ต่อจ้าาาาา
"แล้วช่วงนั้นพ่อมึงไปอยู่ไหน นี่ถามมาเกินครึ่งชีวิตแล้วยังไม่ยอมบอก”
“มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไปบ้างเถอะแม่มึง คุยอะไรเรื่องเก่าเปลี่ยนเรื่อง”ผมเหล่มองคนที่ท้าวแขนแกร่งอยู่กับหมอนอิงและยอมให้ผมนอนพิงพุงแข็งๆ
“วันนี้แม่ต้องรู้ให้ได้ว่าพ่อมึงไปอยู่ไหนมา”
“รู้ไปแล้วได้อะไร ยังไงตอนนี้ก็อยู่กับแม่มึงนี่ไง”แขนแกร่งโอบกอดจากทางด้านหลังอย่างรู้งาน ก่อนจะยกยิ้มเอ็นดูมาให้
“แล้วทำไมเจ้าวายร้ายถึงได้รู้”ผมพาดพิงไปถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราทั้งสองคน
“ไปถามมันเองซิ ว่ามันเสือกอีท่าไหนถึงได้รู้”
“เหอะ มันคงจะบอกหรอกนะ เก็บมาได้ตั้งแต่ละอ่อน”ผมไม่อยากจะพูดว่าน้อยเนื้อต่ำใจแค่ไหนที่เจ้าลูกชายมันรักแต่พ่อมัน มึงรู้ไหมใครที่อดหลับอดนอนเลี้ยงมึงมาไอ้ลูกเวรรรร
“น้อยใจลูกอยู่หรือไง? “
“ก็มันน่าน้อยใจไหมล่ะ มีความลับกันอยู่สองคน ใช่ซิแม่มันคนที่ลูกไม่รักหนิ”
“ลูกมันรักแม่มึงมากต่างหากล่ะ”
“หืม” ผมทำหน้าสงสัยทันที ไอ้เจ้าวายร้ายตัวแสบหน่ะหรอรักผมมากกว่าพ่อของมัน เห็นแต่เกรงใจ ยอมพ่อมันจะตาย กับผมหรอดีแต่แกล้ง แถมยังมาออดอ้อนเอาแต่ใจเสียอีกต่างหาก นิสัยเสียทั้งพ่อทั้งลูก
“ถ้ามันไม่รักไม่เคารพแม่มึง มันจะยอมไปนั่งเป็นผู้บริหารธุรกิจของแม่มึงรึทั้งๆที่มันไม่ชอบเส้นทางนี้เสียด้วยซ้ำ ลองคิดซิ”ผมก็ลองคิดตามนะ เด็กที่ชอบวาดรูประบายสีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยมันจะไปชอบเรียนอะไรได้มากกว่าทางด้านศิลปะ แต่มันกลับเลือกเรียนบริหารแล้วยกให้ศิลปะเป็นงานอดิเรกที่แสนจะภูมิใจ เพื่อจะได้มาสืบทอดบริษัทต่อจากผม แม้ว่ามันจะงอแงอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ผมยังคงไม่ยอมรับ บางทีผมอาจจะเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
“ก็พ่อมึงบังคับไง”
“ทำเหมือนมีใครบังคับมันได้”
“พ่อมึงไง”
“เฮ้อออ เจ้าบื้อ”พ่อมึงเคาะหัวแรงขนาดนี้สมงสมองหนีหมดซิ
“ก็มันจริงนี่”
“เลิกน้อยใจลูกได้แล้ว ลองมองดีๆนะแม่มึง ที่มันยอมเรียนบริหารก็เพื่อมาช่วยงานแม่มึง มันเห็นแม่มึงเหนื่อยมาตลอดแล้วมันก็อยากช่วย”
“อืม ก็น่าคิด”
“แล้วมันออกจะชอบด้านศิลปะ มันยังยอมปล่อยความฝันตัวเองมาทำในสิ่งที่ควรทำมากกว่าสิ่งที่ชอบทำ และเลือกสิ่งที่ชอบทำเป็นงานอดิเรกเพื่อความสบายกายและใจของแม่มึงไง”
“ที่พูดก็ถูก”
“มีครั้งไหนที่แม่มึงพูดอะไรแล้วมันไม่ฟังบ้าง ถึงมันจะกวนประสาทไปบ้างแต่ถ้าสังเกตดีๆมันฟังแม่มึงทุกอย่าง”
“อ่าาาาาา”
“แล้วที่มันออดอ้อน เอาแต่ใจก็เป็นแต่กับแม่มึง เห็นมันเคยทำกับคนอื่นเสียที่ไหน แม้แต่กับพ่อมันยังแสดงออกอย่างเย็นชาตั้งหลายครั้ง ทั้งๆที่เป็นคนรับมันมาเลี้ยงแท้ๆเลย”พูดแล้วก็เข้าตัวอ่ะพ่อมึง สรุปก็น้อยใจลูกทั้งคู่ไหมล่ะ
“อย่าไปงอลลูกมันเลย พ่อมึงอยู่บ้านบ่อยเสียที่ไหน งานยุ่งจนแม่ต้องกระเตงมันไปเลี้ยงที่บริษัทออกจะบ่อยไป” ผมยังจำได้ช่วงนั้นเหนื่อยไม่ใช่เล่นเลย มันเป็นช่วงหลังจากที่เราปรับความเข้าใจกันในหลายๆเรื่องจนกลับมาใช้ชีวิตคู่อย่างปกติสุขเพราะต่างคนต่างยอมรับว่าใจตรงกัน และเปิดอกคุยกันมากกว่าเดิม จนเราสองคนคบกันล่วงเข้าแปดปี เรื่องหลายๆอย่างเข้าที่จนแทบจะเรียกได้ว่าจบอย่างมีความสุขได้ เพียงแต่มีคืนหนึ่งที่พ่อมึงมันไปเข้าเวร
กริ๊งงงงงงงงง
‘ว่าไงครับพี่หมอ’
‘พี่มีเรื่องจะปรึกษา’น้ำเสียงเคร่งเครียดทำเอาผมตื่นขึ้นเต็มตาก่อนจะรีบโกยของจำเป็นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อบึ่งรถมาที่โรงพยาบาลที่พี่หมอทำงานอยู่ เมื่อไปถึงมีพี่พยาบาลมายืนรอรับและพาไปหาพี่หมอด้วยความเร่งรีบ
‘เกิดอะไรขึ้นครับ’ผมเดินเข้าหาพี่หมอที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องเด็กอ่อน สีหน้าอิดโรยบ่งบอกได้ว่างานวันนี้หนักแค่ไหน ผมลูบรอยคล้ำใต้ตาจนรู้สึกสะท้อนใจ
‘คุณ….’
‘ครับ’
‘เรารับเลี้ยงเขาได้ไหม’ผมมองไปตามสายตาของพี่หมอก่อนจะพบกับเด็กน้อยตัวเล็กๆที่ยังบ่งบอกลักษณะไม่ได้เพราะมีความคล้ายคลึงกันหมดในห้องแห่งนี้ เพียงแต่ชื่อพี่หมอที่อยู่ในใบหน้ารถเข็นเด็กนั้นทำให้ผมสะอึกไม่น้อย
‘เขา…เป็นลูก..’
‘อย่างเพิ่งฟุ้งซ่านหน่า’ผมเหลือมองพี่หมอที่ก้มลงมองมาก่อนแล้วก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิมมาให้ ฝ่ามือหน้ายกขึ้นโอบรอบบ่าของผมเสียจนมิดก่อนจะกดจูบลงที่หัวเหมือนช่วยปลอบใจที่หนีหายให้กลับมาปกติ
‘แล้วทำไม’
‘ผมมีแค่คุณคนดียว…ส่วนเด็กคนนี้…’
‘….’
‘พ่อแม่เขาเพิ่งเสียเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้’ ใจผมรู้สึกหวิวๆและวูบโหวง แม้จะไม่เคยเห็นหน้าคาดตาพ่อแม่ของเด็ก แต่เรื่องความเป็นความตายมันไม่น่าจรรโลงใจนักหรอกแม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม
‘แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ’
‘พ่อแม่เด็กประสบอุบัติเหตุ คนแม่ที่มาถึงโรงพยาบาลถึงจะไม่ได้สติแต่ผ่าคลอดได้ทัน ไม่นานก็เสียชีวิต ส่วนคนพ่อยังอยู่ในที่เกิดเหตุยังออกมาไม่ได้’ผมยกมือขึ้นปิดปาก แม้จะไม่เอ่ยว่าคนพ่อทำไมถึงยังอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ก็พอเดาได้ว่าชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ผมเหม่อมองเด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องราวที่นอนอยู่ในตู้อบของโรงพยาบาลอย่างมีความสุข ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวภายนอกแม้แต่น้อย มันอาจจะดีแล้วที่เด็กแสบนั่นไม่รับรู้ ถึงได้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
“พ่อมึงไม่คิดหรอว่าเขาจะมีญาติ”
“แม่มึงมาถามช้าไปไหม ทำไมวันนั้นไม่เห็นถาม รึว่าเพิ่งฉลาด”ผมทุบท้องพ่อมึงไปทีอย่างหมันไส้ ก่อนจะลุกขึ้นยกจานผลไม้ที่หมดไปนานแล้วไปเก็บ กะว่าจะมานอนฟังเรื่องราวที่อยากรู้มานานแต่ลืมถามตลอดให้จบสิ้นเรื่องสิ้นราว
“ยังไงต่อ”
“ยังจะกลับมาฟังอีกนะไม่ยอมไปหลับไปนอน รึต้องให้ไปกล่อม แล้วละครนี่ไม่ดูแล้วรึไง”
“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย เดี๋ยวให้กล่อม แต่ตอนนี้เล่าก่อนเดี๋ยวได้ลืมอีก”ฝ่ามือใหญ่ขยี้ผมของผมเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด สายตารักใคร่และห่วงหายังคงส่งมาให้ผมอย่างแจ่มชัดเสมอจนอดจะเขินอายไม่ได้
“เจ้าแสบไม่มีญาติที่ไหนหรอก พ่อเป็นคนพม่า ส่วนแม่เป็นคนต่างจังหวัดที่มาทำงานกรุงเทพ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พ่อพยายามสืบหาแล้วแต่ก็ไม่พบเลยคิดว่าไม่เจอก็ช่าง ถึงยังไงเราก็รับเขามาเลี้ยงแล้ว เลยปล่อยผ่านไป” ผมพยักหน้าเห็นด้วย เราสองคนรักเจ้าแสบไม่ต่างจากพ่อแม่แท้ๆแน่นอน พ่อมึงก็เป็นคนผ่าคลอด เรียกได้ว่าเห็นเป็นคนแรกด้วยซ้ำ ส่วนผมก็เลี้ยงมันจนนึกว่าคลอดออกมาเองเสียอีก มันคงเป็นความผูกพันแม้จะไม่ได้มาจากสายเลือดก็ตาม
“เนอะถึงยังไงก็เลี้ยงมาจนโตแล้ว แม้เด็กๆจะอยากเอาขนมปังยัดปากมันก็เถอะ”
“ก็ยัดไปแล้วไม่ใช่หรอ ตอนเด็กมันถึงได้อ้วนกลมขนาดนั้น”ผมหัวเราะสะใจเมื่อนึกถึงเรื่องในวันวาน
เจ้าแสบของเราสองคนเป็นเด็กประหลาดนิดหน่อย เป็นเด็กกลัวขนมปังจนปัจจุบันนี้มันก็ยังไม่ชอบ แม้จะไม่ได้เกลียดรึกลัวเหมือนตอนเด็ก แต่ถ้าเลี่ยงได้มันก็จะไม่แตะเด็ดขาด เป็นอันรู้กันว่าการทำโทษเจ้าตัวแสบคือการให้กินขนมปังจนกว่าจะสำนึกผิด เรียกว่าเป็นเรื่องตลกประจำบ้านเลยก็ได้ แต่พ่อมึงบอกว่ามันเป็นการฝึกให้เลิกกลัว มันเหมือนเป็นสถาวะทางจิตใจและอารมณ์ของเด็ก แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และอาการไม่ชอบอะไรสักอย่างหนึ่งก็เกิดได้จากหลายปัจจัย การฝึกให้เขาคุ้นชินจะดีที่สุด แต่ผลลัพธ์จะดีมากน้อยก็อยู่ที่ตัวเด็กเองด้วย
‘แม่ผมไม่อยากกินแซนวิชนี่เลย’
‘เมื่อวานไปทำอะไรมา’
‘แค่แอบไปเล่นบอลเอง’พี่หมอวางหนังสือพิมพ์ที่กางอ่านลงชั่วครู่ก่อนจะหันมาคุยกับเจ้าลูกชายตัวแสบที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้และช่างดื้อจนคนเป็นแม่ต้องหลั่งน้ำตามาแล้ว
‘แอบไปเล่น คำว่าแอบคือการทำผิดนะครับลูกรู้ใช่ไหม’ ปกติพี่หมอจะไม่เป็นคนออกปากเองเพราะไว้ใจให้ผมสั่งสอนลูกอยู่แล้ว แต่ถ้าครั้งใดที่พี่หมอเอ่ยปากเองแสดงว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำเอาผมแทบหลั่งน้ำตาจนพี่หมออกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ไม่น้อย
‘ลูกรู้แต่ลูกอยากเล่น’
‘ลูกอยากเล่นพ่อแม่ไม่ว่า แต่ลูกต้องบริหารเวลาให้เป็นไม่ใช่ไปเล่นจนกลับค่ำมืด แล้วไม่มีใครรู้ว่าลูกอยู่ไหน ทุกคนต่างเป็นห่วงลูก’
‘ลูกขอโทษครับ’
‘พ่อรู้ว่าลูกสำนึกผิด แต่ลูกต้องแก้ไขสิ่งที่ทำผิด การโกหกไม่ใช่สิ่งที่ดี ลูกไม่อยากเรียนพิเศษตอนเย็นก็พูดกับพ่อแม่ตรงๆ พ่อแม่เป็นคนให้ลูกเลือกเองว่าอยากจะทำอะไรและเส้นทางนี้ลูกเป็นคนเลือกเองแต่กลับละทิ้งมันแล้วทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอครับ’พี่หมอไม่ใช่คนพูดมาก แต่เรื่องนี้มันจำเป็นต้องพูดจริงๆ ผมและพี่หมอเลี้ยงลูกแบบฝรั่งมากกว่าที่คิด เราให้ลูกตัดสินใจหลายๆอย่างเองก่อนจะมาปรึกษาพวกผม เราจะค่อยๆสอนว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกหรือผิด ถ้าไม่เกินกำลังเราจะให้เขาลองผิดลองถูกเอง แต่กลับกันมันเป็นเหมือนดาบสองคมได้เช่นกัน ในหลายๆครั้งที่ทำให้ลูกของผมคิดได้เก่งมากว่าเด็กในวัยเดียวกัน เจ้าแสบเป็นเด็กฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งช่วยให้ความเจ้าเล่ห์เพิ่มมากขึ้นจนคนเป็นพ่อแม่ปวดประสาท ดีหน่อยที่พี่หมอออกจะตามทันลูกเสมอ คงมีแต่ผมคนเดียวที่เดินตามหลังอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสมอ
‘ลูกจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ’
‘รีบทานขนมปังเถอะเดี๋ยวจะสายกันทั้งบ้าน’ผมถอนหายใจยุติเรื่องราวหลังจากที่ดูลาดราวแล้วพี่หมอน่าจะสั่งสอนเจ้าแสบจบแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กว่าคือเจ้าแสบแขนหัก และใช่ครับมันเกิดจากเหตุการณ์แอบไปเล่นบอลจนต้องเข้าเฝือกอ่อนอยู่นาน เรื่องนี้จึงต้องถึงมือพี่หมออย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมสงสารลูกจับใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพื่อเป็นบทเรียนของเขา
“แม่ไม่เคยบังคับลูกเหมือนพ่อมึงหรอก”
“มีแต่แม่มึงนั้นแหละที่ขยันยัดอะไรต่อมิอะไรให้มันกินเหลือเกิน เหมือนกลัวว่าลูกจะอดอยาก”
“แต่มันก็โตมารูปร่างออกจะดีประหนึ่งนายแบบ ใบหน้าหล่อเหลาอย่างกับเดินออกมาจากแคทวอค”
“เบื่อคนอวยลูก”
“รึพ่อมึงคิดว่าไม่จริง”คนที่คล้อยตามเมียเสมออย่างพ่อมึงรึจะกล้าขัดผม ผมบอกซ้ายแม่งไปขวาตลอดแหละ
“จริงที่สุด ทำเป็นพูดดี พอมันเข้าโรงบาลเป็นใครกันที่ร้องห่มร้องไห้ไม่เป็นอันกินอันนอน” แอบอิจฉาลูกมันก็บอกเถอะ
ก็แค่ไม่กี่ครั้งเองที่ผมจะร้องไห้เพราะเจ้าแสบ ส่วนมากก็เพราะมันเข้าโรงพยาบาลทั้งนั้น อย่างเช่นในตอนนั้นที่ผมรู้สึกเหมือนใจเกือบจะสลายจริงๆ แต่โชคดียังคงเข้าข้างเรา
‘คุณลูกปลอดภัยแล้ว’
‘ผมกำลังจะถึงแล้ว’
‘ไม่ต้องรีบค่อยๆมาเดี๋ยวอันตรายนะคุณ อย่าให้ผมเป็นห่วงทั้งสองทางเลย’ผมกัดฟันแน่น รู้สึกอุ่นใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงพี่หมอ วันนี้ผมนั่งทำงานได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าเจ้าลูกชายตัวแสบมันเข้าโรงพยาบาล เพราะป่วยไข้ขึ้นหนัก แถมยังพักผ่อนไม่เพียงพอไปอีก ทำเอาผมไม่เป็นอันทำงาน พ่อมึงที่เพิ่งกลับจากโรงบาลต้องรีบบึ่งรถย้อนกลับไปอีกรอบด้วยความเป็นห่วง ปกติเจ้าตัวแสบไม่ค่อยป่วยรึเข้าโรงพยาบาลเสียเท่าไหร่ ก็แน่ซิมีพ่อเป็นหมอซะอย่าง แต่พอขึ้นมหาลัยย้ายไปอยู่หอการดูแลของพี่หมอเริ่มไม่คลอบคลุมเท่าเดิมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากเจ้าตัวแสบที่มันไม่รู้จักดูแลตัวเองทั้งที่โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอยู่ได้
‘ลูกเป็นยังไงบ้างครับ’
‘ปลอดภัยแล้ว หมอบอกน่าจะเป็นเพราะไข้เลือดออกด้วย แล้วยังฝืนทนเรียนหนักไม่พักผ่อนอีกมันเลยเป็นหนักขึ้น’ผมพยักหน้ามองเข้าไปในกระจกสี่เหลี่ยมเล็กๆในห้องผู้ป่วย เห็นสายระโยงระยางเต็มไปหมด เพราะเจ้าแสบมันดันช็อคหมดสติ โชคดีแค่ไหนที่มาโรงพยาบาลทัน เมื่อผมนึกถึงเรื่องที่เกิดแล้วต้องยกมือขึ้นปิดปากป้องกันเสียงสะอื้นที่หลุดออกมา น้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนไม่สามารถบังคับได้ทำให้คนข้างๆตัวรับรู้และดึงรั้งผมเข้าไปกอดเพื่อปลอบประโลม
‘ลูกปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องร้องนะครับคนดี’คำว่าคนดีจากพี่หมอยังใช้ได้ผลกับผมเสมอ ทำให้อาการสะอึกสะอื้นของผมน้อยลง
‘ผม….’
‘ลูกจะปลอดภัยพี่อยู่ตรงนี้จะปกป้อง ทั้งคุณและลูกเอง’ความอุ่นใจโถมเข้าใส่ผมเสียจนต้องหันไปกอดร่างสูงใหญ่ที่เป็นที่พักพิงให้แก่ผมและลูกเสมอมา และกว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจบจบไปก็ทำเอาผมเสียน้ำตาไปหลายลิตร จนเจ้าตัวแสบไม่กล้าจะป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย เรียกได้ว่ากลับมาดูแลตัวเองดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ยุงเยอะจังเข้าไปนอนกันดีกว่า”
“แค่นอนอย่างเดียวเองหรอ” ดูท่าแล้วผมคงอดดูละครตอนจบแน่นอนเลย
“แก่แล้วก็เพลาๆบ้างก็ได้พ่อมึงเรื่องลามกหน่ะ”
“เอาแบบนั้นจริงหรอ ไม่สงสารพ่อหรอ อดมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ” ผมเหล่ตามองลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเท้าพ้นวงกบประตูก็ทิ้งประโยคให้คนฟังรีบหอบผ้าหอบผ่อนตามเข้าห้องแทบไม่ทัน
“ให้แค่รอบเดียวนะมันดึกแล้ว” พรุ่งนี้เช้าคงไม่วายเคล็กขัดยอกอีกแน่นอนเลย
…….
ส่งท้าย
“พ่อครับ แม่ครับบบบบบบบ”
“…..”
“แม่ครับบบบบบ ผมมาแล้ววววววววว”
“เบาเบาหน่อยเว้ยยย แม่เองนอนอยู่”
“หืม พ่อสวัสดีครับทำไมแม่ตื่นสายจังวันนี้”สายตากรุ่มกริ่มของคนเป็นพ่อทำเอาลูกชายต้องกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“อย่าบอกนะครับว่าไม่ได้บอกแม่ว่าวันนี้ผมจะกลับมาหาที่บ้าน” แน่เสียยิ่งกว่าแน่ถ้าแม่มึงรู้เมื่อวานพ่อคงไม่ได้กินแม่มึง ตอนนี้ก็คงได้แต่นอนเหี่ยวแห้งตายอยู่ในห้องแน่นอน
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกลับ”
“ก็แค่จะพาคนมาไหว้พ่อกับแม่ก็แค่นั้น” คนเป็นพ่อเบิกตากว้างหมดมาดที่สั่งสมมาข่มไอ้ลูกชายมานานจนใครเห็นคงต้องหลุดขำ ก่อนที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณพ่อ”
………….
จบแล้วครับบบบบ บอกแล้วว่าเป็นเรื่องสั้นสบายๆน่ารักน่าเอ็นดู
ส่วนพื้นที่ด้านล่างขออนุญาติแอบขายของนะคะ
ฝากผลงานเบาเบาแบบนี้อีกสองเรื่องนะคะ ถ้าใครสนใจเขาไปอ่านได้เลยจ้าาาาา ยินดีต้อนรับ
- อยากกินไข่พะโล้โป๊ะ! (จบแล้ว)
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49451.0- I’m not the best (จบแล้ว)
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68855.0