SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SEVEN SPIKE VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง - EP12 - แฟน 180862  (อ่าน 8133 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
   แล้วจากนั้นสองพี่น้องก็เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มสาวประเภทสอง

   เสียงดนตรีกลับมาดังขึ้นมาอีกครั้งแม้จะมีผู้ร่วมกิจกรรมอยู่เพียงสองคนก็ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนเริ่มมามุ่งดูและให้ความสำคัญมากขึ้น หรืออย่างน้อยพวกเขาก็มาดูเด็กหญิงในชุดเจ้าหญิงน้อยที่กำลังเต้นกับกลุ่มสาวงามอย่างสดใส และแน่นอนว่าพี่ชายของเธอก็ไม่ลืมที่จะร่วมกิจกรรมเช่นกัน

   ครูกันออกท่าทางเคลื่อนไหวเล็กน้อยไปกับน้องสาวตัวเล็กด้วยใบหน้าแห่งความสุขและสนุกสนาน



   เมื่อเฝ้าดูอยู่สักพัก กั๊กก็ตัดสินใจที่จะไปซื้อไอศกรีมถ้วยเล็กๆมานั่งทานใกล้ๆบริเวณเดิม

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เด็กหนุ่มสามารถนั่งมองพฤติกรรมของครูฝึกสอนคนนี้ได้โดยไม่เบื่อ จริงๆพูดพูดว่าเขาอยากรู้อยากเห็นขึ้นไปเรื่อยๆเสียมากกว่า ทั้งวิธีการคิดและวิธีการสอนน้องสาวของครูกันเป็นอะไรที่ฉีกไปจากแนวคิดตามหลักค่านิยมของสังคมโดยสิ้นเชิง มันดูบ้าบิ่นแต่ก็น่าตื่นเต้น ดูร้ายกาจแต่ก็เห็นถึงความปรารถนาดี นี่เป็นสิ่งที่กัปตันทีมวอลเลย์บอลตัวใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเคยคิดว่าจะสามารถรับมือกับครูกันได้ในสักวัน แต่ยิ่งรู้จักมากขึ้นก็ยิ่งพบพฤติการณ์ใหม่ๆ จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะสามารถเอาชนะคนๆนี้ได้หรือเปล่า





   “น้องดีได้เจ้าหญิงแอนน่าด้วย” เด็กสาวร้องดีใจพร้อมกับชูตุ๊กตาตัวใหญ่ อวดให้พี่ชายของเธอได้ดู “เขาบอกว่าน้องดีเต้นเก่งที่สุด”

   ใช่ เด็กคนนี้เต้นเก่งที่สุดจริงๆ เพราะหลังจากการมาของสองพี่น้องนี้ ความเงียบเหงาของซุ้มสาวประเภทสองก็ค่อยๆกลายเป็นแหล่งรวมเด็กๆอย่างที่มันควรจะเป็น เด็กหญิงหลายคนงอแงกับพ่อแม่เพื่ออยากที่จะแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงน้อยเช่นกัน ส่วนเด็กชายก็วิ่งเข้ามาด้วยมีของเล่นมากมายมาล่อตาล่อใจ และเมื่อเป็นอย่างนั้นการแข่งขันเต้นเล็กๆจึงเกิดขึ้น ซึ่งของรางวัลโดยส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นของเด็กหญิงผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นคนแรก

   “สนุกไหมคะ” ครูกันถามน้องสาวของเขา

   “สนูกกกก” เธอหัวเราะร่า



   “น้องดีคะน้องดี มีแข่งวาดรูปนะ สนใจหรือเปล่า มีตุ๊กตาแจกด้วยนะ” สาวประเภทสองคนหนึ่งเดินเข้ามาชวนเด็กน้อยอีกครั้ง

   “น้องดีอยากวาดรูป” เด็กหญิงตอบรับทันที

   “น้องดีๆ” ครูฝึกสอนหนุ่มรั้งน้องสาวเอาไว้ “พี่กันว่าพอแค่นี้ดีกว่านะคะ ตุ๊กตาแค่นี้ก็เยอะมากแล้ว จริงๆพี่กันว่าเราน่าจะขนกลับไปไม่หมดด้วยซ้ำ…. อืมมม เราเอาไปแจกให้เพื่อนคนอื่นดีว่าไหม มีอีกตั้งหลายคนนะที่ยังไม่ได้ น้องดีไม่สงสารเพื่อนเหรอ”

   “ไม่อาววว น้องดีอยากได้ทุกตัวเลย” เธองอแงเล็กน้อย “น้องดีจะได้มีเพื่อนเล่นเยอะๆ”

   “ก็ได้ ถ้างั้น ถ้าน้องดีมีเพื่อนเยอะแล้ว ต่อไปพี่กันกับพี่น้ำก็ไม่ต้องเล่นกับน้องดีแล้วใช่ไหม”

   “ไม่ใช่นะไม่ใช่นะ พี่กันกับพี่น้ำก็ต้องเล่นกับน้องดีซิ”

   “ก็น้องดีมีเพื่อนเยอะแล้วนี่นา มีทั้งพี่หมี มีทั้งเจ้าหญิงตั้งเยอะแยะ พี่กันกับพี่น้ำคงไม่สำคัญกับน้องดีแล้วล่ะ”

   “ไม่อาวววว พี่กันกับพี่น้ำต้องเล่นกับน้องดีนะ งั้นๆๆ น้องดีเอาตุ๊กตาไปให้คนอื่นก็ได้” เด็กน้อยเดินไปมองตุ๊กตากองใหญ่ของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะ “อืมมม น้องดีไม่เอาคุณทหารก็ได้”

   “เดี๋ยวๆๆ แค่ตัวเดียวเองเหรอ”

   “อืมมมม ไม่เอาหมีด้วยก็ได้”

   “พี่กันให้น้องดีเลือกได้แค่สองตัว เอากลับไปได้แค่สองตัว ส่วนตัวอื่นๆ น้องดีเอาไปแบ่งให้เพื่อนๆดีกว่านะ”

   “ต...แต่ๆๆๆ แต่น้องดีอยากได้อันนา เอลซ่า แล้วก็ราพันเซล”

   “สองตัวครับ ไม่งั้นพี่กันกับพี่น้ำไม่เล่นกับน้องดีน้าาา”

   “เอาแค่อันนากับเอลซ่าก็ได้” เด็กน้อยยอมในที่สุดแม้เธอจะตีหน้าเศร้าออกมาเล็กน้อยก็ตาม

   น้องดีหยิบตุ๊กตาทีละตัวไปมอบให้กับเพื่อนเด็กหญิงตัวน้อยคนอื่นๆที่อยู่ในบริเวณกิจกรรม จนสุดท้ายได้หยิบหนึ่งในสามตุ๊กตาที่เธออยากได้ที่สุดให้กับ…..



   “ห...ให้พี่เหรอ” สาวประเภทสองในชุดเจ้าหญิงสีฟ้า(เอลซ่า)แปลกใจอย่างยิ่งที่เด็กน้อยยื่นตุ๊กตามาให้เธอ เธอคือคนแรกที่ออกมาต้อนรับสองพี่น้องนั่นเอง

   “ใช่ค่ะ” น้องดีพูดด้วยยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบวิธียิ้มมาจากพี่ชายของตัวเอง  และดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเริ่มมีความสุขจากการเป็นผู้ให้เสียแล้ว

   “ขอบคุณมากนะคะลูกกกก น่ารักมากเลย”

   “ถ้าน้องดีโตขึ้น น้องดีอยากเป็นเหมือนพี่สาวค่ะ” เด็กหญิงอธิบายเพิ่ม

   “ว๊ายยย” ผู้ได้ฟังรีบร้องออกมาด้วยความตกใจ “ไม่ได้นะคะลูก หนูเป็นแบบพี่ไม่ได้ค่ะ”

   “ทำไมล่ะ น้องดีอยากเป็นเจ้าหญิงสวย” เด็กน้อยผู้ไม่เข้าใจมีอาการงอแงเล็กน้อย

   “ตายแล้วชั้น จะอธิบายบังไงดีล่ะ”



   “อธิบายไปตรงๆเลยครับ” นั่นคือคำแนะนำจากครูกัน “บอกอย่างที่เขาควรรู้นั่นแหละ”

   “ย...ยังไงละคะ” เจ้าหล่อนก็ยังไม่รู้จะต้องใช้คำพูดเช่นไร

   “เดี๋ยวผมอธิบายเองก็ได้ครับ” ครูฝึกสอนหนุ่มเดินมาคุกเข่าคุยใกล้ๆน้องสาวของเขา “พี่เขาเป็นกระเทยค่ะ”



   “แคร้กๆๆ…..อุ๊บ!” กั๊กเผลอสำลักไอศกรีมที่ตัวเองกินออกมา เขารีบหยุดเสียงตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ครูกันรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่ถ้าใครที่ได้ฟังการอธิบายเช่นนี้ก็คงตกใจไม่ต่างกันกับเขานักหรอก



   “ท...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” สาวเจ้าผู้ถูกพูดถึงเช่นนั้นรีบกล่าวทักท้วง

   “ทำไมล่ะครับ” ครูกันถามกลับ เขาเกือบจะใช้น้ำเสียงใสซื่อเท่ากับน้องสาวของตัวเอง “แล้วผมต้องบอกว่าไงอ่ะ สาวประเภทสองเหรอ หรือยังไง”

   “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คำว่า… คำนั้นนั่นแหละ น้องดียังเด็กอยู่นะคะ”

   “ก็เพราะเขาเป็นเด็กไงครับถึงต้องฟังสิ่งที่ถูกต้อง และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นคำที่เสียหายอะไรซะหน่อย เป็นกระเทยก็คือเป็นกระเทย”

   “ว๊ายยย พูดอีกแล้ว น้องดีไม่ควรได้ยินคำนี้นะ”

   “ใครกำหนดเหรอครับว่าคำไหนดีหรือไม่ดี? ผมไม่เห็นว่าการใช้คำระบุเพศให้ชัดเจนมันจะเสียหายตรงไหน ไม่งั้นคำว่า ‘ผู้ชาย’ กับ ‘ผู้หญิง’ ก็เป็นคำไม่ดีด้วยซิ”

   “ยังไงมันก็…”

   “อะไรคือกระเทยเหรอคะ?” น้องดีถามแทรกขึ้นมา

   “กระเทยก็คือคนที่เป็นผู้หญิงแต่เกิดมาเป็นผู้ชายก่อนไงคะ” ครูกันอธิบายตรงๆเช่นเดิม

   “แล้วทำไมถึงต้องเป็นผู้ชายก่อนด้วยล่ะ” เด็กน้อยยังสงสัย

   “อืมมมม อยากอธิบายเองไหมครับ” ครูกันหันไปถามสาวประเภทสองตรงหน้า

   “เห้อออ ก็ได้” สาวเจ้ายอมเอ่ยปากเอง “พี่เคยเป็นผู้ชายมาก่อน เพราะตอนที่เกิดมาไม่มีใครเลือกว่าจะเกิดเป็นอะไรได้ แต่พอรู้ตัวว่าพี่อยากเป็นผู้หญิง ก็เลยค่อยๆเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้หญิง แบบนี้แหละจ้ะที่เขาเรียกว่า… กระเทย”

   “โตขึ้นน้องดีจะเป็นกระเทยด้วย” เด็กน้อยร้องออกมาอย่างมีความหวัง

   “ม...ไม่น่าจะได้นะคะน้องดี” สาวเจ้าพยายามปฏิเสธอีกครั้ง

   “ทำไมไม่ได้อีกแล้ว น้องดีก็อยากเป็นคนสวยเหมือนพี่สาว อยากแต่งตัวสวยๆ… พี่กันๆ น้องดีอยากทาสีแดงๆที่ปากเหมือนกับพี่สาว พี่กันทำให้หน่อย”

   “เอ่อ...พี่กันไม่มี…”

   “พี่มีคะ” สาวประเภทสองบอก เธอเดินไปหยิบลิปสติ๊กมาจากกระเป๋าถือที่วางอยู่ไม่ไกล “อยากปากแดงเหมือนพี่เหรอ”

   “อยากกก” น้องดีร้องบอกอย่างสดใส

   “เดี๋ยวครับๆ ไม่อันตรายกับเด็กใช่ไหม” ครูกันรีบถามก่อน

   “ไม่หรอกค่ะ” สาวในชุดสีฟ้าตอบ “อันนี้เป็นแบบอ่อนโยน เข้าปากก็ได้ไม่เป็นไร แค่เป็นสีชมพูอ่อนๆ”

   “โอเค งั้นก็เชิญเลยครับ”

   และจากนั้นเด็กหญิงก็ได้รับการเติมแต่งริมฝีปากเล็กๆให้มีสีสันมากขึ้น แต่ระหว่างนั้นเอง….

   “........”

   “เป็นอะไรครับ” ครูกันเอ่ยถามเพราะจู่ๆสาวประเภทสองตรงหน้าก็มีน้ำตาไหลออกมา

   “ป...เปล่าค่ะ” เห็นได้ชัดว่าเธอกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้ “ตลอดเวลา พี่รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองแปลกแยก จนน้องพูดคุยกับพวกพี่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป รู้ไหม แค่เรื่องง่ายๆแค่นี้แหละที่ทำให้คนอย่างพวกพี่ มีความสุข”

   “ไม่มีคำว่า ‘คนอย่างพวกพี่’ หรอกครับ... เราทุกคน ไม่ว่าจะด้วยสถานะไหน ผมว่า ใช้แค่คำว่า ‘คน’ เหมือนกันก็พอ”

   “โอ๋ๆ ไม่ร้องไห้นะคะ” เด็กน้อยเอื้อมมือเล็กๆของเธอไปปาดน้ำตาของสาวตรงหน้า

   “น้องดีถูกสอนมาดีจังเลยนะ” เธอกล่าวชมและแอบน้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ

   “ครับ ผมก็พยายามสอนเขาอยู่” ครูกันตอบก่อนจะลูบหัวน้องสาวของตนอย่างหวังดี

   “แล้วแบบนี้...มีคนช่วยดูแลน้องสาวหรือยังคะ ให้พี่ช่วยไหม”

   “ครับ? ก็มีน้องชายอีกคนช่วยเลี้ยงเหมือนกัน”

   “พี่หมายถึงคนที่จะช่วยดูแลแบบใกล้ชิดสนิทสนมไง”

   “เอ่อ… ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจ”

   !!!!!!

   ให้ตายเถอะ ฟังไม่ออกจริงๆหรือไง

   กั๊กที่นั่งฟังอยู่ถึงเกือบจะสำลักไอศกรีมอีกรอบ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินครูกันถูกแม่สาวในชุดเจ้าหญิงสีฟ้าเอ่ยปากจีบตรงๆ แต่ที่ไม่คาดคิดมากกว่านั้นคือท่าทีที่ครูฝึกสอนคนเก่งไม่เข้าใจความหมายของการพูดคำหวานแบบง่ายๆนี้เลย

   แล้วทีเวลาอื่นทำเป็นเก่งไปซะทุกเรื่อง พอมาเจอเรื่องง่ายๆแบบนี้กลับใสซื่อซะอย่างนั้น



   “ก็… คนรู้ใจไง” แม่สาวคนนั้นเริ่มรุกหนักขึ้น

   “อ...อ๋อ คือผม…” จู่ๆครูกันผู้แสนมั่นอกมั่นใจก็มีท่าทีตื่นกลัวขึ้นมา

   “พี่ดูแลเก่งนะ จะน้องสาวหรือพี่ชาย พี่จะดูแลให้เต็มที่เลย ว่าไงล่ะ สนใจรับ…”



   “ครูกันครับ!!!”

   ไม่รู้นึกครึ้มฟ้าครึ้มฝนอะไรขึ้นมา จู่ๆกั๊กก็ลุกขึ้นพรวดและตะโกนลั่นพร้อมแสดงตัวว่าเขาอยู่ใกล้ๆ

   “............” ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกคนในบริเวณนั้นจะต้องหันมามอง ด้วยเพิ่งมีเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ตะโกนลั่นออกมา

   “กั๊ก” ครูกันพูดชื่อคนที่เห็นและจากนั้นก็มองลูกศิษย์ตัวสูงอย่างพิจารณา “เรียกครูทำไม”

   “อ….เอ่อออ..” กัปตันกั๊กยังไม่ทันเตรียมตัวกับการกระทำของเขา แต่วินาทีนั้นไม่อาจเลี่ยงการหาข้ออ้างได้ “ผ...ผมมีเรื่องจะปรึกษา… เอ่อ… เรื่องการบ้าน”

   “การบ้าน?” ครูกันดูจะแปลกใจไม่น้อย “ครูไม่ได้สั่งการบ้านห้องเธอนะ”

   “ว...วิชาอื่นไง ช่างมันเหอะ ขอคุยด้วยหน่อย”

   “ก็พูดมาซิ”

   “ไปคุยที่อื่นกัน” เด็กหนุ่มพยายามเปลี่ยนสถานที่เพื่อหลบจากการเป็นจุดสนใจตรงนี้ แต่ว่า...

   “..........” ครูฝึกสอนso6j,ไม่ขยับไxไหนแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

   “ไปดิ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยไง” กั๊กเร่ง “ไปที่อื่นกัน คุยตรงนี้ไม่สะดวก”

   “รบกวนไปกับผมหน่อยได้ไหมครับ”

   “ห๊ะ?” กัปตันกั๊กไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

   “ถ้าอยากให้ครูไปกับเธอก็ใช้คำพูดใหม่” แล้วความกระจ่างก็เกิดขึ้นหลังคำอธิบาย “เป็นนักเรียน ควรจะพูดกับครูแบบไหนคงไม่ต้องให้ครูบอกนะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่”

   “........” อือหืออออ นี่กูอุตส่าโผล่ออกมาช่วยไว้นะ ยังจะมาทำเก่งอีก กั๊กคิดในใจ

   “ไม่พูดใช่ไหม? งั้นก็ไม่ไป” ช่างเป็นครูฝึกสอนที่หัวดื้อจริงๆ “น้องดีคะ เรามาหาอะไรเล่นกันอีกดีกว่านะ”

   “เออๆๆๆ ก็ได้” กัปตันกั๊กยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก

   “เอาซิ พูดขอร้องครูมา” ครูกันเงยหน้ากลับมามองลูกศิษย์ของตนอย่างตั้งใจ

   ฝากไว้ก่อนเถอะ

   “ช...ช่วย…” แม่งเอ๊ย พูดยากฉิบหาย “ช่วยมากับผมหน่อย”

   “...ครับ” ครูกันย้ำคำที่ควรพูดต่อ

   “ค..ครับ” นี่กูคิดผิดหรือเปล่าวะที่คิดจะมาช่วยครูอวดดีแบบนี้ออกจากสถานการณ์ที่กำลังโดนกระเทยจีบ

   “โอเค ก็พูดเป็นนิ” แล้วจากนั้นครูกันก็หันไปจับมือเล็กๆของน้องสาวตนเอง “น้องดีคะ เราไปหาไอศกรีมกินดีกว่าเนาะ วันนี้เล่นเยอะแล้ว”

   “เย้ย้ย้ย้ น้องดีอยากกินไอติมสตอเบอร์รี่” เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นทันที



   จากนั้นกัปตันกั๊กและครูกันก็ย้ายสถานที่มาที่ศูนย์อาหาร





   “ม….มองพี่ทำไม” กั๊กที่รู้สึกเกร็งเพราะนั่งร่วมโต๊ะกับครูคู่อริ แต่ตอนนี้เขายิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีกเพราะถูกเด็กหญิงตัวน้อยจ้องตาเขม็งแม้ว่าในมือของเธอจะพยายามตักไอศกรีมใส่ปากตลอดเวลาก็ตาม

   “พี่ชายรักพี่กันเหรอ”

   ฮึ๊!!!!!!!!!!!!

   “.....ค….ใครบอก!” เด็กหนุ่มติดอ่างอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของเด็กเล็กๆ “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ พ...พี่จะไป… ค...คือ… ใครสอนน้องพูดเนีย”

   “น้องดีเห็นพี่ชายมองพี่กันตลอดเลย” เด็กน้อยอธิบาย “ตอนเล่นเกมส์ก็เห็นมองพี่กัน พี่ชายรักพี่กันใช่ไหม น้องดีไม่ยกพี่กันให้หรอกนะ”

   “ห...ห๊ะ”

   “ลืมตัวไปหรือเปล่าว่าเธอเป็นคนที่ตัวสูงใหญ่ขนาดไหน” ครูกันแทรกขึ้นมาเป็นการอธิบายพร้อมกับใช้กระดาษทิชชูเช็ดคราบครีมที่เปื้อนปากของน้องสาวของเขา “นั่งห่างออกไปไม่กี่ก้าว คิดเหรอว่าจะไม่มีใครสังเกตุเห็น”

   “น...นี่ครู… เห็นผมด้วยเหรอ” กั๊กถามเพื่อความแน่ใจ

   “ก็เห็นมาตลอดนั่นแหละ แล้วก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่เธอจะแสดงตัวสักที ยังชอบหลบอยู่ในเงาเหมือนเดิมเลยนะ…. แล้วนี่คือยังไง มาแอบเฝ้ามองครูแบบนี้ จะหาจุดอ่อนของครูหรือไง”

   “ม...ไม่ใช่เรื่องจำเป็นซะหน่อย” กั๊กต้องพยายามหลีกเลี่ยงการพูดที่จะทำให้ตัวเองแพ้ ครั้งนี้เขายิ่งต้องสู้ยิบตา “ผมก็นั่งในส่วนของผม ไม่ได้เฝ้าอะไรครูเลย”

   “เหรอ” ดูยังไงครูฝึกสอนก็ไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อ แค่ไม่อยากเถียงด้วยเท่านั้น “แล้วสรุปว่ามีอะไรกับคุยกับครู เรื่องเรียน การบ้าน? ใช่ไหม?”

   “ผม...ไม่อยากคุยเรื่องนั้นแล้ว” นั่นคือการอ้างเหตุผลแบบทื่อๆของกัปตันกั๊กผู้ฟอร์มจัด

   “ก็ตามใจเธอ” ครูกันรู้สึกเอือมที่จะค้นหาความจริงในประเด็นนี้ “แต่ก็ขอบใจนะที่พาครูออกมาจากตรงนั้นได้ คิดอยู่เลยว่าจะพาน้องดีออกมายังไง กลัวเขาจะเล่นจนเหนื่อยเกินไป… น้องดีคะ เลิกมองพี่กั๊กแบบนั้นได้แล้วนะ ตั้งใจกินไอศกรีมดีๆซิคะ เลอะหมดแล้วเห็นไหม”

   “นึกว่าจะขอบใจที่ผมช่วยออกมาจากการโดนกระเทยจีบซะอีก ออกจะเก่งปานนี้ ไหงดูไก่อ่อนจัง” กั๊กได้ทีก็รีบหาเรื่องมาทับถมคนตรงหน้า

   “ไหนบอกว่าไม่ได้แอบเฝ้าดูครูอยู่ไง”

   “ก...ก็….ผมแค่บังเอิญได้ยิน” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวกับการพลาดพลั้งของตัวเอง

   “บังเอิญได้ยินชัดดีเนาะ สมกับเป็นถึงกัปตันกั๊กผู้แข็งแกร่ง ขนาดไม่ได้แอบฟังยังเก็บรายละเอียดมาดีขนาดนี้”

   “ก็….” กั๊กพยายามหาคำพูดมาแก้ตัวเพิ่ม แต่เขานึกไม่ออกจริงๆ

   “เอาเถอะ ครูขอบใจเรื่องนั้นด้วยก็ได้ถ้าเธอต้องการอะนะ” แล้วครูกันก็ลุกขึ้น “ฝากน้องดีแป๊บนึงนะ จะเอาอะไรไหม ครูจะไปซื้อไอศกรีม”

   “อ...เอ่อ… ไม่ครับ”

   “แน่ใจนะ”

   “แน่ใจ...ครับ” ใจดีเกิ๊นนน



   “น้องดีไม่ยกพี่กันให้หรอก” เอาอีกแล้ว พอพี่ชายพ้นออกไปได้แค่แป๊บเดียว เด็กหญิงตัวน้อยก็แอบเหลือบมองเด็กหนุ่มตาเขม็งอย่างกับจะใช้ฟันเล็กๆนั่นกัดหูของคนตัวใหญ่ให้ขาด

   “...........” กั๊กได้แต่แอบโยงตัวให้ห่างออกมานิดหน่อย เขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวในความหวงพี่ชายของเด็กหญิงตัวน้อย



   “อะนี่น้ำอัดลม” จากนั้นไม่นานครูกันก็เดินกลับมาที่โต๊ะและยื่นแก้วน้ำพลาสติกให้กับลูกศิษย์ตัวใหญ่ “เพิ่งนึกได้ว่าเธอกินไอศกรีมไปแล้ว ก็เลยซื้อน้ำมาให้แทน”

   “ข...ขอบคุณครับ” จากประโยคเมื่อสักครู่ กั๊กสำนึกได้แล้วว่าครูฝึกสอนคนนี้มองเห็นว่าเขาแอบมองมาโดยตลอดจริงๆ

   “น้องดีเช็ดมือก่อนนะคะ อย่าเพิ่งจับตุ๊กตา” ครูกันนั่งลงที่เก้าอี้เดิมและจัดการดูแลน้องสาวของตัวเองพร้อมถ้วยไอศกรีมอันใหม่ที่เขาซื้อมาทานเอง “แล้วเป็นไงบ้างอ่ะทีมวอลเลย์บอล ตั้งแต่แพ้ไปเมื่อวาน ได้ข่าวว่าแย่กันเลยเหรอ”

   “ค...ครับ!?” กัปตันกั๊กแปลกใจที่ครูกันรู้เรื่องนี้

   “น้ำบอกครูน่ะ” ครูกันอธิบาย “แย่เลยนะ แพ้กันแค่ครั้งเดียวถึงกับเสียหลักกันไปหมดเลย แล้วแบบนี้เธอจะทำยังไงต่อ”

   “เอ่อ…. ไม่รู้ซิ” ทำไมจู่ๆกั๊กก็รู้สึกว่าเขากำลังได้รับการให้คำปรึกษา

   “อ้าว กั๊กเป็นกัปตันทีมไม่ใช่เหรอ ไม่จัดการอะไรแบบนี้ ทีมจะไม่แย่เอาเหรอ”

   “ผมก็...ชวนพวกมันมาคุยกันวันนี้แล้ว แต่ไม่มีใครมาเลย อ้างนั่นอ้างนี่สารพัด”

   “ทุกคนคงมีเรื่องเกิดขึ้นละมั้ง เหมือนไอซ์กับพฤกษ์จะมีปัญหากันด้วยนิ”

   “ครูรู้ได้ไงอ่ะ!?”

   “ก็บอกว่าน้ำบอกไง จริงๆครูคิดว่าครูพอจะรู้สาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกันอยู่นะ”

   “จริงเหรอ!?”

   “จริง… งานนี้ถ้าคิดอยากให้ทีมกลับเข้ารูปเข้ารอยเร็วๆ กั๊กคงต้องลงไปเคลียร์รายคนเลยล่ะ”

   “เรื่องอะไรอ่ะ ผมเป็นกัปตันทีมนะ ไม่ตามง้อแทนใครให้หรอก”

   “ใครกำหนดว่าใครควรทำอะไร”

   “แต่ผมเป็นหัวหน้าทีมนะ และพวกมันก็โตกันแล้วด้วย ผมดูแลแค่เรื่องกีฬาเท่านั้นแหละ”

   “เธอพูดผิดถึงสองอย่างเลยนะ ข้อแรก พวกเธออาจจะดูตัวสูงใหญ่ แต่ก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยม อีกนานกว่าที่จะใช้คำว่าโตแล้ว และสองคือ กัปตันทีมไม่ได้รับผิดชอบแค่หน้าที่ในสนามหรอกนะ”

   “ครูไม่เข้าใจหรอก ครูไม่ใช่นักกีฬา”

   “ครูเคยเป็นนักยูโด บอกไปแล้วไง”

   “น...นั่นแหละ แต่ครูไม่เคยเล่นกีฬาแบบทีม”

   “เธอรู้ไหมว่าการเป็นครูไม่ใช่แค่การสอนในห้องเรียน... ที่พูดเนีย ครูไม่ได้พูดเพื่อให้ตัวเองดูเท่หรอกนะ แต่ถ้าเธอสังเกตุให้ดี คนเป็นครูจริงๆมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่านั้นมาก ครูต้องสามารถสอนในห้องเรียนให้ได้ในขณะที่ต้องปลูกฝังนักเรียนให้รักการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย ครูต้องสอนวิชาการให้ได้ในขณะที่ต้องสอนคุณธรรมจริยธรรมให้เด็กๆ หรือถ้าเธอไม่ทันสังเกตุครูเพิ่งทำให้เด็กห้องมอหกทับสิบเอ็ดกลับมานั่งเรียนในชั้นเรียนได้อย่างเป็นปกติในขณะที่ตัวครูเองก็มีภาระอื่นๆมากพออยู่แล้ว... ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ครูก็เหมือนกัปตันทีมที่มีลูกทีมอยู่เยอะมากๆ เยอะกว่าหกคนแน่ๆ เพราะงั้น...ครูก็น่าจะเป็นตัวอย่างของการเป็นกัปตันทีมที่ดีได้นะ”

   “.......................” จบเลย พูดมาขนาดนี้แล้ว กั๊กจะไปเถียงอะไรได้ “แล้ว...ผมต้องทำยังไง...ครับ”

   “ยอมรับคำปรึกษาจากครูแล้วใช่ไหม”

   “ก็…. ครูเสนอตัวเองนิ”

   “โอเค ก็ได้ ครูเสนอตัวเองก็ได้ เอาเป็นว่า จากนี้เรา………..







   …………..สงบศึกกันแล้วนะ”



*************************************

ปล.ตัวละครเยอะขนาดนี้ งงกันบ้างไหม 5555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 9

ลูกหยอดอันมั่งคั่ง (2) : กระเป๋าตัง









      ก๊อก ก๊อก ก๊อก



   “สักครู่ครับ…… (แอ๊ดดดด) อ้าวพี่เหล่า ทำไมมาเช้าจัง”

   “กินไรยัง” เหล่า เด็กหนุ่มหน้าตี๋ถามรุ่นน้องแก้มแดงทันทีที่ประตูห้องเปิดต้อนรับ

   “ยังเลย ก็เพิ่งตื่นนี่แหละ” หยกตอบ เขาขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อทำให้ตัวเองตาสว่าง

   “แล้วยายล่ะ ตื่นหรือยัง” เหล่าเดินเข้าไปในห้อง เดี๋ยวนี้เขาเข้านอกออกในห้องนี้ได้อย่างไม่ขัดเขินเพราะนอกจากที่เด็กหนุ่มจะเดินทางไปกลับโรงเรียนพร้อมกับหยกแล้ว เขาก็ยังมาเยี่ยมยายเป็นประจำ

   “เหมือนจะตื่นแล้วนะ… อ้าวแล้วลุงชัยล่ะ ไม่ได้ขึ้นมาด้วยเหรอ”

   “ไม่ วันนี้พี่มาคนเดียว”

   “คนเดียว?...”



   “ล...เหล่า...า” เสียงสั่นเครือของหญิงชราแทรกการสนทนาขึ้นมา เสียงนั้นมาจากร่างของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง “มา...แล้ว ร...เหรอ”

   “มาแล้วครับยาย” เหล่าตอบ เขาค่อยๆเดินมานั่งบนเตียง

   “พี่เหล่า!” เป็นการเอ็ดด้วยเสียงกระซิบเบาๆของหยก เขาตีที่ไหล่ของหนุ่มตี๋ตัวใหญ่เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ “นั่งตรงนั้นได้ไง เดี๋ยวก็ทับยายหรอก ลงไปนั่งที่พื้นข้างล่างเลย”

   “อ...โอเค โทษที” เด็กหนุ่มทำตามอย่างง่ายดาย เขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างๆเตียง จากนั้นก็กลับไปสนทนากับหญิงชราต่อ “เป็นไงบ้างครับ นอนหลับสบายไหมครับ แอร์เย็นไปไหม ที่นอนแข็งเกินหรือเปล่า”

   “สบายดี…. ขอบ...ใจมากนะลูก” เธอพยายามยกมือไหว้แม้จะมองไม่เห็น

   “ย...ยายครับ อย่ายกมือไหว้ผมซิ” เหล่าจับมือหญิงชราไว้ไม่ให้ทำการคาราวะเขาซึ่งมีความอาวุโสน้อยกว่ามาก

   “ข...ขอบคุณ...ที่...เอ็นดูเจ้าหยก...นะ ถ้ายาย...เป็นอะไรไป ย...ยายฝาก...เมตตา ล...หลานของยายที”

   “ยายไม่เป็นไรหรอกครับ ยายจะดีขึ้นนะ”

   “ใช่จ๊ะยาย” เด็กหนุ่มแก้มแดงแทรกเข้ามาพร้อมจับขาของผู้เป็นยาย “เดี๋ยวอีกไม่นานหยกก็เรียนจบมอหกแล้ว หยกก็จะออกมาทำงาน หาเงินมารักษายายนะ”

   “ออก!?” เหล่าเผลอร้องออกมา เขาหันมาหาหยก “หมายถึง...ไม่เรียนต่อแล้วเหรอ?”

   “ผมจะเรียนต่อได้ไง เงินก็ไม่มี ไหนจะต้องดูแลยายอีก” หยกอธิบายนิ่งๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ

   “ไม่ได้นะ เป็นถึงเด็กห้องคิง จะปิดอนาคตตัวเองไว้แค่นี้ได้ไง”

   “ถามจริง พี่จะคอมเม้นผมเรื่องเรียนเนี่ยนะ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพฤติกรรมการเรียนของนักวอลเลย์ฯเป็นยังไง”

   “ก็พี่มีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว”

   “ผมก็มีเป้าหมายในการดูแลยายเหมือนกัน”

   “แต่…”

   “พอแล้ว ผมไม่อยากเถียงพี่แต่เช้า ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”

   “โห ไล่เลยเหรอ พี่อุตส่ามาหานะ” แล้วเหล่าก็หันไปคุยกับหญิงชราต่อ “ยาย กินอะไรหรือยัง อยากกินอะไรไหม ผมจะพาหยกไปซื้ออะไรมากิน”

   “เดี๋ยวๆๆ ถามผมหรือยัง” หยกรีบทักท้วง

   “พี่คุยกับยายอยู่” เหล่าทำทีว่าตำหนิ “ว่าไงครับยาย อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

   “ยาย...กินอะไร...ก็ได้ลู...ก” เธอตอบ

   “งั้นเดี๋ยวผมกับหยกกลับมานะ ยายรอแป๊บนึงนะครับ” เด็กหนุ่มลุกขึ้น “ปะ ไปข้างนอกกัน”

   “ไปไหน?” หยกถามอย่างงงๆ

   “ไปเหอะน่า ลุกเร็ว” เหล่าดึงมือเด็กหนุ่มแก้มแดงให้ลุกตามเขาออกไป







   “เดี๋ยวๆ นี่จักรยานใคร” หยกตั้งคำถามทันทีที่พวกเขาลงมาที่หน้าโรงแรม ซึ่งในขณะนี้เด็กหนุ่มตัวใหญ่กำลังขึ้นคร่อมจักรยานใหม่เอี่ยมคันหนึ่ง

   “ของหยกไง” เหล่าตอบ “พี่ซื้อมาให้”

   “ซื้อให้!? เดี๋ยวนะๆ ผมบอกตอนไหนว่าอยากได้จักรยาน… ไม่ใช่ซิ พี่ซื้อมาให้ผมทำไม ไม่เอาแล้วนะ ผมรับอะไรจากพี่ไม่ได้อีกแล้ว ผมๆๆๆ ผมไม่… ไม่ได้อ่ะ ผมรับอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมพูดจริง ยื่นคำขาดด้วย”

   “ก็เอาไว้ปั่นไปกลับโรงเรียนไง” เหล่าพยายามอธิบาย “เคยเห็นพูดว่าอยากได้จักรยานสักคันไม่ใช่เหรอ”

   “ไม่ได้พูดเลยยยย แล้วที่สำคัญ ผมก็นั่งรถตู้ไปกับพี่อยู่แล้ว ทำไมต้องปั่นจักรยานด้วยล่ะ”

   “คือ… ต่อไปพี่อาจจะมารับมาส่งหยกไม่ได้แล้ว” จู่ๆเหล่าก็น้ำเสียงเปลี่ยน

   “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หยกคล้ายว่าจะเห็นใจปนสงสัย

   “พี่เพิ่งจะ...แพ้วอลเลย์ฯมา”

   “ใช่ ผมรู้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

   “บางทีพี่คิดว่าเป็นเพราะเดี๋ยวนี้พี่มัวแต่คิดเรื่องของหยกกับยายมากเกินไป หลายคนก็ตำหนิว่าพี่ไม่ใส่ใจการซ้อมเหมือนเดิม พี่ก็เลย… หยกพอจะปั่นจักรยานเป็นใช่ไหม”

   “ได้อยู่แล้ว แต่ว่า… เป็นเพราะผมกับยายเหรอที่ทำให้พี่ฝีมือตกลง”

   “ไม่ใช่ เป็นเพราะพี่แบ่งเวลาไม่ถูกเอง”

   “ก็แบบนั้นแหละที่แปลว่าเป็นเพราะผม… อันที่จริง คือ… พี่เหล่า ผมถามหน่อยซิ ทำไมพี่ถึง… ยื่นมือเข้ามาช่วยผมกับยายมากขนาดนี้”

   “นั่นซินะ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่แค่รู้สึกว่าอยากช่วย”

   “แต่ผมก็บอกพี่ตลอดนะว่าผมไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากพี่เลย”

   “โห เสียใจนะเนีย”

   “เปล่า ผมหมายถึง ไม่ว่าใครผมก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือทั้งนั้น ผมไม่ชอบการถูกสงสารหรือเห็นใจ และผมก็เชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ลำบากกว่าผมอีกมาก ความช่วยเหลือพวกนี้ พี่ควรจะเอาไปช่วยเหลือคนที่ต้องการจริงๆมากกว่านะ”

   “ก็พี่เห็นหยกอยู่แค่คนเดียว แล้วพี่ก็คงช่วยทุกคนไม่ไหว… เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ รีบไปตลาดกัน พี่หิวจะแย่แล้ว ปั่นจักรยานมาตั้งแต่เช้ามืด ใช้พลังงานไปเยอะมากๆ”

   “นิอย่าบอกนะว่าพี่ปั่นมาจากบ้าน”

   “ใช่”

   “ห๊ะ! ถึงว่าซิทำไมเหงื่อซกขนาดนี้ แล้วบ้านพี่อยู่ไหนเนีย”

   “ก็… ไม่ใช่แถวนี้อ่ะ สรุปว่าจะไปไหมเนีย พี่หิวจริงๆนะ”

   “บอกมาก่อนว่าบ้านไกลไหม”

   “พี่เป็นนักกีฬานะคร้าบบบ ปั่นมาแค่นี้ไม่ตายหรอก”

   “จะไม่ตอบใช่ไหม งั้นผมไม่ไปนะ”

   “โอเคๆ อยู่แถวสนามกอล์ฟวี-สตาร์”

   “บ้าไปแล้ว!! นั่นมันเป็นชั่วโมงเลยมั้งถ้าปั่นจักรยานมา”

   “เท่าที่จับเวลาก็ชั่วโมงกับอีกยี่สิบนาที”

   “แล้วคิดบ้าอะไรเนีย ให้ลุงชัยเอามาให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องปั่นมาเองเลย”

   “ซึ้งเหรอ จะขอบใจพี่ก็ได้นะ”

   “ไม่ต้องมาทำเป็นตลกเลย อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ”

   “ไม่รับปากนะ”

   “พี่เหล่า รับปากมาก่อน”

   “บังคับพี่ให้ได้ดิ”

   “พี่เหล่า!!”

   “มาเถออออะ” เด็กหนุ่มไม่ต้องการเถียงกับคนตรงหน้าอีกต่อไป เขาดึงแขนเด็กหนุ่มแก้มแดงให้ขึ้นมาซ้อนท้ายจักรยาน



   ในที่สุดเหล่าและหยกก็ได้เดินทางด้วยจักรยานเสียที



   พวกเขาเคลื่อนที่ไปตามถนนในช่วงเช้าที่มีรถเล็กน้อย มีเพียงฝูงพ่อค้าแม่ค้าเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศในช่วงนี้มีความคึกคักขึ้นมาบ้าง





   “พี่ไม่เคยเห็นตลาดตอนเช้ามาก่อนเลย” เหล่าเอ่ยขึ้นเมื่อจอดรถจักรยานที่ตลาดแห่งหนึ่ง “ดูคึกคักกว่าที่คิดนะ”

   “ผมว่าพี่ไม่เคยมาเดินตลาดเลยซะมากกว่า” หยกวิเคราะห์อย่างรู้ทัน

   “ก็… จริง”

   “แล้วนี่จะกินของบ้านๆได้ไหมเนีย ไม่ใช่ว่ากินเข้าไปแล้วตายนะ หยกทำลูกชายคืนพ่อกับแม่ของพี่ไม่ได้นะ”

   “ถ้าพี่เป็นอะไรไปจริงๆ พ่อแม่พี่เขาคงไม่เสียใจเท่าไหร่หรอก”

   “พูดอะไรแบบนั้น”

   “เดือนนึงเจอกันสักครั้งถือว่ามหัศจรรย์มากเลย ขนาดพี่มาอยู่กับหยกจนดึกดื่นบ่อยๆ พ่อกับแม่พี่เขายังไม่รู้เลย”

   “ก็เขาหาเงินมาให้พี่ผลาญเล่นอยู่นี่ไง”

   “ทำไมหยกต้องใจร้ายกับพี่ด้วยอ่ะ พี่ก็ช่วยเยอะแยะขนาดนี้แล้ว แต่ไม่ค่อยพูดจากับพี่ดีๆเลย”

   “ใครขอให้ช่วยล่ะ”

   “ยายของหยกไง ยายบอกว่าฝากหยกไว้กับพี่ด้วยนะ”

   “ฝันเหอะ ผมไม่ใช่เงินนะที่จะเที่ยวฝากที่ไหนก็ได้”

   “โด่ววว ใจร้ายโคตรๆ... เห้ยๆ เอาข้าวต้มกุ้งไหม ยายน่าจะชอบกินนะ เช้าๆแบบนี้”

   “ไม่เอาอ่ะ แพง”

   “แพงไร มานี่ๆ” เหล่าจูงมือเด็กหนุ่มแก้มแดงให้แวะที่หน้าร้านขายข้าวต้มร้านหนึ่ง “แม่ค้า เอาข้าวต้มใส่กุ้งเยอะๆ หนึ่งถุง แล้วก็เอาปลานึ่งด้วยกล่องหนึ่ง ทุกอย่างพิเศษหมดเลยนะ”

   “ก็บอกว่าแพงไง” หยกท้วง

   “เฉยๆเหอะ”





   “ได้แล้วจ้า” แม่ค้ายื่นถุงใส่อาหารมาให้หลังจากนั้นไม่นาน “ทั้งหมดร้อยสามสิบ”

   “นี่ครับ” เหล่าดึงธนบัตรห้าร้อยออกจากกระเป๋าตังของตัวเอง “ไม่ต้องทอนนะครับ”

   “เห้ย! ไม่ได้ๆ” หยกรีบร้องบอกทั้งเหล่าและแม่ค้า “เอาครับเอา เอาตังทอนครับ”

   “ช่างมันเถอะ… เห้ย พี่ว่าเอาผลไม้ไปอีกสองสามอย่างดีกว่านะ” แล้วเด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็เคลื่อนที่ไปยังร้านถัดไปทันที



   ช่างเป็นภาพที่น่าขันเหลือเกิน เมื่อเด็กหนุ่มแก้มแดงพยายามวิ่งไล่ตามเรียกคืนเงินทอนจากร้านรวงต่างๆที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่ผู้มั่งคั่งแวะผ่าน เขาต้องคอยขอร้องเล่าพ่อค้าแม่ค้าที่รับเงินปริมาณเกินกว่าราคาสินค้าให้คืนเงินอย่างที่ควรจะเป็น



   “พ่อค้าผมเอา…”

   “พอได้แล้ว!” หยกวิ่งหอบแฮกๆมายั้งนักช็อปผู้บ้าคลั่งเอาไว้ “มานี่เลย”

   เด็กหนุ่มแก้มแดงฉุดแขนของเหล่าให้เดินตามเขาออกมายังนอกตลาด

   “เดี๋ยวก่อนดิ พี่ว่าจะซื้อ…”

   “บอกว่าพอแล้วไง” หยกตัดบท เขาปล่อยมือออกเมื่อทั้งคู่มายืนอยู่หน้าตลาดแล้ว “ดูในมือตัวเองก่อนไหม ของกินเยอะขนาดนี้จะกินหมดได้ไง… แล้วก็นี่ เอาเงินพวกนี้คืนไป เงินทอนเยอะขนาดนี้ทำไมไม่รับคืน”

   “ช่างมันเหอะ กินไม่หมดก็ทิ้งไป อยากกินค่อยมาซื้อใหม่” ช่างเป็นวิธีการตอบที่แสนระคายหูเด็กหนุ่มแก้มแดงเหลือเกิน “เดี๋ยวแป๊บนึงนะ พี่อยากได้ขนม… ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร แต่สีสวยดี อยากลองชิมดู รอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา”

   “พี่เหล่าาาา” หยกรั้งแขนคนตัวใหญ่ไว้สุดชีวิต

   “โอเค รู้แล้ว ขออีกแค่อย่างเดียวพอ”

   “เดี๋ยวๆ” หยกพยายามเรียกให้คุยกัน “เอ่อ… กระเป๋าตังของพี่ยี่ห้ออะไรเหรอ สวยดีนะ ผมว่าจะซื้อกระเป๋าตังใหม่อ่ะ”

   “กระเป๋าตัง? ของพี่อะเหรอ อืมมม” เหล่าควักกระเป๋าพกออกมาดู “พี่ไม่ได้ซื้อเอง แต่น่าจะเป็นยี่ห้อ...เห้ย! นั่นกระเป๋าตังของพี่นะ จะเอากระเป๋าพี่ไปไหน”

   “ไม่ต้องเลย” หยกใช้จังหวะชั่วพริบตาชิงกระเป๋าเงินของคนตรงหน้ามายัดใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง “ไม่ต้องซื้ออะไรอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องถือเงินด้วย ถ้ายังปล่อยให้พี่จับเงินเองแบบนี้ มีหวังได้ล้มละลายแน่ๆ”

   “อ้าว แล้วขนมที่พี่อยากกินล่ะ”

   “ไม่ต้องกิน  กินของที่มีให้หมดก่อนไหม”

   “ก็บอกแล้วไงว่า…”

   “พอ ถ้าไม่เข้าใจความสำคัญของการใช้เงินต่อหน้าผมอีก วันหลังผมจะไม่รับความช่วยเหลืออะไรจากพี่อีกเลย”

   “ห๊ะ ทำไมถึงเป็นหยกล่ะที่ตั้งเงื่อนไข พี่เป็นคนช่วยนะ”

   “ไม่รู้อ่ะ แล้วก็อีกอย่างนึง ของที่ซื้อมาวันนี้ ถ้าพี่กินไม่หมดนะ ผมจะไม่ให้พี่มาตลาดด้วยอีกแล้ว”

   “พี่เป็นคนพามาต่างหาก”

   “จะเถียงใช่ไหม”

   “อ...โอเคๆ ไม่เถียงก็ไม่เถียง แล้ว… พี่จะกินหมดนี่ได้ไง”

   “ไม่รู้อ่ะ ถ้าเหลือทิ้งนะ ผมจะจับยัดใส่ปากพี่ให้หมดแล้ว... ใช้เงินไม่รู้จักคิด เกิดมารวยนักหรือไง บ้าบอจริงๆเลย ไป กลับได้แล้ว อย่าเห็นว่าแวะร้านไหนอีกนะ”

   “........” ในใจของเหล่าตอนนี้ เขาประหลาดใจในการบ่นงุ้งงิ้งของเด็กหนุ่มแก้มแดงเป็นที่สุด แต่อีกใจก็แอบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว



   “ไอ้เหล่า!!” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกมาจากใกล้ๆ

   “อ...ไอ้สายลม” เหล่าร้องเมื่อเห็นเพื่อนมือเซ็ตร่วมทีมยืนอยู่ที่ในตลาด

   “อะไรกันเนี่ยยย” สายลมแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างถึงที่สุด “ลูกคุณหนูอย่างมึงมาเดินในตลาดเนี่ยนะ วันนี้ท่าจะฝนตกหนัก”

   “ก็… กูก็เดินตลาดได้ ทำไมอ่ะ” เหล่าแก้ตัว



   “สายลม” เด็กร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาในวงสนทนาโดยไม่รู้ว่ามีการพูดคุยกันอยู่แล้ว “พี่ว่าเราไม่ต้องซื้อเพิ่มหรอก พี่กินแค่นั้นก็ได้…. เอ่อ” เขาเพิ่งสังเกตุเห็นว่าตัวเองเข้ามาแทรกการสนทนา “คุยกับเพื่อนอยู่เหรอ”

   “พี่โอม!!” นั่นคือเสียงของความตื่นเต้นของหยก เด็กหนุ่มแก้มแดงวิ่งกลับมา “มาไงเนีย”

   “หยก!” คนที่ชื่อโอมทักทายกลับทันที “มาตลาดตอนเช้าด้วยเหรอ เคยเห็นแต่มาเอาอาหารตอนเย็นไม่ใช่เหรอ”



   ….แล้วจากนั้นก็เป็นการเดินออกไปสนทนากันสองคนของหยกและพี่โอม



   “แล้ว… นั่นใคร?” เหล่าถามถึงคนที่เดินคุยกับหยกอย่างสนิทสนม

   “คือ…” แล้วสายลมก็เล่าถึงที่มาที่ไปของพี่โอม นักศึกษาร่างใหญ่ผู้เข้ามามีส่วนในชีวิตของเขาด้วยเรื่องเข้าใจผิดบนรถเมย์ประจำทาง




ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
   “อ๋อ…” เหล่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้เขาต้องเดินกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารตามความประสงค์ของเพื่อนโดยมีหยกและพี่โอมเดินคุยกันอยู่ข้างหน้าไม่ไกล “เพราะแบบนี้ มึงก็เลยเสนอตัวช่วยพี่เขา ใช่ไหม? เป็นห่วงเป็นใยปากท้องคนที่เพิ่งจะรู้จักกันขนาดนั้นเชียว”

   “ว่าแต่กูเหอะ ทีมึงล่ะ” สายลมสวนกลับทันควัน “ถึงขั้นปรนนิบัติดูแลน้อง ม.5 คนนั้นซะขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

   “ก็กูมีเงิน กูจะช่วยใครก็ได้”

   “แต่มึงก็ไม่เคยช่วยใครมาก่อน เอาจริงๆนะ เท่าที่กูสังเกตุ น้องมันก็ไม่ได้ดีกับมึงเท่าไหร่เลย นี่จะไม่ใช่การทำบุญบูชาโทษใช่ไหม”

   “พูดไรของมึง น...น้องนิสัยดีจะตาย แค่...ไม่ชอบแสดงออกเท่านั้นแหละ”

   “เหรอ”

   “เออ… แล้วไอ้พี่โอมของมึงเนีย จะสนิทสนมกับหยกอะไรขนาดนั้น รู้จักมักจี้กันด้วยเหรอ”

   “กูจะรู้ไหม กูก็เพิ่งรู้จักพี่เขาเหมือนกัน วันๆก็คุยกันแค่เรื่องกินเท่านั้นแหละ นี่ขนาดว่าจะพาออกมาหากินอาหารแปลกลิ้นบ้างก็ไม่ค่อยจะยอม ขี้เกรงใจสุดๆ”

   “พอกัน หยกก็ไม่ชอบให้กูซื้อของกินเยอะๆ ยึดกระเป๋าตังกูไปแล้วด้วย”

   “หืออออ มึงให้น้องถือเงินของมึงเนียนะ หมายความว่าไงวะ นี่อย่าบอกนะว่ามึง…”

   “อ...เออใช่ กูนึกออกแล้ว” เหล่าแสร้งเร่งเปลี่ยนเรื่องทันที เขารู้ดีว่าเพื่อนคนข้างๆพยายามจะพูดอะไร “นี่ไง กูซื้ออาหารมาเยอะแยะเลย ไปกินด้วยกันดีไหม มึงจะได้ไม่ต้องซื้อ เนาะๆ ตามนี้แหละ ตามไปที่โรงแรมพาราไดส์นะ รู้จักไหม?”

   “ร...รู้ดิ โรงแรมหน้าซอยหน้าบ้าน”

   “โอเค ไปกันๆ”

   “จะไปยังไงล่ะ สองคนนั้นยังคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่เลย”

   “ไหนวะ?”



   เออ จริงด้วย

   ตอนนี้เหล่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความสนิทสนมที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนด้านหน้าทั้งสอง ตาเล็กๆของเขาหลี่ลงอย่างเพ็งพิจารณา

   จนกระทั่ง…



   “กลับได้แล้ว หิว” เหล่าเร่งฝีเท้าเพื่อเข้ามาแทรกกลางการสนทนาของคนสองคน

   “อ...อะไรของพี่เนีย” หยกแหงนหน้ามองหน้าคนที่เข้ามาเบียดอย่างไม่พอใจ “ผมจะชนร้านป้าอยู่แล้ว ทางเดิมมีเยอะแยะ จำเป็นต้องมาเบียดไหม”

   “พี่จะคุยกับพี่โอม” เด็กหนุ่มให้เหตุผลทื่อๆ จากนั้นก็หันไปหาหนุ่มนักศึกษา “ไปกินข้าวด้วยกันนะพี่ ผมเลี้ยง ผมซื้อมาเยอะ กินไม่หมดหรอก ใครบางคนแถวนี้บังคับให้ผมกินให้หมด”

   “ครับ?” พี่โอมสับสนกับคำถาม

   “เอาเป็นว่าตามไปที่โรงแรมก็แล้วกัน ไอ้สายลมรู้เรื่องแล้ว ผมขอพาหยกกลับไปก่อนนะ”

   “เห้ย เดี๋ยวดิ ยังคุยกันอยู่เลย” เด็กหนุ่มแก้มแดงโวยวายเล็กน้อยที่ถูกลากแขนออกมา

   “จะคุยกันถึงพรุ่งนี้เลยรึไง” เหล่ายังคงลากแขนคนตัวเล็กต่อไปแม้ว่าจะมีถุงพลาสติกหลายใบที่ต้องหิ้วอยู่แล้วก็ตาม “จะไม่กินใช่ไหมมื้อเช้าอ่ะ ยายรออยู่นะ”

   “........” นี่คงเป็นไม้เด็ดที่ทำให้หยกไม่สามารถหาคำพูดมาเถียงต่อได้ อย่างไรเสียเขาก็หวงยายของตนที่สุดอยู่แล้ว



   ทั้งคู่ปั่นจักรยานออกมาจากตลาดเพื่อกลับโรงแรม และระหว่างทาง เหล่าก็ตั้งคำถามที่ตนเองเก็บความสงสัยเอาไว้



   “ทำไมดูสนิทสนมกันจัง”

   “พูดถึงอะไร?” หยกที่นั่งซ้อนอยู่ถามกลับ

   “ก็พี่โอมอะไรนั่นอ่ะ รู้จักกันด้วยเหรอ”

   “รู้ซิ พี่เขาเป็นนักศึกษาวิศวะ เช่าบ้านอยู่หลังโรงแรมนี่เอง”

   “รู้ไงได้”

   “ก็รู้แล้วกัน”



   แอ๊ดดดดด



   “จ...จอดทำไมอ่ะ” เด็กหนุ่มแก้มแดงสงสัย

   “แอบไปหากันตอนไหน” เหล่าดูมีสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

   “แอบไปไหน? พูดเรื่องไรเนีย”

   “ก็นี่ไง ที่รู้จักที่อยู่ของพี่เขาอ่ะ ไปรู้ได้ไง ต้องแอบไปหากันมาแน่ๆ เอาเวลาไหนไป ตอนที่พี่กลับบ้านแล้วเหรอ ไหนบอกว่าเป็นห่วงยายไง แล้วทิ้งยายไปได้ไง”

   “เดี๋ยวๆๆ พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมไม่ได้ไปหาพี่โอมซะหน่อย ถ้าจะพูดกันตามจริง เป็นพี่โอมต่างหากที่มาหาผมที่บ้าน”

   “ห๊ะ! นี่ไปมาหาสู่กันแล้วเหรอ เมื่อไหร่? ทำไมพี่ไม่เห็น แล้วทำไมหยกไม่บอกพี่”

   “จะบอกทำไมอ่ะ ก็พี่ไม่ได้ถามนิ ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอกนะที่สังเวทสภาพบ้านของผมอ่ะ คนอื่นเขาก็มีจิตใจเอื้ออาทรเหมือนกัน”

   “............??” เห็นได้ชัดว่าเหล่าไม่เข้าใจในความหมายนี้

   “นานๆทีพี่โอมเขาจะแวะไปซ่อมบ้านให้ผม พี่ก็เห็นสภาพบ้านของผมแล้วนิ ไม่ซ้อมก็คงไม่ได้ แต่ผมก็ทำไม่เป็น พอดีพี่เขาผ่านไปเห็นก็เลยคอยช่วยเหลือ แล้วก็สนิทกัน… แค่นี้แหละ เข้าใจแล้วก็ปั่นต่อได้แล้ว หิวข้าวไม่ใช่รึไง”

   “แค่นั้นจริงเหรอ”

   “แล้วต้องมีอะไร”

   “ป...เปล่า ไม่มีอะไรก็ดี” แล้วเด็กหนุ่มร่างใหญ่ก็เริ่มปั่นจักรยานต่อ “แล้ว...เรื่องที่จะไม่เรียนต่อล่ะ จะไม่เรียนจริงๆเหรอ ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เดี๋ยวพี่…”

   “ถ้าพี่เสนออะไรให้ผมอีก ผมจะโกรธจริงๆแล้วนะ” หยกตัดบททันที

   “แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องสำคัญนะ”

   “ความจริง… มันก็พอมีสอบทุนเรียนต่อระดับมหาลัย แต่ยังไง ผมก็ยังมีภาระเรื่องยาย พี่จะให้ผมทิ้งยายที่ดูแลตัวเองไม่ได้ไปเรียนหรือไง”

   “งั้น...ถ้ายายดีขึ้น หยกก็จะเรียนต่อใช่ไหม”

   “คิดจะทำอะไรอีก”

   “เปล่าาาา แค่คิดว่าถ้ายายดีขึ้นก็คงดี”

   “ใช่ ผมก็หวังอย่างนั้นแหละ”.............





   ในที่สุดมื้อเช้าก็เริ่มขึ้นหลังจากเหล่าและหยกช่วยกันดูแลยายเรียบร้อย

   เหล่า หยก สายลม และพี่โอมทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรม พวกเขาพูดคุยกันนิดหน่อยเพื่อเป็นการแนะนำตัว จากนั้นก็แยกย้ายออกไปมีมุมส่วนตัวของใครของมันตามประสามื้อเช้าที่ต้องการเสพบรรยากาศสบายๆ ยกเว้น...



   “พี่เหล่าาาา” เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มแก้มแดงแสดงน้ำเสียงไม่พอใจคนที่ชอบเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างการสนทนา “ไม่มีที่นั่งแล้วใช่ไหมถึงต้องมาเบียดตรงนี้”

   “ก็…พี่อยากกินไก่ทอด” เหล่าอ้างถึงอาหารทานเล่นที่วางอยู่บนโต๊ะระหว่างการสนทนาของหยกและพี่โอม

   “ไก่ทอด?” หยกยกจานอาหารดังกล่าวให้คนตัวใหญ่จอมป่วน “เอาไปกินเลยไป แล้วจะไปไหนก็ไป”

   “หยกๆ” พี่โอมเอ่ยขึ้น “พูดกับเหล่าดีๆหน่อยก็ได้นะ พี่เขาเป็นคนช่วยเราทุกอย่างไม่ใช่เหรอ ทำไมใจร้ายจัง”

   “คร้าบบบ” หยกประชด “งั้นเชิญพี่เหล่าผู้มีพระคุณไปนั่งทานที่อื่นนะครับ ผมกำลังคุยกับพี่โอมอยู่”

   “พี่คุยด้วยดิ” เหล่ายังคงดื้อ บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวเองมานั่งเบียดระหว่างคนสองคนให้ตัวเองอึดอัดทำไม

   “พี่จะคุยด้วย?”

   “ใช่”

   “โอเค ได้ งั้นช่วยแนะนำหน่อยว่าถ้าผมอยากหาพื้นที่ใต้กราฟของเส้นโค้งเอ็กโพเนนเชียลต้องทำยังไง”

   “ห๊ะ? อะไรเชียลๆนะ”

   “พื้นที่ใต้กราฟของเส้นโค้งเอ็กโพเนนเชียล เรากำลังคุยเรื่องคณิตศาสตร์”

   “เอ่อ…. เห้ยไอ้สายลม เดี๋ยวกูพาไปรู้จักยายของน้อง” เด็กหนุ่มหน้าตี๋แก้ฟอร์มของตนด้วยการแสร้งชวนเพื่อนที่กำลังจิ๊บกาแฟอยู่ที่ชานระเบียงของห้องอาหารให้ไปหาสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นทำ



   “เมื่อกี๊มึงพูดว่าอะไรนะ” สายลมถามเพื่อนที่ชวนเขาไปทำเรื่องแปลกๆ

   “ไปรู้จักยายหอมกัน” เหล่าตอบทันทีที่เดินออกมานอกชานและยืนข้างๆเพื่อนของเขา

   “กูต้องรู้จักด้วยเหรอ?”

   “เออ ไปทักทายหน่อย คนแก่นอนนิ่งๆอยู่คนเดียว เขาคงเหงา”

   “อะไรทำให้เพื่อนกูเปลี่ยนไปขนาดนี้วะเนี่ย ใจดีเกิ๊นนน”

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

   “หรือว่าจะเป็น…”

   “เป็นเหี้ยไรของมึง ก...กูก็แค่สงสารเขา แค่นั้นแหละ”

   “เหรอออ สงสารเหรอ แล้วแอบยิ้มทำไม”

   “ยิ้มไร กูไม่ได้ยิ้มเลย เป็นเซ็ตเตอร์ภาษาอะไรวะ ตาถั่วชิบหาย”

   “แหมเขินๆๆ น่าเพื่อน กูไม่ล้อมึงหรอก เดี๋ยวนี้ความรักมีได้หลายแบบ แล้วกูก็คิดว่าเด็กมึงก็หน้าตาน่ารักใช้ได้ ไม่เสียหายหรอก ไอ้ไอซ์ยังกล้าคบผู้ชายเลย ลองดูๆ เผื่อติดใจ ฮ่าๆๆ”

   “ไอ้สัด ไม่ต้องมาทำเป็นแซวกูเลย มึงก็เหมือนกัน อะไรยังไงกับพี่วิศวะห๊ะ? ใจดีเกินเหตุ มีเงินเยอะนักง่ะ เลี้ยงข้าวพี่เขาได้ทุกวัน”

   “กูไม่ได้เสียเงินเหมือนมึงซะหน่อย อาหารกูมีอยู่แล้ว”

   “แล้วทีเมื่อเช้าล่ะ ทำเป็นจะหาอาหารแปลกๆใหม่ๆไปให้กิน แหน… จะปรนนิบัติสามีในอนาคตเหรอครับบบ”

   “พ่องอ่ะ”

   “แหนะๆๆ ว่าแต่กูเขิน ดูตัวเองซะมั้ง หูแดงหมดแล้ว”

   “อ...อากาศมันร้อนเว้ย”

   “ร้อนมากกกก ฝนตกแทบจะทุกวัน… เออ แต่เห็นมึงทำท่าเขินแบบนี้แล้วก็น่ารักดีนะ หรือว่ากูจะเปลี่ยนใจมาจีบมึงแทนดี”

   “ตีนกูนิ… เอ๊ะ! มึงพูดแบบนี้ก็แสดงว่ามึงตั้งใจจะจีบน้องเขาจริงๆอะดิ เห้ยยยๆไอ้เหล่า เผยไต๋ออกมาเองซะแล้ววว”

   “จ...จีบเหี้ยไร กูไม่ได้พูดแบบนั้นเลย กูบอกว่ามึงหน้าตาน่ารักกุ๊งกิ๊ง เดี๋ยวก็จีบซะเลยต่างหาก มึงตีความไปเองว่า…”



   “อะแฮ่ม!!”

   “เห้ย!” “เชี่ย” เหล่ากับสายลมสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นมาใกล้ๆ

   “คุยไรกันอ่ะ” หยกนั่นเองที่โผล่มายืนอยู่ข้างหลัง พร้อมกับพี่โอมที่ยืนเพ็งมองสองหนุ่มนักวอลเลย์บอลอย่างฉงนสงสัย “ใครจะจีบใคร? ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกัน”

   “ใคร? ม...ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย” เหล่ารีบปฏิเสธ ในใจของเขานั้นกลัวว่าสองคนตรงหน้าจะล่วงรู้ถึงบทสทนาทั้งหมดก่อนหน้านี้

   “พี่ก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน” พี่โอมเสริม “ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนกันไง”

   “ก็เพื่อนจริงๆ” สายลมพยายามแก้ตัวอีกคน “เราแค่คุยเรื่อง...เอ่อ...เรื่องสัพเพเหระนั่นแหละ ใช่ไหมไอ้เหล่า”

   “เออ ใช่ๆๆ” เหล่ารีบเห็นด้วย เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะเลี่ยงจากสถานการณ์นี้

   “แต่ผมก็ได้ยิน…”

   “เห้ยไอ้สายลม” เหล่าพูดแทรกคนตัวเล็กตรงหน้า “เราขึ้นไปหายายหอมกันเหอะ มัวแต่คุย... เรื่องไร้สาระอยู่นี่แหละ เดี๋ยวขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะ ทั้งสองคนคุยกันตามสบายเลยนะ”

   เหล่ารีบคว้ามือเพื่อนของตนให้เดินตาม

   “กูว่าพายายลงมาเดินเล่นบ้างดีไหม” สายลมเองก็พยายามพูดสร้างเรื่อง “เดี๋ยววันนี้กูอยู่ช่วยเล่นกับยายเอง”



   สองหนุ่มนักวอลเลย์บอลออกจากสถานการณ์กดดันได้เป็นผลสำเร็จ แต่เพราะสร้างเรื่องไว้เช่นนั้น ตลอดช่วงเช้าจนยาวไปถึงบ่ายพวกเขาจึงต้องอยู่ดูแลหญิงชราผู้มองไม่เห็น จนต้องปฏิเสธการชวนไปโรงภาพยนต์ของแก๊งเพื่อนนักวอลเลย์บอล

   แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการลำบากใจนัก การได้มอบความสุขให้กับผู้สูงอายุ เพียงแค่การคุยเล่นด้วย พาออกมาเดินเล่นในสวนของโรงแรม หรือแม้กระทั้งเล่ามุกตลอดฝืดๆ นี่ก็ถือเป็นความสุขที่หาได้ยากแล้ว นี่ถือเป็นความสุขแบบใหม่ที่เด็กหนุ่มทั้งสองได้มีประสบการณ์

   อาจจะมีแปลกนิดหน่อยก็ตรงที่หยกและพี่โอมแอบจ้องมองพวกเขาอยู่หลายครั้งเหมือนกับว่าจะจับพิรุทอะไรสักอย่าง ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองคนพอจะทำได้ก็คือแสร้งทำเป็นยิ้มแย้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลือน





   …...“งั้นกูกลับแล้วนะ” สายลมพูดขึ้นเมื่อใกล้ช่วงเย็นของวันและหลังจากที่พายายของหยกพักผ่อนนอนหลับเป็นที่เรียบร้อย “เดี๋ยวพี่โอมต้องกลับไปทำงานหุ่นยนต์ของเขาอีก”

   “โอเคเพื่อนขอบใจมาก” เหล่ายื่นมือไปจับกับมือของเพื่อนและตามด้วยการกอดกันแบบลวกๆเช่นเดียวกับที่กลุ่มนักวอลเลย์บอลทำกันเป็นประจำทั้งในและนอกสนาม “เจอกันที่โรงเรียน”

   “เจอกัน”



   แล้วจากนั้นสายลมกับพี่โอมก็ออกจากห้องไป



   “พี่เองก็ควรจะกลับได้แล้วล่ะ” เหล่าเอ่ยขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน “เย็นมากแล้ว หยกกับยายจะได้พักผ่อน อาหารที่เหลือก็อุ่นกินเองได้ใช่ไหม”

   “ได้” หยกตอบ เด็กหนุ่มกำลังจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย

   “มีอะไรก็โทรหาพี่นะ เดี๋ยวให้นายชัยมาช่วย”

   “อ...อืม”

   “งั้นพี่ไปนะ ฝากบอกยายด้วยล่ะว่าพี่กลับแล้ว”

   “โอเค… แล้วจะกลับยังไงอ่ะ”

   “ก็คง...แท็กซี่มั้ง วันนี้นายชัยต้องอยู่ดูแลบ้าน ไม่มีใครอยู่บ้านเลย ขืนให้ออกมาข้างนอกบ่อยๆเดี๋ยวพ่อพี่จะเล่นงานเอา”

   “ให้ไปส่งไหม”

   “ส่ง? จักรยานอะนะ อย่าเลย ปั่นจักรยานเป็นชั่วโมงไม่ง่ายนะ… โอเค พี่ไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวรถติด”

   “..............เดี๋ยวก่อน!!”

   “ครับ!?” เด็กหนุ่มแทบจะหยุดตัวเองไว้ไม่ทันเพราะถูกเรียกกระทันหัน “มีอะ… เห้ย เดี๋ยวๆ จะพาพี่ไปไหน”

   จู่ๆเด็กหนุ่มแก้มแดงก็เดินมาลากมือของเหล่าให้ออกมานอกห้อง



   “ม...มีอะไร” เหล่าเกาหัวสงสัยหลังจากที่ออกมายืนหน้าห้องที่ประตูปิดเรียบร้อยประหนึ่งว่าไม่ต้องการให้คนข้างในได้ยินการสนทนา “ทำไม… ทำหน้าดุจัง”

   “พี่กับ…” หยกดูจะกระอักกระอ่วนที่จะพูดออกมา

   “กับ?”

   “พ...เพื่อนพี่อ่ะ” แล้วคนตัวเล็กก็หลุดคำพูดออกมาจนได้ “พี่สายลมอ่ะ พี่เป็นเพื่อนกันจริงๆใช่ไหม”

   “หือ?? ถามไรแปลกๆ ก็เพื่อนจริงอะดิ มันก็เล่นวอลเลย์ฯทีมเดียวกับพี่ เรียนห้องเดียวกันด้วย ก็...ก็ไหนบอกว่ารู้จักพวกนักวอลเลย์ฯอยู่แล้วไง ไม่รู้จักไอ้สายลมเหรอ”

   “รู้  ต..แต่ผมได้ยินพี่พูดว่า...พี่จะจีบพี่สายลมอ่ะ... เมื่อ...ตอนสายๆ”

   “ม...ไม่ใช่ พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นเลย” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ถึงขั้นตาเหลือกออกมา เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยังจดจำเรื่องนี้ได้อยู่

   “ผมไม่ได้หูหนวกนะ แล้วก็ไม่ได้โง่ด้วย ผมรู้ว่าผมได้ยินอะไร”

   “ไม่จริ๊ง หยกหูฟาดแล้วล่ะ” นี่เป็นเพียงทางเดียวที่เขาจะแก้ตัวได้

   “ถ้าไม่จริงแล้วคุยเรื่องอะไรกัน ไหนบอกมาดิ”

   “ม...ไม่มีอะไร เรื่องทั่วๆไป ไร้สาระ” เด็กหนุ่มคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องหนีจากตรงนี้ให้ได้ “เห้ย! เย็นมากแล้ว พี่กลับดีกว่า เดี๋ยวรถ…”

   “เดี๋ยว!!” เด็กหนุ่มแก้มแดงคว้าแขนของคนตัวใหญ่ไว้ก่อนที่อีกคนจะทันได้เดินไปไหน

   “ม...มีอะไร พี่จะรีบกลับจริงๆนะ” เหล่ายังพยายามเลี่ยง

   “ตอบคำถามผมมาก่อน” หยกมีสีหน้าจริงจังกว่าที่เคยเห็นทุกครั้ง “ตกลงว่า……..









   ……….พี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า”



******************************************


ปล.ใครชอบคู่นี้ยกมือขึ้น

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
กำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 10

อุบัติเหตุมือชั่งทอง (2) : อุบัติเหตุ











      #เสียงโทรศัพท์



   “พี่โอม แป๊บนึงครับ” สายลม เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มเรียกให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินหยุดไว้ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงแรม “ฮัลโหล”

   “ฮัลโหลโอม เป็นยังไงบ้าง ไม่โทรหาแม่เลย” เสียงของหญิงวัยกลางคนพูดกลับมา

   “ครับ?” สายลมแปลกใจ “เอ่อ… ผมไม่ใช่…”



   เอ๊ะ!

   เดี๋ยวก่อนนะ



   “พี่โอม! นี่เครื่องของพี่” สายลมร้อง จากนั้นก็รีบส่งโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของตนคืนสู่เจ้าของ

   “อ้าว ของพี่เหรอ” พี่โอมรับโทรศัพท์กลับไป “ฮัลโหล….. อ๋อ แม่เหรอ มีอะไรครับ……. เอ่อ เดี๋ยวอีกสักพักโอมโทรกลับหาแม่นะ พอดีว่าติดธุระนิดหน่อย แป๊บนะครับ”

   “เอาเครื่องของผมคืนมาเลย” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มแบมือขอ “สลับกันอีกแล้วนะ”

   “เอ่อ…” หนุ่มนักศึกษาใช้มือตบตามตัว “ไม่มีรอ่ะ พี่นึกว่าสายลมหยิบมือถือมาให้พี่แล้ว”

   “อ้าว แล้วเครื่องของผมอยู่ไหนอ่ะ”

   “น่าจะ…. ในห้องของน้องหยกละมั้ง”

   “อือหือออ เรียกน้องหยกเลยเหรอ หวานกันจริงๆเลยเนอะ” สายลมเผลอเบะปากโดยไม่รู้ตัว

   “หวานอะไร ก็เขาเป็นน้อง พี่ก็ต้องเรียกน้องซิ”

   “อยากเรียกก็เรียกไปดิ”

   “อ่ะๆ ต่อไปพี่เรียกสายลมว่า น้องสายลม ก็ได้ โอเคไหม”

   “ไม่ต้อง”

   “อะไรเนีย ทำไมต้องหงุดหงิดด้วย หึงพี่หรือไง”

   “หึงบ้าอะไรไอ้พี่โอม!”

   “โอ๊ย! ต่อยท้องพี่ทำไมอ่ะ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ หรือว่า… สายลมหึงพี่จริงๆ”

   “พอเลย พี่กลับไปเลยไป เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาโทรศัพท์ก่อน”

   “กลับด้วยกันดิ”

   “งั้นก็รอตรงนี้แหละ”

   “ไม่ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปด้วย ปล่อยหนุ่มน่ารักเดินขึ้นตึกคนเดียว เดี๋ยวจะโดนสาวๆฉุดไปทำมิดีมิร้าย”

   “โอ๊ะ! แล้วแต่พี่ละกัน”



   แล้วในที่สุดสายลมก็ได้เดินกลับเข้าไปในโรงแรมโดยมีหนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่เดินตามมาด้วย





   “........... ตกลงว่า…. พี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า”



   !!!!

   เสียงนี้มัน…..



   “เดี๋ยว” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มรีบชะลอคนที่เดินมาด้วยกัน ก่อนจะมีการปรากฏตัวที่หน้าห้องเดิมซึ่งพวกเขาเพิ่งจะออกมาไม่นาน



   “ห๊ะ!?!?” แม้จะเป็นเพียงเสียงอุทานสั้นๆ แต่สายลมก็จำได้ทันทีว่าเสียงนี้เป็นของเหล่า เพื่อนร่วมทีมวอลเลย์บอลของเขาแน่นอน

   “ผมถามว่า ตกลงพี่เหล่าชอบผมหรือเปล่า” และนี่ก็คงเป็นเสียงของน้องหยก รุ่นน้องมอห้าผู้ที่กำลังมีส่วนสำคัญในชีวิตของเหล่า

   “อ...เอ่อ… ทำ….ทำไมถามพี่แบบนั้นล่ะครับ”

   “ก็ที่พี่ทำทั้งหมดนี้ไง ที่พี่ช่วยหยกกับยาย ที่พี่เป็นธุระทำทุกอย่าง ที่พี่ทำแบบนี้ เพราะพี่ชอบผมใช่ไหม”

   “พี่ไม่…. ไม่รู้ซิ”

   “ไม่รู้เนี่ยนะ นี่มันเป็นเรื่องนึกสนุกของพี่หรือไง หรือมันเป็นแค่กิจกรรมยามว่างของพวกคนรวยที่จะเที่ยวทำดีกับใครก็ได้แบบนี้”

   “ป...เปล่านะ พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”

   “แล้วพี่คิดแบบไหนล่ะ พี่คิดแบบไหนกับผมกันแน่ พี่ทำเหมือนพี่จะชอบผม แต่วันนี้….พี่ก็ดูท่าทางสนิทสนมกับพี่สายลม พี่ชอบที่สายลมเหรอ”

   “เฮ้ย ไม่ใช่ ไอ้สายลมมันเป็นเพื่อนของพี่ เพื่อนจริงๆ หยกก็รู้จักไอ้สายลมไม่ใช่เหรอ พี่จะไปชอบมันได้ไง”

   “โอเค งั้นแล้วกับผมล่ะ สรุปว่าพี่ชอบผมหรือไม่ชอบกันแน่”

   “คือ…. มันรู้สึกแปลกๆนะ”

   “แปลกอะไร”

   “ก็พี่หยกถามพี่แบบนี้ไง ไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติเหรอ หยกเองก็เป็น...ผู้ชายนะ”

   “ผมไม่รู้สึกแปลกหรอก ถึงผมจะไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อน แต่ก็โดนพวกผู้ชายจีบบ่อยๆ โดยเฉพาะพวกเสี่ยๆ คงเห็นว่าผมหน้าหวานบวกกับที่ฐานะยากจนเข้าขั้น ก็เลยโดนพวกผู้ชายมีเงินพยายามเสนอเลี้ยงดูบ่อยๆ”

   “แล้วหยกเคย…”

   “ไม่เคยอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่เคยเห็นผมเป็นพวกหิวเงินหรือไง และที่สำหรับผมก็ไม่เคยคิดหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหนด้วย ยกเว้น…. คือ…. เอ่อ….”

   “ยกเว้น...พี่เหรอ”

   ต่อให้มองไม่เห็น สายลมก็สัมผัสได้ว่าการสนทนานี้มีความเขินอายอย่างรุนแรงปะทุอยู่

   “ช...ช่างมันเถอะน่า” น้องหยกร้องโวยวายเล็กน้อย “สรุปว่าจะตอบได้หรือยังว่าชอบผมหรือเปล่า”

   “ก็……………………………” ดูท่าว่าเหล่าจะลังเลไม่น้อย

   “โอเค งั้นถ้า...ผมคบกับพี่โอม  พี่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร”

   “ห๊ะ!! เห้ย! เดี๋ยวๆ ทำไมถึงบอกว่าจะคบกับพี่โอมล่ะ”

   “ก็พี่โอมจีบผมอยู่ แล้วพี่เขาก็ดีกับผมมานานแล้วด้วย” วินาทีที่สายลมได้ยินน้องหยกพูดเช่นนั้นเขาก็หันไปหาหนุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่ข้างๆทันที และก็ทันทีเช่นกันที่บุคคลนั้นส่ายหน้ารัวเป็นการปฏิเสธ “ไหนๆพี่ก็ไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีกับผมแล้ว ผมก็จะได้เลือกคบกับคนที่เขาแน่ใจในตัวผมไปเลย”

   “เห้ย!!! ไม่...ไม่ได้นะ”

   “ไม่ได้อะไร กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”

   “ด...เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวดิ ย...อย่าเพิ่งคบกับพี่โอมนะ”

   “อะไรของพี่ พี่เหล่าจะมาห้ามผมได้ไง”

   “ก็….ก….ก็นี่ไง ใช่ๆ พี่ยังช่วยเหลือหยกตั้งหลายอย่าง โรงแรม หลังคา คนดูแลยาย เพราะงั้น ถ้าพี่ขออะไร หยกก็ควรทำตามที่พี่บอกดิ พี่มีบุญคุณกับหยกนะ”

   “..........................” เกิดเป็นความเงียบที่แสนจะน่าอึดอัด

   “เอ่อ...พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”

   “ไปเลยนะ! จะไปไหนก็ไปเลย บุญคุณใช่ไหม ได้ พรุ่งนี้ผมจะพายายกลับบ้าน และต่อไปนี้พี่ไม่ต้องมา…”

   “หยก พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่ไม่อยากให้….”

   “บอกให้ไปไง อย่ามาจับผมนะ ปล่อยเลย ไม่งั้นผมจะร้องให้คนช่วย บอกให้…”

   “ก็ได้!!! พี่ชอบหยก!!!!”

   “...”



   สายลมไม่รู้ตัวเลยว่าเขากลั้นหายใจไปนานเพียงใดหลังจากได้ยินประโยคสารภาพของเพื่อนตัวเอง



   “พ….พี่….ชอบหยก….จริงๆนะ” เหล่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “แต่พี่ไม่อยากยอมรับ พี่ไม่อยากคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายได้ พี่ก็เลย…”

   “ทำไมล่ะ” น้องหยกถามกลับ “ชอบก็แค่บอกว่าชอบ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่ซะหน่อย”

   “แต่พี่…พี่ไม่อยากรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่ความเคยชิน ควบคุมก็ไม่ได้ พี่แค่รู้สึกอยากเทคแคร์หยก แต่ถ้าจะให้พี่ยอมรับว่าพี่รู้สึกไปมากกว่านี้ พี่ยัง...รับมือกับมันไม่ได้”

   “สรุปว่าพี่ชอบผม แต่ไม่อยากยอมรับว่าชอบผม รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึก… แบบนั้นใช่ไหม”

   “ก็...คงใช่”

   “งั้นพี่ก็คงไม่รู้สึกอยากห้ามให้ผมคบกับพี่โอมด้วยใช่ไหม”

   “ไม่ใช่!! ม...ไม่ใช่เลย พี่ไม่อยากให้หยก...คบกับใครทั้งนั้น”

   “เห็นแก่ตัวนะพี่เนีย ไม่อยากได้ผมเป็นแฟน แต่ก็ไม่อยากให้ผมคบคนอื่น”

   “ให้เวลาพี่หน่อยนะ พี่จะพยายามสร้างความแน่ใจให้กับตัวเอง”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพี่อยู่แล้ว แค่อยากได้ยินจากปากพี่ว่ารู้สึกกับผมยังไงกันแน่ ก็วันนี้พี่กับพี่สายลม…….”

   “พี่กับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ”





   “นี่อะเหรอ ปัญหาของไอ้เหล่า”



   !!!!!!!!!!!!!



   “เชี่ยยย!!” สายลมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขารีบหันไปดูต้นกำเกิดของเสียงที่ได้ยินจากด้านหลัง และพบเข้ากับ... “อ….ไอ้หนุ่ม มาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ”

   “ก็เดินตามมึงขึ้นมาไง” หนุ่มอธิบาย “เห็นมึงอยู่หน้าโรงแรมเมื่อกี๊ กำลังจะเดินมาคุยด้วยพอดี แต่มึงเดินเข้ามาซะก่อน กูก็เลยตามขึ้นมา ไม่คิดว่ามึงจะกำลังแอบฟังไอ้เหล่าอยู่”

   “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่”

   “มึงบอกกูไง เมื่อเช้าที่กูโทรมาชวนไปดูหนัง จำไม่ได้เหรอ”

   “อ...อ๋อ แล้วไง มึงก็เลยมาหากูอะนะ”

   “ไม่ใช่ว่ากูอยากจะมาหามึงหรอก ไอ้กั๊กส่งกูมา… ไม่ใช่ดิ ต้องพูดว่า เป็นความคิดของครูกันกับไอ้กั๊กมากกว่า ที่ให้กูมาหามึงกับไอ้เหล่า เพื่อมาดูว่าตอนนี้พวกมึงมีปัญหาอะไรในชีวิตช่วงนี้”

   “ปัญหา? อะไรวะ?”



   “อ...ไอ้สายลม ไอ้หนุ่ม” แล้วจู่ๆ เหล่าก็เข้ามาผสมโรงอีกคน พร้อมด้วยน้องหยกที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ “นึกว่าใครมาคุยกันแถวนี้ พวกมึงมาอยู่ตรงนี้กันได้ยังไงวะ ล...แล้วมึงอ่ะไอ้สายลม ทำไมยังไม่กลับอีก”

   “คือกู…” สายลมพยายามหาเหตุผลเพื่อเลี่ยงการตอบว่าเขามายืนแอบฟังเพื่อนสารภาพรักกับรุ่นน้องผู้ชาย “อ๋อใช่ กูลืมมือถือ ก...กูจะมาเอามือถือ”

   “มือถือ?”

   “ช...ใช่ น่าจะลืมไว้ในห้องของน้องหยก”

   “เหรอ เดี๋ยวกูไปหยิบให้”



   “พอเลยพวกมึง” หนุ่มหยุดเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้ “ไม่ต้องมาตีเนียนกันไปกันมา พวกกูได้ยินเรื่องของมึงแล้วไอ้เหล่า”

   “ได้ยิน? ได้ยินอะไรวะ” เหล่าตกประหม่าอย่างชัดเจน

   “เรื่องที่มึงเพิ่งจะพูดไง หรือต้องให้กูพูดชัดๆกว่านี้”

   “ค...คือ…”

   “พอ ไม่ต้องพูดอะไร กูไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ที่กูสนใจก็คือ มึงจะมีความรักกับใคร กูไม่แคร์ แต่ตอนนี้มึงกำลังเอาความรักมาบั่นทอนความฝันของตัวเอง ซึ่งมันมีผลกับทีม อันนี้แหละที่กูรับไม่ได้”



   “พี่ๆครับ” น้องหยกแทรกขึ้นมา “ผมขอโทษนะครับที่ทำให้เกิดปัญหากับทีมวอลเลย์บอลขึ้น ต...แต่ อย่าว่าพี่เหล่าเลยนะครับ คือจริงๆแล้วมันเป็นความผิดของผมเอง พอดีบ้านของผม…”

   “เอาไว้อธิบายทีหลังดีกว่านะครับ” หนุ่มตัดบท “เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญต้องรีบจัดการก่อน”

   “มีเรื่องอะไรวะ” เหล่าถาม

   “ทีมเราถูกตัดสิทธิ์แข่งขันปีนี้”...................................











   “เอ่อ… สายลม”

   “ครับ?”

   “พี่ไม่ได้จีบน้องหยกนะ ไม่เคยเลย แค่ช่วยเหลือน้องเขาเฉยๆ พี่ไม่รู้ว่าทำไมน้องมันถึงพูดแบบนั้น”

   “รู้แล้วววว พี่พูดมาห้าครั้งแล้วนะตั้งแต่เมื่อเย็น จนผมจะกินข้าวไม่อร่อยแล้วเนีย”

   นี่คือเวลาค่ำในวันเดียวกัน หลังจากการพบกับหนุ่มที่มาส่งข่าวยังโรมแรมหน้าปากซอย

   เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้น หนุ่มได้มาเล่าให้ฟังว่าทางสมาคมวอลเลย์บอลได้ติดต่อมาที่โค๊ชเอกว่าทีมวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนพชระ ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันรายการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ด้วยเหตุผลในแง่ของผลงานที่พวกเราเพิ่งจะแพ้ให้กับทีมรองเมื่อวานนี้

   “ก็พี่กลัวสายลมเข้าใจผิด” พี่โอมพูดต่อ พี่เขาดูจะกลัวๆการตักอาหารเข้าปากตัวเอง เหมือนกับเกรงใจอะไรอยู่

   “เอออออ ไอ้เหล่าให้น้องหยกโทรมาหาผมแล้ว” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มตักกับข้าวใส่จานคนตัวใหญ่ตรงหน้า “น้องบอกแล้วว่าแค่แกล้งพูดเพื่อลองใจไอ้เหล่าเฉยๆ”

   “อ๋อ เหรอ”

   “อือหึ กินเข้าไป เดี๋ยวก็ดึกหรอก ผมไม่อยากนอนดึก พรุ่งนี้ต้องเข้าสนามแต่เช้า”

   “โอเคครับ” หนุ่มนักศึกษากลับมาทานอาหารต่ออย่างสบายใจ “เออใช่ แต่จะว่าไปแล้ว จู่ๆทำไมเหล่ากับน้องหยกถึงชอบกันได้ แปลกเนาะ”

   “ก็… นั่นซินะ ไม่คิดเลยว่าคนที่มัดใจไอ้เหล่าได้จะเป็นคนที่ฐานะทางการเงินต่างกันขนาดนี้”

   “เหรอ?”

   “ทำไมอ่ะ ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ”

   “เปล่า พี่แค่คิดว่าน้องหยกต่างหากที่เป็นคนชอบเหล่า”

   “ห๊ะ แบบนั้นอะนะที่เรียกว่าชอบ น้องมันดูจะตีหน้ายักษ์ใส่ไอ้เหล่าตลอดเลย”

   “ก็ใช่นะ ปกติน้องหยกไม่ค่อยจะแสดงมุมนี้เท่าไหร่หรอก เขามักจะเป็นคนพูดจาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไอ้เรื่องที่จะทำท่าทางเอาแต่ใจยิ่งไม่เคยเห็น แต่พออยู่ต่อหน้าเหล่า น้องเขาดูจะเป็นอีกแบบนึงไปเลย เหมือนกับว่าได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาโดยเป็นธรรมชาติ แล้วก็เหตุผลที่สำคัญที่สุดนะ หยกคือคนที่ได้รับความช่วยเหลือ ผู้รับก็ต้องมีความรู้สึกดีหรือประทับใจต่อผู้ให้ แบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

   “รู้สึกว่าพี่จะรู้เรื่องของน้องหยกดีจังเลยนะ คงไม่ใช่ว่าแอบชอบน้องมันอีกคนแล้วนะ”

   “เอ…? ไม่ได้หึงพี่อยู่ใช่ไหม”

   “พูดอะไรของพี่เนีย บ้าป่ะ ผมไม่ใช่น้องหยกนะ”

   “ก็เผื่อว่าจะใจอ่อน”

   “ห๊ะ!? พูดไรนะ”

   “เปล่านิ”

   “แล้วยิ้มทำไม”

   “ก็ยิ้มให้สายลมไง ผิดด้วยเหรอ พี่เองก็รู้สึกประทับใจต่อผู้ให้เป็นเหมือนกันนะ”

   “เลิกยิ้มเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมยกสำรับอาหารกลับบ้านจริงๆด้วย”

   “.........”

   “ทำหน้าบึ้งทำไม”

   “อ้าว ยิ้มก็ไม่ได้ บึ้งก็ไม่ได้ สรุปว่าต้องการให้ทำหน้าแบบไหนละครับ”

   “พี่กวนผมเหรอ จะกินไหมข้าวเย็นอ่ะ”

   “เห้ออออ ขู่จัง ใช่ซี้ พี่มันคนอดอยากปากแห้งนิ เงินก็ไม่มีจะซื้อข้าวกิน ต้องขอเขากินไปวันๆ”

   “ทำไม….ต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะ”

   “อ...เอ่อ ขอโทษๆ พี่แค่เอ็คติ้งครับ ล้อเล่นเฉยๆนะ ม...ไม่ได้จะหมายถึงแบบนั้นจริงๆหรอกนะ พี่...ขอโทษนะครับ”

   “หึหึหึหึ”

   “อ้าว ยิ้มเฉยเลย อะไรอ่ะ”

   “ผมก็เอ็คติ้งเหมือนกันไง หึหึหึ อย่างพี่ไม่มีทางตามลูกหลอกของผมทันหรอก อย่าลืมซิว่าผมเป็นมือเซ็ตของทีมวอลเลย์บอล งานหลอกคู่แข่งเป็นทางถนัดของผมอยู่แล้ว”

   “ร้ายนักนะ เดี๋ยวเถอะ”

   “ไปเรียนมาใหม่นะจ๊ะพ่อหนุ่ม”

   “ได้ เดี๋ยวเรารู้กัน… เออ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ที่เพื่อนของสายลมมาบอก พี่ไม่ค่อยเข้าใจ เห็นว่าโดนตัดสิทธิ์การแข่งใช่ไหม มันคือยังไง”

   “เรียกว่าตัดสิทธิ์คงไม่ถูกซะทีเดียวหรอก ต้องบอกว่า ถูกเรียกคืนสิทธิพิเศษมากกว่า”

   “สิทธิพิเศษ?”

   “ใช่ สองปีที่ผ่านมา ทีมของผมทำผลงานไว้ดีมาก ทางสมาคมก็เลยพูดเกริ่นไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะให้ทีมของพชระไปแข่งแมชชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกินสิบเก้าปี แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือ ตั๋วเข้าแข่งขันถูกริบคืนไปแล้ว ถ้าเดาไม่ผิด พวกผมคงต้องเข้าแข่งขันในรายการปกติก่อนเพื่อพิสูจน์ผลงาน”

   “อ๋ออออ งั้นก็ไม่ฟังดูร้ายแรงเท่าไหร่ ถ้าเคยเป็นแชมป์มาแล้วตั้งสองปี ก็คงไม่หลุดแชมป์ปีนี้หรอกมั้ง”

   “นั่นแหละปัญหา การที่สมาคมทำแบบนี้ จะทำให้นักกีฬาบางตัวในทีมไม่ได้ไปด้วย อารมณ์เหมือนกับใช้เพอร์ฟอเมนต์ของนักกีฬาแต่ละคนเป็นตัววัดว่าจะได้รับคัดเลือกให้ไปแข่งต่อหรือเปล่า เพราะงั้น เปอร์เซ็นที่พวกผมทุกคนจะได้ไปแข่งชิงแชมป์เอเชียด้วยกันก็จะมีน้อยลงตามไปด้วย”

   “เพราะแบบนี้ใช่ไหม หัวหน้าทีมถึงเรียกประชุมพรุ่งนี้”

   “ใช่”

   “ดีนะ ดูเหมือนว่าทีมจะมีหัวหน้าที่ดี”

   “ผมไม่แปลกใจหรอกที่กัปตันทีมจะหาทางแก้ปัญหา เพราะมันก็ทำแบบนั้นมาตลอด แต่ที่แปลกใจ น่าจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างกัปตันกับครูฝึกสอนมากกว่า”

   “ทำไมอ่ะ”

   “ก็…. ถ้าให้เล่าคงจะยาว เอาเป็นว่าสองคนนี้เป็นศัตรูกันอย่างเป็นทางการ ไม่รู้อะไรทำให้ทั้งสองคนร่วมมือกันได้”

   “กัปตันทีมกับครูฝึกสอนเหรอ อย่างกับพ็อตนิยายรักแน๊ะ”

   “พูดอะไรแปลกๆอีกแล้วนะ”

   “เห้ออออ ไม่มีอารมณ์โรแมนติกบ้างเล๊ย... ถามจริง สายลมเคยมีความรักหรือเปล่า”

   “แคร่กๆๆ” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มถึงกับสำลักอาหาร

   “ท่าทางแบบนี้ แปลว่ายังซิงอยู่ละซิ”

   “ค...ใครบอก อะแฮ่ม ก็...ต้องเคยมีอยู่แล้วแหละ” สายลมอาจจะเก่งเรื่องกีฬา แต่เขาไม่ใช่คนที่โกหกเก่งนัก

   “เหรออออ”

   “ก็เออดิ… พอล่ะ วันนี้ผมง่วงแล้ว จะกลับแล้ว”

   “แหนะ ทำเฉไฉนะ… เห้ยๆ เก็บจริงอ่ะ พี่ยังไม่อิ่มเลย”

   “พอ ไม่ต้องกินแล้ว”

   “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งเก็บแกงจืดนะ พี่ขอกินแป๊บเดียว”

   “ก็บอกว่าจะกลับแล้วไง….. ปล่อยมือ!”

   “โอ้ๆๆ พี่ขอโทษคร้าบบบ ไม่แซ็วแล้วว่ายังซิง อย่าเพิ่งเก็บกับข้าวนะ”

   “ไอ้พี่โอม! ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว ปล่…… เชี่ย!!!”

   “เห้ยยยยย!!!”

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
   ด้วยความที่ยื้อแย่งชามแกงจืดกันไปมา สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือชามน้ำแกงพ้นสภาวะการครอบครองของทั้งสองคน แต่คนที่โชคร้ายโดนน้ำแกงราดเกือบทั้งเสื้อก็คือ….สายลม



   “ชิบหายละไงกู” พี่โอมกระโดดลุกขึ้นตัวลอยและพยายามเดินหาของที่อยู่รอบๆตัว “ด...เดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่หาผ้ามาเช็ดให้”

   “ไม่ต้อง ช่างมันเหอะ ผมจะกลับแล้ว” สายลมปฏิเสธ

   “พี่….ขอโทษนะครับ”

   “ม...ไม่เป็นไร” พอเห็นสีหน้าสำนึกผิดของคนตัวใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มก็มิอาจโกรธเคืองได้ลงจริงๆ “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้”

   “แต่มันก็เกิดมาจากพี่ตลอดเลย”

   “อะไรเล่า ผมไม่เคยว่าพี่ซะหน่อย จริงๆเราก็เล่นกันทั้งคู่นั่นแหละ ถ้าจะผิดก็ผิดกันทั้งสองคนนั่นแหละ ”

   “ยังไงพี่ก็ขอโทษนะ”

   “อืม พี่ทำความสะอาดเถอะ เดี๋ยวผมเก็บจานกลับแล้ว”





   คลื้นนนนนนนนนนนนน



   “เวรเอ๊ยย!!!” สายลมอุทานทันทีเมื่อจู่ๆฝนก็กระหน่ำตกลงมา

   “ฝนตกอีกแล้วเหรอ” พี่โอมพูดพึมพำ

   “งั้นผมรีบกลับก่อนนะ” เด็กหนุ่มรีบคว้าจานชามซ้อนเรียงกัน

   “เดี๋ยวๆ จะกลับทั้งแบบนี้เลยเหรอ เดี๋ยวเปียกนะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก บ้านผมอยู่แค่นี้ แล้วผมก็ต้องอาบน้ำอยู่แล้วด้วย”

   “แต่เดี๋ยวจะป่วยเอานะ งั้น… เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง แป๊บนะ ขอหยิบร่มก่อน”







   “พร้อมยัง” หนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่ถามความพร้อมของคนตัวเล็กกว่าซึ่งอยู่ภายใต้ร่มคันเล็กๆของเขา

   “ก็พร้อม แต่..” สายลมมองเงยมองดูร่มที่คนตัวใหญ่ถือ “ร่มมันเล็กไปไหม คงกันฝนไม่ได้หรอก”

   “ช่างเหอะ ไปกันได้ยัง”

   “ไปๆ”



    คลื้นนนนนน!!!!!

   อย่างกับว่าฟ้าฝนโกรธโมโหใครมา ทันทีที่ทั้งสองวิ่งออกจากชายคา พายุฝนก็ยิ่งตกแรงขึั้น ประหนึ่งว่าฟ้ารั่ว



   “พี่โอม ระวังร่องน้ำนะ… อ้าว! ทำไมเปียกอย่างงั้นอ่ะ” สายลมเพิ่งสังเกตุเห็นว่าคนที่ถือร่มอยู่นั้นเปียกไปทั้งตัวเพราะไม่ได้ใช้ร่มกันฝนให้ตัวเองเลยทั้งที่เดินออกมาสักพักแล้ว “เข้ามาในร่มดิ เปียกหมดแล้วเนีย”

   “ไม่เป็นไร รีบไปเถอะครับ” หนุ่มนักศึกษาพูดหน้าตาเฉยแต่ดวงตาของเขาแทบจะลืมไปขึ้นด้วยถูกแรงปะทะจากสายฝน

   “ไม่เป็นไรได้ไง เข้ามาาาา” เริ่มมีการยื้อร่มกันเกิดขึ้น

   “ไม่เป็นไรจริงๆ”

   “เดี๋ยวก็ป่วยหรอก เอาหัวเข้ามาในร่มเร็วๆ”

   “พี่ไม่เป็นไรจ…. ระวัง!!!!!”

   “.......อ...โอ๊ย!!!”



   เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก สายลมพยายามมีสติหันมองสิ่งที่เกิดขึ้น

   ร่างของเขาถูกคนตัวใหญ่ทับเอาไว้ ภาชนะที่เคยอยู่ในมือกระจัดกระจายร่วงเต็มพื้น แสงไฟรถยนต์สีแดงลับหายไป

   เมื่อสมองประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดได้ ก็ทำให้สายลมรู้ว่าเขาถูกผลักโดยพี่โอมให้หลบรถเครนคันใหญ่ซึ่งวิ่งฝ่าสายฝนโหมกระหน่ำลงมาด้วยความเร็วสูง และด้วยที่ทั้งคู่มัวแต่สนใจอยู่กับร่มบวกกับทัศนวิสัยที่ขมุกขมัว จึงเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น โชคดีที่คนตัวใหญ่ทันเห็นเหตุการณ์ก่อน



   “ป...เป็นไรไหมสายลม” โอมรีบชะโงกหน้าขึ้นมามองคนที่อยู่เบื้องล่าง “หัวกระแทกไหม”

   “อ...โอเคครับ” สายลมตอบ “หัวผมไม่… เห้ย พี่โอม หน้าผากพี่มีเลือด”

   “ไหน?” เขาใช้มือจับหน้าผากตัวเอง “เออ จริงด้วย สงสัยข่วนกับคันร่ม… ร่ม? ร่มล่ะ? หายไปไหนแล้ว เชี่ยเอ๊ยยย สงสัยปลิวไปกับไอ้รถเวรคันนั้นแน่เลย ขับแม่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เกือบจะชนคนตายอยู่แล้ว”

   “ช่างมันเถอะพี่ รีบกลับไปทำแผลดีกว่านะ แล้วผมก็...หนักด้วย พี่ทับผมอยู่”

   “อ...อ๋อ ขอโทษครับ” หนุ่มนักศึกษาตัวใหญ่รีบลุกขึ้น

   “จะทำอะไรน่ะ?” สายลมถามคนที่กำลังก้มๆเงยๆ

   “เก็บจานไง”

   “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสนใจหรอก ไปทำแผลก่อน”

   “แต่ว่า…”

   “ไปเถอะน้า เลือดอาบหมดหน้าแล้วรู้ตัวไหม”

   “อ...โอเคๆ”



   สายลมวิ่งนำคนตัวใหญ่ให้เข้ามาในที่พักของตนเองที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นเขาก็รีบนำผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้นมาตั้งที่โซฟาไม้ซึ่งอยู่บริเวณส่วนหน้าของบ้าน



   “เห้ยยยย!!!” สายลมร้อง

   “อะไร ร้องทำไม” พี่โอมเองก็ตกใจเช่นกัน

   “พ...พี่ถอดเสื้อผ้าทำไมอ่ะ” ก็เพราะหลังจากเดินไปหยิบอุปกรณ์ยากลับมา ก็พบหนุ่มนักศึกษาร่างใหญ่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าพันส่วนล่างไว้เท่านั้น

   “ก็เห็นเอาผ้าขนหนูมาให้”

   “ให้เอามาเช็ดแผล”

   “อ้าว นึกว่าจะให้พี่เปลี่ยนเสื้อผ้า โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่ใส่เสื้อผ้าคืนก่อน”

   “ไม่ต้องๆ ช่างมันเถอะ รีบทำแผลก่อน” เด็กหนุ่มเดินไปหยิบทิชชู่ที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็นำมาเช็ดแผลที่เปียกของคนตัวใหญ่ให้แห้ง “อื้อหือ แผลยาวเหมือนกันนะเนีย ไม่เจ็บเลยเหรอ”

   “เริ่มแสบแล้วล่ะ แต่ไม่มาก ตอนนี้หนาวมากกว่า”

   “ก็จะไม่หนาวได้ไงล่ะ แก้ผ้าซะหมดเลย นี่กะจะอาบน้ำเลยหรือไง”

   “ก็… นึกว่าจะให้อาบน้ำ เห็นว่าเอาผ้ามาให้”

   “อยากอาบก็อาบ ไม่ได้หวงน้ำหรอก”

   “พี่ไม่อาบก็ได้ถ้าสายลมไม่…”

   “อยู่เฉยๆก่อนซิ ผมกำลังทำแผลอยู่นะ”

   “....................”

   “นี่กลั้นหายใจอยู่หรือเปล่าเนีย”

   “ก็บอกให้อยู่นิ่งๆไม่ใช่เหรอ”

   “นี่ซื่อบื้อหรือกวนตีนกันแน่ห๊ะ”

   “โห่ ดุตลอด โอ๊ย!! จ...เจ็บ เบาๆซิครับ”

   “สมน้ำหน้า”

   “พูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเลย”

   “พ...พูดไรของพี่” สายลมแอบชะงักมือไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็กลับมาทำแผลต่อ

   “พอมองสายลมใกล้ๆแล้ว… อืม… หน้าเนียนจังเลยเนาะ ล้างหน้าด้วยอะไรอ่ะ ทำไมมันเนียนได้ขนาดนี้ ขนาดเปียกฝนแล้วหน้ายังเนียนอยู่เลย”

   “เกี่ยวไรกับเปียกฝน”

   “ก็… ถ้าเปรียบเทียบกับพวกเพื่อนผู้หญิงของพี่ที่มหา’ลัย ถ้าเจอน้ำแบบนี้ไม่มีทางขาวเนียนได้ขนาดนี้หรอก เครื่องสำอางค์หลุดหมด”

   “ก็ผมไม่ใช่ผู้หญิงไงและผมก็ไม่ได้แต่งหน้าด้วย”

   “ก็ถือบอกว่าผิวเนียนไง ผิวสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีกนะเนีย……...”

   “เห้ย! ทำไรเนีย” สายลมรีบปัดมือของคนตรหน้าออก จู่ๆพี่เขาก็เอามือมาบีบที่แก้ม

   “อ...เอ่อ โทษทีๆๆ” พี่โอมรีบกล่าวขอโทษ “ค...คือ… พี่เผลอไปหน่อย เห็นแก้มใสดีก็เลย...อยากลองจับดู ม...มือมันไปเอง เอ่อ… ขอโทษนะ ต...แต่...หน้านุ่มดีนะ กระแฮ่ม โทษที พี่พูดมากไปหน่อย”

   “จ...จะทำแผลต่อไหม” จู่ๆ สายลมก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

   “ทำครับๆ”

   “งั้นก็อยู่นิ่งๆล่ะ อย่าจับ… อย่าจับอะไรอีกนะ”

   “อ...โอเคครับ”

   “...จะจ้องทำไมเนีย”

   “ครับ?”

   “ก็พี่โอมไง จ้องหน้าผมอยู่”

   “ก็...พี่เพิ่งเคยเห็นสายลมใกล้ๆแบบนี้ ผิวเนียนมากเลยเนาะ พี่ละสายตาไม่ได้อ่ะ”

   “พูดไปแล้ว… อ่ะๆๆ จะทำอะไรน่ะ” เด็กหนุ่มรีบทักท้วงเมื่อเห็นมือใหญ่ๆกำลังเคลื่อนที่มาใกล้ใบหน้าของเขา

   “ท...โทษทีครับ เผลออีกแล้ว” หนุ่มนักศึกษากุมมือของตัวเองไว้แน่นและ...

   “แล้ว...จะหลับตาทำไม”

   “พี่ไม่อยากมองหน้าสายลม อดจ้องไม่ได้ เดี๋ยวจะเผลอจับอีก”

   “ลำบากเนอะ”

   “.................................”

   “เอาจริงดิ ลืมตาเหอะน่า เห็นแบบนี้แล้วอึดอัด”

   “ไม่เอา เดี๋ยวเผลอจับหน้าสายลมอีก”

   “เห้อออ อืม จะจับก็จับไป”

   “ได้เหรอ!?”

   “ลืมตาไหวเชียวนะไอ้พี่โอม”

   “แฮ่ๆ ข...ขอ...พี่จับแก้มหน่อยนะ”

   “อืม อย่าขยับมากก็แล้วกัน ทำแผลไม่เสร็จซะทีเนีย”

   “ครับบบ” ในที่สุดมือที่ได้รับอนุญาตก็แตะสัมผัสเบาๆลงบนแก้มของคนตัวเล็ก มันคลอเคลียไปมาอย่างอ่อนโยนและเพลินใจ “นิ่มจริงๆด้วย……...นุ่มจัง…...”

   “พะๆๆๆ พี่โอมมม” สามลมรีบดันคนตัวใหญ่ตรงหน้าให้ออกห่างจากตัวของเขา เขาเบือนหน้าหลบใบหน้าของพี่โอมที่จู่ๆก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขาจนใบหน้าทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน “ท...ทำอะไรของพี่เนีย”

   “อ….เอ่อ...คือ….” หนุ่มนักศึกษาเหมือนคนเพิ่งได้สติ เขาลังเลและลอกแลกอยู่อย่างนั้น “พี่ว่า...พี่กลับแล้วดีกว่า”

   แล้วคนตัวใหญ่ก็ลุกออกจากโซฟาไม้เพื่อที่จะเดินออกไปจากที่พักของเด็กหนุ่มร่างเฟิร์ม

   “เดี๋ยวๆๆ” สายลมพยายามเรียก “พี่จะไปสภาพนั้นหรือไง”

   “ครับ?.... อ่อ” พี่โอมเพิ่งจะสำนึกได้ว่าตัวเองมีเพียงผ้าขนหนูคลุมกายส่วนล่างอยู่เท่านั้น “งั้นเดี๋ยวพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

   “แล้วแผลล่ะ ไม่ทำต่อเหรอ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”

   “ไม่...ไม่เป็นไรดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปทำแผลต่อเองครับ”

   “มีอุปกรณ์ทำแผลเหรอ”

   “เอ่ออออ ไม่มีครับ ขอยืมหน่อย”

   “แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลยนะ จะกลับได้ไง”

   “ม...มีร่มไหม พี่ขอยืมร่มหน่อย”

   “เยอะไปละ พอๆๆ มานั่งนี่ ทำแผลให้เสร็จก่อนแล้วก็ไปอาบน้ำ ฝนหยุดแล้วค่อยกลับ”

   “อย่าเข้ามา!!” จู่ๆคนตัวใหญ่ก็ร้องออกมา เขาล่าถอยเล็กน้อยประหนึ่งว่ากลัวคนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาใกล้

   “อะไรของพี่เนีย วันนี้แปลกๆนะ”

   “ป...เปล่า คือ… พี่ทำแผลเองดีกว่า ห้องน้ำอยู่ไหนครับ”

   “ในครัว ข้างหลัง”

   “งั้น….” หนุ่มนักศึกษาเอื้อมมือมาหยิบอุปกรณ์ทำแผลบนโต๊ะไม้ เขาโน้มตัวโดยเลี่ยงการขยับตัวให้มากที่สุด ช่างเป็นการหยิบของที่ดูลำบากเหลือเกิน

   “ให้ช่วย…”

   “พี่ไปห้องน้ำก่อนนะ” พี่เขารีบร้อนเดินออกไปจากการสนทนาอย่างจงใจ



   เป็นอะไรของเขาละเนีย…..?







   “พี่โอม”

   “ค...ครับ?”

   “ผมเอาชุดมาให้เปลี่ยน”

   “เอ่อ… วางไว้เลยครับ”

   การสนทนานี้เกิดขึ้นหลังจากที่พี่โอมเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน สายลมค้นหาเสื้อผ้าตัวใหญ่ของเขามาให้หนุ่มนักศึกษาผลัดเปลี่ยน

   “ทำแผลเสร็จแล้วเหรอ?” สายลมยังคงตะโกนถามคนในห้องน้ำ

   “เสร็จแล้วครับ” พี่โอมตอบกลับมา “ฝนหยุดตกหรือยังอ่ะ”

   “ยังเลย ตกหนักเหมือนเดิม ท่าทางน่าจะตกทั้งคืนอ่ะ”

   “เหรอ พี่ขอยืมร่มหน่อยดิ”

   “ยังจะกลับอีกเหรอ เดี๋ยวแผลก็โดนฝนหรอก”

   “แต่…”

   “นอนที่นี่แหละ”

   “...............................” แล้วพี่โอมก็เงียบไปเสียอย่างนั้น





   หลังจากที่หนุ่มนักศึกษาอาบน้ำเสร็จ สายลมก็จัดการธุระของตัวเองบ้าง เขาทิ้งเสื้อผ้าเปียกลงตะกร้าและอาบน้ำทันที

   จากนั้นก็ทำกิจวัตรปกติของเขานั่นก็คือการซักผ้า ล้างจาน และกวาดบ้าน



   เห้ออออ ง่วงจัง

   สายลมเดินเลื่อนลอยขึ้นชั้นสองด้วยความง่วงเข้าห้องน้ำของตัวเอง



   เอ๊ะ!!



   “พี่โอมมม” เด็กหนุ่มร้องเรียกเมื่อไม่เห็นหนุ่มนักศึกษาอยู่ในห้องนอน

   “...............” เงียบ ไม่มีเสียงใดตอบกลับ

   “พี่โอม” สายลมเดินกลับลงมาข้างล่างเพื่อตามหาคนตัวใหญ่ และก็พบว่า… “พี่โอม! ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ”

   “ครับ? มีอะไรเหรอ?” หนุ่มร่างใหญ่ลืมตาขึ้นทั้งที่ยังนอนอยู่บนโซฟาไม้บริเวณส่วนหน้าของบ้าน

   “ยังจะมาถามอีก ทำไมมานอนอยู่ตรงนี้ ก็นึกว่าเข้านอนไปแล้ว แล้วไม่หนาวหรือไงเนีย”

   “นิดหน่อยครับ”

   “ก็ขึ้นไปนอนบนห้องซิ”

   “ห้อง!? ห้องไหน?”

   “อ้าว ก็ห้องนอนไง”

   “ห..เห้ย ไม่เป็นไร พี่นอนตรงนี้ได้”

   “นอนได้บ้าอะไร ผ้าหุ่มก็ไม่มี ยุ่งก็เยอะ”

   “แต่...พี่เกรงใจ”

   “เกรงใจทำไม ผมให้พี่นอนพื้น ไม่ได้นอนบนเตียงกับผมซะหน่อย”

   “งั้นพี่นอนตรงนี้ก็ได้”

   “ไม่เอาาาา ขึ้นไปข้างบน เร็วๆ ลุกซี….” แล้วสายลมก็หมดอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาพยายามดึงคนตัวใหญ่ให้ลุกขึ้นจากการนอนบนโซฟาไม้ “เร็วๆ ผมง่วงแล้ว”

   “ง่วงก็นอนเลย พี่นอนตรงนี้ได้จริ…. อุ๊บ!!”

   “ช...เชี่ย” สายลมที่เสียหลักล้มลงไปทับคนตัวใหญ่สบถออกมาเสียงดัง ไม่ใช่เพราะเขาตกใจที่สะดุดล้ม แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขารับรู้ได้ว่าแก้มของเขาถูกริมฝีปากของคนเบื้องล่างแตะสัมผัส

   “เอ่อ…” หนุ่มนักศึกษารีบลุกขึ้นนั่ง เขาจับที่ปากตัวเอง เขาเองก็รู้สึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

   “.........” ความเงียบเล่นงานเด็กหนุ่มร่างเฟิร์มทันที เขารีบใช้คอเสื้อถูเช็ดไปที่แก้มของตัวเองแรงๆ และนั่นดูเหมือนว่าจะทำให้….

   “พี่ว่าพี่กลับดีกว่านะ” แล้วพี่โอมก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกจากบ้าน

   แวบหนึ่ง สายลมเห็นแววตาของความละอายใจและหดหู่ของคนตรงหน้า ไม่รู้ด้วยเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หรือเป็นเพราะการแสดงออกถึงความรังเกียจในการสัมผัสที่เพิ่งเกิดขึ้นของเขากันแน่ที่ทำให้คนตัวใหญ่เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง

   “ด...เดี๋ยวก่อน” สายลมเรียกไว้ เขารู้สึกว่าเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน และมันยากยิ่งกว่าที่จะตัดสินใจพูดอะไรออกมาแต่ละคำ “ฝนยัง...ตกอยู่เลย ผมว่าพี่นอนที่นี่…”

   “อย่าเลยครับ” พี่โอมพูดตัดบททั้งที่ยังหันหลังอยู่ เขาสวมรองเท้าเตรียมออกจากบ้านแล้ว “พี่ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเราบ่อยเกินไป พี่ไม่อยากทำให้สายลม… รู้สึกไม่ดี”

   “ม...ไม่ใช่แบบนั้นนะ ผมแค่...ตกใจนิดหน่อย”

   “...............” คนตัวใหญ่ไม่ตอบ

   “ล...แล้ว… พรุ่งนี้จะกินมื้อเช้ากี่โมง” เด็กหนุ่มร่างเฟิร์มยังพยายามรั้งคนที่หันหลังไว้

   “กี่โมงก็ได้ครับ พี่ไปนะ…”

   “...................เดี๋ยวก่อน” ไม่รู้สิ่งใดที่ทำให้สายลมตัดสินใจเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อด้านหลังของคนตัวใหญ่เอาไว้

   “อย่า….อย่าเข้ามาใกล้พี่เลยนะ พี่ไม่อยากเผลอทำอะไรกับสายลมอีก พี่รู้ว่าสายลมคง…. ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น พี่ไม่…”

   “ไม่ต้องกลับได้ไหม…………….









   ………………..นอนด้วยกันนะ”



******************************************

ปล.ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ช่วงนี้มีซ้อมกีฬา กว่าจะกลับบ้านก็ดึกมากมายและหมดแรง พยายามจะแต่งแล้ว วันนี้ได้หยุดจึงรีบมาลงต่อให้ ขอบคุณนะครับถ้ายังเมตตานิยายของผมอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2019 21:39:15 โดย Kings Racha »

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ชอบพี่โอมจะสติแตก จับน้องสายลมกิน น่ารัก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 11

นักเสิร์ฟผู้จองหอง (2) : จีบ









      “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวเราจะไปเป็นเพื่อนพฤกษ์เอง รับรองว่า พฤกษ์จะได้เจอกับไอซ์แน่นอน” น้ำ เพื่อนนักกีฬาแบดมินตันจากห้อง ม.6/2 เอ่ยปากบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติวิสัยของเขา

   “เอ่อ… ขอบใจมากนะ” กัปตันกั๊กกล่าวขอบใจอย่างขะเขิน จากนั้นก็หันไปถามพฤกษ์ที่เอาแต่นั่งนิ่งคิ้วขมวด “แล้วมึงว่าไงวะไอ้พฤกษ์ จะให้น้ำไปด้วยไหม หรือมึงจะไปหาไอ้ไอซ์ด้วยตัวเอง”

   “กู….” พฤกษ์พยายามนึกคำพูดมาตอบ แม้ในใจของเขาจะเต็มไปด้วยคำถามว่าเหตุใดกัปตันทีมจึงสั่งให้เขาไปเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขาเองกับไอซ์ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพยายามไม่แสดงสีหน้าใดๆเฉกเช่นการแสดงออกปกติของเขา

   “ไม่ให้เราไปด้วยเหรอ” น้ำหันไปมองหน้าพฤกษ์อย่างมีความหวังในคำตอบ

   “ป...เปล่า” เด็กหนุ่มหน้านิ่งรีบตอบ “ก็ไปด้วยได้ แต่เราแค่ไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมเราต้องไปคุยกับไอ้ไอซ์ เราไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”

   “ไม่ผิด? ต้องให้เราเตือนความจำไหมว่าพฤกษ์ทำอะไรลงไป”

   “แต่เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน”

   “แล้วที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่เรียกว่าปัญหาเหรอ เพราะแบบนี้ไงเราถึงต้องไปด้วย ขืนปล่อยให้พฤกษ์ไปคนเดียวก็คงไม่ทำอะไรแน่ๆ เราพูดถูกไหม”

   “ก็เราบอกแล้วไงว่า…”



   “พอๆๆๆ” กั๊กตัดบทการสนทนาของคนทั้งสอง “เลิกเถียงกันได้แล้ว มึง ไอ้พฤกษ์ กูขอสั่งในฐานะกัปตันทีมให้มึงไปเคลียร์ปัญหากับไอ้ไอซ์ให้เรียบร้อย ไม่ว่ามึงจะมีเรื่องอะไรกันมาก็ตาม กูต้องการเห็นสมาชิกทุกคนประชุมพร้อมกันพรุ่งนี้ เรากำลังมีปัญหา ตอนนี้ไอ้หนุ่มไปหาไอ้เหล่ากับไอ้สายลมแล้ว กูก็จะไปหาโค๊ชเอกกับไอ้ต่าย เพราะงั้นก็เหลือแค่มึงคนเดียวที่จะต้องไปส่งข่าวเรื่องที่สมาคมฯงดสิทธิ์เข้าแข่งรายการชิงแชมป์เอเชียให้ไอ้ไอซ์ได้รับรู้ ส่วนไอ้เรื่องที่มึงจะเคลียร์ปัญหากันไหม กูไม่แคร์ ขอแค่มึงกับมันกลับมาเล่นให้ทีมได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิมก็พอ”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะบังคับให้พฤกษ์เคลียร์กับไอซ์ให้ได้” น้ำยังคงแสดงความมั่นอกมั่นใจ

   “น้ำ” ครูกันที่กำลังดูแลน้องสาวตัวน้อยของเขาเรียกชื่อน้องชายคนรองเพื่อแสดงการเอ็ดและห้ามปราม “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ อย่าไปยุ่งเรื่องของเพื่อนนักซิ”

   “โห่ ทีพี่กันยังยุ่งเรื่องของทีมวอลเลย์บอลเลย” น้ำแสดงสีหน้างอนพี่ชาย

   “ก็กั๊กเขาขอความช่วยเหลือจากพี่นี่นา”

   “ผมก็…”

   “อย่ามาอ้าง พี่ไม่เห็นพฤกษ์จะออกปากขอร้องอะไรน้ำเลย”

   “..........” น้องชายคนรองไม่อาจเถียงพี่ชายของตนได้อีกต่อไปด้วยจนมุมในหลักฐาน



   “เอ่อ… ผมอยากให้น้ำไปด้วยครับ” พฤกษ์รีบแทรกขึ้นมาเพื่อช่วยเหลืออาการเสียหน้าของเด็กหนุ่มผู้ที่ควรจะมีรอยยิ้มสดใส “น้ำไปกับเราหน่อยนะ”

   “เห็นไหม พฤกษ์ขอให้น้ำไปด้วย” น้ำกลับมายิ้มอีกครั้งทันที

   “ครับบบบคุณน้องชาย คิดจะออกไปเที่ยวเล่นละซิ ไม่ช่วยพี่เลี้ยงน้องดีเลยนะวันนี้… น้องดีไม่รักพี่น้ำแล้วเนาะ ใช่ไหมคะน้องดี”

   “เห้ยยยย อย่าดิพี่กัน ทำไมยุน้องดีแบบนั้นเล่า”

   “ก็น้ำไม่ช่วยพี่เลี้ยงน้องเลยนิ... คืนนี้ไม่ให้พี่น้ำนอนด้วยหรอกเนาะน้องดี เรานอนกันแค่สองคนก็พอ”

   “พี่กันนนนนน”

   “อย่ากลับบ้านดึกนะ…. กลับกันดีกว่าเนาะน้องดี”

   “พี่กันนน” น้ำพยายามเดินไปง้อพี่ชายที่พาเด็กหญิงตัวน้อยเดินจากไป

   “เราไปกันเถอะ” แต่พฤกษ์คว้ามือของน้ำให้เดินไปอีกทางหนึ่ง

   “น้องดี คืนนี้พี่น้ำจะไปนอนด้วยนะ” น้ำยังตะโกนไล่หลังบอกน้องสาวตัวน้อยที่ถูกพี่ชายคนโตจูงมือจากไป ส่วนตัวของเขาก็ต้องเดินไปอีกเส้นทาง “เดี๋ยวๆๆ แล้วเฟิร์สล่ะ”

   “ไอ้หนุ่มไปส่งแล้ว” พฤกษ์ตอบห้วนๆ

   “เหรอ…. งั้น...ปล่อยมือเราได้ยัง” น้ำเตือนคนที่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากมือของเขาเสียที

   “............”

   “นิ ปล่อยมือเราได้แล้ว เราเดิน…”

   “น้ำช่วยพูดกับไอ้ไอซ์แทนเราหน่อยนะ” ดูเหมือนว่าพฤกษ์จะมิได้สนใจในคำขอของน้ำเลย เขาเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น และแน่นอนว่าเด็กหนุ่มหน้านิ่งก็ไม่ยอมปล่อยมือ เขาไม่รู้สึกแคร์สายตาของผู้คนในห้างสรรพสินค้าที่กำลังมองเข้ามาในขณะนี้เลยแม้แต่น้อย

   “อย่ามาเนียน” น้ำยืนนิ่งและใช้แรงเท่าที่มีรั้งการเดินของเพื่อนตัวใหญ่ไว้

   “อะไร?”

   “บอกให้ปล่อยมือไง” น้ำย้ำ เขารู้ดีว่าพฤกษ์แค่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น “อย่ามาทำเป็นหูทวนลมนะ”

   “เรา.............” พฤกษ์เหมือนจะพูดอะไร แต่เขาก็ยอมปล่อยมือในที่สุด

   “เป็นไร”

   “ไม่ได้เป็นไร”

   “ก็พฤกษ์ทำหน้าเศร้า”

   “หน้าเราก็เหมือนเดิม”

   “ใช่ หน้าเหมือนเดิม แต่อารมณ์ไม่เหมือนเดิม เรารู้นะว่าข้างในพฤกษ์แอบเศร้าอยู่ เราแค่ให้ปล่อยมือ ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปด้วยซะหน่อย ไปๆๆ ไปกันได้แล้ว” น้ำดันเด็กหนุ่มหน้านิ่งให้เดินต่อ “รู้ใช่ไหมว่าบ้านไอซ์อยู่ที่ไหน”

   “ทำไมน้ำถึงยอมจับมือกั๊ก?”

   “ห๊ะ!” น้ำงงที่ถูกตั้งคำถามในเรื่องใหม่โดยไม่ได้ตั้งตัว “เราไปจับมือกั๊กตอนไหน”

   “ก่อนจะดูหนังไง ที่น้ำมาชวนพวกเราไปดูหนังด้วยกัน”

   “ก่อนดูหนัง…..? อ๋ออออ ที่เราลากให้กั๊กลุกจากเก้าอี้อะนะ บ้า เราไม่ได้จับมือกั๊กซะหน่อย เราจับแขนนะ ก็เพื่อนพฤกษ์ทำท่าจะไม่ไปดูหนังด้วยกันนี่นา เราก็เลยดึงแขนให้เดินมาด้วยกันซะเลย”

   “แต่น้ำก็ไม่ปล่อยมือนิ” พฤกษ์ยังคงพูดต่อ เหมือนกับว่าเขาอยากจะพูดเรื่องนี้เสียให้ได้ตั้งนานแล้ว “น้ำจับแขนกั๊กตลอดเลย”

   “อ้าว ก็ต้องอย่างนั้นซิ ไม่งั้นกั๊กจะยอมเดินมาด้วยเหรอ ถึงสุดท้ายกั๊กจะไม่ได้ดูหนังกับพวกเราก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเราทำสำเร็จนะ”

   “........................”

   “อารายยยย นี่งอนอะไรเนีย”

   “เปล่า”

   “โกหก”

   “..............”

   “เห็นไหม โกหกจริงๆด้วย”

   “..............”

   “ถ้าไม่พูด จะไม่ไปด้วยแล้วนะ”

   “จะให้เราพูดอะไรล่ะ”

   “พูดว่า ‘ผมเป็นคนมีอีโก้สูงครับ’ ก็ได้”

   “เราเปล่า”

   “ยังจะมาปฏิเสธอีก ขนาดแค่เรื่องจับมือไม่จับมือยังเอามาเป็นประเด็นได้ แบบนี้ยังไม่เรียกว่ามีอีโก้อีกเหรอ อิจฉาแม้กระทั่งเพื่อนตัวเองเนียนะ ไอ้คนอีโก้จัดเอ๊ย”

   “................”

   “อ่ะๆๆ จะจับก็จับ” น้ำยื่นมือออกไปให้คนข้างๆ “อย่าให้เห็นว่าปล่อยมือนะ”

   “...........” แต่พฤกษ์กลับเลือกที่จะไม่จับอะไรทั้งนั้น เขาเอามือสอดใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินนำต่อไป

   “เอ๊า อะไรของเขาวะ” น้ำพึมพำ



   ทั้งคู่เดินมาจนถึงลานจอดรถโดยที่เด็กหนุ่มหน้านิ่งก็นิ่งสมฉายาเหลือเกิน เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการพูดอะไรทั้งนั้น



   “รถใครเนีย?” แต่ในที่สุดน้ำก็ต้องเอ่ยถามขึ้น เพราะจู่ๆพฤกษ์ได้ทำการกดรีโมทเปิดสลักประตูรถยนต์คันหนึ่ง

   “...........” และก็ยังไม่มีการตอบใดๆอีกเช่นเคย พฤกษ์เปิดประตูรถยนต์และเข้าไปนั่งทันที

   “ไอ้…” น้ำพยายามอดทนไม่สบถออกมา จากนั้นเขาก็เข้าไปนั่งในรถยนต์อีกคน

   พฤกษ์เปิดสตาร์ทรถยนต์ทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้บังคับรถให้เคลื่อนที่ก็….

   “ทำอะไรน่ะ จับมือเราทำไม” เด็กหนุ่มหน้านิ่งเริ่มหน้าไม่นิ่งเพราะถูกเพื่อนตัวเล็กบังคับให้มือของเขาจับมือเล็กๆอีกคนเอาไว้

   “ก็จับมือไง” น้ำอธิบายด้วยรอยยิ้ม “จะได้เลิกงอนซะที”

   “ปล่อย…”

   “กล้าเอาออกเหรอ” น้ำตัดบทอย่างรวดเร็วและตีสีหน้าจริงจัง “แน่ใจใช่ไหมที่จะปล่อยมือเรา”

   “แต่....” ชัดเจนว่าพฤกษ์ไม่กล้าปล่อยมือออกหลังจากโดนขู่แบบเฉียบพลันทันทีเช่นนี้ “เราจะขับรถยังไงล่ะ”

   “แน่จริงก็ปล่อยมือดิ” น้ำยังขู่ “แต่ถ้าปล่อยมือ เราจะลงรถทันที”

   “อ้าว แล้วไหนบอกว่าจะไปด้วยกัน”

   “.......................” คราวนี้เป็นน้ำบ้างที่เงียบ แต่ในความเงียบนี้กลับมีสายตาแห่งการทำลายล้างจดจ้องเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

   “เอ่อ…” เด็กหนุ่มคิดหาวิธี เขาใช้เวลามองหาวิธีอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุด… “ขอ…….ขอโทษครับ”

   “ก็พูดเป็นนิ” แล้วน้ำก็ยอมปล่อยมือของคนขับรถออก “จะอีโก้ก็ให้มันน้อยๆหน่อย โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ… ทำอะไรน่ะ!?”

   “ป...เปล่า”

   “เปล่าอะไรก็เห็นทำท่าดมมือตัวเองอยู่เมื่อกี๊ ไม่ต้องทำเป็นไก๋เลย”

   “ไม่มีอะไร” พฤกษ์รีบถอยรถยนต์ออกจากช่องจอดของห้างสรรพสินค้า

   “ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย จะดมดูว่ามือเราหอมไหมละซิ”

   “.............” แม้จะสะดุ้งเล็กน้อยแต่เด็กหนุ่มหน้านิ่งก็ไม่พยายามพูดหรือแสดงสีหน้าใดๆ

   “แล้วแต่น้าาา… ทำขรึมต่อไปเหอะ เงียบแบบนี้ ชาตินี้ไม่มีทางจีบเราติดหรอก”



   เอี๊ยดดดดดดด



   “พ..พ...พูด...อะไรของน้ำน่ะ” พฤกษ์ถึงกับเหยียบเบรกสนิทที่ได้ยินเด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน

   “คิดว่าเราดูไม่ออกเหรอว่าพฤกษ์ชอบเรา” น้ำพูดออกมาหน้าตาเฉย

   “เรา….คือ…..” แน่นอนว่าพฤกษ์ไม่รู้วิธีที่จะโต้ตอบกับสถานการณ์เช่นนี้



   #เสียงโทรศัพท์

   มีสายหนึ่งดังขึ้นจากโทรศัพท์ของน้ำ



   “เบอร์ใครละเนีย” น้ำพึมพำเล็กน้อยก่อนจะรับสาย “สวัสดีครับ………….. ใช่ครับ ผมคือน้ำครับ ไม่ทราบว่าใครโทรมาครับ…………… ปลื้ม? ปลื้มไหนครับ……………… ปลื้มหกทับสามเหรอ..? อ๋อ จำได้แล้ว……………. ถ้าจำไม่ได้เราก็คงเป็นอัลไซเมอร์แล้วล่ะ นายเล่นหอบตุ๊กตาตัวใหญ่มาให้เราถึงหน้าห้องเรียนนี่นา……………………. วันนี้เหรอ? ไม่ว่างอ่ะ แล้วเราก็เพิ่งดูหนังจบไปเมื่อกี๊เอง……………….. ไม่ว่างจริงๆ………………… ไม่ได้อ่ะ พี่กันไม่ให้เรากลับดึก คงไปกินข้าวด้วยไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็ขอบใจที่ชวนนะ ไว้โอกาสหน้าละกัน………………….. โอเค แค่นี้นะ………. บาย”

   “ใครอ่ะ?” พฤกษ์ยิงคำถามขึ้นทันทีที่เด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มวางสาย

   “เพื่อนห้องสาม”

   “ทำไมถึงมีเบอร์ของน้ำ”

   “จะไปรู้ไหมเนีย คงถามมาจากใครสักคนนั่นแหละ”

   “ให้ตุ๊กตากันด้วยเหรอ”

   “นิๆ จะถามอีกนานไหม แล้วนี่จะขับรถไหม เดี๋ยวก็โดนรถข้างหลังชนหรอก… ขับต่อได้แล้ว”

   พฤกษ์แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนในขณะเหยียดคันเร่ง

   “บอกไว้เลยนะ” แล้วเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มก็กลับมาพูดต่ออย่างสบายใจ “ถ้ายังทำตัวขี้เก๊ก อีโก้สูง ปากหนัก ทำเป็นเข้มไม่พูดไม่จาแบบนี้ งี่เง่าเอาแต่ใจ ยังไงก็ไม่มีทางจีบเราติดหรอก เห็นแบบนี้เราก็ฮอตนะ จะบอกให้ว่าพี่กันหวงเราสุดๆ อ๋อใช่ คนเมื่อกี๊ที่โทรมาก็… คงเดาได้ไม่ยากนะว่าเขาโทรมาหาเราทำไม  เพราะงั้น ถ้าคุณชายพฤกษ์ยังทำนิสัยเดิมๆอยู่อีก ก็เตรียมแห้วได้เลย”

   พฤกษ์คุ่นคิดอย่างวิตกกังวล

   แล้วอีกอย่าง ทำไมคนที่นั่งอยู่ข้างๆถึงเป็นคนพูดจาเถรตรงได้ขนาดนี้ แถมยังพูดออกมาอย่างเป็นธรรมดา แต่ก็ตรงจุดทั้งหมด เหมือนกับว่าตัวเขาเองถูกอ่านใจออกจนหมดสิ้น

   “แล้ว...เราต้องทำยังไงอ่ะ” พฤกษ์ตัดสินใจถามออกมา เขาพยายามไม่หันไปมองคนข้างๆ แต่เลือกที่จะแสร้งว่ากำลังมีสมาธิกับการขับรถ

   “เติบโตไง” น้ำตอบทันที “เป็นผู้ใหญ่”

   “เรายังไม่เป็นผู้ใหญ่อีกเหรอ”

   “พฤกษ์เป็นแค่ไอ้คนขี้เก๊ก ไม่ใช่คนที่เป็นผู้ใหญ่”

   “ว่าเราอีกแล้วนะ”

   “ก็มันจริงนิ ขนาดคุยกับเรายังไม่มองหน้าเราเลย เขินก็ไม่แสดงออกว่าเขิน จะเก๊กเอาโล่หรือไงก็ไม่รู้”

   เอาอีกแล้ว น้ำอ่านใจของเขาออกอีกแล้ว

   “ก็...เราขับรถอยู่”

   “โกหก เด็กอนุบาลก็ดูออกว่าพฤกษ์กำลังโกหกอยู่… ช่างเถอะ แล้วแต่พฤกษ์ละกัน อยากจะเก๊กต่อไปก็เชิญ เราไม่ต้องจีบใครอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา มีคนที่รู้วิธีจีบเราเยอะแยะ แล้วเราก็ไม่เคยจะต้องไปแนะนำใครด้วย… งั้นเอาเป็นว่า...ถึงบ้านไอซ์แล้วปลุกเราด้วยนะ ขอนอนแป๊บนึง”

   “ด...เดี๋ยวซิครับน้ำ” เด็กหนุ่มหน้านิ่งเริ่มกังวล เขารีบคว้ามือไปจับมือเล็กๆของคนข้างๆขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ดึงมันเข้ามาใกล้กับริมฝีปากของตัวเอง

   “ไอ้...บ้า...พฤกษ์!!” เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำรีบชักมือของตัวเองกลับ แล้วหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ระหว่างเบาะนั่งขึ้นมาเคาะที่ศีรษะของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หนึ่งครั้ง

   “อ้าว.. ตีเราทำไมอ่ะ” พฤกษ์ไม่เข้าใจ

   “บอกให้จีบ ไม่ได้ให้ทำอนาจาร เร็วเกินไปไหมที่คิดจะทำแบบนี้กับเรา” แล้วน้ำก็รีบซ่อนมือตัวเองไว้ใต้เสื้อยืดของตน เขาคงหวังว่ามันจะไม่ถูกใครดึงไปเพื่อจูบสัมผัส

   “ก็น้ำบอกว่ามีคนจีบน้ำเยอะ งั้นเราก็ต้องรีบไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้เราทำไงอ่ะ ให้เราหอมแก้มแทนไหมล่ะ”

   “เดี๋ยวจะโดนทุบอีกรอบอ่ะ”

   “พอเราไม่ทำก็หาว่าเราเก๊ก พอเราจะทำก็ห้าม สรุปว่าเราต้องทำยังไงกันแน่ ก็เราอยากจีบน้ำให้ติดก่อนคนอื่นนี่นา”

   “อืมมม แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าจีบ” เด็กหนุ่มเปื้อนยิ้มดึงมือออกมาตบไหล่คนขับรถเบาๆ “สู้ๆนะ”

   “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

   “เดี๋ยวก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ตั้งใจขับรถไปก่อน แล้วก็รีบๆเคลียร์ปัญหาของตัวเองซะนะ”..........

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
   ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก



   หลังจากขับรถออกมาจากห้างสรรพสินค้าประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้พฤกษ์กับน้ำก็เดินทางมาถึงอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่ง พวกเขาเคาะห้องริมสุดชั้นสอง แล้วก็รอ



   “มาหาใครครับ….” ใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องออกมาต้อนรับ แต่ไม่ใช่ไอซ์ เขาคือ…

   “ไม้เหรอ!?” น้ำคือคนที่ร้องออกมาคนแรก

   “น...น้ำ” เด็กหนุ่มแว่นใสตกใจเล็กน้อยที่เห็นผู้มาเยี่ยมเยียน แต่ไม่นานเขาก็ต้องตกใจอย่างจริงจังจนต้องถอยห่างออกไปจากประตู เมื่อพบว่าไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้นที่มาด้วย “น...น...นาย!!!”

   “ใครอ่ะ?” ในที่สุดบุคคลซึ่งเป็นเป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นเสียที

   ไอซ์ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ เพื่อนร่วมทีมวอลเลย์บอลของพฤกษ์ และอีกหนึ่งหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเงียบขรึมพอๆกัน ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหลังของเด็กหนุ่มแว่นใส

   “หวัดดีไอซ์” น้ำทักทายด้วยการยิ้มกว้าง

   “ไอ้พฤกษ์!” แต่ไอซ์ไม่ทักทายกลับ ด้วยว่ามองเห็นพฤกษ์ในสายตา เขารีบเอาตัวเข้าขว้างตรงหน้าไม้ ประหนึ่งว่ากลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพฤกษ์ได้ทุกเมื่อ

   ส่วนไม้เองก็เกาะแขนผู้ปกป้องไว้แน่นและหลบอยู่เบื้องหลังนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “มึงมาทำไม” ไอซ์จดจ้องเพื่อนของตนอย่างจริงจัง

   “...............” ยิ่งเห็นท่าทีเช่นนั้น พฤกษ์ยิ่งไม่คิดอยากจะตอบหรือพูดสิ่งใดๆ เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปมองทางอื่นอย่างจงใจ

   “นิ!” จึงต้องเป็นหน้าที่ของน้ำที่จะใช้การถลุงข้อศอกเข้าสีหน้าของหนุ่มหน้านิ่งเพื่อเตือนว่าพวกเขามาที่นี่กันทำไม

   “คือ….” พฤกษ์ผู้ปากหนักกัดริมฝีปากตัวเองอยู่สักพัก “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”

   “มีเรื่องอะไร” ไอซ์สวนคำถามกลับอย่างรวดเร็ว

   “ก็เรื่อง….เอ่อ…..”

   “มันพูดยากขนาดนั้นเลยรึไง” น้ำหมดความอดทน จึงเอ็ดออกมา “พวกเราขอเข้าไปหน่อยได้ไหมไอซ์ พฤกษ์มีเรื่องอยากจะปรับความเข้าใจกับไอซ์น่ะ”

   “..........” ไอซ์ลังเลอย่างชัดเจน เขาหันหลังกลับไปมองไม้อย่างกับเป็นสัญญาณบอกว่าถ้าปล่อยให้มีคนเข้ามาในห้อง อาจเป็นอันตรายถึงหนุ่มน้อยแว่นใสคนนี้ก็ได้

   “ไม่ต้องห่วงนะไม้” น้ำรีบออกตัวแทน “รับรองว่าวันนี้พฤกษ์ไม่ทำร้ายร่างกายไม้แน่นอน แต่ถ้าเกิดเขาทำอะไรไม้จริงๆ เราจะจัดการให้เอง เพราะงั้น… ขอพวกเราเข้าไปเถอะนะ คุยกันตรงนี้คงไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่”

   “งั้นก็… เข้ามา” ไอซ์ยอมในที่สุด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ลดการปกป้องลง “เราว่า… ไม้เข้าไปในห้องนอนดีกว่านะ”

   “เดี๋ยวก่อน” น้ำรั้งไว้ ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของไอซ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เราอยากให้พฤกษ์พูดอะไรกับไม้หน่อย”

   “อะไร!?” พฤกษ์ประท้วงทันที “เราจะมาคุยกับไอ้ไอซ์ไม่ใช่เหรอ”

   “กับไอซ์อ่ะ ได้คุยแน่” น้ำอธิบาย “แต่กับไม้ล่ะ อันที่จริงโดยหลักแล้ว พฤกษ์ควรขอโทษไม้ก่อนด้วยซ้ำ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นตรงนี้ คำขอโทษสำหรับการทำรายร่างกายในวันนั้น ยังไม่ถึงหูคนถูกทำร้ายเลยนะ”

   “แต่นี่ไม่ใช่ที่เราตกลงกันนะ”

   “แต่ยังไงก็ต้อง…. เอ….” จู่ๆน้ำก็เลิกออกคำสั่ง เขาเลือกที่จะควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแทน “จะไม่พูดขอโทษไม้ก็ได้ แล้วแต่พฤกษ์ละกัน แต่ไหนๆวันนี้ก็หมดธุระของเราแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่า มีคนโทรมาชวนพอดีเลย อืมมม เบอร์ที่โทรมาเมื่อกี๊อยู่ไหนน้า….”

   “เดี๋ยว!!” พฤกษ์รีบใช้มือใหญ่ๆของเขาเอื้อมไปกำโทรศัพท์ในมือของน้ำไว้แน่น “ก็...ก็ได้ พูดก็ได้”

   “เอาซิ”

   “ขอโทษ”

   “ห๊ะ! เดี๋ยวนะ เร็วไปไหม แล้วก็เอาแต่มองหน้าเรา ตกลงว่าขอโทษใครกันแน่”

   “เราพูดแล้ว” พฤกษ์อ้าง

   “พูดใหม่ดีๆ” น้ำเองก็ยังออกคำสั่ง

   “พูดใหม่ก็เหมือนเดิม”

   “พฤกษ์”

   “คือ...ว่า…” ไม้แทรกการสนทนาเข้ามาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ไม่ต้องขอโทษเราก็ได้นะ เราไม่เป็นอะไรแล้ว แค่นี้ก็พอ”

   “ไม่ได้นะไม้” น้ำปฏิเสธทันที “ยังไงก็ต้องให้พฤกษ์ตั้งใจขอโทษไม้ให้ได้ ไม้เป็นผู้เสียหายนะ… ว่าไง จะขอโทษดีๆได้หรือยัง”

   “...............” พฤกษ์นิ่งเงียบ เขาเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

   “ขี้เก็ก ปากหนัก อีโก้ งี่เง่า เอาแต่ใจ” น้ำแสร้งทำเป็นนับนิ้วไล่ตามคำพูดตัวเอง “เห้ออออ มาครบเลย สงสัยจะมาได้แค่นี้ละม้างงง”

   “ไอ้...ไอซ์” พฤกษ์กึ่งพูดกึ่งถอนหายใจ “ขอกูคุยกับแฟนมึงหน่อยได้ไหม”

   “...............” ไอซ์มองสลับสถานการณ์ไปมาช้าๆอย่างพิจารณาอยู่สักพัก แต่ในที่สุดเขาก็ยอมเลื่อนตัวออกข้างๆเพื่อให้พฤกษ์และไม้ในสื่อสารกันโดยไม่มีใครขว้างกั้น

   “เอ่อ….” พฤกษ์ก้าวเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ไม้รีบถอยห่าง

   “ไม่เป็นไร” น้ำคือผู้ประโลมความกลัวของเด็กหนุ่มแว่นใสด้วยการเดินไปยืนเคียงข้างและแตะสัมผัสเบาๆที่หลัง “รับรองว่าพฤกษ์ไม่ทำอะไรหรอก”

   “ก...ก็ได้” ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ไม้ยังยืนนิ่งตัวแข็ง

   “ผมขอ….โทษนะครับ” พฤกษ์เริ่มพูดอีกครั้ง แม้จะดูขัดเขินไม่น้อย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพยายามพูดออกมาอย่างเต็มที่แล้ว “ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บตัววันนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ”

   “ตั้งใจ!” น้ำขัด “พฤกษ์ตั้งใจ อย่ามาพูดว่าไม่ตั้งใจ ให้พูดขอโทษ ไม่ได้ให้พูดโกหก”

   “ก็ได้…. ผมตั้งใจครับ”

   “สัญญาด้วยว่าวันหลังจะไม่ทำนิสัยแบบนี้อีก”

   “อะไรนะ!”

   “พ...พอเถอะนะ” ไม้รีบพูด “แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าต้องพูดอะไรกันไปมากกว่านี้อีกเลย”

   “แน่ใจนะ” น้ำถาม “ไม้โอเคแล้วใช่ไหมที่พฤกษ์ขอโทษแค่นี้ วันนั้นไม้โดนบอลกระแทกแรงมากนะ”

   “โอเคแล้วจริงๆ คือจริงๆแล้วเรามีบางอย่าง...เอ่อ…” ไม้เดินไปหยิบของชิ้นหนึ่งซึ่งวางชันกับผนังห้องใกล้ๆ แล้วนำมายื่นให้กับน้ำ “อันนี้ไม้แบดฯนะ เราซื้อมาให้แทนอันที่พังไป”

   “เห้ยยย จริงดิ” น้ำร้องตาลุกวาว เขารีบรับซองสีดำที่ห่อหุ้มไม้แบดมินตันมารูดซิปออกดู “นี่มันรุ่นเดียวกันกับอันที่หักเลยนี่นา หามาจากไหนอ่ะ มันไม่มีขายในไทยแล้วนิ”

   “ที่บ้านเราหาซื้อมาให้นะ”

   “จาก?”

   “อังกฤษ”

   “ห๊ะ เดี๋ยวๆ แล้วราคาเท่าไหร่อ่ะ มาๆ เดี๋ยวเราจ่ายค่าไม้ให้”

   “ไม่ต้องๆ เรา...ตั้งใจซื้อมาคืนให้อยู่แล้ว”

   “จะบ้าเหรอ ไม้ของ Carton รุ่นนี้ราคาไม่ถูกนะ แถมโรงงานที่ผลิตจะเจ๋งไปเกือบหมด แล้วนี่ยังสั่งมาจากอังกฤษอีก ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่าสี่ห้าพันแน่ๆอ่ะ”

   “ช่างมันเถอะ เราทำพัง เราก็ต้องซื้อคืนให้ซิ”

   “ใครบอกว่าไม้ทำพังล่ะ” พอพูดมาถึงตรงนี้ น้ำก็หันหน้าไปขมวดคิ้วเล็กๆใส่พฤกษ์พร้อมกับหลี่ตา อย่างกับว่าจะสามารถปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาจากดวงตาเพื่อยิงใส่คนที่มองได้

   “เอ่อ…เราจ่ายให้ก็ได้” พฤกษ์รีบควานหากระเป๋าเงินของตัวเองอย่างลุกลี่ลุกลน

   “ไม่ทันแล้วล่ะ” น้ำพูดประชด แล้วเขาก็หันกลับไปคุยกับไม้อีกครั้ง “ขอบใจมากนะไม้ ไม้เป็นคนดีมากเลย นี่เป็นไม้ที่เราอยากได้มากๆเลยนะรู้ไหม พยายามหาซื้อมาตลอดตั้งแต่มันพังไป ไม่คิดว่าไม้จะหาซื้อได้ ขอบใจอีกทีนะ” แล้วน้ำก็สวมกอดหนุ่มแว่นใสเบาๆ “เราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีกว่านะ ปล่อยให้พวกทีมวอลเลย์ฯเขาคุยกัน”

   “น้ำ คือเรา…” พฤกษ์พยายามจะพูดกับน้ำ แต่เด็กหนุ่มผู้ยิ้มแย้มก็เดินจูงมือเด็กหนุ่มแว่นใสอีกคนเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้เขายืนนิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมทีม



   “....................................”



   คงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดไม่น้อยสำหรับการให้คนที่พูดน้อยอย่างเป็นปกติสองคนมายืนอยู่ในห้องเดียวกัน ทั้งคู่ต่างยืนมองหน้ากันสลับกับการมองขิงข่าไปมาสักพักใหญ่



   “เล่นเกมส์ไหม” ในที่สุดไอซ์ก็เป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน “กูเล่นเกมส์อยู่พอดี”

   “อืม เอาดิ” พฤกษ์ตอบตกลง



   พฤกษ์และไอซ์นั่งลงบนพื้นหน้าโซฟา จากนั้นก็หยิบจอยเกมส์ขึ้นมาเล่นเกมส์ยิงผีซอมบี้โดยที่ไม่มีการพูดจาใดๆหลังจากนั้นเลยกว่าสิบนาที



   “ทีมของเราไม่ถูกส่งแข่งรายการชิงแชมป์เอเชียแล้วนะ” พฤกษ์พูดขึ้นระหว่างที่ไอซ์เดินไปหยิบน้ำดื่มมาวางใกล้จุดที่พวกเขาเล่นเกมส์ “พวกเราต้องเข้าแข่งรายการเยาวชนเหมือนทุกปี แล้วสมาคมจะเรียกเข้าแคมป์ด้วยตัวเอง”

   “พูดจริงเหรอ” นี่คงเป็นครั้งแรกของบทสนทนาในวันนี้ที่พวกเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ซึ่งกันและกัน

   “อืม โค๊ชเอกบอกมา ไอ้กั๊กก็เลยส่งกูมาหามึง เพื่อบอกเรื่องนี้”

   “อ๋อ กูก็คิดอยู่ว่ามึงคงไม่ได้อยากจะมาขอโทษไม้จริงๆหรอก”

   “เปล่านะเว้ย กู...ก็ตั้งใจจะมาทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

   “ขอโทษไม้อะนะ”

   “เออ กูยอมรับว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะมาขอโทษแฟนมึง กูแค่คิดว่าจะมาขอโทษมึง แต่ไอ้ที่ขอโทษไปแล้ว กูก็ตั้งใจขอโทษเขาจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องโกหก”

   “อืม ถ้ามึงพูดแบบนั้นก็โอเค กูไม่ใช่คนเจ็บ ไม้เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงด้วย เขาคงกลัวมากกว่า”

   “อืม….. เออไอ้ไอซ์ กูถามหน่อยดิ สรุปว่าตอนนี้ มึงคบกับไม้ในฐานะไหนกันแน่วะ”

   “หมายความว่ายังไง”

   “มึงเคยพูดว่าที่มึงคบกับเขาเพราะผลประโยชน์ แต่พอเกิดเรื่องขึ้น มึงก็พลานมาโกรธกูด้วย กูก็เคยทำไม่ดีกับแฟนเก่าๆของมึง บางทีก็มากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่มึงก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”

   “....................” ไอซ์นิ่งไปสักพัก “กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ”

   “เหรอวะ แต่มึงไม่คุยกับกูเป็นอาทิตย์เลยนะ”

   “กูไม่ใช่คนชอบพูด”

   “อืม ก็คงงั้น กูเข้าใจ เพราะกูก็ไม่ชอบพูดเหมือนกัน”

   “แล้ว….มึงจะเล่นเกมส์อีกไหม”

   “พอแล้วดีกว่าว่ะ กูต้องไปส่งน้ำอีก ครูกันไม่อยากให้เขากลับค่ำ”

   “เออ งั้นก็รีบกลับเหอะ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวกูไปเรียกให้”



   จากนั้นไอซ์ก็เดินไปเคาะห้องนอนตัวเองเพื่อเรียกให้น้ำเดินทางกลับบ้าน







   “น้ำ” บทสนทนาเริ่มขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกลงมาระหว่างที่พฤกษ์ขับรถยนต์ไปส่งเด็กหนุ่มผู้ยิ้มแย้มให้กับบรรยากาศเย็นช่ำรอบข้าง

   “ว่าไง” น้ำขานรับ

   “เราซื้อไม้แบดฯอันใหม่ให้เอาไหม”

   “แหมมม นอกจากจะขี้เก๊กแล้วยังขี้เลียนแบบอีกนะ เห็นไม้ซื้อให้แล้วก็เลยอยากซื้อให้เราบ้างละซิ”

   “ก็น้ำบอกว่าเราเป็นคนทำพัง”

   “แล้วไม่จริงหรือไง”

   “เราก็เลยจะซื้อให้ใหม่ไง”

   “แล้วมันทันไหม ตอนนี้ก็ได้อันใหม่แล้วเนีย ถ้าพฤกษ์คิดจะรับผิดชอบจริงๆก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้หรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าซื้อมาให้เราอีกก็คงต้องเอาไปถมที่แทนแล้วล่ะ ใครจะไปตีพร้อมๆกันทีละหลายๆไม้ได้ล่ะ”

   “ก็อีกแค่อันเดียวเอง”

   “ไม่เอาแล้ว พี่มีอยู่ก็เยอะแล้ว แต่ที่เรารับไม้นี้มาก็เพราะมันเป็นไม้รุ่นโปรดของเรา หาซื้อก็ยาก แล้วก็แพงด้วย ท่าทางว่าพ่อแม่ของไม้จะรวยมากเลยเนอะ ว่าไหม ดีจังเลยเนาะ ทั้งนิสัยดี ฐานะก็ดี หน้าตาก็น่ารัก เห็นว่าเรียนเก่งจนเคยไปแข่งโอลิมปิกเคมีด้วยนิ ภูมิใจแทนพ่อแม่ของไม้จัง”

   “..............”

   “อะไรอ่ะ เงียบอีกแล้ว เป็นอะไรอีก”

   “น้ำชมไม้ตลอดเลย”

   “อ้าว ไม่ให้ชมแล้วจะด่าหรือไงล่ะ คนเขาเป็นคนดี แล้วเราก็พูดความจริงด้วย”

   “แต่ก็ไม่เห็นต้องกอดกันเลยนี่นา”

   “กอด….!?? เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องไหนอีกแล้วเนีย... กอดไหนหว่า……..? อ๋อออออ ที่กอดขอบใจเรื่องไม้แบดฯอะเหรอ”

   “ใช่”

   “โอ๊ะ จะมาอิจฉาทำไม มันก็แค่การกอดแสดงความขอบคุณ พฤกษ์เองก็เคยกอดเรา ยังไม่เห็นจะมีใครมาอิจฉาพฤกษ์เลย”

   “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกอดกับใครก็ได้นิ”

   “จะมาหึงทำไม ยังไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”

   “แล้วถ้าเรากอดคนอื่นบ้างล่ะ”

   “ก็เรื่องของพฤกษ์ซิ จะกอดใครก็กอดไป แต่ถ้ากอดแล้วก็อย่ามายุ่งกับเราอีกละกัน”

   “ไม่ยุติธรรมเลย”

   “ยุติธรรมซิ เราคือความยุติธรรมไง”

   “.....................” พฤกษ์ถอนหายใจยาว เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไรต่อไปสำหรับสถานการณ์เช่นนี้

   “โอ๋ๆๆ ล้อเล่น เราไม่กอดใครพร่ำเพรื่อหรอกน่า”



   #เสียงโทรศัพท์



   “ใครโทรมาอีกแล้วละเนีย” น้ำจ้องมองหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะรับสาย “ฮัลโหลครับ…………… ครับใช่ครับ……………..เอื้อ? เอื้อไหนอ่ะ……………..ห๊ะ! น้อง ม.4 แล้วโทรหาพี่ทำไมครับ………….... เห้ออออ เอ่อออ ขอโทษนะครับ พี่ไม่ชอบคนที่เด็กกว่า”

   “ใครโทรมาอ่ะ” พฤกษ์หลุดถามทันที เขาจ้องมองคนที่นั่งข้างๆตาเขม็ง

   “มองทางดิ!” น้ำรีบเตือน

   “ไม่ ถ้าไม่วางสาย เราจะไม่มองทาง”

   “ไอ้บ้าพฤกษ์” น้ำที่เคยมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าตลอด บัดนี้มีสีหน้าตื่นตกใจอย่างมาก เขารีบใช้มือของตัวเองเอื้อมไปจับพวงมาลัยรถยนต์อย่างทุลักทุเล “น้องครับๆ แค่นี้ก่อนนะ”

   น้ำโยนโทรศัพท์ทิ้งทันทีโดยไม่สนใจว่ามันจะหล่นลงตรงไหน เพราะตอนนี้เขาห่วงความปลอดภัยของตัวเองเป็นที่สุด

   “จอดๆๆๆ จอดรถเดี๋ยวนี้เลย” น้ำโวยวาย

   “จอดทำไม” พฤกษ์ไม่ทำตาม

   “บอกให้จอดไง!!!!” คนตัวเล็กแผดเสียงดังด้วยความโมโหแบบที่พฤกษ์ไม่เคยเห็นมาก่อน

   “..............” เด็กหนุ่มหน้านิ่งจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจอดรถยนต์เข้าข้างทางตามคำสั่งเท่านั้น

   “เปิดประตูรถ” น้ำพยายามดึงสลักประตูอย่างบ้าคลั่ง

   “จะไปไหน?” พฤกษ์เริ่มเป็นกังวล

   “บอกให้เปิดประตูรถ” เด็กหนุ่มตัวเล็กยังคงแผดเสียงดัง

   “ไม่...ไม่เปิด ยังไงเราก็ไม่เปิด” แล้วไฟก็เริ่มปะทะไฟด้วยว่าทั้งคู่ต่างไม่ยอมกัน อีกคนกำลังโมโหสุดขีด ส่วนอีกคนก็ต้องการความสนใจอย่างที่สุดเช่นกัน

   “จะเปิดไม่เปิด”

   “ไม่ ครั้งนี้เราไม่ทำตามที่น้ำบอกเด็ดขาด”

   “...................................” เมื่อไม่ได้ดั่งใจที่ต้องการ น้ำจึงหันกลับมานั่งขมวดคิ้วและกอดอกแน่น แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน

   “ขอโท….”

   “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” น้ำตัดบทอย่างโกรธเคือง “กลับไปส่งเราที่บ้านเดี๋ยวนี้ ออกรถเดี๋ยวนี้”

   “น้ำครับ” พฤกษ์รู้ตัวดีว่าครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงต้องพยายามพูดกับคนตัวเล็กข้างๆ

   “บอกว่าไม่ต้องพูดไง”

   “น้ำ…” คราวนี้พฤกษ์เอื้อมมือไปจับแขนของคนตัวเล็กหวังจะง้องอน

   “อย่ามาจับนะ” เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าสะบัดมือของคนที่เอื้อมมาออกไปอย่างแรง แล้วจากนั้นก็คือการหยิบขวดน้ำขึ้นมาตีที่ร่างของคนตัวใหญ่แบบไม่ยั้งมือ

   “โอ๊ย อ...โอ๊ย โอ๊ย พ...พอแล้ว โอ๊ย”

   “แกมันบ้า! ไอ้บ้าพฤกษ์! ทำแบบนี้ได้ไง เคยห่วงความปลอดภัยของคนอื่นบ้างไหม ทำอะไรเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงคนอื่น ประมาท ไอ้บ้า ไอ้คนไม่มีความคิด ไอ้….”

   “พอแล้ว” พฤกษ์จับมือสองข้างของคนตัวเล็กผู้เกรี้ยวกราดไว้แน่น “เราเจ็บนะ”

   “เจ็บเหรอ ถ้ารถคว่ำหรือชนขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่เจ็บหรอกนะ ทำไมถึงทำแบบนี้ ห๊ะ ไอ้บ้าพฤกษ์ แกนี่มันควรจะโดนทุบให้ตาย”

   “เรา...เราขอโทษ ข...ขอโทษครับ” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พฤกษ์ได้ใช้ทักษะในการเคลื่อนที่เร็วนอกสนามแข่งขันเพื่อหลบหลีกการโจมตีของคน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดความเกรี้ยวกราดของไฟโกรธานี้ได้เลย จนเขาต้องรีบนึกหาทางออก “ถ้าไม่หยุดตี เราจูบน้ำจริงๆนะ”

   “...................” ไม่น่าเชื่อว่าการขู่นี้จะได้ผล แต่… “ปล่อย!”

   แม้น้ำจะหยุดฟาดงวงฟาดงาและเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย แต่ความนิ่งนี้ ดูจะเป็นความโกรธที่มากกว่าเดิมเสียอีก

   “น..น้ำ เรา…”

   “ปล่อยมือ” น้ำเสียงนี้ช่างเรียบนิ่งสนิทเหมือนทะเลสาปดำมืดยามค่ำคืน

   “...............” พฤกษ์จึงต้องยอมปล่อยการพันธนาการออก

   เด็กหนุ่มนักแบดมินตันกลับมานั่งสงบนิ่งและควานหาโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วก็กลับมานั่งนิ่งสนิทอีกครั้ง ดวงตาของเขาไม่ฉายแววอะไรทั้งนั้น

   “........................................................................................” แล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้น

   “เรา...ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้น้ำถูกใจ” พฤกษ์ตัดสินใจพูดออกมาช้าๆ พร้อมกับค่อยๆขยับระบบบังคับรถยนต์อย่างจำยอม “เราไม่รู้วิธีเข้าหาใคร จีบใครก็ไม่เป็น เราทำอะไรก็เหมือนจะไม่ถูกใจน้ำสักอย่าง เราก็แค่…. เรารู้อย่างเดียวว่าเราหึงมาก เราไม่อยากให้ใครโทรมาจีบน้ำเพราะเรารู้ดีว่าเราจีบน้ำสู้คนอื่นไม่ได้ แต่สุดท้ายเราก็ทำพังซ้ำแล้วซ้ำอีก เราไม่อยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่เคยชนะในสายตาของน้ำเลย...แม้แต่ตอนนี้”

   “...................................”

   ผ่านไปกว่าอึดใจหนึ่ง น้ำค่อยๆเหลือบมองคนตัวใหญ่ที่กำลังขับขี่รถยนต์ด้วยใบหน้าซึมเศร้า

   พฤกษ์ที่เคยมีเพียงสีหน้าเดียว บัดนี้เขาเหมือนคนอมทุกข์ที่กลัวการพูดหรือลงมือทำสิ่งใดๆอีกต่อไป

   “เจ็บ….ไหมอ่ะ” น้ำเอ่ยถามเอื่อยๆ

   “ไม่ครับ” พฤกษ์ถนอมคำพูดตัวเองให้มากที่สุด

   “ขอโทษนะ เราแค่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ เราไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพพิการอีกรอบ มันไม่สนุกเลย”

   “เราผิดเองที่ทำอะไรไม่คิด” แล้วแว็บหนึ่งพฤกษ์ก็เผลอลูบคอตัวเอง ซึ่งมันทำให้มองเห็นรอยซ้ำแดงๆที่คอซึ่งน่าจะเกิดจากการถูกตีด้วยขวดน้ำเมื่อสักครู่

   “จ...เจ็บมากไหม” น้ำเริ่มสำนึกผิดบ้าง เขาเอื้อมมือไปลูบต้นคอของคนที่กำลังขับรถเบาๆ

   “ไม่เป็นไรครับ เราสมควรโดนแล้ว... ต่อไปถ้าเราทำอะไรผิดหรืออยากให้เราทำอะไร น้ำบอกมาเลยนะ เราจะปรับปรุงตัวเอง เราไม่อยากคิดหาวิธีเองอีกแล้ว เรากลัวจะทำให้น้ำไม่พอใจอีก” แล้วพฤกษ์ก็ใช้มือของเขาจับมือเล็กๆของคนข้างๆมาแนบแก้มของตนพร้อมกับคลอเคลียไปมาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งลูกแมวน้อยที่อิ่มเอมไปกับการได้รับความดูแล

   “ไอ้พฤกษ์บ้า” น้ำพูดอย่างเขินอาย “ไหนบอกว่า……………..







   ………………..จีบใครไม่เป็นไง”




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พฤกษ์นี่คล้ายๆ ฮัสกี้ ดูเท่ๆ คูลๆ แต่จริงๆ แล้วนิ่งๆ เพราะเข้าหาใครไม่เป็น
พยามเข้าล่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
Seven Spike VC - กำราบหัวใจนายลูกยาง

ตอนที่ 12

เสียงตบที่ไร้หัวใจ (2) : แฟน









      “เอ่อ...ไอซ์” เสียงหวานๆของเด็กหนุ่มผู้สวมแว่นใสเอ่ยถามขึ้นจากระเบียงห้องอพาร์ทเม้น เขาก็คือไม้นั่นเอง ผู้ซึ่งมาขลุกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจากคำขอของไอซ์เพื่อให้มาช่วยทำการบ้านกองโต “กาน้ำร้อนอยู่ตรงไหนเหรอ”

   “ไม่มีหรอก” ไอซ์ตอบเรียบๆ เขายังคงจ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเล่นเกมส์เพลสเตชั่น

   “แล้วเราจะทำบะหมี่ได้ยังไงอ่ะ” ไม้ถามอีก “ก็ถ้าไม่มีน้ำร้อน เราคง…”

   “ทำมาเถอะน่า” เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมแสดงอาการหงุดหงิดออกมาจากน้ำเสียง “ไม่เห็นกระทะไฟฟ้าหรือไง”

   “ก...กระทะเหรอ” ไม้มองซ้ายมองขวาที่บริเวณเครื่องครัวซึ่งวางกองกันบนโต๊ะอย่างพิจารณา “มันหน้าตาเป็นยังไงเหรอ”

   “..........” ในที่สุดไอซ์ก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็วางจอยเกมส์ลงและลุกเดินไปที่ระเบียงอย่างอารมณ์เสีย เขาลื้อเอาหม้อไฟฟ้าสีแดงออกมาตั้งด้วยใบหน้าหงิกงอ “ต้มสองห่อนะ”

   “เอ่อ..คือ…” เหมือนกับว่าไม้จะยังมีขอสงสัยอยู่ เขาเอาแต่จ้องมองหม้อไฟฟ้าอย่างฉงน

   “อะไรอีก”

   “มัน...ใช้งานยังไงเหรอ”

   “ก็ใส่น้ำแล้วก็เสียบปลั๊กไง”

   “แล้ว…”

   “สรุปว่าจะทำหรือไม่ทำ”

   “ท...ทำ แต่…”

   “ก็ทำสักทีดิ แล้วก็อย่าถามมาก กำลังเล่นเกมส์” เด็กหนุ่มร่างสูงเดินกลับเข้าห้องอย่างหัวเสีย ปล่อยให้คนใส่แว่นทำสิ่งที่เขาต้องทำต่อไป



   เอาเข้าจริงๆแล้ว ไอซ์ไม่ได้รู้สึกว่าอยากทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขนาดนั้นหรอก แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับพฤกษ์ และสังเกตุเห็นว่าตัวเขาเองนั้นมีความผิดปกติด้านอารมณ์มากเพียงใด

   ทำไมช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาจึงห่วงใยเด็กหนุ่มแว่นใสขนาดนั้น แคร์มากเสียจนเป็นเดือดเป็นร้อนและยอมทะเลาะกับเพื่อนร่วมทีมเพียงเพราะเขาถูกทำร้ายร่างกายนิดหน่อย

   แน่นอนว่าจุดประสงค์ในการ(หลอก)คบกับไม้คือการหาคนรับใช้ส่วนตัวสำหรับปีการศึกษานี้เท่านั้น ซึ่งไม้เองก็ทำตามคำขอร้องเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทำการบ้านและรายงานของเขา ด้วยระดับสติปัญญาขั้นสูงของเด็กหนุ่มสวมแว่น ตลอดการคบหากันช่วงสองสามสัปดาห์นี้ ไอซ์จึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องวิชาการอีกเลย แม้กระทั่งวันนี้ที่เด็กหนุ่มเรียกให้แฟนหลอกๆของเขามาที่หอพักเพื่อช่วยทำรายงานกองโตให้ ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

   ดังนั้นหลังจากนี้ ไอซ์คิดว่าเขาจะหาเรื่องใช้งานเด็กหนุ่มแว่นใสให้หนัก ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ทำความสะอาดที่พัก หรืออะไรก็ตามที่เขาพอจะคิดออกเพื่อช่วยย้ำเตือนให้เขาหนักแน่นในแนวทางของตนเอง เขาต้องไม่รู้สึกห่วงใยเด็กหนุ่มตัวเล็กคนนั้นเหมือนๆกับที่เขาไม่เคยแคร์แฟนคนใดเลยก่อนหน้านี้





   เพล้งงงง

   “โอ๊ยยยยยซซซซ…!!!”

   “เกิดอะไรขึ้น” ไอซ์ดีดตัวขึ้นไปนอกระเบียงทันที “เห้ย!!”

   ภาพที่เห็นคือหม้อไฟฟ้าล่วงอยู่บนพื้นพร้อมกับน้ำร้อนที่หกกระจายไปเต็มพื้นรวมถึง...ที่มือของไม้ด้วย

   “ข...ขอ….ขอโทษ” ไม้น้ำตาคลอออกมาทั้งที่เสียหลักอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มแว่นใสค่อยๆลุกขึ้น “อ...โอ๊ยย”

   “ทำบ้าอะไรเนีย” ไอซ์ร้องบอก “อย่าๆๆ อย่าก้าวมาตรงนี้ เดี๋ยวก็โดนน้ำร้อนอีกหรอก”

   “ร...เรา...ขอโทษ”

   “รีบเอาน้ำเย็นล้างมือก่อนเร็ว” ไม้ตัดสินใจกระโดดข้ามน้ำร้อนไปกันคนตัวเล็กให้ออกจากจุดเกิดเหตุ แล้วก็รีบเอื้มมือไปถอดปลั๊กสายไฟ

   “.........อึ๊ก..” มีเสียงสะอื้นดังขึ้นมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม้พยายามกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา

   “จะร้องไห้ทำไม บอกให้รีบเอาน้ำเย็นล้างไง” ไอซ์ดุคนตัวเล็กที่บัดนี้น้ำตาไหลออกมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   “ข...ขอโทษ เราไม่… ไม่เคยต้มบะหมี่มาก่อน” ไม้สารภาพพร้อมปาดน้ำตาออก และโทษตัวเองในเรื่องนี้ “เรา...ต้มบะหมี่ให้ไอซ์ไม่ได้”

   “ช่างมันเถอะน่า เอามือมานี่” ไอซ์ดึงแขนเล็กๆของคนตรงหน้าไปวางในซิงค์ล้างหน้าที่อยู่ใกล้ๆ เขารีบเปิดน้ำใส่รอยแดงเข้มที่ถูกน้ำร้อนลวก

   “โอ๊ยยย!!!”

   “อดทนหน่อยดิ”

   ให้ตายเหอะ อ่อนแออะไรขนาดนี้….ไอซ์คิด

   น้ำร้อนปริมาณเล็กน้อยนั้น ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อผิวหนังอันขาวเนียนของเด็กหนุ่มแว่นใสอย่างมาก มันปรากฏรอยแดงเข้มออกมาทันทีทันใด ช่างบอบบางเหลือเกิน หากจะเปรียบไปแล้ว อย่างกับว่าเพิ่งจะถูกค้อนอันใหญ่ทุบลงไปบนเปลือกไข่บางๆซึ่งไม่เคยโดนลมหรือแดดเลย



   “เดี๋ยวเราทำความสะอาดให้นะ” ไม้รีบแสดงความรับผิดชอบทันทีหลังจากล้างรอยน้ำร้อนลวกเสร็จ

   “เห้ย อย่าทำแบบนั้น” ไอซ์รีบดึงมือของเด็กหนุ่มแว่นใสไว้ “เอาผ้าไปเช็ดตรงๆตอนน้ำยังร้อนได้ไง เดี๋ยวก็โดนลวกอีกรอบหรอก”

   “แล้ว...ต้องทำยังไงอ่ะ”

   “ไปเอาไม้ถูพื้นมาถูดิ”

   “ร...เหรอ” ไม้เดินไปหยิบไม้ทำความสะอาดอันหนึ่งมา

   “อะไรน่ะ?” ไอซ์แปลกใจ

   “ก...ก็...ทำความสะอาดไง”

   “นี่มันไม้เช็ดกระจก มันใช้ถูพื้นได้ที่ไหน”

   “อ้าว เหรอ แล้ว...อันไหนคือไม้ถูพื้น”

   “ไม่รู้จักไม้ถูพื้นเหรอ?”

   “เอ่อ…” เด็กหนุ่มร่างบางเดินไปหยิบไม้อีกอันมา “อันนี้เหรอ”

   “ใช่ แต่ต้องใส่ผ้าม็อบก่อน”

   “ผ้าม็อบ… คืออะไร?”

   “ห๊ะ…. เห้อ เอามานี่มา เดี๋ยวทำเอง บอกไปก็เรื่องยาวอีก ไปกวาดพื้นในห้องโน่นไป” ไอซ์แย่งอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากคนตรงหน้า แล้วจัดการน้ำร้อนที่หกเต็มพื้น เพียงแต่… “ยืนทำอะไรน่ะ”

   “ค...คือ…” ไม้ยืนเกาหัวอยู่หน้าแท่นวางอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน

   “นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักไม้กวาด”

   “ก็…”

   “เห้อออ” ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถถอนหายใจถึงสองสามครั้งภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที “อ่ะ นี่ อันนี้เรียกว่าไม้กวาด ใช้กวาดพื้น”

   “อ...โอเค” คนตัวเล็กรีบคว้าไม้กวาดและวิ่งกลับเข้าไปในห้องเช่นเดิม



   เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมส่ายหน้าให้กับความซุ่มซ่ามและโง่เขลาของคนตัวเล็ก ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ได้ชื่อว่าเรียนเก่งที่สุดของโรงเรียน จะไร้ซึ่งความฉลาดในทุกเรื่องอื่นๆ เช่นนี้





   “นั่น… กำลังทำอะไร?” หลังจากทำความสะอาดนอกระเบียงเสร็จ ไอซ์กลับเข้ามาในห้อง พบเด็กหนุ่มแว่นใสกำลังใช้ไม้กวาด ไม่ซิ ต้องเรียกว่า พยายามใช้ไม้กวาดทำความสะอาดพื้นห้องอย่างขัดหูขัดตา

   “ก็กวาดพื้นไง” ไม้ตอบกลับซื่อๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นเรียกว่าการทำความสะอาดจริงหรือไม่

   “แล้วกวาดใส่ใต้โซฟาทำไม”

   “แล้ว...จะให้กวาดไปไว้ตรงไหนล่ะ เขาห้ามกวาดออกนอกห้องไม่ใช่เหรอ”

   “ก็เลยกวาดใส่ใต้โซฟาเนียนะ” ให้ตายเหอะ ไม่ไหวแล้วเว้ยยย โง่เกินไปแล้วนะ “พอๆๆๆ เอามานี่มา ให้ทำอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง กับอีแค่กวาดห้องง่ายๆก็ทำไม่เป็น แล้วกวาดแบบนี้มันคงจะสะอาดหรอก เห้ยยย ถอดปลั๊กเกมส์ทำไมอ่ะ”

   “ก...ก็...เรากลัวไฟช็อต”

   “มันจะช็อตได้ไง กวาดห้องนะ ไม่ใช่…. เห้อออ ไปทำอย่างอื่นดีกว่าไป”

   “ทำ? ทำอะไรอ่ะ”

   “ก็……” ถ้าถึงขั้นกวาดพื้นไม่เป็น ให้ทำอย่างอื่นก็คงไม่วายทำผิดพลาดอีก “เอาการบ้านออกมาทำละกัน”

   “แต่เราทำหมดแล้ว”

   “รายงานล่ะ”

   “หมดแล้วเหมือนกัน”

   “งั้น………….” ไอซ์นึกไม่ออกว่าจะหาเรื่องอะไรมาใช้งานคนโง่แบบนี้ได้นอกจากเรื่องวิชาการ

   “งั้นเราต้มบะหมี่ให้ใหม่ก็ได้นะ เดี๋ยวจะรีบ…”

   “ไม่ต้องๆๆ” ไอซ์รีบห้ามเอาไว้ “ดูสภาพก็รู้แล้วว่าทำไม่เป็น ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ไปนั่งอยู่เฉยๆไป”

   “.......................................................................................” ไม้เดินไปนั่งที่โซฟาจริงๆ แต่เขาค่อนข้างนั่งเงียบและก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

   “เป็นอะไร” ไอซ์อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามขณะกำลังกวาดพื้น

   “ป...เปล่า….อึ๊ก” เสียงนี้ใครฟังดูก็รู้ว่ากำลังร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

   “จะร้องทำไมอีก” เด็กหนุ่มร่างใหญ่เริ่มหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมที่คนตัวเล็กเอาแต่แสดงความอ่อนแอออกมาตลอดเวลาเช่นนี้ “ให้นั่งอยู่เฉยๆไม่ชอบหรือไง ถ้าจะร้อง กลับไปร้องบ้านเลยไป เห็นแล้วหงุดหงิด จะสำออยอะไรนักหนาวะ”

   ไอซ์ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สรุปแล้ว การแสดงออกถึงความห่วงใยเกินไปหรือการแสดงความหงุดหงิดเกินไป อันไหนคือจุดที่ไม่เป็นตัวของเขาเองกันแน่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าวันนี้เขาหงุดหงิดมากกว่าที่เคยเป็น บ่นมากกว่าที่เคยบ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คุยกับพฤกษ์ เขารู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย

   “เรา...ขอตัวกลับก่อนนะ” ไม้ปาดน้ำตาด้วยแขนเสื้อและรีบลุกเตรียมตัวออกจากห้อง

   “ด...เดี๋ยว…” ไอซ์เผลอเรียก…. ไม่ กูต้องไม่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอีก “ทำการบ้านเสร็จแล้วแน่นะ”

   “............” เป็นครั้งแรกๆเลยที่ไม้ไม่ตอบคำถาม “ขอตัวนะ”

   “กลับยังไง…”



   บึ๊ก

   ประตูห้องถูกปิดอย่างรวดเร็วด้วยเด็กหนุ่มแว่นใสที่จากออกไป



   ช่างแม่ง…..นั่นคือคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของไอซ์ เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่ได้มีหน้าที่ต้องแคร์ใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีแค่แฟนหลอกๆที่ท่าทางอ่อนแอพึ่งพาอะไรไม่ได้



   ครึ้มมมมมมมมม

   แต่จู่ๆ พายุฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก



   จะกลับยังไงกันนะ….?

   เริ่มมีความคิดกังวลเกิดขึ้นในหัวของไอซ์ต่อเด็กหนุ่มสวมแว่นผู้ที่เพิ่งจะจากไป

   คงไม่กลับหรอกมั้งฝนตกหนักขนาดนี้ อีกสักพักคงกลับขึ้นมาเองนั่นแหละ



   เมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงกลับลงมานั่งเล่นเกมส์ตามเดิม











   …………...นานเกินไปแล้วนะ



   เมื่อผ่านไปกว่าสิบนาทีและไม่มีใครย้อนกลับเข้ามาในห้อง ความกังวลของไอซ์ก็ปะทุขึ้นอย่างห้ามไว้ไม่ได้

   เขารีบเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องเพื่อตรวจสอบดูว่าไม้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว





   “...ยังเจ็บอยู่ไหมน้อง”

   “จ...เจ็บครับ”

   นั่นไม้ใช่ไหมที่นั่งคุยอยู่กับคนแปลกที่ที่ชายคาอพาร์ทเม้น พวกเขาทั้งคู่ตัวเปียกและกำลังจับมือจับไม้ทำอะไรกันบางอย่าง ไอซ์เห็นภาพนี้ทันทีที่เดินออกมาจากตึกหอพัก



   “แล้วเป็นแผลพองขนาดนี้ ทำไมออกไปเดินตากฝนแบบนั้นอ่ะ” ชายแปลกหน้าถาม

   “.............” ไม้ไม่ตอบอะไร แต่ทำท่าเหมือนปาดน้ำออกจากใบหน้า

   “เห้ยๆ เป็นไรน้อง พี่ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ร้องไห้ทำไม” จากนั้นชายคนนั้นก็พยายามจะจับใบหน้าของเด็กหนุ่มสวมแว่น



   “ทำอะไรกัน!!” ไม่รู้ว่านี่คือความตั้งใจหรือการพูดออกไปเพราะเผลอกันแน่ แต่ไอซ์ก็ตะโกนออกไปเรียบร้อยแล้ว

   “อ...ไอซ์” ไม้หันหลังกลับมามองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาแดงก่ำ และ…

   “ทำไมมือถึง…” ไอซ์อ้าปากค้างเมื่อเห็นแผลพุพองที่บริเวณมือซ้ายซึ่งถูกน้ำร้อนลวก ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่รอยสีแดง แต่บัดนี้มีน้ำใสๆพองขึ้นมาแล้ว

   “ม...ไม่เป็นไร” ไม้รีบซ่อนมือของเขาไว้ข้างหลัง “โอ๊ย!” แต่เขาก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อแผลบังเอิญไปสัมผัสโดนเสื้อผ้า

   “เห้ยไอ้น้อง” ชายแปลกหน้ารีบคว้าแขนของเด็กหนุ่มแว่นใสให้แผลอยู่ห่างจากทุกสิ่ง “อย่างเพิ่งขยับดิ พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่านะ ไปๆ เดี๋ยวพี่พาไปคลินิก”

   “เห้ยพี่” ในที่สุดไอซ์ก็เข้าไปขว้างการสนทนาของคนทั้งสองเบื้องหน้า “เดี๋ยวผมพาไปเอง”

   “แล้วน้องเป็นใคร?” ชายแปลกหน้าถาม

   “ผมเป็น…” ไอซ์พักจังหวะคิดชั่วคราว “เพื่อนของเขา”

   “เพื่อน?”

   “พี่ครับ… ช่วยพาผมไปหาหมอหน่อยครับ” นั่นไม่ใช้คำขอร้องที่ไม้พยายามพูดกับไอซ์ แต่เขากลับพูดขอต่อชายแปลกหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาหยดใหม่

   “แต่เพื่อนน้องบอก…”

   “พาผมไปเถอะครับ” เด็กหนุ่มสวมแว่นยิ่งหลั่งน้ำตาออกมาหนักขึ้น เขาเขย่าแขนของชายแปลกหน้าอย่างเร่งเร้า “นะครับ นะ พาผมไปที”

   “อ...โอเคๆ ไม่ต้องร้องๆ เดี๋ยวพี่พาไปเดี๋ยวนี้แหละ”

   “ม...ไม้…” ไอซ์ไม่แน่ใจนักว่าเหตุผลกลใดเด็กหนุ่มสวมแว่นจึงไม่สนใจความช่วยเหลือของเขา แม้เขาจะพยายามรั้งคนตัวเล็กไว้ แต่ไม้ก็ยกมือหลบการแตะสัมผัสและออกเดินไปกับคนแปลกหน้าทั้งน้ำตา

   ทั้งสองขึ้นรถยนต์สีขาวที่จอดอยู่ไม่ไกลและขับออกไปทันที









   ตื๊ดดดดด…...

   ตื๊ดดดดด…….

   ตื๊ดดดดด………..

   ตื๊ดดดดด…………….. ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



   ไม่รับโทรศัพท์

   หมายความว่าไง ทำไมไม้ไม่รับโทรศัพท์เลย

   ไอซ์ใช้ความพยายามอย่างยิ่งหลังจากแยกกับเด็กหนุ่มสวมแว่น เขาโทรไปหาปลายทางกว่ายี่สิบครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆเลย

   นี่เป็นความร้อนใจอย่างไม่สามารถโกหกตัวเองได้ของไอซ์ เด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาเพื่อคิดหาวิธีที่จะติดต่อกับไม้ให้ได้



   ครูกัน!!

   ใช่แล้ว ถ้าจะมีใครที่สามารถหาทางให้เขาติดต่อกับไม้ได้ ก็คงจะต้องเป็นครูกันนี่แหละ





   “ฮัลโหล” ครูกันรับสายของเขาไม่นานหลังจากติดต่อในครั้งแรก

   “ครูกันใช่ไหมครับ” ไอซ์ถาม

   “ใช่ ใครเนีย”

   “ไอซ์ครับ เอ่อ… ณัฐวุฒิครับ”

   “อ๋อ ไอซ์ มีอะไร”

   “ผมอยากถามครูเกี่ยวกับที่อยู่ของไม้อะครับ”

   “ที่อยู่!? เดี๋ยวๆๆ ครั้งที่แล้วเธอก็ขอเบอร์โทรศัพท์ของไม้จากครูไป ครั้งนี้ยังจะขอที่อยู่อีกเหรอ มีอะไรกันแน่”

   “พอดีว่าเกิดอุบัติเหตุกับเขานิดหน่อย ผมอยากไปดูอาการครับ”

   “อุบัติเหตุ!”

   “ไม่ได้ร้ายแรงครับ แค่น้ำร้อนลวก”

   “สำหรับไม้ใช้คำว่า ‘แค่’ ไม่ได้หรอกนะ ร่างกายเขาอ่อนแอมาก ไม่ได้แล้วครูต้องไปดูเขาหน่อยดีกว่า (ครูจะไปไหนครับ?)”

   เอ๊ะ? เสียงคุ้นๆ “ครูอยู่กับไอ้กั๊กเหรอครับ”

   “ใช่ ครูกำลังจะไปส่งกั๊กกลับบ้าน พอดีว่าเรามาคุยกับโค๊ชเอกนิดหน่อย”

   “ครูไปส่งมันเถอะครับ เดี๋ยวผมไปหาไม้เอง”

   “นี่มันดึกแล้วนะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมไปได้”

   “แล้วเธอกล้าเข้าบ้านของผู้การเหรอ”

   “ผู้การ?”

   “ใช่ซิ ไม้เป็นลูกชายของผู้การตำรวจ”

   “!!!!.....................”

   “อัลโหลไอซ์ ยังอยู่ในสายหรือเปล่า”

   “ค...ครับ ยังอยู่ครับ”

   “อืมมม จริงๆพอมาคิดๆดูแล้ว ครูก็คงไปเองไม่ได้หรอก ไม่อยากส่งกั๊กกลับบ้านดึก งั้น… ครูรบกวนไอซ์หน่อยก็แล้วกันนะ ช่วยไปดูอาการของไม้ให้หน่อย ได้ความยังไงก็ค่อยมาบอกครูละกัน เดี๋ยวครูส่งโลเคชั่นไปให้นะ เบอร์นี้แอดไลน์ได้เลยใช่ไหม”

   “ค...ครับ ได้ครับ”

   “งั้นฝากดูไม้ให้ครูทีนะ”











   “..................................................” เอายังไงดี จะกดอ๊อดดีไหมวะ

   เด็กหนุ่มจอมขรึมยอมรับกับตัวเงว่ามีความประหม่าอย่างมากหลังจากเดินทางมาถึงบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของเด็กหนุ่มแว่นใสและครอบครัว เขายืนนิ่งจ้องมองปุ่มกดกระดิ่งสลับกับตัวบ้านหลังใหญ่อลังการไปมาอยู่อย่างนี้กว่าสิบนาทีแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือกดสิ่งใด



   “ขอบใจมากเลยนะที่พาไม้ไปหาหมอให้”

   !!!!

   ใครบางคนกำลังเดินคุยกันอยู่ที่หลังรั้ว ไอซ์รีบใช้จังหวะนี้หลบเข้าพุ่มไม้สูงที่ประดับตกแต่งหน้าบ้านโดยอัตโนมัติ

   “ยินดีครับท่าน” อีกเสียงหนึ่งของคู่สนทนาตอบกลับ

   ไอซ์อดไม่ได้ที่จะลอบมองออกไป และได้เห็นว่าชายแปลกหน้าที่เขาพบที่หน้าหอพักนั่นเองที่เดินออกมาจากรั้วบ้านพร้อมกับนายตำรวจคนหนึ่ง

   “แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน” นายตำรวจร่างสูงใหญ่ถาม “ทำไมลูกชายของผมถึงมีแผลไฟลวกได้ พอจะรู้ไหม เพราะผมถามยังไง เจ้าไม้ก็ไม่ยอมบอก”

   “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนที่พาไปหาหมอเขาไม่ได้บอกอะไรผมเลย แล้วน้องเขาก็เอาแต่ร้องไห้ ผมก็เลยไม่กล้าจู่จี้ถามอะไรมาก”

   “นั่นซินะ เจ้าน้ำร่างกายอ่อนแอ โดนอะไรนิดหน่อยก็เจ็บกว่าคนปกติเขา ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรลูกชายของผมก็ช่วยบอกทีนะ ผมจะจัดการให้เด็ดขาดเลย เล่นกับใครไม่เล่น ลูกของผมคนนี้ แม้แต่ยุงสักตัวผมยังไม่ให้กัดเลย ครั้งนี้น้ำร้อนลวก ครั้งที่แล้วก็โดนอะไรตีแขนมาก็ไม่รู้ มาโดนทำแบบนี้ มันลูบคมกันชัดๆ”

   “ถ้าผมรู้อะไรเพิ่มเติมจะโทรมาบอกท่านให้นะครับ”

   “ขอบใจมากๆ แล้วนี่จะกลับเลยใช่ไหม ไม่อยู่กินอะไรด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวผมให้เด็กๆไปซื้อให้”

   “ไม่หรอกครับท่าน ไม่รบกวนดีกว่า แล้วผมก็มีงานที่ต้องไปจัดการแต่เช้าด้วย”

   “อ๋อ งานที่เล่าให้ฟังนั่นนะเหรอ”

   “ใช่ครับ”

   “ยังไงก็ขอให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจนะ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลย”

   “ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ถ้ายังไง ผมขอตัวเลยก็แล้วกันนะครับ”

   “โอเคๆ เดินทางปลอดภัยนะ”

   “สวัสดีครับท่าน”

   แล้วในที่สุดรถยนต์ของชายแปลกหน้าก็ขับออกไป พร้อมๆกับที่นายตำรวจร่างใหญ่เดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง

ออฟไลน์ Kings Racha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
   “................................”

   ทุกสิ่งดูจะเคลื่อนไหวไปตามสัจธรรมของมัน ยกเว้น… ไอซ์ เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในที่ซ่อน บางทีเขาก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ได้กำลังหายใจอยู่



   ไม้เป็นลูกของคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจบารมีขนาดนี้เลยเหรอ….. จ...จะทำยังไงดี เราทำกับเขาไว้หนักเสียด้วยซิ





   ‘ไม้ เรามาหา ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านนะ’ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลใดที่ทำให้ไอซ์ตัดสินใจพิมพ์ข้อความไลน์ไปหาเด็กหนุ่มแว่นใส บางทีเขาอาจไม่ได้คิดอะไรด้วยซ้ำ แค่ปล่อยให้สัญชาตญาณพาไป



   -อ่านแล้ว-



   ‘..............’ มีการอ่านข้อความแต่ไม่มีการตอบกลับมาแต่อย่างใด

   ‘ถ้าไม่ตอบข้อความ เราจะกดอ๊อดแล้วนะ’ เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมรู้ดีว่าเขาทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการขู่ไม้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง หากเขากดอ๊อดจริงๆก็อาจจะทำให้เลี่ยงการพบกับพ่อจอมโหดของไม้ไม่ได้ ซึ่งนั่นคงถือเป็นผลเสียต่อเขาอย่างร้ายแรง แต่เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้ไม้สนใจเขาแล้ว เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องท้าทายกับความเสี่ยงนี้ ‘เมื่อกี๊เห็นพ่อของไม้ด้วย พ่อบอกว่าจะจัดการคนที่ทำให้ไม้เจ็บ’

   ‘...............’ มีการอ่านแต่ไม่มีการตอบเช่นเคย



   เอาวะ ตายเป็นตาย



   ติ๊งต๊อง ติ๊องต๊อง

   แม้จะต่อสู้กับความกลัวและความกดดันมหาศาล แต่ในเพียงอึดใจเดียว ไม้ก็ตัดสินใจเดินมากดกระดิ่งที่บริเวณรั้วบ้าน



   ถ้าพ่อของไม้ถามว่าเขาคือใคร จะตอบยังไงดีนะ จะโกหกหรือพูดความจริงดี แล้วถ้าเขาถามถึงอาการบาดเจ็บของไม้ล่ะ เราจะบอกไปเลยดีไหม หรือจะเลี่ยงพูดเรื่องอื่น…..





   #เสียงโทรศัพท์



   “ฮัลโหล” ไอซ์รีบกดรับ เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกโล่งใจและดีใจเช่นนี้มาก่อนที่ไม้โทรศัพท์มาหาเขา

   “ทำแบบนั้นทำไม” ไม้พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างชัดเจน

   “ก็ไม้ไม่ยอมคุยกับเราเลย เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

   “แต่นั่นพ่อนะ ถ้าพ่อรู้ว่าไอซ์เป็นคนทำ… ไม่รู้ล่ะ รีบหนีไปเดี๋ยวนี้เลย รีบกลับไปเลยนะ พ่อกำลังจะไปหน้าบ้านแล้ว”

   แม้จะเป็นวินาทีระทึก แต่ลึกๆแล้ว ไอซ์ก็ทั้งแอบปลื้มใจในความเป็นห่วงเป็นใยของเด็กหนุ่มแว่นใส ทั้งยังรู้สึกขบขันเล็กน้อยที่ไม้พูดจารวดเร็วฉะฉานต่างจากเวลาปกติเช่นนี้

   “ไม่ไป” ไอซ์ปฏิเสธ “ไม้ไม่ยอมคุยกับเราเลย ทีตอนนี้ก็มาไล่เรากลับอีก”

   “มันใช่แบบนั้นที่ไหนกันเล่า ถ้าพ่อจับได้ว่าไอซ์เป็นคนที่ไม้ไปขลุกอยู่ด้วยทั้งวันละก็ ไอซ์โดนสอบสวนหนักแน่ๆ ไม่กลัวหรือไง พ่อของไม้ไม่ใช่คนใจดีหรอกนะ”

   “ไม้เป็นห่วงเราเหรอ” (“ใครมาครับ”)

   “น...นั่นเสียงพ่อใช่ไหม!?”

   “ใช่ พ่อไม้กำลังเดินมาแล้ว” เด็กหนุ่มพูดตามความจริงเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของนายตำรวจคนหนึ่งกำลังเดินมาจากไกลๆ

   “รีบหนีเร็ว!” เด็กหนุ่มแว่นใสยิ่งส่งสัญญาณของความร้อนรนออกมาอย่างชัดเจน

   “ไม่ ไม้ต้อง…”

   “อ้อมมาข้างหลัง” ไม้ตัดบท

   “อะไรนะ?”

   “อ้อมมาทางรั้ว เลาะกำแพงบ้านมา เจอกันที่หลังบ้าน มาเลย เร็วๆ เดี๋ยวนี้ อย่าให้พ่อเห็นตัวนะ” ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



   สายโทรศัทพ์ถูกตัด



   “มาหาใครไอ้หนุ่ม” ไม่ทันเสียแล้ว พ่อของไม้มาทันเห็นตัวของไอซ์และกำลังมองเด็กหนุ่มผ่านช่องรั้วเหล็ก

   “เอ่อ… ผมมาหา….ครูกันน่ะครับ” ไอซ์โกหกเท่าที่จะทำได้ “ครูกันอยู่ไหมครับ”

   “ที่นี่ไม่มี มาผิดบ้านหรือเปล่าไอ้หนู” การโกหกได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ

   “อ้าว ไม่มีเหรอครับ สงสัยผมจะมาผิดบ้านจริงๆ งั้นผมขอตัวนะครับ”

   “เห้ยเดี๋ยว”

   !!!!

   ไอซ์ยืนนิ่งสนิททั้งๆที่กำลังพยายามเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

   “ค...ครับ” เขารู้สึกสั่นเล็กๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้

   “หันหน้ามานี่ดิ” นายตำรวจสั่ง

   “.............” ไอซ์ทำอะไรไม่ได้มากนัก ในสถานการณ์นี้เขาคงได้แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น

   “นี่เอ็งเป็น….” เป็นอะไร? อย่าบอกนะว่าเขารู้เรื่องของเราด้วย “....เป็นโจรหรือเปล่า”

   “ครับ!?”

   “มาทำลับๆล่อๆหน้าบ้านแบบนี้ เป็นโจรหรือเปล่า”

   “ป...ป...เปล่าครับ ผมมาตามหาคนเฉยๆ”

   “แน่นะ”

   “ค...ครับ”

   “อย่าให้เห็นมาแถวนี้อีกนะ ไม่งั้นจะพาเข้าโรงพักให้เข็ดเลย”

   “ม...ไม่มาแล้วครับ”

   “งั้นจะไปไหนก็ไป อย่าเที่ยวกดอ๊อดบ้านใครซี้ซั้วอีกล่ะ”

   “ครับหวัดดีครับ” ไอซ์รีบยกมือไหว้และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว



   เห้ออออ

   นี่คงเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาแสดงอารมณ์ตื่นกลัวออกทางสีหน้ามากมายเช่นนี้ สาเหตุก็เพราะพ่อของไม้เป็นคนที่น่ากลัวมากจริงๆ ทั้งใบหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง แม้จะสบตาเพียงเสี้ยวนาทีเดียวก็เหมือนกับว่าจะถูกปลิดวิญญาณได้เลย

   

   ไอซ์พยายามอย่างยิ่งที่จะลัดเลาะรั้วบ้านหลังใหญ่ไปด้านหลังให้เงียบเชียบที่สุด เขาสำนึกได้แล้วว่าไม่ควรทำอะไรผลีผลามใกล้ๆกับบ้านหลังนี้หากยังรักชีวิตอยู่







   “ไอซ์” มีเสียงเรียกเชิงกระซิบดังขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเดินมาจนถึงรั้วเล็กด้านหลังกำแพงบ้านหลังใหญ่ “ทางนี้”

   “ไม้” ไอซ์รีบเดินไปหาเด็กหนุ่มแว่นใสที่ยืนระแวดระวังอยู่ภายในรั้ว

   “ชู่ววว อย่าเสียงดัง” ไม้ท่าทางกลัวมากจริงๆ

   “ขอโทษครับ” ไอซ์ยอมเบาเสียงลง แล้วเขาก็สังเกตุเห็นผ้าพันแปลกๆที่มือซ้ายของคนตัวเล็ก “แผลเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม”

   “ก็………” แล้วไม้ก็เงียบไป

   “เราขอโทษนะ” มันเป็นคำขอโทษที่ออกจากปากของเด็กหนุ่มรู้เงียบขรึมซึ่งบัดนี้เศร้าสร้อยลงจากการสำนึกผิด “เราผิดเองที่…”

   “ดึกมากแล้ว ไอซ์กลับไปเถอะ” จู่ๆไม้ก็ไล่เขากลับอีกครั้ง และเด็กหนุ่มแว่นใสก็พร้อมที่จะจากไปประหนึ่งว่าเขาไม่ต้องการอยู่ตรงนี้เพื่อเห็นหน้าของไอซ์อีกต่อไปแล้ว

   “ด...เดี๋ยวซิ” ไอซ์รีบเรียกไว้ เขาขยับเข้าไปเกาะที่รั้ว “อย่าเพิ่งไปนะ เราขอดูแผลก่อนได้ไหม นะ ขอเราดูก่อนว่าไม้ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

   “เราไม่เป็นอะไรแล้ว”

   “ย...อย่าเพิ่งไป ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ไม้โกรธเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ เราขอโทษนะ ต่อไปเราจะไม่ให้ไม้ทำอะไรอีกแล้ว เราไม่รู้ว่าไม้ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเรารู้ว่า…”

   “เปล่าเลย เราไม่ได้โกรธไอซ์เรื่องนั้นหรอก” ไม้หยุดนิ่งและเอ่ยพูดออกมาลอยๆเหมือนกับแค่การพูดให้สายลมฟังเท่านั้น “เราไม่โกรธที่ถูกสั่งให้ใช้งาน ไม่โกรธที่ถูกเรียกว่าคนอ่อนแอ ไม่โกรธที่ถูกไล่กลับ ไม่โกรธที่ถูกทำให้เจ็บ เพียงแต่….” แล้วในที่สุดไม้ก็หันกลับมา “ทั้งหมดนี้มันคืออะไรงั้นเหรอ สำหรับไอซ์แล้ว เราอยู่ในสถานะอะไรกันแน่ เราคือใครสำหรับไอซ์เหรอ ที่บอกว่าเราเป็นแฟนกัน มันคือแบบนี้เหรอ เราไม่เข้าใจความหมายของการมีแฟนเพราะไม่เคยมีใครสนใจเรามาก่อน แต่ทำไมเรารู้สึกเจ็บ ความหมายของการมีแฟนมันต้องเป็นแบบนี้เหรอ เรา…”

   อีกแล้ว ไม้ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว เป็นความเศร้าครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของเด็กหนุ่มแว่นใส

   “ม...ไม้…” แต่ครั้งนี้ไอซ์รู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง เขาได้เพียงแค่มองน้ำตาของคนตรงหน้าโดยไม่อาจเข้าไปเช็ดมันออกได้ ยิ่งไม่เข้าใจถึงความขมขื่นของคนตัวเล็ก เขายิ่งรู้สึกโกรธตัวเอง

   “ก...กลับไปเถอะไอซ์” ไม้พยายามไม่ร้องไห้ เขาปาดน้ำตาออกเหมือนเด็กเล็กที่ถูกพ่อแม่บังคับให้หยุด

   “ไม้ แต่…”

   “เราคงทำต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ ถ้าการมีแฟนหมายถึงความรู้สึกแบบนี้ งั้นเราคงไม่เหมาะที่จะมีแฟนหรอก เราขอกลับไปเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิมดีกว่านะ”

   “ม...ไม้ ไม่ดิ เดี๋ยวๆ” ไอซ์เริ่มเสียงดัง เขาพยายามเรียกคนตัวเล็กที่กำลังจะเดินจากไป “ไม้!!!!”

   “อย่าเสียงดัง” ขอบคุณสวรรค์ ไม้วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มผู้คลุ้มคลั่งส่งเสียงดังด้วยการสอดมือผ่านช่องรั้วเหล็กออกมาปิดปากไอซ์เอาไว้ “เดี๋ยวพ่อก็ได้ยินหรอก”

   ทำไมกันน ทั้งๆที่เขาบอกว่าเจ็บปวดเพราะเรา ทั้งที่อยากจะจบสถานะการเป็นแฟนกับเรา แต่เขากลับเอาแต่แสดงความห่วงใยต่อตัวเราตลอดเวลา …. ไอซ์คิด



   “.....” ไอซ์ดึงมือเล็กๆของคนตรงหน้าลง พร้อมกับพูดจากความรู้สึกของตัวเอง “อย่าเลิกกับเราได้ไหม”

   “แต่เรา…”

   “ขอร้องล่ะ ต่อไปนี้เราจะไม่ทำอะไรไม่ดีกับไม้อีกนะ อย่าเลิกกับเราเลยนะ”

   “.............” ไม้ไม่ตอบแต่เขาดึงมือกลับ จากนั้นก็เอาแต่มองมาที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่ด้วยสายตาระหว่างความกังวลและสับสน “เราไม่อยาก…”

   แก๊ง แก๊ง แก๊ง แก๊ง

   “ทำอะไรน่ะ!?” ไม้ร้อง

   “เราจะไม่ยอมเสียไม้ไปเด็ดขาด” ดูเหมือนว่าความสามารถในการระแวดระวังของไอซ์จะหมดสิ้นไปเสียแล้ว เขาพยายามที่จะเข้าถึงตัวของเด็กหนุ่มแว่นใสตรงหน้าด้วยการเขย่ารั้วเหล็กให้เปิดออกโดยไม่สนว่าจะถูกใครมาพบเห็นหรือไม่ และเมื่อสำนึกได้ว่ามันคงไม่มีทางเปิดออกได้ด้วยแรงของมนุษย์ เขาจึงคิดที่จะปีนข้ามไป

   “ย...อย่า อย่าทำแบบนั้นนะ เดี๋ยวพ่อก็มาเห็นหรอก” ไม้รีบห้าม

   แต่ยิ่งเห็นความห่วงใยของคนตัวเล็ก ไอซ์ก็ยิ่งเหมือนถูกเติมเชื้อให้กองไฟแห่งความร้อนรน เขายิ่งพยายามที่จะหาวิธีปีนข้ามไปให้ได้

   “พอแล้วๆๆ อย่าปีนนะ โอเคๆ ก็ได้ๆ ไม่เลิกแล้ว”

   “ไม้ว่าไงนะ” ไอซ์ถามให้ชัดเจน เขายอมหยุดการดำเนินการทั้งหมดลง

   “ก็บอกว่าไม่เลิกแล้วไง” ไม้ยืนยัน “อย่าปีนมาเด็ดขาดเลยนะ ถ้าพ่อเห็นเข้า ไอซ์แย่แน่”

   “ไม่เลิกจริงๆนะ เรายังเป็นแฟนกันใช่ไหม งั้น… เปิดรั้วให้หน่อยได้ไหม”

   “ว่าไงนะ!”

   “เปิดรั้วไง นะ เราอยากเข้าไปหาไม้”

   “ถ้าพ่อมาเห็นจะทำไงล่ะ”

   “บ้านไม้ออกจะใหญ่โต พ่อไม่เดินมาเห็นหรอก”

   “แต่…”

   “งั้นเราปีนนะ”

   “ไม่ได้นะ อ...โอเคๆ เปิดก็ได้ แต่ห้ามส่งเสียงดังนะ”

   “ครับ”



   ในที่สุด รั้วเล็กก็ถูกเปิดออกมาอย่างระมัดระวัง



   “ไม้ครับ ต่อไปนี้…”

   “เดี๋ยวก่อน” ไม้ตัดบททันที เขารีบคว้ามือของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่เข้ามาภายในบริเวณบ้านให้เดินตามไปเรื่อยๆ

   “เราจะไป…”

   “ชู่ววว” ไม้ตัดบทอีกครั้ง เขายังคงพาไอซ์ลัดเลาะไปตามมุมมืดของบ้าน



   ทั้งสองเดินหลบมุมไปมาตามเส้นทางที่เด็กหนุ่มแว่นใสนำไปยังภายในตัวบ้าน บ้างก็หลบแม่บ้านที่เดินพูดคุยกันในครัว บ้างก็เดินหลบกล้องวงจรปิด จนในที่สุด….



   “นี่ห้องนอนของไม้เหรอ” ไอซ์ถามขึ้น

   “ใช่” ไม้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพาคนตัวใหญ่หลบเข้ามาให้ห้องส่วนตัวของตนได้เป็นผลสำเร็จ

   “หรูจังเลย” เด็กหนุ่มมองรอบๆ ห้องนอนที่ถูกจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงามและความสะอาดที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีนี้ นี่คงเป็นเครื่องหมายของการเป็นทายาทคนรวยอย่างแท้จริง

   “คุยกันในนี้ปลอดภัยกว่า” เด็กหนุ่มแว่นใสยังคงอธิบายจุดประสงค์ของตัวเอง “ถ้ายังอยู่หลังบ้าน อาจเจอเข้ากับลูกน้องของพ่อ พวกตำรวจสายตรวจชอบวนเวียนมาบ่อยๆ…. ท...ทำอะไรน่ะ!!”

   “เป็นแฟนกันก็ต้องกอดกันได้ดิ” ไอซ์อธิบายเหตุผลที่เขาคว้าเอวเล็กๆของเด็กหนุ่มแว่นใสเข้ามากอด

   “............” ไม้ไม่พูดอะไร แต่เขาหน้าแดงขึ้นทันทีและพยายามหลบใบหน้าไปทางอื่น ไม่สบตากับสายตาหยอกเย้าของเด็กหนุ่มร่างใหญ่

   “เป็นอะไรครับ แค่กอดเอง เราเคยจูบกันมาแล้วนะ”

   “ย...อย่าพูดแบบนั้นนะ” ช่างเป็นความเขินอายที่น่ารักเสียนี่กระไร

   “ทำไมล่ะ ไหนบอกว่าไม่เลิกกันแล้วไง แค่ขอกอดเอง ไม่เห็นจะต้อง…”

   “โอ๊ย!” จู่ๆ ไม้ก็ร้องขึ้นมา

   “ขอโทษ” ไอซ์รีบปล่อยมือออกทันที ดูเหมือนว่าเขาจะซุกซนเกินไปหน่อย จนเผลอไปสัมผัสเข้ากับบาดเจ็บที่ยังไม่หายของคนตัวเล็กเข้า เด็กหนุ่มค่อยๆคว้าแขนเล็กๆที่มีผ้าพันนั้นขึ้นมาสำรวจมองก่อนจะมีสีหน้าสลดลงเพราะความสำนึกผิด

   “ม...ไม่เป็นไร เราไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก” เห็นได้ชัดว่าไม้พยายามพูดเพื่อให้ไอซ์รู้สึกดีขึ้น

   “เรา...ขอโทษจริงๆนะ” สถิติการพูดคำว่าขอโทษของไอซ์นั้น หากนับกันมาทั้งชีวิต วันนี้เขาคงทำลายสถิติตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เราแย่จริงๆเลยที่ทำให้ไอซ์ต้องเป็นแบบนี้”

   “ไม่ใช่หรอก เราทำได้ เราอยากช่วยงานไอซ์จริงๆนะ เราอยาก…”

   “ไม่ครับ” ไอซ์ส่ายหน้า “ต่อไปนี้ เราจะไม่ยอมให้ไม้เจ็บตัวอีกแล้ว สัญญาเลย ถ้ามีเราใกล้ๆ ไม้จะต้องไม่เป็นอะไรอีก”

   “แต่… เราอยากทำนี่นา อยากทำแบบที่เด็กทั่วๆไปเขาทำกันบ้าง” ไม้ดึงแขนตัวเองกลับแล้วเดินไปนั่งที่เตียงนอนของตน “เพราะร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก พ่อก็เลยไม่ยอมให้เราทำอะไรบ้างเลย วันๆก็เอาแต่เรียน สิ่งของน้ำหนักมากที่สุดที่เคยถือก็แค่หนังสือ เราก็อยาก… เป็นเหมือนคนอื่นบ้างนี่นา”

   “งั้น….” ไอซ์อดรนทนไม่ไหวที่จะนั่งลงข้างๆและสวมกอดเด็กหนุ่มตัวเล็กอีกครั้งอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกอยากถนุถนอนและเก็บรักษาคนๆนี้ด้วยตัวเอง ช่างเหมือนกับแก้วไวน์บางใสที่สมควรได้รับการถนุถนอนอย่างเอาใจใส่เหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยที่พ่อของเขาจะเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ “ต่อไปถ้าไม้อยากทำอะไรก็บอกเรานะ เดี๋ยวเราสอนให้ จะได้ไม่อันตรายด้วย”

   “จริงนะ” ไม้หันมามองเด็กหนุ่มอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของทั้งคู่จะชนกันอยู่แล้ว

   “จริงซิครับ แต่เราต้องอยู่ด้วยนะ ห้ามทำเองคนเดียวล่ะ”

   “สัญญาแล้วนะ” ไม้ชูนิ้วก้อยขึ้นมาทั้งที่ถูกกอดอยู่เช่นนั้น

   “สัญญาครับ” ไอซ์จึงเอานิ้วก้อยของตนขึ้นมาเกี่ยว และตามด้วยการจุ๊บแก้มใสของคนในอ้อมแขนอย่างหลงใหลใคร่สัมผัส

   “อ...ไอซ์” ไม้เขินอายอย่างชัดเจนแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ใช้มือผลักคนตัวใหญ่ออกไปเบาๆ

   “ทำไมล่ะ ก็เราเป็นแฟนกันนิ แค่หอมแก้มนิดเดียวเอง”

   “...............”

   “เงียบอีกแล้ว เป็นอะไรอ่ะ”

   “เปล่า เราแค่… กำลังคิดว่า สรุปแล้ว แบบไหนกันแน่ที่เป็นความรู้สึกของการมีแฟน”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่กับพี่ต้น เรารู้สึกเจ็บและทุกข์ใจมากๆ แต่ตอนนี้เรากลับรู้สึก… ดี ทำไมทุกๆความรู้สึกมันถึงได้มีที่มาจากไอซ์คนเดียว”

   “เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่จะตอบคำถาม ใครคือพี่ต้น?”

   “ก็คนที่พาเราไปหาหมอไง”

   “อ๋อ ไอ้นั่นน่ะเหรอ”

   “อย่าพูดแบบนั้นนะ พี่เขาอุตส่าพาเราไปหาหมอนะ”

   “เราก็พาไปได้ แต่ไม้ก็เลือกที่จะไปกับมัน”

   “ก็ตอนนั้น เรา…. เราเสียใจนิ”

   “ทำไมถึงเสียใจอ่ะ”

   “ก็… ไอซ์ขอเรามาเป็นแฟนไม่ใช่เหรอ แต่ไอซ์กลับบอกพี่ต้นว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เราก็เลย…รู้สึก….”

   “เอ่อ…. ก็มาขอโทษแล้วนี่ไง” ตอนนี้เด็กหนุ่มกระจางในความน้อยใจของคนตัวเล็กแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเข้าใจแก่นของการง้องอนครั้งนี้แล้ว

   “แต่… แต่ถ้าไอซ์อายที่จะบอกใครว่าเราเป็น...แฟนกัน ไอซ์จะพูดมาเราเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ ต่อไปเราจะได้เตรียมใจไว้ จริงๆเราก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดออกมาตรงๆ ยิ่งกับคนอย่างเรา มันก็คงเป็นปกติที่จะไม่อยากบอกใครๆว่าเป็นแฟนกับเรา”

   “..............” ไอซ์นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนี้ ในอดีตที่ผ่านมา หลายคนที่เขา(หลอก)ขอมาเป็นแฟน มักจะชอบโวยวายและแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของ หลายครั้งก็มักจะเรียกร้องให้เด็กหนุ่มบอกใครต่อใครให้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ แต่เด็กหนุ่มแว่นใสคนนี้กลับเลือกที่จะเข้าใจในทิศทางที่ตรงข้าม นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ไอซ์เลือกที่จะพูดสิ่งต่อไปนี้ “ไม้ครับ ไม้เป็นแฟนที่ดีและดีมากด้วย เราผิดเองที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นว่าไม้แสนดีแค่ไหน เพราะงั้น ต่อไปนี้ เราจะไม่กลัวที่จะบอกใครๆอีกแล้วว่าเราเป็นแฟนกัน”

   “ไม่ต้องก็ได้ถ้ามันทำให้ไอซ์ลำบากใจ”

   “สิ่งที่เราลำบากใจที่สุดต่อนี้ก็คือ ทำยังไงเราถึงจะทำใจกลับหอไปนอนโดยไม่ได้กอดไม้มากกว่า”

   “บ...บ้า”

   “ไม้รู้ไหมว่าไม้น่ารักแค่ไหน” ทุกคำพูดออกมาจากความรู้สึกแท้จริงของไอซ์ และเขาเริ่มจะรู้สึกอดทนต่อความต้องการส่วนลึกของตัวเองไม่ไหวแล้ว

   “เลิกพูดได้แล้ว… เดี๋ยวๆๆ ไอซ์จะทำอะไรน่ะ” ไม้รีบดิ้นรนอย่างเฉียบพลันเมื่อตนกำลังจะถูกจู่โจม

   “ทำไมล่ะครับ ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ”

   “ก...ก็ใช่”

   “งั้นเป็นของเราเถอะนะ” ช่างเป็นคำเว้าวอนที่เต็มไปด้วยความหิวกระจายอย่างยากที่จะปิดเอาไว้

   “อ...ไอซ์” ในที่สุดเด็กหนุ่มแว่นใสก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมือของเด็กหนุ่มผู้หื่นหิวไปได้ เขาถูกบังคับจับให้นอนลงราบไปบนเตียง “ไอซ์ ย...อย่านะ”

   “ทำไมละครับ เราเป็นแฟนกันแล้วนะ” ไอซ์เข้าจู่โจมซอกคอของคนตัวเล็กอย่างหน้ามืดตามัว “เป็นของเราเถอะนะ เราทนไม่ไหวแล้ว”

   “....................................................................................” จู่ๆไม้ก็เงียบลง แต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างกายนั้นกำลังสั่นเทา

   “เป็นอะไรครับ” ไอซ์ถอนศีรษะขึ้นมาจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มแว่นใส และเขาก็ได้เห็นว่าคนเบื้องล่างแอบมีน้ำตาคลอออกมาเล็กน้อย

   “ป...เปล่า” แม้แต่เสียงก็สั่นเช่นกัน “ไอซ์...อ...ไอซ์ทำต่อเถอะ”

   “แต่ไม้ดู…”

   “ไม่เป็นไร อย่าห่วงเราเลย ก็ไอซ์บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว ร...เรื่องแบบนี้… ก็คง… เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น ไม่ต้องห่วงนะ เราจะอดทน”

   “..........................................................................................” เป็นอีกครั้งแล้วที่ไอซ์ถูกทำให้เหมือนตนถูกแช่แข็งเอาไว้ แล้วในที่สุดเขาก็ยอมผละตัวเองกลับมานั่งเช่นเดิม

   “ทำไมล่ะ” ไม้ลอบมองมาที่เด็กหนุ่มอย่างชั่งใจ “ร...เราไม่เป็นไรจริงๆนะ อ...เอ่อ...หรือว่าเราไม่ทำให้ไอซ์รู้สึกแบบนั้น งั้นให้เราแก้ตัวให้นะ เราจะ…”

   “ไม่ต้องแล้วครับ” ไอซ์คว้ามือเล็กๆของเด็กหนุ่มแว่นใสที่พยายามเอื้อมเขามาสัมผัสตัวของเขาเอาไว้ “ไอซ์ไม่อยากทำให้ไม้เจ็บ”

   “มันต้องเจ็บด้วยเหรอ?”

   อะไรกันคนๆนี้ ช่างไม่รู้เสียเลยจริงๆ

   “เจ็บซิครับ เจ็บมากด้วยนะ” ไอซ์แกล้งขู่

   “จ...จริงเหรอ!?.... แต่ถ้าไอซ์อยากทำ...”

   “ล้อเล่นครับ ไอซ์ไม่อยากทำแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพราะไม้ไม่น่าสนใจหรอกนะ แต่เราแค่อยากถนุถนอมไม้แค่นั้นเอง” ไอซ์พูดตามความรู้สึกจริง ณ ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอยากย้ำยีร่างเล็กบางของเด็กหนุ่มแว่นใส แต่กลับอยากคอยระวังป้องกันไม่ให้คนๆนี้รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย

   “แล้วเรื่องที่คนเป็นแฟนกันต้องทำล่ะ มันจะไม่…”

   “ไม่เกี่ยวหรอกนะ เรื่องที่ว่าต้องมีอะไรถึงจะแปลว่าเป็นแฟนกัน นั่นมันแค่ข้ออ้างของพวกฉวยโอกาส แต่สำหรับไม้……………….











   ……………………..ไม่ว่ายังไงไม้ก็เป็นแฟนไอซ์แล้วนะ”



****************************************

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สนุกมากจ้า~

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด