ตอนที่ 5
หลังผูกพันธะกันในคืนนั้นก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับกรุงเทพ แน่นอนว่าผมต้องพาคู่ของผมไปด้วย สายธารดูตื่นเต้นที่รู้ว่าได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันในเมือง แต่ผมก็พอจะดูออกว่าเขามีความกังวลอยู่เล็กๆ ที่จะต้องจากหมู่บ้านนี้ไป
และเพราะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ตลอดทั้งวันเขาจึงมักจะไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ป้าสร้อยและสายน้ำหรือไม่ก็มักจะตามลุงชัยไปไหนมาไหนด้วยบ่อยๆ เขาพยายามที่จะใช้เวลาที่เหลือนี้อยู่กับครอบครัวตัวเองให้เยอะที่สุด
“แกงพะแนงเนื้อจ้ะ ของโปรดพี่พนานี่จ๊ะ” สายธารยิ้มกว้างวางชามแกงสีจัดใกล้ๆ จานข้าวของผม
“ขอบคุณนะครับ” เมื่อวานนี้เขาได้ถามว่าผมชอบหรืออยากกินแกงอะไรเป็นพิเศษ ผมจึงบอกไปว่าพะแนงเนื้อ แล้ววันนี้ก็ได้กินสมใจ เขาคงจะไปขอให้ป้าสร้อยทำให้
“วางใกล้คุณพนาเชียว แล้วพวกผมล่ะ ขอกินแกงชามนั้นด้วยได้มั้ยครับ?”
“ได้อยู่แล้วจ้ะ กินได้ตามสบายเลย” เพราะคุณปราชญ์แซว สายธารก็หัวเราะออกมา พลางขยับชามแกงไปไว้กลางวงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ใกล้ผมเป็นพิเศษอยู่ดี
ผมยิ้มให้เขา ตักแกงเข้าปากโดยที่ไม่ได้ราดข้าว ระหว่างนั้นสายธารก็มองมาอย่างไม่วางตาอีกทั้งยังดูคาดหวังจนผมแปลกใจว่าเขาต้องการอะไรรึเปล่า
“อึก! แค่ก...แค่กๆ” ยังไม่ทันจะได้เคี้ยว กลิ่นผิวมะกรูดก็ตีขึ้นจมูกมาเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตามมาด้วยกลิ่นฉุนและรสชาติเผ็ดร้อนจากพริกคั่วและยี่หร่า เคี้ยวไปได้ไม่เท่าไรผมก็ต้องรีบกลืนแล้วดื่มน้ำตามก่อนที่จะสำลัก สายธารที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็รีบขยับเข้ามาลูบหลังและเติมน้ำให้ทันที
“ม...ไม่อร่อยหรือจ๊ะ?”
“อืมหืม ครั้งนี้หนักเครื่องแกงมากไปหน่อยรึเปล่าแม่สร้อย จะโขลกอะไรขนาดนี้ เผ็ดจนแสบปาก” ลุงผู้ใหญ่ที่เพิ่งตักแกงเข้าปากก็บ่น ส่วนคนอื่นๆ ที่กินแกงก็พากันไอและกินน้ำตามกันเป็นแถว
“ฉันเป็นคนแกงนี้เองจ้ะพ่อ” สายธารยิ้มเจื่อน หันมามองผมที่สำลักจนหน้าแดงแล้วตักผักต้มมาใส่จานให้ผมกินแก้เผ็ด “ขอโทษนะจ๊ะพี่พนา ฉันทำแกงโปรดพี่ไม่อร่อยเลย”
“ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่เผ็ดเกินไปแค่นั้นเอง” ไม่ได้พูดยอให้เขาดีใจ แกงนี้รสชาติดี หวานเค็มลงตัวเสียก็แต่เผ็ดมาก แต่หากกินกับข้าวเยอะๆ แล้วตักแกงน้อยหน่อย ผมก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถกินได้
“พี่พนาไม่ต้องกินก็ได้นะจ๊ะ เดี๋ยวจะเสาะท้องเอานะ”
“พี่กินได้ พี่ชอบแกงพะแนงเนื้อ” ผมบอกแล้วก็ตักข้าวเข้าปาก สายธารอมยิ้มและเตรียมน้ำหวานมาวางไว้ให้ผมกินแก้เผ็ด แกงพะแนงเนื้อนั่นรสจัด พอกินไปหลายคำก็ทำเอาผมน้ำหูน้ำตาไหล กว่าจะหมดได้ผมต้องเติมข้าวถึงสองจาน สายธารเองก็คอยห้ามตลอดว่าไม่ต้องกินแล้วแต่ผมก็ยังยืนยันว่าจะกินต่อจนหมด ก็เพราะดีใจที่เขาลงมือทำอาหารโปรดให้ด้วยตัวเองจึงอยากจะกินให้หมดเป็นการขอบคุณเขา
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ เราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้านอน สายธารที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เดินเข้าหาผม เขายิ้มหวาน ดันไหล่ผมให้นั่งลงบนเตียงและบีบนวดให้ เหมือนที่เขาชอบทำเป็นประจำเวลาที่อยากอ้อนหรือเอาใจผม
“หากคืนนี้พี่พนาปวดท้อง พี่ต้องรีบบอกฉันนะจ๊ะ”
“หึหึ พี่ไม่เป็นอะไร แล้วคิดยังไงถึงได้เข้าครัวไปทำกับข้าว” ปกติสายธารมักจะเป็นลูกมือที่หาผักหาปลา ไม่ใช่เข้าครัวลงมือทำเองแบบวันนี้
“ตอนไปอยู่ในเมืองกรุง ฉันจะได้คอยทำกับข้าวให้พี่พนาไงจ๊ะ”
“หากทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไรนะ พี่มีแม่บ้านคอยทำให้อยู่แล้ว”
“ฉันอยากทำจ้ะ...ฉันเคยได้ยินพ่อพูดว่า กินกับข้าวที่แม่ทำแล้วมีแรงทำสวน ฉันก็อยากจะให้พี่พนามีแรงทำงานเพราะกับข้าวฝีมือฉันบ้าง” ดวงตากลมโตเป็นประกาย แต่ก็หลุบลงแล้วทำหน้ายู่เมื่อสายธารพูดถึงแกงที่เขาทำเป็นครั้งแรก “แต่ตำพริกแกงแบบวันนี้ยากมากเลยจ้ะ นั่งโขลกจนพริกเข้าตาก็ไม่ได้ออกมาดีเลย หากยังเป็นแบบนี้อยู่กลัวว่ากับข้าวของฉันจะทำให้พี่พนาไม่สบายเสียมากกว่า”
ผมหัวเราะ ดึงมือเขาลงมานั่งข้างๆ กัน ยิ้มกับเหตุผลที่เขาคิดจะทำกับข้าว กดปลายจมูกลงบนลำคอเพรียวสูดกลิ่นแป้งหอมเข้าปอดจนชื่นใจ มือก็ยกขึ้นลูบหัวทุยสวยไปมา
“ฝึกทำไปเรื่อยๆ ก็จะเก่งขึ้นเอง”
“พรุ่งนี้ฉันจะให้แม่สอนใหม่ เหลืออีกตั้งหลายวันฉันต้องทำอาหารเก่งขึ้นให้ได้เลยจ้ะ”
แล้วหลังจากวันนั้นก่อนผมออกไปทำงาน ทุกๆ เช้าสายธารก็จะถามผมเสมอว่าเย็นนี้อยากทานอะไร ยิ่งใกล้ถึงวันที่จะกลับกรุงเทพเขาก็ยิ่งทำกับข้าวบ่อยขึ้น จากที่ทำแค่มื้อเย็นก็มีมื้อกลางวันมาด้วย ระยะเวลาสั้นๆ ที่เขาตั้งใจนั้นทำให้สายธารทำกับข้าวเก่งขึ้น อาจยังไม่ได้อร่อยเหมือนรสมือป้าสร้อย แต่ก็ถือว่ามีการพัฒนา
จนมาถึงคืนสุดท้ายที่เราจะได้นอนที่นี่ ป้าสร้อยและสายน้ำต่างก็ช่วยกันคั่วน้ำพริกและของแห้งต่างๆ ที่เก็บไว้ได้นาน แพ็คใส่กล่องและใบตองอย่างดีเพื่อให้พวกผมนำกลับไปทานที่กรุงเทพได้ สายธารไม่ได้ไปช่วยเพราะเขาก็ต้องจัดกระเป๋าและข้าวของของตัวเองเช่นกัน
“หาอะไรสายธาร” ผมถามเด็กที่เดินวน ไปมาอยู่รอบห้อง
“ฉันทำปลอกคอหายจ้ะ มีอยู่แค่เส้นเดียวแล้วด้วย”
ถึงแม้ว่าจะผูกพันธะแล้ว แต่ถ้าหากออกข้างนอกก็ควรที่จะสวมปลอกคอเอาไว้ ผมจึงช่วยเขาหาแต่ไม่ว่าจะรื้อมุมไหนก็ไม่เจอเลยซักนิด
“จำได้รึเปล่าว่าครั้งสุดท้ายที่ใส่คือตอนไหน?”
“ครั้งสุดท้ายที่ใส่...ตอนเข้าเมืองกับพ่อเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจ้ะ แต่ฉันจำไม่ได้ว่าหายไปตอนไหน”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ ขอยืมจากป้าสร้อยก่อนดีมั้ย?”
“แม่ฉันก็ไม่มีใส่น่ะสิ...พี่พนาจ๊ะ ปลอกคอของฉันที่พี่เก็บเอาไว้ ขอคืนก่อนได้มั้ยจ๊ะ?”
คำพูดของเขาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังรื้อเสื้อผ้าอยู่ ผมรู้ว่าเขาหมายถึงปลอกคอเส้นไหน แต่ที่ทำให้แปลกใจคือ เขารู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนเก็บเอาไว้ ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองเขา
“สายธาร เธอเจอพี่ครั้งแรกที่ไหน?”
“พี่พนาจ๋า...พุ่มไม้นั่นมันบังพี่ไม่มิดหรอกนะจ๊ะ” ดวงตากลมโตวาววับมาพร้อมกับรอยยิ้มขบขัน สายธารขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ถูไถแก้มกลมไปกับต้นแขนของผมพลางหัวเราะออกมา ผมเองก็อดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าภรรยาของผมนั้นร้ายแค่ไหน
“เจ้าตัวดี ร้ายจริงๆ นะเรา”
“แต่ฉันรักพี่พนานะจ๊ะ” คนตัวเล็กยิ้มจนตาปิด ขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักแล้วกดปลายจมูกลงบนแก้ม แตะแต้มไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีอย่างน่ารัก จากนั้นก็เอนตัวซบแก้มลงบนอกผม ดวงตากลมจ้องมองไปที่นอกหน้าต่าง มองจันทร์ดวงโตแล้วก็ถอนหายใจออกมา “พรุ่งนี้เราจะออกจากที่นี่กันกี่โมงจ๊ะ”
“กินข้าวเช้ากันก่อนแล้วก็ออกเดินทาง”
“ดีแล้วจ้ะ ฉันอยากกินข้าวแม่อีกซักมื้อนึง” เขาพูดและเงียบไป ผมจึงยกมือลูบแขนเขาเพื่อปลอบใจ ผมมาอยู่แค่สามเดือนยังผูกพัน เมื่องานเสร็จแล้วต้องกลับก็ใจหาย แต่สายธารอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดเขาต้องคิดถึงบ้านมากแน่ๆ
“ไปน้ำตกกันมั้ย ไปดูดาว”
“คืนนี้จันทร์สว่าง ไม่มีดาวให้ดูหรอกจ้ะ”
“งั้นก็ไปดูจันทร์”
คนเล็กพยักหน้า เราจึงเดินไปที่น้ำตกที่ประจำและนอนดูพระจันทร์ดวงโตบนท้องฟ้าโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา คืนนี้ผมรับรู้ได้ว่าเขาตั้งใจดูเป็นพิเศษ เหมือนกับว่ากำลังพยายามเก็บภาพและซึมซับบรรยากาศเหล่านี้เอาไว้ ก่อนที่เขาจะต้องไปอยู่ที่อื่น
“สายธาร…”
“จ๋า~” เขาขานรับเสียงหวานแต่ดวงตายังคงจดจ้องไปบนท้องฟ้า ผมหัวเราะดึงเอวเล็กเข้ามากอด ซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา
“ใจหายมั้ยที่ต้องจากบ้านไป เสียใจรึเปล่าที่ต้องย้ายตามพี่ไปอยู่ในเมือง ”
ไม่ใช่ไม่อยากให้เขาไปอยู่ด้วย แต่ก็ไม่อยากให้เขาเศร้าที่ต้องจากบ้าน ความจริงที่นี่กับกรุงเทพก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก ขับรถประมาณสามหรือสี่ชั่วโมงก็ถึง ผมสามารถมาหาเขาได้ทุกอาทิตย์หากเขาจะขออยู่ที่นี่ต่อ...
“ยอมรับว่าใจหายจ้ะแต่ไม่เสียใจเลย ฉันอยากอยู่ใกล้พี่พนา”
“แต่เธอดูเศร้า พี่ไม่สบายใจ”
“พี่พนาจ๋า ฉันอยู่ที่นี่มาตลอดชีวิต พี่ต้องให้ฉันปรับตัวหน่อยสิ...ฉันทนคิดถึงบ้านได้แต่ฉันคงทนคิดถึงพี่ไม่ได้หรอกจ้ะ”
สายธารพลิกตัวหันมาผม สบตาแล้วพูดจาน่ารักให้ผมใจฟูจนเต็มอก รอยยิ้มละมุนของเขาทำให้ผมยิ้มตาม อดใจไม่ไหวจึงขยับเข้าไปกดจูบลงบนแก้มนิ่ม พอจะขยับออกสายธารก็ประคองแก้มผมเอาไว้แล้วดูดเม้มกลีบปากของผมอย่างรักใคร่ก่อนจะผละออก
“ปากหวาน” ผมพูดชม ปากเขาหวานจริงๆ ทั้งคำพูดคำจาแต่ละคำและรสชาติจริงๆ ที่ผมลิ้มลองมานับครั้งไม่ถ้วน
“คิก ปากพี่พนาก็หวานนะจ๊ะ” ว่าแล้วเขาก็จูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นนุ่มที่ไล้เลียไปมาทั่วโพรงปาก หวานล้ำทำให้ใจสั่นและผมเริ่มมีอารมณ์จึงกอดเอวเอาไว้แล้วพลิกตัวขึ้นทับ แตะแต้มริมฝีปากไปทั่วใบหน้าจิ้มลิ้ม เขาหัวเราะคิกคักเหมือนจะให้ความร่วมมือแต่พอละลงมาที่ลำคอสายธารก็ดันตัวผมออก และบิดตัวหนีไม่ให้ผมทำอะไรลึกซึ้งมากไปกว่านี้
“ทำไมล่ะ พี่อยากกอดสายธาร”
“ฉันไม่ได้อยากขัดใจพี่พนาหรอกนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ฉันอยากนอนดูพระจันทร์เฉยๆ ก่อน”
ผมเข้าใจว่าเขาคงอยากจะใช้คืนสุดท้ายนี้ให้คุ้มค่า เลยตัดใจแล้วขยับลงมานอนข้างๆ แต่ก็ยังกอดเขาเอาไว้ พอเขาเห็นว่าผมยอมหยุดคนตัวเล็กก็ยิ้มกว้าง หอมแก้มผมฟอดใหญ่ไปสองครั้ง “ขอบคุณนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะชดเชยให้ถึงใจพี่เลย”
“อย่าเพิ่งมาพูดตอนนี้สิ เดี๋ยวพี่ก็อดใจไม่ไหวกันพอดี” ผมปรามอย่างไม่จริงจังนัก แค่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นใจผมก็เต้นกระหน่ำ เอาแต่นึกถึงว่าเขาจะทำอะไรให้ผมบ้าง
สายธารหัวเราะแล้วหันกลับไปมองท้องฟ้า มีก้อนเมฆกลุ่มใหญ่เลื่อนผ่านบดบังแสงจันทร์ทำให้ท้องฟ้ามืดไปชั่วขณะ แต่ผ่านไปไม่นานดวงจันทร์ก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง แสงสีเหลืองนวลกระทบผิวน้ำตก ระยิบระยับเป็นหย่อมๆ ท่ามกลางความมืดของเงาไม้ดูสวยงามลงตัว สายธารชี้ให้ผมดูความสวยงามนั้นแล้วมือเล็กๆ กอบกุมมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“พี่จ๋า ที่กรุงเทพมีน้ำตกมั้ยจ๊ะ?
“อืม...น้ำพุแทนได้มั้ย หรือน้ำตกจำลองเล็กๆ ที่บ้านพี่ก็มีนะ มีปลาคาร์ฟด้วย”
“ปลาคาร์ฟเหรอ กินได้มั้ยจ๊ะ เนื้ออร่อยเท่าปลาช่อนรึเปล่า?”
“หึหึ สายธาร พี่สัญญาจะพาเธอกลับมาที่นี่บ่อยๆ แต่อย่าจับปลาในบ่อพี่กินก็พอ”
“คิก พี่พนาพูดอะไรตลกจัง...แต่ห้ามกันแบบนี้ แสดงว่าเนื้ออร่อยแน่ๆ”
“เดี๋ยวเถอะนะ” คงต้องพากลับมาบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้จับปลาคาร์ฟผมกินจนหมดบ่อแน่ๆ
คืนนี้จันทร์สว่าง ไร้ดาวแต่กลับมีกลุ่มเมฆเยอะ นอนดูไปไม่เท่าไรก็โดนบังจนมิดอีกครั้ง คนข้างๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจออกมา
“ว้า โดนเมฆบังอีกแล้ว มืดไปหมดเลย”
เขาบ่น แต่นอนอยู่ท่ามกลางความมืดได้ไม่นาน สายธารก็ขยับขึ้นมาคลอเคลีย หอมแก้มซ้ายจูบแก้มขวาพร้อมกับไล้ฝ่ามือลงไปที่กลางกายของผม
“ทำอะไร...ไหนบอกจะดูจันทร์เฉยๆ ไง”
“ก็ไม่มีจันทร์ให้ดูแล้วนี่จ๊ะ...หรือพี่พนาไม่อยากทำแล้ว” พูดไม่พอ ยังก้มลงมาจูบ ประทับริมฝีปากไปทั่วลำคอและแผ่นอก มือเล็กก็กระตุ้นถูกส่วนจนผมครางเสียงเครืออย่างถูกใจ
“เจ้าตัวดี...ทำแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธลง”
คนตัวเล็กหัวเราะเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นนั่งคร่อม ก้นกลมขยับขึ้นลงเสียดสีจนของผมตื่นตัวเต็มที่ เห็นท่าทางแก่นเซี้ยวอีกฝ่ายแล้วมันเขี้ยวอดไม่ได้ที่จะฟาดมือลงบนสะโพกอวบก่อนจะสอดเข้าตามขอบกางเกงแล้วบีบเคล้นก้อนเนื้อเต็มไม้เต็มมือเอาไว้ ก่อนจะละมาที่หน้าอก บีบคลึงยอดอกจนแข็งชัน
“อะไร...จะให้พี่ทำอะไร” ผมแกล้งถาม เมื่อสายธารดึงมือผมไปด้านหลัง แล้วแอ่นสะโพกใส่
“อื้อ พี่ทำให้ฉันหน่อยจ้ะ ทำให้ฉันไม่เจ็บ”
ผมหัวเราะแล้วถอดกางเกงเขาออก ลูบไล้ไปทั่วสะโพกแล้วค่อยกดนิ้วเข้าไป คนตัวเล็กหอบหายใจแรงแล้วกัดปากแน่น เห็นแบบนั้นผมจึงขยับนิ้วออกเล็กน้อย ค่อยดันเข้าช้าๆ แต่ไม่ได้ลึกเท่าในตอนแรก ดึงออกและดันเข้าตื้นๆ จนน้ำหล่อลื่นไหลออกมาจนเปียกชุ่มจึงดันนิ้วเข้าไปจนสุด และทำให้เขาคุ้นชิ้นไปเรื่อยๆ สายธารตัวสั่นยกสะโพกสู้นิ้วผมอย่างเอาเป็นเอาตาย จนถึงจุดที่ทนไม่ไหวก็ดึงนิ้วผมออกแล้วค่อยจับแก่นกายผมจ่อไปตรงส่วนนั้นด้วยตัวเอง
