Crime and Love Scene Investigation
๙๐. The Happiest Memory Hurts Me the Most
“ด็อค มีอะไรใหม่ ๆ ให้ผมบ้าง” สารวัตรรัฐนนท์ไม่รีรอ ถามหาข้อมูลในคดีจากแพทย์หญิงดรุณีในทันที ที่เขาและชนธัญมาถึงที่ห้องชันสูตร “เริ่มจากตรงนี้ก่อนเป็นอันดับแรก” ด็อคดุชี้ให้ทั้งสองคนที่เพิ่งมาใหม่ ดูที่มือทั้งสองข้างของร่างผู้เสียชีวิต “เนื่องจากศพถูกไปไหม้จนเกินกว่าจะจำได้จากรูปพรรณสัณฐาน พวกรอยตำหนิหรือรอยสักต่าง ๆ รวมทั้งมือของผู้ตายด้วย” สารวัตรหนุ่มหล่อชะโงกหน้าจากอีกฝั่งหนึ่งมาดู ส่วนชนธัญที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับด็อคดุ สังเกตเห็นรอยไหม้จากไฟที่เผาอย่างรุนแรง
“หมอไม่สามารถเก็บรอยนิ้วมือใด ๆ ได้จากศพ เลยพยายามค้นข้อมูลเรื่องเดนทัลของผู้ตาย แต่น่าเสียดาย ที่ผู้ตายไม่มีประวัติการทำฟันกับที่คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ไหนเลย” ได้ยินแพทย์สาวพูดมาแบบนี้ สารวัตรรัฐนนท์พลางพ่นลมหายใจยาวออกมา “ถูกต้องเลย” ด็อคเตอร์ดรุณีบอกกับสารวัตรหนุ่มหล่อ เดาได้ว่านายตำรวจหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่
“ต้องพึ่งผลตรวจดีเอ็นเอเทียบกับผู้ตายเท่านั้น” สารวัตรรัฐนนท์สบตากับด็อคเตอร์ดุ ก่อนจะรับเอาเอกสารที่แพทย์สาวยื่นส่งให้ ซึ่งพอสารวัตรรัฐนนท์เปิดผลการตรวจนั้นอ่านดู ด็อคดุก็พูดขึ้นว่า “ผลการตรวจมันอินคอนคลูซีฟ” ชนธัญฟันไปมองที่สารวัตรหนุ่มหล่อ ซึ่งอีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาในทันที
“ด็อคกำลังจะพูดว่า ศพไม่ใช่สามีของผู้ตายหรือครับ” สารวัตรเงยหน้าจากเอกสารนั้นขึ้นมองด็อคเตอร์สาว “เปล่าค่ะหมวด” ด็อคดุปฏิเสธ “ผลการตรวจยืนยันได้ว่า ผู้ตายเป็นเพศชาย พวกส่วนสูง น้ำหนัก มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสามีของคุณธิดา เพียงแต่ว่า” ด็อคดุหยุดพูดนิดหนึ่ง มองไปที่สารวัตรรัฐนนท์และชนธัญสลับกัน
“ดีเอ็นเอที่ได้จากร่างของผู้ตาย ไม่สมบูรณ์มากเพียงพอที่หมอจะพูดได้อย่างชัดเจน ว่าใช่หรือไม่ใช่” ด็อคเตอร์ดรุณีอยากจะให้คำยืนยันอย่างที่ตัวเองคิด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผลการตรวจไม่อนุญาตให้เธอพูดอะไรได้ตามใจชอบ “แล้วที่ด็อคคิดล่ะ” เป็นไปตามนั้น ด็อคเตอร์กรุณีไม่ตอบคำถามของสารวัตรรัฐนนท์ ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม
“ทางภรรยาของผู้ตาย คุณธิดา ยืนยันว่าใช่ศพของสามีเธอ และต้องการให้ปล่อยร่างของสามีในทันที ซึ่งมันเกินอำนาจหน้าที่ของหมอ คงต้องขึ้นอยู่กับทีมสืบสวนสอบสวน” สารวัตรรัฐนนท์รู้ในทันทีว่า นี่คือสิ่งที่เขาต้องตัดสินใจเอง “แล้วคุณชนธัญล่ะคะ ได้อะไรเพิ่มเติมบ้างมั้ย” ด็อคดุหันไปถามหนุ่มหน้าใสที่ยืนนิ่งเงียบอยู่นานแล้ว
“ไม่ได้เลยครับ” ชนธัญส่ายหน้า “ผมกลับไปที่สถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ไม่ได้อะไรเลย ร่างเงาที่ผมเห็นในวันแรกที่ไป ผมไม่รู้สึกว่าเขาอยู่ตรงนั้น” ชนธัญที่กลับไปที่บ้านหลังนั้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะถอนกำลังออกมา เมื่อเกินกำหนดเวลาการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ใช้เวลาอยู่นาน เพื่อมองหาร่างเงาที่เห็นในบ้าน แต่ก็ไม่ประสบผล
“ถ้าหมอจะช่วยอะไรได้ ก็คงจะเป็นเอกสารความเห็นของทางหน่วยดับเพลิง ที่ส่งมาถึงนิติเวช” ด็อคดุพูดกับสารวัตรหนุ่มหล่อและหนุ่มหน้าใส “ที่แผงควบคุมไฟของบ้าน ที่ทางหน่วยดับเพลิงตรวจและถ่ายรูปเก็บเอาไว้” ด็อคดุยื่นรูปถ่ายเหล่านั้นให้กับทั้งสองคนได้ดู “มันอยู่ในตำแหน่งออฟ ปิดเอาไว้ทั้งหมด” ด็อคดุพูดถึงสิ่งที่เธอได้ยกหูโทรศัพท์คุยกับหัวหน้าทีมดับเพลิงโดยตรง
“ตามทฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้ของต้นเพลิง ที่มาของประกายไฟแล้วลุกลามไปที่ถังน้ำมันของรถ ที่ผู้ตายกำลังซ่อมอยู่ หลังจากที่แม่แรงเกิดหักลง และทำให้รถคันนั้นหล่นลงมาทับ จนผู้ตายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองออกจากกองเพลิงได้ ถ้าแผงไฟนั้นอยู่ในตำแหน่งปิดอยู่แบบนั้น มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย” ด็อคเตอร์ดรุณีทวนคำพูดของทางหัวหน้าหน่วยดับเพลิงให้ฟังอีกครั้ง
“หมอยินดีที่จะทำการผ่าพิสูจน์อีกครั้ง ถ้าหากว่าหมวดมีแง่มุมใหม่ยื่นมาก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้ เกินกว่านั้น หมอไม่สามารถทัดทานคำร้องของคุณธิดาได้อีก หมวดกับชนธัญ เข้าใจหมอนะ” สารวัตรรัฐนนท์รู้ตัวดีกว่า เขาเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ ในการสืบสวนเพื่อให้ได้ความจริงของคดีนี้
“ตา ตาจ๋า อยู่มั้ย” ปิ่นตะโกนเรียกผู้สูงวัย พลางชะโงกหน้าซ้ายทีขวาที ว่าเจ้าของบ้านอยู่ด้านในหรือเปล่า “เอ้อ” เสียงตะโกนตอบกลับ ดังมาจากทางหลังบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงรองเท้าแตะกระทบพื้น เดินมาจากทางด้านหลังบ้าน “ฉันเอาข้าวมาให้ หิวมั้ยตา” พอผู้สูงวัยเดินออกมาถึงที่หน้าบ้าน ปิ่นก็เดินเข้าไปหา ก่อนจะยื่นถุงใส่ข้าวกล่องให้
“ข้าว่าจะก่อไฟต้มข้าวอยู่พอดี” ชายชราบอกกับปิ่น ที่เธอเองก้มลงมองเห็นมือทั้งสองข้างของตา เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบถ่านสีดำ “พาลไม่ได้กิน อดกันพอดี” สองมือที่สั่นเทิ้มกว่าเมื่อครั้งก่อนที่ปิ่นเห็น ทำให้ชายชราหัวเราะออกมาเบา ๆ กับสภาพร่างกายที่โรยราไปมากภายในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“อีกไม่นาน ข้าก็คงต้องบอกลาเอ็งแล้วล่ะ นังปิ่น ขอบใจเอ็งมากนะ ข้าวนี่” ปิ่นได้ยินชายชราพูดแบบนั้น ก็พูดแบบหยอกเอินกลับไปว่า “จะรีบไปไหนล่ะตา อยู่กับฉันก่อน อย่าเพิ่งถึงกับทนรสมือทำกับข้าวฉันไม่ไหว ชิงลากันไปเสียก่อน” ไม่พูดเปล่า ปิ่นเดินเข้าไปหยิบจานกับช้อน มาแกะกล่องข้าวเทใส่จานให้ชายชรา
“ฉันมันไม่มีญาติที่ไหนกับคนอื่นเขา ตาเป็นเหมือนครอบครัวฉัน อยู่กับฉันไปนาน ๆ อย่าเพิ่งหนีฉันไปไหน” ปิ่นพูดพลางเลื่อนจานข้าวให้กับอีกฝ่าย “เอ็งก็จะทรมานข้าอยู่ร่ำไป” ชายชราพูด ตักข้าวด้วยมือที่สั่นเทิ้มนั้นเข้าปาก โดยที่ปิ่นมองเห็นข้าวหกจากช้อนเกือบหมด กว่าอาหารจะได้เข้าปากชายชรา
“ตายไปแล้ว จะให้ชาวบ้านมันนินทาฉันกับใครล่ะ ว่าตาเป็นผัวฉัน” ชายชรารู้ดี ว่านั่นมันไม่ใช่ความจริง แต่ปิ่นนั้น ยื่นมือมาดูแลตัวเขา ตั้งแต่ที่ลูกหลานของชายชรา หยิบฉวยสมบัติในบ้านหนีหายกันไปหมด ทิ้งชายชราเอาไว้ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง 'เดี๋ยวพอข้าตาย มันก็มาเผาข้าเองแหละ บ้านนี้พวกมันก็คงจะทะเลาะแย่งชิงกันสนุก' นั่นคือคำพูดตอนที่ปิ่นถามชายชราครั้งแรก ว่าลูกหลานของตาไปไหนกันหมด
“เอ็งมันเป็นคนดีนังปิ่น” ชายชราพูดเหมือนกับที่บอกให้สาวประเภทสองอย่างเธอได้ฟังทุกครั้งที่เจอหน้ากัน “ดวงคนอย่างฉัน เลี้ยงดูตา ได้บุญได้อานิสงส์ ดีกว่าเอาเงินไปเลี้ยงดูผัว” ตอนนี้ปิ่นพูดล้อตัวเองด้วยเสียงหัวเราะให้ชายชราเห็นได้ ผิดกับเมื่อก่อนหน้า ที่ปิ่นมีสภาพแทบจะไม่เหลือให้เป็นผู้เป็นคนด้วยซ้ำ
“เอ็งบอกกับข้า ว่าเอ็งไม่เอาแล้ว เรื่องผู้ชาย แล้วไอ้หนุ่มฝรั่งนั่นใคร มันมาชอบเอ็งหรือไง” ปิ่นหันมองไปตามที่ชายชราพูด หนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าว ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ห่างออกไป ไม่ได้เดินเข้ามาด้วยกันกับปิ่น “มันเป็นบ้ามั้งตา นี่ฉันไล่มันไปแล้วนะ มันยังมาตามวอแววุ่นวายกับฉันไม่เลิก” ปิ่นทำเสียงฉุนเฉียว ก่อนจะหันหน้าหนี เลิกสนใจหนุ่มตาน้ำข้าวนั่น
“ความจำฉันยังดีอยู่นะตา สิ่งที่คนทำดีให้ ความสุขที่สุดที่ได้รับ แม่ง ทำใจฉันเจ็บที่สุดแล้ว ฉันไม่ย้อนกลับไปทางเดินอีกแน่นอน” สิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ปิ่นมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในชีวิต มันเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิต ที่ปิ่นสาบานกับตัวเองเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่างแน่นอน
“คุณกำลังเข้าใจผมผิดนะ ปิ่น” เสียงแปร่ง ๆ ของคนต่างชาติพูดภาษาไทย ดังขึ้น เมื่อปิ่นรอจนชายชราปิดบ้านเรียบร้อย และเธอกำลังจะเดินกลับที่พัก “ฉันไม่สนใจว่าจะเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกอะไรใครทั้งนั้น บอกเลยว่า คุณแค่อย่ามายุ่งกับฉันอีกเป็นพอ” ปิ่นพูดจบก็สะบัดหน้าจะเดินหนีไป แต่ถูกนายฝรั่งคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน “ผมขอแค่โอกาสได้พิสูจน์ตัวเองจากคุณ ปิ่น นะ แค่นั้น” ปิ่นมองเห็นสายตาที่เว้าวอน ได้ยินน้ำเสียงที่ออดอ้อน โดยที่ตัวเธอเองพยายามสั่งหัวใจไม่ให้อ่อนไหวเอนเอียง
*********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
ท้อไม่แท้ - แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร
https://www.youtube.com/watch?v=KhegxJo2JMkให้รู้ไปว่ามันจะตาย
I’ll bet this cannot kill me
ให้รู้ไปชีวิตจะพัง
Let’s see if it’s gonna ruin my life
เมื่อทุกข์มันเข้ามาประดัง
When suffering suffocates me so
จะทน ทนเพื่อวันที่ดีกว่า
I’ll hang in there till a better day comes
เกิดเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
We born human, can’t avoid difficult times
ชั่วแหละดี คงเป็นฟ้าที่ให้มา
Good or bad, given by God almighty
ต้องขอบคุณที่ฟ้านั้นช่างเมตตา
Being thankful to the mercy from up above
ส่งอะไรลงมา ให้ทดลอง
Sending something to experiment
หากเป็นคราวที่เคราะห์ร้าย
If it’s the time everything goes wrong,
ก็จะยอมทนทุกอย่าง
I’ll surrender and cave in
ก็รับกรรมทุกอย่างไป
I’ll take it all, come what may
หากเวลาแห่งเคราะห์ร้าย
If it’s the time nothing goes my way,
วันที่เราต้องร้องไห้
The day I kneel and cry
เป็นเพียงการทดลองความอดทน
It’s the test to my full perseverance
ก็พร้อมที่จะทน สู้ต่อไป
I’ll pull myself through and keep on going
ที่ท้อมันก็เลยไม่แท้
What holding me down isn’t forever
ที่แท้มันก็ท้อไม่นาน
What’s not permanent are things hold me down
ที่ร้ายต้องกลับดีสักวัน
What’s bad will eventually turn out good
กัดฟันทนต่อไปเพื่อวันใหม่
Bite the bullet, will come shine a brighter day
เกิดเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
We born human, can’t avoid difficult times
ชั่วแหละดี คงเป็นฟ้าที่ให้มา
Good or bad, given by God almighty
ต้องขอบคุณที่ฟ้านั้นช่างเมตตา
Being thankful to the mercy from up above
ส่งอะไรลงมา ให้ทดลอง
Sending something to experiment
หากเป็นคราวที่เคราะห์ร้าย
If it’s the time everything goes wrong,
ก็จะยอมทนทุกอย่าง
I’ll surrender and cave in
ก็รับกรรมทุกอย่างไป
I’ll take it all, come what may
หากเวลาแห่งเคราะห์ร้าย
If it’s the time nothing goes my way,
วันที่เราต้องร้องไห้
The day I kneel and cry
เป็นเพียงการทดลองความอดทน
It’s the test to the limit till my final straw
จากฟากฟ้า
From someone up there