⊰บงการ:วันที่15:⊱
การฝึกทักษะในการต่อสู้ให้กับวิณณ์ผ่านมานานนับปี เริ่มแรกแค่จะยกดาบขึ้นยังทำแทบไม่ได้แถมด้วยความซุ่มซ่ามนั่นผมเลยต้องบอกให้ฝึกเพียงการต่อสู้มือเปล่าเพราะขืนใช้อาวุธจริงคงได้มีเผลอเจ็บตัวในไม่กี่วัน ดีไม่ดีคงไม่กี่นาทีด้วยซ้ำไป ผู้ที่ผมให้ฝึกสอนวิณณ์เป็นถึงผู้นำทัพซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับแนวหน้า
ฝีมือของวิณณ์ค่อนข้างน่ากังวลและน่าเป็นห่วงในตอนแรกแต่พอผ่านไปสักระยะก็เริ่มเข้าที่มากขึ้น มาจนถึงตอนนี้นอกจากจะจับอาวุธสู้ได้แล้วยังมีการฝึกการใช้พลังปิศาจร่วมด้วย
ดวงตาสีทองสว่างของผมมองภาพของวิณณ์ยามเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของคู่ฝึกซ้อมการต่อสู้ที่ไม่ใช่เตโช เขาคงจะให้วิณณ์ได้ฝึกกับคู่ต่อสู้หลายๆ แบบก็เป็นได้
การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ค่อนข้างรวดเร็วทว่าวิณณ์กลับหลบทุกการจู่โจมนั้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไร ดวงตาสีอ่อนใต้เลนส์แว่นจับจ้องไปยังคู่ต่อสู้อย่างไม่ละสายตา เมื่อเพ่งสมาธิไปกับการมองส่งผลให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วได้ชัดเจนขึ้น
การเคลื่อนไหวของวิณณ์ไม่ใช่แค่หลบแต่กำลังรอคอยช่องว่างหรือโอกาสในการสวนกลับอย่างใจเย็น อาวุธสีเงินหรือก็คือดาบในมือตวัดจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนเพื่อให้อีกฝ่ายที่เข้ามาโจมตีชะงักและล่าถอยไปเล็กน้อยซึ่งวิณณ์ดูเหมือนจะรอจังหวะนั้นอยู่แผ่พลังปิศาจออกมาแต่ให้เพียงแค่รอบตัวก่อนพลังนั่นจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปปกคลุมดาบทั้งเล่ม
ทั้งจังหวะเวลาหรือแม้แต่คู่ต่อสู้ที่กำลังชะงักอยู่ล้วนเปิดโอกาสสู่หนทางแห่งชัยชนะทว่าในจังหวะที่กำลังก้าวเข้าประชิดคู่ต่อสู้กลับสะดุดบนพื้นโล่งจนหน้าคะมำลงบนพื้นปูนเต็มแรง บรรยากาศของการต่อสู้เมื่อครู่ปลิวหายไปอย่างรวดเร็วขนาดคู่ต่อสู้หรือปิศาจรอบๆ ที่กำลังฝึกเองยังทำหน้าเจ็บแทนเลย
วิณณ์ก็ยังคงเป็นวิณณ์ เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงนี่เป็นเรื่องปกติ
แต่ใครจะคิดล่ะว่าจะเป็นได้ขนาดนี้
“...” ผมยืนนิ่งเงียบมองภาพเจ้าตัวที่กำลังใช้มือลูบใบหน้าตัวเองไปมา จากการมองอาการคงไม่เป็นอะไรนอกจากรอยแดงบริเวณหน้าปากกับปลายจมูก
“ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นมากแต่อาจยังมีบ้างที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น” เตโชซึ่งยืนมองภาพการต่อสู้อยู่ข้างผมตั้งแต่เริ่มพยายามพูดช่วยวิณณ์
“เจ้าควรเปลี่ยนคำพูด นั่นไม่ใช่เหตุการณ์ไม่คาดฝันแต่เป็นเหตุการณ์ปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” อยู่ด้วยกันมาตั้งเท่าไหร่ทำไมจะไม่รู้นิสัยของอีกฝ่าย
“...ถึงจะแบบนั้นแต่การที่สามารถควบคุมพลังปิศาจได้ระดับนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย”
“ข้อนี้ข้าเห็นด้วย” การควบคุมพลังปิศาจของวิณณ์หลังจากมาถามทริกผมก็ผ่านไปเพียง 2 ปี เป็นระยะเวลาอันน้อยนิดสำหรับปิศาจอย่างพวกเรา หากเป็นปกติแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมพลังปิศาจให้ออกมาได้ตามความต้องการแต่นี่ยังเคลื่อนย้ายพลังไปไว้ที่อาวุธ
พลังปิศาจถือเป็นสิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างกายดังนั้นการจะใช้มันส่วนมากจะเป็นการปล่อยออกไปรวดเดียวเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างปีกหรือกรงเล็บที่ติดกับร่างกายเนื่องจากการคงพลังปิศาจไว้ห่างตัวจะต้องใช้ความชำนาญสูงมากและความผิดพลาดก็เยอะ ในกรณีที่จะโจมตีระยะไกลก็จะรวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วใช้แรงผลักออกไปอย่างรวดเร็วเพราะหากช้าพลังปิศาจจะสลายไปได้
ส่วนกรณีของวิณณ์คือการควบคุมพลังที่อยู่รอบกายคลอบคลุมอาวุธตามรูปร่างนั้นๆ เพื่อเพิ่มพลังการโจมตี ถ้าควบคุมการไหลเวียนของพลังผิดไปแม้แต่นิดเดียวพลังก็สามารถสลายไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยๆ ก็ต้องฝึกควบคุมให้ชำนาญสัก 50-100 ปีถึงจะกล้าลองทำแต่วิณณ์กลับทำได้ในเวลาแค่ 2 ปี
พรสวรค์เหรอ
หรือจะเป็นเพราะสายเลือดกันแน่
“สมกับเป็นลูกของชารอน” เตโชเอ่ยเสียงเบาระหว่างมองไปยังวิณณ์ที่ลุกขึ้นมาพร้อมขอฝึกใหม่อีกครั้ง
“ชารอนไม่ซุ่มซ่ามแบบนี้” ชารอนหรือแม่ของวิณณ์เป็นผู้หญิงที่นอกจากสวยแล้วยังมีความเป็นผู้นำสูงมากกว่าใคร ต่อให้คนที่ยืนตรงหน้าจะเป็นผู้ชายร่างยักษ์แต่เธอก็สามารถจัดการก้าวข้ามไปได้ด้วยการควบคุมพลังปิศาจที่เหนือกว่าปิศาจตนอื่น ภาพของชารอนจัดการปิศาจร่างยักษ์ได้ด้วยมือเปล่ายังติดตาอยู่เลย
“ก็จริง เพียงแต่การควบคุมพลังในระดับนั้นในเวลาแค่ 2 ปีบอกตามตรงข้าเพิ่งจะเคยเจอ”
“พรสวรรค์รวมกับสายเลือดละมั้ง” ผมเอ่ยลอยๆ
“อีกไม่กี่ปีจะไม่มีใครเป็นคู่ซ้อมต่อสู้กับเขาได้” คำพูดของเตโชไม่ได้ใช้น้ำเสียงล้อเล่นแต่เป็นเสียงที่เหมือนกำลังกังวลซึ่งผมเข้าใจสิ่งที่เตโชกำลังคิดอยู่ หากมองทักษะและความสามารถของวิณณ์ในตอนนี้และมองไปในอนาคตอีกสัก 100 ปีคงไม่ใช่ระดับธรรมดา
พลังที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของจิตใจได้ง่ายๆ ในตอนนี้วิณณ์อาจไม่ได้คิดอะไรแต่ในอีก 100 ปีอาจเกิดความคิดที่จะขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของโลกปิศาจก็ได้ ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้หมด
โคร่ม!
ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ รีบหันกลับไปมองตามเสียงที่ดังขึ้นซึ่งเสียงนั้นดังมาจากวิณณ์ที่ทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นปูนโดยมีคู่ฝึกซ้อมยืนยกดาบป้องกันค้างไว้กลางอากาศคล้ายมั่นใจว่าดาบของวิณณ์ต้องปะทะลงมาแน่ๆ แม้จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นแต่ผมสามารถอธิบายสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ต้องถามใครด้วยซ้ำ
วิณณ์กับคู่ต่อสู้เข้าปะทะกันเป็นรอบที่ 3 ตั้งแต่ผมมายืนดู และไม่รู้ว่าเข้าปะทะกันท่าไหนวิณณ์ที่ควรจะเหวี่ยงดาบลงมากลับหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ให้เดาคงเพราะยกดาบสูงเกินไปทำให้น้ำหนักถ่ายเทไปอยู่ด้านหลัง พูดง่ายๆ คือหงายหลังล้มเพราะดาบหนัก
“ข้าว่าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” ต่อให้มีฝีมือระดับสูงแค่ไหนแต่นิสัยซุ่มซ่ามซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี่ไม่มีทางหายแน่
ผมขอเอาตำแหน่งราชาของโลกปิศาจเป็นเดิมพันเลย
“...เห็นด้วยกับท่าน จะว่าไปอีกไม่นานจะถึงวันพิเศษขององค์ราชาแล้ว” เตโชเปลี่ยนเรื่องคุย
“ใกล้ถึงแล้วสินะ” วันพิเศษที่เตโชพูดถึงคืองานฉลองวันเกิดของผม เป็นงานยิ่งใหญ่ที่จะเปิดปราสาทให้เหล่าปิศาจเข้ามาร่วมงานเลี้ยงได้ ภายในงานจะมีทั้งอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ คอยต้อนรับอยู่ไม่ขาด
“ปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่าองค์ราชา”
“ข้าไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ” พูดถึงสิ่งที่อยากได้ไม่ใช่ไม่มีแต่คงไม่มีใครสามารถหามาให้ได้ ผมต้องเป็นคนช่วงชิงมาด้วยตัวเอง
“แปลว่าต้องปรึกษาเรื่องของขวัญกับแกรนอีกแล้วสิเนี่ย” เตโชพึมพำเสียงเบา
“อะไรก็ได้” การมอบของขวัญเหมือนเป็นธรรมเนียมที่เจ้าของงานอย่างผมจะได้รับ ยิ่งตำแหน่งราชาของที่จะให้ก็ควรจะเป็นสิ่งที่มูลค่าทัดเทียมกัน ไม่รู้ว่าใครที่สร้างความเชื่อแบบนั้นขึ้นมา
สำหรับผมของขวัญไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิด
“ครับ แกรนบอกว่าวันนี้จะมีร้านมาวัดตัวเตรียมตัดเสื้อผ้าสำหรับวันสำคัญ”
“เข้าเรื่องเถอะ” ผมเบยสายตาไปหาเตโช รู้จักกันมาไม่รู้กี่ร้อยปีทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าประโยคนั้นเป็นคำเกริ่นก่อนจะเปิดเข้าเรื่องอะไรสักอย่าง เตโชไม่ใช่พวกชอบพูดมากหากพูดนั่นแปลว่าต้องมีเรื่องอะไร
“ทรงมองออกจริงๆ ด้วย ข้าแค่อยากขอบังอาจเสนอบางอย่าง”
“ลองว่ามา”
“ข้าว่าพระองค์น่าจะออกไปวัดตัวที่ร้านจะดีกว่าให้คนของร้านมานี่” คำพูดของเตโชทำให้ผมนิ่งไป
“ทำไม” ให้ร้านมาวัดที่นี่สบายกว่าเดินไปร้านเป็นไหนๆ
“ข้าเพียงแค่เสนอ...”
“เตโช” ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงกดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถามมาเดี๋ยวนี้
“...ท่านวิณณ์เอ่ยช่วงพักว่าอยากออกไปข้างนอกปราสาทบ้าง” เมื่อทนสายตาและน้ำเสียงไม่ไหวเตโชจึงยอมบอกเรื่องทั้งหมดมา
“ฮืม” จะว่าไปก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้พาวิณณ์ออกไปข้างนอกตัวปราสาท อย่าว่าแต่นอกปราสาทเลยแค่นอกสายตายังแทบนับครั้งได้ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ผมจะไม่ปล่อยให้วิณณ์ไปไหนไกลสายตา
มันคงไม่ใช่แค่ความหวงหรือห่วงแต่พ่วงไปด้วยความกังวลและกลัวว่าถ้าอยู่ไกลสายตาจะเกิดอะไรขึ้นกับวิณณ์ สถานการณ์ของผมยังไม่ปลอดภัยเพราะตัวปัญหาอย่างบักเก็ตยังอยู่ การให้วิณณ์ถอยออกไปอยู่ไกลตัวอาจปลอดภัยกว่าแต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปได้
ความรู้สึกนี้ภายในอกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถหาคำพูดไหนมาบรรยายได้ แต่หากเป็นคำที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็นคำว่ารัก
ก่อนหน้านี้ไม่นานผมได้กดดันออกแนวบังคับให้วิณณ์บอกเหตุผลที่ทำหน้าเศร้าในวันดูตัว บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าชอบออกมาจากปากของอีกฝ่าย ภายในอกสั่นไหวราวกับกำลังดีใจและถูกเติมเต็มจนแทบปั้นหน้าไม่ถูก
ชอบ
คำสั้นๆ พยางค์เดียวที่ผมได้ยินมานับร้อยปีแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่หัวใจจะตอบรับเหมือนตอนที่ได้ยินคำพูดนั้นจากวิณณ์ ทั้งที่เป็นคำเดียวกันแต่มันช่างแตกต่าง
“วิณณ์วันนี้พอแล้ว มานี่!” ผมส่งเสียงเรียกคนที่เตรียมเดินเข้าไปขอฝึกอีกรอบ เสียงเรียกของผมส่งผลให้วิณณ์หันมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับคู่ฝึกต่อสู้แล้ววิ่งเหยาะๆ มาหา ให้เดาคงขอบคุณที่เป็นคู่ซ้อมให้วันนี้ชัวร์
บางครั้งผมก็คิดนะว่านอกจากนิสัยแล้วมารยาทนี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมค่อนข้างแปลกใจ ด้วยสรรพนามที่คนในปราสาทเรียกนำหน้าว่าท่านน่าจะบ่งบอกถึงระดับฐานะได้อย่างดีแต่เจ้าตัวยังติดที่จะพูดเพราะ ก้มหัวขอบคุณและอื่นๆ อีกมากมายไม่ได้สนใจฐานะนั้นเลยสักนิด
“วันนี้ให้ผมเลิกเร็วเหรอ ยังไม่ถึง 11 โมงเลยนะ” นี่คือคำทักทายแรกเมื่ออีกฝ่ายก้ามมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวแล้ว” ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากไล่ลงมายังพวงแก้มสีแดงระเรื่อบ่งบอกถึงการผ่านการออกกำลังมา
“ผมเช็ดเองได้เดี๋ยวมือคุณก็เลอะหรอก” วิณณ์ก้าวถอยหลังหลบมือผมซึ่งไล่ไปยังแก้มอีกข้าง
“ช่างสิ” กับไอ้แค่เช็ดเหงื่อจะเลอะขนาดไหนกันเชียว
“อ๊ะ! พอแล้วเบียทรีซ สรุปมีเรื่องอะไรถึงได้ให้ผมเลิกเร็วล่ะ” อีกฝ่ายยอมยืนนิ่งให้เช็ดได้ไม่นานก็เปิดหัวข้อสนทนาใหม่
“จะพาไปข้างนอก...”
“ข้านอก? หมายถึงนอกปราสาทน่ะเหรอ” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคเสียงใสๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา หากเป็นคนอื่นคงได้โดนผมลงโทษไปแล้วแต่อย่างที่รู้กันวิณณ์ถือเป็นข้อยกเว้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ยิ่งได้เห็นประกายของความดีใจที่สื่อผ่านมาทางสายและรอยยิ้มยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะยิ้มตามไปแต่ก็ต้องรีบดึงตัวเองกลับมาเพราะรอบๆ มีพวกเตโชยืนมองสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล
แค่การการแสดงออกที่ผ่านมาก็มากพอที่แกรนและเตโชจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อวิณณ์แล้ว นอกจากจะไม่แปลกใจแล้วยังออกแนวเป็นห่วงเพราะเจ้าตัวที่ผมรู้สึกด้วยนั้นคล้อยตามคนอื่นไปได้ง่ายๆ แถมยังไม่รับรู้ถึงความรู้สึกผมทั้งที่แสดงออกมามากขนาดนี้อีก
‘เบียทรีซก็ชอบผมเหรอ’
คำถามนั้นผมอยากจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบหนักแล้วตอบกลับไปเหลือเกินว่า...
ไม่ได้ชอบแต่รัก!
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดในสมองไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกอีกฝ่ายว่าความรู้สึกตรงกันเพราะต่อให้ไม่ตรงผมก็จะทำให้ตรงเอง จะทำให้วิณณ์ต้องการผมให้มากกว่านี้ ชอบให้มากกว่านี้ รักให้มากกว่านี้ โหยหาให้มากกว่านี้...ให้มากจนไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีผม
“อืม...จะไปไหมนอกปราสาทน่ะ” ผมถามต่อโดยสายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มของวิณณ์
“ไปสิ ไปแน่นอนเลย” คนถูกถามพยักหน้าขึ้นลงรัวๆ
“งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ซะ” เพิ่งฝึกเสร็จให้ออกไปเดินเลยคงไม่สบายตัว
“อืม รอผมอยู่นี่นะ แป๊บเดียวผมขอแค่ 15 ไม่สิขอแค่ 10 นาทีเท่านั้น” บอกเสร็จเจ้าตัวก็วิ่งเข้าไปในปราสาทราวกับเด็กๆ ที่ดีใจยามได้ออกไปเที่ยว
“วิ่งแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ล้ม...”
“โอ๊ะๆ ไม่เป็นไรไม่ได้ล้ม” ยังพูดไม่ทันขาดคำวิณณ์ก็สะดุดขอบประตูจนเซเกือบล้มโชคดีที่ทรงตัวได้เลยไม่บาดเจ็บ แถมยังมีหันมาโบกมือให้ผมอีก
“นี่ข้ากำลังเลี้ยงเด็กอยู่รึไง” ผมพึมพำเสียงเบา
“ท่านวิณณ์ยังถือว่าเด็กมากถ้าเทียบกับพวกเรา” เตโชบอกพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูยามมองภาพวิณณ์เมื่อครู่
“ก็จริง” ต่อให้ผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่มาอยู่นี่แต่ด้วยอายุแค่เลขสองหลักยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ดี
“องค์ราชาได้บอกท่านวิณณ์หรือไม่ว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดของพระองค์”
“ไม่จำเป็นต้องบอกนี่” ผมยกยิ้มพลางก้าวตามหลังวิณณ์เข้าไปภายในตัวปราสาท
รออยู่ไม่ถึง 10 นาทีวิณณ์ในชุดใหม่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แววตาของเขาตอนเห็นผมนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องดูจะสงสัยว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงซึ่งผมปล่อยให้อีกฝ่ายทำหน้างงต่อไปโดยไม่พูดอะไรเดินนำวิณณ์ออกจากห้องไปจนถึงนอกปราสาทผ่านถนนสายหลักที่ได้ชื่อว่าเป็นตลาดที่ยาวที่สุดของโลกปิศาจ
ร้านค้าสองข้างทางของถนนคึกคักมากในช่วงดึกทว่าในช่วงสายๆ แบบนี้จะมีคนน้อยกว่ามาก การมาเยือนของผมสร้างความแตกตื่นให้แก่ปิศาจโดยรอบค่อนข้างมาก พวกเขาเปิดทางให้ผมเดินได้โดยไม่มีอะไรมาขวางแม้กระทั่งเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวเจ้าของร้านที่วางกล่องไว้ปิดทางยังต้องรีบมายกของออกด้วยความนอบน้อม
“นี่เบียทรีซ” เสียงเรียกจากด้านหลังมาพร้อมชายเสื้อผมที่ถูกกระตุกเล็กน้อย
“อะไร”
“เราจะไปไหนกันเหรอ” วิณณ์ก้าวเร็วขึ้นให้มาเดินขนาบข้างผมที่ไม่หยุดรอ
“ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้? หรือคุณแค่อยากเดินตลาด ถ้าแบบนั้นไม่เห็นต้องเข้ามาในซอยลึกๆ แบบนี้เลย”
“ข้าอยากมา” ผมตอบเสียงเรียบ ในซอยนี้ไม่เหมือนด้านหน้าถนนอันเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งสองข้างมีเพียงผนังและกำแพงของบ้านเรียงรายกันอยู่
“อย่ามาโกหกนะ”
“นั่นคำพูดข้า” ผมหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนระหว่างพูด
“ก็ใช่ที่คุณชอบพูดแต่ไม่ใช่คำพูดของคุณคนเดียวสักหน่อย”
“เจ้าอยากออกมานอกปราสาทไม่ใช่”
“...ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ” อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
“เตโชบอก” ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังหรือโกหก
“คุณเลยพาผมออกมา? ขอบคุณนะเบียทรีซที่ตามใจผม” วิณณ์เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงมีความสุข
“ใครบอกว่าข้าตามใจเจ้าโดยการพาออกมากัน”
“ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ต่อให้ผมพาอีกฝ่ายออกมาเพราะคำพูดของเตโชจริงแต่ผมก็ไม่คิดจะบอกความจริงให้ได้รู้หรอก นิสัยอย่างผมเนี่ยนะจะตามใจใคร...มีแต่คนต้องมาตามใจผมสิถึงจะถูก
“คุณโกหก ทั้งที่ตามใจผมแท้ๆ ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ”
“ข้าไม่ได้ปฏิเสธ”
“ที่คุณทำนั่นแหละที่เรียกว่าปฏิเสธ”
“วิณณ์!” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงแข็ง ความรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนคล้ายอีกฝ่ายจะรู้ความจริงแบบนี้ผมไม่ชอบเอาซะเลย
“ก็ได้ๆ งั้นคุณมีธุระสินะ”
“ประมาณนั้น” ถึงธุระนั่นจะรออยู่ที่ปราสาทได้ก็ตาม
“บอกได้ไหมว่าเป็นอะไร”
“ถึงร้านแล้ว เข้าไปดูละกัน” ระหว่างพูดคุยกันมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย ประตูไม้สีน้ำตาลเข้มดูหรูหราเช่นเดียวกับกำแพงรอบๆ ที่ถูกทาด้วยสีครีม เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับบรรยากาศสีทองอ่อนของกระเบื้องและผนังสีเข้าคู่กัน ชุดนับร้อยแขวนเรียงกันแยกชายหญิงอยู่คนละฝั่ง
ร้านเสื้อผ้านี้เป็นร้านที่ดังที่สุดในโลกปิศาจ ด้วยการตัดแสนประณีต คุณภาพของเนื้อผ้าและการบริการที่ใครได้มาลองเป็นต้องติดใจ ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นราชาผมไม่เคยตัดชุดร้านอื่นเลยนอกจากที่นี่
“ยินดีต้อนรับสู่ร้านฟีล์เกลองค์ราชา” พนักงานของร้านเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“เป็นเกรียติอย่างยิ่งที่ทรงมาเยือนด้วยตนเองเช่นนี้” เจ้าของร้านเป็นปิศาจระดับกลางที่มีความสามารถในการตัดเย็บชุดมากโดยพนักงานต้อนรับเป็นภรรยาของเขา ทั้งร้านมีกันอยู่แค่ 2 คนทำให้การตัดชุดแต่ละชุดใช้เวลานานพอสมควร
“อืม”
“ความจริงให้พวกเราไปหาพระองค์ที่ปราสาทตามนัดก็ได้นะครับ ทางมายังร้านค่อนข้างซับซ้อนข้าเองก็เกรงว่าจะทรงหลง” คำอธิบายจากเจ้าของร้านที่ผมห้ามไม่ทันนั้นเรียกรอยยิ้มกวนๆ จากวิณณ์ที่เดินตามมาได้เป็นอย่างดี เรื่องที่อยากให้รู้ต้องให้อธิบายซ้ำถึงจะเข้าใจแต่พอเป็นเรื่องที่ไม่อยากรู้ล่ะกลับเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย
“คุณยกเลิกนัดเพื่อจะได้พาผมมานอกปราสาท?”
“คิดไปเอง ข้าแค่อยากมาเดินออกกำลังกาย”
“คิก...ขอบคุณนะ” รอยยิ้มของวิณณ์ทำให้ผมรู้เลยว่าคำโกหกมันใช้ไม่ได้
“วัดตัวเขา” ในเมื่อโกหกไม่ได้ผมเลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องให้เร็วที่สุดโดยหันไปบอกเจ้าของร้านให้มาวัดตัววิณณ์
“รับทราบเชิญด้านในเลยครับ ฟี” เจ้าของร้านพาพวกเราเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวด้านในแล้วพยักหน้าให้ภรรยาเข้ามาทำหน้าที่วัดตัว
“ได้ค่ะ ขออนุญาตนะคะขอวัดช่วงไหล่ก่อนนะคะ” เธอกางสายวัดวัดแต่ละส่วนของร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“วัดตัวผมทำไม” คนถูกสายวัดขึงไปตามร่างกายเอ่ยคำถามสิ้นคิดออกมา ทีเรื่องง่ายๆ น่ะไม่เข้าใจ พอเรื่องที่ผมไม่อยากให้เข้าใจก็ดันเข้าใจซะอย่างงั้น
“ลองคิดเองสิวิณณ์”
“...จะตัดชุดให้ผม?”
“ก็รู้นี่”
“แต่ชุดในห้องก็มีอยู่ตั้งเยอะแล้วนะ” วิณณ์พูดต่อ
“นี่เป็นชุดออกงาน” ผมบอก
“ออกงานอะไร...จะมีงานอะไรเหรอ” ท่าทางแบบนั้นคงยังไม่มีใครบอกเจ้าตัวว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นวันเกิดผม
“มีงานแต่ข้าไม่บอกว่าเป็นงานอะไร”
“ฮะ...ทำไมล่ะ”
“ก็ไม่ทำไม” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากบอก
ไม่ใช่แค่ไม่อยากบอกแต่ยังไม่อยากให้รู้ด้วย
“งั้นผมจะถามคนอื่น”
“ข้าสั่งทุกคนไว้แล้วว่าห้ามบอกเจ้าเด็ดขาด”
“เบียทรีซ”
“อยู่นิ่งๆ แล้ววัดตัวไป” ผมเปลี่ยนประเด็น
“คุณใจร้าย”
“เข้าใจถูกแล้ว”
“...” ใบหน้าหงุดหงิดปนไม่พอใจนั่นดูตลกมากในสายตาผม
“พระองค์ให้ชุดเป็นโทนสีอะไรดีครับ” เจ้าของร้านถามพร้อมเตรียมจดข้อมูลใส่สมุด
“โทนสีสว่างทอง น้ำตาลแก่” ผมหันไปมองวิณณ์พร้อมจินตนาการสีชุดที่น่าจะเหมาะกับอีกฝ่าย สีผิวของวิณณ์ค่อนข้างขาวสามารถใส่สีอะไรก็ได้ทั้งสีผมและสีตาเองก็เป็นโทนน้ำตาลผมเลยคิดว่าพวกสีทองหรือตาลแก่น่าจะเข้ากับเขาได้ดี
“แล้วพวกกระประดับตกแต่ง”
“ไม่ต้องมี” วิณณ์ไม่เหมาะกับชุดที่ตกแต่งอะไรมากมาย ชุดเรียบๆ ไม่ต้องมีอะไรก็มากพอจะให้โดดเด่นได้
“รับทราบ ข้าจะทำให้ตามประสงค์”
“วัดตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ ขออนุญาตวัดของพระองค์” วัดวิณณ์เสร็จเธอจึงเปลี่ยนมาวัดขนาดตัวผมต่อถึงจะเป็นลูกค้าประจำและมีขนาดตัวอยู่แล้วแต่การวัดซ้ำจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดชุด
“อืม” ผมพยักหน้าอนุญาต
“ชุดของพระองค์อยากได้โทนได้ดีครับ” เจ้าของร้านถามต่อ
“ให้ผมเลือกได้ไหม” อยู่ๆ วิณณ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“จะแกล้งข้ารึไง”
“ผมไม่ใช่คุณนะ ในเมื่อคุณเลือกโทนสีชุดให้ผม ผมก็ควรจะเลือกให้คุณบ้างจะได้เท่าเทียมไง”
เท่าเทียม?
กับราชาปิศาจอย่างผมน่ะเหรอ
“หึ...เอาสิ” ที่โลกปิศาจถามหาความเท่าเทียมไม่ได้หรอกนะเพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎของพลังซึ่งใครแข็งแกร่งก็จะอยู่เหนือกว่า ดังนั้นผมเพิ่งจะเคยได้ยินคำว่าความเท่าเทียมกับตัวเองก็ครั้งนี้
อยากรู้เหมือนกันว่าวิณณ์จะเลือกโทนสีไหนให้ผม
“สีเงิน สีเทาเข้ม สีทอง” สามเฉดสีดังขึ้นทันทีที่ผมยอมให้อีกเลือกคล้ายกับมีคิดไว้ในหัวแล้ว
“สามสีเยอะไปมั้ง” ผมพูด
“สีเงินกับสีเทาเป็นเฉดเดียวกันถือเป็นสีเดียวก็ได้นี่ ให้สีเทาเป็นหลักแล้วค่อยใช้สีเงินกับทองมาเข้าคู่”
“ทำไมต้องเป็นสามสีนั้นด้วย” สีมีตั้งเยอะแยะผมเลยสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นสามสีนี้
“เส้นผมของเบียทรีซเป็นสีดำดังนั้นสีเทากับสีเงินจะช่วยทำให้คุณเด่นขึ้น ส่วนสีทองจะเข้ากับสีของดวงตาคุณ นั่นเป็นเหตุผลที่คิดไว้แต่ความจริงผมแค่คิดว่าอยากเห็นคุณใส่ชุดสีพวกนี้จังนะ คงจะหล่อมากๆ เลย” ไม่จำเป็นต้องอธิบายยืดยาวแค่ประโยคสุดท้ายประโยคเดียวก็มากพอให้ผมเลือกโทนสีตามนั้นแล้ว
วิณณ์มีหลายๆ อย่างที่ชักจูงและดึงดูดให้ผมคล้อยตามอยู่เสมอ เหมือนถูกหลอกล่อให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้เพราะแบบนั้นถึงได้หงุดหงิดที่มีเพียงผมคนเดียวที่หลงไปกับเสน่ห์ดึงดูดนั่นจนไม่อาจถอนตัวได้
แบบนี้ไม่ดี...ผมทำไรสักอย่างให้อีกฝ่ายถูกผมดึงดูดบ้าง
“วิณณ์” ผมเรียกขณะกำลังเดินกลับไปยังปราสาท
“ฮะ? อุ๊บ!...อื้ออ~” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ถามอะไรอะไรอาศัยจังหวะตอนหันหน้ามาดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วกดจูบหนักๆ ลงไป เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวผมจึงฉวยโอกาสนั้นรุกล้ำเข้าไปมากขึ้น
ความเปียกชื้นยามเรียวลิ้นสัมผัสและสอดประสานปลุกอารมณ์และความต้องการในส่วนลึกให้ตื่นขึ้นทีละนิด ความรู้สึกดีแล่นเข้าจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังบอกให้หยุดผ่านการทุบเข้าที่แผ่นอกแต่ผมกลับเลือกที่จะไม่สนใจแล้วริ้มรสสัมผัสนั้นอย่างมัวเมา
ผมเคยจูบมาหลายครั้งแต่ผมกล้าพูดเลยว่าจูบที่ดีที่สุดคือตอนที่ได้จูบกับวิณณ์
อยากจะจูบกับอีกฝ่ายให้นานกว่านี้แต่ผมก็รู้ดีว่าวิณณ์ใกล้ถึงขีดจำกัดเลยจำต้องค่อยๆ ผละจูบออกมาแม้จะยังรู้สึกไม่พอก็ตามที
“หายใจเสร็จข้าจะได้จูบต่อ”
“ฮะ...จะจูบอีก?”
“ใช่”
“มะ...ไม่เอาแล้ว คุณทำอะไรในที่สารธารณะกัน” วิณณ์ใช้สองมือยกขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่น
“จูบไง”
“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย!” ใบหน้าเห่อแดงนั่นมาจากการความโกรธหรือเขินอายกันนะ ไม่ว่าจะมาจากไหนก็น่าดูจริงๆ นั่นแหละ
“ไม่ชอบ?”
“ใช่...ผมไม่ชอบให้จูบในที่แบบนี้”
“แปลว่าที่อื่นได้” ผมสรุปออกมาตามที่เข้าใจ
“ไม่ใช่ ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ”
“ไม่ชอบให้แกล้งสินะ”
“ก็รู้นี่”
“แปลว่าไม่ชอบข้าแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามขณะขยับหน้าเข้าไปใกล้ วิณณ์ก้าวถอยหลังหนีได้ไม่นานแผ่นหลังก็ติดกับกำแพงด้านหลัง ใบหน้าของวิณณ์แดงก่ำกว่าเมื่อครู่อีกสาเหตุคงเป็นเพราะคำถามของผมล่ะนะ
“...ไม่ใช่แบบนั้น” อีกฝ่ายพึมพำตออบเสียงเบาขณะหลบสายตา
“สรุปยังไงชอบหรือไม่ชอบข้า”
“...ชอบ”
“ชอบอะไร” ขออีกนิดเถอะ ให้ผมได้มองใบหน้าเขินอายของเขาอีกนิดเถอะแล้วจะเลิกแหย่แล้ว
“ชอบคุณ”
“คุณที่ว่าคือใครล่ะ” คำถามนี้ทำเอาดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เลนส์แว่นมองค้อนขึ้นมาทันควัน
“...เบียทรีซ”
“พูดให้เต็มประโยควิณณ์”
“ชอบ...ชอบเบียทรีซ อื้ออ~” สิ้นคำสารภาพผมมอบจูบอันหนักหน่วงแทนของขวัญที่อีกฝ่ายพยายามได้ดีมาก เป็นของขวัญที่ผมมอบให้โดยไม่ถามความสมัครใจใดๆ ทั้งสิ้น
(มีต่อค่ะ)