“อืม…”
“อะ พ...พี่พนา” เขากดตัวลงไปช้าๆ จนสุด หยุดอยู่พักนึงก่อนจะยับสะโพกอย่างเก้ๆ กังๆ ผมดันเอวเขาขึ้น จับมือเขาให้เท้าลงบนหน้าท้องของผม จัดท่าให้เขานั่งยองๆ อยู่ด้านบนเพื่อให้เขาขยับได้ถนัดมากยิ่งขึ้น ใบหน้าหวานเชิดขึ้นตอนที่เอวเล็กบิดไปมาหน้าทีหลังที และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้จันทร์กลับมาแล้วนะ”
“อือ พี่พนา...อยากให้ฉันหยุดเหรอจ๊ะ?”
เมฆเคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว แสงจันทร์กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ผิวเนียนละเอียดสีแทนต้องแสงจันทร์ ไหนจะดวงตาแวววาวและรอยยิ้มหวาน หยดเหงื่อและเสียงคราง ทุกอย่างดูระยิบระยับสวยงามน่าหลงไหลไปหมด
“...ไม่อยากจ้ะ”
“ฉันก็ไม่อยากหยุด อ๊ะ...เบาก่อนจ้ะ อือ”
ผมจับสะโพกอวบไว้มั่นแล้วดึงลงมาพร้อมกับที่ตัวผมเองก็เด้งสะโพกสวนขึ้นไป เขาบอกให้เบาให้ผมไม่สามารถเบาได้ คนด้านบนโดนผมกระแทกกลับจนหัวสั่นหัวคลอน และพอขยับมือมาด้านหน้าชักรูดแก่นกายชุ่มน้ำของเขาเพียงไม่กี่ทีสายธารก็กระตุกเกร็ง แอ่นตัวไปด้านหลังแล้วหยุดขยับขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ทนเจ็บหลังหน่อยนะ” ผมที่ยังไม่ถึงฝั่งก็ต้องเป็นฝ่ายขยับเองแต่ท่านี่มันก็ไม่ถนัดเท่าไร ผมจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วจะจับเขาให้นอนลงกับหินแข็ง แต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอม ขืนตัวเอาไว้พร้อมทั้งดันอกให้ผมนอนลงที่เดิม
“อย่าจ้ะ ขอฉันขยับเองนะ อื้อ...ดีมั้ยจ๊ะ ชอบรึเปล่า?” เขาว่าพลางขยับสะโพกขึ้นลง
“เร็ว...อีกนิด ทำแบบนี้ด้วย” ผมจับสะโพกอวบแน่น เคล้นคลึงไปมาพลางบังคับให้เขาขยับขึ้นลงสลับกับโยกวนเป็นวงกลม
“อืม ดียังจ๊ะ อืม พี่พนาจ๋า หรืออยากให้ฉันขยับแบบนี้ด้วย” และสายธารเป็นเด็กฉลาด สอนไปไม่เท่าไรเขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยมแถมยังหัวไวพลิกแพลงเป็นแบบอื่นที่ดีกว่า
“ดีจ้ะ...ดีมากจ้ะ ดีหมดเลยจ้ะ”
ผมพูดเสียงแผ่ว ดึงคนตัวเล็กลงมาจูบแล้วก็มองดูเอวเล็กขยับพริ้วอยู่บนกายผมในจังหวะและลีลาที่ทำให้ผมหลงจนโงหัวไม่ขึ้น...
เช้าวันถัดมา เมื่อทานข้าวเช้ากันเสร็จก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลา ในตอนแรกสายธารไม่ได้ร้องไห้อะไร ก็ยิ้มแย้มร่ำลากันดีแต่พอขับรถออกจากหมู่บ้านเท่านั้นแหละ เจ้าเด็กก็เกิดอาการขี้แย นั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆ มองประตูทางเข้าหมู่บ้านจนลับสายตา แล้วก็ซึมแบบนั้นมาครึ่งทางจนเข้าเขตกรุงเทพเขาถึงดูตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง
“โห ฉันเพิ่งเคยเห็นตึกสูงขนาดนี้ใกล้ มองดูแล้วเหมือนสูงกว่าภูเขาหลังหมู่บ้านเสียอีกจ้ะ”
“นั่งดีๆ ก่อนสายธาร” ผมดึงเขาให้นั่งลงดีๆ แต่เขาก็ยังไม่วายเอาหน้าแนบกระจก แหงนดูตึกสูงด้วยแววตาตื่นเต้น
“คนที่นี่หน้าตาดีกันจังเลยจ้ะ ผิวพรรณก็สะอาดสะอ้าน” เขาพูดไม่หยุด ยิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวใจกลางเมืองที่มีคนเดินพลุกพล่านเขาก็เอาแต่ชะเง้อคอดู เจอใครก็พูดชมไปหมดว่าหน้าตาดี แต่งตัวดี
“พี่บอกว่าให้นั่งดีๆ ฟังกันบ้างมั้ย? แถวนี้มันรถติดต้องเบรกบ่อย เดี๋ยวก็หน้าคะมำหรอกสายธาร”
“นั่งดีแล้วจ้ะ” สายธารหันกลับมานั่งดีๆ แล้วส่งยิ้มให้ผม เห็นแบบนั้นก็ดุต่อไม่ลง รู้สึกเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ “แล้วบ้านพี่พนาอยู่ตรงไหนเหรอจ๊ะ อีกไกลรึเปล่า”
“ก็ไม่ไกลหรอก แต่พี่ต้องเข้าไปทำงานก่อน พอเสร็จแล้วค่อยกลับบ้านของเรากันนะ”
ผมไม่ได้พาเขากลับบ้านทันทีเพราะต้องแวะไปที่ทำงานเสียก่อน สายธารเห็นตึกทำงานผมก็ร้องอู้หูใหญ่ ยิ่งตอนเดินเข้าไปในห้องทำงานยิ่งตาโต เพราะอุปกรณ์ที่นี่จะครบเครื่องกว่าที่เขาเคยเห็นในแคมป์ เดินดูนู่นนี่ไม่หยุด แต่เขาก็เป็นเด็กดีเก็บไม้เก็บมือไม่แตะต้องอะไรโดยพละการ
“พี่พนาจะกลับบ้านรึยังจ๊ะ ฉันอยากเห็นบ้านพี่พนาจะแย่แล้ว”
“พี่ต้องเข้าประชุมก่อน สายธารนั่งรอที่นี่นะ ไม่ถึงชั่วโมงหรอก แล้วเราค่อยกลับบ้านกัน”
เมื่อผมจัดการธุระที่ทำงานเสร็จก็ขับรถพาเขากลับไปที่บ้าน บ้านที่ผมอยู่นั้นเป็นบ้านเดี่ยวสามชั้น ซื้อเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มตั้งตัวได้ ก็หวังไว้ว่ามันจะเป็นบ้านที่ผมจะใช้สร้างครอบครัว
“นี่เหรอจ๊ะ ปลาคาร์ฟที่พี่พูดถึง” พอลงจากรถได้เขาก็วิ่งไปที่บ่อน้ำ ซึ่งผมทำเป็นบ่อขนาดยาวตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้านซึ่งมีน้ำตกจำลองขนาดเล็กๆ อยู่ ตลอดความยาวของบ่อก็มีชานไม้ยื่นออกไปเอาไว้นั่งเล่นพักผ่อนได้
ผมทำแบบนี้เพราะนักออกแบบเขาแนะนำมา ผมเองก็เห็นว่ามันสวยดีแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ในตอนนี้ได้มาเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของเด็กตรงหน้านี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าดีจริงๆ ที่ทำเอาไว้
“ใช่ สวยมั้ยล่ะ?” เขาพยักหน้ายื่นมือลงไปในน้ำ พยายามที่จะลูบหลังเจ้าปลาสีสวยที่ว่ายวนไปมารอบๆ ฝ่ามือของเขา
“สีสวยมากเลยจ้ะ ลองจับดูแล้ว ดูท่าทางเนื้อจะแน่นน่าอร่อยดีนะจ๊ะ”
“เดี๋ยวก่อนเลย ธารจะจับปลาตัวละครึ่งหมื่นกินไม่ได้นะ”
“โห แพงขนาดนั้นแสดงว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ เลยจ้ะ” เขาพูดเสียงขบขัน สีหน้าทะเล้นจนผมอดไม่ได้ที่บีบแก้มกลมๆ ของเขาไว้ คนตัวเล็กหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ
“เข้าบ้านเรากันดีกว่า” ว่าแล้วก็ช่วยกันขนของต่างๆ เข้าไปในบ้าน สายธารมองดูไปรอบแล้วชมไม่ขนาดปาก เดินไปมาแล้วยิ้มเหมือนเด็ก
“บ้านพี่พนาสวยมากๆ เลยจ้ะ มีทีวีจอใหญ่เหมือนโรงหนังเลย อ๊ะ! บ้านพี่พนามี...”
“...บ้านของเรา” ผมแก้ เดินเข้าไปกอดเขาไว้ วางปลายคางลงบนหัวไหล่มน แล้วหอมแก้มนุ่มไปหนึ่งที
“จ๊ะ?” เขาหันมามอง คิ้วเล็กๆ เลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“บ้านของเราไง ต่อจากนี้บ้านจะไม่ใช่ของพี่คนเดียวแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันก็ต้องเป็นบ้านของสายธารด้วย”
“จ้ะ บ้านของเราเนอะ” สายธารนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะหันกลับมา โอบเรียวแขนรอบคอผมแล้วลำตัวนุ่มนิ่มก็เบียดเข้าหา รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ก่อนที่ผมจะได้รับจูบจากเขา จูบช้าๆ และเนิ่นนาน ดวงตาหวานเยิ้ม นัยต์ตาสีเข้มบ่งบอกว่ามีความรักให้ผมอย่างเต็มเปี่ยม “ฉันรักพี่พนานะจ๊ะ”
“พี่ก็รักสายธาร” เขายิ้มกว้าง กอดผมแน่นขึ้น คลอเคลียปลายจมูกมนไปมาตามใบหน้าของผม ออดอ้อนน่ารักชวนให้ใจสั่น
“อ๊ะ! พี่พนาจะไปไหนจ๊ะ” คนตัวเล็กรับกระชับอ้อมแขนเมื่อผมอุ้มเขาขึ้นแล้วพาเดินดุ่มๆ ไปที่บันได
“จะพาไปดูเตียงของเราไง เด้งดีนะขอบอก”
“...”
“ไม่อยากไปเหรอ?” เห็นเขาเงียบผมจึงทำท่าจะวางเขาลง แต่คนตัวเล็กก็รีบกระชับแขนกอดคอผมเอาไว้อีกทั้งยังซบใบหน้าลงบนอกแล้วช้อนตามองขึ้นมา
“...ดูอย่างเดียวเหรอจ๊ะ ขอลองใช้ด้วยได้มั้ย? อยากพิสูจน์ว่ามันจะเด้งได้ซักแค่ไหนกันเชียว”
End.
จบแล้วนาา ความจริงก็คือมีต่ออีกนิด แต่มันก็ดูโดดๆ ออกมา
ไม่ปะติดปะต่อเท่าไร เราจึงจะเอาไปเป็นตอนพิเศษนะคะ ลงให้อ่านในเว็บนี่แหละ
เจอพี่พนาและสายธารได้อีกครั้งในตอนพิเศษครั้งหน้านะคะ
#โอเมก้าน่ารัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie