เรื่องสั้น สุขกันเถอะเรา (จบแล้ว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น สุขกันเถอะเรา (จบแล้ว)  (อ่าน 5441 ครั้ง)

ออฟไลน์ กะทัดรัตน์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ข้อตกลงเล้าเป็ด
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook


เรื่องสั้น สุขกันเถอะเรา

“พ่อมึงงงงงงง อยู่ไหนนนน”

“อยู่ในสวนนี่แม่มึงงงงงง มีอะไร” ผมก้าวเท้าเข้าไปในสวนธรรมชาติข้างบ้านตามเสียงที่ตะโกนตอบกลัลมา พร้อมปลาช่อนตัวใหญ่สองตัว

“ลุงชมสวนข้างๆเขาเอาปลาช่อนมาฝาก เย็นนี่กินอะไรดี”

“หมูทอดกระเทียม”กูล่ะอยากจะหยิบปังตอข้างๆมาขว้างใส่ไอ้ผู้ชายที่นั่งเอาเสียมกระแทกดินให้อัดแน่น

“เดี๋ยวพ่อปัดขว้างปังตอ”

“ใจเย็นๆแม่มึง”

“ตกลงเย็นนี้จะกินอะไรครับ”

“แล้วแต่แม่มึงเลย”เสียงหัวเราะจากผู้ชายที่เริ่มมีผมขาวขึ้นแซมเยอะขึ้นกว่าเดิมดังมาไม่หยุด แม้จะกำลังประคบประหงมหาลู่ทางให้ต้นมะนาวสุดที่รักออกลูกมาให้ได้เชยชมสักครั้ง เสียงพูดกับต้นมะนาวดังเรียบเรื่อยจนผมเดินกลับเข้าบ้าน ก่อนจะเข้าห้องครัวก็แวะส่องกระจกบานใหญ่ที่อยู่ติดผนังแล้วจึงอมยิ้มบางเบา ผมเข้าครัวทำอาหารเย็นแบบง่ายๆที่สองคนตายายจะกินได้หมดโดยไม่ต้องเหลือทิ้ง หรือค้างคืน พ่อมึงมันไม่ชอบกินอาหารค้างคืน ก็เดือดร้อนผมที่ต้องคอยคิดเมนูประจำวัน คอยทำให้ในทุกๆวัน มันไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน ผมออกจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำที่ได้ทำอะไรให้ผู้ชายที่ผมรักได้กินอิ่ม นอนหลับอย่างสบายใจ
นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราอยู่เคียงข้างกันแบบนี้ ยี่สิบ หรือสามสิบกว่าปีได้ผมก็ลืมเลือนไปเสียหมด มันนานจนไม่ทันได้นับ

ผมกลับปลาช่อนที่หันเป็นชิ้นๆในกะทะ ก่อนจะเบาไปลงเล็กน้อยแล้วหันไปเตรียมน้ำยำ ผักสลัดออกแกนิคที่พ่อมึงปลูกและเพิ่งเก็บมาแช่ตู้เย็นเมื่อวานถูกผมหยิบออกมาใช้งานหลายอย่าง ผมมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันของตัวเองดี หลังจากเกษียณตัวเองออกมาอยู่บ้านเป็นนักเขียนอิสระที่ใช้ชีวิตเรียบเรื่อย แล้วส่งต่อธุรกิจให้กับลูกชายบุญธรรมที่ดูจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ผมเกษียณตัวเองก่อนวัย ติดที่มันยังเกรงใจพ่อมึงถึงได้ยอมให้แม่มึงอย่างผมออกมาใช้ชีวิตบั้นปลายเร็วกว่ากำหนดตอนอายุห้าสิบกว่าๆแบบนี้

“แม่มึง มีดอกแค ทำแกงส้มดอกแคอีกสักอย่างไหม?”

“ล้างให้หน่อยซิ”

“ใช้เก่งจริงๆ”

“บ่นเก่งไม่ต่างกัน”พ่อมึงเดินตัวเปื้อนเข้ามาในครัวเอาดอกแคไปล้างทำความสะอาดอยู่ที่ตั่งไม้ที่ใช้เตรียมอาหารแล้วฮึ่มฮัมเพลงอย่างมีความสุข ผมแอบยกยิ้มระหว่างใส่ข้าวคั่วลงไปในน้ำราดปลา วันนี้เมนูปลาช่อนลุยสวนก็ดูท่าจะไม่เลวนัก

“วันนี้ละครที่แม่มึงชอบตอนจบหนิ”

“ฮ่าาา จำแม่นกว่าแม่อีกนะพ่อมึง ไปอาบน้ำล้างตัวได้แล้ว เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำเอง”ผู้ชายโครงร่างสูงใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงค่อยๆเดินหายลับจากสายตาไปชั้นสองของบ้าน ผมส่ายหัวยกยิ้มบางเบา พ่อมึงก็ยังคงเป็นพ่อมึงที่ใบหน้ายังคงดูคมคายแม้ไม่ได้หล่อจัดจ้านแต่ก็มองได้เพลินตาไม่มีเบื่อ การเกษียณตัวเองตอนอายุห้าสิบปลายๆจากแพทย์หนุ่มอนาคตไกล มาเป็นอาจารย์หมอจบลงด้วยการมาอยู่บ้านเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษา และวิทยากรพิเศษในบางครั้งที่ไม่มีอะไรทำ แต่รูปร่างยังคงดูดีจากการหาอะไรทำอยู่บ้านไม่ยอมหยุดโดยเฉพาะสวนที่รายล้อมรอบบ้านก็ฝีมือพ่อมึงทั้งนั้น แทบไม่ต้องออกไปจับจ่ายหาซื้อวัตถุดิบกันให้เสียเงินเสียทอง

ไม่นานร่างสูงใหญ่ในชุดนอนสีเทาเรียบๆที่ใส่ประจำเดินลงมาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ชานบ้าน

“ปีนี้ร้อนกว่าปกติจริงๆ”

“อากาศประเทศไทยก็แบบนี้ โชคดีนะที่พ่อมึงปลูกต้นไม้ซะเหมือนป่าอเมซอนแบบนี้ ดีไม่เดินหลง”ไม่วายยืมประโยคเด็ดของเจ้าลูกชามาช่วยแซะคนข้างที่ ในขณะที่ผมตักข้าวใส่จานให้คนพ่อมึงที่นั่งอมยิ้มทอดมองวิวป่าเขาออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

“แม่มึงก็พูดเว่อร์เกินไป”

“ก็พูดเหมือนเจ้าลูกชายของพ่อมึงไง”

“มันก็ปากดี แล้วเป็นใครล่ะ พอมีเรื่องทีไรก็หนีมาหลบอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ใช่ลูกแม่มึงรึไง”

“มันก็ลูกพ่อมึงเหมือนกันนั่นแหละ เอากินข้าวๆ”ผมตักแกงส้มดอกแคที่พ่อเจ้าประคุณอุตส่าไปเก็บมาให้แถมยังช่วยล้างซะเรียบร้อย คงจะอยากทานจริงๆถึงได้ยอมเสียฟอร์มมาขอร้องให้ผมทำ ไม่บ่อยนักหรอกที่พ่อมึงจะยอมอ่อนลงเพื่ออ้อนวอนให้ผมทำอะไนให้สักอย่าง แต่ถ้าอ้อนขอให้ทำล่ะก็อีกเรื่องนึง ไม่นับพ่อมึงเขาว่ามางี้

“แล้ววันเสาร์นี้มันจะกลับบ้านไหม”

“คงไม่กลับมั้ง เห็นโทรมาบอกว่ากำลังทำธุระสำคัญ”

“ไม่พ้นเรื่องเจ้าชู้ประตูดินอีกตามเคย”

“คนนี้น่าจะจริงจังมากพอดู”ผมหันไปยกยิ้มให้พ่อมึงที่ตักปลาช่อนพร้อมเขี่ยก้างออกให้เรียบร้อยมาใส่จานผม ใบหูที่แดงขึ้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวออกจะขัดเขินไม่น้อยกับการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเราก็ไม่เคยจะคุ้นชินเสียทีกับอาการขัดเขิน และเอาอกเอาใจที่ออกจะไม่ได้โรแมนติดอย่างที่คู่อื่นเขาเป็นกัน แต่กลับเป็นการเอาอกเอาใจเล็กๆน้อยๆที่ผมออกจะชอบใจจนหัวใจเต็มไปด้วยความสุข

“ก็เห็นจริงจังเสียหมด”

“มันต่างจากพ่อมึงเมื่อก่อนตรงไหนกัน”ผมเหล่มองปฏิกิริยาชะงักไปชั่วครู่ของคนข้างกายก่อนเจ้าตัวจะแสร้งทำเป็นดื่มน้ำแล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หร่ะจนผมอดจะหมันเขี้ยวไม่ได้ ถ้าถามถึงเรื่องความเจ้าชู้ไม่ต่างจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกผมก็คงเป็นพ่อมึงเนี่ยแหละที่หนีไม่พ้น หากย้อนกลับไปสักยี่สิบสามสิบกว่าปี คงได้เห็นคุณหมอหนุ่มรูปหล่อในเสื้อกาวสะอาดตา ยืนส่งยิ้มกรุ่มกริ่มละลายใจสาวๆไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ผมที่เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของคณะบริหารธุรกิจคุณหมอหนุ่มก็ยังไม่ทิ้งลายแวะขายขนมจีบเสียเรี่ยราด

‘เจอกันอีกแล้วนะครับ วันนี้เป็นอะไรมาอีกล่ะ’คำถามเหมือนคุ้นเคยสนิทกันดีขนาดนี้เพราะผมแวะเวียนมาโรงพยาบาลบ่อยในช่วงเดือนนี้ ถ้าถามเหตุผลคงต้องบอกว่าเพราะงานกีฬาของทางมหาลัยล้วนๆไม่มีความพิศวาสส่วนตัวแม้แต่นิดเดียว ผมชอบกลอกตาจนติดเป็นนิสัยยามเบื่อหน่าย กับคุณหมอตรงหน้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

‘เตะบอล ข้อเท้าบวมครับ’

‘เฮ้อออ ทำไมไม่ดูแลตัวเองดีๆครับ ทำให้คนอื่นเป็นห่วงมันบาปกรรมนะครับ’

‘เรื่องของผม’

‘เรื่องของคุณแต่ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บด้วยจังครับ’ หยอดเก่งงงงง ลูกช่างหยอดที่บ้านขายขนมครกป่ะ รึเป็นนักปิงปองเก่าหยอดได้หยอดดี หยอดทีหวานกว่าทองหยอดอีกพ่อคุณ

‘….’

‘แล้วไปทำยังไงมีนถึงได้บวมขนาดนี้ครับ’

‘ไม่รู้ซิหมอ ถ้ารู้จะมาหาหมอไหม’

‘ปากเก่งจัง ทำไมไม่ดูแลตัวเองให้เก่งเหมือนปากบ้างครับ’

‘ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเจ็บตัวสักหน่อย ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าอุบัติเหตุหรอหมอ’ผมก้มมองคนที่เลื่อนตัวเองลงมานั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อดูอาการข้อเท้าบวมของผม ตอนแรกก็กะจะไม่มาแต่พอผ่านไปสองสามวันมันกลับบวมหนักกว่าเดิมจนต้องจำยอมให้เพื่อนมันยกโขยงพามาโรงพยาบาลใกล้ๆมหาลัย ถ้าถามย้อนกลับไปอีกว่าผมเจอหมอได้ยังไงก็คงบอกว่าเพราะพาน้องแสตนเชียน์ที่เป็นลมสองสามรายมาโรงพยาบาล ไหนจะน้องนักกีฬาที่บาดเจ็บใหญ่กันบ่อยเสียจนอยากจะให้คณะบดีทำบุญคณะสักครั้ง รึไม่ก็เลิกลงแข่งกีฬามหาลัยให้มันรู้แล้วรอด จะได้ไม่ต้องมานั่งเดือดร้อนก้นไม่ติดเบาะกันแบบนี้ แล้วยิ่งไอ้พวกรุ่นพี่อย่างพวกผมจะทำตัวหน้ามึนอยู่เฉยก็ใช่ที่ น้องมันเดือดร้อนมาพวกผมก็ต้องช่วยกัน นี่แหละคือเหตุผลที่มาเจอหน้าคุณหมอบ่อยเสียยิ่งกว่าหน้าพ่อแม่


หลังจากจบงานกีฬาได้ไม่นาน ก็เป็นช่วงนรกแต่ของพวกเด็กปีสุดท้ายอย่างผมที่ต้องนั่งปั่นโปรเจคจบที่เป็นตัวชี้ชะตาว่าที่เรียนมาสี่ปีพวกมึงจะได้จบหรือไม่ ก็เรียกว่าปั่นกันเลือดตาแทบกระเด็นลืมวันลืมคืนจนผมป่วยเข้าโรงพยาบาลที่คุ้นเคยดี รวมทั้งหมอที่เป็นเจ้าของไข้ก็ออกจะคุ้นเคยมากเสียด้วย

‘จบกีฬาหมาลัยแล้วนี่ครับ ทำไมยังต้องมานอนให้น้ำเกลือแบบนี้’หมอหนุ่มยื่นชาร์ทให้พยาบาลก่อนจะนั่งลงคุยกับคนไข้กิติมศักดิ์ที่ทำหน้างออยู่บนเตียง

‘ทำโปรเจคจบ’

‘มันไม่มีเวลาทานข้าวขนาดนั้นเลยหรอครับ โรคกระเพาะทำให้ปวดท้อง ทานแต่กาแฟ ชา แถมยังไม่ยอมพักผ่อนจนป่วย ถ้าเป็นลูกหมอจะจับตีก้นแล้ว ดื้อจริง’
‘ใครมันจะไปตั้งใจป่วยเล่าหมอ ก็อยากทำให้ใยเสร็จๆไป’

‘แล้วเป็นไงครับ มันเสร็จดั่งใจไหม’ ผมส่ายหัวอย่างยอมรับความผิด คุณหมอถอนหายใจแล้วค่อยๆลูบหัวผมเบาๆอย่างอ่อนโยนจนไม่คิดว่าคนหน้าโหดๆจะทำอะไรได้อ่อนโยนขนาดนี้ แม้ผมจะเคยเห็นหมอเล่นกับเด็กที่มารักษาอยู่บ้าง เห็นหมอคุยกับคนแก่บ่อยๆแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนอ่อนโยนขนาดนี้ อย่างน้อยเวลาส่งสายตาเจ้าชู่กรุ่มกริ่มก็ดูน่าตบมากกว่าน่าชื่นชม

‘แทนที่จะได้ทำงานให้เสร็จกลับต้องมานอนโรงพยาบาลเสียเวลาทำงานไปอีก ถ้าดูแลตัวเองตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นแบบนี้’

‘หมอขี้บ่นจัง’คนเป็นหมอเอื้อมมือมาดึงผ้าห่มคลุมถึงคอเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ก่อนจะส่งยิ่มจางๆแล้วเตือนให้พักผ่อนก่อนจะเดินออกจากห้องไป หนึ่งอาทิตย์กับการนอนโรงพยาบาลที่มีคุณหมอเจ้าของไข้แวะเวียนมาอยู่ด้วยตลอดกลายเป็นความเคยชินที่แสนน่ากลัว เพราะหลายๆอย่างทำให้จิตใจของผมเริ่มสั่นไหว

‘ยินดีด้วยวันนี้ได้กลับบ้านแล้ว’

‘ผมเบื่อจะตายอยู่แล้ว โปรเจคก็ไม่คืบหน้าเลย’

‘จะได้จำไว้เป็นบทเรียนที่หลังจะได้ไม่ฝืนตัวเองอีกไงครับ’ผมก็บ่นไปตามเรื่องตามราวของตัวเองไม่ทันได้สังเกตุว่าคุณหมอแอบหัวเราะในความบ้าบอของผม และกว่าจะรู้ตัวก็มีหมอหนุ่มคนนี้เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตของผมไปแล้ว


“จำได้แม่นเลย วันนั้นพ่อมึงไปส่งที่คอนโด”

“แม่มึงมั่ว”

“ไม่มั่วพ่อมึงบอกว่าออกเวรพอดี”

“แม่มึงอ้อนให้ไปส่งต่างหาก”ผมเลิกคิ้วสงสัย ไอ้คนหลงตัวเองตอนนั้นกูยังไม่ได้ชอบมึงเลยยยย พ่อมึงงงง แล้วกูจะไปอ้อนมึงได้ยังไงแค่หัวใจสั่นไหวเฉยๆเว้ยยยยย เข้าข้างตัวเองจริงเชียว

“แม่ไปอ้อนตอนไหนว่ะ”

“ก็ตอนที่ทำหางตาตกๆเหมือนลูกหมาถูกเจ้าของทิ้งไง พ่อเลยรู้สึกสงสารอาสาไปส่งก็ได้”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ ทำเพราะสงสารหรอ”พวกเราคุยเรื่องอดีตของพวกเราเหมือนคนแก่ทั่วไป มันก็ออกจะเป็นอดีตที่ตลกไม่น้อยยามนั่งนึกย้อนกลับไป ผมยกผลไม้ที่เก็บมาจากในสวนของพ่อมึงมานั่งทานกันต่อที่ชานบ้านที่เดิม เพียงแต่ย้ายที่จากโต๊ะตัวสูงลงมานั่งบ่นเสื่อที่ปูผ้าไว้หนานุ่มพร้อมหมอนอิงที่ประจำที่เราสองคนมักจะมาใช้เวลาว่างอยู่บริเวณนี้เสมอ ด้วยลมที่โกรกเย็นสบายทำให้เคลิ้มไม่น้อย

“หึๆๆ ทำเพราะรักต่างหาก”


หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้สักพักก็มีหมอรูปหล่อตามติดเป็นเงาตามตัวไม่ห่าง จนเพื่อนพ้องต่างเห็นจนชินตา ถ้าคุณหมอคนเก่งไม่ติดธุระอะไรก็มักจะแวะเวียนมารับมาส่งมาอยู่เป็นเพื่อนเสมอจนไอ้พวกที่แซวก็เลิกแซวไปแล้วด้วยความเหนื่อยใจ ความสม่ำเสมอในหลายอย่างที่ดูเรียบง่ายแต่กลับตราตรึงอยู่ในจิตใจจนกลายเป็นความรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆจวบจนผมเรียนจบในวันรับปริญญาที่แสนจะคึกคัก เหล่าเพื่อนพ้องยิ้มกันหน้าเบิกบานที่ผ่านพ้นสิ่งต่างๆไปได้ ก้าวข้ามผ่านวัยเรียนเข้าสู่ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละคร เหล่าบรรดาญาติพี่น้องต่างมาร่วมแสดงความยินดี พ่อแม่ต่างก็ปลื้มปิติที่ส่งควายเรียนจนสำเร็จ และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผมคือคุณหมอหน้าคมเข้มที่กำลังช่วยเช็ดเหงื่อบัณฑิตอย่างไม่รังเกียจ แถมยังไม่บ่นสักคำเมื่อต้องมาคอยเดินตาม เป็นช่างภาพ เป็นคนใช้ เป็นหลายสิ่งหลายอย่างในวันที่อากาศร้อนจนนึกว่าพระอาทิตย์เกลียดประเทศไทยเป็นพิเศษ

‘ม๊านี่พี่หมอที่เคยเล่าให้ฟังครับ’พี่หมอยกมือขึ้นไหว้ม๊ากับป๊าผมอย่างนอบน้อม ไม่ซิ เรียกว่าเป็นนิสัยปกติของพี่มันอยู่แล้วต่างหาก

‘ขอบใจนะจ้ะที่ช่วยดูแลน้อง’

‘ผมเต็มใจครับ’แม้ว่าป๊ากับม๊าผมจะไม่เคยได้เจอพี่หมอตัว
จริง แต่ได้ฟังคำบอกเล่าจากปากผมบ่อยกว่าเรื่องของเพื่อนผมเสียอีก เรียกได้ว่าพวกท่านเริ่มรับรู้ความสัมพันธ์เกินพี่น้องที่ดูจะคลุมเครือได้ไม่ยาก

‘หมอ ผมหิวข้าวจัง’

‘แซนวิชก่อนไหม จะเข้าหอประชุมแล้วเดี๋ยวจะไม่ทัน’ผมพยักหน้ากินแซนวิชที่หมอยื่นมาให้ด้วยความหิว จนลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าคนข้างกายอย่างหมอก็ยังไม่ได้ทานอะไรเช่นกัน เขาเดินตามผมเป็นเงาตามตัวทั้งวันจะเอาเวลาไหนไปกินถ้าผมไม่ได้กิน แต่วินาทีนั้นออกจะไม่ค่อยได้สนใจคนรอบข้างเสียเท่าไหร่จวบจนเริ่มเข้าสู่วัยทำงานที่แท้จริง ผมเข้ารับช่วงต่อกิจการ ช่วยป๊าบริหารงาน บวกกับพี่หมอที่เรียนต่อเฉพาะทางมาได้สักพักทำให้เราไม่ค่อยได้มีเวลาให้กันมากนัก ยิ่งกับสถานะที่คลุมเครือก็ออกจะน่าเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย จนวันหนึ่งเราทะเลาะกันครั้งใหญ่


‘แล้วทำไมถึงไปอยู่บนหน้าหนึ่งได้ขนาดนั้น’

‘คุณใจเย็นๆก่อนได้ไหม ผมก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเธอเป็นคู่ค้ามาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่เธอ ผมจึงต้องดูแลเธออย่างดี’

‘อืม ดีมากเชียว ดีจนเป็นข่าวดัง’ผมยืนนิ่งเงียบอยู่ในคอนโดหรูของพี่หมออย่างจำนนต่อหลักฐาน และใช่อีก ผมไปทานข้าวเย็นกับเธอโดยที่ไม่บอกคุณหมอหนุ่มจนเรื่องราวบานปลาย แต่ถึงอย่างไรผมก็บริสุทธิ์ใจ ผมกับคุณเขมเป็นเพียงแค่คู่ค้ากัน และไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้นแต่ผมพลาดที่ดันไม่ได้เล่าเรื่องราวให้คนข้างกายฟังจนบทสรุปออกมาเป็นแบบนี้

‘แล้วจะให้ผมทำยังไง’

‘หึ คุณไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่อยู่ในที่ของคุณแบบนี้นั่นแหละ’ผมมองพี่หมอที่เดินออกไปจากคอนโดของตัวเองและทิ้งผมไว้ในห้องกว้างใหญ่นี้ แม้ว่าจะทะเลาะกัน พี่หมอยังเลือกที่จะไม่ไล่ผมออกไปลำบาก แต่กลับเลือกที่จะเดินออกไปเอง ผมนั่งคู้ตัวร้องไห้อยู่หน้าประตู อย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ผมรับรู้ว่าหลายครั้งที่ผมทำให้พี่หมอเสียใจในเรื่องของผม แต่ทุกครั้งเรามักจะคุยกันด้วยเหตุด้วยผล และจบลงด้วยดีตลอดมา แต่ครั้งนี้คงแตกต่าง…
ไม่รู้ว่าจากวันเปลี่ยนเป็นสัปดาห์จนล่วงเข้าสู่เดือนที่ผมไม่พบพี่หมออีกเลย

ผมยังคงแวะเวียนมาที่คอนโดแต่กลับไร้วี่แวว ผมแวะไปถามหาถึงโรงพยาบาลกลับได้คำตอบแค่ว่าพี่หมอลาออกแล้ว เดี๋ยวนะเรื่องของผมกับเขามันง่ายดายเพียงนี้เชี่ยวหรือ การคบกันมานาน ถึงแม้จะไม่มีสถานะที่ชัดเจน แต่มันจะจบง่ายเพียงนี้เชียวหรือ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2019 20:51:24 โดย กะทัดรัตน์ »

ออฟไลน์ กะทัดรัตน์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ต่อจ้าาาาา

"แล้วช่วงนั้นพ่อมึงไปอยู่ไหน นี่ถามมาเกินครึ่งชีวิตแล้วยังไม่ยอมบอก”

“มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไปบ้างเถอะแม่มึง คุยอะไรเรื่องเก่าเปลี่ยนเรื่อง”ผมเหล่มองคนที่ท้าวแขนแกร่งอยู่กับหมอนอิงและยอมให้ผมนอนพิงพุงแข็งๆ

“วันนี้แม่ต้องรู้ให้ได้ว่าพ่อมึงไปอยู่ไหนมา”

“รู้ไปแล้วได้อะไร ยังไงตอนนี้ก็อยู่กับแม่มึงนี่ไง”แขนแกร่งโอบกอดจากทางด้านหลังอย่างรู้งาน ก่อนจะยกยิ้มเอ็นดูมาให้

“แล้วทำไมเจ้าวายร้ายถึงได้รู้”ผมพาดพิงไปถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราทั้งสองคน

“ไปถามมันเองซิ ว่ามันเสือกอีท่าไหนถึงได้รู้”

“เหอะ มันคงจะบอกหรอกนะ เก็บมาได้ตั้งแต่ละอ่อน”ผมไม่อยากจะพูดว่าน้อยเนื้อต่ำใจแค่ไหนที่เจ้าลูกชายมันรักแต่พ่อมัน มึงรู้ไหมใครที่อดหลับอดนอนเลี้ยงมึงมาไอ้ลูกเวรรรร

“น้อยใจลูกอยู่หรือไง? “

“ก็มันน่าน้อยใจไหมล่ะ มีความลับกันอยู่สองคน ใช่ซิแม่มันคนที่ลูกไม่รักหนิ”

“ลูกมันรักแม่มึงมากต่างหากล่ะ”

“หืม” ผมทำหน้าสงสัยทันที ไอ้เจ้าวายร้ายตัวแสบหน่ะหรอรักผมมากกว่าพ่อของมัน เห็นแต่เกรงใจ ยอมพ่อมันจะตาย กับผมหรอดีแต่แกล้ง แถมยังมาออดอ้อนเอาแต่ใจเสียอีกต่างหาก นิสัยเสียทั้งพ่อทั้งลูก

“ถ้ามันไม่รักไม่เคารพแม่มึง มันจะยอมไปนั่งเป็นผู้บริหารธุรกิจของแม่มึงรึทั้งๆที่มันไม่ชอบเส้นทางนี้เสียด้วยซ้ำ ลองคิดซิ”ผมก็ลองคิดตามนะ เด็กที่ชอบวาดรูประบายสีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยมันจะไปชอบเรียนอะไรได้มากกว่าทางด้านศิลปะ แต่มันกลับเลือกเรียนบริหารแล้วยกให้ศิลปะเป็นงานอดิเรกที่แสนจะภูมิใจ เพื่อจะได้มาสืบทอดบริษัทต่อจากผม แม้ว่ามันจะงอแงอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ผมยังคงไม่ยอมรับ บางทีผมอาจจะเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

“ก็พ่อมึงบังคับไง”

“ทำเหมือนมีใครบังคับมันได้”

“พ่อมึงไง”

“เฮ้อออ เจ้าบื้อ”พ่อมึงเคาะหัวแรงขนาดนี้สมงสมองหนีหมดซิ

“ก็มันจริงนี่”

“เลิกน้อยใจลูกได้แล้ว ลองมองดีๆนะแม่มึง ที่มันยอมเรียนบริหารก็เพื่อมาช่วยงานแม่มึง มันเห็นแม่มึงเหนื่อยมาตลอดแล้วมันก็อยากช่วย”

“อืม ก็น่าคิด”

“แล้วมันออกจะชอบด้านศิลปะ มันยังยอมปล่อยความฝันตัวเองมาทำในสิ่งที่ควรทำมากกว่าสิ่งที่ชอบทำ และเลือกสิ่งที่ชอบทำเป็นงานอดิเรกเพื่อความสบายกายและใจของแม่มึงไง”

“ที่พูดก็ถูก”

“มีครั้งไหนที่แม่มึงพูดอะไรแล้วมันไม่ฟังบ้าง ถึงมันจะกวนประสาทไปบ้างแต่ถ้าสังเกตดีๆมันฟังแม่มึงทุกอย่าง”

“อ่าาาาาา”

“แล้วที่มันออดอ้อน เอาแต่ใจก็เป็นแต่กับแม่มึง เห็นมันเคยทำกับคนอื่นเสียที่ไหน แม้แต่กับพ่อมันยังแสดงออกอย่างเย็นชาตั้งหลายครั้ง ทั้งๆที่เป็นคนรับมันมาเลี้ยงแท้ๆเลย”พูดแล้วก็เข้าตัวอ่ะพ่อมึง สรุปก็น้อยใจลูกทั้งคู่ไหมล่ะ

“อย่าไปงอลลูกมันเลย พ่อมึงอยู่บ้านบ่อยเสียที่ไหน งานยุ่งจนแม่ต้องกระเตงมันไปเลี้ยงที่บริษัทออกจะบ่อยไป” ผมยังจำได้ช่วงนั้นเหนื่อยไม่ใช่เล่นเลย มันเป็นช่วงหลังจากที่เราปรับความเข้าใจกันในหลายๆเรื่องจนกลับมาใช้ชีวิตคู่อย่างปกติสุขเพราะต่างคนต่างยอมรับว่าใจตรงกัน และเปิดอกคุยกันมากกว่าเดิม จนเราสองคนคบกันล่วงเข้าแปดปี เรื่องหลายๆอย่างเข้าที่จนแทบจะเรียกได้ว่าจบอย่างมีความสุขได้ เพียงแต่มีคืนหนึ่งที่พ่อมึงมันไปเข้าเวร

กริ๊งงงงงงงงง

‘ว่าไงครับพี่หมอ’

‘พี่มีเรื่องจะปรึกษา’น้ำเสียงเคร่งเครียดทำเอาผมตื่นขึ้นเต็มตาก่อนจะรีบโกยของจำเป็นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อบึ่งรถมาที่โรงพยาบาลที่พี่หมอทำงานอยู่ เมื่อไปถึงมีพี่พยาบาลมายืนรอรับและพาไปหาพี่หมอด้วยความเร่งรีบ

‘เกิดอะไรขึ้นครับ’ผมเดินเข้าหาพี่หมอที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องเด็กอ่อน สีหน้าอิดโรยบ่งบอกได้ว่างานวันนี้หนักแค่ไหน ผมลูบรอยคล้ำใต้ตาจนรู้สึกสะท้อนใจ

‘คุณ….’

‘ครับ’

‘เรารับเลี้ยงเขาได้ไหม’ผมมองไปตามสายตาของพี่หมอก่อนจะพบกับเด็กน้อยตัวเล็กๆที่ยังบ่งบอกลักษณะไม่ได้เพราะมีความคล้ายคลึงกันหมดในห้องแห่งนี้ เพียงแต่ชื่อพี่หมอที่อยู่ในใบหน้ารถเข็นเด็กนั้นทำให้ผมสะอึกไม่น้อย

‘เขา…เป็นลูก..’

‘อย่างเพิ่งฟุ้งซ่านหน่า’ผมเหลือมองพี่หมอที่ก้มลงมองมาก่อนแล้วก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิมมาให้ ฝ่ามือหน้ายกขึ้นโอบรอบบ่าของผมเสียจนมิดก่อนจะกดจูบลงที่หัวเหมือนช่วยปลอบใจที่หนีหายให้กลับมาปกติ

‘แล้วทำไม’

‘ผมมีแค่คุณคนดียว…ส่วนเด็กคนนี้…’

‘….’

‘พ่อแม่เขาเพิ่งเสียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้’ ใจผมรู้สึกหวิวๆและวูบโหวง แม้จะไม่เคยเห็นหน้าคาดตาพ่อแม่ของเด็ก แต่เรื่องความเป็นความตายมันไม่น่าจรรโลงใจนักหรอกแม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม

‘แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ’

‘พ่อแม่เด็กประสบอุบัติเหตุ คนแม่ที่มาถึงโรงพยาบาลถึงจะไม่ได้สติแต่ผ่าคลอดได้ทัน ไม่นานก็เสียชีวิต ส่วนคนพ่อยังอยู่ในที่เกิดเหตุยังออกมาไม่ได้’ผมยกมือขึ้นปิดปาก แม้จะไม่เอ่ยว่าคนพ่อทำไมถึงยังอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ก็พอเดาได้ว่าชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ผมเหม่อมองเด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องราวที่นอนอยู่ในตู้อบของโรงพยาบาลอย่างมีความสุข ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกแม้แต่น้อย มันอาจจะดีแล้วที่เด็กแสบนั่นไม่รับรู้ ถึงได้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้


“พ่อมึงไม่คิดหรอว่าเขาจะมีญาติ”

“แม่มึงมาถามช้าไปไหม ทำไมวันนั้นไม่เห็นถาม รึว่าเพิ่งฉลาด”ผมทุบท้องพ่อมึงไปทีอย่างหมันไส้ ก่อนจะลุกขึ้นยกจานผลไม้ที่หมดไปนานแล้วไปเก็บ กะว่าจะมานอนฟังเรื่องราวที่อยากรู้มานานแต่ลืมถามตลอดให้จบสิ้นเรื่องสิ้นราว

“ยังไงต่อ”

“ยังจะกลับมาฟังอีกนะไม่ยอมไปหลับไปนอน รึต้องให้ไปกล่อม แล้วละครนี่ไม่ดูแล้วรึไง”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย เดี๋ยวให้กล่อม แต่ตอนนี้เล่าก่อนเดี๋ยวได้ลืมอีก”ฝ่ามือใหญ่ขยี้ผมของผมเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด สายตารักใคร่และห่วงหายังคงส่งมาให้ผมอย่างแจ่มชัดเสมอจนอดจะเขินอายไม่ได้

“เจ้าแสบไม่มีญาติที่ไหนหรอก พ่อเป็นคนพม่า ส่วนแม่เป็นคนต่างจังหวัดที่มาทำงานกรุงเทพ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พ่อพยายามสืบหาแล้วแต่ก็ไม่พบเลยคิดว่าไม่เจอก็ช่าง ถึงยังไงเราก็รับเขามาเลี้ยงแล้ว เลยปล่อยผ่านไป” ผมพยักหน้าเห็นด้วย เราสองคนรักเจ้าแสบไม่ต่างจากพ่อแม่แท้ๆแน่นอน พ่อมึงก็เป็นคนผ่าคลอด เรียกได้ว่าเห็นเป็นคนแรกด้วยซ้ำ ส่วนผมก็เลี้ยงมันจนนึกว่าคลอดออกมาเองเสียอีก มันคงเป็นความผูกพันแม้จะไม่ได้มาจากสายเลือดก็ตาม

“เนอะถึงยังไงก็เลี้ยงมาจนโตแล้ว แม้เด็กๆจะอยากเอาขนมปังยัดปากมันก็เถอะ”

“ก็ยัดไปแล้วไม่ใช่หรอ ตอนเด็กมันถึงได้อ้วนกลมขนาดนั้น”ผมหัวเราะสะใจเมื่อนึกถึงเรื่องในวันวาน

เจ้าแสบของเราสองคนเป็นเด็กประหลาดนิดหน่อย เป็นเด็กกลัวขนมปังจนปัจจุบันนี้มันก็ยังไม่ชอบ แม้จะไม่ได้เกลียดรึกลัวเหมือนตอนเด็ก แต่ถ้าเลี่ยงได้มันก็จะไม่แตะเด็ดขาด เป็นอันรู้กันว่าการทำโทษเจ้าตัวแสบคือการให้กินขนมปังจนกว่าจะสำนึกผิด เรียกว่าเป็นเรื่องตลกประจำบ้านเลยก็ได้ แต่พ่อมึงบอกว่ามันเป็นการฝึกให้เลิกกลัว มันเหมือนเป็นสถาวะทางจิตใจและอารมณ์ของเด็ก แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และอาการไม่ชอบอะไรสักอย่างหนึ่งก็เกิดได้จากหลายปัจจัย การฝึกให้เขาคุ้นชินจะดีที่สุด แต่ผลลัพธ์จะดีมากน้อยก็อยู่ที่ตัวเด็กเองด้วย

‘แม่ผมไม่อยากกินแซนวิชนี่เลย’

‘เมื่อวานไปทำอะไรมา’

‘แค่แอบไปเล่นบอลเอง’พี่หมอวางหนังสือพิมพ์ที่กางอ่านลงชั่วครู่ก่อนจะหันมาคุยกับเจ้าลูกชายตัวแสบที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้และช่างดื้อจนคนเป็นแม่ต้องหลั่งน้ำตามาแล้ว

‘แอบไปเล่น คำว่าแอบคือการทำผิดนะครับลูกรู้ใช่ไหม’ ปกติพี่หมอจะไม่เป็นคนออกปากเองเพราะไว้ใจให้ผมสั่งสอนลูกอยู่แล้ว แต่ถ้าครั้งใดที่พี่หมอเอ่ยปากเองแสดงว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำเอาผมแทบหลั่งน้ำตาจนพี่หมออกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ไม่น้อย

‘ลูกรู้แต่ลูกอยากเล่น’

‘ลูกอยากเล่นพ่อแม่ไม่ว่า แต่ลูกต้องบริหารเวลาให้เป็นไม่ใช่ไปเล่นจนกลับค่ำมืด แล้วไม่มีใครรู้ว่าลูกอยู่ไหน ทุกคนต่างเป็นห่วงลูก’

‘ลูกขอโทษครับ’

‘พ่อรู้ว่าลูกสำนึกผิด แต่ลูกต้องแก้ไขสิ่งที่ทำผิด การโกหกไม่ใช่สิ่งที่ดี ลูกไม่อยากเรียนพิเศษตอนเย็นก็พูดกับพ่อแม่ตรงๆ พ่อแม่เป็นคนให้ลูกเลือกเองว่าอยากจะทำอะไรและเส้นทางนี้ลูกเป็นคนเลือกเองแต่กลับละทิ้งมันแล้วทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอครับ’พี่หมอไม่ใช่คนพูดมาก แต่เรื่องนี้มันจำเป็นต้องพูดจริงๆ ผมและพี่หมอเลี้ยงลูกแบบฝรั่งมากกว่าที่คิด เราให้ลูกตัดสินใจหลายๆอย่างเองก่อนจะมาปรึกษาพวกผม เราจะค่อยๆสอนว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกหรือผิด ถ้าไม่เกินกำลังเราจะให้เขาลองผิดลองถูกเอง แต่กลับกันมันเป็นเหมือนดาบสองคมได้เช่นกัน ในหลายๆครั้งที่ทำให้ลูกของผมคิดได้เก่งมากว่าเด็กในวัยเดียวกัน เจ้าแสบเป็นเด็กฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งช่วยให้ความเจ้าเล่ห์เพิ่มมากขึ้นจนคนเป็นพ่อแม่ปวดประสาท ดีหน่อยที่พี่หมอออกจะตามทันลูกเสมอ คงมีแต่ผมคนเดียวที่เดินตามหลังอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสมอ

‘ลูกจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ’

‘รีบทานขนมปังเถอะเดี๋ยวจะสายกันทั้งบ้าน’ผมถอนหายใจยุติเรื่องราวหลังจากที่ดูลาดราวแล้วพี่หมอน่าจะสั่งสอนเจ้าแสบจบแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กว่าคือเจ้าแสบแขนหัก และใช่ครับมันเกิดจากเหตุการณ์แอบไปเล่นบอลจนต้องเข้าเฝือกอ่อนอยู่นาน เรื่องนี้จึงต้องถึงมือพี่หมออย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมสงสารลูกจับใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพื่อเป็นบทเรียนของเขา

“แม่ไม่เคยบังคับลูกเหมือนพ่อมึงหรอก”

“มีแต่แม่มึงนั้นแหละที่ขยันยัดอะไรต่อมิอะไรให้มันกินเหลือเกิน เหมือนกลัวว่าลูกจะอดอยาก”

“แต่มันก็โตมารูปร่างออกจะดีประหนึ่งนายแบบ ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับเดินออกมาจากแคทวอค”

“เบื่อคนอวยลูก”

“รึพ่อมึงคิดว่าไม่จริง”คนที่คล้อยตามเมียเสมออย่างพ่อมึงรึจะกล้าขัดผม ผมบอกซ้ายแม่งไปขวาตลอดแหละ

“จริงที่สุด ทำเป็นพูดดี พอมันเข้าโรงบาลเป็นใครกันที่ร้องห่มร้องไห้ไม่เป็นอันกินอันนอน” แอบอิจฉาลูกมันก็บอกเถอะ

ก็แค่ไม่กี่ครั้งเองที่ผมจะร้องไห้เพราะเจ้าแสบ ส่วนมากก็เพราะมันเข้าโรงพยาบาลทั้งนั้น อย่างเช่นในตอนนั้นที่ผมรู้สึกเหมือนใจเกือบจะสลายจริงๆ แต่โชคดียังคงเข้าข้างเรา

‘คุณลูกปลอดภัยแล้ว’

‘ผมกำลังจะถึงแล้ว’

‘ไม่ต้องรีบค่อยๆมาเดี๋ยวอันตรายนะคุณ อย่าให้ผมเป็นห่วงทั้งสองทางเลย’ผมกัดฟันแน่น รู้สึกอุ่นใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงพี่หมอ วันนี้ผมนั่งทำงานได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าเจ้าลูกชายตัวแสบมันเข้าโรงพยาบาล เพราะป่วยไข้ขึ้นหนัก แถมยังพักผ่อนไม่เพียงพอไปอีก ทำเอาผมไม่เป็นอันทำงาน พ่อมึงที่เพิ่งกลับจากโรงบาลต้องรีบบึ่งรถย้อนกลับไปอีกรอบด้วยความเป็นห่วง ปกติเจ้าตัวแสบไม่ค่อยป่วยรึเข้าโรงพยาบาลเสียเท่าไหร่ ก็แน่ซิมีพ่อเป็นหมอซะอย่าง แต่พอขึ้นมหาลัยย้ายไปอยู่หอการดูแลของพี่หมอเริ่มไม่คลอบคลุมเท่าเดิมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากเจ้าตัวแสบที่มันไม่รู้จักดูแลตัวเองทั้งที่โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอยู่ได้
 
‘ลูกเป็นยังไงบ้างครับ’

‘ปลอดภัยแล้ว หมอบอกน่าจะเป็นเพราะไข้เลือดออกด้วย แล้วยังฝืนทนเรียนหนักไม่พักผ่อนอีกมันเลยเป็นหนักขึ้น’ผมพยักหน้ามองเข้าไปในกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆในห้องผู้ป่วย เห็นสายระโยงระยางเต็มไปหมด เพราะเจ้าแสบมันดันช็อคหมดสติ โชคดีแค่ไหนที่มาโรงพยาบาลทัน เมื่อผมนึกถึงเรื่องที่เกิดแล้วต้องยกมือขึ้นปิดปากป้องกันเสียงสะอื้นที่หลุดออกมา น้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนไม่สามารถบังคับได้ทำให้คนข้างๆตัวรับรู้และดึงรั้งผมเข้าไปกอดเพื่อปลอบประโลม

‘ลูกปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องนะครับคนดี’คำว่าคนดีจากพี่หมอยังใช้ได้ผลกับผมเสมอ ทำให้อาการสะอึกสะอื้นของผมน้อยลง

‘ผม….’

‘ลูกจะปลอดภัยพี่อยู่ตรงนี้จะปกป้อง ทั้งคุณและลูกเอง’ความอุ่นใจโถมเข้าใส่ผมเสียจนต้องหันไปกอดร่างสูงใหญ่ที่เป็นที่พักพิงให้แก่ผมและลูกเสมอมา และกว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจบจบไปก็ทำเอาผมเสียน้ำตาไปหลายลิตร จนเจ้าตัวแสบไม่กล้าจะป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย เรียกได้ว่ากลับมาดูแลตัวเองดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก


“ยุงเยอะจังเข้าไปนอนกันดีกว่า”

“แค่นอนอย่างเดียวเองหรอ” ดูท่าแล้วผมคงอดดูละครตอนจบแน่นอนเลย

“แก่แล้วก็เพลาๆบ้างก็ได้พ่อมึงเรื่องลามกหน่ะ”

“เอาแบบนั้นจริงหรอ ไม่สงสารพ่อหรอ อดมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ” ผมเหล่ตามองลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเท้าพ้นวงกบประตูก็ทิ้งประโยคให้คนฟังรีบหอบผ้าหอบผ่อนตามเข้าห้องแทบไม่ทัน

“ให้แค่รอบเดียวนะมันดึกแล้ว” พรุ่งนี้เช้าคงไม่วายเคล็กขัดยอกอีกแน่นอนเลย
…….

ส่งท้าย

“พ่อครับ แม่ครับบบบบบบบ”

“…..”

“แม่ครับบบบบบ ผมมาแล้ววววววววว”

“เบาเบาหน่อยเว้ยยย แม่เองนอนอยู่”

“หืม พ่อสวัสดีครับทำไมแม่ตื่นสายจังวันนี้”สายตากรุ่มกริ่มของคนเป็นพ่อทำเอาลูกชายต้องกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย

“อย่าบอกนะครับว่าไม่ได้บอกแม่ว่าวันนี้ผมจะกลับมาหาที่บ้าน” แน่เสียยิ่งกว่าแน่ถ้าแม่มึงรู้เมื่อวานพ่อคงไม่ได้กินแม่มึง ตอนนี้ก็คงได้แต่นอนเหี่ยวแห้งตายอยู่ในห้องแน่นอน

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกลับ”

“ก็แค่จะพาคนมาไหว้พ่อกับแม่ก็แค่นั้น” คนเป็นพ่อเบิกตากว้างหมดมาดที่สั่งสมมาข่มไอ้ลูกชายมานานจนใครเห็นคงต้องหลุดขำ ก่อนที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับคุณพ่อ”
………….


จบแล้วครับบบบบ บอกแล้วว่าเป็นเรื่องสั้นสบายๆน่ารักน่าเอ็นดู
ส่วนพื้นที่ด้านล่างขออนุญาติแอบขายของนะคะ
ฝากผลงานเบาเบาแบบนี้อีกสองเรื่องนะคะ ถ้าใครสนใจเขาไปอ่านได้เลยจ้าาาาา ยินดีต้อนรับ
-   อยากกินไข่พะโล้โป๊ะ! (จบแล้ว)
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49451.0

-   I’m not the best (จบแล้ว)
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68855.0

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2019 23:56:46 โดย กะทัดรัตน์ »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
แง้ รุ่นใหญ่คืออบอุ่นมากกกกก หายากอะไรท์เตอร์ที่เขียนเรื่องสั้นพาร์ทไปถึงตอนคบกัน 20,30 ปีให้หลัง ดีต่อใจมากเลยค่ะ  :katai2-1:
ไรท์คะไหนๆก็ตัดจบที่ลูกชายพาว่าที่ลูกสะใภ้มาเปิดตัวแล้วจะไม่มีตอนความรักรุ่นลูกบ้างเหรอคะ มันต้องมีตอนพิเศษไหมอะะะะ  o18 อ้อนๆๆๆ 555555555555555555

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :-[ งื้อออออน่ารักมาก เป็นคู่ที่น่ารัก ชอบที่มีย้อนไปตอนตีบกันด้วย พี่หมอน่ารักกก :mew1:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
น่ารักมากเลยค่ะ ชอบความย้อนอดีตด้วยยย

 :กอด1:

ออฟไลน์ van16

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 876
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
พ่อมึงกับแม่มึงน่ารักมากๆ  :impress2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ BooJiRa_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่ารักมากเลยยยย พ่อมึง แม่มึง  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น่ารักจังค่ะ

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ความรักของรุ่นใหญ่ น่ารัก หวานละมุนสุดๆ
ไม่ว่าจะความรักในรูปแบบไหน แต่การที่ทั้งตู่ได้รักได้ดูแลกันจนแก่เฒ่า มันละมุนมากจริงๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ

ออฟไลน์ NormalVee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่ค่อยได้อ่าน มุมของผู้ใหญ่เท่าไร เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ oohsg94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ได้ลูกสะไภ้หรือลูกเขยละพ่อมึง 5555 โว้ยยยยยยยย มันเป็นอะไรที่เฮ้ย!! ชอบว่ะ แนวผู้ใหญ่ อยู่กันจนแก่เฒ่า เล่าแบบย้อนกลับมาจีบกันตอนหนุ่มก็ไม่งง อ่านไปอมยิ้มไป ตลกด้วย อ่านไปขำคิกๆ พ่อมึงแม่มึง 55555 ดีต่อใจจริงเรื่องนี้ น่ารักมาก ชอบอ่ะชอบ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด