รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock16 [2] 27/06/62 จบบริบูรณ์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock16 [2] 27/06/62 จบบริบูรณ์  (อ่าน 15099 ครั้ง)

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
[/shadow]
By นกม่อ

นิยายเรื่องนี้มาจากจินตนาการของผู้เขียน
นิยายเรื่องนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวFeel Good
นิยายเรื่องนี้เราจะอยู่กันที่ ดับลิน (Dublin)






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2019 17:14:49 โดย นกม่อ »

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock00
«ตอบ #1 เมื่อ25-11-2018 11:10:39 »

Shamrock00
[/color]


               คุณเคยได้ลองฟังเพลงของใครบางคนแล้วรู้สึกว่าอยากจะฟังมันซ้ำๆอยู่อย่างนั้นไหมครับ ผมเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ได้ลองฟังเพลงครั้งแรกของวงเขาคนนั้นแล้วรู้สึกที่อยากจะฟังมันอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าคุณจะรู้เนื้อหาของเพลงแล้วมันจะทำให้คุณเศร้าก็ตามคุณก็ยิ่งฟังมันมากขึ้น เพราะเสียงร้องที่ออกมานั้นมันกลับทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับเรากำลังถูกใครสักคนหนึ่งโอบกอดเราเอาไว้แล้วปลอบเราอยู่ด้วยเสียงร้องนั้น และความหมายที่มันสอดแทรกออกมากับเนื้อเพลงในแต่ละเพลงนั้นที่คอยให้กำลังใจเรา

                แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่ได้ติดตามเจ้าของเสียงที่สะกดให้ทุกคนนั้นเข้ามาอยู่ในวังวนของการเป็นแฟนคลับหรอกครับ แต่ผมติดตามเจ้าของเนื้อเพลงที่เขียนออกมาด้วยความรู้สึกต่างๆออกมาเป็นเพลงที่ฮิตติดชาร์ตกันไปทั่วโลกนั่นต่างหาก

                มันเริ่มมาจากการที่ผมฟังเพลงของพวกเขาครั้งแรกแล้วมันทำให้ความคิดของผมที่มีอยู่ในตอนนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งผมเริ่มถามจากคนรอบตัวผมว่าเพลงนี้เป็นเพลงของใครจนได้รู้และได้เริ่มติดตามมาตั้งแต่ตอนนั้น

                ยิ่งทำให้ผมเริ่มชอบเขาคนนั้นมากขึ้นจากการได้อ่านและฟังบทสัมภาษณ์ของเขาคนนั้นตามสื่อต่างๆ ที่เขาคนนั้นได้ให้ออกมาสัมภาษณ์นานๆครั้ง และการกระทำของเขาที่มีต่อแฟนคลับนั่นอีก

                และเรื่องนี้มันก็เกี่ยวข้องกับการที่ผมไปดับลินในครั้งนี้เพราะมันจะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากได้รู้ความจริงอะไรบางอย่าง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock01
«ตอบ #2 เมื่อ25-11-2018 11:19:39 »

Shamrock01

     ตอนนี้เข้าบรรยากาศหน้าหนาวแล้ว ใครหลายคนต่างพากันออกมาหาซื้อเสื้อกันหนาวใส่ หรือเดินออกมาจับจ่ายซื้อของกัน ปีนี้กรมอุตุวิทยาบอกว่าจะมีสภาพอากาศหนาวกว่าปีก่อนๆ อากาศจะถึงขั้นติดลบนั้นจะเกิดขึ้นกับคนที่อาศัยอยู่ทางเหนือของประเทศ แต่สำหรับผมที่อาศัยอยู่ทางภาคกลางแล้วนั้นก็จะได้รับสภาพอากาศจะเย็นๆอยู่อย่างนี้ไปอีกสักพัก

     ผมนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มากับคนรัก บางคนก็มากับครอบครัว บางคนก็มาคนเดียว ผมเห็นแล้วก็อดใจที่จะแอบอิจฉาพวกเขาเล็กๆไม่ได้เลย ในขณะที่ผมต้องมานั่งรับลมเย็นๆอยู่ตรงนี้คนเดียว รอบๆตัวผมนั้นก็เริ่มเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาถ่ายรูปกับเจ้าสโนว์แมน กวางเรนเดียร์ ซานต้าครอส จวบจนต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกสองชั้น ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าข้างหน้าของห้างชื่อดัง

      บรรยากาศตอนนี้เริ่มมีเสียงคึกครื้น เสียงหัวเราะ เฮฮากับบ่นไปเรื่องต่างๆ ดังเซ็งแซ่จนตอนนี้ตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว มีแต่ลมแรงๆที่คอยพัดแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงเพลงที่ประกอบเข้ากับบรรยากาศของคริสต์มาส

"ไงเรา"เสียงทักดังขึ้นจากข้างหลัง ผมหันกลับไปมองว่าเป็นใคร รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้น ไม่ได้ทำให้อารมณ์หงุดหงิดเล็กๆที่อยู่ในจิตใจของผมนั้นหายไปได้เลย ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไป

"เฮียมึ๊งงงงงงงงงงงง"ผมเรียกคนตรงหน้าด้วยเสียงที่จะออกสูงไปหน่อย

"ทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยเฮีย"ผมได้ตะโกนออกไปใส่คนที่พึ่งจะมาถึงเมื่อสักพัก

"เราไปดับลินกันเถอะ"

"ไหนว่าจะรอไปช่วงมีนาไงวะ"คนตรงหน้ากล่าวออกมา

"เฮีย !!! หันไปดูรอบตัวเฮียดิ๊ว่าเป็นไง"ผมบอกไปแล้วจับแขนคนข้างหน้าให้หันไปดูบรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้ว่ามันดูฟรุ้งฟริ้ง อบอุ่น ละมุนแค่ไหน

"มันก็ปกตินี่หว่า ไม่เห็นมีอะไรแปลกไปจากบรรยากาศคริสต์มาสเหมือนทุกปี"ผมนี่ได้แต่กลอกตามองบนใส่คนข้างหน้าอย่างเดียว มีความรู้สึกอะไรกับเขามั่งมั้ยเนี่ย

"มันไม่เหมือนกันเว้ยเฮีย ถ้าเราไปตอนนี้ใช่ป่ะ เราก็จะได้เจอเขาออกมาเล่นดนตรี ตอนวันคริสต์มาสอีฟ อย่างที่เขาเคยออกมาเล่นเหมือนเมื่อปีก่อนไง แล้วยิ่งช่วงนี้หยุดจากทัวร์ด้วยแล้ว เราได้เจอเขาคนนั้นแน่ๆอะ"ผมบอกออกไปตามความคิดที่ว่าน่าจะเป็นไปได้ มือผมก็เกาะแขนข้างนึงของคนตรงหน้าแล้วช้อนตามองไป กระพริบตาปริบๆ เหมือนลูกแมวอ้อนใส่คนตรงหน้า

"นะเฮีย นะ นะ นะ นะ นะ"ผมส่งเสียงอ้อนๆ ใส่เฮียไป แล้วได้แต่หัวเราะ หึหึ อยู่ในใจเสร็จโจรแน่ๆ ยังไงก็ต้องได้ไปดับลินชัวร์

"เอางั้นเหรอวะ"คนตรงหน้าทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักนึงก่อนที่จะเอ่ยคำที่ผมนั้นลุ้นออกมาว่าจะเป็นคำไหน

"อย่าคิดนานดิวะเฮีย"ผมเร่งให้คนตรงหน้าตอบออกมาเร็วๆ ก่อนที่ผมจะลงแดงไปมากกกว่านี้

"เออ ไปก็ไปเว้ยแม่ง อย่าลืมบอกป๊ากับม๊าล่ะ" คนตรงหน้าเอ่ยออกมา ทำให้ผมดีใจกระโดดเกาะแขนขึ้นลงไม่หยุด

"แต่อย่าลืมบอกคูปป์มันล่ะ กูไม่อยากจะโดนมันด่าไปด้วย"นั่นไงล่ะชื่อคนที่ผมไม่อยากจะได้ยินตอนนี้เลยอะ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องบอกคูปป์อยู่ดี ไม่งั้นมีหวังผมได้ไปแบบไม่มีความสุขแน่ๆ

    ทุกคนสงสัยกันใช่มั้ยล่ะครับว่าทำไมเฮียถึงบอกผมว่าอย่าลืมบอกคูปป์ เอาเป็นว่าผมจะอธิบายให้ฟังนะครับว่าคูปป์เป็นใคร มาจากไหน ทำไมผมถึงต้องบอกคนคนนี้ นี่มันยิ่งกว่าป๊ากับม๊าผมอีก 555555 ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ เปอโยต์ หรือจะเรียกสั้นๆว่า เปอร์ ก็ได้นะครับ

     ผมมีพี่น้องทั้งหมดสี่คนรวมถึงตัวผมด้วย ผมเป็นลูกคนรองสุดท้องและผมค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเฮียๆ แล้วก็น้องสาวของผม ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีอะไรผิดปกติตอนคลอดหรือเปล่า ทั้งๆที่เราก็เกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน แถมปีเดียวกันอีก ใช่ครับนักอ่านทั้งหลาย ผมมีฝาแฝด ไม่ใช่แค่แฝดสองนะครับ แต่เป็นถึงแฝดสี่ด้วยกัน แล้วผมก็สนิทกับน้องสาวผมมากที่สุดก็คือ คูเปอร์ หรือที่ผมกับเฮียเรียกว่า คูปป์ นั่นแหละฮะ ตอนนี้คูปป์ไปทำงานอยู่ที่เกาหลีมาได้หลายปีแล้ว ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยหรือเจอกันบ่อยก็ตาม แต่พอมีปัญหาหรือเรื่องอะไรผมจะปรึกษาคูปป์ตลอดเลย ยิ่งเดี๋ยวนี้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้นเลยทำให้รู้สึกไม่ได้ห่างจากน้องสาวคนเล็กของผมเท่าไหร่

     แล้วคนที่ผมคุยที่จะไปดับลินด้วยนั้นก็คือเฮียจาร์กัว หรือเฮียจาร์ค ที่ปรึกษาของผมรองจากคูปป์แหละ ส่วนเฮียคนโตนั้น เฮียแอสตัน หรือ เฮียแมส ผมก็สนิทนะแต่เฮียจะชอบทำหน้านิ่งๆ ประมาณอะไรของมึงใส่ผมอะ แล้วชอบทำตาดุๆใส่ แต่ความจริงพวกเรารักกันมากเลยแหละครับ

     พวกเราทั้งสี่คนสนิทกันมาก มากจนบางทีถ้าใครอีกคนนึงเจ็บ หรือเสียใจ เราก็จะมีอาการนั้นไปด้วย อีกอย่างทุกคนอย่าแปลกใจไปนะครับว่าทำไมชื่อพวกเราถึงคล้ายชื่อรถยนต์ดังๆกัน ก็มันเป็นชื่อรถยนต์นั่นแหละฮะ เคยถามป๊ากับม๊าว่าทำไมต้องให้พวกเราชื่อรถยนต์ด้วย ผมก็ได้รับคำตอบจากป๊ามาว่า “ก็ชอบ” สั้นๆง่ายๆ กระชับได้ใจความมากครับ 55555

     เมื่อเรากลับมาถึงบ้านผมก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปบอกป๊ากับม๊าก่อนว่า คริสต์มาสนี้ผมจะไม่อยู่ยาวจนเลยปีใหม่ไปแล้วถึงจะกลับมา ป๊ากับม๊าก็ถามผมว่าจะไปไหน ผมก็ตอบไปว่า ผมจะไปดับลินกับเฮียจาร์ค แต่เฮียจาร์คจะกลับมาก่อน ผมบอกไปแค่นั้น แต่ได้รับสายตายิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มกรุ้มกริ่มมาจากป๊ากับม๊าซะก่อน ผมรู้เลยว่าที่ป๊ากับม๊ายิ้มแบบนั้นหมายความว่าอะไร

"จะไปก็อย่าลืมบอกแม่เราล่ะ 55555" เสียงป๊าบอกผมมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดูแอบสะใจเล็กๆ

"ป๊า อย่าหัวเราะอย่างนั้นสิ ยังไงเปอร์ก็ต้องบอกคูปป์ก่อนอยู่แล้วล่ะฮะ"ได้แต่ทำเสียงงอนๆใส่ป๊าไป

"คูปป์ก็เป็นห่วงเรานั่นแหละ ถึงจะทำตัวยิ่งกว่าม๊าเราก็ตาม" "จริงไหมจ๊ะม๊า" ป๊าหันไปถามม๊าด้วยน้ำเสียงล้อเลียนนิดหน่อย

"ม๊าเข้าใจคูปป์นะ ถ้าจะหวงเรายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น" ม๊าเอ่ยออกมาด้วยความเอ็นดูน้องสาวของผม ที่ป่านนี้คงจะจามไปหลายรอบแล้วล่ะครับ

      ที่บ้านของผมป๊าม๊าไม่ซีเรียสอยู่แล้วถ้าอยากจะไปไหน หรือทำอะไร แต่ขอแค่ให้บอกเท่านั้น โทรหา หรือส่งรูปให้ดูเท่านั้น ป๊ากับม๊าผมก็โอเคแล้ว ท่านบอกว่าคนเราเกิดมาทั้งที ควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากเรียนอะไรก็เรียน อยากทำไรก็ทำ ป๊ากับม๊าไม่บังคับอยู่แล้ว ขอแค่ให้ลูกของป๊ากับเป็นคนดีและขออย่างเดียวไม่ยุ่งกับยาเสพติดก็เป็นพอ ป๊ากับม๊าให้อิสระกับพวกเราสี่คนมาก พวกเราจึงไม่ค่อยจะทำให้ป๊ากับม๊าผิดหวังสักเท่าไหร่ถ้าไม่นับรวมสมัยตอนเด็กๆกัน

      เพราะถ้าเราทำ คนที่ผิดหวังเสียใจสุด ก็จะเป็นเราก่อน แต่คนที่จะเสียใจที่สุดก็จะเป็นป๊ากับม๊านี่ล่ะฮะ ผมพูดคุยกับท่านอีกสักพักก็ขอตัวขึ้นมาบนห้องก่อนเพื่อที่จะหาคำตอบที่ดีที่สุดไปบอกกับคูปป์ ส่วนเฮียจาร์คก็นั่งคุยกับป๊ากับม๊าต่อ
ผมมองดูเวลาตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว ถ้าเป็นเวลาที่เกาหลีก็คงน่าจะประมาณห้าทุ่มกว่าๆ หวังว่าคูปป์คงจะยังไม่นอน เพราะถ้าไม่บอกคูปป์วันนี้ ผมก็จะวางแพลนที่จะไปดับลินไม่ทันแน่ๆ แล้วถ้าให้ผมพิมพ์ไปบอกคูปป์ในไลน์ นี่มีหวังผมได้โดนบ่นจนหูชาอีกแน่ๆ ว่าทำไม่ไม่โทรมาคุยเลย เพราะอะไรน่ะเหรอฮะ คูปป์น่ะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอ่านไลน์เท่าไหรครับ เพราะงั้นผมจึงต้องโทรไปหา

"มีไรเปอร์"คูปป์รับสายด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยๆ

"เฮียจะบอกว่า เฮียจะไปดับลินกับเฮียจาร์ค " ผมหลับตาลงแล้วยกโทรศัพท์ออกจากหูทันทีที่ผมบอกกับคูปป์ไป

"ไปกี่วัน ไปพักที่ไหน มีแพลนยังไงบ้างบอกมาให้หมดดิ๊" น้ำเสียงที่แข็งกระด้างพูดใส่มา ผมจึงได้โล่งใจที่คูปป์ไม่โวยวายใส่ผม ดีนะที่อ้างชื่อเฮียจาร์คไปด้วย ถ้ารู้ว่าเฮียจะกลับก่อนมีหวังนางคงจะอาละวาดใส่ผมเป็นชุดไม่หยุด แล้วผมคงจะได้กลับมาพร้อมเฮียก่อนกำหนดที่คิดเอาไว้

"เฮียยังไม่ได้วางแพลนเลย แต่โทรมาบอกเราก่อน ส่วนป๊ากับม๊าก็บอกแล้วล่ะ แหะๆ"ผมได้แต่ทำเสียงอ่อยๆใส่น้องสาวตัวดีของผมไป

"ยังไงก็ส่งแพลนแบบละเอียดมาให้เราดูด้วยนะ"น้ำเสียงคูปป์เริ่มอ่อนลงมานิดนึง อย่างที่ผมบอกไปว่าเฮียแมสจะชอบทำหน้านิ่งๆดุแล้วใช่มั้ย มาเจอคูปป์นี่ผมยิ่งกลัวมากกว่าเฮียแมสอีก

      แต่ผมก็สนิทกับคูปป์ที่สุดอยู่ดี ขนาดเฮียแมสยังต้องยอมคูปป์ ไม่ใช่เพราะว่าคูปป์เป็นน้องสาวคนเดียวของพวกเราหรอกนะฮะ แต่วีรกรรมที่คูปป์ทำไว้นั้นมันบรรยายออกมาไม่ได้เลย

"ไว้พรุ่งนี้เฮียจะส่งไปให้นะ เราก็พักผ่อนนอนเยอะๆรู้ไหม รู้ว่าเป็นห่วงไอ้เจ้าเด็กพวกนั้น แต่เราก็ดูแลตัวเองด้วย เฮียแล้วก็ป๊าม๊า เฮียแมส เฮียจาร์ค เป็นห่วงเรานะ"ผมบอกกับน้องไปด้วยความเป็นห่วงถึงแม้จะรู้ว่าคูปป์จะดูแลตัวเองได้ดีกว่าผมก็ตาม

"งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เราก็รีบนอนได้แล้ว ฝันดีนะคูปป์น้องสาวสุดที่รักของเฮีย"ผมบอกน้องก่อนเพราะดูจากสภาพน้ำเสียงแล้วคูปป์คงจะไม่ไหวแล้วล่ะเพราะงานที่ไม่เป็นเวลาทำให้คูปป์ได้พักผ่อนน้อย

"ฝันดีนะเปอร์"

     หลังจากวางสายกับคูปป์แล้วผมก็เตรียมผ้าเช็ดตัวเพื่อที่จะเข้าไปอาบน้ำ แต่ต้องชะงักก่อนที่จะก้าวเท้าถึงประตูห้องน้ำ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ผมดังขึ้นด้วยเสียงที่ตั้งไว้เฉพาะ ทำให้ผมรีบวิ่งมาที่โทรศัพท์ทันที

      แล้วเปิดดูด้วยความตื่นเต้นกับเสียงข้อความที่เข้ามา การที่เข้ามาดูครั้งนี้ทำให้ผมนั่งยิ้ม หัวเราะอยู่คนเดียวเหมือนสติผมจะหลุดลอยไปแล้วล่ะฮะกับคนที่อยู่ในโทรศัพท์ เขาทำให้ผมแทบบ้าไปแล้วล่ะครับทุกคน

“ถ้าไม่ได้ไปดับลินตอนคริสต์มาสนี้ผมคงจะได้อดเจออะไรหลายๆอย่างแน่ๆ”

“ขอให้การไปครั้งนี้ของผมได้เจอกับเขาคนนั้นด้วยเถอะ ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญ โชคชะตาหรือพรหมลิขิต ขอให้ผมได้เจอกับเขาคนนั้นอีกสักครั้ง”



ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #3 เมื่อ26-11-2018 16:12:27 »

อยากรู้วีรกรรมคูเปอร์เลย 555555

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock02
«ตอบ #4 เมื่อ26-11-2018 17:32:48 »

Shamrock02

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา...

ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ

“ไปถึงที่นั่นแล้วส่งข้อความมาบอกม๊าด้วยนะน้องโยต์ " หม่าม้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และสายตาของม๊านั้นก็บ่งบอกได้ว่าท่านเป็นห่วงผมอยู่มาก

“ครับม๊า ถึงแล้วเปอร์จะรีบส่งข้อความมาบอกเลย” ผมกล่าวออกไปเพื่อไม่ให้หม่าม้าเป็นกังวลกับผมมากหนัก

“จาร์ค ดูแลน้องดีๆนะลูก ไม่ใช่มัวแต่จะสวีทอยู่กับหนูใบยอเขาอย่างเดียว” ม๊าหันไปบอกกับเฮียจาร์คอีกทีนึงก่อนที่จะดึงตัวผมเข้าไปกอด

     ผมอยากจะบอกหม่าม้าว่าผมแค่ไปเที่ยวแค่สองอาทิตย์เอง ไม่ได้ไปนานเหมือนอย่างที่ผ่านๆมาซะหน่อย ทุกครั้งที่ไปก็ไม่เห็นจะห่วงผมเท่ากับครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็เข้าใจม๊านะฮะ ว่าทำไมครั้งนี้ท่านถึงเป็นห่วงผมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

“หนูใบยอจ๊ะ เที่ยวให้สนุกนะลูก กลับมาคราวนี้หม่าม้าหวังว่าเราจะเอาหลานกลับมาฝากป๊ากับม๊านะ”

“คุณม๊า” ใบยอเอ่ยด้วยสีหน้าที่เขินอายเมื่อม๊าบอกให้เอาหลานกลับมาฝากท่านด้วย

“ดูแลตัวเองดีๆนะเราน่ะ อย่าไปก่อเรื่องให้จาร์คกับหนูใบยอปวดหัวไปมากกว่านี้ล่ะ 555” ป๊าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ดีก่อนที่จะเข้ามากอดผมด้วยเหมือนกัน

“โห ป๊าอ่าเปอร์โตแล้วไม่ดื้อไม่ซนหรอกน่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

“เดินทางปลอดภัยกันนะลูก” ทั้งป๊าและม๊าเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่พวกเราจะเดินเข้าไปในเกทเพื่อรอขึ้นเครื่องจะไปดับลินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว

     ผมกับเฮียจาร์คตกลงกันไว้ว่าเราจะแยกกันไปเที่ยวก่อนครับ เลยต้องไปคนละสายการบิน แต่ความจริงแล้วจะไปสายการบินเดียวกันก็ได้ แต่ผมอยากลองไปเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอาบูดาบีดูบ้างว่าเป็นยังไง เลยเลือกสายการบิน เอมิเรตส์(Emirates) แต่เฮียจาร์คกับใบยอจะไปเที่ยวอังกฤษก่อนเลยเลือกที่จะของสายการบินบริทิชแอร์เวย์ แล้วเฮียจะตามมาตอนวันสิ้นปีทีเดียวเลย

     ผมอยากจะบอกว่าการไปเที่ยวดับลินครั้งนี้ทำให้ผมตื่นเต้นมากกว่าครั้งไหนๆของผมที่เคยไปเที่ยวเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมก็จะได้ไปเหมือนกัน ปกติแล้วผมจะไปแค่อังกฤษไม่ได้ข้ามไปไอร์แลนด์เลย แต่การไปครั้งนี้ของผม ผมขอให้ได้เจอเขาคนนั้นก็เป็นพอแล้วล่ะครับ

     ทุกคนคงจะสงสัยล่ะสิว่าดับลินที่ผมเอ่ยมานั้นมันคือที่ไหน อยู่ตรงส่วนไหนของบนโลกใบนี้ น้อยคนนักที่จะรู้จักเมืองนี้ เอาเป็นว่าผมจะอธิบายคร่าวๆให้นะครับ ตามที่ผมได้ศึกษาวางแพลนไว้ก่อนจะมาเที่ยวในครั้งนี้

“ ดับลิน ” นั้นเป็นเมืองหลวงของประเทศไอร์แลนด์ ไม่ใช่ไอซ์แลนด์นะครับ บางคนอาจเคยได้ยินและจำสับสนกัน แต่ไอร์แลนด์นั้นก็อยู่ในทวีปยุโรปเหมือนกัน ไอร์แลนด์จะมีสัญลักษณ์ที่จะจำได้ง่ายคือใบแชมร็อก (Shamrock) ใบไม้แห่งความโชคดีที่มีใบคล้ายๆรูปหัวใจ มีอยู่สามแฉกด้วยกัน แต่ใครที่เจอใบที่มีสี่แฉก เขาว่ากันว่าจะโชคดีมาก เพราะใบที่มีสี่แฉกนั้นค่อนข้างที่จะหายากอยู่เหมือนกัน

     ประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ แบ่งเป็นไอร์แลนด์เหนือ กับไอร์แลนด์ใต้ เป็นประเทศที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่กี่ล้านคนเองครับ เป็นประเทศที่สงบ เหมาะแก่การที่ไปเที่ยวแบบใช้ชีวิตไม่เร่งรีบ ไปพักสงบจิตใจ หนีห่างจากความวุ่นวายจริงๆครับ แล้วยิ่งมีแอลกอฮอล์ที่ขึ้นชื่อก็คือ เบียร์ดำ หรือ กินเนียสเบียร์ (Guinness) มีรสชาติเข้ม หอมและนุ่มค่อนข้างเฉพาะตัว แถมยังมีศิลปะโบราณของชาวไอริชให้เที่ยวชมอีกเยอะเลย เอาเป็นว่าผมจะต้องไปลองและชมสถานที่ต่างๆให้ได้เอาให้คุ้มกับการไปเที่ยวครั้งนี้ของผมเลย

แค่นึกผมก็ตื่นเต้นแล้วล่ะฮะ……….

     ผมนั่งรออยู่สักพักนึงก่อนที่จะมีเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่องได้ ผมเดินไปตามทางเดินที่จะเข้าไปขึ้นเครื่อง ส่วนใหญ่ผู้คนที่จะเดินทางไปไฟล์ทบินเป็นชาวต่างชาติแต่จะหนักไปทางคนอารับซะมากกว่า น้อยคนหนักที่ผมจะเจอชาวต่างชาติที่มีผมสีบลอนด์ ตัวโตๆ หรือชาวเอเชียอย่างเช่นผม

     ผมเลือกที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินนี้ เพราะเป็นเครื่องโบอิ้งใหม่ จนผมอดใจที่จะลองไม่ได้ด้วยความพิเศษของชั้นนี้ คือจะมีห้องพิเศษเพียงแค่หกห้องเท่านั้นเอง แล้วเรายังสามารถที่จะความคุมแสงและอุณหภูมิห้องได้เองอีกด้วยล่ะ แล้วที่พิเศษไปกว่านั้นคือมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสาหร่ายทะเลออร์แกนิกของ VOYA แบรนด์ไอริชที่ได้รับรางวัล ซึ่งมีให้บริการในห้องอาบน้ำสปาบนเครื่องอีกด้วย แค่มีของอะไรที่เป็นไอริช มันก็น่าลองเล่นจริงๆนะครับ

      ยังไม่หมดนะครับมีที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือชุดนอน ที่ใช้เทคโนโลยี Hydra Active Microcapsule ที่จะช่วยรักษาผิวกายของคุณให้เนียนนุ่มแม้ในขณะที่บิน เมื่อขยับตัวเนื้อผ้าจะค่อย ๆ ปล่อยสารสกัดจากสาหร่ายใต้ทะเลที่อุดมไปด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด  และผ้าห่มขนแกะเทียม มีครบเซ็ตเลยล่ะครับ ทั้งลองเท้า ผ้าปิดตา และถุงใส่ของ เราสามารถเอากลับไปด้วยได้ ด้วยแหละ เห็นมั้ยล่ะครับว่ามันพิเศษจริงๆ ตามที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องได้อธิบายให้ผมฟังมา

Standing in the hall of fame
And the world’s gonna know your name
Cause you burn with the brightest flame


     เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปตรงที่นั่งของผมพอดี ผมจึงรีบกดรับสายทันทีที่วางกระเป๋าเป้ลงก่อนจะหย่อนตัวเองให้ลงไปนั่งกับที่นั่งที่ติดกับขอบริมหน้าต่าง

“ว่าไงมึง” ผมเอ่ยทักปลายสายก่อนที่ทางนั้นจะได้กล่าวคำอะไรออกมา

“แน่ใจนะว่ามึงไปคนเดียวได้ ครั้งนี้น่ะ” ปลายสายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ออกจะเป็นห่วงและกังวลกับผม

“ทำไมจะไม่ได้วะ กูแค่ไปเที่ยวไม่กี่อาทิตย์เอ๊งงง” ผมกล่าวคำสุดท้ายด้วยเสียงออกจะสูงไปนิดนึง

“กูรู้ว่ามึงไปไม่กี่อาทิตย์ แต่ครั้งนี้ที่มึงไปอาจจะได้เจอเขาคนนั้นอะ กูก็แค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเองเปอร์”

“ขอบใจมึงนะที่เป็นห่วงกูอะ แต่แค่นี้สบายมากเฮียเปอร์เอาอยู่เว้ย” ผมบอกเพื่อให้อีกฝ่ายนึงสบายใจ แม้ในใจลึกๆของผมนั้นก็มีความกลัวและความกังวลอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“นี่ใคร นี่เฮียเปอร์แห่งตระกูลภักดีเจริญวิชัยกุล นะเฟ้ย”

“เออๆ ถ้ามึงโอเค กูก็โอเค แล้วขอโทษมึงด้วยแล้วกันที่ครั้งนี้กูไปด้วยไม่ได้ ป๊ากูต้องให้ไปติดต่องานพอดีว่ะ”

“ไว้มึงค่อยตามมาละกันพร้อมกับเฮียจาร์คและใบยอก็ได้นะ”

“โอเค งั้นเดินทางปลอดภัยนะมึง ถึงแล้วก็บอกกูด้วยละกัน”

“เออๆ งั้นแค่นี้นะมึง เครื่องจะรันแล้ว”ผมวางสายก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบิน

     มาเที่ยวครั้งนี้ของผมนี่ ทุกคนดูจะเป็นห่วงผมกันจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง ไอ้ซีตรอง เพื่อนสนิทที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ ผมกับไอ้ตรองเราคบกันมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยล่ะครับ ไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไมมันถึงชื่อรถเหมือนกัน เพราะป๊ามันกับป๊าผมเป็นเพื่อนสนิทกันและชื่นชอบรถเหมือนกันอีกต่างหาก มันเกิดก่อนพวกเราสี่คนแค่เดือนเดียวเอง และถูกเลี้ยงมาด้วยกัน เรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลจนจบปริญญาตรี พอจะต่อป.โทมันก็ไปต่อในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษในช่วงที่ผมมีปัญหาพอดี จะมาห่างกันจริงๆก็ตรงช่วงที่มันต้องเข้าไปทำงานกับบริษัทป๊ามันน่ะครับ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ห่างเพราะผมเจอมันแทบทุกวัน

     มีครั้งนึงสมัยมัธยมปลายผมไปมีเรื่องกับเด็กอีกโรงเรียนนึง จำได้ดีเลยครั้งนั้นเรื่องที่ไม่ได้เกิดจากผมเองหรอกนะ เพราะเกิดจากไอ้ตรองนี่แหละครับ จะว่าไปอาจจะเป็นเพราะมันมีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตาโตๆ สีตาออกเขียวอมเทา คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันได้รูป ปากบางๆเล็กๆ เจาะหู ไหนจะรอยสักเล็กๆตรงหลังคอนั้นอีก บวกความสูงที่สูงถึงร้อยแปดสิบแปดนั่นอีก เลยทำให้มันดูดีเกินไปจนทำให้สาวๆหรือหนุ่มๆ เข้ามาวนเวียนในชีวิตไม่หยุดหย่อน และบางทีมันก็ใช้ผมกันคนอื่นนี่แหละถึงได้เกิดเรื่องขึ้นมาตลอด

     ครั้งนั้นมีเด็กผู้ชายอีกโรงเรียนมันมาชอบไอ้ตรอง ผมเห็นมันคอยตามตื้อไอ้ตรองอยู่พักนึง ไม่ใช่ตามธรรมดานะครับ ตามแบบกันทุกคนที่จะเข้ามาหาไอ้ตรองเลยด้วยซ้ำ แถมยังคอยไปดักทุกที่ที่ไอ้ตรองกับผมจะไป จนมีวันนึงมันทนไม่ไหวแล้วก็เลยเข้าไปจัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กคนนั้นและลากผมไปประกาศต่อหน้าเด็กคนนั้นด้วยว่า ที่มันบอกไม่สนใจใครเลย เพราะผมเป็นแฟนกับมัน นั่นไงเอาแล้วไง ไอ้เชี่ยตรองงงง

“น้องเลิกยุ่งกับพี่สักทีเหอะ” ไอ้ตรองบอกเด็กคนนั้นไปอย่างตรงๆ

“พี่มีแฟนแล้ว ที่ไม่บอกใครเพราะไม่อยากทำให้แฟนพี่เดือนร้อน พี่อยากคบกันแบบเงียบๆ” ไม่เดือดร้อนอะไรล่ะ มึงนี่มันตัวหาเรื่องให้กูจริงๆ ต่อไปนี้ชีวิตผมจะมีความสุขอีกไหมเนี่ย ผมได้แต่คิดอยู่ในใจตอนนั้น ขณะที่มือไอ้ตรองมันก็ยังกอดคอผมไม่เลิก

“ผมไม่เชื่อพี่หรอก” เด็กคนนั้นพูดออกมาแล้วทำสีหน้าไม่เชื่อไอ้ตรองที่พูดมา แถมเด็กนั่นมันยังมองผมตาขวางอีก จะว่าไปแล้วเด็กคนนั้นมันก็หน้าตาน่ารักอยู่ไม่ใช่น้อย ตัวเล็กๆ บางๆ หุ่นที่สูงพอดีเข้ากับเจ้าตัว บวกกับผิวที่ดูขาวอมชมพูแบบนั้น ถ้าน้องไว้ผมยาวนี่คือเด็กผู้หญิงชัดๆเลยล่ะ แต่น้องเป็นผู้ชายไงแต่จิตใจออกเป็นผู้หญิงหรือเปล่านะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูแล้วท่าทางก็ออกจะผู้หญิงๆอยู่หน่อยๆ ดูท่าจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองและคงจะร้ายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ไอ้ตรองมันไม่ชอบหรอก อย่างมันต้องสาวสวย หุ่นเอ็กซ์ทรงโต เอวบาง เท่านั้นล่ะ

“เปอร์เป็นแฟนพี่จริงๆ” ว่าแล้วมันก็ก้มลงมาจูบขมับผมต่อหน้าไอ้เด็กนั่น “เชี่ยยยย” ผมสบดออกมาเบาๆ แล้วหันไปมองไอ้ตรองที่ตอนนี้มันทำหน้ากวนส้นเท้าแบบได้ใจมาก ผมใช้อีกมือนึงไปหยิกที่สีข้างไอ้ตรองทันที หึ เรื่องนี้มึงกับกูมีเคลียร์กันยาว

 “ทีนี้เชื่อพี่ได้หรือยังล่ะว่าพี่เป็นแฟนกับเปอร์จริงๆ” ส่วนไอ้เด็กนั่นมันได้แต่ทำหน้าตกใจ น้ำตาค่อยๆไหลออกมา สีหน้าเด็กนั่นทำเหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ไอ้ตรองมันทำกับผมเมื่อครู่ จึงได้แต่หันหลังวิ่งร้องไห้ออกไปจากตรงนั้นทันทีที่ไอ้ตรองมันเงยหน้าขึ้นมามองเด็กคนนั้น

“ไอ้เชี่ยยยตรอง มึงหาเรื่องให้กูอีกแล้วนะ” ผมหันไปตะโกนใส่ไอ้ตรองด้วยท่าทีที่โมโหมันที่สุด

“เออน่า ช่วยกูไม่ได้หรือไงวะ แค่นี้เอง" แค่นี้เองพ่องสิ

“ถ้าเกิดมันมีปัญหาอะไรขึ้นมากูจัดการเอง” ไอ้ตรองว่าไงก็ว่าตามนั้นเพราะผมก็ไม่ชอบที่จะมีปัญหาอะไรกับใครอยู่แล้ว แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบๆ ไม่ต้องวุ่นวายกับใครทั้งนั้นแหละ เพราะขนาดแค่ผมอยู่เฉยๆ ปัญหามันก็เข้ามาหาผมทั้งนั้น

     เหมือนผมจะพูดกับไอ้ซีตรองไม่ทันไรสามวันต่อมาหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้จริงๆ ไอ้เด็กนั่นมันมาดักผมที่ทางจะออกจากที่เรียนพิเศษ ตรงมุมตึกของที่ใกล้ๆกับที่ผมเรียนพิเศษเป็นประจำ

“เลิกยุ่งกับพี่ซีตรองซะ ถ้าไม่อยากจะเดือนร้อน”ผมมองไอ้เด็กตรงข้างที่พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดออกไป

“อย่ามายุ่งอีก ออกไปให้ห่างๆพี่ซีตรอง พี่เป็นแค่เพื่อน”

“แล้วก็อย่ามายุ่งเรื่องของพี่ซีตรองเขาอีก เข้าใจไหม”

“เข้าใจที่ฉันพูดไหมหะ” เด็กนั่นเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม ในขณะที่ผมยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรปล่อยให้ไอ้เด็กตรงหน้ามันพูดอยู่คนเดียว

“ที่ฉันพูดนี่ไม่ได้ยินหรือไง” ยังๆ ยังไม่หยุดพูดอีกไอ้เด็กนี่หนิ

“นี่แกจะกวนประสาทฉันใช่ไหม” มันยังคงพูดตะโกนใส่ผมไม่หยุด นี่ผมก็งงๆนะไปกวนประสาทมันตอนไหนวะ ทั้งๆที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดออกไป มันก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผมได้พูดสักที ผมนี่ได้แต่กรอกตาใส่ มันไม่รู้หรือไงว่าผมสนิทกับไอ้ซีตรองขนาดไหน จะให้ผมเลิกยุ่งกับไอ้ซีตรองเนี่ยนะมันไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาดอะ เหอะ ผมนี่อยากจะลากไอ้เด็กนี่ไปจัดการให้จบๆไปเสียจริงๆ

“จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย ได้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” เตือนอะไรของมันฟระ ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ

“จัดการมันซะ” ในขณะที่สมองผมกำลังประมวลคำพูดมันอยู่นั้น ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินออกมาล้อมผมไว้ทันทีที่มันพูดจบ ผมก็เข้าใจแจ่มแจ้งได้ทันที ในเมื่อจะเล่นอย่างนี้ใช่ ได้ เฮียเปอร์จะจัดให้สักดอกนึงก็ได้

     ผมเริ่มสะบัดต้นคอไปมาเล็กน้อยก่อนที่ พวกมันจะพุ่งเข้ามาใส่ผมทีละคน แต่จากที่ดูคร่าวๆแล้วไม่ต่ำกว่าห้าคนแน่ๆ ไอ้ตรองนะไอ้ตรอง กูไม่อย่างมีเรื่องก็หาเรื่องมาให้กันจนได้ ไอ้คนแรกที่เข้ามาเหวี่ยงหมัดใส่ผมทันทีแต่ดีที่ผมหลบหมัดของมันทัน ผมเอี้ยวตัวกลับมาแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าไปที่ขมับของมันทันที่ที่มันจะพุ่งใส่ผมอีกรอบ ทำให้มันสลบไปทันที่ โอ๊ะ !!!

     แค่นี้เองสลบไปแล้วอ่ะ อย่าพึ่งตกใจกันไปครับว่าทำไมเหวี่ยงหมัดใส่แค่นี้ถึงสลบได้ในทันที ผมจะบอกว่าจุดบริเวณขมับนี้เป็นจุดที่บอบบางและนิ่มมากกว่าจุดอื่นซึ่งจุดนี้จะมีเส้นเลือดแดงไหลผ่าน แต่ถ้าโดนเตะผ่านจุดนี้ก็ไม่สามารถจะลุกขึ้นมาได้อีกเลยล่ะครับ

     ในเมื่อจัดการไปได้หนึ่งคนแล้วยังเหลืออยู่อีกเจ็ดรวมถึงไอ้เด็กนั่นด้วย ไอ้คนที่สองมันพุ่งเข้าใสผมทันทีที่ไอ้คนแรกมันสลบไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทันตั้งตัว ทำให้มันเตะเข้าสีข้างผมไปได้ จุกไม่น้อยเลยนะครับ ผมเลยใส่เข้าไปที่ระหว่างริมฝีปากบนและปลายจมูกล่างของมันก็ทำให้มันหมดสติไปครับ ดีนะครับที่ยังแรงลงไปบ้าง ไม่งั้นมีหวังโดนข้อหาฆ่าคนตายแน่ๆเลยครับ ฮ่าๆ

      ยังครับยัง มันยังไม่จบแค่นี้ ในเมื่อมันมากระตุ้นต่อมการทำงานอารมณ์ดิบของผมให้ออกมา ผมก็จะจัดไปให้สักหน่อยครับ ว่าแล้วคราวนี้มันเข้ามาพร้อมกันสองคนเลยครับแถมไม่ได้มามือเปล่าซะด้วย ไม่เหมือนกับไอ้สองคนแรกนั้นแล้ว ในขณะที่ผมมือเปล่าผมก็รีบจับข้อมือของไอ้คนที่เข้ามาออกเพื่อที่มันจะได้ปล่อยอาวุธออกได้ แล้วด้วยความไวของผมนั้นเองก็รีบเอาอาวุธนั้นขึ้นมาฟาดใส่หลังไอ้คนที่ผมบิดข้อมือมันไปไม่ยั้งแถมกระตุกไหล่มันนิดหน่อยด้วย จนมันส่งเสียงร้องออกมา ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่กระดูกไหล่หลุดออกมาน่ะ หึหึ

     ส่วนไอ้คนที่เข้ามาพร้อมกันนั้นผมได้ถีบมันกระเด็ดออกไปก่อนเพื่อที่จะจัดการไอ้คนเมื่อครู่คราวนี้มันเอาไม้มาฟาดหลังผมครับ ฟาดมาเต็มๆแรงเลยนะมึง ฟาดมาได้ ผมอาศัยจังหวะช่วงที่มันจะเข้ามาฟาดผมอีกรอบถีบมันออกไปอีกทีก่อน จนตอนนี้ผมตั้งตัวได้แล้วรีบไปจัดการมันด้วยลูกเตะมหาปะลัย เป็นใครโดนต้องมีจุกบ้างล่ะครับ เผลอๆบางทีอาจจะสูญพันธุ์ไปเลยก็ได้

     คราวนี้มันเข้ามาทีเดียวพร้อมกันสามคนเลยครับ ผมพลาดจังหวะไปนิดเดียวเพราะแรงจากไอ้คนที่ฟาดหลังผมมาไม่ใช่น้อยๆเลย เลยทำให้ผมโดนล็อคตัวไว้ได้ ส่วนไอ้สองคนที่เหลือก็เข้ามาเหวี่ยงหมัดใส่ผมไม่ยั้งเลย บอกตรงๆครับผมเริ่มหมดแรงแล้วล่ะ คิ้วผมเริ่มมีเลือดไหลลงมาแล้ว แต่ผมใช้แรงสุดท้ายกระโดดยกตัวเองขึ้นไปแล้วเหวี่ยงขาเข้าไปที่ต้นคอของไอ้คนที่จะเข้ามาใส่หมัดผมจนหมดล้มลงไป คราวนี้ผมอาศัยช่วงที่มันหันไปมองเพื่อนมันที่ล้มลงไปโดยใช้กำปั้นผมใส่เข้าตรงลูกกระเดือกเข้าไปเต็มแรงจนไอ้คนที่ล็อคตัวผมก่อนหน้านี้สลบไปอีกคน

     ทีนี้ก็เหลือไอ้เด็กนั่นกับลูกน้องมันอีกคน โดยที่ผมเห็นแววตาไอ้เด็กนั่นสั่นไหว หน้าไม่มีสีของเส้นเลือดให้เห็นแล้ว ตัวมันเริ่มสั่นขึ้นมา ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปถึงตัวไอ้เด็กนี่ ผมก็จัดการลูกน้องคนสุดท้ายล้มลงไปแล้ว แล้วค่อยสาวเท้าเข้าไปใกล้ไอ้เด็กนี่ ทีละนิดทีละนิด จนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าไอ้เด็กเวรนั่น

     ตอนนี้ผมมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าของไอ้เด็กนั่นแล้ว ตัวมันยิ่งสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามกรอบหน้าของมันไม่หยุด ยิ่งสีปากที่เคยอมชมพูนั่นมันไม่มีหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเด็กคนนั้นแล้ว

“คราวนี้มึงจะหยุดพูดแล้วฟังกูได้หรือยังฮะ!!!” ผมตะโกนใส่หน้าไอ้เด็กนั่นไป

“กูขอถามอะไรหน่อย คนเขาที่ไม่ได้ตอบรับความรักของมึงกลับไป มันถึงกับทำให้มึงต้องเสียสติทำอย่างนี้เลยเหรอ”

“ถึงกับมาสร้างเรื่อง สร้างปัญหาอย่างนี้เลยหรือไงฮะ!!! มึงคิดบ้างไหมว่าถ้าคนที่มึงไปทำเขาไม่ใช่กู พ่อแม่เขาจะเป็นยังไง ลูกเขาจะมีสภาพออกมามาเป็นยังไง มึงคิดบ้างไหมหะ”

“หรือเพราะที่บ้านมึงเขาเลี้ยงมึงตามใจมากเกิน มึงถึงได้กล้าทำเรื่องอย่างนี้"

“มึงยังคงไม่รู้จักกูดีพอ มึงรู้จักตระกูลภักดีเจริญวิชัยกุลไหม” พอผมบอกนามสกุลออกไปแค่นั้น ทำให้ไอ้เด็กนั่นมันกลับถึงทำตาโตแล้วสีหน้ามันยิ่งซีดเข้าไปใหญ่

“ถ้ามึงคิดที่จะรักจะชอบไอ้ซีตรองแล้วหาข้อมูลให้ดีกว่านี้ก่อน มึงจะรู้ได้ทันที่เลยว่ากูเนี่ยคนที่มันประกาศออกไปว่าเป็นแฟนมันน่ะ คือเพื่อนสนิทไม่ใช่แฟนมัน แล้วก็ควรหาข้อมูลให้ดีกว่านี้ ก็จะรู้ว่าไอ้ซีตรองมันไม่ชอบผู้ชายถึงแม้มันจะชอบสกินชิพกับกูบ่อยๆก็ตาม” พอผมว่าจบก็เหวี่ยงหมัดใส่ไอ้เด็กนั่นทันที จนทำให้มันล้มลงไปโดยที่มันไม่ได้ตั้งตัวสักนิดแถมกระทืบมันอีกที ในฐานะที่มันสั่งให้ลูกน้องเข้ามาจัดการผม ผมรีบจัดการโทหาไอ้ตรองทันทีก่อนที่สติของผมจะดับวูบลงไป

     หลังจากที่มีเรื่องในวันนั้นผมต้องนอนอยู่ที่โรงพยบาลไปอีกสองอาทิตย์เต็มๆเลยแหละครับ เพราะผมมีอาการช้ำที่กล้ามเนื้อ แถมซี่โครงร้าวอีก แขนก็ต้องใส่เฝือกอ่อนเอาไว้อีกหนึ่งเดือน แล้วยิ่งวันนั้นพอพวกเฮียรู้ต่างก็จะพาไปจัดการไอ้เด็กนั่นอีกรอบ แต่ผมขอไว้เอาไว้ก่อน แค่โดนหมัดเข้าขมับมันก็ยังไม่ฟื้นหรอกตอนนี้ ส่วนคูปป์ไม่ต้องพูดถึงครับ นางไปจัดการทำให้ครอบครัวของไอ้เด็กนั่นเกือบล้มละลายเลยล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าไปทำยังไงเหมือนกันคงต้องไปถามคูปป์กันเองแล้วล่ะครับ

     ข่าวของผมที่โดนเด็กที่มาชอบไอ้ซีตรองดังไปทั่วโรงเรียนเลยล่ะ บางคนก็คิดว่าผมจะต้องอาการหนักกว่านี้แน่ๆ เพราะกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นมันฝึกมาดีเพื่อคอยป้องกันให้กับไอ้เด็กนั่น แต่อย่างว่าล่ะครับ ที่บ้านผมส่งให้เรียนศิลปะป้องกันตัวทุกชนิดมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพราะป๊าบอกว่าจะได้เอาไว้ใช้ปกป้องน้องสาวผมคนเดียวที่มีอยู่ (ปกป้องหรือทำให้พวกผมโดนจัดการกันแน่ก็ไม่รู้) หรือปกป้องตัวเองจากพวกที่ไม่หวังดีกับเรา ไม่งั้นคราวนี้ผมคงไม่รอดแน่ๆ

     ส่วนไอ้ซีตรองนั้น มันก็มาขอโทษผมชุดใหญ่ ที่มันเองไม่ยอมฟังหรือเชื่อผมเลย และที่มันใช้ผมเป็นข้ออ้างเป็นแฟนกับมัน ผมก็บ่นมันไปชุดใหญ่แหละครับ หลังจากนั้นมาไอ้ตรองของทุกคนก็ไม่เคยอ้างที่จะเอาผมไปเป็นแฟนอีกเลย เพราะขืนถ้ามันยังเอาผมไปอ้างอีก มันนั่นล่ะครับที่จะไม่รอด เพราะมีคนคอยจัดการมันอยู่ตอนนี้ หึหึ ถือว่าเรื่องในครั้งนี้หนักส่งท้ายก่อนที่ผมจะจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเลยก็ว่าได้ครับ

     หลังจากวางสายกับไอ้ตรองไปได้สักผมก็มานั่งนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนที่ยังอยู่มัธยมกับมัน มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับผมและมันมากมายเลย ผมไม่แปลกใจเลยที่มันจะห่วงผมขนาดนี้ เมื่อเครื่องออกไปได้สักพักความหิวก็แทรกเข้ามาแทนที่ ยังไม่ทันทีจะได้กดกริ่งเรียกพนักงานก็เข้ามาเสริฟอาหารให้ทานก่อน อยากจะบอกว่ารสชาติมันดีมากครับ ยิ่งเสริฟพร้อมกับไวน์ด้วยแล้วมันอร่อยมากจริงๆ ผมเลือกขึ้นมาตั้งแต่จองตั๋วไว้แล้วล่ะ เลยไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ที่เขาจะจัดเซ็ตอาหารมาให้กับผม

     พอกินอิ่ม หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนแล้ว ผมรีบไปจัดการอาบน้ำในห้องอาบน้ำสปาบนเครื่อง ที่มีเครื่องอาบน้ำ Bulgari และผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายทะเลธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ VOYA สบายตัวมากเลยครับ ผมได้ลองใส่ชุดนอนแล้วนะครับทุกคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมคิดไปเองหรือเปล่า มันทำให้ผมนอนหลับสนิทเลยล่ะในตลอดการนั่งเครื่องคืนนั้น

**เรื่องนี้เราแต่งจบแล้วนะคะแต่จะมาลงให้จนจบเลย**

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock03
«ตอบ #5 เมื่อ26-11-2018 17:53:41 »

Sahmrock03

สนามบินนานาชาติดับลิน

     ในที่สุดการเดินทางของผมก็ถึงไอร์แลนด์สักที หลังจากที่ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่บนเครื่องมานานถึงยี่สิบเอ็ดชั่วโมงกว่าๆ ก็เป็นอันจบลง อยากจะบอกอีกครั้งนะครับว่าสายการบินนี้ดีจริงๆ(ปล.ผมได้ค่าโฆษณาหรอกนะฮะ^^แต่ว่ามันดีจริงๆนะครับ)

     ผมเดินตามไปตามป้ายทางออก ที่นี่มีภาษาไอริชกับกำไว้ด้วยแหละครับ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมามากๆเลยครับตอนนี้ เพราะผมไม่รู้เลยว่า จะได้เจอกับอะไรบ้าง จนเดินมาถึงบริเวณตรวจคนเข้าเมือง ก็ยื่นเอกสารไปให้ตรวจครับ พนักงานที่นี่ดูต้อนรับยิ้มแย้มใจดีจริงๆเลย ถามผมว่ามาทำอะไร มีแพลนไปเที่ยวที่ไหน ชวนผมคุยไปเรื่อยเลยครับ แถมยังมีการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้กับผมอีกจนสักพักนึงผมก็ขอตัวไปรับกระเป๋าก่อน

     ในระหว่างที่ผมกำลังรอรับกระเป๋าบนสายพานอยู่นั้น ผมก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความบอกทุกคนในครอบครัวว่าตอนนี้ผมเดินทางมาถึงแล้ว แล้วกำลังรอรับกระเป๋าอยู่ จนทำให้ไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างตัวผมเลยสักนิด และในช่วงจังหวะที่ผมกำลังก้าวขาเดินออกไปหยิบกระเป๋าของผมนั้น และกำลังจะเดินออกไปขึ้นรถทำให้ผมชนกับใครคนหนึ่งเข้าเต็มแรงนั้นทำให้โทรศัพท์ที่ผมถืออยู่นั้นร่วงกระจายเลยครับ

     ผมรีบก้มลงไปเก็บโทรศัพท์ แล้วก็พูดขอโทษคนที่ผมชนเข้าอย่างจังนั้นไปด้วย โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาสักนิดเลย ผมพูดขอโทษเขาซ้ำๆ จนผมเก็บโทรศัพท์ที่ร่วงไปแล้วเสร็จนั่นแหละถึงได้เงยหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะขอโทษเขาอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ผมทำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือร่วงไปอีกครั้ง โดยครั้งนี้มันเกิดจากอาการมือไม้ของผมเอง ที่จู่ๆมันก็อ่อนขึ้นมาไม่มีแรงไปเอง ผมรีบเก็บโทรศัพท์และรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เชี่ยยย” ผมอุทานออกมาอย่างดัง ในตอนนั้นผมเริ่มหน้าซีด ใจสั่นคล้ายๆเหมือนผมจะเป็นลม แต่ผมพยายามประคองสติตัวเองที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของผมให้ทรงตัวให้ยืนอยู่ก่อนให้ได้

“ขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษอีกครั้งหนึ่ง โดยโค้งหัวลงไปให้เขาคนนั้นอีกทีนึงก่อนที่จะได้เอ่ยพูดอะไรต่อ

“เป็นอะไรมากไหมครับ” คนตรงหน้าผมเอ่ยถามผมทันที เขาทำท่าจะเข้ามาจับผมด้วยล่ะ

“ผม มะ มะ ไม่เป็นอะไรครับ แต่นี่สิ แหะๆ” ผมรีบยิ้มแล้วบอกคนข้างหน้าไปพร้อมกับชี้ที่โทรศัพท์ของผมที่ตอนนี้หน้าจอร้าว แบตกระจายไปแล้วให้ดู ผมที่ในตอนนี้สติได้หลุดลอยออกไปไกล ยังไม่สามารถเรียกกู้กลับคืนมาได้นั้น

     เขาคนนั้นก็ดึงโทรศัพท์ของผมเข้าไปดูและดูเหมือนพูดอะไรสักอย่างออกมาก่อนที่สติของผมจะไม่รับรู้การได้ยินในสิ่งที่เขาคนนั้นพูดกับผมก่อนที่สายตาและสติของผมนั้นจะดับวูบลงไป

     ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ห้องนี้ไม่ใช่ห้องของโรงแรมที่ผมจองไว้นี่หน่า หรือว่านี่จะเป็นอพาทเม้นท์ของเขาคนนั้น ฮือออออออ แค่คิดก็เขินแล้วล่ะครับ

     ผมว่าผมต้องฝันไปแน่ๆเลยล่ะครับ ที่จู่ๆผมก็ได้บังเอิญเจอกับเขาคนนั้น คนที่ผมคอยตามเขามาตลอดห้าปีที่ผ่านมา นี่ผมกำลังนอนหลับแล้วฝันอยู่ใช่ไหมครับ มันไม่มีเรื่องอะไรที่จะบังเอิญได้ขนาดนี้แล้ว ผมได้พบกับคนคนนั้นของผมตัวจริง เสียงจริงเลย ถึงแม้ว่าการที่เราคุยกันมาตลอดห้าปีที่ผ่านมานั้น เขาอาจจะจำผมไม่ได้ก็ได้ เพราะข้อความที่เราคุยกันนั้นนานๆทีเขาถึงจะมาตอบผมกลับ เพราะไม่ใช่มีผมแค่คนเดียวเท่านั้นที่ส่งไปคุยกับเขา ยังมีคนอีกหลายๆคนที่คอยส่งไปคุยกับเขาอยู่ไม่ขาด
แล้วผมล่ะ ผมคนที่คอยตามเขามาตลอดอยู่ในมุมๆนึงที่เขามองไม่เห็นมาตลอด เขาจะจำผมได้เหรอ ผมว่าผมต้องโทรศัพท์หาคูปป์หรือไม่ก็ไอ้ตรอง หรือเฮียๆคนใดคนนึงของผมแล้วล่ะ แต่เอ๊ะ!!! ผมจำได้ว่าโทรศัพท์ของผมมันไม่เหลืออะไรที่จะให้โทรหาใครได้แล้วนี่หว่า งั้นก็แสดงว่าผมต้องอยู่อพาทเม้นท์ของเขาแน่ๆเลยล่ะครับ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ได้แต่นอนบิดตัวไป บิดตัวมาอยู่บนที่นอน เอาผ้าห่มมากัดและได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเขินอายกับความคิดที่อาจจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดไปเองก็ได้
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก....

     เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ผมรีบสะบัดหัวออกจากความคิดที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ออกทันที ผมรีบหลับตากลั้นหายใจทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง

“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงที่เขาคนนั้นเอ่ยพูดกับผมมาทำไมมันช่างดูอบอุ่นแบบนี้วะ

“ดะ ดีขึ้นแล้วล่ะครับ นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับ ว่าผมได้เจอกับมือกลองของวงร็อคชื่อดัง” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นๆอยู่เล็กน้อย แต่ในใจผมนี่อยากจะร้องตะโกนดังๆออกมาอยู่แล้ว

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ หืม” ได้โปรดเถอะครับอย่าทำน้ำเสียงแบบนี้กับผม ผมใจจะละลายอยู่แล้วครับ(น้องเปอร์เก็บอาการหน่อยลูก)

“ผะ ผะ ผมคิดว่าตอนนี้ ผมยังนอนอยู่ ละ ละ...แล้วคุณก็เข้ามาอยู่ในความฝันของผม” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมตื่นอยู่หรือว่านี่ผมกำลังฝันอยู่กันแน่

“แล้วถ้านี่คือความฝันของคุณ ผมจะลองพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้วกันว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่”

     ว่าแล้วพอเขาคนนั้นพูดจบก็เดินลงมานั่งข้างเตียงที่ตอนนี้ผมได้นอนอยู่ ที่นอนได้ยุบยวบลงไปพร้อมกับท่อนแขนอันยาวแต่มีกล้ามเป็นมัดๆ ได้ยื่นออกมาพร้อมกับเสียงที่ดัง “ป๊อก”

“โอ๊ยยย” ผมร้องออกมาอย่างดังพร้อมกับเอามือลูบขึ้นไปที่หน้าผากของตัวเองเบาๆ

“หึหึ แล้วทีนี้จะคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าความฝันกันล่ะ พ่อหนุ่มน้อย” ผมล่ะไม่ชอบใจเสียงหัวเราะของคนตรงหน้าจริงๆ เพราะมันคล้ายกับที่คูปป์ ไอ้ตรองและเฮียๆจะแกล้งผมทุกทีเลย

“เชื่อแล้วล่ะครับว่านี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาๆนิดหน่อยพร้อมกับส่งสายตาแบบเคืองๆไปให้ ไม่เห็นต้องดีดแรงขนาดนี้เลยก็ได้

“หิวอะไรไหมคุณ คุณนอนไปนานเหมือนกันนะ”

“ถ้าผมไม่ขึ้นมาดูคุณคราวนี้แล้วคุณยังไม่ตื่น ผมคงจะต้องเรียกรถพยาบาลมาแล้วล่ะ”

     ทุกคนครับมันคือความจริงอะทุกคน แล้วผมจะต้องทำอย่างไรต่อดีเนี่ย ในหัวผมมันว่างเปล่าไปหมดแล้ว ผมได้แต่นึกถึงป๊าม๊า เปอร์จะทำไงต่อดีครับ ผมได้มาเจอเขาคนนั้นแล้ว และได้มาอยู่ในห้องของเขาคนนั้น แถมยังได้คุยกับเขาต่อหน้าอีก เปอร์นึกอะไรไม่ออกแล้วล่ะครับตอนนี้ ทำไมมันบังเอิญได้ขนาดนี้กันนะ นี่ขนาดแค่มาถึงวันแรก ก็เกิดเรื่องเกิดราวซะแล้วสิ ผมได้แต่ตกอยู่ในความคิดของผมนาน นานจนเกือบจะทำให้ผมลืมคนที่อยู่ตรงข้างหน้าไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาถามอะไรผม

“เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณว่าอะไรนะครับ เมื่อกี้ผมไม่ทันฟังน่ะครับ” ผมถามเขากลับไปพร้อมกับมือยกขึ้นเกาท้ายทอยแบบเขินๆ

“ผมถามว่าคุณน่ะ หิวไหม เพราะคุณนอนไปนานมากเหมือนกันนี่ก็เย็นมากแล้วด้วย เมื่อกลางวันคุณก็หมดสติไปซะก่อนอีก”

“ผมยังไม่หิวน่ะครับ” ผมตอบปฏิเสธกลับไป “โครก ครืด ครืดดดด” ไอ้กระเพาะบ้าจะมาร้องอะไรตอนนี้เนี่ย ผมส่งยิ้มอายๆ ไปให้กับคนข้างหน้า

“ครับ ครับ ไม่หิวสักนิดเลยเนอะ เอาเป็นว่ามาทานอะไรสักหน่อยก่อนจะดีกว่านะครับ” ทำไมจะต้องมาทำเสียงล้อเลียนผมด้วยนะ ผมนี่อายจนอยากจะแทรกตัวหนีหายไปเลยล่ะครับ

“แล้วเราค่อยคุยกันเนอะ” อย่ามาเนอะได้ไหมครับ ผมจะตายแล้วจริงๆ ยิ่งน้ำเสียงที่ทุ้มและดูอบอุ่นของเขาพูดออกมานั้น มันเหมือนเป็นประโยคคำสั่งปนขอร้องแบบอ้อนๆอะทุกคน

     ผมเดินตามเขาคนนั้นเพื่อที่จะลงมาข้างล่าง สายตาของผมก็คอยสังเกตไปด้วยหรือนี่มันจะไม่ใช่อพาทเม้นท์ของเขานี่ นี่มันต้องเป็นบ้านเขาแน่ๆ ผมมองรอบๆดูภายในบ้านของเขาไปด้วย ดูเหมือนว่าข้างบนนี้จะมีอยู่สี่ห้องนะครับ ผนังเป็นสีออกขาวครีมแบบด้านๆ ผมสังเกตเห็นมีบันไดขึ้นไปชั้นบนอีก เอ๊ะหรือว่านี่จะเป็นอพาทเม้นท์ของเขากันนะ ตึกที่ผมเคยเห็นผ่านรูปที่มีคนเคยถ่ายได้ตอนเจอเขากำลังชะโงกหน้าลงมาจากหน้าต่างเพื่อมองผู้คนที่อยู่ข้างล่าง

     จนผมเริ่มเห็นตรงกำแพงผนังมีชั้นวางหนังสือและรูปต่างๆแขวนเรียงรายอยู่บนนั้น เหมือนจะมีรูปของเขาตั้งแต่เด็กๆ ไล่จนมาถึงตอนเขาโตขึ้นเรื่อยๆ และจนผมมาหยุดมองรูปสุดท้ายที่แขวนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดมา มันเป็นรูปที่ทำให้ผมถึงกับต้องหยุดมองภาพนั้นทันที เพราะภาพนั้นเป็นภาพที่ทำให้ผมชอบเขามากๆ จนมาถึงทุกวันนี้ไม่คิดว่าเขาก็จะชอบภาพนี้เหมือนกันกับผมจนถึงกับต้องอัดใส่กรอบมาแขวนไว้

     มันเป็นภาพที่เขากำลังเล่นดนตรีในคอนเสิร์ตนึง ที่ลอนดอนเมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว ก่อนที่ผมจะได้รู้จักกับเขาเสียอีก ในภาพนั้นถ่ายเขาจากด้านหลัง ในขณะเขากำลังยกมือขึ้นทั้งสองข้าง โดยที่ยังมีไม้กลองอยู่ในมือ เขายืนขึ้นจากเก้าอี้ที่เขานั่ง ภายใต้ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่ปรากฎออกมาอย่างมีความสุข เยื้องหลังเขาออกไปนั้นเป็นกลุ่มผู้คนที่เข้ามาดูคอนเสิร์ตในครั้งนั้นจนเต็มไปทั้งฮอลล์ บวกกับแสงสี ของไฟที่กำลังส่องลงมาที่เขา ทำให้เขาดูเจิดจรัสมากในท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น

     ตลอดทางเดินพื้นนั้นปูไปด้วยไม้ปาเก้ที่เคลือบแล้วอย่างเงาวับ ผมได้แต่คิดในใจว่าจะลื่นมั้ย และดูๆแล้วคงไม่ใช่อพาทเม้นท์ที่เขาอยู่แน่ๆ อาจจะเป็นบ้านที่เขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเขาที่ออกห่างจากเมืองดับลินมาไม่ไกลเท่าไหร่ ผมทราบได้ยังไงน่ะเหรอ ก็ตามโซเชียลที่ไปสืบมานั่นแหละครับ

     ผมเดินตามเขามาถึงห้องครัวก็ได้พบกับผู้หญิงสูงอายุคนนึงที่ดูใจดี อบอุ่น จึงอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะเป็นแม่ของเขาแน่ๆเลย ผมรีบยกมือขึ้นไหว้อย่างเคยตัวที่เวลาเจอผู้ใหญ่ ผมมักจะยกมือขึ้นไหว้ทันที เขาก็ตกใจนิดนึงที่ผมยกมือขึ้นไหว้ จนผมตั้งสติได้เลยรีบบอกท่านไปว่านี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทย ใช้เวลาเจอคนที่มีอายุมากกว่าเราจะยกมือขึ้นไหว้แสดงความเคารพหรือทักทายกันตอนที่เราเจอกับตอนที่เราจะลาจากกัน

“นั่งตามสบายเลยนะลูก แม่กำลังทำสตูว์อยู่ นี่ก็ใกล้จะได้แล้วล่ะ รอแปปนึงนะจ๊ะ นั่งคุยกับพี่เขาไปก่อนนะลูก” ท่านบอกผมก่อนที่ท่านจะหันหลังกลับไปคนหม้อสตูว์ ที่ทำค้างไว้ต่อ

“เริ่มหิวแล้วล่ะสิ มองตาไม่กระพริบเลยนะ”

“ใครว่าล่ะครับ ผมก็แค่อยากดูเท่านั้นเองแหละ ว่าจะเหมือนกับที่ผมเคยอ่านเจอมารึเปล่าเท่านั้นเอง” ผมบอกคนตรงหน้าไปก่อนที่เขาจะทำเสียงล้อเลียนผมอีกครั้งนึง

“ว่าแต่เราชื่ออะไรนะ แล้วมาจากที่ไหนกัน แล้วมาทำอะไรที่ดับลินเหรอ แล้วคุณมากับใคร ผมก็ลืมถามคุณไปเลย มัวแต่เป็นห่วงคุณน่ะ เห็นไม่ยอมตื่นสักที ผมก็ไม่กล้าเปิดดูกระเป๋าของคุณด้วย แถมตอนที่อยู่สนามบินก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นด้วย ผมเลยบอกไปว่าเรารู้จักกัน ผมกลัวโดนข้อหาลักทรัพย์น่ะ หึหึ” ประโยคสุดท้ายนี่ดูเหมือนเขาจะกวนผมเลยนะครับ ทุกคนว่าไหม 55555

“ผมชื่อเปอโยต์ เรียกว่าเปอร์ ก็ได้ครับ ผมเดินทางมาจากประเทศไทยน่ะครับ คุณรู้จักไหม ผมตั้งใจจะมาที่นี่เพื่อที่จะมาเจอคนๆนึง แต่ผมก็ไม่ได้หวังว่าผมจะได้เจอเขาหรอกนะครับ แล้วอีกอย่างผมก็อยากมาเที่ยวด้วย ผมอยากมาที่นี่นานแล้วแต่ไม่ได้มีโอกาสที่จะมาสักทีนึง ปกติมาก็ถึงแค่อังกฤษ ฝรั่งเศส สก็อตแลนด์ เนเธอร์แลนด์ แต่ไม่เคยได้ข้ามมาถึงที่นี่สักทีเลย”

      ผมตอบเขากลับไป ใครจะบอกล่ะว่าที่พูดไปว่าไปประเทศนั้นประเทศนี้ ก็ไปตามเขาที่คอนเสิร์ตทั้งนั้นแหละ แต่ใจผมไม่กล้าพอที่จะมาดูเขากลับมาเล่นที่บ้านเกิดเขาเองหรอก กลัวใจจะไม่ยอมกลับไปด้วยนั่นแหละ 55555 ล้อเล่นนะครับทุกคน ช่วงที่เขาเปิดคอนเสิร์ตที่บ้านเขานั้นผมมีธุระพอดีเลยไม่สามารถที่จะมาดูเขาได้เท่านั้นเอง

“จริงๆแล้วผมมากับพี่ชายแหละครับ แต่ว่าพี่ชายกับแฟนเขานั้นแยกจะไปเที่ยวที่อังกฤษก่อน แล้วจะตามมาทีหลัง นี่ก็นัดเจอกันวันที่ 31 ที่จะถึงนี้น่ะครับ”

“งั้นระหว่างนี้คุณก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ช่วงนี้ผมว่างยาวเลย ก็มีแต่วันที่ 24 นั่นแหละที่จะต้องออกไปร่วมเล่นดนตรีกับนักร้องท่านอื่นๆ ให้ผมเป็นไกด์พาคุณเที่ยวไหม ไหนๆผมก็ชนคุณจนมือถือคุณพังไปแล้วด้วย ระหว่างที่รอพี่คุณมาคุณก็มาพักที่บ้านผมก่อนได้ ไปคนเดียวยิ่งอันตรายอีก” เขาคนนั้นบอกออกมาก่อนที่ผมจะตอบเขากลับไป

“ใครว่าคุณชนผมล่ะครับ ผมต่างหากที่มัวแต่ก้มหน้าดูโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันสังเกต ผมขอกลับไปพักที่โรงแรมดีกว่าครับ อีกอย่างผมก็เสียเงินค่าจองโรงแรมไปแล้วด้วย ผมไม่อยากเสียเงินไปเปล่าๆน่ะครับ จองไว้ตั้งหลายวัน”

“แต่แม่ว่าก็มาพักที่นี่ก่อนก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ ยิ่งเราอยู่คนเดียวด้วย ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นรึเปล่า”ท่านบอกกับผมด้วยน้ำเสียงที่ดูออกจะเป็นห่วง

“มันจะดีหรือครับ ผมเกรงใจจังเลยครับ” ผมบอกกับท่านไปอย่างเกรงใจ แต่ใจผมนี่สิ อะไรมันจะโดนดาเมจรุนแรงขนาดนี้ นี่แค่ผมหมดสติไปแล้วเขาก็พากลับมาบ้าน ทำไมเขาทำเหมือนกับว่าเขารู้จักกับผมมานานแล้วล่ะ

“โอ๊ย ลูก จะเกรงใจอะไรกันล่ะจ๊ะ แม่ก็อยู่กับพี่เขาแค่สองคนเอง ส่วนพ่อเขาต้องไปทำธุระที่อีกเมืองนึง กว่าจะกลับมาบ้านก็วันคริสต์มาสนู่นแหละจ๊ะถึงจะกลับมา”

“อย่างที่แม่ผมบอกนั่นแหละ อยู่พักค้างที่นี่ นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้วด้วย ผมไม่อยากขับรถออกไปแล้ว”

“เอาอย่างนี้ก็ได้ครับ งั้นระหว่างนี้ผมขอยืมโทรศัพท์คุณโทรบอกกับครอบครัวผมก่อนนะครับ ป่านนี้คงเป็นห่วงผมกันแย่แล้วล่ะ ที่อยู่ๆก็ขาดการติดต่อไป” ทันทีที่ผมพูดจบเขาคนนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม
     ผมเลยขอตัวออกมาโทรศัพท์หาหม่าม้า ผมกดหมายเลขปลายทางเสร็จก็รอสัญญาณอยู่สักพักนึง ผมไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าหม่าม้าของผมจะรับสายไหมเพราะเป็นเบอร์ต่างประเทศซะด้วยสิ ก่อนที่จะมีเสียงหวานๆ อ่อนโยนๆ รับสายของผมขึ้นมา

“สวัสดีค่ะ” เสียงหม่าม้าของผมนี่เพราะจริงๆ

“หม่าม้า นี่เปอร์นะครับ”ผมรีบบอกม๊าก่อนที่ม๊าจะได้ถามว่าผมเป็นใคร

“ว่าไงลูก เป็นอะไรรึเปล่า ม๊าโทรหาเราก็ไม่ติด นี่ยังดีนะที่ม๊ายังไม่ได้บอกเจ้าคูปป์ไปน่ะ รายนั้นก็โทรมาหาม๊าว่าไม่เห็นเราโทรไปหาเลย ม๊าเลยบอกไปสงสัยเรายังคงเจ็ตแลคอยู่ ไม่งั้นมีหวังเราโดนลากตัวกลับมาแน่ๆ ไหนเล่าให้ม๊าฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” หม่าม้า นี่รัวมาเป็นชุดเลยนะครับ ต้องขอบคุณหม่าม้าที่น่ารักของผม ที่ยังไม่บอกกับคูปป์ไป ผมเลยเล่าให้หม่าม้าฟังตั้งแต่ที่ชนกับเขาคนนั้นที่สนามบินแล้วเขาพากลับมาที่บ้านจวบจน เขาชวนให้ผมพักที่บ้านเขาระหว่างที่รอเฮียจาร์คกับใบยอมา

“ม๊าว่า โยต์ก็พักที่นั่นก็ดีนะลูก ม๊าล่ะเป็นห่วงเราจริงๆ ยิ่งป้ำๆเป๋อๆ อยู่ด้วย เผลอๆม๊าว่า ม๊าคงได้ลูกเขยกลับมาด้วยก็คราวนี้ล่ะมั้ง 555555”

“หม่าม้า อ่า!!! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ เปอร์เขินนะเนี่ย 55555”

“เขาคงจำเปอร์ไม่ได้หรอก แล้วเขาก็คงเห็นว่าเปอร์มาคนเดียวด้วยเลยให้มาพักที่บ้านเขาได้น่ะ เขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอกครับม๊า อีกอย่างเปอร์ก็ไม่ได้หวังให้เขาจำเปอร์ได้สักหน่อย แค่ทุกวันนี้ที่เป็นอยู่มันก็ดีแล้วล่ะครับ” ผมบอกกับหม่าม้าอย่างเสียงอ่อยๆ

“งั้นสรุปแล้วเราจะเอายังไงล่ะ แต่ที่ม๊าบอกเราไปให้พักที่บ้านเขาก็ดีนะลูก รอจาร์คกับหนูใบยอมาแล้วก็ค่อยกลับมาพักที่โรงแรมอย่างนี้น่าจะดีกว่าเนอะ” ทำไมดูเหมือนหม่าม้าอยากจะให้ผมพักที่บ้านเขาคนนั้นจังเลยล่ะ ไม่ใช่ว่าหม่าม้ากำลังจะสนุกอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมได้แต่คิดในใจ

“เอาอย่างที่ม๊าบอกเปอร์ก็ได้ครับ ไว้เปอร์ซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้วจะโทรไปหาอีกทีนึงนะครับม๊า เดี๋ยวเปอร์ต้องโทรไปหาคูปป์ก่อน ฝากม๊าบอกกับเฮียจาร์คด้วยนะครับว่าไม่ต้องเป็นห่วง เฮียเปอร์เอาอยู่”

“จ๊ะลูกยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ” แล้วหม่าม้าของผมก็วางสายไป

     ผมต้องรีบโทรไปบอกคูปป์ก่อนที่นางจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่งั้นอย่างที่หม่าม้าบอก ถ้าผมไม่โทรผมคงจะโดนลากกลับบ้านแน่ๆ แล้วทริปของผมก็จะสลายลงไปในพริบตา ผมคุยกับคูปป์อยู่สักพักใหญ่ๆก่อนที่จะวางสายไป คูปป์ก็ถามว่าทำไมไม่เอาเบอร์ผมโทรมาหาเขา ผมนี่ก็แถไปเรื่อยก่อนล่ะครับ ยังไม่กล้าบอกว่ามาอยู่ที่บ้านเขาคนนั้นแล้ว

     ผมเดินกลับเข้ามาข้างในครัวพร้อมกับโต๊ะทานข้าวที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดมากเลยครับ กระเพาะของผมเริ่มเรียกร้องความสนใจจากอาหารที่อยู่ตรงข้างหน้านี้อย่างจริงๆจังแล้วด้วยสิ

“คุยกับที่บ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหมจ๊ะ งั้นเราทานข้าวกันเลยดีกว่านะลูก”แม่ของเขาคนนั้นเอ่ยขึ้นมาทันทีที่ผมเดินกลับเข้ามาภายในห้องครัว

“ครับ หม่าม้าบอกให้ผมพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ครับ เพราะท่านก็เป็นห่วงผมอยู่เหมือนกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมมาคนเดียวแบบนี้ เพราะปกติแล้วจะมีพี่กับน้องหรือเพื่อนสนิทของผมมาด้วยตลอดเลย”

“งั้นก็ทำตัวตามสบายเลยนะลูก คิดซะว่านี่เป็นบ้านอีกหลังของหนูก็แล้วกัน” พอท่านพูดจบเราก็ลงมือรับประทานอาหารกัน มีบ้างที่เขาคนนั้นคอยพูดแทรกขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแม่ของเขามากกว่าที่จะชวนผมคุยด้วยน่ะครับ

     หลังจากทานข้าวกันเสร็จผมก็ไปช่วยแม่ของเขาคนนั้นล้างจานและกลับมานั่งคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่น ภายในห้องนั่งเล่นนั้นมีเตาผิงไฟที่รอบเตานั้นฉาบไปด้วยไม้เคลือบสีดำเงา มีลายแกะสลักบนแผ่นนั้นอย่างประนีต โซฟาหนังสีแดงที่ดูจะตัดกับเตาผิงไฟได้ดีนั้นข้างๆโซฟาเป็นโคมไฟที่ดูเหมือนออกแบบให้คล้ายกับรูปพินใหญ่ ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของไอร์แลนด์ มีทีวีที่ตั้งอยู่ตรงตู่ที่บิ้วอินเข้ากับตรงผนังเพื่อให้ดูเป็นระเบียบยิ่งขึ้น

     ผมนั่งคุยกับแม่ของเขาคนนั้นอยู่พักใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นผมซะมากกว่าที่เราเรื่องของตัวเองให้ฟัง ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน มีพี่น้องกี่คน พ่อแม่ทำงานอะไร แล้วแม่ของเขาคนนั้นก็เล่าให้ผมฟังบ้างว่า บ้านนี้ปกติแล้วแม่จะอยู่กับพ่อเขาแค่สองคน เขาคนนั้นท่าว่างจากทัวร์หรือทำงานที่สตูในลอนดอน ก็มักจะกลับมาอยู่บ้านตลอดไม่ค่อยออกไปไหนสักเท่าไหร่ ส่วนพี่ชายนั้นแต่งงานและย้ายไปอยู่อเมริกาและส่วนน้องสาวเขาคนนั้นก็แต่งงานออกไปอยู่กับสามีได้สองสามปีแล้วตอนนี้กำลังมีลูกเล็กๆอยู่ด้วย

“นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว แม่ว่าหนูเปอร์ขึ้นไปพักผ่อนก่อนดีกว่าไหมจ๊ะ ยิ่งวันนี้เหมือนจะเป็นลมหมดสติไปด้วย”

“ได้ครับ ผมก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่เหมือนกัน” ผมตอบแม่ของเขาคนนั้นกลับไป

“งั้นหนูเปอร์ก็นอนห้องที่เรานอนไปเมื่อต้องบ่ายนั้นก็ได้จะ ปกติไม่มีใครอยู่อยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวแม่ให้พี่เขาช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปที่ห้องนะจ๊ะ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมกล่าวขอบคุณแล้วลุกเดินตามเขาคนนั้นขึ้นไปบนห้องเดิมที่ผมนอนพักไปเมื่อตอนบ่าย

“ถ้าคุณขาดเหลืออะไรก็มาเคาะเรียกผมที่ห้องนี้ได้นะ” เขาคนนั้นเอ่ยบอกแล้วชี้มือไปทางห้องฝั่งตรงข้ามกับห้องที่ผมพักอยู่

“ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆนะครับที่ชวนให้ผมพักอยู่ที่นี่”

“หึ หึ” นั่นไงหัวเราะแบบนี้อีกแล้วมันหมายความว่าไงฟระ แถมยิ้มแบบมีเลศนัยนั่นอีก ผมนี่ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าเขาอาจจะสนใจผมก็ได้ 55555 ความมโนนี้คงไม่มีใครเกินผมแล้วล่ะครับ ชอบคิดอะไรเองเออเองตลอด

“ยังไงก็พักผ่อนตามสบายนะคุณ ผมขอตัวก่อน”

      เขาคนนั้นว่าจบ เขาก็เดินตรงไปที่ห้องของเขาโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับมามองผมอีก แต่ก็ดีแล้วล่ะครับแค่นี้ ที่ทำให้เขาไปไม่ได้ต้องเห็นใบหน้าของผมที่ฉีกยิ้มจนจะถึงใบหูอยู่แล้ว ไม่งั้นมีหวังได้โดนเขาคนนั้นพูดจาล้อเลียนผมอีกเป็นแน่ แค่นี้ผมก็ใจสั่นขนาดสิบริกเตอร์ได้ จนทำให้จะเกิดคลื่นสึนามิในใจผลแล้วล่ะครับ



ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #6 เมื่อ26-11-2018 18:08:51 »

อยากรู้วีรกรรมคูเปอร์เลย 555555


ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ :m23:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #7 เมื่อ27-11-2018 10:19:33 »

ตกใจจนเป็นลมถูกมั้ย 5555555555
รอติดตามค่า

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #8 เมื่อ27-11-2018 21:45:39 »

ติดตามจ้า

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock04
«ตอบ #9 เมื่อ29-11-2018 16:37:49 »

Shamrock04

เช้าของวันต่อมา

     ทั้งหมดนี้มันคือเรื่องจริงใช่ไหมครับ ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมที่ผมได้เจอกับเขาคนนั้น ได้ทานข้าวด้วยกัน ได้พูดคุยกัน ได้มาพักที่บ้านของเขาคนนั้นแถมยังได้คุยกับแม่ของเขาคนนั้นอีกด้วย จะมีใครโชคดีแบบผมไหมนะที่ได้มาพักบ้านของคนที่ตัวเองตามมาตลอดห้าปี ผมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วลงไปข้างล่าง

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณแม่” ผมกล่าวทักทายคุณแม่ของเขาคนนั้น ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ท่านเพื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้

“อรุณสวัสดิ์จ้า หนูเปอร์” คุณแม่ท่านเรียกผมซะดูเหมือนผมบอบบางเลยล่ะครับ

“เช้านี้แม่ทำไอริชเบรกฟาสต์ให้ทานจ๊ะ หนูเปอร์อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมลูก”

“ไม่มีครับ ผมแพ้ถั่วอย่างเดียวครับ นอกนั้นทานได้หมดเลยฮะ” ผมบอกท่านไป

      เพราะไอริชเบรคฟาสต์นั้นมีทั้ง ถั่วขาวในซอส มันฝรั่งหั่นเต๋า แฮชบราวน์ ขนมปังปิ้งพร้อมเนยสด ไส้กรอกหมูสไตล์ไอริช ไข่ดาว2ฟอง และที่เด็ดสุดในเมนูนี้คือแบล็คพุดดิ้ง ที่ทำจากเลือดไก่ผสมกับลูกเดือย ทานคู่กับมะเขือเทศย่างครับ จากที่ผมเคยดูตามเว็บไซต์มานะครับ แต่ละที่ก็จะทำคล้ายๆกันนี้ล่ะ บางทีก็จะเน้นปริมาณของถั่วมากกว่าอย่างอื่น หรือบางที่ก็จะใส่เบคอนลงไปด้วย

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับคุณแม่”

“ไม่มีจ๊ะ” คุณแม่ท่านตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเหมือนเขาคนนั้น นี่คงจะถอดแบบออกมาจากแม่เขาสินะรอยยิ้มแบบนี้

“งั้นแม่รบกวน หนูไปตามพี่เขามาทานอาหารเช้าก็แล้วกันนะจ๊ะ พี่เขาอยู่ในสวนตรงด้านนอกนะลูก” ท่านบอกผมก่อนที่ผมจะเดินออกไป ตอนแรกคิดว่าเขาคนนั้นจะอยู่บนห้องซะอีก

“ได้ครับ” ผมตอบตกลงท่านก่อนที่จะเดินไปหาเขาคนนั้นที่สวน

      ระหว่างสองข้างทางเดินที่ผมเดินออกไปนั้น มีต้นไม้ปลูกเรียงรายสลับกันไปกับดอกไม้เมืองหนาว บนพื้นก็ถูกปูไปด้วยหินสีขาวสลับกับอิฐบล็อกสีเทา ทำให้ดูเข้ากับสีของตัวบ้าน มีบ่อน้ำพุเล็กๆอยู่ทางซ้ายมือ พอเดินไปอีกหน่อยก็จะพบลานกว้างที่ตรงแต่งไปด้วยอิฐบล็อก ลายหินอ่อน ตรงข้างๆกับโต๊ะกลมที่รายล้อมไปด้วยเก้าอี้เข้าชุดสีดำนั้น มีบ่อเล็กๆอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคืออะไร

“คุณครับ ”ผมเอ่ยเรียกเขาคนนั้นด้วยเสียงเบาๆ ที่เขาคนนั้นดูเหมือนกำลังหลับอยู่ โดยที่หูของเขานั้นมีสายหูฟังเสียบอยู่ทั้งสองข้างเขาจะได้ยินที่ผมเรียกไหมนะ

“คุณ”

“คุณ”

“คุณ” เรียกตั้งหลายครั้งแล้วยังไม่ได้ยินอีก หรือว่าเขาจะหลับลึกจริงๆนะ

“คุณครับ” คราวนี้ผมเรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่แขนเขาด้วย

หมับ

“เอ๊ยย” ผมส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจเพราะมือที่ผมไปจับแขนเขาอยู่นั้น โดนมือของเขาจับมาที่ผมอีกทีนึง ใจหายหมดเลย เล่นอะไรของเขาเนี่ย

     คนตรงหน้าผมค่อยๆเงยหน้าลืมตาขึ้นมามองหน้าผมก่อนที่เขาจะส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นมาให้กับผม สายตาของเขานั้นกำลังจ้องมองมาที่หน้าของผมอย่างไม่ละสายตา นั่นไง นั่นไง สายตาที่ดูอบอุ่นของเขานั้นคือพลังของการทำลายล้างขั้นสุด ใบหน้าของผมเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ผมรีบหลบสายตาและชักมือกลับไปที่ข้างตัวก่อนที่ตัวผมจะระเบิดออกมา

“เอ่อ คุณแม่ท่านให้ผมมาตามคุณไปทานอาหารเช้าน่ะครับ” ผมบอกเขาคนนั้นไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อย

“งั้นก็ไปครับ” พอเขาคนนั้นพูดจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับมือผมเดินกลับเข้าไปข้างในบ้านด้วยกัน

     ผมอยากจะออกไปตะโกนดังๆจังเลยครับตอนนี้ มือผมชื้นไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว ทำไมเขาต้องจับมือผมเดินไปด้วยล่ะ ทำไมเขาต้องมาทำให้ผมใจสั่นได้ขนาดนี้ ทำไมเขาไม่พูดอะไรเลย แต่เขาทำให้ผมได้สัมผัสความอ่อนโยนของเขาตลอดทางเดินที่เขาเดินจับมือผม ผมได้แต่เดินเงยหน้ามองเขาจากทางด้านหลัง ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ จะว่าเซอร์วิสแฟนคลับก็ไม่ใช่ เพราะผมก็ยังไม่ได้บอกเขาไปเลยว่าผมก็เป็นหนึ่งในแฟนบอยของเขา เขาคงจะยังไม่รู้หรอกมั้งครับ
เราเดินกลับมาจนถึงในบ้านเขาคนนั้นถึงได้ปล่อยมือผมออกจากมือของเขาที่กุมมือผมเอาไว้

“แม่ว่ากำลังจะออกไปตามพอดีเลย งั้นมาทานอาหารเช้ากันก่อนนะลูก แล้วเราจะพาน้องออกไปยกเลิกการจองที่โรงแรมใช่ไหม งั้นก็พาน้องเขาไปเที่ยวต่อเลยสิ ไหนๆเราก็ว่างอยู่แล้ว” คุณแม่หันไปบอกกับคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือของท่าน ก่อนที่เราจะเริ่มทานกัน

“คุณแม่ไปด้วยกันนะครับ”

“ตามสบายเลยลูก แม่ว่าจะเข้าไปดูในสวนท้ายบ้านน่ะ”

“ที่บ้านมีสวนอะไรเหรอครับ ไว้ผมไปดูด้วยได้ไหมฮะ”

“ได้สิจ๊ะ ไว้ให้พี่เขาพาเข้าไปดูแล้วกันนะลูก”

     บทสนทนาในเช้านี้ที่โต๊ะอาหารมีไม่มากนัก เพราะคุณแม่ของเขาคนนั้นต้องรีบเข้าไปดูในสวนส้มน่ะครับ ผมถามตอนที่เรากำลังทานอาหารเช้ากัน ก่อนที่มื้อนั้นจะจบลงที่ เขาคนนั้นจะเป็นคนล้างจาน ส่วนผมก็ขึ้นไปเตรียมตัว เพื่อที่จะไปยกเลิกการจองโรงแรม ผมก็ไม่แน่ใจว่าทางโรงแรมจะคืนเงินให้ไหม ก็เลยตัดสินใจไปคุยที่โรงแรมเลยจะดีกว่าน่ะครับ

     เรามาถึงโรงแรมที่ผมจองก่อนจะมาที่ดับลินกันแล้วครับ ตอนนี้ผมได้แต่นั่งรอเขาคนนั้นที่ไปคุยกับผู้จัดการโรงแรมแทนผมก่อน มีหลายช่วงจังหวะนั้นที่สายตาของผู้จัดการโรงแรมมองมาที่ผม พร้อมกับรอยยิ้มนิดๆที่เขาส่งมาให้ นั่นทำให้ผมเขินมากครับ ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นไปคุยว่าอะไรบ้าง แต่ความจริงมันไม่น่าจะนานขนาดนี้ไหมล่ะ และดูเหมือนเขาคนนั้นคุยกับผู้จัดการโรงแรมราวดูสนิทสนมกันมานานเลย

     ผมลอบสำรวจภายในโรงแรมไปด้วยระหว่างที่เขาคนนั้นยังคุยกับผู้จัดการโรงแรมอยู่ ผมไม่แปลกใจเลยล่ะครับว่าทำไมโรงแรมนี้ถึงติดอันดับที่มีคู่รักเข้ามาใช้บริการมากที่สุดในดับลิน เพราะตั้งแต่เข้าประตูมาที่เป็นบานพับดึงเข้า ดึงออกทั้งสองชั้น ตรงเข้ามาด้านในก็จะเป็นเคาเตอร์ไม้สีดำที่ตัดขอบด้วยไม้สีทองเป็นรูปครึ่งวงกลม ทางด้านขวามือนั้นเป็นที่นั่งโซฟาสีแดงเหลือบทองกำมะหยี่ ส่วนทางด้านซ้ายเป็นชุดเก้าอี้เดี่ยว ที่ออกสีชมพูแดงนวลๆ ฝาผนังตกแต่งไปด้วยโคมไฟสีแดงที่ดูจะตัดกันกับหลอดไฟที่ออกแสงสีส้มนวล มองเข้าไปลึกอีกหน่อยก็จะเป็นโซนห้องอาหาร เท่าที่ผมดูจากในเว็บไซต์มานั้น ที่นี่มีโซนวิสกี้ด้วยแหละครับ แล้วก็มาโซนที่เป็นบาร์แยกออกมาอีกที่นึง บรรยากาศดูเหมาะสมกับคนที่มาฮันนีมูนมากครับ
ถึงว่าทำไมเฮียจาร์คไม่ขัดผมที่จะจองโรงแรมนี้ไว้ให้มันด้วย เพราะมันเหมาะกับการที่เฮียจาร์คจะพาใบยอมาฮันนีมูนสุดๆเลยล่ะครับทุกคน

     ผมนั่งรอไปได้สักพักก็เริ่มเห็นมีกลุ่มผู้คนที่เข้ามาพักในโรงแรมต่างชี้นิ้วแล้วหันไปคุยกันกับคนที่มาด้วยกันนั้นไปทางเขาคนนั้นที่ยังคงคุยกับผู้จัดการโรงแรมอยู่ ผมไม่แปลกใจเลยล่ะครับว่าทำไมเขาคนนั้นถึงได้ดูโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตามหรือจะทำอะไรก็ดูจะเป็นจุดสนใจไปหมด

     แหม่!!! จะไม่ให้เขาคนนั้นดูโดดเด่นได้ยังไงกันล่ะครับเพราะเขาคนนั้นน่ะ มีความสูงถึงตั้งหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตร ไหนจะสีของดวงตาเขานั้นอีกที่ออกสีฟ้าอมเทานั้นที่ดึงดูดผู้คนให้มามองนั่นอีก แล้วคิ้วที่มีความหนาเข้มได้รูปที่ดูเข้ากับใบหน้าเรียวของเขาพร้อมกับลักยิ้มที่อยู่บนแก้มซ้ายของเขา ไหนจะหุ่นที่จะดูหนาแต่ก็ไม่หนา กล้ามแขนที่มีเส้นเลือดขึ้นเห็นได้ชัด บวกกับที่เขามีผิวขาวมากกว่าคนทั่วๆไป ตัดกับเส้นผมสีดำเงา หูทั้งสองข้างก็มีรอยเจาะที่ดูเข้ากันกับใบหน้าของเขา และยิ่งรอยสักบนไหล่ทั้งสองข้างนั้นอีกที่ยิ่งเพิ่มความมีเสน่ห์ของเขายิ่งขึ้นไปเป็นอีกสิบเท่า แล้วทำไมใครๆถึงจะไม่รู้จักมือกลองของวงร็อคชื่อดังในไอร์แลนด์และดังไปทั่วโลกกันล่ะครับ เพราะนั่นน่ะคือ โจเซฟ พาว ไงล่ะครับ เขาคนนั้นของใครหลายๆคน

“คุณ” เขาคนนั้นเอ่ยเรียกผมที่ตอนนั้นผมตกอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นั้น

“คุณครับ ผมคุยเสร็จแล้ว ทางโรงแรมจะจัดการโอนเงินคืนให้นะ ภายในเจ็ดวันนี้ คุณมีปัญหาอะไรไหม”

“ไม่มีปัญหาครับ อย่างนี้ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย ไม่อยากจะเสียเงินไปเปล่าๆน่ะครับ” ผมบอกเขากลับไปด้วยท่าทางที่โล่งใจขึ้นมา

“งั้นเราก็ไปกันเถอะคุณ วันนี้ผมจะพาคุณเที่ยวเอง ป่ะ ไปกันคุณ” เขาคนนั้นบอกกับผมก่อนจะเดินกลับไปกันที่รถของเขา

“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปซื้อโทรศัพท์ใหม่ก่อนก็แล้วกันนะ”

“ฮะ”

     หลังจากที่ซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้ผมแล้ว เราก็รถขับออกจากตัวเมืองมาได้สักพักแล้ว จากถนนหลายเลนก็เหลือแค่สองเลน รถมีไม่ค่อยเยอะ สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีทั้งฝูงวัว ฝูงแกะก็มีมากมาย เขาคนนั้นได้ทำการเปิดหลังคารถขึ้น เพื่อให้ได้รับลมเย็นจากข้างนอกแทนที่จะเปิดแอร์รถ เราขับรถผ่านหมู่บ้านราวด์วูด(Roundwood)ก่อน ซึ่งอยู่ในเมือง วิกโคลว(wicklow) เขาคนนั้นอธิบายให้ผมฟังว่า หมู่บ้านแห่งนี้ จัดได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดของไอร์แลนด์เลย หมู่บ้านนี้มีสีสันที่โดดเด่นคือตึกจะทาไปด้วยสีเหลืองอ่อน มีคนอาศัยอยู่ประมาณพันกว่าคนได้ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ขับออกมาจากหมู่บ้านได้สักประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะมาถึง เกลนดาเลาช์ (Glendalough) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้เลย เขาคนนั้นบอกว่าจะพาแวะที่นี่ก่อนกลับบ้าน แต่จุดหมายปลายทางของผมกับเขาคือ สุสานเรือดันโบรดี้ (Dunbrody) ผมไม่ลืมที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพต่างๆไปด้วย ตอบแชทกับคูปป์และไอ้ตรอง ในระหว่างที่เขาอธิบายให้ฟัง

“คุณ หิวหรือยัง” เขาเอ่ยถามผมหลังจากที่เราขับผ่าน เกลนดาเลาช์มา

“นิดหน่อยครับ เพราะนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วด้วย แล้วคุณล่ะหิวหรือยัง”

“นิดหน่อยเหมือนกัน งั้นเราถึงที่ นิวรอส แล้วเราค่อยเอาอาหารที่คุณแม่ท่านเตรียมไว้ออกมาทานก็แล้วกันเนอะ” พอเขาพูดจบก็หันมายกยิ้มให้ผมทีนึงก่อนจะหันกลับไปดูทางต่อ

ผมอยากจะขอซื้อคำว่าเนอะต่อจากเขาจริงๆเลยครับทุกคน

“อย่างที่คุณว่าก็ได้ครับ” ผมตอบเค้ากลับไปด้วยท่าที ที่เขินๆเล็กน้อย

“คุณมาเที่ยวบ่อยไหมครับ” ผมถามเขากลับไป

“หืม คุณหมายถึงไปที่ไหนล่ะ”

“กะ ก็ทุกที่ในไอร์แลนด์น่ะครับ”

“ส่วนมากผมจะไปที่เกลนดาเลาช์บ่อยสุดนะ ผมว่ามันเงียบสงบดี”

“อ่อออ”

“แล้วคุณมีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษมั้ยล่ะ”

“ผมอยากไป วิชชิ่ง สเต็ป (wishing steps) น่ะครับ แหะๆ” ผมบอกเขาไป

“หึหึ ไว้หลังวันที่ 24 แล้วผมจะพาคุณไปก็แล้วกันนะครับ คุณจะเดินขึ้นกี่รอบก็ได้ผมตามใจคุณ อะ ผมแถมให้จับมือตลอดการเดินขึ้นลงด้วยเลย” เขาหันมาตอบผมพร้อมหรี่ตายกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้ผมอีกแล้ว นี่เขากำลังอ่อยผมแบบอ้อมๆใช่ไหมครับทุกคน

“คุณ” ผมตะโกนออกไปอย่างเผลอตัว เขาทำให้ผมอายอีกแล้วล่ะครับ ก็ทำไมน่ะเหรอ

     ก็เพราะว่า วิชชิ่ง สเต็ป ( wishing steps) นั่นน่ะคือบันไดแห่งการอธิษฐาน ตามตำนานที่เล่ามาว่า หลายร้อยปีมาแล้วมีแม่มดตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า บราร์นี่วิช ได้มาเอาไม้ในป่าไปทำฟืนหลายต่อหลายครั้ง และเพื่อเป็นการตอบแทน แม่มดจึงให้พรกับผู้ที่มาเยือนที่นี่ทุกคน แต่พรนั้นจะสัมฤทธิผลต่อเมื่อ คนที่ต้องการขอพรต้องก้าวขึ้นและลงบันไดโดยหลับตาไว้ ในใจคิดถึงสิ่งที่ปรารถนาให้เป็นจริง หากสามารถทำได้ คนคนนั้นจะได้รับพรให้สมปรารถนาภายในหนึ่งปี จากที่ผมได้อ่านประวัติมานะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงไหมหรืออย่างไร เพราะฉะนั้นผมต้องไปลองแล้วผมจะมาบอกทุกๆคนนะครับ

     ผมหันหน้าออกทางด้านซ้ายแสร้งทำเป็นดูวิวข้างทางไปด้วย เขาคนนั้นจะไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าตอนนี้ใจผมนั้นเต้นแรงแค่ไหนแล้ว กับคำพูดของเขาทำให้ผมอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริงๆนะครับ ที่เคยคิดว่าเขาอาจจะจำผมได้

“คุณผมว่าเราทานกันบนรถเลยดีไหม”

“หะ คุณว่าอะไรนะครับ”

“เราทานอาหารกันบนรถเลยดีไหม”

“แล้วคุณจะทานยังไงล่ะครับ ไว้เราถึงที่นั่นก่อนแล้วเราค่อยหาที่นั่งทานกันดีกว่า”

“แต่ผมว่ามันจะเสียเวลาน่ะสิ”

“งั้นเราจอดข้างทางก่อนก็ได้นะครับ ถ้าคุณอยากทานก่อน” ผมตอบเขาคนนั้นกลับ

“เอาอย่างนี้สิ คุณก็ป้อนผมไปด้วยดีไหมล่ะ ที่คุณแม่เตรียมมาให้ก็เป็นเบอเกอร์ชิ้นเล็กๆ พอดีคำพอดีเลยไม่ยุ่งยากด้วย”

“จะเอาอย่างนั้นเหรอครับ” ผมถามย้ำเขาคนนั้นอีก

“อย่างนี้แหละคุณ” เขาคนนั้นตอบกลับมาด้วยสีหน้าว่าเราจะทานกันบนรถจริงๆ

     ผมถอดสายรัดออกเพื่อที่จะเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องข้าวที่คุณแม่ของเขาคนนั้นเตรียมมาไว้ให้เมื่อเช้า ก่อนที่พวกเราจะออกมากัน ภายในกล่องนั้นมีแฮมเบอเกอร์ชิ้นเล็กๆอยู่ประมาณสิบชิ้น แถมยังมีขนมปังกระเทียมอีกด้วย ข้างขนมปังกระเทียมก็มีกระปุกเล็กๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นมายองเนสที่ท่านเตรียมมาให้ด้วย ส่วนขวดกระติกน้ำนั้นพอเทออกมาแล้วก็พบว่าเป็นน้ำส้มคั้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นส้มจากในสวนหลังบ้านของท่านนั่นแหละครับ

     ผมค่อยๆเอาแก้วน้ำส้มที่เทออกมาแล้ววางไว้ตรงช่องที่ให้วางแก้ว แล้วค่อยใช้มือของผมหยิบชิ้นเบอเกอร์เข้าปากผมไปก่อนหนึ่งชิ้น อยากจะบอกว่าเนื้อที่คุณแม่ทำมาให้มันอร่อยมากเลยครับ เนื้อเข้ากับน้ำซอสแล้วมายองเนสที่ทาลงไปในนั้นเลย ผมใช้อีกมือนึงหยิบไปป้อนเขาคนนั้นบ้าง พอเขาคนนั้นอ้าปากผมก็รีบจับใส่ปากปากเขาแล้วรีบดึงมือกลับมาทันที

“หึ หึ”

“ขำอะไรคุณ” เขาคนนั้นไม่ตอบผมกลับมา ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ

     ผมก็ผลัดกันกินแล้วป้อนเขาไปด้วย ผมกินชิ้นนึง ก็ป้อนเขาไปชิ้นนึงจนหมดกล่องที่คุณแม่เตรียมมาให้นั่นล่ะครับ จนในที่สุดเราก็มาถึงสุสานเรือดันโบรดี้กันแล้วครับ

“คุณ อยากเข้าชมแบบไหนกัน ที่นี่เขามีให้เลือก”

“ให้เลือกแบบไหนเหรอครับ”

“ก็แบบมีไกด์ทัวร์หรือจะเดินชมด้วยตัวเอง แต่ว่ามันจะเสียค่าเข้าไม่เท่ากัน”

“อ่อ ผมเลือกเดินชมด้วยตัวเองดีกว่าครับ ไหนๆผมก็มีไกด์ส่วนตัวอยู่แล้ว” ผมตอบเขาคนนั้นกลับผมกลับส่งยิ้มไปให้ด้วยน้อยๆ

“โอเค งั้นรอผมอยู่ตรงนี้นะคุณ”

“ครับ” ผมรอเขาคนนั้นอยู่ไม่นาน เขาก็เดินกลับมาพร้อมกับตั๋วเข้าชมสองใบ

“ไปกันครับ”

     ผมเดินตามเขาคนนั้นไปขึ้นเรือดันโบรดี้ อ้อ!!! ผมลืมบอกไปนะครับว่า เรือที่เรามาชมกันนี้เป็นเรือจำลองที่สร้างขึ้นมาแทนลำจริง ผมสังเกตเห็นว่านอกจากจะเหมือนจริงแล้ว ยังมีกลิ่นอับๆ ชื้นๆขึ้นมาแตะจมูกอีกด้วยตั้งแต่เข้ามาภายในเรือ ผมย่นจมูกลงเพราะมันอับจนขึ้นจมูกจริงๆครับ

“ไหวไหมคุณ”

“แค่นี้เองครับ สบายมาก”

     เราเดินดูกันไปถ่ายรูปกันไปบ้าง ผมเห็นว่าห้องโดยสารในเรือแบ่งออกเป็นล็อกเล็กๆเตี้ยๆ มันชวนดูน่าอึดอัดมากเลยครับ ไม่น่าจะสบายเลยสำหรับการนั่งหรือนอนนานๆ เรือดันโบรดี้นี้มีตำนานมานานมากแล้วครับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1845 เลย ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือที่ใช้ขนส่งสินค้าจากอเมริกและแคนนาดาภายในก็ติดตั้งที่นอนและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆเพราะมีผู้คนที่อพยพหนีจากไอร์แลนด์ในยุคที่อดยากของไอร์แลนด์ไปอเมริกากันเยอะ

     ผมเดินคิดตามไปด้วยในระหว่างที่อยู่ในเรือ ว่าพวกเขาสมัยก่อนนั้นจะลำบากกันขนาดไหนนะ เขาจะต้องอดทนกันขนาดไหนที่ต้องนั่งตัวตรงๆก็ไม่ได้ ได้แต่นอนราบไปกับพื้นตลอดการเดินทาง ไหนจะอดอยากอีกเพราะอาหารที่มีอยู่บนเรือก็มีอยู่อย่างจำกัดนั่นอีกทำให้มีผู้คนต้องล้มหายตายจากไปก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าผมไปอยู่ในยุคนั้นบ้างผมจะมีความอดทนได้เท่ากับพวกเขาบ้างไหมนะ

“อะ”

“อะไรครับ” ผมถามเขากลับไปอย่างงงๆ

“เอาไปเช็ดน้ำตาซะ” เขาคนนั้นไม่ว่าเปล่า พร้อมกับยกกระดาษทิชชู่เข้ามาเช็ดน้ำตาให้ผมที่ไหลออกมาจากหางตา

“ขอบคุณนะครับคุณ”

“อารมณ์คุณนี่อ่อนไหวง่ายจังเลยนะ แค่เดินดูบรรยากาศ ดูประวัติก็ร้องไห้แล้ว”

“อะไรกันล่ะคุณ ผมแค่นึกว่าถ้าผมไปอยู่แบบพวกเขา ผมจะอดทนได้เหมือนพวกเขาไหมก็เท่านั้นล่ะคุณ” ผมย่นจมูกใส่เขาไปก่อนจะเดินไปดูทางอื่นต่อ

     เราใช้เวลาอยู่บนเรืออีกสักพักก่อนที่จะออกมา เพราะผมอยากจะเก็บภาพบรรยากาศของวันนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมจะได้กลับมาเที่ยวที่นี่อีกเมื่อไหร่เหมือนกัน จริงๆแล้วผมจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่ามาครั้งต่อไปมันก็จะไม่ตื่นเต้นเหมือนกับมาครั้งแรกใช่ไหมล่ะครับ แล้วยิ่งครั้งนี้ผมได้มากับเขาคนนั้นด้วยแล้ว ผมทั้งรู้สึกตื่นเต้น ดีใจจนบรรยายออกมาก็ไม่หมด ไหนที่เขาคนนั้นจะทำให้ผมใจสั่นไปบ้าง

“เรากลับกันเลยไหมคุณ”

“ก็ได้ครับ” ผมยิ้มตอบเขากลับไป

    ผมหันไปถ่ายภาพเรืออีกครั้งนึงก่อนที่จะเดินกลับไปที่รถ

“เราไปถึงที่นั่นก็พอดีกับพระอาทิตย์ตก เพราะช่วงนี้หน้าหนาวมันจะไม่ค่อยมีแดดเท่าไหร่”

“ครับ” ผลขานรับเขาคนนั้นกลับไป

“หน้าหนาวปีนี้ หิมะที่นี่ตกไปหรือยังครับ”

“ยังเลย แต่ถ้าตกคืนคริสต์มาสอีฟนี้ก็ดีเลยผมว่านะ”

“ผมก็หวังว่าจะตกคืนนั้นเหมือนกันครับ ผมเห็นว่าเมื่อปีที่แล้วก็ตกตรงกับวันนั้นพอดีเลย”

“คุณ นี่รู้ดีจังเลยนะ ทำเหมือนกับว่าคุณเคยมาอย่างนั้นล่ะ” เขาคนนั้นเอ่ยแซวผมกลับมา

“คุณก็ ผมก็ต้องศึกษาก่อนมาไหมล่ะครับ การไปเที่ยวที่ที่เรายังไม่เคยไปเราก็ต้องดูมาก่อน เพื่อจะได้ไม่หลงไงครับเวลาจะไปไหน”

“แล้วคุณไม่ต้องมีไปซ้อมดนตรีก่อนเหรอครับ”

“ระดับนี้แล้ว ไม่มีพลาดหรอกคุณ” เขาตอบผมกลับมาพร้อมกับยกคิ้วให้ผมทีนึง

“คนเราอาจจะมีพลาดบ้างก็ได้นะครับผมว่า” ผมเถียงเขาคนนั้นกลับไปเล็กน้อย

“หึ หึ” ผมนี่ล่ะไม่ชอบเสียงหัวเราะเขาคนนั้นเหลือเกิน

     เราต่างไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ผมก็ไม่ได้ชวนเขาคนนั้นคุยมากแล้ว เพื่อที่จะให้เขาได้มีสมาธิกับการขับรถ เพราะตลอดทางที่เราขับมานั้นเป็นถนนแค่สองเลนอย่างที่ผมได้บอกไป แล้วจะมีบางจุดที่จะมีฝูงแกะเดินกันอยู่ ก็เลยต้องทำให้คอยดูว่าเราจะเจอฝูงแกะกันอีกไหมนั่นเอง เราต้องคอยระวังดีๆครับขากลับรอบนี้เราไม่ได้เปิดหลังคารถกันแล้วล่ะครับ เพราะด้วยสภาพอากาศมันเริ่มเย็นมากขึ้นนั่นเอง นี่ขนาดแค่บ่ายสองกว่าๆเอง

     เมื่อเราไปถึงที่เกลนดาเลาช์แล้ว เขาคนนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามา เขาคนนั้นบอกผมว่าวันนี้เราต้องกลับเข้าไปดับลินกันก่อน พอดีมีงานด่วนเข้ามาแบบกะทันหัน ไว้วันหลังเขาจะพาผมใหม่ เขาคนนั้นแวะไปส่งผมที่บ้านของคุณแม่เขาก่อน แล้วเขาก็ยังบอกอีกว่าไว้ค่ำๆเขาจะกลับมาทานข้าวด้วยกันกับผมและคุณแม่ของเขาคนนั้น

*รักนี้ที่ดับลินได้รับการตีพิมพ์กับอ่านนานสำนักพิมพ์ แต่เราจะลงให้จนจบเลยนะคะไม่ทิ้งแน่นอน* :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock04
« ตอบ #9 เมื่อ: 29-11-2018 16:37:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #10 เมื่อ29-11-2018 16:40:54 »

ตกใจจนเป็นลมถูกมั้ย 5555555555
รอติดตามค่า
ใช่เลยค่ะ  o17

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock05[1]
«ตอบ #11 เมื่อ29-11-2018 17:15:04 »

Shamrock05

“ครับ โยต์สอบเสร็จแล้ว พี่จะเข้ามารับเลยไหมครับ”

“เรารอพี่อยู่ที่ใต้ตึกคณะนั่นแหละ เดี๋ยวอีกสิบนาทีพี่จะถึง”

“โอเค ครับ”

     วันนี้เป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของผมในปีสุดท้ายของคณะบริหารที่ผมกำลังเรียนอยู่ในตอนนี้แล้ว คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้เลย เวลามันช่างจะผ่านไปรวดเร็วเสียจริงๆเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนมาจนถึงปีสี่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะได้เป็นพี่บัณฑิตอย่างเต็มตัว

“ไอ้เปอร์ ลงมาไม่รอกูเลยนะ” เสียงของไอ้ซีตรองตะโกนเรียกผม

“ก็คนมันทำได้นี่หว่า จะให้กูนั่งอยู่รออะไรล่ะวะ”

“แล้วนี่มึงจะไปไหน”

“เดี๋ยวพี่มันมารับกูอะ เนี่ยเขาว่าอีกสิบนาทีใกล้จะถึงแล้ว”

“เออๆ อย่าลืมที่นัดกันคืนนี้นะมึง”

“เออ มึงนี่นะไอ้สัดตรอง”

ปี๊นนน เสียงแตร์รถดังขึ้นในระหว่างที่ผมกำลังคุยกับไอ้ตรองอยู่

“งั้นกูไปละมึง เจอกันคืนนี้” ผมบอกไอ้ตรองก่อน จะไปเดินขึ้นรถสปอร์ตสี่ห่วงสีแดงที่มาจอดเทียบฟุตบาทตรงหน้าตึกคณะ

“สอบเป็นไงบ้างครับวันนี้”

“อย่างเฮียโยต์ซะอย่าง ยังไงก็ทำได้อยู่แล้วครับ”

“แล้ววันนี้พี่ไม่เข้าบริษัทหรือครับ”

“พอดีว่าพี่ต้องไปคุยธุระ แถบๆชานเมืองก่อนน่ะครับเลยจะมารับโยต์ไปด้วยกัน”

“แล้วเราจะกลับมาทันคืนนี้ไหมครับ เพราะนัดกับคูปป์ เฮียๆ และไอ้ตรองไว้แล้วน่ะครับ”

“ทันสิครับ ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่หรอก พอเสร็จธุระเราก็ไปตามนัดได้เลย”

“ดีครับ เพราะโยต์เองก็ไม่อยากจะผิดนัดกับคูปป์ด้วยแหละ พี่ก็รู้ว่าถ้าผิดนัดยัยคูปป์จะเป็นยังไง”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พี่เขาหัวเราะออกมาทันทีที่ผมพูดถึงคูปป์ “เรานี่ยังกลัวยัยคูปป์ไม่เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่เด็กๆแล้ว”

“พี่ก็รู้ถึงความโหดของน้องสาวผมนะครับ อย่าลืมสิว่าพี่ก็เคยโดนมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สนิทกับคูปป์มากที่สุดอยู่ดี ถึงตอนนี้จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆแล้วก็เถอะ”

     รถเริ่มแล่นออกห่างจากตัวเมืองมามากขึ้นเรื่อยๆ จนสองข้างทางนั้นไม่ได้มีตึกสูงใหญ่อยู่แล้ว มีแต่ทุ่งนากว้างๆที่เราขับผ่านกันมา จนมาถึงร้านอาหารที่ดูร่มรื่นน่าแวะเข้ามาทานอาหาร เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเก็บบรรยากาศหรือที่เงียบๆนั่งคุยกันเป็นส่วนตัว

     ในระหว่างที่พี่เขานั่งคุยธุระกับลูกค้าไปนั้น ผมที่ไม่ค่อยชอบนั่งฟังพี่เขาคุยเรื่องธุรกิจสักเท่าไหร่ ผมก็เลยขอแยกตัวออกมาเดินเล่นตรงโซนแพดีกว่า ที่นี่มีบริการให้อาหารปลา มีเรือลำเล็กๆผูกกับตอไม้ อยู่สามสี่ลำเหมือนร้านอาหารร้านนี้จะสร้างอยู่ติดกับริมคลอง คงพึ่งจะมาสร้างได้ไม่นานบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ อากาศก็สดชื่นไม่มีควันเหมือนอยู่ในตัวเมืองเลยสักนิด

     ผมถอดถุงเท้าและรองเท้าออก แล้วหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นค่อยๆใช้ขาทั้งสองข้างจุ่มลงไปในน้ำ ตอนนี้ผมรู้สึกเริ่มจั๊กจี้ครับ เพราะที่ผมหย่อนเท้าลงมาคือเป็นเป็นที่เขาให้บริการสปาเท้าครับ โดยใช้ปลาตัวเล็กๆนี่ล่ะครับ ตรงข้างล่างแพ ที่นี่เขาใช้ตาข่ายดักปลาล้อมรอบเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้ปลาไหลออกไปข้างนอก พอผ่านไปสักพักนึงก็เพลินดีครับจนตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้วพี่เขาก็ยังคุยไม่เสร็จอีกเหรอเนี่ย

     ผมจัดการเช็ดเท้า และใส่รองเท้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะกลับไปหาพี่เขาที่โต๊ะ

“กลับกันครับ”

“ผมกำลังจะไปหาพี่พอดีเลยครับ”

“กว่าเราจะถึงร้านที่นัดกับคูปป์ไว้ ก็ทันเวลาพอดี ”ผมเดินตามพี่เขาไปที่รถโดยที่มือของผมนั้นมีมือของพี่เขาจับเดินไปด้วย

     เราขึ้นรถและขับกันออกมาได้สักพักนึง ผมก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย แต่ผมพยายามจะไม่นอนหลับเพื่อที่จะได้นั่งคุยกับพี่เขา

“คุยธุระเป็นไงบ้างครับ ทางบริษัทนั้นเขาโอเคไหมครับ ที่พี่จะเข้าเทคกิจการของบริษัทเขาน่ะครับ”

“เขาก็โอเคอยู่แล้วล่ะ บริษัทมีปัญหามากมายขนาดนั้น ก็ต้องหาคนเข้ามาช่วยพยุงบริษัทเพื่อให้ผ่านไปได้”

“ครับ พี่ตัวโตของโยต์นี่เก่งที่สุดเลยนะครับ” ผมบอกพี่เขาก่อนจะเอี้ยวตัวขึ้นไปหอมแก้มพี่เขาเบาๆ

“เรานี่นะ ถ้าพี่อดใจไม่อยู่นี่จะให้ทำยังไง หืม” พี่เขาหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นที่ส่งมาให้ผมเสมอ พร้อมกับที่พี่เขากุมมือผมไปด้วย

“วันนี้พี่อนุญาตให้เมาได้หนึ่งวันครับ ให้รางวัลวันสอบเสร็จวันสุดท้ายของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย”

“พี่ตัวโต!!!”

“อะ อะ พี่ไม่แกล้งเราแล้วก็ได้” เขาว่าก่อนจะหันไปตั้งใจขับรถดีๆ แล้วผมชวนพี่เขามาตลอดทางเลยล่ะครับ

Rrrrrrrrrrrr

“อยู่ไหนแล้วเปอร์” คูปป์โทรมาตามผมแน่ๆเลยครับ

“ใกล้จะถึงแล้วล อีกสักประมาณห้าร้อยเมตรก็จะถึงแล้วล่ะ”

“คูปป์อยู่ไหนแล้วล่ะ” ผมถามน้องสาวผมกลับไปบ้าง

“เราพึงมาถึงเหมือนกัน เดี๋ยวยืนรออยู่หน้าร้านแล้วกันนะ” คูปป์วางสายผมไป

     และในตอนนั้น อยู่ๆก็มีแสงไฟพุ่งตรงเข้ามาที่รถทันที ก่อนที่แสงนั้นจะดับลงไป

ตู้มมมมมมม


 “คุณ คุณ คุณ”

     เฮือก อึก อึก อึก เสียงเรียกพร้อมกับแรงเขย่าบนแขนผมนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“คุณ เป็นอะไรไหมครับ ผมเห็นคุณนอนส่ายไปส่ายมาเหงื่อก็ออกเต็มไปหมดเลยหรือว่าคุณจะไม่สบาย เพราะวันนี้ตากลมมาซะด้วย” เขาคนนั้นเอ่ยถามผมไม่หยุดพร้อมด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลอย่างมาก

“ผมแค่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะฮะ อาจจะเป็นเพราะนอนตอนเย็นก็ได้ คนที่บ้านผมเขามีความเชื่อว่าถ้านอนตอนเย็น จะไม่ดีน่ะครับ ผีจะมาเอาไปอยู่ด้วย” ผมตอบเขาคนนั้นกลับไปพร้อมอธิบายให้เขาฟัง แต่ดูเหมือนเขาจะงงๆอยู่ในคำอธิบายของผมนิดหน่อย แต่ผมคิดว่าที่ผู้ใหญ่เคยบอกว่านอนตอนเย็นจะไม่ดีนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าพอถึงกลางคืนแล้วเราจะไม่ง่วง ไม่นอนมากกว่าครับ

“คุณแม่ให้ผมมาเรียกคุณไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะ ผมเคาะประตูเรียกคุณตั้งนานแล้วนะไม่เห็นคุณตอบกลับมาสักที เลยถือวิสาสะเข้ามา” เขาคนนั้นรีบอธิบายให้ผมฟังก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่หลับเพลินไปหน่อย”

“ผมว่าคุณอาจจะมีอาการเจ็ตแลคอยู่ก็ได้ แถมวันนี้ก็ตื่นแต่เช้าอีกด้วย”

“คงงั้นมั้งครับ แหะๆ”

“ป่ะ เราลงกันไปข้างล่างกันเถอะคุณ”

“งั้นผมขอล้างหน้าแปปนึงก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามลงไป" ผมว่าจบผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำทันที

     ผมรีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อที่ คุณแม่ของเขาคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน พอผมเปิดประตูออกมาเท่านั้นแหละ ทำให้ผมถึงกับต้องชะงักไปเลย

“อ้าววว นึกว่าคุณลงไปข้างล่างแล้วซะอีก”

“ก็รอคุณ ป่ะ ไปกันเถอะเดี๋ยวคุณแม่รอนาน” เขาคนนั้นว่าจบพร้อมกับจับมือผมให้เดินตามไปด้วยกัน

     นั่นไง นั่นไง เอาอีกแล้ว เมื่อเช้าก็จับมือผมเข้ามาทานข้าว แถมมาตอนเย็นยังจะจับอีกเหรอเนี่ยเขาจะทำให้ผมใจสั่นไปอีกถึงเมื่อไหร่กัน แค่นี้มันก็เกินสำหรับผมแล้วล่ะครับผมได้แต่คิดอยู่ในใจ

     เย็นวันนี้เป็นอาหารที่ทานกันง่ายๆก็คือสเต็กเนื้อแกะพร้อมกับซุปเห็ด มีทั้งผักย่างอีก แถมมีมันบดด้วย คุณแม่ท่านบอกว่าเพราะผมแพ้ถั่ว ท่านเลยทำมันบดให้ผมทานแทนถั่ว ระหว่างทานไปท่านก็ถามผมว่าเป็นยังไงบ้างวันนี้ เพราะตอนท่านกลับมาผมก็ขึ้นไปข้างบนห้องแล้ว ท่านกลับมาก็เลยไม่ได้เจอผมจนท่านทำอาหารเสร็จแล้วให้เขาคนนั้นขึ้นมาตามผมนั่นแหละครับ

“พรุ่งนี้เราก็พาน้องเขาไปที่สวนเราสิ โจ” คุณแม่หันไปบอกกับเขาคนนั้น

“ได้ครับ ไว้สายๆเราค่อยเข้าไปกันก็แล้วกัน เนอะ ตอนเช้ายิ่งมีหมอกจัดๆอยู่”

“แล้วคุณแม่ มีธุระไปไหนหรือเปล่าครับ”

“แม่ว่าจะเข้าไปซื้อของที่มาร์เก็ตน่ะจ๊ะ ซื้อมาเตรียมไว้ก่อนวันคริสต์มาสอีฟน่ะ ถ้าไปวันนั้นเลยคนจะต้องเยอะแน่ๆ”

“งั้นผมไปช่วยนะครับ”

“ได้จ๊ะ ไว้บ่ายๆเราค่อยไปกัน”

“คุณแม่ทำอาหารเก่งจังเลยนะครับ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วอาหารที่คุณแม่ทำอร่อยทุกอย่างเลย” ผมกล่าวชมคุณแม่ท่าน หลังจากทานเนื้อแกะไปได้หลายชิ้นแล้ว

“แม่ผมเขาชอบทำน่ะ อยู่ว่างๆไม่ได้เลยจะต้องไปลองทำนู่นทำนี่ซะหลายอย่าง” เขาคนนั้นบอกกับผมก่อนที่จะหันไปจัดการชิ้นเนื้อตรงข้างหน้าต่อ

“ไว้หนูเปอร์ อยากทานอะไรก็บอกแม่ได้เลยนะจ๊ะ อาหารไทยแม่ก็ทำได้นะลูก แต่ไม่รู้ว่ารสชาติจะถูกปากเรารึเปล่า”

“โห คุณแม่ทำอาหารได้หลากหลายจังเลยครับ แต่ผมนี่สิ ทั้งคุณหม่าม้า ทั้งคุณป้าแม่บ้านนี่ไม่ให้ผมก้าวเท้าเข้าไปในครัวเลยล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมบอกคุณแม่ท่านกลับไป เคยเข้าครัวที่บ้านอยู่สองสามครั้งตั้งแต่โตมา เข้าไปแต่ละทีสีหน้าทุกคนดูแบบเอือมระอากับผมกันมากเลยครับ

“ไว้ช่วงอยู่ที่นี่คุณก็ให้คุณแม่สอนทำสิครับ กลับบ้านไปทุกคนจะได้แปลกใจ” เขาคนนั้นพูดจบก็หันมายิ้มให้ผม

“ดีเลยจ๊ะ แม่จะได้มีลูกมือคอยช่วยแล้ว”

     หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็ขอตัวออกมาโทรหาหม่าม้าผมก่อน ผมรอสายอยู่สักพักนึงก่อนที่จะนึกได้ว่าตอนนี้ที่ไทยน่าจะตีสองกว่าแล้วแน่ๆ เพราะตอนนี้ที่ดับลินพึ่งจะสองทุ่มกว่าๆเอง แสดงว่าวันนั้นหม่าม้าก็ต้องนอนไปแล้วแน่เลย แต่ท่านก็ยังตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ของผม ผมรีบกดวางสายทันที แล้วส่งข้อความไปหม่าม้าแทนว่าวันนี้ผมไปไหนมาบ้าง แล้วอยู่ๆวันนี้ผมก็กลับมาฝันเห็นตอนนั้นอีกแล้ว

     หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาข้างในบ้าน เห็นเขาคนนั้นนั่งดูข่าวในโทรทัศน์อยู่ ผมเลยบอกเขาไปว่าผมจะขึ้นไปอาบน้ำก่อน แล้วจะลงมานั่งดูเป็นเพื่อนแต่เขาว่าให้ผมเข้านอนเลยเพราะเดี๋ยวเขาก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน

“ฝันดีนะครับ” ผมบอกเขาไป เขาคนนั้นเพียงแต่ส่งยิ้มกลับมาให้ผมแค่นั้นเอง

เช้าวันต่อมา....

     เช้าวันนี้ผมตื่นมาเป็นเวลาแปดโมงกว่าๆแล้ว ผมเลยรีบลุกไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำให้เรียบร้อยทีเดียวเลยเพราะคิดว่าทานข้าวเช้าเสร็จ จะได้ชวนเขาคนนั้นไปสวนส้มที่อยู่ท้ายหลังบ้านเลยครับและจะได้ไม่ต้องเสียเวลามารอผมอาบน้ำอีก

     ผมลงมาก็เกือบเก้าโมงแล้วเห็นคุณแม่ท่านนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ท่านบอกว่าให้ผมอุ่นซุปทานได้เลยเพราะท่านทานเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาคนนั้นก็ไปนั่งจิบชาอยู่ตรงสวนข้างนอกที่ผมไปตามเขาเมื่อวานนั่นแหละครับ

     หลังจากผมทานซุปเสร็จแล้ว แถมตบท้ายด้วยน้ำส้มที่คุณแม่ท่านคั้นสดๆ แช่ไว้ในตู้เย็นนั่นอีกทำให้เช้านี้ของผมมีพลังงานเหลือล้น พร้อมที่จะเข้าสวนส้มไปลุยแล้วล่ะครับ ผมเดินมาตามทางเดินเมื่อวานนี้ก็เห็นเขาคนนั้นนั่งมองออกไปตรงทางข้างหน้า ซึ่งตรงนั้นเป็นแปลงดอกไม้เล็กๆผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขาคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ภาพเขาตอนนี้มันดูเหมือนเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ที่ใครก็ไม่สามารถเข้าไปถึงได้เลย

“คุณครับ” ผมเอ่ยเรียกเขาคนนั้น

“ครับ นอนหลับสบายไหมครับเมื่อคืน” เขาคนนั้นเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงอีกแล้ว

“สบายมากเลยครับ ขอโทษด้วยนะครับ ที่วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อย เมื่อคืนมัวแต่แชทคุยกับเฮียและน้องสาวของผมน่ะครับ”

“คุณครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“จะถามอะไรล่ะครับ ถามมาได้เลย” เขาตอบผมพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นของเขามาให้กับผม

“บ่อตรงที่อยู่ตรงข้างๆโต๊ะที่เรานั่งคืออะไรเหรอครับ ไม่เห็นมีปลาหรือใส่อะไรเหมือนบ่ออื่นเลย” ผมถามเขากับสิ่งที่ผมสงสัยตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่ามันคืออะไร เขาจะคิดว่าผมจุ้นจ้านไปไหมนะ

“อ่อ นึกว่าจะถามเรื่องนั้นซะอีก”

“หึหึ บ่อนี้น่ะเหรอ เอาไว้จุดไฟมาผิงกันตอนที่เราจัดปาร์ตี้กันตรงนี้น่ะครับ คุณนี่ช่างสงสัยไม่เปลี่ยนเลยนะ” เขาตอบผมกลับมา แต่ประโยคสุดท้ายนี่สิเขาพูดว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดเลย

“อ่อ”

“เราไปกันเลยไหมแต่เดี๋ยวคุณรอผมก่อนนะ ผมจะไปเอาจักรยานที่โรงรถ”

“ได้ครับ” ผมตอบเขาคนนั้นกลับไป

   

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock05[2]
«ตอบ #12 เมื่อ29-11-2018 17:15:54 »

[ต่อจ้า]
[/b]


  ผมนั่งรอเขาคนนั้นที่กลับมาพร้อมจักรยานแม่บ้าน ครับทุกคนอ่านไม่ผิดหรอกครับ จักรยานแม่บ้านจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทุกคนคิดดูนะครับ ผู้ชายที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบ กำลังจูงจักรยานแม่บ้านสีเขียวพร้อมเบาะหนังที่นั่งสีน้ำตาล แถมข้างหน้ายังมีตระกร้าที่สานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมนั่นอีก มันก็ดูเข้ากับเขาไปอีกแบบนะครับทุกคน ผมแอบเห็นหน้าเขาแดงนิดหน่อยด้วยล่ะ

“ทั้งโรงรถมีแค่คันนี้น่ะคุณ” เขาบอกอย่างอายๆ

“ครับ ครับ” ผมตอบเขาพร้อมกับอมยิ้มหน่อยๆไปให้เขาคนนั้นด้วย

“ไม่ต้องมองผมด้วยสีหน้าอย่างนี้เลยคุณ”

“คุณปั่นได้แน่นะครับ ให้ผมปั่นให้ไหม”

“คุณนั่งไปนั่นแหละ ไม่รู้ว่าขาจะถึงรึเปล่าเหอะ” แหน่ะ ยังมีการมาแซวผมอีกนะอะไรกันผมก็สูงนะสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบสี่ ถึงจะสูงน้อยกว่าเฮียๆ ไอ้ตรองและคูปป์ก็ตา ยังไงผมก็สูงเกินมาตรฐานชายไทยนะครับทุกคน

“งั้นเชิญคุณปั่นไปเลย ชิ” ผมว่าแล้วก็เบะปากลงใส่เขาคนนั้น ก่อนที่จะเดินไปนั่งตรงเบาะหลังโดยที่เขาคนนั้นยังไม่ได้ขึ้นจักรยานเลย

     ตลอดสองข้างทางที่เราปั่นจักรยานกันเข้ามานั้นมีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นเต็มทั้งสองข้างทาง ถนนที่เข้ามาก็ลาดยางแล้วเลยทำให้ปั่นจักรยานได้สะดวกขึ้น และทำให้บรรยากาศตอนปั่นเข้ามานั้นเย็นมากขึ้นกว่าตอนก่อนที่เราจะมาถึงจุดนี้ เขาคนนั้นบอกว่าต้นไม้พวกนี้มีขึ้นอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อเขาจะมาซื้อที่ดินแถวนี้ ท่านไม่อยากให้มันสูญหายไปเลยไม่ได้สั่งให้ถอนออก ปล่อยให้ขึ้นเป็นร่มเงาอยู่อย่างนี้จะดีกว่า

     เขาคนนั้นบอกผมว่ากว่าจะถึงสวนก็ประมาณหนึ่งกิโลเมตรได้ เพราะตอนที่จะทำสวนส้มนั้น คุณแม่อยากให้ห่างจากตัวบ้านไปเพื่อที่จะไม่ได้รบกวนคนในบ้าน เพราะบางวันก็จะมีทัวร์จากโรงแรมมาเดินชมสวนด้วยและพอถึงช่วงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวผลส้มและขนย้ายส้มไปขายในตลาดที่รับซื้อผลไม้จากสวนคนจะพลุกพล่าน ส่วนตรงพื้นที่ที่เหลือคุณพ่อกับคุณแม่ท่านยังไม่มีแพลนที่จะทำอะไร แค่ตรงสวนส้มนั้นท่านก็ยุ่งจนไม่มีเวลาแล้วไหนจะธุรกิจหลักของคุณพ่ออีก

     ผมลืมบอกไปครับว่าสมัยคุณพ่อของเขาคนนั้นหนุ่มๆ ท่านก็เคยเป็นนักดนตรีมาก่อน ก่อนที่ท่านจะกลับเข้าไปบริหารกิจการโรงแรมและเขาคนนั้นยังบอกอีกว่า คุณพ่อท่านก็อยากให้เขาคนนั้นเข้ามาบริหารต่อแต่ติดตรงที่ว่าเขาคนนั้นยังสนุกอยู่กับการเล่นดนตรีอยู่เลยยังไม่อยากจะทำงานด้านนี้

“เหนื่อยไหมคุณ”

“ไม่ครับ”

“เราใกล้จะถึงหรือยังครับ ทำไมเกือบหนึ่งกิโล ของคุณนี่มันไกลจังเลยครับ” ผมถามเขากลับไป

“อะไรกันคุณ ไม่ได้ไกลขนาดนั้นซะหน่อย ใจเย็นๆสิ อีกนิดเดียวก็ใกล้จะถึงแล้วล่ะ เห็นป้ายข้างหน้านั่นไหมล่ะ” พอเขาคนนั้นบอกผมเสร็จ ผมเลยชะโงกหน้าไปดูก็เห็นป้ายที่เขาบอกจริงๆ

“ก็ผมแค่กลัวคุณจะเหนื่อย ผมก็ไม่ได้หนักน้อยๆซะที่ไหนล่ะ”

“ไม่เห็นจะหนักเลยคุณ” เขาว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จนเรามาถึงสวนส้มแล้วครับทุกคน

“โห ที่นี่กว้างมากเลยนะครับ”

“ประมาณ ร้อยกว่าไร่ได้น่ะครับ นี้แค่สวนส้มอย่างเดียวนะ ให้เดินวันนี้ก็ยังไม่หมดหรอกครับ”

“พื้นที่นี้กว้างไปถึงภูเขาตรงนู้นด้วยไหมครับ”

“ถึงนะคุณ มีแอ่งน้ำเล็กๆด้วยนะ คุณพ่อท่านทำขึ้นคั่นระหว่างท้ายสวนส้มกับภูเขาตรงนู้นนั่นแหละ คุณอยากจะไปดูไหม หรือจะเดินวนดูอยู่แถวนี้ก่อน”

“เดินดูแถวนี้ก่อนก็ได้ครับ”

“มีโรงงานที่ทำน้ำส้มส่งออกด้วยนะครับ คุณจะไปลองชิมไหม” พอเขาคนนั้นบอกผมนี่ตาลุกวาวทันทีเลยล่ะครับ ใครจะไม่อยากลองไปชิมน้ำส้มที่ทำสดๆกันล่ะครับจริงไหมทุกคน

“ไปครับคุณ” ผมหันไปเกาะแขนกระโดดดีใจ เหมือนที่ชอบทำกับเฮียเวลาที่เจอของถูกใจ

“อุ้ย!!! ขอโทษครับ ผมลืมตัวน่ะ แหะๆ” ผมรีบปล่อยแขนเขาคนนั้นออกทันทีที่นึกได้

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ”

     เราจอดจักรยานทิ้งไว้กันตรงที่พัก แล้วเดินกันไปตามช่องทางเดิน สวนส้มเขาทำออกมาเป็นสัดส่วนมากเลยครับ เว้นช่องให้ห่างกันพอดี เพื่อที่ต้นส้มจะได้ไม่แอดอัดกันจะเกินไป ระหว่างเราเดินเขาก็อธิบายให้ผมฟังคราวๆไปด้วย ว่าในแต่ละเดือนจะมีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาชมสวนส้ม และนอกนั้นก็จะเป็นลูกทัวร์ทางโรงแรมของคุณพ่อเขาจะเข้ามาดู จะมีมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับตามฤดูกาลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักของโรงแรม ส่วนขาจรนั้นก็จะมีน้อยมากที่รู้ว่าที่นี่มีสวนส้มอยู่

     ระหว่างเดินมาอีกช่องนึง เขาคนนั้นก็ให้ผมลองเด็ดผลส้มมาชิมได้ ซึ่งผมก็ลองครับแต่ต้องใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดนะครับ เพราะมันจะช่วยทำให้ผลส้มไม่ช้ำ รสชาติอร่อยครับหวานอมเปรี้ยวนิดๆ เหมาะสำหรับนำไปคั้นเป็นน้ำส้มจริงๆเขาคนนั้นยังบอกผมอีกว่า ที่นี่ยังมีคอกม้าและคอกแกะและพวกคอกกระต่ายด้วย อยู่อีกทางด้านนึงด้วย แต่ว่ามีไม่เยอะนะครับ เขาคนนั้นบอกว่าคุณแม่ท่านแค่อยากเลี้ยงเฉยๆน่ะครับ เพราะท่านไม่ได้เข้าไปบริหารบริษัทกับคุณพ่อแล้ว แล้วพออยู่บ้านเฉยๆท่านก็เบื่อ ทีนี้ท่านเลยหาอะไรมาเลี้ยงไว้แก้เบื่อและแก้เหงาแทน

     เราเดินกันมาหลายช่องกันมากแล้วครับ และได้แวะเข้าไปดูโรงงานที่ทำน้ำส้มมาด้วย ต้องผ่านหลายขั้นตอนมากครับ ผมแค่ยืนดูอยู่ตรงห้องที่มีกระจกกั้น ไม่ได้ลงไปถึงข้างล่างที่เขากำลังทำงานกันและเขาคนนั้นก็ชวนผมให้ไปดูคอกม้ากันก่อนที่จะพาไปตรงโซนด้านหลังสุดที่ติดกับภูเขา เขาคนนั้นก็เลยให้เรียกคนงานที่คอยดูแลสวนนำรถกอล์ฟมาให้แทน เพราะเราคงไม่สามารถเดินกันไปถึงเร็วๆนี้ได้แน่ เพราะแค่เดินตามช่องนี่ก็ปาไปชั่วโมงกว่าๆแล้วเพราะเดี๋ยวเราจะต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านและออกไปซื้อของกับคุณแม่ท่านกันอีก


     ตอนนี้เรามาถึงตลาดอาหารเทมเพิลบาร์ (Temple Bar Food Market) กันแล้วครับ คุณแม่ท่านบอกว่าตลาดนี้จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 16.30 น. ตลาดนี้ส่วนใหญ่แล้วจะขายแต่ผักอินทรีย์ ไข่ อาหารพวกปลอดสารพิษ พวกเนื้อสัตว์ที่อบแห้งแล้ว พิเศษไปกว่านั้นก็จะมีพวกชีสที่มีคุณภาพดีมากจากหลายๆที่มาขายและราคาค่อนข้างที่จะสูงมากเลยครับ
พื้นที่ในตลาดนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส โอบล้อมไปด้วยตึกทรงสูง เพราะอยู่ทางด้านหลังของตึกร้านค้าต่างๆ และมีหลังคาที่สามารถกางผ้าใบออกและพับเก็บได้ออกมาคลุมพื้นตรงที่มีร้านค้ามาวางขายของกัน ตลาดนี้ติดอยู่กับโรงภาพยนตร์เลยครับ และห่างจากโรงแรมที่ผมจองไปก่อนนั้นเพียงห้าร้อยเมตรเอง แถมยังมีพื้นที่เหมาะสำหรับการแสดงต่างๆด้วยครับ

     คุณแม่ท่านพาผมเดินชิมเกือบแทบจะทุกร้านเลยครับ อร่อยทุกร้านเลยด้วย และผมอยากจะบอกว่าแต่ละร้านที่มาตั้งนั้นเขาก็มีร้านประจำอยู่ด้วยนะครับ แต่ที่มาที่นี่ก็เหมือนมาโปรโมทร้านกันไปด้วยในตัว คุณแม่ท่านได้ผักมาหลายอย่างเลยครับรวมถึงชีส เนื้อสัตว์ต่างๆ ของที่นี่ทุกอย่างสดมากครับ

     หลังจากเราเดินกันได้สักพักใหญ่ๆแล้วคุณแม่ท่านก็ชวนไปนั่งคาเฟ่ ที่อยู่ใกล้ๆกับตลาดนี้เพื่อรอให้เขาคนนั้นเอาของไปเก็บที่รถก่อน

“เป็นไงบ้างลูก สนุกไหม” คุณแม่ท่านเอ่ยถามหลังจากที่เราอยู่กันสองคน

“สนุกดีครับ แตกต่างกับตลาดที่บ้านผมมากเลยล่ะครับ”

“ที่นี่ยังมีตลาดอีกหลายที่เลยนะจ๊ะ บางที่ก็ไม่ได้เปิดทุกวัน จัดเป็นวันๆไปเหมือนกับที่นี่ล่ะ”

“คุณแม่มาที่ตลาดนี้บ่อยหรือครับ”

“ก็ไม่ค่อยบ่อยหรอกนะจ๊ะ ส่วนใหญ่แล้วแม่ก็จะให้คนงานซื้อข้าวของเข้ามาให้มากกว่าน่ะจ้ะ”

“อ่อ ครับ”

“ไว้เดี๋ยวตอนเย็นแม่จะพาไปทานร้านอาหารที่นึงนะจ๊ะ ร้านนี้พึ่งเปิดมาได้ไม่นาน แต่แม่ว่ารสชาติดีมากเลย”

“ครับ หม่าม้าของผมก็ชอบพาไปลองทานร้านอาหารที่เปิดใหม่บ่อยๆน่ะครับ” คุณแม่ของเขาคนนั้นมีส่วนคล้ายกับหม่าม้าของผมหลายอย่างมากเลยล่ะครับ เพราะอย่างนี้ผมได้ถึงสนิทใจกับคุณแม่ของเขาคนนั้นได้เร็วขนาดนี้

     ร้านคาเฟ่ที่คุณแม่ท่านว่าอยู่ไม่ไกลจากที่ตลาดเลยครับเดินแค่แปปเดียวก็ถึงร้านแล้ว เป็นร้านห้องล็อคเดียวครั ข้างหน้าร้านจะมีประตูไม้สีส้มแดง หน้าต่างก็ครอบไปด้วยไม่สีส้มแดงเหมือนกัน ตรงทางหน้าร้านจะมีโต๊ะเล็กๆให้นั่งอยู่สองโต๊ะ แต่ด้วยสภาพที่อากาศหนาว เราจึงเข้าไปนั่งในร้านที่เขาเปิดฮีตเตอร์ไว้ครับ

     พอเราเดินเข้ามาในร้านก็ได้รับคำทักทายจากผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสีดำสนิท ยิ้มตอนรับเราอย่างใจดี ผมมองไปรอบๆเห็นขวดโหลที่ใส่ผงชาอยู่เยอะมากเลยครับ แถมยังมีตู้ที่ใส่เค้ก ใส่พายเอาไว้ด้วย แถมยังมีตู้โค้กตั้งอยู่ตรงข้างๆด้วย ทั้งหมดนี้ดูน่าทานมากจริงๆ เดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะพบก็โต๊ะนั่งเล็กๆสองโต๊ะที่อยู่ตรงห้องที่ฉาบไปด้วยปูนเปลือยอยู่สองโต๊ะพร้อมกับมีกรอบรูปอันเล็กๆแขวนอยู่สามสี่อัน

     ภายในร้านตกแต่งไปด้วยกรอบรูปภาพ ภาพถ่ายเก่าๆถูกแขวนอยู่บนฝาผนัง ทำให้ดูเข้ากับภายในร้านมากเลยครับ แล้วก็ยังมีเตาผิงอยู่ด้วย แต่คิดว่าเขาคงไม่ได้เปิดใช้แล้ว โต๊ะก็มีอยู่สี่ห้าโต๊ะ นอกจากโต๊ะตรงข้างในแล้ว

“หนูเปอร์อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะลูก”

“ครับ” ผมเปิดดูเมนูไปด้วยของทานที่นี่เยอะอยู่เหมือนกันครับ

“ผมเอาเป็นคาปูชิโนร้อนกับบลูเบอรี่ชีสพายก็แล้วกันครับ” ผมหันไปบอกกับพนักงานที่มารับออเดอร์

“แล้วคุณแม่ทานอะไรครับ”

“แม่เอาเป็นชาพีชก็ได้จ๊ะ”

“แล้วของพี่เขาจะสั่งเลยไหมครับ”

“ก็ได้จ๊ะ”

“งั้นเอาชาธรรมดาอีกทีนึงนะครับ แต่ขอนมสดกับคาราเมลมาเพิ่มด้วยครับ” ผมหันไปบอกกับพนักงานอีกรอบนึงก่อนจะยื่นเมนูคืนเขาไป

“แล้วหนูเปอร์รู้ได้ไงจ๊ะว่าพี่เขาชอบทานอะไร”

“เออ” คำถามของคุณแม่ทำผมสติหลุดไปเลยครับ

“เออ เอ่อคือว่า คือว่า”

“คือว่าอะไรจ๊ะ” คุณแม่ถามกลับมาอีกรอบพร้อมกับจ้องมาที่หน้าของผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม หมายความว่าไงครับคุณแม่ยิ้มแบบนี้ ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ

“ว่าอะไรล่ะจ๊ะ แม่รอฟังอยู่นะ”

“คือว่าผม ผม ผม” คำถามของคุณแม่นั้นทำให้ผมกลายเป็นคนพูดติดอ่างไปเลยทำไงดีครับ คุณแม่ต้องรู้ความจริงแล้วแน่เลยอะ
“คือว่าผมเป็นแฟนคลับของเขาคนนั้นอะครับ”ผมก้มหน้าหลับตาแล้วตอบคุณแม่ไป

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็แค่นั้นล่ะจ๊ะ”

“คุณแม่!!!”

“คุณแม่ไม่แปลกใจหรือครับที่ผมเป็นแฟนคลับของเขา แถมยังทำตัวเป็นภาระให้อีก อีกทั้งมานอนที่บ้านแบบนี้อีกด้วย” ผมบอกคุณแม่ไปอย่างตื่นเต้น

“ตอนแรกแม่ก็สงสัยและแปลกใจนิดหน่อย แต่เพราะเวลาเราพูดเหมือนกับที่เราเล่ามาในโปสการ์ดตลอดเลย ตอนแรกแม่ก็ไม่แน่ใจ จนที่เราสั่งชาไปให้พี่เขานั่นแหละและก็อะไรหลายๆอย่างน่ะลูก” คุณแม่ท่านอธิบายให้ผมเข้าใจก่อนที่ท่านจะพูดต่ออีกว่า

“แต่แม่ก็สังเกตด้วย ว่าช่วงสองวันนี้นะเหมือนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นด้วย”

“อะไรเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ ความคิดเล่นๆของคนแก่น่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” คุณแม่ท่านตอบแล้วหัวเราะออกมาแบบนี้มันเหมือนกับที่ป๊าและหม่าม้าเจอเรื่องสนุกแล้วจะรู้กันอยู่สองคนเลย

“แล้วเราจะบอกพี่เขาเมื่อไหร่ล่ะ”

“ผมว่าจะบอกแล้วนะครับแต่ว่าไม่มีโอกาสได้บอกสักทีเลยครับ” ผมบอกคุณแม่ท่านไปด้วยสีหน้ากังวลนิดหน่อย

“สั่งอะไรกันไปแล้วบ้างครับ” ยังที่ผมไม่ได้คุยกับคุณแม่ท่านดีเลยเขาคนนั้นก็เข้ามาซะก่อน

“แม่สั่งชาไปให้แล้วนะลูก” คุณแม่บอกเขาก่อนที่จะหันมายิ้มให้กับผม

“ทำไมคุณไปนานจังเลยล่ะครับ”

“พอดีว่าผมแวะไปคุยกับร้านเทมเพิลบาร์มาน่ะคุณ เรื่องการแสดงพรุ่งนี้”

“พาน้องไปด้วยนะลูก”

“ครับ” เขาคนนั้นตอบรับคุณแม่กลับไปอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะมีถ้วยกาแฟและจานบลูเบอร์รี่ชีสพายของผมมาเสริฟและชาที่สั่งไป กลิ่นหอมมากเลยครับ ดูน่าทานอย่างที่เห็นจริงๆ ผมบอกคุณแม่ท่านไปว่าผมขอถ่ายรูปส่งไปให้หม่าม้าดูก่อนที่จะลงมือทานกัน

“แล้วคุณมีที่ไหนอยากไปไหนรึเปล่า” เขาคนนั้นหันมาถามผม

“ไม่มีนะครับ” ผมบอกเขาคนนั้นไปพลางตัดเค้กเข้าปากไปด้วย

“แล้วคุณแม่ล่ะครับ”

“มีจ๊ะ แต่หลังจากที่เราทานเสร็จจากที่นี่ไปแล้วนะจ๊ะ” คุณแม่ท่านตอบก่อนที่จะก้มไปเช็คข่าวสารในมือถือของท่านต่อ

“กินยังไงให้เลอะเนี่ยคุณ” เขาคนนั้นบอกกับผมก่อนที่เขาคนนั้นจะยื่นมือที่มีทิชชู่มาเช็ดมุมปากให้กับผม พร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นนั่นมาให้ผมอีกแล้ว ผมว่าที่นี่น่าจะเปิดฮีตเตอร์แรงไปแล้วล่ะครับ ทำไมหน้าผมตอนนี้มันเหมือนจะละลายให้ได้เลย

(แต่ในจังหวะนั้นเองที่ทั้งสองคนกำลังอยู่ในโลกที่สร้างขึ้นมานั้นก็ไม่มีใครสังเกตกันเลยว่าคุณแม่ได้ยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกยิ้มขึ้นมาเบาๆ)

     เรากลับมาถึงบ้านตอนสามทุ่มกว่าๆแล้ว คุณแม่ท่านเลยขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วจะนั่งพักอยู่ข้างบนเลย เพราะตอนนี้ท่านบอกว่าท่านแน่นท้องมากๆอิ่มไปหมดไม่สามารถจะเขยื้อนตัวไปไหนได้แล้วตอนนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณแม่ท่านนี่อารมณ์ดีตลอดเลยนะครับ บางทีมีมุกเล่นมา ผมก็งงๆ ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน

“วันนี้คุณรีบนอนไหม” เขาคนนั้นถามผมขณะที่มือผมกำลังจับลูกบิดประตูห้อง

“ไม่ครับ คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมว่าจะชวนคุณมาฟังผมซ้อมดนตรีสักแปปนึงก่อนนอน”

“ได้ครับ ผมขอเวลาครึ่งชั่วโมงนะครับ” ผมตอบเขากลับไป

     ผมรีบเข้ามาในห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียง หยิบหมอนออกมาปิดหน้าแล้วตะโกนใส่อย่างดีใจ ทุกคนครับ เขาคนนั้นของทุกคนชวนผมไปดูเขาซ้อมดนตรีด้วยล่ะ ฮือออ ตอนนี้ใจผมบางไปหมดแล้ว >///<



ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock06
«ตอบ #13 เมื่อ03-12-2018 21:36:40 »

Shamrock06

     เมื่อคืนหลังจากที่ผมอาบน้ำแล้วส่งข้อความไปคุยกับพวกเฮียๆมา ผมก็ไปเคาะห้องของเขาคนนั้น เพื่อที่เราจะไปห้องซ้อมกัน ซึ่งอยู่ชั้นบนที่ผมเคยบอกว่ามีบันไดขึ้นไปข้างบนอีก นั่นก็คือห้องซ้อมของเขาคนนั้นแหละครับ ทั้งห้องนั้นเป็นสีดำสลับสีเทา มีอุปกรณ์ดนตรีพร้อมครบหมดทุกอย่างเลยล่ะครับ กลายเป็นห้องสตูดิโอขนาดย่อมๆ เขาคนนั้นบอกกับผมว่าเขามักจะขึ้นมาแต่งเพลงที่นี่ ถ้ากลับมาจากลอนดอนแล้ว ในช่วงที่หยุดพักจากทัวร์หรือบางทีก็สลับกันไปที่ห้องซ้อมของบริษัทที่อยู่ในดับลินก็มี

     หลังจากที่ผมนั่งฟังเขาซ้อมเพลงไปได้จนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว จนผมก็เคลิ้มๆจะหลับอยู่แล้วล่ะครับ เสียงดนตรีของเขาคนนั้นเป็นยากล่อมผมให้นอนหลับอย่างดีเลยล่ะ อยู่ๆเขาคนนั้นเขาก็ลุกมานั่งกับผมบนโซสีดำหนังที่ผมกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ พร้อมกับในมือของเขาคนนั้นมีไอพอดติดมาด้วย

     ตอนแรกผมก็คิดว่าเขาคนนั้นคงจะพักแล้วมานั่งฟังเพลงที่เขาอัดไว้เฉยๆ แต่ที่ไหนได้ครับทุกคน เขาคนนั้นของทุกคนนั้นค่อยๆเอื้อมมือที่มีหูฟังข้างนึงมาเสียบที่หูขวาของผม พร้อมกับกดเพลย์ไปด้วย ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปได้แต่มองหน้าเขาอย่างเขินๆ ช่วงทำนองขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ตามด้วยเนื้อเพลงก็ยังคิดว่าเขาจะนำมาร้องในวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำแต่พอท่อนที่ขึ้นที่ขึ้น

Please love me

I'll be yours and you'll be mine

If you'd only say you love me, baby

Things would really work out fine


     เท่านั้นล่ะครับ พร้อมกับที่เขาคนนั้นมองหน้าผมอย่างไม่กระพริบตา เท่านั้นล่ะครับเปอโยต์คนนี้ได้แตกกระจายเป็นชิ้นๆไปแล้ว ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวผมนั้นร้อนไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนใบหน้าของผมนั้นดูเหมือนจะเดือดๆเลยล่ะครับ พอฟังจนจบเพลงลง เขาคนนั้นก็บอกให้ผมไปนอน เดี๋ยวเขาก็จะลงไปนอนแล้วเหมือนกันผมกลับมาที่ห้องนอน แล้วมาคิดว่าวันนี้ผมเหมือนโดนเขาหยอดมาทั้งวันเลยครับทุกคนว่าอย่างนั้นไหมครับ

“อรุณสวัสดิ์จ้าหนูเปอร์” เสียงทักทายของคุณแม่ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่น

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่” ผมทักทายคุณแม่กลับไป

“หิวหรือยังลูก”

“ยังไม่หิวเท่าไหร่ครับ วันนี้คุณแม่ทำอะไรเหรอครับ”

“วันนี้แม่ลองทำข้าวต้มกุ้งดูจ๊ะ เผื่อหนูจะคิดถึงอาหารไทย เพราะตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้ทานเลยใช่ไหมจ๊ะ”

“ใช่เลยครับ แหะๆ”ผมตอบท่านกลับไปพร้อมยิ้มๆให้ท่าน

“งั้นสักแปดโมงกว่าๆค่อยมาทานแล้วกันเนอะ รอพี่เขากลับมาจากที่สวนก่อนแล้วกันนะจ๊ะ”

“ครับ เขาเข้าไปทำอะไรเหรอครับ”

“เห็นว่าจะให้เอาน้ำส้มไปแจกที่ไปร้องเพลงวันนี้ด้วยน่ะจ๊ะ”

“จริงด้วยครับ ผมเคยเห็นอยู่ตอนที่เขาไลฟ์ให้ดูแต่ผมไม่ทราบว่าเป็นน้ำส้มของที่สวนคุณแม่”

“คราวนี้ได้มาดูใกล้ๆแล้วนะลูก กลับไปไทยแล้วก็อย่าลืมส่งโปสการ์ดมาหาแม่อีกนะ รู้สึกว่าจะมีหนูนี่ล่ะที่เขียนส่งถึงทุกคนในครอบครัว จนพี่ชายน้องสาวพี่เขาก็อยากเห็นตัวจริงเรามากเลย” คุณแม่พูดไปพลางแล้วมือก็เหมือนควานหาอะไรจากในตู้ข้างๆโซฟาที่คุณแม่นั่ง

“เนี่ยแม่ชอบทุกใบเลยนะที่เราส่งมา เป็นรูปที่เราถ่ายเองด้วยใช่มั้ยจ๊ะ” ในตอนนั้นผมได้แต่ทำตาลุกวาว ไม่คิดว่าคุณแม่ท่านจะเก็บไว้ทุกใบเลย

“ขอบใจนะจ๊ะหนูเปอร์”

“ผมเต็มใจส่งมาให้ครับ อยากเล่าถึงที่ที่ผมอยู่อยากให้คุณแม่ได้ลองไปเที่ยวที่นั่นดูบ้างครับ” ผมบอกกับท่านไปอย่างจริงใจ

“เขาจำผมได้ใช่ไหมครับ”

“แล้วหนูคิดว่ายังไงล่ะจ๊ะ” ทันทีที่คุณแม่บอกมาอย่างนั้น ผมคิดถึงเมื่อคืนเลยล่ะครับจนตอนนี้อยากจะแทรกแผ่นดินหนีกลับไทยแล้ว

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้จ้าลูก” คุณแม่ท่านถึงกับขำท่าทีของผมที่แสดงออกทางสีหน้ามาทั้งหมดเลย

“ครับ ผมก็กะจะบอกเขาคนนั้นวันนี้นี่แหละครับ”

“สู้ๆนะลูก” คุณแม่ท่านว่าอย่างนั้นพอดีกับที่เขาคนนั้นกลับมาในบ้านพอดี พร้อมกับตะกร้าใส่ส้มมาเต็มตะกร้าเลย

“ทานข้าวกันหรือยังครับแม่” เขาคนนั้นเอ่ยถามคุณแม่ท่านพร้อมกับถอดเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของเขาออก

“รอทานพร้อมเรานั่นล่ะลูกงั้นไปทานข้าวกันเถอะจ๊ะหนูเปอร์”

     ช่วงเช้าวันนี้ผมก็ได้แต่ช่วยคุณแม่ท่านเตรียมของวันคริสต์มาสและจัดของตกแต่งบ้านให้เข้ากับบรรยากาศ คุณแม่ท่านบอกว่าพรุ่งนี้จะมีญาติๆมากันเยอะ วันนี้เลยต้องเตรียมของไว้ก่อนพรุ่งนี้จะได้ไม่วุ่นวาย ผมก็ไม่ได้มีแพลนจะออกไปไหนนอกจากจะไปกับเขาคนนั้นตอนบ่ายสาม

“แม่ครับ”

“วันนี้ผมนอนที่อพาทเม้นท์เลยนะครับ เดี๋ยวเข้ามาพรุ่งนี้ทีเดียวเลยคุณแม่มีอะไรจะให้ซื้อเพิ่มไหมครับ” เขาคนนั้นบอกกับคุณแม่พลางหยิบของตกแต่งส่งไปให้ท่านด้วย

“ไว้แม่จะโทรบอกเราละกันนะ”

“ครับ”

     ผมกับเขาคนนั้นก็อยู่ช่วยคุณแม่ท่านจนถึงบ่ายกว่าๆท่านก็บอกให้พวกเราไปเก็บของเตรียมตัวที่จะไปงาน เขาคนนั้นบอกว่าเดี๋ยวให้ผมเอาเสื้อผ้าของผมไปใส่ในกระเป๋าเล็กของเขาแทน เพราะกระเป๋าของผมนั้นมันใบใหญ่มากไม่ต้องเอาไป เพราะเราจะค้างแค่คืนเดียวเอง

     เขาคนนั้นว่ายังไง ผมก็ว่าตามนั้นล่ะครับ ไม่อยากให้เขามาคิดว่าผมนั้นเรื่องมาก อีกอย่างผมก็เกรงใจเขาคนนั้นด้วยแหละฮะ
กว่าเราจะมาถึงร้านเทมเพิลบาร์ (Temple Bar) ก็ประมาณบ่ายสามกว่าๆแล้วล่ะครับ เขาคนนั้นก็พาผมไปแนะนำกับเจ้าของร้าน เขายังบอกอีกว่าเมื่อก่อน ก่อนที่เขาจะดังนั้นเขาก็มาเล่นประจำที่ร้านนี้ จึงทำให้สนิทกับเจ้าของร้าน ซึ่งจริงๆแล้วร้านนี้มีหุ้นส่วนเป็นนักร้องชื่อดังของโลกเลยล่ะครับ เท่าที่ผมเคยติดตามดูผ่านๆมา ลูกสาวของเขาก็เคยมาเล่นเป็นนางเอกเอ็มวีให้กับวงของเขาคนนั้นด้วยล่ะครับ ในช่วงอัลบั้มแรกของเขาคนนั้นเลย

     สักพักเขาคนนั้นเขาก็ขอตัวไปบรีฟงานกับนักร้องท่านอื่นๆก่อนว่าจะใช้การแสดงอะไรโชว์ก่อนโชว์หลัง เขาคนนั้นบอกกับผมก่อนไปอีกว่า ประชาชนที่มาดูการแสดงจะไม่รู้เลยว่าจะมีนักร้องจากวงดังๆท่านใดมาแสดงบ้าง เหมือนเป็นการเซอร์ไพรส์แฟนคลับไปในตัวน่ะครับ

     หลังจากนั้นก็มีเด็กๆจำนวนมากเตรียมตัวไปเริ่มการแสดงที่ถนนกราฟตัน (Grafton Street) เพราะถือว่าถนนเส้นนี้อยู่ใจกลางเมืองของดับลินเลยก็ว่าได้ เพราะแถวนั้นนั้นจะมีร้านค้า ห้องเสื้อ ร้านอาหาร ห้าง ขึ้นอยู่เยอะครับ

     การแสดงวันนี้ที่มีนักร้องหลายๆท่านมาร่วมแสดงกันนั้น เพราะเหมือนเป็นงานการกุศลประจำปี เพื่อช่วยเหลือคนที่ไร้ที่อยู่ในดับลินน่ะครับ เป็นองค์กรการกุศลที่จัดขึ้น เพื่อให้ทุกคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นมาร่วมกันบริจาคแถมยังได้เจอนักร้องดังๆ หลายท่านด้วย

“คุณไปกันครับ” เขาคนนั้นบอกกับผมหลังจากที่เขาไปบรีฟงานมา

“ครับ แล้วเราจะเอารถไปไหมครับหรือว่าจอดเอาไว้ที่นี่”

“เอาไว้ที่นี่ล่ะ เพราะผมให้คนไปขนพวกหลังน้ำส้มไปแล้ว”

“คุณอย่าลืมเอาหมวกไปใส่ด้วยนะ เผื่อวันนี้หิมะตกแล้วก็เอาโค้ทยาวของคุณไปด้วย ผ้าพันคออีก อากาศวันนี้เย็นจัด เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา” เขาคนนั้นเอ่ยเตือนผมเพื่อที่จะได้ไม่ลืมเอาของไปด้วย นี่ถ้าเขาคนนั้นไม่พูดนี่ผมก็เกือบลืมแล้วเหมือนกันนะครับ รู้สึกดีใจที่จะได้มาเห็นพวกเขาแสดงกันจริงๆโดยที่ไม่ต้องดูผ่านหน้าจอโทรศัพท์แล้ว

“ขอบคุณครับที่เตือน” ผมว่าก่อนแล้วหันไปยิ้มขอบคุณเขาคนนั้น

     ผมได้แต่เดินตามเขาคนนั้นออกไป เพียงแค่ผมมองเขาคนนั้นจากทางด้านหลังก็รู้สึกว่าเขาคนนั้นเป็นคนที่มีเสน่ห์มากจริงๆครับ แค่วันนี้เขาใส่หมวกบีนนี่สีเทาเข้มที่เขาเลือกดึงลงมาปิดหูทั้งสองข้าง พับด้านหน้าให้ขึ้นมานิดหน่อย ทิ้งตัวผ้าลงท้ายทอย ใส่เสื้อยืดสีดำ ใส่เสื้อแขนยาวทับอีกที ไหนจะแจ็คเก็ตดำตัวโปรดของเขา(ผมจำได้เคยเห็นเขาใส่บ่อยๆตอนออกงาน) กางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าหุ้มส้นอดิแดสสีดำคู่โปรด (อ่านตามสำเนียงรุ่นพี่ที่ไปเรียนด็อกเตอร์ที่อังกฤษมาค่ะ เคยได้ยินเขาพูด) ชุดเรียบง่ายของเขาคนนั้นก็ทำพาใครต่อหลายคนใจสั่นไปหมดแล้วล่ะครับ แม้แต่เด็กๆสาวๆที่มาร่วมแสดงยังมองเขาคนนั้นแล้วหน้าแดงกันเลยครับ

     เราเดินกันมาถึงถนนกราฟตันแล้วครับ ใช้เวลาเดินเพียงสิบนาทีเองจากร้านเทมเพิลบาร์มา ก็เห็นเด็กๆต่างเตรียมเครื่องดนตรีที่ตัวเองจะแสดงกันใกล้จะเสร็จแล้ว ตรงหน้าร้านกาแฟที่อยู่ตรงหัวมุมทางแยกของถนนพอดี เพราะจุดนี้เป็นพื้นที่บริเวณค่อนข้างที่จะกว้าง สามารถแสดงให้คนดูได้เห็นโดยที่ไม่ต้องเบียดกันจนแออัดกันไป ส่วนการแสดงนั้นจะเริ่มประมาณเวลาห้าโมงเย็น

“คุณ จะดูอยู่ข้างนอกหรือเข้าไปนั่งดูในร้านกาแฟดีครับ”

“ดูตรงข้างนอกนี้ก่อนก็ได้ครับคุณ ไว้ถ้าผมหิวแล้วค่อยเข้าไปนั่งข้างใน”

“แต่ถ้าคุณหนาวมากๆก็เข้าไปข้างในนะครับ”

“ครับ” ผมตอบเขาคนนั้นไปก่อนที่จะหันไปดูการแสดงของเด็กตัวเล็กๆที่เริ่มแสดงกันแล้ว

     การแสดงดำเนินมาเรื่อยๆจนตอนนี้ท้องฟ้านั้นมืดแล้วล่ะครับ ไฟที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามนั้นได้เปิดขึ้น เข้ากับบรรยากาศของคืนคริสต์มาสอีฟนี้จริงๆ

     ส่วนเขาคนนั้นก็ยืนดูอยู่ข้างผมนี่ล่ะครับ ไม่ได้ไปไหนพร้อมกับอธิบายว่าแต่ละคนที่ออกไปแสดงนั้นเป็นใครบ้าง จนตอนนี้ทั้งถนนกราฟตัน เต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาดูการแสดงที่จัดขึ้นในวันนี้ต่างยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศรอบๆที่จัดการแสดง แล้วก็ยังมีนักข่าวมาอีกด้วย มีกล้องวิดีโอหลายตัวที่ถ่ายถอดการแสดงนี้ออกไป

     จนเวลาได้ล่วงเลยมาถึงสองทุ่มแล้วครับ เขาคนนั้นก็ไปเตรียมตัวที่จะเข้าไปร่วมแสดงด้วย ก่อนไปเขาคนนั้นบอกกับผมว่า

“คุณไลฟ์ให้ผมด้วยนะครับ” เขาบอกกับผมพร้อมยื่นโทรศัพท์มาให้พร้อมกับเข้าแอพพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างเพอริสโคปให้เรียบร้อย

“ได้ครับ” ผมรับโทรศัพท์เขาคนนั้นมาด้วยมือสั่นๆ ตื่นเต้นมากครับ ได้จับโทรศัพท์เขาคนนั้นเป็นครั้งแรก

     แสงไฟบริเวณนั้นถูกปิดลงพร้อมกับมีเสียงกลองคาฮองดังขึ้นเป็นจังหวะ ตามทำนองเพลงคริสต์มาส แล้วแสงไฟก็ถูกเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงกรี๊ดของผู้คนโดยรอบที่เข้ามาดูการแสดง

“โจ กรี๊ดดดดดโจ โจ โจ” เสียงตะโกนชื่อของเขาคนนั้นดังขึ้นเป็นระยะๆ พร้อมทั้งเสียงกรี๊ดที่ดังมากเลยครับ จนเขาคนนั้นนั้นกำมือแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากเท่านั้นแหละครับ เสียงเรียกและเสียงกรี๊ดนั้นก็หยุดลง

     ส่วนในโทรศัพท์ตอนนี้ที่ผมกำลังไลฟ์สดนั่นเหรอครับ แฟนคลับต่างตายเรียบกับท่าของเขาไปแล้วล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมไล่อ่านข้อความที่ขึ้นมาบนหน้าจอ

“นั่นสามีของช้านนนนนนนนน” แหมมมมมมม ผมได้แต่เบะปากออกไป

“คุณทำท่านี้ได้ไง รู้ไหมว่าใจฉันสั่นไปหมดแล้วโจ”

“เขาไม่ใช่คนแล้วแบบนี้น่ะ”

“ทำไมเขาถึงดูดีขนาดนี้นะ”

“สวัสดี จากเยอรมัน”

“สวัสดี จากอเมริกา”

“ได้โปรดมอบหัวใจของคุณให้ฉันเถอะค่ะโจ”

“สวัสดี จากลอนดอน”

“เสียงคุณเพราะจังเลยโจ”


     นี่เป็นตัวอย่างข้อความธรรมดาๆนะครับ เพราะผมไล่อ่านไม่ทันเลย แถมตอนนี้ยอดกดหัวใจนี่ไปเป็นแสนดวงแล้ว ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีนั้นเอง ยังมีข้อความที่ส่งเข้ามาเรื่อยๆนะครับ เหมือนบางคนเขาก็รู้จักกันกลายเป็นว่าคุยกันผ่านทางนี้ไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า

     ผมแกล้งลองหันโทรศัพท์ไปถ่ายคนอื่นบ้าง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องให้เห็นหน้าเขาคนนั้นนานๆ กลับกลายเป็นว่ามีแต่ข้อความให้รีบหันไปที่เขาคนนั้น หึหึ

“โจ หายไปไหนแล้ว”

“ได้โปรดหันกล้องไปที่โจเถอะค่ะ”

“โจ”

“โจ”

“โจ"

“โจ”

“ถ่ายไปที่โจอย่างเดียวค่ะ”

“โจไปไหนแล้ว”
มีแต่คนเรียกชื่อเขาคนนั้น ผมได้แต่เบ้ปาก กลอกตาเป็นเลขแปดอยู่อย่างนั้น จนผมหันกลับไปถ่ายเขาคนนั้นเหมือนเดิม

     (แต่เขาคนนั้นก็แอบเห็นท่าทีของเปอโยต์ที่แสดงออกมา แล้วได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ)

     มีแฟนคลับของเขาคนนั้นเข้ามาดูเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ มีมาจากหลายๆทวีปด้วยกัน ทั้งๆที่เวลาต่างกันขนาดนี้ ก็ยังไม่ยอมหลับยอมนอนกัน เพื่อที่จะได้ดูเขาคนนั้นเล่นดนตรี(ผมบอกตัวเองด้วยแหละครับทุกคน ก่อนหน้านี้ก็แบบนี้ล่ะฮะ >///<)
ผมยังคงถ่ายทอดสดผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อดังให้เขาคนนั้นไปเรื่อยๆ มีบางช่วงที่เหมือนสัญญาณไม่ค่อยดีผมก็กดออกไปก่อนแล้วบันทึกเป็นวิดีโอให้เขาคนนั้นได้เก็บไว้ดู แล้วกดถ่ายถอดสดให้ใหม่ ถึงแม้จะหลุดไป แต่ก็ยังคงมีแฟนคลับที่กดเข้ามาดูอีกครั้ง ยิ่งเป็นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายแล้วด้วยนั้น คนเข้ามาดูเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว แถมยังกดหัวใจส่งมากันรัวๆเลยล่ะครับ

“ขอซูมไปที่โจใกล้ๆหน่อยได้มั้ยคะ”

“ทำไมสามีของฉันถึงดูดีอย่างนี้เนี่ย”

“นั่นโจหันมามองกล้องใช่ไหม”

“อ๊ากกกกกกก ตายอย่างสงบ>///<”

“นั่นเขาหันมาขยิบตาให้ด้วย T_T”

“โจ น่าจะมีเพลงของตัวเองเพลงนึงในอัลบั้มเป็นของเขานะ”

“เขาเป็นสามีของฉัน”

“ทำไม เขาทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลยล่ะ”

“สวัสดี จากประเทศไทย”
หูยย มีแฟนคนไทยเข้ามาดูด้วยล่ะครับ ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นจะมีโซนยุโรปซะมากกว่า เอเชียก็มีครับ แม้แต่เลบานอน อินเดีย ก็มาสมกับที่เป็นวงร็อคชื่อดังของโลกจริงๆครับ

     ผมซูมเข้าไปเพื่อให้แฟนๆได้เห็นเขาคนนั้นชัดๆ คราวนี้ล่ะครับ ข้อความมาแบบถล่มทลายมาก จนผมไล่อ่านไม่ทันแล้ว ไว้พอจบแล้วผมจะเอาไปแซวเขาคนนั้นดีกว่า แล้วเขาคนนั้นนี่ก็มีแฟนบอยก็เยอะใช่เล่นเหมือนกันนะครับ ส่วนใหญ่เข้ามาดูเขาคนนั้นตีกลองซะมากกว่า ชมเขาคนนั้นว่าไม่ค่อยมีเล่นผิดจังหวะซะเท่าไหร่เลย

     เพลงสุดท้ายที่เล่นในวันนี้ได้จบลงไปแล้วครับ ผมก็ได้หยุดการถ่ายทอดสดลงทันทีเหมือนกัน ส่วนแสงไฟที่เคยส่องลงมาที่ทำการแสดงนั้น ต่างได้ทยอยปิดลงไป ผู้คนก็ต่างเริ่มแยกย้ายจากพื้นที่บริเวณตรงนั้น บางคนนั้นก็ขอเข้าไปถ่ายรูปกับนักร้องดังๆที่เข้ามาร่วมการแสดงในวันนี้ ซึ่งน้อยครั้งมากครับที่นักร้อง นักดนตรีจะออกมาเล่นดนตรีกันกลางถนนแบบนี้

     ส่วนเขาคนนั้นน่ะเหรอครับ เหอะ!!! อย่าให้พูดถึงเลยครับ นู่นโดนแฟนคลับพาไปถ่ายรูปอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆทั้งนั้นล่ะครับ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แบบนั้นนั่นน่ะ นั่นๆ มีโอบเอวด้วย แล้วแก้มจะต้องชิดกันขนาดนั้นเลยเหรอ “เหอะ”ผมสบดออกมา พร้อมกับทำหน้ายู่อยู่คนเดียว

     ชิ แล้วนี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย จริงๆมันก็เรื่องปกติของเขาคนนั้นอยู่แล้วนี่หว่า ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ จนกระทั่งเห็นเขาเดินฝ่าผู้คนออกมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ พร้อมกับเอามือขึ้นมายีหมวกบีนนี่สีครีมที่ผมใส่อยู่

“กลับไปที่ร้านกันครับ” เขาคนนั้นบอกกับผม ก่อนที่จะโบกมือไปทักทายแฟนๆ ที่ยังเรียกชื่อเขาคนนั้นอยู่ พร้อมกับส่งรอยยิ้มพิฆาตไปให้เหล่าบรรดาแฟนคลับ

“ครับ” เขาคนนั้นเดินนำหน้าผมไปก่อนที่ผมจะเดินตาม

     ตลอดทางก็มีแฟนๆมาขอถ่ายรูปด้วย ผมว่าใครที่ได้เจอเขาในวันนี้ นี่โชคดีมากๆเลยนะครับ ถ้าพอเขาได้หยุดพักจากทัวร์แล้ว เหมือนเขาคนนั้นก็หายเงียบไปเลย ไม่มีใครได้เห็นเขาอีกเลยล่ะครับนอกจากตอนใกล้จะกลับมาทัวร์อีกรอบนึง

     คุณแม่ท่านเล่าให้ผมฟังว่าเขาคนนั้น เวลาหยุดพักจากทัวร์แล้ว เขาคนนั้นก็แทบไม่ออกจากบ้านเลย หรือไม่ก็ไปแค่ที่บริษัทกับขับรถไปนอกเมืองดับลิน ไปที่เงียบๆ เพื่อไปพักจริงๆ ก่อนหน้าที่จะกลับมาทัวร์รอบนี้เห็นเขาคนนั้นบอกว่าที่ไหล่เขานั้นมีปัญหา เลยต้องหยุดพักยาวไป แล้วก็ต้องไปทำกายภาพทุกอาทิตย์

“คุณหิวอะไรไหมครับ” ผมถามเขาคนนั้นออกไปขณะที่เราเดินเข้ามาตรงตรอกเล็ก ซึ่งเป็นทางลัดที่เราจะเดินไปร้านเทมเพิลบาร์

“หิวมากเลยครับตอนนี้ เพราะตอนเย็นเราก็ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย คุณนั่นแหละหิวล่ะสิถึงได้มาถามผมแบบนี้”

“หิวมากเหมือนกันครับ รอบนี้ผมไม่ปฏิเสธเพราะผมหิวจริงๆเหมือนกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“คุณนี่นะ” ราเดินมากันอีกนิดนึงก็ถึงร้านแล้วล่ะครับ

     เข้ามาในร้านแล้วเขาก็พาไปนั่ง มุมตรงใกล้ๆกับเวที พอหันไปทางไหนนี่ก็เจอแต่คนดังๆทั้งนั้นเลยครับ เพราะเมื่อตอนบ่ายที่มา พวกเขาเหล่านั้นยังไม่มากันเลย เพราะส่วนใหญ่ที่มานั้นเข้าแค่มาร่วมแสดงสนุกๆเฉยๆ ไม่เหมือนกับการแสดงหลักๆที่ต้องมาบรีฟงานกันก่อน

“คุณอยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ” พร้อมกับยื่นเมนูมาให้ผมดู

“ครับ” ผมนั่งไล่ดูสักพักนึงก่อนหันไปสั่งสเต็กกับแซลมอนอบชีสแล้วก็สลัดผักและก็เฟรนฟราส ส่วนน้ำเป็นน้ำอัดลมครับ

“นี่กินคนเดียวใช่ไหมคุณ” เขาคนนั้นเอ่ยแซ็วผมหลังจากที่ผมสั่งอาหารไป

“แล้วคุณจะทานอะไรล่ะครับ รีบสั่งสิ พนักงานเขารอรับออเดอร์อยู่นะ” ผมตอบเลี่ยงคำถามเขาออกไป ใครจะกล้าบอกไปล่ะว่าที่สั่งไปเพราะความหิวล้วนๆล่ะครับทุกคน

     สุดท้ายแล้วเขาก็สั่งสเต็กกับพาสต้ากุ้งไปแค่สองอย่าง ส่วนน้ำเขาก็สั่งน้ำอัดลมเหมือนกันกับผมนี่ล่ะครับ ผมจำได้ว่าเขาคนนั้นจะกินน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่าตลอด ส่วนแอลกอฮอล์ก็เลิกดื่มไปแล้วครับ บุหรี่ก็เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นเขาก็เลิกหมดทุกอย่างเลย ที่ผมทราบเพราะเคยไปอ่านบทสัมภาษณ์ของเขาคนนั้นมาน่ะครับ

     หลังจากที่สั่งอาหารกันไปแล้ว ก็เริ่มมีคนเข้ามาทักทายเขาคนนั้นครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นศิลปินที่เข้าไปร่วมแสดงกับเขาคนนั้นมาแหละครับ เพราะตอนนั้นแสดงกันอยู่เลยไม่สามารถที่จะพูดคุยอะไรกันมากได้ บางคนก็ถามเขาว่าจะเริ่มกลับไปทัวร์กันตอนไหน เพราะเหมือนตารางทัวร์ของเขายังออกมาไม่ครบเลยเหมือนกัน เท่าที่ผมดูก่อนมา ส่วนผมเขาคนนั้นก็แนะนำให้คนที่เขามาทักเขารู้จักโดยไม่ได้บอกไปมากกกว่าชื่อของผมเลย

      เขาคนนั้นลุกออกไปอีกโต๊ะนึงที่มีกลุ่มคนนั่งกันอยู่เยอะๆ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจที่จะฟังพวกเขาพูดกันหรอกครับ ก็ได้แต่กดข้อความส่งหาพี่น้องของผม รวมถึงนั่งไถแอพนกสีฟ้าดูไปด้วย ผมเข้าแท็กไปดูการแสดงวันนี้มา มีแต่รูปเขาคนนั้นเต็มไปหมดเลยล่ะครับ บางอันก็มีมาแบบเป็นคลิปด้วยเลย จนกระทั่งอาหารมาเสริฟ เขาคนนั้นก็กลับมานั่งที่เดิม นั่นล่ะครับผมจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อโค้ท

“รสชาติเป็นไงบ้างครับ” เขาถามผมหลังจากที่ทานกันมาได้สักพักนึงแล้ว

“อร่อยดีครับ”

“หึหึ ผมเห็นคุณก็ตอบว่าอร่อยทุกอย่างตลอดเลยนั่นแหละ” เขาแซวผมอีกแล้วครับทุกคน

“สั่งอะไรมาทานเพิ่มไหมคุณ”

“ไม่ไหวแล้วครับ แค่นี้ก็ไม่รู้จะทานหมดไหมไม่รู้เลย” ผมบอกกับเขาไปก่อนที่เขาคนนั้นจะใช้ส้อมมาจิ้มเฟรนฟรายไปช่วยกิน

“ผมกะแล้วว่าคุณจะต้องทานไม่หมดแน่ๆ ผมเลยสั่งไปแค่สองอย่าง เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมช่วยคุณทานก็ได้ ตกลงไหมครับ”

“ขอบคุณนะครับ คุณนี่ช่วยผมทุกอย่างจริงๆเลย” ผมยิ้มตอบเขาคนนั้นกลับไป

“เดี๋ยวเราทานเสร็จแล้วเราก็กลับกันเลยเนอะ เพราะนี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วด้วย”

“ได้ครับ”

“งั้นก่อนกลับเราแวะไปเอากระเป๋าที่รถก่อน แล้วค่อยเดินไปที่ห้องผม อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หรอกคุณ” ผมได้แต่พยักหน้าตอบเขาคนนั้นกลับไป เพราะตอนนี้ในปากผมเต็มไปด้วยเฟรนฟราย

     เราเดินออกมาเอากระเป๋าที่รถแล้ว ก็เดินเรียบไปตามแม่น้ำรีฟฟี่ย์กันครับ ตอนนี้แทบจะไม่มีผู้คนแล้ว เราจึงเดินกันได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าแฟนคลับของเขาคนนั้นจะมาตอนไหน แสงไฟในช่วงคริสต์มาสนี้ที่ดับลินนี่สวยจริงๆนะครับ ผมถ่ายภาพเก็บไว้เยอะอยู่เหมือนกัน

     จนกระทั่งเดินมาถึงสะพานฮาเพนนีครับ เขาคนนั้นเล่าว่าที่สะพานแห่งนี้แต่ก่อนนั้นชื่อสะพานเวลลิงตัน เพราะสร้างขึ้นในสมัยดยุคเวลลิงตัน เมื่อปี 1816 หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาชื่อสะพานรีฟฟี่ย์ จนมาถึง 100 ปี ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นสะพานฮาเพนนี ชื่อเต็มๆก็คือ ฮาฟเพนนี เพราะมาจากการที่เราจะเดินข้ามฟากไปนั้นต้องเสียครึ่งเพนนี สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเหล็กแห่งแรกของดับลินเลยล่ะครับ

     เขาคนนั้นยังบอกอีกว่าเมื่อก่อนจะมีกุญแจ่คู่รักมาล็อคอยู่บนสะพานเยอะมาก จนมาตอนหลังนายกเทศมนตรีเขาได้สั่งให้รื้อออกเพราะกลัวว่าสะพานจะรับน้ำหนักไม่ไหว

     พวกเราหยุดเดินกันตรงที่กลางสะพานพอดี พร้อมกับที่ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้ เพราะถ้ามาตอนกลางวันคนก็จะเยอะมาก เพราะในกลางวันนั้นจะมีผู้คนเดินข้ามสะพานแห่งนี้กันเยอะมากเลยทีเดียว ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะครับ

“สงสัยวันนี้คงไม่มีหิมะตกแล้วล่ะครับ” ผมบอกกับเขาคนนั้น

“นั่นสิ บางปีก็ตกหลังจากคริสต์มาสสักวันสองวันนะคุณ”

“อ่อ แล้วคุณหนาวไหมครับ”

“ไม่หนาวครับ ผมชินกับอากาศเย็นนะคุณ อย่าลืมสิผมเกิดที่นี่นะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะเต็มเสียงตั้งแต่ผมมา

     ผมถ่ายรูปไปได้อีกสักพักนาฬิกาข้อมือก็ส่งเสียงเตือนว่านี่เข้าสู่วันคริสต์มาสแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยตอบอะไรเขาคนนั้นกลับไป ก็เริ่มมีเกล็ดของหิมะปลิวตกลงมาที่บนใบหน้าของผม ผมรีบกดถ่ายภาพทันทีก่อนที่จะได้ยินเสียงว่า

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะครับน้องโยต์”


ปล.1 รักนี้ที่ดับลินกำลังได้รับการตีพิมพ์กับอ่านนานสำนักพิมพ์นะคะ
ปล.2 เราจะลงเรื่องนี้จบจนเลยค่ะ :mew1:


ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock07
«ตอบ #14 เมื่อ05-12-2018 14:40:51 »

Shamrock07

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะครับน้องโยต์”

“เมอร์รี่คริสมาสครับพี่” ผมบอกพี่เขาคนนั้นกลับไปพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญให้ด้วย

“ขอบคุณนะครับ”

“ด้วยความเต็มใจครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมที่ชายคางของพี่เขา

“ร้ายนะเรา” พอพี่เขาพูดจบก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาจนหน้าของเราอยูในระดับเดียวกัน เราทั้งสองคนต่างมองตาซึ่งกันและกัน จนสัมผัสได้ว่าปากของผมนั้นถูกปิดไปด้วย สัมผัสที่อ่อนโยนของพี่เขานั้น ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอ่อนหวานละมุนนี้

“เราจะอยู่ฉลองคริสต์มาสด้วยกันแบบนี้ไปตลอดเลยนะครับ” ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่ผละออกจากรสจูบอันอ่อนหวาน

“พี่สัญญาว่าจะอยู่ฉลองกับน้องโยต์คนนี้ไปจนแก่เลยครับ”พี่เขาพูดพร้อมกับก้มลงมาหอมแก้มผมอีกครั้ง

“สัญญากับน้องโยต์แล้วนะครับ ห้ามผิดสัญญานะครับ” แล้วพี่เขาก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผม


กลับมาที่ปัจจุบัน

     ผมทั้งช็อคและตกใจที่เขาคนนั้นพูดประโยคนี้ออกมา ผมไปต่อไม่ถูกแล้วล่ะครับ ไม่คิดว่าเขาคนนั้นจะเรียกชื่อผม และผมก็ยังไม่ได้บอกเขาคนนั้นเรื่องที่ผมเป็นแฟนคลับเขาด้วยเลย ผมยืนอึ้งไปอยู่สักแปปนึงจนเขาคนนั้นเอ่ยออกมา

“ทำไม ทำหน้าตกใจแบบนั้นล่ะครับ หืม” ผมได้แต่ยืนมองหน้าเขาคนนั้นด้วยสีหน้าที่ตกใจ

“แล้วเมื่อไหร่จะเรียกผมว่า พี่โจพาวสักทีครับเรียกคุณๆ ผมๆ เนี่ยมันดูขัดๆหูซะจริงๆเลย” เขาว่าอย่างนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาดึงแก้มของผมทั้งสองข้างเบาๆพร้อมกับส่ายหน้าผมไปมาอยู่อย่างนั้น

     ผมได้สติคืนมาหลังจากที่โดนเขาคนนั้นจับหน้าผมส่ายหน้าผมไปมา ผมก็เริ่มรู้สึกเขินคนตรงหน้ามาก ผมไม่กล้าสบตาเขาคนนั้นแล้วเลยครับ

“ละ แล้ว แล้วคุณทราบได้ยังไงครับว่าผมคือน้องโยต์คนนั้น ผมอาจจะเป็นคนที่แค่ชื่อเหมือนก็ได้นะครับ”

“หึ หึ แล้วทำไมพี่ถึงจะจำคนที่คอยส่งโปสการ์ด มาให้กับพี่แล้วครอบครัวพี่ทุกเดือนไม่ได้ล่ะไหนจะข้อความที่ว่า วันนี้น้องโยต์จะไปที่นี่นะครับ วันนี้น้องโยต์จะไปที่นั่นนะครับ หรือเวลาจะไปไหนก็จะส่งข้อความมาบอกในแต่ละวัน แล้วใครคนไหนล่ะครับที่ตามพี่ไปเวิร์ลทัวร์เกือบทุกที่ ที่พี่ไปทัวร์คอนเสิร์ตเมื่อสองปีที่แล้วกันครับ”

     ตู้มมมมมมมมมม ทุกคนครับได้ยินเสียงระเบิดนั่นไหมครับ ถ้าได้ยินก็มาช่วยเก็บเศษซากร่างของเปอโยต์คนนี้ด้วยนะครับมันได้แตกกระจายไปแล้ว  เพราะเปอโยต์คนนี้ได้รับการโจมตีขั้นสูงสุดของเขาคนนี้ไปแล้ว

“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันล่ะครับ ผมก็คิดไปว่าคุณต้องจำผมไม่ได้แน่ๆ เพราะผมก็ไม่ได้มาตามหรือเจอคุณเลย หลังจากที่คุณจบทัวร์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วผมเองก็แค่เคยถ่ายรูปคู่กับคุณครั้งเดียวเองนะครับ ซึ่งนั่นมันตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณ หลังจากนั้นผมก็คอยมองคุณอยู่ห่างๆ” ผมถามเขาคนนั้นด้วยประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่ได้มาเจอกัน

“พี่ก็แค่อยากเห็นท่าทาง ปฏิกิริยาของน้องโยต์น่ะ”

“โถ่คุณก็” ผมเขินมากเลยล่ะครับตอนนี้ “ก็คุณน่ะแทบจะไม่ค่อยมาตอบข้อความของผมเลยช่วงหลังๆมานี้น่ะ” ผมว่าไปอย่างตัดพ้อน้อยใจเขาคนนั้น

“ใครว่าล่ะคุณ ผมก็ตอบคุณอยู่ตลอดนะเพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง” เขาคนนั้นตอบผมกลับมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์สุดๆครับ

“ครับ ครับ ยังไงก็ขอบคุณ คุณมากๆเลยนะครับ ที่จำแฟนคลับแบบผมได้ แถมยังให้ผมมาพักที่บ้านแบบนี้อีกทั้งๆที่ความจริงแล้วคุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้เลยด้วยซ้ำแต่อย่างว่านะครับ เพราะคุณเป็นศิลปินชื่อดังระดับโลกขนาดนั้น แล้วเห็นคนเป็นลมล้มลงไปต่อหน้าถ้าไม่ช่วยก็กระไรอยู่ใช่ไหมครับ” ผมกล่าวขอบคุณเขาคนนั้นไปพร้อมกับอดที่จะแขวะเขาคนนั้นเล็กน้อยไม่ได้

     เพราะเขาคนนั้นเป็นแบบนี้ไงครับ ใส่ใจแฟนคลับ แล้วด้วยสภาพอากาศที่เย็นจัดๆ บางครั้งเขาถึงกับเอาชาร้อนๆมาแจกแฟนคลับที่ออกมายืนรอเขาคนนั้นเพื่อที่จะได้เจอใกล้ๆหรือถ่ายรูปด้วย เป็นห่วงแฟนคลับก็บอกให้เข้าไปหลบในที่สตูดิโอ หรือบางทีหลังจบคอนเสิร์ตแล้วมีแฟนคลับมารออยู่ข้างนอกแล้วฝนมันตกลงมา เขาก็บอกให้แฟนคลับเหล่านั้นกลับไป ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ แถมยังวางตัวดีอีกต่างหาก แล้วเป็นอย่างนี้แฟนคลับที่ไหนจะไม่หลงรักเขาบ้างล่ะครับทุกคน

“คราวนี้ก็เรียกผมว่า พี่โจพาว อย่างทุกทีที่เรียกได้แล้วนะครับน้องโยต์” เขาคนนั้นเอ่ยออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมายีหัวของผมเบาๆและส่งยิ้มมาให้กับผมอีกครั้งนึง

“ฮะ พี่โจพาว” ชื่อนี้ที่เขาคนนั้นบอกว่ามีแค่ผมคนเดียวนี่ล่ะที่เรียกเขาแบบนี้

     ทุกคนคงจะสงสัยกันล่ะสิครับว่าทำไมผมถึงเรียกเขาคนนั้นว่า “โจพาว”

      เรื่องมันมาจากที่ผมเคยส่งข้อความหาเขาทุกวันเป็นเวลาสามเดือนหลังจากที่ผมได้รู้จักกับพี่โจพาว และเป็นช่วงสามเดือนที่ผมไม่ได้รับการตอบรับใดๆทั้งสิ้น จนผมมาคิดได้ว่าพี่เขาอาจจะรำคาญผมก็ได้อย่างที่คูปป์เคยบอกผมมา

      เพราะช่วงนั้นเหมือนผมได้เล่าเรื่องราวต่างๆของตัวเองให้กับพี่เขาลงข้อความทุกวัน บางข้อความก็มีสาระครับ บางข้อความก็ไร้สาระแบบสุดๆ บางเรื่องที่ผมยังไม่ลืมหรือผมเครียดก็ไม่อยากเล่าให้คูปป์ฟังหรอกครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่คูปป์เองก็เครียดมากๆ เพราะน้องสาวของผมมันบอกเลิกไอ้ซีตรองครับ แต่สมน้ำหน้ามันครับควรโดนซะบ้าง กลับมาเรื่องพี่โจพาวต่อครับ

      หลังจากที่ผมคิดได้ผมก็ส่งข้อความไปขอโทษ ที่ส่งข้อความไปให้เยอะขนาดนี้ ผมจะไม่ส่งข้อความมาให้อีก จนผมอดที่จะน้อยใจและหมั่นไส้ไม่ได้ ก็เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะเขาคนนั้นของทุกคนนั้นตอบกลับข้อความของแฟนคลับคนอื่นๆที่ส่งไปน่ะสิครับ แล้วจะมีเหรอครับที่เขาจะไม่เห็นของผมบ้างเลย

    ด้วยความที่ผมหมั่นไส้มากผมเลยจัดการพิมพ์ชื่อ “โจเซฟ พาว” อย่างนี้อย่างเดียววันละหลายร้อยข้อความ ฮ่า ฮ่า ฮ่า จริงครับ ผมว่างตอนไหนผมก็กดส่งไปให้ ทำได้อยู่ประมาณเกือบอาทิตย์ครับ จนข้อความสุดท้ายผมพิมพ์ชื่อเขาคนนั้นตกไปเป็นแค่ “โจพาว” เท่านั้นล่ะครับเขาส่ง :) อิโมติคอนรูปยิ้มเห็นฟันมาให้กับผม ใช่ครับทุกคนเขาส่งรูปที่ยิ้มแบบกวนๆมาให้ ผมนี่อยากจะร้องไห้มากครับ ไม่ใช่เพราะเขาคนนั้นตอบกลับมานะครับ แต่ที่เขาส่งรูปยิ้มเห็นฟันหน้ากวนๆนั้นมาให้ต่างหาก

      แต่ด้วยความที่ผมมีความน้อยใจและความหมั่นไส้เขาคนนั้นมากอยู่แล้ว ผมก็ไม่ตอบกลับไปหรอกครับ เล่นตัวครับ เล่นตัว เราส่งไปเยอะขนาดนั้นแล้วส่งมาให้เพียงอิโมติคอนหน้ากวนๆ จนเวลาผ่านไปสองทิตย์ได้ครับ วันหนึ่งก็มีเสียงเตือนข้อความเข้ามาจากเขาคนนั้นครับ ผมกดเข้าไปอ่านทันทีที่ผมอ่านข้อความจบเท่านั้นล่ะครับ ผมนี่เลิกน้อยใจตัดพ้อเขาคนนั้นเลย รีบส่งข้อความกลับไปทันที เพราะประโยคนั้นประโยคเดียวนี่ล่ะครับ ทำผมถึงกับใจอ่อนทันที เรื่องก็เป็นแบบนี้ล่ะครับทุกคน

“เรากลับห้องกันเถอะครับน้องโยต์” ฮือออ ทุกคนครับผมเขินหนักมากเลยตอนนี้

      ตั้งแต่ได้มาเจอกับพี่โจพาวตัวจริงเสียงจริง ผมก็ไม่เคยได้ยินพี่โจพาวเรียกชื่อผมเลย ก็จะมีแต่คุณๆผมๆนั่นล่ะครับ จนตอนนี้ผมได้ยินเรียกชื่อผมด้วยหูตัวเองแบบนี้บอกได้คำเดียวว่าตายครับ เขินตัวแตก ศิลปินมาเรียกชื่อแฟนคลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ เรียกแบบที่เราไม่ได้พิมพ์ข้อความคุยกันแต่มาเป็นเสียงของเขาคนนั้นจริงๆ >///<

“ครับ” ผมตอบพี่เขากลับไป พร้อมกันนั้นพี่เขาได้ยื่นมือมาให้ผมจับมือด้วย เขาคนนั้นของทุกคนวันนี้ทำผมใจบางไปหลายรอบแล้วนะครับ

โจเซฟ พาว Part

     ขอพื้นที่ให้ผมนายโจเซฟ พาวบ้างนะครับ กว่าจะได้พื้นที่มานี่ขอร้องคนแต่งนานมากกว่าคุณเธอจะให้มีบทบาท มีข้อแลกเปลี่ยนนู่นนี่นั่นเยอะซะเหลือเกิน ไหนๆก็จะได้มีบทบาทแล้วก็เลยจ่ายค่าสินบนไปนิดๆหน่อย แต่อย่าบอกคุณเธอนะครับว่าผมแอบบ่น มิฉะนั้นแล้วผมอาจไม่ค่อยได้ออกมาแล้วก็ได้

     อย่างที่ทุกคนทราบกันนะครับ ผมเป็นมือกลองของวงร็อคชื่อดัง ที่ใครๆต่างพากันรู้จัก แต่ใครกันจะรู้ล่ะครับว่าคนที่ทุกคนติดตามจากทั่วทุกมุมโลกนั้น จะกลายไปเป็นคนที่ติดตามชีวิตของเด็กคนนึง ในทุกๆวันผมนั้นจะต้องเข้ามาอ่านข้อความที่เด็กคนนั้นส่งมา หรือเด็กคนนั้นอัพโซเชียลต่างๆ ผมก็ไปกดเข้าไปดูหรือไปไลค์รูปเขาบ้างน่ะครับ เพียงแต่เขาไม่ทราบว่าเป็นผมเท่านั้นเอง จริงๆแล้วเราคุยกันตลอดแหละครับ เพราะเขาเข้าใจว่าผมก็เป็นแฟนคลับตัวผมเองเหมือนกัน

     จากข้อความที่เด็กคนนั้นส่งมาให้ผมตลอดในระยะเวลาสามเดือนนั้นที่เด็กคนนั้นส่งมา ผมอ่านตั้งแต่แรกที่เขาส่งมานั่นแหละครับ จนทำให้ผมนั้นอยากจะทราบเรื่องราวของเขาในทุกๆวัน ว่าเป็นยังไงที่ผมไม่ได้ตอบกลับไปเพราะผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลช่วงนั้นพอดี จึงไม่สามารถที่จะตอบกลับไปได้ ก็จะมีเพื่อนผมในวงเป็นคนเล่นซะมากกว่า แล้วก็จะคอยมาบอกผมตลอดว่าเด็กคนนั้นส่งข้อความมาอีกแล้ว แต่ว่าผมบอกเพื่อนผมเอาไว้ว่าถ้าเด็กคนนั้นส่งมา ไม่ต้องตอบเดี๋ยวผมจะเข้าไปตอบเอง ส่วนใหญ่แล้วที่แฟนคลับคนอื่นๆได้ข้อความตอบกลับนั้นก็จะมาจากคนในวงผมนี่ล่ะครับจนผมต้องไปสมัครแอคเค้าท์ลับๆเอาไว้เพื่อที่จะได้คุยกับเด็กคนนั้นเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ยังคงส่งข้อความเล่าเรื่องราวในทุกๆวันที่แอคเค้าท์หลักของวงอยู่ดี

     เราคุยกันมาตลอดระยะเวลาห้าปีก็จริงครับ แต่เด็กคนนั้นไม่ยอมเข้าใกล้ผมเลยสักครั้งเวลาที่เขาตามผมไปทัวร์แต่ละที่ ผมก็รอเขานะครับว่าจะเข้ามาขอถ่ายรูปกับขอลายเซ็นต์ผมแบบแฟนคลับคนอื่นๆบ้างไหมเขาก็ไม่มาเลยครับ ผมเห็นเขายืนมองอยู่ห่างๆอยู่ตลอดเวลาที่ผมออกมาพบกับแฟนคลับด้านนอก

     จนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ก็เลยลองถามเขากลับไปในแอคเค้าท์ที่ผมคุยกับเขาประจำ เขาก็ให้เหตุผลมาว่าเขาเจอผมบ่อยแล้ว เพราะเขาตามผมไปทุกๆคอนเสิร์ตแค่เห็นไกลๆก็เป็นสุขแล้ว แต่แฟนคลับคนอื่นๆนี่สิที่จะได้เห็นผมแค่ตามคอนเสิร์ตที่ผมไปเล่นที่เมืองๆนั้น ไม่ได้ตามไปทุกคอนเสิร์ตหรือทุกทัวร์แบบเขา เขาก็อยากจะให้คนอื่นได้ใกล้ชิดกับผมบ้าง น่ารักไหมล่ะครับน้องเปอร์ของทุกคนน่ะ ช่วงอัลบั้มนั้นน้องเขาตามผมไปทุกทัวร์ที่ไปเล่นจริงๆครับ

     ผมก็แกล้งสงสัยไปนะว่าไม่ทำงานเหรอถึงมาตามแบบนี้ได้ พ่อแม่ต้องมีเงินขนาดไหน ถึงยอมให้ลูกมาตามกลุ่มนักร้องได้ขนาดนี้ แถมยังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ บางๆ เพราะไปแต่ละประเทศค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่ถูกๆ และอาจจะเกิดอันตรายได้อีกนะครับ จากที่คุยกันนั้นน้องเขาเรียนจบนานแล้ว ที่บ้านมีธุรกิจส่งออกสินค้าหลายอย่าง อีกทั้งที่บ้านทำฟาร์มวัวส่งออกเนื้อแปรรูปอีก

      ส่วนตัวน้องเขานั้นก็ยังมีร้านกาแฟชื่อดังเป็นของตัวเองอีกอยู่หลายสาขาที่หุ้นกันกับเฮียๆของเขาแล้วยังช่วยทำงานกับที่บริษัทของที่บ้านอีกนั่นแหละครับ เวลาตามน้องเขาบอกว่าเขาใช้เงินส่วนตัวของเขาเอง เพราะอะไรที่เขาชอบหรือตามเขาจะไม่รบกวนป๊ากับม๊าเขา ที่บ้านก็ไม่ได้ว่าอะไรที่มาตามศิลปินแบบนี้

     นี่ล่ะครับประโยชน์จากการที่ผมเนียนๆเข้าไปคุยเพื่อให้น้องจับไม่ได้ จนน้องเขาคิดว่าผมเป็นแฟนคลับเหมือนกันเลยได้คุยกันมาจนสนิทกันไปแล้ว ตอนแรกน้องก็จะชวนผมคุยเรื่องตัวผมเองนี่ล่ะ ผมก็ตัวทำเออออไปว่าชอบพี่คนนี้มากเหมือนกัน(งานอวยตัวเองก็มาครับฮ่าๆๆ) จนคุยไปคุยมาก็เลยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันแลกเปลี่ยนความคิดหรือทัศนะคติกันในแต่ละวัน จนหลังๆผมก็เข้าไปไลค์รูปน้องในอินสตาแกรมบ่อยๆอยู่เหมือนกัน ก็เห็นหน้าน้องมาตลอดห้าปีแล้วนี่ครับทำไมจะจำรูปร่างหน้าตาน้องเขาไม่ได้ล่ะครับจริงไหมทุกคน

     จนในที่สุดแล้วผมก็จะได้เจอกับน้องเขาตอนที่เขาบอกว่าเขาจะมาเที่ยวที่นี่มาอยู่หลายอาทิตย์ เพราะน้องเขาบอกว่ายังไม่เคยได้มาสักที เขาบอกอีกว่ามาหลายๆอาทิตย์เพื่อจะได้เจอกับผมแบบบังเอิญ เวลาน้องจะมาก็ต้องมีธุระให้กลับก่อนทุกทีที่จะได้ข้ามมา ตอนที่จัดคอนเสิร์ตที่ดับลินน้องเขาก็มาไม่ได้ตอนนั้นผมเสียดายเหมือนกันนะครับ

     จากตอนแรกที่เขาบอกกับผมว่าจะมาเดือนมีนากลายมาเป็นช่วงนี้ คือมันกะทันหันมากจริงๆ เขาบอกก่อนจะมาแค่วันเดียวเองว่าเขาจะเลื่อนมาเป็นช่วงคริสต์มาส ดีนะครับที่ช่วงนี้เราหยุดพักจากทัวร์กันแล้ว หลังจากที่สืบทราบมาได้ผมก็ตั้งใจไปรอน้องที่สนามบินแหละครับ แต่ไม่คิดว่าเขาเจอผมแล้วจะช็อคจนหมดสติไปแบบนั้น

     ผมแกล้งทำเป็นจำน้องเขาไม่ได้ครับ เพราะอยากจะให้เนียนๆไปครับว่าน้องเขาได้บังเอิญเจอกับผมจริงๆ ไม่ใช่ผม ที่ตั้งใจไปรอเขาน่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยตอบในข้อความที่เขาส่งมาให้ผมเท่าไหร่ในแอคเค้าท์หลัก เขาคงคิดว่าผมคงจำเขาไม่ได้จริงนั่นแหละครับ เพราะเราเคยถ่ายรูปด้วยกันแค่ครั้งเดียวเอง ครั้งแรกที่น้องได้มาเจอกับผมนั่นแหละครับ

     ผมก็เล่าให้กับที่บ้านฟังมาตลอดเรื่องของน้องเขาว่าน้องเป็นยังไงบ้างในแต่ละวัน จนพ่อกับแม่ผมนี่อยากจะไปเที่ยวที่ประเทศไทยเลยล่ะครับบวกกับที่น้องคอยส่งโปสการ์ดมาให้ตลอดด้วย น้องถ่ายรูปออกมาสวยมากครับแต่ละใบที่ส่งมาให้นั้น เหมือนเราได้ไปสัมผัสที่นั่นจริงๆ ทีนี้ผมเลยให้แม่ช่วยพูดกล่อมน้องให้มาพักที่บ้านเรานี่ล่ะครับเห็นน้องมาคนเดียวด้วยท่านก็ยิ่งเป็นห่วง จนในที่สุดน้องก็ได้มาพักที่บ้านผมตามที่ผมไปเร้าหรือแม่มาครับ

“ใกล้ถึงหรือยังครับพี่โจ” คนข้างๆที่ผมจับมือเดินมาอยู่ด้วยนั้นเอ่ยถามออกมา

“ตึกข้างหน้านี้แล้วครับ” ผมยกมือชี้ไปให้น้องดูว่าอยู่ตรงไหน

“ครับ”

     หน้าของน้องตอนนี้แดงมากเลยล่ะครับ สงสัยจะเขินมาก ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้น้องเขินขนาดนี้นะครับทุกคน ระหว่างเดินมาน้องก็ก้มหน้าก้มตาตลอดไม่เงยหน้ามาผมสักนิดนึงเลยจนเราเดินขึ้นมาบนอพาทเม้นท์ของผมกันแล้ว น้องก็ยังไม่หยุดเขินผมสักที

“พี่โจครับ ผมขอออกไปโทรหาหม่าม้าก่อนนะครับ”

“ครับ” ผมตอบน้องออกไป น้องโทรไปหาครอบครัวคงช่วยแก้ความเขินของลงน้องได้

     ระหว่างรอน้องคุยโทรศัพท์ผมก็ไปอาบน้ำ แล้วเตรียมชุดของน้องที่ใส่มาในกระเป๋าใบเดียวกับผมออกมาแขวนไว้ให้เรียบร้อย เพื่อที่น้องเข้ามาจะได้หยิบสะดวกใช้ได้เลย จนผมเตรียมของให้อะไรเสร็จแล้วน้องก็ยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียงข้างนอก ผมก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เพราะหิมะพึ่งตกก็กลัวน้องจะไม่สบายไปก่อน จึงเดินออกไปตามแต่น้องก็เข้ามาซะก่อนจึงแก้เก้อไปว่า

“อาบน้ำได้เลยนะครับ พี่เตรียมของใช้ไว้ให้แล้ว” พอบอกน้องเสร็จน้องแค่พยักหน้าตอบมา ผมก็เลยแกล้งทำเป็นเดินไปกินน้ำตรงโซนครัว

     ระหว่างที่รอน้องอาบน้ำผมก็เข้าไปเช็คดูแท็กของผมในแอพนกสีฟ้าก็เห็นมีคนส่งรูป ส่งข้อความมากันเต็มเลยล่ะครับ แถมมีการบ่นอีกว่าทำไมไม่ไปถ่ายผมใกล้ๆหน่อย ทำไมชอบหันออกจากผมตลอดเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมคิดว่าเหล่าบรรดาแฟนคลับคงต้องไปถามคนถ่ายแล้วล่ะครับว่าทำไมไม่ถ่ายผมใกล้ๆ ผมเช็คข่าวที่เราไปแสดงวันนี้มาเห็นว่ามียอดบริจาคเพิ่มขึ้นมาเยอะกว่าปีที่แล้วเยอะอยู่เหมือนกันครับ

“อาบน้ำเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมออกไปนอนตรงโซฟาข้างนอกนะครับพี่โจ” เสียงของน้องเอ่ยออกมาทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์

“มานอนตรงที่เตียงนี่ล่ะครับ นอนตรงนั้นจะปวดหลัง”

“ตะ แต่ แต่ผมเกรงพี่โจพาวนี่ครับ” น้องพูดออกมาอย่างเขินๆ

“เกรงใจอะไรกันล่ะ พี่ชวนเรามานะครับ”

“จะดีเหรอครับ”

“ดีสิครับ” ผมว่าออกไปพร้อมกับดึงมือคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงให้นั่งลงมาตรงข้างหน้าผม

“เหวยยยยย พี่โจ!!!”

“ครับ” น้องหน้าแดงมากเลยล่ะครับตอนนี้น่ะ

“อย่าแกล้งกันแบบนี้สิฮะ” น้องทำสีหน้าดูตื่นเต้นและคล้ายๆจะกังวล

“ครับ ครับ ไม่แกล้งแล้วเนอะ งั้นก็มานอนกันครับนี่จะตีสามแล้วด้วย” ผมบอกกับคนตรงหน้าไปพร้อมกับย้ายตัวเองไปนอนอีกฝั่งนึงของเตียง

     ผมรอให้น้องจัดตัวเองเข้าที่นอนดีๆก่อนที่จะลุกขึ้นไปปิดไฟข้างนอกแล้วกลับลงมานอนข้างๆน้อ ที่ตอนนี้นอนห่างจากตัวผมไปชิดขอบเตียงอีกข้างนึงเลย

“ขยับมานอนใกล้ๆพี่ก็ได้ครับ ไม่ต้องนอนชิดเตียงขนาดนั้นก็ได้ พี่ไม่แกล้งน้องโยต์หรอกครับ” ผมบอกคนตัวเล็กให้สบายใจก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟตรงข้างเตียง

“งั้นฝันดีนะครับพี่โจพาว” น้องบอกก่อนที่จะขยับตัวมาใกล้ผมแต่ก็ยังห่างอยู่ดี หึหึ

     เวลาผ่านไปได้สักพักนึงจนผมได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของน้องแล้วนั้น คิดว่าน้องคงจะหลับสนิทแล้วจริงๆ จึงได้ขยับตัวน้องให้เข้ามานอนหนุนแขนของผมแทนหมอนที่น้องนอนหนุนอยู่ แล้วจึงดึงผ้าห่มให้มาคลุมน้องให้พอดีกับตัวของน้อง

“ฝันดีนะครับน้องโยต์ของพี่โจเราได้เจอกันอีกแล้วนะครับ น้องคงจะจำพี่ในตอนนั้นไม่ได้แน่ๆเลยใช่ไหม” ผมเอ่ยเสียงเบาๆก่อนที่จะก้มลงไปจุ๊บบนหน้าผากของตัวเล็กที่ตอนนี้เริ่มซุกหน้ามาตรงหน้าอกของผม

น้องตื่นมาตอนเช้าคงตกใจและเขินมากแน่ๆ ยังไงก็ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันเนอะทุกคน

โจเซฟ พาว End Part


ปล.รักนี้ที่ดับลินกำลังได้รับการตีพิมพ์นะ
ปล.2 เราจะลงเรื่องนี้จนจบเลยค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #15 เมื่อ05-12-2018 14:56:35 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock08
«ตอบ #16 เมื่อ06-12-2018 16:46:35 »

Shamrock08

      ผมลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะเหมือนมีอะไรมาทับตัวผมทำให้รู้สึกอึดอัด ผมพยายามจะดันตัวขึ้นแต่ยิ่งจะดันตัวขึ้นเท่าไหร่ แรงรัดนั้นกับแน่นขึ้นไปอีก หรือนี่ผมกำลังโดนผีอำอยู่ ทันทีที่ผมคิดได้ดังนั้น ผมก็รีบหลับตาลงพยายามนึกบทสวดมนต์ต่างๆที่พอจะนึกขึ้นมาได้ท่องออกไปเบาๆ เผื่อผีจะออกไปแต่นี่เราอยู่ต่างประเทศแล้วผีมันจะกลัวบทสวดของไทยไหมล่ะเนี่ย แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ ฮือออออ

     สักพักเหมือนแรงรัดนั้นเริ่มคลายจากตัวผมแล้ว แต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดูอยู่ดี ถ้าเกิดผมลืมตาขึ้นมาแล้วผีมันพุ่งเข้าหาเหมือนในหนังที่ดู ผมคงได้ช็อคตายไปก่อนที่จะได้กลับไปหาป๊ากับหม้าก่อนแน่ๆเลย

“Good Morning” มีเสียงทักทายอยู่ข้างหูผมด้วย พร้อมกับมีสัมผัสที่ข้างขมับของผม เดี๋ยวนี้ผีเขามีทักทายกันแบบนี้ก่อนจะหลอกกันเหรอครับ ผมได้แต่นึกอยู่ในใจ อย่ามาหลอกน้องเปอร์คนนี้เลยนะครับ น้องเปอร์ยังไม่อยากช็อคตายไปก่อนแบบนี้ แล้วผมก็ซุกหน้าตัวเองลงไปกับผ้าห่มที่ยกขึ้นมาคลุมทั้งหัวอยู่ตอนนี้

“Good Morning ครับ” แต่เอ๊ะนี่เหมือนเสียงของพี่โจพาวเลย ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วค่อยๆเลื่อนผ้าห่มออกจากหัวลงมา จนผมได้เห็นหน้าของพี่โจพร้อมรอยยิ้ม ที่ห่างจากหน้าของผมไปแค่คืบเดียวเอง

“Good Morning ครับพี่โจพาว” ผมตอบกลับไป

“เป็นอะไรไปครับ หืม พี่เห็นเรานอนดิ้นไปดิ้นมา แล้วเหมือนพูดอะไรสักอย่าง”

“ผมว่าผมต้องโดนผีอำแน่ๆเลยครับ เพราะผมเหมือนโดนรัดตัวแน่นเลย พยายามจะดันตัวลุกขึ้นเท่าไหร่ แรงรัดก็ยิ่งรัดตัวมากขึ้นไปอีก แล้วเหมือนจะมีเสียงทักทายผมอีกด้วย ผมก็เลยท่องบทสวดมนต์ เผื่อผีมันจะออกไปน่ะครับ” ผมอธิบายให้กับพี่โจฟัง

“ใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ” ทันทีที่พี่โจพูดจบผมก็รู้สึกเหมือนโดนแรงรัดตัวเหมือนตอนแรกที่ตื่นขึ้นมาเลย

“แล้วก็แบบนี้”

“Good Morning” พี่โจพูดพร้อมขยับหน้าเข้ามาสัมผัสที่ข้างๆขมับของผมเบาๆ

“อย่างนี้ใช่ไหมครับ หืม” บู้มมมม แล้วเช้านี้ผมก็ได้กลายเป็นโกโก้ครั้นซ์ไปแล้ว

“พี่โจจจ” ผมได้พลิกตัวหันหนีพี่โจทันที แล้วพึ่งจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้นอนตรงที่ริมเตียงเหมือนที่ผมนอนเมื่อคืนกลายเป็นว่าตอนนี้ผมมานอนที่กลางเตียง แล้วได้เห็นแขนที่โผล่ออกมาตรงใต้คอของผม ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยคำใดออกมา

หมับ

     ก็มีแรงของน้ำหนักแขนที่พาดทับตรงช่วงเอวของผมไป พร้อมกับวงแขนที่กระชับกอดที่มาจากแขนของพี่โจนั้น ทำให้ตัวผมได้ขยับไปตามแรงกอดที่ดึงเข้าหาคนข้างหลังที่ผมพลิกตัวหนีมาอีกทางนึง กลายเป็นว่าตอนนี้หลังของผมได้แนบชิดกับแผ่นหน้าอกของพี่โจ

“พึ่งจะเจ็ดโมงเช้าเอง นอนต่ออีกหน่อยเนอะ” ทันที่พี่โจว่าเสร็จก็ขยับแขนรัดตัวผมให้ขยับหลุดออกจากภายใต้วงแขนนั้นไม่ได้เลย

     แล้วผมจะนอนหลับตาลงได้ยังไงกันล่ะครับพี่โจพาว ให้ผมนอนหนุนแขนแถมมากอดผมแบบนี้อีก ผมได้แต่นึกอยู่ในใจ พร้อมกับที่ใจของผมนั้นเต้นแรงไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย

     ผมได้แต่นอนหลับตา ภายในหัวตอนนี้มีแต่คำถามผุดขึ้นมามากมาย ว่าทำไมพี่โจถึงต้องมานอนกอดผมอย่างนี้ ทำไมถึงได้ทำตัวราวกับว่าเราคุ้นเคยกันดี ทำไมพี่โจถึงได้อ่อนโยนกับผม ทำไมพี่โจถึงได้ใส่ใจแฟนคลับคนนี้ทั้งๆที่เราพึ่งจะได้เจอกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ผมทำได้แต่เพียงเก็บคำถามเหล่านั้นที่ค้างคาไว้อยู่ในใจ

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปอีกทีตอนไหน จนเหมือนมีแรงสะกิดที่แก้มของผมเบาๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย แล้วเจอกับพี่โจที่มองหน้าผมพร้อมกับนิ้วที่เกลี่ยแก้มผมไปด้วย

“ตื่นได้หลับแล้วครับน้องโยต์”

“ครับ กี่โมงแล้วเหรอครับ”

“สิบเอ็ดโมงแล้วครับ”

“หว่า โยต์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับต่อไปตอนไหนเลย ขอโทษนะครับตื่นสายเลย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นคนบอกให้เรานอนต่อเอง เดี๋ยวลุกไปอาบน้ำเนอะ พี่เตรียมขนมปังกับนมไว้ให้รองท้องแล้ว” พี่โจบอกกับผมพร้อมกับยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ

     หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาทานขนมปังกับนมที่พี่โจเตรียมไว้ให้ เราก็ออกจากห้องไปที่ห้างสรรพสินค้ากัน เพราะพี่โจบอกว่ายังไม่ได้เตรียมของขวัญวันคริสต์มาสเลย อีกทั้งคุณแม่พี่โจก็โทรมาให้ซื้อของทานเล่นเข้ามาเพิ่มอีก เห็นว่ามีญาติมางานคริสต์มาสมากกว่าที่คุยกันไว้ตอนแรก

“น้องโยต์จะซื้อของอะไรไหมครับ” พี่โจถามขึ้นมาระหว่างที่เราเดินดูของขวัญในโซนพวกเครื่องแก้วกันอยู่ตอนนี้

“ไม่ครับ โยต์เตรียมมาไว้ให้แล้วล่ะครับ” พอผมพูดจบพี่โจก็ทำสีหน้างงๆขึ้นมา ผมจึงรีบอธิบายให้พี่โจเข้าใจ

“ตอนแรกโยต์คิดว่าจะไม่ได้เจอพี่โจแล้ว ก็กะว่าจะเอาไปฝากไว้ที่บริษัทของพี่น่ะครับ”

“อย่างนี้นี่เอง”

“ครับ กลับไปที่บ้านคุณแม่แล้วเดี๋ยวโยต์เอาให้นะครับ”

     เราเดินเลือกของขวัญกันอยู่สักพัก ส่วนใหญ่จะเป็นของขวัญที่มอบให้กับผู้ใหญ่ พี่โจบอกว่าค่อยให้ตั๋วไปเที่ยวสวนสนุกกับเด็กๆแทน เพราะหลานของพี่โจเยอะมาก ถ้าให้ของขวัญไม่เหมือนกันเดี๋ยวเป็นอันว่าได้ทะเลาะกันอีก เมื่อปีที่แล้วนี่ต้องจับแยกกันแทบตายกว่าจะยอมกันได้ อาจจะเป็นเพราะวัยไล่เลี่ยกันด้วย ดังนั้นปีนี้พี่โจเลยบอกจะให้ตั๋วไปสวนสนุกแทน


Rrrrr

Standing in the hall of fame

And the world’s gonna know your name

Cause you burn with the brightest flame


“ว่าไงคูปป์”

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะเปอร์”

“เมอร์รี่คริสต์มาส” ผมตอบน้องสาวกลับไป คาดว่าน่าจะอยู่งานเลี้ยงหรืออะไรสักอย่างเพราะผมได้ยินเสียงดนตรีค่อนข้างดัง

“อยู่ไหนน่ะเรา”

“อยู่ที่ห้อง พอดีพวกเด็กๆกลับมาจากงานประกาศรับรางวัลกัน แล้วเลยจัดปาร์ตี้ที่ห้องเขากัน แล้วเปอร์อยู่ไหน” เสียงห้วนๆของน้องสาวที่ตอบกลับมานั้นมันช่างดูขัดกับใบหน้าของคูปป์จริงๆ

“เฮียอยู่ที่ห้างกับพี่โจ พอดีพี่เขามาซื้อของขวัญกับซื้อของกินเข้าไปเพิ่มวันนี้มีงานเลี้ยงที่บ้านของคุณแม่พี่เขา”

“นูน่า มาผัดข้าวให้หน่อยคร้าบบบบบบบบบบบบบ” “พวกผมหิวจะแย่แล้วคร้าบบบบบบบบบ”

“นูน่า อยู่ไหนคร้าบบบบบ”

“นูน่า เร็วๆสิคร้าบบบบบ” มีเสียงตะโกนโวยวายเข้ามาในสาย

“ฉันอยู่นี่ แปปนึงสิโว้ยยยยยยยยย ไอ้เจ้าพวกนี้หนิ ฉันคุยโทรศัพท์อยู่เนี่ยเห็นไหม” คูปป์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเริ่มจะหงุดหงิดนิดหน่อย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใจเย็นๆน้องสาวสุดที่รักของเฮีย”

“ก็ดูพวกมันสิเปอร์ กลับมาถึงห้องไม่ทันไร ก็เปิดเพลงเสียงซะดังขนาดนี้ แล้วนี่เขายังไม่ทันจะได้นั่งพักดีๆเลย ต้องมาทำข้าวให้ไอ้เจ้าพวกนั้นอีกกกกกก ทุกวันนี้นี่จะเป็นแม่พวกมันได้แล้วเนี่ย” เสียงบ่นยาวๆของคูปป์ดังออกมา

“สงสัยคงจะหิวกันจริงๆ งั้นคูปป์ก็ไปทำข้าวให้เจ้าเด็กพวกนั้นเถอะ”

“ก็ได้ นี่กะจะโทรมาถามความคืบหน้าซะหน่อย งั้นไว้ค่อยคุยในไลน์นะเปอร์”

“นูน่า”

“นูน่า”

“นูน่า”

“นูน่าคร้าบบบบบ”

“โว้ยยยยยยยยยยยย “

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“งั้นเฮียวางแล้วนะเราก็ไปจัดการพวกนั้นเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมวางสายจากน้องสาวสุดที่รักไป พลางคิดในใจอย่าให้คูปป์ได้สติแตกเลยตอนนี้ ไม่งั้นมีหวังเจ้าเด็กพวกนั้นอดกินข้าวแน่ๆ

“คุยกับใครครับน้องโยต์ หัวเราะซะดังเชียว” พี่โจถามผมออกมาขณะที่เรากำลังจะเดินกลับไปที่รถกัน

“คูเปอร์น่ะครับ” ผมตอบพี่โจกลับไป

“ครับ น้องโยต์หิวอะไรไหมครับ”

“นิดหน่อยครับพี่โจ แต่เดี๋ยวกลับไปทานที่บ้านก็ได้ครับ”

“งั้นเดี๋ยวรอพี่ที่รถแปปนึงนะครับ พอดีลืมซื้อของอีกอย่างนึง” พี่โจบอกกับผมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกลับเข้าไปในห้างอีกรอบ

15 นาที ผ่านไป


     ก็อกๆๆๆ เสียงเคาะกระจกดังขึ้นตรงข้างที่ผมนั่ง ผมจึงเลื่อนมือไปกดกระจกลงมา

“อะ นี่ครับเอาไว้กินรองท้องก่อนนะ ตอนออกมาเราก็กินกันแค่นิดเดียวเอง” พี่โจยื่นของในมือให้กับผมก่อนที่พี่โจจะเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ

“ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณคนข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มไปให้

     กว่าเราจะถึงบ้านก็ประมาณห้าโมงกว่าเกือบหกโมงเย็นกันแล้วล่ะครับ เพราะพี่โจพาวนั้นต้องวนรถไปเอาอาหารที่ร้านอาหารประจำของคุณแม่ที่ท่านโทรมาสั่งไว้ก่อนที่เราจะกลับบ้านกัน

     เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาภายในบริเวณบ้าน ผมสังเกตเห็นมีรถมาจอดภายในบ้านหลายคัน ญาติของพี่โจพาวน่าจะมากันเยอะอย่างที่คุณแม่โทรมาบอกกับพี่โจพาวว่าจะมีญาติมาเพิ่มอีก

     ผมลงจากรถมาเห็นบริเวณสวนตรงข้างบ้านที่พี่โจพาวชอบไปนั่งนั้นถูกประดับตกแต่งไปด้วยหลอดไฟหลากหลายสี มีต้นคริสต์มาสขนาดกลางๆ ถูกตกแต่งอย่างเรียบร้อยมาตั้งวางไว้ที่ตรงกลางของบริเวณสวน มีซุ้มกระโจมขนาดใหญ่กลางไว้ คาดว่าน่าจะกางไว้เพื่อป้องกันหิมะตกลงมาคืนนี้

     จากที่เมื่อคืนนี้หิมะตกลงมาตลอดคืน ทำให้พื้นสนามหญ้านั้นถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวที่ยังไม่หนามาก ยังพอให้เห็นสีเขียวของหญ้าอยู่เป็นหย่อมๆ

     มีคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นมาอยู่บริเวณรอบๆของซุ้มกระโจม มีเตาปิ้งบาร์บีคิวอยู่สองเตานอกนั้นเป็นโต๊ะที่เริ่มมีอาหารมาวางไว้ แล้วถัดมาเป็นโต๊ะสำหรับวางของขวัญวันคริสต์มาสที่ตั้งแยกออกจากโต๊ะอาหาร

     พี่โจพาวสั่งให้คนงานของที่บ้านมาช่วยกันยกกล่องของขวัญที่ซื้อกันมาวันนี้ ไปวางรวมไว้กับของขวัญของญาติที่วางไว้อยู่ก่อนแล้วให้เรียบร้อย และให้แม่บ้านนำอาหารที่เราไปรับมานำไปจัดใส่จาน ก่อนที่พี่โจพาวจะผมเดินเข้ามาในบ้าน

     ก่อนที่เราจะเดินไปที่ห้องรับรองแขกของบ้านก็ เดินผ่านห้องนั่งเล่นมา ทำให้เจอกับหลานๆของพี่โจพาวกำลังนั่งเล่นกันอยู่หลายคน แต่ละคนนั้นหน้าตาคล้ายตุ๊กตากันเลย น่ารักมากๆครับแก้มกลมๆที่ออกแดงชมพูๆน่าจับมาฟัดให้หายมันเขี้ยวจริงๆ

     พอเห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึง เฮียแมส เฮียจาร์ค คูปป์แล้วก็ซีตรองไม่ได้เลย ใครจะรู้กันล่ะครับว่าจริงๆแล้ว คนที่ตัวโตๆหน้าตาเย็นชา ที่ชอบส่งสายตาดุให้กับคนรอบข้างอย่างเฮียแมส หรือคนที่หน้าตาดูขี้เล่น และอบอุ่น แต่จริงจังอย่างเฮียจาร์ค ไหนจะไอ้ลูกครึ่งตัวโตๆอย่างไอ้ซีตรอง และคนที่ดูสวยเท่ห์อย่างคูปป์ จะเป็นพวกแพ้ของทุกสิ่ง ทุกชนิด ทุกอย่างที่ดูแล้วน่ารัก น่าฟัด เห็นกันไม่ได้ต้องหยิบ ต้องจับ ต้องซื้อเอามาสะสม แต่อย่าเอาไปบอกพวกนั้นนะครับว่าผมกำลังแอบนินทาอยู่

"สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ ลุงโจ/อาโจ/น้าโจ" เสียงทักทายของเด็กๆทันทีที่เราเข้ามาในห้องนั่งเล่น

"สวัสดีเด็กๆ เป็นยังไงกันบ้าง โตกันขึ้นเยอะเลยนะ"

"สบายดีครับ/สบายดีค่ะ"

"แล้วก็คิดถึงอาโจม๊ากมาก" เด็กผู้ชายที่มีผมออกสีส้มแดง หยิกๆ เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับเงยหน้า กอดขาของพี่โจพาวไปด้วย

"อาก็คิดถึงพวกเราเหมือนกันครับ"

"ปีนี้เราจะได้ของขวัญจากอาโจเป็นอะไรกันน๊า" เด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำเงาแบบพี่โจเอ่ยขึ้นมาบ้าง

"ใช่ๆ ปีนี้จะได้อะไรกัน"

"นั่นสิ"

"ปีนี้ ดีนกับจอร์ชห้ามทะเลาะแย่งของเล่นกันอีกนะ เข้าใจกันไหม" เด็กผู้หญิงที่ดูโตที่สุดในกลุ่มเอ่ยบอกกับน้องๆ

"ใช่แล้วห้ามทะเลาะกันนะเด็กๆ ส่วนของขวัญอาจะยังไม่บอกไว้บอกตอนที่เราทานข้าวกันเสร็จแล้ว ตกลงไหมเด็กๆ"

"ตกลงครับ/ตกลงค่ะ"

"แล้วพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆอาโจคือใครกันหรือฮะ" คนที่เอ่ยถามมาคือเด็กผู้ชายที่ตัวสูงเกือบจะเท่าผมนั้นเป็นคนเอ่ยถามพี่โจพาวออกมา

     นั่นไง เอาแล้วไง นี่แค่เด็กๆถามเองนะ ผมยังรู้สึกใจหายวูบเลย ไหนอาการประหม่าที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อีก นี่ขนาดยังไม่ได้เจอพ่อและญาติผู้ใหญ่ของพี่โจพาวเลย ยังรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

"เพื่อนของอาเอง ชื่ออาเปอโยต์"

"อ่อครับ/ค่ะ" แล้วพวกเด็กๆ ก็ทำหน้าตายิ้มๆล้อเลียนมาให้กับพี่โจพาวทันที

"งั้นเดี๋ยวอาพาอาเปอโยต์ไปข้างในห้องรับรองก่อนนะ แล้วเล่นกันดีๆ อย่าทะเลาะกัน ห้ามแกล้งน้องแรงๆเข้าใจไหม

"ครับ/ค่ะ"

     หลังจากที่พวกเด็กๆตกปากรับคำเสร็จแล้ว พี่โจพาวก็จูงมือผมเดินมาตรงทางเชื่อมระหว่างห้องรับรองแขกกับห้องนั่งเล่น

"พี่โจ"

"หืม" ผมเรียกพี่โจพาวพร้อมกับส่งสายตางงๆไปที่มือของผมที่ตอนนี้ถูกกุมไปด้วยมืออันใหญ่ ก่อนที่จะกระชับจับให้แน่นขึ้นไปอีก พี่โจพาวมาทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วล่ะครับทุกคน

"หึหึ"

"สวัสดีครับทุกคน" พี่โจพาวกล่าวทักทายญาติของเขาที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา รวมไปถึงพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ด้วย

"ไงล่ะเรา เมื่อคืนนี้ได้ยอดบริจาคตามเป้าที่กำหนดเอาไว้ไหม" คนผู้ชายที่ทักพี่โจพาวมานั้นคงจะเป็นญาติฝั่งใดฝั่งหนึ่งของพี่เขานั่นล่ะครับ

"ปีนี้ยอดเกินไปเยอะอยู่เหมือนกันครับ"

"ทุกคนครับ ผมมีคนมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักครับ"

     จากที่ผมโดนถูกจูงมือให้เดินตามมา แล้วหยุดยืนอยู่ข้างหลัง พี่เขาคงจะบังผมมิดนั้น ก็ดึงให้ผมออกมายืนอยู่ข้างๆ พี่โจพาวในตอนนี้

"นี่น้องเปอโยต์นะครับ น้องมาจากประเทศไทย พอดีผมบังเอิญชนน้องแล้วน้องเขาเป็นลมไปก็เลยพามาพักที่บ้าน"

"สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นมาไหว้อย่างเคยชิน

"หูยย น่ารักอย่างที่คุณแม่บอกจริงๆด้วยค่ะ" เสียงผู้หญิงที่เอ่ยชมผมนั้น ดูหน้าคล้ายกับน้องสาวของพี่โจพาวเลย ผมเคยไปแอบส่องในโซเชียลของน้องสาวพี่โจพาวมาที่ได้ชื่อไอดีมาอย่างโดยบังเอิญนั้น

"น่ารักอย่างที่ เบตตี้บอกจริงๆ" ส่วนคนนี้น่าจะเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของคุณแม่พี่โจพาว เพราะมีลักษณะคล้ายกับคุณแม่ แม้กระทั่งน้ำเสียงที่กล่าวออกมา

"ใช่ไหมล่ะ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปตั้งเยอะ" คราวนี้เป็นคุณแม่ของพี่โจพาวพูดขึ้นมาบ้าง

     น่ารักกว่าในรูปอะไรกันครับคุณแม่ ผมที่กำลังสงสัยอยู่นั้น จึงหันไปมองหน้าพี่โจพาวเพื่อที่จะถามถึงที่ผมกำลังสงสัยอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน

"เอาล่ะ ไหนๆก็มากันครบแล้ว งั้นเราไปทานอาหารกันเถอะ ป่านนี้ข้างนอกคงจะจัดตรียมเสร็จกันหมดแล้ว" พ่อของพี่โจพาวพูดขึ้นมา คนนี้ผมจำได้ดีเพราะเคยเห็นรูปมาแล้วที่แขวนอยู่ตรงทางเดินชั้นบนของบ้าน

"ไปกันหนูเปอร์ ไปทานข้าวกัน" เสียงพ่อของพี่โจพาวพูดขึ้นมาพร้อมกับจับมือผมให้เดินตามท่านออกไป

     ระหว่างเดินออกมาผมก็ยังคงจะเกร็งๆไปด้วย อดที่จะคิดไม่ได้ว่าพ่อของพี่โจพาวจะดูนิ่งๆ หรือดูดุๆกว่านี้เสียอีก ไม่คิดว่าท่านจะเป็นกันเองขนาดนี้ ไม่มีมาดของผู้บริหารที่น่าเกรงขามเลยสักนิด

     เราออกมากันตรงกระโจมที่ภายในมีโต๊ะและเก้าอี้ล้อมเป็นวงกลมที่จัดเตรียมให้กับพอดีกับจำนวนญาติของพี่โจพาวในค่ำคืนนี้ พวกเด็กๆต่างส่งเสียงดังคุยกัน จนทำให้ถูกดุไปนิดนึงกันถึงจะเงียบลงกันได้

     บรรยากาศภายในโต๊ะเป็นไปอย่างสนุกสนาน เพราะมีเสียงเพลงที่เปิดเข้ากับวันคริสต์มาส เด็กๆต่างเริ่มวิ่งเล่นกันแล้วหลังจากที่เรารับประทานอาหารกันไปสักพัก ส่วนคุณพ่อกับกับแม่และลุงๆป้าๆของพี่โจพาวก็คุยกันอย่างอรรถรส และลูกพี่ลูกน้องของพี่โจก็ต่างถามถึงการทัวร์ของพี่โจพาว และรวมไปธุรกิจของครอบครัวว่าเป็นยังไงกันบ้าง

     น้องสาวของพี่โจพาวก็ชวนผมคุยเกี่ยวกับเมืองไทยว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเขาอยากมาเที่ยวทะเลที่เมืองไทยหลังจากที่ได้เห็นในโปสการ์ดที่ผมส่งมาให้ดู แต่ติดที่ว่าตอนนี้ลูกยังเล็กอยู่เลยยังไม่สะดวกที่จะมา รวมไปถึงลูกพี่ลูกน้องของพี่โจพาวก็ถามผมขึ้นมากันบ้างว่าผมยังเรียนอยู่ไหม หรือว่าทำงานแล้ว แล้วตั้งแต่มาไปเที่ยวที่ไหนบ้างแล้วบ้าง พี่ชายของพี่โจพาวชวนผมไปดูไร่กาแฟของเขาที่สเปนด้วยล่ะครับ หลังจากที่ผมบอกไปว่าผมมีธุรกิจเปิดร้านกาแฟอยู่ที่เมืองไทย อันนี้ก็น่าสนใจไปเหมือนกันไว้ผมจะลองชวนพี่โจพาวดูว่าสนใจจะไปด้วยกันไหม

     แต่มีอีกคนที่ผมยังไม่ได้เห็นนั้นก็คือพี่ชายของพี่โจพาวที่ตอนนี้อยู่อเมริกา พี่โจพาวบอกว่าปีนี้พี่เขาไม่มาเพราะติดงานอยู่ที่นั่น

     หลังจากที่ทุกคนเริ่มอิ่มกันแล้วก็ถึงเวลาที่จะมอบของขวัญกันแล้ว พวกเด็กๆนี่ตื่นเต้นกันใหญ่เลยล่ะครับ จะมีก็แต่ลูกชายของน้องสาวพี่โจพาวนั่นล่ะครับที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างที่จะดังขนาดไหนเลย เป็นเด็กที่นอนหลับดีจริงๆน้องสาวพี่โจพาวจะพาเข้าไปนอนข้างในก็กลัวลูกจะตื่นแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องก็เลยให้นอนบนรถเข็นแทน

     พอคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายให้ของขวัญกับเด็กแล้วก็ถึงคราวที่คุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอาให้บ้างจนมาถึงคนสุดท้ายอย่างพี่โจพาว ที่ตอนนี้ของขวัญที่พี่โจพาวเตรียมมานั้นหมดไปแล้ว เด็กๆต่างก็เริ่มส่งเสียงหากล่องขวัญจากคุณอาผู้ใจดีอย่างพี่โจพาวทันที

“อาโจฮะ ไหนกล่องของขวัญของพวกเราล่ะฮะ” เป็นเสียงของน้องดีนที่ดูแสบและซนมากถามขึ้นมา

“ไม่เห็นเลย”

“ใช่ๆ” ตามด้วยเสียงเด็กๆที่ต่างพากันสงสัย

“อ้าว โจไม่ได้เตรียมมาให้หลานๆเหรอลูก” คราวนี้เป็นคุณแม่ของพี่โจที่ถามขึ้นมาบ้าง

“ใจเย็นๆกันนะเด็กๆ ใครว่าอาโจไม่มีของขวัญมาให้กันล่ะครับ”

“ก็พวกเราไม่เห็นกล่องของขวัญเลยนี่ครับ มีแต่ของคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายแล้วก็ของคุณพ่อคุณแม่เอง”

“ก็ของที่อาจะให้อยู่นี่ไงครับ” พอพี่โจพาวว่าจบก็ยกกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆขึ้นมาโชว์ให้เด็กๆดู

“คืออะไรหรือคะอาโจ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สุดในบรรดาหลานของพี่โจพาวถามขึ้นมาบ้าง

“ตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์ทุกที่และตั๋วเข้าสวนสนุกสวนน้ำในลอนดอน อ่อแล้วก็ตั๋วเข้าแฮร์รี่สตูดิโอตลอดทั้งปี”

“ฮูวววววว”

“โฮฮฮฮฮฮ”

“ว้าววววว” เด็กๆเล็กต่างส่งเสียงอุทานกันออกมา

“แล้วเราจะไปกันหมดไหมล่ะครับเนี่ย”

“โห อาโจคะของหนูโตแล้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ” หลานสาวของพี่โจพาวที่โตที่สุดและเป็นฝาแฝดกับเด็กผู่ชายที่ตัวจะสูงเท่าผมนั้นพูดขึ้นมาบ้าง

“ก็เรายังเด็กอยู่ในสายตาของไง” พี่โจพาวว่าเสร็จก็เอามือไปลูบศรีษะของหลานสาวทันที

“เป็นไงล่ะ วิธีการตัดปัญหาการแย่งของเล่นจากอาโจ ฮ่าๆๆ” คราวนี้เป็นเสียงของพี่ชายคุณพ่อพี่โจพาวพูดขึ้นมา

“พ่อก็นึกว่าจะให้แค่ตั๋วที่ปารีสแค่นั้นเอง ไว้พวกเราค่อยจัดทริปไปเที่ยวโซนเอเชียบ้างเป็นไงล่ะ”

“ก็ดีนะพี่เขย เราไม่ได้เที่ยวกันทั้งครอบครัวใหญ่อย่างนี้นานแล้วเหมือนกัน” เสียงของน้องชายคุณแม่พี่โจเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ไว้ไปเที่ยวบ้านของอาโยต์ด้วยนะคะ/นะครับ” คราวนี้เป็นเสียงของฝาแฝดที่พูดมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์สุดๆ

“โอ๊ะ นั่นสิตาก็ลืมนึกถึงไปเลย ขอบใจนะเจ้าแฝดที่พูดขึ้นมา”

“แม่เห็นด้วยนะจ๊ะ ไว้พวกเราไปเที่ยวบ้านของหนูเปอร์ได้ไหมจ๊ะ”

“ได้ครับ ไว้ถ้ามาแล้วก็ไปพักที่โรงแรมของที่บ้านผมนะครับ” ผมตอบคุณแม่ไปอย่างที่ตัวเองงงๆว่าวกกลับมาเรื่องไปเที่ยวที่บ้านผมได้ยังไงไหนจะสีหน้าแอบยิ้มของคุณพ่อคุณแม่แล้วคุณลุงคุณป้าของพี่โจพาวนั่นอีก

     ผมได้แต่เก็บความสงสัยหลายอย่างนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยถามพี่โจพาวทีเดียวเลยจะดีกว่า ตั้งแต่ที่พี่โจพาวดูแลผมอย่างดีแล้วไหนจะคุณพ่อคุณแม่อีกที่ทำเหมือนเราสนิทกันมานานแล้วนั่นเลย ไหนจะความเป็นกันเองของบรรดาลูกพี่ลูกน้องพี่โจพาวอีก
“เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวพวกคุณปู่คุณตา คุณย่าคุณยายขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันนะเด็กๆ”

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะครับ/นะคะ” เด็กๆก็เข้าไปกอดคุณตาคุณยายเสร็จต่างก็โดนคุณแม่ให้ไปเข้านอนด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยยังเหลืออยู่แต่บรรดาลูกพี่ลูกน้องของพี่โจพาวที่ยังคงนั่งดื่มกันอยู่

“เป็นไงบ้างครับน้องเปอร์ สนุกมั้ยคืนนี้”

“สนุกครับ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักมากเลยนะครับ” ผมตอบกลับพี่แกริคไป ซึ่งผมทราบมาว่าพี่เขาอายุเท่ากับพี่โจพาวนี่ล่ะครับและยังโสดอยู่ ตอนนี้เป็นผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์และวิทยุยักษ์ใหญ่ในดับลินนี่ล่ะครับ ผมนั่งคุยกับพี่แกริคไปสักพัก ส่วนใหญ่ก็จะถามพี่แกริคเรื่องที่เที่ยวในไอร์แลนด์ว่ามีที่ไหนน่าสนใจไปอีกไหม

“โยต์ครับ” เสียงเรียกจากคนที่นั่งตัวติดกับผมตลอดงานเอ่ยเรียกชื่อผมมา

“ครับ”

“ง่วงรึยังครับ” คราวนี้พี่โจพาวหันกลับถามผมบ้าง หลังจากที่พี่โจพาวคุยกับพี่ชายเสร็จแล้ว

“นิดหน่อยฮะ”

“งั้นเราเข้าบ้านไปนอนกันเลยดีไหมครับ”

“จะดีเหรอครับ พวกพี่ชายพี่โจยังไม่เข้านอนกันเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก พวกนี้พี่เจอกันตลอดอยู่แล้วล่ะ ปล่อยให้นั่งคุยนั่งดื่มกันไปเถอะ”

“งั้นเหรอครับ”

“ครับ เข้าบ้านนอนกันเนอะ” พี่โจพาวว่าอย่างนั้นก็บอกกับบรรดาพี่ๆก่อนจะไป

“เมอร์รี่คริสมาสครับ” ผมกล่าวก่อนที่จะโดนฉุดมือให้ลุกขึ้นและเดินเข้ามาในบ้าน

     ตลอดทางเดินที่ผมกับพี่โจพาวกำลังเดินเข้ามาในบ้านกันนั้นหิมะก็ได้ตกลงมาอีกรอบนึง ตลอดทางเดินเราต่างไม่ได้พูดอะไรกันเลยแถมพี่โจยังกุมมือผมเดินมาตลอดทางอีกด้วย ผมได้แต่เงยหน้าส่งยิ้มให้กับพี่โจพาวไป คริสต์มาสปีนี้ของผมแตกต่างไปจากทุกปี เหมือนผมไม่ได้มีความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้มานานแล้ว จนเราเดินขึ้นมาถึงข้างบนห้องแล้วพี่โจพาวถึงได้ปล่อยมือของผมลงให้อย่างเป็นอิสระ ก่อนที่เราจะแยกกันเข้าห้องไป

“น้องโยต์/พี่โจพาวฮะ”

“น้องโยต์พูดก่อนเลย”

“ครับ โยต์จะบอกว่าเมอร์รี่คริสต์มาสนะครับ และก็ฝันดีนะครับพี่โจพาว”

“น้องโยต์” พี่โจพาวเรียกผมก่อนที่ตัวเขาเองนั้นจะเดินกลับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้งนึงก่อนที่จะใช้มือด้านซ้ายรั้งท้ายทอยของผมให้ขยับเข้ามาใกล้ๆก่อนที่จะมอบรสสัมผัสพิเศษลงมาให้กับผมอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอยู่สักพักนึงก่อนที่จะละสัมผัสพิเศษนั้นออกไป

“เมอร์รี่คริสต์มาสครับน้องโยต์” พอพี่โจพาวว่าจบก็เดินเข้าห้องไปแล้วปล่อยให้ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น

ปังงงง

     เสียงปิดประตูนั้นดังไม่เท่ากับใจของผมที่มันเต้นอยู่ตอนนี้เลยล่ะครับ ผมได้แต่ยกมือขึ้นมาจับปากตัวเองที่ได้รับสัมผัสพิเศษนั้นจากเขาคนนั้น สัมผัสพิเศษที่ผมยังรู้สึกติดอยู่ที่ริมฝีปากนี้อยู่เลย


ปล.รักนี้ที่ดับลินกำลังจะได้รับการตีพิมพ์แล้วนะคะ
ปล.2 เราจะมาลงให้จนจบเลยค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #17 เมื่อ07-12-2018 11:11:20 »

น้องโยต์จำเรื่องตอนเด็กกว่านั้นไม่ได้ใช่มั้ยยย
แต่ครอบครัวใหญ่กันทั้งคู่เลย  :katai2-1:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock09
«ตอบ #18 เมื่อ07-12-2018 18:31:23 »

Shamrock09

“พี่รักน้องโยต์นะครับ”

“ครับ โยต์ก็รักพี่เหมือนกันนะ”

     ผมบอกกับพี่เขาคนนั้นพร้อมกับได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ได้อยู่เป็นประจำจากคนตรงหน้า แต่บรรยากาศรอบตัวของผมนั้นมันแตกต่างไปจากเมื่อกี้ที่เราอยู่กัน

“พี่ครับ ตอนนี้เราอยู่ไหนกัน เรานัดกับคูปป์ ไอ้ตรองแล้วก็เฮียไว้ไม่ใช่เหรอ”

“เดินตามพี่มาก่อนนะ”

     ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป พี่เขาก็ได้จูงมือผมให้เดินตามไปด้วยกับเขา ตลอดทางเดินทั้งสองฝั่งนั้นเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ไกลออกไปหน่อยก็จะเห็นเป็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่หลายลูกเลยทีเดียว มีลมพัดโชยมาเป็นระยะๆ

     ทางที่เราเดินกันมานั้น  มีทั้งฝูงม้า ฝูงวัว แพะ และก็ฝูงแกะที่เดินกันอยู่อีกฝั่งนึงของทุ่งหญ้า ตลอดทางที่เราเดินกันมาเงียบๆ ผมก็เริ่มเห็นบ้านหลังขนาดกลางตั้งอยู่ คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่พยายามนึกก็นึกไม่ออกเสียที จนเราเดินมาถึงหน้าบ้าน

“ผมนึกออกแล้ว นี่เป็นบ้านที่พี่พาผมมาตอนนั้นนี่ฮะ แล้วเรามาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง ในเมื่อเราขับรถใกล้จะถึงร้านที่เรานัดกับคูปป์กับเฮียไว้” ผมถามพี่เขาไปอีกรอบหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบมาด้วยความสงสัย

“โยต์ครับ พี่จะบอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่มีความสุขมากที่ได้อยู่เคียงข้างเรานะครับ ถึงจะมีช่วงเวลานึงที่พี่ไม่ได้อยู่ดูแลเราก็ตาม ขอบคุณนะครับที่เข้ามาในชีวิตของพี่ จากเด็กชายเปอโยต์ตัวน้อยที่ทั้งแสบ ทั้งซน จนกลายมาเป็นน้องโยต์ของพี่ชาร์ปในวันนี้ ขอบคุณในความรักที่มั่นคงของน้องโยต์นะครับ ที่อดทนรอพี่กลับมาและรักพี่มาตลอด”

“ทำไมพี่พูดเหมือนกับว่าพี่จะไม่อยู่กับโยต์แล้วอย่างนั้นเลยล่ะครับ” ฮึก ฮึก ฮืออออออ  ผมเริ่มสะอื้นกับสิ่งที่ได้ฟังจากคนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาทันทีที่ผมถามพี่เขากลับไปด้วยความที่ยังไม่เข้าใจว่า พี่ชาร์ปพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร

“โยต์ครับ” พี่ชาร์ปเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นทุ้มเบาๆ พร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดทันที

“น้องโยต์ อย่าพึ่งร้องไห้นะครับ ตั้งใจฟังพี่ดีๆก่อนะ พี่จะบอกน้องโยต์ว่า ต่อจากนี้ไป พี่จะไม่สามารถอยู่ดูแลน้องโยต์เหมือนเคยได้แล้วนะครับ พี่ขอให้น้องโยต์รักตัวเองให้มากๆนะครับ ดูแลตัวเองให้ดีๆ น้องโยต์ต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะครับ แล้ววันหนึ่งน้องโยต์จะเจอคนที่รักน้องโยต์เหมือนกับที่พี่รัก ขอให้น้องโยต์เปิดใจและอย่ายึดติดพี่ไว้กับเรา อย่าจมอยู่กับตัวเองนะครับ พี่ไปครั้งนี้อย่าคิดว่าเป็นความผิดของน้องโยต์เลยนะครับ อย่าโทษตัวเอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นพี่คงจะไปแบบสบายใจไม่ได้เลย”

ฮือออออ

“พะ พี่ชาร์ปจะเลิกกับโยต์หรอ ฮืออออออ”

“เปล่าครับ พี่จะไม่ได้เลิกกับน้องโยต์ แต่เวลาของพี่ชาร์ปมันจบลงแล้ว สุดท้ายนี้พี่อยากจะบอกให้น้องรู้ไว้ว่าพี่รักน้องโยต์คนเดียวและจะรักตลอดไปนะครับ” ทันทีที่พี่ชาร์ปพูดจบ

     ผมก็ได้รับแรงสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างอ่อนละมุนจากคนที่ยังยืนกอดผม ด้วยแรงสะอื้นที่เราต่างคนต่างยังร้องไห้ออกมา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ตัวของผมนั้นเหมือนถูกแรงดึงดูดให้ถอยห่างจากพี่ชาร์ปออกมา ก่อนที่ภาพที่ผมเห็นนั้นจะเปลี่ยนไปอีก

ตื้ดดดดด ตื้ดดดดด ตื้ดดดดด

“หมอคะสัญญาณชีพจรคนไข้กลับมาเต้นเป็นปกติแล้วค่ะ”

“คุณฉีดยากระตุ้นการทำงานของหัวใจด้วยนะ แล้วดูความดันของคนไข้ด้วยว่าตกอีกไหม”

“ค่ะหมอ”

     ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่กับพี่ชาร์ปแล้ว ผมเหมือนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาว มองไปทางไหนก็มาเห็นใครเลย ได้ยินแต่เสียงเหมือนคนกำลังวิ่งวุ่นอยู่กับอะไรสักอย่าง

     ผมได้ยินเสียงโวยวายของเฮียแมสและเฮียจาร์ค สลับกันไปมาแต่ผมไม่เห็นพวกเขา และได้ยินเสียงร้องไห้ของหม่าม๊าด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ แล้วทำไมผมถึงไม่อยู่กับพี่ชาร์ปแล้วล่ะ พี่ชาร์ปเขาอยู่ที่ไหน “เฮียแมส เปอร์อยู่นี่”

“เฮียจาร์ค ได้ยินเปอร์ไหม” ผมลองเรียกเฮียแล้วก็ไม่มีใครได้ยินผมสักคนเดียว ตอนนี้ผมปวดหัวไปหมดเลย แล้วผมจะทำยังไงล่ะทีนี้

     ผมลองมานึกย้อนกลับไปก่อนที่ผมจะมาอยู่ตรงนี้ ผมได้ไปอยู่ที่ ที่พี่ชาร์ปพาผมไปดูว่าพี่เขาจะซื้อที่ตรงนี้เก็บเอาไว้ เวลาเราออกมาพักผ่อนกันใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบเหมือนอย่างกับทุกวัน เพราะพี่ชาร์ปบอกว่าแค่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ผมสักเท่าไหร่แล้ว ถ้ามีเวลาว่างหลายๆวันก็จะชวนผมมาที่นี่

     และย้อนกลับไปก่อนหน้านี้อีก ผมนัดกับคูปป์ ไอ้ตรองและก็เฮียเอา เพื่อที่เราจะมาเลี้ยงฉลองสอบเสร็จกันและคูปป์ก็พึ่งจะกลับมาจากเกาหลีด้วย และตอนที่ใกล้จะถึงร้านคูปป์ก็โทรเข้ามาพอดี ผมคุยกับคูปป์ยังไม่ทันที่จะวางสายก็มีแสงไฟของรถบรทุกที่พุ่งตรงเข้ามาที่รถอย่างเต็มแรงและพี่ชาร์ปก็ได้หักหลบแล้วเอาตัวเข้ามาบังผมไว้ นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็น

Part โจเซฟ พาว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“โยต์ครับ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องโยต์ครับ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ตื่นหรือยังครับ”

     ผมเคาะประตูอยู่หลายทีก็ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ข้างใน งั้นผมขอถือวิสาสะเดินเข้าไปปลุกคนตัวเล็กที่น่าจะยังคงนอนอยู่ก็แล้วกันเนอะ

(พี่ขออนุญาตนะครับน้องโยต์) ผมขออนุญาตในใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

“โยต์ครับ ตื่นได้แล้ว”

ฮื้อออ

จุ๊บบบ ผมก้มล้มไปสัมผัสที่หน้าผากของน้องเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกน้องอีกครั้งนึง

“โยต์ครับ”

อื้ออออ

จุ๊บบบ

อื้อออ

จุ๊บบบ

อื้อออ

จุ๊บบบ

อื้ออออ

“จะตื่นไหมครับ”

จุ๊บบบ ผมยังคอยเรียกน้องและกวนน้องอยู่ จนเหมือนน้องเริ่มรู้สึกรำคาญ จึงค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูตกใจเล็กน้อย

“พะ พะ พี่โจจจจจจ อรุณสวัสดิ์ฮะ” น้องเอ่ยทักขึ้นมาด้วยท่าทีที่ดูจะยังเหมือนคนที่ตื่นไม่เต็มตา

“ตื่นได้แล้วครับ” จุ๊บบบ “ไหนว่าวันนี้จะเข้าไปในสวนกับหลานพี่ไงครับหืม” น้องทำท่าทางดูอึ้งที่ผมทำอย่างหน้าออกไปหน้าตาเฉย แล้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมที่จะพูดออกมา

     ผมรู้ว่าน้องจะพูดอะไรเพียงแต่น้องไม่กล้าที่จะพูดออกมาคงกำลังเขินอยู่ ผมเลยเลี่ยงประเด็นที่น้องโดนสัมผัสของผมไป

“พี่จะมาตามเราลงไปทานข้าวแล้วก็จะได้เข้าไปในสวนกันไง ไหนว่าเมื่อวานตอนที่กินข้าวกันไปตกลงรับปากกับหลานๆพี่ว่าจะไปด้วยไงครับ”

“อ่อ จริงด้วย ผมลืมเลยไปเลย แหะๆ^^” น้องพูดขึ้นมาพร้อมกับทำตาโตๆ ที่ไม่โตของน้องใส่ผมก่อนที่เจ้าตัวจะเด้งตัวลุกขึ้นมาจากใต้ผ้าห่มหนา

“งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะครับ พวกเด็กๆเขารออาโยต์อยู่นะ” จุ๊บบบ

     ผมปล่อยระเบิดไปให้น้องก่อนที่ตัวผมเองจะลุก แล้วเดินออกจากห้องไป สงสัยคนตัวเล็กที่ป่านนี้คงจะนั่งเขินอยู่บนเตียงยังไม่ลุกไปไหนแน่ๆ ผมเลยเปิดประตูเข้าไปดูอีกครั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่ผมเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ

“น้องโยต์ครับ พี่รออยู่ที่ข้างล่างนะครับ รีบตามลงมานะ”

“ครับ”

     ผมว่าตอนนี้น้องคงสติหลุดไปแล้วล่ะครับ ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าผมจะยังไม่ทำให้น้องสับสน งุนงง ไปมากกว่านี้กับการกระทำของผม เดี๋ยวน้องจะเริ่มจับผิดผมได้ ผมอยากให้น้องได้มาเห็นผมในมุมมองของน้องเองโดยตรง โดยที่ไม่ใช่รู้จักกับผมผ่านแอคเค้าท์ลับๆของผม ที่เราคุยกันมาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือที่น้องตามผมจากข่าวสารต่างๆที่มันมีความจริงและไม่มีความจริงอยู่บ้าง

End Part โจเซฟ พาว

Part เปอโยต์

ปัง

     เสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับร้างของพี่โจพาวที่เดินออกไป ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำว่าทำไม ทำไม ทำไม เต็มไปหมดเลย ว่าทำไมพี่โจพาวของทุกคนนั้นถึงได้ทำแบบนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนสกินชิพจากพี่โจพาว ถ้าทุกคนจำกันได้ จนมาตอนนี้ผมก็นั่งคิดอยู่คนได้สักพัก ก็สะบัดหัวไล่ความคิดที่มันกำลังตีรวนกันอยู่ตอนนี้ออกไป แล้วรีบลุกไปอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่และหลานๆของพี่โจพาวจะรอนาน

“อรุณสวัสดิ์จ้าหนูเปอร์”

“อรุณสวัสดิ์ฮะคุณแม่”

“ว่าไงลูก เห็นตาโจบอกว่าวันนี้จะเข้าไปในสวนกันวันนี้พร้อมเด็กๆ” คุณพ่อของพี่โจพาว ถามผมก่อนที่ท่านจะเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้

“ครับ ครั้งที่แล้วไป ยังไปไม่ถึงตรงลำธารข้างหลังเลยครับ วันนี้เลยตั้งใจว่าจะไป พอดีเมื่อวานตกลงรับปากกับหลานๆแล้วด้วยน่ะฮะ”

“อ่อ ยังงั้นก็ตามสบายเลยนะลูก คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเลยก็แล้วกัน”

“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกพี่โจเขาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจพ่อกับแม่นะลูก”

“ขอบคุณฮะ คุณพ่อ คุณแม่”

“ตาโจก็ดูน้องด้วยเข้าใจไหมลูก” คุณแม่ท่านหันไปย้ำกับพี่โจพาวอีกครั้งนึงก่อนที่พวกเราจะเริ่มลงมือทานข้าวเช้ากัน

“ครับ”

     หลังจากที่ทานข้าวเช้าเสร็จผมกับพี่โจพาวก็เดินออกมานั่งอยู่ตรงสวนข้างนอกที่พี่โจนั่งเป็นประจำ เช้านี้ยังคงเหลือเศษพลุกระดาษที่จุดกันเมื่อคืนถูกปะปนกับหิมะที่ตกลงมาอยู่เลย

     ระหว่างที่เรานั่งรอหลานๆของพี่โจพาวอยู่นั้น พี่เขาก็บอกว่าวันนี้เราไม่ต้องปั่นจักรยานกันไปแล้วนะ เดี๋ยวจะมีคนจากในสวนเอารถกอล์ฟออกมารับเรากัน เพราะเด็กๆไปกันเยอะด้วย แถมความซนแต่ละคนนั้นใช่ว่าจะมีน้อยกันเสียที่ไหน กันความปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่า ก่อนที่เราจะจบบทสนทนากันไปก็มีเสียงเรียกพี่โจพาวดังมาแต่ไกลๆ

“อาโจ/ลุงโจ/น้าโจ อรุณสวัสดิ์ค่ะ/ครับ”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ/ครับ อาเปอโยต์”

“พร้อมกันหรือยังเด็กๆ”

“พร้อมแล้วค่า/ครับ” “งั้นไปกันเลยเนอะ”

“พี่โจฮะ แล้วเราจะดูแลเด็กๆกันไหวเหรอฮะ โยต์บอกก่อนเลยนะว่าโยต์ไม่เคยดูแลเด็กๆเลย” ผมหันไปถามพี่โจพาวที่กำลังเดินตามเด็กๆไปขึ้นรถกอล์ฟที่มาจอดรอรับพวกเรากันแล้ว

“แหะๆ พี่ก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะไม่ได้ดูเจ้าพวกนี้มานานแล้ว แต่พี่ว่าเด็กๆคงไม่ดื้อกับพี่หรอก น่าจะฟังพี่กันอยู่บ้าง แต่น้องโยต์ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”

“ครับ” ดูท่าทางแล้วพี่โจคงจะเหนื่อนแน่ๆวันนี้

ครืด ครืด ครืด

Standing in the hall of fame

And the world’s gonna know your name

Cause you burn with the brightest flame


“ว่าไงเฮีย”

“เปอร์ เฮียจะบอกว่า เฮียกับใบยอจะกลับไทยกันก่อนนะ”

“อ้าวทำไมอะเฮีย มีปัญหาอะไรรึเปล่า”ผมถามปลายสายกับไปด้วยความเป็นห่วง

“ใบยอน่ะสิ อยู่ๆก็อาเจียน ทานอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งยังหงุดหงิดเฮียตลอดเลยเนี่ย ขืนอยู่ต่อมีหวังได้ทะเลาะกันแน่ๆ เฮียก็เลยคิดว่าจะพากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะพาลทะเลาะกันหนักไปอีกก็รู้อยู่ว่าถ้าทะเลาะกันขึ้นมาจะเป็นยังไง”

“อ่อ เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วเฮียก็ดูใบยอดีๆด้วยล่ะ ยิ่งดูเหมือนไม่สบายอยู่ด้วย เฮียแล้วอีกอย่างอย่าใจร้อนนะ”

“เออ งั้นแค่นี้แล้วกัน เดี๋ยวเฮียจะบอกคูปป์ให้เองมันจะได้ไม่เป็นห่วงเรามาก แค่นี้มันคงโมโหเฮียสาปแช่งอยู่ทุกวันอยู่แล้ว”

“ไว้เจอกันนะเฮีย”

“เออๆ บาย” หลังจากวางสายจากเฮียจาร์คไป ผมก็อดที่จะเป็นห่วงใบยอไม่ได้เหมือนกัน

     เพราะช่วงที่ก่อนเราจะมาเที่ยวกันใบยอก็ดูไม่ค่อยสบายอยู่แล้วด้วย และนี่ก็ไม่ค่อยได้ทะเลาะกับเฮียจาร์คสักเท่าไหร่ด้วย ถ้าทะเลาะกันทีนี่บ้านแทบแตก เห็นใบยอไม่ค่อยพูดอย่างนี้ เกิดวีนแตกขึ้นมาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผมเคยเห็นตอนสมัยเรียนมหาลัยกับช่วงที่ทั้งสองพึ่งแต่งงานกันไปได้สักพัก

    แล้วเฮียก็ยิ่งเป็นคนอารมณ์ร้อนด้วย จะมาดีขึ้นได้ก็ตอนที่มาคบกับใบยอนี่ล่ะ ไม่ค่อยแสดงด้านร้ายๆให้เห็นออกมาเท่าไหร่แล้ว ผมหวังว่าเฮียจะใจเย็นพอที่จะไม่พาลทะเลาะใส่ใบยอไปเพิ่มอีก

     เฮ้ออออ เราก็ได้แต่เป็นห่วงทั้งสองคนอยู่ตรงนี้

“เป็นอะไรรึเปล่า น้องโยต์” เสียงของพี่โจพาวทำให้ผมหลุดจากความคิดที่กำลังเป็นห่วงพี่ชายตัวเองและพี่สะใภ้

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เฮียจาร์คโทรมาบอกว่า จะกลับไทยก่อนเพราะภรรยาเฮียดูเหมือนจะไม่สบายหนักเลยน่ะฮะ”

“งั้นทำไมไม่ให้พวกเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลในอังกฤษก่อนล่ะ กว่าจะถึงไทยอาการไม่หนักไปกว่านี้เหรอ เดี๋ยวพี่พี่ติดต่อเพื่อนที่เป็นหมอให้” พี่โจเตรียมจะหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะติดต่อเพื่อนเขา ผมจึงรีบบอกพี่โจพาวไปก่อน

“ไม่เป็นไรฮะพี่โจ เฮียกลัวจะทะเลาะกันหนักเลยคิดว่าจะกลับไทยก่อนน่าจะดีที่สุด เพราะถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาทีนี่บ้านแตกเลยล่ะครับ อย่างน้อยอยู่นู่นก็ยังมีหม่าม๊าคอยช่วยดูได้ เพราะเฮียบอกว่ามีอาการทั้งอาเจียน ทานข้าวก็ไม่ได้ เฮียทำอะไรนิดหน่อยก็พาลหงุดหงิดเฮียไปหมดเลยล่ะฮะ”

“ยังไงก็ขอบคุณนะฮะ”

“อืม แต่จะว่าไปอาการของภรรยาเฮียน้องโยต์นี่เหมือนกับอาการของน้องสาวพี่เลย เหมือนกับคนที่แพ้ท้องเลยนะ”

“จริงเหรอครับ” ผมถามกลับไปทันทีด้วยความตกใจ

“จริงสิ น้องเขยพี่นี่แทบจะเข้าหน้าไม่ติดเลย แถมน้องสาวพี่ก็ทานอะไรไม่ได้เหมือนกัน อีกทั้งยังอาเจียนหนักมาก เหม็นกลิ่นต่างๆไปหมดเลย”

“โหยย แพ้ท้องหนักเหมือนกันนะครับแบบนี้”

“ใช่ พี่ก็ไม่ค่อยได้เจอตอนช่วงท้องสักเท่าไหร่ด้วย ไว้กลับบ้านเราค่อยถามน้องสาวพี่ก็ได้ ตอนนี้เราก็ไม่ต้องคิดมากหรอกนะครับ”

“ครับ”

“แล้วน้องโยต์ต้องกลับไปด้วยเลยไหม หรือว่ายังอยู่ต่อก่อน”

“โยต์ว่าจะอยู่ต่อฮะ เพราะไหนๆก็มาแล้ว แต่โยต์คิดว่าจะกลับจองโรงแรมนอนต่อดีกว่าฮะ โยต์เกรงใจที่บ้านของพี่โจ”

“งั้นก็อ....”

“เย่ เย่ ถึงแล้ว เราไปตรงด้านหลังสวนกันก่อนดีไหมฮะอาโจ” เสียงเด็กๆดังขึ้นก่อนที่พี่โจพาวจะพูดต่อ

“อาว่าไปเดินเล่นที่สวนก่อน แล้วค่อยเดินกันไปดีไหม แล้วค่อยให้เจมี่กับหลุยส์มารับพวกเราตรงนั้นกัน”

“อย่างนั้นก็ได้ฮะ แล้วอาโจอย่าลืมพาไปขี่ม้าด้วยนะฮะ”

“โอเคงั้นก็ไปกันเล๊ยยยยยยย”

“ไปครับน้องโยต์”

     ทันที่ที่ว่าจบเด็กๆต่างก็พากันวิ่งไป ออกช่องนู้นออกช่องนี้กันอย่างสนุกสนาน ผมนับถือการเลี้ยงดูลูกๆของพี่ พี่โจพาวกันเลยทีเดียวครับ เด็กๆสามารถดูแลตัวเองกันได้เป็นอย่างดี อะไรที่พี่โจสั่งห้ามเด็กๆก็จะไม่ทำทันที ถึงแม้สีหน้าอยากจะทำมากก็ตาม

     ในที่สุดเราก็เดินกันมาถึงลำธารตรงด้านหลังของสวนส้ม ซึ่งเป็นลำธารที่สร้างขึ้นมาเอง แต่ดูเหมือนเป็นธรรมชาติมาก มีกังหันวักน้ำเพื่อที่จะไม่ให้น้ำเสียอีกด้วย มีสะพานเล็กๆเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของลำธาร ถัดจากนั้นจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆและถึงจะเป็นภูเขาทั้งลูก ยิ่งเช้านี้หลังจากที่หิมะตกมาเมื่อคืนก็ยังคงมีกลุ่มหมอกจางๆเหลืออยู่ ซึ่งทำให้ไม่สามารถมองเห็นส่วนบนของภูเขาลูกนี้ได้ชัด

     ตรงส่วนของข้างลำธารนั้น พ่อพี่โจพาวได้จัดทำให้มีแปลงดอกไม้ขนาดย่อมๆ มีศาลานั่งพักที่ฉลุลายสีขาวตั้งอยู่ มีหินหลากหลายสีและขนาดวางเรียงรายยาวไปตามแนวทางเดินเพื่อที่จะเดินไปยังเรือนกระจกที่สร้างถัดจากศาลานั่งพักไปไม่ไกล จากที่พี่โจพาวเล่าให้ผมฟังระหว่างเดินมาที่ท้ายสวนส้ม

“อาโจฮะ เราเดินเข้าไปกันในเรือนกระจกได้ไหมฮะ” หลังจากที่หลานของพี่โจพาวถามจบ พี่โจก็มีสีหน้าคิดหนักเล็กน้อยและทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนที่จะพูดออกมา

“ได้ แต่พวกเราห้ามจับต้นไม้หรือของที่อยู่ในนั้นเด็ดขาดเลยนะไม่งั้นคุณตา คุณปู่เราได้ว่าอาหนักแน่ๆที่พาหลานมาเล่นซนกับของรักเขา 5555”

“รับทราบค่า/คร้าบบบ”

     เราเข้ามาในตัวเรือนกระจกแล้วซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ผมเข้ามาก็เห็นพรรณไม้ในเขตเมืองร้อนเป็นส่วนใหญ่ และยังมีโซนที่เอาไว้เพาะพันธุ์ไม้อีกด้วย และที่ผมเดินผ่านไปเมื่อกี้ ผมเห็นพันธุ์กล้วยไม้ด้วยล่ะฮะ จากที่ผมทราบมาส่วนใหญ่แล้วจะส่งออกไปทางญี่ปุ่นกันเสียมากกว่า น้อยมากที่จะส่งออกมาทางโซนยุโรปแบบนี้ คุณพ่อของพี่โจพาวจัดเรือนกระจกได้ดูสวยและเป็นระเบียบมากเลยฮะ เดินเข้ามาอีกก็จะมีโต๊ะ เก้าอี้เอานั่งพัก และยังมีเก้าอี้ชิงช้าขนาดกลางตั้งอยู่ใกล้ๆสุดทางเดิน

“อาเปอร์ฮะ เราเดินไปนั่งชิงช้าตรงนู้นกันดีไหมฮะ”

“ไปสิครับ” ผมตอบรับเด็กน้อยที่มาพร้อมกับทรงผมหยิกๆสีแดงออกส้มเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับจูงมือให้เดินตามไปนั่งชิงช้าอย่างที่เจ้าตัวชวนผม

     หลานๆของพี่โจพาวต่างผลัดกันเข้ามาชวนผมคุย สลับกันกับให้ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยบ้าง เพราะเด็กๆยังไม่เคยไปกันเลย แต่ละคนดูตื่นเต้นมาก จากที่ผมได้เปิดภาพสถานที่ต่างๆให้ดู

     จากตอนแรกที่เกร็งๆ และกลัวจะดูแลเด็กๆไม่ได้ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเริ่มที่จะคุ้นเคยกับเด็กๆมากขึ้น ส่วนพี่โจนั้นเหรอฮะ ก็นั่งฟังหลานๆเล่าเรื่องต่างๆ ที่สลับกับผมอยู่เงียบๆ มีบ้างที่พี่โจหัวเราะขึ้นมาและบางช่วงเราต่างเผลอสบตากัน แต่ก็ต้องละสายตาไป เพื่อสนใจเด็กๆที่กำลังเล่าอย่างสนุกสนาน


ปล.รักนี้ที่ดับลินกำลังจะได้รับการตีพิมพ์กับอ่านนานสำนักพิมพ์นะคะ
ปล.2เราจะมาลงเรื่องนี้ให้จนจบค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #19 เมื่อ08-12-2018 01:41:21 »

นั่นสิทำไมพี่เขาทำแบบนี้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
« ตอบ #19 เมื่อ: 08-12-2018 01:41:21 »





ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock10
«ตอบ #20 เมื่อ09-12-2018 12:52:35 »

 Shamrock10
     หลังจากที่เรากลับมาจากสวนกันช่วงเย็นแล้ว คุณแม่และบรรดาสะใภ้ของครอบครัวพี่โจพาวต่างก็ได้ช่วยกันจัดเตรียมอาหารเย็นไว้จนใกล้จะเสร็จแล้ว ส่วนคุณพ่อและพี่ชายพี่โจก็นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกอีกฝั่งนึงของบ้าน

“เด็กๆ จ๊ะ ไปอาบน้ำกันก่อนแล้วค่อยมาทานข้าวดีกว่าเนอะลูก ดูสิตัวมอมแมมกันไปหมดเลยเนี่ย”

“ครับ/ค่ะ คุณย่า/คุณยายเบตตี้”

“ส่วนตาโจแล้วก็หนูเปอร์ ก็ไปอาบน้ำก่อนแล้วลงมานะลูก”

“ครับคุณแม่/ฮะ” ผมตอบรับคุณแม่พร้อมกับพี่โจพาวก่อนที่พวกเราจะแยกกันกลับไปที่ห้อง

     หลังจากที่ขึ้นห้องมาได้สักพัก ผมก็คิดได้ว่าผมควรที่จะโทรหาเฮียแมสก่อนดีกว่า ว่าเฮียจะมาที่ดับลินไหม เพราะตอนนี้เฮียจาร์คก็กลับไปแล้วด้วยเลยไม่แน่ใจว่าเฮียจะยังมาอยู่รึเปล่า อีกอย่างโทรชวนไอ้ซีตรองมาตอนนี้มันคงไม่มาแล้วเพราะมันก็จะบินไปหาคูปป์ที่เกาหลีช่วงปีใหม่เหมือนกัน

“ว่าไงเปอร์” ผมรอสายอยู่ไม่นานเฮียก็รับ

“ฮัลโหลเฮีย สรุปแล้วเฮียจะมาป่ะเนี่ย”

“แล้วเฮียจาร์คก็กลับไปแล้วด้วย ไอ้ตรองมันก็บินไปหาคูปป์”

“กูติดงานไปไม่ได้แล้ว นี่มึงลืมงานเลี้ยงของบริษัทด้วยใช่ไหม”

“เออ จริงด้วยว่ะเฮีย ลืมสนิทไปเลย” “เอาไงดีวะเนี่ย อยากอยู่ต่อก็อยาก แถมเฮียจาร์คก็กลับไปแล้วด้วย ไม่อยากเที่ยวคนเดียวด้วย เอาไงดีวะ จะโทรตามไอ้ตรองให้บินมานี่อีกก็ไม่ได้ โดนคูปป์ฆ่าตายแน่ๆ! @#%%$^^&* (&R$$”

“บ่นอะไรของมึงวะเปอร์”

“ไม่มีไรๆ เฮีย งั้นเดี๋ยวเปอร์กลับไทยดีกว่า ไหนๆ เฮียก็ไม่มาแล้ว”

“เฮ้ยยย ไม่เป็นไรเว้ย มึงก็อยู่เที่ยวต่อของมึงไปนั่นแหละ งานเลี้ยงของบริษัทไม่ต้อง มีกูอยู่ทั้งคน ไอ้จาร์คก็อยู่อีกคน มึงไม่ต้องกังวล เที่ยวให้สนุก นานๆ ทีมึงจะได้ออกไปเที่ยวคนเดียวแบบนี้ หรือมึงจะชวนเขาคนนั้นของมึงไปเที่ยวด้วยซะเลยสิ หึหึ”

“ชวนเที่ยวไรวะเฮีย พี่เขาก็ต้องมีงานของเขานั่นแหละจะมาเที่ยวด้วยได้ไง” ผมตอบเฮียไปอย่างเขินๆ ที่เฮียแมสพูดแบบนั้นออกมา

“มึงไม่ลองชวน มึงก็ไม่รู้หรอกเปอร์ มึงควรก้าวข้ามผ่านอาการแอบชอบของมึงได้แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วนะ มึงควรเริ่มต้นใหม่ได้แล้ว แต่ถ้ามันไม่โอเคหรืออะไร มึงยังมีพวกกูอยู่ อย่าลืมล่ะ”

“เอางั้นเหรอเฮีย จะดีเหรอวะ เฮียมึงแน่ใจนะ” ผมถามเฮียกลับไปด้วยความที่ไม่มั่นใจอย่างที่เฮียพูดออกมาเลย

“เออ ตามนั้นแหละมึง”

“โอเค จะลองทำอย่างที่เฮียบอกก็ได้”

“งั้นแค่นี้นะมึง”

“เดี๋ยวก่อนเฮีย”

“อะไรของมึงอีกเนี่ย”

“คืนนั้นอ่ะ เฮียไปเที่ยวใครมา”

“คืนนั้น คืนไหนล่ะมึง”

“ก็คืนนั้นก่อนนี้อะเฮีย”

“ทำไม กูก็นั่งทำงานอยู่ที่บริษัทเนี่ย เพ้อเจ้ออะมึง กูจะไปเที่ยวที่ไหนได้”

“แป๊ปนะเฮีย”

(ผมกดส่งภาพที่ได้มาให้เฮียไป เป็นภาพผู้ชายร่างโปร่งนั่งอยู่ข้างๆ เฮียโดยที่มีมือของเฮียโอบเอวเอาไว้อยู่ที่ผับ)

“เหี้ยยย”

“เอ้า มาด่ากันเฉย เห็นแล้วใช่ไหมล่ะจะมาว่า เปอร์เพ้อเจ้ออีกไหมฮะ สรุปแล้วเขาเป็นใครทำไมเฮียต้องนั่งโอบด้วย”

“ก็พนักงานในบริษัทนี่แหละ แล้ววันนั้นก็ไปคุยกับลูกค้ามา ใครจะคิดว่ากินเหล้าไปหน่อยเดียวแล้วมันจะเมาล่ะวะ เลยนั่งจับมันเอาไว้ แค่นั้นเอ๊งงง”

“เหรออออเฮียเหรอออออออ แค่พนักงานจริงๆ อ๊ะ”

“ก็เออสิวะ จะให้มีไร”

“พนักงานก็พนักงานเนอะเฮีย ไว้เดี๋ยวเปอร์ส่งไปให้คูปป์ดูดีกว่าว่าเฮียแมสผู้แสนเย็นชา หัวใจตายด้าน ไม่สนใจใครจะมานั่งดูแลพนักงานดีขนาดนี้เนอะ งั้นแค่นี้ก่อนน๊าเฮียยยยยยย 55555555” แล้วผมก็ตัดสายเฮียแมสไปก่อนที่จะโดนเฮียว่ากลับมา ฮ่าๆ ๆ แหย่แค่นี้ทำเป็นมีพิรุธร้อนตัวไปได้

     เอาเป็นว่าเรื่องของผู้ชายคนนั้นกับเฮียแมสผมจะค่อยไปถามเฮียแมสใหม่ทีหลังก็ได้ ว่าแล้วผมก็ส่งภาพไปให้เฮียดูอีกสักสองสามรูปดีกว่า คราวนี้แหละเฮียแมสต้องนั่งไม่ติดแล้วแน่ๆ ตอนนี้ ฮ่าๆ ๆ กลับจากเที่ยวคราวนี้คงจะมีเรื่องที่ให้ผมได้ทำสนุกๆ อีกแล้ว

     พักเรื่องของเฮียแมสเอาไว้เท่านี้ก่อนดีครับ มาช่วยผมคิดกันดีกว่าว่าผมควรจะพักอยู่ต่อที่บ้านของพี่โจเซฟพาวตามคำชวนของเขาคนนั้นดีหรือว่าผมจะกลับเข้าไปพักโรงแรมในตัวดับลินดี

(ภายในความคิดของเปอโยต์ตอนนี้)



เดวิล : อยู่ต่อเลยสิ ไหนๆ นายก็ได้มาพักของศิลปินที่นายชอบขนาดนี้แล้ว อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดไปได้ล่ะ

แองเจล : ไปอยู่ที่โรงแรมดีกว่านะ เดี๋ยวแฟนคลับคนอื่นๆ จะมองนายไม่ดีนะเปอโยต์

เดวิล : อยู่ต่อสิ

แองเจล :ไม่ต้องอยู่หรอกน่า

เดวิล : อยู่ต่อเลย

แองเจล : ไปอยู่โรงแรมดีกว่า

เดวิล : อยู่ต่อ อยู่ต่อ อยู่ต่อ อยู่ต่อ อยู่ต่อ

แองเจล : ไม่อยู่ ไม่อยู่ ไม่อยู่ ไม่อยู่ ไม่อยู่


     โว้ยยยยยยยยย พอกันได้แล้ว เถียงกันอยู่ได้ ผมสลัดความคิดของผมที่กำลังตีกันอยู่ตอนนี้ออก เพราะความหิวเริ่มจะทำให้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วล่ะสิ ไว้ค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน แล้วผมก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อที่จะได้ทานข้าวเย็นกับครอบครัวของพี่โจพาว ก่อนที่พรุ่งนี้พวกเขาจะเดินทางกลับกัน

“หนูโจมานั่งข้างแม่มานี่ลูก”

“ฮะ” ผมเดินมาเลื่อนเก้าอี้พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ที่คุณแม่บอกอย่างว่าง่าย

“ตาโจก็นั่งข้างน้องนั่นแหละ”

“เด็กๆ ก็เริ่มทานกันได้เลยนะลูก ดูท่าคงจะหิวกันล่ะสิ”

“หิวนิดหน่อยฮะคุณยาย”

“จ้าๆ งั้นเด็กๆ เริ่มทานกันเลย จะได้ไม่เสียเวลา ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขานั่งคุยกันไปก่อนก็แล้วกัน”

     อาหารเย็นวันนี้น่าทานมากเลยล่ะครับทุกคนเป็น crispy duck leg confi enhanced with orang sauce หรือขาเป็ดกงฟีต์ที่ปกติเราจะหมักด้วยกระเทียมแล้วราดซอสธรรมดาใช่ไหมครับ แต่นี่เป็นสูตรที่ราดด้วยซอสส้มที่คุณแม่ทำขึ้นมาเอง ให้ความรู้สึกหวานอมเปรี้ยวแล้วมันเข้ากันได้ดีกับขาเป็ดกงฟีต์มากๆ เลยล่ะครับ ครับ อีกทั้งยังมีข้าวผัดสเปน ที่จะเน้นของทะเลเป็นหลัก มันบดผสมแฮมที่ทานคู่กับสลัดอีก ที่ถูกใจอีกอย่างก็จะเป็นกุ้งกับปลาหมึกชุปแป้งทอดและสุดท้ายก็เป็นน้ำส้มคั้นที่คั้นสดๆ จากสวนเลยล่ะครับ

“ทานเยอะๆ เลยนะจ๊ะหนูเปอร์” คุณแม่ท่านว่าจบท่านก็ตักข้าวผัดมาให้ผมเพิ่มอีก

“ขอบคุณครับ”

     แล้วคุณแม่ท่านก็หันไปคุยกับพี่สาวและน้องสะใภ้ของท่านต่อ ส่วนเด็กๆ แม่ของแต่ละคนก็คอยจัดการเพิ่มข้าวหรือหยิบของกินให้เด็กๆ ตอนนี้คุณพ่อท่านก็มาร่วมทานข้าวด้วยกันแล้ว เป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นมากจริงๆ เลยล่ะครับ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมได้สัมผัสกับครอบครัวใหญ่ของพี่โจพาวก็ตาม ทำให้ผมรู้อะไรเกี่ยวกับพี่โจพาวเพิ่มขึ้นไปอีก ได้เห็นมุมที่ผมคิดว่าแฟนๆ คงไม่ได้มีมาเห็นในแนวๆ นี้แน่ๆ

“น้องโยต์ครับ”

“ฮะ พี่โจ” เรียกอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ

“น้องโยต์จะอยู่ต่อที่บ้านพี่ใช่ไหมครับ” นั่นไงๆ มาแล้วกับคำถามนี้ หลังจากที่พี่โจถามจบพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจสั่นได้นั่นมันมาอีกแล้ว

“โยต์ว่าโยต์จะ จะ….”

“จะอยู่ต่อใช่ไหมครับ”

“จะอยู่อะไรกันเหรอลูก”

“ก็น้องน่ะสิครับแม่ จะไม่ยอมอยู่ต่อที่บ้านเราแล้ว จะไปเปิดห้องที่โรงแรม ทั้งๆ ที่พี่ชายเขาพึ่งจะบินกลับไปเมื่อเช้านี้เพราะแฟนของเขาไม่สบายน่ะครับ” ได้ทีฟ้องเลยนะครับพี่โจ

“อ้าวเหรอ งั้นหนูเปอร์ก็อยู่ที่บ้านต่อสิจ๊ะลูก ยิ่งไปอยู่คนเดียวมันอันตรายนะจ๊ะอย่างที่แม่ได้บอกหนูไปแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจแม่กับพ่อเลย แล้วถ้าหนูจะไปเที่ยวตามที่หนูได้เตรียมแพลนมาหนูก็ไปได้ เนี่ยชวนพี่โจไปด้วยซะเลยสิลูก เห็นว่าช่วงนี้หยุดทัวร์คอนเสิร์ตอยู่”

“เอ่อ จะดีเหรอฮะคุณแม่”

“ดีสิจ๊ะ ใช่ไหมทุกคน”

“ใช่ๆ” เสียงทุกคนตอบรับกลับมากันทันทีที่คุณแม่พี่โจเอ่ยถาม

“ใช่พี่เห็นด้วยกับคุณแม่นะ” คราวนี้เป็นน้องสาวของพี่โจพูดขึ้นมาบ้าง

“ไว้พี่จะได้พาเจ้าตัวเล็กมาหาที่บ้านคุณแม่อีก ไหนๆ ก็ได้เจอน้องเปอร์แล้ว พี่ยังมีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะแยะเลย”

“พี่โจ จะดีเหรอฮะ” ผมหันไปถามพี่โจอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

“ดีสิ หึหึ”

“งั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะครับคุณแม่ ทุกคน”

“มัมฮะ งั้นผมขออยู่ต่อได้ไหมฮะ ยังไม่อยากลับบ้านเราแล้ว”

“ใช่ฮะ ขออยู่ต่อได้ไหมฮะแด๊ด” เด็กๆ เริ่มส่งเสียงขอร้องที่จะอยู่บ้านพี่โจกันต่ออีก

“ไม่ได้จ้า ไว้เราค่อยมากันใหม่นะ น้องเปอร์คงจะยังไม่กลับเลยใช่ไหมหลังปีใหม่ไปแล้ว”

“ยังฮะ ผมจะอยู่ถึงจนช่วงวันที่สิบ สิบเอ็ดนู่นเลยครับ”

“งั้นไว้เราค่อยมากันหลังปีใหม่โอเคไหมเด็กๆ ให้อาเปอร์ได้ไปเที่ยวก่อน”

“โอเคครับ/ค่ะ”

จึก จึก จึก

     ผมรู้สึกเหมือนโดนสะกิดเข้าที่เอวเลย ตอนแรกก็คิดว่าเป็นพี่โจซะอีกที่สะกิดผม แต่ที่ไหนได้กลายเป็นว่าผมก้มมองลงไปเห็นเด็กตัวเล็กผมหยิกสีแดง ที่วันนี้ทั้งวันมาให้ผมอุ้ม ทั้งจูงมือ ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองห่างจากผมเลยนั้นเป็นคนสะกิดเรียกผมนี่เอง

“ว่าไงครับ โรแวน” ผมก้มหน้าลงมาถามกับเจ้าตัวเล็กที่ยังคงใช้นิ้วจิ้มที่เอวผมไม่หยุด

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ

“เดี๋ยวโรแวนจะมาหาใหม่ แล้วเจอกันนะฮะอาเปอร์”

จุ๊บ จุ๊บ

“ครับ” ผมตอบเด็กน้อยพร้อมกับอุ้มขึ้นมานั่งบนตักด้วย โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่นึงจ้องผมเขม็งอยู่ถ้าไม่ใช่พี่แกรริคเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“นั่นหลานนะโจ ไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้ 555555”

     ชะอุ้ยย ผมหันไปมองหน้าพี่โจทันที เห็นหน้าตึงๆ นั่นก่อนที่พี่โจจะเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มแล้วพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างมาดึงแก้มของโรแวนทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว

     หลังจากที่ทานข้าวกับครอบครัวพี่โจเสร็จผมก็ได้ขอตัวขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะมานั่งดูโปรแกรมที่ผมได้เตรียมมาไว้ว่าจะไปเที่ยวไหนบ้าง มีหลายเมืองเลยที่มีที่สำคัญๆ วิวสวยๆ แต่ใจจริงผมอยากไปทุกเมืองของไอร์แลนด์เลยด้วยซ้ำ ถ้าได้อยู่นี่สักเดือนนึงผมคงจะได้เที่ยวหมดทุกที่แน่ๆ แต่ถ้าผมอยู่นานขนาดนั้นกลัวว่าหม่าม๊าจะเป็นห่วงเอาได้และอีกอย่างผมเกรงใจพี่โจและครอบครัวพี่เขาด้วย ไว้ผมจะถามพี่โจอีกทีว่าพี่เขาสะดวกจะไปที่ไหนบ้างดีกว่าและนอกนั้นผมก็จะไปเอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ครับ แปปนึงนะฮะ” แล้วผมก็ลุกไปเปิดประตูห้องให้ที่จะเป็นไปไม่ได้นอกจากพี่โจพาว

“กำลังทำอะไรอยู่ครับ”

“กำลังดูโปรแกรมที่เตรียมมาไว้อยู่ครับ กำลังจะตัดอันที่ว่าพี่โจไม่สะดวกจะไป” ผมพูดพลางโดยที่เดินนำหน้าพี่โจมานั่งลงบนเตียง

“ไหนลองเอามาให้พี่ดูก่อน เพื่อพี่ไปได้เราจะได้ไม่ต้องตัดสถานที่ที่เราอยากไปออก”

“อะ นี่ครับ” ผมยื่นโทรศัพท์ของผมให้กับพี่โจพาวดูทันทีที่พี่เขาขอดู ผมเลยมาเล่นเกมส์ในไอแพดระระหว่างที่พี่โจนั่งดูโปรแกรมในการทัวร์ขอองผม จนเวลาผ่านไปได้สักพักนึงก็มีเสียงมาจากคนข้างตัว

“ย้ายมาอยู่นี่เลยดีไหมครับ”

“ครับ พี่โจว่าอะไรนะครับ” ผมละสายตาจากเกมส์ที่กำลังเล่นอยู่ตอนนี้หันไปหาคนที่กำลังดูโปรแกรมการไปเที่ยวของผมอยู่นั้น

“พี่ถามน้องโยต์ว่า ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยดีไหมครับ”

“ทำไมครับ” ผมถามกลับไปอย่างงงๆ

“ก็ดูโปรแกรมการไปเที่ยวของเราแล้ว พี่ว่าสิบวันก็ไม่พอ ฮ่าๆ ๆ ๆ”

“พี่โจจจจจจจจจจจ”

“ฮ่าๆ ๆ พี่แซวเล่นเฉยๆ ครับ” แล้วพี่โจพาวก็เอามือมาขยี้หัวของผมเบาๆ ฮืออ ทำผมใจเต้นแรงอีกแล้วนะ

“งั้นตัดออกไปบ้างก็ได้นะฮะ เอาที่พี่โจสะดวก”

“ไม่เป็นไร พี่มีเวลาว่างหลายวัน ช่วงนี้อย่างที่เราก็รู้ว่าพี่พักจากทัวร์ก่อนจะเริ่มทัวร์เดือนหน้า”

“อย่างนั้นก็ได้ฮะ”

“งั้นพรุ่งนี้เราออกกันสักแปดโมงเช้าดีไหม จะได้แวะได้หลายที่”

“ฮะ”

“เจอกันพรุ่งนี้เช้า คืนนี้นอนหลับฝันดีนะครับ จุ๊บ”

     ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไปพี่โจพาวของทุกคนก็รีบเดินไปที่ประตูทันที พี่โจจจจ เอาอีกแล้วนะฮะมาแบบไม่ทันให้ผมได้ทันตั้งตัวแบบนี้ มันไม่ดีต่อใจผมเลยจริงๆ ผมเข้าใจนะครับว่าเป็นเรื่องปกติของต่างชาติที่จะมีการสกินชิพ แต่นี่มันเริ่มไม่ปกติแล้วสำหรับพี่โจ

“ฝันดีเหมือนกันฮะพี่โจ” ผมได้แต่เอ่ยตามหลังพี่โจออกไปด้วยท่าทีที่เขินๆ

เช้าต่อมา.....

“เตรียมของครบแล้วนะลูก ไม่ลืมอะไรแล้วนะ” คุณแม่ของพี่โจพาวถามย้ำอีกรอบหลังจากที่พี่โจพาวขนกระเป๋าและสัมภาระขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ไม่ครับ ถ้าขาดอะไรค่อยไปซื้อก็ได้ครับแม่”

“โอเค เดินทางปลอดภัยนะลูก ไหนหนูเปอร์มาให้แม่กอดก่อนไปหน่อยสิจ๊ะ”

“ฮะ คุณแม่” ผมเดินเข้าไปกอดคุณแม่ของพี่โจพาวก่อนจะขึ้นรถมารอพี่เขาที่คุยอะไรไม่รู้กับคุณแม่ก่อนที่จะเห็นหูแดงๆ ของพี่โจพาวขึ้นสีแดงระเรื่อ

     ปัง...เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับคนที่ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้ายังคงมีเส้นเลือดฝาดขึ้นที่หน้าเข้ามานั่งประจำที่คนขับรถในการไปเที่ยวครั้งนี้ ผมมองพี่โจพาวอยู่สักพักนึงก่อนที่จะ

“น้องโยต์ครับ” พี่โจพาวพูดขึ้นพร้อมกับเอี้ยวตัวเข้ามาหาผม

“ครับ”

“น้องลืมคาดเข็มขัดน่ะ” หลังจากที่พี่โจพาวบอกผมพี่เขาก็หันกลับไปนั่งท่าเดิมพร้อมกับกับรถออกมาจากบ้าน

     หลายคนคงคิดว่าพี่เขาจะต้องเอื้อมตัวมาขาดเข็มขัดให้ผมใช่ไหมล่ะ แต่ผิดคาดกันเป็นแถบๆ เลยล่ะสิ ฮ่าๆ ๆ ๆ ผมว่าพี่เขาคงกำลังรู้สึกเขินหรืออะไรอยุ่แน่ๆ หลังจากที่พี่เขาบอกให้ผมคาดเข็มขัดเราก็ขับรถออกมากันได้สักพักก็เริ่มเข้าเมือง Carlow

     สองข้างทางนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำที่ละลายมาจากหิมะที่ตกลงมา เราขับรถกันมาไม่ค่อยมีรถสักเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงหยุดยาวจากเทศกาลคริสต์มาสไปจนถึงเทศกาลปีใหม่

“พี่โจครับ เรามาเที่ยวกันช่วงนี้สถานที่ต่างๆ ที่เราจะไปเขาจะปิดให้บริการไหมอะครับ โยต์ก็ลืมนึกถึงไปเลย แหะๆ” ’

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ปกติพี่ก็ไม่ค่อยได้เที่ยวช่วงหยุดยาวแบบนี้เหมือนกัน ไว้เราค่อยขับรถไปดูแต่ละที่ในเมืองนี้ก็ได้”

“ฮะ”

“แต่ส่วนใหญ่เมือง Carlow จะมีปราสาทเยอะนะ แต่เราเดินดูรอบๆ ได้ แล้วก็มีปราสาทที่เราสามารถเข้าไปพักได้ แต่พี่คิดว่าคนน่าจะเยอะ ไว้ไปถึงเมือง Waterford แล้วดูที่นั่นอีกเผื่อจะมีห้องว่าง”

“ได้ครับ แต่อย่าลืมแวะที่Country Carlow Military Museum นะครับ โยต์อยากไปดูพวกศิลปะโปราณ”

“ครับ”

     เราใช้เวลาขับรถจากดับลินถึงเมืองคาร์โลว์เพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ สถานที่แรกที่ไปก็คือ Ducketts Grove House ซึ่งเป็นปราสาทที่ไม่ไม่อะไรปิดกั้นข้างบนเลย ภายในปราสาทจะเป็นที่โล่งๆ ให้เราได้เดินไปได้ในแต่ละห้อง ภายนอกบริเวณของปราสาทนั้นมีสวนที่ได้จัดเอาไว้อย่างสวยงาม

     พี่โจพาวบอกว่าส่วนใหญ่แล้วที่นี่จะมีพวกกลุ่มคนรักรถคลาสสิกมาจัดกันที่นี่ เพราะมีพื้นที่บิริเวณกว้างมาก แต่ในวันที่เรามาวันนี้ไม่มีร้านมาเปิดเลย ผมกับพี่โจก็เดินดูภายในบริเวณ มียกกล้องขึ้นมาถ่ายพี่โจพาวตอนเผลอบ้าง และตั้งใจขอถ่ายบ้าง

     และทันทีที่ผมกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอกนั้น ได้เกิดสะดุดขึ้นมาทำให้ผมที่ตอนนี้คิดว่าหน้าจะต้องทิ่มลงไปกับพื้นแน่ๆ แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมีแรงดึงขึ้นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับมือของอีกคนที่เข้ามากอดรัดผมเอาไว้กระแทกกับแผ่นอกของคนที่เข้ามาดึง ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก็เห็นคนที่ดึงผมขึ้นมานั้นเป็นพี่โจพาวนั่นเอง

“เดินระวังหน่อยสิครับ พื้นมันไม่สม่ำเสมอกัน”

“ครับ โยต์จะระวังมากกว่านี้ ดีที่กล้องไม่กระแทกกับพื้น แหะๆ” ผมยกกล้องขึ้นมาให้คนที่กำลังกอดผมอยู่ดู พร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้

“ไปกันครับ”

“ครับ” หลังจากนั้นมือข้างซ้ายของผมก็ไม่ว่างอีกต่อไป เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็พี่โจพาวของทุกคนน่ะสิจับมือผมเดินกลับมาที่รถตลอดทางเลยไงล่ะครับ

     เราใช้เวลาในการขับรถไปยังสถานที่ที่มีปราสาทต่างๆ และแวะที่พิพิธภัณฑ์โบราณกันก่อนที่จะมาจบมื้อกลางวันง่ายๆ กันที่แมคโดนัลด์กัน เพราะบางที่ที่เราจะไปกันนั้นเขาไม่ได้เปิดบริการให้เข้าไป ผมก็เข้าใจนะครับว่าช่วงนี้เป็นหน้าหนาวและบวกกับวันหยุดยาวสถานที่ต่างๆ เลยปิดกัน เพราะเดิมทีผมตั้งใจว่าจะมาช่วงเดือนมีนาแล้วแท้ๆ แต่ก็เปลี่ยนแผนซะก่อน

     เมืองต่อไปที่เราจะไปกันก็คือ Wexford เป็นเมืองที่ติดกับชายทะเล ระหว่างนั่งรถมาพี่โจก็เล่าให้ผมฟังว่า เขามักจะมาดูการแข่งขันขี่ม้าที่เมืองนี้ เพราะที่นี่มีทั้งโรงเรียนสอนขี่ม้าขนาดใหญ่และอีกทั้งยังมีสนามแข่งที่ใหญ่อีกด้วย และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือมีสนามกอล์ฟ พี่โจบอกว่าชอบมาออกรอบกับเพื่อน บางทีก็จะหาจากในอินเตอร์เน็ตก่อนว่าเมืองไหนมีที่ให้บริการก็จะไปกันสามสี่วัน

     ผมก็ได้แต่นึกตามที่พี่โจเล่ามาทั้งหมดนั้น ว่าที่พวกแฟนคลับนั้นต่างพากันสงสัยกันว่าเวลาว่างจากทัวร์แล้วพี่โจพาวนั้นจะชอบหายไปจากโลกโซเชียลเลยนั้นหายไปไหน มาวันนี้ผมก็ได้รับการแก้ข้อสงสัยของผมแล้วล่ะครับว่าที่เขาหายไปเนี่ยไม่ได้หายไปไหนเลย นอกจากไม่อยู่บ้าน เข้าสตู ก็จะมาดูการแข่งขันขี่ม้าและมาออกรอบนั่นเอง

     พี่โจพาผมขับรถผ่านสนามกอล์ฟที่เขาจะมาเป็นประจำกับเพื่อนก่อนที่จะพาผมไปยัง Selskar Abbey พอมาถึงก็ต้องพบกับความผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาปิดให้บริการกว่าจะเปิดให้เข้าชมอีกทีก็เดือนมีนาคมนู่นเลย ผมก็ได้แต่หันไปมองค้อนใส่พี่โจพาวนั่นล่ะครับ ฮ่าๆ ๆ

“ไว้คราวหน้าค่อยมาใหม่กันนะครับ”

“ครับ” ผมได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ ออกไป

“พี่มีร้านแนะนำน้องโยต์อยู่ร้านนึง พี่คิดว่าน้องต้องชอบมากแน่ๆ”

“ร้านอะไรเหรอฮะ”

“ไว้ถึงที่ร้านเราจะรู้เอง” แล้วพี่โจก็ขยิบตาให้ผมทีนึงก่อนที่เราจะไปร้านที่พี่เขาบอก



     เมื่อมาถึงร้านผมก็พบกับความแปลกใจว่าพี่โจพาวรู้ได้ยังไงว่าผมอยากจะมาร้านนี้ถ้าได้มาเมืองเว็กซ์ฟอร์ด เพราะผมไม่ได้เขียนไว้ว่าผมจะแวะที่ร้านนี้ด้วย ก็จะมีแต่แฟนคลับพี่โจด้วยกันที่รู้ว่าผมอยากจะมาเหมาของที่ร้านนี้กลับไปไปตกแต่งร้านกาแฟของผมเอง

     เพราะร้านที่พี่โจพามานั้นเขาจัดให้เป็นหอศิลป์และที่ขายของที่ทำขึ้นมาจากมือ และคนที่เขามาชมก็สามารถทำขึ้นมาเองก็ได้ ที่นี่จะมีตั้งแต่วิธีการเย็บผ้า ปักด้ายให้เป็นรูปต่างๆ วาดรูปใช้วัสดุที่ทำขึ้นมาให้มีมิติ ปั้นพวกจานเคลือบขึ้นมาให้เป็นรูปร่าง อีกทั้งยังมีเป่าแก้วอีกด้วย

“ชอบร้านที่พี่พามาไหม หืม” พี่โจถามขึ้นมาหลังจากที่เราเดินออกจากร้านกันมาพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ

“ชะ ชอบครับ”

“ไว้เดี๋ยวพี่พามาอีกนะครับ”

“ฮะ”

     ผมดูเวลาอีกทีนี่จะห้าโมงเย็นแล้ว ยังพึ่งมาได้แค่สองเมืองเอง เพราะแต่ละที่ที่เราแวะก็ใช้เวลากันไปเยอะเหมือนกัน ยิ่งร้านเมื่อกี้ที่เราเข้าไปกันมาอีก ผมใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย

“พี่โจฮะ คืนนี้เราจะค้างที่นี่กันเลยไหมครับ”

“พี่จองที่พักไว้แล้วล่ะ ขับรถไปชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว”

“อ่อ ผมเกรงใจพี่โจจังเลยฮะ”

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกน่า เข้าใจไหม” พี่โจว่าอย่างนั้นก็ขยี้หัวผมลงมาอีกด้วยความหมันไส้

     กว่าเราจะมาถึงที่พักก็เกือบจะทุ่มนึงแล้ว เพราะระหว่างทางมีฝนตกลงมาตลอดทาง เลยทำให้ไม่สามารถขับรถด้วยความเร็วได้มากเท่าไหร่ พี่โจพาผมมาพักที่ปราสาทในเมือง Waterford ปราสาทที่นี่เปิดให้บริการให้เข้าพักได้และอีกอย่างที่นี่มีบริการเปิดเป็นสนามกอล์ฟอีกด้วย และส่วนใหญ่ก็จะมีการมาจัดงานแต่งงานที่นี่กันหลายงานเลยทีเดียว

“พี่โจ โทรมาจองตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะเนี่ย โยต์เคยอ่านมาว่าถ้าจะพักที่นี่ต้องโทรจองกันเป็นเดือนๆ เลย”

“พึ่งเมื่อคืนนี่เอง พอดีพี่รู้จักกับทางเจ้าของน่ะ เจอกันบ่อยตอนไปออกงาน อย่าลืมสิว่าที่บ้านพี่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมด้วย”

“ผมเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย คิดว่าพี่โจจะเป็นศิลปินอย่างเดียวซะอีก”

“หึหึ” มาอีกละหัวเราะแบบนี้

“งั้นไปที่ห้องกัน พนักงานเขายกกระเป๋าขึ้นไปให้เราแล้ว หรือว่าน้องโยต์จะทานข้าวก่อนไหม”

“ผมว่าเราทานก่อนขึ้นไปดีไหมฮะ จะได้ไม่ต้องลงมาอีก พี่โจจะได้พักผ่อนด้วย ขับรถมาทั้งวันแล้ว”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

     หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็ขึ้นมากันบนห้อง ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ครั้งนี้จะได้นอนห้องเดียวกับพี่โจพาวอีกแล้ว ขออย่าให้พี่เขาทำอะไรแปลกๆ อีกเลยนะครับ เพราะใจน้องโยต์มันจะบางมากๆ




ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #21 เมื่อ09-12-2018 12:55:49 »

นั่นสิทำไมพี่เขาทำแบบนี้นะ

มันมีเหตุผลที่ทำให้พี่โจต้องทำแบบนี้ค่ะ :m13:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #22 เมื่อ10-12-2018 01:53:20 »

อยากไปเที่ยวตามจังเลย  :hao5:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock11
«ตอบ #23 เมื่อ11-12-2018 19:14:54 »

Shamrock11

….. Star live Video

โจเซฟ : สวัสดีครับทุกคน ตอนนี้ผมมาอยู่ที่ คาบสมุทรไอเวร่าห์ (Iveragh peninsula)

โจเซฟ : ช่วงนี้ยังคงเป็นช่วงหยุดทัวร์อยู่ มีใครเริ่มคิดถึงพวกเราบ้างแล้วไหมครับ

     ขณะที่เริ่มอ่านข้อความจากแฟนคลับ คิ้วของโจเซฟ เริ่มขมวดเข้าหากันจนจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว

แฟนคลับ : สวัสดีจากโคเรีย

โจเซฟ : สวัสดีครับ

แฟนคลับ : เราคิดถึงพวกคุณมากๆ รอให้ถึงคอนฯ ครั้งหน้าไม่ไหวแล้ว

แฟนคลับ : โจไปทำอะไรที่นั่น

แฟนคลับ : โจ คุณสบายดีไหม

แฟนคลับ : โจไปที่ไหนนะ

โจเซฟ : ผมแวะมาที่คาบสมุทรไอเวร่าห์น่ะครับ

แฟนคลับ : โจไปกับใครคะ

แฟนคลับ : สวัสดีจากอเมริกา

แฟนคลับ : คิดถึงโจมากๆๆๆ

แฟนคลับ : ปกติหยุดพักจะไม่ไลฟ์ไม่ใช่เหรอ

แฟนคลับ : นั่นสิๆ

โจเซฟ : ผมตอบไม่ทันเลย พวกคุณส่งข้อความเข้ามากันเยอะมากๆ

โจเซฟ : ผมแวะจอดรถถ่ายภาพตรงนี้ เห็นว่าวิวสวยดีเลยอยากให้ทุกคนได้เห็นน่ะครับ

แฟนคลับ : ที่นั่นฝนตกเหรอคะ

โจเซฟ : ใช่ครับ พึ่งจะหยุดตกไปเอง

แฟนคลับ : รักษาสุขภาพด้วยนะคะโจ

แฟนคลับ : เจอกันคอนครั้งหน้านะโจ

แฟนคลับ : คืนคริสต์มาสอีฟ ที่คุณไปเล่นสนุกมากๆค่ะ


     ในขณะที่ผมกับพี่โจเดินกันอยู่ที่บริเวณจุดชมวิวของคาบสมุทรไอเวร่าห์ Iveragh peninsula พี่โจก็บอกว่าอยากไลฟ์สดให้แฟนๆ ได้เข้ามาดูว่าพี่โจมาอยู่ตรงนี้ว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าฝนพึ่งจะหยุดตกไปก็ตาม

     คนข้างกายผมนั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตา ไล่อ่านข้อความของแฟนๆที่พากันส่งเข้ามา ผมรู้ว่าพี่โจนั้นอ่านทันบ้างไม่ทันบ้าง เพราะผมเคยส่งข้อความไปเหมือนกัน แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับมาเลย และข้อความก็ไล่ขึ้นไปเร็วมากๆ พี่โจคงจะอ่านไม่ทัน ผมจึงหยุดเดินเพื่อให้พี่โจได้คุยและได้ตอบกับแฟนคลับก่อน ส่วนผมก็ยกกล้องคู่ใจขึ้นมากดถ่ายภาพบรรยากาศรอบๆอย่างเงียบๆ รวมไปถึงถ่ายคนที่กำลังเพ่งโทรศัพท์จนคิ้วนั้นขมวดจนจะเป็นโบว์อยู่แล้ว

     การเดินทางวันนี้มีฝนตกตลอดทางจึงทำให้ผมพลาดลงไปถ่ายรูปหลายๆที่เลย จนเราขับรถกันมาถึงหมู่บ้าน วอเทอร์วิล (Waterville) ฝนจึงได้หยุดตกลง หมู่บ้านนี้พี่โจเล่าให้ผมฟังมาในรถว่า ที่นี่เป็นสถานที่ตากอากาศที่โด่งดัง เพราะมีบุคคลที่มีชื่อเสียงดังก้องโลกเคยแวะเวียนมาที่นี่กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวอลต์ ดิสนีย์, ชาร์ลี แชปลิน,ไมเคิล ดักลาส,แคเทอรีน ซีตา โจน์ หรือแม้กระทั่งไทเกอร์ วูดส์ แต่คนที่มาบ่อยจนคนในหมู่บ้านนี้รักและอาลัยมากที่สุดคือ ชาร์ลี แชปลิน หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไป ก็ได้มีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป้นการระลึกถึงไว้ใกล้ๆโรงแรมที่เขามาพักเป็นประจำ

    ผมยังคงเดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆไปเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงจุดที่คิดว่าสามารถเก็บภาพมุมกว้างได้จึงวางขาตั้งกล้องลงเพื่อจะได้ตั้งกล้องและลองปรับจุดโฟกัสให้เข้า ถึงแม้สภาพอากาศจะไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยผมก็ได้มากับพี่โจพาวนั่นล่ะฮะทุกคน ฮ่าๆๆ

“น้องโยต์”

“น้องโยต์”

“น้องโยต์ครับ”

“ครับ” ผมขานรับเสียงเรียกที่ดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับค่อยๆหันหน้าจากกล้องไปดูคนที่เรียกผมไม่หยุดสักที

แชะ

“พี่โจ ถ่ายรูปผมยังไม่ทันตั้งตัวเลย”

“ฮ่า ๆๆ”

“แล้วนี่พี่โจไลฟ์เสร็จแล้วเหรอฮะ”

“ครับ”

“แล้วแฟนๆไม่สงสัยกันแย่เหรอครับที่พี่โจไลฟ์วันนี้น่ะ”

“ก็มีสงสัยแหละ แต่พี่บอกไปแค่อยากไลฟ์เฉยๆ”

“ผมก็ยังสงสัยเหมือนกัน เพราะปกติพี่หยุดพักจะไม่ไลฟ์นี่ครับ”

“ก็ใช่ แต่ครั้งนี้มันไม่ปกตินี่ ทำไมพี่จะไลฟ์ไม่ได้ล่ะ หึหึ” ผมนี่ละเกลียด หึหึ ต่อท้ายของพี่โจจริงๆ

“คร้าบบบ ไม่ปกติก็ไม่ปกติฮะ โยต์แค่แปลกใจเฉยๆ”

“มีแฟนคลับถามเหมือนกับเราหลายคนเลย”

“ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะถามกันมาแบบนี้”

“แล้วยังมีมาถามกันอีก ว่าพี่มากับใคร”

“พี่โจบอกไปรึเปล่า ว่ามากับใครน่ะครับ”

“ไม่ได้บอกน่ะ ปล่อยให้สงสัยกันไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“พี่โจก็ขี้แกล้งเหมือนกันนะเนี่ย”

“พี่ไม่ได้แกล้งนะ แค่ไม่บอกเฉยๆ”

“ครับๆ ไม่แกล้งก้ไม่แกล้ง”

“น้องโยต์ครับ เขยิบมานี่หน่อยสิครับ”

“ครับ”

แชะ

แชะ

แชะ

แชะ

แชะ


“พี่โจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจ”

     หลังจากเราออกจากหมู่บ้านวอเทอร์วิล ผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับพี่โจพาวอีกเลย เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็พี่โจพาวของทุกคนน่ะสิ มาทำให้หัวใจผมทำงานหนักอีกแล้ว หลังจากที่พี่เขาเรียกให้ผมขยับไปใกล้ๆ พี่โจก็ได้ก้มลงมาหอมแก้มผมพร้อมทั้งกดถ่ายภาพไปด้วย โดยที่ผมไม่ได้ทันจะตั้งตัวหรือได้เอะใจสักนิดเลยว่าพี่เขาจะทำแบบนี้ ตอนนี้ผมทั้งเขิน ทั้งใจเต้นแรงยังไม่หยุดเลย และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้ามามองพี่เขาอีก ตลอดการเดินทาง

“น้องโยต์ครับ”

“………….”

“น้องโยต์”

“………….”

“น้องโยต์เงยหน้ามามองพี่ก่อนเร็วครับ”

“ครับ” ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองพี่โจ ที่ตอนนี้จอดรถอยู่ทางที่จะเข้าเมืองสนีม (Sneem)

“เขินพี่เหรอ”

“พี่โจอ่า >///< ”

“ไหนดูสิหน้าแดงไปหมดเลย ลามมาถึงคอด้วย”

“ก็พี่โจนั่นแหละฮะ ที่ทำให้โยต์เป็นอย่างนี้เนี่ย”

“เลิกเขินพี่ได้แล้วเนอะ พี่ไม่แกล้งแล้ว พอไม่มีเสียงน้องโยต์พูดนี่ในรถนี่เงียบไปเลย เดี๋ยวพี่พาไปทานข้าวร้านๆอร่อยๆเนอะ”

“ครับ อย่าแกล้งโยต์อย่างนี้อีกนะฮะ หัวใจโยต์เต้นแรงจนจะออกมาข้างนอกอยู่แล้ว”

“ครับ.....(แต่พี่จะไม่แกล้งแค่หอมแก้มแล้วล่ะ แต่พี่จะทำอย่างอื่นแทน) หึหึ”

     พอผมเลิกเขินพี่โจพาวไปได้สักพัก ผมก็เริ่มชวนพี่โจคุยไปเรื่อยเกี่ยวกับเรื่องการทำเพลงของอัลบั้มนี้ว่าได้แรงบรรดาลใจมากจากไหน พร้อมแนวเพลงที่แตกต่างไปจากอัลบั้มที่แล้ว แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปร็อคอยู่เหมือนเดิม และทุกครั้งที่จะออกอัลบั้มใหม่ก็จะพากันไปอัดเพลงที่อเมริกากัน พี่โจก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องตลกๆของแต่ละคนในวงที่ผมเองก็พึ่งจะได้รู้มาอีกด้วย

     ก่อนที่คืนนี้เราจะไปพักที่แบนทรี่เฮ้าส์ (Bantry House) นั้นพี่โจก็ได้พาไปแวะที่มอลลี่กอลลีแวน (Molly Gallivan) เป็นกระท่อมที่มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว เป็นที่อาศัยของหญิงม่ายที่ต้องเลี้ยงดูตัวเองและลูกอีก 7 คนด้วยการขายสิ่งของที่มีอยู่ในฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นเนย ไข่ น้ำผึ้ง ขนมปัง หรือแม้แต่กลั่นวิสกี้ที่รู้จักกันในชื่อ Molly’s Mountain Dew เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว เธอเป็นตัวอย่างของหญิงม่ายที่ต่อสู้ชีวิตด้วยตนเองและก็ประสบความสำเร็จ

     อย่าถามว่าทำไมผมถึงรู้รายละเอียดเยอะขนาดนี้ จะไม่ให้รู้ได้ไงล่ะครับ ก็ผมกำลังอ่านจากเอกสารที่ได้รับตรงทางเข้าก่อนจะเดินชมและสัมผัสบรรยากาศของฟาร์มแห่งนี้เอง เป็นความโชคดีที่ฝนไม่ตกลงมาอีกเลย แต่อากาศก็ดูยังครึ้มๆอยู่ ต้องคอยมาลุ้นตลอดว่าฝนจะตกลงมาอีกเมื่อไหร่

     เลยจากเมืองที่เราอยู่มาไม่ไกลนั้น ก็เข้าเขตเมืองแบนทรี่ (Bantry) เพื่อไปยังแบนทรี่เฮ้าส์ (Bantry House) ที่เราจะพักกันคืนนี้ ตลอดทางเข้านั้นมีต้นไม้แปลกๆที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้เหมือนในเทพนิยายเลยล่ะครับ ถ้าขับมากลางคืนบรรยากาศคงจะน่าขนลุกมากแน่ๆ

     แต่ใครจะรู้ล่ะครับว่าหลังต้นไม้แปลกๆ ที่ชวนน่าขลุกในเวลากลางคืนนั้น เราจะพบกับสถาปัตยกรรมแบบสไตล์ควีนแอนน์และมีองค์ประกอบสไตล์จอร์เจียและวิคตอเรียด้วย ผนังเป็นอิฐเสาหินสีแดงโดยมีฐานหินแกะสลัก เพราะบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 18

     หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้วเราก็เดินกันเข้ามาในตรงส่วนของที่พักส่วนตัว ที่มีการเปิดให้บริการแบบ B&B นั้นก็คือ Bed And Breakfast และ Self-catering คือ การบริการแบบตนเอง ผมขอพี่โจเลือกแบบ B&B ดีกว่าฮะ เพราะเราสะดวกกันแบบนี้มากกว่า

     ถ้าให้ผมทำอาหารเอง ที่นี่คงได้ปิดบริการปรับปรุงยาวแน่ๆ เพราะผมคงได้ระเบิดครัวที่นี่ไปก่อนที่จะได้ทำอาหารเสร็จแน่ๆเลยล่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

     ผมปล่อยให้ไกด์จำเป็นของทริปนี้ทำหน้าที่ในการติดต่อกับคนที่อยู่ตรงเค้าท์เตอร์ คงจะเป็นผู้จัดการของแบนทรี่ เฮ้าส์ ดูท่าคงจะรู้จักกันอีก เพราะสังเกตได้จากท่าทีในการคุยของพี่โจพาวดูออกจะสนุกสนานอยู่ไม่น้อย

“ไปที่ห้องพักกันครับ” ไกด์จำเป็นเอ่ยออกมาหลังจากที่ติดต่อขอเข้าพักบริการเสร็จแล้ว

“เราจะไปเดินดูกันก่อนดีไหมฮะ”

“พี่ว่าเราขึ้นไปพักก่อนดีไหมครับ แล้วซักห้าโมงครึ่งเราค่อยลงมากันดีกว่า ดูเหมือนฝนทำท่าจะตกลงมาอีกแล้วด้วย”

“งั้นเอาอย่างที่พี่โจว่าก็ได้ครับ” ผมหันไปยิ้มให้กับไกด์จำเป็นก่อนจะเดินลากกระเป๋าเดินขึ้นมาชั้นบนของที่พัก

     ระหว่างเดินขึ้นมาบนห้องพัก หัวสมองของผมมันก็สั่งการให้คิดอีกแล้วว่า คืนนี้นั้นเป็นอีกคืนที่ผมจะได้นอนห้องเดียวกับพี่โจพาวอีกแล้ว และอาการตื่นเต้นมันก็กลับมาอีกแล้วล่ะฮะทุกคน ผมอยากจะขอนอนอีกห้องนึงแต่ก็เกรงใจพี่โจอีก เพราะไหนเขาจะพาผมมาเที่ยวแล้ว ถ้าผมยังเรื่องมากขอนอนคนล่ะห้องอีกพี่โจคงไม่โอเคแน่ๆ

     เพราะฉะนั้นผมก็คงได้แต่ทำใจให้สงบๆไม่ให้ใจบางไปกับการกระทำแปลกๆของพี่โจ และคงได้แต่ภาวนาว่าคืนนี้อย่าให้มีอะไรแปลกๆเหมือนกับวันนั้นอีกเลย เพราะเฮียเปอร์ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆว่า พี่โจพาวของทุกคนนั้นอาจจะกำลังสนใจผมอยู่ก็เป็นไปได้

     เราเดินขึ้นมาอีกฝั่งของทางที่พักที่เป็นส่วนตัวและอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นห้องพักที่เปิดให้ผู้คนที่ได้มาเยือนนั้นได้เข้าชม
ตามทางเดินนั้นตกแต่งไปด้วยกรอบรูปและยังมีของตกแต่งที่มีมาตั้งแต่ในศตวรรษที่ 18 อีก ทำให้บรรยากาศตรงทางเดินนั้นเหมือนเราได้เดินอยู่ในช่วงยุคสมัยนั้นจริงๆ

     หลังจากที่พี่โจได้เปิดประตูไม้หนาเข้าไปในห้องนั้น มันช่างแตกต่างกับข้างนอกเสียจริงๆเลยล่ะครับ ทุกคนคงจะคิดว่าในห้องนั้นจะต้องตกแต่งไปด้วยสไตล์สมัยศตวรรษที่ 18 ใช่ไหมล่ะครับ แต่เปล่าเลยครับภายในห้องนั้นถูกทาด้วยผนังสีขาวขุ่น ข้าวของเครื่องใช้นั้นก็เป็นของในยุคปัจจุบันนี่ล่ะครับ รวมถึงเตียงที่ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูนั้นก็เป็นสองเตียง ไม่ใช่อย่างปราสาทที่เราไปพักในวอเทอร์ฟอร์ด (WaterFord) ผมนี่แทบจะกลั้นยิ้มออกมาเลยทีเดียวที่คืนนี้จะได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มไม่ต้องนอนเกร็งเหมือนคืนที่ผ่านมา

“ยิ้มอะไรครับ หืม”

“เปล่าครับ” ผมตอบคนตรงหน้าออกไปอย่างให้ไม่มีพิรุธ

“ก็พี่เห็นอยู่ว่าเรายิ้ม” ไม่ว่าเปล่าคนตรงหน้ายังใช้นิ้วชี้ยื่นมาจิ้มๆที่มุมปากของผมอีกต่างหาก

“โยต์ไม่ได้ยิ้มจริงๆครับ”

“ครับไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม แต่อย่าให้พี่รู้นะครับว่าเรายิ้มเรื่องอะไร”

“โยต์ อาจจะยิ้มให้พี่อย่างนี้ก็ได้นะครับ” ว่าแล้วผมก็หันหน้าไปยิ้มให้กับพี่โจพาวก่อนที่จะเอากระเป๋าไปเก็บเข้าที่ดีๆ

“น้องโยยยยยยยต์” เสียงพึมพำเบาของพี่โจพาว

     ผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้างนอกห้องนั้นมืดไปแล้วมีแสงไฟสลัวๆที่จากทางด้านนอกส่องเข้ามาแทน อีกทั้งยังพบว่าพี่โจพาวก็ยังคงนอนหลับสนิทอยู่เหมือนกัน ผมจึงเดินไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยในห้องน้ำก่อนที่จะเดินออกมาปลุกพี่โจพาวเพื่อที่เราจะได้ลงไปทานข้าวเย็นกัน

“พี่โจครับ”

“พี่โจตื่นครับ”

“อืออ”

“พี่โจตื่นเถอะครับ นี่มืดแล้วนะ”

“อือ” ผมเห็นสีหน้าของคนโดนปลุกที่คิ้วขมวดเข้าหากันอีกแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมา

“พี่โจตื่นได้แล้วครับ เดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่หลับเอานะฮะ” คราวนี้ผมใช่มือไปเขย่าตัวพี่โจอย่างเบาๆหวังให้พี่เขาจะตื่นขึ้นมาไม่ใช่ให้เป็นแบบนี้

ตุ้บบบ

“พี่โจจจจจจจจจ” ผมเรียกเจ้าตัวอย่างตกใจที่พี่เขาดึงผมให้ลงไปอยู่บนอกเจ้าตัวก่อนที่จะใช้แขนทั้งสองรัดตัวผมให้จมอยู่กับอกนั่น

     ผมพยายามจะดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากอกพี่โจพาว แต่ใครจะรู้ล่ะครับว่ายิ่งดันขึ้นเท่าไหร่ สองแขนนั้นกับรัดตัวผมให้แน่ขึ้นกว่าเดิมไปอีก

“พี่โจ ผมรู้ว่าพี่ตื่นแล้วอย่ามาแกล้งกันอย่างนี้สิครับ”

“อือออ” นั่นๆ ยังจะมาทำเป็นหลับอยู่อีก

“พี่โจ ตื่นครับ”

“อือออ”

“จะไม่ตื่นดีๆใช่ไหมครับ ได้ๆ ผมจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาอย่ามาโทษผมก็แล้วกันนะ” ผมบอกคนที่ยังทำเป็นไม่ตื่นก่อนที่จะจัดการคนตรงข้างหน้านี้ให้เลิกแกล้งหลับสักที

“1”

“2”

“สะ...”

“โอเคๆ ตื่นแล้วก็ได้ครับ” คนตรงหน้ารีบปล่อยแขนออกทันทีก่อนที่ผมจะนับสาม

“ดีครับ ลุกไปล้างหน้าก่อนครับ เดี๋ยวโยต์รอ”

“ครับ”

     กว่าเราจะลงมาทานข้าวเย็นนั้นก็ปาไปสามทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งทำให้ห้องอาหารนั้นที่ปิดไปตั้งแต่สองทุ่มไม่มีใครเหลืออยู่เลยสักคน พี่โจจึงเดินไปคุยด้วยกับคนที่ผมเห็นเมื่อตอนที่เรามาถึงอยู่สักพักนึงก่อนที่จะเดินกลับมาหาผมที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาสีขาวที่มีผ้าคลุมปักเลื่อมไปด้วยคริสตัลที่เป็นรูปลายดอกไม้

“เดี๋ยวเราไปนั่งรอที่ห้องอาหารกันครับ”

“แต่เขาปิดไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“อย่าลืมสิครับว่าน้องโยต์มากับใคร หึหึ”

“ผมนี่อยากจะแหมมมไปให้ถึงดาวอังคารเลยล่ะฮะ”ผมมองค้อนใส่ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ห้องอาหารที่เขาเปิดไฟขึ้นมาให้อีกครั้งนึง

Rrrrr……

“ครับแม่”

“อยู่ไหนกันแล้วล่ะลูก”

“ตอนนี้อยู่แบนทรี่เฮ้าส์ครับ”

“เจอลุงนาธานไหมลูก”

“เจอครับ ลุงยังถามถึงพ่ออยู่เลย”

“ฮ่าๆๆ ฝากความคิดถึงลุงเขาด้วยนะ”

“ครับ”

“แล้วน้องเป็นไงบ้างลูก”

“กินอิ่ม นอนหลับ สบายเลยล่ะครับฮ่าๆๆ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

“แล้วเราได้คุยกับน้องหรือยังเรื่องนั้น”

“ยังเลยครับแม่ กลัวน้องไม่เข้าใจแล้วก็คงจะโกรธมาก แต่ก่อนที่น้องจะโกรธน้องคงจะช็อคไปก่อนล่ะครับ ยิ่งตกใจง่ายๆอยู่”

“งั้นเราก็ค่อยๆบอกน้องไปนะลูก แม่เป็นเป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ”

“ครับ”

“งั้นแม่ไม่กวนเราละ เที่ยวให้สนุกนะลูกแค่นี้นะจ๊ะ”

“ครับแม่”

     ผมเดินมาถึงห้องอาหารก็ไม่เห็นพี่โจพาวเดินตามมาสักที จึงเดินออกไปตามก็เห็นพี่โจกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เลยเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะ จนผ่านไปสักพักพี่โจก็มา

“มีงานด่วนรึเปล่าครับพี่โจ” ผมเห็นพี่โจทำหน้าเครียดระหว่าเดินเข้ามา

“เปล่าครับ แม่โทรมาถามว่าเราอยู่ไหนกันแล้ว”

“อ่อ ครับ”

     เรารอกันอีกสักพัก ก็มีพนักงานนำอาหารมาเสริฟให้ซึ่งเป็นเมนูง่ายๆก็คือข้าวผัดพร้อมซุปเห็ดนั่นเอง
 
     ระหว่างทานอาหารไปผมก็สังเกตเห็นสีหน้าของพี่โจเหมือนมีเรื่องให้คิด ไม่สบายใจ เพราะผมเห็นพี่โจทำคิ้วขมวดตั้งแต่ตอนที่เดินกลับมาแล้ว เอาไว้หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วผมค่อยถามพี่โจดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า

“ทานอาหารเสร็จแล้วเราไปเดินข้างนอกกันดีไหมครับพี่โจ”

“ก็ดีเหมือนกันครับ ไปเดินย่อยก่อนขึ้นนอน”

ตึ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

     เสียงข้อความขึ้นรัวๆ ทำให้ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าใครมันจะส่งข้อความมาเยอะขนาดนี้ ผมเลยกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นไลน์กลุ่ม Gang 4+1 นั่นเอง พอกดเข้าไปอ่านก็เป็นเฮียจาร์คที่ส่งข้อความมา

เฮียจาร์ค : กู

เฮียจาร์ค : มี

เฮียจาร์ค : อะ

เฮียจาร์ค : ไร

เฮียจาร์ค : จะ

เฮียจาร์ค : บอก

เฮียจาร์ค : พวก

เฮียจาร์ค : มึง

เฮียซีของน้องคูปป์ : แล้ว

เฮียซีของน้องคูปป์ : ทำ

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไม

เฮียซีของน้องคูปป์ : มึง

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไม่

เฮียซีของน้องคูปป์ : พิม

เฮียซีของน้องคูปป์ : มา

เฮียซีของน้องคูปป์ : ที

เฮียซีของน้องคูปป์ : เดียว

เฮียซีของน้องคูปป์ : เลย

เฮียซีของน้องคูปป์ : ล่ะ

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไอ้

เฮียซีของน้องคูปป์ : ฟาย

เรียกพี่ว่าเฮียแมส : พวกมึงมันบ้ากันชิบหาย

เรียกพี่ว่าเฮียแมส : มีอะไรวะจาร์ค

คูปป์~Cooper : พวกมึงนี่นะ -*-

เฮียเปอร์ : มีอะไรรึเปล่าเฮีย

     ผมถามกลับไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเพราะปกติเฮียจะไม่รัวข้อความมาขนาดนี้

เฮียซีของน้องคูปป์ : มันหายไปไหนของมันแล้ววะ

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไอ้บ้านี่มาทำให้อยากรู้แล้วก็เสือกหายไปอีก

เฮียจาร์ค : แปปๆ

เฮียจาร์ค : …..(ส่งรูปภาพ)…..

เฮียเปอร์ : เฮียยยยยยย จริงดิ

เฮียจาร์ค : ก็เออสิวะ

เฮียเปอร์ : ดีใจด้วยนะเฮีย เป็นอย่างที่พี่โจบอกเลยอะ สงสัยว่าใบยอจะมีน้อง

เฮียซีของน้องคูปป์ : นึงว่ามึงจะไม่มีน้ำยาซะแล้ว

เฮียจาร์ค : ก็ดีกว่ามึงไหมล่ะ ที่ยังไม่ได้แอ้มน้องกู หึหึ

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไอ้ฉัดดดดดดดด

เฮียซีของน้องคูปป์ : คูปป์จ๋า ใจอ่อนสักทีสิจ๊ะ

เฮียซีของน้องคูปป์ : ไอ้จาร์คมันนำไปแล้วเห็นมั้ย


แล้วก็เป็นบทสนทนาที่หาสาระไม่ค่อยได้จากไอ้ตรอง

“มีอะไรรึเปล่าครับโยต์”

“ก็เฮียจาร์คน่ะสิครับ ส่งรูปมาให้ดูว่าใบยอกำลังมีน้องแล้ว” ผมยื่นโทรศัพท์ให้พี่โจพาวดูใบอัลตราซาวด์ที่เฮียส่งมาให้

“ดีใจด้วยนะครับ อย่างนี้ก็จะได้เป็นคุณอาแล้วล่ะสิ”

“ครับ อดตื่นเต้นไปกับเฮียไม่ได้เลย เพราะหม่าม้าผมอยากอุ้มหลานแล้วเหมือนกัน”

“เราออกไปกันเลยดีไหมครับ ยิ่งดึกอากาศจะยิ่งเย็นซะด้วย”

“ครับ”

     บรรยากาศข้างนอกนั้นเงียบสงัดมากเลยล่ะครับ อาจจะเพราะเป็นวันหยุดยาวด้วยล่ะมั้งถึงไม่ค่อยมีแขกเข้ามาพัก ส่วนใหญ่คงจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของพวกเขากัน

     เราเดินออกมาตรงลานหญ้ากว้างๆ ที่ตรงข้างหน้านั้นมองไปจะเป็นอ่าวกว้าง มีเสียงคลื่นน้ำกระทบกับริมฝั่งมาเป็นระยะๆ มีลมเย็นๆพัดมาตลอดสาย แถบยังมีฟ้าแลบขึ้นมาอีกดูถ้าแล้วคืนนี้ฝนคงจะตกลงมาอีกเป็นแน่ๆ

     พอมองจากทางฝั่งลานหญ้าขึ้นไปทางข้างหลังบ้านนั้นจะพบกับต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงปกคลุมบริเวณทางด้านหลัง ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่วังเวง ชวนหลอนขึ้นมาในทันที ผมจึงหันหน้าออกไปทางด้านที่มีน้ำจะดีกว่า

“ฝนทำท่าเหมือนจะตกอีกแล้วเลยนะครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบไป

“ครับ”

“ไว้ตอนเช้าเรามาถ่ายรูปกันนะครับพี่โจ”

“ได้สิครับ”

     ผมสังเกตเห็นใบหน้าของพี่โจที่ตอนแรกดูรู้สึกตื่นเต้นไปกับผมที่บอกว่าเฮียกำลังจะมีน้อง แต่มาตอนนี้หลังจากที่เราเดินออกมากัน สีหน้าของพี่โจยังคงดูเป็นกังวลอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นผมจึงได้ตัดสินใจถามออกไป

“พี่โจมีเรื่องอะไรที่ทำให้พี่ไม่สบายใจบายใจรึเปล่าครับ บอกโยต์ได้นะ”

“ไม่มีครับ”

“แต่โยต์ว่าพี่โจมีนะครับ”

“ทำไมโยต์ถึงคิดว่าพี่มีเรื่องไม่สบายใจล่ะ” คนตรงหน้าค่อยๆหันหน้ามามองผมอย่างสงสัย

“ก...ก็ผมสังเกตเห็นจากสีหน้าของพี่โจที่ทำคิ้วขมวดอยู่นี่ไงครับ” ว่าจบผมก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่ระหว่างคิ้วเรียวเข้มของพี่โจพาวที่ตอนนี้แทบจะขมวดกันจนจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าภายหน้าจะยิ้มแต่ที่มันไม่ยิ้มไปด้วยก็คือคิ้วของพี่เขาไงล่ะ

“ช่างสังเกตจริงๆเลยนะเราเนี่ย”

“ก็นิดหน่อยน่ะฮะ”

“จะว่าไปมันก็มีนิดหน่อยนั่นล่ะ”

“เกี่ยวกับเรื่องงานหรือเปล่า เล่าให้ผมฟังได้ไหมฮะ”

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรอก แต่ว่าเกี่ยวกับน้องโยต์โดยตรงเลย”

“เกี่ยวกับผมเนี่ยนะ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองหลังจากที่คนตรงหน้าบอกว่ามันเกี่ยวกับผมโดยตรง

“ครับ แต่น้องโยต์ต้องสัญญากับพี่ก่อนได้ไหมครับว่าหลังจากที่ฟังพี่เล่าแล้ว เราจะคุยกับพี่เหมือนเดิม”

“ต้องขนาดถึงกับสัญญาเลยเหรอฮะเนี่ย”

“ก็ใช่น่ะสิ ต้องสัญญามาก่อน ไม่งั้นพี่ก็จะไม่เล่าให้เราฟัง”

“ครับ ครับสัญญาก็สัญญา แล้วต้องเกี่ยวก้อยสัญญาด้วยไหมครับ”

     ว่าแล้วผมก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของคนตรงหน้า ดูๆแล้วเหมือนนิ้วของผมจะเล็กกว่านิ้วของพี่โจพาวมากเลย

“น้องโยต์สัญญาแล้วนะครับ” ทำไมผมถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงและรอยยิ้มของพี่โจพาวจะดูเจ้าเล่ห์ๆชอบกลจะจังเลยฮะ


ปล.รักนี้ที่ดับลินกำลังจะได้รับตีพิมพ์กับอ่านนานสำนักพิมพ์นะคะ
ปล.2 เราจะลงเรื่องนี้ให้จนจบค่ะ
ปล.3 ตอนนี้เรามีของขวัญเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่มาแจกให้กับนักอ่านด้วยนะคะ กดตามลิ้งค์นี้ได้เลย

                                  :mew1:https://goo.gl/forms/tg4sqhT80TshQkcj2 :mew1:




ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #24 เมื่อ12-12-2018 09:36:11 »

เรื่องอะไรกันนะ  :m28:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock12 [1]
«ตอบ #25 เมื่อ14-12-2018 16:47:44 »

Shamrock12 [1]

“หมอ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คนไข้มีอาการเสียเลือดมาก อีกทั้งอวัยวะภายในได้รับการกระทบอย่างรุนแรงทำให้มีเลือดออกภายในด้วย และมีอาการช็อคระหว่างทางมาโรงพยาบาล หมอเสียใจด้วยจริงๆครับ ทางเราช่วยกันจนสุดความสามารถแล้ว”

“ครับ”

“แอสตัน ลูกโทรบอกลุงเคลวินกับป้าคีย์แล้วใช่ไหมลูก” ปาป๊าหันไปถามกับแอสตันก่อนที่จะเข้าไปประคองหม่าม้าที่ตอนนี้ร่างกายกำลังทรุดลงไปกับพื้น

“ใช่ครับ”

     หลังจากที่หมอออกมาจากห้องฉุกเฉินนั้นก็ได้ตรงมาอธิบายกับป๊าและม๊าที่รออยู่ทางด้านหน้าห้องฉุกเฉิน
“มะ...ไม่จริงใช่ไหม พี่ชาร์ปจะต้องไม่เป็นอะไรสิ” เปอโยต์ร้องไห้ออกมาทันทีหลังจากที่หมอได้มาอธิบาย

“หม่าม้า ได้ยินน้องโยต์ไหมครับ ฮึกก ฮึก ฮืออ”

“ปาป๊า”

“เฮีย ได้ยินเปอร์ไหม” เปอโยต์ตะโกนเรียกใส่เฮียทั้งสองคนพร้อมกับเขย่าแขนไปด้วย แต่ไม่มีใครรับรู้ว่าเปอโยต์อยู่ตรงนี้

“คูปป์ ได้ยินเฮียไหม” เสียงของเปอโยต์ยังคงเรียกคนในครอบครัวไม่หยุด

“ส่วนคนไข้อีกรายที่ได้รับอุบัติเหตุมานั้น หมอช่วยปั้มหัวใจขึ้นมาได้แล้ว แต่อาการยังคงอยู่ในขั้นวิกฤตอยู่นะครับ ยังไงทางเราจะพยายามช่วยรักษากันอย่างเต็มที่”

“ฮืออ...ฮืออ น้องโยต์ของหม่าม้าลูก...ฮืออ” หลังจากได้ยินอาการของลูกชายหม่าม้าก็ยิ่งร้องไห้หนักปานหัวใจจะแตกสลายไปด้วย

“เปอร์” แอสตัน จากัวร์ เอ่ยเรียกชื่อของเปอโยต์ออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดถึงอาการของน้องชายที่ยังอยู่ในขั้นโคม่า
ส่วนคูเปอร์นั้นพอได้ยินที่หมอบอกอาการของพี่ชายว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ได้แต่หันหน้าเข้าไปหาซีตรองที่ยืนประคองตัวอยู่ข้างๆ และร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ เพราะคูเปอร์นั้นอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตัวเอง

“ทุกคน อย่าร้องไห้ เค้าอยู่ตรงนี้...ฮืออออ” เปอโยต์พูดออกมาด้วยใจที่ปวดร้าวเพราะไม่รู้ว่าตัวเองนั้นจะกลับมามีชีวิตเหมือนเดิมไหม

“ป๊า เดี๋ยวแมสไปไปจัดการเรื่องอุบัติเหตุกับจาร์คก่อน” แอสตันบอกกับป๊าก่อนจะแยกตัวออกไปกับจากัวร์ที่ยังคงอยู่ในอาการช็อค สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกว่าหัวใจของเจ้าตัวนั้นกำลังเจ็บปวดมากเพียงใด แต่แอสตันนั้นรู้ว่าน้องชายตัวเองกำลังรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

“ซีตรองลูก พาม๊ากับยัยคูปป์กลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ป๊าจะอยู่จัดการเอง”

“ครับ ป๊า”

ชาร์ป Part

“มัมฮะ ทำไมน้องหน้าคล้ายกันหมดเลยล่ะ”

“ก็น้องเป็นฝาแฝดกันนี่ลูก” คุณมัมใจดีตอบกลับลูกชายคนรองที่กำลังสงสัยเด็กทารกตัวน้อยทั้งสี่คนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มที่อยู่บนเบาะ

“ฮะ แต่น้องเหมือนตุ๊กตาของเมลเลย ชาร์ปเอาน้องกลับไปให้เมลได้ไหมฮะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โถลูก น้องยังเล็กอยู่เลย ถ้าชาร์ปพาน้องกลับไปด้วยแล้วน้องจะกินนมยังไงล่ะ”

“นั่นสินะฮะ แหะๆ” เมื่อเด็กน้อยนึกขึ้นได้ว่าน้องยังต้องกินนมแม่อยู่เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนกลับไป

“เจ้าลูกคนนี้นี่นะ”

“แล้วน้องชื่ออะไรกันบ้างฮะอากุน แล้วอากุนรู้ได้ไงว่าลูกคนไหนชื่ออะไร แล้วอาหลินจะให้นมน้องยังไงหมดฮะมีต้องสี่คน”

“ใจเย็นเจ้าชาร์ป อาตอบไม่ทันแล้วลูก ฮ่าๆ”

“น้องคนแรกชื่อแอสตัน คนที่ตัวใหญ่ที่สุดเห็นไหมที่กำลังทำคิ้วขมวดกันอยู่” กุนบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบตัวเบาๆ

“ส่วนคนที่สองคนนี้ที่ทำหน้านิ่งๆหน้ายุ่ง แต่ตัวเล็กกว่าแอสตันนั้นชื่อ จากัวร์”

“ทำไมน้องทำหน้ายุ่งกันจังเลยล่ะฮะ” ชาร์ปเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“สงสัยพวกเราจะเสียงดังกันเกินไปมั้งลูก”

“และคนนี้ที่ตัวเล็กที่สุดเลยนั้นชื่อเปอโยต์”

“เปอโยต์ น้องต้องกินนมไม่ทันสองคนนั้นแน่ๆเลยล่ะ ฮ่าๆๆ”

“ส่วนคนนี้ที่อยู่ในชุดสีชมพูก็คือคูเปอร์ น้องเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียว”

“อ่อ แต่น้องก็ยังทำหน้ายุ่งๆเหมือนเดิมอยู่ดี ทำไมไม่เหมือนกับเปอโยต์เลย เป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องทำหน้ายิ้มๆสิครับอากุน”

“ฮ่าๆๆ ทำไมเราช่างสงสัยเสียจริงๆเลยชาร์ป”

“ก็ชาร์ปอยากรู้นี่ฮะ หรือว่าน้องโดนแย่งกินนม”

“ปกติอาหลินจะปั้มนมเก็บไว้ในถุงเก็บนม พอถึงเวลาน้องตื่นมากินนมก็จะเอาออกมาอุ่นแล้วใส่ขวด ไม่อย่างนั้นจะป้อนนมกันไม่ทันแล้วร้องไห้แข่งกันลั่นบ้านเลยล่ะ”

“อ่อออ”

“เราอยากจะอุ้มน้องไหมล่ะ แต่ต้องรอให้น้องตื่นก่อนนะ แต่อีกสักพักก็คงจะตื่นกันแล้ว เพราะใกล้เวลาตื่นมากินนมกันแล้วล่ะ”

“ชาร์ปอุ้มได้จริงเหรอฮะ”

“จริงสิลูก” กุนตอบกลับไปด้วยความเอ็นดู

“งั้นชาร์ปขออุ้มน้องเปอโยต์นะฮะ ดูแล้วน้องคงไม่หนักมากเหมือนสามคนนั้น แหะๆ”

“ได้สิ”

“งั้นแด๊ดฮะ มัมฮะ อย่าพึ่งรีบกลับบ้านนะฮะ ชาร์ปขออยู่อุ้มน้องก่อน”

“จ้าลูก”

ผ่านไป 6 ปี

“พี่ชาร์ป รอน้องโยต์ก่อนสิฮะ”

“เราก็วิ่งมาเร็วๆสิเจ้าหมูอ้วน เห็นไหมพวกนั้นวิ่งนำหน้าเราไปแล้ว”

“ก็น้องโยต์เหนื่อย”

“อะไรกัน วิ่งแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเหรอ”

“ช่ายยฮะ น้องโยต์เหนื้อยเหนื่อย จะมีใครใจดีให้น้องโยต์ขี่หลังบ้างไหมน๊า” ว่าแล้วเจ้าลูกหมูก็หันไปทำหน้าตาอ้วนใส่พี่ชายตัวโต ที่เจ้าตัวรู้ว่าถ้าพูดไปอย่างนี้พี่ชายจะอุ้มแน่ๆ

“นั่นสิจะมีไหมนะคนใจดีๆเนี่ย”

“มีสิ เนี่ยๆๆ” จึก จึก ก่อนที่จะใช้นิ้วไปจิ้มต้นขาของพี่ชายตัวโตก่อนจะยิ้มใส่พี่เขาเป็นการอ้อน

“แล้วอย่างนี้ต้องทำยังไงก่อนน๊า ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” เจ้าตัวเอ่ยถามเจ้าหมูลูกหมูพร้อมกับนั่งลงยองๆเพื่อให้ตัวเองนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าลูกหมูตัวน้อย

“ต้องอย่างนี้ใช่ไหมมั้ยฮะ”

ฟอด ฟอด ฟอด จุ๊บ

     เจ้าลูกหมูตัวน้อยนั้นพยายามใช่สองมือเล็กๆนั้นจับหน้าทั้งสองข้างของพี่ชายตัวโตแล้วหอมไปที่แก้มซ้าย แก้มขวา หน้าผากและปิดท้ายด้วยการจุ๊บปาก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พอแล้วเจ้าลูกหมู มาๆเดี๋ยวพี่อุ้ม”

เย้ เย้ เย้

     ว่าแล้วพี่ชายตัวโตก็อุ้มเจ้าลูกหมูเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยที่เจ้าลูกหมูมีสีหน้าบ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นมีความสุขมากแค่ไหนที่พี่ชายตัวโตนั้นได้ตามใจเจ้าตัวอีกแล้ว

“เจ้าชาร์ปนี่ยังตามใจน้องไม่เปลี่ยนนะ”

“ฮ่าๆๆ นิดหน่อยเองฮะอากุน” พร้อมกับวางเจ้าลูกหมูลงให้ยืนขึ้นเอง

“ยังไงเราก็อย่าตามใจเจ้าโยต์มากเกินไปล่ะ”

“ครับ ป่ะเจ้าลูกหมูไปล้างมือกันก่อนเนอะ”

“ได้ฮับ”

     ผมยังคงไปมาบ้านของน้องโยต์บ่อยครั้ง เพราะมัมของผมนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับหม่าม้าของพวกเจ้าตัวแสบทั้งหลาย ที่ยิ่งโตยิ่งดื้อ ยิ่งซนกันมาก หัวโจกจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากยัยเมลน้องสาวที่ออกจะห้าวซะเหลือเกิน ดังนั้นที่บ้านเด็กๆจึงสนิทกันมาก

     ถึงแม้ว่าผมจะอายุห่างจากพวกน้องๆเยอะก็ตาม แต่ผมคิดว่ามาเสมอว่าผมเป็นพี่ผมต้องดูแลน้องๆ ยิ่งตอนนี้พี่แฟลตนั้นต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้วด้วย พี่ใหญ่ของพวกน้องๆจึงตกเป็นหน้าที่ผมไปในทันที และอีกไม่นานผมก็ต้องตามพี่ชายไปเรียนที่นั่นเหมือนกัน

“น้องโยต์ พี่ชาร์ปจะไปแล้วนะ อีกนานเลยกว่าจะได้เจอกัน”

“โห แล้วยังนี้ใครจะช่วยน้องโยต์จากพวกเฮียและไอ้ตรองล่ะเนี่ย ชิ” แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้างอนกอดอกใส่พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆกัน จากเจ้าลูกหมูในวันนั้นกลายมาเป็นน้องโยต์ตัวน้อยขี้งอนของพี่ชาร์ปในวันนี้ซะแล้ว

“โอ๋ๆๆ ไว้ปิดเทอมเดี๋ยวพี่จัดการให้เราดีไหม และพอถึงปิดเทอมเมื่อไหร่พี่ก็กลับมาหาเรา หรือพอเราปิดเทอมก็ค่อยไปที่นั่นก็ได้ พี่ว่าอากุนกับอาหลินต้องส่งเราไปที่นั่นอยู่ดี” ชาร์ปว่าอย่างนั้นพลางลูบหัวปลอบคนตัวเล็กกว่าไปด้วย

“อย่างนั้นก็ได้ฮะ”

“แต่พี่ชาร์ปต้องสัญญากับน้องโยต์ก่อนนะฮะถ้าปิดเทอมแล้วต้องกลับมาหาน้องโยต์ ถ้าไม่กลับมาน้องโยต์จะบอกให้ลุงเคลวินกับป้าคีย์ตัดเงินพี่ชาร์ปเลย แล้วก็อย่าพึ่งมีแฟนไปก่อนนะฮะ” ว่าอย่างนั้นแล้วคนตัวเล็กก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเพื่อให้พี่ชายตัวโตยื่นนิ้วมาเกี่ยวก้อยสัญญากัน

“โอเคๆ สัญญาก็สัญญาครับ ไอ้ตัวแสบ”

“ฮ่าๆๆ น้องโยต์ไม่แสบสักหน่อย นู่นเลยทั้งเฮีย ทั้งตรอง แล้วเจ๊เมลกับคูปป์นู่น”

“เรานั่นแหละตัวแสบเลย”

     ในช่วงแรกผมอดที่จะเป็นห่วงน้องโยต์ไม่ได้เหมือนกัน เพราะน้องน่ะทั้งตัวเล็กและป่วยบ่อยมากๆไม่เหมือนกับพี่ชายและน้องสาวที่ยิ่งโตยิ่งแข็งแรงแถมยังชอบแกล้งเจ้าตัวเล็กอีก

      และอีกอย่างผมก็เป็นคนที่ตามใจน้องสุดๆเหมือนจนโดนทั้งแด๊ด อาชุน อากุน มัม บ่นว่าผมตามใจน้องเกินไปแล้ว เดี๋ยวน้องจะทำอะไรไม่เป็นกันพอดีแถมยังบอกว่าจะยกน้องมาให้ผมเลี้ยงเป็นลูกแทนไปเลยดีไหม

     ตลอดระยะเวลาที่ผมเรียนอยู่ที่อังกฤษนั้น ผมก็ยังคงเจอพวกเด็กแสบทั้งหลายทุกช่วงปิดเทอมอยู่เหมือนเดิม จะมีเพียงแต่ที่ผมเองนั้นไม่ได้มีเวลามาเล่นกับพวกน้องๆเท่านั้นเอง ส่วนน้องโยต์นั้นก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่คอยจะมาอ้อนผมอยู่เสมอๆ ที่เราเจอกัน

     และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่นั้น มันก็ทำให้ผมเริ่มห่างกับน้องโยต์ไป จากเด็กน้อยที่คอยจะมาอ้อนผมนั้นมันไม่มีอีกแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนที่น้องไม่มาที่อังกฤษอีกเลย

      หรืออาจจะเป็นช่วงตอนที่ผมเรียนมหาลัยอยู่ปีสาม ที่ตอนนั้นมีงานเข้ามาเยอะมากเลยทำให้ผมแทบจะไม่ได้เจอกับน้องตอนที่น้องมาบวกกับช่วงนั้นผมก็ได้บอกกับทางบ้านไปว่าผมกำลังคบกับแอนนาเพื่อนในคณะที่ผมเรียนอยู่นั่นเอง
แต่ในระหว่างนั้นผมก็ยังคงนึกถึงน้องอยู่ตลอด คอยถามจากมัมว่าน้องเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม และน้องยังป่วยบ่อยอยู่เหมือนเดิมไหม เพราะเวลาที่ผมติดต่อไปทางที่บ้านน้องผมไม่ได้คุยกับน้องเลย จะมีแต่แอสตัน จากัวร์ และคูปป์รวมถึงซีตรองที่ผมได้คุย

 พี่ชาร์ป : แมส น้องโยต์ไปไหน ทำไมไม่มารับโทรศัพท์พี่เลย

แอสตัน : ไม่รู้

พี่ชาร์ป : จาร์ค น้องโยต์ไปไหน พี่โทรไปก็ไม่รับเป็นอะไรรึเปล่า

จากัวร์ : ไม่รู้

พี่ชาร์ป : คูปป์ บอกให้น้องโยต์รับโทรศัพท์พี่บ้าง

คูเปอร์ : ถ้าว่างจะบอกให้แล้วกัน

พี่ชาร์ป : ตรอง เราอยู่กับน้องโยต์รึเปล่า

ซีตรอง : เปล่าพี่ไม่ได้อยู่….(ไปยังวะมึง)

พี่ชาร์ป : เสียงน้องโยต์นี่ อ่าวไหนบอกพี่ว่าน้องโยต์ไม่อยู่ไง

ซีตรอง : พี่หูฟาดรึเปล่า


     ผมรู้สึกมาตลอดสองปีที่ผ่านมานั้น น้องโยต์หลบหน้าผมตลอดช่วงปิดเทอมก็ไม่มาที่อังกฤษ แต่น้องไปเรียนซัมเมอร์ที่อื่นแทนทั้งๆที่ก็มีบ้านอยู่ที่นี่ แต่น้องกลับเลือกไปเรียนที่อื่นแทน ก็จะมีแต่แอสตัน จากัวร์ คูเปอร์ที่มาเรียนอยู่เหมือนเดิม จะมีแต่น้องโยต์และซีตรองเท่านั้นที่ไม่มา

     จนกระทั่งผมเรียนจบผมก็ยังไม่ได้คุยกับน้องโยต์เลย สองปีมาแล้วที่ผมไม่ได้เห็นคนตัวเล็กของผมหรือแม้กระทั่งเสียงผมก็ยังไม่ได้ยิน ในใจของผมช่วงนั้นรู้สึกหวาบโหวงมันเหมือนมีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป

     ผมตัดสินใจที่กลับไทยทันทีหลังจากที่เรียนจบ ผมต้องไปคุยกับน้องโยต์ให้ได้ เพราะผมไม่อยากมีความรู้สึกที่ค้างคาและไม่อยากให้น้องตัวเล็กของผมหายไป ผมรู้ว่าน้องต้องโกรธผมสักเรื่องแต่ไม่คิดว่าจะโกรธถึงขั้นหายไปแบบนี้เลย ผมทั้งโทรไปส่งข้อความไปน้องก็ไม่ตอบกลับมาสักข้อความ

     ผมกลับมาก็ยังไม่ได้เจอน้อง ผมก็เลยไปดักรอรับน้องที่โรงเรียนเหมือนที่เคยทำ น้องก็ยังคงเลี่ยงที่จะไม่ออกมาเจอผมอยุ่เหมือนเดิม จนครั้งนี้ผมขอร้องให้ไอ้พวกเด็กแสบช่วยให้พาน้องออกมาเจอผมให้ได้

     ตอนแรกผมก็ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าเด็กแสบแถมยังไม่คุยกับผมเหมือนเดิมอีกต่างหาก โดนคูปป์มองเหมือนจะเข้ามาต่อยผมให้ได้โดยมีซีตรองคอยห้ามให้ใจเย็นๆอยู่ตลอด ส่วนสองคนนั้นก็ทำหน้าเย็นชาใส่ผมซะอีก จนน้องเดินออกมาจากประตูรั้ว ผมจึงได้พบกับน้องโยต์ที่ผมไม่ได้เห็นตัวจริงหรือแม้กระทั่งเสียงมาสองปีแล้ว น้องสูงขึ้นมาเยอะจากที่เจอกันครั้งล่าสุด แต่น้องยังคงตัวเล็กอยู่เหมือนเดิม

“น้องโยต์ครับ” คนตรงหน้าผมนั้นมีสีหน้าตกใจขึ้นมาหลังจากที่ผมเรียกน้องออกไป

“พะ...พี่ชาร์ป” น้องกำลังทำท่าจะวิ่งหันหลังกลับไปแต่ผมคว้าแขนน้องได้ก่อนที่จะเจ้าตัวจะหนีไปได้

“น้องโยต์เดี๋ยวก่อนสิ คุยกับพี่ก่อน”

“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”

“ทำไมเราเรียกพี่อย่างนั้นล่ะ หืมม” ผมตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินน้องเรียกผมอย่างนั้น

“ผมมีพี่แค่สองคนเท่านั้นก็คือเฮียแมสและเฮียจาร์ค”

“แล้วพี่ล่ะ นี่พี่ตัวโตของน้องไง”

“สำหรับพี่ตัวโตของผมนั้นตายจากไปแล้วล่ะ”

“น้องโยต์”

“แล้วคุณจะปล่อยผมได้หรือยัง” น้องพยายามที่จะใช้มืออีกข้างแกะมือผมที่กำลังจับแขนเจ้าตัวอยู่ออกให้ได้ แต่น้องยิ่งแกะผมก็ยิ่งจับแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ไม่ปล่อย เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว กรุณาปล่อยผมด้วยถ้าไม่อยากจะเจ็บตัว”

“พี่ไม่ปล่อย”

“บอกให้ปล่อยไง”

“ไม่ปล่อย”

“ไม่ปล่อยใช่ไหม ได้ งั้นก็เจอนี่ไปก็แล้วกัน”

อั๊กกกก

 “ตัวเล็กกกกกก” น้องใช้เข่ายกกระแทกเข้ากับท้องน้อยของผมมันทำให้ผมรู้สึกจุกขึ้นมาทันที

     ผมเกือบเผลอจะปล่อยมือออกจากแขนน้องแล้ว แต่ก็กัดฟันทนความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาบริเวณหน้าท้องที่เริ่มจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจอุ้มน้องพาดไหล่ขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปยังรถที่จอดรออยู่

ตุ้บ

“ทำแบบนี้ทำไม” คนตัวเล็กเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

“ก็พี่บอกแล้วไงว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ผมก็บอกไปแล้วไงว่าผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”

“ลุงสมครับ กลับบ้านเลยครับ”

“ครับ”

“ลุงสมฮะ พาน้องโยต์ไปบ้านปาป๊านะฮะ”

“เอ่ออออ”

“ลุงสมครับ ไปบ้านเราเลยครับ”

“ลุงสมฮะ ลุงเคลวินกับป้าคีย์ไม่อยู่น้องโยต์ไม่อยากไป”

“ลุงสมอยากจะโดนไล่ออกไหมครับ ถ้าไม่ก็ไปบ้านเราครับ”

“ชิ” น้องทำเสียงจิ๊ปากออกมาอย่างไม่พอใจ

     ตลอดทางที่กลับมาบ้านภายในรถนั้นมีแต่เสียงแอร์ที่เป็นตัวทำลายบรรยากาศในรถเพื่อไม่ให้เงียบเกินไป น้องนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง มือซ้ายก็คอยลูบแขนข้างขวาที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงตามรูปมือของผมที่จับแขนน้องแน่นตอนที่เรายืนเถียงกันอยู่หน้าโรงเรียนน้อง

Rrrrr…..

“ว่า”

“…”

“อยู่บนรถ”

“…”

“ไปบ้านลุงเคลวิน”

“…”

“อืม”

“…”

“จะโทรบอกแล้วกัน”

“…”

“อืม”

“น้องโยต์ หิวข้าวไหมครับ”

“...”

“เราแวะทานข้าวก่อนดีไหม ไปร้านที่เราชอบไปกินกันไง”

“…” หลังจากน้องวางโทรศัพท์ผมเลยลองถามน้องออกไปแต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา

     จนลุงสมเลี้ยวรถเข้ามาภายในบริเวณบ้าน น้องก็ยังคงทำสีหน้าเรียบไร้ความรู้สึกออกมา เป็นสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตั้งแต่เด็กแล้วน้องจะมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม อ่อนโยนอยู่ตลอด ต่างจากเด็กแสบอีกสี่คนที่เหลือชอบทำสีหน้านิ่งๆเย็นชาออกมา

“คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมา”

“เข้ามาในบ้านก่อนนะครับน้องโยต์” ผมว่าจบน้องก็ยอมเดินตามผมเข้ามาภายในบ้าน

“อย่าลีลาได้ไหม มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา”

“โอเคๆ น้องโยต์โกรธอะไรพี่ชาร์ปครับ หืม”

“ไม่ได้โกรธ”

“ไม่ได้โกรธ แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์หรือตอบข้อความของพี่เลย แถมยังไปเรียนซัมเมอร์ที่อื่นอีก”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ”

“พี่ว่าโกรธ พี่กลับมาเราก็ไม่มาหาพี่ที่บ้านเลย สองปีแล้วนะครับโยต์บอกพี่ชาร์ปมาว่าน้องโกรธอะไรพี่ชาร์ป น้องโยต์ตัวน้อยของพี่ชาร์ปหายไปไหนแล้วครับ หืม” ผมเห็นแววตาวูบไหวของน้อง

     ผมรู้เลยว่าน้องโกรธผมมากแต่น้องกำลังปิดบังผมอยู่ ดังนั้นผมจะค่อยๆตะล่อมให้น้องบอกผมมาให้ได้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอาการแบบนี้ของน้องมันมีทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ ผมอยู่กับน้องมาสิบกว่าปีนะครับทำไมจะไม่รู้ว่าน้องโกรธผม แต่ครั้งนี้มันนานเกินไปแล้ว มันผิดปกติ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ”

“แล้วน้องโยต์เป็นอะไรบอกพี่ชาร์ปมาสิครับ”ผมพยายามพูดกับน้องดีๆ ถึงแม้ผมจะเริ่มรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่น้องไม่ยอมบอกมาสักที

“คุณไม่ต้องมาสนใจเด็กอย่างผมหรอก แล้วมานี่แฟนคุณไม่ว่าหรือไงที่กลับไทยมาเนี่ย”

“เลิกแทนตัวเองอย่างนี้ดีแล้วนะครับ แล้วทำไมพี่จะสนใจน้องชายตัวเล็กของพี่ไม่ได้ล่ะ ส่วนแฟนพี่เขาไม่ว่าอะไรหรอกครับ เขายังบอกให้พี่มาง้อน้องตัวเล็กให้สำเร็จให้ได้อยู่เลย”

“หึ บอกให้มาง้อน้องตัวเล็กงั้นเหรอ”

“ใช่สิ แฟนพี่อยากเจอน้องโยต์เหมือนกันนะ ถามตลอดเลยว่าเมื่อไหร่น้องตัวเล็กจะมา”

“งั้นผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณอีกแล้วเหมือนกัน” น้องว่าจบก็ลุกขึ้นก้าวขาเดินออกไปทันที

หมับ

“น้องโยต์เป็นอย่างนี้ไม่มีเหตุผลเลยนะครับ” ผมเริ่มขึ้นเสียงใส่น้อง

“ก็ใช่ไง ผมมันเป็นเด็กที่ไม่มีเหตุผล เป็นเด็กที่จะคอยติดแต่คุณ เป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เป็นเด็กที่คุณคิดว่าเป็นแค่ลูกของเพื่อนสนิทแม่คุณ เป็นเด็กที่อะไรก็จะคอยแต่เรียกหาคุณให้แก้ปัญหาให้ตลอด ผมมันก็เป็นเด็กผู้ชายคนนึงที่มันรักคุณและรอคุณมาตลอดแค่นั้นเอง หึ”

“น้องโยต์” ผมตกใจมากที่ได้ยินน้องบอกว่ารักออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากทางหางตานั้น ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องโยต์จะคิดกับผมแบบนั้น

“กรุณาปล่อยผมด้วยครับ คนที่ลืมสัญญาอย่างคุณผมไม่อยากจะคุยด้วยอีก” น้องสะบัดแขนออกมาแรงมาก

“น้องโยต์”

“ผมได้ยินที่คุณคุยกับผู้หญิงคนนั้นหมดแล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะอธิบายอะไร ผมเข้าใจว่ายังไงผมมันก็แค่ลูกของเพื่อนสนิทแม่คุณ”

“น้องโยต์” ความรู้สึกของผมมันผสมปนเปไปกันหมดเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่คอ นี่ใช่ไหมความรู้สึกที่ผมเหมือนจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป

“หยุดอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ไม่ต้องเดินตามผมออกมา” น้องกำลังจะเดินออกไปแล้วผมจึงเรียกน้องอีกครั้งนึงก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปหาคนที่ตัวเล็กกว่าผมมาก

“น้องโยต์” “พี่ชาร์ปขอโทษที่ลืมสัญญานะครับ พี่ขอโทษนะครับ” ผมเข้าไปกอดน้องจากทางด้านหลังทำให้รับรู้ถึงแรงสั่นไหวที่น้องสะอื้นร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเสียง

“ปล่อยผมด้วยครับ เราไม่มีอะไรที่จะพูดกันอีก” น้องดึงแขนผมออกมามาก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถของที่บ้านที่เข้ามารับพอดี

“น้องโยต์ พี่ขอโทษนะครับ”

“พี่ขอโทษนะครับ” ผมยังคงตะโกนออกไปถึงแม้จะรู้ว่าน้องคงจะไม่ได้ยินผมแล้วก็ตาม


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #26 เมื่อ15-12-2018 00:59:33 »

ไม่โดนต่อยก็โชคดีแค่ไหน  :ling2:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock12 [2]
«ตอบ #27 เมื่อ16-12-2018 15:09:23 »

    Shamrock12 [2]

     วันนั้นผมไปหาน้องที่โรงเรียนก็ไม่เจอ ไปหาที่บ้านก็โดนไอ้พวกเจ้าเด็กแสบไม่ให้เข้าบ้านอีก พอโทรไปน้องก็ไม่รับโทรศัพท์เหมือนเดิม จนผมต้องกลับอังกฤษแล้วก็ยังไม่ได้เจอกับน้องอีกอยู่ดี

     ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับน้องเป็นอย่างนี้เลย มันรู้สึกแย่มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเวลาที่น้องโกรธผม ปกติแล้วผมยังคงง้อน้องได้ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างกันออกไปหลังจากที่ผมรับรู้ความรู้สึกของน้องโยต์ หรือสองปีที่ผ่านมาผมลืมให้ความสำคัญกับน้องไป เพราะผมมีแฟนแล้วอีกทั้งยังเรียนหนักอีกจึงไม่มีเวลาที่มาคุยกับน้องจริงๆจังๆ จนปล่อยเวลาให้มันสายไปอย่างตอนนี้

“ชาร์ป”   

“ชาร์ป “

“ว่าไงแอนนา”

"ดูคุณเหม่อๆไปนะคะตั้งแต่กลับจากไทยมา”

“ผมเครียดเรื่องวิจัยนิดหน่อยน่ะ”

“แอนนาว่าคงไม่นิดแล้วล่ะมั้งคะ เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”

“ไปสิ”

“ชาร์ป แอนนาว่าสั่งอันนี้มาดีไหมคะ”

“ชาร์ป”

“ชาร์ปคะ”

“คุณจะสั่งอะไรก็สั่งมาเลย”

“รู้ไหมคะว่าคุณเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่กลับไทยมา เป็นเพราะน้องตัวเล็กของคุณใช่ไหมที่ทำให้คุณเปลี่ยนไปอย่างนี้”

“ผมบอกแล้วไงว่าเครียดเรื่องวิจัยนิดหน่อยไง” ผมรู้สึกหงุดหงิดที่แอนนามากล่าวถึงน้องโยต์แบบนี้

“แล้วคุณจะขึ้นเสียงใส่แอนนาทำไมคะ”

“ผม...ผมขอโทษ เรากลับกันเหอะ ผมไม่อยากกินอะไรแล้ว” ผมลุกออกมาทันทีหลังจากที่ผมพูดกับแอนนาจบ

“ชาร์ป”

     ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่กลับจากไทยมาในหัวของผมนั้นมีแต่เรื่องของน้องตัวเล็กอยู่เต็มหัว คำพูดต่างๆที่น้องพูดออกมา ผมรู้ว่าน้องพูดออกมาจากใจจริงๆ ผมผิดเองที่ผมลืมสัญญาที่ให้กับน้องไป ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าเป็นสัญญาที่น้องชายหวงพี่ชายที่ไม่อยากให้ใครมาแย่งความรักไปจากเจ้าตัวก็เท่านั้นเอง

     ผมกลับมาบ้านใหญ่ที่ผมไม่ได้กลับมาเลยตั้งแต่ไปไทยแล้วกลับมา ตอนนี้ความรู้สึกผมนั้นมันสับสนไปกันหมดใจนึงที่รู้สึกก็คือผมไม่อยากสูญเสียน้องชายที่น่ารักอย่างเปอโยต์ไป อีกใจนึงก็รู้สึกใจเต้นแรงกับคำพูดของน้องที่น้องบอกว่ารักผม

     ผมไม่ได้รู้สึกใจเต้นแรงแบบนี้เหมือนกับตอนที่พวกเพื่อนๆยุให้ผมคบกับแอนนา เพราะตอนนั้นผมไม่ได้คบใครเลยตกลงที่จะลองคบกับเธอดู หรือตอนที่เวลาผมทะเลาะกับแอนนาจนถึงขนาดที่เราจะเลิกกัน ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือสูญเสียไปแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทะเลาะกับน้องรุนแรงและนานขนาดนี้

“ไง หน้าโทรมมาเชียว”

“นิดหน่อยน่ะ งานเยอะ” พี่ชายผมที่มีอายุห่างกันสองปีเอ่ยถามออกมา

“แล้วแด๊ด มัมล่ะ”

“ไปไทย”

“มึงก็พึ่งกลับมาเองไม่ใช่หรือไง ได้คุยกับน้องตัวเล็กยังล่ะ หึหึ” ยังจะมีการมาถามถึงอีกนะ ทั้งๆที่เจ้าตัวก็รู้ว่าเป็นยังไง

“มึงก็รู้ไม่ใช่หรือไง แล้วยังจะมาถาม”

“ก็รู้ แต่ไม่คิดว่ามึงจะเป็นถึงขนาดนี้ชาร์ป”

“เครียดเรื่องวิจัยเฉยๆหรอกน่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องน้องตัวเล็กสักหน่อย” ผมปฏิเสธพี่ชายออกไป

“หึหึ”

“แล้วนี่มึงไม่เข้าบริษัทหรือไง”

“วันนี้วันเสาร์มึงลืมไปรึเปล่า เครียดขนาดถึงกับลืมวันลืมคืนเลยหรือไง”

“เหอะ”ผมสบทออกมาอย่างไม่สบอารมณ์กับคำแซวของพี่ชาย

“มึงกำลังสับสนอยู่ใช่ไหมล่ะ”

“ใช่ เพราะกูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องจะรู้สึกแบบนี้กับกู น้องยังเด็กอยู่ กูคิดว่าตอนนี้ก็คงสับสนอยู่เหมือนกันว่าน้องรักกูแบบพี่ชายน้องหรือรักแบบคนรักกัน” “เพราะกูรักและมองน้องมันเป็นน้องชายของกูมาตลอด”

“เหรออออ”ทำไมพี่ชายผมมันจะต้องทำท่ากลอกตาล้อเลียนใส่อย่างนั้นด้วยล่ะ

“โอเคๆ”

“แล้วทำไมขนาดยัยเมลมึงยังไม่ดูมันเท่าน้องตัวเล็กเลยล่ะ หรือมึงจะลืมไปแล้วว่าน้องเรามันก็เป็นผู้หญิง”

“ก็น้องตัวเล็ก ตัวเล็กไงอีกอย่างน้องก็ป่วยบ่อย มึงดูไอ้พวกเด็กแสบพวกนั้นซะก่อนว่ามันดูน้องกันไหม แล้วน้องก็ติดกูด้วยไง”

“เหอะ น้องติดมึงหรือมึงติดน้องกันแน่ เอาเป็นว่าตามใจมึงละกันว่าจะคิดยังไง เพราะกูคงไปบังคับความคิดหรือความรู้สึกของมึง
ไม่ได้”

“เออ”

“อ่อ อีกอย่างที่กูจะพูดกับมึงนะชาร์ป แล้วเวลาที่มึงไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกับน้องเลยสองปีที่ผ่านมามึงรู้สึกยังไง ถึงแม้ว่ามึงจะมีแฟน มึงมีความสุขไหมล่ะ”

“กะ..”

“อย่าพึ่งมาเถียงกู” “มึงพูดมาสิว่ามึงมีความสุขดี แล้วใครที่ไหนมันจะเป็นจะตายที่น้องตัวเล็กไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความกลับ จนสุดท้ายน้องตัวเล็กไม่มาเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ ใครกันวะที่บินตามไปดูน้องอยู่ห่างๆ แล้วใครกันวะที่มันยอมบินกลับไปไทยเพื่อจะไปง้อน้องตัวเล็กเพียงแค่ติดต่อไม่ได้แค่อาทิตย์แรก ทั้งๆที่มึงจะสอบอยู่แล้วตอนนั้น แล้วใครกันวะที่มันทะเลาะกับแฟนจนจะเลิก เพราะแฟนมาพูดถึงน้องตัวเล็กในทางที่ไม่ดี แล้วใครกันวะที่มันไปจัดการเด็กที่เข้ามาวุ่นวายกับน้อง ทั้งๆที่ไอ้พวกเด็กแสบมันก็จัดการกันเองได้”

“สุดท้ายนี้ที่กูจะพูด มึงแค่คิดกับน้องตัวเล็กแค่น้องชายจริงๆหรือมึงกำลังพยายามปิดบังความรู้สึกลึกๆข้างในของมึงกันแน่วะ”แล้วพี่ชายผมมันก็เดินจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เพียงประโยคสุดท้ายของมันที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผม

Rrrrr…..

“ว่าไงโจเซฟ”

“วันนี้นายจะเข้ามาที่ร้านไหม”

“ไม่ว่ะ”

“ถ้านายมากะจะให้ฟังเพลงใหม่ที่ทำพึ่งเสร็จซะหน่อย แต่ไม่เป็นไรไว้วันหลังแล้วกัน”

“เออ งั้นเดี๋ยวเข้าไปดึกหน่อยแล้วกันตอนนี้กูอยู่บ้าน”

“โอเค ไว้เจอกัน”

     ผมจมอยู่กับความคิดและความสับสนที่เกิดขึ้นอยู่ภายในใจ นั่งคิดทบทวนการกระทำ ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อน้องตัวเล็ก ผมนึกไปถึงช่วงเวลาที่เราไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา มันใช่อย่างที่พี่ชายผมพูดมาทั้ง ผมตามน้องไปแต่ผมก็ไม่เคยได้เจอน้องต่อหน้าเลยสักครั้ง จะมีแต่ซีตรองที่คอยถ่ายรูปส่งมาให้ผมดูเท่านั้น มันทรมาน เสียใจเจ็บปวดจนใจผมจะแตกสลายให้ได้

     ผมพยายามแล้วที่จะไม่คิด ไม่ให้เกิดความรู้สึกที่คิดเกินเลยไปกับน้องตัวเล็ก แต่ผมไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้

     ผมพยายามแล้วที่จะลองคบใครสักคนดู เพื่อที่ความรู้สึกของผมที่มีต่อน้องตัวเล็กจะหายไป

     ผมพยายามแล้วที่จะห่างจากน้องออกมา แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถที่จะเก็บหรือโกหกความรู้สึกของผมที่มีต่อน้องตัวเล็กได้ ว่าแท้ที่จริงแล้วผมรักน้องตัวเล็กมาตลอด รักอย่างที่ไม่ใช่พี่ชายรักน้องชายอย่างที่บอกใครต่อใครไป แต่ผมรักน้องตัวเล็กอย่างคนรัก อยากจะดูแลปกป้องน้อง ผมห่วง ผมหวงน้องเมื่อมีคนเข้ามาหาน้อง ผมอยากใช้ชีวิตไปกับน้องจวบจนตลอดชีวิตของผม

     แต่ผมคิดมาตลอดว่าน้องยังเด็ก น้องคงไม่ได้คิดแบบที่ผมคิด น้องคงจะรักผมอย่างที่น้องรักไอ้พวกเจ้าเด็กแสบ จนมาถึงวันนั้น วันที่น้องพูดออกมาว่าน้องรักผม มันทำให้ความคิดของผมที่ผ่านมานั้น.....มันผิดไปหมดเลย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡
«ตอบ #28 เมื่อ16-12-2018 23:56:00 »

ถึงจะรู้ตัวช้าแต่ก็รู้ตัวแล้ว :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ นกม่อ

  • Nokmo อ่านว่า นกม่อ ไม่ใช่นกโม
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • นกม่อในตำนาน
Re: รักนี้ที่ดับลิน♡Dublin In Love♡ Shamrock12 [3]
«ตอบ #29 เมื่อ18-12-2018 19:32:29 »

   
Shamrock12 [3]

     หลังจากวันนั้นผมมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อน้องตัวเล็กให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ผมจะไปจัดการปัญหาที่ผมได้ก่อขึ้นเอาไว้กับแอนนา ที่ผมดึงเธอลงมาให้อยู่กับในความสัมพันธ์แบบนี้

“แอนนา ผมขอโทษ”

“คุณคิดว่า เพียงแค่พูดคำว่าขอโทษออกมาแล้วมันจะดีขึ้นหรือคะชาร์ป แล้วความรู้สึกของแอนนาที่มอบให้คุณไปทั้งหมดล่ะคะ ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เราคบกันมามันไม่ความหมายสำหรับคุณเลยใช่ไหมคะชาร์ป”

“ผมต้องขอโทษคุณจริงๆแอนนา ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมาผมยอมรับว่าผมมีใครอีกคนที่อยู่ในใจมาตลอด ผมพยายามที่จะรักคุณแล้ว แต่ผมไม่สามารถที่จะให้ความรู้สึกรักจริงๆกับคุณได้ ผมขอโทษนะ”

“แอนนาเข้าใจค่ะและรับรู้มาตลอดว่าใจของชาร์ปมันไม่เคยมีแอนนาอยู่ในนั้นเลย เพราะขนาดตอนที่เรามีอะไรกันคุณยังเอ่ยชื่อเขาออกมาเลย ถึงตอนนี้แอนนาจะยื้อคุณไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้เราเจ็บกันทั้งนั้น เอาเป็นว่าเราจบกันตอนนี้มันก็ดีแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่สำหรับที่ผ่านมานะคะชาร์ป”

“ขอบคุณที่คุณเข้าใจผมนะ ผมขอโทษจริงๆ” ผมเอ่ยขอโทษผู้หญิงคนตรงหน้าด้วยความที่รู้สึกผิดกับเธอจริงๆ ที่ผมดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์นี้

“หึ เก็บคำขอโทษของคุณไว้ไปบอกกับเขาน่าจะดีกว่าค่ะ”

     กว่าผมจะเคลียร์งานที่บริษัทและงานวิจัยได้นั้นมันก็ผ่านมาเกือบร่วมจะสามเดือนแล้ว ผมกับน้องตัวเล็กเราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากที่ผมไปเจอน้องคราวนั้น ก็จะมีแต่พี่แฟลตกับยัยเมลที่คอยส่งรูปน้องตัวเล็กมาให้ผมดูอยู่ตลอด

     และจนในที่สุดผมก็เคลียร์ทุกอย่างลงตัวแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปเคลียร์ปัญหากับน้องตัวเล็กอย่างไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆอีกแล้ว โดยที่ผมขอร้องให้เพื่อนสนิทผมมาช่วยคิดวิธีที่จะง้อน้องตัวเล็กอีกแรง แต่ก่อนที่จะทำได้นั้นผมคงต้องเคลียร์กับไอ้พวกเจ้าเด็กแสบเสียก่อน

“ทำแบบนั้นมันจะดีเหรอวะโจ”

“เออ เชื่อกูสิแต่ว่ามึงต้องเคลียร์กับพวกน้องมึงให้ได้ก่อน ถ้าน้องตัวเล็กมึงยังไม่ใจอ่อนมึงก็ลองวิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย”

“แล้วมันจะได้ผลเหรอวะ”

“เชื่อกูสิว่าได้ผลแน่นอน แต่ที่กูจะบอกอีกอย่างคือ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเขาด้วยว่ายังมีความรู้สึกให้กับมึงเหมือนเดิมอยู่รึเปล่าด้วยนะเว้ย” เมื่อฟังคำแนะนำของเพื่อนสนิทจบมันทำให้ผมเริ่มมาคิดอีกว่าผ่านมา 3 เดือนแล้วน้องยังมีความรู้สึกแบบเดียวกับผมเหมือนเดิมอยู่ไหม

     ก่อนที่จะกลับไทยคราวนี้ผมได้เข้าไปคุยกับแด๊ดแล้วก็มัม เพื่อที่จะบอกพวกท่านว่าผมรู้สึกยังไงกับน้องตัวเล็ก ผมเอ่ยไปยังไม่ทันจบประโยคดีแด๊ดก็ทำให้ผมอึ้งกับคำพูดของท่านที่พูดออกมา“อ้าว รู้ตัวแล้วหรือไงเจ้าลูกชาย หึหึ”ด้วยสีหน้าที่ดูระอากับผมมาก ผมไม่คิดว่าแด๊ดกับมัมจะรู้ว่าผมรู้สึกกับน้องยังไง

     แถมแด๊ดยังเล่าว่า ตอนแรกก็สงสัยอยู่เหมือนกัน จนท่านมาแน่ใจตอนที่ผมไม่ได้คุยกับน้องและตลอดเวลาที่ผมคบกับแอนนาก็ดูเหมือนคนไม่มีความสุข ดูไม่เหมือนคนที่คบกันเพราะรักและมามั่นใจสุดๆก็ตอนที่ผมสั่งให้คนไปจัดการกับเด็กที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องตัวเล็กนั่นแหละ

     ส่วนอากุนกับอาหลินนั้นท่านก็รู้ แต่ท่านก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกผมกับน้องตัวเล็ก แต่ท่านฝากมาบอกว่าจัดการกับไอ้พวกเจ้าเด็กแสบให้ได้นั่นก็เป็นพอ

     การจัดการกับเด็กแสบทั้งสี่คนนั้นมันเป็นอะไรที่ยุ่งยาก น่าปวดหัวกว่าการที่จะต้องไปเจรจาคุยธุรกิจหรือการทำงานวิจัยของผมเสียอีก แค่คิดแค่นี้ผมก็ไม่อยากจะคิดแล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง พวกนี้ยิ่งชอบทำอะไรที่พิเรนท์ๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่ด้วย

“เฮียมาทำไมเนี่ย” ไอ้เด็กแสบคนแรกที่ผมเจอคนแรกนั้นหน้าตาออกหยิ่งๆ เชิดๆแถมยังตัวโตจะทันผมอยู่แล้วนั้นทักออกมาขณะที่ผมกำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขกที่บ้านของอากุนที่ผมไม่ได้เข้ามานานแล้ว

“เฮียจะมาคุยกับน้องตัวเล็ก”

“ไม่เห็นมีอะไรจะต้องคุยกันแล้วนี่เฮีย”

“ทำไมจะมี น้องตัวเล็กยังเข้าใจเฮียผิดอยู่ เฮียอยากมาอธิบาย”

“แล้วเฮียจะมาอธิบายอะไรอีก ในเมื่อเฮียมีแฟนอยู่แล้ว มันก็เข้าใจได้ทั้งหมดแล้วนี่” จากน้ำเสียงที่แอสตันพูดมาผมรู้แล้วว่าน้องโมโห ที่ผมจะมาคุยกับน้องตัวเล็ก

“เฮียเลิกกับแอนนาไปแล้ว เฮียรักน้องตัวเล็กมานานแล้ว เพียงแต่เฮียพยายามปิดบังความรู้สึกของตัวเองที่จะไม่ให้รักน้องตัวเล็ก”

“หึ มาตอนนี้มันไม่สายไปเหรอวะเฮีย แล้วความรู้สึกของไอ้โยต์มันล่ะ”

“อ้าว เฮียมาทำไรเนี่ย” คราวนี้เป็นเสียงห้าวๆปนหวานจากน้องคูเปอร์ที่เดินเข้ามาตรงห้องรับแขก

“เฮียจะมาคุยกับน้องตัวเล็ก จะมาอธิบายให้น้องเข้าใจ”

“เหอะ จะมาคุยอะไรตอนนี้วะเฮีย มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” น้ำเสียงของน้องคูเปอร์ไม่ต่างจากน้ำเสียงของแอสตันเลยในตอนนี้

“ให้เฮียได้คุยกับน้องตัวเล็กเถอะ เฮียอยากอธิบายจริงๆ”

“แล้ว ถ้าพวกเราจะไม่ให้เฮียคุยกับมันล่ะ เฮียจะมีปัญหาอะไรไหม” เสียงเย็นชาจนน่ากลัวของจากัวร์ถ้าใครไม่คุ้นเคยก็ต้องมีกลัวกันบ้าง แต่มันไม่ใช่สำหรับผมที่โตมากับพวกเด็กแสบ

“จาร์ค ให้เฮียได้คุยกับตัวเล็กเถอะ”

“แล้วโยต์มันจะได้อะไรกับการที่มันต้องมาเจอหรือได้คุยกับเฮียครั้งนี้อีก หรือมันจะได้รับความผิดหวัง ร้องไห้จนจะเป็นจะตาย ข้าวปลาไม่กินเป็นเดือนๆ อย่างนี้อีกเหรอฮะเฮียยยย” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของจากัวร์นั้นผมรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าน้องนั้นทั้งเป็นห่วงตัวเล็กและตอนนี้คงโมโหผมสุดๆ

“เฮียอยากขอโทษและอยากอธิบายให้ตัวเล็กเข้าใจ และอยากบอกกับตัวเล็กของเฮียว่าเฮียรักตัวเล็กจริงๆ เฮียไม่อยากปิดบังความรู้สึกของเฮียที่มีต่อตัวเล็กอีกแล้ว”

“เหอะ เก็บคำพูดเน่าๆของเฮียไว้ไปบอกมันเองเถอะ”

“แต่ก่อนที่เฮียจะได้มีโอกาสไปบอกมันก็เอานี่ไปกินเล่นๆก่อนก็แล้วกัน”

ผัวะ ตุ้บ ผัวะ ผัวะ ผัวะ

“เฮียจาร์คคคคค พอได้แล้ว”

     เสียงตะโกนดังเข้ามาจากทางหน้าห้องรับแขกที่พวกเราอยู่กันตอนนี้ เสียงอันคุ้นเคยนั้นที่ตะโกนเข้ามาเพื่อหยุดให้จากัวร์นั้นที่กำลังซัดลงใบหน้าของผมเต็มแรงไปแล้วสี่ห้าที ก่อนที่ผมจะดันตัวลุกขึ้นมา ก็เห็นน้องตัวเล็กมีสีหน้าตกใจ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าเรียบนิ่งอย่างที่ผมไม่คุ้นเคยมาก่อน ขณะที่น้องตัวเล็กกำลังจะก้าวเท้าเข้ามาหาผมที่ตอนนี้ยืนเซเกือบจะล้ม เพราะจากแรงหมัดของจากัวร์นั้นใช่ว่าจะเบาๆทำให้ผมรู้สึกมึนและชาตรงมุมปาก แต่ผมพยายามทรงตัวให้ยืนเป็นปกติให้ได้นั้นก็มีเสียงขึ้นมาก่อนที่น้องจะได้มาถึงตัวของผม

“จะไปไหนโยต์” เสียงของคูเปอร์ดังขึ้นมาฉุดให้น้องตัวเล็กที่จะก้าวเท้าเข้ามาหาผมนั้นหยุดลงทันที

"ตะ....แต่ว่าพี่ชาร์ป”

“จะไปห่วงทำไม จะไปห่วงคนที่เขามองข้ามความรู้สึกมึงไปทำไม ตอนมึงเจ็บเขามาเจ็บกับมึงด้วยไหม มึงอย่าลืมว่าที่ผ่านมามึงเป็นยังไงนะโยต์” คราวนี้เป็นแอสตันที่พูดขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่มีความสะใจที่มองมาทางผม ก่อนที่จะหันไปหาน้องตัวเล็ก

“น้องตัวเล็กพี่ขอโทษ พี่อยากอธิบายให้เราเข้าและพี่มีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับเรา” ผมรีบเอ่ยกับน้องตัวเล็กทันทีก่อนที่จะไม่ได้พูดอีกถ้าพวกเจ้าเด็กแสบมันยังขัดผมอยู่อย่างนี้

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วล่ะครับ เพราะที่ผ่านมามันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณรู้สึกยังไง คุณกลับไปเถอะ”

“ตัวเล็ก ให้โอกาสพี่ได้อธิบายก่อนสิครับ นะ”

“คุณกลับไปเถอะครับ” แล้วน้องตัวเล็กก็กำลังจะเดินหันหลังกลับไปทันทีที่พูดจบ ผมรีบก้าวเท้าตามตัวเล็กไปทันทีก่อนที่จะใช้แขนสองข้างโอบกอดตัวเล็กไว้จากทางด้านหลัง

“ตัวเล็กพี่ขอโทษ” ผมบอกกับน้องตัวเล็กอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาก่อนที่มันจะตกลงไปยังไหล่ของคนที่ผมกอดรัดเอาไว้แน่น

“พี่ตัวโตขอโทษ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ ยกโทษให้พี่ตัวโตนะ ให้พี่ได้อธิบายให้เราฟังก่อน”ผมรับรู้ได้ถึงแรงสั่นไหวของคนตัวเล็กที่ผมกอดอยู่ “พี่ตัวโตขอโทษนะครับ”

“ปล่อยผมไปเถอะครับ ถ้าไม่อยากจะโดนอีกหมัด” แล้วน้องก็ใช้แรงที่มีทั้งหมดจับแขนผมออกจากตัวของน้องก่อนที่จะวิ่งออกไป

“แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำที่เฮียโดน”

“แล้วจะให้เฮียทำยังไงถึงจะได้ตัวเล็กกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“หึหึ/หึหึ/หึหึ” เสียงหัวเราะอย่างนี้จากพวกเด็กแสบออกมาพร้อมกันทีไร มีแต่คำว่าชิบหายวายปวงจริงๆ ผมไม่รู้จะใช้คำอะไรให้กับพวกนี้แล้วจากวีรกรรมที่ผ่านๆมาของเจ้าพวกนั้น

     ผมยังคงมาหาน้องที่บ้านทุกวัน บางวันก็ได้เจออากุนกับอาหลิน ท่านทั้งสองทราบเรื่องที่ผมโดนหมัดของจากัวร์แล้วตั้งแต่วันแรกที่มา อีกทั้งท่านยังบอกกับผมอีกว่านี่เป็นความโชคดีของผมที่ไม่เจอหมัดของคูเปอร์ไป ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาหาน้องตัวเล็กทุกวันอย่างนี้แน่ ถ้าโดนไปแล้วผมคงจะได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาล

     ท่านทั้งสองยังคงให้กำลังใจผมอีก บอกให้ผมอดทนเพราะท่านก็เข้าใจทั้งตัวผมและน้องตัวเล็ก ท่านยังเล่าให้ผมฟังต่ออีกว่าช่วงแรกๆน้องตัวเล็กอาการแย่มากๆ สภาพจิตใจย่ำแย่ แล้วมันส่งผลต่อไอ้เจ้าพวกเด็กแสบอีกด้วย ตอนแรกท่านก็โมโหผมด้วยเหมือนกันถึงขั้นจะบินมาอังกฤษเพื่อจัดการแต่พอท่านได้คุยกับแด๊ดและมัมแล้วท่านก็เข้าใจ เลยต้องปล่อยไป

     ผมไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าเด็กแสบนั้นจะกันผมให้ออกห่างจากน้องตัวเล็ก ผมพยายามจะพูดกับน้องให้เข้าใจ แต่พอจะพูดหรือเอ่ยปากทีไรก็มีเจ้าพวกเด็กแสบมาขัดจังหวะทุกที รวมถึงหาเรื่องมาแกล้งผมทุกครั้งที่มาบ้าน วันก่อนแอสตันให้ผมเข้าไปเทคบริษัทเกมส์ที่เจ้าตัวกำลังติดอยู่ตอนนี้ บอกว่าถ้าทำไม่ได้ภายในสามวันก็จะไม่ช่วยเรื่องน้องตัวเล็กแถมยังบอกอีกว่าจะพาน้องตัวเล็กหนีไปให้ผมหาไม่เจอ

     ส่วนจากัวร์นั้นให้ผมไปวิ่ง 20 กิโล แล้วกลับมาเข้าโรงยิมเพื่อล้มบอดี้การ์ดอีก 20 คนแล้วแต่ละคนคือผ่านการฝึกของหน่วยรบต่างๆมาทั่วโลก ผมแทบจะหมดแรงอยู่แล้วกับการที่ต้องทุ่มบอดี้การ์ดลงให้ได้ แต่เป็นความโชคดีของผมที่ตอนนั้นน้องตัวเล็กมาเข้ายิมพอดี จากัวร์เลยต้องเลิกแผนการแกล้งผมลงไปโดยปริยาย แต่ไม่วายจะให้ผมไปวิ่งต่ออีก 20 กิโลในวันถัดไป

     ส่วนคนสุดท้ายที่มาตกลงกับผมนั้นก็คือคูเปอร์ เห็นน้องตัวเล็กๆอย่างนี้มือหนักไม่แพ้พวกเฮียๆน้องเหมือนกัน น้องให้ผมไปเล่นเกมส์ มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าไม่ใช่เกมส์ที่หาทางออกจากเกาะ ใช่ครับมันคือเกาะจริงๆ เกาะส่วนตัวที่ถูกทำให้เป็นเหมือนเกมส์เศรษฐีที่ต้องจ่ายเงินจริงๆตามที่ผมได้เปิดใบขึ้นมาแต่ไม่ถึงขั้นกับต้องมาสร้างบ้านอะไรอย่างนั้น ผสมเขาวงกตเข้าไปถ้าจับได้ใบที่ต้องเขาไปในนั้น เอาเป็นว่าผมไปติดอยู่บนเกาะมาเกือบสองอาทิตย์ถึงจะออกมาได้

เจ้าพวกเด็กแสบ Part

ซีตรอง : เมื่อไหร่พวกมึงจะหยุดแกล้งเฮีย นี่มันจะสองเดือนแล้วนะเว้ย

แอสตัน : หึ แค่นี้มันยังน้อยโว้ย

จากัวร์ : ตอนนี้กูกำลังสนุกอยู่

เปอร์ : จริงๆ เฮียควรจะโดนหนักกว่านี้

ซีตรอง : แล้วพวกมึงไม่สงสารไอ้โยต์กันหรือไง มึงจะปล่อยให้มันเข้าใจเฮียผิดๆอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่วะ

ทั้ง 3 คน : “…”

ซีตรอง : พวกมึงจะปล่อยให้น้องมึงเศร้าอยู่อย่างนี้เหรอ ให้เฮียมันได้เคลียร์กับไอ้โยต์สักทีเหอะ

ทั้ง 3 คน : ก็พวกกูรักของกูอะ พวกกูแค่ไม่อยากให้มันเสียใจอีก

ซีตรอง : กูก็รักมันไม่ต่างจากพวกมึง แล้วมึงไม่อยากให้มันกลับมามีความสุขจริงๆเหรอวะ หรือพวกมึงไม่อยากได้ไอ้โยต์คนอ่อนโยนกลับมาหรือไง นับวันมันยิ่งทำตัวแข็งกระด้าง เย็นชาไปหมดแล้ว มันแถบจะเปลี่ยนไปเหมือนพวกมึงหมดแล้วเนี่ย มึงไม่อยากเห็นมันกลับมาอ้อนพวกมึงอีกแล้วใช่ไหม พวกมึงก็รู้ว่านี่มันไม่ใช่ตัวตนมันเลยด้วยซ้ำ

คูเปอร์ : เออๆ กูเข้าใจแล้ว พูดมาซะเยอะเชียว กูหยุดแกล้งเฮียแล้วก็ได้วะแม่ง พวกมึงสองคนว่าไงแมส จาร์ค

จากัวร์ : แหมมม แค่ไอ้ตรองพูดแค่นี้ก็จะหยุดเลยหรือไงจ๊ะน้องสาว

คูเปอร์ : ไม่เกี่ยวซะหน่อย

จากัวร์ : ไม่เกี่ยว ก็ไม่เกี่ยว กิ้วๆ

คูเปอร์ : หุบปากไปเลย ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดน

จากัวร์ : งุ้ย ๆ

คูเปอร์ : มางง มางุ้ยไรของมึง

บั๊ก

จากัวร์ : อู้ยยยยยย สะเทือนไปทั้งตัว มือหนักเป็นบ้าอะคูปป์

แอสตัน : เออ หยุดก็หยุดวะแม่ง

จากัวร์ : เออ หยุดก็หยุด แล้วต้องช่วยเฮียไหม

ซีตรอง : ช่วยก็ดี พวกมึงเล่นเฮียซะขนาดนั้น

ทั้ง 3 คน : เออ!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด