BED CARE JOB
ตอนที่ 15 ค่าตอบแทน
เย็นวันอาทิตย์ ผมออกจากร้านกาแฟพี่ปุยฝ้ายราวหกโมงเพื่อดิ่งตรงมาหน้าคณะเรียนโดยเร็ว ผมมาถึงเกือบหกโมงครึ่งเห็นโจและเกดยืนรออยู่แล้ว โจไม่พูดพร่ำทำเพลง พอมันเห็นผมมาถึง มันก็บอกให้ขึ้นรถแล้วเราสามชีวิตก็มุ่งหน้าไปหอเปิ้ลทันที
ใจเต้นสุด ๆ ทั้งที่แค่ขนของย้ายหอเอง
ตอนนี้พวกเราทั้งหกคนยกเว้นเปิ้ลประจำหน้าที่อยู่หน้าหอ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เพราะรอสัญญาณจากเปิ้ล จนกระทั่งเสียงข้อความจากแอปพลิเคชันดังเข้ามาในกลุ่มนั่นแหละ พวกเราจึงรีบกระวีกระวาดไปที่หน้าประตูทางเข้าหอไม่รอช้า เห็นเปิ้ลเปิดประตูให้เรียบร้อย
“มันออกไปนานแล้วเหรอ” ข้าวถามถึงแฟนเปิ้ล
“สักสิบนาทีได้ละ ขึ้นไปเลยไหม”
“เออ” เอกบอกและพวกเราก็บุก เอ๊ย ขึ้นลิฟต์ไป
โชคดีที่ห้องเปิ้ลอยู่ชั้นสาม พวกเราตกลงกันว่าควรทำเวลาถ้าลิฟต์ไม่ว่างก็ให้ขึ้นลงบันไดไปเลย ไม่ต้องยืนรอลิฟต์ เราทั้งหกคน สิบสองมือใช้เวลาไม่นาน ห้องเปิ้ลมีของไม่เยอะ ไม่นานก็เรียบร้อย จะเหลืออยู่ก็พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ เช่นเครื่องซักผ้ากับตู้เย็น ตอนที่กำลังยืนคิดว่าเอาไงกันดี เปิ้ลก็พูดขึ้นมา
‘ช่างแม่ง เดี๋ยวไปหาซื้อใหม่’ ต้องอย่างนี้สิรุ่นพี่ด้านการงานของผม ผมอุ้มตะกร้าผ้าแต่มีของจุกจิกของเปิ้ลบรรจุอยู่ในนั้นเอาไว้ เปิ้ลปิดประตูห้องอย่างเรียบร้อยแล้วบอกว่าจะลงไปคุยกับเจ้าของหอก่อนจะทำเรื่องย้ายออกจริง ๆ ส่วนคนอื่นรออยู่ข้างล่างแล้ว ช่วยกันจัดของให้เข้าที่เข้าทางหลังรถกระบะของโจ เปิ้ลวิ่งนำผมลงไปโดยไม่รอลิฟต์ที่เปิดออกพอดี ผมจะเรียกเธอไว้ก็ไม่ทัน ตอนนี้ผมเลยอุ้มของแล้วก้าวเข้าไปในลิฟต์
ผมสวนกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก เขาไม่ได้ยิ้มให้และผมไม่ได้ยิ้มเช่นกัน เราสวนกันอย่างเงียบเชียบ ผมเดินเข้าลิฟต์ไปจังหวะที่ลิฟต์กำลังจะปิด ตาผมก็เบิกกว้างขึ้นเพราะผู้ชายคนนั้นกำลังไขกุญแจห้องที่เปิ้ลเพิ่งปิดมันลงไปเมื่อสักครู่นี้เอง
ผมย่ำเท้าไม่เป็นสุข เมื่อไหร่จะถึงชั้นหนึ่งเสียที เร็ว ๆ ได้ไหมเล่า ถ้าเขาเปิดประตูห้อง เขาต้องเห็นแน่นอนว่าตอนนี้ห้องมันว่างเปล่าเหลือเพียง โต๊ะตู้เตียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ไว้ดูต่างหน้าเปิ้ล พอประตูลิฟต์เปิดเท่านั้น ผมรีบก้าวพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว และด้วยความเร่งรีบผมสะดุดกับขอบประตูกระจกทางเข้า ของในตะกร้าร่วงหล่นเต็มพื้น
ไอ้เปลเอ๊ย ผมก่นด่าตัวเอง นี่เขาเรียกเทกระจาดของแท้เลย
“เปล!!” เปิ้ลเรียกผมเสียงหลง เธอวิ่งเข้ามาหาและช่วยผมเก็บของมือไม้สั่น
“เปิ้ล แฟน..แฟนแก” ผมละล่ำละลักบอกเธอ
“เออ รู้แล้ว รีบเก็บ เนี่ยมันโทรมายิก ๆ”
“เขาเดินสวนกับเรา”
“ฉิบหายแล้ว ไป ๆ ลุก ๆ ไม่ต้องเก็บแล้ว ทิ้งไป” เธอดึงแขนผมให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าปลิงดูดเลือดกำลังวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมเสียงตวาดเรียกชื่อเปิ้ลมาตลอดทาง ผมรีบเก็บของชิ้นสุดท้ายก่อนจะอุ้มตะกร้าแล้ววิ่งออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
“ขึ้นรถเร็ว” โจรีบตะโกนบอกเมื่อเห็นว่าผมกับเปิ้ลวิ่งหนีมาได้ เปิ้ลกระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของข้าว ส่วนผมกระโดดขึ้นหลังรถกระบะได้อย่างเฉียดฉิว
รถพวกเราสามคัน กระบะหนึ่งและมอเตอร์ไซค์สอง แล่นออกมาจากหอเปิ้ลไกลออกไปเรื่อย ๆ แต่แฟนของเปิ้ลกลับคว้ามอเตอร์ไซค์แล้วตามมา หน้าตาเขาดูน่ากลัวราวกับพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ ผมกลัวแทบขาดใจ ตะโกนบอกโจว่าห้ามหยุดรถเด็ดขาด
หัวใจผมเกือบหยุดเต้น เมื่อโจชะลอรถช้าลง จนแฟนเปิ้ลเข้ามาใกล้ผม
“จอดรถ” เขาตะโกนบอกผม
“ไม่”
“กูบอกให้มึงจอดรถ”
“ไม่โว้ย” ผมตะโกนกลับไป ใจก็นึกหวั่น ภาวนาขอโจอย่าจอดรถ มันต้องขึ้นมาบีบคอผมแน่เลย
“หึ จะไฟแดงแล้ว มึงโดนกูแน่” มันแสยะยิ้มพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้า ผมหันกลับไปมองด้านหลังเห็นสี่แยกไฟแดงข้างหน้า ตอนนี้ไฟส้มแล้ว
“โจ มึงอย่าจอดรถนะ กูยังไม่อยากตาย” ผมตบกระจกหลังรถพร้อมกับบอกโจเสียงดัง เกิดมาผมเคยมีเรื่องกับใครเขาที่ไหนกัน
พวกเราเสี่ยงตายกันทั้งคันเมื่อโจไม่หยุดรถและเลือกผ่าไฟแดงไปอย่างเฉียดฉิว ทำให้แฟนเปิ้ลตามมาไม่ได้อีก มันบอกผมเสียงดังให้ระวังตัวเอาไว้ ผมเห็นตัวมันเล็กลง เล็กลง จนสายตามองไม่เห็นมันอีกต่อไป ผมจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็รอดตายแล้ว
รถแล่นช้าลงเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่หน้าหอแห่งหนึ่ง เดาว่าเป็นหอของข้าว ไม่สิจะเรียกหอก็ไม่ถูกนักเพราะมันมีลักษณะเป็นคอนโดที่อยู่แถว ๆ มหาลัยผมนี่แหละ
“โอย ตะกี้ลุ้นฉิบหาย นึกว่าจะตายกันหมด” เกดลงจากรถแล้วพูดขึ้นด้วยความโล่งใจ
“เออ กูขี่มอไซค์เกือบชนคนข้ามถนนเพราะห่วงไอ้เปลที่อยู่หลังรถ” ข้าวเสริมตามมา
“เป็นอะไรไหมเปล” โจดับเครื่องยนต์เสร็จลงมาจากรถแล้วถามผมที่ยังนั่งอยู่หลังกระบะ
“ไม่เป็นไร ขอนั่งพักหายใจก่อน เหนื่อยมาก” ผมบอกมัน ทั้งที่นั่งรถมา แต่กลับรู้สึกว่าวิ่งมาไม่หยุดเลยตลอดทาง
“เฮ้ย ไอ้เปล” เปิ้ลอุทานด้วยความตกใจตอนที่มองหน้าผม
“ทำไม มีอะไร”
“ที่หัวแก”
“หัวทำไม” ผมถามกลับ
“เลือดอะ เลือดออก”
“เฮ้ย!!” ทั้งภพและเอกรวมถึงโจ กรูเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว
“ไปหาหมอ” โจพูดเสียงขรึม หน้าตามันดูไม่สบายใจและดูโมโหด้วย ผมหดคอลงอัตโนมัติ
“ใช่ ไปหาหมอก่อน ใกล้สุดก็โรงบาลเอกชนอีกสามไฟแดง” เกดคนคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้สุดรีบบอกทันที
“ไปกันหมดนี่เลยไหม” ข้าวถาม
“เดี๋ยวเราพาเปลไปเอง” โจตอบ
“เราไปด้วย” เปิ้ลรีบเสนอตัว
“อืม งั้นช่วยกันขนของลงจากรถก่อน ที่เหลือจะได้ช่วยกันขนไปไว้บนห้องเกด” โจบอกก่อนจะหันมาทางผม “มึงลงมาเองได้ไหมหรือต้องช่วยอุ้ม”
“ไม่ต้อง ๆ แค่นี้เอง ลงได้อยู่แล้ว” ผมรีบตอบ หัวมีเลือดออกตามที่พวกนั้นทักแต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย คงไม่เป็นอะไรมากหรอก
ทุกคนช่วยกันขนของลงจากรถโจ ยกเว้นผมที่ถูกโจสั่งให้ไปนั่งรออยู่ในรถ เพียงครู่เดียว โจก็ขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลโดยมีเปิ้ลและผมนั่งไปด้วย
“หัวแตกได้ไงวะ แล้วดูเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปหมด” โจบ่นตามนิสัยเมื่อผมเดินกลับมาหามันหลังจากเย็บแผลที่หัวเสร็จ
“ไม่รู้อะ”
“ไม่รู้ได้ไง หัวแตกนะเว้ย” โจยังหงุดหงิด
“ก็คนไม่รู้จริง ๆ นี่”
“พอก่อนโจ แกก็อย่าเพิ่งไปคาดคั้นไอ้เปลมัน คนไม่รู้ก็คือไม่รู้อะแหละ ถามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตอนที่ขนของลงเราเห็นไฟแช็กอยู่ในนั้นน่าจะเป็นนี่แหละที่ทำให้เปลหัวแตก”
“ไฟแช็ก?”
“เราจำได้ของแฟนเราเองแหละ มันน่าจะปามาแน่ ๆ”
“แล้วทำไมมึงไม่หลบวะ” โจหันมาถามอย่างหัวเสีย
“กูยังไม่รู้เลยว่าหัวแตก เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้วนะมึง” ผมเลยดุมันกลับบ้าง นาน ๆ ครั้งเท่านั้นถึงจะได้ทำ
“แล้วนี่เปล หมอว่าไงบ้าง” เปิ้ลเปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงแผลบนหัวผม
“หมอบอกแผลเล็ก ไม่กี่วันก็หาย แล้วให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ ฉีดยากันบาดทะยักด้วย หมอบอกว่าถ้าโชคร้ายก็อาจเป็นไข้ โชคดีก็ไม่ป่วย”
“หมอปิดแผลมาให้แล้วด้วยนี่” เปิ้ลลุกขึ้นยืนมาดูแผลใกล้ ๆ
“อืม ช่วงนี้อย่าเพิ่งโดนน้ำ”
“หัวเน่าแน่แก”
“เอ้อ..นั่นสิ” พอเปิ้ลพูดถึงหัวเน่า ๆ ของผมแล้วก็พลันนึกถึงคนเมื่อหลายวันก่อนที่เพิ่งจะทักผมเรื่องนี้ไป ไม่รู้ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่บ้านผมจัดการเรียบร้อยดีแล้วหรือเปล่า
“เกือบลืม เอ้า..นี่โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์แก ตะกี้มีคนโทรมาหาแกด้วย ขอโทษนะที่เราถือวิสาสะกดรับ กลัวเป็นญาติแกอะ”
“ไม่เป็นไร แล้วใครโทรมาล่ะ” ผมหวั่นใจว่าจะเป็นที่บ้านของผมหรือเปล่า
“เออว่ะ ไม่รู้อะ เบอร์ก็ไม่โชว์”
“อ้าว”
“ก็พอเราบอกว่าพาแกมาโรง’บาล เขาถามรัวใหญ่เลย โรง’บาลไหน มาทำไม แล้วก็วางสายไป เราเลยถามไม่ทัน”
“ใครจะโทรหาแกได้วะเปล” โจมันถาม แต่มันไม่ได้บริสุทธิ์ใจถามผมแน่นอน ผมรู้ดี มันกำลังหมายถึงเจ้านายเก่าของผม
“น้องเปลครับ เป็นไงบ้าง” โอเค จริง ๆ ผมก็พอรู้แล้วว่าใคร มีอยู่คนเดียวนี่แหละครับโทรมาแล้วไม่แสดงเบอร์
“คุณเคนสวัสดีครับ” ผมทักคนที่เดินเข้ามากลับไป “มาได้ไงครับ”
“น้องผู้หญิงที่รับสายน่ะเป็นคนบอก คงเป็นคนนี้ใช่ไหมครับ” คุณเคนถามพร้อมกับรอยยิ้มการค้าให้เปิ้ล
“สวัสดีค่ะ ใช่ค่ะหนูเองที่รับโทรศัพท์เปล” เปิ้ลยกมือไหว้และส่งยิ้มหวานให้คุณเคน ผมเพิ่งเคยเห็นเปิ้ลในยามที่อยู่ต่อหน้าผู้ชายก็คราวนี้ แพรวพราวไม่เบาเลยทีเดียว
“เสียงน่ารักมากครับ หน้าตาก็น่ารักด้วย” โอ้โห คุณเคนก็ไม่ธรรมดา เล่นมาเล่นกลับไม่ยอมแพ้กันเลย
“คุณเคนครับ นี่เพื่อนผมชื่อเปิ้ล ส่วนอีกคนโจครับ” ผมเลยถือโอกาสนี้แนะนำพวกเขาให้รู้จักกันเสียเลย
“มาทำไมกลับไป” แต่ตัวปัญหาอยู่นี่ครับ โจพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เกือบจะชื่นมื่น
“อยู่เฉย ๆ ไม่พูดก็ดีอยู่แล้วนะครับโจ”
“กลับไปได้แล้ว ผมดูแลเพื่อนผมเอง”
“ดูแลยังไง น้องชายผมถึงเจ็บตัวหัวแตกแบบนี้” คุณเคนย้อนกลับ
“ก็มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
“หนูผิดเองค่ะ แฟนเก่าหนู เขาเอาของปาใส่เปล” เปิ้ลรีบออกตัวรับผิดชอบ ถึงจะใช้น้ำเสียงที่เสริมแต่งจริตลงไป แต่แววตาเธอตอนที่มองผมนั้น เธอรู้สึกผิดจริงจัง ไม่ได้เสแสร้ง
“น้องเปิ้ลไม่ผิดเลยครับ คนที่ผิดคือคนที่ทำร้ายคนอื่นต่างหาก”
“เปิ้ลอย่าโทษตัวเองเลยนะ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดหรอก อีกอย่างเราก็บอกแล้วนี่ว่าหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก” ผมปลอบเปิ้ล ไม่อยากให้เธอต้องคิดมาก มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงอย่างที่โจบอก
“งั้นเรากลับกันเลยดีไหม” คุณเคนหันมาถามผม
“ครับ?”
“พี่มารับ ปะ กลับบ้านกัน”
“เดี๋ยวผมไปส่งเอง” โจแทรกขึ้นท่าทีเหมือนพร้อมจะคุกคามคุณเคน
“ถ้าพาเปลไปส่งแล้วใครจะไปส่งเปิ้ลล่ะครับ ผมไปส่งน้องเปลเอง ส่วนคุณ.. โจ ก็ไปส่งเพื่อนนะครับ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก ขามาพวกเขามากับผม ขากลับผมก็จะพากลับเอง”
“เด็กสมัยนี้พูดยากจริง” คุณเคนจะพูดด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่ ช่วยมองโจ เพื่อนผมหน่อยได้ไหมครับ มันฮึ่ม ๆ พร้อมเข้าจู่โจมคุณแล้วนะ
“โจ..คือเรากลับกับคุณเคนได้” ผมรีบห้ามทัพสองคนนี้ ไม่เข้าใจเจอกันทีไรทำไมต้องทะเลาะกัน
“ได้ยังไงวะเปล”
“เถอะน่า..เรามีเรื่องจะคุยกับเขาด้วย” เขาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคุณเคน แต่ผมหมายถึงคนที่น่าจะรออยู่
“ถึงห้องแล้วก็บอกเราด้วยละกัน เราว่าแฟนเปิ้ลมันไม่ยอมง่าย ๆ แน่”
“อืม”
“งั้นโจรอแป๊บนะ เราขอไปเข้าห้องน้ำก่อน” เปิ้ลบอกโจเสร็จก็หันมาพูดผม “เปล..เราขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก”
“ขอบใจนะ พี่เคนคะหนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ก่อนที่เปิ้ลจะปลีกตัวออกไป เธอยังไม่ลืมคุณเคนและเลื่อนขั้นให้คุณเคนเป็นพี่เคนไปอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีครับน้องเปิ้ล กลับบ้านดี ๆ นะครับ”
ผมเดินตามคุณเคนไปเงียบเชียบ ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย นอกเสียจากคุณเคนบอกว่ารถอยู่ทางนี้เท่านั้น เมื่อเดินมาถึงรถตู้คันคุ้นตา คุณเคนเปิดประตูให้ผมก้าวขึ้นไปก่อนและเขาตามขึ้นมาทีหลังพร้อมกับปิดประตูลงอย่างเรียบร้อย ตำแหน่งที่นั่งในรถยังเหมือนเดิม คุณเคนนั่งหน้าผมอยู่แถวสอง ส่วนผมก็แถวสามกับคนที่รออยู่ในรถ
“สวัสดีครับคุณคีน” ผมยกมือไหว้ เราไม่เจอกันตั้งแต่คืนวันพุธ วันนี้หน้าตาเขาดูเหน็ดเหนื่อยกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
“เจ็บไหม” เขาพยักหน้ารับไหว้แล้วมองหน้าผมนิ่งก่อนจะเอ่ยถามถึงแผลบนหัว
“ไม่เจ็บครับ หมอบอกว่าแผลเล็กนิดเดียวเอง”
“เด็กดอยนี่มันยังไงหืม? คลาดสายตาทีไรเป็นต้องมีเรื่องทุกที คราวก่อนก็ป่วย คราวนี้ก็หัวแตก ทำไมถึงมีเรื่องให้ผมคอยปวดหัวอยู่ตลอด” คุณคีนพูดเสียงเบา เขาไม่เชิงดุผม แต่เขาน่าจะเซ็งมากกว่าที่ผมขยันมีเรื่องเข้ามาอยู่ร่ำไป
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ผมไม่รู้ว่าแฟนเพื่อนผม เขาจะกล้าปาของใส่แบบนี้” ผมไม่ได้เถียง แค่ต้องการอธิบาย
“เป็นนักฟุตบอลเก่าหรือไงถึงได้เอาหัวไปรับ” ผมอ้าปากค้างจะเถียงกลับแต่เถียงไม่ออก ผมกำลังถูกดุอยู่ใช่ไหม
“คือ..ผม”
“ว่ายังไง” เขาเร่งรัดเอาคำตอบ คุณคีนเป็นอะไร โกรธผมทำไมเนี่ย ผมเป็นคนเจ็บ ไม่ใช่เขาเสียหน่อย
“ไม่ใช่ครับ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะคุณเคน เขาได้ยินผมพูดด้วยเหรอ? ผมว่าในรถก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้นสักหน่อย
“แล้ว..” คุณคีนทำท่าจะดุผมอีก ผมเตรียมเกร็งตัวและเตรียมหดคอ
“ใจเย็นสิครับคุณคีน น้องชายผมกลัวคุณหมดแล้ว” คุณเคนพูดขึ้นมาขัดจังหวะช่วยชีวิตผมได้ทัน
“กลัวผมหรือ?” คุณคีนชะงักชั่วครู่แล้วถามผม
“ก็นิดหน่อยครับ คุณดุ”
“เฮ้อ” เขาทอดถอนหายใจแล้วดึงตัวผมเข้าไปใกล้จนเราแนบชิดกัน “ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจกลัว ผมแค่เป็นห่วงคุณมากไปหน่อย”
“ผมไม่เป็นไรเลยครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมใจชื้นรีบบอกให้เขาคลายกังวล
“หัวแตกได้ยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ” พอคุณคีนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่สงบพร้อมให้ชวนฝันเหมือนเดิม ผมเลยกระตือรือร้นที่จะพูดเรื่องเหตุการณ์ระทึกวันนี้ให้เขาฟัง
“เรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรมากเลยครับ แค่แฟนเปิ้ล เอ่อ เพื่อนผู้หญิงน่ะครับ เขาน่ากลัวไปหน่อย”
“ฟังจากที่คุณเล่า คงไม่หน่อยแล้วล่ะ วัยรุ่นสมัยนี้ใจร้อนกันทั้งนั้น ระวังตัวเองด้วยนะครับ”
“ครับ แล้วเอ่อ..เรากำลังจะไปไหนกันครับ พาผมไปส่งห้องใช่ไหม”
“ไม่ใช่ครับ เราจะไปกินข้าวกัน”
“ที่ไหนเหรอครับ ร้านเดิมเหรอ” ผมถามเขาด้วยตาสุกใส ร้านเดิมอาหารก็อร่อยดี
“ร้านนั้นคงพาคุณไปไม่ได้แล้ว ช่วงนี้ต้องย้ายที่กินข้าวก่อน”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมแค่ไม่อยากเจอคุณศักดิ์อีก” คุณคีนบอกเหตุผลสั้น ๆ กระชับ แต่ไม่ได้ใจความในความคิดผม
“อ๋อ..ครับ” ผมพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วผมไม่เข้าใจเลย
“อีกอย่างครั้งที่แล้ว เรายังไม่ได้คุยเรื่องบ้านคุณเลย คุณคงอยากรู้แล้วใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมอยากรู้แล้วว่าคุณทำยังไงเรื่องที่บ้านผม เอ่อ.. ผมเร่งคุณไปไหมครับ คุณคงเพิ่งเลิกงานมาเหนื่อย ๆ”
“ไม่เป็นไร อันที่จริงผมเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้เอง พอลงเครื่องมาก็ได้ยินข่าวว่ามีเด็กหัวแตกอยู่โรง’บาล”
“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดสักหน่อย” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่อยากถูกเขาดุอีก ปกติคุณคีนก็ใจดีอยู่หรอก แต่ดุขึ้นมาทีไรแล้วน่ากลัวสุด ๆ
“ไปคุยต่อที่บ้านแล้วกัน”