Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน 13  (อ่าน 8816 ครั้ง)

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




อาจเพราะชีวิตผมไม่ค่อยมีเรื่องสนุกสักเท่าไหร่ ไม่ว่าโชคชะตาหรือใครต่อใครจึงมักเล่นตลกใส่ผมเสมอ
"ปล่อยผมสิ ผมไม่ใช่ขโมยนะ คุณกำลังเข้าใจผิด!!"
"ถ้าไม่ใช่แล้วนายเข้ามาทำอะไรที่บ้านฉัน!"
"ผม... ผม..."

ผมไม่มีที่อยู่



#ห้องลับบักจ่อย


นิยายเรื่องนี้เป็นรูปแบบ ชายxชาย สร้างขึ้นโดยจินตนาการของผู้แต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยนะคะ ^/\^


สารบัญ

1 อยู่บ้านนาดีๆ ไม่ว่าดีจึงหนีหน้ามา
2 แสงไฟสว่าง แต่หนทางยังมืดมน
3 หากบ่เจอคนดี ป่านนี้สิเป็นจั่งได๋
4 เอ้ามามาสิ มาช่วยกันที ล่ะมาช่วยจับงู
5 จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน
6 อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้
7 อยากฟังคำซึ้งๆ ไม่ผ่านมือถือ
8 ปวดใจดั่งไฟสุมทรวง ทะลวงอกฉัน
9 กลัว ฉันกลัวไปหมดทุกสิ่ง
10 คำว่ารักที่เธอเขียนลงใจฉัน
11 หาดทรายยังสวย รายล้อมทะเลด้วยรัก
12 คืนนั้นคืนไหน ใจแพ้ตัว
13ตอบหน่อยได้ไหม ตอบฉันหน่อย ว่าเธอคิดถึงกัน
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2019 17:37:56 โดย พิชา(ไรท์ขายหวย) »

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย
«ตอบ #1 เมื่อ21-01-2019 01:46:55 »

1
อยู่บ้านนาดีๆ ไม่ว่าดีจึงหนีหน้ามา

รถทัวร์ชะลอตัวเตรียมจอดเข้าเทียบชานชาลาเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ผมใช้เวลาเดินทางในครั้งนี้เกือบๆ จะ 11ชั่วโมงด้วยความร้อนอบอ้าวจนแทบจะเป็นบ้า เบาะรถแคบๆ มันโคตรจะเบียดจนไม่อยากกระดิกตัว ยังไม่นับกับที่ผมต้องนั่งข้างผู้ชายร่างใหญ่ที่ช่วงไหล่เลยมาเกือบจะครึ่งเบาะผม จะคิดเงินส่วนต่างคืนได้ไหมนะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมอยากจะลงจากรถเส็งเคร็งนี่เต็มที ถ้าไม่ติดว่าต้องประหยัดผมคงจะเลือกปรับอากาศชั้น 1ไปนานแล้ว ไม่มาทนกับความรู้สึกพะอืดพะอมที่ไม่รู้ว่าเพราะเวียนหัวจากอาการเมารถหรือเพราะกลิ่นเหงื่อจากพี่คนข้างๆ ถึงแม้ผมจะนั่งติดหน้าต่างแต่มันก็ช่วยได้แค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ

               ‘มอไซค์มั้ยน้อง’

               ‘ไปไหนครับๆ สามล้อมั้ยครับ’

            ‘แท็กซี่ครับ ไปไหนครับ มิเตอร์น้อง ไปมั้ย จะไปไหน’

            ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้สาละวนรอบตัวผมไปหมด จากที่เวียนหัวอยู่แล้วตอนนี้โคตรจะสงสารร่างกายตัวเองจริงๆ “ไม่เป็นไรครับ ไม่ไปครับ ไม่ไปครับมีคนมารับครับ” ผมพูดประโยคนี้ไม่รู้กี่รอบกว่าจะเอาตัวรอดออกมาได้ จะมีใครมารับผมนะหรอ ไม่มีหรอก ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ผมจะไปรู้จักใครกัน แต่ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะญาติที่ต่างจังหวัดสอนมา เขาเตือนไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ แต่ที่แย่คือ มันวุ่นวายกว่าที่จินตนาการไว้เป็นร้อยเท่า

            ผมนั่งปรับตัวกับอากาศหายใจที่ใหม่บนเก้าอี้ตัวยาว สายตามองไปรอบๆ ก็พบเจอแต่ผู้คนมากมาย ไหนจะรถราเต็มไปหมด ‘ที่นี่สินะ ที่ต้องมาอยู่’  มันช่างต่างจากที่ที่ผมจากมาและแน่นอนว่ามันไม่โล่งจมูกเอาซะเลย

            สมุดเล่มเล็กล้วงออกมากางเพื่อดูว่าจะเอายังไงต่อ จุดที่อยู่ตอนนี้เขาเรียกมันว่าหมอชิต และมีนบุรีคือที่ที่ผมจะไป จดตามที่พี่ข้างบ้านบอกไว้คือผมต้องต่อรถเมล์สาย 96 แต่มันต้องไปขึ้นตรงไหนนี่สิ

            “ขอโทษนะครับ ป้ายรถเมล์ไปทางไหนครับ” ผมถามกับพี่ที่ใส่ชุดคล้ายทหารแต่เรียกอะไรก็ไม่รู้หรอกนะ ดูแล้วน่าเชื่อถือที่สุด และเพื่อความปลอดภัยผมจะพยายามไม่คุยกับคนแปลกหน้าเด็ดขาด แม่บอกไว้ว่ามันอันตราย และคนกรุงก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ แถวบ้านผมเขาว่ากันอย่างนั้น

            “ออกไปแล้วเลี้ยวขวานะน้อง เดินตรงไปมองสูงๆ มันจะมีป้ายชี้บอกทางไปอู่รถเมล์อยู่” พี่คนนี้บอกผมพร้อมกับชี้ๆ มือให้ผมมองตาม

            ผมพยักหน้านิดหน่อยแล้วกล่าวขอบคุณด้วยมารยาทที่แม่พร่ำสอนมาดี ถึงแม้จะเพิ่งมาสอน แต่นั่นก็เพราะว่าแกห่วง เกิดผมไปโผงผางใส่ใคร ภัยจะมาถึงตัวเอา

            นึกถึงตอนที่ตัดสินใจมานั่นเป็นช่วงเวลาที่หดหู่ที่สุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมต้องเดินทาง แต่เพราะบ้านเราต้องเจอกับมรสุมครั้งใหญ่ น้ำท่วมฉับพลันทั้งๆ ที่จังหวัดของเราอยู่ทางตอนเหนือ การอยู่ที่สูงและมีภูเขาล้อมรอบมันไม่ได้ปลอดภัยกับที่นาของเราเลยแม้แต่น้อย ข้าวทุกเมล็ดจมหายอยู่ใต้ผืนน้ำและเมื่อมันลดลงภาพที่เราได้เห็นคือเศษซากปวกเปียกของรากรวงเน่าเละอยู่ใต้โคลนตม รายได้ที่พอจะเยียวยาเราได้ในแต่ละปีสูญสลายไปต่อหน้าต่อตานั่นทำให้เราไม่มีทางเลือกมากนัก หากจะหว่านกล้าขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่ฤดูกาลที่ควรทำ และเราไม่มีพันธุข้าวที่เพียงพอ แค่ต้องเอามาสีไว้ใช้กินอยู่ก็แทบไม่เหลือแล้วในสถานการณ์แบบนี้

            การกู้หนี้ยืมสินก้อนใหญ่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่บ้านเราจะทำ นั่นเพราะรู้ดีว่ากำลังในการหาเงินของเรามีมากน้อยแค่ไหน กินใช้เท่าที่มีก็สบายใจดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่มีนี่สิ จะเอายังไงต่อ

            ผมตัดสินใจคุยกับแม่เพื่อจะเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ วุฒิม.6 อาจจะมีข้อจำกัดในด้านค่าแรงและเนื้องาน แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่ม ผมพยายามปรึกษาทุกคนที่เคยมาที่นี่แล้วอุ้มเงินหอบทองกลับไป พวกเขาทำงานอะไรกินอยู่แบบไหนผมศึกษามาเป็นอย่างดี

            “ค่อยๆ เฮ็ดไปมันกะบ่เป็นหยังดอกลูก อย่าไปสา” (ค่อยๆ ทำไปก็ไม่เป็นไรนี่ลูก อย่าไปเลย) คำพูดของแม่ที่บอกผมและผมรู้ดีว่าท่านคงเป็นห่วง แต่การอยู่ตรงนี้มันไม่ค่อยจะมีประโยชน์แล้ว หาเงินทางเดียวใช้จ่ายตั้งกี่ปากท้อง ทำยังไงมันถึงจะพอ ไม่มีทาง

            “ไปบ่โดนดอกแม่ คั่นมันพอมีพอใซ้จ่อยกะเมือแล้ว อยู่บ่เฮิงดอก” (ไปไม่นานหรอกครับ ถ้าพอมีพอใช้เมื่อไหร่จ่อยจะรีบกลับ อยู่ไม่นานหรอก) ผมเองก็ไม่เคยห่างจากอ้อมอกแม่เหมือนกัน ถึงแม้ในใจจะกลัวกับการต้องฉายเดี่ยวในเมืองใหญ่ แต่ผมว่าผมอยู่ได้ และผมมักจะเชื่อในการตัดสินใจของตัวเองเสมอ

            “ไปแล้วสิไปอยู่ไปกินจั่งได๋ บ่ฮู้จักไผ๋จักคน” (ไปแล้วจะอยู่จะกินยังไง ไม่มีใครที่รู้จักสักคน) แม่พยายามยื้ออย่างถึงที่สุดผมรู้ดีว่าท่านห่วงเรื่องอะไร “ถืกหลอกขึ้นมาเป็นหยังขึ้นมาไผ๋สิซ้อย” (ถูกหลอกหรือเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วย)

            “บ่มีไผ๋กล้าเฮ็ดหยังจ่อยดอก แม่อย่าคึดหลาย จ่อยสิโทรหาดุๆ ฮอดละสิบอก ได้งานกะสิโทรบอก บ่ต้องห่วงเด้อ” (ไม่มีใครกล้าทำอะไรจ่อยหรอก แม่อย่าคิดมาก จ่อยจะโทรมาหาบ่อยๆ ถึงแล้วจะบอก ได้งานแล้วจะรีบบอก ไม่ต้องห่วงนะ) ผมกอดแม่แน่นที่สุดเท่าที่เคยจำความได้ อ้อมกอดนี้คงอีกนานกว่าจะได้สัมผัสกันอีก ผมคงคิดถึงน่าดู

            “อันนี้เอาติดโตไปเด้อ แม่มีส่ำนี้ พอให้สร้างโตได้อยู่ดอก อย่างน้อยกะหาบ่อนอยู่บ่อนนอนซะก่อน” (อันนี้เอาติดตัวไว้ แม่มีแค่นี้ พอสร้างตัวได้อยู่หรอก อย่างน้อยก็หาที่อยูที่นอนไปก่อน) เงินจำนวนหนึ่งถูกเก็บในกระเป๋าผ้าลายไทยรูดซิปอย่างดีหย่อนลงในมือผม ผมรู้ดีว่าคงเป็นก้อนสุดท้ายที่แม่พยายามรวบรวมมา ดีไม่ดีอาจจะหยิบยืมนิดหน่อยจากญาติๆ ด้วย

            “เก็บไว้ให้เจ้าของอยู่บ่” (เก็บไว้ให้ตัวเองบ้างรึเปล่า) ผมถามกลับเมื่อน้ำหนักของเงินในกระเป๋าค่อนข้างเยอะพอสมควร “ให้มาเมิดแล้วแม่สิเอาหยังกิน”

            “แม่มี ผักในสวนที่มันบ่ได้เสียหายกะมี บ่ต้องห่วงดอก อยู่พิ้มีหยังกะปันกันอยู่แล้ว ข้าเจ้าบ่ให้แม่อึดอยากดอก” (แม่มี ผักในสวนก็ไม่ได้เสียหาย ไม่ต้องห่วงหรอก อยู่ที่นี่มีอะไรก็แบ่งปันกันอยู่แล้ว เขาไม่ปล่อยให้แม่อดตายหรอก) แม่บอกกับผมด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตาความพยายามไม่ให้ผมห่วงนั่นยิ่งทำให้ผมห่วง แต่ถ้าขืนให้เวลาเนิ่นนานกว่านี้ผมคงไม่ต้องไปไหน

            การร่ำลาครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นรถมันไม่มากพอที่จะยืดเยื้อ มองจากหน้าต่างผมยังเห็นแม่และน้องสาวโบกมือหยอยๆ ให้แต่คงไม่กล้าตะโกนบ๊าย บายรบกวนคนอื่นๆ และภาพสุดท้ายก่อนที่รถจะโค้งออกจาก บขส.ไปทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะหาเงินกลับไปให้ได้มากที่สุด และเจ้าตัวเล็กจะต้องไม่หยุดการศึกษาแค่ม.6แบบผม

            รถเมล์สาย 96เคลื่อนออกจากอู่มาได้สักระยะ ค่าโดยสาร 9บาทถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าผ้าลายไทยก่อนจะหย่อนลงไปในเป้ตามเดิมและมันก็เหมือนกับที่พี่ข้างบ้านบอกผมอีกแล้ว ถัดมาไม่กี่ป้ายเท่านั้นแหละ คนอย่างกะหนอน ผมนั่งถอนใจมองออกไปนอกหน้าต่าง ความแออัดที่บ้านผมมันไม่เคยมี แต่อยู่ที่นี่แค่ไม่ถึงชั่วโมงยังทำให้ผมรู้สึกสูญเสียอิสระไปมากจนแทบอยากจะกลับบ้านไปซะเดี๋ยวนี้

            “นั่งนี่ก็ได้ครับ” ผมลุกขึ้นพูดเบาๆ ให้กับคุณยายที่เพิ่งก้าวขึ้นมา ยืนพิจารณาอยู่พักนึงก็เริ่มรู้สึกปลงอีก คุณยายผมขาวแทบจะไม่เหลือสีดำให้ขึ้นแซมแล้วแต่กลับต้องวิ่งตามรถที่จอดไม่เคยตรงเลยสักป้ายเท่าที่ผมสังเกต ไหนจะผู้คนที่เบียดเสียดขนาดนี้ เชื่อเลย คุณยายต้องช่ำชองมากกว่าผม

            ความรู้สึกที่มีคนยุกยิกอยู่ข้างตัวตลอดเวลามันทำให้ผมไม่ชอบ คนนี้ลงคนนั้นขึ้นทำให้เป้ที่อยู่ข้างหลังผมปัดซ้ายปัดขวาไปมาไม่หยุด รู้สึกเหมือนมันจะหลุดออกจากบ่าให้ได้ เหมือนมีใครวุ่นวายกับของในเป้อยู่ตลอด แล้วไอ้ที่ว่า ชิดในหน่อยค่า อย่ายืนขวางประตูค่า ก้าวค่ะก้าว เร็วหน่อยค่ะ นั่นมันจะอะไรนักหนา ชีวิตคนเรามันต้องเร่งรีบขนาดนั้นเลยรึไง ยังไม่นับน้ำเสียงที่ตะโกนโวยวายของคนขับนะ ปวดหู

            ผมก้าวลงเมื่อมาถึงตลาดแห่งหนึ่ง กระเป๋ารถเมล์บอกว่าสุดสายทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือมีนบุรีแล้ว อาจเพราะเป็นช่วงบ่ายของวันที่ตลาดเลยยังเงียบๆ อยู่ ผมเห็นหลายร้านกำลังตั้งโต๊ะจัดวางเรียงของ และท้องของผมมันเริ่มประท้วงว่าหิว สอดส่ายสายตาไปมาหาร้านข้าวก็เจออยู่ที่หนึ่งน่าสนใจ ผมขยับเป้ให้เข้าที่เข้าทางใหม่แล้วเดินตรงไปที่ร้านนั้นเพื่อจัดการกับมื้อแรกของกทม.

            40,50,60,80,120 สาบานว่านี่คือค่าอาหารหนึ่งมื้อ คนที่นี่เขากินอยู่ไปได้ยังไงผมล่ะเสียดายแทนจริงๆ หรือมันจะมีที่ถูกกว่าแต่ว่ายังไม่เจอแหล่ง

            “ข้าวกะเพราหมูสับครับ” ผมเลือกที่จะสั่งอะไรง่ายๆ และแน่นอนว่าไม่เพิ่มไข่ดาวอยู่แล้ว เอาจริงๆ ผมยังไม่ได้นับเงินที่แม่ติดกระเป๋ามาให้ และคิดว่าคงจะต้องเอาออกมาคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดีก่อน เพราะถ้าหากราคาค่าข้าวยังเท่านี้ วันหนึ่งก็ประมาณ 2มื้อ 1เดือนจะเท่าไหร่ งานก็ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สมัครเลยด้วยซ้ำพูดง่ายๆ แต่เรื่องที่นอนโชคดีที่ไม่น่าห่วง พี่ข้างบ้านที่เขาเคยมาอยู่บอกผมไว้หมดแล้ว แค่เดินไปสุดซอยข้างตลาดจะมีห้องพักเล็กๆ ราคาถูกสำหรับพวกคนงาน ถ้าห้องเปล่าก็ 1,500 ถ้ามีเฟอร์นิเจอร์ก็ 2,200 และผมก็คงเลือกอย่างหลังนั่นแหละ นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย จะหาซื้อเองก็คงหมดเยอะน่าดู แค่ราคาข้าวก็ท้อแล้ว อย่างน้อยมีเตียงมีที่นอนพัดลมเพดานก็ยังพอจ่ายไหว

            “เก็บเงินด้วยครับ” ผมตะโกนเรียกใครสักคนหลังจากจัดการกับเจ้ากะเพราจนอิ่ม พนักงานหน้าบอกบุญไม่รับยืนล้วงกระเป๋ารอหลังจากบอกจำนวนที่ผมต้องจ่าย

            ผมรูดซิปล้วงมือเข้าไปในช่องเดิมที่เคยใส่กระเป๋าเงินของแม่ไว้ในนั้นแล้วหยุดชะงักทันที ไม่ใช่แค่มือ แต่หัวใจของผมมันเหมือนจะหยุดเต้นไปด้วย

ไม่มี...

            กระเป๋าบนเก้าอี้ข้างตัวถูกอุ้มมาวางบนหน้าตักอย่างร้อนรนซิปทุกช่องถูกเปิดรื้อค้นไม่สนใจเสื้อผ้าตัวไหนจะล่วงออกจากกระเป๋า หรือแม้แต่สายตาของพนักงานที่ยืนรอรับเงินอยู่ข้างโต๊ะ

            “ก็เก็บไว้ช่องนี้นี่หว่า” ผมพยายามล้วงช้าๆ เพื่อกวาดหาว่าอาจจะไปหลบอยู่ซอกมุมไหน ทันทีที่สอดมือเข้าไปกลับพบว่ามีรอยอะไรที่ทำให้ผมแทบช็อค

            ลากยาวคล้ายรอยมีดมันไม่ใช่แค่กระเป๋าแต่เหมือนรอยนั้นมันได้กรีดหัวใจผมไปด้วย ผมรู้ได้ทันที ไอ้ที่ขยุกขยิกแถวๆเป้บนรถเมล์ตอนนั้นมันไม่ใช่แค่การเบียด

            “หาเจอมะคะ อย่าเล่มุกาเป๋าหานะ” พนักงานถามเรียกสติผมที่นิ่งไม่รับรู้อะไรให้กลับมาเผชิญกับเหตุการณ์ตรงหน้า เล่นมุขบ้าอะไร เรื่องแบบนี้ใครจะไปขำออก “เจ้ มีโคจาช้าด่า”

            ผมไม่ได้จะชักดาบ ไม่เคยมีนิสัยแบบนั้นติดตัวมาเลยด้วย แต่ตอนนี้ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างตาโต มันคงเลิ่กลั่กเต็มทีถ้าหากมีคนอื่นมองมา

            “ไงน้อง จะจ่ายไม่จ่าย ข้าวแค่สี่สิบอย่ามายึกยักเสียเวลา ไม่งั้นก็ไปหาตำรวจ” คนที่ถูกเรียกว่าเจ้มองมาทางผมแล้วตะโกนจนสุดเสียง ผู้คนทั้งร้านต่างหันมาสบตาที่หวาดกลัวของผมกันหมด

จะทำยังไงดี ผมจะทำยังไงดี...

            “คิดรวมกับผมก็ได้ครับ” เสียงแหลมๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง เขาทำท่าเหมือนจะล้วงกระเป๋าจากด้านหลังแล้วถามพนักงานพูดไม่ชัดนั่นอีกที “เท่าไหร่ครับ ทั้งหมด”

            “เอ่อ มะ ไม่ต้องก็ได้ครับ” ผมพูดออกไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าถ้าเขาไม่จ่ายแล้วผมจะเอาไงต่อ

            “โดนกรีดกระเป๋ามานี่ แค่นี้ก็ซวยพอแล้ว” เขามองหน้าผมก่อนตอบออกมาอย่างรู้สถานการณ์ พระเจ้า เขาเป็นคนเดียวที่เห็นใจผม

            “มีเงินกลับบ้านรึเปล่าล่ะ เอาที่เราไปก่อนได้นะ” แบงก์สีแดงนั่นถูกนับอยู่ 2-3ใบก่อนจะยื่นให้ผม “พอมั้ย บ้านอยู่ไกลรึเปล่า”

            “มะ ไม่ไกลครับ ผมเดินกลับก็ได้” ผมเอามือลูบหัวแล้วโค้งลง 2-3ที

           “โชคร้ายหน่อยนะ จะไปไหนมาไหนก็ระวังด้วย”

            ไม่รู้ว่าเขาคนนี้เป็นใคร แต่ถ้าจะบอกว่ามีเทวดาคอยคุ้มครองผม ก็เห็นจะไม่ผิด รูปร่างสูง ผิวพรรณขาวดูแล้วน่าจะเป็นลูกผู้ดี แต่ถ้าใช่ ทำไมถึงมากินข้าวข้างทางแบบนี้ได้ล่ะ

           ผมอุ้มกระเป๋าเป้ไว้ข้างหน้าเพราะกลัวว่าจะโดนโจรมากรีดอีก โอเค มันอาจจะเหมือนวัวหายแล้วล้อมคอก แต่ความระแวงมันก็มีจนล้นหัวไปหมด ทั้งๆ ที่ในกระเป๋าก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ขโมยแล้ว

           เดินก้าวตามฉับๆ ข้างหลังผู้มีพระคุณไปจนถึงลานจอดรถข้างตลาด ในใจคิดว่าคงเป็นสีขาวที่หรูๆ คันนั้น มันเหมาะกับเขามากเลย แต่เปล่า จักรยานขนาดพอดีตัวที่เขาขึ้นคร่อมมันล้างจินตนาการของผมแทบไม่ทัน

          “ขอบคุณมากนะครับ” ผมกล่าวออกไปเมื่อเขาหันล้อรถมาทางนี้ “เมื่อกี้ในร้านยังไม่มีโอกาสได้บอก ขอบคุณคุณมากๆ เลยนะครับ”

           เขาส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้ผมพร้อมโชว์ฟันจนน่าจะครบ 32 ทรงผมคล้ายๆ เห็ดนั่นถ้าผมตัดคงตลกไม่น้อย แต่มันกลับเข้ากับเขาเอามากๆ คนอะไรทำไมถึงดูดีได้ขนาดนี้กันนะ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยดอกไม้หรือไง

          “เลิกเอาแต่จ้องหน้าเราได้แล้ว ขึ้นมาสิ บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวเราไปส่ง”

          “บ้าน...” นั่นสิ จากนี้ผมจะไปอยู่ที่ไหน เงินก้อนสุดท้ายที่แม่ให้ก็ไม่อยู่แล้ว

           ผมยืนมองที่เบาะท้ายของรถจักรยานแต่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ทำให้ตาผมชื้นๆ จนเลือกที่จะหลับมันลง

          “เป็นอะไรรึเปล่า” เขาถามผมเพราะคงเห็นว่านิ่งไป ผมทิ้งท้ายให้เขาแค่คำว่าบ้าน แต่ตอนนี้บ้านที่ผมมีมันอยู่ที่สกลนคร ถ้าต้องซ้อนท้ายไปถึงนั่นผมว่าเขาคงจะเหนื่อยน่าดู

          “เดินไปท้ายตลาดนี่เองครับ ไม่ต้องไปส่งผมหรอก แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มออกไปให้ดูธรรมชาติมากที่สุดในการโกหก คุณเขาไม่น่ามาเจอกับความแปดเปื้อนแบบนี้เลย อย่างคุณเขาน่าจะเจอคนดีๆ ที่จริงใจ ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะ

          “ก็ตามใจ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ถีบจักรยานผ่านหน้าผมไปเลย ผมลอบมองเส้นทางที่เขาไปแล้วไม่รู้ทำไมผมถึงได้เดินตามรอยล้อนั่น

 

[จิม]

          ผมกลับมาถึงบ้านก็นึกทบทวนกับเรื่องที่เพิ่งได้เจอมา ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องโชคร้าย ถ้าเราเดินอยู่ดีแล้วมีคนมาขโมยของ มันเป็นอะไรที่เราไม่ทันได้ระวังตัว ไม่แปลกที่ผมจะเห็นท่าทางที่นิ่งไปคล้ายกับจะร้องไห้ของผู้ชายคนนั้น ผมปั่นจักรยานหนีเขาออกมาเพราะคิดว่าไม่สมควรที่จะไล่เรียงต่อ พอถามถึงบ้านสีหน้าเขาก็เปลี่ยน คงเพราะยังไม่กล้ากลับบ้านกลัวว่าจะโดนแม่ดุแน่ๆ เลย

            “พี่แจ็คครับ” ผมเคาะประตูห้องพี่ชายแล้วส่งเสียงเรียก ไม่นานมันก็ถูกเปิดออกและต้อนรับให้ผมเข้าไปอย่างง่ายดาย

            “มีอะไร พี่กำลังยุ่ง” วันนี้พี่ของผมไม่ได้เข้าบริษัท แต่ก็ไม่วายหอบงานกลับมาทำที่บ้านอยู่ดี

            “เมื่อกี้ผมไปเจอผู้ชายคนนึง เขาโดนกรีดกระเป๋าแล้วเงินก็หายหมดเลย น่าสงสารนะครับ” ผมนั่งลงบนโซฟาแล้วเล่าให้พี่ฟัง “กว่าจะรู้ตัวคนร้ายก็หายไปไหนต่อไหนแล้ว”

           “นั่นแหละพี่ถึงบอกให้ระวังตัว” พี่ชายผมยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ “แล้วเราไปเจอเค้าได้ไง”

          “เค้ากินข้าวร้านเดียวกับผม กินเสร็จถึงรู้ว่าไม่มีตังค์แล้วกระเป๋าโดนกรีด”
 
          “แล้วเราก็จ่ายค่าข้าวให้เค้า พี่พูดถูกมั้ย”

         “ถูกครับ”

         “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปใจดีกับใครให้มันมาก” พี่แจ็ควางปากกาในมือลงก่อนจะเงยหน้ามองมาที่ผมด้วยสายตาดุๆ “นั่นก็อาจเป็นพวกมิจฉาชีพอีกรูปแบบนึงก็ได้ ทำไมไม่รู้จักฟังพี่บ้างเลย”

         “แต่เค้าโดนมาจริงๆ นะครับ”

         “รู้ได้ไง” พี่แจ็คเหมือนจะไม่รอให้ผมได้อธิบายเลย “มันอาจจะมาหลอกกินข้าวฟรีที่ร้านก็ได้ใครจะรู้ แกล้งกรีดกระเป๋าตัวเองไว้ก่อนแล้วอาศัยความขี้สงสารจากคนอย่างนาย ทริคง่ายๆ แค่นี้ทำไมยังมองไม่ออก”

          “พี่มองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว” ทำไมถึงเป็นใจร้ายขนาดนี้ก็ไม่รู้สิพี่ชายผมนี่นะ

         “ให้เงินเค้าไปอีกเท่าไหร่ล่ะ” เรื่องรู้ทันขอให้ไว้ใจพี่แจ็คได้เลย

         “ผมจะให้แต่เค้าไม่เอา” ผมบอกไปตามความจริง “เห็นมั้ย เค้าไม่ได้จะมาหาผลประโยชน์กับผมสักหน่อย”

         “ความใจดีของนาย สักวันจะนำภัยมาถึงตัว จำไว้แล้วอย่ามาหาว่าพี่ไม่เตือน”

         “แต่แม่บอกว่าถ้าเราตั้งใจทำดี ก็จะมีแต่เรื่องดีๆ ตามมา พี่น่ะ น่าจะเข้าวัดบ้าง จะได้เลิกมองโลกในแง่ร้ายสักที อยากฝึกนั่งสมาธิเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”

          ผมเดินยู่หน้าออกมาจากห้องสีดำมืดๆ นั่นไม่พูดอะไรต่อ คนบ้าอะไรแม้แต่บรรยากาศในห้องก็เทาไปหมด ไม่รู้จักหาแสงสว่างในชีวิตให้ตัวเองบ้างเลย ว่าแต่...

 

ป่านนี้เด็กนั่นจะกล้ากลับบ้านรึยังนะ

#ห้องลับบักจ่อย
TBC


Hello

เปิดตัวน้องจ่อยแล้ว เป็นยังไงกันบ้าง ฝากทุกคนร่วมเม้นท์ เป็นกำลังใจกับเรื่องใหม่ให้เราหน่อยน้าา สามารถติดแท็กในทวิตเตอร์ได้ ใช้ชื่อเรื่องเลย

ว่าแต่... น้องจะทำยังไงต่อไปดีนะ เงินก็ไม่มีสักบาท พี่คนไหนอยู่ใกล้มีนบุรีไปช่วยน้องหน่อยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 01:51:13 โดย พิชา(ไรท์ขายหวย) »

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย
«ตอบ #2 เมื่อ25-01-2019 14:37:42 »

       ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมเดินอย่างอ่อนแรงมาจนสุดขอบถนน จักรยานคันนั้นผ่านตาผมไปไกลแล้วนั่นทำให้ผมไม่มีจุดหมายที่จะเดินต่อ ข้างหน้านั่นมันไม่ใช่แค่ช่องแคบๆ เหมือนทางลูกรังสีแดงๆ แถวบ้าน แต่มันเป็นถนนกว้างใหญ่มีรถวิ่งสวนกันเต็มไปหมด
       ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้างโลตัส จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จเพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ผมจะได้เข้าอีกทีที่ไหน เมื่อไหร่

 Rrrrrrr
 
       สัมผัสได้ว่ามีอะไรสั่นอยู่ในกางเกง โชคดีที่สอดมันไว้ในกระเป๋าด้านหน้า มันถึงได้ยังอยู่อย่างปลอดภัย และมันคงเป็นของมีค่าชิ้นเดียวที่ยังเหลือ

       [ฮอดละบ่หำ แม่ถ่าอยู่เด้อ คือเงียบแท้] (ถึงรึยังลูก แม่รออยู่นะ ทำไมเงียบไปเลย)

 "ขอโทดเด้อแม่ จั๊กหยังเป็นหยังกะเลยบ่ทันได้โทรหา แต่ฮอดแล้วล่ะ แม่บ่ต้องห่วง" (ขอโทษนะแม่ วุ่นวายไปหมดก็เลยยังไม่ได้โทรบอก แต่ถึงแล้วแม่ไม่ต้องห่วงนะ)

       [ฮอดไส ฮอดที่พักน่ะบ่ ละมันเป็นแนวได๋ อยู่ได้อยู่บ่ลูก อยู่บ่ได้กะฟ้าวเมือเด้อ] (ถึงไหน ถึงที่พักหรอ แล้วเป็นยังไงอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ไม่ได้ก็รีบกลับมาบ้านนะลูก)

"..... อยู่ได้จ้ะแม่ ห้องกว้าง นอนสามสี่คนกะเหลือ ของกินกะหลาย ยังบ่ได้กินคบอยู่กะสิให้เมือล่ะบ่ ฮ่าๆๆ" (อยู่ได้ครับแม่ ห้องกว้างนอนได้ตั้ง 3-4คน ของกินก็เยอะ ยังกินไม่หมดทุกอย่างก็จะให้กลับแล้วหรอ)

       [แซบส่ำแม่เฮ็ดอยู่บ้อ บ่แม่นเห็นแต่ของกินล่ะลืมฝีมือแม่เด้อ] (อร่อยเท่าแม่ทำรึเปล่า ไม่ใช่เห็นแก่ของอร่อยๆ แล้วลืมฝีมือแม่นะ)

"บ่ส่ำแม่เฮ็ดดอก ของแม่ฮั่นแซบที่สุดแล้ว ถ่อนี้ก่อนเด้อแม่ เฮ็ดหยังแล้วจั่งเว้ากันใหม่" (ไม่เท่าที่แม่ทำหรอก ฝีมือแม่อร่อยที่สุดแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ ทำอะไรให้เสร็จก่อนค่อยคุยกันใหม่)

       [พักผ่อนเด้อลูก ฟ้าวจัดฟ้าวหยังให้แล้วจั่งโทรหาแม่มื้อหน่ากะได้] (รีบจัดข้าวของทุกอย่างให้เสร็จแล้วพักผ่อนนะลูก ค่อยโทรหาแม่วันหน้าก็ได้)

"ครับ....คิดฮอดแม่กับน้องเด้อ" (ครับ....คิดถึงแม่กับน้องนะ)

...ติ้ด...

 
       ผมรีบกดวางสายไปเพราะมันกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าแม่รู้ว่ามาที่นี้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างท่านคงเป็นห่วงจนต้องหาทางมาหาผม ยิ่งฝืนคุยนานกว่านี้ท่านอาจจะจับน้ำเสียงผมก็ได้ว่ามันกำลังข่มไม่ให้สะอึกสะอื้นอยู่ เงินทองที่ให้ผมนั่นอาจจะเป็นส่วนที่แม่เก็บมาทั้งชีวิต อาจจะแบ่งไว้สำหรับค่าขนมน้องไปโรงเรียนนิดหน่อย ในขณะที่ผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะรักษาไว้สักบาท
       เรื่องยอมอดให้ลูกอิ่มผมเพิ่งเข้าใจดีก็วันนี้ และเหมือนมันจะเตือนให้ผมนั่งท้อนั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมจะแพ้ตั้งแต่เพิ่งมาถึงไม่ได้

 
       ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงไฟข้างถนนที่คอยส่อง กรุงเทพมหานครไม่มีดาวสักดวง ไม่เหมือนที่บ้านผมเลย พระจันทร์ก็เล็กนิดเดียว แถมตึกตรงนั้นยังบังอีกต่างหาก ผมอุตส่าห์แหงนคอมองเผื่อว่าเจ้าตัวเล็กที่บ้านจะกำลังมองดูอยู่เหมือนกัน
คิดถึงจังเลยน้า น้องสาวผมน่ะ

       ค่ำคืนที่นี่ก็ถือว่าไม่แย่ ยังพอมีลมโชยอ่อนๆ พี่ข้างบ้านผมเคยเล่าให้ฟังว่า กรุงเทพฯ ร้อนสุดๆ ซึ่งผมว่ามันก็จริง ขนาดผมดำนาแตกแดดทั้งวันยังไม่ทรมานเท่านี้เลย หรืออาจจะเพราะผมเดินไปร้องไห้ไปก็ไม่รู้นะ ร่างกายมันถึงได้เพลียจนแทบหมดแรง

       ผมนั่งลงตรงที่ที่มีแสงไฟส่องสว่าง ข้างๆ มีตู้ATMสีม่วงกับเขียวอยู่ติดกัน จะว่าไปยุงมันก็เยอะนิดหน่อย แต่ผมก็เดินไปไหนไม่ไหวแล้ว มันไม่มีจุดหมายปลายทาง และไม่รู้ซ้ำว่ามาไกลจากตลาดมีนบุรีมากแค่ไหน

       ผมไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกเพราะกลัวแบตจะหมด ถ้าแม่โทรมาแล้วผมไม่สามารถรับสายได้จะยิ่งกังวลใหญ่

       นั่งถอนใจอยู่หน้า 7-11 แต่ก็ไม่ได้ขวางทางเข้าออกหรอกครับ ผมเลือกที่จะกอดกระเป๋าพิงตัวอยู่ข้างตู้กดเงินริมๆ สุดเพราะมันสบายกว่า สายตาของผมมันเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากร่างกาย เจ้าหมาสีมอมแมมนอนมองผมที่กำลังจะปิดตาลง ผมคงต้องทิ้งตัวเองไว้ที่นี่แล้วสิ
ฝากตัวด้วยนะ เจ้าถิ่น



       "น้องจิม เอาโจ๊กร้อนๆ ไปกินมั้ยลูก"

       "ขอบคุณนะครับป้าพร แต่วันนี้ผมทำข้าวต้มกุ้งเต็มหม้อเลย ไว้วันหน้านะครับ"

       "ดีจังเลยน้า เด็กสมัยนี้จะมีสักกี่คนตื่นแต่เช้าทำกับข้าวใส่บาตร ภูมิใจแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่"
       ผมได้ยินเสียงแว่วๆ ก้องเข้ามาในหู ตาของผมมันยังลืมขึ้นได้ไม่เต็มที่ อาจเพราะแสงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้ามาตรงหน้า ยังรู้สึกชาๆ ที่ขาพอหลี่ตาดูถึงรู้ว่าเจ้าสีมอมแมมมันหนุนผมแทนหมอน
       ขยับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าอยู่หลายวินาทีสายตาผมก็โฟกัสไปที่รอยยิ้มมีเสน่ห์ แม้จะเป็นมุมข้างแต่ก็จำได้ขึ้นใจ เสื้อสีขาวกางเกงดำเหมือนเมื่อวานและจักรยานคันนั้น
คุณเทวดา...

       ผมรีบยกกระเป๋าปิดหน้าเมื่อเขากำลังจะหันกลับมาทางนี้ บทสนทนาที่ปลุกผมเป็นเสียงของแม่ค้ารถเข็นที่ไม่รู้มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ทำให้ผมรู้สึกอายขึ้นมาทันที
       ผมนั่งหลับอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน มันไม่ค่อยมีคนเลยไม่กังวลเท่าไหร่ แต่ดูตอนนี้สิ ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด
นี่ผมเผลอกรนไปบ้างรึเปล่านะ

       เจ้าสีมอมแมมจ้องผมอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินไปทักทายบรรดาแม่ค้าที่มันคงคุ้นเคยดี มองลอดกระเป๋าไปเห็นหมูปิ้งกลิ่นหอมรูดออกจากไม้วางบนถาดเก่าๆ ผมว่ามันหมามันต้องกำลังเยาะเย้ยผมแน่ให้ตายสิ ผมบ่นกับมันว่าหิวอยู่เมื่อคืน
       "ไปก่อนนะครับ ต้องไปเรียนแล้ว" เสียงคุณเทวดาร่ำลาแม่ค้าหรือแม่ยกก็ไม่รู้ ดูท่าจะเอ็นดูอุ้มโอ๋ยิ่งกว่าพระเอกหมอลำแถวบ้านผม แล้วแซนวิชที่ถือจะเดินผ่านผมนั่นน่ะ เห็นนะว่าไม่ได้จ่ายตังค์
เอ๊ะ...
หะ...ให้ผมหรอ

       เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าเมื่อเห็นขนมปังตรงกลางมีหมูหยองกับครีมขาวๆ 2ห่อถูกเจ้าของคนใหม่เอามาวางไว้ข้างๆ ตัวผม เจ้าสีมอมแมมเหลือบตามาทำท่าจะแย่ง ผมจึงรีบทิ้งกระเป๋าแล้วคว้าเอาห่อแซนวิชทันที
       "นาย..." นิ้วชี้ขาวเรียวชี้มาที่หน้าผม นึกขึ้นได้จะคว้ากระเป๋ากลับมาบังไว้ที่เดิมก็ไม่ทัน ไม่น่าเลย ไม่น่าเห็นแก่ของกินเลย
เพราะเจ้าหมานี่แท้ๆ
       "เอ่อ... แหะๆ...หวัดดี" ตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ถูก ในใจยังรู้สึกขอบคุณอยู่มากกับค่าข้าวที่เขาออกเงินช่วยจ่าย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังโกหกเรื่องบ้านแล้วทีนี้จะทำยังไง
       "อย่าบอกนะว่าเรื่องโดนกรีดกระเป๋าทำให้นายไม่ยอมกลับบ้านน่ะ" คุณเทวดานั่งยองๆ ลงตรงหน้าผม เสียงแม่ค้าคนหนึ่งลอยมาเตือนเขาว่าอย่าเข้าใกล้คนจรจัด นั่นทำให้น้ำตาผมแทบจะไหลออกมาทันที "ทำไมมานั่งอยู่นี่ บ้านช่องมีทำไมไม่กลับ หรือว่าโดนไล่ออกมา"
       น้ำเสียงของคุณเทวดาไม่มีทีท่าแข็งกร้าวหรือกลัวคำเตือนจากแม่ค้าหนำซ้ำยังออกจะกังวลไปกับเรื่องของผมอีก
       "ผม..."
       "ทำไม มีอะไรก็ว่ามา ที่บ้านนายดุมากหรอหรือยังไง ให้เราไปช่วยพูดให้มั้ย"
       ผมสบตากับคุณเทวดาก่อนที่น้ำใสๆ จะค่อยๆ ไหลอาบแก้ม เขาเป็นใคร ทำไมถึงดีกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้
       "ผม... จริงๆ แล้วผม... ไม่มีบ้าน"

 
       นั่งซ้อนท้ายจักรยานมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ถ้าเทียบกับแถวๆ นี้มันก็ดูไม่ได้ใหญ่มาก ขนาดของพื้นที่ก็คงพอๆ กัน แต่ถ้าเทียบจากถิ่นที่ผมจากมา พวกเราเรียกมันว่า บ้านคนรวย
       ผมเล่าให้คุณจิมฟังทุกเรื่องราวทั้งเหตุผลที่เดินทางมากรุงเทพฯ และสถานการณ์ที่เกิดอย่างไม่โกหกแม้แต่ครึ่งคำ คุณจิมทักถามขึ้นมาบ้างบางจังหวะแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ยังส่งมือขาวนุ่มมายีหัวที่ไม่ได้สระของผมอย่างไม่รังเกียจ ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่ามันเหนียว
       "นายรออยู่นี่ก่อนนะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด นั่งรออยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย" คุณจิมดึงตัวผมมายัดไว้ข้างพุ่มไม้เหมือนต้องการจะซ่อนผมจากใครอยู่ คำพูดที่กำชับหนักแน่นทำให้ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ส่งสายตาโตๆ ให้รู้ว่าเข้าใจและจะไม่ทำให้ผิดหวังในตัวผม
"โอ๊ะๆๆๆ"


[จิม]


       "ทำไมเพิ่งมา จะออกไปใส่บาตรก็ต้องรู้จักเวลากลับด้วยสิ เดี๋ยวก็สายกันหมด" ทันทีที่เดินเข้าบ้านก็โดนแต่เช้า ถึงจะชินเพราะอยู่กับพี่มาทั้งชีวิตแต่ผมก็ได้แต่พูดว่าขอโทษด้วยท่าทีจ๋อยๆ ทั้งชีวิตเหมือนกัน
       "พี่แจ็คไปก่อนเลย ไลน์กลุ่มบอกว่าวันนี้อาจารย์ไม่เข้า จิมจะรอไปตอนบ่ายทีเดียว"
       "ถ้าไม่เข้าแล้วทำไมเพิ่งมาบอก ปกติเค้าก็ต้องรู้ตารางตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรอ" พี่แจ็ควางท่าเหมือนจะไม่เชื่อที่ผมพูด แถมยังโวยอาจารย์ซะยกใหญ่ "ไม่ใช่ขี้เกียจแล้วแอบโดดเรียนเองหรอกนะ ใกล้สอบแล้วอย่าทำตัวเถลไถลสิ"
       "จิมป่าวซะหน่อย หนังสือก็อ่านทุกวัน พี่แจ็คนั่นแหละ จะทำงานก็รีบไปทำสิ นัดประชุมกับลูกค้าไม่ใช่รึไง"
       "พี่รับผิดชอบงานของพี่ได้ ขึ้นไปเอากระเป๋าแล้วออกไปพร้อมกัน"
       "แต่พี่แจ็ค / ไม่มีแต่ ว่างแค่สองสามชั่วโมงก็ไปนั่งรอที่ห้องสมุด หาหนังสือที่มันเป็นประโยชน์กับการสอบของแกอ่านซะ"

       ผมคอตกเดินขึ้นบันไดไปแบบไม่เต็มใจนัก ถ้าไม่เชื่อเรื่องที่อาจารย์ไม่เข้าสอนก็ไม่แปลก เพราะผมโกหกจริงๆ แต่จะทำยังไงกับคนนั่งรออยู่หน้าบ้านล่ะ ป่านนี้ร้อนแย่แล้วมั้ง ขนมปังแค่ 2ชิ้นนั่นจะอิ่มรึเปล่า น้ำก็ไม่ได้ซื้อไว้ให้ ปกติผมไม่ได้เป็นคนเกเรเลยนะ แต่วันนี้มันมีเหตุผลที่ต้องทำนี่

       JIMMA: พี่บอมช่วยจิมหน่อยครับ

      JIMMA: เช้านี้ไม่มีคาบเรียนแต่พี่แจ็คบังคับจะให้จิมไปมหาลัยให้ได้เลย

      JIMMA: เมื่อคืนอ่านหนังสือดึกมาก จะได้พักทั้งทีแต่พี่แจ็คก็ไม่ยอม

      JIMMA: T___T

      จะBOMบ้านมึง: เดี๋ยวป๋าจัดการให้น้องรัก

 
       รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พี่บอมปกติก็เป็นหัวโจกเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องขัดใจพี่แจ็คยิ่งงานถนัด
       "อย่าออกไปสายนะ สิบเอ็ดโมงให้ถึงมหาลัยล่ะ เดี๋ยวพี่จะโทรไปเช็ค"
ได้ผล...
       
       ไม่รู้พี่บอมใช้มุกอะไรแต่ผมเห็นรถพี่แจ็คเคลื่อนออกจากบ้านไปไกลแล้ว ถ้าไม่ได้หยุดที่หน้าประตูนานๆ นั่นแสดงว่าพี่แจ็คไม่ได้เจอจ่อย
       "เฮ้ย ทำไมตัวแดงงั้นอะ" ผมรีบออกมาหาจ่อยตามความตั้งใจเดิม แต่ภาพที่เห็นคือตุ่มผื่นแดงทั้งตัว มือก็ลูบเกาขยุกขยิกไม่หยุด
       "มดครับ ต้นไม้มันมีมด" เงยหน้าที่มีตัวเล็กๆ ไต่อยู่เต็มขึ้นมาตอบผม
       "แล้วทำไมไม่ออกมา รู้ว่ามีมดยังจะนั่งอยู่ทำไม"
       "ก็คุณจิมบอกให้อยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน ผมก็เลย..." โธ่... ผมรีบดึงร่างผอมๆ ออกมาจากพุ่มไม้ ปัดเจ้าตัวที่วิ่งสวนกันไปมาบนตัวออก แต่นั่งทับรังมันขนาดนี้ทนอยู่ได้ยังไงนะ ก็รู้ว่าซื่อ เพราะดูจากที่ได้พูดคุยหรือแม้แต่ตอนที่ขี่จักรยานมาด้วยกัน พอบอกให้จับดีๆ ก็ยกแขนมาล็อกเอวผมเอาไว้แน่น แต่ขอเถอะ มันใช่เรื่องไหม
       "เข้ามาเร็ว เปลี่ยนชุดออกก่อน เผื่อมันอยู่ในผ้า" ผมหันไปบอกแต่คนที่พูดด้วยอยู่ตอนนี้กลับยืนมองบ้านผมตาโต เหมือนพยายามสำรวจไปรอบๆ ถ้าจะคิดว่าดูลาดเลามันก็คิดได้ แต่ถ้าใครมาเห็นปากที่อ้าหวอ ส่งเสียงอู้วหูว กับตาเท่าไข่ห่านก็คงคิดร้ายไม่ลง "ไม่คันแล้วรึไง"
       "คันครับ" คนบ้าอะไรลืมคันไปชั่วขณะ ผมยืนยิ้มให้กับท่าทีเหมือนเด็กมาทัศนะศึกษา สายตาก็มองไปเรื่อยอย่างตื่นตาตื่นใจ ขาก็ก้าวออกไปไม่มองทาง "บ้านผมมีแค่จากตรงนี้ ยาววววววไปถึงตรงนั้นแล้วก็นี่ แค่นี้เองครับ"
       เจ้าผอมนี่ชี้มือลากให้ผมเห็นภาพตามที่เขาอยากจะบอก แต่ว่าบ้านที่อยู่กันสามคน ไม่เล็กไปหน่อยหรอ บ้านหลังนี้ก็อยู่สามคน ดูใหญ่โตไปเลยแหะ แต่ไว้ก่อนเถอะ "ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ล้างหน้าล้างตาอาบน้ำจะได้มาทายา"
       "ครับ" ตอบแต่ไม่ใส่มองผมสักนิด ภาพที่แขวนอยู่บนพนังนั่นดูจะน่าสนใจมากกว่าสินะ
       "นั่นครอบครัวเราเอง รีบไปก่อนเดี๋ยวจะแนะนำให้ฟัง"
       "ครับ"

[จ่อย]


       ผมนั่งอยู่บนเบาะนิ่มๆ เนื้อตัวเกือบจะเปลือย เพราะคุณจิมยังไม่ยอมให้ใส่เสื้อผ้า มีเพียงผ้าห่มที่ยื่นมาเพราะแอร์มันเย็นจนสั่น แต่ก็คลุมได้ไม่เต็มตัว ยังต้องคอยเปิดทีละส่วนให้คุณจิมทายาหม่อง
       "กินยาแก้แพ้ผื่นคันด้วยดีกว่า มันเยอะจนน่ากลัว" คุณจิมหยิบแผงยามาแกะแต่ผมรีบแย่งมาไว้ในมือก่อน "อะ จะกินเองหรอ งั้นเดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้"
       "ไม่ครับๆ" ผมรีบปฏิเสธหน้าสั่น
       "ต้องกินด้วย"
       "ไม่ครับๆ"
       "นี่นายกินยายากใช่มั้ยเนี่ย" คุณจิมเหล่หางตามองผมอย่างรู้ทัน "เป็นเด็กรึไงฮะเรา"
       "ผมโตแล้ว" รีบเถียงสวนขึ้นอย่าทันที "แต่ยามันขม คนโตก็ขมได้นี่"
       คุณจิมยกมุมปากปัดหางตาไปทางอื่นก่อนจะหันมาหลอกล่อให้ผมยอมกิน ซึ่งบอกเลยว่ายาก ไม่มีทางเด็ดขาด
       "ถ้าไม่กิน เราจะคิดค่าแซนวิช ค่าน้ำดื่ม ค่าน้ำที่อาบไปด้วย แล้วถ้านายไม่จ่าย เราจะตามไปทวงกับแม่นายที่สกลนคร แล้วถ้าแม่นายยังไม่ยอมจ่า../พอแล้วครับๆ" ผมนั่งคอตกมองแผงยาเม็ดเล็กๆ ในมือ
       "ยอมกินตั้งแต่ค่าแซนวิชแล้ว"

 
       เพิ่งรู้เหตุผลที่คุณจิมพามาที่นี่ ตอนที่บอกให้ซ้อนท้ายมาด้วยผมก้าวขึ้นรถเพราะไม่อยากขัดผู้มีพระคุณ และผมเองก็ไม่มีที่ไป ต่อให้นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิต และถ้าผมจะต้องถวายมันให้กับใครสักคน คนๆ นั้นก็คงเป็นเทวดาตรงหน้าผม
       "อร่อยล่ะสิ ถ้วยที่สามแล้วนะ" ผมหิว จะตอบออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้ เห็นรอยยิ้มจริงใจของผู้ให้ก็คงไม่กล้าพูดอะไรออกไปตรงๆ แต่ข้าวต้มนี่ก็อร่อยมากจริงๆ แม้เหตุผลที่กินเยอะจะเพราะหิวมากกว่าก็เถอะ
       "อร่อยมากเลยครับ คุณจิมทำเองจริงๆ หรอครับ"
       "เลิกเรียกเราว่าคุณได้แล้ว สิบแปดเท่ากันนี่ นายเกิดก่อนด้วยซ้ำ"
       "ได้ไงล่ะครับ คุณก็ต้องเป็นคุณสิ ไม่รู้แหละผมถนัดปากแล้ว" ผมยู่ปากติดจมูกใส่ไปทีนึง คุณจิมน่ะ เหมาะที่จะถูกเรียกว่าท่านด้วยซ้ำ หรือมันมีคำไหนที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกไหมนะ
       "เรียกเราว่าจิม แทนตัวเองว่าจ่อย หรือจะแทนว่าเราเหมือนเราก็ได้ ไม่ต้องลงท้ายว่าครับ"
       "ไม่ดะ../..หรือจะจ่ายค่าข้าวต้มสามถ้วยก็เลือกเอา"
       "เราว่าเราอิ่มแล้วล่ะ"


       ผมนั่งเกาตุ่มรอคุณ เอ้ย รอจิมอยู่ในครัว เขาบอกจะขึ้นไปหาของ ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร จิมน่ะเป็นคนดีมากๆ ก็จริง แต่ขี้ขู่ชะมัด รู้ว่าผมไม่มีเงินก็ยกแต่เรื่องนี้ขึ้นมา
       "ไปกัน" เสียงฝีเท้าวิ่งลงมาจากบันไดพุ่งเข้าครัวมาหาผม มือขาวๆ นั่นคว้าแขนที่กำลังเกาตุ่มอย่างเมามันส์ของผมให้เดินออกประตูหลังลัดเลาะมาจนสุดตัวบ้าน "ถือนี่มาด้วย"
       ผมหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาตามที่คุณ เอ้ย จิมสั่ง ให้ตายสิ ยังไม่ยอมชินปากสักทีเลย "เราจะทำอะไรกันหรอ" ผมถามเมื่อเห็นจิมออกแรงไขประตูลูกบิดฝืดๆ นั่น
       "เข้ามา" ก้าวตามไปแล้วต้องรีบหันหลังกลับ ฝุ่นผงคลุ้งกระจาย หยากไย่ห้อยเต็มไปหมดจนเราทั้งคู่แข่งกันจาม ใครหยุดก่อนแพ้ "อาาา แย่กว่าที่คิดแหะ"
       "ห้องอะไรหรอ ทำไมถึงปล่อยให้ร้างขนาดนี้" ผมรีบพูดให้จบเพราะต้องกลับไปจามต่อ
       "มันเป็นห้อ..หะ..หะ..ฮัดเช้ยยย โอย ห้องเก็บของ หลังๆ มาไม่ค่อยได้ใช้ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้เก็บ ชิ้วว!!"
       "คุ..จิมกลับเข้าบ้านก่อนเถอะ ถ้าจะทำความสะอาดล่ะก็ เดี๋ยวผ..เรา ทำเอง อย่ามาอยู่แถวนี้เลย เสื้อจะเปื้อนหมด" ผมเห็นสภาพแล้วคิดว่า จิมคงอยากให้ผมทำความสะอาดเพื่อแลกกับค่าข้าวแน่ๆ ซึ่งก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าจะมีอะไรที่พอจะตอบแทนได้ ผมก็พร้อมที่จะทำอย่างเต็มที่
       "ช่วยกันนี่แหละ ฮัดเช้ย!! ท่าจะเสร็จยาก รอนี่ก่อน เดี๋ยวเราไปเอาแมสปิดปากกับเครื่องดูดฝุ่นมาดีกว่า แบบนี้ไม่น่าไหว" ผมมองจิมเดินกลับเข้าประตูหลังบ้านไปอีกครั้งก่อนจะออกมาพร้อมเครื่องกลมๆ กับสายยางใหญ่ๆ ดูเหมือนจะไปเปลี่ยนชุดแบบใส่สบายๆ มาด้วย
       "รีบเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน"

 
       ผมกับเจ้าของบ้านทำความสะอาดกันอยู่พักใหญ่ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้จากเหนื่อยๆ กลายเป็นว่าเราสองคนเล่นสนุกไปกับข้าวของทุกอย่างที่จัดเก็บอยู่ในนี้
       จิมเล่าถึงของเล่น ตุ๊กตา รถแข่งที่อยู่ในกล่องทุกอย่างจนครบ ผมเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขนั่นก็นึกอิจฉาในใจ วัยเด็กของผม ของเล่นที่สนุกที่สุดคือขี้โคลนกับกองฟาง
       หลายอย่างถูกนำมากองไว้ที่นี่ บางอย่างมันดูมีค่าและน่าจะใช้งานได้อยู่แต่กลับถูกทิ้งให้จมกองฝุ่น ตู้นั่นก็ด้วย อยากยกไปให้แม่ใส่เสื้อผ้าที่พับอยู่ในตะกร้าจัง
       "คิดอะไรอยู่" จิมปลุกผมขึ้นมาจาภวังค์ แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มรับกลับไป "เลื่อนกองนี้ไปไว้มุมนู้นดีกว่า จะได้มีพื้นที่เยอะๆ"
       "จ้ะ" เราช่วยกันยกลังหนักๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลากเพราะหมดแรงไปเยอะ ห้องเก็บของตอนนี้ดูดีจนแทบจำสภาพก่อนหน้าไม่ได้ คิดว่ามันจะแคบๆ แต่พอมาจัดเป็นระเบียบจริงๆ กว้างกว่าห้องนอนผมที่บ้านอีก ขนาดเรานอนรวมกันสามคนนะ
       "เรียบร้อย" จิมปัดมืออยู่ 2-3ที "ไปเอากระเป๋านายมาสิ"
       "ฮะ? อ๋อ" ผมเดินออกจากห้องมาโดยไม่ลืมหยิบไม้กวาดติดมือไปเก็บด้วย
       
       ทะลุเข้าห้องครัวคว้าเอาเป้ขึ้นสะพาย แถมเกือบจะลืมโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้อีก ดีนะแม่ไม่ได้โทรมาตอนกำลังยุ่งๆ
       "เราไปก่อนนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ขอบคุณมากๆ ถ้ามีโอกาสเราจะกลับมาตอบแทนจิมนะ" ผมโค้งหัวให้จิมอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ บุญคุณที่ช่วยเหลือผมน้ำทุกหยด ข้าวทุกเม็ด ผมอยากจะชดใช้ให้ร้อยเท่าพันเท่า
       "จะไปไหน?" จิมถามเมื่อผมส่งยิ้มสุดท้าย เอียงคอสงสัย สีหน้างงๆ คงเป็นห่วงว่าผมจะไปทางไหนต่อสินะ ช่างเป็นคนดีจริงๆ
       "คงเดินๆ หางานดูก่อน ถ้าโชคดีก็อาจจะเจอพวกงานรับจ้าง พี่ที่รู้จักเคยบอกว่าในตลาดชอบมีกระดาษเขียนติดไว้เยอะ" ผมบอกสิ่งที่รู้เพื่อให้จิมสบายใจ ไม่ต้องห่วงผมอีก
       "นายจะบ้ารึไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ที่ให้ทำควา.."
ปิ๊น ปิ๊นน

       "นั่นไง!!!" จิมตาโตเท่าไข่เป็ด หันขวับออกไปทางประตูบ้าน คว้าแขนผมออกตัววิ่งแต่ก็เงอะงะอยู่ครู่นึง "เก็บมาให้หมดเลย เก็บหมดยัง ไม่ทันแล้วๆๆ ตายแน่ ตายแน่ๆ"
       "จิมเป็นไร ใจเย็นก่อน"
       "เย็นไม่ได้แล้วพี่แจ็คกลับมาแล้ว อะไรวะเพิ่งจะห้าโมงเอง มากลับเร็วอะไรวันนี้เนี่ย โอ้ยยย ทำไงดีๆ" จิมบ่นอะไรไม่รู้ฟังไม่ทัน รู้แค่ดึงมือผมเดินวนซ้ายที ขวาที จนผมเริ่มจะประสาทตาม
       "หยุดก่อนจิม มีคนมา ไปเปิดประตูก่อนดีมั้ย" ผมถามเพราะยังได้ยินเสียงแตรรถดังถี่อยู่นอกบ้าน คนกดเขาไม่คิดเกรงใจคนอื่นเลยหรือไง
       "เอากุญแจดอกนี้ไป เก็บไว้กับตัวนะ เข้าไปอยู่ในห้องเก็บของ ใครเคาะก็ห้ามเปิด ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาเด็ดขาด อยู่แต่ข้างในนั้นเข้าใจมั้ย"
       คนตรงหน้าส่งสายตาจริงจังมาให้ผม เพื่อไม่ให้จิมสติแตกไปมากกว่านี้ผมจึงรับกุญแจแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องเก็บของอย่างรวดเร็ว ประตูลงกลอนล็อกไว้จนแน่น โชคดีมันไม่ได้มีฝุ่นเหมือนในตอนแรก ทำให้ผมหายใจสะดวกขึ้นเยอะ

[จิม]


       "ทำไมช้าจัง แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่โทรหาก็ไม่รับ อย่าบอกนะว่านายโดดเรียนทั้งวัน" เอาแล้วไง กลับมาก็ใส่กันไม่ยั้งเลย
       "จิมเลิกก่อนเวลาก็เลยรีบกลับมาอ่านหนังสือ แต่ยังไม่ทันได้อ่านหรอก กลับมาก็ทำความสะอาดบ้านก็เลยมอมแมมเลยเห็นมั้ยๆ" ผมอธิบายพร้อมดึงเสื้อที่มีแต่ฝุ่นมอมๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องที่วันนี้ผมหนีเรียน
       "ขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว วันนี้แม่กลับดึก พี่ซื้อกับข้าวมาให้แล้วอยู่ในรถ ฝากไปเอามาด้วย"
       "แล้วพี่แจ็คไม่กินกับจิมมหรอ"
       "พี่กินกับลูกค้ามาแล้วถึงได้สั่งกลับมาให้นี่แหละ"
       "งั้น...จิมเอาขึ้นไปกินข้างบนนะ จะเปิดฟังที่อาจารย์บรรยายด้วย" ผมแกล้งบอกไปเพื่อให้พี่ชายเลิกยุ่งกับผม ถ้าเป็นเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือ พี่แจ็คจะไม่ยอมให้ใครเข้าไปกวนผมเลย
       "อย่ากินบนที่นอนแล้วกัน"


[จ่อย]

       ผมนั่งกอดเข่าอยู่กลางห้องเพราะไม่รู้จะทำอะไร กลัวเผลอส่งเสียงดังออกไปแล้วจิมจะดุ หรืออาจจะเดือดร้อนเพราะผม เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงเข้มๆ ดังแว่วเข้ามา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

       "เราเองๆ เปิดหน่อย" แนบหูติดประตูเพื่อหยั่งเสียง ก่อนจะโล่งใจค่อยๆ เปิดรับ
       "ปิดเร็วๆ" ไม่รู้ทำไมถึงทำลับๆ ล่อๆ ขนาดนั้น ผมมองตาไม่กระพริบ
       "นี่อะไรหรอจิม" ผมมองข้าวของที่จิมหอบมาจนเกือบจะท่วมหัว
       "ที่นอนปิกนิกไง แล้วนี่ก็ผ้าห่ม เอาผืนใหญ่ลงมาไม่ได้โทษทีนะ อันนี้หมอนเอาวางไว้นี่ก่อนก็ได้ กินข้าวก่อน" จิมจัดแจงทุกอย่างจนผมงงไปหมด เขาเอาของพวกนี้มาทำไม หรือว่าเป็นของเก่าที่ต้องเอามาเก็บ แต่มันก็ยังดูดีอยู่เลย คนกรุเทพฯ ใช้ของแค่ครั้งสองครั้งก็เรียกว่าเก่าแล้วสินะ
       "เมื่อกี้ใครหรอ"
       "กินก่อนๆ กินไปด้วยคุยไปด้วยก็ได้"
       กล่องโฟมใหญ่มากผมไม่เคยเห็นมาก่อน คิดว่าที่ใส่อาหารมันจะมีขนาดเดียวซะอีก แล้วที่อยู่ในนั้นมัน ผัดไทนี่นา ผมไม่ได้กินนานมากแล้ว จำได้ว่าคุณครูเคยเอามาให้เพราะซื้อมาแล้วกินไม่หมด ผมถือกลับบ้านน้องสาวกินไปยิ้มไปเลยล่ะ บอกว่ามันหวานๆ ดี
       "มองอะไรอยู่ได้ กินเร็วเข้า" จิมเลื่อนกล่องโฟมมาให้ผม ในปากก็เคี้ยวตุ้ยกับเส้นแบนๆ
       "กินเถอะ เดี๋ยวจิมไม่อิ่ม" มองดูแล้วคิดถึงยัยตัวเล็กจังแฮะ ยิ้มสดใสของจิมเวลากินของอร่อยๆ น่ะ เหมือนกันเลย
       "กินด้วยกัน เดี๋ยวก็หิวตายหรอก หมดนี่ก็ไม่มีอะไรให้กินแล้วนะบอกก่อน อีกทีก็นู่นเลย พรุ่งนี้เช้า"
       "ก็ได้" ยืนยันอีกครั้งว่าจิมใจดีที่สุดในโลก
       
       เสียงคุยจ้อยังก้องอยู่ในหูผม เรื่องเล่าของจิมเยอะมากจริงๆ จนผมชักสงสัยว่าเขาไม่เคยได้คุยกับใครหรือไงนะ แต่คนสดใสน่าจะเพื่อนเยอะสิ
       จิมเล่าให้ฟังถึงคนในครอบครัว เราสองคนสูญเสียคุณพ่อตั้งแต่เด็กเหมือนกัน พี่ชายที่ชื่อแจ็คจึงต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งก็คงคล้ายผมในตอนนี้ แม่ของจิมต้องเดินทางตลอดนานๆ จะอยู่บ้านที ส่วนพี่ชายวันๆ ก็มีแต่งาน ผมถึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคุยกับผมเยอะแยะ คงเพราะเหงานี่เอง
       "ดุมากเลยหรอ พี่ชายจิมน่ะ" เขาดูสลดลงถ้าผมมองไม่ผิด
       "เข้มงวดกับเรามากเลย พอเราจะขวาก็บอกซ้าย ไม่เคยให้เราได้ทำตามใจตัวเองหรอก อยากคุยกับพี่แจ็คนะ เวลาที่ไปเจอเรื่องอะไรมาก็อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก็.."
       "เป็นงานที่หนักมากเลยหรอ" ผมพูดต่อเมื่อจิมนิ่งไป
       "เป็นงานด้านวงการบันเทิง รู้จักใช่มั้ย แต่ก็พ่วงอีเว้นท์ รับจัดงานนอกบ้าง" ผมพยักหน้าทั้งที่จริงก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ "พวกนี้ต้องเป๊ะ งานอื่นผิดพลาดยังกลับมาแก้ได้ แต่งานของพี่แจ็คถ้าไม่วางแผนดีๆ พลาดแล้วก็พลาดเลย เสียหายหลายแสนเลยล่ะ" ฟังดูก็คล้ายๆ จะเป็นเรื่องใหญ่
       "มิน่าล่ะ" เหมือนจะพอเข้าใจว่าทำไมพี่ชายของจิมถึงเป็นคนเข้มงวด
       "แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เรามีนายแล้ว เป็นเพื่อนกันนะจ่อย ต่อไปเราจะไม่เหงาแล้ว ต้องกินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันนะ"
       "เอ่อ.." ผมเองก็พูดอะไรไม่ออก เราจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ถ้าเพื่อนมนุษย์ก็คงใช่ แต่นี่เดี๋ยวผมก็ต้องไปแล้ว แต่ไม่อยากจะขัดรอยยิ้มนี้เลย จะพูดยังไงดี
       "ปูที่นอนกัน"
       "ฮะ?"
       "ปูที่นอนไง แต่ตู้นั้นมีของเต็มไปหมดเลย นายเอาเสื้อผ้าไว้ในกระเป๋าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเราหากล่องใหญ่ๆ มาให้เก็บ เวลาจะอาบน้ำนายต้องระวังหน่อย ห้ามทิ้งอะไรไว้ในห้องน้ำเด็ดขาด ห้ามออกจากห้องก่อนแปดโมง ให้เสียงรถพี่แจ็คออกไปก่อนก็ได้ จะไปไหนก็กลับก่อนห้าโมงเย็น ทุกวันพฤหัสฯ ให้ออกไปแต่เช้ามืดแล้วกลับให้ดึกที่สุด ถ้าไม่มีที่ไปก็ต้องอยู่แต่ในห้องหิวแค่ไหนก็ห้ามออกมา แล้วก็.."
       "เดี๋ยวๆ จิม พูดอะไร" ผมเริ่มเข้าใจยากขึ้นมาทันที ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้ว
       "กฎการอยู่ร่วมกันไง" สองแขนเท้ากับพื้นยื่นหน้ามาจนใกล้ผมแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "อยู่ที่นี่ก็ต้องมีกฎ ไม่งั้นเราสองคนจะซวยกันทั้งคู่"

ทำไมผมรู้สึกถึงความซวยแล้ว...

#ห้องลับบักจ่อย

TBC

คุณจิมอาาาา ทำไมเป็นคนดีฟ้าประทานขนาดนี้ มดกัดเยอะๆ นี่เขาต้องทำยังไงอะ คิดได้แค่ทายาหม่อง 555 แต่น้องไม่ได้แพ้มดนะ แค่โดนกัดเยอะไปหน่อย แต่พี่แจ็คคะ ทะไมพี่ไม่อ่อนโยนกับน้องชายตัวเองเลย น้องจะเก็บกดเอาเด้อ เตือนไว้ก่อน ว่าแต่กับน้องยังดุขนาดนี้ ถ้ารู้เรื่องจ่อยเข้า... อ๊าาา ไม่อยากจะคิด!!!

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
«ตอบ #3 เมื่อ26-01-2019 00:31:11 »

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
«ตอบ #4 เมื่อ26-01-2019 03:22:59 »

มารอ

ออฟไลน์ mutyamania

  • สามารถติดตามงานติดเรทที่ลงเล้าไม่ได้ที่ ReadAWrite ในชื่อมัสยากลับมาจากป่าช้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1898
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +794/-139
    • https://mutyawhocamebackfromthedead.readawrite.com
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
«ตอบ #5 เมื่อ26-01-2019 08:32:18 »

ใครเป็นพระเอก น่าจะไม่ใช่จิม

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
«ตอบ #6 เมื่อ26-01-2019 08:48:58 »

รอนะคะ :impress2:

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน2
«ตอบ #7 เมื่อ09-02-2019 01:43:32 »

3
หากบ่เจอคนดี ป่านนี้สิเป็นจั่งได๋

"ถือดีๆ อย่าให้หกล่ะ มีแรงปะเนี่ย"

"มีครับๆ อยู่ที่บ้านผมแบกกระสอบปุ๋ยทุกวัน"

ตลอดสองอาทิตย์ จิมพยายามทำให้มันง่ายที่สุด ผมได้แต่ขอบคุณเขาซ้ำๆ อยู่ในใจ แอบเอาข้าวปลาอาหารมานั่งกินกับผมที่ห้อง  ขนมก็ยังคงกองเต็มไม่มีที่จะเก็บ เราคุยกันด้วยเสียงสองหลบอยู่ในลำคอเพราะกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน และใครที่ว่าก็คือ คุณแจ็ค

ผมได้ยินเสียงหลายครั้งจนเริ่มแยกไม่ออกว่านั่นโทนปกติหรือกำลังดุใครอยู่ มันทุ้มเข้มซะจนน่ากลัว ถ้าไม่บอกว่าคนในรูปคือคนเดียวกัน จะจินตนาการว่าคุณเขาหน้ายักษ์ ร่างใหญ่ คล้ายๆ หมีในป่า แต่ความจริงก็ต้องยอมรับว่าเขาหน้าเหมือนพระเอกหนังฝรั่งเลยทีเดียว แนวๆ สืบสวนสายลับ ผมชอบนะ คมเข้มมาดแมน บึกๆ ล่ำๆ ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้าง

จิมไม่อนุญาตให้ผมออกไปหางานทำจนผมซึมไปพักใหญ่ อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้วบอกตามตรงผมห่วงค่าข้าวค่าขนมน้องเวลาไปโรงเรียนจะเหลืออยู่ไม่มาก

ยื่นข้อเสนอให้ผมใช้เงินค่าขนมของจิมส่งให้แม่ก่อน นั่นทำให้ผมโวยวายขึ้นมาทันที ใจดีกับผม ผมก็ขอบคุณมาก แต่จิมจะเก็บผมไว้เป็นเพื่อนเล่นแล้วคอยเลี้ยงดูเหมือนลูกแมวไม่ได้ 'จิมมีกฎเหล็กของจิม เราก็มีกฎเหล็กของบ้านเราเหมือนกัน เราจะไม่หยิบยืมเงินใครเด็ดขาด ต่อให้ต้องอดข้าวหรือนอนข้างถนน ก็ต้องทำงานแลกเงินมาให้ได้' ผมบอกกับจิมไปตรงๆ แบบนั้น

ทำให้ตอนนี้ผมยืนเป็นลูกมืออยู่ที่ร้านกาแฟ

 

"โต๊ะเจ็ดนะ จำได้รึเปล่าว่าอยู่ตรงไหน" ตะโกนไล่หลังจนผมสะดุ้ง

"จำได้คร้าบบบ เดินท่องจนขึ้นใจแล้ว"

ผู้ชายท่าทางภูมิฐานนั่งหันหน้าเข้ามุมกำแพง ผมเห็นเขามาที่นี่ทุกวันแต่ไม่เคยเดินไปบริการ วุ่นๆ อยู่กับการล้างแก้วเก็บกวาดนู่นนี่ หันมาอีกทีก็หายไปแล้ว

"ขออนุญาตเสิร์ฟกาแฟครับ" ยืนเงอะงะอยู่หน่อยนึงเพราะไม่รู้จะวางตรงไหน เอกสารกระจายเต็มไปหมด "ขออนุ...!”

"โทษที วางลงสิ อ่าว น้อง!!"

ผมวิ่งสุดชีวิตเข้าไปในห้องพนักงานปิดประตูแบบลนๆ

"พรวดพราดเข้ามาทำไม แล้วนั่นกาแฟใครทำไมไม่เอาไปเสิร์ฟ"

"กาแฟ..." ตาผมคงโตเท่าลูกฟุตบอล พอเห็นหน้าคุณเขาก็รีบวิ่งกลับเข้ามาเลย "พี่โยครับ คือ..."

“อย่าบอกนะว่าของพี่แจ็ค” ตาโตหันมาถลึงใส่ผมแล้วชี้ที่ถ้วยกาแฟ

“พี่โย...”

“เรียกอยู่นั่นแหละ เอามานี่เลยเดี๋ยวเย็นหมด” พี่โยแย่งแก้วกาแฟไปจากมือผม หันหลังเดินออกไปแต่ก็หันกลับมาพูดอีก “แล้วห้ามหนีไปไหนนะ โดนดีแน่”

ร้านนี้ดูจะคุ้นเคยกับจิมอย่างดี ที่สำคัญอยู่แค่หน้าหมู่บ้าน เยื้องๆ มาหน่อยแต่ก็ไม่ไกล พี่โยเป็นรุ่นน้องของคุณแจ็ค เท่ากับเป็นรุ่นพี่ของจิมสมัยเด็กๆ ค่อนข้างขี้จุกจิกตามประสาเจ้าของกิจการ เห็นผู้ชายหน้าหมวยๆ หวานๆ แบบนี้ พอหัวร้อนขึ้นมาทีผมนี่แทบอยากวิ่งกลับสกลฯ

“ห่ากินหัวมึงเอ้ย มาเฮ็ดหยังม่องนี้วะ” (ฉิบหายแล้ว มาทำอะไรที่นี่วะ) ผมทึ้งหัวสบถกับตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับคุณแจ็คตัวเป็นๆ เคยเห็นแต่ในรูป ได้ยินแค่เสียงก็ขนลุกท่วมตัวแล้ว

เริ่มทำอะไรไม่ถูก จะหนีไปได้ก็ไม่ได้พี่โยคาดโทษไว้อีก มือไม้ผมเริ่มสั่นไปหมด ถ้าคุณแจ็คโกรธที่ไม่ยอมเสิร์ฟกาแฟให้ล่ะ โธ่เอ้ยย

 

[แจ็ค]

 

          “เมื่อกี้ใคร พนักงานใหม่หรอ” ผมถามเจ้าของร้านรุ่นน้องที่โตมาด้วยกัน ขณะที่ยกกาแฟน่าจะแก้วเดิมมาวางบนโต๊ะ

“ใช่พี่” เขานั่งลงเก้าอี้ข้างๆ “จิมพามาฝากอาทิตย์ก่อน”

“ฮะ? จิมน่ะนะ” ผมไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดรึเปล่า เมื่อกี้คุ้นๆ เหมือนชื่อน้องชาย

“ครับ พี่ไม่รู้จักหรอ เห็นบอกว่าเพื่อนมาจากต่างจังหวัดกำลังหางานทำ คนเก่ามันออกไปเดือนก่อนผมก็เหนื่อยๆ เลยรับเอาไว้ เห็นเป็นเพื่อนจิมด้วยก็น่าจะไว้ใจได้” โยอธิบายยืดยาว “เด็กมันซื่อๆ น่ะพี่ อย่าไปถือสาเลย”

“อืม อบรมดีๆ หน่อยละกัน ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่นเค้าจะไม่พอใจเอา” ผมเตือนน้องไปเพราะห่วงๆ ยึกยักจะเสิร์ฟก็ไม่เสิร์ฟ วิ่งหนีไปทั้งอย่างนั้นตกใจหมด “แต่ทำไมพี่ไม่คุ้นหน้าเลย”

“ผมก็งงอยู่ว่าจิมไปมีเพื่อนที่ต่างจังหวัดได้ไง แต่เห็นสนิทกันดีก็ไม่ได้ถาม”

“หรอ” เลิ่กคิ้วให้เจ้าโยนิดหน่อยก่อนที่มันจะลุกไปทำงานของตัวเอง ส่วนเรื่องเพื่อนเดี๋ยวค่อยกลับไปถามที่บ้าน เดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่ค่อยมารายงานเลย ต้องปรามสักหน่อยแล้ว

 

[จ่อย]

 

[ก็ไม่แปลกนี่ พี่แจ็คเป็นลูกค้าประจำร้านนั้นอยู่แล้ว คิดว่าเจอบ่อยแล้วซะอีก]

            “กะ ก็เจอ แต่จิมก็น่าจะบอกก่อนสิ แล้วทีนี้จะทำยังไง เราตกใจวิ่งหนีออกมาเลย ต้องโดนคุณแจ็คดุแน่ แล้วถ้าคุณแจ็ครู้ว่าเรา...”

[นี่ ใจเย็น หายใจลึกๆ ทำตัวให้ปกติ พี่แจ็คก็แค่ลูกค้าคนนึง อีกอย่างนะ พี่แจ็คไม่ดุใครพร่ำเพรื่อหรอก ถ้าไม่ใช่เราอะ อ้อ ถ้าไม่ใช่ลูกน้องด้วย แล้วก็...ถ้าไม่ใช่เพื่อนๆ ที่คอยกวนประสาท หรือคนที่...”

            “จิม...แค่นั้นก็เยอะแล้ว”

[อ่าวหรอ ฮ่าๆๆ]

            “ใจคอไม่ดีเลย”

[เอางี้ เดินออกไปขอโทษ แล้วก็เอาเค้กไปให้บอกว่าเพื่อเป็นการไถ่โทษ เดี๋ยวเราไปจ่ายเอง]

            “เราไม่กล้าหรอก ถ้าคุณแจ็คเจอเราแล้วรู้เรื่องที่... เรื่องที่...”

[จ่อย พี่แจ็คไม่มีทางรู้หรอกอย่าคิดไปเอง ที่ตกใจจนหนีออกมานี่เพราะกลัวโดนจับได้ใช่มั้ย]

            “ก็...”

[จะจับได้เพราะนายมีพิรุจน์นั่นแหละ พี่แจ็คไม่ได้รู้จักนายสักหน่อย ถ้าไม่เห็นรูปที่บ้านนายเองก็ไม่รู้จักพี่แจ็คด้วยซ้ำ อย่าร้อนตัวไปหน่อยเลยน่า ทำตัวให้เป็นปกติ เข้าใจมั้ย ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ เราต้องเข้าเรียนแล้ว แค่นี้หวัดดีเจอกันที่บ้าน]

ติ้ด
          “เดี๋ยว เดี๋ยว!! เฮ้อ” พูดเองเออเองแล้วก็ตัดสายไปเฉยเลย แต่ก็ถูกของจิม เหมือนผมจะกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่มันก็ตกใจนี่

“ว่าไงไอ้ตัวแสบ อธิบายมาสิวิ่งหนีลูกค้าทำไม” พี่โยผลักประตูมายืนกอดอกมองผม ถามหาคำอธิบายอย่างคาดคั้น

“คือ...ผมก็ไม่รู้” นั่นแหละ ผมไม่รู้จะตอบอะไรนี่ ได้ก้มหน้าลงบนโต๊ะอย่างสำนึกผิด

“ออกไปขอโทษลูกค้าเดี๋ยวนี้เลย แล้วห้ามทำแบบนี้อีก”

“แต่พี่โย นั่นมันคุ...”

“ไม่งั้นพี่ไล่ออก” ผมดีดตัวขึ้นทันทีที่พี่โยพูดจบ ไล่ออก แปลว่าผมจะไม่ได้ทำงานที่นี่อีกหรอ แล้วก็จะไม่มีเงินส่งให้แม่กับน้องด้วย

“ไม่ได้นะครับ พี่ห้ามไล่ผมออกนะ”

พี่โยยักไหล่สะบัดคอไปทางประตูทำให้ผมมายืนเด๋อด๋าอยู่ตรงข้างหลังคุณแจ็ค “ขะ ขอโทษครับ” กำมือแน่นคิดถึงหน้าแม่กับน้องไว้

“อา...” คุณแจ็คหันหน้ามามองแล้วนิ่งไปพักนึงจนผมเริ่มเสียวสันหลัง “นั่งสิ”

“ครับ?”

“บอกให้นั่ง ยังไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นนี่”

“คือ กฎของร้านเค้าห้ามนั่งกับลูกค้าครับ” เผื่อคุณแจ็คจะไม่รู้ แต่ผมน่ะ นั่งท่องจนจำได้ขึ้นใจเลย กฎเหล็กของจิมก็เหมือนกัน

“คนออกกฎเพิ่งลุกไปเมื่อกี้” มือหนาจับเก้าอี้เลื่อนมาข้างๆ ตัวเขาแล้วตบลง 2-3ที จนผมต้องนั่งลงตาม “เป็นเพื่อนจิมหรอ”

“ฮะ? เอ่อ ครับ” ห้ามหลุดๆๆๆ

“ไปรู้จักกันได้ยังไง นายมาจากต่างจังหวัดนี่” ซวยแล้ว จิมไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ให้ด้วย

“รู้...จัก เอ่อ...”

“อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นแหละ”

“ที่โรงเรียนน่ะครับ เค้าให้เขียนจดหมายส่งถึงเพื่อนต่างโรงเรียน แล้วจิมเค้าจับได้ชื่อผม แฮะๆ” นี่ เป็นไงล่ะ ตอนประถมผมเคยทำ

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ”

“มีสิครับ ที่โรงเรียนคุณแจ็คไม่เคยทำหรอครับ”

“ฉันโตที่เมืองนอก แต่บางโรงเรียนก็มีมั้งนะเขียนให้กำลังใจผู้ป่วย ว่าแต่...รู้ชื่อฉันได้ยังไง” คุณแจ็คหันมาสบตาที่กำลังแปลงร่างเป็นไข่ห่านของผม หลุด หลุดแล้ววว

“คือ...” หันซ้ายหันขวาเห็นพี่โยเดินออกมาหน้าเค้าน์เตอร์ “พี่โยบอกครับ บอกให้มาขอโทษคุณแจ็ค” ส่งยิ้มตาหยีไปอีกหนึ่งที แม่บอกว่าเจอเรื่องอะไรให้ยิ้มไว้ก่อนเดี๋ยวมันจะดีเอง

“อะฮึ่ม” คุณแจ็คกระแอมออกมาแล้วเสหน้าไปทางอื่น ทำไมหรอ กาแฟติดคอรึไง แต่ก็ยังไม่ได้กินนี่นา “อา อื้ม”

อะไรของคุณเขานะ “ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ เดี๋ยวโดนไล่ออก” เห็นพี่โยกำลังจัดนั่นนี่ผมว่าควรไปช่วย หน้าที่การงานผมยังไม่มั่นคงเท่าไหร่ ผมต้องเต็มที่กับงานไว้ก่อน

“จะไปแล้วหรอ อ้อ อืม ไปสิ” ยกแขนกันผมที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้ แต่ก็สะบัดมือปัดๆ ไล่ อะไรของเขาก็ไม่รู้ “เดี๋ยวๆ”

“ครับ? คุณแจ็คจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ยครับ”

“เอ่อ...เปล่าๆ ไปได้แล้วไป”

เขาเด๋อๆ นะ ไม่เห็นเหมือนที่คิดไว้เลย คิดว่าจะตวาดเสียงดังโวยวายใส่แล้วสะอีก แต่ก็ดีสำหรับผม ดูไม่ต่างจากจิมเท่าไหร่ ผมว่าคุณเขาก็ไม่ได้แย่

 

เล่าทุกอย่างให้จิมฟังระหว่างที่เรากินข้าวกันอยู่ จิมพามานั่งกินในครัวเพราะรู้ว่าคุณแจ็คยังไม่กลับแน่นอน เป็นไม่กี่ครั้งที่เราสองคนหายใจหายคอกันได้อย่างสะดวก

จิมขำเรื่องจดหมายในวัยเรียนจนผมเริ่มอาย ตอนนั้นใครมันจะไปคิดอะไรออก คุณแจ็คยิ่งน่ากลัวๆ อยู่ด้วย หมายถึงก่อนหน้าที่ผมจะมีโอกาสได้รู้จักจริงๆ น่ะนะ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่แจ็คก็ไปที่ร้านอีก” จิมบอกผมแล้วจิ้มปอเปี๊ยะเข้าปาก “พี่แจ็คน่ะ ทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ ส่วนใหญ่เข้าแต่ช่วงเช้าประชุมมั่ง สั่งงานมั่ง บ่ายๆ ก็ออกนอกสถานที่ เสร็จเร็วหน่อยก็มานั่งร้านกาแฟ แต่จริงๆ ก็มาดักรอเรานั่นแหละ”

“ดักรอ? ทำไมต้องดักรอ” เอียงคอถาม เพราะหมู่บ้านกับร้านก็ไม่ได้ไกล

“ก็ทำฟอร์มว่าเลิกงานค่ำ แต่จริงๆ แค่อยากรู้ว่าเราจะกลับบ้านตรงเวลารึเปล่า”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”

“ถ้าเราเถลไถลจะได้หาเรื่องเราได้ไง” จิมเบ้ปาก ยัดปอเปี๊ยะด้วยท่าทีเบื่อๆ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น ไม่มีพี่คนไหนคิดแบบนั้นหรอก เราว่าคุณแจ็คคงห่วงถึงต้องออกมารอต่างหาก” ผมพูดแล้วจิ้มปอเปี๊ยะดูบ้าง จิมกินแล้วดูน่าอร่อย “ร้านโดดเด่นจะตาย รถก็จอดอยู่ข้างหน้า ถ้าบอกว่าดักรอจับผิดจริงๆ ไปที่หลบๆ แอบๆ ไม่ดีกว่าหรอ นี่จิมลงรถตู้มาก็เห็นแล้ว”

“เห็นแล้วไง เห็นแล้วก็ปล่อยให้เราเดินกลับอยู่ดี นี่หรอห่วง”

“จิมเคยเข้าไปหาคุณแจ็คบ้างรึเปล่า หมายถึงเวลาเลิกเรียนแล้วเห็นคุณแจ็คที่ร้านน่ะ”

“เคยสิ” วางส้อมลงแล้วหันหน้าไปทางประตู “อย่ามากวนพี่ รีบกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วอ่านหนังสือในห้อง อย่าให้รู้ว่าแอบลงมาดูการ์ตูนล่ะ” จิมยกน้ำดื่มแล้วกระแทกลงบนโต๊ะจนผมสะดุ้ง “ห่วง... ฮึ”

 

ผมนั่งอยู่ในห้องมืดๆ เพราะไม่กล้าเปิดไฟ คุณแจ็คกลับมาแล้ว และจิมก็กลับไปอ่านหนังสือคนเดียวตามเดิม ผมรู้ว่าเขาใกล้สอบเลยไม่อยากกวนมาก ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยเรียนหนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากเรียนนะ อยากใช้ชีวิตแบบนักศึกษา แม่ผมก็บอกให้เรียนต่อแต่ผมก็ไม่อยากให้แม่เหนื่อยมันใช้เงินค่อนข้างเยอะมากทีเดียว อีกหน่อยน้องผมก็จะจบม.6แล้วเหมือนกัน สู้ผมทำงานเก็บเงินให้น้องเรียนดีกว่า

นึกย้อนไปถึงคำพูดของจิม ดูเหมือนสองพี่น้องจะมีปัญหาที่เข้ากันไม่ติด ผมเป็นคนนอกก็ไม่ค่อยรู้อะไร แต่ทุกครั้งที่จิมมานั่งเล่นกับผมก็มักจะเผลอระบายเรื่องพวกนี้ออกมาเหมือนจะอึดอัดเต็มทน

 

[จิม]

 

            “เข้ามาทำไม ไหนบอกเวลาจิมอ่านหนังสือห้ามใครมายุ่ง” ผมพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนที่กล้าเปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก

“น้องอาจจะลืมว่าพี่เป็นคนสั่ง” ผมเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะเห็นผ่านหางตาแล้วว่าพี่แจ็คมานั่งอยู่บนเตียง “ทำไมไม่เปิดไฟที่โต๊ะ เสียสายตาหมด”

“มาแค่เรื่องนี้หรอ” ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆ คงเซ็งผมมากมั้ง

“พาเพื่อนไปฝากงานทำไมไม่บอกพี่”

“ก็มันไม่เกี่ยวกับพี่นี่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนจิมด้วย” ผมปิดหนังสือลงเพราะคงอ่านไม่รู้เรื่องแล้ว

“ทุกเรื่องของจิมเกี่ยวกับพี่ทั้งหมด จะต้องให้ย้ำกี่ครั้ง” พี่แจ็คเริ่มขึ้นเสียงเข้มกับผม “ถ้าคนที่น้องเอาไปฝากเกิดทำอะไรเสียหายขึ้นมาจะรับผิดชอบยังไง”

“พี่ก็คิดแต่แบบนี้ มองคนอื่นเลวร้ายไปหมด” ผมเริ่มขึ้นเสียงกลับไปบ้าง “ไม่มีใครเค้าทำอะไรแย่ๆ ไปซะหมดหรอก”

“แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไง แค่เพื่อนที่เขียนจดหมายหากันตอนเด็กๆ น่ะหรอ หัวนอนปลายเท้าก็ไม่รู้จัก ไหนจะต้องมาพึ่งเราให้ช่วยหางานอีก”

“แต่พี่ก็ได้เจอแล้วนี่ ดูไม่ออกเลยหรอว่าเค้าเป็นคนยังไง อ้อ ลืมไป ต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าไม่ถูกใจพี่ก็เป็นคนเลวอยู่ดี”

“จิม!”

“พี่ออกไปได้แล้วจิมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ” ผมไล่พี่แจ็คแบบอ้อมๆ เพราะเหนื่อยจะพูดแต่คำเดิมๆ นิสัยมองโลกในแง่ร้าย ให้สวดมนต์ 10วันก็ไม่หายหรอก “จิมเชื่อใจเพื่อนของจิม แล้วพี่แจ็คก็ห้ามพาลใส่เค้าด้วย เค้าเป็นคนเดียวที่จิมคุยด้วยแล้วสบายใจ สบายใจมากกว่าคุยกับพี่ร้อยเท่า”

พี่แจ็คลุกออกจากห้องไปไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็แปลกใจที่มันง่ายดายขนาดนี้ซึ่งปกติมันไม่ใช่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันแรงไป คำพูดของผมน่ะ พี่แจ็คจะน้อยใจรึเปล่า

 

ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องทำงานก่อนจะตัดสินใจเคาะเบาๆ แล้วเปิดประตูก้าวเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต

“มีอะไรรึเปล่า” พี่แจ็คเงยหน้าขึ้นมาถามผม ดูจากที่ถอดเสื้อคลุม ผมว่าพี่เขาไม่ได้นั่งทำงานอยู่ตั้งแต่แรก

“แค่จะมาขอโทษ ที่พูดกับพี่ไปเมื่อกี้” ไม่ได้สบตากับพี่แจ็คไปตรงๆ เพราะรู้ผิดอยู่นิดหน่อย “แค่ไม่อยากให้พี่ไปคาดคั้นอะไรกับเพื่อนแบบที่ทำกับผม เค้ามีปัญหาชีวิตมากพออยู่แล้ว รายได้ร้านกาแฟก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร เลยกลัววะ...”

“พี่ไม่ยุ่งหรอก สบายใจได้”

“จะ...จริงนะ” ตะกุกตะกักโพล่งออกไปเพราะไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน “พี่พูดจริงหรอ”

“ถ้าให้ทำอยู่ที่นี่ก็ดี มันก็ไม่ได้ไกลจากสายตาพี่มาก แต่ถ้าขอมากกว่านี้พี่ก็ไม่ให้ แล้วทีหลังมีอะไรก็ให้บอก ไม่ใช่ตัดสินใจเองแบบนี้ เกรงใจโยมันบ้าง ถ้ามันต้องรับเพื่อนเราเข้าทำงานเพราะความเห็นใจของเรามันก็ไม่เหมาะ เค้าต้องเสียรายได้ร้านเพื่อจ่ายค่าจ้างเป็นหมื่น”

ผมก้มหน้างุดลงมากกว่าเดิม พี่แจ็คพูดไม่ผิดเลยสักคำ ผมไม่ทันคิดถึงข้อนี้เลย แค่เห็นว่าพี่เขาไม่มีคนช่วย แต่ไม่ได้ถามว่าเขาต้องการรึเปล่า อันที่จริงพี่โยก็ไม่ติดป้ายรับสมัครคนทำงาน

“ขอโทษครับ ต่อไปจิมจะรอบคอบกว่านี้”

“ดึกแล้ว กลับไปนอนซะ หนังสือมีเวลาว่างค่อยอ่าน”

“พี่แจ็คว่าเพื่อนผมเป็นคนยังไง” ผมถามสวนออกไปก่อนจะก้าวออกจากห้อง “วันนี้พี่ได้คุยกับเค้าแล้วนี่”

พี่แจ็คนิ่งไปพักนึงทำให้ผมลุ้นคำตอบจนแทบลืมหายใจ อย่างน้อยถ้าได้ฟังความเห็นของพี่แจ็คจะได้รู้ว่าควรให้จ่อยถอยห่างๆ เพื่อความปลอดภัยหรือทักทายพูดคุยได้ตามปกติ

“ก็...น่ารักดี”



#ห้องลับบักจ่อย

TBC

มาแว้ววว ไม่รู้ว่ามีใครรอไหมแต่ก็มาแล้ว 555 เขาเจอกันแล้วเด้อ ต่อไปก็คงจะเจอแบบรัวๆ นั่นแหละเนอะ ความลับในห้องลับจะแตกม้ายยย

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
«ตอบ #8 เมื่อ09-02-2019 21:07:01 »

รอๆ จ้า สนุกๆ ลุ้นดี รอคอย บักจ่อย เด้อ ซ่าวมาๆ อยากา อ่าน ต่อ แล้ว อ้ายแจ็คเป็นพระเอก แม่น บ่  ข่อยเชียร์ บักจ่อย เต็มที่ ถถถ^^

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
«ตอบ #9 เมื่อ10-02-2019 09:46:44 »

รอค่าาา จ่อยน่ารักซื่อๆดี พี่แจ๊คก็น่าจะซึนๆ สนุกมากๆเลยมาต่อเร็วๆน้า :pig4: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
« ตอบ #9 เมื่อ: 10-02-2019 09:46:44 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน3
«ตอบ #10 เมื่อ13-02-2019 00:43:12 »

4
เอ้ามามาสิ มาช่วยกันที ล่ะมาช่วยจับงู

"นั่นเพื่อนไม่ใช่หรอ"
"ใช่ๆ สงสัยจะไปทำงาน"
ปิ๊น ปิ๊น ~~~

ผมสะดุ้งกับเสียงแตรรถถี่ๆ ดังอยู่ด้านหลัง ใจแทบจะหลุดไปที่ตาตุ่มเพราะกำลังเหม่อๆ คิดถึงแม่กับน้อง แถมวันนี้ยังง่วงๆ ต้องแอบออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ก็คุณแม่ของจิมน่ะสิ ท่านกลับมาถึงตั้งแต่เช้ามืด ผมอาศัยช่วงที่คุณแจ็คขับรถออกไปสนามบิน อาบน้ำแต่งตัวออกมาทันที ดีนะที่จิมโทรมาบอกไว้ก่อน
รถคันสีดำวาววับข้างหน้ามีตรากลมๆ สีฟ้าเล็กๆ แปะอยู่เทียบจอดข้างผม กระจกสีทึบเลื่อนลงจนเห็นหน้าคนขับนั่นทำให้ผมสะดุ้งอีกเฮือก ออกจะแรงกว่าตอนได้ยินเสียงแตร
ยืนนิ่งอยู่หลายวินาทีจนสายตาของผมเลื่อนไปเจอคนข้างๆ ที่คุ้นเคย จิมเหล่ตาไปที่คุณแจ็คสลับกับผมแล้วทำหน้ายิ้มกระตุกๆ เป็นสัญญาณ
ผมฉีกริมฝีปากเป็นเส้นตรงทันทีที่นึกออก ตายังคงมองไปที่จิมจนเขาต้องขมวดคิ้วขยับหัวยิกๆ ไปทางคุณแจ็ค
อ๋อ ให้ผมยิ้มให้คุณแจ็คใช่ไหม ได้!
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ" เสียงทุ้มนั่นเอ่ยออกมาทำให้ผมรีบหุบปากเป็นเส้นตรงนั่นลงทันที "ขึ้นมาสิ"
"ครับ?"
"ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่ง"
ผมขยับตัวไปที่ประตูข้างหลังคุณแจ็ค มองที่จับตรงประตูด้วยความมึนงง จำได้ว่ามันต้องงัดขึ้นนี่นา
ผมงัดที่จับประตูขึ้นด้านบนเบาๆ แต่มันไม่ยอมเปิดออก จะทำแรงกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะกลัวรถแพงๆ จะเป็นรอย แต่ให้ตายสิ ทำไมมันเปิดไม่ออกล่ะ
"ทำอะไรอยู่ เสียเวลา" คุณแจ็คส่งเสียงเข้มจนผมเริ่มสั่น
"มันเปิดไม่ออกครับ" พูดเบาๆ เพราะกลัวจะโดนว่าอีก เวลาของคุณแจ็คเป็นเงินเป็นทอง "ผมเดินไปเองดีกว่าครับ"
แกร๊ก ~
คุณแจ็คเปิดประตูเอาตัวดันผมออกให้พ้นทาง มือหนาของเขาจับที่ประตูหลังแล้วเปิดออกอย่างง่ายดาย
"มันยากตรงไหน?" ผมมองอย่างอึ้งๆ
"คือ...ผม...คิดว่ามันงัดขึ้นเหมือน...รถ...ไถใหญ่"
"รถไถใหญ่?"
"ครับ" ก้มหน้างุดเพราะรู้สึกว่าคิดผิดก้อนโต ผมทำอะไรน่าขายหน้าออกไปเนี่ย
"จับตรงนี้" คุณแจ็คคว้าเอวผมมายืนด้านหน้า ดึงมือผมไปจับที่เปิดประตูรถ "ดึงเข้าหาตัวเบาๆ แบบนี้" ผมเอียงคอหนีไปอีกข้างเพราะรู้สึกว่าเสียงมันใกล้หูเกินไป "ง่ายขึ้นมั้ย"
"งะ...ง่ายครับ อ๊ะ!" เอวที่ถูกรวบไว้อยู่แล้วถูกคุณแจ็คพาไปในทิศทางที่ต้องการอย่างง่ายดาย ผมว่าตัวเองก็ไม่ได้เบาขนาดนั้นนี่นา แต่ทำไมถึงลอยเข้ามาอยู่ในรถไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
"มีอะไรกันหรอ" จิมเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหันมาถามผม
"ปะ...เปล่า"
"เด็กโง่ นึกว่าบีเอ็มเป็นรถไถใหญ่" คุณแจ็คตอบนิ่งๆ ก่อนจะออกรถ
"รถไถเนี่ยนะ ฮ่าๆๆ"
"ก็เราเคยขึ้นแต่รถอีแต๋นกับรถไถใหญ่นี่" นาทีนี้ผมแทบไม่อยากจะตอบโต้อะไรทั้ง มันอายๆ จะแทบอยากจะมุดเข้าไปในท่อไอเสีย แถมใจยังสั่นๆ อีก
"บ้านนอกเข้ากรุงหรอ"
"อย่าเรียกแบบนั้นสิพี่ คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ อย่ามาเหยียดเพื่อนจิมนะ"
"ฮึ่ม โอเค ไม่ยุ่ง ลงไปได้แล้ว" คุณแจ็คจอดรถผมมองออกไปนอกกระจกถึงรู้ว่าควรลง สีหน้าผมตอนนี้คงเหมือนเด็กตอนที่ครูบอกว่าหมดเวลาพัก ได้นั่งเบาะนุ่มๆ รถหรูๆ แปบเดียวเอง "เปิดเป็นรึเปล่า รึต้องให้สอนอีก"
"มะ...ไม่ต้องสอนครับ ผม...จะพยายามเปิดเอง" อยู่ๆ ใจมันก็แปลบขึ้นมาอีก นึกถึงภาพที่คุณแจ็คยืนซ้อนหลังแบบเมื่อกี้แล้วปั่นป่วนในท้อง สงสัยเพราะรังสีอำมหิตความน่ากลัวมันแผ่ออกมาแน่เลย
"ตอนเย็นเจอกันนะ" จิมขยิบตาให้ผมหนึ่งที ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ไม่ใช่เจอกันที่ร้าน แต่เจอกันที่ห้องลับของบ้านต่างหาก
"ประตูร้านน่ะ ผลักเข้าไปนะ ไม่ต้องงัด"
"คุณแจ็ค!" ผมยู่หน้าใส่แล้วออกตัววิ่งไปทันที ทำไมนะ ทำไมต้องล้อกันด้วย ก่อนวิ่งมาหางตาผมแอบเห็นคุณแจ็คยกยิ้มที่มุมปาก โธ่เอ้ย ไม่น่าไปทำเปิ่นใส่คุณเขาเลย

ตกบ่าย ผมเห็นร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามาที่ร้าน ในมือหอบหิ้วของมาพะลุงพะลังจนพี่โยต้องวิ่งไปรับอีกที
"ไปเก็บให้พี่หน่อย" พี่โยยื่นถุงสีน้ำตาลพวกนั้นมาให้ผม "ไว้สูงๆ นะ เดี๋ยวเผลอทำร่วง"
"ครับ" ผมก้มหน้างุดเมื่อต้องเดินผ่านคุณแจ็ค ความรู้สึกมันเป็นยังไงก็บอกไม่ถูก จะว่าอายเรื่องเมื่อเช้าอยู่ก็ได้ ไม่ค่อยกล้าสบตาคุณเขาเลย
"เอากาแฟไปให้พี่แจ็คด้วย"
"ผมหรอครับ?"
"ก็เออสิ ใช้ใครล่ะร้านมีกันอยู่สองคน หรือจะให้พี่ยกไปเองหะ"
"ครับ ให้พี่ยกไปเองก็ได้ครับ" ผมตอบรับทันทีเมื่อพี่โยเสนอตัว
"ฉัน! ประ! ชด!" ถลึงตาใส่ผมทำไมก็ไม่รู้ "อย่ามาเนียนซื่อตาใส ใช้ก็ให้รีบๆ หรืออยากโดนไล่ออก"
ผมรีบดีดตัวลุกไปหาถ้วยกาแฟทันที ก็เป็นคนถามเองว่าหรือจะพี่ยก ก็ให้ยกแล้วไงจะมาขู่ไล่ออกทำไมอีก บางทีผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์แปรปรวนของพี่เขา
"กาแฟดำครับ โอ๊ะ!" แย่ล่ะสิ ผมไม่กล้ามองหน้าคุณแจ็คทำให้ไม่ทันเห็นว่าคุณเขายื่นมือออกมาพอดี "ขอโทษครับๆ โดนตรงไหนมั้ย ร้อนมั้ยครับ" ผมวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะทันที มือก็พยายามสาละวนปัดตามเสื้อตามกางเกงไล่ไปตามต้นขาที่คิดว่าน่าจะเปียกจนคุณแจ็คคว้าไว้ถึงได้หยุด
"จะลูบอีกนานมั้ย เดี๋ยวงูก็ฉกหรอก"
"งู!? มีงูด้วยครับ พี่โย พี่!! ร้านเรามีงู้วว อู้วววว ~" ถูกมือคุณแจ็คปิดปากระหว่างตะโกนจนเสียงหลง แรงเหวี่ยงของแขนแกร่งกดผมจนเซไปบนเก้าอี้ แล้วไหนงู มีงูไม่ใช่หรอทำไมยังกล้านั่งอยู่อีก
แต่เดี๋ยวนะ...
"อย่าดิ้น แล้วก็หยุดแหกปาก" คุณแจ็คล็อกตัวผมไว้ต่อให้อยากดิ้นแค่ไหนก็คงขยับยาก
"แล้วงูล่ะครับ" ผมเอียงคอไปด้านหลังเพื่อพูดกับคุณเขา "อันตรายนะครับ ต้องไล่มันออกไปก่อน"
"ก็นั่งทับมันอยู่นี่ ไม่อันตรายหรอกถ้าไม่ขยับ"
"นั่งทับ?" ผมรู้สึกถึงแรงดิ้นหงึกๆ ดันอยู่ที่ก้น "คุณแจ็คครับ มันจะกัดนะครับ ตายได้เลยนะ!"
"บอกว่าอย่าขยับไง" คุณแจ็คกดตัวผมลงบนหน้าตัก ใช่ หน้าตัก ผมไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ "ถ้าขืนขยับมันงับก้นนายแน่"
"คะ... คุณแจ็ค" ผมกวาดตามองไปที่โต๊ะ "งูกับเอกสาร...อันไหน...น่ากลัวกว่ากันครับ"
"เฮ้ย!" คุณแจ็คผลักผมมาอีกด้านของอ้อมแขน สายตามองเอกสารที่กำลังเปียกน้ำดำๆ ของกาแฟขยายวงเปียกชื้นออกไปเรื่อยๆ "ฉิบหาย"
"ผมไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะครับ" ทำท่าจะลุกจะโดนท่อนแขนกดไว้ตามเดิม
"อยากโดนงูกัดรึไง นั่งก่อน" ผมทิ้งก้นลงไปในท่าเดิมไม่กล้าขยับอีก ไม่เข้าใจทำไมคุณแจ็คชอบทำเรื่องเสี่ยงๆ งูทั้งตัวนั่งทับมันไว้ได้ยังไง คนกรุงเขาจัดการกับสัตว์มีพิษแบบนี้หรอ
"กระดาษเปียกหมดแล้วนะครับ งานคุณแจ็คจะไม่เสร็จนะ ผมว่าเรารีบจัดการสักทางเถอะครับ จะตีงูก่อนหรือเช็ดโต๊ะก่อนดี"
"มันเปียกไปแล้วนายจะทำอะไรได้" เออใช่ พูดอีกก็ถูกอีก "แต่ใจคอนายจะตีงูทั้งตัวได้ลงคอหรอ ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไง"
"งั้นก็ไล่มันไปสิครับ ถ้ากัดคนในร้านจะทำยังไง ไม่ตีก็ต้องเอาไปปล่อยไกลๆ"
"กำลังทำอยู่นี่ไง นายช่วยนั่งทับรอให้มันสงบก่อนจะได้จัดการง่าย ไม่ดีหรอ" โหว คุณแจ็คฉลาดสุดๆ
"แต่ผมรู้สึกเหมือนมันพยายามดันตลอดเลย มันจะยอมสงบง่ายๆ หรอครับ"
"ตัวมันใหญ่ก็งี้แหละ ขยับขึ้นนิดนึง อ๊าาา อย่างนั้นๆ ทับไว้นะฉันจะทำงานต่อ"
ผมนั่งทับงูอยู่บนตักคุณแจ็คอยู่หลายนาที พี่โยเรียกไปทำงานก็ถูกคุณแจ็คตวาดใส่ ได้ยินเสียง อืม~ อา~ ซี้ด~ เบาๆ คิดว่าคุณแจ็คคงเมื่อย แต่ผมก็ไม่กล้าลุก ถ้างูกัดผมก็กลัวอยู่หรอก แต่กลัวมันจะกัดคุณแจ็คด้วยอีกคน ไม่ได้ๆ คุณแจ็คเป็นลูกค้าแล้วยังเป็นพี่ชายของผู้มีพระคุณผมอีก ผมจะต้องปกป้องเขาให้ถึงที่สุด
นั่งอยู่ในอ้อมแขนดูคุณแจ็คพิมพ์คอมพิวเตอร์จนเพลินตาผมก็เริ่มสะลึมสะลือ ตัวหนังสือยุบยิบไปหมดมันน่าเบื่อจริงๆ จริงๆ จริงๆ จริง จริ...

[แจ็ค]

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตอนที่เห็นโยกำลังเดินมาทางนี้ เจ้าเด็กบ้านนอกกำลังฝันดีอยู่บนตัวผมถ้าใครเสียงดังคงไม่ดีแน่ เรื่องเมื่อยไม่เท่าไหร่ยังพอทน แต่หน้าใสๆ ที่เอนซบหายใจรดต้นคออยู่นี่สิที่ทำให้ผมเสียสมาธิในการทำงาน หวังจะให้งูสงบ แต่เล่นมาซบแบบนี้บอกเลยว่ายาก
ผมละมือออกจากแป้นพิมพ์เพราะกลัวว่าถ้าขยับบ่อยๆ เจ้าตัวเล็กจะตื่น รู้สึกเหมือนเลี้ยงเจ้าจิมตอนเด็กๆ ไม่มีผิด
ต้องเบี่ยงตัวรวบขาให้ร่างน้อยๆ ตะแคงข้างเข้าหาผมจะได้ไม่ไหลตก เหมือนอีกคนจะรู้สึกตัวสอดแขนเล็กมาข้างหลังผมข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็โอบด้านหน้าเข้าประสานกันทำให้ผมโดนไอ้คนผอมนี่กอดซะแน่น เอาเข้าไปสิ ตั้งใจจะมานั่งทำงานรอเจ้าจิมเลิกแต่กลับต้องมานั่งอุ้มเด็กที่ไหนก็ไม่รู้
"ฮึ...อดหลับอดนอนมาจากไหนนะ" ผมมองหน้าเจ้าเด็กหลับปุ๋ยอยู่พักใหญ่ จนถูกเสียงของบางคนสะกิดให้ตื่นจะภวังค์
"จ่ายค่าแรงแทนผมด้วยนะ" โยมาเก็บแก้วกาแฟใบที่สองออกจากโต๊ะ "จ้างมาทำงานไม่ได้ให้มานอน"
"พูดมากน่า" ผมส่งเสียงออกไปให้เบาที่สุดแต่ก็ดังพอจะสนทนากับอีกฝ่าย
"ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่พี่ เพิ่งรู้จักเมื่อวานไม่ใช่หรอ ระวังเถอะ ถ้าจิมมาให้เข้าจะไม่พอใจ"
"ทำไมต้องไม่พอใจ" ผมเลิกคิ้วถาม
"กับน้องกับนุ่งเคยให้ความอบอุ่นขนาดนี้มั้ยล่ะ ถ้าผมไม่รู้จักพี่จะคิดว่าพาเด็กมานั่งจู๋จี๋แล้วนะ หรือว่าใช่?"
"ใช่บ้าอะไร มันเป็นอุบัติเหตุ" พยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดจนได้แต่โก่งคอเถียง
"อุบัติเหตุท่าไหนถึงได้นั่งกอดกันเป็นชั่วโมง ก้นมันติดขาพี่หรอ ใช้เรียกช่างมาแงะออกมั้ย หรือต้องใช้กรรไกรถ่าง"
"หุบปากแล้วกลับไปทำงานเลยไป" ผมรีบไล่เพราะเหนื่อยจะเถียง
"อย่าลืมจ่ายค่าตัวพนักงานผมล่ะ คูณสองด้วย ข้อหาเปลืองเนื้อเปลืองตัว" โยหันหลังให้ผมก่อนจะย้อนกลับมาพูดประโยคจี้ใจดำ "เด็กมันซื่อนะพี่ อย่าไปเล่ห์เหลี่ยมกับมันเยอะ เลยเถิดขึ้นมาจะรับผิดชอบไม่ไหว"
รับผิดชอบหรอ...
ผมไม่ได้จะทำอะไรเด็กนี่สักหน่อย

[จ่อย]

รู้สึกตัวขึ้นมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูสังกะสีหน้าร้านถูกดึงลง งัวเงียปรับสายตาอยู่พักนึงก็พบว่าสถานที่ที่ผมนอนอยู่คือคาเฟ่ของพี่โย นี่ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงมานอนอยู่บนโซฟาของร้านได้ล่ะ ถ้าลูกค้าเดินเข้ามาจะนั่งตรงไหน
"พี่โย" ผมปรับตัวลุกเดินไปที่เค้าน์เตอร์ "ขอโทษนะครับ"
"ขอโทษทำไม หาวมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ กลับบ้านไปได้แล้วร้านปิดแล้ว" พี่โยนับเงินในลิ้นชักเพื่อสรุปยอดของวันนี้ ก่อนจะละสายตาเงยหน้ามามองผม "จ่อย"
"ครับ?" ต้องโดนดุแน่ๆ
"กับพี่แจ็คน่ะ ดีกับพี่เค้าให้มากๆ นะ"
"ฮะ?" ผมงงกับคำพูดพี่โยที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย
"พี่แจ็คน่ะ ปกติจะเย็นชาเป็นที่สุด เข้มงวดแบบเพอร์เฟคชั่นนิสทั้งเรื่องงานแล้วก็ที่บ้าน"
"แบบนักเทนนิสหรอครับ" ผมได้ยินไม่ค่อยถนัด
"เพอร์เฟคชั่นนิส เออช่างเหอะ จะบอกว่าปกติพี่เค้าไม่ค่อยเสวนากับใคร ยิ่งเรื่องจะมาดูแลเอาใจใส่ยิ่งตัดไปได้เลย เพราะฉะนั้นนะ ถ้าพี่เค้าทำดีด้วยนายก็ต้องดีกับพี่เค้ามากๆ รู้มั้ย"
"แล้วทำไมคุณแจ็คต้องทำดีกับผมล่ะครับ" เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พี่โยพูดสักเท่าไหร่
"คงเอ็นดูเรามั้ง" พี่โยก้มลงไปนับเงินต่อ "คิดซะว่าทำเพื่อจิมก็แล้วกัน ถ้าเราบอกว่าอยากตอบแทนที่จิมคอยช่วยเหลือล่ะก็นะ ทำตามที่พี่บอก"
"จิมจะโดนคุณแจ็คดุน้อยลงรึเปล่าครับ" ตรงนี้ที่ผมห่วงที่สุดเลยเพราะผมได้ยินผ่านกำแพงทุกวัน
"คิดว่านะ ไม่รู้จะคิดไปเองรึเปล่า แต่ถ้ามองไม่ผิดพี่ว่าเราน่าจะช่วยได้เยอะเลยล่ะ"
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ไม่รู้หรอกว่าคุณแจ็คจะทำดีกับผมเหมือนที่พี่โยบอกไหม แต่ถึงอย่างนั้นผมว่าน่าจะเริ่มที่ตัวผมเองดีกว่า แม่บอกว่าถ้าเราทำดีกับใครก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา ถ้าผมทำตัวน่ารักกับคุณแจ็ค คุณแจ็คก็จะทำตัวน่ารักกับผม แล้วผมก็จะขอให้ทำตัวน่ารักกับจิม โป๊ะเช๊ะ!

Rrrr

"ฮัลโหลจิม"
[ระวังหน่อยนะ พี่แจ็คอยู่บ้านแล้ว แม่ก็อยู่ด้วย เฮ้อ ให้ตายสิ จะพูดจะคุยก็ต้องหลบๆ ไว้เราจะซื้อโทรศัพท์ให้ใหม่แล้วกันนะ]
"ทำไมต้องซื้อเราก็ถืออยู่นี่ไง"
[แต่เครื่องที่นายใช้มันเล่นไลน์ไม่ได้ เอาเถอะ ไว้หลังสอบเสร็จจะพาไปซื้อ ถ้าเราโทรไปอีกทีไม่ต้องรับนะ เป็นสัญญาณให้รีบวิ่งเข้าบ้านมาได้เลย โอเคมั้ย]
"โอเค"

ผมวางสายจิมแล้วเดินเล่นอยู่ในซอยบ้าน ถึงผมจะไม่เคยเล่นไลน์แต่ก็เคยเห็นจิมพิมพ์คุยกับเพื่อนบ่อยๆ มีหลายอย่างที่คนกรุงใช้แล้วผมเคยเห็นแค่ในทีวี พอได้มาอยู่ที่นี่เหมือนเปิดโลกใหม่ไปเยอะเหมือนกัน จนบางครั้งก็แอบคิด ถ้าเก็บเงินได้สักก้อนอยากจะส่งเจ้าตัวแสบที่บ้านมาเรียนที่นี่ เผื่อจะเก่งๆ เหมือนคุณจิมคุณแจ็ค เอาความรู้ที่ได้มาเปิดร้านเป็นของตัวเองแบบพี่โย
พี่โย...ตายแล้ว ผมลืมบอกพี่โยว่าที่ร้านมีงู!

[แจ็ค]

ผมโทรหาเลขาวุ่นวายให้ช่วยส่งไฟล์งานทั้งหมดมาใหม่ นั่งสั่งปริ้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะครบทุกฉบับ เรื่องของเรื่องก็เพราะเจ้าเด็กตัวแสบนั่นทำกาแฟหกเลอะงานไปหมด จะทำส่วนอื่นไปก่อนก็ไม่ได้เพราะมาหลับใส่บนตัวผมอีก คืนนี้กว่าจะได้นอนคงหลังเที่ยงคืน
ผมรู้ว่างานเอกสารมันน่าเบื่อแต่ก็ไม่คิดว่าแค่นั่งดูเฉยๆ จะถึงกับหลับได้ แถมยังหลับลึกซะด้วย อุ้มไปวางบนโซฟายังไม่รู้สึกตัวเลย ถ้าไม่ติดว่าถึงเวลาที่จิมกลับผมคงปล่อยให้นอนต่อบนตัวอีกสักหน่อย ผู้ชายอะไรตัวนุ่มนิ่มชะมัด ร่างผอมบางคิดว่าจะมีแต่กระดูก ผมแอบบีบแก้มเล่นไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หลับลึกเอง
“ยิ้มอะไรคนเดียวพี่” ผมสะดุ้งจนเอกสารหล่นออกจากมือ
“เข้ามาทำไมไม่เคาะก่อน”
“เคาะแล้วพี่ไม่ตอบ”
“ไม่ตอบก็ต้องรอให้อนุญาตก่อน”
“ทำไมอะ บ้านนี้ก็บ้านจิมเหมือนกัน ทำไมจิมจะเข้ามาไม่ได้ จิมเป็นน้องพี่นะ”
“แล้วไม่ต้องมีมารยาทรึไง”
เจ้าน้องชายหันหลังกลับไปที่ประตูก่อนจะยกกำปั้นทุบเพื่อประชดผม ผมเห็นเขาถอนหายใจเซ็งๆ ตั้งแต่ก่อนถึงประตูและนั่นทำให้ผมลอบถอนหายใจเหมือนกัน
“พอใจยัง”
“มาหาพี่มีธุระอะไร ถ้าจะมาเล่าเรื่องที่มหาลัยก็เอาเวลาไปอ่านหนังสือ คืนนี้พี่ไม่ว่าง”
“พี่ไม่เคยว่างให้เรื่องของจิมอยู่แล้วนี่”
“อย่ามาประชดพี่ตอนนี้จิม พี่กำลังปวดหัวกับเอกสาร”
“สอบเสร็จเพื่อนๆ นัดกันจะไปปีนเขา จิมเลยมาบอกไว้ก่อน”
“ไม่ให้ไปมันอันตรา...”
“แค่มาบอก ไม่ได้มาขอ”
ปัง!
   เฮ้อ...
   ไม่รู้เมื่อไหร่ที่จิมเริ่มก้าวร้าวใส่ผมแบบนี้ เขาเคยเป็นเด็กน่ารัก และทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าเขาน่ารัก คนทั้งซอย ไม่สิ ทั้งหมู่บ้านทั้งตลาด ทุกคนแทบไม่มีใครไม่รักจิม แต่กับผมเหมือนเราห่างกันไปทุกวันทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน

[จ่อย]

   “นอนได้แล้ว” จิมสะบัดผ้าห่มแล้วแบ่งครึ่งนึงมาทางผม นี่ก็ดึกมากแต่เขาก็มาเคาะประตูจนผมใจสั่นไปหมด เพราะปกติมันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมา
“จะนอนกับเราจริงๆ หรอ ถ้าคุณแจ็คหาจิมมะ...”
“เลิกพูดชื่อนี้สักที ถ้าเค้าหาไม่เจอแปลว่าเราไม่อยากให้เจอ ไม่ต้องห่วงมากหรอก”
“ทะเลาะกันมาอีกใช่มะ” ผมตะแคงตัวนอนมองหน้าจิมบนหมอนใบเดียวกัน เพราะพื้นที่มีไม่มาก จริงๆ ไม่อยากให้จิมมาอุดอู้อยู่ในนี้ด้วย มันทั้งร้อนแถมเปิดไฟก็ไม่ได้
“อาทิตย์หน้าเราจะไปเที่ยวกับเพื่อน ไปด้วยกันนะ” จิมเอ่ยปากชวนผม ซึ่งเรื่องนี้ผมก็พอรู้มาบ้างอยู่แล้ว จิมเคยคุยว่ามีที่ๆ อยากไปแต่ยังตกลงกับเพื่อนไม่ได้ในตอนนั้น “เดี๋ยวเราลางานกับพี่โยให้”
“ไม่เอาหรอก เรากลัวได้เงินไม่ครบตามที่คำนวณไว้” ผมกลัวว่าถ้าหยุดงานจะโดนหักเงินไปด้วย “วันนี้เราก็แอบหลับเวลางาน ปล่อยพี่โยทำอยู่คนเดียว”
“ทำไมล่ะ ง่วงเพราะตื่นเช้าหรอ ขอโทษทีนะ เราก็เพิ่งนึกได้ว่าแม่จะกลับ”
“ไม่เป็นไรเลย แค่มีที่ให้เรานอนก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องขอโทษ เราไม่ได้ลำบากอะไร”
“จะไม่ไปด้วยจริงหรอ ถ้าต้องอยู่คนเดียวจะอยู่ยังไง เกิดโดนจับได้ขึ้นมาล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง เราจะระวังตัวอย่างดีเลย กฎเหล็กของจิมเราก็จำได้ขึ้นใจ ยิ่งวันพฤหัสฯก็จะยิ่งระวังสุดๆ”
“จำได้ทุกข้อแน่นะ”
“แน่สิ จิมเป็นคนติดไว้ที่ประตูเองนี่ ก่อนออกจากบ้านเราอ่านทุกวัน” ผมส่งยิ้มเพื่อให้จิมสบายใจ ไม่รู้เขาจะมองเห็นมันรึเปล่าเพราะมืดไปหมด
“วันพฤหัสฯพี่แจ็คจะชอบทำงานที่บ้านเพราะคนที่บริษัทไปที่สตูดิโอกันหมด เป็นไปได้ก็อาบน้ำไว้ตั้งแต่คืนวันพุธตอนเช้าจะได้ไม่ต้องอาบ ทนๆ เอาหน่อยแค่วันเดียว ทาแป้งเยอะๆ ขากลับก็ยิ่งต้องระวัง ตอนเช้ายังไม่เท่าไหร่พี่แจ็คตื่นสาย แต่ตอนเย็นนี่แหละที่น่าห่วง”
“หรือเราจะขอนอนที่ร้านพี่โยดี”
“ถ้าได้ก็ดีเลย แค่วันเดียว พยายามหาเหตุผลดีๆ เฮ้อ... ห่วงจังเลย เราว่าไปกับเราดีกว่านะ เรื่องเงินเดี๋ยวเราจะ...”
“หยุดเลย ให้เราทำงานหาเงินเองเราบอกแล้วไง”
“ก็ได้ๆ นอนได้แล้ว” จิมเอื้อมมือมาตบแปะๆ ที่หัวผม 2-3ที ก่อนที่เราจะหลับตาลงพร้อมกัน

“จิม จิม”
!!!
ตาทั้ง 2คู่ของเราโตจนแทบจะถลนออกมากองรวมกัน เสียงเข้มๆ ที่ตะโกนเรียกจิมนั่น....

“คุณแจ็ค/พี่แจ็ค”

#ห้องลับบักจ่อย
TBC
   
   

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #11 เมื่อ13-02-2019 03:24:39 »

ลุ้น​ๆ​

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #12 เมื่อ13-02-2019 15:34:14 »

มีคนหลอกเด็กค่าคุณตำรวจ

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #13 เมื่อ13-02-2019 15:54:36 »

เพิ่งได้อ่าน สนุกมากเลยจ้า น่าติดตาม จ่อยก็ซื่อน่ารัก จิมกับพี่แจ็คคงต้องทำความเข้าใจกันอีกเยอะเลย ไม่รู้ว่าความจะแตกหรือเปล่า

คนเขียนสู้ๆนะ อยากอ่านต่อแล้วววว :katai2-1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #14 เมื่อ13-02-2019 17:14:22 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #15 เมื่อ13-02-2019 19:40:12 »

ตายแล้วจะรอดมั้ยจะ :katai1: พี่แจ๊คคือเอ็นดูน้องมาก มีการบีบแก้มให้ซบ ชอบน้องแล้วใช่มั้ย :-[ แล้วน้องซื่อมากน่ารักมากๆด้วย สนุกมากๆเลยมาต่อเร็วๆนะ :pig4:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #16 เมื่อ13-02-2019 21:24:22 »

ความจะแตกมั้ยเนี่ย

พี่แจ๊คคะ แอบแต๊ะอั๋งน้องอะ เอ็นดูน้องกันหมดแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #17 เมื่อ13-02-2019 23:23:19 »

ชอบม๊ากกก  :katai4:
จิมนี่เด็กมีปัญหาใช่ไหม ถ้าจ่อยเป็นคนไม่ดีนี่คือพาอันตรายเข้าบ้านเลยนะ

แต่เอาเถอะ มาต่อเร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #18 เมื่อ26-02-2019 02:51:56 »

5
จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน
[/b]

 "จิม ออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าพี่ไม่ได้ยินเสียงนะ"

"ทำไงกะ...อื้ออ" ผมร้อนรนจนจิมต้องยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ ฟังก็รู้ว่าคุณแจ็คยืนอยู่ไม่ไกลจากห้อง ถ้าจับได้จิมจะเป็นยังไงล่ะ ต้องซวยแน่ๆ

จิมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก ส่งสัญญาณให้ผมเงียบก่อนที่ตัวเขาจะค่อยๆ ลุกขึ้นสำรวจรอบห้อง "ไม่ต้องมาเรียก ผมไม่อยากคุยกับพี่" ยืนชิดหน้าต่างแล้วตะโกนออกไปทางหน้าห้อง ผมไม่เข้าใจว่าจิมพยายามทำอะไร อย่างนี้ใครก็รู้สิว่าจิมอยู่ในห้องนี้น่ะ

"อย่ามาทำตัวเป็นเด็กๆ นะจิม" คุณแจ็คตะโกนตอบ ผมเห็นจิมค่อยๆ ถอนกลอนหน้าต่างอย่างเบามือจนมันอ้าออก ขายาวปีนก้าวข้ามขอบนั้นไป ผมว่าจิมคงเกร็งน่าดูเพราะมันเงียบมากทั้งๆ ที่กระโดดหยองไปอยู่ข้างนอกแล้ว

จิมกวักมือให้ผมไปหา แล้วทำท่าเหมือนจะบอกให้ผมค่อยๆ ล็อคหน้าต่างเหมือนเดิม

"ใครกันแน่ทำตัวเป็นเด็ก เอะอะก็จะเอาให้ได้อย่างใจตัวเอง" ผมได้ยินเสียงจิมแว่วจากข้างนอก มันลอยไปพร้อมๆ กับจังหวะการเดิน "ชอบบังคับให้คนอื่นทำนั่นทำนี่ พี่แจ็คนั่นแหละไม่รู้จักโต"

"ออกมาทำอะไรข้างนอกดึกๆ แล้วเมื่อกี้คุยกับใคร" ผมเงี่ยหูแนบประตูฟัง

"ออกมาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนครับ ทำไม? หรือว่าไม่ได้อีก?"

"แต่พี่ได้ยินเสียงคนอื่นนอกจากเรานะ" คุณแจ็คคาดคั้นจนผมสั่นไปหมด

"ก็วิดีโอคอลไง ไม่ได้เอาหูฟังลงมา แล้วหูดีขนาดไหนจิมยืนอยู่หลังครัวแต่พี่อยู่หน้าห้องเก็บของยังได้ยิน อย่าจับผิดจิมนักดิ เป็นน้องนะไม่ใช่นักโทษ"

"เดี๋ยวนี้พูดจาไม่น่ารักเลยนะ เข้ามหาลัยแล้วเป็นแบบนี้หรอ อย่าติดเอานิสัยไม่ดีจากที่อื่นมาใช้ที่บ้าน"

"พี่ก็เลิกโทษแต่คนอื่นสักทีเถอะ จิมเป็นแบบนี้เพราะพี่นั่นแหละ จิมพูดไม่น่ารักแค่กับพี่คนเดียวรู้ไว้ด้วย"

"จิม! จะมากเกินไปแล้วนะ!"

ผมได้ยินเสียงคุณแจ็คตวาดจนแทบอยากจะเปิดประตูห้องไปช่วยห้าม แต่คิดอีกที ถ้าขืนออกไปตอนนี้มันจะต้องแย่กว่าเดิมแน่

"ทะเลาะอะไรกันลูกเสียงดังมาถึงข้างบน" เสียงแว่วๆ ของผู้หญิงคนนึงที่ผมฟังไม่ค่อยถนัด น่าจะดังมาจากชั้น 2

"ไม่มีอะไรครับแม่" เสียงคุณแจ็คไม่เกรี้ยวกราดเหมือนเดิมแล้ว อาจเพราะต้องเปลี่ยนอารมณ์เมื่อคุยกับผู้ให้กำเนิด "แม่พักเถอะครับ เดี๋ยวแจ็คกับน้องก็เข้านอนแล้ว"

"ค่อยๆ คุยกันนะ มีอะไรก็มาคุยในบ้าน เดี๋ยวจะรบกวนคนอื่นเค้า"

“ครับ/ครับ”

เสียงฝีเท้าของทั้งคู่ห่างไปจากหน้าห้องผมไกลแล้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะคิดว่าจะเป็นเรื่อง สุดท้ายแล้วคืนนี้จิมก็ไม่ได้นอนกับผม ซึ่งก็ดี ห้องนี้ร้อนจะตายแถมยังมืดมากอีกด้วย ผมพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ห้องอับ แต่ก็ยังช่วยได้น้อยมากอยู่ดี ว่าแต่...

ป่านนี้จิมกับคุณแจ็คจะเป็นยังไงบ้างนะ

 

“ใส่เสื้ออะไรของนาย” พี่โยมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหน้าเบาๆ กับชุดทำงานวันนี้ “อย่าต้องให้สั่งทำชุดฟอร์มเลยนะ อยู่กันแค่สองคน”

“ขอโทษครับ มันแห้งไม่ทันจริงๆ” พอจะเข้าใจที่พี่โยส่ายหน้าแบบเอือมๆ เมื่อวานคุณแม่ของจิมอยู่บ้านทั้งวันทำให้ผมซักผ้าตากข้างนอกไม่ได้ ตามจริงเสื้อตัวนี้ผมใส่นอนเพราะสภาพมันย้วยไปหมดแล้วแถมสีก็ส้มสะท้อนแสงเพราะเป็นเสื้อแจกของผู้ใหญ่บ้านที่ให้มาตอนช่วงหาเสียง แต่วันนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ

“ไปเอาเสื้อคลุมพี่มาใส่ไป” คงเหลือทนกับสีแสบตานี่แล้วจริงๆ ผมอยากขอโทษพี่โยพันรอบที่สร้างความวุ่นวายให้ตลอด

“ใส่เสื้ออะไรของนาย” ผมสะดุ้งกับคำถามที่เหมือนกันเป๊ะของคนที่เพิ่งเข้าร้านมาใหม่ ให้ตายสิ มันคงแปลกสำหรับคนกรุงแน่เลย ใครๆ ก็ทักแบบเดียวกันหมด แถมสายตาที่มองก็ไม่ต่างกันด้วย

“เมื่อกี้ผมก็ถามด้วยคำถามเดียวกับพี่แหละ” พี่โยทิ้งท้ายก่อนจะไปประจำหน้าเค้าน์เตอร์ “ทำไมวันนี้มาแต่เช้าล่ะพี่ ไม่เข้าออฟฟิศหรอ”

“อืม วันนี้จิมเลิกเร็ว เข้าไปสอบวิชาเดียวก็เลยจะรอ” คุณแจ็คนั่งเก้าอี้ในร้าน ที่ต่างจากเดิมคือมันไม่ใช่ที่ประจำ แล้วยังไม่มีกระเป๋าใบใหญ่ๆ ที่ไว้ใส่พวกเอกสารด้วย “ไม่เอากาแฟนะ ขอเป็นช็อกโกแลตร้อนแทน”

“พี่นี่ก็น้า รักน้องห่วงน้องแต่ไมรู้จักแสดงออกเอาซะเลย” พี่โยพูดขณะที่ตักส่วนผสม “ทีกับ.../...ไอ้โย!”

พี่โยพูดไม่ทันจบก็โดนคุณแจ็คขัด แทนที่จะเคืองพี่โยกลับหัวเราะในลำคอแล้วเหล่สายตามาทางผมแทน

“รีบๆ ไปเอาเสื้อคลุมมาใส่ได้ปะ แสบตา” เสียงช้อนกระแทกโต๊ะทำให้ผมรีบดีดตัวลุก เสียงหัวเราะของคุณแจ็คดังลั่นจนผมต้องหันไปมองเพราะไม่เคยเห็น อย่างมากก็ยิ้มนิดๆ หน่อยๆ

“ใส่แบบนี้แหละ เรียกแขก” ยังคงกลั้วหัวเราะไม่หยุดอีก เชอะ “จะว่าไปไม่เคยเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเลยนะ เคยเห็นแต่ในข่าว” คุณแจ็คอ่านตัวหนังสือข้างหลังเสื้อผมแล้วเริ่มถกประเด็นกับพี่โย

“แถวเรามันไม่ต้องมีนี่พี่”

ผมมองสลับระหว่างคุณแจ็คกับพี่โย พวกเขาบอกว่าไม่เคยเลือกผู้ใหญ่บ้านหรอ กรุงเทพฯไม่ต้องมีผู้ใหญ่บ้านหรือไง ผมคิดว่ามีทุกหมู่บ้านซะอีก

“นายใส่กางเกงตัวเดิมหรอ” คุณแจ็คจ้องที่ขาผมจนรู้สึกแป้ว จะมาความจำดีอะไรกับเรื่องนี้นะ ไม่เคยใส่ซ้ำกันรึไง กางเกงใครเขาซักกันบ่อยๆ

“ซกมกจริงๆ” พี่โยก็ยังมาเสริมอีก เฮ้อ ผมชักอายจนอยากจะวิ่งไปเอาผ้าออกมาตากแดดให้มันจบๆ จะได้ไม่เหม็นอับด้วย

“หน้าตาก็น่ารักหัดดูแลตัวเองบ้างสิ ไม่ใช่จะใส่อะไรก็ใส่ อย่างน้อยก็ให้มันสะอาดสะอ้านหน่อย” คุณแจ็คยกถ้วยช็อกโกแลตร้อนขึ้นจิบ

“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ แต่มันแห้งไม่ทันจริงๆ ไม่ได้อยากจะใส่แบบนี้ออกจากบ้านสักหน่อย”

“ทำไมแห้งไม่ทัน ฝนก็ไม่ตก” พี่โยถามพร้อมยกกาแฟของตัวเองขึ้นดื่มบนเก้าอี้ข้างๆ คุณแจ็ค

“ก็...ก็ผมมีเสื้อผ้าไม่กี่ตัวเลยต้องสลับกันซัก แต่ช่วงนี้มันซักไม่ทันก็เลย...”

“ไม่กี่ตัวนี่กี่ตัว” ผมหันไปสบตากับคุณแจ็ค ใจก็ไม่อยากจะตอบคำถามแบบนี้เลย แต่ในเมื่อคุณเขาถามก็ต้องตอบ

“มีกางเกงสามตัวกับเสื้อห้าตัวครับแล้วก็เสื้อแขนยาวอีกสองตัว” ผมก้มตอบไม่อยากสบตากับคุณเขาอีก ก็คุณแจ็คน่ะ มีเสื้อผ้าเยอะมากผมเคยเห็นจากตะกร้าที่ส่งให้ร้านซัก

“ทั้งบ้านมีแค่นี้หรอ”

“น้องมันมาจากต่างจังหวัดพี่ มาแค่กระเป๋าเป้ใบเดียวจะยัดได้แค่ไหนกัน”

“อ่า”

คุณแจ็คนิ่งเงียบไปพักใหญ่ไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้าต่อผมจึงถอยไปยืนเช็ดถูนั่นนี่ไปเรื่อย ในใจพลางคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิที่จิมจะไปเที่ยวและผมจะต้องระวังตัวอย่างดี ช่วงนี้ได้เจอคุณแจ็คบ่อยแต่ถ้าเป็นที่ร้านก็โชคดีไป กลัวก็แต่มันจะไม่ใช่แค่ที่ร้านน่ะสิ

            “จ๊ะเอ๋!” เหมือนมีอะไรแหลมๆ มาจิ้มที่เอวเล่นเอาสะดุ้งจนแก้วในมือเกือบล่วง ถ้าต้องซื้อใช้นี่ไม่มีปัญญาหรอกนะ

“จิม มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “เมื่อใครก็ไม่รู้ยืนเหม่อ คิดถึงเราล่ะสิ” ยิ้มสดใสนั่นทำให้ริมฝีปากของผมฉีกกว้างออกตามไปด้วย

“รู้ดีจัง คิดถึงจริงๆ นั่นแหละ”

“จริงปะ? เกือบจะดีใจแล้วนะถ้าไม่ตงิดตรงคำว่ารู้ดีเนี่ย เหมือนโดนหลอกด่าเลย”

“ไม่ได้หลอกด่า มันเป็นคำชื่นชม” ผมรีบวางแก้วในมือแล้วอธิบายก่อนที่จิมจะเข้าใจผิด “เป็นไงสอบวิชาสุดท้ายทำได้ดีเลยล่ะสิ”

“แน่นอน คนมันเก่ง ไปกันเถอะ”

“ไปไหน” จิมดึงเชือกที่ผูกเอวของผมออกจนผ้ากันเปื้อนหล่นไปกองที่พื้น

“เดี๋ยวพาไปเที่ยว” ยิ้มจนตาปิดก่อนจะลากผมออกมาเกือบถึงหน้าร้าน “พี่โยใจดีให้วันหยุดเพิ่มหนึ่งวัน ใช่มั้ยครับพี่โย”

“เหอะ พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง” พี่โยยกขาขึ้นไขว่ห้างส่ายหน้าเบาๆ “จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวเปลี่ยนใจ”

ผมมองหน้าพี่โยด้วยความไม่เข้าใจ พอกันทั้งพี่ทั้งน้องคืออะไร แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงโดนจิมลากออกมาในเวลางานด้วย

รู้ตัวอีกทีผมก็ถึงหน้าบ้านแล้ว

 

            “ลงสิ นี่บ้านเราเอง” ผมเห็นตาของจิมขยิบเหมือนฝุ่นจะเข้ารึเปล่า “นี่บ้านเราๆ บ้านของเรากับพี่แจ็ค ใช่มั้ยพี่แจ็ค”

            “อ้อ อ้อๆ นี่บ้านของจิมหรอ ใหญ่จัง” ผมฉีกยิ้มปากเป็นเส้นตรงเมื่อเข้าใจความหมายของสายตานั้น ผมไม่ค่อยทันเวลาจิมส่งซิกสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับความหัวไวของจิม เพราะถ้าผมเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยคงเป็นเรื่องแปลกสำหรับคุณแจ็ค ถึงแม้ว่าความจริงผมเดินจนครบทุกตารางเมตรแล้วก็ตาม

“รีบๆ เข้าล่ะอย่าชักช้า หิว” คุณแจ็คบอกจิม ทันใดนั้นร่างของผมก็แทบจะลอยเพราะถูกฉุดให้วิ่งตามขึ้นบันไดไป

“นี่มันอะไรกันจิม ทำไมจู่ๆ ถึง...”

“อย่าเพิ่งถามมากน่า เอานี่ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ตัวนี้น่าจะใส่ได้พอดีแล้วก็... กางเกงใส่ตัวนี้” ไม้แขวนเสื้อถูกเหวี่ยงลงที่นอนพร้อมกับเสื้อผ้าเข้าชุดถูกส่งมาให้ผม “ไปเร็วสิ อยากให้พี่แจ็ครอนานรึไง เดี๋ยวก็โดนกันหมดหรอก”

“ก็ได้ๆ จะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ”

 

[แจ็ค]

“โหววว” ผมยืนสังเกตอยู่พักใหญ่ก็ได้ยินแต่คำนี้ที่หลุดออกมาจากปากคนตัวเล็กตรงหน้า

“รีบๆ เดินเข้าสิ แบบนี้คนที่เดินข้างหลังจะหงุดหงิดเอาได้นะ” จิมดันหลังเจ้าตัวเล็ก และผมแอบเห็นว่าเขามีอาการเกร็งหน่อยๆ

“ใหญ่จังเลยจิม เหมือนเอาห้างบิ๊กซีกับโลตัสมาต่อกันแหนะ” เด็กทึ่มเอ้ย

“อย่าเดินไปไกลล่ะ อยู่ใกล้ๆ เรากับพี่แจ็คไว้จะได้ไม่หลง”

“อื้อ”

“จะพากันกินอะไรก็เลือกสิ” ผมบอกทั้งสองคนที่มัวแต่คุยชี้ไม้ชี้มือไปตามร้านต่างๆ ที่เดินผ่าน

“อยากกินอะไร”

“ก๋วยเตี๋ยว” เจ้าเด็กบ้านนอกตอบออกมาแบบไม่คิดสักเสี้ยววินาที

“มาถึงนี่ยังจะอยากกินก๋วยเตี๋ยวอีกหรอ นายนี่ไม่รู้จักเบื่อมั่งรึไง” เจ้าจิมได้พูดแทนใจผมไปหมดแล้ว

“ก็เราไม่รู้ว่าที่นี่มันอะไรกินบ้าง มีแต่ร้านดูแพงๆ ทั้งนั้นเลย ดูอย่างรูปที่แปะอยู่หน้าร้านนั่นสิ คืออะไรก็ไม่รู้ จานเบ้อเริ่มแต่ให้อาหารนิดเดียว ไม่อิ่มหรอก” ผมขำในใจกับคำพูดที่ตรงเกินไปจนกลัวว่าพนักงานหน้าร้านจะได้ยิน

“งั้นไปร้านที่เราชอบกินดีกว่า จุ่มๆ ลวกๆ ง่ายดี เนอะพี่แจ็คเนอะ”

“เอาสิ”

 

หลังจากที่เราจัดการกับชาบูกันเสร็จก็ออกมาเดินเล่นกันต่อ เจ้าตัวเล็กดูจะยังไม่หายเกร็งถึงแม้ว่าจิมจะพยายามช่วยในการปรับตัวหลายอย่าง ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่แปลกตาแต่ก็แน่ล่ะ มันไม่ใช่ห้างในแบบซุปเปอร์สโตร์ที่เด็กนี่เคยเข้า แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันน่าตื่นตาตรงไหน ดูจากสายตากลมเท่าไข่ห่านนั่น เห็นแล้วตลกชะมัด

“จิมขอแวะบีทูเอสแปบนะพี่” เจ้าจิมหันมาขออนุญาตผม ในมือคว้าแขนอีกคนให้เดิมตามไปด้วย จะทำตัวติดกันไปถึงไหน

“จะไปก็ไปแต่ไม่ต้องลากคนอื่นไปด้วยหรอก น้องสิงอยู่ในนี้ได้เป็นวันไม่กลัวเพื่อนจะเบื่อรึไง” ผมเห็นจิมทำท่าลังเลจะปล่อยไม่ปล่อยมือเล็กนั่น

“แต่ว่า...”

“ให้อยู่ในนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ลืมแล้วหรอว่าอยากพาเพื่อนมาที่นี่ทำไม” ผมเน้นย้ำให้จิมนึกถึงคำขอแรกที่พาเจ้าตัวเล็กมาด้วย

“งั้น จิมขอเข้าไปแปบเดียว แปบจริงๆ เดี๋ยวรีบออกมา นะๆ”

“เดี๋ยวเรารออยู่ตรงนี้ก็ได้ จิมเข้าไปเถอะ”

“จะรอข้างนอกหรอ” สายตาที่เหลือบมองมาน่ะ อย่าคิดว่าไม่เห็นนะจิม

“รีบไปเสียเวลา” ผมเลยดุเข้าให้ทีนึง

“ฝากด้วยนะครับ” จิมหันหลังไปแต่ก็ยังหันกลับมา “ห้ามดุห้ามตวาด ห้ามเสียงดังใส่เพื่อนจิมนะ” แล้วชี้หน้าผมด้วย เห็นพี่ชายอย่างผมเป็นคนแบบไหนกัน

“พี่จะหักคอเด็กนี่ซะ ถ้าเรายังไม่รีบไป”

“ไปแล้วๆ”

เจ้าจิมเดินเข้าร้านหนังสือไปโดยเหลียวกลับมามองเราเป็นระยะ ในที่สุดก็หลุดพ้นสายตาไปสักที ผมรู้ว่านี่เป็นสถานที่โปรดไม่กี่แห่งภายในห้างที่เจ้าจิมชอบมาขลุก เดินวนหาหนังสือใหม่ๆ ที่น่าสนใจบางครั้งนั่งอ่านจนลืมเวลากลับบ้านก็มี

“เราก็ไปกันเถอะ” ผมหันมาคุยกับคนตัวเล็กข้างๆ

“ไปไหนครับ ไม่รอจิมก่อนหรอ”

“เสียเวลาน่า” ผมบอก “พอเจอหนังสือน่าอ่านสักเล่มก็ลืมพวกเราแล้ว”

“แต่จะทิ้งจิมไว้คนเดียวได้ยังไงกันครับ ห้างนี้น่ะ ใหญ่มากๆ เลยนะ ไม่ได้หรอกๆ ผมจะยืนรอตรงนี้ เดี๋ยวจิมออกมาแล้วจะหลงทาง”

“หลงทาง?” ผมกลั้นหัวเราะในลำคอให้กับความขี้กังวล “คนเดียวที่จะหลงในห้างนี้ก็มีแต่นายนั่นแหละ”

“คะ... คุณแจ็คเดี๋ยว!”

ผมเดินทิ้งเจ้าตัวเล็กไว้ตรงนั้น อยากยืนรอก็รอไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใจอย่างที่ปากเก่ง เอาสิ ห่วงคนอื่นแต่ตัวเองขี้กลัว วิ่งตามผมแทบไม่ทันแล้ว

“ไม่รอต่อล่ะ”

“กะ...ก็ ก็จิมบอกว่าห้ามอยู่ห่างจิมกับคุณแจ็คนี่ครับ แล้ว... ก่อนเข้าไปจิมก็ฝากผมไว้กับคุณแจ็คแล้วด้วย”

“ฮึ...” ผมทำท่าจะเดินต่อ “ตามให้ทันแล้วกัน”

หมับ!

“ทันแน่ๆ ครับ ฮี่” ผมอึ้งไปนิดหน่อยแต่อาจจะมากอยู่เพราะตอนนี้กำลังหยุดชะงัก ไม่ใช่รอยยิ้มสดใสจนตาหยีที่ส่งมาให้ผมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ามือนุ่มนิ่มของเขายังสอดเขามาในมือผมด้วย “แค่นี้ก็ไม่หลงแล้ว คุณแจ็คเดินต่อได้เลย”

“อะ...อื้ม อึ่ม” ผมกระแอมในลำคอเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อเฉยๆ หรอกนะ ปากนี่ก็คอยแต่จะยิ้มออกมาให้ได้เลย บ้าจริง ผมไม่ได้สั่งให้สมองมันทำตามอำเภอใจแบบนี้สักหน่อย ควบคุมยากจริง

“เราจะไปไหนกันหรอครับ ร้านนี้ก็มีหนังสือด้วย จิมจะเดินมาร้านนี้ด้วยมั้ยครับ”

“ก็ไม่แน่ ถ้าหาเราไม่เจอก็วนอยู่ร้านหนังสือแถวนี้แหละ เดี๋ยวเราค่อยเดินกลับมาหา”

“อ๋อ มากันบ่อยจนชินแล้วใช่มั้ยครับ” เด็กนี่พยักหน้าพูดเองเออเองอยู่คนเดียว “คุณแจ็คก็ดูจะตามใจรู้ใจจิมมากนี่ครับ แต่ทำไมต้องคอยดุคอยบังคับจิมด้วยล่ะ”

“หืม?” ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้ยกมือเล็กขึ้นปิดปากแต่แววตากลมโตนั่นมันปิดไม่มิดหรอก “เอาอะไรมาพูด รู้ได้ไงว่าฉันเป็นอย่างนั้น”

“คือผม..คือ.. คือ”

“จิมเล่าอะไรให้นายฟังรึไง”

“ใช่ครับ ใช่ๆ ใช่เลย ฮ่าๆ” ผมว่าเด็กนี่ยิ้มเจื่อนๆ “แต่จิมไม่ได้ว่าคุณแจ็คนะครับ แค่เล่าว่าคุณแจ็คไม่ยอมให้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วแบบว่า..เอ่อ.. แต่อันนี้ผมไม่ได้ได้ยินเองนะ จิมเล่าจริงๆ แบบว่า...”

“แบบว่าอะไร” ผมมองถามอย่างคาดคั้น “พูดมาให้หมด”

“ห้ามดุ ห้ามตวาดผม” เจ้าเด็กหัวหมอเอาคำพูดของจิมมาย้ำ ถึงอย่างนั้นใบหน้าที่ก้มต่ำมองพื้นแบบสลดเพราะกลัวผมก็ทำให้อดสงสารไม่ได้

“ถ้าเล่าฉันจะไม่ดุ ฉันสัญญา” ผมเห็นรอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเรียวอีกครั้ง “ไหนพูดมาซิ”

“คืองี้ครับ จิมน่ะ แค่อยากไปเที่ยวเพราะเครียดจากการเรียนมานาน คุณแจ็คก็เห็นนี่ครับ เอาแต่อ่านหนังสือทุกวัน อีกอย่างนะ จิมดูเหงามากๆ เลยนะครับ เพราะคุณแม่ก็ไม่ค่อยอยู่ คุณแจ็คก็เอาแต่ทำงาน ทำไมไม่อนุญาตให้จิมได้ไปเที่ยวเล่นอิสระบ้างล่ะครับ มีวันว่างทั้งที พักสมองจะได้มีแรงกลับมาเอาใจใส่เรื่องเรียนต่อไงครับ ไม่ดีหรอ”

“แล้วไม่คิดว่าที่ฉันทำเพราะเป็นห่วงบ้างรึไง” คราวนี้ผมถามกลับ

“ผมรู้ครับ ผมเองก็มีน้องเหมือนกัน คนเป็นพี่ ยังไงก็ต้องห่วงต้องหวงน้องอยู่แล้ว” เด็กนี่เอือมมือมาจับมือของผมอีกข้าง “แต่เค้าก็มีอะไรให้เรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยนี่ครับ ความสุขที่หาไม่ได้จากพี่ชายอย่างเราก็มีอีกเยอะนะคุณแจ็ค”

“...”

“ทางของเค้ามีเราคอยคุมอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หรอกครับ เค้าจะเดินไม่สะดวกนะ”

ผมคิดตามที่เจ้าตัวเล็กพูด มันไม่ใช่ประโยคที่เข้าใจยากอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนซื่อบื้อที่แม้แต่เปิดประตูรถยังไม่เป็นแบบนี้

“จะลองคิดดูแล้วกัน”

ผมปล่อยมืออีกข้างออกแล้วดึงมือที่จับกันอยู่ก่อนแล้วพาอีกคนเดินไปตามทางของห้าง น่าแปลกที่มันทำให้ผมสบายใจ ไม่เคยมีโมเม้นจะมาจับมือเดินกับใครนานแล้ว ตั้งแต่วันที่ฐานะหัวหน้าครอบครัวตกมาอยู่ที่ผม อาจเพราะเด็กนี่สดใสเกินกว่าที่จะมายืนข้างกันโดยเปล่าประโยชน์

“คุณแจ็คจะซื้อเสื้อผ้าหรอครับ” เด็กนี่ถามขึ้นเมื่อผมพาเดินเข้าช็อป

“ฉันไม่ได้ซื้อ นายซื้อ”

“ไม่ๆๆ” เขารีบสะบัดมือผมแล้ววิ่งออกไปยืนหน้าร้าน

“เข้ามาสิ” หน้าผมคงเหวออยู่หน่อยๆ นะคิดว่า พอดีตกใจกับพฤติกรรมของเด็กบ้านี่อยู่

“ผมจะซื้อได้ไงคุณแจ็ค” เขาวิ่งกลับเข้ามาแล้วเขย่งตัวขึ้นกระซิบที่หู “เงินเดือนยังไม่ออกเลย ถึงออกก็ไม่พอซื้อหรอกครับ” แล้ววิ่งออกจากร้านไปอีกที

ผมหลับตาเอือมๆ แล้วตามออกมาที่หน้าร้าน จะวิ่งเข้าวิ่งออกให้คนเขามองทำไมก็ไม่รู้ไอ้เด็กนี่

“เห็นนี่มั้ย” เปิดกระเป๋าแล้วหยิบบัตรเครดิตขึ้นมาหนึ่งใบยื่นให้คนตรงหน้า

“เอาเอทีเอ็มมาให้ผมทำไมครับ ไม่ได้ๆ เก็บไว้ เดี๋ยวหาย”

“นี่ไม่ใช่เอทีเอ็ม ดูนี่ เห็นตรงนี้มั้ย” ผมชี้ตรงแถบที่เซ็นชื่อไว้

“ครับ” เด็กนี่จ้องตามมือผมอย่างตั้งใจฟัง

“มันเป็นชื่อฉันเอง เค้าให้เขียนไว้ยืนยันตอนได้รับสิทธิ์

“สิทธิ์อะไรครับ”

“สิทธิ์ของห้างไง ฉันได้รับสิทธิ์ให้ซื้อของอะไรก็ได้ในห้าง แต่บัตรนี้มันใกล้หมดเขตแล้วนะ ถ้าไม่รีบใช้เสียดายแย่เลย” ผมขึงตาใส่เจ้าตัวเล็กให้ดูสมจริงสมจัง

“หมายถึงซื้ออะไรก็ได้ ทั้งหมดในห้างนี้เลยหรอครับ” เด็กนี่ตาโตเป็นไข่ห่าน “เป็นส่วนลดหรอครับ”

“ส่วนลดอะไรกัน” ขมวดคิ้วยุ่งๆ ใส่ “แค่เรายื่นบัตรนี้ก็ไม่ต้องควักเงินสักบาท”

“โห จริงหรอครับ”

“ก็จริงสิ แต่อย่าบอกใครเชียวนะ เดี๋ยวบัตรโดนขโมย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจครับ” เขารับบัตรไปจากมือผม มองหน้าบัตรอย่างสงสัย “คุณแจ็คไปได้มาได้ยังไงครับ บัตรนี้น่ะดูยังไงก็เหมือนบัตรเอทีเอ็ม”

“ก็... อิชิตันไง ส่งรหัสใต้ฝา”

“อ๋อ ผมก็ส่ง” เขาตาโตมองผมอีกรอบ “แต่มันไม่มีแจกบัตรเอทีเอ็มนี่ครับ” จะสงสัยอะไรนักหนาวะ ผมสบถในใจ

“คืองี้ พอฉันได้รางวัลแล้วฉันก็บอกว่าไม่อยากได้ไอโฟน ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ซึ่งคนอื่นเค้าก็เปลี่ยนเป็นเงินใช่มั้ย แต่ตอนฉันได้เงินสดคุณตันหมด ก็เลยได้เป็นบัตรมาแทน เข้าใจยัง”

“โชคดีชะมัด” อ้าปากหวอมองผมอย่างตื่นเต้นในแววตา “ผมกินจนจะเป็นเบาหวานไม่เคยเฉียดเบอร์โทรผมเลยสักกะติ้ด มาม่าก็อีก ส่งชิงโชคหวังจะได้บ้านสักหลังก็ไม่ได้ ทำไมคุณแจ็คโชคดีอย่างนี้ล่ะครับ ต้องทำบุญมาเยอะแน่ๆ เลย วัดไหนบอกได้มั้ยครับ”

“ช่างเรื่องบาปบุญก่อนเถอะน่า เสียเวลามากละ เข้าไปดูเสื้อผ้า อยากได้ตัวไหนก็หยิบแล้วฉันจะใช้สิทธิ์ให้”

“จะดีหรอครับ เอาไปจ่ายค่าหนังสือให้จิมดีกว่ามั้ยครับ”

“หนังสือเล่มไม่กี่ร้อย จิมจ่ายได้อยู่แล้วน่า แล้วเรื่องนี้นะ ห้ามบอกจิมเด็ดขาด โอเค๊ รู้กันแค่สอคน ฉันกับนาย” ผมยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าอีกฝ่าย

“ก็ได้ครับ” เขาตอบอย่างลังเล แต่ก็เอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกับผม บ้าเอ้ย ไม่เคยต้องมายืนอธิบายอะไรเป็นตุเป็นตะแบบนี้เลย นี่ผมไม่ได้หลอกเด็กอยู่ใช่ไหมครับ เน๊าะ ไม่ใช่หรอก แค่เจ้าจิมขอให้พาเพื่อนมาด้วยแค่นั้นเอง แล้วดูการแต่งตัวที่ร้านกาแฟเมื่อเช้าสิ เสื้อผ้า 4-5ตัวที่เล่าให้ฟังนั่นถามจริงใครจะใช้ชีวิตด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นขนาดนั้นได้ แต่ลำพังจะซื้อให้เลยก็เห็นๆ อยู่ว่าคงไม่รับน้ำใจแน่

            “อยากซื้ออะไรอีกมั้ย” ผมถามเมื่อเราออกจากร้านรองเท้า พร้อมกระเป๋าเป้ใบใหม่สีชมพูอีกหนึ่งใบที่เจ้าตัวเล็กบอกว่าเห็นแล้วคิดถึงน้อง อ้อ เสื้อไหมพรมด้วย เห็นว่าที่ต่างจังหวัดหนาวมากเลยจะซื้อส่งไปให้แม่

รักครอบครัวจริงๆ เด็กคนนี้

            “ไม่แล้วครับ แต่คุณแจ็คครับ ให้ผมถือเองดีกว่า ใช้สิทธิ์คุณแจ็คแล้วยังให้คุณแจ็คถือของให้อีก ผมเกรงใจ”

“ถือไหวหรอ แค่ถุงเปล่าก็แขนหักแล้วมั้ง”

“ผมไม่ได้กระดูกพรุนนะ” ยังจะมาทำหน้ายู่ใส่อีก กี่รอบแล้วที่ผมเผลอยิ้มให้กับสีหน้าหลากหลายของเจ้าตัวเล็กนี่น่ะ

“ไม่ต้องถือแล้วเอามือมาจับฉันไว้ดีกว่า ไม่กลัวหลงแล้วรึไง” ผมรวบถุงมาไว้ที่แขนข้างเดียวแล้วยื่นมือไปให้

เจ้าตัวเล็กมองหน้าผมสลับกับมือก่อนจะตัดสินใจจับมันไว้แน่น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูจากรอยยิ้มนั่นคงไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก

“คุณแจ็คครับ”

“ว่า?”

“เราเหลือสิทธิ์อีกเท่าไหร่ พอซื้อไอโฟนรึเปล่า”

!!!?

(ต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
«ตอบ #19 เมื่อ26-02-2019 02:53:11 »

[จ่อย]
[/b]
 

          ผมนั่งอยู่ในบ้านของสองพี่น้องที่ใจดีเกินกว่าที่ผมจะได้รับ จิมกำลังลงทะเบียนใส่รหัสอะไรก็ไม่รู้อยู่กับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ผมได้มา เหมือนว่ายอดเงินในบัตรอิชิตันจะหมดแล้ว เพราะคุณแจ็คดูเหงื่อตกหน่อยๆ ตอนส่งบัตรให้พนักงานผมเห็นคุณเขาเอามือลูบหน้าลูบตาเลยบอกไปว่าไม่เอาก็ได้ แต่คุณแจ็คบอกว่าไม่เป็นไร แล้วยื่นถุงไอโฟนรุ่นใหม่เอี่ยมมาให้ผมแทน

ผมไม่ได้อยากจะใช้อะไรเกินตัวแบบนี้ แต่จิมชอบบ่นบ่อยๆ ว่าติดต่อผมยาก บอกว่ามือถือผมเป็นรุ่นที่ผลิตโดยผู้เฒ่าเต่า

ตอนได้เครื่องนี้มาจิมบอกว่าดีแล้ว เพราะถึงคุณแจ็คไม่ซื้อจิมก็จะซื้อให้ผมอยู่ดี ไม่เปลืองตังค์ เห็นว่างั้นนะ

“ที่เคยสอนไว้ลืมรึยัง” จิมปลุกผมออกจากความคิด

“จำได้” ผมรับมือถือมาจากเขา “แต่ถ้าเราพิมพ์ช้าอย่าว่าเรานะ”

“ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าทักไปต้องรีบตอบทันทีเข้าใจมั้ย ห้ามอ่านอย่างเดียวนอกจากเราจะจบบทสนทนา”

“อื้ม” ผมพยักหน้า

“รีบกลับไปที่ห้องได้แล้วก่อนพี่แจ็คจะลงมา เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่าจ่อยกลับบ้านไปแล้ว” จิมลดโทนเสียงลงเพื่อให้ได้ยินกันสองคน “หรืออยากขึ้นไปลาเอง”

“ได้หรอ” ผมถาม “เราอยากขอบคุณคุณแจ็คอีกครั้งน่ะ”

“งั้นก็รอก่อน เดี๋ยวเราถามก่อนว่าขึ้นไปได้มั้ย พี่แจ็คไม่ชอบให้ใครเข้าห้องทำงาน เราเองยังโดนดุเลย ไม่รู้หวงอะไรนักหนา”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา”

ผมเดินช้าๆ เข้าไปในห้องทำงานอย่างหวาดๆ จิมเตือนก่อนขึ้นมาว่าคุณแจ็คหวงห้องทำงานไม่ชอบให้ใครเข้า บางครั้งจิมเคาะจนมือปูดยังเข้าไม่ได้เลยถ้าคุณแจ็คไม่อนุญาต ไม่รู้จะดุไปถึงไหน

“นั่งสิ” คุณแจ็คไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ แต่ยืนอยู่ที่โซฟาแล้วนั่งลงก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งตาม

            “ผมจะมาขอบคุณที่คุณแจ็คพาไปซื้อของครับ” ผมยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมตามที่ครูเคยสอน “แล้วก็ขอโทษที่ใช้สิทธิ์คุณแจ็คจนหมด”

“ใครบอกว่าหมด” สายตาคุณแจ็คคมจนผมไม่ค่อยกล้าสู้

“ก็... ไม่รู้ครับ แต่ผมใช้ไปเยอะมากเลย ทั้งเสื้อผ้ารองเท้า โทรศัพท์ ไหนจะของแม่กับน้องอีก” ก้มหน้าหงุดเพราะตอนที่ซื้อก็ซื้อไม่ลืมหูลืมตา มานั่งดูป้ายราคาเมื่อกี้มันเยอะมากเกินไปจริงๆ ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่รู้จะมีปัญญาซื้อรึเปล่า แล้วเงินที่ได้มานั่นคุณแจ็คควรได้ใช้กับครอบครัวตัวเองจนผมรู้สึกผิด

“เอาโทรศัพท์มานี่ซิ จิมจัดการให้หมดรึยัง” ผมรีบยื่นให้ตามที่คุณแจ็คบอก “รหัสอะไร”

“เอ่อ...”

“จำไม่ได้หรอ”

“จิมบอกว่าห้ามบอกใครครับ ให้เก็บรหัสไว้เป็นความลับ”

“กลัวฉันจะขโมยโทรศัพท์นายรึไง ห้ามบอกใครเค้าหมายถึงคนนอก แต่ฉันเป็นคนซื้อ รีบบอกมาเร็วเข้า” น้ำเสียงเริ่มดุจนผมกลัวอีกแล้ว

“441141 ครับ”

“ง่ายจนไม่ต้องใช้สมองคิด” ปากผมเริ่มเบะขึ้นจนติดจมูก น่าจะกลับไปเลยตามที่จิมบอกแต่แรก

คุณแจ็คเข้าไปที่หน้าจอแล้วพิมพ์อะไรบางอย่างในมือถือที่ผมเองก็มองไม่เห็น กดนู่นกดนี่โดยที่ผมได้แต่นั่งมองเพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง

“อะ” ผมรับโทรศัพท์คืน “แล้วไม่ต้องไปกดเปลี่ยนอะไรนะ”

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” ก็เพราะคุณแจ็คนั่นแหละ เชอะ

“เปล่าครับ”

“ไม่พอใจอะไรฉันรึไง”

“เปล่าครับ”

“จะเปล่าอีกนานมั้ย”

“ไม่นานครับ”

“นายนี่! จะกวนประสาทฉันรึไงหะ” ผมสะดุ้งกับน้ำเสียงที่ดังขึ้น

“...”

“เฮ้อ” คุณแจ็คถอนหายใจจนผมได้ยินชัด “ขยับมานั่งนี่” บอกผมหรือบังคับผมกันแน่ก็ไม่รู้ พูดยังไม่ทันจบก็ลากดึงเข้าไปเองแล้ว “พูดซิ เป็นอะไร”

“เสียงดังครับ ผมไม่ชิน พี่โยก็เสียงดังแต่ไม่ได้เสียงดุเหมือนคุณแจ็ค เสียงคุณแจ็คเหมือนช้างร้องตอนโมโหเลย”

“... ช้าง...ช้างหรอ?”

“ครับ เคยเห็นมั้ย เวลามันตกมันเสียงจะดังน่ากลัวมากเลย เหมือนเลยครับ” ผมเล่าให้ฟังอย่างจริงจังตามที่เคยได้ยิน

“เออ เอาเหอะ ขอโทษละกัน”

“จิมคงได้ยินเสียงนี้บ่อยใช่มั้ยครับ”

“...”

“เค้าจะกลัวคุณแจ็คนะครับ ผมยังไม่กล้าใกล้เลย ถึงจิมจะเป็นน้อง แต่ให้น้องกลัวเราจะดีหรอครับ เค้าจะไม่กล้าเข้าหาเรานะ น้องสาวผมน่ะ ติดผมมากเลย มีปัญหาอะไรก็มาเล่าให้ฟังแม้แต่เรื่องที่ไม่กล้าบอกคนอื่น ผมว่าจิมเองก็มีหลายเรื่องที่อยากพูดคุยขอคำชี้แนะจากคุณแจ็คนะครับ อย่าดุนักสิ”

“สอนฉันสิ” ผมตกใจจนรีบเงยหน้าขึ้นมอง “คอยบอกฉันเวลาที่ฉันทำตัวไม่ดีกับจิม คอยห้ามเวลาฉันดุหรือใจร้ายกับจิม ได้รึเปล่า”

ผมสัมผัสได้ว่ามือหนากอบกุมมือผมไว้อยู่ มันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ผมก็เพิ่งสังเกต แต่สายตาของคุณแจ็คผมดูก็รู้ว่าเขาพูดจริง แต่ผมน่ะหรอ จะให้ผมนี่หรอไปห้ามคุณแจ็คน่ะ

“คุณแจ็คคือ..”

“พี่ชายที่แสนดีควรทำยังไง”

“คุณแจ็ค” ผมสบตากับระยะห่างที่ใกล้เข้ามาไม่ถึงคืบทำให้ผมมองหน้าคุณเขาได้ไม่ชัด “คุณแจ็คคือผมว่า..”

“พูดเบาแค่นี้พอมั้ย” เบามาก เบามากๆ แต่ทำไมผมได้ยินชัดขนาดนี้ “หรือต้องเบาอีก”

“พะ...พอครับ แต่ผมว่า...คุณแจ็คถอยออกไปหน่อยกะ...ก็จะดี”

“กลัวนายไม่ได้ยิน” ผมเห็นลางๆ ว่าคุณแจ็คกำลังยิ้ม แต่เพราะใกล้เกินไปมันเลยไม่ค่อยเต็มสายตา “หรือต้องพูดตรงนี้”

ผมเอียงคอแทบจะทันที คุณแจ็คเอียงหน้ามาพูดอยู่ข้างหูจนกลายเป็นกระซิบ คือผมก็กระซิบบ่อย ยิ่งเวลาอยู่ที่ห้องเก็บของกับจิมเราก็กระซิบกันเบาๆ เป็นประจำ แต่ทำไม... ผมว่า ผมรู้สึกแปลกๆ

“ขนลุกครับ อะ...ออกไปหน่อย” กลั้นใจยกมือขึ้นดันหน้าอกแน่นๆ ออกแต่คุณแจ็คกลับรวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว

“ก็ถึงบอกให้สอนฉันไง เห็นมั้ยว่าฉันทำไม่เป็น พูดเบาๆ ยังไม่ถูกใจนายเลย” จะจ้องหน้ากันทำไมขนาดนี้นะ ไม่เอาแล้วผมขอก้มหน้าลงเหมือนเดิมดีกว่า “แต่ถ้ามันรบกวนนายเกินไปก็ไม่เป็นไรก็ได้ ฉันก็จะเป็นของฉันแบบนี้แหละ”

           “ไม่ครับ ไม่” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สูดหายใจจนเต็มปอด “ผมจะคอยเตือนคุณแจ็คเองครับ แต่คุณแจ็คก็ต้องพยายามด้วยนะครับ เป็นพี่ชายที่ดีน่ะ ไม่ยากหรอก” ผมพูดรวดเดียวจบ

           “ดี ออกไปได้แล้ว”

            “หะ !?”

           “ออกไปสิ หมดธุระแล้วนี่”

           “คะ...ครับ” ถึงจะงงหน่อยๆ แต่ผมก็ตกลงและยอมลุกออกจากข้างตัวคุณแจ็คแต่โดยดี

           “เดี๋ยว”

           “ครับ?”

            “ถ้าแม่นายได้เห็นเสื้อไหมพรมที่นายซื้อไปให้จะเป็นยังไง”

            “โห คงดีใจมากเลยล่ะครับ คงจะกอดผมแล้วยิ้มไม่หุบแน่”

           “อืมมมม แล้วน้องล่ะ กระเป๋าเป้นั่น คิดว่าจะชอบรึเปล่า”

           “แน่นอนครับ รายนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าเอาไปให้จริงๆ อะนะ คงกระโดดกอดแล้วจุ๊บๆ หน้าผมจนน้ำลายชุ่มแน่” เล่าไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงอาการแต่ละคน แค่คิดก็อยากเจอจะแย่

           “แล้วทุกอย่างที่ฉันซื้อให้นายไม่ดีใจเลยหรอ หรือว่าไม่ชอบไม่อยากได้”

           “อยากได้สิครับ ชอบมากด้วย คุณแจ็คให้ผมเลือกเองทุกอย่างเลยนี่นา ก็ต้องชอบมากๆ อยู่แล้วสิครับ” ผมรีบตอบออกไปจากใจ คุณแจ็คถามเหมือนจะน้อยใจอะไรบางอย่างเลย “ผมชอบมากจริงๆ นะครับ”

           “แต่ก็ไม่มากจนถึงขั้นกระโดดกอด จุ๊บๆ หน้าแล้วยิ้มไม่หุบ” ผมเห็นคุณแจ็คเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วพูดส่งมาให้ได้ยินแค่เสียงเจือความน้อยใจ

จุ๊บ
!!!


          ผมนั่งลงแล้วกอดเอวคุณแจ็คจากด้านหลัง จังหวะที่คุณเขาตกใจหันมาผมก็จุ๊บเข้าที่แก้มไปหนึ่งทีพร้อมส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตให้ “ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมชอบมาก ชอบทุกอย่างที่ซื้อเลย ชอบคุณแจ็คด้วย”

            “ชอบ...อะไรด้วยนะ” คุณแจ็คขยับตัวหันหน้ามาทางผมตรงๆ หน้าตาสับสนที่ดูตลกแต่ก็นั่นแหละ ยังหล่อเหมือนเดิม

            “ชอบทุกอย่างเลยครับ ทั้งที่ได้ไปห้าง ได้ซื้อของ ได้เดินจับมือกับคุณแจ็คเพราะกลัวหลง ชอบชาบูด้วย แล้วก็ชอบคุณแจ็ค ชอบคุณแจ็คมากกว่าโทรศัพท์อีก” ผมยื่นหน้าคอตั้งยิ้มให้คุณแจ็คจนปากแทบจะฉีกถึงหู หวังว่ามันจะทำให้คุณแจ็คหายน้อยใจนะ

            “ห้ามพูดแบบนี้กับใครเข้าใจรึเปล่า”

            “ทำไมครับ มันเป็นคำไม่ดีหรอ ขอโทษนะครับ ขอโทษคุณแจ็คนะครับ”

            “เปล่า ฉันแค่อยากฟังคนเดียว”



#ห้องลับบักจ่อย

TBC



ไปแล้วววว พี่แจ็คเราไปแล้วครับโผ้มมม ความเข้มงวด ดุดัน กลายเป็นศูนย์เลนะฮะ ลู้โตนเด้ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน4
« ตอบ #19 เมื่อ: 26-02-2019 02:53:11 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #20 เมื่อ26-02-2019 03:13:23 »

 :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #21 เมื่อ26-02-2019 03:51:49 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #22 เมื่อ26-02-2019 09:27:09 »

น้องจ่อยซื่อเกินไปแล้วลู้กกก

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #23 เมื่อ26-02-2019 09:45:41 »

อยากเลี้ยงต้อยก็ต้องเปย์ 55555555555555

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #24 เมื่อ26-02-2019 12:16:27 »

อยากเลี้ยงต้อยก็ต้องเปย์ 55555555555555

แม้ว่าพี่จะเหงื่อตกหน่อยๆ พี่ก็จะสู้ครับผม //พี่แจ็ค

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #25 เมื่อ26-02-2019 19:24:20 »

พี่แจ๊คพี่มันร้าย ใจไม่ดีเลยอ่ะ :-[ แถมยังสายเปย์อีกแอบวงวานพี่แจ๊คตอนน้องซื้อโทรศัพท์ ตอนน้องขอบคุณคือฟินมาก :pighaun: สนุกมากๆเลย มาต่อเร็วๆน้า :pig4: :L1:

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #26 เมื่อ27-02-2019 00:02:53 »

หมดบัญชีชั้นให้เธออ /พี่แจ็คไม่ได้กล่าว 55555

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #27 เมื่อ05-03-2019 08:37:51 »

รออยู่นะคะ คิดถึงพี่แจ๊คกับน้องจ่อย

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน5
«ตอบ #28 เมื่อ08-03-2019 20:52:26 »

 o13 :really2:

ออฟไลน์ พิชา(ไรท์ขายหวย)

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Secret Room ห้องลับบักจ่อย อัพตอน6
«ตอบ #29 เมื่อ12-03-2019 07:24:18 »

6
อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้

[แจ็ค]

   “มีเรื่องอะไรน่ายินดีลูก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ผมสะดุ้งจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงแม่ดังแทรกก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะอาหาร
ผมนั่งดื่มกาแฟทานไข่ลวกฝีมือจิมอยู่คนเดียวเพราะน้องออกไปใส่บาตร แต่ที่แม่ทักว่าผมนั่งยิ้มคงเพราะกำลังนึกเรื่องเมื่อวานเพลินๆ อยู่
จะว่าไปผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาเสียเงินเสียทองให้เด็กที่ไม่ใช่ลูกใช่หลานมากมายขนาดนี้ สินค้าในห้างก็รู้ๆ อยู่ว่าราคาไม่ใช่น้อยๆ หนักสุดคงเป็นไอโฟนเกือบ 35,000 โชคดีที่ว่าตอนนั้นผมถือบัตรไปจ่ายเองเลยใช้วิธีผ่อน 0% แต่ต้องมานั่งใช้หนี้อีก 6เดือน แต่จะว่าไปก็คุ้มนะ ไม่รู้สิ ทำไมผมไม่นึกเสียดายเลยแหะ จะว่าเพราะเด็กนั่นจำเป็นต้องใช้รึก็เปล่า เสื้อผ้าตามตลาดนัดผมกับเจ้าจิมก็ซื้อใส่กันบ่อยไปแต่ทำไมผมต้องมานั่งยกยิ้มกับการใช้จ่ายเกินตัวก็ไม่รู้สิ
หรือเพราะคำขอบคุณกับอ้อมกอดเล็กๆ นั่นนะ
“เอาอีกแล้ว มีเรื่องดีๆ อะไรเล่าให้แม่ฟังด้วยสิ” นี่ผมสะดุ้งเป็นรอบที่สอง
“ไม่มีอะไรครับแม่ ทานเถอะครับเดี๋ยวเย็นหมด” ผมเบี่ยงประเด็นไปที่อาหารเช้าแทน
“เมื่อคืนจิมมาบอกแม่เรื่องไปเที่ยวกับเพื่อน ฝากแจ็คดูด้วยนะลูกเผื่อน้องลืมเตรียมของสำคัญ” อา ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“แจ็คยังไม่ได้อนุญาตให้น้องไปเลยนะครับ”
“แจ็ค” แม่วางช้อนส้อมลงบนจานตามเดิม ซึ่งผมก็เดาได้ทันทีว่าท่านจะพูดอะไร “อย่าเคร่งกับน้องมากสิลูก อันไหนยอมได้ก็ปล่อยๆ น้องไปเถอะ แจ็คเองก็ยังเคยขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยลืมแล้วหรอ”
“แต่ที่น้องไปมันอันตรายนะแม่ ปีนเขาอะไรกัน ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”
“ยังมองน้องเป็นเด็กอยู่ตลอดเลยนะเราน่ะ เหมือนพ่อไม่มีผิด”
“เพราะผมต้องทำหน้าที่แทนพ่อไงครับ”
“ถ้าพ่ออยู่พ่อไม่ใจดำกับจิมแบบนี้หรอก” จิมพูดแทรกเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวว่าเขามาถึงเมื่อไหร่ แต่คาดว่าไม่นานเพราะในมือยังมีตะกร้าขนมอยู่ คงใช้ความน่ารักอ้อนแม่ค้ามาได้เยอะแยะอีกตามเคย “พ่อจะต้องตามใจจิมทุกอย่าง”
“ถึงได้เอาแต่ใจอยู่นี่ไง” ผมสวนกลับไปบ้าง
“เอาล่ะพอๆ แจ็คห่วงแม่ก็รู้นะ แต่จิมเองก็ต้องพูดดีๆ กับพี่เค้าด้วยสิลูก”
“จะพูดดีหรือไม่ดีพี่แจ็คก็ไม่อนุญาตเหมือนเดิมนั่นแหละครับ จิมไปเก็บของก่อนนะ”
“ก็รู้ว่าไม่อนุญาตแล้วจะไปเก็บของทำไม จิม หยุดเดี๋ยวนี้นะ จิม!”
“แจ็ค” มือนุ่มของแม่คว้ามือผมไว้ก่นที่จะทันได้ลุกไปจัดการกับน้อง “เห็นมั้ยว่าน้องดื้อใหญ่แล้ว”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงครับผมถึงต้องกำราบบ้าง นับวันชักเอาใหญ่”
“เฮ้อ” เสียงแม่ถอนหายใจทำเอาผมรู้สึกแย่ไปด้วย “ไฟร้อนๆ แจ็คจะจัดการด้วยการพัดโหมให้มันลุกลามไปมากกว่าเดิมหรอลูก”
ผมหยุดฟังที่แม่พูดโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป
“มันมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้น้องยอมเชื่อฟัง อย่าให้ความรู้สึกตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าแจ็คอยากเป็นหัวหน้าครอบครัวตามรอยพ่อแจ็คต้องใจเย็นให้มากกว่านี้ ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ แต่แจ็คก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ ไม่อย่างนั้นแจ็คจะไม่มีวันได้ใจน้อง เข้าใจที่แม่พูดรึเปล่า”
ผมพยักหน้ารับแต่โดยดี ฟังที่แม่พูดก็ทำให้นึกถึงเมื่อก่อน เราสนิทกันมากและจิมก็มักจะเล่าทุกเรื่องให้ผมฟัง เราจะมานั่งเล่นที่ห้องทำงานของคุณพ่อแย่งกันพูดในเรื่องของตัวเองแล้วให้พ่อตัดสินว่าใครเจ๋งกว่า และพ่อก็จะมีทางออกที่ดีให้กับเราเสมอ จนวันนึงเมื่อท่านจากไประหว่างผมกับจิมก็ดูจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ จิมยังคงเล่าทุกอย่างให้ผมฟังเหมือนวัยเด็กแต่ผมต่างหากที่ไม่มีเวลาจะฟังเขาเลย กว่าจะรู้ตัวเราก็เหมือนอยู่คนละทาง ผมพยายามแล้วที่จะให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ผมไปนั่งรอเขากลับบ้านทุกวัน ไปส่งทุกเช้าเอาเวลาของตัวเองให้จิมเท่าที่ทำได้แต่มันก็ยังไม่เป็นผล จิมถอยห่างจากผมไปทุกวันต่อให้เรายังมีเรื่องให้ชวนหัว มีความชอบที่คล้ายกันแต่มันไม่เหมือนเดิมและผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไม
“คำว่าเป็นห่วงพูดอย่างเดียวมันไม่เห็นภาพหรอกนะลูก ต่อให้เราเป็นห่วงจากใจแต่ถ้าคนฟังเค้าสัมผัสไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ เรื่องอื่นก็เหมือนกัน ปล่อยไว้แบบนี้จะยิ่งไปกันใหญ่นะ”
“แจ็คต้องทำยังไงครับแม่”
“ไม่ยากเลย อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าทำ” แม่ยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น “แจ็คเองก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับไม่ใช่หรอ”
“แต่แจ็ค...”
“แม่รู้ว่าแจ็คอยากปกป้องน้องไม่ว่าเรื่องไหนก็อยากให้เค้าเจอแต่สิ่งดีๆ แต่แจ็คก็ต้องแยกให้ออก ต่อให้คนทั้งโลกบอกว่าแจ็คเป็นคนเก่งดูแลงานดูแลครอบครัวได้ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่แจ็คอยากให้เค้ายอมรับก็คือน้องไม่ใช่หรอ แม่จะรอดูความสำเร็จของแจ็คนะ”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ขอแยกตัวออกมาจนตอนนี้หยุดอยู่หน้าประตูห้อง ต้องทำใจเฮือกใหญ่กว่าจะก้าวข้ามผ่านบันไดแต่ละขั้นเพื่อมายืนตรงนี้ ทั้งๆ ที่ผมเดินมาส่องดูน้องทุกวัน
“จิม พี่เข้าไปได้มั้ย”
“ปกติก็แอบไขประตูเข้ามาเองอยู่แล้วนี่” ว่าแล้วเชียวว่าต้องเจอประโยคนี้ ถ้าเล่นหวยผมคงถูกไปหลายงวด แต่ผมก็เปิดเข้าไปนะ หน้าด้านไว้ก่อน
“เก็บของเสร็จรึยัง” จิมหันหน้าเหลือบมามองผมก่อนจะหันกลับไปหน้าคอมตามเดิม
“ยัง” เสียงกระแทกแป้นพิมพ์นั่นรู้เลยว่าเอาอารมณ์ไปทิ้งลงคีย์บอร์ด “ขี้เกียจรื้อออกเพราสุดท้ายก็ไม่ได้ไปอยู่ดี”
“เก็บซะสิ พี่จะได้ช่วยดูว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง”
“พูดอย่างกะจะให้ไป” หางตาเรียวตวัดมามองผม
“ก็จะให้ไปแล้วนี่ไง”
“พี่จะมาไม้ไหนอีก จิมไม่หลงกลง่ายๆ หรอกนะ”
"อยากไปมากเลยหรอ” ผมถามไปดีๆ และลุ้นอยู่หน่อยๆ ว่าคำตอบจะไม่ใช่การประชด
“รู้แล้วพี่จะถามทำไม” โอเค ผมคิดผิด
“ถ้าอยากไปพี่ก็จะให้ไป แต่รับปากกับพี่ก่อนว่าจะไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทาง เรื่องแอลกอฮอก็ด้วย ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจ แต่พี่ไม่อยากให้จิมเป็นอันตราย”
“เดี๋ยวพี่ก็.../...พี่ไม่ตามไปหรอก” ผมพูดสวนเพราะเดาว่าครั้งนี้น่าจะคิดถูก
“จิมจะแน่ใจได้ไง”
“พี่ติดงาน รับงานอื่นแทรกเข้ามาจากตารางงานเดิมคงยุ่งๆ ไปอีกสักสองอาทิตย์ แต่ถ้ารอได้...” ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดประโยคต่อไปดีรึเปล่า
“รออะไร”
“แต่ถ้ารอได้ก็รอไปพร้อมกัน หมายถึง... เดี๋ยวพี่จะพาไปเที่ยว ไปกันทั้งครอบครัว”
ผมเห็นสายตาของจิมมันไม่ได้ดูผิดหวังเหมือนเคย เขาคลี่ยิ้มเล็กๆ ผมว่าผมดูไม่ผิดนะ
“พี่จะพาผมไปเที่ยวหรอ”
“อื้ม”
“ไปกับแม่ด้วยหรอ” เขายังถามซ้ำ แต่ผมก็พยักหน้ารับไป “พี่จะไปได้จริงหรอ”
“จบงานนี้เมื่อไหร่พี่จะพาไป แต่โทษทีที่ไปรับงานด่วนเข้ามาพอดีมีเรื่องต้องใช้เงินนิดหน่อย”
“ไข้ขึ้นปะเนี่ย พี่อะนะมีเวลาพาผมไปเที่ยว เคยมีแพลนนี้ในหัวพี่ด้วยหรอ”
“ไม่อยากไปก็บอกได้นะ ถ้าอยากไปกับเพื่อนมากกว่าก็.../..ไปๆๆ” จิมแทรกขึ้นโดยที่ผมยังพูดไม่ทันจบ
“จิมก็ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกัน”
“ทิ้งให้อยู่คนเดียว? ใคร? แม่หรอ?”
“อ่า...เปล่าๆ หมายถึงงงง เอ่อ...ช่างเถอะๆ แต่พี่รับปากแล้วห้ามเบี้ยวนะ ครั้งนี้จิมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“คำไหนก็ต้องคำนั้นสิ”
รอยยิ้มสดใสเผยให้ผมเห็นอีกครั้ง เอาจริงก็เห็นมันบ่อยแต่แค่ไม่ได้ถูกส่งมาให้ผมเหมือนครั้งนี้เท่านั้นเอง
ผมเอนตัวลงบนที่นอนโดยที่เจ้าของเตียงก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเอาแต่กดๆ จิ้มๆ ลงไปบนมือถือ ถ้าให้เดาคงกำลังปฏิเสธทริปกับเพื่อนอยู่
“พี่แจ็ค โอ้ย โทษๆ” นอนเกร็งตัวอยู่ครู่นึงเพราะเจ้าน้องบ้านี่กระโดดขึ้นมาทับ ทำอย่างกับตัวเองสามขวบ ปากบอกขอโทษแต่ตัวกลับไม่ยอมลุกออกไป “จิมชวนเพื่อนไปด้วยได้มั้ย”
“เพื่อนคนไหน ถ้าทั้งแก๊งไม่ไหวหรอกนะ ไม่อยากรับผิดชอบลูกคนอื่น”
“คนเดียวๆ”
“ใคร”
“คนที่ป๋าใจดีซื้อโทรศัพท์พร้อมเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้นั่นแหละ” จิมผงกหัวโดยที่ท่อนแขนทั้งสองยังเท้าตัวผมไว้ “คนนี้ดูแลไหวป่าว”
“ก็... ถ้าแค่คนเดียวก็ไหว” แต่ไม่บอกหรอกนะว่ากลับมาผมอาจจะต้องทำงานเพิ่มอีกเท่าตัว

[จ่อย]

วันนี้พี่โยปิดร้านเพื่อพาผมมาเปิดบัญชีใหม่ที่โลตัส เรานั่งกันอยู่ในธนาคารหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ
พี่โยบอกว่าผมควรมีบัญชีสาขาในกรุงเทพฯ เอาไว้ เวลาจะกดเงินไปใช้จ่ายอะไรจะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมต่างจังหวัด อีกอย่าง พรุ่งนี้เงินเดือนเดือนแรกของผมจะออกซึ่งพี่โยบอกก่อนแล้วว่าจะได้ไม่เต็มจำนวนเพราะผมเข้ามาเริ่มงานก็กลางเดือนแล้วจึงคิดให้เป็นรายวันแทน เดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่
“ใช้แอพเป็นแล้วใช่มั้ย เวลาจะโอนเงินไปให้แม่จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวผมขอถามอีกทีนะพี่ กลัวทำเงินหาย” ผมตอบพี่โยที่นั่งสอนวิธีโอนเงินผ่านไอโฟนเครื่องใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน เอาจริงผมก็ยังไม่ถนัดมือ จิมบอกว่าต้องใช้เวลา เดี๋ยวก็ชินเอง
เราแยกย้ายกันหลังจากทำธุระกันเรียบร้อย พี่โยบอกจะไปหาซื้อของเข้าร้านแต่กลับไม่ยอมให้ผมไปช่วยเลยได้แต่เดินเตร่ไปตามถนนแบบไม่มีจุดหมาย ก็ผมยังกลับบ้านจิมไม่ได้นี่ วันนี้อยู่กันครบเลยด้วย
เมื่อหาที่เหมาะๆ ได้ผมก็ปักหลักลงเอาใต้ต้นไม้ดื้อๆ มันเป็นที่เดียวที่น่านั่งแล้วลมก็พัดเย็นกำลังดี
ผมล้วงเอามือถือเครื่องใหม่ขึ้นมากดเล่นอีกครั้ง คราวนี้ผมเลือกที่จะใช้มันโทรหาแม่เพราะเมื่อวานไม่ได้คุยกันเลย หลายวันที่ผ่านมาก็คุยได้แค่แปบเดียว
[อ้ายจ่อยยย] (พี่จ่อย)
   “คือได้ฮับ บ่มีเฮียนติ” (ทำไมรับสายได้ล่ะ ไม่มีเรียนหรอ)
[ปิ๊ดเทอมล่ะเด้อ คึดฮอดอ้ายจ่อยมื้อได๋สิเมือ] (ปิดเทอมแล้ว คิดถึงพี่จ่อยเมื่อไหร่จะกลับ)
   “มาบ่ทันฮอดเดือนสิไฮ่เมือละติ๊” (มาไม่ถึงเดือนจะให้กลับแล้วหรอ)
[กะนางคึดฮอด อีแม่บอกว่า ขายหมากโมเถื่อนี้คั่นได้เงินหลายสิขึ้นไปหาอ้ายจ่อย] (ก็หนูคิดถึง แม่บอกว่าขายแตงโมรอบนี้ถ้าได้เงินเยอะจะไปหาพี่จ่อย)
   “สิมาเฮ็ดหยัง เก็บเงินไว้โลด อ้ายเฮ็ดงานจั๊กหน่อยกะเมือแล้ว” (จะมาทำไมเก็บเงินไว้เถอะ พี่ทำงานอีกสักพักก็กลับแล้ว)
[นางอยากไปกุงเทบ นางอยากไปดีมเวอ] (หนูอยากไปกรุงเทพฯ อยากไป-ดรีมเวิลด์)
   “อยากมาเท่วติ๊ คั่นสั้นกะมา แต่สิมามื้อได๋กะบอกอ้ายก่อน อ้ายสิได้บอกเจ้านายเขา” (อยากมาเที่ยวหรอ ถ้าอย่างนั้นก็มา แต่จะมาเมื่อไหร่ก็บอกพี่ก่อนนะ พี่จะได้บอกเจ้านายไว้)
[อ้ายจ่อยฟ้าวกับมาเด้อ นางคึดฮอด นางย่าน อิแม่กะออกไปแต่เซ้านางบ่อยากนอนผู้เดียว] (พี่จ่อยรีบกลับมานะ หนูคิดถึง หนูกลัว แม่ออกไปแต่เช้าหนูไม่อยากนอนคนเดียว)
   “เก็บเงินได้หลายอ้ายสิฟ้าวเมือ อย่าดื้อกับแม่หลายเด้อ อันได๋บ่ได้ซ่อยกะอย่าไปกวนลาว เข้าใจอยู่บ่” (เก็บเงินได้เยอะแล้วพี่จะรีบกลับ อย่าดื้อกับแม่ให้มากนะ ถ้างานไหนไม่ได้ช่วยก็อย่าไปกวน เข้าใจรึเปล่า)
[ฮู้ล่ะจ้า] (รู้แล้วจ้า)
   “นี่นาย”
   “แค่นี้เด้อส่ะ คิดฮอดเด้อฝากบอกอิแม่พ้อม” (แค่นี้ก่อนนะ คิดถึงมากฝากบอกแม่ด้วย)
ติ้ด

“คุณแจ็คมาทำอะไรที่นี่ครับ” ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าคุณแจ็คจอดรถเปิดกระจกตะโกนมาทางผม จึงรีบลุกขึ้นไปหา
“ฉันสิต้องถาม มานั่งทำอะไรแถวบ้านฉัน หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้” ผมสะดุ้งตาโตพอมองไปรอบๆ ดีๆ นี่มันเยื้องหน้าบ้านคุณแจ็คมานิดเดียวเอง
“เปล่าครับคือว่า... คือผมมาหาจิมน่ะครับแต่จะคุยโทรศัพท์เลยนั่งตรงนี้ก่อน”
“หาจิมหรอ” คุณแจ็คมองกลับไปทางตัวบ้านผ่านกระจกรถ “เดี๋ยวค่อยไปได้มั้ย ขึ้นรถก่อนสิ”
“ไปไหนครับ?”
“ขึ้นมาเถอะน่าไม่หลอกไปฆ่าหรอก”
“แต่ผมต้อง...” จะบอกยังไงดีว่าผมต้องหาทางเข้าบ้านซึ่งโอกาสที่ดีที่สุดก็คือตอนที่คุณแจ็คออกไปข้างนอกนี่แหละ “ผมต้อง...”
“จะเอามั้ยเงินน่ะ” โหวผมว่าคุณแจ็คถามแปลก
“เอาสิครับ เงินใครจะมาอยากได้ล่ะ แต่ผมจะไปเอาจากไหน”
“ขึ้นรถ”
“ครับ?”
“อย่าให้พูดซ้ำ” ผมไม่ชอบคุณแจ็คน้ำเสียงนี้เลย นี่หละน้าจิมถึงไม่อยากคุยด้วย

ผมนั่งรถมากับคุณแจ็คตัวเกร็งไปหมด จะขยับแรงก็ไม่กล้ากลัวรถเป็นรอย ข้างในนี้แอร์เย็นฉ่ำมาก เบาะหนังก็นิ่มผมนี่แทบอยากจะหลับ คุณแจ็คขับเร็วนิดหน่อยแต่ไม่รู้สึกน่ากลัว อาจเพราะตอนขึ้นรถมาคุณเขาเอื้อมมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ อ้อใช่ ผมตัวเกร็งมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เวลาอยู่ใกล้คุณแจ็คมากๆ ใจผมมันจะสั่นๆ อย่างที่ผมเคยบอก เพราะรังสีน่ากลัวในตัวคุณแจ็คแน่ๆ
“ลงได้ละ”
“นี่ที่ทำงานคุณแจ็คหรอครับ” ผมโค้งตัวเงยหน้ามองสำนักงานแต่ก็คล้ายๆ บ้านผ่านกระจกหน้ารถ “เอ่อ ผมถอดเองได้ครับ”
“ถ้าทำพังจ่ายเองนะ” คุณแจ็คตะปบมือผมพร้อมคำขู่จนต้องยอมนั่งนิ่งๆ ให้มือหนาปลดสายที่คาดตัวออก แต่หน้าคุณแจ็คใกล้ไปจนผมไม่กล้าขยับเลย “กลัวหรอ”
“ปะ... เปล่าครับ” ผมหลับตาปี๋เพราะโดนจ้อง คือถ้าผมจ้องตอบต้องโดนดุแน่เลยสู้หลับๆ ตาไปดีกว่า
“ก็เห็นอยู่ว่ากลัว”
“ผม...ผมเปล่า ผมไม่ได้กลัว” ซะที่ไหนล่ะ
“ถ้าไม่ได้กลัวก็ลืมตาสิ” ก็บอกอยู่ว่าซะที่ไหนล่ะ อ้อลืม บอกตัวเองในใจนี่หน่า “ไม่ลืมแสดงว่ากลัว”
“ถ้ากลัวแล้ว...จะเป็นยังไงครับ”
“จะทำให้กลัวกว่าเดิม” อา ผมว่าผมแย่แน่ๆ เลยงานนี้ “แต่ถ้าลืมตาแสดงว่าไม่กลัว แล้วฉันจะไม่ทำให้กลัวอีก”
ผมควรเลือกอย่างที่สอง ถ้าสู้ใจกล้าซะตั้งแต่ตอนนี้อย่างน้อยคุณแจ็คก็บอกว่าจะไม่ทำให้กลัวอีก ผมจึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้น
“อ๊ะ” แต่ไม่ทันที่จะได้มองชัดก็รู้สึกเหมือนมีอะไรนิ่มๆ มากดเปลือกตาลง ผมพยายามหลี่ตาอีกข้างขึ้นมองคุณแจ็คก็ผละออกจากตัวผมไปนั่งที่คนขับแล้วบอกให้ผมลงรถ “เมื่อกี้อะไรอะครับ”
“อะไร๊ ไม่มีอะไร” ผมเห็นนะที่คุณแจ็คแอบยิ้มมุมปาก
“คุณแจ็คแกล้งอะไรผม” ลูบเปลือกตาแล้วมองไปที่กระจกข้างว่ามีอะไรติดรึเปล่า แต่ไม่มีแหะ “บอกมาเลยนะครับ”
“ก็แค่...” จุ๊บ “แค่นี้เอง” ผมอ้าปากหวอตาค้างทั้งๆ ที่โดนจุ๊บจนเกือบหลับตาไม่ทันไปเมื่อกี้ ใช่ ไอ้ที่นิ่มๆ กดเปลือกตาผมนั่นคือริมฝีปากของคุณแจ็ค ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เนี่ย บอกแล้วว่ารังสีความน่ากลัวของคุณแจ็คมันแผ่ออกมา ยิ่งตอนแกล้งผมยิ่งออกมาเยอะจนใจพองขนลุกไปหมด “จะไปได้ยัง ฉันสายมากแล้วนะ”
“คุณแจ็คแกล้งคนอื่นแล้วนั่งยิ้มแป้นแบบนี้ได้ยังไงกันครับ นิสัยไม่ดีนะครับ คุณแม่จะดุ อื้อ อย่า” ผมรีบใช้มือดันหน้าอกคุณไม่ให้เข้ามาใกล้อีก
“แกล้งเยอะๆ แม่จะได้ดุทีเดียวไง ฉันไม่อยากให้แม่เหนื่อยถ้าต้องดุหลายรอบ”
“ไม่เอาๆ พอแล้วคุณแจ็คเดี๋ยวตาบอด” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวใหญ่เงยหน้าหัวเราะเปิดประตูลงมารออยู่ข้างรถ แต่กว่าจะหลบมาได้ก็โดนกดเปลือกตาไปตั้งหลายทีจนน้ำลายเปียก คุณแจ็คแรงเยอะมากผมบอกเลย ผลักก็ไม่ออก
“ตามมาสิ เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไร”
ผมเดินตามคุณแจ็คไปจนถึงชั้นบนห้องริมสุด แต่กว่าจะผ่านมาแต่ละโต๊ะก็มีทั้งคนยกมือไหว้ผม และผมยกมือไหว้ตอบ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาไหว้ผมกันทำไม รู้แค่ว่าคุณแจ็คเป็นเจ้านายเพราะคนที่นี่เรียกคุณแจ็คว่า บอส
“ใครวะ” เห็นจะมีก็แต่คนนี้แหละที่ดูไม่เคารพคุณแจ็คเลย ผมได้ยินเขาสะกิดพี่อีกคนตอนเราเดินผ่านแล้วพูดว่า ‘ไอ้บอสมา’ ด้วย เดี๋ยวก็โดนหักเงินเดือนหรอกผมอยากเตือนเขาจัง
“เพื่อนจิม พามาช่วยงาน” ผมยกมือไหว้เพราะพี่เขาโตกว่า “นี่บอมเพื่อนฉันเอง เป็นเจ้าของร่วมกับฉันที่นี่” มิน่าล่ะ เกือบหน้าแตกแล้วเชียว
“ชื่ออะไรเรา” คุณบอมถามผมแต่ยังไม่ทันได้ตบคุณแจ็คก็สวนขึ้นก่อน
“นั่นสิ ฉันก็ยังไม่เคยได้ถามเลย ตกลงนายชื่ออะไร”
“มึงพาน้องมันมาถึงนี่โดยที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อเนี่ยนะ”
“เออ กูเจอหลายครั้งแล้วด้วย ถ้ามึงไม่ถามกูก็ไม่ได้ถามอะ” ผมยืนงงอยู่คนเดียวในพื้นที่เล็กๆ นี่คุณแจ็คไม่เคยรู้ชื่อผมเลยหรอเนี่ย
“อะ ตกลงชื่ออะไร แนะนำอย่างเป็นทางการซิ” คุณบอมหย่อนก้นบนโต๊ะทำงานของคุณแจ็คกอดอกมองผม คุณแจ็คเองก็พิงพนักเก้าอี้จ้องผมเช่นกัน
“ผมชื่อ...”
“อ่าว จำชื่อตัวเองไม่ได้หรอ จะค้างเพื่อ”
“ไม่ครับ คือผมมีสองชื่อเลยไม่รู้จะแนะนำชื่อไหนให้มันดูเป็นทางการ”
“สองชื่อ ชื่อจริงชื่อเล่น?” คุณแจ็คถาม
“ไม่ครับๆ ชื่อจริงชื่อ กันภพ ภูวพร คนส่วนใหญ่เรียกจ่อยครับ เรียกตามป้า”
“แล้วจริงๆ ชื่ออะไรถ้าไม่เรียกตามป้า”
“ชื่อเบิ้มครับ”
“โอเค กูเรียกตามป้า”
“ฮ่าๆๆ” คุณแจ็คหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้ทันทีที่คุณบอมพูดจบ ผมเห็นคุณเขาเช็ดน้ำตาด้วยมันน่าตลกขนาดนั้นเลยหรอ นี่ผมซีเรียสนะ
“เชิญมึงออกไปได้แล้วไอ้บอม กูจะทำงานกับน้องเบิ้ม”
“ขอร้อง กระดากหูมาก” คุณบอมยกมือพนมขึ้นเหนือหัวก่อนพูด “อย่าให้โจได้ยินเรื่องนี้เชียว ขี้เกียจดูมันนั่งขำจนตีนแมวขึ้นหน้า
“ออกไปได้แล้วกูจะทำงาน” ถึงจะไล่แต่ผมก็เห็นคุณแจ็คหัวเราะเออออไปกับคุณบอมอยู่ดี เชอะ
“เป็นอะไร” คุณแจ็คถามเมื่อเห็นผมทิ้งตัวลงบนโซฟาแรงๆ
“ชื่อผมมันตลกมากหรอครับ”
“งอนหรอ?”
“ผมไม่ได้งอน แต่ผมชื่อเบิ้มมันผิดตรงไหน ตอนที่พ่อตั้งก็หวังให้ผมแข็งแรงตัวใหญ่เหมือนคุณแจ็คคุณบอมนั่นแหละ ใครจะรู้อนาคตว่ามันจะกะหร่องแบบนี้ล่ะครับ” ผมนั่งหน้าหงึก จะบอกว่าไม่งอนแต่อาการมันก็คืองอนนั่นแหละผมก็รู้ตัว
“ลุกมานี่ซิ” ผมยอมเดินไปหาแต่โดยดี แต่หน้ามันก็ยังหงึกอยู่แบบนี้แหละ ให้เปลี่ยนเลยคงไม่ได้หรอก “นั่งนี่”
“ผมจะนั่งตักคุณแจ็คได้ไงกันครับ”
“จะไม่เอาใช่มั้ยเงิน” ผมเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปนั่งตามพิกัดที่บอกแทบจะทันที “ตัวผอมๆ ก็ดีฉันจะได้ไม่เมื่อย ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่ให้นั่งหรอกนะ”
“แล้วทำไมต้องนั่งตักล่ะครับ เก้าอี้ก็มีตั้งสองสามตัว”
“จะได้สอนถนัดๆ ฉันขี้เกียจคอยลุกไปดูเวลานายทำ”
“คุณแจ็คจะให้ผมทำอะไรครับ ผมจบแค่มอหกเองนะ งานระดับคุณแจ็คผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”
“ทำได้สิ งานง่ายๆ เดี๋ยวจะบอก”

ผมนั่งเปิดแฟ้มเอกสารผ่านไปห้าแฟ้ม หน้าที่ที่คุณแจ็คบอกคือยกเอกสารตรงหน้ามาเปิดทีละแผ่น อ่านให้คุณแจ็คฟังแล้วให้คุณแจ็คเซ็น มันง่ายจนอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เปิดเองน่าจะเร็วกว่า แต่คุณแจ็คบอกในตอนแรกว่าปวดตาปวดข้อมือผมเลยพอเข้าใจได้
“หิวรึยัง”
“นิดหน่อยครับ” เอกสารแฟ้มสุดท้ายปิดลงผมรู้สึกเมื่อยก้นมาก มันไม่ได้สบายเท่าไหร่กับการนั่งแบบนี้นานๆ “คุณแจ็คไม่ปวดขาหรอครับที่ผมนั่งทับ”
“เพื่องานฉันอดทนได้” คุณแจ็คนี่สุดยอดจริงๆ จิมเคยบอกว่าคุณแจ็คอดทนทำทุกอย่างได้เพื่อครอบครัว เป็นแบบนี้นี่เองสินะ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ครับ” ผมลุกออกจากหน้าขาจนแขนข้างซ้ายของคุณแจ็คที่เกาะผมไว้ค่อยๆ คลายออกจากเอว แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูคุณแจ็คก็ไม่ลุกตามมาสักทีจนผมต้องหันกลับมอง “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าๆ” โน้มตัวลงกับโต๊ะ ผมว่าเขาอาจจะปวดท้องหรือเป็นอะไรสักอย่าง “อย่าจับๆ ฉันไม่เป็นไร”
“แน่หรอครับ”
“แน่สิ แต่ว่า... คือฉันว่าเราสั่งอาหารให้เค้ามาส่งที่นี่ดีกว่า ขี้เกียจออกไป”

[แจ็ค]
   ผมยืดขาเหยียดตรงระหว่างที่จ่อยออกไปรอรับอาหารจะไลน์แมนที่หน้าสตูดิโอ จะให้บอกได้ไงว่าเหน็บกินเสียฟอร์มตายเลย แต่ถ้าผมต้องกลับไปรับน้ำหนักอีกครั้งในช่วงบ่ายคงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้
“น่าทานทั้งนั้นเลยนะครับ”
“ไว้ฉันมีเวลามากกว่านี้จะพาไปกินที่ร้านนะ” ผมเองก็อยากแก้ตัวที่สังขารไม่พร้อม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ว่าแต่ ปกติใครเป็นคนช่วยงานคุณแจ็คหรอครับ”
“ก็มีเลขา แล้วก็บอมคนที่นายเจอ มีโจอีกคนแต่ไม่ได้ถือหุ้นร่วมคอยช่วยบอมอีกที งงมั้ย”
“ไม่งงครับ แต่เลขาคือพี่สาวที่อยู่หน้าห้องน่ะหรอครับ”
“ใช่ ทำไมหรอ” ผมสังเกตว่าจ่อยเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่อาจจะไม่กล้าพูด
“ช่วยเหมือนที่ผมช่วยงานคุณแจ็ควันนี้หรอครับ”
“จะพูดอะไรกันแน่” ผมว่าผมรู้นะ แต่อยากฟังจากปากมากกว่า “เลขาฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจรึไง”
“ไม่ครับไม่” จ่อยส่ายหน้ารัว “คือผมเห็นว่าพี่เค้าเป็นผู้หญิง แล้วถ้ามานั่งตักคุณแจ็คแบบนี้มันจะดูไม่ดีรึเปล่า คือหมายถึง..ผมเป็นผู้ชายมันก็ไม่เสียหาย”
“เค้าหนักไปฉันไม่ให้นั่งหรอก”
“แสดงว่าถ้าเค้าผอมก็นั่งได้หรอครับ” ผมอยากจับเจ้านี่มารัดให้แน่นแล้วหอมหัวจริงๆ เลยให้ตายสิ
“เห็นฉันไม่เป็นสุภาพบุรุษขนาดนั้นเลยหรอ อย่างที่นายบอก เค้าเป็นผู้หญิงจะให้มานั่งตักกันได้ไง”
“ถ้าเป็นผู้.../...ถึงเป็นผู้ชายก็นั่งไม่ได้ หนัก โอเค๊” ผมสวนไปซะจะได้จบๆ
“แต่ผมนั่งได้”
“ก็นายจ่อย”
“ถ้าคนอื่นจ่อยก็นั่งได้ใช่มั้ยครับ”
“นายนั่งได้เพราะนายคือจ่อย ถ้าคนอื่นไม่ใช่นายจ่อยก็นั่งไม่ได้ พอใจรึยัง ว่าแล้วก็ลุกมานั่งเลยดีกว่ามา พูดมากนัก”
จ่อยเลื่อนจานข้ามาฝั่งผมเดินอ้อมกลับมานั่งในตำแหน่งเดิมแล้วกินต่อไม่พูดไม่จาอะไร
“ขี้หวงเหมือนกันนะเรา ชอบนั่งตักมากหรอหะ?” จ่อยเบี่ยงตัวเองมาฝั่งซ้าย แล้วยื่นช้อนมาจ่อที่ปากผม
“กินข้าวครับ พูดเยอะเดี๋ยวก็เจ็บคอหรอก” ผมมองหน้าคนตัวเล็กบนตัก เห็นปากเยลลี่ที่ขยับเม้มเป็นเส้นตรงกับสายตาที่ไม่ค่อยกล้าประสานกับผมตรงๆ สักเท่าไหร่ แล้วอ้าปากงับช้อนที่ป้อนเข้ามา
“กินหวานขนาดนี้เลยหรอ”
“ผมไม่ได้ใส่น้ำตาลเลยนะ คุณแจ็คหวานหรอ”
“อืม หวาน หวานมาก จะเลี่ยนตายอยู่แล้วเนี่ย”
“น้ำครับ”
“ไม่เอาแล้ว กินเองเถอะ”
ผมยังนั่งมองเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวตุ้ยบนตักไม่วางตา พอปากว่างก็นั่งบ่นว่าผมไม่รู้จักคุณค่าของอาหารกินทิ้งกินขว้างไม่รู้จักเสียดายของ อยู่ที่บ้านนาไม่มีให้กินแบบนี้บลาๆๆๆ จนอยากจะหาอะไรอุดปากซะจริงๆ มือก็ไม่ว่างด้วยสิ เดี๋ยวเถอะ ถ้ายังไม่หยุดพูดนะ
แต่ก็ได้แค่คิดในใจเท่านั้นแหละ

(ต่อด้านล่าง)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด