Move on
ย้อนความกลับไปเมื่อสิบปีก่อน
ที่โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษย่านอนุสาวรีย์
“อา..” โรงเรียนนั้นยังคงมีอยู่ แม้ว่า ‘ปิง ปิยะฉัตร’จะไม่ทราบว่าปัจจุบันนี้โรงเรียนกวดวิชายังคงเป็นที่นิยมของเด็กสมัยนี้หรือไม่ ปิงเห็นตึกๆนี้ทุกครั้งเพราะเดินผ่านทุกวันแต่ไม่นึกกะใส่ใจเพราะมันคือความเคยชิน ทุกอย่างมันมีอยู่ แต่นานครั้งเราจะนึกหวนถึงอดีตที่เคยมีความเกี่ยวข้อง
ภาพความทรงจำในอดีตเมื่อครั้งที่ปิงยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายไหลกลับมาในหัว เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อมั่นในการศึกษาภายในโรงเรียนแม้ว่าพ่อแม่จะจ่ายเงินแพงๆให้เรียนในโรงเรียนเอกชนก็ตาม สุดท้ายแล้วเพื่อความมั่นใจก็ต้องมาพึ่งพาความรู้จากเหล่าครูโรงเรียนกวดวิชาด้วยเกรงว่าจะสอบไม่ผ่านเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ดี
ตอนนั้นนายปิยะฉัตรเรียนเกือบทุกวิชาเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นช่วงสองปีสุดท้ายของมัธยม ชีวิตก็จะวนเวียนอยู่อนุเสาวรีย์จนถึงสยามสแควร์ ในทุกๆวันก็จะกลับบ้านหลังฟ้ามืด เป็นช่วงเวลาที่ฮึกเหิมไปได้ไงก็ไม่รู้ ตอนนี้มั่นใจมากๆว่าทำไม่ได้แล้ว
เพราะวัยด้วยมั้งที่ทำให้เป็นขนาดนี้ หลังจากเรียนจบก็ทำงานทันที แต่ว่าไฟที่มีมันก็ค่อยๆมอดไหม้ไปเป็นธรรมดา จนถึงตอนนี้ปิยะฉัตรอายุ 28 ปี ทำงานมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยเพราะงานเริ่มจะไม่ท้าทายอีกต่อไป สภาพหมดไฟ จึงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่เท่าไหร่ แต่กระนั้นปิงก็ไม่คิดไปไหน พนักงานคนนี้ได้หวงแหนคอมฟอร์ทโซนของตนเสียแล้ว
จึงได้มานั่งระลึกความหลังถึงวันที่เป็น ‘น้ำปิง’ ผู้ซึ่งมีความทะเยอทะยานมากกว่านี้
“อีกไม่นาน End game ก็ฉายแล้ว ซื้อบัตรล่วงหน้ากันยังวะ” ปิยะฉัตรได้ยินใครสักคนพูดเช่นนั้นบนรถไฟฟ้า อา…เขาในฐานะแฟนหนังทุกเรื่องของมาเวลก็ย่อมไม่พลาดเรื่องนี้ แต่ขี้เกียจวุ่นวายกับเรื่องจองตั๋วล่วงหน้า กะว่าเดี๋ยวกลับถึงบ้านค่อยทำ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ไถมือถือจนหลับและไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี
สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
Next station Victory Monument
เสียงประกาศเดิมๆตอกย้ำชีวิตประจำวันเดิมๆ ปิงขยับแว่นที่เพิ่งมาใส่ไม่นานมานี้ให้เข้าที่ ก่อนจะกระชับเป้ของตนและเดินออกจากรถไฟฟ้าไปเมื่อมันเปิดออกแทบจะทันที สถานีนี้เป็นจุดหมายใหญ่ที่คนส่วนมากจะลงกัน จึงไม่แปลกที่บันไดจะเต็มไปด้วยผู้คน
ปิยะฉัตรที่กำลังเหนื่อยได้ที่ เลือกที่จะยืนรอให้พวกเขาไปก่อน ในตอนนี้ที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด เจ้าตัวไม่ได้อยากให้คนอื่นมาลำบากกับความเอื่อยเฉื่อยของตัวเอง ระหว่างนั้นเขาเปิดแอพพลิเคชั่นของโรงหนังเจ้าดังขึ้นมาดู ทว่ายังไม่ได้กดอะไรก็เหลือบเห็นว่าคนหายไปเยอะแล้ว จึงตัดใจและบอกตัวเองว่ากลับบ้านแล้วค่อยจัดการ
และวันนี้ก็จบลงด้วยการนอนไถมือถือและลืมเป้าหมายที่ตั้งใจอีกวัน
“ปิงทำโอปะวันพรุ่งนี้” ในขณะที่ปิงกำลังเดินมาจ่ายเงินค่าข้าวที่ฝากซื้อกับใครสักคน ก็ได้ยินคำถามที่มักจะถามกันบ่อยๆ
“พรุ่งนี้วันอะไรนะ” จึงถามกลับ ทำงานหนักจนลืมวันไปหมด
“วันพุธ”
“อืม..” ปิงหวนคิดเล็กน้อย “ไม่ทำอ่ะ” และได้ข้อสรุปในไม่นาน
ถามว่าทำไมไม่ทำ นั่นก็เพราะว่าหนังเรื่องโปรดจะเข้าฉายในวันพรุ่งนี้ ในฐานะแฟนหนังที่ไม่เคยพลาดสัปดาห์แรก ภาคจบของอเวนเจอร์ครั้งนี้ ปิยะฉัตรตั้งมั่นว่าตัวเองจะต้องได้ไปดูเป็นวันแรกเท่านั้น ทว่าเจ้าตัวคงลืมคิดไปว่ายังไม่มีตั๋วหนังเลยเพราะงานในช่วงบ่ายวันนั้นถาโถมเข้าใส่จนไม่เป็นอันได้คิดอะไรต่อ
สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
Next station Victory Monument
“เฮ้อ” เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ปิงยังคงเหนื่อยไร้แรงเดินเหมือนเคย ทั้งวันที่ตั้งมั่นว่าจะจองตั๋วสักที กลับกลายเป็นว่านี่ก็ดึกแล้วแต่ยังไม่มีเวลาได้ทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ กับเรื่องที่ชอบก็ยังเฉื่อยชาได้ขนาดนี้ ปิงชักจะเกลียดตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ แต่เอาไว้ก่อน มันเหนื่อยจนแม้แต่เกลียดตัวเองยังขี้เกียจจะทำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เจ้าของร่างโปร่งก็พาตัวเองลงเตียง ไถมือถือก่อนนอนอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะเปิดดูที่นั่งของหนังเรื่องที่จะไปดูพรุ่งนี้
ไม่มีที่ตรงกลาง มีเหลือแต่ที่ด้านข้างงั้นเรอะ!
“…” แถมยังเหลืออีกแค่สองแถวก็จะไปถึงที่นั่งโซนหน้าจอที่เมื่อยคอสุดไปเลย
ปิงที่ตัดสินใจแบบคนขี้เกียจได้ยอมแพ้ที่จะจองตั๋วหนังกับโรงใกล้บ้านไป ยังมีอีกโรงที่เป็นความหวัง โรงข้างๆสถานีรถไฟฟ้านั่นไง ถ้าจำไม่ผิดตอนไปดูเรื่องก่อน เราสามารถโทรจองตั๋วได้เองในตอนเช้าและไปเอาก่อนหนังฉายได้ คิดได้ดังนั้นปิงก็ชะล่าใจ นึกตั้งมั่นไปว่าจะต้องเลิกหาข้ออ้างและโทรไปจองตั๋วในเช้าวันใหม่ให้ได้
“ขอโทษด้วยนะคะ ทางเราไม่รับจองค่ะ ต้องเข้ามาวอล์คอินซื้อตั๋วเลย” ปิยะฉัตรเพิ่งจะภูมิใจที่ตนไม่ลืมโทรได้ไม่นาน พนักงานของโรงหนังก็ได้ดับฝันกันเต็มๆเปา
“หา…” นั่นหมายความว่ากับคนเป็นร้อย ปิงต้องไปฝ่าฟันรอต่อแถวซื้อตั๋วจริงๆสินะ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการใช้บริการที่นี่ และครั้งล่าสุดที่ขนาดจองตั๋วมาก่อน ยังจะต้องมายืนรอแลกตั๋วกับแถวคนซื้อตั๋วปกติอยู่ดี ซึ่งรอนานมากกว่าจะได้ แต่มันช่วยไม่ได้ ในเมื่อนี่เป็นความหวังเดียวที่ปิงมีแล้ว
ทำไมตอนนั้นที่เป็นครั้งแรกที่มา…อะไรๆก็ไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้นเลย…
.
.
.
“นายๆ”
“หืม?”
“โดดเรียนไปดูหนังกันปะ”
“….” บ้าบอคอแตก
ป่ะล่ะ! ก็เราเคยคุยกันที่ไหน?!!!
“แล้วทำไมนายไม่ชวนเพื่อนนายล่ะ”
“ก็เพื่อนเรามันมาที่ไหนเล่า” ก็จริง ทั้งห้องที่เคยเต็มไปด้วยกลุ่มเพื่อนของคนชวนนั้นกลับว่างเปล่า มีเพียงแค่เขาที่มาที่นี่เพียงคนเดียว “ไปดูหนังเหอะ เราได้ยินว่าไอรอนแมนสนุกมาก”
“เอ่อ”
“เราไม่อยากดูหนังคนเดียว ไปดูเป็นเพื่อนหน่อย”
“เดี๋ยวนะ?!” การไปดูหนังกับคนไม่รู้จัก มันต่างจากการไปดูคนเดียวที่ไหน
“นะ” ให้ตายสิ วอแวจัง “ไปกับเราหน่อย”
“กะ..ก็ได้…” รำคาญหรอกถึงไปด้วย
อันที่จริงจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ ปิงแค่คิดว่ามันก็ดีเหมือนกันที่จะได้พักบ้างหลังจากที่ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนตร์มาเป็นปี เราสองคนตีตั๋วหนังเรื่องนั้นที่คนไม่รู้จักชวนมา อันที่จริงปิงไม่รู้เลยว่านี่มันหนังอะไร ปิงไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบมาดูหนัง เมื่อถึงวัยที่พ่อแม่ปล่อยให้ไปไหนมาไหนคนเดียวได้ก็หมดเวลาไปกับการเดินเข้าโรงเรียนกวดวิชา
นี่เป็นหนังรอบแรกเลยเพราะฉะนั้นคนจึงน้อยเป็นพิเศษ เราสองคนจองที่นั่งตรงกลางมานั่งข้างกัน นั่งดูหนังตัวอย่างไปเงียบๆจนกระทั่งหนังที่เราตั้งใจมาดูได้เริ่มฉาย
ปิยะฉัตรไม่เคยรู้ว่าไอรอนแมนเป็นใครทำอะไรและหนังเรื่องนี้ดังแค่ไหน แต่พอดูไปเรื่อยๆก็ชื่นชอบมันขึ้นมา เรียกได้ว่าจากที่คิดว่าคงหลับแน่ๆกลับกลายเป็นจ้องดูตาไม่กะพริบ นี่คือการเปิดโลกใหม่ให้กับชีวิตที่น่าเบื่อของตนเลย
จนกระทั่งหนังได้จบลง
“ชอบไหม”
“อืม”
“เนี่ย สนุกมากเลย”
“ไม่คิดว่าจะสนุกขนาดนี้เหมือนกัน”
“ดีใจที่ชวนโดดเรียนมาแล้วชอบนะเว้ย”
“อือ ขอบคุณที่ชวนมานะ” และเราก็แยกจากกัน เพราะว่าปิงนั้นมีเรียนต่อที่สยามอีก
หลังจากวันนั้น การกลับไปเรียนที่นั่นก็ไม่แคล้วจะต้องได้ชะเง้อมองหาใครสักคน วันนี้คนๆนั้นถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนของเขา และปิงก็คงไม่กล้าเข้าไปทักทายเพราะแม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ถามไถ่ เจ้าของร่างโปร่งนั้นยังคงจดทุกอย่างที่คุณครูในทีวีสอนต่อไป พยายามตัดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่กวนใจเพราะอีกไม่เท่าไหร่ก็ต้องแยกจากกัน
กับคลาสนี้ที่วนมาทุกสัปดาห์เราจะมีความกล้าพูดคุยกันอีกไหม
บอกตรงๆว่าไม่…และสุดท้ายก็จบลงอย่างนั้น
ไม่มีการล่ำลา ไม่มีการรู้จัก ราวกับว่าเรื่องราวโดดเรียนที่เป็นความลับก็จะเป็นความลับตลอดไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันการมีอยู่ของความสัมพันธ์อันแสนสั้นคือหนังของมาเวล… ใช่…หลังจากนั้นก็ไม่เคยพลาดสักเรื่องเลย
บางเรื่องก็ทำได้ดี บางเรื่องก็ทำได้แย่ ทว่าการที่ปิยะฉัตรยังคงไปดูมันอยู่ก็เพราะความเคยชิน เกรงว่าเขาจะถูกมาเวลซื้อตัวไปเป็นแฟนภาพยนตร์คนหนึ่งเสียแล้ว น่ากลัวว่าคนๆนั้นที่ชวนกันเข้าวงการจะถูกจ้างมาจากมาเวลอีกที ปิงคิดเช่นนี้และส่ายหัวให้กับความปัญญาอ่อนของตัวเอง
สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
Next station Victory Monument
เจ้าของร่างโปร่งที่มักจะเฉื่อยชาเดินลงบันไดมานั้นแปลกไปกว่าทุกวัน เพราะมีเป้าหมายต้องต่อสู้กับคนเป็นร้อยในวันนี้ ปิยะฉัตรจึงเร่งฝีเท้าไปยังห้างที่มีทางเชื่อมติดกับสถานี และพอขาเหยียบชั้นที่จองตั๋วก็ค้นพบกับแถวยาวที่เกือบจะถึงบันไดเลื่อน
“…” เอาไงดีล่ะ แถวไหนดี
ในที่สุดก็ต้องเลือกและเพราะการยืนเก้ๆกังๆหน้าบันไดเลื่อนมันไม่ดีเท่าไหร่จึงเลือกไปยืนที่แถวที่ห่างออกไป ดูแล้วจะสั้นสุดด้วย ทำไมคนไม่มาต่อแถวนี้นะ
แม้จะกังขาว่าทำไม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คิดจะขวนขวายหาคำตอบ พนักงานประกาศนั่นนี่บรรยากาศดูวุ่นวาย ปิงยังคงไถทวิตเตอร์ต่อไป เพราะเจ้าตัวไม่รู้จะเอ็นเตอร์เทนตัวเองยังไงในระหว่างที่รอต่อแถวนี้
“ใครที่จะดูอเวนเจอร์ ซาวด์แทรคเชิญแถว 3 กับ 4 เลยครับ” และว่าแต่เราอยู่แถวอะไรอยู่ล่ะ หืม…
แถวหนึ่ง…
“…”
“ส่วนแถว 1 กับ 2 เป็นพากย์ไทยและสำหรับจองหนังเรื่องอื่นๆนะครับ” อ้าว ไอ้ฉิบหาย…
ที่ต่อมาตั้งนานคือไม่ได้ดูงั้นเหรอ!
สุดท้ายแล้วปิยะฉัตรผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นก็เดินฝ่าฝูงชนมาต่อในแถวที่ถูกต้องในทันที ในใจนึกก่นด่าการจัดการที่ห่วยแตก กับป้ายที่พนักงานถือ ถึงตัวสูงกว่านี้ก็ไม่เห็นว้อย คนแน่นขนาดนี้ป้ายอันเท่าฝ่าตีน ความหวังที่จะได้ดูในวันนี้เริ่มเลือนราง แต่คนที่มีปณิธานแรงกล้าก็ยังคงเฝ้ารอ
“หนังรอบทุ่มนึงปิดการจำหน่ายตั๋วแล้วครับ” เย้ย มันได้เหรอ!
ปิยะฉัตรที่คิดไม่ดีแล้วในตอนนี้เร่งดูรอบต่อไป 21.00 พับผ่าสิ ดึกขนาดนั้นวันนี้จะได้นอนกี่โมง น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ โรงก็ไม่ได้ใกล้บ้านขนาดนั้น แม้ไม่เก่งเลขแต่เจ้าตัวก็รีบคำนวณโดยไว สุดท้ายแล้วจึงรีบสละแถวให้ผู้อื่นไปด้วยยังหวังจะไปเอารอบที่ดีกว่าที่โรงหนังอีกแห่งซึ่งใกล้บ้าน
20.15 คือเป้าหมายต่อไป
“โหยยยย ไม่แหงนคอหักเลยเหรอวะ” อีกสามแถวคือจูบจอโรงแล้วนะนี่ ปิยะฉัตรที่เปิดดูแถวโรงหนังบนมอเตอร์ไซค์นั่งทำใจ เมื่อถึงบ้าน จะต้องรีบจองตั๋ว อาบน้ำ ทานข้าวและไปโรงหนังให้ไว เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายของวันนี้
มาเวลคิดว่าแฟนๆได้รอมานานแค่ไหนเพื่อที่จะได้ดูหนังภาคนี้
แต่สุดท้ายมาเวลคงไม่คิดอะไรหรอก มีแค่ปิงเองที่เห็นว่ามันสำคัญและต้องไปดูวันนี้ให้ได้ ถามว่ากับเรื่องอื่นกระตือรือร้นขนาดนี้หรือไม่ แน่นอนว่าไม่ ปิยะฉัตรเข้าสู่ช่วงหมดไฟกับทุกอย่างมาสักพักแล้ว ในช่วงยี่สิบปลายๆที่ใครก็บอกว่ายังเด็กอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งได้หลงลืมความฝันและสิ่งที่ทำให้อยู่ต่ออย่างมีเป้าหมายคืออีหนังมาเวรนี่แหละ
เอ่อ…จริงๆก็ไม่เลวร้ายขนาดมีแค่อีหนังนี่หรอก เพียงแต่มันก็สำคัญจนเป็นวาระแห่งชาติได้เช่นกันนะ
“เหนื่อยโว้ยยยย” ในที่สุดมนุษย์ปิงก็พาตัวเองมาถึงโรงได้ทันแบบก่อนเวลาหนังฉายนิดหนึ่ง ได้จองตั๋วมาแล้ว จึงมั่นใจว่าได้ดูแน่ๆ แต่แถวที่ได้ก็ไม่น่าพอใจเท่าไหร่
อีกสามแถวติดหน้าจอ แถมยังได้ที่นั่งปลายสุดติดทางเดิน เป็นที่ที่ปกติจะไม่มีวันมาแตะเด็ดขาดแต่เพราะวันนี้ไม่ปกติไง ปิยะฉัตรกำลังพยายามเอาชนะอยู่
หนังยังไม่เริ่มฉาย ยังเป็นแค่ตัวอย่างและเจ้าของร่างโปร่งบางก็เดินไปที่แถวของตนอย่างเงียบเฉียบ ข้างในช่างมืดมิดจนต้องพึ่งไฟฉายมือถือมาดูชื่อแถว และเมื่อมั่นใจว่าตนนั่งแถวนี้ ปิงจึงค่อยๆนั่งลงพร้อมกับปิดมือถือของตน
วันนี้ปิยะฉัตรหลบสปอยล์มาทั้งวัน เกรงว่าถ้าไม่มาดูวันนี้สปอยล์คนดีคงได้ผ่านตากันมาแน่ๆจึงเป็นอีกเหตุผลให้เลือกมาดู หนังเริ่มจะฉายแล้ว และคนที่มาพร้อมกับผ่าห่มส่วนตัวก็กอดมันไว้
ไม่ต้องเดาว่าตอนนี้ได้ใส่ชุดอะไรมาดูหนัง…
และแล้วช่วงเวลาระทึกใจก็ได้เริ่มขึ้น หนังเปิดมาอย่างเศร้าและหมดหวังเชียว และในขณะที่กำลังเริ่มจะมีความหวัง…
อีหนังนี่ก็ดับฝันซะ…
“ฮึก…” มาเวลเล่นกันแล้ว…
นี่ฉันถ่อมาดูหนังวันแรกเพื่อพบเจอกับสิ่งนี้หรือนี่!!!!!
สมองของปิงเบลอไปหมดเมื่อถึงฉากแห่งการสูญเสีย ในสมองของคนที่เฝ้าดูวิเคราะห์หนังมาตลอดย่อมประมวลนั่นนี่ตาม และหนังก็ยังดำเนินไปต่อแบบที่ว่าวิเคราะห์บทไหนๆก็เอาไม่อยู่
“I am…” ไม่นะ… “Iron man”
โนวววววววววววววววววววววว
.
.
.
มูฟออนไม่ได้คือภาวะที่ปิงกำลังเป็นอยู่ ภาพเหตุการณ์ที่ได้เข้าสู่วงการหนังมาเวลวันแรกยังคงติดตา หนังจบไปแล้ว บางคนกำลังรอดูว่ามีเอนด์เครดิตไหม แต่สำหรับปิงนั้นไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์นั้น…ก็แค่ไม่มีแรงเดินต่อไปก็เท่านั้นเอง
นี่เท่ากับว่าเราจะไม่ได้ดูหนังไอรอนแมนภาคต่อแล้วนะสิ แม้ว่าจะมีคนบอกว่าไอรอนแมนตายแน่ๆมาก่อนแต่พอมาเจอจริงๆแล้วก็รับไม่ได้ หลายปีที่ไม่มีไอรอนแมนภาคต่อแต่ไอรอนแมนก็ไปโผล่ในหนังของคนอื่นให้ชื่นใจอยู่ มาถึงตอนนี้เราต้องยอมรับจริงๆเหรอว่าไอรอนแมนได้จากไปแล้ว
แนต…ก็ไปด้วยเช่นกัน
“…” อยากร้องไห้ มูฟออนไม่ได้จริงๆตอนนี้
“คุณ…” ใครไหวไปก่อนเลย ปิงไม่ไหว…
“…”
“คุณ!”
“ฮื้ออออออ”
อันที่จริงๆเหมือนจะมีใครเรียก แต่เพราะตระหนักดีว่าตัวเองมาคนเดียวจึงคิดว่าคนๆนั้นน่าจะเรียกคนอื่นมากกว่า สถานการณ์ตอนนี้น่ากลัวนัก เกรงว่าน้ำตาของปิงจะไหลจริงๆในไม่ช้า
หมับ!
“คุณ!”
“…” เรียกอีหยังนักหนา!
“น้ำปิง” น้ำตาหนึ่งหยดที่ควรไหลกลับกลายเป็นว่า
มันได้หดกลับไปในดวงตาเสียแล้ว…
“...” นี่คือวันที่คนเขียนบทของจักรวาลมาเวลก็คงไม่ได้คิดไว้เช่นกัน
ว่าแต่หน้าม้าของมาเวลคนนั้นมาโผล่อะไรกันที่นี่!?
ปิงกับผู้ชายคนนี้ได้มาเผชิญหน้ากันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิดยันเกือบสว่าง อาการมูฟออนไม่ได้ยังหลงเหลือ ทั้งของเก่าและของใหม่ปนเปกันไปหมด เจ้าของร่างสูงที่ฉุดรั้งกันเมื่อกี้เรียกชื่อที่ทำให้ต้องหัน และอีกนิดเดียว ‘น้ำปิง’ ก็จะต่อยแม่งให้หันเหมือนกัน
“เอาเส้นอะไรดีครับ”
“ไม่กิน”
“แล้วเรามาร้านก๋วยเตี๋ยวทำไมถ้าไม่สั่ง” พ่อมึงตายเหอะ!
“เอาบะหมี่หมูแดงน้ำชามหนึ่ง ไม่ใส่กระเทียมเจียว” คนตรงหน้ายิ้มอย่างพอใจ เขาฝ่ารถติดมาดูหนังแบบไม่ได้จองตั๋ว สภาพก็ยังอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตที่ใส่ไปทำงาน ไม่เหมือนอีกคนที่ใส่ชุดนอนมาดูหนังเพื่อกะว่าจะกลับไปนอนเลย
คงไม่คิดว่าจะมีคนลากมากินอาหารมื้อดึก
“คุณจำผมได้”
“…”
“เราเคยไปดูไอรอนแมนด้วยกัน ครั้งแรกของผม”
“ครั้งแรกอะไรวะ”
“End game สนุกไหมครับ”
“เอาที่ไหนมาสนุก”
“กำลังโกรธผู้กำกับแน่เลย ใจเย็นๆเนาะ”
“จะกลับแล้ว”
“บะหมี่ยังไม่มาเลย รีบไปป่ะ”
“มายุ่งกับเราทำไม”
“รับผิดชอบชีวิตคุณไง ถ้าไม่เพราะผม คุณก็ไม่มานั่งสะอื้นหรอกจริงไหม” ก็จริงๆ เพราะอีตานี่คือคนที่พากันเข้าวงการนี้เลยทีเดียว
“รับผิดชอบทำไม หนังมาเวลออกจะดัง ไม่พาเราไปดู วันหนึ่งเราก็ไปดูของเราเอง”
“พูดจาใจร้ายจัง ให้ผมเป็นคนแรกที่พาคุณไปเถอนะ”
“นายเป็นใครกันวะถึงได้มาพูดจากับเราแบบนี้”
“เป็นคนที่พูดกับคุณสุภาพดี แต่กลายเป็นว่าคุณอยากสนิทสนมด้วยเลยเรียกนายๆใส่”
“…”
“ไม่คิดว่าจะได้มาเจอคุณที่นี่เลย” เพราะโรงที่เราไปดูด้วยกันวันนั้นไม่ใช่ที่นี่ และมันเป็นความบังเอิญจริงๆที่ที่นั่งข้างๆน้ำปิงมันเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดในตอนที่เขามาถึง อันที่จริงเขาไม่ได้สังเกตหรอกว่าคนข้างๆเป็นใคร พอตัวเองออกมาจากโรงหนังแล้วเห็นหลังห่อๆไวๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเจอใครเข้า
คนที่เรียนกวดวิชาและยอมโดดเรียนไปด้วยกันวันนั้น
“ขอโทษที่ไม่รักษามารยาท”
“ตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยมีมารยาทเหมือนกัน” เสียงก็ดัง เพื่อนก็เยอะ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นอย่างไรสมัยก่อน มันคงเด่นน่าดู แต่ทั้งนี้ก็เพราะจงใจเรียกร้องความสนใจนั่นแหละ ขนาดจงใจแล้วนะ
บางคนยังเมินกันได้เป็นเทอมอ่ะคิดดู
เป็นหนังเรื่องที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่มีเหตุให้มาดูคนเดียวตลอด เป็นสิบปีแล้วกับการดูหนังจักรวาลนี้อย่างบ้าคลั่ง เจตต์ไม่เคยคาดหวังจะได้คนรู้ใจเป็นคอหนังเพราะพูดกับใครก็ไม่มีใครเข้าใจความอินของเขาสักนิด จนกระทั่งได้มาพบเห็นคนในห้วงความคิด และก็ได้รู้สึกสักทีว่ามันสิบปีแล้วที่เราได้เจอกัน
สิบปีที่ไม่ได้ทำความรู้จักกันแบบจริงๆจังๆ
“ชอบดูหนังมาเวลไหม”
“จะเลิกดูมันล่ะ”
“อ้าว แล้วอย่างนี้ผมก็ต้องมาดูคนเดียวนะสิ”
“…”
“กะว่าจะชวนโดดงานมาดูสไปเดอร์แมนซะหน่อย”
“ใครเขาจะโดดงานกับคุณกัน”
“ก็ยังเคยโดดเรียนมาดูด้วยกันเลย”
“…”
“จะไม่ยอมโดดงานมาดูด้วยกันจริงๆนะเหรอ”
“รู้จักชื่อเราได้ไง”
“เห็นที่ปกหนังสือเขียนชื่อไว้ สรุปชื่อน้ำปิงจริงๆเหรอ”
“นั่นเพื่อนเขียน เราชื่อปิง!”
“ชื่อน้ำปิงจริงๆด้วย”
“คุณ!”
“ตอนนั้นมีตั้งหลายอย่างที่อยากจะคุยด้วย แต่คุณไม่หันหลังมาเลย”
“…”
“อยากถามว่าจะเรียนต่ออะไร เลือกคณะหรือยัง ที่เดียวกันไหมอะไรแบบนี้ แต่ไม่เห็นคุณที่มหาลัยที่ผมไปเรียน ก็เลยคิดว่าไม่ได้เรียนที่เดียวกันแน่เลย”
“คงงั้น”
“งั้นไหนๆวันนี้ก็เจอกันแล้วงั้นผมถามเลยละกัน”
“…”
“มานอนดูหนังทุกเรื่องของมาเวลติดๆกันด้วยกันไหมครับ ผมเบื่อดูหนังคนเดียว” คำพูดของเขาชวนอึ้งไปไม่น้อย นี่มันบ้าอะไร รู้จักก็ไม่รู้จัก ไปดูหนังด้วยครั้งเดียวมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น ทว่ามองดวงตาที่มองมา บางสิ่งมันดึงดูดให้ต้องลองพิจารณาดู ตั้งแต่น้ำปิง…เริ่มดูหนังทุกเรื่องของจักรวาลนี้
ก็มีเหตุให้ต้องดูคนเดียวอยู่เรื่อยไป
“คนไหนเอาเกี๊ยวแห้ง คนไหนเอาบะหมี่น้ำนะ” เจ้าของร้านที่ทำเสร็จพอดีเดินเอาเสิร์ฟ ปิงสะดุ้งโหยง มือเล็กเลื่อนชามบะหมี่น้ำมาไว้กับตัวเอง สรุปคำถามของเขาจะเป็นหมันเหรอนี่
ว่าแต่ ‘เขา’ น่ะ…คือใคร
“จะชวนเราดูหนังอ่ะ บ้าหรือเปล่า”
“…”
“ยังไม่บอกชื่อเลย อยู่ๆจะให้ไปดูหนังด้วยนี่นะ” ใบหน้าที่ดูเหมือนหมาตัวใหญ่ตอนโดนดุค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา
ก่อนที่สิ่งที่เขาควรจะบอกอีกคนมาตั้งแต่สิบปีก่อนจะถูกเอ่ย…
“เราชื่อเจตต์นะ…”
อันที่จริงน้ำปิงรู้มาตลอดว่าเขาชื่อ เจตต์ เจตภพ
“อยากคุยกับน้ำปิงมาตลอดเลย” แต่ที่ไม่เคยรู้…
คือเราทั้งคู่ก็อยากรู้จักกันมาตลอดนั่นแหละ…
“อือ…เราชื่อปิง”
“ครับน้ำปิง” แด่คนที่อาจจะยังมูฟออนกับภาพยนตร์ที่เพิ่งชมเสร็จไปไม่ได้
แต่ตอนนี้น้ำปิงกับเจตต์…
กำลังจะมูฟออนจากที่สต็อปความสัมพันธ์ของเราเมื่อสิบปีก่อนแล้วนะ
Talk: อยู่ๆก็อยากเขียนเรื่องนี้ เพราะเผอิญเรามีความหลังแนวๆนี้แค่ไม่มีคุณเจตต์เป็นของตัวเอง555