ตอนที่ 3
ยิ่งใกล้สิ้นเดือน งานก็หนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชีวิตปารย์ก็ ‘ยังเหมือนเดิม’ คนคิดคอนเทนต์ที่ยังต้องดีลงานกับฝ่ายขายและลูกค้าหัวปั่น เขียนสคริปต์ รวมไปถึงบทความน่าที่น่าสนใจเพื่อลงบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
จริงๆ เหมือนพอมาถึงตอนนี้ ปารย์แอบคิดว่า เขาเลือกงานที่เหมาะกับเขาอยู่เหมือนกันนะ ตอนแรกที่จบมา ปารย์ตั้งใจจะทำเอเจนซีโฆษณา แต่จับผลัดจับผลู อาจารย์ที่สนิทกันแนะนำมาทำงานที่นี่ เพราะหัวหน้าเป็นเพื่อนอาจารย์และเพิ่งย้ายมาประจำเฮดคอนเทนต์ ซึ่งปารย์...ตอนแรกก็คิดแค่ว่า เออ ลองดู แต่ไปๆ มาๆ เขากับพี่โจ๋คุยกันถูกคอ ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายไม่ได้จะสนิทกับใครได้ง่ายๆ สุดท้ายปารย์ก็ลงเอยที่นี่มาราวๆ สองปีได้แล้ว
บ้านเขาทำร้านอาหาร นี่อาจจะเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทำให้เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องกินๆ และสามารถเล่าแง่มุมที่หลากหลาย และเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ ระดับที่พี่โจ๋เองก็วางมือให้ปารย์ได้ลองรับผิดชอบงานใหญ่ๆ เองหลายชิ้น
เอ แต่เมื่อกี้ ปารย์บอกว่าชีวิตตัวเองยังเหมือนเดิมใช่ไหม อืม ขอกลับคำหน่อยละกัน คือมันก็ออกจะ มีส่วนเสริมเติมแต่งนิดหน่อยทำให้มันไม่เหมือนเดิม จะบอกยังไงดี…
หลายวันที่ผ่านมา ปารย์มีฟงตามติดเป็นเงาหลังเลิกงาน เฉพาะวันที่ฟงไม่ติดงานดึกอะนะ แต่บางครั้ง ไอ้เด็กฝึกงานก็บังคับเขารอ เพื่อจะไปส่งบ้าน ช่วยปิดร้าน และหลอกให้ปารย์ทำอาหารง่ายๆ ให้กินสักจาน
ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรหรอก ชีวิตแบบนี้ คือเหมือนจะชินไปแล้วด้วยซ้ำ ที่มีฟงมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ หลายๆ คนอาจจะเห็นว่าฟงกับปารย์คุยกันบ่อยขึ้น แต่หลายคนคงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตามไปถึงบ้านแล้วมาเป็นลูกชายป๊า ลูกชายม๊าคนใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ
“ปารย์ครับ” เสียงเรียกทำให้ปารย์ที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ริมระเบียงต้องหันไปมอง ออฟฟิศของพวกเขา เป็นกึ่งโฮมออฟฟิศ กึ่งอาคารสำนักงานอย่างที่บอก เลยมีพื้นที่ระเบียงให้สำหรับทุกชั้น ประเด็นก็คือ สาวออฟฟิศหลายคนชอบไปเอาต้นกระบองเพชรมาเลี้ยง มาตั้งไว้ เพราะคิดว่ายังไงก็รอด แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นสิ ปารย์รู้ดีด้วยความที่พี่สาวเขาก็เลี้ยงกระบองเพชรไว้ชั้นดาดฟ้า แล้วพอไปเรียนต่อ เขาก็รับช่วงดูแลมาได้หลายปี ทำให้รู้ว่า กระบองเพชรก็ต้องการความเอาใจใส่ในรูปแบบของมันเหมือนกัน
ฟงเลื่อนบานกระจกของระเบียงแล้วโผล่หน้าออกมา ปารย์เลิกคิ้ว ช่วงเช้าของวันคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เมื่อคืนเขานอนไว วันนี้เลยมาถึงออฟฟิศตอนเก้าโมงพอดี
ส่วนฟง เห็นเมสเสจมาบอกตั้งแต่เมื่อคืนว่ามีถ่ายงานตอนเช้ากับพี่เขม ล้อหมุนเก้าโมงเหมือนกัน
“ยังไม่ไปอีก”
“พี่เขมกำลังจอดรถอะ” ฟงว่า เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แล้วงับประตูปิดกันกลิ่นลอยเข้าไปในสำนักงาน
“กินไรปะ ไปแถวตลาดน้อย”
“อยากกินกุยช่าย”
“จัดไป”
“ซื้อมาฝากคนอื่นด้วย เอาเงินนี่” ปารย์วางกระบอกน้ำลง ทำท่าจะล้วงกระเป๋าเงิน แต่ฟงโบกมือส่ายหัว
“ไม่ต้องๆ เงินที่เราทำฟรีแลนซ์ออกพอดีเมื่อเช้า”
“งานไหน?”
“นานแล้ว ไปเป็นผู้ช่วยช่างภาพให้รุ่นพี่ ก่อนมาฝึกงานอีก”
“วางบิลนาน”
“ชีวิตฟรีแลนซ์” ฟงหัวเราะเบาๆ “แต่ไม่ต้องห่วง กินข้าวบ้านปารย์ประหยัดไปเยอะเลยเดือนนี้”
“อืม” ปารย์ทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็แอบยิ้มมุมปาก
“ให้เราจ่ายค่าข้าวบ้างดิ เดี๋ยวก็ขาดทุนหรอก”
“ขาดทุนมานานแล้วกับนายอะ ก็ไปบอกป๊าสิ เผื่อป๊าจะยอมให้จ่าย”
“เฮ้อ” ฟงทำทีเป็นถอนหายใจ ก่อนจะโบกมือหย็อยๆ ให้ปารย์ เมื่อเห็นพี่เขมเดินหาวเข้ามา
“ไปก่อนนะ เดี๋ยวจะซื้อกุยช่ายที่อร่อยที่สุดมาฝาก”
“รู้ร้านเหรอ”
“วางใจได้เลย” ฟงขยี้บุหรี่ลงพื้น ก่อนยิ้มกว้างให้กับปารย์ แล้วเดินไปหาพี่เขมที่กำลังหากาแฟกินตรงโซนห้องครัว
ปารย์รดน้ำต้นไม้เสร็จเรียบร้อย เขาวางกระบอกน้ำไว้บนเก้าอี้เก่าๆ ที่ใครไม่รู้เอามาวางไว้ที่ระเบียง ก่อนเปิดประตูเข้ามา โดเดินหน้ายุ่งเข้ามาพอดี โดก็เป็นผู้ชายสายเซอร์และเซื่องซึมคนหนึ่ง ที่ปารย์ก็ค่อนข้างจะสนิทในออฟฟิศ อาจจะเพราะทีมคอนเทนต์ และทีมเซลล์ ที่นั่งอยู่ชั้นสองด้วยกัน มีผู้ชายไม่เยอะ ส่วนใหญ่ผู้ชายไปกองที่ฝ่ายผลิตหมด เอาจริงๆ ทีมคอนเทนต์นอกจากพี่โจ๋ เขา และโด คนอื่นก็เป็นสาวๆ หมดเลย
“ไงมึง” ปารย์เอ่ยปากทักทาย โดพยักหน้าหงึกหงัก “มาเช้าจังวะ” ปกติโดมาสิบเอ็ดโมงโน่น
“เออ เอามอ’ไซค์มา” โดตอบ “เออ ปารย์ มึงเขียนคอนเทนต์ให้ร้านเพลินเสร็จหรือยัง ต้องยิงแอดวันนี้นะ เห็นพี่โจ๋ถามถึงเมื่อวาน แต่มึงกลับไปก่อน”
คำถามของเพื่อนทำเอาปารย์ชะงัก หน้าเหวอ
“สัส”
“อะไร” โดขมวดคิ้ว
“ลืม ไอ้เหี้ยลืมสนิทเลยมึง สัสเอ๊ย เขาจะโพสต์กี่โมง”
“ไม่รู้พี่ตุ๊กคุยกับลูกค้าไว้กี่โมง มึงรีบโทรบอกพี่ตุ๊กให้เขาเลื่อนก่อนไป” โดว่า เขาดูท่าทางลนลานของเพื่อนแล้วได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้จะช่วยยังไง ปกติปารย์เป็นคนเป๊ะ และทำงานเกือบจะไร้ข้อผิดพลาด นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เขาเห็นเพื่อนรักหลุด แถมเป็นการหลุดครั้งใหญ่เสียด้วย
-----
ฟงแบกขาตั้งก้องไว้บนบ่า อีกมือถือกล่องบรรจุกุยช่ายนึ่งหน้าตาน่ารับประทานที่ซื้อมาฝากคนในออฟฟิศ หลังจากที่จอดรถของออฟฟิศเก็บเข้าที่จอดประจำไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่เขมเดินหิ้วกล่องใส่กล้อง เลนส์ และอุปกรณ์เดินนำอยู่ด้านหน้า พร้อมกับถุงขนมหวานในมืออีกฝั่ง ที่เพิ่งถามคนอื่นในไลน์กลุ่มว่าใครจะเอาอะไรจากร้านดังบ้าง
พวกเขาเดินขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งมีโต๊ะกินข้าวส่วนกลางสำหรับทุกคนในออฟฟิศ ตอนนี้ประมาณเกือบๆ บ่ายสอง ฟงกวาดตามองหาปารย์หลังจากวางถุงกุยช่ายลงตรงโต๊ะกลางเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่เห็นคนตัวผอมอยู่ที่โต๊ะเหมือนประจำทุกวัน มองไปรอบๆ ชั้นก็ไม่เจอ ฟงเลยถือวิสาสะเดินไปที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่าย แม้จะรู้แหละว่าปารย์จะหน้ามุ่ยนำเสนอเมื่อเขาเดินไปหาถึงโต๊ะ แต่ก็ยอมให้เดินมาหาตลอด
“พี่โดๆ” ฟงกระซิบเรียกคนนั่งตรงข้ามปารย์ โดที่เห็นเด็กฝึกงานชะโงกชะเง้ออยู่ จึงถอดหูฟังครอบหูแล้วเลิกคิ้ว
“ไงมึง” พี่โดก็เป็นหนึ่งในพวกที่พี่เขมชอบชวนกินเหล้า ฟงเลยมีโอกาสได้คุยบ่อยๆ ผิดกับอีกคนที่ต้องหาทางเข้าหาอุตลุต
“กุยช่ายอะพี่ เอามาฝากพี่ปารย์” เด็กหนุ่มเว้นคำพูด “ไปไหนซะละ”
“เอ้อ” โดถอดหูฟังครอบหูออก เหล่มองไอ้เด็กฝึกงานหน่อย “สนิทกันนะมึงช่วงนี้”
“บ้านกลับทางเดียวกันพี่” พอเห็นไอ้ฟงมันยิ้มเผล่ โดก็เกาหัวแกรกๆ ตามสไตล์คนเซื่องต่อไป “ลองลงไปดูหลังบ้านไป”
“ครับ?”
แม้จะแปลกใจ แต่ฟงก็เดินขมวดคิ้วหิ้วกุยช่ายกล่องเล็กที่ตั้งใจบอกป้าคนขายให้แยกใส่มาอย่างดีลงไปข้างล่าง แยกน้ำจิ้ม แล้วเลือกแค่ไส้กุยช่ายกับเผือก ที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบมาอย่างละสองชิ้น แล้วเดินทอดบนหินแกรนิตที่ปูทับบนผืนหญ้าด้านข้างอาคาร ไปยังหลังโฮมออฟฟิศที่เป็นระเบียงไม้ระแนงร่มรื่นใต้ต้นลั่นทมต้นใหญ่ที่ขยายกิ่งก้านสาขาแผ่คลุม
ปารย์นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย ในรั้วรอบของระเบียงที่เงียบสงบ ครีเอทีฟหนุ่มผินใบหน้ามองไปยังกำแพงสีขาวสะอาดที่มีไม้เลื้อยขึ้นเกาะตามผิว แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบลอดซี่เหล็กดัดเหนือกำแพงขาวลงมาเป็นริ้วๆ เสียงฝีเท้าของฟงไม่ทำให้คนตัวผอมบางนั่นรู้สึกถึงการมาถึงแต่อย่างใด ซึ่งฟงเลือกที่จะเงียบกระทั่งพาตัวเองย้ายไปนั่งข้างๆ คนที่นั่งเหม่อได้สำเร็จ
“ปารย์”
เรียกไปสักห้าวิ คนที่จมอยู่กับความคิดตัวเองถึงจะได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาด้วยแววตาเศร้าๆ ฟงยิ้มตอบกลับไปบางๆ
‘มันทำงานพลาด แม่งเสือกคิดมากด้วย ปกติเป็นพวกเพอร์เฟ็กต์ชันนิสไง’
ฟังคร่าวๆ มาจากโดบ้างแล้ว ฟงจึงเลือกจะเงียบ แล้ววางกล่องกุยช่ายไว้ข้างตัว เขาอาจจะไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันเป็นยังไง การทำอะไรที่ต้องสมบูรณ์แบบพร้อมนั่นน่ะ แต่ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความทุกข์ในหน้าที่การงานแล้วก็เรื่องเรียนสำหรับเขา มันก็เป็นในอีกรูปแบบหนึ่ง
“อู้งานเหรอเรา มานั่งซ่อนตัวแถวนี้” เขาเย้า ปารย์ยังทำหน้านิ่งตอบ ไม่มองหน้าด้วย
“......”
“กินกุยช่ายเปล่า มันยังร้อนๆ อยู่เลย เนี่ย มีไส้กุยช่ายสองตัว เผือกอีกสองตัว”
ปารย์ยังนั่งเงียบ ฟงเลยเงียบตาม เอาล้วงมือหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงหลัง แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาตัวหนึ่ง เขาจุดไฟวาบขึ้นที่ปลายมวน
“ขอสูบบุหรี่นะ”
“......” ไม่ตอบ
“ขอนั่งเป็นเพื่อนด้วย”
“......”
ยังไม่ตอบอยู่ดี ฟงมองเสี้ยวหน้าคนข้างตัวแล้วนึกอ่อนใจ “เอาบุหรี่สักคำไหม” เขาถาม ก่อนที่จะเป็นครั้งแรกที่ปารย์หันกลับมาพยักหน้าแล้วมีรีแอ็กชั่นกับเขาในหลายนาทีที่ผ่านมา ที่ปล่อยให้เขาพูดอยู่คนเดียว
“อื้อ”
ครีเอทีฟหนุ่มรับมวนบุหรี่ไปคีบไว้ที่นิ้วเรียวสวย ขาวจัดและเป็นระเบียบแบบที่ฟงรู้ว่าหากเอาฝ่ามือหยาบเท่าฝาบ้านของเขาไปเทียบ คนเหมือนนรกกับสวรรค์ ปารย์จรดปลายบุหรี่เข้าที่ริมฝีปาก ก่อนค่อยๆ อัดเข้าปอด
ไม่ใช่ไม่เคยสูบบุหรี่ แต่เพราะว่านานๆ ทีจะสูบในวงเหล้าสักครั้ง บุหรี่รสแรงของฟงทำเอาปารย์หัวหมุนติ้ว แล้วไอโขลก
“แค่กๆ”
“เนี่ย ชอบทำร้ายตัวเอง” ฟงส่ายหัว เขายึดบุหรี่คืน เท่านั้นแหละเด็กฝึกงานหนุ่มจึงได้เห็นสายตาราวกับกรรไกรของคนข้างตัว ไม่ใช่สายตาไร้จุดหมายอีกต่อไป
“คนที่ทำร้ายตัวเองคือคนที่สูบบุหรี่วันละครึ่งซอง”
“โห รู้ด้วย” ฟงทำหน้าเหลือเชื่อแหย่กลับ ทำเอาคนที่ผอมปริปากพูดเบะปากใส่
“ลงมาทำไม ไม่ไปทำงาน”
“งานเสร็จแล้วเนี่ย พักก่อนค่อยไปทำรูปให้พี่เขม พี่เขมไปคุยงานกับพี่โจ๋ยังไม่ออกมามั้ง” ฟงว่า ก่อนหยิบกล่องชานอ้อยบรรจุกุยช่ายที่ตั้งใจจะเอามาฝากคนข้างตัวตั้งแต่ทีแรกออกมาจากถุง “กินเร็ว ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ค่อยหิว”
“เฮ้ยได้ไง ถึงเวลาก็ต้องกิน” ฟงว่า เขาดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งถังขยะแถวนั้น ก่อนหยิบช้อนพลาสติกที่ติดมากับกล่องขึ้นมา พอเปิดกล่อง กลิ่นหอมของกุยช่ายที่ยังอุ่นๆ อยู่ก็ลอยออกมา ทำเอาปารย์ที่ปากบอกไม่หิว ก็ท้องร้องอยู่เหมือนกัน
ฟงเลือกไส้กุยช่าย คิดเองว่าปารย์น่าจะชอบ เพราะปกติที่ร้านก็ชอบให้ป๊าผัดกุยช่ายขาวเต้าหู้หมูสับให้กินบ่อยๆ ส่วนข้าวต้มกุ๊ยก็ชอบเลือกตักให้มีเผือกลอยอยู่เยอะๆ ฟงชอบดูเวลาอีกฝ่ายนั่งตรงข้ามกันแล้วคีบกุยช่ายขาวขึ้นมากินคู่กับเผือกเละๆ ในข้าวต้ม ฟงเคยลองกินตาม รสชาติเค็มๆ และกลิ่นหอมเฉพาะของกุยช่ายขาว ไปกันได้ดีกับความมันของเผือก สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบคือปารย์เป็นคนกินน้ำเยอะ แต่การกินน้ำเยอะไม่ได้หมายความว่าจะต้องกินข้าวคำน้ำคำนี่น่า เพราะกินแบบนั้นเลยอิ่มเร็ว ตัวก็กะเปี๊ยกเท่านี้
“อ้าปาก” เขาตัดกุยช่ายเป็นคำเล็กๆ ไม่ลืมจะราดน้ำจิ้มเจ้าเด็ดลงไปด้วย ก่อนยื่นช้อนไปใกล้ปากคนตัวเล็กกว่า
ปารย์ทำท่าลังเล เขาเขินหน่อยๆ ที่อยู่ๆ มีผู้ชายตัวเบ้อเริ่มมาป้อนข้าวกันต่อหน้าแบบนี้ แต่พอเห็นสายตาแห่งความหวังของไอ้ผิวแทนตรงหน้า ก็จำใจอ้าปากรับกุยช่ายเข้าไปอย่างเสียมิได้
แต่รสชาติอร่อยของมันก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา อย่างนี้สินะที่หลายคนบอกว่าของอร่อยทำให้คนอารมณ์ดีได้ ท่าจะจริง
เงยหน้ามองคนตรงหน้า ปารย์ก็ต้องรู้สึกหน้าเห่อร้อนหน่อยๆ เมื่อเห็นไอ้คนตัวใหญ่กว่ามันตักกุยช่ายเข้าปากตัวเองบ้างแล้วเคี้ยวกร้วม
“แย่งกินเหรอ” ปารย์ว่างุบงิบ ไม่จริงจังนัก แล้วรีบเบือนหน้ามองกำแพงต่อ เพราะแค่มองริมฝีปากที่สัมผัสช้อนพลาสติกคันนิดเพียงเสี้ยววิ หัวใจก็เต้นแรงแบบไร้สาเหตุ
“เห้อ” ฟงแกล้งถอนหายใจ “ก็ใครบอกไม่กินๆ”
“ไม่เอา จะกินแล้ว เอามานี่” ฟงยอมให้ถาดในมือถูกดึงออกไปอย่างง่ายดาย เขาเท้าคางกับพนักเก้าอี้ เอี้ยวตัวมองคนที่ตักกุยช่ายกินยิ้มๆ
“ชอบปะ ไว้ผ่านไปแวะซื้อให้อีก”
“อร่อยดี แต่จริงๆ ป๊ากับม๊าก็ทำอร่อย ปีหนึ่งจะทำขายแค่ช่วงเจ”
“รอกินเลย”
“รอตลอด” ปารย์ส่ายหัว ฟงนั่งจ้องอีกฝ่ายต่อไปอย่างไม่ปกปิด เขานั่งดูคนที่ทำเอาใจคนปั่นป่วนหลายสัปดาห์มานี้เคี้ยวตุ้ยๆ กระทั่งกุยช่ายชิ้นที่สองหมดลง ความเร็วในการกินก็ลดลงไปด้วย
“เอาน้ำไหมเดี๋ยวเราไปกดตู้ให้” เด็กฝึกงานถามขึ้น คนที่แก้มตุ่ยอยู่เป็นอันต้องส่ายหัว
“ฮื่อ ไม่อะ นั่งพักแปบนึงแล้วเดี๋ยวเราจะขึ้นไปกินน้ำข้างบน”
“เหลืองานอีกเยอะไหม”
“ก็มี แต่ขี้เกียจแล้วละ คงได้เคลียร์พรุ่งนี้” ปารย์ว่าเสียงค่อย “ว่าจะกลับไวหน่อย”
“ไปส่งให้ก่อนไหม” ฟงเลี่ยงจะถามว่าทำไม เขารู้เหตุผลดี
“ไม่ต้องหรอก รถเมล์ไม่กี่ป้ายเอง”
“......”
“ถ้าจะตามมากินข้าวก็ไลน์มาบอกตอนจะออกแล้วกัน” จากหูลู่ที่โดนปฏิเสธในคำถามแรก ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับผสานมุมปากยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อืม”
“อยากกินชานมไข่มุก” ปารย์เปรยขึ้นมาเบาๆ จนฟงแทบจะไม่ได้ยิน
“หือ”
“......”
“เดี๋ยวทำภาพเสร็จ จะรีบขี่รถไปซื้อให้เลยครับผม”
-----
ฟงเป็นเด็กใต้ เขาโตมากับทะเลสาบขนาบข้างหนึ่งของเมือง อีกฝั่งคือหาดสมิหลา ที่ๆ นางเงือกสาวนั่งผ่านคืน ผ่านวัน ผ่านแดดและฝนมาชั่วนาน ขณะเดียวกันเขาก็เป็นเลือดคนจีน แต่ทว่ามันอาจจะไม่ใช่เลือดที่เข้มข้นนัก เพราะหากหลายครั้งเขาบอกว่าตัวเองคือคนสงขลาเชื้อสายจีน หลายคนก็จะมีหัวเราะ หรือบางครั้งเพื่อนร่วมวิทยาลัยนี่แหละจะทำให้ไม่เชื่อ แล้วฟาดฟันกันด้วยคำว่าเจ๊กปลอมเสมอๆ
บ้านของเขาเป็นตึกแถวอยู่ในตัวเมืองเก่า อยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ที่ยังเป็นเมืองเงียบๆ และเป็นท่าเรือที่เขาว่ากันว่ามีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดกันเป็นล่ำเป็นสัน กระทั่งปัจจุบันทางการสงขลาตัดสินใจยกเมืองเก่าสงขลาให้เป็นมรดกโลก จึงรีโนเวตเมืองเก่าให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้อนรับผู้คนทุกสารทิศ ผ่านคาเฟ่ทันสมัย จุดถ่ายภาพสวยงาม และสตรีตอาร์ตตามกำแพง
แม้ว่าสำหรับร้านกาแฟเก่าแก่ที่ขายข้าวต้ม ปาท่องโก๋ในตอนเช้า จะไม่ค่อยได้อานิสงส์อะไรมาก แต่ม๊าก็บอกว่า พอนักท่องเที่ยวมาเพิ่ม ก็ขายได้มากกว่าสิบปีก่อนพอตัว แต่สำหรับฟง บ้านเกิดก็ยังเป็นบ้านเกิดที่เขาวิ่งเล่นไปตามตรอกซอกซอยแต่เล็ก แต่น้อย เมืองเก่าสงขลาร้อนระอุเสมอในช่วงหน้าร้อน ช่วงหน้าฝน หน้าหนาว ก็เหมือนเมืองใต้ทั่วไป ที่ฝนสามารถกระหน่ำลงมาให้เราชื่นใจพลางเหนื่อยใจได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ถึงกระนั้น ทุกเย็นหากเดินทะลุตรอกซอยเล็กๆ เข้าไปได้ถึงริมทะเลสาบสงขลา พระอาทิตย์ตกตรงนั้นสวยงามที่สุด ภาพชินตาสำหรับทุกเย็นของเขา ทุกครั้งที่กลับบ้าน
และวันนี้เขาก็รู้แล้วว่าอยากให้ใครได้ไปยืนดูด้วยกัน
“พี่เขม ภาพแต่งเสร็จแล้ว มาลองดูไหม” ฟงยกมือนวดกระบอกตาเล็กน้อย ระหว่างเอนตัวลงกับเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์แมคอินทอชตัวใหญ่
“ไหน” เจ้านายกลายๆ ของเขาเดินมาพร้อมกับแก้วโค้กในมือ ช่างภาพหนุ่มวัยสามสิบ หน้าตาดูดุด้วยหนวดเครา แต่จริงๆ แล้วใจดีที่สุดในกองแล้วก็ว่าได้ กวาดตามองภาพของฟงเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “พี่ว่าโอเคแล้ว แต่ปรับสีให้มันสว่าง นวลโทนเหลืองขึ้นนิดหนึ่ง มันจะต้องมีความละมุนแบบผู้หญิงๆ อะ”
ฟงพยักหน้ารับ เขาไม่ถนัดถ่ายอาหารเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ไม่ถนัดสุดก็คงจะขนม เขาไม่เก็ตความหวานของมันเท่าไหร่
พี่เขมเงียบไปพักหนึ่ง มองดูเขาลากเมาส์ไปมาในโปรแกรมไลท์รูม
“มึงอยากลองไปรับถ่ายงานเบื้องหลังกองถ่ายไหม” พี่เขมเปรยขึ้น “มึงอยากถ่ายสายสตรีตนี่ กูว่า น่าจะพัฒนาฝีมือได้เยอะเลย เพื่อนกูเป็นตากล้องเบื้องหลัง เขาหาคนช่วยอยู่ คนนี้เก่งจริง เปิดสตูดิโอด้วย”
“ครับ?” ฟงเลิกคิ้ว
“มึงมีฝีมือ มาอยู่ที่นี่มันก็พัฒนาแหละ แต่ไปอย่างช้าๆ ชื่อเสียงผลงานในส่วนที่มึงอยากสร้างก็ไม่ได้ ได้แต่ถ่ายงานสายคอมเมอเชียลไปวันๆ”
“อ่า…” พี่เขมเป็นเพื่อนอาจารย์ของเขาที่เพาะช่าง ฟงที่จำเป็นต้องฝึกงานเพื่อมีสิทธิ์ไปทำตัวจบ จึงได้รับคำแนะนำให้เข้าทำงานกับพี่เขม
จะว่าก็ว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากลองทำงานกับโปรดักชั่นหนัง หรืองานนิตยสารที่เน้นถ่ายภาพพอร์ตเทรด หรือภาพแนวอื่นๆ ที่มากกว่าการมานั่งถ่ายอาหารที่ไม่มีชีวิตชีวา แต่การฝึกงานกับสตาร์ตอัพแห่งนี้ ทำให้เขามีเวลาไปรับจ๊อบอื่นๆ งานไม่หนักมาก พอจะแบ่งไปหาเงินได้ แถมที่นี่ก็มีเงินเดือนสำหรับเด็กฝึกงานให้เดือนละถึงเก้าพันบาท แม้มันจะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไปทำงานหนักๆ แล้วไม่ได้อะไร สำหรับเขาในตอนนี้
ความฝันก็คือความฝัน อยากวิ่งไล่ตาม แต่ก็ไม่ง่าย
ตั้งแต่เขาตัดสินใจมาเรียนเพาะช่างในกรุงเทพฯ ฟงไม่เคยขอให้แม่ที่เลี้ยงเขาและพี่มาตัวคนเดียว ช่วยเขาสักบาท อาจจะมีเรื่องค่าเทอมนิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าเขาพยายามรบกวนที่บ้านให้น้อยที่สุด บ้านเขาไม่ได้พอมีพอกินขนาดนั้น มันมีทั้งช่วงลำบากและช่วงที่พอไปไหวสลับๆ กันไป ซึ่งสาเหตุนั้นทำให้เขาที่อายุอ่อนเดือนกว่าปารย์ไม่กี่เดือน ยังเรียนไม่จบเสียที แม่มีค่าบ้านที่ยังต้องส่งธนาคารเพราะเอาเข้าธนาคารเอาไว้ ช่วงที่หาทุนมาเปิดมินิมาร์ทแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด พี่สาวของเขาที่อายุห่างกันสิบปี แต่งงานกับคนเยอรมนีไปก็ส่งเงินมาช่วยค่าบ้านทุกเดือนตามแต่จะหาได้ ส่วนฟงที่ทำอะไรไม่ได้ การหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ ยืนด้วยตัวเองให้ได้ น่าจะสำคัญที่สุด
“เออกูรู้ มึงคิดหนัก จริงๆ ถ่ายภาพสายคอมเมอเชียลมันหางานง่ายจริงๆ งานก็สบายกว่า คิวหนึ่งก็ได้เยอะ” พี่เขมว่า พลางเคาะคิ้วกับโต๊ะ “แต่ถ้ามึงยังพอกัดฟันไหว กูว่าลองไล่ตามฝันดูก่อนไหมวะ ถ้ามันไม่ไหวก็ทักมาบอกกูได้ นี่มึงฝึกงานมาจะเดือนแล้วใช่ปะ เดี๋ยวกูฝากกองถ่ายไปอีกสองเดือน ก็ฝึกครบสามเดือนพอดี”
ฟงเงียบไป เขานึกชั่งใจ ไอ้อยากไปก็อยากไป แต่มันหมายถึงเวลางานที่ไม่แน่นอน หามรุ่งหามค่ำ เงินก็น่าจะไม่ได้ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่สำคัญ แล้วก็คงไม่ได้เจอไอ้คนหน้าดุคนนั้นทุกวันแบบนี้…
“ผมขอคิดก่อนได้ไหมพี่”
“เออ ตามใจ รีบหน่อยแล้วกันเวลามันไม่ค่อยท่านะเว้ย”
“ครับ”
“เออ ปลายเดือนนี้ เขาจะมีเอาต์ติ้งบริษัทที่ปราณบุรี เด็กฝึกงานไปด้วยกันนะว้อย ไม่อ้วกไม่นอน”
ฟงหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวให้กับหัวหน้าที่เดินเกาพุงแกรกๆ ไปที่คอมส่วนตัว พูดแบบนี้ คนขับรถกลับกรุงเทพฯ ในวันถัดมาคือเขาแน่ๆ
-----
ฟงเลิกงานไวกว่าที่คิด เขารีบรับลิสต์เมนูอาหารจากประชากรออฟฟิศมาในตอนสี่โมงครึ่ง สะกิดไหล่ปารย์ที่นั่งเคาะคีบอร์ดแล้วขมุบขมิบปากว่า รอแป๊บๆ… จนโดที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันยังต้องเงยหน้า ใช้พลังงานที่เหลือน้อยนิด ขยับดวงตาจ้องมองมาอย่างจับผิด จนปารย์ต้องรีบผลักเอวอีกคนให้เดินไปไวๆ
ฟงกับคิทใช้เวลาแว้นซ์ไปตลาดไม่ถึงสามสิบนาทีก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกเต็มมือ เด็กฝึกงานทั้งสองคนเดินหน้าแช่มกลับมาที่โต๊ะกลางของออฟฟิศชั้นสอง ก่อนที่ชาวมนุษย์เงินเดือนจะปรี่เข้าไปดูอาหารของใครของมัน แล้วเสียงโหวกเหวกท่ามกลางเวลาของอาหารเย็นก็เริ่มต้นขึ้น
เด็กฝึกงานตัวสูงฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย ดึงถุงพลาสติกบรรจุแก้วน้ำสีสวย แล้วเดินยิ้มเผล่ไปหาคนที่นั่งหน้าเครียดหน้าคอม ปารย์สีหน้าดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไอ้ที่ตอนกลางวันปากบ่นว่าไม่อยากทำอยู่เงียบๆ ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของคนอื่น
“ปารย์” เขาสะกิดไหล่คนตัวเล็ก แล้วยื่นแก้วน้ำในมือไปให้
“อะไรเนี่ย”
“ชานมไข่มุกไง”
“แล้วทำไมเป็นนมเย็น” ปารย์ขมวดคิ้วฉับ แต่ถึงอย่างงั้นก็รับมาดูด “หวาน” ปากบอกงั้นแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูด
“ไม่รู้อะ สลับๆ กันไปบ้างไม่ได้เหรอ”
“อืม ก็กินได้” ปารย์ว่า หมุนเก้าอี้กลับไปนั่งจ้องตากับคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม
ฟงไม่พูดอะไรต่อ เขาเลื่อนเก้าอี้ว่างข้างๆ ปารย์ แล้วทรุดตัวนั่งลง
“ผัวมารับกลับบ้านแล้ว เมียรีบๆ ปิดคอมได้แล้ว” เสียงยานคางลอยมาจากโดเพื่อนรักเพื่อนแค้นของครีเอทีฟหนุ่มที่ปากยังจุ่มหลอดชานมไข่มุกอยู่ ได้ยินอย่างนั้น ปารย์ก็ตาโตแล้วขึงตาใส่ทันที
“ค*ยเถอะครับ” พูดอย่างเดียวไม่ได้ ชูนิ้วกลางไปให้ด้วยอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้น พอเขาหันหน้ามาทางซ้าย เห็นแววตาระยิบระยับของไอ้เด็กฝึกงานที่นั่งรอคอยอย่างใจจดจ่อ เพราะดันไปพลั้งปากบอกมันว่าจะกลับไว เลยจำเป็นจะต้องยอมปิดคอม
“เออๆ รู้แล้ว”
“กลับบ้านไวๆ สักวันก็ดีนะปารย์ หิวข้าวแล้วเนี่ย”
tbc.
เค้ามารับกันกลับบ้าน
แง ขอโทษนะคะหายไปนานมากเลย ช่วงนี้ลี่ออกกองรัวๆ
แต่เดี๋ยวจะมาลงให้ยาวๆ จนจบ พร้อมต่อคู่ที่ 4 ให้นะคะ
สำหรับคู่น้องฟงกับน้องปารย์ เค้าก็จะไม่ค่อยดราม่าเท่าไหร่นัก ไม่เท่าเมธัสกับอชิแน่นอน 555
เรื่อยๆ น่ารักๆ มากกว่าค่ะ
แต่มันก็อาจจะมีนิดหนึ่งอะนะ
เจอกันเร็ววันนี้ค่า