[END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19  (อ่าน 71907 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #120 เมื่อ28-06-2019 01:55:38 »

 :katai5: รอจ้ะ

ออฟไลน์ ROCKLOBSTER

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #121 เมื่อ28-06-2019 10:11:03 »

รออยู่น๊าาา
 :call:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #122 เมื่อ28-06-2019 11:12:44 »

 :katai5: :katai5: :katai5: รออออออออ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #123 เมื่อ28-06-2019 14:01:46 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ gungchan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #124 เมื่อ29-06-2019 01:32:45 »

พลีสสสสส :call:
เอาใจช่วยให้พลีสทลายเกราะป้องกันตัวเองลงได้บ้าง

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #125 เมื่อ29-06-2019 11:02:11 »

เอาใจช่วยแสงเทียน เเสงเทียนต้องกลับมานะ  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #126 เมื่อ30-06-2019 05:19:37 »

สนุกดีค่ะ ติดตามๆ :mew1:

สงสัยหลายอย่างมากกก รอลุ้นจะเป็นอย่างไรต่อไปแล้วกันน

แสงวิญญาณก้ออกจากร่างน้องพลีสแล้ว พลีสจะกลับมาไหมนะ ลุ้นเลยค่าาา

 :mew1: :pig4: :katai1:

ออฟไลน์ Chakaimook

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
«ตอบ #127 เมื่อ30-06-2019 17:18:33 »

น้องพลีสจะกลับมามั้ย พี่แสงจะไปอยู่ไหนนน งื้ออออ~  :katai1:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #128 เมื่อ01-07-2019 00:16:16 »

ตอนที่ 11
คงจะดีกว่า ถ้าวันนั้นมันเป็นแค่ฝันร้าย


            เวลาถูกถามว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร ผมไม่เคยให้คำตอบได้เพราะยังไม่รู้ความต้องการของตัวเอง แต่มีความต้องการของแม่ที่คาดหวังในตัวผมอยู่เสมอ แม่อยากให้เรียนหมอ ส่วนพ่อไม่เคยพูดอะไรแต่ดูแล้วก็คล้ายว่าจะสนับสนุนความคิดของแม่ หน่อยเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นที่หนึ่ง เพราะอยากเห็นผมเป็นหมอในอนาคต

หน่อยสอนผมอยู่เสมอว่าทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทำให้เป็นเพราะรักและหวังดี ถูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่า ความคาดหวังจะเป็นความรักที่บิดเบี้ยว เพราะมันส่งผลให้ผมรู้สึกในทางตรงข้ามกันอยู่เสมอ บ่อยครั้งผมเกิดคำถามว่าแม่กำลังคาดหวังเพื่อตัวผมหรือเพื่อตัวเองกันแน่

แต่ถึงอย่างนั้นการตั้งใจเรียนก็ดูจะเป็นหน้าที่เดียวที่ผมพอจะทำได้ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชอบก็เวลาที่ต้องทำงานคู่หรืองานกลุ่ม มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะต้องหาคู่หรือยัดเยียดตัวเองเข้าไปในกลุ่มของใครสักคน อย่างวันนี้ในคาบวิทยาศาสตร์ก็มีงานกลุ่มที่ต้องทำรายงานและนำเสนอหน้าห้อง การจับกลุ่มถูกจัดขึ้นตั้งแต่คาบที่แล้ว ผมเป็นเศษเหลือที่ถูกอาจารย์จับยัดใส่กลุ่มของนักเรียนแถวหลังที่ยังขาดคนอยู่ด้วยความไม่เต็มใจนัก ปั้นยกตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเหตุผลก็เพราะต้องการโยนทุกงานให้ผมรับผิดชอบ แต่อย่างไรการพรีเซนท์ของวันนี้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบในตอนที่กำลังจะหมดคาบ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นต่างหาก...

"ปณิธาน" เสียงเรียกจากครูที่หน้าห้องดังขึ้นเรียกความสนใจของผมไปแม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อตัวเอง เจ้าของชื่ออย่างปั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังขานรับเสียงดัง

"ครับผม"

"กลุ่มเธอ ออกมาคุยกับครูหน่อย"

นักเรียนห้าคนรวมผม ลุกออกจากโต๊ะไปที่หน้าห้อง เราตกเป็นที่สนใจจากจำนวนสมาชิกที่เหลือในห้องทันทีเพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเล่มรายงานของกลุ่มเราถูกครูโยนลงบนโต๊ะเบาๆ

"ใครเป็นคนทำรายงานเล่มนี้"

"ช่วยกันครับ" หนึ่งในกลุ่มเป็นตัวแทนตอบหลังจากที่เอาแต่มองหน้ากันไปมา

"ครูถามอีกที"

"พวกเรา...ช่วยกันครับ"

"พันธกานต์"

ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากเสียงเรียก ก่อนจะต้องก้มหน้าลงไปอีกเมื่อครูพูดต่อในประโยคหลัง

"เธอเป็นคนทำทั้งหมดใช่ไหม"

"..."

"ตอบครู"

หากผมพูดความจริง เพื่อนในกลุ่มจะซวยกันหมด แต่ถ้าผมโกหก ครูก็ต้องรู้อยู่ดี จึงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบ ไม่มีคำตอบจากผม

"เธอทำรายงานส่งครูมากี่เล่มแล้ว คิดว่าครูจะไม่รู้เหรอ ตอนพรีเซนท์งานก็แทบจะพูดอยู่คนเดียว ครูถามอะไรก็ตอบอยู่คนเดียว ทำคนเดียวแบบนี้จะเอาคะแนนคนเดียวหรือไง!"

"เปล่านะครับ"

"แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนช่วย"

ก็ไม่มีใครช่วย...ไม่มีใครสนใจ...ไม่มีใครตามงาน...ไม่มีเลย

"ถึงเธอจะเก่งแค่ไหนแต่มันก็เป็นงานกลุ่ม ถึงเพื่อนไม่ช่วยก็ต้องบังคับให้มันช่วย ไม่งั้นครูจะสั่งงานกลุ่มไปเพื่ออะไร พวกเธอก็เหมือนกัน ทำไมไม่ช่วยเพื่อน ทำตัวมักง่ายแบบนี้แล้วคิดว่าครูจะไม่รู้นะ"

"..."

"พันธกานต์ ครูให้เธอเลือกว่าจะเอาคะแนนคนเดียวแล้วให้เพื่อนได้ศูนย์คะแนน หรือให้คะแนนเพื่อนแล้วเธอได้ศูนย์แทน"

นึกโกรธอยู่ในใจว่าทำไมความรับผิดชอบทั้งหมดต้องตกอยู่ที่ผม ผมไม่รู้ว่าการที่เอางานมาทำคนเดียวทั้งหมดให้มันจบๆ ไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราเดือดร้อนกันหมด แม้จะพยายามขนาดไหน แต่ทุกอย่างก็ยังแย่ลงอยู่เรื่อยๆ ไม่มีโอกาสให้ผมได้หายใจอย่างสะดวกในห้องเรียนที่แสนจะโหดร้ายนี่เลย

"ว่ายังไงพันธกานต์"

"ให้เพื่อนได้คะแนนครับ ผมรับผิดเอง"

"เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม"

"ครับ"

มันเป็นทางเลือกที่ดูไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมเห็นแก่ตัวเองแล้วเอาคะแนนนั้นไว้คนเดียว ผมคงไม่มีชีวิตรอดจากคนพวกนี้ที่ดูจะแค้นเคืองกันราวกับเจ้าป่ารอขย้ำเหยื่อ

"พันธกานต์กลับไปนั่งที่ พวกที่เหลือคุยกับครูก่อน"

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะ เพื่อนในห้องยังมองมาที่ผมจนต้องก้มหน้าเดินไปนั่งที่ให้เร็วที่สุด เสียงของครูที่หน้าห้องยังคงได้ยินมาถึงตรงนี้เพราะความเงียบ เด็กพวกนั้นโดนดุเรื่องที่ไม่ช่วยงานกลุ่ม เป็นความจริงจึงไม่อาจมีใครเถียง การถูกต่อว่าต่อหน้าคนในห้องคงไม่เป็นที่ชอบใจเท่าไรนัก ในตอนที่ครูเดินออกไปแล้วหลังหมดเวลาเรียนพอดี พวกนั้นก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ ความโกรธเคืองถูกบอกผ่านสายตาที่กำลังจับจ้องอยู่นั่นจนผมรู้สึกถึงลางไม่ดีที่จะต้องเจอ หมดคาบพอดี...รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า

"มึงจะไปไหน"

เสียงเรียกของเพื่อนคนหนึ่งหยุดทุกอย่างที่ผมกำลังจะทำ ก่อนคนในกลุ่มทั้งหมดจะมายืนรุมล้อมผมเอาไว้ ถอยหลังจนหมดหนทางหนี ผมยังคงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบๆ

"มึงตั้งใจทำรายงานให้ครูเขาดูออกว่ามึงทำคนเดียวเหรอ"

"ไม่ใช่นะ"

"แล้วครูเขารู้ได้ไง"

"ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

"มึงรู้ไหมทำไมคนเขาถึงเกลียดมึงทั้งห้อง เพราะมึงนิสัยแบบนี้ไง ไม่น่ารับมึงเข้ากลุ่มแต่แรกเลย ไอ้เหี้ยเอ๊ย!" คำด่าหยาบคาบมาพร้อมกับแรงผลักที่ทำเอาผมเซไปชนกับโต๊ะ เสียงดังดึงความสนใจของเพื่อนให้หันมามองอีกครั้ง

"เห็นหน้ามึงแล้วแม่ง!"

"เฮ้ย ใจเย็น" ปั้นปัดมือที่กำลังจะผลักซ้ำเข้ามาอีกทีออกไปก่อน ยืนอยู่ตรงนี้ผมเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่กำลังโดนรุม ไม่ได้สู้ ไม่ได้หนี ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะโต้เถียง

คนที่ดูมีอิทธิพลที่สุดอย่างปั้นขยับเท้าเข้ามาตรงหน้าผม พวกที่เหลือจึงถอยหลังออกไป ถูกจ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนอีกฝ่ายจะยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วพูดออกมา

"ทำไมมึงไม่บอกครูไปว่าอยากได้คะแนนคนเดียว"

"..."

"ทำแบบนี้คิดว่ากูจะขอบคุณมึงงั้นเหรอ"

"..."

"ใช่ มึงคิดถูก ขอบคุณนะ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้คะแนนฟรีๆ ดีจะตาย ประทับใจว่ะ" ว่าแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผมเบาๆ แล้วกอดคอเอาไว้อย่างนั้น

"คะแนนมึงหายไปแค่นี้ใช่ว่าจะไม่ได้เกรดสี่ซะหน่อย แต่พวกกูเนี่ยมีสิทธิ์ติดศูนย์ได้เลยนะ พวกมึงก็ต้องขอบคุณพลีสมันด้วย ขอบคุณเร็ว"

"ปล่อย" ผมพูดเบาๆ เพื่อบอกให้คนที่กำลังกอดคออยู่ปล่อยผมออก แต่อีกคนที่กำลังสนใจจะพูดเรื่องอื่นมากกว่าจึงไม่ได้ยิน

"ถ้าไม่ได้มันเราก็ไม่ได้คะแนนนะเว้ย"

"ปล่อย!" ผมเพิ่มเสียงให้ดังกว่าเดิม จึงได้รับความสนใจจากคนข้างๆ

"อะไร"

"ปล่อย...ปล่อยเรา"

"ทำไม แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้เลยเหรอ"

"ไม่ชอบ...ปล่อย" ยิ่งผมถอยหนี ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ ยิ่งผมพยายามพาตัวเองให้หลุดพ้น ยิ่งถูกกอดรัดให้แน่นกว่าเดิม

"ปั้น ปล่อยเถอะ"

"มึงวิเศษมาจากไหน ถึงได้รังเกียจอะไรกูนักหนา ถูกเนื้อถูกตัวแค่นี้ไม่ได้ มึงเป็นอะไร"

"เราไม่ชอบ"

"แต่กูชอบ ไม่อยากปล่อยเลย" เสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ดังขึ้นตอนที่ปั้นกำลังแกล้งผมมากขึ้นด้วยการกอดแน่นกว่าเดิม กระทั่งยื่นปลายจมูกเข้ามาเฉียดใบหน้าทำท่าจะหอมแก้ม

การใกล้ชิดอย่างจงใจเป็นเหตุให้ผมตัวสั่น หัวใจขยับจังหวะเต้นแรงขึ้น สติหลุดจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะความหวาดกลัว

"ปั้น ปล่อยเราเถอะ ปล่อย..."

"ไม่ปล่อย จะทำไม"

"ปล่อย"

"ไม่"

"บอกให้ปล่อย!" ผมใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักปั้นขยับออกไปได้เพียงเล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะการตะโกนสุดเสียงที่ดังจนคนข้างๆ ตกใจจึงยอมปล่อยผมออก 

"มึงเป็นอะไรเนี่ย"

"ไม่ชอบ!"

"แค่นี้มันจะตายเลยหรือไง ฮะ! มันจะตายเลยหรือไง!" มันควรจบตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่าไม่ชอบ แต่การถูกกลั่นแกล้งมันไม่ง่ายแบบนั้น ยิ่งรู้ว่าผมไม่ชอบ ยิ่งทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก ปั้นดึงผมเข้าไปกอดอีกที แม้ผมจะดิ้นหนีคล้ายคนที่ต้องการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ร้าย

"ปล่อย!" 

เสียงร้องของผมดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เท่าเสียงหัวเราะของเพื่อนในห้องที่มองเป็นเรื่องขำขัน ทั้งที่ความจริง ผมหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ไม่รู้จะสู้ยังไงสุดท้ายจึงร้องไห้ออกมา

"เฮ้ย! ร้องไห้ทำไมวะ"

"ก็บอกให้ปล่อยไง! บอกให้ปล่อยกู! ปล่อยกู! ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!" ผมโวยวายด้วยคำหยาบอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน ด้วยความตกใจหรืออะไรก็ตามที ไอ้ปั้นจึงยอมปล่อยผมออก

"มึงเป็นอะไรพลีส"

"อย่ามาแตะตัวกู!"

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสติพลันหลุดลอยหายไป ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความฟูมฟาย แม้จะถูกถามว่าเป็นอะไรก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทำได้แค่ร้องไห้และอยากหนีหายให้พ้นไปจากตรงนี้...อยากไปจากตรงนี้...ไม่อยากอยู่แล้ว

 

...

 

ทุกวันอาทิตย์ หน่อยจะพาผมมาที่โบสถ์ การมาที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกสงบและอบอุ่น ราวกับว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในใจพระเจ้าจะเป็นผู้รับฟัง และต่อให้ไม่เหลือใครในชีวิต ผมยังคงเหลือความศรัทธาอยู่

"น้องพลีสคะ"

ผมหันมองหน่อยที่เดินเข้ามาเรียก หลังจากปล่อยให้ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลหน้าโบสถ์

"คุณกานต์โทรมาให้หน่อยไปทำธุระให้ เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"

"พลีสยังไม่อยากกลับ"

"ถ้าอย่างนั้น..."

"หน่อยไปเถอะ พลีสกลับเองได้"

"หน่อยอาจจะกลับไม่ทันทำอาหารกลางวันให้ น้องพลีสหาอะไรทานเองได้ไหมคะ"

"ได้"

"น้องพลีสโอเคนะคะ"

ผมพยักหน้ารับเพื่อบอกให้หน่อยแน่ใจว่าผมโอเคกับทุกเรื่อง ก่อนที่หน่อยจะเดินออกไป สายตาผมกลับไปจ้องมองเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนาม เสียงดังจอแจแต่กลับไม่รู้สึกหนวกหูหรือรำคาญ นั่งมองอยู่นานอย่างเลื่อนลอย กระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นหวีดร้องเสียงดังเพราะวิ่งหกล้ม ด้วยความตกใจผมจึงลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปช่วย แต่ช้ากว่าเด็กผู้ชายวัยมัธยมคนหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามด้วย เด็กคนนั้นตรงเข้าไปถึงเด็กที่หกล้มก่อน อุ้มให้ลุกขึ้นยืนขณะคนตัวเล็กกำลังร้องไห้

"ไหนดูสิ เจ็บไหม"

"เจ็บค่ะ"

"เจ็บมากไหม"

"เจ็บมากค่ะ"

"ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้อง เดี๋ยวพี่พาไปล้างแผลนะ"

ผมมองตามขณะสองคนนั้นเดินออกจากสนามเข้าไปในโบสถ์ พลันคิดไปว่า...เป็นเด็กนี่ดีจังเลย เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถึงจะร้องไห้ก็ไม่เป็นไร มีคนที่คอยโอบอุ้มในเวลาที่ต้องการใครสักคนมันคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะต้องการแล้ว ตัวผมเองแม้ความเป็นเด็กยังมีอยู่ แต่ความเจ็บปวดกลับต้องกลายเป็นความลับ ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้

มันต้องโอเค แม้ในเรื่องที่ไม่โอเค มันต้องไม่เป็นอะไร...แม้ในสิ่งที่เป็นจนแทบจะขาดใจตายก็ตาม

 

            เพราะผมยังไม่อยากกลับบ้านหลังจากกลับจากโบสถ์จึงตั้งใจมาหาหนังสืออ่านสักเล่ม อีกใจก็อยากกินอะไรเย็นๆ สักแก้ว เลือกไม่ได้ว่าจะไปคาเฟ่หรือร้านหนังสือ จึงมาจบที่ร้านคาเฟ่กึ่งห้องสมุดที่มีหนังสือให้อ่านจำนวนมาก มีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ กับพื้นที่บริการให้อ่านหนังสือหรือนั่งทำงานแบบเงียบๆ อีกด้วย ผมสั่งนมสดปั่นแก้วหนึ่งแล้วเดินหาที่นั่ง ตรงเข้าไปยังบริเวณด้านในที่เงียบกว่าจุดอื่น แต่วันนี้เป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่คนค่อนข้างเยอะ โต๊ะทุกตัวเกือบจะเต็มไปหมด ขณะกำลังมองหาที่นั่งว่างๆ เสียงหนึ่งก็ดังเรียกขึ้นมา

"น้อง"

"..."

"น้องพลีส"

ผมหันมองเจ้าของเสียงก่อนพบว่าเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวริม ริมฝีปากอยากขยับเป็นรอยยิ้มเพราะดีใจที่ได้เจอ แต่ทำไมได้อย่างนั้นจึงทำได้แค่ก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย คุณหมอกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา สองขาจึงปฏิบัติตามราวกับเป็นคำสั่ง ผมยกมือไหว้เพื่อเป็นการทักทายอีกครั้ง

"นั่งสิ"

มีที่ว่างข้างๆ คุณหมออยู่พอดี ผมจึงขยับไปนั่งลง เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดจนเกินไป ผมวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วหันมองหนังสือในมือคุณหมอที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม

"มาคนเดียวเหรอครับ"

"ครับ แล้วคุณหมอ..."

"มาคนเดียวเหมือนกันครับ วันนี้วันหยุดไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาหาที่นั่งอ่านหนังสือเล่นๆ น่ะครับ"

"อ๋อ...ครับ"

ผมน่าจะมีความสามารถในการพูดคุยกับคนอื่นให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้บทสนทนาของเรานั้นเงียบงัน ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้พบกันแล้วแท้ๆ แต่ความเงียบก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเราในขณะนี้ แต่ความโชคดีก็อยู่ตรงที่คุณหมอพูดเก่งกว่าจึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยได้ยืดยาว

"แล้วฟันเป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม"

"ไม่เจ็บครับ"

"รู้ไหมน้องเป็นคนไข้คนเดียวของพี่เลยที่ไม่เคยบอกว่าเจ็บ"

ผมทำได้แค่ยิ้ม ที่จริงมันก็มีบ้างครั้งที่เจ็บมากจนเรียกว่าทรมานได้อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็คิดเพียงแค่ว่า ต่อให้บ่นว่าเจ็บก็ใช่ว่าใครจะสนใจ ใช่ว่าความเจ็บมันจะหายไปซะหน่อย

"ถ้าเจ็บมากก็บอกพี่ได้นะ พี่จะทำให้มันเจ็บน้อยลง"

"ครับ คุณหมอ"

"จะไม่ยอมเรียกพี่เลยใช่ไหม"

ผมทำได้แค่ยิ้มตอบ ก่อนอีกฝ่ายจะทำหน้าบูดเหมือนจะงอนกัน เขาเป็นคนน่ารัก...ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนก็ยังคงน่ารัก จะนิ่งเฉยหรือเผยรอยยิ้มให้เห็น ก็ดูน่ารักอยู่เสมอ มีหนึ่งคำถามที่ผมคิดสงสัยจึงใช้โอกาสนี้ถามมันออกไป

"คุณหมอ"

"..."

"คุณหมอครับ"

"ไม่เรียกพี่ ไม่หันหรอก"

"ใจร้ายจังเลยครับ"

"ฮะ? เปล่านะ! มีอะไร พูดมาสิ"

"ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"ได้ครับ"

"คุณหมออายุเท่าไรเหรอครับ"

คำถามของผมทำให้สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเปลี่ยนเป็นมองตาขวางคล้ายจะไม่พอใจ ผมผู้ไม่รู้ความผิดของตัวเองจึงได้แต่ทำหน้างงๆ 

"ยังจะมาทำตาใส ถามอะไรออกมารู้ตัวไหม"

"ถามอายุครับ"

"โอ๊ย...ไม่ตอบครับ คำถามไม่น่ารัก"

"งั้นถามใหม่ได้ไหมครับ"

"ก็ได้ ให้โอกาส"

"ผมอายุเท่าไร"

"..."

"ตอนที่คุณหมออายุเท่าผม"

"น้อง!"

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงให้เงียบหลังจากที่เขาแผดเสียงดังเรียกผม ผมรู้ตัวแล้วแหละว่าได้เอ่ยคำถามต้องห้ามออกไป แต่แค่แกล้งเล่น แค่แกล้งเฉยๆ น่ะ

"เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้แก่ แต่แค่มีวุฒิภาวะ โอเคไหมครับ"

"โอเคครับ"

ให้เดาเอาเองก็เห็นได้ชัดว่าเด็กมัธยมกับหมอฟันนั้นคงอายุห่างกันพอสมควร แต่ด้วยบุคลิกและหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงนิสัยน่ารักๆ ที่มักจะทำให้เกิดรอยยิ้มอยู่เสมอ นั่นทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขาอายุมากไปกว่าผมสักเท่าไร ระยะห่างระหว่างวัยไม่เคยมีผลต่อความรู้สึก หากแต่เป็นเรื่องอื่นมากกว่าที่ทำให้ผมรู้สึกว่า...เราอยู่ห่างกันเกินไป

"เดี๋ยวผมไปดูหนังสือทางโน้นนะครับ"

"แล้วจะกลับมานั่งตรงนี้ไหม"

ผมชี้ไปที่แก้วนมสดที่วางทิ้งเอาไว้ เป็นเชิงตอบคำถามนั้นว่าผมจะกลับมา คุณหมอยิ้มกว้างก่อนพยักหน้าเบาๆ พ้นจากสายตาคุณหมอ ผมจึงหันหลังพิงชั้นวางหนังสือแล้วยกมือตบหน้าอกตัวเองเบาๆ

เต้นซะแรงเลยนะหัวใจ...

 

เราใช้เวลาอยู่ในคาเฟ่พักใหญ่ ต่างคนต่างอ่านหนังสือจบไปคนละเล่มจึงชวนกันกลับ คุณหมอเสนอตัวขับรถไปส่งที่บ้านแต่ผมปฏิเสธ เพราะรู้มาว่าบ้านเรานั้นไปคนละทางจึงเกรงใจ ชอบในความที่เขาไม่เซ้าซี้แล้วยอมแยกกันที่หน้าร้านเพื่อต่างคนต่างกลับ

"น้อง"

"ครับ"

"วันหลังว่างๆ มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอีกนะ"

"ครับ คุณหมอ"

"เรียกพี่ไม่ได้เหรอ"

ผมหลุดยิ้ม ยอมในความพยายามที่จะให้ผมเรียกพี่ของเขา แต่ตัวเองก็ดันไม่ใจอ่อนง่ายๆ

"ทำไมถึงอยากให้เรียกพี่จังเลยครับ"

คุณหมอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ก้มหน้าเศร้าจนผมรู้สึกแปลกใจ

"คุณหมอ..."

"จริงๆ แล้ว พี่เคยมีน้องชายคนหนึ่ง แต่เขา..."

"..."

"เขาเพิ่งตายไป"

"..."

"ก็เลยอยากให้น้องเรียกพี่ว่าพี่ เผื่อมันจะทำให้พี่คิดถึงน้องชายน้อยลง"

หัวใจผมอ่อนยวบตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น ซ้ำสีหน้าของคุณหมอที่ดูเศร้าจนรู้สึกสงสาร แววตาอ่อนไหวคล้ายกำลังจะร้องไห้ ผมไม่รู้วิธีปลอบใจผู้คน สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แม้ไม่เคยกล้าที่จะเรียกเขาว่าพี่ต่อ แต่ครั้งนี้ถือเป็นข้อยกเว้น ผมกำลังจะขยับริมฝีปากเอ่ยคำนั้นออกไป

"พี่..."

"พี่ต่อ!"

 

ขวับ!

 

เราทั้งคู่หันไปมองเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าจะเดินเข้ามาแล้วร้องเรียกคุณหมออีกที

"พี่ต่อ! อยู่นี่เอง ตามหาพี่ไปทั่ว"

ผู้ชายที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มที่เดินเข้ามา คือผู้ชายคนที่ยกหนังสือให้ผมในร้านและเจอกันที่สนามเด็กเล่น เมื่อเขาหันมาเห็นผมก็เลิกคิ้วขึ้นทำตาโต

"อ้าว น้อง"

ผมยิ้มนิดๆ เป็นเชิงทักทาย

"นี่รู้จักกันด้วยเหรอ" เขาชี้ผมกับคุณหมอสลับกันไปมา คุณหมอทำได้แค่กัดฟันยิ้มฝืนๆ

"แล้วพี่เป็น..."

"พี่เป็นน้องชายพี่ต่อ น้องแท้ๆ เลยครับ"

ผมหันขวับมองคุณหมอที่ยังคงทำได้แค่ยิ้ม กัดฟันพูดกับน้องชายตัวเองเบาๆ

"จะโผล่มาทำไมตอนนี้!"

"มาขอตังค์"

"อีกแล้วเหรอ"

"อื้อ" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นแบต่อหน้าคุณหมอ คนถูกขอก็ควักเงินในกระเป๋าส่งให้ง่ายๆ พร้อมกับไล่ออกไปทันที

"ขอบคุณนะครับ รักพี่ต่อที่สุดเลย" บอกรักพี่ชายเสร็จก็หันมายกมือโบกให้ผมเป็นเชิงลาก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ คุณหมอคนข้างๆ หันมามองผมช้าๆ ขณะที่ยังคงยิ้มกว้าง เรียกว่ามันคือการกัดฟันแล้วฉีกปากออกฝืนๆ ดีกว่า

"มีน้องชายกี่คนเหรอครับ คนนี้ยังไม่ตายนี่"

"ขอโทษคร้าบ! พี่แค่ล้อเล่นเฉยๆ ไม่โกรธสิครับ ไม่โกรธนะ พี่ขอโทษ"

"ไม่เห็นต้องโกหกเลย"

"ก็พี่ไม่ชอบให้น้องเรียกพี่แบบนั้นเลย แค่อยากให้เราสนิทกันมากกว่านี้เฉยๆ"

"..."

"ไม่ได้เหรอครับ"

ผมเองก็คิดสงสัยอยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าเรื่องระหว่างเรามันมากกว่านี้...จะเป็นยังไงนะ

"เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมเป็นการไถ่โทษ"

"ครับ?"

ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยากกินไอติม แต่ก็เรียกเอาไว้ไม่ทัน คุณหมอเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วกลับออกมาพร้อมไอติมสองโคน ตอนที่ยื่นให้ผมก็ยังคงลังเล

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบไอติมเหรอ"

"ชอบครับ แต่ว่า..."

"ถ้าน้องไม่กินมันจะละลายนะ"

"..."

"ถ้าชอบก็กินเลย ไม่ต้องมีแต่ครับ"

ผมยื่นมือรับไอติมโคนนั้นมาจนได้ กัดเข้าไปหนึ่งคำเพื่อรับรสชาติช็อกโกแลตละมุนลิ้น ไอติมจากคุณหมอทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และคงเป็นเพราะรอยยิ้มของคนข้างๆ นั่น ที่ทำให้รู้สึกหวานมากกว่าความเป็นจริง

พี่ต่อ...

ใจผมเรียกชื่อเขาอยู่อย่างนั้น

"เลอะแล้ว"

"ครับ?" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ตอนที่คุณหมอยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดมุมปากของผมเบาๆ ร่างกายแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว เพราะสายตาของคุณหมอต่อที่จับจ้องผมเอาไว้อย่างนั้น ร่างกายใกล้ชิดกันตอนที่เขาขยับเท้าเข้ามาหา ปลายนิ้วที่เช็ดมุมปากขยับขึ้นเกลี่ยข้างแก้มเบาๆ แล้วเลื่อนขึ้นไปวางอยู่บนหัว ท่าทางอ่อนโยนพาผมเคลิ้มลอย ก่อนสติพลันกลับมา ผมรีบขยับหนีพลางเอ่ยเสียงดัง

"อย่านะครับ!"

ผมยกมือปัดมือของอีกฝ่ายออกไปท่ามกลางสีหน้าที่ดูตกใจ ใจผมเต้นแรง หายใจลำบากและควบคุมอาการสั่นไหวไว้ไม่อยู่

"น้อง..."

"อย่ามาแตะตัวผม!"

"พลีส"

เป็นแบบนี้อีกแล้ว...เป็นแบบนี้ทุกทีเลย



ต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #129 เมื่อ01-07-2019 00:16:51 »


"น้องเป็นอะไรไป"

"..."

"ไม่ชอบพี่เหรอ"

"..."

"เกลียดพี่เหรอ"

ผมให้คำตอบได้เพียงความเงียบ เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งเฉย คุณหมอจึงก้าวเท้าถอยออกไปพร้อมกับบอกลา

"ก็ได้...งั้นพี่ไปนะ"

ปล่อยให้เขาเดินออกไปเลยก็ได้ มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ใจผมกลับทำอีกอย่างด้วยการดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ ในจังหวะที่เขากำลังจะหันหลังไป และแรงที่มากมายจนไม่รู้ตัวของตัวเองจนทำให้เสื้อของเขาขาด

 

"แควก!"


 

"ขอโทษครับ! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมขอโทษครับ!"

"น้อง"

"ผมขอโทษจริงๆ ครับ!"

"พลีส ใจเย็น ไม่เป็นอะไร"

"ผมขอโทษ"

"ไม่เป็นไร"

"ผม...ผมไม่ได้เกลียดพี่ ไม่ได้หมายความแบบนั้น..."

"..."

"ผมแค่ไม่ชอบที่...ไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้ คือผม..."

"..."

"ผมมีเหตุผลแต่ผมไม่รู้ว่า...ผมไม่รู้จะพูดยังไง..."

ผมแทบไม่รู้ตัวว่าตังเองกำลังพูดจาอะไรออกไปอย่างไม่รู้เรื่อง เห็นสีหน้าของคุณหมอที่ดูสงสัย แม้อยากจะปลอบประโลมแต่ก็ไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวผมอีก มือที่ยกขึ้นมาหวังจะแตะลงที่บ่าถูกดึงกลับไปช้าๆ แล้วพูดซ้ำๆ บอกให้ผมใจเย็นลง

"พี่ไม่เข้าใจที่น้องพูดเลย แต่เข้าใจว่าน้องรู้สึกยังไง ไม่ต้องอธิบายก็ได้ ไม่เป็นอะไร"

"..."

"แต่น้องไม่ได้เกลียดพี่ใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ

"ไปนั่งตรงนั้นกับพี่ไหม"

ผมพยักหน้าอีกที ก่อนคุณหมอจะเดินนำผมไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ ใจผมยังเต้นแรงไม่หยุดจากอาการที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เราต่างคนต่างเงียบ ไม่ได้พูดอะไรเลย รถเมล์ที่ผมต้องขึ้นกลับบ้านขับผ่านหน้าไปหลายต่อหลายคันแต่ผมยังคงอยู่กับที่ จนความรู้สึกกลับมาเข้าที่เข้าทาง ผมจึงหันไปพูดกับคุณหมอเป็นครั้งแรก

"ผมขอโทษครับ"

"ไม่เป็นไรครับ น้องโอเคแล้วใช่ไหม"

"ครับ"

"กลับบ้านไหม"

ผมพยักหน้ารับ รออยู่ไม่นานรถเมล์คันที่ผมต้องขึ้นก็มาถึงพอดี คุณหมอยังคงยิ้มให้ผมแล้วส่งผมขึ้นรถเมล์ ผมเดินขึ้นมาโดยไม่ได้บอกลา ในใจรู้สึกผิดจึงคิดที่จะหันกลับไปอีกครั้ง แต่สองขาต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคุณหมอเดินตามขึ้นมาด้วย

"นั่งสิครับ"

ผมทำตามคำสั่ง นั่งลงที่เก้าอี้แถวเกือบในสุด คุณหมอกำลังจะนั่งลงข้างๆ แต่หยุดการกระทำนั้นก่อนขยับไปนั่งอีกแถวที่ตรงข้ามกัน แม้ว่าจะอยู่ห่างกันไม่มาก แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า...เขายังคงไกลออกไป

รถเมล์เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ คุณหมอหันมองออกไปนอกหน้าต่างจึงไม่เห็นว่าผมกำลังเอาแต่มองเขาอยู่อย่างนั้น เลื่อนสายตาไปที่แขนเสื้อที่ขาดวิ่นเพราะฝีมือผม พลันรู้สึกผิดและทำได้แค่ขอโทษในใจ ผมถอนหายใจเบาๆ ผ่านความคิดที่เลื่อนลอย เปิดกระเป๋าหยิบพลาสเตอร์ที่ได้มาจากพี่คนนั้นซึ่งเป็นน้องชายของคุณหมอ

ถึงรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็เผลอทำอะไรโง่ๆ ด้วยการขยับเข้าไปหาคุณหมอแล้วใช้พลาสเตอร์อันนั้นแปะรอยขาดของเสื้อเอาไว้ เจ้าของเสื้อหันมามองงงๆ ตอนที่สบตากันพอดี ผมก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่อึกอักแล้วอธิบายกับเขาเบาๆ

"มันขาดครับ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วกลับมานั่งที่เดิม คุณหมอยังคงหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ริมฝีปากคลี่ขยับเป็นรอยยิ้มกว้างๆ นิ้วเรียวยกขึ้นลูบพลาสเตอร์ตรงนั้นเบาๆ

แค่เพียงให้เขายิ้มและผมจะมองดูความสวยงามของรอยยิ้มนั้นอยู่ไกลๆ เท่านั้นคงเพียงพอ

ผมยกมือลูบอกตัวเองที่หัวใจสงบลงจนเป็นปกติ หากว่าใจยังคงเป็นแบบนี้ หากว่าอาการเหล่านั้นยังไม่อาจแก้ไขหรือก้าวข้าม เรื่องระหว่างผมกับเขาก็ไม่อาจเป็นไปได้ สิ่งเดียวที่ทำให้ความรู้สึกไกลห่างออกจากกัน...ก็เป็นเพราะตัวผมเอง

 

 

            ชีวิตในโรงเรียนน่าเบื่อมาตลอดอยู่แล้ว แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับนรก เป็นนรกของความเหงาที่ราวกับมีแค่เราคนเดียวในโลกใบนี้ จากที่เพื่อนไม่ค่อยคุยด้วยอยู่แล้ว กลายเป็นถอยห่างมากกว่าเก่า ผมเดินเข้าใกล้ เขายิ่งเดินห่างออกไป ซ้ำยังพูดจาแดกดันให้รู้สึกเจ็บแสบ

"มึงอย่าไปเดินใกล้เขา เขาไม่ชอบ"

"เขารังเกียจพวกเราเหรอวะ"

"เออ อย่าไปเผลอแตะตัวเชียว เดี๋ยวผีเข้าอีก"

ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรเหมือนที่เคยผ่านมานั่นแหละ

ในคาบวิชาพละที่ไม่ได้ค่อยได้เรียนอะไรอยู่แล้ว อาจารย์ปล่อยให้เล่นกีฬาตามใจแต่ผมเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบกีฬาเลยเดินมาหาที่นั่งเงียบๆ หลบสายตาทั้งเพื่อนและอาจารย์ เลื่อนมือถืออ่านหนังสืออีบุ๊กซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นเพื่อนกันได้ในตอนนี้ และในตอนนั้นก็พลันได้ยินบทสนทนาที่ดังขึ้นมาว่าด้วยเรื่องของตัวผมเอง

"พวกมึง กูมีเรื่องเกี่ยวกับไอ้พลีสมาเล่าให้ฟัง"

"เรื่องอะไรวะ"

"ก็วันก่อนที่มันร้องไห้จะเป็นจะตายในห้องไง กูสงสัยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น แค่ไอ้ปั้นกอดมันไม่เห็นจะต้องโวยวาย กูก็เลยลองไปถามรุ่นพี่ที่เคยเรียนกับมันก่อนที่มันจะหยุดเรียนอะ"

"เขาว่าไง"

"มึงฟังแล้วอย่าไปบอกใครนะเว้ย"

"เออ"

"ไอ้พลีสมันเคยถูกข่มขืน"

"มึงจะบ้าเหรอ!"

"ก็รุ่นพี่บอกกูมาแบบนั้น เมื่อก่อนมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมันก็เลยประสาทหลอนจนต้องหยุดเรียนไปสองปีไง"

"จริงเหรอวะ"

"แล้วมีข่าวลือว่าวันนั้นมีคนมาช่วยมันแล้วก็ถูกแทงตายต่อหน้ามันด้วย มันก็เลยไม่ปกติแบบนี้ไง"

"แต่มันเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชายมันถูกข่มขืนได้ด้วยเหรอวะ"

"โดนเอาแบบไม่เต็มใจ มันก็เรียกว่าข่มขืนทั้งนั้นแหละ"

"แต่มึงบอกว่าเป็นข่าวลือนะ"

"เรื่องอื่นไม่รู้ แต่เรื่องข่มขืนนี่จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่หลอนจนใครแตะต้องตัวมันไม่ได้แบบนี้หรอก"

"งั้นมันก็น่าสงสารดิวะ"

"น่าขยะแขยงมากกว่า"

"เออ ผู้ชายถูกข่มขืน กูจะอ้วก"

โลกใจร้ายไม่หยุดเลยนะ...จะเอาอะไรกับผมนักหนา 

เรื่องจากปากคนพวกนั้นถูกพูดต่อกันไปไม่จบสิ้น ข่าวลือไปไวกว่าที่คิดจนรู้ตัวอีกทีทุกคนในห้องก็รู้เรื่องนั้นกันจนหมด มีสายตาแห่งความสงสัย สายตาของการรังเกียจและกีดกัน สายตาของคนที่มองมาไม่ว่าด้วยความรู้สึกใด มันทำให้ผมอายจนอยากหายไปจากตรงนี้อีกครั้ง ไม่มีสิทธิ์โต้เถียงหรือแก้ตัว เพราะว่าข่าวลือนั่นมันคือความจริง ในวันนั้นผมไม่ได้เพียงแค่ถูกทำร้าย แต่ถูกล่วงเกินด้วยการกระทำ...

 

ที่เลวระยำที่สุด

 

To be continued.



____________________________________________________________________________________________



ทุกคนคะ เพียงควันเป็นนิยายฟีลกู๊------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
« ตอบ #129 เมื่อ: 01-07-2019 00:16:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #130 เมื่อ01-07-2019 01:28:14 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #131 เมื่อ01-07-2019 02:59:01 »

และแล้วก็จากไปด้วนอารมณ์​ค้าง​คา

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #132 เมื่อ01-07-2019 03:13:39 »

 :z3: :hao5:ค้างงงง แงงงงง ฮึกกก

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #133 เมื่อ01-07-2019 03:13:55 »

โดนรังแกจากที่โรงเรียน

ความสุขเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พี่หมอ~

ติดตามค่าาา :mew1:  :pig4:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #134 เมื่อ01-07-2019 16:22:57 »

สงสารน้องพลีสมากๆเลย ไอ้เด็กพวกนั้นร้ายมาก
คิดถึงพี่แสงแล้วนะคะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #135 เมื่อ01-07-2019 21:00:54 »

โอย ตายแล้ว ชีวิตน้องทำไมต้องเจอกับความเลวร้ายไม่สิ้นสุด
เกลียดมากสังคมนักเรียนมัธยม เคยเจอแบบนั้นเหมือนกัน งานกลุ่มที่ต้องทำเดี่ยว
เข้าใจหัวอกน้องพลีสที่สุด
แล้วเพื่อนแบบนั้นไม่รู้โตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #136 เมื่อ01-07-2019 21:41:41 »

อยากกอดน้องงงงง ให้กำลังใจพลีสส

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #137 เมื่อ02-07-2019 08:16:33 »

เซ็งสังคมแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ไหม

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #138 เมื่อ02-07-2019 20:56:13 »

ชีวิตพลีสทำไมเป็นแบบนี้ได้ น้องน่าสงสาร
เจ็บแต่บอกใครไม่ได้ เก็บไว้กับตัวจนล้น

คิดไว้ว่าที่พลีสมีอาการตอนมีคนจับตัวคือเรื่องนี้
แต่ก็ยังคิดบวกกว่านั้น ไม่คิดว่าจะจริง บีบหัวใจมากเลยค่ะ

เข้าใจเลยว่า บางทีคนเราเลือกความตาย
เพราะคิดว่าคือสิ่งเดียวที่จะมีความมุขมากกว่าก็ได้

รอให้แสงเทียนหลุดพ้น รอให้พลีสหลุดพ้น
เรื่องที่แสงมาเกี่ยวด้วย คือ ตอนไปช่วยพลีส ยังพอเข้าใจ
แต่ถึงขั้นมาอยู่ในร่าง ก็จะคิดมากอีกนิดว่า เชื่อมโยงยังไง

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #139 เมื่อ03-07-2019 03:04:10 »

สงสารพลีส

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
« ตอบ #139 เมื่อ: 03-07-2019 03:04:10 »





ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #140 เมื่อ07-07-2019 04:31:19 »

ตอนที่ 12
เหตุผลของการจากไปมันไม่ได้ซับซ้อน

 
**คำเตือน บางส่วนของเนื้อหาในตอนนี้ อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวละคร โปรดใช้วิจารณญาณนะคะ**



แม้ชีวิตจะแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ผมยังไม่ตาย และไม่ว่าชีวิตจะแตกหักหรือพังยับเยินแค่ไหน โลกมันก็ยังหมุนของมันต่อไป ไม่ได้สนใจชีวิตของผมด้วยซ้ำ แม้ยังโตไม่พอแต่ผมก็เข้าใจความเป็นจริงในข้อนั้น จึงยังคงต้องมีชีวิตต่อไป หนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนที่พ้นผ่าน ยาวนานไม่ต่างกันเท่าไรนัก ไม่อาจกอบกู้ความรู้สึกและชีวิตที่ถูกความเหงารุมทำร้ายจนผมกลายเป็นหนึ่งในคนที่มีชีวิตโดดเดี่ยวอย่างน่าเวทนา

ที่โรงเรียนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เป็นนรกขุมใหญ่ที่บั่นทอนชีวิตของผมไปช้าๆ ผมต้องการเพียงแค่รอเวลาให้จบม.ปลายไปอย่างเงียบๆ แต่ผู้คนรอบข้างไม่ปล่อยให้ชีวิตผมเป็นเช่นนั้น เรื่องราวน่าอับอายของผมยังคงถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ กลายเป็นเรื่องสนุกสนานกับการเอาเรื่องพวกนั้นไปเล่าต่อราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขัน ยิ่งมีคนรู้เรื่องนั้นมากเท่าไร ผมยิ่งถูกกีดกันออกจากสังคมไกลขึ้นเท่านั้น มีคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง รังเกียจและหยาบคาย...เป็นฝันร้ายที่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ

"เฮ้ย พลีส"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียกของปั้น ดึงหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อฟังอีกคนที่กำลังจะพูดต่อ

"เพื่อนเขานัดคุยกันเรื่องงานนิทรรศการวิชาการ ทำไมมึงไม่ไป"

"ไม่มีใครบอก" ผมพูดแค่นั้น ใช่ว่าไม่รู้ว่าเพื่อนนัดคุยงานแต่การไปเข้าร่วมของผมดูจะไม่มีความหมายอยู่แล้ว ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ อยู่เฉยๆ มันก็ดีอยู่แล้ว

"ปีที่แล้วมึงเป็นคนทำบอร์ดใช่ไหม"

"..."

"ปีนี้มึงทำอีกได้ป่ะ"

"..."

"เพื่อนเขาตกลงกันว่าจะให้มึงทำ"

ผมหลุดหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มกว้างออกมา คนตรงหน้าดูสงสัยจึงแสดงสีหน้างงๆ ออกมา

"ตกลงกัน แต่ไม่ได้บอกเราเนี่ยนะ"

"พวกมันให้กูมาบอกมึงนี่ไง มึงทำก็แล้วกันจะได้มีส่วนร่วมด้วย เดี๋ยวครูหักคะแนนไม่รู้ด้วยนะโว้ย"

"แล้วใครช่วย?"

"กูไง กูไม่ถนัดงานใช้สมอง เลยขอมาใช้แรงงานกับมึงก็แล้วกัน"

"ต่างอะไรกับทำคนเดียว"

"มึงว่าไงนะ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ปั้นย้ำถึงหน้าที่ของผมอีกที ก็ใช่ว่าจะโต้แย้งอะไรได้จึงทำได้แค่พยักหน้ารับ แล้วใส่หูฟังเข้าไปอย่างเดิม ในใจก็คิดอยากจะปฏิเสธสิ่งที่ต้องทำแต่คงไม่พ้นโดนกล่าวหาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว จึงคิดว่าแค่ทำๆ ให้มันจบไปก็พอ

ผมใช้เวลาในเย็นวันนั้นไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทำบอร์ดในงานวิชาการ ปั้นหายไปเลยทั้งที่ตกลงกันว่าจะมาช่วยถือของ แถมยังไม่ได้งบจากห้องสำหรับซื้อของเลยต้องควักเงินตัวเองจ่ายไปก่อน ดูเหมือนเหตุการณ์เวียนซ้ำไม่ได้ต่างจากปีที่แล้วเลย

"เขี้ยวกุด"

กลายเป็นชื่อที่ทำให้ผมต้องหันมองทุกครั้งที่ถูกเรียก มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อหันไปเจอกับพี่ตาม น้องชายของคุณหมอ ผมเจอกับพี่ตามที่โบสถ์เมื่อวันอาทิตย์ก่อน ผลจากการไม่เคยสนใจใครเลยทำให้ผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่ตามไปที่โบสถ์นั้นเช่นเดียวกันกับผมทุกอาทิตย์ แต่หลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว พี่ตามก็กลายมาเป็นคนรู้จักอีกคนของผม ชื่อเรียกถูกตั้งให้ใหม่ว่า เขี้ยวกุด เพราะเอาแต่แซวว่าคุณหมอทำเขี้ยวสองข้างของผมหายไปแล้วจึงได้ชื่อนั้นมา

"ซื้ออะไรเยอะแยะ" คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามขณะมองไปยังอุปกรณ์จัดบอร์ดที่ผมหอบหิ้วดูพะรุพะรัง

"เอาไปจัดบอร์ดครับ"

"มา พี่ช่วยถือ"

ลังเลที่จะยื่นถุงในมือให้ อีกฝ่ายก็ดึงมันออกไปก่อน ผมตั้งใจจะเอาของพวกนี้กลับไปเก็บไว้ที่ห้องเรียนก่อน จะได้ไม่ต้องเอากลับบ้านแล้วก็ต้องหอบมาอีกในวันพรุ่งนี้ พอบอกกับพี่ตามอย่างนั้นอีกคนก็อาสาที่จะพาไปส่งที่โรงเรียน ทั้งที่มันเป็นโรงเรียนของผม แต่กลับเป็นฝ่ายเดินตามพี่ตามไปยังตึกเรียนของผมที่เขารู้ทางอย่างน่าประหลาดใจ

ไม่ทันได้ถามเราก็เดินมาถึงห้องเรียนของผมพอดี ผมเอาของไปเก็บไว้หลังห้องแล้วเดินออกมาหาพี่ตามที่ยืนรออยู่หน้าห้อง เขายืนมองออกไปยังสนามกว้างจากระเบียงอาคารเรียน ไม่รู้ความคิดใดพี่พาพี่ตามเหม่อลอยออกไปจนไม่ทันได้สนใจผมที่เดินออกมาจากห้องแล้ว นานครู่หนึ่งที่เราต่างคนต่างยืนเฉยๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากเรียก

"พี่ตามครับ"

"อ้าว เสร็จแล้วเหรอ"

"ครับ"

พี่ตามต้องไปรอขึ้นรถเมล์ทางเดียวกับผมพอดี เราจึงเดินออกมาด้วยกัน ดูเหมือนว่าพี่ตามจะพูดไม่เก่งเท่าคุณหมอ คนสองคนที่ต่างคนต่างหาเรื่องคุยกันไม่ได้ จึงมีแค่ความเงียบเท่านั้นในระหว่างรอ

พี่ตามหันมองผม ผมหันมองพี่ตาม เราทำได้แค่ยิ้มให้กัน...อึดอัดสินะ ผมรู้พี่ตามคงคิดแบบนั้น อยากชวนคุยอะไรก็ได้ให้คลายความเงียบตรงนี้ ผมจึงลองถามอะไรที่อยากรู้ออกไป

"พี่ตาม"

"ครับ?"

"เมื่อกี้ พี่ตามรู้ได้ยังไงว่าตึกเรียนผมอยู่ทางนั้น แถมเดินนำผมไปอีกต่างหาก"

"มีคนรู้จักเคยเรียนที่นี่น่ะ มารับมาส่งบ่อยๆ ก็เลยรู้"

"คนรู้จัก?"

พี่ตามพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

"คนนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง"

"..."

"ที่ทิ้งพี่ไปแล้วน่ะ" 

ผมอยากจะถามย้ำเพราะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่อยากให้ผมให้ความสนใจอะไรอีกด้วยการเปลี่ยนเรื่องไปก่อน เราพูดคุยกันได้อีกไม่กี่ประโยคก็ต้องบอกลากันไปก่อนเพราะรถเมล์คันที่ผมรอมาถึงพอดี พี่ตามยิ้มกว้างให้ผมแล้วส่งขึ้นรถ เห็นยิ้มของพี่ตามแล้วก็อดคิดถึงอีกคนขึ้นมาไม่ได้

รอยยิ้มเหมือนคุณหมอเป๊ะเลย...

 

...

 

ผมใช้เวลาหลังเลิกเรียนของวันถัดมาไปกับการจัดบอร์ดสำหรับงานนิทรรศการวิชาการ เพราะโรงเรียนเลิกแล้ว นักเรียนจึงกลับบ้านกันหมด เสียงเดียวที่ได้ยินตอนนี้คือเสียงของพวกนักเรียนชายที่ยังเล่นฟุตบอลกันอยู่ในสนาม หนึ่งในนั้นคือปั้น คนที่บอกว่าจะช่วยงานผม

ไม่รู้ใช้เวลานานเท่าไร บอร์ดที่ผมทำก็กลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์แบบในตอนที่ฟ้ามืดไปแล้ว เสียงนักเรียนในสนามฟุตบอลเงียบหายและเลิกเล่นกันไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมจัดการเก็บขยะไปทิ้ง แต่ในระหว่างทางเดินของอาคารไปยังถังขยะดูน่ากลัวพิลึก ไฟกลางตึกกระพริบถี่บ่งบอกว่าหลอดกำลังจะเสีย ความเงียบก่อให้เกิดเป็นความกลัวจนผมต้องเร่งฝีเท้าเดินไปให้ถึงถังขยะอย่างเร็วที่สุด ในตอนที่เดินกลับไปยังห้องจัดนิทรรศการก็รีบเร่งเสียจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง

"น้อง"

สองเท้าหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก หันขวับไปมองจึงเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่รปภ.ที่เดินเข้ามาหา

"ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก มืดค่ำขนาดนี้มัวทำอะไรอยู่"

"กำลังจะกลับแล้วครับ"

"มืดๆ แบบนี้มันน่ากลัวรู้ไหม"

"ครับ"

"แล้วจะกลับยังไง ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ตอนนี้หาแท็กซี่ยากนะ"

"ไม่..." คำพูดผมหยุดชะงักตอนที่พี่รปภ.เดินเข้ามาใกล้ชนิดที่ว่าอีกนิดเดียวไหล่เราก็แทบจะชนกันอยู่แล้ว คำถามเดิมถูกถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

"ให้พี่ไปส่งเถอะน่า น่ารักๆ อย่างเรา พี่ไม่คิดค่าน้ำมันหรอก" มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาวางบนไหล่ ร่างกายผมแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ปฏิกิริยาของความรังเกียจจึงแสดงออกไปด้วยการผลักเขาออกแล้วปฏิเสธเสียงดัง

"ไม่ครับ!"

ผมวิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยที่ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องตามหลังมา สองขาเริ่มช้าลงตอนที่วิ่งออกมาพ้นหน้าโรงเรียนแล้ว ตั้งใจจะโทรหาหน่อยให้มารับ แต่กลับไม่เจอโทรศัพท์ในกระเป๋า นึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบโทรศัพท์คือตอนไหน และผมไม่มีทางที่จะกลับเข้าไปหาโทรศัพท์ในโรงเรียนอีกแน่ จึงละความสนใจจากเรื่องนั้นแล้วหันไปหาแท็กซี่เพื่อที่จะกลับบ้าน

ระหว่างทางฝนลงเม็ดลงมาปรอยๆ ผมหันมองเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกระจกรถ พลางคิดอะไรอยู่ในใจไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเสียงของลุงคนขับรถดังขึ้นมาเพื่อชวนผมคุย

"ทำไมกลับบ้านช้าจังล่ะ"

"ครับ?"

"เพิ่งเลิกเรียนพิเศษเหรอ"

"ครับ" ขี้เกียจอธิบายอะไรยืดยาว ผมจึงตอบรับไปอย่างนั้น

"กลับบ้านดึกๆ แบบนี้มันน่ากลัวนะ ซอยเข้าบ้านเรามันเปลี่ยวด้วย"

"ครับ"

"เคยได้ยินว่ามีเด็กโดนข่มขืนแถวนี้ด้วยนะ เห็นว่าถูกฆ่าตายเลยด้วย"

ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากได้ยินเช่นนั้น แม้ข้อมูลของลุงจะไม่ถูกต้องนัก แต่เหตุการณ์ที่เขากำลังพูดถึงก็พุ่งตรงเข้ามาในหัวของผมเป็นฉาก ทุกอย่างนิ่งงัน ตัวผมเองกำลังปล่อยความคิดให้จมลึกไปถึงไหนก็ไม่รู้ 

"ถึงแล้ว หลังนี้ใช่ไหม"

"..."

"ไอ้หนู หลังนี้หรือเปล่า"

"..."

ผมสะดุ้งออกจากความคิดเมื่อลุงคนขับหันหน้ามามอง สายตาที่กำลังจดจ้องทำให้ผมนึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงหลอกหลอน

 

"จะหนีไปไหน!"
"มึงจะหนีไปไหน"


 

"หนู"

"..."

"ไอ้หนู!"

"ผมกลัวแล้ว"

"..."

"อย่าทำอะไรผม..."

"อะไร ลุงไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ถึงบ้านแล้ว จะลงหรือไม่ลง"

สติที่เผลอหลุดลอย คิดหลอนไปไกลกลับเข้ามาตอนที่หันไปเห็นว่ารถจอดลงที่หน้าบ้านตัวเองแล้ว ผมควักเงินให้ลุงคนขับโดยไม่รอเงินทอน แล้วรีบตรงเข้าบ้าน ก้าวเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะไปให้ถึงห้องนอน ไม่ได้สนใจเสียงของพ่อที่เพิ่งจะเดินผ่าน

"ทำไมกลับช้าจังพลีส หน่อยออกไปตามที่โรงเรียน..."

 

ตุ้บ...


ทิ้งร่างตัวเองนอนลงกับพื้นข้างๆ เตียง ไม่แม้จะเปิดไฟให้สว่าง ร่างกายผมแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับ หัวใจยังคงเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ อาการเหล่านั้นมันเกิดขึ้นอย่างดูไม่มีเหตุผล แต่คงเป็นเพราะว่า จู่ๆ ความทรงจำสีดำสนิทในวันนั้น มันย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง

ในวันที่ฝนตก ผมอยากให้น้ำฝนช่วยชำระล้างความสกปรกของผมออกไปบ้าง ในวันที่เวลาผ่านพ้นไป ผมอยากให้ความทรงจำบางอย่างเลือนหายไปบ้าง แต่ทุกอย่างมันยังคงชัดเจน...ทุกวินาที

 ในคืนวันธรรมดาที่ผมเดินกลับบ้านอย่างทุกวันแต่ผมไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะเป็นวันที่โชคร้ายที่สุดในชีวิต ผมจดจำเรื่องราววันนั้นได้ครบทุกรายละเอียด จดจำใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จัก สายตา และความหื่นกระหาย เสียงข่มขู่ ตะคอกและคำก่นด่าไม่เป็นภาษา ร่างกายผมบอบบางเกินกว่าจะต่อสู้แต่ยังคงดิ้นรนเอาตัวรอด ยกมือไหว้ร้องขอความเห็นใจหลายสิบครั้ง เพื่อให้เขาปล่อยผมไปแต่ไม่เป็นผล สองแขนถูกตรึงด้วยมือใหญ่ที่กำแน่นราวกับจะหักกระดูกให้แตกเป็นท่อน ใช้สองขาที่เหลืออยู่ทั้งถีบ ทั้งดิ้นให้หลุดพ้น การขัดขืนส่งผลให้เกิดความรุนแรง ใบหน้าแสบชาเพราะถูกฝ่ามือนั้นตบเข้าสุดแรง ร่างกายถูกกระแทกด้วยหมัดหนักเข้าตรงนั้นที ตรงนี้ทีไปทั่วร่าง

เมื่อร่างกายไร้แรงขัดขืน เสื้อผ้าก็ถูกฉีกขาดในพริบตาเดียว เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมไม่ต้องการอย่างไร้ความปราณี ทรมานคล้ายว่าร่างกายจะแหลกละเอียดเป็นผง เจ็บปวดจนไม่อาจแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ที่ยังคงเคลื่อนไหวได้ก็เห็นแต่จะเป็นดวงตาที่หลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุด
การกระทำระยำนั้นสิ้นสุดลง ขณะอีกฝ่ายดูเหน็ดเหนื่อยที่ออกแรงทำร้ายผมมากเกินไป ผมใช้จังหวะที่เขาหยุดหอบหายใจ เอื้อมมือไปเปิดประตูรถและตะโกนสุดเสียงขอความช่วยเหลือ

"หุบปาก!"

"ช่วยด้วย!"

"มึงอยากตายหรือไงวะ!"

"ช่วย..." คำพูดของผมกลืนหายเพราะสองมือที่ตรงเข้าบีบคอผมเอาไว้สุดแรงจนไม่อาจขัดขืน ไร้กำลังจะหยุดยั้ง ไร้เรี่ยวแรงจะร้องขอความช่วยเหลือ คงไร้หนทางที่จะเอาชีวิตรอดแล้ว...

"เฮ้ย! ทำอะไรวะ!"

"เสือกอะไรวะ!"

"หยุดนะเว้ย!"

สองมือที่ยกบีบคอผมอยู่ผลักผมให้นอนลงไปที่เดิมแล้วตบหน้าซ้ำจนได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาทางจมูก ก่อนละความสนใจจากผมไป ผมไม่อาจขยับเขยื้อนตัวเองหนีไปจากตรงนี้ได้เลย ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้อยู่ชั่วครู่นาที เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

"ช่วยไม่ได้ เสือกหาเรื่องตาย"

วัตถุที่ถูกใช้เป็นอาวุธต่อสู้ถูกโยนลงมาที่เบาะข้างๆ ตัวผม หันมองมีดสั้นที่ฉาบด้วยเลือดนั่น ไม่ทันที่จะได้พยายามทำอะไรสักอย่าง ร่างของผมก็ถูกโยนลงมาจากรถคันนั้น แรงกระแทกทำทุกอย่างพร่าเบลอราวกับว่าผมกำลังจะตายในวินาทีนั้น ขยับเปลือกตามองเห็นอีกร่างที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่ข้างทาง ยื่นมือสั่นเทาไปแตะเข้าที่ร่างกายนั้น พร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ

ผมได้ยินทุกอย่างที่ส่งเสียงและมองเห็นทุกอย่างที่ผ่านหน้า หากแต่ว่าสติผมเลือนหายไปอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายที่บอบช้ำนั้นควรเจ็บปวดแต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกใด ไม่อาจแน่ใจว่าตัวเองยังคงหายใจอยู่หรือไม่ จนกระทั่งเสียงของบางคนปลุกผมขึ้นมาจากความเงียบงันเหล่านั้น ประสาทแห่งการรับรู้คงเสียหายจึงได้ยินไม่ชัด ไม่ครบถ้วนแต่พอจะเรียบเรียงความเป็นไปได้     
   
"คนไข้ที่ถูกแทง ไม่รอด"

"..."

"ยังเป็นเด็กมหาลัยอยู่เลย"

"..."

"น่าสงสารจัง"

ทุกอย่างรอบตัวของผมมันไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ผมยังคงได้ยินเสียง ยังคงมองเห็นแสงไฟจากเพดานห้อง แต่ความนิ่งงันจู่โจมความรู้สึกของผมอีกครั้ง...

"นั่นไม่ใช่แสงหรอก"

"..."

"ไม่ใช่แสงลูกของเราหรอก"

"พ่อ"

"เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวลูกกลับบ้านมาแล้วจะไม่เจอใคร"

"พ่อ! นั่นพี่แสง!"

"..."

"นั่นพี่แสง"

"..."

"พี่แสงตายแล้วพ่อ"

เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าพระเจ้าได้ทำอะไรผิดพลาดไปครั้งใหญ่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ มันควรจะเป็นผมที่ต้องตายไป...ได้โปรดเอาชีวิตผมไป...เอาชีวิตผมไปแทน

"น้องพลีส"

"..."

"น้องพลีสคะ"

ผมลืมตาตื่นจากความคิดมากมายเหล่านั้น มองหน่อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร

"น้องพลีสหายไปไหนมา หน่อยโทรไปก็ไม่รับสาย รู้ไหมหน่อยไปหาที่โรงเรียนมาแต่เราคงจะสวนทางกัน"

"..."

"แล้วทำไมมานอนตรงนี้อีกแล้ว ขึ้นไปนอนข้างบนสิคะ"

"..."

"พื้นมันเย็นนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

"..."

"ไม่ดื้อสิคนเก่ง"

"พลีสขยับไม่ได้"

"อะไรนะคะ"

"ร่างกายพลีส..."

"..."

"มันขยับไม่ได้เลย"

"เป็นอะไรคะ ไม่สบายตรงไหน บอกหน่อยสิว่าเป็นอะไร"

ผมยกมือจับมือพี่หน่อยที่กำลังลนลาน ก่อนที่จะบอกบางคำออกไปเบาๆ

"พลีสนึกถึงเรื่องวันนั้น"

"..."

"เรื่องวันนั้นมันตามมาหลอกพลีสอีกแล้ว"

"..."

"พลีสอยากลืม"

"..."

"ช่วยพลีสที"

หน่อยไม่ได้พูดอะไร นอกจากก้มลงมากอดผมเอาไว้อย่างนั้น หน่อยทำให้ผมได้ทุกอย่าง แต่การที่จะลบล้างความทรงจำนั้นออกไปดูจะอยู่เหนือความสามารถของใครสักคน หน่อยจึงทำได้แค่ปลอบใจ ขับกล่อมผมให้หลับตาลงเพื่อที่จะหลับใหลให้ข้ามพ้นคืนนี้ แม้เป็นคืนเดียวที่จะลืมความทรงจำนั้นเพียงชั่วคราวก็คงจะช่วยปลอบประโลมให้ผมหายใจอย่างไร้ความรู้สึกเจ็บปวดได้บ้าง...สักคืนก็ยังดี

...

 

ผมขาดโรงเรียนไปหนึ่งวันเพราะเมื่อวานตื่นสายและหน่อยไม่มาปลุก ด้วยห่วงว่าสภาพจิตใจผมจะยังไม่พร้อม เอาจริงๆ แล้วใจผมมันก็ไม่เคยสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว แต่เมื่อวานวันอ่อนแอเสียจนเกือบจะล้มเหลว ผมจึงใช้โอกาสนั้นหยุดพักไปหนึ่งวัน แล้วกลับมาเรียนในวันถัดไป เป็นวันที่มีนิทรรศการวิชาการพอดี ช่วงเช้าจึงงดการเรียนการสอน ผมไม่มีความสนใจใดๆ เกี่ยวกับนิทรรศการนั้นจึงเอาแต่นั่งอยู่บนห้องไม่ไปไหน

"พันธกานต์"

ไม่บ่อยนักที่จะถูกเรียกจากใครสักคน บวกกับความเงียบก่อนหน้านั้น เสียงนั้นจึงทำเอาผมสะดุ้ง

"ตกใจอะไร"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนครูคนนั้นจะเดินเข้ามาหา

"ของเธอใช่ไหม"

ผมเผลอลืมตากว้างพร้อมเอ่ยเสียงตกใจเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ในมือครู ทั้งๆ ที่ลืมทิ้งเอาไว้จนคิดว่ามันหายไปแล้ว

"มีคนเก็บมาคืนครูตั้งแต่เมื่อวาน แต่เธอขาดเรียนก็เลยไม่ได้เอามาคืน"

"ครูรู้ได้ยังไงว่าเป็นของผมเหรอครับ"

"ใช้รูปตารางเรียนเป็นวอลเปเปอร์ แถมมีชื่อเธออยู่ตรงนี้ด้วย ไม่รู้เลยมั้ง เอาไปสิ"

"ขอบคุณครับ"

"แล้วมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่ออกไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ ล่ะ"

"..."

"ครูรู้ว่าเธอชอบอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ควรมานั่งเหงาอยู่แบบนี้นะ ในงานมีอะไรน่าสนใจเยอะเลยแหละ มาด้วยกันสิ ลุกเร็ว"

ความเกรงใจทำให้ผมไม่อาจจะปฏิเสธครูที่เอาแต่คะยั้นคะยอให้ผมลงไปที่งาน แต่ครูเดินมาส่งผมแค่หน้าตึกแล้วก็แยกตัวไปอีกทาง แม้จะมีชื่อว่านิทรรศการวิชาการแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างในงานจะเกี่ยวกับวิชาการไปซะทั้งหมด มีกิจกรรมจากหลายๆ หมวดการเรียน รวมไปถึงชมรมต่างๆ โซนศิลปะและดนตรีดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะมีการแสดงดนตรีที่กำลังดังอึกทึก ผมไม่ชอบเสียงดังหนวกหูเลยเดินเลี่ยงไปอีกทาง เดินผ่านร้านค้าของกินของใช้จากแผนกคหกรรมไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ผมได้คุกกี้โฮมเมดมาหนึ่งชิ้นเพราะนักเรียนชั้นม.สามแจกฟรี อาจเป็นเพราะผมชอบคุกกี้อยู่แล้ว รสชาติของมันจึงอร่อยจนต้องเดินกลับไปซื้ออีกถุง แล้วคุกกี้ถุงนั้นก็กลายเป็นอาหารกลางวันของผมไป กินหมดก็ตั้งใจเอาถุงไปทิ้งที่ถังขยะหลังตึก ถุงในมือยังไม่ทันหย่อนลงถึงถัง ก็ต้องชะงักกลางคันเมื่อผมหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ฟิวเจอร์บอด แผ่นโฟมและของตกแต่งที่ดูคุ้นตาถูกวางกองอยู่กับพื้น แม้ถูกทับด้วยถุงขยะแต่ผมมองข้ามความสกปรกนั้นแล้วปัดถุงขยะพวกนั้นออกเพื่อให้เห็นแผ่นบอร์ดนั่นชัดๆ

สิ่งที่ผมตั้งใจทำทั้งคืนเพื่องานวันนี้...ทำไมถึงถูกทิ้งอยู่ในกองขยะ

ผมเดินกลับเข้าไปในงานเพื่อตรงไปยังโซนที่จัดนิทรรศการของแต่ละห้องเรียน บอร์ดของห้องเรียนผมถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมด และแม้จะอยากได้คำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามหาจากที่ไหน

"อ้าวไอ้พลีส นึกว่ามึงจะไม่ลงมา"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรปั้นที่เข้ามาทัก

"กูพูดด้วยไม่พูด มึงเป็นอะไรวะ"

"..."

"ไอ้พลีส"

"ใครทำบอร์ดใหม่"

"ฮะ?"

"ถามว่าใครทำบอร์ดใหม่"

"ก็พวกเพื่อนๆ ไง"

"ทำทำไม"

"กูไม่รู้"

"บอกมา!"

ปั้นนิ่งไปตอนที่ผมเสียงดังใส่ เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกโมโหจริงๆ และเสียงที่ดูจะดังไปหน่อยของผม มันทำให้เพื่อนในห้องที่ยืนอยู่หน้าบอร์ดหันมาให้ความสนใจทั้งหมด

"มีอะไรกันวะ"

"พลีสมันโมโหที่พวกมึงเปลี่ยนบอร์ด"

"โมโหทำไม ก็มึงทำไม่สวยอะ มันซ้ำกับปีที่แล้ว มึงเล่นทำเหมือนเดิมเป๊ะเลยนี่หว่า"

"แล้วตอนที่ถามว่าจะเอาแบบไหน ทำไมไม่บอก"

"ก็นึกว่ามึงจะทำให้มันดีกว่านี้นี่"

"รู้ไหมว่าเราทำคนเดียว"

"..."

"รู้ไหมว่าทำจนถึงกี่โมง"

"..."

"มันเหนื่อยนะเว้ย!"

"มึงจะโมโหเหี้ยอะไรเนี่ย ถ้ามึงไม่อยากทำก็บอกแต่แรกดิว่าไม่อยากทำ เสือกรับปากจะทำเองทำไมล่ะ!"

"เออ! แล้วก็ทำไม่สวย ต้องมาเสียเวลาทำใหม่กันเนี่ย พวกกูหรือเปล่าที่ควรจะโมโห"

"กูน่าจะบอกครูว่ามึงไม่มีส่วนร่วม จะได้ไม่ต้องเอาคะแนน"

แม้ความโมโหมีมากแค่ไหนก็ไม่อาจเอาชนะคนส่วนมากที่ความเห็นตรงกันได้ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกตัวเล็กนิดเดียวเมื่อถูกรุมต่อว่าและไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้เลย

"ไม่น่ามีมึงอยู่ในห้องพวกกูเลย ไอ้ตัวปัญหา"

แรงผลักจากใครสักคนทำผมล้มลงกับพื้น ผมไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันทีเพราะเรี่ยวแรงที่มีคล้ายว่ามันจะหายไปชั่วขณะ คำด่าทอที่หยาบคาบพูดกรอกหูผมอีกสามสี่ประโยค ผมคงเป็นตัวปัญหาจริงๆ และอย่างที่คนเหล่านั้นบอกไม่ควรมีผมอยู่ ไม่ใช่ในห้องเรียน...แต่เป็นในโลกใบนี้

 

...


มีต่อค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2019 01:44:19 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
«ตอบ #141 เมื่อ07-07-2019 04:31:42 »

 

"พลีสอยากย้ายโรงเรียน"

ผมบอกกับแม่ แต่คนที่กำลังสนใจงานในมือมากกว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง เมื่อถูกละเลยในวันที่ผมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ผมจึงรู้สึกโกรธกว่าปกติ ตรงเข้าไปดึงเอกสารในมือแม่ออกเพื่อให้แม่หันมาสนใจ

"พลีสทำอะไร"

"พลีสอยากย้ายโรงเรียน"

"ย้ายโรงเรียน? จะย้ายไปไหน นี่มันปีสุดท้ายแล้ว โรงเรียนที่ไหนเขาจะรับเข้าเรียน"

"โรงเรียนเอกชนก็ได้หรือไม่ก็ลาออกไปเลยก็ได้!"

"พลีสเป็นอะไร"

"พลีสไม่อยากไปโรงเรียน พลีสไม่มีเพื่อน ทุกคนเกลียดพลีส พลีสถูกแกล้ง พลีสถูกด่าทุกวัน"

"แล้วเราไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบล่ะ"

"มันไม่ใช่ความผิดพลีส!"

"แล้วมันเป็นความผิดใคร"

"..."

"บอกแม่สิว่าเรื่องนี้ใครผิด"

น่าแปลกใจ ผมให้คำตอบแม่ไม่ได้...

"พลีสไม่ชอบโรงเรียนนี้ คนที่โรงเรียนรู้เรื่องนั้นกันหมด ทุกคนรังเกียจพลีส"

"แล้วการที่พลีสย้ายโรงเรียนไป มันจะแก้ไขอะไรในวันนั้นได้ไหม"

"พลีสก็แค่อยากเริ่มต้นใหม่ ย้ายไปโรงเรียนอื่น จะได้ไม่มีคนรู้เรื่องนั้น"

"ยังไงแม่ก็ไม่ให้ย้าย"

"แม่"

"มันไม่ใช่ทางแก้"

ผมหันมองพ่อที่นั่งอยู่ด้วยแต่ไม่มีคำพูดใดจากปากพ่อเลย ผมคิดว่าการที่ผมได้พูดอะไรออกไปตรงๆ จะทำให้มีคนเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง แต่ไม่เห็นจะมีเลย...ไม่เห็นจะมีสักคน

 

พ่อกับแม่ปล่อยให้ผมนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น ยังคงจมอยู่กับความคิดหาคนที่จะมารับผิดชอบความผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ผมอยากโทษทุกสิ่งที่ใจร้ายกับผม แต่กลับไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมันคืออะไร เหตุผลที่ผู้คนรังเกียจ เหตุผลที่ไม่มีใครเข้าใกล้ เหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผม เหตุผลที่ทำให้ผมโดดเดี่ยว...แท้ที่จริงมันคืออะไร

ผมเหนื่อยที่จะหาคำตอบจึงปล่อยให้ความคิดส่วนนั้นมันว่างเปล่า และความว่างเปล่านั้นมันหมายถึงทั้งชีวิตของผมด้วย มันไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีแล้วจริงๆ

ผมลุกจากโซฟา เดินไปหามันแกวที่นอนอยู่ริมประตู เมื่อผมตรงเข้าไปเล่นด้วย เจ้าหมาตัวเล็กก็คลอเคลียราวกับกำลังอ้อนกันอยู่ ผมเอื้อมมือหยิบอาหารเม็ดเทใส่จานข้าวของมันแกว เจ้าหมาที่หิวโหยตลอดเวลารีบก้มลงจัดการอาหารพวกนั้นอย่างดูเอร็ดอร่อย ขณะนั้นหน่อยก็เดินเข้ามาพอดี

"ให้กินอีกแล้วเหรอคะ เมื่อกี้หน่อยก็เพิ่งเทให้ไปเอง"

"ก็มันแกวมันหิวตลอดเวลาเลยนี่"

"..."

"หน่อยต้องให้อาหารมันบ่อยๆ นะ อย่าปล่อยให้หิว อย่าเอาอย่างอื่นให้กินนอกจากอาหารเม็ด มันแกวไม่ชอบกินข้าว แล้วก็อย่าลืมเก็บรองเท้าให้ดีด้วย มันแกวชอบรองเท้าของหน่อยที่สุดเลย ไม่รู้ว่าทำไม"

"นั่นสิคะ กัดไปหลายคู่แล้วเนี่ย"

ผมหลุดหัวเราะก่อนก้มลงลูบหัวมันแกวอีกที บอกบางอย่างกับมันในใจ...มันแกวเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุดของพลีสเลยรู้ไหม

"น้องพลีสจะออกไปข้างนอกเหรอคะ"

"ครับ"

"อย่าไปนาน อย่ากลับบ้านช้านะคะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วตอบกลับไปให้หน่อยได้ยิน

"ไม่กลับช้าครับ"

ผมก้มลงใส่รองเท้า หันมองหน่อยอีกครั้ง...หน่อยเองก็เป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตพลีสเลย

 

สองขาพาผมเดินออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนที่จะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองมาหยุดอยู่ที่คลินิกของคุณหมอ ผ่านกระจกใสและระยะห่างที่ไกลจนเขาไม่อาจมองเห็นผม ผมยังคงเห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังพูดคุยอยู่ แม้มองจากตรงนี้ ก็ยังมองเห็นความน่ารักและความใจดีนั่นที่ทำให้ผมตกหลุมรักในวันแรกที่พบกัน

พี่ต่อ...ผู้เป็นทุกรอยยิ้มของพลีส

คุณหมอเป็นหนึ่งในความสุขเดียวที่ผมมี ราวกับว่าชีวิตอนุญาตให้มีความสุขได้แค่นั้น แต่น่าเจ็บปวดที่ความสุขแค่นั้นมันไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงหนึ่งชีวิตให้หายใจต่อไปได้

 

ผมตัดใจเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงไปเรื่อยๆ แล้วหยุดอีกครั้งที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ผมรู้ที่นี่คือบ้านของพี่แสง คนที่ช่วยผมเอาไว้จนเขาตาย ผมไม่เคยไปหาพี่แสง ไม่เคยเอ่ยคำขอบคุณหรือว่าขอโทษ และผมกลัวเกินกว่าที่จะเข้าไปหาครอบครัวของพี่แสง สาเหตุเพราะผม ที่พรากเอาชีวิตคนที่รักไปจากพวกเขา นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมอยากจะพูดอะไรกับพี่แสงแม้ว่าเขาจะไม่มีวันได้ยิน

"พี่แสง"

"..."

"พี่น่าจะมาเป็นผม"

"..."

"แล้วผมจะเป็นคนที่ตายแทนพี่เอง"

 

บนดาดฟ้าของตึกร้าง ผมนั่งอยู่บนนั้นคนเดียวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของฤดูฝน ความคิดหยั่งลึกลงไปถึงทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ยิ่งคิดเท่าไรความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอยู่ในปริมาณที่จัดการไม่ได้ และคงจะจริงอย่างที่แม่บอก มันไม่มีวันกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้แล้ว มันไม่มีที่ให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่...ต่อให้เราพาตัวเองหนีไปจากคนที่ทำร้ายเราได้ แต่บาดแผลมันไม่ได้หายไปไหน

ผมไม่รู้เวลาว่าดึกดื่นขนาดไหน ผมบอกกับหน่อยว่าจะไม่กลับบ้านช้า...แต่ว่าผมจะไม่กลับไปเลยต่างหาก ผมทบทวนทุกอย่างอีกครั้งและพบว่ามันคงจะมีทางเดียวที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ไม่มีใครเข้าใจได้ ผมเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการมีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็นมันทรมานมากกว่าการจากไปเสียอีก ผมไม่ได้คิดสั้น แต่คิดอยู่เนิ่นนานจนตัดสินใจได้แล้ว สองขาของผมจึงลุกขึ้นยืนบนขอบระเบียงของตึกในตอนที่เนื้อตัวเบาโหวง ก้มมองลงไปข้างล่างเพื่อให้แน่ใจว่า ผมจะไม่อาจเอาชีวิตรอดจากความสูงระดับนี้ได้...หากโชคดีผมคงตาย หากโชคร้ายก็คงได้พบกันอีก

เหตุผลของการฆ่าตัวตาย มันไม่ได้ซับซ้อน ผมแค่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มันว่างเปล่า ล่องลอยและเคว้งคว้าง ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความกลัวเลยสักนิด คงเป็นเพราะความกลัวถูกใช้ไปหมดแล้วตั้งแต่วันนั้น...และหากว่าผ่านนรกขุมนั้นมาได้ ก็ไม่มีขุมไหนน่ากลัวอีกแล้ว

ความคิดตกตะกอนจนถึงขีดสุดของมันแล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะไป ไม่ว่าจะที่ไหนหรือว่านรกขุมไหนก็ได้ เพราะคงไม่มีที่ใดทรมานกว่าที่นี่ และสุดท้าย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะให้อภัยเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้...

 

"ยกโทษให้ผมด้วย"

 

 

"ตุ้บ!"

 

To be continued.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2019 02:57:28 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #142 เมื่อ07-07-2019 05:03:20 »

พูดไม่ออกเลยค่ะ​ จุกไปทั้งแถบ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #143 เมื่อ07-07-2019 08:03:02 »

ขอเถอะนะ พ่อแม่ของเด็กในห้องของพลีส
่พ่อแม่ของเด็กที่เห็นคนถูกทำร้ายแบบพลีสน่ารังเกียจ
ต้องเป็นคนแบบไหนกัน ถึงเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนแบบนี้
แถมเยอะซะด้วยซิ เป็นทั้งห้อง ขออย่าให้ข้าต้องอยู่ร่วมสังคม
กับคนแบบนี้เลย เห่อๆๆ อินเกินไปเปล่าหว่าเรา

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #144 เมื่อ07-07-2019 09:54:25 »

ร้องไห้ทุกตอนเลย  สงสารอะแต่งเศร้าไปน้าา :m15:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #145 เมื่อ07-07-2019 10:10:45 »

 :pig4:
 :กอด1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #146 เมื่อ07-07-2019 20:38:32 »

เข้าใจน้องพลีสที่สุดแล้ว เสียงของความทุกข์ทรมานที่ไม่มีใครได้ยิน
ถ้าสังคมรอบข้างน้องมันแย่ขนาดนั้นก็ไม่อยากให้หนูกลับมา

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #147 เมื่อ08-07-2019 01:42:29 »

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #148 เมื่อ08-07-2019 04:35:12 »

ปัญหาของพลีส​คือ ผู้ใหญ่ พ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจลูก ไม่สนใจความรู้สึกลูก คุณครูที่รู้ว่ามีปัญหาแต่ไ่คิดตะแก้ไข หน่อยที่รู้ว่าพลีสแปลกแต่ไม่คิดจะถามทั้งๆที่อยู่กับพลีสมากที่สุด

แล้วก็เพื่อนพลีส นิสัยเสียทั้งห้อง ตอนเด็กๆเราเป็นคนไม่สนใจโลกค่ะ มีเพื่อน มีคนคุย แต่เราไม่ใช่คนคุยเก่ง เฉยๆมากกว่า ใครไม่ดีเราไม่คบ แล้วก็ไม่สนใจด้วย เลยทำให้ไม่โดนรังแกเลย แล้วก็ไม่เคยไปวุ่นวายกับใคร เด็กทุกคนต้องเคยโดนบูลลี่แหล่ะ เราเป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเลย เรามองว่าไร้สาระ เพราะตอนนั้นมีเรื่องอื่นให้คิดเยอะแยะ

พอมาเป็นพลีส เห็นนิสัยของพลีสแล้วหงุดหงิดมาก พลีสไม่สู้คน ส่วนเพื่อนของพลีสน่าจะโดนสักรอบ โมโห

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #149 เมื่อ08-07-2019 17:09:21 »

 o18



 :3123: :pig4: :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด