บทที่ 5
“แบบไหนเดี๋ยวพวกมึงก็รู้เอง”
เสียงโห่อย่างขัดใจดังขึ้นเมื่อคำตอบของตรีภพไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเลย ธีร์ธวัชเบ้ปาก ทุบหัวไหล่กว้างนั่นไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้พลางบ่นเบาๆ ว่า
“รำคาญว่ะ”
“รำคาญมันทำไมไอ้ธีร์” นายชี้ตะเกียบหันมาทางเหยื่อคนต่อไป “ว่าแต่มึงเถอะ ไม่เคยจะเห็นมองสาวที่ไหน”
“เออ อยู่แต่กับไอ้ภพมากไปจนจะเอามันทำเมียแล้วเหรอ”
ธีร์ธวัชหัวเราะลั่น เขาตบไหล่รัน เจ้าของประโยคข้างตนด้วยอาการน้ำหูน้ำตาล่วง
“ใครว่ากูจะเอาไอ้ภพทำเมีย”
กูเอามันทำผั-ต่างหากโว้ย!
“พอ” เป็นตรีภพที่ทนฟังต่อไปไม่ได้ เขาโพล่งขึ้นมากลางวนด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ จากนั้นเจ้าของร่างสูงชะรูดก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดเบียร์ออกจากตู้เย็นมาเพิ่มอีกสองสามขวด “ไร้สาระ”
“หรือน้องภพอยากเป็นเมียพี่ธีร์จริงๆ ล่ะคะ” ธีร์ไม่ยอมจบประเด็นขำขันนี้ลง เขากระแซะไหล่จนถูกฝ่ามือหนาดันหน้าออกมา
“พูดมากน่าธีร์”
“เดี๋ยวมึงจะโดนมันเตะโด่งออกจากห้องสักวัน” ดิสส่ายหัวให้กับความกวนประสาทของเพื่อนๆ เขาหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาเปิดฝาก่อนจะรินใส่แก้วให้ทีละคน “ชนหน่อย”
แกร๊ง!
แก้วห้าใบกระทบกันเสียงดังลั่น ของเหลวสีอำพันไหลลงคอของชายหนุ่มทั้งห้าอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่นานแก้วของพวกเขาก็ว่างเปล่า ธีร์ส่งเสียงฮ๊าแล้วสะบัดหัวไปมาไล่ความเย็นที่แล่นลิ้วขึ้นไปถึงสมอง ไอค่อกแค่กอยู่สักพักก็ยังไม่เข็ด หยิบเบียร์มาเติมใส่แก้วแล้วกระดกเข้าไปใหม่
“พวกมึงได้ที่ฝึกงานกันรึยัง” รันถามขึ้นขณะเขี่ยผักที่เหลือในหม้อใส่ปาก
ด้วยความที่พวกเขาทั้งหมดเรียนอยู่ในภาคเรียนสุดท้ายของปีสาม ช่วงปิดเทอมที่จะถึงนี้นักศึกษาชั้นปีที่สามทุกคนจะต้องผ่านการฝึกงานทั้งหมดก่อน จึงจะสามารถลงทะเบียนเรียนวิชาโปรเจคในปีสี่ได้
“กูได้แล้ว” ตรีภพพูดขึ้น “บริษัท D เพิ่งไปสัมภาษณ์มา”
“ทำไมกูไม่รู้วะ” ธีร์ธวัชเบิกตาโพลง หันไปมองเพื่อนที่คิดว่าตัวติดกันมาตลอดด้วยความสงสัย ในขณะที่คนอื่นๆ หัวเราะลั่นอย่างสะใจ
“โดนไอ้ภพทิ้งแน่”
คนจะโดนทิ้งชูนิ้วกลางให้เพื่อนเรียงตัว ก่อนจะตอบคำถามของรันว่า
“กูยังไม่ได้คำตอบเลย” เมื่ออาทิตย์ก่อนธีร์ธวัชยื่นเอกสารไปยังบริษัทที่ตนต้องการเข้าฝึกงาน แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีใครติดต่อมา ดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาที่อื่นไปพลางๆ แล้ว
“ของกู HR เพิ่งโทรมาเมื่อเช้า” นายว่า “อยู่ตั้งระยองแหนะ”
“มึงเลือกเองนะ” รันโบกศีรษะเพื่อนที่ทำเป็นซึมกะทือหลังจากบริษัทที่ติดต่อมานั้นตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทใหญ่ หนุ่มหน้าตี๋เลยได้แต่คว้าโอกาสเอาไว้แม้จะไม่ค่อยอยากทำงานต่างจังหวัดสักเท่าไหร่ก็ตาม
“ไปกับกูดิ เขาบอกยังรับเด็กฝึกงานอีกคน”
“กูทำกับบริษัทเพื่อนพ่อ” รันปฏิเสธ ทว่าดิสกลับตาโตรีบเอ่ยแทรกขึ้นมา
“กูสน”
“เดี๋ยวกูเอาเมลล์ HR ให้ มึงส่งเรซูเม่ไปนะ บอกด้วยว่าเป็นเพื่อนกู” หลังจากข้อเสนอถูกหยิบยื่น คนสองคนก็ขยับมานั่งตัวติดกันเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ฝึกงานต่อ และไม่นานนักวงสุกี้ผสมเหล้าเบียร์ก็จบลงเมื่อเวลาล่วงเลยมาดึกมากแล้ว
เป็นรันที่ขอตัวกลับก่อนเนื่องจากแฟนตาม คนอื่นๆ จึงทยอยแยกย้ายกันไปบ้าง จะเหลือก็เพียงเจ้าของห้อง คนอาศัย และกองจานชามมากมายเต็มซิงค์
“ไอ้พวกนี้” ธีร์ธวัชเบ้ปากหลังจากมองสภาพห้องที่เละเทะไม่มีชิ้นดี ขวดเบียร์จำนวนมากถูกเก็บใส่ถุงและวางแยกไว้ที่ระเบียง ตรีภพยกหม้อสุกี้ไปล้างด้านนอกในขณะที่ธีร์จัดการจานชามในซิงค์ให้เสร็จ
เกือบชั่วโมงทีเดียวกว่าห้องจะกลับมาสะอาดเหมือนเดิม เครื่องทำความชื้นปล่อยกลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายคลุ้งทั่วห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ธีร์ธวัชกระโจนลงนอนแผ่บนเตียงพลางพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาหลายที
“กูจะด่าให้หมด แดกแล้วไม่ช่วยกันเก็บ”
ตรีภพส่ายหน้าให้กับคนซึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ด่าเพื่อนในไลน์เรียบร้อย ก่อนพวกนั้นกลับก็โวยวายไปหลายรอบ ท่าทางจะยังไม่สบอารมณ์ ร่างสูงจึงเดินเข้าไปทรุดนั่งบนเตียงด้านข้าง ลูบเส้นผมสีดำสนิทที่เริ่มยาวขึ้นมาแล้วเบาๆ
“ตัดผมไหม”
“อะไร” ธีร์ธวัชขมวดคิ้ว เหลือกตามองคนที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
“ผมยาวแล้ว”
“ไม่ตัด” คนนอนปัดมือที่ยุ่มย่ามกับเส้นผมของเขาออก “ว่าแต่มึงเหอะ ไปได้ที่ฝึกงานตอนไหนทำไมกูไม่รู้”
“เขาเพิ่งโทรมาคอนเฟิร์ม”
“แล้วไม่บอกกู?”
หัวใจมันแอบเจ็บเล็กๆ เสียใจ...ไม่สิ ต้องเรียกว่าน้อยใจมากกว่า ธีร์ขบปากล่างจนเจ็บเมื่อหวนคิดได้ว่าบางทีตัวเขาเองอาจจะสำคัญตนผิดไป
ตรีภพเป็นเพื่อนที่นับว่าสนิทที่สุด และธีร์ธวัชเองไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็บอกอีกฝ่ายก่อนเสมอ ดังนั้นเวลาที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองก็ไม่ได้สำคัญสำหรับอีกฝ่ายขนาดนั้น มันก็ออกจะ...แย่
เหมือนกับว่าสนิทแค่ฝ่ายเดียวล่ะมั้ง
“ขอโทษ”
สีหน้าคงจะแสดงออกชัดจนเกินไป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จับจ้องกันมาจึงอ่อนลง ตรีภพผละมือออกไปแล้วแต่ไม่ได้เบนหน้าหนีไปไหน พวกเขายังคงสบตากัน ในขณะที่บรรยากาศอึดอัดระหว่างทั้งสองเจือจางลงไปบ้างจากคำขอโทษที่ได้ยิน
“มึงได้ที่ไหนนะภพ บริษัท D?” ธีร์กระแอมไอเบาๆ เมื่อเผลอแสดงทีท่าแง่งอนเป็นเด็กๆ เขาเป็นฝ่ายเสตาหลบก่อนแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“อืม”
“กูก็ยื่นไปนะบริษัทนี้ แต่เขาไม่เรียกว่ะ” เป็นปกติที่บริษัทใหญ่ๆ มักจะคัดเด็กแม้เป็นแค่การฝึกงาน ธีร์ธวัชยอมรับว่าตนไม่เก่งนัก ถ้าเทียบกับตรีภพเขาก็ยังอ่อนกว่าหลายด้าน คิดแล้วก็นึกหมั่นไส้ไอ้คนที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ดังนั้นเขาจึงหันไปตะกุยหน้าอกแข็งๆ ของอีกฝ่ายพร้อมแสดงท่าทีโมโห “หงุดหงิดว่ะ ในกลุ่มเราเหลือแค่กูคนเดียวยังไม่มีที่ฝึกงาน”
“มันเจ็บ” ตรีภพขมวดคิ้ว ล็อคข้อมือที่ทำท่าตะกุยเป็นแมวพร้อมกระชากอย่างแรงเพื่อให้หยุด “แล้วจะเอาไง จะยื่นที่ไหนอีกไหม”
“ไม่รู้แล้วโว้ยยย” คนยังไม่ได้ที่ฝึกงานเบ้ปาก “ขี้เกียจหาแล้ว”
“มาทำด้วยกันไหม”
“...หือ?”
“เดี๋ยวกูลองถามพี่เขาให้”
“เอาดิ” ธีร์ธวัชไม่ปฏิเสธโอกาสอันงดงาม เขาพยักหน้าอย่างแข็งขัน “บอกเขาว่ารับกูที แล้วสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี”
“เด็กดี?” ตรีภพเลิกคิ้ว ดูไม่ค่อยเข้าใจกับคำว่าเด็กดีที่อีกฝ่ายพูด แต่เมื่อได้มองเห็นความทะเล้นที่แฝงอยู่ในดวงตาสีนิลคู่นั้น ตรีภพก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “พอเลยมึง”
“อะไร๊ พออะไรครับพี่ภพ”
“ไม่เล่น พรุ่งนี้คลาสเช้า”
“เล่นอะไร กูไม่ได้ชวนเล่น” ธีร์ธวัชทำหน้าตากะลิ้มกะเลี่ย “กูชวนมาทำกันจริงๆ ต่างหาก”
เพราะรู้ว่าคนพูดไม่ได้จริงจัง ตรีภพจึงผลักไหล่เพื่อนที่กระแซะเข้ามาจนชิดออก เขาลุกขึ้นคว้าผ้าขนหนูเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไปเพื่อตัดบทสนทนา แว่วเสียงหัวเราะร่าเริงตามหลังมาจนต้องเผลอดุออกไปอีกสักรอบ
“พอแล้วธีร์”
เพียงเท่านั้นอาการโวยวายของใครอีกคนก็หยุดลง...
หลังจากผ่านกลางภาคมาแล้ว การเรียนในช่วงครึ่งหลังดูจะทรหดมากขึ้น เนื่องจากมีทั้งโปรเจ็กย่อยที่ต้องส่งก่อนสอบไฟนอล และหลายๆ วิชาที่เนื้อหาเยอะจนต้องอัดอย่างหนัก และวันนี้ก็เป็นวันที่ธีร์ธวัชและผองเพื่อนจนจมปลักอยู่ในห้องเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน
“มึงงงง กูไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงอ้อแอ้กับดวงตาปรือปรอยของรันพาให้คนมองอ่อนแรงตามไปด้วย ดิสที่นั่งอยู่ข้างๆ ตบบ่าเพื่อนเพื่อให้กำลังใจก่อนที่ตนจะซบหน้าลงไปกับโต๊ะ หลับน้ำลายยืดโดยไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังจะสอน
ต่างจากตรีภพที่ยังคงนั่งหลังตรงแหน่วและตั้งใจฟังโดยไม่วอกแวก ธีร์ธวัชเหลือบมองเพื่อนตัวเองพลางแอบลอบชูนิ้วโป้งให้ในใจ สมองของเขาไม่รับรู้อะไรมาตั้งแต่บ่ายสองแล้ว และแม้ตอนพักเบรกจะออกไปหาขนมกับกาแฟยัดใส่ท้องจนจุก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยถ่างตาให้ตื่นได้เลย
เที่ยงคืนแปดนาที...
“หาววว” ธีร์ธวัชไม่สามารถเก็บอาการไว้ได้อีก เขาอ้าปากหาววอด มองเพื่อนร่วมห้องที่บ้างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น บ้างก็นอนหลับตายคาโต๊ะแลคเชอร์ไปเรียบร้อย น้อยคนนักที่จะยังคงสติเอาไว้ได้ แต่ถึงสภาพเด็กๆ จะย่ำแย่ยังไง อาจารย์ก็ยังคงอธิบายสูตรระโยงระยางบนสไลด์พาวเวอร์พอยท์นั้นต่อไปไม่ยอมหยุด
ชีวิตเด็กวิศวะมันก็เป็นแบบนี้...
กว่าคลาสเสริมนี้จะจบลง เวลาก็เคลื่อนไปถึงตีหนึ่งกว่าแล้ว นักศึกษาปีสามทยอยกันเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะธีร์ธวัชและดิสที่ฟุบหลับและถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างกำลังฝันหวาน พวกเขาราวกับถูกดูดวิญญาณออกไป และที่กำลังเดินอยู่นี้คือซากศพไร้ชีวิต
“ไอ้นาย ไปส่งกูที่หอที” ดิสเกาะไหล่เพื่อน เอนหน้าซบบ่าและปิดเปลือกตาลง ลำบากให้นายต้องลากสังขารร่อแร่ของเพื่อนกลับหอพักอย่างทุลักทุเล โชคดีที่รันซึ่งขับรถยนต์มาวันนี้ตามมาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องโบกแท็กซี่กลับหอให้ลำบาก
“เจอกันวันจันทร์” คนที่มีสติมากที่สุดอย่างนายบอกลาภพและธีร์ที่ตามมาส่งถึงรถ อันที่จริงต้องเรียกว่าตรีภพลากร่างไร้วิญญาณของธีร์มาจะถูกเสียมากกว่า เพราะเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทนั้นเกาะบ่าคนตัวสูงกว่าหลับเป็นตายไปแล้ว
“ขับรถกลับดีๆ ถึงแล้วไลน์บอกด้วย” ตรีภพสั่งด้วยความเป็นห่วง พวกเขาร่ำลากันก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับไปที่รถยนต์ของตนเองบ้าง
ธีร์ธวัชถูกโยนเข้าไปนอนเอกเขนกที่เบาะหลัง คนง่วงที่ไม่ได้หลับจริงโวยวายเล็กน้อยเพราะเจ็บจากศีรษะที่กระแทกขอบประตู แต่เจ้าของรถหาได้ใส่ใจไม่ ตรีภพเดินอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากที่จอดทันที
ภายในคณะวันนี้เงียบสนิทเพราะดึกมากแล้ว เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ พร้อมกับแอร์เย็นๆ ส่งผลให้เปลือกตาสีมุกปรือปิดลงมาอีก ธีร์ครางเสียงแผ่ว ชันเข่าตั้งเพื่อให้ศีรษะของตนพอกับความยาวของเบาะด้านหลัง จากนั้นก็จัดที่จัดทางสักหน่อยให้สบาย
“ไปนอนคอนโดมึงนะ” เสียงยานคางเอ่ยขึ้นมาอย่างมัดมืดชก แต่เจ้าของห้องก็เพียงตอบรับว่าอืมสั้นๆ
จากนั้นรถยนต์ซีดานสีน้ำเงินก็แล่นฝ่าความมืดไปอย่างเงียบๆ...
ถนนยามค่ำคืนโล่งมาก ดังนั้นไม่กี่นาทีตรีภพก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดใต้คอนโดของตนเองแล้ว เขาหันไปปลุกคนที่กรนเบาๆ อยู่เบาะหลัง สักพักทีเดียวกว่าธีร์ธวัชจะสลึมสลือตื่นขึ้นมา
“ถึงแล้วเหรอ” คนเมาขี้ตาลุกขึ้นนั่ง เดินลงรถด้วยท่าทีไร้สติ “ง่วงชิบหาย”
“เดินดีๆ”
“อุ้มดิ”
“คิดว่าอุ้มไหว” ตรีภพเลิกคิ้ว มองคนที่เกาะแกะแขนไม่ยอมเลิก ธีร์ธวัชที่ตาปิดก็ยังมีอารมณ์กวนประสาท เสียงหัวเราะแหบๆ ดังลั่นโถงหน้าลิฟต์จนคนตัวสูงกว่าต้องปลายตามองให้หยุด “ดึกแล้วธีร์”
“โทษทีๆ” คนหลุดโบกมือไปมา
คนทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์เมื่อประตูเปิดออก ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงห้องที่ธีร์แวะเวียนมาค้างด้วยประจำจนแทบจะยึดเป็นห้องตัวเอง เขาทำท่าจะวิ่งโร่ไปนอนซุกตัวใต้ผ้าห่มแต่กลับถูกคว้าแขนเอาไว้ก่อน
“ไปอาบน้ำ”
“ง่วง อาบแล้วเดี๋ยวตาสว่าง”
“ธีร์”
“ดุเก่งจังวะวันนี้”
“มึงดื้อ” ตรีภพพรูลมหายใจ โยนผ้าขนหนูผืนประจำของอีกฝ่ายให้แล้วผลักแผ่นหลังเล็กกว่ากันนั้นให้เดินเข้าห้องน้ำไป
ร่างสูงอาศัยช่วงเวลาสันโดษนี้ไปกับการเฝ้ามองท้องฟ้าอยู่ที่นอกระเบียงห้อง บุหรี่กลิ่นโปรดโชยควันสีเทาเบลอบรรยากาศมืดมนให้ดูขมุกขมัวไม่ชัดเจน แสงดาวบนท้องฟ้าคืนนี้ไม่สว่างนัก ทว่าสีเหลืองกระจ่างของมันก็ยังสามารถมองเห็นได้อยู่ดี
สายลมยามค่ำหนาวเย็นกว่าที่คิด เสื้อยืดตัวบางไม่อาจปิดกลั้นไอเย็นที่กระทบผิวได้ แต่ตรีภพก็ไม่ได้เลือกที่จะลบหนีกลับเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มชอบยามที่เขาได้ดื่มด่ำกับรสชาติขมเฝื่อนของสิ่งเสพติดภายในปาก กลิ่นบุหรี่กับควันนุ่มที่ฟุ้งเข้าเต็มปอด ความรู้สึกที่ขมุกขมัวมาทั้งวันก็ราวกับได้รับการปลอบประโลม
เหนื่อย...
เรียนหนัก งานหนัก และเรื่องบางเรื่อง...ก็หนักเหมือนกัน
ครืด...
“คิดอะไรอยู่วะ”
เป็นเสียงของประตูบานเลื่อนและใครบางคนที่เดินตัวหอมเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองธีร์ธวัชซึ่งมีท่าทีสดใสมากกว่าก่อนหน้านี้ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาเบาๆ
“หลายเรื่อง”
“หน้าเครียดเชียว” ธีร์ธวัชฉีกยิ้มแฉ่งส่งมาให้ เขาเท้าแขนลงกับขอบระเบียง คล้ายกับเป็นท่วงท่าประจำที่ตนมักทำยามยืนอยู่ข้างๆ ใครอีกคนในสถานที่นี้
กับควันบุหรี่จางๆ ที่ลอยคั่นกลางระหว่างเราสองคน...
“ธีร์”
“หือ?”
“มึงเหงาไหม”
“อ...อะไรนะ?” คนถูกถามเลิกคิ้ว แสดงท่าที่ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย “ถามอะไรของมึงเนี่ย”
“เปล่า ก็แค่สงสัย” ภพสูดบุหรี่เข้าจดสุดลมหายใจเขาบี้มันไปกับที่เขี่ยก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคนข้างๆ “เผื่อกูไม่ว่างอยู่เป็นเพื่อน”
“โตเป็นควายแล้วป่ะ” ธีร์ยักไหล่ “กูไม่ได้ติดมึงเป็นลูกแหง่ขนาดนั้น”
“อืม”
“ทำไม กลัวกูเหงา?”
“เปล่า”
“ขี้โม้” คนขี้แกล้วจิ้มนิ้วชี้ลงบนแก้มตอบ “รักกูแล้วอ่ะดิ”
“...”
“เซ็กส์เฟรนด์เขาห้ามชอบกันนะครับคุณภพ” ธีร์ธวัชแค่พูดเล่น สีหน้าเขาก็แสดงออกว่ากำลังหยอกเย้า แต่คู่สนทนากลับไม่ได้หัวเราะร่วมด้วย ท่าทีจริงจังของภพทำให้คนถูกมองค่อยๆ หุบรอยยิ้มของตนกลับลงไป
...
..
.
“แล้วมึงคิดว่ายังไง”
______________________________
สวัสดีค่าา กลับมาแล้วค่า กรี๊ดดดดดด
เราหายไปนานม๊าก ตั้งแต่ตุลาเลยเนอะ ใช่ไหม
สามเดือนแหนะ!
ขอโทษด้วยนะคะ เรายุ่งมากๆ เลยเพราะเพิ่งเรียนจบ
ทั้งรับปริญญา ทั้งเริ่มได้รับผิดชอบงานในบริษัทเองบ้างแล้ว ทั้งการปรับตัว ทั้งการเข้าสังคมต่างๆ
แต่ในที่สุดเราก็กลับมาแล้วค่ะทุกคนนน แงง คิดถึงจังเลยค่ะ
ใครที่ยังรออยู่ ขอกอดแน่นๆ เลยนะคะ
รัก และจะไม่หายไปอีกแล้ว จูบ