ธันวาที่ 9 (Part 4)‘พี่ไปก่อนนะ ขอโทษที่ไม่ได้ปลุก...แล้วเจอกันครับ’
ไอ้พร้าวยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองหลังอ่านข้อความที่ธันวาทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง ทั้งที่มันตั้งใจว่าจะตื่นไปส่งอีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่กลับนอนตื่นสายจนตะวันโด่ง
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตามเดิม นอนกลิ้งไปมา ไม่มีอะไรให้ต้องรีบร้อนเพราะวันนี้เป็นวันหยุด...วันหยุดที่ไม่มีธันวาอยู่ด้วย วันหยุดที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องนี้
ครืด ครืด...
ไอ้พร้าวเหลือบมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะยื่นมือไปหยิบ มันเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเมื่อเห็นชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ ใจหนึ่งก็อยากรับสาย แต่อีกใจยังไม่กล้า
หลังจากที่ได้คุยกับเลในตอนนั้น ไอ้พร้าวก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย มันไม่ได้โกรธแล้ว ไม่มีความรู้สึกนั้นอีกแล้ว แม้แต่ความน้อยใจก็มลายหายไปหมดสิ้น ความรู้สึกใหม่ที่เข้ามาแทนที่ทำให้มันไม่กล้าเผชิญหน้า
ละอายใจ...มันรู้สึกละอายใจที่ทำตัวไร้เหตุผล เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
เป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือที่มันได้พบพ่อของตัวเอง ทั้งยังเป็นลุงพัทธ์ที่มันรักอีกด้วย ส่วนความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพัทธ์กับเล แม้เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่หากความสัมพันธ์นี้ทำให้ทั้งสองมีความสุข มันก็ยินดีให้เกิดขึ้น
สายโทรเข้าตัดไปแล้ว ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที น้าเลของมันก็โทรเข้ามาเป็นรอบที่สอง และสาม
“น้าเล” ไอ้พร้าวแบะปาก กลั้นน้ำตา
“ไอ้พร้าว! รับสักทีนะเอ็ง” เสียงตะโกนของผู้เป็นน้าทำให้มันต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหู
“รับแล้วหรือ ขอผมคุยกับลูกหน่อย” มีเสียงของพัทธ์ดังเข้ามาในสาย
“เดี๋ยวสิ รอให้ข้าคุยกับมันก่อน นิ่งๆ สิไอ้พัทธ์ อย่ามาแย่งโทรศัพท์” ไอ้พร้าวยิ้มออกมา เลดุพัทธ์ราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กเล็ก
“ไอ้พัทธ์นี่น่ารำคาญขึ้นทุกวัน ข้าวปลาก็ยังต้องบังคับให้กิน” เลบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“สบายดีไหมจ๊ะ หนูคิดถึงน้าเล คิดถึงลุงพัทธ์ หนูขอโทษ ฮือ” พูดได้ไม่กี่ประโยค ไอ้พร้าวก็เป่าปี่ให้น้าของมันฟังเสียแล้ว
“น้องร้องไห้ใช่ไหม น้องร้องไห้ทำไม” พัทธ์พยายามแย่งโทรศัทพ์จากเลอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียร้องไห้โฮจากปลายสาย
“ไอ้พัทธ์! บอกว่าอย่าแย่ง เดี๋ยวทำโทรศัพท์ตก ไปนั่งตรงนั้นเลย ไม่งั้นข้าจะไม่ให้เอ็งคุยกับลูก” เลชี้นิ้วไปที่ระเบียงไม้ พัทธ์ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะยอมไปนั่ง
“เอ็งนี่ จะร้องไปทำไมกัน โตแต่ตัวจริงๆ ข้าสบายดี...คิดถึงเอ็งเหมือนกัน” เลหันหลังให้พัทธ์เมื่อพูดประโยคสุดท้ายก่อนใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองที่ปริ่มออกมา “จะกลับบ้านได้หรือยัง” เขากะพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำตา
“ยัง” ไอ้พร้าวตอบเจือเสียงสะอื้น
“อ้าว แล้วเอ็งจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ อยู่นานๆ ข้าก็เกรงใจไอ้ธัน”
“หนูอาจจะกลับปลายเมษา ไอ้ปืนชวนให้อยู่เล่นสงกรานต์ก่อน” มันดึงชายเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูก
“เออๆ แล้วแต่เอ็งเถอะ อย่าทำอะไรให้ไอ้ธันรำคาญล่ะ”
“จ้ะ” ไอ้พร้าวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อ “น้าเล หนูขอคุยกับลุงพัทธ์หน่อย” มันกัดริมฝีปากล่างเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ขอ
“ได้ๆ เดี๋ยวเรียกมันให้” เลหันกลับไปกวักมือเรียกพัทธ์ แล้วชูโทรศัพท์ขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าไอ้พร้าวขอคุยด้วย พัทธ์ยิ้มกว้างรีบเดินเข้ามาหา ทว่าเมื่อยื่นมือหมายจะคว้าโทรศัพท์ เลกลับชูมันขึ้นสูง
“เอา-มา” พัทธ์ขยับปากบอก เลยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะล้วงบางสิ่งจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาชูตรงหน้าพัทธ์
“ไม่! นี่มันของผม” พัทธ์พูดเสียงเบา ชี้ที่โทรศัพท์แล้วชี้ที่ตัวเอง เลยักไหล่ เสียบหูฟังที่โทรศัพท์ จากนั้นเดินหนีเข้าไปในครัว พัทธ์เดินตามอย่างหงุดหงิด
เลนั่งลงที่มุมอับสายตาในห้องครัวแล้วใช้มือตบพื้นที่ว่างข้างตัว พัทธ์ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย เลจึงยื่นหูฟังข้างหนึ่งให้พัทธ์ ส่วนอีกข้างอยู่ที่หูตัวเอง
“น้องพร้าว ลุงพัทธ์เองนะครับ”
“...................” ผ่านไปเกือบนาที ปลายสายยังคงเงียบ พัทธ์เริ่มใจเสีย หน้าซีดเผือด เลส่ายหน้าก่อนจะดึงพัทธ์เข้ามากอดแนบอก
“ลุงพัทธ์ หนูขอโทษ” ไอ้พร้าวผ่อนลมหายใจออกยาวเมื่อพูดในสิ่งที่ติดค้างในใจมาโดยตลอด
“ไม่ต้องขอโทษครับ น้องพร้าวไม่ได้ทำอะไรผิด ลุงต่างหากที่เป็นคนผิด...พะ พ่อขอโทษ” พัทธ์กลั้นก้อนสะอื้นไว้ในลำคอ มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลออกมา เลผละคนขี้แยออกจากอ้อมกอด ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบไปมา อีกข้างประคองใบหน้าคนรักไว้แล้วแนบริมฝีปากจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“หนูไม่ได้โกรธลุงพัทธ์แล้ว แต่หนูขอเรียกลุงพัทธ์ว่าลุงพัทธ์ตามเดิมนะจ๊ะ” ไอ้พร้าวหลุบตามองฝ่ามือของตัวเอง “ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากเรียกลุงพัทธ์ว่าพ่อ แต่หนูชอบเรียกอย่างเดิมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้หนูก็รักลุงพัทธ์ หนูเห็นลุงพัทธ์เป็นคนในครอบครัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”
“ได้ครับ ยังไงก็ได้” พัทธ์ยิ้มกว้าง สบตากับเลที่ยิ้มกว้างไม่แพ้กัน เลอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงบนแก้มคนรัก
“ลุงพัทธ์...ลุงพัทธ์เจอลีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” ไอ้พร้าวตัดสินใจถามออกไป ชื่อของบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองชะงัก แววตาของพัทธ์สั่นไหว เลพยักหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายตอบคำถามนี้
“มะ ไม่แน่ใจครับ มันก็นานแล้วเหมือนกัน ก่อนที่ลุงจะมาอยู่นี่ น่าจะสิบปีได้” พัทธ์จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่จำสิ่งที่ลีพูดในวันนั้นได้ดี
“เหรอจ๊ะ แล้วเจอที่ไหน” ฝ่ามือของไอ้พร้าวชื้นเหงื่อ หากมันรู้สถานที่ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น
“..............................” พัทธ์สบตากับเลอีกครั้ง มันไม่ใช่คำถามที่ยากแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปดีหรือไม่
“ถ้าลุงพัทธ์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรจ้ะ หนูแค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
“เปล่าครับน้องพร้าว ไม่ใช่ว่าลุงไม่อยากตอบ แต่...มันไม่มีที่นั่นอีกแล้ว หลังจากลุงมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ที่นั่นก็ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซาก” พัทธ์หลุบตาลงต่ำ ไม่ว่าจะพูดถึงลีสักกี่ครั้ง ความรู้สึกผิดก็ยังคงเกาะกินใจของเขา
“เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวเอ่ยออกมาแผ่วเบา แสงสว่างในใจของมันกำลังมอดดับลงอีกครั้ง
“ตะ...แต่ในข่าวไม่มีชื่อลีในรายชื่อคนเสียชีวิตนะครับ” พัทธ์รีบบอกในสิ่งที่รู้ เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นก่อให้เกิดการสูญเสียและความเสียหายไม่ใช่น้อย จนทำให้เจ้าของกิจการถูกฟ้องล้มละลาย
“เหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวยังคงตอบกลับเช่นเดิม มันไม่อยากคาดหวังอีกแล้ว
“เอ็งอยากรู้ไปทำไม หรืออยากเจอนังลี” อ เลอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างหงุดหงิด
“คุณอย่าพูดแทรกสิ ฟังเฉยๆ ไม่เป็นหรือไง” พัทธ์รีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่าย เลปัดออกอย่างรำคาญ
“น้าเลฟังอยู่เหรอจ๊ะ หนูขอโทษที่ถามถึงลี หนูแค่อยากรู้เท่านั้นเอง...ไม่ได้อยากเจอ” ไอ้พร้าวโกหกเพราะกลัวน้าเลจะน้อยใจและเสียใจ มันรู้ดีว่าเลไม่อยากเอ่ยถึงลี
“เฮ้อ ไม่ต้องมาโกหกข้าหรอก ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย อยากจะตามหามันใช่ไหม”
“ก็ไม่ได้จะตามหาหรอก ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น แค่...เผื่อว่าจะเจอ”
“แล้วแต่เอ็งเถอะ อยากจะถามอะไรล่ะ ข้าก็ไม่ได้คิดจะปิดเอ็งไปตลอดหรอก แค่รอให้เอ็งโตพอที่จะรู้” เลหลับตาลง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งที่พยายามลืมมันไปแล้ว
เขาลืมตาขึ้น ดึงตัวเองออกมาจากความทรงจำที่แสนเจ็บปวดก่อนที่มันจะหวนกลับมาทำร้ายอีกครั้ง
“นังลี...แม่ของเอ็งออกจากบ้านไปตอนที่เอ็งเกิดได้หกเดือน เข้ากรุงเทพไปอยู่บ้านลุงตุ้ยได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ย้ายไปที่อื่น มันบอกว่าไปอยู่บ้านเพื่อน” เลถอนหายใจ “ข้าก็ทำได้แค่รอจดหมาย แรกๆ ก็ติดต่อมาบ่อยอยู่หรอก ผ่านไปได้ปีกว่าก็หายเงียบ” เขากลืนก้อนสะอื้นลงในลำคอ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ปล่อยให้พี่สาวเดินจากไปเด็ดขาด
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของไอ้พร้าว อย่างน้อยมันก็ยังมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับลี แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงแค่หกเดือน
“พอมันหายเงียบ ข้าเลยเข้ากรุงเทพ ไปรบกวนลุงตุ้ยให้ช่วยตามหา ยังดีที่นังลีเคยบอกลุงตุ้ยว่าอยู่แถวละแวกไหน ตามหาอยู่สามวันก็ยังไม่เจอ อยากจะหามันให้เจอแต่ก็ห่วงเอ็งมากกว่าเลยกลับมาบ้าน” ในตอนนั้นใจของเลแทบขาดที่ต้องห่างจากหลานเสียหลายวัน
พัทธ์อมยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปจูบเลเบาๆ เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเท่านั้น ชีวิตของเขาที่มอบให้เลคงไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่เลทำให้ไอ้พร้าวได้
“ตอนนั้นน้าเลคิดถึงหนูมากเลยเหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวอดพูดแหย่ผู้เป็นน้าไม่ได้
“มาก...ตอนนี้ก็ด้วย”
“............................” ดวงตาของไอ้พร้าวร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ มันกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา
“ผ่านไปได้เดือนกว่า ข้าก็หอบเอ็งเข้ากรุงเทพอีกรอบ ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่เจอนังลีก็คงไม่กลับ แต่พอถึงกรุงเทพ นั่งรถเมล์จากหมอชิตได้แค่สองป้าย...ข้าก็เจอมัน กว่าจะตั้งสติได้รถเมล์ก็ขับเลยมาอีกป้ายแล้ว ต้องหอบทั้งเอ็งทั้งข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถ ทั้งวิ่งทั้งเดินย้อนกลับไป” เลยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง
“เจอลี” ไอ้พร้าวพึมพำเบาๆ มันได้เจอลีอีกครั้ง แล้วทำไม...
“พอได้เจอมัน พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ต่างคนต่างไป มันไปตามทางที่มันเลือก ส่วนข้าก็หอบเอ็งกลับบ้านทั้งที่เหยียบกรุงเทพได้ไม่ถึงชั่วโมง” เลยังจำวันนั้นได้ดี เขานั่งกอดหลานร้องไห้อย่างไม่อายใครที่หมอชิต “สิ่งที่ข้าจะบอกเอ็งน่ะมีเท่านี้แหละ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าตอนนั้นแม่ของเอ็งพักอยู่ที่ไหน ลุงตุ้ยบอกว่าเพื่อนมันเปิดร้านเสริมสวยแถวXXX แต่เอ็งอย่าลืมล่ะว่ามันผ่านมาสิบสี่ สิบห้าปีมาแล้ว”
“จ้ะ หนูรู้” ไอ้พร้าวสูดลมหายใจเข้าลึก ประกายแห่งความหวังในแววตาของมันวูบไหวขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้พร้าว...อย่าตั้งความหวังไว้มากนักนะ ข้าไม่อยากเห็นเอ็งเสียใจ” เลมองเห็นตัวเองตอนนั้นในตัวหลานชายราวกับภาพทับซ้อน เขาหอบความหวังเข้ากรุงเทพ และได้ทิ้งมันไว้ที่นั่น ไอ้พร้าวเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขายืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้
“จ้ะ หนูรู้ น้าเลหนูขอคุยกับลุงพัทธ์หน่อย”
เลถอนหายใจ เขารู้ดีว่าไอ้พร้าวไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาเตือนเลยแม้แต่น้อย
“ครับน้องพร้าว” พัทธ์ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาน้ำมูก เขาได้แต่โทษตัวเองว่ายิ่งแก่ยิ่งบ่อน้ำตาตื้น
“ลุงพัทธ์เจอลีที่ไหน มันชื่อว่าอะไรเหรอจ๊ะ” ไอ้พร้าวถามอย่างใคร่รู้
พัทธ์เม้มริมฝีปากอย่างลังเลที่จะตอบ “อืม...ที่ Feels Like Heaven ครับ แต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นเปิดเป็นห้างสรรพสินค้าแล้วครับ น้องพร้าวน่าจะรู้จัก มันชื่อห้าง XXX” เขาบอกในสิ่งที่รู้จากหนังสือพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน
หลังจากอาคารถูกไฟไหม้ เจ้าของล้มละลาย ที่ดินถูกขายทอดตลาด ต่อมาที่ตรงนั้นก็ถูกสร้างเป็นห้างสรรพสินค้า เพียงแค่ไม่กี่ปีผู้คนก็ต่างลืมเลือนโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ไม่มีใครสนใจอดีตที่ผ่านมา...
อาบ อบ นวด ชื่อดังจึงได้หายไปกับอดีต
“หนูรู้จักห้างนี้จ้ะ พี่ธันเคยพาไปอยู่สองสามครั้ง” ไอ้พร้าวพูดอย่างตื่นเต้น ผู้ใหญ่ทั้งสองสบตากันก่อนจะส่ายหน้า มันคงรู้จักแค่ห้างสรรพสินค้า แต่ไม่รู้ว่า Feels Like Heaven นั้นเป็นสถานที่แบบไหน
ทั้งสามได้พูดคุยกันจนกระทั่งเริ่มมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เลถอนหายใจหลังวางสายจากหลานชาย ความกังวลก่อตัวขึ้นจนแน่นในอก เขายังคงจดจำความผิดหวังและเสียใจในครั้งนั้นได้ดี จึงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งกับไอ้พร้าว
“เราทำถูกแล้วใช่ไหมครับ ผมนึกภาพไม่ออกเลยถ้าน้องพร้าวได้เจอกับลี” พัทธ์สบตากับคนรัก
“ข้ากลัวว่ามันจะไม่ได้เจอมากกว่า แต่บางที...มันอาจจะมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเจอหรือไม่เจอ” เลหยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่มาสวม
“แล้วคุณอยากให้เจอหรือไม่เจอล่ะครับ” พัทธ์ถามพลางช่วยอีกฝ่ายผูกเชือกด้านหลัง
“แล้วเอ็งล่ะ” เลถามกลับ
มือที่กำลังจับเชือกชะงักก่อนเจ้าตัวจะผูกปมเชือกจนเสร็จเรียบร้อย “ผมอยากให้ลูกกลับบ้านเร็วๆ ครับ จะเจอหรือไม่เจอ อย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น” พัทธ์ตอบเสียงหนักแน่น
เลหันกลับมามองหน้าคนรักด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็คิดเหมือนเอ็ง”
ไอ้พร้าวใช้เวลาทั้งวันในการค้นหาข่าวเกี่ยวกับ Feels Like Heaven ในโน้ตบุ๊กที่ธันวาให้มา มันกลั้นหายใจเมื่อได้รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหน โลกของมันเล็กเกินกว่าจะยอมรับการมีอยู่ของสถานที่เช่นนี้ได้
ทำไมลีถึงเลือกทำงานที่นั่นมากกว่ากลับไปอยู่ที่บ้านกับมันและเล บ้านที่มันคิดว่ามีความสุขมากที่สุดในโลก...มันพยายามหาเหตุผลมากมายสำหรับคำถามนี้
“รายชื่อ...ผู้เสียชีวิต” ปลายนิ้วที่กำลังคลิกดูหัวข้อข่าวต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตชะงัก
ไอ้พร้าวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แม้พัทธ์จะยืนยันว่าไม่มีชื่อของลีอยู่ในนั้น แต่ใจของมันไม่อาจสงบลงได้ มันไล่สายตาอ่านรายชื่อเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะแน่ใจ
“เฮ้อ ไม่มี ไม่มีชื่อลี” ไอ้พร้าวยิ้มกว้าง
กว่าจะรู้ตัวอีกที ไอ้พร้าวก็พาตัวเองมายืนที่หน้าห้างสรรพสินค้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ละลายทรัพย์ของชายมากหน้าหลายตาที่เข้ามาหาความสุขนอกบ้าน
ดวงตาของมันมองผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา...เคยมีสถานที่แบบนั้นอยู่จริงๆ หรือ
“ไอ้พร้าวจะกลับแล้วเหรอะ” ลุงตุ้ยเอ่ยทักเมื่อเห็นไอ้พร้าวสะพายกระเป๋า
“ครับลุง ว่าจะไปแวะดูอะไรสักหน่อย” มันยิ้ม แววตาเป็นประกาย
“โห ไอ้พร้าว อยู่เล่นเกมกับกูก่อน เมื่อวานไอ้บี้ปากซอยเพิ่งซื้อเกมมาใหม่ มึงจะรีบกลับไปทำไม เมื่อก่อนไล่ยังไงก็ไม่ยอมกลับ” ไอ้ปืนโอดครวญ
“โทษทีๆ พอดีกูมีธุระ ไปละนะ” ไอ้พร้าวหันหลังวิ่งจากไป ไม่รอให้ไอ้ปืนได้อ้าปากโวยวาย
ในมือของไอ้พร้าวมีแผนที่ที่มันวาดตามคำบอกเล่าของลุงตุ้ย และสายรถเมล์ที่ผ่านทางละแวกที่ลีเคยอาศัยอยู่ มันเงยหน้ามองท้องฟ้า ในเวลาสี่โมงเย็นเช่นนี้เป็นเวลาที่หมู่มวลมหาชนกำลังจะเลิกงาน มันยู่หน้าเมื่อนึกถึงรถที่ติดยาวเหยียดเป็นชั่วโมง ทั้งยังต้องขึ้นรถเมล์สองต่อ กว่าจะถึงคงประมาณหกโมงเย็น
ไอ้พร้าวยืนรอรถเมล์ราวๆ สิบนาที มันบอกที่หมายปลายทางกับกระเป๋ารถเมล์ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ หากเป็นไปได้มันไม่อยากจะเสียเวลากับการลงผิดป้ายหรือหลงทาง ตอนนี้เวลาทุกวินาทีมีค่าสำหรับมัน
ไอ้พร้าวมองแผนที่สลับกับสถานที่ตรงหน้า ลุงตุ้ยบอกให้มันลงรถเมล์ป้ายนี้ นาฬิกาบนจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาหกโมงครึ่งแล้ว มันถึงช้ากว่าที่ประมาณการไว้
“เฮ้อ...” มันถอนหายใจ มาถึงแล้วแต่จะทำอย่างไรต่อไป นอกจากชื่อและรูปถ่ายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย หากลีไม่เปลี่ยนไปจากรูปถ่ายมากนัก มันคงมีโอกาสได้เจอเร็วขึ้น
“ขอโทษนะครับ เคยเจอคนในรูปไหมครับ เธอชื่อลี” ไอ้พร้าวยื่นรูปในมือให้หญิงวัยกลางคนในร้านชำดู เธอมองรูปถ่ายอยู่ครู่ก่อนจะส่ายหน้า
“หน้าตาแบบนี้ไม่เคยเห็นหรอก”
ไอ้พร้าวเอ่ยขอบคุณก่อนกัดริมฝีปากล่างอย่างตึงเครียด มันยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แม้จะตระเวนถามคนในท้องที่นี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ตระเวนเข้าออกเกือบทุกซอยก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ทุกคนล้วนไม่รู้จักผู้หญิงในรูปที่ชื่อลี
มันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท โทรศัพท์มือถือแบตหมดไปแล้วจึงถามเวลากับหญิงวัยกลางคนถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว มันตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกับความผิดหวัง
โชคยังดีที่มาทันรถเมล์รอบสุดท้ายพอดี ไอ้พร้าวก้าวลงจากรถเมล์ด้วยความอ่อนเพลีย กระเพาะส่งเสียงร้องตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ดึกดื่นขนาดนี้เห็นทีต้องฝากท้องกับร้านสะดวกซื้อเสียแล้ว
ธันวาจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาไม่สามารถติดต่อไอ้พร้าวได้เลยตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าจะโทรไปกี่รอบก็ยังคงฝากข้อความ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ไอ้พร้าวมาอยู่ด้วยในช่วงแรกๆ เพราะความเป็นห่วงทำให้เขาเผลอดุมันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นไม่มีครั้งไหนเลยที่ธันวาจะติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ จนกระทั่งวันนี้
“ยังไม่นอนอีกหรือธัน มานั่งทำอะไรตรงนี้ เดี๋ยวยุงก็ห่ามเอาหรอก” ยายปิ่นเดินออกมาที่ชานระเบียง
“แค่ออกมารับลมตอนกลางคืนน่ะครับ อีกเดี๋ยวก็เข้านอนแล้ว ผมทำให้ยายตื่นหรือ” ธันวาเข้าไปประคองหญิงชรา
“คิดจะหลอกคนแก่หรือ กังวลอะไรอยู่ล่ะลูก” ยายปิ่นมองโทรศัพท์มือถือในมือของหลานชาย
“เออ...พอดีน้องที่ผมเล่าให้ยายฟัง ผมติดต่อน้องไม่ได้ เลยเป็นห่วงนิดหน่อยครับ”
“นิดหน่อย?” ยายปิ่นหรี่ตามองหลานชาย ธันวาหลบสายตาเมื่อถูกอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ที่จริง...เป็นห่วงมากครับ ถึงน้องจะโตแล้วแต่ผมยังรู้สึกว่าน้องเป็นเด็กเล็กๆ ฟังดูแปลกใช่ไหมครับ” สองมือประคองหญิงชราให้นั่งลง
“แปลกที่ไหนกัน ถ้าไม่ห่วงสิแปลก เอาลูกเต้าเขามาก็ต้องเลี้ยงให้ดี ดูแลให้ดี แต่กับเด็กวัยรุ่นน่ะพูดมากเกินไปก็ไม่ดี ตีกรอบมากไปก็ไม่ได้ จู้จี้จุกจิกมากไปก็น่ารำคาญ”
ธันวาถอนหายใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นยายสอน ในโลกนี้คงไม่มีใครรู้จักเขาดีไปกว่ายายปิ่นอีกแล้ว แม้กระทั่งตัวเขาเอง
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นยาย “น้องต้องรำคาญผมแน่ๆ”
“แน่ะ คิดเองเออเอง เราน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ชีวิตวัยรุ่นก็ผ่านมาแล้ว หรือลืมว่าตอนนั้นตัวเองเป็นยังไง” มือเหี่ยวย่นลูบหัวหลานชายเบาๆ
“ไม่ได้ลืมครับ แต่ไม่อยากนึกถึง” ธันวาอมยิ้ม ชีวิตวัยรุ่นของเขาน่ะหรือ...มันเริ่มขึ้นที่นี่
ยายปิ่นเป็นคนดูแลเขาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนพ่อและแม่อยู่ที่กรุงเทพ เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ความเป็นอยู่ในตอนนั้นค่อนข้างลำบากหากต้องเลี้ยงเด็กเล็ก จำเป็นต้องฝากยายปิ่นให้เลี้ยงดู เมื่อธันวาเข้าอนุบาลจึงคิดพาไปอยู่ด้วยแต่ยายปิ่นไม่ยอมคืนให้เพราะรักหลานชายคนนี้มาก เลยทะเลาะกันยกใหญ่ สุดท้ายก็ต้องยอมให้ยายปิ่นเลี้ยงดูต่อไป
ธันวาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้ามัธยมต้น สังคมที่เปลี่ยนไปและผู้คนที่หลากหลายทำให้ออกนอกลู่นอกทาง เป็นเด็กเกเรตั้งแต่เทอมแรกที่เข้าเรียน เด็กในวัยนี้กำลังอยากรู้อยากเห็น พอมีรุ่นพี่ที่ไม่เอาไหนชี้ทางให้ ตัวเขาจึงเดินผิดทางได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นหัวโจกกลุ่มอัธพาลประจำโรงเรียน แม้แต่อาจารย์ยังต้องส่ายหน้า
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหัวหงอกหัวดำต้องปวดหัวไปตามๆ กัน เมื่อธันวาจบชั้นมัธยมต้น ยายปิ่นจึงจำใจปล่อยหลานชายให้ไปอยู่กรุงเทพด้วยเหตุและผลต่างๆ ที่พ่อและแม่ของธันวายกมาอ้าง
“ยายคิดถูกจริงๆ ที่ให้หลานไปอยู่กับพ่อแม่ ลำพังยายแก่ๆ คนนี้คงเลี้ยงดูหลานให้เป็นคนดีแบบนี้ไม่ได้”
“ไม่จริงเลยครับ ทุกวันนี้ผมยังจำคำที่ยายสอนได้อยู่เลย จะคิดจะทำอะไรผมก็นึกถึงสิ่งที่ยายสอนอยู่เสมอ ตอนนั้นผมไม่ดีเอง พอคิดได้ก็อดเสียดายเวลาไม่ได้” ธันวาจับมือเหี่ยวย่นมาแนบแก้ม ไออุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือข้างนั้นทำให้รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปนะลูก เสียดายไปก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมา ทำตอนนี้ให้ดีที่สุดก็พอ วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องนึกเสียดายอะไร”
“ครับ” ธันวายิ้มกว้าง ไม่ว่าเมื่อไหร่ยายปิ่นก็ทำให้เขาสบายใจได้เสมอ
“เข้านอนกันเถอะลูก ดวงจันทร์ขึ้นตรงหัวแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลุกไปใส่บาตรไม่ทัน” ยายปิ่นเอ่ยเตือน ธันวามองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองพระจันทร์ดวงโตก่อนจะลุกขึ้นพยุงยายปิ่นเข้านอน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ธันวาลองกดโทรหาไอ้พร้าวอีกรอบ...แล้วก็เป็นเช่นเดิม นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างนี้ ทั้งห่วงทั้งกลัวแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ข่มตาหลับภาวนาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยเร็ว และหวังว่าพรุ่งนี้เขาจะได้ยินเสียงของมันทันทีที่ลืมตาตื่น
“ใจลอยอะไรหรือลูก พระเดินมาโน้นแล้ว ตั้งใจหน่อยสิ อย่าเอาแต่เหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” ยายปิ่นตบที่ต้นแขนธันวาเบาๆ ให้เขารู้ตัว
“ขอโทษครับ เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ เลยรู้สึกมึนๆ” ธันวายิ้ม เพราะต้องฝืนตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ทั้งที่เพิ่งหลับไปได้แค่สองชั่วโมงทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
“มาลูก ถอดรองเท้าก่อน ตั้งใจล่ะ” ยายปิ่นถอดรองเท้าแล้วนั่งคุกเข่าเมื่อพระสงฆ์และสามเณรเดินมาบิณฑบาต ธันวาปฏิบัติตามอย่างตั้งใจ เป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เขาปล่อยวางเรื่องของไอ้พร้าวได้
“เณรเยอะจังเลยครับ” ธันวามองตามหลังสามเณรกว่าสิบรูป คาดเดาจากสายตา อายุคงไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี
“บวชภาคฤดูร้อนน่ะ ช่วงเด็กปิดเทอมพอดี บ้านไหนมีลูกชายได้เจ็ดแปดขวบก็ให้บวชเรียนธรรมะกับพระท่าน ตอนธันอายุเจ็ดขวบยายก็ให้บวช จำได้หรือเปล่าล่ะ”
“จำได้ครับ” ธันวายิ้ม สองแขนประคองหญิงชราให้ลุกขึ้น
“พอห่มผ้าเหลืองเสร็จก็ปรี่มากอดยาย ทำเอาคนอื่นตกอกตกใจร้องลั่นกันทั้งศาลา ดีนะที่พ่อเขาจับไว้ได้ทัน บางทีก็กลับบ้านมาขอเงินยายไปซื้อขนม ยังมีตอนที่แอบหนีกลับมานอนที่บ้านอีก แค่นึกถึงก็ปวดหัวแล้ว” ยายปิ่นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“อา ทำไมผมจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้นะ” ธันวาแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด
“สงสัยจะมีแค่ยายแก่ๆ คนนี้ที่จำได้ละมั้ง” ยายปิ่นเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ยายครับ ผมแค่ล้อเล่น เรื่องอะไรจะจำไม่ได้ล่ะครับ” ธันวาถูไถแก้มกับไหล่ของหญิงชรา
“ให้มันจริงเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะบวชอีกล่ะ ยายอยากจะขลิบผมให้นาคก่อนตาย”
“โถ่ ยายครับ อย่าพูดเรื่องตายแบบนั้นสิครับ อย่างยายปิ่นของผมนี่ต้องอายุยืนเกินร้อยปีอยู่แล้ว เอาเถอะๆ ผมจะหาเวลาบวชเร็วๆ นี้แหละครับ แต่ว่า...ไม่มีคนถือหมอนนี่สิ” ธันวาแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ ยายปิ่นส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความขี้เล่นของหลานคนนี้
“แค่ถือหมอนเอง ยายถือให้ก็ได้ พ่อแม่ก็ถือได้เหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ถือได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนหรือผู้หญิงหรอก เรานี่หาข้ออ้างเก่งจริงนะ”
“ก็นึกว่าอยากให้หาหลานสะใภ้เร็วๆ ถึงได้เร่งให้บวชนัก” ธันวาพยุงหญิงชราให้นั่งลงบนแคร่ใต้ถุนบ้าน
“จะอยู่เป็นโสดจนตาย ยายก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เอาละ...ไปยกกับข้าวมาที่นี่เถอะ ป้าจิตเตรียมไว้ให้ก่อนออกไปไร่แล้ว”
(มีต่อ)