับผมตอนนี้

          “ที่บ้านของหนุ่มไง ผมเรียกพ่อหนุ่มแต่พ่อหนุ่มกลับหนีผมไป ผมอยากจะเตือนบางอย่าง...แต่มันสายไปแล้ว” จากเสียงเยือกเย็นนั้นได้เปลี่ยนเป็นเสียงปกติทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังคุยกับมนุษย์มากขึ้น (บ้าง)

          ผมเงียบไป แล้วภาพทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ผีผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ เสาในบ้านตอนยายทำพิธีกรรม และอีกครั้งหนึ่งก็คือในช่วงสองทุ่ม...เขามายืนกวักผมอยู่หน้าบ้านแต่ก็หนีเข้าบ้านไปเพราะความกลัว

          “คนที่ไม่มีตา...ใช่ไหมครับ”

          “ใช่”

          โอเค...ผมกำลังทำใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสนทนากับผีที่มาแต่เสียง ไม่มีรูปลักษณ์ร่างกายอะไรให้เพิ่มความช็อคให้ผมไปอีกขั้น แล้วตอนนี้ผมควรจะหาวิธีที่จะหนีออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่คุยกับเขา แต่เมื่อสักครู่นี้ที่เขาพูดออกมาว่าเขามาเตือนผม มันหมายถึงอะไร

          “คุณจะเตือนผมเรื่องอะไรครับ”

          “พ่อหนุ่มเป็นคนพิเศษ...เป็นคนที่มีดวงตามองเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกรับกลิ่น และประสาทสัมผัสทางใจ...ทำให้พ่อหนุ่มสัมผัสกับพวกเราได้ และสิ่งที่ผมจะเตือนพ่อหนุ่มตอนนั้นก็คือ...อย่าตามจ็อบมาที่นี่...” เสียงของเขาเงียบไป และผมก็ได้ยินความเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นการเคลื่อนไหวที่ผมรู้สึกว่าเขาย้ายที่ไปอีกมุมหนึ่งที่ไกลกว่าเดิมจากจุดที่ผมยืน... “เธอมาแล้ว ระวัง!”

          และในทันที่เขาพูดจบประตูชั้นใต้ดินทางที่จะลงมาด้านบน ก็ค่อยๆ แง้มเปิดช้าๆ เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดในความเงียบ

          ขาเล็กของใครบางคนหย่อนลงมาทีละข้างแล้วกระโดดลงมาเสียงดังจนผมหลับตาปี๋

          ผีผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว!!!

          “วิน!” ไม่ใช่นี่!

          เสียงกดเปิดไฟดังขึ้นทันที ความสว่างฉายแสงไปทั้งห้องสีเหลืองอ่อน สาดส่องไปทั้งห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง ทั้งสี่ด้านเป็นไม้อัดเก่าสีคล้ำ และพื้นที่เป็นไม้เก่าเช่นกัน แต่เปียกชื้นขึ้นมาเนื่องด้วยความชื้นของดินด้านใต้ เป็นห้องโล่งๆ และสกปรกอย่างที่คิดไว้จริงๆ

          แล้วผมก็เห็นเข้ากับจ็อบที่ยืนอยู่ที่เปิดสวิตช์ไฟ เป็นจ็อบเองที่ทำให้ผมโล่งใจขึ้น แต่สีหน้าท่าทางของเขากลับไม่ได้สบายใจเอาเสียเลย

          จ็อบวิ่งเข้ามาหาผมอย่างร้อนรน “วินมาทำอะไรที่นี่! วินรีบออกไปจากบ้านหลังนี้!” นี่แหละ จ็อบตัวจริง!

          “แล้วจะหนีไปได้ยังไง!”

          จ็อบที่ดูหน้าตาหมองๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเขาเป็นจ็อบตัวจริงๆ ไม่ใช่แบบก่อนหน้านี้ เขาคิดและมองไปทางด้านหลังของผม ดวงตาของเขาเบิกโพลงแล้วเอามือขึ้นปิดปาก ผมที่ตกใจการกระทำของจ็อบเลยหันหลังไปดูตาม

          ปรากฏเป็นร่างของผู้ชายที่ถูกเอาเชือกรัดคอห้อยไว้กับคานด้านบน ดวงตาสองข้างว่างเปล่าเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ร่างนั้นอืดและเขียวช้ำอย่างน่าสยดสยอง ตามด้วยกลิ่นเหม็นสาปเน่ารุนแรงชวนอ้วก เป็นศพของชายคนนั้นที่ผมคุยด้วยเมื่อสักครู่นี้จริงๆ !

          “นั่นพ่อ...แม่บอกว่าตาของพ่อไม่ดี แม่ฆ่าพ่อแล้วเอาศพมาไว้ที่นี่เองเหรอ จ็อบก็คิดว่าตอนที่โดนขัง เหมือนมีอะไรอยู่ด้วย”

          เสียงเหล็กกระทบเหล็กดังขึ้นด้านหลังของพวกเราจนเราสองคนต้องหันกลับไป แล้วก็พบกับผีผู้หญิงตนนั้นฉีกยิ้มให้อย่างสยดสยอง และในมือของเธอ ถือมีดด้ามยาวและซ่อมหนึ่งคันหนึ่งอยู่ เธอกระทบมันเข้าหลายครั้งจนเกิดเสียงเสียวฟันขนลุกซู่...ดวงตาของเธอแดงก่ำ จ้องมองมายังผมอย่างอาฆาต

          “เสียงอะไรวิน” จ็อบมองไปทางที่ผมมองเช่นกันอยู่ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าจ็อบจะไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็นเลย

          “จ็อบไม่เห็นเหรอ!” ผมพูดเสียงสั่นๆ พลางจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาพลางกระทบวัตถุเข้าด้วยกันเสียงดัง

          “เห็นอะไร...วินเห็นอะไร!” อยู่ดีๆ จ็อบก็เอามือเข้ามาปิดตาของผมแล้วมองไปรอบๆ อย่างสั่นๆ และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก “วินอย่ามอง แม่จะจกตาวิน!”

          ผมตกใจเพราะโดนปิดตา “อะไรจ็อบ!”

          “ถ้าวินมองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น...แม่จะจกตาวินออกมา เพราะฉะนั้นวินห้ามมองแม่นะ!” ผมใจเต้นตุบๆ เป็นวินาทีที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากๆ จ็อบก็ยังคงปิดตาผมอยู่แบบนั้นกันไม่ให้ผมมองสิ่งที่จ็อบมองไม่เห็น

          เสียงผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ใกล้ๆ ผม เธอดูไม่เร่งรีบอะไร เสียงของเธอค่อยๆ ผ่านผมไปอย่างช้าๆ เป็นแบบนั้นจริงๆ เธอเดินผ่านผมไปแต่ไม่เห็นผม

          จู่ๆ จ็อบเอามือลงจากการปิดตาของผม ผมลืมตาแล้วมองจ็อบ...เขานิ่งไปแล้วเปลี่ยนไปนั่งลงดูดมือจ๊วบๆ แทน “จ็อบ...ไม่นะ!” เสียงของใครบางคนที่เดินผ่านผมไปแล้วกำลังพุ่งมาทางผมอย่างรวดเร็ว!

          “เอาตามึงมา!!!” ผมได้สติหันมองกลับไป เป็นภาพน่ากลัวของเธอที่วิ่งพุ่งเข้ามาหมายเอาดวงตาของผม

          ปลายมีดจากมือเธอถูกยื่นออกมาข้างหน้า เฉียดตัวผมไปเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหลบตัวทัน ผีผู้หญิงคนนั้นอันตรธานหายไปในชั่วพริบตาผม จึงได้มองไปรอบๆ ก็ไร้ความว่างเปล่า

          และในตอนที่ผมเผลอไปในการง่วนหาตัวผีด้วยความรนนั้นเอง..ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เป็นเส้นๆ...ผมยาวรุงรังย้อยไหลลงมาบนหน้าของผม ทั่งเปียกชื้น ทั้งยาวขึ้นและยาวขึ้นเรื่อยๆ

          เธอกำลังขี่คอของผมอยู่!

          ผมของเธอปรกลงมาบนหน้าของผมเต็มไปหมด ผมมองขึ้นไปยังใบหน้าของเธอที่ซีดเผือก ตาโตดำสนิทเบิกกว้างพร้อมกับรอยยิ้มที่สยดสยองนั่น ได้เลื่อนมีดและซ่อมเข้ามาจ่อที่ดวงตาทั้งสองข้างของผมช้าๆ

          ผมตัวเกร็งจนสุดชีวิต หัวใจเต้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก มือไม้เท้าขาชาจนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

          เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นอย่างน่ากลัว ก่อนที่จะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อที่จะรวมแรงทั้งหมดแทงทะลวงช่วงชิงดวงตาของผมออกมา ทันใดนั้นตัวเธอก็ปลิวตกลงไปนอนกราดที่พื้นด้วยแรงปะทะอย่างหนักหน่วง ผมเองก็เซล้มลงไปในอารมณ์ที่วิตกขั้นรุนแรง

          พอหันไปมองทางต้นตอของแรงกระแทก ก็พบกับผีฮีโร่ที่ช่วยผมไว้ด้วยการเอาศพของตัวเองฟาดไปที่ด้านข้างของเธอจนล้มลงไปอย่างสุดแรง เกิดเสียงสนั่นอึกกะทึกคึกโครม

          ผมนั่งลงกับพื้นเพราะเข่าอ่อน อารมณ์หวาดกลัวของผมก่อเกิดขึ้นมาจนน้ำตาไหลริน อายุแค่ 12 ของผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ได้ยังไง มันไม่ยุติธรรม ผมรับไม่ได้!!!

          ผีผู้หญิงไม่ได้ยอมแพ้แต่อย่างใด รีบลุกขึ้นมาคว้ามีดและซ่อมที่หลุดมือไปเข้าไปอยู่ในกำมือ เตรียมพร้อมที่จะพุ่งทำร้ายผมอีกครั้ง

          เลือดกำเดาผมไหลออกมาเป็นทางสีแดงเข้ม ไหลลงคางหยดแหมะๆ ตอนนี้ผมหลับตาแน่นจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยตอนนี้ทั้งๆ ที่ความกลัวคืบคลานออกมาข้างหน้า

          “เอาตาของมึงมา!!!”

          “มึงหยุดบ่าเดี๋ยวนี้ อี่ผีต๋าย”

          ยาย! ยายมาช่วยผมแล้ว!!!

          ผีผู้หญิงหยุดชะงักแล้วหันไปหายายผู้ที่กำลังสวดมนต์บางอย่างใส่เธอ

          น้าแท่นที่ตามมาด้วยก็ช่วยยายต่อสายสิญจน์ออกไปกระจายไว้ทั่วห้อง และที่สังเกตได้ก็คือผีผู้หญิงคนนี้กำลังร้อนรนกระเสือกกระสน

          เสียงหวีดร้องดังไปทั่วห้องจนแสบแก้วหูมาก จ็อบเองก็เอามือออกจากปากก็รีบเอาไปอุดหูแทนแล้วร้องไห้ออกมา

          เธอหวีดร้องอยู่อย่างนั้น “อย่าทำอะไรกูเลย! กูยอมแล้ว! กูร้อนโอยกูร้อน!!!”

          เสียงกรีดร้องดังแสบแก้วหูจนผมต้องยกมือขึ้นมาปิด น้าแท่นอ้อมมาอีกฝั่งแล้วคว้าเอาตัวผมและจ็อบออกมาจากตรงนั้น ผมมองเห็นร่างของเธอค่อยๆ มอดไหม้กลายเป็นควันสีดำ ค่อยๆ หายไปในอากาศ เสียงกรีดร้องยังดังไม่จางหายไปจากโสตประสาทอันแสนบอบบางของผมจนชาไปหลายชั่วโมง

          ผมเสียสติพูดจาอะไรไม่ออก ได้แต่สั่นและหวาดกลัวอย่างหนัก ก็ได้ยายของผมนี่ล่ะที่เข้ามากอดปลอบประโลมใจจนกลับฟื้นคืนสติอีกครั้งหนึ่ง

          ทุกอย่างจบลง ณ ที่ตรงนั้น...

          ในช่วงเที่ยงคืนกว่าๆ น้าแท่นได้โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน. แห่งหนึ่ง ให้มาบุกเข้าสำรวจพื้นที่ และได้นำศพของพ่อจ็อบออกจากบ้านไปชันสูตรต่อไป ผม ยายและน้าแท่นผู้อยู่ในเหตุการณ์ต้องเข้าไปให้ปากคำที่โรงพัก

          ไม่นาน จ็อบได้ถูกสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ารับไปเลี้ยงเพราะขาดผู้ปกครองดูแล ทั้งพ่อและแม่ของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีญาติที่ไหนสักที่ เพิ่งรู้ว่าย้ายมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ก่อนผมจะเปิดเทอมขึ้นชั้นใหม่

          สรุปเรื่องทั้งหมดก็คือ ผมรู้ตัวว่าตั้งแต่ตอนนั้นว่าสามารถสัมผัสถึงวิญญาณคนที่ตายไปแล้วได้ ซึ่งยายผมรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมบอกเพราะกลัวผมเป็นกังวล หลายครั้งหลายคราที่ผมเห็นผี ยายก็มักจะบอกว่าเป็นคนอยู่เสมอเลยไม่ได้เอะใจอะไร แล้วตอนนี้ก็บอกให้ผมทำตัวให้ชิน เพราะต้องเจออะไรอีกมากมาย ยายจะคอยปกป้องผมเอง

          เรื่องของจ็อบก็สรุปได้ว่า จ็อบเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง ขาดความอบอุ่นทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็อยู่กันเป็นครอบครัวอบอุ่น แต่แม่ของจ็อบที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าแม่จ็อบเล่นของทางสายดำและเสียสติไป พ่อจ็อบที่มองเห็นวิญญาณได้เหมือนกันกับผมก็ถูกภรรยาของตัวเองควักลูกตาออกมาเพื่อทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง และฆ่าเขาทิ้ง เอาศพไปแขวนไว้ห้องใต้ดินของห้องทำพิธีกรรม และจ็อบเองก็ถูกทารุณกรรมหลังจากนั้นมา เพื่อเป็นหนูทดลองพิธีกรรมบางอย่างของแม่ โดนฟาดโดนตีต่างๆ นานาซึ่งผมก็ไม่ทราบเหตุการณ์และเหตุผลแน่ชัด

          ตอนนี้จ็อบได้หายไปจากชีวิตของผมที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ผม แม่และยาย ได้ย้ายมาอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง น้าแท่นได้ไปแต่งงานมีลูกอยู่ต่างจังหวัดไม่กลับมาที่บ้าน ส่วนคุณตา ได้เสียชีวิตก่อนที่พวกเราจะย้ายบ้านมาอีกจังหวัด ยายล้มเลิกพิธีกรรมต่างๆ เสีย เปลี่ยนมากินอาหารมังสวิรัติ และทำบุญทำทานจากนั้นเรื่อยมา

          ผมเองก็ได้เติบโตขึ้นในชีวิตที่แสนประหลาด...สวมแว่นตาสีดำกันแดดเวลาออกไปนอกบ้าน เพื่อง่ายต่อการหนีพ้นจากสายตาของใครหลายคน สวมหน้ากากอนามัยกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่จะเข้ามาปะทะจมูก สวมหูฟังฟังเพลงอยู่ตลอดเพราะไม่ต้องการสื่อสารกับใครทั้งนั้น ทั้งคนปกติหรือ...อะไรก็ช่าง

          คนประหลาดแบบผม...

          จะใช้ชีวิตต่อไปจากนี้ด้วยความอดทนอีกนานแค่ไหนกัน...



FOLLOWER

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ากลัวสุด ไม่น่าหลงมาอ่านตอนกลางคืน;-;

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ไอ้ยิ้ม! [1]


          ย้อนมาสู่ปัจจุบันที่ไม่อยากย้อนมาสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยากย้อนกลับไปในอดีตอีกเช่นกัน...

          เห้อ...ชีวิตนี้ของผมจะมีค่าสักเท่าไหร่ คนเห็นผีอย่างผมมันไม่มีประโยชน์อะไร เห็นแล้วมันได้อะไรขึ้นมาเหรอครับ...ไม่มีไง ทำอะไรก็ไม่ได้ และอีกอย่างนะ อย่าถามถึงแฟนผมเลย เพื่อนสักคนตอนนี้ยังไม่มี

          หรือผมไม่คบใครเองมากกว่ามั้ง...

          อืม...บ่นเข้าไป ไม่นานผมก็จะประสาทแดกเหมือนที่เขาพูดกันนั่นแหละ ไม่ผิดเลยครับ

          เข้าสู่ตัวผมเต็มตัววัย 20 ปี กำลังมีแรงทำงานอย่างขยันขันแข็ง...

          ผมทำงานเป็นแคชเชียร์ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ไกลจากบ้านเช่าผมออกไปสองไฟแดง ผมต้องปั่นจักรยานออกมาทำงานแทบทุกวัน แต่เปลี่ยนเวรทำงานเป็นกะดึก 6 ชั่วโมงอยู่กับพี่แป้งเพื่อนแคชเชียร์ของผมอีกคน

          ช่วงค่ำๆ ผมก็จะมารอก่อนเวลาเปลี่ยนเวรพนักงานที่หลังร้าน

          แล้วก็ถึงคิวของผมครับ เวลาทุ่มครึ่ง...

          ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด

          “150 บาทครับ” ผมในลุคแว่นตาดำ ใส่หน้ากากอนามัยตามเคย แต่วันนี้ไม่ได้ใส่หูฟัง เพราะต้องสื่อสารกับลูกค้า แค่ใช่หูกับปากเท่านั้นเอง “รับมา 200 บาทนะครับ...เงินทอน 50 บาท คุณลูกค้าสามารถซื้อนมกล้วยญี่ปุ่นกับขนมปังโฮมเมดลูกเกดได้หนึ่งชุดในราคาเบาๆ 29 บาท สนใจไหมครับ”

          “ไม่เป็นไรค่ะ”

          “ครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่ครับ” ที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นประโยคในสคริปต์มาก่อนที่ผมจะจำขึ้นใจได้ขนาดนี้ ถ้าลูกค้าเขาอยากได้ ผมก็จะหยิบให้และรับเงินมา แล้วพูดว่า ‘ทานให้อร่อยนะครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่ครับ’ ไปตามลำดับ

          เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ลูกค้าคนแล้วคนเล่าที่ผมคิดเงินแล้วพูดประโยคขายของซ้ำๆ เข้าร้านและออกร้านไป จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว...ลูกค้าเงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่าจะเข้ามาสักคน...ผมไม่ได้ง่วงเท่าไหร่ เพราะนอนตอนกลางวันมามากพอแล้ว พอหันไปมองพี่แป้งแกก็ดูท่าจะเหงาหลับเป็นช่วงๆ ไป

          “พี่แป้งไหวไหมครับ”

          “ออ...ไหวอยู่ๆ ” แต่ตานางได้ปรือพร้อมหลับใหลไปแล้วเรียบร้อย

          “ผมขอฟังเพลงนะครับพี่”

          “โอเค เดี๋ยวพี่ดูลูกค้าให้นะ...”

          ผมไม่รอช้า กดเปิดเพลงในโทรศัพท์แล้วสวมหูฟังบลูทูธเข้าครอบหูด้วยความอยากกระหาย เพียงแค่ไม่ได้ฟังมาไม่กี่ชั่วโมง ก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

          เพลงในโทรศัพท์ของผมก็จะมีเพลงแนวร็อคๆ อยู่สักสองสามเพลง แต่ส่วนมากก็เป็นเพลงสบายๆ ทั้งนั้น เพื่อรักษาหูของผมไปทุกวัน และป้องกันเสียงรบกวนที่ผมไม่อยากได้ยินเหล่านั้น

          และไม่นาน ก็มีเสียงสัญญาณเตือนลูกค้าดังขึ้นขณะที่ผมฟังเพลงกำลังสนุก

          ตื้อดืด!

          เสียงแทรกเข้าไปในหูผมได้เพราะไม่ได้เปิดเพลงดังมาก เลยรีบลุกพรวดพราดไปยืนหน้าเคาน์เตอร์ทันที “มินิมาร์ทxxxสวัสดีครับ!”

          ผมไม่ได้เห็นตัวลูกค้าแต่อย่างใด แต่ได้ยินเสียงรองเท้าเดินกุกๆ ไปดูของทางด้านในแล้ว ผมจึงชะเง้อคอมองไปแต่ก็ไม่เห็นใคร เลยหันไปมองทางพี่แป้งขวามือของผม...พี่แกจ้องผมด้วยสีหน้าแปลกๆ

          “มองอะไรครับพี่แป้ง” ผมมองพี่แป้งอย่างแปลกใจ เธอดูอึ้งๆ สลับมองผิวหนังของตัวเองที่ขนลุกเป็นตุ่มๆ พลางลูบช้าๆ “พี่แป้งครับ” ผมเรียกเตือนสติพี่เขาอีกครั้งจนพี่แกสะดุ้ง

          “ห้ะ! เอ่อ...” สีหน้าเธอดูเป็นกังวล ผมก็เงียบรอฟังสิ่งที่พี่เขาจะบอก “เมื่อกี้อ่ะ วินรู้ไหมว่า...” สีหน้าพี่แป้งไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด

          “อะไรครับพี่” พี่เขากระเถิบเข้ามาใกล้ผมแล้วเกาะที่แขน มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อย เป็นเรื่องแปลกๆ ที่ออกมาจากปากพี่เขาจนผมเองก็ตกใจเช่นกัน

          “เมื่อกี้ไม่มีใครเข้ามาเลยนะ...แล้วอยู่ดีๆ วินก็ลุกขึ้นพูดต้อนรับ...แล้วก็ชะเง้อมองหา วินมองอะไรของวิน” ผมตกอยู่ในอารมณ์ที่ไปไม่ถูกแล้วตอนนี้

          “แต่ผมได้ยินเสียงคนเดินเข้าไป...” ผมยังยืนยันตามเดิมว่ามีคนเข้ามาจริงๆ แต่พี่แกก็ส่ายหัวไม่เชื่ออย่างเดียว

          “มันไม่มีเลยวิน เชื่อพี่ได้ ถึงพี่จะง่วงก็เถอะ แต่สติพี่อยู่ครบทุกอย่าง เมื่อกี้ประตูเปิดก็จริง...แต่พี่ไม่เห็นใครเดินเข้ามาจริงๆ นะวิน! ...งั้นพี่ขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ค่าจ้างพี่ไม่เอาแล้ว ฝากบอกพี่เชนด้วยนะ พี่ไปล่ะ พี่อยู่ไม่ได้!” พี่แป้งไม่รอคำตอบจากผม เธอรีบเดินเข้าไปในห้องพักหลังร้าน ไม่นานทั้งตัวพี่แป้งและสัมภาระต่างๆ ก็ออกมาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว...เธอหยุดมองรอบๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะโบกมือลาผมแล้ววิ่งออกไป...ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่คนเดียวที่นี่

          ผมตัดสินใจเดินออกจากเคาน์เตอร์ ไปดูลูกค้าคนที่เข้ามาเมื่อสักครู่นี้ จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมเป็นคนดูแลร้านผู้ถูกทิ้งอยู่คนเดียวไปแล้ว ก็ต้องเอาให้แน่ชัดว่านั่นคนหรือผีกันแน่...เพื่อความสบายใจของตัวผมเองนี่แหละ

          ถ้าเป็นคนก็โอเค...แต่ถ้าเป็นผี ผมเผ่นแน่ ไม่สนแม่งแล้วการงาน!

          เสียงกุกๆ ของรองเท้าใครบางคนยังดังอยู่ด้านในสุดของร้านโซนน้ำดื่มและอาหารแช่เย็น

          ผมก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ทำทีเป็นเดินเช็คของไปด้วย แต่สายตาของผมก็ยังคงมองไปทางด้านหน้าอยู่ หูก็ได้ยินเสียงเดินนั่นเดินไปเดินมา พลันเสียงหยิบขนมก็ดังขึ้นก็อบแก็บหลายขยุ้ม ผมนิ่งเงียบฟัง แล้วรีบเดินเข้าไปดูทางนั้นทันที

          เชี่ย...ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่สักคน ที่นี่ว่างเปล่าเหลือแต่ผมยืนอยู่คนเดียว พอรู้แบบนี้ก็เริ่มรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้แข้งขาชาจนไม่รู้สึกใดๆ โดยอัตโนมัติ

          อะไรกันวะเนี่ย...ผีเหรอวะ!

          แล้วเสียงกุกๆ ของรองเท้าก็ดังอยู่ด้านหลังของผม เป็นเสียงก้าวเดินฉับๆ บนรองเท้าส้นสูง ผมจึงหันกลับไปมองจนสุดทาง ปรากฏหญิงชุดทำงานสีกรมคนหนึ่ง ถือถุงหิ้วที่ใส่ของเสร็จสรรพเดินออกไปแล้ว

          ขโมยเหรอวะ?!! ...

          “เห้! คุณลูกค้าครับ คุณยังไม่ได้คิดเงินเลยนะครับ!” ผมรีบเดินก้าวต่อไปยังหน้าร้าน เธอก้าวเดินออกไปจากประตูร้านแล้วเรียบร้อย แล้วผมก็เห็นตัวเธออยู่ด้านนอก “คุณลูกค้าครับ กรุณาช่วยคิดเงินก่อนเอาสินค้าออกนอกร้านด้วยครับ”

          เธอยืนหันหลังนิ่งให้ผมอยู่ตรงของฟุตบาทริมถนน ผมว่าเธอต้องได้ยินเสียงผมชัดแน่นอน เพราะผมพูดเสียงดังพอสมควร เธอยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนผมไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก

          แล้วจู่ๆ ถุงหิ้วของของเธอก็ขาดโผละ ของด้านในก็หล่นกระจัดกระจายบนพื้น เห็นว่าเธอก้มเก็บ ผมเลยจะเข้าไปช่วยแต่ก็ต้องหยุดชะงักให้กับแสงของรถบนถนนที่ส่องจ้ามายังหน้าร้าน เสียงเร่งคันเร่งของเครื่องยนต์เสียงดังกำลังจะมุ่งหน้าผ่านไป แต่ไม่ใช่แบบนั้น รถคันนั้นกำลังวิ่งมาทางหน้าร้านที่เธอกับผมยืนอยู่!!! “คุณครับ ระวัง!!!” สิ้นเสียงของผมก็บังเกิดแรงปะทะและเสียงโครมสนั่นไปทั่วบริเวณ

          ผมที่หลับตาเอามือและแขนป้องตัวเองไว้อยู่ในอาการที่สั่นจนไม่ไหวแล้ว แต่ทุกอย่างกลับเงียบกริบราวกับว่าไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นที่นี่ เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า...สักพักก็มีกลิ่นไหม้ลอยเข้ามา ปนกับกลิ่นคาวเลือดจางๆ และกลิ่นของ...ความโศกเศร้าลอยคละคลุ้งปนเปกันไปในอากาศ...กลิ่นเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกไปจากเดิม จากความกลัว เปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าเสียใจที่เข้ามาแทนที่

          ผมใจหายวาบ ทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นด้วยขาที่อ่อนแรงเนื่องจากความกลัวเมื่อสักครู่นี้ แล้วมือของผมก็ลงไปสัมผัสกับพื้นกระเบื้องหน้าร้าน จนภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวของผมฉับพลัน...นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน!

          หญิงสาวในชุดทำงานสีกรมเดินเข้ามาในร้านมินิมาร์ทก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาทำงานที่นี่ เธอเลือกซื้อของและคิดเงินแล้วเรียบร้อย เธอออกไปยืนรอรถที่ฟุตบาท ถุงในมือของเธอขาดแล้วของก็หล่นกระจัดกระจาย แล้วรถคันนั้นก็พุ่งเข้ามา...ที่ตัวเธอ

          เธอเสียชีวิตคาที่บริเวณหน้าร้านที่ผมกำลังทำงานอยู่ ซึ่งหน้าร้านก็โดนรถพุ่งเข้าใส่จนพังไปเยอะเหมือนกัน เห็นได้ถึงร่องรอยอารยธรรมเก่าที่เคยเกิดขึ้น

          ผมหลุดออกจากภวังค์ภาพเหล่านั้นกลับสู่ปัจจุบัน...หัวใจของผมยังคงเต้นเสียงดังด้วยความตระหนกอยู่ร่ำไป...เธอคงจะเป็นวิญญาณที่ถูกรถชนเสียชีวิตที่นี่เมื่อหลายปีก่อน ผมกลับไปอ่านข่าวในสมาร์ตโฟนอีกครั้งแล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

          เธอคงย้อนรำลึกให้ผมได้เห็นถึงการตายของเธอ ตอนนี้วิญญาณของเธอได้หายไปแล้ว กลิ่นของความทรงจำอันเลวร้ายที่นี่ ก็คงตราตรึงอยู่ในอดีตตลอดกาล แม้จะไม่น่าจดจำก็ตาม

          ผมแผ่ผลบุญที่ผมได้ทำมาทั้งชาตินี้ ให้กับเธอ...ผู้หญิงคนที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชนที่นี่ ให้ได้ไปสู่ในภพภูมิที่ดี อย่าได้ติดบ่วงกรรมอันใดอีก สาธุ...







          ผมเฝ้าร้านด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมจนช่วงตีสองครึ่งก็ถึงเวลาเปลี่ยนเวรของผมแล้ว

          ต้องรีบกลับบ้านเพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน วันไหนที่ผมเจอผี วันนั้นผมก็ถือว่ามันคือวันซวยดีๆ นี่เอง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

          ผมต้องรีบกลับไปนอนเพื่อให้ถึงเช้าของวันนี้ไวๆ ตอนกลางคืนมันเหงาเกินไปสำหรับคนอย่างผม ถึงแม้จะทำตัวให้ชินเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบมันนัก

          ทันทีที่ผมถึงบ้านพร้อมกับจักรยานตัวโปรด ก็เจอกับบางอย่างสีขาวๆ จากสายตาภายใต้แว่นดำของผม และเพื่อให้ชัดมากขึ้นจึงถอดมันออก

          ภาพชัดเจนขึ้นจึงเห็นเป็นผู้ชายตัวสูง ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกางเกงสแล็คสีดำ ยืนโงนเงนไปมาเหมือนคนเมา...

          ผีอีกแล้วป่ะวะ...กลางคืนทำให้ผมไม่ค่อยไว้ใจอะไรสักอย่าง

          ไม่ใช่ผีหรอก...ถือขวดเหล้าในมือซะขนาดนั้น ขี้เหล้าชัดๆ!

          แม่งมาทำอะไรที่หน้าบ้านผมเนี่ย!

          ผมยืนมองท่าทางของเขาก่อน ถ้าผมอุกอาจเข้าไปตอนนี้เขาอาจจะทำร้ายผมก็ได้

          ร่างสูงยืนเอามือก่ายหน้าผาก พิงอยู่ที่ตู้รับจดหมายของบ้านผม ข้างๆ นั้นมีปุ่มออดที่เกือบจะพังแต่ยังใช้ได้อยู่ เขาเอามือกดอยู่ตรงนั้นรัวๆ จนเสียงกิ๊งกุ่งในบ้านผมดังออกมาได้ยินออกมาชัดเจน

          “แม่ครับ เปิดประตูให้ยิ้มหน่อย...” ห้ะ! ...ไรวะ ชื่อยิ้ม? ผู้ชายอะไรชื่อยิ้ม เคยได้ยินแต่พวกผู้หญิง “แม่! ข้างนอกมันหนาว มาเปิดประตูให้ยิ้มหน่อยค้าบบบบ” โอ้โห เสียงอ้อนเชียว คนเมาเป็นแบบนี้กันเหรอวะ

          ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขาทันทีเพราะตอนนี้อยากจะนอนเต็มทน ไล่ๆ ให้ไปที่อื่นเสียจะได้จบๆ “คุณครับ” ผมแตะๆ ไปที่ตัวของเขา “คุณมาผิดบ้านแล้วครับ นี่บ้านของผม” เขาชายหางตามาแลมองผมช้าๆ แล้วหันหน้ามาทางผมด้วยตาปรือๆ พลางขมวดคิ้วใส่ ผมเขายุ่งกระเซอะกระเซิงไปหมด ผิวขาวมีรอยใหญ่แดงเป็นป้านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นี่ถ้ายังปกติดีนี่พี่แกหล่อมากเลยนะเนี่ย...

          “อ้าวเหรอครับ...” เขายังคงยืนโงนเงนก่อนจะค่อยๆ เดินหน้ามาทางผม... “ไปส่งผมที่บ้านที...”

          “ผมจะรู้ได้ไงครับว่าบ้านคุณอยู่ไหน”

          “อ้าว...คุณบอกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านผม แต่เป็นบ้านของคุณ คุณก็ต้องรู้สิว่าบ้านผมอยู่ไหน” เสียงทุ้มแต่เมายังคงต่อล้อต่อเถียงกับผม แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องมาเถียงเขาเลยสักนิด!

          “คุณเมาแล้วครับ เชิญคุณไปที่อื่นได้แล้ว ผมจะเข้าบ้าน” ผมผายมือให้ไปอีกทาง เขามองตามมือของผมแต่เหมือนเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผมพูด

          “ผมปวดเยี่ยว ขอเข้าไปเยี่ยวหน่อย...” คนเมาเข้ามาจับแขนของผมแล้วเขย่าๆ เหมือนเด็ก ผมเองที่เริ่มรู้สึกขยะแขยงก็เลยสะบัดมือเขาให้หลุดออกไป “ผมปวดเยี่ยวนะคุณ!”

          “ไปเยี่ยวที่อื่นครับ ข้างทางก็มี!”

          “จะเยี่ยวในห้องน้ำ!” เขาทำท่าจะเข้ามาหาผมอีกครั้ง ผมเลยเข้าไปผลักอกของเขาให้เซออกไป แล้วรีบคว้าจักรยานมา ทำการไขกุญแจประตูรั้วบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วยกจักรยานพร้อมกับตัวผมเข้าไปในเขตบ้าน รีบหันมาล็อกประตูลงกลอนเสร็จสรรพ

          แล้วเขาก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง มือเกาะลูกกรงอย่างกับลิงรอกินกล้วยในสวนสัตว์เป้ะๆ “คุณ! ทำไมทำกับผมแบบนี้...ไม่หล่อแล้วยังไม่มีน้ำใจอีก...”

          พูดเอาเสียผมหน้าเจื่อน นี่ผมกำลังโดนคนเมาด่าเหรอเนี่ย ไม่ได้แล้ว! ผมต้องข่มอารมณ์โมโหลงเดี๋ยวนี้เลย อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา

          “เออ! หน้าตาน่าเกลียดไง ไม่มีใครคบเนี่ย! ไปเลยไป ไม่ต้องมาอยู่หน้าบ้านผม รีบไปเลย!!!” ผมไล่ไปสุดแรงเสียง แล้วรีบหันกลับจอดจักรยาน เดินขึ้นบ้านไปปิดประตูลงเสียงดังปั้ง หันกลับมามองลอดผ่านกระจกออกไป เขายืนโงนเงนอยู่แถวนั้นสักพักก็เดินหายไปจากตรงนั้นทันที

          ไอ้ห่าเอ้ย!

          ผมรีบอาบน้ำอุ่นแล้วเข้านอนอย่างรวดเร็วเพื่อจะให้ถึงเช้าวันนี้ไวๆ แล้วเสียงรำคาญของรถพยาบาลก็เข้ามาในโสตประสาตของผม จากไกลมาใกล้ แล้วก็ไกลออกไป แต่เสียงไม่ได้หายไปจากแถวนี้

          กลิ่นของอะไรบางอย่าง คละคลุ้งไปหมด...



FOLLOWER
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-08-2019 12:15:51 โดย Anchen. »

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ไอ้ยิ้ม! [2]


          ช่วงเช้าประมาณ 7 โมงกว่าๆ ผมปั่นจักรยานมาอีกทางหนึ่ง

          ถนนที่ผมมุ่งหน้าไป ข้างหน้าเกิดรอยไหม้เป็นทางยาวตรงกลางเส้นเหลือง เมื่อคืนสงสัยจะเกิดอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง จำได้ว่าได้ยินแค่เสียงหวอของรถพยาบาลเบาๆ เพราะเมื่อคืนผมคงจะหลับเป็นตาย มีเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายเกลื่อนพื้น ทำให้ผมต้องปั่นจักรยานหลบหลีกเพราะกลัวเศษกระจกจะเจาะยางแบนไม่ได้ปั่นไปไหนกันพอดี

          กลิ่นอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องจอดรถ...เป็นกลิ่นที่รู้สึกแปลกๆ ...กลิ่นคาวเลือดโชยฟุ้งในอากาศจนผมต้องปิดจมูก แสดงว่าต้องมีคนได้รับอุบัติเหตุแน่ๆ ...และอีกกลิ่นหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ...กลิ่นวิญญาณ

          มีวิญญาณอยู่แถวนี้!

          ขนทั้งตัวผมลุกขึ้นมาเกรียวกราว ดวงตาสองข้างภายใต้แว่นดำของผมเริ่มมองหาสิ่งที่คนอื่นนั้นมองไม่เห็น กลิ่นยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้อย่างแน่นอน มองจนรอบแล้วก็ไม่มีวี่แววของต้นสาเหตุกลิ่น

          เอาเป็นว่าผมควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าแส่หาเรื่องเข้าตัวเองเสียนั่น

          สองขาควบจักรยานปั่นออกไปที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย ต้องรีบไปจัดของให้ร้านเขาตามออเดอร์ที่สั่งมา ผมก็แปลกใจเหมือนกันนะว่าทำไมพนักงานเขาไม่จัดเอง ทำไมต้องจ้างคนจัดของโดยเฉพาะด้วยล่ะ งงใจ แต่ก็ไม่เป็นไร ได้เงินเท่ากับมีชีวิตอยู่ต่อไป

          ผมออกจากร้านสะดวกซื้อในช่วงเที่ยงๆ แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งแถวๆ นั้นกินก่อนจะไปที่ร้านหนังสือคุณตา

          ร้านหนังสือคุณตาเป็นตึกแถวไม้เก่าของคนจีนที่อพยพมาในไทยสมัยก่อน ถูกขายต่อและซื้อเช่า ขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็กว้างพอเหมาะสำหรับเก็บหนังสือไว้เป็นตู้ใหญ่ได้หลายตู้ ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสืออยู่บ้าง บางวันก็ชอบมาหมกอยู่ที่นี่จนช่วยปิดร้าน

          ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหนังสือทางโลกหรือไม่ก็หนังสือนวนิยายน้ำเน่าบลาๆ ๆ นานๆ ทีจะอ่าน

          และกลิ่นของร้านหนังสือ คือสิ่งที่ผมชอบที่สุด มันอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้ที่เก่าจนหอมขึ้นมา กลิ่นกระดาษผสมกับหมึกพิมพ์คละคลุ้ง ทั้งเก่าและใหม่ รวมไปถึงกลิ่นชาอ่อนๆ ที่คุณตานั่งจิบอยู่

          “ตาแม้นสวัสดีครับ” ผมทักทายคนแก่ที่กำลังจิบชาและอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เขาพยักหน้าให้ผมอยู่ที่เคาน์เตอร์ ร้านยังไม่เปิดก็เลยยังไม่มีลูกค้าเข้าสักคน

          อันที่จริงงานนี้เป็นงานอาสาครับ ไม่ใช่งานรับเงินใดๆ เห็นคุณตาทำงานจัดหนังสืออยู่คนเดียวงกๆ ไม่มีลูกหลานที่ไหน ผมก็อดใจไม่ได้เลยอาสาช่วยเหลือคนชราที่ทั้งปวดเข่าและปวดเอว ตาแม้นแกก็ชอบที่ได้คนหนุ่มๆ มาช่วยบ้าง บางวันเขาก็ใจดีเลี้ยงข้าวผมด้วย

          เวลามาที่นี่ผมมักจะถอดแว่นอยู่เสมอ เพราะไม่มีอะไรมารบกวนสายตาของผมได้เลยสักอย่าง ร้านของคุณตาไม่มีผี ไม่มีเจ้าที่ใดๆ ทั้งนั้น เพราะไม่เคยมีประวัติมาก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะความเชื่อของตาเขาล่ะมั้ง ผีก็เลยไม่อยากอยู่ด้วย ผมก็ไม่ทราบอะไรมาก เพราะไม่เคยปริปากถามสักครั้ง

          ผมไม่รอเวลา เข้าไปจัดหนังสือที่ลูกค้ายืมแล้วเอามาคืนไปจัดเก็บให้เข้าที่ และทันทีที่ผมจับหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง...ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาทำให้ผมเหมือนตกอยู่ในช่วงเวลานั้นทันที

          ...เหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ฉายออกมาเป็นฉากๆ จับใจความไม่ได้สักนิด...หนังสือถูกปัดตกกระจัดกระจายไปหมด ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจับคอเสื้อผู้ชายแล้วกระชากสุดแรง เธอทั้งกรีดร้องและร้องไห้ ผมยืนหัวใจเต้นตุบตับแล้วมันก็ค่อยๆ จางหายไปจากสายตาสู่ปรกติ...ทิ้งไว้แต่ความสงสัยของผม

          อะไรวะ...ทำไมภาพเหตุการณ์เหล่านั้นถึงพยายามบ่งบอกอะไรผม

          นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมสัมผัสกับสิ่งของต่างๆ แล้วเกิดภาพแบบนั้นขึ้นมา ผมต้องระวังอยู่บ้างเหมือนกันเพราะบางทีมันก็แย่เกินไปที่จะดู

          ทุกครั้งที่ผมเป็นแบบนี้ มันจะต้องมีเหตุผลสิ!

          ผมรีบเปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างรวดเร็วไปทีละหน้า ก็ไม่ได้พบอะไรที่ผิดแปลกไป...แต่กลิ่นของมัน ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของความพยายาม ความผิดหวัง และความเกลียดชัง

          ตาแม้นลดหนังสือพิมพ์ลงมองผม ขณะที่ผมนั่งอ้ำอึ้งอยู่กับหนังสือในมือ “วันนี้ไปเจออะไรมาเรอะ?” คุณตาถามขึ้นมาในความเงียบของร้าน ทำให้ผมแปลกใจกับคำถามพอสมควร

          “เอ่อ...หมายถึงอะไรเหรอครับตา”

          “ไปเจออะไรมาก่อนมาที่ร้านล่ะ” ผมฟังและครุ่นคิด ตั้งแต่ตื่นนอนและออกจากบ้านมา ก็ไปแค่ทำงานร้านสะดวกซื้อ ก็ไม่มีอะไรแปลกไป...แล้วก็ร่องรอยอุบัติเหตุ...หรือว่าจะใช่ แต่ทำไมต้องเป็นประเด็นนั้นด้วยล่ะ

          “เมื่อเช้าผมปั่นจักรยานมา ก็เห็นเป็นรอยไหม้บนถนนเท่านั้นเองนะครับ... เหมือนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อคืน”

          คุณตาไม่ตอบอะไรกลับมาแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ “ตาถามผมทำไมเหรอครับ” แล้วเขาก็ลดหนังสือพิมพ์ลงอีกครั้ง

          “ตาคิดว่าวินอาจจะไปเจออะไรสักอย่าง...ที่บังเอิญเหลือเกิน”

          “ตาพูดแปลกๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจ”

          “ตาก็ไม่รู้จะบอกอะไร เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็รู้เอง” ตาแม้นจะมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะครับ! มาหลอกให้ผมอยากรู้แล้วเงียบไปเฉยเลย ด้วยนิสัยของตาแม้นเป็นคนสุขุม เลยไม่ค่อยชอบพูดอะไรมากมาจนแก่ปูนนี้ “มันเป็นกงกรรมของคนเรา หลีกเลี่ยงไม่ได้เด็ดขาด นอกเสียจากว่า...คนเราจะตายไปจากโลกนี้”

          “...” โอเค ความงงแดกจากตาแม้นมอบให้ผมไปแล้วหนึ่งกระสอบใหญ่





          ตอนนี้คำพูดของตาทิ้งไว้เป็นปริศนาคาใจผม

          ช่วงเย็นผมก็ไปทำกะดึกที่มินิมาร์ทเช่นเคย พอถึงตีสองผมก็กลับบ้านเวลาเดิม เป็นแบบนี้วนไปทุกวัน ถ้าจะถามผมว่าเบื่อไหม ขอบอกว่าเบื่อโคตรๆ แต่จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อการรักษามะเร็งของแม่ต้องใช้เงินเยอะมากเกินกำลังที่ผมจะหาได้ แต่ก็ต้องทำงานเก็บเงินเพราะมีเพียงแค่วุฒิจบ ม.6 อย่างที่เคยบอกไว้

          บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหอมฉุยโชยควันไอร้อนออกมาจากถ้วย ผมที่สวมถุงมือกันความร้อนได้ยกถ้วยมื้อดึกแสนดึกมาวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว

          ตะเกียบพร้อม ช้อนพร้อม ปากพร้อม!

          ด้วยความที่หิวมากเลยโซ้ยเส้นเหนียวนุ่มเข้าปากไปด้วยความฟินน์ทะลุฟ้า น้ำย่อยในท้องกำลังทำงาน เสียงตักน้ำซุปซดดังซาบซ่านไปทั้งบ้าน ถ้าแม่ได้ยินเข้าล่ะก็หูชาแน่ เพราะแม่เป็นคนเนียบเรื่องอาหารการกิน เคี้ยวดังก็ด่า ซดดังก็ด่า กินเหลือก็ด่า กินเยอะก็ด่า...โอเค ผมชินไปแล้วครับเพราะถึงแม่ด่าว่ายังไง นิสัยเห็นของกินเป็นพระเจ้าของผมก็ล้มเลิกไม่ได้อยู่ดี

          ว่าแล้วก็คีบเส้นเข้าปากอีกที ซูดดดดดดดดด!!!

          กิ๊งกุ่ง~

          สัสเอ้ย! ใครมันมากดออดเวลานี้ฟระ!

          กิ๊งกุ่ง~กิ๊งกุ่ง~กิ๊งกุ่ง~กิ๊งกุ่ง~กิ๊งกุ่ง~

          “โอ๊ย! อะไรกันนักหนาวะ คนจะแดกมาม่า!” ผมใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกไปที่หน้าบ้าน ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็มีใครบางคนกำลังยืนเอาแขนก่ายตู้จดหมายของผม มืออีกข้างถือขวดเบียร์อยู่

          เสื้อเชิ้ตสีขาว...กางเกงสแล็คสีดำ...ขวดเบียร์นั่น หมอนั่น...

          ไอ้ขี้เมาเมื่อวานนี้นี่!

          หลงบ้านอีกแล้วเหรอวะ...เชี่ยเอ้ย...ลำบากกูอีกละ

          “แม่ครับ เปิดประตูให้ยิ้มหน่อย...”

          “นี่คุณ! ผิดบ้านอีกแล้วนะครับ เชิญคุณกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”

          “แม่! ข้างนอกมันหนาว มาเปิดประตูให้ยิ้มหน่อยค้าบบบบ” เอ้า...อะไรของแม่งวะเนี่ย พูดคำเดิมเหมือนเมื่อวานเลย ประสาท! “ใครวะ...” ตาปรือมองมายังผมแล้วทำคิ้วขมวดใส่ผมที่ยืนอยู่ในรั้วบ้าน ผมเองจ้องมองดูเขาทุกกิริยาเช่นกัน เขาเดินเลาะตามกรงประตูรั้วมาแล้วทำหน้างงๆ ใส่ เมาจนหน้าแดงเหมือนเมื่อวานเลย ทรงผมก็กระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงแบบเมื่อวานอีกเหมือนกัน

          เขาเดินมาจับที่ลูกกรงแล้วเอาหน้ามาซุกไว้ที่ระหว่างช่องว่าง

          “คุณครับ นี่บ้านของผมครับ ไม่ใช่บ้านของคุณ คุณจำผิดอีกแล้วนะครับ เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มาอีกแล้ว จะมาทุกวันเลยหรือไงครับคุณ!” ผมใส่ไฟไปรัวๆ เขาคงต้องรับฟังบ้างแหละ

          “คนใช้ใหม่เหรอครับแม่...”

          ไอ้ฟาย...คนใช้บ้านแม่มึงสิ นี่เจ้าของบ้านโว้ย เมื่อไหร่จะไปๆ สักทีเนี่ย ทิ้งมาม่าตากลมแช่น้ำจนอืดจนเย็นหมดแล้ว!

          “ผมปวดเยี่ยว ขอเข้าไปเยี่ยวหน่อย...” อีกละ...

          “ไม่ได้ครับ ถ้าคุณจะมากวนผมล่ะก็รีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลย ผมจะไปนอนแล้ว” ผมหันหลังกลับไปจะเดินไปที่หน้าบ้าน เขาเงียบเสียงไปแล้วนั่งลงกับพื้น เอาหลังพิงประตูรั้วบ้านไว้

          หรือถ้าเขาหลงทางจริงๆ ล่ะ...มาที่นี่ตั้งสองวันแถมยังใส่เสื้อผ้าตัวเดิมอีก

          เขาคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ ผมจะต้องทำยังไง...ผมรับมือกับคนเมาไม่ไหวด้วยสิ

          ก็คงจำเป็นต้องทิ้งเขาไว้ที่นี่แหละ...เดี๋ยวตอนเช้าหรือไม่ก็สักพักเขาก็ไปเอง แต่จะมาอีกหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ

          “หลับหน้าบ้านผมไปนะ หายเมาตอนเช้าก็หาทางกลับบ้านด้วยแล้วกัน ผมขึ้นนอนล่ะ...” ผมที่จะเดินหันกลับไปก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองเขา เขานิ่งเงียบไป สงสัยจะเมาได้ที่จนเข้าฌานไปแล้วล่ะมั้ง

          “ผมมาที่นี่ได้ยังไง...” เขาพูดออกมาเบาๆ ในความเงียบกริบของช่วงดึกนี้ ยิ่งทำให้ผมคิดหนักไปใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองด้วยซ้ำ...เขาหลงทาง หรือไม่ก็อาจจะสมองเสื่อมก็ได้

          ชีวิตคนทั้งคนเลยนะ จะโทรศัพท์หาตำรวจดีไหม...หรือว่าจะปล่อยให้เขาอยู่แถวนี้จนเช้าดีล่ะ...แล้วผมก็ต้องตัดสินใจสินะ

          “คุณ...เข้ามาในบ้านผมก่อนก็ได้...กลางคืนมันหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย”

          โอเค ผมตัดสินใจแล้ว...แค่วันเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

          ผมว่านะ...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ไอ้ยิ้ม! [3]


          ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ด...

          รำคาญ...

          มือผมควานคลำกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงด้วยอาการงัวเงียของช่วงเช้า...ทั้งรู้สึกล้า ปวดหัวและปวดตัวเอาเสียมากๆ ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยสักที่...

          กี่โมงแล้ววะ...

          ผมหยิบนาฬิกาจากหัวเตียงขึ้นมาดูในท่าที่นอนหงายอยู่บนเตียง สายตาก็ค่อยๆ ปรับเข้ากับสภาพแสงที่สาดเข้ามาในห้องโคตรแสบตา แล้วก็ต้องหันไปมองนาฬิกาอีกที

          เชี่ย!!! 11โมง!

          เชี่ยแล้ว!!! ไม่ทันไปจัดของแล้วไอ้วิน!

          ผมดีดตัวลงจากเตียง รีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไปทันที ทันทีที่ผมปิดประตูลงแต่ยังไม่ได้ลงกลอน ภาพทุกอย่างตรงหน้าก็มืดมน หัวหนักอึ้งเหมือนมีใครเอาก้อนหินหนักๆ มาคล้องไว้ให้โน้มลงไป ขาแขนเริ่มอ่อนและชา จนร่างของผมล้มลงไปเสียงดังตึงสนั่น...







         ไม่นานก็ได้สติ รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาทั่วศีรษะ

         ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนหมอนนุ่มนิ่ม ผมหรี่ตาเล็กน้อย แต่ก็กลับไปหลับตาต่อแล้วกอดหมอนนุ่มๆ นี้อย่างแนบแน่น

         หมอนหอมจังวะ...

         ผมสูดเข้าไปลึกๆ จนได้กลิ่นของหมอนหอมๆ ที่หอมเพราะไอแดดอ่อนๆ และน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรดที่ผมชอบใช้ ผมกอดมันเข้าไปอีกรอบอย่างแนบแน่นแล้วลืมตาขึ้นมามองเพื่อปรับสภาพสายตาตัวเอง ภาพตรงหน้ามีสีครีม ไล่สายตาขึ้นไปก็พบกับเสื้อเทาขาวลายขวาง...นี่มันเสื้อกับกางเกงของผม...

         สติผมเริ่มกลับมา รู้สึกถึงเนื้อสัมผัสของหมอนที่แน่ชัดขึ้น มันแน่นเหมือนกับนอนตักของคนเลย!

         หัวใจผมเริ่มเต้นตุบๆ ขึ้นมา แล้วช้อนสายตาขึ้นไปมองด้านบนสุด ปรากฏภาพใบหน้าของ...!

         เชี่ย!!!

         ผมสะดุ้งจนตัวโดดขึ้นมา ไอ้สัสนี่บังอาจมาให้ผมนอนตัก! แถมยังเอาเสื้อผ้าผมไปใส่! ได้ไงวะ! ไอ้ยิ้ม!!!

         “อ้าวๆ ใจเย็นๆ ดิ เดี๋ยวก็หน้ามืดอีกหรอก”

         “ไอ้! ...” ผมชี้หน้าเขา แล้วปากก็อ้าพะงาบพูดอะไรไม่ออก รอยยิ้มทะเล้นผุดขึ้นบนใบหน้าเขา ผมมองแล้วถอนหายใจออกมา รวบรวมสติก่อนจะแตกซ่านไปมากกว่านี้

         “ขอบคุณนะครับที่ให้ผมนอนค้างที่นี่ ไม่งั้นคงนอนเป็นหมาอยู่ที่ไหนสักที่ น่าอาย” หน็อย! ผมมองค้อน ยังมีหน้ามาอายอีก ตอนเมายังไม่อายวะ มากดออดบ้านคนอื่นมั่วซั่วไปหมด

         ต้องไปโฟกัสเรื่องเสื้อผ้าตอนนี้! “มีสิทธิ์อะไรเอาเสื้อผมไปใส่!”

         “ขอยืมแป๊บเดียว เสื้อกับกางเกงผมซัก...เอ๊ย จะซักข้างล่าง...แต่ผมใช้เครื่องซักผ้าไม่เป็น” เวรกรรม! ผมคิดๆ อยู่แล้วลอบมองเขาอยู่เป็นระยะ ดูหน้าตาของเขาตื่นขึ้นมาบ้าง ไม่ค่อยวุ่นวายเหมือนเมื่อวาน

         “ได้...แต่แค่ซักผ้านะ เพราะถ้าซักอบแห้งเสร็จเรียบร้อย คุณจะต้องออกไปจากบ้านผม แล้วกลับบ้านไปซะ ตกลงตามนี้” ผมลุกขึ้นนำเขาลงไปที่เครื่องซักผ้าชั้นล่างที่หลังบ้าน มีสถานที่ไว้สำหรับตากผ้าอยู่แล้ว

         เขาตามผมลงมาแล้วไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองไปรอบๆ บ้านราวกับคุ้นเคยกับที่นี่อย่างนั้นแหละ...หรือจะบุกเข้าบ้านผมบ่อย!

         พอจบ! ไอ้วิน ถ้าไม่อยากฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ก็เลิกคิดมาก รีบๆ ทำแล้วไล่มันไปสักที ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายอะไรที่บ้านและตัวผม มันคงเป็นนิสัยติดตัวไปแล้วมั้งครับ

         “ชื่อไรอ่ะ” เขาถามผมขณะที่ผมยืนเสียบปลั๊กเครื่องซักผ้า

         “ถามทำไม” ผมตอบเสียงเรียบไปแล้วไม่ได้หันไปมองมัน

         “เอ้า...ก็ถามตามมารยาท” อันนี้ผมขอเรียกว่า เสือก! ก็แล้วกัน

         “คุณมีมารยาทด้วยเหรอ...” ผมตอบกลับไป สีหน้าจุกๆ ผุดขึ้นบนหน้าเขาเบาๆ

         “โอเคครับ ไม่อยากรู้แล้วก็ได้...คุณกวินท์”

         “สัส...ขี้เสือก” คงจะไปเสือกอะไรที่ไหนสักที่ในบ้าน มันถึงรู้ชื่อจริงของผม

         “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ” เขาทำคิ้วขมวดใส่

         “เปล๊า...” ผมตอบเสียงสูงใส่แล้วหันไปจัดการงาน (ภาระ) ของมันต่อ...

         ผมกดเติมน้ำและใส่ผงซักฟอกลงไป เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเมื่อวาน กางเกงสแล็คสีดำลงไปในตัวหมุนซัก แล้วก้อนผ้าขาวๆ ที่บิดพันกันเป็นเลขแปดอีกอันหนึ่งที่ผุดขึ้นมาระหว่างที่เครื่องหมุนดังหวืดๆ ...

         อะไรวะ...เหี้ยละ...ขอเหอะ! อีก้อนขาวๆ ...มึงอย่าเป็นกางเกงในเลย!

         เขายืนกอดอกผิวปากยืนกระดิกตีนอยู่ผนังข้างๆ ผม ผมหันหน้าไปทางเขาแล้วมองหาสิ่งที่ภาวนาอยู่ในใจที่ตัวเขา...ต้องไม่ใช่ดิวะ มันต้องไม่ใช่แบบนั้นดิวะ...

         ผมเลื่อนสายตามองไปที่หน้าเขาก่อนเพื่อความปลอดภัยของสายตา เลื่อนต่ำลงไปที่คอ...ไหล่...แผงอก...หน้าท้อง...ท้องน้อย...และ...ไม่มีนี่...เขายืนหย่อนเข่าซ้ายอยู่เลยทำให้ไม่เห็นไอ้นั่นของเขา แต่เขากลับเปลี่ยนไปหย่อนเข่าขวาทันควัน แล้วสายตาผมก็ไปปะทะกับ!!!

         กูไม่อยู่แล้ว!

         ผมวิ่งออกไปจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว!

         “เห้! คุณ! วิ่งไปไหน มีอะไรป้ะเนี่ย!” ผมวิ่งเข้าตัวบ้านไปแล้วไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว นั่งสะบัดหัวสลัดภาพทุกอย่างออกไปให้หมด ภาพอะไรที่ปูดๆ ตรงนั้น ผมไม่อยากรับรู้!

         ไม่ใช่ผมรังเกียจ แต่แค่รู้สึกไม่โอเค!

         เขาเดินเข้ามาข้างๆ จนผมต้องหันหนี

         สัส! มาใกล้หาพ่องเหรอ!

         “เกิดอะไรขึ้นคุณ วิ่งอย่างกับหนีผีอย่างนั้นแหละ” เออ! ผีปูดมึงอ่ะ!

         “ไปยืนตรงโน้น” ผมชี้มือไปทางด้านหลัง

         “ตรงไหน...”

         “ตรงประตูหลังบ้าน ห้ามเดินมา” ผมไม่เห็นการกระทำของเขาข้างหลัง แต่เขาเงียบกริบไปสักพักหนึ่งแล้ว “ไปหรือยัง”

         “...”

         “ตอบบ้างดิวะ...เชี่ย!” วันนี้ผมพูดคำว่าเชี่ยเป็นรอบที่ร้อยพันแปด ผมหันมาก็เจอกับคุณยิ้มยืนยิ้มอยู่หลังผมในระยะประชิด และไอ้นั่นของเขา...พอกันที!

         ผมสะดุ้งออกห่างจากตัวเขาอย่างรวดเร็วแล้วจ้องมันเขม็งเท่ง

         “อะไรของคุณ กลัวอะไรผมเนี่ย ผมทำอะไรผิด” เขายืนหน้าบิดหน้างงในท่าเท้าสะเอวแล้วกางขาออก ไอ้สัสเอ๊ย! ยังไม่รู้ตัวอีก “ตอบผมดิ” เขาทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง จนผมปิดตา

         “ก็คุณ...ไม่ได้ใส่กางเกงใน! จะมาเดินโทงๆ ในบ้านคนอื่นไม่ได้!”

         “เอ้า...ไม่เห็นไปไรนี่ครับ ผู้ชายด้วยกัน จะอายทำไม” เออว่ะ...แต่ไม่ได้อยู่ดี! แค่นี้ก็อนาจารมากพอแล้ว ถ้าสนิทยังว่าไปอย่าง แต่นี่แม่ง...!

         โอเค ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าผมปลีกตัวออกไปแล้วไม่ได้มองไอ้นั่น รีบๆ ซักผ้าแล้วเขาจะได้รีบไปสักที วุ่นวายฉิบหายเลย!







          เครื่องซักผ้าหยุดลงที่เมื่อครบ 15 นาที

          “คุณมาหยิบเอาของคุณใส่ช่องปั่นแห้งอีกฝั่ง รีบทำซะ” เขาเดินเข้ามาย้ายเสื้อผ้าของเขาทั้งหมดตามคำสั่งผม แล้วปิดฝาเครื่องอบลง ผมกดปุ่มแล้วหมุนปั่นผ้าแห้งเป็นเวลา 10 นาที เอาให้หมาดๆ กันไปข้างหนึ่ง

          ผมกับเขายืนกันเงียบๆ ต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไร

          แล้วสักพักเขาก็เป็นคนเปิดปากก่อน สงสัยทนความเงียบไม่ไหว “นี่คุณไม่อยากรู้จักชื่อผมบ้างเหรอ” เขาหันมาถามผมที่ยืนเงียบอยู่

          “ให้ผมรู้ไปทำไม...เดี๋ยวคุณก็ไปแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเจอคุณอีก” ผมตอบ เขาพยักหน้า แต่ผมก็รู้ชื่อเขาอยู่แล้วแหละ เลยไม่อยากรู้อีกเป็นรอบที่สอง

          “ผมชื่อยิ้ม”

          “รู้นานละ เอ๊ย! เอ่อ...” ผมที่เผลอพูดออกไปไม่ทันคิด พอกันทีกับการคีบลุคที่แม่งไม่เคยจะเนียน อีกฝ่ายก็ทำหน้าจะล้อผมเข้าเต็มแก่ “ก็รู้แล้ว...ก็...เมื่อคืนคุณเมาแล้วพูดชื่อตัวเองออกมา ไม่ได้ยินก็หูหนวก”

          “อ๋อ...จริงเหรอ”

          “เอออออออออ!”

          เครื่องปั่นเงียบลงเพราะทำภารกิจสำเร็จแล้วเรียบร้อย

          ผมเดินเข้าไปหยิบเปิดฝาและจะหยิบเสื้อผ้าพวกนั้นออกมาจากถังปั่นแห้ง...แต่ก็ต้องหยุดและผายมือให้คุณยิ้มเข้าไปหยิบเอง

          เขาเดินไปหยิบทุกอย่างแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำโดยที่ยังไม่ได้ถามผมสักคำว่าเดินไปทางไหน สงสัยช่วงเช้าเดินสาระแนไปทั่วแล้วล่ะมั้ง...ไว้ใจไม่ได้ฉิบหายเลย!

          สักพักเขาก็ออกมาพร้อมชุดเก่าชุดเดิมเหมือนเมื่อวาน แต่สะอาดขึ้นกว่าเดิมเพราะการซัก เขาเดินมาหาผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วยื่นเสื้อที่เขายืม (ถือวิสาสะ) เอาไปใส่มาคืนให้ผม

          “ขอบคุณนะครับ”

          “รีบไปได้แล้ว...รบกวนคนอื่นมามากรู้ตัวหรือเปล่า”

          “รู้สิครับ แต่คุณก็ช่วยผมนี่...จิตใจคุณก็ดีนะ แต่ปากจัดฉิบหาย” เขามองหน้าผมแล้วเดินทำหน้ากวนประสาทออกไปที่ประตูบ้าน แต่ก็เป็นผมที่เดินไปเปิดประตูให้เขาแต่โดยดี







          ที่หน้าบ้าน เขาแลซ้ายแลขวาแล้วหันกลับมาหาผมอีกครั้ง

          “ผมไปนะ...” ผมปั้นสีหน้าเรียบนิ่งใส่...แต่ในใจกูดีใจมากโว้ย! ไอ้ขี้เมานี่จะไปเสียที “ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้ ไว้โอกาสหน้า...”

          “โอกาสหน้าไม่มี รีบไปซะ ผมเข้าบ้านล่ะบาย” ผมหันตัวเข้าบ้านไปแล้วล็อกประตูลงกลอน ไม่ได้เดินออกไปส่องดูแต่อย่างใด

          แต่พอเขาเดินไปถึงหน้าบ้านผมก็หันกลับไปตรวจอีกรอบหนึ่ง

          เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

          เป็นการจบวันนี้อย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง ผมจึงรีบขึ้นไปห้องนอนแล้วนอนพักด้วยอาการรุมๆ หลายๆ อย่างของวันนี้ถาโถมเข้ามาใส่ เลยหาขนมปังแยมในตู้เย็นกินๆ เพื่อให้อยู่ท้อง แล้วกินยาแก้ปวดแก้ไข้เข้าไป หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่โหมดนิทราอีกรอบ...

          ผมลืมแปรงฟัน!







          กิ๊งกุ่ง~

          และนี่เป็นเสียงรบกวนใจผมมากๆ

          กิ๊งกุ่ง~ กิ๊งกุ่ง~ กิ๊งกุ่ง

          รำคาญญญญญญญญญญ!

          ผมเริ่มหงุดหงิดแล้วเดินไปที่หน้าต่างของห้องที่หันหน้าออกไปทางทิศตะวันตกทางหน้าบ้าน ก็เห็นเป็นคนเดิมเมื่อก่อนหน้านี้ที่อยู่ในบ้านนี้กับผม!

          ผมกระทืบเท้าลงไปชั้นล่างด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มแก่ ออกไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งหนึ่ง

          “ยังไม่ไปอีก!” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วรอฟังคำตอบของเขา

          “คุณ...คือผมจำอะไรไม่ได้เลย”

          ห้ะ!? อะไรของไอ้แม่งนี่วะ...

          งานเข้าผมแล้วครับทุกคน...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ไอ้ยิ้ม! [4]


          ผมถอนหายใจออกไปหลายระลอก

          อะไรคือการที่ผมอยู่ดีๆ ก็มีคนเอาขี้ก้อนใหญ่โคตรๆ มาวางไว้ตรงหน้าให้ผมต้องทำความสะอาด

          ก็คือเขาไง! อยู่ๆ ก็จำอะไรไม่ได้ขึ้นมา แล้วผมจะต้องทำยังไงกับเขาดี ปวดหัวโว้ยยยยยยย!

          ผมเปิดประตูออกไปคุยกับมันด้วยอารมณ์ที่อยากนอนแต่ไม่ได้นอน “จำอะไรไม่ได้นี่...จำทางกลับไม่ได้หรือจำอะไรไม่ได้เลย?”

          “ผมจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง” เขาพูดเน้นและเงียบไปทันที

          ผมเท้าสะเอวขึ้นมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด แล้วสายตาก็หันไปประสบกับป้าคนหนึ่ง...มีป้าเสื้อลายดอกสีบานเย็นยืนอยู่หน้าปากซอยย่อยในซอยของผม สายตาและหูของป้าแกกำลังพยายามยืนฟังและจ้องมองเราสองคนอยู่

          อีป้ามึงเสือก! ผมที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายอะไรทั้งนั้น เลยเริ่มไหวตัวทัน

          “เข้ามาคุยในบ้านเถอะ แดดร้อนฉิบหาย” ผมเปิดประตูและเดินนำไอ้ยิ้มเข้าไป เขาเข้ามาแล้วปิดประตูให้ สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

          ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ที่เป็นที่เดียวสำหรับข้างล่างที่สามารถนั่งได้เพราะสถานที่มันแคบเกินไป ของก็รก...ไม่รู้งอกมาจากไหนเยอะแยะ เขานั่งฝั่งตรงข้ามแล้วมองมายังผม

          “คุณช่วยเล่าเรื่องที่ผมมาที่บ้านคุณเมื่อสองคืนแรกให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”

          ผมเงียบและพยักหน้าไปเบาๆ คืนนั้นเป็นคืนที่ผมแม่งจะโคตรรำคาญ “งั้นเอาคืนแรกก่อน ผมไปทำงานรอบดึกเพิ่งเลิก...ปั่นจักรยานมาก็เห็นคุณยืนโซเซอยู่หน้าบ้านผม สภาพเมาเละ กดออดบ้านผมเล่นอยู่นั่น แล้วก็เรียก แม่ครับ เปิดประตูให้ยิ้มหน่อย” ประโยคหลังผมพูดใส่เสียงเล็กเสียงน้อยเสริมให้เขา จนเขาเริ่มทำหน้าตูดใส่

          “เสียงแบบนี้เลยเหรอ” เขาถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อตัวเองกับน้ำเสียงที่ผมพูดไป

          “เออใช่ แบบนี้แหละ...แล้วหลังจากนั้นก็เลยไล่ตะเพิดไป คุณก็หายไปทั้งคืน มาอีกวัน คืนที่สองก็มาอีก เมาแบบเดิม พูดแบบเดิม เลยพาเข้ามานอนเพราะสงสาร จบละ”

          “อืม...เท่าที่ผมจำได้ ก็คงจะที่คุณเล่า แต่ผมก็จำได้ไม่หมดหรอก”

          “งั้นคุณจำอะไรได้บ้าง”

          หน้าตาเขาเริ่มคิดหนักเข้าไปอีก เงียบอยู่นานกว่าจะพูดออกมา ถ้าจะลุกไปขี้สักรอบคงไม่เสียเวลา “จำได้แค่...ผมกินเหล้า ผมเมามาก ไม่มีสติ...ตอนที่ตื่นมาในบ้านหลังนี้ สิ่งแรกที่คิดได้คือชื่อเล่นผม แล้วก็เจอคุณ แค่นี้แหละ”

          สงสัยผมคงจะเป็นคนเดียวที่เขารู้จักตอนนี้สินะ... “คืนแรกคุณเมาแล้วคุณไปอยู่ไหน จำได้ไหม”

          เอาล่ะสิทีนี้ คิดหนักไปอีก เพราะถ้าเขาจำคืนแรกได้...แสดงว่าเขาก็จะต้องปะติดปะต่ออะไรได้สักอย่างสิ “คืนนั้น...ผมเมา แล้วคุณก็ไล่ผมไปที่อื่น...ผมเดินไปไหนวะ...จำไม่ได้แล้ว”

          “ผมตื่นเช้ามาผมก็ไม่เห็นคุณแล้วนะ ผมกลับมาเจอคุณอีกทีก็ตอนดึกไง”

          “อ่า...ครับ ผมคงลืมไปแล้วจริงๆ”

          “โอเค...ผมไม่ถามละ คนจำอะไรไม่ได้มันก็จำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีความทรงจำเก่าๆ มากระตุ้น...” ผมจะทำยังไงต่อไปกับหมอนี่ดี...ให้เขาอยู่บ้านผมสักพักดีไหม...หรือว่าจะไปแจ้งตำรวจดีล่ะ “เดี๋ยวๆ ...ขออีกคำถามนึง...ถ้าคุณจำชื่อนามสกุลจริงได้ก็หาญาติเจอได้”

          “จำไม่ได้ครับ...” โอเค จบแยกกันตรงนี้ ตอนนี้หนทางแม่งตัน เขากลายเป็นภาระของผมไปโดยปริยาย ไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวด้วย เขามาเองของเขา คิดแล้วก็อยากร้องไห้ว่ะ...







          แล้วเขาก็หลับไปในเวลาเกือบบ่ายสามในท่าฟุบหลับบนโต๊ะกินข้าวทั้งๆ แบบนั้น

          ผมลอบมองหน้าของเขาให้ชัดขึ้น ตัวเขาสูงอย่างกับเปรต หนวดก็แซมขึ้นมาตามคางและรอบปากเหมือนไม่ได้ผ่านการดูแลมานาน แต่โครงหน้าเขาจัดว่าดูดีในหมู่ผู้ชาย ผิวขาวเหลืองคนไทย จมูกก็โด่งสวยดูเป็นคนมีฐานะ ปากก็ดี...ตาก็ดี ก็เออ ดีอ่ะ แค่นี้แหละ ผมแพ้ไปราบคาบ เพราะเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไหร่ มีแต่คนอื่นชอบมาใส่ใจเรื่องของผม...

          กิ๊งกุ่ง~

          ใครมาอีกวะ...นึกว่าบ้านตัวเองสาธารณะไปแล้วนะเนี่ย....

          ผมเดินออกไปมองที่หน้าต่างในบ้าน เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนกางร่มสีฟ้าลายการ์ตูนอยู่หน้าบ้านแต่ไม่เห็นหน้าเพราะร่มบังอยู่

          เป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะผมเป็นคนที่ไม่เคยสุงสิงกับใครในละแวกนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนมากดออดบ้านผมแบบนี้ก็ได้เหรอ

          ผมต้องสวมแว่นตาก่อนออกไปพบปะกับใครที่ไม่รู้จัก เพื่อป้องกันความสามารถพิเศษของผมจะทำงาน ถ้าเธอเป็นวิญญาณ...ผมจะได้ทำเป็นมองไม่เห็นอะไรไปเนียนๆ

          ผมยืนที่ประตูพลางทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นของสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ไม่มีกลิ่นอะไรแปลก ตอนนี้ปลอดภัย และเธอเป็นคนปกติ แต่ผมก็ไม่ได้จะเปิดประตูไปรับแขกแต่อย่างใด แล้วใบหน้าของเธอก็โผล่พ้นร่มคันสวยออกมา ใบหน้าจิ้มลิ้ม เปียผมสองข้างดูน่ารักน่าชัง

          แต่ผมเงียบใส่นี่สิ จะเสียมารยาทไหม...ผมก็เสียมารยาทอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องสนใจใครเลย

          เธอเริ่มพูดก่อน “สวัสดีค่ะ ฉันชมพู่นะคะ อยู่บ้านในซอยตรงนั้น” เธอชี้ไปที่ซอยของยายป้าที่ยืนเสือกฟังผมคุยกับยิ้มเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ “เอ่อ...ฉันได้ยินมาว่า คุณ...สื่อสารกับวิญญาณได้”

          ห้ะ! ... “คุณ...รู้มาจากไหน” ผมขมวดคิ้วใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ผมจำได้ว่าตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ ผมก็ไม่เคยพบปะสมาคมกับใครเลยอย่างที่เคยบอกไป แล้วอะไรคือการที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาถามผมอย่างไม่มีมูล...มีใครเห็นผมคุยกับวิญญาณงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว!

          “มันไม่สำคัญหรอกค่ะว่าใครเป็นคนบอกฉัน เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกันค่ะ และฉันอยากให้คุณช่วยอะไรฉันหน่อย”

          “ไม่มี! คุณไปฟังใครมาผิดแล้วล่ะ เชิญกลับไปได้แล้ว ผมมีธุระต้องทำครับ เชิญ!” ผมเดินหันหลังกลับอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องชะงัก

          “สองแสน! ฉันจ่ายเลยสองแสน!” นี่เอาเงินมาฟาดหัวผมขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก...เงินตั้งสองแสน...เยอะเหมือนกันนะนั่นจำนวนพอจ่ายค่ารักษามะเร็งของแม่ได้เลย...หรือผมจะลองฟังข้อเสนอของเธอก่อนดีล่ะ “ถ้าคุณช่วยฉัน...เงินสองแสนตอนนี้เป็นของคุณ”

          ผมหันกลับมาถาม “ยังไง...”

          “ต้องรับปากฉันก่อนค่ะ แล้วฉันจะพูดสิ่งที่ฉันจะให้คุณช่วย” เป็นวินาทีที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย ความลังเลบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของผม ถ้าการที่ผมตอบรับเธอแล้วได้เงินมันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมต้องแลกกับการที่จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณนี่สิเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตผม และถ้าผมไม่รับใดๆ ทั้งนั้น ก็คงจะต้องหาเงินจ่ายค่ารักษามะเร็งแม่ไปอีกนาน แต่ผมคงไม่ไหวขนาดนั้นหรอกใช่ไหม

          เอายังไงดี เพื่อแม่...หรือเพื่อตัวผมเอง

          หรือผมจะต้องเสี่ยงดูอีกสักครั้ง สองแง่สองง่ามฉิบหาย ปวดหัวสัสๆ!

          “ว่ายังไงคะ...ถ้าคุณไม่ ฉันก็จะไม่รบกวนคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มมาให้

          หรือถ้าผมจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง แล้วได้เงินไปรักษาแม่ให้หายเสีย ก็คงจะดีใช่ไหม...ทำเพื่อแม่สิ โอกาสไม่ได้มีมากมาย...ผมตัดสินใจดีแล้วสินะ “ได้...ให้ผมช่วยอะไรก็ว่ามา”

          เธอยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของผมแล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งพรูใหญ่

          ตอนนี้หมอนั่นคงจะหลับอยู่ในบ้าน ผมไม่พาเธอไปกวนเขาดีกว่า ถ้าสมองของเขาได้พักผ่อนมากพอ ก็คงช่วยจำอะไรขึ้นมาได้บ้างแหละ

          คุยกันแม่งตรงนี้แหละ แดดร้อนช่างมัน

          ผมเปิดประตูออกไปคุยกับเธอข้างนอกรั้ว เพื่อจะได้สะดวกมากขึ้น

          “คือฉันมีแฟนอยู่คนหนึ่งค่ะ...ตอนนี้เขาเสียชีวิตแล้ว ฉันเชื่อนะคะว่าโลกหลังความตายมีอยู่จริง แล้วคุณเองก็เป็นคนที่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้” เธอหยุดพูดแล้วหันไปควานหาบางอย่างในกระเป๋าสะพาย แล้วเธอก็หยิบมันขึ้นมา เป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่ง เธอยื่นมันมาให้ผมดู และทันทีที่สัมผัสกับภาพเข้าไปทั้งๆ ที่ยังดูไม่ชัด ก็ปรากฏภาพประหลาดอีกแล้ว...เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น มันวูบวาบ...และพร่ามัว ผู้หญิงคนนั้น! ภาพเหล่านั้น! เป็นภาพสถานที่เดียวกับตอนที่จับหนังสือเล่มนั้น

          ชมพู่ก้มๆ เงยๆ มองผมเพราะผมทำตัวแปลกๆ ในขณะที่ผมไม่มีสติกับปัจจุบัน

          มีภาพของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะใช่คนเดิมกับตอนนั้น...ผมไม่เห็นหน้าเขาชัดเท่าไหร่...เขากำลังถูกผู้หญิงคนเดิมกอดอยู่ แต่เขาก็สะบัดตัวหนี แล้วทุกอย่างก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็วสู่สภาพปัจจุบันทันทีทันใด

          “คุณคะ...”

          ผมได้สติดีแล้วก็เลยมองรูปที่รับมาทันที เป็นภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดสองนิ้ว แล้วผมก็ต้องตกใจกับภาพของแฟนเก่าของเธอที่เสียไปแล้ว นี่มันรูปของ...ไอ้ยิ้มนี่!

          “คนนี้ชื่ออะไร”

          “อ๋อ มายค่ะ” ห้ะ!? มาย? เหรอวะ? นี่มันไอ้ยิ้มไม่ใช่เหรอ รูปร่างประพันสัณฐานก็บอกว่าใช่อยู่ดี

          “แล้วชื่อจริงเข้าล่ะ เอานามสกุลด้วย”

          “กุลวัฒน์ รัตนชัยธรรม์ ค่ะ”

          ไม่ใช่มั้ง...ไอ่นั่นชื่อเล่นว่า ยิ้ม...อาจจะเป็นคนหน้าเหมือนก็ได้ ในโลกนี้มีเป็นร้อยเป็นพันล้านคน หน้าซ้ำกันหน่อยคงไม่แปลก...แต่เหมือนมากเลยนะ ในรูปเขาเอาผมเสยขึ้นดูเนียบและหล่อมาก หน้าคมผิวขาวเหลืองคนไทย แต่กลับไปมองไอ้คนในบ้านอีกที หมอนี่ดูซกมกกว่า แถมยังหล่อไม่เท่าด้วย

          แต่มีอีกเรื่องที่ผมอยากรู้ต่อก็คือเรื่องราวในภาพที่ผมเห็นนั่น...เกี่ยวข้องอะไรกับหนังสือเล่มนั้นกันแน่

          “ผมเข้าใจแล้ว...คุณต้องการที่จะให้ผมสื่อสารกับเขาใช่ไหม”

          “ใช่ค่ะ...”

          ผมรับเงินจากชมพู่มาแล้วสองแสน

          “โอเค...งั้นคืนนี้เราไปทำพิธีกัน!”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          มาย [1]


          คิดๆ ดูอีกที ยิ้มก็อาจจะใช่คนในภาพนั้นก็ได้...

          หรือชื่อของเขาก็อาจจะจำไม่ได้แล้วพูดออกมามั่วๆ ทึกทักไปเองบอกว่า ยิ้ม เป็นชื่อของเขา...แค่เดาน่ะ

          “คุณชมพู่รอผมตรงนี้แป๊บ ผมมีคนจะให้คุณเจอ” เธอทำหน้างงพลางพยักหน้าให้ ผมเดินเข้าไปในบ้าน แล้วมองหาเขาที่โต๊ะกินข้าว ก่อนหน้านี้เขาฟุบหลับอยู่ตรงนี้...แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ไปไหนวะ!? “คุณ!” ผมตะโกนเรียกเขาออกไป แต่ก็ไร้สัญญาณใดๆ ตอบรับผม “หายไปไหนแล้ววะ...”

          ผมวิ่งออกหาทั้งในห้องน้ำ ห้องครัว หลังบ้าน ไม่วายขึ้นวิ่งไปชั้นบนแล้วเข้าไปในห้องนอน ก็ไม่เห็นเขาเลย

          นี่หายตัวได้ด้วยเหรอวะ...คนหรือผีวะเนี่ย บ้านผมก็หลังแค่นี้จะออกทางไหนได้อีกนอกจากประตูบ้าน

          “ยิ้มมมมมม!!!” ผมตะโกนออกไปสุดเสียงจนลั่นทั้งบ้าน ก็ไม่ได้ยินเจ้าของชื่อจะขานรับหรือเคลื่อนไหว...นี่เขาหายตัวไปจริงๆ นะ!

          ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ แล้ววิ่งออกไปหาชมพู่ที่หน้าบ้าน “เอ่อ...ไม่มีอะไรแล้วครับ พอดีผมลืมไปว่า...เอ่อ เขาไม่สบาย ไว้วันหลังก็แล้วกันครับ”

          “อ๋อ ได้ค่ะ"

          ไอ้สัสนี่...เห้อออออออ!







          ผมนัดกับชมพู่ที่บ้านของเธอเองในช่วงเที่ยงคืน

          ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว

          ยิ้มยังคงไม่โผล่หัวออกมาให้ผมเห็น นี่ถ้าเป็นผีผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่เป็นคนแถมยังสมองเสื่อมอีก เขาหายไปแล้วผมจะไปตามหาเขาที่ไหน ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ

          ...ช่างแม่งล่ะ ถ้าจะไปจริงๆ ก็ไม่ต้องกลับมาเลยก็ดี จะได้ไม่เป็นภาระให้ผมต้องเหนื่อยอีก เห้ออออ...

          เห้อมารอบที่ร้อยแล้ว!

          หายไปไหนของแม่งวะ!!!

          แล้วในขณะที่ผมจะออกบ้าน ก็ได้ยินเสียงขลุกขลักจากด้านบนชั้นสอง ทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

          อะไรอยู่ข้างบน...

          ผมกลั้นใจแล้วเดินก้าวขึ้นบันไดบ้านไปด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

          เสียงขลุกขลักของอะไรบางอย่างดังขึ้นเป็นระยะ...ผมที่เปิดไฟห้องไว้ตลอดกลางคืนจึงมีแสงเล็ดลอดผ่านช่องประตูห้องด้านล่างผมออกมา และทันใดนั้นเองก็มีเสียงอะไรหล่นตึงตังดังขึ้นในห้องจนผมตกใจ หัวใจแทบหยุดเต้น!

          มีเงาของคนวูบวาบอยู่ในห้องจริงๆ เห็นได้จากแสงทางช่องประตู

          ผมกลั้นใจสุดชีวิตอีกครั้งแล้วยื่นมือที่สั่นเทาบิดกลอนประตูเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว “ใครวะ!!!”

          “เห้ย!”

          ไอ้ยิ้มนี่! “หายไปไหนมาเนี่ย ตามหาจนทั่วบ้านแล้ว!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่ปนอารมณ์ที่ผ่อนคลายมากกว่าเดิม ยังดีที่เป็นเขา...ดีกว่าเป็นอย่างอื่นไปแทน

          “ก็ผมเห็นทางขึ้นตรงนี้ แล้วก็มีประตูตรงเพดาน เลยปีนขึ้นไปดู ไม่คิดนะครับว่าบ้านหลังแค่นี้จะมีดาดฟ้าเงียบๆ ด้วย...แต่อากาศร้อนไปหน่...” ผมไม่รอเขาพูดจบ เดินเข้าไปตีแขนเขาอย่างแรง “โอ๊ย! คุณ ผมเจ็บ!” เขาลูบแขนตัวเองป้อยๆ แล้วทำหน้านิ่วใส่ ผมเองก็ถลึงตาใส่ด้วย เขาทั้งเสียมารยาทและ...หึ้ย! ไม่รู้จะพูดไรแล้ว!

          “สมน้ำหน้า!”

          “ตีผมทำไมเนี่ย...เจ็บนะ”

          “ก็เล่นหายไปไม่บอกไม่กล่าว ตะโกนแหกปากจนเจ็บคอแล้วรู้บ้างป้ะ!” เขามองผมพลางลูบแขนตัวเองวนไป “และอีกอย่าง! มีสิทธิ์อะไรมาเข้าห้องคนอื่น ที่บ้านไม่สอนเหรอว่าอย่าถือวิสาสะเข้าห้องนอนใครก่อนได้รับอนุญาต ห้ะ!” ผมมองเขาอย่างโมโห

          “ก็...ผมก็จำไม่ได้ว่า...เสียมารยาทเป็นยังไงด้วยไง”

          “คนสมองเสื่อมนี่แถเก่งแบบนี้ทุกคนป้ะ! ”

          โอเค...เขาไม่ได้หายไปไหนก็ดีแล้ว เล่นนั่งเล่นบนดาดฟ้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินนี่ไม่ร้อนไม่แสบกันบ้างเหรอวะ...แล้วก็ยังอยู่มาจนถึงเที่ยงคืนขนาดนี้อีก...มันไม่ใช่คนแน่ๆ!

          มันบ้า!

          อีกอย่างก็คือ ผมลืมคิดไปว่าบ้านตัวเองมีดาดฟ้า แหกปากหาตั้งนานเพิ่งคิดได้...

          “มากับผม” ผมเข้าไปคว้าแขนของเขาจนเขาตกใจ

          “ไปไหน”

          “ไปเจอชมพู่ไง เขาเหมือนจะรู้จักคุณนะ” ผมเตรียมตัวออกเดินพลางลากแขนเขาให้ตามมาด้วย แต่เขาก็ขาแข็งมือแข็ง แรงโคตรเยอะหยุดผมไว้ก่อน “อะไร!”

          “ชมพู่คือใคร”

          “เดี๋ยวคุณก็รู้จักเธอเองแหละ เขามีรูปของคุณอยู่ด้วยนะ ต้องรีบไปตอนนี้เลย ความจำคุณจะได้กลับมาไง” เขามือไม้อ่อนลงทันทีแล้วยอมตามผมมา

          ปากซอยบ้านของชมพู่อยู่ข้างหน้า พอมองเข้าไปก็เป็นซอยลึก มีบ้านอยู่ประมาณหลายสิบหลัง แต่ทางเข้าไปก็มืดพอสมควร ทำให้ผมไม่ค่อยเห็นอะไรในซอยนี้เลย ถึงแม้ซอยจะมีเสาไฟ แต่ก็ไม่สว่างพอที่จะเห็นทุกอย่าง

          สายตาของไอ้ยิ้มลุกลิกแล้วเบรกผมไว้ “กวินท์...ผมไม่อยากไปอ่ะ ให้ผมไปรอที่บ้านเถอะนะ” เขาพูดน้ำเสียงอ้อน ผมจึงเริ่มขนลุกอีกรอบ

          “ไม่ได้! ก็จะได้รู้กันไปเลยไงว่าไอ้คนในรูปนั่นน่ะคือคุณจริงๆ หรือเปล่า และถ้าใช่ ชมพู่ก็คือคนที่คุณรู้จักดีเลย เพราะเธอคือแฟนเก่าของคุณ” ผมออกแรงดึงแขนเขาอีกรอบให้เขาตามมา แล้วทันใดนั้นผมก็เห็นเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง ไฟของหน้าจอโทรศัพท์ที่เธอกำลังเล่นอยู่ส่องหน้าเธอจนนึกว่าผีกระสือ...

          เธอตะโกนมาหาผม “อ้าว...คุณ นึกว่าจะไม่มาซะละ”

          ผมเริ่มถูกแรงดึงฉุดกระชากให้ปล่อย แล้วมันก็หลุดมือผมไปแล้วเรียบร้อย “อ้าวคุณ! เดี๋ยวก่อนสิ ไอ้ยิ้ม!!!” ผมรีบเข้าไปคว้าแขนเขาก่อนจะวิ่งไปไกลแต่ก็พลาดจนได้ เขาวิ่งเข้าไปที่บ้านของผมแล้วหายไปเลย

          ไอ้บ้านี่...แม่งจะถึงเวลาสำคัญละก็หนีไปทุกที เป็นห่าไรหนักหนา!

          เธอเดินเข้ามาหาผมแล้วกดเปิดส่องไฟฉายให้เห็นทาง “เมื่อกี้คุณคุยกับใครเหรอคะ”

          “ก็คนที่ผมบอกไงว่าจะให้มาพบคุณ เมื่อกี้เขาเพิ่งวิ่งไป...อะไรของมันก็ไม่รู้”

          “อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเขาไม่สะดวก ก็ไม่ต้องพามาพบฉันก็ได้”

          “แต่ไอ้ยิ้มมันหน้าเหมือนแฟนของคุณมากเลยนะ ผมก็เลยสับสนนิดหน่อยว่า มายกับยิ้ม ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า”

          “น่าจะไม่ใช่หรอกค่ะคุณ มายเสียไปหลายวันแล้วค่ะ ได้ข่าวจากแม่ของมายว่าจัดงานศพให้มายเงียบๆ เพราะมายเป็นคนไม่ค่อยชอบอะไรที่วุ่นวาย แต่ฉันที่ไม่ได้ไปร่วมงาน...ก็เลยรู้สึกผิด...อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง...ฉันคิดถึงเขาค่ะ” น้ำตาของเธอไหลออกมาเล็กน้อย ผมเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียคนรักนะ มีพบมันก็ต้องมีจากกันเป็นธรรมดา ยิ่งเวลามันเดินหน้าไปเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็สั้นลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น ไม่มีใครอยู่จีรังยั่งยืนสักคน

          เธอเดินนำผมไปที่ที่หนึ่ง เลยตัวบ้านของเธอไปเล็กน้อย ก็เป็นประตูทางเข้าเล็กๆ สู่สวนหย่อมหลังบ้านของเธอ มีโคมไฟตั้งอยู่เป็นจุดๆ ให้แสงสว่างสามารถมองเห็นได้

          ผมหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่ยายให้มาตั้งแต่ย้ายบ้านจากกระเป๋ากางเกง ข้างในเป็นคาถาแปลกๆ มากมาย แต่ผมก็ต้องไปโฟกัสกับภารกิจตอนนี้ที่ผมจะทำคือเรียกวิญญาณแฟนของชมพู่หรือมายให้มาที่นี่

          ผมที่ทำใจมาแล้วบ้างก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มพิธี จะได้คุยกับผีจริงจังก็คราวนี้ล่ะ...

          ผมกับชมพู่นั่งลงที่ข้างต้นไม้ใหญ่ในสวนหย่อมบ้านของเธอ

          อุปกรณ์ที่ใช้เรียกวิญญาณก็มี สายสิญจน์ที่ใช้เชื่อมกับรูป ตัวผมและตัวคุณชมพู่ เทียนสามอันที่คุณชมพู่ได้เตรียมไว้ก็มาวางไว้ข้างๆ ผม แล้วก็เริ่มจุดมันด้วยไม้ขีดไฟ ปักลงไปในเนื้อดินที่นุ่มที่สุดสามอัน และธูปอีกหนึ่งดอก สำหรับเรียกวิญญาณโดยเฉพาะเจาะจง

          ผมเปิดหนังสือคาถาของยายแล้วกางไว้ที่หน้าคาถาเรียกวิญญาณ อุปกรณ์ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรมาก ครบถ้วนดี

          และวินาทีต่อจากนี้ผมจะได้พบเจอกับวิญญาณตัวเป็นๆ แล้ว...รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลย จะว่ากลัวก็กลัวอยู่ เจอมาเยอะแต่ก็ไม่ชิน

          “พร้อมนะครับ” ผมถามชมพู่ทั้งๆ ที่ตัวเองยังทำใจไม่เต็มร้อย

          “ค่ะ”

          “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นคุณอย่าตกใจก็แล้วกัน ตั้งสติให้นิ่งๆ”

          ผมบอกชมพู่แล้วขอรูปของคุณมายจากเธอมา ทำการมัดสายสิญจน์พันวนไปห้ารอบแล้ววางไว้กับพื้น หลังจากนั้นก็โยงสายสิญจน์พันมือผมไว้รอบหนึ่ง โยงไปที่ชมพู่อีกคน พันมือหนึ่งรอบ แล้ววางก้อนสายสิญจน์ไว้ข้างๆ

          ผมเริ่มท่องของคาถาในสมุดยายที่เป็นคำบาลีแปลกๆ ที่ผมไม่เคยท่อง และมีติดขัดเล็กน้อยตามธรรมชาติของคนเพิ่งเคย

          บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไปจริงๆ จนรู้สึกได้เลยว่ามันเย็นลง ทั้งมืดและเย็นขนาดนี้ ไม่เหมาะแก่การมาทำอะไรคนเดียวแถวนี้...คาถาของยายผมว่ามันได้ผลจริง

          “คุณชมพู่ช่วยพูดตามผมด้วยนะครับ”

          “ค่ะ”

          “ขออัญเชิญดวงวิญญาณของนาย กุลวัฒน์ รัตนชัยธรรม์” เธอพูดตามผมออกมา “ให้มาปรากฏให้เรารับรู้ ให้เราเห็น ให้เราได้กลิ่น ให้เราสัมผัสด้วยเถิด” เธอพูดตามผมจนจบ

          ผมหลับตาในความเงียบยามกลางคืน ขนเริ่มลุกซู่เพราะความหนาวเย็นยามกลางคืนขนาดนี้

          ลมปานกลางพัดโชยมาปะทะกับต้นไม้จนเกิดเสียงเสียดสีกระหึ่มใหญ่ ลมยังคงพัดโชยไปเรื่อยๆ มันพัดมาปะทะตัวผมกับชมพู่ที่นั่งหลับตาอยู่ ผมต้องใช้สมาธิอย่างมาก เพราะถ้าไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะแย่ไปกว่าเดิม...

          กลิ่นของอะไรบางอย่างเริ่มโชยเข้ามา...มันแผ่วเบา และเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นกลิ่นของเหล้าจางๆ ...กลิ่นคล้ายๆ กับกลิ่นยาอับๆ ลอยปนมากับสายลม

          “เขามาแล้วครับคุณชมพู่”

          “เอ่อ...ค่ะ ฉันควรทำยังไงต่อไปคะ” ผมสิครับควรทำยังไงต่อไป!

          ผมที่ยังคงหลับตาอยู่นั้นก็บอกเธอออกไป “คุณจะถามอะไรเขาไม่ใช่เหรอ”

          เธอกลืนน้ำลายหนึ่งทีเอื้อกใหญ่ “ดวงวิญญาณที่อยู่ที่นี่...คุณใช่...มายใช่ไหม”

          เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบลอยเข้ามาในหูของผมที่จับเสียงได้ว่ามีคนพูดอยู่ “ใ ช่...”

          “เขาบอกว่าใช่” เสียงทุ้มปนเศร้าดังขึ้นท่ามกลางเสียงลมพัด ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ไอ้ยิ้มไม่ใช่คนเดียวกันกับมาย เพราะตอนนี้เขามาแล้ว...แต่ผมจะไม่ลืมตามองอะไรทั้งนั้น

          “โอเค...” ชมพู่เริ่มพูด “เราอยากจะบอกมายว่า...เราขอโทษที่ไม่ได้ไปงานศพของมายนะ” เธอพูดออกไปพลางหันซ้ายแลขวาหาเสียงนั้นเรื่อยๆ แล้วเสียงของผู้ชายที่ชื่อมาย ก็ลอยเข้ามาในหูผมอีกครั้งหนึ่ง

          “ไ ม่ มี งา น ศ พ อะ ไร เกิ ด ขึ้ น...”

          เดี๋ยวนะ...ชมพู่บอกว่าเขาเพิ่งมีงานศพไปไม่กี่วันนี่...ยังไงกันแน่ “เขาบอกว่าไม่มีงานศพนะครับ”

          “เอ่อ...อะไรนะคะ แม่ของมายยังบอกฉันอยู่เลยว่าจัดเงียบๆ”

          “ผ ม หา ย ใ จ ไ ม่ ออ ก...” เสียงของเขาดังขึ้นจนผมได้ยินชัดเจน

          “เขาบอกว่า เขาหายใจไม่ออก”

          “ช่ วย ผ ม ด้ ว ย...ผ ม เ จ็บ...” จู่ๆ ผมก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมากลางอกเบาๆ ...เหมือนกับความรู้สึกของวิญญาณตอนนี้

          “เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นมาย มายไม่ได้จัดงานศพเหรอ!?”

          “อะ เอ่ อ...มั น อะ...อะ อั บ...นอ น อยู่...ที่...อ่ะ ระ บา...อา อัน” เสียงของเขาเริ่มขาดหายไปจนผมแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย กลับกลายเป็นเสียงกระหืดกระหอบแทน ผมไม่เห็นการกระทำใดๆ เพราะผมหลับตาอยู่แบบนั้น ผมไม่ต้องการมองเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น แม้จะอยากรู้อยู่เต็มแก่ ว่าหน้าตาเขาจะเป็นยังไง...

          “มาย! มายบอกชมพู่มา มายไปอยู่ที่ไหน!” ผมเงียบไปเพราะจับใจความของเขาไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงหายใจที่กระหืดกระหอบเหมือนคนจะขาดอากาศตายยังไงยังงั้น “คุณกวินท์! มายตอบมาว่าไง!”

          “ผมไม่ได้ยินเขาแล้วครับ แต่เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงเหมือนเขาหายใจไม่ออก...เหมือนเขาจะทรมานมากๆ ”

          เธอนิ่งเงียบไปทันที กลิ่นของวิญญาณมายค่อยๆ จางหายไปช้าๆ ...ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ผมที่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าน้ำตาของผมไหลเจิ่งนองไปทั้งหน้า เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ทั้งเจ็บหน้าอกและหายใจไม่ออกไปพร้อมๆ กับมาย อาจจะเป็นสิ่งที่วิญญาณต้องการจะสื่อสารผ่านความรู้สึก

          เพราะเขากำลังแย่...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          มาย [2]


          ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

          ชมพู่ที่อยู่ดีๆ ก็เอ๋อแดกขอตัวเข้าบ้านไป ปล่อยให้ผมเดินกลับบ้านคนเดียวด้วยน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล...มันรู้สึกจุกอยู่ในใจอยากบอกไม่ถูก ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทั้งเศร้า เศร้าจนไม่อยากอยู่บนโลกนี้ต่อไปแล้ว

          ผมเปิดประตูบ้านมาก็พบกับยิ้มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว...เขามองมายังผม เขาตกใจเล็กน้อยเห็นได้จากสีหน้า ด้วยเหตุเพราะผมไม่อาจจะยกมือมาเช็ดน้ำตาได้ มันอ่อนแรงเกินไปที่จะทำ...มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

          ยิ้มลุกขึ้นแล้วรีบเดินมายังผม พลางสำรวจตัวผมไปเรื่อย

          “กวินท์ร้องไห้ทำไม...” ผมมองไปยังเขา แล้วเขาจะทำหน้าเศร้าตามผมทำไมเนี่ย “ผมจะร้องตามแล้วนะคุณ”

          ผมไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างไร เริ่มสะอึกสะอื้นขึ้นมาเบาๆ แล้วร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้น น้ำตาหล่นเผาะออกมา ไหลลงคางและหยดลงพื้น

          ยิ้มเองก็คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน จู่ๆ เขาก็ดึงผมเข้าไปกอดปลอบอย่างแผ่วเบาจนผมตกใจ ความรู้สึกวูบไหวในใจเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด

          ตอนนี้แค่อยากร้องไห้ อยากเอาหน้าซบไหล่ของใครสักคนก็พอแล้ว

          มือของเขาค่อยๆ ลูบหลังผมช้าๆ สลับกับลูบหัวผมเบาๆ ทำเหมือนกับผมเป็นเด็ก ยิ่งทำแบบนี้น้ำตามันก็ยิ่งไหล นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาปลอบแบบนี้เนี่ย โคตรน่าอายเลย “ร้องออกมาเลยกวินท์ พอร้องเสร็จ คุณต้องแฮปปี้ กลับมาปากหมาเหมือนเดิมนะ”







          เช้าวันใหม่

          เป็นอีกวันที่ผมตื่นสาย แสงแดดแยงตาผมเข้ามาจนแสบเพราะหันข้างไปทางหน้าต่าง เหงื่อแตกจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนจะไข้เสียแล้ว...ลืมเปิดพัดลมด้วย

          ผมเอามือแตะหน้าผากอยู่ในท่านอน ก็พบว่ามันร้อนมากจริงๆ แต่กลับรู้สึกว่าอาการหนาวเริ่มเข้ามาแทนอุณหภูมิสูงนี้ ถึงจะร้อน แต่มันรู้สึกหนาวจนอยากห่มผ้าห่มหนาๆ

          โอยแย่แล้ว...

          ขาดงานอีกแล้วเหรอวะ สองวันแล้วนะ...ไม่ได้โทรไปลาเลย...เห้อ...ณ จุดๆ นี้ลาออกก็ช่างแม่งแล้วล่ะ มีเงินไปรักษาแม่ตั้งสองแสน...

          ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงกว่าๆ ผมได้นอนไปแล้ว 9 ชั่วโมง และจำได้ว่าเมื่อวานไม่ได้กินข้าวเลยสักมื้อ กินแต่ขนมปังก่อนกินยาไปแค่ก้อนเดียว ฉิบหายเลยครับที่นี้...ท้องแทบไม่รู้สึกหิวอะไรเพราะปากชาด้วยพิษไข้...ลืมอาบน้ำอีก...

          แล้วไอ้ยิ้มหายไปไหน!

          เมื่อคืนเขาคงพาผมขึ้นมาบนห้องหลังจากที่ร้องไห้อย่างหนักหน่วงจนผล็อยหลับไป แต่ตอนนี้เขาเงียบไปเลย...

          ดิ๊งด๊อง ด่องดอง~

          เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นข้างๆ แรงแขนจะยกไปรับแทบไม่มี แต่ก็ยกขึ้นไปหยิบมารับจนได้...เป็นแม่ผมเองที่โทรมา

          “ฮัลโหลครับแม่...” เสียงเนือยเหนื่อยอ่อนถูกเปล่งออกไปอย่างควบคุมไม่ได้

          [วิน...เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดูเหนื่อยๆ นะ ไม่สบายเหรอ]

          “นิดหน่อยครับแม่ ไม่ต้องห่วงผมหรอก”

          [ดูแลตัวเองบ้างนะวิน แม่เป็นห่วง]

          “ครับ...วันนี้บ่ายๆ ผมจะออกไปโอนตังค์ให้แม่นะ แม่มีเงินไปรักษาแล้วนะครับ”

          [วินไหวเหรอ เงินมีกินหรือเปล่า...เหนื่อยไหมลูก]

          “ไม่เหนื่อยเลยครับ วินมีความสุขที่ได้ช่วยแม่ แค่เห็นแม่มีความสุข วินก็มีความสุขด้วย วินรักแม่นะครับ”

          [รักเหมือนกัน หมาน้อยของแม่ คิดถึงมากๆ]

          “แม่จะต้องหายจากมะเร็งนะ...พยาบาลมาทุกอาทิตย์หรือเปล่าครับ”

          [เพิ่งมาเมื่อวานนี้เอง บอกว่าอีกไม่นานแม่ต้องผ่าตัด]

          “ครับแม่...รอผมหน่อยนะ แม่ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”

          [จ้ะ รักลูกนะ]

          “รักแม่ครับ”

          จบการสนทนาของแม่และลูกเพียงเท่านี้

          ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่ข้างหัวเตียงตามเดิม มองขึ้นไปยังเพดานสีขาวที่มีคราบเหลืองๆ ของน้ำฝนแซมอยู่บริเวณขอบๆ

          ผมแทบไม่มีแรงจะลุกไปที่ไหน ทำได้แต่นอนตัวหนักอยู่ที่เตียง

          ผมเปลี่ยนไปนอนตะแคงขวาด้วยความเมื่อยล้า...ก็พบกับของที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง...ไข่ดาว ไส้กรอก บร็อคโคลี่และแก้วน้ำที่มีไอร้อนๆ ออกมาฉุยๆ

          ใครเป็นคนเตรียมให้ผมเนี่ย...

          อ๋อ...จะใครอีกล่ะ อยู่บ้านนี้กันแค่สองคน

          ทำไมใจดีจังวะ...ไม่รู้จักกันแท้ๆ แต่ทำให้กันขนาดนี้ เหมือนแม่ผมเลย พูดแล้วก็คิดถึง อยากกลับไปหาท่าน...แต่ตอนนี้น้ำย่อยเริ่มทำงานแล้ว ผมกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก แล้วพยุงตัวขึ้นให้นั่งอย่างลำบากพอควร แขนสั่นเทาเอื้อมไปยกถาดอาหารมาวางไว้ที่หน้าตักในท่านอนพิงหมอน ซอสมะเขือเทศถูกราดเป็นรอยยิ้มเบี้ยวๆ คงจะเป็นยิ้มที่เขียนให้บนจาน มีซ่อมกับช้อนให้หนึ่งคู่ ผมเลยลงมือกินมันเสียให้ราบคาบ

          ทุกอย่างหมดลงในพริบตาเดียว น้ำอุ่นๆ ในแก้วมักถูกกระฉอกเข้าไปในปาก ดื่มไปได้เกือบครึ่งก็เหลือบไปเห็นแก้วยาเล็กๆ ที่ใส่ยาไว้ให้สองเม็ด

          นี่เตรียมยาให้ผมขนาดนี้ โคตรเทคเลยอ่ะ...







          ผมนอนพักจนข้ามไปเวลาบ่าย ก็รู้สึกสร่างไข้ขึ้นมาแล้วบ้าง

          ได้ฤกษ์ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันสักหน่อย แต่งตัวชุดธรรมดาลงไปด้านล่างแต่ก็ยังมึนๆ อยู่ไม่ปรกติดี

          โห...อะไรเนี่ย!!!

          ทุกอย่างในบ้านสะอาดหมดจด! ทั้งพื้นที่ถูกถูจนมันเงา ชั้นวางของใสปิ๊ง และของที่วางรกรุงรังทั้งหลายแหล่ ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป...นี่อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือไอ้ยิ้มอีกแล้ว...

          “ไงคุณ...สร่างไข้แล้วเหรอครับ” เสียงของเขาดังมาทางประตูหลังบ้าน เขายืนมองผมที่ทำหน้าอึ้งไม่หายอยู่ ผมเห็นเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าเขาไปจนเปียกชุ่มไปเกือบทั้งเสื้อผ้า

          “นี่คุณทำเองหมดเลยเหรอเนี่ย” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

          “ใช่ครับ...สบายๆ ผมรู้สึกว่าไปเอาแรงมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ”

          ผมสังเกตเสื้อผ้าของเขา เขาก็ใส่อยู่ตัวเดิมๆ “แล้วคุณไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างเหรอ เห็นใส่แต่ตัวเดิมๆ”

          “ก็ผมไม่มีเงิน แล้วจะให้เอาจากไหนไปซื้อล่ะครับ เสื้อผ้าคุณเดี๋ยวผมแอบใส่ก็ด่าผมอีก” เออ ก็จริงของมึงนะ ฮ่าๆ “นี่ผมก็เลยใส่ผงซักฟอกคุณเผื่อไปอีกหลายวันเลยนะ หอมเลย ดมป้ะ...”

          “เดี๋ยว...คุณหมายความว่าไง...ซักเผื่อเหรอ?!”

          “ใช่ครับ”

          เชี่ยละ! ต้องไม่ใช่ในสิ่งที่ผมคิด ขอให้ไม่ใช่แบบนั้นเหอะ เขาจะต้องไม่ทำแบบนั้นแน่นอน!

          แฟ้บกู!!!

          ผมออกตัววิ่งไปดูแล้วก็พบกับสิ่งที่คิดไว้...แฟ้บหายไปครึ่งถุงจริงๆ

          “ไอ้เชี่ยยิ้มมมมมมมมมม!!!”

          เขาเดินเข้ามาทำหน้าใสซื่อใส่ และนั่นคือหน้าใสซื่อของจริงเพียวๆ ไม่ผสมความแหลใดๆ เขาทำแบบนั้นจริงๆ! ถ้าเขาไม่ใช่คนความจำเสื่อม เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!

          “อะไรเหรอ...”

          ผมเข้าไปจับหางเสื้อของเสื้อเชิ้ตที่ยิ้มใส่อยู่แล้วชูขึ้น “ก็คุณ! ...” จู่ๆ ภาพทุกอย่างก็มืดลงและดึงผมเข้าสู่ภาพแปลกๆ แบบนี้อีกแล้ว...

          เป็นภาพที่ผมรู้สึกเบลอจนแทบมองไม่เห็น แต่เงาลางๆ ในภาพนั้นเหมือนคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่...พวกเขาหัวเราะกันอยู่ที่ไหนสักที่ แล้วก็เห็นใบหน้าเบลอๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง กอดคอของยิ้มอย่างสนุกสนาน แล้วก็มีผู้ชายอีกคนขอชนแก้วน้ำสีเหลืองๆ มองไม่ชัด น่าจะเป็นแก้วเหล้าแก้วเบียร์...กับยิ้ม...รอยยิ้มของผู้ชายคนที่ขอชนแก้วอยู่ดีๆ ก็ชัดขึ้นมาและหายไป

          ภาพตัดจบไปทันทีแล้วผมก็ได้สติ

          ผมนิ่งไปทั้งๆ แบบนั้นด้วยความคาใจ...

          “กวินท์...เงียบทำไม ไม่ด่าผมแล้วเหรอ” เขาโบกมือผ่านหน้าผมขึ้นลงๆ เรียกสติผมกลับคืนมา “เป็นอะไรของกวินท์เนี่ย ทำไมเงียบไป”

          “เปล่า...ช่างแฟ้บแม่งละ” ผมเดินออกไปที่หน้าบ้านด้วยความไม่ชินตาเท่าไหร่กับบ้านที่สะอาด เหมือนเดินหลงอยู่ที่บ้านของคนอื่น แต่นี่มันบ้านของผม!

          ภาพนั่นคงเป็นภาพที่ยิ้มกำลังอยู่ร้านเหล้าสักที่แน่ๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ผมเห็นไม่ชัด แล้วก็ผู้ชายอีกคน...กับรอยยิ้มนั่นที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

          อะไรกันแน่วะ...ยิ้มไปเจอใครมาที่ร้านเหล้า

          แต่ถึงถามไปตอนนี้ก็เงียบแดกใส่อยู่ดี เพราะเขายังคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง

          กิ๊งกุ่ง~

          ผมมองออกไปที่หน้าบ้าน เป็นชมพู่เองที่มาหาผม

          ผมจึงเดินออกไปเปิดประตูให้เธอ วันนี้คงมีเรื่องอะไรสำคัญบางอย่างมาบอกผม สงสัยเพราะขาดตอนไปเมื่อคืนล่ะมั้ง

          “สวัสดีค่ะ...”

          “ครับ”

          “คือเมื่อคืนฉันขอโทษนะคะที่ไม่ได้มาส่งคุณที่บ้านด้วยตัวเอง”

          “ไม่เป็นไรครับ สบายมาก”

          “เรื่องของมายฉันขอบคุณมากที่คุณสื่อสารกับเขาให้ ถึงฉันจะไม่เห็นแต่ฉันก็เชื่อนะคะว่าเขาคือมาย แต่การที่...เขาบอกว่าไม่มีงานศพจัดขึ้น ฉันไม่เข้าใจ...” ใช่!!! ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับมาย...แล้วผมก็คิดอะไรบางอย่างออก

          “ผมมีข้อเสนอดีๆ ให้คุณ”

          “คะ?”

          “ช่วยพาผมไปบ้านของคุณมายที...เผื่อเบาะแสบางอย่าง จะทำให้ผมได้รู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ทำไมผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเป็นนักสืบยังไงยังงั้น

          “เอ่อ...ได้ค่ะ”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          มาย [3]


          ผมนัดกับชมพู่ช่วงบ่าย ช่วงเช้าผมไปที่ทำงานโดยลากไอ้ตัวดีสมองเสื่อมไปด้วย

          ปรากฏว่าผมโดนไล่ออกจากงานทั้งสองที่เพราะไม่มีการโทรมาลาเลยตั้งสองวัน...แต่ก็ไม่เป็นไร ยังเหลือร้านหนังสือคุณตา ซึ่งวันนี้ผมก็แวะไปบอกแก แกก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ค่อยสบายใจหน่อย

          เงินสองแสนที่รับมาก็โอนให้แม่แล้วเรียบร้อย แม่ก็โทรมาบอกเหมือนกันว่าเพิ่งไปกดเงินมา พยาบาลได้ติดต่อกับทางศูนย์มะเร็งไว้แล้ว เรื่องการรับเข้ารักษาและค่าใช้จ่าย ผมก็เลยหมดห่วงไปอีกงาน จะหาเวลาไปเยี่ยมแม่ให้ได้เลย...แต่ตอนนี้คงจะไม่มี

          “จะไปปั่นไปไหนเนี่ยกวินท์ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านคุณนะ” ผมที่ปั่นจักรยานคู่ใจไปเรื่อยๆ โดยมีไอ้สมองเสื่อมซ้อนท้ายอยู่เริ่มเอะใจผมขึ้นมา

          “จะพาคุณไปโรงพักไง”

          “ไปทำไม จะส่งผมเข้าคุกเหรอ!” ไอ้สัส! สิ้นคิด!

          “ก็ถ้าไม่ไปโรงพักแล้วจะหาญาติเจอได้ยังไง ตำรวจเขามีข้อมูลทุกคนในเมือง”

          “อ๋อ จะไล่ผมไปละใช่ป้ะ ได้ อยากให้ไปมากก็จะไป ไม่ต้องมาทำทีเป็นตามหาญาติผมให้หรอก” แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดลงจะที่นั่งท้ายลงไปยืน ผมที่ตกใจก็เลยเบรกจักรยานแทบเซล้ม

          “อะไรของคุณห้ะ!” ผมที่เริ่มไม่เข้าใจกับการกระทำของเขา จะมาพูดน้อยใจอะไรกูตอนนี้วะ ใช่เวลาไหม คนจะช่วยมึงอยู่นะเว่ย!

          “กลับบ้านคุณไปเลย ผมจะไปตามทางของผม!” อยู่ดีๆ ก็ทำหน้าโกรธแล้วหันหลังเดินหนีไป ขายาวๆ ของเขาก้าวฉับๆ ไปไม่รู้ทาง

          เป็นเหี้ยไรของมันเนี่ย นี่กูต้องง้อเหรอวะ!?

          ไม่ใช่ว่ะ! มันเป็นบ้า!

          ผมควบจักรยานเลี้ยวหักหันหน้ากลับไปทางเขาที่เดินเร็วอยู่ไม่ไกล ปั่นไปอย่างเร็วรี่แล้วจอดขวางหน้าเขาจนหยุดเดิน “เออ! อยากไปไหนก็ไปเลยนะ ไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก...สมองเสื่อมแล้วยังโง่! บาย!” ผมรีบปั่นออกไปแล้วไม่หันกลับมา ปล่อยให้ไอ้หมอนั่นมันยืนโง่อยู่ตรงนั้นแหละ ปากเก่งดีนัก ลาก่อนครับมึง!







          ถึงเวลานัดกับชมพู่ ผมรอเธออยู่ที่หน้าบ้าน

          วันนี้ฟ้ามืดครึ้มฝนดูท่าทางแล้วฝนจะตกหนักในอีกไม่นาน และไอ้ยิ้มก็หายไปแล้วเกือบสองชั่วโมงหลังจากที่ผมกลับบ้านมา แต่ก็ช่างแม่งล่ะ สนใจที่ไหนล่ะ...

          ปิ๊นๆ!

          เสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน เป็นรถของชมพู่ ผมได้ยินจึงรีบเดินออกไปขึ้นรถเธอ แต่ผมก็ต้องไปนั่งเบาะหลังแทนเพราะมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เธอก่อนแล้ว
 
          “นี่อาร์มค่ะ เพื่อนชมพู่เอง”

          “อ๋อครับ...”

          คนผิวแทนกับทรงผมสกินเฮดที่ดูเข้ากันโบกมือทักทาย แต่ผมไม่ทักตอบ

          “อาร์ม คนนี้ไงที่ชมพู่บอก คุยกับผีได้ ชื่อกวินท์” โอเค...แสลนบอกชื่อผมไปแล้วเรียบร้อย คงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรมากล่ะ

          “สวัสดีครับคุณกวินท์”

          “ครับ” ผมตอบรับเสียงเรียบ

          รถเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านผมไป ระหว่างทางผมก็อดใจไม่ได้ที่จะหันมองดูข้างทางที่ผมทิ้งไอ้ยิ้มไว้ก่อนหน้านี้...เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แล้วผมก็ต้องพูดว่าช่างแม่งในใจอีกครั้งหนึ่ง เห้อ...

          “คนเห็นผีนี่มันเป็นยังไงเหรอครับคุณกวินท์” อาร์มเองที่ถามขึ้นมาทำลายความเงียบที่เป็นความสุขของผม และผมไม่ค่อยอยากจะอธิบายเรื่องแบบนี้ด้วยสิ พูดไปก็เหมือนโกหกว่ะ

          แต่ก็ต้องตอบล่ะว้า... “ก็...ไม่ได้พิเศษครับ”

          “ไม่พิเศษยังไงอ่ะ น่าสนุกดีออก คบผีเป็นเพื่อนอะไรทำนองนี้ ผมว่ามันพิเศษนะ ไม่เหมือนใครดี” มันก็พูดได้ คนมันไม่ได้เจอแบบผมนี่ จะไปรู้ได้ไงว่าอะไรดีหรือไม่ดี ต้องเจอพวกประเภทตามฆ่าตามจองล้างจองผลาญเขาคงจะชอบมาก

          “ไม่รู้สิครับ”

          “อันที่จริงอาร์มเขาไม่ได้เชื่อเรื่องผีค่ะ แต่แค่อยากรู้ว่ามีจริงไหม ก็เลยขอติดรถมาด้วย เผื่อคุณจะพิสูจน์ให้เขาได้เชื่อบ้าง” ผมยิ้มแห้งๆ อยู่หลังเบาะ ปัญญาอ่อนไร้สาระ ผมเดาว่าชมพู่คงเอาเรื่องผมไปบอกใครต่อใครอีกหลายคนเลยทีเดียว







          หมู่บ้านพฤกษ์ภิรมย์

          ป้ายชื่อหมู่บ้านขนาดใหญ่ถูกก่อตั้งขึ้นตรงกลางสวนเขียวเล็กๆ เด่นสง่า เป็นที่จับจ้องสายตาของผู้คนที่ขับรถเข้าออก

          ไกลจากบ้านผมไปสักยี่สิบกว่ากิโล’ เป็นหมู่บ้านคนรวยที่บ้านแต่ละหลังแม่งหรูหราอลังการงานสร้าง ตั้งแต่ประตูหน้าบ้านยันท้ายบ้านกันเลยทีเดียว...ถ้ามีบ้านแบบนี้สักหลังก็คงจะดี พาครอบครัวมาอยู่ด้วยพร้อมหน้าพร้อมตา สบายทั้งชีวิต

          แล้วรถก็ค่อยๆ ชะลอตัวช้าลง จอดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เป็นบ้านที่มีสวนมาก่อนตัวบ้าน รั้วเหล็กดัดสีสวยเรียงรายกั้นหน้าบ้าน ประตูรั้วก็ใหญ่และสูงกว่าตัวผมไปหลายเมตร สามสี่เมตรได้

          ตั้งแต่ประตูรั้วไปจนถึงด้านใน เป็นการจัดแต่งสวนที่เขียวชอุ่ม ต้นไม้ร่มรื่น ดูจะทึบไปหน่อยแต่สวยใช่ย่อย มองไปสุดทางก็มีโรงรถที่มีรถราคาแพงจอดอยู่สามคัน แต่ก็ยังไม่เห็นตัวบ้านเต็มตา

          ผมลงจากรถคันกระชับ ตามด้วยอาร์มที่ถือโทรศัพท์เอามาถ่ายอะไรไม่รู้ของเขาไปมา

          “นี่แหละค่ะ บ้านมาย” ผมลองสูดกลิ่นที่น่าจะหลงเหลือของเขา ซึ่งก็ทำให้ผมได้รู้ว่าบ้านหลังนี้เขาเคยมาอาศัยอยู่สมัยเป็นคน

          “ผมจะเข้าไปได้ยังไง”

          “กดออดค่ะ แล้วแม่บ้านฤดีจะมาเปิดประตูให้...ต้องบอกว่าเป็นเพื่อนของมายด้วยนะคะ ป้าแกจะต้อนรับเป็นพิเศษ...เดี๋ยวฉันกดให้นะ”

          เธอเดินเข้าไปกดออดให้หนึ่งครั้ง ไม่นานก็ได้ยินถึงความเคลื่อนไหวภายในบ้าน มีคนกำลังเดินมาทางเรา

          ไม่นานก็เผยร่างของหญิงวัยกลางคนที่ดูเค้าโครงหน้าไม่แก่มากและสวยอยู่ระดับหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่

          เธออยู่รั้วด้านในยังไม่เปิดประตูให้ แลมองมาทางทุกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาที่รู้สึกไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
 
          “มาหาใคร” เสียงหวานปนแข็งกร้าวดังขึ้น

          “เอ่อ...เพื่อนมายครับ มาหามาย”

          “คุณหนูไม่อยู่! พวกคุณกลับไปได้แล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่ต้อนรับใคร เชิญค่ะ” เธอผายมือเป็นเชิงเชิญให้พวกเราไปจากที่นี่เสีย “ไปสิคะ ยื่นนิ่งอยู่ทำไม”

          โห...นี่น่ะเหรอบอกว่าต้อนรับเป็นเศษ...พิเศษใส่ไข่สัสๆ

          “หมายความว่าไงคะป้าฤดี มายไม่อยู่?” ชมพู่ถามอย่างไม่เข้าใจ

          “ไม่ใช่เรื่องของคนนอกอย่างพวกคุณค่ะ” สายตาจับจ้องไปที่ชมพู่

          “มันต้องเป็นเรื่องของหนูค่ะ หนูเป็นแฟนมาย ที่มายไม่อยู่เพราะมายตายแล้วไงคะ!”

          เธอได้ฟังจบก็ทำหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างหนัก เธอชี้หน้าของชมพู่แล้วรีบเปิดประตูออกมา เธอเดินออกมาประจันหน้ากับชมพู่ “พูดจาเหลวไหลแบบนี้ได้ยังไง!? คุณหนูไม่ได้ตาย ผีเจาะปากเธอมาพูดเหรอ!” เธอยกมือขึ้นแทบจะตบชมพู่ด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่มีรถตู้คันสีเงินเมทัลลิกคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดหลังรถชมพู่ แล้วบีบแตรใส่เสียงดังสองที

          “ช่วยย้ายรถด้วยครับ ขวางทางเข้าบ้าน” ผู้ชายหัวโล้นคนขับรถตะโกนออกมา ชมพู่ก็เลยขึ้นเปิดรถแล้วขับเดินหน้าไปจอดอยู่ข้างรั้วแล้วลงมาอีกรอบ

          ประตูบ้านเปิดโดยอัตโนมัติแล้วรถตู้ก็เคลื่อนตัวเข้าไปแล้วหยุดอยู่ตรงนั้นขณะที่ก้นรถพ้นเข้าเขตบ้าน

          ประตูรถตู้ถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติเช่นกัน เผยให้เห็นผู้ชายตัวสูงออกจะท้วมนิดๆ ก้าวขาลงมาในมาดนักธุรกิจ แต่งตัวเนียบสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเห็นผู้ชายคนนี้ก็คือ คุณผู้ชาย แน่ๆ

          “มีอะไรกันฤดี จะฆ่าจะแกงกันหน้าบ้านผมเลยเหรอ” เสียงทุ้มปรามเธอจนป้าฤดีสงบลงอย่างเห็นได้ชัด และนอบน้อมมากกว่าก่อนหน้านี้

          “คุณพ่อขา น้องหวานหนักกระเป๋า” เสียงเล็กดังขึ้นในรถ

          “ดล” เสียงทุ้มผู้เป็นนายสั่งการ เจ้าของชื่อผู้นอบน้อมก็ขานรับคำสั่ง “ช่วยเอารถไปจอดแล้วยกกระเป๋าน้องหวานไปวางในบ้านให้ที”

          “ครับคุณสวัสดิ์” ประตูรถถูกปิด แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไปยังโรงจอดรถที่ว่างอยู่ช่องหนึ่ง

          “ฤดี...พวกเขามาทำอะไรกัน”

          “มาหาคุณหนูค่ะ ฤดีก็บอกเขาว่าไม่อยู่...แต่ไอ้เด็กพวกนี้มันบอกว่าคุณหนูตายแล้ว ปากเสีย! คุณผู้ชายอย่าไปยอมนะคะ ปล่อยไว้ไม่ได้!”

          คุณผู้ชายได้ฟังดังนั้นก็เริ่มทำหน้าโมโห “เหลวไหล! ...พวกเธอไปได้ยินมาจากไหนว่าลูกของผมตายห้ะ!” พวกเราเริ่มไปต่อไม่ถูกและเริ่มสับสน ผมพิสูจน์ได้แล้วว่ามายตายเพราะผมเพิ่งสื่อสารกับเขาไปเมื่อคืนนี้ แต่อะไรคือการที่คนที่บ้านหลังนี้ทำเหมือนกับไม่รู้ว่าเขาตายไปแล้วล่ะ

          “คุณอาคะ...คือยังไงกันคะ...คุณอาไม่รู้เหรอคะว่ามายเสียแล้ว”

          “นี่พวกเธอปากพล่อยแบบนี้ได้ยังไง! ถ้าจะพูดจาพล่อยๆ แบบนี้ก็กลับไปได้เลย ที่นี่ไม่ต้อนรับ!”

          “แล้วถ้าคุณมายไม่ได้ตาย...เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ” ผมพูดขึ้นมา

          “...เขาหายตัวไป” เสียงทุ้มพูดจบ แขกที่ไม่ได้ต้อนรับทั้งสามคนก็หันหน้ามองกันอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “รู้แค่นี้ก็พอแล้ว อย่ามายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวเราอีก”

         “มายจะหายตัวไปได้ยังไงคะ ก็คุณกวินท์พึ่งสื่อสารกับวิญญาณของมายเมื่อคืน หนูเป็นพยานได้!”

         “เจอกี่รายแล้วคะแบบนี้...คุณผู้ชายคะ อย่าไปเชื่อเด็กพวกนี้เด็ดขาด พวกสัมผัสผีสางนางไม้มันไม่อยู่จริงหรอกค่ะ เรื่องไร้สาระ เรื่องโง่งมงาย หลอกลวงประชาชน สิบแปดมงกุฎ!” เธอว่าพลางเหยียดมุมปากเย้ยหยัน

         “จริงของฤดี...เอาเป็นว่าพวกคุณกลับไปเถอะ...ไปทำมาหากินก็ไปทำอาชีพสุจริตถูกกฎหมายเถอะนะ คุณหลอกพวกเราไม่ได้หรอก”

         แล้วในบ่ายนั้นทุกคนก็ถอยกลับไปตั้งหลักที่บ้าน

         ดูเหมือนงานนี้จะยากขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ชมพู่เองก็ฝากฝังผมเหลือเกินว่าเรื่องนี้ต้องกระจ่างแจ้ง

         สรุปแล้ว มายตายหรือมายยังอยู่กันแน่วะ...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          มาย [4]


          ฝนตกหนักหลังจากที่ถึงบ้านได้ไม่กี่นาที

          ความกังวลเรื่องของไอ้ยิ้มเกิดขึ้นในใจผมเล็กน้อย ทำไมหมอนั่นต้องทำโกรธแบบนั้นด้วยผมไม่เข้าใจ การที่ผมจะช่วยเหลือเขาคือแปลว่าผมรำคาญเขาอย่างนั้นเหรอ...อันที่จริงผมก็รำคาญด้วยนิสัยชอบอยู่แบบส่วนตัวอยู่แล้ว แต่การที่อยู่ดีๆ ก็มาทำแบบนี้ใส่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลย แล้วผมก็ไม่ควรจะมาใส่ใจเรื่องนี้ด้วย

          แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี ยิ่งตอนนี้ฝนตกหนักด้วย มันจะไปอยู่ไหนของมันได้ล่ะ สมองเสื่อมไม่รู้จักใครสักคน จะไปขอเขาอาศัยอยู่ก็คงจะหน้าด้านเกินไป แค่กับผมก็หน้าด้านเกินพอแล้ว...หรือผมจะออกไปตามหามันดีวะ







          จนได้ครับ...ผมคว้าร่มคันใหญ่สีดำวิ่งออกจากบ้าน

          ผมไม่อยากค้างคาใจอะไรหรอก แต่หมอนี่มันร้ายเกินไป ผมที่ปรกติแล้วพื้นฐานจิตใจเป็นคนขี้สงสารคนอื่น ยิ่งมาทำแบบนี้มันยิ่งจี้ใจโว้ย!

          น้ำฝนไหลเจิ่งนองไปทั่วถนนราวกับเก็บกดไม่ได้ตกมาเป็นชาติ รองเท้าแตะหูคีบของผมมีน้ำท่วมเข้าไปขณะที่เดินทุกย่างก้าว ดีที่ผมเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นประมาณเข่า ขืนใส่ขายาวคงเปียกจนเป็นคราบดำเพราะน้ำฝุ่นที่ผสมกับคราบฝุ่นผงมหาศาลบนพื้น

          ท่ามกลางสายฝนที่หนักหน่วง ไม่รู้ผมโง่หรือโง่มากกันแน่ที่ต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงกับสายฝนแบบนี้ คนยิ่งช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอ

          เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้ยิ้ม! ...แต่กูเป็นคนออกมาเองนี่นะ

          เออ! ผิดทั้งคู่นั่นแหละ

          เดินมาถึงปากซอยแยกไปร้านหนังสือคุณตา ก็เลี้ยวขวาไปทางเดิมที่ทิ้งเขาไว้ มองออกไปก็พบกับถนนที่ว่างเปล่า ลมแรงปะทะเข้ากับตัวผม ร่มในมือแทบถือคุมไว้ไม่อยู่ และตอนนี้ก็อยากให้ไอ้ยิ้มได้รับรู้ว่ากูแบกสังขารมาตามหามึงอยู่ ไอ้คนโง่!

          ผมเดินไปมาอยู่แถวๆ นั้นได้สักพัก แต่ก็ไม่เจอมัน หรือมันจะเดินไปไหนไกลแล้ววะ ตอนนั้นผมไล่มันแรงไปไหม แต่มันก็ไม่ควรจะมาโกรธผมป้ะ! คิดแล้วก็ปวดหัว มันให้ผมเป็นคนผิด แต่ผมให้มันเป็นคนผิด...

          “ไอ้สัสยิ้ม!” ผมตะโกนออกไปท่ามกลางเสียงลมฝนที่ดังอื้ออึง ไม่มีท่าที่ว่าจะเบาลงเลย และไอ้ยิ้มเองก็ไม่ได้อยู่แถวนี้เลยด้วยซ้ำ ผมควรจะกลับบ้านได้แล้ว

          ผมเดินออกไปเรื่อยๆ บนถนน ลมเย็นหวีดหวิวท่ามกลางสายฝน มีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับผ่านผมไปทางด้านขวา ผมมองตามรถคันนี้ไปก็ไปเห็นศาลาริมทางที่หนึ่งอยู่ไม่ไกล บริเวณนั้นเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กที่ผมเคยขับผ่านตอนจะไปส่งไอ้ยิ้มที่โรงพัก

          เห็นใครบางคนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไกล ผมจึงไม่รอช้ารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่นั่นทันที

          พอใกล้ถึงเท่าไหร่ ก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าชายเสื้อเชิ้ตสีขาวต้องเป็นเขาแน่นอน ไม่รอช้า ผมจึงรีบเดินเข้าไปแต่ก็ยังอยู่ห่างๆ ทำใจกับสีหน้าและอารมณ์ของไอ้ยิ้ม...มันจะโกรธผมหนักไหมวะ คนไม่เคยง้อใครเลยแบบผมต้องมาง้อคนแบบมันเนี่ยนะ โถ่! เสียภาพลักษณ์เก๊กมาดขรึมกูหมดดิ

          น้ำฝนสาดกระจายออกทุกย่างก้าวที่ผมเหยียบ ตอนนี้ทำไมถึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเพราะเจอไอ้ยิ้มแล้วก็ไม่รู้ มันกำลังนั่งหันหลังให้อยู่ที่ศาลาที่ผมกำลังเดินเข้าไป

          “ยิ้ม!” ผมเรียกชื่อมัน แต่มันก็ไม่หันกลับมาเลย...มันโกรธผมอยู่แน่ๆ ไร้สาระ! ผมสิควรจะโกรธมัน จะช่วยแต่ไม่รับน้ำใจ...แต่คงไม่ใช่ตอนนี้สินะ ผมต้องง้อมันก่อน...สัสเอ้ย! “คุณยิ้ม! ผมเรียกแล้วยังไม่หันมาผมเดินกลับจริงๆ นะ!” ผมยืนมองมันเผื่อว่ามันจะรีบหันมา...แต่มันก็ไม่หันมาตามคำขู่

          ไม่ได้ผลเลยว่ะ...ใจแข็งชิบเป๋ง

          ผมที่ยืนกลางร่มอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกไม่หยุดไม่หย่อน เริ่มเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อให้มันตอบสนองผมบ้าง “จะหันมาไม่หันเนี่ย!”

          “...”

          “ถ้าไม่หันมากูกลับ!” ผมหันหลังจะเดินกลับไป แต่ก็ต้องหันกลับไปหามันด้วยอารมณ์ที่เสียเซลฟ์เชี่ยๆ “ก็เนี่ย มารับ จะกลับไม่กลับ”

          “กลับ!” มันตอบเสียงดังลั่น ค่อยใจชื้นขึ้นมาอีกขั้น ผมเลยเบาใจขึ้นมา “ให้กลับด้วยจริงๆ นะ...” มันยังคงหันหลังงอนอยู่แบบนั้น

          “ก็เออดิวะ”

          ผมเดินอ้อมไปทางขึ้นศาลาหาไอ้ขี้งอน เสี้ยวหน้าข้างๆ ของเขาซีดแปลกๆ จู่ๆ สวิตช์สัมผัสทางจมูกก็เริ่มได้กลิ่นที่ชัดเจนขึ้น...ผมได้กลิ่นนี้จางๆ ตั้งแต่แรกเลยไม่ได้เอะใจ แต่ตอนนี้...ก็ต้องใจหล่นวาบเมื่อกลิ่นแปลกปลอมที่เข้ามาสู่โพรงจมูกนั้นทั้งเหม็นสาบเน่าของศพและเข้มข้นไปด้วยกลิ่นคาวเลือด...

          ผมเริ่มสั่นไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงตุบๆ จ้องมองไปยังใบหน้าที่ช้ำและซีดเซียวนั่น รอยแหว่งวิ่นบนใบหน้าปรากฏให้เห็นอยู่หลายจุด...ผมกลั้นหายใจพลางถอยหลังออกมาแต่แทบจะไม่มีแรงเหลือเลย

          แล้วเขาก็มองมาทางนี้...เขาไม่ใช่ไอ้ยิ้ม!

          “คุณรับปากว่าจะให้ผมกลั บ ไ ป กั บ คุ ณ ด้ ว ย...” เขาหันหน้ามาช้าๆ พร้อมกับดวงตาแดงฉานจับจ้องมายังผม ผมสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่กำลังจะเกิดขึ้น...ร่างกายที่ไร้ขาเลือนรางมาจนเกือบถึงเอว ลุกลอยมายืนอยู่ปากทางศาลาไม่ห่างจากผมมากนัก

          ผมที่ถอยหลังพลางจ้องมองไปยังวิญญาณผู้ชายตรงหน้า เริ่มรู้สึกผิดที่ไปรับปากเขาไว้แล้ว เขาต้องไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ ผมจะทำยังไงดี ช่วยผมที!

          “เ อา ผม กลั บ ไ ป ด้ว ยย ย ย...” เสียงเย็นยะเยือกของวิญญาณตนนี้ดังเข้ามาในโสตประสาตของผมท่ามกลางเสียงฝนตกและลมอื้ออึงแต่กลับได้ยินชัดเจน

          “ไม่! ไม่ใช่คุณ ผมคุยกับอีกคน ไปให้พ้น!!!” แล้วผมก็สะดุดล้มลงไปบนพื้นเปียกเต็มแรงเพราะความลื่น ร่มของผมหลุดมือแล้วปลิวออกไปไกลด้วยแรงลมมหาศาล

          ผมไม่สนใจร่ม แต่ต้องหันกลับไปสนใจสิ่งตรงหน้าแทน...จู่ๆ เขาก็หายไป...แต่ผมไม่ได้วางใจเพราะว่ากลิ่นของเขายังคงวนเวียนรอเข้าหาตัวผมอยู่เป็นแน่

          ผมรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นก็เริ่มสัมผัสถึงกลิ่นที่แรงขึ้นเพราะไม่เห็นตัว...กลิ่นสาบของวิญญาณที่มีแรงอาฆาตสูง ทั้งเหม็นเน่าและเข้มข้นเกินที่ผมจะรับไหว

          แล้วเสียงเดินประหลาดราวกับจะพุ่งเข้ามาหาก็ดังขึ้นรอบด้านตัวผม ผมหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรนปนหวาดกลัว ผมไม่เห็นตัวของมัน เพราะมันกำลังจะหลอกให้ผมสติแตกอยู่

          พอมองไปที่เสื้อก็พบกับคราบเลือดเป็นดวงๆ ที่หยดไหลลงมาจากต้นคอ ร่างเลือนราง...กำลังคร่อมผมอยู่ที่คอ!

          แรงบีบรัดบางอย่างทำให้คอผมแน่นจนหายใจไม่ออก ผมจึงดิ้นกระเสือกกระสนพยายามสลัดมันให้หลุดออกไปแต่ก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด

          ชอบขี่คอผมนักใช่ไหม ได้! ผมใช้วิธีการใหม่ด้วยการล้มลงนอนหงายกับพื้น ทำแบบนี้แม่งเลย! เป็นการทำให้ไอ้ผีนี่ไม่มีการทรงตัวในการขี่คอ เสียงของมันดังอ้อกเพราะหลังกระแทกกับพื้นแรงพอสมควร แล้วมันก็หายไปแล้วจริงๆ

          โถ่ ไอ้ผีกาก!

          แต่กลับกัน มันโผล่มาทับตัวของผม มันนั่งบนอกแล้วบดบั้นท้ายลงใส่ท้องผมอย่างจังจนผมหายใจไม่ออก “กลั บ บ้ า น มึ งสิ! พ า กู ไ ป ด้ วย!!!” ตาของมันจ้องเขม็งแล้วทำหน้าตอนบั้นท้ายขยี้ลงมาบนท้องของผมอย่างสะใจ

          “ไม่! อย่ามายุ่งกับกู!” ผมดิ้นพล่านอีกรอบ รอบนี้ไม่มีแรงขยับตัวเลยเพราะแรงกดมันมากเหลือเกิน

          มือของมันบีบเข้าที่คอของผมโดยใช้มือยาวของเขาจิกไปที่ลำคออย่างเจ็บปวด ผมเริ่มดิ้นสู้อย่างสุดแรง มือพยายามแกะเอาแขนของเขาออกทั้งจิกทั้งง้างแต่ก็ไม่มีประโยชน์

          มันลุกแล้วบีบคอผมให้ยกขึ้น เท้าของผมเริ่มไม่แตะพื้นแล้ว ด้วยแรงมหาศาลของวิญญาณตนนี้ ทวีคูณการจิกเล็บเข้าไปในเนื้อคอผมจนร้องออกมาเสียงดัง มันไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยผมเลย...เสียงวนพูดซ้ำๆ ว่า ‘เอากูกลับไปด้วย’ เริ่มดังระงมน่ารำคาญหนวกหูราวกับมีคนมาเปิดเทปพูดซ้ำๆ จนเริ่มไม่มีสติ

          แขนขาของผมชาแปร่งจนเริ่มออกแรงดิ้นไม่ไหว...

          มือและเล็บของวิญญาณบีบกรามผมขึ้นจนหน้าเชิด...การหายใจของผมเริ่มติดขัดเหมือนกำลังจะขาดอากาศในไม่ช้า และถ้าปล่อยไว้นานแบบนี้...ผมต้องตายแน่ๆ!

          “ค ใครก็...ได้ ช ช่วยผม...ที...!”

          ฝนยังคงสาดลงมาเป็นสาย เป็นวันโชคร้ายของผมจริงๆ สายตาเริ่มพร่ามัวและมืดไปทีละน้อย ผมอ่อนแรงมากจนทนไม่ไหว...ผมกำลังจะตายแล้วใช่ไหม...ไม่อยากจะคิดเลย ว่านี่จะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตผม

          สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนนี้คือไอ้ยิ้ม มาช่วยกูที! ...

          ผมร่วงลงไปนอนกับพื้นอย่างรวดเร็ว จึงรีบค่อยๆ พยุงตัวเองให้ยืนขึ้น...แล้วพลันไปเห็นร่างของใครบางคนนอนอยู่กับพื้น

          นั่นมัน...เสื้อผ้า กางเกง รองเท้าหูคีบของผม...ร่างของผมนี่!

          กวินท์ผู้หลับใหลท่ามกลางสายฝน ข้างๆ ของผม มีวิญญาณอีกดวงที่เพิ่งฆ่าผมไป ยืนแสยะยิ้มให้อย่างสะใจ

          ทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดแสงและสะเก็ดไฟที่พื้นทั้งๆ ที่ฝนตกหนักขนาดนี้ เจ้าตัวเริ่มตกใจเพราะที่เกิดแสงนั้นเป็นพื้นที่เขายืน รอยแยกปริแตกออกเป็นวงกว้างราวกับแผ่นดินจะแยกออกจากกัน ผมถอยกระเถิบออกมาให้ห่างด้วยความตกใจไม่แพ้กัน เขาทำท่าจะวิ่งออกจากจุดยืนแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

          ช่วงล่างของเขาได้หลุดลงไปข้างล่างราวกับกำลังจะตกหน้าผาสูงชัน ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนอ้ำอึ้งไม่มีสติ เพราะสิ่งที่เห็นตอนนี้ เหมือนผมเคยอ่านเจอในหนังสือความเชื่อเรื่องหนึ่ง

          ‘แผ่นดินอีกมิติหนึ่งของวิญญาณ ถูกแยกออกเป็นหลุมกว้าง มีลาวาและไฟร้อนระอุไปทั่วปฐพี ดวงวิญญาณถูกดูดกลืนลงไปทีละน้อยๆ เสียงกรีดร้องดังออกมาอย่างทรมาน ร่างหนึ่งร่วงลงไปด้วยความลึกที่ไม่สิ้นสุด’

          เป็นดังเช่นที่ผมเห็น นั่นคือมิตินรกที่ถูกเปิดออก กำลังดูดกลืนวิญญาณดวงนี้เข้าไป เสียงของเขากรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสยดสยอง มือสองข้างเกาะอยู่ที่ขอบพื้นอย่างแนบแน่น เล็บของเขาขูดอยู่กับขอบถนนจนเกิดรอยเลือด แต่แรงดึงดูดมหาศาลได้นำพาร่างของเขาตกสู่แดนนรกภูมิ ไฟร้อนระอุแผ่ไอเข้ามายังตัวผมจนสัมผัสได้ว่ามันร้อนโคตรๆ ...ได้ยินเสียงของเขาเป็นสิ่งสุดท้าย...เสียงกรีดร้องอย่างโหยและทรมาน ไม่มีวันหวนคืนสู่พื้นดินนี้อีกแล้ว

          ผมเองก็กลัวที่จะถูกดูดลงไปด้วยเช่นกัน แต่แสงบนพื้นก็ได้หายไปกลับสู่ปกติ ทิ้งไว้ให้ผมยืนอยู่กับร่างของตัวเองท่ามกลางสายฝนที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเสียที

          ผมคงจะต้องเริ่มใช้ชีวิตเป็นวิญญาณในแบบที่ตัวเองมองเห็นก่อนหน้านี้สินะ คงต้องทำตัวให้ชินใช่ไหม...

          น้ำตาผมหล่นเผาะออกมาด้วยความรู้สึกมากมายที่ท่วมท้น ภาพของแม่และยายกลับย้อนเข้าสู่ความทรงจำที่ผมจำได้เป็นอย่างดี แม่เป็นมะเร็งแล้วแม่จะอยู่ยังไง...ใครล่ะจะดูแลแม่และยาย มันไม่มีใครอีกแล้วนอกจากผม...แต่ผมตายไปแล้ว นี่ไงวิญญาณ ผมกำลังเป็นวิญญาณอยู่จริงๆ!







          เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร

          ฝนซาลงบางๆ แล้ว และท้องฟ้าก็มืดสลัวเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ แต่ผมก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากเฝ้าดูร่างของตัวเองที่นอนเงียบไม่ทำอะไรสักอย่าง...

          “กวินท์ ร่มคุณปลิวไปไกลเลยนะ...” นั่นเสียงเขา

          ผมหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคยอย่างดีใจ...เขากลับมาในชุดตัวเดิม ในมือถือร่มคันสีดำที่ปลิวไปเอามาคืน แต่ก็ต้องหยุดเดินดูร่างบนพื้น “ใครเป็นอะไรเนี่ย...”

          ยิ้ม...มึงมองไม่เห็นกูหรอกใช่ไหม “กูอยู่ตรงนี้ไอ้ยิ้ม! ได้ยิ้นกูไหม!!!” ผมตะคอกออกไปสุดเสียง และแน่นอนเลย เขาเป็นมนุษย์ เขาไม่ได้ยิน...

          “นี่คุณจะตะคอกใส่ผมทำไมเนี่ย” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วมองมายัง...ห้ะ! ...อะไรกันเนี่ย

          “หมายความว่าไง”

          “ทำไมคุณปล่อยให้คนนอนกับพื้นแบบนั้น ช่วยกันพยุงสิครับ” เขาทำท่าจะเดินเข้ามา

          “ยิ้มเดี๋ยว!” เขาหยุดแล้วหันมามองผม... “คุณเห็น...ผมด้วย?”

          “เอ่อ...” เขาเริ่มมองสลับกับคนที่นอนอยู่กับพื้น ทั้งสีเสื้อและกางเกง ผิว และทรงผม...มันตรงกับผมทุกอย่าง

          เขาเริ่มเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วมองอย่างสำรวจอีกครั้ง สีหน้าก็เริ่มเจื่อนไปทันที เขามองหน้าผมอย่างตกใจถึงขั้นขีดสุด

          “นั่นคุณ...” เขาชี้ไปที่ร่างนั่น แล้วสลับมามองผม ผมจึงพยักหน้าให้ “และนี่ก็คุณ...” ผมพยักหน้าให้อีกรอบ

          “คุณเห็นผมใช่ไหม”

          “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ...” หน้าตาเขาเริ่มเหลอหลาทำตัวเองไม่ถูก

          ผมมองหน้าเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาที่ขอบตาอีกครั้ง...

          “ผมตายแล้วนะคุณ!”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          กลับมา [1]


          ไอ้ยิ้มยืนงงเป็นไก่ตาแตก มันมองผมสลับไปมากับร่างของผมที่นอนตายอยู่กับพื้น

          และที่ผมแปลกใจมากก็คือ มันเห็นผมด้วย! งั้นแสดงว่า ไอ้ยิ้มเป็นคนมีสัมผัสแบบผมอยู่แล้วงั้นเหรอ

          เขาเริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆ ตัวผม แล้วมองหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

          “เป็นไปไม่ได้...คุณตายแล้วงั้นเหรอ”

          ผมเงียบไปไม่พูดอะไรสักคำ แต่พยักหน้ารับให้ ผมทำใจไม่ได้เลยที่เป็นแบบนี้...ทำไมผมตายไวได้ขนาดนี้ล่ะ ถ้ารู้ว่าจะต้องตายวันนี้ผมอาจจะไปเยี่ยมแม่กับยายก่อน แต่ตอนนี้มันไม่มีโอกาสแล้วนี่สิ ผมจะทำยังไงกับร่างของผมต่อจากนี้ดี...ร่างผมกำลังค่อยๆ เน่าสลายอยู่ใช่ไหม

          “กวินท์ เกิดอะไรขึ้น...ทำไมคุณถึงตาย” น้ำเสียงไม่สู้ดีของเขาถามผมออกมาทำให้ผมใจหล่นวูบ สีหน้าเขาเองก็เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

          “โดนผีฆ่า บีบคอผมจนหายใจไม่ออก...” ผมน้ำตาหล่นเผาะออกมา เพิ่งเข้าใจว่าเป็นผีก็ร้องไห้และรู้สึกเป็นด้วย “ผมยังไม่อยากตายเลยคุณ ทั้งแม่...ทั้งยาย ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม ไหนจะคุณอีก ยังจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ผมกำลังหาทางช่วยคุณอยู่...ผมขอโทษนะ

          เขาหลับตาลงเหมือนจะสงบสติอารมณ์แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเช่นกัน เขายกมือเช็ดมันลวกๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ และพ่นมันออกมาคุมสติ “แล้วร่างของคุณล่ะ จะให้ผมทำยังไงบอกผมได้เลยนะ”

          ผมไม่อยากได้ยินคำพวกนี้เลย แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ มันเกิดขึ้นแล้ว “งั้นคุณช่วยไปบอกคนแถวนี้แล้วกันว่าเจอศพคนตาย...เขาจะได้ไปบอกกู้ภัยให้มารับศพผมไป” สุดจะฝืนใจพูดแต่ก็ต้องทำ

          “...ผมไม่อยากให้คุณตายเลยกวินท์”

          “...” ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วยนะ มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากเลยทีเดียว ไม่มีใครอยากให้ใครตายหรอกใช่ไหม ยิ่งคิดผมก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง...ผมยืนสะอื้นอยู่ต่อหน้าเขา เขาที่ทนเห็นผมร้องไห้ไม่ได้ก็ร้องตามออกมาเสียงดัง “คุณจะร้องไห้ทำไม!”

          “ก็คุณร้องผมก็ร้องตามสิ” น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย หยดลงใต้คางติ๋งๆ

          เริ่มรู้สึกถึงอาการแปลกๆ ที่ตัวผม...

          อาการแปลกๆ เกิดขึ้นไปทั่วร่างกาย ผมหยุดร้องไห้แล้วหันไปมองส่วนต่างๆ อย่างตกใจ มันกำลังเลือนรางและโปร่งใส แรงดึงดูดบางอย่างเหมือนกำลังดึงผมให้เคลื่อนที่

          “คุณ! เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้!” ผมหันไปมองยิ้มอย่างตระหนก “คุณ! ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้!”

          “เห้ย! แขนขาคุณ!” สีหน้าเขาดูตกใจ ทั้งหน้าเปียกไปด้วยน้ำตา เดินเข้ามาหาผมอย่างลุกลี้ลุกลน

          “คุณช่วยผมด้วย!” ผมมองแขนขาของตัวอย่างด้วยอาการใจสั่นเป็นที่สุด นี่หรือจะเรียกว่าวิญญาณสลาย หรืออะไรกันแน่!

          บังเกิดเสียงประหลาดดังไปทั่วฟ้า ผมแหงนมองไปมองมาบนฟ้ามืด เสียงสวดอะไรบางอย่างดังขึ้นกังวานราวกับเปิดโทรโข่งเสียงตามสาย

          แรงดึงดูดประหลาดนั่นผมก็ตกใจอีกครั้ง มันกำลังดึงผมที่ไหนสักที่ รู้แค่ว่าแรงดึงนั่นมหาศาล ตอนนี้ทั้งร่างเริ่มจะมองอะไรไม่เห็น ไอ้ยิ้มก็เอาแต่อ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก

          “เร็วสิคุณ! ช่วยผมที ผมไม่อยากหายไป!”

          ไอ้ยิ้มไม่รอช้ารีบเข้าคว้าตัวผมแต่มันไม่ทัน ผมจางหายไปอย่างเร็วพลัน ทิ้งไว้แต่ไอ้ยิ้มที่คว้าผมกลางอากาศแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

          ตอนนี้รอบๆ ทั้งมืดทั้งดำ...ผมหลับตาปล่อยตัวลอยเคว้งในอากาศราวกับไร้น้ำหนัก เสียงสวดดังมาเป็นระยะ พอผมได้ยินแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

          มันดึงขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนอยู่ใกล้ๆ

          เท้าผมลอยมาสัมผัสกับพื้นแล้วพยุงร่างให้ผมยืนขึ้น หลับตาอยู่อย่างนั้นสักพักก็ได้กลิ่นของธูปหอมลอยโชยมาเข้าจมูก เสียงสวดยังสวดไม่หยุด คล้ายเป็นเสียงของหญิงวัยชรา...แล้วผมก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

          ตรงหน้าของผม...คือคุณยายของผมเอง

          “ยาย...ยายครับ!” ทุกอย่างเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อ ผมมาที่บ้านหลักของผม!

          หญิงชรานั่งสมาธิในท่านั่งขัดสมาธิบนแท่นไม้ คุณยายนุ่งขาวห่มขาวเกล้าผมหงอกขึ้นไว้ด้านบนเป็นภาพที่ผมคุ้นเคย เสียงสวดออกมาจากปากของคุณยายเอง...แล้วมันก็เงียบลงทันใด

          คุณยายลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วก็ทำสีหน้าไม่ดีนักเท่าไหร่...
 
          “ยาย...”

          “ยายฝันว่าหลานโดนผีหักคอ...มันเป๋นแต้ๆ ไปยะจะไดมาเป๋นจะอี้หึ้” (ยายฝันว่าหลานโดนผีหักคอ...มันเป็นจริงๆ ไปทำยังไงมาถึงได้เป็นแบบนี้) ยายผมพูดเสียงสั่นเครือตามวัยชรา แต่ปนไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจนผมรู้สึกได้

          “ยาย! ...” ผมน้ำตารื้นอีกครั้งแล้วโผเข้ากอดยายแต่ก็สัมผัสกันไม่ได้ มือของผมที่จะคว้าตัวยายนั้นได้วาดผ่านตัวยายไปอย่างน่าตกใจ...เกิดมาเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่โอเคเลยสักนิด “ยายครับ..วินตายแล้วนะ...” น้ำตาของผมไหลออกมาเป็นสาย พลางนั่งลงข้างล่างที่ยายนั่ง

          “บ่าเป๋นหยัง จะไปกึ๊ดนักเลย” (ไม่เป็นไร อย่าไปคิดมากเลย) ยายพูดน้ำเสียงที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด

          ผมเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองยายอย่างต้องการคำตอบ “ยังไงครับยาย...ยายหมายถึงอะไร”

          “ต๋อนนี่ยังตันอยู่หนา ยายฮ้องหลานมาก็ย้อนจะบอกวิธีหื้อเนี่ย...จะยะอะหยังก่อใจ๋เย็นๆ ไว้เน้อ ต้องมีสติกู้อย่าง” (ตอนนี้ยังทันอยู่นะ ยายเรียกหลานมาก็เพราะจะบอกวิธีให้ จะทำอะไรก็ใจเย็นๆ ไว้นะ ต้องมีสติทุกอย่าง) ยายเลื่อนมาจับมือของผม...ปรากฏว่ายายวางลงไปบนเนื้อของผมได้จริงๆ “หลานมีคนคนนึ่ง...เปิ้นจะอยู่ตั๋วติดกับหลาน ดูแลเปิ้นดีๆ หนา เขาจะจ้วยเฮาแหมหลายๆ เรื่อง...แล้วเฮาก็ต้องจ้วยเปิ้นแหม เป๋นเวรเป๋นก๋ำ บ่าต้องไปกั๋วเน่อ...ผ่านมันไปหื้อได้” (หลานมีคนคนหนึ่ง...เขาจะอยู่ตัวติดกับหลาน ดูแลเขาดีๆ นะ เขาจะช่วยเราอีกหลายๆ เรื่อง...แล้วเราก็ต้องช่วยเขาอีก เป็นเวรเป็นกรรม ไม่ต้องกลัวนะ...ผ่านมันไปให้ได้) ผมฟังแล้วก็ยังงงอยู่กับคำพูดของยาย “เดี๋ยวปิ้กกั้บไปหนา หื้อหมอนั่นปิ้นหงายอ้กหลานขึ้นมา เอามือกุ๋มกั๋นสองข้างแล้วตุ้บลงไปตี้อ้กแฮงๆ ...ถ้าไปแล้วระวังตวย จ๋ำไว้หนา...มีสติ” (เดี๋ยวกลับไปนะ ให้คนนั้นกลับด้านหงายอกหลานขึ้นมา เอามือกุมกันสองข้างแล้วทุบลงไปที่อกแรงๆ ...ถ้าไปแล้วก็ระวังตัวด้วย จำไว้นะ...มีสติ)

          ยายหลับตาลง เสียงสวดได้ออกมาจากปากของยายอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกเหมือนเดิมอีกครั้ง มีบางอย่างเหมือนจะฉุดดึงผมให้ไปอีกที่ แขนขาของผมเริ่มเลือนราง

          และก่อนที่จะไป... “วินรักยายกับแม่นะครับ!” สิ้นเสียงพูดออกไปทุกอย่างก็เงียบสงบ ร่างของผมลอยเคว้งคว้างในอากาศมืดดำ...ไม่นานก็รู้สึกสัมผัสถึงพื้นที่เดิม ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก็พบกับไอ้ยิ้มที่มีคราบน้ำตาอยู่บนหน้า...สีหน้าของมันเหมือนกำลังตกใจอะไรบางอย่าง

          “กวินท์...”

          “อะไร” มันชี้ไปทางด้านหลังของผม ผมเลยมองตามมือมันไป...และไปสิ่งที่ไม่คาดฝัน จู่ๆ ก็ขนลุกขึ้นมาเกรียวกราวเพราะเจอกับสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นอยู่จำนวนมาก

          เหล่าวิญญาณสัมภเวสีเยื้องย่าง บ้างก็ลอยไปมาอยู่ไกลๆ

          ผมตกใจเลยเดินถอยออกมาจากตรงจุดที่ยืนไปอยู่ด้านหลังไอ้ยิ้ม “ยิ้ม! อะไรเนี่ย! เขามากันทำไม!”

          “ร่างของคุณยังใช้ได้อยู่...”

          “ห้ะ!?”

          “ตอนนี้พวกมันก็กำลังจะมาใช้ร่างของคุณไง”

          “แล้วผมต้องทำยังไง!”

          “ผมก็ไม่รู้...” เขาหันหน้ามาหาผมอย่างร้อนรน “ถ้าคุณไม่เข้าร่างตอนนี้ไม่ทันแน่ เร็วสิ!”

          “ยังไง เข้าไม่เป็น!” มีสติ...ผมเริ่มจำคำของยายที่บอกผมไว้เมื่อสักครู่นี้ว่า ‘เอามือกุมกันสองข้างแล้วทุบลงไปที่อกแรงๆ’ สงสัยจะต้องเป็นเขาสินะ คนที่ยายพูดถึง “คุณ! ทำมือ! กุมกันสองข้าง!” เขาทำตามที่ผมบอกอย่างรนๆ “ทุบลงไปที่อกผมแรงๆ”

          “ห้ะ!?”

          “เร็วสิ!!!” เขาเออออแต่ก็ยังงงอยู่

          ผมมองไปที่กลุ่มวิญญาณสัมภเวสีขนาดใหญ่ใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว!

          “ไอ้ยิ้ม! เร็วๆ!” ผมว่าจบ เขาก็นั่งลง กุมมือทั้งสองข้างให้แน่นแล้วยกมือขึ้น รวบรวมแรงแล้วทุบอกของผมด้วยแรงทั้งหมดที่มี

          ผมรู้สึกตัวเบาหวิวขึ้นมา แล้วเกิดแรงดูดมหาศาลดึงผมเข้าไปในร่างที่นอนแน่นิ่ง แล้วก็ต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดแปลบที่หน้าอกพลางสูดเอาอากาศเข้าไปอย่างคนขาดอากาศหายใจ เกิดอาการเพลียและล้าไปทั่วตัว

          “คุณ! คุณเข้าร่างคุณแล้วนี่!”

          ผมได้ฟังก็ยกแขนยกขาขึ้นมาดู... “ใช่จริงๆ ด้วย! หึ้ย! ผมยังไม่ตาย!” ไอ้ยิ้มสีหน้าดีขึ้น แต่ร่างกายผมก็ยังรู้สึกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันยังคงอ่อนปวกเปียกด้วยเหตุเพราะเลือดไม่หมุนเวียนมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง

          เขาได้สติหลังจากเห็นผมกลับมาอยู่ในร่างคน รีบเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น ผมเซเล็กน้อยแต่ก็พยายามทรงตัว และยังคงเจ็บแปลบที่หน้าอกไม่หายเพราะโดนทุบไปจนสุดแรง

          “คุณ เรารีบไปจากตรงนี้กันเถอะ ก่อนที่จะแย่ไปมากกว่านี้”

          ว่าจบผมก็หันไปมองพวกนั้น กลิ่นแปลกๆ มากมายลอยมาให้ผมได้กลิ่น เป็นกลิ่นของพวกวิญญาณที่ไม่ได้มาดี “ผมวิ่งไม่ไหวนะคุณ...ทำไงดี”

          “ใครบอกว่าจะให้คุณวิ่ง” ไอ้ยิ้มหันหลังแล้วย่อลงไปนั่งยองๆ “ขึ้นมา”

          “ห้ะ!? จะบ้าเหรอ” ไอ้สัสนี่คิดอะไรของมัน จะให้ผมขี่หลังมันเนี่ยนะ ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่ตัวกูหนักนี่สิ...

          “เร็วดิ รีบขึ้นมา เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมาใกล้กว่านี้จะไม่ทันเอา!” เอายังไงดี ผมยังคงลังเลอยู่อย่างนั้น มองหลังไอ้ยิ้มและพวกที่อยู่ข้างหลังสลับกันไปมา

          เอาวะ!

          ผมขึ้นขี่หลังของเขาอย่างเบาตัว เขาจึงเอามือแกร่งเข้ามาสอดระหว่างข้อพับขาของผมแล้วยกตัวผมขึ้นอย่างง่ายดาย ไม่รอช้า เขาก็ออกตัววิ่งไป

          ผมกอดคอเข้าไว้แน่นเพราะกลัวเขาจะทำผมหล่น แต่เปล่าเลย เขายังคงวิ่งสบายๆ ไปตามทางเรื่อยๆ

          กลิ่นหอมจากตัวเขาลอยเข้าจมูกให้ผมได้กลิ่นอย่างน่าประหลาด เป็นกลิ่นใหม่ๆ ที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด มันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง...นี่น่ะเหรอ คนที่ยายผมบอกว่าเขาคือคนที่จะมาช่วยผม...ทำไมถึงต้องเป็นมันด้วยวะ แล้วผมจะแอบยิ้มทำไมเนี่ย!

          วิ่งไปสักพักก็พามาจนถึงทางโค้งเข้าซอยบ้าน แล้วทันใดนั้นเอง แสงจากรถยนต์ก็สาดเข้ามาทางผมกับยิ้มอย่างแรงจ้าจนแสบตา ตามด้วยเสียงบีบแตรรถเสียงดังลั่น!

          “ไอ้ยิ้ม! ระวัง!!!”

          "เห้ยยยย!!! "

          ปิ๊นปิ๊นนนนนนนนนน!!!



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          กลับมา [2]


          “เห้ยยยย!!!” ไอ้ยิ้มร้องออกมาเสียงดังลั่น

          ปิ๊นน ปิ๊นนนนนนนนนนนนนน!

          เกิดเสียงเบรกรถลากยาว แสงสว่างสาดส่องจ้าอยู่ด้านหน้า ไอ้ยิ้มเอี้ยวตัวเข้าโพงหญ้าในระยะประชิดรถ เท้าของเขาไถลล้มลงไปกับพื้น ปล่อยตัวผมกระเด็นออกไปกระแทกกับรั้วปูนของบ้านหลังหนึ่งอย่างเต็มแรงจนเกิดอาการจุกแน่นขึ้นมาที่แผ่นหลังลามมาที่อก แล้วนอนอยู่แบบนั้น

          ทุกอย่างสงบลง...ผมค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างลำบาก พลางมองหารอยแผลที่เกิดขึ้นจนรู้สึกแสบแสน ไปทั่ว แล้วมองออกไปด้านหน้า เห็นรถเก๋งสีขาวจอดอยู่ ไฟของรถยังคงส่องสว่าง ซ้ายมือของผมก็เห็นไอ้ยิ้มที่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งอยู่ไม่ไกล

          ปึ้ง!

          เสียงประตูรถปิดลงอย่างแรงจนผมกับไอ้ยิ้มหันไปมอง “เป็นอะไรไหมคะ!” หญิงวัยกลางคนแต่งตัวสวยอย่างกับคุณนาย เดินเข้ามาดูอาการพวกผมสองคนอย่างตื่นตระหนก “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ พอดีมองทางไม่ได้เอง มืดแบบนี้อีกด้วย ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”

          “ไม่เป็นอะไรมากครับ เอ่อ...”

          “ไม่เป็นไรไม่ได้ค่ะ ดิฉันต้องรับผิดชอบคุณ...เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณไปทำแผลที่คลินิกใกล้ๆ ดีกว่า” เธอเดินเข้ามาจับตัวผมแล้วช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น “มาค่ะ”

          “ขอบคุณมากครับ แต่...ไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวผมกับ...”

          “ไม่ได้ค่ะ! มากับฉัน อย่าให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลยนะคะ...” เธอเดินไปเปิดประตูหลังรถให้ผม “ขึ้นรถเร็วค่ะ”

          “เอ่อ...คือ คุณครับ”

          เธอไม่ฟังคำพูดใดๆ ของผมเลยสักนิด เข้ามาลากตัวผมเข้าไปในรถจนได้ ผมที่กำลังจะเดินขึ้นรถไปก็ไม่ลืมหันมาเหลียวมองไอ้ยิ้มที่ยืนมองผมอยู่อย่างนั้น และไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากกับไอ้ยิ้ม ผมก็ถูกดันเข้าไปนั่งแล้วประตูก็ปิดลง เธออ้อมไปอีกด้านของคนขับ เข้าไปสตาร์ทรถแล้วออกตัวไป ทิ้งให้ไอ้ยิ้มยืนอยู่ตรงนั้นแค่คนเดียว







          ทุกอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นไปเร็วมาก

          ผมที่ตอนนั้นเหมือนจะไม่มีสติ คำพูดคำจาอะไรก็เหมือนจะเปล่งออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผมจะบอกเธอให้เอาไอ้ยิ้มขึ้นรถมาด้วยแต่เหมือนเธอไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากยัดผมเข้ารถแล้วพามาที่คลินิกเนี่ย...

          ผมนั่งตากแอร์ในคลินิกทำแผลแห่งหนึ่งที่เปิดรอบดึก ผู้หญิงคนนั้นเดินไปหาคุณพยาบาลที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์รับยาแล้วเดินมาหาผมบอกให้เข้าไปทำแผลด้านใน

          “ไปทำแผลกันค่ะ”

          “คุณครับ...อันที่จริงผมมีเพื่อนอีกคน แต่คุณไม่ได้พามาด้วย”

          “ว้ายตายแล้ว! จริงเหรอคะเนี่ย! ...ดิฉันขอโทษนะคะ ตอนนั้นดิฉันสติหลุด เลยไม่ได้สนใจอะไรรอบข้าง...ทำยังไงดีคะเนี่ย” สีหน้าของเธอก็ดูรู้สึกผิดตามอารมณ์ที่พูดออกมานั่นแหละ

          ไอ้ยิ้มคงเดินไปที่บ้านรอล่ะมั้ง คนอย่างมันไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว...เดี๋ยวกลับบ้านไปก็ค่อยทำแผลให้มันเองก็แล้วกัน ให้ผู้หญิงคนนี้พาขึ้นรถไปกลับเสียเวลาเปล่า

          “เดี๋ยวผมทำแผลก่อนก็ได้ครับ”

          “ค่ะ...โอเค”







          ผมมีรอยถลอกเล็กน้อยที่ข้อศอกและที่ขาของผมเป็นรอยถลอกใหญ่กว่าที่ข้อศอกนิดหน่อย

          แต่ไม่ได้ลึกขนาดที่ต้องเย็บ แค่ล้างแอลกอฮอล์ที่แสนจะแสบซ่านแล้วตบท้ายด้วยเบตาดีนฆ่าเชื้อก็พอแล้ว
 
          พยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ให้ยาทาแผลช้ำกับยาทาแผลถลอกผมมา โดยเธอคนนี้ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เสร็จสรรพแล้วก็พาขึ้นรถมุ่งไปที่บ้านของผม

          รถชะลอความเร็วเคลื่อนตัวมาจอดที่หน้าบ้านผมในเวลาไม่นาน แต่ไอ้ยิ้มไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้

          “นี่บ้านคุณเหรอคะ” เธอถามพลางชี้ตัวบ้านของผม

          “ใช่ครับ...”

          “อ๋อ...คุณนี่เอง ก็ว่าทำไมหน้าตาดูคุ้นๆ ” ผมทำหน้างงใส่กับประโยคที่เธอพูดออกมา เธอหันไปหยิบกระเป๋าเอกสารใบใหญ่มาวางไว้ที่ตักของเธอพลางดึงเอกสารแต่ละใบออกมาดู แล้วก็เจอใบหนึ่ง มีรูปของผมติดอยู่บนนั้นด้วย “คุณกวินท์ใช่ไหมคะ”

          “ใช่ครับ”

          “พอดีว่าก่อนหน้านี้ฉันมาหาคุณที่บ้านค่ะ รอตั้งนานก็คิดว่าคุณคงไม่อยู่ ก็เลยจะขับกลับบ้านไปก่อน แล้วก็เกือบไปชนคุณ...ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ”

          “ไม่เป็นไรแล้วครับ มันแค่อุบัติเหตุ...”

          อ๋อ งี้นี่เอง...เธอมีเอกสารนี้แสดงว่าเธอก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเช่าบ้านหลังนี้สินะ “ว่าแต่...คุณมีธุระอะไรเหรอครับ”

          “ดิฉันมยุรีค่ะ เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้เอง เรียกฉันว่าสุขก็ได้ค่ะ” อ๋อ...คนที่ให้ผมเช่าบ้านหลังนี้เองน่ะเหรอ วันนั้นเขาไม่ได้มาเองเพราะเขาส่งตัวแทนมา ผมคิดว่าเขาจะต้องดูใจดีอยู่ไม่น้อย เพราะให้ค่าเช่าบ้านผมในราคาต่ำโคตรๆ ผมจึงประหยัดน้ำประหยัดไฟให้เขาด้วยเช่นกันถือเป็นการตอบแทน “คือว่าดิฉันจะมาคุยเรื่องต่อสัญญาเช่าบ้านน่ะค่ะ พอดีว่าจะครบกำหนดแล้ว”

          จริงสิ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย สัญญาเช่าทั้งหมดที่ผมเขียนไว้เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นเอง กะมีแพลนว่าหางานเด็ดๆ เก็บเงินสักสองสามปีก็ย้ายกลับไปอยู่กับแม่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบที่คิดในตอนนั้นว่ะ...

          “ค่ะ...วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่จะมาสอบถามคุณกวินท์ ว่ายังสนใจที่จะต่อสัญญาไหมคะ”

          “สนใจครับ...เอ่อ ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรไหมครับ”

          “สบายมากค่ะ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม แค่จ่ายเป็นเดือนเหมือนที่ผ่านมาก็พอ คุณเองก็เขียนในประวัติไว้ไม่ค่อยจะดีเสียด้วย อายุก็แค่ 20 ต้นๆ สินะคะ ก็เลยจะให้เช่าไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละค่ะ ไว้จะย้ายออกเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาได้เบอร์เดิมเลยนะคะ”

          “ขอบคุณมากๆ ครับคุณสุข” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ผมก็ไหว้อย่างนอบน้อม เธอเป็นคนดูมีภูมิฐานฐานะดีนะ ดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนกับคุณนายรวยๆ ได้ผัวรวยอะไรทำนองนี้

          เธอขับรถจากไปในเวลานั้น ทิ้งผมเอาไว้กับความมืดที่มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟข้างทางเท่านั้นเอง แล้วผมก็ต้องกลับมาสนใจหาไอ้ยิ้ม ผมคิดว่ามันจะหาทางเดินมาที่บ้านผม แต่ที่ไหนได้...เขาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

          ผมยืนอยู่ตรงหน้าบ้านนานพอสมควร มองซ้ายมองขวาไปจนสุดทางซอยทั้งสองด้านก็ไม่เห็นแม้แต่ความเคลื่อนไหว มีแต่เสียงหมาจรจัดแถวนี้เห่ากันอยู่เป็นระยะ เลยตัดสินใจเข้าบ้านไปเสีย

          ผมกดเปิดไฟหน้าบ้านให้สว่างขึ้น เปิดใต้กระถางต้นไม้หน้าบ้านล้วงหยิบกุญแจที่เป็นที่ประจำของผมสำหรับเอาไว้ซ่อนกุญแจต่างๆ แล้วประตูบ้านก็ถูกไข

          กิ๊งกุ่ง~

          เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาที่ไอ้ยิ้มมันกลับบ้านจึงหันกลับไปดูที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว “ไอ้ยิ...”

          “คุณคะ!” อ้าว...ไม่ใช่ไอ้ยิ้ม แต่เป็นชมพู่แทน “มาคุยหน่อยได้ไหมคะ” ผมถอนหายใจอยู่ไกลๆ แล้วเดินไปยังหน้าบ้านที่เธอยืนอยู่ เธอมาในชุดนอนสีชมพูลายหมีโพลาร์แบร์ “พรุ่งนี้ฉันจะพาคุณไปสืบที่นั่นอีกรอบนะคะ...ฉันรู้สึกค้างคาใจ นอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ...คุณโอเคไหมคะ”

          ผมเหมือนจะลังเลอยากถอดใจกับเรื่องนี้แล้ว ก็เริ่มรู้สึกใจสู้อีกครั้งหนึ่ง “ได้ครับ” มันคงจะต้องมีอะไรอีกแน่ๆ เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า
ความจริงแล้วมันคืออะไร ถ้าเกิดเรื่องนี้ไม่คลี่คลายผมก็คงนอนตายตาไม่หลับเหมือนกัน “พรุ่งนี้ผมขอลุยเดี่ยวนะครับ...ถ้าไปกันเยอะมันจะเอิกเกริก เดี๋ยวอีป้านั่นก็ออกมาไล่ตะเพิดเหมือนวันนี้อีก”

          “เอางั้นก็ได้ค่ะ...แต่ถ้าได้อะไรมาคุณต้องรีบส่งข่าวให้ฉันโดยด่วนเลยนะคะ”

          ผมพยักหน้าให้แล้วบอกลาเธอ...ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าบ้านไปเสียที วันนี้ไอ้ยิ้มก็หายไปอีกเช่นเดิม...เหนื่อยแล้วที่จะออกไปตามหา เดี๋ยวก็ไปเจอผีนั่นผีนี่อีก ถึงคราวนั้นก็คงตายไปจริงๆ เพราะไอ้ยิ้มคงไม่ได้อยู่ช่วยตลอดเวลาหรอก...



FOLLOWER

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          กลับมา [3]


          จั๊ด จาดาดา จั๊ด จั๊ดจาดา ฮู้ว! จั๊ด จาดาดา จั๊ด จั๊ดจาดาดา...

          ผมสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเพลงเพลงนี้...มันเปิดดังไปทั้งบ้านเลย!

          ใครมันมาเปิดวะเนี่ย หนวกหูโว้ยยยยย!

          ผมลุกจากเตียงด้วยอาการปวดเนื้อปวดตัวระบมไปทั่ว เพราะเมื่อวานแค่ไม่กี่ชั่วโมงราวกับเป็นหนึ่งเดือนหนึ่งปี เสียงเพลงยังคงเปิดอยู่เรื่อยๆ ที่ชั้นล่าง ยิ่งเปิดประตูออกไปเสียงเพลงยิ่งชัดและดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

          อย่าทำให้รัก เดี๋ยวมันหลง เดี๋ยวมันรัก...ฉันตั้งหลักไม่ทัน เดี๋ยวจะรั้งไว้ไม่ไหว รักมันปักหัวใจทำไง จะดึงออกไปก็ดึงไม่ออก~

          เพลง ‘คนใจง่าย’ ของ ไอซ์ ศรัณญู เป็นเพลงในโทรทัศน์ที่พังแล้วของบ้านหลังนี้ ผมคิดว่ามันเสียไปแล้วเพราะตอนผมลองซ่อมดูมันก็ไม่ยอมเปิดขึ้นมาเสียที

          แต่นี่มันเปิดได้และดังมาก! ทำลายการนอนสบายของผม!

          ผมเดินลงบันไดมาตึงตังด้วยอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า แล้วมากดปิดโทรทัศน์ทันที ทุกอย่างเงียบลงสงัด ผมจึงเริ่มมองหาตัวการว่าใครเป็นคนเปิด

          “เห้ย! กำลังสนุกเลย ปิดทำไมเนี่ยคุณ!” ไอ้ยิ้มโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำ ทั้งหัวของมันเต็มไปด้วยฟองสีขาว ผมมองมันตาถลึงใหญ่

          แม่งนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ จำได้ว่าเมื่อคืนล็อกประตูบ้านแล้วนะ...แถมยังถือวิสาสะใช้แชมพูกับน้ำบ้านผมอีก เสียมารยาท!

          พอมองไล่ต่ำลงไป ไอ้ยิ้มไม่ได้ใส่เสื้อเชิ้ต ซึ่งก็แปลว่ามันแก้เสื้อ เพิ่งจะรู้ว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตแม่งซ่อนรูปสัส กล้ามแน่นๆ เปลือยบนของเขาสะท้อนเข้ามาในตาของผมจนรู้สึกว่าหยุดมองไม่ได้ แม่งโคตรน่าดึงดูดเกินไปแล้ว

          ขาวมาก...

          “มองอะไร” มันถามผมออกมาเพราะเห็นว่าผมเริ่มมองมันอย่างคุกคาม นี่ไม่ได้ตั้งใจนะ ตาของผมมันมองของมันเองต่างหาก

          “ไม่ได้มอง” ผมเบือนหนีเร็วพลัน

          “ก็เห็นอยู่ว่ามอง เป็นไง...ขาวไหมล่ะ” ไอ้เชี่ย! ยิ่งพูดถึงความขาวผมก็เริ่มจะคิดเลยเถิดไปไกลกว่านั้น ไม่รู้ทำไมผมแม่งเป็นคนแบบนี้ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องเสียแล้ว!

          “ใครให้เปิดเพลง!”

          “ตอบผมก่อนดิว่าขาวไม่ขาว”

          “เอ้ะนี่มึงจะอะไรนักหนา ขาวตายห่าอ่ะ!” แต่ก็ขาวจริงๆ อ่ะ

          “ยอมรับแล้วใช่ไหมว่ามอง จะมองก็มองได้ ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ ของดีมีโชว์” แอ้บ่ะ!

          ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเดี๋ยวนี้! “ใครให้เปิดเพลงในบ้านคนอื่น ขอหรือยัง ใช้แชมพูใช้น้ำอ่ะ ขอหรือยัง?!”
 
          “ก็...” ไอ้ยิ้มเงียบไป มือของมันพลางกอบโกยเอาแชมพูที่ไหลย้อยลงมาที่หน้าผากรูดขึ้นไปที่ผมแล้วลืมตามามองผม...ผมมองหน้ามันกลับอย่างหาเรื่อง แต่ทำไมผมเอาแต่ไล่ต่ำมองแผงอกและกล้ามหน้าท้องสวยๆ ของมันแบบนั้นวะ มองหน้ามันดิ! “ก็แหม คุณ...ผมไม่มีเงิน ไม่มีที่ให้ไปนะ จะให้ผมทำยังไงอ่ะ...ผมก็เหนียว ไม่ได้สระนานละอ่ะ”

          เออ ก็จริงของมัน

          “เออ ช่างแม่งเหอะ...แล้วนี่เข้ามาได้ไง ประตูหน้าบ้านล็อกแล้ว”

          “ก็ข้ามรั้วมาดิ ยากไร ผมตัวสูง...ไม่ได้ตัวเตี้ยนะครับ” มันยิ้มอ่อนแล้วมองสารร่างของผมขึ้นลง ก่อนจะเข้าไปเอาฝักบัวล้างฟองอย่างสบายใจ

          ...เดี๋ยวนะ ไอ้สัสนี่! มึงว่ากูเตี้ยเหรอ “เออ กูเตี้ยละไงวะ ไอ้เปรต!”

          ผมยืนนิ่งอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย มองไปยังหลังขาวๆ ของมัน ที่กำลังล้างฟองอยู่ในห้องน้ำ ผมหันเดินขึ้นบันไดกลับไปเสียงดังตึงตังอีกครั้ง เข้าห้องนอนไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ







          วันนี้ผมกับไอ้ยิ้มคงต้องตัวติดกันสินะ...

          ถ้าจะพูดเรื่องส่งมันไปโรงพักก็กลัวมันจะโกรธผมอีก รำคาญจะออกไปตามหาละ ไม่เคยจะเจอ ชอบมาแบบผลุบๆ โผล่ๆ อย่างกับผี

          ผมหยิบเงินมาจำนวนหนึ่งเพราะวันนี้จำเป็นต้องเลี้ยงข้าวมัน...เห้อ...งานก็ถูกไล่ออก เงินก็ต้องใช้ จะต้องทำไงยังไงต่อไปดี ขืนอยู่แบบนี้ไปนานๆ เงินหมด ตายห่าแน่...

          มันซ้อนจักรยานผมตามเดิมเพราะผมไม่ยอมให้มันปั่น คือผมไม่ชินกับการซ้อนท้ายเท่าไหร่ เลยไม่ปล่อยหน้าที่คนปั่นให้หลุดมือไป อีกอย่างถ้ามันปั่น มันก็ไม่คล่องทางเท่าผม

          แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าเดิมที่ชอบเดินถ่อรถเข็นขายตามข้างทาง ต่อจากนั้นก็ไปนั่งกินที่ม้าหินอ่อนแถวนั้น...ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองผมแปลกๆ ไอ้ยิ้มเองก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ช่างแม่งล่ะ สนใจที่ไหน สนใจชีวิตตัวเองดีกว่าว่าจะเป็นยังไงต่อไป และตัวไอ้ยิ้มเองจะเป็นยังไงต่อไปเหมือนกัน...อายุแค่ยี่สิบต้องมาเจออะไรแบบนี้มันโคตรเหี้ยแต่ก็พอทน...มั้ง







          ร้านหนังสือคุณตาเปิดไปประมาณสองชั่วโมงแล้ว

          ผมก้าวเดินเข้ามาในร้านตามด้วยไอ้ยิ้มที่เดินเข้ามาอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่คุ้นสถานที่...ตาแม้นไม่ได้อยู่ที่เคาน์เตอร์ ในร้านเงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่เลยสักคน

          “ตาแม้นครับ!” ผมตะโกนเรียกตาแม้นออกไป แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับกลับมา แกอาจจะเข้าห้องน้ำอยู่ล่ะมั้ง...ผมเห็นหนังสือที่เขายืมมาวางกองอยู่สูงพอประมาณ...สงสัยผมจะไม่ได้มาจัดนานสินะ ตาแม้นแกคงขึ้นไปเก็บเองไม่ไหว เพราะหนังสือส่วนใหญ่ก็อยู่ที่สูงๆ กระดูกกระเดี้ยวไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นผมจึงคู่ควรกับการช่วยคนแก่ร้านหนังสือที่นี่แหละ

          กองหนังสือถูกผมกอบโกยเข้ามาในอ้อมอกแล้วเดินไปตามชั้นวางตู้หนังสือต่างๆ

          ไอ้ยิ้มเดินดูหนังสือเรื่อยเปื่อย บ้างก็หยิบออกมาดู แล้วมันก็ไปจ่ออยู่ที่หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น จำพวกปาแมน หรือโดราเอม่อนคณิตศาสตร์ และอีกหลายๆ อย่าง มันอยู่ตรงนั้นจนนั่งเปิดอ่านเพลินไปเลย

          ผมเองก็จัดการอยู่กับการเก็บหนังสือใส่ตามเบอร์ชั้นวาง จู่ๆ ก็ได้กลิ่นไหม้ลอยมาอ่อนๆ ผมเริ่มเอะใจแล้วว่าวันนี้ตาแม้นไปไหนและทำไมมันแปลกๆ

          ผมรีบวางหนังสือแล้วเดินไปหาไอ้ยิ้ม “มาด้วยกันหน่อย”

          “หา...” มันทำหน้าเอ๋อใส่ ปิดหนังสือเก็บซุกไว้แถวนั้นลวกๆ แล้วลุกตามมา ผมนำเดินไปที่หลังบ้านด้านในสุดของร้าน เป็นส่วนของห้องครัวและห้องนอนตาแม้น กลิ่นไหม้เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ

          พ้นขอบประตูมาก็ได้ยินเสียงดังฟี่ๆ ขึ้นทางขวามือ ทางนี้เป็นห้องครัวเล็กๆ มีช่องระบายควันอยู่ด้านบน และด้านล่างมีเสียงที่ชัดเจนมากดังขึ้น...มันดังมาจากถังแก๊ส! แก๊สรั่วแล้ว! “เชี่ย! แก๊สรั่ว! กลิ่นไหม้มาจากไหน ช่วยหาที!” ไอ้ยิ้มเหลอหลาได้สติก็ออกตามหาต้นตอของกลิ่นไหม้ มีกลิ่นไหม้มันก็ต้องมีไฟแน่ๆ

          ตาแม้นคงกำลังทำอะไรเกี่ยวกับไฟสักอย่าง กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่วหลังบ้าน ถ้าหาต้นตอกลิ่นไหม้ไม่เจอ ความไวของไฟและแก๊สเมื่อมาเจอกันก็จะเกิดปฏิกิริยารุนแรง ซึ่งจะทำให้ที่นี่ระเบิดเป็นจุณแน่!

          “หาเจอไหมยิ้ม!”

          เขาตะโกนกลับมา “ไม่เจอเลย!”

          ผมจึงเดินเข้าไปด้านในสุดที่เป็นห้องนอนของตาแม้น เอามือดันๆ ก็พบว่ามันปิดสนิท แล้วผมก็ผลักมันเข้าไปอย่างเต็มแรงจนประตูเปิดออก เจอกับร่างของตาแม้นที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นข้างเตียง ข้างๆ เกิดแสงสว่างจากเปลวไฟกำลังลุกไหม้มุ้งและผ้าปูเตียงนอน และควันมันเริ่มคลุ้งจนหม่นเทาไปทั้งห้องแล้ว นานกว่านี้อาจจะไม่ทันแน่ๆ!

          เชี่ยแล้วววว!

          “ยิ้ม! มาช่วยดับไฟที เร็ว!!!” ผมตะโกนออกไปเสียงดังลั่น เสียงกุกกักของไอ้ยิ้มรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ไปหาน้ำมาที!”

          มันพยักหน้าแล้ววิ่งออกไป ผมหันมาพยุงร่างผอมของตาแม้นให้ลุกขึ้น...ตาแม้นยังหายใจอยู่ แกแค่สลบไปเท่านั้น ผมต้องพาเขาออกไปข้างนอกให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

          พ้นจากห้อง ไอ้ยิ้มหิ้วถังน้ำหนักๆ ผ่านไปอย่างเร็วรี่ แต่ผมก็ต้องสนใจกับการพาตาแม้นออกไปจากตัวบ้าน แก๊สก็ยังรั่วไม่หยุด ถ้าไฟในห้องยังไม่ดับที่นี่ก็อันตรายมากๆ

          “คุณ!” ผมที่พยุงตาแม้นอยู่ที่ขอบประตูต้องหันไปหาไอ้ยิ้มที่สุดทางเดิน “ไฟมันมาที่ประตู ผมดับไม่ไหว!”

          “งั้นก็รีบออกมาเลย!” สิ้นเสียงผมไอ้ยิ้มก็ตามออกมา ช่วยผมพยุงร่างตาแม้นมุ่งไปยังข้างนอกบ้านพร้อมกับผมโดยด่วน

          พ้นประตูออกมาก็รู้สึกสบายใจ พาตาแกมานั่งที่ม้านั่งอีกฟากหนึ่งเพื่อให้ห่างไกลจากตัวบ้าน

          ผมประกาศให้ชาวบ้านละแวกนี้รีบอพยพออกมาจากบริเวณใกล้ๆ นี้ให้ห่างจากตัวตึกของตาแม้น

          แล้วตอนนี้ผมก็ต้องรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง แต่มือผมสั่นหงิกๆ นี่สิ “คุณ โทรหาดับเพลิง’ ให้หน่อยเร็ว!” ผมยื่นโทรศัพท์ออกไปวางใส่มือไอ้ยิ้มแต่ดันทำหล่นลงพื้น “โอ้ย! กูเองก็ได้ จะรนทำไมวะ!” ผมตีมือตัวเองแล้วก้มเก็บ เปิดโทรศัพท์ขึ้นมา มือกดไปที่เบอร์ของสถานีดับเพลิง “ช่วยมาที่ซอยxxxหน่อยครับ เกิดเหตุแก๊สรั่ว ตอนนี้ไฟไหม้ในตัวบ้านด้วยครับ รีบมานะครับ!”

          ผมวางสายแล้ววิ่งเข้าไปสำรวจอาการตาแม้น แกยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอะไรสักอย่าง ข้างๆ มีพี่คนสวยช่วยพัดวีให้ แล้วก็คนดูอีกสองสามคนเข้ามาดูตาแม้น

          ชาวบ้านเริ่มทยอยกันออกมาด้วยความตกใจ

          แล้วในตอนนั้นเอง มันก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ตามด้วยแรงระเบิดจากภายในตัวบ้านสู่นอกบ้าน

          ตู้มมมมมมมมมมมม!!!

          เสียงกรี๊ดตกใจของชาวบ้านดังระงม เศษซากไม้ต่างๆ กระจายออกมาข้างนอกด้วยแรงระเบิดมหาศาลจากภายในบ้าน

          ผมและทุกคนตอนนี้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น...ภาพตรงหน้าลุกโชนไปด้วยไฟและควันสีดำเทาโชยโขมง...ตู้หนังสือทั้งหลายแหล่ของตาแม้นถูกระเบิดและไหม้ไปแล้ว ทุกอย่างที่เป็นความทรงจำของตาแม้น ได้สลายไปต่อหน้าต่อตาของผม สิ่งหากินสิ่งสุดท้ายของตาแม้น...

          ผมมองมันอย่างน่าเสียดาย ไอ้ยิ้มเองก็หันมาปลอบผมอย่างปลงๆ

          “อย่างน้อยเราก็ช่วยชีวิตตาเขาไว้นะครับ” เขาหันมาพูดไว้ซึ่งมันก็เป็นความจริง...ถ้าเรามาไม่ทัน ตาแม้นก็อาจจะตายไปกับกองเพลิงในบ้านก็ได้...







          ดับเพลิงมาถึงช้ากว่าที่ผมคิด แต่ก็สายไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

          ตาแม้นถูกส่งเข้าโรงพยาบาลใกล้ๆ เพราะที่สลบไปนั้นเป็นเพราะอาการช็อกหมดสติด้วยโรคตามวัยชรา

          ผมและไอ้ยิ้มเป็นคนที่มาอยู่เป็นเพื่อนกับตาแม้นในห้องรวมคนไข้ในอายุรกรรมชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล

          หมอบอกว่าถ้าตาแม้นฟื้นก็สามารถกลับพากลับบ้านได้เลย แต่แกไม่มีบ้านนี่สิ ต้องทำยังไงดี...

          ในบ่ายนี้ ผมกับไอ้ยิ้มออกมาก่อนเพื่อจะต้องกลับบ้านไป แต่จู่ๆ ไอ้ยิ้มก็มีอาการแปลกๆ วิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แถมยังหายใจไม่สะดวกอีกด้วย “คุณ...ผมเจ็บหน้าอกแปลบๆ” เขาเอามือกุมขึ้นที่อก

          “เป็นอะไรอ่ะคุณ...”

          “หายใจไม่ค่อยสะดวก...พอหายใจลึกๆ มันก็แปลบๆ ที่อก”
 
          “งั้นไปหาหมอไหม”

          “ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวก็หาย ผมเคยเป็นบ่อยๆ”

          “นี่...แสดงว่าคุณจำได้แล้วสิ ว่าคุณเจ็บอะไรบ่อยๆ”

          “เปล่าหรอก ตอนความจำเสื่อมนี่แหละ...”

          “อ้าวเหรอ...”







          ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้าน

          ผมเปิดประตูบ้านเข้ามา ด้านหลังตามด้วยเขาที่เป็นคนปิดประตูให้

          “นี่คุณ เดี๋ยวตอน...!” ไม่ทันระวังเพราะผมจะหันไปคุย ไอ้ยิ้มเองที่มายืนอยู่ข้างหลังผมใกล้เกินไปเลยหันหน้าเข้าไปหาเขา...ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเลย...ผมกับมันมองหน้ากันอยู่แบบนั้น เหมือนมีมนต์สะกดให้ผมไม่ทำอะไรนอกจากเลื่อนสายตาไปยังดวงตาของเขา...เขาเองก็จ้องกลับมาหาผมเหมือนกัน

          ...ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลสุกใสนั่น ผมรู้สึกไม่อยากกะพริบตาเลย อยากมองไปนานๆ

          จมูกของเราเลื่อนมาชนกัน...ปากของเราค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้กัน...ผมหายใจแรงขึ้น เขาเองก็เช่นกัน รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ตัวเบาหวิวไร้น้ำหนัก ใกล้กันอีกนิดเดียว...เราก็แทบจะจูบกันแล้ว!

          ผมผละออกมาก่อนที่มันจะเกินเลยไปกว่านั้น...เสียงโครมครามในอกดังไม่หยุดไม่หย่อนพร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ และจะให้ไอ้ยิ้มรู้สึกถึงมันไม่ได้เด็ดขาด

          พอหันไปมองเขา เขาก็ยืนมองผมอย่างเดาอารมณ์อะไรไม่ได้เลย

          ผมเดินเอามือกุมหน้าอกแล้วรีบเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ทิ้งเขาไว้ข้างล่างทั้งๆ แบบนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นอะไรของผม มือไม้สั่นไปหมด เกือบจะสั่นไปทั้งตัว...หน้ารู้สึกร้อนผ่าวไปถึงใบหูจนต้องรีบไปส่องกระจก...ก็พบกับใบหน้าตัวเองที่แดงแจ๋ไปถึงหูไปแล้วจริงๆ

          เป็นอะไรของกูเนี่ย...

          ก็อกๆ ๆ

          เชี่ย! ผมสะดุ้งจนตัวโก่งเป็นแมว มือกุมอกอยู่ข้างหนึ่งแล้วรีบเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว จัดการเอามือวักน้ำจากก๊อกเข้าล้างๆ ให้มันเย็นลง

          “เป็นอะไรเนี่ย...เปิดประตูให้ผมหน่อย” เสียงของไอ้ยิ้มดังมาจากข้างนอก

          ก็อกๆ ๆ ๆ

          โอ้ยยยยยย! อย่าเพิ่งมาตอนนี้ได้ไหมล่ะ คนมันกำลังล้างหน้า!

          “เปิดประตูให้ผมหน่อยดิ” ผมเงียบไม่ตอบ รีบวักน้ำใส่หน้าเรื่อยๆ ให้มันหายร้อน เดินไปส่องกระจกที่นึงก็เห็นว่ามันแดงน้อยลงไปแล้วก็รู้สึกโอเคขึ้นมาทันที...

          ความรู้สึกเชี่ยอะไรของผมเนี่ย...ทำไมทำให้ผมไม่เป็นคนได้ถึงขนาดนี้ หายสักทีสิวะ!

          ผมทำใจเดินไปเปิดประตู ก็พบกับเขาที่ยืนทำหน้าทะเล้นใส่ เหมือนกับว่าเมื่อกี้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยังไม่เกิดขึ้นหรอก เกือบจะน่ะ...

          “มีอะไร...” ผมเสมองไปทางอื่น

          “ทำไมต้องหนีขึ้นมา เมื่อกี้มีเรื่องจะคุยไม่ใช่เหรอ”

          “เอ่อ...ก็...ไม่มีไรละ” ตอนแรกผมว่าจะบอกเรื่องว่าบ่ายนี้ผมออกไปทำธุระข้างนอก แต่คงไม่สำคัญแล้วล่ะ

          “ต้องมี ถ้าจะบอกผมมันก็ต้องมี แล้วผมก็ต้องรู้ด้วย” เขาเดินเข้ามาใกล้

          ผมเดินถอยเข้ามาหนึ่งก้าว “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง...”

          “รู้ว่ามีแต่ไม่บอก” เขาเดินเท้าสะเอวก้าวเข้ามาหาผมช้าๆ ผมเริ่มทำหน้าเหลอหลาเหมือนว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่รู้อีกแล้ว!

          “ก็ ไม่มีไง” ผมถอยตามเขาที่เดินก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนพ้นเขตเข้าห้อง ตอนนี้เท้าผมก็กระทบกับขอบเตียงจนเสียหลักล้มลงไปนั่งกับเตียงนุ่ม
 
          “ถ้าไม่บอก...ผมจะ” เขาชี้มือขึ้นมาที่หน้าของผม ค่อยเคลื่อนๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

          “จะทำอะไร!”

          เขายังคงเลื่อนมือเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมก็โย้ถอยตัวออกตามแรงมือเขาเรื่อยๆ เช่นกัน หรือว่าเขาจะ เชี่ย!!! “ก็...อย่างงี้ไง!” ผมหลับตาปี๋แล้วร้องโอ๊ยออกมา เพราะเขาเข้ามาบีบจมูกผมอย่างแรงแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างขบขัน

          “ทำเชี่ยไรเนี่ย เจ็บไอ้สัส!” เขาหยุดการกระทำนั้นแต่ก็ยังหัวเราะไม่หยุด ผมได้แต่ลูบจมูกตัวเองป้อยๆ

          “ก็ไม่ยอมบอก ก็เลยต้องโดนไง” ยิ้มร้าย

          “เล่นงี้อีกกูต่อยจริงด้วย” ผมถลึงตาใส่อย่างเคียดแค้น

          “เดี๋ยวนี้ขึ้นมึงขึ้นกูใส่ผมแล้วเหรอครับคุณ”

          “เออ! มึงจะทำไม!”

          “งั้นผมก็จะเรียกคุณกวินท์ว่า มึง เหมือนกัน...เรียกแบบนี้แสดงว่าสนิทกันแล้วใช่ป้ะ”

          “ยัง! ...กูก็แค่หยาบคายกับคนแบบมึง”

          “เออ กูก็จะหยาบคายด้วย เพราะถือว่ามึงเป็นคนสนิทของกู”



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          กลับมา [4]


          “ยิ้ม...” ผมเรียกมันที่กำลังนั่งเงียบบนเตียงผมพลางมองไปที่หน้าต่าง

          เมื่อกี้จู่ๆ ก็เกิดเดดแอร์ขึ้นมาเฉย หลังจากที่มันบีบจมูกผมจนแดงแปร๊ด...เออ ผมเองแหละที่เป็นคนเงียบใส่มันก่อน เพราะอยู่ดีๆ ก็รู้สึกสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาหลายครั้ง ตั้งแต่อยู่กับหมอนี่...อาการแปลกๆ ใจเต้นรัวๆ เหมือนจะหายใจไม่ออกเป็นช่วงๆ ...ทำไมรู้สึกแบบ...โอ่ยยยย อธิบายไม่ถูก!

          มันหันมาแล้วทำหน้าอึนใส่ ใบหน้าไร้อารมณ์นั่นเขามีมันตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นปกติทำหน้ากวนตีนใส่จนอยากเอาตีนเตะให้หายคันเสียหน่อย “อะไรมึงครับ”

          สัส! จะพูดแบบนี้ไม่ต้องใส่ครับก็ได้มั้ง จะหยาบคายและสุภาพพร้อมกันก็เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเถอะ ส้นตีน!

          “จำตอนที่เจอกู...เป็นวิญญาณได้ไหม” พอจะพูดมึงกูเฉยๆ ก็รู้สึกแปลกๆ อยากใช้แค่ตอนด่ามันเท่านั้นแหละ มันฟังแล้วเงียบไปอึดใจ กลอกตาบนใส่แล้วพยักหน้าให้หงึกหงัก “ตอบหน่อยก็ได้ป้ะ!” ผมค้อนใส่มันหนักๆ

          “จำได้...ทำไมอ่ะ”

          “งั้นก็แสดงว่าคุณเห็นผีได้ดิ”

          “ก็...มั้ง ไม่รู้ดิ...ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน...อธิบายไม่ถูก”

          “คุณเห็นผีได้ชัวร์! เพราะถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่เห็น ไม่ได้ยินที่ผมพูด...นี่ มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีได้ยังไง มันเกิดมาจากอะไรเหรอ รู้บ้างป้ะ...” มันทำหน้าสึ่งหน้าตึงใส่คำถามของผม “เออลืมไป...มึงสมองเสื่อม จำห่าไรไม่ได้นี่หว่า...”

          “อืม...จำไม่ได้นั่นแหละ”

          งั้นเขาก็คงมีประโยชน์ขึ้นมาอีกระดับสินะ เรื่องการตายของมายยังไม่จบสิ้น และดูเหมือนว่าจะไม่ได้เริ่มอะไรสักอย่าง ถ้าช้าไปกว่านี้เรื่องนี้อาจจะสายไป เพราะฉะนั้น ผมกับเขาต้องช่วยกันสืบเรื่องนี้ แล้วไปเปิดตัวให้เจอกับชมพู่สักที แล้วดูว่าเขาคล้ายมายมากแค่ไหน แล้วถ้าชมพูเห็นจะทำหน้ายังไง...ต้องอึ้งตลึงทึงแน่ คอนเฟิร์ม!







          ใกล้จะถึงเวลานัดกับชมพู่ในช่วงบ่ายนี้

          ผมให้มันยืมเสื้อผ้าผมใส่เพราะมันไม่อยากใช้เงินไปซื้อใหม่ให้มัน อยู่ดีๆ มันก็อยากเลือกเสื้อผ้าในตู้เสียเอง เป็นเสื้อผ้าเนื้อนิ่มสีครีมแขนสั้นที่ใส่ได้พอดี เพราะเสื้อตัวใหญ่มากเกินไปที่ผมจะใส่ไปไหนมาไหน ส่วนกางเกงมันใส่ของผมไม่ได้สักตัว เลยต้องใส่กางเกงสแล็คสีดำตัวเดิม ให้มันใช้ทั้งโฟมล้างหน้า แปรงสีฟันอันใหม่ที่แม่ซื้อตุนไว้ให้ ยาสีฟันก็อันเดียวกับผมอีก ใช้ทีเผื่อชาติหน้าไอ้สัส! กูใช้ชาตินี้ เดือนนี้โว้ยยย! จะหมดๆ ๆ ทุกอย่างไม่ได้นะเว้ยไอ้เสาไฟฟ้า!

          อยู่ดีๆ ก็มีสมาชิกเพิ่มเข้ามาในบ้านเฉย มาด้วยความบังเอิญทั้งนั้น...ไล่ให้ไปไหนก็ไม่ไป...ตัวติดผมอย่างกับปลิง ปลิงตัวสูงตัวยาว

          และเรื่องที่จะไปพบกับชมพู่วันนี้ผมไม่ได้บอกมัน เพราะถ้าบอกมันก็กลัวมันจะหนีไปแบบวันนั้นอีกน่ะสิ ถึงเวลาจะพิสูจน์ก็ชิ่งหนีอยู่นั่นแหละ ง่าว!

          “วันนี้ไปทำธุระด้วยกันหน่อยดิ” ผมก้มใส่ผ้าใบไปพลาง ไม่ได้หันไปมองร่างสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่ในท่าเท้าสะเอว พอเงยหน้าขึ้นมาสายตาก็ไวเกินกว่าเหตุ...ไปป้ะใส่อะไรล่ะให้เดา

          ไอ้สัส! ที่อื่นมีเยอะแยะไม่ยืน มายืนใกล้ๆ หน้ากูอีก บ่าหมา!

          “ไปไหนอ่ะ”

          ผมเบือนหน้าหนี แล้วลุกออกมาจากตรงนั้น ด้วยความระคายสายตา อะไรปูดๆ ก็ตาม ลืมมันไปซะไอ้วิน! “เหอะน่า ให้ช่วยหน่อย คดีนี้ต้องการนาย”

          “ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ”

          “ไม่ได้โว้ย! มันสำคัญมาก!” เรื่องเสือกเรื่องชาวบ้านรู้สึกว่ามันจะสำคัญสำหรับผมสินะ... “คิดจะให้กูเป็นที่พึ่งมึงก็ต้องเชื่อฟังกู กูให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพราะกูเป็นเจ้าของบ้านให้มึงนอนๆ แดกๆ ถ้าไม่อยากทำอะไร ก็ไสหัวไปเสียคุณผู้ชาย!”

          ผมเข้าไปลากแขนเขาให้ออกจากตัวบ้าน คนตัวสูงตัวหนักเป็นโขดหินขึ้นมาทันควัน สีหน้าบู้บี้ไม่อยากไปไหนเริ่มออกอาการ หื้มมมมมมม! “ช่วยหน่อยยยยยยย...” ผมเริ่มแกล้งทำเสียงอ้อนใส่มันหวังไอ้หมอนี่มันจะใจอ่อน คนเชี่ยไร สมองก็เสื่อม แถมขี้เกียจสันหลังยาวฉิบหาย! “ช่วยหน่อยนะยิ้มมมมมม” ผมเขย่าแขนเขาโดยอัตโนมัติ อะไรคือการที่กูต้องมาง้อมันเพื่อให้ช่วยวะ งงตัวเอง...

          ไอ้ยิ้มแข็งขืนไม่พูดอะไร เอาแต่มองผมกระทำกิริยาสามแสนล้านปีทำทีนึงของผมแล้วผุดยิ้มออกมา ไอ้ห่า! ยิ้มพ่อง! “ก็ได้ครับ...ให้ช่วยอะไรไอ้ยิ้มเต็มที่เลย” ยิ้มแฉ่ง!

          เหนื่อยสัส...จะไม่มีคราวหลังแน่นอน ถ้าภารกิจครั้งหน้าไม่ต้องการมันอีก อับอายขายขี้หน้าตัวเองโว้ยยยย!

          ปิ๊นๆ

          โอ้! ชมพู่มาพอดีเลย...ต้องรีบลากไอ้นี่ไปเจอชมพูเสียแล้ว ไม่รอช้า ผมคว้าแขนของมันลงจากบ้านมา มันหยุดเบรกแล้วเอาตีนไซร้สวมรองเท้าเข้าไป เสร็จแล้วก็ค่อยๆ ตามผมมาอย่างงุนงง

          ตอนนี้ผมกับมันยืนอยู่ในรั้วบ้าน ผมเป็นคนเปิดประตูออกไป โดยมีมันตามผมออกมา วินาทีน่าตื่นเต้นกำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อชมพู่เห็นไอ้ยิ้มก็ต้องคิดว่าเป็นมายแน่ๆ เพราะหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ

          “สวัสดีค่ะ” เธอมาในชุดใส่สบายอยู่บ้านเพราะไม่ได้ออกโรงไปกับผม ในรถก็เห็นเงาของผู้ชาย คงจะเป็นอาร์มเพื่อนของเธอนั่นแหละ

          “สวัสดีครับ...เอ่อ คุณชมพู่”

          “คะ?” เธอมองผมอย่างต้องการคำตอบ

          “นี่ไง...คนที่ผมบอกว่าเหมือนคุณมาย” ผมหันไปคว้าตัวมันมาข้างหน้าแล้วดันให้คุณชมพู่ได้เห็นโฉมหน้าของมันได้ชัดยิ่งขึ้น “เหมือนไหมครับ”

          เธอมองๆ แล้วทำหน้างงใส่ “ไม่...ไม่เหมือนนะคะ...มายไม่ได้หน้าตาแบบนี้เลย” เธอขมวดคิ้วทำสีหน้าแปลกใจ แต่ผมขมวดคิ้วแปลกใจยิ่งกว่า
 
          “ห้ะ!?” หมายความว่าไง ผมงง “ผมขอดูรูปคุณมายอีกครั้งได้ไหมครับ”

          เธอพยักหน้ารับ แล้วเอามือควานหาในกระเป๋าสะพายข้างใบสวยกระชับสีชมพู กระเป๋าตังค์สีชมพูฟูขนใยสังเคราะห์ถูกหยิบออกมา ด้านในมีรูปของมายอยู่ เธอจึงดึงออกมาให้ผมดู

          ผมรับมาด้วยความแปลกใจไม่หาย พอมองแล้วเทียบกับหน้าไอ้ยิ้มที่ยืนทำหน้าโง่อยู่ตรงนี้ ดูยังไงๆ มันก็ใช่อยู่ดี เหมือนมาก! ทั้งโครงหน้า ตา จมูก ปาก คิ้ว ความยาวของคอมันก็ใช่อยู่ดีนี่ ทำไมชมพู่ถึงบอกว่าไม่เหมือนล่ะวะ...

          “ไม่ใช่มายค่ะ ถึงเขาจะขาวสูงคล้ายกับมาย แต่ฉันมั่นใจว่ามายไม่ใช่คนนี้ และที่สำคัญ ไม่เหมือนในรูปเลยค่ะ” ผมยังคงอ้ำอึ้งอ้าปากค้างแล้วมองรูปใบนั้นสลับกับหน้าของไอ้ยิ้ม...ชมพู่คงเบลอไปแล้วแน่ๆ

          “โอเคครับ ไม่เป็นไร สงสัยจำผิด” ผมส่งรูปคืนให้เธอ

          “ไปค่ะ ขึ้นรถกันเถอะ” เธอเดินไปเปิดประตูให้

          “ผมขอเอาเพื่อนไปด้วยคนนะครับ เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง”

          ไอ้ยิ้มนั่งหน้าเอ๋อไม่พูดไม่จาอะไรตลอดทาง พลางมองไปยังรอบๆ รถ แล้วลูบๆ แล้วเอามาดม...โรคจิตไอ้ห่า ทั้งสมองเสื่อม ขี้เกียจ ที่เพิ่มมาคือโรคจิตชอบดม! กูจะบ้าตาย! ผมเลยตีมือมันเสียทีจนมันสะดุ้ง

          ไม่นานก็เข้าหมู่บ้านคนรวยที่เคยมาเมื่อหลายวันก่อน ผมหันไปมองไอ้ยิ้มที่มองข้างทางอยู่เงียบๆ แล้วหันไปมองทางข้างหน้าประจวบกับที่อาร์มอยู่ดีๆ ก็หันมาจ้องผม

          ผมตัวเกร็งขึ้นมาเบาๆ แล้วเขาก็หันไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา...อะไรของเขาวะ

          รถคันกระชับถูกขับมาจอดเลยหน้าบ้านของมาย วันนี้เป็นวันเสาร์ อาจจะมีคนอยู่บ้านก็ได้ แต่ที่ยากก็คือ จะเข้าไปยังไงดี...แล้วผมคิดดีแล้วใช่ไหม ที่มากับไอ้ยิ้มสองคน กลัวมันจะป่วนผมอีกน่ะสิ...

          “วันนี้วันเสาร์ค่ะ มีคนอยู่บ้านแน่นอน...คราวนี้อย่าให้พลาดเลยนะคะ เพราะคุณจะมีโอกาสยากมากที่จะมีที่นี่อีกครั้ง”

          ผมพยักหน้ารับแล้วลงรถไปพร้อมกับไอ้ยิ้มที่ยืนยืดคอยืดตัวมองไปมองมาอย่างกับไม่เคยเห็น...เออ มันก็ไม่เคยเห็นอยู่แล้วนี่นะ

          “มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” เขาพูดแล้วยืดตัวมองภายในตัวบ้าน

          “มาสืบคดี พอดีมีคนจ้างมาให้สืบหาตัวคนที่ครึ่งๆ กลางๆ”

          “ห้ะ!? ครึ่งกลางอะไร” ไอ้ยิ้มที่ทำหน้าเอ๋ออยู่แล้วก็ทำหน้าเอ๋อใส่เข้าไปอีกสองเท่า

          “ก็สรุปไม่ได้ว่าตายแล้วหรือยังอยู่ไง เอ้อ โง่อีก”

          “ไอ้เหี้ย...”

          “ใครสอนพูด!” ผมถลึงตาใส่มัน อยู่ดีๆ จะพูดก็พูดเหรอวะ...งง แล้วใครสอนมันมาอีกล่ะ เอ้ะ?

          “หมาสอน...หมาพูดได้ หมาปากหมา หมาขี้บ่น!” ทั้งๆ ที่ตัวผมเองไม่ได้เป็นหมาแต่ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแสบใจขึ้นมาแทนหมามันวะ...หรือมันด่าผม!

          ช่างแม่งล่ะ มาทำงานโว้ย! เสียเวลา!

          ผมได้แต่มองค้อนมันแล้วเดินหน้าไปที่ประตูหน้าบ้านหลังนี้อย่างไม่รู้อนาคต...จะเข้าไปยังไงดี ทำได้แค่ยืดตัวมองภายในตัวบ้านเผื่อจะมีคนเป็นมิตรของบ้านนี้มายอมให้เข้าไปในฐานะเพื่อนของมาย แต่ก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ

          แล้วเสียงประตูน้อยก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ตามแรงลม...มันไม่ได้ล็อกไว้ ผมเลยเดินเข้าไปด้วยท่าทีลังเลว่าจะแอบเข้าไปดีไหมหรือยังไง ทำได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วหันสลับไปมองไอ้ยิ้มที่ยืนมองผมอยู่ว่าผมจะทำอะไรต่อ

          “เข้าไปดีป้ะ” ผมถามมัน

          “เข้าไปเลยดิ” มันพยักพเยิดหน้าให้ผมเข้าไป แน่ใจแล้วเหรอว่ามันดี ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา มีหวังกูโดนตำรวจจับในข้อหาบุกรุกบ้านแน่ๆ

          “กลัวอ่ะ ไม่เข้าดีกว่า”

          “พี่สองคนมาหาใครคะ” แล้วผมก็ต้องหันไปตามเสียงถามข้างหลัง ก็พบเข้ากับเด็กผู้หญิงที่หอบถุงขนมเข้ามาหา ดูรูปร่างลักษณะแล้วน่าจะอยู่มัธยมต้นๆ “มาหาใครเหรอคะพี่” เสียงใสยิ้มให้อย่างน่ารัก

          “เอ่อ...พี่มาหา...มาย” และนี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เด็กมัธยมต้นอย่างเธอจะต้องให้ผมเข้าไปแน่ เพราะดูไม่มีพิษภัยใดๆ “มายอยู่ไหม”

          “พี่มาย...” สีหน้าเธอดูเปลี่ยนไปแต่พยายามปั้นหน้าให้ดูเหมือนเดิม แปลกๆ ... “พี่มายไม่อยู่ค่ะ เชิญพี่ๆ กลับไปได้แล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” อ้าว! ทำไมเป็นงี้วะ ผิดคาดอีกละ

          “เอ่อ...พี่รู้นะว่ามายหายตัวไป เอิ่ม...พี่อยากจะช่วยตามหาด้วย พี่เป็นเพื่อนของเขาเอง” เธอมองกลับมาด้วยแววตาใสซื่อ กลอกไปกลอกมาเหมือนคิดอะไรหลายอย่างแล้วถอนหายใจหนัก

          จู่ๆ เธอก็วิ่งเข้าทางประตูน้อยไปเข้าบ้านแต่ไม่ล็อก สักพักก็รีบวิ่งมาหาผมอย่างรวดเร็วแล้วจับแขนสองข้างของผมอย่างแนบแน่น

          “พี่จะช่วยหนูใช่ไหมคะ!” เธอมีน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาเหมือนกับรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ “พี่มายหายตัวไปจากบ้าน พี่ช่วยหนูด้วยนะคะ” แล้วไม่ทันไร น้ำตาของเธอก็หล่นเผาะออกมาราวเก็บสายน้ำ ผมเองที่ไม่รู้จะรับมือยังไงกับเธอเลยหันไปมองไอ้ยิ้มเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่มันเองก็โง่เกินกว่าที่จะคิดวิธีดีๆ ได้...เห้ออออออออ!

          “ได้ พี่จะช่วยเอง” เพื่อจะได้เข้าถึงเรื่องราวของมาย ผมต้องใช้วิธีนี้ ทำไมอยู่ดีๆ พระเจ้าก็บันดาลให้ผมได้เจอกับ...

          “หนูชื่อหวานนะคะ เป็นน้องของพี่มาย” อ๋อ...น้องหวาน คนที่คุณสวัสดิ์บอกให้คนขับรถเอารถไปจอดแล้วช่วยยกกระเป๋าให้ เสียงเล็กตอนนั้นคิดว่าสักจะประถมศึกษาตอนต้น แต่เธออยู่มัธยมตอนต้นแล้วนี่

          เธอพาผมและยิ้มเข้าไปในเขตบ้าน แต่มุ่งหน้าไปที่สวนหย่อมที่ปลูกหญ้าเขียวสวย ดอกไม้ล้อมรอบโดยเฉพาะดอกกุหลาบสีแดงสีชมพู ขึ้นเป็นดงใหญ่เต็มไปหมด

          ตรงกลางสวนสนามหญ้ามีโต๊ะสีขาวลายสวยสำหรับนั่งอ่านหนังสือและพักผ่อนหย่อนใจ เก้าอี้สามอันถูกเลื่อนออกแล้วแทนที่ด้วยน้ำหนักจากร่างกายของทั้งสามคน

          น้องหวานนั่งลงแล้วเช็ดน้ำตาป้อยๆ ตอนนี้การสะอื้นไห้เริ่มเบาลงแล้ว ก่อนจะพูดออกมา “พี่รู้จักพี่มายมานานแล้วเหรอคะ”

          “เอ่อ...ก็ ประมาณหนึ่ง” ใครก็ไม่รู้แหละ แต่ที่รู้ๆ คือต้องเข้าถึงเรื่องนี้ให้ไวที่สุด

          “ค่ะ...หนูเป็นน้องสาวของพี่มาย แต่คนละพ่อคนละแม่ เพราะหนูถูกคุณพ่อรับมาเลี้ยงเมื่อห้าปีก่อน ส่วนพี่มายเองก็รักและเอ็นดูหนูเหมือนน้องจริงๆ เราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข...แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน พี่มายก็หายตัวไป...หนูคิดว่า พี่มายคงเกลียดหนูมากแน่ๆ เลย ถึงได้หนีไปแบบนี้” เธอพูดไป น้ำตาก็ไหลร้องไห้ออกมา ผมก็หันไปมองไอ้ยิ้มเป็นระยะ เขาก็ส่งสายตาเป็นเชิงแนะนำให้ปลอบน้องเสีย จะได้หายร้องไห้

          “ไม่เกลียดหรอกครับ...เขาอาจจะ กลับบ้านไม่ถูกแบบนี้ก็ได้”

          แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนผมสะดุ้ง ไอ้ยิ้มเองก็สะดุ้งเล็กน้อยดูน่าขำ “พี่ได้ติดต่อพี่มายบ้างไหมคะ”

          “...ไม่ได้ติดต่อนานแล้วเหมือนกัน” ไม่รู้จะโกหกอะไรอีกแล้วเนี่ย

          “ค่ะ...” เธอเสียงอ่อนลง

          “ให้พี่ช่วยหา รับรองว่าต้องเจอ” พูดออกไปก็ต้องทำให้ได้สิวะตัวกู

          “จริงนะพี่!” น้ำเสียงดีใจถูกเปล่งออกมา เธอเข้ามากระชับมือของผมอีกครั้งอย่างแนบแน่น “พี่ช่วยได้จริงๆ นะคะ พี่จะตามหาพี่มายให้หวานจริงๆ นะคะ!”

          “ขอพี่ได้ข้อมูลวันที่มายออกจากบ้าน แล้วไปที่ไหน ไปกับใครก่อน หลังจากนั้น อะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น” แล้วเธอก็กระชับมือผมแน่นขึ้นไปอีก

          “ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ...ต้องช่วยหาให้เจอนะคะพี่...พี่ชื่ออะไรคะ?”

          “กวินท์ เรียกพี่วินเฉยๆ ก็ได้” พอมีคนมาเรียกพี่วินก็คิดว่าตัวเองกำลังใส่เสื้อกั๊กสีส้ม จอดอยู่แถวสถานีขนส่งเลยอ่ะ มันใช่เลย...

          “ค่ะพี่วิน” โอเค ให้ไปส่งที่ไหนครับ ผ่าม!

          “มาอีกแล้วเหรอพวกต้มตุ๋น!” เสียงแผดแปดหลอดดังขึ้นจากทางเข้าสวนหย่อม ผมหันมาด้วยความตกใจ ก็พบกับแม่บ้านฤดีที่ทำหน้าโกรธใส่ แต่พอหันไปมองหาไอ้ยิ้ม มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว!

          เชี่ยละ! ไปไหนของมันวะ!

          “ออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชน!” เธอเดินเข้ามาในขณะที่ผมทำอะไรไม่ถูก แขนของผมถูกลากให้ลุกขึ้นไปอย่างแรง น้องหวานที่เห็นผมโดนป้าแกลากก็เข้ามาช่วยงัดมือของป้าออกจากแขนผม ทั้งงัดทั้งดึงจนหน้าเครียดแต่ป้าก็ไม่ยอมปล่อย

          “ปล่อยนะป้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้!” เธอกัดฟันกรอด สีหน้าเคร่งตึงเริ่มผุดขึ้นมา ผมเองก็ใช้เท้าดันไปกับพื้นเพื่อให้ป้าแกไม่มีแรงดึง แต่ก็ไม่ได้ผล “ปล่อยเดี๋ยวนี้! พี่วินจะมาช่วยหนูตามหาพี่มาย ปล่อย!”

          แม่บ้านฤดี มือหลุดออกจากแขนผม เกิดรอยแดงจ้ำใหญ่อยู่ที่แขนซ้าย เนื่องจากแรงบีบมหาศาลของป้าแก แรงฉิบหาย!

          “ทำไมต้องมายุ่งด้วย ไม่ใช่เรื่องของป้า ออกไป!” เสียงเล็กตวาดกร้าวขัดกับบุคลิกเลย

          “คุณผู้ชายสั่งให้ฉันมาดูแลความเรียบร้อย และกีดกันคนนอกไม่ให้เข้ามาในบ้าน!”

          “แต่หนูอนุญาตได้ เพราะนี่ก็บ้านของหนู อย่ามายุ่งกับเรื่องของหนู เป็นขี้ข้าก็อยู่ส่วนขี้ข้า ไป! ออกไป!” เธอตวาดเสียงลั่นออกไปจนป้าแกอารมณ์เริ่มก่อตัวอีกรอบ

          “ฉันจะไปฟ้องคุณผู้ชาย มีพวกสิบแปดมงกุฎมาหลอกให้คุณหนูหวานตายใจแล้วรีดไถเงิน!!!”

          “นี่ป้า! อย่ามาใส่ร้ายผมนะ!”

          “แล้วจะทำไมห้ะ!” ป้าตะคอกใส่เสียงดังลั่นจนคนบนบ้านได้ยินแล้วลงมาอย่างรวดเร็ว

          ด้านหลังปรากฏร่างของชายวัยกลางคนที่ผมเห็นวันนั้น ก็คือคุณพ่อของน้องหวาน คุณชายใหญ่แห่งบ้านรัตนชัยธรรม์

          “เกิดเรื่องอะไรกัน ฤดี น้องหวาน...แล้วนี่ใคร” เสียงทุ้มแข็งกร้าวดังขึ้น ทุกคนเงียบลงทันทีอย่างกับมีคนมาปิดสวิตช์

          อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแหละ น้องหวานอยู่ตรงนี้ เธอคงช่วยผมได้เยอะเหมือนกัน อำนาจของลูกสาว แน่นอน ต้องมีมากกว่าคนใช้อย่างป้าฤดีสิ ยายตัวร้าย!



FOLLOWER

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ค้างมากสรุปคือยิ้มคือมายที่วิญญาณออกจากร่างปะเนี่ยแต่งงว่าคนอื่นเห็นยิ้มได้ไงหรือขมพูโกหกว่าไม่เหม่อนจริงๆแล้วคือไม่เห็นแล้วคือวินต้องพายิ้มไปหาร่างเผื่อเอาวิญญาณกลับไปปะ :pig4: รออ่านต่อนะคะสนุกดีลุ้นมากๆ

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          น้องหวาน [1]


          บรรยากาศมาคุเยื้องย่างเข้ามานั่งข้างผมแล้วข่มผมเอาไว้ ในขณะที่นั่งลงบนพื้นพรมนุ่มๆ ภายในบ้าน

          น้องหวานนั่งข้างๆ ผมแล้วเกาะแขนผมแน่น เบื้องหน้าก็คือคุณชายใหญ่ หรือคุณสวัสดิ์ แห่งบ้านรัตนชัยธรรม์

          เสียงฟึดฟัดไม่สบอารมณ์ดังขึ้นมาจากคนข้างๆ คุณสวัสดิ์ ก็คือยายป้าแม่บ้านฤดีตัวเสี้ยม ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมป้าต้องไล่ผมออกจากบ้านขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ผมเป็นแขกของน้องหวาน น้องหวานอนุญาตแล้วด้วย หึ้!

          “สรุปมันเกิดอะไรขึ้น ฤดี” เสียงทุ้มหนักแน่นได้เปล่งออกมาพร้อมกับสีหน้าเรียบนิ่งของชายวัยห้าสิบปลายๆ แต่ยังคงดูมีมาดเนียบหนุ่มใหญ่ ไม่ได้ดูแก่เอาเสียเลย

          ป้าฤดีเริ่มมีกิริยาอาการคันปากเต็มทน เชิดหน้าชูคอขึ้นแล้วมองมายังผมอย่างเหยียดๆ “ไอ้เด็กคนนี้เป็นนักต้มตุ๋น...”

          “ไม่ใช่นะครับ!”

          “หุบปาก!” มือของเธอชี้หน้าผมอย่างไม่ให้เกียรติ “คุณผู้ชายคะ...อย่าไปเชื่อมัน ยังไงๆ มันก็เป็นนักต้มตุ๋นสิบแปดมงกุฎ ฤดีเห็นมาเยอะแล้ว ทำทีว่าเป็นเพื่อนของคุณหนูมาย เพื่อหลอกล่อให้เราตายใจ!” มีใครอีกเหรอเนี่ย?

          “พี่วินยังไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะป้าฤดี อย่ามาใส่ร้าย ตัวเองนั่นแหละสิบแปดมงกุฎ พูดจาโป้ปดให้คุณพ่อฟัง แบบนี้ผู้ใหญ่เขาไม่ทำกัน...”

          “น้องหวาน!” เสียงกร้าวคนเป็นพ่อปรามเธอจนเงียบปากไป แต่ในใจก็คันปากเต็มทนเหมือนกัน...เจ็บใจแทน

          “ขอโทษค่ะ...” เธอกลอกตาแล้วทำสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่คนเป็นพ่อก็ไม่ได้กล่าวติเธอแม้แต่น้อย ส่วนยายป้าฤดีก็ยิ้มร้ายส่งไปให้อย่างสะใจ อะไรของคนบ้านนี้กันวะ...

          “อ้าว หนุ่ม...มีอะไรจะพูดก็พูดมา” ถึงเวลาที่ผมต้องอธิบายบ้างสินะ ว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร แต่คงไม่จำเป็นต้องพูดไปทั้งหมด เดี๋ยวแผนทุกอย่างที่วางไว้อาจจะบิดเบือนแล้วพังกันพอดี...โกหกไม่เก่งด้วยสิ ทำไงดีวะไอ้วินเอ๊ย!

          “ผมชื่อ กวินท์ ครับ เป็นเพื่อนของมาย เอ่อ...คุณหนูมาย”

          “เรียกมายนั่นแหละถูกแล้ว”

          “ครับ...พอดีว่า เอ่อ...ผมได้ยินข่าวเกี่ยวกับมาย เรื่องที่มายหายตัวไป ผมเลยอยากจะช่วยตามหา...” ใจเต้นตุบตับไม่หยุดเลยว่ะ ตื่นเต้นฉิบหาย

          “เป็นเพื่อนกับมายมานานหรือยัง ทำไมมายไม่เคยพามารู้จักบ้าง”

          “เอ่อ...” กี่ปีดีวะ สัสเอ๊ย คิดไม่ออกโว้ยยยยย!

          “ตอบไม่ได้...หึ พอเถอะค่ะ หยุดแถแล้วรีบออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจ...”

          “บ อก ไ ป ว่ า ส า ม ปี ส มั ย ม อ ป ล า ย โร ง เ รีย นเ ซน ต์ ย อ ชั พ ตั น” เสียงผู้ชาย...เสียงใคร?

          “สามปีครับ สมัยมอปลาย โรงเรียนเซนต์ยอชัพตัน” นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา...เสียงของผู้ชายปริศนาคนหนึ่งดังกังวานในความเงียบของบ้านหลังนี้ กลิ่นปริศนาแทรกซึมผ่านอณูอากาศ กลิ่นของยา...และกลิ่น...กลิ่นของความโศกเศร้า

          ใช่! เป็นกลิ่นที่ผมเคยสัมผัสได้ตอนสื่อสารกับวิญญาณมายเมื่อคืนนั้น ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่เห็นเขาแม้แต่เงา และกลิ่นที่มาด้วยกันก็คือกลิ่นยาอับๆ ที่โคตรจะเหม็น เหมือนกับนั่งอยู่หน้าห้องยาในโรงพยาบาล

          “อืม...เข้าใจแล้ว” ชายตรงหน้าถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน ผมเองที่นั่งอยู่ด้านล่างได้แต่มองตามเขาที่เดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่

          แสงจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาที่ใบหน้าของคุณสวัสดิ์ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย จ้องมองออกไปข้างนอก พลางครุ่นคิดอยู่ในใจ

          “มายเป็นเด็กดีมาตลอด...ก่อนวันที่เขาจะหายไป ผมมีปากเสียงกับเขาหนักพอสมควร” ผมนั่งเงียบและตั้งใจฟัง น้องหวานเองก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลังผมเช่นกัน ส่วนยายป้าฤดีก็ค่อยๆ เดินออกไปจากตรงนี้อย่างเงียบเชียบ ลดความอึดอัดของผมลงไปบ้าง น่ารำคาญฉิบหาย “ไม่แน่ว่า ผมอาจจะเป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของเขาก็ได้”

          เรื่องนี้จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้กลิ่นของมายได้หายไปแล้วสักพักหนึ่ง ทำให้ผมแน่อยู่แก่ใจตัวเองว่ามายตายไปแล้ว แต่อีกเรื่องที่ไม่เข้าใจและสงสัยมากก็คือ ที่ชมพู่บอกว่างานศพของมายถูกจัดขึ้นเงียบๆ ผิดกับที่กับตอนที่สื่อสารกับมาย ที่เขาบอกว่าไม่มีงานเผาศพใดๆ ทั้งนั้น และอีกอย่างที่หนึ่งที่สำคัญ คนบ้านนี้ไม่รู้ได้ยังไงว่ามายตาย...ถ้างั้น ศพของมายล่ะ ไปอยู่ที่ไหนกันแน่

          ขืนบอกไปตอนนี้ว่ามายตายแล้ว ผมก็ฉิบหายพอดี ถูกมองว่าเป็นสิบแปดมงกุฎต้มตุ๋นอย่างที่ยายป้านั่นว่าแน่ๆ ต้องปลอดภัยไว้ก่อน

          “...”
 
          “คุณจะช่วยผมตามหามายได้จริงๆ งั้นเหรอ”

          “ครับ...ผมรับปากว่าผมจะตามหาเขาให้เจอ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าให้อย่างเชื่อใจ ตอนนี้แผนหลักของผมอัพตัวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว เพราะผ่านการพิจารณาจากผู้ใหญ่ ที่เหลือต่อไปก็คือต้องการข้อมูลหลายๆ อย่างของมาย เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวว่าเป็นไปเป็นมาอย่างไร ด้วยสัมผัสพิเศษที่ผมมี คดีนี้น่าจะไปได้สวยเลยล่ะ...

          “ท่านพอจะทราบหรือไม่ครับว่า คืนนั้น มายไปที่ไหน ไปกับใคร เวลาไหนครับ” ผมถามออกไป เขาหันมาหาผมแล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวหรูที่เดิม

          “ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นกี่โมง แต่ที่รู้ๆ ก็คือช่วงบ่ายเศษๆ พอมีปากเสียงกับผมเขาหนีออกไป ตอนนั้นผมเองก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เลยไม่ได้ตามออกไปดู”
 
          “น้องหวานรู้ค่ะพ่อ” เธอที่เงียบไปนานก็พูดออกมาอีกครั้ง

          “ตอนนั้นบ่ายสี่โมงค่ะ พี่มายหนีวิ่งออกจากบ้านไป...ตอนนั้นน้องหวานอ่านหนังสือที่ยืมมาที่สวนหย่อม พอเห็นพี่มายออกไป น้องหวานเลยตามไปดู...” ในระหว่างที่น้องหวานพูด จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นแปลกปลอมเข้ามาอีกครั้ง...แต่คราวนี้กลิ่นกลับไม่ใช่กลิ่นเดิมที่สัมผัสเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นกลิ่นของธูปหอม ปะปนด้วยกลิ่นของดอกลีลาวดี แล้วมือของผมก็ไปสัมผัสเข้ากับพื้นพรมจังๆ ภาพข้างหน้าถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ถึงหญิงวัยชราสวมชุดผ้าไหมสีแดงสด เดินเข้ามานั่งที่โซฟาตัวนี้ ตามด้วยคุณสวัสดิ์ที่เข้ามานั่งด้วย พวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ หญิงชราพยักหน้าอะไรบางอย่างสองสามทีแล้วคุณสวัสดิ์ก็ช่วยประคองเธอลุกขึ้นไปจากตรงนี้ “เห็นพี่มายวิ่งเลี้ยวไปทางซอยใหญ่ข้างหน้า พอตามไปใกล้ๆ น้องหวานก็เห็นพี่เขายืนโทรศัพท์หาใครสักคน แล้ววินมอไซค์’ ก็ผ่านมาพอดี พี่มายเลยนั่งไปเฉย” สายตาโฟกัสไปยังคนข้างหน้าที่ตั้งตาฟังน้องหวานอย่างใจจดใจจ่อ ผมเองก็กลับมาสู่ปัจจุบันหลังจากที่สติหลุดไปได้สักพัก

          ไม่รู้ว่าภาพเหล่านี้ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆ ตอนนี้คือ กลิ่นธูปและดอกลีลาวดีไม่ได้จางหายไปเลย...ที่นี่ต้องมีวิญญาณอีกดวง

          วิญญาณใครกัน...เขาต้องการจะสื่อสารอะไรกับผมแน่ๆ

          ว่ากันว่า วิญญาณจะมีสัมผัสพิเศษอย่างหนึ่ง ก็คือ สามารถล่วงรู้ได้ว่า มนุษย์คนไหนสามารถสัมผัสกับพวกเขาได้ และที่แน่ๆ ตอนนี้ วิญญาณดวงนี้กำลังรอคอยเพื่อสื่อสารกับผมอย่างแน่นอน แต่ยังหาโอกาสไม่ได้

          ผมเองก็เริ่มกลัวแล้วเหมือนกัน...ถ้ามาดี ก็ยังพอหยวนๆ กันได้หน่อย แต่ถ้ามาร้ายก็ฉิบหายแน่วิน

          “โอเคครับ...เอ่อ...ผมอยากจะทราบว่ามาย มีเพื่อนสนิทหรือใครที่สนิทที่ไหนอีกไหมครับ”

          “ก็น่าจะเป็นผู้หญิงของเขานั่นแหละ ชื่อชมพู่ ส่วนเพื่อนผู้ชายเขาก็มีไม่มากหรอก ลูกชายผมไม่ค่อยชอบอะไรที่วุ่นวาย เพื่อนเองก็คบน้อยๆ ผมเองก็จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง” ต้องตัดชมพู่ออกไปก่อน เพราะชมพู่ไม่ได้เจอมายหลายวัน ซึ่งมายตายก่อนหน้านั้นก่อนที่คุณชมพู่จะรู้ข่าวจากแม่มายว่ามีงานศพ

          หรือผมจะบอกคุณสวัสดิ์ไปดีไหมว่ามายเสียไปแล้ว มีคนยืนยันว่าแม่ของมายส่งข่าวมาให้ชมพู่เรื่องงานศพ...หรือไม่เวิร์ค...ผมว่ามันต้องไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะคนที่นี่เชื่อว่ามายแค่หายตัวไปจากบ้าน

          ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน สมองเริ่มตีกันจนวุ่นวายไปหมดแล้ว

          “ผมขอเบอร์ติดต่อของคุณไว้ก่อนก็แล้วกัน งานนี้ถ้าเจอตัวมาย ผมมีรางวัลให้หนัก” โอ้โห บทจะป๋าก็ป๋า พอมาดนิ่งเอาเสียผมเกร็งจนเยี่ยวแทบราดรดทั้งพรม แล้วผมให้เบอร์ติดต่อเขาไป

          “ครับท่าน...ไว้ผมจะแวะมาส่งข่าวที่นี่อีก ผมมีเพื่อนฝีมือดีในการตามหาตัวของมายครับ”

          “พวกนักสืบงั้นเหรอ”

          “ไม่เชิงครับ แต่เขาเก่งเรื่องย้อนอดีตมากๆ ”

          จะใครอีกล่ะ...ก็มือของผมนี่ไง







          ก่อนออกจากบ้าน ไม่ลืมที่จะหันซ้ายหันขวาสัมผัสหากลิ่นของธูปและดอกลีลาวดีนั้น

          แต่มันก็ได้จางไปเพราะอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้บริเวณที่มีวิญญาณอยู่

          ผมออกจากบ้านมาด้วยความโล่งใจ แล้วเอะใจขึ้นมาได้อีกทีก็คือไอ้เชี่ยยิ้มแม่งหายไปเฉย ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่ามันหายไปไหน เพราะไม่มีใครเห็นมันเลยแม้แต่น้องหวานเองที่นั่งอยู่ใกล้ขนาดนั้น

          ไอ้สัส! คนหรือผีวะนั่น แสดงว่าตอนนี้ผมก็ต้องกลับบ้านคนเดียวอ่ะดิ ไม่ได้นะเว่ย! ผมจะทิ้งไอ้ยิ้มไม่ได้ ยังไงก็ต้องเจอตัวมันก่อนจะกลับบ้าน

          น้องหวานเดินออกมาส่งด้วย ซึ่งที่ที่ผมจะไปก็คือซอยที่มายเลี้ยวไปขึ้นวินมอไซค์’ แต่ใจและสายตาของผมก็ต้องมองหาวี่แววของมันตลอดเวลา คนเชี่ยไรจะหายไปไวขนาดนี้ อีกอย่างแม่งทิ้งผมไว้คนเดียวอีกตอนอีป้าฤดีเข้ามาโวย

          อย่าให้เจอนะมึง กูจะด่าตั้งแต่เย็นยันเช้าเลยคอยดู!

          แล้วผมก็ต้องละเรื่องเขาไว้ก่อน เอาเรื่องที่จะต้องดำเนินต่อจากนี้ คือสัมผัสลงไปบนพื้นดิน ในใจผมคิดแต่ว่า วันที่มายหายไป ประโยคนี้ซ้ำวนไปวนมาในความคิด...แล้วมันก็สำเร็จ ผมตาเบิกโพลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          ในตาของผม ปรากฏสีเทาเรืองๆ ออกมาโดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพเหตุการณ์ย้อนไปยังวันที่มายวิ่งหนีออกจากบ้าน สีหน้าร้อนรนกระสับกระส่าย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดยิกๆ โทรออกหาใครสักคน

          หลังจากนั้นวินมอไซค์’ ก็ผ่านมาคันหนึ่ง มายโบกๆ แล้วรีบขึ้นรถไปทันที ป้ายทะเบียนรถ... 2นก จ.XXX 4157 ภาพกลับสู่ปรกติบนถนนเส้นเดิม

          ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจดโน้ตทันที กลัวจะลืมเลขทะเบียน ทุกตัวอักษรเขียนลงไปแล้วทั้งหมด

          ทุกอย่างเป็นไปตามที่น้องหวานเล่า...ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ภาพทุกอย่างก็ชัดเจนเสมือนจริงอย่างกับผมไปยืนมองอยู่ตรงนั้น

          และข้อมูลที่ได้เพิ่มมา ป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ของพี่วินคนนั้นขับพามายไปส่งที่ไหนสักแห่ง...ถ้าอย่างนั้น ผมต้องออกไปตามหารถคันนี้อีกเหรอวะ

          น้องหวานที่ยืนอ้ำอึ้งมองการกระทำของผม ก็เริ่มจะมีคำถามขึ้นมาเพราะความไม่เคยเห็น “พี่วินเป็นอะไรคะ”
 
          “เอ่อ...พี่เหรอ เปล่านี่ ไม่ได้เป็นไรเลย”

          “จริงเหรอคะ...พี่แตะพื้นแล้วมองอะไรก็ไม่รู้ หวานเลยมองตาม”

          “ก้อนเมฆไง...เมฆบ่ายๆ นี่สวยเนาะ” อ่ะแถไป แถไปเรื่อย

          ผมเดินไปส่งน้องหวานที่บ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มพะวงใจอีกครั้งเรื่องไอ้ยิ้ม ไอ้แม่งนี้หายไปเลยจริงๆ รออยู่ตั้งนานก็ไม่โผล่หัวมา อารมณ์โมโหเริ่มกรุ่นขึ้นมาในใจผม

          คราวหน้าแม่งจะให้อยู่แต่บ้าน ไม่ต้องออกไปไหนสักที่ ขี้เกียจดีนักก็ไม่ต้องทำห่าไร ผมเองนี่แหละจะลุยเดี่ยวเอง!







          นั่งแท็กซี่ต่อมาที่บ้านของผม

          ไอ้ยิ้มแม่งก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอย่างที่หวังเอาไว้ในใจเล็กๆ เริ่มรู้สึกจะถอดใจแต่ก็ยังห่วงไอ้แม่งนี่อยู่ดี สมองเสื่อม ขี้เกียจ โรคจิต เพิ่มมาอีกอย่างคือ วาร์ปเก่ง!

          ได้แต่ทิ้งความกังวลไว้แบบนั้น จึงหยิบโทรศัพท์โทรไปรายงานชมพู่โดยด่วน สักพักเธอก็รับสาย

          [เป็นไงบ้างคะ ได้เรื่องเยอะไหม หรือโดนไล่ออกมาอีก]

          “ได้เรื่องครับ”

          [จริงเหรอคะ! เก่งมากค่ะคุณวิน แล้วได้อะไรบ้างคะ!]

          “เอ่อ เลขรถ...เอ้ย เอ่อ ใช่ครับ เลขทะเบียนรถมอไซค์ของวินที่คุณมายนั่งก่อนจะหายตัวไป”

          [...]

          คุณชมพู่เงียบไปชั่วขณะ ผมเองก็ตั้งใจฟังเสียงตอบรับที่จะตอบมาจากเธอ เงียบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานพอสมควร

          แล้วเธอก็ตอบกลับมา

          [แค่นี้ก่อนนะคะคุณวิน พอดีชมพู่มีธุระ...ยังไงก็ฝากด้วยยนะคะ]

          “เอ่อ...ครับ”

          ผมวางสายจากเธอไปเสียแล้วหันมาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในกระเป๋าเป้ออกมาอ่าน มีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ผมไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้านในมากมาย และเรื่องที่ผมจะต้องทำความเข้าใจก็คือ เรื่องการใช้มือสัมผัสระลึกอดีตกาล


          ‘สามสิ่งที่คุณต้องมีคือ อันดับที่หนึ่ง สติสัมปชัญญะ อันดับที่สอง จิตใจที่บริสุทธิ์ และอันดับที่สาม ความผูกพัน

          ‘ทุกอย่างผนวกรวมกันเป็นหนึ่ง ดั่งเหล็กที่หลอมรวมกับทองแดงเป็นสำริด

          ‘อดีตกาลของวัตถุ หรืออดีตกาลของหนึ่งชีวิตบนโลก ไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดมา เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่ซ้ำๆ

          วัตถุเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตและไม่ได้เวียนว่ายตายเกิด วัตถุถูกกระทำซ้ำๆ อย่างนั้นวนไปวนมาไม่จบสิ้น ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งมีชีวิต แค่มีการเวียนว่ายตายเกิด และเกิดมาเพื่อถูกกระทำซ้ำๆ ดังเช่นวัตถุนั่นเอง’



          ผมอ่านไปก็ขมวดคิ้วไป เพราะเป็นคนที่อ่านแล้วตีความอะไรไม่เก่ง พออ่านก็เหมือนจะจับใจความอะไรได้นิดหน่อยก็คือ ‘สิ่งมีชีวิต ตายไปแล้วเกิดใหม่ แต่วัตถุ ไม่ได้ตายจากไป แต่ทั้งสองอย่าง เกิดมาเพื่อถูกกระทำซ้ำๆ วนไปไม่จบสิ้น’

          โอเค...อาจจะงงไปหน่อย แต่ผมจะพยายามเข้าใจมันแทนก็แล้วกัน

          กิ๊งกุ่ง~

          ใครมากดออดอีกวะ...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          น้องหวาน [2]


          เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นหนึ่งครั้ง

          ผมที่จับหนังสือกำลังอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ก็รีบดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วไปที่หน้าต่างด้วยอารมณ์อะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าทำไมกูต้องรีบขนาดนี้

          แต่ที่คิดอยู่อย่างเดียวก็อยากให้มันเป็นไอ้ยิ้มที่มากด

          พ้นขอบหน้าต่างออกไป ก็มองเห็นคนที่คิดไว้อยู่จริงๆ

          ทำไมถึงรู้สึกดีใจขึ้นมาได้ขนาดนี้ เพียงเพราะมันกลับมาเหรอ ถึงต้องทำให้อารมณ์โมโหทั้งหมดได้มลายหายไป ถึงจะอยากด่ามันก็เถอะ แต่การที่มันกลับมา กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่ดี

          ผมไม่รอเวลา รีบสับเท้าวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว แต่พอมาถึงประตูตัวบ้าน ความรู้สึกว่าผมต้องคีบลุคโมโหโกรธงอนก็เข้ามาทันที จากเดินเท้าสับหมูละเอียด ก็เปลี่ยนเป็นเดินบนเมฆนุ่มๆ แล้วเปิดประตูมองไปยังหน้าบ้านแบบงงๆ

          เอ้ะ! ...ใครมาอ่ะ

          ไอ้ยิ้มมันยืนเท้าสะเอวยืนอยู่ตรงหน้าบ้าน แล้วหันไปทำอะไรไม่รู้ยุกยิกตรงจุดที่เสารั้วบ้านบังอยู่ ผมที่สงสัยเลยรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปหา แต่ผมก็ต้องทำสีหน้าเข้มขรึมเอาไว้ก่อน

          “หายไปก็ไม่บอก รู้ป้ะว่าเกือบจะแย่แล้ว! ...” แล้วก็ต้องพบกับสิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุด! พอไอ้ยิ้มหันมาตามเสียงของผม เขาก็หลีกให้ผมได้เห็นกับคนข้างหลัง เป็นตาแม้น ที่กำลังนั่งรถวิลแชร์คนป่วย ด้านหลังมีพยาบาลคนสวยเป็นคนจับวิลแชร์ให้ และด้านหลังของเธอก็เป็นรถพยาบาลที่มาส่งตาแม้น

          หมอนี่ไปโรงพยาบาลมาหรอกเหรอ?

          “ตาแม้น!” ผมเรียกเสียงดังแล้ววิ่งปลดล็อกประตูวิ่งออกไปหาทันที “ตาแม้นเป็นยังไงบ้างครับ ดีขึ้นหรือยัง!” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขั้นสุด ตาแกยิ้มให้อย่างอ่อนโยนไม่ตอบอะไรมา แต่เป็นไอ้ยิ้มที่ตอบขึ้นมาแทน

          “พาตาเข้าบ้านก่อนเถอะครับ แดดสี่โมงยังร้อนอยู่”







          สัปดาห์หน้า ทางโรงพยาบาลจะส่งคณะพยาบาลมาเช็กความปลอดภัยและอาการของตาแม้น

          รถวิลแชร์ที่ตาแม้นนั่งถ้าแน่ใจแล้วว่าสามารถเดินได้เองไหวหรือหายดีแล้วเขาก็จะมารับคืน ส่วนค่ารักษาพยาบาลของตาแม้น จู่ๆ พยาบาลก็บอกว่ามีคนมาจ่ายให้แล้ว ไม่ประสงค์ระบุนามของผู้จ่าย ซึ่งก็ยังงงๆ กับไอ้ยิ้มอยู่เหมือนกันว่าใครกันแน่ ทั้งๆ ที่ตาแม้นไม่มีญาติพี่น้องคนไหนอย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้น

          ตอนนี้ผมกับไอ้ยิ้มพยุงตาแม้นให้ไปนอนที่เก้าอี้นอนอย่างสบายใจ ตาแก่หลับไปหลังจากที่นอนลงได้ไม่นาน แล้วไอ้ยิ้มก็พาผมมาคุยกันที่หลังบ้าน กลัวว่าจะเสียงดังรบกวนตาแม้น

          ซึ่งผมก็ยังคีบลุคมองค้อนมันอยู่ อยู่ดีๆ อารมณ์โกรธก็เข้ามาอีกรอบ ยังไงๆ เขาหายไปแบบนั้นมันก็น่าโกรธอยู่ดี ทิ้งให้ผมเจอกับอีป้าฤดีนั่นคนเดียวก็แทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว

          “อะไรมึงเตี้ย มองกูทำไม” ไอ้สัส! ผมถลึงตาใส่มันใหญ่เข้าไปอีก ไอ้คำที่บอกว่าผมเตี้ยนี่มันหมายความว่าไง โกรธนะโว้ย! โกรธจริงๆ! “ไอ้เตี้ย ถ้าไม่เลิกมองกูแบบนี้ กูจะ...”

          “ทำไม ทำไรอีก!”

          “เปล่า...อยากรู้ก็มองอีกดิ” ผมหันหน้าหนีมันไปทางอื่น เพราะไม่อยากรับรู้เชี่ยไรที่มันจะทำ แค่หน้ามันก็โคตรจะกวนตีนอยู่ละ อยากกระโดดเตะยอดหน้ามันแบบท่าจระเข้ฟาดหางแม่งเลย แล้วมันก็กระแอมไอเริ่มพูด “ผมมีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกตอนนั้น”

          ผมเงียบรอฟังว่ามันมีเรื่องจะพูดอะไรกับผม ถ้ามันไม่มี ผมมีแน่นอน! “ในบ้านของตาแม้นตอนนั้นวุ่นวายจนผมลืมไป...ว่ามีเรื่องอย่างหนึ่งที่ไม่ธรรมดา” พอได้ยินดังนั้นจึงต้องรีบหันมา เพราะมันเองก็ทำน้ำเสียงจริงจังอย่างกับหน้าตามันตอนนี้ ความสงสัยอยากรู้กำลังคืบคลานเข้ามาหาผม

          “เรื่องอะไร...”

          “ตอนผมวิ่งสวนกับคุณที่กำลังพยุงตาแม้น ที่ประตูทางเข้ามาในตัวบ้าน...ผมเห็นผู้ชายใส่โม่งชุดดำวิ่งออกไปก่อนคุณแป้บเดียว”

          “อะไรนะ ทำไมไม่รีบบอกวะ!?” ผมถามออกไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจและเริ่มขนลุก “ถ้าเห็นงั้นจริง...ก็แสดงว่า แก๊สรั่ว ไฟไหม้ในห้องตาแม้น กับที่ตาแม้นสลบไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

          “ใช่...มีคนหวังจะฆ่าตาแม้น”

          หัวใจผมเต้นตุบๆ เสียงดัง...มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอวะ มีคนหวังจะฆ่าตาแม้นไปเพื่ออะไรกัน “ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อาจจะเป็นขโมยเข้ามาขโมยของตาแม้น แล้วตาแม้นจับได้ ก็เลยทำร้าย...แล้วตอนนั้นเราก็อาจจะเข้ามาที่ร้านพอดี เลยทำให้คนร้ายหยุดทำแล้วหาทางหลบหนี...ต้องใช่แน่ๆ!”

          “แต่ผมว่าอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์คือ มีคนหวังจะฆ่าตาแม้นด้วยเหตุผลอื่น” ไอ้ยิ้มพูดออกมาทำให้ผมยิ่งใจไม่ดีขึ้นไปใหญ่

          “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
 
          “ไม่รู้ดิ...อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของผมเองล่ะมั้ง หรือสัมผัสอะไรบางอย่างบอกผมแบบนั้น...นี่คุณลองคิดดูสิ ถ้าเขาไม่หวังฆ่าตาแม้นด้วยเหตุผลอื่น ทำไมต้องเสียเวลามาเจาะถังแก๊ส แล้วไปจุดไฟในห้องเพื่อให้มันระเบิด จะขโมยก็แค่ขโมยเงียบๆ ไม่ได้เหรอ...” เออ นี่เป็นครั้งแรกที่คำพูดยาวเหยียดของไอ้ยิ้มฟังดูมีสาระขึ้นมา จนผมไม่มีอะไรจะเถียงเพราะมันก็อาจจะใช่

          “โอเค...ผมจะยังไม่ขอสรุปอะไรทั้งนั้น แต่เหตุผลไหนก็ตาม ก็ส่งผลร้ายต่อตาแม้นอยู่ดี จะแจ้งตำรวจดีไหมอ่ะ...เออ แต่หลักฐานก็โดนทำลายไปหมด เออว่ะ แจ้งไม่ได้อ่ะดิ”

          “เออ ก็แจ้งไม่ได้ไง โง่” ทำไมหลังๆ มานี่ ไอ้ยิ้มมันปากเสียขึ้นเยอะเลยวะ...คิดจะแข่งกับกูว่างั้น แถมด่ากูแต่ละคำนี่เจ็บแสบใช่เล่น หรือเป็นเพราะว่าผมปากเสียใส่มันก่อน พอมันปากเสียใส่ก็รับไม่ได้...เข้าใจความรู้สึกคนโดนด่าแล้วล่ะครับ

          “เออ กูโง่! ไอ้สัส! ไอ้ฉลาด! ไอ้ควายแดกเป็บทีน! ไอ้เปรต! ไอ้กระดูกยาว!” เมิดคำสิเว่า! ด่ามันขนาดนี้ยังทำหน้าเอ๋อใส่ ห่าตับ! “เรื่องของกูยังไม่เคลียร์ไอ้เปรต!”

          “เรื่องไร” มันทำหน้างงใส่ คือ...ผมก็ไปต่อไม่ถูก โอ้ยยยย!

          “ตอนนั่งในสวนหย่อมบ้านนั่นมึงหายไปไหน!”

          “ก็ไปโรงบาล’ ...มาไง” มันตอบตะกุกตะกัก

          “แล้วทำไมไปไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ! รู้ป้ะ! อีป้าฤดีนั่นเข้ามาลากแขนโคตรเจ็บเลย แย่งกับน้องหวานอยู่ตั้งนาน แล้วก็ขึ้นไปบนบ้านเพื่อตอบปัญหาลุงหงอกนั่นอีก ทำไมไปไหนไม่เคยจะบอกกันอ่ะ ทำไมชอบทิ้งกูนักวะ!” พอพูดไปรัวๆ ก็รู้สึกหอบ เลยกอบโกยอากาศเข้าปอดแล้วรอคำตอบจากมันออกมา หายไปแม่งวาร์ปอย่างกับผี ไอ้สัส!

          “ก็...ไปโรงบาล’ เอ่อ”

          “มันยังไง!” ผมเท้าสะเอวใส่มันอย่างอารมณ์ไม่ดี นี่เป็นครั้งแรกที่มาต่อปากต่อคำกับมัน ปกติโกรธก็แป้บๆ หาย แต่นี่ไม่ไหวเว้ย! ต้องไปเจอเรื่องบนบ้านนั่นคนเดียว โคตรไม่โอเค!

          “ก็ไปโรงบาล’ ไง ก็...” ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆ แล้วเงียบฟังในสิ่งที่มันจะแถอย่างไม่พอใจ “ก็...เออ...ขอโทษครับ”

          ขอโทษครับ...ฮรึก! ใจอ่อนยวบเลย ทำไมเป็นงี้วะ ฮรึก!

          พอๆ ไม่ก่งไม่โกรธเชี่ยไรมันละ...

          ผมเดินออกไปจากตรงหน้ามันอย่างรวดเร็ว จุดหมายของผมคือบนห้อง ผ่านไปตรงแถวนั้นก็แวะดูตาแม้น แกก็หลับอยู่อย่างสบายใจ ไอ้ยิ้มเดินตามหลังผมมาไม่พูดอะไร ผมมองหน้ามันนิ่งๆ สามวิแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว







          ช่วง 6 โมงเย็นกว่าๆ

          ผมที่ช่วงนี้ออกไปข้างนอกไม่ค่อยใส่แว่นดำเลยหยิบไปใส่ วิญญาณแถวนี้ไม่ค่อยเห็นเลยรู้สึกปลอดภัยแต่ก็ไว้ใจไม่ได้อยู่ดี ยังไงก็ต้องออกไปหาโจ๊กหาข้าวต้มให้ตาแม้นเป็นข้าวเย็น มียาหลายถุงที่พยาบาลมีให้ ให้ตาแม้นกินตามเวลา อาหารก็เป็นจำพวกข้าวที่ย่อยง่ายๆ อิ่มท้อง

          ผมคงจะต้องให้ตาแม้นมาอยู่กับผมที่บ้านหลังนี้ระยะยาวเลยล่ะ และผมคงจะต้องอยู่บ้านบ่อยขึ้น ช่วยพยุงตาแกให้ไปที่นั่นไปนี่ เรื่องอาบน้ำตาแกขอบอกจะอาบเอง ขอเก้าอี้ให้สักตัวในห้องน้ำชั้นล่างก็พอ สบู่ก็เอามาจากที่แม่ผมซื้อตุนไว้ให้เหมือนกัน รวมถึงยาสีฟันแปรงสีฟันต่างๆ

          ลืมไปเลย เรื่องแม่และยายของผม ได้โทรคุยกันกับแม่เมื่อสักครู่นี้ แม่เข้ารับการผ่าตัดใหญ่ได้หลายวันแล้ว จึงเป็นที่น่าหายห่วงใจของผมไปกว่าครึ่ง ที่เหลือก็คือรอให้แม่ฟื้นตัว มีทั้งอาการอยากอ้วกปวดหัวปวดตัวต่างๆ นานา ทางศูนย์มะเร็งมีหอพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัดให้พักฟื้นจนกว่าจะหายดี แล้วรับการตรวจอีกรอบ ผมก็ไม่รู้ขั้นตอนแน่ชัดเท่าไหร่

          ส่วนยายก็มีเพื่อนบ้านแถวนั้นมานอนเป็นเพื่อน เพราะเงินที่โอนไปแม่แบ่งไปให้เพื่อนบ้านก็คือ ป้าผันและน้าจิต มาช่วยดูแลยาย เรื่องอาหารการกินปวดนั่นปวดนี่สบายหายห่วง จะหาเวลาว่างไปเยี่ยมให้ได้เลย...แต่ตอนนี้ต้องเคลียร์ปัญหาให้เสร็จก่อน เดี๋ยวจะรนทำอะไรไม่ถูก ทั้งตาแม้น สืบหาตัวมาย แล้วก็ไอ้ยิ้ม...คนสุดท้ายนี่ ต้องให้ช่วยอยู่อีกไหมเนี่ย...ผลาญตังค์ผมไปเป็นล้านแล้วนะ! (ประชด!)







          “เตี้ย...” พอได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว

          ผมนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านตัวเอง หลังจากเอาโจ๊กไปใส่ถ้วยให้ตาแม้นกิน ให้ยาแกกินเรียบร้อยเสร็จสรรพ อาบน้ำแล้วนอน

          “...”

          “ไปหาไรกินกันป้ะ” มันถามแล้วเข้ามานั่งข้างๆ ผม

          บรรยากาศยามเย็นเงียบกริบ มองออกไปก็เห็นเพียงแค่แสงพระอาทิตย์สีส้มเกือบสีชมพู สะท้อนกับเมฆก้อนยาว

          พวกนกก็บินกลับรังกันหลายฝูง ผมมองตามมันไปราวกับโดนสะกดจิต ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้รู้สึกสงบขึ้นมา หูก็พลันได้ยินเสียงลมหายใจของคนตัวสูงข้างๆ อย่างชัดเจน เลยหันไปมองมัน “หิวเหรอ”

          “อือ” มันพยักหน้าหงึกหงัก

          “แต่ผมไม่หิว” ผมหันกลับไป

          “อ้าว...” มันทำหน้างอใส่แล้วเอาไหล่มาสะกิดแขนผมรัวๆ จนรำคาญ “ไปกินข้าวกันนะ อยากไปกินข้างนอกอ่ะ” ผมเงียบไปแล้วก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากข้างๆ

          โอกกก...จากท้องของมันเอง ฮ่าๆ ๆ ขำสัส

          “ค่ำแล้วก็กลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ดี แต่ก็อยากไปหาไรกินเหมือนกัน...ช่วงนี้ยิ่งกินข้าวน้อยด้วย” พึ่งรู้ตัวเองเหรอวิน

          “จะกลัวอะไรอ่ะคุณ” ผมหันมามองมัน

          “...”

          “มีผมอยู่ทั้งคนกลัวไร” เออ สัส พ่อซูเปอร์ฮีโร่! จะอยู่ช่วยกูสักกี่ครั้งวะมึงอ่ะ






          จนได้...ผมปั่นจักรยานตัวเดิมโดยที่มีมันซ้อนมาอยู่เช่นเคย

          เป็นเวลาค่ำที่คนทำงานพากันขับรถกลับบ้านกลับช่อง ขับผ่านผมไปหลายคัน

          ผมปั่นจักรยานมาทางขวาของบ้าน ทางที่ผมจะไปทำงานร้านมินิมาร์ท ถึงไฟแดงแรกก็เลี้ยวขวา เพราะถ้าตรงไปจะเป็นทางไปมินิมาร์ทเก่าผมซึ่งผมไม่กล้าเสนอหน้าไปอีกเพราะโดนไล่ออกแล้ว

          ทางที่ผมจะไปจะมีแหล่งอาหารถูกๆ อยู่มากมาย ย่านนี้เป็นย่านของกินที่ไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไหร่ แต่ไม่ค่อยปั่นมาเลย แล้ววันนี้ก็ได้ฤกษ์ปั่นมาสักที เพราะหมาพันธุ์เกรทเดนเพศผู้ที่ซ้อนท้ายจักรยานผมเกิดหิวขึ้นมา

          “หมาเกรทเดน...”

          “ห้ะ!? ...” ไอ้สัส...ทำไมอยู่ดีๆ ไอ้ยิ้มก็พูดชื่อพันธุ์หมาตัวนี้ออกมาวะ มันได้ยินที่ผมพูดในใจเหรอ...

          “ตรงนู้นไงคุณ” มันชี้ไปที่ข้างทางฝั่งขวา “โคตรสูงโคตรแพง อยากเลี้ยง เห็นในไทยน้อยมาก เพิ่งเห็นตัวจริงกับตา”

          “เออ...” ตกใจหมด นึกว่าได้ยินผมนินทามันในความคิด ไม่งั้นล่ะก็ ฉิบหายกันพอดี จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน...เรื่องมหัศจรรย์แบบนั้นมันไม่มีหรอก ผมก็บ้าเนาะ...คิดไปได้







          ผมจอดจักรยานไว้ข้างๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นแห่งหนึ่ง

          คนเยอะพอสมควรเพราะร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเปื่อยของหมูตุ๋นแต่แอบแพง

          ไอ้ยิ้มที่กระโดดลงรถไปนั่งลงแล้วตบๆ บอกให้ผมไปนั่งโต๊ะว่างตัวที่มันจอง “มาๆ นั่งๆ เดี๋ยววันนี้เลี้ยงเอง”

          “ห้ะ...?” ผมขมวดคิ้วใส่ “ไปเอาตังค์จากไหนจะเลี้ยงกู”

          “เหอะน่า สั่งๆ ๆ หิวละ พี่ครับ!” มันยกมือเรียกคนรับเมนูเข้ามาหา “ผมเอาเป็น...ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นเส้นใหญ่พิเศษ เพิ่มถั่วงอกนะครับ”

          “รับทราบครับคุณหนู!”

          โอ้โห...ดูมันสั่ง...ผมก็สั่งๆ ไปละกัน จะคอยดูมันว่าจะจ่ายยังไง...ถ้าไม่มีตังค์จ่ายแล้วมาขอกู กูวิ่งจริงๆ ด้วย

          “ผมเอาก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเนื้อเปื่อยธรรมดาครับ แล้วก็ขอข้าวสวยหนึ่งถ้วยครับ”

          “โอเคครับ ขอทวนรายการอาหารนะครับ...ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นเส้นใหญ่พิเศษ เพิ่มถั่วงอก หนึ่งที่นะครับ แล้วก็ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กลูกชิ้นเนื้อเปื่อยธรรมดา เพิ่มข้าวสวยหนึ่งถ้วยนะครับ” แล้วพี่แกก็เดินกลับไป

          “แดกเยอะ!”

          “มึงนั่นแหละ เส้นใหญ่หมูตุ๋นไม่พอ พิเศษอีก...แดกเยอะระวังอ้วกแตก” ผมพูดจบมันก็ยกไหล่ขึ้นแล้วแบมือออกสองข้างเป็นเชิงบอกว่า ธรรมดา แล้วไงใครแคร์ กูจะแดก...

          รอไม่นานนัก เมนูทุกอย่างที่สั่งทั้งของผมของไอ้ยิ้มก็ถูกเสิร์ฟเข้ามาตรงหน้า กลิ่นหอมกรุ่นโชยจนน้ำลายไหลด้วยความหิวทั้งคู่

          มันตาลุกวาว แล้วไม่รออะไรทั้งนั้น เข้าจัดการกับก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าทันที อร่อยโคตรๆ







          เรอออออออออออออออ...

          อี๋...น่าเกลียดสัส!

          ไอ้ยิ้มนั่งอิ่มแอ่นพุงเรอออกมาอย่างน่าเกลียด มันมองผมแล้วยักคิ้วให้สองทีเป็นเชิงบอกว่า เป็นไง กูเก่ง กูแดกเยอะ เออ จ้า พ่อคนเก่ง

          แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเก็บตังค์ค่าก๋วยเตี๋ยว “บอกผมเองนะว่าจะเลี้ยงอ่ะ ไม่เลี้ยงโกรธจริงๆ”

          “ก็เออดิ จะโกหกทำไม...พี่ครับ! เก็บตังค์” พี่คนเขียนเมนูคนเดิม ถือบิลมาตัวเดิมเข้ามาที่โต๊ะของผม

          “ทั้งหมดร้อยสิบ...” พี่คนเก็บเงินจู่ๆ ก็เงียบไปทันที หันไปมองไอ้ยิ้มที่ทำท่าจะจกตังค์ในกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำตัวเดิมออกมา “เอ่อ มื้อนี้ฟรีก็แล้วกันครับ”

          “ห้ะ!? ...ทำไมฟรีครับ” ผมถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

          “ก็ฟรีไงครับ” คนเก็บเงินตอบอย่างกวนๆ “ฟรีอยู่แล้วครับ ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ” แล้วเขาก็เดินออกไปโดยที่ไม่รอผมจะพูดอะไรต่อ

          “เห้ย! ....ไอ้ยิ้ม! หมายความว่าไงไม่เข้าใจ อะไรคืออยู่ดีๆ ก็มาบอกว่าฟรี”

          “ก็มันฟรีคุณจะคิดอะไรเยอะอ่ะ ไปๆ กลับบ้านกัน ง่วงละ...” มันเดินนำผมออกไปแล้วไปยืนรอที่จักรยาน

          “เห้ย...แบบนี้ก็ได้เหรอวะ...”

          ณ จุดๆ นี้ ผมก็ยังงงแดกอยู่จนกระทั่งไปถึงบ้าน

          ผมที่ให้เบอร์กับคุณสวัสดิ์ไว้เมื่อบ่ายนี้ ก็มีสายเรียกเข้าโทรมาหาผมสองสาย แต่ผมไม่ได้รับเพราะปั่นจักรยานอยู่ อีกอย่างเผลอกดปิดสั่นไปเลยไม่รับรู้อะไร...สงสัยต้องมีอะไรแน่ๆ เลย ที่โทรมาแบบนี้



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          น้องหวาน [3]


          ตู๊ดดด...ตู๊ดดด...ตู๊ด...

          “สวัสดีครับ” ผมพูดออกไป ปลายสายเงียบเสียงไม่ได้ตอบมา

          [...]

          “สวัสดีครับคุณสวัสดิ์ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ...”

          [...ฮึก] กลับเป็นเสียงร้องไห้ของใครบางคนที่ดังมาในความเงียบของปลายสาย แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมตกใจ

          “นี่ใครครับ”

          [พี่วิน...ฮึก] เป็นเสียงของน้องหวานหรอกเหรอ...เธอกำลังร้องไห้อยู่

          “น้องหวานเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!” เธอเงียบไปอีกครั้งแล้วร้องไห้โฮออกมา ทำให้ผมรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที

          [...น้องหวานคิดถึงพี่มาย...เมื่อไหร่พี่วินจะตามหาเจอคะ น้องหวานทนไม่ไหวแล้ว] อะไรคือการที่น้องหวานโทรมาแล้วร้องไห้หามาย อ่อ...หรือเพราะเป็นน้องสาว แล้วมีพี่ชายที่รักมากแบบนั้น ตอนนี้กลับไม่อยู่ด้วยก็คงจะคิดถึงเป็นธรรมดาสินะ

          “ใจเย็นๆ นะครับน้องหวาน อีกไม่นานจะต้องตามตัวพี่มายเจอแน่ๆ ไม่ต้องห่วงเลย”

          [...ค่ะ พี่วิน] แล้วปลายสายก็เงียบไปอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งให้ผมรอฟัง [พรุ่งนี้มาหาหวานหน่อยได้ไหมคะ หวานมีเรื่องจะคุยด้วย]

          “...ได้สิ เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่ายๆ จะเข้าไปที่บ้าน...ช่วยกันป้าฤดีให้พี่ด้วยนะ เดี๋ยวภารกิจของเราพังกันพอดี”

          [ค่ะพี่...ขอบคุณนะคะ] แล้วผมก็วางสายไป หันกลับมานั่งบนเตียงนอนพลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะเป็นไปต่อจากนี้...ช่วงนี้มีอะไรให้ทำเยอะแยะเลย ไม่ได้ว่างเหมือนแต่ก่อน แค่ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน สนใจแต่เรื่องแม่และยาย

          เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น ไอ้ยิ้มออกมาจากห้องน้ำ มันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย เย็นนี้เป็นเสื้อสีขาวสะอาด สุดท้ายยังไงก็ยืมเสื้อผ้าผมใส่อยู่ดี บางวันก็คับบ้าง บางวันก็พอดี เพราะเสื้อผมมีทั้งไซส์ M และ L แต่กางเกงมันก็ปล่อยให้มันไปปั่นซักแห้งเองด้านล่าง ก็อย่างที่บอกว่าใส่ของผมไม่ได้สักตัวเพราะคับเต่งไปหมด ก้นมันใหญ่กว่าผม ฮ่าๆๆ

          “คืนนี้ให้ผมนอนไหน” มันถามในขณะที่เอาผ้าเช็ดๆ หัวซับน้ำที่ชุ่มผมออกให้แห้ง แล้วยืนอยู่ข้างๆ เตียงที่ผมนอนเล่นอยู่ จู่ๆ ผมก็รู้สึกเกร็งตัวขึ้นมาเฉยเลย...

          “ไปนอนข้างล่างดิ หลับเป็นเพื่อนตาแม้น” มันเริ่มทำหน้างอใส่

          “ไม่เอาอ่ะ อยากนอนบน ยังไม่เคยนอนบนเลย”

          “อ้าวสัส! นี่บ้านกูไม่ใช่บ้านมึง มึงยังไม่เคยนอนในห้องน้ำนี่ ไปนอนก็ได้นะ อันนี้ไม่ห้าม” ผมยิ้มอ่อนให้ มันก็ยังคงยืนทำหน้างอใส่ สงสัยอยากนอนห้องผมเต็มแก่ แต่ผมไม่ให้หรอก เรื่องไรจะให้นอน “ใช้ของก็ใช้ของกู บ้านก็นอนบ้านกู กินก็กินกับกู ซักผ้าก็แฟบก็เครื่องของกู ยังจะเรื่องมากอีกไอ้เปรต!”

          “โห่...” มันทำท่าจะเดินไปแล้วหันกลับมามองผมอีกรอบอย่างอ้อนวอน แต่กูไม่ใจอ่อนให้กับคนอย่างมันหรอก พอดีใจอ่อนมาหลายเรื่องละ เดี๋ยวมันจะเห็นผมขี้ใจอ่อนแบบนี้แล้วได้ใจขึ้นมา ทีนี้ก็ฉิบหาย

          “ผ้าปูกับหมอนอยู่ในตู้เสื้อผ้า บ้านนี้ยุงไม่เข้า ไม่ต้องเอามุ้งไปกางด้วยหรอก” มันถอนหายใจใส่แรงๆ แล้วเดินตึงตังไปเปิดตู้เอาสิ่งของที่ผมบอกออกมาแล้วหอบออกไปจากห้อง ผมแทบอดขำไม่ได้จริงๆ

          คิดสภาพแรดตัวใหญ่ๆ งอนกระฟัดกระเฟียดแล้ววิ่งหนีดูครับ แบบนั้นเลยล่ะ







          เมื่อคืนเพิ่งรู้ตัวเองว่าหลับสองทุ่ม หลับเช้าที่สุดในรอบปีนี้ เพราะอาจจะเพลียกับอะไรหลายๆ อย่างที่ไปทำมา

          รู้สึกตัวอีกทีตอน 7 โมงเช้า ตื่นมาพร้อมกับอะไรหนักๆ ที่ข้างตัว รู้สึกแปลกๆ ... ผมขยับตัวหน่อยนึกว่าหมอนข้างทับ แต่ที่ไหนได้ มันหนักกว่าหมอนข้าง...มองต่ำลงไปก็เห็นเป็นขาของคน กางเกงสแล็คสีดำกำลังพาดเอวผมอยู่! แล้วที่เห็นได้ใกล้ที่สุดก็คือมือของไอ้ยิ้ม กำลังกอดผมอย่างแนบแน่น ไอ้เหี้ย!!!

          ผมรวบรวมแรงทั้งหมด ผลักแขนและขาของมันออกไปจากตัวผมแล้วลุกขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาที่ไม่แจ่มชื่นในช่วงเช้า “ไอ้ควาย!” ผมออกแรงตีมันรัวๆ แรงขึ้นและแรงขึ้น มันที่เริ่มรู้สึกตัวก็เอามือขึ้นมาป้องแล้วร้องโอ๊ยออกมา

          “โอ๊ยคุณ! ทำอะไรเนี่ย!” มันยังคงไม่รู้อีกว่าทำอะไร

          “เมื่อคืนกูบอกว่าให้ไปนอนไหน!”

          “ก็...ข้างล่าง”

          “แล้วนี่มึง...!” ผมยกจะตีมันอีกครั้งแล้วก็ต้องหยุดลง เพราะมันพนมมือขึ้นไหว้ขออภัยจากผมอย่างกับเด็ก

          “ขอโทษ...ก็ข้างล่างมันมืดอ่ะ” ผมมองมันด้วยสายตาแบบนี้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบ แล้วมันก็เอามือลง ไอ้แม่งนี่ชอบทำให้ผมโมโหอยู่เรื่อยเลย ตัวเท่าควายแล้วทำตัวอย่างกับเด็กสามขวบ รำคาญ!

          “เออ ช่างแม่ง...อย่าให้มีคราวหน้าแล้วกัน กูจะไล่มึงออกจากบ้าน ไปนอนตายห่าที่ไหนก็ไป!” ผมหันไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วจะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำ

          “มึงน่ารักดีเนาะ...” แล้วจู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ผมหยุดชะงักก้าวเดินแล้วหันกลับมาหามันอีกครั้ง

          “อะ...อะไรของมึง”

          “ก็เวลาโมโหมึงอย่างกับเด็ก มันน่ารักดี” พอมันพูดจบ ความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนรู้สึกได้ ผมเลยรีบหันกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตูทันที

          ไอ้ห่า...พูดไรคิดถึงจิตใจกูด้วย...แล้วกูเป็นเชี่ยไรของกูอีกละเนี่ย!

          มองไปในกระจกก็พบว่าหน้าตัวเองแม่งแดงไปแล้วทั้งหน้า...อีกแล้ว







          ก่อนออกจากบ้านก็ไม่พบตาแม้นอยู่ในบ้าน

          พอมองออกไปนอกบ้านก็พบกับชายชรายืนรดน้ำต้นไม้เฉาๆ จากสายยาง ผมตกใจเลยวิ่งเปิดประตูออกไปดู

          “ตาแม้น! ...ดีขึ้นแล้วเหรอครับ!” ตาแก่หันมาแล้วยิ้มให้ ดูท่าทางจะสบายใจขึ้น คงอยากจะลุกมาทำอะไรเองแต่เช้า เห็นต้นไม้ใกล้เฉาอดใจไม่ไหวเลยรดน้ำให้

          “ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ตาแข็งแรงดี” เสียงทุ้มชราภาพเปล่งออกมา ฟังดูแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก

          “กับข้าวผมอุ่นไว้ให้ที่โต๊ะนะครับ ส่วนยาผมก็ใส่แก้วเล็กๆ วางไว้ให้แล้ว อย่าลืมกินนะครับ” ตาแก่พยักหน้าให้ “วันนี้ผมไปทำธุระข้างนอก อาจจะกลับมาช้าหน่อย...ข้าวเที่ยงผมมีข้าวผัดอยู่ในตู้กับข้าวนะครับ”

          “เจอแล้วเหรอ...” ตาแม้นถาม ผมเริ่มขมวดคิ้วให้

          “...เจออะไรเหรอครับ” ผมถามออกไป ตาแก่หันไปสนใจกับการรดน้ำอย่างเอาจริงเอาจัง

          “เมื่อบุพเพสันนิวาส มั่นหมายให้เจอ~” อ้าว ร้องเพลงเฉยเลย







          ผมแวะไปบ้านชมพู่ก่อนในช่วงเช้า เพื่อไปบอกว่าไม่ต้องไปส่งผมแล้ว

          เพราะช่วงนี้อาจจะแวะไปตามหาเบาะแสอีกหลายๆ ที่ จะได้ไม่ต้องลำบากชมพู่ไปส่ง

          ไอ้ยิ้มก็ติดสอยห้อยตามผมเป็นหมาตามเจ้าของ แต่มันไม่ใช่หมาผมหรอก มันเป็นหมาหลงบ้านต่างหาก ไอ้หมาจร!

          ตอนนี้ผมนั่งบนแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปหมู่บ้านคนรวยตามเคย บนรถนี้...ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นของอะไรบางอย่างมากมาย ที่ขึ้นและลงรถไปนับไม่ถ้วน...ทั้งกลิ่นเหล้าจางๆ กลิ่นน้ำหอมของคนก่อนหน้านี้ รวมไปถึงกลิ่นของชีวิตที่คนก่อนตายได้หลงเหลือไว้อย่างบางเบา ไม่นานก็คงจางหายไปตามกาลเวลา

          เพราะความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวปริศนาของครอบครัวของมาย จึงต้องออกกำลังทรัพย์ตัวเองในการโบกแท็กซี่ที่โคตรจะแพงสำหรับผมไปยังสถานที่ที่ต้องการ

          น้อยครั้งมากที่ผมจะโบกแท็กซี่ไปไหนมาไหน เพราะการปั่นจักรยานไปไกลๆ มันไม่ไหวจริงๆ ปกติจะอยู่แต่กับแถวบ้าน ด้านหลังของผมก็เป็นไอ้ยิ้มที่นั่งแหกขาร้อยแปดสิบองศาสบายใจเฉิบ สายตาของมันพลางมองมายังผมอยู่เงียบๆ เพราะเห็นได้จากกระจกรถที่ส่องไปด้านหลัง แต่ผมไม่หันไปมองมันกลับหรอก เดี๋ยวโป๊ะ...

          ผมสังเกตมันมาระยะหนึ่งแล้ว ช่วงนี้มันชอบทำตัวแปลกๆ เวลาอยู่กับผม ชอบแอบมอง พอหันไปก็เนียนทำเป็นมองอย่างอื่น บ้างก็ผิวปาก แล้วก็ชอบมาอยู่ใกล้ๆ ไอ้ผมเองก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ มันพูดอะไรหน่อยเอะอะก็หน้าร้อนหน้าแดง ใจก็ไม่กล้าสู้หน้ามันจังๆ

          ช่างเหอะ ที่สนใจตอนนี้คือการลงจากรถแล้วจ่ายตังค์ลุงคนขับ

          “80 บาทครับ” ลุงคนขับบอกผม แต่ก็ต้องแปลกใจทันที เพราะราคามันเป็นราคาของคนคนเดียว

          “ลุงครับ ผมมากับเพื่อนสองคน” ลุงฟังเสร็จก็ขมวดคิ้ว แล้วมองไปยังเบาะหลัง แล้วหันกลับมาหาผม

          “80 ครับ รีบจ่ายรีบลงครับ” ผมที่จะอ้าปากตอบ หันไปมองไอ้ยิ้มที่ทำหน้าเอ๋อใส่ ผมควักเงินจ่ายแล้วเปิดประตูลงรถไป ตามด้วยไอ้ยิ้มที่ลงตามมา แล้วรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

          ...อะไรของเขาวะ

          เราสองคนเดินเท้ามาจนถึงหน้าบ้านของมาย ภายในบ้านยังคงเงียบกริบ ราวกับไม่มีใครอยู่เลยสักคน แต่พอมองเข้าไปก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่ แต่รถตู้ของคุณสวัสดิ์ไม่ได้อยู่บ้าน

          วันนี้เป็นวันอาทิตย์ น้องหวานก็คงหยุดโรงเรียนอยู่บ้านเป็นปรกติแน่นอน...แล้วผมก็ต้องเดินไปกดออดหน้าบ้าน ขอภาวนาให้เป็นน้องหวาน ไม่ใช่ป้าฤดี!

          มองไปไกลๆ ก็เห็นน้องหวานรีบวิ่งออกมาหา เธอทำการปลดล็อกประตูน้อยแล้วเชิญให้ผมเข้าไป “สวัสดีค่ะพี่...ป้าฤดีไปจ่ายตลาดค่ะ อีกสองชั่วโมงจะกลับมา” น้องหวานทำท่าจะเดินนำเข้าบ้านไปก่อน

          “เดี๋ยวน้องหวาน...พี่มีเรื่องจะถามหน่อย”

          “อะไรเหรอคะ”

          ผมจับตัวไอ้ยิ้มออกมาข้างหน้าผม “อะไรเนี่ยคุณ!”

          “น้องหวานว่า คนนี้เหมือนพี่มายของน้องหวานป้ะ” เป็นคำถามที่ผมคาดหวังมากที่สุด ชมพู่บอกว่าไม่เหมือนไม่เป็นไร แต่คนใกล้ชิดอย่างน้องหวาน ก็ควรจะจำพี่ชายของตัวเองได้แม่นแน่ๆ

          “ไม่...นะคะ ไม่เหมือนค่ะ” เธอส่ายหัวปฏิเสธ...โอเค ผมอาจจะเข้าใจผิดไปเอง ชมพู่กับน้องหวานเป็นคนที่สนิทกับมายมากที่สุด ก็คงจะดูออกแหละ...แต่ยังไงผมก็ยังเห็นว่าไอ้ยิ้มเหมือนกับมายอยู่ดี

          ผมเอี้ยวตัวไปพูดกับไอ้ยิ้มก่อนจะเข้าไป “ห้ามหนีไป อยู่กับกู!” มันฟังและหยักหน้าหงึกหงักเข้าใจ ขืนไม่เข้าใจล่ะก็ โดนไล่ออกบ้านแน่ ผมวางแผนไว้แล้ว!

          น้องหวานพาผมเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างคล่องแคล่ว เธอแนะนำให้ผมถอดรองเท้าไว้ตรงจุดวางรองเท้าเพราะกลัวป้าฤดีจะมาด่าเอา ไอ้ยิ้มถอดตามแล้ววางไว้ที่เดียวกับผมแล้วตามผมมาเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

          ทีนี้ก็ได้เห็นตัวบ้านรัตนชัยธรรม์อย่างเต็มตา ตกแต่งได้หรูหราสมกับเป็นบ้านคนรวย บ้านหลังนี้มีสองชั้น พอเดินเข้ามาก็จะเห็นเป็นโถงกว้างๆ ตรงกลางโถงมีชั้นวางสวยงามสำหรับวางกรอบรูปหรือเกียรติยศเกียรติบัตรต่างๆ

          “พี่ขอดูรูปพวกนี้สักแป้บนะ”

          “ได้ค่ะ...เดี๋ยวน้องหวานไปเตรียมน้ำส้มอร่อยๆ มาให้นะคะ”

          “ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ค่อยหิว เกรงใจด้วย”

          “ไม่ได้ค่ะ แม่น้องหวานคั้นอร่อยโคตรๆ อยากให้พี่สองคนได้ชิม” ว่าจบ เธอไม่รอผมพูดอะไร รีบวิ่งเข้าไปทางห้องครัว ผมเองก็หันกลับมาดูรูปเก่าๆ ของครอบครัวนี้

          เดินมาแถวแรกก็เห็นเข้ากับรูปของคุณสวัสดิ์และคุณหญิง...

          เอ้ะ!

          ผมหยิบกรอบรูปคู่แต่งงานนี้ขึ้นมาดู ในรูปมีคุณสวัสดิ์และผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูแล้วคงจะเป็นภรรยาและเป็นแม่ของมาย แต่ผมกลับคุ้นหน้าคุ้นตาของเธอเหมือนเคยเห็นมาจากที่ไหน คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แต่ผมมั่นใจว่าผมเคยเจอเธอ

          มองไปทางไอ้ยิ้มเอง เขาก็หยิบรูปขึ้นมาดูรูปหนึ่ง จ้องอยู่แบบนั้นตั้งนาน ผมเลยอดใจไม่ได้เลยถาม “รูปใครเหรอ ทำไมจ้องนาน”

          มันหันมามองผมด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก “คุณว่า...มายเขาเหมือนผมงั้นเหรอ” มันยื่นกรอบรูปนี้มาให้ผมดู แล้วผมก็ยกกรอบรูปนี้ขึ้นให้เท่ากับใบหน้าของเขา...ทุกอย่างมันใช่เขาหมดอย่างที่ผมเห็น แต่ทำไมชมพู่กับน้องหวานถึงบอกว่าไม่เหมือนล่ะวะ “ผมคิดว่าเขาเหมือนผมนะ”

          “ก็เหมือนไง แต่...คนสนิทของมายทั้งสองคนบอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่อ่ะ แต่ยังไงก็เหมือนอยู่ดี” พอผมพูดจบ สีหน้าไอ้ยิ้มก็เปลี่ยนไป จากที่ทำหน้าเอ๋อเหมือนที่เคยทำ เปลี่ยนเป็นอารมณ์ที่ผมเดาไม่ได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เป็นอะไร”

          “...ผมเหมือนเห็นตัวเองในรูปนี่เลย” น้ำเสียงเรียบๆ เปล่งออกมาในแบบที่ผมไม่ชินหู ฟังแล้วรู้สึกคิดถึงและโหยหาอย่างน่าประหลาด

          “ไม่ใช่คุณหรอก...สักวันคุณก็ต้องหาบ้านหาครอบครัวของคุณเจอ ไม่แน่คุณอาจจะเป็นลูกพ่อค้าเสาไฟที่ไหนสักที่” ผมพูดจบก็หันไปสนใจรูปต่อ มันเองก็ถอนหายใจแล้วเปลี่ยนไปดูรูปอื่นๆ เช่นกัน

          เพล้ง!

          เสียงแก้วแตกทำให้ผมกับไอ้ยิ้มสะดุ้งแล้วหันหลังไปดู ก็พบกับน้องหวานที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ที่พื้นมีเศษแก้วกับถาดรองตกแตกกระจายเต็มไปหมด และเปียกไปด้วยน้ำส้ม

          “น้องหวานอย่าขยับนะ เดี๋ยวเหยียบใส่เศษแก้ว!” ผมรีบเดินเข้าไปหา อ้อมไปเอาอุปกรณ์ไม้กวาดที่อยู่ในถังด้านหลังประตูบ้าน มากวาดโกยเอาเศษแก้วออกโดยเร็ว

          “พี่มาย...” เธอพึมพำชื่อพี่ชายออกมาเบาๆ น้ำตาหล่นเผาะออกมาไม่ขาดสายราวกับเขื่อนแตก ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นแล้วมองไปทางไอ้ยิ้มอย่างไม่เชื่อสายตา “พี่มายกลับมาแล้วเหรอคะ!”

          ...



FOLLOWER

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :pig4: งงอะรออ่านต่อ

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
้ค้างอ่ะ​

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          น้องหวาน [4]


          เด็กสาวลุกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

          เธอออกตัวก้าววิ่งไปหาคนข้างหน้าโดยที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเท้าเธอจะเหยียบใส่เศษแก้วหรือเปล่า

          “พี่มาย!!!”
 
          “น้องหวาน!” ผมตะโกนออกไปขณะที่เธอพุ่งตัวออกไปหาไอ้ยิ้มพลางอ้าแขนจะเข้าไปกอด พอใกล้จะถึง น้องหวานก็ค่อยๆ ลดความเร็ว แล้วหยุดวิ่งลง เธอมองหน้าไอ้ยิ้มอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนไอ้ยิ้มก็เอาแต่ทำหน้าตกใจใส่การกระทำของเธอ

          “ไม่ใช่พี่มาย...สงสัย...น้องหวานตาฝาดไปเอง” แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ผมเอาไม้กวาดพิงไว้กับโต๊ะ เอาเศษแก้วในที่ตักผงไปหาถังขยะในครัวแล้วทิ้งลงไป

          ผมออกมาก็เห็นว่าไอ้ยิ้มพยักหน้าให้หงึกๆ เป็นเชิงบอกว่า รีบมานี่ด่วนๆ เลย

          กลิ่นอะไรบางอย่างแทรกเข้ามาท่ามกลางบรรยากาศตอนนี้ เป็นกลิ่นธูปและกลิ่นดอกลีลาวดีเหมือนเมื่อวาน พอหันซ้ายหันขวามองรอบๆ ก็ไม่พบต้นตอของกลิ่น จึงหันไปสนใจพาน้องหวานไปนั่งที่โซฟาทางฝั่งขวาของบ้านที่เป็นส่วนของห้องนั่งเล่น

          น้องหวานนั่งลงแล้วผมก็นั่งลงตาม ไอ้ยิ้มนั่งโซฟาเล็กอีกตัวหนึ่งแล้วมองการกระทำของผมทั้งหมด ส่วนน้องหวานก็ยังร้องไห้อยู่แบบนั้น “น้องหวานอย่าร้องไห้เลยนะครับ” ผมตบไหล่ปลอบเธอในขณะที่เธอยังคงสะอึกสะอื้นแล้วครางงือๆ ผมหยิบกล่องทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะแก้วสวยหรู ดึงออกมาสองสามแผ่นให้น้องหวานซับน้ำตา...

          “คิดถึงพี่มายจังค่ะพี่วิน...” เธอรับทิชชูจากผมไปแล้วซับน้ำตา ดูเหมือนว่าเธอจะหยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ ตาของเธอแดงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเกิดจากการร้องไห้

          “รอเวลาหน่อยนะ พี่จะรีบหาตัวพี่มายให้เจอเลย ตอนนี้น้องหวานหยุดร้องไห้ก่อน แล้วมาคุยเรื่องที่น้องหวานอยากจะคุยกับพี่ดีกว่า” เธอพยักหน้าเบาๆ แล้ววางทิชชูลงบนโต๊ะ สูดน้ำมูกสองสามฟืดแล้วหายใจเข้าหายใจออกช้าๆ เพื่อรวบรวมสติ

          “ค่ะ พี่วิน...” น้องหวานลุกขึ้น “งั้นเชิญพี่สองคนไปห้องหวานหน่อยนะคะ”







          น้องหวานเปิดประตูห้องบานใหญ่ออกแล้วเดินนำเข้าไปเปิดไฟ ก็พบกับห้องที่เหมือนกับบ้านตุ๊กตาสวยหรูมีราคามาก

          เตียงของน้องหวานตกแต่งไปด้วยตุ๊กตามากมาย มีผ้าม่านกั้นสวยงาม รอบๆ ห้องเองก็เป็นสีชมพูอ่อน พื้นพรมนุ่มนิ่มสบายเท้า เป็นบ้านของคุณหนูคนรวยในแบบที่ผมจินตนาการเอาไว้ไม่มีผิด...แต่กลิ่นของห้องนี้ ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ชอบกล

          น้องหวานเดินไปที่ลิ้นชักของตู้สีขาว ด้านบนมีตุ๊กตายูนิคอร์นสายรุ้งวางอยู่เกลื่อนไปหมด แล้วเธอก็หยิบเอาสมุดโน้ตเล่มใหญ่ออกมาวางไว้ตรงหน้า ในขณะที่ผมกำลังสูดกลิ่นแปลกๆ ในห้องนี้ ส่วนไอ้ยิ้มก็ยืนอยู่เงียบๆ ไม่ทำอะไรสักอย่าง

          “มานี่ค่ะพี่วิน...” ผมเดินไปหาตามคำเชื้อเชิญของเธอ “ไดอารี่ของน้องหวานค่ะ...ทั้งหมดเกี่ยวกับพี่มาย น้องหวานเขียนมันไว้เองทั้งหมด ตั้งแต่วันที่น้องหวานเข้ามาอยู่ที่นี่วันแรก...” กลิ่นแปลกๆ ในห้องนี้ทำให้ผมรู้สึกสนใจ...มันเป็นกลิ่นของบางสิ่ง ที่ผมต้องการหาคำตอบ

          น้องหวานเริ่มเปิดหน้าแรก ก็พบกับภาพถ่ายของมายถูกแปะเต็มไปหมด...จะบอกว่าโคตรหล่อ โคตรรวย มาดเท่...เหมือนไอ้ยิ้มเป้ะๆ

          อะไรคือการที่มีคนเหมือนกันตั้งสองคน แต่ทั้งน้องหวานและชมพู่กลับเห็นต่างจากผม ไอ้ยิ้มเองที่ยืนอยู่ก็เข้ามานั่งดูด้วยข้างๆ

          “พี่มายน่ะ เป็นสุดยอดของพี่ชายเลยนะคะ น้องหวานโคตรรักพี่มายเลย” เธอเริ่มเล่าอวดพี่ชายของเธอแล้วเปิดหน้าต่อไป “วันแรกที่น้องหวานเข้ามาที่นี่ พี่มายเป็นคนเปิดประตูรถให้หวานค่ะ ตั้งแต่นั้นมาหวานก็ปลื้มพี่มายใหญ่เลย พี่มายเป็นคนใจดี น้องหวานให้ช่วยอะไรก็ช่วย...และที่ประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่ค้างห้องพี่มาย พี่มายห่มผ้าห่มให้หวานด้วย” เธอเปิดหน้าต่อไปเรื่อยๆ ผมก็หันไปมองไอ้ยิ้มบ้างบางช่วง มันก็ยังทำคอยืดดูไปแต่ละหน้าอย่างไม่สนใจอะไรอื่นใด

          “ถึงว่า น้องหวานถึงได้คิดถึงพี่มายขนาดนี้”

          “ใช่แล้วค่ะ...มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะพี่ ขำๆ นะคะ...คือตอนนั้นน้องหวานแกล้งพี่มายทำเป็นไม่สบายแล้วไปเคาะห้อง ใส่ความไอเล็กๆ น้อยๆ พี่มายเปิดประตูออกมาก็ตกใจใหญ่เลย เห็นหวานหน้าซีดเป็นไก่ต้มเพราะเอารองพื้นของแม่มาทาที่ปากนิดหน่อย เอาหัวไปอังกับโคมไฟ ก็เลยอุ่นๆ ...คราวนี้แผนแกล้งพี่มายก็สำเร็จ น้องหวานแกล้งทำเป็นเป็นลมล้มลงไป แล้วพี่มายก็คว้าตัวน้องหวานไว้ ทีนี้ก็พาเข้าห้องไปนอนพัก...” ทำไมจู่ๆ ผมฟังก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับน้องหวาน ผมรู้สึกว่าเธอเริ่มเป็นคนแปลกๆ ...คนบ้าอะไรจะแกล้งพี่ชายตัวเองขนาดนั้น แล้วเน้นเอาแต่เรื่องเข้าห้องนอนของมาย “พอวางน้องหวานลงจากเตียง น้องหวานก็แกล้งละเมอต่อเลยว่า รักพี่มายอย่างนั้นอย่างนี้ พี่มายปลอบหนูใหญ่เลยค่ะ โคตรดีเลย ตอนนั้นน่ะ...จากนั้นน้องหวานก็เริ่มทำเสียงอิดออดใส่แล้วก็อ้อนกอดแขนพี่มาย พี่มายก็คงจะเห็นว่าหนูหนาว เลยเอาผ้าห่มมาห่มให้ แต่ตอนนั้นน้องหวานร้อนมากเลยค่ะ เลยถีบผ้าห่มออก แล้วพี่มายก็บอกว่า อย่าดื้อนะคนดีของพี่ ไม่สบายก็ต้องทำตัวให้อบอุ่น ดูเหมือนว่าพี่มายโคตรจะเชื่อ หลังจากนั้นก็ออกไปเอายากับน้ำอุ่นมาให้ที่ห้อง น้องหวานอมยาไว้ค่ะ แล้วค่อยๆ คายออกมาตอนที่พี่มายเผลอ หลังจากนั้นน้องหวานเลยทำมือกอดคอแล้วโน้มพี่มายลงมา หน้าใกล้กันมาก โคตรดีเลย แล้วก็...”

          ก๊อกๆ ๆ

          เสียงเคาะประตูดังขึ้นจนผมกับไอ้ยิ้มสะดุ้ง เรื่องราวกำลังถึงจุดไคลแม็กส์ แต่ต้องถูกขัดจังหวะลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

          “คุณหนูหวาน ออกมาข้างนอกค่ะ!” เสียงแข็งกร้าวที่ผมจำได้เป็นเสียงของป้าแม่บ้านฤดีนั่นเอง ไหนว่าสองชั่วโมง ทำไมมาไวจังวะ

          น้องหวานถอนหายใจออกหนักแล้วลุกขึ้นเปิดอย่างอารมณ์เสีย แล้วเธอก็พูดออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ผมได้ยินว่า “อีห่าฤดี...”

          น้องหวานเปิดประตูออกมา...แต่ก็ไม่พบใคร ด้วยความสงสัยเธอก็เลยออกไปดู ผมกำลังลุกขึ้นเดินไปตามดู อยู่ดีๆ ก็เหมือนรู้สึกตกเหวจนผมสะดุ้งเกร็งตัวหลับตาแน่น แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเอง...

          อยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง!

          กลิ่นแปลกๆ มากมายลอยคละคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง...มีกลิ่นยาอับๆ ปนไปกับกลิ่นของความอึดอัดคับแค้นใจ...มาพร้อมความอาฆาต!

          ผมมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจไม่หาย ทำไมจู่ๆ ผมก็มาโผล่ที่ห้องของใครบางคน...มีแสงอ่อนๆ ลอดออกมาจากผ้าม่านที่หน้าต่าง ทำให้เห็นตัวห้องไม่ชัดเจน...รู้แต่ว่าข้างๆ ผมมีเตียงนอน และกรอบรูปใบใหญ่...มองเข้าไปในภาพ ก็เห็นเป็นหญิงวัยชราดูสง่างาม อายุก็คงจะประมาณยายของผม เธอสวมชุดผ้าไหมสวยหรูสีแดงทับทิม ส่งยิ้มออกมาให้อย่างอ่อนโยน...แต่ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง เป็นรอยยิ้มที่รู้สึกว่ามันมีอะไรที่ต้องรู้ให้ได้

          ประสาทสัมผัสทางจมูกของผมเปิดสวิตช์ขึ้นมาทันที รับกลิ่นทุกอย่างในห้องนี้เข้าไป รวมถึงกลิ่นที่ผมได้กลิ่นซ้ำเป็นรอบที่สอง กลิ่นธูปและกลิ่นดอกลีลาวดีเข้มข้นจนรู้สึกขนลุกขึ้นมาเกรียวกราว

          มีวิญญาณอยู่ในห้องนี้กับผม...

          “คุณเป็นใคร ต้องการจะบอกอะไรกับผม...” ผมจำเป็นต้องถามออกไป เพราะรู้ดีว่าวิญญาณต้องการที่จะสื่อสารกับผมโดยตรง ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มาให้ได้กลิ่นแน่ๆ

          ผมพูดออกไปภายในความเงียบ ด้านนอกได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้นมาหนึ่งรอบจนผมต้องหันไปตามเสียง แล้วจึงหันกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวภายในความมืดของห้องนี้

          ผมจ้องเข้าไปที่ความเคลื่อนไหวนั้น ปรากฏภาพของหญิงวัยชรา กำลังเอามือบีบคอตัวเองอย่างทรมาน พอผมเห็นก็ตกใจถอยห่าง เธอดิ้นทุรนทุราย บังเกิดเสียงของคนกำลังขาดอากาศหายใจ ตาของเธอถลนปูดออกมาอย่างน่าสยดสยอง ลิ้นจุกออกมาด้านนอกปาก ใบหน้าเริ่มบวมช้ำ ตาเริ่มเหลือกขึ้นด้านบนอย่างเจ็บปวด

          ผมสติหลุดไปแล้วกับภาพของเธอตรงหน้า ก็เลยยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ทั้งๆ แบบนั้น ฟังเสียงอ้อกๆ ขาดอากาศหายใจ ตาเหลือกลานของเธอจับจ้องมาที่ผมแล้วค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้ๆ

          “ช่ว ย ด้ ว ย... มั น ไ ม่ ยุ ติ ธ ร ร ม!” ร่างของเธอเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งไว้แต่เสียงที่ก้องกังวานอย่างคับแค้นใจ แล้วทางซ้ายของผมก็ได้ยินเสียงนั่น “มี ค น ฆ่ า กู!” ผมหันไปตามเสียงอย่างตกใจ แล้วมันก็ดังขึ้นทางขวาอีกครั้ง “กู ไม่ ไ ด้ ทำ ฆ่า ตั ว ตาย... มี ค น ฆ่ า กู!”

          ผมที่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว กลิ่นนั่นทำให้ผมรู้สึกไม่มีอากาศหายใจ บรรยากาศรอบข้างเยือกเย็นขึ้นมาจนผมรู้สึกหนาวและขนลุก แล้วผมก็ต้องตอบเขาไปอย่างลำบาก “ให้ผมช่วยอะไร!”

          เสียงนั่นเงียบไป แต่ยังคงทิ้งกลิ่นเอาไว้ให้ได้สัมผัส

          ผมเดินไปข้างหน้าช้าๆ บางอย่างดลใจให้ผมเดินไปที่เตียง แล้วยื่นมืออันแสนสั่นเทานี้ออกไปข้างหน้า วางระนาบสัมผัสกับเตียง แล้วภาพเลือนๆ แบ่งเป็นฉากๆ ก็ปรากฏซ้ำๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนบีบคอของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ สุดท้ายคือการเอามือของเธอเองขึ้นมาบีบคอเหมือนกับเป็นการอำพรางการกระทำของตน ว่าผู้ตายฆ่าตัวตายเอง!
 
          “ผมเห็นแล้วครับ! คุณต้องการให้ผมตามหาตัวคนร้ายใช่ไหม”

          ผมไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ได้ยินแต่ความเงียบเป็นคำตอบแทน ส่วนกลิ่นธูปและดอกลีลาวดีก็เริ่มจางหายไป

          “เดี๋ยวสิครับ อย่าเพิ่งไป!” สักพักกลิ่นเหล่านั้นก็จืดจางหายไปกับอากาศ...วิญญาณหญิงชราไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ทิ้งให้ผมอยู่กับความเงียบและความมืดของห้อง

          ข้างนอกผมได้ยินเสียงของน้องหวานและไอ้ยิ้มตะโกนเรียกผมเสียงดัง ประกอบด้วยเสียงตึงๆ วิ่งวนของคนข้างนอก ผมจึงรีบเข้าไปที่ประตูห้องแล้วทุบเสียงดัง “ผมอยู่นี่! เปิดประตูให้ผมที!” ทำการเคาะอีกครั้งแล้วพูดแบบเดิมซ้ำๆ

          “พี่วิน! พี่วินเหรอคะ! พี่เข้าไปได้ยังไง!” เสียงน้องหวาน

          “กวินท์! คุณ! เข้าไปทำอะไรในนั้น ผมตามหาคุณจนทั่วเลยนะ!”

          เสียงพวงกุญแจกรุ๊งกริ๊งดังขึ้น แล้วมันก็เริ่มไขกลอนประตูนี้เพื่อให้ผมได้ออกไปสู่ภายนอก

          ประตูบ้านนี้ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ผมก็ต้องตกใจกับบุคคลด้านหน้า...มีทั้งคุณสวัสดิ์และยายป้าฤดีที่ยืนมองมาทางผมอย่างไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ผมจึงรู้สึกขนลุกอีกรอบ...กูกำลังทำความผิดอีกแล้วสินะ...

          ผมถูกนำตัวลงไปด้านล่างที่ห้องนั่งเล่นฝั่งเดิม โดยมีคุณสวัสดิ์เป็นผู้สอบสวนผมว่าผมเข้าไปห้องนั้นได้ยังไง ทั้งๆ ที่ประตูล็อกอยู่...และล็อกมานานแล้วด้วยซ้ำ

          “คุณเข้าไปในนั้นได้ยังไง” ผมที่หันไปมองทุกคนตรงนี้ มีทั้งยายป้าแม่บ้านฤดี น้องหวาน และไอ้ยิ้มที่มองมายังผมอย่างสงสัย

          “ก็คงจะเข้าไปขโมยของล่ะมั้งคะ ห้องนั้นเป็นห้องของคุณหญิงย่า ของมีค่าของท่านก็มากมาย ใครๆ ก็อยากได้...เอ่อ หมายถึง” ทุกคนตงิดใจกับคำว่า ใครๆ ก็อยากได้ จึงหันไปหาป้าฤดีพร้อมกัน ผมที่ฟังก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ “ฉันหมายถึง ของมีค่า...ของคุณหญิงย่า มีราคาสูงน่ะค่ะ”

          ทุกคนหันกลับมาสนใจผมอีกครั้ง ส่วนยายป้าฤดีแอบถอนหายใจเล็กน้อย เธออยู่ในการสังเกตของผมทั้งหมดเพราะรู้สึกได้ถึงพิรุธจากเธอ...เธอต้องเกี่ยวข้องอะไรกับการตายของคุณหญิงย่าอะไรนั่นแน่ๆ

          “เอ่อคือ...” จะตอบอะไรดี...ถ้าบอกว่าอยู่ดีๆ ก็วาร์ปเข้าไปในห้องนั้นเองได้ มันจะเหลวไหลเกินไปน่ะสิ เอาไงดีวะเนี่ย! “คือว่าผม...” ผมไม่อยากโกหก เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องตอบแล้วนอกจากพูดความจริง “วิญญาณหญิงชราที่มีรูปอยู่ในห้องนั้น เป็นคนทำให้ผมไปอยู่ในห้องนั้นครับ”

          “เป็นไปไม่ได้! คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังโกหกกับคนอย่างผมอยู่ ผมจะให้โอกาสคุณพูดอีกครั้งว่าเข้าไปในห้องนั้นได้ยังไง!” เสียงเข้มทำให้ผมเริ่มไปต่อไม่ถูกๆ แต่ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้โกหกสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาผมก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ...แต่ถ้าผมเป็นคุณสวัสดิ์และคนอื่นๆ ผมก็คงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

          “ผมพูดจริงๆ ครับ สาบานให้รถชนตายเลยก็ได้...วิญญาณหญิงชราคนนั้นทำให้ผมไปอยู่ในห้องนั้น” ผมตอบออกไปแล้วดูเหมือนว่าคุณสวัสดิ์จะเริ่มโมโห ส่วนป้าฤดีเองก็ซุบซิบอะไรบางอย่างให้คุณสวัสดิ์ฟังอยู่ แน่นอนว่าสิ่งที่ออกจากปากเธอมาต้องไม่ใช่เรื่องดีสักเรื่อง

          “พ่อคะ...ตอนแรกน้องหวานพาพี่วินไปที่ห้องหวานค่ะ แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูห้อง เป็นเสียงของป้าฤดี พอออกไปก็ไม่มีใครอยู่ แล้วพอหันกลับมา พี่วินก็หายไปแล้ว พี่วินไม่น่าจะเดินไวขนาดนั้นนะคะ ห้องหวานก็ห่างจากห้องคุณย่าตั้งสามห้อง...มันแปลกๆ นะคะคุณพ่อ” อ๋อ! คุณย่าเองเหรอ...น้องหวานพูดเหมือนกำลังจะช่วยผมแต่ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและความเชื่อส่วนบุคคลล้วนๆ

          “อ้าวหนุ่ม” คุณสวัสดิ์พยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ยิ้ม “ว่าไง เห็นเขาเดินออกไปหรือเปล่า”

          ผมหันกลับไปมองไอ้ยิ้ม แน่นอน คำตอบของมันคือไม่เห็น “ตอนนั้นผมก้มดูหนังสือน้องหวานอยู่ครับ เลยไม่ได้สังเกต พอเงยหน้ามาอีกทีก็ไม่เห็นกวินท์แล้วครับ”

          คุณสวัสดิ์ทำหน้างงใหญ่ คงเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับใครหลายคนรวมถึงผมด้วย ยากที่จะหาคำอธิบายแต่จำเป็นต้องพูดความจริงนี่ไง สุดท้ายใครจะเชื่อล่ะ น้องจากผมคนเดียวที่รู้

          “คุณทำให้ผมเริ่มไม่ไว้ใจนะคุณกวินท์...” เป็นสิ่งที่ผมไม่ควรได้รับ แต่ผมต้องยอมรับมันสินะ...

          “ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ ผมจะหาคำตอบมาอธิบายไม่ได้...แต่ผมมีเรื่องหนึ่งครับที่อยากจะถามคุณสวัสดิ์และทุกคนครับ” ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ดูให้ความสนใจในสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ “ในวันที่...คุณหญิงย่า...ท่านเสีย เอ่อ มีใครอยู่ด้วยเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่าครับ” คำพูดนี้เหมือนคดีฆาตกรรมในละครเป้ะๆ เลย แต่ก็จำเป็นต้องใช้มัน

          และทันใดนั้น ยายป้าฤดีก็ของขึ้น “อะไร! นี่เธอจะพูดว่าคุณหญิงย่าท่านมีคนฆ่างั้นเหรอ!”

          “ไม่มี...ตอนนั้นหญิงแม่ท่านปลิดชีพตัวเองต่างหาก...แล้วคุณไปรู้มาจากไหน!?” ฉิบหายละ อะไรคือการที่ผมชอบหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วคิดคำพูดอะไรต่อไปไม่ได้ ถ้าจะบอกว่าคุณหญิงย่าชุดแดงคนนั้นมาบอก ผมต้องกลายเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างที่ยายป้าฤดีนี่กล่าวหาผมเป็นแน่

          “อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ หรือยากเกินจะเข้าใจนะครับ...ผมสัมผัสกับวิญญาณคนตายได้จริงๆ”

          แล้วป้าฤดีก็แย้งขึ้นมา “เหลวไหล! ไร้สาระ! คุณออกไปจากบ้านหลังนี้เดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจข้อหาขโมย ต้มตุ๋น หลอกลวง!”

          “ฤดี! ผมขอฟังเขาพูดก่อน อะไรยังไงค่อยพิจารณาตามน้ำหนักความน่าเชื่อถือก็แล้วกัน” คุณสวัสดิ์หันไปปรามเธอจนเธอหน้าบิดหน้าเบี้ยวสีหน้าไม่พอใจ แล้วหันพูดกับผมต่อ “ว่าไง ยังไงต่อ”

          “ผมไม่ได้ขอให้ใครมาเชื่อ...แต่ภาพที่ผมสัมผัสได้ตอนอยู่ในห้อง มีคนบีบคอคุณหญิงย่า คุณหญิงย่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย...” กลิ่นธูปและกลิ่นดอกลีลาวดีลอยโชยมาในอากาศ สัมผัสได้ว่า เธอมายืนอยู่ด้านหลังของคุณสวัสดิ์ และภาพที่เห็นตรงหน้า คือภาพของหญิงชราชุดแดง กำลังทำหน้าโกรธแค้นอย่างมาก

          ไอ้ยิ้มที่มองเห็นวิญญาณได้เหมือนผมก็เริ่มสะกิดแขนผม แต่มันก็ยังคงมีสติอยู่ และนั่งนิ่งๆ ไม่แสดงกิริยาอะไรออกมา

          “กู ไม่ ไ ด้ ฆ่ า ตั ว ต า ย มี ค น ม า ฆ่ า กู ช่ ว ย กู ด้ ว ย!!!” เสียงของหญิงชราดังขึ้นจนผมแสบแก้วหู แล้วเธอก็หายวับไปกับตา พร้อมกลิ่นเหล่านั้น

          “จริงๆ นะครับ มีคนฆ่าคุณหญิงย่า คุณหญิงย่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย!”

          คุณสวัสดิ์ถอนหายใจออกมา “คุณกลับไปได้แล้ว...เรื่องสืบหาตัวมายขอไวหน่อยก็แล้วกัน ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้”

          “...” ตัดจบแบบนี้ก็ได้เหรอวะ...







          แล้วเรื่องปวดหัวของวันนี้ได้จบลง

          มีปริศนาเพิ่มมาอีกอย่างก็คือใครเป็นคนฆ่าคุณหญิงย่าชุดแดง...แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว วิญญาณผู้ไม่ได้รับความยุติธรรมก็คงหาทางไปเกิดไม่ได้ และยังคงทนทุกข์ทรมาน รอวันตัดสินคดีความอย่างเป็นธรรมจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่...ผมก็คงจะต้องช่วยเธอสินะ

          ส่วนเรื่องแปลกๆ วันนี้ก็เกี่ยวกับน้องหวาน เรื่องของน้องหวานที่เขียนเกี่ยวกับมายในไดอารี่นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ผมเริ่มไม่เข้าใจ อะไรคือการที่น้องหวานชอบมายจนออกนอกหน้าขนาดนี้ แล้วทำไมต้องเน้นไปที่เข้าห้องแล้วพูดถึงแต่ความดีของมาย...

          หรือน้องหวานจะคิดไม่ซื่อกับพี่ชายตัวเอง...

          คิดเหมือนผมป้ะ?



FOLLOWER

ออฟไลน์ Anchen.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
          ยอดนักสืบวิน & ยิ้ม [1]


          หลังจากออกจากบ้านหลังนั้น ผมก็เดินออกไปหน้าหมู่บ้านเองกับไอ้ยิ้มสองคน

          แถวนี้หารถยากหน่อยเพราะเป็นเขตหมู่บ้าน ไม่ค่อยมีรถผ่าน ถ้าจะรอก็มารอที่ปากทางเข้าเพราะติดกับถนนใหญ่

          2นก จ.XXX 4157

          เลขทะเบียนรถของวินมอไซค์’ เด่นหราอยู่บนหน้าจอมือถือ นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องออกไปตามหา แล้วเอามือสัมผัสดูเหตุการณ์ว่าวันนั้นเขาขับรถพามายไปส่งที่ไหน

          ก็คงต้องไม่พ้นสถานีขนส่งของจังหวัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมของพวกวินมอไซค์’ แล้วก็แท็กซี่มากมาย เพื่อรอรับลูกค้าไปส่งตามสถานที่ต่างๆ

ที่มาที่นี่ก็เพราะว่าสถานีขนส่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านนี้ ห่างไปประมาณสามกิโล’ น่าจะเป็นวินมอไซค์’ สายเดียวกันกับหมู่บ้านคนรวยนั่นอย่างแน่นอน แล้วตอนนี้ผมก็ต้องเดินหาเลขทะเบียนดังกล่าว ส่วนไอ้ยิ้มก็ตามหลังผมต้อยๆ ไม่พูดไม่จาอะไรสักอย่างตั้งแต่อยู่ในบ้านนั้นแล้ว

          ผมจึงถามมันออกไป “เป็นอะไร”

          มันตอบสนองกับคำถามของผม “เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร”

          “แล้วทำไมถึงเงียบ ปกติเห็นกวนกูตลอด” ถามเสร็จก็หันกลับมามองหน้าจอ 2นก จ.XXX 4157 จะหาเจอยังไงวะ รถมีเป็นร้อยคัน...

          มันที่เดินตามผมมาเรื่อยๆ เริ่มมีปฏิกิริยากับสิ่งที่ผมพูดไป “ทำไม...อยากให้กวนเหรอ พร้อมกวนเสมอนะ อยากให้กวนเมื่อไหร่ก็บอก”

          ไอ้สัส...พอได้พูดทีก็ยาวเลย แถมกวนกูอีก เออ มันก็กวนอยู่นี่ไงวะ “ไม่โว้ย! ...เร็วเลย ช่วยกันหารถทะเบียน 2นก จ.XXX 4157 จำไว้ด้วย” ผมเดินนำมันไปลิ่ว มันที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ก็เดินตามผมมาติดๆ แล้วไปดูด้านใน

          ผมเดินเข้าไปดูท้ายรถตั้งแต่คันแรกที่เจอ พี่วินเสื้อกั๊กสีส้มเห็นผมก็มองกันใหญ่ เพราะคิดว่าผมเป็นลูกค้า แล้วคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

          “ไปไหนครับ” ผมโบกมือให้เป็นเชิงบอกว่าไม่ครับ

          ตามด้วยอีกคน

          “ทองไหลทองหล่อ หนอกหงอก บางแขๆ”

          และอีกคน และคนอื่นๆ อีกพูดเสียงดังระงม

          “ไปไหนครับ ไปไหน”

          “พี่ถูกสุดแล้วน้อง ส่งไกลจ่ายถูกครับ”

          “สะพานสามโคก ห้างทองเจ๊ปุ๊ย แซนแท่นแพแซ่”

          ทุกคนล้วนถูกผมปฏิเสธ ผมจึงรีบเดินหาไปเรื่อยๆ ไม่ว่าคันไหนๆ ก็ไม่ใช่ 2นก จ.XXX 4157 เลยสักคัน สงสัยจะยากแล้วสิ มองไปหาไอ้ยิ้ม มันเองก็เดินหาอย่างสบายใจ คันไหนก็ไม่ใช่อยู่ดี จนมาบรรจบกับผมที่ท้ายแถว

          “กวินท์เจอป้ะ”

          “ไม่เจอ...สงสัยจะยากจริงๆ วินมีเป็นร้อยคัน...อีกอย่างอาจจะมาจากสายอื่นก็ได้” ผมพูดไปแล้วมันก็พยักหน้าคิด แล้วเงยหน้าขึ้นมาจ้องไปที่ที่หนึ่งข้างหน้าตัวเอง “อะไร”

          “ถ้าไปถามตรงนั้นจะได้ไหม” มันชี้ไป ผมจึงมองตาม


‘ติดต่อสอบถามบริการสถานีขนส่ง’

‘วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถให้เช่า จักรยานยนต์ จักรยาน'


          “เออ ฉลาด น่าจะได้อยู่นะ”

          “แน่นอน คนมันหล่อ” ผมลุกไปไม่สนใจคำพูดของมันที่อวยตัวเองจนมันทำหน้างอใส่ สมน้ำหน้า ฮ่าๆ ๆ “เอ้า รอด้วยดิ!”

          พอมาถึงก็เห็นเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ด้านใน เป็นผู้ชายอ้วนดำวัยกลางคนกำลังกินหมี่ผัดอยู่อย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจคนรอบข้าง...พอเห็นเขากินหมี่ผัดปุ้บ ผมกับไอ้ยิ้มก็กลืนน้ำลายพร้อมกันโดยบังเอิญ ลืมไปว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ส่วนข้าวเช้าก็กินไปนิดเดียวเอง ขนมปังกับแยมสับปะรด

          เริ่มรู้สึกได้ถึงความหิวขึ้นมามหาศาล...

          “สวัสดีครับ มาสอบถามเรื่องวินมอไซค์’ ครับ” ผมพูดออกไป เส้นหมี่ผัดคำโตที่กำลังจะคีบเข้าปากก็หยุดชะงักแล้วหันมาหาผม

          “จะมาสมัครวินเหรอ วินเต็มแล้ว ไม่รับ” พูดจาเกรี้ยวกราดมากพี่ สมกับหน้าตาและหุ่นห้าง พอผมหันไปมองไอ้ยิ้ม มันไม่ได้สนใจเจ้าหน้าที่สักนิด แต่ไปสนใจสิ่งที่อยู่ในจานแทน พลางทำตาละห้อย กลืนน้ำลายด้วยความหิว สงสารว่ะ...

          “ไม่ใช่ครับพี่ ผมมาตามหารถเลขทะเบียน 2นก จ.XXX 4157 ครับ” พอพูดจบ เส้นหมี่ที่จะเข้าปากอ้วนตุ้ยก็หยุดชะงักอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันมาหาผมอย่างสงสัย

          “รอเดี๋ยว” เขาพูดแล้วหยิบสมุดจดเล่มใหญ่สีกรม เปิดๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าหน้าหนึ่ง “อ๋อ รถของไอ้แสน...เป็นญาติมันเหรอ”

          “เอ่อ...ไม่ใช่ครับ พอดีมาธุระนิดหน่อยครับ”

          “มีธุระกับคนหรือกับรถ”

          “มันต่างกันยังไงเหรอครับ ถ้าผมไปหารถก็ต้องเจอคน ไปหาคนก็ต้องเจอรถ...” ทำไมอยู่ดีๆ ก็กวนพี่เขาวะ คงไม่เอาปืนออกมายิงผมหรอกนะ หน้าตาเป็นฆาตกรได้อยู่ ขอโทษครับ!

          “ก็ถ้ากับรถ ไปอยู่อู่ซ่อมโน่น...แต่ถ้ากับคน เพิ่งตายเมื่อวานเช้า”

          เชี่ย...ตายเลยเหรอวะ อะไรมันจะเป้ะขนาดนั้น

          ผมได้แต่ยืนอึ้งกับคำตอบที่ได้ เจ้าของรถตายเมื่อวานเช้า...ส่วนรถก็เข้าอู่ซ่อม...เป็นขนาดนี้แสดงว่ารถนี่เกือบยับแน่ๆ

          “ขับรถตัดหน้ากับรถเก๋ง ชนตายห่าไปเลย...สมน้ำหน้ามัน ไม่ดูทางก่อน” โอ้โห...คนตายยังต้องแช่งกันอีกเหรอวะเนี่ย โคตรเหี้ยมเลย...เอาเป็นว่าภารกิจตอนนี้ต้องยืดยาวไปอีก ต้องไปถึงอู่ซ่อมเลยว่ะ ไกลชัวร์

          “ขอบคุณมากครับพี่” ผมไหว้พี่เขาแล้วไอ้ยิ้มก็ไหว้ตาม “แล้วอู่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”

          พี่แกทำหน้างงใส่ “เอ้า! ไม่เคยมาขนส่งเรอะ ถึงได้ไม่รู้ว่าอู่อยู่แค่ข้างหลังสถานีนี่เอง เอ้อ...” พี่แกส่ายหัวแล้วหันไปกินหมี่ผัดต่อ ผมจึงเดินนำออกไปจากตรงนี้ทันที







          ณ อู่ซ่อมรถหลังสถานีขนส่ง

          มีอู่ตั้งอยู่ตรงนี้จริงอย่างที่พี่เจ้าหน้าที่บอกไว้ ด้านในได้ยินเสียงหวีดๆ ของเครื่องจักร สะเก็ดไฟที่เกิดจากแรงเสียดสีรุนแรงเป็นประกายกระจายออกมา

          ผมที่ยืนมองอยู่ด้านนอกอู่ ดูว่ารถของพี่วินคนนั้นอยู่ตรงไหน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ชายเสื้อขาวที่มีรอยน้ำมันเครื่องดำติดจนไม่เหลือที่ให้ขาว เขาหันมาทางผม บนหน้าของเขาใส่กะบังหน้าครอบหัวป้องกันสะเก็ดไฟกระเด็นใส่เอาไว้ เลยเห็นหน้าไม่ชัด แล้วเขาก็หยุดเครื่องลง เปิดหน้าพลาสติกที่บังหน้าออก เผยให้เห็นชายหนุ่มที่เจอกันตั้งสองครั้ง และนี่รอบที่สาม

          นี่มันอาร์มเพื่อนของชมพู่นี่หว่า...ทำงานอยู่อู่นี้เหรอเนี่ย

          “อ้าว คุณวิน...มาทำอะไรเหรอครับ” เขาถามผมขึ้น “มารับรถเหรอ...ไม่มีรถของคุณนะ”

          “สนิทกันเหรอ...” ไอ้ยิ้มถามผมเบาๆ

          “เปล่า เพื่อนของชมพู่ ที่ติดรถไปด้วยวันนั้นไง จำไม่ได้เหรอ”

          “อ่อ” มันมองด้วยหางตาใส่แปลกๆ “ก็พอดีผมไม่ได้สนใจคนด้านหน้าเลย” ...ห้ะ

          ผมไม่สนใจมันแล้วหันไปถามอาร์มต่อทันที “ผมมาตามหารถคันนึง มันเพิ่งเข้าอู่มา ทะเบียน 2นก จ.XXX 4157 ครับ” ผมบอกออกไป เขาฟังแล้วหันซ้ายหันขวาไปมอง ว่ารถคันดังกล่าวอยู่ส่วนไหนของร้าน...

          “อ้อ...คันนี้เองเหรอ” เขาหันมาที่รถตัวนั้นที่กำลังซ่อมอยู่ ดูสภาพแล้วยับเยินพอสมควร “พอดีถอดทะเบียนออกเลยไม่เห็น...คันนี้แหละครับ”

          “อ่อครับ...เอ่อ” จะทำไงต่อดี...จะเดินเข้าไปจับเลยดีป้ะ “ผมขอเช็กรถหน่อยได้ไหม”

          “นี่รถคุณหรอกเหรอ...ไม่ใช่สิ เห็นเขาบอกกันว่าเมื่อวานตอนเช้าคนขับขับไปชนกับรถเก๋งตาย”

          “อ่อ ครับ...ผมขอดูอะไรนิดหน่อยนะครับ แป้บเดียว” อาร์มพยักหน้าให้อย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าผมจะดูไปเพื่ออะไร ถ้าแตะลงไปบนเบาะ ก็จะได้รู้เบาะแสว่ามายไปไหนในวันนั้นสักที

          ไม่รอช้า ผมกลั้นใจยื่นมือตัวเองลงไปทาบบนเบาะรถทันที...เริ่มใช้สติและสมาธิอย่างสูง อย่างที่อ่านในหนังสือเล่มนั้นมา การใช้สติและสมาธิจดจ่อทำให้มองเห็นภาพชัดขึ้นและยาวนานกว่าเดิม

          ไม่นานนัก ผมก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นและเป็นสีเทาเรืองๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆ โผล่มาเป็นฉากๆ ให้ผมเห็น...รถขับเคลื่อนผ่านไปที่ที่หนึ่ง ผ่านโรงพยาบาลที่ตาแม้นเคยมาพัก...ผ่านร้านหมูปิ้งที่เคยพาไอ้ยิ้มไปซื้อ ทางข้างหน้าถ้าตรงไปจะเป็นร้านหนังสือตาแม้น...แต่ก็เลี้ยวเข้าทางแยกซอยเสียก่อน...

          นั่นซอยบ้านผม! ใกล้จะเห็นแล้วว่ามายไปไหน! หัวใจผมเริ่มเต้นตุบๆ เพราะต้องการสิ่งที่อยากรู้เต็มแก่ เลยทำให้สติเลยเถิดออกไป แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดจบลงทันที

          แม่ง...น่าเสียดายจริงๆ! ทำไมต้องรู้สึกตื่นเต้นเวลานี้ด้วยเนี่ย จะบ้าตาย! เกือบจะรู้อยู่แล้วว่ามายไปไหน ผมสัมผัสมือลงบนเบาะอีกครั้งอย่างใจร้อน แต่ก็ไม่ได้ปรากฏภาพใดๆ ขึ้นมาอีกจนผมล้มเลิกการกระทำ

          หันไปมองทางอาร์มที่มองมาทางผมแบบแปลกๆ “เป็นอะไรไหมครับ”

          ผมที่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป “พลังจิตน่ะครับ...คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ”

          อาร์มดูเหมือนจะเชื่อเลยพยักหน้าให้เบาๆ “แล้วคุณวินได้ข่าวเรื่องของมายบ้างยังครับ เผื่อผมเจอชมพู่จะได้บอกให้ได้”

          “ยังเลยครับ...กำลังสืบอยู่ แต่คงใกล้จะรู้แล้วล่ะครับ”

          “อ่อ...ครับ”







          ผมกลับมาที่บ้านตอน 4 โมงเย็นกว่าๆ

          แต่ก่อนหน้านั้นผมแวะไปที่บ้านชมพู่ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่บ้านสักคน เงียบกริบ มองลอดผ่านประตูรั้วก็ไม่เห็นรถเก๋งสีขาวคันกระชับของเธอจอดอยู่ เลยตัดสินใจไม่รอแล้วกลับบ้านเลย

          พอถึงบ้านก็เห็นตาแม้นนอนเปิดพัดลมใส่ขาอย่างสบายใจเฉิบอยู่ที่เก้าอี้นอน ช่วงนี้ตาแม้นไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่ต้องใช้รถวิลแชร์ ดูแข็งแรงเป็นปรกติ แต่เรื่องสภาพจิตใจของตาแม้นกับร้านหนังสือยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มถามตาแก

          “ทุกอย่างคือความทรงจำของตา...” เสียงเศร้าเปล่งออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ผมเข้าใจว่าร้านหนังสือนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตา ทั้งที่ซุกหัวนอน ทั้งที่ทำมาหากิน อยู่กินกันมาตั้งหลายปี ก็มีวันหนึ่งที่ต้องจากลา...

          “ไม่ต้องกังวลนะครับ...อยู่กับผมที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ ตาไม่ต้องห่วงเลย...ขอบพระคุณตามากๆ นะครับที่เคยเลี้ยงข้าวผมหลายครั้ง ร้านหนังสือของตาผมชอบมากจริงๆ ผมก็อยากจะตอบแทนตาบ้างเวลาตาลำบาก” ผมพูดออกไปอย่างจริงใจแล้วยิ้มให้

          ชายชรายิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ...ช่างมันเถอะ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ถือเสียว่าเป็นเวรกรรมของตา และก็ถือว่าเป็นบุญของตาที่ได้รู้จักคนดีๆ อย่างหนุ่ม...อย่าไปสนใจว่าใครเขาจะว่าหนุ่มเป็นยังไง...เป็นตัวของเราเอง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทุกอย่างก็จะดีเอง เราก็จะอยู่กับสังคมนี้อย่างสบายใจ” ตาแม้นสอนผมทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก พอฟังแล้วก็นึกถึงแม่ ยาย และตา เมื่อก่อนพวกท่านก็พร่ำสอนผมมาตลอด แต่พอโตขึ้นแล้วปีกกล้าขาแข็งก็ออกจากบ้านมาหาเงินจนถึงทุกวันนี้ นับว่ามีทั้งเรื่องดีบ้างและเรื่องไม่ดีบ้างปนเปกันไป เป็นสีสันสำหรับคนประหลาดอย่างผมในชาตินี้...เป็นไงล่ะ มีสีสันมากเลย มีคนอย่างไอ้ยิ้มมาอยู่ด้วย จะจากกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

          อยู่ดีๆ ทำไมผมถึงรู้สึกใจหายขึ้นมาวะ...







          ผมคุยเล่นกับตาแม้นไปสักพัก

          ไอ้ยิ้มที่อยู่ๆ ก็นิสัยดีขึ้นมา ขออาสาไปซักผ้าผมให้ บอกว่าไม่รังเกียจเรื่องซักกางเกงในผม แต่ผมก็ไม่ยอมอยู่ดี แอบแยกมันออกมาก่อนที่มันจะยกตะกร้าไปซัก...โรคจิตสัสๆ

          แล้วก็ต้องย้อนกลับมาคิดถึงภาพที่เห็นตอนสัมผัสกับเบาะรถ เป็นเรื่องแปลกใจอย่างหนึ่ง...มายเคยมาที่นี่เมื่อวันนั้น...แล้วบ้านคุณชมพู่ก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน แสดงว่ามายต้องไปหาชมพู่แน่ๆ ...แต่ที่แปลกอย่างหนึ่งก็คือ วันนั้นชมพู่ไม่ได้เจอมายน่ะสิ...หรือมายจะไปที่อื่นวะ

          “อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่าผมเห็นภาพมายมาที่นี่...คุณว่าเขาจะไปที่ไหนต่อ” ผมพูดกับมันที่ตั้งใจเทผงซักฟอกลงไปในถัง โดยกะปริมาณผงให้เป้ะๆ เต็มช้อนตักพอดีแล้วค่อยๆ เทลงไป “ว่าไงวะ ไม่ตอบกู”

          “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...” และนี่คือคำตอบที่ได้จากมัน

          “งั้นขอถามไรหน่อยดิ”

          “ถามมาตอบหมด” เออ ไอ้สัส!

          “คุณเห็นผีได้เหมือนผม...มีบ้างไหมที่...แตะแล้วเห็นภาพอดีตที่เกิดขึ้นกับสิ่งๆ นั้น...” มันฟังผมแล้วกดหมุนเครื่องซักผ้าไปที่เลขสามสิบ แล้วหันมาทางผมแล้วครุ่นคิด

          “ก็ไม่เหมือนกันหมดเสมอไปหรอกมั้ง...บางคนเกิดมาเห็น...บ้างก็แค่ได้ยิน บ้างก็แค่ได้กลิ่น หรือไม่บางคนก็มีญาณสูงถอดจิตเองได้” ทำไมมันพูดเหมือนจำอะไรมาได้วะ...แปลกอีกแล้ว!

          “อือ...แล้ว หลายวันมานี่...จำอะไรได้บ้างป้ะ” ผมถามมันอีกรอบ แล้วมันก็ทำหน้าครุ่นคิดชุดใหญ่...แล้วก็ส่ายหัวหมายความว่าจำเชี่ยไรไม่ได้อีกตามเคย...แต่คำพูดแต่ละคำเหมือนเคยเปิดอ่านในเน็ตแล้วจำได้แม่นอย่างนั้นอ่ะ...แต่ช่างเถอะ จำไม่ได้คือจำไม่ได้ จะไปบังคับให้คนจำอะไรไม่ได้ให้จำได้ได้ยังไงล่ะเอ้อ...มึน!

          “อันที่จริง...ผมก็ไม่อยากจำอะไรได้เลยสักอย่าง...เพราะบางที...มันอาจจะแย่เกินไปสำหรับผมก็ได้ คุณคิดว่า สำหรับผมมันดีหรือเปล่า” ไอ้สัส! ถ้าจำอะไรไม่ได้แล้วคิดว่ามันดีสำหรับมึง แต่มันไม่ได้ดีสำหรับกูไง! ผลาญทรัพยากรชีวิตกูมากกกกก

          “แล้วถ้าเป็นเรื่องดีๆ ล่ะ อย่างเช่น...เรื่องพ่อแม่ของตัวเอง คุณไม่อยากจดจำเรื่องของพวกท่านเหรอ...” มันเงียบไปหลังจากฟังที่ผมตอบกลับ เห็นมันถอนหายใจเบาๆ

          “เนอะ...ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่ของผมเป็นใคร” มันตอบแล้วงุดหน้าลงเหมือนจะร้องไห้ แต่จู่ๆ ก็เงยหน้ามามองผมอย่าเอาจริงเอาจัง “แต่ถ้าเกิดว่าอดีตมันเลวร้าย เหมือนตอนที่คุณบอกว่าเจอผมตอนเมาอยู่หน้าบ้านขนาดนั้นสองวันติดๆ ...ผมก็คงไม่อยากรู้เหมือนกันว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง...แต่ที่รู้ๆ และอยากจดจำตอนนี้ก็คือ...”

          “...” ผมเงียบฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องวรรคเรื่องสำคัญให้ขัดใจด้วย!

          “ความทรงจำที่มีคุณตอนนี้น่ะคุณกวินท์...ผมไม่อยากจำอะไรได้อีกแล้ว” คนตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับเขา...

          ความรู้สึกที่ประหลาดเกิดขึ้นภายในจิตใจซ้ำๆ ซากๆ กับเขาคนนี้ กลายเป็นความรู้สึกที่ยากเกินอธิบายหลังจากที่เขาพูดออกมา...มันเหมือนมีความหมาย เหมือนกับมีความรู้สึกผูกพันกันมานานอะไรทำนองนั้น

          “ยังไงคุณก็ต้องเจอครอบครัวของคุณสักวัน...ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนหรอกยิ้ม...ผมจะช่วยคุณเอง” ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาในจิตใจ ทำให้ผมโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

          คนตัวสูงค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นมากอดกลับผมอย่างแผ่วเบาแล้วหลับตาลง กักเก็บความรู้สึกช่วงเวลานี้ไว้ไม่ให้หายไปไหน เป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน...ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันในหลายๆ อย่าง แต่เพียงแค่อยู่กับปัจจุบันตอนนี้...ถ้าเลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ ผมก็อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว...ไม่อยากให้ไอ้ยิ้ม...จำเรื่องที่ผ่านมาของเขาได้สักเรื่องเลย



FOLLOWER

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด