DECEMBER อยากให้ทุกเดือนเป็นเดือนธันวา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: DECEMBER อยากให้ทุกเดือนเป็นเดือนธันวา  (อ่าน 8787 ครั้ง)

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

______________________________________________

ลงเนื้อหาใหม่ 20 มิ.ย. 2562

สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เคยลงที่เล้าแล้วเมื่อปีก่อน แต่เว้นช่วงไว้นาน
คราวนี้ขอแก้ตัวใหม่ ขอฝากเรื่อง DECEMBER อยากให้ทุกเดือนเป็นเดือนธันวา ด้วยนะคะ

 :pig4:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2020 13:16:49 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 1


เสียงคลื่นกระทบหาดทรายในยามบ่ายบวกกับสายลมที่หอบกลิ่นเค็มทะเลเช่นนี้ คงทำให้ใครหลายๆ คนที่หนีจากความวุ่นวายมาพักผ่อนหย่อนใจได้สดชื่นไปตามๆ กัน

ชายหาดสีขาว เม็ดทรายนุ่มละเอียดยามได้สัมผัสราวกับผืนพรม น้ำทะเลใสแจ๋ว ปูตัวเล็กวิ่งไปมา อีกทั้งเปลือกหอยสีสวย และอื่นๆ อีกมากมาย หาดทรายแห่งนี้ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติและได้รับการดูแลให้คงสภาพ แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ทุกอย่างถูกแบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อคงไว้ซึ่งความสวยงามของธรรมชาติ

ร้านอาหารตั้งอยู่ห่างจากชายหาดประมาณสิบห้าเมตร ถึงจะมีไม่มากแต่ทุกร้านก็ขึ้นชื่อจนนักท่องเที่ยวเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่…

ในเรื่องนี้คงต้องขอเจาะจงร้านนี้ ร้านที่มีไอ้ตัวจ้อยตาหวาน มันชื่อว่า ‘พร้าว’ หรือคนแถวนี้เรียกมันว่า ‘ไอ้พร้าว’ ยกเว้นน้าชายของมัน ที่เรียกมันว่า…

“ไอ้ลิงลม อยู่ไหนวะ มานี่หน่อย!”

‘ไอ้ลิงลม’ เพราะชื่อนี้ทำให้คนที่ถูกเรียกทำหน้ามุ่ย มันไม่ชอบชื่อนี้เอาเสียเลย หลายคนที่รู้ที่มาคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันเหมาะกับชื่อนี้ เพราะน้าชายของมันนามว่า ‘เล’ อาบน้ำให้หลานทีไรชอบประแป้งหอมๆ ให้หลานเต็มหน้า เหลือไว้เพียงตาโตสองข้างกับปากแดงของมัน

ไอ้หน้าวอกๆ บวกกับลูกตาโตๆ ของมันและหัวเกรียนทรงผมเด็กประถมนั่นแหละ ใครเห็นก็ต้องบอกว่า ลิงลมชัดๆ

“ไอ้ลิงลมเอ๊ย หายหัวไปไหนวะ เมื่อกี้ยังเห็นแวบๆ” เลบ่นอย่างหงุดหงิด เขาตะโกนจนคอหอยแทบแตก แต่ไอ้หลานรักก็ยังไม่โผล่หัวออกมาจนต้องเดินตามหา...อย่าให้เจอนะ จะเขกกบาลมันให้ปูดเลย

“แบร่” ไอ้ลิงลมแลบลิ้นปลิ้นตาลับหลังผู้เป็นน้า มันได้ยินอีกฝ่ายเรียกตั้งแต่รอบแรกแล้ว อีกทั้งยังแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่น้าเลยืนบ่นอยู่เมื่อครู่

แกรกๆ มันเกาแขนเกาขาจนผิวขาวเหลืองที่ติดจะคล้ำแดดแดงเป็นปื้น เพราะเพิ่งแอบปืนต้นลีลาวดีที่เลปลูกไว้ มันเด็ดดอกสีขาวหอมๆ สวยๆ มายี่สิบกว่าดอก...น้าเลไม่รู้หรอก เพราะขู่พี่ๆ ที่ร้านไว้เรียบร้อยแล้ว

มันก้มมองกะลามะพร้าวครึ่งซีกสองอันในมือที่เต็มไปด้วยดอกลีลาวดีด้วยรอยยิ้ม เมื่อวานไอ้ปืนเพื่อนรักของมันใส่สร้อยดอกลีลาวดีมาอวด ไอ้ปืนบอกว่าแม่ของมันร้อยให้ พอไอ้พร้าวเห็นก็อยากได้บ้างแต่ไม่มีคนร้อยให้ มันไม่มีแม่ มันมีแต่น้าเล เลยต้องร้องไห้ลงไปชักดิ้นชักงอให้น้าของมันร้อยให้ สุดท้ายได้มะเหงกโป๊กๆ สามทีจากเลให้หัวปูดเล่น

เลยืนกอดอกมองไอ้พร้าวที่ตั้งอกตั้งใจร้อยดอกลีลาวดีใส่เข็มกับด้าย ไอ้หลานตัวแสบร้องเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี...ใช่ว่าเขาไม่อยากทำให้มัน แต่จะให้ไอ้ผู้ชายตัวถึกดำหน้าเถื่อนมานั่งร้อยดอกไม้ให้หลานน่ะหรือ

เหอะ! ฝันไปเถอะ

เลยืนมองหลานเงียบๆ เผลอยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะเลี้ยงมันมากับมือได้เกือบสิบปีแล้ว

ในตอนนั้นเขาและพี่สาวมีเพียงบ้านกับร้านอาหารที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้หลังจากประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ พอเลอายุได้สิบห้าปี ผู้เป็นพี่สาวก็เอ่ยปากบอกว่าท้องกับไอ้หนุ่มเมืองกรุงไฮโซโก้เก๋ มันทำทีว่าจะรับผิดชอบ แต่สุดท้ายก็หอบผ้าหนีกลับกรุงเทพ ไม่โผล่หน้ามาอีกเลย

ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเลก็เปลี่ยนไป จากไอ้เลหนุ่มน้อยที่มีความฝันอยากเรียนสูงๆ มีงานทำสบายกลับกลายเป็นน้าเล ไอ้ผู้ชายตัวถึกหน้าเถื่อน มือซ้ายตำสากกะเบือ มือขวาป้อนนมให้หลาน แต่โชคยังดีที่คนทำงานสมัยพ่อแม่ยังอยู่ไม่ทิ้งพวกเขาไปไหน

แต่แล้วพี่สาวที่เพิ่งคลอดไอ้พร้าวได้ไม่ถึงปีก็เลือกหิ้วกระเป๋าเข้ากรุงเทพ บอกจะไปหางานทำ แต่เลรู้ดีว่าเธออยากไปตามหาไอ้หนุ่มเมืองกรุงพ่อของไอ้พร้าว ช่วงแรกก็ติดต่อกลับมาอยู่หรอก จากถี่ๆ เป็นนานๆ ครั้ง แล้วเงียบหายไปเลยจนถึงทุกวันนี้ เลทำใจตั้งแต่วันแรกที่พี่สาวไปแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้

ในเมื่อชีวิตต้องเดินต่อไป เขาจึงตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนฝีมือการทำอาหารจากพ่อครัวแม่ครัวที่ยังอยู่ จนใครๆ ก็ต้องยกนิ้วให้กับฝีมือการทำอาหาร

…เว้นแต่ไอ้ลิงลมนี่แหละ ทำให้มันกินทีไร ชอบบ่นนู่นนี่นั่นแต่กลับกินหมดทุกครั้ง

“น้าเล” เสียงแหลมปี๊ดเสียดขี้หูดังขึ้นทำให้คนที่ยืนเหม่อสะดุ้งตัวโยน พอก้มมองก็เจอไอ้ลิงลมยืนตาแป๋ว ยิ้มกว้างอยู่

“นี่แน่ะๆ” เลแจกมะเหงกให้หลานสองที

ไอ้ลิงลมยกมือลูบหัวตัวเองป้อย “ตีหนูทำไม เจ็บนะ” มันเบะปาก บีบน้ำตา

“ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่เอาไม้หน้าสามมาฟาดก้นเอ็ง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเอ็งแอบเด็ดดอกไม้ ดูๆ ไปมุดเตาถ่านที่ไหนมา” ปากบ่นแต่มือหยาบกร้านยื่นไปจับหน้าหลานไว้ ใช้นิ้วถูรอยดำจากถ่านออกให้อย่างเบามือ

ความจริงเลไม่เคยตีหลานแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่ตีเลย แค่เห็นรอยข่วนรอยแดงที่ตัวมัน เขาก็แทบขาดใจ แต่ไอ้พร้าวไม่เคยเห็นใจน้าของมันเลย ขยันหาเรื่องเจ็บตัวอยู่เรื่อย ยาแดงหมดไปกี่ขวดแล้ว เขาก็ไม่ได้นับ

“น้าเล หนูมีอะไรจะให้ ก้มลงมาซิ” ไอ้ลิงลมมือไขว้หลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้ มันบิดตัวส่ายไปมาอย่างเขินอาย เลก้มมองอย่างไม่ไว้ใจ ไอ้หลานรักยิ่งชอบเล่นอะไรแผลงๆ อยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมย่อตัวลงนั่งย่องๆ ตรงหน้ามัน

“น้าเลหลับตาซิจ๊ะ” มันบอกเสียงอ่อนเสียงหวาน มีหรือคนอย่างไอ้เลจะไม่ยอมทำตาม เขาหลับตาลงอย่างว่าง่าย

เลได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยก่อนบางสิ่งที่เย็นเล็กน้อยจะสัมผัสที่คอ เขาอมยิ้มแล้วเอ่ยปากถาม “ลืมตาได้หรือยัง”

“………….”

เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงตัดสินใจลืมตาขึ้น...ไอ้ลิงลมแก้มแดงแจ๋รีบหันหลังวิ่งจู๊ดไปอย่างรวดเร็ว

เลลุกขึ้นยืน ยกมือสัมผัสสร้อยดอกไม้ที่หลานร้อยให้ พอก้มลงดูก็ต้องขำพรืด ดอกไม้ถูกร้อยสะเปะสะปะไปคนละทิศคนละทาง กลีบดอกช้ำบ้าง ฉีกขาดบ้าง เขาส่ายหน้ากับฝีมือที่ไม่เอาไหนของไอ้หลานรัก แต่รอยยิ้มที่มุมปากยังไม่จางหายไป นิ้วมือหยาบกร้านลูบกลีบดอกลีลาวดีอย่างทะนุถนอมก่อนจะก้มลงสูดกลิ่นหอมของมัน...ชื่นใจ



“ไอ้พร้าวๆ” เสียงเรียกเบาๆ ที่คุ้นหูทำให้มือเล็กที่กำลังเด็ดใบกะเพราอย่างเมามันหยุดกึก ไอ้พร้าวเช็ดมือกับเสื้อยืดตัวเก่าที่มันสวมอยู่ แล้วหันไปเกาะขอบระเบียงไม้ ชะโงกหน้ามองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นเสียง

“กูอยู่นี่ๆ” เจ้าของเสียงเรียกพร้อมโบกไม้โบกมือ ไอ้พร้าวมองหาจนเจอตัวคนเรียก

ไอ้ปืนกำลังนั่งย่องๆ หลบอยู่หลังเสาไม้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักมองมาแล้ว มันจึงกวักมือเรียกยิกๆ ให้เพื่อนลงไปหา ไอ้พร้าวมองอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ระเบียงไม้นี้อยู่สูงเลยหัวของไอ้ปืนเพียงนิดเดียวแต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมปีนขึ้นมาหาเอง

“มึงมีอะไร กูไม่ว่าง น้าเลให้เด็ดใบกะเพรา” ไอ้พร้าวตะโกนบอกเพื่อนเสียงดังลั่น ไอ้ปืนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ รีบยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายพูดเบา ๆ

“มึงลงมาก่อน กูจะชวนไปดูหน้ากากเสือ” ไอ้ปืนพูดอย่างตื่นเต้น

ไอ้พร้าวตาลุกวาวทันที หน้ากากเสือเป็นฮีโร่ในดวงใจของมัน...เคยเห็นแต่ในการ์ตูน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีตัวเป็นๆ ให้ดูด้วย

มันตัดสินใจละทิ้งงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วหันไปมองห้องครัวที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นว่าน้าเลยืนหันหลังอยู่จึงรีบโยนรองเท้าแตะลงจากระเบียงไม้แล้วกระโดดลงตามไป

“โอ๊ย! ไอ้ห่า รองเท้ามึงโดนหัวกู” ไอ้ปืนตบหัวเพื่อนรักดัง ป๊าบ! หนึ่งที

“หน้ากากเสือกูอยู่ไหน” ไอ้พร้าวถามพร้อมใช้ปลายเท้าเขี่ยรองเท้าแตะมาสวม

“อยู่รีสอร์ตแม่กู มาได้สามวันแล้ว โคตรเท่เลยเว้ย” ไอ้ปืนพูดอวด

“กูอยากเห็นๆ เอาจักรยานมึงไปนะ” พูดจบไอ้พร้าวก็วิ่งไปนั่งคร่อมรถจักรยานของเพื่อนรัก มันยกเท้าขึ้นปั่นรถจักรยานอย่างเร่งรีบโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก

ไอ้ปืนได้แต่ยืนมองเพื่อนรักปั่นรถจักรยานของตัวเองจากไปตาปริบๆ “อ้าว! ไอ้พร้าวรอกูด้วย” มันร้องตะโกนเมื่อสมองน้อยๆ คิดได้ว่ารถจักรยานที่ไอ้พร้าวเอาไปเป็นของมัน

เลส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเมื่อเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังมาจากระเบียงห้องครัวเงียบลง

ไอ้ปืนวิ่งลิ้นห้อยตามไอ้พร้าวมาจนถึงที่หมาย รีสอร์ตของแม่ไอ้ปืนมีประมาณสิบหลัง ทุกหลังสร้างจากไม้ มีขนาดกะทัดรัด ไอ้พร้าวกวาดสายตามองหาหน้ากากเสือ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบจึงหันกลับมาจ้องหน้าไอ้ตัวต้นเรื่องแทน

ไอ้พร้าวชี้หน้าเพื่อนรักด้วยความโมโห “มึงหลอกกู”

“แฮกๆ หลอกห่าไร เดี๋ยวกูพาไปแอบดู ตามกูมา” ไอ้ปืนรีบเดินนำทางทั้งที่ยังไม่หายเหนื่อย มันรับไม่ได้ที่ถูกกล่าวหา ไอ้พร้าวได้ยินดังนั้นก็ปล่อยรถจักรยานลงพื้นดัง ตุบ! อย่างไม่แยแส คนเป็นเจ้าของได้แต่หันกลับมามองรถจักรยานคู่ใจด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

ไอ้ปืนพาเพื่อนรักมาที่บ้านหลังท้ายๆ มันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองแล้วทำท่าย่องไปที่ข้างหน้าต่างซึ่งเปิดอยู่ มีผ้าม่านผืนบางสองชั้นปิดไว้อย่างไม่มิด พอที่จะส่องดูคนด้านในบ้านได้

ไอ้พร้าวทำตามอย่างว่าง่าย มันอยากเห็นหน้ากากเสือใจจะขาดแล้ว

“หลังนี้แหละ” ไอ้ปืนกระซิบกระซาบบอกเพื่อน ไอ้พร้าวใจเต้นตึกตัก มันสองคนเขย่งปลายเท้าเหย่งๆ เพื่อส่องดูด้านใน แต่บานหน้าต่างสูงเกินไปสำหรับพวกมัน

“กูมองไม่เห็น” ไอ้พร้าวบ่นอย่างหงุดหงิด

ไอ้ปืนมองเพื่อนรักอย่างเห็นใจ จิตใต้สำนึกดีๆ บอกให้เสียสละ มันจึงคุกเข่าทำท่าคลานสี่ขากับพื้น

ไอ้พร้าวมองอย่างไม่เข้าใจ ด้วยอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วจึงหัวไอ้ปืนเสียเต็มรัก ป๊าบ! “ไอ้ห่า กูไม่อยากเล่นหัวล้านชนกัน”

“มึงตบกูทำไม กูก็ไม่ได้เล่น กูจะให้มึงเหยียบหลังขึ้นไปดู” ไอ้ปืนพูดพร้อมเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะน้อยใจ หรือเพราะเจ็บกันแน่

“เออๆ ดีว่ะ” ไอ้พร้าวไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไร รีบขึ้นไปยืนบนหลังไอ้ปืนทันที มันยื่นมือน้อยๆ เกาะขอบหน้าต่างไว้ พยายามยืดตัวจนสามารถมองเห็นด้านในบ้านได้

ไอ้พร้าวหน้ามุ่ยเมื่อมองเห็นคนในบ้าน มันถูกไอ้ปืนหลอกแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีหัวเป็นเสืออย่างที่เห็นในการ์ตูน แล้วจะใช่หน้ากากเสือของมันได้อย่างไร ถึงตัวจะโตเกือบเท่าน้าเลที่มันคิดว่าใกล้เคียงกับหน้ากากเสือก็ตามทีเถอะ

ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาไอ้พร้าวก็ตาลุกวาวเมื่อคนด้านในถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ทำให้มันคิดว่า ผู้ชายคนนี้เท่เหมือนหน้ากากเสือ

“เป็นไงมึง หน้ากากเสือเท่ไหมล่ะ กูบอกแล้วว่าไม่ได้หลอกมึง” ไอ้ปืนพูดอย่างผู้ชนะ

ไอ้พร้าวละสายตามามองเพื่อนรักที่อยู่แทบเท้า “หน้ากากเสือบ้านมึงสิ มึงหลอกกู นี่มันหัวคน ไม่ใช่หัวเสือ” มันเถียง แม้จะแอบปลื้มอยู่บ้างแต่กลัวจะเสียหน้า

ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเด็กถกเถียงกันจากทางหน้าต่าง พอเดินเข้าไปใกล้ก็เจอมือเล็กๆ สองข้างเกาะริมหน้าต่างไว้ เสียงถกเถียงกันดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีใครยอมใคร

พรึ่บ!

ผ้าม่านถูกเปิดออกจากคนในบ้านทำให้ไอ้เด็กทั้งสองหุบปากฉับ พวกมันสบตากัน ไอ้ปืนขยับปากโดยไม่มีเสียง ‘ซวยแล้ว’ ก่อนจะเอาตัวรอดด้วยการหันหน้าไปอีกทาง

ไอ้พร้าวเห็นดังนั้นก็ได้แต่ด่าเพื่อนรักในใจ...ไอ้ห่า ทิ้งกู ก่อนที่สมองน้อยๆ ของมันจะคิดหาทางหนีได้ หลังมือก็ถูกเคาะด้วยปลายนิ้วของใครอีกคน

มันเงยหน้าอย่างช้าๆ ช้อนตามองคนตรงหน้า กะพริบตาปริบๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก

“สวัสดีจ้ะ หนูชื่อพร้าว อายุเก้าขวบ เรียนอยู่ชั้นปอสาม เป็นหลานของน้าเลที่เปิดร้านอาหารอยู่ตรงนู้นจ้ะ หาไม่ยากหรอกจ้ะ ป้ายหน้าร้านจะมีรูปหนูยิ้มฟันหลอติดอยู่ ไปทานได้นะจ๊ะ น้าของหนูทำอาหารอร้อยอร่อย ราคาไม่แพง”

ชายหนุ่มมองเด็กตรงหน้าด้วยความงุนงง

“อย่าลืมไปทานนะจ๊ะ” พูดจบก็ยิ้มหวานสุดชีวิต จากนั้นกระโดดลงจากหลังไอ้ปืนแล้ววิ่งเร็วจี๋ปานลมพัด

“รอกูด้วยยยยยยย” เมื่อเพื่อนรักชิ่งหนีไปก่อน ไอ้ปืนจึงไม่รอช้าวิ่งตามตูดเพื่อนไปทันที ทิ้งให้หน้ากากเสือของพวกมันยืนงงงวยเกาหัวแกรกๆ

“อะไรวะ”



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2020 21:47:23 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 น่่าสนใจค่ะ :)

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 2


‘สวัสดีจ้ะ หนูชื่อพร้าว สวัสดีจ้ะ หนูชื่อพร้าว สวัสดีจ้ะ หนูชื่อพร้าว สวัสดีจ้ะ หนูชื่อพร้าว….’

“!!!” ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น ดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เขาหันมองซ้ายขวาอย่างตื่นกลัว ใบหน้าและแผ่นหลังชื้นเหงื่อ

“หลอนว่ะ ฝันบ้าอะไรวะไอ้ธัน” เขาสะบัดหน้าไล่เสียงที่ยังก้องอยู่ในหัวให้ออกไป คงเพราะเครียดกับการสอบพรีเซ้นส์ในวันพรุ่งนี้จึงทำให้ฝันร้าย

ธัน หรือ ธันวา ชายหนุ่มร่างสูง ผู้มีใบหน้าคมคายและบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่จึงทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเขาอยู่ในวัยทำงาน ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่เด็กมหาลัยชั้นปีที่สอง ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเกินใครจึงมักถูกเสนอชื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางคณะ แต่เพราะนิสัยรักความสงบและไม่ชอบทำกิจกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงปฏิเสธไปแทบทุกงาน

แม้จะชอบเที่ยวเฮฮาเมาหัวราน้ำกับเพื่อนฝูงตามประสาวัยคะนอง แต่ธันวาไม่เคยเจ้าชู้หรือนอกใจแฟนสาวที่คบหากันมาตั้งแต่ตอนมัธยมปลายเลยสักครั้ง

ธันวาขยับตัวลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนคนรักที่นอนหลับอยู่ข้างกาย

‘น้ำมนต์’ แฟนสาวที่อายุมากกว่าเขาหนึ่งปี ทั้งสองอยู่หอพักเดียวกันแต่คนละห้อง มีบ้างที่อยู่ด้วยกันอย่างวันนี้…อาจจะดูไม่ดีที่พวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่เรื่องนี้ครอบครัวทั้งสองฝ่ายต่างรับรู้และยอมรับได้ ขอเพียงป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ระหว่างเรียนก็พอ

ปลายเท้าหยุดยืนที่หน้าตู้เย็น เขาหยิบน้ำเย็นขึ้นดื่มแก้กระหาย จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำแล้วยกขวดน้ำในมือเทราดหัว

‘ออกไปสักทีสิวะ’ ธันวาตะโกนก้องในใจ ภาพของเด็กคนนั้นและเสียงใสแจ๋วยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถลบได้ เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้งที่เขาโหมงานหนัก พอร่างกายเหนื่อยล้าก็มักฝันร้ายบ่อยๆ และสะดุ้งตื่นขึ้นมาทั้งที่นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง

พอรู้สึกตื่นเต็มตาธันวาจึงกลับมานั่งเคลียร์งานที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ เขายื่นมือไปเปิดโคมไฟบนโต๊ะ พลันสายตาสะดุดกับปฏิทินตั้งโต๊ะ วันนี้ก้าวเข้าสู่เดือนใหม่แล้ว...

‘1 ธันวาคม’ เป็นวันเกิดของเขา

อาจจะฟังดูแปลกที่ธันวาไม่ได้ใส่ใจกับวันสำคัญนี้เลย แต่กลับไล่สายตามองวันหยุดยาวของตัวเองแทน ที่เรียกว่าวันหยุดเพราะอีกสองอาทิตย์จะเข้าสู่ช่วงการสอบปลายภาค วิชาต่างๆ ที่ลงทะเบียนเรียนไว้ใกล้จะสอนจบแล้ว เพราะตั้งใจเรียนทุกคาบจึงไม่จำเป็นต้องโหมอ่านหนังสือเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่น หากส่งงานเรียบร้อย เขาจะมีเวลาว่างหนึ่งอาทิตย์ก่อนจะเริ่มสอบ

“สุขสันต์วันเกิดนะธัน” กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มวางลงตรงหน้าก่อนแขนเรียวจะโอบรอบคอเขาจากด้านหลัง

ธันวาเอียงคอหอมแก้มแฟนสาวที่เกยคางบนไหล่ “ธันทำให้มนต์ตื่นหรือ” เขายิ้มเมื่อคนรักส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะละสายตาจากอีกฝ่ายมามองกล่องกำมะหยี่บนโต๊ะ “หือ…นั่นอะไร”

“เปิดดูสิ” น้ำมนต์เอียงคอพูดอย่างน่ารัก

ธันวามองของในกล่องกำมะหยี่ด้วยแววตาเป็นประกายอย่างดีใจ แล้วดึงคนรักมานั่งบนตัก...นาฬิกาข้อมือที่เขาบ่นอยากได้ทุกครั้งที่เดินผ่านวางอยู่ตรงหน้า

“ขอบคุณนะมนต์ แต่…มันแพงมาก” ธันวาจับปลายคางคนรักให้หันมาสบตา สำหรับคนอื่นราคาห้าพันบาทอาจจะไม่ได้มากมายอะไร แต่กับธันวาและน้ำมนต์ที่มีฐานะครอบครัวปานกลางจึงถือว่าแพงมากโขสำหรับนาฬิกาเรือนหนึ่ง

น้ำมนต์ส่ายหน้าจนเส้นผมนุ่มปลิวพันกันยุ่ง “ไม่เลย มนต์รู้ว่าธันอยากได้มานานแล้ว แค่ธันชอบ มนต์ก็ดีใจแล้ว” เธอพูดพร้อมสวมนาฬิกาให้คนรัก

“ขอบคุณ ธันรักมนต์มากนะ” ธันวาเอ่ยอย่างอ่อนโยน มองคนรักที่ก้มหน้าเขินอายด้วยสายตารักใคร่

ทั้งชีวิตนี้ธันวายังคงนึกไม่ออกว่า หากวันหนึ่งเขาแยกทางกับน้ำมนต์ ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร



“ธันอะ ทำไมต้องไปช่วงนี้ด้วย มนต์ไปไม่ได้ มนต์ต้องอ่านหนังสือสอบ” น้ำมนต์บอกด้วยน้ำเสียงแสนงอน

“เอางั้นก็ได้ครับ แต่คราวหน้ามนต์ต้องไปให้ได้นะ ที่นั่นสวยมากเลย ถ้ามนต์ไปต้องชอบมากแน่ๆ” ธันวาพูดอวดคนรักอย่างนึกสนุกเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำแก้มพองลม

“ธันก็ไม่ต้องไปสิ รอไปตอนสอบเสร็จดีกว่า จะได้ไปฉลองปีใหม่ด้วยกันไง” จากแก้มพองลมกลายเป็นยิ้มหวานอย่างออดอ้อน

“ปีใหม่ก็ต้องฉลองกับครอบครัวสิครับ คุณป้าโทรมานัดกับแม่ธันแล้วด้วย ไม่น่าเลย” ธันวาแสร้งทำหน้าเสียดาย แม่ของน้ำมนต์เพิ่งจะโทรนัดแม่ของเขาเมื่อวานนี้เองว่าจะจัดเลี้ยงวันปีใหม่ที่บ้านน้ำมนต์

“โธ่” น้ำมนต์ครางอย่างหมดหวัง

ธันวามองคนรักด้วยความเอ็นดู...เพราะเธอน่ารักแบบนี้ไง เขาถึงไม่มองคนอื่นอีกเลย



ธันวาตรวจเช็กเสื้อผ้าและสิ่งของเครื่องใช้ในกระเป๋าเป้ใบใหญ่อีกรอบ เมื่อเห็นว่าไม่ขาดอะไรแล้วจึงหันไปมองคนรักที่ยังคงนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเตียง

“ธันไปตั้งหนึ่งอาทิตย์เลยนะ” น้ำมนต์พูดประโยคนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว เขาเองก็ไม่ได้นับ

“เปลี่ยนใจยังทันนะครับคนสวย” ธันวาพูดอย่างกวนๆ ยิ่งทำให้คนสวยที่ถูกกล่าวถึงหน้าบึ้งเข้าไปอีก

“จำไว้เลย” น้ำมนต์สะบัดหน้าไปทางอื่น

ธันวากลั้นขำเมื่อได้ยินเสียงงอนสุดขีดของคนรัก เขารูดซิปกระเป๋า สะพายเป้ไว้บนหลังแล้วเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“รักนะครับ” พูดก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากเธอแผ่วเบาแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้หญิงสาวนั่งนิ่งเขินอายเพียงลำพัง

การเดินทางโดยรถโดยสารทำให้ธันวาเข็ดหลาบไปจนตาย คงไม่มีครั้งที่สองแน่นอน เขานึกไม่ออกเลยว่าอาการปวดหลัง ก้นระบ่มนี้ต้องใช้เวลากี่วันถึงจะหาย นั่งโอดโอยที่สถานีขนส่งไม่ถึงชั่วโมง รถของทางรีสอร์ตที่เคยพักเมื่อปีที่แล้วก็มารับ เขาเลือกพักที่นี่อีกครั้งเพราะราคาถูก ไม่ไกลจากทะเลมากนัก และเจ้าของใจดี

“สวัสดีครับคุณ ผมชื่อกิต รอนานไหมครับ” ผู้ชายอายุประมาณสี่สิบปียกมือขึ้นไหว้ เอ่ยทักทายด้วยยิ้มอย่างเป็นมิตร ธันวาไหว้ตอบแทบไม่ทัน เขาพอจะจำได้ว่าลุงคนนี้เป็นคนดูแลรีสอร์ต

“สวัสดีครับลุงกิต ไม่เลยครับ ผมก็เพิ่งจะนั่งพักให้หายเมื่อยเมื่อกี้เอง”

“พอดีมีปัญหานิดหน่อยเลยออกมาช้าน่ะครับ ขอโทษจริงๆ” ลุงกิตหน้าสลด รู้สึกผิดที่ทำให้ลูกค้านั่งรอนานเกือบชั่วโมง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ธันวาส่งยิ้มอย่างจริงใจ

“ไอ้ปืน ไหนมึงบอกลุงจะพาไปซื้อของเล่นไง” เสียงใสติดจะแสบแก้วหูดังมาจากกระบะรถทันทีที่ธันวาเดินมาถึง

“มึงว่ากูโกหกเหรอะ” เสียงเด็กอีกคนเริ่มมีน้ำโห

“เปล่า ก็ลุงบอกมารับลูกค้า ไม่พาแวะนี่” เด็กคนแรกบอกเสียงหงอย จากนั้นก็เงียบไปทั้งสองคน

ธันวามองหน้าลุงกิตอย่างสงสัย ลุงกิตยิ้มแหยๆ ก่อนจะก้มหัวเชิงขอโทษ

นี่สินะ ปัญหาที่ว่า ก็น่าจะใหญ่พอสมควร...ธันวาได้แต่คิดในใจก่อนจะเดินไปที่กระบะรถที่มีเสียงเด็กสองคนคุยกันเมื่อครู่

ธันวาได้แต่นิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกเมื่อไอ้ตัวจ้อยทั้งสองหันหน้ามามองเขาพร้อมกัน อีกทั้งน้ำตานองหน้า ตาแดงก่ำ

ฉิบหาย...

“ลูกเจ้าของรีสอร์ตกับเพื่อนของมันน่ะครับ พวกมันร้องไห้อยากมาด้วย” ลุงกิตอธิบายอย่างเกรงใจ

“เออ...เด็กๆ อยากไปไหนก็พาไปเถอะครับ ผมไม่มีปัญหา” คราวนี้ธันวาปั้นหน้ายิ้ม ทั้งที่อยากไปนอนพักที่รีสอร์ตใจจะขาด

ลุงกิตทั้งส่ายหน้าทั้งโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอกครับ แป๊บเดียวพวกมันก็หายงอแงแล้ว”

ใจจริงธันวาอยากจะตอบว่า ‘โอเคครับ’ แต่เหมือนมีพลังงานบางอย่างจ้องมาที่เขาจนต้องหันไปมอง ไอ้หน้าหงอยๆ ที่มีแค่น้ำตาไหลพรากเมื่อครู่กลับมีเสียงสะอึกสะอื้นปานจะขาดใจสองเสียงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ไม่เป็นไรครับ พาไปเถอะ” พูดจบก็รีบเข้าไปนั่งในรถข้างคนขับทันที

“ขอโทษจริงๆ ครับ” ลุงกิตบอกอีกครั้งก่อนจะขับรถออกไปที่ตลาด ซึ่งห่างจากสถานีขนส่งประมาณสองกิโล

เมื่อมาถึงตลาด ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองรีบกระโดดลงจากกระบะรถแล้ววิ่งกรูเข้าร้านขายของเล่นทันที ลุงกิตได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะหันมาชวนธันวาไปเดินเล่นในตลาด แต่เขาปฏิเสธ ขอรอในรถดีกว่า

พอได้ของเล่นสมใจแล้ว พวกมันจึงยอมปีนขึ้นกระบะรถด้วยใบหน้ายิ้มปลื้มปริ่มกับของเล่นในมือ แข่งกันโชว์ฟันหลอเลยทีเดียว ทิ้งให้ลุงกิตที่ยังไม่ทันได้จ่ายเงินยืนเกาหัวแกรกๆ ธันวาอดยิ้มไม่ได้กับภาพที่เห็น เหมือนไอ้ตัวจ้อยคนผิวขาวเหลืองจะรู้ตัวว่าถูกมองจึงเงยหน้าสบตา มันวางของเล่นในมือแล้วหันไปกระซิบกระซาบกับไอ้ตัวจ้อยอีกคนที่ผิวคล้ำ จากนั้นตาใสแจ๋วสองคู่ก็จ้องมาที่เขา

พวกมันกระโดดลงจากกระบะรถอีกรอบแล้วเดินมาที่ข้างประตูรถฝั่งที่ธันวานั่งอยู่ ถึงแม้จะเลื่อนกระจกรถลงมาจนสุดแล้ว แต่ความสูงของไอ้ตัวจ้อยทั้งสองก็ทำให้ธันวาที่นั่งบนรถเห็นเพียงหัวเกรียนๆ ของพวกมัน เขาจำเป็นต้องยื่นหน้าออกไปมอง

“ขอบคุณจ้ะ” เสียงใสๆ สองเสียงประสานกันพร้อมสองมือยกตั้งกระพุ่มระหว่างอก ก้มหัวไหว้อย่างสวยงาม

“มะ ไม่เป็นไรครับ” เจอเข้าไปแบบนี้ ธันวาแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ รู้สึกมึนหัวแปลกๆ กับไอ้เด็กสองคนนี้

หลังจากลุงกิตขึ้นมาบนรถ การเดินทางสู่ที่พักจึงเริ่มขึ้น ระหว่างทางธันวารู้สึกขนลุกซู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ออกมาจากตลาด เหมือนถูกสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา เขาพยายามมองรอบๆ ตัวแต่ไม่พบอะไร จนกระทั่งหันกลับไปมองที่กระบะรถ…

ดวงตาใสแจ๋วคู่หนึ่งกำลังจ้องมาอย่างไม่วางตา เจ้าตัวแนบหน้าผากกับกระจก ใข้ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างทาบกระจกขนาบข้างใบหน้ากลม แม้จะตกใจไม่น้อย แต่ธันวายังคงแสร้งทำหน้านิ่งและส่งยิ้มไปให้ไอ้เด็กชวนหลอนคนนี้ มันยิ้มหวานตอบพร้อมโชว์ฟันหลอ จากนั้นหันกลับไปสนใจของเล่นต่อ

ธันวาแอบถอนหายใจ ได้แต่หวังว่าการมาเที่ยวพักผ่อนครั้งนี้จะได้พักผ่อนจริงๆ ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องบ้าๆ อย่างวันนี้อีก แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว ไอ้เด็กตัวขาวเหลืองคนนี้ช่างดูคุ้นหน้าเสียจริง เคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า….

คนที่ดีใจที่สุดเมื่อมาถึงรีสอร์ตคงไม่พ้นธันวา แต่…คงมีบางคนที่เสียใจที่สุด ไอ้ตัวจ้อยตัวขาวเหลืองหน้าสลดเมื่อพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังรอมันอยู่ ผู้ชายหน้าดุที่ถือไม้เรียวยืนพิงต้นไม้หน้ารีสอร์ตน่าจะเป็นพ่อของมัน

“ไอ้ปืน กูกลับก่อนนะ” มันล่ำลาเพื่อนรัก น้ำตาคลอเบ้า

“อืม” ไอ้ตัวจ้อยที่ชื่อปืนส่งเสียงตอบเบา ๆ หน้าสลดไม่แพ้กัน พวกมันจ้องตากันอย่างอาลัยอาวรณ์

“ไอ้พร้าว!” เสียงเรียกดังลั่นจนไอ้ตัวจ้อยทั้งสองสะดุ้งพร้อมกัน

“จ๋า” ไอ้พร้าวเอ่ยตอบเสียงหวานก่อนจะเดินไปหา คงเพราะธันวาจ้องนานไปหน่อย ผู้ชายคนนั้นถึงได้จ้องกลับมา เขาส่งยิ้มและก้มหัวทักทาย ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาแบบเดียวกัน

โชคดีนะ ไอ้พร้าว...ธันวาได้แต่อวยพรในใจแล้วเดินตามลุงกิตไปที่บ้านพัก

น้าเลของไอ้พร้าวหัวเสียตั้งแต่เช้าเพราะหาหลานไม่เจอ เดินหาจนทั่วบริเวณบ้าน พุ่มไม้ ต้นไม้ เรียกหาจนเสียงแหบแห้งก็ยังไม่พบ จนกระทั่งเดินไปหาที่บ้านเพื่อนรักของไอ้พร้าวถึงได้รู้ว่ามันกระโดดขึ้นรถกระบะเข้าเมืองไปกับไอ้ปืนและลุงกิตเรียบร้อยแล้ว

มันน่าโมโหจริงๆ …แต่ทำได้เพียงยืนถือไม้เรียวที่ยืมมาจากแม่ของไอ้ปืนรอหลานรัก กลับมาเมื่อไหร่คงได้ตีก้นลายแน่ๆ

แต่เมื่อไอ้พร้าวกลับมา จากที่คิดว่าจะจับมันฟาดให้หายนิสัยเสีย เลกลับถอนหายใจอย่างเอือมระอาเพราะมันเล่นน้ำตาไหลพรากๆ ตั้งแต่ตะโกนเรียกแล้ว

เอาเข้าไป จะตีก็ไม่ได้ตี แถมยังต้องอุ้มมันกลับบ้านอีก ไอ้นี่ก็เล่นใหญ่จริงจัง ร้องไห้สะอึกสะอื้นจะเป็นจะตาย...ผู้เป็นน้าคิดอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะอุ้มหลานชายกลับบ้าน ไอ้พร้าวยิ่งแหกปากร้องไห้ไปสามบ้านแปดบ้าน มือหนึ่งกอดคอน้าเลของมัน อีกมือกอดของเล่นชิ้นใหม่ที่เลต้องควักเงินจ่ายคืนลุงกิตอีกทอดหนึ่ง

วันแรกของการมาพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวานพอหัวถึงหมอนปุ๊บ ธันวาก็หลับยาวจนถึงบ่ายแก่ ๆ เมื่อรู้สึกหิวจึงทานข้าวในรีสอร์ต จากนั้นไปเดินเล่นชายหาดใกล้ๆ พอท้องฟ้าเริ่มมืดก็กลับเข้าห้องและซื้อของกินติดไม้ติดมือเข้ามาด้วยเผื่อหิวตอนดึก ก่อนนอนยังโทรหาคนรักให้หายคิดถึง ได้ยินเสียงงอแงของแฟนสาวจนชื่นใจถึงวางสายแล้วหลับยาวจนถึงเช้า

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ตและแม่ของเด็กที่ชื่อปืนทักทายธันวาด้วยรอยยิ้ม

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาตอบกลับแล้วเดินไปช่วยเธอถืออาหารเช้ามาวางบนโต๊ะ

“ขอโทษด้วยนะคะที่เมื่อวานไอ้ปืนกับเพื่อนของมันสร้างเรื่องปวดหัวให้คุณ” เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ลูกชายรบกวนเวลาพักผ่อนของแขก

“ไม่เป็นไรครับพี่ เด็ก ๆ น่ารักดี” ธันวาปั้นหน้ายิ้มเมื่อนึกถึง ‘ความน่ารัก’ ของเด็กๆ เมื่อวานนี้

“ผู้ชายเมื่อวานน่ะ น้าของไอ้พร้าวชื่อ เล เปิดร้านอาหารไม่ไกลจากที่นี่หรอก เดินไปก็เจอชื่อร้าน ‘น้องพร้าว’ เขาทำอาหารอร่อยมากเลยนะ ลองไปชิมดูได้”

ธันวาแทบสำลักกาแฟเมื่อได้ยินชื่อร้านอาหาร คงเพราะเขาดันนึกถึงหน้าไอ้เด็กพร้าวขึ้นมา ชื่อร้านจึงฟังดูตลกแปลกๆ ...สงสัยต้องไปลองชิมบ้างแล้ว

“น้าไอ้พร้าวน่ะทำโหดไปงั้นแหละ มันรักหลานจะตาย เมื่อวานก็นึกว่าไอ้พร้าวจะก้นลายกลับบ้านซะแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอเห็นหลานเป่าปี่ใส่ น้ามันก็ทิ้งไม้เรียวอุ้มหลานเดินกลับบ้านเฉยเลย โธ่ ก็นึกว่าจะแน่” แม่ของไอ้ปืนส่ายหน้าอย่างขบขัน “ไอ้พร้าวกับลูกพี่น่ะเลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่เกิด น้ามันก็ตัวคนเดียว เวลายุ่งมากๆ ก็เอามาฝากพี่ไว้”

หลังจากได้ฟัง ธันวาก็นึกสงสัยว่าพ่อแม่ของเด็กที่ชื่อพร้าวไปไหน ทำไมทิ้งลูกไว้ให้น้าเลี้ยงคนเดียว

“แม่ของไอ้พร้าวหนีไปกรุงเทพน่ะ ส่วนพ่อของมันเป็นใครก็ไม่รู้ ได้ยินเขาว่าเป็นคนกรุงเทพ เป็นไงมาไงพี่ก็ไม่รู้หรอก พี่ก็สงสารมันนะ ไอ้ปืนบอกเด็กที่โรงเรียนล้อมันว่าลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่”

“แบบนี้ก็แย่สิครับ น่าสงสารจริงๆ” ธันวารู้สึกโกรธขึ้นมา พ่อแม่ของเด็กพวกนั้นควรจะสั่งสอนลูกบ้าง

“แต่ก็นั่นแหละ ไอ้พร้าวเป็นเด็กดี มันบอกว่ามีน้าเลคนเดียวก็พอ มันไม่เอาพ่อแม่ก็ได้” แม่ของไอ้ปืนรู้สึกปลื้มใจแทนน้าของไอ้พร้าว ธันวาเองก็นึกชื่นชม…เป็นเด็กดีจริงๆ

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ธันวากลับมาเตรียมของที่บ้านพัก งานอดิเรกอย่างหนึ่งของเขาคือ ‘วาดภาพ’ เขาเพียงแค่ชอบวาดเล่นๆ ฆ่าเวลาเท่านั้น แม้จะทำออกมาได้ดี แต่ไม่คิดเอาดีด้านนี้ เพียงแค่มีสมุดวาดเขียนหนึ่งเล่ม ดินสอ และยางลบ ชีวิตของเขาก็ไม่น่าเบื่อแล้ว ก่อนออกไปไม่ลืมที่จะโทรหาคนรักอย่างที่สัญญาไว้

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ธันวาก็เดินมาถึงชายหาด แดดที่ไม่แรงมากนักบวกกับลมพัดเข้าหาฝั่งที่หอบกลิ่นเค็มทะเลมาด้วยทำให้เขาอยากทิ้งตัวลงนอนเสียตรงนี้ บนหาดนี้มีเรือประมงของชาวบ้านผูกไว้ลอยโคลงเคลงบนน้ำตื้น และมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่

ธันวามองไปรอบ ๆ ด้วยความพอใจ “ตรงนี้แหละ”

เขาเลือกนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาหลบแดดได้ดี ตรงนี้ค่อนข้างสงบ ห่างไกลจากนักท่องเที่ยวคนอื่น อีกทั้งยังเป็นชายหาดที่ทอดยาวสวยงามจนเกินบรรยาย

“ไอ้ปืน กูปวดฉี่” เสียงกระซิบกระซาบของเด็กดังขึ้นเบาๆ

“จะลงไงล่ะ โดดลงไปเหยียบหัวเขาพอดี” เสียงเด็กอีกคนตอบกลับ ธันวามองซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียงแต่ไม่พบ

“กูจะฉี่แตกแล้ว!” เสียงเด็กคนแรกตะโกนออกมาอย่างโมโหทำให้ธันวารู้ที่มาของต้นเสียงทันที มันอยู่บนหัวของเขานี่เอง มีเด็กผู้ชายสองคนเนื้อตัวค่อนข้างมอมแมม สวมเสื้อยืดตัวย้วยกับกางเกงขาสั้นกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่

ธันวาลุกขึ้นยืนแล้วแหงนหน้ามอง “สวัสดี ขึ้นไปทำอะไรกันน่ะ มันอันตรายนะ” ถามอย่างเป็นห่วง ถึงกิ่งไม้ที่เด็กสองคนนั่งอยู่จะไม่ได้สูงมากนัก แต่เทียบกับตัวเด็กแล้วก็ยังอันตรายอยู่ดี เขากลัวว่าพวกมันจะตกลงมาขาหัก

“ปวดฉี่!” เด็กคนที่ตะโกนเมื่อครู่ไม่ได้สนใจคำถามของธันวาแม้แต่น้อย เขาได้แต่ส่ายหน้า…เด็กอะไร ไม่น่ารักเอาเสียเลย

“ปวดฉี่ก็ลงมาสิ”

“มึงลงก่อน” เจ้าตัวยังไม่ยอมลงกลับบอกเพื่อนให้ลงไปก่อน

“เอ้า! เออๆ” เด็กอีกคนเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะยอมปีนลงมาตามที่เพื่อนบอก ธันวาถึงได้รู้ว่าไอ้เด็กตัวคล้ำนี่คือ ‘ปืน’ ลูกชายเจ้าของรีสอร์ต และไม่ต้องเดาให้ยากว่าไอ้เด็กที่แหกปากว่าปวดฉี่เมื่อครู่เป็นใคร

“รีบๆ ลงมาสิ” ธันวาตะโกนบอก อดขำไม่ได้เมื่อตอนทานข้าวเช้าเขายังนึกชมในใจว่า ‘เด็กพร้าว’ เป็นเด็กดี ยังไม่ทันจะข้ามวันก็ถูกเจ้าเด็กนี่แผลงฤทธิ์ใส่เสียแล้ว

“ปวดฉี่!” ไอ้เด็กพร้าวแหกปากออกมาอีกรอบก่อนจะพยายามปีนลงมา แต่…

พรืด!

“อ๊ากกกกก!”

“เฮ้ยยยยย!”

ตุบ!

ก่อนจะได้ลงมาถึงพื้น เท้าเล็กๆ ที่เปลือยเปล่าของไอ้พร้าวดันพลาดลื่นเปลือกไม้ทำให้ตกลงมา มันเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยกมือลูบจมูกตัวเองป้อยๆ ทั้งที่ยังหลับตา หลังจากตกลงมาดูเหมือนจมูกของมันจะปะทะเข้ากับบางสิ่งอย่างจัง นอกนั้นแล้วไม่ได้รู้สึกเจ็บตรงไหน

“โอะ…โอ๊ย” เสียงโอดโอยที่ดังใกล้หูทำให้ไอ้พร้าวลืมตาขึ้นทันที สิ่งแรกที่เห็นคือปลายคางของใครคนหนึ่ง

“ไอ้พร้าววววว อึก อือ มึงงงงง” นี่ก็อีกเสียงที่มันได้ยิน

“อย่าเพิ่งขยับนะ รอแป๊บนึง” ธันวาพูดขึ้นเมื่อหายจุก เขาตกใจแทบแย่ที่เห็นไอ้เด็กพร้าวหล่นลงมา ดีที่เขายืนอยู่ใกล้จึงรับมันไว้ได้ทัน หากนี่เป็นละครหลังข่าวสักเรื่องคงน่าประทับใจไม่น้อย แต่ตอนนี้เพียงแค่เด็กตัวจ้อยหล่นลงมานอนทับบนตัว เขาก็ล้มหงายหลังไม่เป็นท่าแล้ว ไม่เท่เอาเสียเลย

อีกทั้ง…ความเปียกชื้นที่แสนจะอุ่นบนเสื้อที่สวมอยู่นี้คืออะไร

คำถามในใจธันวาคงมีเพียงไอ้พร้าวที่ตอบได้เป็นคนแรก เพราะตกใจที่หล่นลงมากระแทกกับร่างของอีกคนทำให้สิ่งที่มันอั้นไว้ไหลออกมาราวกับมีคนเปิดก๊อก

“ขยับได้ไหม” ธันวาถามคนที่เกยคางอยู่บนอกเมื่ออาการเจ็บทุเลาลง อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ เขาจึงใช้มือประคองเด็กชายให้ลุกนั่งบนตัว

“ไอ้พร้าววววว อือออออ” ไอ้ปืนยังไม่หยุดเป่าปี่ บิ้วอารมณ์โศกเสียจนไอ้พร้าวเริ่มน้ำตาคลอเบ้า

ธันวาได้แต่ส่ายหน้าอย่างขบขัน “เจ็บตรงไหนไหม ลุกขึ้นได้หรือเปล่า” ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อไอ้พร้าวร้องไห้โฮแข่งกับไอ้ปืน มันทั้งร้องทั้งส่ายหน้า เขาไม่แน่ใจว่ามันส่ายหน้าตอบคำถามไหน แม้อยากให้มันลุกออกไปจากตัวก่อน แต่จนปัญญาที่จะคุยให้รู้เรื่อง จึงต้องพยายามดันตัวเองลุกขึ้นนั่งให้ได้ทั้งที่รู้สึกปวดไปทั้งตัว

“อือ อึก อือ” ไอ้พร้าวยังไม่หยุดร้องไห้

ธันวานั่งมองไอ้ตัวจ้อยบนต้นขาของตัวเองร้องไห้มาได้ห้านาทีแล้ว น้ำมูกน้ำตาของมันไหลมารวมกันจนแยกไม่ออก มือน้อยๆ ทั้งสองข้างกำชายเสื้อของเขาแน่น

“หือ เจ็บตรงไหนถึงร้องไม่หยุด” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มันยังคงไม่ตอบ

ธันวาได้แต่รอให้ไอ้ตัวจ้อยสองเพื่อนซี้หยุดเป่าปี่แข่งกัน แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เริ่มรู้สึกคันยิกๆ ตรงหน้าท้องเพราะฤทธิ์ ‘ฉี่’ ของไอ้พร้าว

“นะ หนู…หนูขอโทษจ้ะ” ไอ้พร้าวพูดสะอึกสะอื้น สองมือยกขึ้นตั้งกระพุ่มพนมมือแล้วกราบแทบอกผู้มีพระคุณของมัน ธันวาตกใจไม่น้อยก่อนจะอมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของมัน

“ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดปลอบพร้อมลูบหัวมันเบาๆ

พอไอ้พร้าวลุกขึ้นจากตัวได้ ธันวาก็รีบถอดเสื้อที่เปียกฉี่ออก โดยไอ้พร้าวอาสาว่าจะเอาไปซักให้ จะคัดค้านอย่างไรก็แพ้เด็กอยู่ดี เมื่อตกลงกันได้จึงแยกย้ายกันไป ธันวาถืออุปกรณ์วาดภาพเดินกลับรีสอร์ตอย่างเสียไม่ได้ เมื่ออาบน้ำอาบท่าใหม่เรียบร้อยแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าจะตามไปเอาเสื้อตัวนั้นคืนอย่างไร เสื้อตัวนั้นน้ำมนต์เพิ่งซื้อให้เมื่ออาทิตย์ก่อนด้วย

...พรุ่งนี้ค่อยไปเอาที่ร้านน้องพร้าวก็ได้ เอาตามนั้นแหละ

เลยืนกอดอกมองไอ้ลิงลมเดินเข้ารั้วบ้านอย่างสงบเสงี่ยมผิดปกติ เนื้อตัวของมันมอมแมม โดยเฉพาะเท้าเปลือยเปล่าที่ดำปี๋จนผู้เป็นน้าอยากเอาใยบวบมาขัดให้สะอาด อีกทั้งมันยังเอามือซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง ดูลับๆ ล่อๆ จนอดไม่ได้ที่จะร้องทัก

“ไอ้พร้าว มานี่!” เลตะโกนดังลั่นแล้วกวักมือเรียก ไอ้พร้าวสะดุ้งเฮือก เสื้ออาบฉี่ในมือที่อุตส่าห์ซ่อนไว้หล่นลงพื้น

“ไปเล่นที่ไหนมา รองเท้าก็ไม่ใส่ แล้วนั่นอะไรน่ะ เอามานี่” เลถามเสียงเข้ม ชี้นิ้วไปที่สิ่งนั้น

“จ้ะ” ไอ้พร้าวก้มลงหยิบแล้วเดินเข้าไปหาน้าเล

พอไอ้หลานรักเดินเข้ามาใกล้ เลถึงสังเกตเห็นรอยขีดข่วนตามแขนขาของมัน แม้แผลจะไม่ได้ลึกแต่ก็มีเลือดซิบออกมา เจ้าตัวคงแสบแผลไม่น้อย เขาถอนหายใจ ตอนแรกตั้งใจจะด่ามันที่หายหัวไปตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่าย ไม่ยอมกลับมาทานข้าวเที่ยง แต่พอเห็นมันได้แผลบวกกับหน้าหงอยๆ นั่นแล้วก็ด่าไม่ลง

อยากตบกบาลตัวเองจริงๆ …เลใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองอย่างที่คิด

“นี่จ้ะ” ไอ้พร้าวยื่นเสื้อให้ผู้เป็นน้า

เลเบือนหน้าหนีเพราะได้กลิ่นตุๆ “กลิ่นไรวะ เอ็งไปทำอะไรมา”

ไอ้พร้าวน้ำตาคลอเบ้าทันที น้าเลสอนมันเสมอว่าจะซนอย่างไร ที่ไหนก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน “หนู…หนูฉี่ใส่เสื้อเขา” มันเงยหน้าตอบ น้ำตาหยดแหมะๆ

เลนิ่งไปครู่หนึ่ง เขายังนึกภาพไม่ออกว่ามันไปฉี่ใส่เสื้อตัวนี้ได้อย่างไร “เขาน่ะใคร เขาโกรธหรือเปล่า แล้วเอ็งได้ขอโทษเขาหรือยังฮะไอ้พร้าว” ผู้เป็นน้ายังคงแสร้งดุหลาน แม้จะอยากอุ้มมันปลอบมากแค่ไหน

“เขา…เขาไม่โกรธจ้ะ หนูขอโทษแล้วด้วย” มันตอบเสียงหงอยๆ พร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตา



(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 21:55:43 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

เลไม่อยากจะถามให้มากความ เห็นไอ้พร้าวรู้สึกผิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็เห็นใจ เขาพอจะเดาออกอยู่หรอกว่ามันเอาเสื้อตัวนี้มาทำไม “เออๆ ไปๆ เอาไปซักให้มันเรียบร้อยจะได้เอาไปคืนเขา ฝากซักเสื้อในตะกร้าด้วยตัวหนึ่ง” พอสั่งเสร็จก็แสร้งเดินหนีไม่สนใจหลาน

“จ้ะ” ไอ้พร้าวตอบเสียงแผ่วแล้วเดินคอตกเข้าไปในบ้าน ความรู้สึกของมันตอนนี้เหมือนโลกใกล้แตกสลาย มันไม่เคยรู้สึกผิดอย่างนี้มาก่อนตั้งแต่เกิดมา

ไอ้พร้าวหยิบเสื้อมัดย้อมหลากสีของเลติดมือไปด้วย ตักน้ำใส่กะละมัง ใส่ผงซักฟอกแล้วตีให้เป็นฟองก่อนจะเอาเสื้อของน้าเลลงไปในกะละมัง ตามด้วย ‘เสื้อสีขาว’ ที่อาบฉี่ลงไปด้วย มันตั้งใจขยี้อย่างสุดฝีมือโดยที่ไม่รู้เลยว่า ใต้ฟองสีขาวที่ลอยอยู่นั้นได้กลายเป็นกะละมังผสมสีไปแล้ว…

“น้าเล!”

เสียงหลานตะโกนดังลั่นจากหลังบ้านทำให้เลทิ้งมีดในมือแล้ววิ่งออกจากร้านแบบไม่คิดชีวิต ไม่ถึงสองนาทีก็มาถึงจุดที่ไอ้พร้าวร้องเรียก มันน้ำตานองหน้า ในมือถือเสื้อสี…สีอะไรสักอย่าง แต่เขาพอจะเดาได้ว่าก่อนหน้านั้นเคยเป็นสีขาว

อา…เลยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที มันเป็นความผิดของเขาเองที่ลืมบอกไอ้พร้าวว่าเสื้อของตัวเองตกสี

เพราะไอ้พร้าวเป่าปี่ไม่หยุด เลจึงต้องมาล้างและตากผ้าแทนมัน สองน้าหลานได้แต่ยืนมองเสื้อที่เคยเป็นสีขาวของ ‘เขา’ คนนั้นตากอยู่บนราว ไอ้พร้าวกอดเอวน้าของมันแน่น ดวงตาหงอยๆ มองเสื้อตัวนั้นอย่างสิ้นหวัง ฝ่ามือหยาบของผู้เป็นน้าลูบหัวหลานปลอบไปมา

เวรกรรม!

วันนี้ธันวาตื่นสายเพราะเมื่อคืนเขาต้องฟังแฟนสาวบ่นยาวเหยียดหลังเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง กว่าจะได้เข้านอนก็ดึกมากพอสมควร อาการปวดและรอยช้ำตรงจุดที่กระแทกพื้นเริ่มเด่นชัดมากกว่าเมื่อวาน ทำให้ต้องทานยาแก้ปวดที่ขอจากเจ้าของรีสอร์ตมาทานหลังอาหารเช้า หากอาการหนักกว่านี้เห็นทีต้องไปหาหมอ เขาได้แต่ภาวนาให้มันหายไปเร็วๆ

หลังจากนั่งคิดลำดับสิ่งที่จะทำในวันนี้ได้ ธันวาจึงเตรียมอุปกรณ์วาดภาพแล้วออกไปจากรีสอร์ตทันที เขาเลือกเดินหาร้าน ‘น้องพร้าว’ เป็นที่แรก

เมื่อเดินหาร้านจนเจอ ธันวาก็ต้องขมวดคิ้วกับภาพไวนิลที่เด่นกว่าชื่อร้านเสียอีก ยืนมองสักพักก็ขำก๊ากออกมา คนในรูปจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘น้องพร้าว’ หลานเจ้าของร้าน มันเป็นรูปที่เจ้าตัวคงมีงานแสดงอะไรสักอย่างที่โรงเรียนแน่ๆ ไอ้ตัวจ้อยใส่ชุดไทยนุ่งโจงกระเบนสีเหลืองพร้อมแต่งหน้า ทาปาก เขียนคิ้ว รวมๆ แล้วก็ยังน่าเอ็นดูปนน่าขันอยู่ดี

“สวัสดีครับ” เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน เสียงทักทายอย่างเป็นมิตรก็ดังขึ้น ธันวาหันไปมองต้นเสียงที่น่าจะเป็นเด็กในร้านก่อนจะยิ้มทักทาย

“เออ…ผมมาหาน้องพร้าวน่ะครับ เขาอยู่หรือเปล่า” ธันวาถามพร้อมสอดส่องสายตาไปทั่วร้าน

“อ้อ...พี่เล!” เด็กในร้านลากเสียงยาวก่อนตะโกนเรียกคนที่เขาจำชื่อได้ว่าเป็นน้าของไอ้พร้าว

“เออ ไรวะ” เสียงตอบกลับมาไม่ใกล้ไม่ไกลก่อนชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำจะเดินออกมาจากในครัว หากไม่สังเกตดีๆ ธันวาคงมองไม่เห็นไอ้ตัวจ้อยที่เดินตามหลังผู้เป็นน้าต้อยๆ

เจ้าตัวคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จสินะ...ธันวากลั้นยิ้ม มองเสื้อยืดสีแดงลายการ์ตูนที่ชายเสื้อถูกยัดเข้าไปในกางเกงขาสั้นสีเขียว ใบหน้ากลมเล็กนั่นถูกประแป้งจนขาววอกไปหมดเหลือเพียงลูกตาโตๆ กับปากแดงๆ มันยืนหลบหลังผู้เป็นน้า มือน้อยๆ กำชายเสื้อของเลไว้แน่น

“เขามาหาไอ้พร้าว” เด็กในร้านบุ้ยปากมาทางธันวา เขาก้มหัวทักทายเลด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีครับคุณ มาหาไอ้พร้าวเหรอ” เลยิ้มอย่างเป็นมิตร ในใจคิดว่าคนนี้แหละที่ไอ้หลานตัวดีไปสร้างเรื่องให้ “ไอ้พร้าว” เลเรียกหลานอย่างอ่อนใจ เขาไม่เคยสอนให้มันใจป๊อดแบบนี้ ทำผิดต้องยอมรับผิดแบบแมนๆ สิถึงจะถูก

“เขาเป็นอะไรครับ” ธันวาสังเกตอาการอยู่สักพักจึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“มันกลัวน่ะ เวลาทำความผิดมาก็เป็นแบบนี้แหละ เมื่อวานผมขอโทษแทนหลานด้วยนะครับ” เลก้มหัวขอโทษด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรครับ” ธันวายิ้มจากใจจริง

ช่วงสายๆ ลูกค้าเริ่มเข้ามาในร้านเยอะ เลจึงไม่มีเวลาคุยมากนัก ธันวาเห็นผู้เป็นน้าก้มลงคุยกับหลานเบาๆ ไอ้พร้าวเหลือบมองมาที่เขาก่อนจะหันไปพยักหน้ากับน้าของมัน

“ทานอะไรมาหรือยังครับ เชิญนั่งก่อนเดี๋ยวผมให้เด็กเอาของว่างมาเสิร์ฟ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เลไม่อยู่ฟังคำตอบจากอีกฝ่าย เดินเข้าไปในครัวอย่างเร่งรีบ

ธันวาเองเพิ่งจะทานอาหารเช้ามาจนเต็มท้องจึงปฏิเสธเด็กในร้านไป แต่ขอนั่งพักเพียงครู่เท่านั้น ความจริงแล้วเขาอยากจะพูดคุยกับเด็กตรงหน้ามากกว่า ไอ้พร้าวเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ขยับไปไหน เห็นแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน ใช่ว่าเขาจะรู้สึกโกรธอีกฝ่าย

ธันวาเลือกนั่งโต๊ะใกล้ๆ แล้ววางอุปกรณ์วาดภาพที่พกมาด้วยบนโต๊ะ “พร้าว…ชื่อพร้าวใช่ไหม มานี่ซิ” เขาอมยิ้ม รอจนเด็กตรงหน้าเงยหน้ามองจึงกวักมือเรียก

ไอ้พร้าวเหลือบมองแวบเดียวก่อนจะวิ่งหนีไปทางครัว ธันวาลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ในใจคิดว่าจะตามไปดีหรือไม่ เมื่อคิดดีแล้วจึงตัดสินใจนั่งลงตามเดิม อาจเป็นเขาที่ทำให้เด็กกลัวจนวิ่งหนีไป ถ้าตามไปคงไม่ดีแน่

นั่งคิดด้วยความเคร่งเครียดได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ บางสิ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ธันวามองผ้า…น่าจะเป็นเสื้อ ที่มีสีอะไรต่อมิอะไรปนรวมกัน เมื่อมองเลยไปก็เจอมือเล็กๆ นั่น

“หนูเอา…มาคืน” น้ำเสียงดังในตอนแรกก่อนจะแผ่วลงตอนท้าย

เอามาคืนหรือ...ธันวามองสิ่งที่อยู่ในมือของเด็กตรงหน้าอย่างพิจารณา กระทั่งนึกออกว่าคงเป็นเสื้อของเขาตัวเมื่อวานแน่ๆ มันคือเสื้อที่น้ำมนต์ซื้อให้ ธันวารู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนรักให้มาสำคัญกับเขาทุกอย่าง และเสื้อตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

สภาพเหมือนผ้าขี้ริ้ว! …ธันวาจ้องเด็กตรงหน้า แววตาที่เคยใจดีบัดนี้มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

ไอ้พร้าวจ้องตาอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงเบา “หนูขอโทษจ้ะ สีมันตกใส่” มันรู้ว่าตัวเองทำผิดและพยายามจะไม่ร้องไห้ มันต้องยอมรับผิดแบบลูกผู้ชายอย่างที่น้าเลบอก

ธันวาถอนหายใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองไปมาเพื่อไล่ความโกรธออกไป “ช่างเถอะครับ” เขานี่แย่เหลือเกินที่โกรธได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ แววตาใสซื่อ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด

“ขอบคุณครับที่ซักให้” เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้ว ธันวาจึงบอกออกไปพร้อมรอยยิ้ม รับเสื้อหลากสีจากมือเล็กๆ นั่นแล้วสูดดมกลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไอ้ตัวจ้อยตรงหน้าเอียงคอมองอย่างสงสัย “หอมจัง” เขาเอ่ยชม

ในใจของไอ้พร้าวโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อได้รับคำชม มันยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ ธันวาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอาเสื้อยัดใส่กระเป๋าใบเล็กที่สะพายมาด้วย

“พร้าวเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วครับ” เมื่อเห็นเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มได้แล้วจึงชวนคุย ไอ้พร้าวไม่ตอบแต่ยกฝ่ามือขึ้นข้างหนึ่ง

“ปอสี่หรือครับ” ธันวาตอบไปตามที่เข้าใจ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ

“ชอบวาดรูปไหม” เขาถามขึ้นมาอีก และจะถามจนกว่ามันจะยอมพูด แต่ไอ้พร้าวพยักหน้าตอบอีกรอบ

“พี่มีสมุดวาดรูป ดินสอ ยางลบ” ธันวาชูสิ่งที่ว่าขึ้นทีละอย่างให้เด็กชายดู “พร้าวมีไหมครับ” พอจบคำถาม ไอ้ตัวจ้อยก็พยักหน้ารัวแล้ววิ่งหายไปอีกรอบ ธันวาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ใช่ว่าเขาจะรักเด็กหรืออะไร แค่คิดว่ามันคงสนุก ถ้ามีเพื่อนตัวน้อยไว้คุยเล่นระหว่างอยู่ที่นี่

ไม่ถึงห้านาทีเสียงวิ่งตึงตังก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ไอ้พร้าวชูของในมือให้ธันวาดู มือข้างซ้ายถือสมุดวาดเขียนเล่มเล็ก ข้างขวาถือดินสอและยางลบ

“โห มีเหมือนกันเลย ไปวาดรูปด้วยกันไหม” ธันวาแสร้งทำหน้าตื่นเต้น

ไอ้พร้าวพยักหน้าพร้อมยิ้มกว้าง มันยืนรอให้ธันวาลุกจากที่นั่ง แต่รออยู่นานอีกฝ่ายก็ไม่ยอมลุกเสียที

“ไปกัน” เสียงเล็กๆ เอ่ยขึ้น ธันวาอมยิ้ม…ในที่สุดก็ยอมพูด

“ไปขอคุณน้าก่อนครับ” เขาบุ้ยปากไปทางครัว ไอ้พร้าวไม่รอช้า วิ่งตึงตังเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว ธันวาได้ยินเสียงบ่นแว่วๆ ก่อนไอ้ตัวจ้อยจะวิ่งกลับมา

“ไปกันๆ” ไอ้พร้าวเร่งเร้า ธันวาอดขำไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเด็กตรงหน้า

เลยืนมองหลานชายกับคนแปลกหน้าเดินเคียงคู่กันไปจนสุดสายตา เขาบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมให้ไอ้พร้าวไปกับคนที่เพิ่งเจอหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง ถ้าเกิดชายคนนี้ทำร้ายไอ้พร้าวขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่บางอย่างบอกเลว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจได้และเป็นคนดี ถึงอย่างนั้นมันก็ใช้เป็นเหตุผลไม่ได้…อยากตบกบาลตัวเองจริงๆ

ระหว่างทางธันวายังคงชวนเพื่อนตัวน้อยคุยนู้นคุยนี่ ไอ้พร้าวเริ่มจะตอบโต้และพูดมากขึ้น เขามองเด็กที่เดินข้างกายอย่างพิจารณา จากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เจอกันวันแรก เขาสามารถสรุปได้สั้นๆ ง่ายๆ ว่า ‘ดื้อ ซน เถียงเก่ง และ…น่ารัก’

ธันวาเป็นลูกคนเดียว และไม่เคยคิดอยากจะมีน้องเลยสักครั้ง จนได้มาเจอไอ้พร้าว…เพียงแค่คิดเล่นๆ ว่า หากต้องมีน้องชายสักคน เขาคิดว่าตัวเองอยากได้น้องชายแบบมัน ถ้ามีแบบไอ้พร้าว ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องไม่เหงาแน่ๆ

“นั่งตรงนี้ดีไหม” ธันวาขอความเห็นจากเพื่อนตัวน้อย

ไอ้พร้าวทำหน้าคิดหนักก่อนจะส่ายหน้า “มานี่” มันจูงมืออีกฝ่ายให้เดินตาม ธันวาไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงแค่สงสัยว่ามันจะพาไปไหน

เดินไม่ไกลมากนักไอ้พร้าวก็หยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้ธันวา ที่ๆ มันพามาถือเป็นจุดที่สวยงามมาก อีกทั้งยังเงียบสงบเหมาะแก่การวาดภาพ

ทั้งสองเลือกนั่งลงบนพื้นทรายใต้ร่มไม้ เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้วธันวาจึงหยิบสมุดวาดเขียนขึ้นมาเปิด ไอ้พร้าวที่นั่งข้างกันมองแล้วทำเลียนแบบ มันหยิบสมุดวาดเขียนเล่มเล็กของตัวเองขึ้นมาเปิดเช่นกัน เมื่อธันวาหยิบดินสอ มันก็หยิบดินสอที่ผ่านการเหลาจนเหลือแค่แท่งสั้น ๆ ขึ้นมา พอธันวาขยับจัดท่าทางให้ถนัด มันก็ยังเลียนแบบ

“หึหึ” ท่าทางกลั้นขำของธันวาทำให้ไอ้พร้าวเอียงคอมองอย่างสงสัย “อะแฮ่ม” เขาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นว่าเพื่อนตัวน้อยพยายามเลียนแบบท่าทางของเขาทุกอย่าง...ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง

พอนั่งปลดปล่อยอารมณ์ไปกับการวาดภาพได้สักพัก ธันวาก็รู้สึกเหมือนถูกสายตาจับจ้อง เมื่อเงยหน้าจากสมุดวาดเขียนก็สบเข้ากับดวงตากลมโตใสแจ๋วคู่หนึ่ง ไอ้พร้าวเลิกขีดๆ เขียนๆ ในสมุดวาดเขียนของตัวเองนานแล้ว มันไม่เคยเพ่งสมาธิทำสิ่งๆ หนึ่งได้นานนัก พอเบื่อก็นั่งจ้องปลายดินสอของอีกฝ่ายที่ลากเส้นไปมาจนเป็นรูปเป็นร่างสลับกับมองหน้าคนวาด

“เบื่อหรือครับ” ธันวาถาม ไอ้พร้าวพยักหน้าตอบ

“กินขนมไหม” เขาหยิบขนมที่ติดกระเป๋ามาด้วยยื่นให้เด็กตรงหน้า

ไอ้พร้าวตาเป็นประกาย “ขอบคุณจ้ะ” มันยกมือขึ้นไหว้แล้วหยิบขนมมาแกะ ธันวามองอย่างเพลิดเพลินกับท่าทางมีความสุขของเพื่อนตัวน้อยก่อนจะคิดอะไรดีๆ ออก

“แลกกันวาดรูปไหม” ถามขึ้นหลังจากไอ้พร้าวทานขนมจนหมด มันกะพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง

“พี่จะวาดรูปพร้าว แล้วพร้าวก็วาดรูปพี่ไง” ธันวาเสนอความคิดของตัวเอง ไอ้พร้าวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบ

ธันวาขยับมานั่งตรงข้ามไอ้พร้าว เว้นระยะพอประมาณก่อนจะเริ่มลงมือวาดภาพ เขากลั้นขำกับท่าทางนิ่งเป็นหุ่นไม่ขยับไม่ไหวติงของนายแบบตัวน้อย แต่ไม่ถึงห้านาทีมันก็เริ่มขยับตัวยุกยิกเกาแขนเกาขา

“นิ่งๆ หน่อยครับ ยิ้มด้วยสิ ยิ้มกว้างๆ ” ธันวาแกล้งตีหน้าเข้ม สั่งด้วยท่าทางจริงจัง ไอ้พร้าวรีบนั่งตัวตรงแล้วฉีกยิ้มกว้าง แต่ดูอย่างไรก็เหมือนยิงฟันเสียมากกว่า ทำไปได้สักพักมันก็บ่นว่าเมื่อยบ้าง ถามว่าเสร็จหรือยัง บ่นนู่นบ่นนี่ไปเรื่อย

“อา เสร็จแล้ว” พอได้ยินดังนั้น ไอ้พร้าวก็ไม่รอช้ารีบลุกขึ้นมาดูผลงานของธันวาทันที...นี่เป็นภาพวาดเสมือนจริงที่เหมือนมากๆ สวยที่สุดเท่าที่มันเคยเห็น เหมือนอย่างกับรูปถ่าย มันยิ้มกว้างมองหน้าคนวาด แต่เพียงครู่เดียวแววตาของมันก็ฉายแววไม่แน่ใจ

“อยากได้ใช่ไหม” ธันวาถามขึ้นราวกับอ่านใจไอ้พร้าวได้ มันรีบพยักหน้าตอบ เขาอมยิ้มก่อนจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกจากสมุดวาดเขียนแล้วยื่นให้เด็กตรงหน้า “พี่ให้”

“ขอบคุณจ้ะ” ไอ้พร้าวไหว้ขอบคุณแล้วรับภาพวาดมาถือไว้ในมืออย่างทะนุถนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะเอาไปอวดน้าเล อวดไอ้ปืน

ธันวามองเด็กตรงหน้า แววตาใสแจ๋วคู่นี้ช่างดูมีความสุขเหลือเกิน และความสุขนั้นเหมือนถูกส่งต่อมาให้เขา ธันวาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมตัวเขาถึงได้มีความสุขมากมายขนาดนี้ จนไม่อยากปล่อยให้มันผ่านไป อยากจะยื้อเวลานี้ออกไปอีกสักนิด

“วาดพี่ด้วยสิ” ธันวาบอกพร้อมชี้ที่ตัวเอง

“จ้ะ” ไอ้พร้าวตอบพร้อมยิ้มกว้างโชว์ฟันหลอ มันวางภาพวาดในมือลงอย่างระวังแล้วหยิบสมุดวาดเขียนเล่มเล็กและดินสอไส้ทู่ๆ ของตัวเองขึ้นมา

ก่อนที่ไอ้พร้าวจะได้ลงมือวาด ธันวารีบหยิบดินสอของตัวเองขึ้นมาเหลาให้เรียบร้อยแล้วยื่นไปตรงหน้ามัน “แลกกันไหม”

ไอ้พร้าวมองดินสอในมือธันวา มันไม่ได้คิดอะไรมากมายจึงหยิบดินสอจากมืออีกฝ่ายแล้วส่งดินสอแท่งสั้นๆ ของตัวเองไปให้เป็นการแลกเปลี่ยน

ธันวายิ้มอย่างเอ็นดู เขาเห็นดินสอของเพื่อนตัวน้อยทั้งสั้นทั้งทู่ เจ้าตัวคงจับไม่ถนัดมือจึงยกของตัวเองให้

ไอ้พร้าวเลียนแบบท่าทางตอนธันวาวาดภาพของมัน เหลือบมองนายแบบของตัวเองแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงขีดๆ เขียนๆ ลากเส้นไปมา ธันวานั่งยิ้มมองท่าทางจริงจังนั่น

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ไอ้พร้าวก็เงยหน้าขึ้น “เสร็จแล้วจ้ะ” มันยิ้มอย่างภูมิใจ

“ไหนดูซิ” ธันวาชะโงกหน้ามองสมุดวาดเขียนเล่มเล็กของมัน “โห สวยจังเลยครับ พร้าวเก่งมาก” เอ่ยชมพร้อมยื่นมือไปลูบหัวเพื่อนตัวน้อย

ไอ้พร้าวยิ้มกว้างมากกว่าเดิมก่อนจะทำท่าเหมือนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ มันฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกจากสมุดวาดเขียนแล้วยื่นให้ธันวา “หนูให้จ้ะ”

“ขอบคุณครับ” ธันวารับมาแล้วสอดภาพวาดเข้าไปในสมุดวาดเขียนของตัวเอง

“กลับกันดีกว่าเนอะ เดี๋ยวคุณน้าเป็นห่วง” ธันวาขยับตัวลุกขึ้น ปัดทรายที่ติดตามกางเกงออก ไอ้พร้าวลุกขึ้นตาม มันใช้สองมือประคองภาพวาดที่ธันวาให้มาอย่างระวังจึงไม่มีมือถืออุปกรณ์วาดภาพของตัวเอง

ธันวามองด้วยความขบขัน “เอามานี่ครับ เดี๋ยวพี่เก็บให้” เขาหยิบภาพวาดจากมือไอ้พร้าวมาม้วนไว้ให้พอดีมือเล็กๆ นั่น จากนั้นใช้เถาวัลย์แห้งที่หาได้แถวนั้นผูกรัดมันไว้ไม่ให้หลุด “อะ จะได้ถือสบาย”

ไอ้พร้าวรับมาถือไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้มือข้างที่ว่างหยิบอุปกรณ์วาดภาพของตัวเองขึ้นมาถือ

“พรุ่งนี้มาด้วยกันอีกไหมครับ” ธันวาถามขึ้นระหว่างที่เดินไปส่งเพื่อนตัวน้อย

“ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวเงยหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ครับ พรุ่งนี้เจอกันนะ” ธันวาบอกก่อนจะหยุดเดินเมื่อมาถึง ‘ร้านน้องพร้าว’

“จ้ะ” ไอ้พร้าวแสร้งเดินเข้าไปในร้านไม่กี่ก้าวก่อนจะหันหลังกลับมามองคนที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา

...มันจะตั้งตารอพรุ่งนี้

ธันวาอมยิ้ม หยิบกระดาษวาดเขียนแผ่นเล็กที่มีรอยฉีกด้านข้างไม่สวยงามนักขึ้นมาดู ลายเส้นบนกระดาษไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งที่ไอ้พร้าววาดนั้นคือเขา...วงกลมที่เบี้ยวนั่นน่าจะเป็นใบหน้า เส้นตรงสามเส้นบนหัวนี่น่าจะเป็นเส้นผม มีตา จมูก ปาก และหู

อืม..ดีเยี่ยม องค์ประกอบครบ ตัวและแขนขาก็มีด้วย เพอร์เฟค!

เขาหยุดเดินกึกเมื่อนึกถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น “อา ลืมบอกชื่อ” เจ้าตัวยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายชั่วโมงแต่ดันลืมแนะนำชื่อตัวเอง...ไม่เป็นไร อย่างไรพรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นตามที่คิดไว้ หลังจากกลับมาถึงรีสอร์ตในตอนบ่ายแก่ๆ เสียงโทรศัพท์จากแฟนสาวก็ดังขึ้น ธันวาถึงกับกุมขมับในสิ่งที่เธอบอก แต่เขามักเป็นฝ่ายยอมก่อนเสมอจึงทำให้ทั้งสองไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะกัน

“โอเคครับ ธันจะกลับพรุ่งนี้ มนต์ส่งไฟล์ทบินมาให้ธันด้วยละกัน” ธันวาพูดอย่างยอมแพ้ เพราะอุบัติเหตุเมื่อวานทำให้น้ำมนต์เป็นห่วงเขามากจึงอยากให้กลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ แม้เขาจะบอกว่ามีแค่อาการปวดเล็กน้อยก็ตาม

“ธัน…ไม่โกรธมนต์ใช่ไหม มนต์แค่อยากเห็นกับตาว่าธันไม่ได้เป็นอะไร” น้ำเสียงหงอยๆ จากปลายสายทำให้ธันวายิ้มพลางส่ายหน้า ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเขามักแพ้น้ำมนต์เสมอ ยิ่งอ้อนเท่าไหร่ เขายิ่งไม่มีแรงจะสู้

“ครับ ธันเข้าใจ แล้วเจอกันนะ” บอกก่อนจะกดวางสาย

ธันวาถอนหายใจยาว ไม่คิดเลยว่าเวลาพักผ่อนจะจบลงเร็วขนาดนี้ ความจริงเขาจะอยู่ให้ครบหนึ่งอาทิตย์ ใช้วันหยุดที่มีไปกับการนั่งวาดภาพบนชายหาด แต่คิดเสียดายได้ไม่นานก็ตระหนักได้ว่ามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ

หลังจากน้ำมนต์ส่งไฟล์ทบินมาให้ ธันวาจึงแจ้งเรื่องกลับบ้านในพรุ่งนี้กับเจ้าของรีสอร์ต เธอใจดีมาก คืนเงินค่าห้องในส่วนของวันที่เหลือให้ และบอกให้ลุงกิตไปส่งเขาที่สนามบินตั้งแต่เช้าตรู่เพราะต้องขับรถข้ามจังหวัดเพื่อไปสนามบินให้ทันเครื่องออกตอนสิบโมงเช้า

ธันวารีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ลืมเรื่องที่ชวนไอ้พร้าวไว้เสียสนิท แม้จะรู้สึกว่ามีเรื่องที่ค้างคาในใจ แต่เพราะฤทธิ์ยาจึงทำให้หลับไปอย่างรวดเร็ว



“ไอ้พร้าวกินข้าว” เลเรียกหลานที่นั่งกอดสมุดวาดเขียนอยู่หน้าร้าน ไอ้พร้าวนั่งตรงนั้นมาตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง คอยชะเง้อคอมองหน้าร้านตลอดเวลาไม่ขยับไปไหน ถามว่ามองหาอะไรมันก็ไม่ตอบ

“จ้ะน้าเล” มันเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วถือจานข้าวไข่เจียวที่น้าเลทำไว้ให้กลับมานั่งที่เดิม ปากเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แต่ตากลมโตกลับมองออกไปหน้าร้านอยู่ตลอดเวลา

ไอ้พร้าวยังคงไม่รู้ว่าคนที่มันรอในวันนี้...เขาไม่มาตามที่บอกไว้

หากว่ามันยังรอเขาอยู่...รอเพียงแค่หนึ่งปี มันจะได้เจอเขาอีกครั้ง

เขาคนนั้นที่วาดภาพมัน…เขาคนนั้นที่มันไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 21:56:58 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่  3


ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบิน ไอ้พร้าวจำได้ดีว่าคนๆ นี้เป็นใคร มันดึงชายเสื้อของลุงกิตที่กำลังชะเง้อคอมองหา’ เขา’ คนนั้น

“แป๊บๆ ลุงหาลูกค้าก่อน” ลุงกิตตั้งท่าจะเดินไปอีกทาง

“เขามาแล้วจ้ะลุง อยู่ตรงนู้น” ไอ้พร้าวชี้นิ้วไปที่ชายคนนั้น

“เออดีๆ เอ็งนี่ตาดีจริงๆ” ลุงกิตยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเดินไปหา

“คนเยอะ กูหายใจไม่ออก” เสียงบ่นเบาๆ ของไอ้ปืนดังขึ้นอีกครั้ง

ป๊าบ! ไอ้พร้าวฟาดหัวเกรียนๆ ของเพื่อนรักหนึ่งที มันชักจะรำคาญไอ้ปืนเต็มทน

“มึงตีกูทำไม กูอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนมึงนะ” ไอ้ปืนปาดน้ำตาด้วยความน้อยใจ มันยอมทิ้งการ์ตูนเรื่องโปรดที่ฉายทุกเช้าวันเสาร์เพื่อมารับลูกค้าของทางรีสอร์ตเป็นเพื่อนไอ้พร้าว

“เออๆ เดี๋ยวกูเลี้ยงขนม” ไอ้พร้าวไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด มันเอาแต่มองเขาคนนั้นที่รอมาเป็นปี มันทั้งดีใจและตื่นเต้นเมื่อได้ยินแม่ของไอ้ปืนบอกว่าลูกค้าที่พักเมื่อปีก่อนโทรจองเข้ามา แม้ตอนนั้นจะไม่รู้ว่าใช่เขาคนนั้นของมันหรือเปล่า แต่ก็ยังตั้งตารอจนได้พบเขาอีกครั้ง

ลุงกิตได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร “ไอ้ปืน เอ็งร้องไห้ทำไมวะ ไป! กลับบ้าน” ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหันไปคุยกับชายหนุ่มผู้เป็นแขกของรีสอร์ต “ขอโทษนะครับ ไอ้เด็กสองคนนี้มันงอแงมาด้วย คราวก่อนมันก็ไปรับที่สถานีขนส่ง ไม่รู้จะจำได้หรือเปล่า”

ธันวาก้มมองเด็กชายทั้งสองตรงหน้า คนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนอีกคนเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่วางตา...นึกดูแล้วก็พอจะคุ้นหน้าเด็กคนนี้อยู่บ้าง “อ้อ จำได้ครับ” ตอบออกไปแม้จะไม่ค่อยแน่ใจนัก

“ไปกันเถอะครับ ทานข้าวเช้ามาหรือยัง” ลุงกิตชวนคุยพร้อมเดินนำไปที่รถ ไอ้พร้าวมองไอ้ปืนอย่างหงุดหงิดก่อนจะจูงมือเพื่อนรักเดินตามหลังผู้ใหญ่

เมื่อมาถึงรีสอร์ต ธันวาเก็บข้าวของในบ้านพักแล้วออกไปทานอาหารเช้า เขามองไอ้ตัวจ้อยทั้งสองช่วยกันถือจานกับข้าวออกมาวางบนโต๊ะคนละไม้ละมือ

“นั่งเลยคุณ ลุงกิตบอกยังไม่ทานข้าวเช้าใช่ไหม มาๆ พี่เตรียมไว้ให้ละ” แม่ของไอ้ปืนพูดขึ้นเมื่อเห็นธันวาเดินมาถึงครัวของรีสอร์ต

“ขอบคุณมากครับพี่ติ๋ม กำลังหิวอยู่พอดี” เขาเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างสนิทสนม

ธันวานั่งลงเตรียมจะทานอาหารตรงหน้า ทว่ายังไม่ทันจะได้จับช้อนส้อม ไอ้ตัวจ้อยคนผิวขาวเหลืองก็นั่งลงตรงข้าม ตาโตๆ ของมันจ้องมาที่เขา เมื่อเขายิ้มให้ มันก็ยิ้มตอบ

“ขอบคุณนะครับที่ยกกับข้าวมาให้” ธันวาชวนคุยอย่างเสียไม่ได้ มันไม่ตอบเอาแต่ยิ้มบิดตัวไปมา “ทานด้วยกันไหม” หากมีเพื่อนนั่งทานด้วยคงจะอร่อยกว่าทานคนเดียว

ไอ้พร้าวทำท่าคิดหนักเพราะน้าเลบอกเสมอว่า หากไปเล่นที่บ้านของไอ้ปืน ห้ามรบกวนลูกค้าเด็ดขาด แต่เขาเป็นฝ่ายชวนมันทานข้าวเองนี่นา...จะถือเป็นการรบกวนหรือเปล่า

“ทานด้วยกันนะ พี่คงทานคนเดียวไม่หมด” ธันวาตักข้าวใส่จานแล้ววางลงตรงหน้าเด็กชายโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย

“อุ๊ย! ไอ้พร้าว ไปๆ ไปกินข้าวกับไอ้ปืนในบ้านเลย ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว ไอ้ปืนเปิดการ์ตูนดูด้วยนะ” ติ๋มตกใจเล็กน้อยที่เห็นไอ้พร้าวนั่งทานข้าวกับแขกของรีสอร์ต

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมชวนน้องเอง ทานคนเดียวคงเหงาแย่” ธันวารีบออกตัวรับเพราะเป็นฝ่ายชวนให้มันมานั่งทานร่วมโต๊ะ

“งั้นหรือจ๊ะ ถ้ามันกวนก็ไล่ได้นะ” ติ๋มยิ้ม

เมื่อเริ่มทานข้าว ธันวาพยายามชวนเด็กตรงหน้าพูดคุย มันยังคงพูดน้อยประหยัดคำ เอาแต่พยักหน้ากับส่ายหน้าตอบ

“ไอ้พร้าว!” เสียงที่ดังขึ้นทำเอาคนถูกเรียกสะดุ้งตัวโยน ไอ้พร้าวจำเสียงนี้ได้ดี มันหันไปมองทางต้นเสียงทั้งที่ปากยังคาบช้อน

เคร้ง! ช้อนร่วงจากปากทันทีเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผู้เป็นน้า มันรู้ตัวแล้วว่าทำผิดที่รบกวนลูกค้าของรีสอร์ต...ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อน้าเลเดินเข้ามาหา

“เออ...” ยังไม่ทันที่ธันวาจะได้พูดอธิบายอะไร ไอ้พร้าวก็รีบเป่าปี่น้ำตาไหลพรากๆ

“อือ อือ” มันแหกปากร้องไห้เสียงดังลั่น ข้าวที่เพิ่งตักทานร่วงจากปาก น้ำตาน้ำมูกไหลผสมรวมกัน ธันวาทั้งตกใจทั้งมึนงง ได้แต่นั่งนิ่งมองภาพตรงหน้า

“เฮ้อ ไอ้นี่” เลถอนหายใจก่อนจะวางปิ่นโตลงบนโต๊ะ ยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูเช็ดปากที่เลอะของหลาน...ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย แค่เรียกชื่อมันเท่านั้น

ไอ้พร้าวบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปรับลูกค้ากับลุงกิต เลเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เป็นห่วงว่าสายป่านนี้แล้วไอ้หลานรักยังไม่กลับมาทานข้าวที่บ้าน อีกทั้งได้ยินมันบ่นว่าอยากกินไข่ตุ๋นจึงหิ้วปิ่นโตมาให้ด้วย เห็นมันกำลังนั่งทานข้าวกับลูกค้าของรีสอร์ตอยู่พอดีเลยแกล้งทำหน้าดุไปอย่างนั้น

“ร้องไห้ทำไม เอ็งนี่นับวันยิ่งบีบน้ำตาเก่ง” เลบ่นพร้อมเช็ดน้ำตาน้ำมูกให้หลาน “ขอโทษนะครับที่หลานผมมากวน” เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ด้วยจึงเอ่ยขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ ผมชวนน้องทานข้าวเอง ไม่ต้องดุแกนะครับ” ธันวาไม่อยากให้เด็กต้องถูกดุทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

“ไม่หรอกครับ แค่เอากับข้าวมาให้มันเท่านั้น” เลยิ้ม พอปลอบไอ้พร้าวให้หยุดร้องไห้ได้แล้วจึงเปิดปิ่นโต วางไข่ตุ๋นอุ่นๆ น่าทานลงตรงหน้าหลาน “อะ รีบกินจะได้รีบกลับ รบกวนเขานานแล้ว”

จากนั้นเดินไปหาแม่ของไอ้ปืนที่ยืนเช็ดถ้วยชามหลังเคาน์เตอร์บาร์ “ขอโทษนะพี่ มาสร้างเรื่องแต่เช้าเลย” เขานั่งลงหน้าเคาน์เตอร์

“ไม่เป็นไรคนกันเองทั้งนั้น ลูกค้าคนนี้ปีก่อนเขาก็มานะที่ไอ้พร้าวกับไอ้ปืนกระโดดขึ้นหลังกระบะลุงกิตไปรับในเมืองไง” ติ๋มเล่า

เลนั่งนึกตาม คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น “อ้อ จำได้ละพี่ มาบ่อยแบบนี้สงสัยจะติดใจรีสอร์ตของพี่ละมั้ง” เขาพูดขำๆ แล้วหันไปมองไอ้พร้าวตักไข่ตุ๋นคำโตเข้าปาก เมื่อมองเลยไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับหลานก็ต้องขมวดคิ้ว

จะใช่คนที่ไอ้พร้าวนั่งกอดสมุดวาดเขียนรออยู่เป็นอาทิตย์หรือเปล่า...เลจำได้ว่าตอนนั้นไอ้หลานรักนั่งชะเง้อคอมองหน้าบ้านทุกวัน จนเขาทนไม่ไหวต้องเอาตัวมันมาเค้นถาม พอได้คำตอบเขาก็นึกโกรธผู้ชายคนนั้นแทบตาย แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว ไม่รู้จะโกรธไปทำไม บางทีไอ้พร้าวอาจจะเข้าใจผิดไปเองว่าเขาจะมาหา

อา...ใช่จริงๆ ด้วย คนนี้แหละ มิน่าไอ้พร้าวถึงตื่นแต่ไก่โห่ ปั่นจักรยานมาบ้านของไอ้ปืนตั้งแต่เช้า

“แต่ก็แปลกนะ เขามาสามปีติดเลย แล้วยังมาช่วงเดือนธันวาเหมือนเดิมด้วย ปกติเดือนนี้คนส่วนใหญ่ขึ้นเหนือกันไม่ใช่เหรอ” ติ๋มถามพลางจัดถ้วยชามให้เป็นระเบียบ

“ไม่ชอบความวุ่นวายมั้งพี่ หน้าหนาวใครๆ ก็ไปเหนือ แย่งกันกินแย่งกันเที่ยว” เลตอบตามที่คิด

“ก็จริง”

หลังจากไอ้พร้าวทานข้าวจนอิ่มและเก็บจานเรียบร้อยแล้ว มันก็ถือปิ่นโตเปล่ามาหาน้าเลด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมผิดปกติ

“จะกลับแล้วใช่ไหม” เลถามเสียงอ่อนโยน

“จ้ะ”

เลยิ้มอย่างเอ็นดูจูงมือหลานเดิน ทว่าเมื่อเดินผ่านตัวธันวาก็หยุดชะงักเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “จะพามันไปวาดรูปอีกไหมครับ” เขาหันกลับมาถามอีกฝ่าย ไอ้พร้าวเงยหน้ามองธันวาด้วยแววตาเป็นประกาย

“เออ ครับ” ธันวาตอบแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายคนนี้พูด ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง มองหน้าธันวาทีน้าเลที

“ยังไงก็รบกวนพามันไปด้วยนะครับ” เลพูดก่อนจะก้มหัวลาอีกฝ่าย ไอ้พร้าวเดินตามผู้เป็นน้า แต่ไม่วายหันกลับมายิ้มให้ธันวาจนลับตา

เลไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดแบบนั้นออกไป ทั้งที่ไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขายอมปล่อยให้หลานไปกับคนแปลกหน้า...คงเพราะแรงแกว่งแขนไปมากับเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของไอ้หลานรักละมั้ง

หลังจากกลับมาที่บ้านพัก ธันวาได้แต่นั่งคิดในสิ่งที่เลพูด มันผ่านมาเป็นปีแล้ว เขาจำได้เพียงว่าตอนนั้นตัวเองได้รับอุบัติเหตุเล็กน้อย และต้องกลับกรุงเทพก่อนกำหนดตามคำรบเร้าของคนรัก แต่เหมือนมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ

“เฮ้อ แย่แล้วไง” เขายกมือขึ้นกุมขมับ...จำได้แล้ว

เด็กคนนี้ชื่อพร้าว เมื่อปีก่อนเขาเคยไปวาดภาพกับมัน และบอกว่าจะมาหาในวันถัดไป แต่เขาเป็นฝ่ายลืม กลับกรุงเทพทั้งที่ไม่ได้บอกอีกฝ่าย...ตอนนั้นคงรอเขาแย่ แววตาที่เป็นประกายของมันเมื่อมองมาเป็นคำตอบได้ดีว่าจำเขาได้ และอาจจะยังรอ

ธันวาคว้าอุปกรณ์วาดภาพแล้วออกไปจากรีสอร์ตทันที เส้นทางที่พอจะคุ้นเคยทำให้พาตัวเองมาหยุดยืนที่หน้า ‘ร้านน้องพร้าว’ รูปไวนิลถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นรูปเด็กพร้าวยืนถือเกียรติบัตรสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดในวิชาคณิตศาสตร์ คงเป็นความภาคภูมิใจของผู้เป็นน้าถึงขนาดเอามาเป็นรูปประกอบชื่อร้าน

“หึหึ” ธันวาพยายามกลั้นขำ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

ทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน ธันวาก็เจอกับแผ่นหลังเล็กของใครคนหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร...ไอ้ตัวจ้อยกำลังแกะเม็ดสะตอออกจากฝักอย่างเรื่อยเฉื่อย โดยไม่รู้ว่ามีใครอีกคนยืนมองอย่างเงียบๆ จากด้านหลัง

“เก่งจังเลยครับ ช่วยคุณน้าทำงานด้วย”

ไอ้พร้าวสะดุ้งเมื่อมีคนมากระซิบข้างหู เจ้าตัวหันขวับทันที ตากลมโตมองธันวาด้วยความสงสัย มันเอียงคอทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมพูดออกมา

“นี่” ธันวาชูสมุดวาดเขียนให้เด็กชายดู แต่ไอ้พร้าวยังคงทำสีหน้าไม่เข้าใจ “ไปวาดรูปกันไหมครับ” เขาเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม มันนิ่งไปครู่ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วพยักหน้ารัว

“แต่พร้าวยังทำงานไม่เสร็จเลยนะครับ แล้วจะไปวาดรูปกับพี่ได้ยังไง” เขาท้วงเมื่อไอ้ตัวจ้อยตั้งท่าจะลุกขึ้น

ไอ้พร้าวทำหน้าหงอย ก้มมองสะตออีกหลายฝักที่ยังไม่ได้แกะ มันคิดอยู่ครู่ก่อนเงยหน้าตอบ “คอยมาทำ”

ธันวาส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ ทำให้เสร็จก่อนค่อยไป พี่รอได้” เขาบอกอย่างอ่อนโยน

ไอ้พร้าวถอนหายใจแล้วนั่งลงตามเดิม ท่าทางขะมักเขม้นของเพื่อนตัวน้อยทำให้ธันวานึกอยากวาดมันเก็บไว้ เขาหยิบสมุดวาดเขียนกับดินสอออกมา ไอ้พร้าวเงยหน้ามองด้วยความสงสัย เขายิ้มแล้วเร่งให้มันรีบทำงาน

ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีงานของไอ้พร้าวก็เสร็จเรียบร้อย มันหันมายิ้มด้วยความดีใจแล้วลุกขึ้นวิ่งไปเตรียมอุปกรณ์วาดภาพของตัวเอง ธันวามองตามด้วยรอยยิ้ม

“พร้อมแล้วจ้ะ” มันบอกพร้อมชูสมุดวาดเขียนกับดินสอขึ้นให้อีกฝ่ายดู

“บอกคุณน้าหรือยังครับ” ธันวาถาม มันพยักหน้าตอบ

“ไอ้ลิงลม” เสียงน้าเลของไอ้พร้าวดังมาจากในครัว มันลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหา

ธันวาขมวดคิ้ว กลัวว่าจะก่อเรื่องให้ไอ้พร้าวถูกดุ แต่กังวลได้ไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมาพร้อมกล่องใส่อาหาร ท่าทางอารมณ์ดีของเพื่อนตัวน้อยทำให้เขาสงสัย “อะไรหรือครับ”

“สาคูไส้หมูจ้ะ น้าเลให้เอาไปกินด้วย น้าเลทำอร่อยที่สุดในโลก” ไอ้พร้าวยิ้มกว้างจนตาหยี หากผู้เป็นน้าได้ยินเข้าคงยิ้มหน้าบานทั้งวันแน่ๆ

“ขนาดนั้นเชียว” ธันวาแสร้งทำหน้าสีหน้าตื่นเต้น

“ใช่จ้ะ” มันตอบอย่างภาคภูมิใจ

ระหว่างเดินไปชายหาด ไอ้พร้าวชี้ชวนให้ธันวาดูสิ่งต่างๆ รอบตัวและพูดคุยอย่างสนุกสนาน บางครั้งมันก็บ่นเรื่องน้าเลบ้าง เรื่องไอ้ปืนบ้าง เขาจึงเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ว่าเพื่อนตัวน้อยจะพูดอะไรก็เออออด้วยหมด

“ไปที่เดิมกันไหม” ธันวาถามเมื่อนึกถึงที่ๆ เคยไปเมื่อปีก่อน

“ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวตอบแล้วเดินนำทาง

บริเวณชายหาดนี้ยังคงสวยงามไม่เปลี่ยน ธันวาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ครั้งก่อนที่มายังไม่ทันได้วาดภาพเสร็จก็ต้องรีบกลับ มาคราวนี้จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกเด็ดขาด

“สวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” หันมาคุยกับเพื่อนตัวน้อยข้างกาย มันยิ้มจนตาหยี

เมื่อเลือกที่นั่งได้แล้ว ธันวาจึงปลดปล่อยอารมณ์ไปกับการวาดภาพ โดยมีไอ้พร้าวนั่งกินสาคูไส้หมูเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ตากลมโตของมันตั้งใจมองภาพที่เขาวาด ส่วนปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

พอทานไปได้สักพักไอ้พร้าวก็นึกขึ้นได้ว่าต้องแบ่งให้เพื่อนต่างวัยได้ชิมฝีมือของน้าเล มันใช้ส้อมจิ้มสาคูไส้หมูแล้วยื่นมาที่ปากของธันวา เขาชะงักไปครู่ก่อนจะอ้าปากรับ

“อร่อยไหมจ๊ะ” มันถามอย่างความคาดหวัง

“อร่อยมากเลยครับ” ธันวาตอบในทันทีพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หากจะให้พูดตามความจริง...เขาไม่ชอบสาคูไส้หมูเอาเสียเลย รู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ได้ทาน

ไอ้พร้าวยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ “หนูบอกแล้วว่าน้าเลทำอร่อยที่สุดในโลก” จากนั้นจิ้มสาคูไส้หมูป้อนธันวาสลับกับทานเองจนหมดกล่อง

“พี่รู้สึกหิวน้ำแล้วล่ะ สงสัยต้องไปหาซื้อร้านค้าใกล้ๆ พร้าวช่วยเฝ้าของให้ด้วยนะครับ” ธันวาพูดขึ้นเมื่อสาคูไส้หมูเริ่มมาจุกอยู่ที่คอ ไอ้พร้าวพยักหน้ารับอย่างใสซื่อ

หากใครได้เห็นสภาพของชายอกสามศอกกำลังโก้งคออาเจียนสาคูไส้หมูคงได้หัวเราะไปตามๆ กัน ธันวายกน้ำขึ้นดื่มกลั้วปากอยู่หลายรอบ ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่สามารถทานมันได้เลยสักครั้ง แม้จะไม่ชอบสักแค่ไหน แต่ยังฝืนใจทานเพราะกลัวเพื่อนตัวน้อยเสียใจ

“เรานี่มัน...” ธันวาส่ายหน้าขบขันตัวเอง...บ้าจริงๆ

เมื่อเดินกลับมาที่ชายหาด ธันวาเห็นไอ้พร้าวชะเง้อคอมองมาแต่ไกล มันกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีกลับไปเหมือนครั้งก่อน แต่เมื่อเห็นธันวาเดินกลับมาก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ

“รอนานมากไหมครับ ขอโทษด้วย” ธันวาลูบหัวเพื่อนตัวน้อยเบาๆ

“ไม่จ้ะ หนูวาดรูปเสร็จพอดี” ไอ้พร้าวชูสมุดวาดเขียนให้ดู

ธันวามองภาพวาดที่มีภูเขา ทะเล ชายหาด และดวงอาทิตย์ “ว้าว เก่งมากเลยครับ” เขาเอ่ยชมด้วยท่าทางตื่นเต้น ไอ้พร้าวยิ้มบิดตัวไปมา รีบดึงกระดาษแผ่นนั้นออกจากสมุดวาดเขียนแล้วยื่นมาให้

“ให้พี่หรือครับ ขอบคุณมากนะ” ธันวารับมาดูอีกรอบก่อนจะสอดไว้ในสมุดวาดเขียนของตัวเอง “งั้น...ถ้าพี่วาดรูปนี้เสร็จจะให้พร้าวแล้วกัน ถือว่าแลกกันดีไหม” เขาเสนอความคิด ไอ้พร้าวพยักหน้ารัว มันชอบรูปที่ธันวาวาด มันไม่เคยเห็นใครวาดได้สวยเท่านี้มาก่อน

“โอเคนะครับ พี่จะวาดให้สุดฝีมือเลย” ธันวาพูดด้วยท่าทางมุ่งมั่น ไอ้พร้าวมองคนตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชม สำหรับมันแล้วธันวาคือคนที่เท่ที่สุดรองจากน้าเล

ธันวาใช้เวลาวาดภาพจนถึงบ่ายแก่ๆ ชื่นชมผลงานของตัวเองเพียงครู่ก่อนนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนตัวน้อยคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ แต่เมื่อหันไปมองกลับพบว่าอีกฝ่ายนอนหลับปุ๋ยบนผ้าปูเรียบร้อยแล้ว

“ปลุกดีไหม” ถามตัวเองเบาๆ ดูเหมือนไอ้พร้าวจะนอนหลับสนิท ที่มุมปากยิ้มน้อยๆ คงฝันดีอยู่แน่ๆ เห็นอย่างนี้แล้วธันวาก็ไม่คิดจะปลุก เขาอมยิ้ม เก็บของใส่กระเป๋าแล้วอุ้มเพื่อนตัวน้อยขึ้นมา

แม้ระยะทางจากชายหาดนี้ไปถึงร้านน้องพร้าวจะไกลพอสมควร แต่ธันวาไม่รู้สึกเหนื่อยสักเท่าไหร่เพราะเด็กชายที่อุ้มอยู่นี้ตัวหนักนิดเดียว เมื่อใกล้ถึงร้านก็เจอน้าเลของไอ้พร้าวเดินออกมาจากร้านพอดี

“อ้าว หลับซะแล้วไอ้ลิงลมนี่” เลยิ้มอย่างเอ็นดู รับหลานมาอุ้มเอง

“ออกไปตั้งหลายชั่วโมงน้องคงเพลียมาก ขอโทษจริงๆ นะครับ” ธันวาก้มหัวขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ ไอ้พร้าวรบกวนคุณหรือเปล่า” เลถามอย่างเกรงใจ ไม่รู้ว่าไอ้หลานรักติดใจอะไรคนๆ นี้นักหนา

“ไม่เลยครับ มีน้องอยู่เป็นเพื่อนสนุกมาก” ธันวายิ้ม

“เข้ามาในร้านก่อนสิครับ ทานข้าวเย็นก่อนค่อยกลับ” เลไม่รอฟังคำตอบเดินอุ้มไอ้พร้าวเข้าไปในร้านทันที ธันวาจำต้องเดินตามอย่างเสียไม่ได้ ผู้เป็นน้าวางหลานลงบนระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาจากครัวแล้วหาหมอนมาให้หนุนนอนสบาย

“เออ วันนี้ผมต้องขอตัวก่อนครับ พอดีสั่งพี่ติ๋มทำข้าวเย็นไว้ให้แล้ว เอาไว้วันหลังนะครับ” ธันวาบอกอย่างเกรงใจ

“ได้ครับๆ ไม่เป็นไร”

“อ้อ นี่ของน้องครับ” ธันวายื่นสมุดวาดเขียนและดินสอของไอ้พร้าวให้เลก่อนดึงรูปที่วาดวันนี้ออกจากสมุด

“อันนี้ก็ของไอ้พร้าวหรือ” เลมองภาพวาดในมืออีกฝ่าย มันสวยมากจนไม่กล้ารับไว้

“ใช่ครับ ฝากให้น้องด้วยนะครับ แลกกับรูปที่น้องวาดให้ผม”

ได้ยินดังนั้นเลจึงรับมา “ขอบคุณมาก”

“ผมไปก่อนนะครับ” ธันวายกมือไหว้แล้วเดินจากไป

“เออ ลืมถามเลยว่ะว่าชื่ออะไร” เลเกาหัวแกรกๆ มึนงงกับตัวเองก่อนจะมองภาพวาดในมือ ได้แต่คิดในใจว่าไอ้หลานรักมันวาดภาพอะไรไปแลกกับเขา

เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ต ธันวาเลือกอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรกเพราะรู้สึกเหนียวไปทั้งตัว จากนั้นโทรหาแฟนสาวเพื่อฟังเสียงงอแงของเธอให้ชื่นใจ

“ธันอะ ไม่รอมนต์อีกแล้ว” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงแสนงอน

“ก็มนต์บอกเองว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนนี่ครับ” การมาเที่ยวครั้งนี้ธันวาตัดสินใจอย่างกะทันหัน กว่าจะได้บอกแฟนสาว เขาก็จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว

“ธันอะ จำไว้เลย มนต์ก็คิดว่าธันจะไปเชียงใหม่ด้วยกัน เป็นไงล่ะ ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสักที” เสียงงอแงของคนรัก ทำให้ธันวายิ้มกว้าง เพราะเธองอแงได้น่ารักเหลือเกิน หากอยู่ใกล้คงจับมาฟัดแก้มให้หายมันเขี้ยว

คุยกันได้พักใหญ่จนฟ้าเริ่มมืด ธันวาจึงขอวางสาย เขามองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้จะได้เวลาทานข้าวเย็นแล้ว ระหว่างเดินออกจากห้อง สายตาพลันสะดุดกับภาพวาดที่ตัวเองวาดไว้เมื่อตอนเช้า อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงสีหน้าจริงจังของเพื่อนตัวน้อย...เห็นทีหลังทานข้าวเย็นคงต้องมานั่งวาดให้เสร็จ

วันรุ่งขึ้นธันวาตระเวนเดินรอบชายหาดเพื่อหามุมวาดภาพ ผ่านไปเป็นชั่วโมงก็ยังหามุมที่ถูกใจไม่ได้สักที จึงตัดสินใจนั่งพักที่ม้านั่งใกล้ๆ ยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยเขาก็เห็นเด็กชายสองคนที่ดูคุ้นหน้ากำลังยืนเกาะรถไอศกรีม

ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองมองคนขายตาละห้อย ดูจากเสื้อผ้าและริมฝีปากที่เปื้อนคราบไอศกรีมก็พอจะเดาได้ว่าคงซื้อไอศกรีมกินจนไม่เหลือเงินอีก

“ลุงลดราคาได้ไหมจ๊ะ พวกหนูมีอยู่เจ็ดบาท” น้ำเสียงออดอ้อนของไอ้พร้าวทำให้ธันวากลั้นขำ

“ไม่ได้ๆ ของซื้อของขาย อยากกินอันนี้ก็เอามาสิบบาท” ลุงคนขายพูดอย่างรำคาญ

“ก็ไม่มีแล้วอะ” ไอ้ปืนเถียง

“ไม่มีก็ไม่ต้องกิน ไปๆ ขวางหน้าร้าน” ลุงคนขายปัดมือไล่ ไอ้ตัวจ้อยหันมาสบตากันอย่างน่าสงสาร

ธันวาทนมองไม่ไหวจึงเดินเข้าไปหา “เออ พี่ครับน้องอยากกินอะไรเอาให้พวกแกเลยครับ เดี๋ยวผมจ่ายให้”

“อา ได้ๆ” ลุงคนขายหยิบไอศกรีมยื่นให้พวกมันคนละแท่ง ไอ้ปืนรับไปทันที แต่ไอ้พร้าวกลับลังเล มันมองไอศกรีมทีมองหน้าธันวาที

“หนูไม่เอาจ้ะ” ไอ้พร้าวปฏิเสธ

ธันวาถึงกับหน้าเหวอ “ทำไมล่ะพร้าว พี่ให้”

“หนูไม่อยากรบกวน” ไอ้พร้าวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง น้าเลคงโกรธหากรู้ว่ามันรบกวนอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร พี่ไม่บอกคุณน้าหรอก” ธันวาพอจะเดาเหตุผลของเพื่อนตัวน้อยได้ ไอ้ปืนมองเพื่อนรักอย่างไม่ใส่ใจนัก มันแกะไอศกรีมกินอย่างมีความสุข

“ไม่เอาจ้ะ” ไอ้พร้าวก้มหน้างุด พยายามห้ามใจตัวเอง

“เอาอย่างนี้ละกัน พี่ซื้อกินเองแต่แบ่งพร้าวกินด้วย โอเคไหม” ธันวาหยิบไอศกรีมมาแล้วจ่ายเงิน ไอ้พร้าวเอียงคอมองอีกฝ่ายแกะถุงไอศกรีมอย่างไม่เข้าใจ

ธันวากัดไปเพียงนิดเดียวแล้วยื่นให้ไอ้พร้าว “พี่กินอิ่มแล้ว พร้าวกินเถอะ พี่ให้” มันกะพริบตาปริบๆ ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนรับไอศกรีมมากินด้วยแววตามีความสุข

“มึงเอามากินแต่แรกก็จบ ขอบคุณจ้ะพี่ธัน” ไอ้ปืนว่าเพื่อนรักในประโยคแรกแล้วหันมาพูดขอบคุณธันวา

“ถ้าน้าเลรู้ กูได้หัวปูดพอดี” ไอ้พร้าวลูบหัวตัวเองเป็นท่าประกอบ

“แล้วจะไปไหนกันครับ” ธันวาเห็นท่าว่าสงครามน้ำลายกำลังจะเริ่มขึ้นจึงถามแทรกขึ้นมาก

“ไปสะพานปลาจ้ะ น้าเลให้ไปเอากุ้งที่สั่งไว้” ไอ้พร้าวตอบแล้วกัดไอศกรีมคำโตที่เริ่มละลาย

“อยู่ไกลไหมครับ”

“ไม่ไกลจ้ะ เดินไปทางนี้อีกนิดเดียวก็ถึง” ไอ้ปืนชี้ไปยังทิศทางที่ต้องเดิน

“พี่ขอไปด้วยได้ไหม”

“ได้จ้ะ” ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 21:58:30 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

ธันวาเดินตามหลังพวกเด็กๆ ไปที่สะพานปลา คำว่าไม่ไกลสำหรับเด็กสองคนนี้คงนิยามไม่เหมือนกับเขา กว่าจะถึงธันวาก็แทบขาลาก แต่ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองกลับดูสนุกสนามวิ่งไปทักทายคนนู้นทีคนนี้ที โดยไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อย

“ทางนี้จ้ะพี่ธัน” ไอ้พร้าวจูงมือธันวาเดินตรงไปที่เรือลำหนึ่ง มันเรียก ‘พี่ธัน’ ตามที่ไอ้ปืนเรียก

“ไม่เหนื่อยกันเลยหรือครับ พี่แทบจะเป็นลม” ธันวาใช้มืออีกข้างปาดเหงื่อตัวเอง

“หนูไปขอยาดมให้ไหม” ไอ้พร้าวมีสีหน้าเป็นห่วง กลัวว่าพี่ธันของมันจะเป็นลมจริงๆ

“ไม่ครับ พี่แค่พูดเล่น แหะๆ ” ธันวาหัวเราะแหะๆ มันคลายสีหน้ากังวลในทันที

“ป้าสวยหนูมาเอากุ้งจ้ะ” ไอ้พร้าวพูดกับหญิงวัยประมาณสี่สิบปลายๆ

“ทำไมไอ้เลไม่มาเองล่ะ ใช้เด็กถือของหนักๆ ได้ไง ไอ้ห่านี่” ป้าสวยบ่นไม่จริงจังนัก

“หนูกับไอ้ปืนช่วยกันถือจ้ะ” ไอ้พร้าวบอกก่อนจะเรียกไอ้ปืนมาช่วยถือ

“พี่ถือให้ดีกว่าครับ” ธันวารีบเข้าไปรับกล่องโฟมที่บรรจุกุ้งหนักห้ากิโลแทนเด็กๆ

“เออดีๆ ป้าก็ห่วงว่าพวกมันจะกระดูกหักกัน ไอ้น้าเวรนั่นก็กล้าใช้หลานมารับแทนนะ” ป้าสวยบ่นอีกรอบ ก่อนกลับยังให้กุ้งไอ้ปืนกับไอ้พร้าวไปกินคนละสามตัว

“ให้หนูช่วยไหมจ๊ะ” ไอ้พร้าวถามอย่างเป็นห่วง พี่ธันของมันเหงื่อไหลเต็มหน้า ดูท่าเหมือนจะไม่ไหว

“ไม่เป็นไรครับ” ธันวาฉีกยิ้มอย่างสุดความสามารถ

ปี๊ดๆ เสียงแตรรถที่ดังไล่หลังทำให้ทั้งสามหันกลับไปมอง

“น้าเล!” ไอ้พร้าวเรียกอย่างดีใจ วิ่งไปที่รถก่อนใครเพื่อน

“เอ็งให้เขาถือได้ไงวะ รบกวนเขา” เลดุหลานทันทีแล้วรีบลงจากรถไปรับกล่องโฟมมาวางไว้ที่กระบะ ที่จริงเขาแค่ให้พวกมันสองคนไปรอที่สะพานปลาแล้วจะแวะมารับ แต่ไอ้หลานรักคงไม่เข้าใจในสิ่งที่สั่ง

เลเหลือบมองกระจกหลังก่อนจะพูดขึ้น “ขอโทษนะคุณ ลำบากคุณเลย”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ลำบากอะไร” ธันวายิ้มพร้อมปาดเหงื่อ

“ก็น้าเลไม่พูดให้เข้าใจ” ไอ้พร้าวที่นั่งข้างคนขับบ่นออกมาหลังจากเลทวนคำสั่งให้มันฟังอีกรอบ...ก็ไม่เข้าใจจะหาว่ามันเป็นฝ่ายผิดแบบนี้ไม่ได้

“ตอนที่ข้าพูดนี่เคยสนใจบ้างไหม เอ็งก็ห่วงแต่เล่น” เมื่อเช้านี้ตอนที่สั่งหลาน ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบไอ้พร้าวก็วิ่งไปเสียก่อนเพราะนัดดูการ์ตูนกับไอ้ปืนไว้

ธันวาได้แต่หัวเราะเบาๆ เมื่อสงครามน้ำลายระหว่างน้าหลานเกิดขึ้น..ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ แต่ฟังไปฟังมาก็เพลินดีเหมือนกัน

“เมื่อวานผมก็ลืมถาม คุณชื่ออะไรครับ” เมื่อสงครามน้าหลานจบลง เลจึงถามขึ้น

“ชื่อ ธัน ครับ”

“ผมเลนะเป็นน้าของไอ้พร้าว ทำไมมาคนเดียวล่ะ ปีก่อนก็มาคนเดียวใช่ไหม” เลชวนคุย ไอ้พร้าวกับไอ้ปืนนั่งฟังกันอย่างเงียบๆ

“ใช่ครับ มาคนเดียวก็สบายใจดีครับ มาผ่อนคลายก่อนสอบ” ธันวาตอบไปตามความจริง

“อ้าว ยังเรียนอยู่เหรอ นึกว่าทำงานแล้วซะอีก” เลตกใจจึงหลุดพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป

“โห พี่ ผมเพิ่งอยู่ปีสามเองนะ หน้าผมแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ธันวาพูดอย่างขบขัน เขาชินแล้วกับการถูกเข้าใจผิดอย่างนี้

“โทษทีๆ ฮ่าๆ”

เมื่อเห็นผู้ใหญ่หัวเราะ พูดคุยกันอย่างออกรส ไอ้พร้าวกับไอ้ปืนก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง พวกมันเองก็อยากมีส่วนร่วมในการสนทนาบ้าง

“น้าเลเอากุ้งไปทำไมเยอะแยะ” ไอ้พร้าวพูดแทรกขึ้น

“อ้อ ทำกับข้าวไปช่วยเขา พรุ่งนี้ไอ้พุขึ้นบ้านใหม่”

“หนูไปด้วยๆ” ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองประสานเสียงกัน

เลแสร้งถอนหายใจอย่างรำคาญ “ไม่ได้ เดี๋ยวพวกเอ็งไปวิ่งซนทำงานเขาวุ่นวาย” พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ธันวานิ่งมองสถานการณ์เงียบๆ เขาเองก็นึกสนุกเหมือนกันที่ได้ดูพวกมันถูกแกล้ง

“หนูจะเป็นเด็กดี นะๆ น้าเลหล่อที่สุดในโลก” ไอ้พร้าวเข้าไปบีบนวดแขนผู้เป็นน้า

“หนูจะอยู่นิ่งๆ นั่งฟังพระเทศน์” ไอ้ปืนมาเหนือกว่า ไอ้พร้าวยื่นมือไปตบป๊าบเข้าที่หัวเพื่อนรักทันที

เมื่อรถเข้ามาจอดที่บ้าน เลจึงหันมามองหน้าไอ้ตัวแสบทั้งสอง “เออๆ ถ้าพวกเอ็งจะเป็นเด็กดีนั่งฟังพระเทศน์ ข้าก็จะให้ไป แต่ถ้าเริ่มซนเมื่อไหร่ ได้กลับบ้านแน่ๆ” เขาชี้หน้า จ้องพวกมันทีละคน

“ได้จ้ะ” พวกมันตอบเสียงหงอย เมื่อลงจากรถไอ้พร้าวก็ได้แต่ด่าไอ้ปืนเบาๆ ที่มันบอกจะไปนั่งฟังพระเทศน์

“แสบใช่ย่อยนะครับ” ธันวามองตามหลังเด็กทั้งสอง

“ธรรมดากันซะที่ไหน พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหม”

“เออ จะเป็นการรบกวนหรือเปล่าพี่ ผมไม่รู้จักใครเลย มันออกจะแปลกที่ไปงานเขา” จะว่าอยากไปก็ใช่แต่เขาเป็นคนต่างถิ่น มันจะดีหรือ

“เฮ้ย คนที่นี่ใจดี เขาต้อนรับนักท่องเที่ยวกันทั้งนั้น ถือว่าไปดูประเพณีก็แล้วกัน แต่ละที่มันก็ต่างกันไป อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย ช่วยไปดูไอ้สองตัวนั่นก็ดี แอบห่วงว่ามันจะไปทำงานเขาวุ่นวาย” เลพูดอย่างเป็นกันเอง หลังจากที่ได้คุยกับธันวาบ้างแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายดูเป็นมิตร ไม่ได้มีพิษภัยอะไร

“งั้นผมรบกวนด้วยละกันครับ”

บรรยากาศและพิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ของที่นี่ดูแตกต่างจากกรุงเทพพอสมควร หลายๆ คนที่รู้ว่าธันวาเป็นนักท่องเที่ยวก็พากันเข้ามาพูดคุยด้วยอย่างเป็นมิตร

อีกทั้งธันวายังมาในฐานะพี่เลี้ยงเด็กจำเป็น “คุณน้าบอกให้เป็นเด็กดี อย่าซนกันสิครับ” วันนี้ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองแต่งตัวประชันความหล่อ ประแป้งหน้าขาวผ่องกันเลยทีเดียว ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องยิ้มอย่างเอ็นดู

“หนูอยากไปดูตรงนู้น” ไอ้พร้าวเริ่มงอแงเมื่อเห็นเด็กวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน

“ไม่ได้ครับ พระท่านมาแล้ว ไหนว่าจะมาฟังพระเทศน์ไงครับ” ธันวาอมยิ้มเมื่อได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของไอ้ตัวแสบทั้งสอง

“เพราะมึงอะไอ้ปืน” ไอ้พร้าวเริ่มโวยวาย

“ถ้ากูไม่พูด มึงก็ไม่ได้มา” ไอ้ปืนโต้กลับ

ธันวายกมือขึ้นกุมขมับ “พอได้แล้วครับ เข้าไปข้างในกันเถอะ ขืนทะเลาะกันแบบนี้ พี่จะพากลับนะ” เขาแสร้งทำหน้าดุ ไอ้ตัวจ้อยพากันทำปากยื่นแต่ก็ยอมเข้าไปในบ้านอย่างว่าง่าย

ในระหว่างที่นั่งฟังพระเทศน์ไอ้พร้าวกับไอ้ปืนต่างขยับตัวยุกยิกกันไม่หยุด บ่นเมื่อยบ้าง ปวดขาบ้าง เล่นเอาธันวาเหนื่อยเลยทีเดียว เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้น พวกมันก็พากันวิ่งวุ่นไปทั่วงาน ขากลับยังหอบหิ้วถุงขนมพะรุงพะรังกลับมาด้วย

“เหงื่อแตกเลยละสิ” เลทักทันทีเมื่อเข้ามาในรถ

“เหมือนจับปูใส่กระด้งเลยพี่ พลังเยอะเหลือเกิน” ธันวาบ่นพลางมองเด็กทั้งสองแบ่งขนมกันกิน

“ไม่เคยตีมันลงสักครั้ง มันถึงได้ซนกันขนาดนี้ แพ้พวกมันตลอด” เลยิ้มอย่างมีความสุขขัดกับสิ่งที่พูดออกมา



ธันวาใช้เวลาอีกห้าวันไปๆ มาๆ ร้านน้องพร้าว มีเพื่อนตัวน้อยคอยแนะนำสถานที่สวยๆ ให้ได้วาดภาพ ดวงตาคมมองทะเลเบื้องหน้าด้วยความหลงใหล คงดีไม่น้อยหากได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่อาจทำได้

“พี่ธันจะกลับพรุ่งนี้จริงๆ เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวที่นั่งอยู่ข้างกันถามด้วยน้ำเสียงหงอยๆ มันไม่อยากให้พี่ธันกลับ มันอยากมีพี่ชายตัวโตๆ แบบนี้เป็นเพื่อนเล่น

“พี่ต้องกลับไปเรียนครับ ปีหน้าพี่สัญญาว่าจะมาอีก” ธันวาหันมาบอก แต่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของไอ้พร้าวจึงวางดินสอในมือลง “เอาอย่างนี้ไหมครับ พี่จะให้ที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ เราจะได้ติดต่อกัน” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน พลิกกระดาษวาดภาพไปอีกด้านแล้วเขียนที่อยู่บ้านและเบอร์โทรศัพท์ลงไป

“อะ พี่ให้ทั้งภาพเลย ได้ไปแล้วก็อย่าลืมติดต่อหาพี่นะ” เขายื่นภาพวาดเด็กชาย...เห็นทีว่าการมาพักผ่อนในครั้งนี้จะคุ้มค่ากว่าที่ผ่านมา

“ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวรับกระดาษแผ่นนั้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง มันได้ทั้งรูปที่พี่ธันวาดและที่อยู่ติดต่อ

“มาครั้งหน้าพี่จะซื้อของมาฝากนะ” ธันวามองเพื่อนตัวน้อยอย่างเอ็นดู

“ขอบคุณจ้ะ”

นับจากวันพรุ่งนี้ การรอคอยของไอ้พร้าวจะได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง มันไม่เคยเบื่อกับการนับวันเวลาที่จะได้พบธันวาเลยสักวินาทีเดียว



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 21:59:21 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 4


ไอ้พร้าวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี สองมือพับกระดาษเอสี่ไปมาสามทบให้พอดีกับซองจดหมาย แล้วจ่าหน้าซองถึงใครบางคนที่มันจำที่อยู่ได้ขึ้นใจ จากนั้นปิดซองและติดแสตมป์ มันมองซองจดหมายด้วยรอยยิ้มก่อนจะปั่นจักรยานคู่ใจไปหน้าหมู่บ้านประมาณห้ากิโลเมตรเพื่อหย่อนซองจดหมายลงตู้ไปรษณีย์

“ไอ้ลิงลมหายหัวไปไหนมา” เลถามขึ้น หน้าบึ้งตึงทันทีที่ไอ้หลานรักกลับมาถึงบ้าน

“ไปส่งจดหมายมาจ้ะ” มันตอบด้วยสีหน้ามีความสุข

“เอ้า! ไอ้นี่ เอ็งจะไปส่งอะไรบ่อยนักหนา ไปช่วยไอ้พัทธ์เด็ดใบกะเพราเลย” เลไม่ได้เซ้าซี้อะไรหลานเพราะชินกับพฤติกรรมของมันเสียแล้ว

“จ้ะ” ไอ้พร้าวตอบ ผิวปากตั้งท่าจะเดินไปที่ครัว

“เดี๋ยว!” เลจับคอเสื้อของหลานไว้ได้ทันเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แม่ไอ้ปืนบอกว่าเอ็งแข่งวาดรูปได้ที่หนึ่ง”

ไอ้พร้าวเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่จ้ะ แหะๆ”

“เอามาดูซิ ได้ตั้งที่หนึ่งทำไมไม่บอกน้าเอ็งบ้าง” เลกอดอกมองหลานอย่างจับผิด

ไอ้พร้าวหลบสายตาทำท่ามีพิรุธ “ก็ได้จ้ะ” มันตอบแล้วเดินหายไปครู่ใหญ่ เลลูบปลายคางอย่างครุ่นคิด มีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์นั้นกำลังจะเกิดขึ้นอีก

“นี่จ้ะ” กระดาษแผ่นหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเล...กระดาษที่แทบจะเป็นสีดำทั้งแผ่น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือรูปอะไร

ป๊าบ! เลฟาดเข้าที่หัวหลานทีหนึ่งอย่างเหลืออด จะไม่ให้เหลืออดได้อย่างไร กี่ครั้งแล้วที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ไอ้หลานรักได้รับเกียรติบัตรหรือมีผลงานอื่นๆ แต่มันเลือกส่งเอกสารตัวจริงไปทางไปรษณีย์ให้คนที่อยู่กรุงเทพ แล้วถ่ายเอกสารขาวดำให้น้าของมันแทน

มันน่าน้อยใจนัก ไอ้เลหลานไม่รัก!

“ก็ถ่ายแบบสีมันแพง หนูไม่มีเงิน” ไอ้พร้าวบอกเสียงหงอย มันรู้ว่าทำน้าเลโกรธมากแค่ไหน

“เฮ้อ!” เลได้แต่ถอนหายใจ ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็เลือกที่จะส่งไปให้คนทางนั้นอยู่ดี

“หนูขอโทษจ้ะ คราวหน้าหนูจะเอามาให้น้าเลดูก่อนแล้วกัน” ไอ้พร้าวตาเป็นประกายเมื่อหาทางออกได้แล้ว

“แล้วแต่เอ็งเถอะ ว่าแต่...เงินโทรศัพท์ที่ข้าเติมไว้หมดอีกแล้ว ไม่รู้หมาแมวตัวไหนมันเอาไปโทร” เลเริ่มคิดบัญชีเรื่องอื่น ไม่ใช่แค่ส่งจดหมายเท่านั้น ไอ้พร้าวยังแอบเอาโทรศัพท์มือถือของเขาไปโทรอีก เติมเงินเท่าไหร่ก็หมดเกลี้ยงภายในสามวัน

“แหะๆ คราวหน้าหนูจะขอก่อนจ้ะ” ครั้งก่อนมันก็พูดแบบนี้

“เออๆ จะทำอะไรก็ทำ อย่าไปรบกวนเขามากล่ะ เขาจะรำคาญ” เลยอมแพ้ แต่ก็อดเตือนหลานไม่ได้ อะไรที่มากไป มันก็ไม่ดี

“ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะตอบ มันลืมคิดไปเลยว่าหากโทรหาธันวาบ่อยๆ เช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรำคาญได้

ไอ้พร้าวเด็ดใบกะเพราอย่างเหม่อลอย เด็ดไปถอนหายใจไปจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อดห่วงไม่ไหว ชายหนุ่มชั่งใจอยู่หลายครั้งว่าควรถามดีหรือไม่

“น้องพร้าวเป็นอะไรครับ” สุดท้ายเขาก็ถามออกไป

ไอ้พร้าววางงานในมือลง “น้าเลบอกว่าเขาอาจจะรำคาญหนูจ้ะลุงพัทธ์”

“ใครหรือ บอกลุงได้ไหมครับ” แม้พัทธ์จะพยายามไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งกับเด็กคนนี้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ห้ามตัวเองไม่ได้อยู่ดี

“พี่ธันจ้ะ ปีก่อนที่เขามาเที่ยวลุงพัทธ์ยังไม่มาเลย หนูน่ะอยากได้พี่ชายแบบนั้น ใจดี๊ใจดี” ไอ้พร้าวพูดไปยิ้มไป

“โห ขนาดนั้นเชียว ลุงชักอยากจะรู้จักบ้าง แล้วทำไมถึงคิดว่าเขาจะรำคาญล่ะครับ” พัทธ์จ้องหน้ามันด้วยความเอ็นดู

“น้าเลบอกว่าหนูโทรหาเขาบ่อยจ้ะ” ไอ้พร้าวทำปากยื่น มันก็ไม่ได้โทรบ่อยอะไรขนาดนั้น แค่อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง มันแค่อยากโทรไปเล่าเรื่องต่างๆ ที่เจอมาในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟังก็เท่านั้น

“งั้นหรือ เขาเป็นคนดีใช่ไหมครับ” พัทธ์เริ่มเป็นห่วง ดูท่าไอ้พร้าวจะเป็นปลื้มกับคนนี้มาก

“ดีจ้ะ เขาวาดรูปให้หนูเยอะเลย สวยๆ ทั้งนั้น เดี๋ยวหนูเอามาให้ดู” ไม่ว่าเปล่า มันลุกขึ้นวิ่งตึงตังออกไปทันที

พัทธ์ได้แต่มองตามแล้วยิ้ม ตัวเขาเองเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้สองเดือน พอจะปรับตัวได้บ้างแล้ว แม้ว่าช่วงแรกจะลำบากพอสมควร แต่เพราะมีไอ้พร้าวเป็นเพื่อนคุยเล่นจึงลืมความลำบากไปได้บ้าง

เสียงวิ่งตึงตังกลับมาทำให้พัทธ์เงยหน้ามอง เด็กตรงหน้าถือภาพวาดด้วยดินสอหลายภาพมาอวดพร้อมบรรยายที่มาที่ไปของภาพ

“สวยมากเลยครับ อีกไม่นานน้องพร้าวต้องวาดได้สวยแบบนี้แน่นอน” พัทธ์เอ่ยชม มองสีหน้าของไอ้พร้าวที่ยิ้มอย่างมีความสุข มันม้วนภาพวาดเก็บอย่างทะนุถนอมแล้วย่อตัวคลานเข่ามานั่งข้างเขา

“ลุงพัทธ์มาจากกรุงเทพใช่ไหมจ๊ะ หนูอยากไปหาพี่ธันที่กรุงเทพบ้าง” ไอ้พร้าวตาเป็นประกาย

“เออ ก็...น้องพร้าวรอโตก่อนค่อยไปนะ”

“หนูอยากไปตอนนี้เลย ใครไปทำงานกรุงเทพกลับมาก็รวยกันทั้งนั้น” มันเห็นคนในหมู่บ้านเข้าไปทำงานที่กรุงเทพ กลับมาเยี่ยมบ้านแต่ละทีแจกเงินลูกหลานคนละพันสองพัน

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ ตอนนี้น้องพร้าวก็ตั้งใจเรียนไปก่อน จะได้สอบเข้ามหาลัยดีๆ ในกรุงเทพไง” แววตาพัทธ์เต็มไปด้วยความฝัน ยื่นมือไปลูบผมเด็กชายเบาๆ

“ทำอะไร!” น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลัง ทั้งพัทธ์และไอ้พร้าวสะดุ้งไปตามๆ กัน

“จะพูดเสียงดังทำไม หนูตกใจหมด” ไอ้พร้าวหน้างอ มันไม่ชอบให้น้าเลพูดเสียงดังเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดุ

“ไม่ต้องทำแล้วไอ้พร้าว ไปอ่านหนังสือ” เลไล่หลาน แต่สายตากลับจ้องอีกคนที่นั่งอยู่ข้างมันแทน พัทธ์แสร้งมองไปทางอื่น ทำราวกับเลไม่มีตัวตน

“หนูเก่งจะตาย ไม่อ่านก็สอบได้ที่หนึ่ง” ไอ้พร้าวเถียง เดินตึงตังหอบภาพวาดของธันวาไปเก็บ

“ไอ้นี่ เดี๋ยวนี้พูดคำเถียงคำ ยิ่งโตยิ่งพูดยาก สักวันต้องโดนไม้เรียวแน่ๆ” เลบ่นไล่หลังหลาน...มันน่าจับมาฟาดก้นจริงๆ ไอ้ลิงลมนี่

“ทำไมไม่พูดดีๆ กับน้องพร้าวล่ะครับ” พัทธ์อดท้วงไม่ได้ เขาไม่ชอบที่เลใช้คำพูดรุนแรงกับไอ้พร้าวเลย

“ก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่มันเกิด” เลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย จากนั้นต่างคนต่างเงียบ พัทธ์ก้มหน้าทำงานโดยไม่พูดอะไรอีก เลเองก็เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นในใจ



ชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่สี่ของธันวาวุ่นวายเสียจนหัวหมุน มีโปรเจกต์ที่ต้องทำ รายงานกลุ่มที่ต้องส่ง อีกทั้งการสอบย่อยในแต่ละวิชาก็ถี่เสียจนไม่มีเวลาพักผ่อน สังสรรค์กับเพื่อนฝูง

“มนต์อยากหาหอพักใกล้ๆ ที่ทำงานจัง อยู่ที่นี่ต้องนั่งรถตั้งสามต่อกว่าจะถึง” น้ำมนต์นั่งบ่นอยู่บนเตียง มองแผ่นหลังของคนรักที่กำลังวุ่นวายกับการทำรายงาน

“เอางั้นก็ได้ครับ ไว้วันเสาร์เราไปเดินดูหอแถวที่ทำงานมนต์ละกัน” ธันวาตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมองคนรัก

“เฮ้อ! ธันอะ ไม่สนใจมนต์เลย เบื่อมนต์แล้วใช่ไหม” น้ำมนต์แสร้งทำเสียงน้อยใจ ธันวาหยุดเคาะคีย์บอร์ดก่อนจะอมยิ้ม

“ใช่สิ มนต์มันไม่น่าสนใจเหมือนคนที่ธันโทรคุยด้วยบ่อยๆ” หญิงสาวหรี่ตามองแผ่นหลังคนรัก รอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะสนใจตัวเอง

ในที่สุดธันวาก็หันมา “อ้าว อิจฉาเด็กเฉยเลย ธันจะเห็นคนอื่นดีกว่าแฟนตัวเองได้ยังไงครับ” เขาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมานอนหนุนตักคนรัก

“ให้มันจริงเถอะ” น้ำมนต์บีบจมูกคนรักอย่างมันเขี้ยว ความจริงเธอเองก็นึกเอ็นดูเด็กชายคนนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเกียรติบัตร ภาพวาด หรือผลงานต่างๆ ก็ส่งไปรษณีย์มาให้ธันวาตลอด มีบางครั้งที่คนรักเปิดสปิกเกอร์โฟนตอนคุยโทรศัพท์กับเด็กคนนี้ เธออดไม่ได้ที่จะแอบฟัง และตกหลุมรักน้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของธันวายามพูดคุยกับอีกฝ่าย

“แล้วคราวนี้น้องส่งอะไรมาล่ะ ขอมนต์ดูหน่อย” น้ำมันต์แบมือขอซองจดหมายที่ธันวาถือติดมือมาจากบ้าน

“ยังไม่ได้เปิดดูเลยครับ แม่ธันเพิ่งให้มา” ธันวาพูดพร้อมแกะซองจดหมายอย่างเบามือ เขาค่อยๆ คลี่แผ่นกระดาษที่พับไว้...ภาพท้องทะเลที่ลงด้วยสีน้ำสวยงามปรากฏแก่สายตา ชายหนุ่มระบายยิ้มออกมาอย่างชื่นชม

“โห สวยจังเลยนะธัน เผลอๆ สวยกว่าธันวาดอีก” น้ำมนต์แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ธันวาดึงแก้มคนรักเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

“ฝีมือพัฒนาได้เร็วมาก” เขาเอ่ยชมอย่างปลื้มใจ

ผ่านมาครึ่งปีแล้วที่เริ่มติดต่อกับเพื่อนตัวน้อย ดูเหมือนเจ้าตัวจะมาเอาดีทางด้านนี้ทั้งที่เป็นคนขี้เบื่อ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ยามที่อีกฝ่ายโทรหาเพื่อพูดคุยขอคำปรึกษา เขาก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี ไม่เคยเบื่อลูกศิษย์ตัวน้อยเลยสักครั้ง

“น้องเก่งนะ วาดรูปก็เก่ง เรียงความก็ดี สอบแข่งขันก็ได้ที่หนึ่งบ่อยๆ” น้ำมนต์พูดถึงสิ่งที่ได้เห็นในจดหมายที่เด็กชายส่งมา

“อีกเดี๋ยวก็โตเป็นหนุ่มแล้ว สาวๆ คงตรึม” ธันวานึกถึงใบหน้าน่ารักของเด็กชายที่มีเค้าโครงหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก...แต่จะโตแต่ตัวหรือเปล่านะ



ธันวายกมือขึ้นนวดขมับ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองเครียดกว่าปกติ คงเพราะเทอมนี้ลงเรียนเต็มหน่วยกิต อีกทั้งต้องทำโปรเจกต์ส่งให้ทันสิ้นปี เขาต้องการจบภายในสามปีครึ่งจะได้รีบทำงานหาเงิน

ชายหนุ่มมองรอบๆ ห้องแล้วถอนหายใจ เขาอยากจะมีบ้านสักหลังหรือคอนโดสักห้องเป็นของตัวเอง ไม่อยากให้คนรักต้องทนอยู่ห้องพักคับแคบแบบนี้

ครืด ครืด...โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะมีสายเรียกเข้า หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้ ธันวาชั่งใจอยู่ครู่ก่อนกดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“พี่ธัน” เสียงจากปลายสายทำให้ธันวาเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“ครับ?” เขาไม่แน่ใจนักว่าปลายสายเป็นใคร

“หนูเองจ้ะ” หนูไหนกัน เขานึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะครางอ๋อ

“ทำไมใช้เบอร์นี้ล่ะครับ เบอร์ใครกัน” ปลายสายเงียบ ธันวาได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันดังเข้ามาตามสาย

“หยอดตู้โทรจ้ะ” เพราะมัวแต่หาเหรียญในกระเป๋ากางเกงจึงทำให้ตอบช้า

“อ้าว ให้พี่โทรกลับเบอร์พี่เลไหม” ธันวาไม่ได้ถามเซ้าซี้ถึงเหตุผลที่มันเลือกโทรตู้โทรศัพท์สาธารณะแทนที่จะใช้โทรศัพท์มือถือของเลอย่างที่ผ่านมา

“ไม่ต้องจ้ะ หนูแค่จะถามว่าได้จดหมายหรือยัง” ไอ้พร้าวรีบพูด ตาจ้องตัวเลขที่แสดงจำนวนเหรียญที่หยอดลงไปในตู้

“ได้รับแล้วครับ พร้าวเก่งมากๆ” ธันวานึกถึงภาพวาดสีน้ำที่ได้รับเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

ไอ้พร้าวยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชม “ขอบคุณจ้ะ แล้วเมื่อไหร่พี่ธันจะมา” มันแนบหูชิดโทรศัพท์มากกว่าเดิมเพื่อรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

“คงต้องรอให้ถึงเดือนธันวาก่อนครับ พี่ถึงจะบอกพร้าวได้” ธันวามองปฏิทินที่แสดงวันที่ในเดือนสิงหาคม

“เหรอจ๊ะ” มันว่าเสียงหงอย

“ไปเมื่อไหร่พี่จะโทรบอกนะครับ” ธันวาอมยิ้ม ดีใจที่เพื่อนตัวน้อยตั้งตารอให้เขาไปหา

“หนูจะ...ตู๊ดๆ” หนูจะรอ...ไอ้พร้าวตั้งใจจะพูดประโยคนี้ออกไปแต่สายถูกตัดไปก่อน เพราะเหรียญที่มันหยอดไว้หมดเสียแล้ว

“อ้าว สายตัดไปแล้ว” ธันวาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือครู่หนึ่งก่อนจะบอกตัวเองว่าค่อยโทรหาเบอร์น้าเลของไอ้พร้าวในตอนเย็น

สุดท้ายเขาก็ลืม...



ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง คนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบวุ่นวายในเมืองหลวงจนไม่มีเวลานึกถึงใครนอกจากคนใกล้ตัว ส่วนอีกคนเวลาในแต่ละวันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า จึงมีเวลาเหลือเฟือเพื่อคิดถึงใครอีกคนที่อยู่ห่างไกล

“อ่านหนังสือจบกี่รอบแล้วล่ะ” เลเดินเข้ามาถามไอ้พร้าวที่หอบหนังสือออกมาอ่านที่ม้านั่งหน้าบ้าน

“อ่านแค่รอบเดียวหนูก็จำได้แล้ว” ไอ้พร้าวยืดอกอย่างภูมิใจ มันตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อที่จะได้เอาไปโอ้อวดกับคนที่มันคิดถึงอยู่ทุกวัน

“เออ ให้มันได้อย่างนี้ เอ็งนี่ฉลาดได้ข้าจริงๆ” เลหัวเราะอย่างถูกใจ “จะสอบเข้าที่ไหนล่ะ แม่ไอ้ปืนบอกว่าเขามีให้ส่งผลงานเอาโควตาเข้าโรงเรียนมัธยมXXX โดยไม่ต้องไปสอบใช่ไหม” โรงเรียนมัธยมที่เลพูดถึงอยู่ถัดไปอีกจังหวัด

“หนูอยากเข้ามัธยมของอำเภอจ้ะ” ไอ้พร้าวบอกในสิ่งที่ต้องการ

“เฮ้ย! ได้ไงวะ เก่งๆ อย่างเอ็งสอบเข้าโรงเรียนมัธยมXXXติดได้สบายอยู่แล้ว เรียนโรงเรียนใหญ่ๆ โอกาสอะไรมันก็เยอะกว่า ไปเถอะ ข้าอยากให้เอ็งเข้าโรงเรียนนี้” ที่ขัดใจหลานเพราะเลอยากให้มันคว้าโอกาสดีๆ ไว้

“ไม่ใช่ว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันเหรอจ๊ะ” ใครๆ ก็บอกว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปสอบแย่งชิงกับใคร

“มันก็ใช่ แต่ถ้าเอ็งมีทางเลือกมากกว่าคนอื่นก็เลือกมันเถอะ อืม...ก็แล้วแต่เอ็งละกัน ข้าก็ไม่อยากบังคับ” เลลูบหัวหลาน แววตาเต็มไปด้วยความรัก แค่ได้เห็นมันเติบโตขึ้นเขาก็มีความสุขมากแล้ว

“จ้ะ”

“ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ ตอนเที่ยงอย่าลืมไปกินข้าวด้วย เดี๋ยวข้าจะทำไข่ตุ๋นไว้ให้”

ไอ้พร้าวอมยิ้มมองตามหลังผู้เป็นน้า มันสูดหายใจเข้าลึกตั้งสมาธิกับหนังสือเรียนตรงหน้า ทว่าปฏิทินตั้งโต๊ะที่วางข้างกันกลับเรียกความสนใจไปจนหมด อดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้แล้วใช้ปากกาเขียนกากบาทวันที่เมื่อวาน

ตอนนี้ย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกายนแล้ว มันรู้สึกตื่นเต้นและตั้งตารอเดือนธันวาคมอย่างใจจดใจจ่อ...อีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น มันจะได้เจอกับคนที่เฝ้ารอมาทั้งปี



การมาสนามบินในครั้งนี้มีเพียงลุงกิตกับไอ้พร้าว ไอ้พร้าวตื่นเต้นจนไม่อาจยืนอยู่นิ่งๆ ได้ มันเดินไปเดินมาจนลุงกิตเริ่มปวดหัว

“เอ็งจะเดินให้ข้าเวียนหัวทำไมฮะไอ้พร้าว” ลุงกิตว่าให้

“ก็หนูตื่นเต้น” หัวใจที่เต้นแรงขึ้นบอกความรู้สึกนี้ได้ดี มันกำลังจะได้เจอกับคนที่รอคอยมาแรมปี

“รอนานไหมครับ”

ไอ้พร้าวหันขวับ นี่เป็นเสียงที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ตลอดหนึ่งปี...ตอนนี้เจ้าของเสียงยืนอยู่ตรงหน้ามันแล้ว

“สวัสดีจ้ะพี่ธัน เพิ่งมาจ้ะ” มันตอบก่อนที่ลุงกิตจะอ้าปาก ความจริงมันมารอตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อน

“สวัสดีครับพร้าว สวัสดีครับลุง” ธันวาทักทายไอ้พร้าวแล้วยกมือไหว้ลุงกิต

“อา สบายดีนะพ่อหนุ่ม” ลุงกิตรับไหว้ก่อนจะถาม

“สบายดีครับ เพราะรอให้สอบเสร็จก่อนเลยได้มาปลายเดือนแบบนี้ ครั้งนี้มาเพื่อส่งท้ายปีที่นี่ด้วยครับ”

“ลุงกับติ๋มก็คุยๆ กันอยู่ นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ลุงกิตพูดพร้อมเดินนำไปที่รถ

ไอ้พร้าวมองแผ่นหลังของคนที่เฝ้ารออย่างดีใจ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาพี่ธันของมันดูยุ่งตลอด มันจึงไม่โทรไปรบกวน แต่คอยถามแม่ของไอ้ปืนแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่ธันวาจะมา สุดท้ายการรอคอยของมันก็สิ้นสุด เมื่อสองอาทิตย์ก่อนธันวาโทรหามัน บอกจะมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนธันวาคม

“พร้าวล่ะเป็นไงบ้าง” ธันวาหันมาถามเด็กชายที่เดินตามหลัง ดูเหมือนเพื่อนตัวน้อยของเขาจะตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อนมาก

“สบายดีจ้ะ” ไอ้พร้าวรู้สึกประหม่าเล็กน้อยจึงตอบไปเพียงไม่กี่คำ

ระหว่างทางจากสนามบินไปรีสอร์ต ธันวากับลุงกิตพูดคุยกันอย่างออกรสจนลืมใครอีกคนที่นั่งเงียบอยู่เบาะหลัง ไอ้พร้าวฟังธันวาพูดอย่างตั้งใจ มันไม่อยากพลาดแม้แต่คำเดียว

“แล้วปืนเป็นยังไงบ้างครับลุง ทำไมไม่มาด้วย” ธันวาถามถึงอีกคนที่เคยมารับด้วยทุกครั้ง

“มันโดนแม่ขังในบ้านให้อ่านหนังสือ เดือนกุมภาปีหน้าจะมีสอบเข้ามัธยมน่ะ ไอ้ปืนหัวไม่ดี แถมขี้เกียจตัวเป็นขน ถ้าไม่บังคับ มันก็ไม่อ่าน” ลุงกิตพูดอย่างขบขันเมื่อนึกถึงความหัวทึบของหลานชาย

“คงเครียดน่าดูเลยนะครับ แล้วพร้าวล่ะครับ เครียดบ้างไหม” ธันวาหันมาถามเพื่อนตัวน้อยที่นั่งเงียบตลอดทาง

“อย่างไอ้พร้าวจะเครียดอะไร มันเก่งจะตาย สอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดบ่อยๆ ไปโรงเรียนไหนเขาก็อยากรับ ไอ้เลบอกจะให้ไปเข้าโรงเรียนมัธยมXXX โรงเรียนนี้ดังมากนะคุณ มีแต่เด็กหัวกะทิ แต่ไอ้พร้าวอยากเรียนแถวบ้านกับไอ้ปืน” ยังไม่ทันที่ไอ้พร้าวจะอ้าปากตอบ ลุงกิตก็เล่าไปจนหมด

“โห ถ้าได้อยู่โรงเรียนนั้นก็ดีเลย อยู่กับคนเก่งๆ เราจะได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก อย่างพร้าวต้องอนาคตไกลแน่ๆ” ธันวายิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวตอบสั้นๆ มันจะเก็บสิ่งที่ธันวาพูดไปคิด

“ช่วยพูดกรอกหูมันหน่อย ลุงละเสียดายโอกาส”

เมื่อมาถึงรีสอร์ต ธันวาไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าได้จึงนอนพักยาวจนถึงบ่าย ส่วนไอ้พร้าวขอตัวกลับบ้าน ตั้งแต่มาถึงธันวารู้สึกเหมือนมีช่องว่างระหว่างเขากับเพื่อนตัวน้อยทั้งที่ติดต่อกันมาตลอดทั้งปี

พอได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว ธันวาก็นึกขึ้นได้ว่ามีของฝากให้ไอ้พร้าว ใช้เวลาค้นหาในกระเป๋าไม่นานก็เจอสมุดภาพที่ได้มาจากนิทรรศการสามเล่ม ตอนนั้นเขาพยายามหาบัตรเข้าชมนิทรรศการนี้แทบตาย เพื่อจะเอาสมุดภาพที่แจกในงานมาให้ไอ้พร้าว

“จะชอบหรือเปล่า” พึมพำกับตัวเอง ได้แต่หวังว่าจะถูกใจคนรับ

ธันวาใช้เวลาในวันแรกไปกับการนั่งรับลมเย็นๆ ที่ชายหาดใกล้รีสอร์ต นั่งคิดถึงชีวิตหลังจากเรียนจบ มีงานที่ต้องทำ มีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น เขาวางแผนไว้ว่าจะทำงานทันทีหลังเรียนจบ อยากมีชีวิตที่มั่นคงเร็วๆ จะได้ขอคนรักแต่งงาน ทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสียที

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังทำให้ธันวาต้องหันไปมอง เป็นไอ้พร้าวที่เดินถือปิ่นโตเข้ามาหา มันยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้างๆ

“นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกันอีก” ธันวาชวนคุยหลังนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่

“น้าเลให้เอาปิ่นโตมาให้จ้ะ” ไอ้พร้าวพูดอย่างสงบเสงี่ยม

ธันวากลั้นขำกับอากัปกิริยาแปลกตานี้ “ฝากขอบคุณพี่เลด้วยนะ” ยื่นมือไปรับปิ่นโตจากอีกฝ่าย ท่าทีห่างเหินของเพื่อนตัวน้อยทำให้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมา ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร

ธันวามองไอ้พร้าวที่เอาแต่ลากปลายนิ้วขีดเขียนบนพื้นทราย เด็กชายเมื่อปีก่อนดูโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวสูงขึ้นมาก แขนขาดูเก้งก้างตามวัย อีกทั้งรูปหน้าก็เริ่มชัดเจนขึ้น ดูท่าเด็กน้อยคนนี้จะโตเป็นหนุ่มหล่อในอีกไม่ช้าตามที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“มองหนูทำไมจ๊ะ” ไอ้พร้าวเอียงคอถามอย่างสงสัยเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องนานๆ

“โตขึ้นเยอะเลยนะครับ ดูเหมือนจะพูดน้อยลงด้วย หรือไม่อยากคุยกับพี่” ธันวายิ้มอย่างเอ็นดู แกล้งพูดแหย่เด็กตรงหน้า

“เปล่าจ้ะ หนูไม่รู้จะคุยอะไร” ไอ้พร้าวตอบเสียงเบา มันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตอนที่อยู่ไกลกันทำไมถึงมีเรื่องมากมายที่อยากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง แต่ตอนนี้ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวกลับนึกอะไรไม่ออก

“อืม อยากคุยเรื่องเรียนไหม พี่ให้คำปรึกษาได้นะ” ธันวาเสนอออกไป มันพยักหน้าตอบ

“พร้าวมีปัญหาอะไรหรือเปล่าเกี่ยวกับเรื่องเรียน หรืออยากเรียนอะไรที่ไหน” รอยยิ้มอ่อนโยนของธันวาทำให้ไอ้พร้าวรู้สึกไว้ใจอีกฝ่ายอย่างไม่มีเหตุผล

“หนูไม่อยากไปเรียนไกลบ้าน” มันหลบตาเมื่อเริ่มพูด

“ทำไมล่ะ คุณน้าอยากให้เรียนที่นั่นไม่ใช่หรือ พร้าวต้องได้โอกาสดีๆ แน่ๆ ถ้าไปเรียนที่นั่น” ธันวาเองก็คิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับไอ้พร้าว

“ถ้าไปเรียนที่นั่นหนูต้องอยู่หอพัก ไม่งั้นต้องนั่งรถเกือบสามชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้าน หนู...กลัวน้าเลเหงา” ไอ้พร้าวเงยหน้าสบตา แววตาของมันสั่นไหวเมื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ธันวารู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นเท่าตัวเมื่อได้ฟังเหตุผลนั้น

“แค่นี้เอง น้าเลไม่เหงาหรอกครับ ที่นี่มีป้าติ๋ม ลุงกิต ปืน แล้วก็คนที่ร้านค่อยเป็นเพื่อนน้าเล อีกอย่างเสาร์อาทิตย์พร้าวก็กลับมาเยี่ยมบ้าน หรือจะให้น้าไปหาก็ได้” ธันวาลูบหัวมันเบาๆ

ไอ้พร้าวนิ่งคิดไปพักใหญ่ “ก็จริง งั้นหนูจะพยายามสอบเข้าโรงเรียนนั่นให้ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวยิ้มกว้างอย่างสบายใจ ในตอนนี้ปัญหาที่ทำให้มันกินไม่ได้นอนไม่หลับได้รับการคลี่คลายแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้พร้าวได้ตัดสินใจทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ความภูมิใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทำให้มันรู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่

“อา...ลืมไปเลย วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ได้ของขวัญจากซานตาคลอสหรือยังครับ” ธันวาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เห็นทีว่าสมุดภาพที่ขนมาต้องให้เจ้าตัววันนี้

“มีซานตาคลอสจริงๆ เหรอจ๊ะพี่ธัน หนูไม่เห็นได้ของขวัญเลยสักปี” ไอ้พร้าวไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเป็นวันคริสต์มาส ที่จริงโรงเรียนเพิ่งจัดงานเทศกาลนี้ไปเมื่อวาน มันเพียงแค่เข้าร่วมร้องเพลงตามที่อาจารย์สั่ง

“อาจจะมี...แต่วันนี้พี่จะเป็นซานตาคลอสให้พร้าวเอง ตามมาสิ” ธันวาลุกขึ้นเดินนำโดยไม่ลืมหยิบปิ่นโตมาด้วย แม้ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ไอ้พร้าวก็ยอมเดิมตามอย่างว่าง่าย

ธันวาพาเพื่อนตัวน้อยมาที่บ้านพักในรีสอร์ตของแม่ไอ้ปืน ไอ้พร้าวมองบ้านพักหลังนี้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด มันพอจะจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนไอ้ปืนเคยพามาดูหน้ากากเสือที่หลังนี้

“เข้ามาสิ” ธันวาเรียกเป็นครั้งที่สามเมื่อเด็กชายตรงหน้ายังยืนเหม่อลอย ไอ้พร้าวพยักหน้าแล้วเข้าไปในบ้าน

“ลืมเรื่องซานตาคลอสไปเถอะ พี่แค่พูดล้อเล่น อะ...นี่สมุดภาพจากนิทรรศการที่พี่ไปดู มันน่าสนใจมาก เลยเอามาให้” ธันวายื่นสมุดภาพทั้งสามเล่มให้ไอ้พร้าว มันมองอย่างสงสัยก่อนจะรับมาเปิดดู

“ตามสบายเลยนะ พี่ขออาบน้ำก่อน”

หลังจากที่นอนดูสมุดภาพอย่างลวกๆ ไอ้พร้าวก็วางมันลงแล้วนอนแผ่บนเตียง มันไม่เข้าใจภาพเหล่านี้เลยสักนิด หากเป็นภาพวิวทิวทัศน์หรือภาพวาดลอกเลียนแบบสิ่งต่างๆ ก็พอจะแยกได้ว่าสวยหรือไม่สวย

ความจริงมันไม่ได้มีความสนใจ หรือชอบวาดภาพเลยแม้แต่น้อย...มันวาดภาพเพราะธันวาชอบก็เท่านั้น

“เป็นไงบ้าง”

ทันทีที่ได้ยินเสียงธันวา ไอ้พร้าวรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วแสร้งทำทีว่าเปิดสมุดภาพดูอย่างสนใจ “หนูไม่ค่อยเข้าใจจ้ะ” มันตอบตามความจริง

ธันวายิ้ม “พี่ก็เข้าใจตามที่คิดเท่านั้นแหละ ไม่มีใครเข้าใจภาพได้ดีเท่าตัวศิลปินที่วาดมันออกมาหรอก” พูดพลางแต่งตัวไปด้วย

“ถ้าถามเขาจะบอกไหมจ๊ะ” ไอ้พร้าวคิ้วขมวดจ้องภาพแปลกประหลาดที่บังเอิญเปิดมาเจอ

“ไม่รู้สิครับ”

“พี่น่าจะถาม” มันเงยหน้ามองธันวาที่แต่งตัวเสร็จแล้ว

“ฮ่าๆ ถ้ามีโอกาสพี่จะลองถามดู” ธันวาเดินมานั่งข้างเด็กชายบนเตียง “เรามาแลกเปลี่ยนความคิดกันดีไหม”

“อืม ได้จ้ะ” ไอ้พร้าวรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา

“งั้นเริ่มที่รูปนี้แล้วกัน พร้าวคิดว่ามันบอกอะไรเราบ้าง”

ต่างคนต่างอธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิด ไอ้พร้าวไม่รู้สึกเบื่ออีกแล้วกับการดูภาพวาดประหลาดเหล่านี้ มันชอบฟังน้ำเสียงนุ่มทุ้มและมองรอยยิ้มของธันวายามที่อีกฝ่ายเล่ามุมมองความคิดของตัวเอง

“อ้าว หลับซะแล้ว” ธันวาอมยิ้ม ตัวเขาเองมัวแต่พูดจนไม่ได้สนใจคนฟังว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาหกโมงเย็นแล้ว ป่านนี้ที่บ้านคงเป็นห่วง เขาควรโทรบอกผู้ปกครองของไอ้พร้าว คิดได้ดังนั้นจึงกดโทรออกทันที

“ว่าไงธัน” ปลายสายพูดเสียงเบาราวกระซิบ

“พี่เล พร้าวอยู่กับผมนะ กำลังหลับอยู่เลย เดี๋ย...”

“ธัน พี่ฝากดูมันหน่อยนะ พอดียุ่งๆ พาคนงานที่บ้านมาโรงพยาบาล คืนนี้ให้มันนอนบ้านพี่ติ๋มเลย” ยังไม่ทันที่ธันวาจะพูดจบปลายสายก็พูดแทรกขึ้นมา

“อ่อ ได้ครับๆ” คุยกันอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย

ธันวามองโทรศัพท์มือถือในมือสลับกับเด็กชายที่นอนอยู่บนเตียง “ไม่อยากปลุกเลย ปล่อยให้นอนไปก่อนแล้วกัน”

จนเวลาล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม ไอ้พร้าวยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ธันวาจึงตัดสินใจไปขอยืมชุดนอนของไอ้ปืนมาเตรียมไว้ เห็นทีคืนนี้เขาต้องแบ่งเตียงให้เพื่อนตัวน้อยนอนเสียแล้ว

“อือ” ไอ้พร้าวลุกขึ้นนั่งขยี้ตาอย่างมึนงง ท้องของมันเริ่มร้องประท้วงแล้วเพราะเมื่อตอนเย็นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

ใครบางคนยืนพิงขอบประตู แผ่นหลังนั่นช่างดูคุ้นตา อีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์อยู่โดยไม่สนใจเลยสักนิดว่ากำลังมีคนโมโหหิว ไอ้พร้าวยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้วบ่นออกมาด้วยเสียงแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นนอน

“หิว”

ธันวาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องจึงหันกลับมามอง “น้องตื่นแล้ว” บอกกับปลายสายก่อนจะยิ้มเมื่อเพื่อนตัวน้อยทำหน้าหงุดหงิด

“สงสัยจะหิว นั่งหน้าบึ้งใหญ่เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าธันจะโทรหานะ ครับ...ฝันดีครับ” ธันวากดวางสายแล้วเดินไปเปิดที่ครอบอาหารบนโต๊ะ “สี่ทุ่มแล้วรีบมาทานข้าวเถอะ”

ไอ้พร้าวไม่รอช้าเดินเข้ามานั่งอย่างรวดเร็ว ธันวาอมยิ้มมองอีกฝ่ายทานเลอะเทอะไปถึงข้างแก้ม

“วันนี้นอนกับพี่ไปก่อนนะ คนงานที่บ้านพร้าวไม่สบายไปโรงพยาบาล น้าเลเลยฝากให้นอนนี่”

ไอ้พร้าวพยักหน้าอย่างเข้าใจ มันมานอนที่บ้านของไอ้ปืนอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:02:03 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

“ค่อย ๆ กินครับ เดี๋ยวจะสำลักเอา” ธันวาหยิบกระดาษทิชชูเช็ดข้างแก้มที่เลอะของเด็กชาย “ชุดนอนกับแปรงสีฟันพี่เตรียมให้แล้วนะ น้ำอุ่นก็ปรับให้แล้ว อย่าไปแตะล่ะ...เฮ้อ วันนี้นอนตั้งแต่หัวค่ำไม่รู้คืนนี้จะหลับหรือเปล่า”

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี สำหรับธันวาแล้วไอ้พร้าวยังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ เหมือนตอนเจอกันครั้งแรก

ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น ไอ้พร้าวตื่นขึ้นมาคนเดียวในบ้านพัก พี่ธันของมันหายไป เมื่อเดินหาบริเวณใกล้ๆ ไม่พบจึงมาที่ครัวของรีสอร์ต

...น่าหงุดหงิดเสียจริง ธันวาไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่ามีเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีกำลังนั่งทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงนี้

“พี่ธันไปไหน” ไอ้พร้าวถามเพื่อนรักแล้วอ้าปากหาวหวอดๆ

“ไม่รู้” ไอ้ปืนตอบเสียงห้วน มันทำหน้าทำตาเหมือนงอนไอ้พร้าวมาแต่ชาติปางก่อน

“มึงโกรธอะไรกูไอ้ห่านี่” ไอ้พร้าวถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

ไอ้ปืนลุกขึ้นชี้หน้าเพื่อนรักของมัน “ทำไมกูต้องมานั่งอ่านหนังสือทุกวัน แต่มึงไม่ต้องอ่าน”

“ก็มึงโง่” ไอ้พร้าวตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ จากนั้นสงครามน้ำลายก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครยอมใคร

“ทะเลาะอะไรกันครับ” ธันวาที่มาเห็นเหตุการณ์รีบเข้าไปห้าม ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองพากันร้องไห้ขี้มูกโป่ง ต่างคนต่างพยายามอธิบายว่าใครผิดใครถูกจนเขาต้องยอมแพ้ แม่ของไอ้ปืนจึงเข้ามาจัดการเสียเอง

“ทะเลาะกันดีนัก ไม่เกรงใจลูกค้าเลยพวกเอ็งสองคนนี่” ติ๋มถือไม้เรียวชี้หน้าไอ้พร้าวทีไอ้ปืนที พวกมันได้แต่พากันสะอึกสะอื้นร้องไห้ ไม่กล้าเถียง

“วันนี้ไม่ต้องไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย นั่งอ่านหนังสือกันตรงนี้แหละ” ไอ้ตัวจ้อยทั้งสองสบตากันทันทีเมื่อติ๋มพูดจบก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง

จากนั้นตลอดทั้งวันไอ้พร้าวกับไอ้ปืนต้องนั่งอ่านหนังสือข้างกัน ในทีแรกพวกมันไม่ยอมพูดคุยกันสักคำ จนผ่านไปครู่ใหญ่ไอ้พร้าวก็กลายเป็นคุณครูจำเป็น อธิบายโจทย์เลขให้ไอ้ปืนฟัง มีทะเลาะกันบ้างแต่ไม่ได้รุนแรงอะไร ธันวามองแล้วอดไม่ได้ที่จะวาดมันลงกระดาษ

เช้าวันถัดมามีพ่อครัวตัวน้อยขอให้ธันวาไปช่วยเป็นลูกมือหนึ่งวัน เพราะพ่อครัวของร้านขอลาไปทำธุระ ไอ้พร้าวจึงต้องแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงในการเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร น้าของมันสั่งให้ล้างของสด ล้างผัก อีกทั้งยังใช้ให้แกะกุ้ง หั่นผักอีกด้วย มันร้องโอดครวญอยู่พักใหญ่ก่อนจะวิ่งแจ้นมาขอความช่วยเหลือจากธันวา

“ไอ้ตัวแสบ ขี้เกียจสันหลังยาว” เลเขกหัวหลานสองทีเมื่อเห็นมันลากธันวาเข้ามาในครัว และบอกว่าธันวาจะมาเป็นลูกมือของมันในวันนี้

“หนูเจ็บนะ” ไอ้พร้าวลูบหัวตัวเองป้อยๆ มันไม่ได้ขี้เกียจ แต่งานที่ได้รับมอบหมายเยอะเสียจนต้องหาคนมาช่วย

“ผมเต็มใจมาช่วยเองครับ ไหนๆ ก็ว่างอยู่แล้ว” ธันวาเข้าไปช่วยพูด ไม่อย่างนั้นไอ้พร้าวได้เป่าปี่ขี้มูกโป่งแน่ๆ

“ไม่เป็นไรๆ ไอ้พร้าวมันก็ขี้เกียจไปวันๆ ให้มันทำเองแหละดีแล้ว งานก็ไม่ได้เยอะอะไร” เลกอดอกก้มมองหลาน

ไอ้พร้าวยืนเกาะชายเสื้อของผู้เป็นน้า มองธันวาตาละห้อย “กว่าจะทำเสร็จหนูเป็นลมตายพอดี” มันเงยหน้าเถียงแล้ววิ่งไปหลบหลังธันวา

“ไอ้นี่เถียงฉอดๆ ข้าละปวดหัวจริงๆ” เลพูดกับธันวาทีเล่นทีจริง

“ให้ผมช่วยเถอะพี่” ธันวายังคงยืนยันที่จะช่วย เลจึงต้องยอมแพ้

จากนั้นพ่อครัวตัวน้อยของธันวาก็สอนนู่นนี่นั่น ไม่ว่าจะเป็นการล้างผัก ล้างของสด หั่นผัก แกะกุ้ง หรือแม้กระทั่งวิธีการจับมีด ไอ้พร้าวสอนอย่างละเอียดไม่พลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว ธันวาจึงแสร้งเป็นนักเรียนที่ดีทำตามพ่อครัวตัวน้อยอย่างตั้งใจ เลที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลต้องกลั้นขำจนปวดเกร็งไปทั้งหน้า

“พร้าวเก่งจังเลยครับทำเป็นทุกอย่างเลย” ธันวาเอ่ยชมมองท่าทางยืดอกภูมิใจของมันอย่างเอ็นดู

“หนูน่ะโดนน้าเลใช้ให้ทำตั้งแต่อยู่อนุบาล”

“อ้าว ไอ้นี่ก็ว่าเกินจริง ตอนนั้นข้าแค่ใช้เอ็งล้างผักเหอะ” เลทนฟังไม่ได้ สิ่งที่ไอ้หลานรักพูดช่างฟังดูโหดร้ายทารุณเหลือเกิน

“ล้างผักก็คือใช้งานนั่นแหละ” ไอ้พร้าวเถียงกลับทันควัน เลทำท่าฮึดฮัดใช้ตะหลิวเคาะกระทะผัดอาหารเสียงดังลั่น

“ชื่อธันวาหรือครับ” คนที่นั่งเงียบอยู่ตลอดถามขึ้น

“ใช่ครับ แล้วพี่ชื่ออะไร ผมไม่เคยเห็นหน้าเลย” ธันวามองชายหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปลายๆ

“ชื่อพัทธ์ครับ ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อตอนต้นปี น้องพร้าวพูดถึงคุณบ่อยมาก” พัทธ์มองอีกฝ่ายอย่างประเมิน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ไว้ใจธันวาที่เข้ามายุ่งกับไอ้พร้าว

“จริงหรือครับ พูดในทางไหนล่ะ” ธันวาพูดกับพัทธ์ก่อนจะหันมาถามไอ้พร้าวที่นั่งแกะกุ้งอยู่ข้างๆ

“หนูบอกว่าพี่ธันวาดรูปเก่ง เอาให้ลุงพัทธ์ดูแล้วด้วย ลุงพัทธ์ก็บอกว่าสวยมาก” ไอ้พร้าวเงยหน้าตอบ ยิ้มกว้างจนตาหยี

“ได้บอกว่าพี่หล่อด้วยหรือเปล่า” ธันวาแกล้งถาม

ไอ้พร้าวส่ายหน้า “ลุงพัทธ์ พี่ธันหล่อไหมจ๊ะ” มันหันมาถามพัทธ์ทันที ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองหัวเราะออกมา

“หล่อครับ แต่หล่อน้อยกว่าน้องพร้าว” คำตอบของพัทธ์ทำให้มันเขินบิดตัวไม่มา

“โอ๊ย! น้าเล” กระเทียมหัวใหญ่กระแทกหน้าผากของไอ้พร้าวเต็มๆ มันทำหน้ามุ่ยลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ

“โทษทีพอดีมันหลุดมือ” เลแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทั้งที่เมื่อครู่ตั้งใจขว้างเพราะหมั่นไส้ท่าทางของหลาน

ธันวากลั้นขำจนน้ำตาเล็ด คนอื่นๆ ที่อยู่ในครัวก็เช่นกัน คงมีเพียงแค่พัทธ์คนเดียวที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของเลนัก



เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนย่างเข้าสู่วันสิ้นปี เด็กๆ ดูตื่นเต้นกับวันนี้เป็นอย่างมาก ไอ้พร้าวมาที่รีสอร์ตตั้งแต่ไก่โห่ มันเคาะประตูบ้านพักของธันวาอย่างไม่เกรงใจ

ทันทีที่ธันวาเปิดประตูห้อง ไอ้พร้าวก็วิ่งเข้าไปแล้วกระโดดขึ้นเตียง นอนกลิ้งไปมาพร้อมร้องเพลงพรปีใหม่อย่างอารมณ์ดี ทำให้เจ้าของห้องที่รู้สึกหงุดหงิดในคราแรกเพราะถูกรบกวนเวลานอนอารมณ์ดีตามไปด้วย และร้องเพลงประสานเสียงกับเด็กชาย

“หนูฝากน้าเลซื้อไฟเย็นเอาไว้เล่นตอนกลางคืนแล้ว” ไอ้พร้าวบอกอย่างตื่นเต้น

ธันวาทิ้งตัวลงนอนข้างมัน “พี่ขอเล่นด้วยได้ไหมครับ”

“อืม...หนูให้ยืมก็ได้จ้ะ ปีหน้าพี่ธันต้องเอามาคืนหนู” ไอ้พร้าวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ธันวาดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่ไอ้พร้าวพูดจบ “โห งกมาก”

“งั้นหนูไม่ให้เล่นดีกว่า” ไอ้พร้าวหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหวอ

“คนขี้งกต้องเจอแบบนี้ นี่แน่ะๆ” ธันวาฟาดหมอนลงบนตัวเด็กชายเบาๆ ไอ้พร้าวไม่ยอมแพ้ ฟาดกลับในทันที ภายในห้องจึงเกิดสงครามระหว่างชายหนุ่มตัวโตกับเด็กชายตัวผอมที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข

วันนี้ที่ร้านน้องพร้าวค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร ลูกค้าเข้ามาทานอาหารกันแน่นเต็มร้านตั้งแต่เช้ายันค่ำทำให้เลไม่มีเวลาฉลองวันสิ้นปีกับไอ้พร้าว กว่าจะเก็บร้านเสร็จคงเลยเที่ยงคืนไปแล้วแน่ๆ จึงฝากให้ธันวาช่วยฉลองเป็นเพื่อนหลานแทน

“ไม่อยากไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัดบ้างหรือครับ” ธันวาแกล้งถามไอ้พร้าวกับไอ้ปืนที่กำลังเห่อไฟเย็นในมือ พวกมันทำปากยื่นแล้ววิ่งไปทั่วชายหาด

ธันวามองไปรอบๆ มีเด็กหลายคนออกมาเล่นไฟเย็นที่ชายหาดในเวลาพลบค่ำแบบนี้ เด็กๆ พากันชูไฟเย็นในมือวาดเป็นรูปต่างๆ กลางอากาศ เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นทำให้ชายหาดแห่งนี้ดูครื้นเคร้ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เรียกรอยยิ้มจากธันวาได้

“หนูให้” เขามองไฟเย็นในมือไอ้พร้าว

“ให้เลยหรือให้ยืมครับ” ธันวาแกล้งถาม มองใบหน้าครุ่นคิดของไอ้พร้าวแล้วรู้สึกมันเขี้ยวอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะดึงแก้มทั้งสองข้างของมัน

“หนูเจ็บนะ” มันว่าประท้วงใช้มือข้างที่ว่างลูบแก้มตัวเองป้อยๆ

“สรุปว่าไงครับ” ธันวายังไม่ยอมรับไฟเย็นจากมัน

“หนู...ให้ก็ได้จ้ะ แต่ปีหน้าพี่ธันต้องมาอีก” ไอ้พร้าวยอมตัดใจให้ฟรีๆ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้ยืมเพราะอยากให้พี่ธันของมันเอามาคืนในปีหน้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับไฟเย็นเสียที มันจึงต้องยอมเปลี่ยนเงื่อนไข

ไม่ต้องคืนของ...ขอแค่กลับมาหามันในปีหน้าก็พอแล้ว

ธันวายิ้มกว้างรู้สึกปลื้มอยู่เต็มอกที่มีใครบางคนรอคอยเขาอยู่ที่นี่ “ได้สิครับ พี่สัญญาว่าจะมาแน่นอน” เขารับไฟเย็นจากเพื่อนตัวน้อยมาจุดแล้ววาดเป็นรูปต่างๆ กลางอากาศตามที่อีกฝ่ายขอ

เมื่อใกล้ถึงเที่ยงคืนธันวาจึงกดโทรหาคนรัก เสียงผู้คนในร้านอาหารนับถอยหลังเข้าวันปีใหม่ดังลั่นจนแทบไม่ได้ยินเสียงจากปลายสาย คุยกันเพียงไม่กี่คำดอกไม้ไฟก็ถูกจุดเสียงดังลั่นทั่วหาด บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวของดอกไม้ไฟที่ปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงามจนหยุดมองไม่ได้

“สวัสดีปีใหม่ครับมนต์” ธันวาเอ่ยกับปลายสาย

“อือ สวัสดีปีใหม่นะธัน”

“ธันขอตัวไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปขึ้นเครื่องแต่เช้า” ธันวายังคงมองแสงสว่างบนท้องฟ้า เขาเองก็ต้องกลับไปฉลองเทศกาลปีใหม่กับครอบครัว

“พรุ่งนี้เจอกัน...มนต์รักธันนะ” แม้เสียงรอบกายจะดังสักแค่ไหน ธันวาก็ยังได้ยินเสียงของคนรักชัดเจน

“ธันก็รักมนต์ครับ” บอกด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าเขินอายของคนรัก

หลังจากวางสายธันวาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกลาเพื่อนตัวน้อยที่ป่านนี้คงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว เขาเดินเข้าไปในร้านน้องพร้าวที่เหลือลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ แล้วขออนุญาตเลเข้าไปลาไอ้พร้าวที่นอนหลับอยู่ในบ้าน

ธันวามองเพื่อนตัวน้อยด้วยสายตาอ่อนโยน กว่าจะเจอกันอีกครั้งคงตัวโตขึ้นเป็นกอง บางทีเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นเด็กขี้แยร้องไห้ขี้มูกโป่งอีก บางทีเด็กตรงหน้าอาจจะโตเป็นหนุ่มเต็มตัว ไม่มาเกาะแกะเขาเหมือนอย่างตอนนี้

“สวัสดีปีใหม่ครับเด็กดี แล้วเจอกันใหม่” ธันวาก้มลงกระซิบใกล้ใบหน้าเด็กชายก่อนเดินจากไป

คงจะดีไม่น้อยหากไอ้พร้าวตื่นขึ้นมาในตอนนี้

คงจะดีไม่น้อยหากมันได้พูดสวัสดีปีใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้

คงจะดีไม่น้อย...หากมันได้บอกลา


TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:02:56 โดย KT-ReE »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
พร้าวววววลูกกกกน่ารักกกก

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 5


การใช้ชีวิตคู่ในวัยทำงานของธันวากับน้ำมนต์ไม่ค่อยราบรื่นนัก ต่างคนต่างทุ่มเทกับงานจนมีเวลาคุยกันน้อยลง ธันวาพยายามเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็วในแต่ละวันเพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับคนรักมากขึ้น

“ธัน มนต์อยากช็อปปิ้ง” น้ำมนต์ทำหน้าออดอ้อน ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ เธออยากจะผ่อนคลายด้วยการเลือกซื้อชุดสวยๆ หรือนั่งทำผมที่ร้าน

“ได้สิ มนต์อยากไปที่ไหน” ธันวาตักไข่ดาววางลงบนจาน

“ไปแถวสยามไหม มนต์อยากดูหนังด้วย” น้ำมนต์รับจานอาหารเช้าจากคนรัก

“งั้นก็ได้ครับ” ธันวายิ้ม ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าหากคนรักต้องการ

หลังจากเรียนจบธันวาก็เริ่มทำงานทันทีหลังปีใหม่ การเรียนรู้งานใหม่ทำให้เครียดพอสมควรแต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี พอเริ่มเข้าที่เข้าทางทั้งสองจึงเลือกเช่าคอนโดขนาดหนึ่งห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าห้องเช่าเดิม

ธันวาพยายามตามใจคนรักทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ มีแค่ไม่กี่ครั้งที่เขาจะขัดใจเธอ น้ำมนต์มีนิสัยบางอย่างเปลี่ยนไป จากคนที่ใจเย็นกลับกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิดง่ายจนเขาต้องคอยห้ามปรามอยู่เสมอ

“ธันสิ้นปีนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันไหม” น้ำมนต์ถามขึ้นขณะกำลังรออาหารมาเสิร์ฟ

“มนต์ก็รู้ว่าธันลาพักร้อนกลางเดือนธันวาแล้ว”

“ก็ยกเลิกไปลาสิ้นปีสิ ธันอะ”

เมื่อคนรักเริ่มแสดงสีหน้าหงุดหงิดธันวาจึงกุมมือเธอไว้ หากทะเลาะกันกลางร้านอาหารคงไม่ดีแน่ “ไม่ได้ครับ สิ้นปีงานยุ่งจะตาย ถ้าธันโดนไล่ออกจะทำยังไง” เขาพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด

“ไม่รู้แหละ ธันต้องไปกับมนต์” น้ำมันต์กอดอกหน้าบึ้ง ไม่พูดจาอีก แม้อาหารจะมาเสิร์ฟแล้ว แต่เธอไม่ยอมทานเลยสักคำ ธันวาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจของคนรักที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“น้ำมนต์” กดเสียงต่ำเพื่อให้รู้ว่าเขาเริ่มไม่พอใจ

น้ำมนต์มองตาขวาง “งั้นมนต์จะไปกับธัน” เธอยื่นคำขาด จากที่หน้าบึ้งตึงไม่แพ้กัน ธันวาก็ยิ้มออกมา “ยิ้มอะไร” เธอถามเสียงห้วน

ธันวาอมยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะตักอาหารวางบนจานคนรัก หากถามว่าดีใจไหม ธันวาคงตอบว่ามาก ที่ๆ เขาอยากพาคนรักไปมากที่สุดก็คือที่นั่น จะดีสักแค่ไหนหากน้ำมนต์ไปด้วย แม้เธอจะเอาแต่ใจมากในช่วงนี้ แต่สำหรับธันวาแล้ว...เธอยังคงน่ารักไม่เปลี่ยน

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชีวิตของไอ้พร้าวมีการเปลี่ยนแปลงมากทีเดียว มันจำเป็นต้องย้ายไปอยู่หอพักใกล้โรงเรียน เพราะไม่เคยอยู่ห่างบ้าน ห่างน้าเล ห่างไอ้ปืนเพื่อนรักเลยสักครั้ง คืนแรกที่ต้องนอนคนเดียวจึงร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายจนน้าของมันต้องขับรถกลับมานอนเป็นเพื่อน

ชีวิตในชั้นมัธยมแตกต่างจากตอนประถมเป็นอย่างมาก ไอ้พร้าวต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ไม่มีคนคอยปลุกให้ไปโรงเรียน ไม่มีใครหาข้าวเช้าให้กิน จึงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่ออาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปทานข้าวเช้าก่อนเข้าโรงเรียน

ผ่านไปได้สองเดือนไอ้พร้าวเริ่มปรับตัวกับโรงเรียนและเพื่อนใหม่ได้ เพราะทั้งเรียนทั้งทำกิจกรรมจึงไม่มีเวลาว่างนึกถึงใครเหมือนอย่างแต่ก่อน มีบางครั้งที่นึกถึงเขาคนนั้นที่อยู่ห่างไกล มันจะเปิดดูสมุดภาพที่เขาให้มา แม้จะเป็นภาพประหลาดเดิมๆ แต่มันกลับเข้าใจภาพเหล่านี้ในมุมมองของอีกฝ่าย



“ฮัลโหลน้าเล” ไอ้พร้าวหยอดตู้โทรศัพท์ใต้หอพักโทรหาผู้เป็นน้า

“เป็นไงบ้าง สบายดีไหม เรียนหนักหรือเปล่า กินข้าวตรงเวลาไหม” เลรัวคำถาม นึกถึงไอ้ลิงลมแล้วน้ำตาคลอ เขาคิดถึงมันแทบจะขาดใจทุกวัน ตั้งแต่มันเกิดมาไม่เคยอยู่ห่างอกเลยสักครั้ง

“สบายดีจ้ะ อาทิตย์หน้าหนูจะสอบกลางภาคแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้หนูไม่ได้กลับบ้านนะจ๊ะ” ไอ้พร้าวกลั้นใจบอกออกไป หากมันยังกลับบ้านคงได้ไปวิ่งเล่นกับไอ้ปืนจนไม่ได้อ่านหนังสือ มันรู้แล้วว่าตัวเองเก่งแค่ในโรงเรียนประถม พอเข้ามัธยมที่นี่กลับกลายเป็นว่ามันเกือบได้เป็นที่สุดท้ายของห้อง

“ตามใจเอ็งเถอะ ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ สอบเสร็จค่อยกลับมาบ้าน” เลแอบปาดน้ำตา ไม่มีไอ้หลานรักให้ทะเลาะทุกวันเหมือนอย่างแต่ก่อน เขาจึงเหงาจับใจ

“จ้ะ” มันตอบเสียงหงอย

“เออ พี่ธันของเอ็งโทรมาเมื่อวาน ถามหาเอ็งอยู่ บอกว่าเอ็งไม่ติดต่อไปเป็นเดือนแล้ว”

ไอ้พร้าวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินชื่อคนที่มันลืมไปในช่วงนี้ “หนูจะโทรหาพี่ธันหลายครั้งแล้ว แต่ลืม” มันยิ้ม หยอดเหรียญห้าลงไปในตู้โทรศัพท์

“โทรหาพี่เขาบ้างล่ะ เขาอุตส่าห์ถามหา ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ข้าจะวางแล้วนะลูกค้าเข้าร้าน” เลสั่งลาอีกสองสามประโยคแล้ววางสาย

ไอ้พร้าวชั่งใจอยู่ครู่ก่อนจะหยอดเหรียญเพิ่ม แล้วกดเบอร์โทรศัพท์ที่จำได้ขึ้นใจ มันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่จะได้ยินเสียงเขาคนนั้นที่ไม่ได้ติดต่อมาเป็นเดือนแล้ว

“สวัสดีค่ะ” ทว่าปลายสายกลับเป็นเสียงผู้หญิง ในครั้งแรกมันคิดว่าโทรผิดจึงวางสายแล้วกดโทรออกเบอร์เดิม

“สวัสดีค่ะ ใครคะ” ยังคงเป็นผู้หญิงรับสายเช่นเดิม

“พี่ธัน” ลองเอ่ยชื่อคนที่มันโทรหา

“อ้อ ธันอาบน้ำอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ”

“พร้าวจ้ะ” ไอ้พร้าวนิ่งไปครู่ก่อนจะบอกชื่อ

“อ๋อ น้องพร้าวนี่เอง เดี๋ยวพี่บอกให้ธันโทรกลับนะ” น้ำมนต์จำได้ดีว่าเด็กที่ชื่อพร้าวเป็นใคร

“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูใช้ตู้โทรศัพท์โทร เดี๋ยวหนูโทรมาใหม่” มันตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น

“อา โอเค” น้ำมนต์แปลกใจเล็กน้อยที่ยังมีคนใช้ตู้โทรศัพท์อยู่

“สวัสดีจ้ะ” ไอ้พร้าวกดวางสาย มันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าธันวามีน้องสาวหรือพี่สาวด้วย

“ใครโทรมาหรือมนต์” ธันวาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแว่วๆ

“น้องที่ชื่อพร้าวน่ะ น้องบอกจะโทรมาใหม่” พูดจบก็ยิ้มหวานเดินเข้าไปช่วยคนรักเช็ดผม

“จะอ้อนอะไรครับ” ธันวาถามอย่างรู้ทัน

“ธันอะ รู้ทันตลอดเลย พรุ่งนี้เพื่อนมนต์มีปาร์ตี้วันเกิด ธันไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” น้ำมนต์กอดแขนคนรักอย่างออดอ้อน

“ก็ได้ครับ” ธันวาบีบจมูกคนรักอย่างมันเขี้ยว

จากนั้นธันวาก็วุ่นวายกับการพาแฟนสาวไปเลือกซื้อชุดและของอื่นๆ อีกมากมายทั้งวัน จนลืมนึกถึงใครอีกคนที่โทรเข้ามาในวันนี้



เวลาล่วงเลยมาถึงเดือนตุลาคม เมื่อปิดภาคเรียนเทอมแรกแล้ว ไอ้พร้าวก็หอบเสื้อผ้ากลับมาอยู่ที่บ้าน และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับไอ้ปืน แม้จะไม่ค่อยได้เจอกันในช่วงเปิดเทอม แต่ความเป็นเพื่อนของพวกมันไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

ไอ้พร้าวรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง มันเริ่มมีเสียงแตกห้าวที่ฟังดูเปล่งๆ ไรหนวดเริ่มมีให้เห็น โครงหน้าเริ่มชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าใครพบเห็นก็ต้องบอกว่ามันเหมือนน้าชายอยู่หลายส่วน แม้ไม่คมเข้มเท่าเลแต่ก็ถูกใจสาวน้อยจนบอกต่อกันปากต่อปาก เมื่อได้กลับมาอยู่บ้าน สาวน้อยทั่วทั้งอำเภอจึงเทียวมานั่งเฝ้านั่งคอย

“กลับบ้านกลับช่องไป เป็นเด็กเป็นเล็กเอาเวลาไปตั้งใจเรียนเถอะนังเด็กพวกนี้” เลเดินออกไปไล่สาวๆ ของไอ้พร้าวเป็นรอบที่สาม แต่คุณเธอทั้งหลายยังคงตีหน้ามึนไม่สนใจ “ข้าละปวดหัว” เขายกมือขึ้นนวดขมับ ที่ไล่ไม่ใช่อะไร เพียงแค่กลัวพ่อแม่ของพวกมันจะมาว่าไอ้พร้าวล่อลวงลูกสาวมาทำมิดีมิร้ายเป็นเรื่องเป็นราวอีก เมื่อตอนแตกหนุ่มใหม่ๆ เลก็เคยเจอเหตุการณ์นี้มาแล้ว

“น้าเลไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอกจ้ะ เดี๋ยวค่ำมืดก็กลับเอง” ไอ้พร้าวบอกก่อนจะรับจานอาหารไปเสิร์ฟ

“มาได้ทุกวี่ทุกวัน ข้ารำคาญเต็มทน” เลยังคงไม่เลิกบ่น

“น้าเล หนูไปส่งไปรษณีย์ก่อนนะ” ไอ้พร้าวเห็นลูกค้าบางตาจึงเอ่ยขอ

“จะไปไหนก็ไปเถอะ แต่อย่าออกไปให้พวกมันเห็นล่ะ เดี๋ยวได้แห่กระบวนตาม” เลทำหน้าเอือมระอา ไอ้พร้าวขำกับท่าทางของผู้เป็นน้า

ไอ้พร้าวเดินหลบเข้าบ้าน มันเปิดดูใบเกรดที่โรงเรียนแจ้งทางไปรษณีย์ เกรดเทอมนี้อยู่ในเกณฑ์ดีสมกับที่มันพยายามตลอดทั้งเทอม มันอยากจะให้ใครอีกคนได้เห็นจึงพับใบเกรดใส่ลงในซองจดหมาย...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ส่งจดหมายถึงเขาคนนั้น แต่มันยังจำที่อยู่ได้ขึ้นใจ



สามอาทิตย์ต่อมา เลตะโกนเรียกไอ้พร้าวเสียงดังลั่นระหว่างที่มันกำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้เพื่อกลับหอพัก เพราะเลบอกว่ามีคนโทรหา มันจึงวิ่งไปรับสายด้วยใจที่เต้นแรง

“สวัสดีจ้ะ” ไอ้พร้าวเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอแล้วว่าปลายสายเป็นใคร

“สวัสดีครับคนเก่ง” เสียงจากปลายสายที่มันไม่ได้ยินมานานทำให้ดีใจจนนึกคำพูดไม่ออก

“ได้ยินหรือเปล่าครับ” ธันวาเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบ

“ได้ยินจ้ะ”

“พี่ได้รับจดหมายแล้วนะ พร้าวเก่งมาก” ธันวาก้มมองใบเกรดในมืออีกครั้งด้วยความชื่นชม “ขอโทษนะที่เพิ่งโทรหา นานๆ ทีพี่จะได้กลับบ้านเลยเพิ่งได้จดหมาย” เขารีบบอกเหตุผล

“ไม่เป็นไรจ้ะ”

“ไม่ได้คุยกันตั้งนาน แล้วเปิดเทอมเมื่อไหร่ครับ” เพราะไม่ได้ติดต่อกันมานาน ช่องว่างระหว่างคนสองคนย่อมมีมากขึ้น ธันวาเข้าใจดีจึงถามไถ่เท่าที่จำเป็น เขาเองก็ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบจนลืมเพื่อนฝูงรวมถึงไอ้พร้าวด้วย

“วันจันทร์นี้จ้ะ” ไอ้พร้าวก็ถามคำตอบคำ

“งั้นหรือครับ อืม กลางเดือนธันวาพี่จะไปหานะ” ธันวาบอกสิ่งที่นึกขึ้นมาได้

“จริงเหรอจ๊ะ” มันเผลอถามเสียงดังด้วยความดีใจ

“จริงครับ แล้วเจอกันนะ” ธันวาทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางสาย

ไอ้พร้าวยังคงแนบหูกับโทรศัพท์ค้างไว้อยู่อย่างนั้น มันมองปฏิทินที่ข้างฝาด้วยรอยยิ้ม อีกไม่กี่วันจะถึงเดือนพฤศจิกายนแล้ว...

เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น มันจะได้พบกับธันวาอีกครั้ง



ช่วงนี้ธันวาต้องวางแผนชีวิตใหม่ เมื่อกลางปีที่ผ่านมาป้าของเขาที่อยู่เชียงรายโทรเรียกให้ขึ้นเหนือไปหา โอกาสที่หยิบยื่นมาให้ด้วยความหวังดีทำให้ยากจะปฏิเสธ อีกทั้งมันยังเป็นความฝันของเขาด้วย

ธันวาตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษตามที่ป้าขอ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดป้ากับสามีจะเป็นคนจ่ายให้ ท่านทั้งสองไม่สามารถมีลูกได้จึงรักและเอ็นดูธันวาเหมือนลูกในไส้มาตั้งแต่เกิด

‘เรียนเถอะธัน จบมาแล้วจะได้มาดูแลไร่ให้ป้า’

เนื่องจากไม่มีทายาทสืบทอด ธันวาจึงถูกวางตัวให้รับช่วงต่อธุรกิจที่มี เดิมทีเขาเองก็เคยคิดอยากจะเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินจะรับไหว ความฝันนี้จึงถูกพับเก็บไว้

ธันวาปรึกษากับครอบครัวและคนรัก ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าเขาควรรับโอกาสนั้นไว้ ความฝันนี้จึงได้สานต่อ

“นี่เป็นทริปสุดท้ายก่อนธันจะไปเรียนต่อสินะ เฮ้อ...ถ้าได้ไปญี่ปุ่นก็คงดี” น้ำมนต์บ่นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วธันวาก็ไม่ได้นับ

“อีกสิบนาทีก็ถึงแล้วครับ” ธันวาอมยิ้มแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“ถ้าไม่ถูกใจ มนต์จะกลับบ้านทันทีเลย” น้ำมนต์จับใบหน้าธันวาให้หันมาสนใจตัวเอง เขาจึงบีบจมูกเธออย่างมันเขี้ยว

เมื่อถึงสนามบินธันวาเดินลากกระเป๋าออกมา เขาพยายามมองไปรอบๆ แต่ไม่พบใครบางคนที่อยากจะเจอ น้ำมนต์มองคนรักด้วยความหงุดหงิด เธออยากจะออกจากสนามบินเต็มทนแล้ว

“คุณธัน” เสียงลุงกิตดังขึ้น เจ้าตัวโบกมือไปมา

ธันวาขมวดคิ้ว มองข้างกายลุงกิตที่ว่างเปล่า “สวัสดีครับลุง มาคนเดียวหรือครับ” เอ่ยปากถามแต่ยังไม่เลิกมองหา

“ใช่ๆ ไอ้ปืนกับไอ้พร้าวเรียนหนังสือ มาไม่ได้” ลุงกิตบอกก่อนจะช่วยเขาถือกระเป๋า

“ลุงครับ นี่น้ำมนต์แฟนผม มนต์นี่ลุงกิตที่ดูแลรีสอร์ต” ธันวาแนะนำ น้ำมนต์ยกมือไหว้ด้วยรอยยิ้ม

ลุงกิตรับไหว้ทันที “อา สวัสดีคุณ”

ทั้งสามพูดคุยกันอีกเล็กน้อยแล้วเดินทางออกจากสนามบิน ธันวาสังเกตเห็นคนรักอารมณ์ไม่ดีที่ต้องนั่งรถนาน เพราะระยะทางจากสนามบินไปรีสอร์ตค่อนข้างไกล

“สบายดีไหมครับลุง” ธันวาชวนลุงกิตคุย เขารู้ดีว่าหากคนรักรู้สึกหงุดหงิดหรืออารมณ์ไม่ดีควรปล่อยให้เธออยู่เงียบๆ

“ก็สบายดีไม่ได้เจ็บได้ไข้อะไร แล้วคุณล่ะ”

“สบายดีครับ แล้ว...เด็กๆ ล่ะครับ สบายดีกันไหม” ใจจริงธันวาอยากจะถามเจาะจงถึงใครบางคนมากกว่า

“โตเป็นหนุ่มกันแล้วนะคุณ โดยเฉพาะไอ้พร้าว มันหล่อได้น้า ตอนปิดเทอมกลับมาบ้านพวกสาวๆ แห่กันมาเฝ้าไม่เว้นวัน จนไอ้เลต้องด่าไล่ตะเพิดคอแหบคอแห้ง” ลุงกิตเล่าไปขำไป

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ ผมชักอยากจะเจอแล้วสิ” ธันวาจินตนาการไม่ออกเลยว่าไอ้พร้าวจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นมันก็นั่งรถกลับมาแล้ว” ลุงกิตบอก ไอ้พร้าวมักจะกลับบ้านตอนเย็นวันศุกร์ และกลับไปที่หอพักตอนเย็นวันอาทิตย์

“ใกล้ถึงหรือยังคะ” น้ำเสียงห้วนของน้ำมนต์ทำให้ธันวาต้องส่งสายตาปราม

“มนต์ง่วงก็นอนเถอะครับ ถ้าถึงแล้วธันจะปลุก” ธันวาพยายามพูดอย่างใจเย็น คงดูไม่ดีแน่หากทะเลาะกันให้คนอื่นเห็น น้ำมนต์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

ทันทีที่รถจอดหน้ารีสอร์ตธันวาพยายามติดต่อเรื่องที่พักให้เร็วที่สุด เพราะคนรักเริ่มแสดงท่าทีไม่น่ารักออกมาเรื่อยๆ แม่ของไอ้ปืนไม่ได้ถือสาอะไรเพราะทั้งคู่เดินทางมาตั้งแต่เช้าจึงอารมณ์ไม่ดีกันบ้าง

“ธันไม่ชอบที่มนต์เป็นแบบนี้เลย” ธันวาหมดความอดทนเมื่ออยู่กันสองคนในบ้านพัก

“ไม่ชอบก็เรื่องของธันสิ มนต์ไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย” น้ำมนต์ขึ้นเสียง

ธันวาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพ่นออกมาอย่างช้าๆ เขาต้องใจเย็นให้มาก “โอเคครับ ธันขอโทษ” เขาเดินเข้าไปกอดคนรักจากด้านหลัง “งั้นเราพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยไปเดินชายหาดดีไหม”

“ก็ได้” น้ำมนต์นิ่งไปครู่ก่อนจะตอบ เมื่อเห็นท่าทีอ่อนลงของคนรัก ธันวาจึงหอมแก้มเธออย่างรักใคร่

น้ำมนต์ยิ้มหัวเราะอย่างร่าเริงเมื่อเจอชายหาด ตากล้องจำเป็นอย่างธันวาก็เดินตามถ่ายรูปโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย เพียงแค่เห็นคนรักยิ้ม เขาก็มีความสุขจนมองข้ามเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น

วันถัดมา ธันวาพาน้ำมนต์มาที่ร้านน้องพร้าวในช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากแนะนำเลให้คนรักรู้จัก พูดคุยกันสองสามประโยค น้ำมนต์ที่อารมณ์ดีมากกว่าเมื่อวานก็ขอตัวไปเดินเล่นถ่ายรูปที่ชายหาด ปล่อยให้สองหนุ่มได้คุยพูดกัน

“น้องจะมาเย็นนี้ใช่ไหมครับ” ธันวาถามเมื่อแฟนสาวเดินออกไป

“ใช่ กว่าจะถึงก็ประมาณทุ่มหนึ่ง ได้บอกมันแล้วใช่ไหมว่ามาช่วงนี้” เลเข้าใจดีว่าการมาครั้งนี้ของธันวาแตกต่างจากที่ผ่านมา เขาจึงกังวลว่าไอ้พร้าวจะเข้าไปเกะกะรบกวนอีกฝ่ายกับคนรัก เห็นทีเมื่อมันมาถึงต้องรีบเตือนไว้ก่อน

“บอกแล้วครับ แต่มาคราวนี้อยู่แค่ไม่กี่วัน วันอาทิตย์ก็กลับแล้ว” ธันวาบอกด้วยความรู้สึกเสียดาย

“ทำงานเป็นไงบ้างล่ะ” เลถามก่อนจะกวักมือเรียกเด็กในร้านให้หาน้ำมาเสิร์ฟ

“ก็สนุกดีนะพี่ บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองบ้างานอยู่เหมือนกัน แต่อีกไม่กี่เดือนคงได้ลาออกแล้ว”

“อ้าว ทำไมล่ะ” เลตกใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหา

“ผมจะบินไปเรียนต่อที่อังกฤษครับ กว่าจะเรียนจบก็ใช้เวลาประมาณปีกว่าๆ อยากรีบจบรีบกลับ” ธันวามองไปที่แฟนสาว

เลมองตามจึงเข้าใจ “แต่งเมื่อไหร่ก็บอกข้าด้วยล่ะ จะหอบไอ้พร้าวขึ้นไปหา” เขาพูดทีเล่นทีจริง

“ยังไม่ได้คิดเลยพี่ แต่อยากแต่งเร็วๆ เหมือนกัน”

ทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เป็นเรื่องของไอ้พร้าวเสียส่วนใหญ่ เสียงหัวเราะที่ดังลั่นจากคนทั้งสองทำให้คนงานในร้านมองอย่างสงสัย ผ่านไปครู่เดียวก็หัวเราะขึ้นมาอีก ดูเฮฮาจนพัทธ์ที่ยุ่งหัวหมุนอยู่ในครัวบ่นออกมาเบาๆ

จากที่คิดว่าจะรอจนไอ้พร้าวกลับมา ธันวาก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อน้ำมนต์บ่นว่าเหนียวตัว อยากกลับไปอาบน้ำที่รีสอร์ต เขาจึงขอตัวกลับก่อน หากคนรักอารมณ์เสียขึ้นมาคงได้เรื่องแน่ๆ

วันนี้ไอ้ปืนอาสาไปรับเพื่อนรักจากหน้าอำเภอ ทันทีที่ไอ้พร้าวมาถึงร้านก็วิ่งตึงตังเข้าไปสวัสดีผู้เป็นน้าก่อนจะถามหาใครอีกคนที่มันหวังว่าเขาจะอยู่รอที่ร้าน

“เขากลับรีสอร์ตตั้งแต่สี่โมงแล้ว” เลหันมาบอกหลาน

“งั้นวันนี้หนูไปนอนรีสอร์ตนะ” ไอ้พร้าวตั้งท่าจะเดินไปแต่ถูกน้าของมันดึงคอเสื้อไว้ได้ทัน

“ไม่ได้ อย่าไม่รบกวนเขา”

เมื่อได้ยินดังนั้นไอ้พร้าวจึงทำปากยื่น “ทำไมล่ะจ๊ะ ครั้งก่อนหนูก็ไปนอนรีสอร์ตกับพี่ธัน น้าเลไม่เห็นว่าอะไรเลย”

“เฮ้อ เขาพาแฟนมาด้วย ครั้งนี้เอ็งจะไปเกาะแกะวุ่นวายเขาเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เข้าใจคำว่า เวลาส่วนตัวไหม” เลไม่ว่าเปล่ายังใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากหลานด้วย

“ก็หนูไปหาพี่ธัน ไม่ได้ไปหาแฟนพี่ธันสักหน่อย” ไอ้พร้าวโตพอที่จะรู้จักคำว่า ‘แฟน’ แล้ว ที่โรงเรียนของมันมีคนเป็นแฟนกันเยอะแยะ หากไม่ยุ่งกับแฟนคนอื่นย่อมไม่เกิดปัญหาอะไร

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้” เลยื่นคำขาด

“ก็ได้จ้ะ” สุดท้ายไอ้พร้าวก็ยอมตัดใจ แม้จะอยากเจอพี่ธันของมันมากแค่ไหนก็ตาม

ในวันรุ่งขึ้นธันวาตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อออกมาเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เวลานี้ชายหาดค่อนข้างเงียบมาก มีเพียงไม่กี่คนที่ออกมาเดินเล่น เขาตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยจนมาถึงบริเวณชายหาดร้านน้องพร้าว

มีใครคนหนึ่งกำลังนั่งวาดภาพด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นไอ้พร้าวนั่นเอง แต่อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับการลากดินสอลงบนกระดาษ ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนี้

ธันวาไล่สายตามองใบหน้าที่ดูเปลี่ยนไปมากของเพื่อนตัวน้อยในวันวาน อีกทั้งนิ้วมือที่เคยสั้นป้อมก็เรียวยาวตามความสูงของเจ้าตัว

“หล่อขึ้นจนพี่จำแทบไม่ได้เลยนะครับ” เสียงที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ไอ้พร้าวเงยหน้ามอง มันนิ่งไปครู่เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร

“สวัสดีจ้ะพี่ธัน” มันยกมือไหว้

ธันวายิ้มอย่างพอใจก่อนจะนั่งลงข้างเด็กชาย “ทำไมมานั่งวาดรูปตอนเช้าๆ แบบนี้ล่ะครับ หือ...แล้วนี่พร้าววาดอะไร” เขายื่นหน้าเข้าไปดูสมุดวาดเขียนในมือของไอ้พร้าว ลายเส้นที่ลากมั่วๆ ไปมาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือรูปอะไร

“เปล่าจ้ะ” ไอ้พร้าวบอกปัดแล้ววางสมุดวาดเขียนลงข้างตัว มันนั่งกอดเข่ามองตรงไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า

“พี่ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้อยู่รอจนพร้าวกลับ” ธันวารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่สัญญากับไอ้พร้าวไว้แล้วว่าจะอยู่รอ

“ไม่เป็นไรจ้ะ น้าเลบอกแล้ว” มันหันมาพูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก จากนั้นหันกลับไปมองทะเลตามเดิม

ธันวาจ้องเด็กชายอีกครั้งอย่างพิจารณา นอกจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงแล้ว นิสัยของไอ้พร้าวก็เปลี่ยนไปด้วย มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่เขากลับไม่ชอบใจนัก

“มีอะไรจ๊ะ” ไอ้พร้าวหันมาถามเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้อง

“ไม่มีอะไรครับ” ธันวายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง “ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ส่งจดหมายมาหาพี่เลย” เขาถามถึงสิ่งที่ค้างคาในใจ

“ก็หนูไม่มีอะไรให้ส่ง” ตั้งแต่เข้าโรงเรียนมัธยม นอกจากเกียรติบัตรค่ายธรรมะหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนแล้ว ไอ้พร้าวก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย สอบแข่งขันอะไรมันก็สู้คนอื่นไม่ได้ แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

“วาดรูปส่งให้พี่ก็ได้ ไม่ต้องประกวดได้รางวัลหรอก...พี่แค่อยากได้จดหมายของพร้าว” ธันวายื่นมือไปลูบหัวมันเบาๆ

“ได้จ้ะ หนูจะส่งบ่อยๆ เลย” ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง “พี่ธันจะกลับพรุ่งนี้หรือจ๊ะ ทำไมอยู่แค่ไม่กี่วัน” แววตาของมันสั่นไหว

“พี่มีเรื่องมากมายต้องกลับไปเคลียร์น่ะ ปีหน้าพี่จะไปเรียนต่อ”

“เรียนอะไรอีกจ๊ะ พี่ธันก็เรียนจบแล้ว” ไอ้พร้าวคิดว่าปริญญาตรีคือวุฒิสูงสุดที่ทุกคนเรียน

“ต่อปริญญาโทไงครับ ปีหน้าพี่คงไม่ได้มาหาพร้าว เอาไว้เรียนจบพี่จะมาหานะครับ” ธันวารู้สึกใจหายเหมือนกันที่จะไม่ได้เจอเพื่อนตัวน้อยในปีถัดไป กว่าจะได้เจอกันอีกเด็กตรงหน้าคงโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว

“หนูจะรอจ้ะ” ไอ้พร้าวตอบเสียงดังฟังชัดแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี

“ครับ พี่จะรีบกลับมา”

เงียบกันไปครู่ใหญ่จนพระอาทิตย์ลอยสูงจากขอบฟ้า ธันวาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน หากแฟนสาวตื่นขึ้นมาไม่พบเขาคงได้ทะเลาะกันแน่ๆ ไอ้พร้าวเงยหน้ามองตาม ทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากจะพูดคุยกับอีกฝ่ายแต่มันกลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า...น่าเสียดายจริงๆ

“พรุ่งนี้ไปส่งพี่ที่สนามบินได้ไหมครับ” ธันวาอยากยื้อเวลาให้นานอีกนิด รู้ดีว่าการมาครั้งนี้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเด็กชายตรงหน้าน้อยเหลือเกิน ช่างไม่คุ้มค่ากับหนึ่งปีที่ต้องรอเพื่อพบกัน

ไอ้พร้าวพยักหน้า “ได้จ้ะ”

“เจอกันพรุ่งนี้ครับ” ธันวายิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้...แต่จะมีประโยชน์อะไร เจอเพื่อจากงั้นหรือ ตลกดีเหมือนกัน

ไอ้พร้าวมองแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปจนลับตา มันถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทราย รู้สึกหวิวๆ ในใจเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้คนที่รอคอยมาตลอดหนึ่งปีจะไปจากมันอีกครั้ง

รอมาทั้งปีเพื่อใช้เวลาอยู่กับเขาเพียงเท่านี้หรือ...

หากขอพรได้หนึ่งข้อจากท้องฟ้า ภูเขา ทะเล หรืออะไรก็ตาม มันอยากเปลี่ยนจำนวนวันที่รอคอยให้เป็นวันที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาคนนั้นแทนจะได้หรือเปล่า

เช้าวันอาทิตย์ไอ้พร้าวตื่นตั้งแต่ไก่โห่เพื่อเตรียมตัวไปส่งธันวาที่สนามบิน มันมาถึงรีสอร์ตตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แต่ภายในรีสอร์ตกลับเงียบเชียบ อีกทั้งประตูบ้านพักของธันวาตามที่ไอ้ปืนบอกไว้ยังถูกล็อกไว้จากด้านนอก

ติ๋มเดินออกมาจากห้องครัวเจอไอ้พร้าวกำลังชะเง้อคอมองหาอะไรสักอย่างจึงเอ่ยถาม “ไอ้พร้าวมาทำอะไรตั้งแต่เช้า ไอ้ปืนมันยังไม่ตื่นเลย”

“จะไปส่งพี่ธันที่สนามบินจ้ะ พี่ธันกับลุงกิตล่ะจ๊ะ” มันยังคงชะเง้อคอมองหา

“อ๋อ พี่ธันของเอ็งกลับแล้วล่ะ ลุงกิตขับรถไปส่งที่สนามบินตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

ไอ้พร้าวชะงักเมื่อได้ฟัง “จริงเหรอจ๊ะ เมื่อวานพี่ธันบอกหนูว่าจะกลับวันนี้” ไม่มีทางที่ธันวาจะหลอกมัน

“จริงสิ ตอนแรกจะกลับวันนี้แหละแต่เมื่อวานเห็นทะเลาะกับแฟนตั้งแต่เช้า สุดท้ายก็พากันกลับเมื่อคืน ข้าละเป็นห่วงพี่ธันของเอ็งจริงๆ เอาอะไรมาทำเมียก็ไม่รู้ ปวดกบาลตายพอดี” ติ๋มว่าตามที่เห็น

ไอ้พร้าวยืนนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน มันเดินไปตามชายหาดอย่างเหม่อลอย รู้สึก...ผิดหวัง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะทำแต่สุดท้ายก็พลาดโอกาสนั้นไป มันยังไม่ทันได้บอกลาและพูดว่าเจอกันใหม่

เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก...มันใช้หลังมือปาดน้ำตา หาเหตุผลต่างๆ นานามาปลอบใจตัวเอง



ธันวายังคงเงียบไม่ยอมพูดคุยกับน้ำมนต์ เขารู้สึกโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาก็สามารถทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตได้ แม้จะเป็นฝ่ายยอมให้ตลอดแต่กลับไม่ดีขึ้นเลย

เมื่อกลับมาถึงคอนโดน้ำมนต์จึงระเบิดอารมณ์อีกรอบ จากนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ ธันวาไม่ได้เข้าไปปลอบเหมือนอย่างเคย เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าการตัดสินใจไปเรียนต่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรัก ห่างกันไปสักพักเผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น ให้พวกเขาได้ลองใช้ชีวิตโดยไม่มีอีกฝ่ายจะได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา

“มนต์ ธันขอโทษนะครับ” แต่ธันวาก็ยังคงเป็นธันวาคนเดิม เขาไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยไม่ขอโทษก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ก็ตาม

ไม่ว่าคนรักจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน แต่ความรักที่ธันวามีให้นั้น...ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:05:04 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

ทุกครั้งที่ไอ้พร้าวนั่งรถกลับบ้าน ไอ้ปืนจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรอรับที่หน้าอำเภอ วันนี้ก็เช่นกันไอ้พร้าวลงจากรถสองแถวแล้วเดินตรงไปหาเพื่อนรัก มันฟาดฝ่ามือลงบนหัวไอ้ปืนหนึ่งทีเพื่อปลุกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งหลับบนรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจ

ไอ้ปืนสะดุ้งโหยง ตื่นเต็มตา หากไอ้พร้าวไม่จับแขนไว้คงได้ล้มไปทั้งคนทั้งรถมอเตอร์ไซค์ “โอ๊ย ไอ้ห่า กูเจ็บนะเว้ย” โวยวายพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ

“กูยืนรอตั้งนาน มึงก็ไม่ยอมตื่น” ไอ้พร้าวแสร้งตีสีหน้าหงุดหงิด อีกฝ่ายจึงหุบปากฉับ

“มึงปลุกดีๆ กูก็ตื่น” ไอ้ปืนพูดเบาๆ อย่างรู้สึกผิด ไอ้พร้าวยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัยก่อนจะสวมหมวกกันน็อค

“ผู้หญิงที่ห้องกูถามหามึงทุกวันเลย” ไอ้ปืนสตาร์ตรถ มันรู้สึกอิจฉาเพื่อนรักนิดหน่อยที่ได้รับความสนใจจากพวกผู้หญิง ทั้งที่ตัวมันเองก็หล่อเหลาไม่แพ้ไอ้พร้าว...น่าเสียดายที่นอกจากแม่ของมันแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่มองเห็นความหล่อเหลาคมเข้มของมัน

“ก็กูหล่อ” ไอ้พร้าวยักคิ้ว ขึ้นนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์

ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีไอ้ปืนก็ขับมาส่งไอ้พร้าวถึงบ้าน ระหว่างที่ไอ้พร้าวถอดหมวกกันน็อค ไอ้ปืนก็นึกขึ้นได้ว่ามีของบางอย่างที่หยิบติดมือเอามาให้เพื่อนรักด้วย ทั้งที่คิดว่าจะให้ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาแต่มันลืมไปเสียสนิทจนผ่านมาเดือนกว่าถึงเพิ่งนึกได้

“อะ นี่ของมึง” มันยื่นสมุดโน้ตขนาดครึ่งเอสี่ปกแข็งสีดำให้ไอ้พร้าว

“ของกู?” ไอ้พร้าวมองอย่างสงสัย มันไม่เคยเห็นสมุดเล่มนี้มาก่อน

“พี่ธันฝากมาให้มึงตั้งแต่เดือนก่อน...กูลืมเอาให้ แหะๆ” ไอ้ปืนหลับตาปี๋ คาดว่าต้องเจอฝ่ามือหนักๆ ฟาดเข้าที่หัว แต่ไอ้พร้าวกลับนิ่งเฉย ไม่มีแม้แต่คำด่า มันรับสมุดโน้ตเล่มนั้นไปแล้วเดินเข้าบ้าน ทิ้งให้ไอ้ปืนยืนเกาหัวแกรกๆ กับท่าทีที่แปลกไปของเพื่อนรัก

ไอ้พร้าวเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง เปิดโคมไฟแล้ววางสมุดโน้ตที่เพิ่งได้มาลงบนโต๊ะ ยืนจ้องอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจเปิดมัน

“ไอ้ลิงลมลงมากินข้าว” เลตะโกนเรียกจากนอกหน้าต่าง ไอ้หลานรักกลับมาถึงบ้านแล้วแทนที่มันจะเข้ามาทักทายน้าของมันอย่างเคย แต่กลับเดินเข้าบ้านเงียบๆ จนเขาต้องเดินมาตาม

มือที่กำลังเปิดสมุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากผู้เป็นน้า “กำลังไปจ้ะ” ไอ้พร้าวชะโงกหน้าไปบอกทางหน้าต่างแล้ววิ่งตึงตังออกจากห้อง

ไอ้พร้าวชินกับการตื่นเช้าไปเสียแล้วแม้จะนอนดึกสักแค่ไหน มันลุกขึ้นนั่งบนเตียง บิดตัวไปมาคลายความเมื่อยล้า พลันสายตาสะดุดกับสมุดโน้ตเล่มสีดำที่วางบนโต๊ะ ทั้งที่เมื่อวานตั้งใจจะเปิดดูแต่ต้องช่วยเลเก็บกวาดร้านจนเกือบเที่ยงคืนจึงลืมไปเสียสนิท

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็หยิบสมุดโน้ตเล่มนั้นเดินออกจากห้อง ไอ้พร้าวเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย สูดอากาศยามเช้า หลับตาฟังเสียงคลื่นที่มันคิดถึง แล้วนั่งลงบนทรายนุ่มเมื่อเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มันเคยหล่นลงมาทับธันวาเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นเปิดสมุดโน้ตที่อีกฝ่ายให้มาอย่างทะนุถนอม

ไอ้พร้าวเปิดดูทีละหน้าอย่างช้าๆ มองภาพวาดดินสอเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม ธันวาเริ่มวาดภาพพวกนี้เมื่อปีก่อน แต่ละภาพมีวันที่เขียนกำกับไว้ ในช่วงสองเดือนแรกเจ้าของสมุดโน้ตวาดภาพลงไปแทบทุกวัน จากนั้นก็ลดความถี่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคมที่มีภาพวาดเพียงภาพเดียว

มันคือภาพใบหน้าของไอ้พร้าวที่กำลังยิ้ม...เหมือนอย่างตอนนี้



ถึงกำหนดวันที่ธันวาต้องออกเดินทาง เพื่อนฝูงแห่มาส่งถึงสนามบิน เสียงหัวเราะดังรอบตัวทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหากไปอยู่ต่างถิ่นจะคิดถึงบรรยากาศนี้มากแค่ไหน

“หิ้วสาวผมบลอนด์กลับมาฝากกูด้วยนะเว้ย” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดขึ้น เรียกเสียงโห่จากเพื่อนคนอื่นได้เป็นอย่างดี

“มึงก็หาเรื่องตายให้ไอ้ธันนะ รู้ไหมว่าเจ้าที่มันแรงแค่ไหน” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มพูดขึ้น ไม่ว่าเปล่าสายตายังมองไปทางน้ำมนต์ที่ยืนคุยกับพ่อแม่ของธันวาอีกด้วย คนอื่นๆ มองตามแล้วหัวเราะ

“เออ ไอ้วินยังไม่โผล่หัวมาอีกเหรอวะ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น

“ไม่รู้ว่ะ มันไม่ยอมรับโทรศัพท์กู” ธันวาว่าอย่างหงุดหงิดเมื่อเพื่อนรักหายเงียบ

“Hey guys, sorry I'm late” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูทำให้ทุกคนพุ่งสายตาไปยังผู้มาใหม่ วินหรือกวินเพื่อนสนิทที่สุดของธันวากำลังเดินลากกระเป๋าใบใหญ่สองใบมาด้วย

“เฮ้ย ไอ้วิน” ธันวาเรียกอย่างดีใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้เพื่อนรักมันลากกระเป๋ามาทำไม

“กูจะทิ้งมึงไปคนเดียวได้ยังไง ขาดมึงไปกูจะมีชีวิตอยู่เพื่อใคร กูจะไปส่งมึงถึงที่ ไปดูให้เห็นกับตาว่ามึงจะไม่ลำบาก” กวินพูดก่อนจะโถมตัวเข้ากอดธันวาเสียเต็มรัก เพื่อนคนอื่นๆ หัวเราะจนน้ำตาเล็ด

ใครจะไปคิดว่าผู้ชายสองคนที่ต่างกันคนละขั้วอย่างธันวากับกวินจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันได้ กวินเป็นคนคารมดี ชอบทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ แต่ธันวานั้นนิ่งขรึมดูจริงจังกับชีวิต

“แม่กูถูกหวยเลยให้เงินไปเที่ยวสองอาทิตย์” กวินพูดติดตลกแล้วขอตัวไปทักทายพ่อแม่ของธันวาและน้ำมนต์

ธันวามองภาพเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม นี่สินะครอบครัวของเขา พ่อแม่ คนรัก และเพื่อนสนิท อีกทั้งคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาส่งอย่างลุงกับป้าและยายที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิด

...ยังมีใครอีกคนที่ตอนนี้อาจจะกำลังคิดถึงเขาอยู่



ไอ้พร้าวมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน มันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้เขาคนนั้นเดินทางปลอดภัย และรีบกลับมาหามันตามที่ได้บอกไว้


TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:05:59 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 6


ทุกครั้งที่มีเวลาว่างไอ้พร้าวมักหยิบสมุดโน้ตเล่มสีดำขึ้นมาวาดภาพลงไปต่อจากภาพสุดท้ายที่ธันวาได้วาดไว้ แล้วเขียนวันที่กำกับลงในทุกๆ ภาพเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายทำ

ไอ้พร้าวได้โทรคุยกับธันวาบ้างนานๆ ครั้ง เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะยุ่งตลอดเวลา มันจึงไม่กล้าโทรไปรบกวนเหมือนแต่ก่อน

หลังจากสอบเลื่อนชั้นเสร็จ ไอ้พร้าวก็หอบข้าวของเครื่องใช้กลับบ้านทันที ไม่ได้ไปเรียนพิเศษเหมือนอย่างคนอื่นๆ มันเลือกที่จะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนน้าของมัน และช่วยงานในร้าน

“ช่วงปิดเทอมลูกค้าเยอะทุกวัน ไม่ได้พักเลย เมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว” เลบ่นพร้อมบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าเมื่อเก็บร้านเสร็จ

“ก็ปิดร้านสิครับ ปิดวันสองวันไม่เจ๊งหรอก” พัทธ์ที่เช็ดโต๊ะอยู่ไม่ไกลพูดขี้นลอยๆ

“ที่พูดนี่ขี้เกียจใช่ไหม ถ้าไม่อยากทำงานก็ไปอยู่ที่อื่น” เลพูดไล่เสียงห้วน ไอ้พร้าวยืนนิ่งมองน้าเลทีลุงพัทธ์ที

“ถ้ามีที่ไปก็ไปตั้งนานแล้วครับ” พัทธ์พูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เลดูจะหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย

“น้าเลเมื่อยใช่ไหมจ๊ะ เดี๋ยวหนูนวดให้” ไอ้พร้าวเห็นท่าไม่ดีจึงเอาตัวเข้าไปแทรกกลาง มันบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ เลถึงมีท่าทีอ่อนลง

พัทธ์เหลือบมองเลด้วยหางตาก่อนจะเดินไปเช็ดโต๊ะอื่น

“ทำไมน้าเลชอบพูดไม่ดีกับลุงพัทธ์อยู่เรื่อย หนูไม่ชอบ” ไอ้พร้าวพูดเสียงเบาเมื่อพัทธ์เดินห่างออกไปสองสามโต๊ะ

“เอ็งก็ได้ยิน มันพูดกับข้าไม่ดีก่อน” เลรู้สึกน้อยใจที่ไอ้หลานรักเข้าข้างคนอื่นมากกว่า

“ลุงพัทธ์ก็พูดปกติ น้าบอกว่าเหนื่อย เขาเลยบอกให้ปิดร้านพักผ่อนไง” ไอ้พร้าวว่าอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ว่าลุงพัทธ์จะทำอะไร น้าเลก็ว่าผิดไปหมด

“ทำไมเอ็งต้องเข้าข้างมันด้วย” เลเริ่มมีน้ำโห

“หนูไม่ได้เข้าข้าง หนูว่าไปตามจริง” มันเถียงไม่ยอมแพ้เช่นกัน

“เอ็งต้องตามข้าสิ ข้าเป็นน้าเอ็งนะ” เลบอกเหตุผลไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจ

ไอ้พร้าวยู่หน้าด้วยความไม่พอใจ “ถึงหนูจะเป็นหลาน หนูก็ไม่เข้าข้างน้าเลหรอก น้าเลนั่นแหละนิสัยไม่ดี พูดไม่ดีกับลุงพัทธ์ก่อน” มันโมโหจนเผลอทุบไหล่เลไปหลายกำปั้น

“ใจเย็นๆ ครับน้องพร้าว” พัทธ์ได้ยินเสียงสองน้าหลานดังขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบเดินมาห้าม

ไอ้พร้าวหน้างอวิ่งแจ้นไปเกาะแขนพัทธ์ “น้าเลนิสัยไม่ดี”

“อ้าว ไอ้นี่” เลลุกขึ้นยืนเมื่อถูกหลานว่า

“คุณพอเถอะ โอเคผมผิดเองที่พูดไม่ดี ผมขอโทษ” พัทธ์สบตากับเล เขาไม่ชอบเลยที่สองน้าหลานทะเลาะกัน ซึ่งส่วนใหญ่ต้นเหตุนั้นมาจากเขา “ผมขอโทษ คุณหายโกรธเถอะ” พูดย้ำอีกรอบ เลนิ่งไปครู่ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินหายเข้าไปในครัว

“น้าเลผิดแท้ๆ ควรเป็นคนขอโทษ” ไอ้พร้าวว่าอย่างหงุดหงิด

พัทธ์ยิ้มอย่างเอ็นดู ยื่นมือไปลูบหัวเด็กชาย “ไม่หรอกครับ...ลุงผิดเอง”

ไอ้พร้าวมองแววตาสั่นไหวคู่นั้นอย่างไม่เข้าใจ

“พร้าวเองก็ควรไปขอโทษน้าเลนะ เรานี่นับวันจะเถียงเก่งขึ้นเรื่อยๆ” พัทธ์บีบจมูกมันด้วยความมันเขี้ยว

“ถ้าไม่ให้เถียงน้าเล หนูคงลิ้นจุกปากตาย” ไอ้พร้าวแกล้งทำตาเหลือก ลิ้นจุกปากเป็นท่าประกอบจึงถูกฟาดเข้าที่แขนหนึ่งที

“ไปครับ ไปขอโทษน้าเดี๋ยวนี้” พัทธ์แสร้งตีสีหน้าจริงจัง ไอ้พร้าวทำฮึดฮัดก่อนจะเดินไปขอโทษผู้เป็นน้า

ชีวิตแต่ละวันในช่วงปิดเทอมของไอ้พร้าวไม่ได้มีเรื่องราวอะไรมากมายไปกว่าการทะเลาะกับน้าเล ทะเลาะกันจนเป็นกิจวัตรประจำวัน หากวันไหนไม่ได้ทะเลาะกัน สองน้าหลานคงทานข้าวไม่ลงแน่ๆ



ใบแจ้งผลการเรียนถูกส่งมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ ไอ้พร้าวตบกระเป๋ากางเกงที่มีซองจดหมายอยู่ในนั้น และกำลังจะถูกหย่อนลงตู้ไปรษณีย์เพื่อส่งต่อไปให้คนที่อยู่กรุงเทพ เกรดที่ขยับเพิ่มขึ้นทำให้ไอ้พร้าวตื่นเต้น อยากจะอวดพี่ธันของมันเร็วๆ สองเท้าปั่นรถจักรยานไปพลางร้องเพลงไปพลางอย่างอารมณ์ดี จนลืมมองถนนข้างหน้าที่เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดย่อม

ตุบ! เคร้ง!

ไอ้พร้าวกลิ้งคลุกๆ ลงพงหญ้าข้างทาง สองแขนสองขาถลอกจนเลือดซิบ ที่หัวเข่าข้างซ้ายเป็นแผลใหญ่เลือดไหลเป็นทาง มันร้องโอดโอยพยายามลุกขึ้นเดินกลับไปที่ถนน โชคยังดีที่รถจักรยานคู่ใจของมันแค่ตะกร้าหน้ารถบิดเบี้ยว แต่คงฝืนปั่นต่อไปไม่ไหวจึงเดินกะเผลกจูงรถจักรยานไปหน้าหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากตรงนี้สองร้อยเมตร

เมื่อหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ไอ้พร้าวต้องกัดฟันเดินกะเผลกอีกหลายก้าวไปที่ตู้โทรศัพท์เพื่อโทรหาน้าเล มันยอมถูกด่าดีกว่าต้องเดินขาเจ็บกลับบ้านตั้งสามกิโลเมตร

“น้าเลจ๋า” มันเรียกเสียงหวานผิดปกติจนหางคิ้วเลกระตุก

“เออมีอะไร รีบกลับมาช่วยงานที่ครัวได้แล้ว” เลพูดพลางตำน้ำพริกเสียงดังลั่นครัว แต่รออยู่นานคนปลายสายก็ยังไม่ตอบกลับมาจึงหยุดมือที่ตำน้ำพริกเพื่อรอฟัง

“น้าเลมารับหนูที่หน้าหมู่บ้านหน่อย...หนูจักรยานล้ม” ไอ้พร้าวพูดเสียงเบาในท้ายประโยค

ทันทีที่ได้ยินหลานบอกว่ารถจักรยานล้ม เลก็ทิ้งสากกะเบือทันที รีบร้อนฝากลูกมือให้ทำงานต่อ ตะโกนบอกลูกน้องในร้านว่าหลานรถล้มก่อนขับรถออกไป

หากมีใครสังเกตคงเห็นว่ามีอีกคนที่ร้อนใจและเป็นห่วงไอ้พร้าวไม่แพ้เล

“น้าเล” เสียงเรียกหงอยๆ ดังอยู่ไม่ไกล

เลมองไอ้พร้าวที่นั่งรอในศาลาหน้าหมู่บ้านด้วยความโมโห แต่เมื่อเห็นแผลตามตัวหลานแล้ว เขาก็ด่ามันไม่ลง “เออ เอ็งนี่”

ไอ้พร้าวแค่นั่งซึมไม่มีน้ำตาสักหยด หากเป็นเมื่อก่อนมันคงเป่าปี่ใส่น้าของมันแล้ว

“เดินไหวไหม” เลหันมาถามก่อนจะแบกรถจักรยานคู่ใจของหลานใส่หลังกระบะ

“จ้ะ” มันว่าแล้วเดินกะเผลกๆ ขึ้นรถ

เลเห็นเลือดเกรอะกรังที่หัวเข่าไอ้พร้าวแล้วปวดใจ อยากจะปลอบโอ๋หลานแต่มันโตแล้ว เขาจึงต้องห้ามใจแล้วรีบขับรถพามันไปทำแผลที่อนามัย

“ล้างแผลก่อนนะคะ ทนเจ็บแป๊บเดียว” พยาบาลประจำอนามัยค่อยๆ เช็ดล้างแผลให้ไอ้พร้าว มันกัดฟันกรอดๆ เพราะไม่อยากร้องโอดโอยต่อหน้าพี่พยาบาลคนสวย

“หมวยจะให้ยาแก้อักเสบกับชุดล้างแผลนะ พยายามอย่าให้แผลน้องโดนน้ำนะเล” พยาบาลชื่อหมวยหันมาสั่งเล

“ได้ๆ มันจะอักเสบจนต้องตัดขาทิ้งไหม” เลพูดอย่างขำๆ จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองก็คุยกันเพลินจนลืมผู้ป่วยที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ ไอ้พร้าวได้แต่มองท่าทีสนิทสนมของน้าเลกับพี่พยาบาลอย่างสงสัย

“ขอบคุณจ้ะ” ไอ้พร้าวไหว้ขอบคุณแล้วเดินมารอเลที่รถ เลพูดคุยกับหมวยอีกสองสามประโยคก่อนจะเดินมาขึ้นรถ

ไอ้พร้าวมองเลนั่งยิ้มคนเดียวอย่างครุ่นคิด “น้าเลรู้จักพี่พยาบาลด้วยเหรอจ๊ะ” มันมองผู้เป็นน้าอย่างจับผิด เพราะกำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นจึงอดถามไม่ได้ มันเริ่มแบ่งแยกความสนิทสนมระหว่างเพศเดียวกันกับเพศตรงข้ามได้แล้ว อย่างมันกับไอ้ปืนเรียกว่า ‘เพื่อน’ แต่ถ้าน้าเลกับพี่พยาบาลคนนั้นอาจจะเป็นอย่างอื่นได้ อย่างเช่น ‘แฟน’

“รู้จักมานานแล้ว เอ็งจะถามทำไม” เลหรี่ตามองหลานอย่างไม่ไว้ใจ ช่วงนี้ไอ้ลิงลมของเขาชอบพูดอะไรทะลึ่งแก่แดดอยู่เรื่อย

“สงสัยเฉยๆ” ไอ้พร้าวบอกปัด แต่แววตาของมันขัดกับสิ่งที่พูดจึงถูกเลเขกหัวหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “ตีหนูตลอด หนูจะฟ้องลุงพัทธ์” มันหน้างอ

“ฟ้องไปเหอะ ฟ้องไปมันก็ทำอะไรข้าไม่ได้” เลยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะขับรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี

เมื่อกลับมาถึงบ้านไอ้พร้าวก็เล่นใหญ่เดินกะเผลกๆ ร้องโอดโอยไปหาพัทธ์ อีกฝ่ายตกใจวิ่งเข้ามาประคองมันนั่ง ถามว่าเจ็บไหมอยู่หลายรอบพร้อมลูบหัวลูบหลัง น้ำตาคลอ เลได้แต่กลอกตาอย่างเอือมระอา

“ลุงพัทธ์” ไอ้พร้าวเรียกเสียงหงอย โชว์แขนโชว์ขาที่เป็นแผลให้ลุงพัทธ์ดู

พัทธ์มองแล้วยิ่งใจเสีย “เจ็บมากไหม หมอว่ายังไงบ้างครับ” ถามไอ้พร้าวก่อนจะเงยหน้าถามเล

“แค่แผลถลอกน่ะ ล้างแผลทายาทุกวันก็หาย” เลตอบพลางมองท่าทางสำออยของไอ้ลิงลมแล้วอยากเขกกบาลมันอีกสักรอบ

“น้าเลไม่สนใจหนูเลย จีบพยาบาลอยู่นั่นแหละ” ไอ้พร้าวใส่ร้าย

ยังไม่ทันที่เลจะได้แก้ตัว ป้าแม่ครัวที่เดินผ่านมาได้ยินเข้าพอดีก็ถามขึ้น “นังหมวยน่ะเหรอะ”

ไอ้พร้าวพยักหน้ารัว “ใช่จ้ะป้า”

“อ้อ มันมาอยู่อนามัยเองเหรอะ ไม่ได้เห็นนานละตั้งแต่มันไปกรุงเทพ”

“ใช่ เพิ่งมาอยู่เดือนก่อน สวยขึ้นเยอะเลยป้า” เลยิ้มกว้าง

“สวยกว่าตอนเป็นเมียเอ็งเหรอะ” เมื่อได้ยินดังนั้นไอ้พร้าวกับพัทธ์ก็ร้องอ๋อพร้อมกันแล้วหันไปจ้องหน้าเล

“ป้า! จะพูดทำไม” เลทำท่าฮึดฮัด

“อ้าว ไอ้นี่ ข้ามีปากก็พูดสิว่ะ ข้ายังจำที่เอ็งร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายตอนมันทิ้งเอ็งไปเรียนกรุงเทพได้อยู่เลย” ป้าแม่ครัวพูดไปขำไป

“พอเลยป้า ไปๆ เข้าครัว” เลปัดมือไล่ ป้าแม่ครัวหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะยอมเดินเข้าครัว

“เมียเก่า อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” พัทธ์หันมาพยักหน้ากับไอ้พร้าว มันพยักหน้าตอบแล้วหรี่ตามองเลอีกรอบ เพราะไม่เคยเห็นน้าเลยุ่งกับผู้หญิงที่ไหนหรือคบหาใครมาก่อน มันจึงสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ จากนั้นเลต้องทนฟังคำรบเร้าของไอ้พร้าวที่ถามนู่นนี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่พักใหญ่



หลังจากส่งจดหมายไปให้ธันวา ไอ้พร้าวก็ตั้งตารอโทรศัพท์จากอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปเกือบเดือนธันวาถึงโทรมาหา มันวิ่งไปรับด้วยความดีใจ ดึงโทรศัพท์มือถือจากมือผู้เป็นน้า เอ่ยทักทายปลายสายอย่างร่าเริง

“พี่ธัน สวัสดีจ้ะ”

ธันวาได้ยินแล้วหัวเราะ เดินปลีกตัวออกไปคุยที่บริเวณสวนหลังบ้าน “สวัสดีครับ สบายดีไหม”

“สบายดีจ้ะ พี่ธันสบายดีไหม” ไอ้พร้าวยิ้มกว้างจนตาหยี เลยิ้มพลางส่ายหน้า ดีดหน้าผากหลานหนึ่งทีก่อนเดินจากไป

“สบายดีครับ พี่เพิ่งกลับมาบ้านเห็นจดหมายพร้าวพอดี ยังไม่ได้เปิดเลย” ธันวาเปิดสปิกเกอร์โฟนเพื่อจะได้แกะซองจดหมายได้สะดวก “อา ขอเวลาแป๊บหนึ่งนะครับ กำลังแกะอยู่”

ไอ้พร้าวใจเต้นตึกตัก รอฟังว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไรเมื่อเห็นใบแจ้งเกรดของมัน เสียงกุกกักที่ดังเข้ามาให้ได้ยินทำให้มันเม้มริมฝีปากลุ้นด้วยความตื่นเต้น

“ว้าว เก่งมากเลยครับ” ธันวาเอ่ยชมด้วยความปลาบปลื้ม

“ขอบคุณจ้ะ” ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง

“อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ พี่จะหามาให้เป็นรางวัล” ธันวาปิดสปิกเกอร์โฟนแล้วเอาโทรศัพท์มือถือแนบหู

“ไม่อยากได้อะไรจ้ะ” ไอ้พร้าวตอบไปตามความจริง แค่คำชมจากธันวาก็ทำให้มันอิ่มอกอิ่มใจแล้ว

“อุตส่าห์พยายามจนได้เกรดเยอะขนาดนี้ พี่อยากให้รางวัลพร้าว บอกมาเถอะไม่ต้องเกรงใจ” ธันวายิ้มมองกระดาษในมือ

“งั้นหนู....หนูขอ...” ไอ้พร้าวชั่งใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่

“ขออะไรครับ” ธันวาเริ่มรอไม่ไหว

“ขอให้พี่ธันมาเที่ยวจ้ะ” มันพูดเสียงเบาราวกระซิบ

ธันวาอมยิ้ม “ขอโทษครับ พี่ไปไม่ได้จริงๆ อีกสองเดือนพี่ต้องไปอังกฤษแล้ว แต่พี่สัญญาว่าปีหน้าจะไปหาพร้าวนะครับ” เขาตัดใจปฏิเสธออกไปตรงๆ

“จ้ะ ไม่เป็นไร” ไอ้พร้าวรู้อยู่แล้วว่าต้องได้คำตอบแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายบอกไว้แล้วเมื่อคราวก่อนว่ามาไม่ได้ แต่มันก็นึกถึงสิ่งที่อยากได้ไม่ออก

“อืม งั้นพี่เลือกให้เลยละกัน” ธันวาตัดบท

“จ้ะ”

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันเรื่อยเปื่อยไปอีกพักใหญ่จึงวางสาย ไอ้พร้าวยิ้มแป้นเดินลอยไปลอยมาอย่างอารมณ์ดี

“อารมณ์ดีเชียวนะน้องพร้าว” พัทธ์อดแซ็วไม่ได้

ไอ้พร้าวเดินเข้าไปช่วยพัทธ์ปอกเปลือกไข่ไก่แล้วพูดอวด “พี่ธันบอกว่าหนูเก่งได้เกรดตั้งเยอะจ้ะ”

“เทอมหน้าน้องพร้าวต้องได้เกรดเยอะกว่านี้แน่ๆ” พัทธ์ยิ้มอย่างเป็นปลื้ม

เลยืนหั่นเนื้ออยู่ไม่ไกลได้ยินบทสนทนาเข้าจึงขมวดคิ้ว เขาวางมีดลงแล้วหันมาถาม “เกรดอะไรวะไอ้พร้าว”

ไอ้พร้าวตาโตเมื่อนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “กะ...เกรดหนูจ้ะ” มันตอบก่อนจะถอยไปหลบหลังลุงพัทธ์

“โรงเรียนส่งมาแล้วเหรอะ เอามาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้” เลกอดอกจ้องหลาน ท่าทีของไอ้พร้าวทำให้เขาตงิดใจ

“สะ...ส่งให้พี่ธันแล้วจ้ะ”

“ไอ้พร้าว!” เลเรียกชื่อหลานดังลั่นครัว

“หนูขอโทษจ้ะ” ไอ้พร้าวรู้ตัวดีว่าทำผิดที่ลืมเอาใบแจ้งเกรดให้น้าเลดูก่อนส่งไปให้ธันวา เลดูโมโหมาก พัทธ์จึงเป็นโล่ถ่วงเวลาเพื่อให้มันวิ่งหนี

“ไอ้หลานเลว เห็นคนอื่นดีกว่าน้าเอ็งได้ยังไง” เลตะโกนไล่หลังไอ้พร้าวอย่างหัวเสีย ยืนมองมันวิ่งหนีไปจนลับตา

“อา น่าสงสารจัง แต่น้องเอาใบเกรดให้ผมดูเป็นคนแรกเลยนะ” พัทธ์แสร้งพูดลอยๆ เดินกลับมานั่งปอกเปลือกไข่ไก่ต่อ เลได้ยินดังนั้นยิ่งโมโหเข้าไปอีก พัทธ์ยักไหล่แล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดี

สองอาทิตย์ถัดมามีพัสดุส่งถึงไอ้พร้าว ชื่อผู้ส่งบนกล่องทำให้มันยิ้มกว้าง มันนั่งมองกล่องพัสดุครู่หนึ่งก่อนจะเขย่าฟังเสียงของที่อยู่ข้างใน ทำอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ยอมแกะกล่องพัสดุเสียทีจนเลที่มองอยู่พักใหญ่เริ่มรำคาญ

“เอ็งจะเขย่าอะไรนักหนา อยากรู้ก็แกะสิวะ” เลเดินมานั่งข้างหลาน

“หนูตื่นเต้น”

เลส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “เอ็งเขย่าแบบนี้ ถ้าของข้างในมันแตกหรือพังจะทำยังไง” เขารู้สึกอิจฉาธันวาที่ทำให้ไอ้พร้าวเป็นปลื้มได้ขนาดนี้

“จริงเหรอจ๊ะ” มันตกใจ ค่อยๆ แกะกล่องอย่างเบามือจนเลหงุดหงิด

กว่าไอ้พร้าวจะเปิดกล่องได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร หมวกใบสีดำที่อยู่ในกล่องทำให้ไอ้พร้าวตาลุกวาว ถูกใจมันเสียยิ่งกว่าอะไร มันหยิบขึ้นมาดู หมุนหมวกไปมาแล้วลองสวม “หล่อไหมจ๊ะน้าเล” หันหน้าซ้ายทีขวาทีให้ผู้เป็นน้าดู

“เออ หล่อๆ ไอ้ธันก็เข้าใจเลือกให้เอ็งนะ” เลมองสีหน้ามีความสุขของไอ้พร้าวด้วยรอยยิ้ม อะไรที่เป็นความสุขของหลานก็เป็นความสุขของเขาเช่นกัน



พอใกล้เปิดเทอมไอ้พร้าวต้องกลับไปอยู่หอพักในวันพรุ่งนี้ สองน้าหลานต่างพากันนั่งหงอยน้ำตาคลอ ไม่เป็นอันทำอะไร ปล่อยให้พัทธ์ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเก็บข้าวของให้ไอ้พร้าวและดูงานในครัว แต่เขาไม่ปริปากบ่นเลยสักคำเดียวเพราะภาพสองน้าหลานที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเงียบๆ เป็นเหตุการณ์ที่นานๆ ครั้งจะเกิดขึ้น

เมื่อถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ การโยกย้ายห้องเรียนย่อมเกิดขึ้น ไอ้พร้าวได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่เคยอยู่ต่างห้อง คนไหนที่ดังในโรงเรียนก็พอจะรู้จักบ้าง แต่บางคนเพียงแค่คุ้นหน้าเท่านั้น เด็กผู้หญิงหลายคนแอบมองมันด้วยความสนใจ แต่เจ้าตัวกลับเมินเฉย ไม่ใส่ใจสายตาเหล่านั้น

“เธอๆ มีกลุ่มหรือยัง อยู่ด้วยกันไหม” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดแขนไอ้พร้าว

“เราสองคนยังไม่มี” มันชี้เพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งข้างกัน

“งั้นดีเลย กลุ่มเราขาดสองคนพอดี” เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างดีใจ ไอ้พร้าวกับเพื่อนของมันเดินตามเธอไปที่กลุ่มทำรายงาน

“เธอชื่ออะไร” เพื่อนสนิทของไอ้พร้าวแสร้งถามเด็กผู้หญิงคนนั้น

“เราชื่อหยก แล้วนายล่ะ”

เพื่อนของไอ้พร้าวหน้าแดงไปถึงหู “เราชื่อกล้า ไอ้นี่ชื่อพร้าว” กล้าหันมาแนะนำไอ้พร้าวแก้เขิน

“เออ สวัสดีเราชื่อพร้าว” ไอ้พร้าวแนะนำตัวกับเพื่อนในกลุ่มอีกสามคน เป็นผู้หญิงทั้งหมดชื่อ เนย ปุ๋ย และอ้อ

หยกชวนไอ้พร้าวคุยเรื่องต่างๆ จนกล้าเริ่มตงิดใจ มันแอบชอบเธอคนนี้มาตั้งแต่เข้าชั้นมอหนึ่งจึงไม่ค่อยพอใจนักที่ไอ้พร้าวเป็นที่สนใจของเธอ

“ทำไมมึงคุยกับหยก” กล้าถามหน้าเครียดระหว่างที่พักทานอาหารกลางวัน

“เขาถาม กูก็ต้องตอบ” ไอ้พร้าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ได้สนใจหยกเลยสักนิด แม้เธอจะน่ารักมากแค่ไหนก็ตาม

“ถ้ามึงจีบหยก กูจะต่อยมึง” กล้าชูกำปั้นขึ้นมาตรงหน้า

ไอ้พร้าวตบหัวเพื่อนหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด “มึงนี่ปัญญาอ่อน”

จากนั้นไม่นานเริ่มมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของไอ้พร้าว อย่างเช่น มีคนนำขนมมาสอดไว้ใต้โต๊ะของมันทุกวัน กระดาษที่พับเป็นรูปหัวใจ และในวันนี้มีคนพับดาวกระดาษมาเต็มขวดโหลวางไว้บนโต๊ะ

“เพื่อนๆ อันนี้ของใคร ลืมไว้หรือเปล่า” ไอ้พร้าวชูขวดโหลในมือขึ้น ส่วนใหญ่มองมาแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่ามีเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกระซิบกระซาบกันแล้วหัวเราะคิกคัก มันมองอย่างสงสัยก่อนจะเดินถือขวดโหลเข้าไปหา

“มีของใครหรือเปล่า ถ้าไม่มีเราจะเอาไปวางไว้โต๊ะอาจารย์นะ” ของทุกชิ้นที่ได้มา มันไม่เคยเก็บกลับหอไปด้วยเลยสักชิ้นแต่เอาไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์หน้าห้อง หากเป็นของกิน เพื่อนผู้ชายในห้องจะหยิบไปกินเอง แต่ถ้าเป็นสิ่งของจะวางไว้อยู่อย่างนั้น พอนานเข้าก็เก็บทิ้ง

“อันนี้ไม่ได้นะ คนเขาอุตส่าห์ทำให้” อ้อหลุดปากพูดก่อนจะแสร้งยกมือปิดปาก จากนั้นก็พากันหัวเราะ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ชำเลืองมองไปทางหยกที่นั่งหน้าแดงยกมือฟาดแขนอ้อ

“ของหยกเหรอ” ไอ้พร้าวถาม หยกเงยหน้ามองอย่างเขินอาย

“เธอลืมไว้โต๊ะเรา” มันยื่นขวดโหลไปตรงหน้าหยก ความจริงมันพอจะรู้ว่าหยกแอบชอบมัน และเป็นคนเอาของพวกนั้นไปไว้ที่ใต้โต๊ะ

“ระ...เราให้พร้าว” หยกก้มหน้างุด เพื่อนในกลุ่มส่งเสียงแซ็ว

ไอ้พร้าวหน้าตึงเครียด มันไม่อยากมีปัญหากับกล้าเพื่อนสนิทของมัน “เราไม่เอา หยกเอาคืนไปเถอะ”

“หยกอุตส่าห์ทำให้เลยนะ ไม่ต้องคืน” ปุ๋ยช่วยกล่อม

“ให้เราทำไม เรายังไม่ให้อะไรหยกเลย” ไอ้พร้าววางขวดโหลลงบนโต๊ะ

“เราชอบนาย” หยกพูดอ้อมแอ้ม

ไอ้พร้าวนิ่งไปครู่ เพื่อนในห้องต่างลุ้นกันว่ามันจะพูดอะไรต่อ “แต่เราไม่ได้ชอบหยก เราอยากเป็นเพื่อนกับหยกมากกว่า หยกไม่ต้องเอาของไปวางไว้โต๊ะเราแล้วนะ” ประโยคที่มันคิดว่าไตร่ตรองดีแล้วหลุดออกไป

“ทำไมพร้าวพูดแบบนี้ ใจร้ายมาก” เนยขึ้นเสียงเมื่อหยกเริ่มร้องไห้

“ขอโทษ เราแค่พูดตามจริง” ไอ้พร้าวไม่รู้ตัวเลยว่าได้พูดทำร้ายจิตใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมากแค่ไหน สำหรับมันที่ถูกเลี้ยงมาโดยน้าเล ผู้ชายถึกเถื่อน พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม การพูดการกระทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ

ไอ้พร้าวยืนเกาหัวแกรกๆ เมื่อหยกร้องไห้หนักกว่าเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่ออาจารย์เข้ามาในห้อง ตัวต้นเหตุอย่างไอ้พร้าวจึงถูกเรียกเข้าพบกับพยานคนอื่นๆ ในห้อง มันเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น อาจารย์เพียงแค่พยักหน้ารับรู้แล้วปล่อยมันกลับเข้าห้อง

“มึงไม่ได้ชอบหยกจริงๆ ใช่ป้ะ” กล้าที่อยู่ในเหตุการณ์ตลอดกระซิบถามเมื่อเริ่มเรียนคาบใหม่

“ไม่” ไอ้พร้าวตอบอย่างไม่แยแส

“เฮ้อ สบายใจขึ้นมาละ เดี๋ยวกูเลี้ยงขนมมึง” กล้าพูดก่อนจะถูกอาจารย์ขว้างชอล์กกระแทกเข้าหน้าผากเต็มๆ

นี่เป็นประสบการณ์หักอกสาวครั้งแรกของไอ้พร้าวตอนอายุสิบสี่ปี พอเลรู้เข้าก็ด่าไปชุดใหญ่ก่อนจะสอนการรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวให้มันฟังอย่างผู้เชี่ยวชาญ พัทธ์ที่นั่งนับเงินอยู่ไม่ไกลกลอกตาอย่างเอือมระอากับสิ่งที่ผู้เป็นน้าสอนหลาน



ไอ้พร้าววิ่งออกไปรับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ มีโปสต์การ์ดใบหนึ่งส่งถึงมัน ด้านหลังโปสต์การ์ดเขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอังกฤษ มันขมวดคิ้วอ่านอย่างตั้งใจ แต่น่าเสียดายที่แปลออกเพียงสองสามคำ

มันถอนหายใจอย่างสิ้นหวังก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตามหลักการเขียนจดหมายที่ได้เรียนมา ผู้ส่งจะลงชื่อตัวเองในบรรทัดสุดท้าย...

ไอ้พร้าวมองตัวอักษรห้าหกตัวเรียงกันในบรรทัดสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น

“ที-เอช-เอ-เอ็น-ดับเบิ้ลยู-เอ อืม...ทานวะ ใครวะชื่อ ทานวะ” มันเกาหัวแกรกๆ เมื่อชื่อที่อ่านไม่คุ้นหูเอาเสียเลย

เลชะโงกหน้าออกมาดูจากในครัว เขาได้ยินแววๆ ว่าไปรษณีย์มาส่ง เห็นไอ้หลานรักนั่งทำปากขมุบขมิบจึงเดินเข้าไปหา “จดหมายใครวะ”

“ทานวะ ใครชื่อทานวะเหรอน้าเล” ไอ้พร้าวเงยหน้าถามผู้เป็นน้า เลก้มดูเห็นว่าเป็นภาษาอังกฤษก็ส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความรู้ขนาดนั้น แค่เขียนภาษาไทยได้ก็บุญแล้ว

พัทธ์บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินชื่อแปลกๆ จึงเข้ามาร่วมวง “ลุงขอดูหน่อยได้ไหมครับ” เขารับโปสต์การ์ดที่ไอ้พร้าวยื่นมาให้ อ่านผ่านๆ ก่อนจะยิ้มออกมา “ธันวาส่งมาครับ”

ไอ้พร้าวเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนมองโปสต์การ์ดในมือพัทธ์ด้วยความตื่นเต้น มันจะจำให้ขึ้นใจว่าคำนี้อ่านว่า ‘ธันวา’

“ให้ลุงแปลให้ไหมครับ” พัทธ์ยื่นโปสต์การ์ดคืนให้มัน

ไอ้พร้าวรับมาแล้วจ้องโปสต์การ์ดในมืออย่างครุ่นคิด “ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวหนูเปิดพจนานุกรมแปลก็ได้” พูดจบก็วิ่งกลับบ้านทันที

เลมองตามหลังหลานจนลับตาก่อนจะหันมาถามพัทธ์ที่เตรียมจะเดินกลับเข้าครัว “ไอ้ธันเขียนอะไรมาบ้าง”

“เขียนถึงน้องพร้าว” พัทธ์หันมาตอบแค่นี้

เลเริ่มจะหัวเสียขึ้นมา “เออ รู้อยู่ว่าเขียนถึงไอ้พร้าว แต่มันเขียนว่าไงบ้าง” เขามองคนตรงหน้าที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก

“ไม่บอก ก็ธันเขียนถึงน้องพร้าว ไปถามน้องพร้าวเองสิ” พัทธ์ยักไหล่อย่างกวนๆ แล้วเดินหนีไปอีกคน เลโมโหจนนึกคำโต้เถียงไม่ออกจึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ

เออ! ให้มันได้อย่างนี้ ก็ข้ามันโง่


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:06:51 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

ไอ้พร้าวกำลังหาของบางอย่างในห้องนอน...พจนานุกรมแปลอังกฤษเป็นไทยที่ซื้อมาเมื่อตอนอยู่ประถม แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ หากต้องนั่งรถกลับไปเอาที่หอพักก็ใช่เรื่อง มันนั่งหาทางออกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะวิ่งตึงตังออกจากบ้าน ปั่นรถจักรยานคู่ใจไปหาเพื่อนรักของมัน

“กูขอยืมพจนานุกรมอังกฤษแปลไทยหน่อยสิ” ไอ้พร้าวเอ่ยขอกับไอ้ปืนที่กำลังเล่นเกมในโน้ตบุ๊ก

“กองๆ อยู่ตรงนั้นมั้ง กูก็ไม่ค่อยได้ใช้” ไอ้ปืนชี้ไปทางกองหนังสือที่มีฝุ่นเขรอะเต็มไปหมด

ไอ้พร้าวมองตามก่อนจะถอนหายใจ ใช้เวลาหาอยู่นานกว่าจะเจอพจนานุกรมของไอ้ปืน มันนั่งลงบนพื้น วางโปสต์การ์ดลงบนเตียงแล้วเริ่มเปิดพจนานุกรมหาคำศัพท์ตั้งแต่คำแรก

“ไฮ อันนี้แปลออก อืม...” ไอ้พร้าวพึมพำกับตัวเองจนไอ้ปืนเริ่มรำคาญ พอมันเปิดหาคำศัพท์ใหม่ได้กลับลืมคำศัพท์ก่อนหน้านี้จนต้องเปิดซ้ำอีก

“มึงก็จดไว้สิไอ้พร้าว” ไอ้ปืนทนมองไม่ไหวจึงเสนอความคิด

“เออว่ะ” ไอ้พร้าวรีบลุกไปค้นหากระดาษกับปากกา จากนั้นบรรจงจดคำศัพท์พร้อมความหมายทีละคำ ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงจึงเปิดหาคำศัพท์ทั้งหมดได้

“กูอ่านไม่เข้าใจ มึงแปลถูกแล้วเหรอะไอ้พร้าว” ไอ้ปืนอ่านข้อความในกระดาษที่ไอ้พร้าวเอาคำศัพท์ทั้งหมดมาเรียงต่อกัน

“กูเปิดทุกคำ มันต้องถูกสิไอ้ปืน ไม่งั้นพจนานุกรมมึงก็แปลผิด” ไอ้พร้าวมองพจนานุกรมของไอ้ปืนอย่างครุ่นคิด

“ฝากครูซื้อเลยนะเว้ย มันจะผิดได้ยังไง” ไอ้ปืนก็ครุ่นคิดไม่ต่างกัน

สุดท้ายไอ้พร้าวก็ยอมแพ้ ถือโปสต์การ์ดกับกระดาษที่แปลเสร็จแล้วกลับบ้าน มันนั่งหน้าเครียดที่ร้าน มองโปสต์การ์ดกับกระดาษแผ่นนั้นสลับกันไปมา

เลมองอยู่พักใหญ่ด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดเลยว่าโปสต์การ์ดแค่แผ่นเดียวจะทำให้เครียดได้ขนาดนี้ “เอ็งเป็นอะไรไอ้พร้าว”

“พี่ธันเขียนอะไรมาก็ไม่รู้จ้ะ หนูแปลแล้วไม่เข้าใจ” ไอ้พร้าวยื่นกระดาษที่เรียงคำแปลเหมือนที่ธันวาเขียนให้น้าของมันดู เลอ่านแล้วขมวดคิ้ว เขามีความรู้แค่ชั้นมอต้น ที่เรียนมาก็ลืมไปหมดแล้ว

พัทธ์วางมือจากงานที่ทำ เดินเข้าไปหาไอ้พร้าวที่ทำหน้าเคร่งเครียดไม่ยอมทานข้าวเย็น “แปลเสร็จแล้วหรือครับน้องพร้าว” ถามพร้อมก้มดูกระดาษแผ่นนั้น

“เสร็จแล้วจ้ะลุงพัทธ์ แต่หนูอ่านไม่เข้าใจ”

พัทธ์ขมวดคิ้วหยิบโปสต์การ์ดจากมือไอ้พร้าวเทียบกับสิ่งที่มันแปล ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา “น้องพร้าวเก่งมาก แปลได้ทุกคำเลยครับ” เขาเอ่ยชมจากใจจริง “แต่แค่แปลคำศัพท์มันยังไม่พอหรอกครับ เราต้องมาเรียบเรียงประโยคใหม่ด้วย การวางประโยคของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษมันต่างกัน” พัทธ์อธิบาย สองน้าหลานคิดตามแล้วพยักหน้าพร้อมกัน

พัทธ์นั่งลงข้างไอ้พร้าว วางโปสต์การ์ดกับกระดาษที่มันแปลไว้ข้างกัน จากนั้นอธิบายทีละประโยคอย่างช้าๆ ธันวาเลือกใช้คำศัพท์ง่ายๆ เจ้าตัวคงจงใจเขียนโปสต์การ์ดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ไอ้พร้าวได้เรียนรู้ไปด้วย

“อา อย่างนี้นี่เอง” ไอ้พร้าวยิ้มกว้างเมื่อสามารถเข้าใจสิ่งที่ธันวาเขียนมาได้ทั้งหมด เลเองก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ธันวาเขียนโปสต์การ์ดบอกเล่าว่าตัวเองสบายดี อากาศที่นั่นค่อนข้างหนาว คิดถึงอาหารไทย จะเริ่มเรียนในเดือนกันยายน และสุดท้ายบอกว่าคิดถึงไอ้พร้าว

ไอ้พร้าวยิ้มแป้น อ่านซ้ำอยู่สามสี่รอบ คำไหนอ่านไม่ออกก็ให้พัทธ์ช่วยสอนอ่าน เลเป็นปลื้มนั่งฟังหลานอ่านภาษาอังกฤษจนเพลิน

“พอก่อนครับไปกินข้าวก่อน” พัทธ์เตือนเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันยังไม่ได้ทานข้าวเย็น

“จ้ะ” ไอ้พร้าวยอมลุกไปทานข้าวอย่างว่าง่าย

“ไอ้พร้าวนี่เก่งได้ข้าจริงๆ ว่ะ สอนแป๊บเดียวมันก็อ่านภาษาอังกฤษคล่องแล้ว” เลยิ้มหน้าบานมองตามหลังหลาน

“ถ้าได้คุณคงโง่ตายพอดี” พัทธ์แสร้งพูดขึ้นลอยๆ แล้วรีบเดินหนี กว่าเลจะรู้ตัวว่าถูกหลอกด่า คู่กรณีก็เดินหนีหายลับไปแล้ว



เมื่อย่างเข้าสู่เดือนธันวาคม ไอ้พร้าวกลับมาที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ มันใช้เวลาเกือบทั้งวันชะเง้อคอรอไปรษณีย์มาส่งโปสต์การ์ด เดือนนี้คลาดเคลื่อนจากวันที่จะได้รับมาสองอาทิตย์แล้ว

“โปสต์การ์ดของเอ็งหล่นจากเครื่องบินหรือเปล่า” เลอดพูดในสิ่งที่คิดไม่ได้

“คุณน่าหล่นลงทะเลมากกว่าโปสต์การ์ดอีกนะครับ” พัทธ์ว่าให้...เวลานี้ควรให้กำลังใจหลานมากกว่าพูดจาบ้าบอแบบนั้น

“ข้าแค่เดาเล่นๆ เอ็งนี่คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้” เลพยายามแก้ตัว

ไอ้พร้าวถอนหายใจก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

ปี๊ดๆ เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากหน้าร้าน ไอ้พร้าวดีดตัวลุกขึ้นวิ่งออกไปดู บุรุษไปรษณีย์ยื่นกล่องพัสดุมาให้ แต่ชื่อที่อยู่ผู้ส่งกลับเป็นภาษาไทยที่มันไม่รู้จัก

ไอ้พร้าวรับมาก่อนจะเงยหน้าถามบุรุษไปรษณีย์ “ไม่มีโปสต์การ์ดเหรอจ๊ะ” อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบ มันรู้สึกผิดหวัง เดินคอตกกลับเข้ามาในร้าน

“อ้าว พัสดุเหรอะ ส่งถึงใคร” เลถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือหลาน

“ถึงหนูจ้ะ แต่ใครส่งมาก็ไม่รู้” ไอ้พร้าววางกล่องลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ สิ่งที่มันรอคือโปสต์การ์ดจากธันวาไม่ใช่พัสดุจากคนแปลกหน้า

“หือ นี่นามสกุลเหมือนธันเลย จะเกี่ยวข้องกับธันหรือเปล่าครับ” พัทธ์ทักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นนามสกุลผู้ส่ง

ไอ้พร้าวเบิกตากว้าง “จริงด้วยจ้ะลุงพัทธ์”

“ก็แกะสิวะ จะรออะไรล่ะ” เลอดใจรอไม่ไหว

พัทธ์ฟาดผ้าขี้ริ้วในมือไปที่หน้าเลอย่างรำคาญ ดูเหมือนผู้เป็นน้าจะตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าหลาน

“โอ๊ย! เอ็งนี่ชักจะลามปามแล้วนะไอ้พัทธ์” ได้แต่พูด ไม่กล้าตอบโต้ด้วยกำลัง คนทำเลยยิ่งลอยหน้าลอยตา

ไอ้พร้าวไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างอีกแล้ว มันบรรจงแกะกล่องพัสดุที่ส่งมาจากกรุงเทพด้วยใจที่เต้นแรง บางทีพี่ธันของมันอาจจะกลับมาแล้วก็ได้ แต่เมื่อเปิดกล่อง...

“เอ๋ ซองจดหมายกับ...โอ้โฮ นี่มันเสื้อนักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทีมที่น้องพร้าวชอบเลยนี่ครับ อา...ของแท้จากอังกฤษเลย” เห็นทีคราวนี้คนที่ตื่นเต้นกว่าใครเพื่อนคือพัทธ์เสียเอง เขาหยิบเสื้อออกมาจากกล่องด้วยตาเป็นประกาย

“ข้าว่าน่าจะเป็นทีมที่มันชอบมากกว่า” เลก้มกระซิบหลานเบาๆ ไอ้พร้าวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ธันวาเขียนจดหมายถึงไอ้พร้าวมาเต็มสองหน้ากระดาษ มันยิ้มกว้าง ก้มหน้าอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

เลชะโงกหน้ามองจดหมายในมือไอ้พร้าวก่อนจะถามขึ้น “มันเขียนว่าไงบ้าง” ผู้เป็นน้าขมวดคิ้วเมื่อเนื้อความในจดหมายเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

“ไม่รู้จ้ะ หนูแปลไม่ออก” ไอ้พร้าวตอบพร้อมยิ้มแหยๆ แม้จะไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่มันพยายามอ่านทั้งหมดเผื่อจะเจอประโยคที่แปลออก

“อ้าว แล้วเอ็งอ่านอะไรตั้งนาน” เลเกาหัวแกรกๆ

“ลุงแปลให้ไหมครับ” พัทธ์ถามขึ้น ยังคงกอดเสื้อไว้แนบอก

“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูจะเปิดพจนานุกรมแปลเอง” ไอ้พร้าวมีความตั้งใจแน่วแน่ว

“เอาคืนหลานข้าได้แล้ว” เลดึงเสื้อออกจากอ้อมกอดของพัทธ์ เจ้าตัวได้แต่มองตาละห้อย

“หนูขอกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ” ไอ้พร้าวหอบกล่องเดินจากไป ใจจริงมันอยากให้เสื้อตัวนี้กับลุงพัทธ์ แต่เพราะเป็นเสื้อที่ธันวาให้มาจึงตัดใจให้ไม่ลง

“ชอบมากหรือ ข้าจะฝากไอ้ธันซื้อให้” จู่ๆ เลก็พูดขึ้น

พัทธ์ชะงักมือที่กำลังเช็ดโต๊ะ “ก็...เฉยๆ ไม่ได้อยากได้สักหน่อย” เขาตอบอ้อมแอ้มแล้วตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะต่อ



เพราะต้องเรียนหนังสือ ไอ้พร้าวจึงใช้เวลาหลายวันกว่าจะแปลคำศัพท์ที่ธันวาเขียนมาทั้งหมดได้ มันนำคำเหล่านั้นมาเรียบเรียงกันอย่างที่เคยทำ แต่ครั้งนี้ได้ขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ภาษาอังกฤษ ทำให้เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเขียนมาได้ทั้งหมดในเวลาสั้นๆ

“พี่ธันบอกกูว่าเขาเรียนหนักมาก” ไอ้พร้าวพูดขึ้น ขณะนอนบนพื้นทรายใต้ต้นไม้ที่มันเคยหล่นลงมาทับตัวธันวา

“ปริญญาโทมันก็ต้องหนักสิวะ กูเรียนแค่มอสองยังแทบกระอักเลือด” ไอ้ปืนที่นอนข้างกันออกความเห็น

“พี่ธันส่งของมาให้คนที่บ้านพอดี เลยให้แม่ส่งมาให้กูอีกที” ไอ้พร้าวบอกเล่าเนื้อความในจดหมายที่จำได้ขึ้นใจ

“เออ”

“พี่ธันบอกว่า ที่อังกฤษหิมะตกแล้ว หนาวมากด้วย”

“อืม”

“พี่ธันบอกว่า...”

“อือ” ไอ้ปืนครางในลำคอแล้วหลับไป

ไอ้พร้าวชะโงกหน้ามองเพื่อนรักก่อนจะถอนหายใจ ทิ้งตัวนอนมองท้องฟ้าตามเดิม...หากมันมีประตูวิเศษไปที่ไหนก็ได้ของโดราเอมอนก็คงจะดี



ประกายไฟจากไฟเย็นที่ถืออยู่ทำให้ไอ้พร้าวนึกถึงวันสิ้นปีเมื่อสองปีก่อนที่ธันวาอยู่ด้วย หากคืนนั้นมันไม่เผลอหลับไป หรือตื่นตั้งแต่ไก่โห่ไปส่งอีกฝ่ายที่สนามบินได้ทันก็คงดี ผ่านไปไม่นานมันก็จุดไฟเย็นในกล่องจนเหลืออันสุดท้าย

“สิบ เก้า แปด...” เสียงนับถอยดังแว่วมาจากร้านอาหารใกล้ชายหาด

“สาม สอง หนึ่ง หวีด บูม!” เสียงจุดดอกไม้ไฟดังลั่นทั่วทุกทิศทาง บนท้องฟ้าสว่างไสวดูสวยงามจนไม่อาจละสายตาไปได้ ผู้คนต่างร้องเพลงเฮฮากันอย่างมีความสุข

“สวัสดีปีใหม่จ้ะพี่ธัน” คงมีเพียงไอ้พร้าวที่ยืนมองท้องทะเลมืดมิดเบื้องหน้าในช่วงเวลานี้

...มันจุดไฟเย็นอันสุดท้ายในมือ มองประกายไฟด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่อยู่อีกซีกโลก



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:07:47 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 7


ธันวาเดินออกมาพร้อมรถเข็นที่บรรจุกระเป๋าใบใหญ่ห้าใบ ดวงตาคมมองไปรอบๆ บริเวณที่รอรับผู้โดยสารจนกระทั่งเจอพ่อกับแม่ยืนโบกไม้โบกมือด้วยรอยยิ้ม ธันวายิ้มกว้างรีบเข้าไปหา อ้อมกอดจากผู้เป็นแม่ทำให้เขาน้ำตาคลอ ระยะเวลาหนึ่งปีกว่าที่เขาต้องอยู่ต่างถิ่นเพียงลำพังช่างยาวนานราวสิบปี

ธันวาตัดสินใจกลับไทยทันทีที่เรียนจบ ไม่ได้อยู่รอเข้าพิธีสำเร็จการศึกษา เมื่อกอดและถามไถ่ให้หายคิดถึงบ้างแล้วจึงถามหาคนรักที่ไม่ได้มารับตามที่บอกไว้

“มนต์ล่ะครับแม่” ธันวามองไปรอบๆ อีกครั้ง

ลัดดาผู้เป็นแม่สบตาสามีก่อนจะยิ้มให้ลูกชาย “มนต์ติดธุระด่วนเลยมาไม่ได้จ้ะ”

“หรือครับ” ธันวาไม่ได้ติดใจอะไร เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับแฟนสาวคือเมื่อสองวันก่อนออกเดินทาง หากน้ำมนต์จะมีธุระด่วนก็คงไม่แปลก

“ป้ากับลุงจะมาถึงตอนเย็นนะ บอกว่ามาเลี้ยงฉลองหลานรักเรียนจบ” ทวีผู้เป็นพ่อพูดด้วยรอยยิ้ม

ธันวายิ้มกว้างอย่างดีใจ “อา ผมว่าจะโทรหาป้าอยู่พอดีเลย ไม่คิดว่าจะลงมากรุงเทพด้วย”

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ธันวาเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้เจอมาให้พ่อและแม่ฟังอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

“จบแล้วจะขึ้นไปช่วยงานป้าที่เชียงรายเลยไหม” ทวีถามลูกชาย

“ยังหรอกครับ ผมอยากหาประสบการณ์ก่อน อีกอย่างผมอยากจะเก็บเงินไว้แต่งงานด้วย” ธันวาวาดฝันเอาไว้อย่างนั้น ช่วงที่อยู่ห่างคนรัก เขาเองก็ได้เรียนรู้ ได้ใช้ชีวิตโดยไม่มีอีกฝ่ายทำให้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง และอยากจะเริ่มใหม่อีกครั้ง แม้ว่าการอยู่โดยไม่มีน้ำมนต์จะไม่ได้ทรมานอย่างที่คิด แต่น้ำมนต์คือคู่ชีวิตที่เขาได้เลือกแล้ว

ธันวามั่นใจว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด

“ก็ดี...แล้วเราได้คุยกับน้ำมนต์บ่อยไหม”

“เมื่อก่อนก็บ่อยครับแต่ช่วงหลังๆ มนต์ยุ่งตลอด เลยไม่ค่อยได้คุยกัน” ธันวามองออกไปนอกหน้าต่างรถ การจราจรในกรุงเทพยังคงแน่นขนัดเหมือนอย่างเคย

“แล้วเจ้าวินล่ะ ได้คุยบ้างหรือเปล่า”

ธันวาขมวดคิ้วเมื่อผู้เป็นพ่อถามถึงเพื่อนสนิท ทั้งที่ปกติแล้วไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ “คุยแชทกันบ้างครับ แต่เหมือนช่วงนี้มันจะเครียดๆ ถามอะไรไปก็ไม่ค่อยตอบ” พอไปเรียนที่อังกฤษได้ครึ่งปี กวินก็เปลี่ยนไป ทั้งที่เมื่อก่อนสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่มาตอนนี้แทบจะไม่อ่านข้อความที่เขาส่งไป

“เขาก็ยุ่งเรื่องของเขาพอสมควร”

“อะไรนะครับ” ธันวาไม่แน่ใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูด

“ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อเขาก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละ” ลัดดาหันมายิ้มให้ แม้จะสงสัยแต่ธันวาก็ปล่อยมันผ่านไป

งานเลี้ยงต้อนรับธันวาจัดขึ้นเฉพาะคนในครอบครัว ลุงและป้ายิ้มปลื้มปริ่มกับความสำเร็จของหลานชายคนโปรด

“จบแล้วจะขึ้นไปดูแลกิจการของป้าเมื่อไหร่ล่ะ ยายปิ่นก็บ่นคิดถึงอยู่ทุกวัน” จิตเอ่ยถามหลานชาย

“ผมอยากหาประสบการณ์ทำงานก่อนครับ กลัวจะไปทำกิจการของป้าเจ๊ง” ธันวาตอบอย่างขำๆ ทุกคนหัวเราะออกมาดังลั่น

“หลานป้าเก่งจะตาย ไม่เจ๊งหรอก รีบๆ หน่อยละกัน ลุงพงษ์ขี้เกียจทำงานแล้ว”

คนที่ถูกกล่าวถึงสะดุ้ง รีบหันมาแก้ตัว “ขี้เกียจอะไรกัน ฉันออกไปไร่ทุกวัน ตากแดดตากลม เธอน่ะสิขี้เกียจ แอบหลับในออฟฟิศบ่อยๆ” พงษ์ว่าหยอกล้อภรรยาจึงถูกจิตตีที่แขน

“เอาอย่างนี้ละกันครับ รอผมแต่งกับน้ำมนต์ก่อน จะรีบขึ้นไปตั้งรกรากที่เหนือทันที” ธันวายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงสิ่งที่วาดฝันไว้ เสียงหัวเราะเงียบลงทันที “หือ ไม่เชื่อที่ผมพูดหรือครับ”

“เออ...เชื่อซิจ๊ะ ป้าจะตั้งตารอเลย” จิตจ้องลัดดากับทวี ทั้งสองต่างหลบสายตา

“ไหนๆ ก็ลงมากรุงเทพทั้งที วันนี้ไม่เมาไม่เลิก” พงษ์ชูแก้วเหล้าในมือขึ้นชนกับหลานชาย

“ผมไม่แพ้อยู่แล้วครับ” ธันวาว่าอย่างมั่นใจ สองหนุ่มต่างวัยดวลเหล้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร งานเลี้ยงจึงกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

“ยังไม่บอกอีกหรือ” จิตถามพ่อแม่ของหลานชายเสียงเบา

“ฉันก็ไม่รู้จะบอกยังไงพี่จิต จนปัญญาจริงๆ” ลัดดาถอนหายใจเหลือบมองลูกชายที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

จิตส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “สักวันหนึ่งก็ต้องรู้ พวกเธอควรรีบบอกหลานฉัน”

“เราอยากรอให้ตาธันพร้อมกว่านี้” ทวีขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งเครียด

“เรื่องแบบนี้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” จิตมองหลานชายด้วยความรักและห่วงใย

ในวันรุ่งขึ้นธันวาตั้งใจจะไปหาน้ำมนต์ที่บ้าน ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากบ้าน เพื่อนฝูงก็แห่กันมาถึงหน้าบ้าน แผนที่วางไว้จึงต้องล้มเลิกไป

ธันวาใช้เวลาตลอดทั้งอาทิตย์อยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ที่แวะเวียนมาหาทุกวันจนไม่มีเวลาไปหาคนรัก แม้จะโทรหาทุกวันแต่คุยกันได้ไม่นานก็ต้องวางสาย เพราะอีกฝ่ายมักมีธุระด่วนที่ต้องทำเสมอ

“แล้วปีนี้ธันจะไปเที่ยวทะเลไหม ที่ๆ ลูกไปทุกปี” ลัดดาถามขึ้นระหว่างล้างจาน

ธันวาชะงักมือที่กำลังเช็ดโต๊ะ “คิดว่าจะไปครับ เพราะสัญญากับน้องไว้แล้ว น้องคนที่ชื่อพร้าวน่ะครับ” หากผู้เป็นแม่ไม่พูดถึงเรื่องนี้ เขาคงลืมไปแล้ว

“อา ถ้าสัญญากับน้องไว้ก็รีบไปเถอะ” ลัดดาหันมายิ้ม

“ขอบคุณครับที่เตือน ผมก็ลืมไปเลย” ธันวาส่ายหน้ากับความไม่เอาไหนของตัวเอง “ตั้งแต่กลับมาเพื่อนก็พาออกไปเที่ยวไม่เว้นวัน สงสัยจะกลัวผมลืมถิ่น”

พอนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนที่รออยู่ ธันวาจึงปลีกตัวออกมาที่สวนหลังบ้าน กดหารายชื่อที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนตัวน้อยในวันวาน ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว...จะยังนึกถึงเขาบ้างไหม

“สวัสดีครับ” นานพอสมควรกว่าปลายสายจะยอมรับสาย

“สวัสดีครับพี่เล นี่ผมเองครับ ธันวา”

“อา ธันเองเหรอะ โทษทีข้าไม่ค่อยรับสายเบอร์แปลกน่ะ แล้วกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ” เลยิ้มกว้างมองไอ้หลานรักที่กำลังทำข้าวผัดให้ลูกค้า

“กลับมาได้สักอาทิตย์หนึ่งแล้วครับพี่ แล้วพร้าวอยู่ไหมครับ”

“อยู่ๆ ช่วงนี้มันกำลังปิดเทอมพอดีเลย...ไอ้พร้าวมีคนโทรมา” เลพูดกับธันวาในประโยคแรกก่อนจะหันไปเรียกหลาน

ไอ้พร้าวเอียงคอมองอย่างสงสัย “ใครเหรอน้า” เสียงที่ลอดเข้ามาในสายทำให้ธันวาอมยิ้ม เพียงแค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว

“สวัสดีครับ”

“.............” ไอ้พร้าวขมวดคิ้ว

“พี่เองครับ จำได้ไหม” ธันวาแกล้งถาม

ไอ้พร้าวกลั้นหายใจ มันจำเสียงนี้ได้ “พี่ธันเหรอครับ” ถามเพื่อความแน่ใจ

“ใช่ครับ เป็นยังไงบ้าง”

“ก็...สบายดีครับ พี่ธันกลับมาเมื่อไหร่” ไอ้พร้าวเดินออกไปที่ระเบียง

“กลับมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วครับ แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง” ธันวาแปลกใจที่เพื่อนตัวน้อยในวันวานไม่มีน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนอย่างแต่ก่อนยามที่เขาโทรหา

“เรื่อยๆ ครับ” มันตอบสั้นๆ แล้วเงียบไป

ธันวารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่า เออ...พี่หมายถึงพร้าวไม่สะดวกคุยกับพี่ใช่ไหม” เขาถอนหายใจ เกือบหลุดถามอะไรแปลกๆ ออกไปแล้ว

“ช่วงนี้ลูกค้าเยอะ ผมต้องช่วยน้าเลทำอาหารครับ” ไอ้พร้าวมองไปยังลูกค้าที่มีเพียงโต๊ะเดียว ความจริงมันไม่ได้ยุ่งเลยสักนิด

“งั้นหรือ ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ติดต่อมาตั้งแต่ต้นปี พี่ยุ่งมาก เลยไม่ได้ส่งโปสต์การ์ดไปให้อีก” ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาทำให้ธันวาอยากจะอธิบายให้ไอ้พร้าวเข้าใจ เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า อีกฝ่ายถึงมีท่าทีเหินห่าง ทั้งคำพูดทั้งสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“ไม่เป็นไรครับ” ไอ้พร้าวนิ่งไปครู่ก่อนจะพูดออกมา

“ปีนี้พี่จะไปหานะครับ คงจะเป็นเดือนธันวาเหมือนเดิม” ธันวานิ่งรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่มันกลับเงียบ “ไม่อยากเจอพี่หรือครับ” อดตัดพ้อไม่ได้ เขานึกภาพเพื่อนตัวน้อยกำลังกอดอกทำหน้าบึ้ง งอนที่เขาขาดการติดต่อไปเสียนาน

“อยากเจอครับ” ไอ้พร้าวตอบเสียงเบา

ธันวายิ้มกว้างทันที “แล้วเจอกันนะครับ พี่มีของฝากให้พร้าวเยอะแยะเลย”

“ขอบคุณครับ...แล้วเจอกัน” พูดจบก็ตัดสายทันที

ธันวายืนนิ่ง แนบหูกับโทรศัพท์มือถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น เมื่อก่อนคนที่วางสายก่อนเป็นเขาแท้ๆ ธันวานั่งลงบนม้านั่งอย่างหงุดหงิด ทำไมเพื่อนตัวน้อยของเขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทั้งที่คิดว่าจะได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของอีกฝ่ายยามที่โทรหา ทั้งที่ควรจะบอกว่า ‘หนูจะรอ’ แต่มันกลับตัดสายเขาทิ้ง

มันน่าหงุดหงิดเสียจริง

ไอ้พร้าวกำลังจะตาย...มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์มือถือแน่น ส่วนอีกข้างทาบฝ่ามือตรงหัวใจที่กำลังเต้นแรง มันเดินกลับเข้ามาในครัวแล้ววางโทรศัพท์มือถือของน้าเลลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินออกไปอย่างเงียบๆ

มันทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทรายให้น้ำทะเลซัดเข้าหา เผื่อว่าหัวใจจะกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ เผื่อว่ามือทั้งสองข้างจะหยุดสั่น เผื่อว่าความตื่นเต้นนี้จะหายไป เผื่อว่า...

ไอ้พร้าวนอนสำลักน้ำทะเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะคลานขึ้นมาให้พ้นจากคลื่นที่ซัดเข้าหา

กลับมาแล้ว...เขาคนนั้นที่มันรอคอยมาเกือบสองปี

อีกเพียงแค่เดือนเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น

ไอ้พร้าวนอนมองท้องฟ้าแล้วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข คำขอของมันกำลังจะเป็นจริงในอีกไม่ช้า มันขอบคุณทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่ทำให้ธันวากลับมาหามันอีกครั้ง

“น้องพร้าวเป็นอะไรหรือเปล่า” พัทธ์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เริ่มทนไม่ไหว สองเท้าหยุดชะงักเมื่อถูกเลรั้งแขนไว้

“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ มันกำลังมีความสุข” เลมองไอ้หลานรักที่เหมือนสติหลุดลอยหลังจากรับสายธันวา

พัทธ์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่เลพูด แต่ก็ยอมปล่อยให้ไอ้พร้าวอยู่คนเดียวอย่างนั้นต่อไป



แม้ธันวาจะปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ถูกเพื่อนๆ ลากออกมาสังสรรค์จนได้ เขามองไปรอบๆ ร้านประจำที่เคยมาตอนเรียนมหาวิทยาลัยทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ

“ไอ้วินมาหามึงบ้างเปล่าวะ” เจหนึ่งในกลุ่มเพื่อนถามขึ้น

ธันวาส่ายหน้าก่อนจะดับบุหรี่ในมือ “ไม่ ตั้งแต่กลับมาไทยมันไม่เคยรับโทรศัพท์กูเลยสักครั้ง” เขามีท่าทีหงุดหงิดเมื่อพูดถึงกวิน เพื่อนคนอื่นๆ นั่งเงียบ

“อืม มันคงยุ่งแหละ” เจหยิบแก้วเหล้าของธันวามาชง

“พวกมึงได้เจอมันบ้างไหมวะ” ธันวาไล่สายตามองเพื่อนทีละคน ทุกคนต่างส่ายหน้าปฏิเสธ “เฮ้อ มันเป็นอะไรของมันวะ พรุ่งนี้กูจะไปหามันที่บ้าน”

“ไม่ได้นะมึง” พินพูดเสียงดังอย่างลืมตัว

“ทำไมวะ” ธันวาขมวดคิ้วอย่างสงสัย การที่เขาไปบ้านของกวินเป็นเรื่องปกติเสียยิ่งกว่าปกติ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สอง

“มะ...ไม่มีไรมึง ไอ้พินคงเมาแล้วพูดเรื่อยเปื่อย วันนี้มันเพิ่งทะเลาะกับผัวมาด้วย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ” เจเหลือบมองเพื่อนคนอื่นๆ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“เออๆ กูก็ตกใจหมด” ธันวามองพินที่หลุบตามองต่ำ ไม่ยอมสบตา แม้รู้สึกตงิดใจกับท่าทีแปลกๆ ของเพื่อน แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งความรู้สึกนั้นไป

“แล้วมึงเริ่มหางานหรือยังล่ะไอ้ธัน” คิงที่นั่งข้างกันถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย

“พวกมึงลากกูออกมาแทบทุกวัน แล้วกูจะมีเวลาไปหางานไหม” ธันวาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหัวเราะออกมา บรรยากาศจึงกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

เมื่อเริ่มเมาได้ที่ธันวาจึงปลีกตัวออกมาที่หน้าร้าน พยายามกดโทรหาคนรักหลายครั้งแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย จนต้องล้มเลิกความตั้งใจด้วยความหงุดหงิด เขายืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมาย กดโทรหาใครอีกคน

“สวัสดีครับ พี่ธัน?” แม้จะเห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ แต่ไอ้พร้าวยังถามย้ำเพื่อความแน่ใจเพราะอีกฝ่ายไม่เคยโทรหาในเวลาหลังเที่ยงคืนอย่างวันนี้

“พร้าววววว” น้ำเสียงยานค้างทำให้ไอ้พร้าวขมวดคิ้ว

“ครับ พี่เมาเหรอ” มันเหลือบมองเลที่นั่งจิบเบียร์กับพัทธ์ที่หน้าบ้านก่อนจะเดินขึ้นห้อง

“ทำอะไรอยู่ครับ” ธันวาพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“กำลังจะนอนครับ พี่ธันมีอะไร” ไอ้พร้าวหยุดเดินเพื่อรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย

ธันวาเงียบไปครู่ใหญ่ “โกรธพี่หรือครับ” ถามสิ่งที่ค้างคาใจตลอดหลังจากได้คุยกับอีกฝ่ายในวันนั้น

“เปล่า” ไอ้พร้าวขมวดคิ้ว

“ไม่โกรธแล้วทำไมไม่คุยกับพี่แบบเดิมล่ะ คุยเหมือนพี่เป็นคนอื่นไปได้” ธันวาเริ่มมีน้ำโห เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างปกติ

“พี่เป็นบ้าเหรอ” ไอ้พร้าวโมโหจึงพูดไม่ดีออกไป มันไม่ได้เจอธันวามาเกือบสองปี และอีกฝ่ายเงียบหายไม่ส่งข่าวคราวมาตั้งหลายเดือน แล้วจะให้มันพูดคุยสนิทสนมแบบเดิมได้อย่างไรกัน

ธันวานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ “ทำไมพร้าวว่าพี่แบบนั้น” เขาตัดพ้อ รู้สึกน้อยใจขึ้นมาเมื่อเพื่อนตัวน้อยที่เคยพูดจ๊ะจ๋าตลอดเวลาพูดเช่นนี้กับตน

“แล้วจะให้พูดยังไง คุยไม่รู้เรื่อง” ไอ้พร้าวปิดประตูห้องดังลั่นจนคนข้างล่างตกใจ

“พูดไม่เพราะเลย พูดกับพี่เพราะๆ หน่อยสิครับ” ธันวาสะเทือนใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา ภาพเด็กพร้าวตัวน้อยที่วนเวียนในหัวทำให้เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้

“เมาก็ไปนอน ไม่ต้องโทรมาบ้าแบบนี้อีก” ไอ้พร้าวตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างเหลืออดแล้วกดตัดสายทันที

“ตู๊ดๆ”

ธันวาก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ดับไปแล้วอยู่นาน จากนั้นเดินคอตกกลับโต๊ะ แก้วเหล้าถูกยกขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าจนฟุบหน้าหลับกับโต๊ะ เพื่อนทุกคนได้แต่มองอย่างเห็นใจ ไม่มีใครห้ามปราม ต่างเข้าใจว่าธันวากลุ้มใจเรื่องแฟนสาวและเพื่อนรักอย่างกวิน

ไอ้พร้าวทิ้งตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกโมโหธันวาจนร้อนวูบไปทั้งหน้า ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมต้องต่อว่าตัดพ้อมันแบบนี้ด้วย เพิ่งโทรหาแค่ครั้งสองครั้งแต่กลับโมโหที่มันพูดจาห่างเหิน ทั้งที่ตัวเองเงียบหายไปตั้งหลายเดือน ปล่อยให้มันนั่งคอยไปรษณีย์จนใจเสีย...ใครกันแน่ที่ควรโมโห

ไอ้พี่ธันบ้า!

หนึ่งปีกว่าที่ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้คุยกันจะให้มันพูดคุยอย่างไร มันดีใจแทบตายตอนที่ธันวาโทรมา แค่คำทักทายง่ายๆ ยังนึกไม่ออก สมองร่วนไปหมด ใจเต้นแรงแทบจะกระเด็นออกจากอกให้ได้ แล้วจะให้มันพูดคุยเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไรกัน

ไอ้พร้าวในวัยสิบห้าย่างสิบหกปียกหมอนขึ้นปิดหน้า นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง หากใครได้เห็นคงขำท้องแข็งที่เด็กหนุ่มตัวสูงหุ่นเก้งก้างทำท่าทางราวกับสาวน้อยวัยใสกำลังมีความรัก

ธันวาตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงของอีกวัน อาการมึนงงและคลื่นไส้ยังคงมีอยู่ เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า พยายามนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืน แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็ไม่สามารถนึกออก จึงตัดสินใจโทรถามเจ หนึ่งในกลุ่มเพื่อนเมื่อคืนนี้

“ไอ้เจเมื่อคืนกูทำอะไรลงไปบ้าง” ธันวาเดินออกจากห้องนอนเพื่อหาน้ำดื่ม

“มึงกินเหล้าจนหน้าคว่ำ พวกกูก็นึกว่ามึงตายไปแล้ว” ปลายสายว่าอย่างขำๆ

“ก่อนหน้านั้นกูทำอะไรไปวะ” ธันวาขมวดคิ้ว ปกติแล้วเขาจะไม่ดื่มเหล้าจนไร้สติแบบนี้...เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“มึงบอกจะออกไปโทรศัพท์หาแฟน” เจพูดเสียงเบาในตอนท้าย

“เออ ขอบใจมาก”

“ไอ้ธัน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มึงยังมีพวกกูนะเว้ย” เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากเมื่อครู่

ธันวาชะงักมือที่กำลังหยิบขวดน้ำ “พวกมึงเป็นอะไรกัน”

“ตามที่กูพูดแหละ พวกกูอยู่ข้างมึง” เจตัดสายทันที ทั้งยังทิ้งท้ายให้ธันวามึนงง

หลังจากขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวบนห้องเสร็จ ธันวาจึงลงมาทานข้าวต้มที่ผู้เป็นแม่ทำไว้ให้ ระหว่างนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กประวัติการโทรออก ทั้งที่เจบอกว่าเขาออกไปโทรหาแฟนสาวแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รับสายเลย

“เฮ้ย!” ธันวาร้องเสียงหลงเมื่อพบว่าตัวเองได้โทรหาใครหลังเที่ยงคืน “คุยอะไรไปบ้างวะ” เขาพึมพำกับตัวเอง

“เป็นอะไรลูก ไม่อร่อยหรือ” ลัดดาเห็นลูกชายนั่งกุมขมับมีสีหน้าเคร่งเครียด

“เปล่าครับแม่ เมื่อคืนผมกลับมากี่โมง” ธันวาเริ่มตักข้าวต้มทาน

“เกือบตีสาม เออ...มีอะไรกับน้องพร้าวหรือเปล่า” ลัดดานั่งลงตรงข้าม จ้องหน้าลูกชายอย่างจับผิด

“อะไรหรือครับ ก็ไม่มีนะ” ธันวาขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกรอบ เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าคุยอะไรไปบ้างในเวลาเกือบสิบนาทีนี้

“ไม่มีก็ดี เมื่อคืนกลับมาบ้านเห็นธันละเมอเรียกชื่อน้อง บอกว่าน้องใจร้าย แม่ก็นึกว่าทะเลาะกัน”

ธันวานิ่งไปครู่หนึ่ง “หวังว่าจะไม่มีครับ” พูดก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม เขากลืนอะไรไม่ลงอีกแล้ว

“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ สรุปมีหรือไม่มี” มือนุ่มจับใบหน้าของลูกชายให้หันมาสบตา ธันวาอมยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มผู้เป็นแม่ ยังไม่ทันที่ลัดดาจะได้ฟาดให้หายหมั่นไส้ เจ้าลูกชายตัวดีของเธอก็ลุกขึ้นวิ่งกลับห้องไปเสียแล้ว

ธันวานอนมองเพดานห้องอย่างครุ่นคิดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาชั่งใจว่าควรโทรไปถามไอ้พร้าวดีหรือไม่ เมื่อคืนเขาอาจจะเมาจนพูดอะไรไม่ดีกับมัน หากเป็นเช่นนั้นก็อยากจะขอโทษ

“ตู๊ดๆ” สุดท้ายธันวาก็ตัดสินใจกดโทร

“ว่าไงธัน” เป็นเลที่รับสาย

“พี่เล ผมขอสายพร้าวหน่อยครับ”

“รอแป๊บหนึ่งนะ” จากนั้นธันวาได้ยินเสียงเลเรียกไอ้พร้าวให้มารับสาย เรียกอยู่หลายครั้งก่อนปลายสายจะเงียบไปครู่หนึ่ง

“สงสัยมันจะไปบ้านไอ้ปืนน่ะ เอ็งมีอะไรหรือเปล่า ถ้ามันกลับมาจะให้มันโทรกลับ” เลจ้องหน้าไอ้หลานรักอย่างจับผิด มันยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขาแต่ไม่ยอมมารับสาย

“เออ...ไม่มีอะไรครับ แค่อยากคุยกับน้อง ตอนเย็นผมจะโทรมาใหม่นะพี่” นี่เป็นครั้งแรกที่ธันวารู้สึกกระวนกระวายใจเมื่อไอ้พร้าวไม่มารับสาย

“ได้ๆ ข้าจะบอกมันให้” เมื่อเลกดวางสาย ไอ้พร้าวก็หันหลังเดินหนี

“ไอ้พร้าวมานี่” เลเรียกเสียงแข็ง

ไอ้พร้าวหยุดกึก ทำหน้าหงิกหน้างอเดินกลับมาหาน้าของมัน “อะไรจ๊ะน้าเล” ถามอย่างหงุดหงิด

ป๊าบ! ฝ่ามือของผู้เป็นน้าฟาดเข้าที่หัวเกรียนๆ ของมัน ไอ้พร้าวร้องโอดโอยราวกับจะเป็นจะตายจนพัทธ์วิ่งออกมาดู

ไอ้พร้าวเดินลูบหัวป้อยๆ เข้าไปกอดเอวพัทธ์ไว้แน่น “น้าเลตีหัวหนู เจ็บจังเลยลุงพัทธ์ หนูเวียนหัวเหมือนจะอ้วก” ซบหน้ากับอกลุงพัทธ์ของมันก่อนจะหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เล

“ทำไมชอบตีน้องพร้าวอยู่เรื่อย มีอะไรก็พูดก็สอนกันดีๆ สิคุณ” พัทธ์จ้องเลเขม็งอย่างไม่พอใจพลางลูบหัวลูบหลังปลอบไอ้พร้าว

เลกัดฟันกรอดๆ ชักคันไม้คันมืออยากจะฟาดกบาลไอ้หลานรักอีกสักรอบ “เอ็งนี่ตอแหลได้ใคร ดู! ดูมันสิไอ้พัทธ์” เขาชี้ไปที่หน้าของไอ้พร้าว ทว่าเมื่อพัทธ์ก้มมอง มันก็แสร้งเช็ดน้ำตาป้อยๆ

“พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ อย่าให้เด็กต้องมาซึมซับอะไรที่ไม่ดีจากคุณสิ” พัทธ์ว่าเข้าให้แล้วโอบไหล่ไอ้พร้าวเดินหนี แต่มันขืนตัวไว้

“พี่ธันพูดอะไรบ้างจ๊ะน้าเล” ไอ้พร้าวหันกลับมาถามผู้เป็นน้าเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ไม่บอกเว้ย” เลสะบัดหน้าไปทางอื่น รู้สึกน้อยใจที่หลานสนใจคนอื่นมากกว่าน้าของมัน

“น้าเลจ๋า น้าเลหล่อที่สุด” มันเดินเข้าไปกอดเอวเล เงยหน้ามองทำตาแป๋ว

เลก้มมองแล้วถอนหายใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็แพ้มันอยู่ดี “มันบอกว่าอยากคุยด้วย ตอนเย็นจะโทรหา” เขาตีหน้าผากหลานเบาๆ หนึ่งทีอย่างหมั่นไส้ ตอนที่ธันวาโทรมา ไอ้พร้าวเดินเข้ามาหาตั้งแต่เรียกรอบแรกแล้ว ทว่าเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมมารับสาย

“แค่นี้หรือจ๊ะน้า” ไอ้พร้าวขมวดคิ้ว ปล่อยแขนที่กอดเลทันที

“ก็แค่นี้แหละ สงสัยอะไรก็โทรถามมันเองสิวะ” เลกอดอกจ้องหน้าหลาน นับวันไอ้พร้าวยิ่งทำตัวแปลกๆ

“เฮ้อ” มันถอนหายใจ กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินเข้าครัว พัทธ์สบตากับเลอย่างไม่เข้าใจ

“ข้าบอกแล้วว่ามันตอแหล” เลยักไหล่อย่างกวนๆ รู้สึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายที่ถูกไอ้พร้าวหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ธันวาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบแฟ้มเล่มหนาเตอะในนั้นออกมา ทันทีที่เปิดดูรอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏบนใบหน้า มีผลงานเกียรติบัตรมากมาย แม้กระทั่งเกียรติบัตรเข้าร่วมค่ายธรรมะ เพื่อนตัวน้อยของเขาก็ยังอุตส่าห์ส่งมาให้ เขาเก็บมันไว้ในซองพลาสติกก่อนเอาเข้าแฟ้ม ยังมีภาพวาดอีกมากมายที่ถูกเก็บแยกไว้เป็นอย่างดี

นิ้วเรียวลูบรอยพับกระดาษที่อีกฝ่ายตั้งใจพับให้พอดีกับซองจดหมาย เลเคยเล่าให้ฟังว่าไอ้พร้าวต้องปั่นรถจักรยานไปหน้าหมู่บ้านที่ห่างจากร้านตั้งสามกิโลเมตรเพื่อส่งจดหมาย พอรู้ถึงความพยายามนี้ ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากมัน เขาจะโทรกลับไปหาทันที

นอกจากผลงานของไอ้พร้าวแล้ว ยังมีภาพวาดที่ธันวาเป็นคนวาดเองเก็บไว้ในลิ้นชักเดียวกัน มีภาพหนึ่งที่เขาไม่อาจละสายตาไปได้

“กำลังโกรธพี่อยู่ใช่ไหม” ธันวาลากปลายนิ้วไปตามโครงหน้าของเด็กชายในภาพ เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้ว ขะมักเขม้นเร่งทำงานให้เสร็จ จะได้ออกไปวาดภาพกับเขา...คิดถึงและอยากเจอ

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูทำให้ธันวาหลุดจากภวังค์ เขารีบเดินไปเปิด ลัดดาผู้เป็นแม่ยืนอยู่หน้าห้องกำลังมีสีหน้าวังกลอย่างเห็นได้ชัด

“ธัน...วินกับน้ำมนต์มาหา” ลัดดาบอกเสียงสั่น

ธันวาเลิกคิ้วอย่างสงสัย “หือ มาด้วยกันหรือครับ” เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งสองมาพร้อมกันก็ได้

“ธัน แม่ขอโทษนะลูก” ลัดดาโอบกอดลูกชายที่เป็นดั่งดวงใจ

“เป็นอะไรไปครับแม่ ผมลงไปหาไอ้วินกับน้ำมนต์ก่อนนะ ถ้าไปช้าได้โดนบ่นหูชากันพอดี” ธันวาว่าขำๆ หอมแก้มผู้เป็นแม่ก่อนจะเดินจากไป

เมื่อลับร่างลูกชาย น้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าของลัดดาได้ไหลลงมาเป็นสาย เธอพยายามเช็ดมันออกให้หมด ตอนนี้เธอต้องเข้มแข็งเพื่อยืนเคียงข้างลูกชายที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้าย
 

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:11:29 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

ธันวายิ้มกว้างให้คนทั้งสองที่นั่งรอบนโซฟาในห้องรับแขกข้างกัน แต่รอยยิ้มนั้นต้องเลือนหายไปเมื่อพบว่ากวินกำลังกุมมือน้ำมนต์ไว้แน่น ใบหน้าซีดเซียวและอาการหลบสายตาของคนทั้งคู่ทำให้ธันวาเริ่มแน่ใจในบางสิ่ง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน น้ำมนต์ ไอ้วิน” ธันวากดเสียงต่ำอย่างควบคุมอารมณ์ ภาพต่างๆ ในอดีตวนเวียนเข้ามาทำให้สับสนจนไม่สามารถเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังได้

“ธัน” น้ำมนต์เรียกเสียงแผ่ว น้ำตานองหน้า กวินมองด้วยความเป็นห่วงก่อนจะโอบกอดเธอไว้

ธันวายืนนิ่งมองภาพบาดตาตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เพื่อนสนิทกำลังโอบกอดคนรักของเขา แววตาที่มองมันลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าเพื่อน อีกทั้ง...แหวนคู่ที่ทั้งสองสวมอยู่

เขาแน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันชัดเจนเสียจนไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป

“ไอ้วิน!” ธันวาพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อของคนที่เคยเป็นเพื่อนรัก กวินไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืน ยอมให้เขาต่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำมนต์กรีดร้องพยายามเข้าไปห้าม แต่ถูกธันวาผลักจนหงายหลังลงไปนอนบนโซฟา เธอยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองไว้ด้วยสีหน้าตกใจ

“มนต์” กวินเรียกเสียงดังลั่นก่อนผลักธันวาออกห่าง รีบเข้าไปพยุงน้ำมนต์ให้ลุกขึ้นนั่ง ทาบฝ่ามือลงบนท้องของเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ธันวาเดินเซถอยหลังไปหลายก้าว สองแขนปัดป่ายไปทั่วจนแจกันหล่นแตก เขายังคงไม่ละสายตาไปจากคนทั้งสอง ทว่าภาพตรงหน้าช่างดูเลือนราง...จะใช่ความฝันหรือเปล่า

ถ้าใช่...มันคงเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต

“ธัน ธัน” เสียงเรียกเจือสะอื้นของน้ำมนต์ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์

“หึหึ ฮ่าๆ” ธันวาหัวเราะทั้งน้ำตา “มนต์...มนต์ปลุกธันหน่อยสิ ธันฝันร้าย ธันอยากตื่นแล้ว ปลุกธันนะ ปลุกสิ!” เขาตะโกนออกไปสุดเสียง เรี่ยวแรงที่มีพลันหายไปจนหมดสิ้น...ยืนต่อไม่ไหวอีกแล้ว สุดท้ายร่างกายที่หนักอึ้งก็ทรุดลงนั่งอย่างหมดท่า

ลัดดารีบวิ่งลงมาจากชั้นสองทันทีที่ได้ยินเสียงแจกันแตก ภาพธันวานั่งนิ่งที่มือข้างหนึ่งมีเลือดไหลออกมาย้อมพรมสีครีมเป็นวงกว้าง ทำให้ผู้เป็นแม่ปรี่เข้าไปหาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบาดแผลจึงวิ่งไปหาผ้าขนหนูมากดห้ามเลือดไว้

“ธัน นี่แม่เองนะ ได้ยินแม่ไหมลูก” ลัดดามองใบหน้าที่เรียบเฉยของลูกชาย แววตาคู่นั้นว่างเปล่าทั้งที่มองไปยังกวินและน้ำมนต์...ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเสียใจ ราวกับเจ้าของมันไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก

“ธัน มนต์ขอโทษ” น้ำมนต์ยกมือขึ้นไหว้ ทั้งที่มั่นใจว่าหากเจอธันวาอีกครั้ง เธอจะไม่รู้สึกอะไร ทว่าเพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดความละอายใจก็ตีตื้นขึ้นมาจนไม่กล้าสู้หน้า ยิ่งได้เห็นสภาพของคนรักเก่าในตอนนี้ หัวใจของเธอยิ่งเจ็บปวดทวีคูณ “ธันให้อภัยมนต์นะ...เห็นแก่ลูกของมนต์ได้ไหม” แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังพูดออกไป

ธันวายิ้ม มองท้องที่นูนเล็กน้อยของเธอ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น “คะ...คงจะดีนะ ถ้าเป็นลูกของธัน” น้ำเสียงแหบแห้งฟังดูเหมือนใจจะขาด กวินก้มหน้าลงปล่อยน้ำตาให้ไหลไม่ต่างกัน

“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...” ธันวาใช้ฝ่ามือดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่แยแสบาดแผลที่มือ ลัดดาเอ่ยห้ามไม่ทันจึงได้แต่ประคองลูกชายไม่ให้ล้ม ทั้งยังกดผ้าขนหนูห้ามเลือดที่ฝ่ามือ แม้เธอจะมีน้ำตานองหน้าสะอึกสะอื้น แต่กลับยืนอย่างมั่นคงไม่โอนเอน

ธันวาก้มมองผู้เป็นแม่ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปเช็ดน้ำตาให้เธอ “แม่ครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว...ไม่ต้องร้อง”

“ธัน กู...”

“ไสหัวไป!” ยังไม่ทันที่กวินจะได้เอ่ยอะไรออกมา ธันวาก็ออกปากไล่ดังลั่น “กูบอกให้ออกไปไง!” เขาพุ่งเข้าไปหาคนทั้งสอง ลัดดารีบวิ่งเข้าไปแทรกกลาง ห้ามไว้ได้ทัน ลูกชายของเธอกำลังสติแตก หากพลาดพลั้งทำอะไรลงไปคงมีผลกับเด็กในท้องของน้ำมนต์

“ธัน ใจเย็นๆ มองหน้าแม่สิลูก” ลัดดายกมือที่สั่นเทาประคองใบหน้าของลูกชายให้หันมาสบตา แววตาของธันวาดูเลื่อนลอยไม่ได้มองมาที่เธอ

“ธัน ธัน” น้ำมนต์คลานเข้าไปกอดขาธันวาไว้ กวินตกใจพยายามดึงตัวเธอออกมา แต่น้ำมนต์ขืนตัวไว้ไม่ยอมปล่อย

“มนต์ขอโทษ ขอโทษนะธัน ธัน” น้ำมนต์พูดซ้ำไปซ้ำมาประโยคเดิม ธันวาก้มมองด้วยสายตาว่างเปล่า

“มนต์ปล่อยธันเถอะ ป้าขอนะ” ลัดดาอ้อนวอนเพราะกลัวธันวาจะทำร้ายเธอ

“ปล่อย” ธันวาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง น้ำมนต์จึงยอมปล่อยแต่โดยดี “ออกไปทั้งสองคน...ออกไปจากชีวิตกู” แม้เสียงจะแผ่วเบาราวกระซิบ แต่กลับบีบหัวใจคนฟังจนหายใจไม่ออก

ไม่ใช่แค่คนฟังที่เจ็บปวด คนพูดก็ปวดใจไม่แพ้กัน

ธันวาต้องเสียเพื่อนรักกับคนรักไปพร้อมกัน...มันเจ็บ

แต่การถูกทั้งสองคนหักหลัง...มันเจ็บยิ่งกว่า

ลัดดาพาลูกชายมาที่โรงพยาบาล บาดแผลที่ฝ่ามือค่อนข้างลึกและยาวทำให้ต้องเย็บหลายเข็ม ธันวายังคงนั่งนิ่ง แววตาเลื่อนลอย ไม่ยอมพูดจา เธอจึงทำได้เพียงกุมมืออีกข้างของลูกชายไว้เพื่อให้เขารู้ว่ายังมีเธออยู่ข้างๆ

เมื่อกลับถึงบ้าน ลัดดาพาลูกชายเดินเข้าทางหลังบ้าน จะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องรับแขกที่เพิ่งเกิดเรื่อง ธันวาดึงแขนออกจากผู้เป็นแม่ วิ่งขึ้นห้องแล้วล็อกประตูทันที ลัดดาตกใจเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่อีกฝ่ายไม่ยอมเปิด เธอได้ยินเสียงข้าวของหล่นลงพื้นดังออกมาจากห้องไม่หยุด

ทวีที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านรีบวิ่งขึ้นไปหา ภาพภรรยายืนน้ำตานองหน้า เคาะประตูรัวราวกับคนเสียสติทำให้เขาต้องกลั้นน้ำตา “ดา ดาปล่อยลูก ใจเย็นๆ ให้ลูกอยู่คนเดียวเถอะ ให้ลูกอยู่คนเดียวก่อน” เขากอดภรรยาไว้แน่น โยกตัวไปมาเพื่อให้เธอใจเย็นลง

“ไม่ๆ ถ้าลูก...” ลัดดาไม่กล้าเอ่ยสิ่งที่ตัวเองกลัว

“เธอเองก็รู้จักลูกดี ธันไม่คิดสั้นหรอก ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวนะ” ทวีเช็ดน้ำตาให้ภรรยา ลัดดาคิดอยู่ครู่ก่อนพยักหน้า

ธันวากวาดข้าวของที่อยู่ใกล้ตัวทิ้งเพื่อระบายอารมณ์ ภาพวาดเด็กชายตัวน้อยฉีกขาดทั้งที่ตั้งใจวาดและทะนุถนอมเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เขาไม่ใส่ใจมันอีกต่อไป ทำเพียงแค่จับมันโยนไปให้พ้นทาง ไม่ว่าเห็นอะไรก็ขวางหูขวางตา อยากจะทำลายไปให้หมด แต่ความโกรธแค้นที่อัดแน่นในอกไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่น้อย บางครั้งก็ทำให้หายใจไม่ออกจนต้องทุบอกอยู่หลายที บางครั้งก็บีบแน่นที่หัวใจจนต้องนอนทุรนทุราย

ตลอดทั้งคืนธันวาไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ ในตอนนี้เขาสงบลงแล้วเพราะคำสอนของผู้เป็นยายที่ดังก้องในหัว เมื่อสติกลับคืนมาจึงรับรู้ความเจ็บที่บาดแผล มือข้างนั้นบวมอย่างเห็นได้ชัดคงเพราะแผลอักเสบ อีกทั้งยังมีเลือดซึมบนผ้าพันแผลเป็นวงกว้าง

เขาถอนหายใจออกมา มองไปรอบๆ ห้องอย่างเชื่องช้า ข้าวของมากมายกระจัดกระจายบนพื้น มีทั้งแตกพังและฉีกขาด อย่างกระดาษแผ่นนี้...ภาพวาดเพื่อนตัวน้อยที่ทั้งขาดทั้งยับ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินโซเซไปค้นหาเทปใสที่ไม่รู้ว่ากระเด็นหายไปไหน จึงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเจอ

ธันวาบรรจงติดเทปใสตามรอยฉีกของกระดาษด้วยมือที่สั่นเทา ความเจ็บจากบาดแผลยากจะควบคุมได้แต่สุดท้ายเขาก็ทำมันสำเร็จ จากนั้นพยายามเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายทั่วห้อง

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ทำให้ธันวาได้สติ มองไปที่ประตูด้วยความมึนงง เขาไม่รู้ตัวเลยว่านั่งเหม่อลอยตั้งแต่เมื่อไหร่

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ลัดดายิ้มกว้างโผเข้ากอดธันวาไว้แน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงผละกอด ยกมือขึ้นลูบใบหน้าลูกชายอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแตกสลาย “แม่ขอเข้าไปได้ไหม”

ธันวาพยักหน้าตอบ

“เก็บของอยู่หรือ ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แม่จะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้” ธันวาเดินไปอย่างว่าง่าย ลัดดากะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาก่อนจะก้มเก็บข้าวของบนพื้น

ธันวากลับมานั่งรอบนเตียงหลังทำธุระเสร็จ ลัดดาหยิบกล่องยามาทำแผลให้ลูกชายอย่างเบามือ ในเวลานี้ลูกชายของเธอช่างอ่อนแอเหลือเกิน แม้จะนึกโกรธกวินและน้ำมนต์ในตอนแรก แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนต้องยอมรับความจริงให้ได้

“แม่ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ทุกคนรู้เรื่องกันหมดใช่ไหม...มีแค่ผมคนเดียว” ธันวาสบตาผู้เป็นแม่ “มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้”

ลัดดาหลบสายตาเศร้าสร้อยคู่นั้น เพราะสิ่งที่ลูกชายพูดนั้นเป็นความจริง ทุกคนตกลงกันว่าจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ธันวาจนกว่าเขาจะกลับมา

“เพื่อลูกนะ” เธอพูดได้เพียงเท่านี้ หากธันวาคลุ้มคลั่งเช่นนี้คนเดียวที่อังกฤษ คงไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ผมเข้าใจ” รอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียวไม่ได้ทำให้ผู้เป็นแม่คลายความกังวลได้เลย

“ไปอยู่เป็นเพื่อนยายปิ่นกับป้าจิตสักพักไหมลูก สบายใจเมื่อไหร่คอยกลับมา” ลัดดาบอกถึงสิ่งที่เธอและพี่สาวได้คุยกันไว้แล้ว ทางนั้นก็ห่วงไม่แพ้กัน

“ก็ดีครับ” ธันวานิ่งไปครู่ก่อนจะตอบออกมา ลัดดากอดลูกชายไว้แนบอก ฝ่ามือนุ่มลูบหลังปลอบเบาๆ

ธันวาเดินทางไปเชียงรายทันทีในตอนเช้า โดยมีทวีและลัดดาร่วมเดินทางไปด้วย ดวงตาคมเหม่อมองกลุ่มเมฆสีเทาเข้มที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า เขาอยากลืมทุกอย่าง อยากลืมว่าเคยมีน้ำมนต์เป็นคนที่รักสุดหัวใจ ลืมว่าเคยมีคนอย่างกวินเป็นเพื่อนรัก ลืมความรักความเชื่อใจที่เคยมีให้คนทั้งสอง...



ยังมีใครอีกคนที่นอนคลุมโปงจ้องโทรศัพท์มือถือเขม็ง ไอ้พร้าวไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนเช่นกัน มันกำลังรอสายจากคนที่บอกว่าจะโทรมาหาในตอนเย็นของเมื่อวาน จนกระทั่งบ่ายของอีกวัน เขาคนนั้นก็ยังไม่โทรมาหา

“ไอ้พร้าว ไอ้พร้าวเอ๊ย! เอ็งนอนหรือตายวะ” น้าเลของมันตะโกนดังลั่นจากนอกบ้าน

ไอ้พร้าวลุกขึ้นยืนโงนเงนไปเปิดหน้าต่าง “มีอะไรจ๊ะ” เพราะหนังตาที่หนักอึ้งและแสงแดดในตอนบ่ายทำให้มันลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว

“เฮ้ย! ไอ้ผีห่าออกจากหลานกูเดี๋ยวนี้” เลขว้างหอมหัวใหญ่ในมือกระแทกเข้าหน้าผากของมันเต็มๆ

“โอ๊ย! น้าเล หนูเจ็บนะ” ไอ้พร้าวตื่นเต็มตา ยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ

“ลงมากินข้าวได้แล้ว ไอ้พัทธ์มันกลัวเอ็งตาย” เลพูดก่อนจะเดินกลับร้าน

ไอ้พร้าวทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอีกรอบ มันชั่งใจอยู่ครู่ก่อนจะกดโทร “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ กรุณา....” ไม่ว่าจะกดโทรออกไปอีกสักกี่รอบก็ยังเป็นเช่นเดิม

ไอ้พร้าวพยายามโทรหาธันวาอยู่หลายวันแต่ไม่สามารถติดต่อได้ สุดท้ายก็ยอมถอดใจ



วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม แต่ธันวายังคงเงียบหาย ไม่ติดต่อกลับมาเลยตั้งแต่วันนั้น

“เอ็งจะกลับมาบ้านทุกวันทำไม มาถึงก็ค่ำ แล้วยังออกไปตั้งแต่เช้ามืด ไม่เหนื่อยบ้างหรือวะ ข้าถามจริงๆ” เลอดห่วงไอ้พร้าวไม่ได้ เพราะมันนั่งรถกลับบ้านทุกวันตั้งแต่ย่างเข้าสู่เดือนธันวาคม กลับมาถึงบ้านหนึ่งทุ่มบ้างหรืออย่างช้าก็สองทุ่ม และนั่งรถไปโรงเรียนตั้งแต่ตีห้า นี่คือกิจวัตรประจำวันของมันตลอดเดือนธันวาคม

มันกลับมาเพื่อรอเขาคนนั้นที่บอกว่าจะมาหาในเดือนธันวาคม...แต่กลับหายเงียบ

ไอ้พร้าวแสร้งทำหูทวนลมเวลาที่น้าเลบ่น พัทธ์เองก็ห่วงมันไม่แพ้เล การที่มันต้องนั่งรถไปกลับเกือบห้าชั่วโมงในแต่ละวัน อาจทำให้มันอ่อนเพลียและไม่สบายได้ แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ไอ้พร้าวก็ยังกลับมาที่บ้านทุกวัน

“พี่ธันโทรจองรีสอร์ตแม่มึงไหม” ไอ้พร้าวถามเช่นเดิมทุกวันเมื่อไอ้ปืนมารับที่หน้าอำเภอ

“ไม่ว่ะ” ยังคงเป็นคำตอบเดิม

ไอ้พร้าวเงียบไปครู่ใหญ่ “พี่ธันบอกกูว่าจะมา”

“วันที่ยี่สิบเก้าแล้วนะเว้ย ไม่มาแล้วล่ะ” ความคิดเห็นของไอ้ปืนทำมันใจเสียจึงยกมือฟาดหัวเกรียนๆ ของเพื่อนรักไปหนึ่งที

“มึงอะ ตีกูตลอด” ไอ้ปืนบ่นอย่างน้อยใจพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ



ไอ้พร้าวมองท้องทะเลมืดมิดเบื้องหน้า ในปีนี้ไม่มีไฟเย็นเหมือนอย่างเคย มันลืมซื้อมาด้วยเพราะเอาแต่นั่งคอยธันวาทั้งวัน ก่อนมาที่นี่ยังฝากพัทธ์กับไอ้ปืนบอกธันวาให้มาหามันที่ตรงนี้ ที่ๆ ทำให้มันได้รู้จักกับอีกฝ่าย น่าเสียดายที่ต้นไม้ต้นนี้โค่นเพราะพายุเมื่อต้นปี ใบไม้แห้งร่วงไปหมดแล้ว เหลือเพียงลำต้นไว้ให้ได้นั่งเล่น

หวังว่าธันวาจะจำได้ และหามันเจอ...

หวีด บูม! เสียงดอกไม้ไฟดังทั่วทุกทิศทางต้อนรับปีใหม่ ผู้คนที่รอคอยเวลานี้ต่างออกมาชมความสวยงามบนท้องฟ้าด้วยความตื่นเต้น คงมีเพียงไอ้พร้าวที่ก้มมองพื้นทรายด้วยตาพร่ามัว

มันรอจนวินาทีสุดท้าย...แต่เขาก็ไม่มา

“พี่โกหก” ไอ้พร้าวพึมพำนั่งกอดเข่า “คนโกหก” มันฟุบหน้าลง ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา...อุตส่าห์นับวันรอแท้ๆ ทำไมไม่มาหา ทำไมต้องโกหกให้รอ ทำไมปล่อยให้มันเสียใจเสียความรู้สึกอยู่แบบนี้

หากเขาคนนั้นกลับมา...มันจะไม่เชื่อใจเขาอีกแล้ว



เจ้าของดวงตาคมมองดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า มันไม่สวยงามเหมือนอย่างที่เคยรู้สึก ตั้งแต่มาถึงเชียงราย ธันวาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ยอมออกไปไหน โดยมียายปิ่นคอยปลอบโยนให้กำลังใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ธันวาในยามนี้เหมือนเด็กชายตัวน้อยๆ ที่แสนบอบบางและอ่อนแอเหลือเกิน



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:12:12 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 8 (Part 1)


วันนี้ธันวาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อออกมาเดินเล่น หน้าบ้านของยายปิ่นมีสวนดอกไม้แปลงเล็กที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ตรงริมรั้วมีต้นมะม่วงปลูกเรียงรายกันประมาณสิบต้น อีกทั้งยังมีต้นกล้วยอีกหลายต้นที่กำลังออกผลบริเวณหลังบ้าน ทั้งหมดนี้เข้ากับบรรยากาศบ้านทรงไทยได้เป็นอย่างดี

นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า นานเท่าไหร่แล้วที่จมอยู่กับความโกรธแค้นและโศกเศร้า อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพบใคร

ธันวามาอยู่ที่บ้านของยายปิ่นตั้งแต่วันนั้น เป็นระยะเวลากว่าสามเดือนที่เขาตัดขาดจากทุกอย่าง ไม่ว่าจะเพื่อนฝูง หรือใครก็ตามที่เคยรู้จัก

“ตื่นแต่เช้าเลยนะธัน” ยายปิ่นเงยหน้าถามผู้เป็นหลานชาย

“ครับ ยายทำอะไรอยู่หรือ” ธันวาเดินเข้าไปหาแล้วนั่งย่องๆ ข้างยายปิ่น

“ถอนหญ้าน่ะ มันขึ้นแทนดอกไม้จะเต็มแปลงแล้ว”

ธันวามองหญิงชราผู้เป็นยาย แม้อายุจะย่างเข้าเจ็ดสิบแปดปีแล้ว แต่ยายปิ่นยังคงแข็งแรง ลุกนั่งเดินสะดวกถึงขนาดนั่งถอนหญ้าที่แปลงดอกไม้ได้เป็นชั่วโมง เขายิ้มก่อนจะช่วยถอนหญ้าอีกแรง

“อากาศเย็นดีนะครับ ไม่หนาวอย่างที่คิดเลย” ธันวาเงยหน้ามองท้องฟ้า เพิ่งจะย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์แต่อากาศที่นี่ไม่ได้หนาวอย่างที่คาดไว้

“ใกล้จะหมดหนาวแล้วล่ะ” หญิงชราลุกขึ้นยืนเมื่องานตรงหน้าเสร็จสิ้น

ธันวามองผลงานของตัวเองแล้วลุกขึ้นตาม ทั้งที่นั่งถอนหญ้าไปแค่ยี่สิบนาที แต่กลับรู้สึกปวดเมื่อยจนต้องบิดตัวไปมา ต่างจากยายปิ่นที่พอลุกขึ้นยืนก็เดินอย่างกระปรี้กระเปร่า เห็นทีเขาต้องออกกำลังกายบ้างแล้วจะได้กลับมากำยำล่ำสันเหมือนแต่ก่อน

“ยายครับ วันนี้ผมอยากไปดูไร่ป้าจิต”

“ก็ไปสิ จะขับรถไปเองหรือให้คนมารับล่ะ” ยายปิ่นยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินสิ่งที่หลานชายบอก

“ขับรถไปเองครับ ผมไม่อยากรบกวนใคร ทุกคนคงยุ่งกับงาน” ธันวาพูดพลางประคองผู้เป็นยายเดินขึ้นบันไดบ้าน

ยายปิ่นมองใบหน้าของธันวาที่ดูจะสดใสกว่าทุกวัน ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าหลานชายต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ธันวาไม่เป็นผู้เป็นคน ข้าวปลาไม่ยอมทาน เอาแต่นั่งเหม่อลอย มีหลายครั้งที่เจ้าตัวนอนไม่หลับจนร่างกายทรุดโทรม เธอเองก็ทำได้เพียงปลอบและเตือนสติอีกฝ่ายเท่าที่จะทำได้

พักหลังธันวาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มีสติและรับฟังสิ่งที่ผู้เป็นยายสอน จนสามารถทำใจยอมรับและให้อภัยได้ แต่ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับคนทั้งสอง หรือแม้กระทั่งติดต่อเพื่อนฝูง

หลังจากทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ธันวาได้ขับรถไปที่ไร่ของจิตซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของยายปิ่นมากนัก เขาลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ ...ไร่นี้เป็นของพงษ์ที่ได้รับมรดกตกทอดจากครอบครัว มีเนื้อที่ประมาณพันไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกชาอู่หลงและกาแฟอาราบิก้า ส่วนที่เหลือปลูกผักผลไม้เมืองหนาวตามฤดูกาล

“อ้าว ธัน มาทำไมไม่บอกป้าก่อนล่ะ จะได้ให้คนไปรับ” จิตยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นหลานชายมาที่ไร่

“ไม่เป็นไรครับ ขับรถมาใกล้ๆ เอง แล้วลุงพงษ์ล่ะครับ”

“ออกไปไร่ตั้งแต่เช้าแล้ว มาๆ เข้ามาในออฟฟิศก่อน” จิตดึงแขนธันวาให้เดินตาม

ภายในออฟฟิศตกแต่งอย่างเรียบง่ายเป็นโทนสีขาวมีสามชั้น ธันวามองอย่างไม่คุ้นชิน หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก ดูเหมือนไร่ของพงษ์จะไปได้ดีทีเดียว

“ลุงเขาจะทำรีสอร์ตในไร่น่ะ ช่วงนี้เลยยุ่งมาก แล้วธันกินข้าวเช้ามาหรือยัง” จิตมองหลานชายอย่างสำรวจ เธอเองก็ยุ่งกับงานจึงไม่ได้ไปที่บ้านของยายปิ่นเลยตั้งแต่อาทิตย์ก่อน เห็นอีกฝ่ายหน้าตาสดใสขึ้นเยอะก็เบาใจ อีกไม่นานคงกลับมาเป็นธันวา หลานชายคนเดิมของเธอ

“กินมาแล้วครับ ป้าจิต...” ธันวานั่งหลังตรง มองผู้เป็นป้าด้วยท่าทางจริงจัง

“ว่าไงธัน”

“ผมพร้อมจะทำงานแล้วครับ หลายเดือนมานี้ผมเสียเวลาไปมากพอแล้ว”

จิตยิ้มกว้าง “ดีจ้ะ ป้าดีใจนะที่ธันพูดอย่างนี้ เริ่มต้นใหม่นะลูก อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป” เธอลูบหัวหลานชายอย่างรักใคร่

“ครับ ผมจะตั้งใจทำงานเต็มที่เลย” แววตามุ่งมั่นของธันวาทำให้จิตรู้สึกกังวลเล็กน้อย

และแล้วก็เป็นดังที่จิตคิดไว้ ธันวาเข้ามาทำงานที่ไร่เหมือนพนักงานคนหนึ่ง ต่างเพียงแค่...ขยันไปหน่อย เมื่อไหร่ที่เคลียร์งานในออฟฟิศเสร็จ เจ้าตัวจะออกไปช่วยงานที่ไร่ทันที ทำงานหักโหมจนคนรอบข้างเป็นห่วง แต่ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป

“แม่ดูสิ ธันออกไปไร่ทุกวันจนตัวดำตัวแดงไปหมดแล้ว ถ้าลัดดามาเห็นจะว่าอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” จิตบ่นทันทีเมื่อพบหน้าผู้เป็นแม่ ธันวายิ้มก่อนจะเดินผิวปากเข้าห้อง

ยายปิ่นยิ้มพลางส่ายหน้ากับพฤติกรรมของหลานชาย “ปล่อยหลานเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ดีกว่าคิดฟุ้งซ่านอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”

“มันก็เกินไปนะแม่ ทำงานหนักแบบนี้สักวันจะป่วยเอา เดี๋ยวตากแอร์เดี๋ยวตากแดด ถ้าเป็นฉันนะคงหน้ามืดเป็นลมไปแล้ว” จิตนั่งลงตรงชานบ้านข้างผู้เป็นแม่ที่กำลังเช็ดใบตอง

“ก็หล่อนน่ะแก่แล้ว ธันยังหนุ่มยังแน่นจะทำงานหามรุ่งหามค่ำก็ไม่เป็นอะไรหรอก”

“โถ่ แม่ ฉันเป็นห่วงหลานนี่ แล้วแม่เช็ดใบตองทำไมจ๊ะ จะเอาไปทำอะไร” จิตหยิบผ้าชุบน้ำหมาดๆ ขึ้นมาช่วยเช็ดอีกแรง

“ทำข้าวต้มมัดน่ะ เห็นกล้วยน้ำว้างอมเต็มหลังบ้านเลยให้ธันไปตัดมาให้”

“ธันชอบกินข้าวต้มมัดด้วยสิ ดีเลย เดี๋ยวฉันอยู่ทำช่วย”

จากนั้นสองแม่ลูกต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ธันวามองภาพตรงหน้าพลางยิ้มน้อยๆ เขารู้แล้วว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนห่วงใยและใส่ใจเขาเสมอ แต่เขากลับมองข้ามไป มัวแต่จมอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจของตัวเอง



ธันวาไม่ค่อยมีวันหยุดเหมือนอย่างพนักงานคนอื่น เพราะแม้จะเป็นวันหยุด เขาก็ยังเข้ามาทำงานที่ไร่ ธันวาอยากเรียนรู้งานให้ได้มากที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องรับช่วงดูแลไร่นี้ต่อ จึงอยากแบ่งเบาภาระหน้าที่ต่างๆ ของลุงและป้าให้ได้มากที่สุด

ครืด ครืด...ธันวามองชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยรอยยิ้ม

“ครับแม่”

“เป็นไงบ้างลูก ได้ยินป้าจิตบ่นว่าธันบ้างานทุกวี่ทุกวันจริงหรือเปล่า อย่าหักโหมงานมากนะลูกเดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอา” ลัดดาอดบ่นไม่ได้

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่ทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนก็เท่านั้น” ธันวาว่าอย่างขำๆ

“จ้ะ ให้มันจริงเถอะ ถ้าอย่างนั้นแม่ไปขอให้ลุงพงษ์ลดเงินเดือนลูกดีไหม” ลัดดาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“โห อย่าเลยครับ นี่ผมตั้งใจเก็บเงินแต่งสะใภ้เข้าบ้านให้แม่อยู่นะ” เพียงแค่พูดเล่นๆ แต่กลับสะกิดแผลใจของตัวเองเสียอย่างนั้น

ลัดดาเม้มริมฝีปากแน่น ชั่งใจว่าควรบอกเรื่องนั้นกับลูกชายหรือไม่ “ธัน...มนต์คลอดแล้วนะ พ่อกับแม่เพิ่งไปเยี่ยมมา” เธอตัดสินใจบอกออกไป

ธันวาเงียบไปครู่ใหญ่ ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไร เขาคงบอกว่ายังเจ็บ แต่ก็ยินดีกับชีวิตน้อยๆ ที่เพิ่งลืมตาดูโลก “ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ผู้หญิงจ้ะ น่ารักน่าชังทีเดียว”

ธันวายิ้มเมื่อได้ฟัง “ก็แม่เขาสวย พ่อก็หล่อ” เขาปล่อยวางไปได้มากแล้ว แต่ยังไม่พร้อมที่จะเจอ

“ธัน แม่ดีใจนะที่ลูกให้อภัยและเปิดใจ สักวันลูกต้องได้เจอคนที่เกิดมาเพื่อลูก” ลัดดากะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เธอไม่อยากทนเห็นลูกชายเป็นทุกข์อีกแล้ว

“ครับ แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวก็สบายใจดี...ชักไม่อยากมีเมียแล้วสิ” ฟังจากน้ำเสียงของผู้เป็นแม่ก็รู้ว่ากำลังกลั้นน้ำตาอยู่แน่ๆ จึงแกล้งพูดติดตลก

“ไอ้ลูกคนนี้ แม่ไม่ยอมให้ธันอยู่คนเดียวไปจนตายหรอกนะ จะเป็นใครก็ได้ จะไม่มีหลานให้แม่เหมือนคนอื่นเขาก็ได้ แม่ไม่ว่าหรอก” หากธันวาอยู่ใกล้คงถูกลัดดาหยิกเนื้อเขียวไปแล้ว

“หือ ใครก็ได้หรือครับ ถ้าผมพาผู้ชายเข้าบ้าน แม่ก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหม” ธันวาแสร้งทำเสียงจริงจัง

“พามาให้ได้เถอะ ดีกว่าอยู่เป็นโสดจนแก่ตาย” ลัดดารู้ว่าลูกชายแกล้งหยอกเล่นเท่านั้นจึงตามน้ำ ธันวาหัวเราะดังลั่นจนจิตที่อยู่อีกฟากถนนหันมอง จากนั้นสองแม่ลูกก็คุยกันอีกสักพักให้หายคิดถึงแล้ววางสาย

“คุยอะไรกัน หัวเราะลั่นไร่เชียว” จิตถามขึ้นเมื่อธันวาเดินเข้ามาหา

“เรื่อยเปื่อยน่ะครับ ป้าจิต วันนี้ผมของตัวกลับก่อนนะ” ธันวาปาดเหงื่อบนหน้าผาก อากาศอบอ้าวเสียจนอยากกลับไปอาบน้ำให้สบายตัว

“จ้ะ ที่จริงวันหยุดไม่ต้องมาก็ได้ อยู่ที่บ้านพักผ่อนเป็นเพื่อนยายปิ่นเถอะ นังจี๊ดก็ออกเที่ยวตะลอนๆ ไม่อยู่ติดบ้านให้เรียกใช้ด้วย” จิตหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อพูดถึงหลานอีกคนที่น้องสาวคนเล็กคลอดไว้ให้เลี้ยงก่อนหนีหายไปสิบหกปีแล้ว เธอเองก็อยู่กับสามีที่ไร่จึงมีเพียงธันวากับจี๊ดที่อยู่เป็นเพื่อนยายปิ่น

“รับทราบครับผม” ธันวายืนตัวตรงตะเบ็งเสียง ผู้เป็นป้ามองด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะฟาดเข้าที่แขนหลานหนึ่งที



วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงครึ่งปี ในตอนนี้ธันวาพร้อมเผชิญหน้ากับความจริงแล้ว เขาควรได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แม้จะยังเจ็บที่ถูกหักหลัง แต่ไม่มีความโกรธแค้นใดๆ หลงเหลืออยู่แล้ว

ธันวาพลิกโทรศัพท์มือถือในมือไปมา ดวงตาคมมองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดโทรหาเจเพื่อนในกลุ่มที่ไม่ได้ติดต่อมานานหลายเดือน

“สวัสดีครับ” ปลายสายพูดขึ้น

“เจกูเอง”

“ไอ้ธัน?” เจถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้

“ใช่กูเอง ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมึงเลย” ธันวารู้สึกผิดเสมอมา

“เฮ้ย ไม่เป็นไรมึง กูดีใจนะเว้ยที่มึงโทรมา” เจเองก็เทียวไปถามข่าวธันวาจากลัดดา และรอให้อีกฝ่ายติดต่อกลับมา

“เจ กูอยากรู้เรื่องทั้งหมด”

เจเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่ามึงอยากลืมหรือ มึงแน่ใจนะว่าอยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมด”

“บอกกูเถอะ กูพร้อมแล้ว” ธันวาบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เจถอนหายใจก่อนจะยอมเล่า “กูก็รู้ไม่มากหรอก กูไม่รู้ว่าสองคนนั้นเริ่มต้นอะไร ยังไงกัน พวกกูมารู้ก็ตอนที่ไอ้ห่าวินบอกว่าจะแต่งงานกับน้ำมนต์ ถ้าไม่มีคนห้าม ไอ้วินโดนพวกกูยำตีนไปละ” เจรู้สึกโมโหขึ้นมาเมื่อนึกถึงวันนั้น

“แต่งเมื่อไหร่” น้ำเสียงเรียบเฉยของธันวายากที่จะจับอารมณ์ได้

“ก่อนมึงกลับจากอังกฤษสองเดือน ตอนนั้นน้ำมนต์ท้องได้สามเดือนแล้ว หลังจากงานแต่งพวกกูก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับมัน” เจขมวดคิ้วเมื่อปลายสายเงียบไป “มึงทำใจได้แล้วใช่ไหม พวกกูคิดถึงมึงนะเว้ย กลับมาได้แล้ว”

“กูอาจจะอยู่ที่นี่เลย ยังไงกูก็ต้องรับช่วงต่อจากป้าอยู่แล้ว แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่ กูจะไปหาพวกมึงนะ ฝากบอกคนอื่นด้วยล่ะ” ธันวายิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนคนอื่นๆ

หลังจากวางสาย ธันวาเอาแต่นั่งเงียบ เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่อังกฤษ ผ่านไปได้หกเดือนทั้งกวินและน้ำมนต์ก็เริ่มเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ที่เกินเลยอาจจะเกิดขึ้นในช่วงนั้นโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้เอะใจอะไรเลย

มารู้ตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาอยากเริ่มต้นใหม่กับคนทั้งสอง...ในสถานะเพื่อนคนหนึ่ง เขาไม่อยากให้ชีวิตใหม่ที่เกิดมามีตราบาปติดตัว ไม่อยากให้เด็กต้องถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ และถูกทำร้ายจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ



“ป้าจิตครับ ผมขอลากลับกรุงเทพสามวันนะครับ” ธันวาเอ่ยขอผู้เป็นป้าเมื่อกลับมาจากไร่

“ได้สิ กลับทั้งทีทำไมแค่สามวันล่ะ ธันไม่ได้กลับบ้านเกินครึ่งปีแล้วนะ” จิตอยากให้อีกฝ่ายมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่านี้ แม้ว่าพ่อและแม่ของธันวาจะมาเยี่ยมทุกเดือนก็ตาม

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากกลับไปเคลียร์ปัญหาบางอย่าง”

ธันวาเดินทางกลับกรุงเทพในเช้าวันถัดมาโดยมีทวีและลัดดามารอรับที่สนามบิน เขาเพียงแค่ฝากกระเป๋าไปเก็บที่บ้าน และขอให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อเลือกซื้อของที่ต้องการแล้วจึงเดินทางไปที่ๆ ตั้งใจไว้

ธันวาลงจากรถแท็กซี่เมื่อถึงที่หมาย เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา ไปๆ มาๆ จนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกวิน ยืนกดกริ่งอยู่ครู่หนึ่งป้าแม่บ้านที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็ออกมาเปิดประตู

ธันวามองท่าทางตกใจของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับป้า”

“คุณธัน...ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ป้าคิดถึงทุกวันเลย” ป้าแม่บ้านน้ำตาคลอ

“ผมก็คิดถึงป้าครับ วินกับ...น้ำมนต์อยู่บ้านไหมครับ” ธันวากลั้นใจเอ่ยชื่อคนรักเก่าออกมา

“อยู่ค่ะ เข้ามาข้างในเถอะค่ะ”

ธันวามองไปรอบๆ บริเวณบ้าน เกือบสองปีแล้วที่ไม่ได้มา คฤหาสน์หลังโตทาสีใหม่เป็นสีชมพูอ่อน เจ้าของบ้านคงเปลี่ยนมันเพื่อเจ้าหญิงตัวน้อยของบ้าน สนามหญ้าหน้าบ้านที่เขากับกวินใช้เตะบอลกลายเป็นแปลงดอกไม้ไปกว่าครึ่ง และไม่ไกลจากตัวบ้านมีสนามเด็กเล่นที่ยังสร้างไม่เสร็จดี มีเครื่องเล่นสามสี่ชนิดตั้งอยู่ตรงนั้น ทุกชิ้นล้วนเป็นสีชมพู ธันวากลั้นขำ...ดูท่าอีกไม่นานทุกอย่างในบ้านหลังนี้คงหลายเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นสีที่กวินเกลียด

หากพูดถึงข้อแตกต่างระหว่างธันวากับกวิน นอกจากนิสัยที่ต่างกันแล้ว ฐานะทางบ้านก็เช่นกัน ครอบครัวของธันวามีฐานะปานกลาง โดยมีจิตและพงษ์คอยสนับสนุนเรื่องการศึกษา ส่วนครอบครัวของกวินเรียกได้ว่าฐานะดี ร่ำรวยมาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อย่างเข้ามาในบ้านมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ พร้อมเสียงอ้อแอ้ของเด็กทารก กวินและน้ำมนต์กำลังหยอกล้อทารกตัวน้อยที่หัวเราะตีแขนขาไปมาก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำกับเบาะนอนสีชมพู ธันวามองภาพตรงหน้าด้วยใจที่นิ่งสงบ...เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คิดไว้

“สวัสดี” เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นทำให้คนทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน

“ธัน” น้ำมนต์เอ่ยเสียงแผ่ว แววตาสั่นไหว ความรู้สึกหลากหลายอัดแน่นเข้ามาจนเธอเจ็บปวดไปทั้งใจ กวินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“กูมารับขวัญหลาน” ธันวาชูถุงสีแดงใบเล็กขึ้นมาตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

กำไลข้อเท้าที่ทำจากทองคำถูกสวมที่ข้อเท้าเล็กทั้งสองข้าง เจ้าตัวน้อยยิ้มหวานตีขาไปมาราวกับถูกใจของขวัญที่ธันวาให้

ธันวายิ้มกว้าง รู้สึกรักใคร่เอ็นดูเด็กหญิงตั้งแต่แรกเห็น “ชื่ออะไรหรือ” เขาเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อของเด็ก

“ชื่อ มีนา...เพราะเกิดเดือนมีนา” กวินตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ธันวาชะงักไปครู่เมื่อได้ฟังคำตอบ “สวัสดีครับน้องมีนา ชอบของขวัญที่อาให้ไหมครับ อาเลือกเองกับมือเลยนะ” เจ้าตัวน้อยหัวเราะชอบใจ มือเล็กๆ กำนิ้วชี้ของธันวาไว้แน่น “ห้าเดือนแล้วใช่ไหม ตัวโตเหมือนกันนะเรา ต้องกินจุมากแน่ๆ” เขาว่าอย่างหยอกล้อ

กวินและน้ำมนต์มองธันวากับลูกสาวด้วยความรู้สึกมากมายปนเปกัน จนไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้

“มีเรื่องอะไรน่าเศร้าเสียใจหรือ จะร้องไห้กันทำไม” ธันวายิ้ม เขาเองก็ชักจะรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา

“กลับมาเมื่อไหร่” กวินเอ่ยถาม

“เพิ่งมาถึงเมื่อตอนสาย”

“กลับมาอยู่กรุงเทพเลยใช่ไหมหรือแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน” น้ำมนต์อดถามไม่ได้

“กลับมาเยี่ยมบ้านเฉยๆ ครับ มาแค่สามวัน”

จากนั้นไม่มีคำถามหรือการพูดคุยระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสามอีก มีเพียงเสียงของธันวากับเจ้าหนูน้อยมีนาที่ส่งเสียงอ้อแอ้ บ้างก็หัวเราะเอิ้กอ๊ากอย่างชอบใจ

เมื่อเล่นกับหลานสาวได้พักใหญ่ ธันวาจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาพูดกับกวิน “วิน ขอคุยด้วยหน่อย”

กวินพยักหน้าตอบ ทั้งสองเดินปลีกตัวมาที่สวนหลังบ้าน

“ลุงกับป้าไปไหนกัน ไม่ได้เจอนานแล้ว” ธันวานั่งลงที่ม้านั่งซึ่งเคยเป็นที่ประจำเวลากลุ่มเพื่อนมาสังสรรค์ที่บ้านของกวิน พอได้มาที่นี่อีกครั้งก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ

“ไปเที่ยวต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็อีกอาทิตย์หนึ่ง”

“พวกท่านสบายดีใช่ไหม มีหลานให้คอยเลี้ยงคงไม่เหงาแล้วสินะ”

“อืม แต่ก็บ่นคิดถึงมึงบ่อยๆ” กวินนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ฝากบอกด้วยว่ากูก็คิดถึงและขอโทษที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลย”

จากนั้นต่างฝ่ายต่างเงียบจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

‘ไอ้วิน กูฝากดูแลมนต์ด้วยนะ อย่าให้ใครมายุ่มย่ามกับแฟนกูเด็ดขาด’ ธันวามีสีหน้าจริงจัง ฝากฝังเพื่อนรักให้คอยดูแลแฟนสาว วันนี้กวินต้องกลับไทยแล้ว ระยะเวลาสองสัปดาห์ที่มีกวินอยู่เป็นเพื่อน เขามีความสุขมาก จากนี้ไปคงเหงาน่าดู

‘เออน่า ไม่ต้องห่วง กูจะดูให้เอง มีอะไรกูจะรายงานมึงทันที’ กวินเอือมระอากับความขี้หวงของเพื่อน

‘กูจริงจังนะเว้ย มึงก็รู้ว่าตอนนี้กูกับมนต์กำลังมีปัญหากัน พูดตามตรงกูกลัวจะมีคนแย่งมนต์ไปจากกู...มนต์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับกู มึงก็รู้’ แววตาของธันวาสั่นไหวเมื่อนึกถึงสิ่งที่กลัว

‘กูสัญญาว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น’ กวินบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่ ‘มึงไม่ต้องกังวลไปหรอก ตั้งใจเรียนล่ะ รีบๆ จบ กูคงคิดถึงมึงมาก’ กวินกอดธันวาแน่นจนคนในบริเวณนั้นหันมามอง

ธันวานึกถึงบทสนทนาในครั้งนั้น ไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นกอดสุดท้ายสำหรับมิตรภาพที่มีให้แก่กันมานานหลายปี แม้กวินจะรักษาสัญญาไว้ไม่ได้ และกระทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด แต่ตอนนี้เขาปล่อยวางมันได้แล้ว ความเจ็บปวดที่ได้รับเป็นเหมือนละอองฝุ่น มันบางเบาจนแทบไม่รู้สึก

“ธัน กูขอโทษ” กวินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“ไม่เป็นไร...เราเริ่มใหม่กันได้ กูยังอยากได้มึงเป็นเพื่อน” ธันวายิ้มอย่างจริงใจ หากเปลี่ยนแปลงอดีตแย่ๆ ไม่ได้ก็ควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

“กูขอโทษ กูขอโทษจริงๆ” หากต้องขอโทษเป็นพันๆ ครั้งกวินก็จะทำ

“กูขอถามมึงได้ไหม ตอบแบบลูกผู้ชาย” ธันวาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสบตากวิน “มึงรักมนต์หรือเปล่า”

กวินหลุบตามองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงสบตาอีกฝ่าย “กูไม่รู้ แต่คิดว่า...กูไม่ได้รักมนต์” มันคือคำตอบจากความรู้สึกจริงๆ ของเขา

ธันวาอยากจะต่อยหน้ากวินหลายๆ ที แต่ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ “แล้วมนต์ล่ะ”

“มนต์ยังรักมึง” กวินตอบน้ำเสียงหนักแน่น

“................” ธันวาก้มหน้าเล็กน้อยแล้วหลับตาลง

“กูรู้ว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ แต่กูกับมนต์รักมีนา”

ธันวาเงยหน้ามองกวิน พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “อืม ดูแลมนต์กับมีนาดีๆ ล่ะ กูกับมึงยังเป็นเหมือนเดิม ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษากูได้ โอเคไหม” ธันวาลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปตรงหน้ากวิน

กวินยิ้มกว้างรีบลุกขึ้นยืน “ก็ต้องโอเคสิวะ” เขาจับมือข้างนั้นพร้อมสบตาอีกฝ่าย “กูสัญญาว่าจะดูแลมนต์กับมีนาให้ดีที่สุด” กระชับมือแน่นเพื่อยืนยันคำสัญญา

เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ทั้งสองจึงพูดคุยกันเรื่องต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเจ้าหนูน้อยมีนาที่ตอนนี้กลายเป็นขวัญใจของธันวาไปแล้ว แม้ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองจะยังคงมีอยู่ แต่หากได้พูดคุยเปิดใจกันเหมือนแต่ก่อน ความรู้สึกเดิมๆ คงกลับมาในไม่ช้า

ธันวาอยู่เล่นกับหลานสาวจนเวลาล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็น เขาปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมทานอาหารเย็นเพราะมีนัดกับครอบครัวไว้แล้ว น้ำมนต์จึงอาสาเดินไปส่งที่หน้าบ้าน ระหว่างเดินทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“มนต์” ธันวาหยุดยืนก่อนหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นไปตรงหน้าน้ำมนต์ มันคือกล่องกำมะหยี่สีแดง

“อะไรหรือธัน” ทั้งๆ ที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าของที่อยู่ในกล่องคืออะไร แต่น้ำมนต์ก็เลือกที่จะถามออกไป

“เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฝากไว้ให้มีนาแล้วกัน บอกว่าอาธันให้” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าของธันวา หญิงสาวอดีตคนรักรับมันมาแล้วเปิดดู...แหวนเงินเกลี้ยงเกลามีเพชรเม็ดเล็กอยู่ตรงกลาง ดูเรียบง่ายสมกับที่ธันวาเป็นคนเลือก

แหวนวงนี้ธันวาตั้งใจจะให้น้ำมนต์หลังกลับจากอังกฤษเพื่อขอเธอแต่งงาน แต่วันนั้นคงไม่มาถึงจึงตัดสินใจมอบให้หลานสาวแทน

“สวยมากเลย ขอบคุณนะธันที่เอ็นดูมีนา” น้ำมนต์ยิ้มพยายามกลั้นน้ำตา

“..................” ธันวาเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ธัน” น้ำมนต์หลุบตามองพื้น

“หือ มีอะไร”

“มนต์กอดธันได้ไหม” น้ำมนต์สบตากับอดีตคนรัก ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว เป็นครั้งสุดท้าย”

“ได้สิ” ธันวากอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินจากไป

น้ำมนต์ยืนมองอีกฝ่ายจนลับสายตา หากถามว่ายังรักธันวาอยู่ไหม เธอตอบได้โดยไม่ลังเลว่ารักเหมือนเดิม แต่มันไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เธอเป็นคนผิด เธอเป็นคนหักหลังธันวา ทั้งยังฉุดให้กวินตกนรกไปกับเธอด้วย

ในตอนนั้นเมื่อต้องอยู่ห่างธันวา เธอรู้สึกเหงาว้าเหว่ แต่พอมีกวินคอยดูแลห่วงใย คอยทำให้ยิ้มให้หัวเราะจึงรู้สึกหวั่นไหว เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบแต่กลับทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจนไม่สามารถหันหลังกลับ เมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็ย่อมมีครั้งที่สอง สาม เรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาพลาด...

ชีวิตหลังจากนี้เธอต้องชดใช้อย่างไร ความผิดนี้จึงจะเบาบางลง

เมื่อธันวากลับมาถึงบ้าน ผู้เป็นแม่ยิ้มให้แล้วเข้าไปสวมกอด แม้เขาจะไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางอะไรออกมา แต่ลัดดารู้ดีว่าลูกชายของเธอต้องการกำลังใจและคนที่อยู่เคียงข้าง

เช้าวันถัดมาธันวาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เขาติดนิสัยตื่นเช้าเช่นนี้มาจากผู้เป็นยายเสียแล้ว นอนมองเพดานห้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน จากนั้นกลับมารดน้ำต้นไม้

“ตื่นเช้าจังเลยนะลูก” ลัดดาที่เพิ่งกลับจากตลาดเอ่ยทักลูกชาย

“อยากจะตื่นสายเหมือนกันครับ แต่นอนต่อไม่หลับ เช้านี้ทำอะไรกินหรือครับ” ธันวาปิดก๊อกน้ำแล้วเดินเข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ถือของ

“ทำข้าวต้มปลาจ้ะ ขึ้นไปอาบน้ำเถอะจะได้ลงมากินข้าว”

ธันวาขึ้นมาบนห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า ไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแรงบันดาลใจ ความรู้สึกเหล่านี้หายไปพร้อมกับความรักในครั้งนั้น

...รู้สึกเหงา อยากจะมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง

คนที่ทำให้หัวใจพองโต คนที่อยากเจอหน้าทุกวัน ใช้ชีวิตร่วมกัน...เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทั้งที่ควรพักหัวใจให้นานกว่านี้

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพักก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ทว่าสายตากลับสะดุดกับกล่องกระดาษหนึ่งใบที่อยู่ใต้โต๊ะ ธันวาก้มลงลากกล่องกระดาษใบนั้นออกมาแล้วหยิบภาพวาดในกล่องขึ้นมาดู ภาพนี้มีรอยฉีกขาดที่ถูกติดด้วยเทปใส อีกทั้งยังยับย่นมีรอยเปื้อน

ธันวาเป่าฝุ่นบนภาพก่อนจะถอนหายใจ ในตอนนั้นเขาหวงแหนภาพนี้มาก ถึงขนาดที่ไม่ยอมให้ใครแตะต้องเลยด้วยซ้ำ ปลายนิ้วชี้ไล้ไปตามลายเส้น...เกือบสามปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอ อาจจะโกรธหรือลืมเขาไปแล้วก็ได้ หากเป็นตัวเขาเองก็คงจะโกรธมาก ทั้งที่บอกว่าจะไปหาแต่กลับเงียบหายไปโดยไม่ได้บอกกล่าว

หวังว่าไอ้พร้าวจะไม่พยายามติดต่อหาเขา หวังว่ามันจะปล่อยทิ้งคำสัญญาที่เขาให้ไว้...หวังว่ามันจะไม่รอ

ธันวาหากล่องพลาสติกเพื่อเปลี่ยนถ่ายสิ่งของที่อยู่ในกล่องกระดาษเก่าๆ ใบนี้ เขาเก็บทุกอย่างลงกล่องใบใหม่อย่างทะนุถนอม เพราะอยากรักษาสิ่งของเหล่านี้ให้ดีที่สุด

“แม่ครับ ระหว่างที่ผมไม่อยู่มีจดหมายส่งถึงผมไหม” ธันวาถามขึ้นระหว่างทานอาหารเช้า

“อา แม่ลืมไปเลย เมื่อต้นปีมีพัสดุถึงลูกด้วย” ลัดดาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ทั้งที่ตั้งใจจะเอาไปให้ธันวาที่เชียงราย แต่เธอดันลืมทุกครั้งไป

“พัสดุหรือ จากใครครับ” ธันวาวางช้อนลงเพื่อรอฟังคำตอบ ในใจภาวนาให้เป็นของไอ้พร้าว

“พร้าวจ้ะ”

ธันวาลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตื่นเต้น “อยู่ไหนครับ”

“อะไรกันไอ้ลูกคนนี้ ตกใจหมดเลย” ลัดดายกมือขึ้นทาบอก “แม่เก็บไว้ที่ตู้เสื้อผ้าลูก ไม่เห็นหรือ”

“ขอบคุณครับ” ธันวายื่นหน้าไปหอมแก้มผู้เป็นแม่ก่อนวิ่งขึ้นห้อง

“เมื่อก่อนไม่เห็นจะตื่นเต้นแบบนี้เลย” ลัดดาอมยิ้มพลางส่ายหน้า

ธันวาหยิบกล่องพัสดุขนาดกลางออกมาจากตู้เสื้อผ้า วางมันลงบนเตียงแล้วลงมือแกะกล่อง...สมุดโน้ตเล่มสีดำที่ดูคุ้นตาอยู่ในกล่อง เมื่อนั่งนึกอยู่ครู่จึงจำได้ว่ามันคือสมุดโน้ตที่เขาฝากไอ้ปืนเอาไปให้ไอ้พร้าวเมื่อประมาณสามปีก่อน

“ส่งคืนมาทำไม” เขาพึมพำก่อนจะเปิดสมุดโน้ตเล่มนั้น

ภาพวาดที่เขาวาดไว้ก่อนหน้านี้ถูกฉีกออกไปทั้งหมด เหลือไว้เพียงภาพวาดที่เขาจำลายเส้นได้ดีว่าเป็นฝีมือของไอ้พร้าว แต่ละภาพมีวันที่กำกับไว้เหมือนอย่างที่เขาทำ ภาพแรกถูกวาดหลังเขากลับกรุงเทพได้ประมาณหนึ่งเดือน

ธันวาใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเพื่อเปิดดูภาพที่ไอ้พร้าววาดกว่าสองร้อยหน้า จนกระทั่งถึงภาพสุดท้าย...ไม่มีภาพสุดท้าย มันว่างเปล่าแต่กลับเขียนวันที่ลงไป

31 ธันวาคม ปีก่อน...ทำไมไม่มีภาพวาดในวันนี้ ทำไมภาพของเขาถูกฉีกออกไป ทำไมสมุดโน้ตถูกส่งคืนมา ธันวากุมขมับกับคำถามเหล่านี้ซึ่งมีเพียงไอ้พร้าวเท่านั้นที่ตอบได้


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:13:50 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

บรื้นๆ เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังสนั่นจนคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องหันไปมอง บ้างก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา บ้างก็ตะโกนด่า แต่พวกมันไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด รถมอเตอร์ไซค์เจ็ดคันที่ถูกดัดแปลงจอดเรียงกันขวางถนน แต่ละคันมีพริตตี้ขาสั้นสายเดี่ยวนั่งซ้อนท้ายกอดเอวแน่น และร้องกรี๊ดกร๊าดอย่างถูกใจเมื่อเครื่องยนต์ถูกเร่งให้ดังกว่าเดิม พวกมันหันมายักคิ้วท้าทายกันเองก่อนจะเร่งเครื่องยนต์แข่งกัน

ไอ้หัวโจกของแก๊งคือเด็กหนุ่มเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันสีแดงแปร๊ด มันหน้าตาหล่อเหลากว่าใครเพื่อน ตัวสูงหุ่นเก้งก้าง ทรงผมก็ดูแปลกตาไม่ใช่รองทรงธรรมดา ที่ด้านหน้าไว้ยาวจนสามารถปาดไปทางด้านซ้ายได้ อีกทั้งบริเวณปลายผมยังถูกย้อมด้วยสีเขียว ส่วนพริตตี้ของมันมีดีกรีเป็นถึงนางงามเทียนพรรษาของปีนี้ อายุมากกว่ามันสามปี

ซ่า!

ยังไม่ทันที่รถมอเตอร์ไซค์จะได้เคลื่อนไปไหนก็มีคนไม่กลัวตายสาดน้ำเย็นเข้ากระดูกใส่พวกมัน ดูท่าคนสาดจะเจาะจงไอ้หัวโจกของแก๊งโดยเฉพาะ เหล่าพริตตี้พากันกรี๊ดลั่นราวกับถูกน้ำมนต์สาด

ไอ้หัวโจกเช็ดหยดน้ำออกจากใบหน้าด้วยท่าทางที่มันคิดว่าเท่บาดใจ แล้วหันขวับมองคนสาดด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“อะ อุ๊ย! น้าเล แหะๆ” จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะตะโกนด่าถึงบรรพบุรุษกลับต้องนั่งตัวลีบ หัวเราะแหะๆ

เคร้ง! เลโยนกะละมังอะลูมิเนียมเก่าๆ ลงกลางถนน พวกมันต่างสะดุ้งเฮือกพร้อมกัน เหล่าพริตตี้คนอื่นพร้อมใจกันกระโดดลงจากท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เว้นแต่พริตตี้ของไอ้หัวโจกที่ยังคงกอดเอวมันแน่น

“บิดหาพระแสงพวกมึงเหรอะ ไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเลยไอ้ห่า ไอ้พร้าว!” ด่าลั่นถนนก่อนจะเรียกหลาน

“จะ จ๊ะ” ไอ้พร้าวกลัวหัวหดตอบรับเสียงหวาน

“เอารถไปเก็บแล้วมาช่วยข้าทำมาหากิน เร็ว!”

ไอ้พร้าวสะดุ้งโหยง “ดะ ได้จ้ะน้าเล”

เลจ้องมันเขม็งก่อนเดินกลับเข้าไปในร้าน ไอ้พร้าวมองตามแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นสั่งให้พริตตี้ของมันลงจากรถมอเตอร์ไซค์ไปเก็บกะละมังให้ เธอฮึดฮัดในทีแรกก่อนจะยอมลงไปเก็บ

“ไปๆ วันนี้แยกย้าย” ไอ้พร้าวไล่ลูกกะจ๊อกในแก๊งกลับบ้าน แต่ละคนทำหน้าเสียดายที่การชุมนุมในครั้งนี้ถูกยกเลิกทั้งที่ยังไม่ได้ขยับไปไหน

“ส่วนมึง” มันชี้ไปที่เพื่อนรัก “อยู่ช่วยกูทำงานก่อน”

ไอ้ปืนทำปากยื่น “ทำไมต้องกูด้วยอะ” มันเริ่มงอแง พริตตี้ของมันก็เช่นกัน

“แค่นี้กูก็ซวยจะตายห่าแล้ว น้าเลโมโหมาก มึงก็เห็น แล้วยังจะปล่อยให้กูอยู่คนเดียวอีกเหรอะ” ไอ้พร้าวพูดเสียงเบาพลางชะเง้อมองเข้าไปในครัว

ไอ้ปืนยืนกะพริบตาปริบๆ อย่างคนสิ้นหวังแล้วหันไปสั่งลาพริตตี้ของมัน ส่วนไอ้พร้าวจูงรถมอเตอร์ไซค์กลับเข้าบ้าน นางงามเทียนพรรษาของมันทำหน้างอถือกะละมังเดินตาม

“คืนนี้นอนด้วยได้ป้ะ” เธอถามขึ้น

“เมื่อวานก็นอนแล้วไง วันนี้น้าเลอารมณ์ไม่ดีเดี๋ยวโดนด่าอีก” ไอ้พร้าวดึงกะละมังมาถือเอง

“พรุ่งนี้พร้าวก็กลับไปเรียนแล้วอะ จะได้เจอกันอีกก็อาทิตย์หน้าเลยนะ” เธอกอดแขนมันแน่น เบียดหน้าอกเข้าหา

ไอ้พร้าวเหลือบมองก่อนจะหันไปทางอื่น “แต่คืนนี้ไม่ได้จริงๆ นะหมิว” มันหันกลับมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หมิวหน้าบึ้งปล่อยแขนไอ้พร้าวทันที นิ่งไปครู่หนึ่งจึงกอดเอวมันไว้อย่างออดอ้อน “ตอนนี้ก็ได้ น้าเลไม่รู้หรอก ไอ้ปืนก็ไปช่วยในครัวแล้ว” มือของเธอเลื่อนลงจากเอวไปใต้สะดือ

“เฮ้ย ไม่ได้”

“แป๊บเดียวเอง”

สุดท้ายก็จบลงที่ห้องของไอ้พร้าว คำว่าแป๊บเดียวของหมิวนั้นไม่มีอยู่จริง ไอ้พร้าวเพิ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวย่อมมีความต้องการทางเพศสูงเป็นเรื่องธรรมดา พอถูกกระตุ้นนิดหน่อยก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ อีกทั้งนางงามเทียนพรรษายังมากประสบการณ์จนมันอ่อนเพลียเผลอหลับไป

ปึงๆ ปัง! เลยืนเคาะประตูห้องของไอ้พร้าวอยู่นาน มันก็ไม่ยอมเปิด ด้วยความโมโหจึงถีบประตูจนพัง แต่คนในห้องยังคงนอนหลับเป็นตาย เลเดินตึงตังไปที่เตียงก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบหลานเต็มแรง

ปีก! ไอ้พร้าวสะดุ้งตื่นกลิ้งคลุกๆ ไปอีกฝั่งของเตียง พานางงามเทียนพรรษากลิ้งตกเตียงไปพร้อมกัน พวกมันสองคนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

“คุณ! ทำไมต้องรุนแรงกันด้วย” พัทธ์ได้ยินเสียงดังจึงรีบวิ่งขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ปรี่เข้าไปลูบหัวลูบหางไอ้พร้าว ส่วนนางงามเทียนพรรษาของมันยังคงนั่งเปลือยไม่มีท่าทีละอายใจ ทั้งที่มีผู้ชายคนอื่นเข้ามาในห้องถึงสองคน

“ลุงพัทธ์ หนูเจ็บ” ไอ้พร้าวสำออยซบอกพัทธ์

เลกัดฟันกรอดๆ อย่างเหลืออด ไอ้พร้าวหายหัวไปตั้งแต่ตอนเที่ยงทั้งที่สั่งให้มันมาช่วยงาน ลูกค้าในร้านก็เยอะเสียจนเขาลืมมันไป พอนึกขึ้นได้เมื่อตอนหัวค่ำจึงออกตามหากลับพบว่ามันนอนกกเมียอยู่ในห้อง จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร นับวันไอ้พร้าวยิ่งไม่เป็นผู้เป็นคน ครูฝ่ายปกครองโทรมาบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว การเรียนก็ย่ำแย่ ยังดีที่ไม่ติดศูนย์ให้น้าของมันต้องปวดใจไปมากกว่านี้

“ไอ้พัทธ์ไม่ต้องไปโอ๋มัน กูอยากกระทืบให้มันตายจริงๆ นังหมิวกลับบ้านมึงเดี๋ยวนี้!” เลตะคอกเสียงดัง

นางงามเทียนพรรษาของไอ้พร้าวสะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นแต่งตัวกลับบ้าน ครั้งนี้เลโมโหมากจนเธอไม่กล้าต่อปากต่อคำ

“ไอ้พร้าว มึงมานี่!” เลเดินเข้าไปหาไอ้พร้าว มันกลัวจนตัวสั่นงกๆ ขยับไปหลบหลังพัทธ์

“คุณใจเย็นๆ น้องพร้าวกลัวจนตัวสั่นแล้วเห็นไหม ไปสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนเถอะ” พัทธ์พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ไม่! วันนี้กูจะเอาเลือดหัวไอ้หลานเวรออก ถอยไปไอ้พัทธ์”

“ไม่ถอย คุณนั่นแหละถอยไป” พัทธ์ลุกขึ้นยืนประจันหน้า

เลพุ่งเข้ามาหมายจะดึงตัวไอ้พร้าวแต่พัทธ์ยืนขวางคั่นกลางไว้ ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานจนแขนของพัทธ์แดงช้ำหลายแห่งเลถึงหยุด ไอ้ตัวต้นเหตุเหมือนไม่รับรู้อะไรเอาแต่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เฮ้อ” เลถอยออกมา เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด พอสงบสติอารมณ์ได้จึงมองที่แขนของพัทธ์ด้วยความรู้สึกผิด “เอ็งก็โอ๋มันเกินไปจนมันได้ใจ...ข้ายกมันให้เอ็งเลยละกัน” เขาพูดกับพัทธ์ด้วยท่าทีจริงจัง จากนั้นหันไปจ้องหน้าไอ้พร้าวเขม็ง “นับจากนี้ไปมึงไม่ต้องมานับญาติกับกูอีก กูไม่มีหลานเวรแบบมึง!” อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่จำเป็นต้องพูดออกไป เขาต้องหาทางดัดนิสัยมันให้ได้

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” พัทธ์ตกใจที่ได้ยิน ส่วนไอ้พร้าวปล่อยโฮร้องไห้ฟูมฟายหนักกว่าเดิม

“ข้าเหนื่อยที่มีหลานอย่างมัน” พูดจบก็เดินออกไปจากห้อง

พัทธ์มองตามด้วยความรู้สึกผิด อาจจะจริงอย่างที่เลว่า เขาโอ๋ไอ้พร้าวมากเกินไป แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เขาไม่ใจแข็งพอเหมือนอีกฝ่าย

เลเดินกลับมาที่ครัวอย่างอารมณ์เสีย พอไอ้พร้าวโตเป็นหนุ่มเต็มตัวมันก็เปลี่ยนไป ทั้งทิ้งการเรียน ทั้งเป็นหัวโจกเด็กแว้น สร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้าน...เพราะเขาเลี้ยงมันไม่ดีหรือ

“เสียงดังจนลูกค้าหนีไปหมดแล้ว ตีกันเลือดตกยางออกเลยเหรอะไอ้เล” ป้าแม่ครัวเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นเลมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าที่ผ่านมา

“ฉันปวดหัวกับไอ้พร้าว ทำไมมันไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างคนอื่น รถมอเตอร์ไซค์ของฉันมันก็เอาไปพังเอาไปแปลง เมียมันก็เปลี่ยนตามเทศกาล คนแรกวาเลนไทน์ คนที่สองเทพีสงกรานต์ จนมานังหมิวนางงามเทียนพรรษา ฉันว่าพอถึงลอยกระทงมันต้องเปลี่ยนเป็นนางนพมาศแน่ๆ” พูดจบก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ก็เหมือนเอ็งก่อนจะมาคบนังหมวยนั่นแหละ ตอนไอ้พร้าวยังไม่รู้ความ เอ็งก็กวาดนางงามมาเป็นเมียเกือบทุกอำเภอ”

เลนิ่งกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อดีตที่ผ่านมาของเขารู้กันทั้งอำเภอ จะเถียงก็เถียงไม่ได้

“พอหลานเริ่มรู้ความ เอ็งก็เข้าไปหากินในตัวอำเภอไม่เอาเข้าบ้านอีก...หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ นี่แหละเวรตามทัน ไอ้พร้าวมันก็มักมากเหมือนเอ็งนั่นแหละ อย่าโทษมันคนเดียวเลย โทษตัวเองด้วยเถอะ”

“โห ป้าพอเลย เลิกพูด เรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้วจะรื้อฟื้นทำไม” เลเดินหนีเพราะทนฟังพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเองในอดีตไม่ไหว พอมานึกๆ ดูแล้วด่าไอ้พร้าวไปก็เหมือนด่าตัวเองไปด้วย

เลเดินกลับบ้านทันทีเมื่อเก็บร้านเสร็จ รู้สึกเป็นห่วงไอ้พร้าวเพราะเมื่อตอนเย็นถีบมันเสียเต็มแรง ทั้งยังพูดทำร้ายจิตใจมันอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะมีพัทธ์คอยดูแลแต่ก็อดห่วงไม่ได้

พอเดินมาถึงหน้าบ้านก็พบใครบางคนกำลังนั่งรออยู่ มันค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

“ปิดร้านแล้วเหรอจ๊ะน้าเล” ไอ้พร้าวยิ้มอย่างประจบ

เลมองด้วยหางตาก่อนจะเดินผ่านตัวมันไป

“วันนี้น้าทำข้าวเย็นอร้อยอร่อย หนูกินจนหมดเลย” ไอ้พร้าวเดินตามหลังมาติดๆ “พรุ่งนี้หนูขอกินไข่ตุ๋นนะ ทำให้หนูกินหน่อยนะ”

น้ำเสียงออดอ้อนนั่นเกือบทำให้เลใจอ่อน พัทธ์เหลือบมองเมื่อเห็นไอ้พร้าวกับเลเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะแสร้งทำทีว่าดูโทรทัศน์

เลเดินมานั่งโซฟาข้างพัทธ์ “ทายาหรือยัง” ไม่ถามเปล่ายังถือวิสาสะจับแขนอีกฝ่ายขึ้นมาดู

พัทธ์ดึงแขนกลับอย่างตกใจ “ทาแล้ว” ตอบก่อนจะส่งสายตาให้ไอ้พร้าวเป็นสัญญาณให้มันเล่นตามบทของตัวเอง เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามานั่งแทรกกลางระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง

“หนูก็ทาแล้วแต่ยังไม่หายเจ็บ” ไอ้พร้าวทำหน้างอ เปิดเสื้อโชว์บั้นเอวที่เป็นรอยม่วงช้ำ

เลเห็นแล้วปวดใจจนต้องมองไปทางอื่น “อยากกินไข่ตุ๋นหรือ พรุ่งนี้จะทำให้กิน” พูดจบก็ลุกเดินหนีขึ้นบันได

ไอ้พร้าวกับพัทธ์สบตากันก่อนจะยิ้มแปะมือกันด้วยความดีใจที่ทำให้เลหายโกรธได้...เลมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาทำทีว่าก้าวขึ้นไปชั้นสองของบ้านแล้วแอบยืนดู ความจริงก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทั้งสองวางแผนกันไว้ อยู่ด้วยกันมานานจึงรู้นิสัยพัทธ์ดี มีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่ช่วยไอ้หลานเวรของเขา

“น้าเลหายโกรธแล้ว แถมพรุ่งนี้หนูจะได้กินไข่ตุ๋นด้วย แผนของลุงพัทธ์สุดยอดมาก” ไอ้พร้าวเอ่ยชมพร้อมยกนิ้วให้

พัทธ์ยืดอก ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ “ลุงช่วยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะครับ น้าเลของน้องพร้าวนี่แรงควายชัดๆ แขนลุงแทบหัก ดูสิช้ำไปหมดเลย”

“ไม่มีคราวหน้าแน่นอนจ้ะ หนูสัญญา” มันลูบแขนพัทธ์เบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด

เลส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับคนทั้งสองที่ต่างวัยแต่นิสัยไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะใจแข็งสักแค่ไหน สุดท้ายเขาก็แพ้ให้สองคนนี้อยู่ดี



ทุกเย็นวันศุกร์ไอ้พร้าวจะนั่งรถมาลงที่หน้าอำเภอ โดยมีไอ้ปืนรอรับกลับบ้าน ทว่าวันนี้คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์สีแดงแปร๊ดมารับกลับเป็นนางงามเทียนพรรษาของมัน หมิวยิ้มกว้างพุ่งเข้ามากอดไอ้พร้าวโดยไม่อายสายตาชาวบ้าน

“ทำไมเอามอเตอร์ไซค์มาได้ น้าเลไม่ว่าเหรอ” ไอ้พร้าวหรี่ตามองแฟนสาวอย่างจับผิด

“น้าเลไม่ว่าง ยุ่งอยู่กับแขก”

“แขก? ใคร” มันถามอย่างไม่ใส่ใจนัก สวมหมวกกันน็อคแล้วสตาร์ตรถ

“ไม่รู้อะ ไม่เคยเห็นหน้า” หมิวขึ้นซ้อนท้ายกอดเอวไอ้พร้าวแน่น แนบหน้าอกชิดแผ่นหลังแล้วเกยคางลงบนไหล่ ทั้งยังหายใจรดใบหูของมัน “นี่ คืนนี้นอนด้วยนะ บอกแม่ไว้แล้วด้วย”

ไอ้พร้าวมองแฟนสาวผ่านกระจกรถก่อนจะดึงมือข้างหนึ่งของเธอมากุมเป้าตัวเอง “ได้ เดี๋ยวจัดให้หนักๆ”

เมื่อกลับถึงบ้าน ไอ้พร้าวสั่งให้นางงามเทียนพรรษาขึ้นไปรอบนห้องนอนก่อน ส่วนมันเดินมาที่ร้านเพื่อดูว่าแขกของเลเป็นใคร

เลกำลังนั่งคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง แผ่นหลังกว้างของคนๆ นี้ทำให้หัวใจของไอ้พร้าวเต้นรัว แม้ไม่ได้พบเจอมานานเกือบสามปีแต่มันจำได้ดี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงรู้ตัวว่าตัวเองตกใจแค่ไหน ไอ้พร้าวกะพริบตาที่เบิกกว้างปริบๆ เม้มปากที่อ้าค้าง มันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินเข้าไปหา สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้เรื่อยๆ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น

“กลับมาแล้วหรือไอ้ลิงลม” เลเอ่ยทักเมื่อเงยหน้าเห็นหลานชายพอดี

ผู้ชายคนนั้นหันมามองมันด้วยรอยยิ้ม...

“สวัสดีครับพร้าว”



TBC.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:14:38 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 8 (Part 2)


ธันวาก้มมองตั๋วเครื่องบินในมือ ตอนนี้เขาอยู่ที่สนามบิน กำลังรอขึ้นเครื่องเพื่อไปหาคนที่คืนสมุดโน้ตเล่มนั้น เขาใช้ปลายนิ้วนวดที่ขมับแล้วหลับตาลงเพื่อคลายความเครียด...กำลังทำบ้าอะไรอยู่

หากย้อนกลับไปเมื่อสามชั่วโมงก่อน หลังจากเปิดดูภาพวาดของไอ้พร้าวทุกหน้าแล้ว ธันวาไม่สามารถทำจิตใจให้สงบลงได้จึงตัดสินใจทำบางอย่างไปโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า

‘ป้าจิตครับ ถ้าผมใช้วันลาทั้งหมดที่มีจะโดนไล่ออกไหม’

‘หือ มีเรื่องอะไรหรือธัน’ จิตแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามจากปลายสาย หลานชายของเธอที่ไม่เคยแม้แต่จะลาป่วยโทรมาขออนุญาตใช้วันลาทั้งหมดที่มี

ธันวาไม่ได้ฟังที่ผู้เป็นป้าถาม แต่กำลังคำนวณวันลาในใจ เขาเข้าไปทำงานที่ไร่ของจิตเหมือนพนักงานคนหนึ่ง ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรเหนือคนอื่น หากรวมวันลาพักผ่อน ลากิจ ลาป่วยคงประมาณนี้ “ผมขอลาหนึ่งเดือนนับจากวันนี้ และไม่ขอรับเงินเดือนในวันที่ลา”

‘ได้อยู่แล้วจ้ะ แต่มันเรื่องอะไรกัน บอกป้าได้ไหม เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า’ จิตรู้สึกกังวลขึ้นมา กลัวจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับหลายชาย

‘ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมมีเรื่องที่ต้องคลียร์และอยากไปพักผ่อนด้วยครับ’

จิตถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘งั้นก็ดีจ้ะ โทรบอกยายหรือยัง’

‘เดี๋ยวจะโทรบอกครับ ฝากขออนุญาตลุงพงษ์ด้วยนะครับ กลับไปจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่เลย’

‘ไม่ต้องหรอกจ้ะ ที่ทำอยู่นี่ก็หนักยิ่งกว่าหนักแล้ว เที่ยวให้สนุกนะธัน’

หลังจากบอกความต้องการของตัวเองแก่ผู้เป็นป้าและยายเรียบร้อยแล้ว ธันวาจึงหาไฟล์ทบินที่เร็วที่สุดในตอนนี้ และเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้พอกับระยะเวลาหนึ่งเดือนที่จะไปอยู่ที่นั่น

‘แม่ครับ’

‘จะไปไหนหรือลูก’ ลัดดามองผู้เป็นลูกกับกระเป๋าใบใหญ่สองใบที่วางอยู่ข้างตัวด้วยความตกใจ เพราะกำหนดวันกลับเชียงรายของธันวาคือวันพรุ่งนี้

‘ไปหาพร้าวครับ’ ธันวาเดินเข้าไปกอดเอวและซบใบหน้าลงกับอกของผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน ‘ผมผิดสัญญากับน้อง ไม่ได้ทำตามสัญญาที่บอกไว้...ผมควรทำยังไงดีครับแม่’

‘ก็ไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้องไง ถึงจะช้าแต่เราก็ทำมัน ไปอธิบายเหตุผลให้น้องฟัง แม่เชื่อว่าน้องต้องเข้าใจ’ ลัดดาลูบหลังลูกชายเบาๆ แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ในยามที่รู้สึกแย่หรือทำผิดพลาด ธันวามักจะกลายเป็นลูกชายตัวน้อยของเธอเสมอ เขาเพียงแค่ต้องการคนที่รับฟังและปลอบใจ

‘น้องจะหายโกรธผมใช่ไหมครับ’

‘ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะลูก ไปเถอะ เดี๋ยวแม่บอกพ่อให้เอง ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ’

ธันวาพยักหน้าแล้วหอมแก้มผู้เป็นแม่ พูดคุยกันอีกสองสามคำก่อนออกจากบ้าน ลัดดามองตามหลังลูกชาย ได้แต่หวังว่าเด็กชายที่ธันวามักเอ่ยถึงด้วยรอยยิ้มจะทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่ผ่านมา...แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม

ธันวาถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน พอมานั่งอยู่ตรงนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเจอไอ้พร้าว แต่จะให้หิ้วกระเป๋ากลับบ้านก็คงไม่ได้ เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด อย่างมากเพื่อนตัวน้อยในวันวานของเขาก็แค่งอน ไม่ยอมคุยด้วย คงไม่ถึงขนาดต่อยเขาจนตาเขียวหรอก...มั้ง

พอปลอบใจตัวเองแล้ว ความกังวลที่มีก็ลดลงไปบ้าง เขาควรนึกถึงสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ ลำดับแรกต้องโทรจองรีสอร์ตของติ๋มเสียก่อน เมื่อนึกขึ้นได้จึงไม่รอช้ากดโทรออกทันที

“พี่ติ๋ม ธันเองนะครับ ผมจะไปพักที่รีสอร์ตวันนี้ มีบ้านว่างสักหลังไหมครับ” ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์และยังมีวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่ออีกจนถึงวันอังคาร

“เอ๊ะ ธันไหน ธันวาหรือ ทำไมกะทันหันแบบนี้ล่ะ บ้านเต็มหมดแล้ว จะว่างอีกทีก็ตอนบ่ายวันอังคาร”

คำตอบเป็นไปดังที่ธันวาคาดไว้ไม่มีผิด นี่แหละคือผลของการไม่วางแผนไว้ล่วงหน้า “งั้นหรือครับ พอจะมีที่อื่นแนะนำบ้างไหมครับ”

“ได้ๆ พี่จะถามให้นะ แล้วมาถึงกี่โมงล่ะ พี่จะให้ลุงกิตไปรับ” ติ๋มมองไปยังญาติพี่น้องของเธอที่ยกโขยงมาพักที่บ้านในช่วงวันหยุดยาว ไม่อย่างนั้นเธอคงชวนอีกฝ่ายให้มาพักที่บ้านด้วยแล้ว

“ถึงประมาณห้าโมงเย็น แต่ไม่เป็นไรครับ ผมจะเหมารถไปเอง ไม่อยากรบกวนลุงกิต ขอบคุณมากครับพี่ติ๋ม”

เมื่อลงจากเครื่อง ธันวาถือกระเป๋าใบใหญ่สองใบเดินออกมาหารถที่จะรับเหมาข้ามจังหวัด แต่ไม่มีใครรับเลยสักคนเพราะใกล้จะมืดแล้ว เขาทิ้งกระเป๋าลงพื้นด้วยความหงุดหงิด และยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีกเมื่อไหล่ข้างหนึ่งถูกฟาดอย่างแรงจากคนข้างหลัง จึงหันกลับไปมองด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ถึงนานหรือยัง”

“พี่เล” ธันวายิ้มกว้างเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ข้าโทรไปตั้งหลายสาย แต่เอ็งไม่รับ” เลชูโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

“จริงหรือพี่ โทษทีๆ ผมกำลังหารถเลยไม่รู้ว่ามีคนโทรมา” ธันวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู

“พี่ติ๋มบอกว่าเอ็งจะมา ข้าเลยมารับ”

“ขอบคุณมากพี่ รบกวนพี่แย่เลย” เขาก้มหัวขอโทษแล้วเดินตามเลไปที่รถ

“ข้าหาที่พักให้เอ็งได้แล้วนะ หิวหรือยัง กินข้าวเย็นที่ร้านข้าละกัน”

“ขอบคุณมากพี่”

ระหว่างนั่งรถ บทสนทนาระหว่างสองหนุ่มไม่พ้นเรื่องของไอ้พร้าว ธันวารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่มันเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ เขาเองก็นึกภาพไม่ออกว่าเด็กที่หน้าตาน่ารัก พูดจาจ๊ะจ๋าจะกลายเป็นหัวโจกเด็กแว้นได้อย่างไร

“เอ็งมากี่วัน แล้วกลับเมื่อไหร่”

“ประมาณเดือนหนึ่งครับ คงกลับสิ้นเดือนสิงหา”

“ดีๆ ไม่ได้มาตั้งนานต้องอยู่ให้คุ้ม เออ...ปีก่อน ไอ้พร้าวบอกว่าเอ็งจะมาหา ทำไมไม่มาล่ะ” เลตัดสินใจถามออกไป

“เรื่องมันยาวครับพี่ คือ...” ธันวาไม่ได้เล่าไปทั้งหมด ทั้งยังปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องนิดหน่อย กลายเป็นว่าเขาเลิกกับคนรักก่อนไปเรียนต่อที่อังกฤษ พอกลับมาเพื่อนสนิทกับคนรักเก่าแต่งงานกัน เขาทำใจยอมรับไม่ได้จึงหนีไปทำงานที่ไร่ของป้าในเชียงราย

“อืม แย่เหมือนกันนะ ทำใจยากใช่ไหม ข้าก็เคยเจอเรื่องแนวๆ นี้” เลมองถนนเบื้องหน้า ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรยามพูดถึงเรื่องของตน

“ยังไงหรือพี่”

“ตอนไอ้พร้าวยังไม่รู้ความ ข้าก็คบหากับลูกผู้ใหญ่บ้าน แต่พอเขาไปเรียนมหาลัยที่กรุงเทพได้เทอมเดียวก็มาขอเลิก บอกว่าได้แฟนใหม่เป็นนักเรียนหมอ ก็...บ้าอยู่ช่วงหนึ่ง”

จากนั้นต่างคนต่างเงียบ คนเคยถูกทิ้งมาเจอกันย่อมเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน

เมื่อมาถึงร้าน เลสั่งให้เด็กในร้านปิดร้านทันที และนั่งดื่มกับธันวาโดยมีพัทธ์ยืนบ่นอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นพัทธ์ที่วิ่งหากับแกล้มมาให้สองหนุ่มไว้แกล้มเหล้า

“น้าเล หนูขอกุญแจรถพร้าวหน่อยดิ” หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าธันวานี้ช่างแต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟันเสียจริง ขัดกับใบหน้าที่ดูสวยหวานของเธอ

“เอาไปทำอะไร” เลถามอย่างหงุดหงิด

“จะไปรับพร้าว นี่ใครอะ” หมิวตอบก่อนจะปรายตามองมาที่ธันวา

“เพื่อนข้า เอ็งจะไปรับมันทำไม เดี๋ยวไอ้ปืนก็ไปรับ”

“ไอ้ปืนไม่ว่าง ญาติมันมาเต็มบ้าน” น้ำเสียงที่เธอพูดไม่ค่อยน่าฟังนัก

เลไม่ชอบใจแฟนสาวคนนี้ของไอ้พร้าวเลย ช่างไร้มารยาท ไม่มีสัมมาคารวะ “เออๆ แขวนอยู่ข้างฝาตรง...”

“หนูเอามาแล้ว” หมิวชูกุญแจในมือให้เลดูแล้วเดินออกไปทันที เลได้แต่ถอนหายใจ

“ใครหรือพี่” ธันวาเห็นพฤติกรรมของเด็กสาวแล้วไม่อยากจะคาดเดา

“เมียไอ้พร้าว ทำข้าปวดกบาลทุกวัน” เลยกแก้วขึ้นดื่มด้วยความหงุดหงิด

ธันวาเม้มริมฝีปาก ระยะเวลาเกือบปีที่ไม่ได้ติดต่อกับไอ้พร้าว ดูท่าจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น...ผู้หญิงคนเมื่อกี้น่ะหรือเป็นเมียของไอ้พร้าว

“พร้าว เออ มีเมียแล้วหรือครับ ล่าสุดที่เจอเขายังเด็กอยู่เลย” ล่าสุดที่เขาพูดถึงคือเมื่อประมาณสามปีก่อน

“มันโตๆ กันแล้วนะเอ็ง ทั้งไอ้พร้าวทั้งไอ้ปืนมีเมียกันหมดละ ด่าว่ายังไงมันก็ไม่ฟัง” เลถอนหายใจอีกรอบ

และหัวข้อสนทนาก็กลับมาที่ไอ้พร้าวอีกครั้ง ธันวาขมวดคิ้ว ไอ้พร้าวเกเรถึงขนาดครูฝ่ายปกครองโทรมาเกือบทุกอาทิตย์ ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง

ชักจะอดใจรอพบมันไม่ไหวแล้ว...

“กลับมาแล้วหรือไอ้ลิงลม”

ธันวาหันไปมองทันที “สวัสดีครับพร้าว”

เขามองเพื่อนตัวน้อยในวันวานที่บัดนี้โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว องค์ประกอบของใบหน้าจัดได้ว่าหล่อเหลาตามที่คาดไว้ อีกทั้งยังตัวสูงขึ้นเยอะ แต่ร่างกายที่ยังโตไม่เต็มที่ทำให้หุ่นของมันดูเก้งก้าง

ไอ้พร้าวจ้องธันวาตาไม่กะพริบอย่างลืมตัว “หะ หิวข้าว!” มันตะโกนเสียงดังแล้วเดินตึงตังเข้าไปในครัว

“ดู เอ็งดูมันนะ น่าเอาเลือดหัวออกสักครั้ง” เลชี้นิ้วไปที่ครัว กัดฟันกรอดๆ

“น้องเกลียดผมหรือเปล่า” พึมพำเบาๆ แต่เลได้ยินชัดเจน

“จะเกลียดเอ็งได้ยังไง เอ็งไม่ได้ทำอะไรผิด มันเป็นแบบนี้เพราะตัวมันเองที่ไม่รักดี” เลกระแทกแก้วลงกับโต๊ะเสียงดัง

“เบาๆ หน่อยครับ เดี๋ยวแก้วแตก” เสียงพัทธ์ตะโกนออกมาจากในครัว

เลกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ธันวา “สรุปมันหรือข้าที่เป็นเจ้าของร้านวะ” กระซิบกระซาบพลางมองไปที่ครัวอย่างระวัง

ธันวากลั้นขำกับท่าทางตลกนั่น จากนั้นยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เหลือบมองเลอยู่สองสามครั้งก่อนจะถามออกไป “น้องยังวาดรูปอยู่ไหมครับ”

“ไม่ ไม่เห็นมันจะขีดๆ เขียนๆ มานานแล้ว เอ็งถามทำไม” เลเลิกคิ้วอย่างสงสัย

ธันวาพยายามปั้นหน้ายิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ “เปล่าพี่ แค่สงสัย เห็นเมื่อก่อนชอบวาดรูป”

คุยไปดื่มไปจนธันวาเริ่มจะมึนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ไม่นานนักเสียงเดินตึงตังก็ดังมาจากทางห้องครัว เป็นไอ้พร้าวที่เดินถือจานข้าวไข่เจียวออกมา มันวางจานลงโต๊ะข้างๆ ทำทีเหมือนมองไม่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น

“น้าเลชงมาหน่อย” ไอ้พร้าวยืนมองขวดเหล้า

เลฟาดกบาลมันไปหนึ่งทีก่อนจะด่า แต่มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยกแก้วของเลขึ้นดื่มจนหมดแล้วกลับไปนั่งทานข้าว

“ไม่ดีเลยนะครับ พร้าวอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เลย” ธันวาอดกล่าวตักเตือนไม่ได้ เขาไม่ชอบที่อีกฝ่ายทำตัวแบบนี้ แต่มันยังคงลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ

“พี่เล ผมชักจะมึนๆ แล้ว ที่พักผมอยู่ไหนครับ”

“ก็บ้านข้านี่แหละ ห้องไอ้พร้าวไง”

พรวด! ไอ้พร้าวพ่นข้าวออกมากระเด็นเต็มโต๊ะ มันยกแขนขึ้นเช็ดปากอย่างลวกๆ

“ไม่ได้!” มันตะโกนลั่น จ้องหน้าผู้เป็นน้าเขม็ง

“ทำไมจะไม่ได้วะ เตียงห้องเอ็งก็ออกจะกว้าง” เลว่าอย่างไม่ใส่ใจแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

“วันนี้หมิวมานอนด้วย”

“ข้าไม่ให้นอน ไล่มันกลับเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ข้าไปไล่เอง” เลลุกขึ้นยืน

ไอ้พร้าวทำท่าฮึดฮัด “หนูไม่ยอมอะ หนูไม่ให้นอน” มันงอแงราวกับเด็กเจ็ดขวบ

ธันวาพยายามกลั้นขำแต่ไม่สำเร็จ มันหน้างอจ้องมาที่เขาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังนั่งนิ่งเฉยไม่มีท่าทีปฏิเสธ

“ไปไล่มันกลับ เดี๋ยวนี้!” เมื่อผู้เป็นน้ายื่นคำขาด ไอ้พร้าวจึงไม่กล้าเถียง

“ลุงพัทธ์ ลุงพัทธ์” เมื่อสู้ไม่ได้มันก็ต้องหาตัวช่วย ธันวากับเลสบตากันแล้วขำออกมา

“อะไรครับ” พัทธ์ชะโงกหน้าออกมาจากในครัว

“น้าเลจะให้ คนอื่น มานอนห้องหนู หนูไม่ยอมนะ” มันเน้นคนว่า ‘คนอื่น’ เหมือนต้องการให้ใครบางคนรู้ตัวว่าเป็นคนอื่นสำหรับมัน

“ใครเป็นคนอื่นครับ มีแต่คนกันเองทั้งนั้น ลุงจัดเก็บห้องพร้าวไว้แล้วด้วย” พัทธ์ไม่ค่อยเข้าใจไอ้พร้าวนัก ทั้งที่เมื่อก่อนสนิทสนมกันมากแท้ๆ ทำไมถึงบอกว่าธันวาเป็นคนอื่นไปได้

“ไม่ได้ หมิวเข้าไปรอในห้องแล้วด้วย”

“จะเข้าได้ไงครับ ลุงล็อกห้องพร้าวไว้ตั้งแต่บ่าย อุตส่าห์เก็บห้องไว้ซะเรียบร้อยจะให้ คนอื่น เข้าไปได้ยังไง” พัทธ์ตีหน้าซื่อ เน้นคำว่า ‘คนอื่น’ เหมือนอย่างที่ไอ้พร้าวพูด

“ทำไมช้าจังอะพร้าว หมิวเข้าห้องไม่ได้นะ” หมิวเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาหาไอ้พร้าว เธอยืนรอหน้าห้องเสียนานจนเมื่อยขาไปหมดแล้ว

“กลับบ้านได้แล้วนังหมิว ข้าจะให้เพื่อนนอนห้องไอ้พร้าว หรือถ้าเอ็งอยากนอน...ในครัวก็ได้นะ” เลยักไหล่อย่างกวนๆ

“พร้าว หมิวจะนอนนี่อะ” หมิวเดินมานั่งกอดแขนไอ้พร้าวอย่างออดอ้อน

“กลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” ไอ้พร้าวยอมแพ้

“ผมรบกวนนอนที่นี่สามวันนะพี่เล กว่ารีสอร์ตพี่ติ๋มจะว่างก็วันอังคาร” ธันวาพูดพลางมองไอ้พร้าวว่าจะมีท่าทีเช่นไร เป็นดังคาด มันฮึดฮัด ลุกขึ้นเดินตึงตังเข้าไปในครัว ทิ้งให้นางงามเทียนพรรษาวิ่งตามแทบไม่ทัน

“เมื่อกี้ผมแกล้งพร้าวเล่นเฉยๆ นะพี่ พรุ่งนี้จะเดินหาที่พักใหม่” ธันวาก้มหัวขอโทษ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร นอนนี่แหละ ข้ารำคาญเมียไอ้พร้าวจะบ้าตายอยู่ละ” เลส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย

นั่งดื่มกันจนถึงห้าทุ่ม ธันวาเริ่มไม่ไหวจึงขอตัวไปพักผ่อน พัทธ์เดินนำขึ้นไปที่ห้องของไอ้พร้าว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอเจ้าของห้องนอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนเตียง มันเหลือบมองธันวาก่อนจะถีบหมอนกับผ้าห่มอีกชุดที่อยู่ปลายเท้าลงพื้น

“น้องพร้าว ทำไมทำแบบนี้ครับ นี่ของพี่ธันนะ” พัทธ์เดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มขึ้นมาไว้บนเตียงตามเดิม

“ก็เตียงหนู” มันก้มอ่านหนังสือการ์ตูนตามเดิม

“เตียงน้องพร้าว แต่วันนี้พี่ธันจะมานอนด้วย เป็นเด็กดีนะครับ ไม่งั้นลุงจะฟ้องน้าเล”

“เฮ้อ” ไอ้พร้าวแสร้งถอนหายใจออกมาเสียงดัง พัทธ์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแล้วหันมาขอโทษธันวา

เมื่อพันธ์ออกจากห้องไปแล้ว ธันวาจึงมองไปรอบๆ ห้องอย่างสำรวจ ห้องนี้เปลี่ยนไปมากหากเทียบกับเมื่อหลายปีก่อนที่เขาเคยเข้ามา เดินสำรวจดูรอบหนึ่ง แล้วถือวิสาสะเปิดลิ้นชักโต๊ะ

“ดีนะครับที่รู้จักป้องกัน” ธันวาชูกล่องถุงยางอนามัยขึ้นมา

ไอ้พร้าวรีบลุกจากเตียง เดินเข้าไปคว้าของที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “อย่ายุ่ง เข้าใจไหม!” มันว่าเสียงแข็ง ผลักธันวาให้ออกห่างจากโต๊ะแล้วเก็บกล่องถุงยางอนามัยลงลิ้นชักตามเดิม

“ขอโทษครับ” ขอโทษแต่กลับยิ้มออกมา

ไอ้พร้าวหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก “ถ้าจะอยู่นี่ ห้ามยุ่งกับข้าวของ แตะได้แค่เตียงกับห้องน้ำ” มันจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ธันวายกมือยอมแพ้ มันมองด้วยหางตาแล้วกลับไปนอนอ่านหนังสือการ์ตูนบนเตียง

ธันวายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างสำรวจ ไอ้พร้าวเปลี่ยนไปมาก น่าจับตีก้นให้หายพยศเสียจริง หากเขามีน้องชายที่เป็นแบบนี้ ควรจะรับมือและดัดนิสัยอีกฝ่ายอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นธันวาก็ยังคงเห็นเพื่อนตัวน้อยของเขาอยู่ในตัวอีกฝ่าย ถึงจะดื้อแต่ก็ยังมีมุมน่ารักหลงเหลืออยู่

“มองอะไร จะนอนก็ไปอาบน้ำ เหม็นเหล้าจะตายห่า” มันพูดขึ้น ทั้งที่ตายังจ้องหนังสือการ์ตูน

ธันวาสูดลมหายใจเข้าลึก “ครับๆ” ส่งเสียงตอบรับแล้วเดินไปวางกระเป๋าตรงมุมห้อง เมื่อครู่เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่ารักได้อย่างไรกัน คำพูดคำจาไม่น่าฟังเอาเสียเลย

เมื่ออาบน้ำเช็ดตัวเสร็จ ธันวาเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น จากตอนแรกตั้งใจจะเดินออกมาแต่งตัวแต่เมื่อเห็นไอ้พร้าวนอนคว่ำอ่านหนังสือการ์ตูน ร้องเพลงเบาๆ พลางตีขาไปมาอย่างอารมณ์ดีแล้ว เขาชักจะหมั่นไส้มันขึ้นมา

ธันวายืนหันหน้าไปที่ปลายเตียงแล้วกางแขนออก จากนั้นทิ้งตัวลงนอนทับไอ้พร้าว มันทั้งดิ้นตีแขนตีขา แหกปากร้องโวยวายลั่นห้อง เขาหัวเราะออกมา เมื่อพอใจแล้วจึงขยับตัวลงมานอนข้างมัน

“เล่นบ้าอะไร” ไอ้พร้าวหอบหายใจ ยังรู้สึกจุกไม่หายเพราะธันวาตัวใหญ่กว่ามันเท่าตัว

“สนใจพี่หน่อยครับ” ธันวาอมยิ้ม

ไอ้พร้าวยกกำปั้นขึ้นหมายจะต่อยหน้าธันวา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายตัวเปลือยเปล่า จึงเปลี่ยนใจหยิบหมอนที่อยู่ข้างตัวมากดปิดหน้าอีกฝ่ายแทน

ธันวาตกใจปัดป่ายมือไปทั่ว เมื่อคว้าไหล่ไอ้พร้าวได้จึงผลักมันออกห่างจนหงายหลังนอนบนเตียง เขาพยายามสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะขว้างหมอนใบนั้นไปที่ฝาผนังตรงหัวเตียงอย่างหงุดหงิด แค่จะแกล้งมันเล่นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะจริงจังจนเกือบทำเขาตาย

“จะฆ่ากันจริงๆ หรือครับ” ธันวากดเสียงต่ำ

ไอ้พร้าวไม่ตอบ มันขยับตัวขึ้นไปนอนชิดขอบเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นนอนคลุมโปง

“โอเค เมื่อกี้พี่ขอโทษที่แกล้งพร้าวเล่น” ธันวาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบโต้จึงลุกไปแต่งตัวแล้วปิดไฟนอน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกง่วงจนตาแทบปิด แต่ตอนนี้กลับข่มตานอนไม่หลับ เห็นทีว่าเขากับไอ้พร้าวคงยากที่จะญาติดีกันได้เหมือนเมื่อก่อน

เมื่อธันวาตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้างกายไม่มีเพื่อนร่วมเตียงแล้วจึงลุกอาบน้ำแต่งตัว ในช่วงสายของวันแบบนี้ ที่ ‘ร้านน้องพร้าว’ มีลูกค้าเพียงสองโต๊ะ เขาได้ยินเสียงพูดคุยจากในครัวจึงเดินเข้าไปหา

“หิวหรือยังธัน” พัทธ์ทักขึ้นเป็นคนแรก ไอ้พร้าวเพียงปรายตามองเท่านั้นแล้วหันไปสนใจอาหารที่อยู่ในกระทะต่อ

“นิดหน่อยครับ” เขานั่งลงข้างพัทธ์ มองท่าทางทะมัดทะแมงของไอ้พร้าวที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ดูคล่องแคล่วไปหมด

“พี่เลไปไหนครับ”

“ไปช่วยงานบุญที่วัด เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

ธันวาช่วยพัทธ์คัดผักในตะกร้า พัทธ์เองก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเกรงใจที่มาพักด้วย ไอ้พร้าวเคาะตะหลิวกับกระทะเสียงดังลั่นครัวจนธันวาต้องเงยหน้ามองอยู่หลายครั้ง

“เรียกร้องความสนใจน่ะครับ” พัทธ์กระซิบ

“หือ”

“สงสัยอยากจะคุยด้วย ลองทักดูสิครับ” พัทธ์อมยิ้ม

“พร้าวทำอะไรอยู่ครับ”

“ลุงพัทธ์ขอคื่นช่ายหน่อย” มันไม่ยอมตอบคำถาม พัทธ์กลั้นหัวเราะหยิบจานผักขึ้นฉ่ายยื่นให้ธันวา เขารู้สึกเสียความมั่นใจเล็กน้อย

“นี่ครับ” ธันวายื่นจานไปตรงหน้าไอ้พร้าว มันรับไปโดยไม่ได้พูดอะไร

ธันวายังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน มองปูผัดผงกะหรี่ในกระทะตาเป็นประกาย เขาเองก็หิวจนท้องร้องแล้ว กลืนน้ำลายอยู่หลายอึกจนไอ้พร้าวทนไม่ไหว

“ของลูกค้า” มันพูดขึ้น

“ธันอยากกินหรือ พร้าวผัดอีกจานให้พี่ธันด้วย” เมื่อพัทธ์เป็นคนเอ่ยขอ ไอ้พร้าวจึงไม่สามารถปฏิเสธได้

ธันวาออกมานั่งรอที่โต๊ะตามที่พัทธ์บอก ไม่นานไอ้พร้าวก็เดินออกมาพร้อมปูผัดผงกะหรี่น่ากินหนึ่งจานและข้าวหนึ่งโถ มันวางลงแล้วเดินกลับเข้าไปในครัวครู่หนึ่งแล้วออกมาพร้อมจานและแก้วน้ำสองชุด

ในทีแรกธันวาสงสัยว่าอีกชุดเป็นของใคร แล้วก็ร้องอ๋อในใจเมื่อมันนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ยังไม่ทานข้าวเช้าเหมือนกันหรือครับ”

“อืม” ไอ้พร้าวตอบรับในลำคอ

“ขอโทษ” ผ่านไปครู่หนึ่งมันก็พูดขึ้นมา

“อะไรครับ” ธันวาขมวดคิ้ว

“เมื่อคืน”

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ” มันคงหมายถึงเรื่องเมื่อคืนที่เกือบทำเขาขาดใจตาย

ไอ้พร้าวคิดว่าธันวาจะขัดขืนหรือต่อต้านแรงๆ เหมือนอย่างที่มันเล่นกับเพื่อน ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายอีกฝ่ายเลย มันไม่ชอบใจนักที่ธันวาไม่ขัดขืนหรือดิ้นรนเอาเป็นเอาตาย ทำเพียงแค่ผลักตัวมันออกห่าง

“จะคิดมากทำไม พี่เองก็ขอโทษที่เริ่มแกล้งพร้าวก่อน” ธันวายื่นมือไปวางบนหัวของไอ้พร้าว แต่มันปัดออกอย่างหงุดหงิด “อา โทษที พี่ลืมไปว่าพร้าวโตแล้ว” เขาอมยิ้ม

เมื่อทานข้าวเช้าเสร็จ ไอ้พร้าวเป็นฝ่ายเก็บโต๊ะ ธันวาได้แต่ยืนมองเงียบๆ ไม่คิดจะเข้าไปช่วย

เลกลับมาเกือบเที่ยงพร้อมขนมในมือที่ได้มาจากวัด เขาไม่เห็นใครสักคนจึงเดินเข้ามาในครัว ทั้งธันวา ไอ้พร้าว และพัทธ์มาอยู่ที่นี่กันหมด

“มีขนมมาฝาก” เลชูของในมือ ไอ้หลานรักวิ่งเข้าไปรับขนมก่อนใครเพื่อน แล้วนั่งลงรื้อดูขนมในถุง

“มีสาคูไส้หมูด้วย” ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง ชูกล่องสาคูไส้หมูขึ้นมาให้ทุกคนดู

ธันวาทำหน้าพะอืดพะอม “ยังชอบกินอยู่อีกหรือครับ” ถามเพราะจำได้ว่าเป็นของโปรดของไอ้พร้าวในตอนนั้น มันทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องครัว

“ไอ้พร้าว!” เลตะโกนไล่หลัง เขาเองก็หมดหนทางที่จะดัดนิสัยมัน

“ไม่เป็นไรครับพี่” ธันวาพูดก่อนจะลุกขึ้นเดินตามมัน

ไอ้พร้าวนั่งลงบนทรายนุ่มใต้ต้นมะพร้าว ธันวาตามมานั่งข้างมัน ไอ้พร้าวไม่ได้สนใจว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ มันแกะกล่องพลาสติกแล้วจิ้มสาคูไส้หมูเข้าปากทานอย่างเอร็ดอร่อย

ธันวาอมยิ้ม มองไอ้พร้าวทานไปได้เกือบครึ่งกล่อง “ไม่คิดจะแบ่งพี่กินบ้างหรือ” เพียงแค่พูดเล่น ไม่คิดว่ามันจะยื่นมาให้ถึงปาก “ขอบคุณครับ” เขากลั้นใจกิน จากนั้นเงียบกันไปครู่ใหญ่

“โกรธพี่ใช่ไหม พี่ขอโทษที่ผิดสัญญา” ธันวาพูดขึ้น มองไอ้พร้าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “พี่ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองจนลืมนึกถึงคนอื่น อืม...พี่ไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่พักหนึ่ง มันค่อนข้างบ้า...บ้าจริงๆ” น้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยของเขาทำให้มันหันมามอง สีหน้าเศร้าหมองนั่นเกือบทำให้ไอ้พร้าวใจอ่อน

“แล้วพร้าวล่ะ เรียนเป็นยังไงบ้าง” ธันวายิ้มเล็กน้อย “พี่เลบอกว่าพร้าวเกเร ทำไมหรือ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

ไอ้พร้าวไม่ยอมตอบ มันลุกขึ้นเดินไปที่บ้าน หยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทันที ธันวาได้แต่ยืนมองด้วยความเป็นห่วง...หากยังขับรถเร็วอยู่แบบนี้ อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้

วันถัดมาไอ้พร้าวยังคงไม่ยอมคุยดีๆ กับธันวา แม้ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน...ธันวายืนกอดอกมองการชุมนุมขนาดย่อมของแก๊งเด็กแว้นที่มีไอ้พร้าวเป็นหัวโจก พวกมันนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์โดยมีเด็กสาวนั่งซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์ทั้งเจ็ดคันที่จอดเรียงเต็มถนนกำลังบิดเร่งเครื่องยนต์แข่งกันเสียงดังสนั่น อีกทั้งเสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่าเด็กสาว เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว...มันช่างน่ารำคาญเสียจริง

“ไอ้พวกห่านี่! รีบๆ ไปจากหน้าร้านกูสักที” เลตะโกนออกมานอกหน้าต่างห้องครัว

บรื้น! พวกมันไม่รอช้า เร่งเครื่องขับออกไปทันที

ธันวามองตามหลังด้วยความหงุดหงิด “เขาไปที่ไหนกันครับ”

“อยู่แถวๆ หมู่บ้านนี่แหละ บอกมันไว้แล้วว่าห้ามออกนอกหมู่บ้าน คนแถวนี้ก็ทนรำคาญหน่อย แต่ไอ้พวกแว้นนั่นก็ลูกหลานเขาทั้งนั้น”

“ปล่อยไปแบบนั้นจะดีหรือครับ ผมกลัวอุบัติเหตุ”

“ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไง ห้ามไปมันก็ไม่ฟัง จนปัญหาแล้ว” เลว่าอย่างปลงๆ


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:19:32 โดย KT-ReE »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

และแล้วสิ่งที่ธันวากลัวก็เกิดขึ้น ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน ไอ้ปืนวิ่งลิ้นห้อยมาบอกเลว่าไอ้พร้าวรถมอเตอร์ไซค์ล้มที่หน้าหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านกำลังพาไปโรงพยาบาลในตัวอำเภอ เลกับธันวารีบขับรถตามไปทันที

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ไอ้พร้าวกำลังล้างแผลอยู่ ไม่มีส่วนไหนแตกหัก มีเพียงแผลสดขนาดใหญ่ที่หัวเข่าข้างขวา แขนและฝ่ามือทั้งสองข้างถลอกจนเลือดอาบ มีรอยขีดข่วนที่ใบหน้าเล็กน้อย โชคยังดีที่มันใช้ตัวรับแรงกระแทก ไม่เช่นนั้นไอ้พร้าวคงเหลือไว้แต่ชื่อ

“ข้าบอกเอ็งตลอดว่าอย่าประมาท เกือบตายไหมล่ะ” เลบ่นไม่หยุดตั้งแต่มาถึง

ธันวาเพียงแค่ยืนรออยู่ห่างๆ ตอนที่รู้ว่ามันเกิดอุบัติเหตุเขาทั้งตกใจทั้งกลัว ระหว่างที่นั่งรถมาโรงพยาบาลเขาอดไม่ได้ที่จะจิตนาการว่ามันมีสภาพเช่นไร แต่พอมาเห็นกับตาก็โล่งใจไปมากโข

“หนูขอโทษ” ไอ้พร้าวกัดริมฝีปากระบายความเจ็บ เมื่อหมอเริ่มเย็บแผล

“แล้วเอ็งล่ะนังหมิว เป็นอะไรหรือเปล่า” เลหันไปถามแฟนสาวของไอ้พร้าวที่มีแผลถลอกเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร โดดลงทัน” หมิวตอบอย่างอารมณ์เสียที่ขาสวยๆ ของตัวเองมีแผลถลอก

จากนั้นเลได้เค้นถามเรื่องราวจากลูกกะจ๊อกของไอ้พร้าวจึงได้ความมาว่า มันลองขับรถมอเตอร์ไซค์ยกล้อหน้าแต่ทรงตัวไม่ดี รถเลยพลิกล้มไปด้านขวาแล้วไถลลงพงหญ้าข้างทาง เมื่อได้ฟังเลถึงกับกุมขมับ หากรถไถลไปตามถนนคงเจ็บหนักกว่านี้หลายเท่า

“รถมันล่ะ”

“ทิ้งไว้ตรงนั้น ไม่ได้เอามาด้วยจ้ะน้าเล” ไอ้ปืนตอบ

เลพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่บ้าน “ขอบคุณมากนะลุง ถ้าไม่ได้ลุงช่วย หลานผมคงแย่แน่ๆ” เขายกมือขึ้นไหว้

“ไม่เป็นไร หลานเอ็งก็เหมือนหลานข้านั่นแหละ มันไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนแรกจะพาไปหานังหมวย แต่กลัวกระดูกกระเดี้ยวหักเลยพามาโรงพยาบาลแทน” ชายวัยห้าสิบยิ้มอย่างใจดี

“เฮ้อ ผมไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี สร้างเรื่องได้ทุกวัน”

“ก็บอกก็สอนเท่าที่ทำได้แหละ พอมันโตก็คิดได้เอง...ตอนเอ็งอายุเท่ามัน ข้าก็หามมาหาหมอบ่อยๆ ลืมไปแล้วเหรอะ” ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะ

เลได้แต่ยิ้มแห้งๆ ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่เรื่องของเขายังคงถูกพูดถึงราวกับเป็นตำนานของหมู่บ้านที่ต้องเล่าขานต่อไปอีกหลายสิบปี

ธันวาเดินเข้าไปใกล้เตียงไอ้พร้าวแล้วยกมือขึ้นวางบนหัวของมัน ไอ้พร้าวเงยหน้ามองน้ำตาคลอเบ้าเพราะเริ่มทนความเจ็บปวดตามร่างกายไม่ไหว แต่จะให้ร้องไห้ต่อหน้าลูกกะจ๊อกของมันน่ะหรือ...ไม่มีทาง

“อดทนหน่อยนะครับ ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเลื่อนมือไปลูบหลังมันเบาๆ

ใช้เวลานานกว่าจะทำแผลเสร็จ เลเป็นคนเข็นรถเข็นที่ไอ้พร้าวนั่ง ส่วนธันวาเดินหิ้วถุงยาตามหลัง เมื่อมาถึงรถสองหนุ่มก็ช่วยกันแบกไอ้พร้าวขึ้นรถ เลนั่งดูแลหลานอยู่เบาะหลัง ธันวาเป็นคนขับรถ

“หมอบอกเอ็งจะมีไข้ ขาเจ็บแบบนี้คงต้องย้ายลงมานอนที่ชั้นล่าง” เมื่อเห็นสีหน้าหงอยๆ ของไอ้พร้าว เลก็ใจอ่อนทำใจด่ามันไม่ลง เขาโทรไปที่บ้านบอกให้พัทธ์จัดหาที่นอนไว้ชั้นล่างในห้องรับแขก

“สงสัยต้องลาโรงเรียนจนกว่าจะดีขึ้น เฮ้อ...เอ็งนี่สร้างแต่เรื่องจริงๆ”

“ขอโทษจ้ะ” ไอ้พร้าวก้มหน้างุดน้ำตาหยดแมะๆ

“เอ้า ร้องเข้าไป ข้าแค่บ่นเฉยๆ ทำเป็นน้อยใจ” เลว่าอย่างขบขันก่อนจะกอดปลอบหลาน ธันวามองผ่านกระจกหลังด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าเมื่อไหร่ไอ้พร้าวก็ยังคงเป็นเพื่อนตัวน้อยของเขาอยู่ดี

จากที่ธันวาจะย้ายไปพักที่รีสอร์ตของติ๋มในวันอังคารก็ต้องเลื่อนออกไป เพราะเลขอร้องให้เขาช่วยดูแลไอ้พร้าวให้ระหว่างที่เลทำงานในร้าน ธันวาเองก็เห็นด้วยเพราะเป็นห่วงมันที่มีไข้มาสามวันแล้ว

“อ้าปากนะครับ กินอีกคำ” ธันวากำลังคะยั้นคะยอให้คนป่วยทานข้าวต้มปลา แต่มันส่ายหน้า

“อีกแค่คำเดียวก็ได้ครับ” สุดท้ายไอ้พร้าวก็ยอมอ้าปากรับแล้วทำหน้าพะอืดพะอม “เก่งมาก” เขาเอ่ยชม ลูบหัวมันเบาๆ

ไอ้พร้าวหมดสภาพหมดฤทธิ์แบบนี้ช่างน่าเอ็นดูสำหรับธันวาเหลือเกิน มันไม่โต้เถียงแถมยังว่านอนสอนง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้มันหายป่วยในเร็ววัน

เมื่อไอ้พร้าวทานข้าวทานยาเสร็จแล้ว ธันวายังคงนั่งดูมันอย่างเงียบๆ จนมันหลับไป เขามองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายแล้วยิ้มออกมาพลางนึกภาพไอ้ตัวจ้อยเมื่อวันวาน...เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ

ธันวาอยากจะวาดภาพไอ้พร้าวตอนหลับขึ้นมาจึงเข้าไปค้นหากระดาษและดินสอจากห้องนอนอีกฝ่าย เขาเจอสมุดวาดเขียนเล่มเล็กอยู่ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อหยิบมันขึ้นมา กระดาษปึกหนึ่งก็ร่วงลงพื้น...

มันคือภาพวาดของเขาเอง กระดาษโน้ตกว่าห้าสิบแผ่นถูกสอดเก็บไว้ในสมุดวาดเขียนเล่มนี้ เขายิ้มกว้าง ก้มเก็บกระดาษทั้งหมดไปไว้ที่เดิม จากนั้นเลือกกระดาษเอสี่ที่อยู่ในชั้นวางมาวาดภาพ...ในตอนนั้นที่เปิดสมุดโน้ตเล่มสีดำแล้วพบรอยฉีก เขาเสียใจมากเพราะนึกว่าไอ้พร้าวฉีกมันทิ้งไป ไม่คิดเลยว่ายังเก็บไว้แบบนี้

เมื่อมีกระดาษกับดินสอแล้ว ธันวาจึงจดจ่อสมาธิกับการวาดภาพเพื่อนตัวน้อยในวันวานที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่...นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้รู้สึกสงบอย่างนี้

“พี่ธัน”

“หือ” ธันวาเงยหน้า เลิกคิ้วอย่างสงสัย...ไอ้พร้าวกำลังจ้องมาที่เขา

“เรียกพี่หรือครับ” เขาขยับเข้าไปใกล้ มันกะพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดู

“พี่ธัน” มันเรียกเสียงแผ่วอีกรอบ

“จะเอาอะไรครับ หรืออยากเข้าห้องน้ำ”

“พี่ธัน” พึมพำอีกรอบก่อนเปลือกตาจะปิดลง

“หลับซะแล้ว อะไรของเขานะ” ธันวาใช้นิ้วเกลี่ยปลายผมสีเขียวออกจากหน้าผากไอ้พร้าว “อยากตัดทิ้งจริง ๆ ไม่น่ารักเลยนะครับ” อดบ่นเบาๆ ไม่ได้ เพราะมันช่างขัดตาเขาเสียจริง

ธันวาเป็นพยาบาลจำเป็นดูแลไอ้พร้าวกว่าหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่มันจะหายดี เมื่อบาดแผลเริ่มแห้งตกสะเก็ดแล้วไอ้พร้าวจึงกลับไปเรียน ส่วนธันวาย้ายไปพักที่รีสอร์ตของติ๋ม

การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ของธันวาไม่น่าเบื่อเลยสักวัน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวาดภาพและช่วยงานใน ‘ร้านน้องพร้าว’ เมื่อถึงวันศุกร์ก็อาสาขับรถไปรับไอ้พร้าวที่หน้าอำเภอ ในทีแรกมันไม่ยอมขึ้นรถท่าเดียว เขาจึงแกล้งขับรถหนี มันถึงวิ่งตามมาขึ้นรถ และบ่นเขาตลอดทาง



วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงวันที่ธันวาต้องกลับ ในช่วงเย็นของวันสุดท้ายไอ้พร้าวเป็นฝ่ายชวนธันวาออกมาเดินเล่นที่ชายหาด วันนี้มันยอมญาติดีด้วย ไม่ว่าธันวาจะถามอะไร มันก็ตอบ

“เดือนธันวาจะมาอีกไหม” ไอ้พร้าวหยุดเดินแล้วหันมาถามคนข้างกาย มันจ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบ

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของธันวา “คงไม่ได้มาครับ พี่ใช้วันลาไปหมดแล้ว อยากให้พี่มาหรือ” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดใบหน้าของมัน

“เปล่า ถามเฉยๆ” ไอ้พร้าวตอบแล้วก้มหน้างุด

“ถ้าอยากให้พี่มาหา พี่ก็จะมา”

“ก็บอกว่าเปล่าไง ไม่ได้อยากให้มาซะหน่อย” มันทำเสียงหงุดหงิด

ธันวาอมยิ้ม ยื่นมือไปกดหัวไอ้พร้าวให้ซบลงบนไหล่ของตัวเอง “โตขึ้นเยอะเลยนะครับ ตอนนี้สูงเท่าไหล่พี่แล้ว อีกหน่อยคงสูงเท่าพี่หรืออาจจะสูงกว่า” ไม่พูดเปล่ายังลูบหัวมันเบาๆ แต่ไอ้พร้าวเริ่มพยศ ดิ้นไปมาจนสามารถผละตัวออกห่าง มันยกมือขึ้นจัดทรงผมตัวเองให้เข้าที่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

ธันวาส่ายหน้าอย่างขบขัน “ดื้อไม่มีใครเกินจริงๆ แต่จากนี้จะไปแว้นกับลูกสาวบ้านไหนไม่ได้อีกแล้วนะครับ”

“เออ รู้แล้วน่า...จะไปได้ไง น้าเลขายรถไปเป็นเศษเหล็กแล้ว เสียดายว่ะ อุตส่าห์แต่งไปตั้งหลายอย่าง” พอหายดีไอ้พร้าวถึงได้รู้ว่าเลขายรถไปแล้ว มันร้องไห้สามวันสามคืนกว่าจะทำใจได้

“พูดเพราะๆ หน่อยสิครับ”

“ก็จะพูดแบบนี้อะ ทำไม มีปัญหาหรือไง” มันชูกำปั้นขึ้น

“ไม่มีครับ พี่แค่อยากให้คุยดีๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เจอกันอีก” ธันวาแสร้งตีหน้าเศร้า

ไอ้พร้าวเงียบไปครู่ใหญ่ “กะ...ก็ได้...ครับ” มันหันหน้าไปทางอื่น เพราะรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาที่ต้องพูดจาเพราะๆ กับอีกฝ่าย

“เด็กดี” ธันวายิ้มกว้าง ยื่นมือไปลูบหัวมันแต่ถูกปัดทิ้ง เขาไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเริ่มชินกับนิสัยแข็งกระด้างของมันแล้ว

เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพ ธันวารีบส่งของฝากจากอังกฤษไปให้ไอ้พร้าวทันทีก่อนจะกลับไปที่เชียงราย ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองเช่นเดิม ธันวาโทรหาไอ้พร้าวแทบจะวันเว้นวันเพราะเลยอมซื้อโทรศัพท์มือถือให้มันแล้ว จึงสะดวกในการติดต่อมากกว่าแต่ก่อน ส่วนข้าวของที่ส่งไปให้มันทางไปรษณีย์บ่อยๆ คงเพราะช่วงนี้เขามักซื้อของที่ไม่เหมาะกับตัวเอง จะทิ้งก็เสียดายจึงส่งไปให้อีกฝ่ายแทน...ธันวาให้เหตุผลกับตัวเองอย่างนี้เสมอ

ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ไอ้พร้าวยอมเปิดใจให้ธันวาอีกครั้ง มันยอมเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เขาฟัง รวมถึงเรื่องแฟนสาวคนล่าสุดที่เป็นถึงนางนพมาศของจังหวัด มันเล่าว่าเธอคนนี้สวยเพียงไร มีนิสัยอย่างไร จนธันวารู้สึกได้ว่าไอ้พร้าวกำลังตกหลุมรักเธอเข้าเต็มเปา

“เป็นอะไรหรือธัน ทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนมา” จิตสังเกตหลานชายมาครู่ใหญ่จึงเดินเข้ามาถาม

“เปล่าครับ แค่...หงุดหงิดนิดหน่อย” เขายอมรับว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ



และแล้ววันสิ้นปีก็มาถึง ไอ้พร้าวนั่งที่ริมชายหาดคนเดียวกำลังวาดบางอย่างลงไปในกระดาษ แม้แสงสว่างในตอนนี้จะเริ่มหมดไป แต่เจ้าตัวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

วันนี้มันไม่ได้ไปฉลองกับแฟนสาวหรือเพื่อนฝูง แต่อยู่ช่วยงานเลที่ร้านจนถึงบ่ายแก่ๆ แล้วปลีกตัวออกมานั่งที่ชายหาดใกล้ร้าน เด็กๆ พากันออกมาเล่นไฟเย็นที่ชายหาด มันมองด้วยรอยยิ้มพลางนึกถึงวันเก่าๆ ในปีนี้มันไม่ได้ซื้อไฟเย็นมาด้วยเหมือนปีก่อน แต่มีดินสอกับกระดาษในมือ

“ไม่อยากเล่นไฟเย็นแล้วหรือ”

เสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีดังมาจากด้านหลัง ไอ้พร้าวหันไปมองทันที ดวงตาของมันเบิกกว้าง

“พี่ธัน” เผลอเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงแผ่วเบา

“ตกใจอะไรกันครับ พี่ไม่ใช่ผีนะ” ธันวายิ้ม เดินเข้ามานั่งลงข้างมัน

ไอ้พร้าวมองไม่วางตาเพราะกลัวว่า หากละสายตาไปเพียงแค่วินาทีเดียว อีกฝ่ายจะหายไป

“มาเมื่อไหร่” เมื่อมั่นใจว่าธันวาจะไม่หายไป มันจึงมองไปที่ทะเลเบื้องหน้า

“ถึงเมื่อกี้ครับ ลุงกิตไปรับมา”

“จะมาทำไมไม่โทรบอก” จะได้ไปรับ...มันเก็บประโยคหลังไว้พูดต่อในใจ

“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ” ธันวามองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ทั้งที่นั่งอยู่ข้างกันแท้ๆ แต่เขายังคิดถึงมันอยู่

“เซอร์ไพรส์บ้าอะไร ไม่ใช่เด็กๆ” แทนที่จะโกรธที่ถูกมันว่า เขากลับยิ้มออกมา

“เล่นไหม พี่ซื้อมาสองกล่อง” ธันวาชูกล่องไฟเย็นขึ้นมา ไอ้พร้าวเพียงปรายตามอง ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

ธันวาล้วงไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกง จุดไฟเย็นในมือแล้วยื่นให้ไอ้พร้าว มันยังคงนั่งนิ่งไม่ยอมรับไปจนประกายไฟดับ เขาอมยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะจุดไฟเย็นอันใหม่ยื่นให้มันอีกรอบ ครั้งนี้มันยอมยื่นมือมารับ

“วาดอะไรอยู่ครับ” ธันวาเอื้อมมือหมายจะหยิบกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าไอ้พร้าว แต่มันชิงหยิบขึ้นมาก่อนแล้วขยำกระดาษ ยัดเก็บในกระเป๋ากางเกง

“อ้าว” เขายักไหล่อย่างไม่แยแส

ในปีนี้ไอ้พร้าวไม่ได้ฉลองปีใหม่เพียงคนเดียวเหมือนปีที่ผ่านมา มีคนที่มันเฝ้าคอยมาโดยตลอดนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อรอดูดอกไม้ไฟด้วยกันบนชายหาด อีกฝ่ายนั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา จนกระทั่งถึงเวลานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ ธันวายื่นมือมาวางบนหัวของมันแล้วยิ้มให้ มันไม่ได้ปัดฝ่ามืออุ่นนั้นทิ้งเหมือนอย่างเคย เพียงแค่นั่งทำหน้าบึ้ง...แม้หัวใจจะเต้นแรงสักแค่ไหน

“ห้า สี่ สาม สอง หวีด บึ้ม!”

ความสวยงามบนท้องฟ้าไม่อาจทำให้ไอ้พร้าวละสายตาไปจากคนข้างกายได้ ธันวาเงยหน้ามองดอกไม้ไฟด้วยรอยยิ้ม เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวจึงหันมาสบตา

“สวัสดีปีใหม่ครับพร้าว” น้ำเสียงทุ้มที่ดังก้องในหูทำให้ไอ้พร้าวร้อนผ่าวไปทั้งหน้า มันรีบเงยหน้ามองดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า

“สวัสดีปีใหม่” มันพูดออกไปแล้ว ประโยคที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายมาโดยตลอด

หากไอ้พร้าวได้เห็นรอยยิ้มและแววตาของธันวา มันคงอยากพูดประโยคนี้อีกเป็นร้อยๆ ครั้ง

หากมันหันมามองสักนิด คงได้รู้ว่ามีบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม





TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:20:09 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 9 (Part 1)

ถึง น้าเลและลุงพัทธ์

หนูรู้ความจริงแล้วว่าลุงพัทธ์เป็นพ่อของหนู หนูโกรธและเสียใจมากที่น้าเลกับลุงพัทธ์ปิดเรื่องนี้ อยู่กันมาตั้งนานก็ไม่ยอมบอก ไม่เห็นหนูเป็นคนในครอบครัวใช่ไหม

จากนี้ไปเราตัดขาดกัน หนูจะไม่กลับมาที่บ้านอีกแล้ว

จาก หนู


ไอ้พร้าวก้มหน้าเขียนทั้งน้ำตา จากนั้นวางจดหมายไว้บนโต๊ะ สะพายกระเป๋าเป้และถือกระเป๋าใบใหญ่อีกหนึ่งใบ มันมองรอบๆ ห้องเป็นครั้งสุดท้าย ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเดินออกไปจากห้องเงียบๆ

มันหันกลับไปมองบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดเป็นครั้งสุดท้าย ใจจริงไม่อยากจะจากไปเลย แต่เพราะความเสียใจ น้อยใจที่ไม่อาจบรรยายได้ทำให้ตัดสินใจทำอย่างนี้ มันทำใจไม่ได้หากต้องเผชิญหน้ากับเลและพัทธ์อีกครั้ง...มันยังไม่พร้อม

ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลังจากที่สอบเลื่อนชั้นวิชาสุดท้ายเสร็จ ไอ้พร้าวตัดสินใจกลับบ้านโดยไม่ได้บอกเลไว้ล่วงหน้า มันนัดแนะให้ไอ้ปืนมารับที่หน้าอำเภอตอนบ่ายสามโมงเย็น มันไม่ได้กลับบ้านในทันทีแต่แวะเล่นเกมที่บ้านของไอ้ปืนก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ปาไปห้าทุ่มแล้ว

ไอ้พร้าวเดินลัดเลาะไปตามชายหาดเพื่อเดินเข้าทางหลังบ้าน เพราะอยากจะเซอร์ไพร้สน้าเลกับลุงพัทธ์ของมัน

ทั้งสองคนกำลังนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้าน ไอ้พร้าวหยุดชะงัก ยืนนิ่งเหมือนถูกสาปเมื่อเห็นเลยกแขนขึ้นพาดไหล่ของพัทธ์ แล้วใช้มือข้างนั้นที่คีบบุหรี่อยู่ดันแก้มอีกฝ่ายให้หันมา จากนั้น...

ยื่นหน้าเข้าไปจูบ!

“!!!” ไอ้พร้าวรู้สึกชาไปทั้งตัว มันตาฝาดไปใช่ไหม น้าเลกับลุงพัทธ์ที่ไม่เคยญาติดีกันเลยสักครั้งกำลังจูบกัน ทั้งยังที่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่

ผู้ชายสองคนกำลังจูบกัน มันหมายความว่าอย่างไร...เป็นไปไม่ได้ มันไม่อาจทำใจยอมรับได้

ไอ้พร้าวกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือดเมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง มันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แม้ต้องอาละวาดหรือด่าทอทั้งสองคน มันก็จะทำ

“คุณพอก่อน” พัทธ์พูดอู้อี้พร้อมดันไหล่เลให้ออกห่าง

เลกัดริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดก่อนจะยอมปล่อย อีกไม่กี่วันไอ้หลานรักก็จะปิดเทอม และกลับมาอยู่บ้านแล้ว พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ข้างนอกไปอีกนาน

“อย่ามาทำหน้าไม่พอใจใส่ผมแบบนี้ เรายังคุยเรื่องน้องพร้าวไม่จบเลย” พัทธ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ไอ้พร้าวชะงักเท้าที่กำลังเดินเข้าไปหา...คุยเรื่องของมันหรือ เรื่องอะไรกัน

“รออีกหน่อยน่า ขออีกสักสองปีค่อยบอกมัน ข้าอยากให้มันสอบเข้ามหาลัยได้ก่อน” เลอัดควันบุหรี่เข้าปอด หลายปีมานี้เขาค่อนข้างเครียดกับเรื่องของไอ้พร้าว เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าพร้อมบอกมันเมื่อไหร่

“แต่ผมไม่อยากรอแล้ว เกือบหกปีที่ผมมาอยู่ที่นี่ มันทรมานมากนะ ทั้งๆ ที่ผมเป็น ‘พ่อ’ ของเขาแต่ต้องทำเหมือนตัวเองเป็นคนอื่น ผมทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้!” พัทธ์เผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว

เลถอนหายใจก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด “ก็ได้ๆ ข้ายอมแพ้เอ็งแล้ว ข้ามันขี้ขลาดเอง ข้ากลัวจะเสียมันไป เอ็งก็รู้ว่าลูกเอ็งมันเป็นยังไง” เขายิ้มพลางส่ายหน้าเมื่อนึกถึงวีรกรรมของหลาน “อีกอย่างเอ็งก็ไม่ใช่คนอื่นสำหรับไอ้พร้าว มันรักเอ็งเหมือนคนในครอบครัว ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดหาทางออก”

“อือ” พัทธ์ไม่ได้กอดตอบ เพียงแค่เอนตัวพิงอกอีกฝ่าย

ไอ้พร้าวนั่งนิ่งอยู่บนเตียง มันไม่รู้ว่าพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเลกับพัทธ์กลายเป็นเพียงฝุ่นละออง เมื่อมันได้รู้ความจริงว่าพัทธ์คือพ่อแท้ๆ ของมัน...คนที่ทิ้งไปตั้งแต่รู้ว่าแม่ของมันตั้งท้อง คนที่ตีหน้าซื่อหลอกมันมาเกือบหกปี

นี่หรือลุงพัทธ์ที่มันรัก

มันยอมรับว่าที่ผ่านมาพัทธ์เป็นคนดี และมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสร้งทำ แต่ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่พัทธ์ได้ทำลงไปในอดีตได้

ตอนเป็นเด็กไอ้พร้าวคิดเสมอว่าพ่อของมันตายไปแล้ว ส่วนแม่ก็ทิ้งไป มันเจ็บทุกครั้งที่ถูกล้อว่าไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้าบ้าง พ่อแม่ไม่รักบ้าง แม้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่บางครั้งก็เกินจะรับไหว พอโตขึ้นมันกลับรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีเล พัทธ์ และธันวาในชีวิต

พอแล้ว...มันไม่อยากมีใครอีกแล้ว มันไม่เคยเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะคิด

มันโกรธทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว โกรธพัทธ์ โกรธเล โกรธบ้านหลังนี้...อยากจะหนีไป หนีไปที่ไหนก็ได้ ขอเพียงไม่ต้องอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเจอกับทั้งสองคน

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวจนปวดหนึบ ไอ้พร้าวตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน มันอยากไปที่ๆ เลกับพัทธ์จะไม่ตามไป

ไอ้พร้าวจูงรถจักรยานคู่ใจออกมาจากบ้านเงียบๆ แล้วปั่นมาที่หน้าอำเภอเพื่อรอขึ้นรถไปตัวจังหวัดในตอนเช้ามืด

วันรุ่งขึ้นไอ้ปืนมาหาไอ้พร้าวที่บ้าน เลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ หากไอ้พร้าวกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมเขาถึงไม่รู้ พัทธ์เองก็เช่นกัน แต่ไอ้ปืนยืนยันว่าไอ้พร้าวกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วจริงๆ ทั้งสามจึงเข้าไปในห้องนอนของมัน

ทั้งห้องว่างเปล่าไร้ร่างผู้เป็นเจ้าของห้อง เลมองไปรอบๆ ห้องจนพบกระดาษหนึ่งแผ่นวางอยู่บนโต๊ะ เมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายจบก็อ่านทวนอีกรอบด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ของน้องพร้าวหรือคุณ น้องเขียนว่าไง” พัทธ์เริ่มร้อนใจเมื่อเห็นสีหน้าของเล อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาตรงหน้าเขาแทน

พัทธ์เม้มริมฝีปากแน่นเมื่ออ่านจบ เงยหน้าสบตาผู้เป็นน้าของลูกชาย ไอ้ปืนยืนเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นท่าทีของผู้ใหญ่ทั้งสองคนจึงชะโงกหน้าอ่านจดหมายในมือของพัทธ์

“ฉิบหาย!” ไอ้ปืนหลุดพูดคำหยาบออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันเองยังตกใจขนาดนี้คงไม่ต้องพูดถึงไอ้พร้าวว่าจะตกใจแค่ไหน

“ปืนรู้ไหมว่าพร้าวไปไหน” พัทธ์หันมาถามอย่างมีหวัง

“ไม่รู้จ้ะ เมื่อวานมันยังดีๆ อยู่เลย” มันตอบอ้อมแอ้มไม่สบตาอีกฝ่าย มันรู้สึกแปลกๆ ที่พัทธ์กลายมาเป็นพ่อไอ้พร้าว

“หายไปไหน ทำไงดี จะไปตามที่ไหน” พัทธ์พึมพำกับตัวเอง สติเริ่มหลุดลอย

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็หามันเจอ มันไม่ไปไหนไกลหรอก” เลกุมมืออีกฝ่ายไว้ ไอ้ปืนเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง

“ไอ้ปืน ไอ้ปืน! เป็นอะไรของเอ็ง ไป! ไปหาไอ้พร้าว”

ไอ้ปืนสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หุบปากที่อ้าค้างเมื่อครู่ทันที “จ้ะๆ” มันตอบรับ มองผู้ใหญ่ทั้งสองจูงมือกันเดินออกไปจากห้อง

“กูฝันหรือเปล่าวะ” ไอ้ปืนยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองหนึ่งที มันไม่แน่ใจว่าไอ้พร้าวจะเคยเห็นสิ่งที่มันเห็นหรือเปล่า

เลกับพัทธ์งั้นหรือ...ไม่น่าจะเป็นไปได้

คนเกือบครึ่งหมู่บ้านออกตามหาไอ้พร้าว ตามหาทั้งวันจนกระทั่งมีคนพบรถจักรยานของมันจอดที่หน้าอำเภอ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันไปที่ไหน

เลและพัทธ์เครียดจนไม่สามารถทำอะไรได้ ไอ้พร้าวทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ที่ห้องเหมือนต้องการตัดขาดกับพวกเขาจริงๆ อย่างที่มันเขียนไว้ ทั้งคู่ได้แต่นั่งเงียบ ต่างก็โทษตัวเองในใจ

ไอ้พร้าวลงมาจากรถโดยสารโดยไม่รู้ว่าควรไปทางไหนต่อ มันไม่เคยออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ มาทั้งที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า แต่มันตั้งใจมาเพื่อพบใครคนหนึ่ง

คนที่มันหวังจะพึ่งพิงในยามนี้

ดวงตาที่สั่นไหวมองไปรอบๆ เพื่อหาตู้โทรศัพท์ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ชวนให้เวียนหัว มันรู้สึกกลัวขึ้นมา...หากเขาคนนั้นไม่ยอมรับโทรศัพท์ หากมันติดต่อเขาไม่ได้ หรือเขาอาจจะไล่มันกลับ มันจะทำอย่างไรต่อไป

ไอ้พร้าวหยุดยืนที่ตู้โทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เดินคอตกหาที่นั่งใกล้ๆ มันไม่กล้าโทรเพราะกลัวสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริง

นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว มันยังคงนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างเลื่อนลอย เมื่อหิวก็ลุกไปหาอะไรทาน แล้วกลับมานั่งที่เดิม

เมื่อเวลาเดินมาจนถึงห้าทุ่มครึ่ง ไอ้พร้าวจึงตัดสินใจมาที่ตู้โทรศัพท์อีกครั้ง มันกดเบอร์โทรศัพท์ที่จำได้ขึ้นใจ สายแรกถูกตัดไปเพราะไม่มีคนรับ จึงลองโทรอีกครั้งและอีกครั้ง จนกระทั่ง...

“ฮัลโหล” น้ำเสียงงัวเงียที่บ่งบอกว่าปลายสายเพิ่งจะตื่นนอนทำให้มันรู้สึกผิดที่รบกวนอีกฝ่าย

“ฮัลโหล ใคร” ปลายสายถามเสียงห้วนด้วยความหงุดหงิดเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนโทรมา ความเครียดที่เจอมาทั้งวันทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างง่ายดาย

“พี่ธัน” เสียงเรียกแผ่วเบาที่ฟังดูคุ้นหูทำให้ธันวาดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“พร้าว! นั่นพร้าวใช่ไหม” เขาถามอย่างร้อนใจ

“อือ”

“อยู่ไหนครับ ไปไหนมา บอกพี่มาเดี๋ยวนี้ พี่เลเป็นห่วงมาเลยนะครับ” น้ำเสียงที่ติดจะดุทำให้ไอ้พร้าวกลัว...กลัวว่าธันวาจะไล่มันกลับบ้านอย่างที่คิดไว้

“เฮ้อ โอเคครับ พี่ขอโทษที่ทำเสียงไม่ดี พี่เป็นห่วงพร้าวทั้งวันเลยนะครับ...เด็กดี บอกพี่ได้ไหมว่าอยู่ที่ไหน” ราวกับอีกฝ่ายอ่านใจมันได้ น้ำเสียงที่อ่อนลงทำให้มันผ่อนคลาย

“อยู่หมอชิต...มารับหน่อย”

“ฮะ! ได้ๆ อยู่ตรงไหนครับ พี่จะไปเดี๋ยวนี้” ธันวาถึงกับลุกขึ้นยืนบนเตียง...เป็นไปได้อย่างไร ทำไมหนีออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้

ไอ้พร้าวมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะอธิบายสิ่งที่เห็น “อยู่ตรง.....”

ธันวาแทบจะวิ่งออกจากห้องในทันทีที่วางสาย แต่ต้องชะงักเท้าที่กำลังเดินเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว เขายืนนิ่งเพื่อตั้งสติ พยายามลำดับสิ่งที่ต้องทำ...ไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วไปหยิบสิ่งของที่จำเป็น

แม้จะมาถึงหมอชิตแล้ว แต่ผู้คนมากมายในตัวอาคารทำให้ยากที่จะหาตัวไอ้พร้าวพบ ธันวาใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีกว่าจะพบมัน ดวงตาของไอ้พร้าวดูเลื่อนลอยเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่ได้โฟกัสสิ่งใด มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้า

ธันวาอมยิ้มก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าไอ้พร้าวเพื่อให้ใบหน้าของตัวเองอยู่ในระดับสายตาของมัน

“กลับบ้านกันนะครับ” ใบหน้าและน้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้จิตใจที่หลุดลอยออกไปกลับคืนมา ไอ้พร้าวกะพริบตาปริบๆ อย่างที่ธันวาคิดว่าน่ารักที่สุด

“พี่ธัน” ไอ้พร้าวเรียกเสียงแผ่ว

“กลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ไอ้พร้าวมองคนตรงหน้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหยิบกระเป๋าทั้งสองใบไปถือ มันเพียงแค่มองไม่ได้ลุกขึ้นตาม

“เป็นอะไรไปครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้มันกล้าเงยหน้าสบตา

“ไม่กลับบ้าน” ไอ้พร้าวเม้มริมฝีปากแน่น...ทำไมพี่ธันถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ พอมาถึงก็จะส่งมันกลับบ้านเลยหรือ

ธันวาขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจในสิ่งที่มันคิด “บ้านพี่ต่างหาก” ไม่รอให้อีกฝ่ายนั่งคิดนาน ธันวาตัดสินใจจูงมือไอ้พร้าวไปที่รถ ดีที่มันยอมเดินตามอย่างว่าง่าย

เมื่อมาถึงคอนโด ไอ้พร้าวรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ธันวาบอกว่าจะพาไปบ้าน ที่นี่น่ะหรือ...บ้านของธันวา เป็นแค่ห้องๆ หนึ่งที่อยู่ร่วมกับคนอื่นในตึกสูงๆ ต่างจากบ้านของมันที่ปลูกเป็นหลังเดี่ยวๆ มีบริเวณกว้างขวาง ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดคับแคบแบบนี้ แล้วอีกฝ่ายอาศัยอยู่คนเดียวหรือ

“เป็นอะไรครับ รีบอาบน้ำนอนพักผ่อนเถอะ” ธันวามองเด็กหนุ่มร่วมห้องที่ยืนนิ่งตรงประตู ดวงตาของมันมองไปรอบๆ ห้อง สีหน้าบ่งบอกว่ามีคำถามมากมายในหัว

“ห้องนี้เรียกว่าบ้านเหรอ” ไอ้พร้าวเดินตามเข้าไปในห้องนอน

“อืม จริงๆ เขาเรียกว่าคอนโดครับ บริษัทพี่ห่างจากบ้านเลยมาเช่าคอนโดอยู่” ธันวาวางกระเป๋าของมันไว้ในตู้เสื้อผ้า ไอ้พร้าวยังคงมองอย่างสงสัย เพราะไม่เคยเห็นคอนโดมาก่อนจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับมัน

“บ้านเป็นหลัง คอนโดเป็นห้องใช่ไหม” มันพยายามแยกข้อแตกต่างระหว่างบ้านกับคอนโด

ธันวายิ้มพลางส่ายหน้า “ไปอาบน้ำได้แล้วครับ ตีหนึ่งแล้ว”

“อืม” ไอ้พร้าวพยักหน้าแล้วเดินไปอาบน้ำ

ธันวาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงด้วยความกังวล เมื่อได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวแล้วจึงเดินออกไปที่ระเบียงห้องถัดจากห้องครัว

เขากลับมาอยู่ที่กรุงเทพเมื่อต้นปี เนื่องจากบริษัทที่เข้าทำงานอยู่ห่างจากบ้านมากจึงเลือกเช่าคอนโดใกล้ๆ บริษัทเพื่อความสะดวก หากจะให้บอกเหตุผลที่กลับมาอยู่กรุงเทพอีกครั้ง ก็คงเพราะตัวเขายังตัดใจจากความศิวิไลซ์ของเมืองหลวงไม่ได้ อีกทั้งเพื่อนฝูงมากมาย...ชายโสดที่ต้องอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูงหรือผู้หญิงสวยๆ ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวเกินจะทนไหว

ธันวายกมือขึ้นนวดขมับเพื่อคลายความตึงเครียด เขาอยากจะสูบบุหรี่สักมวนแต่วันนี้สูบมันไปเยอะแล้ว แทบจะทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้

เมื่อช่วงเที่ยงของวันเลโทรมาหา บอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่าไอ้พร้าวหายตัวไป ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่สามารถทำงานได้อีกเลยตลอดทั้งวัน แม้จะไม่รู้สาเหตุที่มันหนีมา แต่พอจะคาดเดาได้ว่าคงมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจของมันอย่างรุนแรง

ไม่คิดเลยว่าไอ้พร้าวจะนั่งรถมาหาเขาถึงกรุงเทพ...ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะนึกถึงเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้

ธันวาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตอนนี้ไอ้พร้าวปลอดภัยดี เขาควรแจ้งข่าวให้ผู้ปกครองของเด็กหนุ่มได้รับรู้ คิดได้ดังนั้นจึงกดโทรหาเลทันที

“ว่าไงธัน” ปลายสายถามอย่างร้อนใจ

“น้องมาหาผมครับ พร้าวปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”

“เฮ้อ ขอบคุณๆ “เลกุมหัวใจตัวเองที่เต้นแรง เขารู้สึกดีใจและโล่งอกในคราวเดียวกัน

“ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อมน้องให้กลับบ้านนะครับ” แม้จะไม่รู้สาเหตุที่ไอ้พร้าวหนีออกจากบ้าน แต่ธันวาจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เรื่องภายในครอบครัวยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งไม่ดี เขาอยากให้มันกลับไปปรับความเข้าใจกับเลโดยเร็วที่สุด

“ยังไงข้าก็รบกวนด้วยล่ะ” เลรู้สึกเกรงใจที่ไอ้พร้าวไปรบกวนอีกฝ่าย

คุยกันอยู่ครู่ใหญ่จึงวางสาย เมื่อหันหลังจะเดินกลับเข้าห้อง ธันวาก็ต้องชะงักเพราะไอ้พร้าวยืนอยู่หน้าประตูระเบียง แววตาของมันสั่นไหว เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว จะได้ยินบทสนทนาของเขากับเลมากน้อยแค่ไหน

“ไปนอนกันเถอะ” ธันวายื่นมือไปลูบหัวไอ้พร้าว แต่มันหลบและถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ไม่ดื้อนะครับ พี่ง่วงมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า เป็นเด็กดีนะครับ”

ไอ้พร้าวจ้องหน้าธันวาเขม็งอยู่ครู่ก่อนจะยอมเดินเข้าไปในห้อง มันเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เจ้าของห้องส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจกับความพยศของมัน

“ไปนอนในห้องครับ” ธันวาดึงแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่มันสะบัดทิ้ง พลิกตัวนอนหันหน้าเข้าพนักโซฟา

“ถ้าพร้าวนอนตรงนี้ พี่ก็จะนอนตรงนี้ด้วย” ตรงนี้ที่ธันวาหมายถึงคือพื้นห้องข้างโซฟา ไม่พูดเปล่าเขานอนลงบนพื้นตามที่พูดจริงๆ

เพราะเหนื่อยจากงานและเครียดเรื่องไอ้พร้าวมาทั้งวัน ธันวาจึงเคลิ้มหลับในทันที แต่ต้องสะดุ้งตื่นทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงห้านาที เพราะคนที่นอนบนโซฟาลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน เขาถอนหายใจแล้วฝืนลุกขึ้นเดินตามเข้าไป...วันนี้ช่างยาวนานเสียจริง

ไอ้พร้าวนอนคลุมโปงไปแล้วเรียบร้อย ธันวาเองก็ง่วงเกินทนจึงนอนข้างมัน และหลับไปในทันที

ในเวลาเกือบตีสองครึ่ง เลและพัทธ์ยังคงไม่เข้านอน เลออกมาเดินเล่นที่ชายหาดเพื่อให้จิตใจสงบ เขาไม่อาจข่มตานอนหลับได้ พัทธ์เองก็เช่นกัน หลังจากทราบว่าผู้เป็นลูกอยู่ที่ไหนและปลอดภัยดีก็เอาแต่คลุกอยู่ในห้องนอนของลูกชาย

พัทธ์รู้ดีว่าในอดีตตัวเองเป็นเช่นไร ทำตัวแย่แค่ไหน ทิ้งแม่ของไอ้พร้าวให้อุ้มท้องจนคลอด และทิ้งให้เลเลี้ยงหลานเพียงลำพังตลอดสิบเจ็ดปี ในตอนนั้นเขาไม่เคยนึกถึงความยากลำบากของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งตัวเองตกที่นั่งลำบาก ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน...สุดท้ายก็หน้าด้านมาพึ่งเลกับลูก

เขาหยิบกรอบรูปที่วางบนโต๊ะของไอ้พร้าวขึ้นมาดู เป็นรูปเลกำลังอุ้มไอ้พร้าวตอนเป็นทารก มันเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นตัวเองอายุราวๆ ห้าเดือน เลเองก็เพิ่งจะสิบหกย่างสิบเจ็ดปี คงลำบากกันไม่น้อยกว่าจะมาถึงวันนี้ เสียดายที่ตัวเขาทิ้งวันเวลาดีๆ ในตอนนั้นไป ไม่ได้เห็นลูกชายตัวน้อยค่อยๆ เติบโตทีละนิดๆ

“ยังไม่นอนอีกหรือ” น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้พัทธ์เงยหน้ามอง เป็นเลที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

“คนอย่างผมไม่น่ามีความสุขได้” ดวงตาของพัทธ์พร่ามัว น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมันออก “แต่...ตั้งแต่ที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่มีความสุข ได้มาอยู่ใกล้ลูก ได้ดูแลลูก มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับคนอย่างผม...ผมไม่สมควรได้รับมันใช่ไหม”

“จากนี้ไปเอ็งจะมีความสุขมากกว่านี้อีก” น้ำเสียงหนักแน่นและแววตาที่จริงใจเป็นสิ่งที่เลแสดงออกมา รู้ว่ามันไม่ใช่คำปลอบใจที่ดี ไม่มีอ้อมกอดที่อบอุ่นหรือจูบที่อ่อนโยน แต่เป็นสิ่งที่มาจากใจของเขาจริงๆ

แม้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายและมีความรู้สึกดีๆ กับพัทธ์ แต่เลกลับไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างไร หากปฏิบัติอย่างอ่อนโยนทะนุถนอมราวกับอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง จะเป็นการดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของพัทธ์หรือเปล่า แต่หากทำตัวแข็งกระด้างเหมือนอย่างเคย...พัทธ์จะรับรู้ความรู้สึกของเขาหรือ

“ขอบคุณ” พัทธ์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มมองกรอบรูปในมือ มองเด็กหนุ่มและทารกในรูปที่ตอนนี้กลายเป็นทั้งชีวิตของเขาไปแล้ว “ถ้าวันนั้นผมไม่มีคุณ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไง อาจจะเร่ร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะตายไปแล้วก็ได้” พัทธ์เงยหน้ามองเลด้วยความรู้สึกขอบคุณ

“จะคิดถึงมันทำไม ไม่ว่าวันนั้นหรือวันนี้เอ็งก็มีข้า ตอนนี้เอ็งก็อยู่ที่บ้านข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่ยอมให้เอ็งตายหรอก” คำพูดไม่หวานหู แต่พัทธ์กลับยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ฟัง

เลรู้สึกประหม่าขึ้นมาเมื่อทบทวนสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป ทั้งที่ไม่มีคำไหนสื่อถึงคำว่า ‘รัก’ แต่กลับมีความหมายมากกว่านั้น

ไอ้พร้าวตื่นขึ้นมาในช่วงสาย ทั้งห้องมีเพียงเสียงแอร์ดังเบาๆ ไร้ร่างของผู้เป็นเจ้าของห้อง มันลุกขึ้นเก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วเปิดผ้าม่านในห้องนอน วิวจากนอกหน้าต่างสะกดให้มันยืนมองอยู่นานเพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

คอนโดแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และห้องนี้อยู่ชั้นสิบห้าทำให้มองเห็นความวุ่นวายจากเบื้องล่าง ทั้งรถที่สัญจรไปมา รถไฟฟ้า และตึกสูงเสียดฟ้า ดูแออัดทุกตารางนิ้วแต่กลับมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินสำรวจห้องอีกรอบ ในห้องครัวมีหม้อข้าวต้มน่าทานตั้งอยู่บนเตา ส่วนห้องนั่งเล่นมีโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก

‘ใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าของพี่ไปก่อนนะ วันเสาร์จะพาไปซื้อใหม่

อยู่ในห้องอย่าออกไปไหนนะครับ มีอะไรหรืออยากได้อะไรโทรบอกพี่ได้เลย’

ไอ้พร้าวอ่านข้อความบนกระดาษโน้ตก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ภาพหน้าจอเป็นรูปถ่ายจากไวนิลที่น้าเลของมันทำโปรโมทชื่อร้านเมื่อหลายปีก่อน มันใส่ชุดนักเรียนประถมยิ้มแป้น ในมือถือเกียรติบัตรที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์ระดับจังหวัด

มันยู่หน้าอย่างไม่ชอบใจนัก ในสายตาของธันวามันยังคงเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่น่ารักเสมอ ทั้งที่มันโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว อีกทั้งยังมีนิสัยหยาบกระด้าง แต่...ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี ธันวาก็ยังคงเป็นพี่ธันคนเดิมของมัน

ไอ้พร้าวใช้เวลาทั้งวันกับการนั่งเหม่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น แม้จะใจเย็นลงมากแล้ว แต่มันยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าพัทธ์ ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนสถานะจากลุงพัทธ์เป็นพ่อพัทธ์

...มันต้องการเวลาอีกสักพัก

แก๊ก! ธันวาขมวดคิ้ว ใช้มือคลำผนังเพื่อเปิดสวิตช์ไฟ

“ทำไมไม่เปิดไฟล่ะครับ” เขาเดินเข้าไปหาไอ้พร้าวที่นั่งอยู่บนโซฟา มันยังคงนั่งนิ่ง ไม่ตอบคำถาม “ทานอะไรหรือยัง พี่ลืมบอกว่าของกินอยู่ในตู้เย็น เอามาเวฟได้เลย”

ไอ้พร้าวส่ายหน้าตอบ ธันวารู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเขาทานข้าวเย็นมาจากข้างนอกแล้ว แต่ปล่อยให้มันทนหิว ตอนนี้ก็เกือบจะสามทุ่ม ไม่รู้ว่ากำลังรอเขาอยู่หรือเปล่า

“ใช้ไม่เป็น” ไอ้พร้าวตอบอ้อมแอ้ม มันเคยใช้แต่เตาแก๊สกับกาต้มน้ำ ส่วนเตาไฟฟ้าหรือไมโครเวฟไม่เคยใช้ อีกทั้งการที่ต้องมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ทำให้มันเกรงใจที่จะหยิบจับสิ่งของต่างๆ

“อา พี่ขอโทษ” ธันวายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง “เดี๋ยวพี่ทำให้นะ”

ก่อนที่เขาจะได้เดินไปที่ครัวก็ถูกไอ้พร้าวรั้งแขนไว้ “กินขนมอิ่มแล้ว” มันรีบบอก

“ไม่ได้ๆ ต้องทานข้าวเดี๋ยวจะปวดท้อง งั้นลุกขึ้น พี่จะสอนว่าใช้ยังไง”

สุดท้ายธันวาก็ลากไอ้พร้าวเข้ามาในครัวด้วย สอนมันใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็น มันพยักหน้าพร้อมส่งเสียงว่าเข้าใจแล้ว

“ทานให้หมดเลยนะครับ” ธันวาหุงข้าวและทอดไข่เจียวหมูสับให้ไอ้พร้าวทาน

“ทำไมพี่ไม่กิน” ไอ้พร้าวถามเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้ามัน

“ทานมาจากข้างนอกแล้วครับ เอาอย่างนี้ไหม วันไหนพี่กลับเร็วเราจะทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่ถ้าวันไหนพี่กลับช้าจะโทรบอกนะครับ”

“ยังไงก็ได้”

เมื่อไอ้พร้าวทานข้าวไปได้สักพักธันวาจึงขอตัวไปอาบน้ำ มันวางช้อนลงทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้าห้อง เพราะไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด

น็้็้H หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วธันวาเดินกลับมาที่ห้องครัว แต่เพื่อนร่วมห้องของเขาหายไป ในห้องนั่งเล่นก็ไม่มี...ใจของเขาเต้นรัว กลัวว่ามันจะหนีไป

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อหยิบกุญแจรถ ทว่าสองเท้าพลันชะงักเมื่อพบแผ่นหลังของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงห้องถัดจากห้องครัว

น้ำหนักที่วางลงบนหัวทำให้ไอ้พร้าวสะดุ้ง ธันวาวางปลายคางลงบนหัวของมัน สองมือจับขอบระเบียงไว้ราวกับต้องการใช้แขนกั้นไม่ให้มันหนีไปไหน อกกว้างที่แนบชิดแผ่นหลังทำให้ไอ้พร้าวรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย ความใกล้ชิดเช่นนี้ให้ความรู้สึกต่างออกไป หากเทียบกับความใกล้ชิดของมันกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน

มันไม่ได้รังเกียจ...เพียงแค่ไม่ชอบ

“ชู่ อยู่เฉยๆ นะเด็กดี” ธันวาพูดขึ้นเมื่อไอ้พร้าวเริ่มพยศ เขาอยากอยู่อย่างนี้สักพัก

เมื่อครู่เขาแทบคุมสติตัวเองไม่ได้ หากมันหายไป เขาจะไปตามหาที่ไหน หากมันเป็นอะไรไป เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต มันเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตของเขา...คงจะเหมือนน้องชาย

ตอนที่อยู่ไกลกัน ไม่นึกห่วงเท่าตอนที่อยู่ใกล้ เพราะมั่นใจว่าเลและพัทธ์สามารถดูแลมันได้ดี แต่พอมันมาอยู่ด้วย เขากลับกังวลเสียยิ่งกว่าอะไร

...หากมันอยู่ในสายตาตลอดเวลา เขาคงคลายกังวลได้

“เป็นอะไร” ไอ้พร้าวถามเสียงห้วน

“นึกว่าหายไปไหน”

“แล้วมีที่ไหนให้ไปล่ะ” มันยอมอยู่นิ่ง ไม่ขืนตัวออกเหมือนตอนแรก

ธันวาส่ายหน้า “มีแค่บ้านพี่นี่แหละ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่มของมันที่ยาวจนครูฝ่ายปกครองวิ่งไล่ตาม

จากนั้นต่างคนต่างเงียบ ไอ้พร้าวเริ่มเมื่อยเพราะยืนเกร็งมาได้สักพัก ในเมื่อธันวาไม่ยอมปล่อย มันจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ เอนตัวพิงแผ่นอกของอีกฝ่าย

ธันวาอมยิ้ม “พรุ่งนี้ไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ดีไหม เครื่องเก่าพี่มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชอบค้างบ่อยๆ”

“ไม่เอา ไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้ว แค่เปลี่ยนรูปหน้าจอก็โอเคละ” ไอ้พร้าวเปลี่ยนรูปหน้าจอตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ธันวาหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ว่ามันต้องไม่ชอบใจแน่ๆ หากตั้งรูปนั้นเป็นรูปหน้าจอ

“ไม่โทรหาแฟนหรือ นางนพมาศของพร้าวจะโกรธเอานะ”

“เลิกไปตั้งนานละ” มันตอบอย่างไม่แยแส

“หือ เพิ่งคบไม่ใช่หรือ อ้อ ลืมไปว่าเดี๋ยวก็มีเทพีสงกรานต์คนใหม่แล้ว” ธันวาแกล้งหยอกมันเล่นอย่างนึกสนุก

ไอ้พร้าวเขย่งปลายเท้าเพื่อให้หัวกระแทกปลายคางของธันวา แม้จะไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตกใจได้

“ถ้าพี่กรามหักจะทำยังไงครับ เรานี่ชอบเล่นแรงจริงๆ” ธันวาว่าอย่างไม่จริงจังนัก

จากนั้นก็เงียบกันอีกรอบ ลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาทำให้ไอ้พร้าวรู้สึกสบายใจ แต่สู้ลมที่บ้านของมันไม่ได้เลยสักนิด...คิดถึงเสียงคลื่น ทะเล และชายหาด อีกทั้งเลและพัทธ์ที่ป่านนี้คงกำลังเป็นห่วงมัน

“ทำไมหนีออกมาอย่างนี้ล่ะครับ พี่เลกับพี่พัทธ์เป็นห่วงมากเลยรู้ไหม” ธันวาตัดสินใจถามออกไป หากมันไม่ตอบ เขาก็ไม่เซ้าซี้

“ผมคงมารบกวนพี่”

“พี่ยังไม่ได้พูดเลย พร้าวจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้...เสาร์นี้ไปเที่ยวกันไหม อยากไปไหน”

“ไม่รู้ ตามใจพี่เลย” แสงไฟจากท้องถนนดูสวยงามจนมันไม่อาจละสายตาได้

“อืม...ไปสวนสนุกกันไหมครับ เคยไปหรือยัง”

ไอ้พร้าวส่ายหน้าตอบ “ไม่เคย แถวบ้านไม่มี”

“อยากไปไหม พี่จะพาไป”

“แล้วแต่” มันเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบออกมา

ธันวาชักจะรู้สึกหมั่นไส้ไอ้พร้าวขึ้นมาจึงกดปลายคางขยี้ลงบนหัวอีกฝ่ายแรงๆ มันร้องโวยวายดิ้นไปมาจนเขาต้องยอมปล่อย ไอ้พร้าวทำหน้ามุ่ย ลูบหัวตัวเองป้อยๆ แล้วเดินหนีเข้าห้อง

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:23:06 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

เช้าวันเสาร์ไอ้พร้าวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยความตื่นเต้น มันลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าสำหรับทานสองคนอย่างอารมณ์ดี ผ่านมาห้าวันแล้วที่มาอยู่คอนโดของธันวา มันไม่เคยได้ออกไปจากห้องนี้เลยสักครั้งเพราะธันวาเป็นห่วง มันไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลจึงยอมอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน แม้จะรู้สึกเบื่อและอึดอัดก็ตามที

“ตื่นนานแล้วหรือครับ” ธันวาเดินงัวเงียออกมาจากห้อง

“ทำข้าวต้มเสร็จแล้ว” ไอ้พร้าวชี้ไปที่หม้อข้าวต้มเพื่อสื่อว่าตัวเองตื่นนานแล้วจนทำข้าวต้มเสร็จ

เขายิ้มรับคำตอบกวนๆ นั่น “งั้นพี่อาบน้ำก่อน เดี๋ยวมาทาน”

ธันวามองตัวเองในกระจก รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าทำให้เขาต้องตีหน้านิ่งในทันที ตั้งแต่ไอ้พร้าวมาอยู่ด้วย เขามักจะมีรอยยิ้มในตอนเช้าแบบนี้เสมอ บรรยากาศดูหวานแหววเสียจนรู้สึกขนลุก พอหลายวันเข้าก็เริ่มตั้งคำถามว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน แล้วไอ้พร้าวจะรู้สึกแบบเดียวกับเขาหรือเปล่า

เมื่อพร้อมแล้วทั้งสองคนจึงออกจากห้องในช่วงสาย ธันวาไม่ลืมที่จะเป็นไกด์ให้ไอ้พร้าว เริ่มอธิบายตั้งแต่ลิฟต์ในคอนโด ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ไปจนถึงป้ายรถเมล์ แม้จะเป็นกังวลไม่น้อย กลัวว่ามันจะหลงทาง หรือถูกคนไม่ดีรังแก แต่เขาต้องปล่อยให้มันได้ลองใช้ชีวิตในเมืองกรุง ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่ง

“ใกล้จะถึงแล้วนะครับ” ธันวายิ้มเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของไอ้พร้าว นี่หรือเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี ไม่ต่างจากเด็กสิบขวบที่เขาเจอในครั้งแรกเลยสักนิด

เมื่อเข้าไปในสวนสนุก ธันวาจึงรู้ว่าตัวเองแก่เกินไปสำหรับสถานที่แห่งนี้ ต่างจากไอ้พร้าวที่ตาเป็นประกาย ตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ รอบตัว

เครื่องเล่นชนิดแรกที่ไอ้พร้าวเลือกคือเฮอร์ริเคน แต่มันกระดากที่ต้องเล่นคนเดียว ธันวาจึงต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับเครื่องเล่นชนิดนี้ด้วย ไอ้พร้าวตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าเครื่องเล่นเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ พอเครื่องเล่นตีลังกากลางอากาศในรอบแรก ธันวาก็รู้สึกเหมือนข้าวต้มที่ทานเมื่อเช้ามาจุกอยู่ที่ลำคอ แต่ไอ้เด็กข้างๆ กลับส่งเสียงร้องอย่างชอบใจ

ธันวาพยายามเดินตัวตรงเมื่อลงจากเครื่องเล่น หัวใจของเขายังคงเต้นแรงจนรู้สึกเหนื่อยราวกับใช้แรงงานในไร่มาทั้งวัน เขาเวียนหัว ตาลาย และอยากจะอาเจียน

“พี่ธันเป็นอะไรหรือเปล่า” ไอ้พร้าวมีสีหน้ากังวล

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ พี่ขอนั่งพักแป๊บหนึ่ง” มันประคองธันวาไปที่ม้านั่ง แล้วเดินไปซื้อน้ำเปล่ามาให้ดื่ม

“กลับบ้านไหม” ไอ้พร้าวเป็นห่วงพี่ธันของมันจนไม่อยากเล่นเครื่องเล่นอีกแล้ว

“ไม่ต้องห่วงพี่หรอกครับ แค่มึนๆ พร้าวอยากเล่นอะไรต่อ” ธันวาแสร้งทำตัวกระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะเล่นเครื่องเล่นชนิดใหม่

“อยากเล่น อืม...อันนี้ๆ สกายโคสเตอร์” ไอ้พร้าวชี้ที่แผ่นพับ

ธันวาสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนนี้เขาอยากให้มันเลือกม้าหมุนหรือรถคุณปู่มากกว่า “อา ไปกันเถอะครับ น่าสนุกดีนะ” เขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ รู้สึกลำคอแห้งผากทั้งที่เพิ่งจะดื่มน้ำไปเมื่อครู่ จนต้องแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

เหมือนเจ้าเครื่องเล่นชนิดนี้จะเป็นที่โปรดปรานของไอ้พร้าว ส่วนธันวานั้นยกธงขาว เขาคงแก่เกินไปสำหรับเครื่องเล่นเหล่านี้ ผู้ชายอายุย่างยี่สิบเจ็ดปีอย่างเขากับเครื่องเล่นโลดโผนคงไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ ธันวาจึงนั่งรอไอ้พร้าวเล่นเครื่องเล่นชนิดต่างๆ และถ่ายรูปส่งไปให้เลดูในแอปพลิเคชันแชทที่แนะนำให้อีกฝ่ายโหลดมาเล่น

รอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขของไอ้พร้าวทำให้เลและพัทธ์ยิ้มตาม แม้จะคิดถึงมากแค่ไหน แต่พวกเขาต้องให้เวลามัน ทั้งสองคลายกังวลไปมากเมื่อรู้ว่ามันอยู่กับธันวา เพราะรู้ดีว่าธันวาจะดูแลมันได้ดีไม่ต่างจากพวกเขา

“หิวหรือยังครับ”

“ไม่ค่อยหิว”

“แต่พี่หิวแล้วครับ”

ธันวาลากไอ้เด็กดื้อไปทานข้าวเที่ยง ไอ้พร้าวพูดไม่หยุดในระหว่างทานข้าว มันเล่าถึงเครื่องเล่นชนิดต่างๆ ที่ได้เล่นด้วยท่าทางราวกับเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับของเล่นชิ้นใหม่ เขาจึงเป็นผู้ฟังที่ดี ยิ้มและหัวเราะไปกับมัน

“ตอนขึ้นเรือที่มันเรียกว่าไวกิ้งส์นะ หนูก็ขึ้นไปนั่งตรงท้ายสุด พอมันขึ้นไปสูงๆ ตัวหนูลอยจากที่นั่งเลย โคตรกลัวตก แต่อันนี้ไม่น่ากลัวเท่าเฮอร์ริเคน”

ธันวาชะงักมือที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะทำตัวปกติ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะไอ้พร้าวเผลอแทนตัวเองว่า ‘หนู’ อย่างที่มันเคยพูดกับเขาเหมือนเมื่อก่อน

กว่าไอ้พร้าวจะเล่นเครื่องเล่นชนิดต่างๆ อย่างละสองสามรอบเสร็จ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ธันวามองเด็กหนุ่มที่หลับไปด้วยความอ่อนเพลียระหว่างนั่งรถกลับคอนโด รถที่ติดยาวเหยียดไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียเลยแม้แต่น้อย เพราะการได้มองใบหน้ายามหลับของไอ้พร้าวทำให้เขายิ้มได้

ธันวายื่นมือไปเกลี่ยผมสีน้ำเงินบริเวณหน้าผากของไอ้พร้าว จากนั้นลากปลายนิ้วไปตามโครงหน้าของมัน...เขาอยากจะวาดมันลงกระดาษ

ปี๊ด! เสียงแตรจากรถคันหลังทำให้เขาหลุดจากภวังค์

“มีอะไร” ไอ้พร้าวสะดุ้งตื่น ถามด้วยเสียงงัวเงีย

“เปล่าครับ นอนต่อเถอะ ถึงแล้วพี่จะปลุก” ธันวายื่นมือข้างที่ว่างลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ มันส่งเสียงในลำคอก่อนจะพลิกตัวหนีไปอีกด้าน

เช้าวันรุ่งขึ้น ธันวารู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ขยับตัวทีก็แสนจะทรมาน ไอ้พร้าวเองก็ไม่ต่างกัน มันนอนเล่นโทรศัพท์มือถือบนเตียงเงียบๆ ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะเห็นมันนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่น เมื่อมันเห็นว่าเขาตื่นแล้วก็ลุกจากที่นอนพร้อมเสียงครางเบาๆ ยามขยับตัว

“เจ็บมากไหม พี่จะพาไปหาหมอ” ธันวานอนมองไอ้พร้าวเดินไปทางห้องน้ำ

“แค่ปวดตัวนิดหน่อย แล้วก็คอเคล็ดเฉยๆ” มันเอียงคอไปมา

“ไหวแน่นะ ถ้าเป็นไข้ขึ้นมาจะแย่เอานะครับ”

“สบายมาก ให้เต้นแอโรบิคยังได้ นี่ๆ” มันไม่พูดเปล่ายังแกว่งแขนไปมาสลับกับส่ายเอว แล้วยักคิ้วหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ

ตลอดทั้งวันธันวาต้องกลั้นหัวเราะกับท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ของไอ้พร้าว มันพยายามตีหน้านิ่งไม่แสดงอาการเจ็บออกมา มีบ้างที่หลุดสบถคำหยาบยามขยับตัว แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมทานยาที่เขาหามาให้ สุดท้ายไอ้พร้าวก็มีไข้ตัวร้อนจนต้องพาไปหาหมอกลางดึก ธันวาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเลเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเป็นห่วงหลานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

“พี่ไปทำงานก่อนนะครับ อย่าลืมทานข้าวทานยาล่ะ ตอนเที่ยงพี่จะโทรหานะ” ธันวาบอกคนที่ฝืนตัวเองลุกนั่งสะลึมสะลือบนเตียง ไอ้พร้าวพยักหน้ารับทั้งที่ยังหลับตา

“เฮ้อ ไม่อยากไปทำงานเลย” เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอย่างนี้ แม้ไอ้พร้าวจะไม่มีไข้แล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้

“หายแล้วเหอะ” มันพูดเสียงแหบแห้ง ปรือตาขึ้นมองคนตรงหน้า

ธันวาถอนหายใจอีกรอบก่อนจะนั่งลงบนเตียงชิดตัวคนป่วย ฝ่ามืออุ่นทาบลงบนแก้มของไอ้พร้าวอย่างทะนุถนอม มันเอียงหน้าซบอย่างเคลิบเคลิ้มราวกับลูกแมวน้อย ธันวามองด้วยสายตาเอ็นดู เวลาที่ไอ้พร้าวไม่สบายช่างออดอ้อนเสียจริง

เขาอยากจะ...ฝังจมูกลงบนแก้มของมัน หากมันเป็นเด็กน้อยเมื่อวันวาน เขาคงทำไปแล้ว

“ดูแลตัวเองนะครับ” สุดท้ายก็ตัดใจทิ้งโอกาสนี้ไป รู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก...เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ



ไอ้ปืนกำลังอดข้าวประท้วงแม่ของมัน มันอยากไปอยู่กรุงเทพเหมือนอย่างไอ้พร้าว ยิ่งได้คุยกับไอ้พร้าว มันก็ยิ่งอยากไป มันอยากไปเป็นหนุ่มเมืองกรุง หากได้ไปอยู่คงเท่ไม่เบา

“ไอ้ปืน เอ็งจะกินหรือไม่กิน” ติ๋มกอดอก จ้องลูกชายเขม็ง

“หนูอยากไปกรุงเทพ”

“เอ็งจะไปทำไม พ่อแม่เอ็งอยู่นั่นเหรอะ!” ติ๋มเริ่มหมดความอดทน

“มีอะไรหรือพี่ ไอ้ปืนเป็นอะไร” เลเดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาพอดี ในมือถือกล่องอาหารที่ใส่สาคูไส้หมู

“ไอ้นี่มันงอแงอยากจะไปกรุงเทพกับไอ้พร้าว พี่ละรำคาญมันเต็มทน”

“เอ็งจะไปกรุงเทพทำไมล่ะไอ้ปืน ที่กรุงเทพมันมีอะไร” เลนั่งลงตรงข้ามมัน เขาเองก็อยากรู้ว่ากรุงเทพมีอะไรให้น่าไป

“ก็ไอ้พร้าวไงน้าเล มันเล่าตอนไปสวนสนุกให้ฟัง หนูอยากไปบ้าง”

“เอ็งอายุเท่าไหร่แล้ว สวนสนุกเขาให้แต่เด็กๆ เล่นไม่ใช่เหรอะ” หากพูดถึงสวนสนุก สำหรับเลแล้วมีแต่ภาพม้าหมุนและชิงช้าสวรรค์ เครื่องเล่นในสวนสนุกคงไม่ต่างจากเครื่องเล่นในงานวัด จะต่างกันแค่สวนสนุกมีตุ๊กตาตัวโตเรียกว่ามาสคอตที่ไอ้พร้าวถ่ายรูปด้วย

“โห่ น้าเลอะ ไม่รู้เรื่อง” ไอ้ปืนทำปากเบ้

“อ้าว ไอ้ห่านี่” เลอยากตบกบาลมันแรงๆ สักหนึ่งที

“หนูจะไปอะ หนูจะไป ถ้าไม่ให้ไป หนูจะหนีไปแบบไอ้พร้าว” ไอ้ปืนงอแงราวกับเด็กเจ็ดขวบ ติ๋มได้แต่ส่ายหน้า อยากจะปล่อยมันไปแต่ความเป็นห่วงมีมากกว่า

“เออๆ ข้าขอคิดดูก่อน เอ็งก็กินข้าวได้แล้ว”

ไอ้ปืนหยุดบีบน้ำตาทันที แววตาของมันเป็นประกายอย่างมีหวัง “พูดแล้วห้ามคืนคำนะแม่” มันหรี่ตามองผู้เป็นแม่อย่างจับผิด ติ๋มพยักหน้าก่อนจะเดินไปที่เค้าเตอร์ เลรู้สึกแปลกใจจึงเดินตาม

“ทำไมพี่ยอมง่ายแบบนี้ แล้วจะให้มันไปอยู่กับใคร” เลถามเสียงเบา เหลือบมองไอ้ปืนที่กำลังทานข้าวอย่างมีความสุข

“ก็ไม่รู้จะทำยังไง” ติ๋มถอนหายใจ “เลี้ยงคู่กับไอ้พร้าวมาตั้งแต่เกิด เอ็งก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นคนยังไง...ส่งมันไปเองดีกว่าให้มันหนีไป ข้าก็คงให้มันไปอยู่กับพี่ตุ้ยที่อู่ซ่อมรถแหละ”

“อ้อ ผมก็ลืมไปเลยว่าพี่ตุ้ยอยู่กรุงเทพ”

“แล้วเอ็งล่ะ ไม่อยากขึ้นกรุงเทพไปหามันเหรอะ มันไปอยู่ตั้งสองอาทิตย์แล้ว คิดถึงมากไหม” ติ๋มจ้องหน้าเล เธอเข้าใจหัวอกของคนเลี้ยงลูกหลานมาตั้งแต่เกิดเป็นอย่างดี

“ก็คิดถึงมันตลอดเวลาแหละพี่ แต่ต้องให้เวลามันหน่อย มันพร้อมเมื่อไหร่คงกลับมาเอง”

“แล้วพ่อมันล่ะ คงใจเสียเลยสิที่ลูกหนีไป”

“พัทธ์มันก็เหมือนผม พอรู้ว่าไอ้พร้าวอยู่กับไอ้ธันก็สบายใจขึ้นเยอะ แต่ยังโทษตัวเองอยู่ทุกวัน พี่ก็รู้ก็เห็นว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เลหลบสายตาเมื่อพูดถึงอีกคน

“อืม ข้าเข้าใจ แล้วเอ็งกับมันล่ะ” ติ๋มแสร้งถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

“อะไรพี่” เลมีท่าทีร้อนตัว

“เอ็งกับไอ้พัทธ์จะเอายังไงต่อ หลานรู้เรื่องไหม”

“รู้อะไร ก็ไม่มีอะไร เออ ถามอะไรแปลกๆ” เลพูดอย่างหงุดหงิด วางกล่องสาคูไส้หมูลงตรงหน้าแม่ของไอ้ปืน “อะ เอามาให้ ไปละ”

“เอาที่เอ็งสบายใจ ข้ามีตาทิพย์นะเว้ยจะบอกให้” ติ๋มตะโกนไล่หลังคนที่เดินหนีไปดื้อๆ ถึงเธอจะไม่ค่อยได้เจอพัทธ์แต่ก็พอจะรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ



ไอ้พร้าวยิ้มอย่างอารมณ์ดีหลังจากได้โทรคุยกับไอ้ปืน เพื่อนรักของมันบอกว่าอีกสามวันจะขึ้นมากรุงเทพ หากไอ้ปืนมา มันคงไม่เหงาอีกต่อไป แถมลุงของไอ้ปืนมีอู่ซ่อมรถด้วย มันจะไปเล่นกับไอ้ปืนที่อู่ทุกวัน เพียงแค่คิดก็ตื่นเต้นจนอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ

ครืด ครืด...มีสายเรียกเข้าจากธันวา มันรีบกดรับทันที

“ฮัลโหล พี่ธัน”

“พร้าว วันนี้พี่กลับดึกนะ ทานข้าวเลยไม่ต้องรอ” ธันวายกมือทักเจที่เพิ่งมาถึงร้าน

“อืม ได้ๆ” ไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะกลับดึก แต่ไม่เกินห้าทุ่มก็กลับมา

“นอนเลยนะครับ ไม่ต้องรอ”

“ไม่เคยรอเหอะ แค่ยังไม่นอน” ไอ้พร้าวทำเสียงหงุดหงิด แก้ตัวน้ำขุ่นๆ

ธันวาหัวเราะ “ครับๆ ไม่รอก็ไม่รอ กับข้าวอยู่ในตู้เย็นนะ เอาออกมาเวฟได้เลย...อ้อ มีไอศกรีมอยู่ในช่องฟรีซด้วย กินได้เลย แต่อย่ากินมากล่ะเดี๋ยวจะปวดท้อง แล้วอย่านอนดึกนะครับเด็กดี”

“รู้แล้วน่า พูดมากเป็นคนแก่ไปได้ น่ารำคาญ” มันยู่หน้าด้วยความไม่พอใจ ธันวามักจู้จี้จุกจิกเหมือนมันเป็นเด็กไม่รู้ภาษา

ไอ้พร้าวมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ เที่ยงคืนแล้วแต่ธันวายังไม่กลับมา มันไม่สามารถข่มตานอนหลับได้...เป็นห่วงงั้นหรือ คงเป็นปกติของคนที่อยู่ด้วยกันทุกวันละมั้ง มันตัดสินใจลุกจากเตียงมานั่งดูโทรทัศน์แก้เบื่อ

มันไม่ได้รอ...เพียงแค่นอนไม่หลับ

เสียงกุกกักดังมาจากหน้าประตู ไอ้พร้าวรีบวิ่งไปยืนรอทันที แต่รออยู่นานคนข้างนอกก็ยังไม่เปิดประตูเข้ามาเสียที จึงส่องที่ช่องตาแมวประตูเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นธันวา...เป็นธันวาจริงๆ กับผู้ชายอีกคน

แก๊ก! ไอ้พร้าวเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นตกใจก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ

“น้องพร้าวใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายถาม สองแขนกำลังประคองธันวาที่เมาไม่ได้สติ

“ครับ” มันมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็ยอมให้เข้ามาในห้อง และช่วยประคองธันวาไปนอนบนโซฟา

“พี่ชื่อเจนะ เป็นเพื่อนไอ้ธันครับ นานๆ ทีนัดเจอมันเลยแกล้งมอมเหล้า พวกพี่ก็ลืมไปเลยว่าพร้าวมาอยู่ด้วย...เหม็นไปทั่วห้องเลย” เจรู้สึกละอายใจ

“ไม่มีปัญหาครับ ผมอยู่ได้” สำหรับไอ้พร้าวแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ มันเองก็เมาหัวราน้ำกับเพื่อนบ่อยๆ

“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ ถ้ามันอ้วกก็ปล่อยให้นอนจมกองอ้วกไปเลย ไม่ต้องสนใจมันหรอก” เจว่าอย่างขำๆ พลางมองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา...วันนี้ได้มาเจอน้องพร้าวของไอ้ธันตัวเป็นๆ ถือเป็นบุญตาของเขา เห็นมันหวงนักหวงหนา แม้แต่รูปถ่ายยังไม่ยอมให้ดู

โชคดีจริงๆ เขาจะได้เอาไปล้อธันวาให้หัวเสียเล่นว่าเลี้ยงต้อยเด็กตั้งแต่ฟันน้ำนมยังไม่ร่วงจนโตเป็นหนุ่มหล่อ

หลังจากที่เจกลับไปแล้ว ไอ้พร้าวได้แต่ยืนมองธันวาที่กำลังบ่นพึมพำเบาๆ อย่างไม่ได้สติ มันควรดูแลคนเมาอย่างไร มันไม่เคยทำ เวลาที่เพื่อนเมา มันก็ปล่อยทิ้งไว้ให้ตื่นและสร่างเมาเอง

ไอ้พร้าวลูบปลายคางอย่างครุ่นคิดว่าควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเหมือนอย่างในละครดีหรือไม่

“อื้อ ร้อน” ธันวาดึงทึ้งเสื้อตัวเอง ขยับตัวไปมาจนกลิ้งตกจากโซฟาลงมานอนที่พื้น

“เฮ้ย!” มันรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“อือ น้ำ ขอน้ำหน่อยซิวะ” คนเมาร้องขอ ไอ้พร้าวยืนเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้

“พี่ธัน อะนี่น้ำ เออ...แล้วจะให้กินยังไงวะ” ไอ้พร้าวตัดสินใจวางแก้วน้ำลงบนพื้นแล้วพยุงธันวาให้ลุกขึ้นนั่ง แต่อีกฝ่ายปัดป่ายมือไปทั่ว ไม่ยอมลุกขึ้นง่ายๆ จนมันนั่งเหนื่อยหอบ

“ไม่ลุกก็ไม่ต้องกิน” มันว่าอย่างหงุดหงิด ธันวาหรี่ตามองมันก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

“อ้าว ลุกเองก็ได้นี่ ทำไมไม่ลุกตั้งแต่แรก”

ไอ้พร้าวยื่นมือหมายจะหยิบแก้วน้ำ แต่ถูกธันวาคว้าหมับที่ข้อมือ มันเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวท้ายทอยก็ถูกดันให้เข้าไปใกล้ใบหน้าอีกฝ่ายก่อนริมฝีปากจะถูกครอบครอง...

ธันวากำลัง ‘จูบ’ มัน!

ดวงตาของไอ้พร้าวเบิกกว้างด้วยความตกใจ มันพยายามขืนตัวออกห่างแต่ถูกอีกฝ่ายล็อกท้ายทอยไว้แน่น ธันวาโน้มใบหน้าเข้ามาบดเบียดริมฝีปากให้แนบชิดยิ่งขึ้นเพื่อให้มันเปิดปาก ไอ้พร้าวไม่อาจต้านแรงของคนที่โตกว่าได้ สองมือที่ดันแผ่นอกของธันวาจึงเปลี่ยนมาค้ำพื้นแทนเพื่อรับน้ำหนักของสองคน

คงไม่ดีแน่หากถูกกดให้นอนลงกับพื้น...มันไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:24:01 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 9 (Part 2)


ไอ้พร้าวรวบรวมแรงฮึดสุดท้ายเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง มันตื่นตระหนกเกินกว่าจะควบคุมตัวเองได้ สองแขนผลักสองเท้าถีบ ทำอยู่อย่างนั้นแม้จะสัมผัสได้เพียงอากาศ แก้วน้ำที่วางอยู่ถูกปัดกลิ้งไปอีกทาง ทิ้งแอ่งน้ำเล็กๆ ให้ไอ้พร้าวลื่นไถลอย่างน่าสงสาร

ธันวาเสียหลักล้มหน้าคว่ำแต่ยังคว้าข้อเท้าไอ้พร้าวไว้ได้ ออกแรงดึงเพียงนิดเดียวอีกฝ่ายก็ล้มลงนอนกับพื้น เขาเริ่มหัวเสียเมื่อมันไม่ยอมอยู่นิ่ง...ไอ้พร้าวถูกจับพลิกตัวนอนคว่ำ ข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบตรึงไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียวของธันวา แรงกดทับที่ต้นขาทำให้ไม่สามารถขยับช่วงล่างได้ ยิ่งมันดิ้นคนบนร่างก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักตัวลงมา

ไอ้พร้าวกลัวจนตัวสั่น สัญชาตญาณบอกว่ามันกำลังตกอยู่ในอันตราย ขนทั่วร่างลุกชันคงเพราะแอร์ที่เย็บเฉียบปะทะเข้ากับความเปียกชุ่มของเสื้อที่สวมอยู่...ไม่มีเวลาให้มันได้หาเหตุผลอื่น ธันวาดึงกางเกงผ้ายืดขาสั้นของมันลงพร้อมชั้นใน อีกฝ่ายไม่ได้ถอดออกเพียงแค่ดึงลงให้พ้นสะโพกเท่านั้น

ชายหนุ่มลากริมฝีปากจากใบหูไปท้ายทอยของคนใต้ร่างที่นอนหอบหายใจอย่างหมดแรง พรมจูบแผ่นหลังผ่านเสื้อยืดตัวบาง ใช้ฝ่ามือข้างที่ว่างลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกของอีกฝ่าย

ไอ้พร้าวไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับการเล้าโลมของธันวาเลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ความกลัวและเกลียดทุกสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ ยามที่มันดิ้นขัดขืนคนบนร่างจะขบกัดบริเวณที่ริมฝีปากกำลังลากผ่าน มันเจ็บจนน้ำตาคลอแต่ไม่มีเสียงขอร้องอ้อนวอนใดๆ หลุดออกมา มันเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อฝ่ามือข้างนั้นเคลื่อนจากหน้าท้องไปยังกึ่งกลางลำตัว

ธันวาชะงักไปครู่ก่อนจะบีบขย้ำตรงกึ่งกลางลำตัวของคนใต้ร่าง เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไอ้พร้าวได้ยินไม่ชัดว่าอีกฝ่ายพึมพำว่าอะไร จากนั้นธันวาก็ผละตัวออกห่าง ปล่อยให้มันเป็นอิสระ ไอ้พร้าวยังไม่ได้สติดีรีบคลานหนีเท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจกางเกงที่เลื่อนลงไปกองที่ข้อเท้า แขนขาของมันไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ มันพยายามพลิกตัวใช้แขนค้ำน้ำหนักให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน

ธันวาขมวดคิ้วไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้สัมผัส เขาอยากจะสัมผัสมันอีกรอบเพื่อให้แน่ใจ ไอ้พร้าวมองคนที่เดินโงนเงนเข้ามาใกล้ จุดกึ่งกลางลำตัวของอีกฝ่ายขยายตัวขึ้นจนคับแน่นกางเกง ธันวาหยุดยืนเพราะรู้สึกอึดอัดที่ตรงนั้น เขาปลดตะขอกางเกงแล้วรูดซิปลง

“กิ่ง” ดวงตาคมหรี่ลงเพื่อให้มองใบหน้าคนตรงหน้าชัดขึ้น

“กิ่งบ้าอะไร เห็นไหมนี่ นี่ๆ” ไอ้พร้าวโมโหขึ้นมา ลืมความกลัวเมื่อครู่ไปหมดสิ้น มันจับส่วนที่เหี่ยวไม่สู้มือบริเวณกึ่งกลางลำตัวของตัวเองให้อีกฝ่ายดู มันคิดไม่ถึงเลยว่าธันวาจะเมาจนไม่ได้สติคิดว่ามันเป็นผู้หญิง

“หือ” ธันวาเลิกคิ้ว นั่งคุกเข่าตรงหน้าไอ้พร้าว สายตาคนเมามักจะเบลอมองอะไรไม่ค่อยชัด เขาจึงก้มมองจนใบหน้าแทบจะชิดส่วนนั้นของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น “อ้าว มีเหมือนกัน” พูดหน้านิ่ง

ก่อนที่ธันวาจะได้จับส่วนนั้นของไอ้พร้าวอีกรอบก็ถูกมันชกเข้าที่ข้างแก้ม แม้จะไม่แรงมากนักแต่ก็ทำให้หน้าสะบัดและมึนงง เขานั่งนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเจ้าของหมัดด้วยแววตาเลื่อนลอย เพียงไม่กี่วินาทีใบหน้าของธันวาก็ฟุบลงตรงจุดกึ่งกลางลำตัวของอีกฝ่าย

ไอ้พร้าวตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับหรือผลักไส แต่ผ่านไปเป็นนาทีธันวาก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง มันจึงดันใบหน้าคนบนตักให้ออกห่างจากตรงนั้นอย่างเบามือ ธันวากลิ้งลงมานอนหงายหายใจสม่ำเสมอบนพื้น มันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วจริงๆ

“เมาแล้วบ้ากามฉิบหาย ปล่อยให้นอนแม่งตรงนี่แหละ” ไอ้พร้าวลุกขึ้นยืน ใช้หลังมือถูริมฝีปาก ไม่ลืมหยิบกางเกงและชั้นในของตัวเองติดมือเดินเข้าห้องนอนไปด้วย

“โอะ อูย เจ็บว่ะ” มันเจ็บไปทุกที่ที่ธันวาสัมผัส

ไอ้พร้าวยืนสำรวจร่างกายตัวเองหน้ากระจก มีรอยฟันหลายแห่งที่แผ่นหลังและรอยช้ำอีกหลายที่ หนักสุดคงเป็นข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกบีบแน่น ฝ่ามือ ข้อศอก และหัวเข่าถลอกเล็กน้อยจากการถูไถกับพื้น

เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกปวดแสบไปทั่วทั้งร่างเมื่อหยดน้ำจากฝักบัวกระทบผิวกาย มันทรุดฮวบลงกองกับพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบ แขนขาไร้เรี่ยวแรงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ทำไมพี่ธันของมันถึงได้น่ากลัวขนาดนี้...ไอ้พร้าวนั่งกอดเข่าฟุบหน้าลง มันยังจำทุกความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี



ความเย็นของพื้นห้องเป็นสัมผัสแรกที่ธันวารับรู้ได้ยามตื่นขึ้นมา เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ดวงตาคมมองไปรอบๆ จึงรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่น...เมื่อคืนเมาหนักถึงขนาดนอนบนพื้นเลยหรือ

“โอ๊ย ซี้ด” ร้องออกมาทันทีเมื่อลูบใบหน้าของตัวเอง “โดนอะไรมาวะ” เขายกฝ่ามือประคองแก้มข้างซ้าย ใช้ลิ้นสำรวจทั่วโพรงปากเพื่อให้แน่ใจว่าฟันยังอยู่ครบ

ธันวาชะงักเมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่กระดุมหลุดหายไปเหมือนถูกกระชาก จากนั้นมองต่ำลงไปจึงพบว่าซิปกางเกงถูกรูดลง คิ้วหนาขมวดเป็นปม พยายามนึกหาสาเหตุ เขาไม่ใช่คนที่เมาแล้วแก้ผ้าโชว์อนาจาร หรือจะเป็นคนอื่นทำ แต่กลับจำไม่ได้เลยว่าหิ้วใครขึ้นมาบนห้องเพราะภาพตัดไปตั้งแต่อยู่ที่ร้าน

ความทรงจำสุดท้ายของธันวาคือตอนยกแก้วยาดองที่น้องรหัสนำมาให้ลองขึ้นดื่ม รู้ตัวอีกทีก็นอนอยู่ในห้องแล้ว

“เฮ้อ” ได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อจำไม่ได้จะมาเสียเวลานั่งนึกอยู่ทำไม เขาบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน

แก๊กๆ ประตูถูกล็อกไว้ ผู้เป็นเจ้าของห้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้พร้าวล็อกประตูห้องนอน

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในความเงียบทำให้ไอ้พร้าวสะดุ้งตื่นทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงชั่วโมง มันกวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างตื่นตระหนก ความหวาดระแวงเพิ่มขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนต้นเหตุที่ทำให้มันต้องคอยมองไปที่ประตูห้องตลอดทั้งคืนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปิดเข้ามาทำมิดีมิร้ายกับตัวเอง

“พร้าว เปิดประตูให้พี่หน่อยครับ” น้ำเสียงของธันวาทำให้มันลังเล

“พร้าวครับ เอ...หรือยังไม่ตื่น” ธันวามองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลาเที่ยงครึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่ไอ้พร้าวจะยังหลับอยู่

“พร้าวเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ได้ยินพี่ไหม พร้าว”

แก๊ก...ไอ้พร้าวเปิดประตูห้องแล้วเดินถอยหลังสามก้าว มันจ้องธันวาด้วยสายตาหวาดระแวง อีกทั้งในมือยังถือโคมไฟตั้งโต๊ะ

ธันวามองด้วยความแปลกใจ เมื่อเขาเดินเข้าไปหนึ่งก้าว มันจะถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมเงื้อโคมไฟตั้งท่าจะฟาด จนเขาต้องถอยหลังกลับ

“เป็นอะไรไปครับ จะถือโคมไปไหน”

“จะ จะลองเอาไปเปิดที่ห้องนั่งเล่น” ไอ้พร้าวพูดตะกุกตะกัก ยอมลดมือที่ถือโคมไฟลง

“อ้อ ทานอะไรหรือยังจะเที่ยงแล้ว สั่งพิซซ่ามากินไหม” พอธันวาก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอน มันก็รีบวิ่งออกไปอยู่นอกห้อง

“มะ ไม่ จะไปกินร้านหน้าปากซอย”

“โอเคครับ งั้นพี่อาบน้ำก่อนละกัน ถ้าพร้าวหิวก็หาขนมกินรองท้องก่อนเลย”

ไอ้พร้าวยืนมองจนแน่ใจว่าธันวาเข้าห้องน้ำไปแล้วจึงถอนหายใจออกมา มือที่ถือโคมไฟยังสั่นอยู่ มันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง

ธันวาใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในการอาบน้ำ เขาพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืนอีกรอบเพราะท่าทีที่แปลกไปของไอ้พร้าว อีกทั้งอาการบวมช้ำที่แก้มด้านซ้ายของตัวเอง เมื่อคืนเขาไปมีเรื่องมางั้นหรือ...กับใครกัน

เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าทั้งห้องห้องเงียบกริบไม่มีเสียงโทรทัศน์เหมือนอย่างเคย จึงเดินเปลือยกายออกมาที่ห้องนั่งเล่น

ธันวายิ้มอย่างเอ็นดู มองคนที่นอนหลับปุ๋ยบนโซฟา “อะไรจะขี้เซาขนาดนี้” เห็นอีกฝ่ายกำลังหลับสบายจึงไม่อยากปลุก แต่จะให้นอนทั้งที่ในมือถือโคมไฟแบบนี้ไม่ได้

“ไปโดนอะไรมา ทำไมข้อมือช้ำแบบนี้” ธันวาขมวดคิ้วอย่างสงสัย ไล้ปลายนิ้วไปตามรอยช้ำก่อนจะดึงโคมไฟออกจากมือไอ้พร้าวอย่างเบามือ ทว่าอีกฝ่ายสะดุ้งตื่นเสียก่อน มันตกใจลุกขึ้นนั่ง เงื้อโคมไฟเตรียมจะฟาดมาที่เขา

“เฮ้ย!” ธันวาจับข้อมือของไอ้พร้าวไว้ได้ทัน

ไอ้พร้าวดิ้นไปมาจนโคมไฟหลุดจากมือตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น มันเบิกตากว้างเมื่อเห็นธันวาเปลือยกายล่อนจ้อน มันทั้งผลักทั้งถีบด้วยความตื่นตระหนก จนธันวาต้องยอมปล่อย เมื่อเป็นอิสระไอ้พร้าวจึงกระโดดข้ามโซฟาไปยืนอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว

“ใจเย็นๆ เป็นอะไรไปครับ” ธันวามองมือทั้งสองข้างของไอ้พร้าวที่สั่นเทา ท่าทางตื่นกลัวของมันทำให้เขาเป็นกังวล หากจะบอกว่ามันตกใจที่เห็นเขาเปลือยนั้นคงไม่ใช่ เพราะเขาชอบเดินเปลือยกายล่อนจ้อนไปมาในห้องเป็นปกติอยู่แล้ว

“หายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นๆ พี่ไม่ได้จะทำร้ายพร้าว” ธันวาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมชูฝ่ามือขึ้นระดับไหล่ ไอ้พร้าวยอมทำตามที่เขาบอก “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ไปอาบน้ำก่อนนะ” มันหลบตา รีบเดินเข้าไปในห้องนอน

ธันวามองชิ้นส่วนของโคมไฟที่แตกกระจาย หากเมื่อครู่เขาห้ามมันไว้ไม่ทัน หัวของเขาอาจจะแตกไปพร้อมกับโคมไฟนี้ เพียงแค่คิดก็สยดสยองแล้ว

ไม่มีเวลาให้คิดเรื่อยเปื่อย เขาต้องรีบเก็บกวาดตรงนี้ให้เรียบร้อย ถ้าไอ้พร้าวเผลอเหยียบเข้าจะแย่เอา แต่...อันดับแรกเขาควรหาผ้าขนหนูมาปิดส่วนที่ห้อยโตงเตงอุจาดตาจนเด็กหนุ่มร่วมห้องขวัญเสีย

หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยและแต่งตัวเสร็จ ธันวาไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นไปได้จึงกดโทรหาเจเพื่อถามถึงเรื่องเมื่อคืน

“ว่าไงมึง” คนปลายสายถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“ก็ไม่ไงหรอกมึง จนเที่ยงแล้วยังไม่ตื่นอีกหรือวะ”

“กว่ากูจะได้นอนก็เกือบเช้าแล้ว มึงโทรมามีอะไร”

“เมื่อคืนกูไปทะเลาะกับใครมาหรือเปล่าวะ ตื่นมาแก้มกูบวมเหมือนถูกต่อย เจ็บฉิบหาย” ธันวาพูดพลางลูบแก้มตัวเองเบาๆ

“ไม่มีนะ กูอยู่กับมึงตลอด”

“อ้าว หรือว่าหน้ากูไปกระแทกกับอะไร”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น มึงแดกเหล้าจนเมาแล้วก็หลับ”

ธันวาขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง “เกิดอะไรขึ้นวะ มันไม่มีอะไรจริงๆ หรือวะ” เขายังคงไม่เชื่อ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง แล้วเขาจะเจ็บตัวได้อย่างไร

“จริง กูรับประกันได้ แต่เออ...มึงว่ายาดองที่ไอ้ปิงน้องรหัสมึงเอามาให้ลอง มัน...แปลกๆ เปล่าวะ กูคึกเกือบทั้งคืนเลย” เจถามในสิ่งที่สงสัย

“กูว่าเฉยๆ นะ เมื่อคืนกูก็ไม่ได้หิ้วใครกลับห้อง”

“มึงจะหิ้วใครได้ กูนี่แหละหิ้วปีกมึงกลับห้อง” เจว่าอย่างหงุดหงิด

หลังวางสายจากเพื่อน ธันวาอดไม่ได้ที่จะสำรวจเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่เมื่อวาน แต่ไม่มีร่องรอยหรือคราบอะไรที่บ่งบอกว่าเขามีเซ็กซ์เมื่อคืน

ครืด ครืด...ธันวาล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง ชื่อที่โชว์บนหน้าจอทำให้เขายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง

“ว่าไงครับกิ่ง”

“กิ่งอยู่หน้าห้องแล้ว พี่ธันเปิดประตูให้หน่อย” ปลายสายพูดเสียงหวานที่มักทำให้ธันวาใจละลายอยู่เสมอ

“อา ได้ครับ รอแป็บนะ”

ธันวาเดินไปเปิดประตูห้องทันที หญิงสาวในชุดนักศึกษายืนยิ้มจนตาหยี เธอมีใบหน้าสวยหวาน หุ่นสูงเพรียวในแบบที่เขาชอบ ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้งก็ทำให้ใจสั่นไหว

“สวัสดีค่ะพี่ธัน ทานอะไรหรือยังคะ” กิ่งชูถุงกับข้าวในมือขึ้น

“ยังเลยครับ เข้ามาก่อนสิ”

หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องแล้วเดินตรงเข้าไปในครัว ธันวากัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด เขาควรจะบอกเธออย่างไรดี ที่จริงวันนี้เขามีนัดกับกิ่งแต่ดันลืมไป

“กิ่งล่ะ ทานอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ เรียนเสร็จก็มานี่เลย พอดีเมื่อเช้าแม่ทำกับข้าวไว้ให้ เลยเอามาด้วย” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน

“พี่กำลังจะออกไปทานข้าวกับพร้าวข้างนอกพอดีเลย ไปทานด้วยกันนะครับ” ทางออกนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว กิ่งชะงักมือที่กำลังหยิบจาน

“น้องยังอยู่หรือคะ กิ่งนึกว่ากลับไปแล้ว” กิ่งพูดเสียงเบา ธันวาบอกเธอเรื่องไอ้พร้าวเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่มันมาอยู่ที่นี่

“ยังครับ หิวมากหรือเปล่า รอน้องแต่งตัวแป๊บหนึ่ง”

ทั้งสองออกมานั่งดูโทรทัศน์รอที่ห้องนั่งเล่น ธันวาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งข้างกายอยู่หลายครั้ง หากจะให้เล่าถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา มันคงไม่ต่างจากคำว่า ‘คู่นอน’

หลังปล่อยวางเรื่องน้ำมนต์ได้ เขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างหนุ่มโสด ผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามา...จบกันเพียงแค่เซ็กซ์เท่านั้น บางครั้งเขาก็ยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อเซ็กซ์ อย่างเช่นกิ่งที่เขาส่งค่าเลี้ยงดู ค่าเทอมให้เป็นข้อแลกเปลี่ยน ในตอนนี้เขาไม่คิดสานสัมพันธ์กับใครจริงจัง เพราะยังรู้สึกเข็ดขยาดกับรักที่ผ่านมา

“มองอะไรคะ” กิ่งเลิกคิ้ว

“กิ่งเรียนอยู่ปีไหน”

“ปีสามค่ะ ถามกี่รอบแล้วนี่” เธอทำหน้ามุ่ย

“ขอโทษครับ พี่ก็ลืมไป” ใช่แล้ว เขาถามเรื่องนี้มาหลายครั้งแต่ไม่เคยจำได้

กิ่งอมยิ้มก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมจากตัวหญิงสาวทำให้ยากที่จะหักห้ามใจ ตั้งแต่ไอ้พร้าวมาอยู่ด้วย ธันวาต้องใช้มือช่วยปลดปล่อยในยามที่ต้องการมากๆ แต่ก็น้อยครั้งจนนับได้ วันนี้จึงนัดกิ่งมาเพื่อออกไป ‘ทำ’ ข้างนอก แต่เขาลืมไปเสียสนิท

ฝ่ามือนุ่มลูบไล้แผ่นอกของธันวาอย่างเชื่องช้า แล้วเลื่อนลงไปยังส่วนกึ่งกลางด้านล่าง เขาไม่ได้ห้ามปรามเธอ เพียงนั่งนิ่งยอมให้ริมฝีปากนุ่มนิ่มกดจูบลงมา เขาจูบตอบอย่างเคลิบเคลิ้ม วางมือลูบไล้สะโพกของหญิงสาว เมื่อตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้ ทั้งสองลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว...ลืมกระทั่งว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้อง

ไอ้พร้าวยืนนิ่งมองคนทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม มันควรจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ หรือกลับเข้าไปในห้องนอนตามเดิม มันควรทำอย่างไรดี...สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินออกจากห้อง ทว่าธันวามองเห็นก่อนที่มันจะได้เปิดประตูออกไป เขาผลักหญิงสาวคนนั้นให้ออกห่างด้วยความตกใจ จากนั้นรีบลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ท่าทางร้อนรนของธันวาทำให้ไอ้พร้าวรู้สึกผิด

“จะไปแล้วหรือครับ”

“อือ หิวแล้ว ตามสบายเลยนะ จะกลับมาตอนเย็น” ไอ้พร้าวตอบโดยไม่หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย

ไอ้พร้าวปิดประตูห้องทันที และยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน มันหวังว่าธันวาจะออกมาตาม แต่ไม่เป็นอย่างที่หวัง ผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้วยังคงไม่มีใครออกมาจากห้อง มันจึงเดินไปที่ลิฟต์อย่างช้าๆ

ทำไมถึงรู้สึก....ไอ้พร้าวยกมือขึ้นทาบหัวใจตัวเอง ทำไมถึงเจ็บจี๊ดที่ตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นกับตัวมัน

เหตุการณ์เมื่อครู่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของไอ้พร้าว มันเคยเห็นจนชินตาแล้ว บางครั้งเห็นมากกว่าจูบเสียอีก เพื่อนสนิทของมันมักจะมายืมห้องที่หอพักเพื่อทำเรื่องอย่างว่า มีบางครั้งที่มันยังอยู่ในห้องแต่พวกมันไม่ได้สนใจเลยสักนิด

มันมองว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามความต้องการของมนุษย์ตามธรรมชาติ แต่กับธันวา...มันไม่อยากเห็นแม้กระทั่งอีกฝ่ายจูบกับคนอื่น มันไม่ชอบ มันรู้สึกหวง มันอยากจะอาละวาด

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกแบบนี้แท้ๆ

มีแวบหนึ่งที่ไอ้พร้าวอยากให้ตัวเองเป็นผู้หญิงคนนั้น หากต้องเห็นธันวาจูบกับคนอื่น มันยอมให้อีกฝ่ายจูบเสียยังดีกว่า

บ้า...มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

หลังไอ้พร้าวเดินออกจากห้อง ธันวายืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง เขาควรตามไปหรือปล่อยมัน...ทำไมต้องเป็นกังวลด้วย ทั้งที่ไอ้พร้าวไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร รู้ดีว่ามันไม่ใช่คนที่อ่อนต่อโลก สำหรับมันแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่คงเห็นจนชินตา

ถ้าจะตามไป มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องทำเช่นนั้น แต่หากปล่อยมันไป มันจะกลับมาหรือเปล่า

ทำไมถึงลังเลกับเรื่องแค่นี้ ทั้งที่เขากับมันไม่ได้มีสถานะลึกซึ้งเกินไปกว่าพี่น้อง

กิ่งรู้สึกหงุดหงิด เมื่อครู่เธอไม่ได้ตกใจที่ไอ้พร้าวมาเห็น แต่ตกใจที่ธันวาผลักเธอให้ออกห่างต่างหาก สิ่งที่เธอกำลังทำกับธันวาไม่ใช่เรื่องน่าอาย หรือต้องเกรงใจไอ้คนที่มารบกวนอาศัยอยู่ด้วยเสียหน่อย มองแวบเดียวก็รู้ว่ามันเป็นเด็กกร้านโลกแค่ไหน

“พี่ธันคะ” รอยยิ้มหวานกับฝ่ามือนุ่มนิ่มที่กำลังปลุกเร้าส่วนล่างไม่ได้ทำให้ธันวามีอารมณ์ร่วม

“เป็นอะไรไป มาต่อกันนะ” กิ่งพลิกตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่าย เธอพยายามปลุกเร้าอารมณ์ที่หายไปเมื่อครู่ของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่ธันวาเครียดเกินกว่าจะตอบสนองได้ เขาผลักตัวหญิงสาวให้ออกห่างอีกรอบ

“พอเถอะครับ วันนี้กิ่งกลับไปก่อน พี่ไม่มีอารมณ์จะทำแล้ว” ธันวาพูดด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายแล้วลุกเดินหนีเข้าไปในห้องนอน

กิ่งกำมือแน่น เธอต้องข่มอารมณ์ตัวเองไว้ ต้องนิ่งไม่โวยวาย หรือเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่าย เธอรู้สถานะของตัวเองดี เป็นแค่คู่นอนที่มีเงินเป็นข้อแลกเปลี่ยน สำหรับธันวาแล้วเธอมีค่าแค่นี้จริงๆ

เธอผิดเองที่หลงรักอีกฝ่าย ธันวาไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เธอเคยพบเจอ ทั้งใจดีและสุภาพอ่อนโยน...เป็นใครก็ต้องอยากได้ทั้งนั้น

หลังทานข้าวจนอิ่ม ไอ้พร้าวตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปที่ห้างสรรพสินค้า มันบอกธันวาว่าจะกลับตอนเย็น เพราะฉะนั้นต้องหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา เมื่อเดินจนเมื่อยจึงหาที่นั่งพัก ก้มมองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลาบ่ายสามโมงเย็น...คงต้องรอสักหกโมงเย็นถึงจะกลับได้

ไอ้พร้าวนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมาเรื่อยเปื่อย มันกำลังคิดถึงน้าเลและลุงพัทธ์ อยากจะโทรหา อยากได้ยินเสียง อยากรู้ความเป็นไปในช่วงที่ผ่านมา หากธันวานั่งอยู่ตรงนี้ มันคงได้ปรึกษาว่าควรทำอย่างไร

มันหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เปิดปิดหน้าจออยู่หลายรอบก่อนจะตัดสินใจกดโทรออก

“ฮัลโหล”

“............” เมื่อได้ยินเสียงที่คิดถึง น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า

“ใครโทรมา” เลขมวดคิ้วเพราะเสียงสูดน้ำมูกเหมือนคนกำลังร้องไห้ดังมาจากปลายสาย

“น้าเล” น้ำเสียงสั่นเครือที่คุ้นหูตอบกลับมา

“ไอ้พร้าว! เอ็งหรือ เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรเอ็ง” ผู้เป็นน้าร้อนใจจนนั่งไม่ติด

“เปล่าจ้ะ...หนูคิดถึงน้าเล” ไอ้พร้าวตอบเสียงหงอย

เลน้ำตาคลอเพราะคิดถึงมันสุดหัวใจเหมือนกัน “คิดถึงก็กลับมา ข้ากับไอ้พัทธ์รอเอ็งอยู่ทุกวัน หรือถ้าเอ็งยังไม่อยากกลับก็โทรหาข้าบ่อยๆ”

ความจริงธันวาจะบอกเบอร์โทรศัพท์มือถือของไอ้พร้าวตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เลปฏิเสธเพราะกลัวจะทนไม่ไหวแล้วโทรหามัน เขาอยากให้มันเป็นฝ่ายโทรมาหาเอง ไม่อยากจะเร่งรัด หรือบีบคั้นมัน

“จ้ะ หนูขอโทษ แต่หนูคงอยู่ที่นี่ต่อ...หนูอยากให้น้าเลมากรุงเทพ พี่ธันพาหนูนั่งรถไฟฟ้าแล้วด้วย โคตรตื่นเต้นเลย” ไอ้พร้าวยิ้มกว้างเมื่อเล่าถึงประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้เจอ

“สบายดีไหม” เลถามขึ้น แม้น้ำเสียงของมันจะร่าเริง แต่เขาก็อยากได้ยินจากปากของมัน

ไอ้พร้าวเงียบไปครู่หนึ่ง “สบายดีจ้ะ พี่ธันดูแลหนูดีมาก...น้าเลล่ะ สบายดีไหม”

“สบายดี”

จากนั้นต่างคนต่างเงียบ พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล เลมองห้องครัวคับแคบที่เคยมีไอ้พร้าวอยู่ด้วย ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็คิดถึงมัน กลับไปบ้านยิ่งคิดถึง เขาแอบหวังทุกครั้งที่เดินผ่านห้องนอนของมัน...หวังว่าจะเห็นมันอยู่ในห้อง หวังว่ามันจะกลับมาหา

“ข้าโอนเงินให้เอ็งเมื่อวาน เห็นหรือยัง” เลถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“ยังจ้ะ อยู่นี่หนูไม่ค่อยได้ใช้เงิน พี่ธันจ่ายให้เกือบทุกอย่าง” จนมันรู้สึกเกรงใจ

“อืม อยู่กับไอ้ธันอย่าเอาแต่ใจนักล่ะ อะไรที่ช่วยแบ่งเบาภาระพี่เขาได้ก็ทำ เขาบอกเขาสอนอะไรก็อย่าเถียง...เอ็งน่ะดื้อ” เลถอนหายใจ ธันวาไม่ยอมรับเงินค่าใช้จ่ายของไอ้พร้าวที่เขาจะโอนไปให้ ทั้งยังพูดตัดพ้อน้อยใจเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องเงิน

“หนูจะพยายาม”

จากนั้นสองน้าหลานก็พูดคุยกันต่อจนคลายความคิดถึงไปได้บ้าง ไอ้พร้าวเล่าถึงชีวิตในกรุงเทพ สิ่งแปลกใหม่ที่มันได้พบ ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้เจอ เลตั้งใจฟังทุกอย่างที่หลานชายพูด และเล่าเรื่องของตัวเองให้มันฟัง

“อยากคุยกับไอ้พัทธ์ไหม” เลตัดสินใจถามออกไปพลางมองพัทธ์ที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ

“ไม่จ้ะ” ไอ้พร้าวปฏิเสธทันที มันยังไม่พร้อม เลสบตาพัทธ์ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ พัทธ์พยักหน้ารับรู้ด้วยแววตาหม่นหมอง

“อืม ได้รู้ว่าเอ็งสบายดี ข้าก็สบายใจแล้วละ วันมะรืนไอ้ปืนก็ขึ้นไปกรุงเทพแล้ว ได้คุยกับมันหรือยัง” เลเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้มันรู้สึกอึดอัด

“คุยแล้วจ้ะ น้าเลแค่นี้ก่อนนะ แบตหนูจะหมดแล้ว” ไอ้พร้าวโกหกออกไป

“ได้ๆ โทรหาข้าบ่อยๆ นะ”

ไอ้พร้าววางสายไปแล้ว แต่ยังคงจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ มันกำลังทำร้ายจิตใจพัทธ์อยู่หรือเปล่า อีกฝ่ายจะเสียใจมากแค่ไหนที่มันไม่ยอมคุยด้วย แต่มันยังทำใจยอมรับว่าพัทธ์เป็นพ่อแท้ๆ ไม่ได้

เวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงเย็น ไอ้พร้าวลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความปวดเมื่อย มันหวังว่าผู้หญิงของธันวาจะกลับไปแล้ว มันไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกินของใคร

“กลับมาแล้วหรือ” ไอ้พร้าวชะงักเท้าที่กำลังเดิน ธันวานั่งบนโซฟาจ้องมาที่มันด้วยสายตาเป็นกังวล

“ก็เห็นอยู่”

“นั่นสินะ พี่ก็ถามโง่ๆ ทานอะไรมาหรือยังครับ” ธันวาลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ไอ้พร้าวก้าวถอยหลังทันที มันตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังกลัว หรือโกรธอีกฝ่าย

“ยัง พี่ธันล่ะทานยัง”

“ดีเลย งั้นนั่งรอก่อนนะ” ธันวายิ้มกว้าง เดินเข้าไปในครัว

ไม่ถึงสิบนาทีไอ้พร้าวก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจากในครัว มันเดินไปที่โต๊ะอาหาร มองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองชามวางอยู่บนโต๊ะ

“พี่ไม่ได้ออกไปซื้อของ เหลือแต่บะหมี่ พร้าวทานได้หรือเปล่า” ธันวาพูดพลางสังเกตสีหน้าของมัน

“ก็ได้หมด”

จากนั้นต่างคนต่างเงียบ ตั้งหน้าตั้งตาทานบะหมี่ในชาม ธันวาเหลือบมองไอ้พร้าวอยู่หลายครั้งจนมันรู้ตัว

“เรื่องวันนี้” ธันวาวางตะเกียบไว้บนชามแล้วนั่งตัวตรง ไอ้พร้าวยังคงทานต่อไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูด “วันนี้พี่ขอโทษด้วยที่พร้าวต้องมาเห็นอะไรแบบนั้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทานข้าวด้วยกันแท้ๆ แต่พอพร้าวออกไปแล้ว เออ...ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น พี่หมายถึง พี่กับกิ่งไม่ได้ทำอะไรกัน” เขาไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังอธิบายอะไรให้มันฟัง

ไอ้พร้าวชะงัก วางช้อนและตะเกียบลง “ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมเป็นคนมาขอพี่อาศัย พี่อยากจะทำอะไรในห้องนี้ก็ได้ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นแฟนกัน ผมไม่ถืออยู่แล้ว”

“กิ่งไม่ใช่แฟนพี่” ธันวาแย้งทันทีอย่างลืมตัว

“หือ” ไอ้พร้าวเอียงคออย่างสงสัย สำหรับมันแล้วเรื่องเซ็กซ์นั้นมีได้เฉพาะกับคนที่เป็นแฟนกันไม่ใช่หรือ

“เออ เราเป็นแค่เซ็กซ์เฟรนด์กัน” เขาเลี่ยงใช้คำว่าซื้อบริการ ซึ่งเป็นคำที่ฟังดูไม่ดีนัก

“เขาเป็นเพื่อนกับพี่เหรอ” ไอ้พร้าวยังคงไม่เข้าใจ

“ก็ไม่เชิง คือเป็นเพื่อนที่คบไว้เพื่อมีเซ็กซ์ อืม...น่าจะประมาณนี้” ธันวาตอบอ้อมแอ้ม ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร

“แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ” ไอ้พร้าวก้มหน้าพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วยอมรับในใจว่า การได้รู้จักกับธันวาทำให้มันได้เห็นโลกกว้างขึ้น

เมื่อได้พูดคุยกันอย่างปกติ ไอ้พร้าวจึงลืมความรู้สึกกลัวที่มี ธันวาในตอนนี้กับเมื่อคืนแตกต่างกันราวกับคนละคน และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างธันวากับผู้หญิงคนนั้นทำให้มันมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำมิดีมิร้ายกับมันเหมือนอย่างเมื่อคืนอีก

...เพราะธันวาชอบผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชายอย่างมัน


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:25:19 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

สองวันต่อมาไอ้ปืนเดินทางมาถึงกรุงเทพในช่วงเย็น ไอ้พร้าวตื่นเต้นคุยโทรศัพท์กับเพื่อนรักเป็นชั่วโมง ทันทีที่ธันวากลับมาถึงห้อง มันปรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ไอ้ปืนถึงหมอชิตแล้ว พรุ่งนี้หนูขอไปหามันที่อู่ลุงตุ้ยนะ” ไอ้พร้าวดีใจจนลืมตัว เผลอแทนตัวเองว่า ‘หนู’

ธันวาอมยิ้ม “หือ จะไปยังไงครับ เขาอยู่ที่ไหน ไปถูกหรือเปล่า”

“ไปเป็นๆ อยู่ที่.......ลุงตุ้ยบอกวิธีไปให้แล้ว นั่งรถเมล์สาย.......ต่อเดียวก็ถึง” ไอ้พร้าวเดินตามหลังธันวาต้อยๆ เหมือนลูกเป็ด เหตุที่มันต้องขออนุญาตอีกฝ่ายเพราะอู่ของลุงตุ้ยนั้นอยู่ไกลคนละฟากกับคอนโด

“ไกลขนาดนั้นเชียว อืม...เอาไว้วันเสาร์พี่จะพาพร้าวไปเองดีกว่า” ธันวาชะงักเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่เดินตามหลัง พอหันกลับไปดูก็เห็นเด็กหนุ่มยืนก้มหน้า

“อยากไปพรุ่งนี้ ไปเองก็ได้ ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ได้อันตรายด้วย หนูนั่งรถเมล์เก่งแล้ว” เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ไอ้พร้าวจึงงอแงเหมือนตอนที่อยู่กับเลและพัทธ์โดยไม่รู้ตัว ธันวาสูดลมหายใจเข้าลึก ในตอนนี้เขากำลังเห็นลูกแมวตัวน้อยๆ ยืนอยู่ตรงหน้า

“เฮ้อ เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ พรุ่งนี้ออกไปตอนไหนให้โทรบอกพี่ด้วย ถึงแล้วก็ต้องโทรบอกอีกรอบ จะอยู่ถึงกี่โมงล่ะ ถ้ามืดค่ำพี่จะได้ไปรับ” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ วันนี้ธันวาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมเลและพัทธ์ถึงได้ตามใจไอ้พร้าวนัก

ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง ตาเป็นประกาย “เดี๋ยวโทรบอก” มันตอบก่อนจะเดินผิวปากไปนั่งดูโทรทัศน์ที่โซฟา

ธันวาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ รู้สึกหมั่นไส้กับท่าทางของไอ้พร้าว ทั้งผิดหวังที่ไม่ได้เห็นท่าทางออดอ้อนของมันอีก...หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้ เขาจะใจแข็งให้มากกว่านี้ร้อยเท่า

หลังจากวันนั้น ไอ้พร้าวได้นั่งรถเมล์ไปหาไอ้ปืนที่อู่ทุกวัน หากวันไหนธันวาเลิกงานเร็ว เขาจะเลยไปรับมันที่อู่ แต่หากวันไหนเลิกดึก มันจะนั่งรถเมล์กลับเอง

พอนานเข้าไอ้พร้าวก็ไม่ยอมให้ธันวาไปรับ ทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง เหตุผลใครดีกว่า คนนั้นก็ชนะ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นไอ้พร้าวที่เป็นฝ่ายชนะ ธันวาจึงบ่นให้เลฟังบ่อยๆ ด้วยความน้อยใจว่า...

‘พร้าวนั่งรถเมล์เก่งกว่าผมที่เป็นคนกรุงเทพเสียอีก’



เคร้ง เคร้ง

ไอ้พร้าววางประแจถอดน๊อตยึดล้อรถยนต์ลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก การใช้แรงงานในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติและเหงื่อท่วมตัว

มันมองไปรอบๆ ตัวด้วยรอยยิ้ม นับตั้งแต่วันที่ได้มาหาไอ้ปืนวันแรก มันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะมาทำงานที่นี่ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม ค่าแรงที่ได้รับนั้นเป็นไปตามประสบการณ์ อาทิตย์แรกมันได้ค่าแรงแค่วันละหนึ่งร้อยห้าสิบบาท แต่พอเริ่มหยิบจับอะไรเป็น ลุงของไอ้ปืนก็เพิ่มให้เป็นวันละสามร้อยบาท

ไอ้พร้าวยังจำวันที่ขออนุญาตทำงานกับธันวาได้ดี อีกฝ่ายปฏิเสธท่าเดียว ไม่ยอมให้มันทำงานแม้จะอ้างเหตุผลมากมาย

‘ไม่ครับ ยังไงพี่ก็ไม่อนุญาต ทำไมไม่ใช้เวลาว่างที่มีไปอ่านหนังสือ จะไปทำงานเพื่ออะไรกัน พี่ไม่สนับสนุนเด็ดขาด ถ้าหากจะทำงานพาร์ททาม ทำที่ห้างไม่ดีกว่าหรือครับ ค่าแรงก็พอๆ กัน บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ’ ธันวากอดอกจ้องหน้ามันเขม็ง

‘ปิดเทอมใครเขาอ่านหนังสือกัน ก็อยากทำที่อู่อะ อยากเรียนซ่อมรถตั้งนานแล้วด้วย’ ไอ้พร้าวเถียงเสียงเบา ในเวลานี้พี่ธันของมันดูน่ากลัวจนมันไม่กล้าเถียง

‘จะไม่ลำบากหรือครับ ต้องใช้แรงงาน ต้องทำงานกลางแจ้งอีก...พร้าวจะป่วยเอาง่ายๆ นะ’ ธันวานึกถึงวันที่พามันไปสวนสนุกแล้วกลับมานอนป่วย เขาไม่อยากเห็นมันอยู่ในสภาพนั้นอีก

‘ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น นี่ๆ เห็นไหมกล้ามนี่’ ไอ้พร้าวถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนจะเบ่งกล้ามแขนทั้งสองข้างอวดอีกฝ่าย

ธันวาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ‘ก่อนจะมีกล้าม ช่วยมีเนื้อมีหนังก่อนเถอะ ผอมอย่างนี้จะแบกล้อรถไหวหรือ’

‘ทำไมต้องดูถูกกันด้วย’ ไอ้พร้าวก้มหน้ามองพื้น รู้สึกน้อยใจขึ้นมา

‘อยากทำงานขนาดนั้นเลยหรือ ถามพี่เลหรือยังครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพี่เลอนุญาต พี่ก็จะอนุญาตด้วย’ ธันวายื่นข้อเสนอ เขามั่นใจว่าเลต้องตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน

10 นาทีต่อมา

‘พี่ธัน น้าเลบอกว่าอนุญาต’ ไอ้พร้าวยิ้มแป้น ยื่นโทรศัพท์มาให้ ธันวารับโทรศัพท์ไปคุยแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว

‘เฮ้อ ตามนั้นครับ’ ธันวายอมยกธงขาว ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

ธันวาถูกสองน้าหลานต้อนจนมุม เลอนุญาตให้ไอ้พร้าวทำงานได้ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินค่าแรงของมันที่ได้ต้องจ่ายเป็นค่าอยู่อาศัยให้เขา เลยกเรื่องที่เขาไม่ยอมรับเงินมาเป็นข้ออ้าง ทำให้ยากที่จะคัดค้านได้

วันถัดมา ธันวาซื้อกระปุกออมสินขนาดกลางมาตั้งไว้ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง และบอกกับไอ้พร้าวว่าให้หยอดเงินค่าแรงที่ได้ลงกระปุกออมสิน มันยอมทำตามแม้จะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย

“ไอ้พร้าว มึงดูลูกค้าคนนั้นดิ ซี้ด...อย่างแจ่ม” ไอ้ปืนสะกิด บุ้ยใบ้ไปยังเป้าหมายของมัน

“อืม สวยดี” ไอ้พร้าวตอบเพียงเท่านี้

ป๊าบ! ไอ้พร้าวหน้าคว่ำเมื่อถูกฝ่ามือของไอ้ปืนฟาดเสียเต็มรัก

“มึงตบหัวกูทำไม ไอ้ห่า เจ็บนะเว้ย” ไอ้พร้าวลุกขึ้นยืนโวยวาย

“เบาๆ สิวะ” ไอ้ปืนรีบดึงเพื่อนรักให้นั่งลงตามเดิม “ก็มึงน่ะแปลก ปกติเห็นผู้หญิงสวยทีไร ตามึงนี่แทบจะถลน อ้าปากน้ำลายไหลยืดๆ” มันพูดพร้อมทำท่าทางประกอบ

“กูก็ปกติดี มึงนั่นแหละหื่นให้มันน้อยๆ หน่อย ไปมองเขาแบบนั้น เขาจะกลัวเอา”

“กูมองเฉยๆ ไม่ได้จะเอา” ไอ้ปืนทำหน้าทะเล้น

ไอ้พร้าวมองเพื่อนรักอย่างเอือมระอาแล้วลุกเดินหนี มันไม่คิดว่าตัวเองแปลกไป ยังคงชอบมองผู้หญิงสวยๆ เหมือนเดิม มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบ...ไอ้ปืนคิดมากไปเอง



ในทุกๆ วันไอ้พร้าวกลับมาคอนโดพร้อมกลิ่นน้ำมันเครื่องและคราบสกปรกบนเสื้อผ้า เมื่อถึงห้องมันจะรีบอาบน้ำและซักเสื้อผ้าที่สวมในวันนั้นทันที เพราะไม่อยากให้ธันวาต้องทนกลิ่นเหม็นพวกนี้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย...

“วันนี้กลับช้านะครับ” ธันวาเอ่ยทันทีที่มันมาถึงห้อง

“พี่กลับเร็วเองต่างหาก” ไอ้พร้าวเถียง พยายามเดินให้ห่างจากจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่

ธันวาสังเกตมาได้สักพักแล้วว่าไอ้พร้าวพยายามเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ตัวเขาเวลากลับจากอู่ “รีบไปไหนครับ มาคุยกับพี่ก่อน” เขาเดินเข้าไปรั้งแขนมันไว้ก่อนที่มันจะเดินเข้าห้องนอน

ไอ้พร้าวพยายามถอยห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ก็อาบน้ำไง เหม็นจะตายอยู่แล้ว” มันตอบอย่างหงุดหงิด

“หือ” ธันวาเพียงแค่อยากแกล้งมันเล่นจึงเดินเข้าไปใกล้ ไอ้พร้าวขยับถอยหลังจนชิดกำแพง

กลิ่นน้ำมันเครื่องบวกกับกลิ่นเหงื่อของไอ้พร้าวทำให้ธันวารู้สึกแปลก แทนที่เขาจะเวียนหัวกับกลิ่นเหล่านี้ แต่เขากลับ...ธันวาโน้มใบหน้าลงไปจนเกือบชิดใบหน้าของไอ้พร้าวอย่างลืมตัว เขาหลับตาสูดกลิ่นกายของมันเข้าเต็มปอด แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับความฉงนในแววตาของอีกฝ่าย เขาก็ผละตัวออกห่างในทันที

“รีบไปอาบน้ำเถอะครับ จะได้มาทานข้าว” ธันวาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ก็บอกแล้วว่าเหม็น” ไอ้พร้าวเกาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย

ธันวาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เมื่อครู่เขาทำอะไรลงไป แล้วไอ้ความรู้สึกนี้มันคืออะไร...เขาหยิบหมอนขึ้นมาปิดส่วนกึ่งกลางของร่างกายที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยกลิ่นของไอ้พร้าว

ไอ้โรคจิตเอ้ย! นั่นเด็กผู้ชายนะเว้ยไอ้ธัน อายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังเห็นมาตั้งแต่ฟันน้ำนมยังร่วงไม่หมด...ธันวาก่นด่าตัวเองในใจ



ไอ้พร้าวเตรียมตัวจะออกจากห้อง แม้จะเป็นวันเสาร์แต่มันยังคงไปทำงานที่อู่ มันมีวันหยุดแค่สัปดาห์ละหนึ่งวัน จึงเลือกวันอาทิตย์เป็นวันหยุดจะได้มีเวลาพักผ่อนอยู่กับธันวา

“ทำงานหนักไปหรือเปล่าครับ” เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังทำให้มันหมุนตัวกลับไปมอง

“งานไม่หนัก ผมเพิ่งจะทำเป็นไม่กี่อย่างเอง” ไอ้พร้าวมองคนที่ยืนงัวเงียทำหน้าหน้ามุ่ย ช่วงนี้พี่ธันของมันมักทำงานหนักจนกลับบ้านดึก แม้ธันวาจะไม่เคยบ่นเรื่องงานให้ฟังแต่ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าไม่สามารถปกปิดได้ มันจึงทำตัวดีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้

“ถ้าวันไหนเหนื่อยก็ไม่ต้องไปนะครับ”

“เออน่า รู้แล้ว” ไอ้พร้าวพูดก่อนจะเปิดประตู

“พร้าว วันนี้กลับกี่โมงครับ” ธันวาถามก่อนที่มันจะเดินออกจากห้อง

“น่าจะเวลาเดิมนะ มีอะไรเหรอ”

“อืม ไม่มีอะไรครับ ตั้งใจทำงาน อย่ากลับค่ำมากล่ะ”

ไอ้พร้าวปิดประตูห้องแล้วยิ้มออกมา...อยากได้ยินธันวาพูดแบบนี้ทุกวัน มันสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกมีกำลังใจในการทำงานขึ้นเป็นกอง วันนี้ช่างเป็นวันที่สดใสของมันเสียจริง

“ไอ้พร้าว วันนี้เอ็งกลับเลยก็ได้นะ งานที่เหลือเดี๋ยวข้าทำเอง” ลุงตุ้ยผู้เป็นเจ้าของอู่เดินมาบอก ไอ้พร้าวมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาบ่ายสองโมง มันขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจ

“ยังไม่ถึงเวลาเลิกเลยนะลุง กลับไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

“เออน่า เอ็งนี่ขยันกว่าไอ้ปืนหลายเท่า ไอ้ห่านั่นขี้เกียจตัวเป็นขน วันๆ มันเอาแต่ส่องสาว ข้าใช้แรงงานเอ็งหนักก็ชักจะเกรงใจไอ้เล กลับไปพักเถอะ ไม่มีอะไรให้เอ็งทำแล้ว อะ นี่เงิน” ลุงตุ้ยยื่นแบงค์ร้อยสามใบให้มัน

“ขอบคุณครับลุง งั้น...ผมกลับละ สวัสดีครับ”

ไอ้พร้าวมองเงินในมือด้วยรอยยิ้ม เงินที่หามาได้เองทำให้มันรู้สึกภูมิใจ กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อไม่รู้กี่หยด เมื่อก่อนมันเอาแต่แบมือขอโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าน้าเลต้องเหนื่อยแค่ไหน

เป็นผู้ใหญ่แล้ว...ไอ้พร้าวเชิ่ดหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้มันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีสติและรู้จักคิดมากกว่าแต่ก่อน

แก๊ก ไอ้พร้าวเปิดประตูห้องอย่างเบามือเพราะเกรงว่าธันวาอาจจะนอนหลับอยู่ มันซื้อของกินเข้ามาหลายอย่างเผื่อว่าอีกฝ่ายอยากจะทานข้าวเย็นในห้อง การอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนทำให้รู้ใจธันวามากขึ้น ธันวาที่กรุงเทพกับที่บ้านของมันไม่ได้ต่างกันมากนัก จึงไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อได้มาอยู่ที่นี่

เอี๊ยดๆ เสียงเตียงเสียดสีกับพื้นห้องดังเป็นจังหวะพร้อมเสียงครางกระเส่าของคนสองคนดังลอดออกมาจากห้องนอน

ไอ้พร้าวชะงัก ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มันตั้งใจจะเดินเอากับข้าวไปเก็บที่ครัว ทว่าเสียงที่ดังหยุดมันไว้...ไม่ต้องเดาก็รู้ดีว่าเสียงเหล่านี้เกิดจากอะไร มันก้มหน้าเดินผ่านประตูห้องนอนที่เปิดแง้มไว้จะได้ไม่เห็นอะไร วางถุงกับข้าวลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะรีบเดินไปที่ประตูห้อง มันต้องออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด

หนีหรือ...ไอ้พร้าวชะงักมือที่จับลูกบิดประตู ทำไมต้องหนีด้วย

มันไม่ได้หนี แค่อยากให้ธันวาได้มีเวลาส่วนตัว...ก็เท่านั้น

แน่ใจหรือว่านั่นคือเหตุผลจริงๆ ...ไอ้พร้าวกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด พยายามหาเหตุผลให้ตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครเขามีกัน รวมถึงตัวมันด้วย ทว่ากับธันวา...มันไม่อาจทำใจยอมรับได้ที่อีกฝ่ายมีเซ็กซ์กับคนอื่น

ผู้หญิงคนนั้นได้ใกล้ชิดกับธันวาในแบบที่มันไม่สามารถทำได้บนเตียงที่มันนอนทุกคืน นั่นคือเตียงของธันวาแต่มันกลับรู้สึกโกรธจนอยากอาละวาดให้พังทั้งห้อง ทั้งที่มันเคยยอมให้เพื่อนยืมเตียงเพื่อมีเซ็กซ์กับผู้หญิงโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ไอ้พร้าวหลับตาลง ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ คลายมือที่กำแน่น มันตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงบนโซฟา

...มันต้องไม่รู้สึกอะไร


TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:25:54 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 9 (Part 3)


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเสียงภายในห้องนอนจึงเงียบลง ธันวาใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อยของตัวเอง กิจกรรมบนเตียงเมื่อครู่ทำให้เขาเสียเหงื่อไปไม่น้อย คงจะดีหากได้ดื่มน้ำสักสองสามอึก ธันวาลุกจากเตียง เดินออกจากห้องนอนทั้งที่ตัวเปลือยเปล่า ทว่าการพบใครอีกคนในห้องทำให้ลำคอของเขาแห้งผากยิ่งกว่าเดิม

ไอ้พร้าวที่รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวภายในห้องลุกจากโซฟาแล้วหันกลับมามองธันวา มันพยายามปั้นหน้ายิ้ม แสร้งทำหน้าทะเล้นเหมือนเด็กแก่แดดยามได้รู้ความลับของพวกผู้ใหญ่

“โทษที วันนี้กลับมาเร็ว วันหลังจะทำอะไรกันก็บอกตามตรงนะ จะได้ไม่กลับมาทนฟังเสียงหนังสด ซื้อกับข้าวมาแล้วล่ะ วางอยู่บนโต๊ะ” มันแสร้งมองธันวาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน “เผื่อว่าหมดเรี่ยวแรงจนหาข้าวกินเองไม่ได้ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ เดี๋ยวเป็นลมคาอกซะก่อน” พูดจบก็ยักคิ้วอย่างกวนๆ

ธันวาคลายสีหน้าที่ตึงเครียด เขารู้สึกโล่งใจที่ไอ้พร้าวมีท่าทีปกติ “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาทะลึ่งนะเรา” เขาอมยิ้มก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำเย็นดื่ม

ไอ้พร้าวลอบถอนหายใจเมื่อลับหลังธันวา มันกลัวว่าตัวเองจะแสดงท่าทีแปลกๆ ให้อีกฝ่ายได้เห็น ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมามันได้นั่งคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ทำให้ความไม่พอใจหายไปจนหมด ความจริงแล้วมันอาจไม่ได้หึงหวงธันวาอย่างคนรัก คงจะหวงแบบ...พี่ชาย มันตัดสินใจให้เหตุผลกับตัวเองอย่างนี้

“ทำไมวันนี้กลับมาเร็วล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นดึงไอ้พร้าวออกจากภวังค์

“ออ ไม่ค่อยมีงานให้ทำน่ะ ลุงตุ้ยเลยให้กลับมาก่อน” ไอ้พร้าวอดไม่ได้ที่จะไล่สายตามองร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย แม้จะเห็นแทบทุกวัน แต่มันไม่เคยเบื่อที่จะมองอย่างชื่นชม ธันวามีหุ่นที่ดีอย่างที่มันต้องการจะมี หากมีหุ่นอย่างคนตรงหน้า สาวๆ ทั้งจังหวัดคงแห่มาเฝ้ามันที่บ้านเช้าเย็นให้น้าเลได้ปวดหัวเล่นๆ

ธันวามองตามสายตาของไอ้พร้าว ไอ้เด็กทะลึ่งของเขายังคงมองมาทั้งที่เขารู้ตัวแล้ว ธันวามองแก้วน้ำเย็นในมือเมื่อนึกอะไรสนุกๆ ออก รอยยิ้มที่มุมปากนั่นช่างดูเจ้าเล่ห์ น่าเสียดายที่ไอ้พร้าวไม่มีโอกาสได้เห็น

น้ำเย็นถูกเทราดลงมาบนตัวไอ้พร้าวตั้งแต่ช่วงไหล่ มันสะดุ้งเฮือกกระโดดถอยหลังอย่างตกใจ เมื่อได้สติจึงร้องโวยวายออกมาทันที ธันวายืนหัวเราะอย่างชอบใจ

“เล่นอะไรนี่ โคตรเย็นเลย”

“มีอะไรกันคะ เสียงดังมากเลย” กิ่งเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ไอ้พร้าวมองสภาพหญิงสาวที่ยืนข้างธันวาด้วยสายตาเจ้าชู้ เธอสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก

“เปล่าครับ พี่แค่แกล้งพร้าวเล่น กิ่งกลับไปแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะ” ธันวารีบพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเด็กหนุ่มร่วมห้อง ไอ้พร้าวกลอกตาอย่างหงุดหงิดที่เขารู้ทัน

“ค่ะ” กิ่งตอบก่อนจะมองไอ้พร้าวด้วยหางตา เธอรู้สึกไม่ชอบไอ้เด็กคนนี้มากขึ้นทุกที

“เหนียวตัวจะตายอยู่แล้ว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนละกัน” ไอ้พร้าวแสร้งบ่น ตั้งท่าจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปในห้องนอน ทว่าถูกธันวาคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน

“จะไปแกล้งเขาทำไม ทะลึ่งขึ้นทุกวันเลยนะเรา” ธันวาผลักหน้าผากไอ้พร้าวเบาๆ อย่างหมั่นไส้

“ทีตัวเองยังแก้ผ้าให้ดูทุกวัน” มันก้มหน้าบ่นอุบอิบคนเดียว ธันวาหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน

ไอ้พร้าวเงยหน้ามอง กัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างครุ่นคิด หากมันยังคงพักอยู่กับธันวาจะทำให้อีกฝ่ายลำบากใจหรือเปล่า บางทีธันวาอาจต้องการเวลาส่วนตัวซึ่งมันไม่สามารถเลี่ยงได้ทุกครั้ง อย่างเช่นวันนี้

กิ่งออกไปจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่เธอเผลอขึ้นเสียงกับธันวาเรื่องไอ้พร้าว เธอลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหน ธันวาไม่แยแสกับท่าทีของเธอแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่พูดประโยคสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

‘อย่าล้ำเส้น’

ธันวาจะพูดมันทุกครั้งที่เธอแสดงอาการหึงหวงหรือพูดในสิ่งที่ไม่ควร ซึ่งมันได้ผลทุกครั้ง เธอยอมปิดปากเงียบ แต่สีหน้าไม่พอใจนั้นยังคงแสดงออกมาอย่างชัดเจน

ไอ้พร้าวนั่งมองสถานการณ์เงียบๆ บนโซฟา ธันวาเดินมาทิ้งตัวลงนอนหนุนตักของมัน แม้จะตกใจไม่น้อยแต่มันยังคงนั่งนิ่ง ไม่คิดจะผลักไสอีกฝ่าย

“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของคนที่นอนหนุนตักทำให้ไอ้พร้าวก้มลงมอง

“ที่จริง...พี่น่าจะบอกก่อนว่าจะทำอะไรกัน ดูเหมือนเขาจะโกรธ ทำไมไม่ไปง้อ” มันพูดกับอีกฝ่ายที่นอนหลับตานิ่ง

“พี่ไม่จำเป็นต้องง้อหรอก มันอยู่ในข้อตกลงของเรา” คำตอบนี้ทำให้ไอ้พร้าวได้เห็นอีกมุมของธันวา

“พี่ใจร้าย” ไอ้พร้าวพูดเบาๆ แต่ธันวาได้ยินชัดเจน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมอง มันก็หันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ตอนพี่บอกว่าจะไปหา แต่ไม่ได้ไปตามที่บอก พร้าวโกรธพี่มากไหม”

“ตอนไหน” ไอ้พร้าวขมวดคิ้ว พยายามนึกเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง

“ตอนที่พี่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ” น้ำเสียงของธันวาแผ่วเบาราวกับไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ ไอ้พร้าวชะงักเมื่อจำเหตุการณ์นั้นได้

“ตอนนั้นพี่ก็ใจร้าย...” แววตาของไอ้พร้าวสั่นไหวเพียงครู่เดียว “และผมโกรธมากๆ โกรธจนฆ่าพี่ได้เลย” มันถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง พร้อมทุบกำปั้นลงที่ไหล่ของธันวาแรงๆ หนึ่งที

“โอ๊ย! เจ็บนะครับ จะฆ่าพี่ให้ตายจริงๆ หรือไง” ธันวาแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด ไอ้พร้าวยู่หน้าอย่างหมั่นไส้ ชูกำปั้นขึ้นอีกรอบ แต่เขาจับมันไว้ได้ทัน และไม่ยอมปล่อย

“ขอโทษ”

ไอ้พร้าวชะงัก เมื่อได้ยินคำขอโทษจากอีกฝ่าย “ขอโทษเรื่องอะไร”

“หลายเรื่อง นึกไม่ค่อยออกว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ขอเหมารวมหมดเลยได้ไหม” ธันวาตอบอย่างไม่จริงจังนัก เขาพยายามคลายมือข้างนั้นของไอ้พร้าวที่กำไว้แน่น

“มันมีหลายเรื่องเหรอ จำไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่า...” มันลากเสียงยาว ธันวาหยุดนิ่งเพื่อรอฟัง

ปึก! ไอ้พร้าวถือโอกาสที่ธันวาไม่ทันระวังตัว ทุบกำปั้นลงที่ไหล่อีกข้างของเขาทันที

“โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอ๊ยของธันวานั้นไม่ดังเท่าเสียงหัวเราะของไอ้พร้าว มันขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟา ปล่อยให้หัวของอีกฝ่ายหล่นกระแทกเบาะโซฟาอย่างไม่ไยดี

“ฮ่าๆ ขอเหมารวมทั้งหมดแล้วกัน พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด” ไอ้พร้าวกอดอกยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ แล้วเดินผิวปากเข้าห้องนอน

ธันวาลุกขึ้นนั่งลูบไหล่ตัวเองป้อยๆ “แสบนักนะไอ้เด็กดื้อ” แทนที่จะโกรธ เขากลับยิ้มอย่างเอ็นดูมัน

ไอ้พร้าวหยุดมองเตียงที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยนัก ผ้าปูเตียงยับย่น หมอนวางสะเปะสะปะ อีกทั้งผ้าห่มผืนหนายังหล่นลงไปกองที่พื้น หากถามว่ารู้สึกอย่างไร มันคงทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพ่นออกมา

“พี่ทำอะไรอยู่” ไอ้พร้าวถามขึ้น มันสวมเพียงกางเกงผ้าลื่นขาสั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมที่ยาวระต้นคอเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ เจ้าตัวเพียงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมไปมาอย่างลวกๆ

ธันวาเหมือนมองเห็นภาพทับซ้อน ไอ้พร้าวตัวน้อยในวัยเยาว์มักจะปล่อยให้ผมที่เพิ่งสระแห้งเอง โดยไม่ใส่ใจที่จะเช็ดให้หมาดๆ เหมือนอย่างคนอื่น นอกจากจะทำให้ตัวเปียกแล้ว พื้นห้องยังเปียกอีกด้วย จนเลต้องบ่นมันทุกครั้ง

“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนครับ” เขาหอบผ้าปูที่นอนผืนเก่าไปใส่ในตะกร้าผ้า แล้วเดินกลับมานั่งที่ปลายเตียง

“มานี่มา” ธันวากวักมือเรียกไอ้พร้าว มันเดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย

ธันวากดไหล่ไอ้พร้าวให้มันนั่งลงบนพื้น พิงแผ่นหลังกับเตียง กลายเป็นว่ามันกำลังนั่งอยู่หว่างขาของเขา

“เรียกมาทำไมอะ” ไอ้พร้าวแหงนหน้ามองคนบนเตียง ธันวาไม่ตอบแต่หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัวของมันมาเช็ดผมให้อย่างเบามือ

“ควรเช็ดผมให้หมาดๆ ก่อนออกจากห้องน้ำนะครับ”

ไอ้พร้าวมองไปที่พื้นห้องบริเวณที่มีหยดน้ำเป็นทางยาว “โทษที เดี๋ยวเช็ดพื้นให้” มันตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกธันวากดไหล่ไว้

“เช็ดผมให้แห้งก่อนครับ ถ้าเป็นหวัดขึ้นมาจะแย่เอา”

“มีด้วยเหรอ คนเป็นหวัดเพราะเช็ดผมไม่แห้งน่ะ ที่จริงไม่ต้องเช็ดมันก็แห้งเองได้” ไอ้พร้าวเถียง แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดผมให้

ท่าทางเหมือนแมวขี้อ้อนของไอ้พร้าวทำให้ธันวายิ้มออกมา ไม่ว่าเขาจับหัวมันเอียงไปทางไหน มันจะใช้หัวพิงที่ต้นขาข้างนั้นของเขา

“อืม...อาจจะมีหรือไม่มี พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คนที่โตเป็นหนุ่มแล้วยังเช็ดผมไม่เป็นน่ะมีแน่ๆ โอ๊ย!” ธันวาร้องเสียงหลงเมื่อถูกไอ้เด็กดื้อใช้ฟันงับที่ต้นขาด้านซ้าย ถึงจะแค่ไม่กี่วินาทีแต่ก็สร้างความเจ็บปวดและทิ้งรอยไว้อย่างเด่นชัด

“ทำไมชอบทำร้ายร่างกายพี่อยู่เรื่อย” ธันวาแสร้งพูดด้วยความน้อยใจ เขาไม่ได้โกรธหรือผลักไสมันให้ออกห่าง ยังคงเช็ดผมให้มันอย่างนุ่มนวล

ไอ้พร้าวเงยหน้ามองอีกฝ่าย “แฮ่” มันส่งเสียงพร้อมแยกเขี้ยวขู่

น่ารัก น่าเอ็นดู...

ไวเท่าความคิด ธันวาเลื่อนผ้าขนหนูผืนนั้นลงมาปิดตาไอ้พร้าว โน้มใบหน้าลงไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมัน

“เฮ้ย เล่นอะไรวะ” ไอ้พร้าวแหกปากลั่นเพราะเข้าใจว่ากำลังถูกอีกฝ่ายแกล้ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของธันวาอยู่ใกล้เพียงใด มือของมันปัดป่ายไปทั่ว งานนี้ธันวาคงได้ช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ

ธันวาขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อครู่เขาจะทำอะไรกันแน่ หากไอ้พร้าวไม่ขัดขืน...เขาคงทำมันไปแล้ว

ธันวาปล่อยผ้าขนหนูในมือทิ้ง แล้วขยับลงมานั่งบนพื้นซ้อนหลังไอ้พร้าว สองแขนโอบกอดมันไว้ทั้งตัว ตอนนี้เด็กหนุ่มจมอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว มันยังคงส่งเสียงโวยวายไม่หยุด พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนนี้

“พร้าวอึดอัดหรือเปล่า...ที่พี่พากิ่งมาคอนโด” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่กระซิบถามทำให้ไอ้พร้าวชะงัก มันเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ใกล้ชิดกับธันวามากเพียงใด หัวใจของมันเต้นรัวราวกับคนที่วิ่งจนเหนื่อยหอบจึงยอมนั่งอยู่นิ่งๆ

“...............................” เมื่อไร้คำตอบจากอีกฝ่าย ธันวาจึงกระชับอ้อมแขนให้แนบแน่นเข้าไปอีก

“อึดอัดและรำคาญตอนนี้มากกว่า หายใจไม่ออกด้วย ผมโตแล้วไม่ต้องมากอด ไม่ต้องมาใกล้ขนาดนี้ก็ได้ โรคจิตหรือเปล่า เห็นไหมนี่ผู้ชายทั้งแท่ง” ไอ้พร้าวโวยวายเป็นจริงเป็นจังแต่ไม่ได้บอกให้ปล่อย ดังนั้นธันวาจะถือเสียว่ามันอนุญาตให้กอดอย่างนี้

“รู้แล้วน่า ว่ามีแท่งไอติมเล็กๆ อยู่ตรงนี้ ไหนดูซิ ละลายหมดแล้วหรือยัง” ไม่พูดเปล่า เขายังเลื่อนฝ่ามือลงไปตรงส่วนนั้นของมัน

งับ! ไอ้พร้าวฝังเขี้ยวลงบนต้นแขนของธันวาทันที มันโมโหจนหน้าแดงไปหมด...กล้าดีอย่างไรมาว่าแท่งไอติมของมันเล็ก

“โอะ โอ๊ย! ปล่อยๆ ยอมแล้วๆ พี่ขอโทษ” แม้จะถูกไอ้พร้าวกัดจมเขี้ยว แต่ธันวาทำเพียงแค่ร้องออกมาแล้วปล่อยมือจากส่วนนั้นของมัน ทว่าไม่ยอมปล่อยมันจากอ้อมแขน “ทำไมต้องทำร้ายร่างกายกันด้วยครับ พี่แค่หยอกเล่นนิดเดียวเอง” เขาโน้มใบหน้าซบที่ไหล่อีกฝ่ายราวกับกำลังน้อยใจนักหนา

“นี่ เลิกเล่นเหอะ อายุพี่ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ” ไอ้พร้าวเริ่มจะเอือมระอากับพี่ธันของมันแล้ว

“พี่จะไม่พากิ่งมาที่คอนโดอีก...ดีไหม” ธันวาเอียงหน้ามองใบหน้าด้านข้างของไอ้พร้าวที่ใกล้เสียจนสามารถไล้ปลายจมูกไปตามสันกรามของมันได้

ไอ้พร้าวตระหนกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำตัวปกติดังเดิม บ่อยครั้งที่ธันวาชอบทำตัวแปลกๆ หากมันเป็นสาวน้อยคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งอกตั้งใจแต๊ะอั๋งมันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ หรืออาจจะใช้คำว่าล่วงละเมิดทางเพศได้อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เอาเถอะ...ถึงธันวาจะทำมากกว่านี้ ไอ้พร้าวก็ไม่ได้รู้สึกหวาดระแวงอะไรอีกแล้วเมื่อนึกถึงตัวมันเองกับไอ้ปืนที่ชอบแกล้งดึงงวงช้างกันเล่นอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็กยันโต

ไอ้พร้าวเอียงหน้าหลบ หันมองธันวาพร้อมขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้...คงต้องยกเว้นยามที่อีกฝ่ายเมาไม่ได้สติเหมือนอย่างคืนนั้น

“หือ ว่าไงครับ ดีหรือเปล่า ขมวดคิ้วแบบนี้กำลังสงสัยอะไรในตัวพี่” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างมากอบกุมมือขวาของมันไว้ อ้อมกอดที่แนบแน่นจนไม่เหลือช่องว่างเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นการโอบจากด้านหลังอย่างหลวมๆ

“เปล่า ผมยังไงก็ได้ นี่มันห้องของพี่ พี่จะพามาทีเดียวเป็นโหล ผมก็ไม่ว่าหรอก” ไอ้พร้าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ได้ใส่ใจอย่างที่พูดจริงๆ ดวงตาของมันจ้องปลายนิ้วมือข้างซ้ายของธันวาที่กำลังไล่แตะปลายนิ้วมือข้างขวาของมันทีละนิ้ว จนฝ่ามือประกบกัน แล้วเปลี่ยนเป็นมืออีกข้าง

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คนทั้งสองต่างจ้องปลายนิ้วของตัวเองและอีกฝ่าย จนกระทั่งถึงปลายนิ้วก้อยสุดท้าย ธันวาชะงักปลายนิ้วที่กำลังจะแตะกันอยู่ครู่ก่อนจะผละปลายนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ออกห่าง แล้วเริ่มแตะปลายนิ้วลงไปใหม่ ทำวนไปอยู่อย่างนั้นไม่ยอมแตะปลายนิ้วก้อยกับไอ้พร้าวเสียที

ไอ้พร้าวชักสีหน้า มันเริ่มจะหงุดหงิดกับการเล่นไร้สาระเหมือนเด็กของธันวา มันจึงกำมือเหลือไว้เพียงนิ้วก้อยแล้วชูขึ้นมาตรงหน้าอีกฝ่าย ธันวายิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู แทนที่จะแตะปลายนิ้วก้อยนั้น เขากลับยื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับมัน

การเกี่ยวก้อยสัญญาระหว่างชายฉกรรจ์สองคนที่ไม่มีที่มาที่ไปนั้นช่างดูพิลึกและจักจี้หัวใจแปลกๆ สำหรับไอ้พร้าว มันรู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า อดไม่ได้ที่จะเอียงใบหน้ามองอีกฝ่าย

ริมฝีปากที่กำลังอมยิ้มของธันวาอยู่ในระดับสายตาของมันพอดี เพียงแค่กะพริบตา รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หายไป ริมฝีปากนั้นขยับเอ่ยหนึ่งคำที่แผ่วเบา

“มนต์”

ปลายนิ้วก้อยของธันวาผละออกห่างอย่างช้าๆ ก่อนมือข้างนั้นจะตกลงบนตักของไอ้พร้าวเหมือนเจ้าตัวกำลังหมดแรง แผ่นหลังกว้างพิงขอบเตียงแล้วเอนหัวลงบนเตียงนุ่ม ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเชื่องช้า

ธันวากำลังจ้องไปที่เพดาน ทว่าดวงตาคู่นั้นช่างดูเลื่อนลอยเหลือเกิน ราวกับสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังมองเห็นไม่ใช่ภาพตรงหน้า

ไอ้พร้าวขยับริมฝีปากจะเอ่ยทำลายความเงียบ แต่เป็นอันต้องเงียบตามเดิมเมื่อธันวาหลับตาลง มันเข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอยู่เพียงลำพัง มันจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

มนต์หรือ ใครกัน หรือจะเป็นน้ำมนต์คนรักเก่าของธันวา เพราะตอนนั้นมันสนใจเพียงธันวาคนเดียว ไม่ได้ใส่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาและนิสัยเช่นไรจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงธันวาคนเดียว เจ้าตัวจึงลืมตาขึ้น ใช่แล้ว...เมื่อครู่เขาตั้งใจไล่ไอ้พร้าวออกไป หยดน้ำตาที่ไหลลงจากหางตาเป็นเหตุผลได้ดี เขาไม่อยากให้มันเห็นด้านที่อ่อนแอ

‘ธันต้องไม่ลืมนัดของมนต์นะ ถ้าธันลืมละก็...’ เด็กสาวในชุดนักเรียนมอปลายหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์

‘อะไรกันครับท่าทางแบบนั้น ธันเคยลืมนัดของมนต์ด้วยหรือ’ เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเอ็นดู นัดที่ว่านี้คือการนัดทานข้าวกับครอบครัวของน้ำมนต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก หรือจะบอกได้ว่าเป็นครั้งแรกในการพบพ่อแม่ของน้ำมนต์ในฐานะคนรัก

‘ไม่รู้แหละ ยังไงก็ห้ามลืมเด็ดขาด! ถ้าธันลืม มนต์จะไม่พูดด้วยสองเดือน แล้วไม่ให้ธันคุยกับใครด้วย มนต์จะยึดโทรศัพท์ธันตลอดสองเดือน’ คำขู่นี้ไม่เฉียดใกล้กับคำว่าน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเมื่อเสียงหวานๆ นั่นเอ่ยออกมา อีกทั้งท่าทางสะบัดหน้าหนีอย่างแสนงอนจนเส้นผมนุ่มที่ถูกรวบมัดเป็นหางม้าปลิวตามแรงยังน่ารักน่าชังยิ่งกว่าใครในโลก

‘ธันสัญญาว่าจะไม่ลืมครับ อืม...แล้วธันต้องทำยังไงมนต์ถึงจะยอมเชื่...’ ธันวาชะงักเมื่อกำปั้นเล็กๆ ของคนรักพุ่งเข้ามาใกล้ใบหน้าอย่างรวดเร็ว ในคราแรกเขาคิดว่าคงถูกชกเข้าแน่ๆ ทว่ากำปั้นที่อยู่ตรงหน้ากลับนิ่งค้างกลางอากาศ หญิงสาวแสร้งทำแก้มพองลมก่อนจะยิ้มกว้างจนตาหยี นิ้วก้อยที่กระดิกไปมาอยู่ตรงหน้าเป็นคำตอบได้ดีว่าเขาถูกเธอแกล้งเข้าแล้ว

‘เลิกทำหน้างงได้แล้ว ถ้าจะสัญญาก็ต้องเกี่ยวก้อยกัน’ ฝ่ามือนุ่มอีกข้างของน้ำมนต์จับมือธันวาให้เกี่ยวก้อยสัญญา เขายอมทำตามอย่างว่าง่าย

‘อืมๆ ต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสัญญา’ ทั้งที่เป็นคนเริ่มแท้ๆ แต่สุดท้ายน้ำมนต์กลับเป็นฝ่ายก้มใบหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงสุก ธันวามองด้วยใจที่เต้นรัว เขาไม่อาจจะห้ามใจได้อีกแล้ว...ขอเพียงแค่นิดเดียว เพียงแค่ไม่กี่วินาที

...เพียงแค่แตะปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มแล้วสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มปอด

เด็กหนุ่มในตอนนั้น...ธันวาในตอนนั้นช่างมีความสุขเหลือเกินจนไม่อาจบรรยายได้

“สงสัยจะแก่แล้วมั้ง” บ่นออกมาเบาๆ เรื่องราวในวันนั้นผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว เขาไม่เคยนึกถึงมันเลยตั้งแต่ตัดใจจากน้ำมนต์ได้ อะไรที่ทำให้เขาหวนคิดถึงวันเก่าๆ อะไรที่ดึงความเจ็บปวดนั้นให้กลับมาอีก

...สิ่งนั้นคืออะไร

คือการที่ได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับใครคนหนึ่ง คือความอบอุ่นใจที่รู้ว่าใครคนนั้นกำลังรออยู่ที่ห้อง หรือเพราะคนๆ นั้นคือ ‘ไอ้พร้าว’

ธันวาขยับตัวนั่งหลังตรง ใบหน้าตึงเครียดอย่างครุ่นคิด คงเพราะตัวเขาเป็นลูกคนเดียว เมื่อมีเด็กหนุ่มที่อายุห่างกันหลายปีมาสนิทสนมด้วยจึงทำให้รู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ

แต่เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาปฏิบัติต่ออีกฝ่าย ธันวาก็ได้แต่ยกฝ่ามือขึ้นตีหน้าผากตัวเองหลายที ไอ้พร้าวเป็นผู้ชาย เขาไม่จำเป็นต้องประคบประหงม คอยห่วง คอยเอาอกเอาใจราวกับมันเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งยังนึกสนุกแกล้งทำตัวรุ่มร่ามกับอีกฝ่ายบ่อยๆ และชอบใจเวลาที่มันร้องโวยวายหรือขัดขืน

ธันวารู้สึกห่อเหี่ยวใจ เป็นกังวลว่าไอ้พร้าวจะอึดอัดกับสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อมัน คงเพราะไอ้พร้าวไม่มีทีท่าว่ารังเกียจ เขาจึงมองข้ามความรู้สึกของมันไป มันอาจจะไม่ชอบแต่เพราะเกรงใจจึงยอมให้แกล้งอยู่เรื่อย

แผ่นหลังที่เหยียดตรงค่อยๆ ค่อมลง ไหล่ห่อจนหมดมาด ยิ่งคิดยิ่งเครียดจนลืมเรื่องคนรักเก่าไปหมดสิ้น


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:28:05 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

“นี่ นี่! พี่ธัน!” เสียงเรียกที่ดังลั่น อีกทั้งปลายด้ามไม้กวาดที่จิ้มซ้ำๆ ตรงต้นขาทำให้ธันวาสะดุ้งตัวโหยง

“ครับ! ครับ?”

ไอ้พร้าวกลั้นขำเมื่อเห็นใบหน้าเหลอหลาของอีกฝ่าย หลายวันมานี้พี่ธันของมันมักทำตัวแปลกๆ

“ยกขาขึ้นหน่อย จะกวาดตรงนี้” มันใช้ด้ามไม้กวาดตีที่หน้าขาของธันวาเบาๆ เขาทำตามอย่างว่าง่าย

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้งานหนักเหรอ” ไอ้พร้าวก้มหน้ากวาดพื้น ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

“อา น่าจะอย่างนั้น มีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย” แต่เรื่องนั้นเป็นเรื่องของไอ้พร้าว

ธันวามองเด็กหนุ่มทำความสะอาดห้องอย่างขยันขันแข็ง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเข้าไปแย่งไม้กวาดจากมืออีกฝ่ายมาทำเสียเอง เพราะอยากเห็นใบหน้าบึ้งตึงของมัน

“พรุ่งนี้กลับดึกนะ คงถึงห้องประมาณสี่ห้าทุ่ม บ้านลุงตุ้ยเสร็จแล้วเลยจะอยู่ช่วยขนของจากอู่เข้าบ้าน ไม่ต้องไปรับ เดี๋ยวกลับเอง” ไอ้พร้าวพูดรัว ลอบมองอีกฝ่ายว่ามีท่าทีเช่นไร ปกติธันวาจะเสนอตัวไปรับที่อู่ หรือแสดงสีหน้าเป็นกังวล แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับยิ้มอย่างใจดี และพยักหน้ารับรู้

แปลก...แต่ถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องทะเลาะให้หัวเสีย หรือหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อต่อรอง

“พร้าว อาทิตย์หน้าพี่ลาพักร้อนทั้งอาทิตย์ จะขึ้นเหนือไปเยี่ยมยายที่เชียงราย...ไปด้วยกันไหม” ธันวาเอ่ยถามไปอย่างนั้นเพราะเขาได้วางแผนสำหรับอาทิตย์หน้าไว้เรียบร้อยแล้ว และไอ้พร้าวต้องขึ้นเหนือไปพร้อมเขา ทว่ามันกลับมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้าตอบ

“ไม่ไปดีกว่า พี่ไปเถอะ ช่วงนี้ช่างลากลับต่างจังหวัดไปสองคน ที่อู่เลยขาดคนน่ะ ผมอยู่ช่วยลุงตุ้ยดีกว่า” คำตอบของไอ้พร้าวทำเอาหางคิ้วธันวากระตุกข้างหนึ่ง

“ไม่ไปจริงหรือ ตั้งอาทิตย์นึงเชียวนะ จะอยู่คนเดียวได้หรือ พี่เป็นห่วง”

“อยู่ได้น่า ไม่ต้องห่วงหรอก บ้านลุงตุ้ยก็เสร็จแล้ว นอนที่นั่นก็ได้ เบอร์ลุงตุ้ยพี่ก็มี มีอะไรก็โทรถามได้ เอาตามนี้แหละ” ไอ้พร้าวรีบตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะได้อ้าปากพูด

ธันวาทำได้เพียงแอบถอนหายใจเมื่อมันหันหลัง...เห็นทีเขาต้องทิ้งตั๋วเครื่องบินไปหนึ่งที่เสียแล้ว



“ไอ้ปืน! เอ็งจะกินแรงคนอื่นอีกนานไหม เป็นผู้ชายเสียเปล่า เอ็งดู! ดูคนอื่นเขาแบกตู้แบกเตียง เหงื่อไหลไคลย้อยกันหมด” ลุงตุ้ยอดตะโกนด่าหลานไม่ได้เพราะมันเลือกขนแต่ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นกาต้มน้ำในมือของมัน ไอ้ปืนยกมือข้างที่ว่างปาดเหงื่อบนหน้าผากที่มีอยู่น้อยนิด แล้วเดินลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้สึกละอายใจ

“ไอ้หลานคนนี้ไม่รู้มันได้นิสัยขี้เกียจมาจากใคร เอ็งคบมันเป็นเพื่อนได้ยังไงวะไอ้พร้าว เฮ้อ...ข้าละหน่ายมันจริงๆ ไม่รู้มันจะไปทำมาหากินอะไรได้ อย่างดีก็คงได้อยู่เฝ้ารีสอร์ตของแม่มัน” ลุงตุ้ยยังคงบ่นไม่หยุด

ไอ้พร้าวได้แต่หัวเราะเบาๆ ตัวมันเองใช่ว่าจะเป็นคนขยันขันแข็งอะไร แต่เมื่อเทียบกับไอ้ปืนที่ได้ชื่อว่าขี้เกียจตัวเป็นขนแล้ว มันจึงดูดีขึ้นเป็นหลายเท่า

“พร้าวมานี่หน่อย มาช่วยป้าขนลังนี้ไปขึ้นรถหน่อย” ป้านุชเมียของลุงตุ้ยกวักมือเรียกให้มันไปหา

ไอ้พร้าวมองลังกระดาษบนพื้นอย่างสนใจ อัลบั้มรูปมากมายกองอยู่ในลังจนล้นออกมา บางรูปเหมือนจะถ่ายไว้นานจนสีซีดไปหมด

“ระวังหน่อยนะ หนักพอสมควร ป้าปวดหลังยกไม่ไหวแล้ว”

ไอ้พร้าวหยักหน้ารับก่อนจะย่อตัวลงโอบลังกระดาษไว้แล้วยกขึ้น ทว่าลังกระดาษเก่าๆ นี้ไม่สามารถรับน้ำหนักสิ่งที่อยู่ข้างในได้

ตุบ! อัลบั้มรูปตกลงมากองอยู่ที่พื้น รูปภาพมากมายหล่นปลิวกระจัดกระจาย ไอ้พร้าวถอนหายใจให้กับความยุ่งยาก แทนที่จะรีบขนรีบเสร็จแต่มันกลับต้องมานั่งเก็บรูปพวกนี้

“ฉันก็บอกเธอแล้วว่าให้หากล่องดีๆ มาใส่” ลุงตุ้ยบ่นป้านุชอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะช่วยไอ้พร้าวเก็บรูปถ่าย

“ผมผิดเองที่ไม่ถือดี ๆ ป้านุชก็บอกอยู่ว่าให้ระวัง” ปากพูดออกไปแต่ตากลับมองรูปในมือ วันเดือนปีที่อยู่บนรูปถ่ายทำให้มันสนใจเป็นพิเศษ มีบางรูปเก่าเป็นสิบปี

“รูปนี้ตั้งแต่สมัยย้ายมาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ คนนี้พ่อของป้านุช เป็นเจ้าของอู่นี้แหละ ก็ข้ามันหล่อ ลูกสาวเขาเลยมาชอบจนได้ตบแต่งอยู่กินกันจนทุกวันนี้” ลุงตุ้ยแสร้งพูดเสียงดังให้ป้านุชได้ยิน

“แหม ไม่รู้ว่าใครที่ชอบฉันจนยอมให้พ่อเอาปืนลูกซองจ่อหัว ฉันก็แค่สงสารหรอกถึงได้แต่งด้วย” ป้านุชที่จัดของอยู่บนรถกระบะเท้าสะเอวพูดอย่างไม่ยอมแพ้ คนงานในอู่ต่างพากันหัวเราะ โห่ร้องดังลั่น

ไอ้พร้าวอมยิ้มมองผู้ใหญ่ทั้งสองโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันก้มดูรูปในมือไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน ปลายนิ้วจับพลิกรูปที่คว่ำหน้าด้วยความเคยชิน...ไอ้พร้าวชะงัก จ้องคนในรูปถ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาด้วยหัวใจที่เต้นรัว

มันรู้จักคนในรูป ไม่ผิดแน่ แม้จะเคยเห็นเพียงในรูป แต่มันจดจำรายละเอียดบนใบหน้าของคนๆ นี้ได้เป็นอย่างดี...ใบหน้า คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก

ลุงตุ้ยเห็นไอ้พร้าวจ้องรูปใบนั้นไม่วางตาจึงชะโงกหน้าดู “อา นี่มัน...”

“ลี” ไอ้พร้าวเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา

“อืม ใช่ นี่แหละลี...แม่ของเอ็ง ถ่ายไว้นานเหมือนกัน ลีเป็นคนสวย สวยมากๆ ถ้าไม่ได้เป็นญาติกันข้าคงจีบไปแล้ว” ลุงตุ้ยยิ้ม สายตาจดจ้องที่รูปถ่ายในมือของไอ้พร้าว

“รูปนี้ถ่ายที่ไหนเหรอครับ”

“ถ่ายที่นี่แหละ มันก็สิบหกสิบเจ็ดปีมาแล้ว อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด ตอนนั้นกิจการยังเล็กๆ บ้านกับอู่ก็อยู่รวมกัน พอมีพอกินไปวันๆ ถึงขนาดใช้ตู้คั่นกลางแบ่งเป็นห้อง” ลุงตุ้ยถอนหายใจเมื่อนึกถึงความยากลำบากในอดีต

“ลีมาหาลุงเหรอ แล้วมาทำไม น้าเลไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย” ไอ้พร้าวยังคงไม่ละสายตาไปจากคนในรูป

“น้าเอ็งไม่เคยเล่าเลยเหรอะ แล้วเอ็งได้ถามน้าหรือเปล่าล่ะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ไอ้พร้าวเรียกผู้หญิงในรูปว่า ‘ลี’ แทนที่จะเป็น ‘แม่’ แต่ลุงตุ้ยไม่คิดที่จะทักท้วงหรือถามหาเหตุผล ทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น

“อาจจะเคยถามตอนเด็ก” ไอ้พร้าวตอบอย่างไม่แน่ใจ มีใครบ้างจดจำเรื่องราวในวัยเด็กของตัวเองได้ ลุงตุ้ยได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของมัน

“ลีเข้ามากรุงเทพ มาขออยู่ที่อู่แค่สองสามอาทิตย์ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ข้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ลีบอกว่าไปอยู่กับคนรู้จัก เฮ้อ...จะว่าไปข้าเองก็ผิดที่ดูแลน้องนุ่งไม่ได้ ตอนลีอยู่ที่นี่ก็ถูกชาวบ้านเอาไปนินทาสนุกปากว่าเป็นเมียน้อยข้า คงลำบากใจไม่น้อย” ลุงตุ้ยพูดพลางก้มเก็บรูปมากองไว้รวมกัน

“ลีได้บอกไหมครับ คนรู้จักที่ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร ชื่ออะไร แต่ตาแก่นี่เคยพาน้าเลของเอ็งไปหาอยู่สองสามครั้ง จำได้ลางๆ ว่าน้าเอ็งเคยหอบเอ็งขึ้นมากรุงเทพด้วย”

ไอ้พร้าวชะงักก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ ป้านุชยกมือขึ้นปิดปากทันทีเมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป ลุงตุ้ยได้แต่ส่งสายตาตำหนิไปให้ มันคงจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน...ความลับไม่มีในโลก

“ฉันนี่มันปากมากจริงๆ ไอ้พร้าวเอ็งก็คิดเสียว่าเมื่อกี้ป้าไม่ได้พูดอะไรออกไปนะ” ป้านุชวางกล่องพลาสติกลง แล้วรีบเดินหนี

“จริงเหรอลุง” ไอ้พร้าวยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ลุงตุ้ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนพยักหน้าตอบ ในเมื่อความลับที่เก็บไว้ตั้งนานถูกเปิดเผยแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องแสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก

“จริงอย่างที่ป้านุชบอกนั่นแหละ หลังจากแม่เอ็งเข้ากรุงเทพมาได้ปีกว่า ไอ้เลก็มาตามหา เฮ้อ...ยังไงมันก็เป็นเรื่องของครอบครัวเอ็ง ข้าว่าเอ็งถามไอ้เลจะดีกว่า” ลุงตุ้ยวางอัลบั้มรูปเล่มสุดท้ายลงในกล่องพลาสติก แล้วลุกขึ้นถือกล่องไปเก็บที่รถ

ไอ้พร้าวมองรูปถ่ายหญิงสาวในมืออีกครั้ง ลีในรูปนี้เหมือนเด็กสาวทั่วไปที่มีความใสซื่อและรอยยิ้มที่สดใส เธอดูเป็นคนใจดีและอ่อนโยนต่างจากรูปที่น้าเลเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน รูปนั้นเป็นรูปหน้าตรง สีขาวดำที่มีขนาดเพียงสองนิ้วเท่านั้น มันเคยวาดรอยยิ้มของลีไว้ในจินตนาการ แต่เมื่อเทียบกับรอยยิ้มในรูปนี้แล้วช่างต่างกันลิบลับ

ปลายนิ้วชี้ของมันแตะลงบนริมฝีปากของคนในรูป...ลีดูมีชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกว่าคนๆ นี้มีตัวตนจริงๆ เป็นคนๆ หนึ่งที่มีร่างกายและลมหายใจ ไม่ใช่แค่รูปถ่ายใบหนึ่ง

คงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้

แสงสว่างริบหรี่เหมือนหิ่งห้อยที่ใกล้ดับแสงในใจของไอ้พร้าวกำลังทอแสงสว่างขึ้นที่ละนิดๆ หัวใจของมันกำลังเต้นรัว มันละสายตาจากรูปถ่ายในมือ แววตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่มองตรงไปยังเบื้องหน้า

สักวันมันต้องได้เห็นลียืนอยู่ตรงหน้า สักวันหนึ่ง...

“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ไอ้พร้าวเอ่ยปากถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาทันทีที่กลับถึงห้อง นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ปกติเวลานี้ธันวาจะเข้านอนไปแล้ว

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องยิ้มก่อนจะส่ายหน้าตอบ จะให้เขานอนได้อย่างไรในเมื่อมันยังไม่กลับมา ถึงอยากนอนก็ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ เขาคงเคยชินกับการได้เข้านอนพร้อมกับมันเสียแล้ว

ธันวาลุกขึ้นจากโซฟา เดินเข้าไปหาคนที่มองมาด้วยความสงสัย เมื่อได้มายืนตรงหน้าไอ้พร้าวจึงได้รู้ว่ามันต่างไปจากทุกวัน แม้ใบหน้าจะดูเหนื่อยล้าเหมือนอย่างเคย ทว่าแววตาของมันกลับดูสดใสราวกับมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในวันนี้

“มีเรื่องดีๆ อะไรที่อยากบอกพี่ไหมครับ หือ” ธันวาถามออกไปตรงๆ

ไอ้พร้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำถามจากคนตรงหน้า...รู้ได้อย่างไรกัน มันอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าตอบ

“ความ ลับ จ้ะ” มันเน้นทีละคำพร้อมจิ้มปลายนิ้วชี้ไปที่ไหล่ซ้ายของธันวาเป็นจังหวะสามครั้ง

ธันวาเลิกด้วยความไม่พอใจก่อนจะคว้ามือข้างนั้นของไอ้พร้าวไว้ “เดี๋ยวนี้มีความลับกับพี่แล้วหรือ เป็นเด็กไม่ดีเลยนะเรา”

“เด็กที่ไหน ใครเด็ก นี่ๆ ฟาดคอคนหักได้เลยนะจะบอกให้” ไอ้พร้าวไม่พูดเปล่า ยังเด้งสะโพกอวดพร้อมทำหน้าทะเล้นได้อย่างน่าหมั่นไส้

ธันวาหัวเราะในลำคอ ดึงมือข้างนั้นของมันลงมาทาบอวัยวะที่แสดงความเป็นชายของตัวเอง “ถ้าเทียบกับของพี่...ก็น่าจะเด็กกว่าหลายสิบปี” ธันวายักคิ้วอย่างผู้ชนะ ไอ้พร้าวดึงมือออกจากการกอบกุมจนหลุดแล้วชูกำปั้นขึ้นมาตรงหน้า

“เดี๋ยวทุบให้แบนซะเลย อย่าเผลอแล้วกันนะลุง!” มันขู่เสียงแข็ง จากนั้นเดินกระแทกไหล่ธันวาเข้าห้องนอน

ธันวาเม้มริมฝีปากแน่น ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีต่อมารอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้า...เพื่อนตัวน้อยในวันวานของเขาช่างน่ารัก น่าแกล้งเสียจริง

ใช่เพียงธันวาที่กำลังยิ้ม ไอ้พร้าวก็เช่นกัน มันมองใบหน้าตัวเองในกระจกก่อนจะใช้ฝ่ามือทั้งสองขึ้นบีบอัดสองแก้มของตัวเองจนปากจู๋ หากมันยิ้มอีกนิด ปากคงฉีกถึงหูแน่ๆ

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้กำลังทำให้หัวใจของมันพองโตจนแทบระเบิดออกมา เมื่อมันได้พบลี...ธันวาจะเป็นคนแรกที่ได้รู้



ธันวาพลิกตัววาดแขนไปยังอีกฝั่งของเตียง หัวคิ้วขมวดเป็นปม เปลือกตาค่อยๆ ขยับเปิดขึ้นเมื่อพบกับความว่างเปล่า ภายในห้องไร้ร่างของไอ้พร้าว ดวงตาที่ปรือปรอยมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียง...เพิ่งจะตีสี่ครึ่งแท้ๆ เขาหลับตาลงอีกครั้งพยายามฟังเสียงรอบๆ ตัว แต่กลับไร้เสียงของคนที่หายไป

ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ธันวาไม่อยากลุกจากผ้านวมที่แสนอบอุ่นนี้ แต่เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้อีก ธันวาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองมายืนที่ห้องครัว มองแผ่นหลังของคนที่ลุกหายไปจากเตียง

เขารู้ว่ามันอยู่ที่นี่ ราวกับเหตุการณ์เมื่อสี่วันก่อนวนกลับมาอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกวัน...

ไอ้พร้าวมักตื่นเวลานี้ และมานั่งวาดขีดๆ เขียนๆ บางอย่างลงสมุดวาดเขียนที่ระเบียงห้อง แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปหา มันกลับรีบปิดสมุดวาดเขียนเล่มนั้นแล้วกอดไว้แนบอกแน่น ราวกับไม่ต้องการให้เขาได้เห็นสิ่งที่มันวาดลงไป...ธันวาชะงักเท้าที่กำลังเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเช่นทุกวันก่อนจะถอยออกมา

ธันวาล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง หากไอ้พร้าวไม่ต้องการให้เขารู้ เขาก็จะทำเป็นมองไม่เห็น และไม่ติดใจกับสิ่งที่มันกำลังปกปิดไว้

...พูดน่ะง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ เขากลับไม่สามารถทำได้

แอ๊ด...

เสียงประตูห้องเปิดออก ธันวาจึงแสร้งทำเป็นหลับ มีเสียงกุกกักดังในห้องนอนเพียงครู่ก่อนจะเงียบลง เตียงนอนอีกฝั่งยวบลงตามน้ำหนักตัวของคนร่วมเตียง อีกฝ่ายสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน ขยับเข้ามาใกล้จนผิวกายอุ่นสัมผัสที่แขนของเขาแผ่วเบา แม้จะมองไม่เห็นแต่ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าก็ทำให้รู้ว่ากำลังใกล้ชิดกันเพียงใด ใกล้เสียจนต้องกลั้นหายใจ

ไอ้พร้าวรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ธันวาไม่ออกไปตามมันกลับเข้าห้องเหมือนอย่างทุกวัน มันเพียงแค่อยากมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงหลับอยู่ แต่เพราะยังไม่สามารถปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้จึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำไว้กับหมอนของตัวเองและใช้อีกมือยันขอบเตียงอีกฝั่งไว้ กลายเป็นว่ามันกำลังคร่อมตัวธันวาไว้โดยไม่ตั้งใจ

ภาพที่มองเห็นลางๆ ทำให้ไอ้พร้าวไม่สามารถประมาณระยะห่างจากใบหน้าของอีกฝ่ายได้ มันก้มลงไปเรื่อยๆ จนริมฝีปากสัมผัสแก้มของธันวา มันตกใจรีบผละใบหน้าออกห่าง ราวกับถูกสวรรค์กลั่นแกล้งฝ่ามือที่ยันขอบเตียงลื่นไถลจึงไม่สามารถทรงตัวได้อีก

“เหวอ!”

ตุบ!

ไอ้พร้าวหลับตาปี๋ ใบหน้าซบแผ่นอกของธันวา แม้แรงปะทะเมื่อครู่จะไม่แรงมากนัก แต่อาจทำให้อีกฝ่ายตื่นได้ มันนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าธันวาไม่ได้ตื่นขึ้นมาจึงเริ่มขยับตัวออกห่าง ทว่าเพียงแค่ผงกหัวขึ้น ฝ่ามืออุ่นที่คุ้นเคยก็วางลงบนหัวของมัน แล้วกดให้ซบลงบนอกตามเดิม

“ผมทำให้พี่ตื่น” มันกระซิบแผ่วเบา

“ก็ตั้งใจปลุกพี่ไม่ใช่หรือ” ธันวายังคงหลับตา เขาใช้แขนอีกข้างโอบกอดเด็กหนุ่มไว้ ลูบแผ่นหลังของมันไปมา

“เปล่าสักหน่อย” ไอ้พร้าวหลับตาลง ซึมซับไออุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันชอบอ้อมกอดนี้ ชอบตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นไอ้เด็กพร้าวที่คอยเดินตามหลังธันวา

แต่...ความรู้สึกเมื่อวันวานเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้

“วันนี้พี่ต้องไปเชียงรายแล้วนะ จะไม่ไปกับพี่จริงๆ หรือ พี่อยากให้พร้าวไปด้วย ยายของพี่ใจดี แกทำขนมอร่อยมาก พี่อยากให้พร้าวได้ชิมฝีมือของแก ไร่ของป้าจิตกับลุงพงษ์ก็ใหญ่มากๆ มีทั้งชาอูหลง กาแฟ แล้วก็ผลไม้เมืองหนาว” ธันวาลืมตาขึ้น ก้มมองคนในอ้อมกอด “ถ้าพร้าวไปด้วย พี่จะพาไปนั่งรถเล่นดูไร่ทุกวัน”

ธันวานึกถึงสิ่งต่างๆ ที่อยากทำร่วมกับไอ้พร้าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าเพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ห่างจากมันเป็นอาทิตย์ใจของเขาก็วูบโหว่ง ทั้งที่เมื่อก่อนเจอกันปีละครั้ง มีเวลาร่วมกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ยังไม่รู้สึกคิดถึงหรืออาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

“ไม่ไป” ไอ้พร้าวตอบทันที แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด ครั้งแรกที่มันปฏิเสธนั้นเพราะไม่อยากไปรบกวนเวลาของธันวากับครอบครัว แต่ตอนนี้มันปฏิเสธเพราะมีเหตุผลอื่น

“ยังไงก็ได้ครับ พี่ตามใจพร้าวเสมอ” แม้จะพยายามสักแค่ไหน แต่น้ำเสียงที่เจือความน้อยใจก็ไม่สามารถปกปิดได้ ไอ้พร้าวอมยิ้มก่อนจะกัดที่ผิวแน่นตึงผ่านเนื้อผ้าบางไม่แรงนัก

“ถ้าพี่อยากให้ผมได้ชิมฝีมือของยาย พี่ก็ห่อขนมมาฝากไง แล้วก็ขนของกินทุกอย่างที่ไร่มีกลับมากรุงเทพด้วย แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าที่ไร่มีอะไรบ้าง พี่จะได้ไม่เหนื่อยขับรถพาผมไปดู”

“เฮ้อ โอเคครับ พี่สัญญาจะหอบของฝากมาให้พร้าวเยอะๆ แต่ตอนนี้เรานอนต่อกันเถอะ พี่ยังง่วงอยู่เลย” น้ำเสียงของธันวาแผ่วลงในท้ายประโยคก่อนมันจะรับรู้ได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่าย

แม้ธันวาจะหลับไปแล้ว แต่ไอ้พร้าวยังคงลืมตาในความมืด มันกำลังนึกถึงสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้...สิ่งที่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายวัน

จะไม่นั่งรอความหวังอีกแล้ว...ต้องทำอะไรสักอย่าง มันจะออกไปตามหาลี ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าลียังอยู่กรุงเทพหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็ได้พยายาม

ไอ้พร้าวซุกปลายจมูกไปที่ลำคอของธันวา สูดกลิ่นกายที่มันคิดถึง...ทั้งที่อยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่กลับรู้สึกคิดถึงมากมาย เกือบสามปีที่รอคอยยังไม่นานเท่าหนึ่งอาทิตย์ที่อีกฝ่ายต้องห่างจากมันในตอนนี้


TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:28:46 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 9 (Part 4)


‘พี่ไปก่อนนะ ขอโทษที่ไม่ได้ปลุก...แล้วเจอกันครับ’

ไอ้พร้าวยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองหลังอ่านข้อความที่ธันวาทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง ทั้งที่มันตั้งใจว่าจะตื่นไปส่งอีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่กลับนอนตื่นสายจนตะวันโด่ง

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตามเดิม นอนกลิ้งไปมา ไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อนเพราะวันนี้เป็นวันหยุด...วันหยุดที่ไม่มีธันวาอยู่ด้วย วันหยุดที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องนี้

ครืด ครืด...

ไอ้พร้าวเหลือบมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะยื่นมือไปหยิบ มันเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ใจหนึ่งก็อยากรับสาย แต่อีกใจยังไม่กล้า

หลังจากที่ได้คุยกับเลในตอนนั้น ไอ้พร้าวก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย มันไม่ได้โกรธแล้ว ไม่มีความรู้สึกนั้นอีกแล้ว แม้แต่ความน้อยใจก็มลายหายไปหมดสิ้น ความรู้สึกใหม่ที่เข้ามาแทนที่ทำให้มันไม่กล้าเผชิญหน้า

ละอายใจ...มันรู้สึกละอายใจที่ทำตัวไร้เหตุผล เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง

เป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือที่มันได้พบพ่อของตัวเอง ทั้งยังเป็นลุงพัทธ์ที่มันรักอีกด้วย ส่วนความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพัทธ์กับเล แม้เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่หากความสัมพันธ์นี้ทำให้ทั้งสองมีความสุข มันก็ยินดีให้เกิดขึ้น

สายโทรเข้าตัดไปแล้ว ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที น้าเลของมันก็โทรเข้ามาเป็นรอบที่สอง และสาม

“น้าเล” ไอ้พร้าวแบะปาก กลั้นน้ำตา

“ไอ้พร้าว! รับสักทีนะเอ็ง” เสียงตะโกนของผู้เป็นน้าทำให้มันต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหู

“รับแล้วหรือ ขอผมคุยกับลูกหน่อย” มีเสียงของพัทธ์ดังเข้ามาในสาย

“เดี๋ยวสิ รอให้ข้าคุยกับมันก่อน นิ่งๆ สิไอ้พัทธ์ อย่ามาแย่งโทรศัพท์” ไอ้พร้าวยิ้มออกมา เลดุพัทธ์ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กเล็ก

“ไอ้พัทธ์นี่น่ารำคาญขึ้นทุกวัน ข้าวปลาก็ยังต้องบังคับให้กิน” เลบ่นอย่างไม่จริงจังนัก

“สบายดีไหมจ๊ะ หนูคิดถึงน้าเล คิดถึงลุงพัทธ์ หนูขอโทษ ฮือ” พูดได้ไม่กี่ประโยค ไอ้พร้าวก็เป่าปี่ให้น้าของมันฟังเสียแล้ว

“น้องร้องไห้ใช่ไหม น้องร้องไห้ทำไม” พัทธ์พยายามแย่งโทรศัทพ์จากเลอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียร้องไห้โฮจากปลายสาย

“ไอ้พัทธ์! บอกว่าอย่าแย่ง เดี๋ยวทำโทรศัพท์ตก ไปนั่งตรงนั้นเลย ไม่งั้นข้าจะไม่ให้เอ็งคุยกับลูก” เลชี้นิ้วไปที่ระเบียงไม้ พัทธ์ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะยอมไปนั่ง

“เอ็งนี่ จะร้องไปทำไมกัน โตแต่ตัวจริงๆ ข้าสบายดี...คิดถึงเอ็งเหมือนกัน” เลหันหลังให้พัทธ์เมื่อพูดประโยคสุดท้ายก่อนใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองที่ปริ่มออกมา “จะกลับบ้านได้หรือยัง” เขากะพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำตา

“ยัง” ไอ้พร้าวตอบเจือเสียงสะอื้น

“อ้าว แล้วเอ็งจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ อยู่นานๆ ข้าก็เกรงใจไอ้ธัน”

“หนูอาจจะกลับปลายเมษา ไอ้ปืนชวนให้อยู่เล่นสงกรานต์ก่อน” มันดึงชายเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูก

“เออๆ แล้วแต่เอ็งเถอะ อย่าทำอะไรให้ไอ้ธันรำคาญล่ะ”

“จ้ะ” ไอ้พร้าวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “น้าเล หนูขอคุยกับลุงพัทธ์หน่อย” มันกัดริมฝีปากล่างเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ขอ

“ได้ๆ เดี๋ยวเรียกมันให้” เลหันกลับไปกวักมือเรียกพัทธ์ แล้วชูโทรศัพท์ขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าไอ้พร้าวขอคุยด้วย พัทธ์ยิ้มกว้างรีบเดินเข้ามาหา ทว่าเมื่อยื่นมือหมายจะคว้าโทรศัพท์ เลกลับชูมันขึ้นสูง

“เอา-มา” พัทธ์ขยับปากบอก เลยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะล้วงบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาชูตรงหน้าพัทธ์

“ไม่! นี่มันของผม” พัทธ์พูดเสียงเบา ชี้ที่โทรศัพท์แล้วชี้ที่ตัวเอง เลยักไหล่ เสียบหูฟังที่โทรศัพท์ จากนั้นเดินหนีเข้าไปในครัว พัทธ์เดินตามอย่างหงุดหงิด

เลนั่งลงที่มุมอับสายตาในห้องครัวแล้วใช้มือตบพื้นที่ว่างข้างตัว พัทธ์ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย เลจึงยื่นหูฟังข้างหนึ่งให้พัทธ์ ส่วนอีกข้างอยู่ที่หูตัวเอง

“น้องพร้าว ลุงพัทธ์เองนะครับ”

“...................” ผ่านไปเกือบนาที ปลายสายยังคงเงียบ พัทธ์เริ่มใจเสีย หน้าซีดเผือด เลส่ายหน้าก่อนจะดึงพัทธ์เข้ามากอดแนบอก

“ลุงพัทธ์ หนูขอโทษ” ไอ้พร้าวผ่อนลมหายใจออกยาวเมื่อพูดในสิ่งที่ติดค้างในใจมาโดยตลอด

“ไม่ต้องขอโทษครับ น้องพร้าวไม่ได้ทำอะไรผิด ลุงต่างหากที่เป็นคนผิด...พะ พ่อขอโทษ” พัทธ์กลั้นก้อนสะอื้นไว้ในลำคอ มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลออกมา เลผละคนขี้แยออกจากอ้อมกอด ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบไปมา อีกข้างประคองใบหน้าคนรักไว้แล้วแนบริมฝีปากจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

“หนูไม่ได้โกรธลุงพัทธ์แล้ว แต่หนูขอเรียกลุงพัทธ์ว่าลุงพัทธ์ตามเดิมนะจ๊ะ” ไอ้พร้าวหลุบตามองฝ่ามือของตัวเอง “ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากเรียกลุงพัทธ์ว่าพ่อ แต่หนูชอบเรียกอย่างเดิมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้หนูก็รักลุงพัทธ์ หนูเห็นลุงพัทธ์เป็นคนในครอบครัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”

“ได้ครับ ยังไงก็ได้” พัทธ์ยิ้มกว้าง สบตากับเลที่ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน เลอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงบนแก้มคนรัก

“ลุงพัทธ์...ลุงพัทธ์เจอลีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ไอ้พร้าวตัดสินใจถามออกไป ชื่อของบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองชะงัก แววตาของพัทธ์สั่นไหว เลพยักหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายตอบคำถามนี้

“มะ ไม่แน่ใจครับ มันก็นานแล้วเหมือนกัน ก่อนที่ลุงจะมาอยู่นี่ น่าจะสิบปีได้” พัทธ์จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่จำสิ่งที่ลีพูดในวันนั้นได้ดี

“เหรอจ๊ะ แล้วเจอที่ไหน” ฝ่ามือของไอ้พร้าวชื้นเหงื่อ หากมันรู้สถานที่ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น

“..............................” พัทธ์สบตากับเลอีกครั้ง มันไม่ใช่คำถามที่ยากแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปดีหรือไม่

“ถ้าลุงพัทธ์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรจ้ะ หนูแค่ถามไปอย่างนั้นเอง”

“เปล่าครับน้องพร้าว ไม่ใช่ว่าลุงไม่อยากตอบ แต่...มันไม่มีที่นั่นอีกแล้ว หลังจากลุงมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ที่นั่นก็ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซาก” พัทธ์หลุบตาลงต่ำ ไม่ว่าจะพูดถึงลีสักกี่ครั้ง ความรู้สึกผิดก็ยังคงเกาะกินใจของเขา

“เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวเอ่ยออกมาแผ่วเบา แสงสว่างในใจของมันกำลังมอดดับลงอีกครั้ง

“ตะ...แต่ในข่าวไม่มีชื่อลีในรายชื่อคนเสียชีวิตนะครับ” พัทธ์รีบบอกในสิ่งที่รู้ เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นก่อให้เกิดการสูญเสียและความเสียหายไม่ใช่น้อย จนทำให้เจ้าของกิจการถูกฟ้องล้มละลาย

“เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวยังคงตอบกลับเช่นเดิม มันไม่อยากคาดหวังอีกแล้ว

“เอ็งอยากรู้ไปทำไม หรืออยากเจอนังลี” อ เลอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างหงุดหงิด

“คุณอย่าพูดแทรกสิ ฟังเฉยๆ ไม่เป็นหรือไง” พัทธ์รีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่าย เลปัดออกอย่างรำคาญ

“น้าเลฟังอยู่เหรอจ๊ะ หนูขอโทษที่ถามถึงลี หนูแค่อยากรู้เท่านั้นเอง...ไม่ได้อยากเจอ” ไอ้พร้าวโกหกเพราะกลัวน้าเลจะน้อยใจและเสียใจ มันรู้ดีว่าเลไม่อยากเอ่ยถึงลี

“เฮ้อ ไม่ต้องมาโกหกข้าหรอก ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย อยากจะตามหามันใช่ไหม”

“ก็ไม่ได้จะตามหาหรอก ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น แค่...เผื่อว่าจะเจอ”

“แล้วแต่เอ็งเถอะ อยากจะถามอะไรล่ะ ข้าก็ไม่ได้คิดจะปิดเอ็งไปตลอดหรอก แค่รอให้เอ็งโตพอที่จะรู้” เลหลับตาลง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งที่พยายามลืมมันไปแล้ว

เขาลืมตาขึ้น ดึงตัวเองออกมาจากความทรงจำที่แสนเจ็บปวดก่อนที่มันจะหวนกลับมาทำร้ายอีกครั้ง

“นังลี...แม่ของเอ็งออกจากบ้านไปตอนที่เอ็งเกิดได้หกเดือน เข้ากรุงเทพไปอยู่บ้านลุงตุ้ยได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ย้ายไปที่อื่น มันบอกว่าไปอยู่บ้านเพื่อน” เลถอนหายใจ “ข้าก็ทำได้แค่รอจดหมาย แรกๆ ก็ติดต่อมาบ่อยอยู่หรอก ผ่านไปได้ปีกว่าก็หายเงียบ” เขากลืนก้อนสะอื้นลงในลำคอ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ปล่อยให้พี่สาวเดินจากไปเด็ดขาด

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของไอ้พร้าว อย่างน้อยมันก็ยังมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับลี แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงแค่หกเดือน

“พอมันหายเงียบ ข้าเลยเข้ากรุงเทพ ไปรบกวนลุงตุ้ยให้ช่วยตามหา ยังดีที่นังลีเคยบอกลุงตุ้ยว่าอยู่แถวละแวกไหน ตามหาอยู่สามวันก็ยังไม่เจอ อยากจะหามันให้เจอแต่ก็ห่วงเอ็งมากกว่าเลยกลับมาบ้าน” ในตอนนั้นใจของเลแทบขาดที่ต้องห่างจากหลานเสียหลายวัน

พัทธ์อมยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปจูบเลเบาๆ เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเท่านั้น ชีวิตของเขาที่มอบให้เลคงไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่เลทำให้ไอ้พร้าวได้

“ตอนนั้นน้าเลคิดถึงหนูมากเลยเหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวอดพูดแหย่ผู้เป็นน้าไม่ได้

“มาก...ตอนนี้ก็ด้วย”

“............................” ดวงตาของไอ้พร้าวร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ มันกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา

“ผ่านไปได้เดือนกว่า ข้าก็หอบเอ็งเข้ากรุงเทพอีกรอบ ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่เจอนังลีก็คงไม่กลับ แต่พอถึงกรุงเทพ นั่งรถเมล์จากหมอชิตได้แค่สองป้าย...ข้าก็เจอมัน กว่าจะตั้งสติได้รถเมล์ก็ขับเลยมาอีกป้ายแล้ว ต้องหอบทั้งเอ็งทั้งข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถ ทั้งวิ่งทั้งเดินย้อนกลับไป” เลยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง

“เจอลี” ไอ้พร้าวพึมพำเบาๆ มันได้เจอลีอีกครั้ง แล้วทำไม...

“พอได้เจอมัน พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ต่างคนต่างไป มันไปตามทางที่มันเลือก ส่วนข้าก็หอบเอ็งกลับบ้านทั้งที่เหยียบกรุงเทพได้ไม่ถึงชั่วโมง” เลยังจำวันนั้นได้ดี เขานั่งกอดหลานร้องไห้อย่างไม่อายใครที่หมอชิต “สิ่งที่ข้าจะบอกเอ็งน่ะมีเท่านี้แหละ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าตอนนั้นแม่ของเอ็งพักอยู่ที่ไหน ลุงตุ้ยบอกว่าเพื่อนมันเปิดร้านเสริมสวยแถวXXX แต่เอ็งอย่าลืมล่ะว่ามันผ่านมาสิบสี่ สิบห้าปีมาแล้ว”

“จ้ะ หนูรู้” ไอ้พร้าวสูดลมหายใจเข้าลึก ประกายแห่งความหวังในแววตาของมันวูบไหวขึ้นอีกครั้ง

“ไอ้พร้าว...อย่าตั้งความหวังไว้มากนักนะ ข้าไม่อยากเห็นเอ็งเสียใจ” เลมองเห็นตัวเองตอนนั้นในตัวหลานชายราวกับภาพทับซ้อน เขาหอบความหวังเข้ากรุงเทพ และได้ทิ้งมันไว้ที่นั่น ไอ้พร้าวเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้

“จ้ะ หนูรู้ น้าเลหนูขอคุยกับลุงพัทธ์หน่อย”

เลถอนหายใจ เขารู้ดีว่าไอ้พร้าวไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาเตือนเลยแม้แต่น้อย

“ครับน้องพร้าว” พัทธ์ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาน้ำมูก เขาได้แต่โทษตัวเองว่ายิ่งแก่ยิ่งบ่อน้ำตาตื้น

“ลุงพัทธ์เจอลีที่ไหน มันชื่อว่าอะไรเหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวถามอย่างใคร่รู้

พัทธ์เม้มริมฝีปากอย่างลังเลที่จะตอบ “อืม...ที่ Feels Like Heaven ครับ แต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นเปิดเป็นห้างสรรพสินค้าแล้วครับ น้องพร้าวน่าจะรู้จัก มันชื่อห้าง XXX” เขาบอกในสิ่งที่รู้จากหนังสือพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน

หลังจากอาคารถูกไฟไหม้ เจ้าของล้มละลาย ที่ดินถูกขายทอดตลาด ต่อมาที่ตรงนั้นก็ถูกสร้างเป็นห้างสรรพสินค้า เพียงแค่ไม่กี่ปีผู้คนก็ต่างลืมเลือนโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ไม่มีใครสนใจอดีตที่ผ่านมา...

อาบ อบ นวด ชื่อดังจึงได้หายไปกับอดีต

“หนูรู้จักห้างนี้จ้ะ พี่ธันเคยพาไปอยู่สองสามครั้ง” ไอ้พร้าวพูดอย่างตื่นเต้น ผู้ใหญ่ทั้งสองสบตากันก่อนจะส่ายหน้า มันคงรู้จักแค่ห้างสรรพสินค้า แต่ไม่รู้ว่า Feels Like Heaven นั้นเป็นสถานที่แบบไหน

ทั้งสามได้พูดคุยกันจนกระทั่งเริ่มมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เลถอนหายใจหลังวางสายจากหลานชาย ความกังวลก่อตัวขึ้นจนแน่นในอก เขายังคงจดจำความผิดหวังและเสียใจในครั้งนั้นได้ดี จึงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งกับไอ้พร้าว

“เราทำถูกแล้วใช่ไหมครับ ผมนึกภาพไม่ออกเลยถ้าน้องพร้าวได้เจอกับลี” พัทธ์สบตากับคนรัก

“ข้ากลัวว่ามันจะไม่ได้เจอมากกว่า แต่บางที...มันอาจจะมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ” เลหยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่มาสวม

“แล้วคุณอยากให้เจอหรือไม่เจอล่ะครับ” พัทธ์ถามพลางช่วยอีกฝ่ายผูกเชือกด้านหลัง

“แล้วเอ็งล่ะ” เลถามกลับ

มือที่กำลังจับเชือกชะงักก่อนเจ้าตัวจะผูกปมเชือกจนเสร็จเรียบร้อย “ผมอยากให้ลูกกลับบ้านเร็วๆ ครับ จะเจอหรือไม่เจอ อย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น” พัทธ์ตอบเสียงหนักแน่น

เลหันกลับมามองหน้าคนรักด้วยรอยยิ้ม

“ข้าก็คิดเหมือนเอ็ง”

ไอ้พร้าวใช้เวลาทั้งวันในการค้นหาข่าวเกี่ยวกับ Feels Like Heaven ในโน้ตบุ๊กที่ธันวาให้มา มันกลั้นหายใจเมื่อได้รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหน โลกของมันเล็กเกินกว่าจะยอมรับการมีอยู่ของสถานที่เช่นนี้ได้

ทำไมลีถึงเลือกทำงานที่นั่นมากกว่ากลับไปอยู่ที่บ้านกับมันและเล บ้านที่มันคิดว่ามีความสุขมากที่สุดในโลก...มันพยายามหาเหตุผลมากมายสำหรับคำถามนี้

“รายชื่อ...ผู้เสียชีวิต” ปลายนิ้วที่กำลังคลิกดูหัวข้อข่าวต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตชะงัก

ไอ้พร้าวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แม้พัทธ์จะยืนยันว่าไม่มีชื่อของลีอยู่ในนั้น แต่ใจของมันไม่อาจสงบลงได้ มันไล่สายตาอ่านรายชื่อเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะแน่ใจ

“เฮ้อ ไม่มี ไม่มีชื่อลี” ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง

กว่าจะรู้ตัวอีกที ไอ้พร้าวก็พาตัวเองมายืนที่หน้าห้างสรรพสินค้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ละลายทรัพย์ของชายมากหน้าหลายตาที่เข้ามาหาความสุขนอกบ้าน

ดวงตาของมันมองผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา...เคยมีสถานที่แบบนั้นอยู่จริงๆ หรือ



“ไอ้พร้าวจะกลับแล้วเหรอะ” ลุงตุ้ยเอ่ยทักเมื่อเห็นไอ้พร้าวสะพายกระเป๋า

“ครับลุง ว่าจะไปแวะดูอะไรสักหน่อย” มันยิ้ม แววตาเป็นประกาย

“โห ไอ้พร้าว อยู่เล่นเกมกับกูก่อน เมื่อวานไอ้บี้ปากซอยเพิ่งซื้อเกมมาใหม่ มึงจะรีบกลับไปทำไม เมื่อก่อนไล่ยังไงก็ไม่ยอมกลับ” ไอ้ปืนโอดครวญ

“โทษทีๆ พอดีกูมีธุระ ไปละนะ” ไอ้พร้าวหันหลังวิ่งจากไป ไม่รอให้ไอ้ปืนได้อ้าปากโวยวาย

ในมือของไอ้พร้าวมีแผนที่ที่มันวาดตามคำบอกเล่าของลุงตุ้ย และสายรถเมล์ที่ผ่านทางละแวกที่ลีเคยอาศัยอยู่ มันเงยหน้ามองท้องฟ้า ในเวลาสี่โมงเย็นเช่นนี้เป็นเวลาที่หมู่มวลมหาชนกำลังจะเลิกงาน มันยู่หน้าเมื่อนึกถึงรถที่ติดยาวเหยียดเป็นชั่วโมง ทั้งยังต้องขึ้นรถเมล์สองต่อ กว่าจะถึงคงประมาณหกโมงเย็น

ไอ้พร้าวยืนรอรถเมล์ราวๆ สิบนาที มันบอกที่หมายปลายทางกับกระเป๋ารถเมล์ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ หากเป็นไปได้มันไม่อยากจะเสียเวลากับการลงผิดป้ายหรือหลงทาง ตอนนี้เวลาทุกวินาทีมีค่าสำหรับมัน

ไอ้พร้าวมองแผนที่สลับกับสถานที่ตรงหน้า ลุงตุ้ยบอกให้มันลงรถเมล์ป้ายนี้ นาฬิกาบนจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาหกโมงครึ่งแล้ว มันถึงช้ากว่าที่ประมาณการไว้

“เฮ้อ...” มันถอนหายใจ มาถึงแล้วแต่จะทำอย่างไรต่อไป นอกจากชื่อและรูปถ่ายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย หากลีไม่เปลี่ยนไปจากรูปถ่ายมากนัก มันคงมีโอกาสได้เจอเร็วขึ้น

“ขอโทษนะครับ เคยเจอคนในรูปไหมครับ เธอชื่อลี” ไอ้พร้าวยื่นรูปในมือให้หญิงวัยกลางคนในร้านชำดู เธอมองรูปถ่ายอยู่ครู่ก่อนจะส่ายหน้า

“หน้าตาแบบนี้ไม่เคยเห็นหรอก”

ไอ้พร้าวเอ่ยขอบคุณก่อนกัดริมฝีปากล่างอย่างตึงเครียด มันยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แม้จะตระเวนถามคนในท้องที่นี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ตระเวนเข้าออกเกือบทุกซอยก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ทุกคนล้วนไม่รู้จักผู้หญิงในรูปที่ชื่อลี

มันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท โทรศัพท์มือถือแบตหมดไปแล้วจึงถามเวลากับหญิงวัยกลางคนถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว มันตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกับความผิดหวัง

โชคยังดีที่มาทันรถเมล์รอบสุดท้ายพอดี ไอ้พร้าวก้าวลงจากรถเมล์ด้วยความอ่อนเพลีย กระเพาะส่งเสียงร้องตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ดึกดื่นขนาดนี้เห็นทีต้องฝากท้องกับร้านสะดวกซื้อเสียแล้ว



ธันวาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาไม่สามารถติดต่อไอ้พร้าวได้เลยตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าจะโทรไปกี่รอบก็ยังคงฝากข้อความ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ไอ้พร้าวมาอยู่ด้วยในช่วงแรกๆ เพราะความเป็นห่วงทำให้เขาเผลอดุมันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นไม่มีครั้งไหนเลยที่ธันวาจะติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ จนกระทั่งวันนี้

“ยังไม่นอนอีกหรือธัน มานั่งทำอะไรตรงนี้ เดี๋ยวยุงก็ห่ามเอาหรอก” ยายปิ่นเดินออกมาที่ชานระเบียง

“แค่ออกมารับลมตอนกลางคืนน่ะครับ อีกเดี๋ยวก็เข้านอนแล้ว ผมทำให้ยายตื่นหรือ” ธันวาเข้าไปประคองหญิงชรา

“คิดจะหลอกคนแก่หรือ กังวลอะไรอยู่ล่ะลูก” ยายปิ่นมองโทรศัพท์มือถือในมือของหลานชาย

“เออ...พอดีน้องที่ผมเล่าให้ยายฟัง ผมติดต่อน้องไม่ได้ เลยเป็นห่วงนิดหน่อยครับ”

“นิดหน่อย?” ยายปิ่นหรี่ตามองหลานชาย ธันวาหลบสายตาเมื่อถูกอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ที่จริง...เป็นห่วงมากครับ ถึงน้องจะโตแล้วแต่ผมยังรู้สึกว่าน้องเป็นเด็กเล็กๆ ฟังดูแปลกใช่ไหมครับ” สองมือประคองหญิงชราให้นั่งลง

“แปลกที่ไหนกัน ถ้าไม่ห่วงสิแปลก เอาลูกเต้าเขามาก็ต้องเลี้ยงให้ดี ดูแลให้ดี แต่กับเด็กวัยรุ่นน่ะพูดมากเกินไปก็ไม่ดี ตีกรอบมากไปก็ไม่ได้ จู้จี้จุกจิกมากไปก็น่ารำคาญ”

ธันวาถอนหายใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นยายสอน ในโลกนี้คงไม่มีใครรู้จักเขาดีไปกว่ายายปิ่นอีกแล้ว แม้กระทั่งตัวเขาเอง

ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นยาย “น้องต้องรำคาญผมแน่ๆ”

“แน่ะ คิดเองเออเอง เราน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ชีวิตวัยรุ่นก็ผ่านมาแล้ว หรือลืมว่าตอนนั้นตัวเองเป็นยังไง” มือเหี่ยวย่นลูบหัวหลานชายเบาๆ

“ไม่ได้ลืมครับ แต่ไม่อยากนึกถึง” ธันวาอมยิ้ม ชีวิตวัยรุ่นของเขาน่ะหรือ...มันเริ่มขึ้นที่นี่

ยายปิ่นเป็นคนดูแลเขาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนพ่อและแม่อยู่ที่กรุงเทพ เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ความเป็นอยู่ในตอนนั้นค่อนข้างลำบากหากต้องเลี้ยงเด็กเล็ก จำเป็นต้องฝากยายปิ่นให้เลี้ยงดู เมื่อธันวาเข้าอนุบาลจึงคิดพาไปอยู่ด้วยแต่ยายปิ่นไม่ยอมคืนให้เพราะรักหลานชายคนนี้มาก เลยทะเลาะกันยกใหญ่ สุดท้ายก็ต้องยอมให้ยายปิ่นเลี้ยงดูต่อไป

ธันวาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้ามัธยมต้น สังคมที่เปลี่ยนไปและผู้คนที่หลากหลายทำให้ออกนอกลู่นอกทาง เป็นเด็กเกเรตั้งแต่เทอมแรกที่เข้าเรียน เด็กในวัยนี้กำลังอยากรู้อยากเห็น พอมีรุ่นพี่ที่ไม่เอาไหนชี้ทางให้ ตัวเขาจึงเดินผิดทางได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นหัวโจกกลุ่มอัธพาลประจำโรงเรียน แม้แต่อาจารย์ยังต้องส่ายหน้า

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหัวหงอกหัวดำต้องปวดหัวไปตามๆ กัน เมื่อธันวาจบชั้นมัธยมต้น ยายปิ่นจึงจำใจปล่อยหลานชายให้ไปอยู่กรุงเทพด้วยเหตุและผลต่างๆ ที่พ่อและแม่ของธันวายกมาอ้าง

“ยายคิดถูกจริงๆ ที่ให้หลานไปอยู่กับพ่อแม่ ลำพังยายแก่ๆ คนนี้คงเลี้ยงดูหลานให้เป็นคนดีแบบนี้ไม่ได้”

“ไม่จริงเลยครับ ทุกวันนี้ผมยังจำคำที่ยายสอนได้อยู่เลย จะคิดจะทำอะไรผมก็นึกถึงสิ่งที่ยายสอนอยู่เสมอ ตอนนั้นผมไม่ดีเอง พอคิดได้ก็อดเสียดายเวลาไม่ได้” ธันวาจับมือเหี่ยวย่นมาแนบแก้ม ไออุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือข้างนั้นทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปนะลูก เสียดายไปก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา ทำตอนนี้ให้ดีที่สุดก็พอ วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องนึกเสียดายอะไร”

“ครับ” ธันวายิ้มกว้าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ยายปิ่นก็ทำให้เขาสบายใจได้เสมอ

“เข้านอนกันเถอะลูก ดวงจันทร์ขึ้นตรงหัวแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลุกไปใส่บาตรไม่ทัน” ยายปิ่นเอ่ยเตือน ธันวามองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองพระจันทร์ดวงโตก่อนจะลุกขึ้นพยุงยายปิ่นเข้านอน

เมื่อกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ธันวาลองกดโทรหาไอ้พร้าวอีกรอบ...แล้วก็เป็นเช่นเดิม นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างนี้ ทั้งห่วงทั้งกลัวแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ข่มตาหลับภาวนาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยเร็ว และหวังว่าพรุ่งนี้เขาจะได้ยินเสียงของมันทันทีที่ลืมตาตื่น

“ใจลอยอะไรหรือลูก พระเดินมาโน้นแล้ว ตั้งใจหน่อยสิ อย่าเอาแต่เหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” ยายปิ่นตบที่ต้นแขนธันวาเบาๆ ให้เขารู้ตัว

“ขอโทษครับ เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ เลยรู้สึกมึนๆ” ธันวายิ้ม เพราะต้องฝืนตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ทั้งที่เพิ่งหลับไปได้แค่สองชั่วโมงทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก

“มาลูก ถอดรองเท้าก่อน ตั้งใจล่ะ” ยายปิ่นถอดรองเท้าแล้วนั่งคุกเข่าเมื่อพระสงฆ์และสามเณรเดินมาบิณฑบาต ธันวาปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ เป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เขาปล่อยวางเรื่องของไอ้พร้าวได้

“เณรเยอะจังเลยครับ” ธันวามองตามหลังสามเณรกว่าสิบรูป คาดเดาจากสายตา อายุคงไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี

“บวชภาคฤดูร้อนน่ะ ช่วงเด็กปิดเทอมพอดี บ้านไหนมีลูกชายได้เจ็ดแปดขวบก็ให้บวชเรียนธรรมะกับพระท่าน ตอนธันอายุเจ็ดขวบยายก็ให้บวช จำได้หรือเปล่าล่ะ”

“จำได้ครับ” ธันวายิ้ม สองแขนประคองหญิงชราให้ลุกขึ้น

“พอห่มผ้าเหลืองเสร็จก็ปรี่มากอดยาย ทำเอาคนอื่นตกอกตกใจร้องลั่นกันทั้งศาลา ดีนะที่พ่อเขาจับไว้ได้ทัน บางทีก็กลับบ้านมาขอเงินยายไปซื้อขนม ยังมีตอนที่แอบหนีกลับมานอนที่บ้านอีก แค่นึกถึงก็ปวดหัวแล้ว” ยายปิ่นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด

“อา ทำไมผมจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้นะ” ธันวาแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด

“สงสัยจะมีแค่ยายแก่ๆ คนนี้ที่จำได้ละมั้ง” ยายปิ่นเอ่ยอย่างน้อยใจ

“ยายครับ ผมแค่ล้อเล่น เรื่องอะไรจะจำไม่ได้ล่ะครับ” ธันวาถูไถแก้มกับไหล่ของหญิงชรา

“ให้มันจริงเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะบวชอีกล่ะ ยายอยากจะขลิบผมให้นาคก่อนตาย”

“โถ่ ยายครับ อย่าพูดเรื่องตายแบบนั้นสิครับ อย่างยายปิ่นของผมนี่ต้องอายุยืนเกินร้อยปีอยู่แล้ว เอาเถอะๆ ผมจะหาเวลาบวชเร็วๆ นี้แหละครับ แต่ว่า...ไม่มีคนถือหมอนนี่สิ” ธันวาแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ ยายปิ่นส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความขี้เล่นของหลานคนนี้

“แค่ถือหมอนเอง ยายถือให้ก็ได้ พ่อแม่ก็ถือได้เหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ถือได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนหรือผู้หญิงหรอก เรานี่หาข้ออ้างเก่งจริงนะ”

“ก็นึกว่าอยากให้หาหลานสะใภ้เร็วๆ ถึงได้เร่งให้บวชนัก” ธันวาพยุงหญิงชราให้นั่งลงบนแคร่ใต้ถุนบ้าน

“จะอยู่เป็นโสดจนตาย ยายก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เอาละ...ไปยกกับข้าวมาที่นี่เถอะ ป้าจิตเตรียมไว้ให้ก่อนออกไปไร่แล้ว”

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2019 15:21:07 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
(ต่อ)

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ธันวานั่งพูดคุยกับยายปิ่นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะแยกตัวออกมา เขากดโทรหาไอ้พร้าวอีกครั้ง สายขนาดนี้มันน่าจะออกไปที่อู่ของลุงตุ้ยแล้ว

ตู๊ด ตู๊ด...

“ฮัลโหล ปี๊ดๆ บรื้นๆ ฮัลโหล พี่ธัน ได้ยินไหม” เสียงรบกวนบนท้องถนนทำให้ไอ้พร้าวไม่ได้ยินเสียงจากปลายสายเลยแม้แต่น้อย

“ได้ยินครับ นั่งรถเมล์อยู่หรือ” ธันวาถอนหายใจอย่างโล่งอก...ไอ้พร้าวยังปลอดภัยดี

“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย ถึงอู่แล้วผมจะโทรกลับนะ” จากนั้นสายก็ตัดไป ธันวาหงุดหงิดเล็กน้อย อุตส่าห์รอมันมาทั้งคืนแต่ได้คุยกันแค่ไม่กี่วินาที

ธันวาชะงักเท้าที่กำลังเดินแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองสองสามทีเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ สมัยนี้เทคโนโลยีล้ำหน้าไปมากเท่าไหร่แล้ว เขาสามารถวิดีโอคอลกับมันได้ มีทั้งเสียงทั้งภาพให้เห็น หรือจะทิ้งข้อความไว้ในแชทให้มันตอบกลับเมื่อว่างก็ได้

“เฮ้อ ลืมไปได้ยังไง สงสัยจะแก่แล้วมั้ง”

จวบจนตะวันลับขอบฟ้า ไอ้พร้าวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรกลับหาธันวา มันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทว่าเพิ่งปลดล็อกหน้าจอได้ไม่นาน เสียงตะโกนจากอีกฝั่งของถนนก็ทำให้มันละความสนใจจากชื่อที่กำลังจะกดโทรออก

“หนู มาอีกแล้วนะ ยังไม่เจออีกหรือ” หญิงวัยกลางคนที่มันได้พูดคุยเมื่อวานส่งยิ้มให้อย่างใจดี

“ครับ ยังไม่เจอ” ไอ้พร้าวตะโกนตอบ

“ข้ามมานี่เร็ว” เธอกวักมือเรียก ไอ้พร้าวเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม จากนั้นเดิมข้ามถนนไปอีกฝั่ง

“สวัสดีครับป้า มีอะไรเหรอครับ”

“อ้อ ญาติป้าที่เคยอยู่แถวนี้มาหาพอดี เลยเล่าเรื่องหนูให้เขาฟังน่ะ เอารูปมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”

ไอ้พร้าวมองหญิงชราอายุราวๆ หกสิบกว่าปีได้ มันยกมือไหว้ก่อนจะหยิบรูปออกมาจากกระเป๋าเป้ ยื่นรูปใบนั้นให้อีกฝ่ายดูด้วยความหวัง หญิงชรามองรูปอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า

“คนนี้หรือที่ตามหา”

“ใช่ครับ” ไอ้พร้าวตอบกลับทันที

“มันก็เกือบยี่สิบปีมาแล้ว ตอนที่ฉันยังอยู่ที่นี่ก็เคยเห็นหน้าประจำ เมื่อก่อนมันเช่าบ้านอยู่แถวนี้แหละ” หญิงชราเหลือบมองไอ้พร้าวแวบหนึ่ง “ผู้ชายเข้าออกบ้านไม่ซ้ำหน้า ผัวใครลูกใครมันก็ไม่สนขอแค่มีเงินให้ ช่วงหลังๆ ยังพาเพื่อนมาทำมาหากินด้วยกัน แต่อยู่ๆ มันก็หายหน้าหายตาไปเลย นี่ฉันก็ได้ยินคนเขาลือกันว่าเดี๋ยวนี้มันกลับตัวกลับใจ แต่ฉันว่ามันคงแก่จนขายไม่ออกเสียมากกว่า” หญิงชราพูดจีบปากจีบคอ แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

“จริงหรือป้า ทำไมไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย...ผู้หญิงอะไรไร้ยางอาย เปิดบ้านเช่าเป็นซ่อง แค่นึกภาพฉันก็ขยะแขยงแทนคนที่อยู่บ้านข้างๆ แล้ว แล้วตอนนี้นังนี่เป็นยังไงล่ะป้า” หญิงวัยกลางคนถามอย่างสนอกสนใจ

“ฉันก็ไม่ค่อยได้ติดตามหรอกนะ เขาว่ามันเปิดร้านเสริมสวยแถว XXX ได้ยินเขาว่างั้น ฉันเลยไปดูให้แน่ใจ ก็เป็นมันจริงๆ นั่นแหละ แต่คนละแวกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเป็นกะหรี่มาก่อน”

“ตายๆ แล้วป้าไม่บอกคนแถวนั้นล่ะ ฉันละกลัวมันเอาโรคไปติดคนอื่นน่ะสิ”

“ฉันก็แอบๆ บอกไปบ้างแล้วล่ะ”

ไอ้พร้าวมองคนทั้งสองคุยกันอย่างออกรส โดยลืมว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนี้ มันก้มหยิบรูปของลีที่หล่นลงพื้นขึ้นมาเก็บใส่กระเป๋า เรื่องราวที่ได้ยินทำให้ใจของมันขุ่นมัว ทั้งเรื่องที่ลีทำในอดีต และเรื่องที่หญิงต่างวัยทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกปาก มันสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินจากไป

ระหว่างที่นั่งรถเมล์กลับคอนโด ไอ้พร้าวคิดทบทวนเรื่องของลีไปมา สุดท้ายแล้วอดีตของลียังคงเป็นตะกอนขุ่นในใจของมัน แต่ปัจจุบันย่อมสำคัญกว่า เพราะอะไรลีถึงไม่กลับบ้านไปหามันและเล

...หากลียอมกลับ มันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูถูกลีได้เด็ดขาด

เมื่อมาถึงคอนโด ไอ้พร้าวทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ตอนนี้มันรู้แล้วว่าลีอยู่ที่ไหน แต่กลับไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างที่คิดไว้ มันกำลังกลัวความคาดหวังของตัวเองที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

มันหวังว่าลีจะดีใจที่ได้พบมัน หวังว่าลีจะรอให้มันไปหาตลอดสิบเจ็ดปี และหวังว่าลีจะตอบตกลงเมื่อมันขอให้กลับไปอยู่ด้วยกัน

ครืด ครืด...

ฝ่ามือหยาบกร้านแตะกระเป๋ากางเกงก่อนล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แปลก...ธันวาไม่เคยวิดีโอคอลมาเลยสักครั้ง หรือจะกดผิด ไอ้พร้าวหยุดคิดครู่หนึ่งจึงกดรับ ใบหน้าของคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีปรากฏบนหน้าจอ

“เออ...วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ธันวาเอ่ยทักก่อนจะหันมองไปทางอื่น จู่ๆ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“ก็เหมือนเดิม ขอโทษที่ไม่ได้โทรกลับ” ไอ้พร้าวหยิบหมอนที่ตกพื้นขึ้นมาหนุน

“งานหนักหรือ วันนี้ดูเหนื่อยๆ นะครับ หรือไม่สบาย” สีหน้าไม่ค่อยดีของอีกฝ่ายทำให้ธันวาต้องเอ่ยถาม

“เปล่า วันนี้รถติด นั่งรถเมล์นานเลยเหนื่อย พี่ล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยายพี่สบายดีไหม” ไอ้พร้าววางโทรศัพท์มือถือไว้บนอก

ธันวาขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาที่ไอ้พร้าวให้เขามองเพดานห้องแทนที่จะเป็นใบหน้าของมัน

“เมื่อคืนพี่นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนยายก็สบายดีครับ” ธันวาหวังว่ามันจะถามถึงสาเหตุที่เขานอนไม่หลับ

“งั้นเหรอ...แค่นี้ก่อนนะ ผมง่วงแล้ว” ไอ้พร้าวกดตัดสายทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวลา

ในตอนนี้มันไม่ต้องการพูดคุยกับใคร มันอยากจะพักผ่อน อยากจะนอนหลับโดยไม่ต้องฝันถึงใคร และตื่นขึ้นมาพบเจอเรื่องดีๆ ในวันพรุ่งนี้

หากมันยังเป็นไอ้เด็กพร้าวที่วันๆ คิดถึงแต่เรื่องเที่ยวเล่นก็คงดี จะได้ไม่ต้องมาคิดกังวลอะไรมากมายเหมือนอย่างตอนนี้



ตลอดสองวันที่ผ่านมา ธันวาได้คุยกับไอ้พร้าวแทบจะนับประโยคได้ เกิดอะไรขึ้นกับมัน...เขาอยากจะกลับไปหามันตอนนี้ ไม่อยากรออีกแล้ว แต่จะทำได้อย่างไรเพราะกำหนดวันกลับกรุงเทพคืออีกสามวันข้างหน้า

“เป็นอะไรไปล่ะ สองวันมานี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะลูก ใจไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ” ยายปิ่นละมือจากการห่อข้าวต้มมัด

“ใจก็ยังอยู่กับตัวครับ ยังไม่ได้ให้สาวที่ไหน แต่ถ้าเลยสามสิบไปแล้วคงต้องฝากใจไว้ให้ยายดูแลแล้วล่ะ” ธันวาขยับเข้าไปกอดเอวหญิงชราอย่างออดอ้อน

“ไม่ต้องพูดเอาใจคนแก่หรอก มีห่วงอยู่ที่กรุงเทพใช่ไหมลูก” ยายปิ่นยิ้มน้อยๆ “งั้นก็กลับเถอะ จะมานั่งห่วงทรมานตัวเองอยู่ทำไม บ้านยายน่ะจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ กลับไปกรุงเทพเถอะ ธันจะได้สบายใจ” เพราะเลี้ยงมากับมือจึงรับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นหลานได้เป็นอย่างดี เรื่องที่อีกฝ่ายห่วงคงไม่พ้นเรื่องเด็กหนุ่มที่พามาอยู่ด้วย

“ขอบคุณครับยาย” ธันวากระชับอ้อมแขนที่กอดหญิงชรา ในโลกนี้คงไม่มีใครรู้จักและเข้าใจเขาได้มากเท่ายายปิ่นอีกแล้ว



ไอ้พร้าวถอนหายใจเมื่อยืนอยู่หน้าประตูห้อง มันเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายการจราจรที่กรุงเทพเสียแล้ว กว่าจะเดินทางกลับมาถึงคอนโดก็แทบหมดแรง

ตลอดสองวันที่ผ่านมามันพยายามลืมเรื่องของลีไป มันยอมรับว่ายังไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แม้ลีจะเป็นแม่ของมัน แต่ไม่เคยอยู่เลี้ยงดูอย่างที่ควรเป็น สำหรับมันแล้ว...ลีก็คือคนแปลกหน้า

ไอ้พร้าวยืนเหม่อทั้งที่กำลังไขกุญแจห้อง จนผ่านไปหลายนาที

แก๊ก...

“กลับมาแล้วหรือครับ เหนื่อยไหม” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้มันเงยหน้ามอง คนที่เปิดประตูห้องออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน...

“พี่ธัน” เสียงเรียกแผ่วเบาราวกับเจ้าตัวกำลังพึมพำ ไอ้พร้าวมองใบหน้าของธันวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนน้ำตาเม็ดโตจะกลิ้งลงมาอาบแก้มไม่ขาดสาย

ธันวาตกใจกับสิ่งที่เห็น ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี จนเสียงสะอื้นของไอ้พร้าวดังขึ้นจึงดึงตัวมันเข้ามากอด อีกฝ่ายกอดตอบและซบใบหน้าลงตรงไหล่ของเขา

“ร้องไห้ทำไมเด็กดี” น้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกระตุ้นให้ไอ้พร้าวร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน

“อา เข้าห้องกันเถอะ” ธันวาผละตัวมันออกเพราะคนในชั้นเริ่มเปิดประตูห้องออกมาดู

เมื่อปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงดึงไอ้พร้าวเข้ามากอดแนบอกตามเดิม ธันวาโยกตัวไปมาพร้อมลูบหลังมัน แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงวันวานที่เคยกอดปลอบเวลามันร้องไห้งอแงเพราะถูกเลดุ หรือตอนที่มันเล่นซนจนเจ็บตัว

“ปล่อย” ไอ้พร้าวพูดเสียงอู้อี้เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้ มันขืนตัวออกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา อีกทั้งน้ำมูกของมัน

“ตาบวมหมดแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะครับ”

หลังจากไอ้พร้าวเดินเข้าห้องนอน ธันวาจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารเย็น มือที่กำลังจัดจานชะงักเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หากเขาไม่กลับมาในวันนี้ ไม่รู้ว่าไอ้พร้าวจะเป็นอย่างไรบ้าง...ตัดสินใจถูกแล้วจริงๆ ที่กลับมา

แก๊ก...ประตูห้องนอนเปิดออก ไอ้พร้าวที่อาบน้ำสระผมเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาหาธันวา มันวางผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนหัวอย่างที่เคยทำ หยดน้ำจากเส้นผมทำให้เสื้อของมันเปียกชุ่ม

“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้งล่ะครับ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” ธันวาบอกเสียงดุ ไอ้พร้าวช้อนตามองแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตามองพื้น

“เช็ดให้หน่อย”

ธันวาอมยิ้ม เดินไปล้างมือทันทีแล้วจูงมือไอ้พร้าวมานั่งบนโซฟา มันนั่งหันหลังให้เขาเช็ดผมให้ ธันวาทำโดยไม่ปริปากถามอะไร แม้ในใจจะมีคำถามมากมาย

ไอ้พร้าวล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้น มันยื่นรูปใบหนึ่งให้ธันวาดูทั้งที่ยังนั่งหันหลัง เขาหยุดมือที่กำลังขยี้เส้นผมที่เปียกชุ่มของมัน แล้วเหลือบมองรูปถ่ายใบนั้นอย่างไม่ใจใส่นัก

“ใครครับ” ธันวารู้สึกคุ้นหน้าคนในรูปอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป

“ลี”

“ครับ?” ธันวาไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากไอ้พร้าวมาก่อน

“แม่” น้ำเสียงของมันแผ่วเบา

“แม่ของพร้าวหรือ สวยมากเลยครับ” เมื่อรู้ว่าคนในรูปถ่ายเป็นใคร ธันวาจึงถือวิสาสะดึงรูปใบนั้นจากมืออีกฝ่ายมาดูอย่างสนใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าคนในรูปนัก เขาเองพอจะได้ยินเรื่องแม่ของไอ้พร้าวมาบ้าง เธอคนนี้ทิ้งมันไปตั้งแต่แบเบาะ

ไอ้พร้าวหันกลับมาเผชิญหน้ากับธันวา ดวงตาของมันมีแววลังเล ปากอ้าขยับเล็กน้อยเหมือนต้องการพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแทน มันหลุบตาลงต่ำ ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็เหลือบมองธันวาอีกรอบ

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่อยากพูดถึงก็ไม่ต้องฝืน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้พี่ฟังก็ได้ แต่ไม่เอาแล้วนะครับ ไม่ร้องไห้แบบวันนี้ พี่ตกใจแทบแย่”

“หาลีเจอแล้ว” ไอ้พร้าวตัดสินใจบอกออกไป แววตาของมันหม่นหมองลง ธันวาขมวดคิ้ว หาหรือ...นี่คงเป็นสาเหตุที่ช่วงนี้มันแปลกไป

“แล้วไม่ดีใจหรือที่ได้เจอ” เป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือ

“ที่จริงยังไม่เจอหรอก แค่รู้ว่าอยู่ที่ไหน” ไอ้พร้าวเบะปาก “พี่ธัน...ลีเป็นคนไม่ดี ทำไมลีไม่ยอมกลับบ้าน หนูไม่อยากเจอแล้ว” มันใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา

ธันวาดึงไอ้พร้าวเข้ามากอด เขาไม่ชอบท่าทางอ่อนแอของมันเลย “พร้าว ลีคงมีเหตุผลที่ทำให้กลับบ้านไม่ได้ พร้าวเชื่อพี่ไหม” เขายิ้มเมื่อมันส่ายหน้าไปมา “ตอนนั้นที่พี่ไม่ได้ไปหาพร้าว ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากเจอพร้าวแต่เพราะพี่เป็นแบบนั้น พี่เคยเล่าให้พร้าวฟังแล้วยังจำได้ไหม”

“อือ” ไอ้พร้าวพยักหน้า

ธันวามองท่าทางน่าเอ็นดูของมันก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมรั้งคนในอ้อมกอดให้นอนเกยบนตัว ไอ้พร้าวไม่ได้ขืนตัวออกหรือโวยวาย เพียงแค่ขยับตัวให้อยู่ในท่าสบาย

“พี่ดีใจมากที่พร้าวยอมให้โอกาสพี่ แล้วกับลี...แม่ของพร้าวเอง พร้าวให้โอกาสเธอสักครั้งได้ไหม อุตส่าห์ตามหาไม่ใช่หรือ ไปเจอแม่สักครั้งเถอะ พี่ไม่อยากเห็นพร้าวเสียใจกับเรื่องนี้อีก”

“...................” ไอ้พร้าวยังคงนอนนิ่งแม้เวลาจะผ่านไปเป็นนาทีแล้ว

ธันวาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างนึกสนุก “มีลูกชายหน้าตาหล่อเหลา แถมว่าที่ลูกสะใภ้ยังเปลี่ยนตามเทศกาลจนนับนิ้วไม่ได้ ถ้าแม่ได้เจอคงดีใจตื้นตันจนน้ำตาไหลแน่ๆ”

“...................” ไอ้พร้าวยังคงไม่ยอมพูดแต่เริ่มขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเขา

“เอาละๆ พี่แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ว่ายังไงครับ พี่จะไปเป็นเพื่อนพร้าวเอง เราไปด้วยกันนะ” ธันวามองคนที่เงยหน้าเกยคางบนอกของเขา

“ไปทำไม ไม่ได้ชวนสักหน่อย” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ดวงตาของมันไม่อาจปกปิดความดีใจไว้ได้

“โอเคครับ ไม่ให้ไปพี่ก็จะไม่ไป” ธันวาแสร้งตัดพ้อไปอย่างนั้น ขอเพียงไอ้พร้าวยอมให้โอกาสแม่ของมันก็พอแล้ว

“....................”

“ทานข้าวกันดีกว่าครับ เดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหา วันนี้ยายปิ่นฝากกับข้าวของกินมาให้พร้าวเยอะแยะเลย ยังมีผลไม้จากสวนอีกด้วย” ธันวาดันไอ้พร้าวให้ลุกออกจากตัว เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะมองมันที่ยังนั่งก้มหน้านิ่ง

“หือ เป็นอะไรไปครับ” ธันวาเลิกคิ้วเมื่อไอ้พร้าวดึงชายเสื้อของเขาไว้

ไอ้พร้าวเงยหน้ามองก่อนจะหันไปทางอื่น “ไปหาลีด้วยกัน อยากให้ไปด้วย” มันบอกเสียงเบาราวกระซิบ หากธันวาไม่ได้ตาฝาดไป เขาเห็นแก้มที่คล้ำแดดของมันขึ้นสีเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่ามือข้างนั้นกลับชะงักค้างแล้ววางลงบนหัวของมันแทน

“ได้สิครับ เราไปหาลีด้วยกัน”

ธันวามองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียง เพิ่งจะตีห้าแต่ไอ้พร้าวไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว ฝ่ามืออุ่นลูบผ้าปูที่เย็นเฉียบอีกฝั่งของเตียง เขาไม่รู้ว่าคนที่นอนร่วมเตียงลุกออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันได้นอนหลับบ้างหรือเปล่า

เขาขยับลุกจากเตียง พาตัวเองมาหยุดยืนที่ระเบียงห้องซึ่งมีใครอีกคนนั่งอยู่ตรงนั้น

บนตักของไอ้พร้าวมีเพียงสมุดวาดเขียนหนึ่งเล่ม ไม่มีดินสอและยางลบเหมือนอย่างเคย ท่าทางเหม่อลอยนั่นทำให้ธันวาไม่อยากปล่อยให้มันอยู่คนเดียว เขาเคาะกระจกบานเลื่อนเพื่อให้มันรู้ตัว

ไอ้พร้าวสะดุ้งก่อนจะหันมามอง “ผมทำให้พี่ตื่นอีกแล้ว” มันไม่ได้ซ่อนสมุดวาดเขียนเหมือนอย่างที่เคยทำ

“เปล่าครับ” ธันวาเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้มัน

“พี่อยากดูไหม” ไอ้พร้าวยื่นสมุดวาดเขียนไปตรงหน้าธันวา เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่มันพยายามซ่อนสิ่งนี้จากเขาแท้ๆ ทำไมถึงยอมให้ดู

“ถ้าไม่อยากดูก็ไม่เป็นไร แต่ผมอยากให้พี่ดูนะ” เมื่อธันวาไม่ยอมรับไป ไอ้พร้าวจึงเอามาวางไว้บนตักของตัวเองตามเดิม แล้วเปิดสมุดวาดเขียนให้อีกฝ่ายดู

หกภาพที่ไอ้พร้าววาดล้วนเป็นภาพผู้หญิง ทุกภาพมีความแตกต่าง แต่สามารถบอกได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกัน

“ผมพยายามจินตนาการว่าตอนนี้ลีจะเป็นยังไง จะต่างจากรูปถ่ายใบนั้นมากแค่ไหน ลีอาจจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง หรือบางทีอาจจะแกจนหน้าเหี่ยวย่น” ไอ้พร้าวอมยิ้มแล้วปิดสมุดวาดเขียน

“...........................”

“ดูโง่ใช่ไหม ทำไปทำไมก็ไม่รู้” มันเงยหน้าถามธันวา

“ไม่เลยครับ แม่ของพร้าวต้องดีใจมากแน่ๆ ถ้าได้รู้ว่าพร้าวพยายามแค่ไหน ไม่ต้องคิดมากนะครับ เลิกกังวลได้แล้ว ตอนเช้าเราจะไปหาลีด้วยกัน แต่ตอนนี้นอนพักเอาแรงสักหน่อยเถอะ ถ้านอนไม่พอจะไม่สบายเอาได้” ธันวาดึงแขนไอ้พร้าวให้ลุกขึ้นแล้วจูงมืออีกฝ่ายเข้ามาในห้องนอน เขาจัดการห่มผ้าให้มันก่อนจะล้มตัวลงนอน

“พี่ธัน”

“หือ”

“ขอบคุณ” ไอ้พร้าวเอ่ยเสียงแผ่วเบา

ธันวาขยับตัวนอนตะแคงมองอีกฝ่ายในความมืด “ขยับมานี่สิ” ใช้มือตบที่นอนข้างตัว

ไอ้พร้าวลังเลอยู่ครู่ก่อนจะยอมขยับเข้าไปใกล้ ธันวาดึงตัวมันให้นอนหนุนหมอนใบเดียวกัน ใช้แขนข้างหนึ่งโอบตัวมันไว้แล้วยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะหลับไปในทันที

ไอ้พร้าวนอนหงายมองเพดานห้องในความมืด ลมหายใจจากคนข้างกายเป่ารดข้างแก้มของมันเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ใกล้ชิดกับธันวา มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือรังเกียจที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน

มันขยับตัวนอนตะแคงข้างเข้าหาธันวา อาจเพราะอากาศในห้องเย็นเกินไปจึงต้องขยับเข้าหาไออุ่นจากอีกฝ่าย...อีกนิดและอีกนิด

ไอ้พร้าวมองใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบ มองทุกองค์ประกอบของใบหน้าที่รวมเป็นพี่ธันของมัน คิ้ว ตา จมูก...และริมฝีปากที่มักจะยิ้มให้เสมอไม่ว่ามันจะสุขหรือเศร้าใจ

กว่าจะรู้ตัวไอ้พร้าวก็ได้กดจูบริมฝีปากของธันวาไปแล้ว แม้จะรู้ตัวแต่ไม่ยอมผละออกห่าง มันเพียงแตะริมฝีปากของตัวเองกับอีกฝ่ายเท่านั้น ผละออกก่อนจะหลับตาลงแล้วกดจูบอีกครั้ง

หยดน้ำตาร่วงหล่นลงบนหมอนของธันวาที่มันกำลังนอนหนุนอยู่ มันลืมตาขึ้นช้าๆ มองภาพตรงหน้าที่พร่ามัวแล้วหลับตาลงอีกครั้งพร้อมแนบริมฝีปากให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม...ขออีกนิด เพียงแค่นิดเดียว

ไอ้พร้าวผละริมฝีปากออกห่างด้วยหัวใจที่บีบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก มันรู้แล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อธันวานั้นคืออะไร หากธันวารู้เข้าจะรังเกียจมันหรือเปล่า จะผิดหวังมากแค่ไหน หรืออาจจะเกลียดมันจนไม่อยากเห็นหน้า

...ไม่ยอมให้รู้เด็ดขาด มันจะกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ในใจให้ลึกที่สุด

ไอ้พร้าวมองใบหน้าของธันวาอีกครั้งก่อนขยับตัวออกจากอ้อมแขนที่อบอุ่นนี้ กลับไปนอนในที่ของตัวเองเหมือนอย่างเคย ตรงนี้คือที่ของมันไม่ใช่อ้อมกอดของอีกฝ่าย

วันรุ่งขึ้นธันวารู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร ทั้งที่ไอ้พร้าวยังทำตัวเหมือนเดิม เขากวักน้ำจากก๊อกล้างหน้าอยู่หลายครั้ง เผื่อความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้จะหายไป

เมื่อคิดว่าพร้อมแล้ว ทั้งสองจึงหยุดยืนที่หน้าประตูห้อง ธันวามองเด็กหนุ่มข้างกายด้วยความเป็นห่วง ไม่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขาจะคอยอยู่เคียงข้างมันไม่ไปไหน

“พร้อมไหมครับ” ธันวาถามไอ้พร้าวที่ดูสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“อืม” มันเงยหน้าแล้วยิ้มให้

ไอ้พร้าวบอกจุดหมายปลายทางให้ธันวาได้รู้ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงเดินทางมาถึง ย่านนี้ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ถือเป็นย่านชุมชนที่ไม่แออัดมากนัก

“รู้หรือเปล่าครับว่าบ้านหลังไหน” ธันวาถามเมื่อเห็นมันขมวดคิ้ว

“ไม่รู้ คงต้องเดินหา อากาศร้อนแบบนี้พี่รออยู่ในรถเถอะ” ไอ้พร้าวเตรียมเปิดประตูรถออกไป แต่ถูกธันวารั้งแขนไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับ พี่จะไปด้วย”



“รู้จักคนในรูปไหมครับ เธอเปิดร้านเสริมสวยแถวนี้” ธันวายื่นรูปถ่ายให้หญิงวัยกลางคนทั้งสามดู พวกเธอมองดูรูปแล้วสบตากัน

“อยู่ถัดไปอีกสองซอยจ้ะ บ้านอยู่ต้นซอยเลย เออ...เป็นอะไรกับคนนี้หรือ ญาติพี่น้อง หรือว่าแขก” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น คนที่เหลือมองมาที่ธันวาและไอ้พร้าวด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“ขอบคุณครับ” ธันวาเพียงเอ่ยขอบคุณ จากนั้นหันมาจูงมือไอ้พร้าวที่ก้มหน้ามองพื้น

“น่าจะหลังนี้นะครับ” ทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านชั้นเดียว บริเวณหน้าบ้านเปิดเป็นร้านเสริมสวย ไอ้พร้าวขืนตัวไม่ยอมก้าวเข้าไปในร้าน ธันวาจึงหันกลับมามอง “เข้าไปเถอะครับ ตั้งใจมาแล้วไม่ใช่หรือ”

“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ได้ไหม” แววตาของไอ้พร้าวสั่นไหว ความมั่นใจมลายหายไปจนหมด เมื่อได้มายืนอยู่ตรงนี้มันถึงรู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเจอลี

“ไม่ต้องกังวล พี่จะอยู่กับพร้าว จับมือพี่ไว้แน่นๆ สิ” ธันวาบีบมือไอ้พร้าวเบาๆ มันพยักหน้าแล้วกระชับมือที่จับกันไว้แน่นขึ้น

“พร้อมหรือยังครับ”

“อืม”



TBC.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:30:47 โดย KT-ReE »

ออฟไลน์ KT-ReE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-5
ธันวาที่ 9 (Part 5)


กริ๊ง ๆ

กระดิ่งที่ห้อยไว้กับประตูส่งเสียงดังขึ้นเมื่อมีคนผลักประตูเข้ามาในร้าน หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านยังคงวุ่นวายกับการจัดหนังสือบนชั้นวาง

“สวัสดีจ้า รอแป๊บหนึ่งนะ” เธอส่งเสียงทักทายอย่างสดใส

ธันวามองคนข้างกายด้วยความเป็นห่วง กระชับมือข้างนั้นของไอ้พร้าวที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเพื่อให้กำลังใจ เพียงครู่เดียวผู้เป็นเจ้าของร้านก็หันมามองคนทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาในร้าน

ใบหน้าที่คล้ายกับรูปถ่ายใบนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าไอ้พร้าว...นี่คือลีจริงๆ ใช่ไหม มันคงไม่ได้ฝันไปเอง ลีไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีเพียงรอยแผลเป็นที่แก้มข้างซ้ายเล็กน้อยเท่านั้นที่เพิ่มเข้ามา เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแบบที่มันจินตนาการไว้

“หน้าตาไม่คุ้นเลย ไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหม พาน้องมาตัดผมหรือ” เธอพูดกับธันวาแล้วหันมามองไอ้พร้าว “เอาทรงไหนล่ะลูก มานั่งนี่ก่อน” เธอตบพนักเก้าอี้เพื่อให้เด็กหนุ่มนั่ง

“ไม่ได้มาตัดผมหรอกครับ เรามาหาคน” ธันวาบอกออกไปตามตรง

“มาหาใครหรือ ฉันอาจจะช่วยพวกเธอได้นะ”

“เธอชื่อลีครับ” ธันวาจ้องผู้หญิงตรงหน้า เธอชะงักก่อนจะมองมาที่เขา จากนั้นเลื่อนสายตาไปที่ไอ้พร้าว เมื่อเพ่งพินิจจนแน่ใจแล้วจึงพยักหน้า

“มาหาลีหรือ ไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้วเหมือนกัน” เธอยิ้ม ธันวาหันไปสบตากับไอ้พร้าวอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเธอจึงพูดราวกับตัวเองไม่ใช่ลี

“ครับ พวกเรามาหาคุณ” ธันวาตอบกลับเพราะไอ้พร้าวไม่ยอมปริปากพูด

“นั่งก่อนสิ” เธอเชิญทั้งสองนั่งบนโซฟา

“ขอบคุณครับ” ธันวาหันไปพยักหน้าให้ไอ้พร้าวเพื่อให้มันนั่งลง

ผู้เป็นเจ้าของบ้านสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มน้อยๆ “เธอคงชื่อพร้าวสินะ แล้วคุณล่ะ ชื่อเลหรือเปล่า”

“น้องชื่อพร้าวครับ แต่ผมไม่ใช่พี่เล ผมชื่อธัน เป็นเพื่อนพี่เลครับ” ธันวาบีบมือไอ้พร้าวเมื่อมันเอาแต่ก้มหน้า

“ขอโทษที่ต้องทำให้ผิดหวังนะ...ฉันไม่ใช่ลีหรอก”

ไอ้พร้าวเงยหน้ามองคนพูดอย่างงุนงง...ลีนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงปฏิเสธ หรือลีจะโกหก

“คุณเหมือนกับคนในรูปถ่ายนี้ นี่คือลี แม่ของพร้าว” ธันวายื่นรูปให้อีกฝ่ายดู เธอมองแล้วยิ้มกว้าง

“ใช่ คนในรูปคือลี แต่ฉันไม่ใช่” เธอยังคงมองรูปใบนั้น

“หือ แต่คุณเหมือนคนในรูป” ธันวาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอคือลี แม่ของไอ้พร้าว

“ฉันชื่อแหวน เป็นเพื่อนของลี ไม่แปลกหรอกที่พวกเธอจะจำคนผิด เราสองคนหน้าคล้ายกันจนเหมือนแฝด” แหวนมองแววตาสับสนของเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกสงสาร

เด็กคนนี้หรือ...ลี ฉันเจอลูกของเธอแล้วนะ เห็นหรือเปล่า

“โกหก” น้ำเสียงแข็งกร้าวของไอ้พร้าวไม่ได้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไป

แหวนลุกไปหยิบของบางอย่างจากลิ้นชัก มันคืออัลบัมรูปเก่าๆ เล่มหนึ่ง มือเรียวที่มีรอยแผลเป็นเปิดอัลบัมรูปเล่มนั้นอย่างเชื่องช้า

“คนนี้คือลี แม่ของเธอ ส่วนคนนี้คือฉันเอง” แหวนชี้ไปที่รูป “เราหน้าคล้ายกันก็จริง แต่ลีน่ะ...ยิ้มสวยมาก เพียงแค่เธอยิ้ม คนอื่นก็แยกออกแล้วว่านั่นคือเธอ”

อัลบัมรูปเล่มนั้นถูกยื่นมาตรงหน้าไอ้พร้าว มันรับมาดูด้วยจิตใจที่สับสน และจริงอย่างที่แหวนว่า ลียิ้มสวยมาก รอยยิ้มของลีต่างจากแหวนจนสามารถแยกคนทั้งสองออกได้ว่าใครเป็นใคร

“แล้วลีอยู่ไหน” แววตาของไอ้พร้าวเต็มไปด้วยความหวัง มันมองไปรอบๆ ห้องเพื่อหาคนที่ต้องการพบ

รอยยิ้มของแหวนค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงใบหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาเศร้าหมอง เธอยกมือขึ้นจับผมตัวเอง เพียงครู่เดียววิกผมก็ถูกดึงออกมาวางไว้บนตัก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่หน้าผาก ข้างแก้ม ใบหู ไปจนถึงท้ายทอย ผมที่บางจนเห็นผิวหนังเป็นสาเหตุให้เธอต้องสวมวิกผมไว้นั่นเอง

นี่เป็นเพียงรอยแผลเป็นที่ไม่ได้ถูกปกปิดเอาไว้

“กว่าจะตามหาฉันเจอ เธอคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” แหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันเป็นคนสุดท้ายที่ได้ออกมา”

“แล้วลีล่ะ ลีอยู่ที่ไหน!” ไอ้พร้าวลุกขึ้นยืน โยนอัลบัมรูปเล่มนั้นลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น ธันวาลุกขึ้นตาม กุมมือที่สั่นเทาทั้งสองข้างของมันไว้

“เด็กดี ใจเย็นๆ นั่งลงก่อนนะครับ” น้ำเสียงปลอบโยนของธันวาทำให้ไอ้พร้าวใจเย็นลง มันยอมนั่งลงตามเดิม ทั้งที่ใจยังคุกรุ่น...ออกมาเป็นคนสุดท้ายอย่างนั้นหรือ

“ลีอยู่ในนั้น ลียังอยู่ในนั้นตอนที่ฉันออกมา” แหวนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ความรู้สึกผิดในวันนั้นไม่เคยจางหาย หากไม่ใช่เพราะเธอ ลีก็คงนั่งอยู่ตรงนี้

“หมายความว่ายังไง ไม่จริง ทำไมต้องโกหกด้วย ไม่มีชื่อลีในรายชื่อด้วยซ้ำ ลีจะยังอยู่ในนั้นได้ยังไง” ไอ้พร้าวเปล่งเสียงออกมาดังลั่นจนหายใจหอบ

ไม่เชื่อเด็ดขาด คงเพราะลีไม่อยากเจอมันถึงได้กุเรื่องนี้ขึ้นมา

“ลิลลี่ หวัง” แหวนเอ่ยชื่อที่ทำให้ไอ้พร้าวนิ่งไปครู่ใหญ่

“ลิลลี่...หวัง” ไอ้พร้าวพึมพำด้วยความสิ้นหวัง

ชื่อนี้หรือ...มันจำได้แล้ว มีชื่อนี้อยู่จริงๆ ไม่ว่าจะอ่านรายชื่อพวกนั้นสักกี่รอบก็มีชื่อนี้ปรากฏอยู่เสมอ

แหวนปาดน้ำตาบนใบหน้าเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเดินหายเข้าไปในบ้านครู่หนึ่งแล้วออกมาพร้อมกับห่อผ้ากำมะหยี่ เธอวางมันลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“มันเป็นของเธอ” แหวนฝืนยิ้มออกมา

ไอ้พร้าวเปิดห่อผ้านั้นออก...เป็นกำไลทองขนาดเล็กหนึ่งข้าง ที่ตัวกำไลมีกระดิ่งเล็กห้อยอยู่หนึ่งอัน มันหยิบขึ้นมาดู หวนนึกถึงสิ่งที่เลเคยบ่นให้ฟัง

‘ตอนนี้ข้าก็ยังนึกไม่ออกว่ากำไลข้อเท้าของเอ็งหายไปไหน ข้าซื้อให้เอ็งใส่ตอนที่เอ็งเกิด แต่ใส่ได้ห้าหกเดือนก็หายซะแล้ว เฮ้อ...เสียดายจริงๆ ว่าจะเก็บเป็นที่ระลึกสักหน่อย’

ลีเป็นคนเอาไปอย่างนั้นหรือ

“นี่เป็นของสิ่งเดียวที่ลีหยิบติดมือออกมาด้วยในวันนั้น ฉันเก็บมันไว้อย่างดี ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสคืนมันให้เธอ” แหวนเช็ดน้ำตาที่เอ่อออกมาอีกรอบ “วันนั้นลีบอกฉันว่า...เดือนหน้าจะกลับไปอยู่กับลูกกับน้องชาย” เธอยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้โฮ

ไอ้พร้าวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า รู้สึกตัวอีกทีเมื่อปลายนิ้วของคนข้างกายแตะที่แก้มเปียกชื้นของมัน...มันกำลังร้องไห้หรือ

มันมองเจ้าของมือข้างนั้นพร้อมเอียงใบหน้าซบฝ่ามืออุ่นที่กำลังลูบแก้มของมันอย่างทะนุถนอม

“กลับบ้านกันเถอะ” ธันวายังคงมีรอยยิ้มเสมอ

“อืม” มันส่งเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบา

ธันวาโอบไหล่ไอ้พร้าวไว้เมื่อเท้าของมันสะดุดเข้ากับพื้นต่างระดับ มันไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย ยังคงเดินต่ออย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งเข้ามานั่งในรถไอ้พร้าวถึงปล่อยโฮร้องไห้ราวกับเด็ก ธันวาทำได้เพียงแค่มอง และปล่อยให้มันร้องไห้จนพอใจ ให้มันได้ระบายความเจ็บปวดออกมา

ถ้าหากทำได้ เขาอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดของมันมาสักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี

ไอ้พร้าวหลับไปแล้ว มันร้องไห้จนหลับไป ธันวามองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาก่อนจะขับรถกลับ ’ บ้าน’

ลำพังตัวเขาเองคงไม่สามารถทำให้ไอ้พร้าวคลายความเศร้าได้ ช่วงสองสามวันนี้คงต้องหาตัวช่วย เขาไม่อาจทนเห็นมันจมอยู่กับความเศร้าได้อีก ไม่ต้องการเห็นมันอยู่ในสภาพนี้

ธันวายกมือขึ้นทาบหัวใจตัวเองที่บีบแน่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้อย่างเจ็บปวด...คงเพราะผูกพันกันมาหลายปีจึงทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้

“พร้าวตื่นก่อนครับ ขึ้นไปนอนบนห้องเถอะ” แรงเขย่าที่ไหล่ทำให้ไอ้พร้าวปรือตามองด้วยความงุนงง มันลุกขึ้นเดินตามแรงจูงที่ข้อมือ สายตาจับจ้องเพียงแผ่นหลังของคนข้างหน้า ไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวเลยแม้แต่น้อย

“ขึ้นบันได ระวังหน่อยนะครับ” ธันวาโอบเอวไอ้พร้าวไว้เพราะกลัวมันจะพลัดตกบันได

ไอ้พร้าวหลับไปในทันทีเมื่อนอนบนเตียง ธันวาจัดท่าทางให้มันได้นอนสบายตัวก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น

“เข้ามาเลยครับ”

“น้องเป็นยังไงบ้างลูก” ลัดดามองคนบนเตียงด้วยความเป็นห่วง แม้จะได้ฟังเรื่องราวจากธันวาเพียงคร่าวๆ แต่ก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนี้จับใจ

“หลับไปแล้วครับ”

“ดูไม่ค่อยสบายตัวเลย เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้น้องนะ” ลัดดาบอกก่อนจะออกไปจากห้อง ไม่นานก็กลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก เธอวางกะละมังไว้ที่โต๊ะ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ

“แม่ครับ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้น้องเอง” ธันวาแย่งผ้าผืนนั้นมาถือไว้ในมือ

“จ้ะ แม่ขอไปเตรียมข้าวเที่ยงก่อนแล้วกัน อยากได้อะไรก็บอกนะ” ลัดดามองลูกชายเช็ดใบหน้าให้เด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม

ธันวาขมวดคิ้วเมื่อเห็นบริเวณรอบดวงตาของไอ้พร้าวบวมช้ำจากการร้องไห้...ตื่นขึ้นมาอาจจะปวดจนลืมตาไม่ขึ้นก็ได้

“แม่ครับ ตาของน้องบวม มีอะไรช่วยให้หายบวมได้บ้างไหม” เขาเงยหน้าถามผู้เป็นแม่ที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง

“อืม มีสิ แค่ผ้าชุบน้ำเย็นก็ใช้ได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวแม่เอามาให้” ลัดดาเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกสับสน...มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เธอไม่ควรคาดเดาจากสิ่งที่เห็นเพียงไม่กี่นาที

ธันวารับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำเย็นพอหมาดๆ จากลัดดา นำไปวางบริเวณดวงตาของไอ้พร้าว เขาหวังว่ามันจะได้ผล

“งั้นแม่ลงไปข้างล่างนะ ถ้าข้าวเสร็จแล้วแม่จะขึ้นมาเรียก”

“ไม่ต้องหรอกครับ อีกเดี๋ยวผมก็ลงไปข้างล่างแล้ว”

หลังลัดดาออกไปจากห้อง ธันวาได้แต่นั่งมองใบหน้ายามหลับของไอ้พร้าวด้วยความกังวลก่อนจะเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียงห้อง เมื่อคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจึงตัดสินใจโทรหาเลเพื่อบอกเล่าเรื่องราว

“อย่างนั้นหรือ” เลตอบกลับมาเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“รู้อยู่แล้วหรือครับ ว่าแม่ของพร้าวไม่อยู่แล้ว” ธันวายืนพิงขอบระเบียง ยังคงไม่ละสายตาไปจากเด็กหนุ่มบนเตียง

“เปล่าหรอก แต่คิดมาตลอดว่ามันคงตายไปแล้ว” เลถอนหายใจ “มันส่งจดหมายมาบอกว่าจะกลับบ้าน แล้วก็หายเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น...ข้าน่ะทำใจได้ตั้งนานแล้ว ไอ้พร้าวล่ะ เป็นยังไงบ้าง มันคงเป่าปี่จนเอ็งรำคาญเลยละสิ” แม้จะพูดติดตลก แต่ในใจของเลกำลังเจ็บปวด เขาเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว

...ความผิดหวังจะทำให้มันเข้มแข็งขึ้น

“ครับ ร้องไห้จนหลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาจะร้องอีกหรือเปล่า”

“ช่างเถอะ มันอยากร้องก็ปล่อยให้มันร้องไป พอเหนื่อยก็หยุดเองแหละ ฝากเอ็งด้วยแล้วกัน มีแต่สร้างปัญหาให้เอ็งอยู่เรื่อย” เลรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายจริงๆ

“ไม่เลยครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย พี่เลไม่ต้องกังวลเรื่องพร้าวหรอกครับ ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดี” ธันวาพูดออกมาจากใจ

“ขอบคุณเอ็งมาก”

หลังวางสายจากธันวา เลเดินทอดน่องไปตามชายหาดอย่างเหม่อลอย เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก พวกเขาสองพี่น้องชอบหนีพ่อแม่ออกมาวิ่งเล่นที่ชายหาดนี้บ่อยๆ เพราะไม่อยากช่วยงานที่ร้าน พวกเขามักเล่าความฝันของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง และจบลงด้วยการโต้เถียงว่าความฝันของใครดีกว่ากัน...แต่ตอนนี้เขากลับจำไม่ได้แล้วว่าความฝันเหล่านั้นคืออะไร

เลเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องหน้า หวังในใจว่าลีจะมองลงมาเช่นกัน

“สบายดีไหม” เอ่ยถามออกไปทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวันตอบกลับมา



ธันวาปล่อยให้ไอ้พร้าวนอนพักในห้อง ส่วนเขาลงมาชั้นล่างเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องไอ้พร้าวกับลัดดา จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ จึงขึ้นมาดูมันที่ห้อง

ไอ้พร้าวตื่นนอนนานแล้ว แต่ยังคงนอนนิ่ง เหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้อง

“ตื่นนานแล้วหรือ หิวหรือยัง”

“.....................” มันหลับตาลงราวกับไม่ต้องการสนทนากับธันวา

ธันวาถอนหายใจก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียง “ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะปวดท้องเอาได้ พี่ให้แม่ทำของที่พร้าวชอบไว้แล้ว”

“.......................” ไอ้พร้าวยังคงหลับตา พลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้าน

“อย่าเมินพี่สิครับ กินสักหน่อยเถอะ พร้าวทำแบบนี้ไม่ใช่แค่พี่ที่เป็นห่วง...พี่เลกับลุงพัทธ์ของพร้าวก็เป็นห่วงด้วยนะ”

ธันวามองแผ่นหลังที่กำลังสั่นไหว อีกทั้งเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่อีกฝ่ายพยายามกลั้นเอาไว้อย่างน่าสงสาร คงเพราะเขาเอ่ยถึงเลและพัทธ์เลยยิ่งทำให้ไอ้พร้าวอ่อนไหว

ทำมันร้องไห้จนได้...เขานี่แย่จริงๆ

“ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่บังคับแล้ว นิ่งซะนะ ไม่ร้องแล้วนะครับ เดี๋ยวจะปวดตาไปมากกว่านี้” ทั้งที่ตั้งใจจะปลอบกลับกลายเป็นว่าทำมันร้องไห้หนักเข้าไปอีก

ธันวาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีจึงเอนตัวลงนอนข้างไอ้พร้าว นอนมองเพดานห้องอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจกอดมันจากด้านหลัง รั้งตัวมันให้แนบชิดแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเขา

ผ่านไปครู่ใหญ่ไอ้พร้าวจึงสงบลง และหลับไปอีกรอบ ผิวกายของมันค่อนข้างอุ่นกว่าปกติ ธันวายกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดไข้ เมื่อแน่ใจแล้วจึงผละออกห่าง ขยับตัวลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา ห่มผ้าให้มันเรียบร้อยแล้วออกไปเตรียมผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้มันอีกรอบ

“น้องไม่สบายหรือลูก” ลัดดามองแผ่นเจลลดไข้ในมือของลูกชาย

“ครับ เหมือนจะมีไข้ต่ำๆ ให้นอนพักสักหน่อยค่อยปลุกมาทานข้าวทานยา”

“ไม่ได้เห็นธันใส่ใจใครมานานเท่าไหร่แล้วนะ” ลัดดาเห็นธันวาชะงักไปครู่ก่อนจะทำตัวปกติ “ขึ้นไปดูน้องเถอะ แม่จะเตรียมข้าวต้มไว้ให้”

เมื่อไอ้พร้าวตื่นแล้ว ธันวาจึงยกถ้วยข้าวต้มพร้อมยาเข้ามาในห้อง มันทานข้าวต้มเพียงไม่กี่คำก็เบือนหน้าหนี

ธันวาอยู่เฝ้าไอ้พร้าวไม่ห่างตลอดทั้งคืน ค่อยเช็ดตัว วัดไข้ จนกระทั่งไข้ของมันลด เขาถึงได้นอนพัก

“อือ” ไอ้พร้าวพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก เปลือกตาของมันหนักอึ้ง เมื่อลืมตาขึ้นได้จึงมองไปมารอบๆ ตัว

ห้องนี้...ที่ไหนกัน

ไอ้พร้าวขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงงและสับสน มันพยายามเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อวานธันวาบอกว่าจะพากลับบ้าน แต่นี่ไม่ใช่บ้านที่มันเคยอยู่

มันมองสำรวจห้องอีกครั้งจนกระทั่งพบกรอบรูปที่วางบนโต๊ะ เป็นรูปชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดรับปริญญา สองข้างกายมีหญิงชายวัยกลางคนยืนยิ้มกว้าง

แก๊ก ประตูห้องถูกเปิดออก ชายหนุ่มคนเดียวกับในรูปกำลังเดินเข้ามาในห้อง และหยุดยืนตรงหน้ามัน

“ตื่นแล้วหรือครับ ลุกไหวหรือเปล่า”

“อืม ไหว” ไอ้พร้าวตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ธันวายิ้มแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างมัน “หิวหรือยังครับ ทานในห้องไหม พี่จะเอามาให้” พูดพร้อมสำรวจสีหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าที่มีเลือดฝาดทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา

ไอ้พร้าวมองไปรอบๆ ห้อง ไม่ได้สนใจสิ่งที่ธันวาถาม “ที่ไหน นี่ห้องพี่เหรอ”

“บ้านพี่เองครับ ว่าจะพามาตั้งนานแล้วแต่หาจังหวะไม่ได้สักที ทำตัวตามสบายเลยนะ บ้านพี่ก็เหมือนบ้านพร้าว” ธันวาขยับเข้าไปนอนหนุนตักไอ้พร้าว ใช้สองแขนกอดรอบเอวมันไว้

“จะเหมือนกันได้ยังไง” ไอ้พร้าวปรายตามองคนบนตักที่กำลังถูไถใบหน้ากับต้นขาของมัน

“อยู่สักพักก็คงคุ้นชิน”

“ปวดฉี่ อยากอาบน้ำด้วย” มันดันแขนอีกฝ่ายออกก่อนจะลุกขึ้นยืน ทว่าภาพตรงหน้ากลับดับวูบ ใบหน้าร้อนวาบ แล้วเปลี่ยนเป็นชา

“พร้าว!” ธันวาร้องอย่างตกใจ รีบประคองร่างของมันที่กำลังล้ม

“........................” ไอ้พร้าวหลับตาอยู่ครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง

“เป็นยังไงบ้างครับ นอนลงก่อน หายใจออกหรือเปล่า”

“ไม่ แค่วูบเฉยๆ เลิกทำเหมือนเห็นผีได้แล้ว จะเข้าห้องน้ำ” ไอ้พร้าวมองพี่ธันของมันที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก...สรุปแล้วใครกันแน่ที่ป่วย

“ได้ๆ เดี๋ยวพี่พาไป”

ธันวาประคองไอ้พร้าวเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินมาถึงชักโครกเขารีบแกะปมเชือกกางเกงขาสั้นที่มันสวมอย่างตั้งอกตั้งใจ ไอ้พร้าวสำรวจเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมอยู่ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ชุดเมื่อวาน คงเป็นธันวาที่ผลัดเปลี่ยนให้

เพียะ! ไอ้พร้าวตีมือธันวาที่กำลังจับงวงช้างของมันทันที

“นี่! จับอะไรน่ะ” มันจ้องอีกฝ่ายเขม็งอย่างเอาเรื่อง จนธันวาต้องยอมปล่อยมือแต่โดยดี

“พี่กลัวว่าพร้าวจะเล็งไม่ถูก” ธันวาว่าอย่างหงอยๆ ใช้สองแขนกอดเอวมันไว้แล้ววางปลายคางลงบนไหล่

“จะมากอดทำไม ถอยออกไป คนจะฉี่” ไอ้พร้าวรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

“พี่กลัวพร้าวจะล้ม ถ้าล้มจะแย่เอานะ เร็วสิ รีบฉี่ พี่จะได้เช็ดตัวให้”

“มีคนกอดอยู่แบบนี้มันฉี่ไม่ออก” มันว่าอย่างหงุดหงิด ธันวามีสีหน้าครุ่นคิด

“เดี๋ยวพี่ช่วย” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดท้องน้อยของไอ้พร้าวเบาๆ มันตีมือข้างนั้นทันที

“ไม่ดีหรือ”

ยังมีหน้ามาถามอีก...ไอ้พร้าวถอนหายใจ จำต้องปล่อยให้ธันวากอดไว้อย่างนี้ มันรวบรวมสมาธิเพ่งเล็งไปที่งวงช้างจนปลดเบาได้สำเร็จ เมื่อเสร็จเรียบร้อยพี่ธันของมันก็ยื่นมือไปกดชักโครกให้

“มาแปรงฟันก่อน” ธันวาประคองไอ้พร้าวมาที่หน้ากระจก จัดการบีบยาสีฟันใส่แปรง ยื่นแก้วน้ำมาให้มันบ้วนปาก

ถ้าไม่เจอเหตุการณ์อย่างตอนนี้ ไอ้พร้าวคงไม่มีทางได้รู้ว่า...ธันวาเป็นคนน่ารำคาญที่สุดในโลก

ไอ้พร้าวแปรงฟันพลางชำเลืองมองอีกฝ่ายผ่านกระจกเงา ธันวากำลังยืนยิ้มแฉ่งจนน่าหมั่นไส้ เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็เดินเข้ามากอดเอวมันจากด้านหลัง แล้ววางปลายคางลงบนไหล่อย่างที่เคยทำ

ดวงตาคมจ้องไอ้พร้าวผ่านทางกระจก รอยยิ้มที่มุมปากของธันวาทำให้ใบหน้าของมันขึ้นสีเล็กน้อย อีกทั้งใจยังเต้นแรงจนกลัวว่าคนด้านหลังจะรับรู้ได้

...น่ารำคาญจริงๆ ทั้งธันวาและตัวมันเอง

สุดท้ายธันวาก็ถูกไอ้พร้าวไล่ตะเพิดออกมา มันแนบหูกับประตูห้องน้ำเพื่อฟังเสียงด้านนอก ธันวายืนบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่ก่อนจะออกไปจากห้อง

“เฮ้อ” ไอ้พร้าวถอนหายใจออกมา มันยกมือขึ้นทาบอกด้านซ้าย หากหัวใจทำงานหนักเช่นนี้ทุกเช้าคงได้ตายในเร็ววันแน่ๆ

ไอ้พร้าวออกจากห้องน้ำหลังสวมเสื้อผ้าที่ธันวาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มันเดินสำรวจข้าวของภายในห้อง ถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้าโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน

เสื้อผ้าในตู้ล้วนเป็นแบบที่ธันว่าชอบสวมใส่ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อยืดและกางเกงผ้าทรงขากระบอกสีพื้น

“อืม แต่งตัวแก่สมวัยดี” ไอ้พร้าวกอดอกพร้อมพยักหน้า หยิบๆ จับๆ เสื้อผ้าพวกนี้อยู่สักพักก็นึกถึงตู้เสื้อผ้าของตัวเองที่บ้าน มันค่อนข้างมั่นใจในการแต่งตัว และมักคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำเทรนด้านแฟชั่นของอำเภอเลยก็ว่าได้

เสื้อผ้าในตู้ต้องมีครบทุกเฉดสี จะออกจากบ้านทีต้องสวมหมวกกับแว่นตาสีแสบตาบาดใจชาวบ้าน ถุงเท้ากับรองเท้ามักใส่สลับข้างกันเพื่อความเท่ ช่วงที่อากาศหนาวหน่อยจะมีผ้าพันคอผืนยาวสไตล์หนุ่มเกาหลีที่เพียงพาดไว้ที่คอแล้วปล่อยให้ห้อยยาวจนเกือบถึงหัวเข่า ซึ่งไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังลำบากเวลาขับรถมอเตอร์ไซค์

แต่น่าเสียดายที่ตอนหนีออกจากบ้านไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าดีๆ มาด้วย ไม่แน่มันอาจจะได้ลงปกนิตยสารสักเล่ม หรืออาจมีคนติดต่อให้ไปเดินแบบในงานหรูๆ อย่างที่เห็นในโทรทัศน์

ไอ้พร้าวปิดตู้เสื้อผ้า จากนั้นมองกรอบรูปบนโต๊ะที่มันเห็นเมื่อเช้า จำได้ว่าตอนที่ธันวาบอกว่าจะรับปริญญาในอีกสามวันข้างหน้า มันได้วิ่งจนเหนื่อยหอบไปที่ร้านขายของที่ระลึกในหมู่บ้าน เลือกซื้อโปสต์การ์ดที่สวยที่สุดแล้วเขียนข้อความแสดงความยินดีลงไป

เจ้าของร้านที่นั่งอยู่ตรงนั้นมีน้ำใจบอกให้หย่อนโปสต์การ์ดลงในกล่อง มันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไปตู้ไปรษณีย์หน้าหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้เองธันวาจึงได้รับโปสต์การ์ดของไอ้พร้าวในอีกสองเดือนถัดไป

ตุบ! ปลายเท้าของไอ้พร้าวเตะเข้ากับของบางอย่าง เมื่อก้มลงมองจึงพบกล่องพลาสติกใบหนึ่ง มันนั่งลงบนพื้นแล้วยื่นมือไปลากกล่องใบนั้นออกมาจากใต้โต๊ะ

ไอ้พร้าวมองไปทางประตูห้องอย่างครุ่นคิดว่าควรเปิดกล่องใบนี้ดีหรือไม่ สิ่งนี้อาจเก็บความลับบางอย่างของธันวาไว้ แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากกว่าจิตใต้สำนึกด้านดี มันจึงตัดสินใจเปิดดูทันที

ดวงตาของไอ้พร้าวเบิกกว้างเมื่อพบภาพวาดเด็กผู้ชายคนหนึ่ง กระดาษแผ่นนี้มีรอยฉีกขาดที่ถูกติดด้วยเทปใส มันคุ้นเคยกับใบหน้าของคนในภาพวาดเป็นอย่างดี

เป็นใบหน้าที่ดูจริงจัง ดวงตากำลังเพ่งมองบางอย่าง...ธันวาวาดภาพนี้ตอนไหน ไม่ว่าจะนึกอย่างไร มันก็นึกไม่ออก

ไอ้พร้าวหยิบภาพนั้นออกมาจากกล่อง ยังมีอีกหลายภาพที่ธันวาได้วาดไว้ มันปากเบ้เมื่อเจอภาพที่ตัวเองเป็นคนวาด ภาพแรกน่าจะเป็นธันวา...ที่ไม่เหมือนคนเอาเสียเลย อีกภาพเป็นรูปทิวทัศน์ฝีมือเด็กอนุบาล

“หือ แฟ้มอะไร” มันหยิบแฟ้มเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างหนาเตอะออกมา

‘ถึงพี่ธัน

ยินดีด้วย

จากพร้าว’

ไอ้พร้าวจำโปสต์การ์ดใบนี้ได้ดี นี่เป็นโปสต์การ์ดที่มันส่งให้ธันวาในโอกาสวันรับปริญญา ใบหน้าที่ร้อนผ่าวทำให้เจ้าตัวรีบปิดแฟ้มทันที มันไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อรับรู้เรื่องน่าอายเช่นนี้

มันสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดแฟ้มเล่มนี้อีกครั้ง ในแฟ้มนี้มีทั้งภาพที่มันวาด ใบเกียรติบัตรจากการแข่งขัน และผลงานอื่นๆ แม้กระทั่งเหรียญในงานวิ่งมาราธอน

ไอ้พร้าวเก็บข้าวของทั้งหมดลงกล่องแล้วยัดกล่องใบนี้กลับเข้าที่เดิม มันยกสองมือขึ้นจับใบหูตัวเองที่ตอนนี้คงแดงไปหมด

เหตุใดธันวาจึงเก็บของเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี...

ไอ้พร้าวลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้อง มันก้าวลงบันไดพลางมองสำรวจชั้นล่างของบ้าน แผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคยกำลังวุ่นวายกับการเตรียมบางอย่าง

“พี่ทำอะไรอยู่” มันหยิบดอกกุหลาบสีแดงขึ้นมาดู

“เตรียมน้ำอบไว้สรงน้ำพระครับ”

“สรงน้ำพระเหรอ”

“วันนี้เป็นวันสงกรานต์ไงครับ ลืมไปแล้วหรือ”

“โอ๊ะ จริงด้วย” ไอ้พร้าวเบิกตากว้าง มันลืมไปได้อย่างไร ทั้งที่นับวันรอแท้ๆ

“อยากช่วยพี่เตรียมของไหม” ธันวายิ้มอย่างอ่อนโยน มันพยักหน้ารัวด้วยความตื่นเต้น

ธันวาให้ไอ้พร้าวเด็ดกลีบดอกกุหลาบและดอกดาวเรือง นำไปรวมกับดอกมะลิแล้วโรยลงในขันเงินขนาดกลางที่มีน้ำเปล่าผสมน้ำอบไว้เรียบร้อยแล้ว

ไอ้พร้าวลงมือทำอย่างตั้งใจ รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของมันช่วยคลายความกังวลใจของธันวาไปได้บ้าง

เพียงแค่มันยิ้ม...คล้ายกับเรื่องเมื่อวานเป็นเพียงแค่ฝันร้าย

“พี่อยู่บ้านกับใครอะ” ไอ้พร้าวถาม

“พ่อกับแม่ครับ แม่ไปทำบุญที่วัด อีกเดี๋ยวคงกลับมา ส่วนพ่อกลับไปเยี่ยมญาติที่สุราษฎร์ธานีครับ” ธันวามองอีกฝ่ายที่ก้มหน้างุด “เป็นอะไรไปครับ”

“แม่พี่ใจดีไหม” ไอ้พร้าวเงยหน้าถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ธันวากลั้นขำกับท่าทางของอีกฝ่าย “ใจดีสิครับ เมื่อวานพร้าวก็เจอแล้ว”

“ฮะ เมื่อวาน...เจอจริงๆ เหรอ ไม่เห็นจะจำได้เลย” มันตกใจก่อนจะทำท่าครุ่นคิด

“ช่างเถอะครับ งานที่พี่ให้ทำเสร็จหรือยัง” ธันวาเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวมันจะคิดมาก ไอ้พร้าวพยักหน้าตอบ

ธันวาวางขันเงินใบเล็กลงในขันเงินที่เตรียมไว้สรงน้ำพระ จากนั้นถือมาที่หน้าบ้าน วางขันเงินลงบนโต๊ะเล็กข้างโต๊ะไม้ที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานบนพานทองที่ประดับประดาด้วยดอกกุหลาบ ดอกมะลิ และพวงมาลัย

“พี่เก่งจัง เตรียมของพวกนี้เป็นด้วย” ไอ้พร้าวชื่นชมจากใจจริง

“ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ พี่เตรียมได้แต่แบบง่ายๆ ตามที่สะดวกน่ะ ยายพี่เป็นคนสอน” ธันวาเดินนำเข้ามาในบ้านอีกรอบ เทน้ำอบผสมน้ำเปล่าลงขันอีกใบก่อนจะโรยดอกไม้

“เตรียมอีกเหรอ เอาไปทำอะไร”

“ขันนี้ไว้รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ครับ” ธันวายิ้มมองเจ้าหนูจำไมที่น่าเอ็นดูของตัวเอง

เสียงเปิดประตูรั้วบ้านดังขึ้น หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างเมื่อผู้เป็นลูกชายรับข้าวของจากมือไปถือแทน

“น้องตื่นหรือยัง”

“ตื่นแล้วครับ นั่นไง” ธันวามองเด็กหนุ่มที่ยืนหลบหลังประตู เจ้าตัวยื่นใบหน้าออกมาดูด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมไปยืนตรงนั้นล่ะ” ลัดดาขบขัน

“สงสัยจะกลัวแม่น่ะครับ เข้าไปในบ้านกันก่อนเถอะ”

“สวัสดีครับ” ไอ้พร้าวยกมือไหว้อย่างสวยงาม

“สวัสดีจ้ะ เป็นยังไงบ้าง หลับสบายไหม” ลัดดายิ้มอย่างเอ็นดู แม้อีกฝ่ายจะดูโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่ดวงตายังคงใสแจ๋วราวกับเด็ก อีกทั้งท่าทางกล้าๆ กลัวๆ นั่นยิ่งทำให้ใจของเธออ่อนยวบ

“หลับสบายครับ” ไอ้พร้าวสงบเสงี่ยมผิดปกติ


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2019 22:32:03 โดย KT-ReE »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด