6
อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้
[แจ็ค]
“มีเรื่องอะไรน่ายินดีลูก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ผมสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงแม่ดังแทรกก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร
ผมนั่งดื่มกาแฟทานไข่ลวกฝีมือจิมอยู่คนเดียวเพราะน้องออกไปใส่บาตร แต่ที่แม่ทักว่าผมนั่งยิ้มคงเพราะกำลังนึกเรื่องเมื่อวานเพลินๆ อยู่
จะว่าไปผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเสียเงินเสียทองให้เด็กที่ไม่ใช่ลูกใช่หลานมากมายขนาดนี้ สินค้าในห้างก็รู้ๆ อยู่ว่าราคาไม่ใช่น้อยๆ หนักสุดคงเป็นไอโฟนเกือบ 35,000 โชคดีที่ว่าตอนนั้นผมถือบัตรไปจ่ายเองเลยใช้วิธีผ่อน 0% แต่ต้องมานั่งใช้หนี้อีก 6เดือน แต่จะว่าไปก็คุ้มนะ ไม่รู้สิ ทำไมผมไม่นึกเสียดายเลยแหะ จะว่าเพราะเด็กนั่นจำเป็นต้องใช้รึก็เปล่า เสื้อผ้าตามตลาดนัดผมกับเจ้าจิมก็ซื้อใส่กันบ่อยไปแต่ทำไมผมต้องมานั่งยกยิ้มกับการใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่รู้สิ
หรือเพราะคำขอบคุณกับอ้อมกอดเล็กๆ นั่นนะ
“เอาอีกแล้ว มีเรื่องดีๆ อะไรเล่าให้แม่ฟังด้วยสิ” นี่ผมสะดุ้งเป็นรอบที่สอง
“ไม่มีอะไรครับแม่ ทานเถอะครับเดี๋ยวเย็นหมด” ผมเบี่ยงประเด็นไปที่อาหารเช้าแทน
“เมื่อคืนจิมมาบอกแม่เรื่องไปเที่ยวกับเพื่อน ฝากแจ็คดูด้วยนะลูกเผื่อน้องลืมเตรียมของสำคัญ” อา ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“แจ็คยังไม่ได้อนุญาตให้น้องไปเลยนะครับ”
“แจ็ค” แม่วางช้อนส้อมลงบนจานตามเดิม ซึ่งผมก็เดาได้ทันทีว่าท่านจะพูดอะไร “อย่าเคร่งกับน้องมากสิลูก อันไหนยอมได้ก็ปล่อยๆ น้องไปเถอะ แจ็คเองก็ยังเคยขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยลืมแล้วหรอ”
“แต่ที่น้องไปมันอันตรายนะแม่ ปีนเขาอะไรกัน ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”
“ยังมองน้องเป็นเด็กอยู่ตลอดเลยนะเราน่ะ เหมือนพ่อไม่มีผิด”
“เพราะผมต้องทำหน้าที่แทนพ่อไงครับ”
“ถ้าพ่ออยู่พ่อไม่ใจดำกับจิมแบบนี้หรอก” จิมพูดแทรกเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเขามาถึงเมื่อไหร่ แต่คาดว่าไม่นานเพราะในมือยังมีตะกร้าขนมอยู่ คงใช้ความน่ารักอ้อนแม่ค้ามาได้เยอะแยะอีกตามเคย “พ่อจะต้องตามใจจิมทุกอย่าง”
“ถึงได้เอาแต่ใจอยู่นี่ไง” ผมสวนกลับไปบ้าง
“เอาล่ะพอๆ แจ็คห่วงแม่ก็รู้นะ แต่จิมเองก็ต้องพูดดีๆ กับพี่เค้าด้วยสิลูก”
“จะพูดดีหรือไม่ดีพี่แจ็คก็ไม่อนุญาตเหมือนเดิมนั่นแหละครับ จิมไปเก็บของก่อนนะ”
“ก็รู้ว่าไม่อนุญาตแล้วจะไปเก็บของทำไม จิม หยุดเดี๋ยวนี้นะ จิม!”
“แจ็ค” มือนุ่มของแม่คว้ามือผมไว้ก่นที่จะทันได้ลุกไปจัดการกับน้อง “เห็นมั้ยว่าน้องดื้อใหญ่แล้ว”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับผมถึงต้องกำราบบ้าง นับวันชักเอาใหญ่”
“เฮ้อ” เสียงแม่ถอนหายใจทำเอาผมรู้สึกแย่ไปด้วย “ไฟร้อนๆ แจ็คจะจัดการด้วยการพัดโหมให้มันลุกลามไปมากกว่าเดิมหรอลูก”
ผมหยุดฟังที่แม่พูดโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป
“มันมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้น้องยอมเชื่อฟัง อย่าให้ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าแจ็คอยากเป็นหัวหน้าครอบครัวตามรอยพ่อแจ็คต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ แต่แจ็คก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ไม่อย่างนั้นแจ็คจะไม่มีวันได้ใจน้อง เข้าใจที่แม่พูดรึเปล่า”
ผมพยักหน้ารับแต่โดยดี ฟังที่แม่พูดก็ทำให้นึกถึงเมื่อก่อน เราสนิทกันมากและจิมก็มักจะเล่าทุกเรื่องให้ผมฟัง เราจะมานั่งเล่นที่ห้องทำงานของคุณพ่อแย่งกันพูดในเรื่องของตัวเองแล้วให้พ่อตัดสินว่าใครเจ๋งกว่า และพ่อก็จะมีทางออกที่ดีให้กับเราเสมอ จนวันนึงเมื่อท่านจากไประหว่างผมกับจิมก็ดูจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ จิมยังคงเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเหมือนวัยเด็กแต่ผมต่างหากที่ไม่มีเวลาจะฟังเขาเลย กว่าจะรู้ตัวเราก็เหมือนอยู่คนละทาง ผมพยายามแล้วที่จะให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ผมไปนั่งรอเขากลับบ้านทุกวัน ไปส่งทุกเช้าเอาเวลาของตัวเองให้จิมเท่าที่ทำได้แต่มันก็ยังไม่เป็นผล จิมถอยห่างจากผมไปทุกวันต่อให้เรายังมีเรื่องให้ชวนหัว มีความชอบที่คล้ายกันแต่มันไม่เหมือนเดิมและผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม
“คำว่าเป็นห่วงพูดอย่างเดียวมันไม่เห็นภาพหรอกนะลูก ต่อให้เราเป็นห่วงจากใจแต่ถ้าคนฟังเค้าสัมผัสไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องอื่นก็เหมือนกัน ปล่อยไว้แบบนี้จะยิ่งไปกันใหญ่นะ”
“แจ็คต้องทำยังไงครับแม่”
“ไม่ยากเลย อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าทำ” แม่ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น “แจ็คเองก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับไม่ใช่หรอ”
“แต่แจ็ค...”
“แม่รู้ว่าแจ็คอยากปกป้องน้องไม่ว่าเรื่องไหนก็อยากให้เค้าเจอแต่สิ่งดีๆ แต่แจ็คก็ต้องแยกให้ออก ต่อให้คนทั้งโลกบอกว่าแจ็คเป็นคนเก่งดูแลงานดูแลครอบครัวได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่แจ็คอยากให้เค้ายอมรับก็คือน้องไม่ใช่หรอ แม่จะรอดูความสำเร็จของแจ็คนะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ขอแยกตัวออกมาจนตอนนี้หยุดอยู่หน้าประตูห้อง ต้องทำใจเฮือกใหญ่กว่าจะก้าวข้ามผ่านบันไดแต่ละขั้นเพื่อมายืนตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเดินมาส่องดูน้องทุกวัน
“จิม พี่เข้าไปได้มั้ย”
“ปกติก็แอบไขประตูเข้ามาเองอยู่แล้วนี่” ว่าแล้วเชียวว่าต้องเจอประโยคนี้ ถ้าเล่นหวยผมคงถูกไปหลายงวด แต่ผมก็เปิดเข้าไปนะ หน้าด้านไว้ก่อน
“เก็บของเสร็จรึยัง” จิมหันหน้าเหลือบมามองผมก่อนจะหันกลับไปหน้าคอมตามเดิม
“ยัง” เสียงกระแทกแป้นพิมพ์นั่นรู้เลยว่าเอาอารมณ์ไปทิ้งลงคีย์บอร์ด “ขี้เกียจรื้อออกเพราสุดท้ายก็ไม่ได้ไปอยู่ดี”
“เก็บซะสิ พี่จะได้ช่วยดูว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง”
“พูดอย่างกะจะให้ไป” หางตาเรียวตวัดมามองผม
“ก็จะให้ไปแล้วนี่ไง”
“พี่จะมาไม้ไหนอีก จิมไม่หลงกลง่ายๆ หรอกนะ”
"อยากไปมากเลยหรอ” ผมถามไปดีๆ และลุ้นอยู่หน่อยๆ ว่าคำตอบจะไม่ใช่การประชด
“รู้แล้วพี่จะถามทำไม” โอเค ผมคิดผิด
“ถ้าอยากไปพี่ก็จะให้ไป แต่รับปากกับพี่ก่อนว่าจะไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง เรื่องแอลกอฮอก็ด้วย ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจ แต่พี่ไม่อยากให้จิมเป็นอันตราย”
“เดี๋ยวพี่ก็.../...พี่ไม่ตามไปหรอก” ผมพูดสวนเพราะเดาว่าครั้งนี้น่าจะคิดถูก
“จิมจะแน่ใจได้ไง”
“พี่ติดงาน รับงานอื่นแทรกเข้ามาจากตารางงานเดิมคงยุ่งๆ ไปอีกสักสองอาทิตย์ แต่ถ้ารอได้...” ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดประโยคต่อไปดีรึเปล่า
“รออะไร”
“แต่ถ้ารอได้ก็รอไปพร้อมกัน หมายถึง... เดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยว ไปกันทั้งครอบครัว”
ผมเห็นสายตาของจิมมันไม่ได้ดูผิดหวังเหมือนเคย เขาคลี่ยิ้มเล็กๆ ผมว่าผมดูไม่ผิดนะ
“พี่จะพาผมไปเที่ยวหรอ”
“อื้ม”
“ไปกับแม่ด้วยหรอ” เขายังถามซ้ำ แต่ผมก็พยักหน้ารับไป “พี่จะไปได้จริงหรอ”
“จบงานนี้เมื่อไหร่พี่จะพาไป แต่โทษทีที่ไปรับงานด่วนเข้ามาพอดีมีเรื่องต้องใช้เงินนิดหน่อย”
“ไข้ขึ้นปะเนี่ย พี่อะนะมีเวลาพาผมไปเที่ยว เคยมีแพลนนี้ในหัวพี่ด้วยหรอ”
“ไม่อยากไปก็บอกได้นะ ถ้าอยากไปกับเพื่อนมากกว่าก็.../..ไปๆๆ” จิมแทรกขึ้นโดยที่ผมยังพูดไม่ทันจบ
“จิมก็ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกัน”
“ทิ้งให้อยู่คนเดียว? ใคร? แม่หรอ?”
“อ่า...เปล่าๆ หมายถึงงงง เอ่อ...ช่างเถอะๆ แต่พี่รับปากแล้วห้ามเบี้ยวนะ ครั้งนี้จิมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“คำไหนก็ต้องคำนั้นสิ”
รอยยิ้มสดใสเผยให้ผมเห็นอีกครั้ง เอาจริงก็เห็นมันบ่อยแต่แค่ไม่ได้ถูกส่งมาให้ผมเหมือนครั้งนี้เท่านั้นเอง
ผมเอนตัวลงบนที่นอนโดยที่เจ้าของเตียงก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเอาแต่กดๆ จิ้มๆ ลงไปบนมือถือ ถ้าให้เดาคงกำลังปฏิเสธทริปกับเพื่อนอยู่
“พี่แจ็ค โอ้ย โทษๆ” นอนเกร็งตัวอยู่ครู่นึงเพราะเจ้าน้องบ้านี่กระโดดขึ้นมาทับ ทำอย่างกับตัวเองสามขวบ ปากบอกขอโทษแต่ตัวกลับไม่ยอมลุกออกไป “จิมชวนเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”
“เพื่อนคนไหน ถ้าทั้งแก๊งไม่ไหวหรอกนะ ไม่อยากรับผิดชอบลูกคนอื่น”
“คนเดียวๆ”
“ใคร”
“คนที่ป๋าใจดีซื้อโทรศัพท์พร้อมเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้นั่นแหละ” จิมผงกหัวโดยที่ท่อนแขนทั้งสองยังเท้าตัวผมไว้ “คนนี้ดูแลไหวป่าว”
“ก็... ถ้าแค่คนเดียวก็ไหว” แต่ไม่บอกหรอกนะว่ากลับมาผมอาจจะต้องทำงานเพิ่มอีกเท่าตัว
[จ่อย]
วันนี้พี่โยปิดร้านเพื่อพาผมมาเปิดบัญชีใหม่ที่โลตัส เรานั่งกันอยู่ในธนาคารหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ
พี่โยบอกว่าผมควรมีบัญชีสาขาในกรุงเทพฯ เอาไว้ เวลาจะกดเงินไปใช้จ่ายอะไรจะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมต่างจังหวัด อีกอย่าง พรุ่งนี้เงินเดือนเดือนแรกของผมจะออกซึ่งพี่โยบอกก่อนแล้วว่าจะได้ไม่เต็มจำนวนเพราะผมเข้ามาเริ่มงานก็กลางเดือนแล้วจึงคิดให้เป็นรายวันแทน เดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่
“ใช้แอพเป็นแล้วใช่มั้ย เวลาจะโอนเงินไปให้แม่จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวผมขอถามอีกทีนะพี่ กลัวทำเงินหาย” ผมตอบพี่โยที่นั่งสอนวิธีโอนเงินผ่านไอโฟนเครื่องใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน เอาจริงผมก็ยังไม่ถนัดมือ จิมบอกว่าต้องใช้เวลา เดี๋ยวก็ชินเอง
เราแยกย้ายกันหลังจากทำธุระกันเรียบร้อย พี่โยบอกจะไปหาซื้อของเข้าร้านแต่กลับไม่ยอมให้ผมไปช่วยเลยได้แต่เดินเตร่ไปตามถนนแบบไม่มีจุดหมาย ก็ผมยังกลับบ้านจิมไม่ได้นี่ วันนี้อยู่กันครบเลยด้วย
เมื่อหาที่เหมาะๆ ได้ผมก็ปักหลักลงเอาใต้ต้นไม้ดื้อๆ มันเป็นที่เดียวที่น่านั่งแล้วลมก็พัดเย็นกำลังดี
ผมล้วงเอามือถือเครื่องใหม่ขึ้นมากดเล่นอีกครั้ง คราวนี้ผมเลือกที่จะใช้มันโทรหาแม่เพราะเมื่อวานไม่ได้คุยกันเลย หลายวันที่ผ่านมาก็คุยได้แค่แปบเดียว
[อ้ายจ่อยยย] (พี่จ่อย)
“คือได้ฮับ บ่มีเฮียนติ” (ทำไมรับสายได้ล่ะ ไม่มีเรียนหรอ)
[ปิ๊ดเทอมล่ะเด้อ คึดฮอดอ้ายจ่อยมื้อได๋สิเมือ] (ปิดเทอมแล้ว คิดถึงพี่จ่อยเมื่อไหร่จะกลับ)
“มาบ่ทันฮอดเดือนสิไฮ่เมือละติ๊” (มาไม่ถึงเดือนจะให้กลับแล้วหรอ)
[กะนางคึดฮอด อีแม่บอกว่า ขายหมากโมเถื่อนี้คั่นได้เงินหลายสิขึ้นไปหาอ้ายจ่อย] (ก็หนูคิดถึง แม่บอกว่าขายแตงโมรอบนี้ถ้าได้เงินเยอะจะไปหาพี่จ่อย)
“สิมาเฮ็ดหยัง เก็บเงินไว้โลด อ้ายเฮ็ดงานจั๊กหน่อยกะเมือแล้ว” (จะมาทำไมเก็บเงินไว้เถอะ พี่ทำงานอีกสักพักก็กลับแล้ว)
[นางอยากไปกุงเทบ นางอยากไปดีมเวอ] (หนูอยากไปกรุงเทพฯ อยากไป-ดรีมเวิลด์)
“อยากมาเท่วติ๊ คั่นสั้นกะมา แต่สิมามื้อได๋กะบอกอ้ายก่อน อ้ายสิได้บอกเจ้านายเขา” (อยากมาเที่ยวหรอ ถ้าอย่างนั้นก็มา แต่จะมาเมื่อไหร่ก็บอกพี่ก่อนนะ พี่จะได้บอกเจ้านายไว้)
[อ้ายจ่อยฟ้าวกับมาเด้อ นางคึดฮอด นางย่าน อิแม่กะออกไปแต่เซ้านางบ่อยากนอนผู้เดียว] (พี่จ่อยรีบกลับมานะ หนูคิดถึง หนูกลัว แม่ออกไปแต่เช้าหนูไม่อยากนอนคนเดียว)
“เก็บเงินได้หลายอ้ายสิฟ้าวเมือ อย่าดื้อกับแม่หลายเด้อ อันได๋บ่ได้ซ่อยกะอย่าไปกวนลาว เข้าใจอยู่บ่” (เก็บเงินได้เยอะแล้วพี่จะรีบกลับ อย่าดื้อกับแม่ให้มากนะ ถ้างานไหนไม่ได้ช่วยก็อย่าไปกวน เข้าใจรึเปล่า)
[ฮู้ล่ะจ้า] (รู้แล้วจ้า)
“นี่นาย”
“แค่นี้เด้อส่ะ คิดฮอดเด้อฝากบอกอิแม่พ้อม” (แค่นี้ก่อนนะ คิดถึงมากฝากบอกแม่ด้วย)
ติ้ด
“คุณแจ็คมาทำอะไรที่นี่ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าคุณแจ็คจอดรถเปิดกระจกตะโกนมาทางผม จึงรีบลุกขึ้นไปหา
“ฉันสิต้องถาม มานั่งทำอะไรแถวบ้านฉัน หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้” ผมสะดุ้งตาโตพอมองไปรอบๆ ดีๆ นี่มันเยื้องหน้าบ้านคุณแจ็คมานิดเดียวเอง
“เปล่าครับคือว่า... คือผมมาหาจิมน่ะครับแต่จะคุยโทรศัพท์เลยนั่งตรงนี้ก่อน”
“หาจิมหรอ” คุณแจ็คมองกลับไปทางตัวบ้านผ่านกระจกรถ “เดี๋ยวค่อยไปได้มั้ย ขึ้นรถก่อนสิ”
“ไปไหนครับ?”
“ขึ้นมาเถอะน่าไม่หลอกไปฆ่าหรอก”
“แต่ผมต้อง...” จะบอกยังไงดีว่าผมต้องหาทางเข้าบ้านซึ่งโอกาสที่ดีที่สุดก็คือตอนที่คุณแจ็คออกไปข้างนอกนี่แหละ “ผมต้อง...”
“จะเอามั้ยเงินน่ะ” โหวผมว่าคุณแจ็คถามแปลก
“เอาสิครับ เงินใครจะมาอยากได้ล่ะ แต่ผมจะไปเอาจากไหน”
“ขึ้นรถ”
“ครับ?”
“อย่าให้พูดซ้ำ” ผมไม่ชอบคุณแจ็คน้ำเสียงนี้เลย นี่หละน้าจิมถึงไม่อยากคุยด้วย
ผมนั่งรถมากับคุณแจ็คตัวเกร็งไปหมด จะขยับแรงก็ไม่กล้ากลัวรถเป็นรอย ข้างในนี้แอร์เย็นฉ่ำมาก เบาะหนังก็นิ่มผมนี่แทบอยากจะหลับ คุณแจ็คขับเร็วนิดหน่อยแต่ไม่รู้สึกน่ากลัว อาจเพราะตอนขึ้นรถมาคุณเขาเอื้อมมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ อ้อใช่ ผมตัวเกร็งมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เวลาอยู่ใกล้คุณแจ็คมากๆ ใจผมมันจะสั่นๆ อย่างที่ผมเคยบอก เพราะรังสีน่ากลัวในตัวคุณแจ็คแน่ๆ
“ลงได้ละ”
“นี่ที่ทำงานคุณแจ็คหรอครับ” ผมโค้งตัวเงยหน้ามองสำนักงานแต่ก็คล้ายๆ บ้านผ่านกระจกหน้ารถ “เอ่อ ผมถอดเองได้ครับ”
“ถ้าทำพังจ่ายเองนะ” คุณแจ็คตะปบมือผมพร้อมคำขู่จนต้องยอมนั่งนิ่งๆ ให้มือหนาปลดสายที่คาดตัวออก แต่หน้าคุณแจ็คใกล้ไปจนผมไม่กล้าขยับเลย “กลัวหรอ”
“ปะ... เปล่าครับ” ผมหลับตาปี๋เพราะโดนจ้อง คือถ้าผมจ้องตอบต้องโดนดุแน่เลยสู้หลับๆ ตาไปดีกว่า
“ก็เห็นอยู่ว่ากลัว”
“ผม...ผมเปล่า ผมไม่ได้กลัว” ซะที่ไหนล่ะ
“ถ้าไม่ได้กลัวก็ลืมตาสิ” ก็บอกอยู่ว่าซะที่ไหนล่ะ อ้อลืม บอกตัวเองในใจนี่หน่า “ไม่ลืมแสดงว่ากลัว”
“ถ้ากลัวแล้ว...จะเป็นยังไงครับ”
“จะทำให้กลัวกว่าเดิม” อา ผมว่าผมแย่แน่ๆ เลยงานนี้ “แต่ถ้าลืมตาแสดงว่าไม่กลัว แล้วฉันจะไม่ทำให้กลัวอีก”
ผมควรเลือกอย่างที่สอง ถ้าสู้ใจกล้าซะตั้งแต่ตอนนี้อย่างน้อยคุณแจ็คก็บอกว่าจะไม่ทำให้กลัวอีก ผมจึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้น
“อ๊ะ” แต่ไม่ทันที่จะได้มองชัดก็รู้สึกเหมือนมีอะไรนิ่มๆ มากดเปลือกตาลง ผมพยายามหลี่ตาอีกข้างขึ้นมองคุณแจ็คก็ผละออกจากตัวผมไปนั่งที่คนขับแล้วบอกให้ผมลงรถ “เมื่อกี้อะไรอะครับ”
“อะไร๊ ไม่มีอะไร” ผมเห็นนะที่คุณแจ็คแอบยิ้มมุมปาก
“คุณแจ็คแกล้งอะไรผม” ลูบเปลือกตาแล้วมองไปที่กระจกข้างว่ามีอะไรติดรึเปล่า แต่ไม่มีแหะ “บอกมาเลยนะครับ”
“ก็แค่...” จุ๊บ “แค่นี้เอง” ผมอ้าปากหวอตาค้างทั้งๆ ที่โดนจุ๊บจนเกือบหลับตาไม่ทันไปเมื่อกี้ ใช่ ไอ้ที่นิ่มๆ กดเปลือกตาผมนั่นคือริมฝีปากของคุณแจ็ค ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เนี่ย บอกแล้วว่ารังสีความน่ากลัวของคุณแจ็คมันแผ่ออกมา ยิ่งตอนแกล้งผมยิ่งออกมาเยอะจนใจพองขนลุกไปหมด “จะไปได้ยัง ฉันสายมากแล้วนะ”
“คุณแจ็คแกล้งคนอื่นแล้วนั่งยิ้มแป้นแบบนี้ได้ยังไงกันครับ นิสัยไม่ดีนะครับ คุณแม่จะดุ อื้อ อย่า” ผมรีบใช้มือดันหน้าอกคุณไม่ให้เข้ามาใกล้อีก
“แกล้งเยอะๆ แม่จะได้ดุทีเดียวไง ฉันไม่อยากให้แม่เหนื่อยถ้าต้องดุหลายรอบ”
“ไม่เอาๆ พอแล้วคุณแจ็คเดี๋ยวตาบอด” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวใหญ่เงยหน้าหัวเราะเปิดประตูลงมารออยู่ข้างรถ แต่กว่าจะหลบมาได้ก็โดนกดเปลือกตาไปตั้งหลายทีจนน้ำลายเปียก คุณแจ็คแรงเยอะมากผมบอกเลย ผลักก็ไม่ออก
“ตามมาสิ เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไร”
ผมเดินตามคุณแจ็คไปจนถึงชั้นบนห้องริมสุด แต่กว่าจะผ่านมาแต่ละโต๊ะก็มีทั้งคนยกมือไหว้ผม และผมยกมือไหว้ตอบ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาไหว้ผมกันทำไม รู้แค่ว่าคุณแจ็คเป็นเจ้านายเพราะคนที่นี่เรียกคุณแจ็คว่า บอส
“ใครวะ” เห็นจะมีก็แต่คนนี้แหละที่ดูไม่เคารพคุณแจ็คเลย ผมได้ยินเขาสะกิดพี่อีกคนตอนเราเดินผ่านแล้วพูดว่า ‘ไอ้บอสมา’ ด้วย เดี๋ยวก็โดนหักเงินเดือนหรอกผมอยากเตือนเขาจัง
“เพื่อนจิม พามาช่วยงาน” ผมยกมือไหว้เพราะพี่เขาโตกว่า “นี่บอมเพื่อนฉันเอง เป็นเจ้าของร่วมกับฉันที่นี่” มิน่าล่ะ เกือบหน้าแตกแล้วเชียว
“ชื่ออะไรเรา” คุณบอมถามผมแต่ยังไม่ทันได้ตบคุณแจ็คก็สวนขึ้นก่อน
“นั่นสิ ฉันก็ยังไม่เคยได้ถามเลย ตกลงนายชื่ออะไร”
“มึงพาน้องมันมาถึงนี่โดยที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อเนี่ยนะ”
“เออ กูเจอหลายครั้งแล้วด้วย ถ้ามึงไม่ถามกูก็ไม่ได้ถามอะ” ผมยืนงงอยู่คนเดียวในพื้นที่เล็กๆ นี่คุณแจ็คไม่เคยรู้ชื่อผมเลยหรอเนี่ย
“อะ ตกลงชื่ออะไร แนะนำอย่างเป็นทางการซิ” คุณบอมหย่อนก้นบนโต๊ะทำงานของคุณแจ็คกอดอกมองผม คุณแจ็คเองก็พิงพนักเก้าอี้จ้องผมเช่นกัน
“ผมชื่อ...”
“อ่าว จำชื่อตัวเองไม่ได้หรอ จะค้างเพื่อ”
“ไม่ครับ คือผมมีสองชื่อเลยไม่รู้จะแนะนำชื่อไหนให้มันดูเป็นทางการ”
“สองชื่อ ชื่อจริงชื่อเล่น?” คุณแจ็คถาม
“ไม่ครับๆ ชื่อจริงชื่อ กันภพ ภูวพร คนส่วนใหญ่เรียกจ่อยครับ เรียกตามป้า”
“แล้วจริงๆ ชื่ออะไรถ้าไม่เรียกตามป้า”
“ชื่อเบิ้มครับ”
“โอเค กูเรียกตามป้า”
“ฮ่าๆๆ” คุณแจ็คหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้ทันทีที่คุณบอมพูดจบ ผมเห็นคุณเขาเช็ดน้ำตาด้วยมันน่าตลกขนาดนั้นเลยหรอ นี่ผมซีเรียสนะ
“เชิญมึงออกไปได้แล้วไอ้บอม กูจะทำงานกับน้องเบิ้ม”
“ขอร้อง กระดากหูมาก” คุณบอมยกมือพนมขึ้นเหนือหัวก่อนพูด “อย่าให้โจได้ยินเรื่องนี้เชียว ขี้เกียจดูมันนั่งขำจนตีนแมวขึ้นหน้า
“ออกไปได้แล้วกูจะทำงาน” ถึงจะไล่แต่ผมก็เห็นคุณแจ็คหัวเราะเออออไปกับคุณบอมอยู่ดี เชอะ
“เป็นอะไร” คุณแจ็คถามเมื่อเห็นผมทิ้งตัวลงบนโซฟาแรงๆ
“ชื่อผมมันตลกมากหรอครับ”
“งอนหรอ?”
“ผมไม่ได้งอน แต่ผมชื่อเบิ้มมันผิดตรงไหน ตอนที่พ่อตั้งก็หวังให้ผมแข็งแรงตัวใหญ่เหมือนคุณแจ็คคุณบอมนั่นแหละ ใครจะรู้อนาคตว่ามันจะกะหร่องแบบนี้ล่ะครับ” ผมนั่งหน้าหงึก จะบอกว่าไม่งอนแต่อาการมันก็คืองอนนั่นแหละผมก็รู้ตัว
“ลุกมานี่ซิ” ผมยอมเดินไปหาแต่โดยดี แต่หน้ามันก็ยังหงึกอยู่แบบนี้แหละ ให้เปลี่ยนเลยคงไม่ได้หรอก “นั่งนี่”
“ผมจะนั่งตักคุณแจ็คได้ไงกันครับ”
“จะไม่เอาใช่มั้ยเงิน” ผมเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งตามพิกัดที่บอกแทบจะทันที “ตัวผอมๆ ก็ดีฉันจะได้ไม่เมื่อย ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่ให้นั่งหรอกนะ”
“แล้วทำไมต้องนั่งตักล่ะครับ เก้าอี้ก็มีตั้งสองสามตัว”
“จะได้สอนถนัดๆ ฉันขี้เกียจคอยลุกไปดูเวลานายทำ”
“คุณแจ็คจะให้ผมทำอะไรครับ ผมจบแค่มอหกเองนะ งานระดับคุณแจ็คผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”
“ทำได้สิ งานง่ายๆ เดี๋ยวจะบอก”
ผมนั่งเปิดแฟ้มเอกสารผ่านไปห้าแฟ้ม หน้าที่ที่คุณแจ็คบอกคือยกเอกสารตรงหน้ามาเปิดทีละแผ่น อ่านให้คุณแจ็คฟังแล้วให้คุณแจ็คเซ็น มันง่ายจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เปิดเองน่าจะเร็วกว่า แต่คุณแจ็คบอกในตอนแรกว่าปวดตาปวดข้อมือผมเลยพอเข้าใจได้
“หิวรึยัง”
“นิดหน่อยครับ” เอกสารแฟ้มสุดท้ายปิดลงผมรู้สึกเมื่อยก้นมาก มันไม่ได้สบายเท่าไหร่กับการนั่งแบบนี้นานๆ “คุณแจ็คไม่ปวดขาหรอครับที่ผมนั่งทับ”
“เพื่องานฉันอดทนได้” คุณแจ็คนี่สุดยอดจริงๆ จิมเคยบอกว่าคุณแจ็คอดทนทำทุกอย่างได้เพื่อครอบครัว เป็นแบบนี้นี่เองสินะ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ครับ” ผมลุกออกจากหน้าขาจนแขนข้างซ้ายของคุณแจ็คที่เกาะผมไว้ค่อยๆ คลายออกจากเอว แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูคุณแจ็คก็ไม่ลุกตามมาสักทีจนผมต้องหันกลับมอง “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าๆ” โน้มตัวลงกับโต๊ะ ผมว่าเขาอาจจะปวดท้องหรือเป็นอะไรสักอย่าง “อย่าจับๆ ฉันไม่เป็นไร”
“แน่หรอครับ”
“แน่สิ แต่ว่า... คือฉันว่าเราสั่งอาหารให้เค้ามาส่งที่นี่ดีกว่า ขี้เกียจออกไป”
[แจ็ค]
ผมยืดขาเหยียดตรงระหว่างที่จ่อยออกไปรอรับอาหารจะไลน์แมนที่หน้าสตูดิโอ จะให้บอกได้ไงว่าเหน็บกินเสียฟอร์มตายเลย แต่ถ้าผมต้องกลับไปรับน้ำหนักอีกครั้งในช่วงบ่ายคงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้
“น่าทานทั้งนั้นเลยนะครับ”
“ไว้ฉันมีเวลามากกว่านี้จะพาไปกินที่ร้านนะ” ผมเองก็อยากแก้ตัวที่สังขารไม่พร้อม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ว่าแต่ ปกติใครเป็นคนช่วยงานคุณแจ็คหรอครับ”
“ก็มีเลขา แล้วก็บอมคนที่นายเจอ มีโจอีกคนแต่ไม่ได้ถือหุ้นร่วมคอยช่วยบอมอีกที งงมั้ย”
“ไม่งงครับ แต่เลขาคือพี่สาวที่อยู่หน้าห้องน่ะหรอครับ”
“ใช่ ทำไมหรอ” ผมสังเกตว่าจ่อยเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่อาจจะไม่กล้าพูด
“ช่วยเหมือนที่ผมช่วยงานคุณแจ็ควันนี้หรอครับ”
“จะพูดอะไรกันแน่” ผมว่าผมรู้นะ แต่อยากฟังจากปากมากกว่า “เลขาฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจรึไง”
“ไม่ครับไม่” จ่อยส่ายหน้ารัว “คือผมเห็นว่าพี่เค้าเป็นผู้หญิง แล้วถ้ามานั่งตักคุณแจ็คแบบนี้มันจะดูไม่ดีรึเปล่า คือหมายถึง..ผมเป็นผู้ชายมันก็ไม่เสียหาย”
“เค้าหนักไปฉันไม่ให้นั่งหรอก”
“แสดงว่าถ้าเค้าผอมก็นั่งได้หรอครับ” ผมอยากจับเจ้านี่มารัดให้แน่นแล้วหอมหัวจริงๆ เลยให้ตายสิ
“เห็นฉันไม่เป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นเลยหรอ อย่างที่นายบอก เค้าเป็นผู้หญิงจะให้มานั่งตักกันได้ไง”
“ถ้าเป็นผู้.../...ถึงเป็นผู้ชายก็นั่งไม่ได้ หนัก โอเค๊” ผมสวนไปซะจะได้จบๆ
“แต่ผมนั่งได้”
“ก็นายจ่อย”
“ถ้าคนอื่นจ่อยก็นั่งได้ใช่มั้ยครับ”
“นายนั่งได้เพราะนายคือจ่อย ถ้าคนอื่นไม่ใช่นายจ่อยก็นั่งไม่ได้ พอใจรึยัง ว่าแล้วก็ลุกมานั่งเลยดีกว่ามา พูดมากนัก”
จ่อยเลื่อนจานข้ามาฝั่งผมเดินอ้อมกลับมานั่งในตำแหน่งเดิมแล้วกินต่อไม่พูดไม่จาอะไร
“ขี้หวงเหมือนกันนะเรา ชอบนั่งตักมากหรอหะ?” จ่อยเบี่ยงตัวเองมาฝั่งซ้าย แล้วยื่นช้อนมาจ่อที่ปากผม
“กินข้าวครับ พูดเยอะเดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก” ผมมองหน้าคนตัวเล็กบนตัก เห็นปากเยลลี่ที่ขยับเม้มเป็นเส้นตรงกับสายตาที่ไม่ค่อยกล้าประสานกับผมตรงๆ สักเท่าไหร่ แล้วอ้าปากงับช้อนที่ป้อนเข้ามา
“กินหวานขนาดนี้เลยหรอ”
“ผมไม่ได้ใส่น้ำตาลเลยนะ คุณแจ็คหวานหรอ”
“อืม หวาน หวานมาก จะเลี่ยนตายอยู่แล้วเนี่ย”
“น้ำครับ”
“ไม่เอาแล้ว กินเองเถอะ”
ผมยังนั่งมองเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวตุ้ยบนตักไม่วางตา พอปากว่างก็นั่งบ่นว่าผมไม่รู้จักคุณค่าของอาหารกินทิ้งกินขว้างไม่รู้จักเสียดายของ อยู่ที่บ้านนาไม่มีให้กินแบบนี้บลาๆๆๆ จนอยากจะหาอะไรอุดปากซะจริงๆ มือก็ไม่ว่างด้วยสิ เดี๋ยวเถอะ ถ้ายังไม่หยุดพูดนะ
แต่ก็ได้แค่คิดในใจเท่านั้นแหละ
(ต่อด้านล่าง)