Bed Care Job #พนักงานดูแลเตียง ตอนพิเศษ Dear Valentine จบ UP 14/02/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bed Care Job #พนักงานดูแลเตียง ตอนพิเศษ Dear Valentine จบ UP 14/02/2020  (อ่าน 158408 ครั้ง)

ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สี่สิบกว่าแต่ยังแซ่บ หุยยยยยยยย รอเลยจ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
หรือมิสเตอร์เค คือนักการเมืองในทีวีคนนั้น? (มโนล้วนนนนน ฮาาาาา)

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตื่นเต้นแทนค่ะรอตอนเปิดตาเปิดไฟแล้วก็เปิดใจค่ะ

ออฟไลน์ cisne azul

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบบบบบบบบบบ ละมุนมากกกกกกกก 555555
อ่านแล้วยิ้มตามอะ เวลาเขาสองคนคุยกันแล้ว เหมือนจะละลายเลยอะ 55555

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

BED CARE JOB



ตอนที่ 5 ไปเลิกซะ



             เช้าวันจันทร์ที่เก่าเวลาเดิม ในห้องเรียนมีนักศึกษาปีสี่นั่งอย่างบางตา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมาเข้าเรียนเพราะเป็นคาบเช้า สำหรับผม ถ้าไม่มีเหตุด่วนจำเป็นแล้ว ผมพยายามมาเข้าเรียนให้ได้ทุกครั้ง อย่างน้อยให้เสียงอาจารย์พูดผ่านหูทะลุขึ้นสมองบ้างก็ยังดี

            “หน้าระรื่นมาเลยนะมึง” ผมได้ยินสาวผมดำยาว กระโปรงพลีทบานประมาณเข่าทักคนที่มาถึงที่หลังสุดในกลุ่มเธอ

            “แน่นอนย่ะ ได้ลูกค้ารายใหม่มาเมื่อวาน” สาวผมแดงว่าพลางนั่งลงข้างคนที่ทัก

            “อะไรวะ เพิ่งจะบ่นอยู่เมื่อวีคที่แล้วว่าไม่มีลูกค้า หรือว่าลดราคาค่าตัว?” คราวนี้สาวผมดำตัดสั้นชะโงกหน้าข้ามเพื่อนผมดำยาวเพื่อมาถามสาวผมแดงที่นั่งริมสุด

            “โนจ้ะ คืออย่างนี้ กูกำลังจะเข้าไปปรับราคาเว้ย แต่ลูกค้าดันติดต่อมาก่อน เงินหนักด้วย โคตรโชคดีอะ” สาวผมแดงตอบพลางยักไหล่ด้วยท่าทีที่คุ้นตาผมไปเสียแล้ว

            “เขาถูกใจอะไรในตัวมึง”

            “กูสวย จบปะ” สาวผมแดงตอบอย่างมั่นใจ จนเพื่อนผมดำยาวผลักหัวเธอไปเบาๆ แต่หน้าเกือบคะมำไปทีหนึ่ง

            “ทำดีมากมึง” ผมดำสั้นชมเชยเพื่อนข้างตัวก่อนจะถามสาวผมแดงอีก “เอาดีๆ”

            “เขาบอกว่าหน้ากูดูหยิ่ง ดูเหวี่ยงวีน เขาชอบคนร้ายๆ เลยอยากลองดูสักครั้ง กูฟังแล้วงง มันใช่คำชมปะวะ”

            “หึ ชมแหละมึง คงเป็นรสนิยมเขา”

            “ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย อย่าให้เมียหลวงมาตบเหมือนคราวก่อนอีก” คนผมดำยาวเตือน น้ำเสียงเธอดูเป็นห่วงเพื่อนผมแดงคนนี้อยู่มากทีเดียว

            “รู้แล้วน่า”

            พวกเธอยังคุยกันต่ออีกแต่ผมไม่ได้ยินแล้ว เสียงข้างนอกดังเข้ามาในห้องเรียนค่อนข้างดัง เหมือนจะเป็นการเช็กเครื่องเสียง มีงานดนตรีงั้นหรือ

            เอ..ผมจำได้ว่าช่วงนี้ที่มหา’ลัย ไม่มีงานอะไรนะ

            “เสียงดังจังวะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งแถวเดียวกับผมพูดขึ้น มันคือภพ เพื่อนในกลุ่มผมเอง

            “เสียงอะไร หนวกหูจริง” เอกถามซ้ำอีก

            “ไม่รู้เหมือนกัน” ผมตอบพวกมันกลับไป ไม่รู้ว่ามันถามผมหรือเปล่า เรียกว่าตอบลอยๆ แล้วกัน

            “งั้นลองถามคนอื่นดู” โจบอกพวกเราสามคนก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปใกล้กลุ่มสาวสาวสาวข้างหน้า

            “เปิ้ลๆ รู้ปะ ที่มอมีงานอะไรอะ” โจสะกิดไหล่สาวผมแดง อ้อ.. รุ่นพี่ลับๆ ของผม เธอมีชื่อว่าเปิ้ล

            “ไม่รู้อะ” เปิ้ลบอกก่อนจะหันไปถามเพื่อน “พวกแกรู้ปะ”

            “ไม่รู้” สาวผมดำสั้นเป็นคนบอก

            “ไม่แน่ใจนะ ได้ยินมาว่าน่าจะเป็นพรรคที่มายืมสถานที่มอเราปราศรัยหาเสียงอะ” ผมว่าแล้วคนที่มีสาระสุดก็คือสาวผมดำยาวคนนี้แหละ

            “ขอบใจเกด” โจบอกขอบคุณสาวที่ไขความลับให้ก่อนจะดึงตัวกลับมาที่นั่งตัวเอง

            “เขาจะพูดตอนนี้เลยเหรอ ร้อนฉิบหาย ใครจะไปฟังวะ กูไม่ไปละคนหนึ่ง” ภพพูดขึ้นพร้อมแสดงเจตนาชัดเจน

            “ไม่ไหวเหมือนกัน อยากไปฟังอยู่นะ ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเลือกตั้งเลย” สีหน้าโจบ่งบอกถึงความตื่นเต้น

            “มึงไม่เคยคนเดียวหรือไง ก็พวกเราทุกคนนี่แหละ ตอนเย็นๆ แดดร่มแล้วไปกันไหมวะพวกมึง ว่าไง” เอกเป็นนักกิจกรรม เขาเป็นคนที่ชื่นชอบกับกิจกรรมทุกรูปแบบ

            “เอาดิ” โจกับภพตอบเหมือนกัน สายตาทั้งสามคู่หันมามองผม

            “มึงอะไอ้เปล ไปไหม” เอกพยักพเยิดหน้าถาม

            “คือกู..” ผมไม่ค่อยชอบ แต่ลังเล หากกลับห้องไปก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่ดี

            “กูก็ลืม มึงต้องไปทำงานพิเศษใช่ไหม” โจถามผม

            “เปล่า ไม่ได้ทำแล้ว” ผมเลือกตอบไปตามตรง

            “ดีแล้วมึง พักบ้าง คนบ้าอะไรทำงานเยอะแยะ”

            “งั้นแสดงว่ามึงว่าง?” ภพ ทำตาเป็นประกายตอนที่ถาม

            “อืม”

            “งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ นานๆ จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในกลุ่มสักที” โจมัดมือชก ก็ถูกของมัน ปกติผมต้องไปทำงานพิเศษไม่ค่อยได้อยู่กับกลุ่มนอกจากมีงานกลุ่มเท่านั้น

            “ก็ได้”

            “อย่างนี้ดิวะไอ้เปล” เอกมันนั่งข้างผมจึงตบไหล่ผมหนักๆ สองสามที ผมเห็นสายตาโจเต็มไปด้วยคำถาม ผมเลือกหลบตา หลีกเลี่ยง กลัวมันจะถามผมเข้าให้

            ถ้าผมไม่ทำงานพิเศษ แล้วผมเอาเงินที่ไหนมาใช้




           
            สุดท้ายเรียนไปได้เพียงชั่วโมงเดียว อาจารย์ก็ปล่อยเพราะเสียงเครื่องเสียงดังจนเรียนไม่รู้เรื่อง แต่กลุ่มผมไม่ได้ไปไหนไกล นอกจากไปกินข้าวเที่ยงนอกมหา’ลัยแล้ว ก็กลับมาอยู่ที่มหา’ลัย ทั้งวัน เตรียมรอไปฟังปราศรัยหน้าเวทีกันตอนเย็น ผมรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่มานั่งเรื่อยเปื่อยไม่ได้ทำงานกลุ่มอย่างทุกที

            นี่ใช่ชีวิตเด็กวัยรุ่นในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า

            “พวกแกนั่งทำอะไรกัน ไม่กลับบ้านกลับช่อง” สาวผมดำสั้นที่ผมยังไม่รู้จักชื่อเธอถามกลุ่มผม ตอนที่กลุ่มพวกเธอเดินผ่านพอดี

            “รอไปฟังนั่นอะข้าว แล้วพวกแกยังไม่กลับหอหรือไง” เอกเป็นคนตอบแทน มันบุ้ยหน้าไปตรงสถานที่จัดงาน

            “กำลังจะไปนั่นที่แกว่าน่ะแหละ ไปช้าเดี๋ยวมองไม่เห็น ไปด้วยกันไหม” ข้าวตอบกลับมา พวกผมเห็นว่าเริ่มเย็นแล้วเลยพยักหน้าตกลงไปพร้อมกัน

            พูดตามตรง ผมไม่เคยรู้เลยว่ากลุ่มผมค่อนข้างสนิทกับกลุ่มสาวผมแดงพอสมควร นี่ผมคงหลุดวงโคจรออกมาเยอะสินะ เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นั่งเรียนของผมและเธอถึงอยู่ใกล้กันตลอด

            ตอนที่เราไปถึง ผมได้ยินเสียงสาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันหนักมาก มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ

            “โอ๊ย กูจะเป็นลม” สาวผมแดงที่ชื่อเปิ้ลพูดพลางหอบหายใจ ผมหูผึ่งรีบหันขวับไปดูเธอ ถ้าเธอเป็นลมล้มไปจริงๆ จะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที

            “มึงพูดจริงปะเนี่ย” ข้าวหันไปถาม

            “พูดเล่นเว้ย กูหมายถึงกูไม่ไหว มึงดูนั่น” เปิ้ลชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ที่มีผู้สมัครนั่งอยู่บนเวที

            “คนไหน” เกดพูดขึ้น ผมเองก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มสาวๆ มองตามมือเปิ้ล

            “คนที่หน้าฝรั่งๆ หน่อย”

            “ผมสีน้ำตาลหรือเปล่าวะ นั่งตัวสูงๆ กว่าคนอื่นใช่ปะ” ข้าวเขย่งเท้ามองแล้วบอก

            “เออ คนนั้นแหละ”

            “ทำไม ลูกค้ามึงเหรอ” ข้าวพูดต่อ

            “ลูกค้ากูก็ดีสิ คนเล่นการเมืองไม่กล้ามาซื้อกินเองแบบนี้หรอก ร้อยทั้งร้อยมีคนหาไปประเคนให้ทั้งนั้น ไม่มีทางมาถึงกูแน่”

            “ใครวะ ดูอายุไม่น้อยแล้วนะ เขาอายุเท่าไหร่เนี่ย กูไม่ยักรู้ว่ามึงชอบคนมีอายุ” เกดถามด้วยความสงสัย

            “พวกมึงนี่ไม่รู้อะไร สี่สิบนิดๆ สมัยนี้เขาเรียกกำลังดีเหอะ นี่พวกมึง เราขยับเข้าไปใกล้กว่านี้อีกนิดได้ไหมวะ” เปิ้ลสะบัดเสียงตอบเพื่อน เธอยืดสุดตัวคาดว่าคงจะอยากจะเห็นคนที่กำลังพูดถึงให้มากที่สุด

            “ข้างหน้าเต็มแล้ว ยืนตรงนี้แหละ” เกดดึงแขนเพื่อนไว้ก่อนที่เพื่อนผมแดงจะถลาเข้าไปแทรกหมู่คนโดยไร้มารยาท

            ใจผมไพร่นึกถึงคนที่เจอในความมืดเมื่อหลายคืนก่อน คนนั้นคงอายุพอๆ กับคนที่เปิ้ลชื่นชมเช่นกัน ผมเริ่มชักอยากรู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วใบหน้ามิสเตอร์เคเป็นอย่างไร ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

            ‘ต้องทำตามข้อตกลง’

            ผมบอกตัวเองในใจแล้วมองไปที่บนเวที ผู้ชายใบหน้าลูกครึ่งดึงดูดสายตา จนผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย ผมสลับไปมองจอโปรเจ็กเตอร์ เห็นใบหน้าเขาเรียบเฉย ไม่แสดงออกทางสีหน้า

            “เขาเป็นใคร” ภพคงได้ยินเสียงดังวี้ดว้ายของเปิ้ล จึงถามด้วยความสงสัย และการถามขึ้นมาของเขาทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดด้วย

            “คิรินชา” ไม่ใช่เสียงผู้หญิงแต่เป็นเสียงของเอก เจ้าพ่อนักกิจกรรมตัวยง

            “มึงรู้จักด้วย?” โจทำเสียงประหลาดใจผสมการแหย่เอกไปนิดหน่อย

            “ถ้าพวกมึงดูข่าวการเมืองบ้างก็น่าจะพอคุ้นหน้าเขาอยู่ แสดงว่า...” เอกเว้นช่องว่างไว้ ไม่ได้ให้เติมคำในช่องว่างเพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ แต่เว้นไว้เพื่อให้พิจารณาเอาเอง

            “ก็การเมืองน่าเบื่อ” ข้าวพูดขึ้นราวกับคนร้อนตัว ผมรู้ว่าเอกไม่ได้ด่าว่าเธอ ไม่เข้าใจว่าเธอจะออกรับแทนทำไม

            “คิรินชาชื่อเหมือนผู้หญิง” เกดสงสัย

            “พ่อเขาตั้งชื่อให้ลูกสาว แต่พอคลอดกลับเป็นผู้ชาย”

            “แปลว่าอะไรอะ” เกดถามต่อ

            “จำไม่ได้ เกี่ยวกับภูเขาเนี่ยแหละ แต่ถ้ามึงอยากรู้ นั่น..พ่อเขา หัวหน้าพรรค มึงไปถามดูเอาสิ เผื่อจะได้คำตอบ” เปิ้ลชี้ไปที่ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่บนแท่น

            “กูเสิร์ชเอาเองง่ายกว่าปะ” เกดเถียงกลับ และเปิ้ลเลือกยักไหล่เช่นเคย

            “มึงนี่รู้ดีเนอะ” ข้าวแซะเพื่อนผมแดงบ้าง

            “แน่นอน กูเป็นแฟนคลับเขา ถ้ากูได้เป็นแฟนคุณคีนนะ กูจะเลิกกับคนที่คบอยู่นี่เลย”

            “ท่าทางมึงจะเพ้อเจ้อเอามากๆ”​ เกดส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอา เปิ้ลยังไม่หยุดพร่ำเพ้อ หากบนเวทีเริ่มมีผู้สมัครเลือกตั้งออกมาพูดแล้ว ผมจึงหยุดความสนใจเกี่ยวกับเปิ้ล

            ผมยืนฟังคนบนเวทีพูด รอว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของผู้ชายคนนั้นเสียที แต่รอจนแล้วจนเล่า เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากเก้าอี้เสียเลย เผลอแป๊บเดียว ผมยืนมาร่วมสองชั่วโมงแล้ว

            “โจ กูกลับก่อนนะ” ผมเบื่อไม่อยากฟังต่อ

            “งั้นกูกลับด้วย ไปกินข้าวกัน”

            “ถ้าไม่แพง ก็ได้”

            “มื้อนี้กูเลี้ยงเอง มึงอยากกินอะไร คิดเลย”

            ผมชะงักยังไม่ทันได้ตอบ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น ผมหยิบมันมาดูอัตโนมัติ เบอร์ที่ไม่โชว์เบอร์ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร

            “ครับ” ผมพูดเสียงดังกว่าปกติเพราะเสียงรอบข้างค่อนข้างดัง

            “ผมไม่ค่อยได้ยินเสียงคุณเลย เสียงรอบข้างดังมาก”

            “ผมอยู่ข้างนอก สักครู่นะครับ ผมหาที่ที่เงียบกว่านี้ก่อน” ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วหันไปบอกโจ “กูไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”

            สายตาโจเต็มไปด้วยคำถาม ร้อยวันพันปี ผมมีคนโทรหาซะที่ไหนกัน นอกจากแม่แล้วก็โจ ก็ไม่มีแล้ว

            “ขอโทษที่ให้รอครับ” เมื่อหาที่ค่อนข้างเงียบได้ ผมจึงกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง

            “ไม่เป็นไร คุณมีเรียนวันไหนบ้าง”

            “จันทร์ อังคารแล้วก็ศุกร์ครับ คุณมีอะไรหรือเปล่า”

            “ช่วงนี้ผมงานยุ่งกว่าเดิมมาก เอาแน่นอนไม่ได้ ผมอาจจะนัดคุณวันธรรมดา”

            “ได้ครับ จริงๆ แล้วคุณนัดผมวันไหนก็ได้” ผมบอกเขากลับไป มิสเตอร์เคจะเกรงใจผมขนาดนี้ไม่ได้

            “อืม ผมน่าจะว่างคืนพรุ่งนี้ สี่ทุ่ม โทษทีดึกหน่อย”

            “ไม่เป็นไรครับ”

            “แล้วเจอกัน”

            “เดี๋ยวครับ” ผมรีบท้วงไว้ก่อนที่เขาจะวางสายไป

            “ครับ?”

            “คือ..”

            “หืม?”

            “ไม่ต้องเตรียมยาให้ผมนะครับ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะเขาเบาๆ

นอกจากเสียงทุ้มนุ่มชวนฝัน ก็มีเสียงหัวเราะของเขานี่แหละที่ผมชอบฟัง แต่ได้ยินเสียงหัวเราะทีไร เขาเหมือนขบขันผมทุกที

            “ตกลงครับ”

            ผมวางสายเสร็จแล้วกลับไปที่จุดเดิม เห็นโจยืนหันหลังให้ เขากำลังมองไปข้างหน้า       ผมสะกิดไหล่โจเบาๆ ให้รู้ตัว เราสองคนหันไปบอกเพื่อนๆ ที่เหลือว่าขอกลับก่อน ไม่ลืมที่จะชวนพวกมันไปกินข้าวด้วยกัน แต่เอกและภพกำลังติดพันจากการฟังปราศรัยอยู่เลยบอกว่าขอเป็นคราวหน้า

            ผมยิ้มรับไม่ว่าอะไร ก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมโจ ยังพอทันเห็นว่าเก้าอี้ที่เคยมีชายหนุ่มลูกครึ่งนั่งอยู่ ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าเสียแล้ว

            ผมนึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยินเขาพูดบนเวที
           


            “อยากกินอะไร” โจถามขึ้นเมื่อเรามาถึงหน้ามหาวิทยาลัย โจจอดรถไว้ริมทางเท้าก่อนจะพ้นรั้วประตู ถ้ารู้ว่าจะไปกินอะไร เขาจะได้เลี้ยวรถไปถูก

            “ผัดกะเพราป้าหน้ามอ” ผมเลือกเมนูง่ายๆ ที่อร่อยและประหยัด

            “ไม่เอา”

            “ราดหน้า”

            “อากาศร้อน”

            “ข้าวมันไก่”

            “เบื่อแล้ว”

            “มึงอยากกินอะไร เลือกมาเลย” ผมบอกโจพร้อมกับเสียงถอนหายใจ มันกลายเป็นคนกินยากตั้งแต่เมื่อไหร่

            “มึงเลือกเลยเปล”

            “ไม่เลือก ถ้ามึงไม่คิด กูจะลงตรงนี้แล้วกลับห้อง” ผมยื่นคำขู่

            “ชาบูแล้วกันนะ กูอยากกิน เดี๋ยวเลี้ยงเอง” โจรีบพูดอย่างรวดเร็วพร้อมกับขับรถออกไปโดยไม่มีโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธ

            ‘ร้ายนัก’


            ร้านที่โจเลือกอยู่ในห้างสรรพสินค้า ผมไม่ทันเห็นราคาของมันที่หน้าร้าน เพราะโจลากผมเข้าในร้านอย่างเร็ว ผมกับโจนั่งฝั่งเดียวกัน เขาสั่งอาหารทันทีด้วยความหิว โจทำทุกอย่างคล่องแคล่ว เดาว่าโจคงมาร้านนี้บ่อย ผมตามใจโดยไม่ขัด โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยขัดใจใครอยู่แล้ว อะไรยอมได้ก็ยอมไป อะลุ่มอล่วยได้ก็ทำไป

            “ทำไมเลิกไปทำงานพิเศษ” นั่นไง คำถามที่ผมไม่อยากได้ยิน ผมรู้ว่าจุดประสงค์ของโจที่ตั้งใจชวนผมมากินข้าว เรื่องกินก็ส่วนหนึ่ง แต่ความสงสัยในตัวผมมันคือส่วนใหญ่

            “ก็ไม่ได้ทำ”

            “เปล มึงอย่ากวน ตอบมาดีๆ ไม่ทำงานแล้วเอาเงินที่ไหนใช้”

            “เงินที่กู้ กยศไง”

            “อันนั้นกูรู้ แต่กูไม่เชื่อว่าที่บ้านมึงจะไม่หาข้ออ้างมาให้มึงโอนเงินอีก”

            “เขาอาจจะปรับปรุงตัวแล้วก็ได้” ผมอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง

            “อาจจะ แสดงว่ายังทำไม่ได้” ผมไม่ค่อยได้โกหก แล้วยิ่งโจที่รู้เรื่องครอบครัวผมดี ผมยิ่งโกหกมันได้ยาก

            “กูเหนื่อยเลยออกมาพักเฉยๆ เดี๋ยวเดือนหน้าก็กลับไปทำแล้ว” ถึงตอนนั้นผมคงใช้หนี้หมดแล้ว ไม่ได้ติดต่อมิสเตอร์เคอีก

            “มึงโกหกไม่เก่งนะเปล พูดความจริงมาเถอะ กูไปหามึงที่ร้าน เขาบอกว่ามึงจู่ๆ ก็ลาออกกะทันหัน”

            “กู..”

            “มึงไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น มึงต้องได้งานใหม่ที่เงินดีจนยอมทิ้งงานเก่า”

            “...” โจมองตาผม จนผมนึกขยาด

            “กูพูดถูกใช่ไหม ตอบกู”

            “อืม ถูก” ผมกลั้นใจพูดออกไปแล้ว

            “มึงไปทำงานอะไร”

            “กูไม่บอกได้หรือเปล่า” ผมไม่กล้าแบบสาวผมแดง รุ่นพี่ในวงการทำงานนี้

            “ถ้าเป็นงานที่ไม่มีอะไรให้มึงรู้สึกผิด มึงคงบอกกูแล้วล่ะ” โจถอนหายใจ

            “โจ..คือ..กู” โจพูดถูก มันเดาทางผมออกหมดเลย

            “กูมองมึงตลอดนะเปล เห็นมึงตั้งใจฟังผู้หญิงข้างหน้าคุยกัน แล้วถ้ากูเดาไม่ผิด มึงสนใจงานที่เปิ้ลมันทำอยู่ และมึงคงทำไปแล้ว”

            “โจ..กูขอโทษ” ผมเอาแต่เรียกชื่อโจและคำขอโทษ ไม่มีคำพูดอื่น

            “มึงลำบากแล้วทำไมไม่บอกกูวะ กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย มึงไปทำงานแบบนั้นทำไม”

            “กูจำเป็นต้องใช้เงิน แล้วพ่อกูเสียพนันคราวนี้ตั้งหลายหมื่น”

            “มึงก็ควรต้องบอกกู ที่กูปล่อยให้มึงจัดการเองเพราะคิดว่ามึงยังรับมือไหวอยู่ ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่มึงคงบอกกู”

            “ขอโทษ เงินมันมากแล้วกูเกรงใจ กูกวนมึงหลายเรื่อง”

            “ก็เลยไปทำงานอย่างนี้อะนะ กูรู้ว่าร่างกายเป็นตัวมึง มึงจะทำอะไรกับตัวมึงก็ได้ และมึงจะไม่ต้องกังวลว่าท้องด้วย แต่ที่กูเป็นห่วงไม่ใช่พวกนั้น กูเป็นห่วงถ้ามึงเจอคนไม่ดีล่ะ ถ้าเขาทำร้ายมึงล่ะ ทรมานมึงหรือเอาโรคติดต่อมาให้มึงล่ะ มึงจะทำยังไง” โจบ่นผมยืดยาว น้ำเสียงโจเต็มไปด้วยความโมโห แต่กระนั้นโจก็ยังพูดกับผมเสียงเบา ไม่ดังนัก คงไม่อยากให้โต๊ะอื่นๆ มาได้ยินแล้วมองผมไม่ดี

            “กู..” ผมพูดไม่ออก ผมคิดน้อยไปจริงๆ จนลืมนึกถึงสิ่งร้ายๆ ที่อาจจะตามมาได้

            “ขาดอีกเท่าไหร่”

            “สองหมื่นห้า ไม่สิ คืนพรุ่งนี้กูไปนอนกับเขา จะเหลือหมื่นห้า”

            “มึงยังกล้าบอกกูว่าจะไปนอนกับเขาอีกเหรอ”

            “กูรับปากเขาไปแล้ว”

            “ใช่คนที่โทรหามึงตะกี้ไหม”

            “อืม ใช่” ผมพูดเสร็จก็ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด

            “ไอ้เปล!” โจขยุ้มหัวตัวเอง

            “โจ มึงอย่าโมโห” ผมพูดกับมันเสียงอ่อน อยากให้อารมณ์มันเย็นขึ้นสักหน่อย นิดเดียวก็ยังดี

            “ถ้ามึงรักษาคำพูดนัก จะไปนอนก็ไปแล้วเลิกทำซะ ที่เหลือมาเอาเงินที่กู และกลับไปทำงานพิเศษเหมือนเดิมซะ”

            “เงินเป็นหมื่น กูเกรงใจ”

            “มีเมื่อไหร่ค่อยมาคืน กูไม่รีบ”

            “ก็ได้” ผมรับปาก ถ้าไม่ยอมทำตาม โจคงไม่หยุดเท่านี้

            “แล้วมึงไปนอนกับเขาเนี่ย เขาป้องกันใช่ไหม ไม่ได้สดกับมึงนะ”

            “ไม่นะ เขาบอกว่าไม่”

            “แล้วมึงก็เชื่อ? ไอ้เปล มึงไม่รู้เหรอว่าเขาป้องกันหรือเปล่า กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ” โจทำหน้าเหมือนอยากจะบีบคอ จนผมหดคออย่างอัตโนมัติ

            “เขารักสะอาด กูไม่เป็นไรหรอก” ผมบอกโจ นึกถึงขั้นตอนที่มิสเตอร์เคพิจารณาแล้ว เขาเองก็กลัวโรคไม่น้อยกว่าผมแน่นอน

            “เออๆ กูจะทำยังไงได้นอกจากเชื่อมึง”

            “กูพูดจริง”

            “สัญญากับกูว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย”

            “สัญญา”








=====================

อ้าวววววว ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ละ


ใครเล่นทวิตไปทวง บ่น หรือชมก็ได้น้า ที่แทกนี้เลย #พนักงานดูแลเตียง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
โอ้วววว  ไม่น่าจะยอมเลิกง่ายๆนะ แต่แอบเห็นใจทุกคนเลยอะ แต่ละคนล้วนมีเหตุผล

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เริ่มเห็นเค้าลางคุณเคแล้ว   o18 ว่าแต่เพื่อนสนิทนี่..คิดไม่ซื่อหรือเปล่า  :katai2-1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อย่าเลิกเลยน้องเปล แด๊ดดี้แซ่บๆแบบนี้หาไม่ง่ายนะคะ   :hao7:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
อร้ายยยยย เปิดตัวแด๊ดดี้แล้ว เป็นนักการเมืองจริงๆด้วยยยยย(ฟีลลิ่งฟ้ารักพ่อเลยอะฮืออออ กราบขอโทษคุณธนาธรด้วยนะคะที่พาดพิง  :heaven )
เพื่อนห้ามแล้ว น้องเปลเอาไงดีกล้าแคนเซิลมิสเตอร์เหรอ อยากอ่านตอนต่อไปแล้วววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คุณเครีบโทรหาน้องเพราะเห็นสายตาที่โจมองเปลรึเปล่า
ถ้าน้องเปลเลิก คุณเคจะทำยังไงนะ

 :pig4:

ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต้องออกมาจากเงาแล้วล่ะค่ะพ่อ มีคู่แข่ง 5555

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
อ่าวววว แต่เราว่าคงไมไ่ด้เลิกง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง คุณเขาไม่น่ายอมง่ายๆ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

BED CARE JOB



ตอนที่ 6 แล้วอีเมลมานะ





            คืนวันอังคาร สามทุ่มสี่สิบห้าไม่ขาดไม่เกิน ผมนั่งสงบเสงี่ยมรอมิสเตอร์เคอยู่ในห้อง ครั้งนี้ผมใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานนัก และไม่จำเป็นต้องใช้คู่มือแนะนำจากกระดาษเอสี่อีกแล้ว


            เมื่อวานหลังจากที่กินชาบูกับโจเสร็จ ระหว่างทางที่มันไปส่งผมที่ห้อง โจยังบ่นผมต่อไม่หยุด ถึงจะฟังจนหูชาแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าเถียงกลับ ไม่ใช่ว่ากลัว แต่โจเป็นคนพูดเร็วจนผมเถียงมันไม่ทันต่างหาก โจย้ำนักย้ำหนาให้ผมมาเจอมิสเตอร์เคเป็นครั้งสุดท้ายและให้บอกเลิกงานกับผู้ว่าจ้างให้เรียบร้อย ส่วนเงินที่ยังขาดอยู่เดี๋ยวโจจะโอนให้วันศุกร์ตอนที่เจอกันในคาบเรียน โจบอกแกมสั่งให้ผมกลับไปทำงานพิเศษเหมือนเดิม มันจะห่วงผมน้อยลงกว่านี้ถ้าผมไม่ไปทำงานลับหูลับตามันอีก


            ผมรู้ว่าโจเป็นห่วง... คิดแล้วก็ถอนหายใจ


            ทุกครั้งที่แม่โทรมาเรื่องเงิน ถ้าหากเงินที่ได้จากงานพิเศษยังไม่ออกหรือผมหมุนเงินไม่ทัน โจจะให้ยืมก่อนเสมอ ถูกต้องละว่าผมยืมเงินมันก็จริง แต่ผมรู้ตัวดีว่าถ้าเงินทำงานออกมาเมื่อไหร่ผมจะสามารถคืนมันหมดได้โดยทันที ไม่เคยค้างหนี้แบบไม่รู้ระยะเวลา ทว่าไม่ใช่ครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะทยอยคืนมันได้หมด


            สุดท้ายผมยังเป็นหนี้อยู่ดี แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้เท่านั้นเอง


            ผมคิดแล้วถอนหายใจ ผมเกรงใจโจ ผมรู้ว่ามันมีเงิน ด้วยฐานะทางบ้านของมัน แต่เงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทถือว่าเป็นเงินมากสำหรับผม ผมไม่กล้ายืมโดยไม่รู้กำหนดคืน อีกอย่างผมไม่อยากมีปัญหาแล้วต้องดึงเพื่อนเข้ามาเอี่ยวทุกครั้ง แม้โจจะพูดตลอดว่าเต็มใจช่วย โจใจดี ไม่เคยต่อว่า อาจจะมีบ่นบ้างนิดหน่อยที่ผมใจอ่อนกับที่บ้านมากเกินไป แต่ยินดีช่วยเหลือทุกครั้งที่ผมเอ่ยปาก คิดแล้วก็น่าละอายที่ผมไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้


            เป็นอย่างที่ใครต่อใครเคยพูด เมื่อได้หยิบยืมหนึ่งครั้ง สุดท้ายก็จะยืมต่อไปไม่รู้จบ ผมไม่อยากอยู่ในวังวนนั้นอีกแล้ว ผมตั้งใจว่าถ้าหมดหนี้ก้อนนี้ ตอนที่กลับไปเลือกตั้งที่ลำปาง ผมจะรับปิงมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าปิงอาจจะต้องเรียนซ้ำชั้นใหม่อีกปีก็ตาม ผมอาจจะเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ก็ได้แต่หวังว่าน้องชายผมจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำอะไรกะทันหันแบบนี้


            เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เสียงนั้นดึงผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลตรงโต๊ะที่หัวเตียง


            สามทุ่มห้าสิบห้า


            ตรงเวลาเหลือเกิน


            “มิสเตอร์เคครับ ผมยังไม่ได้ปิดไฟ คุณจะให้ผมใส่ผ้าปิดตาหรือเปล่า” ผมรีบส่งเสียงบอกคนที่อยู่ด้านนอก

            “แล้วแต่คุณเลยครับ ผมแบบไหนก็ได้” ผมฟังแล้วไม่ค่อยพอใจ ทำไมต้องให้ผมเลือกด้วย เขาเป็นนายจ้าง ตัดสินใจให้เลยไม่ได้เหรอ

            “ถ้างั้นผมเลือกเปิดไฟ ไม่ใส่ผ้าปิดตาครับ” ผมตั้งใจพูดกลับไป รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

            “...” ไม่มีคำตอบจากมิสเตอร์เค ความเงียบทำให้ผมหวั่นใจ ผมคงข้ามเส้นเขาเกินไป

            “ขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ” ผมรีบขอโทษเขา เราจะเจอกันในความมืดเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมไม่อยากให้เราผิดข้องหมองใจต่อกัน

            “คุณอยากเปิดไฟงั้นหรือ” เสียงทุ้มนุ่มชวนฝันของเขาถามผมเสียงเรียบ มันทำให้ผมตื่นเต้นที่ได้ยินคำถาม

            “ผมล้อเล่นครับ ผมรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ งั้นผมขอปิดไฟนะครับ” ผมลุกขึ้นเดินไปใกล้ประตู ตรงนั้นมีสวิตช์ไฟอยู่

            “ครับ”

            ผมปิดไฟเสร็จแล้วเดินกลับมาที่เตียง ถึงภายในห้องจะตกอยู่ในความมืดสนิทแล้วแต่ผมยังพอจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน จึงไม่ยากเย็นที่จะเดินไปปลายทางนัก

            “เข้ามาได้เลยครับ ผมปิดไฟแล้ว” ผมให้สัญญาณมิสเตอร์เคอีกครั้ง ประมาณห้าวินาทีที่ผมนับอยู่ในใจ ประตูจึงถูกเปิดออกจากเขา

            ด้านนอกมืดมิดเหมือนครั้งก่อน เงาดำตะคุ่มสูงใหญ่ เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลงอย่างเบามือ ผมเห็นเงานั้นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างนั้นก็มานั่งอยู่ข้างผม

            “เมื่อสักครู่นี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น คุณโกรธหรือเปล่า ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” ผมใจเต้นตึกตัก รีบบอกเขาอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ถึงแม้จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาแต่อย่างน้อยก็พูดต่อหน้าเขา

            “...”

            “คุณโกรธผมเหรอ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ขอโทษนะครับ” ไม่มีคำตอบจากมิสเตอร์เค ผมเริ่มไม่สบายใจ ย้ำคำขอโทษไปอีก

            ผมไม่ได้ตั้งใจจะล้ำเส้นมิสเตอร์เค จึงยกมือไหว้เขา รู้สึกผิดที่พูดจาพล่อยๆ ยังไงเขาก็คือนายจ้างของผมและแก่กว่าผมมาก ผมไม่ควรเอากฎสำคัญมาล้อเล่นเขา

            ผมไม่อยากถูกเขาโกรธ ให้ตายเถอะ


            “เปล่า”

            “แล้วทำไมคุณไม่ตอบผมล่ะครับ”

            “ที่ผมไม่ตอบเพราะผมจำได้ว่าครั้งก่อนผมเคยสอนคุณไปแล้วว่าถ้าจะขอโทษต้องทำยังไง”

            ความทรงจำนั้นผุดขึ้นมาในสมองผมอย่างรวดเร็ว หัวใจผมเต้นสะดุดก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเต้นโครมคราม

            “เอ่อ..คุณอยากได้คำขอโทษแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

            “ครับ ผมเลยรอ..รอคำขอโทษจริงๆ จากคุณ”

            “ผม..คือ..ผม” ผมลังเล ไม่กล้าเริ่ม ไม่รู้ว่ามิสเตอร์เคใจเย็นได้แค่ไหน  วูบหนึ่งผมคิดว่าถ้าเป็นผมที่ต้องเสียเงินจ้างคนมานอนด้วยแล้วยังถูกถ่วงเวลาไว้แบบนี้ ผมคงจะหงุดหงิด ไม่พอใจ

            ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปจับแขนเขากล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะรีบปล่อยเพราะแขนเขาเย็นมาก

            “ตัวคุณเย็น” ผมบอกเขาตอนที่ละมือออกมา ไม่ได้ต้องการให้เขาเข้าใจผิดกับการกระทำของผม

            มิสเตอร์เคหัวเราะเสียงเบาก่อนจะก้มหน้าเข้ามาใกล้ “ขอโทษที วันนี้ผมร้อนมาก ตอนที่อยู่ในรถเลยเร่งแอร์เสียแรงสุด”

            “ครับ” ผมบอกเขา พยักหน้ารับคำแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม


            ผมขยับตัวแล้วคุกเข่าต่อหน้ามิสเตอร์เค มือทั้งสองข้างยึดบ่าเขาไว้ไม่ให้ล้ม จากท่านี้ผมเห็นมิสเตอร์เคเงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกใสในความมืดของมิสเตอร์เคมองมาที่ผม ผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจก้มลงไปจูบเขา

            สารภาพตามตรงว่าผมไม่เคยเริ่มเองเลยสักครั้ง ซ้ำยังจูบไม่เป็น ผมอาศัยความทรงจำที่เขาเคยจูบผมนั้นมาใช้ ผมพยายามจูบเขา สอดลิ้นเข้าไปในปากมิสเตอร์เค แต่มันช่างเงอะงะในความคิดผมเหลือเกิน

            เขาอาจจะรำคาญผมก็เป็นได้ ตั้งใจจะเลิกจูบแล้วตั้งสติใหม่ โมโหที่ตัวเองไม่ได้เรื่อง แต่ท้ายทอยกลับถูกยึดเอาไว้จากมือเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมผมไม่รู้ตัวเลย

            มิสเตอร์เคถอนริมฝีปากออกมานิดเดียว นิดเดียวจริงๆ จมูกของเรายังชนกัน ถึงจะมองไม่เห็นแต่ผมมั่นใจว่าริมฝีปากเขาจวนแตะกับปากผมอยู่รอมร่อแล้ว

            “ผมรับคำขอโทษจากคุณแล้วนะครับ” เขากระซิบบอกผมก่อนจะย้ำจูบอีกที

            “คุณไม่โกรธผมแล้วใช่ไหมครับ” ผมยังกังวลกับคำพูดที่ล้อเล่นเขาไปก่อนหน้า

            “ผมไม่ได้โกรธคุณเลย”

            “ต่อไปผมจะไม่พูดแบบนี้กับคุณอีก”

            “ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจพูด” เขาเม้มปากผมค่อนข้างแรง ผมเดาว่าเขาอยากจะกัดเพื่อลงโทษแต่เพราะผมเคยบอกว่าไม่ชอบ เขาจึงทำแบบนั้นแทน แต่อย่าคิดว่าไม่กัดแล้วจะไม่เจ็บนะ ลองดูไหมล่ะ


             ‘บอกว่าไม่โกรธ แต่จริงๆ ก็ไม่พอใจอยู่บ้างใช่ไหม’


            “ขอบคุณครับ”

            “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมเหนียวตัวมาก ขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหม”

            “ได้ครับ ได้อยู่แล้ว คุณเป็นนายจ้างผมนะครับ” ผมยิ้มบอกเขาในความมืด

            “เผื่อว่าคุณจะกลัวเสียเวลา” มิสเตอร์เคตอบมาด้วยน้ำเสียงเจือขบขันเล็กน้อย เขาคงแกล้งแหย่ผมเล่น ไม่ยักรู้ว่าเขาจะมีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

            “ผมรอได้” ผมเลือกไม่ต่อความ กลัวเถียงไปเถียงมาแล้วไม่ชนะ น่ากลัวว่าจะเดือดร้อนเข้าตัวเอง

            “เดี๋ยวผมกลับมา” มิสเตอร์เคทิ้งท้ายสั้นๆ วางมือบนหัวผมไว้ครู่หนึ่งก่อนจะลุกไป






            คล้อยหลังเสียงประตูปิดลง ผมนึกถึงคนที่เพิ่งออกไป หลังจากคืนนี้ผมจะไม่ได้ติดต่อกับมิสเตอร์เคอีกแล้ว รู้สึกเสียดาย ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายงานที่ทำกับเขา แค่เสียดายว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่ รับรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ ไม่อ้วน มีอายุมากกว่าผมรวมกันสองคน เป็นคนใจเย็นที่ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ และรู้วิธีพูด พูดเป็น โน้มน้าวเก่ง ไม่บังคับความรู้สึกหรือฝืนใจ ไม่เอาเปรียบ ตรงเวลามาก ไม่ได้มีสาระตลอดเวลา มีอารมณ์ขันบ้างตามสถานการณ์


            และที่สำคัญไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องเงิน


            เอาเถอะ ถึงจะไม่ได้เห็นใบหน้ามิสเตอร์เคก็ไม่เป็นไร ดีกว่าทำลายความไว้ใจที่ได้รับมาจากเขา


            ผมคงคิดเพลินไปหน่อย มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นครีมอาบน้ำกระทบเข้ากับจมูกพร้อมกับเตียงที่ยวบลง

            “ผมเคาะประตูแต่คุณไม่ตอบ นึกว่าหลับไปแล้ว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฝันบอกผมอย่างนั้น ไม่ได้แฝงความไม่พอใจมาในน้ำเสียง

            “ถ้าผมหลับไปจริงๆ คุณจะทำยังไงครับ” ผมลองถามเขา

            “ผมจะปล่อยให้คุณพัก”

            “แล้วคุณล่ะ?”

            “ผมก็จะกลับไปพักเช่นกัน”

            “ไม่โกรธเหรอครับที่ผมทำคุณเสียเวลา”

            “ผมอาจจะเสียเวลาก็จริงอยู่ แต่ถ้าคุณหลับก็จะไม่ได้เงินใช่ไหม” มิสเตอร์เคหัวเราะอีกแล้ว ใจผมสั่นทุกทีที่ได้ยิน

            ผมขอคืนคำว่าไม่ตระหนี่เรื่องเงินได้ไหม โอเคๆ ผมอาจจะพูดผิดไปหน่อย มิสเตอร์เคอาจจะใช้เงินเก่ง แต่เชื่อเถอะว่าเขาใช้เงินเป็นแน่นอน

            “ใช่ครับ” ผมหัวเราะบ้างแต่เป็นแบบขอไปที “ผมไม่หลับหรอก” ผมต้องการเงินและเป็นการทำงานครั้งสุดท้ายผมจะกล้าหลับได้ยังไง

            “วันนี้คุณพูดแปลกๆ หลายครั้ง มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”

            “ครับ?”

           “ผมรู้ว่าคุณได้ยินคำถามผมแล้ว” เขาไม่พูดซ้ำตามนิสัย

           “ไม่มีอะไรครับ” ผมตั้งใจว่าจะพูดเรื่องยกเลิกกับมิสเตอร์เคหลังจากที่เรานอนด้วยกัน จึงยังไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้

           “ถึงห้องจะมืด แต่รู้ไหมเปล คุณเป็นคนที่ใช้คำพูดและน้ำเสียงซื่อตรงกับความคิดคุณมาก”

           “ผม?” มิสเตอร์เคไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมเป็นอย่างที่เขาพูดจริง

           “ถ้าให้ผมพูดตรงๆ คุณเป็นคนที่อ่านง่าย แล้วถ้าผมมองเห็น คุณคงเป็นคนแสดงสีหน้าชัดเจนด้วย แสดงว่าคุณจะโกหกใครไม่ได้”

           ผมอยากจะเถียงกลับไป แต่มิสเตอร์เคพูดถูก ผมไม่เคยโกหกโจได้สำเร็จ ไม่เคยปิดบังน้ำเสียงเวลาคุยกับแม่ได้เลย แม่ถึงจับจุดผมได้ถูกทุกครั้ง

          “คุณเดาถูกครับ”

          “ผมไม่ได้เดาถูก แต่ผมพูดถูกต่างหาก” เขาแก้คำพูด ยิ่งทำให้ผมชักหมั่นไส้ความมั่นใจของเขา

          “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณครับมิสเตอร์เค แต่ผมขอคุยหลังจากที่เราทำงานเสร็จแล้วได้ไหม”

          “ได้สิ” มิสเตอร์เคพูดแบบนั้นก่อนที่มือของเขาจะถอดเสื้อคลุมผมออกอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน

          “คุณ!” ผมเรียกเขาเสียงหลงแต่ยังชะงักมือที่จะไม่ตะครุบเสื้อคลุมไว้ได้ทัน ปล่อยให้มันหลุดพ้นจากตัวไปตามความตั้งใจของมิสเตอร์เค

          “เริ่มเร็ว จบเร็ว จะได้คุยกันเร็วไงครับ” เขาล้อเลียนตอนที่ดันให้ผมนอนราบไปกับเตียงแล้วมีมิสเตอร์เคทาบทับตามลงมา


          ผมหลับตาเมื่อเขาจูบผม มิสเตอร์เคสอดลิ้นเข้ามาในปากผมเหมือนทุกที ผมเริ่มจำวิธีของเขาได้บ้าง เขาป่ายมือไปทั่วตัว ผมเริ่มหายใจติดขัด จับแขนมิสเตอร์เคไว้แน่นก่อนจะเลื่อนมือไปคล้องคอเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มิสเตอร์เคขยับใบหน้ามาที่ใบหูก่อนจะไล่ละลงจนถึงซอกคอ ผมขนลุกซู่ด้วยความวูบวาบ ทุกการลากผ่านจากริมฝีปากเขามันทำให้ช่วงล่างกำลังก่อตัวแปรเปลี่ยนสภาพ


          ทั้งผมและเขา


          มิสเตอร์เคดูแลใส่ใจผมดีเยี่ยมเหมือนเคย เขาระวังไม่ให้ผมต้องบาดเจ็บ ค่อยเป็นค่อยไปในขั้นตอนที่เขาบอกว่าเร่งรีบไม่ได้ และมันก็มีขั้นตอนที่เขาเร่งรีบและรุนแรงบ้างเมื่อผมบอกเขาว่าผมทนไม่ไหว ทรมานและบีบไหล่เขาแน่นขึ้น ผมไม่ได้พูดมากไปกว่านั้น แต่มิสเตอร์เคกลับเข้าใจเป็นอย่างดี


          ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นผมมากกว่าที่เป็นฝ่ายซื้อเขามาเสียเอง

          “พอแล้วเหรอครับ” ผมถามมิสเตอร์เคตอนที่เขาถอนตัวออกมาจากตัวผม ผมคิดว่าเขาคงจะถอดถุงยางทิ้งเหมือนกับที่ผมทำ แล้วสวมใส่อันใหม่ลงไป ซึ่งผมเองก็จะทำด้วยเช่นกัน

          แต่คืนนี้กลับไม่ใช่

          “อืม วันนี้ผมค่อนข้างเหนื่อย”

          “ถ้าคุณเหนื่อย จริงๆ ยกเลิกนัดผมได้นะครับ” ถึงจะพูดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว แต่ผมอยากให้เขารู้ไว้

          “คุณจำเป็นต้องใช้หนี้ไม่ใช่เหรอ”

          “ก็ใช่ครับ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกก็บอกผมได้ คุณทำแบบนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนเอาเปรียบคุณ”

          “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก ขยับมาใกล้ๆ สิ” ถึงเขาจะเรียกผมให้เข้าไปแต่อันที่จริง ตอนที่เขาเอนตัวลงนอนข้างๆ เขากลับดึงตัวผมเข้าไปใกล้จนหัวผมเกยอยู่บนหัวไหล่เขา

          มิสเตอร์เคกอดผมไว้ คอยลูบแขนเบาๆ

          ผมคิดว่าผมชอบช่วงเวลานี้นะ ติดที่มิสเตอร์เคไม่ได้สูบบุหรี่ระหว่างที่กอดผม ผมเคยสงสัยตอนที่ดูหนังว่าทำไมพระเอกหรือนักแสดงในเรื่องถึงชอบสูบบุหรี่หลังเสร็จกิจหรือบางคนก็ชอบไปสูบที่ระเบียงห้อง

          “คุณสูบบุหรี่ไหม” ผมจึงถามเขาตามความคิด

          “ไม่ครับ ทำไมเหรอ”

          “ผมดูหนังหลายเรื่องเห็นพระเอกชอบสูบบุหรี่บนเตียง”

          “ดูหนังมากไปแล้ว” เขาเขกหัวผมเบาๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจางๆ “ผมเคยสูบแต่เลิกไปนานแล้ว อีกอย่างผมไม่ใช่พระเอกด้วย ผมน่าจะเหมาะกับบทตัวร้ายมากกว่า”

          “ทำไมถึงเลิกสูบครับ” ผมไม่กล้าถามเขาว่าทำไมถึงคิดว่าตัวเองเหมาะกับบทตัวร้ายกลัวจะเป็นการละลาบละล้วง เลยเลือกถามคำถามที่คิดว่าตอบไม่ยากแทน

         “พออายุมากขึ้นก็เริ่มกลัวตายเร็ว”

         “เหรอครับ” ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่จะให้ผมไปคาดคั้นเพื่อเอาคำตอบจริงก็กระไรอยู่ ผมไม่ได้อยากรู้จริงจังขนาดนั้น

         “ไม่เชื่อเหรอ”

          “เชื่อสิครับ มีเหตุผลอะไรที่ผมไม่เชื่อ”

         “น้ำเสียงคุณซื่อตรงกับความคิดเสมอ แล้วตกลงว่าคุณมีอะไรอยากพูดกับผม” ในที่สุดมิสเตอร์เคก็รู้จุดอ่อนผมอีกคน

          “เพื่อนผมรู้เรื่องที่ผมมาทำงานกับคุณแล้วครับ”

          “คุณบอกเขา?” มิสเตอร์เคไม่ได้ทำเสียงว่าโกรธ แต่ถามด้วยความแปลกใจมากกว่า

          “เปล่าครับ แต่อย่างที่คุณพูดผมโกหกไม่เก่ง”

          “โอเค ผมไม่ประหลาดใจที่คุณโกหกใครไม่ได้ แล้วที่คุณอยากบอกผมคือ?” มิสเตอร์เคตอกย้ำจุดอ่อนของผมแล้วถามกลับ

          “เพื่อนผมไม่สบายใจที่รู้ว่าทำงานนี้ เขาเลยออกปากจะช่วยใช้หนี้แทนให้”

          “เพื่อนสนิทเหรอ”

          “ก็สนิทมั้งครับ คือปกติผมไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนเพราะผมไปทำงานพิเศษตลอด แต่เวลามีปัญหาทีไร เพื่อนคนนี้ก็จะคอยช่วยเหลือผมเสมอ”

          “แล้วเงินนั่น คุณต้องคืนให้เพื่อนคุณด้วยไหม”

          “ต้องคืนสิครับ ผมไม่กล้าเอามาเฉยๆ หรอก”

          “แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้สินะ แล้ว?”

          “ผมตั้งใจจะบอกคุณว่าขอยกเลิกสัญญาระหว่างเราครับ ผมคงทำงานกับคุณครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

          พอมิสเตอร์เคฟังคำพูดของผมจบก็เงียบไปครู่ใหญ่ กระทั่งเขาพูดขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังคิดเตลิดไปต่างๆ นานา

          “ตกลงครับ ตามสัญญาของเรา ไม่ว่าคุณหรือผม เราต่างมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”

          “ขอโทษที่บอกกะทันหันนะครับ”

          “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลนะ มันเป็นสิทธิ์ของคุณอยู่แล้วครับ” มิสเตอร์เคว่าพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก เขาคงไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ

          “ขอบคุณครับ ผมขอถามอะไรคุณบ้างได้ไหมครับ” ในเมื่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมก็อยากจะรู้บางอย่างจากมิสเตอร์เคบ้าง

          “ได้ครับ”

          “ทำไมคุณถึงเลือกผมครับ”

          “นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เพราะคุณน่าสนใจดี”

          “ครับ?”

          “ไม่มีใครเขาสมัครงานแบบนี้ด้วยรูปถ่ายสองนิ้ว หน้าตรง สวมชุดนักศึกษากันหรอกครับ”

          “แล้วถ้าไม่ใช่รูปนักศึกษา จะใช้รูปอะไรล่ะครับ รูปถ่ายเล่นทั่วไปเหมือนที่คุณเคยขอผมเหรอครับ”

          “เปลครับ อย่างแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่าถึงผมจะรับสมัครงานพนักงานดูแลเตียงก็จริง แต่ความหมายมันไม่ใช่อย่างนั้น คุณก็รู้ใช่ไหม ผมถึงถามคุณในอีเมลว่าคุณรู้ใช่ไหมงานนี้คืองานอะไร” มิสเตอร์เคอธิบายผมอย่างใจเย็น

          “ครับ”

          “คุณยังจำได้ไหมผมไม่ได้ระบุวุฒิการศึกษาเป็นคุณสมบัติของผู้ที่มาสมัคร”

          “จำได้ครับ” ผมพยักหน้าไปด้วย

          “แสดงว่างานนี้มันไม่ได้ใช้ความรู้เป็นสำคัญ วุฒิการศึกษาไม่ได้ตอบโจทย์ในอาชีพนี้”

          “อ่อ..ครับ”

          “ผมคิดว่าคุณคงพอจะเดาได้แล้วว่าถ้าไม่ใช้ความรู้แล้วต้องใช้อะไร” มิสเตอร์เคไม่ได้เฉลยจนหมดเปลือก เขาปล่อยให้ผมได้ใช้ความคิดเอง

          “คิดว่ารู้ครับ”

          “ดีครับ ผมเจอมาหลายแบบ ทั้งรูปภาพที่ผ่านการตกแต่งหรือคำพูดที่ผ่านการปรุงแต่ง แต่คุณไม่ใช่ คุณทำให้ผมแปลกใจตั้งแต่รูปถ่ายและคำตอบของคุณ”

          “รูปถ่ายผมพอจะเดาได้ แต่คำตอบของผม มันทำไมเหรอครับ”

          “คุณตอบตรงๆ ตามสิ่งที่คุณคิดไงครับ”

          “ผมก็ตอบตามปกตินะครับ” ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ

          “ผมถามคนที่ผมจ้างมาว่าเขามีแฟนไหม หรือเขาเคยนอนกับใครไหม คุณคิดว่าพวกเขาจะตอบว่าอย่างไร”

          “ก็ตอบตามจริงสิครับ แต่เขาไม่ควรตอบว่ามีแฟนนะ เพราะมันผิดตั้งแต่ตอนสมัครงานแล้ว” ผมตอบไปตรงๆ

          “สมเป็นคุณ นั่นแหละครับตามที่คุณว่าแต่น่าเสียดายที่พวกเขาเลือกโกหกผมตั้งแต่คำถามแรก”

          “ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นด้วย”

          “เขาอยากได้เงิน จนไม่สนวิธีการ”

          “เหรอครับ” ผมพยักหน้างึกงักในความมืด

          “เอาละ มีอะไรอยากถามผมอีกไหม” มิสเตอร์เคพูดเสียงอู้อี้เล็กน้อย น้ำเสียงเขาฟังดูเนือยๆ วันนี้เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ

          “ไม่แล้วครับ ขอบคุณนะครับ” ผมเลยไม่อยากไปถามอะไรเขาอีกก่อนจะพูดต่อ “คุณคงจะง่วงแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวผมกลับเลยนะครับ คุณจะได้พักผ่อนต่อที่นี่ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าทำงานหนักเกินไป ส่วนคีย์การ์ดผมวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียงให้แล้วนะครับ”

          “คุณก็เช่นกัน ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ คุณเป็นเด็กดี กลับไปทำงานพิเศษอย่างที่เพื่อนคุณบอก แล้วถ้ามีเรื่องหนักหนา หาทางออกไม่ได้ ให้อีเมลมาหาผมนะ”

          “ขอบคุณครับ”

          “เดี๋ยวผมจะไปนอนอีกห้อง หลังจากผมไปแล้ว คุณเปิดไฟ อาบน้ำแต่งตัวได้เลยนะครับ” มิสเตอร์เคคลายอ้อมกอด ความอบอุ่นจากเขาหายไป เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผมจึงทำตามเขาเหมือนกัน

          “ครับ”

          “อย่าลืมนะ ถ้ามีเรื่องอะไรให้บอกผม อย่าเกรงใจ”

          “ครับ”

          “โชคดีนะครับเปล” มิสเตอร์เคชะโงกหน้าจูบที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะออกไปจากห้อง



          ไม่รู้ทำไม ผมเบาโหวงในใจเมื่อคิดว่าจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศและความรู้สึกแบบนี้ของเขาอีก









=====================



ไหนดูซิ.. ใครเดาไว้ว่ายังไงบ้างคะ



ใครเล่นทวิตไปทวง บ่น หรือชมก็ได้น้า ที่แทกนี้เลย #พนักงานดูแลเตียง


ออฟไลน์ 15magnitude

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นี่คนหรือไมโครเวฟคะ อบอุ่นไปแล้ววว ฮืออออ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
งื้อ คุณเคอบอุ่นมากๆเลยค่ะ
คุณเคจะปล่อยน้องเปลไปเฉยๆจริงๆเหรอคะ  :mew2:
 :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
จะยอมปล่อยมือจริงๆอ่อ   :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แม้แต่วันสุดท้ายยังคงอบอุ่นแง คุณคีนนนน  :hao5:

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
โอ้โห วันสุดท้ายยังละมุนกันอะ จะผีผลักท่าไหนให้ได้กันอะ 55555555555555555555555555555555

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คุณคินของเราเดี๋ยวจะไปขัง2คนไว้ในห้องเดียวกันจะอบอุ่นไปถึงไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คุณคินคงไม่ได้ปล่อยน้องไปจริงๆ หรอกใช่ไหม?

ออฟไลน์ nkl31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อบอุ่นอะไรขนาดนี้ ชอบตอนนอนกอดกัน กับจูบหน้าผาก แงงงง ละมุนเวอรร์

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ปล่อยจากสถานะซื้อขายเป็นแบบทั่วไปไหมคะโหยเสียดายแทนน้องเปล

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
ชอบๆๆ จะมีโอกาสที่มิสเตอร์เคกับน้องจะได้สานต่อแบบไม่เกี่ยวกับเงินมั้ยคะ รอนะคะข

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

ออฟไลน์ intothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ intothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ moonoi1000

  • I'm a realist dreaming the impossible
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขาจะกลับมาหากันอีกไหม :katai1:

ออฟไลน์ Fahsang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แงงงง  ไม่อยากให้เขาห่างกันเลย  เฮ้อออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด