พัชรมนตรา จันทรานฤมิตร ตอนที่13 ่ภารกิจที่สามหริภุญชัย 25/09/62 อัพแล้วครับ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พัชรมนตรา จันทรานฤมิตร ตอนที่13 ่ภารกิจที่สามหริภุญชัย 25/09/62 อัพแล้วครับ  (อ่าน 3846 ครั้ง)

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 :katai5:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2019 20:29:13 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ปฐมบทที่ 1 คลายมนตรา

แคว้นต่างๆในดินแดนสุวรรณภูมิ ในเรื่องครับ


ชายแดนแคว้นพัชราบุรีเก่า

ภายใต้มนตราอาคมกำบังอำพราง ที่ชานเมืองพัชราบุรี มีหมู่เรือนไทยไต้ถุนสูงมีเรือนใหญ่ตรงกลางเป็นเรือนประธานมีรัศมีสว่างเรืองรอง  ในเรือนใหญ่ตรงกลางมีชายหนุ่มสูงศักดิ์ ใบหน้าคมคาย คิ้วได้รูปสวย แต่ทว่าใบหน้าขาวซีด นอนหลับอยู่บนเสื่อ (ผ้าบุด้วยนุ่น) และเสื่อนั่นก็วางอยู่บนแท่นศิลาหยก ที่มีความเย็นกระจายเป็นไอออกมารอบๆ ในหมู่เรือนทรงไทยหลังนั้น มีชายสูงอายุดูเป็นผู้มีวิชา กับ หญิงสูงอายุซึ่งเป็นภรรยา คอยดูแลควบคุมทาสผู้จงรักอีกว่า 12 ชีวิตที่อาศัยอยู่ในเรือนนั้น  ผู้สูงอายุท่านนั้นกับภรรยาเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยภายในเรือน และดูแลชายหนุ่มที่นอนนิ่งผู้นั้นมากว่า 18 ปีแล้ว  ชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้มีนามว่า “ปุณณวัชร” เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่ง พัชรวงศ์ ที่ครองแคว้นพัชราบุรี พระองค์ปุณณ์อยู่ในห้วงนิทรามาตั้งแต่เหตุการณ์นั้น แม้จะหลับใหลมา 18 กว่าปี แต่ทว่าใบหน้าและร่างกายมิได้แก่ชราตามเวลาที่ล่วงเลยไป เพราะอาคมสะกดวิญญาณทำให้หลับไหลและร่างกายหยุดนิ่งจำศีลไปจนกว่าคำผนึกนั้น......
บนพระแท่นบรรทมดวงตายาวรีค่อยๆเปิดขึ้น ปุณณวัชร กระพริบตาถี่ และค่อยๆระลึกถึงความทรงจำที่เลือนราง “รังสิ” เสียงชายหนุ่มหลุดออกมาจากปากเป็นคำแรก และแล้วความรู้สึกเจ็บแปลบก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต้นเหตุมาจากไหล่ข้างซ้ายที่ยังคงมีบาดแผลที่มีไอพิษสีดำร่องรอยอยู่บริเวณบาดแผลนั้น ทำให้แผลไม่สามารถสมานและปิดสนิทได้
“แคร่กๆ” ชายหนุ่มไอออกมา พร้อมกลิ่นคาวเลือดที่พุ่งขึ้นมาที่ลำคอ ชายหนุ่มหยันตัวเองขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วก็กระอักโลหิตออกมา ทำให้ ชายสูงอายุที่นั่งอยู่ไม่ไกลถึงกับ โผล่เข้าไปเกาะที่ขอบแท่นบรรทม
“พระองค์ปุณณ์วัชร ทรงรู้สึกองค์แล้ว” พร้อมกับคว้าผ้าซับโลหิตที่ปากของชายหนุ่ม
“ท่านอาจารย์” เสียงชายหนุ่มเรียกชายสูงอายุผู้นั่น ที่แท้ชายสูงอายุผู้นั้น เป็นพระอาจารย์องค์แรกแล้วยังเป็นเสนาบดีแห่งราชสำนักพัชราบุรีอีกด้วย
“คุณหญิงๆ” เสียงชายสูงอายุตะโกนระล่ำระลักเรียกภรรยาตนเอง
“มีอะไรตาเฒ่า ส่งเสียงเสียดังลั่น” เสียงหญิงสูงอายุถลันตัวผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พระองค์ปุณณ์วัชร” หญิงสาวสูงอายุทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วคลานเข้าไปใกล้แท่นบรรทม
“พระองค์ฟื้นแล้ว ทูลกระหม่อมของบ่าว” เสียงหญิงสูงอายุสะอื้นน้ำตาไหลออกมาเต็มใบหน้า
“คุณหญิงแจ่ม” เสียงชายหนุ่มเอ่ยนามผู้สูงวัย
“อาจารย์ นี่ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว” พระองค์ปุณณ์เอ่ยถาม
 “18 ปี พอดีพระเจ้าค่ะ” ผู้สูงวัยทูลตอบ
“แปลว่า มีคนคลายผนึกนั้นแล้ว เงื่อนไขเป็นไปตามอาคมของท่านอาจารย์แล้ว ใช่หรือไม่” เมื่อชายหนุ่มพูดจบก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา
“ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ” ผู้มีศักดิ์เป็นพระอาจารย์ทูลตอบ
“งั้นเราไปตามหาคนๆนั้นกันท่านอาจารย์” เสียงชายหนุ่มมีแววเร่งรีบ พลันดันตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน
“ยังหามิได้พระเจ้าค่ะ” เสียงชายผู้สูงวัยดูเป็นกังวล
“ทำไมฤา อาจารย์”  ชายหนุ่มหันกลับมาถามอาจารย์อย่างรวดเร็ว
“เพระว่าพระองค์ต้องฟื้นฟูพระวรกาย และรักษาพิษจากบาดแผลครั้งเก่าก่อนพระเจ้าค่ะ”
“ตอนนั้นกระหม่อมสะกดอาคมให้พระองค์ทรงตกอยู่ในห้วงนิทรา เพราะยังหาวิธีแก้พิษร้ายที่ท่านถูก    ทำร้ายครั้งนั้นไม่ได้พระเจ้าค่ะ” ชายสูงอายุทูลตอบผู้เป็นนาย
“อย่างนั้นฤา” เสียงชายหนุ่มถอนใจเบาๆ
“แต่ตอนนี้กระหม่อมคิดหาวิธีถอนพิษได้สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะ แต่ต้องรอพระองค์รู้สึกพระองค์ก่อนพระเจ้าค่ะ
“งั้นก็ดีแล้วท่านอาจารย์” เสียงชายหน่มร้อนรน
“แล้ว.....” เสียงชายสูงวัยขาดหายไป
“แล้วอะไรฤาท่านอาจารย์” พระองค์ปุณณ์หันพระพักตร์ที่คมคายมองมาที่ชายสูงวัยผู้เป็นอาจารย์
“พัชราบุรี สูญสิ้นไปแล้วพระเจ้าค่ะ”  ชายสูงวัยก้มกราบลงที่พื้นพร้อมเสียงรื้นขึ้นมาที่ลำคอ
“หืม” เสียงของพระองค์ปุณณ์ขาดหายไปในลำคอ ความรูสึกเหมือนหล่นลงมาจากที่สูง ความเงียบห้อมล้อนตัวเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไม่ได้ยินแม้เสียงสะอื้นของอดีตท่านเสนาบดี
“แล้วเจ้าพี่กับเสด็จแม่ล่ะกับลูกหลานพัชรวงศ์ล่ะ” เสียงชายหนุ่มร้อนรนด้วยอาการตกใจและวิตกกังวล
“องค์เหนือหัวสวรรคตไปแล้วพระเจ้าค่ะ ส่วนองค์พระพันปี ตอนกรุงแตกทาง พระองค์มหรรณพแห่งศิริธรรมนคร เสด็จมาช่วยพระนาง และนำเสด็จองค์พระพันปีไปพำนักทรงดูแลอยู่ที่ ศิริธรรมนครเป็นอย่างดีได้ 15 ปี ก็สิ้นพระชนม์แล้วพระเจ้าค่ะ ส่วนเชื้อพระวงศ์ที่เหลือถูกกวาดต้อนไปสุพรรณภูมิ” พระเจ้าค่ะ”
“แคว้นเราถูกทำลายโดย สุพรรณภูมิ กระนั้นฤา”
“พระเจ้าค่ะ” เสียงพระอาจารย์ทูลตอบ
“ไอ้ฑิฆัมพร” เสียงคำรามก้องในลำคอ ภาพชายหนุ่มผู้ที่เป็นทั้งพระสหายและทั้งอริราชศัตรูลอยเข้ามา
“ที่เรายังรอดมาได้เพราะองค์เหนือหัวทรงบัญชาการให้กระหม่อมย้ายพระองค์และเก็บซ่อนพระองค์ไว้ในอาคมมนตรากำบังอำพราง ก่อนที่กรุงจะแตกได้ทันท่วงทีพระเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มนั่งสงบนิ่งฟังผู้เป็นอาจารย์เล่าต่อ
“ยังมีรับสั่งไว้อีกด้วยว่า มีเกิดก็มีดับ มีตั้งอยู่ก็มีดับไป กาลเวลาผ่านมาก็ผ่านไป กรรมเป็นผลของการกระทำ วันนี้เขารุ่งเรื่อง วันหน้าก็ต้องดับ เป็นไปตามธรรมชาติ ถึงตัวเขาไม่ได้รับกรรมลูกหลานของเขาก็ต้องรับกรรม เมื่อใดที่พระองค์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ต้องกอบกู้ ไม่ต้องแก้แค้น ให้พระองค์ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อตัวเอง เพราะพระองค์ทำเพื่อบ้านเมืองมาเยอะแล้ว พระเจ้าค่ะ”
“กระนั้นฤา” เสียงชายหนุ่มหลุดออกมาจากลำคอ นี่หรือความรู้สึกของคนที่สูญเสียทุกสิ่ง สูญเสียครอบครัว สูญเสียบ้าน สูญเสียเมือง สูญเสียแม้กระทังประเทศชาติ ที่สำคัญสูญเสียแม้กระทั้งหัวใจ.......


ที่เมืองจันทราบุรี
ณ บ้านทรงไทย ใจกลางเมือองจันทราบุรี เด็กหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาวละเอียด ใบหน้าแฝงไปด้วยความสนุกสนาน สดใส ร่าเริง สมวัย 18 ปี นั่งดีดจะเข้ ด้วยทำนองสดใสก้องกังวานไปทั่วเรือน ตลอดเวลากว่า 18 ปี รังสิพันธุ์ ได้ยินเสียงแว่วของอีกคนอยู่ในหัวของตัวเองตลอด บางครั้งตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและอันตราย ก็จะมีเสียงกระซิบบอกวิธีแก้ปัญหาให้ตัวเองได้รอดพ้นวิกฤตและอันตรายมาได้อย่างแยบยลทุกครั้ง เขาเองก็สงสัยไม่น้อยว่าคนผู้นั้นคือใคร ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น อีกคนที่อยู่ในจิตรังสิพันธุ์ก็เผยยิ้มออกมา เพราะเขารู้และทราบทุกสิ่งที่รังสิพันธุ์คิดและกระทำมา เสียงจะเข้ก้องกังวาลอยู่นานจนบ่ายคล้อย
“วันนี้เจ้าเสร็จกิจทั้งหมดแล้วหรือรังสิพันธุ์” เสียงชายวัยกลางคนทว่ามีอำนาจดังขึ้น ทำให้เสียงจะเข้หยุดลง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของรังสิพันธุ์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยความดีใจ แล้วรีบลุกขึ้นเดินลงมาคุกเข่าถวายบังคม
“ท่านน้า ศศินธร” ชายหนุ่มทักทายผู้มีศักดิ์เป็นน้าในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้ามหาชีวิตของคนทั้งฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา กษัตราธิราชแห่งนครลวปุระ
“วันนี้ทำไมเสด็จถึงจันทราบุรีได้พระเจ้าค่ะ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความดีใจ
“ก็แวะมาดูเจ้าว่าสนใจงานบ้านงานเมืองอยู่หรือไม่” เสียงเจ้ามหาชีวิตทรงอำนาจทว่าอ่อนโยนและห่วงใย
“สนใจสิพระเจ้าค่ะ วันนี้งานของกระหม่อมเรียบร้อยหมดตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหนุ่มตอบได้วยความมั่นใจ
“ในฐานะหลานและในฐานะเจ้าเมืองประเทศราช กระหม่อมต้องทำให้ดีที่สุดพระเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว เห็นเจ้าขยันแข็งขัน ข้าก็เบาใจ” เสียงชายวัยกลางคนเบาใจ พร้อมกับนั่งลงที่แท่นที่ประทับ
“เสวยอะไรมาหรือยังพระเจ้าค่ะ” ผู้เป็นหลานกุลีกุจอถาม
“ยังเลย”  เสียงเจ้ามหาชีวิตเอ่ยตอบหลานชาย
“ให้คนยกเครื่องว่างมา” ชายหนุ่มสั่งให้มหาดเล็กยกเครื่องว่างมาถวายผู้เป็นน้า พร้อมกันนั้นกรังสิพันธ์นั่งลงเพื่อปรุงพระสุธารสข่ ถวายเสด็จน้าผู้มีพระคุณ ที่ปลดหล่อยจันทราบุรี ให้เป็นอิสระจากจักรวรรดิอีสานปุระอีกครั้ง หลังจากถูกยึดครองมา 3 ปี ตั้งแต่ รังสิพันธุ์เพิ่งถือกำเนิดได้เพียง 5 เดือน บ้านเมืองก็ถูกทำลายสิ้น ผู้เป็นบิดา กษัตราธิราชแห่งจันทราบุรีและเชื้อพระวงศ์จันทรวงศ์ถูกสังหารสิ้น เหลือแค่ตัว รังสิพันธุ์
หลังจากกษัตราธิราชแห่งลวปุระกับหลานชายคนเดียวที่เหลือให้ระลึกถึงน้องสาวของตัวเองราชธิดาแห่งลวปุระ เสวยของว่างกันเสร็จ
“น้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เจ้ามหาชีวิตเอ่ยปากบอกกับหลานชาย พลันลุกขึ้นเดินนำหน้าออกจากเรือน ผ่านมายังชานเรือนและเลยลงจากเรือนไปทางสวนข้างๆเรือน ทั้งสององค์มุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นหมู่พระมหามณเทียร์แลพระราชวังเดิมของราชวงศ์จันทรวงศ์แห่งแคว้นจันทราบุรี
“รู้ไหมทำไมข้าตั้งชื่อเจ้าว่ารังสิพันธุ์” ท่านน้าเอ่ยถามหลานชายที่เดินตามหลัง
“รู้แต่ว่าเป็นพระนามเดิมของท่านอา” พระเจ้าค่ะ
“เจ้าเหมือนอาเจ้ามากรู้ไหม ทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอ” เจ้ามหาชีวิตเอ่ยเล่าถึงคนในความทรงจำ
“ใช่ อาของเจ้าเป็นสหายสนิทของข้า” เสียงเจ้ามหาชีวิตเบาลงและสั่นเครือ เมื่อเป็นได้แค่สหายสนิทของคนในความทรงจำ
“ศศินธร นะศศินธร” “นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว เจ้าต้องก้าวผ่านต่อไปได้แล้ว”  อีกคนที่เป็นร่างซ้อนอยู่ในจิตของรังสิพันธุ์รำพึงออกมา
“เขาต้องตายพราะพวกวรมันวงศ์แห่งอีสานปุระ” เสียงชายวัยกลางคนสั่นเครืออีกรั้งแต่คราวนี้เพราะความโกรธ
“อันที่จริงๆแล้ว ทั้ง ลวปุระ จันทราบุรี และอีสานปุระ ก็เป็นพระญาติกันไม่ใช่เหรอพระเจ้าค่ะ” หลานชายเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ใช่ แต่พวก วรมันวงศ์เขากลัวและหวาดระแวงนโยบายของพ่อเจ้า กับข้า ที่คิดแยกตัวเป็นอิสระจาก อีสานปุระ เมื่อเขาไม่สามารถแทรกแซงเราได้ พวกเขาจึงเลือกที่จะทำลายพวกเราแทน ก่อนที่แนวคิดนี้จะแผ่ออกไปยังแคว้นต่างๆที่อยู่ใต้การปกครองของเขา เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”
“ที่แท้ทั้งหมดเพื่อรักษาอำนาจของตนเองไว้ โดยมิสนใจว่าเราจะเป็นญาติกันอย่างนั้นฤา” รังสิพันธุ์หันไปมองผู้เป็นน้าชาย
“อำนาจเมื่ออยู่ในมือใครนานๆ ก็มักจะหลงใหลและหวงแหนและกลัวที่จะเสียมันไป”  ผู้เป็นน้าตอบสัจจธรรม ที่เป็นธรรมดาของโลก ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ให้ผู้เป็นหลานฟัง
“ท่านน้าก็ช่วยปลดปล่อยจันทราบุรีแล้วนี่พระเจ้าคะ”
“แล้วตอนนี้ประชาชนจันทราบุรีก็มีความสุขใต้ร่มพระบารมีของเสด็จน้า ทุกอย่างมันก็ดีแล้วนี่พระเจ้าค่ะ” รังสิพันธุ์ทูลปลอบพระทัยผู้เป็นน้า
“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย” ชายวัยกลางคนเอ่ยปากกับหลานชาย
“เสด็จน้าอยากรู้เรื่องอะไรหรือพระเจ้าค่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าเคยได้ยินเสียงใครอีกคนที่อยู่ในตัวเจ้าบ้างหรือไม่” 
“เคยพระเจ้าค่ะ เสด็จน้าทรงรู้” เสียงชายหนุ่มขาดหายไป
“ข้าก็ต้องรู้สิ ก็ข้าเป็นคนผนึกจิตของเขาผู้นั้นไว้ในกายเจ้าเอง” 
“แล้วทำไมต้องผนึกจิตท่านอาไว้ในตัวข้าล่ะพระเจ้าค่ะ”  เสียงชายหนุ่มยังคงสงสัย
“ก็เพราะเป็นหนทางเดียวที่ข้าจะเก็บเขาเอาไว้ได้ และคนที่จะผนึกเขาได้ต้องเป็นคนสายเลือดเดียวกันเท่านั้น มันเป็นคาถาเฉพาะของตระกูล ลโวทัยปุระ ของเรา”  เสียงเจ้ามหาชีวิตเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นหลานฟัง


แต่ทันใดนั้นก็มีเงา 7 เงา เคลื่อนไหววูปวาบด้วยความรวดเร็ว เข้าจู่โจมไปที่เจ้ามหาชีวิตศศินธร เจ้ามหาชีวิตชักพระขรรค์ออกมาแสงสีเงินวาปออกมา เมื่อพระขรรค์ถูกดึงออกจากฝัก ชายชุดดำทั้ง 7 กับอาวุธครบมือเข้าโจมตีเจ้ามหาชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้ามหาชีวิตก็ใช้พระขรรค์ป้องกันได้อย่างทันท่วงที และได้ทีตอบโต้กลุ่มชายชุดดำอย่างกล้าหาญ รังสิพันธุ์ชักกันหยั่งที่แนบอยู่ตรงบั้นเอวปราดจะเข้าไปช่วยเจ้ามหาชีวิตและผู้เป็นน้าและญาติสนิทเพียงคนเดียวของตนที่เหลืออยู่ แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงตัวศัตรู จู่ๆก็มีเงาดำวูปอีกคนเป็นเงาที่ 8 เข้ามาประชิดด้านข้างของ รังสิพันธุ์ อย่างรวดเร็ว

“ระวัง” เสียงของอีกคนที่อยู่ในร่างของรังสิมันต์ตะโกนก้อง แต่ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ชายชุดดำคนที่ 8 จ้วงแทงด้วยมีดเข้าที่บริเวณชายโครงของรังสิพันธุ์เสียแล้ว
ร่างของรังสิพันธุ์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นและทุกอย่างก็มืดลง........
ชายชุดดำผู้นั้นกำลังจะจ้วงแทงรังสิพันธุ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็ต้องกระโดดหลบเพราะมีแสงสีเงินวาบกำลังพุ่งเข้ามาตนเองอย่างรวดเร็ว มันคือกั้นหยั่งที่เจ้ามหาชีวิตศศินธรควักออกมาจากบั้นพระองค์และเขวี่ยงออกมาใส่ชายชุดดำผู้นั้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็เป็นเวลาที่ทหารรักษาการที่ได้ยินเสียงเอะอะ ก็กรูกันเข้ามาล้อมไว้เป็นครึ่งวงกลุ่ม ชายชุดดำทั้ง 8 ถอยไปรวมกันอีกด้าน
 เจ้ามหาชีวิต ตะโกนสั่ง เรียกพลธนู ชายชุดดำทั้ง 8 คนเห็นท่าไม่ดี หัวหน้าชุดสังหารตะโกนสั่งลูกน้องอีก 7 คนว่า “ถอย” แล้วชายชุดดำทั้งหมด ก็ถอยเข้าพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นเพียงเงาวูปกระโดดข้ามกำแพงออกไป
“ไม่ต้องตาม” เจ้ามหาชีวิตตะโกนสั่งเหล่าทหารที่กรูกันตามกลุ่มมือสังหาร
“พารังสิพันธุ์เข้าไปในห้อง ให้ใครตามหมอหลวงมาด้วย”  สิ้นเสียงคำสั่ง กษัตราธิราชแห่งลวปุระ ทหาร
ก็รีบมาอุ้มร่างของรังสิพันธุ์ขึ้นไปบนเรือ
“รังสิพันธุ์...รังสิพันธุ์ เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ.....”เสียงเจ้ามหาชีวิตเรียกชื่อผู้เป็นหลานชายไปตลอดทาง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2019 10:29:44 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 2  การพบกันของโชคชะตา

บนเรือนใหญ่ในห้องกลางที่กำลังโกลาหล จุดศูนย์กลางของทุกคนอยู่ที่บนตั่งกับชายหนุ่มที่นอนหมดสติ อยู่บนนั้น หมอหลวงกำลังสาละวนกับการห้ามเลือดให้หยุดไหล ในขณะที่เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ลมหายใจที่รวยริน กลับค่อยๆเบาลงทุกที จนในที่สุดก็หมดกำลังลงและหยุดนิ่งลง 
“ท่านรังสิพันธุ์สิ้นแล้วพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงทูลกับเจ้ามหาชีวิตว่า
“เจ้าว่าอย่างไงนะ” เจ้ามหาชีวิตศศินธรตกพระทัยเมื่อได้ยินหมอหลวงทูล
“แผลไม่ลึกนี่แต่ทำไมทำให้ถึงตายได้ล่ะ” ผู้เป็นน้าชายทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฤาว่า” ยังไม่ทันสิ้นคำของเจ้ามหาชีวิต
“ไปเรียกท่านราชครูเข้ามา บัดเดี๋ยวนี้” สิ้นเสียงอันทรงอำนาจนั้น ทหารก็วิ่งไปตามราชครูพรหมรัตน์ที่รอเฝ้าอยู่ด้านหน้าเข้ามาทันที
“ท่านเข้าไปดูที่แผลของหลานชายข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น” องค์ศศินธร รับสั่งกับท่านราชครู
ท่านราชครูเข้าไปดูแผลเพียงครู่เดียวก็ออกมาคุกเขาถวายบังคมเจ้ามหาชีวิต
“โดนมีดลงอาคมพระเจ้าค่ะ”
“ยังมีหนทางอีกฤาไม่” องค์ ศศินธร ถามท่านราชครูอย่างร้อนรน
“ไม่มีแล้วพระเจ้าค่ะ” ท่านราชครูทูลตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“งั้นเตรียมพิธีเปิดผนึกให้ข้า แล้วเร็วที่สุดด้วย”
เสียงเด็ดขาดจากเจ้ามหาชีวิต ทำให้ทุกคนรีบเตรียมบริเวณทำพิธี เตรียมทั้งอุปกรณ์ที่สำคัญก็ถูกจัดเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็ว

“ศศินธร เจ้าจะปลุกข้าฤา” เสียงคนในความทรงจำก้องวนอยู่ในร่างที่ไม่หายใจนั้น

ภาพความทรงจำค่อยๆพรั่งพลูเข้ามาดังสายน้ำ แต่เป็นสายน้ำที่ไหลทวนกลับ วันเวลาที่หวนคืนวนกลับไป 20 ปีที่แล้ว

   ชายหนุ่มรูปงามในเสื้อผ้าฝ้ายขอตั้งแขนยาวสีกลีบบัวปลายแขนขลิบทอง ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงลัดด้วยลัดเกล้าสีทอง สวมสังวาลประดับด้วยพลอยสีชมพูเม็ดใหญ่ นุ่งโจงสึกลีบบัวปักลายขลิบทอง ปล่อยชายยาว
    “เสด็จแม่” เสียงชายหนุ่มผิวขาวละเอียด ใบหน้าแฝงไปด้วยความสนุกสนาน สดใส ร่าเริง สมวัย 17 ปีที่กำลังก้มลงกราบที่พระบาท หญิงวัยกลางคนแต่ทว่ายังคงงดงามและสง่างาม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตา
    “ตั้งใจเล่าเรียนนะลูก ดูแลตัวเองดีๆ” เสียงนั้นอ่อนโยนและห่วงใย พร้อมกันนั้นพระนางเจ้าก็เอื้อมพระหัตถ์มาลูบที่เศียรของพระราชบุตรองค์เล็ก เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่จะจากกันไปเป็นแรมปี
   “พระเจ้าค่ะ” เสียงสดใสร่าเริงตอบกลับ พร้อมกับลุกขึ้นคลานเข้าไปสวมกอดพระราชมารดา
   “อย่ามัวแต่เล่น ตั้งใจเล่าเรียน กลับมาจะได้ช่วยพ่อบำรุงบ้านบำรุงเมือง” เสียงใหญ่ๆนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยพลังและความเมตตาของพระรามาธิบดีตรัสกับพระราชโอรส
   “ก็มีเจ้าพี่ช่วยอยู่แล้วนี่พระเจ้าค่ะ” เสียงร่าเริงทูลตอบพระราชบิดา
   “เจ้านี่มันช่างเถียง” พระราชบิดาทรงตำหนิ  ชายหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาวที่รู้ว่ายั่วพระราชบิดาของตนได้สำเร็จอีกครั้ง
   “จะได้มาช่วยพี่เจ้าอีกแรง ภาระจทั้งหมดจะโยนให้พี่เจ้าหมดเลยหรือไง” พระรามาธิบดีทรงบ่นต่อ
   “พระเจ้าค่ะ ลูกจะจำไว้ และจะตั้งใจเรียน” ชายหนุ่มรับคำพระราชบิดา
   “เจ้าลูกคนนี้นี่ มันน่านัก”

  “เอาล่ะอย่ามัวร่ำไร หนทางยังอีกไกล จงรีบเดินทางเถอะ”  เสียงพระรามธิบดีตรัสกับพระราชบุตรพระองค์เล็ก
ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นราชกุมารองค์เล็กแห่งจันทราบุรีศรีปุระถวายบังคม พระราชบิดาและพระราชมารดา อีกคราก่อนจะทูลลาออกจากพระที่นั่ง ก้าวขึ้นเสลี่ยงที่เทียบรอไว้ก่อนหน้า แล้วขบวนเสด็จก็เริ่มเคลื่อนออกจากพระราชวัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองบ้านเมืองของตัวเองอีกครา และพยายามจดจำทุกอย่างเอาไว้ในความทรงจำ กาลข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ด้วยภาระหน้าที่ของตัวเองที่ในฐานะราชกุมารแห่งจันทราบุรีจำต้องแบกภาระไว้โดยมิปิดปากบ่น

ขบวนเสลี่ยงเกรียติยศของเจ้านายของจันทรวงศ์ประกอบด้วย มหาดเล็กถือธงสามชาย 4 ธง ตำรวจหลวงถือดาบนำหน้าเสลี่ยง 2 นาย เสลี่ยงหลวง มหาดเล็กถือพระกรด 1 ตำแหน่ง มหาดเล็กอัญเชิญพานเครื่องสูง 4 ตำแหน่ง และตำรวจหลวงปิดท้ายชบวนอีก 4 นาย
ขบวนเสลี่ยงเคลื่อนมาถึงประตูเมือง องค์รังสิพันธุ์ สังเกตเห็นบนพระที่นั่งองค์น้อย  มีชายหญิงสูงศักดิ์และทรงอำนาจคู่หนึ่งยืนรออยู่บนพระที่นั่งนั้น
“เจ้าพี่รังสิมันต์ เจ้าพี่ดาราวดี” องค์อุปราชแห่งจันทราบุรี กับ พระราชชายา ซึ่งทรงเป็นราชธิดาแห่ง ลวปุระ ทรงอภิเศษเป็นสะใภ้หลวงกับเจ้าพี่รังสิมันต์
“วางเสลี่ยงลง” องค์รังสิพันธุ์ทรงสั่งมหาดเล็กให้หยุดขบวน แล้วก้าวพระบาทลงจากเสลี่ยง เสด็จพระดำเนินเข้าไป ถวายบังคมกับองค์มุงกุฎราชกุมารแที่มีศักดิ์พี่ชายแท้ๆกับพระราชชายา
“ข้ามาส่ง” องค์รังสิมันต์ตรัสกับน้องชาย
“พระเจ้าค่ะ” เสียงสดใสตอบกับผู้เป็นพี่ชาย
“ฝากดูแล้วเสด็จพ่อกับเสด็จแม่แทนค่าด้วยนะพระเจ้าข้า “ องค์รังสิพันธุ์หันไปตรัสกับ องค์ดาราวดีผู้เป็นพี่สะใภ้
“ไม่ต้องห่วงจ่ะ มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว” เสียงนุ่มนวลตอบกลับผู้เป็นน้องสามี
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเพคะ” องค์ดาราวดีทรงอวยพร
“งั้นหม่อมชั้นทูลลาทั้ง 2 พระองค์” องค์รังสิพันธุ์ถวายบังคมลา
ราชกุมารองค์เล็กแห่งจันทราบุรีกลับลงมาจากพระที่นั่งองค์น้อยกลับขึ้นเสลี่ยง ขบวนเสลี่ยงเลียบตามถนนไปยังท่าน้ำ และเสด็จขึ้นเรือพระที่นั่งล่องแม่น้ำจันทบุรีออกไปยังปากแม่น้ำ
การเดินทางครั้งนี้ จุดหมายคือ กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ที่เป็นเมืองเอกของแคว้นอโยธยา ที่เติบโตขึ้นมาทีหลังลวปุระแต่เจริญขึ้นมาอย่างรวดเร็วและถือเป็นเมืองคู่แฝดของลวปุระ แต่มีการปกครองแยกตาหากออกมาเป็นเอกเทศ เมื่อออกจากปากน้ำจันทบุรี ก็ต้องเปลี่ยนขึ้นเรือสำเภาเพื่อเลาะชายฝั่งจากจันทราบุรีไปจนถึงปากน้ำเจ้าพระยา และเข้าไปยังอโยธยาได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนเรืออีกรอบ เพราะแม่นำเจ้าพระยาเป็นแม่น้ำใหญ่และมีร่องน้ำที่ลึกพอที่เรือสำเภาเข้าถึงตัวเมืองอโยธยาได้เลย
สำนักตักศิลาของอาจารย์ท่านนี้ เป็นที่เคารพนับถือมากมายจากหลายแคว้นในดินแดนสุวรรณภูมิ ท่านพระอาจารย์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ทวารวดีวงศ์แห่งอาณาจักรศรีทวารวดีศวรปุณยะ ซึ่งเป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่เคยตั้งครอบคลุมดินแดนตั้งแต่ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะอาณาจักรอีสานปุระเจิรญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่ แม้กระทั่งแคว้นอโยธยาเองก็สืบเชื้อสายมาจากทวราวดีวงศ์ ก่อนจะแยกออกมาตั้งราชวงศ์ ศรีรามเทววงศ์ปกครองแคว้นอโยธยา ทุกแคว้นในลุ่มน้ำแถบนี้ต่างส่งราชนิกุลมาร่ำเรียนที่นี่  เจ้าพี่รังสิมันต์ก็จบมาจากสำนักนี้ สำนักแห่งนี้นอกจากจะสอนด้านคาถา มนตรา อาคม แล้วก็สอนศิลปะการต่อสู้ กลยุทธ พิชัยสงคราม การแพทย์  การปากครองที่สำคัญคือสอนหน้าที่ของกษัตริย์
สำนักตักศิลานี้รับศิษยเฉพาะที่เป็นราชนิกุลเท่านั้น และรับ 4 ปีต่อ 1 ครั้ง ปีนี้เป็นปีที่รับศิษย์จึงมีราชนิกุลมารวมกันเกือบ 20 แคว้น ดังนั้นนอกจากจะเป็นสถานที่ร่ำเรียนวิชาต่างๆแล้ว ก็ยังเป็นสังคมของชนขั้นปกครองของแคว้นต่างๆในลุ่มน้ำ กก โขง ปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา  แม่กลอง  ท่าจีน  บางปะกง เพชร แลจันทบูรณ์และดินแดนสุวรรณภูมิทั้งมวล
ที่แคว้นต่างๆต้องคบหา หรือบางครั้งถึงกับมีการแต่งงานข้ามราชวงศ์กัน ก็เพราะต้องกาต่อต้านอำนาจของ อีสานปุระ ที่พยายามควบคุม กดขี่ แม้กระทั่งใช้การแต่งงานเพื่อบังคับให้บรรดาแคว้นต่างๆแถบนี้เป็นประเทศราช ที่ต้องส่งบรรณาการเป็นประจำให้ทุกปี เพราะถึงแม้บรรดาแคว้นต่างๆบริเวณสุวรรณภูมิจะแบ่งเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยก็ตาม แต่ตั้งแต่จีนที่เป็นมหาอาณาจักรทางตอนเหนือเริ่มส่งกองเรือสำเภาออกมาค้าขายกับดินแดนต่างๆ และการเข้าถึงได้ง่ายโดยทางน้ำของเหล่าแคว้นในสุวรรณภูมิ การข้าค้าขายเจริญรุ่งเรือง มากกว่าอีสานปุระ และจีนก็ให้ความสำคัญกับอโยธยากับดินแดนที่อยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน ถึงขนาดเคยส่งพระราชธิดามาอภิเศษกับเจ้าแคว้นอโยธยา ทำให้อาณาจักรอีสานปุระเริ่มหวั่นไหวที่และกลัวที่จะสูญเสียอำนาจลง แต่กระนั้น อีสานปุระ ก็ยังคงพยายามที่จะรักษาอำนาจของตนเองที่บรรพชนอุตส่าห์แย่งชิงมาจากแคว้นศรีทวารวดีศวรปุณยะอย่างยากลำบาก ไว้อย่างเต็มกำลัง

ขบวนเสลี่ยงเกรียติยศค่อยๆลัดเลาะจากฝ่าฝูงชนจากที่พักมาจนถึงท่าน้ำ
“วันนี้แล้วสินะ” ขายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง และแล้ววันที่ต้องเข้าไปยังสำนักตักศิลาก็มาถึง
ที่ศาลาใหญ่ริมท่าน้ำเจ้าพระยา ขบวนเสลี่ยงขององค์รังสิพันธุ์มาถึงเป็นขบวนที่ 2 มีขบวนเสลี่ยงเกรียติยศเทียบลงก่อนหน้าแล้วอยู่ 1 ขบวน ขบวนเสลี่ยงนั้นประกอบด้วย มหาดเล็กถือบังแทรก 4 คัน ตำรวจหลวงถือดาบคู่ 2 นาย มหาดเล็กอัญเชิญพระกลดกางกั้น 1 นาย มหาดเล็กอัญเชิญเครื่องสูง 4 นาย ตำรวจหลวงถือดาบคู่ปิดท้ายขบวนอีก 2 นาย แสดงว่าเป็นขบวนเสลี่ยงของพวกพัชรวงศ์แห่งแคว้นพัชราบุรี แคว้นที่เป็นแคว้นที่เจริญรุ่งเรื่องเพราะการค้าด้วยเพราะมีพื้นที่ครอบคลุมและเชื่อมทั้ง 2 ฝั่งสมุทรเข้าด้วยกัน  แคว้นตั้งอยู่ทางทิศหรดีของอโยธยา
ในศาลาแห่งนั้น มีตั่งวางเรียงราย ณ มุมหนึ่งมีชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคาย คิ้วได้รูป ขนพระเนตรแผ่เป็นแผง  ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงครอบด้วยรัดเกล้าสีทอง สวมเสื้อป้ายข้าง ผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน สวมสังวาลประดับด้วยพลอยสีฟ้า  นุ่งโจงสีน้ำเงินขลิบทองทับสนับเพลาสีเดียวกับโจง วัยไล่เลี่ยกับรังสิพันธุ์ นั่งอย่างสง่าผ่าเผย 
เสลี่ยงค่อยๆลดลง ขณที่รังสิพันธุ์กำลังจะก้าวลงจากเสลี่ยง
“มาถึงแล้วฤาองค์รังสิพันธุ์” เสียงทักมาจากด้านหลัง ขบวนเสลี่ยงเกรียติยศอีกขบวนกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา ขบวนเสลี่ยงนั้นประกอบไปด้วย มหาดเล็กชุมสาย(ฉํตร 3 ชั้น) จำนวน 4 นาย มีตำรวจหลวงถือดาบนำหน้าเสลี่ยง 2 นาย มหาดเล็กอัญเชิญถวายพระกรดกางกั้น 1 นาย ด้านหลังมีมหาดเล็กอันเชิญพานเครื่องสูง 4 นาย และตำรวจหลวงปิดท้ายขบวนอีก 4 นาย
บนเสลี่ยง คือองค์ศศินธร เป็นชายหนุ่มผิวขาว ใบหน้ารูปไข่ คิ้วได้รูป พระเนตรคม ผมสีดำรวบสูง ตรงมวยมิได้สวมลัดเกล้าหรือจุลมงกุฎ แต่ปักด้วยแผ่นทองคำสีดำรูปวงกลม สวมพระกุนฑลที่พระกรรณทั้ง 2 ข้าง สวมเสื้อคอตั้งผ้าฝ้ายสีแดงเข้มแขนยาว สวมสังวาลประดับด้วยทับทิม นุ่งโจงสีแดงเข้มขลิบทอง ปล่อยชายยาว แต่มิได้สวมสนับเพลา เป็นขบวนเสลี่ยงเกรียติยศขอพวก งลโวทัยวงศ์ แห่งแคว้นลวปุระ เราทั้ง 2 คนเคยรู้จักกันแล้วตั้งแต่งานอภิเศษของเจ้าพี่รังสิมันต์กับเจ้าพี่ดาราวดี จึงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“เจ้าพี่ศศินธร” เสียงรังสิพันธุ์ เอ่ยทักทาย พร้อมกับ ทรงคม เพราะศศินธรอายุมากกว่า รังสิพันธุ์ 2 ปี
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไร” องค์ศศินธร ก้าวลงจากเสลี่ยง ทรงรับทรงคมกลับองค์ รังสิพันธุ์
“ตั้งแต่เมื่อวานขอรับ”
“ฤา ไปนั่งคุยกันข้างในเถอะ” องค์ศศินธรลงจากเสลี่ยงและเสด็จพระดำเนินนำ องค์รังสิพันธุ์เสด็จพระราชดำเนินตามเข้าไปยังศาลา
ทั้งสองพระองค์เดินมาที่ตั่งที่ไม่ไกลจากตั่งที่ประทับของพวก พัชรวงศ์แห่งแคว้นพัชราบุรี องค์ปุณณวัชร ทรงยืนขึ้นรอรับสด็จ ทั้ง 2 พระองค์ อยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว มาถึงนานหรือยังองค์ปุณณวัชร”  พระองค์ศศินธร ทรงเอ่ยทักทาย
องค์ปุณณวัชรทรงคม  และทูลตอบ “สักครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
องค์ศศินธรทรงคมรับการทรงคมขององค์ปุณณวัชร
“อ่อ นี่ องค์รังสิพันธุ์ แห่งจันทราบุรี” “และนี่องค์ปุณณวัชรแห่งพัชราบุรี” องค์ปุณณวัชรแนะนำองค์รังสิพันธุ์ให้กับองค์ปุณณวัชร ทั้งสององค์ทรงคมซึ่งกันและกัน เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้ง 2 องค์ ที่จะเป็นการพบกันของโชคชะตา....

ขบวนเสลี่ยงที่กำลังจะลงเทียบกับเกยศาลา เป็นขบวนเสลี่ยงที่มีมหาดเล็กถือพุ่มทอง 4 พุ่ม ตำรวจหลวงถือหากนำหน้า 2 นาย มหาดเล็กอัญเชิญถวายกระกลดกางกั้น 1 นาย  มหาดเล็กเชิญเครื่องสูงตามหลังอีก 4 นาย และตำรวจหลวงถือหอกปิดท้ายอีก 2 นาย บนเสลี่ยงมีชายหนุ่มผมสีน้ำผึ้ง หน้าตาคมคาย เกล้าผมมวยสูงครอบด้วยจุลมงกุฎ สวมเสื้อแหลมผ้าฝ้ายสีม่วงน้ำเงิน นุ่งโจงสีม่วงเข้มชายด้านล่างขลิบทองทับสนับเพลาอีกที สวมกรองศอและสังวาลประดับด้วยพลอยสีม่วง เป็นขบวนเสด็จของพวกศิริธรรมวงศ์แห่งแคว้น ศิริธรรมนคร
ชายหนุ่มก้าวขึ้นจากเสลี่ยงแล้วเสด็จพระดำเนินไปที่หน้าตั่ง และทรงคม กับอีกทั้ง 3 องค์ที่ยืนรับอยู่แล้ว
“กะหม่อม มหรรณพ แห่ง ศิริธรรมนคร ขอรับ” องค์มหรรณพ ทรงแนะนำพระองค์เองให้กับอีก 3 องค์
“นี่ ปุณณวัชรแห่งพัชราบุรี และนี่ รังสิพันธุ์แห่งจันทราบุรี ส่วนกระหม่อม ศศินธรแห่งลวปุระ ขอรับ”
องค์ศศินธรในฐานะพี่ใหญ่ ทรงเป็นองค์กลางแนะนำ
            “เรือพร้อมแล้วพระเจ้าค่ะ”  คนนำทางเข้าไปยังสำนักตักศิลา กราบทูลทั้ง 4 พระองค์
    “ทุกพระองค์นำเสด็จมหาดเล็กติดตามได้องค์ละ 2 นายนะพระเจ้าค่ะ มันเป็นกฎของสำนัก ส่วนของใช้ส่วนพระองค์นำไปได้องค์และ 2 หีบ พระเจ้าค่ะ” คนนำทางกราบทูล
   “แล้วมหาดเล็กติดตามคนอื่นๆล่ะ” องค์ศศินธรทรงถามพนักงานคนนำทาง
   “อีกสักครู่จะมีคนมาเชิญไปที่เรือนพัก ที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่พระเจ้าค่ะ” 
   “เครื่องสูงกับเสลี่ยงต้องพักไว้ที่นี่ด้วยฤา” องค์มหรรณพ ทรงถามคุณพนักงาน
   “พระเจ้าข้า” เสียงทูลตอบจากพนักงานนำทาง

   เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้ง 4 พระองค์ก็สั่งมหาดเล็กนำหีบไปลงเรือสำหรับขนของอีกลำ และทั้ง 4 พระองค์กับมหาดเล็กอีก 8 นาย ก็ขึ้นเรืออีกลำ เรือค่อยๆแหวกกระแสน้ำตัดเป็นแนวเฉลี่ยงข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เรือเหมือนจะพุ่งชนตลิ่ง แต่เพียงชั่วครู่ก็ทะลุผ่านตลิ่งเข้ามา ที่เราภายนอกเราเห็นเป็นตลิ่ง เพราะเป็นเพียงภาพลวงตาและเป็นเกราะมนตราที่ทำให้มองเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะแท้ที่จริงแล้วมันเป็นเกาะที่อยู่กลางแม่น้ำแต่กระแสน้ำหลักอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ด้านหลังเป็นเพียงกระแสน้ำรองของแม่น้ำไม่กว้างนัก
คนนำทางนำเราไปที่เรือนพัก เป็นหมู่เรือนไทยใต้ถุนสูง ปลูกเรียงๆกันทั้งหมด 5 หมู่เรือน เรือนที่เราพักเป็นเรือนหลังที่ 2 มีห้อง 1 ห้องทางทิศเหนือและอีก 1 ห้องทางทิศใต้เป็นปีกทั้ง 2 ข้าง และทางทิศตะวันออก เรือนประธาน มี 2 ห้องนอน ตรงกลางมีศาลานก เป็นศาลากลางประจำเรือน 
   “รังสิพันธุ์ อยู่ห้องฝั่งทิศเหนือนะ”
   “ปุณณวัชร อยู่ห้องฝั่งทิศใต้ละกัน”
   “ส่วนเรากับมหรรณพ จะอยู่เรือนตะวันออกคนละห้อง” องค์ศศินธรทรงช่วยแจกจางที่พักให้ทุกองค์
มหาดเล็กช่วยกันยกหีบของของเจ้านายของตนเองแยกย้ายเข้าไปเก็บตามห้องของแต่ละองค์กันชลมุน

   บนศาลานกกลางบ้าน องค์รังสิพันธุ์ในฐานะน้องเล็กสุดบนเรือนแห่งนี้ ก็กำลังง่วนอยู่กับการชงพระสุธารสชา ถวาย เจ้าพี่ทั้ง 3 องค์ น้ำร้อนกำลังเดือดอยู่ในกาบนเตาน้อยสำหรับชงพระสุธารสชา องค์รังสิพันธุ์ คีบชาลงในถ้วยทั้ง 4 ใบ ก่อนจะค่อยๆเทน้ำร้อนลงในถ้วยทั้ง 4 ใบแล้ว ปิดฝา ทิ้งไว้สักครู่หนึ่งก็ยกถวาย องค์ศศินธร องค์ปุณณวัชร และองค์มหรรณพ ตลอดเวลามีสายพระเนตรคู่หนึ่งที่คอยเหลือบมอง การกระทำที่นุ่มนวล พิถีพิถันและฝึกฝนมาเป็นอย่างดีขององค์รังสิพันธุ์ตลอดเวลา
    “ขอบพระทัย” เสียงทั้ง 3 องค์พูดออกมาเกือบจะพร้อมๆกัน
   “ด้วยความยินดีขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ ยิ้มออกมาจนเห็นฟันสีขาว
เมื่อเสวยพระสุทธารสชาเสร็จไม่นาน  ก็เป็นเวลาพระกายาหารค่ำพอดี มหาดเล็กยกสำรับขึ้นมาถวายที่ศาลานกกลางเรือน ทั้ง 4 พระองค์ก็ทรงเสวยพระกายาหารค่ำด้วยกัน

เมื่อเสวยเสร็จ ทั้ง 4 องค์ก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก เมื่อเข้ามาถึงในห้อง รังสิพันธุ์เห็นมีเตียงไม้ ปูราดด้วยเสื่อ(ผ้าที่บุนุ่น) กับเขนย มีโต๊ะเตี้ยไว้ทรงอักษร มีตูไม้สูงประมาณเอว มีหน้าต่างทั้ง 3 ด้าน ไว้ระบายอากาศให้ไม่อบอ้าว ห้อยอุบ่ะปลายดอกจำปีทั้งสามบาน  ที่ริมหน้าต่างมี จะเข้ ตัวโปรดที่มหาดเล็กนำมาวางตั้ง
   เสียงจะเข้ก้องกังวาน แต่ท่วงทำนองกลับพลิ้วไหว ท่วงทำนองสดใส แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่าคนบรรเลง ซ่อนคิดคำนึงถึงบ้านเมืองและญาติมิตร ไว้ข้างในเสียงจะะเข้ที่ร่าเริงนั้น........

            คำนึงวนคิดถึง       เรื่องเก่า
            มิได้อยู่บ้านเรา        ไกลห่าง
            เลี่ยงได้อย่างใดเล่า    หน้าที่ขัตติยา
            ถวิลหาอุราเศร้า       คือสถานนิวาสเดิม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:18:42 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 3 แตกต่าง
   หลังจากตื่นบรรทม ทับมหาดเล็กองค์รังสิพันธุ์ยกอ่างสรงพระพักตร์ เข้ามาให้ทรงสรงพักต์รในห้อง ทับส่งไม้สีพระทนต์ถวาย องค์รงสิพันธ์ เปิดฝาตลับเกลือออก ก่อนจะนำไม้สีพระทนต์ไปปาดเกลือขึ้นมา ก่อนจะสีพระทนต์ หมาดเล็กเตรียมน้ำบ้วนพระโอษฐ์ในขันทอง กับกระโถน หลังจากสรงพระพักตร์เสร็จ มหาดเล็กยื่นผ้าซับพระพักตร์ให้ ชายหนุ่มคว้าผ้าขึ้นมาซับที่หน้าตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วก็รวบผมตัวเองเกล้าขึ้นมวยแล้วครอบด้วยลัดเกล้าที่กลางศรีษะอย่างทะมัดทะแมง
   “เรียบร้อยไหม” องค์รังสิพันธุ์หันมาถาม ทับ มหาดเล็กคนเสนิท แล้วชี้พระหัตถ์มาที่พระเกษา
   “เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ” มหาดเล็กรุ่นราวคราวเดียวกันทูลตอบ
   วันนี้องค์รังสิมันต์ทรงโจงสีกลีบบัวหลวงหม่นๆขลิบทองปล่อยชายยาวไม่สวมสนับเพลา เปลือยครึ่งพระองค์ด้านบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมส่วน อกผาย หน้าทองมีรอนกล้ามเนื้อดูแข็งแรง สวมเพียงสังวาลประดับด้วยพลอยชมพู เม็ดใหญ่ สินค้าส่งออกสำคัญของจันทราบุรี
เสียงระฆังเป็นสัญญาณเรียกดังกังวานไปทั่วบริเวร องค์รังสิพันธุ์ก้าวออกมาจากห้องมารอที่ศาลานกกลางเรือน เพื่อรอองค์อื่นลงจากเรือนไปพร้อมๆกัน วันนี้เป็นกราบพระอาจารย์และฝากตนเป็นศิษย์  องค์ปุณณวัชร ออกมาจากห้องฝั่งตรงกันข้าม องค์รังสิพันธุ์ทรงคม องค์ปุณณวัชร ยกพระหัตถ์ขึ้นรับทรงคม
“หุ่นดีเหมือนกันนะเนี่ย เมื่อวานเห็นสวมเสื้อ ที่แท้ก็ซ่อนรูปเหมือนกัน”  องค์รังสิพันธุ์พูดในใจเมื่อเห็นองค์ปุณณวัชร ก้าวออกมาจากห้อง ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงลัดครอบด้วยจุลมงกุฎ ทรงโจงสีสฟ้าเข้มขลิบทองทับสนับเพลา เปือยครึ่งพระองค์ด้านบน สวมสังวาลประดับด้วยพลอยสีฟ้าอ่อน

 ทั้งสององค์เดินมารอที่ชานเรือน องค์มหรรณพเสด็จออกจากห้องออกมาก่อน ผมเกล้ามวยสูงครอบด้วยจุลมงกุฎ เปลือยครึ่งพระองค์ รูปร่างได้รูปสมส่วน สวมสังวาลประดับพลอยสีม่วง นุ่งโจงสีม่วงขลิบทองทับสนับเพลาอีกที  องค์ศศินธรก็ตามออกมาในเวลาไล่ๆกันอีกองค์  องค์ศศินธร รวบผมมวยสูง ตรงมวยมิดได้สวมลัดเกล้าหรือจุลมงกุฎ แต่ปักด้วยแผ่นทองคำสีดำรูปวงกลม ที่พระกรรณสวมพระกุนฑล ทั้ง 2 ข้าง สวมสังวาลประดับด้วยทับทิม นุ่งโจงสีแดงขลิบทอง ปล่อยชายาวไม่สวมสนับเพลา  ทั้ง 4 องค์ทรงคมซึ่งกันและกัน  มหาดเล็กถวายพระแสงดาบให้แต่ละพระองค์ องค์ศศินธรเสด็จพระดำเนินนำอีก ทั้ง 3 พระองค์ลงจากเรือน

   ที่ศาลาใหญ่ยกใต้ถุนสูง เป็นศาลามหาสมาคมที่ใหญ่ที่สุดในสำนัก ก่อนจะขึ้นศาลา มหาดเล็กถวายน้ำล้างพระบาท ก่อนขึ้นไปบนศาลา ตรงกลางศาลามีโต๊ะเตี้ยสำหรับทรงพระอักษรพร้อมอาสนะนั่ง วางเรียงรายอยู่ 4 แถว แถวละ 5 โต๊ะ รวมทั้งหมด 20 โต๊ะ  โดยทั้ง 4 แถว แบ่งเป็น 2 ข้างๆและ 2 แถว กว้างประมาณ1 วา ด้านหน้าสุด พื้นยกระดับขึ้นไปอีกขั้น มีโต๊ะและตั่ง วางอยู่ ด้านซ้ายของโต๊ะใหญ่ มีโต๊ะเตี้ยทรงอักษรอีกตัวพร้อมอาสนะขนาดเท่ากับที่อยู่ด้านล่างวางอยู่อีก 1 ชุด

“เชิญทางนี้กระหม่อม”  มีเจ้าพนักงานของสำนักตักกศิลามาทูลเชิญพวกเรานั่งตามที่ทางสำนักจัดไว้

ส่วนพวกมหาดเล็กก็หาที่นั่งด้านริมๆ คอยสังเกตเจ้านายของตัวเองเป็นระยะ เพราะเพียงมองมาและพยักพระพักตร์ หรือกวักพระหัตถ์ ตัวมหาดเล็กก็จะต้องเข้าไปรับคำสั่งโดยทันที

เสียงระฆัง ดังกังวานอีกครา ชายวัยสูงอายุ ผมสีเงินยวงเกล้ามวยต่ำ หนวดเครายาวเป็นสีเงินยวงด้วยเช่นกัน ก้าวเดินออกมา สวมผ้านุ่งยาวสีขาวขลิบทอง ไม่ยกโจง  มีผ้าพาดอังสาสีขาวคลิบทอง ในมือถือลูกประคำสั้นขนาดพอดีกับมือ ส่วนมืออีกข้างถือธารพระกร (ไม้เท้า)  และมีชายหนุ่มอายุประมาณ 28 ปี ผมสีดำสนิท เกล้ามวยต่ำ ลัดด้วยลัดเกล้าสีทอง นุ่งผ้ายาวสีขาวขลิบทองไม่ยกโจงเช่นกัน เปลือยอกสวมสังวาลประดับด้วยเพชร มีผ้าคลุ่มเป็นผืนไม่เกิน 2 คืบ อ้อมด้านหลังพันที่แขนทั้ง 2 ข้างท่าทางสง่าผ่าเผย  ทั้งสองคนหยุดและยืนอยู่ตรงกลาง โดยผู้ที่อ่อนวัยกว่ายืนเยื้องออกมาด้านหน้าทางซ้าย

“ท่านผู้นี้มีนามว่า ชีวกทันตจารย์ จะเป็นพระอาจารย์ใหญ่ให้พวกท่าน” เสียงชายหนุ่มวัยกลางคนกล่าวแนะนำ อาจารย์ผู้เฒ่า
“ส่วนเราคือ  ธเนศวร จะรับหน้าที่เป็นอาจารย์รองให้พวกท่าน อย่างที่ทราบกันเราเชื้อพระวงส์องค์ของ ทวารวดีวงศ์แห่งศรีทวารวดีศวรปุณยะ”  เสียงองค์ธเนศวรก้องกังวานได้ยินไปทั่วทั้งศาลา

“ทุกที่ล้วนมีกฎ ขอให้ท่านทำตามกฎ กฎของสำนัก อยู่ในหนังสือใบลานที่ว่างอยู่บนโต๊ะทรงอักษรทุกตัวเรียบร้อยแล้ว ขอให้พวกท่านนำไปศึกษาและเรียนรู้ด้วย ถึงแม้จะเป็นราชนิกุลจากแคว้นต่างๆ ก็ต้องทำตามกฎ เพราะแม้ตัวเราเองก็เป็นราชนิกุลเหมือนกัน เราก็ต้องทำตามกฎของสำนักเช่นกัน”

“ทุกองค์เข้าพระทัยหรือไม่” เสียงองค์ธเนศวรเอ่ยถาม
“เข้าใจพระเจ้าค่ะ” เสียงตอบจากผู้ที่จะฝากตัวเป็นศิษย์

   จากนั้นก็เริ่มพิธีมอบตัวเป็นศิษย์และกราบพระอาจารย์ ที่สำนักตักศิลาไม่ได้มีธรรมเนียมอะไรยุ่งยากมากมายเพียงแนะนำตัว และยกพานบูชาครูอาจารย์ เพียงแค่นั้นก็จบพิธี

   “กระหม่อม ชลาสินธุ์ ศรีรามเทววงส์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” ชายหนุ่มวัยประมาณ 18 ปี ผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่ได้รูป ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงครอบด้วยจุลมงกุฎ เปลือยครึ่งพระองค์สวมสังวาลประดับด้วยเขียวส่องสีเขียว นุ่งโจงสีเขียวขลิบทองทับสนับเพลาอีกที คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า อโยธยาถือเป็นตัวแทนจากทิศมัชฌิมา เมื่ออาจารย์ผู้เฒ่ารับพานบูชาครูเรียบร้อย องค์ชลาสินธุ์ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปี ผิวสีเหลือง ใบหน้าคมคาย ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงครอบด้วยที่ลัดเกล้าสีทอง เปลือยอกสวมสังวาลประดับด้วยไพลินสีน้ำเงินสด นุ่งโจมสีน้ำเงินขลิบทองทับสนับเพลาสีเดียวกันกับโจง  คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า
   “กระหม่อม ฑิฆัมพร สุวรรณวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ”  องค์ฑิฆัมพรจากแคว้นสุวรรณภูมิถือเป็นตัวแทนจากประจิมทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์ฑิฆัมพร ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

   เจ้าพี่ศศินธรลุกขึ้นไปพร้อมพานบูชาครู “กระหม่อม ศศินธร ลโวทัยวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ”  เจ้าพี่ทรงคลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นลวปุระถือเป็นตัวแทนของบูรพาทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย เจ้าพี่ศศินธร ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

“กระหม่อม อโนทัย ศุขวรวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปี ผิวสีขาวละเอียด ใบหน้าคมคาย ดวงตายาวรี ขนพระเนตรเป็นแผงดำ ผมสีดำสนิทเกล้ามวยสูงครอบด้วยจุลมงกฎ เปลือยพระองค์ท่อนบน สวมสังวาลประดับด้วยไพทรูย์ สีเหลืองอ่อน ผ้านุ่งยาวสีเหลืองหม่นขลิบทอง ไม่ยกโจง   คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นสุโขทัยถือเป็นตัวแทนจากอุดรทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์อโนทัย ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

เจ้าพี่มหรรณพลุกขึ้นไปพร้อมพานบูชาครู “กระหม่อม มหรรณพ ศิริธรรมวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ”  คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นศิริธรรมถือเป็นตัวแทนของทักษิณทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย เจ้าพี่มหรรณพ ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

ชายหนุ่มวัยประมาณ 18 ปี ผิวสีขาวสะอาด ใบหน้ารูปไข่  โผกพระเศียรด้วยผ้าสีชมพูอมส้มมัดแบบชาวเชียงทอง ผมเกล้ามวยสูงครอบด้วยลัดเกล้าสีทอง เปลือยอกสวมสังวาลประดับด้วยพลอยสีชมพูอมส้ม นุ่งโจงสีชมพูอมส้มขลิบทองทับสนับเพลา  คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า
“กระหม่อม สว่างควัฒน์ นาคินวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” องค์สว่างควัฒน์จากแคว้นเชียงทองถือเป็นตัวแทนจากอีสานทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์สว่างควัฒน์ ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

ครานี้ถึงคราวขององค์รังสิพันธ์ “กระหม่อม รังสิพันธุ์ จันทรวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” ชายหนุ่มคล้านเข่าพระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นจันทราบุรีถือเป็นตัวแทนจากอาคเนย์ทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์รังสิพันธุ์ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์
   
“กระหม่อม ปุณณวัชร วัชรวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” ชายหนุ่มคล้านเข่าพระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นพัชราบุรีถือเป็นตัวแทนจากหรดีทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์ปุณณ์ ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์
   
ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปี ผิวสีขาวละเอียด ใบหน้าได้รูปคมคาย คิ้วเข้ม ดวงตายาวรี  โผกเกล้าต่างจากองค์อื่นๆ เหนือผ้าโพกเกล้านั้นมีที่รัดเกล้ารัดมวยผมด้านบนอีกที  เปลือยอกสวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยสีม่วงแดง นุ่งโจงสีม่วงแดงขลิบทอง คล้ายแบบของลวปุระแต่ไม่ปล่อยชาย สวมพระกุณฑลที่พระกรรณทั้ง 2 ข้าง  คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า
“กระหม่อม อนันตราช ไชยวงศ์ ขออภิวาทและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” แคว้นเหริภุญชัยถือเป็นตัวแทนจากพายัพทิศ เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์อนันตราช ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

“ข้าพเจ้า ศรีวังสา มหาวงศ์ ขอเคารพและถวายตัวเป็นศิษย์ แก่ท่าน ชีวกทันตจารย์ ขอท่านจงรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเทอญ” ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ปี ผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้ม โผกเกล้าแบบแขกทางมลายูแตกต่างองค์อื่นๆดูแปลกตา   เปลือยอกสวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยสีเทาล้อมด้วยเพชร นุ่งโสร่งยาวแบบแขกมลายูสีเทาเข้มขลิบทองที่บั้นพระองค์เหน็บกริชยาวประมาณ 1 ศอก คลานเข่า พระหัตถ์ถือพานธูปเทียน ไปต่อหน้าอาจารย์ผู้เฒ่า แคว้นมหาวังสาถือแคว้นที่อยู่ทางใต้สุด เมื่อถวายพานบูชาครูเสร็จเรียบร้อย องค์ศรีวังสา ก็ถอยกลับมาประทับที่โต๊ะทรงอักษรของพระองค์

   จากนั้น องค์ที่เหลือจากเมือง บางยาง ฉอด ปวนคร พลนคร ศรีเทพ หิรัญนคร พะเยา เขมรัฐ หอคำเชียงรุ่ง และสิบสองจุไท ก็ถวายตัวเป็นศิษย์ของ ชีวกทันตจารย์กันตามลำดับ 
   หลังจากถวายตัวเป็นศิษย์กันครบทั้ง 20 องค์เรียบร้อย
   “วันนี้เป็นอันเสร็จพิธี อย่าลืมกลับทบทวนกฎ ข้อห้ามของสำนักเราด้วย” เสียง องค์ธเนศวร ก้องกังวาน
   “เย็นนี้มีเลี้ยงพระกายหารค่ำถวายทุกพระองค์ที่ศาลาแห่งนี้ เจ้าภาพคือ องค์ชลาสินธุ์ แห่งอโยธยา” เสียงองค์ธเนศวรประกาศกลางที่ประชุม
   “ถือเป็นการต้อนรับทุกพระองค์สู่อโยธยาขอรับ” องค์ชลาสินธุ์กล่าวด้วยพักตร์เปื้อนยิ้ม
   “พรุ่งนี้ย่ำรุ่งของให้ทุกองค์เตรียมพร้อม เราจะพาพวกท่านเข้าเฝ้าถวายบังคม สมเด็จพระรามาธิปดีแห่งอโยธยา ที่พระราชวังหลวง อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งกับมหาดเล็กของพวกท่านที่พักอยู่นอกเกาะสำนักตักศิลา ให้เตรียมขบวนเสลี่ยงเกรียติยศพร้อมเครื่องสูง ขอให้ทุกท่านแต่งพระองค์เต็มพระยศ”

“สำหรับวันนี้แยกย้ายทรงพระสำราญตามอัชฌาสัย พบกันอีกครั้งตอนย่ำค่ำ”  สิ้นเสียงองค์ ธเนศวร อาจารย์ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืน ศิษย์ใหม่ทุกคนก้มลงกราบที่พื้น 1 ครั้ง อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ แล้วค่อยเดินออกไป โดยมีองค์ธเนศวร เสด็จพระดำเนินตาม
   หลังจากพระอาจารย์ออกจากศาลาไปแล้ว ก็มีการจับกลุ่มเป็นกลุ่มๆทักทาย สอบถามถึงพระญาติพระวงศ์ เพราะแต่ละเมืองแต่ละแคว้นแต่ละวงศ์ส่วนมากก็เป็นญาติเกี่ยวดองกันทั้งสิ้น และยังมีการนัดรับของฝากที่แต่ละองค์ฝากถึงกันอีกด้วย
   องค์ปุณณวัชรค่อยๆแยกองค์ออกจากมหาสมาคมอย่างเงียบๆ โดยมีมหาดเล็กเดินตาม ทรงพระดำเนินออกจากศาลาใหญ่
   “ตานี่สงสัยไม่ชอบที่คนเยอะๆแน่” รังสิพันธุ์คิดในใจเมื่อเห็น องค์ปุณณวัชรค่อยๆปลีกตัวออกไป
   เมื่อเห็นดังนั้นองค์รังสิพันธุ์จึงค่อยๆขอตัวจากกลุ่มสมาคมและตามองค์ปุณณวัชรออกไป มหาดเล็กทั้ง 2 รีบตามเสด็จ
   “องค์ปุณณวัชร” เสียงร่าเริงขานพระนาม ทำให้คนที่ถูกขานนามนั้นหยุดพระบาท
   “ทรงเบื่อฤา” เสียงหอบขององค์รังสิพันธุ์ เพราะทรงวิ่งตามออกมา และมาหยุดหอบตัวโยนต่อหน้าองค์รังสิพันธ์
   “............” ไม่มีเสียงตอบกลับ
   สายตาที่ก้มต่ำเพราะหอบเหลือบเห็น พระบาทคู่นั้นชักกลับและก้าวเดินออกไป
   “แปลกคนเสียจริง” องค์รังสิพันธุ์ทรงบ่นกระปอดกระแปดในใจ  แต่ความพยายามยังไม่ลดละ
   “ข้าเรียกท่านว่าองค์ปุณณ์ได้ไหม” คราวนี้พระบาทที่กำลังก้าวออกไปหยุดชะงักและหันกลับมา”
องค์ปุณณวัชร พยักหน้าให้หมาดเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังให้ถอยออกไป องค์รังสิพันธุ์ก็พยักหน้า มหาดเล็กขององค์รังสิพันธ์ก็ถอยออกไปด้วยเช่นกัน

   “เราสนิทกันตอนไหนฤา” เสียงเย็นๆตอบกลับมา แต่สิ่งที่เห็นก็คือ รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟนขาวของชายหนุ่มรุ่นน้อง รูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า
   “ก็ตั้งแต่ตอนนี้ไง” เสียงร่าเริงแบบคนไม่ยอมแพ้ และเดินตามเข้ามายืนต่อหน้าพระพักตร์คนถาม
   “หึ” เสียงออกจากลำพระศอ แล้วก็หันกลับชักพระบาทเดินมุ่งหน้ากลับไปที่เรือน อีกคนก็เดินต่างไปข้างหลังอย่างไม่ลดละ
   “กระผมได้ยินมาว่า แต่ละเรือนมีเจ้านายพำนักอยู่แตกต่างกัน
   หมู่เรือนหลังแรกเป็นที่ประทับของ องค์อโณทัยแห่งสุโขทัย องค์ทิวากรแห่งบางยาง องค์ภานุพงส์แห่งฉอด และองค์ญาณวัตรแห่งศรีเทพ
   หมู่เรือนหลังที่สอง เป็นของพวกเรา จากจันทราบุรี พัชราบุรี ลวปุระ และศิริธรรม
   หมู่เรือนหลังที่สามเป็นที่ประทับของ องค์สว่างวัฒน์แห่งเชียงทอง แสนภูคาแห่งปัวนคร องค์แสนคำหลวงแห่งหอคำเชียงรุ่ง องค์ไตรแสนไทแห่งสิบสองจุไท
   หมู่เรือนหลังที่สี่ เป็นที่ประทับของ องค์ชลาสินธุ์แห่งอโยธยา องค์ฑิฆัมพรแห่งสุพรรณภูมิ องค์ชามีนชารีฟ องค์ลวจักรแห่งหิรัญนคร
     หมู่เรือนหลังที่ห้า เป็นที่ประทับขององค์อนันตราชแห่งหริภุญชัย องค์แก้วอินแถงแห่งเขมรัฐ  องค์สิงหพลแห่งพลนคร
แล้วเหลือใครอีกนะ ข้านึกไม่ออก” เสียงที่สดใสร่าเริงเจื่อยแจ้วของเด็กหนุ่มยังคงพูดเป็นเชิงคำถามเพื่อหยั่งเชิงว่า อีกฝ่ายที่ดินอยู่ด้านหน้าฟังอยู่หรือเปล่า
“ องค์มิ่งเกษแห่งพะเยา” เสียงตอบแบบตัดรำคาญขององค์ปุณณวัชรตอบออกมา
   “อืมม ใช่ๆ” เสียงเด็กหนุ่มที่ร่าเริง รีบรับคำ
   นี่เราจะต้องมีเจ้าเด็กคนนี้ตามติดเหมือนเป็นเงาตามตัวของเราไปตลอด 3 ปีที่เรียนอยู่ที่นี่กระนั้นฤา องค์ปุณณ์โชติคิดในใจ พร้อมกับเหลือบพระเนตรมองบน ก่อนจะเสด็จพระดำเนินขึ้นเรือน โดยมีเสียงถามโน่นถามนี่ของรังสิพันธุ์เจื่อยแจ้วเป็นนกขุนทองตามหลังไปตลอดกระนั้นฤา.........


ผนวกหนึ่ง แผนที่เมืองต่างๆในเรื่องครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2019 10:28:03 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เครดิตรูปภาพจาก เพจหงษาวดี นะครับ แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่องนี้ก็มาจากชุดสวยๆจากเพจนี้แหละครับ^^
https://www.facebook.com/hongsawadee.chiangmai/

มาทำความรูจักตัวละครในเรื่องกันครับ^^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:19:48 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0








แผนที่แคว้นต่างๆในเรื่องครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:20:41 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เครดิตรูปภาพจาก เพจหงษาวดี นะครับ แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเรื่องนี้ก็มาจากชุดสวยๆจากเพจนี้แหละครับ^^
https://www.facebook.com/hongsawadee.chiangmai/

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 4 พายุที่กำลังก่อตัว


งานเลี้ยงเมื่อคืนทำให้พวกเราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ได้สนทนากันมากขึ้น ทั้งเรื่องบ้านเมือง เรื่องแนวคิดทางการเมือง แม้กระทั่งเรื่องที่เป้าหมายที่จะเป็นอิสระจากเป็นประเทศราช อีสานปุระ
   ทั้ง ทับและเที่ยง มหาดเล็กคนสนิทขององค์รังสิพันธุ์เข้ามาช่วยแต่งพระองค์ แต่เช้า เพราะวันนี้ต้องทรงเครื่องเต็มพระยศ ชายหนุ่มมวยผมสูงครอบลัดเกล้า สวมเสื้อผ้าฝ้ายขอตั้งแขนยาวสีกลีบบัวปลายแขนขลิบทอง สวมทับทรวงรูปสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน ทรงกรองศอ ทับสายทับทรวงอีกที สวมสังวาลประดับพลอยสีชมพู นุ่งโจงสีกลีบบัวเข้มขลิบทองปล่อยชายยาว 
   เมื่อองค์รังสิพันธุ์ก้าวออกมาจากห้องก็พบว่า อีก 3 องค์ทรงรออยู่ที่ศาลานกกลางเรือนแล้ว องค์รังสิพันธุ์รีบพระดำเนินเข้าไปที่ศาลา ทรงคม
   “ขอประทานอภัย กระหม่อมสาย” องค์รังสิพันธุ์รีบทูล เพราะทำให้ทุกองค์ต้องรอ   
   “ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ” องค์ศศินธร ทรงตอบแล้วลุกขึ้นยืนเสด็จพระดำเนินนำหน้า วันนี้ทุกพระองค์แต่งพระองค์และทรงเครื่องเต็มยศ ซึงมีรายละเอียดเล็กๆน้อยที่แตกต่างกัน แต่ก็สวยงามตามแบบฉบับของแต่ละแคว้น
   มาถึงท่าน้ำ ทั้งหมด 17 องค์ ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ รออยู่ทีท่าน้ำเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของพวกเราเป็นกลุ่มสุดท้าย
เครื่องแต่งพระองค์ขององค์แสนคำหลวงแห่งแคว้นหอคำเชี่ยงรุ่ง ดูแปลกตา องค์แสนคำหลวงเป็นชายหนุ่มวัยประมาณ 19 ปีเศษ ผิวสีขาวละเอียดเพราะมาจากเขตหนาว คิ้วไดรูป ดวงตายาวรี ใบหน้ารูปคม องค์แสนคำหลวง  โผกเกล้าตามแบบฉบับไทลื้อ  ซึ่งเป็นแคว้นอยู่เหนือสุดติดชายแดนจีน สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีน้ำเงินครามแขนยาวปลายแขนคลิบทอง สวมทับทรวง ทรงกรองศอทับอีกที สวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยสีน้ำเงินเข้ม สวมสนับเพลาสีกรมท่าขลิบทอง ไม่นุ่งโจงทับอีกที ดูแปลกตา

และเครื่องแต่งพระองค์ขององค์ไตรแสนไทแห่งสิบสองจุไท ก็ดูแปลกตาไม่แพ้กัน องค์ไตแสนไทเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 18 ปีเศษ ผิวขาวละเอียดเพราะมาจากเขตหนาว คิ้วหนาเป็นเส้นตรง ดวงตายาวรี ใบหน้ารูปไข่ โผกเกล้าตามแบบฉบับไทดำ ซึ่งแคว้นสิบสองจุไทมีเมืองแถนเป็นเมืองเอก ตั้งอยู่ระหว่าง เชียงรุ่ง กับอาณาจักรไดเวียต องค์ไตรแสนไทสวมเสื้อขอจีนแต่ป้ายมากลัดกระดุมด้านข้างสำน้ำตาลเข้มแขนยาว มีทับทรวง สวมกรองสอ อังสาด้านซ้ายมีสังวาลประดับด้วยพลอยสีน้ำตาลเข้ม สวมสนับเพลาสีน้ำตาลไหม้ขลิบทอง
   ส่วนองค์แสนภูคาแห่งปวนคร เป็นชายหนุ่มอายุราว 19 ปีเศษ ผิวขาวละเอียด คิ้วได้รูป ใบหน้าคมคาย มวยผมสูงครอบด้วยรัดเกล้า สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีส้มอ่อนแขนยาว ทรงกรองศอแต่ไม่ทรงทับทรวง  สวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยสีส้ม 2 เส้นพาดตัดกัน นุ่งผ้าสีส้มเข้มคลิบทองไม่ยกโจง  ปวนครเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางเหนือระหว่างแคว้นเชียงทองกับแคว้นสุโขทัย
องค์ ลวจักรแห่งหิรัญนคร เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี ผิวสีขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่  โผกเกล้า ต่างจากองค์อื่นๆ  เหนือผ้าโพกเกล้านั้นมีที่รัดเกล้ารัดมวยผมด้านบนอีกที  สวมเสื้อสีเขียวอมน้ำเงินแขนยาวปลายแขนคลิบทอง ทรงกรองศอและสวมทับทรวง แลสวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยเขียวอมน้ำเงิน นุ่งผ้านุ่งยาวสีน้ำเงินอมเขียวขลิบทอง ไม่ยกโจง  สวมพระกุณฑลที่พระกรรณทั้ง 2 ข้าง แคว้นหิรัญนครอยู่ระหว่างแคว้นหริภุญชัยกับแคว้นเชียงทอง เป็นแคว้นใหญ่ทางเหนือ
เครื่องแต่งองค์ขององค์แก้วอินแถงแห่งเขมรัฐ ก็ดูสวยงาม  องค์แก้วอินแถงเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 19 ปี ผิวขาวละเอียด คิ้วคมได้รูป ดวงตายาวรี ใบหน้าคมคาย โผกเกล้าตามแบบฉบับไทเขิน แคว้นเขมรัฐ ซึ่งเป็นแคว้นอยู่ระหว่าง แคว้นหิรัญนคร กับ แคว้นเชี่ยงรุ่ง องค์แก้วอินแถงสวมเสื้อคอแหลมป้ายข้างสีแดงเข้มแขนยาวปลายแขนคลิบทอง สวมทับทรวง  ทรงกรองสอ อังสาด้านซ้ายมีสังวาลประดับด้วยโกเมนสีแดงเข้ม นุ่งโจงสีแดงเข้มชายผ้าขลิบทองมัดแบบชาวไทเขิน
   ส่วนองค์สิงหพลแห่งพลนคร เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 19 ปี ผิวขาวละเอียด คิ้วได้รูป ใบหน้าคมคาย มวยผมสูงครอบด้วยรัดเกล้า สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีฟ้าอมเขียวแขนยาวปลายแขนขลิบทอง สวมกรองศอและทับทรวง สวมสังวาลย์ประดับด้วยหินสีเขียวอมฟ้า ตัวหินมีลายตามธรรมชาติ นุ่งโจงสีปีกแมลงทับคลิบทอง พลนครเป็นแคว้นไม่ใหญ่มาก อยู่ทางเหนือระหว่างแคว้นพะเยากับงกับแคว้นสุขทัยที่อยู่ทางใต้
   องค์มิ่งเกษแห่งแคว้นพะเยาเป็นพระสหายสนิทกับองค์อโณทัยแห่งสุโขทัย องค์มิ่งเกษอายุประมาณ 20 ผิวขาว คิ้วตรงหนา ใบหน้ารูปไข่ มวยผมสูงครอบด้วยจุลมงกุฎ สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอแหลมแขนยาว สีเขียวเข้ม ทรงกรองศอแลสวมทับทรวง สวมสังวาลประดับด้วยมรกตสีเขียวเข้ม นุ่งผ้าเขียวเข้มขลิบทองปักลวดลาย ไม่ยกโจง แคว้นพะเยาเป็นแคว้นทางเหนือเลยแคว้นสุโขทัยขึ้นไปอยู่ระหว่างแคว้นหิรัญนครกับพลนคร
   องค์ทิวากรแห่งบางยาง นับได้ว่าเป็นพระญาติและพระสหายสนิทขององค์อโณทัยแห่งสุโขทัย องค์ทิวากรอายุไร่เรี่ยกับองค์อโณทัย ผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่ คิวได้รูป หน้าตาคมคาย มวยผมสูงครอบด้วยที่รัดเกล้า สวมเสื้อสีเหลือไข่ไก่แขนยาว ทรงกรองศอ และทับทรวง สวมสังวาลย์ประดับด้วยบุษราคัม นุ่งผ้าสีเหลืองอำพันขลิบทอง ไม่ยกโจง  แคว้นบางยาง อยู่ระหว่างแคว้นสุโขทัยกับแคว้นเชียงทอง เป็นแคว้นไม่ใหญ่มาก
   องค์ภานุพงศ์แห่งฉอด เป็นพระสหายกับองค์อโณทัยแห่งสุโขทัยและองค์ทิวากรเช่นเดียวกัน แคว้นฉอดเป็นแคว้นอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของแคว้นสุโขทัย เป็นแคว้นกันชนกับอาณาจักรมอญ องค์ภานุพงศ์อายุประมาณ 19 ปีเศษ  ผิวสีดำแดง ใบหน้าคมคาย คิ้วได้รูป หน้าตาคมคาย มวยผมยกสูงครอบด้วยจุลมงกุฎ สวมเสื้อคอป้ายสีน้ำตาลแขนยาวปลายแขนคลิบทอง ทรงกรองศอ และทับทรวง สวมสังวาลประดับด้วยพลอยสีน้ำตาล นุ่งผ้าสีน้ำตาลเข้มขลิบทอง ไม่ยกโจง
   องค์สุดท้ายแห่งศรีเทพ คือองค์ญาณวัตรแห่งศรีเทพ เป็นองค์ที่รูปงาม คือผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่ คิ้วได้รูป มวยผมสูงครอบด้วยรัดเกล้า สวมเสื้อคอตั้งสีไพรแขนยาว ทรงกรองศอและทับทรวง สวมสังวาลย์ประดับด้วยพลอยสีเขียวอมเหลือง นุ่งโจงด้วยผ้าสีเขียวขี้ม้าขลิบทอง ปล่อยชาย ไม่สวมสนับเพลา
   
เรือรำใหญ่ค่อยๆเข้ามาจอดเทียบที่ท่าน้ำ ยังมีอีก 2 ลำกำลังรอลำดับเข้ามาเทียบท่าอีก 2 ลำ  ลำแรกสำหรับเจ้านาย ทั้ง 21 องค์ ส่วนอีก 2 ลำ สำหรับมหาดเล็กติดตาม    เมื่อเรือเทียบท่า พวกเจ้านายค่อยๆทยอยกันขึ้นเรือตามลำดับ
   

   เรือข้ามฝากใช้เวลาไม่นานก็มาถึง ศาลาริมน้ำอีกฝาก แต่ละองค์ค่อยๆทยอยขึ้นจากเรือ บนศาลามีตั่งวางเรียงรายกันอยู่ เป็นที่ประทับคอยเสลี่ยงของแต่ละองค์ ลำดับการขึ้นเสลี่ยง เรียงลำดับจากเจ้าอาจารย์รององค์ธเนศวรก่อน ตามด้วย องค์ชลาสินธุ์แห่งอโยธยาตัวแทนจาก มัชฌิมาทิศ แล้วก็ตามด้วยตัวแทนจากทิศทั้ง 8 แล้วก็ตามเจ้าแคว้นต่างๆที่เหลืออีก 12 แคว้น
   ตัวขบวนเกรียติยศของแต่ละแคว้น รูปแบบก็จะคล้ายๆกันแตกต่างกันที่เครื่องสูงนำหน้าขบวน ส่วนส่วนประกอบในขบวนก็จะคล้ายๆ กล่าวคือ
   
   
   
เครื่องสูงนำขบวนของอาจารย์รองศรีทวารวดีศวรปุณยะคือ เสาสูงสัก3ศอกบนเสาประดับด้วยกระทงรูปดอกบัวสีทอง 2 คู่ ของอโยธยาคือจามร 2 คู่   ของสุโขทัยคือโตมร 2 คู่  ของลวปุระคือ ขุมสาย (ฉัตร 3 ชั้น) 2 คู๋ ของจันทราบุรีคือ ธงสามชาย 2 คู่ ของศิริธรรมนครคือ พุ่มทอง 2 คู่ ของพัชราบุรีคือ บังแทรก 2 คู่ ของเชียงทองคือ ร่มขาว 2 คู่ ของสุพรรณภูมิคือ หงส์คาบพู่ห้อย 2 คู่ ของหริภุญชัยคือ ตุง 2 คู่ ของมหาวังสาคือร่ม 2 ชั้นสีทองมีระบาย 2 คู่ ของบางยางคือ พัดโบก 2 คู่ ของฉอดคือ บังสูรย์เล็ก 2 คู่ ของปวนครคือ ละแอ 2 คู่  ของหอคำเชียงรุ่งคือธารพระกร 2 คู่ ของสิบสองจุไทคือ พู่ 5 ชั้น 2 คู่ ของหิรัญนครคือช่อขนนกยูง 2 คู่ ของพะเยาะคือ บังวัน 2 คู่ ของเขมรัฐคือแส้สามรี 2 คู่ ของพลนครคือ สิงห์คาบโคม 2 คู่
         
ขบวนเสลี่ยงของอาจารย์รองนำหน้าสุด แล้วขบวนเสลี่ยงก็จัดกระบวนเป็นคู  กระบวนเสลี่ยงของรังสิพันธุ์บังเอิญได้คู่กับกระบวนเสลี่ยงของ ปุณณวัชร
“ทรงเสวยอะไรมาหรือยัง” เสียงสดใสร่าเริงที่เริ่มคุนหู กล่าวทักทายผู้ที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงข้างๆ
“ยัง” เป็นคำตอบสั้นเรียบๆจากอีกฝ่าย
“หม่อมฉันหิวจนใส้กิ่วแล้ว” ชายหนุ่มบ่นพร้อมกับเอามือลูบท้องตัวเอง
องค์ปุณณวัชรล้วงไปที่บั้นพระองค์ หยิบถุง แล้วยืนให้มหาดเล็กที่เชิญพระแสงอาวุธ ทรงพยักพระพักตร์ มหาดเล็กอัญเชิญถุงนั้นขึ้นถวายองค์ รังสิพันธุ์
“อะไรหรือขอรับ” เสียงสดใสยังคงถามต่อ แต่ยังไม่ทันรอคำตอบ ก็ทรงค่อยแก้ถุงที่พันด้วยเชือกนั้นออกดู
“ชะเอม ทรงหักแต่น้อยแล้วอมไว้ใต้พระชิวหา”  เสียงตอบเย็นๆเรียบๆขององค์ปุณณวัชร
“อ่ฮ” องค์รังสิพันธุ์ทรงทำตามที่องค์ปุณณวัชรแนะนำ ทันทีที่ชะเอมเข้าพระโอษฐ์ฐ ก็แผ่ซ่านความหวานน้อยๆออกมา ทำให้ชุ่มพระศอขึ้นมาทันที และความหายทำให้อาการแสบท้องเพราะอาการหิวลดลงได้
“ขอพระทัย”  เสียงขอบคุณจากองค์รังสิพันธุ์  พระพักตร์นั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส

ขบวนเสลียงเริ่มผ่านประตูพระราชวังเข้ามา แม้จะเป็นแคว้นที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่ทว่าพระราชวังหลวงก็โอ่อ่าไม่แพ้แคว้นที่เกิดมานานแล้วอย่างจันทราบุรี  สวนตกแต่งอย่างสวยงามลงตัว ยอดปราสาท และเจดีย์น้อยใหญ่ เรียงรายสวยงาม ขบวนเสลี่ยงค่อยๆ เข้าใกล้พระที่นั่งมหาปราสาททที่เป็นท้องพระโรง พระที่นั่งมหาปราสาทเป็นปราสาทจตุรมุขสูงใหญ่ เมื่อเสลี่ยงเข้าเทียบแต่ละองค์ค่อยทยอยขึ้นประทับรอในท้องพระโรง

ในท้องพระโรงโอ่อ่า ประดับด้วยลวดลายสวยงาม มีหน้าบัณใหญ่เป็นที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์ หลังหน้าบัณนั้นมีประตูที่เสด็จออกฝ่ายใน ถัดจากหน้าบัณลงมานั้น มีพระราชบัลลังก์ตั้งอยู๋ใต้ มหาเสวตฉัตร เป็นที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์ เวลาออกว่าราชการ หน้าพระราชบัลลังก์ มีตั่งใหญ่มีเครื่องสูงประกอบสำหรับตำแหน่งอุปราชวางอยู่ข้างหน้าอีกที่หนึ่ง   ถัดจากนั้นทั้งสองข้างก็เป็นตั่งประกอบเครื่องสูง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 10 ตัว
เจ้าพนักงานเชิญแต่ละองค์เข้าประจำตำแหน่งตั่งเรียงกันตามลำดับ โดยมีอาจารย์รองธเนศวรประทับหัวแถวด้านขวา และมีองค์ศศินธรประทับที่หัวแถวด้านซ้าย ส่วนองค์ชลาสินธุ์ ทรงคุกพระชานุรอหน้าตั่งของมหาอุปราชหน้าราชบัลลังก์
พระวิสูตรถูกไขปิด เป็นสัญญาลักษณ์บอกว่าใกล้เวลาเสด็จออก เสียงปี่กลองค่อยบรรเลง แล้วพระวิสูตรก็ค่อยๆไขเปิดออก บนราชบัลลังก์ใต้เศวตฉัตร สมเด็จพระรามาธิบดีแห่งอโยธยาในเครื่องทรงเต็มพระยศ สวมพิชัยมงกุฎ ทรงประทับนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ องค์ชลาสินธุ์ และทุกพระองค์ถวายบังคม
สมเด็จพระรามาธิบดีทรงแย้มพระสวรล และพยักพระพักตร์ องค์ชลาสินธุ์ขึ้นประทับที่ตั่งประจำตำแหน่งอุปราช เรียบร้อย
“ก่อนอื่นเลย เราคงต้องขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่อโยธยา”
“และเราหวังว่าทุกพระองค์งสุขสำราญในอโยธยา” พระสุรเสียงทรงอำนาจแต่ก็แฝงไปด้วยความเมตา ก้องกังวาน ได้ยินกันถนัดทุกองค์ในท้องพระโรง
“ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ขอให้บอกกับเรา หรือกับชลาสินธุ์ได้ทุกเมื่อ”  สมเด็จพระรามธิบดีทรงตรัส
“เรายินดีที่จะช่วยทุกพระองค์เต็มกำลัง”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ” เสียงทูลตอบของทุกพระองค์
“สำนักตักศิลา เป็นเหมือนแหล่งความรู้สำคัญที่ทำให้ทุกองค์ประสบความสำเร็จในอนาคต ขอให้จงตักตวงวิชาความรู้ไปให้มาก เพื่อประโยชน์ของพวกเราชาวไท ในอนาคต” พระสุรเสียงแฝงไปด้วยความใน
“พระเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของทุกพระองค์ดังก้อง
   

“แต่ถึงอย่างไรทุกแคว้นในแถบนี้ก็ยังคงต้องส่งบรรณาการให้เราทุกปีและคงตลอดไป” เสียงดุดันเด็ดขาดดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
เสียงอาวุธโลหะกระทับกันพร้อมเสียงเอะอ่ะ ดังขึ้นหน้าพระที่นั่งอันเป็นท้องพระโรงใหญ่ ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงหันไปมอง  ทันใดนั้นก็มีทหารหน้าตาดูดันน่ากลัว สวมเกราะเต็มอัตรา กรูกันเข้ามาที่ท้องพระโรงผ่านพระทวารทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากวันนี้ไม่ได้เป็นพระราชพิธีใหญ่ จึงไม่ได้มีขุนนาง และแม่ทัพนายกองเฝ้าแหนเหมือนปกติ มีเพียงทหารรักษาวังเฝ้าประจำการเพียงเท่านั้น ทำให้กองกำลังนี้บุกเข้ามาอย่างง่ายดาย
   มหาดเล็กที่ติดตามเข้ามาของแต่ละองค์ที่เฝ้าอยู่ ณ ท้องพระโรงนั้น ต่างกระโจนมาอยู่หน้าผู้เป็นนาย ตอนนี้อาวุธประจำตัวของมหาดเล็กถูกเก็บตามธรรมเนียมเข้าเฝ้า มีเพียงแต่แสงดาบอาวุธประจำตำแหน่งพระองค์ของผู้มาเฝ้าเท่านั้นที่ถือเข้ามาในท้องพระโรงได้

   องค์รังสิพันธุ์ถลันพระองค์เข้ามาประชิดองค์ปุณณวัชร โดยเอาองค์เองอยู่หน้าองค์ปุณณวัชร ครึ่งก้าว พร้อมกับชักพระแสงดาบออกมาถือไว้มั่นทำให้มหาดเล็กขององค์รังสิพันธุ์ ทั้งทับเที่ยงขยับมาอยู่ด้านหน้าคู่กับมหาดเล็กขององค์ปุณณวัชร
   “เจ้านี่แม้จะดูงองแง  แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็กล้าหาญไม่น้อย” องค์ปุณณวัชรทรงคิดในพระทัยพร้อมกับสายตาที่ชื่นชมพระราชโอรสองค์เล็กแห่งจันทราบุรี

   แล้วเจ้าของเสียงที่ดุดันและเด็ดขาดและหยิ่งผยองนั้นก็ค่อยๆก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้ามาในท้องพระร้อง คนผู้นั้นสวมพิชัยมงกุฎสำหรับแต่งแหน่งมหาอุปราข สวมเสื้อสีดำสนิทคอแหลมป้ายข้างขลิบดทอง ทรงกรองศอ สวมทับทรวง และมีที่รัดพระอุระ นุ่งโจงสีดำขลิบทองยกสูง ปล่อยชายยาว ตามแบบอีสานปุระ และคนผู้นั้นก็คือ   ศรีวีรวรมันมหาอุปราชแห่งอีสานปุระ ตามมาด้วยสตรีหน้าตาหมดจรด เครื่องทรงสีแดงสด จากเครื่องแต่งพระองค์และอาภรณ์สมกับเป็นขัตติยนารีแห่งอีสานปุระ
   “เป็นถึงมหาอุปราชเหตุใดจึงไม่แจ้งหมายก่อนที่จะมาเยือน” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธดังออกมาจากตั่งอันเป็นที่ประทับของอุปราชแห่งอโยธยา
   “รัฐที่ส่งบรรณาการก็เป็นขอบขัณฑสีมาแห่งอีสานปุระ เหตุใดเล่าที่ต้องแจ้งหมายมาก่อนด้วยเล่า” เสียงที่หยิ่งทรนงในอำนาจตอบกลับ
   “แลอีกอย่างแค่วังหน้าของเจ้าประเทศราช มีสิทธิอันใดมาเรียกหมายกำหนดการจากเรา” เสียงยิ่งดังขึ้น
   “เจ้า” เสียงองค์ชลาสินธุ์ขาดหายไปด้วยความโกรธ พระหัตถ์กำแน่น
   องค์ชลาสินธุ์อุปราชแห่งอโยธยาทรงเหลือบพระเนตรมองไปที่สมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จฯทรงส่ายพระพักตร์
   “ในเมื่อเสด็จมาถึงแล้วก็เชิญท่านร่วมสนทนาสมาคมกันเทิด” พระสุรเสียงสุขมทว่าเรียบเย็นของสมเด็จพระรามาธิบดี และเสด็จลุกขึ้นและลงจากพระราชบัลลังก์  ลงมาประทับยืนข้างองค์ชลาสินธุ์
   “เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ค่อยสมกับเป็นเจ้าประเทศราช” เสียงกระหยิ่มยิ้มย่องจากศรีวีรวรมัน เดินตรงไปที่สมเด็จพระรามธิบดี ทุกคนในท้องพระโรงนั้นได้แต่เก็บกลั้นและอดทนและยับยั้งชั่งใจต่อทั้งการกระทำของมหาอุปราชแห่งอีสานปุระ
      “เชิญเสด็จ” สมเด็จพระรามธิบดีทรงผายพระพักตรไปที่ราชบัลลังก์ องค์ขลาสินธุ์กำพระหัตถ์แน่นด้วยความโกรธ
   แต่แทนที่มหาอุปราชจะทรงขึ้นประทับที่ราชบัลลังก์ กลับเสด็จพระดำเนินออกไปด้านข้าง แล้วก้าวขึ้นอัฒจรรย์ ขึ้นไปประทับที่หน้าบัญแทน แสดงอำนาจว่าตนนั้นยิ่งใหญ่กว่า และแสดงให้ทุกคนเห็นว่าอีสานปุระมีศักดิ์และสิทธิ์เหนือยิ่งกว่าบัลลังก์อยุธยาแลดินแดนไททั้งปวง
   สมเด็จพระรามาธิบดีทรงเสด็จกลับขึ้นประทับที่ราชบัลลังก์ แต่เหนือราชบัลลังก์ บนหน้าบัญคือ ศรีวีรวรมันมหาอุปราชแห่งอีสานปุระ..............
   “สักวัน....พวกเราต้องเป็นอิสระ และจะให้พวกเจ้าชดใช้พวกเราอย่างสาสม” เสียงก้องในหัวของผู้เป็นไททุกคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:21:54 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 5 ภัยคุกคาม
   “ข้ามาย้ำเตือนความทรงจำของพวกเจ้าทั้งหลายว่า พวกเจ้ายังเป็นประเทศราชแห่งอีสานปุระ จงจำเอาไว้ อย่าคิดว่าจะพึ่งบารมีของพระเจ้ากรุงจีน  เพราะแม้แต่พระเจ้ากรุงจีนเราก็ยังไม่เคยเกรงกลัว ชาวไทอย่างพวกเจ้าจะต้องอยู่ใต้อำนาจของเราไปตลอดกาล”  เสียงหัวเราะดังกึกก้องประทั่วท้องพระโรง
   “พวกเจ้ารายงานข้ามาสิว่า พวกเจ้าเป็นผู้ใดและมาจากแคว้นไหน” เสียงดุดันออกคำสั่งไปยังราชนิกุลทุกแคว้นที่นั่งอยู่ในท้องพระโรง
เมื่อองค์อโณทัยแห่งแคว้นสุโขทัย รายงานพระองค์เสร็จ ศรีวีรวรมันมหาอุปราชแห่งอีสานปุระ ก็หันพักตร์ไปทาง พระขณิษฐาที่ ประทับอยู่เยื้องๆกัน นอกจากจะมาประกาศศักดิ์ดาต่อ อโยธย และแคว้นต่างๆ ไม่ให้กระด้างกระเดื่องต่ออีสานปุระแล้ว  ก็เป็นการพาน้องสาวของตนเองมาดูตัวพระคู่หมาย ที่กมรเตงอัญศรีชัยวรมัน มหากษัตริย์แห่งอีสานปุระหมายใจจะยกให้ เพื่อยกสุโขทัยขึ้นเป็นสถานีการค้าสำคัญด้านภาคพื้นทวีป จากอ่าวตังเกี๋ย มาลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำป่าสัก มายังลุ่มน้ำน่าน น้ำยม น้ำปิง  สู่ลุ่มน้ำสาละวินที่ เมาะตามะ และหมายใจจะยกสุโขทัยขึ้นมาคานอำนาจกับอยุธยา และแคว้นต่างๆรอบปากอ่าวไทย เพื่อประกาศให้มหาอาณาจักรจีนตระหนักว่าใครเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้
แลเมื่อสาแก่พระทัย มหาอุปราชแห่งอีสานปุระ ที่ได้มาเหยียบหน้าพวกอโยธยาและเหล่าเจ้าแคว้นไททั้งสิ้นทั้งมวลถึงถิ่นแล้ว ก็เสด็จลงจากพระพระราชบัณ เสด็จกลับออกจากพระราชวัง ประทับเรือสำเภากลับออกจากอโยธยาอย่างลำพองใจ ว่าภารกิจของตนสำเร็จเรียบร้อยแล้วแล้ว เหล่ารัฐไทน้อยใหญ่คงเกรงพระราชอำนาจของอีสานปุระไปอีกหลายขวบปี
   เมื่อทุกอย่างคลี่คลายและสงบลง องค์ธเนศวรทรงนำเหล่าลูกศิษย์ทูลลาสมเด็จพระรามาธิบดีกลับสำนักตักศิลา แต่ทรงให้องค์ชลาสินธุ์ประทับปรึกษาราชการกับองค์สมเด็จพระรามธิบดีต่อที่พระราชวังหลวง


“มันจะหยามกันเกินไปแล้ว” น้ำเสียงองค์ชลาสินธุ์เต็มไปด้วยความโกรธ
“ใจร่มๆ ชลาสินธุ์ สักวันพวกเราจะยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา” เสียงองค์พระรามาธิบดี สุขุม แต่หนักแน่น
“ตอนนี้เราตกเป็นเบี้ยล่างเขา ต้องอดทน รอกาลใหญ่ในวันข้างหน้า”
“เจ้ากลับไปเรียนเถอะ และเจ้าต้องพยายามผูกมิตร สมัครสมานสามัคคีเหล่าองค์อุปราชและรัชทายาทกับผู้ที่จะเป็นเจ้าแคว้นอื่นๆในอนาคต”
“โดยเฉพาะ สุโขทัย เจ้าต้องผูกมิตรให้จงหนัก เพราะอีสานปุระหมายใจจะยกให้สุโขทัยขึนมาคานอำนาจกับเรา และสร้างความแตกแยกกับเหล่าคนไทเรา”
“ส่วน  ลวปุระ เจ้าก็ต้องผูกมิตรให้จงดี เพราะลโวทัยวงส์ก็ถือเป็นราชวงศ์พระญาติกับวรมันวงศ์แห่งอีสานปุระ”
“การใหญ่ของคนไทเราจะสำเร็จหรือไม่ จำเป็นต้องพึ่งพาความสมัครสมานของ 8 แคว้นหลักทั้ง 8 ทิศ”
“สุโขทัยแห่งอุดรทิศ เชียงทองแห่งอีสานทิศ ลวปุระแห่งบูรพาทิศ จันทราบุรีแห่งอาคเนย์ทิศ ศิระรรมแห่งทักษิณทิศ พัชรบุรีแห่งหรดีทิศ สุพรรณภูมิแห่งประจิมทิศ และหริภุญชัยแห่งพายัพทิศ”
“แลถ้าได้แคว้นที่เหลืออีก 12 แคว้น ช่วยเป็นกำลังเสริม การใหญ่ของเราจะสำเร็จได้งายดายยิ่งขึ้น”
องค์สมเด็จพระรามาธิบดีรับสั่งถึงแผนการใหญ่กับพระราชบุตรผู้ที่จะมาเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีองค์ต่อไปฟัง
“เมื่อรวมกันแล้วใครจะเป็นใหญ่ล่ะเสด็จพ่อ” เสียงองค์ชลาสินธุ์ทรงถามพระราชบิดา
“ใครเป็นใหญ่ก็ไม่สำคัญ ขอให้เป็นไทเป็นอิสระแก่ตนและปกครองไทด้วยกันเองก็พอ”
“หามีประโยชน์อันใดไม่ที่จะเป็นใหญ่ภายใต้อำนาจของชนชาติอื่น”
“เจ้าดูพ่อเป็นตัวอย่าง ข้าก็ได้แต่หวังว่าคนในรุ่นของพวกเจ้าบ้านเมืองแลแผ่นดินจะต้องดีกว่านี้”  เสียงสมเด็จพระรามธิบดีตรัสหนักแน่น และทรงมีความหวังในพระทัย
“ลูกจะจำคำของเสด็จพ่อไว้” องค์ชลาสินธุ์ทรงรับคำ
 
ปนิธานได้ถูกส่งต่อ เมล็ดพันธุ์ได้ถูกว่านออกไปแล้ว......


เรือใหญ่ทั้ง 3 ลำค่อยๆตัดผ่านลำน้ำเจ้าพระเจ้าที่กว้างใหญ่ ตัดเข้าสู่สำนักตักศิลา ในเรือบรรดาเจ้านาย มีแต่ความเงียบกริบ แต่ความร้อนของเลือดวัยหนุ่มความมุ่งมั่น แผ่ซ่านออกมาจากทุกองค์
องค์ที่เงียบขรึมที่สุดคือองค์ธเนศวร เพราะทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ทวาราวดีวงศ์ แห่งมหาอาณาจักรศรีทวารวดีศวรปุณยะ ที่ถูกพวกวรมันวงศ์ทำลายมหาอาณาจักรเจนพังพินาศในอดีต ประชาชนถูกกวาดต้อน เชื้อพระวงศ์เหลือหลอดเพียงแค่หยิบมือ บ้านเมืองล่มสลาย
เมื่อถึงสำนักตักศิลา ทุกองค์ต่างแยกย้ายเข้าไปยังเรือนของตน  ที่ศาลานกกลางเรือนหลังทีสอง ทั้ง 4 องค์จับกลุ่มสนทนากัน
“ข้าไม่ชอบใจเลยที่อีสานปุระทำในวันนี้” องค์ศศินธรทรงเริ่มการสนทนา แม้แต่พระญาติยังไม่พอพระทัย
“น่าเห็นพระทัยที่สุดก็คงเป็นองค์ชลาสินธุ์” องค์รังสิพันธุ์ทรงทูลเสริม
“ถ้าเป็นเราโดนแบบนี้ คงตายกันไปข้างแล้ว” เสียงองค์ศศินธรทรงเสริม
“ก็เท่ากับสงครามนะขอรับ” องค์ปุณณวัชรทรงเตือนสติทุกพระองค์
“ด้วยกำลังของพวกเรา ยังไม่พร้อมที่จะทำสงครามพ่ะย่ะค่ะ”  องค์มหรรณพทรงทูลเ
“แต่ก็มิได้แปลว่าจะไม่พร้อมตลอดไปนะพ่ะย่ะค่ะ” องค์องค์ปุณณวัชรทูล
“ใช่พวกเราต้องร่วมมือกัน  ตระเตรียมกำลังให้พร้อมสรรพ เพื่อต่อต้านความกำแหงของอีสานปุระ” น้ำเสียงองค์ศศินธรมุ่งมั่น ทรงกำพระหัตถ์แน่น
   องค์ปุณณวัชรทรงสังเกตเห็นว่า ในวงสนทนานั้นมีองค์หนึ่งทรงเงียบสนิท ผิดวิสัยคนร่าเริง สดใสของท่านผู้นั้น องค์ศศินธรก็ทรงสังเกตุเห็นเหมือนกัน
“วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว แยกกันไปพักผ่อนเถอะพวกท่าน” องค์ศศินธร ชวนปิดวงสนทนา
   ทั้ง 4 พระองค์ทรงแยกย้ายไปทำกิจก่อนจะเข้านอน ขณะที่มหาดเล็กองค์ปุณณวัชรกำลังถวายแปรงสีพระทนต์ เสียงจะเข้ท่วงทำนองเศร้าสร้อย ก็ลอยออกมาจากห้ององค์รังสิพันธุ์ ในท่วงทำนอง บ่งบอกถึงความเศร้าในใจของคนบรรเลง ผ่านไปสักครู่ใหญ่เ มื่อเสียงจะเข้ก็เงียบลง ทุกอย่างก็เข้าสู่ความเงียบของรัตติกาล
   องค์ปุณณวัชร คว้าขลุ่ย ขึ้นมาเป่า ท่วงทำนองพลิ้วไหว ให้เสียงขลุ่ยเข้าไปปลอบประโลม เพื่อช่วยคลายความทุกข์ใจของ อีกคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกัน ก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจถึงความห่วงใยที่มีให้ ได้ด้วยเท่วงทำนองของบทเพลง

วันนี้ฟ้ามืดครึ้ม       หม่นหมอง
หากจิตมิหมองหม่น    ทิ่มแทง
เศร้าสร้อยทุกข์ระทม    ไปใยฤาเจ้า
สุริยาแผดแสง        สว่างไสวสักวัน

   เสียงขลุ่ยเงียบหายไปนานแล้ว  ประตูค่อยๆเปิดออก ทับมหาดเล็กที่นอนเฝ้าหน้าประตูองค์รังสิพันธุ์ ผุดลึกขึ้นนั่ง
   “นอนต่อเถอะ ข้าจะออกไปสูดอากาศ” เสียงองค์รังสิพันธุ์เบาจนเกือบจะกระซิบ ทับเอนตัวลงนอนต่อ
   องค์รังสิพันธุ์ลงเรือนมาข้างล่าง เดินลัดเลาะมาที่ท่าน้ำ และนั่งห้อยพระบาทที่ท่าน้ำนั้น วันนี้พระจันทร์ยังหม่นหมอง โผลมาให้ยลแค่เสี้ยวเดียว
   “เฮ้อ” เสียงถอนหายใจ ที่เหมือนปลดปล่อยความอัดอั้นภายในใจออกมา
   หิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงระยิบระยับ เต็มต้นลำภู
   “จะส่องแสงแข่งกับดวงดาวหรือยังไรพวกเจ้า” องค์รังสิพันธุ์ พูดลอยๆออกไป
   “มันคงไม่อาจจะไปแปล่งแสงสู้กับดวงดาวหลอกเจ้า” เสียงชายหนุ่มดังมาจากด้านข้าง ทำเอาองค์รังสิพันธุ์หันไปตามเสียงนั้น
   “เจ้าพี่ศศินธร”
   “ไม่หลับไม่นอนฤาไรเจ้า”  เสียงองค์ศศินธรทรงถาม องค์ศศินธรพระดำเนินมาข้างๆองค์รังสิพันธุ์แล้วนั่งลงไม่ไกลจากองค์รังสิพันธุ์
   “ยังไม่ง่วงขอรับ” เสียงที่พยายามสดใสตอบกลับ
   “กังวลอะไรฤา” เสียงองศ์ศศินธร ทรงถามอย่างหวงใย
   “.............”  ไม่มีเสียงตอบ
   “เจ้าเกรงว่า จันทรวงศ์ กับ ลโวทัยวงศ์ จะถูกรังเกียจ เพราะเป็นพระญาติกับพวก วรมันวงศ์กระนั้นหรือ” องค์ศศินธรตรัสเสร็จก็เอนพระองค์ลงนอนเอาพระหัตถ์ทั้งสองข้างรองพระเศรียร
   “ขอรับ” เสียงตอบเรียบๆ
   “ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้า แม้รากเหงาจะมาจากที่เดียวกัน แต่พวกเราก็เติบโตในแบบของพวกเรา”  องค์ศศินธร ทรงปลอบใจ
   “แต่” เสียงชาดหายไป
   “เราทั้ง 2 วงศ์มาอยู่ในแผ่นดินนี้หลายชั่วอายุคนแล้วนะ รังสิพันธุ์” เสียงองค์ศศินธรเข้มขึ้นเล็กน้อย
   “ก็ใช่ขอรับ”
    “เราก็ต้องตอบแทนแผนดินที่มีบุญคุณกับเรา”  เสียงหนักแน่นจากองค์ศศินธร
   “เอาเข้าจริงๆ พวกเราก็มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของอีสานปุระ  ถ้าจะนับญาติกันจริงๆ ถ้าจะไปอ้างเอาราชบัลงก์นั้นกันจริงๆก็หาจะทำมิได้”
   “แต่ที่ไม่ทำก็เพราะเราก็อยากเป็นแค่หิ่งห้อยในที่ของเรา ไม่ต้องการไปเปล่งแสงสู้กับดวงดาว”  องค์ศศินธรเปรียบเทียบ
   “ขอแค่อยู่ในที่ๆของเรา เป็นอิสระไม่ต้องเป็นประเทศราชของใครก็พอแล้ว”.....องค์รังสิพันธุ์ทูลตอบกลับองค์ศศินธร
   “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ เพราะพวกเรานี่แหละจะเป็นคนแรกๆที่จะลุกขึ้นและต่อต้านพวกอีสานปุระ เสียงหนักแน่นขององค์ศศินธร
   “ขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์ค่อยๆสดใสขึ้น
   “ดึกมากแล้ว ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เริ่มเรียนกันวันแรกคงเหนื่อยแน่นอน” องค์ศศินธรดันพระองค์ขึ้นมานั่ง และเอื้อมพระหัตถ์มาตบที่พระพาหุ(บ่า)ขององค์รังสิพันธุ์เบาๆ

   ทั้งสองพระองค์พระดำเนินลัดเลาะจากท่าน้ำกลับขึ้นเรือน เสียงปิดประตูเงียบหายไป
   “เฮ้ออ” เสียงถอนหายใจของใครอีกคนเหมือนโลงใจ พระเนตรค่อยๆปิดลงในความมืด ทั้งหมดไม่พลาดจากสายพระเนตรขององค์ปุณณวัชร
“หลับตาลงเถิดปุณณวัชร” องค์ปุณณวัชรบอกตนเองในใจ.........


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:23:39 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:26:39 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 6 คนสองคน


วันแรกของการศึกษาจากสำนักตักศิลาก็เข้มข้น และจริงจัง  ทุกองค์ก็ตั้งใจที่จะศึกษาหาความรู้กันเต็มที่ อาจจะเป็นเพราะเหมือนเพิ่งจะโดนหักหน้ากันมาเมื่อวาน ความต้องการเป็นอิสระเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี
   ตารางการเรียนของตักศิลาแน่นทั้งทุกวัน เพราะมีสรรพวิชามากมายที่จะต้องศึกษา ตอนเช้ามีเรียนพิชัยสงคราม กลศึก ตอนบ่ายมีฝึกวิชาอาวุธ  บางครั้งตอนเช้าเรียนอาคมมนตราสลับกับคาถาบาลี ตอนบ่ายเรียนเรื่องพิษจากแมลงและสมุนไพร เรียนการแก้พิษจากสมุนไพรการแพทย์ สลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเรื่อง ปรัชญา การปกครอง  การบริหารคน อีกด้วย
   แต่ดูเหมือนสรรพวิชาที่ทุกองค์จะชอบที่สุดก็คงเป็นวิชาอาวุธและมัดมวย  นอกจากพระแสงดาบอันเป็นเหมือนเครื่องประดับยศแล้วที่ก็ใช้เป็นและคล่องแคล้วกันทุกองค์อยู่แล้ว แต่ละองค์ก็จะถนัดอาวุธแตกต่างกันออกไป บางองค์ถนัดอาวุธระยะประชิด บางองค์ถนัดอาวุธระยะไกล เช่นอย่างองค์ รังสิพันธุ์แห่งจันทราบุรีถนัดใช้พร้าแป๊ะกั๊ก องค์ปุณณวัชรแห่งพัชราบุรีถนัดใช้ดาบคู่ องค์อโณทัยแห่งสุโขทัยถนัดใช้ของ้าว  องค์ทิวากรแห่งบางยางกั้นหยั่ง องค์ภานุพงศ์แห่งฉอดถนัดใช้ง้าว  องค์ญาณวัตรแห่งศรีเทพถนัดใช้แส้  องค์ศศินธรแห่งลวปุระถนัดใช้พระขรรค์ องค์มหรรณพแห่งศิริธรรมถนัดใช้หอก  องค์สว่างวัฒน์แห่งเชียงทองถนัดใช้ขวาน  องค์แสนภูคาแห่งปว นครถนัดใช้เคียว องค์แสนคำหลวงแห่งหอคำเชียงรุ่งถนัดดาบผีเสื้อ  องค์ไตรแสนไทแห่งสิบสองจุไทถนัดกระบี่ องค์ชลาสินแห่งอโยธยาถนัดดาบกับโล่ องค์ฑิฆัหพรแห่งสุพรรณภูมิถนัดใช้ทวน องค์อนันตราชแห่งหริภุญชัยถนัดใช้โตมร(สามง่าม) องค์ศรีวังสาแห่งมหาวังสาถนัดใช้กฤช องค์ลวจักรแห่งหิรัญนครถนัดใช้พลอง องค์มิ่งเกษแห่งพะเยาถนัดใช้ค้อน  องค์แก้วอินแถงแห่งเขมรัฐถนัดพร้าโอ องค์สิงหพลแห่งพลนครถนัดใช้ธนู

“รังสิพันธ์กับอโณทัย” เสียงอาจารย์ธเนศวร ทรงเรียกให้ทั้ง 2 พระองค์ออกมาทำการประลอง
ทั้ง 2 องค์ออกมายืนกลางเวทีประลอง องค์รังสิพันธุ์ถือพร้าแปะกั๊ก เป็นอาวุธที่มีด้ามยาวสัก 2 ศอก ตรงปลายมีพร้าปลายตัดติดอยู่ เป็นอาวุธโบราณของอุษาคเนย์ ส่วนองค์อโณทัย ใช้ของ้อ ด้ามยาวสัก 3 ศอก ตรงปลายมีดาบขาวอีก 1 ศอก มีข้อแยกออกมาจากด้ามดาบอีกหนึ่งขอ
ทั้ง 2 พระองค์ทำความเคารพกัน ก่อนจะตั้งท่าย่างสามขุมประจันหน้ากัน องค์อโณทัย เริ่มบุกโจมตีก่อน ด้วยกันฟาดของ้าวไปที่องค์รังสิพันธ์ องค์รังสิพันธุ์ก้าวท้าวไปทางซ้ายเบี่ยงองค์หลบ องค์อโณทัยพลิกของ้าวเหวี่ยงออกด้านข้างหมายจะให้ถุกปั้นพระองค์ องค์รังสิพันธุ์ยกพร้าแป๊ะกั๊กขึ้นกันไว้ และหมุนองค์ไปตามด้านของ้าวแล้วเหวี่ยงพราแป๊ะกั๊กเข้าไปที่พระพานุขององค์อโณทัย องค์อโณทัยเห็นแสงสีเงินวูปเข้ามาไกล ก็รีบกระโดดถอยสูงถอยห่างออกมาเสีย 3 ศอกพันคมอาวุธขององค์รังสิพันธุ์อย่างฉิวเฉียด
ครานี้องค์รังสิพันธุ์เคลื่อนพระองค์ไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว หมายใจจะเข้าประชิดองค์อโณทัยอีกครั้ง องค์อโณทัยเห็นดังนั้นจึงเสือกแทงของ้าวเพื่อป้องกัน องค์รังสิพันธุ์เบี่ยงองค์หลบ ขณะที่จะเข้าใกล้องค์อโณทัยอีกไม่ถึงศอก องค์อโณทัยกลับใช้ด้านของ้าวงัดสวนขึ้นมา องค์รังสิพันธ์ผงะถอยออกไป ในใจครุ่นคิดต้องหาวิธีเข้าไปประชิดตัวองค์อโณทัยให้ได้ เพราะความยาวของอาวุธตนเองเป็นรอง
ขณะที่กำลังคิดหาทาง องค์อโณทัยก็จู่โจมด้วยการฟาดของ้าวอีกครั้ง องค์รังสิพันธุ์ใช้แป๊ะกั๊กรับของ้าว เสียงดังสนั่น ก่อนที่จะกดของ้าวลงต่ำ แล้วลากคมแปะกั๊กไปยังพระกรของอโณทัย องค์อโณทัยปล่อยพระกรจากของ้าว แต่ก่อนจะปล่อยของ้าวได้ใช้แรงพลักของ้าวให้พลิกไปกลับหัวไปอีกข้าง จากนั้นก็กระโดดขึ้นม้วนตัวข้ามองค์รังสิพันธุ์ไป รับปลายด้ามของ้าวอีกด้านทันก่อนที่จะหล่นลงพื้น แล้วเสือกแทงของ้าวนั้นมาที่หลังองค์รังสิพันธ์ ครานี้ องค์รังสิพันธุ์หน้าซีดเผือด เพราะคำนวณแล้วว่าถอยหลบอาวุธนี้ไม่ทันเป็นแน่นแท้
“ระวัง” เสียงตะโกนออกมาจากตั่งของปุณณวัชร
องค์อโณทัยได้ยินก็รีบยั้งของ้าวนั้นไว้ทันที แล้วรีบชักของ้าวกลับไป
“จบการประลอง” เสียงองค์ธเนศวรประกาศเสียงดัง ทั้งสองพระองค์ทำความเคารพกันอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปประทับนั่งที่ตั่ง
“เกือบไปแล้ว” รังสิพันธุ์บ่นพึมพำขณะกำลังเดินกลับมายั่งที่ตั่ง พลางหันพระพักตร์ไปทางตั่งขององค์ปุณณวัชร องค์รังสิพันธุ์ทรงยิ้มจนเห็นพระทนต์ขาวแล้วพยักพระพักตร์แทนคำขอบคุณให้กับ องค์ปุณณวัชร

นี่เป็นการเริ่มต้นประเมินฝีมือของแต่ละองค์ก่อนที่จะมีการประเมินฝีมือของแต่ละองค์ว่าพื้นฐานมาขนาดไหนแลเพื่อประเมินว่าอาจารย์จะสอนเสริมตรงไหนให้แต่ละองค์อย่างไร และที่สำคัญจะมีการประกาศอันดับฝีมือของสำนัก และจะมีการประเมินอันดับกันทุกเดือน เพราะฉะนั้นอันดับจะมีการเปลี่ยนแปลงกันทุกเดือน

ส่วนวิชาที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับพวกเราก็คือวิชาการปกครอง ชวนง่วงชวนหลับไม่มีวิชาใดเกิน โดยเฉพาะองค์รังสิพันธุ์  ด้วยเหตุ่ที่องค์รังสิพันธุ์มีเจ้าพี่รังสิมันต์เป็นองค์อุปราชแห่งแคว้น สำหรับพระบันฑูรน้อยอย่างรังสิพันธุ์แค่มีไว้ประดับความรู้ก็พอ เ จึงเป็นวิชาที่องค์รังสิพันธุ์ตั้งใจน้อยที่สุด
“โป้ก” เสียงพระเศรียร์โดนอะไรกระแทกใส องค์ที่โดนเขวี่ยง เมล็ดถั่วใส ค่อยเงยหน้าขึ้นมาและหันพักตร์มามองด้านหลังอย่างเลิกลั่ก
“ตั้งใจหน่อย” เสียงองค์ศศินธร ทรงดุ
“ง่วงอ่ะขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ทำหน้าสะลึมสะลือ
“จึ จึ จึ” เสียงจือปาก เสียงมาจากตั่งข้าง แถมมาด้วยตาเเขียวๆใส่น้องเล็ก จากองค์ปุณณวัชรอีกองค์
“เฮ้ออ” เสียงถอนหายใจจากองค์มหรรณพตามมาอีกองค์
“อย่าแกล้งน้อง” เสียงห้ามจากองค์ชลาสินธุ์ พอสิ้นเสียง องค์รังสิพันธุ์พยักเพยิดพระพักตร์ ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นให้ องค์ชลาสินธุ์ เหมือนเด็กชายที่ได้พี่ชายเข้ามาช่วยได้ทันเวลา
ทุกองค์ต่างช่วยกัน องค์ไหนอ่อนสรพพวิชาไหน องค์อื่นๆก็จะเข้าไปช่วย เพราะทุกองค์ก็ไม่ได้เก่งทุกสรรพวิชา เพราะก็มีกันอยู่แค่ 20 องค์ เจอพักตร์กันทุกวัน กินข้าวด้วยกันทุกวัน ซ้อมอาวุธด้วยกันทุกวัน  อาจจะเป็นเพราะยังเยาววัยด้วยกัน จึงหล่อหลอมเข้ากันได้ง่าย และเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์รุ่นต่อไปที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต


เมื่ออาทิตย์แรกในสำนักจบลง สิ่งที่พวกเราตื่นเต้นกันมาก เพราะจะเป็นครั้งแรกที่ประกาศการประเมินอันดับฝีมือการต่อสู้ของแต่ละองค์ ซึ่ง 5องค์แรกก็คือ
   องค์ชลาสินธุ์แห่งอโยธยา
   องค์ศศินธรแห่งลวปุระ
   องค์อโณทัยแห่งสุโขทัย
   องค์ฑิฆัหพรแห่งสุพรรณภูมิ
   องค์ปุณณวัชรแห่งพัชราบุรี
หลังจากดูประกาศรายชื่อเสร็จองค์ปุณณวัชรก็ค่อยๆปลีกพระองค์ออกมาจากที่ปิดประกาศนั้น
   “นี่กระหม่อมแพ้องค์ที่มีฝีมืออันดบ 3 เลยนะ” องค์รังสิพันธุ์ เสียงสดใสตามหลังองค์ปุณณวัชร ออกมา
   “หึ เจ้านี่นะ”  เสียงองค์ปุณณวัชรตอบกลับ
   “ทำไมล่ะขอรับ” เสียงถามกลับหางเสียงไม่ค่อยพอพระทัยเสียเท่าใด
   “ก็แพ้แล้วยังภูมิใจอีก” เสียงค่อนขอดเล็กจากองค์ปุณณวัชร
   “ก็แหม่ กระหม่อมยังไม่ได้เรียนนี่น่า” เสียงบ่นกระปอดกระแปดจากองค์รังสิพันธุ์
   “หืมมม” เสียงสงสัยจากองค์ปุณณวัชร์
   “ก็ ไม่เคยมีใครสอนนี่ขอรับ” เสียงตอบจริงจัง
   “แล้วทำไมสู้เป็น”  เสียงองค์ปุณณวัชรยังคงสงสัยต่อ
   “ก็แอบดูเจ้าพี่รังสิมันต์ แล้วก็จำมาฝึก ก็เท่านั้น”  เสียงตอบจากองค์รังสิพันธุ์
   “หา” เสียงขาดหายไปในลำคอ พลางนึกว่า ถ้าฝึกจริงจังเด็กคนนี้จะเก่งกาจสักเพียงไหน
   “พรุ่งนี้เป็นวันพัก อาจารย์อนุญาตให้ไปในตัวเมืองอโยธยาได้ พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะขอรับ” เสียงชวนเจื่อยแจ้วจากองค์รังสิพันธุ์
   “ไม่ล่ะ ข้าจะทบทวนตำรา” เสียงเรียบๆตอบกลับจากองค์ปุณณวัชร
   “ไปนะ พ่ะย่ะค่ะ ไปกับกระหม่อมนสนุกจะตาย” เสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนจากน้องเล็ก
   “นะ ไปเป็นเพื่อนกะหม่อมนะ ขอรับ”  คนที่จันทราบุรี เมื่อได้ยินเสียงอ้อนนี้ต่อให้เป็นคนใจแข็งอย่างองค์อุปราชรับสิมันต์ผู้เป็นพี่ชายยังต้องยอม
   “ไม่ล่ะ” องค์ปุณณวัชรตอบกลับสั้น เล่นเอาองค์รังสิพันธุ์ถึงกับพระพักตร์มุ่ย องค์รปุณณวัชรออกเดินนำไปข้างหน้า พระพักตร์เปื้อนยิ้ม
   “หึ ไปตั้งแต่ชวนครั้งแรกแล้วเจ้าเด็กน้อย” เสียงดังขึ้นในใจองค์ปุณณวัชร

เช้าวันต่อมา องค์รังสิพันธุ์ออกจากห้องบรรทมมา แต่เช้า แต่ก็ช้ากว่าองค์ปุณณวัชร ที่นั่งรออยู่ที่ศาลานกกลางเรือนแล้ว วันนี้องค์ปุณณวัชร สวมเสื้อเรียบๆ แบบขุนนาง นุ่งโจง ไม่สวมสนับเพลา มีผ้าคาดเอวธรรมดา ไม่สวมเครื่องประดับ
“วันนี้ทำไมแต่งองค์แปลก” เสียงเอ่ยทักมาแต่ไกล
“ก็ไหนใครจะชวนไปเที่ยวตลาด”  พอเสียงจบ องค์ที่ยืนอยู่ไกลยิ้มกว้างจนแก้มแถบปริ
“ไหนพระองค์บอกว่าไม่ไปไงขอรับ” เสียงบ่นกระปอดกระแปด
“แล้วจักไปหรือไม่ไปล่ะ” เสียงเรียบๆตัดบท
“ไป ไป ขอรับ” เสียงเลิกลั่กตอบขององค์รังสิพันธุ์
“รอกะหม่อมสักประเดี๋ยวนะขอรับ”
 สิ้นเสียงองค์รังสิพันธุ์กันถลันกลับเข้าไปในห้องบรรทม โดยมีทับวิ่งตามกลับเข้าไป ไม่นานก็กลับออกมาด้วยชุดที่ดูธรรมดาที่สุดอีกองค์

เรือลำน้อยมีมหาดเล็กพายด้านหน้า 2 คน และมหาดเล็กอีก 2 คนคอยคัดท้าย ตรงกลางเรือมีชายหนุ่มรูปงาม 2 คนนั่งอยู่ เรือนเทียบท่าไม่ไกลจากตลาดใหญ่มากนัก อโยธยาเต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติที่มาค้าขาย ทั้งจีน ทั้งแขกมลายู แขกอินเดีย ญวณ มอญ ตลาดใหญ่ผู้คนพลุกผ่าน
“พวกเจ้าไม่ต้องตามเราไป” องค์รังสิพันธุ์หันมาสั่งทับกับเที่ยงมหาดเล็กผู้ติดตาม
“แต่” ยังมิทันได้พูดตอบ
“ก็แค่ไปชมตลาด จะมีอันตรายอันใดดอก อีกอย่างมีองค์ปุณณวัชรไปด้วย”
“พวกเจ้าอยู่แถวนี้กันแหละ หรือจะไปเดินเล่นตรงไหนก็ไป อีกประมาณชั่วยามค่อยกลับมาคอยข้าที่นี่” เสียงองค์ปุณณวัชรสั่งมหาดเล็กสำทับอีกที ทำให้มหาดเล็กทั้ง 4 คนได้แต่รับคำสั่ง

องค์รังสิพันธุ์ เดินแวะดูนั่นดูนี่ตลอดทาง เพราะมีข้าวของแปลกตา ชวนสงสัยที่ไม่มีในจันทราบุรีให้เห็นอยู่มากมาย องค์ปุณณวัชรก็คอยดูอยู่ห่างๆ เมื่อเจอร้านขายขนมที่ถูกใจ องค์รังสิพันธุ์ล้วงไปที่บั้นพระองค์เพื่อคว้าถุงเงิน
“ถุงเงินข้า” องค์รังสิพันธุ์ทำท่าร้อนรน เมื่อควานหาถึงเงินของตนเองไม่เจอ
“อ้าวเลิกลั่กๆ” เสียงค่อนขอดจากองค์ปุณณวัชร
“นี่” องค์ปุณณวัชรยื่นถุงเงินให้รังสิพันธุ์
“ไปอยู่กับท่านตั้งแต่เมื่อใด” เสียงถามงงๆ จากองค์รังสิพันธุ์
“เจ้าโดนมือดีล้วงไปยังไม่รู้ตัวอีก” โดนค่อนขอดหนักกว่าเก่า
“โน่น” องค์ปุณณวัชรชี้ไปที่เด็กผู้ชายอายุสัก 15 ที่วิ่งหนีไปเมื่อโดนจับได้ว่าเป็นขโมย
“ดีนะที่มีท่าน” เสียงอ่อยๆของรังสิพันธุ์ มือก็ค่อยๆเอื้อมมาคว้าถุงเงินคืนจากปุณณวัชร
“มัวแต่ตื่นเต้นดูข้าวของไม่ระวังเลยนะเจ้า” เสียงค่อนขอดย้ำมาอีกรอบ

“หลบ หลบ” เสียงตะโกนดังมาจากหัวถนน ชาวบ้านที่ยืนซื้อของอยู่เต็มถนน แหวกออกเป็นช่อง ม้าสีดำสนิทควบมาอย่างรวดเร็ว ชายบนนั้นลงแส้ให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น โดยแถบไม่สนใจผู้คนที่อยู่เต็มถนน จะเป็นเช่นไร
องค์รังสิพันธุ์เซถลาไปข้างหลังเ มื่อผู้คนที่แหวกช่องเพื่อหลบม้าเบียด โชคดีองค์ปุณณวัชรรับไว้ทัน
“ตามจับให้ได้” เสียงทหารหลวงของอโยธยา ตะโกนไล่หลังมา ควบม้ามาอย่างรวดเร็ว องค์รังสิพันธุ์เห็นดังนั้น ก็ควักเอากั้นหยั่งที่ติดไว้เพื่อป้องกันพระองค์ ดึงออกมา และเขวี่ยงไปยังชายที่อยู่บนหลังมาตัวแรกที่วิ่งแหวกผู้คนไปก่อนหน้า กั้นหยั่งโดนที่ขาท่อนบนของชายคนนั้น  แต่ยังควบต่อไป องค์ปุณณวัชรที่เตรียมพร้อมหยิบกั้นหยั่งขององค์เองไว้พร้อมอยู่แล้ว ก็เขวี่ยงตามออกไปอีกหนึ่งเล่ม คราวนี้ทำให้ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บจนกลิ้งตกลงจากม้า ไม่ช้าทหารหลวงก็เข้าประชิดตัวและจับกุมชายคนนั้นได้
“จับได้หรือไม่” เสียงดังมาจากด้านหลังอโยธยามุง
เมื่อชาวบ้านหันไปและเห็นเจ้าของเสียงนั้น ก็ก้มหมอบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าของเสียงนั้นก็คือองค์อุปราชของพวกเขานั่นเอง
“มีอะไรฤาองค์ชลาสินธุ์” เสียงทักจากองค์ปุณณวัชร 
“อ้าว” องค์ชลาสินธุ์ส่งเสียงประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งองค์ ปุณณวัชร และองค์รังสิพันธุ์ยืนอยู่
องค์ชลาสินธุ์ทรงลงจากหลังมา ทั้ง 3 องค์ทรงคมซึ่งกันและกัน
“ไม่มีอะไรดอก เพียงแต่ตามจับอุปนิกขิต ของอีสานปุระ” องค์ชลาสินธุ์เข้ามาใกล้ทั้ง 2 องค์ และพระสุรเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ............

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2019 14:24:37 โดย destiny_of_b »

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 7 แบ่งกลุ่มปฏิบัติงาน

มาเดินตลาดครานี้ แม้จะมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น แต่องค์รังสิพันธุ์ก็ยังได้ของติดไม้ติดมือ มาไม่น้อย เมื่อทั้ง 2 พระองค์ก็กลับมาถึงท่าน้ำ มหาดเล็กทั้ง 4 คนรีบมารับของจากเจ้านายของตนไปเก็บไว้ที่เรือ
เรือลำน้อยแหวกสายน้ำมาจนถึงวัดใหญ่ริมน้ำแห่งหนึ่ง มีพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่
“แวะไหว้พระกันหน่อยไหมขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ทรงหันไปชวน
“อืมม ไหนๆก็ผ่านมาแล้ว” องค์ปุณณวัชรทรงหันมาตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้นมหาดเล็กขององค์ปุณณวัชรที่คัดท้ายเรือ ก็คัดท้ายเบนหัวเรือเข่าเทียบท่าที่วัดแห่งนั้นเพียงชั่วครู่เรือก็เข้าเทียบท่า องค์ปุณณวัชรทรงก้าวขึ้นไปก่อน และยื่นมือมาช่วยองค์รังสิพันธุ์ที่กำลังจะก้าวขึ้นจากเรือ องค์รังสิพันธุ์ก็คว้าจับมือองค์ปุณณวัชรไว้และก้าวขึ้นจากเรือ
แล้วทั้งสองพระองค์ ก็ทรงพระดำนินข้าไปภายในวัดแห่งนั้น องค์ปุณณวัชรทรงทำบุญ แล้วรับดอกไม้ธุป เทียนมา 2 ชุด แล้วยื่นให้องค์รังสิพันธุ์ ทั้งสองพระองค์ทรงกราบหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และทรงอธิฐาน
“ขอข้าได้ช่วยบำรุงพระศาสนา ตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ จิตอยู่ในกุศลกรรมบถ  ปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ ได้บำรุงบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ประชาราษฎร์มีความสุขสงบ สาธุ” เสียงอธิฐานขององค์รังสิพันธุ์  ทำเอาองค์ปุณณวัชรทรงเหลือบสายตามามอง แล้วแย้มพระสรวลเล็กๆ อย่างเมตตา
“เจ้านี่อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีงาม” องค์ปุณณวัชรทรงคิดในใจ
หลังจากกราบพระกันเสร็จ องค์ปุณณวัชรเดินมาถามเจ้าหน้าที่ของวัดที่ตู้ทำบุญดอกไม้ธูปเทียน
“ที่นี่วัดชื่ออะไรหรือท่าน”  องค์ปุณณวัชรสงสัยเพราะว่ามีศาลเจ้าแบบจีนตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“วัดพระเจ้าพระนางเชิญเจ้าค่ะ”  เสียงตอบกลับจากเจ้าหน้าที่วัด
“พระเจ้าสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมาก”  เสียงขององค์รังสิพันธุ์ ที่เดินตามมาสมทบ
“ใช่เจ้าค่ะ วัดนี้พระเจ้าสายน้ำผึงสร้างถวายพระนาง” เสียงเจ้าหน้าที่ตอบ
ตำนานกล่าวไว้ ถัดขึ้นไปจากพระรามาธิบดี 2 รัชกาล พระเจ้ากรุงจีนทรงยกพระธิดาบุญธรรม ให้กับพระเจ้าสายน้ำผึ้ง เพราะะถูกพระอัธยาศัย และทรงเห็นว่าอโยธยาจะเป็นสถานีการค้าที่สำคัญในภูมิภาคของจีน ครานั้นพระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงลงเรือสำเภาไปรับเสด็จพระราชธิดาถึงกรุงจีน และพาเดินทางกลับมายังอโยธยา เมื่อกลับมาถึงอโยธยา ทรงสร้างพลับพลาและยั้งให้พระนางสร้อยดอกหมากพักคอยไว้ที่ตรงนี้ และพระองค์เข้าไปจัดการในพระราชวังให้เรียบร้อยเพื่อรับเสด็จ
ในวันรุ่งขึ้นจึงส่งเถ้าแก่น้ำเรือพระที่นั่งมารับพระนางสร้อยดอกหมาก แต่เมื่อไม่เห็นพระเจ้าสายน้ำผึ้งออกมารับด้วยองค์เอง พระราชธิดาพระเจ้ากรุงจีนจึงน้อยพระทัย
พระนางทรงรับสั่งกับเถ้าแก่ไปว่า ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกันอย่างลำบากยากเย็น เมื่อถึงบ้านถึงเมืองแล้วใยไม่มารับด้วยองค์เอง ถ้าไม่มารับด้วยองค์เองพระนางจะไม่เข้าไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงทราบข้อความที่พระนางกล่าว ก็รู้ว่าพระนางทรงน้อยพระทัย จึงรับสั่งสัพยอกกลับไปว่า
“มาถึงนี่แล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามพระทัยเถิด”
พระนางสร้อยดอกไม้ทราบข้อความนี้ก็เข้าใจว่าเป็นรับสั่งจริงจัง จึงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก พอถึงเวลาจริงๆ เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้งแต่งขบวนไปรับด้วยพระองค์เอง พระนางจึงทูลด้วยอารมณ์น้อยพระทัยไม่หายว่า
   “ไม่ไป”
   “ไม่ไปก็ประทับอยู่ที่นี่แหละ” พระเจ้าสายน้ำผึ้งยังคงสัพยอกพระนางอีก
พอหลุดพระโอษฐ์เช่นนั้น ด้วยความน้อยพระทัยอย่างมาก พระนางสร้อยดอกหมายทรงกลั้นพระทัยสิ้นพระชนม์อยู่ตรงนั้นทันที  พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงเสียพระทัยเป็นอันมากที่ หลุดพระโอษฐ์ไปอย่างนั้น จึงสร้างพระอารามแห่งนี้ถวายเป็นอนุสรณ์ถึงเรื่องราว และตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดพระนางเชิญ
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้อีสานปุระไม่เคยไว้ใจ อโยธยาอีกเลยเพราะคิดว่าจะเอาใจออกห่าง จะตั้งตัวเป็นอิสระ และแยกตัวออกจากการเป็นประเทศราชของอีสานปุระ สุดท้ายคือกลัวสูญเสียอำนาจแห่งตนด้วยอโยธยาจะอาศัยบารมีของมหาอาณาจักรจีน

เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จพระดำเนินกลับออกจากวัด เรือลำน้อยพุ่งตัดขวางแม่น้ำด้วยแรงทั้ง 4 ของมหาดเล็ก แต่บรรยากาศกลับเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมเงียบไป” เสียงองค์ปุณณวัชรทรงตรัสถาม
“เพราะตำนานพระเจ้าสายน้ำผึ้งกับพระนางสร้อยดอกหมากฤา” องค์ปุณณวัชรทรงถามต่อ
“อืม ขอรับ” เสียงตอบกลับสั้นขององค์รังสิพันธุ์
“ทำไมล่ะ” องค์ปุณณวัชรยังคงถามต่อ
“ก็หม่อมฉํนเป็นคนพูดเยอะ บางครั้งก็พูดไม่คิด ไม่รู้ว่าหลุดปากพูดอะไรทำร้ายจิตใจคนอื่นไปหรือไม่” เสียงตอบจากองค์รังสิพันธุ์
“ท่านก็ต้องระลึกไว้เสมอว่า ต้องระวังคำพูดของตนเอง” องค์ปุณณวัชรตอบ
“รู้ตนก็ดีแล้วท่านจักได้ระวัง” สิ้นเสียงองค์ปุณณวัชรก็เอาพระหัตต์มาวางและบีบเบาๆที่พระพาหุขององค์รังสิพันธุ์เบาๆเพื่อปลอบใจ
เรือลำน้อยตัดผ่านม่านกำบังของสำนักเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะตั้งแต่ ชีวกทันตอาจารย์รับพวกเราเป็นศิษย์ พวกเราและคนติดตามก็ได้สิทธิ์ในการผ่านม่านกำบัง โดยมิต้องขออนุญาติ
   เมื่อถึงศาลาท่าน้ำของสำนัก ทั้ง 2 พระองค์พระดำเนินขึ้นกลับไปบนเรือน เพราะเริ่มย่ำค่ำแล้ว มหาดเล็กทั้ง 4 ถือของพะรุงพะรังตามหลังมา
   “ไปไหนกันมาฤา” เสียงองค์ศศินธรทักขึ้น
   “กระหม่อมไปตลาดมาขอรับ” เสียงตอบจากองค์รังสิพันธุ์
   “กินอะไรกันมาหรือยัง” เสียงองค์มหรรณพเสริมขึ้นมา
   “ยังขอรับ” เสียงตอบจากองค์ปุณณวัชร
   “งั้นมากินด้วยกัน” เสียงองค์มหรรณพเอ่ยชวน พร้อมกับพยักหน้าให้หมาดเล็กไปยกเครื่องเสวยมาเพิ่ม
   “ของฝากพ่ะย่ะค่ะ” องค์ปุณณวัชรยื่นขวดน้ำอบ ถวายองค์ศศินธร กับองค์มหรรณพ
   “ขอบพระทัย” เสียงขอบคุณจากทั้ง 2 พระองค์
   องค์มหรรณพหันมาที่องค์รังสิพันธุ์
   “หม่อมฉันเอาบุญมาฝากพระเจ้าค่ะ” องค์รังสิพันธุ์ยิ้มแห้งๆ
   “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์นัก” องค์มหรรณพทรงหยอกน้องเล็กสุด
   “แอบหนีไปเที่ยวก็ไม่บอก ไม่ชวน แถมของฝากก็ยังไม่มีอีกนะเจ้า” เสียงองค์ศศินธร ทรงบ่นน้อยพระทัย
   “คราวหลังหม่อมฉันจะชวนเจ้าพี่เป็นองค์แรกเลยนะขอรับ” เสียงยืนยักหนักแน่นจากองค์รังสิพันธุ์
   “เออ ข้าจะคอยดู” เสียงองค์ศศินธรตอบกลับมา
   “เจ้าพี่รู้ไหมว่าวันนี้ อโยธยาจับอุปนักขิตของอีสานปุระได้” เสียงองค์รังสิพันธุ์ตื่นเต้น
   “กระนั้นฤา” เสียงองค์มหรรณพ
   “กระหม่อมกับองค์ปุณณวัชรก็ช่วยด้วย” เสียงภาคภูมิใจขององค์รังสิพันธุ์

เริ่มอาทิตย์ที่ 2 ตั้งแต่ฝากตัวเป็นศิษย์และเข้ามาอยู่ในสำนักตักศิลา วิชาที่เรียนก็เริ่มเข้มข้นและเริ่มแน่นขึ้น องค์รังสิพันธุ์ ถูกแยกออกไปเรียนวิชาการต่อสู้และมัดมวยเพิ่มเติมในตอนเย็น เป็นการสอนเสริมตัวต่อตัว เพราะอาจารย์ธเนศวรก็เพิ่งรู้ว่า รังสิพันธุ์ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ที่สู้ได้วันนั้นเป็นการครูพักลักจำมาจากพี่ชาย จึงจำต้องเขี่ยวเข็ญเพิ่มขึ้น

ส่วนวิชาการต่อสู้วันนี้ อาจารย์ใหญ่ ชีวกทันตอาจารย์ ลงมาสอนด้วยตนเอง หลังจากสอนสรรพวิชาเสร็จ ก็เป็นการประลองฝีมือตามปกติทุกสัปดาห์

“มหรรณพ  กับ ฑิฆัมพร” เสียงขานชื่อของชีวกทันตอาจารย์
ทั้ง 2 องค์ก้าวออกมาตรงกลางเวที องค์มหรรณพใช้หอกเป็นอาวุธ ส่วนองค์ฑิฆัมพรใช้ทวนเป็นอาวุธ ทั้ง 2 องค์ทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะย่างสามขุม เตรียมพร้อมที่จะประลอง
“ทำไมอาวุธของทั้ง 2 องค์เหมือนกัน” องค์รังสิพันธุ์หันไปถามองค์ปุณณวัชร
“ไม่เหมือนกันสักหน่อย เจ้าสังเกตดูดีๆ” องค์รังสิพันธุ์ ก็เพ่งพินิจอาวุธของทั้ง 2 องค์กลางลานประลอง
“แล้วมันต่างกันอย่างไงหรือขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์ยังคงถามต่อ
“เขาเรียก ทวน กับ หอก” องค์ศศินธรที่ยืนอยู่ใกล้ๆอธิบายให้ฟัง
“หอกจะมีใบคมที่หนาและกว้างกว่าและสมดุลน้ำหนักของตัวหอกจะเทไปทางใบมีด เหมาะสำหรับแทงและพุ่ง ส่วนทวนจะมีใบมีดที่เรียวและยาวกว่าหอก สามารถเอาไว้ปาดและเฉือนได้ด้วย สมดุลน้ำหนักจะอยู่กลางด้าม เมื่อรวมทังหมดแล้ว ทวนจะมีความยาวมากว่าหอก สัก 2 คืบ” เสียงองค์ปุณณวัชรอธิบายเพิ่มเติม
“อ่อ เป็นอย่างนี้”  องค์รังสิพันธุ์เพิ่งเข้าใจ
ในสนามประลองทั้ง 2 องค์กำลังโรมรันกันอย่างดุเดือด อีกฝ่ายหนึ่งรุก อีกฝ่ายหนึ่งรับ อย่างน่าตื่นตา ทั้ง สององค์ต่างใช้อาวุธได้อย่างคล่องแคล่ว แสงสีเงินวาบๆของทั้งปลายทวนและปลายดาบวาดเป็นวง เพราะสะท้อนแสงพระอาทิตย์
เวลาผ่านไปเกือบ 2 ก้านธูปในที่สุด องค์มหรรณพก็พลาดถูกทวนขององค์ฑิฆัมพร จี้ที่พระศอ
“ฑิฆัมพรชนะการประลอง” เสียงประกาศของ ชีวกทันตอาจารย์ ทั้งสองพระองค์ ทำความเคารพซึ่งกันและกันและแยกย้ายกันกลับไปนั่งที่ตั่งของตนเอง
   “เผลอไปหน่อย เลยแพ้เลย” เสียงองค์มหรรณพบ่นหลังกลับมาถึงตั่ง
   “นิดเดียวเองขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ปลอบใจ

ตกตอนบ่าย วันนี้อาจารย์ให้พวกเราเดินหาสมุนไพร ในป่าท้ายเกาะ เพื่อนำมาปรุงเป็นยา สำหรับนำติดตัวเอาไว้ เป็นยาบรรเทาการบาดเจ็บทั้งภายนอก และภายใน เป็นตำหรับเฉพาะของสำนัก ที่เป็นที่ต้องการของตลาดมืดเป็นอย่างมาก เม็ดหนึ่งราคาหลายตำลึง โดยอาจารย์บอกชื่อสมุนไพรที่ต้องการให้ทุกพระองค์ทราบ

“เจอไหมขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์ถามองค์ปุณณวัชร
“ได้มาหลายอย่างแล้ว” องค์ปุณณวัชรทรงเอาตระกร้าที่แยกสมุนไพรแต่ละประเทภทไว้  ยื่นให้องค์รังสิพันธุ์ดู
“โห ท่านได้เยอะแล้วนี่ ข้ายังได้นิดเดียวเอง” องค์รังสิพันธุ์ยื่นที่แถบจะว่างเปล่าให้องค์ปุณณวัชรดู
“ก็มัวแต่เล่น” เสียงองค์ปุณณวัชรทรงดุ
“ก็แมลงปอสีสวยๆบินเต็มไปหมดเลย ที่บ้านกระหม่อมมีแค่ไม่กี่สีเอง” เสียงองค์รังสิพันธุ์ทรงแก้ตัว องค์รังสิพันธุ์ชี้ไปอีกด้านหนึ่งบริเวณชายน้ำที่มีแมลงปอ รวมตัวบินว่อนกันอยู่
“เยี่ยมเลย ความซนของเจ้าก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ” เสียงองค์ปุณณวัชรทรงชม ที่แท้ตรงที่แมลงปอสีสวยบินรวมตัวกันอยู่เหนือดอกบัวฉัตรชมพู เป็นบัวหายากที่ลักษณะค่อนข้างคล้ายกับบัวหลวง แต่สีดอกจะออกเป็นสีชมพูอมม่วงมากกว่า
“ขอบใจมาก” องค์ปุณณวัชรขอบคุณองค์รังสิพันธุ์ที่ยืนงงอยู่
สุดท้ายแล้ว องค์ปุณณวัชรก็แบ่งสมุนไพรให้ทุกอย่างให้กับองค์รังสิพันธุ์แล้วก็อธิบายสมุนไพรแต่ละอย่างให้องค์รังสิพันธุ์เข้าใจ องค์รังสิพันธุ์ก็ดีใจที่มีส่วนช่วยให้องค์ปุณณวัชรหาสมุนไพรตัวสุดท้ายเจอ
“ขอบใจนะ เจ้าแมลงปอ” องค์รังสิพันธุ์หันไปขอบคุณเหล่าแมลงปอ
“เจ้าก็เหมือนแมลงปอ” เสียงองค์ปุณณวัชรทรงตรัสกับองค์รังสิพันธุ์

หลังจากเริ่มเรียนมาได้ร่วม 2 อาทิตย์ อาจารย์ธเนศวร ก็เริ่มแบ่งพวกเราออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 7 องค์ อีกหนึ่งกลุ่ม 6 องค์ เพื่อฝึกประสานงานกันในกลุ่ม โดยสลับเวียนกัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์ โดยอาจารย์ธเนศวรจะหาว่ากลุ่มใดเหมาะสมกับองค์ใดมากที่สุด พวกเราทุกคนตื่นเต้นกันมากที่เพราะใคร่ที่จะได้รู้ว่า ใครจะได้อยู่คู่กับใคร
อาจารย์ธเนศวรยังบอกกับพวกเราอีกว่า เรียนอยู่ในสำนัก ฝึกกันเอง ก็มิสู้ได้ออกไปเรียนรู้ที่จะปฏิบัติการกันจริงๆ จะได้ประโยชน์มากกว่า ถ้าครบ 4 เดือนหลังจากศึกษาเบื้องต้นแล้ว จะให้ปฏิบัติงานควบคู่ไปการเรียน ยิ่งทำให้พวกเราตั้งใจที่จะฝึกฝน และเรียนรู้สรรพวิชาต่างๆ กันอย่างตั้งใจ เพราะอีกไม่นานก็จะเป็นของจริงที่จะต้องเผชิญ........
เมื่อผ่านไปได้ 2 อาทิตย์ พวกเราก็ได้กลุ่มที่จะเป็นกลุ่มปฏิบัติงาน

กลุ่มแรก เป็นกลุ่มของ รังสิพันธุ์ ปุณณวัชร  มหรรณพ ศศินธร  อนันตราช ศรีวังสา สว่างวัฒน์
กลุ่มที่สอง ประกอบไปด้วย  อโณทับ ฑิฆัมพร  ทิวากร แสนภูคา มิ่งเกษ ญาณวัตร ลวจักร
กลุ่มที่สาม  เป็นกลุ่มของ   ชลาสินธุ์ ภานุพงศ์ แก้วอินแถง สิงหพล ไตรแสนไท แสนคำหลวง

ทั้ง 3 กลุ่ม ที่อาจารย์ธเนศวรแบ่งให้ ในกลุ่มก็จะมีองค์ที่เก่งเฉพาะด้านแต่รวมแล้วจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวต่อกลุ่ม บางองค์ถนัดโจมตีระยะไกล ระยะประชิต ซ่อนเร้นกำบังกาย บางองค์เก่งสอดแนม บางองค์เก่งวางแผนเป็นต้น




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 8 ภารกิจแรกปราบผี

งานแรกที่พวกเราได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติงานจริง คืองาน ปราบผี ที่ตำบลมหาชัย ปากน้ำนครชัยศรี มีรายงานเข้ามาสู่อโยธยาว่าบริเวณนั้น มีภูตผีอาละวาด มีราษฎรหายตัวไปอย่างลึกลับหลายร้อยคนแล้ว จนเมืองแถบจะเป็นเมืองร้าง เพราะผู้คนต่างหวาดกลัวและหนีออกจากเมือง ทางการก็จัดการลำบาก เพราะเป็นชายแดนเขตติดต่อระหว่างแคว้นอโยธยา กับ แคว้นสุพรรณภูมิ โดยมีแม่น้ำนครชัยศรีเป็นเขตแดน ทางการอโยธยาจะส่งทหารหลวงออกไป ก็เกรงว่าสุพรรณภูมิจะสำคัญผิดคิดจะรุกราน ทางสำนักตักศิลาจึงอาสาที่จะเข้าไปสืบว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
“ไปปราบผี” เสียงองค์รังสิพันธุ์ร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมาย
“เอาจริงฤาท่านอาจารย์” เสียงองค์มหรรรณพ ถามสวนอาจารย์ธเนศวร
“ผีมีจริงที่ไหน” เสียงองค์ศศินธรปราม
“แล้วเราจะเริ่มกันไงกันท่านอาจารย์”  เสียงองค์ฑิฆัมพรถามแทรกขึ้น
“งานแรกนี้ พวกเราจะไปกันทั้งหมด ข้าจะนำไปเอง” องค์ธเนศวรเริ่มอธิบายแผนงาน

“แผนคือ เราจะทำงานกันเป็นกลุ่มแบ่งหน้าที่กัน แต่จะมีการสลับคนในกลุ่มเพื่อความเหมาะสม ตามสถานะการณ์และเขตแดน อาจจะไม่ใช่กลุ่มที่ข้าแบ่งให้พวกเจ้าไว้ด้วยกันแต่แรก” เสียงอาจารย์ธเนศวรอธิบาย
กลุ่มที่ 1 ของ รังสิพันธุ์ ปุณณวัชร  มหรรณพ ศศินธร  อนันตราช  ศรีวังสา
“ให้ฑิฆัมพร สลับกลุ่มกับ สว่างควัฒน์ “
“ขอรับ”เสียงรับคำจากทั้งองค์ฑิฆัมพรและองค์สว่างควัฒน์
เพราะอาจจะเกี่ยวพันถึงสุพรรณภูมิด้วย พวกเจ้าแสร้งตัวเป็นพ่อค้าล่องเรือลงมาแต่สุพรรณภูมิ ให้ลงเรือจากอโยธยาไปที่นครชัยศรีเปลี่ยนเรือเป็นเรือพ่อค้าที่มีคนเตรียมไว้พร้อมแล้วให้ล่องตามแม่น้ำนครชัยศรีลงไป ทำทีเป็นเอาสินค้าซื้อขายและสืบข่าวสังเกตการณ์   กลุ่มนี้ให้ ฑิฆัมพร เป็นหัวหน้ากลุ่ม กลุ่มนี้เริ่มเดินทางฟ้าสางวันมะรืน

“กลุ่มที่ 2 ของด้วย  ให้ ชลาสินธุ์ สลับกลุ่มกับญาณวัตร”
“ขอรับ” เสียงตอบรับจากทั้ง 2 พระองค์
“ในกลุ่มมียังมี อโณทับ  ทิวากร  สว่างควัฒน์ แสนภูคา  มิ่งเกษ  ลวจักร  ปลอมตัวเป็นคนที่ทางการ  อโยธยาส่งลงมาเพื่อจัดการปัญหา เพื่อให้ชาวบ้านสบายใจ นำกำลังทหารม้าไป 50 คนเดินทางทางบก และเป็นเป้าล่อและดึงดูดความสนใจจากศัตรู ให้ตั้งค่ายไว้คอยปลอบขวัญชาวบ้านละแวกน้น  กลุ่มนี้ให้ชลาสินธุ์เป็นหัวหน้ากลุ่ม ออกเดินทางฟ้าสางวันพรุ่ง ที่ให้ออกเดินทางก่อนกลุ่มอื่นเพราะเดินเดินทางบก
กลุ่มที่ 3 ของ ญาณวัตร ภานุพงศ์ แก้วอินแถง สิงหพล ไตรแสนไท แสนคำหลวง และข้า  พวกเราจะปลอมตัวเป็นลูกเรือสำเภาจีนทำทีเข้ามาจากปากน้ำนครชัยศรี เพื่อเค้าไปค้าขาย บนสำเภาลูกเรือส่วนใหญ่จะเป็นทหารหลวงที่ปลอมตัวไป โดยบนสำเภามีปืนใหญ่กระสุนดินดำติดไปอยู่ด้วยเพื่อฉุกเฉิน ออกเดินฟ้าสางอีก 3 วันให้หลัง”  อาจารย์ธเนศวรแจกแจงแผน

“สรุปง่ายๆก็คือสืบข่าวให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ ตำบลมหาชัย ก่อน ปลอบขวัญชาวบ้าน และจัดการกับปัญหานั้นใช่ไหมขอรับอาจารย์” เสียงองค์อโณทัยสรุป
“ใช่แล้ว อโณทัย” เสียงตอบจากผู้เป็นอาจารย์
   “ข้าให้พวกเจ้าในแต่ละกลุ่มไปปรึกษาแผนละเอียดกันอีกที” อาจารย์ธเนศวรปิดท้าย

เช้าวันต่อมาพวกเราออกมาส่ง กลุ่มที่ 2 นำโดยองค์ชลาสินธุ์ ที่จะต้องออกเดินทางก่อน เพราะต้องเดินทางทางบก ทั้ง 7 องค์ลงเรือออกจากสำนักข้ามฟากไปอโยธยา ที่เตรียมพร้อมทหารม้ารอไว้พร้อมแล้ว

   เช้าวัดถัดมา กลุ่มของพวกเราที่มี ฑิฆัมพรเป็นหัวหน้า รังสิพันธุ์ ปุณณวัชร  มหรรณพ ศศินธร  อนันตราช ศรีวังสา ก็เริ่มออกปฏิบัติงาน โดยล่องเรือจากอโยธยาไปจนถึงนครชัยศรี เมื่อถึงนครชัยศรี มีขบวนเรือของทางการอโยธยาที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าจากสุพรรณภูมิเตรียมไว้คอยท่าเรียบร้อย เป็นเรือมีประทุนลากนำเรือหางแมงป่อง ใส่ข้าว น้ำผึ้ง และไม้สัก ลากต่อกัน 3 ลำ คนในเรือทั้งหมดเป็นทหาร
เรือมาเทียบท่า ที่บริเวณตำบลบ้านแพร้ว เป็นตำบอลก่อนถึง ตำบลมหาชัย ผู้คนจากมหาชัยอพยพกันมาเต็มไปหมด  พวกเราแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 2 คน รังสิพันธุ์ไปกับปุณณวัชร และคนอื่นๆแยกไปเป็นคู่ เพื่อไปทำทีนำสินค้ามาขาย แต่แท้ที่จริงคือสืบข่าวจากผู้คนที่หลบหนีมาจากมหาชัย
“เรามีข้าว น้ำผึ้งและไม้สัก มาขายให้กับท่าน ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่” องค์ปุณณวัตรถามคหบดีที่เปิดร้านค้าขาย
“ท่านอยากได้เป็นเงิน หรืออยากแลกเป็นสินค้าอย่างอื่นล่ะ” เสียงคหบดีตอบกลับ
“เป็นเงิน ” เสียงตอบกลับจากองค์ปุณณวัชร
“ท่านต้องการจะขายอย่างล่ะเท่าไร” เสียงคหบดีสอบถามกลับ
“ข้าว 1 ลำเรือ น้ำผึ้ง 5 ถัง ส่วนไม้สัก ท่านอยากได้สักเท่าไร” องค์ปุณณวัชรถามกลับ
“ทั้งหมดนั่นแหละ” เสียงคหบดีบอกความจำนง
“มิได้ ไม้สักแค่ขอเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง เพราะมีคนสั่งเอาไว้ที่ตำบลมหาชัย” เสียงองค์ปุณณวัชรต่อรอง
“ท่านมิรู้เหรอ ว่าที่นั่นมีผีพรายอาละวาด กลายเป็นเมืองร้างไปหมดแล้ว” เสียงคหบดีเบาเหมือนกระซิบ
“ไม่จริงหรอกมั่งท่าน คำลือคำเล่าอ้างมากกว่า”
“อย่าหลบหลู่นะท่าน เรื่องแบบนี้” เสียงคหบดีเตือน

เมื่อแบ่งขายสินค้าตามต้องการได้หมดแล้ว พวกเรากลับมาที่เรือ ทุกองค์กลับมาที่เรือ ข่าวที่ได้สืบมาได้ตรงกันหมด ว่าเมืองมหาชัยกลายเป็นเมืองร้างไปเรียบร้อยแล้ว
“ทางเดียวที่จะพิสูจน์ ก็คือต้องล่องเรือลงไปสำรวจ” องค์ฑิฆัมพร สรุปให้พวกเราฟัง
“กระหม่อมเห็นด้วย” เสียงตอบจากงองค์ปุณณวัชร
“กระหม่อมก็ด้วย” เสียงองค์ศศินธรสมทบอีกองค์
เมื่อเห็นตรงกันหมด กลุ่มเรือของพวกเรา เริ่มล่องลงมาตามแม่น้ำนครชัยศรี มาถึงตำบอลมหาชัยก็พลบค่ำพอดี ขณะเริ่มมีหมอกลงหนา องค์รังสิพันธุ์ที่นั่งอยู่กาบเรือ
“โครม” เสียงน้ำกระจายตัวออก อยู่ดีๆก็มีอะไรสักอย่าง มาคว้าจับที่ขอบโจงขององค์รังสิพันธุ์ แล้วลากองค์รังสิพันธุ์ ตกลงไปในน้ำ อย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว 
 ทั้งองค์ปุณณวัชร องค์ศศินธร และองค์ฑิฆัมพรต่างตกตะลึง เมื่อเห็นองค์รังสิพันธุ์จมหายลงไปอย่างรวดเร็ว
“โครม” เสียงน้ำกระจายอีกครั้ง องค์ปุณณวัชรกระโจนตามลงไปควานหาองค์รังสิพันธุ์อย่างร้อนรน
“โครม” เสียงน้ำกระจายอีก 2 ครั้ง องค์ศศินธรกับองค์มหรรณพ กระโจนลงน้ำตาม ลงไปสมทบ
ด้านบนเรือ ทั้งองค์ อนันตราช ศรีวังสา นำโคมไฟมาส่องแสงนำทาง เพราะเริ่มมืดค่ำแล้ว องค์ที่เป็นกังวลและร้อนรนที่สุดนอกจากองค์ปุณณวัชรแล้ว  ก็คือองค์ฑิฆัมพร ด้วยความที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนในกลุ่ม ก็คงต้องเป็นความรับผิดชอบขององค์เอง………..

   “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพ่อหนุ่ม” เสียงชาววัยกลางคนที่กำลังเขย่าตัวเด็กหนุ่มที่นอนสลบอยู่
องค์รังสิพันธุ์ค่อยๆลืมตาขึ้น พบว่าตนเองอยู่ที่ไหนสักที สภาพเหมือนอยู่สถานที่กำลังก่อสร้างอะไรสักอย่าง   “ฟื้นแล้ว” เสียงวัยกลางคนดีใจเมื่อเห็นชายหนุ่มลืมตาขึ้น
   “ที่นี่ที่ไหนหรือลุง”  องค์รังสิพันธุ์ ถามชายวัยกลางคน ขณะกำลังทบทวนความทรงจำ   
   “ค่ายก่อสร้าง” เสียงตอบจากชายวัยกลางคน
   ยังไม่ทันขาดคำ เสียงแหวกอากาศ ของบางสิ่งกำลังพุ่งมา
   “เปรียะ” แขนด้านซ้ายของชายวัยกลางคนแดงปูดขึ้นเป็นแนว
   “อย่ามัวแต่อู่งาน” เสียงชายหน้าขมึง ดุร้าย สวมเกราะ ตะโกนสั่ง
   “เจ้ามาใหม่ ถ้าไม่อยากโดนแส้ ก็ไปทำงาน” เสียงขยับแขนลากแส้ขึ้นไปเป็นขู่
   รังสิพันธุ์เดินตามชายวัยกลางคนไป พอห่างจากผู้คุมที่ดุดันก็เริ่มคิดและไตร่ตรองสถานะการณ์
   “ลุงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เสียงองค์รังสิพันธุ์กระซิบถาม
   “ลุงจำได้ว่าแค่จมน้ำ แล้วก็มาโผล่ที่นี่” เสียงตอบจากวัยกลางคน
ถ้าอย่างนั้นผีพลายที่แท้ก็คือคน ไม่ใช่ผี ชาวบ้านที่หายไปถุกจับตัวมาเป็นทาสให้ก่อสร้างอะไรสักอย่าง องค์รังสิพันธุ์มองไปโดยรอบ สังเกตสิ่งที่กำลังก่อสร้าง

ตกดึกทึกอย่างเงียบสงัด ยามที่เฝ้าคุมคนที่ถูกจับมาใช้แรงงานทั้งหมด เริ่มผ่อนคลายความเข้มงวด รังสิพันธุ์ค่อยๆลุกขึ้นอย่างเงียบเฉียบที่สุด อาศัยความมืด ค่อยๆหลบตามพุ่มไม้เล็กพยายามเล็ดกลายออกไป แต่ก็โดนกระแทกกลับเข้ามา
“ที่แท้เป็นอาคมกางกั้นเอาไว้อีกที มิน่าทหารผู้คุมถึงหละหลวมนัก”  ดังนั้นองค์รังสิพันธุ์เริ่มร่ายคาถา ไม่นานก็ผ่านทะลุออกมาได้ เดินออกมาไม่ไกลก็ถึงริมน้ำนครชัยศรี รังสิพันธุ์เดินลัดเลาะทวนแม่น้ำขึ้นไปไม่ไกลมากนัก ก็เจอกับเรือสินค้าของพวก องค์ปุณณวัชร ที่จอดเทียบกับตลิ่งอยู่
“นั่นใคร” เสียงตวาดดังออกจากจากเรือเมื่อคนในเรือเห็นเงาตะคุมๆเข้ามาใกล้
“ข้าเอง” เสียงตอบของรังสิพันธุ์ ทำเอาองค์ปุณณวัชร แถบจะกระโจนออกมาจากเรือและวิ่งมามาหาองค์รังสิพันธุ์ ตามมาด้วยองค์ศศินธร และองค์มหรรณพ องค์ฑิฆัมพร
“เจ้าหายไปไหนมา” เสียงองค์ฑิฆัมพรถามอย่างร้อนรน
“โดนจับตัวไปขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ทรงตอบ
เมื่อทั้ง 5 องค์ขึ้นมาบนลำเรือแล้ว องค์อนันตราชกับองค์ศรีวังสาเข้ามาสมทบเพิ่ม
“ใครจับตัวไปฤา” เสียงองค์ปุณณวัชรทรงถาม
“ดูจากเครื่องแต่งกายและชุดเกราะของพวกผู้คุมแล้วน่าจะเป็นพวก อีสานปุระขอรับ”
“อีสานปุระฤา” เสียงองค์ศศินธรถามย้ำ
“พวกมันมาทำอะไรที่นี่” องค์ปุณณวัชรถามต่อ
“พวกมันกำลังก่อสร้างเหมือนจะเป็นป้อมปราการขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ทรงตอบ
แล้ว องค์รังสิพันธุ์ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ฟื้นขึ้นในค่ายจนที่หนีออกมาได้สำเร็จให้ทุกองค์ฟัง
“ที่แท้พี่พรายเป็นกลอุบายให้คนกลัวและหนีออกจากเมืองหรอกหรือ ส่วนชาวเมืองที่หายตัวไปถูกจับตัวไปเป็นเชลยก่อสร้าง” องค์อนันตราชสสรุป
“ต้องช่วยชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานที่นั่นให้หมด” เสียงองค์ฑิฆัมพรหนักแน่น
“เราต้องติดต่อฝั่งองค์ชลาสินธุ์  เพราะต้องอาศัยกำลังทหารม้าเข้าโจมตีอีกทาง” เสียงองค์มหรรณพเสริม
   “หม่อมชั้นอาสาเองไปเอง” องค์อนันตราชเสนอองค์

เมื่อทั้ง 7 องค์วางแผนเข้าโจมตีเสร็จและทบทวนแล้วก็นำแผนนั้นให้องค์อนันตราช นำไปตระเตรียมกับกลุ่มขององค์ชลาสินธุ์ และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กลุ่มที่ปลอบตัวเป็นทหารจากอโยธยาขององค์ชลาสินธุ์เอง ที่ตั้งค่าย ถูกรังควาญโดยผีพราย มีทหารหลายนายหายตัวไปอย่างลึกลับ จนต้องมีคำสั่งว่าถ้าไม่จำเป็นห้ามเข้าใกล้แม่น้ำเป็นอันขาด
เมื่อองค์อนันตราช นำความจริงที่กลุ่มขององค์เองเผชิญมา และแผนการที่จะโจมตีมา ถึงค่ายขององค์ชลาสินธุ์ แผนการปลดปล่อยช่วยชาวบ้านจะถูกเริ่มกัน ยาม 3 คืนนี้เลย ด้วยกำลังทหารของอีสานปุระที่คุมอยู่ที่ป้อมปราการมีไม่มากนัก และชาวบ้านก็พร้อมที่จะลุกขึ้นต่อสู้ แค่ทำลายเกราะอาคมลงได้ และจู่โจมอย่างรวดเร็วทั้ง 2 ทาง คือกลุ่มทหารม้าขององค์ชลาสินธุ์ และอีกกลุ่มขององค์ฑิฆัมพรที่จะอำพรางแสงและล่องเรือลงไปตามลำน้ำ พอถึงเป้าหมายก็บุกโจมตีทั้ง 2 ทางพร้อมๆกันคืนนี้ตอนยามสาม
เมื่อไฟสัญญาณโต้ตอบกันระหว่าง 2 กลุ่มถูกจุดขึ้น ก็เป็นการเริ่มแผนการ  มีสามองค์ร่ายอาคมเปิดทางทางฝั่งริมน้ำ และอีก 3 องค์จากฝั่งทหารม้าร่ายอาคมทำลายเกราะกำบังป้องกันและอำพราง เมื่อเกราะถูกเปิดออกแล้ว ก็ปรากฎเป็นป้อมปราการที่กำลังก่อสร้างเห็นชัดเจน
“บุก” เสียงตะโกนสั่งจากองค์ฑิฆัมพรจากฝั่งริมน้ำก้องไปทั่ว
“บุก” เสียงตะโกนจากองค์ชลาสินธุ์ฝั่งทหารม้าดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน
ไม่นานป้อมปราการแห่งนั้นก็ถูกยึดไดสำเร็จ เหล่าทหารที่คุมกันของอีสานปุระอยู่ถูกฆ่าจนสิ้น ชาวบ้านที่ถูกจับมาเป็นเชลยใช้แรงงานถูกปลดปล่อย องค์ศรีวังสา กับองค์มหรรณพเดินสำรวจ เหล่าซากศพของทหาร ก็ไปพบกับบางสิ่ง……

ฟ้าเริ่มสาง พระอาทิตย์กำลังขึ้น เรือสำเภาลำใหญ่กำลังเล่นเข้ามาจากปากอ่าว องค์ฑิฆัมพรรีบส่งเรือเร็วไปแจ้งข่าวให้กับอาจารย์ธเนศวร อาจารย์ธเนศวรกับทั้ง 6 องค์ในกลุ่มที่ 3 ลงเรือเล็กมาที่ป้อม ทั้งหมด นั่งประชุ่มกัน ทางด้านอาจารย์ธเนศวรเอง ก็ต้องเสียเวลารบกับเรือส่งกำลังบำรุงและลำเลียงของอีสานปุระมาเช่นกัน กว่าจะจมเรือของอีสานปุระลงได้  ในที่ประชุมลงความเห็นว่าต้องทำลายป้อมปราการแห่งนี้ โดยปืนใหญ่ดินดำบนเรือสำเภาจีน
“กระหม่อมคิดว่าคงไม่ใช่แค่อีสานปุระแล้วล่ะขอรับ” เสียงองค์ศรีวังสาทูลขึ้นกลางที่ประชุม
“ทำไมฤา” เสียงอาจารย์ธเนศวรถามกลับ
“กระหม่อมกับองค์มหรรณพเจอสิ่งนี้มา” แล้วองค์ศรีวังสาก็ยื่นสิ่งที่พบให้กับอาจารย์ธเนศวร
“กริช” เสียงอาจารย์ธเนศวร
“กริชของ ศรีวิชัย พ่ะย่ะค่ะ” เสียงศรีวังสาย้ำอีกครา เสียงอื้ออึงดังขึ้นในที่ประชุม............



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ภาษาสวย เนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ :L2: :L2:

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 9 อธิฐาน
อีก 4 วันต่อมาหลังจากกลับมาถึงอโยธยา กลุ่มปฏิบัติงานสำนักตักศิลาทั้ง 21 องค์ ถูกเรียกให้เข้าเเฝ้าสมเด็จพระรามาธิบดีแห่งแคว้นอโยธยาเพื่อรายงานถึงผลของการปฏิบัติงานและความสำเร็จของภารกิจ
“มีรายงานจากแคว้นต่างๆรอบอ่าว ว่าได้พบเจอป้อมปราการที่ถูกแอบสร้างขึ้นบริเวณปากน้ำต่างๆ ทั้ง แม่น้ำเพชร แม่น้ำแม่กลอง  แม่น้ำนครชัยศรี แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำจันทบูรณ์” เสียงองค์สมเด็จพระรามาธิบดีทรงตรัส
“ยังไม่รวมถึงแหลมตะลุมพุกที่ศิริธรรมนคร และ แหลมตาชิที่มหาวังสา” เสียงอื้ออึงเต็มท้องพระโรง
“นี่หมายความว่า อีสานปุระ กำลังร่วมมือกับ ศรีวิชัย ” เสียงองค์ธเนศวรรทรงทูลสมเด็จพระรามาธิบดี
“พวกเขาร่วมมือกันคิดที่จะปิดอ่าวกันเชียวหรือ” เสียงองค์ชลาสินธุ์
“ดีที่พวกเราไหวตัวทันกันเสียก่อน มิฉะนั้นคงไม่ต้องค้าขายกะใครอีกแล้ว” เสียงองค์รามาธิบดีทรงตรัส
“ทั้ง 2 อาณาจักรเยิ่งใหญ่ในอุษาคเนย์ และทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางเส้นทางระหว่างทะเลของพวก แขกทางตะวันตก และจีน ทางตะวันออก ผลประโยชน์มหาศาล ใครจะค้าขายก็ต้องพึงพาพวกเขาเป็นตัวกลาง” เสียงองค์ธเนศวรอธิบายขึ้น
“พอพวกไทอย่างพวกเราเริ่มเติบโตขึ้นและพระเจ้ากรุงจีนให้ความสำคัญ  พวกเขาเลยคิดว่าต้องกำจัด” เสียงองค์รามาธิบดี
“ถ้าป้อมปราการเหล่านั้นถูกสร้างสำเร็จ ปิดกั้นแม่น้ำสำคัญของเรา ก็แปลว่าเราถูกกีดกันออกจากสถานะพ่อค้าคนกลางรายใหม่ที่จะสู้กับพวกเขาได้” เสียงองค์ธเนศวรอธิบายต่อ
“ดีที่ทำลายมันลงไปได้ ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาก็ข้าก็ส่งกองกำลังไปทำลายแล้วเช่นกัน” เสียงองค์สมเด็จรามาธิบดีทรงตรัส
คราวนี้พวกเราคนไทคงต้องร่วมมือกัน เพราะไม่ใช่แค่อีสานปุระ ยังมีศรีวิชัยอีกอาณาจักร ที่จะกลายเป็นทั้งศัตรูและคู่แข่งอย่างแท้จริง......

อากาศเย็นจากทางเหนือเริ่มเข้ามาได้สักพักใหญ่แล้ว ฤดูกาลเปลี่ยน แต่ที่สำนักตักศิลายังคงคึกคัก และเข้มข้นเพราะความหึกเหิมของทุกคนหลังปฏิบัติภารกิจแรกก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทุกองค์ยังคงต้องใจฝึกฝน เพราะสิ่งที่เรียนมายืนยันได้แล้วว่าสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่ว่าจะสรรพวิชาแขนงไหนๆ
“วันพรุ่งวันเพ็ญเดือน 12 แล้ว” เสียงองค์อโณทัยทรงตรัส กลางวงสนทนาระหว่างเสวยพระกายาหารกลางวัน
“มีอะไรกระนั้นหรือขอรับ” องค์รังสิพันธ์ถามองค์อโณทัย
“ที่บ้านเรา จะมีการลอยประทีบที่สายน้ำ เพื่อขอบคุณแม่พระคงคง เป็นประเพณีชาวแคว้นละะแวกนั้น”
“ใช่ๆ เป็นประเพณีของ สุโขทัย บางยาง และฉอด” เสียงองค์ทิวากรเสริม
“ที่บ้านเราก็มีการลอยประทีบเหมือนกัน แต่ลอยขึ้นฟ้านะ เพื่อสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณี”  องค์ลวจักร ตรัส
“โคมลอยตามประทีบลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า เป็นภาพที่สวยงามมาก” เสียงองค์อนันตราชเสริม
“เป็นประเพณีของชาวไท ตั้งแต่ พลนคร หริภุญชัย ปวนคร พะเยา หิรัญนคร เขมรัฐนคร จนถึงเชียงรุ่ง
“น่าสนุกดีนะพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงร่าเริง ตื่นเต้น มิใช่ใครเสียงองค์รังสิพันธุ์อีกเช่นเคย
 “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพวกเรามาทำประทีบลอยน้ำกับโคมลอยกันไหมขอรับ”  องค์ปุณณวัชรทรงเอ่ยชวน ทำเอาทุกองค์แปลกใจเพราะคิดว่าจะต้องเป็นองค์รังสิพันธุ์เป็นต้นคิด แต่กลายเป็นว่าครานี้องค์ปุณณวัชรออกหน้าแทน
“ดีเหมือนกัน จะได้ขอบคุณพระแม่คงคา กับสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณี” เสียงองค์ อโณทัยสนับสนุน
“แล้วต้องใช้วัสดุอะไรบ้างขอรับ” เสียงองค์ฑิฆัมพรถามขึ้น
“โคมลอยประทีม ใช้ไม้ขึ้นโครงด้วยไม้ไผ่ กรุด้วยกระดาษสา  และใช้ใต้สำหรับจุดไฟ ขอรับ” เสียงองค์ลวจักรรแจกแจงวัสดุที่ต้องใช้
“กระทงสำหรับลอยปร่ะทีบ ใช้ลำต้นกล้วย ใบตอง ประดับดอกไม้ธูปและเทียน ขอรับ” องค์ทิวากรแจกแจงวัสดุที่ต้องใช้ในการทำกระทง
“ของที่สำนักส่วนมากที่ต้องใช้มีครบหมดแล้ว ขาดแต่กระดาษสาสินะ” เสียงองค์ศศินธรทบทวนวัสดุที่จะต้องใช้ทั้งหมด
“งั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้มหาดเล็กข้ามไปซื้อที่ตลาด” องค์ชลาสินธุ์ทรงเสนอ
“ต้องทำทั้งหมดกี่อันละขอรับ” เสียงองค์มิงเกษทูลถาม
“โคมลอย กับ กระทง อย่างละ 22 อัน ขอรับ เพื่อท่านอาจารย์ทั้ง 2 องค์ด้วย” องค์มหรรณพตอบ
“ส่วนพวกมหาดเล็กก็ให้ทำกันเองแล้วกันนะ” เสียงองค์รังสิพันธุ์ทรงทูลถาม
“เห็นทีป่ากล้วยท้ายเกาะคงจะเตียนเลี่ยนกันครานี้” เสียงสรวลดังลั่นขององค์ทิวากร

 เช้าวันต่อมา ทั้งที่เป็นวันหยุด แต่ทุกองค์ก็อยู่กันเต็มศาลาใหญ่ แต่ละองค์กำลังง่วนอยู่กับงานที่อยู่เต็มหน้า พวกมหาดเล็กไปตัดต้นกล้วย กับ ใบตอง มารอไว้เรียบร้อยแล้ว องค์อโณทัย องค์ทิวากร และองค์ภานุพงศ์ กำลังสอนอีก 7 องค์ทำกระทง ส่วนด้านโคมลอย นำทีโดยองค์ลวจักร องค์อนันตราช กับพวกฝ่ายเหนือกำลังง่วนอยู่กับการขึ้นโครงไม้ไผ่
“วันนี้ครึกครื้นเป็นพิเศษ มีอะไรกันเหรอ”  เสียงองค์ธเนศวรทรงตรัสถามเมื่อลงมาเห็นคนเต็มศาลา
“วันนี้วันเพ็ญเดือน 12 ขอรับอาจารย์” เสียงองค์อโณทัยทูล
“แล้วยังไงฤา” องค์ธเนศวรทรงถามต่อ
“ที่บ้านกระหม่อม กับ ลวจักร เรามีประเพณีลอยประทีปกับลอยโคมตามประทีป เพื่อขอบคุณแม่พระคงคา กับ สักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีขอรับ” องค์อโณทัยทูลตอบ
“กระนั้นหรือ พวกเจ้าก็จะเลยจะลอยประทีบกับลอยโคมประทีบ อย่างนั้นฤา”
“ความคิดเจ้ารังสิพันธุ์ล่ะสิ” องค์ธเนศวรทรงทราบเพราะทรงรู้ว่าความคิดแบบนี้มีอยู่องค์เดียวนั้นแหละเจ้าของชื่อ ยืนยิ้มจนเห็นฟันขาว
“ไม่ใช่ขอรับอาจารย์” องค์รังสิพันธุ์ตอบกลับท่านอาจารย์ แล้วพลางชี้นิ้วไปที่องค์ต้นคิดที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ปุณณวัชรฤา” เสียงอาจารย์ธเนศวรแถบไม่เชื่อ
“พวกเราทำเพื่อท่านอาจารย์กับอาจารย์ผู้เฒ่าด้วยนะครับ” เสียงองค์อโณทัยเรียนท่านอาจารย์
“ดีเหมือนกัน คืนนี้จะได้ครึกครื้น” เสียงองค์ธเนศวรพูดกับเหล่าลูกศิษย์

“มันยากเหมือนกันนะ” เสียงองค์รังสิพันธุ์บ่นพึมพำ ขณะพับใบตองจับจีบให้เป็นกลีบบัว
“เจ้าต้องดูว่าลายของใบตองด้วย” เสียงองค์ปุณณวัชรบอกอีกองค์ที่บ่นอยู่
“ยังไงฤาท่าน” ครานี้ องค์รังสิพันธุ์ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หน้าขององค์ปุณณวัชร
“ถ้าพับผิดทางมันจะทำให้ใบตองแตกออก” องค์ปุณณวัชรสาธิตวิธีพับ และเหลือบตาไปมอง หน้าของรังสิพันธ์ที่เข้ามาใกล้มาก ทำให้สายตาของปุณณวัชรชะงักเพราะอดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่าเจ้าเด็กนี่โตขึ้นคงจะคมคายไม่เบา
“ทำไมท่านชำนาญ” เสียงขาดหายไปเมื่อรังสิพันธุ์เงยหน้าขึ้นมา และสบตากับองค์ปุณณวัชร  ที่มองอยู่ก่อนแล้ว ความรู้สึกร้อนวูบพุ่งผ่านเข้ามา จนทำให้องค์รังสิพันธุ์ต้องหลบสายตาคู่นั้น
ทว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งที่หม่นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความใกล้ชิดสนิทสนมขององค์รังสิพันธุ์กับองค์ปุณณวัชร
“ความเจ็บปวดมันเป็นเช่นนี้เอง” องค์ศศินธร รำพึงในพระทัย

ผ่านไปค่อนวันทุกอย่างก็กำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง กระทง ก็เหลือแต่ตกแต่งด้วยดอกไม้ และปักธูปเทียนเท่านั้น และ โคมลอยก็กำลังจะติดไต้เพื่อจุดไฟข้างใต้ ก็เป็นอันเสร็จ
พอถึงย่ำค่ำทุกอย่างก็พร้อม หลังจากที่ทุกองค์แยกย้ายไปสรง และแต่งพระองค์กันเรียบร้อย วันนี้ทุกพระองค์นุ่งโจง หรือไม่ก็นุ่ง ยาวไม่ยกโจง เปลือยครึ่งพระองค์ สวมสังวาล ผมมวยสูงครอบด้วยรัดเกล้าหรือจุลมงกุฎ บางองค์ก็โพกเกล้าตามแบบฉบับของแต่ละแคว้น เมื่อมากันพร้อมที่ศาลาใหญ่แล้ว
“เชิญพระอาจารย์หรือยัง” องค์อโณทัยทรงหันมาถาม
“เรียบร้อยแล้วขอรับ อีกครู่คงเสด็จออกมา” องค์ชลาสินธุ์ทูลตอบ
   “มาแล้ว เรามาแล้ว” เสียงองค์ธเนศวรดังขึ้นขณะที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับท่านชีวกทันตจารย์ พระอาจารย์ใหญ่
เหล่ามหาดเล็ก นำเสาไม้ไผ่วางถ้วยตะไลใส่ใส้ตะเกียงจุดเป็นตะเกียงไฟสว่างไสว เลาะยาวตามทางจากศาลาใหญ่มาจนถึงท่าน้ำ แสงไฟรยิบระยับสวยงาม ทุกองค์ถือกระทงลอยประทีบที่ช่วยกันประดิษฐ์ตั้งแต่เช้า ลงมานำมาโดยพระอาจารย์ใหญ่ กับองค์ฑเนศวร
เมื่อมาถึงท่าน้ำ องค์อโณทัยก็จุดเทียนและธูปให้ พระอาจารย์ใหญ่กับองค์ธเนศวร ทั้งสองพระองค์ทรงคุกพระชานุลงที่ท่าน้ำ
“ทรงอธิฐานก่อนขอรับ” เสียงองค์อโณทัยแนะนำ
เมื่อทั้ง 2 องค์อธิฐานเสร็จก็ลอยพระประทีบออกไป เมื่อเสร็จก็เป็นคู่ขององค์ ชลาสินธุ์กับองค์ฑิฆัมพร
และก็ค่อยๆไปทีละคู่
   “ขอบคุณพระแม่คงคา ขอให้ความสงบสุขมีแก่บ้านเมือง ด้วยเทอญ” เสียงองค์รังสิพันธุ์อธิฐาน
   “เหมือนกับองค์ข้างๆทุกประการ” เสียงองค์ปุณณวัชรแผ่วเบา แต่องค์ที่อยู่ข้างๆทรงได้ยิน ก่อนที่จะลอยพระประทีบออกไป กระทงของทั้ง 2 องค์นั้น ลอยเป็นคู่ออกไป ไม่แยกจากกัน
 
ปิดท้ายด้วยคู่ขององค์อโณทัยกับองค์ทิวากร ที่เป็นเจ้าของประเพณีนี้  กระทงลอยออกไปตามสายน้ำ แสงเทียนจากกระทงลอยระยิบ ช่างเป็นภาพที่สวยงาม ความรู้สึกที่ได้ขอบคุณและขอโทษ ได้ถูกปล่อยออกไปแล้ว ความเบาสบายก็เกิดขึ้นแก่ใจผู้กระทำ

กลับมาที่หน้าศาลา ที่เตรียมโคมลอยประทีปพร้อมไว้ องค์ลวจักรกับองค์แก้วอินแถง ทรงจุดไต้ให้พระอาจารย์ใหญ่ กับองค์ธเนศวร ก่อน
“ทรงอธิฐานก่อนปล่อยขอรับ”
ความร้อนจากไฟ ทำให้อากาศในโคมเบาขึ้นกว่าอากาศภายนอก โคมค่อยๆพองตัวขึ้น แล้วค่อยๆลอยขึ้นในอากาศ แล้วทั้ง 2 องค์ก็อธิฐานและปล่อยโคมลอยขึ้นไปก่อน

จากนั้นองค์แก้วอินแถงและองค์ลวจักร ก็ช่วยกันจุดโคมให้กับทุกองค์ที่เหลือจนครบ ระหว่างรอโคมพองตัวทุกองค์ก็เริ่มอธิฐานกัน
“ขอให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ “ เสียงองค์ปุณณวัชรทรงอธิฐาน
   “ทรงอธิฐานอะไรฤา” องค์ปุณณวัชรหันมาถามองค์รังสิพันธุ์ เพราะครานี้ทรงหลับตาอธิฐานเงียบๆซึ่งผิดวิสัยขอองค์รังสิพันธุ์
   “เหมือนพระองค์” เสียงที่เล่นที่จริงทว่าความสุขที่ออกมาทำให้พระพักตร์เปื้อนยิ้ม
   “อืม” เสียงตอบนิ่ง แต่ก็ทรงแย้มพระสวรลออกมา
   
โคมก็พองตัวในเวลาไล่ๆกัน แล้วก็ค่อยไล่ลอยกันขึ้นไปทีละโคม ภาพที่โคมค่อยๆทยอยขึ้น เป็นภาพที่สวยงาม และประทับใจ หล่อหลวมความเป็นวัฒนธรรมของความเป็นไท

ที่กรุงยโสธรปุระ อาณาจักรอีสานปุระ
มีรายงานข่าวด่วนรายงานเข้ามา องค์กมรเตงอัญศรีชัยวรมัน พระมหากษัตริย์แห่งอีสานปุระ จึงเรียกประชุมเพื่อออกมหาสมาคมกับเหล่าขุนนางเสนาบดีและเหล่าที่ปรึกษา
“อะไรนะ ถูกทำลายจนหมดสิ้น” น้ำเสียงตกพระทัยของศรีวีรวรมัน มหาอุปราชแห่งอีสานปุระ  “พระเจ้าค่ะ” เสียงทูลตอบจากเสนาบดี
“พวกมันกำเริบเสิบสาน ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ” เสียงเกรียวกราดขององค์มหาอุปราช
“ต้องเร่งพิธีอภิเสกของน้องเจ้าแล้ว” เสียงเยือกเย็นของกมรเตงอัญศรีชัยวรมัน
“ยังจะต้องไปดองกับพวกมันอีกฤาพระเจ้าข้า”  องค์อุปราชทูลคัดค้าน
“เจ้าอย่าเอาแต่โทสะ โทสะของเจ้าจะเผาผลาญทุกสิ่งที่บรรพบุรุษเราสร้างมา”  องค์กมรเตงอัญศรีชัยวรมันตรัสเตือนสติพระราชโอรส
“วิธีจะเอาชนะมีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเดชหรือสงครามเสมอไปนะ”
“แบ่งแยกและปกครอง เจ้าเข้าใจหรือไม่” เสียงกมรเตงอัญศรีชัยวรมันตรัสต่อ
  “ให้พวกมันแตกแยกกันเองแล้วเราก็ค่อยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”  เสียงพระราชบิดายังคงตรัสสอนแต่เหมือนโทสะของพระราชโอรสอยู่เหนือสติเสียแล้ว
 “ศรีวีวรวรมัน” เสียงเรียกชื่อเต็มพระยศของพระราชบิดา ทำให้พระสติของพระองค์เองกลับมา
“พระเจ้าข้า” เสียงทูลตอบ
“เจ้าอย่าทำให้เสียการของข้าล่ะ จงจำเอาไว้ ไม่งั้นตำแหน่งอุปราชก็อาจจะไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป” ถือเป็นขู่และปรามพระราชโอรสไปในตัว
ภายหลังพระทวารที่เป็นที่ประทับรอของฝ่ายใน     เสกขรสุดา พระราชธิดาแห่งอีสานปุระทรงได้ยินทุกสิ่ง ก็ได้แต่น้อยพระทัยที่เกิดมาเป็นหญิงแม้จะเกิดมาสูงศักดิ์ในพระราชวงศ์และเป็นพระราชธิดาแห่งอีสานปุระ ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง..........





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บทที่ 10 ภารกิจที่สองกลลวง

   ในไม่ช้ากำหนดการอภิเษก อโณทัยพระมหาอุปราชแห่งสุโขทัย กับ เสกขรสุดา พระราชธิดาแห่งอีสานปุระ ก็ถูกประกาศออกมา และเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วทั่วแผ่นดินสุวรรณภูมิ  กำหนดการก็คือ อีก 1 เดือนข้างหน้า ปฏิบัติการทางการทูตของอีสานปุระเที่ยวนี้กระทบแคว้นใหญ่น้อยในสุวรรณภูมิ เป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พระราชธิดาแห่งอีสานปุระ จะอภิเษกแคว้นเจ้าประเทศราช ด้วยความทรนงในอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตน ไม่เคยส่งเจ้าหญิงของตนอภิเศษกับเจ้าประเทศราช  เพราะถือว่าด้อยกว่า  เรื่องนี้ทางสุโขทัยเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะอันที่จริงพระมหาธรรมราชกษัตริย์แห่งสุโขทัยก็รู้ว่าการอภิเษกครานี้มีความในแอบแฝงอยู่
   
   ที่ศาลาใหญ่ภายในสำนักตักศิลา เช้าวันนี้พวกเราทุกคนพร้อมกันอยู่ในศาลาด้วยเพราะ มีเสียงระฆังเรียกประชุม ดังขึ้นตั้งแต่เช้า
   “วันนี้ที่ข้าเรียกประชุมพวกเราตั้งแต่เช้า เพราะมีภารกิจที่จะมอบหมายให้พวกเจ้า”  เสียงอาจารย์ธเนศวรกล่าวกลางที่ประชุม
   “ปุณณวัชร อนันตราช ลวจักร ทิวากร มหรรณพ ภานุพงศ์ รังสิพันธุ์ ญาณวัตร” ทั้ง 8 องค์นี้เป็นกลุ่มที่จะต้องปฏิบัติภารกิจ
   “ภารกิจอะไรหรือท่านอาจารย์” เสียงองค์ มหรรณพถามองค์ธเนศวรผู้เป็นอาจารย์
   “อารักขา” เสียงขององค์ธเนศวรตอบ
   “ครานี้ให้ ปุณณวัชรเป็นหัวหน้ากลุ่ม” เสียงอาจารย์ธเนศวรออกคำสั่ง
   “พวกเจ้าตามศศินธร ไปยังลวปุระ และปลอมตัวเป็น มหาดเล็กเพื่ออารักขา องค์มาลินีสุรกัญญา พระราชธิดาแห่งลวปุระ ไปสุพรรณภูมิเพื่ออภิเษกกับ สมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งสุพรรณภูมิ”
   เสียงอื้ออึงดังทั่วศาลา น้องสาวขององค์ศศินธร จะอภิเษกกับพี่ของฑิฆัมพร  หรือนี่คือกลยุทธเพื่อแก้หมากของอีสานปุระ
   “ศศินธร จะเดินทางไปกับพวกเจ้าด้วย เพราะต้องเป็นตัวแทนของลวปุระไปส่งตัว แต่ต้องไปในฐานะพระมหาอุปราช จึงปฏิบัติภารกิจได้ยาก” เสียงอาจารย์ธเนศวรอธิบายแผนต่อ ทำให้เสียงอื้ออึงเงียบลง
   “ส่วนฑิฆัมพร จะต้องออกเดินทางช่วยตระเตรียมงานรับเสด็จ ที่สุพรรณภูมิ” อาจารย์ธเนศวรอธิบายต่อ
    “แลพวกเจ้าที่เหลือทั้ง 10 คนรวมถึงข้าจะออกเดินทางไปสุพรรณภูมิภายหลังเพราะด้วยแต่ละองค์ต้องเป็นตัวแทนของแคว้นตนเองไปร่วมงานอภิเศษครั้งนี้”
   “พวกเจ้าทั้ง 8 กับ ศศินธรออกเดินทางวันพรุ่งนี้”
   “พรุ่งนี้” เสียงทวนคำสั่งแบบไม่เชื่อหูตัวเองขององค์ทิวากร
   “ใช่ เพราะพิธีอภิเษกจะเริ่มขึ้นในอีก 14 วัน” เสียงอาจารย์ธเนศวรอธิบาย
   “จากนัน พวกเราทั้งหมดจะเดินทางขึ้นไปยังสุโขทัย เพื่อร่วมงานอภิเษกของ อโณทัย”
   “พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เพราะไปครานี้ คงนานกว่า 1 เดือน” เสียงอาจารย์ธเนศวรสรุปภารกิจทั้งหมด

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราทั้ง 8 คน รวมกับเจ้าพี่ศศินธร เตรียมตัวออกเดินทางกันแต่เช้า  ครานี้มหาดเล็กติดตามพวกเราไปด้วย  เรือสองลำพุ่งออกจากท่าน้ำสำนักตักศิลา ทวนแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปแล้วตัดเข้าแม่น้ำลพบุรี ทวนแม่น้ำลพบุรีขึ้นไปถึง ลวปุระ ตลอดทางทุกอย่างดูปกติและเงียบสงบ

เมื่อถึงลวปุระ บ้านเมืองมีกลิ่นอายอารยะธรรมขอมอยู่มาก มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพระปรางค์ ที่ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบสุวรรณภูมิ กลายเป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะแบบลวปุระ ด้วยที่เป็นบ้านเมืองมานาน อีกทั้งยังเป็นสถานีการค้าสำคัญของอีสานปุระและเป็นตัวแทนของอีสานปุระในดินแดนแถบนี้มาก่อนบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีประชากรอยู่จำนวนหนาแน่นกันพอสมควร จึ่งเป็นเมืองสำคัญขนาดที่อีสานปุระต้องส่งพระราชวงศ์มาปกครอง จนสืบสายมาเป็นต้นสายราชวงศ์ของ ลโวทัยวงศ์
องค์ศศินธรก็พาทุกคนเข้าไปพักที่วังสุขเกษม ซึ่งเป็นวังหน้าของลวปุระ พระราชวังขององค์ศศินธรเอง ก่อนที่จะไปเข้าเฝ้า สมเด็จพระรามเมศวรราชา กษัตริย์ตราธิราชแห่งลวปุระ พระราชบิดา โดยที่เจ้านายทั้ง 8 พระองค์โดยเสด็จเข้าเฝ้าด้วย  ทว่าการเข้าเฝ้าครั้งนี้มิได้เป็นทางการ เหล่าเจ้านายแต่งองค์เป็นมหาดเล็กตามเสด็จ   ด้วยเพราะมีหูแลมีตาของอีสานปุระ ซ่อนตัวอยู่ในลวปุระไม่น้อย ในที่ประชุ่มจึงมีเพียงแค่ขุนนางสำคัญเพียงไม่กี่คน

การเข้าเฝ้าพระราชบิดาขององค์ศศินธรครานี้ ส่วนมากเป็นการวางแผนการเดินทาง หาเส้นทางที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบถึงแผนการใหญ่ที่วางไว้ อัน ที่จริงทั้ง 2 พระองค์ก็เพิ่งมั่นหมายกันไม่นาน  แต่ที่รีบอภิเษกเพราะเป็นการถ่วงดุลอำนาจกันกลายๆ  เพราะลวปุระกับสุพรรณภูมิดองกัน สุโขทัยเองก็ต้องคิดหนัก แม้แต่อีสานปุระเองก็ต้องกังวล
   ในที่ประชุมมหาเสนาบดีแห่งลวปุระเสนอให้เลือกเดินทางกันทางน้ำ เพราะสะดวกและปลอดภัยกว่าทางบก โดยจะมีเรือรบคุ้มกันไป 4 ลำ จำนวนทหารหลวงของลวปุระประมาณ 100 นาย โดยร่องเรือทวนแม่น้ำลพบุรีขึ้นไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาไปบริเวณตำบลม่วงหมู่ เขตเมืองสิงหบุรี ที่เป็นต้นแม่น้ำลพบุรี แล้วทวนแม่น้ำเจ้าพระยาไปที่ตำบลท่าเสา เพื่อวกลงแม่น้ำนครชัยศรี ล่องตามน้ำ และแยกทวนลำน้ำจรเข้สามพันไปจนถึงอู่ทองเมืองหลวงของแคว้นสุพรรณภูมิ
   “เจ้าคิดว่าจะปลอดภัยที่สุดกระนั้นหรือ” เสียงองค์สมเด็จพระรามเมศวรราชา ทรงตรัสถามอัครมหาเสนาบดีที่ทูลถึงแผนการ
   “กระหม่อมคิดว่าดีที่สุดพระเจ้าข้า” อัครมหาเสนาบดีทูลตอบ
   “แล้วจะไปถึงทันวันอภิเษกแน่นอนใช่ไหม” สมเด็จพระรามราชาตรัสถามย้ำอีกครั้ง
   “พระเจ้าข้า “ เสียงตอบรับ
   “งั้นก็ออกเดินทางวันมะรืน” เสียงคำสั่งขององค์สมเด็จรามเมศวรราชา

เมื่อทูลลาออกจากท้องพระโรงของลวปุร พอพวกเรากลับถึงวังสุขเกษม อาจารย์ธเนศวรก็เรียกประชุมพวกเราทุกคน
“กระหม่อมว่าไม่น่าไว้วางใจนักนะขอรับ” เสียงองค์ทิวากร เสนอขึ้นมากลางวงสนทนา
“มีจุดอ่อนอยู่หลายประการ  กระหม่อมคิดว่าไม่ชอบมาพากลอยู่ขอรับ” องค์ปุณณวัชร หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติภารกิจสนอ
“ถ้าจะเปลี่ยนแผนการเดินทางน่าจะปลอดภัยกว่า” องค์รังสิพันธุ์เสนอ
“ปัญหาคืออยู่ที่จะสับเปลี่ยนองค์มาลินีสุรกัญญา อย่างไรให้แนบเนียน” องค์มหรรณพพูดสิ่งที่กังวล
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมขอรับ” เสียงองค์ศศินธรอาสาจัดการเพราะหลังจากพิธีการส่งเสด็จ ที่ทุกคนต้องเห็นว่า ทั้งองค์อุปราชและพระราชธิดา ลงเรือพระที่นั่ง
“แล้วเรื่องทหารอารักขาที่จะไปกับรถม้าพระที่นั่ง ใช้ประมาณเท่าไรขอรับ”  องค์อนันตราชถามกลางที่ประชุม
“สัก 50 ก็น่าจะพอขอรับ เพราะเราต้องการความรวดเร็ว” องค์ ญาณวัตรเสนอ
“ถึงเวลาต้องสะสางปัญหาที่หมักหมมมานานของลวปุระเสียที” เสียงองค์ศศินธรออกปาก

หลังจากประชุมเปลี่ยนแผนการนัดแนะกันคร่ำเคร่งมาหลายชั่วยามกันเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

“มะรืนจะเป็นเช่นไร” เสียงองค์รังสิพันธุ์พูดลอยๆออกมา
“เจ้ากังวลหรือ” เสียงองค์ปุณณวัชรถามอีกองค์ที่เดินอยู่ข้างๆ
“ก็นิดหน่อยนะขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์เบาลง
“แต่มีคนเก่งๆอย่างท่านอยู่ข้างๆกระผทก็สบายใจขอรับ” เสียงรังสิพันธุ์กลับมาร่าเริงเพราะไม่อยากให้คนข้างๆพลอยกังวลไปด้วย
“เจ้านี่นะ”องค์ปุณณวัชรหันมายิ้มให้กับองค์รังสิพันธุ์
“วันนี้เหนื่อยไหมขอรับ” องค์รังสิพันธุ์หันมาถามองค์ปุณณวัชร
“ไม่เหนื่อยขอรับ” เสียงตอบเรียบๆกลับมา
“ทำไมไม่เหนื่อยล่ะขอรับ” เสียงสงสัยขององค์รังสิพันธุ์
 “ก็มีเจ้าอยู่ไง”  เสียงนี้ดังกึกก้องอยู่ในหัวองค์ปุณณวัชรแต่มิอาจเอ่ยตอบออกไปได้ ทำได้แค่เพียงยิ้มอ่อนส่งกลับไป
   “ไปพักกันเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำกันอีก” องค์ปุณณวัชรเอ่ยปากตัดบทการสนทนา

วันออกเดินทางตั้งแต่ตอนเช้า มีพระราชพิธีส่งตัวอย่างเป็นทางการของ องค์มาลินีสุรกัญญา เป็นพิธีที่สวยงาม คิดๆแล้ว เจ้าพี่ดาราวดี พี่สะใภ้ของตนเองก็คงผ่านพระราชพิธีที่งดงามนี้เช่นกัน เมื่อองค์มหาอุปราชศศินธร กับองค์มาลินีสุรกัญญา ขึ้นทรงเรือพระที่นั่งแล้ว พระวิสูตรถูกไขปิดเป็นที่เรียบร้อย เรือพระที่นั่งเคลื่อนผ่านตัวเมืองลวปุระออกไปไม่นาน  ก็มีเรือเล็กมีสัญญาลักษณ์ของตำแหน่งมหาอุปราชเข้ามาเทียบเรือพระที่นั่ง แล้วทั้งสองพระองค์ก็ย้ายมาประทับเรืออีกลำ ส่วนเรือพระที่นั่งยังคงมุ่งหน้าต่อไปตามแม่น้ำลพบุรี
เรือเล็กของมหาอุปราชเข้าเทียบฝั่งที่มี รถม้าพระที่นั่งเตรียมพร้อมไว้แล้ว พร้อมด้วยกองกำลังทหารม้า และเหล่าองค์รักษ์สูงศักดิ์ที่ปลอมตัวเป็นมหาดเล็กมา รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกองเรือพระที่นั่งยังคงมุ่งหน้าไปตามแผนการเดิม แต่ยังไม่ทันพ้นต้นแม่น้ำลพบุรี ก็ถูกกองเรือขวางปิดกั้นลำน้ำและปิดล้อมกองเรือพระที่นังของลวปุระและกองเรือนั้นก็มุ่งโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว กองเรือที่เข้าโจมตีคือเรือของอีสานปุระที่นำมาโดย ศรีวีรวรมัน มหาอุปราชแห่งอีสานปุระ ที่หมายใจจะมาชิงตัวเจ้าสาว แต่ทว่าพอพระวิสูตรถูกเปิดออกก็พบแต่ความว่างเปล่า…….

ที่ลวปุระ องค์ศศินธรที่ย้อนกลับเข้ามาในพระนคร นำทหารหลวงแลพระราชโองการไปล้อมจวนอัครมหาเสนาบดีผู้ทรยศ และสามารถจับตัวการใหญ่ที่อีสานปุระแฝงตัวให้เข้ามาทำงานในลวปุระได้แบบขุดรากถอนโคน  เมื่อจัดการปัญหาทุรยศในลวปุระโดยสามารถจัดการที่ตัวการใหญ่ได้แล้ว องค์ศศินธรก็รีบ ตามขบวนรถม้าพระที่นั่งของของพระขนิษฐาไปโดยมิได้หยุดพัก

ขบวนรถม้าพระที่นั่งเดินทางโดยแถบไม่หยุดพัก มาจนถึงตำบลป่าโมกข์  ชายแดนระหว่าง 3 แคว้น อโยธยา ลวปุระ และสุพรรณภูมิ เป็นทางชนบทและเริ่มพบคล่ำแล้ว องค์ปุณณวัชรจำต้องตั้งค่ายเพื่อพักแรม เนื่องจากมีพระราชธิดาแห่งลวปุระเดินทางมาด้วย  องค์ปุณณวัชรเลือกทำเลที่ตั้งค่ายอย่างระวัง  แล้วก็ให้องค์ทิวากร วางค่ายกลรอบค่าย เพื่อป้องกันอีกชั้น
เวลาผ่านไปค่อนคืนใกล้ยามสี่เสียงกระดิ่งดังขึ้นเพราะมีคนไปถูกค่ายกลที่วางเอาไว้ ทหารทั้งหมดและ ทุกองค์ตื่นตัว
“ป้องกันองค์หญิง” เสียงคำสั่งเด็ดขาดขององค์ปุณณวัชร แต่ยังไม่ทันขาดคำขององค์ปุณวัชร ก็มีชายในชุดดำจำนวนมากกว่า 100 คนมาล้อมทั้งค่ายไว้แสดงให้เห็นว่าค่ายกลที่วางไว้ถูกทำลายลงแล้ว
“ต่อไปของจริงล่ะนะ” เสียงองค์ทิวากรดังขึ้น
“จับเป็นพระราชธิดา ส่วนที่เหลือฆ่าให้หมด” เสียงหัวหน้าของชายชุดดำสั่งการ
ความโกลาหลชุลมุน และกลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วบริเวณ เหล่าทหารม้าแห่งลวปุระยืดหยัดต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ในวงล้อมชั้นในคือเหล่าองค์รักษ์ผู้สูงศักดิ์ล้อมพระราชธิดาแห่งลวปุระตามทิศทั้งแปด ตัวองค์มาลินีสุรกัญญา ก็มิใช่หญิงที่อ่อนแอ ทรงดึงกั้นหยั่นคู่ ออกมาจากบั้นพระองค์ ขึ้นมากำในพระหัตถ์แน่น
ชายชุดดำสามารถทะลุกองทหารม้าเข้ามาได้ แต่ก็สูญเสียไปกว่าครึ่ง ส่วนทหารม้าของลวปุระเหลือรอดอยู่แค่เพียง 10 กว่าคน  ถึงคราวที่องค์รักษ์สูงศักดิ์ต้องใช้อาวุธคู่กายของแต่ละคน ออกมาต่อสู้กับเหล่าชายชุดดำอย่างองอาจ เวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วยามทุกองค์เริ่มอ่อนแรง
“ฆ่าพวกที่ใส่ชุดดำ” เสียงตะโกนก้องออกมาจากที่มืด เป็นเสียงที่คุ้นเคยขององค์ศศินธร
 ทหารม้าจำนวน 20 กว่านายที่ตามเสด็จ ก็ควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าชายชุดดำถึงกับผงะ ด้วยจำนวนที่สูญเสียไปแต่เป้าหมายยังไม่บรรลุ และกำลังเสริมที่คาดไม่ถึง
“ถอย “ เสียงคำสั่งอย่างหัวเสียของหัวหน้าชายชุดดำเพราะอีกนิดเดียวเป้าหมายก็จะสำเร็จแล้ว
พวกชายชุดดำก็ถอยจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่เข้ามา
“เป็นอะไรไหม มาลินี” เสียงองค์ศศินธรถามพระขณิษฐาอย่างเป็นห่วงเมื่อเข้าถึงตัวองค์มาลินีสุรกัญญา
“ไม่เป็นไรเพคะเจ้าพี่ หม่อมฉันปลอดภัยดี” เสียงตอบจากผู้เป็นน้องสาว
“รถม้ายังใช้การได้อยู่ไหม” เสียงองค์ปุณณวัชรสั่งการให้ทหารไปตรวจดูสภาพรถม้า
“ยังใช้ได้อยู่ขอรับ” ทหารกลับมารายงาน
“งั้นเรารีบเดินทางกันต่อเถอะ อยู่ที่นี่นานไม่น่าจะปลอดภัย” เสียงองค์ทิวากรทรงเสริมขึ้นมา
ทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าสู่เขตแดนของสุพรรณภูมิ มาไม่นาน ก็พบเจอกับกองทหารของสุพรรณภูมิ ที่องค์ศศินธร ส่งม้าเร็วส่งข่าวมาให้องค์ฑิฆัมพรล่วงหน้าให้ทรงทราบว่าจะเสด็จทางบกแทน  องค์ฑิฆัมพรจึงออกมารับด้วยองค์เอง……….




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 11 หน้าที่แห่งขัตติยะ

ในค่ายทหารขององค์ฑิฆัมพร ชายแดนแคว้นสุพรรณภูมิ ท่ามกลางวงสนทนาขององค์รักษ์ผู้สูงศักดิ์
   “ช่างกำแหง กล้าปล้นขบวนเสด็จ ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา” เสียงองค์ฑิฆัมพรดังขึ้นกลางที่ประชุม
   “นี่แหละคือความย่ามใจของพวกอีสานปุระ” เสียงองค์ศศินธรดังขึ้นกลางที่ประชุม
   “กองเรือพระที่นั่งที่โดนทำลายก่อนถึงต้นน้ำลพบุรีที่จบกับแม่น้ำเจ้าพระยานี่มิผิดไปจากที่คาด” เสียงองค์มหรรณพเอ่ยขึ้น
   “แต่ที่สุ่มโจมตีเราเมื่อรุ่งสางเห็นทีจะไม่ใช่” องค์ปุณณวัชรกล่าวต่อ
   “เพราะใส่ชุดดำและปิดบังอำพรางตัวหรือขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธ์ดังแทรกขึ้น
   “ใช่ขอรับ ผิดวิสัยพวกอีสานปุระ เพราะพวกนั้นเป็นพวกทรนงตนว่าเหนือกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นต้องปิดบังอำพรางใดๆ” เสียงองค์ปุณณวัชร สรุป
   “แม้แต่จะเป็นญาติเป็นเครือก็ไม่ละเว้น อำนาจนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ” เสียงองค์รังสิพันธุ์ถอดถอนใจถึงกฎแห่งโลกของกษัตริย์
   “แล้วใครกันที่ไม่อยากให้ลวปุระกับสุพรรณภูมิดองกัน” เสียงตั้งข้อสงสัยขององค์มหรรณพ
   “เสียดายที่จับตัวไม่ได้” องค์ทิวากรเอ่ยขึ้น
   “กระหม่อมส่งทหารกลับไปค้นศพที่ถูกสังหารตั้งแต่พวกเราถึงค่ายแล้วขอรับ  อีกประเดี๋ยวคงมีรายงานเข้ามาขอรับ ” เสียงองค์ศศินธรบอกกับที่ประชุ่ม
ยังไม่ทันขาดคำ มหาดเล็กก็นำตัวทหารที่ถูกส่งตัวไปค้นศพของมือสังหารเข้ามารายงาน
“ไม่เจออะไรเลยพระพุทธเจ้าค่ะ” เสียงทหารรายงานขึ้น
“อะไรนะ ”  เสียงองค์ศศินธรร้อนรน
“ศพชายชุดดำหายไปทั้งหมดเลยพระเจ้าค่ะ เหลือแต่ศพทหารฝ่ายเรา” เสียงทหารรายงาน
“เป็นไปได้ยังไง เพียงไม่กี่ชั่วยาม สามารถขนศพทั้งมดออกไปได้” องค์ศศินธรแถบไม่เชื่อ
“ไม่ธรรมดาแล้วล่ะขอรับ” องค์รังสิพันธุ์พูดจบก็ครุ่นคิดหนัก
 “คงไม่อยากให้ใครสืบสาวไปถึงตนเป็นแน่แท้” เสียงองค์ทิวากรเสริมขึ้นมา
“ต้องมีคนที่จะยืมมืออีสานปุระกับการสุ่มโมตีครานี้เป็นแน่” องค์ปุณณวัชรสรุปความ
“ตอนนี้งานเร่งด่วนคือนำเสด็จพระองค์หญิงมาลินีสุรกัญญาไปยังสุพรรณภูมิให้ปลอดภัย” เสียงองค์ฑิฆัมพรเสนอขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางกันต่อเถอะขอรับ” องค์ปุณณวัชรทูลเสนอ แต่สายตาขององค์ปุณณวัชรจับจ้องไปที่องค์ฑิฆัมพรก็สังเกตุเห็นอาการโล่งใจขององค์ฑิฆัมพร

การเดินทางเข้าไปยังสุพรรณภูมิราบรื่น ไม่มีอุปสรรค์ใด หรือใครสุ่มโจมตี เมื่อถึงตัวเมืองอู่ทองซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นสุพรรณภูมิทุกคนก็เริ่มผ่อนคลาย อู่ทองเป็นมีผังเมืองเป็นรูปวงรี คูน้ำและมีกำแพงเมืองล้อมรอบ บ้านเมืองเต็มไปด้วยวัดวาอาราม และเจดีย์น้อยใหญ่ สถาปัตยกรรมของวัดและบ้านเรือนเป็นแบบสุวรรณภูมิ สวยงามแต่ก็เรียบง่าย
   องค์ฑิฆัมพร พาพวกเรามาพักที่พระราชวังฤดูร้อนของสุพรรณภูมิ ที่ก็มิได้ห่างไกลจากวังหน้าคำเกษมขององค์ฑิฆัมพรเท่าใด เพื่อพักองค์มาลินีสุรกัญญา รอเพราะอีก 2 วันจะเป็นวันที่จะมีพระราชพิธี52ช2ภิเษกสมรส  พวกเราทั้ง 8 ยังคงอยู่ในภารกิจ ยังคงเป็นองค์รักษ์สูงศักดิ์จนกว่าจะถึงเช้าวันงานพระราชพิธี ยังมีการจัดเวรยามเฝ้าพระราชวังฤดูร้อนแห่งนั้น

   “ได้เวลาสับเวรแล้วท่าน พวกท่านไปพักเถอะ เด่วข้าดูเองขอรับ” เสียงองค์ทิวากรบอกกับองค์ปุณณวัชรกับองค์รังสิพันธุ์ ด้วยได้เวลาที่องค์ทิวากรกับองค์มหรรณพมาผลัดเวรแทนทั้ง 2 องค์
   “ขอรับ” เสียงองค์ปุณณวัชรตอบกับองค์ทิวากรกับองค์มหรรณพ  แล้วองค์ปุณณวัชรกับองค์รังสิพันธุ์ก็เข้าไปพักในห้องที่จัดไว้
   “นี่ท่านมีแผลนี่ขอรับ” องค์รังสิพันธุ์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าด้านแขนซ้ายขององค์ปุณณวัชรมีแผลจากการถูกอาวุธ
   “นิดหน่อยครับ  ไม่เป็นไรมากหรอก” องค์ปุณณวัชรตอบกลับองค์รังสิพันธุ์
   “ไม่ได้นะขอรับ ปล่อยเอาไว้เด่วจะมีไข้” องค์รังสิพันธุ์เตือนว่าอย่าประมาท
   “ทับ เอาอ่างสรงมา ขอผ้าด้วย” เสียงองค์รังสิพันธุ์สั่งมหาดเล็กที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้อง
   “ไปโดนตั้งแต่ตอนไหนขอรับ”  องค์รังสิพันธุ์ถาม
    ไม่มีเสียงตอบกลับจากองค์ปุณณวัชร เพราะเจ้าตัวไม่อยากให้องค์รังสิพันธุ์ต้องรู้สึกผิด และที่ทำไปเพราะด้วยน้ำใสใจจริงมิได้อยากให้ตอบแทนใด ตอนที่โดนชายชุดดำเข้าโจมตี ขณะชุลมุนวุ่นวายกันอยู่  องค์ศศินธรยังมาไม่ถึง องค์ปุณรวัชรเหลือบเห็นชายชุดดำคนหนึ่งขว้างกั้นหยั่นใส่องค์รังสิพันธุ์ที่มิทันระวังองค์ องค์ปุณณวัชรจะร้องบอกก็ไม่ทันแล้วจึงกระโดดพุ่งตัวออกไปใช้ดาบปัดกั้นหยั่นเล่มนั้น แต่ด้วยระยะห่างอยู่หลายก้าว จึงทำให้พอปัดกั้นหยั่นเล่มนั้นแล้วแต่วิธีของมันทำให้เบี่ยงมาแฉลบโดนที่ต้นแขนขององค์ปุณณวัชร  โชคดีที่ไม่ลึกมากแค่ถากๆออกไป
   “คราวหลังต้องระวังองค์มากกว่านี้นะขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์บ่น
   “ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะเจ้าแมลงปอ”  องค์ปุณณวัชรทรงคิดในใจ
   “แต่ก็ดีแล้วให้เจ้าแมลงปอทำแผลรับผิดชอบไปแล้วกํน”  องค์ปุณณวัชรยิ้มออกมาเพราะขันกับความคิดตนเอง
   “กระหม่อมบ่นยังมายิ้มอีก” พอล้างแผลเสร็จ องค์รังสิพันธุ์เอายาที่อาจารย์ธเนศวรสอนพวกเราปรุง เป็นยากรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกขึ้นมา 1 เม็ด ก่อนจะเอามือบี้ลูกกลอนนั้นแล้วเอาทาที่แผลขององค์ปุณณวัชร ก่อนจะเอาผ้ามาพันไว้อีกชั้น
   “ห้ามซนอีกนะขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์สัพยอก องค์ปุณณวัชรเหลือบตามองมาแล้วก็กลั้นหัวเราะ พลางนึกในใจว่าจะจัดการยังไงดีกับเจ้าแมลงปอน้อยตัวนี้ดี

บ่ายๆวันถัดมา อาจารย์ธเนศวรกับอีก 10 องค์ที่ตามมาจาอโยธยาก็มาถึงเมืองอู่ทอง เมืองหลวงของแคว้นสุพรณภูมิแล้วก็เรียกพวกเราทั้งหมดประชุมกันทันที
องค์ปุณณวัชรรายงานสรุปผลจากการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้อาจารย์ธเนศวรฟัง ตั้งแต่อยู่ลวปุระและพวกเราจับได้ว่าการเดินทางมิชอบมาพากล และการทุรยศของมหาเสนาบดีของลวปุระ และเรื่องที่มาถูกสุ่มโจมตีที่ชายแดนระหว่าง 3 แคว้น การมาช่วยขององค์ศศินธรได้ทันเวลา และที่สำคัญคือเรื่องศพที่หายไปของชายชุดดำที่มาสุ่มโจมตี
   “อีสานปุระลงมือตามที่อาจารย์ธเนศวรคาดจริงขอรับ ส่วนพวกกลุ่มชายชุดดำคาดว่ามีคนต้องการยืมมืออีสานปุระลงมือในครั้งนี้ขอรับ” องค์สรุปรังสิพันธุ์รายงานปิดท้าย
   “จุดประสงค์ล่ะ” เสียงองค์ธเนศวรทรงถาม
   “ทำลายพิธีอภิเษก อันนี้เป็นที่แน่นนอนขอรับ” เสียงองค์ทิวากรรายงานเสริมขึ้น
   “หรือไม่ก็อาจจะต้องการลักผาตัวพระราชธิดาแห่งลวปุระขอรับ” องค์รังสิพันธุ์เสนออีกจุดประสงค์ที่อาจจะเป็นไปได้
   เหงือเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกลางหลังใครบางคนที่นั่งอยู่ในที่ประชุมแห่งนั้นเมื่อองค์รังสิพันธุ์เสนออีกจุดประสงค์ของการโจมตีครานี้ขึ้นกลางที่ประชุม
   “ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ทางลวปุระจะขอเป็นผู้สืบความเองขอรับ เพราะเหตุเกิดในเขตแดนของเรา” องค์ศศินธรเอ่ยขึ้นกลางที่ประชุ่ม
   “ในฐานะอุปราชแห่งลวปุระกระหม่อมไม่สามรถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ และใครที่มันกล้าทำจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม” น้ำเสียงขององค์ศศินธรดังขึ้นกว่าคราแรก
   “ปล่อยเรื่องการสืบสวนให้เป็นเรื่องของลวปุระ แต่ถ้าอยากให้ทางเราช่วยอะไรก็แจ้งได้เลยนะศศินธร” องค์ธเนศวรกล่าวกลางที่ประชุม
   “ พวกเจ้าทั้ง 8 คนย้ายไปพักกับพวกเราที่วังคำเกษมของฑิฆัมพร ส่วนที่นี่ปล่อยให้องค์ศศินธรอยู่กับพระขนิษฐา อีกเดี๋ยวทางกรมวังของสุพรรณภูมิคงเข้ามารับหน้าที่ต่อ แยกย้ายกันไปพักได้ พรุ่งนี้ต้องเข้าร่วมพระราชพิธีกันแต่เช้า” องค์ธเนศวรสั่งให้ทุกองค์แยกย้าย

พระราชวังหลวงของสุพรรภูมิก็ยิ่งใหญ่สมกับเป็นแคว้นใหญ่ทางด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยสืบสานต่อเนื่องมาจากอาณาจักรทวาราวดีศรีปุณยะ ที่มีเมืองหลวงอยู่ที่ปฐมนคร ที่อยู่ทางใต้ของสุพรรณภูมิลงไป ตัวเมืองหลวงอู่ทองของสุพรรณภูมิเคยเป็นเมืองลูกหลวงของทวาราวดีมาแต่โบราณ และมาขยายต่อเติมขึ้นเป็นราชธานีตั้งแต่ตั้งแคว้น
ทุกองค์ต่างแต่งพระองค์กันเต็มพระยศ เนื่องด้วยเป็นพระราชพิธีสำคัญ พวกเราทั้ง 21 องค์รวมถึงเชื้อพระวงศ์สุวรรณวงศ์ของสุพรรณภูมิถูกจัดตำแหน่งตั่งให้นั่งกันเต็มท้องพระโรงของสุพรรณภูมิ โดยฝั่งเชื้อพระวงศ์ของสุวรรณวงศ์นำโดยองค์ฑิฆัมพรองค์มหาอุปราชจะนั่งเรียงกันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแขกจากแคว้นต่างๆ
แตรสังข์ประโคมพระวิสูตรถูกเปิดออก พระบรมราชาธิราช กษัตราธิราชแห่งสุพรรณภูมิที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆขององค์ฑิฆัมพร ประทับนั่งอยู่เหนือพระราชบัลลังก์ พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสก็เริ่มขึ้น องค์มาลินีสุรกัญญา แต่งองค์เต็มพระยศตามแบบฉบับลวปุระ พระหัตต์ยกพานดอกไม้ธูปเทียนแพรด้านบนมีกรวยครอบอยู่ในระดับพระเศียร ค่อยเสด็จพระดำเนินผ่านทวารประตูท้องพระโรงเข้ามา ตามมาด้วยองค์ศศินธรที่แต่งพระองค์เต็มพระยศมหาอุปราชแห่งลวปุระ เสด็จตามเข้ามา เมื่อใกล้ถึงพระราชบัลลังก์ องค์ศศินธรก็เสด็จพระดำเนินแยกออกมาประทับที่ตั่ง
องค์มาลินีสุรกัญญา ทรงกราบ ก่อนที่จะยกพานธูปเทียนแพรขึ้นถวาย สมเด็จพระบรมราชาธิราช ทรงเจิมที่พระนลาฏของพระราชธิดาแห่งลวปุระ และประทานใบมะตูมทัดที่พระกรรณ ก่อนจะสวมมงกุฎฝ่ายในประทานให้ แล้วอารักษ์ก็ประกาศสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมเหสีแห่งสุพรรณภูมิ หลังจากนั้นก็เสด็จขึ้น
มีงานพระราชทานเลี้ยงแก่แขกที่มาร่วมงานพระราชพิธีราชาภิเสกสมรส ที่พระที่นั่งอีกองค์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากท้องพระโรงนัก เป็นงานพระราชทานเลี้ยงพระกายาหารกลางวัน ส่วนตอนย่ำค่ำ จะมีพระราชทานเลี้ยงใหญ่อีกรอบถือเป็นการฉลองพระราชพิธีราชาภิเสกสมรสอีกครา

หลังจากพิธีการต่างๆในการพระราชทานเลี้ยงตอนย่ำค่ำสร็จสิ้น  บรรยากาศจึงผ่อนคลายลงมากกว่าตอนอยู่ในขั้นตอนในพระราชพิธี จึงเป็นการสังสรรค์ของเชื้อพระวงศ์กับแขกต่างๆที่มาจากแต่ละแคว้น
“เบื่อไหมขอรับ” องค์รังสิพันธุ์กระซิบถามองค์ปุณณวัชรที่ประทับอยู่ไม่ไกล เพราะองค์รังสิพันธุ์รู้ดีว่าองค์ปุณณวัชรไม่ค่อยชอบงานออกมหาสมาคมเช่นนี้
“................” ไม่มีเสียงตอบรับ แต่การพยักหน้าให้ก็แทนคำตอบทั้งหมดแล้ว
“ไปหาที่สูดอากาศกันขอรับ” องค์รังสิพันธุ์ชวนองค์ปุณณวัชรปลีกตัวออกมาจากพระที่นั่งที่พระราชทานเลี้ยง องค์ปุณณวัชรเสด็จตามออกมาอย่างว่าง่าย
รอบๆพระที่นั่งประทับด้วยใต้จุดเป็นตะเกียงไว้ แสงไฟระยิบรยับสวยงาม  วันนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงสีเงินสาดส่องไปทั่วฟ้า
“คิดถึงบ้านไหม” องค์ปุณณวัชรเอ่ยถามองค์รังสิพันธุ์
“กิคิดถึงขอรับ คิดถึงเสด็จพ่อกับสมด็จแม่ขอรับ อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ป่านนี้จะเป็นกันเช่นไร” เสียงตอบจากองค์รังสิพันธุ์
“แล้วท่านคิดถึงบ้านไหมขอรับ” ครานี้องค์รังสิพันธุ์ถามกลับ
“ก็คิดถึงสมด็จแม่” องค์ปุณณวัชรตอบกลับ
“ไว้มีโอกาสเชิญเสด็จไปที่จันทราบุรีนะขอรับ อยากให้ท่านได้เจอกับเสด็จพ่อกับสมเด็จแม่ และอีกอย่างกระหม่อมจะพาเที่ยวให้ทั่วเลย” เสียงร่าเริงเอ่ยชวนผู้เป็นสหาย
“ไว้มีโอกาสนะขอรับ” องค์ปุณณวัชรตอบกลับมา

      โอ้รักพรากจากไกล    เกินทน
      หน้าทีจึงต้องจำนน    จนใจ
      วาสนาพาบางคน        จากไปแสนไกล
      ชาติหน้ามีจริงคงได้   ครองคู่ สมใจ
เสียงท่องโครงตัดพ้อโชคชะตา ดังจากที่ไม่ไกลนัก เสียงเมามายแถบจะไม่ได้สติ ของผู้หนึ่งที่ร่ำสุรามาจนไม่สามารถประคองตัวเองให้นั่งอยู่ได้ ทำได้เพียงแต่นอนมองไปบนฟ้า น้ำตาไหลออกจากทั้ง 2 ตาที่แดงก่ำของชายผู้นั้น 
“ญาณวัตร” เสียงองค์ปุณณวัชรดังขึ้น
ทั้งองค์ปุณณวัชรและองค์รังสิพันธุ์หันมามองหน้ากัน เพราะได้ยินทุกคำพูดในโครงนั้นที่สื่อความหมายที่ไม่ได้สมหวังในความรัก และเข้าใจในความรู้สึกเจ็บปวดขององค์ญาณวัตรแห่งศรีเทพ ที่ตนเองทำได้เพียงเป็นองค์รักษ์ผู้สูงศักดิ์ พาคนที่ตนเองรักมาส่งตัวเป็นเจ้าสาวของอีกคน นี่ที่อดทนฝืนใจทำได้ขนาดนี้เพราะเลือดและหน้าที่แห่งขัตติยะที่แท้จริง
“หรือว่าชายชุดดำกลุ่มนั้นจะเป็นคนของศรีเทพ” องค์รังสิพันธุ์หลุดปากออกมา
“ข้าคิดว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านั้น........” องค์ปุณณวัชทรงคะเน


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ destiny_of_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
บริบทที่ 12 สุพรรณภูมิกับลวปุระ

เราทั้ง 2 คนหลังจากหิ้วปีกของญาณวัตรมาส่งให้กับมหาดเล็กประจำตัวของญาณวัตร มหาดเล็กทั้งสองคนพยุงตัวเจ้านายของตนเองที่ไม่ได้สติกลับเข้าไปพักในห้อ
“ทำไมท่านจึงคิดว่า มีอะไรซ่อนอยู่มากว่านั้น” องค์รังสิพันธุ์เอ่ยถามระหว่างเดินกลับไปยังห้องพัก
“มันดูง่ายเกินไป” องค์ปุณณวัชรหันมาตอบด้วยน้ำเสียบเรียบๆ
“กระหม่อมเองก็เพิ่งรู้ว่าองค์ญาณวัตรรักองค์มาลินีสุรกัญญามาแต่ก่อน” องค์รังสิพันธุ์พูดขึ้น
“ก็ท่านมัวแต่เล่นสนุก” โดยองค์ปุณณวัชรค่อนขอด
“หรือท่านรู้มาก่อนหน้านี้” เองค์รังสิพันธุ์ถามด้วยเสียงที่สงสัย
“ท่านต้องคอยสังเกตอะไรรอบตัวมากกว่านี้ โดยเฉพาะคนรอบๆตัวเรา” องค์ปุณณวัชรสอนพระสหาย
“ท่านคงมิทันสังเกตว่า 2 อาทิตย์ที่แล้วหลังจากอาจารย์แจ้งข่าวงานราชาภิเษกสมรสระหว่าง ลวปุระกับสุพรรณภูมิ องค์ญาณวัตรเงียบลงไปถนัดตา ปลีกองค์มากกว่าเดิม ดวงตาหมองหม่น เหมือนมีเรื่องทุกข์ใจตลอดเวลา” องค์ปุณณวัชรสรุปให้องค์รังสิพันธุ์ฟัง
“ข้าก็สังเกต แต่คิดองค์ญาณวัตรคงไม่สบายใจเรื่องอื่น” องค์รังสิพันธุ์ทรงแก้องค์
“อาจเป็นเพราะท่านยังเล็กไม่เคยรู้ว่าวัยหนุ่มอย่างเรามีไม่กี่เรื่องหลอกที่กระทบจนทำให้เศร้าลงไปได้ หรือบางทีท่านยังไม่เคยมีความรักก็เป็นได้” องค์ปุณณวัชรร่ายยาว
“ใครบอกว่าไม่เคยมี” เสียงตอบสวนมาฉับพลัน แต่ก็ต้องรีบกลืนคำพูดลงไปอย่างรวดเร็ว
“เหรอท่าน” องค์ปุณณวัชรหันมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ใครกันนะ ที่ทำให้วังหลังแห่งจันทราบุรีหลงรักได้น้อ” องค์ปุณณวัชรยังคงแซวต่อ ใบหน้าคนถูกพูดถึงร้อนผ่าวขึ้นมาในบัดดล จนต้องหลุบตามองต่ำ เพราะกลัวคนที่อยู่ตรงหน้าจะจับความรู้สึกได้
“เอาล่ะๆ ข้าไม่แซวแล้ว หน้าแดงจนเป้นลกตำลึงสุกแล้ว” องค์ปุณณวัชรเอาพระหัตต์มาลูปหัวอย่างเอ็นดู
“เจ้าโง่ จะใครที่ไหนล่ะ ใครกันที่ข้าพยายามแกล้ง พยายามไปยั่วโมโห พยายามไปไกลชิด” องค์รังสิพันธุ์คิดในใจขณะเดินตามหลังองค์ปุณณวัชรไป

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็เก็บของกนแต่เช้า เพราะจะต้องร่วมกันเดินทางไปยังแคว้นสุโขทัย เพื่อร่วมงานอภิเษกอีกงาน ในฐานตัวแทนของแคว้นต่างๆเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับแคว้นสุโขทัย โดยที่จะล่องเรือนตามลำน้ำจระเข้สามพรานจบแม่น้ำนครชัยศรีจากนั้นทวนน้ำนครชัยศรีขึ้นไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา และทวนแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนถึงเมืองพระบาง ก่อนจะแยกทวนลำน้ำนานน่านขึ้นไปจนถึง ตำบลชุมแสงจึงแยกเข้าทวนกระแสแม่น้ำยมขึ้นไปจนถึงสุโขทัย การเดินทางใช้เวลาร่วม 10 วัน เพราะเป็นการทวนกระแสน้ำ และต้องมีการพักรายทางเพื่อพักฝีพาย เรือเปลี่ยนจากเรือลำใหญ่เป็นเรือที่มีรูปร่างผอมเพรียวกว่า เพื่อตัดกระแสน้ำได้ดีกว่า

การเดินทางเป็นไปได้อย่างราบรื่น จนถึงสุโขทัย อันเมืองสุโขทัยอยู่ห่างออกไปจากแม่น้ำยมใกลพอสมควร ด้วยเพราะแม่น้ำยมลากท่วมท้นตลิ่งทุกปี จึงทำให้เมืองต้องไปตั้งอยู่บนที่ดอน ที่ห่างออกไปจากลำน้ำพอสมควร  เมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า มีคู่น้ำคันดินแลกำแพงล้อมรอบเมือง วัดวาอารามสวยงามแปลกตาด้วยสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัย พระเจดีย์รูปร่างแปลกจากแถบลุ่มเจ้าพระยา ด้วยจะผอมเพรียวขึ้นไปตรงปลายพระเจดีย์มีรูปร่างคล้ายดอกบัวตูม เป็นเมืองที่ศัรัทธายิ่งด้วยพระพุทธศาสนา และที่สำคัญเป็นเมืองที่เจริญขึ้นมาด้วยเป็นสถานีพักการค้าสำคัญในภาคพื้นทวีป มีเส้นทางจากอาณาจักรไดเวียต พาดผ่านแคว้นเชียงทอง แคว้นบางยางและตัดลงมายังสุโขทัย ข้ามไปแคว้นฉอดจนออกอาณาจักรมอญที่เมาะตามะ เป็นจุดแวะพักของกองคาราวานค้าขายที่เกือบจะเป็นจุดกึ่งกลางของเส้นทาง ทำให้สุโขทัยเจริญขึ้นมาจนกลายเป็นแคว้นใหญ่ทางเหนือ ด้วยเหตุนี้อีสานปุระจึงต้องกรสุโขทัยเป็นพวกโดยการส่งพระราชธิดาขึ้นมาอภิเษกผูกสุโขทัยไว้ด้วยสายใยแห่งพระราชไมตรี
สุโขทัยเองก็รู้ตนว่าไม่ยังมีกำลังไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นหมากในครั้งนี้ จึงจำต้องยอมไปก่อน พวกเราสังเกตได้จากองค์อโณทัย ไม่ค่อยสบายใจเท่าใดตลอดการเดินทางทั้งๆที่กำลังจะมีงานอภิเษก  อีกองค์ที่ดูเงียบขรึมลงไปก็คือองค์ทิวากร พระสหายที่สนิทที่สุดของอโณทัย
องค์อโณทัยจัดพระที่นั่งให้พวกเราพักอยู่ในเขตวังจันเกษมที่เป็นวังหน้าของสุโขทัย และพาพวกเราเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาธรรมราชา กษัตราธิราชแห่งสุโขทัยซึ่งป็นพระราชบิดาขององค์อโณทัย ท้องพระโรงของสุโขทัย กลับดูเรียบง่าย ไม่หรูหร่า แต่สง่างาม สมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งสุโขทัย เป็นผู้ใหญ่ทรงมีเมตตาแต่ทุกคนรวมถึงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน หากชาวบ้านมีร้องร้องทุกข์ ก็สามารถมาสั่นระฆังเพื่อร้องเรียนต่อองค์พระมหากษัตริย์ได้โดยตรง แผ่นดินแห่งนี้จึงปกครองด้วยพระคุณมากกว่าพระเดช
วันถัดมาเป็นวันที่ขบวนของพระราชธิดาแห่งอีสานปุระเสด็จมาถึง และผู้ที่นำขบวนมากลับไม่ใช่ ศรีวีรวรมันมหาอุปราชแห่งอีสานปุระ แต่กลับเป็นองค์หรรษวรมัน พระบัณฑูรน้อย วังหลังแห่งอีสานปุระ เป็นผู้เดินทางมาแทน องค์นี้แม้จะไม่เลือดร้อนก้าวร้าวดุดันเท่ามหาอุปราช แต่ก็ทรนงตนตามประสาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงจากอาณาจักรใหญ่ ที่กมรเตงศรีชัยวรมัน พระมหากษัตริย์แห่งอีสานปุระส่งองค์นี้มาแทน ก็ทรงเกรงว่าพระมหาอุปราชจะทำให้งานอภิเษกพัง และทำให้แผนที่พระองค์วางเอาไว้เสียหายกระมัง

ในวันพระราชพิธี เมื่อทุกองค์มาพร้อมกันที่มหาสมคม สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จออก ที่ท้องพระโรงแล้ว แต่ทว่า องค์หรรษวรมันกลับยืนขึ้นที่กลางประชุม
   “โปรดรับพระราชโองการแห่งอีสานปุระ”  สิ้นเสียงประกาศนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น องค์สมเด็จพระมหาธรรมราชาลุกขึ้นและกำลังเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์
   “ขอให้องค์สมเด็จพระมหาธรรมราชาประทับบนราชบัลลังก์นั้นเถิด” เสียงองค์หรรษวรมันทรงตรัสกลางท้องพระโรง
   อารักษ์เข้ามาเฝ้าองค์หรรษวรมันเพื่อรับพระราชโองการไปประกาศ ด้วยพระเมตตาแห่งกมรเตงอัญศรีชัยวรมัน  พระมหากษัตราธิราชแห่งอีสานปุระ ทรงแผ่พระบารมีไพศาลครอบคุมทัวดินแดนสวรรณภูมิ ทรงมีพระราชดำริที่จะผูกสมัครสมันพันธไมตรีต่อแคว้นสุโขทัย กอปด้วยทรงเมตตาพระมหาอุปราชแห่งสุโขทัยว่าเป็นคนฉลาดจักนำพาบ้านเมืองให้รุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้จึงทรงพระเมตตาพระราชพระราชธิดาอันเกิดแก่พระอัครมเหสี พระนางเสกขรสุดา ขึ้นเป็นพระราชชายาแห่งพระมหาอุปราชแห่งสุโขทัย
   และด้วยไมตรีที่เกิดขึ้นข้าจึงขอพระราชทานยศ กมรเตงอัญศรีมหาธรรมราชา  ยกขึ้นให้เป็นกษัตราธิราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย แลตำแหน่งนี้ขอให้สืบทอดไปยังลูกหลานสืบไป
ด้วยทรงเห็นว่าสุโขทัยอาจจะยังไม่พร้อมจะเป็นอาณาจักร จึงพระราชทานตัว ลำพงสิธธาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งอีสานปุระ เข้ามาเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งสุโขทัยเพื่อวางรากฐานการเป็นอาณาจักรให้แก่สุโขทัยต่อไป”
   สิ้นเสียงประกาศพระราชโองการเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นอีกคราทั่วท้องพระโรง นี่เท่ากับอีสานปุระยอมรับและยกสุโขทัย ขึ้นเป็นกษิตราธิราชเทียบเท่าตน ยกให้สุโขทัยเหนือแคว้นอื่นๆในสุวรรณภูมิ กลยุทธที่คาดไม่ถึงนี้ ทำเอาทุกองค์ที่อยู่ ณ ที่นั้นคาดไม่ถึง และคะเนได้ทันทีว่าอีกไม่นานความโกลาหลจะเกิดขึ้นในดินแดนแถบนี้  และอีกอันที่ทำให้แม้แต่องค์อโณทัยก็ชักสีพระพักตร์คือการส่งอัครเสนาบดีเข้ามาช่วยปกครอง  แม้ว่าจะยกย่องสุโขทัยขึ้นปานใด แต่ก็ไม่พ้นจากการถูกควบคุมกลายๆอยู่ดี แม้จะหาทางป้องกันอย่างใดก็คงยาก ด้วยที่ตัวพระองค์เองก็ยังต้องกลับไปศึกษาต่อที่สำนักตักศิลาหลังจากเสร็จงานอภิเษก อีกกว่า 2 ปี ป่านนั้น ลำพงสิธธา จะฝั่งรากลึกลงในสุโขทัยถึงเพียงไหน การแต่งงานครั้งนี้แท้จริงก็แค่เครื่องบังหน้าในการที่จะเข้ามาล้วงลูกแคว้นสุโขทัยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

องค์อโณทัยกำพระหัตต์แน่น ได้แต่กล่ำกลืนฝืนทน  สักวันเราจะเป็นอิสระ สักวันหนึ่ง

งานอภิเษกตามแบบของสุโขทัยก็เริ่มขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากชาวลุ่มน้ำเจ้าพระยากล่าวคือ หลังจากที่พระราชธิดาแห่งอีสานปุระยกพานธูปเทียนแพร และถวายองค์ให้แกองค์อุปราชแห่งสุโขทัยแล้วก็จะเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์จะทรงเจิมที่พระนลาฏของทั้ง 2 พระองค์แล้ว ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ ก็คือ พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานน้ำสังข์หลั่งน้ำอภิเษกให้แก่ทั้งคู่ จากนั้นก็จะเป็นชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมอวยพรและหลั่งน้ำอภิเษกให้แก่ทั้งคู่ ถัดจากนั้นก็จะป็นแขกที่เป็นเชื้อพระวงศ์จากแคว้นต่างๆ จึงเป็นอัญเสร็จพระราชพิธี
จากนั้นก็จะมีงานพระราชทานเลี้ยง พระกายาหารกลางวันแด่แขกที่อยู่ในงานพระราชพิธี และในตอนย่ำค่ำก็จะมีงานพระราชทานเลี้ยงอีกครา จึงเป็นอันเสร็จพระราชพิธี
“แผนการนี้ช่างแยบยลนัก “ องค์ธนเศวรเอ่ยเหล่าลูกศิษย์ระหว่างเดินทางกลับที่ประทับ
“แค่เสียลูกสาวแค่คนเดียว แต่แถบจะได้สุโขทัยทั้งแคว้นมาเป็นของตนเอง” องค์ชลาสินธุ์กล่าวเสริมขึ้น
“ทางสุโขทัยจะทำยังไงกันต่อไป” องค์รังสิพันธุ์อดเป็นห่วงมิได้
“ก็คงต้องยอมไปก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไขเอา” เสียงองค์ภานุพงศ์แห่งฉอดเอ่ยขึ้น
“ใครจะไปคาดคิดว่าอีสานปุระจะใช้วิธีการแบบนี้” องค์อนันตราชเสริมขึ้น
“พวกเราเองก็เถอะ ไม่รู้ว่าวันไหนจะโดนกระทำแบบนี้” เสียงองค์ลวจักรกล่าวขึ้น
“ต้องรวมมือกันเขาไว้ ข้าคิดว่าองค์อโณทัยคงมีมาตรการป้องกันไม่ให้ ลำพงสิทธา ฝั่งรากลงในสุโขทัยเป็นแน่แท้” องค์ปุณณวัชรกล่าว
“ทุกท่านทำไมรีบกลับกันนักฤา” เสียงทักดังขึ้น ทำเอาทั้งชบวนหยุดพระดำเนิน
“ที่แท้วังหลังแห่งอีสานปุระนี่เอง” องค์ธเนศวรทรงทักขึ้น
“กำลังสนทนาอะไรกันอยู่หรือขอรับ” เสียงองค์หรรษวรมัน เอ่ยถาม
“ก็คุยกันเรื่องทั่วๆไปขอรับ” องค์ชลาสินธุ์กล่าวขึ้นกลางวงสนทนา
“ทั่วๆไปนี่เรื่องอีสานปุระใช่ฤาเปล่าขอรับ” เสียงองค์หรรษวรมันดังขึ้นเล็กน้อย
“ข้าอยากจะเตือนพวกท่าน ว่าอย่าคิดเอาใจออกห่างจากเรา อะไรที่มันเป็นมามันก็ควรเป็นไปเช่นนั้นใช่หรือไม่” เสียงองค์หรรษวรมันพูดพูดต่อ
“ดูสุโขทัยไว้เป็นตัวอย่างแล้วกันนะขอรับ” องค์หรรษวรมันพูดจบ แล้วก็ทรงพระสวรลดังขึ้น แล้วก็เสด็จจากไป
“ไม่มีวันเป็นเช่นนั้นตลอดไปดอก กฎแห่งกรรมมันมีจริง เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้” องค์ธเนศวรก้องกังวาน ดังพอที่จะกลบเสียงสวรลของหรรษวรมัน และธเนศวรก็ตั้งใจจะให้หรรษวรมันได้ยินเช่นกัน

“หากผลัดแผ่นดินที่อีสานปุระ ไม่ว่าองค์ไหนขึ้นมาก็น่าปวดหัวทั้งนั้น” เสียงองค์มหรรณพพูดขึ้น
“แต่กระหม่อมว่า วังหน้า รับมือง่ายกว่า” เสียงองค์ปุณณวัชรเอ่ยขึ้น
“เพราะมีแต่โทสะ มุทะลุ คาดเดาได้ไม่ยากอย่างนั้นหรือ”  เสียงองค์ศศินธรถามกลับ
“ขอรับ ส่วนองค์ วังหลัง ดูลึกลับ ซ่อนคม กลอุบายเยอะกว่า คาดเดาได้ยากกว่าขอรับ” องค์ปุณณวัชรตอบองค์ศศินธร


พอกลับถึงพระที่นั่งที่ประทับของเหล่าศิษย์ของตักศิลา พวกเราก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก เพื่อพักผ่อน
“วันนี้ข้าสังเกตเห็นว่ามีบางคนโดนพิษแห่งความรักเล่นงานอีกแล้วขอรับ” เสียงองค์รังสิพันธุ์พูดกับองค์ปุณณวัชร
“พัฒนาขึ้นนะขอรับ” เสียงองค์ปุณณวัชรชมทำเอาคนถูกชมยิ้มกว้างจนเห็นพระทนต์ขาว
“ท่านก็สังเกตเห็นเหรอ” องค์รังสิพันธุ์ถามกลับ
“อืม” เสียงตอบสั้น
“เรามาแลกเขียนชื่อคนนั้นใส่มือดูสิว่าจะตรงกันไหมขอรับ” องค์รังสิพันธุ์คว้าไปดึงพระหัตต์ของปุณณวัชรแล้วเริ่มใช้นิ้วเขียนชื่อคนๆนั้นลงไปบนมือของปุณณวัชร
“............” ไม่มีเสียงตอบกลับ มีแต่การพยักหน้ารับว่าเป็นชื่อเดียวกัน
“ว่าแต่องค์ทิวากรไปรักกับพระราชธิดาแห่งอีสานปุระตั้งแต่เมื่อใด” เสียงองค์รังสิพันธุ์สงสัย
“ผิดคนแล้วท่าน” เสียงองค์ปุณณวัชรเบาลง
“หา” เสียงขาดหายไปจากองค์รังสิพันธุ์

      ซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นหอม   ฟุ้งไกล
      หอมอวลขจรไป      ทั่วหล้า
      ซ่อนแต่ชื่อหาได้      ซ่อนกลิ่น หลบใคร
      มิอายผู้ใดด้อยค่า     ในหมู่มวล บุบผาชาติ
      ผิดกับคนซ่อนรัก      ซ่อนตน
      เราผิดแปลกจากคน   หาใช่
      ซ่อนรักต้องฝืนทน   ซ่อนตน ซ่อนใจ
      ต้องกลัวปากคนไม่   ทำผิด อันใด เล่าเอย

แล้วทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ มันสะท้อนขึ้นในใจทั้ง 2 องค์ว่าสักวันเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับตนเองเข้าสักวัน ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องแบกออกมาตั้งแต่เกิดเพราะกำเนิดขึ้นมาในพระราชวงศ์







 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด