Subconscious (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Subconscious (จบ)  (อ่าน 9967 ครั้ง)

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Subconscious (จบ)
« เมื่อ05-06-2019 22:33:04 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม










Subconscious


#Subconscious #วาย #จิตใต้สำนึก



สวัสดี ในหนึ่งชีวิตของคุณเคยทำสิ่งผิดพลาดมั๊ย สิ่งที่ทำไปแล้วแต่กลับไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งใจ แต่มันผ่านไปแล้วย้อนกลับไปไม่ได้อีก แล้วถ้าคุณได้รับโอกาสที่สองล่ะ คุณจะทำอะไรกับมัน?



ความเจ็บปวด ความเสียใจ ความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจในตัวเอง ไม่พอใจในการกระทำของตัวเองกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทำมันไปแล้ว


เคยมั๊ย? เคยคิดว่าเราไม่น่าทำแบบนั้น หรือเราควรทำแบบนั้นจะดีกว่า เราผิดหวัง เราผิดพลาด แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว และสมองก็มีกลไกป้องกันความเจ็บปวด โดยการฝังกลบความทรงจำนั้น เราลืมมันไปแล้ว เราเข้มแข็ง เราไม่แคร์ มันไม่มีค่าให้เราใส่ใจ เราไม่มอง ไม่ฟัง ไม่พบเจอ ไม่สนใจมันอีก


เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วที่เราลืมเลือนทุกสิ่ง แต่..ความจริงเราไม่เคยลืมมันเลย จิตใต้สำนึก ของเรามันยังเจ็บปวด ทรมาน หม่นหมอง เลื่อนลอย ร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งน้ำตานั้นมันมาจากบางสิ่งที่ถูกกดลึกอยู่ก้นบึ้ง ที่แม้แต่เราเองก็ยังจำไม่ได้ เพราะสมองสั่งว่าเราลืมมันไปแล้วจริงๆ


แล้วถ้าคุณได้รับโอกาสให้ทำมันอีกครั้งล่ะ โอกาสที่ขุดคุ้ยความทรงจำขึ้นมา เพื่อทำมันอีกครั้ง คุณจะทำอะไรกับมัน?




ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก

@B_independence
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2019 19:55:27 โดย beindependence »

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ย้อนแรก (1)
«ตอบ #1 เมื่อ05-06-2019 22:42:23 »


ย้อนแรก (1)



ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร



มันมืดมาก มืดจนผมต้องลองขยับเปลือกตา และค่อยๆ ลืมตาปรับรับแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้น สว่างขึ้น


ที่นี่มัน?


ผมมองตรงไปเบื้องหน้าที่เป็นอาคาร 3 ชั้นสีขาว

หันซ้าย หันขวา มองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ

สถานที่เคยคุ้น ที่ผมพยามคิดว่าที่นี่คือที่ไหน

แต่ความจริงแล้วผมว่า..ผมจำมันได้ดี แต่เหมือนจะนึกมันไม่ออก

ผมไม่แน่ใจว่าผมมายืนอยู่ที่นี่ได้ไง

ก่อนหน้านี้ผมทำอะไรอยู่

ผมค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า มุ่งตรงไปที่ตึกนั่น

สมองของผมมันว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ แต่ขามันก้าวไปเองอัตโนมัติ

ผมผลักบานประตูชั้นล่างเข้าไปพบกับบันได มันเป็นประตูด้านข้างของตึกที่ต้องผ่านส่วนหน้ามาก่อน มันไม่ใช่จุดที่คนทั่วไปจะเดินมาถึง เพราะด้านหน้าก็มีบันไดขึ้นตึกกว้างขวางและไม่มีประตูกั้นอยู่แล้ว

ผมก้าวเหยียบบันไดขั้นแรกด้วยคิ้วขมวดแน่น

ผมมาทำอะไรที่นี่ ทำไมผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

ผมมาหยุดที่บันไดขั้นสุดท้ายที่ชั้น 3 ผมหันมองไปทางขวา และก้าวไปตามทางผ่านห้องแรกไปโดยไม่สนใจ

ผมจับลูกบิดของประตูบานที่สอง และนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ที่นี่เงียบมาก ไม่พบเจอใครซักคน คิ้วผมขมวดหนักขึ้น แต่มือของผมก็กำลังจะหมุนลูกบิดประตูนั่น

หัวใจผมเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุ ผมไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ด้านในประตูนั่นรึเปล่า

ผมไม่ได้ควบคุมร่างกาย ไม่ต่อต้าน รวมถึงไม่ได้สั่งการมันด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย แต่ผมก็ปล่อยมันไป ให้มันดำเนินไปเหมือนที่เคยทำกับทุกสิ่ง

บานประตูค่อยๆ เปิดออกเข้าไปด้านใน

ผมเห็นโต๊ะยาวด้านขวาตามช่องที่ประตูแง้มเปิดไปเรื่อยๆ

บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่สามตัว พร้อมเก้าอี้

ยิ่งประตูเปิดกว้างขึ้น ผมมองเห็นโต๊ะยาวที่มีคอมฯ ตั้งอีกสองตัวด้านหลังห้อง โดยแยกเป็นสองฝั่ง ซ้าย ขวา และเว้นช่องทางเดินเข้าตรงกลาง

และเมื่อประตูเปิดจนสุด ดวงตาผมก็หรี่ลงเพราะแสงแดดจ้าที่รอดบานหน้าต่างเข้ามา

ภาพเลือนลางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเมื่อดวงตาผมเริ่มปรับแสงได้


"มาแล้วเหรอ"


เสียงทุ้มนั่น กับคำถาม ดังมาจากผู้ชายคนนั้น ที่นั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง

เค้านั่งอยู่หน้าคอมฯ ที่มีสองจอ ไม่ได้หันมามองผม

ความสูงของเค้าไม่ได้ดูลดลงเลย แม้เค้าจะนั่งอยู่

ผิวขาวของเค้าขับกับแสงแดดได้ดี

ใบหน้าที่เห็นเพียงด้านข้าง เรียวยาว สันกรามคมชัด และผมหยักศกน้อยๆ ดึงดูดชวนมอง ไม่น่าละสายตา

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เค้า แน่นอนว่าสมองผมว่างเปล่า มีแค่คิ้วที่ขมวดแน่นเท่านั้นที่ผมสัมผัสความรู้สึกได้

ผมวางกระเป๋าบนโต๊ะซึ่งเป็นโต๊ะยาวเหมือนข้างห้องที่ผมเห็นเมื่อแรกที่เปิดเข้ามา

ผมนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมฯ ที่ถัดมาจากเครื่องของเค้า

ผมเปิดคอมนั่น พร้อมกับหันไปหาเค้า


"ใส่รหัสให้หน่อย"


ผมพูดออกไป และเค้าก็หันมาพร้อมรอยยิ้ม

เค้าเอี๊ยวตัว เอื้อมแขนผ่านหน้าผม เพื่อไปกดรหัสเข้าเครื่องบนคีย์บอร์ด

เราใกล้กันมากจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ น่าจะเป็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม


"เสร็จแล้วครับ"   ฟอด.....


เค้าบอกหลังจากใส่รหัสเปิดเครื่องเสร็จ และก่อนจะละร่างออกไป เค้าหอมแก้มผมหนักหน่วงจนใบหน้าผมเอนไปตามแรงกด

ร่างกายผม ความรู้สึกผม ไม่เพียงไม่ตกใจ แต่ผมกลับนึกขึันมาได้


"เอก"

"ครับผม"


ผมเรียกชื่อเค้า และเค้าก็ตอบกลับทันที

นี่มันอะไร ผมไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ผมจำได้แล้ว ว่าที่นี่คือที่ไหน และเค้าคือใคร


เอก คือชื่อของเค้า

เค้าอายุมากกว่าผมสองปี

เค้าเป็นเจ้าหน้าที่ IT Support ของบริษัทนี้

ซึ่งตึกนี้คือ ตึก IT ที่แยกออกมาจากตึกหลักของบริษัท ตึกที่เป็นศูนย์รวมของ Server (เซิร์ฟเวอร์) และมีแต่พนักงานของส่วน IT เท่านั้น

และเค้า...เคยเป็น แฟนผม





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก

@B_independence


ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ย้อนแรก (2)
«ตอบ #2 เมื่อ06-06-2019 12:00:45 »



ย้อนแรก (2)


"กินอะไรครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้ จะได้ล็อคประตูตึกเลย"

"อยากกินหลายอย่างได้มั๊ยอ่ะ แต่ไทม์กินแค่อย่างละนิดอ่ะ เอาหลายๆ อย่างมากินด้วยกันได้ป่ะ"

"เลือกมาอย่างนึงซิครับ จะได้อิ่มๆ"

"แต่ว่า...งั้นก็แล้วแต่พี่เอกละกัน"



พี่เอกเดินออกจากห้องไปแล้ว และผมยังนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เปิดหาคลิปดูเล่นไปเรื่อยๆ

มันเป็นเรื่องปกติที่ผมจะมาหาเค้าทุกเย็นวันที่เค้าต้องอยู่เวรกลางคืน

บริษัทนี้ฝ่ายผลิตทำงานเป็นกะ บริษัทเปิด 24 ชั่วโมง โดยฝ่าย IT จะต้องผล้ดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เวรกลางคืน 1 คน

พี่เอกเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ ทุกคนบอกแบบนั้น

พี่เอกรักครอบครัว นิสัยดี ธรรมะธัมโม หน้าที่การงานมั่นคง ฐานะทางบ้านจัดว่าดี และไม่เคยมีแฟนมาก่อนที่จะคบกับผม

ผมจำไม่ได้ว่าเราเริ่มคบกันได้ยังไง แต่ตอนนี้เราเป็นแฟนกัน ทุกคนรอบตัวผมรู้จักเค้า และทุกคนรอบตัวเค้าก็รู้จักผม

มีเพียงเรื่องเดียวที่เราปิดไว้ นั่นคือผมมานอนกับเค้าที่บริษัท ทุกคืนที่เค้าต้องอยู่เวร



พี่เอกชอบชวนผมไปวัด ไม่ว่าจะไปไหว้พระ ฟังเทศน์ ฟังธรรม ไปเที่ยว หรือแม้กระทั่งไปปฏิบัติธรรมต่างจังหวัด

ผมก็ชอบไป เรามุ่งหวังจะพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้น และผมก็ชอบที่เราเข้ากันได้แบบนี้



พี่เอกเคยพาผมไปที่บ้าน ไปรู้จักพ่อ แม่ น้องสาว และหลานสาวที่เป็นลูกคนแรกของน้องสาวเค้าในวันวาเลนไทน์

วันนั้นผมนัดพี่เอกที่หน้าบริษัทของเค้า ผมเจอเค้าพร้อมกับกุหลาบสีรุ้งดอกใหญ่

ผมชอบมันมาก มันสวย สีมันก็แปลกตา ถึงมันจะไม่ใช่สีธรรมชาติ แต่เค้าก็ตั้งใจให้ผม นั่นมันดีที่สุดแล้ว

พี่เอกทำกิจกรรมกับที่บ้านโดยมีผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย

พี่เอกพาหลานสาวไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง ผมนั่งหน้ารถคู่กับเค้าที่เป็นคนขับรถยนต์คันหรู

น้องสาวและหลานสาวนั่งเบาะหลัง เราพูดคุยกันด้วยดี

พี่เอกรักหลานสาวคนแรกของเค้ามาก ซึ่งผมก็รักด้วย



ทุกคืนที่เค้าเข้าเวร เราจะกินข้าวเย็นด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน นอนหลับด้วยกัน และมีเซ็กส์กัน

ผมจำได้ว่าคืนแรกที่ผมมานอนที่นี่ เพราะฝนตกหนักจนผมกลับบ้านไม่ได้ กว่าฝนจะซาก็ดึกมาก ผมเลยจำเป็นต้องแอบค้างที่นี่เป็นครั้งแรก

ที่ผ่านมาผมแค่มาหาช่วงเย็น มากินข้าวเย็นด้วยกัน มานั่งเล่น พูดคุยหยอกล้อกัน และผมก็จะกลับไปตอนค่ำทุกครั้ง

คืนนั้นพี่เอกนอนอยู่ข้างผม แต่ร่างกายเราไม่ได้สัมผัสกันแม้แต่น้อย ผมหลับตาแต่ผมก็นอนไม่หลับ ผมรู้สึกแปลกที่แปลกทาง มันเป็นห้องทำงานของบริษัท แต่พอตกเย็นโต๊ะยาวหลังห้องจะถูกดันให้ชิดเพื่อเปิดทางเดินเข้าไปที่เตียงที่อยู่มุมในได้

พี่เอกนอนนิ่งสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ จนผมคิดว่าเค้าหลับไปแล้ว

ผมอยากมีเซ็กส์กับเค้า แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะเริ่มก่อน เมื่อพี่เอกไม่เริ่มผมก็ข่มตาจนใกล้จะหลับๆ จริงซะที

ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาเหมือนลมอ่อนๆ ใกล้ซอกคอผม แต่ผมก็ง่วงจนไม่อยากลืมตาแล้ว

แต่ผมก็ต้องตกใจเพราะพี่เอกตะปบมือมาบนหน้าอกผม เค้นคลึง บีบบี้ยอดอกที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาวของผม

ลมอ่อนๆ ที่ผมรู้สึกได้ในตอนแรก มันคือลมหายใจของเค้าที่ขยับเข้ามาใกล้ ใกล้เรื่อยๆ ไม่ผิด มันคือจมูกเค้าที่เข้ามาซุกไซ้อยู่ที่ซอกคอ จนตอนนี้ทั้งจูบ ทั้งดอมดมไปทั่ว และลามมาที่แก้มของผม

ผมไม่ร้อง ไม่ขัดขืน เพราะมันคือสิ่งที่ผมต้องอยู่แล้ว

ผมปล่อยให้เค้าฟอนเฟ้นร่างกายส่วนบนของผม มือเค้าปัดป่ายไปทั่วทั้งแผงอกซ้ายขวา ลามไปถึงบีบเค้นเอวคอด

ผมรอให้เค้าจูบผม แต่เค้าก็ทำแค่ซุกไซ้ และหอมแก้มผมแค่นั้น

เค้าหยุดทุกอย่างแล้วพลิกตัวกลับไปนอนข้างๆ ไม่สัมผัสตัวผมเหมือนเดิม

ผมที่มีเริ่มมีอารมณ์แล้ว แต่เค้ามาหยุดกลางคันแบบนี้ทำให้ผมหงุดหงิด แต่ก็คิดในแง่ดี มันคงเพราะความเป็นสุภาพบุรุษของเค้า แต่เค้าก็ยังคงต้องการผมถึงได้ทำเพียงแค่นั้น

ผมตื่นตีสี่ครึ่ง ตามที่เค้าตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ เพื่อให้ผมได้แอบออกไปก่อนที่จะมีใครมารู้เห็น

ผมลืมตา หันไปมองเค้าก็เห็นเค้านอนมองผมอยู่แล้ว

เราส่งยิ้มให้กัน ผมเองที่อดใจไม่ไหวเคลื่อนตัวเค้าไปหาไออุ่นจากเค้า


"ขอกอดหน่อย"


ผมกอดเค้า บดเบียดร่างกายเค้าไปแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงความตื่นตัวยามเช้าของผู้ชายอีกคน

จากที่ผมอารมณ์ค้างจากเมื่อคืน กอปรกับสมองที่ไม่ตื่นดีในตอนเช้ามืดที่ผิดเวลาปกติของผมแบบนี้ ทำให้สติผมหลุด เผลอปล่อยร่างเข้าไปบดเบียดความเป็นชายของผมกับของเค้าให้สนิทแนบแน่นกัน

ผมอ้าขาออก ปรับองศาให้เข้าไปได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ให้รับรู้สัมผัสได้มากขึ้น ผมขยับสะโพกหมุนวนไปเรื่อยๆ ไม่หยุด แต่ใบหน้าผมยังคงซุกซบนิ่งอยู่ที่คอของเค้า

พี่เอกนอนนิ่ง แต่ของแขนเค้าก็ยังคงพาดกอดเอวผมไว้ เค้าก็รู้สึกเหมือนกันกับผม ผมรับรู้ได้จากลมหายใจแรงที่ข้างหู พร้อมทั้งแรงแขนที่รัดร่างหนักขึ้นทุกครั้งที่ผมบดร่างเน้นหนักผ่านเสื้อผ้าของเรา

มือพี่เอกเลื่อนมาลูบคลำสะโพก และลามไปบีบขยำก้นผม

เค้าจับผมพลิกไปอยู่ด้านล่าง และสอดมือเค้าไปใต้กางเกง กอบกุมเอ็นแท่งของผมไว้ เค้าเริ่มรีดเร้น บดคลึงเริ่มจากพวงล่างมาถึงชักรูกเอ็นร้อน

จูบแรกระหว่างเราเกิดขึ้น มันรุนแรง โหยหา เปี่ยมไปด้วยอารมณ์หื่นกระหาย

ผมใกล้จะเสร็จ จึงเอื้อมมือหมายไปช่วยเค้าบ้าง แต่มันกลายเป็นความผิดพลาด

เค้าปัดมือผมออก และหยุดทุกอย่าง ทำให้ผมค้าง ไปไม่ถึงฝั่งฝัน

พี่เอกลุกขึ้น เดินไปเปิดไฟ และเข้าไปในห้องน้ำเนิ่นนาน จนผมหายมึนงง

จะตีห้าแล้วพี่เอกก็ยังไม่ออกมา ผมจึงเดินไปเคาะประตูห้องน้ำ


"พี่เอก ผมกลับแล้วนะ"

"อืม"


เค้าตอบเสียงเบารอดมาจากประตู แค่นั้น ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทำได้แค่เดินลงบันไดกลับบ้านไป



ผมขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านตอนตีห้า มันเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่คุ้นเคยนัก เช้านี้คือวันอาทิตย์ วันที่ผมไม่ต้องทำงาน วันที่ผมจะต้องนอนตื่นสาย

ถนนหนทางเดิม แต่บรรยากาศโดยรอบที่ไม่คุ้นเคย ข้างทางมีแม่ค้าข้าวแกง แม่ค้าขายขนม ขายของสด และผู้คนจับจ่ายหนาตา ตอนเช้ามันมีคนที่มีกิจวัตรที่ไม่เหมือนผมแบบนี้นี่เอง

ผมมองภาพที่ผมไม่ค่อยคุ้นชินนัก การที่ผมเจอขบวนของพระเดินบิณฑบาตเรียงแถวยาว ซึ่งในขบวนนั้นก็มีหลวงพี่ที่ผมรู้จักตอนเรียนมัธยมต้นด้วยกันอยู่ด้วย

ผมเห็นผู้คนที่ตั้งสำรับรอใส่บาตรตลอดทางที่ผมผ่าน มันทำให้ผมรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมา จนลืมเรื่องขัดข้องใจเมื่อครู่ได้อย่างดี



ผมคบกับพี่เอกตอนผมอายุ 27 ปี

ใช่ครับ เหตุการณ์เมื่อสักครู่ผมอายุ 27 ปี



แต่....



ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก

@B_independence


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #3 เมื่อ06-06-2019 17:40:20 »

พี่เอกมีเหตุผลอะไร..

 :pig4:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ย้อนแรก (3)
«ตอบ #4 เมื่อ06-06-2019 20:20:40 »


ย้อนแรก (3)




เสียงเตือนข้อความจากแอปโซเชียลดังขึ้น ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่ามาจากไหน

ตั้งแต่ผมคบกับพี่เอก มันก็มีโรคจิตคนนึง คอยส่งข้อความมาหาผมเป็นประจำ

มันมักจะพร่ำเพ้อพรรณนาถึงพี่เอก แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน และไม่ได้บอกพี่เอก

จนกระทั่งมันคุดขุ้ยเรื่องของพี่เอกกับผู้หญิงอีกคนมาฟ้องผม ผมไม่ได้จะเชื่อมันเท่าไหร่ เพราะพฤติกรรมของมันแสดงออกว่ามันชอบพี่เอกมากแค่ไหน และต้องการจะให้เราแตกหักกัน

ผมเอาข้อความที่มันส่งให้ผมไปคุยกับพี่เอกตรงๆ ขอคำอธิบายให้ผมสบายใจ เพราะผมก็จิตตกที่ถูกก่อกวนตลอดมา

คำตอบที่ได้ทำให้ผมอึ้งไปเหมือนกัน

พี่เอกอยู่กับมันมานานแล้ว ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ อยู่กับมันหมายถึงได้รับข้อความพร่ำเพ้อพรรณนาจากมันก่อนที่จะมาคบกับผมด้วยซ้ำ

ผู้หญิงที่มันส่งเรื่องมาฟ้องผม ก็เป็นเพื่อนพี่เอกที่เกือบจะได้เป็นแฟนกัน แต่พี่เอกก็สารภาพตามตรงว่าเธอไม่เลือกพี่เอก เธอเป็นถึงอาจารย์ปริญญาเอกที่ฐานะทางสังคมดีกว่าพี่เอกมากเกินไป

พี่เอกไม่ได้พูดคำว่ารักเธอ และผมก็ไม่อยากจะคาดคั้น ไม่อยากฟังคำนั้น เพราะคำว่า รัก ผมก็ไม่เคยได้ยินจากปากพี่เอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผมได้แค่คำยืนยันจากพี่เอกว่าไม่มีอะไรเกินเพื่อนกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอน  ใช่ครับ เพราะเธอไม่เอาพี่เอก

ผมขอดูข้อความที่ไอ้โรคจิตนั่นส่งมาหาพี่เอก แต่เค้าไม่ยอมให้ผมดูจนเราทะเลาะกัน

ผมอยากรู้ว่าเค้าปิดบังอะไรผม แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากให้รู้ ผมก็ทำอะไรไม่ได้

พี่เอกบอกผมว่าเคยสืบหาไอ้โรคจิตนี่เหมือนกัน แต่มันส่งมาจากเครื่องคอมฯ ต่างๆ ทั่วบริษัท ไม่ค่อยซ้ำ จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ทำให้จับตัวไม่ได้

แต่พี่เอกก็ขอร้องให้ผมอย่าคิดมาก ทำใจให้สบาย เพราะไอ้โรคจิตคนนี้ไม่เคยแสดงตัวออกมาทำร้ายเรา และในชีวิตจริง ผมคือคนที่คบกับพี่เอก ถ้าไม่สบายใจก็บล๊อคมัน ไม่ต้องไปอ่านอะไรที่มันส่งมาอีก

ตอนนั้นผมมั่นใจว่าพี่เอกเป็นคนดี ผมเลยเชื่อใจ หรือถ้าผมรับรู้เรื่องอะไรมาจากมัน ผมก็จะไม่บอกพี่เอกอีก เพื่อตัดปัญหาไม่ให้เราทะเลาะกัน



ผมกับพี่เอกใกล้ชิดกัน เจอกันบ่อย มีกิจกรรมกันเสมอที่เราว่างตรงกัน

แต่มันก็เหมือนมีเส้นบางๆ กั้นผมไว้ ผมรู้สึกเข้าไปไม่ถึงพี่เอกจริงๆ

ผมคงรักมากกว่าจนไม่ทันคิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บ่งบอกถึงความห่างเหินของเรา จนวันเกิดพี่เอก

วันนี้พี่เอกอยู่เวร และผมก็แกล้งบอกว่าไม่ว่างมา เพื่อที่จะเอาเค้กมาเซอร์ไพร์

ผมมาเลยเวลาเดิมไปครึ่งชั่วโมง เพื่อให้พี่เอกตายใจ

เมื่อผมมาถึง ประตูมันล็อค แต่ไฟให้ห้องเปิดอยู่ ผมคิดว่าพี่เอกอาจจะไปซ่อมเครื่องที่ไหนซักแห่งในบริษัทแค่นั้น

แต่ผมก็ลองเคาะประตูดู เผื่อพี่เอกจะหลับ

ประตูเปิดออกจริงๆ  แต่คนที่มาเปิดไม่ใช่พี่เอก

ผมรู้จักเค้า เค้าเป็นเพื่อร่วมงานพี่เอกที่นั่งอยู่โต๊ะยาวข้างห้องนี้

ผมยืนยิ้มให้เค้าอยู่ไม่นาน พี่เอกก็เดินมาจากข้างห้อง ทำท่าตกใจเล็กน้อย และพูดขึ้นว่าไหนผมบอกว่าจะไม่มา

เพื่อนพี่เอกเดินเข้าไปปิดคอมฯ และกลับไปแล้ว ส่วนผมที่เห็นด้านหลังห้องมีกับข้าวเทใส่ชามวางอยู่ก็เดินไปวางกล่องเค้กไว้บนโต๊ะข้างๆ กัน

ผมถามพี่เอกว่าทำไมซื้อกับข้าวมาเยอะจัง เยอะพอๆ กับตอนที่ผมมากินด้วย พี่เอกก็ตอบว่าซื้อเอาไว้เผื่อผมมา

ผมดีใจที่เค้านึกถึงผม ผมเลยเปิดกล่องเค้ก จุดเทียน และร้องเพลงอวยพรวันเกิดเค้า พี่เอกยิ้มกว้าง หลับตาอธิษฐาน ก่อนจะเป่าเทียน

แต่เทียนมันไม่ดับ เพราะผมตั้งใจแกล้งซื้อเทียนแบบนี้มา ผมนั่งขำแทบแย่ จนพี่เอกเริ่มหน้าตึง ผมเลยอาสาจะช่วยเป่าให้

พอผมเป่าลงไป พี่เอกรีบยกเค้กหนี พร้อมสีหน้าไม่พอใจ

ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เจอพี่เอกในโหมดนี้

พี่เอกวางเค้กลง มองหน้าผม แล้วพูดว่า "แบบนี้จะกินได้ยังไง"

ผมเข้าใจว่าเพราะเทียนยังไม่ดับ เลยหยิบเทียนออกมาใช้กระดาษฝากล่องเค้กบี้มันจนดับสนิททั้งหมด

แต่ไม่ใช่เพราะเทียนไม่ดับ แต่สิ่งที่เอกหมายถึง คือน้ำลายผมอาจจะลงไปในเค้กตอนที่ผมเป่า แล้วเค้าจะกินได้ยังไง

ผมคิดไม่ทัน จึงขอโทษขอโพยยกใหญ่ และเค้กนั่นก็เป็นเพียงแค่รูปถ่าย ไม่ได้อิ่มท้องขอพี่เอกจริงๆ

ผมทานข้าวกับพี่เอก ก็ยังโดนดุต่อ ว่าทำไมผมไม่ใช้ช้อนกลาง มันไม่ถูกสุขอนามัย ทั้งที่เราก็กินกันแบบนี้มาตลอด

สิ่งที่ผมคิด และวางช้อนอิ่มในทันทีก็คือ มันไม่ใช่เรื่องสุขอนามัย แต่พี่เอกรังเกียจน้ำลายผม น้ำลายที่เราจูบแลกลิ้นกันมาแล้วเกือบปี

ผมนิ่งเงียบ เดินไปนั่งดูคลิปที่คอมฯ เครื่องประจำเหมือนเดิม และลืมทุกอย่าง ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนที่ทำกับทุกสิ่ง



พี่เอกเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม หลังจากล้างจานและลงไปล็อคตึกเสร็จ

เค้ากอดผม หอมผม เราเริ่มนัวเนีย คลอเคลียกันเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พี่เอกตื่นตัวเร็วมาก แค่หอมแก้มผมแค่สองครั้ง แท่งเอ็นใหญ่ก็ตั้งชูชันจนเนื้อผ้าตึง

เค้าลากจูงผมให้ไปล้มนอนลงที่เตียงหลังห้อง

เค้าเร่งรีบถอดเสื้อผมจนแทบจะฉีกทึ้ง

เค้าก้มหน้าดูดดึงหัวนมผม ขบเบาๆ แต่รู้สึกเสียวซ่าน จนเอ็นร้อนของผมตื่นตัว

เค้าเบียดตัวมาซ้อนหลังเปลือยเปล่าของผม ลูบไล้เรือนร่าง และตะโบมจูบไปทั่วหลังคอผม พร้อมทั้งบดเบียดช่วงล่างให้แนบชิดสะโพกผม รวมถึงเสียดสีเอ็นร้อนให้พอดีกับร่องก้นผม

วันนี้พี่เอกแปลกมาก เค้าดูหื่นกระหายมากเกินปกติ ที่ทุกครั้งเค้าหมือนกักเก็บความหื่นกระหายไม่แสดงออกกับผมมากขนาดนี้

พอผมเอื้อมมืออ้อมไปสอดในกางเกงพี่เอก กอบกุมท่อนลำใหญ่ ชักรูด นวดคลึง นอกจากพี่เอกจะไม่ขัดขืนแล้ว ยังเร่งความหนักหน่วงในการเล้าโลมผมไม่หยุด

ผมเร่งสาวมือ เน้นบีบบี้ตรงปลายหัวหยัก จนพี่เอกเผลอส่งเสียง ซี๊ด! ที่ข้างหูผม พลางเอ่ยปากว่า "สุดยอดเลย "

พี่เอกฟ้อนเฟ้นร่างผมหนักหน่วงขึ้น และเปลี่ยนเป็นพลิกตัวนอนหงายรีบดึงกางเกงเค้าลง เพราะท่อนลำใหญ่ฉีดพ่นน้ำขุ่นขาวออกมาจนเลอะหน้าท้องเค้าไปหมด

ผมที่มีอารมณ์มาสักพักแล้ว แต่พี่เอกไม่ได้ช่วย จึงลุกขึ้นถอดกางเกงระหว่างที่พี่เอกยังนอนหมดแรง

ผมขึ้นคร่อม ใช้มือป้ายน้ำขุ่นขาวของพี่เอกมาชโลมรูดรั้งท่อนลำพี่เอก และควานลึกเข้าไปที่ปากทางเข้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้รูของผมที่กำลังร่านระริก

ผมยกตัวขึ้น จับท่อนลำใหญ่ของพี่เอกมาจ่อรูร่าน ก่อนจะกดตัวลงไปทีเดียวจนมิดลำ

ครับ พี่เอกไม่ใช่แฟนคนแรกของผม ผมต้องการเค้ามาก เพราะที่ผ่านมาเรามีเซ็กส์กันแค่เพียงภายนอก ไม่เคยลุกล้ำเข้าไปแบบนี้

ผมกดสะโพกลงไปจนไม่มีช่องว่างเหลือระหว่างเราสองคน

ผมบดก้น โยกย้ายซ้ายขวา หมุนควง มันเสียวซ่านจนผมต้องเชิดหน้าชูคอ ร้อง ซี๊ด!

ผมยกร่างขึ้นจนลำท่อนยาวเกือบหลุดออกจากรู และกดลงไปอย่างแรงเร็ว ทำอยู่อย่างนั้นจนผมถึงฝั่งฝันปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเลอะหน้าท้องของพี่เอกอีกครั้ง

พี่เอกรีบดันล่างผมออก จนผมตกใจ แต่พี่เอกก็รีบจูงมือผมเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างเนื้อตัว พี่เอกบอกให้ผมออกมาก่อน เมื่อผมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ไปนอนที่เตียงตามเดิม

คืนนั้นพี่เอกนอนหันหลังให้ผม จนเสียงมือถือเค้าดังขึ้น พี่เอกรับสายพร้อมกับตอบปลายสายว่ามาเที่ยวบาร์โฮสอยู่ แล้วก็รีบตัดบทวางสาย

ด้วยความสงสัยว่าทำไมเค้าถึงพูดแบบนั้น จึงเอ่ยถามเค้าว่าใครโทรมา พี่เอกก็ผมว่าเพื่อน แล้วก็หันกลับไปนอนหันหลังให้ผมเหมือนเดิม



เช้าวันนี้ผมไม่ต้องรีบกลับเพื่อแอบคนอื่นตอนเช้ามืด เพราะเป็นเวรวันอาทิตย์ของพี่เอก ซึ่งพี่เอกออกไปซื้อข้าวเช้าอยู่

ผมไปนั่งหน้าจอคอมฯ ของพี่เอก

ผมคลิ๊กเข้าไปในโฟลเดอร์เดิม ที่ผมเคยเข้าทุกเดือน เพื่อ copy ตารางเวรพี่เอก มาจัดเวลามาหาเค้าตามนั้น

แต่คราวนี้โฟลเดอร์นั้นไม่มีข้อมูลอัพเดทของเดือนต่อไป มีแต่ข้อมูลเก่าๆ

พอพี่เอกมา ผมก็ถามถึงตารางเวรว่ายังไม่ได้จัดกันใหม่หรือเปล่า

พี่เอกเงียบ และค่อยๆ พูดขึ้น


"ไทม์ ไม่ควรมาที่นี่บ่อย ยังไงที่นี่ก็เป็นที่ทำงานของพี่"


ผมค่อนข้างแปลกใจ ในเมื่อผมมาที่นี่จนจะปีนึงอยู่แล้ว


"แต่ทุกคนก็รู้จักไทม์นี่ครับ เวลาไทม์เจอคนอื่นก็ทักทายผมดีตลอด ทุกคนก็รู้ว่าเราเป็น..."

"เพื่อนกันครับ เราเป็นเพื่อนกัน"


คำว่า แฟน ที่ผมกำลังจะพูดออกไป ถูกพี่เอกพูดดักว่า เราเป็นแค่ เพื่อน กัน  จนผมนิ่งอึ้ง

กว่าที่เสียงแผ่วเบาของผมจะเปล่งออกมาได้ น้ำตาของผมก็ไหลอาบแก้มจนเปียกชุ่มไปก่อนแล้ว


"เพื่อนกัน เค้า ไม่ ทำ แบบนี้ กันหรอกครับ"

ผมพูดคำนั้น และคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากห้องไป วิ่งไปให้ไกลจากที่นี่ ผมคิดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้ว่าผมทำผิดอะไร ที่ผ่านมาเรารักกันไม่ใช่เหรอ ที่ผ่านมาเราคบกันไม่ใช่เหรอ



ผมเก็บตัวอยู่คนเดียว ทอดอารมณ์เสียใจจนน้ำตาเหือดแห้ง จนลืมเค้า ไม่คิดถึงเค้า ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนลืมง่าย ผมเข้มแข็ง และไม่แคร์ใคร กอปรกับที่เค้าไม่เคยติดต่อผมมาอีก ผมใช้เวลาแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นกับการลืมความรักหนึ่งปีของผม

จนวันนี้ ผมตั้งหลักได้ ผมโทรหาพี่เอก บอกว่าจะมาเอาหนังสือ กับเอกสารของผมที่เคยทิ้งไว้ที่นี่ และนัดแนะให้เค้ามารอแถวที่จอดรถ

พี่เอกตอบกลับผมว่าอยู่เวรพอดี ให้ผมมาเอาได้เลย



ผมขี่มอเตอร์ไซด์มุ่งตรงไปลานจอดรถ ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเค้าอีกแล้ว ผมไม่รักเค้า และไม่เกลียดเค้าด้วยเหมือนกัน ผมไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเค้าอีก

ผมเห็นพี่เอกยืนรออยู่ไม่ไกล

ผมจอดรถโดยไม่ดับเครื่อง ข้างๆ เค้า

เค้ายื่นหนังสือและเอกสารมาให้

ผมยิ้มให้เค้า สบตาเค้า และกล่าวขอบคุณ

ระหว่างที่ผมลุกเก็บของไว้ใต้เบาะ พี่เอกก็พูดขึ้นมา


"ขึ้นไปข้างบนมั๊ย"


ผมหยุดฟังไม่นาน ผมหันกลับไปยิ้มให้เค้า และตอบคำถามเค้าก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์ออกมา


"ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่มีธุระที่นี่อีกแล้ว"




ผมเห็นพี่เอกยืนรออยู่ไม่ไกล

ผมจอดรถโดยไม่ดับเครื่อง ข้างๆ เค้า

เค้ายื่นหนังสือและเอกสารมาให้

ผมยิ้มให้เค้า สบตาเค้า และกล่าวขอบคุณ

ระหว่างที่ผมลุกเก็บของไว้ใต้เบาะ พี่เอกก็พูดขึ้นมา


"ขึ้นไปข้างบนมั๊ย"


ผมหยุดฟังไม่นาน ผมหันกลับไปยิ้มให้เค้า และตอบคำถามเค้า...

แต่...เดี๋ยวนะ...

ผม..ผม..นี่มันอะไรกัน


"ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่มีธุระที่นี่อีกแล้ว"


ผมตอบคำถามเค้าก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์ออกมา




ระหว่างที่ผมลุกเก็บของไว้ใต้เบาะ พี่เอกก็พูดขึ้นมา


"ขึ้นไปข้างบนมั๊ย"


ผมหยุดฟังไม่นาน ผมหันกลับไปยิ้มให้เค้า...

ครั้งนี้ผมมั่นใจแล้ว ผมไตร่ตรองอย่างหนัก


ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร

และผมคบกับพี่เอกตอนผมอายุ 27 ปี



นี่มันเดจาวูชัดๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น

ผมหลับตาคิด คิดอย่างหนัก ผมต้องขุดค้นความรู้สึกนึกคิดตอนนั้น ผมต้องนึกให้ออก ต้องคิดให้ออก

ความคิดนึงแล่นเข้ามาในหัว ถ้าผมตอบรับ เดินไปกับพี่เอกล่ะ

ถ้าสิ่งที่พี่เอกทำไปแบบนั้น เป็นแค่กลไกป้องกันการผูกมัดหรือเปล่า เพราะเราทั้งสองคนเคยแลกเปลี่ยนความคิดกันว่า ชีวิตของเราทั้งสองคนไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีบ่วง มีห่วง

เราคบกันด้วยความสบายใจ แค่อยู่ด้วยกันก็มีความสุขดีแล้ว ผมอาจจะทำให้เค้ากดดันมากไป เค้าถึงพูด และแสดงออกกับผมแบบนั้น

ถ้าผมเดินไปกับพี่เอก เราจะกลับมาคบกันเหมือนเดิม เราจะมีความสุขกันเหมือนเดิมใช่มั๊ย

ปวดหัว ผมปวดหัว พอผมหยุดคิด ความปวดก็จางหายไป

ผมเงยหน้าสบตาพี่เอก เค้ามอบรอยยิ้มให้ผม เค้านิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรต่อ

ทุกสิ่งรอบข้างผมเหมือนกำลังหยุดนิ่ง มีเพียงสมองของผมที่หมุนวนอยู่

ผมหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกให้เต็มปอด ก่อนที่จะลืมตา



ผมมองเค้าอีกครั้ง ผมยิ้มให้เค้า และตอบคำถามเค้าก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์ออกมา

"ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่มีธุระที่นี่อีกแล้ว"



ทุกอย่างเหมือนดับวูบลง มืดสนิทอีกครั้ง

ใช่ ผมตัดสินใจทำแบบเดิม เหมือนตอนที่ผมอายุ 27 ปี

เรายังคงเลิกกัน ไม่มีวันหวนคืนไปอีก






ความทรงจำผมเหมือนทะลักโผล่พรวดขึ้นมา เป็นช่วงเวลาหลังจากที่ผมตัดขาดจากพี่เอกเกือบครึ่งปี

ไอ้โรคจิตคนเดิมส่งรูปคู่บ่าวสาว ถ่ายพรีเวดดิ้งส์ มาให้ผม

ผู้ชาย และหญิงสาวในรูป คือพี่เอก และแพน เมียเก่าของน้องชายผม

ครับ ย้ำว่าเมียเก่าของน้องชายผม ผู้หญิงคนที่ตามจีบน้องชายผมตั้งแต่สมัยเรียนจนพลาดพลั้งตั้งท้อง แล้วแอบพากันไปทำแท้งตามประสาเด็ก และมาสารภาพกับผมทีหลัง ก่อนที่ทั้งสองคนจะเลิกกันตามวัยที่โตขึ้น รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้น

ผมหัวเราะ นี่เหรอคนที่ไม่อยากแต่งงาน

นี่เหรอผู้ชายที่ดีงาม รักษาตนในศีลในธรรม กลัวความผิดบาป แม้กระทั่งจะมีเซ็กส์กับผม

ผมบล็อคไอ้โรคจิต ไม่อ่านข้อความใดๆ ของมันอีก

แต่ผมก็อดไม่ได้ ที่จะส่งข้อความไปหาพี่เอก ผมไม่เชื่อว่าเวลาครึ่งปีจะทำให้คนสองคนรู้จักกันดีพอจนแต่งงานกันได้ และเพราะผมรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่พี่เอกจะรักใครซักคน โดยเฉพาะผม

ผมพิมพ์สวัสดีลงในข้อความ กล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวขอให้มีความสุขมากๆ ผมบอกว่าผมดีใจเมื่อคนที่ผมเคยรักจะมีความสุข จะมีครอบครัวที่ดี พี่เอกเป็นคนดีสมควรจะได้รับสิ่งดีๆ ได้แต่งงานกับคนที่คู่ควร

และผมทิ้งท้ายข้อความไว้ว่า

"แต่ถ้าพี่อยากจะมีลูกก็คงยากหน่อยนะครับ เพราะผู้หญิงที่เคยทำแท้งเถื่อน ไม่ได้ไปขูดมดลูก เด็กคงไม่เกาะมาเกิดได้ง่ายๆ นัก"

จบข้อความผมก็บล็อคมันทันที ไม่คิดแม้แต่จะเปิดขึ้นมาดูอีก






ผมลืมเรื่องราวของพี่เอกหมดแล้ว ผมมีแฟนใหม่ จนผมเลิกกับแฟนอีกคน แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

มีเสียงโทรศัพท์ และเบอร์แปลกต่อสายมาหาผม ผมกดรับ


"ใครครับ"

"แพนเองค่ะ"

"แพนไหนครับ"

"แพนไงพี่ไทม์ แพนเอง"


คนที่โทรมาคือเมียเก่าของน้องชายผม และเป็นเมียคนปัจจุบันของผัวเก่าผม เธอโทรมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น พูดแทบฟังไม่รู้เรื่อง


"มีอะไรครับ"

"พี่ไทม์ พี่ไทม์ ทำไมไม่บอกแพนว่าพี่เคยเป็นแฟนกับพี่เอก"

"พี่จะไปรู้หราครับว่าน้องไปคบกันตอนไหน แล้วนี่รู้ได้ยังไง"

"มันมีไอ้โรคจิต ส่งข้อความมาบอกแพน พี่ไทม์ แพน..แพนเลิกกับพี่เอกแล้ว แพนแท้งลูกของพี่เอก  ฮือๆๆ แต่แพนรักเค้า แพนอยากให้เค้ากลับมา แพนเล่าความชั่ว ความเลวของตัวเองทุกอย่าง แพนเปิดใจให้เค้าหมด แพนง้อเค้า แพนทำทุกอย่างแล้ว แต่ทำยังไงเค้าก็ไม่กลับมา"

"พี่คงช่วยแพนไม่ได้นะครับ เพราะชื่อเค้า แม้แต่หน้าเค้าพี่ยังจำไม่ได้ นึกไม่ออกด้วยซ้ำ พี่ช่วยได้แค่บอกให้แพนทำใจแค่นั้น แค่นี้นะครับ ไม่ต้องโทรมาอีก"


ผมวางสาย ทุกอย่างเงียบสนิท มืดมิด และผมก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกับผมได้หลับไปอีกครั้ง




_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก

@B_independence


ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #5 เมื่อ06-06-2019 21:15:08 »

สรุปคือพี่เอกเป็นคนย้อนแย้งสินะ แล้วเหตุการณ์ตอนวันเกิดคือแอบมีความลับอะไรอยู่ ที่พี่เอกบอกว่าโรคจิตก็ส่งข้อความมาให้เหมือนกันคือเรื่องจริงไหม

 :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #6 เมื่อ07-06-2019 09:56:59 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #7 เมื่อ07-06-2019 12:55:11 »

อ้างถึง
เพื่อนร่วมงานพี่เอกที่นั่งอยู่โต๊ะยาวข้างห้องนี้
ใช่คนนี้เปล่า ไอโรคจิต
แอบชอบพี่เอกแต่ไม่ด้านพอ เลยกลายเป็นมดดำ(ร้ายๆ) แฝงเงามืดอยู่ ไรงี้

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: Subconscious
«ตอบ #8 เมื่อ07-06-2019 23:36:43 »

แจ้งเตือน ครั้งที่ 1

เจ้าของกระทู้ กรุณาใส่กฎให้ครบ 18 ข้อ

ผู้ดูแลห้อง Boy's love story

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้ดูแลห้องเป็นอย่างสูงค่ะ ได้ทำการแก้ไขให้แล้วนะคะ ผิดพลาดประการใดช่วยแจ้ง ขอบคุณมากๆ ค่ะ






คลายปม (ย้อนแรก)



สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ


สำหรับ ย้อนแรก

แน่นอนว่าพี่เอกมีเหตุผลของตัวเองที่บ่ายเบี่ยงความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับไทม์มาโดยตลอด ภาพพจน์ที่พี่เอกแสร้งสร้างไว้เป็นฉากหน้าว่าเป็นคนดีแสนดีนั้น เพียงเพื่อส่งเสริมเบื้องหลังให้มีโอกาสกอบโกยความเชื่อใจไม่ให้ขัดกับ เหตุผลที่จะ รักเผื่อเลือก ระหว่างที่คบกับไทม์อยู่ พี่เอกไม่ได้มีไทม์แค่คนเดียว แต่ก็ยังพอมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในตัวเอง มีทั้งความรักและความเห็นแก่ตัวในเวลาเดียวกัน เมื่อนานวันเข้า เมื่อพี่เอกเลือกได้ว่ารักใครมากกว่า อยากจะลงหลักปักฐานเป็นคู่ผัวตัวเมียกันจริงจัง ซึ่งนั่นก็คือแพน ผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้ว่าพี่เอกคบซ้อนจนเวลาบ่มเพาะความรักจนถึงขั้นอยากแต่งงานกัน ก็ทำให้พี่เอกค่อยๆ หมดรักกับอีกคน จากความรักหลงเหลือแค่ความใคร่ แต่ก็ยังอยากพันธนาการไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว

สำหรับ แพน ที่เคยเป็นเมียเก่าของน้องชายไทม์ หากจะบอกว่าบังเอิญก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว คงเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่พัวพันเชื่อมโยงให้ได้มาร่วมเวรร่วมกรรมกันอีก และสุดท้ายทุกคนก็ต้องแยกย้ายเมื่อหมดวาระต่อกัน

สำหรับไอ้โรคจิต นักเขียนขอบอกว่าเค้าก็เป็นเหยื่ออีกคนของ อดีตรักเผื่อเลือกของพี่เอก มีนักอ่านที่เดาถูกกึ่งนึง ไอ้โรคจริงคนนั้นก็คือเพื่อนร่วมงานของพี่เอกที่นั่งอยู่โต๊ะข้างห้องนั่นเอง เมื่อพี่เอกหมดรักและเลือกไทม์ ก็ตีตัวออกห่าง แต่ยังคงความเห็นแก่ตัว ตราบใดที่อีกคนยังตัดใจไม่ได้ ไม่ว่าพี่เอกจะต้องการตอนไหนก็ต้องยอมให้ นั่นคือความลับในวันเกิดพี่เอกที่คิดว่าไทม์ไม่มาหา อารมณ์ที่ค้างคาที่ถูกขัดจังหวะเลยมาระบายความหื่นกระหายกับไทม์ ซึ่งไอ้โรคจิตที่พี่เอกไม่มอบสถานะคนคบให้แล้ว ก็ทำได้แค่ป่วนคนที่เข้ามาใกล้คนที่ตัวเองรัก และยอมอยู่ในเงามืดเพื่อให้ได้อยู่กับพี่เอกต่อไป และแน่นอนว่าพี่เอกรู้ และใช้เล่ห์พันธนาการไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกัน

อยากบอกว่าเป็นโชคดีของไทม์ที่เลือกไม่เดินกลับไปจมอยู่ในวังวนรักเผื่อเลือกนั่นอีก










ผู้ให้ (1)



สวัสดี

ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร




เช้านี้อากาศสดใส ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลอยขึ้นที่ปลายขอบฟ้าระหว่างร่องของหุบเขาสองลูกนั้น มันช่างเชิญชวนให้ผมรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืดผิดเวลาปกติของชีวิตผม ให้มายลโฉมความงดงามนี้จริงๆ

เสียงนกเจื้อยแจ้วราวกับขับขานดนตรีแห่งธรรมชาติทำให้จิตใจของผมปลอดโปร่งโล่งสบาย ชวนให้ร่างกายพร้อมรับกับกิจกรรมหนักที่เราจะเริ่มในตอนสายของวัน

คณะของเรารวบรวมศิษย์เก่าต่างรุ่นเท่าที่พอจะรวมตัวกันได้ มาช่วยกันพัฒนาโรงเรียนให้เด็กน้อยชาวเขาที่มีแค่ไม่กี่สิบชีวิตที่อยู่บนที่สูงแห่งนี้

พวกพ้อง พี่สนิทที่ห่างหายกันไปหลังเรียนจบยังคงคุ้นเคยร่วมด้วยช่วยกันลงแรงซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างโดยรอบอย่างสนุกสนาน



"ไทม์ กินข้าวเช้ายัง พี่เห็นออกมาตั้งแต่ยังไม่สว่าง ไม่เห็นเข้าไปที่โรงครัวเลย"

"แหะๆ ไทม์ลืมครับ เพลินไปหน่อย พี่ตั้มอ่ะทานยัง"

"ทานแล้วครับ แต่พี่เก็บแบ่งอาหารไว้ให้ไทม์แล้ว มาๆ เดี๋ยวพี่พาไป"

"ขอบคุณครับ น่ารักจัง"

"น่ารัก แล้วเมื่อไหร่จะรักครับ"

"555 หิวข้าวอ่า~ รีบพาผมไปกินข้าวดีกว่า หิวๆๆๆ"

"ครับๆ ตามมา"



พี่ตั้มน่ารักเสมอตั้งแต่เป็นรุ่นพี่คอยช่วยติวหนังสือตอนเรายังเรียนไม่จบ ถึงเราจะห่างหายกันไปตั้งแต่พี่ตั้มเรียนจบ พอมาเจอกันที่นี่เค้าก็ยังใจดีกับผมเสมอ

หลังจากผมกินข้าวเช้าเสร็จก็โดนพี่ตั้มลากลงมาในเมืองเพื่อซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมตามรายการที่ทีมของเราจดมาให้

เราวนกันไปทั่วตลาด แวะหลายร้านค้า รวมถึงแวะพักทานอาหารกลางวัน ที่ได้กินกันก็บ่ายกว่าเข้าไปแล้ว

ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ารู้สึกดีกับพี่ตั้มเหมือนเคย ผมเคารพพี่ตั้มมากมาตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งมันก็เป็นเส้นแบ่งได้อย่างดีจนความสัมพันธ์ของเราไม่ได้พัฒนากันเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องในตอนนั้น



เราบังเอิญมาเจอกันที่นี่โดยที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะได้เจอกัน เพราะหลายกลุ่มหลายรุ่นที่แบ่งสายก็มารวมตัวกันทีหลัง

ตั้งแต่พี่ตั้มเจอผมก็ตัวติดกับผมตลอดจนเพื่อนร่วมรุ่นพี่ตั้มแซวว่าทิ้งเพื่อนไปซะแล้ว

ผมไม่ได้อึดอัดกับความใกล้ชิด และการแสดงออกที่เหมือนจะหยอดจะจีบผมอยู่ตลอดเวลา เพราะเราก็เป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่สมัยเรียน เราเป็นพี่น้องกัน

ถึงคราวนี้พี่ตั้มจะรุกผมหนักมาก แต่ผมซึ่งไร้ความเขินอายกลับรู้สึกสนุก และมองเห็นความน่ารัก และความใจดีของพี่ตั้มมากขึ้นเรื่อยๆ

คนโสดอย่างผมจะแปลกอะไรถ้าจะใจอ่อนกับคนที่มาทำดีด้วยด้วยใช่มั๊ยครับ



กว่าจะซื้อของครบตามรายการ พระอาทิตย์ก็จวนจะตกดิน เราจึงตัดสินใจเปิดห้องที่โรงแรมเล็กๆ ในเมือง เพราะขึ้นเขาขึ้นดอยตอนมืดค่ำไม่สะดวก

พี่ตั้มเปิดห้องเดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะสมัยเรียนกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องก็ไปกินไปเมา ร่วมหัวจมท้าย แบกร่างไร้สติจากแอลกอฮอล์มานอนเกยก่ายกันเป็นประจำหลายต่อหลายครั้ง



พี่ตั้มไปอาบน้ำก่อน ระหว่างที่ผมชาร์จแบตมือถือที่หมดเกลี้ยงเพื่อให้เปิดเครื่องเช็คผู้ติดต่อรวมทั้งโซเชียลชดเชยที่ไม่มีสัญญาณเลยตอนอยู่บนดอยทั้งคืนทั้งวัน

ไม่นานหลังจากพี่ตั้มอาบน้ำเสร็จก็มานอนกรนเบาๆ คงเพราะความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ส่วนผมก็เข้าไปอาบน้ำบ้างและออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวที่พันช่วงล่างเกาะขอบสะโพกผืนเดียวมานั่งปลายเตียง สภาพเหมือนคนที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะมาค้างเลยไม่ได้ติดเสื้อผ้ากันลงมาด้วย กะว่าจะใส่ชุดเดิมกลับในตอนเช้าเลย

ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่เพราะความที่ร่างกายบอบบาง ทำให้ไม่ค่อยได้ถูกใช้ให้ทำงานหนักเหมือนคนผิวแทนที่ร่างกายบึกบึนกล้ามเนื้อแน่นเปลี๊ยะอย่างพี่ตั้ม

ผมค่อยๆ ขยับตัวเบาๆ ขึ้นไปนอนบนเตียง ไม่รบกวนคนพี่จนเผลอตื่น

ผมนอนหันหลังให้พี่ตั้ม ตะแคงข้างที่ผมถนัด ผมเริ่มง่วงขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ตาปรือปรอยของผมค่อยๆ ปิดลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ



"อ๊ะ!!  ยังไม่หลับเหรอครับพี่"

"หลับแล้วแต่หนาว ขอกอดหน่อย"



ผมสะดุ้งตื่นเพราะแรงรวบที่เอวจนหลังขาวเคลื่อนไปปะทะกับอกเปลือย สัมผัสได้ถึงความอุ่นของผิวกายและแรงกระเพื่อมของลมหายใจ

พี่ตั้มบอกว่าหนาว และดึงตัวผมไปกอด ก่อนที่เค้าจะเงียบนิ่งสนิท เค้าคงหลับไปอีกแล้ว แต่ผมล่ะ..จะข่มตาลงไปได้ยังไง






_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #10 เมื่อ08-06-2019 21:46:11 »

ขอให้พี่ตั้มเป็นคนดีจริงๆทั้งต่อหน้าลับหลังเถอะ

 :pig4:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผู้ให้ (2)
«ตอบ #11 เมื่อ13-06-2019 20:02:38 »



ผู้ให้ (2)


ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตอนไหน แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกได้ถึงความเปียกแฉะ และสัมผัสแผ่วเบาที่ลูบไล้อยู่บริเวณปากทางสงวนของผม

เมื่อปรับโฟกัสสายตาในที่มืดได้ ผมก็ร้องเสียงหลง

"เฮ้ย!! พี่..ทำไรวะ!!"

ผมเห็นพี่ตั้มอยู่ตรงกลางหว่างขาของผมที่ถูกดันให้ตั้งชันอ้ากว้างพอที่อีกคนจะแทรกตัวเข้ามาประชิดตรงกลางจุดล่อแหลมได้

ผมที่กำลังรีบถดตัวถอย และพยายามลุกขึ้น แต่กลับถูกพี่ตั้มโถมตัวลงมาทับ โดยแทรกกลางหว่างขาของผม พี่ตั้มโหมมาทั้งตัวจนขาสองข้างของผมที่ตั้งชันลอยขึ้นอ้าออก กว้างตามขนาดของร่างใหญ่ที่แทรกตัวขึ้นมาทาบทับผมไม่ให้ดิ้นหนี

ผมสัมผัสได้ถึงท่อนลำใหญ่ที่เข้ามาแนบชิดและเสียดสีส่วนเดียวกันของผม ผมยิ่งตกใจพยายามดิ้น หวังให้ร่างหลุดออกจากการทาบทับ แต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดรอดจากร่างบึกบึนของพี่ตั้ม

ยิ่งผมพยายามดิ้น พี่ตั้มก็ยิ่งพยายามจูบปากผม แต่ผมหันหน้าหนีไปทุกทางไม่ให้ริมฝีปากของผมถูกอีกคนครอบครอง พี่ตั้มที่ใช้มือกดล็อคข้อมือทั้งสองข้างผมไว้ทำให้ไม่สามารถมาบังคับใบหน้าผมให้ไปรับจูบได้ พี่ตั้มเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาซุกไซ้ซอกคอแทน พอผมหันหลบอีกด้านพี่ตั้มก็ไปโลมเลียอีกด้าน อีกทั้งช่วงล่างที่พี่ตั้มจงใจบดเบียดเสียดสีจนร่างกายผมเผลอตั้งชูชัน ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้จึงหยุดดิ้นหวังจะเจรจากันดีๆ

"พี่..เดี๋ยวก่อนพี่ เดี๋ยวครับ"

จุ๊บ! "ครับ" ฟอด..

"อื้อ! เดี๋ยวพี่..อย่าเพิ่ง"

"อืม..ว่าไงครับคนดี"

"อย่า อย่าทำแบบนี้ได้มั๊ยพี่ ทำไมทำกับผมแบบนี้"

"ไทม์ครับ ไทม์ก็รู้ว่าพี่ชอบเรามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เป็นของพี่เถอะนะ นะครับ" จุ๊บ!

"อย่าทำแบบนี้พี่ ผมไม่เล่นนะ"

"พี่ก็ไม่ได้เล่น พี่เอาจริงๆ"

"เฮ้ย!!"

ไม่ทันที่ผมจะเตรียมใจ พี่ตั้มที่ไม่รู้ว่าปล่อยมือผมไปตอนไหน ถึงไปจับท่อนลำใหญ่จ่อปากทางเข้าและกดพรวดเข้ามาทีเดียวจนมิดลำ ผมที่ทั้งเจ็บ ทั้งจุก เลยเพิ่งรู้ว่าไอ้ความรู้สึกเปียกแฉะที่ทำให้ผมตื่น นั่นเพราะพี่ตั้มจะแอบลักหลับผมไปทาเจลหล่อลื่นจนชุ่มทั้งปากช่องทางผม และท่อนลำใหญ่ของพี่ตั้ม

ระหว่างที่ผมจุกเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก พี่ตั้มก็เริ่มขยับ มือผมที่หลุดจากการกักกันก็พยายามยามผลักดันตัวพี่ตั้มออก แต่ก็ไม่เป็นผล ร่างกายพี่ตั้มสูงใหญ่บึกบึนกว่าผมมาก

พี่ตั้มเริ่มชักท่อนลำใหญ่ เข้า ออก เร็วขึ้นตามการตอบรับของช่องทางผมที่เริ่มปรับตัวตอบรับความยาวใหญ่ได้ อารมณ์ผมพลางก่อตัวเพราะโดนทั้งกอดจูบลูบไล้ ซุกไซ้ไปทั่ว

ผมต่อต้านพี่ตั้มไม่ไหวก็ได้แต่นอนนิ่งด้วยลมหายใจหอบเหนื่อยจากการขัดขืนจนหมดแรง กอปรกับอารมณ์ที่เริ่มปะทุตามการชักนำของพี่ตั้มทำให้ผมเริ่มส่งเสียงอืออาเบาๆ ตามความรู้สึกเสียวซ่านที่ร่างกายได้รับ

พี่ตั้มคงเห็นว่าผมคงไม่ขัดขืนแล้วก็ดันตัวขึ้นเลิกกดทับร่างผม เปลี่ยนไปชันเข่า สองมือใหญ่จับเอวผมมั่นก็จะกระเด้าเข้า ออก เร็วขึ้น แรงขึ้น หลายครั้งที่พี่ตั้มกระแทกเข้ามาเน้นๆ หนักๆ ทำให้ผมร้องเสียงหลง

มันสายไปแล้ว ผมกำลังมีเซ็กส์กับพี่ตั้ม ผมต่อต้านไม่ได้แล้ว ผมยกสองมือขึ้นมาปิดหน้า ไม่อยากมองกิจกรรมที่ผมไม่ได้ตั้งตัว เตรียมใจ แต่ทำได้ไม่นานร่างผมก็ถูกโอบรวบให้ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ท่อนลำใหญ่ยังฝังอยู่ในร่างผม ผมทั้งเสียว ทั้งแน่น จนตอนนี้กลายเป็นผมนั่งอยู่บนตักพี่ตั้ม ยิ่งทำให้ท่อนลำยาวแทงลึกจนอารมณ์ผมปะทุแบบกู่ไม่กลับ

พี่ตั้มดันสะโพกผมขึ้น และจับกดลงบนแท่งใหญ่ ทำอยู่สองสามครั้งพี่ตั้มก็กระซิบข้างหูผม

"ขยับซิ"

ผมที่อารมณ์ค้าง และความที่เลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ผมเลยยอมยกตัวและกดร่างลงกลืนกินแท่งลำใหญ่ ปล่อยร่างไปตามอารมณ์ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมจึงยกแขนคล้องคอพี่ตั้ม ทรงตัวมั่น เริ่มบดเบียด และยกสะโพกขึ้น ลง ค่อยๆ เร่งจังหวะไปตามความเสียดเสียวที่เริ่มมากขึ้น มากขึ้น ทุกครั้งที่ท่อนลำถูกเคลื่อนเข้า เคลื่อนออก คับแน่นอยู่ในรูร่านของผม

พี่ตั้มปล่อยให้ผมชักนำอยู่ไม่นาน ก็ยกสะโพกผมค้าง ก่อนที่จะยกสะโพกตัวเอง เด้งแทงสวนขึ้นรัวเร็วจนผมครวญครางเพราะความใหญ่ยาวทำให้แท่งลำ แน่นรู เสียดสีรูเน้นๆ และยิ่งเร่งจังหวะก็ยิ่งถึงอกถึงใจ จนผมถึงฝั่งฝันปล่อยน้ำขาวขุ่นเลอะกล้ามแน่นโดยที่ยังไม่ได้ถูกสัมผัสปลุกเร้าเลยแม้แต่น้อย

พี่ตั้มจับผมหงายตัวนอนลง ก่อนที่พี่ตั้มจะเร่งจังหวะอีกครั้งจนพี่ตั้มปลดปล่อยในตัวผม ผมตกใจเล็กน้อย ทำให้เริ่มมีสติรู้ตัวทำให้รู้สึกได้ว่าพี่ตั้มใส่ถุงยาง นี่เค้าทั้งเตรียมเจลหล่อลื่น ทั้งเตรียมถุงยาง พร้อมขนาดนี้

นี่เค้าวางแผนมาแล้วใช่มั๊ย ผมมันโง่จริงๆ ที่หลงไว้ใจ โง่ที่คิดว่าเรายังคงเป็นพี่น้องกันเหมือนสมัยเรียน พลาด ผมพลาดไปแล้วจริงๆ ถึงผมจะรู้สึกดีกับพี่ตั้ม แต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่จะมีเซ็กส์กันได้ ผมไม่ได้รักพี่ตั้ม ไม่ รัก ก็คือ ไม่รัก เพราะถ้าผมจะรักเค้าผมคงคบกับเค้าตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ผมได้แต่นอนหมดแรงไม่ขยับร่าง ปล่อยให้พี่ตั้ม กก กอด หอมแก้ม จูบไซ้ซอกคอ จนผมหลับไป

เช้าแล้ว ผมที่ตื่นก่อนก็ค่อยๆ ลุกไปอาบน้ำ มันรู้สึกขัดๆ เล็กน้อย แต่ไม่ได้ทำให้ผมลำบากในการเดินเท่าไหร่ ก็ผมไม่ใช่หนุ่มน้อยเวอร์จิ้นอะไร เรื่องเซ็กส์ผมผ่านมากับแฟนเก่าที่เคยคบมาก่อน

พอผมอาบน้ำเสร็จก็เห็นพี่ตั้มยังไม่ตื่น จึงแอบหนีออกมาจากห้องก่อน เพราะตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะพูดคุย ยังไม่อยากจะมองหน้าเค้าด้วยซ้ำ

ผมเดินถามทางชาวบ้าน และได้รับการแนะนำให้ไปโดยสารรถที่จะขึ้นดอยซึ่งมีท่ารถอยู่ไม่ไกลโรงแรมเท่าไหร่

ผมปิดโทรศัพท์มือถือ นั่งปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับสายลมบนรถโดยสารที่กำลังแล่นขึ้นดอยไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้เครียด หรือคิดมากอะไร อาจเป็นเพราะผมไม่ได้รักด้วยล่ะมั๊ง ผมถึงไม่แคร์อะไรมากตามไปด้วย

พอขึ้นมาถึง ผมก็เจอเพื่อน พี่ น้อง ที่บ้างเริ่มซ่อมแซมทาสีโรงเรียน บ้างเพิ่งเดินไปทางโรงครัว ผมจึงเดินตามไปหาข้าวเช้ากินประทังชีวิตวันนี้ก่อน

"อ้าว..ไทม์มาแล้วเหรอ แปรงที่พี่ฝากซื้ออ่ะ"

"อืม..อยู่กับพี่ตั้มครับ เดี๋ยวคงเอามาให้"

พอผมกินข้าวเสร็จก็เดินตรงไปช่วยกลุ่มทาสี จนถูกเพื่อนพี่ตั้มถามขึ้น

"ไทม์ขึ้นมาก่อนเหรอ ไอ้ตั้มมันโทรมาถามพี่ว่าไทม์อยู่นี่มั๊ย เราไม่ได้ลงไปกับมันเหรอ พี่ งง เมื่อวานเห็นนั่งรถไปพร้อมมันนี่"

"อ้อ..ผมอยากกลับขึ้นมาก่อนน่ะครับ พี่ตั้มคงเป็นห่วงเลยโทรมาเช็คมั๊งครับ"

"งั้นไทม์ไปช่วยทางนั้นก็ได้ครับ แค่ทาสีรองพื้นธรรมดา ช่วยๆ กันหลายคนจะได้แห้งทันทาสีทับได้"

"ครับผม"



พี่ตั้มกลับขึ้นมาบนดอยแล้ว ก็ไล่แจกจ่ายข้าวของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไปซื้อมาให้แต่ละส่วนงาน

ผมเห็นเค้าแอบมองผม แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้ ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดี เพราะผมก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเค้าตอนนี้เหมือนกัน จะเรียกว่าเสียความรู้สึกก็ได้ ถึงตอนหลังผมจะมีอารมณ์ร่วมก็เถอะ

ตั้งแต่วันเกิดเรื่อง จนผมและพี่ตั้ม กลับขึ้นมาบนดอย เราก็ไม่ได้เดินเฉียดเข้าไปใกล้กันอีก กระทั่งวันเตรียมตัวกลับ ที่เด็กๆ และคุณครู จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ตามที่สถานะพอจะอำนวยเพื่อขอบคุณพวกผมที่มาช่วยก่อสร้าง ซ่อมแซมโรงเรียนให้พวกเค้า

และมันก็ไม่พ้นต้องมีเพลงสามัคคีชุมนุมที่เป็นอมตะตั้งแต่ผมเรียนลูกเสือ

เด็กๆ แทรกตัวมาระหว่างพวกพี่ๆ พวกเราจับมือต่อๆ กันเป็นวงกลม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่ตั้มแทรกตัวมาอยู่ข้างๆ และคว้ามือผมไปจับแบบเนียนๆ ได้ยังไง พอผมหันไปมองหน้า พี่ตั้มก็ฉีกยิ้มให้ผมจนตาปิด แต่บอกตามตรงว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผมยังคงร้องเพลง และยังคงปล่อยให้เหตุการณ์มันดำเนินต่อไปอย่างนั้นเหมือนที่เคยทำกับทุกสิ่งตลอดมา



_____________________

#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก


ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผู้ให้ (3)
«ตอบ #12 เมื่อ15-06-2019 00:10:01 »


ผู้ให้ (3)



หลังจากที่พวกเราแยกย้ายเตรียมตัวจะกลับบ้านกัน พี่ตั้มอาสาไปส่งผมเอง แต่ผมก็ปฏิเสธไป ผมไม่ได้โกรธ หรืออึดอัดอะไร ผมก็แค่ไม่ได้แคร์พี่ตั้มขนาดนั้น ผมแค่ไม่อยากไปกับเค้ามันก็แค่นั้น

ผมกลับมาใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม ตื่นเช้า ไปทำงาน ตื่นสายในวันหยุด มีออกเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ไปทำกิจกรรมสาธารณะกุศลบ้าง บางคืนผมก็ไปขอเข้าเวรอาสามัครกู้ภัยกับพี่ๆ ที่รู้จัก

ตั้งแต่ผมทำงานหาเงินใช้เองได้ ตั้งแต่ผมเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ผมก็เต็มที่กับชีวิตมาก ผมทำทุกอย่างที่อยากทำ ผมแทบจะไม่ค่อยได้กลับมานอนบ้านด้วยซ้ำ ยกเว้นเช้าวันอาทิตย์ที่ผมต้องกลับมาชาร์จแบตตัวเองที่หมดเกลี้ยงในสุดสัปดาห์ และสิ่งที่ผมชอบทำมากที่สุดเห็นจะเป็นอะไรก็ได้ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อส่วนรวม ผมชอบทำบุญ สร้างกุศล ผมไม่ได้มีเงินมาก ผมแค่เดินออกจากบ้าน และใช้เวลา ลงมือลงแรงทำประโยชน์เพื่อสังคม แต่ผมค่อนข้างขี้เบื่อผมมักจะเสาะหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆ ที่ผมไม่เคยทำ ผมรู้สึกว่าผมตัวพองโตไปกับความภูมิใจที่ว่าผมเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ที่หลากหลาย

สิ่งแปลกแยกที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตของผมช่วงนี้ก็เห็นจะเป็นเสียงโทรศัพท์ของพี่ตั้มที่โทรมาวันละสามเวลาหลังอาหาร และก่อนนอน ผมก็รับสายบ้าง ไม่รับสายบ้าง แล้วแต่ความสะดวกของผม แต่ผมก็ไม่เคยโทรหาพี่ตั้มเลยสักครั้งเดียว

พี่ตั้มพูดชัดเจนว่าต้องการสานต่อความสัมพันธ์ของเรา ซึ่งผมมก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็แค่คุยๆ กันไปก่อน สำหรับผมการมีคนคุยเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ได้เดือดร้อน อึดอัดอะไร เพราะผมก็ไม่ได้เจอพี่ตั้มอยู่แล้ว ด้วยความที่เราอยู่กันคนละจังหวัด และด้วยหน้าที่การงาน และกิจกรรมต่างๆ นานาของผม ทำให้ผมไม่มีเวลาให้ใครคนใดคนหนึ่งมากอยู่แล้ว

เราเริ่มคุยกันมากขึ้น เมื่อพี่ตั้มเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางไปตามต่างจังหวัด ไม่ว่าจะไปออกค่ายอาสาเหมือนที่เราไปเจอกัน บ้างก็ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า หรือแม้กระทั่งไปช่วยเป็นกองสนับสนุนทีมแพทย์อาสา

ผมเริ่มศรัทธาในตัวที่ตั้มมากขึ้น พี่ตั้มเสียสละเวลาส่วนตัว ทุ่มเทเพื่อสังคม ทั้งลงเงิน ทั้งลงแรงไปมากๆ มากกว่าผมเยอะ และแน่นอนไม่นานพี่ตั้มก็ตีตรงจุดความสนใจของผม ดึงผมไปเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณะกุศลของเค้าได้

พี่ตั้มมักจะชวนผมในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดยาวเทศกาลต่างๆ ไปทำกิจกรรมตามต่างจังหวัดด้วยกัน โดยพี่ตั้มจะตีรถมารับผมก่อนที่จะไปเข้าร่วมกับทีมที่ไปทำกิจกรรมนั้นๆ ด้วยกัน ผมค่อนข้างตื่นตัว มันเป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการที่ผมมักจะแสวงหาความภาคภูมิใจให้ตนเอง สรรหาสิ่งเสริมสร้างตัวตนของผมได้เหมาะตรงใจเสียเหลือเกิน แต่สิ่งที่ผมต้องแลกก็คือการที่ผมต้องอยู่กับพี่ตั้มตลอด 24 ชั่วโมง และหนีไม่พ้นต้องมีเซ็กส์กับเค้าทุกทริปที่เราไปด้วยกัน ผมได้ความรู้สึกตัวพองโต แลกกับการที่ต้องมีเซ็กส์กับคนที่ผมไม่ได้รัก ผมไม่ได้คิดมาก ผมไม่ได้แคร์สิ่งใดมากไปกว่าการที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมต้องการเท่านั้น

พี่ตั้มดูแลผมดีทุกอย่าง และพี่ตั้มก็ดูมีความสุขมากที่ได้ทำแบบนั้น เค้ายิ้ม เค้าหัวเราะเสมอเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ทุกครั้งที่เค้าคลอเคลียแนบชิดแนบแน่นกับร่างกายผม ผมก็สัมผัสได้ว่าเค้ามีความสุขมากจริงๆ จนบางครั้งผมยังคิดว่าร่างกายผมคงถือเป็นรางวัลตอบแทนความเสียสละต่อสังคมของพี่ตั้มก็แล้วกัน มันทำให้ผมเต็มใจมีเซ็กส์กับพี่ตั้ม มันทำให้ผมสนองตอบและเป็นฝ่ายรุกเร้ามากขึ้น

ทุกครั้งที่เราไปทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน พี่ตั้มก็มาส่งผมถึงบ้านทุกครั้ง พอวันรุ่งขึ้นก็แชร์อัลบั้ม แท๊กรูปที่เราไปทำกิจกรรมกันมาทุกครั้ง รูปส่วนใหญ่ก็เป็นรูปรวมหมู่คณะ ผมไม่ชอบถ่ายรูปคู่ ผมชอบรูปที่ดูเป็นธรรมชาติ รูปที่ทุกคนกำลังทำงานกันมากกว่า และพี่ตั้มก็สนองตอบตามที่ผมต้องการแบบนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่มีมากดไลท์ มาคอมเม้นต์ก็เป็นพวกทีมในรูป หรือกลุ่มคนที่เรารู้จักในสายเดียวกัน แต่ผมสังเกตได้ว่ามักจะมีน้องผู้หญิงคนนึงชอบมากดไลท์ทุกรูปที่มีพี่ตั้มอยู่ แรกๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร จนเริ่มเอะใจที่น้องคนนั้นมาไลท์ทุกรูปที่มีผมและพี่ตั้ม แต่ไม่ไลค์รูปที่มีผมคนเดียว เพราะมันแจ้งเตือนตามที่พี่ตั้มแท็กผมลงไปในทุกรูปที่มีผม ผมลองไล่ดูรูปต่างๆ มันเป็นจริงอย่างที่ผมสงสัย รูปอื่นๆ ไม่ว่าจะมีใครก็ตาม ถ้าไม่มีพี่ตั้มก็จะไม่มีน้องคนนั้นกดไลท์เลยสักรูปเดียว มันทำให้ผมสงสัยจนต้องไปส่องโปรไฟล์ของน้อง แต่น้องตั้งค่าส่วนตัวก็เลยทำให้ผมต้องกดขอเป็นเพื่อนไปเพื่อส่องด้วยความสงสัยล้วน

ผ่านไปวันนึง น้องกดรับผมเป็นเพื่อนและทักช่องส่วนตัวมาคุยกับผมก่อน

สิ่งน้องคุยส่วนใหญ่ก็มักจะถามเกี่ยวกับรูปสถานที่ ที่ผมไปกับพี่ตั้ม คำถามส่วนมากก็จะเอนเอียงไปด้วยความอยากรู้ความเป็นไปของพี่ตั้ม น้องคิดว่าผมเป็นเพื่อนพี่ตั้ม ซึ่งผมก็รับสมอ้างไปอย่างนั้น และน้องก็คุยกับผมตลอดทุกครั้งที่พี่ตั้มอัพรูปกิจกรรมต่างๆ ที่มีผมไปด้วย

ผมไม่ได้ถามว่าน้องเป็นอะไรกับพี่ตั้ม หรือมีความสัมพันธ์อะไรกัน ผมเป็นคนปากหนักแต่ไหนแต่ไร ผมไม่ค่อยชอบพูดชอบถามเรื่องส่วนตัว หรืออาจเป็นเพราะผมไม่แคร์ใครด้วยหรือเปล่าก็อาจเป็นได้ จนวันนึงเรื่องราวมันก็บอกทุกอย่างด้วยตัวมันเอง

อาทิตย์นี้พี่ตั้มไม่ได้มารับผม พี่ตั้มบอกผมว่ามีนัดดูหนังเรื่องดังกับเพื่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว วันนั้นผมไปขอเข้าเวรกับพวกพี่ๆ กู้ภัย แต่พอกลับถึงบ้านก็ต้องแปลกใจที่น้องคนนั้นทักมาหาทั้งๆ ที่วันนี้พี่ตั้มไม่ได้อัพรูปอะไร

น้องยังเด็ก อายุ 17 ยังไม่เต็ม 18 ปีดี น้องทักมาอารมณ์แบบอยากหาคนคุย อยากอวดว่าวันนี้น้องได้ไปดูหนังกับแฟนมา

ใช่ครับ ผมคิดถึงพี่ตั้มขึ้นมาทันที ผมอาศัยความอายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่าหลอกถามจนได้ความว่า แฟนของน้องคือพี่ตั้ม แต่น้องทำสัญญากับพี่ตั้มไว้ว่าจะไม่บอกเรื่องความสัมพันธ์นี้กับใครเพราะพี่ตั้มบอกน้องว่าน้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ และน้องก็รักพี่ตั้มไม่อยากให้พี่ตั้มเดือดร้อน

ถามว่าผมเจ็บมั๊ยที่รู้แบบนี้ ขอตอบว่าไม่เลยครับ ผมค่อนข้างมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง ผมไม่รักพี่ตั้ม ทุกวันนี้ผมก็ยังคง ไม่รัก แต่ที่ผมเสียความรู้สึกก็คือ น้องยังเด็ก พี่ตั้มทำมันไปได้ยังไง ภาพจำของพี่ตั้มในหัวผมตอนนี้คือวีรบุรุษช่วยเหลือสังคม เสียสละเพื่อส่วนรวม แต่วันนี้ความจริงมันตีแสกหน้าผม คนที่เคยช่วยเหลือเด็กๆ กับมามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเด็ก จะเรียกว่าหลอกเด็กก็ได้ ถึงจะเสียความรู้สึกแต่ผมก็ไม่ได้บอกความจริงที่ทำร้ายจิตใจน้องคนนั้นไป ผมยังอยู่คุยเป็นเพื่อนจนน้องขอตัวไปนอน และอย่างที่ผมบอกว่าผมไม่เคยโทรหาพี่ตั้ม ผมก็ยังคงไม่โทร ผมไม่เก็บเรื่องน้องคนนั้นไปคิด ผมแค่เข้านอนและรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ที่พี่ตั้มจะโทรมาหาผมแค่นั้น

พี่ตั้มยังคงทำตัวปกติ โทรหาผมตอนเช้า ตอนกลางวัน แต่ผมยุ่งอยู่กับงานเลยไม่ได้คุยอะไรมาก จนตกเย็นผมเลิกงาน ถึงเวลาที่ผมสะดวก พอพี่ตั้มโทรมาผมก็ยิงคำถามตรงประเด็นทันที


"เมื่อวานหนังสนุกมั๊ยครับ"

"ก็สนุกนะ"

"พี่ไปดูกับเพื่อนคนไหนหรือครับ ผมรู้จักหรือเปล่า"

"โอ๊ย..ไทม์ไม่รู้จักหรอกครับ เพื่อนรุ่นน้องพี่น่ะครับ"

"อ่อ..ครั้บ"


พี่ตั้มโกหกผม แค่นั้นแหละที่ผมต้องการรู้ตอนนี้

ผมบอกพี่ตั้มไปว่าช่วงนี้ผมไม่ว่างเลยหลายเดือน ผมคงไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพี่ตั้มสักพัก และนั้นก็ทำให้ผมรู้อีกว่า ถ้าไม่มีผม น้องคนนั้นก็จะได้เวลาจากพี่ตั้มไป ด้วยความที่น้องเปิดใจเรื่องแฟนกับผมแล้ว น้องก็มักจะเล่าเรื่องแฟนมากขึ้นเรื่อยๆ น้องบอกว่าพี่ตั้มจ่ายค่าเทอมส่งน้องเรียนอยู่ พี่ตั้มช่วยเหลือเรื่องการเงินกับทางบ้านน้องด้วย น้องรักและเทิดทูนพี่ตั้มมาก น้องขออะไร น้องอยากได้อะไร พี่ตั้มก็สรรหามาให้ทุกอย่าง แต่น้องเป็นคนมักน้อยไม่ขออะไรที่แพงเกินไป หรืออะไรที่จะทำให้พี่ตั้มเดือดร้อน

ผมถามน้องไปว่า ในเมื่อรักกันกับแฟนมากขนาดนี้พอเรียนจบจะแต่งงานกันเลยมั๊ย น้องไม่ตอบ เงียบหายไปพักนึงก็ส่งสติกเกอร์ร้องไห้มา

ผมถามน้องว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า หรือทะเลากันกับพี่ตั้ม ผมคิดว่าน้องเปิดใจกับผมมาก ผมเลยคิดว่าอาจจะช่วยแนะนำให้น้องได้ เพราะผมก็ค่อนข้างรู้จักนิสัยพี่ตั้มมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่คำตอบของน้องกลับทำให้ผมต้องช๊อค ครับ ช๊อคจริงๆ

น้องบอกว่ามันคงไม่มีวันนั้น เพราะพี่ตั้มมีลูก มีเมียแล้ว น้องบอกว่าลูกชายพี่ตั้มยังอยู่อนุบาลอยู่เลย น้องเคยไปแอบดูที่โรงเรียน

ด้วยความที่ผมช๊อค ผมเลยเผลอโพล่งพูดออกไปว่าทำไมน้องไปยุ่งกับคนมีลูกมีเมียแล้ว น้องยังเด็กทำไมไม่ไปหาคนอื่น น้องก็ตอบว่าตอนแรกน้องไม่รู้ พอรู้ก็รักพี่ตั้มไปแล้ว พี่ตั้มเคยขอเลิก แต่น้องเองที่เป็นฝ่ายอ้อนวอนขอร้องเกาะขาพี่ตั้มไม่ให้เลิก น้องบอกว่าน้องขาดพี่ตั้มไม่ได้ พี่ตั้มคือชีวิตของน้อง

ผมตั้งสติอยู่ไม่นาน ผมเลยบ่ายเบี่ยงเลิกคุยกับน้องต่อ อ้างว่าต้องทำงานที่ค้าง

มือผมที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาเบอร์พี่ตั้ม เตรียมจะโทรออก แต่ก็หยุดชะงัก พลางครุ่นคิดว่าผมจะโทรไปคุยเรื่องอะไร ผมจะเดือดร้อนอะไรเรื่องของน้องคนนั้นไปทำไม ผมไม่แคร์คนอื่นด้วยซ้ำ หรือผมจะโทรไปถามเรื่องลูกเมียของพี่ตั้มและขอจบความสัมพันธ์ของเราทันทีดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มเครียดกับเรื่องของพี่ตั้ม นี่ผมกำลังทำผิดศีลธรรมกับคนที่ผมคิดว่าเค้าคือผู้เสียสละ คนที่เป็นผู้ให้ สิ่งดีๆ กับผู้คนงั้นเหรอ ผมเสียศูนย์จริงๆ ตัวที่พองโดของผมหดเล็กลงจนหมดความรู้สึกภาคภูมิใจ ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่เตียงก่อนจะลุกไปขอร่วมวงกินเหล้ากับเพื่อนข้างบ้านให้มันลืมๆ เรื่องเครียดๆ ตอนนี้ ผมไม่ชอบความเครียด ผมไม่ชอบคิดถึงมัน ผมชอบเลือกที่จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปมากกว่า พอเริ่มกรึ่มได้ที่ผมก็ขอตัวกลับมานอนหลับได้อย่างสมองโล่งโปร่งสบายเสียที

ผมไม่รับโทรศัพท์พี่ตั้มเลยตลอดทั้งสัปดาห์ จนพี่ตั้มเริ่มโทรหาคนรอบตัวผมทุกคนที่เค้ารู้จัก แม้กระทั้งขอร้องให้พี่ที่ผมนับถือมาช่วยพูดให้ผมรับสายเค้า

ก็นั้นล่ะครับ ผมไม่เคยรักพี่ตั้ม ผมไม่ได้แคร์เค้า พี่ตั้มเริ่มก้าวก่ายชีวิตผมมากเกินไป ผมเลยบล๊อคเบอร์เค้า ผมบล๊อคทุกช่องทางการสื่อสารของเค้ากับผม แต่พี่ตั้มก็ไม่ลดละ ทั้งใช้เบอร์เพื่อน เบอร์บ้าน เบอร์สาธารณะที่ผมไม่รู้จักโทรมาหาผม ตัวผมที่กดรับสายไปในช่วงแรกๆ พอได้ยินเสียงรู้ว่าเป็นพี่ตั้ม ผมก็ตัดสายทิ้ง แต่เค้าก็ไม่ลดละ จนผมต้องเลิกรับสายเบอร์แปลกทุกเบอร์ที่โทรเข้ามาจริงๆ

ชีวิตผมกลับเข้าสู่ความสงบสุขได้ไม่นาน ผมก็พบกับพี่ตั้มที่มาดักรออยู่ที่หน้าบ้านของผม ตอนที่ผมเลิกงานกลับมา

สีหน้าของพี่ตั้มหมองเศร้ามาก เค้าดูเครียด และดูออกว่าร่างกายอ่อนแรงเป็นผลมากจากการพักผ่อนน้อยจริงๆ

ผมไม่ชอบให้ชาวบ้านมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม เลยเชิญให้พี่ตั้มเข้ามาคุยในบ้าน เรานั่งห่างเหินกัน ผมมองหน้าเค้าเงียบๆ ไม่พูดอะไร ซึ่งพี่ตั้มเองก็รู้ตัวแล้วว่าผมคุยอะไรกับน้องคนนั้นบ้าง รวมไปถึงผมรู้เรื่องครอบครัวพี่ตั้มแล้ว

คำแรกที่พี่ตั้มพูดกับผมก็คือ คำขอโทษ และผมก็ตอบกลับไปด้วยความรวดเร็วว่า ไม่เป็นไร และเราควรจบกันแค่นี้

พี่ตั้มดูตกใจมาก จนรีบลุกขึ้นเพื่อเดินมานั่งพื้นข้างเก้าอี้ผม สองมือรวบเข่าผมทั้งสองข้าง แนบใบหน้าไปกับตักผม และผมก็ได้เห็นน้ำตาของพี่ตั้ม

ครับ พี่ตั้มร้องไห้และบอกกับผมว่าขอโอกาส พี่ตั้มรักผมมาก รักผมคนเดียว รักผมมานานมากแล้วจริงๆ

และแน่นอนคำถามของผมก็คือ แล้วลูกเมียที่บ้านพี่ล่ะ ไหนจะน้องคนนั้นที่ขาดพี่ไม่ได้อีกล่ะจะว่ายังไง

พี่ตั้มบอกว่าพี่ตั้มต้องแต่งงานกับแม่ของลูกเพราะพลาดทำเค้าท้อง ทุกวันนี้ทั้งพี่ตั้มและผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ด้วยกันเพื่อลูก กะว่าจะรอให้ลูกโตกว่านี้ก็จะหย่าขาดจากกัน ปลดปล่อยกันให้เป็นอิสระ ส่วนน้องคนนั้นพี่ตั้มแค่สงสารเพราะที่บ้านน้องเค้าเดือดร้อนมาก และพ่อแม่เค้าก็เต็มใจยกลูกสาวให้มีสถานะแบบนี้ตอบแทนบุญคุณ ซึ่งพี่ตั้มก็ไม่ได้รั้งอะไรน้องไว้ น้องยังเด็กถ้าโตขึ้น ได้พบปะผู้คนมากขึ้นแล้วน้องก็จะเจอคนอื่นเอง พอถึงวันนั้นพี่ตั้มก็จะไม่รั้งน้องไว้ จะปล่อยน้องไป

พี่ตั้มยังย้ำคำเดิมว่าคนที่พี่ตั้ม รัก คือผม คนที่เข้าใจพี่ตั้ม คนที่มีสไตล์ชีวิตคล้ายกัน ความชอบเหมือนกัน เราเข้ากันได้ดีแทบทุกอย่างแม้แต่เรื่องเซ็กส์ ก็เป็นผมที่รู้ใจ ถึงใจพี่ตั้มไปซะทุกอย่าง

พี่ตั้มขอเวลาเคลียร์ตัวเอง แต่ถ้าผมไม่สบายใจ พี่ตั้มก็พร้อมที่จะไปเลิก ไปตัดขาดความสัมพันธ์กับแม่ของลูก และน้องคนนั้นตอนนี้ทันที ถ้าผมไม่เชื่อก็จะพาผมไปด้วย จะไปเลิกกับทุกคนต่อหน้าผม ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมมากแค่ไหน ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมคนเดียว

นี่ผมกำลังจะต้องมาตัดสินใจกับเรื่องของคนที่ผมไม่ได้รักงั้นเหรอ นั่นล่ะครับ สำหรับผม ไม่รัก ก็คือไม่รัก ถึงผมจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากคนที่บอกว่ารักผมสุดหัวใจ คนที่แทบจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ผม แต่ก็ผมทำตามใจตัวเองมากกว่า ผมไม่ต้องการพี่ตั้ม ในขณะที่มีผู้หญิงอีก 2 คน และเด็กอนุบาลอีกคนนึงที่ต้องการพี่ตั้มมากกว่าผม ไม่ซิ ไม่ใช่มากกว่า พวกเค้าต้องการพี่ตั้ม แต่ผมไม่ได้ต้องการเลยสักนิด

ผมผลักตัวพี่ตั้มออกและลุกขึ้น ก่อนจะพูดกับพี่ตั้มอีกครั้งว่า เราควรจบกันแค่นี้ และบอกให้พี่ตั้มช่วยปิดประตูบ้านก่อนกลับให้ด้วย จากนั้นผมก็เดินขึ้นห้อง จัดการล็อคประตูและเปิดเพลงเสียงดังกลบเสียงร่ำไห้ของคนนอกห้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปอาบน้ำและลืมทุกสิ่งเหมือนที่เคยทำเสมอมา






พี่ตั้มขอเวลาเคลียร์ตัวเอง แต่ถ้าผมไม่สบายใจ พี่ตั้มก็พร้อมที่จะไปเลิก ไปตัดขาดความสัมพันธ์กับแม่ของลูก และน้องคนนั้นตอนนี้ทันที ถ้าผมไม่เชื่อก็จะพาผมไปด้วย จะไปเลิกกับทุกคนต่อหน้าผม ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมมากแค่ไหน ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมคนเดียว

นี่ผมกำลังจะต้องมาตัดสินใจกับเรื่องของคนที่ผมไม่ได้รักงั้นเหรอ นั่นล่ะครับ สำหรับผม ไม่รัก ก็คือไม่รัก ถึงผมจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากคนที่บอกว่ารักผมสุดหัวใจ คนที่แทบจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ผม แต่ผมก็ทำตามใจตัวเองมากกว่า ผมไม่ต้องการพี่ตั้ม แต่...เอ๊ะ!!..

หรือว่า..หรือว่าผมจะเลือกมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างที่ผมต้องการโดยมีคนที่รักผมสนับสนุนอยู่ทุกอย่างดีนะ ผมมั่นใจว่าพี่ตั้มรักผมจริงๆ และยอมผมทุกอย่างแน่ๆ หรือผมควรเลือกคนที่เค้ารักผม หรือตอบสนองความต้องการผมได้กันนะ มันคงจะดีกับชีวิตผมมากๆ แน่ๆ

แต่..มีผู้หญิงอีก 2 คน และเด็กอนุบาลอีกคนนึงที่ต้องการพี่ตั้มมากกว่าผม ไม่ซิ ไม่ใช่มากกว่า พวกเค้าต้องการพี่ตั้ม แต่ผมไม่ได้ต้องการเลยสักนิดนี่นา

ผมผลักตัวพี่ตั้มออกและลุกขึ้น ก่อนจะพูดกับพี่ตั้มอีกครั้งว่า เราควรจบกันแค่นี้ และบอกให้พี่ตั้มช่วยปิดประตูบ้านก่อนกลับให้ด้วย จากนั้นผมก็เดินขึ้นห้อง จัดการล็อคประตูและเปิดเพลงเสียงดังกลบเสียงร่ำไห้ของคนนอกห้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปอาบน้ำและลืมทุกสิ่งเหมือนที่เคยทำเสมอมา






พี่ตั้มขอเวลาเคลียร์ตัวเอง แต่ถ้าผมไม่สบายใจ พี่ตั้มก็พร้อมที่จะไปเลิก ไปตัดขาดความสัมพันธ์กับแม่ของลูก และน้องคนนั้นตอนนี้ทันที ถ้าผมไม่เชื่อก็จะพาผมไปด้วย จะไปเลิกกับทุกคนต่อหน้าผม ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมมากแค่ไหน ให้ผมรู้ว่าพี่ตั้มรักผมคนเดียว

เดี๋ยวนะ...

อีกแล้ว...

มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว มันวน มันย้อนกลับมาที่เดิมเพื่ออะไร เพื่อให้ผมตัดสินใจใหม่เหรอ

เห้ย!!




ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร




แต่ตอนที่ผมคบกับพี่ตั้ม นั่นมันตอนผมอายุ 25 นะ ใช่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน ก่อนที่ผมจะคบกับพี่เอกด้วยซ้ำ เอาอีกแล้ว มันย้อนเวลาจริงๆ มันเป็นแบบนี้เพื่ออะไรกัน คือต้องการให้ผมเสียสละตัวเองให้เป็นของขวัญกับวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือสังคม นี่ต้องการให้ผมตอบแทน คนที่เป็นดั่ง ผู้ให้ คนอื่นเสมอมาแบบนี้เหรอ แล้วผมล่ะ ผมไม่ได้รักเค้าไง ใช่ ผมไม่รักเค้า ไม่มีวันรัก

ผมผลักตัวพี่ตั้มออกและลุกขึ้น ก่อนจะพูดกับพี่ตั้มอีกครั้งว่า เราควรจบกันแค่นี้ และบอกให้พี่ตั้มช่วยปิดประตูบ้านก่อนกลับให้ด้วย จากนั้นผมก็เดินขึ้นห้อง จัดการล็อคประตูและเปิดเพลงเสียงดังกลบเสียงร่ำไห้ของคนนอกห้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปอาบน้ำและลืมทุกสิ่งเหมือนที่เคยทำเสมอมา








หลายเดือนผ่านไป พี่ตั้มคงตัดใจจากผมได้แล้ว แรกๆ เค้าก็ยังโทรมา โทรมาทั้งที่รู้ว่าผมไม่เคยรับสาย จนเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เค้าหายไปจริงๆ ไม่โทรมาอีกเลย

ผมไปเจอเค้าอีกทีในหน้าฟีดข่าวเพื่อนที่จัดกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ในนั้นมีรูปพี่ตั้ม และลูกเมียเค้า บรรยากาศในภาพนี่มันครอบครัวสุขสันต์ชัดๆ ผมได้แต่ภาวนาขอให้ความจริงมันเป็นอย่างในรูปเถอะ








ผมเหนื่อยจัง ผมง่วงเหลือเกิน ผมขอนอนก่อนแล้วกัน ผมโพสข้อความทิ้งไว้บนโซเชียล กล่าวบอกกับใครที่ผ่านมาเห็น ขอให้หลับฝันดีกันทุกคน ก่อนที่ผมจะเข้านอนและหลับไป









_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #13 เมื่อ15-06-2019 13:54:39 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #14 เมื่อ15-06-2019 17:45:55 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ชอบบบบบบบบบบบบบบ

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0




ส่งท้าย (ผู้ให้)



ความรัก สำหรับคุณคืออะไร

ขณะที่พี่ตั้มพูดว่ารักไทม์ ยึดมั่นหนักหนาว่าตัวเองรักไทม์ แต่ช่วงชีวิตที่ผ่านมา พี่ตั้มกลับไปแต่งงานกับคนอื่น โดยที่พี่ตั้มบอกว่าไม่ได้รักคนที่เป็นแม่ของลูก และบอกว่ามันคือความผิดพลาด แต่พี่ตั้มก็ยังคงใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอโดยมีเหตุผลว่าทำเพื่อลูก แต่ในขณะเดียวกันพี่ตั้มก็มีความสัมพันธ์กับคนอีกคน โดยมีเหตุผลว่าครอบครัวของเค้าคนนั้นเดือดร้อนจึงให้ความช่วยเหลือ และรับผลตอบแทนเป็นหัวใจและร่างกายของอีกคน


บางทีคำว่า รัก กับคำว่า ไม่รัก

หรือคำว่า ถูกต้อง กับคำว่า ผิดพลาด

หรือไม่ก็คำว่า ผู้ให้ กับคำว่า เห็นแก่ตัว

มันก็คงไม่ได้มีเพียง สีขาว และ สีดำ


รัก เพื่ออยากให้คนที่รักมีความสุข หรือ รัก เพื่อให้ตัวเองมีความสุข

ไม่รัก ถ้าไม่รักกันก็ไม่ควรจะเข้าไปในชีวิตอีกคนให้เกิดพันธะผูกพันกันตั้งแต่แรกหรือเปล่า หรือแค่เพียงเพราะเจอคนที่รัก มากกว่า ใหม่กว่า ท้าทายกว่า ทำให้ หมดรัก คนเดิมๆ หรือเปล่า

ถูกต้อง สำหรับใคร มันอาจจะถูกต้องสำหรับเรา แต่มันอาจไม่ถูกต้องสำหรับคนอื่นหรือเปล่า

ผิดพลาด อาจจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ยึดมั่นในตอนนี้ วันนี้ หรือเปล่า แต่เมื่อสถานการณ์ต่างออกไป สภาพแวดล้อม เวลา และสังคมที่กฎเกณฑ์ต่างออกไป มันอาจจะไม่ใช่สิ่ง ผิดพลาด หรือเปล่า หรือมัน ผิดพลาด เพราะแค่มัน ไม่ถูกใจเรา หรือเปล่า

ผู้ให้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นสำคัญหรือเปล่า หรือแสดงตนว่าเป็น ผู้ให้ เพื่อส่งเสริมตัวตนให้ดูดี และเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือเปล่า

เห็นแก่ตัว แบบมีข้ออ้างที่จะกอบโกยโดยไม่รู้สึกผิด รับไว้เพราะคนอื่นเต็มใจให้ หรือฉวยโอกาสในวันที่คนอื่นอ่อนแอ ลอบตักตวงจากคนดีหรือเปล่า ไม่ทิ้งไป เพราะรอให้เค้าไปเอง หรือเพราะจริงๆ แล้วยังอยากจะเก็บเค้าไว้กันแน่


ทุกสิ่งมันคงเป็นแค่ สีเทาๆ แล้วแต่ว่าจะมองว่ามันค่อนไปทางขาว หรือ สีเทา ที่ค่อนไปทางดำมั๊ย








ผมชื่อ ไทม์ (1)



ผมยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ทั้งที่ผมรู้สึกตัวตื่นนานแล้ว

ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ผมเคยลืมไปนานแล้ว ทั้งเรื่องพี่เอก หรือเรื่องพี่ตั้ม มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะตื่นมาในเช้านี้หรือเปล่า

สิ่งที่ผมรับรู้จริงๆ ตอนนี้ก็คือ ผมจำมันได้ ผมรู้สึกกับเรื่องราวที่ผมจำได้อีกครั้ง ทั้งที่ผมเคยคิดว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยแคร์ใคร ไม่สนใจใคร ผมลืมทุกสิ่ง ไม่แยแสกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่เช้านี้ ผมเจ็บปวด ผมสะเทือนใจ และผมรู้สึกเศร้าเสียใจ กับ อดีต ที่ผมไม่ต้องการ

ผมทบทวนตัวเองอีกครั้ง ผมพร่ำท่องกับตัวเอง


ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร


ผมไม่กล้าลุกขึ้นจากเตียง ไม่กล้าออกไปข้างนอก ผมรู้สึกกลัว ผมไม่อยากให้ ใคร หรือเรื่องราวอะไรที่มันเคยผ่านไปแล้ว หรือทุกสิ่งที่ผมลืมไปแล้ว หวนกลับมาอีก ผมได้เฝ้าภาวนาขอให้มันเป็นเพียงแค่ความฝันของเมื่อคืนนี้ แต่มันคงเป็นความฝันที่ตรงกับความจริงเสียเหลือเกิน มันเหมือนความจริงมากเกินไป มากจนทำให้ผม รู้สึก


แสงแดดเริ่มสาดส่องรำไรรอดบานหน้าต่าง วันนี้วันอะไรนะ ผมถามกับตัวเอง วันนี้ผมต้องไปทำงานหรือเปล่า ผมควรโทรไปลางาน ผมมั่นใจว่าสมองของผมตอนนี้มันคงทำงานไม่ไหว ผมสับสนไปหมดระหว่างความฝันกับความจริง หัวผมยังตื้อ หรือเป็นเพียงเพราะผมยังงัวเงียไม่ตื่นดีกัน

ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องน้ำทำกิจวัตรประจำวัน ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวรินรดร่างอยู่นานกว่าที่ผมจะได้สติ และพร้อมจะออกไปเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ ผมเลิกหลอกตัวเอง ทั้งเรื่องพี่เอก เรื่องพี่ตั้ม มันเกิดขึ้นจริง ผมมั่นใจว่าผม ย้อนเวลา กลับไปทำเรื่องเดิมมาจริงๆ ให้ตายเหอะ มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับชีวิตผมกัน

ผมเดินจากห้องน้ำออกมาสวมเสื้อผ้า และเดินไปที่โต๊ะคอมฯ ผมอยากจะดูมันให้แน่ใจว่าตอนนี้ ตรงนี้ผมอยู่กับ วัน เดือน ปี อะไร กันแน่

ผมกดเปิดคอมฯ ไม่นาน มุมล่างขวาของจอ ก็ปรากฏ วัน เดือน ปี และ เวลา ให้ผมดู

09:09 AM
18/06/2019

ตาผมเบิกกว้าง มุมปากค่อยๆ ฉีกยิ้ม นี่มัน วัน เวลา ปัจจุบัน หรือว่าผมฝันไปจริงๆ ผมค่ดดีใจที่มันเป็นแค่ความฝัน ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ แม่มเอ้ย! กูแค่ฝันไป ผมเริ่มหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ผมมันบ้าจริงๆ ที่คิดว่าความฝันเป็นเรื่องจริง ผมแม่มคิดไปได้ไงวะ ตลกตัวเองจริงๆ ให้ตายเหอะ

อารมณ์ผมเริ่มดีขึ้น ผมเริ่มเปิดโซเชียลขึ้น เพื่อเช็คข่าวสาร ฟีดข่าวต่างๆ ของผู้คน เลื่อนเม้าท์ไปมาอยู่ไม่นาน ผมก็กดเข้าหน้าโปรไฟล์ของตัวเอง


แต่สิ่งที่ผมเห็น มันให้ผมชะงักค้าง ผมเหมือนตกลงไปในเหวลึกอีกครั้ง


(ผมเหนื่อยจัง ผมง่วงเหลือเกิน ผมขอนอนก่อนแล้วกัน ขอให้หลับฝันดีกันทุกคนนะครับ)
.18 มิ.ย.2012 เวลา 23:59 .


ผมชื่อ ไทม์

Time ที่แปลว่า เวลา

ผมเกิดปี 1987

อายุ 32 ปี

ตอนนี้ผมโสด ไม่คบใคร ไม่มีคนคุย และ ไม่รักใคร


สิ่งที่ผมโพสไว้เมื่อคืน มันแสดง วัน เวลา ว่าเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว

วัน เวลา ที่บ่งบอกว่าผมโพสมันตอนที่ผมอายุ 25 ปี


"Holy shit"


ปากผมหลุดคำอุทาน พร้อมกับมือสองข้างที่ยกขึ้นมาป้องปากที่เผลออ้าออกกว้าง

ให้ตายเหอะ มันเกิดขึ้นจริง มันไม่ใช่ฝัน ผมเผลอร่างก้าวถอยหลังไปจนขาชนกับปลายเตียงและทรุดนั่งลง

ผมหยิกแขนตัวเอง ตบแก้มตัวเอง มันยังคงเจ็บ ผมสับสน ผมยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมได้ย้อนไปอยู่ในสถานการณ์ในอดีตจริงๆ

ผมนั่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าตังค์ เดินออกไปนอกบ้าน

ผมตรงดิ่งไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านที่สุด ผมรีบหยิบของ 2-3 อย่างที่ใกล้มือ ไปยื่นที่เค้าน์เตอร์ ในขณะที่น้องแคชเชียร์คิดเงิน ผมเลยเอ่ยถามขึ้น


"เอ่อ...น้องครับ...วันนี้ วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร ครับ"

"อ่อ..วันที่ 18 เดือน 6 ปี 2019 ค่ะ"


ผมถอนหายใจโล่งอกเบาๆ ก่อนจะรีบเดินกลับมาบ้าน ถ้าตอนนี้ผมอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันจริง แล้วมันจะมีโอกาสอีกมั๊ยที่ผมจะย้อนกลับไปในอดีตอีก ผมไม่รู้สาเหตุที่มันเกิดขึ้น แต่ผม..ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ผมลืมทุกอย่างไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าผมไม่อยากจำอะไรได้อีกแล้ว ไม่อยากเจอกับใครอีก ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม







_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก


ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (2)
«ตอบ #16 เมื่อ24-06-2019 18:11:33 »


ผมชื่อ ไทม์ (2)


"อ๊ะ อ๊ะ อื้อ อืม...."

"ทำไมมึงเปลี่ยนไปขนาดนี้วะ ไปเอากับใครมาป่าวเนี่ย"

"กูมีแค่มึงคนเดียว"



เสียงกิจกรรมบนเตียงของ ผม กับ ม่อน ดังอยู่ในห้องที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งที่ผมไม่เคยมา

นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมถูกม่อนพาเข้าโรงแรมม่านรูด ผมไม่รู้ว่าเค้าเคยมากี่ครั้งแล้ว และเค้าเคยมากับใครบ้าง

แต่สำหรับผม นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ผมมีเซ็กส์กับผู้ชาย และครั้งแรกก็เป็น ม่อน อีกนั่นล่ะ

ไม่ใช่ซิ เป็นครั้งแรกและครั้งที่สองสำหรับประสบการณ์เซ็กส์ในชีวิตผม นั่นถึงจะถูก

ผมไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย  ม่อนเป็นคนแรกในชีวิตผม และเป็นคนที่ทำให้ชีวิตที่แสนราบเรียบของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล




ผม กับ ม่อน เรารู้จักกัน เพราะม่อนสมัครเข้ามาเป็นพนักงานขับรถของบริษัทที่ผมทำงานอยู่

แรกๆ ผมเห็นมันผ่านๆ ตา เราไม่เคยคุยกัน เพราะผมไม่ได้นั่งรถบริษัทมาทำงาน

ในสายตาผม บุคลิกมันดูกวนอวัยวะเบื้องล่างมาก มันดูเป็น Bad  Boy มันมักจะสวมแว่นดำ

ผมรู้ตัวมานานแล้วว่าผมชอบผู้ชาย แต่ผมก็ไม่เคยเปิดเผยกับใคร ผมยังเคยลองจีบผู้หญิงดูด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่สำเร็จ เพราะผมหยุดทุกอย่างก่อน ก็มันไม่ใช่ทางของผม มันฝืนเกินไป

ผมก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไม ม่อนถึงได้แสดงท่าทีดูสนใจผมแบบนี้ หรือที่เค้าว่าคนประเภทเดียวกันมักจะดูกันออก คงจะจริง

เวลาผมเดินผ่านมันก็จะจิกหน้าลงและส่งสายตามองผมลอดแว่น พร้อมกับรอบยิ้มมุมปาก ที่ชวนให้ผมเสียอาการ

จะว่าผมอ่อนประสบการณ์เรื่องความรักก็ถูก ผมทั้งจีบผู้หญิงไม่สำเร็จ แล้วก็ไม่เคยมีผู้ชายมาจีบด้วยซ้ำ

แต่ผมก็เคยไปจีบผู้ชายอยู่คนนึงนะ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำงานที่นี่ใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้ไปต่อ ผมก็เลยไม่เคยมีแฟนซะที




ความสัมพันธ์ของเราคืบหน้าจากที่แค่มองๆ ส่งสายตาให้กันไปมาระยะนึง

เอาจริงๆ ผมก็ชอบความรู้สึกแบบนี้นะ ความรู้สึกตื่นเต้นไปกับช่วงเวลาเริ่มต้นของความรักล่ะมั๊ง หัวใจมันพองโตดี

ม่อนแสดงออกชัดเจนทุกครั้งที่เราเจอกัน ถึงจะไม่ได้พูดคุยกันก็เถอะ แต่เป็นผมเองที่วางฟอร์ม หน้านิ่ง ทำเป็นไม่สนใจ

แต่วันนี้ก็เป็นผมเองอีกนั่นแหละที่หาโอกาสให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

ผมเลิกงานและขอกลับพร้อมรถบริษัทด้วย แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทางกลับบ้านของผม

ผมคุยกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเยี่ยมที่บ้านตอนเลิกงาน หลังจากไม่ได้เจอกันมานานพอสมควร ซึ่งหมู่บ้านที่เพื่อนผมพักก็เป็นทางผ่านของเส้นทางที่รถบริษัทจะ ไป-กลับ ใช่ครับ มันคือแผนของผม

ผมทำเนียนนิ่งไปคุยกับคนขับรถ แจ้งความต้องการว่าขอติดรถไปลงที่หมู่บ้านเพื่อน

ผมสอบถามม่อนด้วยท่าทีเป็นทางการว่าตอนส่งพนักงานเสร็จรถจะกลับทางเดิมมั๊ย

ม่อนบอกกับผมว่ากลับทางเดิม ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ผมเลยถือโอกาส ขอติดรถขากลับด้วย เพราะมันก็พอดีกับเวลาที่ผมจะกลับ

ผมแลกเบอร์โทรศัพท์กับม่อน และรบกวนให้ม่อนโทรหาผมล่วงหน้า ผมจะได้เดินออกมาจากหมู่บ้านเพื่อรอขึ้นรถ

แต่ม่อนเสนอตัว ขอบริการเข้ามารับผมถึงหน้าประตูรั้วบ้านเพื่อนผม และนั่นก็ทำให้ความสัมพันธ์เราคืบหน้าต่อ

ม่อนยังคงรักษาอาการ แต่ปกปิดกิริยาและรอยยิ้มมุมปากไม่ได้ ม่อนเสนอตัวขอมาส่งผมถึงบ้าน ซึ่งนั่นมันก็เข้าทางผมเหมือนกัน

ม่อนไม่พาผมกลับบ้านในทันที แต่มาจอดรถแวะที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เราลงจากรถไปหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วก็ชวนกันคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยจนค่ำ

ม่อนชวนผมขึ้นรถกลับบ้าน และฉวยโอกาสคว้ามือผมแล้วจูงไปขึ้นรถ ผมเฉยๆ นะ ไม่ได้เขินอายอะไร ก็มันแบบผู้ชายจับมือผู้ชาย แต่ผมว่าผมตื่นเต้นนะ

ผมรู้สึกสนุก แปลกใหม่ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้

ผมขึ้นรถ ขณะที่ม่อนเดินไปขึ้นฝั่งคนขับ

เราคุยกันอีกพักก่อนที่ม่อนจะเตรียมออกรถ

ขณะที่ผมกำลังรัดเข็มขัด พอเงยหน้าขึ้นก็ถูกม่อนจู่โจม หอมแก้ม แบบไม่ทันตั้งตัว

ผมก็เฉยๆ อีกนั่นล่ะ ผมคิดว่าตัวผมเองค่อนข้างเป็นคนเฉยชาล่ะมั๊ง หรืออาจเป็นเพราะผมอายุมากกว่ามันนิดหน่อยก็อาจเป็นได้ แต่ผมก็ต้องแอคติ้งทำตกใจ ยกมือขึ้นมาปิดแก้ม ถอยตัวหนีพร้อมกับมองหน้าคนอุกอาจ

เราไม่เคยคุยหรือบอกกันว่าเราต่างก็ชอบผู้ชายด้วยกัน มีแต่ความรู้สึกว่ามันใช่ล่ะมั๊ง

ม่อนหัวเราะชอบใจหลงเชื่อแอคติ้งของผม มันยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเพื่อปลอบขวัญ พร้อมกับบอกว่านี่คือสิ่งทดแทนค่าจ้างที่มันไปรับ และไปส่งผมที่บ้าน

ผมแสร้งนั่งเงียบไปตลอดทาง เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนผมถึงบ้าน และแยกจากกัน



ตั้งแต่วันนั้น ม่อนก็โทรหาผม เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน แต่ผมก็แกล้งไม่รับสาย

ผมหลบหน้ามัน หลีกเลี่ยงที่จะเจอหน้ามัน จะว่าผมร้ายหรือเปล่าที่แกล้งขุดหลุมล่อเหยื่อมาติดกับดัก

ผมคิดว่าผมกำลังสนุกนะ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นผู้กำชัยชนะไว้ในมือ

ม่อนมันหาเรื่องเข้ามาในตึกบริษัทจนได้ ด้วยความฉอเลาะของมัน ทำให้พี่โอเปอร์เรเตอร์ให้มันเข้ามาช่วยยกกองเอกสารที่จะต้องนำติดรถไปลงที่สำนักงานใหญ่ด้วย

แน่นอนว่าผมเห็นมันก่อน และแสร้งทำเป็นเคร่งเครียดทำงานไม่มองไปทางนั้น

มันหาทางทำทีเดินมาข้างโต๊ะผมจนได้ แล้วมันก็ยื่นกระดาษวางบนโต๊ะผม ก่อนที่จะรีบตามพี่โอเปอร์เรเตอร์ออกไป

มันเขียนในกระดาษสั้นๆ ว่า "คิดถึงจังที่รัก"

ผมมองทางเดินจนแน่ใจว่ามันออกไปแล้วจริงๆ ผมถึงปล่อยยิ้มออกมาหน้าบาน

ตอนแรกๆ ผมว่าผมทำไปเพราะความสนุกตื่นเต้นนะ แต่ตอนนี้ผมว่าผม คงชอบมันแล้วจริงๆ แล้ว








_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #17 เมื่อ24-06-2019 18:36:23 »

 :katai5: :katai5: :katai5: รอออออ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #18 เมื่อ24-06-2019 20:26:37 »

ม่อนเป็นคนแรกของไทม์ แล้วจะเป็ยการย้อนเวลาครั้งสุดท้ายด้วยไหมนะ..

  :pig4:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (3)
«ตอบ #19 เมื่อ24-06-2019 22:16:42 »



ผมชื่อ ไทม์ (3)



หลังจากที่ผมเร่งรีบเคลียร์งานของทั้งวันจนได้กลับบ้านตรงเวลา ผมก็รีบกินข้าว อาบน้ำ แล้วผมก็มานอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนอน

ผมเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์มือถือที่มักจะดังช่วงเวลานี้ทุกวัน แต่ผมไม่เคยรับสาย แต่วันนี้ผมจะรับมัน

ไม่นานเกินรอ ผมก็ได้รับสายที่เฝ้ารอคอย


"ฮัลโหล"

"ใครครับ..โทรมามีอะไร"

"นายนั่นล่ะ นายเป็นคนโทรมาหาชั้น"

"อ่อ..555..ชั้นล้อเล่น..ดีใจจังที่รักรับสาย"

"ใคร..ใครเป็นที่รักนาย"

"อ้าว..ไม่ใช่หรา..อิ.อิ"

"ตลก..ตลกละ..ละโทรมามีไร"

"ก็คิดถึงอ่ะ ที่รักไม่คิดถึงกันมั่งหราคร๊าบ~"

"คิดถึงใคร คิดถึงน้องม่อนอ่ะหรา 555"

"พอ พอ เลย ชั้นไม่ใช่น้อง"

"ก็นายอายุน้อยกว่าชั้นก็ต้องเป็นน้องถูกแล้ว"

"แต่ชั้นไม่ได้คิดกับนายแบบพี่น้อง ชั้นรักนาย เคป่ะ"

"…........"

"เอ้าเงียบ..เงียบ..555..เขินหรา เอางี้เรามาทำความคุ้นเคยกันดีกว่า พูดเพราะๆ มันดูไม่สนิท เราใช้คำว่า มึง กู กันดีกว่านะ จะได้สนิทๆ ไง อย่างเช่น กูคิดถึงมึงจัง"

"ตลกละมึง"

"555 น่ารักว่ะ"


เราเริ่มคุยกันมากขึ้น ผมรับสายทุกครั้งที่ม่อนโทรมา ผมรู้ตัวว่าชอบมันมาก มันตลก คุยสนุก หัวใจผมพองโต

และสิ่งที่ผมชอบมันอีกอย่างก็คือเวลาที่มันโทรหาผมช่วงกลางคืน มันมักจะบอกว่ามันเข้าเวรกู้ภัยอยู่

ตัวผมเองชอบทำบุญอยู่แล้ว แต่ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปไหนมาไหนมากนัก อันที่จริงผมก็มีความคิดอยากช่วยเหลือสังคมมาตั้งแต่เด็กๆ ผมคิดว่าถ้าผมคบกับมันจริงจัง ผมคงได้ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสังคมเหมือนมันบ้าง



จนวันนี้ หลังจากที่ผมนัดแนะกับมันมาซักพัก ม่อนอยากเจอผม ขอเวลาผม มันขอแค่ช่วงเวลาตอนเย็นที่มันไปส่งพนักงานกลับบ้านก็พอ

ผมแอบขึ้นไปบนรถตู้บริษัทที่ม่อนขับ

ผมนั่งเบาะหลังสุด โดยไหลตัวลงไปกับเบาะ ไม่ให้เห็นหัวผมโผล่พ้นเบาะ ตามคำแนะนำของม่อนว่าเบาะหลังไม่ชอบมีใครมานั่ง ให้ผมมาแอบได้

ผมค่ดตื่นเต้น เพราะปกติผมไม่ใช่พนักงานที่จะมานั่งบนรถคันนี้ได้ ตั้งแต่พนักงานเริ่มขึ้นรถ ผมได้ยินเสียงพูดคุย ผมลุ้นว่าจะมีใครเดินมาถึงเบาะหลังที่ผมนั่งแอบอยู่มั๊ย และผมก็โล่งใจขึ้นเมื่อรถออกตัวโดยที่ไม่มีใครโผล่มาเจอหน้าผม แต่ผมก็ลุ้นไปตลอดทางเมื่อรถจอดเมื่อมีคนลุกขึ้น เปิด-ปิด ประตูรถ จนในที่สุดพนักงานคนสุดท้ายก็ลงจากรถไป

ม่อนขับห่างจากจุดจอดไม่นานก็วนหาที่จอดอีกครั้ง แล้วยังตะโกนแกล้งผมอีกว่าคนข้างหลังตายหรือยัง

ผมลุกขึ้น ย้ายที่มานั่งข้างคนขับ

ม่อนหัวเราะผมพร้อมกับผลักหัว หยิกแก้ม เราหยอกล้อกันซักพักม่อนก็ออกรถ

เราคุยเล่นกันไปตลอดจนเกือบสุดทาง ม่อนบอกผมว่าไม่อยากให้ถึงเลย อยากอยู่ด้วยอีกนานๆ

ม่อนขับรถผ่านโรงแรมม่านรูดแห่งนึง ม่อนถามผมว่าเคยเข้าป่าว

ผมก็ตอบตามตรงว่าไม่เคย

ม่อนเล่าให้ผมฟังว่ามันมีห้องหลายแบบมากเลยนะ มีทั้งห้องมิกกี้เม้าส์ ห้องเวทีมวย ห้องที่มีเครื่องเล่นอย่างว่าเยอะๆ ห้องเจ้าหญิงดิสนีย์ ม่อนบอกว่าถ้าไม่ติดว่านี่คือรถตู้บริษัทจะพาผมเข้าไปดูตอนนี้เลย แต่วันนี้คงไม่ได้

เรานัดแนะกันว่าวันอาทิตย์ม่อนจะไปรับผมที่บ้าน แล้วเราจะมาเที่ยวดูที่นี่กัน

บอกตรงๆ ผมก็ทำเป็นไร้เดียงสาต่อหน้ามันไปอย่างนั้นล่ะ ความจริงผมอยากได้ อยากโดนใจจะขาด ผมอยากถูกเปิดซิงซะที จะว่าผมร่านก็ได้ อายุถึงขั้นทำงานได้แล้วยังไม่เคยโดนซักดอก

ถามว่าตอนนี้ผมรักมันมั๊ย ก็ไม่นะ ผมแค่ชอบ ผมแค่ตื่นเต้น ผมอยากมีเซ็กส์จริงๆ ไม่ใช่แค่ช่วยตัวเอง ประตูหลังผมยังไม่เคยโดนซักครั้ง แต่ผมก็เรียนรู้จากเวป Gayporn ต่างๆ แต่ไม่ถึงขั้นกับใช้ของเล่นผู้ใหญ่อะไร




วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ผมตื่นเช้าที่สุด ผมตื่นมาเตรียมตัวทำความสะอาดช่องทางตามที่เซิร์จหาวิธีการตามเวปต่างๆ จนมั่นใจว่าสะอาดพร้อมสำหรับการมีเซ็กส์ครั้งแรกของผม ผมมั่นใจว่าม่อนมันต้องพาผมเข้าโรงแรมไปมีอะไรกันแน่ๆ ผมว่าเหยื่อผมติดกับดักที่ผมวางไว้ จนตอนนี้มันคงอยากได้ผมใจจะขาด

ม่อนขับรถส่วนตัวมารับผม มันไม่แวะที่ไหนเลย แต่กว่าจะออกรถมันก็ใช้สายตาโลมเลียผมไปทั่วร่าง

ผมใส่เสื้อกล้ามที่ด้านข้างคว้านลึกลงไปจนถึงช่วงเอวที่พอก้มตัวหน่อยก็มองเห็นจนเกือบทะลุอีกด้าน กับกางเกงบอลขาสั้นตัวใหญ่แบบที่มีตาข่ายระบายอากาศ ด้วยความที่กางเกงตัวใหญ่และผมก็ขายาวพอสมควร พอนั่งในรถเข่าผมมันก็ชันขึ้นจนกางเกงร่นลงมาถึงต้นขาวขาว ความจริงผมก็แอบดึงลงนิดๆ นั่นล่ะ

ก่อนที่ม่อนจะออกรถ มือมันก็ไวพอที่จะมาลูบขาผมไปทีนึง ก่อนจะหัวเราะพอใจ

ม่อนขับรถพาผมเข้าโรงแรมม่านรูดที่เราคุยกันเมื่อวานจริงๆ

พอผมเข้ามาก็เดินดูทั่วห้องด้วยความไม่ประสา อันนี้ผมไม่เคยเข้าจริงๆ

ม่อนขึ้นไปนั่งเล่นบนเตียง สายตามันก็มองตามผมไปทั่วห้อง

พอผมดูจนพอใจผมก็หันไปยิ้มให้มัน

มันกวักมือเรียกผม แล้วบอกให้ผมไปนั่งด้วย

ผมเดินไปยังไม่ถึงเตียงดี ก็ถูกมันดึงแขน คว้าตัวผมเข้าไปกอด ผมเลยอยู่ในสภาพนั่งหันหลังอยู่หว่างขามัน

มันกอดผมจากด้านหลัง จมูกมันซุกไซ้ต้นคอผม ส่วนมือมันข้างนึงก็ลูบขาผม อีกข้างนึงก็สอดเข้าไปในเสื้อกล้ามที่ด้านข้างคว้านลึกจนมือมันลูบไล้ไปทั่ว

ม่อนเริ่มสะกิดตุ่มไตของผมไปพร้อมๆ กับเริ่มฟัดผมหนักมากขึ้น มือมันไวมาก ไม่ทันไรก็ล้วงกางเกงไปจับเอ็นอุ่นของผมที่เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างรวดเร็ว

ก้นผมก็ถูกดุนดันบดเบียดอยู่ไม่ห่าง

ม่อนมันกระซิบข้างหูผม "เงี่ยนว่ะ" แล้วมันก็จัดการถอดเสื้อผ้าผมจนหมด ผมได้แต่นอนนิ่งรอมันถอดเสื้อผ้าของมันบ้าง ผมไม่มีประสบการณ์จริงแบบนี้ ถึงจะดูเวป Gayporn มามาก แต่ของจริงมันตื่นเต้นกว่ากันเยอะ สายตาผมไม่ละไปจากร่างกายของมันเลย ผมอยากรู้ อยากเห็น แท่งเอ็นของมันตั้งโด่ชี้หน้าผม

ผมเผลอกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว พอม่อนมันเห็นมันก็หัวเราะ แถมถามผมว่าอยากกินหรา

ผมส่ายหัวพรืด ถึงใจจริงผมจะอยากลองก็เถอะ แต่ผมยังไม่กล้าพอ

ม่อนมันโยนถุงยางกับเจลหล่อลื่นลงบนเตียงก่อนที่มันจะกระโดดมาผลักผมให้นอนราบเพื่อให้มันขึ้นคร่อมได้ถนัด

มันไม่จูบปากผม แต่มันจูบไปทั่วไล่ตั้งแต่ใบหู ซอกคอ ลงมาที่ไหปลาร้า ก่อนที่ริมฝีปากมันจะครอบลงมาดูดดึงหัวนมผม

ลิ้นมันค่ดดี มันระรัวลิ้นจนหัวนมผมตั้งชูชัน แข็งเป็นไต

ร่างกายผมบิดเร่าเพราะโดนปรนเปรอทั้งส่วนบน และมือมันก็ยังชักรูดปรนเปรอแท่งเอ็นของผมไปด้วย

มันฟัดผมจนพอใจแล้วมันก็รีบคว้าซองถุงยางมาฉีกสวมแท่งเอ็นของมันอย่างชำนาญ

มันเทเจลหล่อลื่นชโลมถุงยางที่ครอบแท่งเอ็นมัน แล้วก็มาป้ายปากทางเข้าช่องทางด้านหลังของผม

ไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว มันก็แทงนิ้วเข้ามาสองนิ้วอย่างไม่เบามือ

ผมร้องโวยวาย ผมบอกว่าผมเจ็บแต่มันก็ไม่หยุด ผมเริ่มดิ้น แต่ก็ถูกมันกด มันอ้าขาผมกว้างแล้วแทงท่อนเอ็นมันเข้ามาโดยไม่ทันให้ผมตั้งตัว ผมเจ็บมาก ผมร้องไห้ขอร้องให้มันหยุด ผมบบอกมันว่าผมเจ็บ แต่มันก็ไม่ได้เบาแรงให้ผมเลย มันยังแทงเขามาไม่ยั้ง ประสบการณ์มีเซ็กส์ครั้งแรกของผมมันไม่ได้สุขสมหวังตามที่ผมคิดเลยแม้แต่นิดเดียว ผมทรมานจนมันเสร็จ มันก็เข้าไปอาบน้ำ ผมพยายามลุกขี้น หยิบเสื้อผ้าจะมาใส่ แต่พอผมขยับสะโพกออกจากจุดเดิม ผมก็เห็นเลือด มันเลอะผ้าปูที่นอน พอผมขยับอีกให้แน่ใจ ผมถึงรู้ว่าที่ผมเจ็บจะตาย เพราะเลือดผมมันออกเต็มไปหมด ผมร้องไห้ ผมด่ามัน จนมันออกมาจากห้องน้ำ

มันบอกให้ผมเลิกร้องไห้ซะที มันบอกให้ผมรีบใส่เสื้อผ้ามันจะพาไปส่งบ้าน

พอผมกลับถึงบ้าน ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้สนใจผมเลย จะเรียกว่าผมโดนหลอกฟันแล้วทิ้งก็ได้

ผมนอนไข้ขึ้นอยู่วันนึงเต็มๆ กับโทรศัพท์มือถือที่แบตหมด เพราะโทรหามัน แต่มันก็ไม่รับสายผมแม้แต่สายเดียว

ผมเอาแต่โทษมัน ด่ามัน ว่ามันเลว มันชั่วต่างๆ นานา อยู่คนเดียว แต่พอคิดไปคิดมา มันคือคนแรกของผม ผมต้องรักมันซิ มันจะทิ้งผมไม่ได้ มันต้องรับผิดชอบผม

แต่พอวันอังคารที่ผมพอมาทำงานไหว ก็ได้รับรู้ว่า ม่อนมันลาออกไปแล้ว ผมตกอยู่ในสถานะถูกฟันแล้วทิ้งจริงๆ





_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (3)
« ตอบ #19 เมื่อ: 24-06-2019 22:16:42 »





ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #20 เมื่อ24-06-2019 22:27:30 »

 :a5:
แล้วมีครั้งต่อมาได้ยังไงหนอ..

 :pig4:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (4)
«ตอบ #21 เมื่อ01-07-2019 17:38:44 »






ผมชื่อ ไทม์ (4)


ทั้งสัปดาห์นั้นผมโทรหาม่อนมันทุกวัน วันละหลายๆ รอบ แต่มันก็ไม่รับสายผมบ้าง หรือปิดเครื่องบ้าง

ผมไม่คิดว่าความอยากรู้อยากลองของผม มันจะทำให้ผมเจ็บปวดเสียใจมากขนาดนี้ มันเป็นคนแรกของผม ผมเจ็บใจ ผมต้องการมัน หรืออาจจะแค่ใช้ข้ออ้างกับตัวเองว่ารักมัน

แต่คำว่ารักของผมมันหมายถึงความต้องการเอาชนะ มันจะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้

ผมไม่รู้จักบ้านมัน ไม่รู้จักญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงมัน และผมก็ไม่กล้าไปถาม HR เกี่ยวกับประวัติคนที่ลาออกไปแล้วด้วย

สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวคือมันเป็นกู้ภัย แต่สังคมนั่นมันก็ห่างไกลกับวิถีชีวิตของผมมากเหลือเกิน

ชีวิตผมตั้งแต่โตมาก็วนเวียนอยู่แค่ บ้าน โรงเรียน พอเรียนจบก็วนเวียนอยู่แค่ที่ทำงาน ไม่เคยไปเจอสังคมอื่น

แต่เพราะม่อนมันเหมือนแรงผลักดันให้ผมเอาชนะ ผมตัดสินใจออกจากโลกของผม ก้าวไปสู่สิ่งที่ไม่เคยทำ สังคมที่ไม่รู้จัก

ผมใช้เวลาอยู่สองวัน ที่ทำเป็นแกล้งขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านหน่วยกู้ภัยที่ผมเคยเห็น ผมทำแค่วนผ่านไป ผ่านมา

ผมไม่เห็นคนอยู่ข้างในนั้นเลย ก็พอเห็นว่ามีคนเข้าออกอยู่บ้างบางครั้ง แต่ข้างในรั้วก็มีรถจอดอยู่หลายคันนะ

และวันนี้ทันทีที่ผมเห็นคนยืนอยู่ข้างใน ผมเลยตัดสินใจเข้าไปในรั้วนั้น


"สวัสดีครับ"

"มาติดต่ออะไรครับ"

"ผมอยากจะสมัครเป็นอาสากู้ภัยอ่ะครับ ไม่ทราบว่ารับป่าว"

"อ่อ..วันนี้คณะกรรมการไม่อยู่ ลองมาวันอื่นนะ"


วันนั้นผมผิดหวังกลับบ้าน ถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงอยากมาสมัครเป็นอาสากู้ภัย

ถ้าเอาเหตุผลสวยหรูที่ผมใช้กล่อมตัวเองและบอกคนอื่นเลยก็คือผมอยากช่วยเหลือสังคมครับ ผมมีเวลาว่างเหลือจากงานประจำเยอะ เลยอยากใช้เวลาทำตนให้เป็นประโยชน์กับสังคมบ้าง

ด้วยความที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับม่อนมันเลยนอกจากเรื่องนี้ และผมก็ไม่กล้าพอที่จะไปถามหากับใครตรงๆ กอปรกับผมก็มีความคิดอยากช่วยเหลือสังคมแต่ไม่เคยได้ออกจากบ้านมาทำอะไรพวกนี้ด้วย

แต่เหตุผลในใจที่เป็นแรงผลักดันให้ผมกล้าก้าวออกมาทำสิ่งที่ไม่เคยทำก็คือผมอยากมาตามหาไอ้ม่อน

เอาจริงๆ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานกู้ภัยเนี่ยเค้าทำอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าเป็นงานช่วยเหลือสังคมอย่างนึง

ผมค่อนข้างตื่นเต้นและกระวนกระวายใจ แต่ผมคิดว่าคงต้องเว้นช่วงซักวันสองวันเพื่อไม่ให้ดูจงใจเกินไป ผมบอกกับตัวเองว่าเอาไว้อีกสองวันค่อยไปดูใหม่ละกัน

เวลาผ่านไปสองวันแบบที่ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ พอเลิกงานผมก็รีบมาที่หน่วยกู้ภัยนี่อีกครั้ง คราวนี้ผมก็เจอกับคนเดิม คนเดียวกับที่เคยเจอวันนั้น

และผมก็ต้องผิดหวังอีกเพราะเค้าบอกว่าวันนี้คณะกรรมการก็ยังไม่มาเหมือนเดิม

แต่ก่อนที่ผมจะหันหลังกลับด้วยสีหน้าที่หดหู่ เค้าก็เรียกผมไว้ และบอกว่าถ้าอยากเจอคณะกรรมการก็ให้มาค่ำๆ ที่นี่เค้าเข้าเวรกันตอนหัวค่ำกัน เย็นๆ แบบนี้ยังไม่มีใครมาหรอก

ผมเลยตัดสินใจขอนั่งรออยู่ที่นั่นจนค่ำ

พอแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นแสงหลอดไฟยามค่ำคืน ผมก็เริ่มเห็นคนเริ่มเข้ามาที่นี่

บางคนก็มองผมที่นั่งอยู่แล้วเดินผ่านไป บางคนก็ไม่ได้มองผมเลยแล้วก็เข้าไปข้างหลังอาคาร บ้างก็ขึ้นไปบนชั้นสองของตึก

สักพักก็มีคนไปขับรถมาจอดที่ริมรั้วด้านหน้า และเริ่มเปิดน้ำล้างทำความสะอาดรถ

ผมเห็นอีกคนเปิดประตูหยิบกระเป๋าออกมาจากรถ ทำให้ผมแอบมองเข้าไปในรถที่ผมไม่เคยเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ไม่นานก็มีคนมานั่งที่เกาอี้โต๊ะเดียวกับผม เค้าถามผมว่ามาเข้าเวรเหรอ

ผมก็ตอบเค้าไปว่าผมรอเจอคณะกรรมการเพื่อที่จะสมัครเป็นอาสากู้ภัย

พอดีพี่อีกคนเดินมาก็เลยบอกกับผมว่าคนที่ทักผมชื่อพี่แจ๊ค และเค้าก็เป็นคณะกรรมการคนนึงเหมือนกัน

ผมเลยยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีเค้าอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

พี่แจ๊คถามผมว่าพร้อมเข้าเวรคืนนี้เลยหรือเปล่าคนขาดพอดี ผมเลยตัดสินใจทดลองงานคืนนั้นเลย

เริ่มแรกพี่แจ๊คบอกว่าอย่างแรกที่ต้องทำเมื่อมาเข้าเวรคือล้างรถ และจัดเตรียมกระเป๋า ให้ผมทำไปก่อน ส่วนพี่เค้าจะไปอาบน้ำที่บ้านเดี๋ยวจะออกมา

ผมก็รับคำแบบที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงต่อ

ผมเดินไปหาน้องคนนึงที่กำลังล้างรถอยู่ ผมแนะนำตัวและบอกว่าผมจะมาเข้าเวรกับพี่แจ๊ค

น้องเค้าเลยบอกว่ารถที่กำลังล้าง กำลังจัดนี่ล่ะรถ น.เขต เวรพี่แจ๊ค

ผมเลยช่วยน้องล้างรถไป ชวนคุยซักถามไป

น้องชื่อฟางครับ แต่รูปร่างไม่ได้บอบบางเหมือนฟางหรอก คงจะเรียกว่าทั้งอ้วนดำ ทั้งสูงใหญ่

ฟางบอกว่า ปกติรถ น.เขต จะแบ่งตามพื้นที่ละคัน

ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่าอะไรคือรถ น.เขต จนฟางบอกผมว่า น.เขต ก็คือรถของศูนย์  แบ่งพื้นที่กันวิ่งคันละอำเภอนั่นล่ะ และวันนี้ผมก็อยู่ในเมือง

ฟางบอกให้ผมขึ้นไปเอากระเป๋าพิมพ์มือที่ห้องวิทยุชั้นสอง

ผมก็เดินขึ้นไปตามทางที่ฟางบอก ผ่านประตูห้องต่างๆ พอสุดทางก็เจอห้องกระจกติดฟิล์มดำทึบ และมีช่องกระจกเลื่อนเหมือนช่องส่งเอกสารที่มีตระกร้าวางอยู่

ผมเลื่อนกระจกเปิดออก ก้มมองส่องเข้าไปภายในห้อง ก็เห็นพี่ผู้ชายคนนึงนั่งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ที่มีลำโพงวางอยู่เต็มชั้น

พี่เค้านั่งหันหน้าเข้าเค้าน์เตอร์ และเหมือนกำลังพูดอยู่คนเดียว ผมเพ่งมองอยู่ซักพักเลยได้ยินเสียงที่รอดมาจากลำโพงหลายตัวพร้อมๆ กัน เหมือนงานวัดที่โฆษกต่างประชันเสียงกันออกไมค์

ไม่นานพี่เค้าก็หันมามองผม ผมเลยรีบบอกว่าผมมาเอากระเป๋าพิมพ์มือครับ พี่เค้ากวักมือเรียกให้ผมเข้าไปในห้องและหันไปพูดกับเค้าน์เตอร์ต่อ

พอผมเข้าไปก็ได้ยินเสียงจากลำโพงอื้ออึงกว่าเดิม พอดีพี่เค้าหันมาชี้มือไปที่มุมห้อง ผมก็เลยเห็นป้ายเขียนว่ากระเป๋าพิมพ์มือ

ที่กระเป๋าเขียนชื่ออำเภอต่างๆ เอาไว้ ผมหยิบจับดูก็พบกระเป๋าใบนึงที่เขียนว่าเมือง ผมจำได้ว่าฟางบอกว่าคืนนี้ผมเข้าเวรในเมือง ผมเลยหยิบกระเป๋านั้นกำลังจะออกไป

แต่ไม่ทันจะก้าวพ้นประตู พี่คนนั้นก็ถามผมแทรกเสียงลำโพงว่าผมเช็คกระเป๋าหรือยัง

ผมเลยบอกพี่เค้าไปว่าผมเพิ่งมาเข้าเวรวันแรก ผมเลยถือโอกาสรบกวนให้พี่เค้าช่วยสอนว่าต้องเช็คกระเป๋ายังไง

สิ่งที่ต้องอยู่ในกระเป๋าที่ผมจะต้องนำไปเข้าเวรนั้น ก็จะมีกล้องถ่ายรูป หลอดหมึกสีดำ กระดานที่น่าจะเป็นแผ่นพลาสติก และสิ่งที่คล้ายแปรงแต่เป็นยางแข็งๆ ปลายแบน ที่มีด้ามจับเป็นไม้พอดีมือซึ่งทั้ง 2 อย่างถูกห่อด้วยกระดาษ

ผมลองส่องดูก็เห็นว่ามันมีคราบเลอะหมึกสีดำอยู่ด้วย และมีช่องแยกที่มีกระดาษอยู่ 2 แบบ

แบบแรกเรียกว่าใบปะหน้า อีกแบบเป็นตารางเรียกว่าใบพิมพ์มือ และมีปากกามาร์กเกอร์แท่งใหญ่สีน้ำเงินอยู่ด้วย 2 แท่ง ซึ่งพี่เค้าก็บอกผมด้วยว่าต้องเช็คกล้องว่ามีแบตเต็มหรือเปล่า

ผมไม่รู้หรอกว่าอุปกรณ์พวกนี้ใช้ทำอะไร แต่ผมก็เช็คและนำลงไปตามที่พี่เค้าบอก

ผมเห็นน้องอีกคนจัดกระเป๋าอีกใบอยู่ในรถ แต่ผมไม่ได้เข้าไปดู ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกับฟางที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถืออยู่

ผมนั่งมองคนที่เข้ามาจัดและทำความสะอาด เตรียมกระเป๋าแบบผม และพากันขึ้นรถคันอื่นพากันขับออกไปคันแล้วคันเล่า ซึ่งผมเข้าใจว่านั่นก็คงจะเป็นรถเขตพื้นที่อื่นๆ ตามที่ฟางบอก

ไม่นานเสียงฟางก็ดังขึ้นจนผมต้องหันไปมอง

ฟางยกเครื่องมือสื่อสารสีดำขึ้นมากดปุ่มข้างๆ และพูดว่า "ว.2" ผมคิดว่านั่นเรียกว่าวิทยุละมั๊ง

เสียงในวิทยุดังขึ้น เหมือนเสียงของพี่ที่อยู่ในห้องวิทยุเอ่ยถึงเลขอะไรซักอย่างและพูดต่อว่า "ว.35 หรือไม่"

ฟางตอบกลับไปว่า "พลขับยังไม่มา..เปลี่ยน"

ซักพักก็มีพี่คนนึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง และเรียกฟางขึ้นรถ ซึ่งฟางก็เรียกผมให้หิ้วกระเป๋าตามไปด้วย

ผมนั่งในแคปหลังฟางที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับ และน้องที่จัดกระเป๋าในรถก็ย้ายมานั่งหลังคนขับข้างผม

ฟางหยิบเครื่องมือสีดำมีสายเชื่อมกับเครื่องที่คล้ายกับในห้องวิทยุแต่เล็กว่าขึ้นมาพูดว่า "1705 ว.25 รพ.A ว.24 นี้ เปลี่ยน"

ผมฟังไม่ค่อยทันจนมีเสียงพี่ที่อยู่ในห้องวิทยุพูดทวนคำที่ฟางพูดไปจึงจับใจความได้ว่าเราน่าจะกำลังไปที่ รพ.A




ไม่นานรถเราก็มาจอดที่ด้านหลัง รพ. ผมซึ่งเคยมาที่นี่อยู่ก็พอจะรู้ว่าทางที่เรากำลังจะลงรถและเดินเข้าไปคือห้องเก็บศพ

ผมที่ไม่รู้ว่าเรามาทำอะไรกัน ก็ได้แต่เดินตามฟางและคนอื่นๆ เข้าไปในนั้น มันมีไอเย็นๆ ลอยมาปะทะกับผิวกายผมตั้งแต่ประตูเปิด

สมองผมตอนนี้ไม่มีความคิดอะไรเลย ผมเลยไม่รู้สึกกลัว แต่คงมีความแปลกใหม่น้อยๆ ที่อยู่ภายในใจเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะต้องทำคืออะไรกันแน่




_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก

@B_independence


ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (5)
«ตอบ #22 เมื่อ01-07-2019 21:29:29 »


ผมชื่อ ไทม์ (5)



ฟางที่เดินนำผมอยู่ ก็ตรงเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ที่ยืนอยู่ในห้องเก็บศพ ขณะที่ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นเตียงที่เป็นรถเข็นซึ่งมีผ้าขาวคลุมอยู่ แค่มองก็รู้ว่าสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่มันคือร่างกายของมนุษย์

ข้างๆ กันก็มีเตียงรถเข็นที่ว่างเปล่าอยู่ด้วย ทางด้านขวาของห้องเป็นผนัง ส่วนด้านซ้ายจะเรียกว่ายังไงดี มันคล้ายกับตู้เย็นแต่ขนาดช่องของมันพอๆ กับโลงศพ ไม่ต้องคิดหนักก็พอจะรู้ว่ามันคงใช้สำหรับแช่เย็นศพแน่ๆ

ไม่นานฟางก็เดินมาพร้อมกับเอกสารในมือ ฟางขอกระเป๋าจากผม จากนั้นก็หยิบใบปะหน้า และใบพิมพ์มือ ออกมา ฟางลอกรายละเอียดจากเอกสารที่รับมาจากเจ้าหน้าที่ลงไปในใบทั้งสองประเภท แต่ใบพิมพ์มือนี่ก็เขียนซ้ำๆ หลายใบอยู่เหมือนกัน

บนหัวของใบพิมพ์มือมันเหมือนกับหัวข้อเอกสารที่ให้กรอกประวัติ ตารางในทีแรกที่ผมเห็นที่แท้จำนวนช่องก็พอดีกับจำนวนนิ้วมือมนุษย์คือสิบช่องนั่นเอง

ในระหว่างที่ฟางเขียนใบปะหน้าอยู่นั้น น้องอีกคนกับพี่คนขับรถก็เปิดผ้าผืนขาวออกจนเห็นร่างกายของมนุษย์ที่ไร้วิญญาณ

เค้าเปิดแค่ถึงช่วงอก และทั้งสองคนก็สวมถุงมือยางสีขาวเหมือนที่หมอหรือพยาบาลใส่ ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีช่องซิบของกระเป๋าใบที่ผมถือมา นอกจากถุงมือแล้วก็ยังมีถุงใส่ลูกกลิ้งด้วย

ทั้งสองคนยืนอยู่คนละข้างของเตียงรถเข็นศพนั้น ส่วนผมที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ฟางไม่ไกลนัก ด้วยยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง

ผมมองพี่คนขับรถหยิบหลอดหมึกมาบีบลงบนกระดานพลาสติกแข็งที่คล้ายแก้ว ใช้หมึกไม่มาก แล้วพี่เค้าก็ใช้ลูกกลิ้งทำการกลิ้งหมึกไปมาจนมันดำทั่วทั้งกระดาน

ระหว่างที่น้องอีกคนซึ่งผมทราบชื่อทีหลังว่าต่อ ก็ยกแขนของศพตั้งฉากกับเตียงรถเข็น พลางค่อยๆ กางนิ้วมือของร่างนั้นให้กางออกคล้ายบีบนวดยังไงอย่างนั้น

พอพี่คนขับรถกลิ้งหมึกจนพอควรก็ส่งกระดานให้ต่อ และพี่เค้าก็ยกแขนศพขึ้นมาบีบนวดมือบ้าง

ต่อหยิบกระดานที่มีหมึกขึ้นไป และนำนิ้วมือของศพกลิ้งลงบนกระดานทีละนิ้วจนครบ ก่อนจะหยิบใบพิมพ์มือขึ้นมาเพื่อกลิ้งนิ้วของศพที่มีหมึกติดลงไปบนกระดาษอีกครั้ง

นั่นทำให้ผมรู้ว่าพวกเรามาที่นี่ทำไม พวกเรามาเก็บลายนิ้วมือของศพนั่นเอง แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าทำไปทำไม อาจจะเก็บเป็นประวัติหรืออะไรซักอย่างล่ะมั๊ง

พอต่อกลิ้งเสร็จไปสองใบก็บอกผมว่าให้ช่วยกลิ้งหมึกหน่อย ผมเลยหยิบกระดานขึ้นมาเตรียมจะหยิบหลอดหมีกบีบใส่ แต่ฟางก็คว้ามือผมไว้ก่อน และบอกว่าใช้หมึกที่ลูกกลิ้งก็พอแล้ว

ฟางถามผมว่าอยากหัดพิมพ์มือมั๊ย ตัวผมที่ไม่เคยสัมผัสคนตายมาก่อน เงียบซักพักแล้วก็ตอบไปว่าลองก็ได้

พี่คนขับรถเลยบอกให้ผมไปยืนข้างพี่เค้า พี่คนขับรถชื่อพี่ปานครับ

พี่ปานบอกว่าศพนี้เพิ่งตายเส้นยังไม่ยึด ตัวไม่แข็งมากพิมพ์ง่าย พร้อมกับยื่นมือศพมาให้ผมจับ

ด้วยความที่ผมเป็นผู้ชาย และไม่ได้คิดอะไรเลยไม่ได้รู้สึกกลัว เลยไม่ได้มีท่าทีหวาดผวาอะไร

ผมรับมือศพมาถือไว้โดยมีพี่ปานยืนซ้อนอยู่ด้านข้าง พี่ปานจับมือผมซ้อนลงอีกทีก่อนจะหยิบกระดานพิมพ์มือมา โดยยกทั้งมือผมและมือศพที่ซ้อนกันไปในทีเดียว ซึ่งตอนนี้ฟางก็รับหน้าที่กลิ้งหมึกให้

พี่ปานสอนผมว่าตอนกลิ้งนิ้วให้วางนิ้วที่ด้านซ้ายสุดๆ ของนิ้ว และกลิ้งไปขวาสุดๆ แค่รอบเดียวเท่านั้น ห้ามกดซ้ำๆ หรือไม่ถนัดก็กลิ้งขวาไปซ้ายก็ได้แล้วแต่ถนัด แบบนี้หมึกถึงจะติดลายนิ้วมือครบถ้วน

จากนั้นพี่ปานก็หยิบกระดาษพิมพ์มือที่ต่อพิมพ์มืออีกด้านนึงไปแล้วครึ่งกระดาษ เหลืออีกห้าช่องที่ผมจะต้องพิมพ์มืออีกด้านให้ครบอีกห้านิ้ว

ผมถามพี่ปานว่าไม่ให้ผมลองกระดาษเปล่าก่อนเหรอผมกลัวทำเสีย แต่พี่ปานก็บอกไม่เป็นไรเพราะผมมืออ่อนเดี๋ยวพี่แกจะจับนำไปเอง

การพิมพ์มือศพครั้งแรกของผมได้ลายนิ้วมือชัดเจนดีแต่ไม่ค่อยสวยงามเหมือนของต่อ พอมองใบพิมพ์มือก็รู้ว่ามีสองคนช่วนกันทำแน่ๆ

พอเราพิมพ์มือศพกันจนครบ ฟางก็นำใบปะหน้าที่ด้านนึงกรอกรายละเอียดจากเอกสารในทีแรก แต่อีกด้านนึงในทีแรกเป็นกระดาษเปล่าแล้วนำมาร์กเกอร์ไปเขียน ชื่อ นามสกุล อายุ สาเหตุการตาย ชื่อบุคคลที่นำหน้าด้วยยศของตำรวจ ซึ่งฟางบอกผมทีหลังว่าคือชื่อร้อยเวรผู้รับผิดชอบ และชื่อ สภ.อ.พื้นที่นี้

นั่นทำให้ผมรู้ว่าร่างไร้วิญญาณนี้มีสาเหตุการตายเพียงแค่โดนผึ้งต่อย แถมฟางยังเล่าว่าโดนแค่ผึ้งตัวเดียวเท่านั้นต่อย แต่มีอาการแพ้มากและมาหาหมอไม่ทัน

ฟางเอาใบปะหน้าไปวางไว้บริเวณหน้าอกด้านบนของศพ ค่อนไปจนเกือบถึงคอ และฟางก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปโดยโฟกัส ใบหน้าตรงของศพพร้อมทั้งเห็นใบปะหน้า มีถ่ายกันเสียไปสองรูป และถ่ายภาพรวมที่ติดพวกเราด้วยอีกรูป

จากนั้นพวกเราก็ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ และพี่ปานก็ปิดผ้าขาวให้คลุมศพไว้เหมือนเดิม และพากันยกมือไหว้ศพนั้น ซึ่งผมก็ทำตามคนอื่นไปด้วย

พอพวกเราขึ้นรถฟางก็บอกผมว่าทุกครั้งที่มีคนตาย รถ น.เขต จะต้องมาทำศพ ถ้าตายที่ รพ.แบบนี้ก็แค่มาพิมพ์มือ แต่ถ้าตายนอกสถานที่ก็ต้องไปที่เกิดเหตุก่อน โดยจะไปเจอร้อยเวรอีกที

พอจัดการที่เกิดเหตุเสร็จก็พิมพ์มือ บางทีก็มาพิมพ์ที่ รพ. บางทีก็ไปที่วัด ถ้าไม่ติดเรื่องคดีอะไร บางทีต้องส่งนิติเวชเลยก็พิมพ์ที่เกิดเหตุ หรือนำศพมาพิมพ์ที่มูลนิธิ



ไม่นานรถเราก็กลับมาที่มูลนิธิ ซึ่งคนที่นี่เรียกกันว่า ตั๊ว

ผมเห็นพี่แจ๊คนั่งรออยู่แล้ว ก่อนที่พี่เค้าจะลุกขึ้นมาขอบใจพี่ปานที่ช่วยขับรถไป รพ.ให้ จากนั้นพี่ปานก็นำใบปะหน้า กับใบพิมพ์มือขึ้นไปชั้นสอง โดยฟางบอกผมว่าใบพวกนั้นให้นำไปใส่ตะกร้าหน้าห้องวิทยุนั่นเอง



พี่แจ๊คเรียกพวกเราขึ้นรถ พอฟางเข้ามานั่งข้างคนขับเรียบร้อยก็พูดวิทยุเรียกศูนย์ และแจ้ง "ว.35 เขต"

ออกรถมาไม่นานพี่แจ๊คก็จอดข้างทางหน้าร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ทุกคนลงจากรถเดินเข้าไปในร้านโดยมีผมเดินตามเข้าไปด้วย

ผมมัวแต่ตื่นเต้นกับกิจกรรมใหม่ในชีวิตจนลืมหิวข้าวไปจริงๆ ซินะ พอเข้าร้านมาปุ๊ปก็หิวหนักทันที

พี่แจ๊คสั่งกับข้าวไปสองสามอย่าง ฟาง และต่อ สั่งกันไปคนละอย่าง ไม่นานพี่แจ๊คก็บอกผมว่า "อยากกินอะไรสั่งเลย พี่เลี้ยง"

ผมก็เกรงใจบอกพี่แจ๊คไปว่า "แล้วแต่พี่เลยครับ"

ระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าว ฟางก็เฝ้าฟังวิทยุขนาดเหมาะมือที่ถือลงมาด้วย ฟางเรียกมันว่า ว.

การคุยกันใน ว. นอกจากจะใช้โค๊ด ว. ต่างๆ แล้ว ในส่วนของชื่อคนก็ใช้เป็นนามเรียกขานแทน ตัวรถเองแต่ละคันก็มีรหัสที่ใช้เรียกคันนั้นๆ เช่นกัน

หลังจากเรากินอิ่มไม่นาน พี่แจ๊คก็พาพวกเรามาจอดที่ปั๊มแห่งนึงริมถนนสายหลัก เราออกไปนั่งด้านนอกหน้าร้านสะดวกซื้อ

ฟางเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ พี่แจ๊คคุยโทรศัพท์ ส่วนต่อเดินไปสูบบุหรี่อีกทาง

ผมก็ได้แต่นั่งเฉยๆ ไม่กล้ารบกวนคนอื่น ผมเดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง แต่ก็รีบไปรีบมาเพราะฟางบอกว่าเผื่อมีเหตุจะได้ไปทัน

เรานั่งกันอยู่อย่างนั้นครึ่งคืน คุยกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

พอใกล้เที่ยงคืนพี่แจ๊คก็เรียกทุกคนขึ้นรถ ค่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ พอใกล้ถึงตั๊ว ฟางก็ยกวิทยุแจ้งศูนย์ "ว.14 เขต"

เราแยกย้ายกันลงจากรถ ต่อถือกระเป๋าพิมพ์มือขึ้นไปเก็บข้างบน ฟางถอดเสื้อมูลนิธิออกและเดินเข้าไปหลังอาคาร อ่อ ผมลืมบอกไปว่าพี่ปานให้ผมยืมเสื้อมูลนิธิที่ใช้สวมทับเสื้อปกติไปเข้าเวรด้วย

พี่แจ๊คถามไถ่ผมว่ากลับบ้านยังไง หรือนอนนี่ ผมก็ตอบพี่แจ๊คไปว่าผมเอามอเตอร์ไซด์มาเดี๋ยวกลับบ้านเลย และผมก็กล่าวสวัสดีลาพี่แจ๊ค

พี่แจ๊คบอกผมว่าช่วงนี้แกว่าง มาเข้าเวรเกือบทุกคืน ถ้าผมว่างก็ลองๆ มาดูก่อน หรือจะมากลางวันช่วงวันหยุดก็ได้ กลางวันไม่ค่อยมีคนช่วย เพราะไม่มีเวร

ที่นี่ไม่มีเงินเดือนให้ ทำด้วยจิตอาสา ตามความสมัครใจ แต่ถ้าเข้าเวรประจำกับใครแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อเวรด้วย ไม่งั้นคนจะขาดไม่พอทำงาน



พอผมกลับมาถึงบ้านก็รีบอาบน้ำ ผมว่ากลิ่นฟอร์มาลินที่ห้องเก็บศพเมื่อหัวค่ำยังติดเสื้อผมอยู่เลย

ผมอาบน้ำใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จก็มาสวดมนต์ก่อนเข้านอน โดยแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับศพที่ผมไปเจอมาวันนี้

ตลอดเวลาช่วงค่ำจนถึงตอนนี้ผมลืมม่อนไปเลยจริงๆ หลังจากที่ตอนเย็นยังคิดถึงแต่มันอยู่ แต่พอได้ทำกิจกรรมแปลกใหม่ ผมก็ไม่ได้คิดถึงมันอีกเลยจนผมหลับสนิท






_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0



ผมชื่อ ไทม์ (6) "กล่องแห่งความลับ"



".....อา....อืม....."


นิ้วเรียวค่อยๆ แยงเข้าไปในช่องทางตอดรัดทีละนิด ทีละนิด

เริ่มแรกเพียงแค่ต้องการทำความสะอาดช่องทาง แต่อารมณ์กลับเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อผนังด้านในถูกสัมผัสซ้ำๆ ย้ำๆ

กล้ามเนื้อผนังนุ่มตอดรัดแน่นจนนิ้วเรียวขยับไม่ได้

ไทม์พยายามผ่อนคลายเพื่อให้ผนังคลายตัวยินยอมให้สิ่งแปลกปลอมทะลุทะลวงเข้าไปจนมิดสุดโคนนิ้ว

ไทม์ลองถอดถอนนิ้วเรียวก่อนจะสวนแทงเข้าไปอีกด้วยความนุ่มนวล ชักเข้า ชักออก อยู่แบบนั้นซ้ำๆ

อารมณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้รู้สึกถึงความต้องการที่ถูกตอบรับแบบยังไม่เพียงพอ จนนิ้วเรียวเริ่มควง กด ควานไปทั่วผนังนุ่ม

ทั้งชักเข้า ชักออก กดผนังแบบเน้นๆ ไปทั่ว ยิ่งทำก็ยิ่งไม่รู้จักพอ ร่างกายต้องการมากกว่านี้

ไทม์รีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนที่จะเช็ดตัวลวกๆ พร้อมกับพันผ้าเช็ดตัวที่สะโพกแบบหมิ่นเหม่ เปิดประตูห้องน้ำเดินเข้ามาให้ห้องนอน มุ่งตรงสู่ลิ้นชักหัวเตียง

ดิลโด้ซิลิโคนอ่อนนุ่มสีชมพูใส ขนาดเหมาะมือแต่ไม่ใหญ่เท่าของจริง ถูกหยิบออกมาจากกล่องด้านในลึกสุดของลิ้นชัก

ไทม์ค่อยๆ เปิดกล่อง ปลดเปลื้องพันธนาการที่ห่อหุ้ม ปกปิด ซ่อนเร้นของลับไว้อย่างมิดชิด

ภายในกล่องยังมีถุงยางไซร์เล็ก และหลอดเจลหล่อลื่นที่ไม่เคยเปิดใช้อีกหนึ่งหลอด ที่ไทม์ต้องพลิกดูวันหมดอายุให้แน่ใจ

กล่องแห่งความลับนี้ ถูกตระเตรียมแอบซ่อนอย่างมิดชิดมาตั้งแต่ไทม์รู้ตัวว่าชอบเพศเดียวกัน และเริ่มศึกษาหาหนทางตอบสนองกามารมณ์ความใคร่ที่ไม่เคยถูกสนองตอบ

แต่ไทม์ก็ไม่เคยกล้าลองใช้มันจริงๆ จนวันนี้

ใช่ เพราะไทม์ผ่านการมีเซ็กส์ครั้งแรกทางช่องทางสงวนนี้มาแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้สุขสมตามที่จินตนาการไว้ แต่ร่างกายก็เหมือนต้องการให้มันถูกเติมเต็มความปราถนาให้ถึงที่สุด

ความร้อนรุ่มที่ก่อตัวคั่งค้างมาจากในห้องน้ำบีบคั้นให้ไทม์เร่งฉีกซองถุงยางสวมดิลโด้สีสวย พร้อมทั้งเปิดฝาเจลหล่อลื่น บีบหลอดจนเจลใสล้นทะลักเต็มฝ่ามือ

ไทม์ชโลมเจลจนทั่วลำแท่งพอดีมือ ก่อนที่จะแยกขาโก้งโค้ง เอี้ยวตัวเพื่อที่จะยื่นแขนจนสามารถชโลมเจลที่ปากทางเข้าจนชุ่ม

นิ้วเรียวที่เปียกชุ่มกอบโกยเจลใส สอดยัดเข้าไปในรูร่านอย่างเร่งร้อน เมื่อรู้สึกว่าไม่พอก็บีบหลอดเจลเพิ่มปริมาณแทงแยงเข้าไปในช่องทางจนโชกชุ่ม

ไทม์คุกเข่าขึ้นบนเตียงก่อนที่จะแนบลำตัวและแก้มสีแดงระเรื่อลงบนที่นอนทั้งที่ก้นยังคงยกสูง

เข่าทั้งสองด้านถ่างออกก่อนที่ไทม์จะจับดิลโด้จ่อปากทางเข้า ถูไถเนิบนาบราวกลับอยากจะสัมผัสความรู้สึกโหยหาก่อนจะดุนดันยัดแท่งสีสวยเข้าไปในร่องรู

"อ๊า~~อืม......ซี๊ด~~สุดยอดเลย...อืม..."

ไทม์แทงดิลโด้เข้าไปจนมิดลำจนรู้สึกถึงกล้ามเนื้อภายในเกร็ง ขมิบ ตอดรัด ใช้เวลาผ่อนคลายนิดหน่อยเท่านั้นไทม์ก็ค่อยๆ เริ่มขยับดุนดันแท่งใสไปชนผนัง ขวาที ซ้ายที

ไทม์ค่อยแทง ค่อยๆ ควานเนิบนาบจนรูร่านเริ่มคุ้นชิน ความรู้สึกหงี่เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นำพาให้ไทม์เพิ่มคามเร็วในการควงแท่งใสทั้งแน่นและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

ควงจนร้องซี๊ดสมใจ ไทม์ก็ค่อยๆ ดึงดิลโด้ขยับออกจากรูร่านทีละนิด ทีละนิด ระหว่างทางปลายหัวหยักและเส้นนูนที่ถูกออกแบบมาให้ดิลโด้สีสวยเพิ่มความเสียดเสียวก็ทำให้ร่างเพรียวเผลอเกร็งไปทั้งตัว

เสียงร้องพอใจกับความเสียวสุขสมที่ได้รับการเติมเต็มกับการช่วยตัวเองทางช่องด้านหลังครั้งแรกช่างทำให้ไทม์เคลิ้มควงดิลโด้ ทั้งชักเข้า ชักออก ไม่หยุด

ไทม์ขยับร่างให้ถนัดมากขึ้นพอที่จะใช้มือเดียวเล่นแท่งใสกับรูร่านได้อย่างไม่ขาดตอน พร้อมกับปล่อยให้อีกมือได้มีโอกาสนวดเฟ้นแท่งอุ่นด้านหน้าที่แข็งตัวมาซักพัก

ไทม์เล่นกับร่างกายตัวเองทั้งหลังทั้งหน้าตามจังหวะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน บอกตามตรงหากรู้ว่าซี๊ดเสียวดีขนาดนี้ไทม์คงลองยัดดิลโด้ที่ซื้อมาเก็บไว้เข้ารูร่านไปนานแล้ว

อารมณ์ที่ทวีความเสียวเร่งร้อนขึ้นเลยเรื่อยๆ ทั้งแทงหลัง ชักหน้าถี่ยิบ จนน้ำขุ่นขาวทะลักฉีดพ่นเปรอะเปื้อนพาปูที่นอนซึ่งไม่ได้เตรียมการรองรับความร่านกระทันหันแบบนี้มาก่อน

ไทม์ทรุดร่างลงนอนหมอบไปทั้งตัวอย่างหมดแรง

เป็นครั้งแรกที่ไทม์เสร็จทั้งหลังทั้งหน้า เสพสุขจนน้ำกามกระอักพวยพุ่งออกมาทุกหยาดหยดพร้อมๆ กับแรงตอดรัดของรูร่านแบบถี่ยิบ

เสียงหายใจหอบระทวยเปี่ยมด้วยความสุขสม ทำให้มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่ร่างร่านพบหนทางเสพสุขกามารมณ์ถึงจุดสุดยอดได้ด้วยตัวเองได้แบบถึงอกถึงใจ

เมื่อลมหายใจเป็นปกติไม่นานร่างโปร่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับคว้าหลอดเจลพร้อมกับถอนดิลโด้ที่ยังคารูออกจนเกิดเสียงดัง "บ๊วบ" ก่อนที่ไทม์จะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนข้างเตียง

เจลที่ไหลเยิ้มออกมาจากรูร่านเริ่มลามหยดมาตามหว่างขา แต่ไทม์ก็ไม่สามารถหุบขาเรียวให้สนิทชิดได้

ไทม์เดินเข้าไปในห้องน้ำแบบขาถ่างเล็กน้อย วางดิลโด้ลงในอ่างล้างหน้าก่อนจะไปล้างเนื้อตัวและเจลที่ไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนตามหว่างขาจนรู้สึกสบายตัว

ไทม์เดินมาหน้ากระจกที่อ่างล้างหน้าโดยไม่ได้หยิบผ้าเช็ดตัวมาซับร่าง

ไทม์ใช้มือลูบไล้ร่างเปียกเริ่มจากซอกหู บดบี้ติ่งหูเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลากผ่านซอกคอลามลงมาถึงไหปลาร้า

และยกสองมือมาหยุดที่ตุ่มไตที่แข็งชูชัน ทั้งมือซ้ายและมือขวาต่างช่วยกันบีบขยี้หัวนมคนละข้างจนร่างโปร่งบางร้อง "ซี๊ด"

แท่งเอ็นอุ่นเริ่มแข็งตัวอีกครั้งโดยไม่ต้องถูกสัมผัสปลุกเร้า

ไทม์มองร่างตัวเองในกระจกตลอดทุกการกระทำ มันชวนให้เกิดอารมณ์อย่างน่าประหลาด

ยิ่งเมื่อมองต่ำไปที่แท่งแข็งก็เหมือนดั่งมันขยับขึ้นชี้หน้ามาทักทายเจ้าของ พลางแสดงตัวให้เจ้าของร่างเร่งเริ่มบทรัก"ตัวเอง"บทใหม่เสียที

ไทม์หยุดบีบบี้หัวนมตัวเองก่อนจะใช้มือซ้ายปลอบประโลมแท่งแข็งให้เคลิบเคลิ้มระหว่างรออีกมือที่เปิดน้ำชำระล้างดิลโด้ให้สะอาดเอี่ยม

ไทม์หยิบหลอดเจลเปิดฝาบีบลงบนดิลโด้แท่งใสที่เปียกชุ่มพร้อมกับชัดรูดเล่นจนเจลเคลือบไปจนสุดโคนหมายมั่นจะแทงมันเข้าไปให้มิดลำสมกับความร่านที่กำลังขมิบเรียกร้อง

ไทม์หันหลังเอี้ยวคอให้มองเห็นก้นตัวเองในกระจก เตรียมพร้อมจะดุนดันดิลโด้สีสวยเข้าไปภายในสนองความร่านอีกครั้ง

ทุกความเคลื่อนไหวที่ไทม์ใช้ดิลโด้ถูไถที่ปากทางเข้า ก่อนจะค่อยๆ ดุนดันมุดแท่งเข้าไปในร่องจีบทีละน้อย

แม้กระทั่งรูขมิบตอดรัดดิลโด้แน่นก็อยู่ในสายตาเจ้าของร่างตลอดเวลา

ความเสียดเสียวเร่าร้อนทวีหนักขึ้นอาจเป็นเพราะได้ดูหนังสดที่ตัวเองรับบทตัวเอกอยู่ก็เป็นได้

ยิ่งตอนหมุนควง ยิ่งตอนชักออก ชักเข้า ยิ่งเห็นชัดเท่าไหร่ก็ยิ่งจุดติดอารมณ์ให้พวยพุ่งจนหยุดไม่อยู่

เสียงร้องระงมด้วยความเสียดเสียวด้วยกามราคะเครืออยู่ในห้องน้ำ เนิ่นนานจนร่างร่านสมใจ

ไทม์ชำระล้างร่างกายพร้อมกับทำความสะอาดอุปกรณ์กามที่รักจนเอี่ยม ก่อนจะเช็ดตัวใส่ชุดนอน และเก็บดิลโด้ลงในกล่องแห่งความลับอย่างดี

แต่กล่องแห่งความลับครานี้ไม่ได้ถูกดันเก็บเข้าไปจนมิดลิ้นชักอีกต่อไป

ขอเพียงแค่ไทม์เปิดลิ้นชักก็สามารถหยิบฉวยอุปกรณ์กามออกมาสนองตัณหาได้อย่างง่ายดายทุกเมื่อที่ต้องการ






_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #24 เมื่อ08-07-2019 21:03:03 »

 :hao6:
 :katai2-1:
 :pig4:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (7)
«ตอบ #25 เมื่อ09-07-2019 17:47:35 »



ผมชื่อ ไทม์ (7)



โชคดีที่สัปดาห์นี้พี่แจ๊คมาเข้าเวรกู้ภัยทุกคืน ทำให้ผมได้มีโอกาศร่วม ว.4 เขตด้วย

ตอนนี้ผมมีเสื้อกู้ภัยเป็นของตัวเองแล้ว ผมทำแบบง่ายๆ แค่ไปซื้อเสื้อสำเร็จรูปที่ห้างแล้วเอามาให้ร้านปักสัญลักษณ์ภาษาจีนบล็อคของมูลนิธิตามที่พวกพี่ๆ กู้ภัยแนะนำ

เจ๊ร้านนี้รับปักเสื้อมูลนิธิแบบมืออาชีพ รอแค่ 3 วันก็พร้อมใส่ พอดีกับที่วันเสาร์นี้ผมจะลองไปอยู่ที่มูลนิธิตอนกลางวันดูบ้าง

เพราะหลายคืนที่ผ่านมา เวรคันผมไม่ได้วิ่งเหตุเลยสักครั้ง แม้แต่ช่วยเหลือประชาชนจับงูซักตัวก็ไม่มี จนผมโดนตั้งสมญานามว่า "ตนบุญ" เพราะมาเข้าเวรที่ไรไม่ใครเจ็บใครตายเลย

พอเช้าวันเสาร์มาถึง ผมก็รีบกุลีกุจอ ออกจากบ้าน ขี่มอเตอร์ไซด์คู่ใจมุ่งตรงไปที่มูลนิธิทันที

จากที่ผมเข้าเวรมาหลายคืน ทำให้ทราบว่าที่ชั้นสองของอาคารจะมีห้องใหญ่โล่งยาวไว้สำหรับเป็นที่พักของคนที่อยู่ประจำที่นี่ และคนที่ไม่ได้กลับบ้านเวลามาเข้าเวร

คนที่อยู่ประจำที่นี่ก็ไม่ได้มีเงินเดือนในฐานะอาสากู้ภัย แต่มีอาหารให้ครบ 3 มื้อเพราะมีค่ากับข้าวส่วนกลางอยู่ จะมีก็แต่พนักงานวิทยุที่มี 3 ผลัดได้รับเงินเดือนเล็กน้อยเป็นสินน้ำใจเท่านั้น

ส่วนใหญ่ทุกคนก็จะมีงานประจำทำกันอยู่แล้ว จะมาช่วย ว.4 ว.35 กันตอนค่ำคืน หรือวันหยุดเหมือนที่ผมกำลังทำอยู่

แต่ก็มีบางคนที่เป็นเด็กโดดเรียนวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ บางคนก็เดินเตะฝุ่นมาอาศัยช่วยเหลืองานมูลนิธิแลกข้าว แลกที่นอน หรือบางคนที่รวยเกินไป มีกินมีใช้จนเวลาเหลือก็มี

จะมีอาสากู้ภัยอยู่กลุ่มนึงเท่านั้นที่ได้รับเงินเดือนจากมูลนิธิ แต่เค้ารับในนามของคณะกีเซ็ง ที่ทำงานอยู่กับศาลเจ้าของมูลนิธิ

ไม่รู้ว่าผมเรียกถูกมั๊ย แต่พวกเค้าก็จะเป็นคนทำพิธีคล้ายๆ ร่างทรง ซึ่งมีอยู่ 2 คนที่คอยถือไม้กี แต่ก็มีผลัดเปลี่ยนคู่กันได้ และยังมีคนอื่นๆ ในกลุ่ม ที่เรียกว่าเด็กติดตามด้วย

โดยจะมีคนคอยจดบันทึก ตามที่กีเซ็งใช้ไม้กีขีดเขียนลงในภาชนะรองรับ ผมเห็นไกลๆ มันเหมือนงานจักสานแบนๆ คล้ายกระด้งแต่ดูดีกว่า จะเรียกว่าไงดี มันดูศักดิ์สิทธิ์กว่าล่ะมั๊ง

กลุ่มคนพวกนี้จะถือศีลกินเจบ่อยๆ ผมลองสังเกตดูจากพี่ปานที่เคยขับรถให้ผมไปพิมพ์มือครั้งแรก ซึ่งมารู้ทีหลังว่าแกก็กินนอนที่นี่ และเป็นกีเซ็งด้วย พี่แกน่าจะกินเจในวันพระ หรือกินก่อนที่เริ่มงานพิธีต่างๆ

เท่าที่ผมรุ้คือพี่ปานบ้านรวยพอสมควร ช่วงเช้าจะกลับไปช่วยที่บ้านจ่ายตลาดซื้อของเข้าร้านที่เป็นร้านอาหารใหญ่โตแถวๆ ตลาด จากนั้นพี่แกก็มาขลุกอยู่แต่ที่มูลนิธินี่ล่ะ ไม่ศาลเจ้า ก็ที่อาคารกู้ภัย

พี่ปานอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ แรกๆ ก็ติดสอยห้อยตามพี่ชายมา จนตอนนี้กลายเป็นพี่ใหญ่ของพวกเด็กๆ กู้ภัยแล้ว

ผมฟังๆ เด็กที่นี่เล่าว่ามูลนิธิเรายังเป็นการกุศลจริงๆ ไม่เหมือนบางจังหวัดที่มีเงินเดือน ทำเป็นรูปแบบบริษัท มีเจ้าหน้าที่ เป็นตำแหน่งต่างๆ ให้

แต่ก็จะมีพวกอาสาทำการกุศลให้ฟรีๆ อยู่บ้างตามจุดต่างๆ

ทำให้ผมรู้ว่า จุดที่ผมมา ว.4 อยู่ตอนนี้คือส่วนกลาง เป็น น.เขต ของศูนย์ ซึ่งจะมีจุดต่างๆ อีกหลายจุดตามที่มีหัวหน้าจุดดูแล

พวกจุดต่างๆ ก็มีรับคนเจ็บบ้าง ช่วยเหลือประชาชนแล้วแต่กรณีบ้าง แต่มีแค่เพียงรถ น.เขต เท่านั้นที่เก็บศพได้ โดยพวกจุดก็จะทำหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้

ผมมานั่งมานอนดูทีวีเล่นอยู่ซักพัก พี่ปานก็วิ่งออกมาจากห้องวิทยุพร้อมกระเป๋าพิมพ์มือและตะโกนว่า "ขี้นรถ"

เด็กที่นั่งอยู่กับผม รวมทั้งผมด้วยก็รีบวิ่งตามพี่ปานไปแบบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

พี่ปานขับรถเร็วมากจนผมที่นั่งอยู่ในแคปหลังคนขับต้องไขว่คว้าหาที่ยึดเกาะให้มั่นก่อนที่จะวิงเวียนอาเจียนเอาได้

เสียงไซเรนรถกู้ภัยดังไปทั่วท้องถนน ผมเห็นรถหลายคันเบี่ยงหลบ หลีกทางให้รถกู้ภัยที่มีผมอยู่ด้วย เป็นระยะ

แม้แต่ช่วงสี่แยกไฟแดง น้องคนที่นั่งข้างคนขับก็เปลี่ยนเสียงไซเรนเหมือนขอทาง จนรถหยุดกันทั้งแยก ให้รถกู้ภัยผ่านไฟแดงไปก่อน

รถวิ่งมาไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงไซเรนเปลี่ยนอีกครั้งและรถก็หยุดลง

น้องที่นั่งข้างคนขับ ยกวิทยุแจ้งศูนย์ว่า "ว.10 ที่เกิดเหตุ" แล้วรีบลงไปเปิดท้ายรถหยิบกระเป๋าปฐมพยาบาล ทำให้ผมวิ่งตามน้องคนนั้นไปด้วย"

ภาพด้านหน้าที่ผมเห็นคือกลุ่มคนมุงดูอะไรซักอย่าง ก่อนจะขยับตัวเปิดทางให้พวกผมเข้าไปที่จุดเกิดเหตุ

ภาพรถกระบะจอดแน่นิ่งขวางลำกลางถนนทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่ามันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

น้องคนที่เดินนำผมมาพูดขึ้นลอยๆ กลางฝูงชนว่า "คนเจ็บอยู่ไหน"

มีเสียงตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า "ใต้ท้องรถ ตรงล้อหลัง"

ผมรีบเดินตามน้องอ้อมไปที่ท้ายรถก็พบพี่ปานนั่งยองๆ อยู่ก่อนแล้ว

พี่ปานเงยหน้าขึ้นบอกพวกผมว่า "แจ้งยืนยันเสียชีวิตที่เกิดเหตุ"

สายตาของผมค่อยๆ มองเลยพี่ปานลงไปที่บริเวณล้อหลัง

สิ่งที่ผมค่อยๆ เห็นคือมือและแขนที่ยื่นออกมาจากใต้ท้องรถวางราบอยู่กับพื้น

ระหว่างที่น้องที่นำผมมาเดินกลับไปที่รถ คงไปแจ้งให้ศูนย์ทราบตามที่พี่ปานบอก ผมก็เดินเข้าไปใกล้พี่ปานเรื่อยๆ

ผมค่อยๆ ย่อขานั่งยองๆ ลงนิ่ง สอดส่ายสายตามมือและแขนลึกเข้าไปใต้ท้องรถเรื่อยๆ จนถึงล้อรถที่นิ่งสนิท

สิ่งที่ผมเห็นคือศีรษะที่ถูกล้อรถทับอยู่ สภาพมันดูไม่เป็นรูปทรงของศีรษะมนุษย์อีกแล้ว

กลิ่นเลือดลอยมาแตะจมูกผม ผมนิ่งอยู่คล้ายกับเนิ่นนาน แต่อาจเป็นเพียงช่วงเวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ

พี่ปานแตะแขนผมดึงให้ลุกขึ้นบอกผมว่าเราต้องรอร้อยเวรมาถึงก่อน จึงจะเคลื่อนย้ายศพได้

พี่ปานบอกว่าแขนหายไปข้างนึง ให้ผมช่วยพี่แกเดินหารอบๆ บริเวณ

อย่าถามว่าผมกลัวมั๊ย ผมบอกได้เลยว่า ไม่รู้ครับ สมองมันอึนๆ มันไม่ได้คิดอะไรเลยครับ ณ จุดนี้

ผมเดินฝ่าฝูงชนออกไปก่อนจะแยกกับพี่ปาน เดินไปตามถนนรอบๆ บริเวณ

ผมเห็นน้องที่มารถคันเดียวกัน หยิบผ้าเป็นพับสีขาว กับกระดาษออกมาจากท้ายรถเราหลายปึ๊ง ผมจำได้ว่ามันคืออุปกรณ์ที่ใช้เวลาทำศพ น้องมุ่งหน้าไปตรงจุดที่เกิดเหตุ

ผมได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงพี่ปานตะโกนมาจากอีกด้านของถนนซึ่งเป็นทางลาดลงไหล่ทางที่มีแอ่งน้ำเล็กๆ อยู่

"ไทม์ๆ ของกระดาษหน่อย"

ผมรีบวิ่งไปขอกระดาษจากน้องตรงจุดเกิดเหตุ พร้อมกันนั้นน้องก็ยื่นถุงมือยางส่งให้ผมด้วย

ผมรีบสวมถุงมือ และรีบวิ่งนำกระดาษไปให้พี่ปาน แต่สิ่งที่พี่ปานบอกคือให้ผมคลี่กระดาษวางไว้กับพื้น

แล้วพี่ปานก็ถ่ายรูปโดยรอบ รวมถึงโฟกัสถ่ายลงไปในแอ่งน้ำนั้นด้วย ถ่ายไปหลายภาพพอสมควรแล้วพี่แกก็จุ่มมือลงไปในแอ่งน้ำนั้น

พี่ปานหยิบแขนที่ซีดเผือดขึ้นมาจากน้ำ นำมาวางบนกระดาษที่ผมปูบนไว้บนที่แห้งใกล้ๆ กัน

พี่ปานบอกผมว่าหากเจอตายที่เกิดเหตุ ห้ามเคลื่อนย้ายศพจนกว่าร้อยเวรจะมา แต่แขนนี้มันจมน้ำอยู่พี่ปานถ่ายรูปเก็บไว้ให้ร้อยเวรแล้วก่อนนำขึ้นมาไว้ข้างๆ จุดที่จม รอร้อยเวรมาสั่งเก็บก่อน

ไม่นานไฟไซเรนก็มาถึง พี่ร้อยเวรเดินมาหาพี่ปานก่อนอาจเพราะอยู่ใกล้ตำแหน่งที่ร้อยเวรจอดรถมากกว่าที่เกิดเหตุ

หรืออาจเพราะร้อยเวรรู้จักคุ้นเคยกับพี่ปานดีก็ไม่ทราบ

พี่ปานแจ้งรายละเอียดต่างๆ กับร้อยเวร ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าพี่ปานไปรวบรวมข้อมูลมาตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่ก็เป็นได้

ร้อยเวรสั่งให้ผมเก็บแขนไปรวมกับจุดเกิดเหตุบริเวณรถที่เกิดอุบัติเหตุ

ผมเห็นกลุ่มคนใส่ชุดมูลนิธิมายืนโดยรอบ แถมมีเชือกพลาสติกสีแดงมากั้นพื้นที่ตอนไหนก็ไม่ทราบ

นั่นทำให้ผม พี่ปาน และร้อยเวร เดินเข้าไปที่เกิดเหตุได้อย่างสะดวก

ร้อยเวรเดินถ่ายรูปบริเวณโดยรอบอีกครั้ง รวมทั้งจดบันทึกข้อมูลจากคนใกล้เคียงซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นคนขับรถกระบะคันนี้

น้องที่มากับผมปูผ้าและกระดาษรอไว้ที่พื้นอยู่แล้วบางส่วน น้องเค้าคงรู้งานเป็นอย่างดีว่าต้องทำอะไร เพราะไม่นานร้อยเวรก็สั่งว่าให้นำร่างออกมาได้

พี่คนขับรถคันนั้น ถอยรถออกเล็กน้อยไม่ให้ทับร่างข้างใต้

มีเด็กสวมชุดมูลนิธิหลายคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้าสวมถุงมือเข้ามาช่วยกันเคลื่อนย้ายศพ ระหว่างที่ผมรออยู่ที่ผ้าและดาษที่ปูรอไว้

ผมได้แต่มองเด็กๆ สวมชุดมูลนิธิทำงานกันอย่างคล่องแคล่วแบบที่ผมไม่มีโอกาสแทรกตัวเข้าไปช่วยได้เลย ทั้งๆ ที่ผมก็สวมถุงมือเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว

จนมีเสียงพี่ปานเอ่ยเรียกผมให้เข้าไปด้านในวงล้อม ผมถึงได้มีโอกาสหยิบจับอะไรบ้าง

พี่ปานและน้องที่มารถคันเดียวกับผม นั่งยองๆ อยู่ซ้าย และขวา ข้างๆ ศพ โดยมีร้อยเวรยืนอยู่ด้านหลัง

พี่ปานหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกางเกงของศพ เอามาวางบนกระดาษที่ปูรออยู่แล้ว พี่ปานบอกผมว่าให้ช่วย "จด ว.8 ที"

ความจริงผมก็ยังจำไม่ได้หรอกครับว่า โค๊ด ว. เลขไหนหมายถึงอะไร จนพี่ปานหยิบบัตรประชาชนของศพออกมาจากกระเป๋า และอีกหลายอย่างวางเรียงกันบนกระดาษที่รองอยู่

พี่ปานบอกผมว่า "จดตามบัตรประชาชนเลยนะ" ผมเลยจดทุกอย่างที่อยู่บนบัตรประชาชนนั่นทันที ส่วนน้องอีกคนก็ถ่ายรูปตลอดเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของเราไปพร้อมๆ กับร้อยเวรด้วย

ผมทำตามที่พี่ปานบอก จนไม่นานร้อยเวรก็สั่งว่า "เก็บได้"

พี่ปานจึงห่อกระดาษที่มีเอกสารและทรัพย์สินให้ร้อยเวร และเรียกผมให้ไปนั่งข้างๆ พี่เค้า

พี่ปานให้ผมหันหน้าให้กล้อง ในขณะที่พี่ปานก็ทำเช่นกัน แต่ที่เพิ่มเติมคือ พี่แกทำท่าชี้นิ้วไปที่ศพให้น้องได้ถ่ายรูป

พอถ่ายรูปเสร็จ ขณะที่พี่ปานกำลังจะห่อศพ แต่ก็ถูกน้องๆ ที่สวมเสื้อมูลนิธิห้อมล้อมกันเข้ามาช่วย จนผมต้องหลบ หลีกทางให้พวกเค้าจนศพถูกยกขึ้นท้ายรถที่ผมนั่งมาอย่างเรียบร้อย

น้องที่มากับผมกระโดดขึ้นไปนั่งท้ายรถกับศพ ส่วนพี่ปานก็เรียกผมให้ไปนั่งหน้ารถแทน พี่แกบอกว่าเดี๋ยวค่อยไปพิมพ์มือที่โรงพยาบาล ต้องให้หมอมาดูก่อน

พี่ปานเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนหมอต้องออกมาที่เกิดเหตุคู่กับร้อยเวรด้วย และหมอจะต้องเป็นคนฟันธงว่าร่างนั้นเสียชีวิตแล้วจริงๆ

แต่ด้วยความที่ คนเป็น ที่ รพ.กำลังรอการรักษาย่อมสำคัญกว่าคนตาย หมอเลยไม่ค่อยได้ออกมาที่เกิดเหตุเท่าไหร่ ยกเว้นคดีสะเทือนขวัญหนักๆ ที่ ตร.ตามตัว

ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินไปขึ้นรถ ไหล่ของผมก็มีคนจับรั้งไว้จนผมต้องหันหน้าไปหา

ทายซิครับว่าผมเจอใคร



ไอ้ม่อน ในสภาพที่สวมเสื้อมูลนิธิอยู่ มันจับไหล่ผม และถามผมว่า "มึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วแค่จด ว.8 ต้องสวมถุงมือด้วยหรา" มันสวมแว่นดำครับ ผมมองไม่เห็นสายตามัน แต่ก็เห็นริมฝีปากที่มันกำลังยกยิ้มให้ผมอยู่

ผมมองหน้ามัน แต่ผมไม่มีคำพูดตอบกลับไป ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับมัน ผมจึงหันกลับและเดินขึ้นรถมูลนิธิไปโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองมันอีกเลย







_____________________


#Subconscious

#วาย

#จิตใต้สำนึก



ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #26 เมื่อ09-07-2019 21:13:18 »

ม่อนไม่สำนึกอะไรกับสิ่งที่ทำกับไทม์ หรือมันมีเบื้องหลังมากกว่าที่เรารู้ละเนี่ย

 :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Subconscious
«ตอบ #27 เมื่อ09-07-2019 21:16:59 »

 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:

ออฟไลน์ beindependence

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Subconscious : ผมชื่อ ไทม์ (8)
«ตอบ #28 เมื่อ10-07-2019 18:07:40 »


ผมชื่อ ไทม์ ( 8 )




เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งบนรถในตำแหน่งข้างคนขับ



พี่ปานสอนให้ผมใช้วิทยุแจ้งศูนย์



"เลิก ว.10 ที่เกิดเหตุ 1705 พร้อมผู้เสียชีวิต ว.25 รพ. ว.4 บันทึกภาพพิมพ์มือ"



พี่ปานบอกว่าเราไม่ได้ใช้ภาษาแบบทางการมาก แค่สามารถใช้งานสื่อสารกันได้รู้เรื่อง ไม่ผิดพลาดก็พอ



ไม่นานรถก็มาถึงที่ รพ. เรายังคงเลี้ยวอ้อมไปด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องเก็บศพเหมือนเดิม



พี่ปานแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพ ไม่นานหมอก็ลงมาดู โดยมีพวกผมช่วยอำนวยความสะดวกให้หมอชันสูตรเบื้องต้น



พอคล้อยหลังหมอที่เดินกลับเข้าไปในตึก รพ. เราก็ทำการพิมพ์มือ และบันทึกภาพกันตามปกติ และแจ้งเลิก ว.10 รพ.มุ่งหน้ากลับศูนย์



ตลอดระยะทางที่นั่งรถ ผมกลับมาคิดถึงม่อนมันอีกแล้ว ทั้งที่ผมลืมคิดถึงมาซักพักตั้งแต่ได้มาร่วมทำกิจกรรมกับหน่วยกู้ภัย



ถึงตอนที่เจอมันในที่เกิดเหตุเมื่อกี้ผมจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มันอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ฉุกละหุกที่สมองผมมันยังอึนๆ งงๆ อยู่



ให้ตายเถอะผมคิดถึงมันจริงๆ มันทำให้ตลอดทั้งวันของผมในช่วงเวลาว่าง เวลาที่ไม่มีเหตุ ไม่มีงานอะไรให้ทำ จิตใจผมก็เอาแต่ล่องลอยคิดถึงแต่มัน เอาจริงๆ ผมก็เซ็งตัวเองเหมือนกัน



ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่ผมได้ค้นพบว่า เมื่อผมได้ทำกิจกรรมต่างๆ หรือช่วงที่ผมไม่มีเวลาว่าง มันทำให้ผมลืมคิดถึงมันไปเลย



ผมถึงขอเข้าเวรกับพี่ๆ คนใดคนนึงทุกคืนตลอดเจ็ดวันของสัปดาห์ แม้แต่วันหยุดอย่างวันนี้ผมก็ไม่นั่งนอนให้มีเวลาว่างอยู่บ้าน



แต่ผมก็ดันมาเจอมันจนได้ในวันนี้ อันที่จริงนี่มันก็คือเป้าหมายในตอนแรกของผม ที่ทำให้ผมก้าวออกจากชีวิตราบเรียบมาสู่กิจกรรมที่ลุ้นระทึกตลอดเวลาแบบนี้



ผมลองชั่งน้ำหนักความคิดและจิตใจของผมอยู่นาน



ผมคิดถึงมันนะ แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์กับมันอีกแล้ว บางทีถ้าผมทำใจให้ลืมมันไปเลยได้ก็คงเป็นการดีกับชีวิตจิตใจของผมนะ



คืนนี้ผมก็ยังคงเข้าเวรเหมือนเดิมโดยมีพี่ปานเป็นคนขับรถ และก็ไม่มีเหตุอีกเหมือนเดิมนั่นล่ะ



พอห้าทุ่มหน่อยๆ พี่ปานก็เรียกคนในเวรขึ้นรถ บอกว่ามีศพส่ง



ผมไม่รู้ว่าเราต้องไปส่งศพกันที่ไหน ผมไม่ได้ถามใคร ผมได้แต่มองถนนหนทางที่รถวิ่งผ่าน ในขณะที่น้องอีก 2 คน มีคนนึงคือเจ้าฟางก็ไปนอนเหยียดยาว กลับหัวกลับหางกับศพที่วางอยู่ท้ายรถ



ตอนที่เอาศพขึ้นรถ คนตายเราจะเอาเท้าเข้าไปด้านใน ส่วนเจ้า คนเป็น สองคนก็นอนเอาหัวไปข้างในสลับกัน พวกเค้าคงชินแล้วล่ะมั๊ง ในขณะที่ผมยังนั่งหน้าเป็นเพื่อนคนขับอยู่



พี่ปานบอกว่าผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้ตายแบบมีประวัติการรักษาที่ รพ. ส่วนมากจะต้องถูกส่งมาชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติเวชก่อน ถึงจะไปรับใบมรณบัตรได้



นานมากพอสมควร กว่าที่รถจะมาจอดที่สถาบันนิติเวช ผมว่าเกือบตีหนึ่งแล้วล่ะมั๊ง



ที่นี่ปิดไฟมืด แต่ก็มีไฟทาง กับไฟตามหน้าประตูอยู่ พี่ปานเดินเลาะไปตามข้างตึก แต่ผมเดินตามเจ้าสองคนไปที่ประตูใหญ่ตามคำชักชวน



มีสวิตช์เปิดไฟอยู่ที่หน้าประตูสีเงินบานใหญ่ที่มีที่เปิดประตูไม่เหมือนประตูทั่วไป มันคล้ายๆ ประตูของพวกห้องเย็น



ฟางเปิดสวิตช์และเริ่มเปิดประตู ทำให้ผมค่อยๆ เห็นม่านพลาสติกเป็นริ้วๆ อยู่ที่หน้าประตู



ฟางบอกว่าเราต้องไปเอารถมาใส่ศพก่อน และฟางก็แหวกม่านเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับน้องอีกคน



ม่านปิดลงอย่างรวดเร็ว ผมจึงค่อยๆ เดินไปแหวกม่านเพื่อจะตามเข้าไปด้วย



ม่านค่อยๆ เปิดช่องว่างช้าๆ สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือไอเย็นที่มากระทบผิว กลิ่นอับแต่ฉุนสารเคมีน้อยๆ น่าจะเป็นกลิ่นฟอร์มาลิน ผมมองเห็นไอสีขาวคล้ายๆ หมอกหรือควันฟุ้งอยู่ในอากาศ



พอม่านเปิดกว้างพอที่ผมจะเข้าไปได้ กอปรกับทัศนียภาพที่แจ่มชัดขึ้นสู่สายตาของผม



ภายในห้องนั้นเรียงรายไปด้วยเตียงรถเข็นจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งบนรถเข็นทุกคันก็มีร่างไร้วิญญาณวางอยู่ บางร่างก็ขนาดก็พอๆ กับพวกเรา แต่มีอยู่กลุ่มนึงที่มีร่างซีดขาวใหญ่โตมาก



ผมยืนนิ่งมองไปรอบๆ จนฟางเข็นรถมาจากด้านข้างของประตูซึ่งมีทางเดินเข้าไปสู่โถงกว้าง



ฟางเห็นผมหยุดมองกลุ่มรถเข็นที่เต็มไปด้วยร่างใหญ่โต ฟางเลยบอกผมว่าชุดนั้นมาอยู่ตั้งแต่สึนามิแล้ว เป็นพวกต่างชาติยังไม่มีญาติมาตามหา



ผมพยักหน้าและหันไปแหวกม่านหลบทางให้ฟางและน้องอีกคนช่วยกันดึงและเข็นรถออกไปจากห้อง



ฟางวานให้ผมปิดประตู และปิดไฟ และผมก็เดินตามน้องกลับไปที่รถเรา



เราสามคนช่วยกันยกศพขึ้นบนรถเข็น ไม่นานพี่ปานก็เดินออกมาตามทางข้างตึกที่พี่แกเดินเข้าไปในทีแรก แต่คราวนี้มีเจ้าหน้าที่ออกมาด้วย



เจ้าหน้าที่ถือเอกสารออกมา และตรวจดูศพอีกครั้งก่อนที่จะบอกพวกเราว่าห้องใหญ่ใกล้เต็มแล้ว ให้เอาไปแช่ไว้ที่ตู้ข้างหลัง



พวกเราสี่คนเข็นรถเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไป ผ่านประตู และทางเลี้ยวจนถึงบริเวณคล้ายๆ หลังตึก แต่มีผนังกั้นไว้อย่างมิดชิด



เราช่วยกันดันถาดรองศพเข้าไปแช่ในตู้ พอเสร็จก็พากันมาล้างมือที่อ่างก่อนถึงประตู



ระหว่างที่ผมต่อคิวก็พลางมองเตียงรถเข็นศพที่ว่างเปล่าอยู่สองเตียง แต่ว่ามันดูใหญ่โตและมั่นคงกว่าที่เราใช้เมื่อสักครู่



บนเตียงสีเงินยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนไม่ได้ล้างทำความสะอาดอยู่ประปราย



พอถึงคิวผมล้างมือ ที่ขอบอ่างก็มีทั้งสบู่ก้อน สบู่เหลว และขวดแอลกอฮอล์ไว้ให้ใช้



ฟางบอกว่าถ้าห้องเต็ม หรืองานเร่งด่วน พวกศพสดบางทีก็ชันสูตรกันตรงนี้



พอเรากลับออกมาจากสถาบันนิติเวช พี่ปานก็พาพวกผมไปแวะกินผัดไทเจ้าดังกันก่อน พวกเรามัวแต่เอ้อระเหยลอยชายกันแบบไม่รีบเร่ง กว่าจะกลับกันถึงศูนย์ก็จวนเจียนที่พระจะบิณฑบาตซะแล้ว



ระหว่างทางที่ผมกลับบ้าน ผมก็เจอหลวงพี่ที่ผมรู้จักสมัยเรียนมัธยมต้นพอดี ผมเลยแวะร้านข้าวแกงข้างทาง ซื้อกับข้าวสองสามอย่างนมัสการขอใส่บาตรท่านด้วย



ผมกลับบ้านกว่าจะได้อาบน้ำนอนก็เกือบเช้า กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปบ่ายโมง เพราะท้องผมเริ่มร้องหิว



ผมเลยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปหาอะไรกินและจะเลยไปที่มูลนิธิด้วย









มอเตอร์ไซด์ผมจอดที่มูลนิธิได้ไม่นานไม่ทันจะดับเครื่องดี ผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถคล้ายกับพวกรถแต่งดังอยู่หน้ารั้วริมถนน



ผมหันไปมองได้สนใจอะไร แต่ก็ต้องหันหน้ากลับไปดูอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงน้องด้านในพากันกล่าวสวัสดีคนที่กำลังเดินเข้ามา





"หวัดดีพี่ม่อน"



"มาขับรถเหรอพี่ม่อน"





ผมหันกลับไปเจอไอ้ม่อนมันสวมแว่นดำกำลังเดินเข้ามาใกล้ผม แต่ใบหน้ามันกับมองไปทางน้องๆ ข้างใน พลางยกมือตอบรับคำทักทายของน้องๆ



ผมอาจจะมองมันค้างนานเกินไป จนมันเดินมาถึงตัวผม มันเลยยกมือขึ้นมายีหัวจนผมบนศีรษะของผมยุ่งเหยิง ก่อนที่มันจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน มุ่งหน้าเข้าไปในห้องวิทยุ



เห้อ!!..ผมถอนหายใจพร้อมๆ กับจัดทรงผมไปด้วย สมองผมมันอึนๆ เบลอๆ อีกแล้ว



ผมไม่รู้ว่าผมควรดีใจที่ได้เจอมันตามเป้าหมายเดิม หรือว่าผมควรผิดหวังที่มันโผล่มาทำให้ความตั้งใจใหม่ที่ผมตั้งใจจะลืมมัน ล้มเหลวอีกกันแน่



ผมนั่งดูทีวีรอเหตุอยู่กับพวกน้องๆ ข้างล่างแบบใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ มีแอบถามคนอื่นว่าม่อนมันเป็นอาสาที่นี่เหรอ



คำตอบที่ผมได้รับก็คือม่อนมันเป็นอาสาอยู่ที่จุด ไม่ใช่อาสาส่วนกลาง แต่ก็มีบางวันที่เป็นช่วงกลางวันที่มันจะมาช่วยขับรถออกเหตุบ้าง เพราะมันทำกู้ภัยมานานแล้ว



ผมรับรู้ข้อมูลของมันยังไม่มากเท่าไหร่ เสียงวิ่งลงบันไดเหล็กตึงตังก็ดังขึ้น ทุกคนตรงนี้ก็รีบลุกวิ่งพากันไปขึ้นรถทันที เพราะเราต่างรู้ดีว่าแบบนี้แสดงว่ามีเหตุแน่นอน



ผมขึ้นไปนั่งอยู่ที่หลังรถที่กว้างขวางกับน้องอีกคนเลยไม่รู้ว่าใครเป็นคนขับ มารู้อีกทีก็ตอนที่รถ ว.10 ที่เกิดเหตุ ถึงรู้ว่าคนขับคือไอ้ม่อน



คราวนี้ผมได้เจอเหตุที่มีผู้บาดเจ็บจริงๆ ตัวเป็นๆ แล้วครับ ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นคนบาปมากขึ้น หรือเพราะความชั่วของไอ้ม่อนกันแน่ที่ทำให้เราได้มาพบอุบัติเหตุแบบนี้



ผมไม่ได้มัวยืนอึ้งอยู่ แต่ผมว่าผมลนลานทำอะไรไม่ถูกมากกว่า แต่ยืนนิ่งอยู่ได้ไม่นานไอ้ม่อนมันก็เดินมาดันไหล่ผมเข้าไปหาคนเจ็บและกดให้นั่งลง



มันพูดเสียงเบาข้างๆ บอกผมว่า "เดี๋ยวสอนให้"



มันสอนผมจริงๆ ครับ ทั้งหยิบถุงมือส่งให้ใส่ อธิบายว่าอุปกรณ์ทำแผลในกระเป๋าปฐมพยาบาลอันไหนใช้ทำอะไรบ้าง มันสอนไปทำแผลให้คนเจ็บไป



ผมกับน้องอีกคนก็ช่วยเป็นลูกมือมันทำไปโดยอัตโนมัติ ผมเหลือบเห็นน้องอีกคนไปโบกรถ อีกคนถือกระดาษปากกาไปท้ายรถที่เกิดอุบัติเหตุ น้องเค้าก็คงไปจด ว.8



น้องที่ช่วยผมอยู่ก็วิ่งไปหยิบ สไปนอลบอร์ด ที่ท้ายรถ และเราก็ช่วยกันยกคนเจ็บขึ้นบอร์ดรัดเบลท์ ก่อนจะยกขึ้นท้ายรถ จึงแจ้งเลิก ว.10 ที่เกิดเหตุ ว.25 รพ.ตามสิทธิ์







เรื่อง รพ.ตามสิทธิ์นี่พี่ปานเคยเล่าให้ผมฟังว่าช่วงยุคประกันทั้งหลายยังไม่เฟื่องฟู เราก็จะส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่จะถามคนเจ็บหรือญาติในที่เกิดเหตุก่อนว่าจะไป รพ.รัฐ หรือเอกชน



แต่พอยุคนี้อะไรๆ ก็มีแต่ประกัน ไหนจะประกันสังคม ไหนจะบัตรทอง ไหนจะ พรบ.รถ แต่ถ้าประกันแพงๆ ก็ไม่มีปัญหาเพราะคนเจ็บมีประกันจ่ายให้อยู่แล้ว



พี่ปานเล่าว่ามีช่วงนึงพวกเราทั้งด่าทั้งยกพวกแทบจะไปถล่ม รพ. เพราะมันไม่ยอมรับรักษาคนเจ็บ เพียงแค่เค้าไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นั่น แม้แต่ทำแผลซักนิดก็ไม่มี



สุดท้ายก็ทำอะไรระบบทุนนิยมไม่ได้ ต้องคอยปรับตัวถามหาสิทธิ์คนเจ็บในที่เกิดเหตุก่อนให้ได้เพื่อส่ง รพ.ตามสิทธิ์รักษา แต่ถ้า รพ.อยู่นอกพื้นที่ หรือคนเจ็บหมดสติไม่รู้สึกตัว ไม่มีญาติ ก็ส่ง รพ.รัฐ ไว้ก่อน



แค่ลำพังรีบวิ่งรถไปแย่งคนเจ็บกับไอ้พวกกาฝากที่มันฉวยโอกาสหาผลประโยชน์กับคนตกทุกข์ ชอบยกคนเจ็บไปส่งตาม รพ.เอกชนที่จ่ายค่าน้ำมันให้พวกมันเป็นเคสๆ ก็เหนื่อยละ นี่ยังต้องมาหมั่นไส้ไอ้พวก รพ. บริษัททั้งหลายแหล่อีก



ถ้าถามว่าเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าพวกมูลนิธิ พวกกู้ภัยแย่งคนเจ็บกัน มันก็จะประมาณนี้ล่ะครับ พวกหาผลประโยชน์ก็มี แต่พวกที่ช่วยเหลือคนเจ็บเพื่อการกุศลฟรีๆ นั้นมีเยอะกว่า แต่พวกผมส่วนมากก็จงใจดักแย่ง ท้าตีไม่ให้พวกกาฝากมันหากินได้นั่นล่ะครับ



มันไม่ใช่แค่คนเจ็บเดือดร้อนต้องเสียเงินแพงๆ จ่ายค่ารักษา ไหนจะค่าเดินทางกลับบ้าน หรือญาติที่ต้องเดินทางไปหาไกลๆ มันยังกระทบถึงเรื่องคดีของ ตร.ด้วย



ประมาณว่าเหตุเกิดพื้นที่นึง ร้อยเวรรับผิดชอบคดีต้องเป็นคนนี้ แต่คนเจ็บดันถูกหิ้วไป รพ.นอกเขต กลายเป็นคนละพื้นที่กัน คนละร้อยเวรไปอีก ได้ตามปิดงานกันให้วุ่นล่ะ







พอภารกิจเสร็จสิ้นจาก รพ. ล้อหมุนกลับมาที่ศูนย์ปุ๊ป ผมกับม่อนยังไม่ทันได้มองหน้าหรือพูดคุยอะไรกันอีก ไอ้ม่อนมันก็กลับบ้านปั๊บ ผมเห็นเพียงแค่หลังมันไวไวขึ้นรถไปเท่านั้น



และคืนนี้ที่ผมยังคงเข้าเวร ผมก็ได้รับประสบการณ์เจอ ทั้งคนเจ็บ ทั้งคนตายตลอดคืนจนสิ้นสุดภารกิจ กว่าจะ ว.14 เขต ก็ปาเข้าไปตีสาม และผมก็หอบสภาพใต้ขอบตาลึกโบ๋เป็นหมีแพนด้าไปทำงานประจำทั้งอย่างนั้น











_____________________





#Subconscious



#วาย



#จิตใต้สำนึก




ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: Subconscious
«ตอบ #29 เมื่อ15-07-2019 18:22:24 »

+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด