[เรื่องสั้น] Best Part | ฟง x ปารย์ | ตอนที่ 4| 130619
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Best Part | ฟง x ปารย์ | ตอนที่ 4| 130619  (อ่าน 4196 ครั้ง)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2019 00:04:30 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
'YOU คุณของผม' SERIE

ซีรีย์เรื่องสั้นของ 4 คู่รักวัยทำงาน ทั้งขมและหวาน ทั้งเรียนรู้และจดจำ

มาถึงคู่ที่ 3 ของรวมเรื่องสั้น You คุณของผม นะคะ เป็นคู่ของเด็กฝึกงาน ริจะปีนเกลียวรุ่นพี่คนกวนค่ะ
กวนกันไปกวนกันมา เดี๋ยวก็รู้ อิอิ


อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly I
อ่านเรื่องของ กวิน X พระพาย : Simply Butterfly II

อ่านเรื่องของ เมธัส X อชิร :
You've got the love I Need (จบ)

Best Part | ฟง X ปารย์
-1-



ในหนึ่งชีวิตเคยคิดไหมว่าจะตกหลุมรักคนที่ต่างจากเราสุดขั้ว แต่ถึงไม่คิด เรื่องเหล่านั้นก็เป็นไปเสมอ เพราะหลายๆ ครั้งเราเลือกรักคนที่มีในสิ่งที่เราไม่มี เราอาจจะสนิทกับคนที่กลัวการไปโรงเรียนวันแรกเหมือนกัน แต่เราหลงเสน่ห์คนที่กล้าหาญในวันเปิดเรียน เราอาจจะชอบจิบไวน์ แต่บางทีได้นั่งมองโต๊ะตรงข้ามชนรีเจนซี่ผสมโซดาด้วยท่าทีกว้างขวางก็ทำเอาใจวาบ เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นคือส่วนประกอบสิ่งละอันพันละน้อยที่น่าสนใจ

ไม่ได้มีแฟนมาสามปีแล้ว นั่นคือนิยามชีวิตในพันกว่าวันที่ผ่านมาของปารย์ ที่ตอนนี้ดูแลคอนเทนต์ให้แอปพลิเคชั่นรีวิวอาหารตัวหนึ่งอยู่ ในวัยยี่สิบห้าปี ขวบวัยที่ว่ากันว่าร่างกายจะแข็งแรงที่สุดในชีวิต (แต่จิตใจอาจจะไม่) มันค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่หวือหวา

การเงินไม่สะดุด ที่บ้านก็ไม่ได้ลำบาก เพื่อนก็เยอะแยะ นัดเจอกันรายอาทิตย์ เพื่อนร่วมงานก็ไม่แย่ เข้าขั้นดีด้วยซ้ำ ส่วนตัวแล้วปารย์เป็นคนกลางๆ หน้าตากลางๆ ดาษดื่น ไทยผสมจีน ผิวขาวกลางๆ ไม่ได้พูดมาก หรือน้อยจนเกินไป ร่วมวงกับชาวบ้านได้เนียนๆ ในที่ทำงาน แต่ก็มีมุมจับจดของตัวเองอยู่บ้าง มุกกี้ เพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างๆ กันบอกว่า ปารย์เป็นคนเหมือนจะเปิด แต่ก็ปิด บางครั้งก็ปากร้าย บางครั้งก็ใจดี

แต่ชีวิตเริ่มมีโจทย์ไม่กลางมาให้คำนวณ เมื่อออฟฟิศขยับขยายรับเด็กฝึกงานเข้ามาช่วยในฝ่ายโปรดักชั่นผลิตงาน ลืมบอกไปว่างานของปารย์ นอกจากดูแลคอนเทนต์ให้เรียบร้อย ยังต้องทำงานลูกค้าที่จ้างทำคอนเทนต์อีกด้วย ฝ่ายผลิตงานจึงมีตำแหน่งแห่งหนของตัวเองในบริษัท และการทำงานคือการร่วมงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ของหัวข้อนั้นๆ

ฟง คือเด็กฝึกงานฝ่ายช่างภาพ แม้จะวัยไล่เลี่ยกับเขา แต่ก็ยังเรียนไม่จบดี เหลือฝึกงานเทอมสุดท้ายนี่แหละ ปารย์ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรยังไง ตอนแรกก็ไม่ได้จะสนใจด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็มักจะขลุกตัวอยู่แต่ในห้องฝ่ายผลิต ที่รวมทั้งช่างภาพ ทีมกราฟฟิก และทีมตัดต่อไว้ด้วยกัน ก็คือห้องชายฉกรรจ์ล้วนนั่นแหละ แต่การต้องทำงานร่วมกัน ก็ทำให้วงโคจรมันหมุนมาเจอกันจนได้

ผู้ชายตัวสูงร้อยแปดสิบสอง ตัวสมส่วน มีกล้ามให้ได้มองบ้างเล็กน้อย หน้าตี๋ ผิวแทน ตัดผมรองทรงพร้อมกับรอยแผลเป็นบากตรงคิ้วด้านซ้าย เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ และแม่ๆ ฝ่ายขายในบริษัทจำนวนมาก ตั้งแต่วันที่สวมชุดนักศึกษาเข้ามากรอกใบสมัคร ถึงขั้นมีการล็อบบี้ให้ฝ่ายบุคคลรับทำงานตั้งแต่ยังไม่สัมภาษณ์

มันคงจะไม่มีปัญหาหรอก ถ้าปารย์ไม่รู้สึกว่าบางทีโดนสายตาของฟงคุกคาม เวลาอีกฝ่ายเดินผ่านเอาไฟล์ภาพมาให้พี่ๆ แผนกคอนเทนต์ หรือบางครั้งที่เข้าสตูดิโอไปถ่ายงาน ทั้งที่เคยคุยกันไม่กี่คำเท่านั้นระหว่างที่ทำงานกัน หรือเพราะว่าอาทิตย์แรกที่ฟงเข้ามาแล้วได้ร่วมงานถ่ายภาพนิ่งกัน ปารย์ไปดุเรื่องการแต่งตัวหรือเปล่า ถึงได้แสดงอาการแปลกๆ แบบนั้น

อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีกฎของเด็กฝึกงานหรอกว่าจะใส่อะไร แต่การที่วันนั้นลูกค้าเข้ามาดูการถ่ายทำด้วย แล้วใส่กางเกงยีนขาดรุ่ยมา มันก็คือเรื่องของกาลเทศะไหมละ จะว่าไป ถ้าเป็นวันอื่นคงไม่เอ่ยปากด้วยซ้ำ

“ปารย์ๆ วันนี้พี่จะส่งบีมมันไปฟังบรีฟงานลูกค้ากับพี่อุ๋มแล้วก็นัตตี้ พี่ให้ฟงถ่ายดราฟให้ลูกค้าดูแทนละกันนะ เจ้านี้ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ น้องมันถ่ายได้” เสียงพี่โจ๋ อดีตบรรณาธิการบริหารของหัวนิตยสารดัง ที่ผันตัวมาจับคอนเทนต์วงการสตาร์ตอัพ ดังมาก่อนที่ตัวจะเดินก้าวออกมาจากห้อง หนุ่มโสดวัยเฉียดๆ สี่สิบหน้าจืดที่ชอบโดนลูกน้องแกล้งตลอดสวมเสื้อยืดตัวย้วยกับกางเกงยีน และลากแตะมาทำงานวันนี้

“ไม่มีช่างภาพหลักเหรอพี่” ปารย์ถอยเก้าอี้ออกจากโต๊ะเล็กน้อยพร้อมยืดเหยียดแขนขา

“ออกไปถ่ายวิดีโอรีวิวหมดวันนี้ นี่พี่ดึงตัวฟงมันไว้นะว้อย ไม่งั้นไอ้เขมลากน้องไปช่วยถ่ายไลฟ์แล้ว” มีการโยนถึงหัวหน้าช่างภาพที่วันนี้ออกไปถ่ายไลฟ์งานลูกค้าของลูกค้าอีกเจ้า

“เคพี่ เวลาเดิมนะ”

“จ้า” ว่าแล้วพี่โจ๋ก็เดินตัวลอยออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงของออฟฟิศ
 
ห้าโมงเย็น ปารย์ปิดจอคอมพิวเตอร์แล้วเดินลงไปยังชั้นล่างของออฟฟิศซึ่งเป็นตึกขนาดกลางๆ สามชั้น สไตล์โมเดิร์นสีขาวผสมบานกระจก ชั้นล่างสุดเป็นห้องสตูดิโอไม่ใหญ่มาก แต่สามารถถ่ายงานได้ครบครัน ห้องฝ่ายผลิตอยู่ถัดออกไปจากสตูดิโอ ทั้งสองห้องกั้นเป็นสัดส่วนด้วยประตูกระจกใสบานใหญ่ที่ต้องแสกนนิ้วเพื่อเข้าไป เพราะพื้นที่ส่วนอื่นของอาคารคือโซนรับแขกทั้งหมด

ออฟฟิศนี้ตั้งขึ้นมาได้ประมาณสิบปียังไม่เต็มดีนัก ก่อนหน้านี้เป็นแค่เว็บรีวิวอาหารธรรมดา ก่อนที่จะถูกนายทุนรวมเข้ากับสตาร์ตอัพเจ้าหนึ่งที่เข้ามาดูแลระบบให้ ตอนนี้ในออฟฟิศจึงมีทั้งฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ ฝ่ายผลิตคอนเทนต์ ฝ่ายโปรดักชัน ฝ่ายขาย เรียกได้ว่าทีมสามสิบชีวิตก็ใหญ่พอตัวอยู่ แล้วก็ไม่ได้ทำแค่แอปฯ รีวิวอาหารเท่านั้น แต่ขยายไปทำเซอร์วิสตัวอื่นๆ ด้วยเช่นกันเพื่อหาเงินหลายทาง

ห้องสตูดิโอเย็นเฉียบเหมือนทุกวัน รู้สึกได้ทั้งๆ ที่แค่จับลูกบิดเปิดประตูเท่านั้น เสียงแอร์ที่เพิ่งเปิดดังหึ่งๆ  พอผลักบานประตูหนาหนักเข้าไป ก็เจอเด็กฝึกงานยืนหามโครงฉากถ่ายภาพ เพื่อเปลี่ยนกระดาษรองฉากเป็นสีไข่ไก่ตามที่ได้รับบรีฟมา

“หวัดดีพี่” ฟงปรายตาขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือหมุนน็อตให้แน่น วันนี้เขาใส่เสื้อยืดสีเทาเข้มกับยีนผ้าดิบพับข้อเท้าหลวมๆ
“อืม” ปารย์พยักหน้า “ลูกค้ายังไม่ส่งสินค้ามาให้ถ่าย เดี๋ยวใช้ขวดเปล่าที่มีไปก่อนนะ” ปารย์ชูขวดพลาสติกที่เขาเอากระดาษขาวมาห่อขึ้นมา เมื่อตะกี้เขาเอามาจากห้องครัว แล้วก็โมดิฟายอยู่พักหนึ่ง

มือหนากร้านดึงไปจากมือคนถือ ก่อนยกขึ้นหมุนดู “พี่ทำเหรอ”

ปารย์ชะงัก “อืม ทำไมเหรอ”

“เปล่า ไอเดียดี” เด็กฝึกงานยักคิ้วข้างที่เป็นรอยแผลเป็น ไม่รู้ว่ายียวนหรือกวนแต่ปารย์ก็อึ้งไปพักใหญ่ ฟงส่งขวดคืน ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มตัวพร้อมกับเดินไปที่แผงควบคุมไฟ “พี่อยากได้ไฟแบบไหน”

“เอาแบบไม่ต้องถึงกับอบอุ่น แต่ก็ไม่ต้องสว่างจ้ามาก”

“บรีฟยากจัง” ชายหนุ่มบ่นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ลงมือทำให้แบบไม่อิดออด เขาค่อยๆ ปรับดวงไฟแต่ละดวงที่ติดอยู่บนบาร์ไฟเหนือหัวอย่างละเมียดละไม ปารย์จ้องมองการกระทำนั้นอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงเรียก “พอได้ไหมพี่”

“อืม ลองประมาณนี้ก่อนแหละ”

“พี่ลองเซ็ตพร็อพเลย เดี๋ยวผมดูจอให้ว่ามันแบนไปไหม” ปารย์พยักหน้ารับ ก่อนเดินไปจะยกโต๊ะญี่ปุ่นสีขาวของอิเกียจากมุมห้องมา ยังไม่ทันจะคว้า ท่อนแขนหนาของเด็กฝึกงานก็สอดรับใต้ท้องโต๊ะไปเสียก่อน “ผมยกให้”

“มันไม่หนัก”

ฟงเหลือบตามองคนขี้เถียง ก่อนส่ายหัว “ไปยกพร็อพมาครับ” มีสั่งด้วย ปารย์ยืนอึ้งไปสามวิก่อนเดินเร็วๆ ไปเอาตะกร้าพร็อพที่ฝ่ายอาร์ตเตรียมไว้ให้ตั้งแต่วันก่อน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นการถ่ายแค่ม็อกอัพคร่าวๆ ให้ลูกค้าเท่านั้น ดังนั้นพี่ฝ่ายอาร์ตเลยบอกให้ปารย์จัดไปเลย

นักเขียนหนุ่มยืนก้มๆ เงยๆ จัดพร็อพอย่างเก้ๆ กังๆ ดูเหมือนว่าช่างภาพฝึกหัดที่แอบมองมาตลอดจะอดรนทนไม่ไหว เลยต้องเดินเขามายุ่งด้วย

“มานี่ครับ ผมทำให้ มีเรฟไหม”

“อ...อืม” ปารย์เปิดหน้าจอมือถือ แล้วส่งให้คนตัวโตกว่า

ช่างภาพหนุ่มก้มตัวลงนั่งยองๆ ข้างโต๊ะไม่สีขาว ก่อนขยับข้าวของนิดหน่อย แล้วหยิบผ้าปูโตขึ้นมาสะบัด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบรอยยับแรงๆ ก่อนพับทบเป็นทรงอย่างปราณีตและบรรจง “อย่าเพิ่งจับนะเดี๋ยวผมขอดูไฟก่อน”

ปารย์ยืนนิ่ง จากที่ตอนแรกอึ้งๆ ตอนนี้เริ่มจับสังเกตฟงกับการเคลื่อนไหวของเขาไปอย่างละสายตาไม่ได้เสียแล้ว ช่างภาพฝึกหัดดูคล่องแคล่ว เขาเดินไปปรับบาร์ไฟ ขยับกล้องเซ็ตติ้งนิดหน่อย ก่อนที่จะพยักเพยิดเรียกปารย์

“มาดูว่าโอเคไหม” ปารย์สาวเท้าไปยืนหลังขาตั้งกับกล้องโปรตัวใหญ่ ฟงยืนซ้อนไว้ด้านหลัง ก่อนที่ท่อนแขนหนาจะเอื้อมข้ามไหล่มากดชัตเตอร์ “มันจะประมาณนี้อะพี่”

“อืม โอเคนะ” ปารย์พยักหน้า ไม่มีอะไรจะติจริงๆ มันก็แค่การถ่ายดราฟคร่าวๆ ไปนำเสนอลูกค้า งานจริงก็คงต้องเซ็ตกันมากกว่านี้ ยังไม่รวมรีทัชอีกเพื่อลงโฆษณา

“ลองกับผ้าอีกสีไหม มีอยู่ในห้องฝ่ายผลิต”

“จะถ่ายเพิ่มเหรอ”

“ให้เขาลองเลือก เผื่อเขาจะซื้อแอดเพิ่มไง เขามีโปรดักส์นี่” ปารย์ทำหน้าประหลาดใจ “ผมคิดขำๆ เฉยๆ”

“ลองดูก็ได้นะ”

“งั้นพี่รอแป๊บ”

ไม่นานฟงก็กลับมาพร้อมกับผ้าปูโต๊ะซึ่งเป็นผ้าดิบสีกาแฟนม เด็กหนุ่มดึงผ้าอันเก่าออก ขยับของ แล้วลงมือจัดพร็อพใหม่อย่างคล่องแคล่ว

“ทำไมทำได้อะ” ปารย์ถามขึ้นหลังจากกอดอกยืนดูอยู่นาน ความน่าสนใจของงานในวันนี้คือ โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยเห็นช่างภาพที่จะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างนักนอกจากกดชัตเตอร์กับขยับพร็อพให้เป็นไปตามมุมมองที่ตนเองเห็นว่าดี แต่ฟงเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ พร้อมนำเสนอความแปลกใหม่ ขณะเดียวกันให้จัดวางอาร์ต ก็ทำได้แม้ไม่เซียนแต่ก็ไม่มีคำว่าขี้เหร่

“พี่ถามผมเหรอ”

“แล้วจะให้ถามใคร” คำสวนทำเอาฟงหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“เรื่องอะไรละพี่ ถ้าเรื่องถ่ายมันก็ต้องได้อยู่แล้ว ถึงผมจะเรียนแค่วิทยาลัยไม่ได้เด่นดังอะไรก็ตาม” ดวงตาคมกริบเลื่อนสบตาปารย์จังๆ “ถ้าเรื่องอาร์ต ผมก็ไปรับจ้างออกกองบ่อยๆ ก็ได้เงินได้ประสบการณ์ ไปช่วยเขาหยิบจับแบกหามน่ะพี่”

“...”

“ผมเคยทำงานร้านขายเสื้อผ้าด้วยเป็นพาร์ทไทมส์  เลยรู้เรื่องชนิดผ้านิดๆ หน่อยๆ ครูพักลักจำอะพี่ เซนส์ด้วย ชีวิตมันก็แบบนี้แหละพี่”

“อื้อ” ปารย์ไม่รู้จะต้องตอบยังไงไป อาจจะเพราะเขาไม่เคยก้าวล่วงเข้าไปในโลกอีกใบของฟงละมั้ง โลกที่เขาไม่รู้จัก โลกของคนเถรตรง รักพวกพ้องเป็นที่หนึ่ง โลกของเด็กเพาะช่างสไตล์จัดจ้าน โลกของคนที่ไม่สนค่านิยมกฎเกณฑ์อะไรเท่าไรนัก

“พี่ไปดูที่มอนิเตอร์เล็กก็ได้ ผมต่อไว้ให้แล้ว” ฟงว่า เขายืนมือซ้ายล้วงกระเป๋าอยู่หลังขาตั้ง ขณะที่มือขวาแตะชัตเตอร์ไว้เบามือ ปารย์เดินไปตามที่รุ่นน้องบอกอย่างว่าง่าย เอาจริงๆ ถึงจะบอกให้เขามองมอนิเตอร์ไว้ แต่ปารย์ก็เผลอเอาแต่มองท่าทีจริงจังของคนตรงหน้าไปเสียฉิบ กระทั่งลั่นกล้องครั้งสุดท้าย แล้วฟงหันกลับมามองแอบมองจนถึงกับสะดุ้ง

“เสร็จแล้ว ลองดูว่าได้ไหม?”

“โอเคแล้วแหละ”

“ไหนผมขอดูบ้าง” ช่างภาพหนุ่มทิ้งกล้องเดินกลับมาหาปารย์ เขาเอาแขนขวาค้ำยันโต๊ะเอาไว้ นั่นหมายความว่าปารย์ที่ยืนอยู่ใกล้กันคล้ายจะโดนโอบกลายๆ จนต้องเขยิบตัวออกมานิดหน่อย กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาปรับผ้านุ่มติดที่ปลายจมูก
ช่างภาพหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ขอให้ขายงานผ่านนะพี่”

-----
 
 
 
ช่วงปลายไตรมาสแรกเป็นอีกหนึ่งจังหวะของปีที่ค่อนข้างยุ่ง โดยเฉพาะงานของลูกค้าที่ต้องการใช้งบในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ตนเองอย่างสร้างสรรค์ หลายครั้งหลายหนที่บรรดาคนทำงานต้องอยู่กันจนดึกดื่นเพื่อแก้งานลูกค้า ตัวปารย์เองก็เหมือนกัน การทำตำแหน่งคนคิดคอนเทนต์ คิดว่าจะขายยังไงให้ลูกค้า ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกำลังหลัก ในการหาค่าโฆษณาสินค้านั่นแหละ บางทีพองานเสร็จดึกมากๆ เขาก็ต้องยอมรับที่จะเลือกนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทนที่จะเป็นรถเมล์อย่างที่ทำเป็นประจำ

“มีใครกินไรบ้าง จะไปตลาด” พี่เขม หัวหน้าฝ่ายผลิตที่เดินขึ้นมาจากชั้นล่างเอ่ยปากถาม บรรดาฝ่ายขาย ฝ่ายคอนเทนต์ที่นั่งเคาะแป้นพิมพ์วุ่นวายถึงกับตาลุกวาว ปารย์ก็เช่นกัน เขาถอดหูฟัง เลิกถอดเทป ก่อนจะตะโกนสั่งข้าวบ้าง

“พี่เขม ผมฝากซื้อข้าวไข่เจียวหมูสับใส่หัวหอม แครอท ข้าวโพดอ่อน”

“สั่งยาก มึงจดมาเลยปารย์”

“เคครับ” ปารย์หัวเราะกับท่าทางแสร้งดุของหัวหน้าช่างภาพคนเก่ง ก่อนหยิบโพสต์อิทมาจดยิกๆ แต่ไม่ทันพี่เขมที่เดินลงไปซะแล้ว

“เฮ้ย ใครเอาไรเพิ่มเดินตามมาส่งใบนะ เข้าห้องน้ำก่อนปวดเยี่ยว”

บรรดาคนทำงานร้องอุบ ขี้เกียจเดินลงตามไปข้างล่าง ทั้งๆ ที่มันก็แค่บันไดไม่กี่ขั้น ทำให้ปารย์ซึ่งกำลังจะเดินลงไป ถูกบังคับจากพี่ๆ ให้เป็นตัวแทนลงไปส่งเมนูอาหารแทน

นักเขียนหนุ่มไม่ปฏิเสธ เอากลายๆ ก็คือปฏิเสธไม่ได้ เขาเลยต้องเดินลงไปเอง

-----


ปารย์ลุกบิดขี้เกียจระหว่างรออาหารมื้อเย็นมาถึง จู่ๆ ฝนก็ตกโครมทำเอาคนในออฟฟิศรู้ชะตากรรมดีว่าน่าจะไม่ได้กินข้าวภายในสิบนาทีนี้แน่นอน และสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือนั่งรอ เพราะข้าวก็สั่งไปแล้ว บ้านก็กลับไม่ได้เพราะกลับรถเมล์เป็นปกติ

แต่ก็เหมือนจะเกินคาดเพราะอีกราวสิบห้านาทีถัดมา ปารย์ที่กำลังโยนขาไก่เข้าปากอยู่เนืองๆ ที่โต๊ะอาหารของออฟฟิศ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเด็กฝึกงานสองคนเดินตัวเกือบโชกเข้ามาในออฟฟิศชั้นสอง ทีปลายโต๊ะอีกฝั่งที่ปารย์นั่งๆ ยืนๆอยู่ วุ่นถึงบรรดาพี่ๆ เจ๊ๆ ต้องหาผ้าขนหนูให้อุตลุต

“ว้าย น้องคิททำไมพาน้องฟงของเจ๊เปียกมาแบบนี้ละค้า” พี่สาวฝ่ายขายร้องอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่

คิทที่เป็นเด็กฝึกงานหน้าตี๋ ที่พี่ๆ เรียกว่าเต้าหู้น้อย หัวเราะแหะๆ ตามสไตล์

“ผมบอกฟงแล้วเจ๊ว่าให้รอฝนหยุด แต่มันบอกว่าไม่น่าหยุดเร็วๆ นี้เลยใส่เสื้อคลุมฝนกลับมาเนี่ย”

“ตายแล้ว รอฝนหยุดก่อนก็ได้เด้อรอบหน้า”

“ไม่เป็นไรพี่ ฝนตกทีไรมันชื้น หายใจไม่ออกทุกทีเวลาอยู่ข้างนอก”

“เอายาไหมน้องฟง”

“ไม่เป็นไรครับหายแล้ว”

ฟงเปรยตามองปารย์ที่นั่งหมิ่นขอบโต๊ะ ท่ามกลางคนอื่นที่กำลังเดินมาเปิดถุงข้าวของตัวเอง ก่อนที่เขาจะดึงถุงข้าวกล่องแล้วเดินมายื่นให้ปารย์ถึงที่ พร้อมกับชานมไข่มุกแก้วโตที่มืออีกข้าง

“ข้าวพี่” ปารย์รับกล่องข้าวมาถืออย่างไม่รู้จะตอบอะไร “แล้วนี่ เห็นอยากกิน ไม่ใช่ร้านประจำพี่มั้ง แต่คิทบอกว่าอร่อย”

“ไม่ต้องก็แล้ว”

“ผมเลี้ยง เอาไปเถอะ”

“...”

“กินข้าวได้แล้ว ผอมไปแล้วพี่” ฟงยักคิ้วข้างที่เป็นแผลเป็นให้คนที่ยืนถืออาหารสองมือพร้อมอึ้งไปด้วย ก่อนเดินไปหยิบถุงหมูปิ้งของตัวเองแล้วสะกิดคิทให้เดินลงไปข้างล่าง

“ปารย์! ทำไมมีชานมไข่มุกอะ!!! ไม่เห็นบอกเลยว่าสั่ง” เสียงเจ๊ฝ่ายขายร้องถามดังลั่น พร้อมกับหลิ่วตาแซว ทำเอาปารย์ต้องจุ๊ปาก ร้องชู่ว์ให้เงียบเสียง ก่อนที่คนอื่นจะสนใจแก้วน้ำหวานสุดฮิตในมือเขามากไปกว่านี้



tbc.


ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอ๊ะ!!! ยังไง  :mew1:

ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ยังไงหรือจ้ะพ่อ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ปารย์โดนเด็กจีบซึ่งๆ หน้าเลยนะ

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบตอนเกริ่นนำจังเลยค่ะ ‪“หลายๆครั้งเราเลือกรักคนที่มีในสิ่งที่เราไม่มี เราอาจจะสนิทกับคนที่กลัวการไปโรงเรียนวันแรกเหมือนกัน แต่เราหลงเสน่ห์คนที่กล้าหาญในวันเปิดเรียน เราอาจจะชอบจิบไวน์ แต่บางทีได้นั่งมองโต๊ะตรงข้ามชนรีเจนซี่ผสมโซดาด้วยท่าทีกว้างขวางก็ทำเอาใจวาบเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นคือส่วนประกอบสิ่งละอันพันละน้อยที่น่าสนใจ‬” เป็นอะไรที่ได้อ่านแล้วเราtouchedมากๆเลยค่ะ เปิดตอนแรกมาปารย์ก็หลงใหลในความเป็นฟงซะแล้วมองตามไม่หยุดเลย ส่วนฟงซื้อชานมมาให้ สนใจปารย์ในเรื่องการกินขนาดนี้ก็น่าจะคิดอะไรอยู่บ้างนะคะ ว่าแต่ว่าฟงดูเป็นผู้ชายสู้ชีวิตจังเลย รอติดตามตอนต่อไปนะคะว่าปราณจะหลงใหลอะไรในตัวฟงอีก

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ตอนที่ 2



ยืนรอรถเมล์อยู่ด้านหน้าป้ายรถเมล์ ฝนหยุดตกไปแล้วแต่การจราจรยามสองทุ่มของถนนเส้นพระรามเก้าแสนติดขัด บ้านปารย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ป้ายรถเมล์หรอก แต่ว่าดูทรงวันนี้แล้วน่าจะยาวนาน

หยิบมือถือกดดูโปรแอปพลิเคชั่นแกร็บ แม้ว่าจะรู้ดีว่าช่วงเวลาแบบนี้คงโดนขูดรีดเนื้อมากพอสมควร แต่ว่าทำไงได้ ไม่อยากยืนรอรถเมล์ต่ออีกครึ่งชั่วโมงนี่น่า ยังไม่ทันได้กดปลายทาง เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นข้างหน้าเขา พร้อมกับรถเวสป้าสีมินต์รุ่นเก่าที่หยุดลง

คนขับถอดหมวกกันน็อกสีดำด้านออก เด็กฝึกงานหนุ่มที่ทำเอาเขาเอ๋อเมื่อเย็นพยักหน้าให้เขา ก่อนส่งเสียงถาม

“กลับบ้านเหรอ”
“อะ อืม”
“ไปส่งไหมพี่” แขนล่ำสันยื่นหมวกกันน็อกมาให้เขา
“ม...ไม่เป็นไร”
“มาเหอะ จะถึงบ้านกี่โมง พี่อยู่แถวนี้นี่”
“รู้ได้ไง”
“เถอะน่ะ รู้แล้วกัน ผมอยู่ห้วยขวาง เดี๋ยววนไปส่งแป๊บเดียวเอง แถวๆ กัน”
“...”
“ลังเลอีก อยากรอรถเมล์ก็ตามใจ” คนเด็กกว่าทำท่าจะสวมหมวกกันน็อกคืน เห็นแบบนั้น มือปารย์ก็ไปก่อนใจอีกละ
“เดี๋ยว” ฝ่ามือเรียวคว้าหมับเข้าที่หมวกกันน็อก “มีใบเดียวเหรอ”
“อืม พี่ใส่เถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมซื้อมาให้อีกใบ”
“ซื้อทำไม”
“ก็เอาให้พี่ไง ขึ้นมาเร็ว” เด็กหนุ่มค้ำยันรถมอเตอร์ไซค์ไว้ รอจนคนที่รีรอสวมหมวกแล้วก้าวขึ้นมาซ้อนเรียบร้อย เขาจึงบิดแฮนด์ ตบคลัชและเกียร์เดินหน้า

แต่เพราะนึกอยากแกล้ง จังหวะมันเลยแปลกๆ หน่อย เวสป้าคันเก่าที่ทำใหม่จนดูน่ารักไม่สมกับเจ้าของจึงกะตุก เล่นเอาคนที่ซ้อนอยู่หลับตาปี๋ เอื้อมมือคว้าไหล่คนขับอย่างแรง

“เฮ้ย”
“กลัวเหรอ” คนตัวโตกว่าหัวเราะอย่างเอ็นดู
“เปล่า”
“เกาะดีๆ นะ เดี๋ยวต้องแทรก”
“รู้แล้ว” ปารย์บ่นอุบ มือหนึ่งเอื้อมขวาราวเหล็กท้ายเบาะ ส่วนอีกข้าง นึกอยากจะปล่อยจากคนตรงหน้าเหมือนกัน แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ เขาก็เลยเกาะแน่นอย่างนั้นไปจนตลอดทาง

-----

เสียงฮัมเพลงจากคนขับดังขึ้นเมื่อเลี้ยวเข้าซอยบ้านปารย์ที่ยังพลุ่กพล่าน เสียงจอแจเคล้ากับเสียงไม่ได้ศัพท์ของผู้คนที่เพิ่งเลิกงานและเดินกันตามฟุตปาธ บ้านปารย์เป็นตึกแถวอยู่ในโซนโซนรถใต้ดินสุทธิสาร ต้องเข้าซอยไปนิดหน่อย สามารถมาถึงได้ด้วยรถไฟฟ้าแล้วเดินต่ออีกราวสิบนาที แต่ส่วนใหญ่นักเขียนหนุ่มเลือกนั่งรถเมล์มากกว่าเพราะชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ก็ปักหลักอยู่ไม่ไกลจากโซนนี้

ถนนสุทธิสารสายหลักยังรถแน่นขนัดเพราะเป็นทางตัดออกไปได้หลายโซน ปารย์บอกทางคนมาส่ง บ้านเขาอยู่บนถนนสุทธิสารนั่นแหละ แต่ต้องเลี้ยวเข้าซอยไปเล็กน้อย

มันเป็นร้านข้าวต้มตามสั่งที่มีคนทยอยเข้าร้านหลังเลิกงานมาเรื่อยๆ มากินข้าวเคล้าเบียร์ก่อนกลับห้อง หรือกลับบ้าน ไปนอนพักเพื่อกลับมาสู้กับเช้าวันใหม่ต่อ ปารย์เติบโตมากับบรรยากาศจอแจของชุมชนแถวๆ นี้ ก่อนที่รถใต้ดินจะผุดขึ้นมาให้บริการด้วยซ้ำ บางเย็นกลับไวเขาก็ช่วยพ่อแม่เสิร์ฟข้าวก่อนขึ้นไปทำอะไรบนห้อง เขามีพี่สาวคนหนึ่งแต่ตอนนี้ได้ทุนไปเรียนต่อเกาหลีใต้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่เขากับพ่อแม่เท่านั้นที่ยังอยู่ด้วยกันที่นี่

ฟงจอดมอเตอร์ไซค์ด้านหน้าร้าน เทียบฟุตปาธ ก่อนที่ปารย์จะก้าวลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อกคืน เสียงกะทะเคาะตะหลิวดังช้งเช้งตรงหน้าร้าน ปารย์มองพ่อยืนผัดข้าวอย่างภาพชินตา เขายื่นหมวกคืนเจ้าของ

“ขอบใจที่มาส่ง”
“นี่บ้านพี่เหรอ”
“อืม”
“น่ากิน”
“อะไร” ปารย์เลิกคิ้ว
“เปล่า” คนบนมอเตอร์ไซค์ยิ้มเผล่ ส่ายหัว “ไว้วันหลังมาอุดหนุนดีกว่า”
“กลับได้แล้ว”
“ครับ” ยังไม่ทันที่คนรับปากจะได้ออกรถ เสียงของหญิงวัยกลางคนที่ถือถาดอาหารสแตนเลสก็เดินออกมา เธอสวมหมวกคลุมผมสำหรับใช้ในครัวและผ้ากันเปื้อน ฟงพินิจใบหน้าสักครู่ สลับกับคนที่เขามาส่ง ก็เดาได้เลยว่าเกี่ยวพันกันทางสายเลือดแน่นอน

“ปารย์ เพื่อนมาส่งเหรอลูก” คนที่ฟงบอกได้ว่าน่าจะเป็นแม่ของรุ่นพี่ที่ทำงาน ตะโกนถาม ลูกชายเจ้าของร้านยืนกระชับกระเป๋าเป้แน่น
“รุ่นน้องที่ออฟฟิศน่ะม๊า”
“กินข้าวยังอะเรา มาช่วยม๊าหน่อยมา ชวนน้องเรามากินข้าวด้วยสิเขาอุตส่าห์มาส่ง”

ปารย์หันไปมองคนผิวแทนที่ยิ้มแป้น เขามองฟงสลับกับม๊า

“เร็ว ลูกนี่ เราชื่ออะไรน่ะ” ม๊าหันมาถามฟงตรงปลายประโยคด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าที่ดุลูกตอนแรก
“ฟงครับ”
“ฟงมาๆ เดี๋ยวให้ปารย์เลี้ยงข้าว ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม”
“ครับ” ปารย์หันขวับ โกหก! ตัวเองนั่นแหละขับไปซื้อข้าวที่ตลาดมาเมื่อชั่วโมงก่อน มันจะหิวไรเร็วขนาดนั้น เขานี่ไข่มุกยังอืดเต็มท้อง
“ปารย์ เลื่อนจักรยานป๊าไปจอดแอบๆ บ้านโกวเขาซิ ฟงลูกเอารถมาจอดหน้าบ้านนี่มา ตรงนี้จอดได้ไม่เกะกะ”
“ครับม๊า”

ปารย์มองขวับอีกหน เจอกันไม่ถึงห้านาที เรียกม๊าเนี่ยนะ!

-----

ป๊ากับม๊าลงมือทำอาหารให้เต็มโต๊ะ โดยเรียกปารย์ให้ลุกมาเสิร์ฟให้เพื่อน หลังจากทำอาหารให้ฟงเสร็จ ม๊าก็เปลี่ยนมือไปอยู่หน้าเตาแทนป๊า ขณะที่ป๊าเดินไปเปิดเบียร์เย็นเฉียบมาขวดจากตู้แช่ พร้อมน้ำแข็งถังใหญ่

“ป๊า เอาอีกแล้ว กินเบียร์ตลอด ความดันขึ้นปารย์ไม่ช่วยนะ” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่โดนบังคับให้นั่งอยู่ด้วยยู่หน้า
ก่อนหน้านี้พี่สาวเขาอยู่ คนที่คอยชวนป๊า ม๊าคุยไม่ให้เหงา ก็พี่ป่านนั่นแหละ แต่เพราะตอนนี้เธอไปเรียนต่อ ปารย์จากที่เคยเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ก็พยายามมากขึ้นที่จะมาใช้เวลากับป๊า ม๊า และคอยคุย คอยรับฟัง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอะไรนักหนา
“น่า ขวดเดียว เอาด้วยไหมอาฟง” ป๊าถาม ป๊าเป็นผู้ชายรูปร่างเล็ก อวบๆ เล็กหน่อย และอารมณ์ดีอยู่เสมอ ป๊าได้ชื่อว่าเป็นอาเฮียประจำซอยนี้ ตั้งแต่วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยยันแม่ค้าขายผลไม้ ต่างรักป๊าและม๊าเขาเสมอ เพราะเป็นคนที่ชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเวลาใครมีปัญหาตลอด จนบางทีปารย์ก็ระอาใจ เพราะช่วยไปช่วยมาก็เข้าตัวประจำ

ขณะที่ป๊าก็ชอบบ่นบ่อยๆ ว่าทำไมปารย์ไม่ได้นิสัยอะไรจากป๊าไปสักเท่าไหร่เลย ไอ้นิสัยใจกว้างดั่งมหาสมุทรนั่นน่ะ ปารย์ส่ายหน้าขี้เกียจคิดคำตอบ ก็นอกจากลงมาช่วยเสิร์ฟอาหารแล้ว แน่นอนว่าปารย์ก็ไม่ได้สุงสิงอะไรอีกเท่าไหร่

ป๊าดูชอบฟงมาก ชอบตั้งแต่ชื่อเสียงเรียงนาม พอไล่เรียงถึงบ้านเกิดก็ถูกคอกันไปใหญ่ เป็นคนจีนจากสงขลาเหมือนกัน เป็นหนุ่มใต้ที่แหลงใต้ด้วยกันได้อย่างเมามัน ป๊าชอบที่ฟงมีเชื้อจีนแต่ก็ตัวล่ำสันแบบฉบับคนที่เกิดในจังหวัดที่ขนาบด้วยสองทะเล เอาแต่จ้อไม่หยุดปากจนคนเป็นลูกต้องเท้าคางมอง

“ป๊า ไปช่วยม๊าผัดข้าวได้แล้ว ลูกค้ารอ” ปารย์งึมงำๆ ใส่ป๊า ป๊าหันรีหันขวางทันทีแล้วจึงรู้ตัวว่าลูกค้าเข้ามาเพิ่มอีกสองโต๊ะแล้วจริงๆ
“อาเคๆ ปารย์ เดี๋ยวมาช่วยป๊าเสิร์ฟด้วย”
“รู้แล้วป๊า”

ฟงนั่งอมยิ้มมองคนตัวเล็กกว่าที่ใช้ส้อมเขี่ยกุยช่ายขาวผัดหมูสับเข้าปาก กระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัวตวัดสายตาขึ้นมามอง

“อะไร”
“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวครับ”
“เปล่าสักหน่อย แลกกันที่มาส่ง”
“งั้นมาส่งทุกวันได้ไหม” ได้ที เด็กฝึกงานก็หยอดใหญ่
“น้อยๆ หน่อย” ปารย์ส่ายหัว ทำท่าจะลุกเมื่อป๊ากวักมือเรียก แต่ฟงกลับเอื้อมมือดันไหล่เขาให้นั่งลงตามเดิม
“เดี๋ยวผมจัดการเอง” ไม่รอให้ลูกชายเจ้าของร้านได้ปฏิเสธ ฟงก็เดินยิ้มไปหาป๊าทันที ก่อนหยิบถาดอาหารมาใส่จานกับข้าวหน้าตาน่ากิน ป๊าหน้าตาดูยินดีสุดๆ

ปารย์นั่งดูดน้ำชา เท้าคางมองคนที่เคลื่อนไหวไปมาช่วยส่งอาหารอย่างไม่รู้ตัว เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไอ้เด็กนี่มันหล่อไม่หยอก แม้ว่าจะไม่ได้หล่อเนี๊ยบ แต่ก็ดึงดูดสายตา ไม่ว่าจะรูปร่างแข็งแรงล่ำสัน ท่าทีเซอร์ๆ สวมเสื้อยืดเกงยีน ไรหนวดนิดๆ หน่อยๆ บนใบหน้า และก็เมื่อรอยยิ้มเท่ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าและบรรดาคนที่อยู่ในร้านเอาแต่มองตามฟงไม่ละสายตา

ลูกชายเจ้าของร้านมองตามแผ่นหลังกว้างนั่น ก่อนสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวว่า ตัวเองก็เอาแต่คอยมองตามฟงอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน ปารย์ได้สติ เขาก็เดินไปเก็บบรรดาจานเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินตุบตับหายไปหลังบ้าน

สี่ทุ่มกว่าๆ คนเริ่มซา หลังจากปารย์ไปยืนล้างจานอยู่หลังบ้านปล่อยให้ลูกรักคนใหม่ของป๊าม๊าได้โชว์ฟอร์มเต็มที่ ลูกรักที่ว่าก็เดินมาหาปารย์พอดีกับที่เขาคว่ำถ้วยข้าวต้มกุ๊ยใบสุดท้าย

“เสร็จยังพี่”
“ยังไม่กลับอีก”
“มาลาเนี่ย พรุ่งนี้ตื่นเช้า”
ปารย์เลิกคิ้ว “มีงานเช้าเหรอ”
“ไปถ่ายอีเวนต์กับเซลล์อะ ไม่ค่อยอยากไปเลย อยากถ่ายอะไรหนุกๆ มากกว่า”
“มันก็สลับๆ กันน่ะแหละ”
“อื้อ ผมรู้” ฟงว่า “พี่หาคอนเทนต์สนุกๆ แล้วเรียกผมไปถ่ายนะ ผมชอบที่พี่ทำรีวิวไก่ทอด ผ่านคลิปสอนภาษาอังกฤษ โคตรตลก”
“เคๆ” คนทำคอนเทนต์ว่า ก่อนพยักเพยิดให้อีกฝ่า แต่ฟงไม่ยอมขยับตัวสักกะที

ปารย์จ้องหน้าคนที่ไม่ยอมไป เอาแต่ยืนมองเขายิ้มๆ พวกเขายืนนิ่งกันอยู่หลายวินาทีก่อนฟงจะรู้สึกตัว เด็กหนุ่มจึงเอามือล้วงกางเกงแล้วยิ้มมุมปาก

“พรุ่งนี้ถ้าเลิกประมาณนี้ ผมมาส่งอีกนะ”
ลูกชายเจ้าของร้านเม้มปากเหมือนจะทำตัวไม่ถูกหน่อยๆ “จะมากินฟรีว่างั้น”
“มาส่ง ถ้าได้กินก็ผลพลอยได้”
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวตื่นไปทำงานไม่ทันจะหัวเราะให้”
“พี่ไม่เดินไปส่งผมหน่อยเหรอ”
ปารย์อ้าปากเหวอใส่ “รถจอดแค่นี้ เว่อร์”
“เอ้า ฮ่าๆๆๆ”
“ไม่ต้องเรียกพี่แล้ว”
“ครับ?”
“บอกว่าไม่ต้องเรียกพี่แล้ว จั๊กจี้ อายุก็เท่ากัน”
“งั้นเหรอ”
“อืม”
“ไปแล้วนะปารย์”
วูบนั้น ปารย์รู้สึกหน้าร้อนเห่อขึ้นมานิดหน่อย เขาเสตาหลบ “กลับดีๆ”


-----

ด้วยเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น ปารย์จึงนั่งรถเมล์สายเดียวมาถึงออฟฟิศเกือบๆ เที่ยง วันนี้งานไม่เยอะมาก เลยมีเวลานอนขี้เกียจอยู่บ้านจนถึงสิบโมงก่อนจะตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน พอมาถึงแล้วก็เป็นจังหวะที่คนในออฟฟิศกำลังจะออกไปกินข้าวกันพอดี บรรดาพี่ๆ ทักทายชวนถามว่าจะไปกินด้วยกันไหม แต่ปารย์ที่เพิ่งกินข้าวผัด ที่ป๊าผัดให้จานโตยังไม่ย่อยดีเลย จำต้องปฏิเสธและขอตัวขึ้นไปทำงานแทน

มาถึงที่โต๊ะทำงาน ยังไม่ทันวางเป้ลงดี สายตาก็ชะงักเมื่อเห็นขนมปังนมสดชุ่มไอซิ่งวางอยู่กล่องหนึ่ง ไม่ใช่แบรนด์ดังอะไรแบบที่ฮิตๆ กันในโลกโซเชียล แต่ได้ยินอยู่ว่านี่เป็นเจ้าอร่อยในตลาดแถวออฟฟิศ พร้อมกับโน้ตใบหนึ่งแปะหน้ากล่อง

‘ในตู้เย็นมีนมชมพูไข่มุกของปารย์ ลองซื้ออะไรแปลกๆ ให้ จะได้ไม่เบื่อ’


ไม่ได้ลงชื่อต้นทาง แต่หัวใจปารย์วูบวาบ และค่อยๆ เต้นแรงขึ้นมาแบบที่เขาก็รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน สรุปได้เลยว่าเขารู้ดีว่าใครเป็นคนซื้อของมาวางเอาไว้แบบนี้ เพราะถ้าไม่ใช่ หัวใจคงไม่วูบไหวแรงราวกับแผ่นดินสะเทือนเช่นนี้

“บ้าปะเนี่ย” ปารย์บ่นพึมพำกับตัวเอง ในใจก็ประหวั่นไปเล็กน้อยว่าตอนฟงมาวาง จะมีคนแอบเห็นหรือเปล่า
ยังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปหยิบนมชมพูตามที่จดหมายบอกเอาไว้ มือถือเขาก็ร้องขึ้นมา พร้อมกับหน้าจอวาบข้อความของใครบางคนขึ้นมา

‘ได้ของหวานหลังข้าวกลางวันยัง เย็นนี้รอด้วยเดี๋ยวไปส่ง’

ข้อความง่ายๆ ตรงไปตรงมา เหมือนกับคนส่ง ทำเอาใจของปารย์เต้นแรงกลับขึ้นมาอีกครั้งทั้งๆ ที่ตอนแรกมันเกือบสงบลงไปแล้ว ปารย์อ่าน ไม่ยอมพิมพ์ตอบ เขายกมือปิดหน้าพร้อมถอนหายใจครั้งใหญ่ อยากจะสบถหรือกรีดร้องอะไรออกมาด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วน แต่ก็ทำไม่ได้ เขาไม่รู้เป็นอะไร แล้วก็นึกได้ว่าคงไม่อยากรู้ตอนนี้จนกว่าจะเก็บสติที่กระจัดกระจายกลับมาได้จนครบ

“บ้าเอ๊ย” ปารย์ร้องออกมา ก่อนทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ดังปุ เสียงดัง จนเพื่อนครีเอทีฟฝั่งตรงข้ามที่ชื่อไอ้โด ถึงกลับเงยหน้าขึ้นมาจากแป้นคีย์บอร์ด แล้วส่งสายตาเมื่อยๆ ตามสไตล์มันมาให้
“มึงเป็นเหี้ยไรปารย์”

-----


(ต่อ)

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ปกติแล้ว โดคือคนที่จะคอยหาของกินให้กับคนในออฟฟิศช่วงมื้อเย็น บางครั้งมันก็ลากปารย์ไปช่วยหิ้ว แต่พอมีสองเด็กฝึกงานทำหน้าที่ซื้อข้าวเย็นให้กับคนในออฟฟิศอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดก็เลยมีเวลานั่งเล่นเฟซบุ๊กมากขึ้นในแต่ละวัน ถุย ชีวิต เย็นนี้ก็เช่นกัน หลังจากบรรดาพี่ๆ ส่งรายการอาหารให้เรียบร้อยแล้ว ฟงกับเพื่อนก็ออกไป ปารย์ไม่ได้ฝากอะไรไป เนื่องจากว่าขนมปังสุดหวานนั่นยังคงฟูอยู่ในท้องอยู่

ราวครึ่งชั่วโมงสองเพื่อนรักก็กลับมาพร้อมกับถุงอาหารในมือพะรุงพะรัง ปารย์ทำเป็นสวมหูฟังพิมพ์งาน แต่ก็คอยเหล่มองฟงที่ยืนแยกถุงอาหารให้กับพี่ๆ และในที่สุดสิ่งที่เขาภาวนาให้ไม่เกิดขึ้นในเวลานี้ที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อเด็กฝึกงานหนุ่มเดินทอดน่องเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มกวนๆ ที่ประดับบนใบหน้า ก่อนมายืนหยุดพิงขอบโต๊ะของปารย์

“กินลูกชิ้นทอดไหม” เสียงฟงดังขึ้น ปารย์ได้ยินเต็มสองหูเพราะแม้จะสวมหูฟังแต่ว่าไม่ได้เปิดเสียงอะไรแต่อย่างใด

เมื่อปารย์ทำเป็นไม่สนใจ ฟงก็ส่งนิ้วสะกิดไหล่เขาทันที ปารย์จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้แล้ว เขาจึงต้องถอดหูฟังออกมามองหน้าเด็กฝึกงานคนดีแทน

ฟงสวมเสื้อยืดสีดำกับสแล็กเงาสีดำ และคอนเวิร์สสีขาวที่มีร่องรอยสกปรกตามการใช้งาน ยืนเลิกคิ้ว ขณะที่ปารย์ขมวดคิ้ว ทำท่ารำคาญไว้ตัว

“ว่าไง”
“ถามว่ากินลูกชิ้นทอดไหม”
“ไม่กิน เสียสุขภาพ”
ฟงอมยิ้ม “ไม่กิน งั้นรอกินเย็นพร้อมกัน”
“ว่าไงนะ”
“เดี๋ยวไปกินที่ร้านปารย์ไง เราไปส่ง” พอไม่ต้องให้เรียกพี่ แล้วมาเรียกชื่อกันตรงๆ แบบนี้ เหมือนปารย์คิดผิดจริงๆ เพราะมันจั๊กจี้หัวใจกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
“ดึกนะ”
“รอได้”
“ห้าทุ่มร้านปิดแล้ว”
“ไปช่วยปิดร้านไง”
ปารย์จ้องหน้าคนตรงหน้านิ่ง ก่อนพรูลมหายใจออกมายาวๆ “เออๆ หนึ่งทุ่มเดี๋ยวเดินลงไปหา เจอหน้าตึก”
“อีกชั่วโมงกว่าเอง ไม่เห็นจะดึกสักหน่อย” ฟงยิ้มเผล่
“งั้นสามทุ่มละกัน”
“เฮ้ยๆ ทุ่มหนึ่งอะดีแล้ว เราไปทำไฟล์ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”

ว่าแล้วฟงก็เดินจากไป ปารย์หันกลับมาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความรู้สึกหลากหลายและกระจัดกระจาย เขาคานิ้วไว้บนแป้นพิมพ์แต่ว่าไม่เริ่มเคาะสักตัวหนังสือต่อจากที่ค้างเอาไว้ เม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่อยู่บนหน้าจอเหมือนกระเด็นออกไปจากหัวสิ้นเชิงชั่วคราว

ปารย์แอบเหลือบกลับไปที่โต๊ะกินข้าวกลางออฟฟิศ แอบมองคนตัวโตที่ยืนจิ้มกินลูกชิ้นก่อนที่จะสะดุ้งน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาประสานสายตา แล้วยิ้มให้ ข้างๆ กันคือโดที่ยืนจิ้มลูกชิ้นอีกไม้ คราวนี้ปารย์หันกลับมาเร็วรี่และไม่ยอมเหลือบมองไปที่ไหนนอกจากหน้าจอคอมของตนเองอีกเลย นอกจากจะกลัวโดมันจับได้ว่าระหว่างเขากับเด็กฝึกงานมันไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ยังกลัวใจตัวเองจะเล่นงานซ้ำๆ อีกด้วย

-----

ปารย์ไม่ยอมให้ฟงเดินมารับถึงโต๊ะทำงาน หกโมงห้าสิบนาที เขาเก็บกระเป๋ากุลีกุจอเดินลงไปชั้นล่าง เกือบจะลืมร่ำลาหัวหน้าด้วยซ้ำ ส่วนไอ้โดไม่ต้องพูดถึง เขาไม่พูดกับมันเลย ปิดคอมพ์แล้วย่องลงมาอย่างรวดเร็ว พอลงมาถึงหน้าประตูออฟฟิศแล้ว ก็แทบต้องตบหน้าผากฉาดใหญ่ เมื่อราวกับหนีปะจระเข้ เพราะฟงยืนรวมกลุ่มกับบรรดาพี่ๆ ช่างภาพ สูบบุหรี่กันแน่นขนัด

“อ้าว มาแล้ว” ฟงยังร้องทัก ปารย์จะวิ่งหนีกลับก็ไม่ทัน “รอแป๊บ”
พี่เขมที่ยืนคีบบุหรี่อยู่เหล่ตามองทันที “แหนะ ไปไหนกันไม่ชวนกูเลย”
“ไปกินข้าวร้านปารย์อะพี่” ฟงตอบด้วยท่าทางสบายๆ ส่วนปารย์ที่กระชับสายเป้กระเป๋าแน่นราวกับเด็กประถม เอาแต่ยืนเม้มปาก
“อ๋อ ร้านข้าวต้มตรงสุทธิสาร อร่อยนะเว้ย”
“พี่เคยไปกันเหรอ”
“ที่ออฟฟิศนี้เขาก็เคยไปหมดอะ กินเหล้ากันถึงนู้น ตีสี่ตีห้า” ฟงหันมาเลิกคิ้วใส่ปารย์ “ไว้ไปกินบ้านมึงอีกได้มะปารย์ เนี่ย เดี๋ยวเลี้ยงวันเกิดกูอาทิตย์หน้า”
“พี่ กินเหล้าถึงเช้า สงสารปารย์บ้าง ต้องมานั่งรอพี่เนี่ย”
“ใครว่า ป๊ามันนี่ตัวชงเลย” พี่เขมเฉลย ทำเอาทั้งวงหัวเราะลั่น
“ไม่ต้องมาเลยเดี๋ยวป๊าความดันขึ้น” ปารย์ที่ยืนใบ้มานาน เถียงขึ้นบ้าง
“เอาหน่อยน่ะมึง เนี่ย หาร้านปิดเช้าย๊าก ยากเดี๋ยวนี้” พี่เขมอดีตสายเมาที่กลับใจเพราะได้เมียเด็กกว่า ว่า
“เออๆ มาเมื่อไหร่บอกด้วยจะได้บอกป๊า” ปารย์ว่าอย่างเสียไม่ได้
“ใจดีและน่ารักที่สุดเลยจ้ะ” พี่เขมฉวยแก้มปารย์บิดเล่น หยิกแกมหยอก ไม่ได้เห็นสายตาใครบางคนที่จ้องมองมาเอาเสียเลย
“ไปได้แล้วหิวข้าว” น้ำเสียงดุๆ ของเด็กฝึกงานทำให้ปารย์ที่ปัดมือพี่เขมวุ่นวายชะงัก
“นี่เป็นผัวเขาเหรอไปสั่ง แล้วทำไมจะไปกินข้าวบ้านเขา”
“ทางผ่านอะพี่” ฟงตอบปัดๆ ส่วนปารย์ตอนแรกจะอ้าปากแก้ข่าว แต่ก็หุบปากฉับดีกว่า เพราะถ้าไปแก้ไขว่าจริงๆ บ้านคนละทางเดี๋ยวจะหรรษาไปกันใหญ่
“เออปารย์อยากกินหมึกผัดกะหรี่อะ พรุ่งนี้หิ้วมาฝากหน่อย ข้าวด้วยถุง” พี่เขมยังมิวายฝากฝังตามสไตล์ เขมรักทุกคน
“เอาจริงใช่ไหมพี่”
“เออ จัดมา เดี๋ยวเอาเงินให้”
ปารย์พยักหน้า เหลือบตามองคนที่ยกมือไหว้รุ่นพี่อย่างไวไม่รอให้เขาได้สนทนาอะไรกับใครต่อ “ไปละพี่”
“โชคดีมึง ท่าทางจะหิวมากนะไอ้ฟง”
“ท้องสะเทือนเป็นแผ่นดินไหวแล้วพี่” ฟงส่งเสียงกวนกลับ
“โอ๊ยไอ้เด็กเวรนี่”


-----

รถมอเตอร์ไซค์คันคลาสสิกของเด็กฝึกงานจอดอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าออฟฟิศ ปารย์เดินตามหยุดอยู่หลังคนที่เปิดใต้เบาะหยิบเอาหมวกกันน็อกสีขาวด้าน ที่ยังไม่แม้จะแกะสติกเกอร์แปะชีลด์ออกมา

“อะ ใส่”
กลิ่นพลาสติกใหม่กิ๊กลอยแตะจมูก ปารย์ถาม “เพิ่งซื้อ?”
“ซื้อเมื่อเช้า แวะตรงตลาดก่อนมาถึง ไม่ค่อยมีตังค์ ถ้ามีเดี๋ยวเปลี่ยนใบที่เซฟกว่านี้ให้”
“เฮ้ย บ้าบอ” ปารย์โวย “นั่งไม่กี่ครั้งทำไมต้องเว่อร์ซื้อใหม่”
“แน่ใจ” เด็กฝึกงานถามพร้อมยิ้มยวน ไม่รู้ทำไมปารย์หน้าแดงขึ้นทันที โชคดีหน่อยๆ ที่ฟ้ามืดแล้วเลยไม่เห็น
“ไปได้แล้ว” นักเขียนหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง ยอมยกหมวกขึ้นสวมหัว แต่ก็เก้ๆ กังๆ เพราะหาล็อกเกี่ยวใต้คางไม่ได้
“มานี่มา” ฟงเหมือนจะรำคาญ เขาส่ายหัวก่อนดึงไหล่คนไม่เอาไหนมาใกล้ๆ พร้อมกับเลื่อนมือปรับสายรัดหมวกกันน็อกให้อย่างตั้งอกตั้งใจ ปารย์ลอบมองคนตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตา สาละวนกับเส้นสายในมือ หัวใจเต้นตึกๆ เมื่อได้กลิ่นสะอาดของน้ำยาปรับผ้านุ่มคนตรงหน้าโชยแตะปลายจมูก ผสมกับกลิ่นเยลเย็นซ่านที่บอกความรู้สึกไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ที่พวกเขาใกล้กันขนาดนี้

สิบห้านาทีประมาณนั้น เวสป้าคันเก๋าก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านข้าวต้มประจำซอย ฟงไม่ต้องรอให้ใครบอก ก็เข้าไปจอดที่เดิมทันที แอบชิดเรียบร้อยจะได้ไม่กีดขวางทางเดินใคร ปารย์เพิ่งสังเกตุว่าป้ายทะเบียนเป็นเลขสองหลัก และเป็นป้ายเก่าคร่ำครึแต้มชื่อจังหวัดสงขลา ขณะที่อาม๊าส่งยิ้มฟันขาวมาแต่ไกล

“อ้าว มากันแล้ว”
“หวัดดีครับม๊า” ฟงยกมือไหว้ เขารับหมวกกันน็อกปารย์มาเก็บใต้เบาะ
“นี่ม๊ากำลังทายกับป๊าเลย ว่าอาฟงจะติดใจรสมือป๊าแล้วมาอีกวันไหม”
“โหย จะไม่ติดได้ไงละครับม๊า อร่อยขนาดนั้น”
“เว่อร์” ปารย์ที่ฟังลูกรักคนใหม่กับแม่ตัวเองคุยกันเบะปากทันที
“พูดจริง” ฟงเถียง
“นั่นสิปารย์ มาบอกว่าข้าวที่ป๊ากับม๊าทำไม่อร่อยได้ไง เสียลูกค้าหมด” ม๊าดุ
“ไม่ได้บอกว่าไม่อร่อย แค่บอกว่าไอ้เนี่ย เว่อร์”
“เอ๊า ว่าเพื่อนอีก” ม๊าตีไหล่ปารย์อย่างไม่จริงจัง “อะๆ อาฟงนั่ง เดี๋ยวม๊าทำออร์เดอร์ลูกค้าแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวจะกินไรบอกเลยนะลูก”
“ม๊า เดี๋ยวผมช่วยเสิร์ฟดีกว่าครับ คนเยอะเลยวันนี้” ฟงรีบลุกกุลีกุจอทันที ขณะที่ปารย์ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้ารับออร์เดอร์โต๊ะแปดที่ตะโกนสั่งลีโอสามขวดเพิ่ม
“เบียร์ใช่ไหม อยู่ไหนปารย์” ปารย์ชะงักเมื่อฟงดึงแขนเขาที่กำลังจะเดินลิ่วไป
“ในตู้แช่อะ ถ้าไม่มีก็ในถังน้ำแข็งหลังบ้าน ทำไม จะไปเอาเองเหรอ”
“อืม มันหนัก”
“สามขวดเอง หนักไร” ปารย์ขมวดคิ้ว
“เออน่า ไปทำอย่างอื่นไป”
“แน่ใจนะ” ปารย์หรี่ตา “จะขึ้นไปเก็บของ ช่วยป๊าม๊าไปแล้วกัน”
ฟงพยักหน้ารับขันแข็ง “รีบลงมานะ”

ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอ้สุภาษิตที่ว่า เข้าตามตรอกออกตามประตูเนี่ย มันจะใช้ได้ถึงยุคสมัยนี้ไหม แต่ถ้าสมมติว่าเขาเป็นผู้หญิงแล้วฟงเป็นผู้ชายที่มาจีบ บอกได้เลยว่าไม่ผิดเพี้ยน เพราะเข้ากับป๊าและม๊าได้เป็นอย่างดี ติดอยู่ตรงเดียวคือปารย์ไม่รู้จริงๆ (หรือรู้นิดหน่อยแค่ไม่แน่ใจ หรือรู้เยอะแต่ทำเป็นไม่รู้เสียดีกว่า) ว่าฟงจะมาแบบไหนกันแน่

มาจีบหรือแค่ถูกชะตา หรือว่าอะไรกัน

เอาจริงๆ ตัวเขาดูไม่ยากหรอกมั้งว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่แอบตกหลุมรักมาตลอดสมัยใส่กางเกงน้ำเงินชายล้วน ก็คือเพื่อนร่วมห้องหรือรุ่นพี่ชมรมบาสเก็ตบอลเสมอ เขาไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องกว้างขวางที่จะต้องป่าวประกาศว่าเขามีรสนิยมอย่างไร ถ้ามีใครมาถามก็ว่าไปอย่าง นั่นแหละ เพราะงั้นฟงที่ดูก็รู้ว่าฮ็อตในกลุ่มสาวๆ ทั้งแท้และเทียม และแมนๆ คุยกันขนาดนี้ กับการกระทำเชิงสัญลักษณ์ที่ทำมาหลายๆ วันนี้ สำหรับปารย์ มันไม่น่าไว้ใจ เพราะถ้าเขาเผลอเรอเปิดใจไปสักครั้ง แล้วฟงกลับแค่มาบอกว่าเล่นๆ มันคงพังพินาศ โดยเฉพาะความรู้สึกของเขาด้วย

แต่จากชั้นลอย ขอบระเบียงที่ยื่นออกมาครึ่งหนึ่งของตัวบ้าน แล้วมองลงมาเห็นพื้นที่ชั้นหนึ่งที่เป็นร้านอาหารเกือบทั้งหมด ปารย์ไม่อาจละสายตาจากร่างกำยำของเด็กฝึกงานจอมกวนและคาดเดาไม่ได้ได้เลย ฟงเดินเสิร์ฟอาหารอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว และยังเป็นขวัญใจบรรดาเจ๊ๆ ที่เลิกงานออฟฟิศแวะมากินข้าวอย่างชัดเจน

แต่ดูเหมือนฟงจะไม่ได้สนใจสายตาทอดเสน่ห์ทอดสะพานอะไรจากใคร เพราะเมื่อเขากวาดตาขึ้นมาแล้วเจอปารย์ยืนหน้านิ่งเกาะราวระเบียงอยู่ตรงนั้น เขาส่งยิ้มกว้างให้ทันที พร้อมโบกมือหย็อย ปารย์สะดุ้งหน่อยๆ แต่ก็เก๊กขรึมแล้วเดินลงไปด้านล่างด้วยกางเกงขาสามส่วนที่เปลี่ยนมาเพื่อความสบายโดยเฉพาะ

“กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวผลัดกัน” ปารย์ว่า เมื่อป๊าเริ่มทำอาหารมาจนเต็มโต๊ะตัวที่ติดกับหลังเตา อันเป็นโต๊ะที่ป๊าจะนั่งก๊งเหล้าคนเดียวเวลาไม่มีลูกค้า
“รอได้”
“กินเถอะ ป๊ากับม๊ามีลูกน้องช่วยน่ะ”
“หลายๆ มือเร็วดีออก โต๊ะก็ยาวไปถึงนอกร้าน”
“แล้วแต่” ปารย์ห้ามไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมให้ฟงตามใจ เขารับคะน้าหมูกรอบจากม๊าที่เช็ดขอบจานให้เรียบร้อย ก่อนเดินตัวปลิวไปเสิร์ฟโต๊ะริมถนนนอกร้าน ไม่สนหนุ่มใต้ที่ยืนอมยิ้มอยู่คนเดียว

สักพักหนึ่งกว่าที่ฟงจะกลับมาหาปารย์ที่นั่งดูยูทูปรอที่โต๊ะอาหารของป๊า หลังจากไปยืนคุยกับเจ๊ๆ พี่สาวแท้ สาวเทียม ที่ยกขบวนมากินข้าวต้มที่โต๊ะริมถนน แล้วเรียกฟงไปถามประวัติยกใหญ่ หลังจากมาสองวันติดแล้วเจอหน้าไอ้หนุ่มใต้สองวันติด เด็กหนุ่มแวะตักข้าวต้มมาถ้วย กับข้าวสวยอีกพูนจาน

“นั่นจานข้าวหรือกาละมัง” ปารย์เริ่มกวนตีนกลับบ้าง
“ปากร้าย” ฟงส่ายหัว “ทำไมไม่กินก่อน บอกให้กินไปเลย”
“ไม่เอาไม่ชอบกินคนเดียว”
“รออยู่อะเดะ”
“ไม่ได้รอ” ปารย์ไม่ยอมมองหน้าตอนตอบ เขาจ้วงเกี่ยมฉ่ายในน้ำซุปกระดูกหมูขึ้นมา กลิ่นหอมของสารพัดรสฟุ้งยวนใจ
“อร่อยไหม”
“อร่อยสิกินแต่เด็ก” ปารย์มองหน้าประมาณว่า ถามอะไรเนี่ย
“ก็กินด้วยกันอร่อยขึ้นไหม”
“......” ปารย์ใบ้แดกทันที
ขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มบางๆ แล้วเอื้อมมือตักยำหมูกรอบให้กับคนที่นั่งข้างๆ กัน ปารย์เม้มปาก ก่อนพึมพำ “จะให้ตอบยังไงเนี่ย”
“อะๆ” ฟงยอมแพ้ เขาจ้วงข้าวเข้าปากคำใหญ่
“นี่รู้แล้วใช่ไหม เดือนหน้าเขาจะไปเอาท์ติ้งกันที่หัวหินอะ”
“อ่า ได้ยินพี่เขมเปรยๆ แต่ยังไม่ได้พูดอะไร”
“ก็ตามนั้นแหละ”
“เอ้า”
“นี่ฝึกงานเสร็จจะทำงานต่อเลยไหม” ปารย์ถามกลับบ้าง หลังจากบรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติ แล้วเขาปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้ไม่ผิดแปลกได้
“ก็คงหางานทำ ถ้าที่นี่ไม่จ้างต่อ”
“ลองคุยๆ กับพี่เขมยังละ” ปารย์เปรย “งานก็ดีนะ เห็นพี่เขมอยากรับคนมาช่วยเพิ่มอยู่เหมือนกัน งานมันเยอะขึ้นน่ะ”
ฟงมองเสี้ยวใบหน้าขาวจัดของคนข้างกาย ก่อนยกยิ้ม “อยากให้อยู่ต่อเหรอ”
ปารย์เงยหน้าขึ้นฉับ “พูดไร ก็แค่ถามเฉยๆ เห็นงานก็ไม่ขี้เหร่”
“อืมม”
“อะไร”
“เปล่า ปารย์น่ารักดีว่ะ ชอบทำเป็นดุ แต่จริงๆ โคตรใส่ใจคนเลย” พอโดนพูดแบบนี้ ปารย์ก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ชายหนุ่มอ้าปากก่อนหุบฉับ เมื่อไม่รู้จะพูดไร จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นตักข้าวเข้าปาก “เราก็ชอบที่นี่นะ ทุกคนทำงานเก่ง เป็นมืออาชีพ แล้วบรรยากาศการทำงานก็ดี แต่ว่า จริงๆ เราก็ยังมีสิ่งที่อยากทำอะ”
“อะไร”
“เราชอบถ่ายงานสตรีต คือรู้แหละมันหาทางไปยาก แต่ก็ไม่รู้ว่ะ อยากลอง ถ้าพอถูไถได้ ก็คงไปทำงานด้านแฟชั่นละมั้ง มันก็ดูได้พัฒนาสกิลทั้งภาพนิ่ง วิดีโอ”
“แล้วถ่ายอะไรเก่งกว่ากัน”
“ภาพนิ่งมั้งปารย์ แต่ยุคนี้ก็ต้องทำวิดีโอได้ด้วย ช่างภาพมันเกิดใหม่ทุกวัน เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากจะสร้างงานเจ๋งๆ ออกมาได้”
“อืม”
“......”
“ทำได้อยู่แล้ว” ปารย์พูดเบาๆ แต่เขารู้ว่าฟงได้ยิน





tbc.




มาช้าไปหน่อย มาแล้วน้า
คู่นี้เขาก็จะประมาณนี้
แต่เดี๋ยวก็จะมีคนแพ้ใจคนปากตรงกับใจแล้ว อิอิ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2019 15:38:48 โดย kyliewonderland »

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ปารย์ก็คือรู้แหละว่าเค้าเข้ามาจีบ แต่ยังไม่ยอมรับ เพราะฟงไม่พูดเป็นกิจจะลักษณะ แต่ความจริงเราว่าการกระทำและคำพูดบางประโยคของฟงมันก็ชัดมากว่าไม่ได้มาเล่นๆ รอดูคนยอมรับหัวใจตัวเองค่ะ ชอบความสัมพันธ์ประมาณนี้ค่ะ แบบเรื่อยๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไป น่ารักดี รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เขิน ชั้นอยากโดนจีบบ้าง รอรับส่งนี่มันดรีย์

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
น่ารักมากกกก ชอบคนปากตรงกับใจ เมื่อไหร่จะขอเปงแฟน :-[

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ตอนที่ 3





ยิ่งใกล้สิ้นเดือน งานก็หนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชีวิตปารย์ก็ ‘ยังเหมือนเดิม’ คนคิดคอนเทนต์ที่ยังต้องดีลงานกับฝ่ายขายและลูกค้าหัวปั่น เขียนสคริปต์ รวมไปถึงบทความน่าที่น่าสนใจเพื่อลงบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น

จริงๆ เหมือนพอมาถึงตอนนี้ ปารย์แอบคิดว่า เขาเลือกงานที่เหมาะกับเขาอยู่เหมือนกันนะ ตอนแรกที่จบมา ปารย์ตั้งใจจะทำเอเจนซีโฆษณา แต่จับผลัดจับผลู อาจารย์ที่สนิทกันแนะนำมาทำงานที่นี่ เพราะหัวหน้าเป็นเพื่อนอาจารย์และเพิ่งย้ายมาประจำเฮดคอนเทนต์ ซึ่งปารย์...ตอนแรกก็คิดแค่ว่า เออ ลองดู แต่ไปๆ มาๆ เขากับพี่โจ๋คุยกันถูกคอ ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายไม่ได้จะสนิทกับใครได้ง่ายๆ สุดท้ายปารย์ก็ลงเอยที่นี่มาราวๆ สองปีได้แล้ว

บ้านเขาทำร้านอาหาร นี่อาจจะเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ทำให้เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องกินๆ และสามารถเล่าแง่มุมที่หลากหลาย และเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ ระดับที่พี่โจ๋เองก็วางมือให้ปารย์ได้ลองรับผิดชอบงานใหญ่ๆ เองหลายชิ้น
เอ แต่เมื่อกี้ ปารย์บอกว่าชีวิตตัวเองยังเหมือนเดิมใช่ไหม อืม ขอกลับคำหน่อยละกัน คือมันก็ออกจะ มีส่วนเสริมเติมแต่งนิดหน่อยทำให้มันไม่เหมือนเดิม จะบอกยังไงดี…

หลายวันที่ผ่านมา ปารย์มีฟงตามติดเป็นเงาหลังเลิกงาน เฉพาะวันที่ฟงไม่ติดงานดึกอะนะ แต่บางครั้ง ไอ้เด็กฝึกงานก็บังคับเขารอ เพื่อจะไปส่งบ้าน ช่วยปิดร้าน และหลอกให้ปารย์ทำอาหารง่ายๆ ให้กินสักจาน

ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรหรอก ชีวิตแบบนี้ คือเหมือนจะชินไปแล้วด้วยซ้ำ ที่มีฟงมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ หลายๆ คนอาจจะเห็นว่าฟงกับปารย์คุยกันบ่อยขึ้น แต่หลายคนคงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตามไปถึงบ้านแล้วมาเป็นลูกชายป๊า ลูกชายม๊าคนใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ

“ปารย์ครับ” เสียงเรียกทำให้ปารย์ที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ริมระเบียงต้องหันไปมอง ออฟฟิศของพวกเขา เป็นกึ่งโฮมออฟฟิศ กึ่งอาคารสำนักงานอย่างที่บอก เลยมีพื้นที่ระเบียงให้สำหรับทุกชั้น ประเด็นก็คือ สาวออฟฟิศหลายคนชอบไปเอาต้นกระบองเพชรมาเลี้ยง มาตั้งไว้ เพราะคิดว่ายังไงก็รอด แต่มันไม่ใช่อย่างงั้นสิ ปารย์รู้ดีด้วยความที่พี่สาวเขาก็เลี้ยงกระบองเพชรไว้ชั้นดาดฟ้า แล้วพอไปเรียนต่อ เขาก็รับช่วงดูแลมาได้หลายปี ทำให้รู้ว่า กระบองเพชรก็ต้องการความเอาใจใส่ในรูปแบบของมันเหมือนกัน

ฟงเลื่อนบานกระจกของระเบียงแล้วโผล่หน้าออกมา ปารย์เลิกคิ้ว ช่วงเช้าของวันคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ เมื่อคืนเขานอนไว วันนี้เลยมาถึงออฟฟิศตอนเก้าโมงพอดี

ส่วนฟง เห็นเมสเสจมาบอกตั้งแต่เมื่อคืนว่ามีถ่ายงานตอนเช้ากับพี่เขม ล้อหมุนเก้าโมงเหมือนกัน

“ยังไม่ไปอีก”

“พี่เขมกำลังจอดรถอะ” ฟงว่า เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แล้วงับประตูปิดกันกลิ่นลอยเข้าไปในสำนักงาน

“กินไรปะ ไปแถวตลาดน้อย”

“อยากกินกุยช่าย”

“จัดไป”

“ซื้อมาฝากคนอื่นด้วย เอาเงินนี่” ปารย์วางกระบอกน้ำลง ทำท่าจะล้วงกระเป๋าเงิน แต่ฟงโบกมือส่ายหัว

“ไม่ต้องๆ เงินที่เราทำฟรีแลนซ์ออกพอดีเมื่อเช้า”

“งานไหน?”

“นานแล้ว ไปเป็นผู้ช่วยช่างภาพให้รุ่นพี่ ก่อนมาฝึกงานอีก”

“วางบิลนาน”

“ชีวิตฟรีแลนซ์” ฟงหัวเราะเบาๆ “แต่ไม่ต้องห่วง กินข้าวบ้านปารย์ประหยัดไปเยอะเลยเดือนนี้”

“อืม” ปารย์ทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็แอบยิ้มมุมปาก

“ให้เราจ่ายค่าข้าวบ้างดิ เดี๋ยวก็ขาดทุนหรอก”

“ขาดทุนมานานแล้วกับนายอะ ก็ไปบอกป๊าสิ เผื่อป๊าจะยอมให้จ่าย”

“เฮ้อ” ฟงทำทีเป็นถอนหายใจ ก่อนจะโบกมือหย็อยๆ ให้ปารย์ เมื่อเห็นพี่เขมเดินหาวเข้ามา

“ไปก่อนนะ เดี๋ยวจะซื้อกุยช่ายที่อร่อยที่สุดมาฝาก”

“รู้ร้านเหรอ”

“วางใจได้เลย” ฟงขยี้บุหรี่ลงพื้น ก่อนยิ้มกว้างให้กับปารย์ แล้วเดินไปหาพี่เขมที่กำลังหากาแฟกินตรงโซนห้องครัว

ปารย์รดน้ำต้นไม้เสร็จเรียบร้อย เขาวางกระบอกน้ำไว้บนเก้าอี้เก่าๆ ที่ใครไม่รู้เอามาวางไว้ที่ระเบียง ก่อนเปิดประตูเข้ามา โดเดินหน้ายุ่งเข้ามาพอดี โดก็เป็นผู้ชายสายเซอร์และเซื่องซึมคนหนึ่ง ที่ปารย์ก็ค่อนข้างจะสนิทในออฟฟิศ อาจจะเพราะทีมคอนเทนต์ และทีมเซลล์ ที่นั่งอยู่ชั้นสองด้วยกัน มีผู้ชายไม่เยอะ ส่วนใหญ่ผู้ชายไปกองที่ฝ่ายผลิตหมด เอาจริงๆ ทีมคอนเทนต์นอกจากพี่โจ๋ เขา และโด คนอื่นก็เป็นสาวๆ หมดเลย

“ไงมึง” ปารย์เอ่ยปากทักทาย โดพยักหน้าหงึกหงัก “มาเช้าจังวะ” ปกติโดมาสิบเอ็ดโมงโน่น

“เออ เอามอ’ไซค์มา” โดตอบ “เออ ปารย์ มึงเขียนคอนเทนต์ให้ร้านเพลินเสร็จหรือยัง ต้องยิงแอดวันนี้นะ เห็นพี่โจ๋ถามถึงเมื่อวาน แต่มึงกลับไปก่อน”

คำถามของเพื่อนทำเอาปารย์ชะงัก หน้าเหวอ

“สัส”

“อะไร” โดขมวดคิ้ว

“ลืม ไอ้เหี้ยลืมสนิทเลยมึง สัสเอ๊ย เขาจะโพสต์กี่โมง”

“ไม่รู้พี่ตุ๊กคุยกับลูกค้าไว้กี่โมง มึงรีบโทรบอกพี่ตุ๊กให้เขาเลื่อนก่อนไป” โดว่า เขาดูท่าทางลนลานของเพื่อนแล้วได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้จะช่วยยังไง ปกติปารย์เป็นคนเป๊ะ และทำงานเกือบจะไร้ข้อผิดพลาด นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เขาเห็นเพื่อนรักหลุด แถมเป็นการหลุดครั้งใหญ่เสียด้วย


-----

ฟงแบกขาตั้งก้องไว้บนบ่า อีกมือถือกล่องบรรจุกุยช่ายนึ่งหน้าตาน่ารับประทานที่ซื้อมาฝากคนในออฟฟิศ หลังจากที่จอดรถของออฟฟิศเก็บเข้าที่จอดประจำไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่เขมเดินหิ้วกล่องใส่กล้อง เลนส์ และอุปกรณ์เดินนำอยู่ด้านหน้า พร้อมกับถุงขนมหวานในมืออีกฝั่ง ที่เพิ่งถามคนอื่นในไลน์กลุ่มว่าใครจะเอาอะไรจากร้านดังบ้าง

พวกเขาเดินขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งมีโต๊ะกินข้าวส่วนกลางสำหรับทุกคนในออฟฟิศ ตอนนี้ประมาณเกือบๆ บ่ายสอง  ฟงกวาดตามองหาปารย์หลังจากวางถุงกุยช่ายลงตรงโต๊ะกลางเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่เห็นคนตัวผอมอยู่ที่โต๊ะเหมือนประจำทุกวัน มองไปรอบๆ ชั้นก็ไม่เจอ ฟงเลยถือวิสาสะเดินไปที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่าย แม้จะรู้แหละว่าปารย์จะหน้ามุ่ยนำเสนอเมื่อเขาเดินไปหาถึงโต๊ะ แต่ก็ยอมให้เดินมาหาตลอด

“พี่โดๆ” ฟงกระซิบเรียกคนนั่งตรงข้ามปารย์ โดที่เห็นเด็กฝึกงานชะโงกชะเง้ออยู่ จึงถอดหูฟังครอบหูแล้วเลิกคิ้ว

“ไงมึง” พี่โดก็เป็นหนึ่งในพวกที่พี่เขมชอบชวนกินเหล้า ฟงเลยมีโอกาสได้คุยบ่อยๆ ผิดกับอีกคนที่ต้องหาทางเข้าหาอุตลุต

“กุยช่ายอะพี่ เอามาฝากพี่ปารย์” เด็กหนุ่มเว้นคำพูด “ไปไหนซะละ”

“เอ้อ” โดถอดหูฟังครอบหูออก เหล่มองไอ้เด็กฝึกงานหน่อย “สนิทกันนะมึงช่วงนี้”

“บ้านกลับทางเดียวกันพี่” พอเห็นไอ้ฟงมันยิ้มเผล่ โดก็เกาหัวแกรกๆ ตามสไตล์คนเซื่องต่อไป “ลองลงไปดูหลังบ้านไป”

“ครับ?”

แม้จะแปลกใจ แต่ฟงก็เดินขมวดคิ้วหิ้วกุยช่ายกล่องเล็กที่ตั้งใจบอกป้าคนขายให้แยกใส่มาอย่างดีลงไปข้างล่าง แยกน้ำจิ้ม แล้วเลือกแค่ไส้กุยช่ายกับเผือก ที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายชอบมาอย่างละสองชิ้น แล้วเดินทอดบนหินแกรนิตที่ปูทับบนผืนหญ้าด้านข้างอาคาร ไปยังหลังโฮมออฟฟิศที่เป็นระเบียงไม้ระแนงร่มรื่นใต้ต้นลั่นทมต้นใหญ่ที่ขยายกิ่งก้านสาขาแผ่คลุม
 
ปารย์นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย ในรั้วรอบของระเบียงที่เงียบสงบ ครีเอทีฟหนุ่มผินใบหน้ามองไปยังกำแพงสีขาวสะอาดที่มีไม้เลื้อยขึ้นเกาะตามผิว แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบลอดซี่เหล็กดัดเหนือกำแพงขาวลงมาเป็นริ้วๆ เสียงฝีเท้าของฟงไม่ทำให้คนตัวผอมบางนั่นรู้สึกถึงการมาถึงแต่อย่างใด ซึ่งฟงเลือกที่จะเงียบกระทั่งพาตัวเองย้ายไปนั่งข้างๆ คนที่นั่งเหม่อได้สำเร็จ

“ปารย์”

เรียกไปสักห้าวิ คนที่จมอยู่กับความคิดตัวเองถึงจะได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาด้วยแววตาเศร้าๆ ฟงยิ้มตอบกลับไปบางๆ
‘มันทำงานพลาด แม่งเสือกคิดมากด้วย ปกติเป็นพวกเพอร์เฟ็กต์ชันนิสไง’

ฟังคร่าวๆ มาจากโดบ้างแล้ว ฟงจึงเลือกจะเงียบ แล้ววางกล่องกุยช่ายไว้ข้างตัว เขาอาจจะไม่เข้าใจนักหรอกว่ามันเป็นยังไง การทำอะไรที่ต้องสมบูรณ์แบบพร้อมนั่นน่ะ แต่ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความทุกข์ในหน้าที่การงานแล้วก็เรื่องเรียนสำหรับเขา มันก็เป็นในอีกรูปแบบหนึ่ง

“อู้งานเหรอเรา มานั่งซ่อนตัวแถวนี้” เขาเย้า ปารย์ยังทำหน้านิ่งตอบ ไม่มองหน้าด้วย

“......”

“กินกุยช่ายเปล่า มันยังร้อนๆ อยู่เลย เนี่ย มีไส้กุยช่ายสองตัว เผือกอีกสองตัว”
 
ปารย์ยังนั่งเงียบ ฟงเลยเงียบตาม เอาล้วงมือหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงหลัง แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาตัวหนึ่ง เขาจุดไฟวาบขึ้นที่ปลายมวน

“ขอสูบบุหรี่นะ”

“......” ไม่ตอบ

“ขอนั่งเป็นเพื่อนด้วย”

“......”

ยังไม่ตอบอยู่ดี ฟงมองเสี้ยวหน้าคนข้างตัวแล้วนึกอ่อนใจ “เอาบุหรี่สักคำไหม” เขาถาม ก่อนที่จะเป็นครั้งแรกที่ปารย์หันกลับมาพยักหน้าแล้วมีรีแอ็กชั่นกับเขาในหลายนาทีที่ผ่านมา ที่ปล่อยให้เขาพูดอยู่คนเดียว

“อื้อ”

ครีเอทีฟหนุ่มรับมวนบุหรี่ไปคีบไว้ที่นิ้วเรียวสวย ขาวจัดและเป็นระเบียบแบบที่ฟงรู้ว่าหากเอาฝ่ามือหยาบเท่าฝาบ้านของเขาไปเทียบ คนเหมือนนรกกับสวรรค์ ปารย์จรดปลายบุหรี่เข้าที่ริมฝีปาก ก่อนค่อยๆ อัดเข้าปอด

ไม่ใช่ไม่เคยสูบบุหรี่ แต่เพราะว่านานๆ ทีจะสูบในวงเหล้าสักครั้ง บุหรี่รสแรงของฟงทำเอาปารย์หัวหมุนติ้ว แล้วไอโขลก

“แค่กๆ”

“เนี่ย ชอบทำร้ายตัวเอง” ฟงส่ายหัว เขายึดบุหรี่คืน เท่านั้นแหละเด็กฝึกงานหนุ่มจึงได้เห็นสายตาราวกับกรรไกรของคนข้างตัว ไม่ใช่สายตาไร้จุดหมายอีกต่อไป

“คนที่ทำร้ายตัวเองคือคนที่สูบบุหรี่วันละครึ่งซอง”

“โห รู้ด้วย” ฟงทำหน้าเหลือเชื่อแหย่กลับ ทำเอาคนที่ผอมปริปากพูดเบะปากใส่

“ลงมาทำไม ไม่ไปทำงาน”

“งานเสร็จแล้วเนี่ย พักก่อนค่อยไปทำรูปให้พี่เขม พี่เขมไปคุยงานกับพี่โจ๋ยังไม่ออกมามั้ง” ฟงว่า ก่อนหยิบกล่องชานอ้อยบรรจุกุยช่ายที่ตั้งใจจะเอามาฝากคนข้างตัวตั้งแต่ทีแรกออกมาจากถุง “กินเร็ว ข้าวกลางวันยังไม่ได้กินไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ค่อยหิว”

“เฮ้ยได้ไง ถึงเวลาก็ต้องกิน” ฟงว่า เขาดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งถังขยะแถวนั้น ก่อนหยิบช้อนพลาสติกที่ติดมากับกล่องขึ้นมา พอเปิดกล่อง กลิ่นหอมของกุยช่ายที่ยังอุ่นๆ อยู่ก็ลอยออกมา ทำเอาปารย์ที่ปากบอกไม่หิว ก็ท้องร้องอยู่เหมือนกัน

ฟงเลือกไส้กุยช่าย คิดเองว่าปารย์น่าจะชอบ เพราะปกติที่ร้านก็ชอบให้ป๊าผัดกุยช่ายขาวเต้าหู้หมูสับให้กินบ่อยๆ ส่วนข้าวต้มกุ๊ยก็ชอบเลือกตักให้มีเผือกลอยอยู่เยอะๆ ฟงชอบดูเวลาอีกฝ่ายนั่งตรงข้ามกันแล้วคีบกุยช่ายขาวขึ้นมากินคู่กับเผือกเละๆ ในข้าวต้ม ฟงเคยลองกินตาม รสชาติเค็มๆ และกลิ่นหอมเฉพาะของกุยช่ายขาว ไปกันได้ดีกับความมันของเผือก สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบคือปารย์เป็นคนกินน้ำเยอะ แต่การกินน้ำเยอะไม่ได้หมายความว่าจะต้องกินข้าวคำน้ำคำนี่น่า เพราะกินแบบนั้นเลยอิ่มเร็ว ตัวก็กะเปี๊ยกเท่านี้

“อ้าปาก” เขาตัดกุยช่ายเป็นคำเล็กๆ ไม่ลืมจะราดน้ำจิ้มเจ้าเด็ดลงไปด้วย ก่อนยื่นช้อนไปใกล้ปากคนตัวเล็กกว่า

ปารย์ทำท่าลังเล เขาเขินหน่อยๆ ที่อยู่ๆ มีผู้ชายตัวเบ้อเริ่มมาป้อนข้าวกันต่อหน้าแบบนี้ แต่พอเห็นสายตาแห่งความหวังของไอ้ผิวแทนตรงหน้า ก็จำใจอ้าปากรับกุยช่ายเข้าไปอย่างเสียมิได้

แต่รสชาติอร่อยของมันก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา อย่างนี้สินะที่หลายคนบอกว่าของอร่อยทำให้คนอารมณ์ดีได้ ท่าจะจริง
เงยหน้ามองคนตรงหน้า ปารย์ก็ต้องรู้สึกหน้าเห่อร้อนหน่อยๆ เมื่อเห็นไอ้คนตัวใหญ่กว่ามันตักกุยช่ายเข้าปากตัวเองบ้างแล้วเคี้ยวกร้วม

“แย่งกินเหรอ” ปารย์ว่างุบงิบ ไม่จริงจังนัก แล้วรีบเบือนหน้ามองกำแพงต่อ เพราะแค่มองริมฝีปากที่สัมผัสช้อนพลาสติกคันนิดเพียงเสี้ยววิ หัวใจก็เต้นแรงแบบไร้สาเหตุ

“เห้อ” ฟงแกล้งถอนหายใจ “ก็ใครบอกไม่กินๆ”

“ไม่เอา จะกินแล้ว เอามานี่” ฟงยอมให้ถาดในมือถูกดึงออกไปอย่างง่ายดาย เขาเท้าคางกับพนักเก้าอี้ เอี้ยวตัวมองคนที่ตักกุยช่ายกินยิ้มๆ

“ชอบปะ ไว้ผ่านไปแวะซื้อให้อีก”

“อร่อยดี แต่จริงๆ ป๊ากับม๊าก็ทำอร่อย ปีหนึ่งจะทำขายแค่ช่วงเจ”

“รอกินเลย”

“รอตลอด” ปารย์ส่ายหัว ฟงนั่งจ้องอีกฝ่ายต่อไปอย่างไม่ปกปิด เขานั่งดูคนที่ทำเอาใจคนปั่นป่วนหลายสัปดาห์มานี้เคี้ยวตุ้ยๆ กระทั่งกุยช่ายชิ้นที่สองหมดลง ความเร็วในการกินก็ลดลงไปด้วย

“เอาน้ำไหมเดี๋ยวเราไปกดตู้ให้” เด็กฝึกงานถามขึ้น คนที่แก้มตุ่ยอยู่เป็นอันต้องส่ายหัว

“ฮื่อ ไม่อะ นั่งพักแปบนึงแล้วเดี๋ยวเราจะขึ้นไปกินน้ำข้างบน”

“เหลืองานอีกเยอะไหม”

“ก็มี แต่ขี้เกียจแล้วละ คงได้เคลียร์พรุ่งนี้” ปารย์ว่าเสียงค่อย “ว่าจะกลับไวหน่อย”

“ไปส่งให้ก่อนไหม” ฟงเลี่ยงจะถามว่าทำไม เขารู้เหตุผลดี

“ไม่ต้องหรอก รถเมล์ไม่กี่ป้ายเอง”

“......”

“ถ้าจะตามมากินข้าวก็ไลน์มาบอกตอนจะออกแล้วกัน” จากหูลู่ที่โดนปฏิเสธในคำถามแรก ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับผสานมุมปากยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อืม”

“อยากกินชานมไข่มุก” ปารย์เปรยขึ้นมาเบาๆ จนฟงแทบจะไม่ได้ยิน

“หือ”

“......”

“เดี๋ยวทำภาพเสร็จ จะรีบขี่รถไปซื้อให้เลยครับผม”


-----


ฟงเป็นเด็กใต้ เขาโตมากับทะเลสาบขนาบข้างหนึ่งของเมือง อีกฝั่งคือหาดสมิหลา ที่ๆ นางเงือกสาวนั่งผ่านคืน ผ่านวัน ผ่านแดดและฝนมาชั่วนาน ขณะเดียวกันเขาก็เป็นเลือดคนจีน แต่ทว่ามันอาจจะไม่ใช่เลือดที่เข้มข้นนัก เพราะหากหลายครั้งเขาบอกว่าตัวเองคือคนสงขลาเชื้อสายจีน หลายคนก็จะมีหัวเราะ หรือบางครั้งเพื่อนร่วมวิทยาลัยนี่แหละจะทำให้ไม่เชื่อ แล้วฟาดฟันกันด้วยคำว่าเจ๊กปลอมเสมอๆ

บ้านของเขาเป็นตึกแถวอยู่ในตัวเมืองเก่า อยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ที่ยังเป็นเมืองเงียบๆ และเป็นท่าเรือที่เขาว่ากันว่ามีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดกันเป็นล่ำเป็นสัน กระทั่งปัจจุบันทางการสงขลาตัดสินใจยกเมืองเก่าสงขลาให้เป็นมรดกโลก จึงรีโนเวตเมืองเก่าให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้อนรับผู้คนทุกสารทิศ ผ่านคาเฟ่ทันสมัย จุดถ่ายภาพสวยงาม และสตรีตอาร์ตตามกำแพง
แม้ว่าสำหรับร้านกาแฟเก่าแก่ที่ขายข้าวต้ม ปาท่องโก๋ในตอนเช้า จะไม่ค่อยได้อานิสงส์อะไรมาก แต่ม๊าก็บอกว่า พอนักท่องเที่ยวมาเพิ่ม ก็ขายได้มากกว่าสิบปีก่อนพอตัว แต่สำหรับฟง บ้านเกิดก็ยังเป็นบ้านเกิดที่เขาวิ่งเล่นไปตามตรอกซอกซอยแต่เล็ก แต่น้อย เมืองเก่าสงขลาร้อนระอุเสมอในช่วงหน้าร้อน ช่วงหน้าฝน หน้าหนาว ก็เหมือนเมืองใต้ทั่วไป ที่ฝนสามารถกระหน่ำลงมาให้เราชื่นใจพลางเหนื่อยใจได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ถึงกระนั้น ทุกเย็นหากเดินทะลุตรอกซอยเล็กๆ เข้าไปได้ถึงริมทะเลสาบสงขลา พระอาทิตย์ตกตรงนั้นสวยงามที่สุด ภาพชินตาสำหรับทุกเย็นของเขา ทุกครั้งที่กลับบ้าน

และวันนี้เขาก็รู้แล้วว่าอยากให้ใครได้ไปยืนดูด้วยกัน

“พี่เขม ภาพแต่งเสร็จแล้ว มาลองดูไหม” ฟงยกมือนวดกระบอกตาเล็กน้อย ระหว่างเอนตัวลงกับเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์แมคอินทอชตัวใหญ่

“ไหน” เจ้านายกลายๆ ของเขาเดินมาพร้อมกับแก้วโค้กในมือ ช่างภาพหนุ่มวัยสามสิบ หน้าตาดูดุด้วยหนวดเครา แต่จริงๆ แล้วใจดีที่สุดในกองแล้วก็ว่าได้ กวาดตามองภาพของฟงเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “พี่ว่าโอเคแล้ว แต่ปรับสีให้มันสว่าง นวลโทนเหลืองขึ้นนิดหนึ่ง มันจะต้องมีความละมุนแบบผู้หญิงๆ อะ”

ฟงพยักหน้ารับ เขาไม่ถนัดถ่ายอาหารเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ไม่ถนัดสุดก็คงจะขนม เขาไม่เก็ตความหวานของมันเท่าไหร่

พี่เขมเงียบไปพักหนึ่ง มองดูเขาลากเมาส์ไปมาในโปรแกรมไลท์รูม

“มึงอยากลองไปรับถ่ายงานเบื้องหลังกองถ่ายไหม” พี่เขมเปรยขึ้น “มึงอยากถ่ายสายสตรีตนี่ กูว่า น่าจะพัฒนาฝีมือได้เยอะเลย เพื่อนกูเป็นตากล้องเบื้องหลัง เขาหาคนช่วยอยู่ คนนี้เก่งจริง เปิดสตูดิโอด้วย”

“ครับ?” ฟงเลิกคิ้ว

“มึงมีฝีมือ มาอยู่ที่นี่มันก็พัฒนาแหละ แต่ไปอย่างช้าๆ ชื่อเสียงผลงานในส่วนที่มึงอยากสร้างก็ไม่ได้ ได้แต่ถ่ายงานสายคอมเมอเชียลไปวันๆ”

“อ่า…” พี่เขมเป็นเพื่อนอาจารย์ของเขาที่เพาะช่าง ฟงที่จำเป็นต้องฝึกงานเพื่อมีสิทธิ์ไปทำตัวจบ จึงได้รับคำแนะนำให้เข้าทำงานกับพี่เขม

จะว่าก็ว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากลองทำงานกับโปรดักชั่นหนัง หรืองานนิตยสารที่เน้นถ่ายภาพพอร์ตเทรด หรือภาพแนวอื่นๆ ที่มากกว่าการมานั่งถ่ายอาหารที่ไม่มีชีวิตชีวา แต่การฝึกงานกับสตาร์ตอัพแห่งนี้ ทำให้เขามีเวลาไปรับจ๊อบอื่นๆ งานไม่หนักมาก พอจะแบ่งไปหาเงินได้ แถมที่นี่ก็มีเงินเดือนสำหรับเด็กฝึกงานให้เดือนละถึงเก้าพันบาท แม้มันจะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไปทำงานหนักๆ แล้วไม่ได้อะไร สำหรับเขาในตอนนี้

ความฝันก็คือความฝัน อยากวิ่งไล่ตาม แต่ก็ไม่ง่าย

ตั้งแต่เขาตัดสินใจมาเรียนเพาะช่างในกรุงเทพฯ ฟงไม่เคยขอให้แม่ที่เลี้ยงเขาและพี่มาตัวคนเดียว ช่วยเขาสักบาท อาจจะมีเรื่องค่าเทอมนิดๆ หน่อยๆ แต่ว่าเขาพยายามรบกวนที่บ้านให้น้อยที่สุด บ้านเขาไม่ได้พอมีพอกินขนาดนั้น มันมีทั้งช่วงลำบากและช่วงที่พอไปไหวสลับๆ กันไป ซึ่งสาเหตุนั้นทำให้เขาที่อายุอ่อนเดือนกว่าปารย์ไม่กี่เดือน ยังเรียนไม่จบเสียที แม่มีค่าบ้านที่ยังต้องส่งธนาคารเพราะเอาเข้าธนาคารเอาไว้ ช่วงที่หาทุนมาเปิดมินิมาร์ทแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด พี่สาวของเขาที่อายุห่างกันสิบปี แต่งงานกับคนเยอรมนีไปก็ส่งเงินมาช่วยค่าบ้านทุกเดือนตามแต่จะหาได้ ส่วนฟงที่ทำอะไรไม่ได้ การหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ ยืนด้วยตัวเองให้ได้ น่าจะสำคัญที่สุด

“เออกูรู้ มึงคิดหนัก จริงๆ ถ่ายภาพสายคอมเมอเชียลมันหางานง่ายจริงๆ งานก็สบายกว่า คิวหนึ่งก็ได้เยอะ” พี่เขมว่า พลางเคาะคิ้วกับโต๊ะ “แต่ถ้ามึงยังพอกัดฟันไหว กูว่าลองไล่ตามฝันดูก่อนไหมวะ ถ้ามันไม่ไหวก็ทักมาบอกกูได้ นี่มึงฝึกงานมาจะเดือนแล้วใช่ปะ เดี๋ยวกูฝากกองถ่ายไปอีกสองเดือน ก็ฝึกครบสามเดือนพอดี”

ฟงเงียบไป เขานึกชั่งใจ ไอ้อยากไปก็อยากไป แต่มันหมายถึงเวลางานที่ไม่แน่นอน หามรุ่งหามค่ำ เงินก็น่าจะไม่ได้ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่สำคัญ แล้วก็คงไม่ได้เจอไอ้คนหน้าดุคนนั้นทุกวันแบบนี้…

“ผมขอคิดก่อนได้ไหมพี่”

“เออ ตามใจ รีบหน่อยแล้วกันเวลามันไม่ค่อยท่านะเว้ย”

“ครับ”

“เออ ปลายเดือนนี้ เขาจะมีเอาต์ติ้งบริษัทที่ปราณบุรี เด็กฝึกงานไปด้วยกันนะว้อย ไม่อ้วกไม่นอน”

ฟงหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวให้กับหัวหน้าที่เดินเกาพุงแกรกๆ ไปที่คอมส่วนตัว พูดแบบนี้ คนขับรถกลับกรุงเทพฯ ในวันถัดมาคือเขาแน่ๆ


-----

ฟงเลิกงานไวกว่าที่คิด เขารีบรับลิสต์เมนูอาหารจากประชากรออฟฟิศมาในตอนสี่โมงครึ่ง สะกิดไหล่ปารย์ที่นั่งเคาะคีบอร์ดแล้วขมุบขมิบปากว่า รอแป๊บๆ… จนโดที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันยังต้องเงยหน้า ใช้พลังงานที่เหลือน้อยนิด ขยับดวงตาจ้องมองมาอย่างจับผิด จนปารย์ต้องรีบผลักเอวอีกคนให้เดินไปไวๆ

ฟงกับคิทใช้เวลาแว้นซ์ไปตลาดไม่ถึงสามสิบนาทีก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกเต็มมือ เด็กฝึกงานทั้งสองคนเดินหน้าแช่มกลับมาที่โต๊ะกลางของออฟฟิศชั้นสอง ก่อนที่ชาวมนุษย์เงินเดือนจะปรี่เข้าไปดูอาหารของใครของมัน แล้วเสียงโหวกเหวกท่ามกลางเวลาของอาหารเย็นก็เริ่มต้นขึ้น

เด็กฝึกงานตัวสูงฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย ดึงถุงพลาสติกบรรจุแก้วน้ำสีสวย แล้วเดินยิ้มเผล่ไปหาคนที่นั่งหน้าเครียดหน้าคอม ปารย์สีหน้าดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไอ้ที่ตอนกลางวันปากบ่นว่าไม่อยากทำอยู่เงียบๆ ท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของคนอื่น

“ปารย์” เขาสะกิดไหล่คนตัวเล็ก แล้วยื่นแก้วน้ำในมือไปให้

“อะไรเนี่ย”

“ชานมไข่มุกไง”

“แล้วทำไมเป็นนมเย็น” ปารย์ขมวดคิ้วฉับ แต่ถึงอย่างงั้นก็รับมาดูด “หวาน” ปากบอกงั้นแต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูด

“ไม่รู้อะ สลับๆ กันไปบ้างไม่ได้เหรอ”

“อืม ก็กินได้” ปารย์ว่า หมุนเก้าอี้กลับไปนั่งจ้องตากับคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม

ฟงไม่พูดอะไรต่อ เขาเลื่อนเก้าอี้ว่างข้างๆ ปารย์ แล้วทรุดตัวนั่งลง

“ผัวมารับกลับบ้านแล้ว เมียรีบๆ ปิดคอมได้แล้ว” เสียงยานคางลอยมาจากโดเพื่อนรักเพื่อนแค้นของครีเอทีฟหนุ่มที่ปากยังจุ่มหลอดชานมไข่มุกอยู่ ได้ยินอย่างนั้น ปารย์ก็ตาโตแล้วขึงตาใส่ทันที

“ค*ยเถอะครับ” พูดอย่างเดียวไม่ได้ ชูนิ้วกลางไปให้ด้วยอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้น พอเขาหันหน้ามาทางซ้าย เห็นแววตาระยิบระยับของไอ้เด็กฝึกงานที่นั่งรอคอยอย่างใจจดจ่อ เพราะดันไปพลั้งปากบอกมันว่าจะกลับไว เลยจำเป็นจะต้องยอมปิดคอม

“เออๆ รู้แล้ว”

“กลับบ้านไวๆ สักวันก็ดีนะปารย์ หิวข้าวแล้วเนี่ย”
 
 

tbc.


เค้ามารับกันกลับบ้าน

 :hao5: แง ขอโทษนะคะหายไปนานมากเลย ช่วงนี้ลี่ออกกองรัวๆ
แต่เดี๋ยวจะมาลงให้ยาวๆ จนจบ พร้อมต่อคู่ที่ 4 ให้นะคะ

สำหรับคู่น้องฟงกับน้องปารย์ เค้าก็จะไม่ค่อยดราม่าเท่าไหร่นัก ไม่เท่าเมธัสกับอชิแน่นอน 555
เรื่อยๆ น่ารักๆ มากกว่าค่ะ
แต่มันก็อาจจะมีนิดหนึ่งอะนะ

เจอกันเร็ววันนี้ค่า


ออฟไลน์ TheSpaceOfM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นความสัมพันธ์แบบเนิบๆเรียบๆที่สบายใจและน่ารักดีค่ะ ทุกอย่างไม่รีบร้อน แต่ฟงต้องเลือกแล้วว่าระหว่างตามความฝันกับอยู่ฝึกงานที่เดิมแต่ใกล้ปารณ์จะเลือกอะไร รอติดตามตอนต่อไปนะคะคุณไคลี่ ขอบคุณที่อัพนิยายค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มาๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
รอนะคะ ชิบมากกกก เรื่องนี้นึกถึงโดเทพรีลาเลย555555 รอคับผม

ออฟไลน์ kyliewonderland

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +565/-4
ตอนที่ 4



ปารย์ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดิมของเด็กฝึกงาน ลัดเลาะตามท้องถนนไปยังบ้านพักอาศัยย่านสุทธิสาร วันนี้ออกไว การจราจรเลยไม่ทรหดมาก สิบนาทีเศษก็ถึงบ้านแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่คนยังเลิกงานประปราย ไม่มากนัก ร้านข้าวต้มจึงยังมีลูกค้าแค่สองสามโต๊ะเท่านั้น ป๊านั่งดูมวยผ่านโทรศัพท์หน้าจอยักษ์อยู่หน้าเตา ส่วนม้าหั่นผักบุ้งในเข่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน พอเห็นลูกชายกลับมาไวพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน ม๊าก็แจกยิ้มกว้างมาจากเขียงทันที

“อาฟง อาปารย์” เนี่ย เรียกชื่อยังเรียกชื่อไอ้ฟงก่อนลูกชายตัวเองไปอี๊ก

“หวัดดีครับม๊า”

“วันนี้กลับกันมาไวเชียว” ม๊าว่า ส่วนป๊าก็ยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นหน้าฟง ก่อนกวักมือเรียกหาลูกคู่ดูมวยเป็นเพื่อน

ตอนแรกๆ ปารย์ก็ค่อนขอดในใจแหละ กับการตีสนิทครอบครัวเขาอย่างรวดเร็วแบบนี้ มันก็น่าหมั่นไส้อยู่หรอกนะไอ้เด็กนี่ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ว่าดีเหมือนกันที่มีฟงอยู่ มันทำให้อาป๊า อาม๊าเขา สดชื่นแจ่มใสกว่าเดิมมากโข ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถเจิดจ้าได้เท่าฟง เขาไม่มีความสามารถในการอ่านใจใครว่ารู้สึกยังไงแล้วควรจะพูดหรือทำตัวแบบไหน แต่ฟงทำได้ มันทำให้ป๊า ม๊า มีความสุขขึ้นเยอะเมื่อมีคนมาพูดคุย หรือต่อปากต่อคำกัน เหมือนตอนที่เจ๊ป่านยังไม่ไปเรียนต่อ

“เนี่ย ป๊าว่าฝ่ายแดงเชิงดี แต่แรงหมดไวไปหน่อยน่ะ อาฟง”

“นั่นสิครับ ฝ่ายน้ำเงินตัวใหญ่กว่าด้วย”

“โอ้ ช่าย ช่าย” ปารย์เดินไปสะกิดฟงที่ยืนกอดอกอยู่กับป๊า ขัดจังหวะการรับชมมวยจนป๊าค้อนตาแทบคว่ำ “ลื้อไปทำอะไรก็ทำไปปารย์ แล้วเดี๋ยวสักชั่วโมงค่อยเดินลงมา ไม่ต้องเอาอาฟงไป”

“เนี่ย จะขึ้นไปซักผ้า” ปารย์ว่า เขาส่ายหัวโคลงให้พ่อตัวเอง

“เดี๋ยวเราอยู่กับป๊าม๊าเนี่ยแหละ ปารย์มีอะไรก็ไปทำเถอะ”

“ไป ไป” ขนาดป๊ายังไม่สนใจ หันไปจ้องจอมวยต่ออย่างตาไม่กระพริบเหมือนเด็กติดการ์ตูน ถามว่าปารย์เสียใจไหมที่เขาไม่ใช่ลูกชายที่ชอบอะไรเหมือนพ่อ ไม่ชอบดูมวย ไม่ชอบออกไปเตะตะกร้อหลังสถานีตำรวจ มอเตอร์ไซค์ก็ขับไม่แข็ง ช่างพูดช่างเจรจาหรือก็ไม่ เขาก็เคยคิดมากอยู่บ้างน่ะนะ บางทีก็รู้ตัวว่าไม่สามารถเข้าใจป๊ากับม๊า หรือมีกิจกรรมอะไรร่วมกันมากได้ แต่เพราะป๊า ม๊า ไม่เคยขอให้เขาเปลี่ยนเป็นคนอื่น ดังนั้นมันก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วว่า เขาควรเสียใจหรือไม่

และการมีฟงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านในเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกเย็น อาจจะเพราะเป็นฟง ทำให้เขาไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพราะมันเป็นฟง เพราะเป็นฟงนั่นแหละ


ชั้นล่างของบ้านคือร้านอาหาร ชั้นลอยของบ้านที่เป็นระเบียงยื่นออกมา ที่ป๊าม๊าเรียกมาตลอดว่าเหล่าเต๊งนั้น อยู่ระหว่างชั้นหนึ่งและสองของตัวบ้าน มันเป็นที่ๆ ป๊าและม๊ามักใช้ดูละครหรือข่าวช่วงสายด้วยกัน ก่อนที่จะลงมาเตรียมเปิดร้านตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับเจ๊ยังเด็ก ป๊ากับม๊าเปิดร้านตั้งแต่เที่ยงลากยาวไปตอนตีสอง เขาไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมป๊า ม๊า ไม่เคยมีเวลาก่อนนอนให้เขา ไม่เคยเล่านิทาน ไม่เคยพูดคุย แต่พอโตขึ้น ก็ได้รู้ มันคือหยาดเหงื่อและความอดทนที่พ่อแม่แลกมาให้พวกเขา พวกเขาพยายามเป็นพ่อและแม่ที่ดีที่สุดให้ปารย์และพี่สาว พอปารย์เข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ป๊ากับม๊าก็ตกลงที่จะปิดร้านเร็วขึ้น ไม่เกินเที่ยงคืน เพราะภาระเริ่มน้อยลง แม้จะมีใครขอให้ปิดร้านเวลาเดิม แต่ป๊าก็มักจะหัวเราะเลี่ยงเสมอ เพราะรู้ดีว่า มันไม่จำเป็นสำหรับใครอีกแล้ว สิ่งที่ควรทำ ป๊าได้ทำไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว

ห้องของปารย์อยู่ชั้นสาม ส่วนชั้นสองคือห้องนอนของป๊าและม๊า และห้องเล็กเป็นของเจ๊ป่าน ห้องฟานมันเป็นห้องนอนที่อยู่ใต้ดาดฟ้า ไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็ก เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเตียง โต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ ทุกอย่างคือเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เข้ากันเลยสักชิ้น ข้าวของของปารย์ไม่เยอะถ้าเทียบกับคนอื่น แต่เพราะห้องนี้เก็บข้าวของของเขามาทั้งชีวิต ดังนั้นสำหรับเขามันก็ถือว่าเยอะนั่นแหละ

ฟานเดินถือตะกร้าผ้าขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า เครื่องซักผ้าอยู่ที่ชั้นนี้เช่นเดียวกับราวตากผ้า วันนี้ลมไม่แรงนัก ฝนคงไม่ตกจากที่ลองเช็กพยากรณ์อากาศในกูเกิลมาคร่าวๆ แต่คงต้องลุ้นกันอีกอยู่ดี เด็กหนุุ่มโยนผ้าลงถัง วันนี้เป็นคิวผ้าขาว บนลานดาดฟ้าไม่มีอะไรมาก มีแท้งก์น้ำหนึ่งอันใหญ่ๆ มีเครื่องซักผ้าตั้งอยู่ใต้ชายหลังคาที่ยื่นออกมาจากฝั่งประตู ลานโล่งที่ขึงลวดเอาไว้และแขวนตะกร้าไม้หนีบสำหรับตากผ้า อ้อ มีเปลญวนหนึ่งอันที่ผูกขึงไว้กับเสาสองต้น

บางครั้งปารย์ชอบขึ้นมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ตรงนี้ สมัยมัธยมก็ชอบเช่าการ์ตูนและมานั่งอ่าน นอนอ่านบนเปลของป๊า เพราะมันยังเสียงดังจากข้างล่างอยู่ดีแม้ห้องนอนจะอยู่ชั้นสาม แต่ก่อนเขาเก็บตัวกว่านี้มาก แต่กาลเวลาก็ค่อยๆ ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะใส่ใจคนอื่นมากขึ้น แต่คงไม่ใช่คนที่ใส่ใจใครตั้งแต่เกิดแบบฟงหรอก

ปารย์ทรุดตัวนั่งลงระหว่างรอผ้าซักสี่สิบห้านาทีตามเวลาบนหน้าปัดดิจิทัล เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนดูฟีดเฟซบุ๊ก หนึ่งในนั้นรูปที่ผ่านตาคือรูปหน้ากวนๆ ของไอ้เด็กฝึกงานที่ยังดูมวยอยู่กับป๊าเขา มันเป็นรูปที่เพื่อนมันแท็กมา ภาพบอกเวลาว่าน่าจะเป็นเมื่อคืนนี้

ฟงแอดเฟรนด์บนเฟซบุ๊กเขาเมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน หลังจากที่พวกเขาถ่ายงานสตูดิโอด้วยกันสองคนเป็นครั้งแรก ปารย์ไม่ได้ใช้เฟซบุ๊กทำอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้วจึงรับแอดอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่จากวันนั้นจนวันนี้ เขายอมรับแล้วละว่าเขาคิดมากขึ้นจริงๆ เมื่อในหลายวันที่ผ่านมา เขาลอบเข้าไปดูเฟซบุ๊กฟงบ่อยๆ

โพสต์ล่าสุดเป็นรูปในร้านเหล้า มีรูปเจ้าของเฟซบุ๊กนั่งยิ้มหราอยู่กลางเฟรม มีเพื่อนล้อมรอบ ท่ามกลางเพื่อนๆ สุดเซอร์ ฟงก็ยังดูโดดเด่น ขวดแสงโสมวางอยู่กลางโต๊ะ เวลาระบุเที่ยงคืนนิดๆ เมื่อคืนฟงกลับไปประมาณสี่ทุ่มครึ่ง เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก เพราะมันไม่ใช่กงการอะไร และฟงก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องบอกอะไรเขาทุกอย่าง เขารู้ดี

ปารย์เลื่อนโพสต์ถัดไปลงมา เป็นรูปถ่ายแก้วเหล้าวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมแคปชั่น ‘รอสุดหล่อมาเปิดงาน หายหน้าหายตาเดี๋ยวปั๊ด’  โพสต์นั้นมาจากเพื่อน และแท็กฟงไว้คนเดียวตอนสามทุ่มยี่สิบสองนาที ปารย์มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปร่งประหลาด มันประหลาดสิ เพราะนอกจากเหมือนว่าหลังๆ ฟงจะเอาเวลามาอยู่กับเขาเป็นส่วนใหญ่แล้ว เขายังเหมือนได้รู้จักฟงแค่ในด้านที่เจ้าตัวอยากให้เขารู้จัก ส่วนฟงรู้จักเกือบทุกอย่าง บ้านเขา พ่อแม่เขา งานของเขา
เขาเลื่อนหน้าจอถัดลงมา ฟงดูไม่ได้แอคทีฟอะไรในเฟซบุ๊กมากนัก เพราะมันยังคงเป็นโพสต์ข้อความจากคนอื่น

‘Nune Pavinee > Fong Arak
คิดถึงพี่ฟง มามอบอกด้วยดิ’

‘Nan Nann > Fong Arak
โดนใจอะคนดี ยิ้มทีใจละลาย’


ว้อททท แม่งมีแต่ผู้หญิงมาเต๊าะ ปารย์สบถในใจ พอเลื่อนมาอีกโพสต์ถึงโล่งอก เพราะเป็นสเตตัสของฟงบ่นฝนตก ไม่ใช่โพสต์สาวมาจีบอีกต่อไป ซึ่งแม้ว่าฟงจะทำแค่เพียงกดไลก์แต่ปารย์ก็ยังหัวเสียอยู่ดี คนมันหงุดหงิดแล้ว ขึ้นแล้วลงยาก เอ๊ะ แต่ เดี๋ยวนะ โล่งอก? หงุดหงิด? ปารย์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกช็อก มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขากันวะเนี่ย

เขาปิดหน้าจอเฟซบุ๊กลง แล้วกดปิดจอมือถือ ปารย์ถอนหายใจยาวเหยียด แต่เสียงฝีเท้าจากบันไดที่ดังไล่ขึ้นมาที่ข้างตัว ทำให้เขาต้องพยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ

“ปารย์” เสียงเรียกทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้น

“มวยจบแล้วเหรอ”

“อืม ป๊าเลยให้มาตามน่ะ” ฟงว่า เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างๆ ม้านั่งที่ปารย์นั่ง เสียงเครื่องซักผ้ายังปั่นอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขานั่งเท่าไหร่นัก

“ผ้าอีกยี่สิบนาที”

“เดี๋ยวช่วยตาก”

“......” ปารย์ไม่ตอบอะไร เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มถูกย้อมเป็นสีส้มอ่อนอย่างเชื่องช้า

“เป็นไร”

“เปล่า คิดโน่นคิดนี้”

“หิวข้าวยัง”

“ยังเลย หิวแล้วเหรอ” ปารย์ถามกลับ

“ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าปารย์หิวก็กินได้”

“อื้อ” ปารย์ว่าเสียงเรียบ ก่อนที่เขาจะเหลือบใบหน้ามามองหน้าคนข้างตัว ที่ยังคงใช้สายตาจ้องมองมาที่เขาอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ฟงตอนอยู่กับคนอื่น จะใช่สายตาแบบไหนนะ? จะใส่ใจคนอื่น เหมือนที่มาใส่ใจคนไม่ค่อยแสดงออกแบบเขาหรือเปล่า “เมื่อวานไปกินเหล้ามาเหรอ”

สีหน้าเด็กฝึกงานดูชะงักไปหน่อยหนึ่ง ก่อนที่จะอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สองสามวิ เหมือนจะอ้าปากตอบคำถาม แต่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จนปารย์ต้องส่ายหน้า

“เดี๋ยว”

“ปารย์โกรธเหรอ” ฟงถามกลับเสียงอ่อย “เมื่อคืนเพื่อนมันโทรเรียก ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไป แต่ว่ามันเหล้าหลือจริงๆ”

“เราไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”

“ก็...กลัวไม่ชอบอะ”

“เราเนี่ยนะ” ปารย์ชี้หน้าตัวเอง “มันก็ปกติของผู้ชายทั่วไปปะ เพียงแค่เราไม่ได้ชอบไป ไม่ได้หมายความว่าจะเหมารวมไม่ชอบทุกคนที่กินเหล้า”

“ก็ไม่รู้ปารย์คิดยังไง ปกติเวลาบอกผู้หญิงว่าไปกินเหล้ากับเพื่อนเป็นเรื่องทุกที”

ปารย์ถึงกับคิ้วกระตุก “เฮ้ย เราไม่ใช่ผู้หญิง”

“เอ้อ ขอโทษ”

“จะกินก็กินเถอะ แค่อย่าเอารถไป”

เหมือนจังหวะนั้น สายตาฟงเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน “เมื่อวานก็จอดรถที่หอแล้วนั่งวินไป”

“ดีแล้ว”

“ปารย์รู้ได้ยังไง”

“ก็มันขึ้นในฟีด เพื่อนนายแท็กภาพมาอะ”

“เดี๋ยววันหลังจะบอกมันว่าไม่ต้องแท็ก” ฟงพึมพำแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็กเฟซบุ๊กตัวเองทันที

“ไม่ต้อง บอกแล้วไงว่าไม่ได้อะไร แค่สงสัยเฉยๆ” ปารย์เว้นวรรค ก่อนเจอกับสายตาตั้งคำถามจากฟง “สงสัยว่าทำไมไม่บอก บอกก็ได้แล้วก็รีบๆ ไป ไม่ต้องมาฝังตัวอยู่ร้านข้าวต้มแบบนี้ก็ได้”

“งั้นวันหลังจะบอก”

“ไม่ใช่” ปารย์ยกมือห้ามเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเข้าใจผิดประเด็นแล้ว เขามองหน้าฟง แล้วตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดออกไป “ฟง เราจะบอกว่า ที่ฟงมาช่วยบ้านเราทุกเย็น มันไม่ใช่หน้าที่ถูกไหม ฟงไม่ได้จำเป็นต้องทำ ฟงก็มีโลกของฟง มีเพื่อน เราไม่อยากกลายเป็นคนที่ถูกบอกว่าเอาฟงมาใช้แรงงานอะไรแบบนี้”

คิ้วสวยขมวดมุ่นทันทีที่ได้ยินดังนั้น ฟงสีหน้าเข้มขึ้นทันที “ใครพูดแบบนั้นกับปารย์”

“ไม่มี”

“งั้นก็ไม่ต้องคิด เราเต็มใจ เราอยากมาที่นี่ อยากมาส่งปารย์”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ ถ้าปารย์ไม่ชอบ ไม่สบายใจ ก็พูดด้วยตัวเอง ไม่ต้องคิดแทนคนอื่น” น้ำเสียงที่เคยอารมณ์ดี ยียวน ตอนนี้กลายเป็นเข้มขึ้งและจริงจังแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ฟงจ้องตาคนข้างตัวนิ่ง จ้องลึกเขาไปจนเป็นปารย์เองนั่นแหละที่ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไปจนต้องหลุบตาลง “ปารย์ก็น่าจะรู้ ปารย์เคยขออะไรเราเหรอ”

“......”

“เพื่อนเราอะ เที่ยงคืนก็ไปหาได้ แต่บางทีเราก็ไม่ได้อยากไป” ฟงถอนหายใจบ้าง “ตอนนี้เราอยู่กับปารย์แล้วสบายใจ เราก็อยากอยู่ด้วย แล้วรู้ไหมว่าเดือนหน้าเราคงไม่ได้มารับปารย์กลับบ้าน มากินข้าวกับปารย์แบบนี้แล้วด้วย”

“อะไรนะ”

 ปารย์จ้องหน้าคนข้างกายอย่างอึ้งๆ แล้วสวนกลับไปในประโยคที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดด้วยซ้ำ ส่วนฟงใช้มือหนาของตัวเองยกขึ้นลูบใบหน้าแรงๆ หนึ่งที “ไม่ได้จะบอกวันนี้ จริงๆ ยังตัดสินใจอยู่เลย” รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก ฟงทำหน้าซึมเหมือนหมาหลงทางเสียจนปารย์อยากจะยกมือลูบศีรษะเขาเบาๆ

“เราว่าจะย้ายที่ฝึกงานอะปารย์ พี่เขมจะฝากให้ไปช่วยถ่ายเบื้องหลังกองถ่ายภาพยนตร์ เราก็คิดว่ามันน่าจะได้ฝึกในสายที่เราอยากทำมากกว่า ปารย์จำได้ไหมที่เราเคยบอก”

“จำได้สิ” นักเขียนหนุ่มพึมพำ

“ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่ดี แต่โอกาสมันมาถึงตรงหน้าแล้ว เรากลัวถ้าเราไม่รับเอาไว้มันจะช้าไป” ฟงบอกด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก “เอาจริง การเปลี่ยนที่ฝึกงานเงื่อนไขมันก็เยอะ เวลาที่ไม่สบายแบบนี้แน่ๆ แต่หลักๆ ก็เรื่องเงินที่ไม่รู้จะมีเวลามากพอไปรับจ๊อบหรือเปล่า ตอนแรกเราก็ว่าจะไม่ไปแล้ว แต่ก่อนจะออกมาจากออฟฟิศวันนี้ พี่เขมเดินมาบอกว่าเขาเจรจากับเพื่อนเขาแล้วว่า พี่เขาจะให้ค่าตัวรายเดือน แล้วให้ไปช่วยงานในสตูดิโอของเพื่อนเขาแทน มันไม่มากมายเหมือนที่นี่หรอก แต่ก็รับได้”

 ปารย์รับฟังเงียบๆ เขามองแววตามุ่งมั่นนั่นด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประเดประดัง ดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่ใช่ กลัว...เหรอ? กลัวฟงจะหายไปใช่ไหมถ้าไม่ได้เจอหน้ากันทุกวันอย่างนี้น่ะเหรอ ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดออกไปจากหัว ตลอดมาเขาเป็นคนกลางๆ มาตลอด ทุกอย่างในชีวิตได้มาก็แล้วแต่จังหวะชีวิตจะพัดพาไป ปารย์ไม่เคยดิ้นรนว่าอยากจะทำอะไร เขาทำตามความถนัดและไม่ได้หวังจะเป็นที่หนึ่ง แต่ฟงไม่ใช่แบบนั้น ฟงมีความฝันที่ใครก็เอาไปไม่ได้ และเขามุ่งมั่นอย่างไม่กลัวว่าใครจะมองอย่างไร จะสำเร็จหรือไม่

“ไปเถอะ” ในที่สุดคนที่แก่เดือนกว่าไม่กี่เดือน ก็พึมพำออกมาเบาๆ

“......”

“อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้วนี่นายอะ ไปสร้างฐานอาชีพที่อยากทำไว้ก่อนจะเรียนให้จบ”

“ไม่อยากตัดสินใจแบบนี้เลย”

“พูดมาจนน้ำลายแห้ง ยังจะบอกว่าไม่ตัดสินใจอีก” ปารย์ส่ายหัว “ถ้ามันเหนื่อย มันหนัก ก็แวะมากินข้าว ไม่คิดตังค์หรอก เดี๋ยวบอกให้ป๊าม๊าทำให้กิน”

“แล้วปารย์จะเปลี่ยนไปไหม” ฟงเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก ทำเอาปารย์ต้องย่นหัวคิ้วอีกรอบ

“จะเปลี่ยนบ้าอะไร งานก็เหมือนเดิม บ้านก็ที่เดิม เพ้อเจ้อว่ะ” คำตอบทำเอาฟงต้องหัวเราะออกมาดังๆ




ด้วยงานเร่งที่เสร็จไม่ทันสิ้นเดือน ทำให้จากที่ตั้งใจว่าจะยกทีมไปเที่ยวปราณบุรีกันตอนสิ้นเดือน พี่โจ๋เลยตัดสิินใจเลื่อนออกไปอีกทีตอนต้นเดือนถัดไปแทน ดังนั้นในตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะเป็นทริปที่เลี้ยงส่งไอ้เด็กฝึกงานหน้าหล่อไปด้วยรวบยอด พอเลื่อนก็เลยได้ไปเลี้ยงส่งกันที่ร้านข้าวต้มลุงซ้ง หรือร้านพ่อปารย์แทน นำทีมโดยพี่เขมและไอ้โด ก็นั่งกันจนตะวันแทบส่องหัวแหละ จนจะได้ฤกษ์กลับบ้านกัน ปารย์จะหลับแล้วหลับอีก

พ้นสิ้นเดือน ฟงก็ทำเรื่องย้ายไปฝึกงานถ่ายภาพเบื้องหลังกองถ่ายซีรีย์แทน แม้ว่าจะไม่ใช่แนวสตรีตแบบที่เจ้าตัวชื่นชอบ และมักสรรหารูปจากช่างภาพต่างชาติมาอวดให้ปารย์ดูพลางทำหน้าตื่นเต้น แต่ปารย์ก็คิดแบบพี่เขมนั่นแหละ ว่ามันดีต่อตัวฟงมากกว่า เรียนรู้มุมมองภาพถ่ายใหม่ๆ ใช้อารมณ์ในการทำความเข้าใจเลนส์ภาพมากขึ้น มากกว่าเทคนิกแพรวพราวใดๆ แถมยังน่าจะได้รู้จักคนในวงการเพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากย้ายฝึกงานไปได้ห้าวัน ฟงก็ขลุกตัวอยู่กับกองถ่ายที่หัวหน้าใหม่พาไป ทำให้พวกเขาไม่ได้เจอกันเลย ฟงมีไลน์มาประปรายบ้าง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ บางทีดึกๆ หลังเที่ยงคืนพอรู้ว่าปารย์ยังไม่นอน อีกฝ่ายก็โทรมาบ้าง ที่สำคัญคือ ปารย์กลับมาใช้บริการรถเมล์อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง วันแรกที่ไปยืนรอรถเมล์ก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่หรอก หมวกกันน็อกที่ฟงซื้อให้ก็ยังวางอยู่ในห้องนอนอยู่เลย

จะว่าพวกเขาคุยกันผิวเผินก็ไม่ใช่ แต่มันน่าจะเหมือนกับว่า พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากมายเหมือนเดิมอีกต่อไปต่างหาก
วันนี้เป็นวันที่พวกเขานัดกับทีมแอปพลิเคชั่นทั้งหลายไปปราณบุรี ทั้งฝั้งคอนเทนต์และฝั่งซอฟต์แวร์ ฟงโทรมาบอกตั้งแต่หัวค่ำเมื่อคืนแล้วว่าเขาจะมารับแต่เช้าเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่ออฟฟิศ แต่ไปๆ มาๆ ยังไม่ตีสี่ดี ฟงก็โทรเข้ามาปลุกปารย์ที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงให้ต้องงัวเงียแล้วลุกขึ้นมาหยีตามองหน้าจอโทรศัพท์

“ฮัลโหลฟง” ปารย์เสียงงัวเงียสุดขีด ใจหนึ่งก็นึกหงิดๆ ว่าจะโทรมาทำอะไรป่านนี้คนกำลังนอนสบาย

(ปารย์ โทษทีนะที่โทรปลุกตอนนี้) เสียงลมที่กรีดหวิวมาตามสายโทรศัพท์ พร้อมเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คุ้นหู เดาได้ว่าฟงคงกำลังขี่รถอยู่

“ฮื่อ ก็รู้นี่”

(เราเพิ่งเลิกงาน) ฟงว่า ตอนนี้แหละที่ปารย์ลืมตาโพลง

“ตีสี่เนี่ยนะ นี่อยู่แถวไหน”

(ไปแถวจรัญสนิทวงศ์มา นี่กำลังจะถึงแถวบ้านปารย์แล้ว เราโทรมาก็ไม่นึกว่าปารย์จะตื่น)

“เราลืมปิดเสียง” ปารย์งึมงำ “แล้วจะตื่นไหมเนี่ย รถนัดแปดโมง”

(นี่แหละ เราเลยว่าจะแวะรับปารย์ก่อน แล้วเราค่อยกลับห้องไปอาบน้ำจัดกระเป๋า ไม่งั้นเราต้องหลับยาวเสียแผนไปหมดแน่ๆ เลย)

“กลัวไม่ตื่นเหรอ” ปารย์ว่า เขาหาววอด

(อืม)

“ฮ้าว โอเค งั้นเดี๋ยวสักนาทีเราแปรงฟันแล้วลงไป เราเอากระเป๋าลงไปเลยนะ”

(เคค้าบ มางีบห้องเรานะ)

ปารย์เดินหน้าอึนลงมารอหน้าบ้าน เขาต้องเปิดปิดประตูบานเฟี้ยมอย่างทุลักทุเลเพราะสติยังมาไม่ครบ รออยู่ไม่กี่นาที เสียงเครื่องยนต์เก่าก็ดังก้องเข้ามาในซอย ฟงยิ้มแป้นให้ทั้งที่เพิ่งผ่านการออกกองสุดทรหดมาทั้งวัน ฟงยังเหมือนเดิม หน้าตาดูอิดโรยเล็กน้อย เขาถือถุงหมูปิ้งไว้ในมือด้วย

“รอนานไหม”

ปารย์ส่ายหน้าหวือ “กินข้าวยัง”

“กินแล้ว นี่เอามาจากกองถ่ายด้วย จิ๊กหมูปิ้งมาเผื่ออาหารเช้า”

“อะไรเนี่ย”

“ขึ้นรถเร็ว ง่วงจะแย่แล้ว ขอนอนสักสามชั่วโมงนะ”

“อืม จะทำไรก็ทำ” ปารย์พยักหน้าไม่อิดออด เขายกหมวกกันน็อกสีขาวใบเดิมขึ้นสวม ก่อนที่จะก้าวเท้าขึ้นคร่อมซ้อนอดีตเด็กฝึกงาน พร้อมกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนหลัง

ที่ฟงเคยบอกว่าบ้านพวกเขาไม่ไกลกันก็คงจริง บนท้องถนนที่ไร้รถรา ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีดีด้วยซ้ำ มอเตอร์ไซค์เขียวมิ้นต์ก็มาหยุดลงอยู่ตรงหน้าหอพักขนาดกลางเก่ากลางใหม่ ในซอยที่ลึกเข้าไปจากสถานีรถไฟใต้ดินห้วยขวาง ถนนค่อนข้างแคบ แต่สำหรับฟงที่ขับเวสป้าก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาพารถเข้าไปจอดใต้อาคารหอพัก มีรถยนต์จอดแออัดกันอยู่เกือบสิบคัน ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบคีย์การ์ดออกมาแล้วเดินนำไปที่ประตูทางเข้าที่อยู่ในอาคารจอดรถ เป็นประตูกระจกบานผลักที่ต้องแสกนคีย์การ์ดเข้าไปก่อน

เปิดเข้าไปก็จะพบกับเคาน์เตอร์ของเจ้าหน้าที่ แล้วก็มีปิดประกาศทั่วไปสำหรับอาคารและการใช้หอพักร่วมกัน ฟงช่วยปารย์หิ้วกระเป๋า ทั้งที่ตัวเองก็มีกระเป๋ากล้องอยู่แล้ว เขาว่าหอนี้ไม่มีลิฟต์ แต่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รับได้ ค่าเช่าก็โอเค ก็เลยอยู่มาตั้งแต่พี่สาวยังอยู่ไทย พอเธอย้ายไปต่างประเทศ เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่ต่อ

ห้องฟงอยู่ชั้นสี่ พวกเขาเดินตามขั้นบันไดเวียนขึ้นไปจนถึงประตูห้องซึ่งอยู่ริมสุดของปีกซ้าย ฟงบอกว่า ห้องเขามีระเบียงที่ใหญ่กว่าห้องอื่นก็เพราะมันอยู่ริมนี่แหละ เด็กหนุ่มไขกุญแจ ยิ้มเอ็นดูคนโดนปลุกที่ยืนเอียงคอพิงผนังอย่างง่วงงุน

ฟงผลักประเข้าไป กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มลอยเข้ามาแตะจมูกปะปนกับกลิ่นเฉพาะตัวของเจ้าของห้อง หอฟงเหมือนหอพักทั่วไป เพียงแต่ไม่ใช่หอพักใหม่ มันจึงไม่ได้รับการตกแต่งอย่างดีเท่าไหร่นัก พื้นกระเบื้องถูกปูด้วยเสื่อน้ำมันลายไม้สีเข้ม มีเตียงโครงเหล็กวางอยู่กลางห้อง มีชั้นวางของข้างหัวเตียง ปลายเตียงคือโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งกับทีวีรุ่นเก่า ติดกันคือตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่หนึ่งหลัง ที่มีกีตาร์สองตัววางพิงอยู่

นี่คือครั้งแรกที่ปารย์ได้เข้ามาในโลกของฟง หมายถึงโลกของฟงจริงๆ ที่ๆ ฟงใช้ชีวิตอยู่ในทุกวัน ที่ๆ ลืมตาตื่นขึ้นจากการนอนหลับ ก่อนหน้านี้ฟงไปบ้านเขาหลายครั้ง เคยแวบเข้าห้องเขาก็หลายหน แต่เขากลับไม่เคยเลยสักครั้ง พอมันเป็นครั้งแรก ใจจริงปารย์ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่หรอกถ้าไม่ติดที่ว่า เขาง่วงเสียยิ่งกว่าอะไร

ฟงวางสัมภาระไว้ที่ปลายเตียง เด็กหนุ่มเปิดไฟกลางห้องเหนือหัว ขณะที่ปารย์ทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง เขาหาววอด เจ้าของห้องรีบเดินไปงับประตูระเบียงที่เปิดระบายอากาศแต่เช้า ผู้มาเยือนเหลือบมองไปบนเตียง กลิ่นหอมน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ปารย์ได้กลิ่นก็คือกองเสื้อที่ยังไม่ได้พับของเจ้าของห้องที่ถูกกองเอาไว้นั่นเอง

“แป๊บหนึ่งนะปารย์ เราหารีโมตแอร์ก่อน เดี๋ยวเราเก็บเสื้อให้”

“ฮื่อ ไม่เป็นไร เรานอนได้”

“เดี๋ยวร้อน” ฟงว่า “ปกติเรานอนพัดลมไม่ค่อยได้เปิดแอร์ถ้าไม่ร้อนจริงๆ ขี้เกียจปวดหัวค่าไฟ”

“เรานอนได้ เปิดพัดลมเหอะ” ปารย์ปัดมือหย็อยๆ เขากระถดตัวขึ้นนอนบนหมอนฝั่งหนึ่ง ที่ไม่ได้มีกองผ้ากองท่วมอยู่ “ไม่ห่มผ้าก็เย็นอยู่ เห็นไหม พัดลมแบบนี้นอนสบายจะตาย” คนตัวเล็กว่าทั้งหลับตา เมื่ออีกฝ่ายเปิดพัดลมบนเพดานให้ทำงาน

เจ้าของห้องยืนเท้าเอวมองคนตัวขาวที่เหมือนตั้งท่าจะหลับได้ทุกวินาทีด้วยรอยยิ้ม เขานึกเอ็นดูใบหน้าน่ารักนั่นที่ชอบทำหน้าจริงจัง แต่พอได้สนิทสนมกันมากขึ้น ปารย์มักมีมุมอ่อนโยนและมุมเรียบง่ายที่เขาเข้าถึง แบบที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

“นอนแล้วนะ ไปอาบน้ำแล้วตั้งนาฬิกาปลุกด้วย” ปารย์บอกเสียงงัวเงีย เจ้าของห้องรับคำในใจ ก่อนจะเดินหยิบผ้าขนหนูที่พาดเก้าอี้เข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ก็เดินตัวชื้นออกมาในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น

ฟงเช็กว่าห้องล็อกดีแล้วหรือไม่ แต่เขายังไม่ละความพยายามที่จะตามหารีโมตแอร์ หลังจากเดินหาเป็นหนูติดจั่นอยู่นานสองนาน เขาก็พบว่ามันนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้ชั้นวางทีวีนั่นเอง เขาปีนเก้าอี้ขึ้นไปเคาะเครื่องปรับอากาศแรงๆ หนึ่งที เมื่อเปิดใช้งานแล้วมันส่งเสียงประหลาด แต่แม้จะทำเสียงโครมครามปารย์ก็ไม่ตื่น ดูท่าน่าจะง่วงมาก

เจ้าของห้องนั่งขัดสมาธิบนที่ว่างบนเตียงหลังจากโยนกองผ้าไว้ในตะกร้าเปล่า เขานั่งจ้องใบหน้าขาวกระจ่างไม่วางตา ไม่คิดด้วยซ้ำว่าปารย์จะมานอนอยู่ในห้องเขาตอนนี้ วันนี้ ไม่ระวังตัวอะไรเลยด้วยซ้ำ จนบางทีฟงก็แอบตั้งคำถามในใจเหมือนกันว่า ปารย์จะรู้ตัวบ้างไหมว่าเขาคิดยังไง

คนหลับไปแล้วขยับตัวยุกยิกเมื่อแอร์ตกใส่ตัว ฟงหยิบผ้าห่มให้อย่างเบามิือจนปิดคอ ร่างเล็กที่ขดตัวแน่นตอนแรกค่อยๆ คลายสีหน้าแล้วขยับตัวด้วยรู้สึกสบาย คนตัวโตกว่าขยับตัวไปปิดไฟ ก่อนจะกลับมาที่เตียงนอน

จะรู้ไหมนั่น มาถึงก็มาแย่งที่นอนของคนอื่นไปเสียงั้น…

ฟงส่ายหัวก่อนสอดตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนา เขานอนตะแคงมองคนที่หลับตาจนแพขนตาตกระเรี่ยแก้มใส แล้วหัวใจก็ต้องเต้นแรงขึ้นแบบเสียสติ เมื่อปารย์ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น จนท่อนแขนพวกเขาแนบกัน ไออุ่นจากเนื้อนิ่มทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ฟงยอมรับว่าเขามีแฟนมาแล้วหลายคน แต่ไม่เคยมีใครเหมือนปารย์ เขากลั้นหายใจอยู่อย่างนั้น แล้วก็พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ
แสงจากเสาไฟฟ้าด้านนอก ตกกระทบเขามาในห้องผ่านบานหน้าต่างที่ดึงม่านปิดไม่สนิทเป็นเส้นๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่าง ท่ามกลางแสงสลัว ฟงลืมตาขึ้น ถึงมืดมิดเพียงใดแต่เขายังคงเห็นปารย์อยู่ในสายตาเสมอ


tbc.



จริงๆ ตอนหน้าต้องจบแล้ว แต่ลี่อยากให้มีตอนที่สองคนนี้เขาได้พูดคุย รักกันบ้าง เลยขอตัดออกมาเป็นสามตอน (จากสองตอนนะคะ) เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงให้อีกตอนค่า

อีกสองตอนจบนะคะ

สำหรับเรื่องนี้ ใครชอบไม่ชอบ บรรยากาศ เนื้อหา ฯลฯ คอมเม้นต์ให้ทราบกันหน่อยนะคะ ลี่จะได้นำไปพัฒนาต่อ ไม่ได้เขียนนานไม่รู้ฝีมือด้านไปบ้างไหม

เดี๋ยวถัดไป จะเหลือคู่สุดท้าย ลี่ขออนุญาตลงสลับกับเนื้อเรื่อง รักชาชา รีเทิร์น นะคะ คู่แรกของรักชาชารีเทิร์นก็จะเป็น เป๊ก+แยม ค่า



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :o8: ละมุนละไมไปหมดดดดดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ชอบค่า เรื่อยๆ แต่อุ่นๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด