(เรื่องสั้น) ◦「 ตี ส า ม ข อ ง วั น ที่ สิ บ 」◦ (ตอนเดียวจบ)
“ยังไง ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ยังต้องทานยาของจิตแพทย์ต่ออย่างต่อเนื่องนะครับ”
“ครับ”
“คนไข้มีญาติมาด้วยหรือเปล่าครับ?”
“..ไม่มีครับ” คุณหมอวัยกลางคนได้พูดอะไรไม่รู้อีกสักสองสามประโยค ก่อนที่ผมจะยกมือไหว้ขอตัวลาเพื่ออกไปเจอชีวิตในแบบเดิม..
แบบที่พนักงานกินเงินเดือนเขาเป็นกัน ตื่นเช้า ฝ่าฝูงคนยามเช้าเพื่อไปเจอกับงานที่แสนจะสาหัสในค่าตอบแทนแสนธรรมดา ตกดึกก็เตรียมตัวเข้านอนจะได้ตื่นเช้าในวันถัดไป และเป็นวงจรชีวิตที่ผมพอจะจำมันได้เป็นอย่างสุดท้าย...
“เฮ้ย! ไอ้เปอร์ ทางนี้ๆ” สำเนียงกลางแปร่งๆที่มาคู่กับเจ้าของร่างตัวสูงผิวเข้ม ใบหน้าไม่หล่อไม่ขี้เหร่นั่นมักมีรอยยิ้มเจือออกมาด้วยเสมอ แต่ค่อนข้างจะสงสัยไปหน่อยตรงที่ว่าทำไมอีกคนถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
“อ้าว คิง มาได้ไงเนี่ย”
“ก็หัวหน้าเขาไลน์มาในกลุ่มบริษัท บอกว่ามึงจะออกจากโรงพยาบาลวันนี้”
“อ๋อเหรอ คนอย่างคุณสามน่ะนะ” แปลกใจไม่น่อยที่ได้ยินชื่อที่คาดไม่ถึงมาก่อน ระดับหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่ผมอยู่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขี้ยวลากดินเป็นที่หนึ่งไม่รองใคร
“เออ คนอย่างคุณสามนั่นแหละ เขาดูเป็นห่วงมึงจะตาย”
“แต่อันที่จริงวันนี้คิงไม่ต้องมารับเราก็ได้นะ เรากลับเองได้”
“ไม่ได้ๆ มึงอยู่กรุงเทพคนเดียว ไหนยายที่ต่างจังหวัดมึงจะไม่ค่อยสบายอีก กูเป็นห่วงกูเลยมารับมึงเนี่ย” วงแขนแน่นไปอวดกล้ามเนื้อวาดเข้ามาโอบไหล่จนรู้สึกอึดอัดแต่ก็เต็มใจให้กระทำอยู่ดี
“ไหนๆมึงก็ออกจากโรงบาลละ เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่าว่ะ”
“อื้อ : )”
“ห้ะ ความจำมึงหายไปเหรอ?”
“อื้อ”
“จริงป่ะเนี่ย กูเคยเห็นแค่ในทีวี แต่มึงก็ยังจำกู จำหัวหน้าได้นี่หว่า” อีกฝ่ายเหลือบซ้ายขวามองมาที่ผมด้วยความตื่นเต้น
“หายไปแค่บางส่วนแหละ”
“แล้วหมอเขาให้ยามึงมาบ้างป่ะเนี่ย”
“ให้สิ”
“เออ แดกๆเข้าไป แดกให้ครบด้วยนะไอ้เปอร์ จะได้ดีขึ้นไวๆ” หนึ่งในเพื่อนทั้งชีวิตของผมพูดขึ้นมาด้วยความหวังดี ในขณะที่เขากำลังขับรถไปส่งผมหลังจากที่เพิ่งทานข้าวกันเสร็จ ... จากที่รู้ก็คือคิงเป็นหนึ่งในบุคคลที่รู้ว่าผมเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน
“อ่าฮะ”
“หัวหน้าเขาให้มึงลาได้อีกสามวัน ก็พักผ่อนเยอะๆ ขาดเหลืออะไรบอกกูได้ อะ .. ถึงหอมึงพอดี” ซิตี้คาร์สีขาวค่อยๆชิดซ้ายเข้าจอดหน้าสถานที่ที่เป็นที่ซุกหัวนอนของเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพอย่างผม เพราะความโกโรโกโสของมันมักทำให้ใครหลายคนต้องเบือนใบหน้าหนี
“ไอ้เปอร์เอ๊ย ทำงานเก็บตังได้บ้างแล้วก็ย้ายหอเถ๊อะ เก่าก็เก่า ทางเข้าก็เปลี่ยว กูล่ะกลัวมึงจะโดนฉุดไปสักวันนึงจริงๆเชียว” ใครหลายคนที่เห็นต่างพูดกับผมแบบนี้เสมอ แต่จะทำยังไงได้ ทั้งค่ากินค่าเดินทาง ไหนจะเงินที่ต้องส่งกลับไปให้ยายอีก
“คิงก็รู้ว่าเรามียายต้องเลี้ยงดูนะ แย่แค่ไหนเราก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ”
“เออๆ ตามใจมึงแล้วกัน ถ้ารู้สึกไม่สบายหรืออะไรขึ้นมาอีกโทรหากูได้ตลอดนะ”
“อ่าฮะ ขอบใจมากนะ” ก้าวลงจากรถพร้อมยืนส่งเพื่อนจนกว่าไฟท้ายจะลับตาไป ผมพาร่างกายที่จวนจะหมดเรี่ยวแรงขึ้นบันไดไปจนถึงเบื้องหน้าของห้อง 307
แกร๊ก
บานประตูไม้ถูกเปิดพร้อมกับที่กลิ่นอับภายในห้องที่ไม่ได้เปิดระบายอากาศนานนับสัปดาห์ตีสวนจมูกขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้แยแสมันสักเท่าไหร่ พอจัดการเปิดไฟให้สว่างโร่ทั้งหัวได้ก็เดินมาทิ้งตัวลงบนฟูกโดยไม่คิดจะเปลี่ยนชุดที่สวมอยู่เปลือกตาทั้งสองค่อยๆปิดลง ก่อนที่จะค่อยๆทบทวนเรื่องราวที่ขาดหายไปทั้งหมด
‘ในกรณีของคุณคือการสูญเสียความทรงจำบางส่วนในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีที่ผ่านมา จากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงบริเวณศีรษะนะครับ’
‘ครับ’
‘จากประวัติของคนไข้แล้วก่อนหน้านี้ได้มีการพบจิตแพทย์อยู่ ถึงจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องทานยาอยู่นะครับ’
‘ผมจำอะไรไม่ได้แล้ว งั้นผมไม่ต้องกินไม่ได้เหรอหมอ’
‘ไม่ได้ครับ เพราะภาวะซึมเศร้าของคุณที่กำลังเป็นอยู่ไม่ได้เกิดจากความทรงจำเพียงอย่างเดียวครับ มันยังเกี่ยวไปกับสารสื่อประสาทภายในสมองของคุณ’
‘ครับ’
‘ดังนั้นทานยาให้ต่อเนื่องจะดีกว่านะครับ’
การกระทบกระเทือนที่ว่านั่นเกิดจากอุบัติเหตุพลัดตกราวสะพานตามที่คุณพยาบาลเล่าให้ฟัง สะพานที่ว่าผมมักจะใช้เป็นทางผ่านในการออกไปทำงานในทุกๆเช้า แถมที่นั่นก็ทั้งเล็กทั้งแคบ คงตกลงไปในช่วงจังหวะที่หลบรถแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความสูงของสะพานและระดับน้ำที่ถือว่าค่อยข้างอันตราย การรอดชีวิตของผมนั้นจึงจัดให้อยู่ในหนึ่งเรื่องปาฏิหาริย์ไปทันที
กริ๊ง กริ๊งเสียงริงโทนอันแสนจะคร่ำครึดึงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบวัน ผมผงกหัวขึ้นมามองด้วยความสงสัย หน้าจอของโทรศัพท์รุ่นไม่เก่าไม่ใหม่โชว์ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้ที่โทรมา และนั่นมันก็ทำให้ผมยิ่งงงงวยไปกว่าเก่า
หัวหน้า
คิ้วขมวดขึ้นเป็นปมเล็กๆ เวลาในตอนนี้ก็ปาไปเกือบสามทุ่มแล้ว คิดจนจะหัวแตกยังไงก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงเหตุของสายปริศนาได้ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจรับสายที่ว่านั่น
“...สวัสดีครับ”
“…”“ฮัลโหล ได้ยินหรือเปล่าครับ”
“ได้ยิน”“หัวหน้ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ โทรมาดึกดื่นเชียว”
“…” คนปลายสายเงียบไปเป็นครั้งที่สอง บรรยากาศอันแสนอึดอัดกำลังกัดกินบางส่วนในใจพาให้ข้างในอกมันวูบโหวงโดยที่ผมเองก็ไม่สามารถทราบได้ถึงสาเหตุ
“หมอบอกผมว่าคุณสูญเสียความทรงจำบางส่วน ... คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?” ถ้าผมไม่ได้หูฝาดไปก็แสดงว่าเสียงที่สั่นเครือพร้อมจะร้องไห้นั่นคือของจริง
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าผมควรจำอะไรได้อีก”
“คุณสาม..”“ครับ?”
“ก่อนหน้านี้นายจะเรียกฉันว่าคุณสาม”“ครับ คุณสาม”
“อื้อ พักผ่อนเถอะ อีกสามวันค่อยเจอกัน” ให้หลังสายที่ถูกตัดไปก็เหลือเพียงแค่ผมภายในห้องแคบๆนี้คนเดียว น่าแปลกที่หลังจากคำส่งท้ายของเขาจบลงหัวใจของผมก็เต้นตึกตักในจังหวะที่เร็วกว่าปกติขึ้นมา มิหนำซ้ำยังเจ็บแปลบไปทั่วทั้งอกอีก
“..ฮื่อ” ควาปวดแล่นริ้วไปมาจนน้ำตาไหลรื้นออกมา ผมเปลี่ยนท่ามาอยู่ในท่านั่งชันเข่าเพื่อที่จะสงบสติตนเองจากอาการที่เป็นอยู่
ปฏิกิริยาตอบสนองทั้งหมดนี้ยิ่งสร้างความฉงนให้ตัวเองได้อีกเป็นร้อยเท่า ผมเพิ่งทำงานที่นี่มาปีกว่า ผมสามารถจำบุคคลในชีวิตและความสัมพันธ์ได้เกือบทั้งหมดในช่วงหนึ่งปีก่อนหน้า แต่สำหรับเหตุการณ์ให้หลังจากนั้นเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่มีความจำหลงเหลือเลยแต่นิดเดียว
ใครๆหรือแม้กระทั่งผมเองก็ดูออกว่าระหว่างผมและคุณสาม เราคงมีอะไรที่เกินเลยกว่าหัวหน้ากับลูกน้องอย่างแน่นอนเพราะเพียงแค่ได้ฟังเสียง ถึงความทรงจำจะหายไป แต่จิตใต้สำนึกมันกำลังประท้วงอย่างหนักจนร่างกายสั่นเทิ้มจนยากที่จะควบคุม ถึงอย่างนั้นสัญชาตญาณในตัวเองก็กำลังบอกว่ามันคงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดีอย่างแน่นอน
ระหว่างผมกับหัวหน้าในครึ่งปีก่อนหน้านี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?“ไอ้เปอร์ ยินดีต้อนรับการกลับมาอีกครั้งนะโว้ย!”
“เออ ขอบใจ”
“ร่างกายหายดียังจ้ะน้องเปเปอร์”
“หายแล้วครับ ขอบคุณครับพี่หนิง”
“อะไรกันๆ เราสนิทกันจนเลิกใช้ครับไปตั้งนานแล้วน้า”
“เอ้าน่าพี่หนิง ไอ้เปอร์หัวกระแทกมันก็มีจำกันไม่ได้บ้างแหละ อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลยพี่” และในที่สุดเช้านี้ผมก็กลับเข้าสู่วงจรมนุษย์เงินเดือนอย่างเป็นทางการ ในคราแรกดูเหมือนว่าความทรงจำหกเดือนที่หายไปจะไม่มีผลต่อผมสักเท่าไหร่ แต่สัตว์สังคมอย่างเราก็ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา และนั่นมันก็สร้างความเหนื่อยทางใจให้ผมอย่างมาก
“เฮ้ยไอ้เปอร์!”
“หืม มีอะไร?”
“มึงนั่งผิดโต๊ะ ตอนนี้มึงย้ายมานั่งโต๊ะนี้แล้วโว้ย” เดิมทีโต๊ะตัวริมประตูนั้นเป็นของผม แต่เพื่อนตัวดีกลับชี้ไปที่โต๊ะตัวอื่น .. ตัวที่ติดกับโต๊ะของหัวหน้า
“อ่อ โอเค”
“เหนื่อยหน่อยนะมึง ลืมอะไรไปก็ค่อยๆนึกเอา”
“อื้อๆ” สิ่งของดูคุ้นตาบ้างไม่คุ้นตาบ้างคละกันอยู่บนโต๊ะ และกรอบรูปใส่ภาพถ่ายรูปคาระหว่างผมกับคุณยายที่มุมโต๊ะนั่นเป็นเครื่องตอกย้ำว่าตรงนี้คือที่ของผมจริงๆ
ผมนั่งที่เก้าอี้พลางสอดส่องสายตาไปหาความแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงในความทรงจำผม ซึ่งนั่นมันก็แตกต่างจากที่จำได้อยู่มากโขเลยทีเดียว
จึงตัดสินใจเปิดคอมฯเพื่อเริ่มต้นวันด้วยการทำงาน เผื่อว่าจะนึกอะไรเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาออกมาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดอย่างไรก็สูญเปล่า จนกระทั่งการปรากฏตัวของคนๆหนึ่ง
“หัวหน้ามาแล้วจ้าทุกคน”
“หัวหน้าสวัสดีค่า”
ตึกตัก ตึกตัก
ฝ่ายบัญชีดูวุ่นวายไปถนัดตาเมื่อเจ้าของร่างสูง ผิวสองสี กำลังเดินเข้ามาประจำการที่นั่ง ใบหน้าเข้มเปื้อนรอยยิ้มถูกแต้มด้วยลักยิ้มทั้งสองข้างเป็นเอกลักษณ์นั่นกำลังใช้สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมพร้อมกับก้อนเนื้อในอกที่เต้นจนแทบจะเกินขีดจำกัด ในวินาทีนั้นเองที่ทำให้ผมไดด้รู้ว่าการปฏิเสธตัวเองไม่ได้มันเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ผมต้องรักเขามากแน่ๆ“ว่าไงเปอร์ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
“ครับ .. คุณสาม แต่ยังจำอะไรไม่ค่อยได้หรอกครับ”
“งั้นเหรอ” คนสูงตัวเดินอ้อมข้างหลังผมเพื่อเดินไปยังโต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเอง ในตอนแรกผมนึกว่าเราคงจบบทสนทนานี้ไปแล้วเสียอีก แต่การที่คุณสามวางมือของตัวเองลงบนหัวผมไปพร้อมกับการที่เขาก้มใบหน้าลงมาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทั้งหมดนี้จะโดนคนด้วยฝีมือของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง..
“หัวหน้าครับ ยินดีกับงานแต่งงานเดือนหน้าด้วยนะครับ” เขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นดังปกติที่มักจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเสมอ
“ขอบคุณมากครับ : )”
“ว่างๆก็พาเจ้าสาวมาเปิดตัวบ้างสิค้า”
“ได้เลยครับ” ยิ้มเล็กค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งเฉย จากนั้นทั้งแผนกก็กลับสู่สภาวะปกติ และความคิดเดียวที่มันเด่นชัดขึ้นมาในหัวผมตอนนี้ไปอะไรไปไม่ได้เลยนอกเสียจาก เปเปอร์เมื่อหกเดือนที่แล้วกำลังตกหลุมรักคุณสามผู้มีฐานะเป็นเจ้านายมิหนำซ้ำเจ้านายที่ว่ากลับมีภรรยาแล้วอีก .. ผมนี่มันแย่เสียจริง
วันและเวลาผ่านไปจนเกือบจะครบหนึ่งเดือน ผมใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในการรื้อฟื้นความทรงไปจำไปพร้อมกับการปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน ตอนนี้เป็นเวลาตีสามของวันจันทร์แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะส่วนใหญ่ผมจะนอนไม่หลับจนกว่าจะตีสามของอีกวัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทานอยู่หรือเปล่า ถึงจะอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร
ผมนอนมองเพดานสีขาวหม่นมาระยะหนึ่งแล้ว และก็มีแววว่าจะต้องนอนมองมันต่อไปอย่างไร้จุดหมายอีกเช่นเคย
กุกกัก กุกกักเสียงกุกกักปนเสียงฝีเท้านอกประตูดังขึ้นที่เวลาเดิมแบบนี้มาได้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว เสียงที่ว่าไม่ได้ดังแบบคนเดินไปมาติดกันตลอด แต่มันจะดังเป็นบางช่วงเท่านั้นและมันก็น่าแปลกใจตรงที่ห้องนี้เป็นห้องสุดท้ายของชั้นที่จะไม่มีใครเดินผ่านหากไม่มีอะไรจำเป็น ผมซึ่งทนเก็บความสงสัยนี้มานานเห็นท่าว่าพรุ่งนี้คงต้องไปขอดูกล้องวงจรปิดเพื่อเช็คความชัวร์สักหน่อยว่าบุคลลที่ว่ามีเจตนาอะไรมาเดินไปมาช่วงวิกาลแบบนี้ทุกวันกันแน่..
“เอาเป็นดูเองแล้วกัน พี่ไม่ว่างมาไล่ดูให้น้องหรอก”
“...”
“แล้วถ้าเป็นโจรอะไรก็แจ้งตำรวจไปเลยนะ ไม่ต้องมาบอกพี่” บทสรุปการขอดูกล้องวงจรปิดในวันนี้จบลงตรงที่ไฟล์วิดีโอทั้งหมดในหนึ่งอาทิตย์ถูกก็อปข้อมูลลงแฟลชไดร์ฟให้ไปดูเองทั้งหมด ก่อนที่เจ๊เจ้าของหออันล้าสมัยนี่จะอันตรธานหายไปโดยไม่รอให้ผมได้พูดอะไรเลยสักคำ
จากนั้นจึงใจเอาแฟลชไดร์ฟที่ว่านั่นขึ้นาเปิดดูบนห้องเองทั้งหมด โน้ตบุ๊คที่ไม่ได้ใช้งานนานจนฝุ่นเก่า ถูกเปิดขึ้นเพื่อทำสิ่งสำคัญ
ไฟล์ทั้งเจ็ดไฟล์ไล่เรียงกันอยู่ในโฟลเดอร์ให้ได้เลือกเปิด ผมจึงตัดสินใจเปิดไฟล์ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยืนเสียงปริศนาขึ้นมา
มุมกล้องทอดยาวไปทั้งทางเดินหน้าห้องในเวลาตีสองกว่าๆ มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟหน้าห้องที่สว่างไล่เรียงกันเป็นระยะๆเท่านั้น ทุกอย่างดูเงียบสงบและไม่มีแม้กระทั่งแมลงกลางคืนตัดผ่านหน้ากล้องเลยสักตัว
ผมค่อยๆกรอเวลาเข้าใกล้ตีสามไปเรื่อยๆ หวังอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเสียงที่ว่านั้นคือใคร
02:58
จนในที่สุดการรอคอยของผมก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับร่างของคนๆนึงที่กำลังเดินออกมาจากห้องหมายเลข 306 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ติดกับผม
ดูจากหุ่นและท่าทางแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าเขานั้นเป็นผู้ชาย แต่เพราะคุณภาพของกล้องที่ด้อยไปตามราคาจากตรงนี้เลยทำให้ผมไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนเท่าที่ควร
เขาอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดกับกางเกงวอร์มสีเทา สองขายาวเดินตรงเข้ามาใกล้กล้องมายิ่งขึ้น จนมาหยุดลงที่หน้าบานประตูของห้องผม ผมยังคงปล่อยให้วิดีโอเบื้องหน้าเล่นไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังยืนนิ่งไปแบบนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะล้วงเอาซองบุหรี่ขึ้นมา กระทุ้งซองเบาๆพร้อมกับจุดมวนยาสูบนั่นจนติดไฟ
ตึกตัก ตึกตักในจังหวะที่เขากำลังเงยหน้าเพื่อพ่นควันพิษนั่นเอง ที่ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้วบุคคลปริศนาทุกๆตีสามนั่นเป็นใคร
“...หัวหน้า” ยังเป็นเขา เป็นคนๆเดียวกับคนที่ผมมักจะใจเต้นด้วยเสมอเวลาผมได้พบหน้า
เขาค่อยๆทิ้งตัวลงพิงระเบียงกั้นกันคนตก ขาข้างนึงของเขาชันขึ้นไปพร้อมกับการสูบบุหรี่ที่ดูไม่ได้เร่งรีบอะไร ไฟสีแดงจากปลายมวนจากที่สว่างโร่ก็ค่อยๆดับจนมืดลง และในตอนนั้นเองที่เขาได้จากหน้ากล้องไป
กลับไปยังห้องข้างๆผม
ผมยังคงงุนงงกับเรื่องทั้งหมดที่ได้เห็น เพื่อความแน่ใจผมจึงทำการดูวิดีโอที่ได้ก็อปปี้มาว่าใช่คนเดียวกันในทุกๆวันจริงหรือไม่ด้วยการเปิดไล่คลิป CCTV จนครบหนึ่งสัปดาห์ .. แน่นอนว่าคำตอบก็คือ ใช่ หัวหน้ามาสูบบุหรี่ที่หน้าห้องผมทุกวันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ
ทำไมคุณสามถึงมาอยู่ห้องข้างๆผมได้ ทั้งๆที่ที่นี่เป็นแค่หอพักคร่ำคร่าเท่านั้น
ทำไมคุณสามถึงต้องออกมาสูบบุหรี่หน้าห้องผมทุกตีสามของทุกวัน
และทำไมผมถึงต้องร้องไห้ออกมาอีกแล้ว..
จัดการปาดน้ำตาลวกๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบถุงยาเพื่อทานยาเม็ดสุดท้ายของวันตามคำสั่งหมอ อาการปวดวิ่งแล่นจากขมับอีกด้านสู่อีกด้าน ใบหน้าของผู้เป็นนายถูกฉายขึ้นทุกครั้งที่หลับตาลง
“ผมกับคุณเราเป็นอะไรกันแน่..” ภาพในหัวฉายขึ้นให้เห็นรอยยิ้มของคุณสามถูกตัดสลับไปมากับสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่แฝงไปด้วยความเศร้า ในนั้นรู้แค่เพียงว่าเรากำลังอยู่บนรถของใครสักคนหนึ่งที่มีเพียงคุณสามและผม คุณสามเอื้อมมือมากอบกุมมือผมไว้ทั้งสองข้าง ความอบอุ่นที่เป็นเพียงจินตนาการกำลังแผ่ซ่านไปทั้งใจ แต่จู่ๆผมกลับหนาวจนแทบสั่นเมื่อความอุ่นสบายจากใบหน้าหล่อเหลาถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่จริงจัง เขาน่าจะกำลังพูดอะไรสักอย่าง ..
‘ผมกำลังจะ ... เปอร์ เปอร์ โอเคไหม? เปอร์’ ผมในตอนนั้นคล้ายคนฟิวส์ขาด ผมหุนหันเปิดประตูลงจากรถไปพร้อมกับการตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปโดยไร้จุดหมาย วิ่งไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน พลันแสงวูบวาบในหัวจะพาให้ผมในจินตภาพหายไปและถูกแทนที่ด้วยแผ่นน้ำกว้างใหญ่ ที่ทั้งมืด ทั้งน่ากลัว
ผมในตอนนั้นกำลังร้องไห้ และยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงใครคนนั้นขึ้นมา ขาทั้งสองข้างปืนป่ายไปนั่งบนราวสะพานอย่างไม่นึกกลัว ผมที่กำลังต่อสู้กับผมอีกคนในความคิดแต่ก็ไม่ทันการ เมื่อผมในนั้นกำลังทิ้งตัวถาโถมเข้าใส่ความมืดมิดของท้องน้ำเบื้องหน้า มันเข้าใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ และรวดเร็วขึ้น จนผมไม่อาจทนได้อีกต่อไป
“อ๊ากกกกกก” ตาผมเบิกโพลงขึ้นในจังหวะที่ร่างกายกำลังตกลงไปกระแทกผืนน้ำ รับรู้ได้ถึงมือและเท้าที่เกร็งจนเมื่อยไปหมด ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้นมันเป็นเพียงควาฝันหรือความจริงที่ผมได้หลงลืมไปกันแน่
สูดหายใจเข้าลึกๆพลางมองไปรอบๆเพื่อตอกย้ำว่าสิ่งไหนกันแน่ที่เป็นความเป็นจริง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษที่หม่นขนาดเท่าฝ่ามือแต่เดิมที่มันเคยอยู่ได้แลปท็อปก่อนที่แลปท็อปที่ว่านั้นจะเอียงกระเท่เร่เพราะแรงสะบัดเมื่อครู่ ด้วยความสงสัยในข้อความที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินนั่นผมเลยยกหยิบขึ้นมาอ่านให้ถนัดตา
“..เฮ้ย” ใครจะไปรู้ว่าแค่ไอ้กระดาษไม่น่าสะดุดตาแผ่นนี้แผ่นเดียว จะสามารถไขข้อข้องใจของผมไปทั้งหมดได้
ถึง ยาย
ยายครับ ขอบคุณที่เลี้ยงดูเปอร์มาตั้งแต่เล็กจนโตนะครับ วันนี้เปอร์รู้สึกว่าทุกอย่างมันหนักหนาเหลือเกินครับยาย ผมรักยายมากๆเลยนะครับ ขอโทษที่เปอร์อ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้นะครับ
ปล.ข้าวของและเงินทุกอย่างของเปอร์ขอยกให้ยายครับเปอร์
จดหมายที่สื่อความอยากจะลาโลกใบนี้ถูกเขียนด้วยลายมือและลงชื่อด้วยชื่อของผมเอง แม้มันจะยากแก่การทำความเข้าใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าคนเขียนจดหมายนี้นั้น คือ ตัวผม..
ทนฉงนกับใจความหน้าแรกได้ไม่ทันไร สายตาก็สังเกตเห็นรอยปากกาจางๆที่ซึมผ่านมาจากหน้ากระดาษอีกฝั่ง โชคร้ายที่อีกฝั่งที่ว่านั้นจะเปื้อนไปด้วยคราบที่ดูคล้ายคราบน้ำตาแผ่กระจายเป็นวงๆไปทั่ว แต่ก็ยังโชคดีที่มันยังพอเข้าใจถึงใจความได้
ถึง คุณสาม
ผมเข้าใจครับ และต้องขอโทษที่เสียมารยาทอวยพรงานแต่งงานของคุณผ่านจดหมายแทนการอวยพรในงานแต่งนะครับ
ขอให้คุณสามมีความสุข ขอให้คนที่คุณรักและรักคุณอยู่กับคุณไปนานๆ ขอให้อย่าเจ็บป่วยนะครับ จากนี้ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะเป็นหนึ่งในคนที่รักคุณต่อไปครับ : ) เพียงแค่ได้อ่านข้อความอีกหน้าจนจบ ร่างของผมก็ตรงดิ่งพุ่งตัวออกไปทางประตู เบื้องหน้าคือห้องหมายเลข 306 ผมตัดสินใจเคาะประตูบานนั้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ใจหนึ่งผมก็กลัวข้อเท็จจริงที่ตนเองได้คาดไว้ แต่อีกใจนึงก็กลัวว่าเขาจะไม่ออกมาเผชิญหน้ากันเพื่อไขความคลางแคลงที่ผมมี
ปึงๆๆ “คุณสาม! คุณสาม! ได้ยินผมไหม” หลังบานประตูนั้นยังคงแน่นิ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหว แต่ให้หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ประตูไม้ซอมซ่อก็ถือเปิดออกด้วยฝีมือของเจ้าของห้อง
“..คุณสาม” คนตัวสูงในชุดวอร์มสีเทาของยี่ห้อดังชุดเดียวกับในกล้องวงจรปิด ค่อยๆแง้มใบหน้าออกมา ดวงหน้าหล่อเหลาที่เราได้เจอกันแทบจะทุกวัน จากเดิมที่เคยดูเปล่งประกายแต่พอได้เห็นเขาแบบใกล้ๆก็รับรู้ได้ถึงความหม่นหมองชนิดที่ว่าแทบไม่หลงเหลือเค้าของความเป็นคุณสามผู้สดใสคนนั้น คนที่ผมจำได้ เอาไว้เลย
“รู้แล้วเหรอ”
“...”
“ขอโทษนะรบกวนหรือเปล่า จะย้ายออกให้”
“คุณสาม” ดวงตาเข้มที่ผมมักจะชอบมองบัดนี้กลับหลุบลู่มองพื้นราวกับไม่ต้องการจ้องตา เขายังคงจับลูกบิดสีหมองเอาไว้ เหมือนกับคนไร้ความมั่นใจ ช่างแตกต่างกับคุณสามในที่ทำงาน อย่างกับว่าเขาคือคนละคนกัน ..
เขายังคงลังเลที่จะพูดอะไรออกมาอีก จนผมเป็นฝ่ายเปิดฉากการพูดคุยด้วยประโยคคำถามที่ราวกับจะเชือดเฉือนหัวใจของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“คุณสาม”
“...”
“ผมเคยรักคุณใช่ไหม” เขาเอาแต่ยิ้มพลางส่ายหัวไปมาให้ผม จนใจผมแป้วไปเกินครึ่ง
“ผมไม่ได้รักคุณเหรอ” ผมถามเขาย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เราเคยรักกันต่างหาก” คุณสามดูมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ร่างกายของคนตัวสูงเขยิบออกมาจากการบดบังหลังประตูบานเก่าออกมาให้เราได้ประจันใบหน้ากันตรงๆ
“ผมกับเปอร์เคยรักกันครับ” เพียงแค่อึดใจเดียวที่คุณสามระบายยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะปรับเป็นสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม และจากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ร้องเรียงออกมาจากปากของผู้ชายที่กล่าวอ้างว่าเราเคยรักกันโดยที่ไม่ต้องให้ผมไถ่ถามเพิ่มเลยแม้แต่คำเดียว
“เราทั้งสองคนรักกัน ก่อนที่พ่อของผมบังคับให้ผมแต่งงาน”
“...”
“ความสัมพันธ์ของเราเริ่มขึ้นเมื่อหกเดือนที่แล้ว”
“เมื่องานวันปีใหม่?”
“ครับ” ผมแค่คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่เราต่างคนต่างเมากันมาก และลงเอยด้วยเรื่องบนเตียง เพียงก่อนหน้านี้ผมจำไม่ได้ว่าความทรงจำที่ว่านั่นผมได้ทำมันไปกับใคร
“หลังจากที่ผมตัดสินใจบอกเรื่องที่จะแต่งงานกับคุณ คุณก็วิ่งหนีหายไป” ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ เพื่อเตรียมฟังในสิ่งที่ได้เกิดขึ้น
“ต่อเลยครับ”
“หลังจากนั้นคุณก็โทรมาหาผม .. ก่อนที่คุณจะกระโดดสะพาน ในวันที่สิบ”
“ผมไม่ได้กระโดดสะพาน..” ถึงจะได้เห็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของผมแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังยืนกรานเชื่อในสิ่งที่มีคนเคยบอกเอาไว้
“ถึงคุณพยาบาลจะบอกคุณมาอย่างนั้นก็จริง แต่คงไม่มีคนตกสะพานที่ไหนเขาถอดรองเท้าวางไว้เรียบร้อยแบบนั้นหรอกครับเปอร์”
“...”
“ผมขอโทษครับ”
“คุณสามเล่าต่อเลยดีกว่าครับ”
“ตอนก่อนที่คุณจะ .. โดด คุณโทรมาหาผม” ฝ่ามือผิวสีน้ำผึ้งลูบไปตามใบหน้าราวกับกำลังพูดในสิ่งที่ยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมา
“ผมไม่น่าเลย .. ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่าคุณเป็นซึมเศร้า ผมขอโทษครับเปอร์ เพราะผมคนเดียว” เข่าทั้งสองของเขาทรุดลงไปกับพื้นราวกับจะขอการให้อภัย ผมไม่ได้อยากรู้ว่าตอนที่ผมโทรมมาผมได้พูดอะไรกับเขา เขาได้พูดอะไรกับผม ผมอยากรู้แค่เพียงว่า..
“ตอนที่ผมคบกับคุณ คุณมีภรรยาแล้วใช่ไหม”
“..ครับ”
“แล้วผมรู้ไหม?” จู่ๆน้ำตาที่ได้กลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คุณสามเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเป็นการตอกย้ำนัยๆว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อจากนี้ คือเรื่องจริง
“คุณไม่รู้ครับ…” เหมือนสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ผมเข้าใจตัวผมในวันนั้นเป็นอย่างดี เข้าใจว่าทำไมถึงเลือกตัดสินใจที่จะคิดสั้นเช่นนั้น
“แล้วคุณแต่งงานวันไหนครับ?”
“วันพรุ่งนี้ครับ” ผมขมวดคิ้วเล็กๆเพราะคำตอบที่ว่านั่น ในคืนก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวนั้นควรที่จะได้ไปเตรียมตัวไม่ใช่หรือ แล้วทำไมว่าที่เจ้าบ่าวป้ายแดงคนนี้ยังถึงนั่งคุกเข่าใจเย็นอย่างนี้อยู่ได้
“คุณสาม .. ไม่ว่าผมกับคุณจะเคยทำผิดมากันแค่ไหน ผมไม่ได้โกรธคุณนะครับ แต่ผมคงไม่มีหน้าไปงานแต่งงานพรุ่งนี้ของคุณ”
“...”
“เปอร์เมื่อหกเดือนที่แล้วเขาอยากอวยพรให้คุณมีความสุขกับคนที่คุณรักและรักคุณนะครับ”
“เปอร์...”
“แต่ตอนนี้ผมลืมไปหมดแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องห่วงนะครับว่าผมยังจะรักคุณอยู่” ผมค่อยๆโน้มตัวย่อตัวลงเพื่อให้คุยกับเขาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ดวงตาแดงก่ำทั้งสองของเขาที่ผมกำลังมองเห็น นั่นเป็นเครื่องตอบรับได้อย่างดีว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร
“ผมขอโทษที่เข้าไปก้าวก่ายคุณกับภรรยาของคุณนะครับ .. โชคดีนะครับคุณสาม”
ให้หลังผมก็หมุนตัวพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองกลับห้อง เนื้อตัวที่ไม่สามารถฝืนแรงโน้มถ่วงได้ก็ลู่ไปกับบานไม้จนลงไปนั่งจุมปุกอยู่บนพื้น เหมือนผมเปเปอร์เมื่อหกเดือนที่แล้วกำลังเสียใจอยู่ข้างใน
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรจะดีใจที่เห็นเขาไปมีความสุข หรือควรจะเสียใจที่โดนทอดทิ้งดี เพราะผมนั้นไม่รู้ว่าตัวเองเคยรักเขามากแค่ไหน เคยสร้างความทรงจำดีๆอะไรเอาไว้มากเท่าไหร่ ทุกอย่างมันตื้อๆทึบๆไปหมด
“เราควรจะดีใจสิวะ”
(ต่อ)