อีกฟากหนึ่งของรั้วบ้าน
ผมเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ตั้งแต่ขึ้นมัธยมมานี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมต้องย้ายโรงเรียนตามพ่อ ผมเหลือพ่อแค่คนเดียว พ่อของผมเป็นหมอ และเขาก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ผมนักหรอก นับจากที่แม่เสียไปในตอนที่ผมเพิ่งจะขึ้นป.5 ผมก็ต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่นั้น
ผมเป็นลูกคนเดียว หลังจากแม่เสียไปพ่อก็ครองชีวิตหม้ายมาตลอด ถามว่าผมเหงาไหม ไม่มั้ง ผมเข้าใจดี ที่พ่อทำไปทั้งหมดก็เพื่อทำให้ชีวิตผมได้อยู่ดี สุขสบาย งานของเขาคือช่วยเหลือชีวิตคน เวลาของเขาที่อุทิศให้กับงาน ก็คืออุทิศให้กับอีกหลากหลายชีวิตหลายความหวังที่รออยู่ ยิ่งอุทิศมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น ไม่ใช่แค่เพียงค่าตอบแทนที่เป็นเม็ดเงิน แต่คือความสุขใจ
พ่อผมไม่ค่อยให้ผมไปที่ทำงานเขานัก เขาบอกว่าที่นั่นเป็นที่ช่วยเหลือคนก็จริง แต่ก็เป็นแหล่งรวมเชื้อโรคด้วยเช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่เป็นวันหยุดผมก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว นั่งๆ นอนๆ ไปวันๆ ถามว่าทำไมไม่ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเหมือนเด็กวัยเดียวกันคนอื่นๆ คงเพราะผมเป็นคนพูดไม่เก่ง เข้าหาคนไม่เป็น เลยทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนนัก
พ่อของผมไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ ที่อยากให้ลูกเจริญรอยตาม เขาไม่กำหนดอะไรตายตัวให้ผมทั้งนั้น ทั้งที่ผมเองก็ถือได้ว่าเป็นคนเรียนเก่งในระดับหัวกระทิ อันนี้ไม่ได้ชมตัวเองวัดได้จากการเรียนที่ผ่านมา ครั้งหนึ่งพ่อเคยถามว่าอยากเป็นอะไร ผมบอกว่าผมเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หมอ เขาตอบผมว่าคิดถูกแล้ว
ที่พูดไปแบบนั้นไม่ใช่เพราะผมไม่ชอบอาชีพหมอหรอกนะ อาชีพของพ่อผมคืออาชีพที่น่ายกย่อง แต่ในอนาคตผมอยากมีเวลาให้ครอบครัวบ้าง ซึ่งพ่อเองก็คงรู้ตัวมาตลอดแหละ เขาถึงไม่ขัดขวางอะไรหากผมไม่ได้อยากเจริญรอยตามเขา
เล่าเรื่องพ่อมาซะเยอะ อันที่จริงก็อยากให้เห็นภาพว่าชีวิตของผมตั้งแต่เกิดมาเป็นประมาณไหน ก็อย่างที่เล่า มีแค่นั้นจริงๆ จะเรียกว่าจืดชืดเสียก็ได้ ตื่นเช้ามาไปเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน วันหยุดก็อ่านหนังสือ ไปเรียนพิเศษ ไม่ก็นอนดูทีวีเล่นเกมอยู่ที่บ้าน แค่นั้น
“เดย์ จะไปไหนต่อเหรอ”
คนที่เรียกผมคือจีน เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ หน้าตาน่ารัก แถมยังดูเรียบร้อย ผมเจอเธอครั้งแรกเมื่อวันปฐมนิเทศน์ เรานั่งข้างกัน
“กลับบ้าน” ผมหันไปตอบเธอ เธอยิ้มให้ผมก่อนจะเดินไปขึ้นรถหรูที่มาจอดรอรับถึงหน้ารั้วโรงเรียน
เมื่อโบกมือลาเธอแล้ว ผมก็เดินออกจากเสียงจ้อกแจ้กจอแจเป็นภาษาต่างๆ ตรงนั้นมา ลืมบอกไป ผมเรียนโรงเรียนนานาชาติชื่อดังในกรุงเทพฯ
เนื่องจากบ้านกับโรงเรียนไม่ได้ไกลกันมาก แค่หนทางอาจจะซับซ้อนหน่อยเท่านั้น ผมจึงเลือกเดินไปกลับเองทุกวัน
เดินออกมาได้ไม่นานก็จะเป็นบริเวณรั้วบ้านหลายหลังเรียงรายติดๆ กัน ผมก็เดินใจลอยผ่านมาเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงตะกุยบางอย่างดังขึ้นจนผมสะดุ้งหน้าซีด หันกลับไปมองก็เห็นอะไรปุกปุยสีน้ำตาลกำลังลับๆ ล่อๆ ออกมาจากช่องใต้ประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง
ผมหยุดมอง มันคือเท้าของสุนัขสีน้ำตาลที่กำลังโผล่เข้าโผล่ออกอยู่ อีกข้างหนึ่งก็คงใช้ตะกุยตะกายประตู ผมยืนยึกยักอยู่ตรงนั้น อันที่จริงผมชอบหมานะ แต่พอหันไปเห็นตรงประตูรั้วมีป้ายเขียนว่า ‘ระวังสุนัขดุ’ ผมจึงตัดสินใจเดินออกมา
“พ่อ ผมไปนะ” ผมร้องบอกคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำชั้นล่าง ก่อนจะมีเสียงตะโกนกลับออกมา
ผมก็เดินผ่านถนนเส้นเดิมเช่นทุกครั้ง พอตอนเดินผ่านบ้านหลังนั้นก็มีเสียงตะกุยประตูรั้วเหล็กอีกแล้ว ผมหันกลับไปมองก็เห็นเหมือนเมื่อวาน คงเป็นเจ้าตัวเดิม คราวนี้ได้ยินเสียงมันครางหงิงๆ ด้วย
คงอยากมีเพื่อนเล่น พอได้กลิ่นผมเดินผ่านเลยพยายามแสดงตัวให้เห็น แต่ป้ายที่เจ้าของบ้านแขวนไว้ทำให้ผมสองจิตสองใจ วันนี้ผมออกจากบ้านสายนิดหน่อย ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก็เกือบจะถึงเวลาโรงเรียนเข้าแล้ว เลยตัดใจเดินจากมา
วันนี้ระหว่างรอเรียนในคาบแรกหลังพักเที่ยง ผมเห็นเด็กผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมห้องผมสองสามคนกำลังนั่งคุยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง แอบได้ยินเธอคนหนึ่งพูดเรื่องหมา ผมเลยถือวิสาสะรวบรวมความกล้าเข้าไปถาม
“อ้าวเดย์” เด็กสาวมัดเปียสองข้างกล่าวทักเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ “มีอะไรจะถามส้มโอหรือเปล่า” เธอคงเห็นเครื่องหมายสงสัยกาอยู่บนหน้าผากผม
“เอ่อ...” เธอสามคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจ้องผม ส้มโอยังคงยิ้มให้เหมือนลุ้นว่าผมจะพูดอะไร ผมรวบรวมความกล้าได้จึงพูดออกไป “เมื่อกี้เราเห็นส้มโอพูดว่าที่บ้านเลี้ยงน้องหมา เลยอยากรู้ว่าน้องหมากินลูกชิ้นได้ไหม”
“กินได้สิ แต่ถ้าให้กินเยอะไปก็ไม่ดี อาหารสำหรับสุนัขกับขนมสำหรับเขานั่นแหละปลอดภัยที่สุดแล้ว”
ครูเข้ามาพอดี ผมเลยรีบกล่าวขอบคุณแล้วกลับไปนั่ง พอนั่งลงก็เห็นเธอหันมายิ้มให้แล้วหันกลับไปซุบซิบอะไรกันไม่รู้ โต๊ะของผมอยู่เกือบหลังห้อง ผมนั่งข้างปอนด์ เขาก็เป็นเด็กผู้ชายเงียบๆ เหมือนผม แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดขี้อายจนไม่กล้าเข้าสังคมเหมือนผม
ผมแทบจะรอให้เลิกเรียนไม่ไหว ออกมาจากโรงเรียนได้ผมก็ตรงดิ่งไปร้านขายอาหารสัตว์ เลือกอยู่นานก็ได้เนื้อแท่งมาห่อหนึ่ง จึงตรงกลับบ้านทันที หวังว่าจะเจอเจ้าตัวสีน้ำตาลนั่น
พอเดินผ่านรั้วบ้านหลังนั้น ผมก็ชะลอฝีเท้าลง ด้อมๆ มองๆ อยู่สักพักแล้วก็ตามคาด เจ้าตัวสีน้ำตาลนั้นยื่นขาออกมานอกรั้ว ขยับไปมาเหมือนอยากทักทาย ผมนั่งลง แล้วก้มตัวมองลอดเข้าไปข้างใน จึงเห็นว่าเจ้าของขนสีน้ำตาลนั้นเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้น สีหน้าเขาเป็นมิตรสุดๆ เลย แต่ทำไมเจ้าของถึงได้ขึ้นป้ายขู่ซะขนาดนั้น
“หวัดดี” ผมกล่าวทักทายมันเบาๆ พอได้ยินเสียงผมมันก็ดีดดิ้นใหญ่ ดูท่าทางจะดีใจเอาสุดฤทธิ์ “คงอยู่คนเดียวสินะ” ความเหงาของการต้องอยู่คนเดียวเป็นยังไงผมเข้าใจดีเลยล่ะ
มันยืดขาออกมาเหมือนอยากจะให้ผมจับให้ได้ ผมเลยลองลูบๆ ดู ทีแรกก็กล้าๆ กลัวๆ แต่อย่างน้อยหัวมันก็อยู่ในรั้ว คงยื่นออกมากัดผมไม่ได้ เพราะประตูรั้วเองก็เป็นโลหะทึบ ผมเลยกล้าที่จะลองจับดูในที่สุด
“มีขนมมาให้ด้วยนะ” ผมลองยื่นบีฟสติ๊กที่ซื้อมาให้มันแท่งหนึ่ง ปรากฏว่ามันกลืนลงไปในคำเดียวจนแทบไม่เคี้ยว มองดูก็น่าเอ็นดูเสียไม่มี ผมจึงเอาชิ้นใหม่ให้มัน พอเห็นว่ามันชอบผมเลยให้ไปจนหมดถุงในที่สุด พอหมดก็ครางหงิงๆ เหมือนอยากได้อีก กว่าจะหยุดก็ผมต้องตะแคงถุงให้ดู
“ชื่ออะไรเราน่ะ” ผมถาม แต่ถามไปก็คงไม่ต่างกับพูดอยู่คนเดียว “เอางี้ ขอเรียกแกว่าน้ำตาลแล้วกัน เหมือนสีแกไง” ผมลูบปลายจมูกชื้นๆ ของมันที่โผล่พ้นออกมาได้ มันพลิกนอนหงายเหมือนชอบ ก้มมองเข้าไปดูจึงเห็นว่าน้ำตาลเป็นเพศหญิง
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างผมกับเจ้าน้ำตาล ทุกครั้งที่เดินผ่านไปเรียนหรือเลิกเรียนผมก็จะแวะทักทายแวะเล่นกับมันตลอด หากผมหยุดเรียนนานๆ เพราะวันหยุดต่างๆ กลับมาอีกครั้งก็จะเรียกยากหน่อย
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมป่วยจนต้องขาดเรียนไปสี่ห้าวัน พอกลับมาเรียน นั่งรอน้ำตาลอยู่ที่หน้ารั้วเกือบชั่วโมงกว่ามันจะโผล่หน้าออกมาหาผม คงเพราะงอน คิดว่าผมจะทิ้งไป ตกเย็นเลยซื้อขนมที่เจ้าของร้านบอกว่าอร่อยที่สุดแล้วก็ราคาแพงที่สุดมาให้หอหนึ่ง จากนั้นก็ดี๊ด๊าขึ้นทันตาเห็น
มิตรภาพของเราสองดำเนินมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ผมเห็นน้ำตาลครั้งแรกที่รั้วบ้านวันนั้น จากนั้นมาผมก็เห็นว่ามันอยู่ตรงนั้นตัวเดียวมาตลอด ไม่เคยเห็นเจ้าของเลย แต่เท่าที่สังเกตมันก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ดี สภาพก็ไม่ได้มอมแมมอะไร เลยวางใจว่าไม่ได้โดนทอดทิ้ง แต่เจ้าของก็คงไม่ว่างมาเล่นด้วยนัก เลยต้องมาคอยยื่นขายื่นจมูกออกมานอกรั้วกล่าวทักทายคนนอกรั้วแทน
ผมกับน้ำตาลก็คงชะตาไม่ต่างกัน ติดที่ผมดีกว่าเขาหน่อยตรงที่ผมเป็นอิสระไปไหนมาไหนได้ แต่น้ำตาลต้องอยู่แค่ในนั้น กว้างสุดก็คงสนามในบริเวณบ้านนั่น แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความโดดเดี่ยวในจิตใจ ชีวิตเหมือนกัน เลยทำให้ได้มาเจอกัน
จนในวันนี้ ผมนั่งเล่นกับน้ำตาลหลังจากเลิกเรียนมาเช่นเคย ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายร้องเรียกดังออกมาจากประตูรั้ว นี่เองที่ทำให้ผมได้รู้จักชื่อจริงๆ ของมันเป็นครั้งแรก ‘จูดี้’ คือชื่อจริงของเจ้าน้ำตาล
แต่ผมไม่เรียกมันว่าจูดี้หรอก ผมจะเรียกว่าน้ำตาลเหมือนเดิม มันดูชอบชื่อนี้มากกว่าอีก ในความคิดผมนะ
มิตรภาพระหว่างผมกับเจ้าหมาโกลเด้นตัวนั้นแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย มันจำเวลาได้ดีมากๆ ทุกครั้งที่ผมไปถึงมันจะมารออยู่ก่อนแล้ว น้ำตาลจะมีปฏิกิริยาดีใจสุดๆ เมื่อรู้ว่าผมมา ยิ่งถ้าวันไหนมีขนมมาให้ ก็จะยิ่งดีดดิ้นเป็นพิเศษ ยอมรับว่าผมผูกพันกับมันอย่างไม่อาจถอนตัว ทั้งที่น้ำตาลไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมด้วยซ้ำ
แค่คิดว่าถ้าหากอนาคตผมเรียนจบจากที่นี่แล้วไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้เจอเธอทุกวันเหมือนเดิมอีก ก็แอบเศร้าใจอยู่ไม่น้อย แต่ช่างเถอะ นั่นมันเรื่องของอนาคต ตอนนี้เธอกับผมมีความสุขดี
หลังเลิกเรียนวันนี้ผมรีบกลับบ้าน เพราะมีนัดกับน้ำตาล วันนี้ผมสัญญาว่าจะเอาตับไก่แผ่นไปฝากมันด้วย ป่านนี้คงนั่งรอนอนรอผมอยู่ตรงนั้นแล้ว
ผมย่องไปจนถึงหน้าประตูรั้ว ก็ค่อยๆ นั่งราบลงกับพื้น หมอบตัวมองเข้าไป เห็นเธอนอนหมอบอยู่ พอเห็นผมก็ดีใจยกใหญ่
ผมแกะถุงตับไก่แผ่นออกมา กำลังจะยื่นให้ ผมก็แทบหยุดหายใจเมื่ออยู่ดีๆ ประตูรั้วก็เลื่อนเปิดออก ผมเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่ยังอยู่ในท่าหมอบนั้น
“น้องนี่เอง”
เจ้าของตัวจริงของน้ำตาล
เขายืนมองผมอยู่อย่างนั้น ในมือถือสายจูงน้ำตาลไว้ไม่ให้วิ่งออกมาหาผม เขาคนนั้นยังเป็นนักศึกษา ที่รู้เพราะเขายังสวมชุดนิสิตอยู่ เขารูปร่างสูงชะลูด น่าจะสักเกือบร้อยเก้าสิบ หุ่นสมส่วนรูปร่างดี ผิวขาวละเอียด หน้าตาที่เรียบเฉยนั้นหล่อเหลากว่าผู้ชายคนไหนๆ ที่ผมเคยเห็น
ผมค่อยๆ ลุกขึ้น พอตั้งหลักได้ก็วิ่งแจ้นออกมา
วันต่อมาผมลุ้นมาตลอดทางก่อนถึงบ้านน้ำตาล กลัวว่านายเจ้าของนั่นจะเห็นผมเป็นตัวอันตรายกับหมาเขา แล้วพาลไม่ให้น้ำตาลมาคอยเล่นกับผมอีก อย่างนี้คงแย่
มัวแต่เดินดุ่มๆ คิดไม่ตกมาตลอดทาง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็น ‘เขา’ คนนั้นยืนพิงรั้วบ้านอยู่ตรงนั้น และเจ้าน้ำตาลก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย มันทำท่าดีใจเมื่อเห็นผม แต่ก็วิ่งมาหาไม่ได้ เพราะติดสายจูงที่ผู้เป็นนายจับไว้ตลอด
เขาหันมองผม สายตานั้นน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าอะไร ผมไม่กล้าสบตาเขาหรอก ได้แต่เดินก้มหน้าผ่านไป เจ้าน้ำตาลเองก็คงอยากจะเข้ามาหาผม พยายามยื่นจมูกมาดมฟิตฟิตพร้อมกับแกว่งหางจนตัวไกว แต่ผมแข็งใจรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้มันเข้าถึงตัว เพราะกลัวว่าเจ้าของมันจะว่าเอา
“เดี๋ยว” เสียงดุของเจ้าของน้ำตาลเรียกไล่หลังมา ผมหยุดฝีเท้าลง
“จะไม่กล่าวทักทายน้ำตาลหน่อยเหรอ”
น้ำตาล? ทำไมนายคนนั้นรู้ว่าผมเรียกหมาเขาว่าน้ำตาล
“อะ-เอ่อ...” ผมไม่กล้าหันไป ยื่นแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
แต่แล้วก็สะดุ้งโหยงเพราะอยู่ดีๆ ก็มีใครจู่โจมจากด้านหลัง เจ้าน้ำตาลน่ะเอง มันเป็นอิสระ เข้ามาทักทายผมซะเกือบยืนไม่อยู่ ผมลืมความกลัวในตอนแรกไปเสียสนิท หันไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้าน้ำตาลจนเหนื่อย จนหันกลับไปเห็นเจ้าของมัน
เขาหุบยิ้มเมื่อเห็นว่าผมมองไป ก่อนจะเดินเข้ามาดึงสายจูงน้ำตาลไป
“พี่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านนักหรอก เพราะต้องไปมหา’ลัย มีแค่ป้าแม่บ้านกับลุงคนสวนเฝ้าอยู่ในตอนกลางวัน เขาก็ทำงานไม่ค่อยได้มาสนใจเจ้าจูดี้มัน มันเป็นหมาขี้เหงา เลยหาเพื่อนเล่นไปเรื่อย”
ผมฟังเจ้าของน้ำตาลเล่าขณะที่เขาพาน้ำตาลเดินไปส่งผมที่โรงเรียน
“ต่อไปนี้ถ้าอยากเล่นกับน้ำตาลก็กดออดเรียกได้เลยนะ ถ้าพี่ไม่อยู่ก็จะบอกลุงกับป้าเขาไว้ ไม่กี่วันเราเองก็คงจะเรียนจบไปอยู่ที่อื่นแล้วสินะ ก็อย่าลืมน้ำตาลล่ะ กลับมาเยี่ยมมันบ้าง มันคงคิดถึงแย่”
“ครับ”
“พี่เองก็คงเหมือนกัน” เขาพูดตอนผมเดินล่วงมาได้สักพัก ผมหยุดฝีเท้าไว้แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
ครับ ผมจะไม่ลืม... จบ ...