Shamrock08
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะเหมือนมีอะไรมาทับตัวผมทำให้รู้สึกอึดอัด ผมพยายามจะดันตัวขึ้นแต่ยิ่งจะดันตัวขึ้นเท่าไหร่ แรงรัดนั้นกับแน่นขึ้นไปอีก หรือนี่ผมกำลังโดนผีอำอยู่ ทันทีที่ผมคิดได้ดังนั้น ผมก็รีบหลับตาลงพยายามนึกบทสวดมนต์ต่างๆที่พอจะนึกขึ้นมาได้ท่องออกไปเบาๆ เผื่อผีจะออกไปแต่นี่เราอยู่ต่างประเทศแล้วผีมันจะกลัวบทสวดของไทยไหมล่ะเนี่ย แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ ฮือออออ
สักพักเหมือนแรงรัดนั้นเริ่มคลายจากตัวผมแล้ว แต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดูอยู่ดี ถ้าเกิดผมลืมตาขึ้นมาแล้วผีมันพุ่งเข้าหาเหมือนในหนังที่ดู ผมคงได้ช็อคตายไปก่อนที่จะได้กลับไปหาป๊ากับหม้าก่อนแน่ๆเลย
“Good Morning” มีเสียงทักทายอยู่ข้างหูผมด้วย พร้อมกับมีสัมผัสที่ข้างขมับของผม เดี๋ยวนี้ผีเขามีทักทายกันแบบนี้ก่อนจะหลอกกันเหรอครับ ผมได้แต่นึกอยู่ในใจ อย่ามาหลอกน้องเปอร์คนนี้เลยนะครับ น้องเปอร์ยังไม่อยากช็อคตายไปก่อนแบบนี้ แล้วผมก็ซุกหน้าตัวเองลงไปกับผ้าห่มที่ยกขึ้นมาคลุมทั้งหัวอยู่ตอนนี้
“Good Morning ครับ” แต่เอ๊ะนี่เหมือนเสียงของพี่โจพาวเลย ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วค่อยๆเลื่อนผ้าห่มออกจากหัวลงมา จนผมได้เห็นหน้าของพี่โจพร้อมรอยยิ้ม ที่ห่างจากหน้าของผมไปแค่คืบเดียวเอง
“Good Morning ครับพี่โจพาว” ผมตอบกลับไป
“เป็นอะไรไปครับ หืม พี่เห็นเรานอนดิ้นไปดิ้นมา แล้วเหมือนพูดอะไรสักอย่าง”
“ผมว่าผมต้องโดนผีอำแน่ๆเลยครับ เพราะผมเหมือนโดนรัดตัวแน่นเลย พยายามจะดันตัวลุกขึ้นเท่าไหร่ แรงรัดก็ยิ่งรัดตัวมากขึ้นไปอีก แล้วเหมือนจะมีเสียงทักทายผมอีกด้วย ผมก็เลยท่องบทสวดมนต์ เผื่อผีมันจะออกไปน่ะครับ” ผมอธิบายให้กับพี่โจฟัง
“ใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ” ทันทีที่พี่โจพูดจบผมก็รู้สึกเหมือนโดนแรงรัดตัวเหมือนตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาเลย
“แล้วก็แบบนี้”
“Good Morning” พี่โจพูดพร้อมขยับหน้าเข้ามาสัมผัสที่ข้างๆขมับของผมเบาๆ
“อย่างนี้ใช่ไหมครับ หืม” บู้มมมม แล้วเช้านี้ผมก็ได้กลายเป็นโกโก้ครั้นซ์ไปแล้ว
“พี่โจจจ” ผมได้พลิกตัวหันหนีพี่โจทันที แล้วพึ่งจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้นอนตรงที่ริมเตียงเหมือนที่ผมนอนเมื่อคืนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมมานอนที่กลางเตียง แล้วได้เห็นแขนที่โผล่ออกมาตรงใต้คอของผม ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยคำใดออกมา
หมับ ก็มีแรงของน้ำหนักแขนที่พาดทับตรงช่วงเอวของผมไป พร้อมกับวงแขนที่กระชับกอดที่มาจากแขนของพี่โจนั้น ทำให้ตัวผมได้ขยับไปตามแรงกอดที่ดึงเข้าหาคนข้างหลังที่ผมพลิกตัวหนีมาอีกทางนึง กลายเป็นว่าตอนนี้หลังของผมได้แนบชิดกับแผ่นหน้าอกของพี่โจ
“พึ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง นอนต่ออีกหน่อยเนอะ” ทันที่พี่โจว่าเสร็จก็ขยับแขนรัดตัวผมให้ขยับหลุดออกจากภายใต้วงแขนนั้นไม่ได้เลย
แล้วผมจะนอนหลับตาลงได้ยังไงกันล่ะครับพี่โจพาว ให้ผมนอนหนุนแขนแถมมากอดผมแบบนี้อีก ผมได้แต่นึกอยู่ในใจ พร้อมกับที่ใจของผมนั้นเต้นแรงไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย
ผมได้แต่นอนหลับตา ภายในหัวตอนนี้มีแต่คำถามผุดขึ้นมามากมาย ว่าทำไมพี่โจถึงต้องมานอนกอดผมอย่างนี้ ทำไมถึงได้ทำตัวราวกับว่าเราคุ้นเคยกันดี ทำไมพี่โจถึงได้อ่อนโยนกับผม ทำไมพี่โจถึงได้ใส่ใจแฟนคลับคนนี้ทั้งๆที่เราพึ่งจะได้เจอกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ผมทำได้แต่เพียงเก็บคำถามเหล่านั้นที่ค้างคาไว้อยู่ในใจ
ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปอีกทีตอนไหน จนเหมือนมีแรงสะกิดที่แก้มของผมเบาๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย แล้วเจอกับพี่โจที่มองหน้าผมพร้อมกับนิ้วที่เกลี่ยแก้มผมไปด้วย
“ตื่นได้หลับแล้วครับน้องโยต์”
“ครับ กี่โมงแล้วเหรอครับ”
“สิบเอ็ดโมงแล้วครับ”
“หว่า โยต์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับต่อไปตอนไหนเลย ขอโทษนะครับตื่นสายเลย”
“ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นคนบอกให้เรานอนต่อเอง เดี๋ยวลุกไปอาบน้ำเนอะ พี่เตรียมขนมปังกับนมไว้ให้รองท้องแล้ว” พี่โจบอกกับผมพร้อมกับยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ
หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาทานขนมปังกับนมที่พี่โจเตรียมไว้ให้ เราก็ออกจากห้องไปที่ห้างสรรพสินค้ากัน เพราะพี่โจบอกว่ายังไม่ได้เตรียมของขวัญวันคริสต์มาสเลย อีกทั้งคุณแม่พี่โจก็โทรมาให้ซื้อของทานเล่นเข้ามาเพิ่มอีก เห็นว่ามีญาติมางานคริสต์มาสมากกว่าที่คุยกันไว้ตอนแรก
“น้องโยต์จะซื้อของอะไรไหมครับ” พี่โจถามขึ้นมาระหว่างที่เราเดินดูของขวัญในโซนพวกเครื่องแก้วกันอยู่ตอนนี้
“ไม่ครับ โยต์เตรียมมาไว้ให้แล้วล่ะครับ” พอผมพูดจบพี่โจก็ทำสีหน้างงๆขึ้นมา ผมจึงรีบอธิบายให้พี่โจเข้าใจ
“ตอนแรกโยต์คิดว่าจะไม่ได้เจอพี่โจแล้ว ก็กะว่าจะเอาไปฝากไว้ที่บริษัทของพี่น่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ครับ กลับไปที่บ้านคุณแม่แล้วเดี๋ยวโยต์เอาให้นะครับ”
เราเดินเลือกของขวัญกันอยู่สักพัก ส่วนใหญ่จะเป็นของขวัญที่มอบให้กับผู้ใหญ่ พี่โจบอกว่าค่อยให้ตั๋วไปเที่ยวสวนสนุกกับเด็กๆแทน เพราะหลานของพี่โจเยอะมาก ถ้าให้ของขวัญไม่เหมือนกันเดี๋ยวเป็นอันว่าได้ทะเลาะกันอีก เมื่อปีที่แล้วนี่ต้องจับแยกกันแทบตายกว่าจะยอมกันได้ อาจจะเป็นเพราะวัยไล่เลี่ยกันด้วย ดังนั้นปีนี้พี่โจเลยบอกจะให้ตั๋วไปสวนสนุกแทน
Rrrrr
Standing in the hall of fame
And the world’s gonna know your name
Cause you burn with the brightest flame“ว่าไงคูปป์”
“เมอร์รี่คริสต์มาสนะเปอร์”
“เมอร์รี่คริสต์มาส” ผมตอบน้องสาวกลับไป คาดว่าน่าจะอยู่งานเลี้ยงหรืออะไรสักอย่างเพราะผมได้ยินเสียงดนตรีค่อนข้างดัง
“อยู่ไหนน่ะเรา”
“อยู่ที่ห้อง พอดีพวกเด็กๆกลับมาจากงานประกาศรับรางวัลกัน แล้วเลยจัดปาร์ตี้ที่ห้องเขากัน แล้วเปอร์อยู่ไหน” เสียงห้วนๆของน้องสาวที่ตอบกลับมานั้นมันช่างดูขัดกับใบหน้าของคูปป์จริงๆ
“เฮียอยู่ที่ห้างกับพี่โจ พอดีพี่เขามาซื้อของขวัญกับซื้อของกินเข้าไปเพิ่มวันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านของคุณแม่พี่เขา”
“นูน่า มาผัดข้าวให้หน่อยคร้าบบบบบบบบบบบบบ” “พวกผมหิวจะแย่แล้วคร้าบบบบบบบบบ”
“นูน่า อยู่ไหนคร้าบบบบบ”
“นูน่า เร็วๆสิคร้าบบบบบ” มีเสียงตะโกนโวยวายเข้ามาในสาย
“ฉันอยู่นี่ แปปนึงสิโว้ยยยยยยยยย ไอ้เจ้าพวกนี้หนิ ฉันคุยโทรศัพท์อยู่เนี่ยเห็นไหม” คูปป์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเริ่มจะหงุดหงิดนิดหน่อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใจเย็นๆน้องสาวสุดที่รักของเฮีย”
“ก็ดูพวกมันสิเปอร์ กลับมาถึงห้องไม่ทันไร ก็เปิดเพลงเสียงซะดังขนาดนี้ แล้วนี่เขายังไม่ทันจะได้นั่งพักดีๆเลย ต้องมาทำข้าวให้ไอ้เจ้าพวกนั้นอีกกกกกก ทุกวันนี้นี่จะเป็นแม่พวกมันได้แล้วเนี่ย” เสียงบ่นยาวๆของคูปป์ดังออกมา
“สงสัยคงจะหิวกันจริงๆ งั้นคูปป์ก็ไปทำข้าวให้เจ้าเด็กพวกนั้นเถอะ”
“ก็ได้ นี่กะจะโทรมาถามความคืบหน้าซะหน่อย งั้นไว้ค่อยคุยในไลน์นะเปอร์”
“นูน่า”
“นูน่า”
“นูน่า”
“นูน่าคร้าบบบบบ”
“โว้ยยยยยยยยยยยย “
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“งั้นเฮียวางแล้วนะเราก็ไปจัดการพวกนั้นเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมวางสายจากน้องสาวสุดที่รักไป พลางคิดในใจอย่าให้คูปป์ได้สติแตกเลยตอนนี้ ไม่งั้นมีหวังเจ้าเด็กพวกนั้นอดกินข้าวแน่ๆ
“คุยกับใครครับน้องโยต์ หัวเราะซะดังเชียว” พี่โจถามผมออกมาขณะที่เรากำลังจะเดินกลับไปที่รถกัน
“คูเปอร์น่ะครับ” ผมตอบพี่โจกลับไป
“ครับ น้องโยต์หิวอะไรไหมครับ”
“นิดหน่อยครับพี่โจ แต่เดี๋ยวกลับไปทานที่บ้านก็ได้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวรอพี่ที่รถแปปนึงนะครับ พอดีลืมซื้อของอีกอย่างนึง” พี่โจบอกกับผมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกลับเข้าไปในห้างอีกรอบ
15 นาที ผ่านไป ก็อกๆๆๆ เสียงเคาะกระจกดังขึ้นตรงข้างที่ผมนั่ง ผมจึงเลื่อนมือไปกดกระจกลงมา
“อะ นี่ครับเอาไว้กินรองท้องก่อนนะ ตอนออกมาเราก็กินกันแค่นิดเดียวเอง” พี่โจยื่นของในมือให้กับผมก่อนที่พี่โจจะเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ
“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณคนข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มไปให้
กว่าเราจะถึงบ้านก็ประมาณห้าโมงกว่าเกือบหกโมงเย็นกันแล้วล่ะครับ เพราะพี่โจพาวนั้นต้องวนรถไปเอาอาหารที่ร้านอาหารประจำของคุณแม่ที่ท่านโทรมาสั่งไว้ก่อนที่เราจะกลับบ้านกัน
เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาภายในบริเวณบ้าน ผมสังเกตเห็นมีรถมาจอดภายในบ้านหลายคัน ญาติของพี่โจพาวน่าจะมากันเยอะอย่างที่คุณแม่โทรมาบอกกับพี่โจพาวว่าจะมีญาติมาเพิ่มอีก
ผมลงจากรถมาเห็นบริเวณสวนตรงข้างบ้านที่พี่โจพาวชอบไปนั่งนั้นถูกประดับตกแต่งไปด้วยหลอดไฟหลากหลายสี มีต้นคริสต์มาสขนาดกลางๆ ถูกตกแต่งอย่างเรียบร้อยมาตั้งวางไว้ที่ตรงกลางของบริเวณสวน มีซุ้มกระโจมขนาดใหญ่กลางไว้ คาดว่าน่าจะกางไว้เพื่อป้องกันหิมะตกลงมาคืนนี้
จากที่เมื่อคืนนี้หิมะตกลงมาตลอดคืน ทำให้พื้นสนามหญ้านั้นถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวที่ยังไม่หนามาก ยังพอให้เห็นสีเขียวของหญ้าอยู่เป็นหย่อมๆ
มีคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นมาอยู่บริเวณรอบๆของซุ้มกระโจม มีเตาปิ้งบาร์บีคิวอยู่สองเตานอกนั้นเป็นโต๊ะที่เริ่มมีอาหารมาวางไว้ แล้วถัดมาเป็นโต๊ะสำหรับวางของขวัญวันคริสต์มาสที่ตั้งแยกออกจากโต๊ะอาหาร
พี่โจพาวสั่งให้คนงานของที่บ้านมาช่วยกันยกกล่องของขวัญที่ซื้อกันมาวันนี้ ไปวางรวมไว้กับของขวัญของญาติที่วางไว้อยู่ก่อนแล้วให้เรียบร้อย และให้แม่บ้านนำอาหารที่เราไปรับมานำไปจัดใส่จาน ก่อนที่พี่โจพาวจะผมเดินเข้ามาในบ้าน
ก่อนที่เราจะเดินไปที่ห้องรับรองแขกของบ้านก็ เดินผ่านห้องนั่งเล่นมา ทำให้เจอกับหลานๆของพี่โจพาวกำลังนั่งเล่นกันอยู่หลายคน แต่ละคนนั้นหน้าตาคล้ายตุ๊กตากันเลย น่ารักมากๆครับแก้มกลมๆที่ออกแดงชมพูๆน่าจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยวจริงๆ
พอเห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึง เฮียแมส เฮียจาร์ค คูปป์แล้วก็ซีตรองไม่ได้เลย ใครจะรู้กันล่ะครับว่าจริงๆแล้ว คนที่ตัวโตๆหน้าตาเย็นชา ที่ชอบส่งสายตาดุให้กับคนรอบข้างอย่างเฮียแมส หรือคนที่หน้าตาดูขี้เล่น และอบอุ่น แต่จริงจังอย่างเฮียจาร์ค ไหนจะไอ้ลูกครึ่งตัวโตๆอย่างไอ้ซีตรอง และคนที่ดูสวยเท่ห์อย่างคูปป์ จะเป็นพวกแพ้ของทุกสิ่ง ทุกชนิด ทุกอย่างที่ดูแล้วน่ารัก น่าฟัด เห็นกันไม่ได้ต้องหยิบ ต้องจับ ต้องซื้อเอามาสะสม แต่อย่าเอาไปบอกพวกนั้นนะครับว่าผมกำลังแอบนินทาอยู่
"สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ ลุงโจ/อาโจ/น้าโจ" เสียงทักทายของเด็กๆทันทีที่เราเข้ามาในห้องนั่งเล่น
"สวัสดีเด็กๆ เป็นยังไงกันบ้าง โตกันขึ้นเยอะเลยนะ"
"สบายดีครับ/สบายดีค่ะ"
"แล้วก็คิดถึงอาโจม๊ากมาก" เด็กผู้ชายที่มีผมออกสีส้มแดง หยิกๆ เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้า กอดขาของพี่โจพาวไปด้วย
"อาก็คิดถึงพวกเราเหมือนกันครับ"
"ปีนี้เราจะได้ของขวัญจากอาโจเป็นอะไรกันน๊า" เด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำเงาแบบพี่โจเอ่ยขึ้นมาบ้าง
"ใช่ๆ ปีนี้จะได้อะไรกัน"
"นั่นสิ"
"ปีนี้ ดีนกับจอร์ชห้ามทะเลาะแย่งของเล่นกันอีกนะ เข้าใจกันไหม" เด็กผู้หญิงที่ดูโตที่สุดในกลุ่มเอ่ยบอกกับน้องๆ
"ใช่แล้วห้ามทะเลาะกันนะเด็กๆ ส่วนของขวัญอาจะยังไม่บอกไว้บอกตอนที่เราทานข้าวกันเสร็จแล้ว ตกลงไหมเด็กๆ"
"ตกลงครับ/ตกลงค่ะ"
"แล้วพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆอาโจคือใครกันหรือฮะ" คนที่เอ่ยถามมาคือเด็กผู้ชายที่ตัวสูงเกือบจะเท่าผมนั้นเป็นคนเอ่ยถามพี่โจพาวออกมา
นั่นไง เอาแล้วไง นี่แค่เด็กๆถามเองนะ ผมยังรู้สึกใจหายวูบเลย ไหนอาการประหม่าที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อีก นี่ขนาดยังไม่ได้เจอพ่อและญาติผู้ใหญ่ของพี่โจพาวเลย ยังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
"เพื่อนของอาเอง ชื่ออาเปอโยต์"
"อ่อครับ/ค่ะ" แล้วพวกเด็กๆ ก็ทำหน้าตายิ้มๆล้อเลียนมาให้กับพี่โจพาวทันที
"งั้นเดี๋ยวอาพาอาเปอโยต์ไปข้างในห้องรับรองก่อนนะ แล้วเล่นกันดีๆ อย่าทะเลาะกัน ห้ามแกล้งน้องแรงๆเข้าใจไหม
"ครับ/ค่ะ"
หลังจากที่พวกเด็กๆตกปากรับคำเสร็จแล้ว พี่โจพาวก็จูงมือผมเดินมาตรงทางเชื่อมระหว่างห้องรับรองแขกกับห้องนั่งเล่น
"พี่โจ"
"หืม" ผมเรียกพี่โจพาวพร้อมกับส่งสายตางงๆไปที่มือของผมที่ตอนนี้ถูกกุมไปด้วยมืออันใหญ่ ก่อนที่จะกระชับจับให้แน่นขึ้นไปอีก พี่โจพาวมาทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วล่ะครับทุกคน
"หึหึ"
"สวัสดีครับทุกคน" พี่โจพาวกล่าวทักทายญาติของเขาที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รวมไปถึงพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ด้วย
"ไงล่ะเรา เมื่อคืนนี้ได้ยอดบริจาคตามเป้าที่กำหนดเอาไว้ไหม" คนผู้ชายที่ทักพี่โจพาวมานั้นคงจะเป็นญาติฝั่งใดฝั่งหนึ่งของพี่เขานั่นล่ะครับ
"ปีนี้ยอดเกินไปเยอะอยู่เหมือนกันครับ"
"ทุกคนครับ ผมมีคนมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักครับ"
จากที่ผมโดนถูกจูงมือให้เดินตามมา แล้วหยุดยืนอยู่ข้างหลัง พี่เขาคงจะบังผมมิดนั้น ก็ดึงให้ผมออกมายืนอยู่ข้างๆ พี่โจพาวในตอนนี้
"นี่น้องเปอโยต์นะครับ น้องมาจากประเทศไทย พอดีผมบังเอิญชนน้องแล้วน้องเขาเป็นลมไปก็เลยพามาพักที่บ้าน"
"สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นมาไหว้อย่างเคยชิน
"หูยย น่ารักอย่างที่คุณแม่บอกจริงๆด้วยค่ะ" เสียงผู้หญิงที่เอ่ยชมผมนั้น ดูหน้าคล้ายกับน้องสาวของพี่โจพาวเลย ผมเคยไปแอบส่องในโซเชียลของน้องสาวพี่โจพาวมาที่ได้ชื่อไอดีมาอย่างโดยบังเอิญนั้น
"น่ารักอย่างที่ เบตตี้บอกจริงๆ" ส่วนคนนี้น่าจะเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของคุณแม่พี่โจพาว เพราะมีลักษณะคล้ายกับคุณแม่ แม้กระทั่งน้ำเสียงที่กล่าวออกมา
"ใช่ไหมล่ะ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปตั้งเยอะ" คราวนี้เป็นคุณแม่ของพี่โจพาวพูดขึ้นมาบ้าง
น่ารักกว่าในรูปอะไรกันครับคุณแม่ ผมที่กำลังสงสัยอยู่นั้น จึงหันไปมองหน้าพี่โจพาวเพื่อที่จะถามถึงที่ผมกำลังสงสัยอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน
"เอาล่ะ ไหนๆก็มากันครบแล้ว งั้นเราไปทานอาหารกันเถอะ ป่านนี้ข้างนอกคงจะจัดตรียมเสร็จกันหมดแล้ว" พ่อของพี่โจพาวพูดขึ้นมา คนนี้ผมจำได้ดีเพราะเคยเห็นรูปมาแล้วที่แขวนอยู่ตรงทางเดินชั้นบนของบ้าน
"ไปกันหนูเปอร์ ไปทานข้าวกัน" เสียงพ่อของพี่โจพาวพูดขึ้นมาพร้อมกับจับมือผมให้เดินตามท่านออกไป
ระหว่างเดินออกมาผมก็ยังคงจะเกร็งๆไปด้วย อดที่จะคิดไม่ได้ว่าพ่อของพี่โจพาวจะดูนิ่งๆ หรือดูดุๆกว่านี้เสียอีก ไม่คิดว่าท่านจะเป็นกันเองขนาดนี้ ไม่มีมาดของผู้บริหารที่น่าเกรงขามเลยสักนิด
เราออกมากันตรงกระโจมที่ภายในมีโต๊ะและเก้าอี้ล้อมเป็นวงกลมที่จัดเตรียมให้กับพอดีกับจำนวนญาติของพี่โจพาวในค่ำคืนนี้ พวกเด็กๆต่างส่งเสียงดังคุยกัน จนทำให้ถูกดุไปนิดนึงกันถึงจะเงียบลงกันได้
บรรยากาศภายในโต๊ะเป็นไปอย่างสนุกสนาน เพราะมีเสียงเพลงที่เปิดเข้ากับวันคริสต์มาส เด็กๆต่างเริ่มวิ่งเล่นกันแล้วหลังจากที่เรารับประทานอาหารกันไปสักพัก ส่วนคุณพ่อกับกับแม่และลุงๆป้าๆของพี่โจพาวก็คุยกันอย่างอรรถรส และลูกพี่ลูกน้องของพี่โจก็ต่างถามถึงการทัวร์ของพี่โจพาว และรวมไปธุรกิจของครอบครัวว่าเป็นยังไงกันบ้าง
น้องสาวของพี่โจพาวก็ชวนผมคุยเกี่ยวกับเมืองไทยว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเขาอยากมาเที่ยวทะเลที่เมืองไทยหลังจากที่ได้เห็นในโปสการ์ดที่ผมส่งมาให้ดู แต่ติดที่ว่าตอนนี้ลูกยังเล็กอยู่เลยยังไม่สะดวกที่จะมา รวมไปถึงลูกพี่ลูกน้องของพี่โจพาวก็ถามผมขึ้นมากันบ้างว่าผมยังเรียนอยู่ไหม หรือว่าทำงานแล้ว แล้วตั้งแต่มาไปเที่ยวที่ไหนบ้างแล้วบ้าง พี่ชายของพี่โจพาวชวนผมไปดูไร่กาแฟของเขาที่สเปนด้วยล่ะครับ หลังจากที่ผมบอกไปว่าผมมีธุรกิจเปิดร้านกาแฟอยู่ที่เมืองไทย อันนี้ก็น่าสนใจไปเหมือนกันไว้ผมจะลองชวนพี่โจพาวดูว่าสนใจจะไปด้วยกันไหม
แต่มีอีกคนที่ผมยังไม่ได้เห็นนั้นก็คือพี่ชายของพี่โจพาวที่ตอนนี้อยู่อเมริกา พี่โจพาวบอกว่าปีนี้พี่เขาไม่มาเพราะติดงานอยู่ที่นั่น
หลังจากที่ทุกคนเริ่มอิ่มกันแล้วก็ถึงเวลาที่จะมอบของขวัญกันแล้ว พวกเด็กๆนี่ตื่นเต้นกันใหญ่เลยล่ะครับ จะมีก็แต่ลูกชายของน้องสาวพี่โจพาวนั่นล่ะครับที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างที่จะดังขนาดไหนเลย เป็นเด็กที่นอนหลับดีจริงๆน้องสาวพี่โจพาวจะพาเข้าไปนอนข้างในก็กลัวลูกจะตื่นแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องก็เลยให้นอนบนรถเข็นแทน
พอคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายให้ของขวัญกับเด็กแล้วก็ถึงคราวที่คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอาให้บ้างจนมาถึงคนสุดท้ายอย่างพี่โจพาว ที่ตอนนี้ของขวัญที่พี่โจพาวเตรียมมานั้นหมดไปแล้ว เด็กๆต่างก็เริ่มส่งเสียงหากล่องขวัญจากคุณอาผู้ใจดีอย่างพี่โจพาวทันที
“อาโจฮะ ไหนกล่องของขวัญของพวกเราล่ะฮะ” เป็นเสียงของน้องดีนที่ดูแสบและซนมากถามขึ้นมา
“ไม่เห็นเลย”
“ใช่ๆ” ตามด้วยเสียงเด็กๆที่ต่างพากันสงสัย
“อ้าว โจไม่ได้เตรียมมาให้หลานๆเหรอลูก” คราวนี้เป็นคุณแม่ของพี่โจที่ถามขึ้นมาบ้าง
“ใจเย็นๆกันนะเด็กๆ ใครว่าอาโจไม่มีของขวัญมาให้กันล่ะครับ”
“ก็พวกเราไม่เห็นกล่องของขวัญเลยนี่ครับ มีแต่ของคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายแล้วก็ของคุณพ่อคุณแม่เอง”
“ก็ของที่อาจะให้อยู่นี่ไงครับ” พอพี่โจพาวว่าจบก็ยกกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆขึ้นมาโชว์ให้เด็กๆดู
“คืออะไรหรือคะอาโจ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สุดในบรรดาหลานของพี่โจพาวถามขึ้นมาบ้าง
“ตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์ทุกที่และตั๋วเข้าสวนสนุกสวนน้ำในลอนดอน อ่อแล้วก็ตั๋วเข้าแฮร์รี่สตูดิโอตลอดทั้งปี”
“ฮูวววววว”
“โฮฮฮฮฮฮ”
“ว้าววววว” เด็กๆเล็กต่างส่งเสียงอุทานกันออกมา
“แล้วเราจะไปกันหมดไหมล่ะครับเนี่ย”
“โห อาโจคะของหนูโตแล้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ” หลานสาวของพี่โจพาวที่โตที่สุดและเป็นฝาแฝดกับเด็กผู่ชายที่ตัวจะสูงเท่าผมนั้นพูดขึ้นมาบ้าง
“ก็เรายังเด็กอยู่ในสายตาของไง” พี่โจพาวว่าเสร็จก็เอามือไปลูบศรีษะของหลานสาวทันที
“เป็นไงล่ะ วิธีการตัดปัญหาการแย่งของเล่นจากอาโจ ฮ่าๆๆ” คราวนี้เป็นเสียงของพี่ชายคุณพ่อพี่โจพาวพูดขึ้นมา
“พ่อก็นึกว่าจะให้แค่ตั๋วที่ปารีสแค่นั้นเอง ไว้พวกเราค่อยจัดทริปไปเที่ยวโซนเอเชียบ้างเป็นไงล่ะ”
“ก็ดีนะพี่เขย เราไม่ได้เที่ยวกันทั้งครอบครัวใหญ่อย่างนี้นานแล้วเหมือนกัน” เสียงของน้องชายคุณแม่พี่โจเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ไว้ไปเที่ยวบ้านของอาโยต์ด้วยนะคะ/นะครับ” คราวนี้เป็นเสียงของฝาแฝดที่พูดมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์สุดๆ
“โอ๊ะ นั่นสิตาก็ลืมนึกถึงไปเลย ขอบใจนะเจ้าแฝดที่พูดขึ้นมา”
“แม่เห็นด้วยนะจ๊ะ ไว้พวกเราไปเที่ยวบ้านของหนูเปอร์ได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ครับ ไว้ถ้ามาแล้วก็ไปพักที่โรงแรมของที่บ้านผมนะครับ” ผมตอบคุณแม่ไปอย่างที่ตัวเองงงๆว่าวกกลับมาเรื่องไปเที่ยวที่บ้านผมได้ยังไงไหนจะสีหน้าแอบยิ้มของคุณพ่อคุณแม่แล้วคุณลุงคุณป้าของพี่โจพาวนั่นอีก
ผมได้แต่เก็บความสงสัยหลายอย่างนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยถามพี่โจพาวทีเดียวเลยจะดีกว่า ตั้งแต่ที่พี่โจพาวดูแลผมอย่างดีแล้วไหนจะคุณพ่อคุณแม่อีกที่ทำเหมือนเราสนิทกันมานานแล้วนั่นเลย ไหนจะความเป็นกันเองของบรรดาลูกพี่ลูกน้องพี่โจพาวอีก
“เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวพวกคุณปู่คุณตา คุณย่าคุณยายขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันนะเด็กๆ”
“เมอร์รี่คริสต์มาสนะครับ/นะคะ” เด็กๆก็เข้าไปกอดคุณตาคุณยายเสร็จต่างก็โดนคุณแม่ให้ไปเข้านอนด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยยังเหลืออยู่แต่บรรดาลูกพี่ลูกน้องของพี่โจพาวที่ยังคงนั่งดื่มกันอยู่
“เป็นไงบ้างครับน้องเปอร์ สนุกมั้ยคืนนี้”
“สนุกครับ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักมากเลยนะครับ” ผมตอบกลับพี่แกริคไป ซึ่งผมทราบมาว่าพี่เขาอายุเท่ากับพี่โจพาวนี่ล่ะครับและยังโสดอยู่ ตอนนี้เป็นผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์และวิทยุยักษ์ใหญ่ในดับลินนี่ล่ะครับ ผมนั่งคุยกับพี่แกริคไปสักพัก ส่วนใหญ่ก็จะถามพี่แกริคเรื่องที่เที่ยวในไอร์แลนด์ว่ามีที่ไหนน่าสนใจไปอีกไหม
“โยต์ครับ” เสียงเรียกจากคนที่นั่งตัวติดกับผมตลอดงานเอ่ยเรียกชื่อผมมา
“ครับ”
“ง่วงรึยังครับ” คราวนี้พี่โจพาวหันกลับถามผมบ้าง หลังจากที่พี่โจพาวคุยกับพี่ชายเสร็จแล้ว
“นิดหน่อยฮะ”
“งั้นเราเข้าบ้านไปนอนกันเลยดีไหมครับ”
“จะดีเหรอครับ พวกพี่ชายพี่โจยังไม่เข้านอนกันเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนี้พี่เจอกันตลอดอยู่แล้วล่ะ ปล่อยให้นั่งคุยนั่งดื่มกันไปเถอะ”
“งั้นเหรอครับ”
“ครับ เข้าบ้านนอนกันเนอะ” พี่โจพาวว่าอย่างนั้นก็บอกกับบรรดาพี่ๆก่อนจะไป
“เมอร์รี่คริสมาสครับ” ผมกล่าวก่อนที่จะโดนฉุดมือให้ลุกขึ้นและเดินเข้ามาในบ้าน
ตลอดทางเดินที่ผมกับพี่โจพาวกำลังเดินเข้ามาในบ้านกันนั้นหิมะก็ได้ตกลงมาอีกรอบนึง ตลอดทางเดินเราต่างไม่ได้พูดอะไรกันเลยแถมพี่โจยังกุมมือผมเดินมาตลอดทางอีกด้วย ผมได้แต่เงยหน้าส่งยิ้มให้กับพี่โจพาวไป คริสต์มาสปีนี้ของผมแตกต่างไปจากทุกปี เหมือนผมไม่ได้มีความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มานานแล้ว จนเราเดินขึ้นมาถึงข้างบนห้องแล้วพี่โจพาวถึงได้ปล่อยมือของผมลงให้อย่างเป็นอิสระ ก่อนที่เราจะแยกกันเข้าห้องไป
“น้องโยต์/พี่โจพาวฮะ”
“น้องโยต์พูดก่อนเลย”
“ครับ โยต์จะบอกว่าเมอร์รี่คริสต์มาสนะครับ และก็ฝันดีนะครับพี่โจพาว”
“น้องโยต์” พี่โจพาวเรียกผมก่อนที่ตัวเขาเองนั้นจะเดินกลับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้งนึงก่อนที่จะใช้มือด้านซ้ายรั้งท้ายทอยของผมให้ขยับเข้ามาใกล้ๆก่อนที่จะมอบรสสัมผัสพิเศษลงมาให้กับผมอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่สักพักนึงก่อนที่จะละสัมผัสพิเศษนั้นออกไป
“เมอร์รี่คริสต์มาสครับน้องโยต์” พอพี่โจพาวว่าจบก็เดินเข้าห้องไปแล้วปล่อยให้ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น
ปังงงง เสียงปิดประตูนั้นดังไม่เท่ากับใจของผมที่มันเต้นอยู่ตอนนี้เลยล่ะครับ ผมได้แต่ยกมือขึ้นมาจับปากตัวเองที่ได้รับสัมผัสพิเศษนั้นจากเขาคนนั้น สัมผัสพิเศษที่ผมยังรู้สึกติดอยู่ที่ริมฝีปากนี้อยู่เลย
ปล.รักนี้ที่ดับลินกำลังจะได้รับการตีพิมพ์แล้วนะคะ
ปล.2 เราจะมาลงให้จนจบเลยค่ะ