ตอนที่ 13
คุณแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์
“ทางนี้”
ผมโบกมือให้ลูกจัน เป็นเช้าที่ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะเป็นวันเดินทางไปเข้าค่ายรับน้องของคณะ
“มึงเช็คชื่อกันยังวะ” ลูกจันวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้น
“เรียบร้อย มึงมีมาแค่นี้เหรอ” ฝนมองกระเป๋าของอีกฝ่าย
“เออ ไปแค่สองคืน เอาไรไปนักหนาวะ”
เห็นไหมครับ ว่าลูกจันเหมาะกับการเป็นกุมารมากกว่ากุมารี
“มึงไปเช็คชื่อก่อนจะได้ขึ้นรถ กูเอากระเป๋าขึ้นไปจองที่ไว้ให้แล้ว จะได้นั่งด้วนกัน” ผมไล่ลูกจันไปหารุ่นพี่ เพื่อรายงานตัวว่ามาถึงแล้ว
“ได้ เดี๋ยวกูมา”
ผม ฝนและขลุ่ย ยืนรอลูกจันอยู่ข้างรถบัส วิธีเลือกรถของผมนั้นง่ายนิดเดียว พี่คีรินทร์ขึ้นคันไหน ผมก็ขึ้นคันนั้น เมื่ออีกฝ่ายเอากระเป๋าขึ้นไปวางแล้ว ผมก็เอาขึ้นไปวางบ้าง แต่เพื่อมารยาทที่ดี จึงจองที่นั่งห่างออกไปสองแถวทางด้านหลัง และอยู่คนละด้าน เพื่อจะได้มองอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น
“เรียบร้อย” ลูกจันเดินยิ้มมาแต่ไกล ผมยิ้มตอบเพื่อน ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ จางหาย เมื่อเห็นว่าใครเดินตามหลังลูกจันมา
พี่คีรินทร์เดินมากับพี่เจน มือใหญ่หิ้วกระเป๋าที่มองยังไงก็ไม่ใช่ของเจ้าตัวแน่ เพราะมันเป็นสีชมพูหวาน ซึ่งเหมาะกับพี่เจนมากกว่า ทั้งคู่คุยกันเบาๆ ดวงตาที่พี่คีรินทร์มองพี่เจน ทำให้อีกฝ่ายดูบอบบางและน่าทนุถนอม ผมมองตามจนแน่ใจว่าพี่คีรินทร์กับพี่เจนนั่งด้วยกันจึงละสายตา
“มึง” ขลุ่ยใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนผม
“ว่า” ผมหันไปมองหน้าเพื่อน
“อยากย้ายคันไหม กูว่ายังทันนะ น่าจะพอมีที่เหลือ”
“ย้ายทำไม สบายๆ คันนี้แหละดีแล้ว”
“แน่ใจนะ” ขลุ่ยถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
“แน่ใจสิวะ ขึ้นรถได้แล้ว”
ผมส่งยิ้มให้พี่คีรินทร์กับพี่เจนในจังหวะที่เดินผ่าน หัวใจถูกสะกิดเบาๆ มันเป็นแค่รอยเล็กๆ ในพื้นที่กว้างใหญ่ ที่ยังปกติสุขดี
พี่ทวีปกับพี่มิ่งตามขึ้นมานั่งแถวหลังพี่คีรินทร์ เยื้องกับผมแถวหนึ่ง ก่อนเวลารถออกเพียงครู่เดียว
ผมเรียกพลังให้ตัวเอง เวลาแบบนี้ไม่เหมาะกับการคิดมาก ถึงความรักจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมก็มีชีวิตปีหนึ่งเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นผมจะสนุกกับมันให้เต็มที่
ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา
มันจะถูกไม้เสียบ อุ้ย!
มันจะถูกไม้เสียบ อุ้ย!
เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา
ร้อนจริงจริง ร้อนจริงจริง ร้อนจริงจริง
ผมเต้นอย่างเมามันตรงกลางทางเดิน เมื่อได้รับเกียรติให้ออกมาโชว์สเต็ปอวดเพื่อนๆ เพราะดันแพ้เกมที่เพิ่งเล่นไป พี่ทวีปหัวเราะเสียงดัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมเก็บเอาไว้ รูปดีๆ ไม่เคยอยากถ่ายน้อง รูปน่าเกลียดกดถ่ายใหญ่ ใจร้ายกับเด็กตาดำๆ เหลือเกิน
สายตาของผมอดเหลือบไปมองพี่คีรินทร์ไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พี่คีรินทร์กำลังคุยบางอย่างกับพี่เจน ใบหน้าโน้มเข้าใกล้กัน เพราะเสียงเพลงในรถดังมาก ผมหันไปมองทางอื่น เพื่อให้ง่ายต่อการรักษาพื้นที่ความสุขในจิตใจ
รถจอดให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ผมจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย เห็นว่ายังพอมีเวลา จึงเดินไปซื้อขนมในร้าน เพื่อเอาไปเติมขนมที่หมดไปบนรถ
อืมม ผมมองชั้นวางของด้วยสายตาครุ่นคิด ยกมือขึ้นลูบคาง
“แค่ซื้อขนม มันต้องคิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมหันไปยิ้มให้ เพราะจำเสียงคนพูดได้ดี
“ผมชอบกินยี่ห้อนี้ครับ มันอร่อย แต่ยี่ห้อนี้จัดโปร ลดตั้งสิบห้าบาท”
“ที่ยืนอยู่คือเรื่องนี้?”
“ครับ” ผมพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง พี่คีรินทร์หัวเราะจนตาเป็นประกาย
“อันไหนอร่อยก็กินอันนั้น ซื้ออันที่เราชอบไป”
ร่างสูงยื่นมือไปหยิบขนมบนชั้นสามสี่ถุงโดยไม่เสียเวลาคิด บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้ดีว่าชอบอันไหน
“ผมก็อร่อยนะ” ผมพูดเสียงเบาในคอ
“อะไรนะ” พี่คีรินทร์หันหน้ามามองหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“อะไรเหรอครับ”
พี่คีรินทร์จ้องตาผม “พี่ว่าพี่ได้ยินชัด”
ผมหลุดขำออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นทะเล้นทันที “ไหนว่าไม่ได้ยินไงครับ”
“ย้อนพี่เหรอ” พี่คีรินทร์เอื้อมมือมาหา ผมแกล้งเอนหัวหลบ
“คีรินทร์"
พี่คีรินทร์ชะงักมือ หันไปมองพี่เจนที่กำลังเดินตรงเข้ามา
“เอาอันไหนดี” อีกฝ่ายชูของที่ถืออยู่ให้ดู
“ซ้าย”
“เจนจำผิดจริงๆ ด้วย นึกว่าคีรินทร์ชอบอันนี้ ดีนะมาถามก่อน” พี่เจนยกของในมือขวาขึ้นให้ดู
“เจนไม่กินหวานไม่ใช่เหรอ เอาน้ำตาลน้อยไปดีกว่า จะได้ทานได้”
“อ้าว เลือกเพราะเจนเหรอ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เสียงพี่เจนขึ้นจมูกนิดๆ เหมือนคนงอน ผมเห็นสายตาเอ็นดูของพี่คีรินทร์ชัดเจน
“ผมไปก่อนนะครับ ไม่ได้บอกพวกนั้นไว้ว่าเข้ามาซื้อของ” ผมชี้ออกไปข้างนอกร้าน ยิ้มให้พี่เจนเป็นการทักทาย ก่อนแยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ผมหยุดยืนที่หน้าร้าน เพื่อเรียกความสดใสคืนให้กับตัวเอง มันคงไม่ดีแน่ ถ้าผมทำให้เพื่อนหมดสนุก เพราะความเป็นห่วง พี่โต๊ะก็บอกแล้วไง ว่าต้องทำหัวใจให้แข็งแรง ถ้าคิดจะเดินทางนี้ ร่าเริงเข้าไว้เก้าอี้
ผมเงยหน้าขึ้น เมื่อมีบางอย่างถูกวางลงบนหัว ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง ผมเอื้อมมือขึ้นไปหยิบของที่อยู่บนหัว นิ้วแตะโดนมือของพี่คีรินทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ
“โอ๊ะ!” ผมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่าของนั้นคือขนมที่ผมคิดจะซื้อ แต่แพ้ภัยใจตัวเองเลยรีบออกมาก่อน
“ลืมใช่ไหม”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ร่างสูงเดินกลับไปที่นั่งของตนเอง ผมมองถุงขนมบนตัก ก็เพราะใจดีแบบนี้ผมถึงตกหลุมซ้ำแล้วซ้ำอีก แค่นี้ก็ปีนกลับขึ้นไปไม่ไหวแล้ว จะรู้ตัวบ้างไหมหนอ
• • • • • • • •
หลังจากถูกหลอกด้วยการเล่นเกม ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่พื้นที่เปลี่ยว สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ รุ่นน้องตาดำๆ อย่างพวกผมก็โดนไล่ลงจากรถ ได้แต่มองตามไปด้วยสายตาละห้อย
“กรี๊ดด กูมีแรงแล้ว” เสียงหวีดเป็นของลูกจัน
“อะไรของมึง”
“โน่น มาด้วยเว้ย ไหนว่าไม่ชอบทำกิจกรรมไงวะ” พวกผมหันไปมองพร้อมกัน เรนยืนเด่นเป็นสง่า มองเห็นออร่าได้จากระยะไกล
“แม่งง ทำไมกูไม่เห็นก่อนขึ้นรถวะ ไม่งั้นกูไม่มาแน่” ฝนพูดอย่างหัวเสีย
“เอาน่า ไม่มีอะไรหรอกมึง ป่านนี้คนลืมกันหมดแล้ว” ขลุ่ยช่วยปลอบใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ ผมดันหลังฝนให้ออกเดิน รีบไปก่อนจะได้อยู่ห่างๆ กัน
ระยะทางเกือบห้าร้อยเมตร ไม่ถือว่าไกลมาก แต่ก็ไม่ใกล้เลย สำหรับคนไม่ชอบออกกำลังกายอย่างผม อาการคึกคักตอนอยู่บนรถหายวับ เหลือเพียงการพาสังขารไปให้ถึงที่พัก
แน่นอนว่ามันไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น พวกผมได้เวลาพักหายใจหายคอ ดื่มน้ำ สิบห้านาที เช็คชื่อว่าไม่มีใครล้มหายตายจากไประหว่างทาง รับป้ายชื่อมาแขวนคอ แล้วก็ต้องรีบไปรวมพลอีกครั้ง
เราเริ่มจากการแนะนำตัว โดยตะโกนชื่อตัวเองให้ดังที่สุด จนครบทุกคน หลังจากนั้นรุ่นพี่สั่งให้ตะโกนชื่อเพื่อนที่ยืนขนาบซ้ายขวา ซึ่งไม่ยาก เพราะกว่าจะถึงวันนี้พวกเราจำกันได้เกือบครบแล้ว เว้นเฉพาะคนที่ไม่เคยเข้าประชุมเชียร์ กับคนที่ทำตัวเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร
ถ้าไม่นับรวมที่ต้องเดินเท้าเข้ามา ผมคิดว่ากิจกรรมไม่ได้โหดอย่างที่คิด เหมือนเล่นสนุกกับเพื่อนมากกว่า รุ่นพี่ที่เคยดูโหดร้ายก็ตลกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
กิจกรรมช่วงเย็นหมดลงเมื่ออาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า พวกผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพื่อผลัดกันอาบน้ำให้เสร็จ และลงไปรวมตัวอีกครั้ง
เมื่อทุกคนรวมตัวกันครบแล้ว กิจกรรมช่วงค่ำจึงเริ่มจากการเปิดค่าย เฮดว๊ากที่เคยโหดร้าย กล่าวต้อนรับน้องๆ ทุกคนเข้าคณะอย่างอบอุ่นปนฮา ต่างจากเดิมหน้ามือเป็นหลังมือ
ต่อด้วยการรับประทานอาหารเย็น เพื่อเติมพลังให้กับทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง เราทานกันไปคุยกันไป จนได้เวลาทำกิจกรรม
พี่รุจประกาศว่าต่อไปคือการจับคู่บัดดี้ ปีหนึ่งกับปีหนึ่งด้วยกัน ผมเสียดายนิดหน่อย เพราะแอบหวังเล็กๆ ว่าจะได้จับคู่กับพี่คีรินทร์
กว่าจะได้จับชื่อบัดดี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านด่านแข่งเกม ต้องเต้นท่าประหลาดๆ ต้องทำเสียงสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่ที่พี่สันฯ จะหามาแกล้งน้องๆ อย่างพวกผมได้
“ชื่ออะไร”
“เก้าอี้ครับ”
“งั้นพูดอี้ให้ยาวที่สุด”
“อี้~~~~~~~”
“บอกว่าให้ยาวที่สุด”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ““อี้~~~~~~~~~~เอี้ย”
มันเป็นจังหวะหมดแรง เป็นการหายใจเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนหมดลม และเป็นที่มาของเสียงประหลาด ทำเอาพี่สันฯ สะดุ้งโหยง ส่วนคนนั่งฟังหัวเราะกันงอหาย
“เอ้าจับ” พี่รุจส่งกล่องให้ผมพร้อมกับบ่นไปด้วย “อยู่ดีไม่ว่าดีโดนด่าซะงั้นกู”
ผมหัวเราะขำรุ่นพี่ หยิบกระดาษออกจากกล่องมาหนึ่งใบ เปิดมันออก ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ชีวิตมักเล่นตลกแบบนี้เสมอ
“ฟ้าครับ” ผมอ่านออกไมค์ ที่พี่รุจเอามาจ่อปาก
น้องโบว์ใหญ่ที่นั่งข้างผมในวันนั้น คือบัดดี้ของผมในวันนี้ น่าเสียดายที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผมเชื่อแล้วว่าจังหวะของชีวิตคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บางอย่างก็เข้ามาในเวลาที่ไม่พอดี
คนที่ถูกประกาศชื่อแล้ว จะไม่ได้จับชื่อบัดดี้ ฝนคือคนที่ยังไม่มีใครประกาศชื่อ แต่กลับไม่ได้จับเสียที พี่สันฯ เดินผ่านไปผ่านมา จนโต๊ะผมได้บัดดี้กันครบแล้ว ฝนก็ยังไม่ได้จับ
พี่รุจเดินกลับขึ้นไปบนเวทียกพื้นเตี้ย ที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย กลุ่มผมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะฝนยังไม่มีบัดดี้
“ต่อไปเป็นการประกาศคู่พิเศษ ที่ได้รับการโหวตจากรุ่นพี่แล้วว่าเหมาะสมที่จะคู่กัน โดยไม่ต้องจับชื่อ มีด้วยกันทั้งหมดสามคู่”
“กูรู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ว่ะ” สีหน้าของฝนเริ่มกังวล
“ไม่มีอะไรหรอกมึง” ผมปลอบใจเพื่อน ทั้งที่ก็คิดอยู่เหมือนกัน
คู่แรก เป็นหญิงกับชาย โดนบังคับให้จับคู่เพราะความพ่อแง่แม่งอน ชอบเถียงกันตอนประชุมเชียร์ รุ่นพี่คงอยากให้รักกัน
คู่ที่สอง เป็นผู้ชายกับผู้ชาย ผมได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าคู่นี้มีปัญหาชกกันนอกรอบ ตอนงานกีฬาเฟรชชี่
ส่วนคู่สุดท้าย...
“คู่สุดท้ายที่จะประกาศ เป็นคู่มาแรง แซงทุกโค้ง แหกทุกศอก คู่จริงไม่ต้องจิ้น มีสองคนก็เหมือนคนเดียวกัน”
“ไอ้เหี้ยย!” ฝนร้องเสียงหลง
ไม่ต้องรอให้ประกาศจบ ผมก็รู้แล้วครับว่าเป็นใคร แน่นอนว่าฝนต้องคู่กับเรน พวกผมสามคนหันหน้าไปคนละทาง สงสารเพื่อนก็สงสาร ขำก็ขำ อารมณ์ตอนนี้ไบโพล่าร์มาก โชคดีที่การจับคู่บัดดี้จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ คืนนี้จึงยังพอมีเวลาให้ฝนทำใจ
หลังการจับบัดดี้จบลง บรรยากาศคึกคักก็กลับมาสบายๆ บนเวทีจัดมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยพี่ว๊าก แต่ละคนพอสลัดความโหดออกไปแล้ว ก็หล่อขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเสียงร้อง เพราะมากอย่างไม่น่าเชื่อ ฟังเพลินจนลืมเวลา
“มึงงง พี่คีรินทร์ขึ้นเว้ย”
ผมตื่นเต้นยิ่งกว่าลูกจัน ไม่คิดว่าพี่คีรินทร์จะยอมขึ้นร้องเพลง โทรศัพท์ถูกหยิบออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมพร้อม ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่ๆ
พี่คีรินทร์ต่างกับคนอื่นเล็กน้อย ตรงที่มีกีต้าร์ขึ้นมาด้วย นิ้วยาวกรีดลงบนสาย พร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้น
ได้ชิดเพียงลมหายใจ
แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน
แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ
ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆเธอคิดยังไง
รักเธอเท่าไร แต่ไม่เคยพูดกัน
อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้
มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย
เธอจะมีใจหรือเปล่า
เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า
ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เธอจะมีใจหรือเปล่า
มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ติดอยู่ในใจ
แต่ไม่อยากถาม
กลัวว่าเธอเปลี่ยนไป มือที่จับโทรศัพท์ค่อยๆ ลดลง หัวใจเต้นช้าจนผมกลัวว่ามันจะหยุดเต้น รอยยิ้มที่มุมปากยังคงมีอยู่ แต่มันจืดเจื่อนเต็มที ผมกลืนน้ำลายคงคอด้วยความยากเย็น
“ก็แค่เพลงน่า” ลูกจันกระดุกเสื้อยืดที่ผมใส่อยู่เบาๆ ชะโงกหน้ามากระซิบใกล้ๆ เพราะในโต๊ะมีคนอื่นมานั่งด้วย
“อืม” ผมยิ้มให้เพื่อน แม้แต่ขลุ่ยกับฝน ก็มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
ไม่เป็นไร ผมพูดโดยไม่ออกเสียง
เสียงเพลงจบลงแล้ว แต่เหมือนมันยังดังก้องอยู่ในหู หลังจากนั้นผมก็อดมองไปทางโต๊ะที่พี่คีรินทร์กับพี่เจนนั่งอยู่ไม่ได้ แม้ไม่อยากมองก็ตาม
ความรู้สึกใช่ว่าจะจัดการกันได้ง่ายๆ โชคดีที่ผมมีคำพูดของพี่โต๊ะเป็นภูมิคุ้มกัน
พี่เจนคือคุณแปดสิบห้าเปอร์เซ็น ส่วนเอ็งคือคุณสิบห้าเปอร์เซ็น ท่องไว้สิวะ ไม่ยอมแพ้แต่ก็ต้องไม่ลืมความจริงด้วย ห้ามเศร้าเด็ดขาด
ผมยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบาๆ หายใจเข้าลึกๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกกว้าง เลิกหันไปมอง
ผมจำได้น่า ว่าผมน่าจะมีความหวังอยู่แค่สิบห้าเปอร์เซ็น
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
ขอบคุณเพลง อยากรู้แต่ไม่อยากถาม ศิลปิน : ป๊อบ ปองกูล
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin