ตอนที่ 6
แฟชั่นโชว์ที่รอคอย
ในที่สุดงานแฟชั่นโชว์ก็มาถึง
ผมตื่นเช้าโดยไม่ต้องให้ตวันมาปลุก ตื่นเต้นจนยิ้มแฉ่งให้ตวันหลายรอบ ช่วงหลังมานี้ต่างคนต่างคร่ำเคร่งกับงานเพราะต่างปิดบังความลับของตัวเองไว้ ทำให้แทบจะลืมเลือนความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันสมัยวันวาน เมื่อได้ยิ้มได้หัวเราะ ตวันก็จับหอมแก้มหลายครั้งตอนผมหมุนตัวหน้ากระจกเดินวนดุกดิกไม่ยอมหยุด
“หล่อแล้วครับคนดี”
ขณะที่ตวันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและสูทดำเรียบๆ ผมกลับสวมเชิ้ตสีเขียวไล่สีจากอ่อนไปเข้มกับเนกไทลายขวางกลัดเข็มเพชรลายดอกไม้ห้าแฉกคล้ายดวงดาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดาราลัยจิลเวลรี่ ทับด้วยเสื้อสูทเข้ารูปสีดำสนิทเนื้อดี
เพราะเป็นธีมมรกต วันนี้เลยสวมต่างหูมรกตเม็ดเล็กๆ ด้วย เมื่อพอใจกับตัวเองแล้วผมก็หันไปมองตวัน ก่อนจะเดินไปหยิบเนกไทสีเขียวเข้มมาเปลี่ยนให้แล้วกลัดเข็มกลัดแบบเดียวกัน
“ตวันก็หล่อแล้ว”
ผมยิ้มกว้าง นึกภาพเดินควงแขนตวันเย้ยพาฝันบนเวที
แต่เขาคงเข้าใจผิด เพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้ช่วยเขาแต่งตัวจับชุดเสื้อเข้าคู่สีด้วยกัน แหม ปกติผมตื่นทันเขาไปทำงานที่ไหนล่ะ จากหอมแก้มเลยเป็นจุมพิตหวานๆ อบอุ่นอ่อนโยนสมชื่อตวัน
ผมนิ่งงัน วินาทีนั้นเหมือนมีน้ำท่วมอยู่ในอก เอ่อล้นอยู่ในใจ
“ไปกันเถอะ”
ตวันเป็นฝ่ายจูงมือผมออกจากห้อง คอนโดฯ ชั้นบนสุดที่พวกเราเหมาพักเป็นหนึ่งในเครือของตระกูลดาราลัย นอกจากจะพักฟรี สั่งอาหารฟรี บริการสปาและบาร์ฟรี ยังมีลิฟต์ส่วนตัวรวมถึงลานจอดรถชั้นพิเศษสำหรับซูเปอร์คาร์ด้วย
พวกเราไปถึงงานก่อนเวลาเพื่อดูความเรียบร้อย
ตวันตรวจรายชื่อแขก ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อของศศิน ส่วนผมนั้นเดินไปหลังเวที นั่งไขว่ห้างท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายของเหล่านางแบบที่กำลังแต่งหน้าทำผมกันอย่างเร่งรีบ
คนที่กลัวจะไม่มายกมือไหว้ผมเป็นคนแรก
ผมพอเดาได้ตั้งแต่เห็นคนของศศินยืนรออยู่ด้านนอกแล้ว แม้จะขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตามเข้ามาด้านใน พาฝันวันนี้ดูสดชื่นพร้อมทำงาน เธอสวมชุดราตรีและแต่งหน้าเกือบเสร็จแล้ว ส่วนเครื่องเพชรนั้นถูกจัดเก็บในตู้นิรภัย มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคุ้มกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“โกโก้ครับวา” ตวันโผล่เข้ามาหลังเวทีพร้อมแก้วกันความร้อน ผมเลยรับมาโดยไม่ต้องกลัวลวกมือ มองควันที่ลอยอ้อยอิ่งราวตัดขาดจากโลกภายนอกความตื่นเต้นก็คล้ายจะสงบลง ผมพยายามจะไม่เหลือบตามองตวันที่เดินเข้าไปหาพาฝัน ชมเชยเธอในชุดราตรีว่าดูดีมาก
วันนี้เป็นวันดี ผมไม่อยากอารมณ์เสียเลยดื่มด่ำกับโกโก้ที่แม้จะร้อนลวกลิ้นก็ไม่โวยวายอะไร ไม่รู้เพราะในใจมันเจ็บจนชินแล้วรึเปล่าถึงมองพวกเขาสองคนไม่ต่างกับควันลอยเบาบาง ยังดีที่ตวันแค่ทักทายตามประสาก่อนจะเดินกลับมาหาผม ชวนทานข้าวด้วยกัน
“วามาเร็วจัง ทานข้าวกับพี่นะครับ”
แต่โดนพี่นทีดักซะก่อน
ไม่แปลกหากจะเห็นพี่ชายของผมคนนี้ในเมื่อสถานที่จัดงานคือโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่พี่นทีดูแลอยู่ ตวันเห็นสองพี่น้องไม่ได้เจอกันนานเลยเป็นฝ่ายขอตัว เพราะแม้จะซาบซึ้งที่พี่นทีช่วยส่งเสียต่อหลังพ่อแม่ของผมเสีย แต่ท่าทีไม่ชอบใจของพี่ชายก็แสดงออกชัดเจนจนเขาวางตัวลำบาก
โปรดนึกภาพคนเฉื่อยดอกไม้บานเขม่นมองเป็นระยะ มันน่าอึดอัดจริงๆ นะเออ
ผมตอบตกลงกับพี่นทีไม่ลังเล เพราะไม่อยากให้อะไรในใจมันกวนให้ขุ่นก่อนงานเริ่ม นี่ก็พยายามระงับอารมณ์เต็มที่แล้วนะเนี่ย ตวันถอยห่างออกไปอย่างรู้มารยาท แม้ตอนอยู่กับผมตวันจะเป็นทั้งเพื่อนและคนรัก แต่พออยู่ต่อหน้าพี่นที ตวันจะเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
“ตื่นเต้นมั้ย” พี่นทีพาผมไปห้องอาหารวีไอพีชั้นบนสุดซึ่งเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาชัดเจนท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่งของกรุงเทพมหานคร “ลุงสมชิดบอกว่าวาออกแบบเครื่องประดับในโชว์ครั้งนี้ด้วย พี่ประหลาดใจมากเลยนะ”
“ก็พี่ทีคิดว่าวาเป็นเด็กเสมอนี่...ครับ” ผมบ่นอุบอิบ กลัวจะโดนพี่ชายตำหนิที่ทำอะไรโดยพลการ ในสายตาของพี่นทีเห็นผมเป็นเด็กน้อยที่ต้องปกป้องดูแลทะนุถนอม หากมีเรื่องกระทบสักเล็กน้อยก็พร้อมจะแตกสลายในทันที
ใช่ว่าไม่เข้าใจพี่ชาย ในความคิดเขาเห็นผมเป็นน้องชายแสนอ่อนแอที่โดนลมเป็นไข้ขึ้น วิ่งเล่นเป็นเหนื่อยหอบ หนักเข้าถึงเลือดกำเดาไหลไม่รู้ตัว ร่างกายผมอ่อนแอเพราะคลอดตอนเจ็ดเดือน แต่เมื่อโตขึ้น ได้รับการบำรุงดูแลอย่างดีก็แข็งแรงเหมือนคนปกติ น่าเสียดายที่พี่นทีไม่ทันเห็นเพราะไปเรียนต่อเมืองนอกซะก่อน เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นวันที่พ่อกับแม่เสียชีวิต ผมในตอนนั้นร้องไห้ใจแทบขาด ดูอ่อนแอน่าสงสารจนพี่นทีเจ็บปวดร้าวรานแล้วนึกโทษตัวเอง
เขาสัญญาว่าจะดูแลผมแทนพ่อกับแม่ ไม่ยอมให้ผมต้องลำบากจนกลายเป็นการห่วงใยเกินพอดี แถมยังย้ำกับตวันหนักหนาว่าถ้าผมต้องการอะไรให้หามาประเคน
เงินทองมีเหลือกินเหลือใช้ กลัวก็แต่จะไม่มีคนใช้
นั่นเป็นอย่างเดียวที่ตวันกับพี่นทีเห็นตรงกัน
ผมเห็นชอบนะ แต่ขอให้มันพอดีๆ หน่อย ไม่ต้องถึงกับให้นอนทั้งวันทั้งคืน ช็อปปิ้งทั้งคืนทั้งวันก็ได้ ผมเบื่อเป็นเหมือนกัน แต่พี่นทีไม่ยอมให้ผมยุ่งเรื่องโรงแรม จะเข้าบริษัทจิวเวลรี่ก็กลัวตวันโดนมองไม่ดี ให้ไปกินเลี้ยงสังสรรค์ก็ไม่ชอบอีก ผมเลยกลายเป็นคนว่างงานแห่งปีที่ร่ำรวยสุดๆ วันดีคืนดีก็สมัครเรียนคอร์สแฟชั่นหาความรู้เสริมเล่นๆ
“พี่ทีคิดว่าสวยมั้ยครับ” ผมเปิดรูปถ่ายต่างหูและแหวนที่ออกแบบเองให้ดู
“น้องชายพี่เก่งอยู่แล้ว แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องทำอะไรเลย”
ผมกลอกตา
คาดหวังอะไรกับพี่ชายที่ปวดหัวจะเป็นจะตายเวลาจัดงานแฟชั่นโชว์เพราะดูไม่ออกว่าอันไหนสวยไม่สวย พี่นทีเก่งด้านบริหาร แต่เซ้นส์เรื่องความสวยความงามเท่ากับศูนย์
ที่ดาราลัยจิวเวลรี่ยังไม่ล่มจมต้องขอบคุณบรรดานักออกแบบและลุงสมชิดล้วนๆ ที่ประคองมาถึงมือผมและตวันได้อย่างปลอดภัย
“พี่ไม่อยากให้วาเหนื่อย”
“แค่ออกไอเดียกับวาดภาพไม่เหนื่อยหรอกครับพี่ที”
“วาชอบก็ดีแล้ว แต่อย่าฝืนตัวเองมากนะ”
อยากจะบ้า พี่ทีเห็นผมเป็นตัวอะไร แค่เดินเกินสิบก้าวก็หมดแรงตายอะไรพรรค์นี้เหรอ
“ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่ดีเท่าที่หวังก็ไม่เป็นไร หรือถ้าทุบสถิติที่ตวันเคยทำไม่ได้ก็อย่าคิดมาก วายังมีพี่ชายคนนี้อยู่เสมอนะ ถ้าอยากได้บริษัทจิวเวลรี่คืน พี่จะบีบตวันให้ขายหุ้นเอง ไม่ต้องลำบากวาต้องลงมือลงแรงขนาดนี้หรอก”
“พี่ที!” ผมลุกพรวด “พี่จะเชื่อในตัวผมสักครั้งไม่ได้เลยรึไง!!”
ไม่มีคำตอบจากพี่ชาย ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อสายตาเขาเห็นผมเป็นเด็กน้อยแสนอ่อนแอ และหน้าที่ของเขาในฐานะพี่ชายแสนดีก็คือการปกป้องผมให้รอดพ้นจากภยันตราย
เพราะอย่างนี้ไงผมถึงไม่อยากจะเล่าเรื่องตวันให้เขาฟัง
เพราะอย่างนี้ไงผมถึงไม่อยากจะปรึกษาเรื่องงานหรือเสนอตัวอยากช่วยบริหารโรงแรมทั้งที่ว่างแสนว่าง
ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
โกรธคนแบบนี้ก็เปล่าประโยชน์ แม้จะเป็นการทำร้ายผมทางอ้อม แต่พี่นทีก็หวังดีกับผมจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอะไรยอมได้ผมก็ยอมตลอด เพราะอยากให้คนที่รักซึ่งเหลือเพียงสองคนบนโลกนี้สบายใจ ถึงผมจะขี้เกียจ แต่ผมเองก็มีสิ่งที่อยากทำและมีความฝันเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะถาม ไม่เคยคิดจะเข้าใจผมบ้างเลย...
ตอนพี่นทีเรียกให้มากินข้าวด้วยกัน เกริ่นเรื่องผมออกแบบเครื่องประดับ ไอ้เรารึก็หลงดีใจแทบแย่ แต่พูดกับคนที่เห็นเครื่องเพชรเป็นแค่สินค้า แยกแยะความแตกต่างไม่ออก มองเห็นแต่เรื่องราคาและกำไร
ผมก็คร้านจะอธิบาย
เพราะพี่นทีมีจุดยืนของตัวเอง
และพื้นที่ตรงนั้น...ไม่มีผมร่วมด้วย
หลังมื้ออาหารกับพี่ชายที่ค่อนไปทางล้มเหลว ผมรีบกลับเข้างานจดจ่อกับนั่งดูนางแบบซ้อมเดินจนแทบจะลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์คือต้องการเปิดตัวเพื่อล้างแค้นตวันกับพาฝัน ผมอยากพิสูจน์ตัวเองให้พี่ชายได้เห็นว่าเด็กน้อยคนนั้นที่เขาอยากปกป้องทะนุถนอมไว้ในกรงทองก็มีความคิดและจุดยืนของตัวเองเหมือนกัน
ตวันโดนความจริงจังของผมกระแทกตาจนไม่กล้าชวนคุย
หลังตรวจสอบรายละเอียดและนัดแนะกับทีมงาน ไม่นานแขกผู้มีเกียรติก็เริ่มมาเยือน ตวันยืนต้อนรับโดยมีผมยืนยิ้มอยู่ข้างๆ หลายคนไม่รู้จักว่าผมคือใคร พอบอกว่าชื่อนาวา ดาราลัยก็เพียงพยักหน้าแต่ไม่ได้ฉุกใจเป็นพิเศษ เพราะตลอดสามปีมานี้แม้จะมาร่วมงานตลอดแต่ผมก็เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แบบว่ามาให้กำลังใจแฟนน่ะครับ ไม่ได้มาสวมหน้ากากเข้าสังคม
ส่วนนักข่าวแม้จะสงสัยแต่ก็ยังไม่มีโอกาสสัมภาษณ์ เพราะจะเปิดให้สอบถามหลังแฟชั่นโชว์เสร็จแล้ว
“วาเมื่อยมั้ยครับ ไปนั่งพักก่อนได้นะ”
“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้าให้ตวัน ก่อนจะถึงบางอ้อว่าทำไมจู่ๆ ตวันถึงอยากให้พักเมื่อหันไปเห็นศศินเดินมากับบอดี้การ์ดสองคน
เพราะเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ มีคนผูกใจเจ็บเยอะ ข้างตัวศศินจึงมักมีบอดี้การ์ดประกบติดเสมอผิดกับไฮโซคนอื่นๆ สร้างอำนาจบารมีแบบแปลกๆ ให้หลายคนพากันมองแล้วกระซิบกระซาบทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ศศินแย้มยิ้มวายร้าย เมินตวันแล้วทักทายผมแบบจงใจซะยิ่งกว่าจงใจ
“วันนี้ที่รักดูดีจัง”
ยังดีที่ศศินเอ่ยเสียงเบาเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็น
“ขอบใจ” ผมตอบเป็นมารยาท ศศินเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นในงานสังคม หมอนี่จะไม่จีบโจ่งแจ้งให้ผมอับอาย เพราะเขาไม่อยากโดนเกลียดขี้หน้ามากกว่าที่เป็นอยู่
“มองอะไร หึงเหรอ” ลับหลังศศิน ผมก็แกล้งแซวตวัน
“หึงสิครับ”
ถ้าเป็นปกติผมคงยิ้มหวานหยดย้อยมองตวันอย่างรักแสนรักแล้ว คนอย่างนาวามักทำตามใจตัวเองก่อนเสมอ แขกเหรื่อรอสักนิดได้แต่คนข้างกายสบายใจย่อมยินดีมากกว่า แต่ตอนนี้ผมแสร้งทำเป็นยุ่งสุดขีด เพราะนอกจากไฮโซแล้วยังมีดาราชื่อดังระดับต้นๆ ของประเทศได้รับเชิญด้วย
ดารามักมาคู่กับข่าวฉาว นักข่าวเลยรุมล้อมยกใหญ่ ในฐานะเจ้าของงานผมย่อมช่วยดูแลอย่างดี
เมื่อเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมก็เดินไปหลังเวที นึกภาพว่าจะต้องพร้อมโชว์แล้ว แต่คาดไม่ถึง...
ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับพาฝันหน้าซีดคล้ายจะเป็นลม ชุดราตรีเปื้อนคราบด่างดวงเหมือนกับว่าเธอเพิ่งอาเจียนออกมา
“เกิดอะไรขึ้น” ผมเดินไปถามผู้จัดการของพาฝันที่เมื่อสองชั่วโมงก่อนยังซ้อมเดินได้อยู่เลย
“น่าจะอาหารเป็นพิษค่ะคุณนาวา”
“อาหารเป็นพิษ?” ผมถามเสียงสูง คนเราจู่ๆ จะอาหารเป็นพิษทันดีทันใดได้ยังไง แต่พอมองพาฝันที่นั่งหมดแรง ผมก็ให้คนไปเรียกทีมพยาบาลซึ่งจัดเตรียมไว้เผื่อฉุกเฉินให้ตรวจอาการ ซึ่งยืนยันว่าเธอไม่ได้แสร้งทำ
ผมอยากจะหัวเราะดังๆ ให้ลั่นไปทั้งโลก เชื่อก็ควายแล้วมั้ย! ถึงผมจะถูกสวมเขาแต่ยังไม่มีเขางอกนะ!
“วา เกิดอะไรขึ้น” มีคนไปตามตวันมาพอดี
“ตวันคะ ฝันปวดท้อง” คนนั่งหน้าซีดเหมือนจะหมดสติทุกเมื่อเอ่ยเรียกแฟนชาวบ้านอย่างกับว่าถ้าตวันมาดูจะหายอย่างนั้นล่ะ ผมดึงแขนคนของตัวเอง ดูจากสีหน้าตกใจคาดว่าตวันก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าชู้รักจะล่มงาน เก่งจริงๆ พาฝัน ป่วยก่อนโชว์จะเริ่มไม่ถึงสิบนาที หาคนแทนไม่ทันแน่นอนแล้ว
“เหมือนจะแพ้อาหารมากกว่าอาหารเป็นพิษนะครับคุณนาวา”
ผมฟังคำวินัจฉัยของหมอแล้วมองพาฝันอีกครั้งพลางเหยียดยิ้มชื่นชมในความทุ่มเท
ใจเด็ดจริงๆ
แม้ไม่อยากจะเดินแบบให้ผม แต่พาฝันก็จำต้องมางานเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา จึงลงทุนขนาดแอบไปกินอาหารที่ตัวเองแพ้ก่อนเริ่มงานเพื่อให้ออกอาการว่าป่วยหนักจนขึ้นเดินแบบไม่ได้
เธอทั้งหน้าซีด ทั้งอาเจียน แถมยังมีผื่นขึ้นตามตัว ใครจะใจยักษ์ใจมารลากขึ้นเวทีลงคอ
แถมยังหวังคะแนนสงสารจากตวัน อยากให้คนรักของผมช่วยประคองไปโรงพยาบาลเต็มแก่
น่าเสียดายนะพาฝัน
“วา...” ตวันกุมมือผม แม้จะซื่อแต่เขาไม่ได้เซ่อ ทำไมจะมองไม่ออกว่าเป็นแผนเรียกร้องความสนใจของชู้รัก ในเมื่อทุกอย่างช่างประจวบเหมาะเกินไป “วาไม่ต้องขึ้นไปหรอก ผมจะรับผิดชอบเอง”
พาฝันตะลึง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าถ้าให้เลือกขึ้นมาจริงๆ ตวันจะเลือกใคร
แม้นอกใจแต่ก็ไม่อยากทำให้เสียใจ
แต่ตวัน...นายรู้มั้ยว่าที่นายทำมันยิ่งกว่าเสียใจซะอีก ผมมองหน้าเขา สบแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อยากจะถามออกไปเหลือเกินว่ารักของเรามันมีปัญหาตรงไหนกันแน่ ถ้าต้องการอะไรทำไมไม่พูดออกมา ทำไมต้องไปหาหญิงอื่น ทำไม ทำไม...
ทั้งที่รักกันขนาดนี้แท้ๆ แล้วทำไมถึงทำ!
แต่พูดไปก็เท่านั้น เพราะตวันนอกใจผมไปแล้ว หาสาเหตุให้ตายยังไงความจริงข้อนี้ก็ไม่เปลี่ยน
ผมแกะมือตวันออก ความรักของเขาหนุนผมเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
แต่เป็นการหนุนให้ผมยิ่งอยากสลัดห่างจากเขา ยิ่งอยากทำให้แผนสำเร็จเพื่อจะได้ส่งพวกเขาทั้งคู่ไปให้ไกล เพราะปัญหารักสามเส้าบ้าๆ บอๆ นี้กำลังทำให้งานที่แม่ผมฟูมฟักทุ่มเทมาตลอดต้องพัง! ผมให้อภัยไม่ได้ และยิ่งไม่ให้อภัยตัวเองถ้าเลือกจะหลบหลีกใต้ปีกของตวันและพี่นที
“วา...”
“พาเธอไปโรงพยาบาลเถอะ”
“ทำไมต้องเป็นผม ให้ผู้จัดการพาเธอไปก็ได้”
“งั้นก็จัดการแล้วกัน ส่วนเรื่องโชว์ปิดท้าย...” ผมไม่มองหน้าตวัน และไม่แม้แต่จะมองพาฝัน “ฉันจะเดินเอง”
พาฝันคือสัญลักษณ์ของดาราลัยจิวเวลรี่?
ผิดแล้ว
นาวาต่างหากที่เป็นสัญลักษณ์ของดาราลัยจิวเวลรี่!!
ศศินมองแฟชั่นโชว์ตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์
เขาไม่มีความสนใจในเครื่องประดับโดยสิ้นเชิง ทั้งที่เป็นอย่างนั้นกลับเป็นลูกค้าดีเด่นที่มียอดสั่งซื้อสูงติดอันดับหนึ่งในห้าทุกปี
ทั้งหมดเพื่อให้ได้รับบัตรเชิญ เพราะเป็นงานเดียวที่นาวา ดาราลัยจะยอมปรากฏตัว
นางแบบคนแล้วคนเล่าเดินผ่าน อวดเรือนร่างงดงามเข้าคู่กับเครื่องเพชรเฉิดฉาย ไม่เพียงพวกเธอ แต่ทั้งดารา เซเลบริตี้ซึ่งได้รับเชิญล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา เฉพาะยามที่ไม่มีนาวาอยู่ตรงหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มจึงจะเผยใบหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้แต่รอยยิ้มสมชื่อ ‘ศศิน’
ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางฟากฟ้ายามราตรี เย็นชาและเยียบเย็น
ศศินมีใบหน้าหล่อเหลาแบบวายร้าย ยามนิ่งสงบแลกดดันน่ากลัวบรรยากาศคุกคาม คล้ายไม่สนโลก มองทุกสิ่งไปต่างจากภาพดำไร้สีสัน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่ว่าจะงดงามหรือขี้เหร่ ทุกอย่างล้วนเท่าเทียมและไร้ความหมาย เพราะอย่างนี้จึงเลือดเย็น เป็นที่น่าเกรงขามของลูกน้อง ขณะเดียวกันก็เป็นคนอันตรายที่แม้จะเป็นที่หมายปองกลับไม่มีใครกล้าตอแย
ใครจะอยากมีคนรักที่มองตัวเองคล้ายเห็นก้อนเนื้อเดินได้ ขนาดเป็นมนุษย์ยังเป็นไม่ได้เลย!
สำหรับศศิน ต่อให้นางงามระดับโลกมายืนตรงหน้า ชายหนุ่มก็แค่มองนิ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างคิดถึงที่รักจังเลยหนา
นั่นสิ คิดถึงจะแย่แล้ว เมื่อไหร่จะออกมาสักที เห็นสีหน้าของเจ้านายจากขรึมเป็นอมยิ้ม ลูกน้องที่ชินชาก็เริ่มรู้กันในใจว่าศศินไม่พ้นคิดถึงชายหนุ่มผิวขาวจอมโวยวาย เห็นหน้าทีไรเป็นต้องขับไล่อย่างรำคาญ แม้จะไม่เข้าใจว่าไปชอบใจเอาตรงส่วนไหน แต่ใครเลยจะกล้าท้าทายรสนิยมของคนคนนี้ เพราะมีเพียงนาวา ดาราลัยเท่านั้นที่ทำให้ศศินแสดงความรู้สึกออกมา
มีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกการ ‘มีชีวิต’
ศศินรักนาวายิ่งกว่ารักตัวเองซะอีก เพราะอย่างนี้ถึงได้เชื่อหมดใจ...ว่าคงไม่มีใครในโลกรักนาวาเท่าที่เขารักอีกแล้ว
แต่ความรักของศศินนั้นเป็นไปอย่างหวังน้อยจนเหล่าลูกน้องยังไม่เข้าใจในเจตนา แม้จะเทียวหยอดเทียวจีบทีเล่นทีจริง แต่นั่นเป็นเพียงการเย้าแหย่เพื่อให้นาวาไม่ลืมก็เท่านั้นว่ายังมีคนที่รักนาวาอย่างมากพร้อมเป็นกำลังสำคัญ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสมหวัง เพราะนาวามีเจ้าของแล้ว และต่อให้ทั้งสองคนเลิกกัน ศศินก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสมรักอยู่ดี
สาเหตุเพียงข้อเดียวที่ศศินให้คนตามตวันคือหมอนั่นหน้าซื่อใจคด แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเลี้ยงไม่เชื่อง ศศินให้คนจับตามองมาตลอดเพราะอยากจะเปิดโปงความจริงของผู้ชายคนนี้ นาวาจะได้เลิกหลงผิดเก็บตัวเองเพื่อสนับสนุนคนรักลับหลังจนไม่เป็นตัวเองสักที
เขามองคนขาดเสมอ เพราะเติบโตมาในโลกบิดเบี้ยวท่ามกลางอบายมุขทุกรูปแบบจึงมองทุกอย่างเป็นสีเทา ไม่มีหรอกเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ หรือสวย หล่อ น่ารัก เขาดูไปถึงแก่นแท้สันดาน จึงไม่แปลกหากจะเย็นชาเหลือเกินเวลาปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ค่อนไปทางเบื่อหน่าย ชินชากับความสกปรกของโลกใบนี้
ศศินเริ่มอ้าปากหาวท่ามกลางความตื่นตาของโชว์เบื้องหน้า นึกในใจให้อดทนไว้ เขาไม่ได้เจอที่รักตั้งหลายเดือนนับจากนัดเจอกันที่ไนต์คลับ เมื่อก่อนยังมองผ่านรูปถ่ายบ้าง แต่พอที่รักสั่งว่าห้ามให้คนตามอีกก็เชื่อฟังอย่างดี นี่เป็นมุมน่ารักของศศิน ขอแค่นาวาเอ่ยปาก เขายินดีทำให้ แม้จะทำเอาใจแทบขาดรอนๆ ก็ตาม
และแล้วก็มาถึงโชว์สุดท้าย
หลายคนคาดหวังกับพาฝัน นางแบบสาวซึ่งโด่งดังในข้ามคืนกับแฟชั่นโชว์เมื่อปีก่อน ผิดกับศศินที่ง่วงจนตาปรือ ก่อนจะแทบตาถลนเมื่อเห็นร่างของคนในฝันก้าวฉับๆ อย่างมาดมั่นบนเวที
“นายครับ...นั่น...”
“เงียบ”
ไม่แค่ศศินที่ช็อกค้าง ผู้มาร่วมงานแทบทุกคนพากันชะงัก เพราะหายากมากที่จะมีนายแบบเดินในงานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรซึ่งเป็นเครื่องประดับสำหรับสตรี
แต่ร่างบนเวทีกำลังเปลี่ยนความคิดทุกคน
รวมถึงตัวศศินเอง
นาวาสวมสูทดำตัวเดิมที่ยืนต้อนรับแขกเหรื่อ แต่ไม่มีเสื้อตัวใน เนกไทแทนที่ด้วยโชกเกอร์ร้อยมรกตไล่เฉดจากอ่อนไปเข้มยิ่งขับเน้นให้ผิวขาวเนียนละเอียดแทบจะเปล่งแสง ทั้งที่เปิดเปลือยแผ่นอกวับๆ แวมๆ แต่กลับดูสูงสง่าไม่ส่อแววอนาจารสักนิด
นาวาเชิดหน้าเดินอย่างมั่นใจ ฝีเท้ายามก้าวเดินเป็นจังหวะเคล้าคลอกับเพลงบรรเลง ทำให้จี้มรกตซึ่งมีเกลียวเพชรโอบล้อมนั้นแกว่งไกว สวยงามและแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน เส้นผมสีดำเปิดเสยแสกข้างปิดใบหูขวา ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องประดับผู้หญิงกลับโดดเด่นจับตาบนเครื่องหน้าของผู้ชาย
ไม่ขัดตาหรือแปลกแยกสักนิดเดียว
เมื่อเดินมาถึงปลายเวที นาวาก็ยกมือขึ้น เผยให้เห็นแหวนมรกตทรงเหลี่ยมเม็ดเขื่องล้อแสงไฟจนเป็นประกายหลากหลายเฉดสีตระการตา สมชื่อโชว์ Eternal Emerald นาวาปรายตามองตามมือที่วาดขึ้นเผยอวดโฉมแหวนบนนิ้วนางข้างขวา ท่าทางนั้นทำให้ทุกคนแทบลืมหายใจ ดวงตาเรียวชี้ซึ่งใครต่อใครมักคิดว่าดุเกินกลายเป็นมนตร์สะกดชั้นดี ไม่ว่านาวาจะมองไปจุดไหน ทุกคนล้วนมองตาม ต้องมนตร์เสน่ห์ของอัญมณีและนายแบบเข้าอย่างจัง
พลันแสงแฟลชสว่างจ้า นักข่าวแทบลืมหายใจกับภาพเบื้องหน้าซึ่งฉีกกฎวงการแฟชั่นโชว์เครื่องเพชร
ผลตอบรับที่เรียกสีหน้าตะลึงค้างราวตกอยู่ในภวังค์ ทั้งลุ่มหลงและชื่นชม เรียกให้นาวาขยับยิ้มทรงเสน่ห์ ชายหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อย ทำให้จี้มรกตตรงต่างหูนั้นแนบกับลำคอขาวที่มีส่วนโค้งงดงามไม่ต่างจากคอหงส์ ก่อนจะสะบัดมือวาดออกเป็นครึ่งวงกลม หันหลังเดินกลับราวเวทีนี้เป็นที่ของเขา
เพราะเป็นโชว์ปิดงานจึงมีหลายช่วงให้นาวาหยุดยืนสบตากับผู้ร่วมงานทั้งหลาย ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำเข้ารูปที่พรีเซนต์เครื่องเพชรอย่างเป็นธรรมชาติ นำพาให้ทุกคนในงานลืมเลือนพาฝัน
คำถามที่ควรจะเป็น ‘พาฝันหายไปไหน’ กลายเป็น ‘ชายหนุ่มตรงหน้าคือใคร’
แม้พาฝันจะเดินได้ดี แต่เธอคือนางแบบที่พยายามเสนอสินค้า กลับกัน นาวาไม่ใช่นายแบบ แต่เขาคือเจ้าของสินค้า ความมั่นใจที่แสดงออกจึงแตกต่าง หากพาฝันเชิญชวนให้ทุกคนอยากซื้อ นาวาก็ทำราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับเครื่องประดับหรูเป็นอย่างดี ให้ทุกคนชื่นชม อยากได้อยากมี อยากสวมแล้วมีความมาดมั่นแบบเขา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สามารถสวมใส่เครื่องเพชรของดาราลัยจิวเวลรี่ได้
ลับหลังเงาร่างที่เดินกลับเข้าไปหลังเวที ศศินเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นปรบมือ เมื่อครู่เขาคล้ายต้องมนตร์สะกด แทบละสายตาจากนาวาไม่ได้ และเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้ก็ไม่ต่างกัน หลักฐานคือเสียงปรบมือที่ค่อยๆ ดังกึกก้อง
นี่สิคือนาวาที่เขารัก นาวา ดาราลัยผู้มีความเป็นตัวเองอย่างไม่มีใครเทียบเทียม น่าเสียดายที่จะต้องเก็บตัวเพียงเพื่อหนุนหลังผู้ชายห่วยๆ เทียบกับตวันที่พอใจกับนาวาที่ไม่ยุ่งเรื่องงานในบริษัท เทียบกับการปกป้องของนทีที่ไม่เชื่อว่านาวาจะทำอะไรเป็น ศศินคงเป็นคนเดียวที่เชื่อมั่นในตัวนาวา
เขารู้แต่แรกว่านาวาจะทำได้และทำดี ท่ามกลางเสียงคัดค้านเขาคือคนเดียวที่พร้อมสนับสนุนให้นาวาเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่อยู่กับที่หรือเดินถอยหลัง
นาวาทำให้เขาประทับใจเสมอ
ครั้งนี้ก็ใช่
...ครั้งแรกที่พบกันก็ด้วย
--------------------
ตอนนี้เป็นตอนที่เราชอบมากๆ ค่ะ เพราะเผยให้เห็นความในใจของตาหนูนาวาว่าแม้จะชอบนอนขี้เกียจ และพี่ชายสนับสนุนให้ทำ แต่จริงๆ แล้วน้องก็อยากจะทำอะไรบางอย่าง แม้ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างสุขกายสบายใจ แต่จริงๆ แล้วน้องก็สละความฝันเพื่อผลักดันคนรัก ต้องเสียสละและทนกับความคิดของคนใกล้ตัวที่ไม่คิดจะเข้าใจตัวเองเลย
แต่มีคนหนึ่งที่ไม่ใช่
คนที่มองข้ามตลอดอย่างศศิน กลับเป็นคนที่เข้าใจคนนั้น
เป็นความโรแมนติกที่น่ารักมั้ยคะ แต่แรกพบกันนั้นเป็นยังไงบอกเลยว่านาวาจำไม่ได้! 55555 จริงๆ แล้วศศินมีนิสัยเหมือนพระรองอยู่นะคะ คืออยากเห็นคนรักมีความสุข ถ้ารักกับตวันแล้วดีก็จะไม่ขอยุ่ง แต่ก็มีความตัวร้ายนิดๆ คือเธอสุขกับเขาก็ดีไป แต่ขอฉันแวะเวียนมาหาความสุขใจของตัวเองบ้าง นั่นคือการหยอกนาวาให้โวยวายใส่ค่ะ กร๊ากกก
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป วาไปทำร้ายพี่นทีทำไมลูกกก
“จะว่าไปตอนเด็กๆ วาเคยจับพี่ติดเข็มกลัดคอลเล็กชั่นใหม่ของแม่ไล่เฉดเป็นสีรุ้งด้วยนะ”
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja