[8]
พยายามขยุกขยิกเป็นการบ่งบอกว่าให้ผละกายออกห่าง แต่สื่อสารกับเจ้าตี๋ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าข้าต้องการเช่นไร จนต้องส่งเสียงกรีดร้องดัง “กี๊สสสส !” อีกฝ่ายถึงจะยอมลุกออกจากตัว
ไอ้เจ้าคนไม่เต็มบาท ! ข้าอยากจะด่าเหลือเกินนัก ว่าทับลงมาบนตัวของข้าโดยไม่ตระหนักถึงน้ำหนักที่ตนเองพึงมีเลยสักนิด ละเมอเพ้อพกว่าเป็นขนนกที่ร่วงหล่นหรือไงกัน ทั้งที่รูปร่างก็เหมือนหมีควายในป่าเขาซะเหลือเกิน
ช่างน่าตบกบาลให้แยกเป็นสองท่อน ! ตกลงจะเค้นคำตอบออกจากปาก หรือลักลอบฆ่าข้าทางอ้อมกันแน่ !
“เป็นอะไรครับ ?” เจ้าตี๋ทำหน้าฉงนเอ่ยถาม ข้าก็ได้แต่ตวัดตามองคนตัวโตที่ใช้ฝ่ามือดันบนฟูกเตียง ช่วงแขนยาวเหยียดตึงอยู่ที่ข้างลำตัว ข้าจึงกระถกตัวขึ้น ใช้ปลายครีบข้างล่างดีดตัวบนผืนผ้า ครั้นผละออกจากร่างกำยำที่เคยขึ้นคร่อมก็พลิกตัวหันมาจ้องประจันหน้า
“ตัวเล็ก…”
โอ๊ยยยย เรียกเก่งยิ่งนัก ชาติก่อนเป็นอีลูกช่างเรียกใช่ไหมห๊ะ ! อีลูกช่างเรียก !
ข้าเริ่มตาเขม่น แต่พอเห็นริมฝีปากที่มีท่าทางจะเอื้อนเอ่ยตั้งคำถามซ้ำ ๆ วน ๆ ข้าจึงยกครีบอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่กระดาษสีขาวที่เจ้าตี๋กุมเอาไว้จนยับยู่ยี่
อยากรู้คำตอบนักก็พร้อมจะแถลงไข ข้าเองก็ไม่คิดจะปิดบังหรอกนะ มีเจ้ารับรู้มันก็ดีอยู่อย่าง ข้าจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงอยู่ภายในใจ วันดีคืนดีนึกอยากด่าก็ใช้ดินสอมาขีดเขียนโต้ตอบกับคนทะลึ่งตึงตัง ส่วนวันไหนอยากทำอะไรก็มีอีกฝ่ายคอยรับรู้ เผลอๆ อาจจะได้สุขสบายกว่าวันนี้ไปมากโข เพราะทุกวันนี้ก็ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก ถึงแม้เจ้าตี๋จะโง่งมไปสักหน่อย แต่ก็น่าเชื่อถือประมาณหนึ่ง ไม่นับรวมกับความคิดวิปริต
ไหนๆ ก็รู้ละ อีกทั้งเจ้าตัวก็สังเกตการกระทำของข้ามาหลายครั้งหลายครา วันนี้จะยอมบอกให้เอาบุญ
ข้ายังคงชี้ไปที่กระดาษที่เคยใช้ถ้อยคำหยาบโลนลงไป คาดหวังให้เจ้าหมอนี่ไปหาสิ่งของพรรค์นี้มาเพื่อเจรจา เผื่อพวกเราสองคนจะได้โต้แย้งกันไปมาในระหว่างสื่อสารกันได้สะดวก แต่ทว่าเจ้าตี๋กลับมีสมองที่ตื้นเขิน ยื่นกระดาษสีขาวมาวางตรงหน้าของข้าแทน
แถมยังมีหน้ามาพูดว่า…
“อยากได้อันนี้เหรอครับ ?”
โอ๊ยยยยย กูล่ะเบื่อ !!
“อุ๋งงงง !!” ปึก ปึก ปึก ปึก !!
ข้ายกครีบตีไปที่กระดาษแรงๆ ดังระรัว จิ้มลงไปที่กระดาษด้วยความโมโห คือต้องการให้เจ้าไปเอามา
ให้ไปเอามาอะเข้าใจไหมวะ !! มันเข้าใจยากตรงไหนอีแม่เจ๊ด !!!
“อ๋อ โอเค ๆ ! ตี๋เข้าใจแล้ว !” คนตรงหน้าผงกหัวรัวแรง ท่าทีหุนหันรีบดีดตัวลุกออกจากเตียง วิ่งแจ้นไปที่โต๊ะทำงาน กวาดรื้อหาสิ่งของในลิ้นชัก ช่างดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าปกติเป็นเท่าตัว
“นี่ครับ ๆ !” เจ้าตี๋จับจ้องข้าที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงพ่นลมหายใจ ใบหน้าของเขาคล้ายมีเหงื่อชื้นไปตามกรอบหน้า พลางหอบหายใจถี่กระชั้นเพราะการเร่งรีบ ก่อนจะยื่นสมุดเล็ก ๆ เปิดอ้าออกกว้าง เผยกระดาษสีขาวที่โล่งโปร่งภายใน จากนั้นจึงหยิบปากกาและลิควิดมาวางข้าง ๆ สมุด เรียกได้ว่าแทบถวายพานมอบมาให้
เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ ข้าก็หลับตาผ่อนผันลมหายใจให้เย็นสงบ ดับไฟมาคุที่ร้อนรุ่มอยู่ภายในกาย เส้นประสาทเต้นตุบ ๆ คล้ายจะปริแตกตลอดเวลาทุกครั้งที่จะสื่อสารกับเจ้ามนุษย์ผู้นี้
อีกสักนิดหัวจะระเบิดแล้ว ขนาดของที่เอามาให้ก็ดันเป็นสิ่งที่ขีดเขียนลบล้างแก้ไขได้ยาก
‘โอ๊ย ปวดหัวอะ เจ้าไปเอายาพารามาให้ข้าแทนเหอะ ไม่อยากจะเขียนละ’ ข้าได้แต่บ่นภายในใจ ก่อนจะมองใบหน้าหล่อเหลาที่นัยน์ตาฉายชัดถึงความเปล่งประกาย มันล่อกแล่กไปมายามจับจ้องใบหน้าของข้า พินิจมองทุกการกระทำอย่างลุ้นระทึก
ข้าก้มหน้าคาบปากกาที่กดเอาไว้ให้เป็นที่เรียบร้อย พยายามใช้ครีบจับที่มุมหนังสือ ค่อยๆ บรรจงขีดเขียนถึงถ้อยคำสั้นๆ ขณะที่เหนือหัวมีเสียงลอบสูดอากาศเข้าปอดจากใครบางคน
ข้าเงยหน้าขึ้น เอาครีบดันหนังสือไปให้คนตรงหน้าที่เบิกตาโพลง มือไม้สั่นระริก หยิบหนังสือพลิกให้เห็นกระจ่างชัด หลุบสายตาลงต่ำมองตัวอักษรที่เขียนว่า… [ว่า]
“อึก ! เข้าใจจริง ๆ ด้วย ตะ ตัวเล็กเป็นผีเหรอ ?” น้ำเสียงตะกุกตะกัก ถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น
ข้าส่ายหน้าปฏิเสธกับคำพูดปัญญาอ่อน เลือกที่จะแสดงผ่านท่าทาง ก่อนจะชี้ไปที่หนังสืออีกครั้งเพื่อให้เจ้าตี๋ส่งมันมา จากนั้นจึงคาบปากกานำมาเขียนในหน้าใหม่ เสร็จปุ๊บก็ยื่นให้อีกคนตรงหน้าดังเดิม
[ตาย เกิดใหม่] ถ้อยคำกระชับสั้นๆ ให้เข้าใจ
“ทำไมถึงตายล่ะ โดนฆ่าเหรอครับ ?” เจ้าตี๋ที่ก้มลงมาดูตัวอักษรภายในเสี้ยววิก็รีบเอ่ยถาม แหงนหน้ามองข้าที่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ช่างจินตนาการเลิศเลอยิ่งนัก คิดได้ไงโดนฆ่าตัวตาย คิดว่าการที่ข้าได้เกิดใหม่เพราะแรงอาฆาตอย่างงั้นหรือ ? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงมีเหตุผลอยู่เปาะหนึ่ง เพราะในนิยายหลายเรื่องได้วนลูปกลับมาแก้ไขในอดีต แต่ตัวข้านั้นกลับไร้เหตุผลยิ่งนัก ทุกวันนี้ยังหลับตาตั้งคำถาม เหตุไฉนถึงต้องเกิดมามีชะตาเช่นนี้ โดยยังมีความจำเฉกเช่นเดิมทุกประการ
สวรรค์ก็ไม่ได้ขึ้น นรกก็ไม่ได้ไป สรุปกูดีหรือชั่วกันแน่ถึงได้เกิดเป็นสิงโตทะเล…
“ประสบอุบัติเหตุ ?” เจ้าตี๋พูดคาดเดา ซึ่งครั้งนี้ข้าเองก็แอบเงียบภายในเสี้ยววินาที เพราะรู้สึกอนาถใจกับการดับสูญของตนเองยิ่งนัก เลยเลือกที่จะพยักหน้ารับแต่ไม่ขออธิบาบใด ๆ เพิ่มเติม
เฮ้อออ เป็นคนดีของสังคม แต่โดนรถยนต์จากอีกเลนกระแทกชนตายเพราะการถูกผลัก ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก อดไม่ได้จะลอบถอนหายใจ โดยมีเจ้าตี๋มองทุกสีหน้าและการกระทำ
“ทำไมถึงเกิดเป็นสิงโตทะเลล่ะ ?” ยังคงถามจ้ำจี้เหมือนเจ้าหนูจำไม ข้าก็ส่ายหน้าสองสามทีเป็นการบ่งบอกว่าไม่รู้เช่นกัน แต่ชักจะรำคาญกับอีลูกช่างถาม
‘คิดเองเก่ง เออเองเก่ง อ๊องเองเก่ง… เก่ง !’ ข้าอยากจะใช้คำพูดเหมือนมารีญาในเดอะเฟซเหลือเกินนัก
ถามมากขนาดนี้ข้าคงตอบได้ทุกข้อที่ตั้งแง่กระมัง ไอ้ห่านจิก !
ฉับพลันเจ้าตี๋ก็โน้มกายลงมา อิริยาบถที่เคยใช้ท่านั่งขัดสมาธิก็แปรผันเป็นนอนคว่ำหน้า เหยียดขาและลำตัวออกจากปลายเตียง
ข้ากระพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อเหลาที่เห็นทุกอณูรูขุมขน บัดนี้เข้ามาใกล้ระยะประชั้นชิด จนข้าต้องปรอยตามองริมฝีปากที่กำลังเค้นยิ้ม
เจ้าตี๋ท่าทางผ่อนคลายลงจากเมื่อครู่ คล้ายมีความสุขนักหนา พานให้หัวใจของข้าสั่นไหวกับรอยยิ้มจนเห็นถึงความหล่อเหลาอย่างเต็มเปี่ยม ทบทวีมากยิ่งขึ้นกับถ้อยคำที่ทั้งทุ้มละมุนในการซักถาม
“ตัวเล็กเป็นใครเหรอครับ ?”
“…”
“ตี๋อยากรู้จักคุณจัง”
ตึกตัก หัวใจของข้ามันดังกว่าปกติ บีบแน่นและผ่อนคลายลงจนรับรู้ได้ถึงความสั่นสะเทือน ดั่งกลองที่ตีสนั่นหวั่นไหวให้มันกึกก้อง กระนั้นกลับแจ่มชัดในโสตประสาท ใบหน้าก็เห่อร้อนเหมือนมีลิ่มเลือดกำลังสูบฉีดมาหล่อเลี้ยงไปทั่วบริเวณ พลอยให้หายใจติดขัด ไม่เคยชินชาเลยสักครั้งกับความอบอุ่นที่จ้องมองมา
ข้ารีบก้มหน้างุด แต่เจ้าตี๋ดันแอบยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะมีความสุข
“จริงๆ แล้วตัวเล็กชื่ออะไรเหรอ ?” ยังคงถาม
ข้าแหงนหน้ามองแค่วูบเดียวและก้มลงไปคาบปากกาขึ้นมาใหม่ โดยมีเจ้าตี๋ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงที่มุมกระดาษพลิกสลับไปอีกหน้า
ข้ารู้ดีว่าถ้าหากครั้งนี้ตอบแค่ชื่อเฉยๆ ไอ้คนที่ถามไม่หยุดหย่อนก็คงถามต่อขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าการเขียนโดยใช้ปากมันยากเย็นขนาดไหน ครั้งนี้ข้าจึงพยายามอย่างมากในการลากตัวอักษร
ทว่า ตัวข้านั้นกลับรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของใครบางคนที่เริ่มอยู่ไม่สุข ก้มหน้าดูในบางจังหวะ พรูลมหายใจอุ่นร้อนที่ข้างใบหน้า สนอกสนใจทุกอิริยาบถของข้าในการเคลื่อนไหว
ข้าเหมือนถูกเจ้าตี๋ลวนลามในเชิงอ้อม ยิ่งโดยเฉาะตอนลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ข้างใบหน้า เสมือนหยอกเย้ารังแกข้าก็ไม่ปาน
“น่ารักจัง”
ก็ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงขยันปากหวานยิ่งนัก ข้าเลยเลือกที่จะมองข้ามคารมคมคายของคนที่จ้องอยู่ตรงหน้า ทั้งที่หัวใจของข้าเองก็เริ่มสั่นคลอนกับถ้อยคำที่สรรหา หวั่นไหวกับสีหน้าหล่อเหลาและประโยคดังกล่าว ครั้นเสร็จสิ้นการขีดเขียนก็ใช้ครีบดันไปโดนแขนของใครอีกคน
ข้าไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่สมัยอดีตชื่อของข้าเองก็คล้ายคลึงกับที่เจ้าตี๋มอบมาให้
[ชื่อเล็ก เกิด 22 /3/ 2544]
“หืม” อีกฝ่ายที่จับหนังสือพลิกมาดูถึงกับครางทุ้มในลำคออย่างแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้ามามองข้าและยิ้มกว้างเจิดจรัส คล้ายหลอกล่อให้ไปตกอยู่ในภวังค์
“สงสัยฟ้าคงลิขิต เล็กถึงได้ชื่อเหมือนเจ้าตัวเล็กอย่างที่ตี๋ตั้งให้…”
อ๋อเหรอ แต่ข้าไม่เห็นด้วยเลยสักนิดเดียว เกรงว่ามันจะเหมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใดซะมากกว่า
“ตัวเล็กชอบอะไรเหรอ เอ่อ ตี๋หมายถึงชอบทานอะไร ชอบอะไรเป็นพิเศษ ?” เจ้าตี๋ดันสมุดกลับมา ข้า จึงแหงนหน้ามองบนเพดานอย่างเหม่อลอยเพื่อหาคำตอบ ระลึกถึงสิ่งที่ชอบ ครั้นนึกได้จึงก้มลงไปลากตัวหนังสือ
[ชอบเค้ก ฟังเพลงของ Blackpink* และดูหนัง] ข้าดอกจันเน้นๆ ในสิ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ
หึ ถึงเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นติ่งเกาหลี ข้าก็ภาคภูมิใจ ก่อนจะจากลาโลกข้ายังไม่ได้ฝากลาถึงลิซ่าเลยสักนิด อยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่าลิซ่าน่ารักคึกคักเวลานางเต้น
“โอเค ตี๋จะได้รู้ไว้ แล้วตัวเล็กมีอะไรที่ไม่ค่อยชอบบ้างไหมครับ ?” อีกฝ่ายดูไม่แปลกใจเลยสักนิด บ่งบอกให้ข้ารับรู้ว่าเจ้านี่ไม่ค่อยตามกระแสสักเท่าไหร่
ส่วนคำถามที่ว่ามีอะไรที่ข้านั้นไม่ค่อยจะชอบกันบ้างไหม ข้าก็อยากอ้าปากพูดทันทีเลยว่าเยอะมาก ทั้งที่หัวข้อก็มีแค่ประการเดียว
ข้ารีบก้มลงไปจรดปากกาใส่กระดาษโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด ถึงแม้ในใจอยากจะนึกก่นด่ากับอีลูกช่างถาม ครั้นมาถึงคำถามเช่นนี้ ตัวข้าเองกลับกระตือรือร้นยิ่งนัก รีบฉีกยิ้มกับผลงาน ดันสมุดไปให้เจ้าตี๋อ่านอย่างภาคภูมิใจ
สิ่งที่ข้าไม่ชอบมากๆ นั่นก็คือ…
[มึงไง]
เจ้าตี๋ขมวดคิ้วมุ่น ชักสีหน้าไม่พอใจในทันที วินาทีต่อมาจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ผม ?” ย้ำชัดกับคำตอบที่ได้รับ ข้าจึงพยักหน้ารับบ่งบอกว่าใช่…
ใช่ มึงล้วนๆ นั่นคือสิ่งที่ข้าไม่ค่อยจะชมชอบ
“อาห์” เจ้าตี๋ขานรับอย่างหลุดออกจากห้วงความคิด แต่สายตานั้นผิดแปลกจนน่าหวาดกลัว ราวกับเหยี่ยวที่พินิจสัตว์อตัวจ้อย
ข้าขนลุกซู่ ครีบที่เคยยันตัวเองไว้เริ่มลอยขึ้นเรื่อยๆ พลันหดคอหนีจากชายหนุ่มที่ชะโงกหน้าเข้ามาหา ทำให้ตัวของข้านั้นเอนหลังล้มไปนอน เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าตี๋ใช้แขนยันตั่งเตียง ฝ่ามือแตะไต่บนผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ พลางใช้ท่วงท่าพิศวาสเหมือนหนุ่มเจนจัดเข้ามาขึ้นคร่อม ฝ่ามือระนาบอยู่ที่ข้างลำตัวคล้ายกักเก็บบริเวณ เอื้อนเอ่ยตั้งคำถามถึงสาเหตุที่เคยทิ้งท้าย
“ทำไมล่ะ…” เจ้าตี๋เว้นจังหวะ พลางเอียงหน้าเล็กน้อย มุมปากแอบกลั้นยิ้มแต่ท้ายที่สุดก็ผลิให้เห็นถึงความมาดร้ายชวนทะเล้น
“ทำไมถึงไม่ชอบตี๋ล่ะครับ ?”
ถ้อยคำไม่เท่าไหร่ แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นราวกับหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่พร้อมขย้ำหากคำตอบไม่เป็นที่พอใจ อีกทั้งปลายนิ้วทั้งห้ายังถอดหมวกปาร์ตี้แหลมๆ ออกจากศีรษะของข้า เหลือทิ้งไว้แค่กระโปรงสีชมพูที่ข้าไม่สามารถเอาออกได้ด้วยตนเอง
แม้การกระทำของเจ้าตี๋จะเหมือนนึกเอ็นดู แต่รอยยิ้มนั้นแฝงถึงความไม่ชอบมาพากลสิ้นดี
ช่างไม่น่าไว้วางใจ ! ชักอยากจะโทรหาจิตแพท์เหลือเกินนักว่าคนไข้อาการกำเริบอีกแล้ว
อีตี๋ อีผู้ชายเฮงซวย ! ใช้ท่าทางแบบนี้มันเหมือนจะขืนใจข้าชัดๆ รู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นตัวผู้ ร่างกายก็ไม่ใช่คน แต่คิดจะสมสู่ไม่เว้นกระทั่งสัตว์ !
สาระเลววววว ออกไปเลยนะ ก่อนที่ข้าจะโทรเรียกอีย้อยกับอีแย้มมาด่าเจ้า !
ข้ารีบหันหน้าอย่างว่องไว หวังจะใช้ฟันกัดแทะที่เรียวแขน ส่งผลให้เจ้าตี๋ส่งเสียงเหวอรีบเหวี่ยงแขนหลบอย่างเฉียบพลัน มีหน้ามาหัวเราะพูดจาเยาะเย้ยอีกต่างหาก
“ฮ่าๆ ไม่โดนคระ…”
อ๋อ เหรอจ๊ะ ?
เพี๊ยะ !
ข้าใช้ครีบตบไปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง แต่มันไม่สาแก่ใจอีช้อยนัก ความโมโหมันมีมากกว่า ครีบข้างซ้ายจึงตามมา สลับสับเปลี่ยนไปซ้ายทีขวาทีดังเพี๊ยะๆๆ สีผิวคร้ามแดดของเจ้าตี๋บนใบหน้าจึงฉายริ้วถึงความแดงเถือกที่ข้างแก้ม
“อึก ! เจ็บครับ” เจ้าตี๋รีบถอยหน้าออกห่าง ยกฝ่ามือขึ้นมาลูบแก้มที่ถูกตบ
ข้าฉุนเฉียวรีบพลิกกายลุกขึ้นบนตั่งเตียง ส่งเสียงคำรามกรีดร้อง ปากอ้าออกกว้าง กระเถิบตัวอย่างรวดเร็ว คาดหวังจะกัดที่กลางลำตัวของอีกฝ่าย แต่เจ้าตี๋ก็ดันเอามือกุมส่วนสงวนอย่างว่องไว รีบลุกขึ้นออกจากเตียงโดยพลัน ไอ้สากกะเบือจึงรอดพ้นจากซี่ฟันของข้า
หน๊อยแน่ ส่งมันมาซะดีๆ นะ วันนี้แหละข้าจะกัดมันให้ขาดเป็นสองท่อน !
“กี๊สสสส”
“ตะ ตัวเล็ก” อีกฝ่ายหน้าถอดสี มองข้าที่ส่งเสียงคำรามดังลั่นห้อง พอประทุษร้ายไม่ได้จึงคลานไปหาสมุด พลิกหน้ากระดาษด้วยตนเองและคาบปากกามาขีดเขียน พอได้ในสิ่งที่พอใจก็หมุนสมุดไปอีกด้าน ก้มหน้าลงไปงับที่กลางกระดาษ ชูคอขึ้นเพื่อให้ตัวอักษรเด่นหราต่อหน้าต่อตาชายฉกรรจ์
ถ้อยคำเป็นที่ประจักษ์ชัด หยาบคายและรุนแรงถึงความก้าวร้าวอยู่ในที
ไอ้หน้าบาทาก็อยากใช้ ไอ้เชี้ยก็อยากด่า ทว่าการเขียนแต่ละคำนั้นก็ยากเย็น คิดไปคิดมาเลยรวมแม่งทุกหมวดหมู่
[อีสัตว์ !] ชัดเจนเป็นที่พอใจ เหมาะสมกับคนโรคจิต !
“ตะ ตี๋ขอโทษ ตี๋แค่อยากแกล้ง” เจ้าตี๋รีบแถลงไข สีหน้าเหมือนคนสำนึกผิด พยายามขึ้นมานั่งบนปลายเตียง ยื่นแขนเข้ามาหวังจะสัมผัส แต่ก็หลบเลี่ยงไปมาเพราะข้ายื่นหน้าหวังจะกัด
ข้าในวินาทีนี้ไม่ต่างจากแมวที่มีมนุษย์น่ารำคาญมาลูบไล้ พอถูกคะยั้นคะยออยู่บ่อยๆ จึงพยายามเอามือและเล็บข่วนสร้างรอยแผล
ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ ! ข้าหรือก็อุตส่าห์ไว้วางใจ ไม่อยากคิดมากให้น่ารำคาญว่าไม่ควรเปิดเผยถึงตัวตน หวังเพียงแค่ใช้ชีวิตสุขสบาย ครั้นลืมไปว่าเจ้ามันก็แค่ผู้ชายมักมากคนนึง !!
“ตัวเล็ก คุณกันก่อน แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าทำไมถึงไม่ชอบตี๋” น้ำเสียงง้องอนเป็นการใหญ่ ใบหน้ายังดูเครียดตึงกับความไม่พอใจที่เกิดขึ้นจากตัวข้า
“ดีกันนะ นะครับ ตี๋ขอโทษ” อีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนลง ส่งสายตาเว้าวอนเหมือนคนยอมจำนน
ข้าเสหน้าหนีไม่ยอมตอบ ก้มไปพลิกหน้ากระดาษขีดเขียนใหม่ เจ้าตี๋เลยอาศัยจังหวะยื่นปลายนิ้วมาเกลี่ยช่วงคางของข้า แต่ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา ข้าเลยต้องใช้ครีบปัดมือให้ออกห่าง
อีกฝ่ายไม่ดื้อรั้น มองข้าที่ตั้งใจเขียนประโยคถ้อยคำ ผงกหัวขึ้นพร้อมกับกระดาษที่คาบอยู่ในปาก สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาจึงเป็นใบหน้าเห่อร้อนของเจ้าตี๋ เสมือนเจ้าตัวได้หลงลืมข้อเท็จจริงบางประการ
[เจ้าช่วยตัวเองต่อหน้าข้า] ไอ้หนอนชาเขียวตัวใหญ่บึกของเจ้าน่ะ เหตุผลนี้นี่แหละที่ข้าไม่ชอบเจ้า
“อึก !” เจ้าตี๋สะอึก ใบหน้าแดงจัดจนเห็นได้ชัด ฝ่ามือยกขึ้นมาปกปิดความเขินอายอย่างรวดเร็ว แอบซ่อนไม่ให้เห็น พลางใช้ซอกปลายนิ้วมือแยกออกจากกัน เผยให้เห็นแค่เรียวตาที่วูบไหวสั่นสะท้าน
เอ๊ะ ? ไอ้คนเสียหายมันคือข้าไม่ใช่เหรอ ? แล้วเหตุใดเจ้าตี๋ถึงได้ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ถูกลวนลามแทนซะงั้น
“ตี๋ลืมสนิท” เจ้าตัวกล่าวเสียงสั่น
“…”
“ว่าตัวเล็กเห็นตี๋ทำเรื่องแบบนั้น”
ใช่ ข้าพยักหน้ารับ ว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นคือถูกต้องทุกประการ หากทว่าคำพูดต่อมา เสมือนผู้หญิงที่ถูกพรากพรหมจรรย์สิ้นดี
“อายจังเลยครับ”
“…”
“ไม่ดีเลย ตัวเล็กเห็นตี๋แก้ผ้าหมดเลย”
อ๊ากกกกก อีคนหน้าด้าน !! ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ชายไร้ยางอายเฉกเช่นเจ้าจะหน้าด้านเขินคนเป็น ! เป็นข้าต่างหากล่ะโว้ยยยยย ที่ควรได้รับความเป็นธรรม !
ในอกนั้นร้อนรุ่มและวูบไหวเต็มไปหมด ลึกๆ ก็รู้สึกใจสั่นกับท่าทางเหล่านั้น สิ่งในหัวผุดขึ้นมาคือความน่ารักที่ขัดกับรูปร่างของเจ้าตี๋ ข้าจับจ้องอีกฝ่ายที่ลดฝ่ามือลงต่ำ เผยใบหน้าแดงระเรื่อ ใช้ปลายนิ้วคัดจมูกแก้เขินและร้องขอ
“ช่วยลืมมันไปทีได้ไหมครับ”
โอ้โห ขีปนาวุธชักจรวดขึ้นฟ้าขนาดนั้น ดาวนับพันกระจัดกระจาย เห็นเต็มตาประจักษ์ชัดถึงเพียงนั้น ข้าคงลืมได้ลงหรอกกระมัง หากเล็กเหมือนกระดอแมวข้าจะไม่ว่าอะไรเลย แต่ไอ้สากกะเบือที่พร้อมจะฟาดฟันใส่คน บวกกับไรขนเหมือนป่ารกชื้น บอกตามตรง… ข้าลืมไม่ลง ! ทุกวันนี้ยังเกรงกลัวว่าจะฝันร้ายตามติด หนำซ้ำยังติดตาและในห้วงความคิดตลอดเวลา
คงลืมมันได้ก็ต่อเมื่อเจ้าตัดต้นตอของมันทิ้ง !!
ข้าสะบัดหัวไปมาเพราะอยากให้เจ้าตี๋รับรู้ว่าสิ่งที่เห็นยากเกินจะลบล้าง ถึงกระนั้นเจ้าตี๋กลับมีความคิดที่ขัดแย้งกับข้าสิ้นดี คงหลงคิดว่าท่าทางเหล่านั้นคือตัวข้าไม่อยากจะลืม
“ตัวเล็กโรคจิต แสดงว่าชอบมองของตี๋”
โอ๊ยยยยย ! ดีแต่ใหญ่เท่าสากกะเบือ แต่มีมันสมองเท่ากับปลาทอง !
ข้ารีบคลานลงจากตั่งเตียง ฉุกคิดหาทางออกกับสิ่งที่น่าปวดหัว ไม่ไหวจะทนกับความคิดที่ไม่เคยตรงกันเลยสักนิด พยายามใช้ครีบดันบานประตูเลื่อน หวังจะออกไปกระโดดฆ่าตัวตายตรงจุดชมวิว แต่ครีบนั้นไม่ได้มีแรงเทียบเท่ากับมนุษย์ อีกทั้งยังต้องปลดล็อกบานประตูอีกต่างหาก ข้าในยามนี้จึงทำได้แค่เอาหัวโขกไปมากับกระจกใสๆ ดังปั่กๆ ! พลางกรีดร้องในใจว่าอยากตาย
“ตัวเล็ก !!” เจ้าตี๋ร้องเสียงหลง รีบวิ่งมาอุ้มตัวข้า ก่อนที่จะหัวโหนกไปมากกว่านี้
การฆ่าตัวตายจึงแทนที่ด้วยการปลอบขวัญ
พอมาถึงมื้อเย็น อีกฝ่ายก็พาตัวข้าลงมารับประทานอาหารพร้อมกับครอบครัว
“ทานนี่เยอะๆ นะครับ อร่อยดี” เจ้าตี๋ยื่นไม้บาร์บีคิวมาให้ข้าที่นั่งอยู่ตรงพื้น ปลายนิ้วรูดเนื้อชิ้นเล็กๆ ลงมาใส่ถาด เพื่อเอาไม้แหลมๆ ที่เสียบค้างเอาไว้นำไปทิ้ง ล้วนเป็นการกระทำที่แสนเอาใจใส่
ข้ามองเมินไม่สนใจอิริยาบถเหล่านั้น นั่งอยู่ใกล้ตัวของเจ้าตี๋ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ข้างกายข้าก็มีเจ้าแมวมิรินกินอาหารเม็ดอยู่ ทั้งที่ในยามปกติจะให้ข้ากินแต่ปลาประทังชีวิต แต่ยามนี้เจ้าตี๋กลับยื่นอาหารบนโต๊ะมากมายสารพัดลงใส่ถาดทุกๆ ห้านาที พลอยให้คนในครอบครัวเหลือบมองคนตัวโตอย่างฉงน เนื่องจากลูกชายตัวดีเอาแต่ยิ้มหน้าบาน เอามือเท้าคางมองข้าในยามกัดกิน
ข้าแหงนหน้ามอง ส่งซิกไปที่ข้าวเพื่อบ่งบอกให้เจ้าตัวรับประทานเสียบ้าง ขืนมองแบบนี้คนอื่นอาจจะนึกสงสัยเอาได้ แต่คนตัวโตไม่ยี่หระเลยสักนิด
เออดี สงสัยวันนี้เจ้าคงไม่แดกแล้วกระมัง สรุปคนมีชีวิตอยู่รอดคือข้า ส่วนไอ้คนตายก็คือเจ้าแทนเพราะไม่ยอมทานข้าว มัวแต่ดูสัตว์รับประทานอาหาร
ถึงกระนั้นการกระทำของเจ้าตี๋ก็ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านั้น ข้าถูกอีกฝ่ายพามาอาบน้ำ ทีแรกดีดดิ้นเป็นบ้าเป็นหลัง แต่พอรู้ว่าเจ้าตี๋ไม่ได้ฉุกคิดจะอาบด้วยก็พลอยโล่งอก ปล่อยให้คนตัวโตฟอกสบู่ ชำระล้างร่างกายของข้าจนสะอาดหมดจด
“หลับตาก่อนครับ ตี๋จะเช็ดหน้าให้” อีกฝ่ายเอ่ยบอก ข้าเองก็ยอมทำตามคำสั่ง หลับตาพริ้มเพื่อให้เจ้าตี๋เอาผ้าเช็ดน้ำให้เหือดแห้ง พอสบายตัวเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวก็อุ้มข้ามานอนบนเตียง เปิดทีวีและหาหนังดูไปพลางก่อนจะล้มตัวลงนอน แต่คุยกับข้าทุกวินาที
“อันนี้ล่ะชอบไหม” เจ้าตี๋เลื่อนไปที่หนังรักเรื่องหนึ่ง ข้าจึงส่ายหน้าปฏิเสธไม่อยากดู อีกฝ่ายจึงกดรีโมทเลื่อนหาหนังถัดไป เป็นหนังแนวคอมเมดี้แทนซะงั้น
“แล้วอันนี้ล่ะครับ”
ไม่ ข้าส่ายหน้าอีกหน ส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก จนเจ้าตี๋ต้องไปหมวดหนังระทึกขวัญ ส่งผลให้ข้าสะดุดกึก มองคนหล่อเหลาที่นอนอยู่ข้างๆ ณ ตอนนี้เอียงหน้าหันมามองข้าที่อยู่ห่างไม่เกินคืบ
“หรือจะดูหนังฆาตกรรมล่ะ ตี๋ก็แอบอยากดูหนังแนวไล่ฆ่ากันนะ ตัวเล็กพอจะมีเรื่องสนุกๆ ลุ้นระทึกบ้างไหมครับ ?”
สนุกๆ เหรอ ?
ข้ากลอกตามองบน ก่อนจะก้มหน้าลงไปงับปากกาที่วางเอาไว้ตรงหน้า เสนอไอเดียรายชื่อหนังสยองขวัญตามโจทย์ที่เจ้าตี๋ต้องการ
ชอบแนวไล่ฆ่ากันสินะ ได้ ! ระทึกขวัญนักใช่ไหม อาห์ ได้เลย ! อันนี้แหละตรงโจทย์ที่สุด !
ข้าหมุนกระดาษ ใช้ปลายครีบดันสมุดจนไถลไปกับผืนผ้า พลางจับจ้องใบหน้าคมคายที่ก้มลงมามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่งคำตอบเสนอชื่อหนังสยองขวัญที่ชวนลุ้นระทึก
ข้ารับประกัน เจ้าลุ้นทุกตอน เพราะไล่ฆ่ากันทั้งเรื่อง…
[Tom & Jerry]
หนังน่ากลัวที่สุดที่เคยมีมา
และข้าก็ได้ดูสมใจอยาก นอนดูด้วยความขบขัน ขณะที่คนข้างกายเหล่มองข้าตลอดเวลา ลอบอมยิ้มกับเสียงหัวเราะอุ๋งๆ ของข้าตอนดูแมวกับหนูไล่ฆ่ากัน
“อาห์ เป็นเด็กติดการ์ตูนนี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยกับสิ่งที่เห็น แต่ข้าไม่สนใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับฉากตลกของตัวการ์ตูน
“ตี๋ลืมเลย เจ้าตัวเล็กมาจากที่ไหนเหรอ ?” จู่ๆ คนข้างกายก็เอ่ยคำถามขึ้นมาอีกข้อ ทำให้ข้าต้องหยุดดูหนัง หันมามองเจ้าตี๋ที่ยิ้มละมุนละไม
ช่วงนี้ขยันยิ้มนักนะ ถึงข้าจะรู้ว่าเจ้าหล่อมากแค่ไหนก็ตามที
“แบบ จังหวัดที่ตัวเล็กเกิดน่ะครับ ?”
ข้าเงียบ เสมองการ์ตูนที่ยังสนุกไม่หาย พลันนึกกวนประสาทจึงก้มลงไปโต้ตอบใส่สมุด
[เกิดที่ตาคลี]
“เอ๊ะ ตาคลี ?” เจ้าตี๋มีใบหน้างงงวยจนข้านึกตลก รีบยกครีบเป็นการส่งห้ามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายปริปากตั้งคำถาม ก้มลงไปงับปากกาเขียนในหน้าใหม่ เสร็จแล้วก็จิ้มให้เขาสนอกสนใจ กับถ้อยคำยาวเหยียดเป็นประโยคพรรณนา เสมือนเนื้อร้องก็ไม่ปาน
[ตาคลี ตาคลี รุ้มบ้า !! ตี๊ดๆ ดื่อ ดื๊อ ~]
ข้าหยัดกายขึ้น แอ่นอกขึ้นสูงพร้อมกับครีบเบื้องหน้า ขยับเต้นเป็นจังหวะตามมุกเนื้อเพลงTaki taki ของดีเจสเนก แต่ชายข้างกายกลับมองด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่เก็ทมุก ปล่อยให้ข้าที่เต้นเชคไปมาเหมือนคนบ้า
ข้าจึงหยุดเล่นมุกที่มีคนตามไม่ทัน หลงลืมไปว่าเจ้าตี๋ไม่เคยตามกระแสบนโลกออนไลน์
“ตัวเล็กทำอะไรอะ” อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ เห็นดังนั้นข้าก็เขินยิ่งนัก รีบเดินไปที่หัวเตียง คาบผ้าห่มคลุมโปงล้มตัวลงนอนในทันที นึกก่นด่าอีกฝ่ายภายในใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายขายขี้หน้า พลันสะดุ้งโหยงเมื่อเรียวแขนตวัดรัดรอบที่ลำตัว โอบกอดให้แผ่นหลังของข้าแนบชิดกับแผงอกของเขา
“ฮ่าๆ ถึงจะไม่เข้าใจมุก แต่ก็น่ารักดีนะ”
“…”
“ตี๋ชอบครับ”
ข้ายกครีบมาปิดหน้า ไม่กล้าหันไปมองกับสีหน้าของคนพูดเลยสักนิด หัวใจโครมครามจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน รีบแสร้งทำเป็นหลับ เห็นดังนั้นเจ้าตี๋ก็รีบหยัดกายขึ้นไปปิดไฟ กระเถิบตัวเข้ามาใกล้ในผ้าห่มผืนเดียวกัน
ข้ารู้สึกว่าวันนี้ตนเองแปลกประหลาดยิ่งนัก หากเป็นคราก่อนคงโวยวายเป็นการใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาสวมกอด ส่งเสียงกระซิบเอ่ยราตรีสวัสดิ์
“ฝันดีนะครับ”
เอาจริงๆ ข้าก็สบายใจนะ โล่งอกกับสิ่งที่เคยพูดไปว่าเจ้าตี๋เป็นผู้ชายที่น่าไว้วางใจ
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ผิวเผิน แต่กลับสร้างความเชื่อมั่นจากใจจริง
“อืม ตัวเล็กหอมจัง”
แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้สิอีควาย…
ข้ารีบดิ้นจากพันธนาการ งับหมอนที่เคยซุกฟาดใส่หัวคนตัวโตในทันที
“โอ๊ย ตะ ตัวเล็ก !!” อีกฝ่ายร้องครวญ ยกแขนขึ้นมาปัดป้องท่ามกลางความมืด
แต่ข้าจะไม่ยอมหยุด…
จนกว่าเจ้าจะไปหยิบหมอนมาคั่นกลาง !!