(เรื่องสั้น) "Misaki" : ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ - บทที่ 6 จบ *แจ้งขายEbook*
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) "Misaki" : ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ - บทที่ 6 จบ *แจ้งขายEbook*  (อ่าน 2630 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
######################################################################

สวัสดีค่ะ
 
Mettnoon เองนะคะ ไม่ได้เข้ามานาน ก็เพิ่งทราบโดยบังเอิญว่าเรื่อง "ภาพลวงตาของปีศาจ" ได้รับคำแนะนำจากผู้อ่านที่น่ารัก จึงตัดสินใจมาลงเรื่องสั้นตอนพิเศษให้เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณให้ได้อ่านกันค่ะ เป็นเรื่องของมิซากิกับมาซาฮารุ พ่อกับแม่ของฝาแฝดเออิจิโร่และเอย์จินั่นเองค่ะ

มาจากเรื่องนี้นะคะ "ภาพลวงตาของปีศาจ" - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52402.0

สำหรับตอนพิเศษอื่น ๆ เช่น เรื่องของมังกรขาว หรือ การาสุเท็นงู ก็เขียนจบหมดแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่ได้ลงที่ไหน ตั้งใจว่าจะเก็บเงินตีพิมพ์เรื่องภาพลวงตาของปีศาจเป็นเล่มกระดาษให้ได้ก่อน แล้วค่อยลงเป็นตอนพิเศษให้อ่านในเล่มกัน นุ่นชอบเรื่องนี้มากค่ะ เพราะชอบญี่ปุ่น เลยอยากเห็นเป็นเล่มกระดาษมากที่สุด จะได้เก็บในชั้นหนังสือได้ แต่เรื่องเงินทุนตีพิมพ์ก็ยังอีกยาวไกลค่ะ ก็ต้องรอไปก่อน จนบางครั้งก็ท้อไปแล้ว ไม่ได้เขียนเรื่องใหม่ ๆ เพราะต้องไปทำงานอย่างอื่นหาเลี้ยงชีพก่อน แต่พอได้เห็นว่าเรื่องถูกแนะนำ มีคนชอบอ่านด้วย ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นอีกโขเลยค่ะ และคิดว่าจะพยายามต่อไป

ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงนะคะ
Mettnoon

P.S. นุ่นลบเพจ facebook ไปแล้ว เพราะไม่ค่อยมีอะไรอัพเดต เคยมีคนติดต่อขอซื้อฆาตกรรมในออฟฟิศจะไปทำเป็นซีรีส์ก็ถูกเทซะแล้วเลยผิดหวังนิดนึง ไม่ค่อยมีใจจะมาเขียนอะไรลงเพจเลยลบดีกว่า ตอนนี้ก็เลยมีแต่ IG หาด้วยคำว่า mettnoon ได้เลยค่ะ ถ้าว่างก็มาทักทายกันได้นะคะ   
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2020 11:44:34 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
วันที่ดอกไม้บาน (Misaki)

          บทที่ ๑

          เด็กหญิงตัวผอมเก้งก้างเงยหน้าชุ่มน้ำตาขึ้นมาจากเข่าที่กอดซบอยู่ กำลังจะขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถจากท่าเดิมที่นั่งอยู่จนรู้สึกเมื่อยขบมาเป็นท่าใหม่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ก็ประจันหน้ากับบุคคลแปลกหน้าอย่างกะทันหัน หล่อนกระถดตัวถอยหนีโดยอัตโนมัติพลางจ้องมองดวงหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นของวัยด้วยความพิศวง
     คุณยายคนนี้มาจากไหนกัน จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ทำให้หล่อนขนลุกไปหมดทั้งร่างอย่างน่าประหลาดใจ
   “ร้องไห้ทำไมจ๊ะ” หญิงชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางใส่ชุดกิโมโนสีอ่อนขับให้สีผิวที่ขาวอยู่แล้วยิ่งดูเผือดซีดลงไปอีก สีหน้าและแววตาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตาทำให้เด็กสาวที่จ้องมองอย่างไม่ไว้วางใจในตอนแรกค่อย ๆ คลายความหวาดระแวงลง
   “คุณลุงดุหนูค่ะ ด่าว่าหนูไม่ตั้งใจ จนป่านนี้ก็ยังหั่นซอยหอมใหญ่ให้ขนาดเท่า ๆ กันไม่ได้ แต่หนูทำเต็มที่แล้วนะคะ” มิซากิตอบพลางสูดน้ำมูกฟืดหนึ่ง เด็กหญิงกำลังเสียใจประกอบกับนิสัยที่ไม่ใช่คนขลาดอายอยู่เดิม ถึงคู่สนทนาจะเป็นหญิงชราที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่หล่อนก็ไม่รีรอที่จะระบายความอัดอั้นตันใจออกมาให้ฟัง ด้วยไม่รู้จะหันหน้าไปพูดคุยกับใครได้
   “คุณลุงของหนู เจ้าของร้านอาหารฝรั่งเศสนั่นใช่ไหม” หญิงชราถามต่อขณะที่บุ้ยใบ้ไปทางประตูที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร ประตูนั้นเป็นประตูหลังร้านสำหรับลำเลียงวัตถุดิบตรงเข้าสู่ครัวและเป็นทางเปิดออกสู่ที่ทิ้งขยะ ทางเดินหลังร้านไม่กว้างมากนัก ริมทางด้านหนึ่งยังมีลังกระดาษตั้งกองซ้อนกันทำให้พื้นที่ยิ่งคับแคบ เด็กหญิงยึดมันไว้เป็นสถานที่หลบภัยชั่วคราว เป็นที่ที่หล่อนแอบมาร้องไห้เวลามีเรื่องทุกข์ใจ
   “ใช่ค่ะ เป็นโอนเนอร์เชฟ ชอบบังคับให้หนูช่วยงานในครัว แต่ทำยังไงก็ไม่เคยดีพอสักที หนูไม่อยากอยู่ที่นี่เลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ตาย หนูก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่” มิซากิพูดพลางยกมือป้ายน้ำตาเป็นระยะ หน้าตาของเด็กหญิงมอมแมมเปื้อนคราบน้ำตา ตาบวม จมูกก็แดง ชวนให้คนเห็นรู้สึกสงสารและเห็นใจ หญิงชราในชุดกิโมโนสีอ่อนก็เช่นกัน มือบางเหี่ยวย่นหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าถือยื่นส่งให้
   “เช็ดน้ำตาก่อนเถอะนะ ดูสิ ออกจะเป็นคุณหนูที่น่ารักขนาดนี้แท้ ๆ”
   มิซากิไม่กล้ารับผ้าเช็ดหน้าสีขาวขลิบลูกไม้ลายละเอียดยิบที่ดูสวยงามน่ารักนั่น หญิงชราต้องยัดเยียดใส่มือ เด็กหญิงจึงยอม หล่อนรู้สึกว่าสัมผัสจากมือของผู้สูงวัยเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
   “ยายคิดว่าคุณลุงของหนูต้องรักและเป็นห่วงหนูมากแน่ ๆ ถึงได้เคี่ยวเข็ญบังคับเอาอย่างนี้ คุณลุงคงอยากให้หนูทำอาหารเก่ง ๆ มันจะเป็นผลดีแก่ตัวหนูเองในอนาคต” หญิงชราพูดช้า ๆ เนิบ ๆ แล้วเมื่อเห็นเด็กหญิงนิ่งฟังด้วยสายตาครุ่นคิด นางก็พูดต่อ
   “อาหารเป็นตัวแทนของจิตใจของผู้ปรุง คนกินจะรับรู้ทุกความรู้สึกผ่านอาหาร... รัก เกลียด เศร้า ยินดี ชื่นชม รังเกียจ ก็บอกด้วยอาหารได้ทั้งนั้น แล้วเมื่อหนูโตขึ้น มีคนที่หนูรัก มีครอบครัว หนูก็จะเข้าใจ ว่าไม่มีความสุขใดจะยิ่งกว่าการได้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนที่เรารักกินหรอกจ้ะ”
   “จริงหรือคะ” มิซากิไม่แน่ใจเลย
   “จริงสิจ๊ะ ยายไม่โกหกหนูหรอก แล้วหนูจะเห็นเอง แต่ตอนนี้หนูต้องอดทนเรียนรู้และฝึกฝนฝีมือไปก่อน”
   เด็กหญิงยิ้มออก น้ำตาเหือดแห้ง รีบพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ ก่อนจะนึกได้ ลุกขึ้นโค้งคำนับให้ผู้สูงวัยกว่าอย่างสุภาพเรียบร้อย
   “ขอบคุณมากนะคะที่ปลอบใจหนู”
   ตอนแรกมิซากิทำท่าจะส่งผ้าเช็ดหน้าคืนเจ้าของ แต่เมื่อเห็นผ้าผืนเล็กสีขาวยับยู่ยี่ในมือแล้ว หล่อนก็เปลี่ยนใจ ยิ้มแหย ๆ
   “ขอโทษนะคะ หนูทำผ้าเช็ดหน้าคุณยายเปื้อนหมดแล้ว หนูจะเอาไปซักแล้วจะมาคืนให้นะคะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ยายให้”
   “ขอบคุณมากค่ะ หนูสัญญาว่าหนูจะเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเลย” มิซากิโค้งคำนับอีกครั้ง มีท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความเกรงใจว่า
   “คุณยายจะอนุญาตให้หนูไปหาบ้างได้ไหมคะ” หล่อนมองหน้าผู้สูงวัยกว่าอย่างคาดหวังระคนไม่แน่ใจ แต่ก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
   “หนูชอบคุณยาย อยากคุยด้วยอีก คุณยายใจดีเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่”
   หญิงชราในชุดกิโมโนหัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังเยียบเย็นแปลก ๆ
   “ยายจะมาหาหนูเอง”
   “สัญญานะคะ” เด็กหญิงพูดอย่างกระตือรือร้น สีหน้าของหล่อนชื่นบานเมื่อเกี่ยวก้อยสัญญา ตอนนั้นเองที่หล่อนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังมาจากข้างในร้าน มิซากิลืมตัว ก้าวพรวดไปที่ประตูทางเข้าร้านด้านหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะชะงัก นึกได้ รีบหันกลับมาข้างหลัง
   “ลืมถามไปเลย คุณยายชื่อ...” หล่อนไม่ทันได้พูดจนจบประโยค เพราะคุณยายในชุดกิโมโนไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เหลือไว้เพียงแต่ความว่างเปล่าภายใต้แสงสลัว ๆ จากเสาไฟในยามค่ำคืน...


   มิซากิลืมตาโพลง วินาทีแรกหล่อนยังไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน วินาทีถัดมาเมื่อความงัวเงียหายไป หล่อนก็ค่อย ๆ ระลึกได้ว่า ตอนนี้หล่อนอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของตัวเองในโตเกียว ไม่ใช่ทางเดินคับแคบหลังร้านอาหารฝรั่งเศสของลุงกับป้า
   เหลือบมองนาฬิกาปลุกที่หัวนอน เข็มสั้นชี้ที่เลขหก ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตื่น แต่คงเพราะความฝันนั้น ทำให้หล่อนลุกขึ้นแต่เช้าขนาดนี้
   มิซากิเดินไปเปิดม่านที่หน้าต่าง แสงจากภายนอกสาดเข้ามาทำให้ห้องที่มัวซัวสว่างไสวขึ้น อพาร์ตเม้นท์ที่หล่อนเช่าอยู่เป็นห้องขนาดกลาง ราคาไม่แพงมาก สภาพยังดี แต่ก็ไม่ใช่ห้องใหม่ทำให้ดูเก่าทึบทึม อาศัยผ้าม่านสีสดที่หล่อนเย็บขึ้นเองกับของประดับห้องกระจุกกระจิกที่หล่อนทำเองบ้าง ซื้อหามาบ้าง ทำให้ห้องของหล่อนดูมีชีวิตชีวาขึ้น
   ใต้หน้าต่างเป็นชั้นวางของ ด้านบนสุดวางหนังสือสองสามเล่มซ้อนกัน ข้าง ๆ มีกระปุกแก้วตั้งอยู่ใบหนึ่ง เป็นกระปุกแยมที่รับประทานหมดแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมทิ้ง กลับเอามาล้างทำความสะอาดเสียใหม่ให้กลายเป็นแจกันใบเก๋ หล่อนไม่ได้เอาไว้ปักดอกไม้สวย ๆ เหมือนอย่างคนอื่น ในแจกันกระปุกแยมของหล่อนมีแค่กิ่งไม้กิ่งเดียว สีน้ำตาลอมดำ แลดูเหมือนกิ่งไม้แห้ง
   เห็นกิ่งไม้กิ่งนี้แล้วก็คิดถึงเรื่องราวในความฝัน ตอนนี้หล่อนไม่ใช่เด็กหญิงตัวผอมเก้งก้างคนเดิมอีกต่อไป หล่อนเติบโตขึ้นมาก กลายเป็นหญิงสาววัยต้นยี่สิบที่สะสวยสดใส ฝีมือทำอาหารก็พัฒนามากขึ้นเช่นกัน คิด ๆ แล้วก็อยากให้คุณยายได้ชิมเหลือเกิน หล่อนอยากทำอาหารที่ดีกว่าโอนิงิริให้คุณยายกิน แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะหลังจากเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ได้กิ่งไม้แห้งนี้จากมือเหี่ยวย่น หลังจากนั้นคุณยายก็ไม่ได้มาหาหล่อนอีกเลย
   บนกิ่งไม้มีตุ่มนูน ๆ เหมือนตาโผล่ออกมาตรงโน้นตรงนี้ มิซากิเฝ้ารอให้มันผลิดอกออกใบ ปีแล้วปีเล่าผ่านไป แต่ดอกไม้ก็ยังไม่บานเสียที หญิงสาวรอจนคร้านจะรอ จนเลิกสนใจมันไปแล้ว ถ้าไม่ฝันถึงคุณยายใจดีเมื่อตอนเป็นเด็ก หล่อนก็คงไม่ได้มาพิจารณาดูมันอีกครั้งเหมือนในวันนี้
   มิซากิละสายตาจากของที่ระลึกในวัยเยาว์ มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ยังเช้าอยู่มาก มีเวลาให้ทำอะไรได้นิดหน่อยก่อนจะถึงเวลาต้องไปทำงานพิเศษ หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อกับกางเกงสบาย ๆ คว้าหนังสือที่ยังอ่านค้างอยู่ใส่กระเป๋าผ้าฝ้ายลายดอกไม้สีชมพู แล้วออกจากห้องเช่า เดินอย่างกระฉับกระเฉงไปที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก
   เวลาพักผ่อนหย่อนใจของหล่อนมีไม่มากนัก เพราะต้องเรียนหนังสือและทำงานพิเศษ แต่เมื่อมีเวลาว่าง ถ้าไม่ทำการฝีมือประดิดประดอยของสารพัดอยู่ในห้อง หล่อนก็จะมาใช้เวลาอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้ อ่านหนังสือ พายเรือบดในสระ ฟังดนตรีเปิดหมวก ดูละครกลางแจ้ง หรือแค่นั่งเฉย ๆ มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา หล่อนก็รู้สึกผ่อนคลายได้มากโข
   ปกติสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่เคยร้างผู้คน โดยเฉพาะในตอนเช้า จะเห็นคนมากมายมาวิ่งออกกำลังกาย เดินเล่น วาดรูป หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เสียงทักทายอรุณสวัสดิ์ดังไม่ขาดระยะตั้งแต่ยังไม่เหยียบเข้ามาในเขตสวนเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับแปลกกว่าทุกวัน หล่อนไม่เจอใครเลย สวนขนาดใหญ่ดูร้าง บรรยากาศวังเวงอย่างน่าประหลาด ต้นไม้ใหญ่ ๆ ยืนต้นสงบนิ่ง กิ่งก้านแผ่ออกเหมือนกำลังจะเข้าคุกคาม ถ้าไม่ใช่สวนสาธารณะที่เคยมาเป็นประจำ หล่อนคงคิดว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในสุสานที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ แต่นั่นก็ไม่ทำให้มิซากิรู้สึกกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับชวนเชิญให้หญิงสาวอยากจะเดินลึกเข้าไป... ลึกเข้าไปอีกเรื่อย ๆ
   มิซากิเดินมาจนถึงสระน้ำใหญ่ และหล่อนก็เห็นภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
   ผู้ชายคนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่บนสะพานที่ทอดเป็นเส้นโค้งข้ามน้ำ ใส่ชุดกิโมโนกางเกงฮากามะเหมือนคนทำงานในศาลเจ้า แต่ที่ไม่เหมือนคือผู้ชายคนนี้ถือดาบคาตานะด้ามยาว ปลายดาบชี้ไปที่อะไรสักอย่างหนึ่งที่ลอยขึ้นมาจากน้ำ
   อะไรสักอย่างหนึ่ง
   มิซากิไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่าอะไรจริง ๆ มันดูเหมือนกับยางหนืด ๆ ยืดยาวขึ้นมาจากผิวน้ำ แต่ดูอีกทีก็เหมือนกองสาหร่ายสีคล้ำที่เปียกน้ำชุ่มโชก กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนต้องบีบจมูกไว้ อะไรสักอย่างของหล่อนมันยังแยกร่างได้ด้วย แตกแขนงออกไปเหมือนกิ่งก้านต้นไม้ ก่อนที่ส่วนแยกเหล่านั้นจะพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนสะพาน
   หญิงสาวหวุดหวิดจะกรีดร้องออกไปแล้ว แต่ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ตาเบิกกว้างมองเขม็งไปยังการต่อสู้ที่ประหลาดที่สุดในชีวิต
   ผู้ชายคนนั้นขยับดาบฟันสิ่งที่จู่โจมอย่างรวดเร็วจนดูไม่ทัน แต่ยิ่งฟันมันก็ยิ่งแตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ เป็นทวีคูณ แล้วก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มพร้อมกันเหมือนกับห่าธนูจนแทบจะหลบไม่ทัน หล่อนเห็นเขาเก็บดาบเข้าฝักแล้วดึงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มันเป็นกระดาษสีขาวแผ่นยาวเหมือนแผ่นยันต์ แต่เขาไม่ได้ใช้มันแปะบนตัวสัตว์ประหลาดอย่างที่หล่อนคิด กระดาษแผ่นนั้นลอยขึ้นจากมือของเขาแล้วเปลี่ยนรูปเป็นสุนัขที่มีเพลิงลุกไหม้จนแดงฉานไปทั้งตัว
   หมาไฟตัวนั้นกระโจนเข้าใส่ศัตรู พริบตาเดียวเท่านั้น มันก็ฉีกกระชากเจ้าสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างขาดออกจากกันเป็นชิ้น ๆ จุดไฟลุกพรึบเผาไหม้ชิ้นส่วนสีคล้ำ ๆ จนมอดไหม้กลายเป็นควันลอยขึ้นสูง เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น เจ้ายางยืดสีคล้ำก็ถูกเผาวอด แล้วอีกครู่ต่อมาแม้แต่ควันไฟก็หายไปจนหมดด้วย
   มิซากิสร่างตะลึงเมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเริ่มออกเดิน เดินเร็วมากด้วยจนน่ากลัวจะหายลับสายตาไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง หญิงสาวตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาเขา มือเอื้อมไปดึงชายแขนเสื้ออย่างแรงจนผู้ชายคนนั้นตัวเซนิด ๆ ไปตามแรงดึง เขาหันขวับมามองด้วยความแปลกใจระคนไม่พอใจ
   “ทำอะไรน่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน ดึงแขนเสื้อหลุดจากมือของหญิงสาว
   แทนที่จะโกรธที่โดนกระแทกเสียงใส่ มิซากิกลับมองหน้าเขาอย่างคาดหวัง ดวงตาเป็นประกาย หล่อนไม่ตอบคำถามของเขา แต่ถามกลับว่า
   “คุณมีเวทมนตร์ใช่ไหมคะ คุณปราบสัตว์ประหลาดได้ ฉันเห็น!”
   “พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแวบหนึ่งเหมือนไม่คาดคิด แต่ก็กลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินหนี มิซากิรีบตามไปขวางหน้าเอาไว้ หล่อนไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดมือไปอย่างแน่นอน
   “จะไม่รู้เรื่องได้ยังไง ก็เมื่อกี้คุณใช้ดาบฟันสัตว์ประหลาดตัวยืด ๆ แล้วยังเสกหมาที่มีไฟลุกทั้งตัวออกมาทำลายมันได้อีกต่างหาก” มิซากิยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ดวงตาของหล่อนจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา ตั้งใจจะคาดคั้นให้เขายอมรับให้ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังยืนกรานปฏิเสธอยู่ดี
   “เธอตาฝาด”
   “ไม่นะ ฉันเห็นจริง ๆ” หล่อนยืนยัน “คุณปราบสัตว์ประหลาดได้”
   “เลอะเทอะ” ชายหนุ่มขยับถอยไปข้างหลัง ทำหน้าตึง ท่าทางของเขาบอกว่าเริ่มหงุดหงิดและรำคาญเต็มที
   “หลีกทาง ฉันจะเดิน” เขาพูดพร้อมกับผลักหล่อนไม่แรงนัก แต่ก็มีผลให้ร่างที่เล็กกว่ามากเซไปตามแรงผลักจนเกือบจะล้มลงไปนั่งกับพื้น มิซากิใจหาย ถ้าล้มลงไปคงได้แผลถลอกเลือดซิบแน่เพราะพื้นที่เหยียบอยู่เป็นพื้นปูน หญิงสาวรู้สึกฉุนกึก โวยว่า
   “ป่าเถื่อน ถ้าฉันหกล้มเจ็บตัวไปจะทำยังไง”
   “ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่ายืนขวางทางคนอื่นสิ”
   “ฉันก็ไม่อยากจะขวางทางคนอย่างคุณเหมือนกัน ถ้าไม่เพราะเห็นคุณกับสัตว์ประหลาดนั่น ฉันไม่มายุ่งกับคุณแน่ ๆ” มิซากิโต้ตอบอย่างฉุนเฉียว นึกขวางผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผิวขาวจัด หน้าตาเคร่งขรึม แต่งตัวอย่างกับนักบวชในศาลเจ้าคนนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะมีพลังน่าทึ่ง แต่ถ้านิสัยอย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ
   “ฉันมีเรื่องอยากขอร้องคุณ” แต่ถึงจะไม่ชอบยังไง มิซากิก็ไม่มีทางเลือก เพราะถ้าพลาดโอกาสนี้ไป หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเหตุการณ์แบบนี้อีกหรือไม่ หญิงสาวเห็นชายหนุ่มชะงัก เหมือนจะสนใจ หล่อนจึงรีบพูดต่อโดยไม่ให้เสียจังหวะ
   “สอนฉันติดต่อกับภูตผีปีศาจหน่อยได้ไหม ฉันอยากรู้วิธีตามหาและพูดคุยกับพวกมัน คุณช่วยฉันหน่อยนะคะ”
   คนถูกขอร้องทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ปฏิกิริยาของเขาทำให้หญิงสาวหน้าร้อน เขามองหล่อนเหมือนหล่อนเป็นเด็กพูดจาเหลวไหลไม่ได้เรื่อง ส่ายศีรษะอีกด้วย ท่าทางบอกว่าระอาใจ หญิงสาวต้องข่มใจอย่างมาก
   “นะคะ ฉันขอร้อง ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
   “ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร หลีกทางด้วย ฉันจะไปแล้ว”
   “ฉันไม่หลีก จนกว่าคุณจะช่วยฉัน นะ คุณนักบวช ช่วยฉันหน่อยเถอะ ฉันอยากมองเห็นและพูดคุยกับภูตผีปีศาจได้เหมือนคุณ”
   ‘คุณนักบวช’ ทำหน้าปั้นยาก แต่ก็ยังไม่ใจอ่อน ไม่ยอมคล้อยตาม เขาปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย
   “เรื่องแบบนั้นทำไม่ได้หรอก เธอไปขอร้องคนอื่นเถอะ ฉันช่วยเธอไม่ได้”
   มิซากิหน้าเสีย ยิ่งอีกฝ่ายรีบเดินหนีแบบไม่เปิดโอกาสให้เดินตามขวางหน้าอีก หล่อนก็ยิ่งใจฝ่อ แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ หญิงสาวจึงตะโกนไล่หลังสุดเสียง
   “คุณช่วยได้ แต่ไม่ยอมช่วยต่างหาก ฉันไม่ถอดใจง่าย ๆ หรอกนะ ฉันจะทำให้คุณยอมช่วยฉันให้ได้”
   ชายหนุ่มเดินลิ่ว ๆ ไม่หันกลับมามอง แต่หญิงสาวมั่นใจว่าเขาได้ยินแน่นอน หล่อนตะโกนอีก
   “ฉันชื่อมิซากิ! แล้วพบกันใหม่นะคะ!”

   มาซาฮารุกลับมาถึงศาลเจ้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากวันก่อน ๆ เขาพลาดไปอย่างไม่น่าให้อภัย คงเพราะมัวแต่ไปเน้นที่การปราบอสูร ไม่ได้ระวังเรื่องการกั้นเขตแดนมากนัก คิดว่าตอนเช้าตรู่แบบนี้ไม่น่าจะมีคนมาที่สวนสาธารณะ แต่ก็ยังมีคนมาจนได้ เขตแดนของเขาคงจะมีช่องโหว่ ผู้หญิงคนนั้นจึงเข้ามาได้ และยังเห็นเขาจัดการกับเจ้าอสูรน้ำนั่นอีก   
ชายหนุ่มไม่ค่อยกังวลเรื่องที่มีคนเห็นเท่ากับความประมาทเลินเล่อของตัวเองที่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหัดของตัวเอง ถ้าท่านพ่อรู้ เขาคงต้องโดนดุอย่างหนักแน่ เป็นถึงว่าที่เจ้าบ้านคนต่อไป ต้องสืบทอดการเป็นนักปัดรังควานและดูแลศาลเจ้าอินาริแท้ ๆ แค่เรื่องกั้นเขตแดนเพื่อปราบปีศาจแค่นี้ยังทำพลาด
   ต้องฝึกอีกมากจริง ๆ
   หลังจากรายงานท่านเจ้าอาวาสเรื่องการปราบอสูรที่สวนสาธารณะแล้ว ชายหนุ่มก็เดินมาที่โรงฝึกดาบ ในเวลาที่เกิดอารมณ์เซ็งแบบนี้ ไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปกว่าการได้จับดาบฟาดฟันอากาศพร้อมกับตะโกนออกมาดัง ๆ อีกแล้ว ในฐานะผู้นำตระกูลนักปัดรังควานในอนาคต ชายหนุ่มต้องฝึกพื้นฐานการต่อสู้แทบทุกอย่างควบคู่ไปกับพลังจิตเพื่อใช้งานเวทปราบภูตผีปีศาจทั้งหลาย เมื่อชำนาญแล้วจึงอาจจะเลือกฝึกเฉพาะสิ่งที่ตนถนัดก็ได้ มาซาฮารุถนัดการใช้ดาบ ซึ่งนับว่าพอดิบพอดี เพราะนอกจากศาลเจ้าอินาริที่หมู่บ้านคันโจโคเอน บ้านเกิดของชายหนุ่มจะเป็นที่เก็บรักษาของวิเศษจากอดีตอันไกลโพ้นแล้ว ตระกูลของเขายังสืบทอดดาบฝีมือตีของมุเนจิกะที่ตำนานเล่าขานว่าเทพอินาริเป็นผู้ช่วยตีดาบเล่มนี้ขึ้นมาอีกด้วย เมื่อชายหนุ่มได้ขึ้นเป็นเจ้าบ้านอย่างเป็นทางการ ดาบเล่มนี้ก็จะกลายเป็นดาบคู่มือของเขา
   นักปัดรังควานหนุ่มเริ่มต้นด้วยการทำสมาธิ แล้วจึงชักดาบออกจากฝักเพื่อร่ายรำคาตะ เป็นการฝึกซ้อมการฟัน แทง และตั้งรับรูปแบบต่าง ๆ มาซาฮารุเริ่มที่ท่าพื้นฐาน ตวัดดาบฟันจังหวะเดียว ก่อนจะเพิ่มการก้าวเท้า เปลี่ยนจังหวะฟันให้หลากหลาย เสียงคมดาบแหวกอากาศได้ยินดังขวับประสานกับเสียงตะโกนหนัก ๆ ลีลาการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มนั้นงดงาม เป็นจังหวะจะโคน และยังรวดเร็วจนแทบจะมองไม่ทัน แสดงให้เห็นถึงความช่ำชองในศาสตร์นี้อย่างหาตัวจับยากของมาซาฮารุ
   การรำดาบคาตะจบลงแล้ว แต่นักดาบหนุ่มยังคงทำสมาธิอยู่ในท่านั่ง หลับตานิ่ง มือสองข้างวางอยู่บนเข่า ดาบเสียบคืนเข้าฝัก อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้มีเหงื่อซึมตามไรผม แต่ชายหนุ่มไม่มีอาการหอบเหนื่อยจากการออกแรงร่ายรำเพลงดาบแต่อย่างใด ร่างกายของมาซาฮารุแข็งแรงจากการฝึกฝน กำลังอยู่ตัว ต่อให้รำคาตะนานกว่านี้ก็ไม่ทำให้เหนื่อยล้า
   มาซาฮารุออกจากสมาธิเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ ร่างกายใหญ่โตของเขาขยับลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่
   “ฉันว่าฉันเดินเบาแล้วนะ ก็ยังจะอุตส่าห์ได้ยิน” เจ้าของฝีเท้าบ่นพึม ตอนแรกคิดว่าจะหยุดอยู่แค่ที่ประตูโรงฝึก แต่เห็นอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วก็เลยเดินเข้ามาจนเกือบถึงตัว
   “ทาคุยะ”
   ชายหนุ่มเจ้าของชื่อทาคุยะเป็นภาพสะท้อนที่ตรงกันข้ามกับมาซาฮารุ รูปร่างของเขาเพรียวบางและเตี้ยกว่า ผิวคล้ำแดด ดวงตาและริมฝีปากพราวไปด้วยรอยยิ้มบ่งบอกความเป็นคนอารมณ์ดี ไม่เคร่งเครียดและเอาจริงเอาจังจนดูไม่น่าเข้าใกล้เหมือนกับมาซาฮารุ
   “ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะเพื่อน” ทาคุยะก้มศีรษะให้นิด ๆ ถึงจะพูดว่าเป็นเพื่อน แต่สถานะของทาคุยะนั้นต่ำกว่ามาซาฮารุ เขามาจากตระกูลนักปัดรังควานเหมือนกัน แต่เป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จัก อนาคตของเขาหลังจบการฝึกฝนสร้างประสบการณ์ในเมืองหลวงก็คงหนีไม่พ้นการไปเป็นนักปัดรังควานประจำวัดหรือศาลเจ้าธรรมดา ๆ สักแห่งเท่านั้น
   “ไม่เป็นไร ฉันฝึกเสร็จพอดี มีธุระอะไร” น้ำเสียงของมาซาฮารุค่อนข้างเหินห่าง คู่สนทนาจะจับได้หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ เพราะทาคุยะไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า รอยยิ้มน้อย ๆ ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก
   “ถ้าไม่มีก็ไม่กล้าเข้ามากวนหรอกขอรับ ท่านว่าที่เจ้าบ้าน มีจดหมายมาแน่ะ จ่าหน้าว่าด่วน ก็เลยเอามาให้” ชายหนุ่มส่งซองจดหมายในมือให้ “คู่หมั้นคงอยากให้นายกลับจะแย่แล้วมั้งถึงได้ส่งจดหมายมาตาม”
   “ไอโกะไม่ใช่คู่หมั้นของฉัน” มาซาฮารุชักสีหน้าทันทีให้รู้ว่าเคือง เขาอาจจะไม่ว่าอะไรที่ทาคุยะใช้คำเป็นกันเอง ทั้ง ๆ ที่ควรจะใช้คำสุภาพมากกว่า แต่การที่อีกฝ่ายละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรือพูดเรื่องของเขาแบบผิด ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้
   “ตอนนี้ไม่ใช่ อีกหน่อยก็ใช่ ผู้ใหญ่เขาหมายตาคนนี้ไว้ให้นายไม่ใช่รึไง ไอโกะซังก็สวยมาก น่าอิจฉาจะตาย นายไม่น่าปฏิเสธนะ”
   “จะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธมันก็เรื่องของฉัน” คราวนี้เสียงของมาซาฮารุเย็นเฉียบ อีกฝ่ายจึงรู้สึกตัว ยกมือยอมแพ้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมจำนนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อเห็นคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนเก็บจดหมายเข้าไปในอกเสื้อโดยไม่เปิดออกอ่านทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นจดหมายด่วน เขาก็อดทักไม่ได้ว่า
   “แล้วนั่นไม่อ่านเหรอ ไอโกะซังมีเรื่องด่วนไม่ใช่รึไง”
   “เอาไว้ทีหลัง”
   “ใจร้ายว่ะ ผู้หญิงเขาเสียใจแย่” ทาคุยะอยากจะพูดต่อ แต่สายตาของมาซาฮารุที่จ้องเขม็งมานั้นเหมือนกับเปลวไฟอันร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างและเขายังไม่อยากจะเสี่ยงกับความโกรธระดับนั้นในตอนนี้
   “เอา ตามใจนายก็แล้วกัน ฉันไม่กวนนายแล้ว”
   ทาคุยะเดินไปแล้ว แต่คำพูดที่หมอนั่นทิ้งไว้กวนอารมณ์มาซาฮารุให้ขุ่นมัวขึ้นมาอีก เขาหรือควรถูกประณามว่าใจร้าย ถ้าจะมีใครสักคนใจร้ายล่ะก็ คนนั้นก็ต้องเป็นเทพเจ้าที่กำหนดชะตากรรมของมนุษย์นั่นแหละ การเกิดมาในตระกูลสำคัญย่อมทำให้คนคนนั้นมีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบติดตัวมาพร้อมกันด้วย ยิ่งเป็นคนที่จะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงสุด ยิ่งต้องคำนึงถึงภาระหน้าที่มากกว่าความต้องการส่วนตัว การแต่งงานเพื่อการคงอยู่ของตระกูลเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน แต่มีใครถามถึงความรู้สึกของเขาบ้างไหม เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกบ้างหรือเปล่า...
   ใบหน้าสะสวยแจ่มใสของใครบางคนแวบขึ้นมาในความคิด ผู้หญิงประหลาดที่มีความคิดประหลาดยิ่งกว่า ใครที่ไหนในโลกนี้อยากเห็นภูตผีปีศาจกันบ้าง แต่หล่อนก็ยืนยัน ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมาทางเขาด้วยความคาดหวังบอกให้รู้ว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้ว่าเขาจะปฏิเสธยังไง แต่หล่อนก็ยังรั้น ไม่ยอมแพ้ หล่อนบอกว่าจะไปที่สวนสาธารณะเพื่อพบกับเขาอีก
   ผู้หญิงคนนั้นชื่อ...


************
แล้วพบกันใหม่ตอนที่ ๒ ค่ะ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ Readerfit

  • Readerfit
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • บาคาร่า
ผมอ่านซะเหนื่อยเลย แต่ก็เพลินดีนะครับ อิอิ รอจร้า

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ ๒

        “มิซากิ”
        หญิงสาวที่กำลังจ่อมจมกับกองหนังสือเงยหน้าขึ้นยิ้มรับเมื่อได้ยินเสียงเรียก หล่อนเห็นเพื่อนสนิทร่วมคณะดึงเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามกับหล่อนออกมานั่ง เอมิยื่นหน้ายื่นตาเข้ามามอง ก่อนเบ้หน้า บ่นว่า
        “อ่านเรื่องพวกนี้อีกแล้ว นี่เธอยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียกผีอีกเหรอ ไร้สาระจริง ๆ”
        “ฉันอยากตามหาต่างหาก อยากพูดคุยด้วย ไม่ใช่แค่เรียกอย่างเดียว” มิซากิพูดอย่างกระตือรือร้น แล้วก็หัวเราะคิกเมื่อเห็นคนฟังตาโต
        “นี่เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรไป ไหนดูซิ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา” เอมิพูดพลางยื่นหลังมือมาแตะหน้าผากของเพื่อนด้วยความเป็นห่วงแกมกังวล แต่มิซากิก็ดูเป็นปกติดี ตัวก็ไม่ร้อน หรือจะมีปัญหาในส่วนที่มองด้วยตาไม่เห็น...
        “ฉันสบายดี แล้วก็ไม่ได้บ้าด้วย ไม่ต้องมองอย่างนั้น” มิซากิแกล้งดักคอ ทำไมจะไม่รู้ว่าแม่เพื่อนตัวดีคิดอะไรอยู่ในใจ เอมิค้อนควัก
        “ไม่บ้า แต่ก็เพี้ยนแน่ ๆ”
        “น่า อย่ามัวแต่บ่นเลย เธอว่างไหมล่ะ ช่วยฉันค้นหน่อยสิ ถ้าเธอหาเจอนะ ฉันจะเลี้ยงซูชิเลย” มิซากิคะยั้นคะยอด้วยการเลื่อนกองหนังสือที่ค้นเอามาวางอยู่บนโต๊ะไปตรงหน้าเพื่อน เอมิมองอย่างแขยง เหมือนหนังสือสามสี่เล่มนั้นเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่น่ารังเกียจที่สุด
        “ตำนานปีศาจญี่ปุ่น... นิทานพื้นบ้านสมัยเอโดะ... ตำนานร้อยเรื่อง...” หล่อนอ่านหน้าปกแล้วส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอก เลี้ยงซูชิก็ไม่เอา ฉันกลัว”
        “ไหนเธอบอกว่าเรื่องผีเป็นเรื่องไร้สาระ แล้วกลัวทำไม”
        “ไร้สาระ แต่ให้เข้าไปยุ่งมันก็น่ากลัวนี่นา ฉันคนนึงล่ะไม่เอาด้วยแน่นอน ขึ้นชื่อว่าหน้าร้อนแล้วจะต้องไปนั่งเล่าเรื่องผีหรือทดสอบความกล้าที่วัดน่ะ” เอมิทำท่าขนลุกขนพอง แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หล่อนว่า “เออ เธอเคยลองไปค้นหาดูตามวัดกับศาลเจ้าบ้างรึยัง บางทีอาจจะมีพวกตำรับตำราเก่า ๆ เก็บไว้บ้างก็ได้นะ ค้นหาตามห้องสมุดก็เห็นเธอเจอแต่พวกนิยายนิทาน ไม่ก็ประวัติศาสตร์ไปโน่นเลย”
        “วัดกับศาลเจ้าเหรอ ก็น่าสนใจดีนะ” มิซากิพึมพำ ดวงตามีประกายความหวัง ทำไมหล่อนไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยนะ จริงด้วยสิ ถ้าพูดถึงเรื่องภูตผีปีศาจ ใครที่ไหนจะรู้ดีไปกว่าพวกพระกับนักบวชล่ะ ยังไม่รวมพวกร่างทรง พ่อมดหมอผี กับพวกนักปัดรังควานอีก ถ้าพูดให้เข้าใจได้ พวกเขาก็อาจจะช่วยหล่อนก็ได้
        “แต่ฉันไม่รู้จักวัดหรือศาลเจ้าสักแห่ง ถ้าจู่ ๆ เดินดุ่ม ๆ เข้าไปถามหาตำราวิชาสนทนากับภูตผีปีศาจ เขาจะไม่ไล่ฉันออกมาเหรอ”
        มาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็อดคิดถึงผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาบึ้งตึงคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ หล่อนไม่ได้เล่าเรื่องเขาให้ใครฟังทั้งนั้น แม้แต่เอมิซึ่งเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม หล่อนไม่ได้กลัวว่าใครจะมองว่าบ้าหรือเพี้ยน แต่เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่พูดให้คนอื่นฟังแล้วทุกคนจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ดูแต่ผู้ชายคนนั้นสิ หล่อนเห็นกับตาแท้ ๆ ว่าเขาปราบสัตว์ประหลาดได้ เขายังไม่ยอมรับเลย หลังจากวันนั้น หล่อนก็ไปที่สวนสาธารณะทุกวัน แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
        “ฉันรู้ละ” เอมิทำท่าคิดอยู่ครู่ก่อนจะดีดนิ้วเปาะ “ลองไปที่วัด...ดูไหมล่ะ”
วัดที่เอมิเอ่ยชื่ออยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเม้นท์ที่พักของมิซากิมากนัก ปกติทางนั้นไม่ใช่ทางที่หล่อนจะต้องผ่านเวลาไปไหนมาไหน หล่อนจึงไม่เคยไปที่วัดนั้นเลย
             “เธอรู้จักวัดนั้นเหรอ”
             “ไม่รู้จักหรอก แต่เขาลือกันว่าในสระน้ำหลังวัดนั้นมีกัปปะ”
        “กัปปะ?”
        “ใช่ กัปปะ” เอมิพยักหน้าหงึกหงัก กระซิบกระซาบ “สีเขียว ๆ มีเกล็ดตามตัว มือเป็นพังผืด ปากแหลมเหมือนนกนั่นแหละ มีคนเคยเห็นตอนดึก ๆ มันออกมาจับปลาในสระกินเป็นอาหาร”
        “ฉันไม่เห็นเคยรู้เลยว่าที่วัดนั้นมีกัปปะ” มิซากิสงสัย
        “ก็เพิ่งมีข่าวลือช่วงไม่กี่วันมานี้แหละ เพื่อนฉันที่ชมรมเล่าให้ฟัง เขาพักอยู่แถว ๆ นั้น เธอลองไปคุยกับพระที่วัดเรื่องนี้ดูสิ แล้วถ้ามีโอกาส จะได้ลองถามเรื่องที่เธออยากรู้”
        “ขอบใจนะ ความคิดเธอนี่สุดยอดไปเลย” มิซากิยิ้มกว้าง รู้สึกว่ามีความหวังเรืองรองขึ้น

   
             วัดที่คนลือกันว่ามีกัปปะนั้นเป็นวัดขนาดเล็ก ซ่อนตัวอยู่ในย่านที่พักอาศัยชานเมือง บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างสงบ ไม่มีความวุ่นวายอย่างที่คาดไว้ มิซากิออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย หล่อนนึกว่ามาถึงที่วัดแล้วจะเจอคนเยอะแยะที่พากันมาพิสูจน์เรื่องกัปปะ แต่กลับไม่เจอใครเลยสักคน แม้แต่พระหรือคนทำงานในวัด หรือทุกคนจะคิดเหมือนเอมิว่าเรื่องภูตผีปีศาจเป็นเรื่องเหลวไหล
             หญิงสาวเดินไปตามทางโรยกรวดที่ลัดเลี้ยวผ่านต้นไม้ใหญ่อ้อมไปทางด้านหลังวัด สระน้ำที่คนลือว่ามีกัปปะอาศัยอยู่มีขนาดใหญ่พอสมควร ริมน้ำมีหญ้าขึ้นรก อาจจะเพราะอาณาเขตของวัดไม่ได้ครอบคลุมมาถึงสระน้ำแห่งนี้ด้วย อีกด้านของสระก็เป็นที่ดินรกร้าง จึงไม่มีใครคอยดูแลเอาใจใส่ทำความสะอาดสระน้ำอย่างที่ควรจะเป็น
             หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ที่ริมน้ำ ชะโงกหน้าลงไปมอง น้ำในสระมีสีเข้มทำให้มองไม่เห็นก้นสระ มีกอพืชน้ำใบแหลมแทงขึ้นมาจากผิวน้ำกระจายกันอยู่ประปราย ดูไปแล้วก็เป็นสระธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของภูตผีปีศาจ
มิซากิเดินสำรวจพื้นที่รอบ ๆ เผื่อจะเจออะไรที่น่าสนใจ แต่หล่อนเข้าใกล้ริมน้ำมากไปหน่อย บริเวณตรงนั้นเป็นดินค่อนข้างเหลว แม้ว่าจะเดินอย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม แต่หล่อนก็ก้าวพลาดจนได้ ทำให้ลื่นตกลงไปในน้ำทั้งตัว เสียงน้ำแตกดังโครม มิซากิดิ้นรนเหมือนคนเสียสติ มือไม้เปะปะ พยายามพุ้ยตัวเองให้พ้นน้ำให้ได้ น้ำลึกจนมิดหัว หล่อนเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ความกลัวคืบคลานเข้ามาจับหัวใจ หล่อนคิดว่าตัวเองจะต้องจมน้ำตายอย่างแน่นอน มือและขาที่ขยับตลอดเวลาเริ่มหมดแรงแล้ว ต้องมีปาฏิหาริย์เท่านั้นกระมังที่จะช่วยหล่อนได้
              วินาทีนั้นเองที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น สติของหญิงสาวยังมีอยู่ หล่อนรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเหมือนกับมีแรงอะไรสักอย่างผลักดัน มิซากิทะลึ่งพรวดขึ้นมาได้สำเร็จ มือไม้ที่เคยอ่อนแรงเริ่มขยับอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
หญิงสาวตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำได้สำเร็จ เสื้อผ้าเปียกโชกจนลู่แนบติดตัว ดินโคลนเปื้อนเปรอะเลอะตามตัวเพราะคลานลุยดินเหลวริมตลิ่งขึ้นมาจนถึงบริเวณที่เป็นดินแข็งพอจะวางใจได้ว่าตัวของหล่อนจะไม่ล้มกลิ้งลงน้ำไปอีก
              ‘รอดตายแล้ว’ เสียงในหัวของหล่อนดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสติให้กลับคืนมาเต็มที่ มิซากิเหลียวกลับไปมองสระน้ำอีกครั้งทั้งที่ยังหอบเหนื่อยจากการออกกำลังที่ไม่คาดคิด
              กลางน้ำ อะไรบางอย่างกำลังโผล่ขึ้นมา อะไรบางอย่างที่เหมือนหัวคน แต่เป็นคนที่หน้าตาประหลาดที่สุด ใบหน้าของมันตอบซูบ ปากเป็นจะงอยไม่ผิดกับปากนก ตากลมโตเหมือนตกใจอยู่ตลอดเวลา ผมบนหัวยาวรุงรังเป็นกระเซิง กลางหัวเหมือนมีจานกลม ๆ ทำจากน้ำครอบเอาไว้
              กัปปะ!
              มันมีจริงหรือนี่! หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แต่หล่อนก็เห็นมันจริง ๆ รูปร่างหน้าตาของมันเหมือนกับภาพประกอบในหนังสือว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับภูตผีของญี่ปุ่น แวบแรกหล่อนรู้สึกกลัว เพราะหน้าตาของมันน่าเกลียดน่ากลัว ตัวสีเขียวเข้ม กลิ่นตัวมันเหม็นคาวเหมือนคาวปลาคละคลุ้ง ในนิทานบอกว่า กัปปะชอบกินแตงกวา แต่หล่อนก็นึกได้ว่าเคยเห็นรูปวาดที่พวกมันจู่โจมมนุษย์
              หล่อนคิดว่ากัปปะคงจะกระโจนขึ้นมาจากน้ำในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่มันก็แค่มองหล่อนนิ่ง ๆ เท่านั้น เอียงคอมอง เหมือนกับสนอกสนใจหล่อนเหลือเกิน
              จากที่กลัวในตอนแรก มิซากิเริ่มคิดว่ามันน่ารักแบบแปลก ๆ ตากลมโตของมันก็ดูแป๋ว ๆ เหมือนลูกหมาลูกแมว
              “เธอจะไม่ทำอันตรายฉันใช่ไหม” หล่อนถาม
              กัปปะยังคงมองหล่อนนิ่ง ไม่ตอบ ไม่ส่งเสียง
             “ขอบใจนะ เมื่อกี้เธอช่วยฉันขึ้นมาจากน้ำใช่ไหม” มิซากิพูดต่อ ไม่นึกกลัวอีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่มีท่าทีจะคุกคามหล่อนสักนิด
             “เธอพูดได้ไหม ขึ้นมาจากน้ำได้รึเปล่า ถ้าขึ้นมาบนฝั่ง ตัวเธอจะแห้งไหม ฉันอยากคุยกับเธอสักหน่อย เราจะคุยกันได้ไหม”
             ภูตน้ำตัวสีเขียวยังคงนิ่ง หญิงสาวไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจที่หล่อนพูดหรือเปล่า หล่อนปล่อยให้มันได้คิดใคร่ครวญ ถ้ามันจะคิดได้
             ครู่ต่อมา มันคงตัดสินใจได้ เพราะมันเริ่มเคลื่อนไหว
             เจ้าผีน้ำเดินลุยน้ำเข้ามาใกล้ฝั่งเรื่อย ๆ หล่อนจ้องมองร่างกายที่ค่อย ๆ โผล่พ้นน้ำขึ้นมาด้วยความสนใจ รูปร่างของมันเหมือนกับที่บรรยายไว้ในหนังสือ นิ้วมือและนิ้วเท้าของมันมีพังผืดยึดติดกัน มีกระดองคล้ายเต่าอยู่บนหลัง
             หญิงสาวตกตะลึงจนพูดไม่ออก จ้องมองกัปปะเดินขึ้นมาบนฝั่ง กลิ่นเหม็นคาวปลายิ่งอวลตลบ แต่หล่อนกลับไม่คิดว่ามันน่ารังเกียจแต่อย่างใด เจ้าผีน้ำตัวสีเขียวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน แล้วค่อย ๆ ยื่นมือเป็นพังผืดเข้ามาใกล้...
             จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงไอร้อนวูบผ่านหน้าไป ตอนแรกหล่อนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เห็นแค่มือของเจ้ากัปปะชะงักหดไป แล้วมันก็ร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด ตัวเปียกน้ำของมันมีไฟลุกอย่างเหลือเชื่อ เปลวไฟไหม้ลามทั่วตัวมันอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวเท่านั้น เจ้ากัปปะตัวนั้นก็มอดไหม้
             ร่างเปียกโชกของมิซากิถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคน หล่อนได้ยินเสียงห้าวถามห้วน ๆ ว่า
             “เป็นอะไรรึเปล่า”
             มิซากิเงยหน้าขึ้นมอง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่หล่อนจำเขาได้แม่น
            “คุณ!”
            ผู้ชายที่หล่อนเคยเจอที่สวนสาธารณะนั่นเอง เขาแต่งตัวเหมือนเดิม กิโมโนสีขาวทับด้วยกางเกงฮากามะ มีดาบสะพายอยู่ที่เอว ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดไม่มีรอยยิ้ม ดวงตาคมดุของเขามองหน้าหล่อนก่อนจะเลื่อนปราดไปสำรวจทั่วทั้งตัว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แค่เนื้อตัวเปียกปอนและสกปรกมอมแมมเท่านั้น เขาก็โล่งใจ
            “คุณทำอะไรกับเจ้ากัปปะตัวนั้น” มิซากิถามเสียงสั่น
            “ก็ฆ่ามันน่ะสิ ไม่เห็นรึไง มันยื่นมือจะถึงตัวเธออยู่แล้วนะ”
            “คุณฆ่ามันเหรอ ฆ่ามันทำไม”
            มาซาฮารุทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อที่ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของหญิงสาวได้ นี่หล่อนกลัวจนเพี้ยนเสียสติไปแล้วหรือยังไงถึงได้พูดเหลวไหลอย่างนี้
            “มิซากิ” ชายหนุ่มเรียกชื่อหล่อนอย่างชัดเจน “มันกำลังจะทำร้ายเธอ ถ้าฉันช่วยเอาไว้ไม่ทัน ป่านนี้มันคงลากเธอลงน้ำไปแล้ว”
             หญิงสาวส่ายหน้า ท่าทางสับสน
             “มิซากิ” ชายหนุ่มเรียกพร้อมกับเขย่าตัวหล่อนเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง
             “คุณทำอะไรลงไป! คุณฆ่ามันได้ยังไง!” หญิงสาวร้องกรี๊ด สองมือผลักร่างชายหนุ่มอย่างแรง แล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน
             ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน มาซาฮารุงุนงง ส่วนมิซากิโกรธจัด
             “เจ้ากัปปะตัวนั้นช่วยชีวิตฉันเอาไว้นะ ถ้าไม่มีมัน ป่านนี้ฉันจมน้ำตายไปแล้ว แต่คุณกลับฆ่ามัน คนใจร้ายใจดำ!” หญิงสาวตะโกนใส่เขา
             “เธอพูดอะไร อสูรปีศาจน่ะหรือจะช่วยชีวิตมนุษย์ มันกำลังจะทำร้ายเธอต่างหาก มันจะจับเธอฉีกแขนฉีกขากิน รู้ตัวรึเปล่า”
             “ไม่จริง!” หญิงสาวโต้ มองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาเจ็บปวด “มันช่วยฉันไม่ให้จมน้ำตาย มันเป็นอสูรที่ดี ฉันไม่น่าชวนมันขึ้นมาจากน้ำเลย ไม่งั้นมันคงไม่ถูกฆ่าตาย”
             “อสูรที่ดีไม่มีอยู่ในโลกนี้หรอก ขึ้นชื่อว่าอสูรหรือภูตผีปีศาจ มันย่อมทำร้ายมนุษย์ เป็นอันตรายต่อมนุษย์”
             “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอสูรที่คุณเคยเจอเป็นยังไง แต่สำหรับฉัน อสูรหรือภูตผีไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกตัวอย่างที่คุณว่า”
             มาซาฮารุไม่พอใจที่หญิงสาวเถียงฉอด ๆ แทนที่จะขอบคุณที่เขาช่วยหล่อนไว้จากอันตราย เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมหล่อนถึงได้เชื่อฝังหัวอย่างนั้นนะว่าพวกอสูรปีศาจจะใจดี หนำซ้ำยังเชื่อเสียจนเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพวกปีศาจ ด่าว่าเขาเป็นคนใจร้ายสารพัด
             “เธอแค่ยังไม่เคยเจอ แต่ภาวนาเอาไว้เถอะว่าไม่ให้เจอจะดีกว่า”
             มิซากิไม่อยากจะเถียงกับเขามากไปกว่านี้อีกแล้ว น้ำตาหล่อนไหลอาบหน้าจนต้องปาดทิ้ง โคลนที่มือพลอยเลอะเทอะติดแก้ม หน้าของหล่อนจึงมอมเป็นแมวคราว หญิงสาวสะบัดหน้าหนี ตั้งใจจะเดินไปให้พ้น แต่ชายหนุ่มที่หล่อนเริ่มชังน้ำหน้าคว้าแขนรั้งเอาไว้ก่อน
             “นี่เธอจะไปไหน” ชายหนุ่มถามเสียงดุ คิ้วขมวด ทำให้หน้าที่เคร่งเครียดอยู่แล้วยิ่งดูดุดันมากขึ้น
             “ฉันจะกลับบ้าน” หล่อนตอบพร้อมกับดึงแขนออกจากมือเขา ใบหน้าบึ้งตึงพอกัน
             “แล้วเธอจะไม่ขอบคุณฉันสักหน่อยรึไง ฉันช่วยเธอไว้นะ”
             หญิงสาวมองหน้าเขา ก่อนจะผละจากไปโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น มาซาฮารุตาค้าง แต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างฉุนเฉียว
             “ยายบ้า...”


             ในคืนนั้น มิซากิไม่อาจข่มตาหลับได้ หล่อนรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้มีคนตาย... ไม่ใช่ คงบอกว่ากัปปะเป็นคนไม่ได้ มันเป็นอสูร เป็นภูตผี แต่มันก็มีชีวิต... ใช่แล้ว มันมีชีวิต เหมือนหล่อนเช่นกัน
             เสียงกรีดร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวดจากไฟที่แผดเผาร่างยังติดหูมิรู้คลาย ถ้าหล่อนรู้ว่ามันจะต้องจบชีวิตลงอย่างทรมานแบบนั้น หล่อนจะไม่ชักชวนให้มันขึ้นมาจากน้ำ หล่อนก็แค่อยากคุยกับมัน อยากรู้ว่ามันจะรู้วิธีตามหาภูตผีหรือไม่
หญิงสาวนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง อากาศก็ร้อนทำให้การนอนให้หลับกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น หล่อนทนนอนอยู่ได้อีกครู่ใหญ่ก็ยอมแพ้ ลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปเปิดตู้เย็น หล่อนรู้สึกดีใจที่ยังมีชามุหงิเหลืออยู่ ไม่ต้องเสียเวลาชงใหม่ บางทีชาเย็น ๆ สักแก้วคงทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น
             นึกถึงกัปปะตัวนั้นก็ต้องนึกถึงคนที่ฆ่ามัน ตอนนี้หล่อนมั่นใจเต็มร้อยว่าผู้ชายคนนั้นมีพลังปราบปีศาจได้ มันดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง เขาช่วยหล่อนไว้
             มิซากิถอนหายใจยาว ในสายตาของนักปราบปีศาจ พวกภูตผีทั้งหลายคงเป็นตัวอันตรายที่ต้องกำจัดทิ้ง จะด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยหรืออะไรก็ตามที นักปราบปีศาจก็มีหน้าที่ต้องปราบปีศาจ หล่อนโกรธและโมโหเขา แต่หลังจากมีเวลาครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น หล่อนก็คิดว่าหล่อนเข้าใจเขา นักปราบปีศาจอย่างเขาเห็นกัปปะยื่นมือยืดยาวชนิดที่จะถึงคอหอยของหล่อนอยู่แล้ว เป็นใครก็ต้องคิดว่า หล่อนตกอยู่ในอันตราย เขาต้องตัดสินใจกำจัดมันก่อน
             หล่อนไม่ควรโกรธเขา หล่อนโกรธตัวเองนี่แหละถูกต้องแล้ว
             ถ้ามีโอกาส หล่อนจะต้องขอโทษและขอบคุณเขา
             ถ้าหล่อนกลับไปที่วัดแห่งนั้นอีกครั้ง แล้วถามถึงเขา อาจจะมีใครสักคนบอกหล่อนได้ว่าเขาชื่ออะไรและอยู่ที่ไหน เรื่องเดียวที่หล่อนกังวลก็คือผู้ชายคนนั้นจะยอมรับคำขอโทษและคำขอบคุณของหล่อนไหม

             “อาหารเป็นตัวแทนของจิตใจของผู้ปรุง...”

             เสียงของคุณยายที่หล่อนเคยพบเมื่อสมัยก่อนดังขึ้นมาในหัวทันที จริงด้วยสินะ หล่อนยังมีสิ่งที่ทำได้อยู่นี่นา
หญิงสาวพุ่งตัวไปที่ชั้นที่มีหนังสือวางอยู่เต็ม เลือกหยิบออกมาสองสามเล่ม เอามานั่งอ่านอย่างตั้งใจพร้อมกับจดบันทึกลงไปในสมุดโน้ต


             ปกติมาซาฮารุก็ได้ชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยากอยู่แล้ว แต่ในช่วงสองสามวันมานี้ อย่าว่าแต่จะยิ้มเลย แค่การขยับยกมุมปากขึ้นสักนิด คนรอบตัวชายหนุ่มก็ไม่ได้เห็น เขาดูโกรธกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ใครก็เข้าหน้าไม่ติด ยกเว้นไว้หนึ่งคน คือ ทาคุยะ ที่สามารถฝ่ารังสีความกดดันและไม่ครั่นคร้ามต่อความน่าเกรงขามของอีกฝ่าย
             “เป็นอะไร หมู่นี้ดูอารมณ์เสียพิกล” นักปัดรังควานรุ่นเดียวกันถามด้วยความสงสัย หลังจากการซ้อมอาวุธเสร็จสิ้นลง
             “ไม่ได้อารมณ์เสียนี่ ก็ปกติดี”
             “โกหกแล้ว ดูยังไงก็อารมณ์ไม่ปกติชัด ๆ” ทาคุยะไม่เชื่อ จะให้เชื่ออย่างไรไหว เขากับมาซาฮารุต้องฝึกสึเมรุคู่กัน ใช้ดาบจริง แต่แทงดาบแค่เกือบถึงเป้าหมายเท่านั้น เป็นการทดสอบความเชี่ยวชาญและการควบคุมตัวเอง มาซาฮารุก็ไม่ได้แทงหรือฟันจริงหรอก แต่หมอนั่นหยุดอาวุธชนิดเฉียดเป้าหมายยิ่งกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด จนเขาคิดว่าตัวเองคงจะคอกระเด็นหรือถูกแทงจนไส้ไหลก็งานนี้
             “บอกมาเถอะ เป็นอะไร หรือว่ามีใครทำอะไรให้ท่านว่าที่เจ้าบ้านไม่พอใจ”
             มาซาฮารุรำคาญความเซ้าซี้ของเพื่อนร่วมรุ่นมาก แต่ทาคุยะไม่เหมือนคนอื่นที่แค่โดนเขาจ้องหรือตะเพิดไล่ไปก็ไม่กล้ามายุ่งแล้ว หมอนั่นมันช่างตื๊อกว่านั้นและถ้ามันไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ มันก็คงไม่หยุดซักฟอกเขาแน่
             “ไม่มีใครทำอะไรหรอก แค่เจอคนที่มีความคิดต่างกัน คุยกันไม่ลงรอยนิดหน่อย”
             “นายคุยกับคนอื่นด้วยเหรอ” ทาคุยะทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ปกตินายไม่ชอบคุยกับใครนี่หว่า กับฉันยังคุยด้วยเหมือนเสียไม่ได้”
             “ก็คุยนิดหน่อยแค่นั้น”
             “แล้วเรื่องอะไรที่บอกไม่ลงรอยกัน” ทาคุยะกระชั้นถามด้วยความสนใจ
             มาซาฮารุไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้ แต่เขาก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร จะคิดเหมือนเขาหรือเปล่า จึงตัดสินใจเล่าย่อ ๆ ให้เพื่อนร่วมรุ่นฟัง ตบท้ายด้วยคำถามว่า
             “นายคิดว่ามันใช้ได้ไหมล่ะ ไม่ยอมขอบคุณฉัน แล้วยังจะด่าอีก”
             “นายหัวเสียเรื่องนี้เองเหรอ” ทาคุยะพูดยิ้ม ๆ “ดูไม่สมกับเป็นนายเลยแฮะ อย่าบอกนะว่านายชอบผู้หญิงคนนั้นเข้าแล้ว”
             มาซาฮารุชะงักเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของอีกฝ่าย เขาคงเผลอแสดงสีหน้าอะไรออกไปเป็นแน่ เพราะทาคุยะหัวเราะดังลั่น ย้ำว่า
             “นายชอบผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ ด้วย”
             “ไม่ได้ชอบ!” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ แต่มันคงเหมือนเขาร้อนตัว เพราะทาคุยะไม่ยอมหยุดหัวเราะง่าย ๆ
             “อย่าปฏิเสธเลยน่า ปกตินายไม่เคยสนใจความคิดของใคร แต่นี่เก็บเอามาคิด เอามาเป็นเดือดเป็นร้อน ดูยังไง ๆ นายก็สนใจเธอแน่นอน”
             “เหลวไหล” มาซาฮารุพูดเสียงห้วน คิดว่าจะไม่ต่อปากต่อคำด้วยอีก แค่นี้เขาก็นึกอยากเตะตัวเองมากพอแล้ว ไม่น่าเปิดช่องให้มันล้อเลียนเอาได้เลย
             ชายหนุ่มเดินหนี แต่หูก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะกวนประสาทลอยมากวนอยู่ดี มาซาฮารุเดินหน้าบึ้งไปจนถึงสวนเล็ก ๆ ของศาลเจ้าด้านหน้าไฮเด็ง คิดว่าจะพ้นจากเรื่องกวนใจได้แล้ว แต่เขาก็คิดผิดถนัด เพราะในสวนนั้น เขาพบใครคนหนึ่ง...
             “มาซาฮารุซัง” ใครคนนั้นเรียกชื่อเขาพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส
             รอยยิ้มของใครคนนั้นเหมือนกับดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ไล้เรื่อยไปทั่วหัวใจของเขา มันกวนให้รู้สึกคันยุกยิกอยู่ข้างในอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
             และดูเหมือนว่า ความหงุดหงิดเรื่องโดนเพื่อนล้อเลียนจะกระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
             เขามองหญิงสาวอย่างไม่วางตา

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ ๓

        “เธอ... มาที่นี่ได้ยังไง”
        เป็นคำถามทื่อ ๆ ที่เจ้าตัวเองเมื่อพูดออกไปแล้วก็ยังรู้สึกเก้อ ๆ แปลก ๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้จะพูดอะไรที่มันเข้าท่ากว่านี้ น้ำเสียงของเขาค่อนข้างห้วนห้าว มิซากิคิดว่าเขาอาจจะยังโกรธหล่อนอยู่ รอยยิ้มที่สดใสของหล่อนจึงเปลี่ยนเป็นแหยลง
        “ฉัน... ฉันถามพระที่วัด เขาบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ฉันก็เลยมาหา”
        “มาหาทำไม”
        “ก็... อยากขอโทษคุณเรื่องเมื่อวันก่อนที่ฉันเสียมารยาทกับคุณไว้ นี่ค่ะ ฉันทำอาหารมาให้คุณด้วย” หล่อนชูห่อผ้าให้เขาดู ถึงจะเกรง ๆ ใบหน้าที่เคร่งขรึมและสายตาดุดันที่จ้องมองหล่อนเขม็ง แต่หล่อนก็พยายามแข็งใจสบตาด้วยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ
        “เพื่อเป็นการขอโทษแล้วก็... ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้”
        ความหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ของมาซาฮารุมลายหายไปจนหมดสิ้นในพริบตา ท่าทางแข็ง ๆ ของเขาก็ค่อยคลายลงไปด้วย ชายหนุ่มพยักหน้า เป็นการบอกให้รู้ว่าเขารับคำขอบคุณและขอโทษจากหล่อนแล้ว มิซากิเห็นก็ดีใจ เปิดยิ้มกว้าง แล้วยื่นห่อผ้าที่มีเบนโตะอาหารที่หล่อนตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือให้
        “เอ้อ... ขอบใจ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยื่นมือมารับ บังเอิญพอดีที่นิ้วของเขาแตะถูกมือหล่อนเข้า แต่แทนที่คนอายจะเป็นมิซากิก็กลับเป็นมาซาฮารุ ชายหนุ่มรีบชักมือหนีประหนึ่งแตะถูกของร้อน ๆ ท่าทีราวกับกุลสตรีเขินอายนั้นทำให้มิซากิยิ่งยิ้ม ตอนแรกหล่อนคิดว่าเขาคงเป็นคนดุ น่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่คิดว่าเวลาเขิน ผู้ชายตัวใหญ่หน้าเครียดจะดูน่ารักขึ้นมาได้ขนาดนี้
        “กินเลยนะคะ” มิซากิชวนอย่างกระตือรือร้น “ฉันตั้งใจทำสุดฝีมือ ถ้าคุณกินแล้วชอบ ฉันจะรู้สึกดีใจมาก ๆ เลยค่ะ”
        มาซาฮารุไม่ปฏิเสธ เขาถือห่อผ้าเดินเคียงคู่มากับหญิงสาว ทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งใต้ต้นไม้ในสวน ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว จึงแทบไม่มีคนมาเยือน ถึงแม้จะเป็นวันที่อากาศดีแบบนี้ก็ตาม ในสวนจึงเหมือนกับมีแค่ชายหนุ่มหญิงสาวตามลำพังเท่านั้น
        มิซากิแก้ห่อผ้าออก หยิบกล่องอาหารแต่ละชั้นออกมาวางเรียงราย สีหน้าของหล่อนอิ่มเอิบและภาคภูมิใจมาก ชี้ชวนให้ชายหนุ่มชิมอาหารในกล่องที่หล่อนตั้งใจทำอย่างเต็มที่
        “นี่สลัดค่ะ ใส่ข้าวโพดหวาน พริกหวาน เบบี้ลีฟ มะกอกดำ ใช้น้ำสลัดวินนิเกรท เป็นน้ำสลัดใส ปรุงรสด้วยน้ำส้มบัลซามิค น้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทย” หล่อนอธิบายเมื่อเห็นชายหนุ่มมอง ก่อนจะชี้ไปที่กล่องที่วางอยู่ข้าง ๆ มีเนื้อไก่ที่อบจนหนังกลายเป็นสีน้ำตาลน่ากินวางอยู่กลางชิ้นแอปเปิ้ลหั่นขนาดไม่ใหญ่มาก
        “ไก่อบน้ำผึ้งกับแอปเปิ้ลค่ะ กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ส่วนนี่คือของหวานนะคะ... ทาร์ตฟร็องกิปานอัลมอนด์หน้าแครนเบอรี่กับถั่วพิสทาชิโออบน้ำผึ้ง”
        กล่องสุดท้ายบรรจุทาร์ตที่ตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมหลายชิ้น หน้าทาร์ตสีแดงอมม่วงสลับสีเขียวแกมขาว เข้ากันกับผลบลูเบอรี่สดสีเข้มที่หล่อนนำมาตกแต่ง เป็นกล่องที่มีสีสันสะดุดตาชวนมองที่สุด
        “พอจะกินได้ไหมคะ” เห็นหน้าของมาซาฮารุดูอึ้ง ๆ หล่อนก็ถามอย่างกังวล มิซากิทำอาหารได้หลายสไตล์ ทั้งอาหารแบบญี่ปุ่นและอาหารตะวันตก แต่วันนี้หล่อนเลือกอาหารสไตล์ฝรั่งเศสเพราะต้องการความพิเศษและหวังให้ผู้ชิมเกิดความประทับใจ
        “กินได้” ชายหนุ่มพยักหน้า “แค่ไม่ค่อยได้กินอาหารแบบนี้ ปกติกินแต่อาหารญี่ปุ่น”
        “งั้นดีเลยค่ะ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศจากเดิมก็แล้วกันนะคะ เชิญเลยค่ะ” หล่อนยิ้มหวาน ส่งตะเกียบให้ จากนั้นก็เตรียมผ้าเช็ดปากและจัดการรินน้ำชาจากขวดเก็บความร้อนให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
        นักปัดรังควานหนุ่มคีบอาหารใส่ปากชิม น้ำสลัดปรุงได้รสกลมกล่อม เนื้อไก่เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ข้าวหุงเป็นเม็ดสวย รสชาติอาหารถูกปากมาซาฮารุอย่างไม่น่าเชื่อ แป๊บเดียวเท่านั้น อาหารที่มิซากิเตรียมมาให้ก็หมดกล่อง
        “อร่อยไหมคะ”
        “ก็ดี รสชาติดี เหมือนกินในร้านอาหาร” ชายหนุ่มชม
        “คุณลุงสอนค่ะ คุณลุงของฉันเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศส มีร้านเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ท่านฝึกฉันมาตั้งแต่เด็ก คุณลุงเป็นคนเข้มงวดมากเลยค่ะ ฉันงี้ร้องไห้บ่อย ๆ แต่ตอนนี้รู้ซึ้งถึงบุญคุณแล้วค่ะ ถ้าไม่ได้ท่าน ฉันคงทำอาหารไม่เก่งขนาดนี้ แล้วก็คงไม่ได้งานพิเศษเป็นผู้ช่วยเชฟในร้านอาหารเหมือนตอนนี้หรอกค่ะ”
        “เธออยากเป็นเชฟเหรอ” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ
        “ไม่หรอกค่ะ ฉันเรียนวรรณคดีตะวันตก การทำอาหารเป็นความชอบส่วนตัวเท่านั้นเอง เหมือนงานอดิเรกน่ะค่ะ เรียนจบแล้วฉันอยากทำงานในสำนักพิมพ์”
        “แล้วที่คุณลุงของเธอฝึกเธออย่างเข้มงวดก็เพราะอยากให้สืบทอดร้านต่อไม่ใช่หรือ”
        “คุณลุงปิดร้านไปแล้วค่ะ หลัง ๆ ท่านไม่ค่อยสบาย ทำร้านต่อไม่ไหว ท่านก็เลยย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แต่ถึงจะไม่ปิดร้าน คุณลุงก็ไม่บังคับให้ฉันสืบทอดกิจการหรอกค่ะ ท่านเข้าใจว่าฉันไม่ได้อยากเป็นเชฟ แล้วการเป็นโอนเนอร์เชฟก็เป็นงานที่หนักมากสำหรับผู้หญิง”
        “เธอโชคดีนะ คุณลุงเข้าใจ” เขาเผลอหลุดปากออกมา
        “แล้วคุณละคะ ทำไมถึงทำงานปราบปีศาจล่ะ”
        “เป็นงานของตระกูล” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ
        “ตระกูลนักปราบปีศาจ โอ้โฮ เท่จัง” หล่อนอุทานอย่างทึ่งจัด
        “ไม่ขนาดนั้นหรอก”
        “ใครว่าคะ เท่จริง ๆ นะ โดยเฉพาะตอนที่คุณใช้เวทมนตร์ปราบปีศาจ อย่างกับอัศวินแน่ะค่ะ”
        คำชื่นชมแบบตรงไปตรงมาทำให้มาซาฮารุรู้สึกเก้อกระดากไม่น้อยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีผู้หญิงนิยมชมชอบมาก่อน แต่มิซากิทำให้เขารู้สึกว่าหล่อนชื่นชมเขาอย่างใจจริง ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง
        “นักรบเรนเจอร์อย่างในการ์ตูนหลอกเด็กล่ะสิ” เขาแกล้งถาม
        “แหม ขบวนการเรนเจอร์ห้าสีก็เท่ไม่หยอกนะคะ” หล่อนค้อนพองาม มาซาฮารุมองหล่อนเต็มตา ใบหน้าของหล่อนสดใส ไม่มีร่องรอยความขุ่นข้องหมองใจใด ๆ เหลืออยู่ให้สังเกตเห็นได้เลย
        “เธอไม่โกรธฉันเรื่องกัปปะตัวนั้นแล้วรึไง”
        “ไม่แล้วล่ะค่ะ” หล่อนส่ายหน้า “คุณตั้งใจช่วยฉันนี่คะ ไม่ได้ฆ่าเพราะความสนุกสนานเสียหน่อย ใช่ไหมคะ”
        มาซาฮารุไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ แต่มันเป็นยิ้มที่เจ้าตัวรู้สึกเหมือนกำลังหยันอะไรสักอย่างมากกว่า บางครั้งเขาก็ไม่ได้ฆ่าอสูรเพราะต้องการช่วยคนเสมอไปหรอก แต่บางครั้ง หรืออาจจะหลายครั้งเลยล่ะ ที่เขาฆ่าเพียงเพราะว่าพวกมันเป็นอสูร
        สายตาเชื่อมั่นของมิซากิทำให้เขาไม่ได้พูดในสิ่งที่คิด
        “โกจิโซซามะ ขอบคุณสำหรับอาหารนะ” ชายหนุ่มพูดไปอีกเรื่องหนึ่ง
        “ให้ฉันทำอาหารมาให้คุณกินอีกได้ไหมคะ” หล่อนถามด้วยความหวัง คำขอของหล่อนตรงใจของชายหนุ่มพอดี แล้วมาซาฮารุก็พยักหน้า

   
             หลังจากวันนั้น มิซากิก็ถือว่าการทำอาหารให้นักปัดรังควานหน้าดุเป็นกิจวัตรของหล่อน ทุก ๆ เที่ยง หล่อนจะไปรออยู่ที่สวนในศาลเจ้า เมื่อชายหนุ่มเดินมาหา หล่อนก็จะยิ้มและโบกมือทักทายอย่างร่าเริง จากนั้นทั้งสองคนก็จะนั่งอยู่ด้วยกันบนม้านั่งใต้ต้นไม้ที่ประจำ
        มิซากิยังคงเป็นคนที่คุยเยอะกว่า ในขณะที่มาซาฮารุจะเป็นคนฟัง แต่เมื่อหล่อนถามอะไร เขาก็จะตอบเสมอ และคำตอบของเขาก็ค่อย ๆ ยาวขึ้นโดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว บางครั้งหล่อนยังไม่ทันจะได้ถาม เขาก็เปิดปากออกมาก่อนแล้ว และบ่อยครั้งที่ชายหนุ่มเผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาพร้อมกันด้วย
        “บ้านเกิดของฉันอยู่ที่หมู่บ้านคันโจโคเอนในภูเขามิคามิ” มาซาฮารุเล่าให้ฟังในวันหนึ่ง หลังจากที่สายลมแห่งการสนทนาพัดพามาสู่หัวข้อนี้
        “หมู่บ้านเล็ก ๆ คนอยู่กันไม่มาก ไม่มีอะไรทันสมัยเหมือนในเมือง แต่เราก็อยู่กันอย่างสงบสุขพอสมควร ทำไร่ทำนา ล่าสัตว์ในภูเขาหาเลี้ยงชีพ หมู่บ้านนี้มีอายุยาวนานมากเลยนะ หลายร้อยปี อาจจะถึงพัน”
        “โอ้โฮ” คนฟังอุทานอย่างทึ่ง ๆ “อย่างนี้บรรพบุรุษของคุณก็สืบทอดกันมาหลายชั่วคนน่ะสิคะ”
        “ก็ตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้าน สร้างศาลเจ้าอินาริขึ้นเป็นที่เคารพสักการะของคนในหมู่บ้าน ครอบครัวฉันก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลศาลเจ้าและเป็นมาตลอดจนถึงปัจจุบัน”
        “สักวันหนึ่งคุณก็ต้องกลับไปดูแลศาลเจ้าใช่ไหมคะ”
        “มันเป็นงาน เป็นภาระหน้าที่ เกิดมาอยู่ในตระกูลนี้ก็ต้องทำหน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
        “รวมถึงการปราบปีศาจด้วยหรือคะ” หล่อนถาม
        “ใช่ การปกป้องดูแลศาลเจ้าจำเป็นต้องมีพลัง ไว้ป้องกันการบุกรุกจากภูตผีปีศาจ แล้วถ้าคนในหมู่บ้านถูกอสูรปีศาจทำร้าย เราก็ต้องเป็นคนจัดการ ทำการปัดรังควาน ขับไล่ปีศาจชั่วร้ายให้พ้นไปจากมนุษย์ ไม่มีทางเลือกอื่น”
        “ดูคุณไม่ค่อยอยากทำหน้าที่นักปัดรังควานเลยนะคะ”
        “ต้องทำ ไม่งั้นใครจะทำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังปัดรังควานได้ แล้วพวกปีศาจน่ะ ยิ่งปล่อยไว้ไม่กำจัดก็จะอันตราย”
        “แล้วคุณไม่เคยเจอภูตผีปีศาจที่ดีบ้างหรือคะ อย่างมนุษย์ยังมีทั้งดีทั้งเลว ปีศาจก็น่าจะมีปีศาจที่ดีและปีศาจที่เลวเหมือนกันนะคะ”
        “ไม่รู้ว่าเลวหรือดี บอกไม่ได้ เคยเจอแต่ภูตผีที่มีพลังน้อยกับภูตผีที่มีพลังมาก พวกไหนที่มีพลังน้อยก็มักไม่ยุ่งกับมนุษย์ แต่พวกที่มีพลังมากมักจะอยากจับมนุษย์กิน”
         “กินอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ไม่ได้หรือคะ” มิซากิถามอย่างจริงจัง “ฉันคิดว่าถ้าพวกภูตผีได้ลองกินอาหารแบบมนุษย์ดู มันอาจจะชอบและเลิกกินมนุษย์ก็ได้นะคะ อย่างพวกจิ้งจอกที่ชอบกินของทอด คุณเคยลองถามพวกภูตผีดูรึเปล่าล่ะคะ บางทีอาจจะพูดจาตกลงกันได้”
         “เธอนี่เป็นคนดื้อรั้นนะ” มาซาฮารุเปรย
         “ไม่ใช่นะคะ เขาเรียกว่าเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองต่างหากล่ะ ยังไงฉันก็คิดว่าเราสามารถผูกมิตรกับพวกภูตผีได้” หญิงสาวเถียง แต่พอเห็นหน้าคู่สนทนา หล่อนก็นึกรู้ทันที “คุณไม่เห็นด้วยกับฉัน แน่ล่ะสิ ก็คุณเป็นนักปัดรังควานนี่นา”
         “งั้นถ้าพูดกันได้ เธอจะเกลี้ยกล่อมให้พวกนั้นเลิกกินมนุษย์งั้นเหรอ” เขาถาม
         “ฉันจะเป็นเพื่อนกับพวกนั้นค่ะ ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็คงไม่กินเพื่อนหรอกค่ะ”
         นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่มาซาฮารุยิ้มอย่างเต็มที่ เขารู้สึกเอ็นดูความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าของหญิงสาวเหลือเกิน มิซากิยังคงไม่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจอยู่นั่นเอง
         “นั่นสินะ ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ” ชายหนุ่มเล่าเรื่อย ๆ “ภูตผีปีศาจน่ะ จริง ๆ แล้ว ไม่ต้องกินอะไรเลยก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสให้กิน มันก็กิน เท่านั้นเอง แล้วมนุษย์ก็บังเอิญเป็นอาหารอันโอชะเสียด้วย นอกจากนั้นก็คงเป็นเหล้ามั้ง สุรารสเลิศ ทั้งมนุษย์ทั้งอสูรล้วนแต่ชอบทั้งนั้น”
         “คุณรู้เรื่องราวของภูตผีปีศาจมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่ลองผูกมิตรกับพวกเขาดูละคะ”
         “ก็แทบไม่ค่อยเจอพวกที่เป็นมิตรเลยนี่” ชายหนุ่มพูด ก่อนชะงักไปนิด ภาพของอสูรตนหนึ่งผุดขึ้นในหัว เป็นอสูรผมสีทองยาวสลวย ผิวขาวสะอาดราวหิมะ มักจะใส่อาภรณ์สีขาว ทำให้ดูโพลนไปทั้งตัว เป็นอสูรที่งามล้ำเหนือกว่าอสูรตนอื่น ๆ ที่เขาเคยพบ
         “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรอก”
         “ฉันอยากเจอบ้างจัง” หญิงสาวพึมพำ
         “อยากเจอจริง ๆ น่ะหรือ” เขาถาม เมื่อเห็นหล่อนรีบพยักหน้ารับหงึก ๆ ดวงตาเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ชายหนุ่มก็ปลงใจมั่นในวินาทีนั้น หล่อนจะต้องไม่ผิดหวัง
         “ถ้าอย่างนั้น สักวันฉันจะพาไปเจอเอง”

   
             หลังศาลเจ้าเป็นโกดังเก็บของขนาดย่อมที่เก่าคร่ำคร่า มิซากิเห็นมันทุกวันตั้งแต่เริ่มทำเบนโตะอาหารกลางวันให้มาซาฮารุ แต่หล่อนไม่เคยสนใจไถ่ถาม คิดว่าเป็นโกดังที่เอาไว้เก็บเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนต่าง ๆ ที่เก่าชนิดมีฝุ่นจับเขรอะและเต็มไปด้วยหยากไย่เกาะ แต่วันนี้หลังจากรับประทานอาหารที่หล่อนเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็บอกว่าจะเข้าไปทำความสะอาดโกดัง คงจะไม่ได้อยู่อ้อยอิ่งคุยกับหล่อนหลังอาหารเหมือนทุกที หญิงสาวจึงเริ่มเกิดความสนใจ
        “ในโกดังเก็บอะไรไว้เหรอคะ สมบัติรึเปล่า พวกของวิเศษอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ” มิซากิแกล้งถาม
        “ถ้าของวิเศษล่ะก็ ไม่ได้เก็บไว้ที่ศาลเจ้าที่นี่หรอก” มาซาฮารุตอบเสียงขรึม แต่อีกฝ่ายนึกว่าชายหนุ่มอำเล่นก็เลยหัวเราะคิก
        “ว้า น่าเสียดายจัง อดเห็นเลย” หล่อนพูด แล้วก็อดนึกดีใจไม่ได้ที่นักปัดรังควานหนุ่มหน้าตายอุตส่าห์เล่นมุกกับเขาด้วย
        “งั้นที่นี่เก็บอะไรไว้หรือคะ”
        “ก็มีแต่พวกสมุดตำราเก่า ๆ นาน ๆ ทีก็จะผลัดกันเข้าไปปัดฝุ่นทำความสะอาดสักครั้ง วันนี้เป็นเวรฉัน”
        คำตอบของมาซาฮารุทำให้หล่อนตาโตด้วยความตื่นเต้น นึกไม่ถึงว่าโอกาสที่หล่อนต้องการจะมาถึงในที่สุด หญิงสาวอยากถามเขามานานแล้วเกี่ยวกับหนังสือว่าด้วยเรื่องภูตผีปีศาจ แต่ก็ไม่กล้า เพราะถึงเขาจะยอมเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้เกี่ยวกับอสูรปีศาจบ้าง แต่ไม่เคยเฉียดใกล้การเล่าถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปัดรังควานเลย
        “ให้ฉันช่วยทำความสะอาดด้วยนะคะ” หล่อนรีบขอ
        “ไม่ต้องหรอก”
        “ให้ฉันช่วยเถอะค่ะ สองแรงแข็งขัน จะได้เสร็จเร็ว ๆ ไงคะ ฉันทำความสะอาดเก่งนะ”
        ไม่รู้ว่าเพราะคำอวดอ้างของหล่อนหรือเพราะหล่อนช่างตื๊อกันแน่ สุดท้ายมาซาฮารุก็พยักหน้าอนุญาต มิซากิดีใจมาก รีบเก็บกล่องอาหารกลางวันที่ห่อผ้าเรียบร้อยแล้วลงกระเป๋าถือใบโต จากนั้นกระวีกระวาดตามชายหนุ่มไป
        สภาพภายในโกดังเก็บของไม่แย่อย่างที่คิด แต่ก็ยังเห็นหยากไย่เกาะอยู่ที่เพดานกับละอองฝุ่นที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ มิซากิคันจมูกฟุดฟิด ทำท่าจะจามอยู่หลายที แต่ก็ยั้งเอาไว้ได้ มาซาฮารุตรงไปเปิดหน้าต่างบานเล็กที่ผนัง โกดังที่ทึบทึมมืดสลัวจึงค่อยมีแสงสว่างมากขึ้น มองเห็นภายในโกดังได้ชัด หนังสือเล่มหนาเล่มบางกองซ้อนกันเป็นพะเนิน กินพื้นที่เกือบทั่วทั้งห้อง นอกจากนั้นตรงมุมห้องยังมีกล่องกระดาษใบย่อม ๆ และหีบไม้เรียงซ้อนกันอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก บนชั้นไม้ติดผนังมีของจำพวกแจกัน รูปภาพใส่กรอบสลักลวดลายอ่อนช้อย ถ้วยโถโอชามทำจากกระเบื้องสีหม่น ๆ วางอยู่ และมีกระจกบานรูปไข่ที่มีรอยร้าวไปเกือบครึ่งบาน ฝุ่นสีขาวจับจนหนา
        มิซากิมองไปรอบ ๆ แทบอยากจะตรงเข้าไปรื้อค้นกองหนังสือให้สมใจอยาก แต่ต้องอดทนไว้ มาซาฮารุเดินไปหยิบไม้ปัดฝุ่นและผ้าที่ใช้ปิดหน้ากันฝุ่นจากตู้เตี้ย ๆ มายื่นส่งให้
        “เธอแค่ปัดฝุ่นหนังสือแล้วกองซ้อนให้เป็นระเบียบก็พอ ส่วนของในกล่องกับในหีบไม่ต้อง ฉันจะจัดการเอง บนชั้นไม้นั่นก็เหมือนกัน” ชายหนุ่มพูด
         หญิงสาวรับคำและรับอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากเขา หลังจากนั้นเริ่มสำรวจดูหนังสือเก่า ๆ ที่กองอยู่บนพื้น เขาบอกว่านาน ๆ ทีถึงจะมีคนมาทำความสะอาด แต่หล่อนว่าคงนานมาก ๆ จะเข้ามาทำสักทีมากกว่าเพราะหนังสือแต่ละเล่มมีฝุ่นจับหนา หน้ากระดาษกลายเป็นสีเหลืองหม่น ๆ บางเล่มก็มีจุดเชื้อรากระจัดกระจาย หล่อนคาดผ้าปิดจมูกกันฝุ่น แล้วเริ่มใช้ไม้ปัดทำความสะอาดหน้าปกหนังสือ ที่นี่มีหนังสือเยอะ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือคล้าย ๆ กับที่มีในห้องสมุด ทั้งหนังสือประวัติศาลเจ้าและวัดในญี่ปุ่น ประวัติบุคคลสำคัญ หนังสือเกี่ยวกับศาสนาและคำสอน โคลงกลอน บทกวี หนังสืออ้างอิง รวมไปถึงนิตยสารประเภทต่าง ๆ
         “ตำราทำกับข้าว” มิซากิหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดู แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังเปิดกล่องกระดาษสำรวจดูอย่างตั้งใจ
         “เหมือนภูเขาขยะ ยังไม่มีเวลาคัดแยก” มาซาฮารุบอก “อะไร ๆ ก็สุมกันอยู่ในนี้ทั้งนั้น”
         “งั้นฉันช่วยนะคะ จะแยกเป็นพวก ๆ แล้วคุณค่อยมาดูว่าอันไหนจะเก็บอันไหนจะทิ้ง” หล่อนเสนอ แล้วจัดแจงทำงานอย่างขมีขมัน
         มาซาฮารุมองหล่อนใช้ไม้ปัดฝุ่นอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ครู่ก็หันไปจัดการงานของตัวเองบ้าง ในกล่องกระดาษเก็บตำราเก่า ๆ ที่บางเล่มก็เก่าแก่กว่าอายุของเขาเสียอีก เป็นของเก่าสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อน เจ้าอาวาสอนุญาตให้เขาเอาเล่มที่ต้องการไปด้วยได้ตอนที่เขาต้องกลับหมู่บ้าน แต่เขาเพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเลือก
         “ตำราพวกนี้ดูน่าสนใจจังนะคะ” มิซากิชะเง้อมองในกล่องที่มาซาฮารุกำลังรื้อค้นสำรวจอยู่ เห็นหน้าปกแวบ ๆ ชื่อตำราล้างอาถรรพณ์ คู่มือการกำจัดปีศาจ อะไรคล้าย ๆ อย่างนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ดูให้แน่ ๆ มาซาฮารุก็ปิดกล่องเสียก่อน ถามว่า
         “ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
         มิซากิรู้ตัว ยิ้มแหย ๆ แล้วกลับไปปัดฝุ่นหนังสือตามเดิม แต่เมื่อชายหนุ่มเผลอ หล่อนก็ลอบชำเลืองมองเป็นระยะ
         การงานคืบหน้าไปมาก เมื่อมีคนสองคนช่วยกัน หนังสือต่าง ๆ ถูกแยกประเภทแล้วจัดเป็นกอง มาซาฮารุหาเชือกฟางมามัดกองหนังสือที่ถูกคัดทิ้งแล้วขนไปไว้ที่ข้างประตูโกดัง
         “โอ้โฮ เก็บกวาดกันจนเรี่ยมเชียวแฮะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งทักขึ้นจากด้านนอก แล้วค่อย ๆ โผล่หน้าเข้ามาเมียงมองดู มิซากิคุ้นหน้าเขา เคยเห็นเขาคุยกับมาซาฮารุอยู่บ่อย ๆ แต่ชายหนุ่มไม่เคยแนะนำให้หล่อนรู้จัก หล่อนจึงรู้แค่ว่า เขาก็เป็นนักปัดรังควานคนหนึ่งของศาลเจ้า
          “สวัสดีค่ะ” มิซากิทักทายเขาโดยไม่คิดอะไร ผู้มาใหม่ก็ยิ้มกว้างตอบ ดวงตาฉายแววยินดี แต่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้าปากพูดอะไรด้วย เพราะมือใหญ่แข็งแรงของมาซาฮารุกระชากต้นแขนของเพื่อนร่วมรุ่นออกไปเสียก่อน มิซากิมองตามงง ๆ แต่ก็ไม่สงสัยอะไร กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ
          “มีธุระอะไร ทาคุยะ บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้มากวน” มาซาฮารุพูดด้วยความหงุดหงิด
         อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม
         “ก็ไม่อยากจะกวนเวลานายกับสาวสวยร้อก..ก..ก” แกล้งลากเสียงยาวล้อเลียน และก็สมใจที่เห็นหน้าตาบูดบึ้งของนักปัดรังควานเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ในฐานะสูงกว่า
         “จดหมายด่วนจากคันโจโคเอน จากไอโกะซัง”
         “มาอีกฉบับแล้วเหรอ” มาซาฮารุรับมาดูอย่างเซ็ง ๆ ฉบับแรกที่ได้มาเขายังไม่ได้เปิดอ่านเลย ตอนนี้ฉบับที่สองก็มาอยู่ในมืออีกแล้ว
         “นายอาจจะต้องกลับไปหมั้นซะแล้วล่ะ” ทาคุยะพูดยิ้ม ๆ
         “ไม่มีทาง” ชายหนุ่มปฏิเสธเด็ดขาด
         “ก็อาจจะมีทาง ถ้านายเจอคนที่เหมาะสมกว่า”
         ทาคุยะหันไปทางโกดังเก็บของ มาซาฮารุมองตาม แต่ไม่รู้สึกว่าความอัดอั้นใจจะลดลงได้มากสักเท่าใด และคงเพราะอึดอัดใจ ไม่รู้จะระบายกับใครนี่เอง ทำให้ชายหนุ่มเผลอพูดออกมาเหมือนต้องการจะปรับทุกข์
         “มิซากิไม่มีทางเหมาะสมมากเท่าไอโกะ เธออาจจะพอมองเห็นภูตผีปีศาจหรือแม้แต่ติดต่อด้วยได้ แต่เธอไม่มีพลังในการปัดรังควาน”
         “ของแบบนี้มันฝึกฝนกันได้ ถ้าได้ฝึกจิตกับสมาธิสักหน่อย เธออาจจะเสกชิกิงามิได้” ทาคุยะพูด
         “ก็อาจทำได้ แต่ก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายประการ” มาซาฮารุนึกถึงคนในตระกูลที่จะต้องพาเหรดกันออกมาคัดค้าน นำด้วยเซนทาโร่ พ่อบ้านคนเก่าแก่ที่เป็นบิดาของไอโกะคนหนึ่งล่ะ
          “แต่เธอก็มีสิ่งที่ไอโกะซังไม่มีและไม่มีวันจะมี” ทาคุยะพูดเป็นนัย “นายไม่รู้หรอกว่าตอนนี้นายเปลี่ยนไปแล้ว และคนที่มีอิทธิพลต่อนายก็คือเธอ”
          มาซาฮารุไม่รู้หรอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เขาไม่ได้สนใจนัก มีอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขารู้
          เขารักมิซากิ...
          “ท่านคงไม่ปล่อยให้คนอย่างเธอไปจากชีวิตหรอกใช่ไหม ท่านว่าที่เจ้าบ้าน”
          ไม่มีคำตอบจากปากของนักปัดรังควานหนุ่มที่มีภาระหน้าที่หนักอึ้งอยู่บนบ่า แต่แววตาของเขาคือแววตาของชายหนุ่มที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว

   
                มิซากิไม่สงสัยท่าทีแปลก ๆ ของนักปัดรังควานหนุ่มสองคนที่ฉุดกระชากลากถูกันออกไปจากโกดัง หล่อนกำลังนึกดีใจเสียด้วยซ้ำเพราะนั่นเป็นโอกาสที่ทำให้หล่อนได้อยู่ตามลำพังสักพัก หญิงสาวรีบตรงไปยังกล่องกระดาษที่เป็นส่วนที่มาซาฮารุรับผิดชอบ หล่อนเลือกเปิดกล่องที่หล่อนเห็นตำราชื่อแปลก ๆ อยู่ข้างในก่อน หญิงสาวเลือกดูด้วยความรวดเร็ว แล้วหล่อนก็เจอหนังสือที่ตัวเองต้องการราวกับปาฏิหาริย์
          ‘คู่มือติดต่อกับภูตผีฉบับสมบูรณ์พร้อมวิธีการอัญเชิญดวงวิญญาณที่ต้องการ’
         หล่อนรีบยัดหนังสือเก่าเล่มนั้นลงกระเป๋าถือ พยายามระงับจิตใจที่เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด ถ้ามาซาฮารุรู้ว่าหล่อนทำอะไรลงไป เขาคงจะโกรธมาก แต่หล่อนไม่มีทางเลือกจริง ๆ
         “มิซากิ” เสียงห้าวเรียกชื่อหล่อนทำเอาเจ้าตัวเกือบสะดุ้งโหยง หล่อนหันตามเสียงเรียก นึกชมตัวเองที่ระงับใจได้ที่สุด เสียงพูดก็ไม่สั่นแม้แต่น้อย
         “คะ คุณเสร็จธุระแล้วเหรอ”
         “ทาคุยะเอาจดหมายมาให้ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”
         “ฉันทำไปได้มากแล้วนะคะ อีกไม่นานก็คงจะเสร็จ”
         “ไม่เสร็จก็ช่างเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง เธอกลับได้แล้วล่ะ บ่ายแล้ว”
        คำพูดของชายหนุ่มเหมือนไล่ แต่มิซากิรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
        “ฉันอยู่ช่วยต่อได้นะคะ”
        “กลับไปเถอะ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำต่อ”
        มาซาฮายุยืนยัน มิซากิจึงไม่เซ้าซี้ให้เขารำคาญใจ อีกอย่างหนึ่ง หล่อนก็ยังมีสิ่งอื่นต้องรีบกลับไปทำเหมือนกัน ตำราเล่มหนา อาจจะต้องใช้เวลาศึกษานานพอสมควร และหล่อนหวังสุดหัวใจว่า ในหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นจะมีข้อมูลที่หล่อนต้องการบันทึกอยู่ และถ้าหล่อนหาเจอ คราวนี้ ความปรารถนาของหล่อนก็จะสัมฤทธิ์ผลเสียที

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ ๔

   ตำราเก่าแก่เล่มหนาที่หน้ากระดาษมีรอยขาดตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กกลางห้องของมิซากิ เจ้าของห้องกำลังตั้งอกตั้งใจอ่านอย่างมีสมาธิ ไม่วอกแวก แม้ว่าข้าง ๆ นั้น เพื่อนสาวของหล่อนจะขยับตัวยุกยิกและส่งเสียงรบกวนแทบจะตลอดเวลา
   “มันจะดีเหรอมิซากิ เอาไปคืนดีกว่านะ”
   เอมิพูดประโยคเดิม ๆ นี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ หล่อนมองหนังสือเล่มเก่าที่เต็มไปด้วยภาษาโบราณด้วยสายตาหวาดกลัวเหมือนกับว่าเจ้าตำรานั่นมันจะกลายร่างเป็นงูมาฉกใส่หน้าได้ทุกเมื่อ
   “เธอเป็นคนแนะนำให้ฉันทำแบบนี้เองนะ” มิซากิโต้โดยยังไม่ละสายตาจากตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กัน
   “ก็ฉันไม่คิดว่ามันจะมีหนังสืออะไรแบบนี้อยู่จริง ๆ นี่” เพื่อนสาวครางหงุงหงิง หันมองรอบตัวอย่างหวาด ๆ ตั้งแต่มิซากิเปิดหน้าหนังสือนั่นออกอ่าน หล่อนก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศรอบตัวมันวังเวงแบบแปลก ๆ รู้สึกจริง ๆ ด้วย ไม่ใช่อุปาทานอย่างเด็ดขาด
   “มันน่ากลัวออก ฉันกลัว”
   “ฉันยังไม่ได้ขอให้เธอทำอะไรเลยนะ แค่เรียกมาดูว่าได้หนังสือมาแล้ว ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น”
   “อะไรที่มันเกี่ยวกับผี ฉันก็กลัวทั้งนั้นแหละ แล้วไอ้หนังสือเล่มนี้มันก็น่าขนลุกยังไงก็ไม่รู้ ฉันว่ามันต้องถูกสาปแน่ ๆ”
   “เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณนะเอมิที่มาอยู่เป็นเพื่อน”
   “อย่าทำอะไรให้ต้องเป็นห่วงนักได้ไหมเล่า” เอมิบ่นไม่หยุด และพอเพื่อนเปิดหน้าหนังสือที หล่อนก็สะดุ้งที หล่อนรู้ว่าตัวเองเป็นคนตาขาวขนาดหนัก แต่จะให้มิซากิเผชิญเรื่องนี้อยู่เพียงคนเดียว หล่อนก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นอยู่ดี ฉะนั้น ถึงจะกลัวแค่ไหน หล่อนก็ต้องมานั่งตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ
   “แล้วได้อะไรมั่งหรือยัง”
   “มันน่าสนใจมากเลยล่ะ” มิซากิพูด พลิกหน้าหนังสือไปมา “ถ้าทำตามวิธีที่เขียนไว้ในหนังสือ ฉันจะสามารถเรียกอสูรออกมาจากกระจกหรือน้ำที่ใสเหมือนกระจกได้ แล้วมันก็จะตอบคำถามของฉัน”
   “เหมือนอสูรขาเดียว ตาเดียว ตัวเป็นกระจกกลม ๆ อย่างในมังงะนั่นน่ะเหรอ”
   มิซากิหัวเราะ
   “คงจะไม่ใช่อสูรหน้าตาอย่างนั้นหรอก แต่ก็น่าจะเป็นตัวที่ตอบคำถามเราได้”
   “เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงเหรอ มันอาจจะเป็นแค่เรื่องเหลวไหลไร้สาระเหมือนที่เด็กวัยรุ่นนิยมเล่นกันเป็นพัก ๆ ก็ได้ อย่างพวกผีถ้วยแก้วไง เธอเคยลองแล้วมันก็ไม่จริง”
   “แต่นี่มันเป็นตำราที่ได้มาจากศาลเจ้านะ มันต้องได้ผล” มิซากิมั่นใจ หล่อนยังไม่เคยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับมาซาฮารุและพลังของเขาให้เพื่อนสาวรู้ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต เอมิจึงยังคงเชื่อไม่ลงว่าภูตผีปีศาจไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
   “แล้วจะต้องทำยังไงบ้าง” เอมิมิวายอยากรู้
   “ในนี้เขียนไว้หลายวิธี แต่วิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องมีเครื่องเซ่นสังเวย ไม่ต้องจัดพิธีกรรมหลายขั้นตอน มือสมัครเล่นก็ทำได้มีอยู่สามสี่วิธี แต่อาจจะเรียกได้แค่ปีศาจระดับธรรมดา ไม่ใช่ชนิดที่มีตบะพลังมาก”
   “เลเวลไหนก็ช่างเถอะ เลือกมาสักวิธี แล้วรีบทำให้เสร็จ จะได้จบเรื่องกันเสียที ฉันไม่อยากให้เธอยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย”
   “เธอพูดเหมือนกับมาซาฮารุซังเปี๊ยบเลย” มิซากิอดยิ้มไม่ได้
   “เอาล่ะ ฉันจะเรียกปีศาจกระจกนี่ล่ะ จากที่อ่าน ดูเหมือนว่ามันจะฉายภาพที่เราอยากเห็นได้ แล้วถ้าโชคดีมันก็อาจบอกสถานที่ให้เราได้ด้วย” หล่อนตัดสินใจ
   ตกลงเลือกวิธีการได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทันที หญิงสาวต้องรอเวลากลางคืนตามที่กำหนดไว้ในตำรา ต้องเตรียมอุปกรณ์จำเป็นอีกสองสามอย่าง โชคดีที่ของพวกนั้นหาได้ไม่ยากนัก
   หญิงสาวเลือกซื้ออ่างแก้วขนาดย่อมแล้วขัดจนใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ซื้อน้ำแร่ยี่ห้อที่ดีที่สุดมาหลายขวด ตามตำราบอกให้ใช้น้ำใสพิสุทธิ์ในบ่อน้ำที่ไม่มีสิ่งเจือปน แต่ยุคนี้ไม่น่าจะมีแหล่งน้ำที่ว่าเหลืออยู่แล้ว หล่อนจึงจำเป็นต้องพลิกแพลงของที่มีอยู่ เลือกเอาน้ำแร่ชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์บริสุทธิ์สะอาดจากยอดเขา มันก็น่าจะพอแทนกันได้น่า
   มิซากิหอบข้าวของที่ต้องใช้ไปที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เลือกมุมสงบ ค่อนข้างมืด ที่ปลอดจากสายตาคน แล้วกางโต๊ะเล็กพับได้ เอาอ่างน้ำใส่น้ำแร่ตั้งกลางโต๊ะ ตลอดเวลาที่หล่อนทำงาน เอมิอยู่เป็นเพื่อนหล่อนด้วย แม้ปากจะบอกว่ากลัว ไม่อยากยุ่งก็ตาม แต่จะปล่อยเพื่อนสาวหน้าตาหมดจดไปทำพิธีอะไรไม่รู้ค่ำ ๆ มืด ๆ คนเดียว หล่อนก็ทำไม่ได้ แหม เรื่องภูตผีปีศาจมันไม่น่าห่วงเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเจอคนโรคจิตฉุดไปทำมิดีมิร้ายล่ะก็ไม่ดีแน่ ๆ
   “นี่มิซากิ จะทำอะไรก็รีบทำเข้าเถอะ ฉันอยากไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว”
   “คอยอีกเดี๋ยวนะ” มิซากิหยิบกระจกออกมาจากกระเป๋า เป็นกระจกส่องหน้าขนาดเล็กแบบของผู้หญิงใช้ มีด้ามจับถนัดมือ บานกระจกถูกขัดจนใสที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน หญิงสาวแช่กระจกบานเล็กลงในน้ำ แล้วเปิดตำราไปที่หน้าที่คั่นด้วยกระดาษเอาไว้
   หญิงสาวท่องคาถาด้วยความตั้งใจไม่ให้ผิดแม้แต่คำเดียว กระจกที่หล่อนใส่ลงไปในน้ำจะซึมซับความบริสุทธิ์จากน้ำและพลังของคาถาทำให้กลายเป็นช่องทางเปิดให้แก่ผู้มาเยือน
   หลังจากท่องคาถาจบคำสุดท้าย ทุกอย่างเหมือนกับหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิซากิสงสัยว่าตัวเองจะทำอะไรผิดขั้นตอนไปหรือเปล่า แต่ก็ไม่ หล่อนทำถูกต้องทุกอย่าง
   มิซากิหยิบกระจกขึ้นมาจากน้ำ น่าแปลกที่มันไม่เปียกเลย เหมือนกับไม่เคยสัมผัสน้ำมาก่อน หล่อนกำลังจะเอื้อมมือไปแตะที่บานกระจกใส แต่แล้วก็เกิดควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากกระจกจนหญิงสาวแทบผงะ แต่ยังมีสติพอจะไม่ปล่อยมือจากด้ามกระจก ต่างจากเพื่อนสาวของหล่อนที่ตอนนี้ส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ
   “อะ... อะไร... นั่น”
   “ฉันว่าเราทำสำเร็จแล้วล่ะ” มิซากิเฝ้าจับตามองกลุ่มควันดำด้วยความยินดี มันลอยขึ้นไปในอากาศและก่อตัวเข้าเป็นรูปร่าง
   กลุ่มควันสีดำตอนนี้ยิ่งมีสีเข้มยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนกลายเป็นสีดำสนิทและมีกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนจนมิซากิถือกระจกด้ามนั้นต่อไปไม่ไหว ต้องปล่อยให้มันตกลงบนพื้น แต่กระจกก็ไม่แตก ไม่มีรอยขูดขีดอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่ควันดำที่หนาขึ้นเรื่อย ๆ และจับกลุ่มเข้ากันเป็นรูปร่างที่มองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นรูปร่างของมนุษย์
   “อะ... อะไรน่ะ... มิซากิ” เอมิขยับเข้ามาชิด สองมือยึดเสื้อเพื่อนเอาไว้แน่น
   “ไม่รู้ แต่ดูต่อไปเถอะ” มิซากิก็กลัวเหมือนกัน แต่ยังใจแข็งไม่แสดงความหวาดกลัว เพราะขืนทำอย่างนั้น ทั้งหล่อนและเพื่อนคงวิ่งกันป่าราบ และพิธีก็คงจะล่มเป็นแน่แท้
   เงาร่างเหมือนมนุษย์นั้นเป็นบุรุษชรา มีผมและหนวดเคราสีขาวยาวไปจนถึงเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่นเหมือนคนแก่มาก ๆ อายุเป็นหลายร้อยปี ใส่กิโมโนสีขาวหม่น ๆ ที่ดูไม่ค่อยน่าเจริญหูเจริญตาเท่าไร มิซากิมองไม่เห็นดวงตาของเขาเพราะรอยย่นทั้งหน้าทำให้เบ้าตาทั้งสองกลายเป็นหลุมลึก แต่ริมฝีปากของปีศาจที่หล่อนเรียกออกมาแสยะเป็นรอยยิ้มน่าขนลุกและเสียงแหบเครือครืดคราดของเขาก็ชวนให้ขนที่คอคนฟังลุกชัน
   “พวกเจ้ารึเป็นคนเรียกเรามา”
   “ค่ะ” มิซากิรีบตอบ “เรามีเรื่องอยากถามท่านค่ะ”
   “ถามอะไร”
   “ดิฉันอยากตามหาวิญญาณดวงหนึ่งค่ะ ดิฉันไม่รู้จักชื่อ แต่คุณยายคนนั้นเป็นเจ้าของกิ่งไม้กิ่งนี้ ท่านจะช่วยตามหาหรือบอกวิธีตามหาให้หน่อยได้ไหมคะ”
   ปีศาจจากกระจกมองมิซากิและมองกิ่งไม้แห้งที่ยังคงเห็นปุ่มตาที่อาจจะมีโอกาสแตกใบแตกกิ่งได้อีก
   “เราเคยพบกันตอนฉันเป็นเด็กค่ะ พบกันอยู่สามสี่ครั้ง แต่จู่ ๆ คุณยายก็หายไป ฉันไม่รู้จะตามหายังไง ฉันอยากเจอคุณยายอีกสักครั้ง ถ้าคุณยายยังวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้”
   ปีศาจชราจากกระจกโน้มตัวลงมาดมกลิ่นกิ่งไม้แห้งที่มิซากิถืออยู่ กลิ่นสาบสางจากตัวของปีศาจเฒ่าแรงจนต้องกลั้นหายใจและถอยหลังหนีห่างโดยอัตโนมัติ
   “ยังอยู่ ยังไม่ได้ไปสู่สุคติหรอก” เสียงแหบแห้งบอก
   “จริงหรือคะ แล้วคุณยายอยู่ที่ไหนคะ ดิฉันจะไปหาได้ยังไง”
   “หึหึหึ อันนี้ก็ไม่ยาก”
   มิซากิไม่ชอบเสียงหัวเราะเครือ ๆ เย็น ๆ ชวนให้รู้สึกวังเวงของปีศาจตนนี้เลย เอมิก็คงยิ่งกว่าไม่ชอบเพราะมือที่จับเสื้อของหล่อนไว้เปลี่ยนเป็นจิกแน่น ตัวสั่นระริก
   “ต้องทำยังไงคะ” มิซากิทำใจดีสู้เสือถาม บังคับเสียงไม่ให้สั่น ทั้งที่เริ่มกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
   “เอาวิญญาณไปแลก ตัวเจ้าเองหรือใครก็ได้ เอาไปแลก แล้ววิญญาณที่เจ้าค้นหาจะกลับคืนมา”
   “อะไรนะคะ ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ มันต้องฆ่าคนไม่ใช่หรือคะ” มิซากิอุทานเสียงหลง พร้อม ๆ กับที่เอมิครางฮือฟังไม่ได้ศัพท์ด้วยความหวาดกลัวสลับกับทำปากขมุบขมิบบอกมิซากิว่า
   “เรา... เลิก... เถอะ... ไปเถอะนะ... ฉันกลัว”
   “ไม่มีทางอื่นอีกเลยเหรอคะ” หญิงสาวยังพยายามถาม
   “ไม่มี” ปีศาจหนวดเครายาวยืนยันหนักแน่น เท่ากับปิดประตูความหวังของมิซากิลงอย่างสิ้นเชิง ถึงหล่อนจะอยากเจอคุณยายคนนั้นมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องแลกกับชีวิตคน หล่อนก็ไม่เอา
   “เอ้อ... งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ทำแล้ว ขอบคุณมากนะคะ”
   “ไม่ทำแล้ว เลิกแล้ว ง่าย ๆ แค่นี้เองน่ะเรอะ” ปีศาจกระจกพูดเสียงแปลก มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ มิซากิที่มีเอมิเกาะติดแน่นไม่ยอมปล่อยถอยกรูดไปด้วยกัน ทั้งสองคนหน้าขาวซีดด้วยสังหรณ์ที่ไม่ดี
   “เจ้าเรียกข้าออกมา แล้วก็จะให้กลับไปง่าย ๆ แค่นี้น่ะหรือ มันเสียเวลาข้านะ เจ้าพวกมนุษย์”
   มือเหี่ยว ๆ เหมือนกิ่งไม้ตายซากยืดยาวมาจะจับตัวหญิงสาวทั้งสองคน เอมิกรีดร้องลั่น สะดุดขาตัวเองล้มคว่ำลง หล่อนร้องไห้น้ำตานองหน้าด้วยความหวาดสยองสุดชีวิต ใบหน้าของปีศาจกระจกเริ่มบิดเบี้ยว กลิ่นสาบสางก็ตลบอบอวลขึ้นเป็นหลายเท่า
   มิซากิสำเหนียกได้ว่าหล่อนทำผิดพลาดไปแล้ว สิ่งที่หล่อนเรียกมามันคือผีร้าย ไม่ใช่ผู้ที่จะช่วยหล่อนได้ หญิงสาวใช้กำปั้นปัดแขนเหี่ยว ๆ นั่นให้เฉไปพ้นทาง แล้วก้มลงไปประคองเพื่อนสาว หล่อนกลัวเหมือนกัน แต่พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งระหว่างที่สมองคิดหาทางหนีทีไล่
   ปีศาจจากกระจกหัวเราะไม่หยุด เป็นเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้า ท่าทางคุกคามของมันบอกให้รู้ว่าต้องการอะไร มิซากิพยายามเอาตัวบังเพื่อนไว้ แต่หล่อนก็ถูกปัดจนล้มกระแทกพื้น
   “ข้าจะเอาตัวนางผู้หญิงคนนี้ไปกับข้า เข้าไปอยู่ในกระจกตลอดกาล เป็นทาสรับใช้ของข้า”
   มือผอมแห้งแต่มีกำลังมหาศาลกุมคอเอมิไว้ แล้วยกตัวหล่อนลอยขึ้นจากพื้น หญิงสาวตาเหลือก ดิ้นรนขลุกขลัก พยายามแกะมือที่เกาะกุมคอหล่อนให้หลุด ทั้งจิกทั้งทึ้งจนหมดแรงแน่นิ่งไปในที่สุด
   “เอมิ!” มิซากิตะโกนเสียงดัง ไม่เคยตกใจกลัวขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้าเอมิเป็นอะไรไป ทุกอย่างคือความผิดของหล่อนคนเดียว มิซากิร้องลั่น พุ่งเข้าทุบตีปีศาจร้ายให้ปล่อยเพื่อนของหล่อน
   “ปล่อยนะ ปล่อยเพื่อนฉัน เจ้าผีร้าย”
   แต่หล่อนก็ถูกปัดไปให้พ้นทางจนล้มกลิ้งไปอีกรอบ
   “เสร็จจากนางผู้หญิงคนนี้ก็จะถึงตาเจ้า ไม่ต้องเร่งร้อนไปนักหรอก เจ้าได้ไปอยู่ในกระจกกับเพื่อนของเจ้าแน่”
   วินาทีที่หล่อนรู้สึกหมดหวังแล้วนั่นเอง หูของหล่อนก็ได้ยินเสียงห้าวที่คุ้นเคยดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นโลดขึ้นมาได้อีกครั้ง
   “ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
   “มาซาฮารุซัง!” มิซากิตะลึงมองเขา
   นักปัดรังควานหนุ่มชักดาบออกจากฝัก ตั้งท่าพร้อมโจมตี หางตาของเขาชำเลืองมองหญิงสาวแวบหนึ่งให้แน่ใจว่าหล่อนไม่เป็นอะไรมากนัก จากนั้นจึงทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ปีศาจร้ายที่ถูกเรียกออกมาจากกระจก
   ดาบในมือของมาซาฮารุพุ่งเข้าฟันฉับที่แขนยาวยืด รวดเร็วจนมองไม่ทัน ปีศาจร้ายแขนขาดด้วน ปล่อยให้ร่างเอมิหลุดลงมากองอยู่กับพื้น
   เจ้าปีศาจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วกระโดดเข้าหาผู้ที่ทำร้ายมันจนบาดเจ็บทรมานทันที แต่มันเป็นแค่ปีศาจชั้นปลายแถวที่ไม่มีพลังอำนาจอะไรมากนัก พริบตาเดียวเท่านั้น มันก็ถูกฟันร่างขาดเป็นท่อน ๆ ก่อนจะถูกชิกิงามิรูปจิ้งจอกเพลิงกระโจนเข้าขย้ำซ้ำและเผาร่างจนมอดไหม้เป็นจุณมหาจุณ
   “เอมิ! เอมิ!” มิซากิปราดเข้าไปเขย่าเรียกเพื่อนสาวที่หมดสติแน่นิ่งด้วยความเป็นห่วง หล่อนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมาซาฮารุยื่นมือเข้ามาช่วย
   “ยังไม่ตาย รีบเรียกรถพยาบาลเถอะ”
   น้ำเสียงของมาซาฮารุเรียบนิ่งแบบผู้ที่คุมสติได้ แต่เห็นสายตาและสีหน้าของนักปัดรังควานหนุ่มก็รู้ว่าเขากำลังโกรธจัด คำขอบคุณที่มิซากิกำลังจะพูดจึงติดอยู่แค่ที่คอเพราะความหวั่นเกรง หล่อนรีบทำตามที่เขาแนะนำทันที
   หลังจากส่งเอมิถึงมือหมอ มิซากิยังไม่กล้าพูดอะไรกับนักปัดรังควานหนุ่มที่คอยอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่ต้นจนแน่ใจแล้วว่าเอมิปลอดภัย หล่อนก้มหน้างุด ๆ ด้วยความสำนึกผิด รอเวลาที่เขาจะดุด่าว่ากล่าวหล่อน แต่มาซาฮารุก็ยังนิ่งเฉยจนกระทั่งทั้งสองคนเดินกลับมาถึงยังสวนสาธารณะที่เกิดเหตุเพราะยังมีของหลายชิ้นหลงเหลือทิ้งไว้ให้เก็บกวาด
   มิซากิเป็นฝ่ายที่ทนความเงียบและความกดดันไม่ไหวก่อน หล่อนตะโกนเสียงดังว่า
   “ฉันขอโทษค่ะ!”
   มาซาฮารุมองหน้าหญิงสาว อยากจะตวาดหรือต่อว่าแรง ๆ ให้สมกับความโกรธและความเป็นห่วงอยู่หรอก แต่เห็นหน้าหมอง ๆ สำนึกผิดของหล่อน เขาก็ทำไม่ลง เลยได้แต่พูดเรียบ ๆ ว่า
   “คนที่เธอควรไปขอโทษคือเพื่อนของเธอ ไม่ใช่ฉัน เธอคงเข้าใจแล้วสินะว่าภูตผีปีศาจมันเป็นตัวอันตราย ไม่ควรไว้ใจว่ามันจะไม่ทำร้ายเรา”
   มิซากิน้ำตาร่วงทันที หล่อนคิดว่าถ้าชายหนุ่มดุด่าหล่อนอย่างรุนแรง หล่อนคงจะรู้สึกแย่น้อยกว่านี้ มาซาฮารุเห็นหล่อนร้องไห้ก็ชักเงอะงะ ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี จะปลอบใจก็พูดไม่เป็น แต่จะทำเฉยก็ใจไม่แข็งพอ สุดท้ายเขาจึงใช้มือใหญ่ของตัวเองจับศีรษะหล่อนดึงให้โถมซบกับบ่า ปากก็พึมพำว่า
   “ยายบ้า”
   การกระทำของชายหนุ่มไม่มีความอ่อนโยนเลย ออกจะแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำไป แต่น่าแปลกที่ความเสียใจของหล่อนลดลงได้มากโข เพียงแต่หล่อนยังไม่หยุดร้องไห้เท่านั้น
   “เลิกร้องไห้ได้แล้ว น่ารำคาญน่ะ”
   มิซากิเงยหน้าฉ่ำน้ำตาขึ้นมองหน้าเขา เสียงชายหนุ่มแข็ง แต่หล่อนสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูด
   “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันกับเพื่อนเกิดเรื่อง”
   “เอะใจตอนที่ตำราหายไป แล้วก็มารู้ชัดตอนที่เธอทำพิธี ฉันสัมผัสได้ว่ามีการเสกเวท แล้วพอเจ้าปีศาจนั่นออกมาก็มีกลิ่นไอคละคลุ้งจนรู้ได้ทันที”
   “ฉันเสียใจค่ะที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ ฉันไม่คิดว่ามันจะเรียกปีศาจร้ายออกมา” หญิงสาวหน้าสลด
   “ปกติก็ไม่ใช่พวกผีร้ายมีพลังมากหรอกที่จะออกมาด้วยวิธีนี้ ถ้าคนเรียกเป็นนักปัดรังควานหรือมีพลังในการขับไล่ภูตผี มันก็จะไม่ทำอะไร แต่เธอเป็นมนุษย์ อาจจะมีพลังนิดหน่อยอย่างที่เรียกกันว่ามี sense ทำให้บางครั้งสามารถมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติพวกนี้ได้ แต่เธอกำจัดมันไม่ได้ มันจึงทำร้ายเอา”
   มาซาฮารุอธิบายยาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วคาดคั้นถามว่า
   “เธอคิดอะไรอยู่ ทำไมเรียกปีศาจกระจกออกมา วางแผนจะทำอะไรกันแน่”
   “ฉันไม่ได้วางแผนอะไรไม่ดีทั้งนั้นนะคะ” หล่อนรีบปฏิเสธแล้วอธิบายว่า
   “ฉันแค่อยากหาทางติดต่อกับวิญญาณ อยากจะตามหาใครคนหนึ่งที่ฉันอยากพบมาก ๆ แต่ไม่เคยพบกันอีกเลย ฉันคิดว่าถ้าถามภูตผีก็น่าจะมีคำตอบให้ได้บ้าง”
   “คนที่เธอตามหาเป็นวิญญาณอย่างนั้นหรือ”
   “ภูตผี วิญญาณ ปีศาจ หรือเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่เป็นคุณยายที่ใจดีมาก เวลาฉันเสียใจ คุณยายจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนฉัน ทำให้ฉันมีความสุข มีกำลังใจ ไม่เหงา ฉันอยากขอบคุณคุณยายมาตลอด อยากทำอาหารอร่อย ๆ หลาย ๆ อย่างให้ท่านกิน เพราะคุณยายนี่แหละค่ะทำให้ฉันอดทนจนทำอาหารเป็น แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ขอบคุณอย่างที่ตั้งใจ คุณยายก็หายไปแล้ว ไม่เคยกลับมาพบฉันอีก”
   “บางทีแกอาจจะไปสู่สุคติแล้ว” ชายหนุ่มคาดเดา
   “ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณยายก็ต้องมาบอกลาฉันสิคะ จู่ ๆ จะหายไปเฉย ๆ เลยได้ยังไง ฉันไม่คิดว่าคุณยายจะเดินทางไปปรโลกแล้วหรอกนะคะ ปีศาจกระจกก็พูดอย่างนั้น”
   ชายหนุ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เขาถามว่า
   “ปีศาจนั่นบอกอะไร”
   “บอกว่ายังไม่ไปสู่สุคติค่ะ แต่ต้องเอาวิญญาณคนไปแลก ก็จะได้วิญญาณคุณยายกลับมา ฉันทำไม่ได้ ปีศาจกระจกก็เลยโกรธ ทำร้ายพวกเรา”
   “ถ้างั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าดวงวิญญาณนั้นถูกกักขังไว้ที่ไหนสักแห่ง” นักปัดรังควานหนุ่มตั้งสมมติฐาน “เธอรู้ไหมว่าวิญญาณนั้นชื่ออะไร”
   หญิงสาวสั่นศีรษะ
   “ไม่รู้ชื่อค่ะ แต่คุณยายเคยให้ของสิ่งนี้ไว้ บอกว่าสักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา มันก็จะบานเป็นดอกไม้ที่สวยงาม” มิซากิยื่นกิ่งไม้แห้งให้ชายหนุ่มดู
   มาซาฮารุรับมาพิจารณาอย่างละเอียด ดู ๆ ไปแล้วไม่น่าจะผลิบานเป็นดอกไม้อะไรได้ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน ถ้ากิ่งไม้แห้งกิ่งนี้อัดแน่นด้วยความมุ่งมั่นและความหวังอย่างแรงกล้าของใครคนใดคนหนึ่ง มันก็อาจจะสร้างปาฏิหาริย์ได้
   “ตอนที่ฉันกับเธอเจอกันครั้งแรก เธอถึงพูดแบบนั้นสินะ” ความทรงจำของชายหนุ่มประหวัดไปยังวันนั้น วันที่เขาคิดว่ามิซากิเป็นผู้หญิงเพี้ยน ๆ คนหนึ่ง
   ‘ผู้หญิงเพี้ยน’ ยิ้มรับ
   “ค่ะ แล้วคุณก็ปฏิเสธฉันอย่างไร้เยื่อใย”
   “จนเรื่องมันลุกลามบานปลายมาจนถึงขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดต่อ ก่อนจะถอนหายใจยาว ถ้าเขาไม่ด่วนตัดรอนหล่อนไปแบบนั้น บางทีเรื่องร้ายแรงนี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น ชายหนุ่มจึงตกลงใจในที่สุด
   “เอาล่ะ ฉันจะช่วยเธอเอง”

   หลังจากได้รับคำสัญญาจากนักปัดรังควานหนุ่มว่าจะช่วยแล้ว มิซากิก็ไม่อาจปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเสียเปล่าได้ หล่อนใช้เวลาพักเรียกขวัญอยู่แค่วันเดียวเท่านั้นก็หอบร่างที่ยังมีรอยฟกช้ำจากการล้มลุกคลุกคลานในคืนแห่งฝันร้ายนั้นมาที่ศาลเจ้าทันที
   คนที่หล่อนเจอก่อนใครคือทาคุยะ นักปัดรังควานผู้เป็นเพื่อนของมาซาฮารุ ชายหนุ่มยิ้มทักอย่างสดใสเมื่อเห็นหล่อน แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า
   “คุณหายตกใจแล้วหรือครับ”
   “ฉันสบายดีแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
   “ว่าแต่ใจกล้าบ้าบิ่นจริง ๆ นะคุณนี่ ทำพิธีเรียกภูตผีอย่างนั้น โดยไม่มีความรู้หรือพลังใด ๆ สักนิด”
   “ก็เลยพลาดพลั้งอย่างที่เห็นนี่ไงคะ แถมยังทำให้เพื่อนของตัวเองต้องมาเคราะห์ร้ายไปด้วย ฉันเสียใจจริง ๆ” หล่อนพูด
   “มาซาฮารุโมโหมาก” ชายหนุ่มเปรย แล้วก็เห็นหญิงสาวหน้าสลดลงทันทีด้วยความรู้สึกผิด แต่เขาทำทีเป็นไม่สนใจ พูดต่อว่า
   “เจ้าหมอนั่นวิ่งวุ่นตามหาคุณ มันร้อนรนเอามาก ๆ ทั้งที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกแท้ ๆ คุณมีอิทธิพลกับหมอนั่นมาก รู้ตัวไหมครับ”
   “จริงหรือคะ” หล่อนถามอย่างไม่แน่ใจ
   ทาคุยะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของหญิงสาว เพราะตัวคำตอบมาในรูปของเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าเรียกชื่อหล่อน
   “มิซากิ!”
   มาซาฮารุเดินทำหน้าถมึงทึงเข้ามาหา
   “คุยอะไรกัน”
   ทาคุยะขยิบตาให้หญิงสาวเป็นนัยว่า เห็นไหมล่ะ พูดผิดเสียที่ไหน มิซากิจึงอดยิ้มไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนด้วยความเขินอาย การกระทำของทั้งสองคนไม่รอดพ้นสายตาของมาซาฮารุ และนั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งหน้าบึ้งตึง
   “ถามทำไมไม่ตอบ คุยอะไรกัน”
   “คุยทักทายกันธรรมดา ถามสารทุกข์สุกดิบเฉย ๆ” ทาคุยะรีบให้ความกระจ่าง เมื่อเห็นว่าสหายนักปัดรังควานของเขาชักเริ่มอารมณ์เสียหนักขึ้น ความจริงก็ไม่ได้กลัวโทสะของอีกฝ่ายเท่าไรนักหรอก แต่การถูกเสกไฟเผาร่างจนดำเกรียมเป็นตอตะโกก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว
   ทาคุยะเดินจากไปแล้ว เหลือมิซากิกลายเป็นเป้าคนเดียว ชายหนุ่มมองหญิงสาวตาขุ่น ไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไรออกมา หญิงสาวจึงบอกเสียเองว่า
   “ทาคุยะซังแค่ถามฉันว่าหายตกใจเรื่องเมื่อวันก่อนแล้วรึยังแค่นั้นค่ะ”
หน้าของชายหนุ่มยังไม่คลายความขุ่นเคือง หญิงสาวจึงเอื้อมมือทั้งสองข้างไปกุมมือใหญ่แข็งแรงของชายหนุ่มไว้พร้อมกับบอกเสียงหวาน
        “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน มาซาฮารุซัง ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”
        รอยยิ้มของมิซากิเหมือนดอกไม้แย้มบาน
        สดใส... สวยงาม...
        มาซาฮารุนิ่งอึ้งเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปทั้งตัว กระทั่งพักใหญ่ ๆ ผ่านไปนั่นแหละ เขาจึงได้สติ ใบหน้าบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ รีบดึงมือออกจากการเกาะกุม ท่าทางราวกับไปจับถูกไฟที่ร้อนกว่าเพลิงจิ้งจอกที่เขาเสกขึ้นหลายเท่าเข้า
        “ไปกันได้แล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วนกลบความกระดาก แล้วรีบเดินจ้ำอ้าว ๆ ไม่เหลียวหลัง ไม่สนใจด้วยว่าหญิงสาวจะเดินตามทันหรือไม่
        มิซากิอมยิ้ม ไม่ถือสา หล่อนเดินตามเขาไปด้วยฝีเท้าระดับปกติ ไม่รีบเร่ง มั่นใจว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ชายปากไม่ตรงกับใจคนนี้จะไม่ทิ้งหล่อนไว้กลางทางอย่างเด็ดขาด

ออฟไลน์ Loammy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
อ่านบทแรกแล้วน่าสนใจมากค่า ขอแปะไว้ก่อนนะคะ ดึกๆ จะเข้ามาอ่านใหม่ // ขออนุญาตแนะนำนะคะ ในเวิด ก่อนที่จะอัพลงเล้า ลองแทนที่แบบนี้ดูนะคะ https://uppic.cc/d/54da มันจะช่วยเคาะบรรทัดให้เรา เวลาเอามาลงเล้าจะทำให้อ่านง่ายขึ้น ตัวหนังสือไม่ติดกันเป็นพืดเกินไป

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ ๕

        การค้นหาเริ่มต้นที่สถานที่ที่เคยเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสของลุงกับป้าของมิซากิ แต่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นร้านอาหารแบบครอบครัวไปแล้ว ภายในและภายนอกถูกตกแต่งปรับปรุงใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมของร้านอาหารฝรั่งเศสที่ตกแต่งด้วยรูปภาพและของประดับต่าง ๆ ที่ให้กลิ่นอายของกรุงปารีสในยุคสมัยที่ลุงกับป้าของมิซากิยังเป็นหนุ่มเป็นสาวและได้พบกันเป็นครั้งแรกในร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
        หญิงสาวมองนักปัดรังควานหนุ่มด้วยความไม่มั่นใจ ชายหนุ่มจึงอธิบายว่า
        “ถึงจะมองดูเหมือนสถานที่ใหม่ แต่ก็ยังเป็นสถานที่เดิมอยู่ดี การตามหาร่องรอยที่เคยปรากฏอยู่ที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผู้ที่เคยมาเยือนที่แห่งนี้จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ และมันจะไม่ลบเลือนไป”
        ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็ใจชื้นขึ้น หล่อนอยากเจอคุณยายคนนั้นอีกสักครั้ง แม้ว่าแกจะไม่ใช่มนุษย์เหมือนกับหล่อนก็ตาม
        ถูกแล้ว... หล่อนรู้มาตลอดตั้งแต่ต้นว่าคุณยายที่คอยมาคุยกับหล่อนที่ด้านหลังร้านของลุงกับป้านั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นภูตผี เป็นวิญญาณ เป็นผู้ที่อยู่ในอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากโลกใบที่หล่อนอยู่ แต่นั่นจะสำคัญอะไรในเมื่อคุณยายเป็นคนใจดีมาก ภูตผีปีศาจที่ดีที่มาซาฮารุไม่ค่อยอยากจะยอมรับว่ามี แต่มันก็มีจริง ๆ อย่างน้อยก็จากที่หล่อนเคยพบพานในอดีต
        “แล้วเราจะค้นหาได้ยังไงคะ” มิซากิถาม
        แทนคำตอบ มาซาฮารุหยิบกระดาษแผ่นน้อยออกมาชูให้ดู เป็นกระดาษสีขาวธรรมดา ๆ ที่ว่างเปล่า ไร้ตัวอักษรหรือรูปภาพใด ๆ ปรากฏอยู่
        “ชิกิงามิ” ชายหนุ่มพูด
        “เทพรับใช้” หญิงสาวทวนคำ นึกถึงสุนัขที่มีเปลวไฟลุกแดงทั้งตัวที่ถูกเสกจากกระดาษไร้ชีวิตให้เคลื่อนไหวโลดแล่นเข้าจู่โจมทำลายศัตรูประหนึ่งมีชีวิตจิตใจ
        “ปกติคุณจะเสกชิกิงามิให้เป็นสุนัขตัวใหญ่”
        “ไม่ใช่อินุ แต่เป็นคิตสึเนะ” ชายหนุ่มพูด “จิ้งจอกเพลิง”
        “อย่างนั้นหรอกหรือคะ” หญิงสาวถึงบางอ้อ
        “แต่จะเสกให้เป็นอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับพลังเวทและมนตราที่นักปัดรังควานใช้” ชายหนุ่มอธิบาย จากนั้นก็หลับตา เริ่มรวบรวมสมาธิโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กระดาษแผ่นน้อยในมือ แล้วเริ่มร่ายเวท

        รอยเรื่องราวเก่ากาล
        ด้วยปีกของข้าจะนำพาไป
        สู่ผู้ประทับไว้


         มิซากิกลั้นหายใจมองกระดาษที่เริ่มขยับเขยื้อนได้ด้วยมนตราที่ถูกถ่ายทอดให้เป็นพลัง แผ่นกระดาษนั้นลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วเปลี่ยนรูปร่างเป็นนกกระดาษที่กระพือปีกบินได้เหมือนนกจริง ๆ
        “มหัศจรรย์” มิซากิอุทานด้วยความประทับใจ
        “ผู้นำสาส์น เรามักเรียกกันแบบนี้ ใช้ส่งสารหาบุคคลอื่น หาข่าว ตามรอย นำทาง ปกติจะเสกให้เป็นรูปนก”
        “สวยจังเลยค่ะ” มิซากิชื่นชม เงยหน้ามองนกกระดาษตัวน้อย ๆ ที่กระพือปีกบินช้า ๆ ประคองตัวให้อยู่บนอากาศอย่างสง่างาม
        “ถ้าฉันอยากจะเสกชิกิงามิให้ได้อย่างคุณบ้าง ฉันจะมีพลังพอไหมคะ”
        “ไม่มีทาง” ชายหนุ่มส่ายหน้าดับความหวังของหล่อนทันทีจนหญิงสาวมองค้อน แหม... ไม่มีการให้กำลังใจกันบ้างเลย
         “ฉันหมายถึงถ้าเธอจะเสกชิกิงามิที่มีพลังมาก ๆ มาใช้ในการต่อสู้อย่างจิ้งจอกเพลิงของฉันล่ะก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน แต่ถ้าแค่ผู้นำสาส์นล่ะก็ ฝึกหน่อยก็น่าจะพอทำได้”
         มาซาฮารุพูดต่ออย่างรวดเร็ว ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลัง ‘ง้อ’ ผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต เขารู้แค่ว่า ไม่อยากเห็นมิซากิทำหน้าไม่พอใจอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง
         “คุณจะสอนฉันใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง หน้าตาแช่มชื่น ผิดจากเมื่อสักครู่นี้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่แล้วก็เปลี่ยนมาทำหน้ายู่อีกครั้งเมื่อเขาตอบหน้าตาเฉยว่า
         “ขอคิดดูก่อน”
        สีหน้าและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาของหญิงสาวน่ามอง แตกต่างจากเขาที่ทำเป็นอยู่หน้าเดียว คือเรียบเฉย ไม่ต่างจากกระดาษที่ใช้เสกชิกิงามินั่นแหละ
        ชายหนุ่มคิดว่า เขาไม่อาจละสายตาจากหล่อนได้อีกแล้ว

        หุ่นพยนต์รูปนกเริ่มทำหน้าที่ของมันด้วยการนำไปยังจุดที่หญิงสาวพบกับวิญญาณใจดีที่หล่อนเรียกว่า ‘คุณยาย’ เป็นครั้งแรกอย่างแม่นยำ มันบินวนเวียนราวกับกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างก่อนจะมุ่งตรงไปยังทิศหนึ่งด้วยความมั่นใจ มาซาฮารุออกเดินตามหุ่นพยนต์ของเขาไปทันที มิซากิเดินตามมาติด ๆ หญิงสาวเคยเดินไปตามถนนสายนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่รู้สึกตื่นเต้นเท่าครั้งนี้มาก่อน หล่อนรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ไม่ได้อยู่ในโลกที่หล่อนเคยอยู่ หากเป็นอีกโลกหนึ่งที่ทับซ้อนกัน โลกแห่งภูตผีปีศาจ...
         สุดถนนสายนั้นคือบ้านแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง แต่มิซากิจำได้ว่าไม่เคยมีสถานที่แบบนี้ตั้งอยู่ตรงนั้นมาก่อน ถ้าเดินมาจนสุดถนนจะเจอเพียงลานรกร้างที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แล้วบ้านหลังใหญ่หลังนี้มาได้อย่างไร สร้างขึ้นตอนไหนกัน ทุกอย่างดูลึกลับไปหมด
         หุ่นพยนต์รูปนกหยุดบินเมื่อถึงหน้าบ้านหลังนั้น มันหุบปีกและกลายเป็นกระดาษสีขาวดังเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ม้วนตัวร่วงหล่นลงสู่ฝ่ามือของนักปัดรังควานหนุ่มที่ยกขึ้นแบรับ มาซาฮารุหันไปบอกหญิงสาวว่า
         “บุคคลที่กำลังตามหาอยู่ที่นี่”
        “แต่ตรงนี้ไม่เคยมีบ้านคนนะคะ เป็นลานกว้างที่ถูกทิ้งร้างต่างหาก ปกติไม่มีใครมาแถวนี้โดยไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะมีแต่หญ้าขึ้นรกและเศษดินเศษทราย”
        “อาจจะเป็นอย่างที่เธอว่า” มาซาฮารุพึมพำ เขาพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
        “ที่แห่งนี้มีการกั้นอาณาเขตเอาไว้โดยใช้เส้นใยบาง ๆ สีขาวพวกนี้คลุมต่างผืนผ้า ห่มสถานที่ไว้มิดชิดจนคนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้”
        เขาพยายามจะจับเส้นใยสีขาวที่ว่า แต่เพียงแค่ปลายนิ้วแตะไปโดนเท่านั้น ก็เหมือนมีไฟฟ้าชอร์ตดังเปรี๊ยะจนต้องดึงมือกลับ
        “เส้นใยพวกนี้คืออะไรคะ” มิซากิถาม ตอนแรกหล่อนมองไม่เห็น แต่เมื่อขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มและเพ่งมองดี ๆ ก็สามารถสังเกตเห็นใยสีขาวอันบางเบาที่ว่าได้ มันโยงใยคลุมบ้านไว้ทั้งหลัง ไม่รู้ว่าจุดไหนคือจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
         “ใยแมงมุม” ชายหนุ่มตอบ สีหน้ามีแววความกังวล “ที่นี่กลายเป็นรังแมงมุมไปแล้ว และฉันได้กลิ่นไม่ดี ที่นี่มีแต่กลิ่นของความชั่วร้ายและความรู้สึกทุกข์ทรมาน ฉันคิดว่าพวกแมงมุมคงจะยึดสถานที่นี้เป็นรังของมันและจับวิญญาณที่เธออยากพบกักขังเอาไว้ ไม่ผิดจากแมลงที่ถูกใยเหนียวของแมงมุมพันแน่นจนดิ้นไม่หลุดยังไงล่ะ”
        “แล้วเราจะทำยังไงดีคะ” มิซากิถามด้วยความร้อนรน
        มาซาฮารุนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเรียกชิกิงามิประจำตัว หุ่นพยนต์รูปจิ้งจอกเพลิงที่ชายหนุ่มเสกขึ้นมาจากกระดาษมนตราตะกุยเส้นใยจนขาดโหว่เป็นช่องก่อนจะวิ่งทะยานหายเข้าไปด้านใน
        “คุณทำอะไรน่ะ!” มิซากิถามเสียงหลง เพราะลักษณะการฝ่าเข้าไปแบบนั้นดูอย่างไรก็เป็นการบุกรุกชัด ๆ หล่อนเป็นห่วงวิญญาณที่ถูกแมงมุมกักขังจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย
         “ทดสอบพลังของเขตแดน” ชายหนุ่มตอบ
         สุนัขจิ้งจอกเพลิงที่เขาเสกขึ้นสามารถบุกฝ่าเข้าไปข้างในได้จนถึงตัวบ้าน จากนั้นก็เกิดเปลวไฟวาบขึ้นเหมือนไม้ขีดไฟถูกจุด รังที่สร้างขึ้นจากใยสีขาวติดไฟลุกพรึบ ไหม้โหว่เป็นรูตรงนั้นตรงนี้ทั่วไปหมด แต่เปลวไฟของเขาไม่สามารถทำลายรังทั้งรังได้
         “เขตแดนมีพลังไม่เบา ขนาดไฟของจิ้งจอกเพลิงยังไม่อาจเผาทำลายได้ทั้งหมด ท่าทางแมงมุมเจ้าของรังนี้คงจะมีพลังมากเอาการ”
         “คุณจะสู้กับเขาหรือคะ” มิซากิถามอย่างเป็นกังวล “ทำไมเราไม่ลองเรียกเขาออกมาคุยดูก่อนละคะ”
         มาซาฮารุมองหน้าหญิงสาวที่เชื่ออย่างจริงจังว่าพวกปีศาจนั้นสามารถ ‘พูดกันได้’ เขาไม่อยากทำลายความหวังของหล่อนเลย แต่ความจริงก็ย่อมต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ
              “แมงมุมไม่ชอบการเจรจาหรอก ถ้าคิดจะเอาของหรือใครที่มันครอบครองอยู่ไป มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องช่วงชิง”
              “หมายความว่าต้องสู้กันอย่างเดียวเหรอคะ”
              ชายหนุ่มพยักหน้า คิ้วหนาขมวดมุ่น ตอนนั้นเองที่เขาจับสัมผัสได้ว่ามีการเคลื่อนไหวอันอลหม่านเกิดขึ้นภายในรัง
              ชายหนุ่มรีบดึงแขนหญิงสาวให้หลบอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่รอช้า
              “ระวังตัวด้วย มีอะไรกำลังออกมา”
              ตอนแรกหญิงสาวยังไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อเห็น ‘อะไร’ ที่ว่า หล่อนก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
              แมงมุมสีดำตัวขนาดใหญ่ยิ่งกว่าชามอ่างพรูออกมาจากรูโหว่ที่เขตแดนเป็นฝูงแลเห็นทะมึนไปหมด ตลอดทั้งตัวและขาทั้งแปดของพวกมันมีขนเส้นใหญ่ ๆ หนา ๆ ขึ้นยุบยับ พวกมันไต่เต้าปีนป่ายบนตัวพวกเดียวกันเองเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ แลดูน่าขยะแขยงจนมิซากิขนลุกซู่ด้วยความรังเกียจและหวาดกลัว
              หญิงสาวถูกกันให้อยู่ข้างหลัง แทบจะถูกร่างใหญ่โตของมาซาฮารุบังจนมิด แต่หล่อนก็ยังพอมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หล่อนอยากเห็นทุกอย่างด้วยตาของตัวเอง แม้ว่ามันจะน่ากลัวน่าหวาดหวั่นแค่ไหนก็ตาม
              ฝูงแมงมุมปีศาจรุมจู่โจมผู้บุกรุกรังของพวกมัน มาซาฮารุเสกจิ้งจอกเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง ชิกิงามิของชายหนุ่มพ่นไฟออกจากปาก ม่านอัคคีช่วยป้องกันไม่ให้ฝูงแมงมุมเข้าใกล้ฝ่ายมนุษย์ได้ ตัวใดที่โชคดี สามารถหลบหนีจากไฟมนตราได้ ก็ต้องมาจบชีวิตด้วยคมดาบของนักปัดรังควานหนุ่ม พวกมันล้มตายเป็นใบไม้ร่วง บ้างก็สลายกลายเป็นขี้เถ้า บ้างก็โดนฟันหัวขาด ขาขาด ตัวขาดกระจาย เศษชิ้นส่วนของพวกมันเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
              แมงมุมเจ้ากรรมตัวหนึ่งหลบพ้นจากไฟของจิ้งจอกเพลิงและคมดาบของนักปัดรังควานหนุ่มได้อย่างหวุดหวิด มันกระโดดเกาะหมับเข้าที่หลังของชายหนุ่ม กำลังจะฝังเขี้ยวลงไป วินาทีอันน่าตกใจนั้นเอง มิซากิเห็นถนัดชัดตา หล่อนไม่เสียเวลาไตร่ตรองหรือลังเลอะไรทั้งสิ้น รีบพุ่งปราดเข้าไปกระชากเจ้าแมงมุมปีศาจตัวนั้นออกจากหลังของชายหนุ่ม เป็นเวลาเดียวกับที่มาซาฮารุหันขวับมา ดาบในมือของเขาตวัดฟันร่างกลมป้อมของมันจนตัวเจ้าสัตว์ร้ายนั้นขาดออกเป็นสองท่อน นักปัดรังควานหนุ่มหันกลับไปจัดการแมงมุมที่เหลือจนหมดทั้งฝูง แล้วก้าวพรวดเดียวเข้าถึงตัวมิซากิที่ยืนหน้าซีดขาว มือทั้งสองข้างสั่นระริก
            “ทำบ้าอะไรของเธอ!” มาซาฮารุตวาดลั่น มือของหล่อนที่เขาจับขึ้นมาพลิกดูนั้นแดงก่ำ เป็นผลมาจากการใช้มือเปล่าจับตัวแมงมุมปีศาจที่มีขนหนาและสากแข็ง
            “ทีหลังไม่ต้องพยายามช่วยฉัน เธอน่ะ หนีไปไกล ๆ ก็พอแล้ว! เข้าใจรึเปล่า!”
            ชายหนุ่มจับตัวหญิงสาวเขย่าอย่างแรงสมกับความอัดอั้น
            “มิซากิ!”
            หญิงสาวกะพริบตา สติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาอีกครั้ง พอได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองก็ขานรับโดยอัตโนมัติ แล้วต่อด้วยคำถามสำคัญทันควัน
            “คะ? มันทันกัดคุณรึเปล่า”
            “ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีก!” มาซาฮารุเอ็ดตะโรแทนคำตอบ แล้วดึงตัวหล่อนเข้าสู่อ้อมอก กอดกระชับแน่นจนหญิงสาวทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บ
            “มาซาฮารุซัง” หญิงสาวเรียก แต่ชายหนุ่มไม่ยอมคลายอ้อมแขน
            “สัญญาสิว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
            มิซากิส่ายหน้า
            “ฉันไม่สัญญาในสิ่งที่ทำไม่ได้หรอกค่ะ คุณกำลังตกอยู่ในอันตราย จะให้ฉันหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ยังไง”
            “แต่ถ้าเธอเป็นอันตรายมากไปกว่านี้ ฉันจะทำยังไง คิดบ้างไหมเล่า!”
            “ก็ฉันเชื่อนี่คะว่าคุณจะปกป้องฉันได้”
            คำพูดของมิซากิเหมือนสายน้ำฉ่ำเย็นที่รินรดลงมาคลายความร้อนรุ่มที่แผดเผาหัวใจของเขา ชายหนุ่มสงบใจได้ในที่สุด คลายอ้อมแขนออก
            “แมงมุมพวกนี้คืออะไรคะ พวกมันเป็นเจ้าของรังหรือ” มิซากิถาม
            “บริวารต่างหาก จะต้องมีหัวหน้าของเจ้าพวกนี้อยู่ข้างใน เดี๋ยวก็รู้ มันกำลังจะปรากฏตัวออกมา”
            ไม่ทันขาดคำของชายหนุ่มก็มีเสียงร้องอ๊าวยาวดังมาจากข้างในเขตแดน แล้วใยแมงมุมที่พันบ้านเหมือนรังไหมก็มลายหายไปกับตา
             มาซาฮารุวาดแขนดันหญิงสาวให้หลบข้างหลังเขาอีกครั้ง ตาจ้องเขม็งมองทุกความเคลื่อนไหวไม่ให้พลาดไปได้
             “มันอยู่ตรงนั้น” ชายหนุ่มกระซิบ
             มิซากิเห็นมันในทันที หัวหน้าหรือพญาของเหล่าแมงมุมในรังนี้มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ที่แสนสะดุดตา มันเลือกปรากฏตัวในร่างของชายหนุ่มอายุราวสามสิบปี หน้าซีดขาวไร้สีสันแต่งแต้ม ผมสีเทาคล้ายสีของควันบุหรี่ยาวปรกไหล่ มันแต่งตัวแบบมนุษย์ ใส่เสื้อเชิ้ตสีแสดสดพับแขนเสื้อถึงข้อศอก กางเกงยีนสีอ่อนฟิตแนบพอดีกับช่วงขายาว แขนสองข้างที่โผล่พ้นแขนเสื้อสักเป็นลวดลายและรูปภาพที่มองไม่ออกเต็มพรืดไปหมดจนไม่เหลือที่ว่างแม้กระทั่งสุดปลายนิ้ว ท่าทางของมันแปลก เหมือนมันกำลังเต้นรำอยู่ มีการก้าว เขย่งยืนบนปลายเท้าไม่ผิดไปจากพวกนักบัลเล่ต์ แขนสองข้างกางออกราวกับจะกระพือปีกบิน ทั้ง ๆ ที่แมงมุมไม่มีปีก
              “นี่น่ะเหรอคะ พญาแมงมุม” มิซากิอุทานอย่างประหลาดใจ
              หญิงสาวไม่เคยเห็นปีศาจหรืออสูรที่มีพลังมาก ๆ มาก่อน ไม่รู้ว่าพวกที่มีตบะพลังมหาศาลนั้นจะสร้างรูปลักษณ์ตัวเองได้เหมือนมนุษย์และโดดเด่นสะดุดตาได้ขนาดนี้
              “ระวังนะ มิซากิ ฉันสัมผัสจิตชั่วร้ายของมันได้อย่างชัดเจน มันคิดจะฆ่าเราทั้งสองคน”
              “แต่เขาดูไม่เหมือนกับจะทำแบบนั้นเลยนะคะ” หญิงสาวแย้ง “ดูสิ เขาหยุดเดินแล้ว เขาโน้มตัวลงไหว้เราด้วยค่ะ!”
              มิซากิชี้ให้ดูพญาแมงมุมประกบสองมือเข้าหากันแล้วโค้งตัวลงต่ำ เป็นลักษณะของการแสดงการทักทายรูปแบบหนึ่ง สำหรับหล่อนแล้ว พญาแมงมุมตนนี้ดูไม่เหมือนกับอสูรร้ายที่คิดจะเป็นอันตรายต่อใครเลย
              “อย่าให้รูปร่างหน้าตาของมันหลอกตา เมื่อกี้เราถูกแมงมุมทั้งฝูงรุมเล่นงาน ใครล่ะที่เป็นคนออกคำสั่ง ถ้าไม่ใช่มัน”
              “แต่เราบุกรุกเข้ามาในรังของเขานะคะ เขาก็ต้องต่อสู้ตอบโต้เราอยู่แล้ว” หญิงสาวให้เหตุผล ความคิดของทั้งสองคนสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
              ทั้งคู่มองหน้ากันทันที ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ต้องฉุกคิด มาซาฮารุเคยพรากชีวิตอสูรตนหนึ่งไปโดยไม่ไต่ถาม ส่วนมิซากิก็ประมาทเกินไปจนวางใจว่าอสูรปีศาจทุกตัวจะเป็นมิตร
              “ฉันอาจคิดผิดก็ได้ค่ะ คุณพูดถูก เขาอาจจะคิดฆ่าเรา” หญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อน
              “แต่ถ้าไม่ลองเจรจาดูก่อนก็คงไม่มีทางรู้ อีกอย่างหนึ่งเราก็บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของมันอย่างที่เธอบอกจริง ๆ”
              มาซาฮารุพูดต่อจากหล่อน ตัดสินใจเก็บดาบเข้าฝัก แต่ก็ยังคงท่าทีระแวดระวังไม่ประมาทเอาไว้อย่างเดิม
              “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณจะคุยกับเขาใช่ไหมคะ”
              “ใช่ แต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ฉันก็จะใช้กำลังล่ะ ถึงตอนนั้นเธอคงไม่คัดค้าน”
              ทั้งสองคนรอมชอมกันได้ในที่สุด มิซากิก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวขณะที่มาซาฮารุก้าวเท้าไปข้างหน้า ประจันหน้ากับพญาแมงมุมอย่างกล้าหาญ
              “ขออภัยที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของเจ้า แต่เรามีความจำเป็น เจ้าผู้ครอบครองสถานที่แห่งนี้จะเจรจากับเราได้หรือไม่”
              พญาแมงมุมนิ่งฟัง เมื่อเห็นผู้บุกรุกยอมวางดาบ มันก็ยอมเปิดปากเช่นกัน
              “เจ้าต้องการอะไร บุกรุกเข้ามาในรังของข้าเพื่ออะไร”
              “เราต้องการถามเจ้าเรื่องวิญญาณดวงหนึ่งที่เป็นเจ้าของกิ่งไม้กิ่งนี้ ชิกิงามิของข้าบอกว่าวิญญาณดวงนั้นอยู่ที่นี่”
              มาซาฮารุรับกิ่งไม้แห้งจากมิซากิมาชูให้อีกฝ่ายได้เห็น ก่อนจะส่งกลับคืนให้หญิงสาว
               “เจ้าพอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่”
               พญาแมงมุมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วไม่ชวนให้วางใจเอาเสียเลย กลิ่นอายความมุ่งร้ายก็ไม่ได้จางลง กลับทวีขึ้นเสียด้วยซ้ำ มาซาฮารุมั่นใจว่า เขามาถูกทางแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายเรื่องมันจะออกหัวหรือก้อยเท่านั้น
               “ฮานาโกะปลูกต้นไม้เอาไว้ในสวนมากมาย หลายต้นออกดอกอย่างงดงามในฤดูของมัน หากบางต้นก็จะบานเมื่อถึงเวลา ข้าชอบดอกไม้ของฮานาโกะที่สุด เวลามันบาน พวกผีเสื้อและแมลงก็จะพากันออกมา” พญาแมงมุมพูดเรียบเรื่อย
                มาซาฮารุขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นักเพราะคำตอบที่ได้ฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
                “หมายความว่ายังไง”
                คนที่เข้าใจกลายเป็นมิซากิ หล่อนโพล่งถามสวนขึ้นทันที
                “คุณยายคนนั้นชื่อฮานาโกะใช่ไหมคะ คุณยายอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
                “ฮานาโกะเคยเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้” อสูรหนุ่มตอบสั้น ๆ
                “แล้วทำไมคุณถึงมาทำรังอยู่ที่นี่ได้ละคะ คุณยายฮานาโกะอยู่ที่ไหน คุณทำอะไรคุณยายรึเปล่า”
                พญาแมงมุมยิ่งยิ้มกว้าง ความจริงมันจะไม่ตอบคำถามของหล่อนก็ได้ แต่มันชอบมองใบหน้าที่ร้อนรนกระวนกระวายของมนุษย์เป็นที่สุด
                “ฮานาโกะไม่ได้ไปไหน”
                “แล้วคุณยายอยู่ที่ไหนละคะ” มิซากิรู้สึกหงุดหงิดใจแทบทนไม่ไหว พญาแมงมุมไม่ให้รายละเอียดอะไรเลย เอาแต่พูดอะไรตามใจตัวเองอย่างเดียว อสูรหนุ่มตั้งใจยั่วเย้ามนุษย์เล่นอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่หญิงสาวชักไม่สนุกด้วยแล้ว
                “คุณยายอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ” หญิงสาวคาดคั้น “กรุณาบอกฉันเถอะค่ะ ฉันจะต้องพบคุณยายให้ได้”
                “จะแลกด้วยอะไร ข้าไม่บอกให้เปล่า ๆ”
                “คุณอยากได้อะไรละคะ ถ้าหาได้ฉันจะหามาให้” มิซากิรีบบอกทันที หล่อนร้อนใจจนแทบอยากจะเข้าไปจับตัวอสูรหนุ่มเขย่า ๆ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาอยู่รอมร่อ แต่หล่อนเชื่อมาซาฮารุ ยอมยืนอยู่ข้างหลังเขา ระมัดระวังตัวเองขณะที่เจรจาต่อรอง
                 “หาได้สิ ง่ายนิดเดียว” อสูรหนุ่มยังคงเล่นลิ้น
                 “อะไรละคะ บอกมาเถิดค่ะ”
                 เห็นมิซากิอยากรู้จนแทบคลั่ง อสูรแมงมุมก็ชอบอกชอบใจ มันยกนิ้วชี้มาที่ตัวของหล่อน แล้วก็ชี้ไปที่มาซาฮารุ
                 “ฉันไม่เข้าใจ คุณต้องการอะไรกันแน่คะ บอกฉันมาเถอะค่ะ” หญิงสาวอ้อนวอน
                 “เจ้าหรือเขา มาอยู่กับข้า แล้วข้าจะให้ฮานาโกะออกไปจากรัง”
                 “คุณขังวิญญาณคุณยายเอาไว้จริง ๆ ด้วย” มิซากิอุทาน ยกสองมือขึ้นปิดปาก
                 “ฮานาโกะไม่ยอมยกบ้านหลังนี้ให้ข้า ข้าจึงต้องจองจำนางไว้ การมีนางอยู่ทำให้ดอกไม้บาน แล้วก็ทำให้ข้าไม่เหงา ถ้าฮานาโกะจะต้องไปจากข้า ข้าก็ต้องการใครคนอื่นมาแทนที่นาง”
                 พญาแมงมุมพูดเหมือนกับว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน ทั้งเรื่องแย่งที่พำนักอาศัย เรื่องการจองจำดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่ควรจะไปสู่สุคติหรือวนเวียนอยู่ในโลกตามเส้นทางของตัวเอง
                 มิซากิรู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก หล่อนพยายามข่มใจต่อรองขอร้องให้พญาแมงมุมปลดปล่อยดวงวิญญาณของคุณยาย แต่ไม่ได้ผล อสูรหนุ่มยังคงยืนยันว่าจะต้องแลก ‘วิญญาณ’ กับ ‘วิญญาณ’ เท่านั้น
                 “ถ้าข้าต้องเสียอะไรไป ข้าต้องได้สิ่งเดียวกันมาทดแทน”
                 หญิงสาวกัดฟันแน่น ใครจะไปทำอย่างนั้นได้ อีกอย่างหนึ่ง พญาแมงมุมก็ไม่มีสิทธิ์ในวิญญาณดวงใดทั้งสิ้นด้วย
                 “อสูรร้าย” มาซาฮารุพูดในสิ่งที่มิซากิกำลังคิดอยู่ในใจออกมาดัง ๆ แล้วเพียงแค่ชำเลืองมองสบตากันแวบหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มกับหญิงสาวก็มั่นใจว่ากำลังคิดสิ่งเดียวกัน
                 “เจรจาไม่ได้ผลก็ต้องใช้วิธีของฉัน” มาซาฮารุพูด
                 “คุณมั่นใจใช่ไหมคะว่าจะจัดการมันได้”
                 “แน่นอน”
                 มิซากิไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว หล่อนพยักหน้าให้เขา
                 “ในเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่ามันเป็นอสูรที่ไม่ดี ใช้กำลังแย่งชิงและจองจำผู้บริสุทธิ์ ฉันก็เห็นด้วยกับคุณค่ะ เราปล่อยมันไว้ไม่ได้ คุณจัดการได้ตามที่คุณเห็นสมควรเลยค่ะ”
                  มาซาฮารุรอคำนี้จากหล่อนมานานแล้ว เขารึอยากลงมือจะแย่ ไม่คิดว่าจะพูดจากับปีศาจแบบนี้รู้เรื่องหรอก ก็กลิ่นความชั่วร้ายมันตลบอบอวลขนาดนั้น น่ารังเกียจเป็นที่สุด แต่มิซากิอยากให้เจรจา เขาก็เลยยอมตามใจหล่อน ตอนนี้หล่อนก็รู้แล้วว่า กับพวกปีศาจร้ายน่ะ ต้องฆ่ามันอย่างเดียวเท่านั้น ใช้คำพูดไปก็เสียเวลาเปล่า ชายหนุ่มรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดึงดาบออกมาจากฝัก แผ่นกระดาษสำหรับเสกชิกิงามิพร้อมอยู่ในมืออีกข้าง
                   พญาแมงมุมหรี่ตามองดูผู้บุกรุกเปลี่ยนแปลงท่าทีไปเป็นตรงกันข้าม นึกรู้ทันทีว่ากลลวงของตนไม่ได้ผล แต่เป็นอย่างนี้ก็ดี พวกมัน เจ้าแมลงตัวกระจ้อยร่อย บินเข้ามาติดใยแมงมุมเอง จะกินมันเสียเดี๋ยวนี้ หรือจะจองจำมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงก็ดูจะน่าอภิรมย์ไปเสียทั้งนั้น
                   อสูรหนุ่มเคลื่อนไหวร่างกายไปมาอย่างแช่มช้า กรีดนิ้วปล่อยใยเล่นอย่างสำราญ
                   พญาแมงมุมทำท่าราวกับอยู่บนเวทีบัลเล่ต์ แต่สายตาจับเขม็งอยู่ที่มาซาฮารุ ทั้งสองฝ่ายต่างดูเชิงกันและกัน พลังตบะของแมงมุมทำให้นักปัดรังควานหนุ่มไม่กล้าผลีผลาม ขณะที่พลังเวทและชิกิงามิที่โจมตีอาณาเขตและฆ่าแมงมุมบริวารไปทั้งฝูงก็ทำให้อสูรร้ายต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน
                   แล้วมาซาฮารุก็เป็นฝ่ายลงมือก่อนด้วยการเสกชิกิงามิเป็นสุนัขจิ้งจอกมีไฟลุกท่วมร่างและสั่งให้กระโจนเข้าขย้ำร่างของศัตรู ไฟร้อนแรงที่เสกขึ้นจากมนตราทำให้พญาแมงมุมถอยร่น แต่เมื่อตั้งหลักได้ ใยสีขาวบางแต่เหนียวยิ่งกว่าเส้นเอ็นที่แข็งแรงที่สุดก็ถูกพ่นออกมารัดร่างหุ่นพยนต์รูปสุนัขจิ้งจอกจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ แถมยังบีบแน่นจนตัวหุ่นรูปจิ้งจอกบิดเบี้ยวผิดรูป หากจิ้งจอกเพลิงของชายหนุ่มมีกระดูกและเลือดเนื้อเหมือนสัตว์ธรรมดา มันก็คงจะถูกรัดจนร่างแหลก กระดูกแตกไปหมดทั้งตัวแล้วก็ได้ แต่กระนั้นเมื่อชิกิงามิโดนโจมตี ผู้ที่เสกมันขึ้นมาก็ต้องรับความเสียหายนั้นไปด้วย มาซาฮารุเจ็บร้าวไปทั่วร่าง พลังเวทของเขาลดลง ส่งผลให้ชิกิงามิรูปจิ้งจอกเพลิงของเขาสลายร่างไปในที่สุด
                   มิซากิปราดเข้ามาประคองชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอย่างอ่อนแรงและเจ็บปวด สีหน้าของหล่อนทุกข์ร้อนและเป็นห่วงเป็นใย
                  “ไหวไหมคะ มาซาฮารุซัง”
                  “ไหว เธอถอยไป อันตราย” มาซาฮารุตอบห้วน ๆ พร้อมกับดันร่างของหญิงสาวให้ถอยห่างจากตัวเขา ถึงจะเจ็บปวดประหนึ่งถูกหักกระดูกไปแล้วทั้งตัว แต่เขาไม่ยอมแพ้แค่นี้เป็นอันขาด!

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ ๖

             มาซาฮารุรวบรวมพลังทั้งหมดลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับพญาแมงมุมด้วยเพลงดาบที่เขาเชี่ยวชาญ มาซาฮารุเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว จับดาบเข้าฟาดฟันอย่างไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบ พญาแมงมุมจำต้องเป็นฝ่ายตั้งรับและไม่นานดาบของนักปัดรังควานหนุ่มก็ได้ดื่มเลือดปีศาจสมใจ
             อสูรหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ลำตัว รู้สึกโกรธจัดที่เสียท่ามนุษย์ตัวจ้อย มันห่อปากร้องอ๊าวเสียงยาว ฟังโหยหวนและเสียดแทงประสาทหูจนคนธรรมดาอย่างมิซากิทนไม่ไหว ต้องเอามือปิดหูทั้งสองข้างไว้แน่น
             รูปลักษณ์แบบมนุษย์ของพญาแมงมุมถูกฉีกขาดออกเมื่อเจ้าของกลับคืนสู่ร่างอันแท้จริง ตอนนี้มาซาฮารุกับมิซากิกำลังเผชิญหน้ากับแมงมุมตัวใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเลากา ขาทั้งแปดของมันเป็นปล้องสีดำสลับส้ม ส่วนหัวสีดำสนิทราวกับนิลเนื้อดี ลำตัวกลมใหญ่สีดำมีริ้วสีขาวแซม ตรงกลางแต้มจุดสีส้มจ้าเรียงกันเป็นแถวไปจนถึงก้น มันยืนอยู่กลางใยสีขาวที่ถักทอเชื่อมกันจนเป็นวงขนาดใหญ่เหมือนกับดักที่กำลังรอให้เหยื่อหลงมาติดกับ
             ตบะพลังที่แผ่ออกมาจากร่างที่แท้จริงของพญาแมงมุมยิ่งสร้างความกดดันได้มากกว่าตอนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์เป็นเท่าตัว นักปัดรังควานหนุ่มไม่ห่วงตัวเองอีกแล้วในเวลานี้ เขาเสกชิกิงามิขึ้นมาอย่างรวดเร็วให้กลายเป็นโคมะอินุ สิงห์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูศาลเจ้า พวกมันมีด้วยกันสองตัว ตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง อีกตัวปิดปากสนิท พวกมันทั้งคู่กระโจนเข้าไปยืนขนาบข้างมิซากิเพื่อทำหน้าที่ผู้พิทักษ์
             “มิซากิ! ห้ามขยับออกจากเขตแดนที่ฉันสร้างขึ้นเด็ดขาด!”
             ชายหนุ่มตะโกนก้อง แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง ทันเวลาพอดีที่จะยกดาบขึ้นรับใยเหนียวที่แมงมุมปีศาจพ่นออกมาเป็นสายหวังจะพันธนาการร่างของเขา
             ใยของพญาแมงมุมที่เหนียวหนับยึดปลายดาบของเขาเอาไว้แน่นจนดึงไม่หลุด มาซาฮารุร่ายเวทอีกครั้ง เรียกเตโชธาตุในตัวให้มาสถิตอยู่ที่ใบดาบ ทำให้ดาบของเขาร้อนจัดประหนึ่งตีขึ้นจากอัคคี และสามารถหลอมใยสีขาวที่รัดรึงอยู่ให้กลายเป็นของเหลวหลุดออกไปได้ในที่สุด
             พญาแมงมุมขยับเขี้ยวคมกระทบกันดังกริก ๆ เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ แล้วพุ่งเข้าหาศัตรูของมันเพื่อฝังเขี้ยวและปล่อยพิษร้ายแรงเข้าสู่ร่างกายของศัตรู มาซาฮารุยกดาบขึ้นรับ พยายามต้านแรงอันมหาศาลที่โถมใส่อย่างเต็มที่ งานนี้เขาแพ้ไม่ได้
             ชายหนุ่มฉีกตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่คมเขี้ยวของแมงมุมปีศาจงับเอาดินขึ้นมาทั้งกระบิ พิษร้ายของมันเหมือนน้ำกรดกัดผิวดินจนเกิดเป็นฟองฟู่อย่างน่าขนลุก
             มาซาฮารุดึงกระดาษออกมาเสกจิ้งจอกเพลิงอีกครั้ง แล้วใช้มันเป็นตัวล่อสร้างความพะวักพะวนให้แก่ศัตรู เปลวไฟมนตราจากตัวของมันติดตามปล้องขาทั้งแปดของพญาแมงมุม แม้ไม่อาจเผาให้เป็นจุณได้ แต่ก็สามารถสร้างความแสบร้อนจนแมงมุมตัวใหญ่เต้นเร่าออกมาพ้นจากวงใยที่แผ่กว้าง เปิดโอกาสให้นักปัดรังควานหนุ่มใช้ดาบคู่กายฟันฉับตัดเขี้ยวทั้งสองขาดกระเด็นโดยไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะติดกับดักใยแมงมุม
             พญาแมงมุมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ตวัดขาเปะปะหวังให้ฟาดถูกร่างศัตรูจนแหลกเละ แต่มาซาฮารุไวกว่าแมงมุมปีศาจที่โกรธจนเลือดเข้าตา คมดาบของเขาฟันขาเป็นปล้องของมันขาดหลุดจากตัวอันใหญ่โตมโหฬาร
             แมงมุมปีศาจไถลเถลือกไปตามพื้นด้วยความทรมาน ก่อนจะแน่นิ่งสนิทหลังจากที่มาซาฮารุกดดาบลงไปบนหัวสีดำสนิทของมันจนมิดด้ามแล้วแหวะจนเหวอะหวะรุ่งริ่ง พญาแมงมุมตัวใหญ่ที่น่าหวาดประหวั่นคงเหลือเพียงซากร่างที่ไร้ชีวิต นักปัดรังควานหนุ่มใช้จิ้งจอกเพลิงของตนพ่นไฟเผาซ้ำอย่างคนไม่ประมาท
             “มาซาฮารุซัง!”
                 ชายหนุ่มหันขวับตามเสียงเรียกชื่อโดยอัตโนมัติ ร่างเล็กของมิซากิกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเขา
                 “คุณไม่เป็นอะไรนะคะ”
                 “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้เธอออกมานอกเขตแดน!”
                 มิซากิไม่กลัวเสียงตวาดของชายหนุ่มแม้แต่นิดเดียว เพราะอ้อมแขนของเขารัดร่างหล่อนแน่น ตรงกันข้ามกับน้ำเสียงที่ใช้อย่างสิ้นเชิง หญิงสาวหัวเราะเสียงใส กอดตอบชายหนุ่มแน่นไม่แพ้กัน
                  เมื่อพญาแมงมุมพ่ายแพ้ อาณาเขตของมันที่ครอบทับสถานที่แห่งนี้เอาไว้ก็พังทลายลงอย่างเด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ใต้พลังอำนาจของมันก็กลายเป็นอิสระ ประตูหน้าบ้านแบบญี่ปุ่นที่เคยถูกยึดครองเป็นรังแมงมุมอยู่นานหลายปีค่อย ๆ เปิดออก
                  มิซากิผละอออกจากอ้อมกอดของมาซาฮารุ น้ำตาคลอเต็มสองตาของหล่อนเมื่อเห็นร่างแบบบางในชุดกิโมโนที่ตามหามาเนิ่นนานเดินช้า ๆ ออกมาพ้นประตู
                   “คุณยายคะ!” หญิงสาวร้องพลางโผเข้าไปหา
                   แม้จะอยู่ในสภาวะที่แตกต่าง แต่มนุษย์และวิญญาณทั้งสองก็จับมือกันด้วยความยินดี น้ำตาไหลริน
                   “ขอบใจมากนะจ๊ะมิซากิ” วิญญาณของ ‘คุณยาย’ พูดอย่างอ่อนโยน
                   “หนูดีใจที่ช่วยคุณยายได้และได้พบกับคุณยายอีกครั้ง หนูดีใจจริง ๆ ค่ะ”
                   “ขอโทษนะจ๊ะที่ไม่ได้ล่ำลาอย่างที่ควรจะทำ”
                   “โธ่ ก็คุณยายถูกแมงมุมจับขังไว้นี่คะ มันช่วยไม่ได้นี่ หนูไม่เคยโกรธเลย แต่หนูคิดถึง... คิดถึงคุณยายมาก หนูอยากเจอคุณยายอีกสักครั้ง”
                   มิซากิปาดน้ำตาด้วยความตื้นตันใจและมีความสุข ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบกิ่งไม้แห้งที่ทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีขึ้นมาชูอวด
                    “คุณยายบอกว่าดอกไม้จะบานใช่ไหมคะ”
                    วิญญาณของหญิงชรายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลูบหน้าหญิงสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู สัมผัสของวิญญาณเย็นเฉียบ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
                    “ขอบใจนะจ๊ะที่ยังเก็บเอาไว้”
                    “มันเป็นของสำคัญของหนูนี่คะ หนูรอมาตลอด คิดว่าวันไหนที่มีดอกไม้ผลิบานจากกิ่งไม้กิ่งนี้ หนูจะได้เจอคุณยายอีกครั้ง”
                    “ดอกไม้บานแล้วล่ะจ้ะ ตั้งแต่หนูได้พบกับใครบางคนที่สำคัญต่อชีวิต” ยายฮานาโกะพูดพร้อมกับหันไปมองมาซาฮารุ ชายหนุ่มจึงก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างมิซากิ
                    “เห็นไหมจ๊ะ ดอกไม้บานแล้ว”
                    ดอกไม้บานจริง ๆ!
                    ปุ่มตาบนกิ่งไม้เหี่ยวแห้งบัดนี้กลายเป็นดอกไม้กลีบเล็ก ๆ สีชมพูอ่อนหวานเบียดชูช่อกันอยู่อย่างมหัศจรรย์ มิซากิน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง มือใหญ่แข็งแกร่งของชายหนุ่มผู้ที่เคยแต่จับดาบสู้รบฆ่าฟันภูตผีปีศาจจึงเอื้อมมาโอบบ่าเพื่อเป็นกำลังใจ
                    วิญญาณของยายฮานาโกะยิ้มเยียบเย็น แตะปลายนิ้วลงบนกลีบดอกไม้อย่างนุ่มนวล
                    “และมันจะบานอยู่ตลอดไป”
                    เสียงของวิญญาณแผ่วเบาดุจสายลม ร่างกายของหญิงชราในชุดกิโมโนก็ค่อย ๆ จางลงจนแทบจะเลือนหายไป
                    “คุณยายจะไม่อยู่กับหนูก่อนเหรอคะ” มิซากิรู้สึกใจหาย
                    “ถึงเวลาที่ยายต้องไปแล้วจ้ะ ยายอยู่มานานเกินไปแล้ว ห่วงก็แต่ยังไม่ได้ลาหนู แต่ตอนนี้ยายหมดห่วงแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องไปเสียที จริงไหมล่ะ คุณนักปัดรังควาน”
                    มาซาฮารุก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แต่ไม่ตอบว่าอะไร มีเพียงมาซากิเท่านั้นที่ร้อนใจ อ้อนวอน
                    “หนูยังไม่อยากให้คุณยายไป คุณยายคะ ตอนนี้หนูทำอาหารเก่งขึ้นแล้วนะ หนูอยากทำให้คุณยายกิน”
                    “แค่โอนิงิริตอนนั้นก็พอแล้วล่ะจ้ะ” วิญญาณหญิงชราตอบ “ขอบใจมากนะจ๊ะที่ทำให้ยายกิน อร่อยมาก ยายดีใจมากจริง ๆ”
                     ร่างวิญญาณของยายฮานาโกะจางลงอีก สุดท้ายก็เลือนหายไป ฝากไว้เพียงคำพูดคำเดียว
                     “ซาโยนาระ...”

                     ดอกไม้ไฟ งานออกร้าน และชุดยูกาตะคือสัญลักษณ์ของหน้าร้อน
                     มิซากิเป็นคนหนึ่งที่เฝ้ารอเทศกาลนี้ทุกปี หล่อนจะแต่งชุดยูกาตะลายดอกไม้สีชมพู รวบผมเกล้าขึ้นเป็นมวย ปักปิ่นรูปดอกไม้ และถือกระเป๋าผ้าพิมพ์ลายใบเล็ก หญิงสาวชอบมองดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นฟ้าติด ๆ กัน มันจะแตกออกเป็นเส้นสีต่าง ๆ สวยงามเหมือนดอกไม้บาน ทุกปีหล่อนจะมาชมดอกไม้ไฟกับเอมิ แต่ปีนี้เพื่อนของหล่อนยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หากหญิงสาวก็ไม่ต้องหงอยเหงาดูดอกไม้ไฟอยู่คนเดียว
                     ชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ หล่อน เขาใส่ชุดยูกาตะสีเข้ม ไม่ได้ถือดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวและไม่มีกระดาษสำหรับเสกชิกิงามิติดตัว นักปัดรังควานหนุ่มของศาลเจ้ากลายเป็นชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งในค่ำคืนนี้
                      “เอ่อ... ดอกไม้ไฟสวยดีนะ”
                      มาซาฮารุทำลายความเงียบด้วยประโยคที่คิดว่าเข้ากับบรรยากาศดีแล้ว แต่ทำไมพอหลุดออกมาจากปากของเขา มันกลับกลายเป็นคำพูดที่ฟังไม่เข้าท่าเลยสักนิด
                      มิซากิหัวเราะคิกเบา ๆ ตอบรับว่า
                      “ค่ะ ดอกไม้ไฟสวยมาก”
                      มาซาฮารุเกาหัว ไม่รู้จะพูดอะไรกับหญิงสาวต่อดี เขารู้สึกว่าตัวเองเงอะงะงุ่มง่ามไปถนัด ให้ไปต่อกรกับพวกภูตพรายปีศาจร้ายยังจะง่ายกว่า แต่เขาไม่อาจประวิงเวลาได้อีกต่อไปแล้ว ซองจดหมายที่เก็บเอาไว้ในเสื้อคอยทิ่มแทงให้เขารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
                      “คันโจโคเอน บ้านเกิดของคุณเป็นยังไงบ้างคะ เล่าให้ฉันฟังอีกได้ไหม”
                      มิซากิกลายเป็นฝ่ายถามแทน หล่อนเปิดประเด็นราวกับจะรู้ใจเขา
                      “สวยมาก”
                      “สวยเหมือนกับคืนพิเศษในฤดูร้อนอย่างคืนนี้ของโตเกียวรึเปล่าคะ”
                      “สวยกว่ามาก” ชายหนุ่มตอบได้ทันที “คันโจโคเอนสวยทุกฤดูกาล หน้าร้อนท้องฟ้าสดใส แดดจัดจ้า ต้นข้าวสีเขียวเต็มท้องนา ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นสบาย ใบของต้นไม้ในภูเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดยิ่งกว่าเปลวไฟ ฤดูหนาวหิมะตกหนาห่มคลุมทั้งหมู่บ้านให้เป็นสีขาวโพลน และฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะอบอุ่น ต้นไม้ผลิใบ ซากุระบานเต็มที่ก่อนจะร่วงโรยไป”
                      “ฟังดูเป็นสถานที่ที่วิเศษเหลือเกินค่ะ”
                      “วิเศษและมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่คนจะจินตนาการไปได้ถึง” ชายหนุ่มเล่า มองหน้าหญิงสาวแทนที่จะมองดอกไม้ไฟที่แตกตัวอย่างสวยงามบนท้องฟ้า
                       “จากหมู่บ้านของเรา เดินเข้าไปในภูเขามิคามิประมาณชั่วโมงหนึ่งก็จะพบกับทะเลสาบบิวะ ทะเลสาบในสายหมอก ถ้าทัศนวิสัยกระจ่าง จะมองเห็นทะเลสาบสีฟ้าสด มีต้นไม้ไร้ใบยืนต้นสูงชะลูดเรียงรอบทะเลสาบเหมือนกับเป็นกำแพงอาณาเขต เหนือขึ้นไปจากทะเลสาบเป็น...”
                       มาซาฮารุชะงักคำบอกเล่า มิซากิจึงละสายตาจากท้องฟ้ามามองเขา ถามว่า
                       “เป็นอะไรคะ”
                       พรายยิ้มบนใบหน้างดงามของหล่อนทำให้เขาถอนใจน้อย ๆ คล้ายยอมรับทุกอย่าง ก่อนเล่าต่อ
                       “เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอสูรและภูตพรายที่อยู่ใต้อำนาจปกครองของมังกรขาว”
                       “มังกรหรือคะ” มิซากิดวงตาเป็นประกาย
                       มาซาฮารุพยักหน้า
                       “ท่านมิโคโตะปกครองดินแดนด้านในของภูเขามิคามิ พำนักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สีขาวชื่อว่า ฮะคุริว มนุษย์กับอสูรแห่งภูเขามิคามิมีข้อตกลงร่วมกันมานานแสนนานว่า ทั้งสองเผ่าพันธุ์จะอาศัยอยู่ในอาณาเขตของตัวเองและไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน”
                       “แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกอสูรไหมคะ” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ชายหนุ่มทำหน้าเมื่อย จำต้องพยักหน้า
                       “ก็เป็นไปได้ อสูรบางตัวก็ดันชอบพูดคุยกับมนุษย์ ดัดจริตทำมาค้าขาย กระทั่งมังกรขาวเอง ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็พอจะพูดจาตกลงกันได้”
                        “วิเศษไปเลยค่ะ ฉันอยากไปที่หมู่บ้านของคุณจังเลย”
                        “ฉันก็อยากให้เธอไปเหมือนกัน”
                        ชายหนุ่มกับหญิงสาวยิ้มให้กัน มาซาฮารุเพียงแค่อมยิ้มน้อย ๆ ขณะที่มิซากิยิ้มสดใส หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้ไม่มีดอกไม้ไฟแล้ว แต่หล่อนก็ยังจำความสวยงามของมันได้ติดตา
                        เหมือนดอกไม้บาน... สวยงาม
                        สวยไม่ผิดแผกไปจากดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ในหัวใจของหล่อน

- จบ –




จบเรื่องพ่อกับแม่ นักปัดรังควานผู้เข้มขรึมกับสาวน้อยผู้ร่าเริงไปแล้ว ถ้าใครอยากอ่านเรื่องอลเวงของรุ่นลูกและเหล่าภูตพรายกับมังกรขาว ติดตามได้ต่อใน "ภาพลวงตาของปีศาจ" https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52402.0 

ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
Mettnoon

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
สวัสดีค่ะ

Mettnoon กลับมาเปิดเพจใน facebook อีกครั้งแล้วนะคะ
ทางสายดอกพริมโรส https://www.facebook.com/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AA-100683698257541/?modal=admin_todo_tour
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ตอนนี้นุ่นกำลังทำ Ebook ขายอยู่ที่ Fictionlog ก็มีอยู่สามเรื่องนะคะ
บนทางรัก
คู่อริที่รัก (ตอนพิเศษ)
Misaki: วันที่ดอกไม้บาน (ตอนพิเศษของภาพลวงตาของปีศาจ)
และกำลังจะเอาตอนพิเศษตอนอื่น ๆ ของภาพลวงตาของปีศาจลงทำเป็น Ebook ด้วย ยังไงก็ฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้นุ่นด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
แจ้งข่าวค่ะ ตอนนี้ “ภาพลวงตาของปีศาจ” มีวางขายเป็น ebook ที่ meb แล้วนะคะ
ขอฝากทุกท่านที่ชื่นชอบช่วยไปซื้อหามาอ่านกันด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ mettnoon ด้วยค่ะ

คลิกที่นี่เลย
 http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODcyMiI7fQ

เรื่องตอนพิเศษอีกสองเรื่องใหม่ก็จะทำเป็นอีบุ๊กให้อ่านกันด้วย เปิดให้ซื้อได้เมื่อไหร่จะมาแจ้งนะคะ
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
แจ้งข่าวเพิ่มเติมค่ะ

ภาพลวงตาของปีศาจและตอนพิเศษสามตอน มีสองตอนที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนด้วยนะคะ มีขายแล้วที่ Meb เป็น Ebook ค่ะ
อุดหนุนนุ่นด้วยนะคะ พลีสสสสสสส
ซื้อเถอะ ไหว้ละ  :hao5:

ตอนพิเศษใหม่ "ตำนานมังกรคู่ทะเลสาบ"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODczOCI7fQ

ตอนพิเศษใหม่ "เพลงอำลา"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODczNiI7fQ

ตอนพิเศษ "วันที่ดอกไม้บาน"
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzYwODY4NCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODY3NSI7fQ

ขอบคุณค่ะ
Mettnoon
12 Apr 2020

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด