ตอนที่ 14
ความจริงอีกด้าน
Worrying won’t stop bad stuff from happening, it just stops you from enjoying the good.[SEEPHUN PART]เสียงเรียกเข้าในโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ขณะที่ผมกำลังนั่งดูการแข่งขันบาสเกตบอลทีมโปรด ตอนนักกีฬากำลังชูตลูกฟรีโทรว์
“เยดเข้! นำแล้วโว้ย” ผมหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นเด็กหาวโทรมา “ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา โทรมาทั้งที โทรมาตอนกำลังดูบาสเนี่ยนะ” ผมบ่นก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล ว่า”
[พี่สีฝุ่น พี่นอนยังครับ]
“ยังมีอะไรว่ามา” ผมตอบแต่ตาก็ยังคงมองไปที่ทีวี
[ผมขอคุยอะไรกับพี่นิดหน่อยได้ไหมครับ] หืมเด็กหาวเนี่ยนะจะคุยอะไรกับผม
“ได้ดิ ที่จริงลงมาห้องกูก็ได้นะ… ”
[งั้นผมลงไปเลยนะ] หาวพูดออกมาทั้งๆที่ผมยังพูดไปจบประโยค ว่าจะชวนมาดูบาสด้วยกันสักหน่อย
“อ่า” เสียงสัญญาน ตู๊ด ตู๊ด ดังขึ้นบ่งบอกว่าปลายสายได้วางไปแล้ว สงสัยจะรีบจริงๆ
นั่งได้ไม่นาน เสียงออดประตูก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
“พี่สีฝุ่นสวัสดีครับ” หาวพูดด้วยสีหน้านิ่งๆปกติของชีวิตมัน
“เข้ามาข้างในก่อน” หาวพยักหน้ารับแล้วเดินเข้ามาข้างใน ผมจึงปิดประตูเดินตามหาวไปที่โซฟา
“ว่าไง มีอะไรซะดึกดื่น”
“ผมขอถามตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะพี่ ผมคิดเรื่องนี้มาสี่วันแล้ว ผมตัดสินใจแล้วว่าจะมาถามพี่ตรงๆ” ตัดสินใจได้ตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
“ว่ามาดิ”
“พี่ตกลงก่อนว่าจะพูดความจริง แล้วก็ไม่โกหกผม” หืมนี่มันมาคุยกับผมจริงๆใช่ไหม หรือมันมาบังคับวะ
“อ่า”
“พี่ตะวันเป็นคนให้พี่ล็อกผม ให้อยู่ในสายรหัสของพี่หรือเปล่าครับ” ผมช็อกกับคำถามให้ตายเถอะ ผมว่าผมทำทุกอย่าง อย่างแนบเนียนแล้วนะ
“ถามทำไมวะ”
“ตอบมาเถอะครับ”
“เอ่อ… ” ผมรู้สึกอึกอักไม่กล้าตอบออกไป
“พูดมาตรงๆนะครับพี่ ผมขอ” ขอได้หน้านิ่งมากสัส กูลำบากใจนะเว้ย
“เมื่อกี้พี่บอกว่าจะพูดความจริงและไม่โกหกผม”
“กูรู้แล้วน่า”
“พี่ไม่ต้องกังวลนะครับ” ผมควรเอาไงดีเนี่ย ตอนนั้นก็ดันรับปากตะวันไว้ เมื่อกี้ผมก็รับปากหาวอีก ผมเอามือขึ้นมากุมขมับตัวเองก่อนจะเสยผม เอาวะ! ไอ้ตะวันกูทำเพื่อมึงนะ มึงอาจจะไม่ต้องตัดใจก็ได้…
“มึงตกลงก่อนว่าจะไม่โกรธไอ้ตะวัน”
“ครับ” หาวตอบรับผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผมพยักหน้ารับ
“อื้ม… ตะวันมันมาขอให้กูช่วยจริงๆ” หาวอมยิ้มออกมา ผมตกใจรอยยิ้มที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หลังจากหาวได้ยินเรื่องนี้
“ขอบคุณครับ” หาวหันมาขอบคุณผม ในขณะที่ผมกำลังงงอยู่
“เดี๋ยวจบง่ายขนาดนี้เลยจริงดิ”
“หืมครับ”
“มึงไม่ต้องคิดมากนะ กูกับไอ้เอสดีใจที่มีมึงเข้ามาอยู่ในสายรหัสจริงๆ”
“ขอบคุณครับ” ไร้ปฏิกิริยาทางสีหน้าของหาวจนผมคาดเดาไม่ถูก
“มึงไม่โกรธไอ้ตะวันใช่ไหมวะ หรือมึงโกรธพวกกู”
“หืมไม่นะครับ”
“พี่สีฝุ่นนอนได้แล้ว ผมไปแล้วนะครับ”
“คือมึงจะมาง่ายไปง่ายขนาดนี้เลยจริงดิ”
“อ่าครับ พอดีผมมีสอบควิซตอนเช้า”
“เออๆไปไหนก็ไปเหอะ”
“ขอบคุณครับพี่สีฝุ่น แล้วก็ขอโทษที่มารบกวนดึกขนาดนี้นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ความจริงกูก็ไปกวนมึงบ่อยๆเหมือนกัน”
“ครับ งั้นผมไปแล้วนะ”
หาวเดินออกจากห้องไปแล้ว ผมได้แต่มองประตูที่เด็กนั่นออกไป สงสารก็แต่ตะวัน หาวเอ้ย!ช่วยคิดตรงกับตะวันสักครั้งไม่ได้เหรอวะ ถ้ามึงรู้ว่ามันพยายามกับมึงมากขนาดไหน มึงจะรับรักตะวันมันหรือเปล่าวะ แต่คนอย่างตะวันมันคงไม่พูดออกมาหรอก หวังว่าสักวันตะวันมึงจะพูดออกมาสักทีนะ ผมก็ได้แต่หวังว่าความจริงที่ผมพูดออกไป จะทำให้หาวเห็นใจตะวันขึ้นมาสักนิด อย่างน้อยคนที่ดูไม่สนใจอะไรเลยอย่างเด็กนั่นก็ยิ้มออกมาแหละวะ
เสียงและแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่ห้อง เนื่องจากเมื่อเช้าเลิกคลาสเร็ว เลยกลับมานอนห้อง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย
“มีไรตะวัน”
[ฝุ่นวันนี้มึงจับสายรหัสใช่ไหมวะ]
“ใช่ ทำไมวะ”
[มึงช่วยเอาหาวเข้าสายรหัสทีดิ]
“จะบ้าเหรอวะ” ผมพูดออกไปเมื่อตะวันมันพูดประโยคนั้นออกมา
[ไม่บ้าหรอกเว้ย นะช่วยกูหน่อย]
“ทำไมกูต้องช่วยมึงวะ แล้วทำไมต้องเป็นไอ้หาวด้วย” ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหาวหรอก ตอนแรกผมยอมรับว่าผมมองเด็กคนนี้หยิ่งและเย็นชา ภายใต้หน้านิ่งของมันคงเป็นคนที่ไม่สนใจคนอื่น จนวันที่ผมเจอมันที่ลิฟท์ วันที่ผมรู้ครั้งแรกว่าหาวอยู่คอนโดเดียวกับผม น้องเดินมาสวัสดีผม ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างประหลาด จำผมได้แถมสวัสดีอีก ผมเจอน้องบ่อยขึ้น ทั้งฟิตเนสและที่มหาลัย น้องชอบเล่นมุกตลกด้วยหน้านิ่งของตัวเอง ทำไปทำมาผมกลับมองว่าเด็กคนนี้ตลกดีเสียด้วยซ้ำ จริงๆถ้าหาวเป็นหลานรหัสของผมก็ไม่เป็นไร ผมคงดีใจมากๆ แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากรู้เหตุผลอยู่ดี
[มึงช่วยกูหน่อย]
“เหตุผล?”
“…”
“เงียบคือ ตะวันกูขอเหตุผลดีๆ”
[กูชอบน้องมัน] ด้วยความตกใจ ผมเกือบทำโทรศัพท์หล่น ยังดีนะจับไว้ทัน
[ชอบมานานแล้วด้วย กูไม่อยากให้น้องไปอยู่กับใคร กูกลัว กูบอกพี่เสือแล้ว พี่เสือให้กูมาพูดกับมึงเอง] พี่รหัสจอมแสบเนี่ยนะ ยืมเงินยังไม่คืนเลยเหอะ
“เฮ้อ…จริงๆกูไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
[คือมึงจะช่วยกู]
“อื้ม” ผมตอบรับไป
[ขอบใจมากนะมึง เดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้า”
“เออๆ แล้วทำไมเพิ่งบอกตอนนี้วะแม่ง กูคิดแผนไม่ทัน”
[กูเพิ่งนึกได้ แผนอะไรก็ทำๆไปเถอะมึง อย่าให้หาวรู้ก็พอ]
“เออๆ งั้นกูวางก่อนนะเดี๋ยวไปไม่ทัน”
[จ้าเพื่อนรัก]
“ตีน!” ผมพูดแค่นั้นแล้วกดวางสาย
ผมรีบไปให้ทันก่อนการใส่ชื่อสายรหัสลงกล่อง สงสัยผมจะรีบไปหน่อยเพราะมาถึงแล้วยังไม่มีคนมาสักคน ผมคิดแผนแล้วคิดแผนอีกทำยังไงดีวะ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไอ้เอส
“ไอ้เอสมึงอยู่ไหน”
[อยู่ห้องสาขาครับ]
“มึงใส่รายชื่อรหัสลงไปในกล่องยังวะ”
[อ่ากำลังตัดกระดาษกันอยู่พี่ ว่าแต่พี่จะให้ผมใช้ชื่อนี้จริงๆเหรอ กระดาษแผ่นไม่ใหญ่เลยนะ ผมกลัวเขียนไม่พอ]
“เขียนตัวเล็กๆสิวะ เออเอสมึงเขียนเสร็จแล้วมึงเก็บกระดาษไว้ก่อนนะ กูสั่งให้ใส่แล้วค่อยใส่”
[ห๊ะ!พี่ เพื่อนได้ด่าผมตาย เขียนเสร็จก็ต้องใส่กล่องแล้วเนี่ย คิดอะไรแผลงๆอีกแล้ววะเนี่ย!]
“มึงทำยังไงก็ได้ ให้เพื่อนไม่รู้ว่ามึงยังไม่ได้ใส่ โอเคงั้นแค่นี้นะ”
[โหพี่ แหนะอะไรไอ้เอสคุยกับพี่สีฝุ่นเหรอ กิ้วๆ เพื่อนๆครับไอ้เอสคุยกับพี่สีฝุ่นอีกแล้ว จะขุดทองเหรอเพื่อน] เสียงของเด็กผู้ชายหลายคนแทรกเข้ามาในโทรศัพท์ เด็กพวกนี้ไม่รู้หรือไงว่าผมได้ยินทุกคำพูด
[ล้างตู้เย็นไอ้สัสฮ่าๆๆๆ เอ่อ… พี่สีฝุ่นงั้นแค่นี้นะครับ]
“เออๆ ไม่ต้องคิดมากล่ะ”
[ครับๆ]
ผมคิดถึงเรื่องในวันนั้นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงชอบมองว่าผมสองคนเป็นอะไรกัน แค่สนิทกันมันแปลกตรงไหนวะ แล้วบางคนที่เอาเรื่องเพศสัมพันธ์มาพูด แม่งเอ้ยอยากจะต่อยให้ปากแตก ผมก็มีแฟนแล้ว ถึงเธอจะอยู่คนละมหาลัยก็ตามที ส่วนเอสมันก็คุยอยู่กับน้องใบตอง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ถึงผมจะไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นพูดกันก็จริง แต่พวกนั้นก็เหยียดเพศคนอื่นอยู่ดี ทำไมไม่มองที่ความสวยงามของความรัก ไปโฟกัสที่เรื่องพวกนั้นกันทำไม สงสารก็แต่ไอ้เอสนั่นแหละครับ ขนาดผมกับไอ้เอสไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ยังโดนขนาดนี้ แล้วคนที่เป็นจริงๆ เขาต้องพบเจอกับอะไรกันบ้าง ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้าสองคนนั้นได้คบกันจริงๆ จะไม่ต้องพบเจออะไรแบบนี้
[TAWAN PART]ผมอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดบอลสำหรับนอนเรียบร้อย ปิดไฟทั้งห้องเหลือแต่โคมไฟหัวเตียง ผมนั่งที่เตียงพิงกับพนังห้อง หยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมาเข้าแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินก่อนเข้านอน ข้อความจากใครหลายคนเด้งขึ้นมา ทั้งแชทกลุ่ม แชทส่วนตัว แต่ผมก็ต้องสะดุดตากับเจ้าของเมสเสจหนึ่งที่ไม่เคยคุยกันผ่านโซเชียลเลยสักครั้ง
Hao Panchaiพี่ตะวันนอนยังครับ
ข้อความจากคนคนนั้นที่ผมพยายามตัดใจมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ หัวใจของผมอยู่ๆก็เต้นแรงอีกครั้ง สิ่งที่ผมพยายามมาตลอด แพ้ให้ความปราถนาในหัวใจของผมจนแทบหมด ผมอ่านข้อความแต่ก็ไม่ได้ตอบข้อความของหาวไป
“แค่เขาทักมาแค่นี้ เหอะๆอุตส่าห์พยายามตัดใจ แม่งเอ้ย! ”
ผมเข้าไปตอบข้อความของคนอื่น แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่เตียง แล้วล้มตัวลงนอน
เสียงสั่นข้อความเข้ามา ทำให้ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดเข้าไปอ่านข้อความ
Hao Panchaiฝันดีนะครับ
สติกเกอร์หมีบอกฝันดี
หัวใจผมเต้นกระหน่ำไม่หยุด ข้อความของเด็กนั่นกำลังจะทำให้ผมคลั่งตาย แค่เขาทักมาบอกฝันดี นี่ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ บางทีน้องอาจจะทักมาผิดก็ได้
Tawan Tinnakron
…
ส่งผิดแชทเหรอ
Hao Panchaiถูกแล้วนี่ครับ
น้องทักมาหาผมจริงๆ ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม อยากจะตะโกนให้คนทั้งโลกรู้ว่าน้องทักมาหาผม
“อ้ากกก” ผมตะโกนด้วยความดีใจ คนข้างห้องจะมาด่ารึเปล่าวะ
“เก็บอาการหน่อยตะวัน เก็บอาการไว้ คุยคนเดียวเป็นอะไรมากปะไอ้ตะวัน” ผมเอามือตบแก้มตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ
Tawan Tinnakron
อ้อ งั้นฝันดีนะครับ
Hao Panchaiเดี๋ยวก่อนครับ
พรุ่งนี้ช่วงเย็นๆพี่ว่างหรือเปล่า
ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยครับ
“ตะวันตั้งสติไว้ ตั้งสติสิโว้ยยยย” ว่าแต่ผมกับน้องมีเรื่องอะไรให้คุยกันด้วยหรือวะ หรือว่าน้องจะชวนผมเดท ไม่น่าใช่… ผมเองก็มีเรื่องคุยกับน้องมันเหมือนกันนี่ ผมคงต้องพูดเรื่องนี้จริงๆ เฮ้อ… แค่คิดความอกหักก็มาเยือนอีกรอบ
Tawan Tinnakron
อื้มได้สิ
กูก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน
Hao Panchaiสักห้าโมงนะครับ
Tawan Tinnakron
โอเค
ฝันดีนะ
Hao Panchaiฝันดีครับ
เอ้า! ลืมถามว่าที่ไหน จะทักไปต่อดีไหม ไม่ดีกว่า ก็บอกฝันดีไปแล้วนี่
“ไอ้ตะวันไอ้บ้า โว้ยยยยยย”
หลังจากเลิกเรียนผมกลับมาที่หอเพื่ออาบน้ำก่อน ต้องดูดีไว้ก่อนครับ ผมส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำ หันซ้าย หันขวา หันซ้ายอีกรอบ หันขวาอีกนิด
“คนอะไรแม่งหล่อขนาดนี้วะ”
“ไปโดนเทต้องหล่อขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ผมส่ายหัวเบาๆแล้วยกมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เกือบห้าโมงแล้วนี่ ผมว่าจะโทรไปหาน้องมัน เพื่อจะได้รู้ว่าผมจะไปเจอน้องได้ที่ไหน แต่ไม่ทันที่ผมจะโทรไป หาวก็โทรมาหาเสียก่อน ขนาดใจยังตรงกันขนาดนี้เลยเหรอวะ สติโว้ย!ตะวัน มึงนึกถึงเรื่องที่ต้องไปพูดวันนี้เข้าไว้ ผมเอามือตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อเรียกสติ
“กูอยู่หอให้ไปเจอที่ไหน” ผมพูดออกมาทั้งๆที่หาวยังไม่ได้พูดอะไรเสียด้วยซ้ำ
[เดี๋ยวผมไปรับที่หอนะครับ อีกสิบนาทีถึงหน้าหอพี่ครับ] น้องจะมารับผม สติโว้ยตะวัน
“อื้ม”
[งั้นแค่นี้นะครับ]
“อื้ม”
หาวกดวางสายไปสายแล้ว
ผมเดินมารอหาวที่หน้าหอ รอไม่นานรถมินิคูเปอร์ของน้องก็เคลื่อนมาจอดหน้าหอของผม ผมเดินไปขึ้นรถ
“สวัสดีครับพี่ตะวัน” หาวทักทายผม ไม่ได้เจอตั้งนานยังหล่อเหมือนเดิมเลยเว้ย
“อื้ม คุยตรงนี้เลยก็ได้” ผมพูดออกไปเมื่อนึกถึงเรื่องที่ต้องพูด
“เฮ้! จะไปไหนวะ” หาวขับรถออกจากหอของผม โดยไม่บอกอะไรผมสักคำ
“ไปห้างครับ”
“หือ”
“ไม่ต้องหือครับ คาดเข็มขัดด้วย” ผมพยักหน้ารับหาว กระโดดลงจากรถก็ไม่ได้ด้วยสิ ผมคาดเข็มขัดนิรภัย แล้วหันไปมองหน้าน้องมันที่มองถนนอยู่ รอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยได้เห็น
“มึงยิ้ม”
“หืมครับ”
มีความสุขอะไรงั้นเหรอวะ?
หาวขับรถพาผมมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก จอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นสามของตัวห้าง พวกผมพากันเข้ามาในห้าง ตลอดเวลาที่เดินเข้ามาในตัวห้าง ผมไม่กล้ามองหน้าน้องเลย เพราะกลัวตัวเองจะหวั่นไหวอีก
“อยากกินอะไรไหมครับ”
“หาที่คุยในร้านอะไรสักร้านก็ได้” ผมตอบหาวแบบขอไปที ใครก็ได้ช่วยตะวันด้วย
“หืมเวลาพูดทำไมไม่มองหน้าผมเลยล่ะครับ”
มองไม่ได้ เดี๋ยวใจกูอ่อน… ผมตอบหาวในใจ หาวยื่นหน้าเข้ามาหาผม ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใจเย็นโว้ยตะวัน ใจเย็นสิวะ!
“ทำอะไรเนี่ย!”
“ก็พี่ไม่ยอมมองหน้าผมนี่ครับ”
“หาวกูถามจริงนะวันนี้มึงเป็นอะไร มึงกินยาผิดมาเปล่าวะ”
“เปล่านี่ครับ” หาวตอบผมด้วยหน้านิ่งๆ
“พอแล้ว คนอื่นมองไอ้สัด” ผมเอามือผลักหัวหาวแรงๆ แล้วเดินนำมา
“อยากทานอะไรครับ” ผมหันไปมองเด็กที่มันมาเดินข้างๆกายเรียบร้อย
“อะไรก็ได้ รีบๆกิน รีบๆคุย รีบๆกลับเถอะ” รีบๆเถอะ ไอ้ตะวันจะตายแล้ว
“งั้นทานอะไรที่มันหนักๆท้องไหมหรือของหวานดีครับ”
“ร้านกาแฟร้านนั้นก็ได้” ผมชี้ไปยังร้านกาแฟที่อีกไม่กี่ก้าวก็ถึง
“หืมพี่จะทานกาแฟตอนนี้”
“สั่งอย่างอื่นก็ได้ไหมล่ะ ค้งเค้กก็มี รีบๆไปเหอะ”
ผมเดินเข้ามาในร้าน คนไม่เยอะเท่าไหร่ มีคนนั่งอยู่บ้างประปราย หาวสั่งเมนูโกโก้ปั่น ผมเลือกสั่งชาเขียวปั่นกับเค้กชาเขียว แล้วพากันมานั่งที่โต๊ะ บรรยากาศของร้านก็เป็นร้านกาแฟในห้างทั่วๆไป คนไม่มากเหมาะสำหรับเป็นที่อ่านหนังสือเลยทีเดียว
“มึงมีเรื่องอะไรจะพูดกับกู” ผมพูดออกไปเมื่อเห็นว่าหาวไม่ยอมพูดออกมาสักที
“พี่มีเรื่องจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ พี่พูดก่อนก็ได้ครับ”
“ไม่มึงพูดก่อน” ผมหันไปมองหาว
“ผมว่าพี่พูดก่อนดีกว่าครับ”
“โอเคกูพูดก่อนก็ได้ กูยอมมึงแล้ว” ผมพูดออกไปเพราะคิดว่ายืดเยื้อไปคงไม่ดีสักเท่าไหร่ หาวยิ้มอีกแล้ว วันนี้ผมว่าน้องต้องกินอะไรผิดมาแน่ๆ
“ครับ ว่าแต่มีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ”
“กูรู้ว่ามึงชอบเด็กดีน… ”
“ผมเนี่ยนะชอบดีน พี่คิดได้ไงเนี่ย” หาวพูดออกมาทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ
“เอ้ามึงไม่ได้ชอบดีนเหรอ” หาวมองหน้าผมด้วยหน้านิ่งๆของมัน
“อะไรทำให้พี่คิดว่าผมชอบดีนล่ะครับ”
“ก็ ก็ ก็ทั้งกระแสคู่จิ้นของมึง ที่มึงจับมือเด็กนั้น วันนั้นที่ไปกินเหล้ากัน มึงก็ซบกันตัวแทบสิงกัน เด็กนั้นเคยพูดว่ามึงเป็นของมันอีกอะสัด ไม่ใช่ได้ไงวะ”
“พี่ตะวันใจเย็นก่อนครับ” น้องพูดเมื่อเห็นว่าโต๊ะใกล้กันมองมาพร้อมก้มโค้งให้เชิงขอโทษ
“กูลืมตัว”
“อ่าครับ ผมจะบอกพี่นะ ผมกับดีนเป็นเพื่อนสนิทกัน ดีนมันชอบเอกไม่ได้ชอบผม”
“ห๊ะ! ไอ้เอกนั้นนะ”
“ใช่ครับ” น้องพยักหน้ารับผม โอ้โห้ควายแท้ๆไม่มีวัวผสม
“เก็บเศษหน้ากูที” ผมมองเด็กหาวที่ยิ้ม ไอ้เหี้ยปล่อยกูเข้าใจผิดตั้งนาน
“ไม่ต้องมายิ้มเลยสัด”
“ขอบคุณครับ” น้องขอบคุณพนักงานของร้านที่ยกของที่สั่งไปมาวางให้ที่โต๊ะ ผมเห็นเหมือนพนักงานส่งสายตาวิ้งๆมาให้หาวด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจอะไรเลย
“อ่าครับ เข้าเรื่องเลยนะ” หาวหันมาพูดกับผมต่อ ผมยังพูดเรื่องของผมไม่จบเลยนะ
“พี่รู้จักจุนหรือเปล่าครับ” ผมช็อกกับคำถามที่หาวพูดออกมา รู้แล้วงั้นเหรอวะ
“เอ่อ… เอ่อคือ”
“พูดความจริงกับผมมาเถอะครับ” หาวจ้องมองผมอย่างจริงจัง นัยน์ตาสีเข้มแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้ผมแทบไม่กล้าโกหกออกไป
“กูมะ มะไม่”
“พี่ตะวัน” หาวจ้องมองผมอย่างจริงจังมากขึ้น
“กูรู้จัก จบยัง พอใจไหม” สุดท้ายผมก็สู้สายตากดดันนั่นไม่ไหว เพราะผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ เพราะทุกอย่างมันคือความจริง
ตอนนั้นผมเห็นเด็กอ้วนหน้าตาดีแต่ตัวมันใหญ่กว่าชาวบ้านเขา ชอบทำหน้านิ่งๆ ยืนซื้อหมูปิ้งอยู่หน้าโรงเรียนทุกวัน หาวกับผมมักจะมาโรงเรียนพร้อมกันเสมอ ทุกครั้งผมจะมองไปยังเด็กนั่นที่ยืนกินหมูปิ้งอยู่หน้าร้าน ไม่รู้ทำไม หาวมักจะดูมีความสุขเวลาได้กินหมูปิ้งทั้งๆที่หมูปิ้งหน้าโรงเรียนเลี้ยนมาก แถมข้าวเหนียวก็แข็งเกินไป ใครๆก็รู้ว่าเด็กนั่นบ้านรวยขนาดไหน แต่มันสามารถกินหมูปิ้งข้างทางได้ดูมีความสุขราวกับเป็นของที่อร่อยที่สุดในโลก รู้ตัวอีกทีผมก็ตกหลุมรักเด็กบ้านั่นไปแล้ว ผมรู้ว่าเด็กนั่นอยู่ห้องเดียวกับไอ้จุนน้องข้างบ้านของผม เพราะเวลาหาวมันเข้าแถวก็จะยืนเด่นอยู่ข้างหลังคนเดียวเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกับหาว ผมก็เลยซื้อหมูปิ้งในตลาด เจ้าประจำของผมฝากให้ไอ้จุนไปให้ทุกๆเช้า บ่อยครั้งที่ผมมักจะเลือกนั่งโต๊ะข้างๆกันในโรงอาหาร แต่ผมไม่เคยอยู่ในสายตาของเด็กนั่นเลยสักครั้ง ท่ามกลางคนเป็นเกือบสองพันคนในโรงเรียนที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
แล้วตอนนี้ผมกำลังถูกหาวจับได้ เฮ้อ… ยังไม่ได้สารภาพว่าชอบหาวออกไปเลย
“ครับ ไม่ทำหน้าแบบนั้นสิครับ” หาวดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเก่า
“ไม่โกรธกูเหรอ”
“โกรธครับ”
“ขอโทษ”
“ผมจะบอกว่าโกรธที่พี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ้วนเลยนะครับ”
“กูขอโทษ หืม” ผมหันไปมองหน้าหาวตรงๆอีกครั้ง เพราะผมไม่เข้าใจสิ่งที่หาวกำลังพูด
“พี่รู้มั้ยครับ ผมทานข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน ปกติผมซื้อแค่ให้หายอยากทานวันละสองไม้ แต่พี่ซื้อให้ผมตั้งสี่ไม้แถมข้าวเหนียวอีก”
“เอาฮาเหรอสัด”
“เปล่าครับผมพูดความจริง”
“เฮ้อ…ว่าแต่มึงรู้ได้ไงวะ”
“อื้ม… ผมไปเจอจุนมาครับ พี่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมแค่ถามเฉยๆ” หาวพูดแล้วก้มดูดโกโก้ปั่นของตัวเอง
“แล้วมึงจะไม่อะไรกับกูสักนิดเหรอวะ” หาวเงยหน้ามามองผม
“ไม่ทานเหรอครับ ละลายหมดแล้วนั่น” หาวมองไปยังเมนูชาเขียวที่วางอยู่ตรงหน้าผม
“ใครแม่งจะชิลลงแบบมึงวะ”
“ใครว่าผมชิล ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรดีต่างหาก”
“หือ” หาวจ้องหน้าผม อะไรของมันอีกวะเนี่ย
“พี่ยังชอบผมอยู่ไหมครับ”
“ถามตรงขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“ตอบมาเถอะครับ” ผมมองหน้าหาวอย่างไม่เข้าใจ จะอยากรู้ไปทำไมวะ ไหนไหนก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมควรสารภาพจริงๆสินะ
“อื้ม… ชอบ”
“ทำไมถึงชอบผมล่ะครับ”
“การชอบใครสักคนมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ ชอบก็คือชอบอะ”
“พี่ได้ชอบผมแบบรอมาตลอดเหมือนในซีรี่ส์ อย่างนั้นหรือเปล่าครับ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เข้ามหาลัยกูก็มีแฟน แต่ก็กูไม่เคยลืมว่ามึงคือรักแรกของกู แต่พอกูเจอมึงอีกครั้งกูก็ชอบมึงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าทำไมแต่กูชอบมึงมากกว่าเก่า ถ้ามึงคิดว่ากูจะรอมึงตลอดเหมือนในนิยายล่ะก็นะ ขอโทษจริงๆวะ” หาวพยักหน้ารับผม
“ลองคุยกันดูก่อนไหมครับ” ผมได้ยินคำพูดของหาว แล้วก็ได้แต่ยิ้มเยาะตัวเองในใจ
“ฮ่าๆ”
“มีอะไรน่าขำเหรอครับ” หาวถามผมที่อยู่ๆก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“กูไม่อยากให้ใครมาคุยกับกูเพราะว่าสงสารหรือเห็นใจหรอกนะ” หาวเงียบไปสักพักก่อนจะพูดออกมา
“นี่พี่คิดว่าผมขอคุยกับพี่เพราะสงสารจริงๆเหรอ ผมจะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมเปิดใจให้ใครเพราะสงสารจริงๆ ตอนนี้ผมคงไม่โสดหรอก”
“ห๊ะ! หมายความว่าไงวะ”
“ลองคุยกันดูก่อนไหมครับ แค่ลองคุยกันดูก่อนนะครับ ผมไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน พี่เข้าใจผมไหมครับ”
“จริงเหรอวะ เข้าใจดิ กูไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” หาวยิ้มให้ผมแลเวพยักหน้ารับ
“ไปดูหนังกันไหมครับ”
“ดูหนังกับมึงเหรอ”
“ใช่ครับ”
“กูไม่ได้ฝันไปใช่ปะวะ”
“ครับไปกัน”
“เดี๋ยวก่อนสิ กูยังไม่ได้กินเลย” ผมมองไปยังแก้วชาเขียวและเค้กชาเขียวของตัวเอง
“ฮ่าๆ ก็ทานให้หมดก่อนสิครับ”
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับแล้วตั้งใจกินให้หมด เป็นชาเขียวที่อร่อยที่สุดในชีวิตไอ้ตะวันเลยเว้ย!
ผมกับน้องพากันมาดูหนังแนว Sci-fi ที่เข้าโรงอยู่ปัจจุบัน ไม่ได้เลือกหนังโรแมนติกหรือหนังผีที่คนอื่นดูกันสักนิด
[HAO PART]เช้าวันใหม่ ผมกำลังทาครีมอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำ เกิดเป็นผู้ชายก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ
Rrrrrrrrrrrrrr~
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมวางกระปุกครีมลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หืม… พี่ตะวันโทรมาทำไมแต่เช้าวะ ผมกดรับสายทันที
“ว่าไงครับ”
[หาวมึงมารับกูหน่อยดิ รถกูพังอีกแล้ว]
“ผมว่าพี่ควรซื้อรถใหม่ได้แล้วนะครับ”
[ไม่อะ กูจะได้ติดรถมึงไปบ่อยๆไง มึงมารับกูหน่อยนะ] น้ำเสียงออดอ้อนนั้นมันคืออะไรวะครับ
“อ้อครับ งั้นรอสักพักได้ไหมครับ ผมยังไม่ได้แต่งตัวเลย”
[ได้สิ สำหรับมึงกูรอได้เสมอล่ะ]
“หืมมม งั้นเดี๋ยวพอผมถึงหน้าหอพี่แล้วผมโทรไปนะครับ”
[เค กูจะรอ]
“จะให้ไปรับก็ไม่บอกกันตรงๆเนอะคนเรา” ผมส่ายหัวเบาๆแล้วกลับไปทาครีมต่อ แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกจากหอ ผมขับรถมาถึงหอพี่ตะวัน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาพี่มัน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดโทรออก ผมก็เห็นพี่ตะวันกำลังเดินตรงมาที่รถของผม พี่ตะวันเปิดประตูฝั่งข้างคนขับขึ้นมานั่ง
“ผมกำลังจะโทรหาพอดีเลยครับ”
“อ่า” พี่ตะวันตอบรับแล้วหันไปคาดเข็มขัดนิรภัยแทน
“แล้วนี่พี่รอผมอยู่เหรอ” ผมเป็นคนค่อนข้างแต่งตัวพิถีพิถันคนหนึ่ง เพราะฉนั้นจะใช้เวลานานมาก ถ้าพี่ตะวันมารอผมตั้งนานแล้วล่ะ พี่ตะวันเงียบใส่ผม “พี่รอผมนานไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็กูอยากมารอมึง”
“แสดงว่ามารอนานแล้ว? “
“ไม่นานหรอก มึงจะถามอะไรนักหนาเนี่ย”
“ก็ผมบอกแล้วไงครับ ว่าถึงแล้วจะโทรหา”
“อะไรไปๆ พูดมากอยู่ได้”
“อ่าครับ”
“แล้วนี่พี่ให้ผมไปส่งตึกไหนครับ”
“มึงเริ่มเรียนกี่โมง”
“พี่ตะวันครับ พี่ตอบไม่ตรงคำถาม”
“เฮ้ยมึงใจเย็นดิหาว”
“นี่ผมก็ใจเย็นอยู่ครับ”
“โอเคๆ กูไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนมึง กูแค่อยากชวนมึงไปกินข้าวก่อนเฉยๆ”
“ทีหลังพี่ช่วยตอบคำถามก่อน จะชวนทานข้าวผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ” ผมหันไปมองพี่มันแวบหนึ่งแล้วกลับไปสนใจการขับต่อ ช่วงเช้านี่รถมันติดจริงๆเลย
“ก็กูกลัวมึงไม่ยอมไปหนิวะ” ผมอึ้งกับคำพูดของพี่ตะวัน จนต้องหันไปมองอีกรอบ พี่ตะวันหน้าหงอลงไปเลย ตลกดีเหมือนกันนะครับ
“มึงยิ้มอะไร” อ่า…นี่ผมเผลอยิ้มอีกแล้วเหรอ
“ก็พี่น่ารักดี”
“น่ารักเหี้ยอะไร กูหล่อ”
“หืมผมหมายถึงการกระทำของพี่ ไม่ได้ชมหน้าตาพี่สักหน่อยนี่ครับ”
“อ้อ แต่มึงจะหมายความว่าหน้าตากูไม่หล่อ” ผมขับรถมาถึงแคนทีนส่วนกลาง ขับรถวนหาที่จอดรถที่ดีๆ เมื่อได้ที่แล้ว แต่พี่ตะวันกลับไม่ลงจากรถเสียที
“เอ่อ..ก็หล่อครับ ไปพี่จะกินข้าวก็ลงจากรถได้แล้วครับ”
“เปลี่ยนเรื่องตลอด”
ผมเข้ามาในแคนทีนเดินตรงไปที่ร้านขายอาหารตามสั่ง พี่ตะวันก็เดินตามผมมาด้วย อื้มอยากทานข้าวร้านเดียวกันเลยสินะครับ
“มึงจะแดกอะไร” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“หืมผมเหรอ”
“ก็เออสิวะ”
“ข้าวกระเพราะหมูกรอบไข่เจียวครับ”
“โอเคเดี๋ยวกูไปซื้อให้ ส่วนมึงไปซื้อน้ำ”
ผมพยักหน้ารับแล้วหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจากกระเป๋า
“ไม่ต้องกูเลี้ยง”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมเกรงใจครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้นล่ะ”
“อ่าครับ งั้นพี่จะดื่มน้ำอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยง”
“น้ำใบเตยก็ได้”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมหาโต๊ะนั่งแถวๆตรงนี้แล้วกัน พี่จะได้หาเจอง่ายๆ”
“โอเค”
ผมเดินไปซื้อน้ำเสร็จก็มานั่งรอพี่ตะวันแถวๆที่บอกกับพี่ตะวันไว้ ไม่นานผมก็เห็นพี่ตะวันก็เดินถือจานมา 2 ใบ
“หาว” ผมหันไปมองทางต้นเสียง
“อ้าวใบตองว่าไงครับ”
“มากินข้าวเช้าเหมือนกันเหรอ”
“อื้มใช่ นั่งด้วยกันไหมล่ะ” ผมชวนใบตองนั่งด้วยกัน
“ไม่ๆ เรากินเสร็จแล้ว”
“อะนี่ข้าวมึง” ผมรับจานข้าวจากพี่ตะวันมาไว้ตรงหน้า ทำไมถึงหน้าบึ้งแบบนั้นกัน ใครทำให้อารมณ์บูดอีกแล้ววะ
“ขอบคุณครับ” พี่ตะวันพยักหน้ารับแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม
“หาวกับพี่ตะวันนี่ดูสนิทกันจังนะ มากินข้าวด้วยกันด้วย”
“ก็คงงั้นมั้งนะ”
“อิจฉาพี่ตะวันจังได้สนิทกับหาวด้วยอะ” พี่ตะวันทำหน้าไม่ดีนัก
“ฮ่าๆหาวเราไปเรียนก่อนนะ ไว้เจอกันจ้า”
“ไว้เจอกันครับ”
ใบตองไปแล้วทิ้งให้ผมอยู่กับพี่ตะวันที่ทำหน้าเหมือนคนอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าปกติแล้วค่อยๆยิ้มออกมา
“มึงก็ชอบกินน้ำใบเตยเหมือนกันเหรอ ปกติเห็นสั่งแต่ชาเย็นนี่” อื้มผมตามอารมณ์พี่ตะวันไม่ทันจริงๆ
“เปล่าครับ ไม่เคยกินมาก่อน เห็นพี่สั่งมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยลองสั่งมาชิมบ้าง”
“แล้วเป็นไง อร่อยมั้ย”
“ก็ดีครับ”
“พี่เองก็สั่งข้าวกระเพราะหมูกรอบไข่เจียวมาเหมือนกันเลยนะครับ”
“อื้ม ก็วันนี้กูอยากกิน อีกอย่างป้าเค้าจะได้ทำทีเดียวด้วย”
“อ่าครับ งั้นทานข้าวกันเถอะครับเดี๋ยวสาย”
“เดี๋ยวก่อนดิ กูขอถ่ายรูปก่อน”
“หืม ปกติผมเห็นเขาถ่ายอาหารมื้อหรูๆกันไม่ใช่เหรอครับ พี่ถ่ายข้าวโรงอาหารเนี่ยนะ”
“ก็กูอยากถ่าย มึงจะทำไม” พี่ตะวันพูดพร้อมทำหน้ากวนบาทาใส่ผม
“พี่จะด่าผมว่าเสือกก็พูดมาตรงๆเถอะครับ”
“คนอย่างกูเนี่ยนะจะด่ามึง มึงคิดไปเองแล้วหาว” พี่ตะวันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปสองสามรูปแล้วเก็บไป
“แล้วปกติพี่ไม่ด่าผมตรงไหนครับ”
“กูไปด่ามึงตอนไหนวะหาว”
“ช่างเถอะ บางทีพี่อาจไม่รู้ตัว”
“เห้ย! ช่างเถอะไม่ได้ดิ ถ้ากูไปเผลอพูดไม่ดีกับมึงตอนไหน ขอโทษด้วยกูไม่ได้ตั้งใจ กูเป็นคนหยาบๆแบบนี้ล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมว่าทานข้าวได้แล้วมั้ง”
“อ่าแดกสิ รอพ่องมึงตัดริบบิ้นเหรอ”
หลังจากนั้นพี่ตะวันก็ทานข้าวแบบไม่พูดอะไรอีกสักคำ