อนธการ ((ดราม่า-ปัญหาสังคม)) ตอนที่ 12 14/03/2562
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อนธการ ((ดราม่า-ปัญหาสังคม)) ตอนที่ 12 14/03/2562  (อ่าน 2871 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*******************************************************









อนธการ

 

 

Intro

 

 

 

เสียงล้อรถเข็นที่แหวกทางแคบๆในโรงพยาบาลเรียกความสนใจจากบุคคลรอบข้างได้เป็นอย่างดี บุรุษพยาบาลและพยาบาลต่างทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจเพราะหากว่าพวกเขามัวแต่อิดออดแม้เพียงนาทีเดียวชีวิตของคนที่กำลังพาไปยังห้องฉุกเฉินอาจจะดับสิ้นลง ร่างบางของภาสวินท์วิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ น้ำตาไหลเป็นสายหัวใจเจ็บราวกับถูกบีบรัดด้วยคีมเหล็ก เขาเป็นห่วงคนที่นอนหน้าซีดหมดสติบนรถเข็นที่ถูกเข็นเข้าห้องไป

 

ภาสวินท์ทรุดตัวลงนั่งพยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่มันแทบจะทะลักออกมาจากอก

 

ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรมากมายขนาดนี้ หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับมีเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทง

 

มันเจ็บเหมือนจะขาดใจ  สายตาที่สื่อความในใจทุกอย่างถูกส่งผ่านเข้าไปในห้องนั้น ห้องที่อริญชย์กำลังถูกปั๊มหัวใจอยู่

 

ถ้าอริญชย์ตายเขาจะทำยังไง

 

ถ้าอริญชย์ตายแล้วเขาจะอยู่อย่างไร

 

ใครจะช่วยเก็บเศษใจร้าวๆกลับมาผสานให้เหมือนเดิมได้

 

                “อย่าตายนะอริญชย์  ขอร้องล่ะ อยู่ต่อนะอยู่เพื่อเรานะ”

 

 

 

หากโลกนี้ภาสวินท์เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใส

 

อริญชย์ก็คือพระจันทร์ที่มืดหม่น

 

ราวกับว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะไม่สามารถมาบรรจบกันได้เลย

 

...แม้จะอยู่บนฟ้าเดียวกัน...

 

 

 

 

และนี่คือเรื่องราวของภาสวินท์และอริญชย์…

 

 

 

..........................................


เรื่องราวทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้นทั้งตัวคนและสถานที่



นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดและปัญหาครอบครัวที่เราพบเห็นได้มากมายในสังคมนะคะ



และหลายๆครั้งที่เราเห็นเด็กติดยา เราจะพิพากษาเขาไปแล้วว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ทำตัวเหลวแหลก ทั้งที่บางครั้งสิ่งที่เด็ก"บางคน"ทำลงไปเพียงเพราะเขาไม่เหลือที่พึ่งพิงทางใจแล้ว



หวังว่านิยายเรื่องนี้จะมีส่วนยั้งความคิดด้านลบต่อผู้ป่วยที่เสพยาให้ยั้งคิดยั้งอคติลงได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ



เราไม่สามารถตัดสินใครได้เพียงแค่เห็นเขาเพียงด้านเดียว



#อนธการ





 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 22:32:48 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: อนธการ *********อินโทร***********
«ตอบ #1 เมื่อ17-11-2018 13:34:33 »

อนธการ ตอนที่ 1

 

 

10 ปี ที่แล้ว

 

รถบรรทุกคันใหญ่ 2 คัน ทยอยเข้ามาจอดด้านหน้าตึกแถวกลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง ชายวัยกลางคนและภรรยาเจ้าของบ้านขับรถกระบะตามหลังมาติดๆ เด็กชายภาสวินท์วัย 9 ขวบวิ่งลงจากรถด้วยความตื่นเต้น นิกรและสุนิสาผู้เป็นภรรยาส่งเสียงร้องเตือนลูกชายไม่ให้วิ่งเร็วเกินไปเมื่อเด็กชายวิ่งปรู๊ดขึ้นไปสำรวจชั้นบน ครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้เพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัดเพราะผู้เป็นพ่อได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้มาเป็นผู้จัดการสาขาที่กรุงเทพฯ เขาจึงพาภรรยาที่กำลังตั้งท้องลูกคนที่สองและลูกชายคนโตย้ายมาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยภาสวินท์ก็จะได้มีการศึกษาที่ดีมีคุณภาพมากกว่าอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด

 

เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับบ้านหลังใหม่ เพราะสุนิสาเป็นแม่บ้านอยู่กับบ้านอย่างเดียวเธอจึงตัดสินใจเปิดร้านขายของชำเพื่อหารายได้เล็กๆน้อยเหมือนครั้งอยู่ต่างจังหวัด  ที่สำคัญตึกแถวห้องนี้ราคาสมเหตุสมผลไม่ได้แพงจนจับต้องไม่ได้ แต่กว่าจะผ่อนหมดคงกินระยะเวลานานนับสิบปี

 

อย่างน้อยการได้มีอะไรทำดีกว่าปล่อยให้เธอเหงาสุนิสาจะได้มีเพื่อนคุยบ้างตอนที่เขากับวินท์ไม่อยู่

 

พนักงานขนของได้นำพวกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ต่างๆมาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว วันนี้เขาไปรับภรรยาและลูกมาเป็นรอบสุดท้ายหลังจากต้องพักอยู่ที่เมืองหลวงเพียงลำพังมานานหลายวัน

 

                “วินท์ ลูกมาเอาขนมนี่ไปให้บ้านข้างๆที่เป็นอู่ซ่อมรถทีนะถามหาเด็กที่ชื่ออริญชย์นะ”หลังจากจัดของเสร็จเรียบร้อยในตอนเย็นนิกรก็หยิบกล่องขนมขึ้นชื่อประจำจังหวัดที่เขาแวะซื้อมายื่นให้ลูกชาย เขาทำความรู้จักกับบ้านข้างๆเรียบร้อยแล้วก็พบว่าบ้านนั้นก็มีลูกชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับวินท์ลูกชายของเขา จะต่างกันก็ตรงที่พ่อของอริญชย์ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ชายเจ้าของร้านดูดุส่วนภรรยาก็มีสีหน้าอมทุกข์ตลอดเวลา ยิ่งอริญชย์ด้วยแล้วตามเนื้อตัวมีแต่รอยช้ำ เกือบทุกวันหลังเลิกงานเขามักจะแวะซื้อขนมเล็กๆน้อยๆมาฝากเด็กชายเสมอ อริญชย์มักจะมองซ้ายมองขวาถ้าหน้าร้านมีพ่อทำงานอยู่เขาจะส่งสายตาเศร้าแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ถ้าวันไหนพ่อนั่งในร้านหรือเผลอเด็กชายจะรีบรับขนมแล้วเก็บซ่อนอย่างดีที่สุดก่อนจะเข้าบ้านไป

 

เด็กสองคนอายุเท่ากันแต่กลับมีความสดใสสมวัยไม่เท่ากัน

 

เขาเห็นแล้วก็ได้แต่รู้สึกสงสาร

 

ตลอดหลายวันที่ต้องมาอยู่คนเดียวใช่ว่าเขาจะปิดหูปิดตาหรือไม่รับรู้อะไรแทบทุกวันจะต้องมีเสียงทะเลาะขว้างปาข้าวของหรือแม้กระทั่งเสียงของอริญชย์กับไลลาลินพี่สาวร้องไห้ให้ได้ยินเสมอ

 

เขาจับใจความได้ว่าแม่ของอริญชย์มีชู้และอริญชย์คือลูกชู้คนนั้นแม้ภรรยาจะปฎิเสธซักกี่ครั้งแต่คนเป็นสามีก็ยังคงเชื่ออย่างนั้น

 

กรรมจึงตกมาที่อริญชย์หากเป็นลูกชู้จริงนั่นคือผลจากสิ่งที่แม่และชู้รักเป็นคนก่อ

 

แต่ถ้าไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อมานานแค่ไหนแล้ว อาจจะทั้งหมดของชีวิตที่เกิดมาบนโลกเบี้ยวๆใบนี้

 

4kl วินท์วางดินสอสีที่กำลังระบายในสมุดภาพลงแล้วมารับกล่องขนมตามที่พ่อบอกอย่างว่าง่าย เด็กน้อยมองซ้ายขวาแล้วก็พบว่าร้านซ่อมรถอยู่ทางด้านขวาของตนเองร่างผอมบางของเด็กชายวัยเท่ากันกำลังใช้กระดาษทรายขัดยางในรถก่อนจะใช้ไฟจุดแผ่นสตรีมแล้วปะล้อจักรยานที่รั่วอย่างตั้งใจเมื่อเสร็จเรียบร้อยเด็กชายก็เติมลมลงไปแล้วเอายางเส้นนั้นแช่ลงในน้ำเพื่อเช็คว่าตนเองปะติดเรียบร้อยดีหรือเปล่าแล้วจัดการยัดกลับเข้าไปในยางนอก ภาสวินท์เดินเข้าไปใกล้ๆอย่างลังเลว่าจะใช่คนที่ชื่ออริญชย์ที่พ่อบอกมั้ย

 

                “นี่...”ตัดสินใจเอ่ยทักแม้ว่าอริญชย์จะไม่ได้รับรู้ถึงความมีตัวตนของเขาในตอนนั้นเพราะเอาแต่ง่วนอยู่กับการทำงานที่พ่อสั่ง อริญชย์สะดุ้งเล็กน้อย เด็กชายผู้มีถุงใต้ตาสีคล้ำเงยหน้าขึ้นมองภาสวินท์ส่งยิ้มให้ในทันทีก่อนจะยื่นกล่องขนมให้

 

                “พ่อเราให้เอาขนมมาให้อ่ะ เธอชื่ออริญชย์ใช่มั้ย”วินท์ถามชื่ออีกฝ่ายเพื่อความมั่นใจเด็กชายอริญชย์อายุ  9 ปี มองคนที่ยืนส่งยิ้มตาแป๋วมาให้ด้วยสายตาสำรวจ ภาสวินท์สูงไล่เลี่ยกับเขาดวงตาสีน้ำตาลนั้นดูสดใส เสื้อผ้าที่ใส่ก็สะอาดสะอ้านสีหน้าที่ระบายรอยยิ้มนั้นดูไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร อริญชย์วางยางรถลงมองมือป้อมๆขาวสะอาดนั้นแล้วมองมือตัวเองที่เลอะน้ำมันจากโซ่รถ เสื้อผ้าก็สกปรกจนน่าอายเด็กชายเอามือของตนเองเช็ดกับขากางเกงที่เปื้อนเขรอะก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องขนม

 

                “ขอบใจ”เด็กชายใช้มือลูบหน้ากล่องที่มีรูปขนมสีสันน่ากิน วินท์ยังคงยืนนิ่งไม่ได้กลับไปบ้านของตัวเองจนอริญชย์รู้สึกตัว

 

                “กูชื่ออริญชย์นะแล้วมึงชื่ออะไร”

 

                “วินท์ เราชื่อภาสวินท์นะ” วินท์เอ่ยตามในทันทีเด็กชายยื่นมือป้อมๆของตัวเองไปตรงหน้าอริญชย์มองอย่างไม่แน่ใจ

 

เป็นอีกครั้งที่เขาหลุบตามองมือสกปรกของตัวเองอย่างรู้สึกอาย มันทั้งเปื้อน เล็บก็ดำด้วยไม่มีใครมาสนใจดูแลเขาซักเท่าไหร่

 

                “มือเปื้อน”เจ้าตัวว่าเสียงอุบอิบ ภาสวินท์ได้ยินดังนั้นก็เป็นฝ่ายย่อตัวลงไปคว้ามือที่ทำท่าจะหดเข้าหาที่ซ่อนของอริญชย์มาจับแล้วเขย่าซะเอง

 

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะ เราเข้าบ้านก่อนไว้มาเล่นด้วยกันนะ”ภาสวินท์วิ่งปรู๊ดกลับเข้าบ้านของตัวเอง อริญชย์ที่นั่งอยู่ลำพังยกมือข้างที่วินท์จับขึ้นมามอง ควานอบอุ่นยังคงอยู่คล้ายมีกลิ่นของความหอมหวานราวขนมอบลอยวนอยู่รอบตัว เด็กชายยิ้มให้กับมือของตัวเอง

 

เขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลย นอกจากเด็กข้างบ้าน 2-3 คน ที่โรงเรียนอริญชย์ถูกเพื่อนๆในห้องล้อเลียนว่าเป็นลูกชู้ทุกวัน เสื้อผ้าเนื้อตัวมอมแมมเพราะต้องช่วยพ่อทำงานแม่ของเขาสุขภาพไม่ดีมาหลายปีแล้วซ้ำยังต้องเข้ากะที่โรงงานทุกวัน อริญชย์จึงอยู่กับพ่อและพี่สาวเป็นส่วนใหญ่ แต่เด็กชายกลับมีชีวิตอยู่กับความว้าเหว่เมื่อพ่อให้ความรักกับพี่สาวของเขาเพียงคนเดียว

 

ถึงแม้อริญชย์จะอายุเพียงแค่ 9 ปี แต่อริญชย์ก็รับรู้ความรู้สึกของบิดาดี

 

ยิ่งพ่อให้ความรักกับพี่สาวมากเท่าไหร่พ่อก็จะมอบความเกลียดชังส่งมาที่เขามากเท่านั้น

 

เด็กชายกำมือซีดๆของตัวเองราวกับจะเก็บกักความรู้สึกอบอุ่นที่เพื่อนใหม่มอบไว้ให้ ให้นานที่สุด

 

 

 

 

 

                “ไอ้ริญชย์!! มึงมานี่ซิ”เสียงตวาดก้องของผู้เป็นพ่อเรียกให้เด็กชายตัวน้อยที่กำลังจะคดข้าวกินถึงกับสะดุ้งสุดแรงเด็กน้อยวางชามข้าวที่ยังตักได้ไม่ถึงครึ่งชามลงก่อนจะเดินออกไปหาพ่อที่ถือยางรถเส้นที่เขาปะเมื่อเย็นในมือ

 

                “มึงปะยางยังไงลมมันถึงซึมออกอีก มึงไม่ได้ตั้งใจทำงานใช่มั้ย”ผู้เป็นพ่อที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหใช้ยางในเส้นนั้นฟาดลงบนขาเล็กอย่างแรง ความเจ็บแสบที่ผิวเนื้อทำให้เด็กชายถึงกับน้ำตาร่วง

 

                “พ่อ อย่าตี ริญชย์เจ็บ กลัวแล้ว” เด็กน้อยยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อ น้ำตาไหลเป็นสายผิวเนื้อที่ถูกยางรถฟาดขึ้นริ้วแดงและมีเลือดซึมออกมา

 

                สำออย

 

ในสายตาของคนเป็นพ่อ น้ำตาของไอ้ลูกชู้มันกลั่นมาจากความสำออย ถ้ามันเจ็บหรือมันกลัวจริงมันจะไม่กล้าท้าทายเขาด้วยการไม่ใส่ใจในการทำงานที่เขามอบหมายให้อย่างนี้

 

                “มึงไม่ได้กลัวกูจริงๆหรอกไอ้ริญชย์ ถ้ามึงกลัวกูมึงจะกล้าทำงานชุ่ยๆแบบนี้เหรอ  นี่ถ้ากูไม่มาดูพรุ่งนี้ลูกค้ามารับจักรยานเขาไม่ด่ากูเหรอวันนี้กูจะตีให้มึงจำเลยว่าทำงานแบบนี้มึงจะโดนดี” พูดจบคนเป็นพ่อก็จับแขนผอมบางของลูกชายไว้แล้วคว้าไม้เรียวที่วางข้างประตูมาฟาดลงตามเนื้อตัวของลูกชายที่ร้องไห้อย่างน่าเวทนา

 

เกลียด

 

ยิ่งเห็นน้ำตามันเขาก็ยิ่งเกลียด

 

ชายหนุ่มเอาความโกรธเกลียดความผิดหวังในตัวของภรรยามาลงที่เด็กชายตัวน้อย อริญชย์มองพ่อด้วยสายตาอ้อนวอน แม้ว่าพ่อจะเกลียดเขาแต่เด็กน้อยที่จิตใจยังบริสุทธิ์นั้นก็รักและเทิดทูนพ่อสุดหัวใจ

 

พ่อครับ ผมเจ็บ พ่ออย่าตีริญชย์เลยนะครับ

 

เด็กน้อยพยายามอ้อนวอนจากหัวใจหากแต่สายตาอ้อนวอนนั้นผู้เป็นพ่อกลับตีความหมายไปอีกที

 

                “มึงจ้อหน้ากูทำไม จ้องหน้าด่ากูในใจใช่มั้ย!!” ไม่พูดเปล่าฝ่ามือหน้าก็ตบลงบบนผิวแก้มเต็มแรงจนเด็กชายล้มกระเด็น เลือดสีสดไหลออกจากปากและจมูกอริญชย์ร้องไห้จ้าผู้เป็นพ่อง้างเท้าเหมือนจะเตะซ้ำแต่ทว่าเสียงกรีดร้องจากทางด้านหลังและแรงดึงทำให้ปลายเท้าเฉี่ยวตัวเด็กน้อยไปแบบฉิวเฉียด

 

                “พี่ฉันขอล่ะอย่าทำลูก ให้ฉันไหว้ก็ได้ เขาเป็นลูกพี่นะ”ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งเลิกงานกลับมาทันเห็นตอนสามีตบลูกชายคนเล็กทิ้งถุงที่หิ้วมาแล้ววิ่งไปเกาะแขนสามีไว้ อริญชย์น้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นเด็กน้อยกอดตัวเองพลางถอยไปจนชิดมุมๆหนึ่งในบ้าน

 

เขากลัว เขาเจ็บ พ่อตีเขาเจ็บไปทั้งตัว ทั้งแขนทั้งขา ที่แก้มก็เจ็บ เด็กชายร้องไห้อย่าน่าเวทนา ทันทีที่ผู้เป็นพ่อถูกดึงออกไปห่างตัวอริญชย์ไลลาลินผู้เป็นพี่สาวอายุห่างกับเขาสามปีก็วิ่งมาดึงมือน้องชายให้วิ่งขึ้นห้อง

 

                “ตัวรอแม่อยู่นี่นะเดี๋ยวเค้าไปหาพ่อก่อน”พี่สาวดันร่างเล็กให้เข้าไปอยู่ในห้องก่อนจะวิ่งปรู๊ดลงไปข้างล่างที่มีเสียงพ่อด่าแม่อยู่แว่วๆ อริญชย์วิ่งไปแอบตรงซอกเตียงแคบๆ ไม่นานเสียงด่าก็หายไป ไม่กี่นาทีต่อแม่เสียงประตูก็เปิดออก

 

                “อริญชย์...ลูกรักหนูออกมาหาแม่สิครับ” เสียงเรียกหาลูกชายปนเสียงสะอื้นนั้นบ่งบอกถึงความปวดร้าวในหัวใจ

 

อริญชย์ค่อยๆแอบมองว่าแม่เข้ามาในห้องคนเดียวหรือเปล่าเมื่อเห็นแม่ยืนน้ำตาไหลในห้องเด็กชายก็รีบลุกจากที่ซ่อนเข้าไปหาอ้อมกอดของแม่ที่ย่อกายรับทันที

 

                “แม่ครับริญชย์เจ็บ”เสียงร้องอุธรณ์บอกหญิงสาวจับลูกชายพลิกหน้าพลิกหลังดูร่องรอยช้ำและบางที่เนื้อแตกซิบ

 

                “เจ็บมากมั้ยครับลูก แม่ขอโทษนะ แม่ขอโทษที่ทำให้หนูต้องเจออะไรแบบนี้”หญิงสาวร้องไห้ปานจะขาดใจก่อนจะรวบร่างเล็กมากอดไว้แนบอกหล่อนยกมือลูกขึ้นจูบราวกับจะปลอบขวัญ

 

                “พ่อตีริญชย์ทำไมครับไหนบอกแม่ซิ” เมื่อปลอบลูกชายจนหยุดร้องไห้แล้วพาลูกอาบน้ำเสร็จหล่อนก็เอาชุดปฐมพยาบาลออกมาทำแผลให้ลูกด้วยความเบามือ

 

                “เมื่อเย็นแม่ของเกมส์เอาจักรยานมาปะ พ่อให้ริญชย์ปะแต่มันรั่วรอยเก่าริญชย์ปะดีแล้วแต่มันไม่อยู่ พ่อเลยตีริญชย์พ่อบอกว่าริญชย์ทำงานไม่เรียบร้อย” เด็กชายเล่าตามจริง

 

                “แล้วริญชย์ได้บอกพ่อมั้ยครับว่ามันปะไม่ได้แล้ว”ผู้เป็นแม่เอ่ยถามเด็กชายก้มหน้าก่อนส่ายหน้าช้าๆ

 

                “ที่พ่อตีเพราะว่าริญชย์ทำงานไม่เรียบร้อยใช่มั้ยครับ แล้วทำไมริญชย์ไม่บอกพ่อครับว่ายางมันปะไม่ได้แล้ว เพราะแบบนั้นพ่อเลยโมโห พ่ออยากสอนให้ริญชย์รับผิดชอบงานให้ดีที่สุด ริญชย์เป็นลูกชายคนเดียวอีกหน่อยร้านนี้พ่อก็ต้องยกให้ริญชย์พ่อเลยอยากหัดให้ริญชย์เก่งๆริญชย์อย่าโกรธพ่อเลยนะลูกนะ” หญิงสาวลูบหัวลูกชายด้วยความสงสาร หล่อนจำเป็นต้องโกหก รู้ทั้งรู้ว่าสามีเกลียดลูกชายอย่างกับอะไรดีแต่อริญชย์ไม่ได้ผิดอะไรเลย

 

ลูกชายของหล่อนเกิดมาจากความรัก เขาไม่สมควรได้รับความเกลียดชังจากบุพการีแบบนี้

 

เรื่องทั้งหมดผิดที่ตัวหล่อนเอง

 

                “ลูกกินข้าวหรือยังครับ” ทันทีที่ทายาตรงมุมปากลูกชายเสร็จหล่อนก็นึกขึ้นได้ เดินไปหยิบถุงกับข้าวที่ซื้อมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ย อริญชย์ส่ายหน้า เขายังตักข้าวไม่ทันเสร็จเลยด้วยซ้ำก็ถูกพ่อเรียกไปตีแล้ว ดวงตากลมจ้องมองชามเป็ดพะโล้ที่ผู้เป็นแม่เทใส่ชามพร้อมกับแกะถุงข้าวเปล่าที่ซื้อมา

 

เป็นประจำทุกวันที่หล่อนจะซื้อกับข้าวและขนมติดมือกลับมาบ้าน นานนับปีแล้วที่ข้าวบ้านนี้เหมือนมีไม่พอให้ลูกชายตัวน้อยของเธอกินเลยด้วยซ้ำ เมื่อก่อนหล่อนไม่เคยถามเพราะคิดว่าลูกกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่มารู้ความจริงเอาเมื่อลูกชายนอนปวดท้องร้องไห้กลางดึกเพราะปวดท้องเป็นเพราะว่าข้าวที่บ้านเมื่อพ่อให้พี่สาวกินเสร็จเขาก็รวบรวมทุกอย่างเทใส่ถุงแล้วทิ้งถังขยะ

 

ใจร้าย...ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาบนโลก 35 ปี หล่อนไม่เคยเห็นพ่อที่ไหนใจร้ายกับลูกชายได้ขนาดนี้เลย  หากว่าหล่อนมีเงินมากกว่านี้หล่อนจะพาอริญชย์ออกไปอยู่ที่อื่น แต่นั่นแหล่ะหากหล่อนไปแล้วไลลาลินจะรู้สึกอย่างไร ถึงแม้ลูกสาวจะได้รับความรักอย่างเปี่ยมล้นจากผู้เป็นพ่อแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะทิ้งขว้างลูกสาวได้ตามใจ อีกอย่างหล่อนอดทนทำงานเพื่อเก็บเงินไว้เป็นทุนการศึกษาให้อริญชย์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าสามีคงไม่ยอมให้เงินแม้แต่บาทเดียวกับอริญชย์แน่ๆ

 

หล่อนวางชามข้าวลงตรงหน้าลูกชายก่อนจะคีบเป็ดพะโล้ให้อริญชย์

 

                “กินเยอะๆนะลูก หนูผอมเกินไปแล้ว เป็ดพะโล้ของโปรดของลูกวันนี้แม่สั่งเขามาให้ครึ่งตัวเลยนะ”หล่อนลูบผมของลูกชายอย่างแสนรัก พยายามเก็บกักน้ำตาที่ทำท่าจะไหลเข้าไปในใจให้ลูกที่สุด เก็บเอาไว้ให้มันไปท่วมอยู่ในหัวใจแม่คนนี้

 

อริญชย์ลอกหนังเป็ดแล้วยื่นมาตรงหน้าแม่

 

                “แม่กินสิฮะ”เด็กชายส่งยิ้มให้แม่ หญิงสาวส่งยิ้มตอบ

 

                “ลูกกินเถอะแม่อยากให้ลูกกินเยอะๆ”

 

                “หนังเป็ดอร่อยที่สุดแล้วเราแบ่งกันกินสิฮะ ริญชย์ก็อยากให้แม่กินข้าวเยอะๆ”เด็กชายยังคงจ่อตะเกียบไว้ตรงหน้าแม่จนในที่สุดหนังเป็นชิ้นนั้นก็เข้าไปในปากของคนเป็นแม่ตามต้องการ

 

ใช่ มันอร่อยที่สุด มันอร่อยเพราะลูกชายป้อนให้หล่อนเอง

 

 

 

 

                “เฮ้อ...น่ากลัวจังเลยค่ะคุณ ทำไมเขาถึงใจร้ายขนาดนี้คะ”สุนิสาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะกินข้าวในขณะที่สามีกอดภาสวินท์ไว้แนบอก

 

                “ทุกทีก็ไม่ได้ตีอะไรแรงขนาดนี้ ผมสงสารอริญชย์ เด็กตัวนิดเดียววิ่งทำงานงกๆน่าสงสารมาก”

 

                “ทำยังกับแกไม่ใช่ลูกยังงั้นแหละ”คนเป็นแม่ว่าก่อนจะเลื่อนแก้วนมให้ลูกชาย

 

                “เราอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยวินท์ยังนั่งอยู่นี่นะคุณ”คนเป็นสามีปรามเบาๆ ยังไงเรื่องที่เขารู้มาวินท์ยังเด็กเกินไปที่จะแยกแยะจริงเท็จเพราะฉะนั้นเขาไม่อยากให้ลูกชายต้องมาฟังคำกล่าวหาลอยๆของเพื่อนบ้าน

 

ภาสวินท์ของเขายังบริสุทธิ์เกินไปที่จะมาฟังเรื่องสกปรกแบบนี้

 

 

......................................................



ฝากอริญชย์น้อยไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ



#อนธการ

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 14:00:01 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: อนธการ ตอนที่ 1 17/11/2561
«ตอบ #2 เมื่อ18-11-2018 13:35:26 »



อนธการ ตอนที่ 2 "ปกป้อง"


  เด็กชายอริญชย์มองภาพที่พ่อร้องเพลงอวยพรวันกิดให้พี่สาวด้วยสายตาตัดพ้อ บรรดาเพื่อนร่วมชั้นของไลลาต่างส่งเสียงร้องตามอย่างร่าเริง พี่สาวคนสวยของเขาสวยราวนางฟ้า ชุดกระโปรงลูกไม้ขาวสะอาดตาช่างดูน่ารัก เด็กชายก้มมองดูสภาพของตัวเองด้วยความน้อยใจ รองเท้าผ้าใบเก่าๆขาดๆที่แม่ไปเลือกซื้อจากแผงขายของมือสอง กางเกงบอลที่เจ้าตัวใส่จนคุ้นชินมีคราบน้ำมันเครื่องเลอะกระจายทั่วทั้งตัว เสื้อกล้ามที่เคยเป็นสีขาวบัดนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกางเกง ผ้าขี้ริ้วที่พ่อเอาไว้เช็ดมือยังจะสะอาดกว่าในความคิดของเด็กน้อย

 

ไลลาตัดเค้กแล้วแบ่งให้เพื่อนๆ เด็กสาวชะเง้อมองหาน้องชายแต่อริญชย์ก็หลบไปซะก่อน เขาไม่อยากโดนพ่อดุต่อหน้าคนเยอะๆ

 

อริญชย์โตพอที่จะเรียนรู้คำว่าอายแล้ว  เสียงกล่าวสวัสดีดังมาจากประตูบ้านภาสวินท์เดินเข้ามาในบ้านเด็กชายจะเอ่ยทักเขาหากแต่อริญชย์วิ่งหนีสวนออกไปซะก่อน กล่องของขวัญที่ถือมาเกือบหลุดมือเพราะไหล่ของอริญชย์กระแทกไหล่กับเขา ภาสวินท์มองตามร่างผอมบางนั้นก่อนจะหันมาสนใจเจ้าของงานวันเกิดที่กวักมือเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส

 

 

                หลายวันแล้วที่วินท์ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ วันนี้เด็กชายแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนเรียบร้อยตั้งแต่เช้าเพื่อรอให้ผู้เป็นพ่อไปส่ง ความจริงโรงเรียนก็ไม่ได้ไกลอะไรแต่นิกรอยากจะพาลูกไปส่งด้วยตัวเองก่อนไว้ชินถนนหนทางมากกว่านี้เขาก็จะปล่อยให้ลูกชายเดินไปโรงเรียนเอง สุนิสาจัดโต๊ะเตรียมอาหารให้ลูกกับสามีเสร็จตั้งแต่ 7 โมงเด็กชายลงมือกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ จริงๆเขาค่อนข้างจะกังวลใจกับโรงเรียนใหม่อยู่ไม่น้อย สภาพแวดล้อมใหม่กับเพื่อนใหม่จะดีเหมือนที่เก่าหรือเปล่าก็สุดจะคาดเดา เมื่อจัดการกับมื้อเช้าอันเร่งรีบสองพ่อลูกก็ออกเดินทางไปโรงเรียนทันที

 

                “พ่อครับนั่นอริญชย์”ภาสวินท์ชี้นิ้วไปที่เด็กชายที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าหลังจากออกจากบ้านได้ไม่เท่าไหร่นิกรตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะบีบแตรรถทำให้เด็กชายตัวผอมหันมามองด้วยความตกใจ

 

                “อริญชย์กำลังจะไปโรงเรียนเหรอ”เด็กน้อยก้มหน้าไม่ยอมสบตาเนื่องจากเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มอีกคู่จ้องมองอยู่ อริญชย์พยักหน้าให้คนโตกว่า นิกรมองเด็กที่ใช้เท้าเขี่ยเศษหินเล่นแล้วปลดล็อคประตูรถ

 

                “ขึ้นมาสิเดี๋ยวลุงไปส่ง”ชายสูงวัยกว่าเสนออย่าอารีย์หากแต่อริญชย์กลับส่ายหน้า

 

                “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเดินไปเอง”

 

                “มาเถอะยังไงลุงก็ต้องไปโรงเรียนของอริญชย์อยู่แล้ว”นิกรบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดูก็รู้ว่าเด็กตรงหน้าอายลูกชายของเขาทั้งๆที่วินท์ก็ย้ายมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้วแท้ๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กสองคนกลับไม่พัฒนาขึ้นเลย เจ้าลูกชายตัวน้อยของเขาน่ะอยากจะไปเล่นกับอริญชย์ใจจะขาดแต่เด็กตรงหน้านี่สิกลับดึงหน้าใส่จนวินท์ขยาด

 

เขาเข้าใจอารมณ์เด็กๆดีคนที่อยากเป็นผู้นำแต่สภาพแวดล้อมที่ไม่มีอะไรสู้ได้ แถมติดอาการเคอะเขินที่จะเข้ามาพูดคุยกันก็ต้องมีผู้ใหญ่นี่แหล่ะที่เป็นคนประสานสายสัมพันธ์นี้

 

อริญชย์ขมวดคิ้วช่างใจอยู่ชั่วครู่ ถ้าเขาไปกับลุงนิกรก็จะประหยัดค่ารถไฟใต้ดินไปหลายบาทเอาเงินเก็บไว้ให้แม่ดีกว่า คิดได้ดังนั้นเด็กชายก็พยักหน้ารับก่อนจะเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่ง แอร์เย็นฉ่ำในรถทำให้เด็กชายสดชื่นขึ้น วินท์ที่นั่งเบาะหน้าคู่กับพ่อหันมายิ้มให้กับเด็กข้างบ้าน อริญชย์หลบสายตาซุกซนคู่นั้นโดยการแกล้งทำเป็นมองข้างทาง  หากแต่ไม่นานกล่องนมกล่องหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในมือของเขา คนที่ยัดมันใส่มือให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนภาสวินท์ฉีกยิ้มเผล่ใส่ด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

                ให้ กินสิ”ว่าพลางฉวยนมกล่องนั้นมาเจาะหลอดให้เสร็จสรรพอริญชย์หลุดยิ้มให้กับคนอ่อนเดือนกว่าเอ่ยคำขอบคุณเบาๆแล้วรับกล่องนมนั้นไปดื่ม วินท์เห็นแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยอริญชย์ก็ไม่ได้ปฏิเสธไปทุกอย่าง เด็กทั้งสองคนนั่งกินนมไปเงียบๆ

 

                หลังจากทำการฝากฝังลูกชายกับครูประจำชั้นเรียบร้อยนิกรก็ต้องล่ำลาเพื่อรีบไปทำงานให้ทันตอน 9 โมงเช้า ชายหนุ่มฝากลูกชายให้เด็กที่ไม่ได้โตไปกว่าวินท์เท่าไหร่อย่างอริญชย์ดูแล เมื่อรถของพ่อเคลื่อนตัวออกไปร่างเล็กก็หันมายึดอริญชย์เป็นที่พึ่ง สายตาที่มองจ้องคนสูงกว่ามีแววหวาดหวั่นอริญชย์ออกเดินนำหน้า อันที่จริงเด็กชายก็อยากชวนวินท์คุย แต่เป็นเพราะเค้าเข้าสังคมไม่เก่งเอาซะเลย บรรดาเพื่อนๆแถวบ้านที่เล่นด้วย 3 คนนั้นก็คบหากันมาตั้งแต่จำความได้ ภาสวินท์กลายเป็นกรณียกเว้น

 

                “ไอ้ลูกชู้วันนี้พาใครมาด้วยวะ”เสียงเด็กอ้วนที่เรียนชั้นเดียวกันเอ่ยทักเมื่ออริญชย์เดินเข้ามาในห้อง  เด็กชายหยุดกึกเมื่อได้ยินสรรพนาม มือเล็กที่จับสายกระเป๋าเป้กำเข้าหากันแน่น ดวงตาคมมีแววดุตวัดมองเพื่อนร่วมชั้นที่เอ่ยคำพูดน่ารังเกียจนั้น เขาสูดหายใจลึกยามเมื่อนึกถึงคำสอนของแม่

 

                “ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเราไม่จำเป็นต้องไปตอบโต้ โกรธได้แต่อย่าใช้ความรุนแรงนะครับ” เพราะคำสอนของแม่ที่ดังก้องอยู่ในหัวทำให้อริญชย์ทน เขาไม่อยากมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนจนต้องเดือดร้อนไปถึงแม่ เด็กชายมีความคิดเกินตัว ถ้าอะไรที่มีแม่มาเกี่ยวข้องอริญชย์จะหยุดคิดอย่างรอบคอบที่สุด

 

กลายเป็นภาสวินท์ซะเองที่ไม่ถูกชะตากับไอ้อ้วนที่นั่งแหกปากหัวเราะกับพรรคพวกยามที่อริญชย์เดินเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง

 

                “มันน่าต่อยปากให้ไขมันตรงคางกระเพื่อมจริงๆ” เด็กชายนั่งบ่นอุบอยู่ใกล้ๆอริญชย์ที่นั่นฟุบหน้าไปกับโต๊ะเรียน หันหน้าออกทางหน้าต่างราวกับจะตัดขาดกับโลกรอบตัวอริญชย์ได้ยินคำพูดเบาๆนั้นดี เด็กชายแอบยิ้มไม่ให้วินท์เห็นไม่บ่อยนักที่จะมีใครมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาอย่างนี้ นอกจากแม่ ไลลาลินพี่สาว ก็มีภาสวินท์นี่ล่ะเพิ่มมาอีกคน

สุดท้ายหลังจากวันนั้นภาสวินท์ก็เลื่อนระดับจากเพื่อนบ้านมาเป็นเพื่อนสนิทของอริญชย์ เด็กชายทำตัวติดเพื่อนข้างบ้านแจร้องขอเดินทางไปกลับกับอริญชย์ด้วยตัวเอง

 

จากคนที่เงียบขรึมพูดน้อยก็พูดคุยกันมากขึ้นแม้เด็กชายตัวสูงกว่าจะชอบดึงหน้าใส่และพูดกับเขาไม่ค่อยเพราะนักแต่วินท์กลับไม่ได้ใส่ใจนัก เขาชอบเวลาที่อริญชย์ว่างเด็กชายตัวสูงจะมาเรียกเขาที่หน้าบ้านแล้วพาซ้อนจักรยานไปเตะบอลกับเพื่อนๆสามคน อ้น จิน และแมน  ทั้งสามคนเป็นลูกหลานคนแถวนั้นเป็นสามคนที่ไม่เคยพูดจาล้อเลียนปมด้อยของอริญชย์ แต่ทั้งอริญชย์ อ้น จิน และแมนต่างใช้สรรพนามแทนตัวเองว่ากูมึงและพ่นคำหยาบใส่กันเป็นว่าเล่น ภาสวินท์เองก็โดนด่าบ่อยครั้งเมื่อเตะบอลผิดพลาดหรือเล่นอะไรไม่ถูกใจ แต่เด็กชายกลับไม่เห็นเป็นเรื่องต้องมาซีเรียสอะไร

บางวันอริญชย์ก็หอบกระเป๋านักเรียนมานั่งทำการบ้านที่บ้านของเขา แต่บางวันที่อริญชย์โดนพ่อตีเด็กชายก็จะหายหน้าไป 2-3 วัน นอกจากจะเดินไปกลับโรงเรียนด้วยกันแล้วอริญชย์จะไม่คุยกับเขาเลย วินท์เรียนรู้ว่าเมื่อใดที่เพื่อนสนิทโดนตีตามเนื้อตัวจะมีรอยจ้ำรอยช้ำอริญชย์จะอารมณ์เสียและหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ

 

ภาสวินท์ยังเด็กเกินไปที่จะรับรู้ว่าหัวใจของเด็กวัยเดียวกันนั้นแหลกสลายไม่มีชิ้นดีซ้ำๆ อริญชย์ซึมซับความรุนแรงจากการใช้กำลังของผู้เป็นบิดา แต่ก็รู้จักสะกดกลั้นความโกรธจากผู้เป็นแม่ ความรู้สึกทั้งอยากจะตีใครซักคนเพื่อระบายความโกรธก็ถูกความยับยั้งชั่งใจควบคุมไว้อีกขั้น

 

เด็กชายไม่อยากอารมณ์เสียใส่เพื่อนข้างตัวเพราะที่โรงเรียนเขามีแค่วินท์เพียงคนเดียวที่สนิทด้วย พวกอ้น จินและแมนนั้นเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งที่ใกล้บ้านมากกว่า

 

เด็กชายเรียนรู้ที่จะรักษามิตรภาพไว้ เพราะฉะนั้นยามที่เขาหงุดหงิด เขาจึงอยากอยู่ให้ไกลวินท์ไว้ให้มากที่สุด

 

ความสำพันธ์แบบนี้ดำเนินไปถึงสามปี ในที่สุดเด็กทั้งคู่ก็เรียนชั้น ป.6 แล้ว เด็กชายทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน สอบปลายภาควันสุดท้ายสิ้นสุดลงเด็กทั้งสองเก็บอุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน หลังจากนี้ก็จะปิดเทอมใหญ่ อีกสองเดือนเขาทั้งคู่จะกลายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมแล้ว อริญชย์จะได้ไปพ้นกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนเดิมๆจากโรงเรียนนี้ซักที

 

                “เฮ้อ เรียนจบซักที กูล่ะเหม็นหน้าไอ้ลูกชู้เต็มที” เสียงของเด็กอ้วนคู่ปรับของอริญชย์และสามปีให้หลังกลายเป็นคู่ปรับของภาสวินท์ไปด้วยเอ่ยมาให้ได้ยินเมื่อทั้งสองเดินออกมาพ้นเขตโรงเรียนในตอนเย็นแล้ว และเป็นอีกครั้งที่อริญชย์เลือกที่จะเดินหนี ปกติแล้วเด็กอ้วนกับพรรคพวกจะแค่หัวเราะด้วยเสียงหัวเราะที่กวนส้นเท้าสุดๆในความคิดของวินท์แล้วก็เลิกแล้วแยกย้ายไป แต่คราวนี้กลับแตกต่างตากที่ผ่านมาเด็กอ้วนกับเพื่อนเดินมาล้อมหน้าล้อมหลังตะโกนหยอกเย้าคำว่าลูกชู้ใส่อริญชย์ไม่หลุดหย่อน มือที่กำสายกระเป๋าเป้แน่นขึ้นเรื่อยๆ วินท์รู้ดีว่าอริญชย์กำลังสะกดกลั้นตัวเองอยู่ คำว่าลูกชู้เป็นเหมือนมีดล่องหนที่กรีดแทงเข้ามาในใจซ้ำๆตั้งแต่จำความได้ เขาอยากจะกรีดร้องออกไปว่าแม่ของเขาไม่ได้ประพฤติตัวน่ารังเกียจเช่นที่ใครๆพูดกัน แต่เพราะแม่เป็นคนไม่มีปากเสียงกับใครเลยและแม่เลือกที่จะสอนให้เขาอดทน

 

แม่บอกวันหนึ่งความอดทนจะแสดงผล

 

แต่สิ่งที่ได้คือใจของเด็กชายถูกกรีดซ้ำๆทุกวัน อริญชย์กัดฟันจนเส้นเลือดที่ขมับปูด

 

                “ไอ้ลูกชู้ ไอ้ลูกชู้ไอ้ลูกชู้”

 

พลั่ก!!!

 

                “หุบปากเน่าๆของแกไปเลยนะไอ้อ้วน!!!”

 

เสียงหมัดกระทบกับปากของเด็กอ้วนแรงต่อยที่ถูกส่งไปจนสุดแรงทำให้เด็กอ้วนถึงกับหงายหลังล้มก้นกระแทกพื้น เจ้าของหมัดยืนมองมือตัวเองด้วยความตกตะลึง กว่าอริญชย์จะหาสติเจอก็กินเวลาหลายวินาที เด็กอ้วนร้องแหกปากโอดโอยพลางกร่นด่าพยายามลุกขึ้นโดนมีสมุนคอยประคองเมื่อเด็กอ้วนทำท่าจะลุกได้อริญชย์ก็จับมือวินท์ที่ยืนมองหมัดของตัวเองด้วยดวงตาเบิกกว้างแล้วออกวิ่งทันที

 

ใครจะไปรู้ล่ะว่าระหว่างที่เขากำลังจะทนไม่ไหวนั้นวินท์จะปรี๊ดแตกก่อนเขาประเคนหมัดเทวดาไปเต็มเอกชัยซะเต็มแรง เด็กทั้งคู่วิ่งด้วยความเร็วสูงดมื่อหันหลังกลับไปก็ไม่เจอแก็งค์เด็กอ้วนแล้ว อริญชย์ก็วินท์หยุดหอบหายใจจนตัวโยน

 

                “เหนื่อยเหมือนปอดจะหลุดเลย”วินท์ใช้มือข้างที่ว่างกุมท้องตัวเอง ในขณะที่อริญชย์เองก็กุมท้องหัวเราะจนตัวงอ เขาไม่คิดว่าเพื่อนตัวเล็กจะเป็นเดือดเป็นร้อนถึงขั้นไปตะบันหน้าใครได้ ยิ่งมองหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดราวกับเชอรี่สุกแล้วก็ได้แต่ขำเอามือที่กุมท้องยีผมคนตรงหน้าจนยุ่งฟู

 

                “เก่งจังนะมึงอ่ะนึกยังไงไปต่อยหน้าไอ้เอกวะ?มันไม่ได้ด่ามึงซักหน่อยมันด่ากูนี่”

 

                “ก็เรารำคาญมันล้อนายนะเท่าที่เราเห็นก็สามปีแล้วนายทนได้ไงอ่ะ”ภาสวินท์ยู่ปากอย่างไม่ชอบใจ

 

มันไม่ยุติธรรมกับอริญชย์เลยซักนิดเมื่อคนหนึ่งเอาปมด้อยของเพื่อนมาล้อเล่นสนุกปากโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้เลยว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่จริง คำพูดร้ายถากถางที่ได้ยินทุกวันมันจะบั่นทอนจิตใจของคนฟังมากแค่ไหน ภาสวินท์ไม่อยากให้อริญชย์ต้องได้รับความอยุติธรรมแบบนั้น แม้จะต้องตั้งตนเป็นศาลเตี้ยแต่ก็คิดไว้แล้วว่าวันนี้เขาจะต้องปกป้องอริญชย์บ้าง

 

                “แล้วถ้ามันไปฟ้องครูจะทำยังไง?”อริญชย์เอ่ยถาม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มหยุดลงทันที สีหน้าของวินท์เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เผลอกำมือแน่นขึ้นจนรู้สึกได้ เด็กชายก้มมองมือตัวเองที่ถูกอริญชย์กอบกุมประสานกันอยู่ตั้งแต่ออกวิ่งแล้วส่งยิ้มสดใสกลับไปให้

 

                “ริญชย์ก็อยู่ข้างๆเราแบบตอนนี้สิ ถ้ามีริญชย์อยู่ด้วยต่อให้ครูตีเราก็ไม่กลัว”เด็กชายว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

                “อือ กูจะอยู่กับมึงเอง”

 

                “สัญญานะ”ยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าคนที่กุมมืออยู่ด้วยด้วยมือที่เหลือ

 

                “เออๆ สัญญา”เด็กชายว่าอย่างบอกปัดให้มันผ่านๆไป

 

                “เกี่ยวก้อยด้วยดิ่”คนที่ยื่นข้อเสนอร้องท้วงเมื่ออริญชย์ปัดมือเขาออก

 

                “เรื่องมากชิบหายเลยมึงเนี่ย”เด็กชายบ่นอุบแต่ก็มิวายจะยกมือขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับคนขี้ตื้อ ภาสวินท์ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ

 

อริญชย์ก็เป็นอย่างนี้ล่ะน๊า ต่อให้ปากจะด่ายังไงแต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอกเสมอ

 

อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไปจัง...

 

 

 

 

                “ไอ้อริญชย์กูถามจริงๆเหอะ มึงกับไอ้วินท์เป็นแฟนกันป่าววะ”แมนเพื่อนที่โตสุดในกลุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นวินท์มานั่งอ่านหนังสือรออริญชย์เล่นบาส ตอนนี้พวกเขาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว แน่นอนว่าทั้งหมดดั้นด้นมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกันทำให้มีเวลาเจอกันมากขึ้น อริญชย์เหลือบมองวินท์ก่อนหันไปผลักหัวเพื่อน

 

                “แฟนบ้านพ่อมึงสิ มึงก็เห็นว่าพวกกูเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.4 ไงไอ้สัด”บอกปัดไปทั้งๆที่สายตาไม่ได้ละไปจากคนตัวเล็กเลยจนวินท์รู้สึกได้ว่าโดนจ้อง คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนแล้วส่งยิ้มมาให้

 

                “ระวังเหอะมึงปากหนักมากๆหมาจะคาบไปกินกูเห็นไอ้เบน ม.5 จ้องวินท์ตาเป็นมัน”เป็นจินที่เข้ามาสุมไฟให้อริญชย์รู้สึกอารมณ์เสีย

 

ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเบนมาเกาะแกะวินท์ ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่นอกจากเวลาเรียนแล้วเขากับวินท์แทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลยด้วยซ้ำ เวลาว่างหรือพักกลางวันรวมทั้งตอนกลับบ้านยังไงเขาก็ต้องไปรับวินท์ที่ห้อง 1 อยู่แล้ว

 

แน่นอนเขาไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน สมองอย่างอริญชย์ไม่ได้ดีเหมือนวินท์ที่ตั้งเป้าไว้ว่าตัวเองจะเรียนหมอ ส่วนอริญชย์นั้นก็มีเป้าในใจเหมือนกัน ยังไงเสียถึงพ่อจะ”ไม่ค่อยรัก”เขาซักเท่าไรนัก แต่อู่ซ่อมรถที่ตอนนี้พ่อขยายมันใหญ่กว่าเดิมยังไงซะก็คงต้องเป็นเขาที่ดูแล ลำพังจะให้ไลลาพี่สาวมาซ่อมรถพี่คงไม่ยอมแน่ๆ

 

                “มึงสองคนตัวติดกันยังกะปาท่องโก๋ไม่คิดอะไรจริงดิ่”อ้นเอ่ยแซวระหว่างเดินมาแย่งน้ำจากในมือจินไปดื่ม

 

                “ไอ้เหี้ยพวกนี้นี่มึงมาปั่นอะไรเนี่ยก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นเพื่อน นอกจากกูมันก็ไม่คบใครเลิกพูดไปเลยนะ”ว่าอย่างหงุดหงิดใบหูแดงก่ำก่อนจะเดินออกนอกสนามไปหาวินท์ทันที

 

                “ปากบอกไม่คิดอะไรแต่พวกแม่งหางกระดิกไปหาเขาทันทีเลยสัด”แมนเอ่ยออกมาอย่างติดตลก

 

                “วินท์ไปยัง”อริญชย์รับผ้าขนหนูผืนเล็กที่วินท์ยื่นมาให้ วินท์พลิกข้อมือดูนาฬิกาใกล้ 5 โมงเย็นแล้วคนตัวเล็กกว่าพยักหน้ารับก่อนจะรวบรวมข้าวของลงกระเป๋าเป้

 

                “งั้นรอกูแป๊บขอไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”คนตัวสูงส่งผ้าขนหนูผืนเล็กคืนให้วินท์ก่อนจะแยกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เมื่อกลับมาตรงที่ๆวินท์นั่งกลับไม่ได้มีแต่เจ้าตัวแล้ว เบนที่ถูกพูดถึงในวงสนทนาเมื่อครู่กลับมานั่งหัวเราะอยู่ข้างๆคนของเขา

 

มันน่าหงุดหงิด

 

อริญชย์ไม่รู้ตัวหรอกว่าเป็นคนเดินเร็วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ตัวเขาก็ฉวยมือนุ่มของวินท์แล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นยืนข้างเขาเสียแล้ว แน่นอนเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตากัปตันเรือทั้งสาม  เบนมองอริญชย์ที่หน้าตาบึ้งตึงขั้นสุดก่อนจะส่งยิ้มจนตาเป็นขีดพร้อมทักทายด้วยสีหน้าเป็นมิตร

 

แต่สำหรับอริญชย์แล้วสีหน้าที่เบนส่งมาให้ตอนนี้กวนส้นตีนที่สุดในสามโลก

 

เกลียดหน้าแม่ง

 

ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบอะไรเบนแต่วันนี้กลับไม่ถูกชะตาอย่างแรงซะงั้น

 

                “กำลังจะพาวินท์ไปเรียนพิเศษเหรอ”

 

                “แล้วพี่มายุ่งอะไรด้วยล่ะ”ตอบกลับอย่างหัวเสียจนวินท์ทำตาโตอย่างตกใจ

 

                “อริญชย์!!”เรียกชื่อปรามคนข้างตัวที่ทำหน้าเหมือนกินรังแตนมาแต่อริญชย์ไม่ได้สนใจคว้ากระเป๋าของวินท์มาสะพายไว้ซะเองแล้วกึ่งจูงกึ่งลากคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามมาโดยไม่ร่ำลารุ่นพี่ที่ยืนหน้าหดเหลือสองนิ้วเลยจนวินท์ต้องหันไปโบกมือบ๊ายบายอย่างเกรงใจ

 

                “เป็นไรเนี่ยก่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้ายังดีๆอยู่เลย”

 

                “ไม่รู้อยู่ๆก็ไม่ชอบขี้หน้ามัน” บอกปัดด้วยน้ำเสียงห้วน

 

                “เออ แปลกคน”บ่นว่าพลางส่งค้อนไปให้ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางตามหลังคนสูงกว่าไป

 

                “มึงนั่ง”อริญชย์พยักหน้าให้วินท์นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างเพียงตัวเดียวของรถโชคดีที่เขารีบขึ้นมาก่อนเลยยังพอได้ที่นั่ง บรรดานักเรียกและคนวัยทำงานทยอยขึ้นมาจนเต็มคันต่างเบียดเสียดกันจนแทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ๆวินท์ก็ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งกำลังมองหาที่นั่ง

 

                “พี่ครับตรงนี้ว่างครับ”วินท์ผายมือไปยังที่นั่งที่ตนเพิ่งหย่อนก้นลงไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที หญิงท้องแก่เอ่ยของคุณก่อนจะนั่งลงแทนที่

 

                “พ่อคนดี แล้วก็ต้องมายืนโหนรถ”คนตัวสูงค่อนแคะเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน รถเริ่มเคลื่อนตัวและแวะรับผู้โดยสารตามป้ายต่างๆ คนเริ่มเบียดเสียดกันมากขึ้น ชายร่างสูงคนหนึ่งพยายามเบียดวินท์จนเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด แผ่นหลังและก้นถูกเสียดสีบ่อยครั้งอย่างไม่จำเป็นร่างบางขยับเข้าหาอริญชย์มากขึ้น โดยไม่รู้ตัว บางสิ่งบางอย่างเสียดสีกับก้นของเขาจนรู้สึกได้

 

                “มึงมายืนนี่”อริญชย์ดันให้วินท์มายืนด้านหน้าตนติดกับเบาะนั่งและตนเองใช้แขนทั้งสองข้างกักร่างของวินท์ไว้อีกที  คนหน้าดุหันไปหาผู้ชายคนนั้นก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังพอสมควร

 

                “ถ้ามึงอยากจะจิ้มตูดนักก็มาจิ้มตูดกูนี่ไอ้สัด โรคจิตมากมั๊ยมึงอ่ะ” ด้วยส่วนสูงที่สูงเกินร้อยแปดสิบกับสีหน้าเอาเรื่องทำให้ชายคนนั้นเอ่ยเถียงนิดหน่อยแล้วก็รีบลงจากรถในป้ายถัดไป

 

                “พูดเสียงดังทำไมอ่ะอายเค้า”วินท์กระซิบกับอริญชย์ที่ตอนนี้กางแขนกักตัวปกป้องเขาเต็ม 100%

 

                “ชอบหรือไงให้คนมาสีแบบนั้นอ่ะ”น้ำเสียงหงุดหงิดถูกส่งมาให้อีกครั้ง

 

                “บ้าดิ่ใครจะไปชอบแต่พูดแบบนั้นคนอื่นเขามองมันน่าอาย”

 

                “อายทำไมคนที่อายคือไอ้เหี้ยนั่นไม่ใช่มึง  นอกจากกูมึงห้ามให้ใครใกล้ชิดแบบนี้นะกูไม่ชอบ”เอ่ยเสียงตึงชิดใบหูของอีกคน ภาสวินท์รู้สึกโชคดีที่ตัวเองยืนอยู่ข้างหน้าแล้วหันหลังให้อริญชย์

 

คำพูดคล้ายคนหวงของเมื่อครู่ทำให้หน้าของเด็กน้อยร้อนเห่อ ใจที่เคยเต้นเป็นปกติดีกลับทวีความรุนแรงจนรู้สึกได้

 

                “มึงไม่สบายเหรอ”เสียงจากคนที่แผ่นอกชิดติดหลังถามขึ้น วินท์รีบปฎิเสธด้วยความงงงวย

 

                “เปล่านี่ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อยอริญชย์ถามทำไม?”

 

                “ก็เนี่ย หัวใจมึงเต้นแรงมากกูนึกว่ามึงไม่สบาย”ว่าพลางเลื่อนมือมาจับอกด้านซ้ายของวินท์ แล้วอริญชย์ก้พบว่าหัวใจของวินท์เต้นแรงกว่าตอนที่อกเขาสัมผัสกับแผ่นหลังซะอีก

 

กว่ารถประจำทางจะมาถึงห้างสรรพสินค้าที่ตั้งของสถาบันกวดวิชาภาสวินท์ก็แทบจะเป็นลมตาย ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องเขินอายกับการกระทำของอริญชย์ในวันนี้ ร่างบางถูกคนตัวสูงจับมือแล้วพาลากลงจากรถได้ทันก่อนรถจะออกอีกรอบ

 

                “มึงหิวมั๊ย?”

 

                “อือ ก็หิว”

 

                “งั้น...”ยกมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา

 

                “ไปหาอะไรกินก่อนเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่ามึงจะเรียนเดี๋ยวมึงหิว”อริญชย์ว่าก่อนจะกวาดสายตามองหาร้านที่อยากกิน

 

                “นมกล่องเดียวก็พอเดี๋ยวริญชย์ต้องกลับไปช่วยพ่อที่ร้านนี่” วินท์เอ่ยท้วงอย่างเกรงใจ อริญชย์จิ๊ปากจนเกิดเสียง

 

                “มึงกินเก่งนมกล่องเดียวจะไปอยู่ท้องอะไร ไปช่วยพ่อช้าเร็วยังไงเขาก็ด่ากูอยู่ดี พามึงไปกินข้าวให้อิ่มท้องก่อนดีกว่าเดี๋ยวกระเพาะกำเริบกูขี้เกียจแบกไปห้องพยาบาลอีก”ว่าจบคนที่ตัดสินใจเองทั้งหมดก็ลากวินท์เข้าร้านขายไก่ทอดชื่อดังแบบไม่ถามเลยซักคำว่าคนตัวเล็กอยากกินมั้ย

 

จริงๆแทบไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำว่าวินท์ชอบหรือไม่ชอบกินอะไรเพราะอริญชย์จำได้ขึ้นใจดี วินท์กินง่ายอยู่ง่ายกินได้ทุกอย่างที่ไม่เผ็ด

 

                “ตั้งใจเรียนนะมึงเดี๋ยวสองทุ่มครึ่งกูมารับอย่าไปเดินเถลไถลที่ไหนนะถ้ากูมาแล้วหามึงไม่เจอแบบวันนั้นกูจะตีให้ตูดลายเลย”อริญชย์ส่งกระเป๋าเป้ให้วินท์ร่างบางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีก

 

                “รู้แล้วน่า บ่นเป็นพ่อไปได้ พ่อยังไม่บ่นเท่านายเลย”คนโดนบ่นยู่ปากอย่างขัดใจ วันนี้อริญชย์ดุเขามากกว่าทุกวันเพื่อนตัวสูงที่ทำหน้าที่รับส่งเขามาได้ 2 ปีแล้วผลักหัวเขาเบาๆก่อนที่วินท์จะพยักหน้าให้อริญชย์กลับบ้านไปก่อนแล้วตัวเองก็เข้าไปคลาสเรียนพิเศษ

 

กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

 

กลายเป็นเงาของกันและกันโดยไม่รู้ตัว

 

กลายเป็นความผูกพันที่มีคำว่าเพื่อนสนิทเชื่อมต่อ

 

กลายเป็นความเคยชินของคนทั้งคู่ เมื่อหันมาหายังไงก็ต้องเจอ

 

.............................................

 

เพราะมันเป็นการย้อนเวลาให้อ่านนะคะมันจะเดินเรื่องไวนิดหนึ่ง

 

อยากให้ค่อยๆเรียนรู้ความสัมพันธ์ของคู่นี้เมื่อทั้งคู่เข้าสู่ช่วง ม.ปลาย

แต่ความรู้สึกบางอย่างคนมันยังเด็กมันยังไม่รู้ใจตัวเองหรอกเนอะว่าอาการหวงเพื่อนนั่นอ่ะเค้าเรียกหวงหรืออหึง

 

 

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: อนธการ ตอนที่ 3 19/11/2561
«ตอบ #3 เมื่อ19-11-2018 19:34:41 »









อนธการ

ตอนที่ 3

 

อริญชย์เดินเข้ามาในอู่บรรดาลูกน้องของพ่อกำลังเร่งงานที่ลูกค้าเอามาทิ้งไว้ให้ เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายลูกน้องของพ่ออย่างคุ้นเคย เมื่อเข้าไปด้านในดนัยหัวหน้าช่างที่ทำงานกับพ่อมานานก็พยักหน้าพลางกวักมือเรียกเขาก่อนจะมอบหมายงานให้เด็กหนุ่มทำ

 

                “มึงรีบทำเลยกูเห็นพ่อมึงฮึ่มๆมาตั้งแต่เย็นแล้วว่ามึงเถลไถลรีบทำซะก่อนเขาจะลงมา”อริญชย์ถอดเสื้อนักเรียนออกแขวนไว้กับเก้าอี้แถวนั้นก่อนจะเริ่มลงมือช่วยดนัยทำงานอย่างกุลีกุจอ

 

ใครๆต่างก็รู้กิตติศัพท์พ่อของอริญชย์ดีว่าโมโหร้ายขนาดไหน ทุกคนในที่นี้เคยเห็นอริญชย์โดนพ่อตีมาหมดทุกคนแล้ว

 

อริญชย์ตั้งอกตั้งใจทำงานที่ดนัยมอบหมายให้ไม่นานพ่อก็ลงมาจากชั้นบน ชายวัยกลางคนมองลูกชายด้วยสายตาเรียบตึง

 

                “มึงไปไหนมาทำไมมาช้า”เอ่ยทักด้วยคำพูดห้วนติดจะตะคอกอริญชย์ปรายตามองพ่อเล็กน้อยตอบเสียงเรียบกลับไปเช่นกัน

 

                “ซ้อมบาส”

 

                “มึงซ้อมเสร็จตั้งแต่ห้าโมงแล้วอย่าคิดว่ากูไม่รู้”

 

                “ไปส่งวินท์เรียนพิเศษด้วย”ตอบพลางทำงานพลางไม่ได้จ้องตาผู้เป็นพ่อ อนิรุทธิ์รู้สึกหมั่นไส้กับกริยานั้นของอริญชย์เหลือเกิน

 

มันจะต้องทำให้เขาอารมณ์เสียได้ทุกวันเลยใช่มั้ย

 

                “จองหองกับกูให้มากๆนะซักวันจะไม่มีบ้านไว้คุ้มกะลาหัว” เสียงพ่อพร่ำบ่นพ่นคำด่าลอยกระทบมาให้ได้ยินตลอดระยะการทำงานกลายเป็นความชินชาของทุกคนในอู่ อริญชย์เงียบไม่ตอบโต้อะไรแต่ภายใต้สีหน้าเย็นชาเรียบขรึมนั้นซ่อนหัวใจที่ต่อต้านผู้เป็นพ่อขึ้นเรื่อยๆคล้ายดั่งตะกอนจากน้ำที่หนาขึ้นทุกวันๆ

 

อริญชย์โตพอที่จะคิดเองได้ว่าความรักของเขาต่อให้แสดงออกมากเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถเจาะเข้าไปในใจที่เต็มไปด้วยอคติของพ่อได้ คนที่ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้สนใจฟังเสียงพ่อบ่นกลับเก็บเกี่ยวประโยคที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นขังไว้ในหัวใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

จากคำว่ารักพ่อในตอนเด็กๆหากถามอริญชย์ตอนนี้ว่ารักพ่อมั้ย เขาอาจจะตอบคำถามเดิมๆนั้นได้ไม่เต็มปาก

 

และบางทีคำตอบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

 

 

                อริญชย์ขับมอเตอร์ไซค์ที่ยืมดนัยกลับมายังห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง ใจของเด็กหนุ่มเริ่มร้อนรน เขากลัวภาสวินท์ต้องรอนานทั้งๆที่นัดไว้แล้วว่าจะมารับตอนสองทุ่มครึ่งแต่งานของพ่อไม่เสร็จตามที่คิดเลยต้องทำให้เสร็จ เขาพยายามโทรหาภาสวินท์แต่อีกฝ่ายกลับปิดเครื่อง

 

ยอมรับกับตัวเองเลยว่าตอนนี้เขาทั้งหงุดหงิดทั้งเป็นห่วง ตอนแรกแจซอกจะออกมารับลูกด้วยตัวเองด้วยซ้ำแต่อริญชย์ยืนยันหนักแน่นว่าเขาจะมารับเพื่อนตัวเล็กเอง อริญชย์กวาดสายตามองหาภาสวินท์ทันทีที่จอดรถ บริเวณหน้าห้างผู้คนคราคร่ำเนื่องจากห้างใกล้ปิดแล้ว ตรงเก้าอี้ที่ภาสวินท์ใช้นั่งรอเขาประจำบัดนี้ว่างเปล่า

 

ภาสวินท์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นตามที่เขาบอก อริญชย์รีบขับรถไปจอดตรงจุดจอดรถก่อนจะวิ่งเข้าไปตามหาภาสวินท์หน้าสถาบันกวดวิชา พยายามมองเข้าไปก็ไม่พบคนที่ตามหา กดโทรหาภาสวินท์อีกครั้งแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับใดใดนอกจากเสียงที่บอกให้ฝากข้อความ

 

อริญชย์กำลังหัวเสียขั้นสุด เด็กหนุ่มเดินตามหาภาสวินท์ตามร้านอาหารเผื่อว่าคนตัวเล็กอาจจะรอเขานานจนหิวแต่ก็ไม่พบวิ่งขึ้นวิ่งลงมันทุกชั้นก็ยังไม่เจอ เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินไปดูหน้าห้างอีกครั้ง

 

ภาสวินท์นั่งอยู่ตรงนั้น...กับไอ้พี่เบน!!!

 

จากความเป็นห่วงกลายเป็นความโกรธ อริญชย์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ตัวเองน่ะหน้าดำหน้าแดงขนาดไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก้าวมายืนตรงหน้าภาสวินท์แล้วกระชากแขนเพื่อนตัวเล็กให้ลุกขึ้นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่

 

                “ไปไหนมา!! กูตามหามึงจนทั่วก็หาไม่เจอทำไมมึงมานั่งอยู่กับมัน”เสียงตะคอกดังลั่นทำเอาภาสวินท์ที่ยิ้มดีใจในตอนแรกที่เห็นอริญชย์ต้องสะดุ้งเฮือกคนตัวเล็กกว่ามองหน้าอริญชย์ที่จ้องเบนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดด้วยความตกใจ

 

                “เราไปเข้าห้องน้ำมา”ภาสวินท์ตอบเสียงเบา เขาเลิกเรียนเป็นชั่วโมงแล้วและออกมานั่งรออริญชย์ตรงที่ประจำ แต่รอจนแล้วจนรอดอริญชย์ก็ยังไม่มา

 

ภาสวินท์รู้ดีว่าอริญชย์ไม่เคยผิดนัดผิดเวลา ถ้าวันไหนมาช้าแปลว่างานที่อู่ติดพัน

 

ภาสวินท์เลือกที่จะไว้ใจอริญชย์โดยไม่มีข้อสงสัยใดใดทั้งสิ้นแต่สิ่งที่อริญชย์ทำในตอนนี้คือความไม่เชื่อใจและไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

 

                “แล้วมึงมาทำอะไรตรงนี้”คนตัวสูงไม่สนใจฟังคำตอบของภาสวินท์กลับหันหน้าไปหารุ่นพี่ด้วยท่าทางเอาเรื่อง เบนมองรุ่นน้องด้วยสายตางงๆ

 

                “อริญชย์ นั่นรุ่นพี่นะ พี่เบนผมขอโทษแทนอริญชย์ด้วยนะครับ”ภาสวินท์เอ็ดอริญชย์ด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนักสายตาคอยหลบคนที่เริ่มหันมามองด้วยความกระดากอายมือเล็กดึงชายเสื้ออริญชย์ไว้แน่น

 

                “พี่แวะมาเอาของให้แม่เจอวินท์นั่งอยู่คนเดียวเลยมานั่งเป็นเพื่อน เรามาก็ดีแล้วงั้นพี่กลับก่อนนะ ไปนะวินท์”เบนโบกมือลาภาสวินท์ก่อนจะผละไปแบบงงๆ

 

                “ปล่อย”แรงบิดข้อมือที่อริญชย์จับอยู่เป็นสัญญาณว่าตอนนี้ฝ่ายที่โมโหไม่ใช่อริญชย์อีกต่อไป ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วถอนออกมาเฮือกใหญ่มองคนข้างๆก็พบว่าภาสวินท์หันหน้าหนีเขาไปอีกทางพลางพยายามบิดข้อมือออกการการจับกุมของเขา

 

                “กลับบ้าน”ร่างสูงนอกจากไม่ทำตามแล้วยังจับแน่นกว่าเดิมดึงกระเป๋าเป้ของอีกคนจะเอามาสะพายเองแบบที่เคยทำทุกวันแต่อีกคนกลับรั้งไว้

 

                "ไม่ต้องมายุ่ง จะกลับเอง”สะบัดมือออกจากการจับกุมแล้วก้าวยาวๆทิ้งมาแต่ไม่ถึงนาทีก็โดนจับกลับไปอีกรอบ คราวนี้อริญชย์จับแขนทั้งสองข้างของภาสวินท์ไว้ให้หันหน้ามาหาตน เป็นอีกครั้งที่ภาสวินท์หันหน้าหนีเขา

 

                “อย่าดื้อได้มั๊ยวะ”

 

                “เราไม่ได้ดื้อ ริญชย์นั่นแหล่ะไม่มีเหตุผล ตัวเองมาช้าเองแท้ๆ ขอโทษซักคำก็ไม่มีแล้วยังมาดุเรา แถมยังไม่เสียมารยาทใส่พี่เบนอีก โทรศัพท์เราแบตหมดจะโทรหาก็ไม่ได้จะให้เราทำยังไงล่ะ”ภาสวินท์หันมาต่อว่าอริญชย์ด้วยน้ำเสียงเรียบตึงอริญชย์รู้ดีว่าอาการนี้คืออาการโกรธ  เขายอมรับว่าเขาใจร้อน เพราะเขาห่วงภาสวินท์จริงๆ ยังจำได้ดีที่ภาสวินท์กลับบ้านเองโดยไม่รอเขาคนๆนี้นั่งรถหลงไปยั้นไหนต่อไหนโทรมาร้องไห้กับเขาตอนเกือบห้าทุ่มจนเขาต้องออกไปตามหากับพ่อของภาสวินท์  จากวันนั้นมาเขาไม่เคยปล่อยให้ภาสวินท์ไปไหนคนเดียวเลยซักครั้ง แค่หายไปครั้งนั้นครั้งเดียวเขาก็เหมือนจะตายอยู่แล้ว

 

ครั้งนี้เขาก็คิดว่าคนตรงหน้าอาจจะรอไม่ไหวกลับไปก่อน  ถ้าประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเขาจะทำยังไง

 

ถ้าภาสวินท์หายไปเขาจะทำยังไง

 

                “ขอโทษ...ยกโทษให้ได้มั้ยล่ะ”คำขอโทษถูกส่งไปให้ด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

               

                “ขอโทษที่มาช้า  ขอโทษที่ตะคอกใส่  ขอโทษที่ทำให้เจ็บ  ขอโทษที่ทำให้รอ  ยกโทษให้ได้มั้ย ที่ทำไปเพราะเป็นห่วงไง ไม่ได้ตั้งใจ หายโกรธริญชย์นะ”สรรพนามแทนตัวเองยามใช้ออดอ้อนงอนง้อคนตรงหน้าถูกงัดมาใช้ ภาสวินท์ใจอ่อนยวบขึ้นมาแทบจะทันที อันที่จริงเขาหายโกรธคนตัวสูงขี้โมโหตั้งแต่ออกปากเอ่ยคำขอโทษตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งพออริญชย์แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นความโกรธเมื่อครู่ก็มลายหายไปคล้ายหมอกในยามสาย

 

                “อย่าเป็นแบบนี้อีกได้มั๊ย มีอะไรถามกันก่อน  พูดกันดีๆริญชย์เป็นแบบเมื่อกี๊ไม่ดีเลย เรากลัว”ภาสวินท์เอ่ยคำขอกับคนสูงกว่า อริญชย์ระบายลมหายจออกทางปากก่อนจะพยักหน้า

 

                “ไม่รับปากได้มั้ย แต่จะพยายาม”เด็กหนุ่มไม่ชอบคำสัญญา  เพราะหากเขาทำตามที่พูดไม่ได้ เขาจะกลายเป็นคนปลิ้นปล้อน ภาสวินท์เองก็อาจจะเสียใจและเสียความรู้สึกเด็กหนุ่มฉวยกระเป๋าเป้ของภาสวินท์อีกครั้ง

 

                “ไป  กลับบ้านกันเถอะ” เด็กหนุ่มจูงมือเพื่อนข้างบ้านให้เดินตามตนเองมา คราวนี้ภาสวินท์ไม่ขัดขืนหรือดื้อดึงแบบครั้งแรกอีก

 

สำหรับอริญชย์และภาสวินท์นั่นถ้าหากจะให้เปรียบ อริญชย์นั้นเป็นดั่งไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า  ส่วนภาสวินท์นั้นเปรียบดังน้ำยามอริญชย์ร้อนภาสวินท์ก็จะเป็นฝ่ายทำให้เย็นลงด้วยคำพูดและการกระทำที่ดี  คนหนึ่งไม่ฟังเหตุผลเอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้งแล้วถ้าอีกคนก็ไม่ฟังเช่นกันความสัมพันธ์จะมีแต่พังกับพัง

 

ภาสวินท์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่ดีของเขากับอริญชย์ต้องพังลงเพียงเพราะต่างคนต่างแรงใส่กัน

 

สำหรับอริญชย์น่ะ

 

ภาสวินท์ไม่ดื้อหรอก แค่ไม่เชื่อฟัง

 

แต่ถ้าพูดด้วยดีๆภาสวินท์จะน่ารักมาก

 

 

 

 

 

                อริญชย์จอดรถหน้าร้านขายอาหารข้างถนนเขาตัดสินใจพาภาสวินท์แวะกินข้าวก่อนเพราะคนตัวเล็กกว่าบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อก่อนที่จะเข้าเรียนพิเศษ  บะหมี่ร้อนๆหอมฉุยถูกนำมาเสิร์ฟอริญชย์ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมเมื่อเห็นว่าในชามของภาสวินท์ที่เขาสั่งอย่างดิบดีว่าไม่ใส่ผักกลับมีผักหั่นฝอยลอยฟ่องอยู่ในนั้น ร่างสูงใช้ช้อนควานผักในชามของภาสวินท์ออกมาไว้ในชามของตัวเองก่อนจะคีบหมูและลูกชิ้นใส่ไปในชามคนตัวเล็กแทน

 

อริญชย์รู้ดีว่าภาสวินท์น่ะเกลียดกลิ่นต้นหอมมากที่สุด

 

                “เก็บหมูไว้กินมั่งเถอะ ตัวเองก็ชอบกินไม่ใช่เหรอไง”ภาสวินท์ใช้มือตัวเองปิดชามไว้เมื่ออริญชย์ทำท่าจะคีบหมูของตัวเองยกให้คนตัวเล็กจนหมด

 

                “เดี๋ยวก็ไม่อิ่มหรอก”บนอุบก่อนจะใช้ตะเกียบคลี่เส้นในชามตัวเอง

 

                “เห็นมึงกินได้กูก็อิ่มแล้ว”คนที่มีนิสัยห่ามๆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากแต่ว่าคำพูดเล็กๆน้อยๆนั้นกลับเหมือนผ้าห่มขนสัตว์ที่หนานุ่มกำลังโอบล้อมหัวใจของภาสวินท์อยู่ คนตัวเล็กกว่ามอบยิ้มสดใสไปให้จนอริญชย์อดยิ้มตามไม่ได้ ต่างคนต่างก้มหน้าจัดการกับบะหมี่ตรงหน้าของตนไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมและไหลผ่านไปอย่างช้าๆแต่ทว่าไม่ได้มีความรู้สึกอึดอัดอะไร

 

ภาสวินท์อมยิ้มจนแก้มตุ่ยส่วนอริญชย์ก็รู้สึกขัดเขินกับคำพูดของตัวเองจนอยากจะเอาหัวมุดชามก๋วยเตี๋ยวให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขามองเพื่อนตรงหน้าเปลี่ยนไป จากความห่วงใยกลายกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นความหวงแหน กว่าจะรู้ตัวเขาก็ยึดภาสวินท์ไว้ข้างตัวเสียแล้ว

 

อริญชย์ชอบความมีน้ำใจของภาสวินท์

 

อริญชย์ชอบเสียงทุ้มๆยามร้องเพลงคลอตอนอ่านหนังสือเรียน

 

อริญชย์ชอบนิ้วเรียวสวยของภาสวินท์ยามที่เจ้าตัวพรมมันลงไปบนเปียโน

 

อริญชย์ชอบดวงตากลมโตของภาสวินท์เวลาที่จับจ้องมาที่เขา

 

กว่าจะรู้ตัวอริญชย์ก็ชอบทุกสิ่งทุกอย่างของภาสวินท์ไปแล้ว

 

หืม...อะไรนะ?

 

นี่เขาชอบเพื่อนตัวเองเหรอ เด็กหนุ่มสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อความคิดล่องลอยไปจนถึงประโยคสุดท้าย  หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก  พวกเขายังเด็กเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องรักๆใคร่ๆด้วยซ้ำ นึกกร่นโทษเจ้าเพื่อนตัวแสบสามตัวที่ชอบมาพูดปั่นหัว  ความรู้สึกที่มีต่อภาสวินท์ตอนนี้อาจเป็นเพราะฟังคำของแมน จินและอ้นมากเกินไป

 

เพื่อนกันก็ต้องดูแลกันอย่างนี้นั่นแหล่ะ  เป็นเรื่องปกติ

 

หากเพื่อนตัวแสบทั้งสามคนมานั่งอยู่ในใจของเขาตอนนี้พวกมันคงโห่ฮาบริภาษเขาให้ได้หงุดหงิดด้วยคำว่าหลอกตัวเองให้เขารำคาญใจเล่นอย่างแน่นอน

 

สี่ทุ่มกว่ารถมอเตอร์ไซค์ที่อริญชย์เป็นคนขับก็มาจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านของภาสวินท์เด็กหนุ่มเอ่ยขอบใจเพื่อนข้างบ้านแล้วนัดแนะกันเพื่อจะไปโรงเรียนพร้อมกันในวันพรุ่งนี้

 

เหมือนเข่นทุกวัน  เป็นกิจวัตรที่ทำมาตลอด 6 ปี อริญชย์พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะขยับรถกลับมาหน้าบ้านของตัวเอง  ดนัยนั่งอยู่หน้าอู่ได้ซักพักแล้วข้างกายคนแก่กว่ามีเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอริญชย์นั่งอยู่ด้วยดิวแฟนเด็กของดนัย นายช่างหนุ่มถอดเสื้อชอปของตัวเองพาดไว้ที่บ่ามีดิวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ ควันสีขาวลอยเอื่อยในอากาศยามที่ชายหนุ่มอัดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นออกมาทางปากและจมูก

 

                “โทษที รอนานมั้ยพี่”อริญชย์ยื่นกุญแจรถคืนให้ดนัย ชายสูงวัยกว่าส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

 

                “เพิ่งปิดอู่ซัก 10 นาทีก่อน ว่าแต่มึงไปไหนมาวะทำไมนาน”

 

                “ตอนแรกหาไอ้ดื้อมันไม่เจอน่ะ เลยต้องเข้าไปหาในห้าง พอเจอเลยพาแวะกินข้าวก่อนกลับ แล้วนีวีมานานยัง”เอ่ยทักแฟนของดนัย เด็กหนุ่มร่างกายผอมบางเงยหน้าจากโทรศัพท์ก่อนส่ายหน้า

 

                “เพิ่งมาก่อนเฮียปิดอู่ได้ซัก 10 นาที มาทันเห็นพ่อนายบ่นพอดี”

 

                “เรื่องปกติ” อริญชย์ว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ดิวมาหาดนัยที่อู่บ่อยแน่นอนว่าต้องเห็นเขาโดนพ่อด่าหรือลงไม้ลงมืออยู่แล้ว

 

                “ทำไมเขาถึงดุแกแท้วะกับพี่สาวแกไม่เห็นเถ้าแก่จะด่าว่าอะไร”เป็นดิวที่เอ่ยคำถามแสลงใจออกมา

 

                “ไม่ใช่เรื่องของเราป่าววะดิว”ดนัยเอ็ดคนตัวเล็กจนดิวย่นหน้า

 

                “ซักมวนมั๊ยวะ”บุหรี่มวนสีขาวรสมิ้นท์ที่ดนัยสูบถูกส่งมาให้ อริญชย์ปฏิเสธในทันที

 

                “ไม่เอาพี่ผมสูบไม่เป็น”

 

                “ก็ลองสิวะ เวลาเครียดๆสูบแล้วสมองก็โล่งดี”อริญชย์มองบุหรี่ในมือที่ดนัยยื่นกลับมาอีกครั้งอย่างชั่งใจ ในที่สุดความอยากรู้อยากลองก็มีอำนาจมากกว่า มือเรียวยื่นไปรับมาคาบไว้ในปาก ดนัยจุดไลท์เตอร์จนเปลวไฟสว่างวาบพลางสอนวิธีสูบให้อริญชย์

 

                “เป็นผู้ชายเหล้ายามึงต้องหัดไว้บ้างไปไหนจะได้ไม่โดนใครเขามอมเขาหลอก”ทันทีที่ควันสีขาวถูกอัดเข้าไปในปอด เสียงไอโขลกก็ดังขึ้นทันที อริญชย์ไอจนตัวโยนแสบทั้งคอทั้งจมูกไปหมด ดนัยสอนวิธีการสูบให้ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ดิวเองก็ขำลั่นกับอากัปกริยาตลกๆนั้นของอริญชย์ กว่าบุหรี่จะหมดมวนก็เล่นเอาเขาสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลไปซะหลายครั้ง เด็กหนุ่มนั่งคุยกับดนัยอย่างออกรสทั้งเรื่องทีมฟุตบอลที่เพิ่งแข่งขันกันไปเมื่อวานเรื่องราวจิปาถะต่างๆกว่าดนัยกับดิวจะแยกตัวกลับไปในมือของอริญชย์ก็คีบบุหรี่มวนที่ 2 ไว้ซะแล้ว โดยๆไม่รู้ตัวรสชาติของควันสีเทาก็ไม่ได้แสบร้อนจนสำลักอีกต่อไป อริญชย์นั่งสูบซึมซับรสมิ้นท์จนหมดมวนก่อนปาก้นบุหรี่ลงพื้นเขามองควันที่ยังคงลอยเอื่อยในอากาศมุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

 

เขาชักชอบรสชาติของมันซะแล้วสิ

 

อริญชย์ใช้เท้าเหยียบประกายไฟตรงปลายมวนกับพื้นจนดับสนิทแล้วเดินกลับเข้าบ้านไป

 

               

                “กูแม่งไม่ชอบขี้หน้าไอ้เบนเลยว่ะ”ร่างสูงที่พิงกำแพงห้องน้ำปล่อยควันให้ลอยเอื่อยออกจากปาก อ้นที่นั่งบนขอบอ่างล้างมือมองบุหรี่ในมือก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

                “พี่เขาไปทำอะไรให้มึงวะมึงถึงไม่ชอบขี้หน้าเขาก่อนหน้านั้นกูไม่เห็นว่ามึงจะอะไรกับเขาเลย”

 

                “มึงกำลังหึงเขาอยู่”จินปาก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบเอ่ยต่อราวกับลูกคู่

 

                “ชอบเขาก็บอกว่าชอบสิวะฟอร์มอยู่ได้”แมนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆอัดควันเข้าไปเต็มปอด

 

                “กูไม่ได้ชอบ”อริญชย์หันไปตอบเสียงดังเรียกเสียงหัวเราะครืนจากเพื่อนๆ

 

                “มึงไม่ได้ชอบแต่มึงน่ะรักมันเต็มๆแล้วไอ้ริญชย์หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นไอ้วินท์ไปซะหมดไม่รู้ตัวหรอกเหรอ”แมนพูดเสียงเรียบปรายตามองเพื่อนที่อายุน้อยกว่าตัวเองปีหนึ่งด้วยสายตาเฉียบคม

 

ใครๆก็รู้ว่าอริญชย์น่ะหวงภาสวินท์อย่างกับอะไรดี เรื่องอื่นเหมือนจะฉลาดไปหมดแต่พอเป็นเรื่องของไอ้เด็กคงแก่เรียนคนนั้นก็คล้ายว่าอริญชย์ถอดสมองลืมไว้ในท้องแม่

 

                “กูไม่ได้ชอบมันซักหน่อยพวกมึงแม่งมั่ว”อริญชย์ปาก้นบุหรี่ทิ้งก่อนจะเดินชนไหล่แมนออกไป

 

                “อยากรู้มั่วไม่มั่วมึงก็ลองห่างๆกับมันซักพักสิวะ”แมนตะโกนตามหลังอริญชย์ที่กำลังจะเดินพ้นพุ่มเทียนทองเข้าตึกไป อริญชย์ชะงักกับคำพูดนั้นก่อนจะส่ายหัวขับไล่ความหงุดหงิดออกจากหัว

 

ไอ้พวกไร้สาระ

 

 

......................

 

บางทีถ้าคบเพื่อนดีมันก็พาสิ่งดีๆเข้าตัว

แต่ถ้าคบเพื่อนไม่ดีเพื่อนก็จะชักพาไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเราเองถ้าใจเราใฝ่ไปในทางที่ต่ำก็จะพากันฉุดลงไปในทางต่ำ อริญชย์มีเพื่อนทั้งสองแบบแต่ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะเลือกขึ้นที่สูงหรือก้าวลงต่ำ

ไม่มีใครบังคับเราได้นอกจากใจเราเอง

 


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: อนธการ ตอนที่ 3 19/11/2561
«ตอบ #4 เมื่อ19-11-2018 21:54:33 »

ชื่อเรื่องคุ้นมากเลย
ส่วนภาษาไม่เหมือนนิยายทั่ว ๆ ไป
รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: อนธการ ตอนที่ 4 20/11/2561
«ตอบ #5 เมื่อ20-11-2018 12:12:53 »

อนธการ

ตอนที่ 4

 




                “อยากรู้มั่วไม่มั่วมึงก็ลองห่างกับมันซักพักสิวะ”

ประโยคนี้ของแมนสรวงดังรบกวนในสมองเขาทั้งช่วงบ่ายที่เหลือ สิ่งที่อาจารย์สอนไม่เข้าในหัวเขาเลยซักนิด
 
จะให้เขายอมห่างกับวินท์ได้ยังไง แค่นั่งรถกลับบ้านเองครั้งเดียวยังหลงไปไหนต่อไหน
 
แต่เขาก็ไม่ชอบความรู้สึกคลุมเครือนี้ซักนิด มันเหมือนความสัมพันธ์ของเขากับวินท์ก้าวไม่พ้นคำว่าเพื่อนสนิท
 
เด็กหนุ่มวัย 15 ปีรู้สึกสับสน  เขาไม่อยากจะยอมรับเลยว่าชอบวินท์  เขาแค่คิดว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะภาสวินท์เป็นเพื่อนสนิท เหมือนๆกับที่เขาสนิทกับไอ้สามคนนั่น
 
แต่คำถามหนึ่งก็ผุดเข้ามารบกวนในหัวใจเด็กหนุ่มก็คือ ในเมื่อวินท์เป็นเพื่อนเหมือนๆแมน จินและอ้น แต่ทำไมเขาเป็นห่วงและคอยเอาใจใส่วินท์มากที่สุด
 
ไม่อยากให้วินท์คลาดสายตาของเขาแม้ซักวินาทีเดียว นอกจากแม่ พี่สาวแล้ว ก็มีแค่วินท์ที่เขาเป็นห่วง
 
เป็นเพราะเด็กนั่นอ่อนต่อโลกเกินไป ภาสวินท์มักจะมองโลกในแง่ดีเสมอไม่ว่าใครพูดจาว่าร้ายอะไรวินท์ก็ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร 

 สัญญาออดเลิกเรียนดังขึ้นอริญชย์แทบจะพุ่งออกจากห้องเรียนเพื่อเดินไปหาวินท์ที่ห้องหนึ่ง ขายาวก้าวเร็วๆไปหยุดยืนหน้าห้องเรียนของวินท์ตามที่ทำอยู่ทุกวัน แต่วันนี้มันต่างออกไปเมื่อหน้าห้องของวินท์ปรากฏร่างของเบนและพวก ม.5 ม.6อีก 4-5 คน ยืนอยู่ วินท์รีบโบกมือให้อริญชย์ที่หัวคิ้วขมวดฉับทันทีที่เห็นหน้าเบน
 
ทำไมยิ่งเกลียดยิ่งเจออริญชย์ก็ไม่เข้าใจ
 
เบนชักจะเอาตัวมาใกล้วินท์มากเกินไปแล้ว มากจนน่ารำคาญ
 
                “ไปยัง”ร่างสูงเลือกที่จะเมินกลุ่มรุ่นพี่ชายหญิงที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้วส่งเสียงถามวินท์ที่เก็บกระเป๋าอยู่ วินท์รีบรวบรวมของลงกระเป๋าก่อนจะเดินส่งยิ้มแหยๆมาให้
 
                “ริญชย์วันนี้เราคงไม่ได้ไปดูริญชย์ซ้อมบาสหรอกนะ” อริญชย์ส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถามไปให้ ภาสวินท์รีบอธิบายก่อนที่หน้าของอริญชย์จะบึ้งไปกว่านี้ เขากลัวอริญชย์จะตะคอกหรือโวยวายออกมาต่อหน้ารุ่นพี่เหมือนที่ทำกับเบนเมื่อคราวก่อน
               
                “คือวันนี้พวกพี่ๆจะช่วยติวให้ก่อนไปเรียนพิเศษน่ะ ไว้ใช้สำหรับสอบเข้า ม.ปลาย เนี่ยเดี๋ยวเราจะไปติวกันแล้วไปกันตั้งหลายคนพวกเอมกับต้นก็ไป”รีบชี้ไปที่เพื่อนร่วมชั้นอีกสองคนที่จับกลุ่มคุยกับเพื่อนคนอื่นๆดูจากสายตาคร่าวๆก็เกือบสิบคน  แต่อริญชย์ก็ยังไม่คลายปมที่หัวคิ้ว
 
                “แล้วติวที่ไหนไปยังไง”
 
                “พี่ๆบอกจะพาไปติวที่ห้างเลยติวเสร็จเราจะได้ไปเรียนพิเศษต่อ ริญชย์ไม่ต้องห่วงเรานะ”วินท์เกาะแขนคนสูงกว่าพลางส่งยิ้มทำสีหน้าอ้อนใส่จนคนหน้าตึงหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะใช้มือยีผมวินท์จนไม่เป็นทรง
 
                “ทำไรเนี่ยผมยุ่งเดี๋ยวเราไม่หล่อ”บ่นอุบพลางใช้มือลูบผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมเห็นอริญชย์ยิ้มได้อย่างนี้วินท์ก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง
 
                “อย่าไปไหนกับใครลำพัง อย่าไปยิ้มให้ใครแบบนี้นอกจากกูนะ”กระซิบเสียงเบาให้คนข้างๆ วินท์ช้อนตาขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ
 
                “ทำไมล่ะปกติเราก็ยิ้มให้กับทุกคนนี่”เอ่ยเถียงเสียงอุบ ก็ในเมื่อทุกคนก็เป็นเพื่อนเป็นพี่กันทั้งนั้นอริญชย์จะให้เขาดึงหน้าใส่ได้ยังไง
 
                “กูหวงมึง” สิ้นประโยคสั้นๆนั้นภาสวินท์รู้สึกว่าอากาศมันร้อนอบอ้าวเกินไปแล้ว ใบหน้าร้อนฉ่าจนขึ้นสีแดงลามไปถึงใบหูและต้นคอ มือไม้กำเข้าหากันและไมรู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหน
 
                “กูไม่อยากให้ไอ้พี่เบนมาอยู่ใกล้มึงเลยวินท์”ดวงตาคมสบกับคนตากลมอย่างร้องขอ
 
                “เราจะพยายามไม่อยู่ใกล้เขา โอเคมั้ย?”คนตัวเล็กก็ตอบอย่างเอาใจ อริญชย์พยักหน้ารับเรียกรอยยิ้มให้กับวินท์อีกครั้ง
 
                “วินท์ไปกันเถอะทุกคนพร้อมแล้ว”เอมเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าวินท์ยืนหันซ้ายทีขวาทีอย่างทำตัวไม่ถูก วินท์หันไปพยักหน้ารับก่อนจะทำท่าแยกไป
 
                “เดี๋ยว”ฝ่ามืออุ่นจับแขนเล็กไว้ วินท์หันมามองด้วยสายตาตั้งคำถาม อริญชย์ไม่ได้ตอบอะไรเด็กหนุ่มวางพาวเวอร์แบงค์ลงบนมือของวินท์
 
                “กูชาร์ตมาเต็มร้อยเปอร์แล้ว ถ้าแบตจะหมดก็ชาร์ตนะไม่อยากหามึงไม่เจอแบบเมื่อวันก่อนอีก กูต้องไปแล้ว เดี๋ยวเลิกเรียนจะไปรับ รออยู่ที่เดิมนะ”
 
                “อื้อ แล้วเจอกัน ขอบใจนะสำหรับเจ้านี่”วินท์โบกมือข้างที่ถือพาวเวอร์แบงค์ให้อริญชย์ก่อนจะวิ่งไปรวมกับเพื่อนๆแล้วเริ่มทยอยเดินทางเพื่อไปติวหนังสือ

 
อริญชย์ไม่ได้อยากให้วินท์ไป เขาไม่อยากให้วินท์ไปใกล้ชิดเบนถึงแม้ไอ้รุ่นพี่นั่นจะดูท่าทางเด๋อๆด๋าๆก็ตามที  เขาหวงไม่อยากให้ใครมาสนิทวินท์มากไปกว่าเขา  แต่เรื่องเรียนเขาไม่อยากจะห้ามวินท์  เด็กนั่นน่ะตั้งใจแน่วแน่มากที่จะสอบเข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง  ถ้าเขาเอาแต่เก็บวินท์ไว้ข้างตัวตลอดมันก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป

 
เพื่อนก็ต้องสนับสนุนเพื่อนให้ได้เดินไปในทางที่ดี
 
               
 
                อริญชย์เดินไปที่โรงยิมที่ใช้ซ้อมบาสทุกเย็น ปกติเพื่อนๆในทีมจะซ้อมกันอย่างขยันขันแข็งแต่วันนี้เมื่อก้าวผ่านประตูโรงยิมมาบรรยากาศกลับเงียบแปลกๆ อริญชย์สาวเท้าก้าวไปไม่มีสมาชิกในทีม เหลือเพียงแมน กับอ้นที่ยืนคล้ายจะปลอบจินที่นั่งก้มหน้าอยู่
 
                “มีไรกันวะ” เด็กหนุ่มเดินมาร่วมวงแต่ก็พบว่าจินต์กำลังนั่งกำมือแน่นน้ำตาไหลเป็นทาง
 
                “จินมึงร้องไห้ทำไมใครเป็นอะไร?”อริญชย์นั่งลงตรงหน้าจินพลางจ้องตาเพื่อนที่หายใจแรงอย่างคนที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา ในมือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มกำโทรศัพท์ไว้แน่น หน้าสนทนาของไลน์ยังเปิดค้างอยู่อริญชย์มองข้อความในนั้นก่อนที่จะสบตาจินอีกครั้ง
 
                “มึง...มึงโอเคมั๊ยวะ?”
 
                “โอเคก็เหี้ยแล้ว”เป็นอรรถกรที่ส่งเสียงตอบ
 
                “แม่งพ่อก็ส่งไลน์มาบอกให้มันไปอยู่กับแม่ ส่วนแม่ก็โทรมาบอกให้มันอยู่กับพ่อ นี่ลูกนะเว้ยไม่ใช่ฟุตบอลได้เตะไปทางนู้นทีทางนี้ที”อ้นพูดอย่างโมโห  ร่างของจินที่เขาบีบไหล่อยู่สั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
 
                “กู...กูรู้สึกตัวเองไม่มีค่าเลย กูเหมือนผลผลิตของความมักง่ายของพ่อกับแม่ ตอนเขาชอบกันเค้าก็เอากัน ให้กูเกิดมาแบบไม่ตั้งใจ  พอเค้าเลิกกันเค้าก็เกี่ยงกันเลี้ยงกู  กูงง  กูทำเหี้ยอะไรผิดเหรอ กู..ฮึก...กูไม่น่าเกิดมาเลยไอ้เหี้ย!!”จินต์พรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมามือเรียวปาโทรศัพท์ในมือลงพื้นจนมันแตกกระจาย แมนวางมือลงบนผมเพื่อน
 
                “มึงร้องมาเลยไอ้จินแต่มึงอย่าพูดว่ามึงไม่มีใครสิวะ พวกกูก็อยู่กับมึงนี่ไง ตอนนี้พ่อกับแม่มึงเค้าอาจจะกำลังสับสน  เค้าก็เลิกกันเป็นสิบรอบแล้วป่าววะตั้งแต่มึงจำความได้ ครั้งนี้มันอาจจะเหมือนครั้งก่อนก็ได้ โกรธกันสามวันก็มาคืนดีกัน”
 
                “แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนไงมึงพ่อกับแม่กูไปจดทะเบียนหย่ากันแล้ว”จินร้องไห้ออกมาจนตัวโยน เขา...ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ายังไงพ่อแม่ของเขาก็ต้องมาถึงจุดนี้  การประคับประคองครอบครัวของเขาก็เพราะพ่อแม่ให้เหตุผลซึ่งกันและกันว่าจินยังเด็ก สองสามีภรรยาจึงยังคงสถานะไว้แม้ใจของแต่ละคนไม่มีเหลือให้กันนานแล้ว
 
แมนดึงจินให้ซบลงกับหน้าท้องของตัวเอง ลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆอย่างปลอบโยน  อ้นเองก็คอยบีบไหล่ให้กำลังใจ แม้เขาจะพูดจาปลอบใจด้วยคำพูดดีๆไม่เป็นแต่เขาก็คอยอยู่เคียงข้างเพื่อนตัวผอมนี่ตลอดมา
 
                “ไปแดกเหล้ากัน กูอยากเมา”เป็นจินนั่นแหล่ะที่เช็ดน้ำตาลวกๆแล้วมองหน้าเพื่อนๆ  อริญชย์นิ่งคิดอย่างช่างใจ  เขาเป็นห่วงวินท์ซึ่งจินเองก็เดาได้จากท่าทีของเพื่อน
 
                “มึงไปกับกูไม่ได้เหรอริญชย์”จินเอ่ยถามเมื่อเห็นอริญชย์นิ่งไป
 
                “กูคงสำคัญได้ไม่เท่าวินท์ของมึงสินะ”คำพูดตัดพ้อน้อยใจถูกเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทั้งๆที่เค้ากับอริญชย์เป็นเพื่อนกันมาก่อนแท้ๆแต่พอมีปัญหาอริญชย์กลับนึกถึงวินท์ก่อน
 
                “กูจะไปกับมึง”


 
 
                “ให้พี่ไปส่งเรามั้ยนี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ”เบนเอ่ยถามรอบที่ล้าน ภาสวินท์ที่เอาแต่ชะเง้อคอมองหาอริญชย์ยังคงปฏิเสธเขา คนตัวเล็กเรียนพิเศษเสร็จตั้งแต่ก่อนสามทุ่ม จนป่านนี้ก็ยังคงนั่งรออริญชย์ไม่ยอมไปไหน ไลน์ถูกส่งไปหาเพื่อนตัวสูงนับสิบข้อความแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ โทรหาหลายต่อหลายครั้งอริญชย์ก็ไม่ได้รับโทรศัพท์ของเขาเลยซักครั้ง
 
                “พี่ว่าเราเลิกรอแล้วกลับบ้านเถอะมันดึกแล้วป่านนี้พ่อแม่วินท์คงรอแย่แล้ว ยังไงส่งไลน์ไปบอกเขาอริญชย์น่าจะเข้าใจ”เบนแนะนำรุ่นน้องที่ยังคงจะรอ
 
อันที่จริงในใจของรุ่นพี่หนุ่มแอบดีใจที่วันนี้อริญชย์ผิดนัดกับวินท์  หมอนั่นชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแต่พอถามสถานะกับรุ่นน้องวินท์ก็ตอบว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
 
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าไอ้เด็กหน้าดุคนนั้นน่ะคิดอะไรกับวินท์
 
                “แล้วถ้าอริญชย์กำลังมาล่ะครับ”วินท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดจะไม่มั่นใจ  ปกติต่อให้เลทขนาดไหนอริญชย์ก็ไม่เคยปล่อยให้เขารอเกินชั่วโมงหนึ่งเลยนอกจากหาเขาไม่เจอเอง บรรดาเพื่อนๆและรุ่นพี่คนอื่นต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้วเหลือเพียงเบนที่ยังคงนั่งเป็นเพื่อนเขา ถึงแม้รู้ว่าถ้าอริญชย์มาเห็นคนตัวสูงก็จะโกรธแต่วินท์ก็ไม่กล้าไล่ให้เบนกลับไปก่อนเช่นกัน
 
ให้พูดตรงๆคือคือวินท์เกรงใจเบน รุ่นพี่ช่วยติววิชาที่เขายังอ่อนอยู่ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
 
                “กลับบ้านก่อนเถอะ  เชื่อพี่ ถึงอริญชย์มารับแล้วไม่เจอเขาเปิดอ่านไลน์ก็น่าจะรู้  อีกอย่างวันนี้ไม่ใช่เราที่เป็นฝ่ายผิดนัด แต่เขานั่นแหละที่ไม่มาเอง ไหนว่าสำคัญไงแล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่าจะมาช้าหรือว่ายังไง เรานั่งรอแบบนี้แล้วให้พี่กลับก่อนพี่ก็ห่วงเราเหมือนกันนะ”เบญจ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุๆ ใบหน้าเด๋อด๋าที่ชอบทำหายไปรอยยิ้มสดใสจดตาเป็นขีดบัดนี้ไม่มีเหลืออยู่วินท์ก้มหน้ามองโทรศัพท์อีกครั้ง อริญชย์ไม่ได้ตอบเขากลับมาเลยซักข้อความ พูดตามจริงคือเพื่อนตัวสูงไม่ได้เปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
 
                “งั้นกลับเลยก็ได้ครับ ยังไงวันนี้ขอบคุณพี่เบนมากนะครับที่ช่วยติวให้แถมยังนั่งรอเป็นเพื่อนอีก งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะครับ”
 
                “พี่จะไปส่ง”
 
                “ไม่เป็นไรดีกว่าครับเดี๋ยวผมกลับเองบ้านพี่อยู่คนละทางกับผมเลย”วินท์เอ่ยปฏิเสธอย่างเกรงใจ หากแต่สัมผัสอุ่นที่ฝ่ามือกลับทำให้ประโยคที่จะพูดต่อถูกกลืนหายไปในทันที ดวงตากลมเลื่อนมองมือตัวเองที่ถูกเบนกุมไว้ด้วยความตกใจ
 
                “ไปเถอะน่าเดี๋ยวพี่ไปส่ง”เบนไม่รอให้วินท์ปฏิเสธเขาเป็นครั้งที่สอง ร่างสูงจูงมือคนตัวเล็กกว่าไปยินรอแท็กซี่
 
                 “ปกติเรากลับบ้านยังไงเหรอ?”เอ่ยถามเมื่อบรรยากาศในรถเงียบจนน่าอึดอัด แม้จะเสียดายความนุ่มของมือวินท์แต่เขาเองก็จำใจต้องปล่อยมือน้องให้เป็นอิสระ ร่างสูงอมยิ้มแทบจะตลอดเวลา
 
                “ถ้าริญชย์...เอ่อ อริญชย์ไม่ขับมอไซค์มารับก็จะนั่งรถเมล์กลับด้วยกันครับ”
 
                “แบบนี้คือไปกลับด้วยกันทุกวันเลยเหรอ”
 
                “ใช่ครับไปกลับด้วยกันทุกวันเพราะบ้านติดกัน”
 
                “อริญชย์เขาดูหวงวินท์มากเลยนะ คบกันอยู่เหรอ?”เอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่คนข้างๆกลับมีสีหน้าสลับกันเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ริมฝีปากอิ่มถูกกัดอย่างคนใช้ความคิด
 
                “ไม่ใช่แฟนหรอกครับ”ที่สุดวินท์ก็ตอบออกมาหลังจากเงียบไปอึดใจ  เด็กน้อยใช้ความคิดในประโยคคำถามเจือรอยยิ้มของเบนไปชั่วอึดใจ
 
สำหรับวินท์แล้วอริญชย์คือเพื่อนคนพิเศษ  ภาสวินท์ให้ความพิเศษกับอริญชย์มากกว่าเพื่อนคนไหนๆมาโดยตลอดแต่สำหรับอริญชย์แล้ววินท์ไม่รู้ว่าอริญชย์หวงเขาไว้ในสถานะไหนจะว่าเพื่อนสนิทแต่การกระทำบางอย่างมันบอกว่าวินท์มีสถานะเหนือกว่านั้น แต่ก็นั่นแหล่ะ เพราะอริญชย์ทำให้เขาดูพิเศษกว่าเพื่อนอีกสามคนมาตั้งแต่ชั้นประถม 4 เขาเลยไม่รู้ว่าที่ทำให้ทุกวันนี้อริญชย์ก็แค่ทำเหมือนปกติที่เคยทำหรือเปล่า
 
                “เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.4 เพราะฉะนั้นอริญชย์เลยหวงผมมาก ผมพึ่งพาอริญชย์มาตลอดเลยกลายเป็นความเคยชินมั้งครับ”ท้ายเสียงเจอแววเศร้าแบบที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้สังเกต
 
                “ถ้าแบบนั้นพี่ก็ค่อยโล่งอกหน่อย”เบนเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่วินท์ฟังแล้วรู้สึกแปลก
 
                “เอ๊ะ?..หมายความว่าไงอ่ะพี่”
 
                “อ่อ...พี่หมายความว่าโล่งอกกลัวอริญชย์จะมาต่อยพี่ที่พี่ไปจีบแฟนเค้าน่ะสิ”คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ภาสวินท์หน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง  ตกลงตอนนี้มันฤดูอะไรกันเนี่ย ร้อนทั้งวันเลยโดยเฉพาะที่หน้า
 


                “ไอ้จินมึงกินมากไปป่าววะ”อ้นคว้าแก้วเหล้าที่จินเตรียมกระดกเข้าปากมาไว้กับตัว  ตั้งแต่เลิกเรียนจนตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้วจินยังยกไม่เลิกซักที  อริญชย์นั่งแผ่หราบนโซฟาแบบหมดสภาพ ทั้งกลุ่มนี้มีเขาดื่มน้อยที่สุดแล้วแต่วันนี้เพราะอยากนั่งกินเป็นเพื่อนไอ้สามตัวนี่เขาเลยเผลอกินไปมาก  เด็กหนุ่มตาแดงก่ำริมฝีปากขึ้นสีจัดกึ่งนั่งกึ่งนอนเกยอยู่กับแมน
 
สติพร่าเลือนเลอะเลือนไปทุกสิ่ง
 
ลืมเวลา
 
ลืมตัว
 
ลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญที่ทำทุกวัน
 
                “มึง...ไอ้อ้น  กี่โมงแล้ววะสองทุ่มครึ่งยัง กูต้องไปรับไอ้ดื้อกลับบ้าน”เด็กหนุ่มยันกายขึ้นนั่งอย่างยากเย็น คลำกระเป๋ากางเกงเพื่อหาโทรศัพท์แต่ไม่พบ
 
                “จะเที่ยงคืนแล้วมึงจะไปรับอะไรวินท์ป่านนี้มันกลับไปนอนตูดโด่งที่บ้านมันแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบอริญชย์แทบจะสร่างเมาทันที จะเที่ยงคืนแล้วป่านนี้วินท์จะยังรอเขาอยู่หรือเปล่าเด็กหนุ่มก้มๆเงยๆหาโทรศัพท์ก็พบว่าแมนนั่งทับอยู่อริญชย์ผลักตัวแมนให้ขยับไปก่อนจะกดเปิดหน้าจอ มิสคอลหลายสิบสายมาจากวินท์ตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม แจ้งเตือนไลน์อีกนับสิบข้อความเมื่อเปิดอ่านดูก็เป็นวินท์ส่งมาทั้งบอกว่าตัวเองเลิกเรียนแล้ว กำลังนั่งรอเขาอยู่ จนกระทั่งคำว่าอยู่ไหนถูกส่งมาอีกหลายข้อความ จนข้อความสุดท้ายคือวินท์กลับบ้านแล้วแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง ชายหนุ่มกดเบอร์โทรหาวินท์ แต่รายนั้นกลับตัดสายเขาทิ้ง  อริญชย์ยังคงพยายามโทรไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
 
                “อริญชย์ เราจะนอนแล้ว”เสียงกึ่งตึงของวินท์บอกมาหลังจากเจ้าตัวยอมรับโทรศัพท์เขา
 
                “วินท์กูขอโทษ  กูมากับพวกไอ้จิน”น้ำเสียงยานคางตอบกลับไปแทบจะทันที ตอนแรกเขาเกือบหันไปฟาดไอ้อ้นแล้วที่สั่งให้เตือนถ้าถึงสองทุ่มครึ่งแต่ไอ้เพื่อนตัวดีมัวแต่สนใจจินเลยลืมที่เขาสั่งซะสนิท แต่พอวินท์เรียกชื่ออริญชย์ไม่ใช่ริญชย์พร้อมกับน้ำเสียงตึงๆนั่นยอมรับตามตรงเลยว่ารู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
 
                “เมาเหรอ ไปกินเหล้าเหรอ”
 
                “อือ...มากับพวกไอ้แมน อ้น จิน พอดีจินมันมีปัญหาที่บ้าน”ตอบรับแต่โดยดี
 
                “งั้นก็ไปกินเถอะแค่นี้แหละเราจะนอนแล้ว”คนตัวเล็กว่า
 
                “เดี๋ยว...วินท์อย่าเพิ่งวาง”อริญชย์รีบกรอกเสียงไปก่อนซอนโอจะวางสาย
 
                “มีอะไร?”
 
                “แล้วกลับเองไม่หลงเหรอ?”ถามอย่างเป็นห่วง
 
                “ไม่หลง พี่เบนมาส่ง”วินท์ตอบทิ้งท้ายแล้วตัดสายไปทิ้งให้อริญชย์ยืนมองหน้าจอที่ค่อยๆดับแสงไปด้วยหัวใจที่ตึงแน่นราวกับโดนทุบ
 
ถ้ามีงูเลื้อยผ่านพร้อมๆกับที่เบนเดินผ่านมา อริญชย์สาบานได้เลยว่าจะตีเบนก่อนแล้วค่อยถีบไปให้งูฉกซ้ำ
 
 
                ร่างสูงที่นอนเหยียดตามยาวกับโซฟาหนังขยับเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด มือเรียวยกขึ้นมาปิดดวงตา  ความร้อนทำให้เหงื่อออกจนแผ่นหลังชื้นเหงื่อ  อริญชย์อดทนนอนอีกพักในที่สุดก็ยอมแพ้ หรี่ตาเมื่อแสงจ้าสาดเข้าหน้าเต็มๆโลกภายนอกสว่างแล้วกวาดตามองซากเพื่อนที่นอนกระจายตามมุมต่างๆไม่ไกลกันกับกองกระป๋องเบียร์และขวดเหล้าก็ได้แต่ส่ายหน้า
 
เมื่อคืนพอวางสายจากวินท์อริญชย์ก็เอาแต่ยกแก้วเหล้าดื่มราวกับน้ำเปล่า  แล้วก็หมดสภาพกันแบบที่เห็น เด็กหนุ่มควานมือหยินสัมภาระส่วนตัวเหวี่ยงกระเป๋าเป้ามาสะพายแล้วก็เดินเซๆออกจากบ้านของแมนไป
 
อริญชย์เดินจนมายืนอยู่ที่หน้าบ้านของวินท์  วันนี้พ่อแม่ของวินท์รวมทั้งภากรไม่อยู่เพราะต้องไปงานแต่งญาติที่ต่างจังหวัดวินท์จึงอยู่คนเดียวอริญชย์เอากุญแจสำรองที่วินท์เคยให้ไว้ไขประตูเล็กเข้าไปในบ้าน  วันไหนถ้าแม่ของวินท์ไม่อยู่ส่วนที่เป็นร้านค้าจะปิดและเจ้าตัวมักจะขลุกอยุ่ในห้องอ่านหนังสือหรือทำการบ้านไปเรื่อย  ขายาวก้าวขึ้นบันไดมาแล้วหยุดอยู่ที่หน้าห้องของวินท์ ถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างคุ้นชิน  ร่างบางที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่สะดุ้งเมื่ออยู่ๆประตูห้องก็เปิดผลั่วะเข้ามา
 
                “อริญชย์!! ตกใจหมด จะมาทำไมไม่บอก”คนหน้าตึงเอ่ยว่าด้วยเสียงดังก่อนจะหุบปากฉับกลับไปสนใจกับหนังสือเรียนต่อโดยไม่หันมามองอริญชย์อีก  ร่างสูงเดินโซซัดโซเซก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มศีรษะกลมนอนทับกับตักของเจ้าของห้องอย่างลงตัว
 
                “ออกไป กลับไปนอนบ้านตัวเองนู่น”วินท์ผลักหัวคนตัวหนักที่ทำเหมือนกระดูกเปลี้ยผลักแค่ไหนก็ไม่กระดิกแถมคนที่หลับตาพริ้มกลับตะแคงข้างแล้วกอดเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
 
                “ปวดหัวจังเลย ขอนอนแป๊บนะ อย่าไล่กูเลย กูกลับมาหามึงแล้วนี่ไง รอตื่นก่อนนะเดี๋ยวค่อยง้อ”ว่าพลางซุกหน้ากับตักนิ่มหาท่าที่นอนสบายตัวแล้วหลับตาลง  ถอนหายใจราวกับเจอที่สบายสำหรับปิดเปลือกตา
 
                “เมาค้างเหรอ”อดจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ อริญชย์พยักหน้ารับ
 
                “อืม”ส่งเสียงเพื่อยืนยันอาการของตัว
 
                “ปวดหัวมากมั้ย”ลูบกลุ่มผมนิ่มของอริญชย์เบาๆ คนตัวสูงพยักหน้ารับ วินท์ไม่ได้ถามอะไรต่อ ถึงจะโกรธยังไงแต่พอเห็นสภาพคนเมาค้างแล้วก็ให้สงสาร มือเรียวหยิบรีโมทมาปรับแอร์ให้เย็นขึ้น อริญชย์ชอบอากาศเย็นๆเพราะเจ้าตัวขี้ร้อน เวลาหน้าร้อนคนตัวสูงมักจะมาขอนอนกับเขาเป็นประจำเพราะห้องของอริญชย์ที่บ้านไม่ได้ติดแอร์ เป็นเพียงห้องเดียวของบ้านที่ไม่มีแอร์  ไม่นานเสียงกรนเบาๆก็ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าอริญชย์นั้นหลับสนิทแล้ว  วินท์เอื้อมมือหยิบผ้าห่มผืนบางลายรีลัคคุมะที่เขาซื้อให้อริญชย์ใช้ห่มยามมานอนที่ห้องคลี่มันออกแล้วคลุมร่างของอริญชย์ไว้  ขยับตัวด้วยความเบาที่สุดลงไปที่ครัว
 
สงสารหรอกนะถึงทำให้น่ะ  เจ้าตัวคิดในใจก่อนจะคุ้ยตู้เย็นหาวัสดุที่จะทำซุปแก้อาการเมาค้างเพื่อทำให้อริญชย์กินหลังจากตื่น
 
ต่อให้โกรธยังไง สุดท้ายก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
 
ภาสวินท์อยากจะโกรธอริญชย์ให้ข้ามวันได้ซะจริงๆ


........................................................


พี่เบนก็เริ่มรุกน้องแล้ว  เอาซี๊คะแนนใครจะมาระหว่างคนปากแข็งนิสัยซึึนๆกับรุ่นพี่ตาขีด

ใจคนเรามันก็แค่ก้อนเนื้ออ่อนๆอ่ะเนอะ

ใจวินท์ก็เช่นกัน


ปัญหาของจินเชื่อว่ามันพบเจอได้ง่ายในสังคม พ่อแม่เลิกกันแล้วผลักลูกให้ไปอยู่กับอีกฝ่าย ทำเหมือนลูกเป็นสิ่งของที่เกี่ยงกันรับไว้ พ่อแม่บางคนพูดจาไม่คิดถึงใจลูกเลย คิดแต่ว่าลูกยังเป็นเด็กพ่อแม่บอกยังไงก็ควรทำตามนั้น แต่พ่อแม่อาจจะลืมไปว่าเมื่อลูกก้าวข้ามวัยเด็กเข้าสู้วัยรุ่น ความคิดของเขาก็จะเป็นไปในอีกระดับหนึ่ง  เขาไม่ได้มีแค่พ่อกับแม่เพียงสองคนในโลกของเขาแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2019 19:41:05 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
Re: อนธการ ตอนที่ 5 21/11/2561
«ตอบ #6 เมื่อ21-11-2018 02:28:30 »

อนธการ ตอนที่ 5

               
     

               “ริญชย์...ริญชย์”เสียงเรียกและแรงแตะเบาๆที่ต้นแขนปลุกให้อริญชย์ที่นอนหลับยาวกินเวลาไปถึงช่วงบ่ายค่อยๆขยับกายออกจากผ้าห่มผืนอุ่นเด็กหนุ่มเหยียดกายพลางบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ
 
                “หืม?”ส่งเสียงถามเบาๆใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบหน้าแรงๆเรียกสติตัวเอง อริญชย์ลืมตาขึ้นมองก็พบว่าวินท์ยืนส่งยิ้มตาแป๋วให้เขา
 
ช่างเป็นการตื่นนอนที่สดชื่นจริงๆ  ถ้ามีวินท์มาปลุกเขาทุกเช้าอริญชย์คงอารมณ์ดีทุกวัน
 
                “ลุกขึ้นมากินข้าวสิ เราทำกับข้าวไว้ให้” วินท์บอกกับเขาก่อนจะหันหลังเตรียมเดินออกนอกห้อง แต่อริญชย์ไวกว่าชายหนุ่มยันตัวลูกขึ้นนั่งก่อนฉวยข้อมือเล็กไว้ออกแรงดึงจนวินท์เสียหลักนั่งลงบนตักเขาพอดี คนสูงกว่าไม่ปล่อยให้วินท์ได้ลุกหนีแขนแกร่งกอดร่างบางไว้ก่อนจะวางคางลงบนไหล่นุ่ม
 
                “วินท์...เมื่อคืนขอโทษจริงๆนะ กูไม่ได้ตั้งใจจะลืมมึง”คนเอ่ยขอโทษทำเสียงงุ๊งงิ้ง ข้างๆหูนี่เป็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าเวลาอริญชย์อ้อนน่ะ เหมือนลูกหมาตัวขาวๆตัวหนึ่ง มุมปากวินท์กระตุกวูบเมื่ออริญชย์เอาจมูกถูไถกับไหล่ของเขา
 
                “ไม่มาก็น่าจะโทรบอกกัน”ภาสวินท์เอ่ยตอบมือเรียวจับมือของคนที่กอดเขาไว้แล้วตบเบาๆไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธนาน วินท์ไม่ใช่เด็กงี่เง่าแม้จะอายุเพียง 15 ปี แต่วินท์กลับมีความคิดความอ่านที่โตกว่าอายุ
 
                “ขอโทษจริงๆ ริญชย์เมา หายโกรธนะๆๆ ดีกัน”มือเรียวยื่นนิ้วก้อยไปหาคนบนตัก วินท์หลุดยิ้มในทันทีกับความน่ารักนี้
 
อริญชย์ทำตัวเลียนแบบตัวละครในหนังที่เคยไปดูด้วยกัน  นิ้วก้อยของวินท์เกี่ยวกับนิ้วก้อยของอริญชย์ในอีก 10 วินาทีต่อมา
 
                “คราวหลังไม่เอาอย่างนี้ได้มั้ย รู้มั้ยเราเป็นห่วง  ริญชย์ไม่เคยมารับเราช้า เรากลัวริญชย์เกิดอุบัติเหตุแทบแย่” หันหน้าไปหาคนที่ยิ้มกริ่มจนลักยิ้มบนแก้มบุ๋มลงไป
 
                “ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไอ้จินมันมีเรื่องไม่สบายใจก็เลยชวนกันไปกินเหล้า กะจะกินนิดเดียวดันน็อกหลับไปก่อนพร้อมไอ้แมน ตื่นมาอีกทีก็นั่นแหละถึงได้โทรไป  พูดถึงเรื่องนี้แล้วทำไมไอ้ตาตี่นั่นต้องมาส่งมึงด้วยอ่ะ”ดึงน้ำเสียงตึงใส่คนบนตักทั้งๆที่ความผิดตัวเองเพิ่งจะเคลียร์จนวินท์ขมวดคิ้วฉับ
 
                “ก็เพราะเค้ากลัวเราหลงไงเค้าถึงต้องมาส่ง นี่ริญชย์ไม่มีสิทธิ์มาว่าพี่เค้าเลยนะครั้งนี้อ่ะ”พูดจบคนตัวเล็กกว่าก็ลุกจากตักทันที อริญชย์รีบวิ่งไปล้อมหน้าล้อมหลังประจบเอาใจในทันทีเช่นกัน
 
                “โอ๋ๆไม่โกรธนะริญชย์แค่ถามเฉยๆไง  ไม่เอาสิ ขำก็หัวเราะออกมา กลั้นขำแล้วจมูกบานรู้มั้ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
 
                “อะไรเล่าลงไปกินข้าวเลยไป๊ รำค๊านนนน!!!”วินท์ฟาดมือใส่หลังอริญชย์เสียงดังตั่บใหญ่เมื่อคนสูงกว่าแกล้งล้อเรื่องจมูกของเขา
 
อริญชย์ไอ้คนนิสัยไม่ดี!!!
 
รายนั้นนอกจากไม่มีสีหน้าสำนึกแล้วยังส่งเสียงหัวเราะเหมือนปลาโลมายิ้มจนตาปิดเหงือกบานใส่ซะงั้น  ที่สุดก็เป็นวินท์นั่นแหละที่หลุดขำออกมาเสียเอง
 
รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของอริญชย์แบบนี้น่ะมีค่าเพราะเป็นของหายากมีไว้ให้แค่แม่ของอริญชย์กับวินท์แค่นั้นแหละ
 
                “แล้วแม่เป็นไงมั่งอ่ะช่วงนี้ไม่ค่อยเห็น”วินท์ที่นั่งมองอริญชย์กินข้าวแบบคนหิวจัดเอ่ยถาม  แม่ของอริญชย์ถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าแผนกที่อีกสาขาหนึ่งของโรงงานได้หลายเดือนแล้ว ทำให้ต้องย้ายไปนอนหอพักของโรงงานเนื่องจากต้องเดินทางออกไปนอกเมืองที่ไกลจากบ้านพอสมควร  ทำให้อริญชย์เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในบ้าน
 
เด็กหนุ่มเคยขอร้องไม่ให้แม่ไป  แต่แม่ให้เหตุผลว่ามันดีต่อตัวอริญชย์เอง  การได้เลื่อนตำแหน่งนั่นหมายความว่าแม่จะได้เงินเดือนเยอะขึ้นอริญชย์ก็จะได้เรียนตามที่อยากเรียน  เพราะพ่อคงไม่สนใจมาส่งเสีย
 
                “ก็ดี อาทิตย์นี้แม่มีวันหยุดสองวันไม่รู้จะกลับมาหรือเปล่าแม่ไม่ได้โทรบอกกูก็ไม่ได้โทรไป”อริญชย์ตอนออกมาเรียบๆแต่เนื้อเสียงสัมผัสได้ถึงความคิดถึง
 
                “คิดถึงก็โทรหาสิ อยากให้แม่กลับมาก็โทรหาสิ”
 
                “จริงๆแม่ไม่กลับมาก็ดีเหมือนกันแหละ จะได้ไม่ต้องมาโดนพ่อขุดเรื่องเดิมๆมาด่า”
 
                “แล้ววันนี้ไม่ต้องช่วยงานที่อู่เหรอ?”วินท์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะปกติวันหยุดอริญชย์จะต้องขลุกอยู่ที่อู่เพื่อช่วยงาน  แต่คราวนี้อริญชย์กลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
 
                “มาง้อมึงก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ ยังไงก็โดนด่าอยู่แล้ว อริญชย์วางช้อนลงบนจานข้าวเมื่อจัดการกับอาหารทุกอย่างหมดแล้ว  วินท์ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างที่ซิ้งค์ล้างจานโดยมีอริญชย์ตามไปช่วย สองเพื่อนสนิทคุยกันงุ้งงิ้งตลอดการล้างจานส่วนมากจะเป็นอริญชย์ที่แกล้งวินท์
 
 
                เพล๊ง!!!
 
เสียงเหมือนจานแตกดังข้างผนังครัวของบ้านวินท์ทำให้เด็กที่กำลังช่วยกันล้างจานสองคนถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าของอริญชย์จากที่ยิ้มแย้มอยู่ตึงขึ้นทันทีชายหนุ่มยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะวางชามลงในอ่างแล้วสาวเท้าก้าวยาวๆกลับบ้านของตนเอง วินท์วิ่งตามมาติดๆ ทันทีที่มาถึงหน้าบ้านก็เห็นบรรดาช่างมองเข้าไปในบ้าน เสียงเอะอะด่าทอของพ่อทำให้อริญชย์รู้ทันทีว่าแม่กลับมาบ้าน  วินท์ดึงแขนอริญชย์ไว้แต่เด็กหนุ่มสะบัดมือออกอย่างแรง อริญชย์วิ่งไปตามเสียงด่าของพ่อเข้าไปในครัวมีแม่ยืนตัวสั่นอยู่ที่หน้าเตาที่กำลังต้มอะไรซักอย่าง พ่อยืนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว เศษข้าวเกลื่อนพื้น
 
                “ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าให้อุ่นกับข้าวให้ฉันกินก่อน เย็นๆเป็นข้าวหมาอย่างนี้ใครจะกิน ทำไมโง่ อีโง่”พ่อปาจานอาหารบนโต๊ะใส่แม่ด้วยความโมโห
เขาออกไปส่งงานลูกค้ามาเหนื่อยๆกลับบ้านมาพบว่าแม่กำลังรีดชุดนักเรียนให้อริญชย์อยู่ อาหารบนโต๊ะที่คงจะถูกทำไว้ตั้งแต่ช่วงสายเย็นชืด เพราะไม่รู้ว่าสามีจะกลับมาถึงบ้านตอนไหนเธอจึงไม่ได้เตรียมอุ่นอาหารไว้ให้ เมื่อเห็นสามีเข้าครัวเพื่อนจะกินข้าวกลางวันหล่อนจึงกุลีกุจอเพื่อจะมาอุ่นกับข้าวให้แต่มันไม่ทัน...
 
สามีเอาความผิดทั้งหมดมารวมไว้ที่เธอความเหนื่อยผสมความโมโหหิวทำให้เขาโกรธ  ความอยุติธรรมที่มีอยู่ในใจมานานทำให้เขาขาดความยับยั้งใจ  ขอแค่ได้แสดงอำนาจที่เหนือกว่าเหตุผลใดใดทั้งหมดที่มีในโลกก็ไม่มีความหมาย
 
แค่หาเรื่องระบายความโกรธ
 
ทุกวันนี้อริญชย์ก็เหมือนหนามที่ตำใจเขาทุกวัน ภรรยาของเขาควรได้รับบทลงโทษนี้ไปตลอดชีวิต รับบทลงโทษของคนไม่ซื่อสัตย์ รับบทลงโทษของการย่ำยีความรักที่เขาเคยมีให้
 
สาสมและสมควรที่สุดแล้ว  เขาสามารถทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ สองแม่ลูกควรได้รับผลกรรมที่ทำให้เขาอยู่กับความอับอายมานับสิบๆปี
 
 อริญชย์รีบวิ่งไปกอดแม่เอาหลังบังจานชามเหล่านั้นไว้อย่างปกป้อง ถ้วยกระเบื้องใบเล็กถูกเขวี้ยงมาโดนหางคิ้วของอริญชย์ ความเหนียวหนืดไหลเข้าดวงตาเขาทันที
 
                “เลือด...ริญชย์ลูก”แม่ใช้มือที่สั่นเทาแตะแผลที่หางคิ้วของอริญชย์ น้ำตาคนเป็นแม่ไหลอย่างเจ็บปวด
               
                “รักกันนักปกป้องกันนักใช่มั้ย ไอ้ลูกชู้”คนเป็นพ่อเมื่อเห็นอริญชย์ปกป้องแม่ก็ยิ่งโมโหหันรีหันขวางไปทั่วห้องก่อนจะคว้าไม้กวาดมากระหน่ำตีลงไปบนร่างกายของอริญชย์
 
                “พี่ อย่าฉันขอร้องอย่าตีเลยลูกเจ็บแล้ว ฉันไหว้ล่ะพี่อย่าทำลูกเลย”แม่รีบถลาไปเกาะแขนพ่อไว้ร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสารแต่คนเป็นสามีที่คอยหาเรื่องดุด่าตบตีภรรยากลับสะบัดมือจนด้ามไม้กวาดฟาดลงบนใบหน้าของภรรยาเต็มๆ  แม่หงายหลังจมูกมีเลือดซึม อริญชย์มองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวดใจสติของเด็กหนุ่มขาดผึ่งลงในทันที เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงประจันหน้ากับผู้เป็นพ่อ ดวงตาจ้องหน้าพ่ออย่างโมโหสุดขีด
 
                “ทำไมจ้องหน้ากูทำไม มึงจะทำอะไรกู จะต่อยกูเหรอเอาสิ ยังไงกูก็ไม่ใช่พ่อของมึงอยู่แล้วนิ  ไม่ต่อยล่ะ ต่อยสิ”คนเป็นพ่อยั่วยุลูกชายเมื่อเห็นอริญชย์กัดฟันมือของเด็กหนุ่มกำแน่นด้วยแรงโทสะ ใช้ด้ามไม้กวาดที่อยู่ในมือเคาะหัวอริญชย์ย้ำๆซ้ำๆ
 
                “ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!!!” เด็กหนุ่มคว้าปลายไม้กวาดไว้แล้วออกแรงดึงจนหลุดออกจากมือพ่อเมื่อจับได้เหมาะมือก็งื้อมันสูงขึ้นในอากาศก่อนจะหวดลงมาเต็มแรง
 
                “ริญชย์อย่า!!”ภาสวินท์วิ่งเข้ามาคว้ามือของอริญชย์ไว้ได้ทันก่อนที่ไม้กวาดนั้นจะกระทบกับผิวของเจ้าของบ้าน แม่หวีดร้องด้วยความตกใจก่อนจะรีบเข้ามารั้งตัวสามีที่ตั้งท่าจะเข้าไปทำร้ายลูกชายอีก
 
                “ปล่อย กูไม่ทนแล้ว กูทนไม่ไหวแล้ว เป็นบ้าอะไรนักหนา แม่กูไม่ใช่กระสอบทรายอย่ามาทำแม่กู!!!”เด็กหนุ่มตะโกนใส่พ่อจนเส้นเลือดที่คอปูดชัด
 
                “ริญชย์ไม่เอาลูกอย่าพูดไม่ดีกับพ่อ”แม่เอ่ยร้องห้ามปรามเมื่อลูกชายระเบิดอารมณ์ใส่สามี  อริญชย์ที่ขาดสติเต็มที่พยายามสะบัดตัวออกจากวินท์
 
                “แล้วเขาเคยเห็นผมเป็นลูกมั้ย โมโหอะไรมาก็ด่า โกรธอะไรมาก็ตี พ่อดีๆที่ไหนเขาทำกัน”
 
                “ก็เพราะมึงไม่ใช่ลูกกูไง แม่มึงมีชู้ มึงมันไอ้ลูกชู้”คนเป็นพ่อตอบกลับมาอย่างเจ็บแสบ อริญชย์ตัวสั่นเทิ้ม เขาเกลียด เกลียดคำๆนี้
 
คนอื่นมากมายตราหน้าเขา เขายังทนได้
 
แต่นี่พ่อ  พ่อที่เขาเคารพรักมาตลอดกลับด่าว่าฝังมันเข้ามาในสมองของเขาทุกวัน
 
ทนไม่ได้
 
ใจของเขามันรับไม่ไหวแล้ว  เด็กหนุ่มกรีดร้องสุดเสียงน้ำตาและเลือดไหลเปรอะข้างแก้ม
 
ทำไมกัน  แค่ความสุขเล็กๆของอริญชย์เขายังรักษามันได้ไว้เพียงครึ่งชั่วโมง
 
เหมือนวินท์พาเขาวิ่งเล่นล่องลอยบนสวรรค์ชั้นฟ้าแล้วพ่อก็ยื่นมือมากระชากขาเขาตกลงห้วงอเวจี
 
บ้านที่ไม่เคยจะอบอุ่นเลยซักครั้ง
 
แม่ผู้ยอมแพ้ทุกอย่างไม่แม้จะปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง
 
ถ้าอริญชย์ไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว  แม่ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาเพื่อทนทรมานอีกต่อไป  เด็กหนุ่มวิ่งออกจากบ้านไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง
 
ขอแค่ออกไปจากขุมนรกนี้  จะไปหยุดอยู่ที่ไหนก็ช่างมัน
 
ภาสวินท์วิ่งตามอริญชย์สุดฝีเท้า  แต่ก็ไม่ทัน  อริญชย์วิ่งหนีเขาหายไปแล้ว...ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้นถนนอย่างเหนื่อยอ่อน
 
จะทำยังไงดี...จะช่วยอริญชย์ยังไงดี
 
ถ้าอริญชย์เตลิดไปไม่กลับมาเขาจะไปตามหาได้จากไหน
 
“อริญชย์...อย่าไปไหนไกลนะ ตั้งสติได้เมื่อไหร่ก็กลับมาหาเรานะ”



 
                อริญชย์นั่งกอดเข่าอยู่ที่ป้ายรถประจำทาง ดวงตาเรียบนิ่งเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย บุหรี่ถูกจุดขึ้นสูบด้วยมืออันสั่นเทา  เขายังทำใจลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้  อริญชย์ไม่รู้ว่าต่อไปจะมองหน้าพ่อติดมั้ย ทุนเดิมพ่อก็เกลียดเขามากอยู่แล้วตอนนี้ถ้าเขากลับไปพ่อคงฆ่าเขาทิ้งแน่ๆ
 
อริญชย์เหมือนนั่งอยู่บนแพผุพังท่ามกลางห้วงมหาสมุทรอันบ้าคลั่ง
 
ไร้หนทางจะไปต่อ
 
อายุของเด็กหนุ่มก็เพียงเท่านี้  ประสบการณ์การใช้ชีวิตก็เพียงแค่  15  ปี เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้ต้องทำยังไง
 
อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งวันก่อให้เกิดเมฆฝน ในที่สุดฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาอริญชย์ทำเพียงนั่งกอดเข่าตัวเองท่ามกลางความมืดมิดที่โรยตัว
 
ที่สุดเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินลากเท้าจากไป
 
 
                Rrrrrrrrrrrrrrrr….Rrrrrrrrrrrrrr
 
วินท์สะดุ้งตื่นเมื่อเสียงโทรศัพท์กรีดดังขึ้น  เขากวาดตามองหาต้นเสียงก็พบว่ามันซุกอยู่ใต้หมอนใบที่อริญชย์ใช้หนุนเมื่อกลางวัน
 
อริญชย์ไม่ได้เอาอะไรไปซักอย่างทั้งกระเป๋าเป้ กระเป๋าเงิน รวมทั้งโทรศัพท์ และอริญชย์ก็ไม่ได้กลับบ้าน  แม่ของอริญชย์แบกกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ออกจากบ้านไปพร้อมกับทิ้งเบอร์โทรไว้ให้กับวินท์  เธอขอร้องเด็กหนุ่มข้างบ้านว่าถ้าเจออริญชย์ให้โทรบอกเธอด้วย ไลลาลินวิ่งออกมารั้งแม่ไว้ด้วยน้ำตาหลังจากที่เธอกลับมาจากเรียนพิเศษ
 
แต่ครอบครัวของอริญชย์มันเป็นแก้วที่แตกแล้วที่ยังคงอยู่คงสภาพได้ก็เพราะไลลากับอริญชย์คอยประคับประคองไว้ เมื่ออริญชย์ไม่อยู่ซักคนก็ไม่มีเหตุผลให้แม่ต้องกลับมาอีก  คนเป็นแม่เอ่ยบอกกับลูกสาวทั้งน้ำตา
 
ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักไลลา แต่เป็นเพราะไลลามีความรักล้มปรี่จากพ่อ แม่จึงห่วงไลลาน้อยกว่าอริญชย์
 
“น้องไม่มีใคร” เป็นประโยคบอกเล่าที่คนเป็นพี่จำใจต้องปล่อยมือแม่ไป  วินท์มองภาพนั้นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
 
พยายามคิดหาสาเหตุ
 
ทำไมพ่อของอริญชย์เอาแต่คิดแค้นชิงชัง
 
ทำไมแม่ของอริญชย์กลับไม่อธิบายให้สามีเข้าใจ  ทำไมไม่ค้นหาความจริงว่าสุดท้ายอริญชย์คือลูกใครทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ช่วยได้
 
ครอบครัวนี้กลับอยู่กันแบบหวานอมขมกลืน  ตั้งแต่เล็กจนโตอริญชย์ต้องถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจมากแค่ไหนวินท์รู้ดี
 
บุคคลรอบข้างต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันหมดไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยเหลืออริญชย์กันแม่เลยซักครั้ง
 
ทุกคนตั้งตนเป็นศาลตัดสินความผิดให้กับผู้หญิงซูบผอมกับลูกชายผิวซีดของเธอโดยไม่เคยฟังความจากคนเป็นแม่เลยซักครั้ง
 
สถาบันครอบครัวของคนบ้านนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าทิ้งให้ผลผลิตที่เกิดมาทั้งสองคนทนทุกข์จากการที่พ่อแม่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน
 
กดรับสายเมื่อเห็นข้อความหน้าจอโทรศัพท์ของอริญชย์ขึ้นชื่อว่าแมน
 
                “ฮัลโหล”
 
                “เออ วินท์เหรอ กูแมนเองนะ”
 
                “อื้อ  อริญชย์ไม่ได้อยู่กับเราหรอกนะ”ตอบกลับไปเพราะคิดว่าแมนจะคุยกับอริญชย์
 
                “วินท์ กูเอง”แต่เสียงที่ตอบกลับมาในประโยคถัดไปทำให้หัวใจของวินท์เต้นแรงขึ้น
 
อริญชย์ไปหาแมน นั่นเป็นข้อดีย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไปไหนแบบไร้ทิศไร้ทาง
 
ไปหาแมนอย่างน้อยวินท์ยังไปตามได้ถูก
 
                “ริญชย์เป็นยังไงบ้าง  เจ็บมากมั้ย?”ปลายเสียงสั่นอย่างกลั้นเสียงสะอื้น
 
                “เจ็บ...เจ็บมากเลย เจ็บชิบหาย”อริญชย์เองก็เสียงสั่นไม่แพ้เขาเลย วินท์ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น
 
คำว่าเจ็บของอริญชย์นั้นวินท์เข้าใจดี  เจ็บกายอริญชย์ไม่เคยพูดออกมาเลยซักครั้ง
 
คำว่าเจ็บของอริญชย์นั้นมันกรีดใจคนฟังอย่างเขาจนแหลกเป็นชิ้น  คำว่าเจ็บสั้นๆมันบอกทุกอย่างแล้ว อริญชย์ในตอนนี้ไม่ใช่อริญชย์คนที่เข้มแข็งและพร้อมจะปกป้องเขาเหมือนที่ผ่านมา  อริญชย์ในตอนนี้คือเด็กน้อยที่ต้องการใครซักคนไปดูแลและปลอบใจ
 
อริญชย์ในตอนนี้เสียขวัญและอ่อนแอเกินจะไปปกป้องใครทั้งนั้น
 
จะดูแลใครได้ยังไงในเมื่อขนาดหัวใจช้ำๆของตัวเองตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงจะดูแลมัน
 
                “มาหาหน่อยได้มั้ย อยากเจอมึง”ร้องขออย่างอ้อนวอน
 
                “อืม...รอเรานะเดี๋ยวเราไปหา ตอนนี้ริญชย์อยู่ไหนบ้านแมนเหรอ?”
 
                “อือ..วินท์ มึงรีบมานะ กูอยากเจอมึง อยากเจอมึงมากๆเลย”ปลายเสียงหลุดเสียงสะอื้นออกมา วินท์กดตัดสายก่อนจะรวบรวมของๆอริญชย์ใส่กระเป๋าเป้ เสื้อผ้าบางชุดที่อริญชย์เคยใส่วินท์ก็ยัดใส่เข้าไปด้วยเด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าเงินสีน้ำตาลเข้มที่เขาซื้อให้อริญชย์เมื่อตอนวันเกิดปีที่แล้ว ในนั้นมีเงินอยู่ไม่มาก คนตัวเล็กคว้ากระเป๋าเงินของตัวเองหยิบเงินค่าขนมที่แม่ให้ไว้ออกมาแล้วยัดใส่กระเป๋าสตางค์ของอริญชย์แทน  กระปุกออมสินถูกเปิดออก ธนบัตรที่ใส่ไว้ในนั้นถูกดึงออกมาแล้วยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าของอริญชย์เช่นกัน
 
อยู่ข้างนอกยังไงก็ต้องใช้เงินตัววินท์เองอยู่บ้านถ้าหมดยังไงก็แค่บอกพ่อกับแม่ยังไงก็ไม่มีปัญหาอะไร
 
อย่างน้อยอริญชย์ควรมีเงินติดตัวในระหว่างที่ยังอยู่ข้างนอก เมื่อเตรียมของครบทุกอย่างคนตัวเล็กก็วิ่งลงบันไดเข้าไปในครัวหยิบกล่องข้าวใบใหญ่มาตักข้าวสวยและกับข้าวโปะลงไปจนเต็ม จะสามทุ่มแล้ว เกิดเรื่องตั้งแต่บ่ายกว่าๆ คนอย่างอริญชย์ไม่น่าจะหาอะไรรองท้องแน่ๆ หยิบทุกอย่างแล้วคว้าร่มออกจากบ้าน
20  นาทีต่อมาวินท์ก็มาหยุดยืนหน้าบ้านของแมนโชคดีที่บ้านอยู่ไม่ไกลกันและเคยตามอริญชย์มานั่งเล่นหลายครั้งตั้งแต่ตอนเด็กๆ  นิ้วเรียวกดกริ่งเพียงครู่เดียวแมนก็ออกมาเปิดประตูรั้วให้
 
                “อริญชย์เป็นไงบ้างอ่ะแมน”
 
                “แย่  มึงไปดูมันเองแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปธุระแป๊บ ฝากมันด้วยนะ”แมนตบไหล่วินท์เบาๆก่อนจะเบี่ยงตัวหลบออกจากบ้านไป  เขาติดธุระสำคัญแต่ยังอยู่เป็นเพื่อนอริญชย์ที่นั่งซึมจนหมดสภาพ
 
วินท์สูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน  สองสายตามองสบกันเมื่ออริญชย์ยืนอยู่ตรงหน้าของวินท์  ดวงตาของคนตัวสูงกว่าแดงช้ำไม่มีคำพูดใดใดเอ่ยออกมา ยืนมองหน้ากันนิ่งนานก่อนที่วินท์จะยิ้มบางๆที่มุมปากให้กับคนตรงหน้า อริญชย์ก้าวยาวๆเข้ามาสวมกอดร่างบางไว้อย่างโหยหา  ภาสวินท์ไม่ได้พูดอะไรเด็กหนุ่มทำเพียงแค่สวมกอดกลับคืนและลูบหลังอริญชย์เบาๆ
 
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจของอริญชย์บ่งบอกความ”เจ็บ”ตามที่เจ้าตัวบอกไว้ได้เป็นอย่างดี ภาสวินท์ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมเขาสองคน และร่วมร่ำไห้ไปกับโชคชะตาแสนโหดร้ายของอริญชย์
 
                “ไม่เป็นไรนะ...เราอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่กับริญชย์แล้วนะ”  วินท์ปล่อยให้อริญชย์ร้องไห้จนพอใจก่อนจะพากันไปนั่งที่โซฟา น้ำตาเหือดแห้งไปแล้วทิ้งไว้เพียงดวงตาที่บวมช้ำและจมูกที่แดงขึ้นสีของเด็กทั้งคู่
 
                “เจ็บมั้ย ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เอ่ยถามเมื่อแตะหางคิ้วที่มีคราบเลือดติดอยู่ อริญชย์ไม่ได้สนใจจะทำแผลแต่อย่างใด โดนมายังไงก็ยังอยู่อย่างนั้น วินท์หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองที่เตรียมมาก่อนจะรื้ออุปกรณ์ทำแผลที่แวะซื้อจากร้านสะดวกซื้อออกมา บรรจงทำแผลให้อริญชย์ด้วยความเบามือ พลาสเตอร์ยาถูกปิดลงบนหางคิ้วก่อนคนตัวเล็กจะเป่าลมเบาๆใส่
 
                “เพี้ยง หาย” วินท์ส่งยิ้มกว้างไปให้เมื่ออริญชย์ใช้มือตัวเองผลักหัวกลมเบาๆ
 
                “กูไม่ใช่ภากรนะมาหลอกเป่าเพี้ยงหายเนี่ย” วินท์หลุดเสียงหัวเราะออกมา บรรยากาศสดใสขึ้น วินท์ไม่รอช้าหยิบกล่องข้าวมาเปิดแล้วคะยั้นคะยอให้อริญชย์กิน อริญชย์ไม่อยากขัดใจความตั้งใจของวินท์ที่มีให้จึงยอมกินแต่โดยดีแม้ว่าแต่ละคำจะต้องฝืนกินก็ตาม
 
เขาแค่อยากเจอวินท์ อยากมีวินท์อยู่ข้างๆยามที่เขาอ่อนแอ แม้จะพยายามฝืนกินแต่ที่สุดอริญชย์ก็กินได้แค่ครึ่งกล่อง
 
                “กินไม่ไหวแล้ว เหมือนจะอ้วก”ผลักกล่องข้าวออกนอกตัววินท์เองก็ไม่ได้บังคับให้เขากินเหมือนทุกวัน อย่างน้อยการที่อริญชย์ยังยอมกินข้าวก็ดีกว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ยาแก้อักเสบถูกส่งไปให้พร้อมแก้วน้ำคนตัวสูงรับมาโยนใส่ปากอย่างไม่อิดออด
 
                “อยากให้มึงอยู่กับกูคืนนี้จัง”อริญชย์ที่เอนตัวพิงวินท์พูดขึ้นเบาๆ เหลือบมองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
 
ไม่มีรองเท้าแก้ว ไม่มีงานเต้นรำ  ไม่มีรถฟักทอง  ไม่มีนางฟ้า  แต่สุดท้ายคืนนี้วินท์ก็ต้องจากไปอยู่ดี
 
                “กลับบ้านเถอะเดี๋ยวไปส่ง” สุดท้ายอริญชย์ก็ลูกขึ้นแล้วดึงมือให้วินท์ลุกตาม
 
                “พรุ่งนี้ไปโรงเรียนนะ เราจะรอ”วินท์หันมาพูดกับอริญชย์เมื่ออริญชย์เดินมาส่งที่หน้าบ้านของเขา
 
                “ชุดนักเรียนเราใส่ไว้ในกระเป๋าให้แล้วสองชุดใส่ไปก่อน แล้วหลังจากนี้จะเอายังไงค่อยว่ากัน บางทีถ้าไปขอโทษคุณลุงดีๆ...”
 
                “ไม่แล้วล่ะ ไม่กลับไปแล้ว”อริญชย์มองเลยไปยังบ้านของตน แสงไฟตรงห้องนอนของพ่อยังคงสว่างอยู่
 
บ้านหลังนี้ไม่มีพื้นที่ให้เขากลับไปอีกแล้ว
 
                “แล้วริญชย์จะทำยังไง”เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
 
                “ริญชย์จะไปอยู่กับแม่เหรอ?”
 
                “กูจะไปจากมึงได้ยังไงล่ะ ขึ้นรถไปโรงเรียนเองยังไม่ถูกเลย อีกอย่างแม่ก็อยู่ไกลเกินไป ถ้าไปอยู่กับแม่เท่ากับต้องย้ายที่เรียน กูก็มีที่ๆอยากเรียนแล้วมั้ยล่ะ อีกอย่างให้ทิ้งมึงไว้ทางนี้กูคงทำไม่ได้ ขนาดกูแย่มึงยังไม่ทิ้งกูเลยแล้วจะให้กูทิ้งมึงไปได้ยังไงล่ะวินท์”มือหนาจับศีรษะของวินท์โยกไปมาอย่างเอ็นดูเมื่อร่างบางส่งยิ้มกว้างให้กับเขาหลังพูดจบประโยคยาวๆ
 
         “ยังไงก็โทรหาแม่ด้วยนะ แม่เป็นห่วงริญชย์มากเลยนะ
 
                “อือรู้แล้ว เข้าบ้านไปเถอะดึกแล้ว”อริญชย์ไล่คนตัวเล็กกว่าให้เข้าบ้าน วินท์ไขประตูเล็กก่อนจะหันกลับมาหาอริญชย์ที่ยังคงยืนมองอยู่ ถึงอยากจะชวนให้นอนด้วยกันแต่อริญชย์ต้องกลับไปดูบ้านให้แมนตัดใจโบกมือลาก่อนจะปิดประตูบ้าน ร่างสูงยืนรอจนกระทั่งไฟในห้องของวินท์สว่างขึ้นจึงหันหลังเดินกลับไปทางเดิมโดยไม่หันกลับไปมองที่บ้านของตัวเองอีกเลย


............................................

เกลียดพ่อจังเกลียดพ่อแบบนี้ที่สุดถ้าอริญชย์ไม่กลับมาจะทำยังไงถ้าอริญชย์หลงทางจะทำยังไงใครจะดึงใจช้ำๆดวงนั้นให้กลับมา
หลายครั้งผู้ใหญ่นั่นแหละที่เป็นคนสร้างปัญหาให้เด็ก  เอาแต่ตนเป็นที่ตั้งเป็นศูนย์รวมจักรวาลด้วยคำพูดโง่ๆว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน
พ่อแม่หลายคนมักโยนความผิดพลาดทั้งหมดให้เป็นความผิดของลูก  เด็กในวัยนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  ถ้าคิดไปในทางที่ดีไปอยู่ในที่ดีๆมีคนคอยให้คำปรึกษาคอยให้ความเข้าใจเขาก็จะเดินไปในทางที่ดีๆที่พ่อแม่ปูไว้ให้
แต่เด็กบางคนชีวิตเขากลับไม่มีใครที่จะคอยสอนสั่งคอยชักนำบางครั้งเขาจึงต้องเชื่อเพื่อน เชื่อความรู้สึกตัวเองบางครั้งการที่เชื่ออะไรแบบนั้นมันยิ่งกว่าอันตรายอีก

หลังจากนี้อริญชย์ของเราจะเลือกเดินด้วยตัวเองแล้ว  ไม่มีใครสามารถไปกับเราได้ตลอดเวลา คนเรามีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งโตมากขึ้นหน้าที่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น




ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

อนธการ

ตอนที่ 6


           


                          ภาสวินท์มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าด้วยใจที่หนักอึ้ง  มองมือตัวเองที่ถูกคนตัวสูงจับไว้ก็เกิดความไม่มั่นใจ
 
ไม่มั่นใจว่าระหว่างเราจะเดินเคียงข้างกันไปได้อีกนานแค่ไหน
 
ไม่มั่นใจว่าอริญชย์จะปกป้องคุ้มครองตนเองไปอีกซักกี่ปี
 
ผู้คนมากมายต่างเร่งรีบเดินทางเพื่อจะไปยังจุดหมาย แล้วอยู่ๆก็มีใครไม่รู้มาเดินกั้นกลางระหว่างวินท์กับอริญชย์
 
มือที่จับกันไว้หลุดออกจากกัน วินท์ไขว่คว้าพยายามจะกลับไปจับมืออริญชย์อีกครั้งแต่ฝูงชนมากมายก็พากันเดินมาเบียดบังจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างที่เห็นจนชินตาถูกกลืนหายไป
 
ไม่อุ่นอีกแล้ว  มือที่ว่างเปล่าของภาสวินท์ยามที่ไม่มีอริญชย์ไม่อบอุ่นอีกต่อไปแล้ว
 
                “ฮึก...”เสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นในห้องนอน ปากอิ่มพึมพำจับคำแทบไม่ได้ วินท์ที่นอนหลับกำลังฝันร้ายมือสองข้างพยายามไขว่คว้าในอากาศเหมือนหาใครซักคน
 
                “อริญชย์ อย่าไป...” ร่ำร้องสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งในหัวใจผ่านความฝัน แต่ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า
 
 
                “มึงจะเอายังไงต่อวะไอ้ริญชย์”แมนที่กลับจากทำธุระเอ่ยถามเพื่อนอายุน้อยกว่า อริญชย์นั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง สองมือกุมขมับก่อนจะดึงทึ้งผมของตัวเองอย่างคนหาทางออกไม่ได้ ไลท์เตอร์ราคาแพงสว่างวาบในห้องทึมมืดก่อนที่จะมีแสงวาบจากปลายมวนบุหรี่ ควันสีเทาลอยเอื่อยพร้อมกับกลิ่นหอมแปลกๆ แมนปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมห้องรับแขกอีกครั้ง
               
                “กู...กูไม่รู้  กูคงกลับบ้านไม่ได้แล้ว พ่อคงเกลียดจนอยากจะฆ่ากูแล้ว”อริญชย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงเลยซักนิด
 
ภายนอกเด็กคนนี้อาจจะดูโตดูแลตัวเองดูแลคนที่ตัวเองรักได้
 
แต่ในสายตาแมนอริญชย์ยังคงเป็นเด็ก  เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร  เด็กหวงของที่อยากจะเก็บสิ่งที่ชอบไว้ใกล้ตัว
 
เด็กว้าเหว่ที่ต้องการความรักอย่างมากมาย มากจนให้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ  แต่มีความตลกร้ายตรงที่ว่าอริญชย์กลับไม่รับรู้ความรักจากคนรอบตัว
 
ในหัวใจอันแสนจะบิดเบี้ยวมีเพียงความคิดที่ว่าพ่อไม่รักและโลกแม่งไม่ยุติธรรม
 
               “เฮ้อ...มึงนี่นะ”บ่นออกมาพลางถอนหายใจอย่างคิดไม่ตกกับปัญหาของเพื่อน  เขาไม่สามารถให้อริญชย์อยู่ด้วยได้ตลอดเพราะพ่อกับแม่ไปธุระอาทิตย์หน้าก็กลับมาแล้ว คงไม่ดีถ้าเขาจะพาเพื่อนมามั่วสุม  แมนหยิบบุหรี่จากในซองขึ้นมาก่อนจะเดินมาหาอริญชย์
 
                “อ่ะ  ลอง  บางทีเครียดๆอยู่มีไอ้นี่ก็ดีเหมือนกัน มันคลายเครียดได้ มึงนั่งจมอยู่ตรงนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองแมน ยื่นมือไปรับมวนบุหรี่ เมื่อมองดูดีๆลักษณะมันแตกต่างจากที่เคยสูบ ด้านปลายถูกบิดเป็นเกลียวเล็กๆ
 
                “อะไร?” แมนยักไหล่โยนไฟแช็กให้
 
                “สูบไปเถอะ ไม่ติดหรอก อย่างน้อยมันก็ทำให้มึงมีความสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี”อริญชย์มองของที่อยู่ในมืออีกครั้งอย่างชั่งใจ
 
ถึงอายุจะยังน้อยแต่เขาก็พอจะรู้ว่าไอ้ที่อยู่ในมือของตัวเองน่ะคืออะไร
 
นี่คงเป็นธุระที่แมนออกไปทำสินะ
 
รู้ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี
 
รู้ว่ามันเป็นโทษ
 
รู้ว่ามันเป็นยาเสพติด
 
อริญชย์รู้ทุกอย่าง
 
แม้กระทั่งตอนที่เอาบุหรี่ยัดไส้กัญชาไปคาบไว้ในปากแล้วจุดไฟที่ปลายมวนเขาก็รู้
 
รู้แต่ก็ยังทำ
 
รู้แต่ก็ยังอยากจะลอง
 
อริญชย์แค่อยากรู้ว่าความสุขรสชาติมันเป็นยังไง
 
ขอแค่ครั้งเดียวก็ยังดี...
 
 
 
                ทุ่งหญ้าสีเขียวตัดกับดอกหญ้าสีขาวไหวลู่ตามแรงลม อริญชย์จับมือภาสวินท์วิ่งเล่นด้วยกัน เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าหันมาส่งยิ้มสดใสให้ บรรยากาศไม่ร้อนจนเกินไปแสงแดดอบอุ่นโอบล้อมให้รู้สึกสบายตัว อริญชย์หัวเราะจนตาหยี วิ่งไล่จับวินท์ที่หันมาหยอกล้อเป็นระยะ
 
                “อย่าไปไกลนักนะลูก”เสียงของแม่ตะโกนให้ได้ยิน  อริญชย์ชะงักเท้าที่กำลังวิ่งตามวินท์หันไปมองตามทิศที่ได้ยินเสียงของแม่ เด็กหนุ่มชะงักกับภาพนั้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างนั้น พ่อกับแม่ยืนโอบกอดกันกำลังโบกมือมาให้เขาด้วยรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลก ใบหน้าของพ่อกับแม่ที่มองมาระบายยิ้มอย่างมีความสุข ไลลานั่งอยู่บนผ้าผืนใหญ่กำลังเตรียมอาการออกจากกล่อง
 
ไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆใช่มั้ย  หยิกตัวเองเป็นการทดสอบ

เจ็บ
 
อริญชย์รู้สึกเจ็บที่แขน
 
มันคือเรื่องจริงเหรอ  เด็กหนุ่มส่งยิ้มกลับไปให้กับพ่อแม่ตะโกนเรียกท่านทั้งสองด้วยน้ำเสียงสดใสที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 
พ่อกับแม่ของเขาคืนดีกันแล้วใช่มั้ยนะ  แต่ภาพตรงหน้าเหมือนท่านไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนเลยซักนิด
 
หรือว่าที่ผ่านมาเขาแค่ฝันไป  จริงๆแล้วครอบครัวของเขาคือตอนนี้ เวลานี้ ขณะนี้ อบอุ่นมีความสุข
 
                “พ่อครับ...พ่อ”อริญชย์ส่งเสียงตะโกนเรียกพ่อออกไป  พ่อหันกลับมามองเขาอีกครั้งพลางโบกมือให้ เด็กหนุ่มฉีกยิ้มจนตาปิดโบกไม้โบกมือให้พ่อด้วยแขนทั้งสองข้างขายาวกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจก่อนจะหันหลังกลับไปวิ่งไล่จับวินท์อีกครั้ง มือเรียวคว้าแขนคนตัวเล็กไว้ก่อนจะดึงให้มาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของเขาแล้วพากับล้มตัวลงนอนผ่าหรากับพื้นหญ้ามองท้องฟ้าอันแสนสดใสด้วยกัน
 
มีความสุข
 
มีความสุขจนเปี่ยมล้น
 
                “หึ”แมนสรวงหลุดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นอริญชย์โบกไม้โบกมือไปมาในความมืดปากก็ตะโกนเรียกพ่อจนดังลั่นยิ้มจนตาหยี บางครั้งก็ร้องเรียกวินท์ ทำราวกับกำลังไล่กอดใครซักคน บางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะร่วนออกมา ขายาวป่ายปัดไปมาคล้ายคนกำลังวิ่ง
 
อยากจะลุกไปหยิบกล้องมาอัดวีดีโอไว้ให้เจ้าตัวดู แต่เขาเองก็กำลังมีความสุขในมโนภาพของเขาเหมือนกัน
 
ต่างคนต่างจมอยู่ในความสุขจอมปลอมที่กำลังหลอนประสาทอยู่
 
 
                แดดยามเช้าสาดแสงลอดผ่านผ้าม่านผืนทึบ ลำแสงทอประกายสาดใส่หน้าคนที่นอนหลับคู่ตัวอยู่บนพื้น  อริญชย์ใช้มือขยี้ตาตัวเองก่อนจะไอออกมาเบาๆ  ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น ยันกายขึ้นนั่งแมนนอนแผ่เหยียดยาวอยู่บนโซฟา กลิ่นเอียนอับฟุ้งกระจาย อริญชย์พาร่างกายที่ปวดระบมเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ความเย็นจากน้ำช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยสะบัดหัวไล่ความมึนงงแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมานักเหลือบมองนาฬิกาเกือบ 7 โมงแล้วถึงวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์แต่อริญชย์ต้องไปโรงเรียนกับวินท์ เพราะมีกิจกรรมที่ต้องไปช่วยอาจารย์แล้วจะเลยไปติวหนังสือกับเพื่อนๆอีก จริงๆวินท์บอกเขาแล้วว่าไม่ต้องไปก็ได้เพราะอยู่คนละห้องกัน ถึงไปก็ต้องไปแกร่วรอแต่เป็นอริญชย์เองที่ดึงดันจะตามไป หนึ่ง เขาห่วงวินท์ สองคือตอนนั้นหาเรื่องที่จะไม่อยู่บ้าน
 
อริญชย์เดินมึนๆกลับมาหยิบกระเป๋าเป้ที่วินท์เอามาให้เมื่อวาน หลุดยิ้มเล็กน้อยที่ในนั้นมีชุดแปรงสีฟัน ครีมล้างหน้า ของใช้ส่วนตัวถุงหนึ่งยัดอยู่ในนั้น คงแวะซื้อเหมือนที่ซื้ออุปกรณ์ทำแผลมาให้
 
รื้อของออกมาดูทีละอย่างวินท์เป็นคนละเอียดรอบคอบในแบบที่เขาไม่มี เสื้อผ้าขุดธรรมดายัดอยู่ในนั้น 2 ชุด ชุดนักเรียนของวินท์อีก 2 ชุด ไม่ลืมแม้กระทั่งซื้อกางเกงในมาให้เขาด้วยอีก 1 แพ็ค  กระเป๋าเงินถูกหยิบขึ้นมาถือ ร่างสูงขมวดคิ้วฉับเมื่อความหนาของกระเป๋ามันดูจะมากกว่าที่เขามี เมื่อเปิดดูหยิบเงินมานับหน้าที่ผ่อนคลายความบึ้งตึงเมื่อ 5 นาทีก่อนก็กลับไปบึ้งดังเดิม
 
ภาสวินท์เอาเงินตัวเองมาแบ่งให้เขา อริญชย์เหมือนตัวเองเป็นคนจนตรอกไม่มีศักดิ์ศรี เด็กหนุ่มยัดเงินทั้งหมดลงกระเป๋าก่อนจะคว้าเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำ
 
สายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวทำให้อาการมึนหัวคล้ายคนนอนไม่พอดีขึ้นมือหนาลูบน้ำออกจากหน้า รู้สึกเจ็บแปลบที่หางคิ้ว ความสุขจากมโนภาพเมื่อคืนย้อนกลับมาในห้วงความทรงจำ มองตามเนื้อตัวที่มีรอบช้ำจากการถูกไม้กวาดตีความสุขที่มีช่วงสั้นๆก็สลายไปในพริบตา
 
ความสุขที่มาไวไปไวแต่คว้าไว้ไม่ได้ช่างแตกต่างกับความทุกข์ที่รับรู้ทุกอณูลมหายใจ
 
 
                “รอนานมั้ย?”วินท์รีบวิ่งมาหาอริญชย์เมื่อพบว่าคนตัวสูงยืนเล่นโทรศัพท์รออยู่ที่ป้ายรถเมล์ อริญชย์ไม่ตอบทำเพียงแค่เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วคว้าของที่วินท์ถือมาไว้กับตัวเสียเอง
 
                “อ่า...เป็นไรอ่ะ โกรธอะไรเราอีกเหรอทำไมหน้าบึ้ง”ภาสวินท์หน้าสลดลงทันทีเมื่ออริญชย์หันหลังให้ทำทีเป็นมองรถ
 
                “คิดว่าตัวเองรวยนักหรือไง?”เสียงทุ้มเอ่ยถามเบาๆ
 
                “ห๊ะ??”วินท์ทำหน้างงๆก่อนที่อริญชย์จะหันมาล้วงกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาชูตรงหน้าวินท์
 
                “คิดว่าตัวเองรวยนักหรือไงถึงเที่ยวเอาเงินมายัดใส่กระเป๋าคนอื่นน่ะ”ว่าจบก็เอากระเป๋าเงินตัวเองยัดใส่มือวินท์ หันหลังจะเดินหนีไปยืนอีกฝั่งจนวินท์ต้องรีบดึงมือไว้
 
                “อริญชย์ ไม่โกรธสิ เราทำเพราะเป็นห่วงนะ”
 
                “เงินกูก็มีไม่จำเป็นต้องใช้ของมึงหรอก”
 
                “เราแค่อยากให้อริญชย์พกติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินต้องใช้จะไม่ลำบาก”
 
                “แต่มึงทำแบบนี้เหมือนดูถูกกู”
 
                “ทำไมตีความห่วงใยของเราเป็นการดูถูกล่ะ?”น้ำเสียงตัดพ้อถูกส่งไปพร้อมกับสายตาที่แสดงความน้อยใจ
 
                “เราเป็นห่วงอริญชย์ไม่ได้คิดจะดูถูกอะไรทั้งนั้น อริญชย์เป็นเพื่อนเราเพื่อนลำบากก็ช่วยป่าววะ”หางเสียงห้วนติดจะใส่อารมณ์ อริญชย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อวินท์กลายเป็นฝ่ายแย่งของในมือแล้วหันหลังให้เขาซะแล้ว
 
                “กูไม่ได้ดุมึงนะวินท์ กูแค่อยากช่วยเหลือตัวเองก่อน ก่อนจะให้มึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วย กูก็มีศักดิ์ศรีของกู คราวหลังทำอะไรถามก่อนได้มั้ยอย่าตัดสินใจเอง” พยายามลดน้ำเสียง วินท์หันกลับมาหาอริญชย์ก่อนจะยัดกระเป๋าเงินใส่มือคนตัวสูง
 
                “คราวหลังอย่าดูถูกน้ำใจของเราอีก  เพราะเราห่วงเราถึงให้ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นอย่าพูดให้เราเสียใจบ่อย เราก็รู้สึกเป็น”วินท์ไม่รอให้อริญชย์ตอบอะไรร่างบางตัดสินใจโบกแท็กซี่ที่ขับผ่านมาพอดี
 
                “วันนี้อริญชย์กลับไปพักเถอะเดี๋ยวเราไปเองกลับเอง”พูดจบก็บอกให้ออกรถไปทันที อริญชย์ยังไม่ทันได้ร้องห้ามออกไปเลยด้วยซ้ำร่างสูงเตะอากาศตรงหน้าอย่างหงุดหงิด
 
ภาสวินท์ในวันนี้ดื้อ  ดื้อมาก  หันรีหันขวางอย่างหงุดหงิดก็พอดีกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เมื่อล้วงออกมาดูอริญชย์ก็จำเป็นต้องปรับอารมณ์และน้ำเสียงก่อนจะกดรับสาย
 
                “ครับแม่”
 
 
 



                ผ้าม่านสีขาวสะอาดตาถูกรูดเปิดโดยอริญชย์ แสงแดดภายนอกส่องเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ  แม่วางถุงอาหารลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยๆ  กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่แม่ลากมาจากบ้านบรรจุข้าวของเสื้อผ้าของอริญชย์ไว้เต็มแน่น หล่อนจัดการนำมันเข้าไว้บนชั้นและตู้เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อคืน
 
คนเป็นแม่เองก็รู้ว่าลูกคงไม่หันหลังกลับไปที่บ้านอีกแล้วตัดสินใจวางมัดจำแล้วเช่าอพาร์ตเม้นท์ห้องเล็กๆให้ลูกชาย
 
                “อยู่ได้ใช่มั้ยลูก”อริญชย์ละสายตาจากวิวด้านนอกแล้วพยักหน้ารับ
 
                “ช่วงนี้ริญชย์อยู่นี่ไปก่อนนะลูก รอพ่ออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยไปขอโทษพ่อเค้าซะนะ” แม่พูดพลางพับเสื้อในกระเป๋าเป้าของอริญชย์ไปด้วย
 
                “ไม่กลับแล้วแหละแม่ ผมทำขนาดนั้นพ่อเค้าคงยอม อีกอย่างออกมาพ้นหูพ้นตาเค้าแบบนี้เค้าคงชอบ”คนเป็นแม่หน้าเสียเมื่อได้ยินลูกชายพูดขนาดนี้ แต่หล่อนเองก็เข้าใจ อริญชย์ไม่เคยได้รับความรักจากคนเป็นพ่อเลยตั้งแต่เกิดมาไม่แปลกที่ลูกจะทั้งกลัวและเกรง  เมื่อได้ทำอะไรรุนแรงลงไปแล้วพอรู้สึกตัวก็ไม่กล้าที่จะสู้หน้า
 
                “แม่...”หญิงสาวเงยหน้ามองลูกชาย อริญชย์ในตอนนี้มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด  ในใจของเขามีคำถามที่อยากจะรู้มาเนิ่นนาน ความอยากรู้มีมากพอๆกับความหวาดกลัวกับคำตอบที่ได้รับ
 
                “ผม...”ความลังเลถูกส่งผ่านคำพูด อยู่ๆริมฝีปากก็แห้งผากไปซะอย่างนั้น
 
                “มีอะไรหรือเปล่าลูกหรือไม่ชอบที่นี่?”ความกังวลกลัวว่าลูกจะไม่ชอบที่อยู่ใหม่ทำให้คนเป็นแม่หน้าสลดลง  หล่อนแค่อยากทำหน้าที่แม่ให้ดี  อย่างน้อยตอนนี้ลูกเหลือเธอเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว  อยากทำเพื่อชดเชย 15 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ดูแลลูกให้ดีกว่านี้
 
                “เปล่าแม่  ผมอยู่ได้ ผมแค่มีคำถามอยากจะถามแม่ตรงๆแต่ก็กลัวแม่จะเสียใจ”อริญชย์นั่งลงใกล้ๆแม่ก่อนจะคว้ามือของแม่มากุมไว้
 
                “แม่...ตกลงผมเป็นลูกพ่อจริงหรือเปล่า?”กลั้นใจพูดออกไป ถึงแม้รู้ว่าแม่จะเสียใจกับคำพูดนี้ แต่เขาเองก็ทนทุกข์กับคำว่าลูกชู้มาตั้งแต่เกิด  แม่ร้องไห้ออกมาทันทีก็คำถามนี้ วูบหนึ่งอริญชย์รู้สึกผิด  เด็กหนุ่มประคองหน้าแม่แล้วเช็ดน้ำตาให้
 
            “แม่ไม่เคยนอกใจพ่อ...”
 
 
                “วินท์เลิกเรียนแล้วไปไหนต่อมั้ย?”ภาสวินท์เงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือเด็กหนุ่มส่ายหน้า เขาไม่มีโปรแกรมจะไปไหน ความขุ่นมัวในใจที่ติดพันมาตั้งแต่เช้าทำให้วันนี้การติวแทบจะไม่เข้าหัวเลยด้วยซ้ำ
 
อริญชย์ไอ้คนงี่เง่าทำให้จิตใจของวินท์ว้าวุ่นไปหมด
 
                “งั้นไปดูหนังกันมั้ย?”เบญจ์เอ่นถามอย่างมีความหวัง  วินท์กวาดตามองไปรอบๆบริเวณ  ไร้เงาของอริญชย์ ร่างสูงไม่ได้ตามเขามาอย่างที่เคยเป็น  หันหน้ากลับมามองเบนแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับไป  ดวงตามีความหวังของเบนทำให้วินท์ใจอ่อน  พยักหน้ารับท่ามกลางรอยยิ้มกว้างแบบที่เบนชอบทำ  รุ่นพี่ร่างสูงกระตือรือร้นที่จะเปิดเว็บของโรงหนังเพื่อเลือกเรื่องที่คนตัวเล็กอยากดู เบญจ์ทำเป็นมองข้ามสายตาที่วินท์มองหาใครอีกคน  ในเมื่ออริญชย์เองไม่ได้คบกับวินท์แบบเฟน วินท์ก็บอกเองว่าเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะจีบรุ่นน้องอย่างจริงจัง  วันนี้เหมือนฟ้าเป็นใจเบนไม่เห็นอริญชย์เลยตลอดวัน  รุ่นพี่หนุ่มจัดการจองตั๋วผ่านมือถือรอจนคนตัวเล็กเก็บของเสร็จก็เดินทางไปห้างสรรพสินค้าทันที
 
ภาสวินท์นั่งประจำข้างคนขับโดยที่เบนขับรถออกไปด้วยความเร็ว การจราจรช่วงเย็นเริ่มหนาแน่น รถจอดติดไฟแดงเป็นแยกที่สามแล้ว เบนยื่นถุงขนมที่ซื้อติดรถไว้ให้วินท์
 
                “กินรองท้องไปก่อนนะเดี๋ยวถึงห้างค่อยไปหาข้าวกินกัน เบาะหลังมีน้ำอยู่ถ้าคอแห้งก็กินได้เลย”วินท์เอ่ยขอบคุณรุ่นพี่ตัวสูงที่มีรอยยิ้มสดใสประดับใบหน้าตลอดเวลา  รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับเบน คนตัวสูงชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทำให้บรรยากาศบนท้องถนนไม่น่าเบื่อวินท์หลุดขำทุกครั้งเวลาเบนนินทาเพื่อนร่วมชั้นหรือวีรกรรมโก๊ะๆเด๋อด๋าของตัวเอง
 
ภาสวินท์รู้สึกเหมือนโลกของเบนกับโลกของอริญชย์มันเดินทางเป็นคู่ขนาน ในขณะที่เบนมีแต่ความสดใส อริญชย์เองก็มีเพียงเส้นทางที่โรยด้วยขวากหนาม คนสองคนมีชีวิตที่แตกต่างกันจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสวรรค์ไม่ยุติธรรม
 
รถยนต์คันหรูจอดสนิทเบนรีบลงมาเปิดประตูรถให้รุ่นน้อง
 
                “เอาของไว้นี่แหล่ะดูหนังเสร็จเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”พูดพลางฉวยข้าวของทั้งหมดของวินท์วางลงบนเบาะรถก่อนจะดันคนตัวเล็กให้ออกห่างแล้วกดล็อกทันที
 
                “แต่พี่ครับเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ ผมเกรงใจ”วินท์เอ่ยอย่างเกรงใจ วันนี้เบนก็อยู่กับเขาทั้งวันแล้วแต่คนเป็นพี่จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วดันให้น้องเดินนำหน้าไป
 
                “ไปๆ หิวข้าวไปกินข้าวก่อนค่อยดูหนังเนอะๆ”ภาสวินท์กรอกตาแล้วพ่นลมอย่างเหนื่อยใจ เบญจ์ก็ดื้อตาใสไม่ต่างจากอริญชย์เลยซักนิด ให้ตายเถอะ
 
 
                “มีอะไรขาดเหลือเงินไม่พอใช้อริญชย์โทรหาแม่ได้ตลอดนะ แม่อาจจะไม่ได้มาหาอริญชย์บ่อยๆแต่ริญชย์รู้ใช่มั้ยว่าแม่รักริญชย์”คนเป็นแม่เอ่ยกับลูกชายที่ตาบวมช้ำไม่ต่างกัน สองแม่ลูกผ่านการร้องไห้อย่างหนักหน่วง อริญชย์พยักหน้าให้แม่ ส่งยิ้มให้แม่เพื่อให้แม่คลายกังวล มืออันอบอุ่นของแม่ลูบแก้มของเขาเบาๆอย่างอ่อนโยนก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นจูบแก้มลูกชายเบาๆ
 
                “ดูแลตัวเองดีๆนะลูกนะ อย่าอดข้าวล่ะ วันหยุดถ้าไม่รู้จะไปไหนก็ไปหาแม่ได้นะ”
 
                “ครับ”อริญชย์ไม่รู้จะตอบแม่ว่าอะไรให้มากกว่าการรับคำสั้นๆ  ความรู้สึกหน่วงเศร้าในใจไม่ได้จางหายไปเลย  เด็กหนุ่มรับรู้เรื่องราวในอดีตของแม่ด้วยน้ำตา
 
เขาบอกกับแม่ว่าเขาโตพอที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นแล้ว
 
รับรู้และกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้  แม่ขยับเสื้อคลุมของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะรับกระเป๋าสะพายจากคนเป็นลูกก้าวขึ้นรถไป  สองแม่ลูกโบกมือให้กันเป็นการล่ำลา อริญชย์ยืนมองรถที่แม่นั่งจากไปจนลับตา  เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ไม่มีมิสคอล ไม่มีแจ้งเตือนไลน์ ไม่มีการติดต่อจากภาสวินท์ ดูจากเวลาแล้วจะสองทุ่มแล้ว วินท์คงไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนแล้ว อริญชย์ก้าวขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย เส้นทางที่จะพาเขากลับไปที่บ้าน
 
 
                “ขอบคุณที่มาส่งนะครับแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหนังสนุกมากเลย”ภาสวินท์เอ่ยคำขอบคุณด้วยเสียงสดใส ยังติดใจกับความสนุกของหนังไม่หายตลอดทางที่เบนขับรถมาส่งเด็กหนุ่มสองคนคุยกันแต่เรื่องของหนังอย่างถูกคอ
 
                “ไม่เป็นไร พี่ก็ขอบคุณวินท์เหมือนกันที่ไปดูกับพี่ไว้มีหนังใหม่เข้ามาเราไปดูด้วยกันอีกนะ”เบนวางมือลงบนกลุ่มผมนิ่มของวินท์แล้วโยกเบาๆอย่างเอ็นดู
 
                “ได้ แต่คราวหน้าให้ผมเลี้ยงพี่มั่งนะ ให้พี่จ่ายคนเดียวผมเกรงใจ”
 
                “ไม่เป็นไรหรอกสำหรับเราน่ะพี่เต็มใจ  วินท์...”อยู่ๆเบนก็ปรับโหมดแบบกะทันหัน ใบหน้าสดใสเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาจนวินท์แปลกใจ มือที่ลูบผมของเขาเลื่อนมาเกลี่ยที่แก้มเบาๆ
 
                “ถ้าตอนนี้วินท์ยังไม่มีใคร  วินท์มาคบกับพี่ได้มั้ยครับ?  พี่ชอบวินท์นะ ชอบมากๆด้วย”




..................................................
 
หาข้อมูลเกี่ยวกับรสชาติ กลิ่น อาการของผู้เสพจริงๆยากมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถ ขอบคุณเจ้าของความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดด้วยนะคะ มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ

ยินดีต้อนรับลงสู่อเวจี...อย่าโกรธกันเลยนะคะ อริญชย์ยังไม่ได้โตมากพอที่จะยับยั้งชั่งใจกับสิ่งที่ทำอยู่

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 22:28:06 โดย thanatcha »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
อนธการ




                เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดภายในรถ ภาสวินท์เม้มปากอย่างคนกำลังสับสนในความคิด เขาไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง  มันงงไปหมด  อยู่ๆเบนก็พูดจาแบบนั้นออกมา
 
วินท์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง  เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการรักใครคนหนึ่งต้องรู้สึกอย่างไรต้องใช้ส่วนประกอบอะไรบ้างในการรักกัน วินท์รู้แค่ว่าตัวเองรู้สึกดีกับเบน  วินท์ชอบความสดใสร่าเริงของเบน  วินท์ชอบที่เบนช่วยติวหนังสือให้  วินท์ชอบนิสัยของเบน
 
แต่...ความชอบเหล่านั้นเรียกว่ารักหรือเปล่า?
 
                “พี่เบนครับผม...”ยังไม่ทันจะพูดจบวินท์ก็หยุดเงียบไปซะดื้อๆ  เขาไม่มั่นใจไม่มีคำตอบใดใดในหัวเลย
 
                “ไม่ต้องให้คำตอบพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่อย่าผลักไสพี่ก็พอ ให้พี่ได้ดูแลวินท์แค่นี้พี่ก็มีความสุขแล้ว”ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยริมฝีปากของเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความแผ่วเบา ราวกับถนอมตุ๊กตาเรซิ่นเนื้อดีก่อนจะแตะแช่ไว้แล้วโน้มตัวลงไปประทับจูบผ่านปลายนิ้วของตัวเอง เรียกความเห่อร้อนจนใบหน้าของวินท์แดงกล่ำความใกล้ชิดที่แทบไม่มีพื้นที่ว่างทำให้วินท์ต้องหลับตาลงเพื่อหลบสายตาหวานเชื่อมของเบน ลมหายใจอุ่นร้อนพัดผ่านผิวหน้าของกันและกัน  ถึงไม่ใช่การจูบโดนตรงแต่วินท์ก็เขินอายเกินกว่าจะสู้สายตานั้นได้ นิ่งนานราวโลกหยุดหมุนเบนจึงถอนริมฝีปากออกจากปลายนิ้วของตัวเองทันทีที่วินท์ลืมตาเงาสะท้อนในดวงตากลับไม่ใช่เบนแต่เป็นแผ่นหลังของอริญชย์ที่ค่อยๆห่างออกไปทุกที
 
ร่างบางปลดเข็มขัดนิรภัยคว้าข้าวของๆตัวเองแล้วเปิดประตูรถเตรียมจะวิ่งตามอริญชย์ไปแต่เบนก็คว้าข้อมือไว้ก่อน
 
                “จะไปไหนวินท์ ดึกแล้วเข้าบ้านได้แล้วครับ”เบนมองตามสายตาของวินท์แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า วินท์มองฝ่าความมืดไปท่าทางลุกลี้ลุกลน
 
                “ครับๆผมจะเข้าบ้านแล้วพี่เบนกลับไปได้แล้วครับเดี๋ยวจะดึก”
 
                “เรานั่นแหล่ะเข้าบ้านไปก่อน  ถ้าเราไม่เข้าพี่ก็ไม่กลับ”
 
                “โธ่ พี่ครับ นี่ก็หน้าบ้านแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ” พูดปัดอย่างร้อนใจ ถ้าตามไปตอนนี้ยังทัน
 
                “ไม่เอาอ่ะพี่ไม่วางใจเข้าบ้านไปก่อนนะครับ”เบนทำน้ำเสียงทุ้มมากกว่าเดิมจนวินท์เม้มปากอย่างขัดใจ ที่สุดคนตัวเล็กก็ต้องยอมไขกุญแจเข้าบ้านไปก่อน เบนนั่งรอจนไฟบนห้องของวินท์สว่างขึ้นถึงได้ขับรถออกไป คล้อยหลังไม่นานภาสวินท์ก็วิ่งออกจากบ้านตามไปในทิศทางเดียวกับที่อริญชย์ไป
 
ว่างเปล่า...
 
ไม่มีอริญชย์แล้ว...
 
ร่างบางหันซ้ายหันขวาพยายามมองหา
 
อริญชย์จะเห็นมั้ยนะ  สิ่งที่เบนทำกับเขาบนรถอริญชย์จะเห็นมั้ย
 
เพียงแค่คิดอกข้างซ้ายก็เต้นจนแทบจะไม่เป็นจังหวะ ขายาววิ่งไปตามทางจนมาหยุดยืนหน้าบ้านของแมน กดกริ่งอย่างร้อนรนไม่นานร่างซีดๆของแมนก็เปิดประตูออกมา
 
                “แมน อริญชย์อยู่มั้ย?”เกาะรั้วถามทันทีแม้จะหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย แมนเดินมาหยุดตรงหน้า
 
                “มาแล้วไปแล้ว”ตอบด้วยน้ำเสียงติดจะยานคาง ดวงตาเยิ้มราวคนเป็นไข้
 
                “ไปแล้ว  ไปไหนเหรอ อริญชย์ไม่ได้มาอยู่กับแมนเหรอ?”ร่างสูงส่ายหัวจนผมปลิว
 
               “ ไม่ได้อยู่มันไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แม่มันพาไปหาที่อยู่ใหม่ มีอะไรทำไมไม่โทรหาล่ะ”แมนสรวงว่าพลางหาวหวอดๆ ท่าทางหงุดหงิดเต็มที วินท์ปล่อยมือจากประตูรั้วหันหลังเดินกลับอย่างรู้สึกแย่
 
พยายามโทรหาอริญชย์แต่รายนั้นตัดสายทิ้งในที่สุดอริญชย์ก็ปิดเครื่อง
 
ไม่รู้ทำไมต้องแคร์แต่วินท์ไม่อยากให้อริญชย์ทิ้งเขาไว้คนเดียวแบบนี้
 
โลกเหมือนจะกว้างใหญ่เกินกว่าที่ภาสวินท์จะยืนอยู่เพียงลำพัง
 
 
 
                ควันสีเทาลอยเอื่อยฟุ้งอยู่ในอากาศอริญชย์นอนมองเพดานด้วยดวงตาเลื่อนลอย ริมฝีปากส่งยิ้มให้กับมโนภาพ ดวงดาวมากมายนับล้านดวงส่องแสงเป็นประกายราวกับเพชรที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างดี
 
มันพราวระยิบระยับจับตา
 
สวยงามจนต้องยื่นมือเอื้อมคว้า
 
ดวงแล้วดวงเล่า
 
สวยงามราวล่องลอยอยู่ในสรวงสรรค์
 
                “หึหึ”ส่งเสียงหัวเราะยามเขวี้ยงดวงดาวเกลื่อนกราดนั้นทิ้งไปท่ามกลางหมู่ดาวมากมายภาสวินท์ยืนอยู่ตรงนั้น  รอยยิ้มที่อริญชย์ชอบถูกส่งมาให้ เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหา วินท์เอื้อมมือมาข้างหน้าให้อริญชย์ไขว่คว้า ความนุ่มนิ่มอบอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือเข้าสู่หัวใจ
 
                “วินท์”
 
                “หืม?”
 
                “อย่าชอบมันได้มั้ยไอ้เบนน่ะ”ส่งสายตาร้องขออย่างไม่ปิดบัง
 
                “ทำไมล่ะ พี่เขานิสัยดีมากเลยนะ ดูแลเราดีมากๆเลยด้วย”วินท์เอ่ยถามด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
 
                “กูไม่ชอบ ห้ามมึงคบกับมันนะ”
 
                เอ่ยบังคับเสียงเข้มอย่างเอาแต่ใจ ทว่าภาสวินท์นอกจากจะไม่รับปากแล้วยังวิ่งหนีเขาไปอีกต่างหาก อริญชย์วิ่งตามไปคว้าร่างบางไว้ก่อนจะกอดเอวเล็กไม่ให้หนีเขาไปไหนได้อีก
 
                “ทำไมต้องเชื่อล่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเง้างอดริมฝีปากเบะน้อยๆอย่างขัดใจ
 
                “แล้วถ้าขอให้เป็นล่ะจะยอมฟังมั้ย?”
 
                “ต้องดูก่อนว่าขอเป็นอะไร”เอ่ยต่อรองด้วยสีหน้าน่ารักไม่ได้ขัดขืนหลบหนีการกอดของเขาอีกแต่อย่างใด
 
                “ขอให้มึงมองแต่กู”ส่งดวงตาอ้อนวอนไปสบกับดวงตากลมโต
 
                “ขอให้มึงพูดกับกูแค่คนเดียว” ใช้ปลายนิ้วคลึงริมฝีปากอิ่มเบาๆ
 
                “ขอให้มึงฟังแค่กู”เอ่ยกระซิบชิดริมหู
 
                “ขอให้มึง...”เลื่อนฝ่ามืออีกข้างไล้ขึ้นมาแตะลงบนอกข้างซ้ายของวินท์
 
                “รักแค่กูคนเดียว”จรดปลายจมูกลงบนแก้มหอมคลอเคลียอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจับคนตัวเล็กกว่าให้ยืนหันหน้ามาหา เชยคางให้เงยหน้าขึ้นสบตาเมื่อคนตัวเล็กเอาแต่ก้มหน้างุด
 
                “อย่าไปรักใคร รักแค่กูคนเดียวจะได้มั้ย”ไม่รอคำตอบริมฝีปากอุ่นก็แตะลงบนกลีบปากอิ่มนั้นแตะลงผะแผ่วแต่ทว่าหวานซึ้งละเลียดความหอมหวานด้วยความนุ่มนวล จูบซ้ำย้ำที่มุมปากอย่างอ่อนโยน ดูดดึงเบาๆอย่างเสน่หา
 
                รัก...ถ้าความรู้สึกตีตื้นในหัวใจตอนนี้หมายถึงความรัก
 
อริญชย์กำลังตกหลุมรักภาสวินท์
 
ถ้าความรักนี้จะพาเขาขึ้นสวรรค์เขาก็จะไปให้สุดชั้นดาวดึงส์
 
ถ้าความรักครั้งนี้จะพาเขาลงนรกต่อให้ไปยังชั้นที่ลึกที่สุดเขาก็ไม่กลัว
 
ขอแค่ที่นั่นมีภาสวินท์ไม่ว่าที่ไหนเขาก็จะไป...
 
 
 
                เสียงนาฬิกาปลุกกรีดร้องท่ามกลางความเงียบอริญชย์สะดุ้งเฮือกก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ  เสียงรถราดังเข้ามาให้ได้ยิน  ภายนอกมีเสียงกุกกักจากกิจวัตรประจำวันของเพื่อนบ้าน  ยกมือขึ้นสางผมไปมาหลายครั้งเพราะความปวดหัวแล่นริ้วเข้าเล่นงาน  อาการคอแห้งหลังเสพยากลับมาอีกครั้งอริญชย์เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำที่โยนทิ้งไว้ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืนมาดื่มอย่างกระหาย ความปวดเต้นตึบอยู่ตรงขมับทำให้ต้องล้มตัวนอนลงไปอีกครั้งใช้มือตัวเองนวดขมับเพื่อบรรเทาความปวดหลับตาลงอีกหน
 
สัมผัสหวานในมโนภาพย้อนกลับมาให้ใจเต้น  อกข้างซ้ายทำงานอย่างหนักโดยไม่ฟังการห้ามปรามของสมอง
 
เพิ่งรู้ตัว...
 
เพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาใกล้วินท์
 
เพิ่งรู้ตัวว่าเขาโกรธแค่ไหนที่เห็นเบนจูบวินท์
 
เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเสียใจมากมายแค่ไหนที่วินท์ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธสัมผัสนั้นของหนุ่มรุ่นพี่
 
เพิ่งรู้ตัวว่าเขาหึงหวงเกินกว่าจะทนดูภาพบาดตาบาดใจนั้น

เพิ่งรู้ตัวว่าเขาคิดช้าเกินไป มัวแต่หลงงมงายคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวินท์นั้นเป็นแค่เพื่อน  เพิ่งรู้ว่าการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันนั้นมันเกินกว่าเพื่อนคนหนึ่งจะทำให้แก่กัน

กว่าจะรู้ตัวก็มีใครอีกคนเดินเข้ามากั้นกลางความสัมพันธ์อันลุ่มๆดอนๆของเขาและวินท์ซะแล้ว

อริญชย์ไม่มีอะไรไปเทียบกับเบญจ์ได้เลยซักอย่าง ทั้งฐานะและสภาพแวดล้อม  ดูแลให้วินท์สุขสบายกว่านี้ก็ยังทำไม่ได้

มีโอกาสที่จะบอกความในใจออกไปแต่เขากลับทำลายมันครั้งแล้วครั้งเล่า  ตอนนี้คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
 
กว่าจะรู้ตัวสองเท้าก็พาเขามาหยุดที่บ้านของแมน
 
กว่าจะรู้ตัวเขาก็ออกปากเอ่ยขอความสุขจากแมนสรวงมาเสียแล้ว
 
กว่าจะรู้ตัวกัญชาสอดไส้ก็เข้ามานอนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ 2 พลัม
 
กว่าจะรู้ตัวเขาก็ต้องพึ่งมันสร้างความสุขให้ตัวเอง
 
แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวแต่มันคือความสุขเดียวที่สัมผัสได้ในชีวิต
 
และกว่าจะรู้ตัวเขาก็ก้าวเดินไปยังเส้นทางที่หาทางกลับมาไม่ได้อีกต่อไป
 
อริญชย์ก็เป็นเพียงคนตาบอดที่เดินสะเปะสะปะไปตามเส้นทางที่ไม่รู้จุดหมาย  ผ้าขาวที่ห่อหุ้มร่างกายเขาบัดนี้ถูกแต่งแต้มสีด้วยสีสกปรก มันไม่ขาวและไม่ได้แต่งแต้มด้วยความสดใสอีกต่อไปแล้ว
 
ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว...


 
                3 วันแล้ว...
 
เป็น 3 วันที่อริญชย์หลบหน้าวินท์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาอริญชย์ไม่มารับรวมทั้งไม่ไปส่งวินท์เหมือนเดิม  กลายเป็นเบนที่เข้ามารับหน้าที่นั้นแทนโดยไม่ได้ร้องขอ แม้จะพยายามโทรหาอริญชย์ก็ไม่รับ  ไลน์ไปกี่ร้อยข้อความอริญชย์ก็ไม่ตอบ  แม้แต่เจอกันที่โรงเรียนอริญชย์ก็ไม่มองเขาเลย ต่อให้ร้องเรียกยังไงอริญชย์ก็ทำราวกับวินท์เป็นอากาศธาตุ
 
ไร้ตัวตน...
 
คลื่นความน้อยใจประเดประดังเข้ามาในหัวใจ
 
อริญชย์ใจร้าย...แม้พยายามจะพูดจาด้วยเท่าไหร่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการเดินหนี ต่อให้ยิ้มให้จนปากแทบฉีกหรือตะโกนเรียกจนสุดเสียงอริญชย์ก็ทำเพียงมองเลยเฉยเมินและเดินผ่านไป
 
ในที่สุดด้วยทิฐิสุดท้ายทั้งสองคนก็ทำเหมือนไม่รู้จักกัน  แม้บางครั้งวินท์จะต้องแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นตรงหางตาแต่ก็ข่มใจไว้ไม่เอ่ยทักทายหรือโทรไปหาอริญชย์อีกเลย
 
พร้อมๆกับที่เบญจ์กลับเข้ามาถามเรื่องที่พูดไว้คืนนั้นอีกครั้ง คลื่นความน้อยใจที่สาดซัดทำให้วินท์ตกลงที่จะคบหากับเบน  ข่าวนี้กระจายไปในหมู่นักเรียนเพราะเบนเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆในโรงเรียน
 
แน่นอน อริญชย์ก็ได้ยินเรื่องนี้...จิตใจเด็กหนุ่มบอบช้ำราวเศษกระดาษที่ถูกฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาผิดเองที่ขี้ขลาด เขาผิดเองที่ประเมินค่าตัวเองจนต้อยต่ำ ยามเมื่อเห็นวินท์เดินควงคู่ไปกับเบนมันดูดีเสียจนเขายอมแพ้
 
ยอมแพ้แม้จะยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
 
วินท์ควรได้คบกับคนที่คู่ควรที่ดีกว่าเขา  ทุกวันทนหลบหน้าวินท์ด้วยความขมขื่นใช้เพียงของสิ่งนั้นสร้างความสุขชั่วครั้งชั่วคราวในที่สุดอริญชย์ก็เสพติดภาพมายาพวกนั้นจนโหยหาที่จะมีมันในทุกค่ำคืน จากอาทิตย์ละครั้งแปรเปลี่ยนเป็นวันละครั้ง กว่าจะรู้สึกตัวเขาก็ขาดมันไม่ได้ซะแล้ว
 
อริญชย์สามารถอยู่ใกล้ชิดภาสวินท์ในฐานะคนรักเพียงแค่ใช้มัน เท่านั้นโลกใบนี้ก็ไม่มีใครก้าวเข้ามาได้ถ้าเขาไม่อนุญาต
 
ฝ่ายวินท์เองก็ใช่ว่าจะตัดใจเมินเฉยอริญชย์ได้ลง บ่อยครั้งที่แอบไปถามไถ่เรื่องราวของคนตัวสูงจากเพื่อนๆทั้งสามคนได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้างแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ตัวเองคิดห่วงโดยไร้จุดหมาย
 
อริญชย์ซูบผอมลงทุกวัน ถุงใต้ตาขึ้นสีคล้ำจากคนที่ไม่สดใสอยู่แล้วตอนนี้อริญชย์โทรมลงไปจนสังเกตได้
 
วันเวลาเคลื่อนผ่านจากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เคลื่อนไปเป็นเดือนในที่สุดการสอบปลายภาควันสุดท้ายก็จบลง ในที่สุดวินท์ก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง ร่างบางส่งข้อสอบเสร็จก็รีบสาวเท้าไปยังห้องของอริญชย์  มองเข้าไปก็เห็นอริญชย์นั่งทำข้อสอบไปหาวไป ผิวของอริญชย์ซีดมากกว่าเดิม ปกติอริญชย์ก็ขาวจัดอยู่แล้วแต่นี่ผิวของอริญชย์แทบไม่มีสีเลือดเลยด้วยซ้ำ ราว 20 นาที อริญชย์ก็ลุกเอากระดาษคำตอบไปส่ง  ร่างสูงชะงักเมื่อเห็นวินท์ยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง  เดินเบี่ยงตัวเพื่อจะไปหยิบกระเป๋าของตัวเองแต่กลับถูกวินท์จับข้อมือไว้
 
                “จะเอาอย่างนี้จริงๆเหรอริญชย์?”กระชับแขนเล็กซีดเซียวนั้นไว้เมื่ออริญชย์ดึงดันจะดึงออก
 
                “เราจะเป็นอย่างนี้กันจริงๆเหรอริญชย์?”
 
                “ปล่อยเถอะเดี๋ยวแฟนมึงมาเห็นมันจะเข้าใจผิดเอา”น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาโดยไม่มองหน้า อริญชย์คว้าข้าวของ ของตัวเองเดินออกมาโดยไม่สนใจจะหันไปมองวินท์ที่ก้าวยาวๆตามมา ที่สุดเมื่อลับตาคนวินท์ก็รีบเดินไปขวางหน้าอริญชย์ไว้
 
                “ที่มันเป็นแบบนี้มันเกิดจากอะไรอ่ะริญชย์ เราไม่เข้าใจ  เราทำผิดอะไรริญชย์ถึงเมินเรา  หรือริญชย์โกรธที่เราคบกับพี่เบน ริญชย์บอกเราสิเราจะได้แก้ไขให้”อริญชย์ขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย ยิ่งคนตรงหน้าน้ำตาคลอเบ้าเขาก็ยิ่งหงุดหงิด
 
                “แก้ไข? มึงจะแก้ไขอะไรเหรอ?”
 
                “ก็เรื่องที่ทำให้ริญชย์ไม่พอใจเรา เรื่องที่ทำให้ริญชย์โกรธเรา ริญชย์บอกมาสิว่าเรื่องไหนไม่ใช่ทำแบบที่ผ่านๆมา เราจะตายอยู่แล้วนะริญชย์”อริญชย์มองภาสวินท์ที่ทำท่าจะร้องไห้ใจของเขาก็กระตุกวูบ แต่เหตุการณ์บนรถของเบนคืนนั้นมันติดตา ไหนจะเรื่องที่วินท์ยอมตกลงคบกันเบนก็ยังติดอยู่ในใจ
 
                “ถ้าบอกให้มึงเลิกกับมันจะได้มั้ย?”คำถามเห็นแก่ตัวถูกเปล่งออกไป  วินท์ชะงักการกระทำราวกับถูกสะกดให้ยืนนิ่ง
 
                “ถ้าบอกให้มึงยกกูเป็นที่หนึ่งมึงจะทำได้มั้ย?”
 
                “...”
 
                “ถ้าบอกให้มึงเห็นกูสำคัญที่สุดมึงทำได้หรือเปล่า?”
 
                “...”
 
                “ตอนนี้กูคงไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของมึงแล้ว มึงคบกับเขาแล้วทั้งๆที่กูแสดงออกชัดเจนแล้วมึงจะเอากูไปเก็บไว้ตรงไหนวะวินท์?”
 
                “...”
 
                “กูไม่พูดใช่ว่ากูไม่รู้สึก  กว่ากูจะรู้ตัวว่าชอบมึงเกินเพื่อนกูก็เสียมึงให้มันไปแล้ว กูแพ้เพราะกูมันโง่เองกูมันขี้ขลาดเองแค่จะบอกว่ารักมึงกูก็ยังไม่กล้ากูถึงต้องคอยหลบหน้ามึงไงเพราะกูกลัว กลัวว่าวันหนึ่งก็จะทนไม่ไหวไปแย่งมึงมาจากมัน มึงไม่รู้หรอกว่ากูต้องแอบตามมึงไปที่ห้างทุกวัน กูกลัวมึงหลงหาทางกลับบ้านไม่ถูกแต่รู้มั้ยกูเจออะไร?”
 
                “...”
 
                “กูเจอมันที่ดูแลมึงได้ดีกว่ากูไง ในขณะที่กูพามึงขึ้นรถเมล์ถูกๆ แต่มันมีรถยนต์ไปรับไปส่งมึงไม่ต้องไปยืนโหนยืนเบียดกับใคร เวลาไปกินข้าวมันพามันเข้าร้านดีๆส่วนกูอย่างมากก็ทำได้แค่ก๋วยเตี๋ยวข้างทางหรือไม่ก็ฟู๊ดคอร์ด กูได้แต่บอกตัวเองทุกวันว่าพอเถอะ  เลิกเอาตัวไปอยู่ใกล้มึง ให้มึงได้ใช้ชีวิตดีๆตามแบบของมึงไป  ให้เราห่างกันแบบนี้มันคงจะดีกับตัวของมึงเอง  ดีกว่าต้องมารองรับอารมณ์เหี้ยๆของกู นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่คนอย่างกูจะให้มึงได้”
 
                “เคยถามเราบ้างมั้ย?”วินท์ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่คิดจะกลั้นมันอีกแล้ว
 
                “เคยถามเราบ้างมั้ยว่าเราต้องการความสุขสบายอย่างที่ริญชย์พูดหรือเปล่า?”
 
                “...”
 
                “เคยถามเรามั้ยว่าเราชอบโหนรถเมล์หรือชอบนั่งบนรถหรูๆ เคยถามเรามั้ยว่าเรารู้สึกยังไง เพราะอะไรเราถึงตกลงคบกับพี่เบนรู้มั้ยริญชย์  เพราะเขาใส่ใจเราไง ก่อนจะทำอะไรเขาถามเราตลอดว่าอยากทำนั่นมั้ยอยากไปไหน อยากทำอะไร วันที่ริญชย์เมินใส่เรา วันที่ริญชย์ทำเหมือนเราไม่มีตัวตน คนที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกมีค่าคือเค้า แล้วแบบนี้เราคบกับเขาเพราะความดีของเขาเราผิดเหรอ  เรารู้จักกันมาตั้งแต่ 9 ขวบ ริญชย์มีโอกาสมากกว่าเขาตั้งมากแต่ริญชย์กลับไม่เคยพูดให้เราได้รู้เลยว่าริญชย์รู้สึกยังไงกับเรา ปล่อยให้เรารู้สึกดีไปเองว่าริญชย์คงจะชอบเราบ้าง ฮึก...จะให้เราทำยังไง เราปฏิเสธพี่เค้าไม่ได้เพราะเราเองก็ขี้ขลาดเหมือนกัน เรากลัวว่าเราจะไปทำร้ายจิตใจคนที่ดีกับเราโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เราก็ไม่มีริญชย์ไม่ได้ เราคิดถึงริญชย์นะ”อริญชย์คว้าตัวคนที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นมากอดไว้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
 
เพราะอายุยังน้อย เพราะยังไม่รู้เดียงสา จึงไม่รู้ความรู้สึกตัวเองว่าที่ผ่านมาคนทั้งคู่ก้าวข้ามความรู้สึกรักแบบเพื่อนสนิทมาได้ซักพักแล้ว
 
ต่อให้ตอนนี้อยากจะสานต่อก็พบทางตันจนเกินจะฝืนเดิน
 
                “ก็ได้...เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม  ยังไงเทอมหน้าเราก็คงไม่ได้เจอกันตลอดแบบเมื่อก่อนอยู่ดี มึงคบมันก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ดูแลมึงแทนกู”ลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างคนตัดใจ  ปล่อยให้น้ำตาตัวเองรินไหลออกมาเงียบๆ
 
ให้เขาตัดใจจากวินท์ก็ทำไม่ได้ ให้เก็บไว้ข้างตัวแบบเดิมอย่างคนเห็นแก่ตัวก็ทำไม่ลง
 
วินท์ควรได้ไปพบเจออะไรที่ดีๆกว่าคนอย่างเขา
 
ชีวิตของเขาตอนนี้ไม่มีทางขึ้นที่สูงไปยืนเคียงข้างวินท์ได้อีกแล้ว...
 
อริญชย์และวินท์เดินเข้ามาในบริเวณโรงอาหารหลังจากปรับความเข้าใจกันได้ สายตาหลายคู่จ้องมองมาที่คนทั้งสองอริญชย์รู้สึกหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด  วินท์แกล้งทำเป็นเอาหูทวนลมไปเสียเพราะรู้ดีว่าเขาเองนั่นแหล่ะที่เป็นต้นเหตุให้คนมองและนินทา
 
                “อริญชย์นั่งตรงนี้นะ เดี๋ยวเราไปซื้อข้าวมาให้”วินท์วางกระเป๋าหนังสือของตัวเองให้อริญชย์ดูแลก่อนจะเดินไปเลือกซื้ออาหารกลางวัน  จานข้าวที่ราดกับมาจนเต็มจานถูกวางด้านหน้าของอริญชย์ เด็กหนุ่มมองก่อนจะเมินไป  เขาไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากกินข้าวไม่รู้สึกอยากอาหาร
 
                “ทำไมอ่ะอริญชย์ ไม่หิวเหรอ?”
 
                “อือ ไม่อยากกิน”
 
                “ไม่สบายหรือเปล่าหน้าซีดๆด้วย”เอื้อมมือมาแตะหน้าผากด้วยความเคยชินแต่อริญชย์กลับเอนตัวหนี ขายาวสั่นอย่างคนพยายามระงับอาการบางอย่างที่กำลังตีตื้นขึ้นมา
 
                “งั้นกินนมเนอะรองท้องซักหน่อยเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ”พูดเสร็จก็ใช้หลอดเจาะนมให้เสร็จสรรพ อริญชย์รับมาถือไว้ก่อนจะกินเพื่อไม่ให้วินท์เสียน้ำใจ  ฝืนกินได้ไม่ถึงครึ่งกล่องก็วางเพราะอาการบางอยากตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอจนอยากจะขย้อนออกมาแต่ก็ยังอดทนไว้
 
                “วินท์ มีลูกอมหรืออะไรหวานๆให้กินมั่งมั้ย?คนตัวเล็กวางช้อนส้อมก่อนจะคุ้ยหาในกระเป๋า ลูกอมยี่ห้อดังถูกส่งไปให้ อริญชย์รับมาแกะมือไม้สั่นเทายัดเข้าปากแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร่ดอร่อย สีหน้าของอริญชย์ดีขึ้นเมื่อได้รับน้ำตาลเข้าร่างกาย อาการอยากยาเบาลงจนควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
 
                “เย็นนี้ริญชย์จะไปกับเรามั้ย?”หันมาถามคนที่เดินมาส่งที่ห้อง  อริญชย์ส่ายหน้าก่อนจะหยุดเดิน
 
                “ไปกับแฟนมึงนู่น กูมีธุระกับไอ้แมนไอ้จินไอ้อ้นแล้ว”พูดจบก็ผลักร่างของวินท์ให้เดินไปข้างหน้า ไปในทิศทางที่เบญจ์ยืนรออยู่
 
แม้จะต้องปวดหัวใจ แต่อริญชย์คิดดีแล้ว
 
ไม่เป็นไรหรอกปล่อยวินท์ให้ไปเจอคนดีๆ ส่วนอริญชย์จะไปพบวินท์ในฝันเอง
 
ไม่เป็นไรจริงๆ...
 
 
 
.................................
 
ชีวิตมันก็อย่างนี้แหล่ะเนอะ กกว่าจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างรออยู่
 
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจนะคะ
 
รักจริงๆไม่ติงนัง
 

อริญชย์ของเราเสพติดความสุขเสียแล้วสิ...จะทำยังไงดี

รู้ตัวว่ารักวินท์ก็ต่อเมื่อมีใครอีกคนหนึ่งเข้ามาแล้วจะมีประโยชน์อะไรมั้ยอ่ะ  ทำไมก่อนหน้านี้มีโอกาสกลับไม่พูดออกไป จับตีซักทีดีมั้ย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 22:31:33 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
               


               “แม่...ที่วิทยาลัยจะพาไปออกค่ายต้องใช้เงินริญชย์ขอเงินเพิ่มได้มั้ยแม่?”อริญชย์กรอกเสียงเข้าในไปโทรศัพท์ ท่าทีลุกรี้ลุกรนมองรอบข้างด้วยดวงตาเลิกลั่ก
 
                “วันก่อนแม่เพิ่งโอนให้ริญชย์ไปเองนะลูก ทำไมหมดไวจัง”คนเป็นแม่เอ่ยถามอย่างแปลกใจ หล่อนเพิ่งโอนค่าอุปกรณ์การเรียนที่ลูกชายเอ่ยปากร้องขอ
 
อรดารู้สึกว่าช่วงนี้อริญชย์ใช้เงินเยอะมาก  เมื่อก่อนลูกชายแทบไม่เคยขอเงินเธอเลย เงินที่เคยให้ก็ยังมีเหลือเก็บ แต่ล่าสุดที่โทรถามลูกอริญชย์ใช้เงินเก็บเหล่านั้นหมดไปแล้ว
 
                “โธ่แม่ ก็ริญชย์จำเป็นต้องใช้นี่”เสียงลูกชายติดจะตะคอกบ่งบอกว่าเริ่มที่จะไม่พอใจ เสียงพ่นลมหายใจฟึดฟัดปนเสียงสบถทำให้คนเป็นแม่ต้องรีบตอบกลับอย่างเอาใจ สองเดือนมานี้อริญชย์อารมณ์แปรปรวนจนเธอตามไม่ทัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแต่หญิงสาวก็แทบจะไม่มีเวลามาดูลูกเลย เธอต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพราะค่าใช้จ่ายของอริญชย์มากขึ้นทั้งค่าหอพักค่าเล่าเรียนค่ากินอยู่และสารพัดกิจกรรมที่ลูกชายโทรมาบอก
 
                “เอาๆ เอาเท่าไหร่ก็บอกแม่มาเดี๋ยวแม่โอนให้”นั่นแหล่ะอริญชย์ถึงจะอารมณ์ดีพอจะคุยกับนางแบบดีๆได้บ้าง
 
อะไรหนอทำให้ลูกชายของเธอเปลี่ยนไป
 
ยามอารมณ์ดีอริญชย์นั้นแสนจะออดอ้อนคนเป็นแม่ โทรมาหาแต่ละครั้งชวนคุยให้คลายเหงาเป็นพลังบวกเพียงหนึ่งเดียวของคนเป็นแม่ แต่เดี๋ยวนี้นอกจากอารมณ์ฉุนเฉียวบ่อยยามที่ไม่ได้ดั่งใจ น้ำเสียงนุ่มนวลที่ลูกชายเคยมีให้กลับแข็งกระด้าง  โทรมาหาก็มีแต่ขอเงิน
 
หล่อนรู้แค่ว่าลูกชายกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่กลับไม่มีเวลามากพอที่จะไปดูแลใกล้ชิด ลูกอาจจะไปคบค้ากับเพื่อนที่เกเร แต่หล่อนก็ยังมั่นใจว่าลูกชายผู้แสนดีของหล่อนจะเล็งเห็นถึงความลำบากของคนเป็นแม่จะไม่เดินออกนอกลู่นอกทาง
 
อริญชย์วางสายหลังจากคุยกับแม่อีก 2-3 ประโยค ชายหนุ่มรื้อค้นหาของตามกระเป๋าเสื้อด้วยมืออันสั่นเทา ซองกระดาษเล็กๆหล่นจากกระเป๋าเสื้อช็อป อริญชย์รีบหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แม้มือจะสั่นมากจนแทบจะควบคุมไม่อยู่แต่เด็กหนุ่มก็พยายามตั้งสติ  ช้อนสแตนเลสถูกน้ำมารองรับผงสีขาวก่อนจะเติมน้ำลงไปและสุดท้ายมือเรียวก็จุดไฟเทียนลนใต้ล่างเมื่อทุกอย่างพร้อมเข็มฉีดยาก็ถูกนำออกมาเตรียมพร้อมหยิบ Tourniquets (สายยางสำหรับรัดแขน)  มารัดต้นแขนของตัวเอง ดูดของเหลวในช้อนเข้าไปใช้สายตาคมจ้องมองละอองอากาศที่ไล่ออกจากเข็มก่อนจะค่อยๆทิ่มมันลงไปตรงบริเวณเส้นเลือดใหญ่ยามเมื่อปลดสายรัดแขนออกจนตัวยาเดินเข้าเส้นเลือด ร่างกายของชายหนุ่มก็เกิดอาการเกร็งด้วยความเสียวซ่านก่อนดวงตาจะเลื่อนลอย
 
เดินทางเข้าสู่ความสุขอันแสนโสโครกอีกครั้ง
 
ตัดขาดจากโลกภายนอก
 
เขาเดินทางมาไกลเกินกว่ากัญชาจะช่วยสร้างความสุขให้แล้ว
 
อริญชย์ใช้กัญชามาครึ่งปีในการสร้างความสุขในที่สุดความสุขที่ได้รับนั้นมันไม่พอ เขาต้องการความสุขที่มากกว่านั้น
 
                “ถ้ามึงอยากได้กูจะให้มึงลอง”เป็นแมนที่ยื่นผงสีขาวให้เขา คราวแรกที่ได้รับมาอริญชย์ปฏิเสธ เขารู้โทษของมันดี
 
อริญชย์ไม่ได้ต้องการเสี่ยงขนาดนั้น
 
                “มึงไม่ต้องกลัวหรอกถ้าใช้มันพอดีมึงไม่ตายหรอกพวกกูก็เล่นมาซักพักแล้ว”อ้นบอกกลับมา ในขณะที่จินนั่งซึมเหม่อไม่สนใจใคร
 
ในที่สุด อริญชย์ก็พาตัวเองกระโดดลงสู่หลุมดำของควานมืดมน
 
กว่าจะรู้ตัวเขาก็ติดมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เสพ และเงินที่มีทั้งหมดถูกละลายไปกับเฮโรอีน...
 
ย้อนกลับไม่ได้แล้ว…
 
 


 
                “วินท์  วันนี้ตอนเย็นพี่ติดประชุดสภานักเรียนอ่ะทำไงดี”เบนทำหน้ามุ่ยเมื่อเย็นนี้เขาไม่สามารถไปส่งวินท์เพื่อไปเรียนพิเศษได้  ภาสวินท์ในตอนนี้เรียนมัธยมปลายแล้ว คนตัวเล็กกว่าส่งยิ้มไปให้พลางส่ายหน้า
 
                “ไม่เป็นไรหรอกพี่เบนเดี๋ยวผมไปเองได้พี่ไปประชุมเถอะ”
 
                “แต่พี่อยากไปส่งเรานี่นา”
 
                “ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ต้องให้ผู้ปกครองไปรับไปส่งแล้วนะครับ นี่ใคร ภาสวินท์ไงดูแลตัวเองได้สบายมาก”ว่าพลางทำท่าเบ่งกล้ามให้เบนดูด้วยใบหน้าทะเล้น เบญจ์ยีผมคนตรงหน้าด้วยความหมั่นเขี้ยว
 
ครึ่งปีแล้ว...ครึ่งปีที่วินท์คบกับเบน
 
เป็นครึ่งปีที่แสนจะยาวนานเสียเหลือเกินในความรู้สึก  หลังสอบเสร็จอริญชย์ก็หายไป แม้จะพยายามติดต่อเท่าไหร่สุดท้ายวินท์ก็คว้าน้ำเหลว  อริญชย์เปลี่ยนเบอร์โทร  ลบไลน์ทิ้ง  อริญชย์ไม่เคยมาหาวินท์อีกเลย คนตัวสูงทำราวกับว่าได้ลบตัวเองออกจากชีวิตของเขาโดนสมบูรณ์
 
ทั้งๆที่บอกกับเขาเองว่าจะทำตัวเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนอันยาวนานจะไม่แปรเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายอริญชย์ก็โกหก ชายหนุ่มหายไปตั้งแต่วันนั้นและไม่กลับมาหาวินท์อีกเลย
 
ไม่ว่าจะถามใคร หรือจะไปตามหาที่บ้านของแมน จิน หรืออ้น วินท์กลับไม่เคยพบ แถมเพื่อนทั้งสามคนก็ไม่ยอมบอกอะไรไปมากกว่าอริญชย์ไม่อยากเจอวินท์อีกแล้ว เพื่อนทั้งสามคนเลิกที่จะไม่คุยกับวินท์เช่นเดียวกัน ความหวังเดียวของวินท์คือถามแม่ของอริญชย์แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ
 
                “น้าขอโทษนะจ๊ะวินท์ แต่อริญชย์กำชับน้าไว้ว่าอย่าบอกวินท์ว่าอริญชย์อยู่ที่ไหน”
 
ในที่สุดภาสวินท์ก็ถูกผลักออกจากโลกของอริญชย์โดนสมบูรณ์แบบ
 
ถูกผลักออกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สาเหตุเลยด้วยซ้ำ  หลายครั้งที่นึกถึงรอยยิ้ม สัมผัสอบอุ่นที่อริญชย์เคยมีให้  ใจของวินท์ก็กระตุกวูบ
 
คิดถึง...คิดถึงจนแทบบ้า
 
ภาสวินท์เคยหวังว่าวันหนึ่ง อาจจะ 1 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ 3 อาทิตย์ หรืออย่างมากก็ 1 เดือน อริญชย์จะกลับมาหาตนแต่เปล่าเลย อริญชย์ไม่กลับมาอีกเลย
 
ภาสวินท์ที่เคยใช้ชีวิตโดยมีอริญชย์คอยดูแลมาตลอดไม่มีอีกแล้ว
 
เด็กหนุ่มเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง  ภาสวินท์ใช้เวลาในการนั่งรถเมล์ไปกลับตามที่ต่างๆเกือบหนึ่งเดือนเต็ม
 
ครั้งแรกเขานั่งรถหลงเลยป้ายไปไกลสถานที่ไม่คุ้นตาทำให้เขาใจเสียจะโทรหาอริญชย์สุดท้ายวินท์ก็คิดได้ว่าอริญชย์ไม่ได้อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว
 
อริญชย์อาจจะอยากสอนให้วินท์ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เขาพึ่งพาคนอื่นมากเกินไปจนกลายเป็นว่าแม้แต่เรื่องง่ายๆกลับดูแลตัวเองไม่ได้
 
ภาสวินท์เพิ่งเข้าใจในวันนั้นว่าที่ผ่านมาอริญชย์ดูแลตัวเองดีแค่ไหน ภาสวินท์เพิ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาเพราะมีอริญชย์ตัวเองจะทำตัวเอาแต่ใจ ดื้อดึง หรือพึ่งพาอริญชย์ยังไงก็ได้โดยไม่สนใจจะเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเองซักครั้ง เพียงเพราะคิดว่ายังไงอริญชย์ก็ไม่มีทางปล่อยให้วินท์ต้องลำบาก
 
ภาสวินท์เพิ่งเข้าใจในวันนั้นที่ผ่านมาแม้อริญชย์จะไม่เคยพูดออกมาซักครั้งว่ารักแต่การกระทำกลับบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจของคนปากร้าย
 
กลายเป็นภาสวินท์นั่นเองที่โง่เอง โง่ที่ดูไม่ออก โง่ที่ใช้คำว่าเพื่อนมาเป็นเหตุผลสรุปการกระทำของอริญชย์
 
กว่าจะรู้ว่าเขาเองก็รักอริญชย์และอริญชย์ก็รักเขาคนๆนั้นก็หายไปแล้ว
 
                “วินท์...”เบญจ์ส่งเสียงเรียกเมื่อคนตรงหน้ายืนเหม่อราวกับลืมว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ วินท์กระพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่รื้นตรงขอบตาก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เบน
 
ยิ้มของวินท์ยังคงสดใสเสมอ
 
แต่เจ้าตัวคงไม่รู้เลยว่าสายตาที่ส่งมาให้นั่นน่ะเศร้าเพียงใด
 
                “อะไรเหรอครับ”
 
                “คิดถึงอริญชย์เหรอ?”เอ่ยถามออกไปทั้งๆที่ในใจรู้คำตอบอยู่แล้ว  เป็นอีกครั้งที่วินท์ส่งยิ้มเศร้าๆเป็นคำตอบ
 
                “กี่เดือนแล้วนะที่ติดต่อไม่ได้”
 
                “ครึ่งปีแล้วครับ”
 
                “ถ้าพี่เจอหน้าไอ้เด็กนั่นพี่จะต่อยหน้ามันซักทีโทษฐานมาทำให้วินท์บอกเลิกพี่แล้วดันหายหัวไปซะงั้น ไอ้เด็กเลว”คำบ่นงุ้งงิ้งของเบนทำให้วินท์หลุดขำ เบญจ์กลายเป็นคนเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างวินท์แม้ว่าคนตัวเล็กจะกระทำการทำร้ายจิตใจ
 
หลังจากรู้ความรู้สึกของตัวเองแล้ววินท์ก็ตัดสินใจที่จะทำอะไรๆให้มันซัดเจน
 
สำหรับเบนแล้ววินท์รู้สึกดีด้วย เพราะเบนเป็นคนดี คุยด้วยแล้วสบายใจเป็นคนที่มอบพลังบวกให้กับคนรอบข้าง เป็นคนที่วินท์รักแต่ความรักที่วินท์มีให้เบนนั้นความรู้สึกช่างแตกต่างกับที่รู้สึกกับอริญชย์
 
ความรักที่วินท์มีใครอริญชย์มันลึกซึ้งและติดตรึงในหัวใจ
 
ยามไม่เจอหน้าก็คิดถึง  ใบหน้าของอริญชย์ติดตรึงในหัวใจตลอดเวลา
 
ต่างกับเบน ความรู้สึกที่มีให้เบนเหมือนๆกับที่วินท์มีให้กับน้องชาย
 
สำหรับวินท์แล้วความรักที่มีให้กับเบนนั้นคือความรักที่น้องชายคนหนึ่งจะพึงมีให้กับพี่ชายได้
 
เด็กหนุ่มในวันนั้นเอ่ยคำบอกเลิกทั้งน้ำตา
 
คนอย่างเบนไม่ควรต้องมาเสียใจเพราะเด็กกะโปโลอย่างเขา คำขอโทษถูกเอ่ยซ้ำๆเบญจ์นอกจากไม่ด่าเขาพี่ชายตัวสูงยังปลอบใจเขา
 
                “คิดไว้แล้วล่ะว่าซักวันต้องมีวันนี้ ไม่ต้องร้องไห้หรือรู้สึกผิดนะ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ดีแล้วล่ะที่ภาสวินท์รีบมาบอกพี่ พี่จะได้ตัดใจได้ทัน แต่ห้ามเลยนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วก็ห้ามหายไปจากพี่ ห้ามเมินพี่ขอให้พี่ยังได้ดูแลวินท์ต่อไปในฐานะพี่ชายได้หรือเปล่า”คำขอร้องที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลยของอยอนบินยิ่งทำให้ภาสวินท์รู้สึกผิด เขาไม่ควรดึงรุ่นพี่ตัวสูงเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือประชดอริญชย์เลย
 
เพราะความน้อยใจและความคิดชั่ววูบว่าถ้าหากคบกับเบน อริญชย์คงหวงและกลับมาคุยกับเขาแต่ทุกอย่างมันไม่เป็นตามนั้นเลยเมื่ออริญชย์ไม่กลับมาเขายังจะดึงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเจ็บกับเกมส์ครั้งนี้อีก
 
ภาสวินท์ไม่ควรเอาความรู้สึกของใครมาเป็นเครื่องมือเป็นการกระทำที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 
สุดท้ายอริญชย์ไม่กลับมา วินท์ก็เจ็บ เบนก็เจ็บ เจ็บกันทุกทาง...
 


                หลังเลิกเรียนวินท์นั่งคุยโทรศัพท์กับเจ้าน้องชายที่อายุห่างกับสิบปี ภากรโทรมาอ้อนให้พี่ชายซื้อไก่ทอดกลับไปให้ วินท์ตอบรับอย่างตามใจ ก็เขามีน้องน้อยเพียงแค่คนเดียวไม่รอให้น้องต้องรอนานร่างบางก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในร้านไก่อดชื่อดัง สั่งเซ็ตใหญ่กลับบ้านแล้วรอรับออเดอร์ของตัวเอง วางสายจากน้องแล้วนั่งเล่นโทรศัพท์คุยกับเบนที่ส่งไลน์มาบ่นว่าเบื่อเรื่องการประชุม  วินท์หลุดหัวเราะเมื่อเบนส่งรูปหน้าที่ง่วงเต็มทีพร้อมทำปากเบะมาให้
 
เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเมื่อพนักงานขานเรียกให้ไปรับออเดอร์ ร่างโปร่งเดินออกมารอรถเมล์ที่หน้าห้าง ตอนนี้เขาใช้บริการรถสาธารณะคล่องแล้วรอเพียงไม่นานสายที่รอก็มาจอดเด็กหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกที่ยังมีที่ว่างเหลือพอให้นั่งร่างบางวางสัมภาระของตัวเองไว้บนตักรูดซิปกระเป๋ากะว่าจะหยิบชีทเรียนขึ้นมาอ่านรถเคลื่อนออกจากป้ายไปจนจอดติดไฟแดงวินท์ละสายตาเพื่อดูว่าถึงไหนแล้วพลันก็เห็นใครคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซท่ามกลางผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา ร่างของใครบางคนที่คุ้นชิน ภาสวินท์ผงะกับภาพนั้น เด็กหนุ่มเกาะกระจกรถมองอย่างไม่เชื่อสายตา แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนวินท์ก็จำแผ่นหลังของอริญชย์ได้ เด็กหนุ่มรวบข้าวของๆตัวเองเพื่อจะลง แต่เพราะยังไม่ถึงป้ายรวมทั้งยังเป็นไฟแดงพนักงานขับรถไม่ยอมเปิดประตูให้ วินท์มองภาพอริญชย์ก้าวเท้าจากไปอย่างช้าๆด้วยหัวใจแสนร้อนรน ทันทีที่รถโดยสารเทียบป้ายถัดไปภาสวินท์ก็ออกวิ่งสุดกำลัง
 
อย่าเพิ่งไปไหนไกลเลยนะอริญชย์
 
ขอร้องเถอะ  ได้โปรดเดินให้ช้าลง
 
ได้โปรดรอเขาจะได้มั้ย?
 
แต่เหมือนคำขอร้องของภาสวินท์จะยังดังไม่พอ  เมื่อวิ่งมาถึงจุดที่เห็นอริญชย์เมื่อครู่นี้  ร่างสูงก็หายไปแล้ว เขาทำอริญชย์หายไปอีกแล้ว...
 
 ((ต่อข้างล่าง))

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

                อริญชย์พาร่างกายสั่นเทาเพื่อจะกลับมายังหอพัก ความเหน็บหนาวราวกับถูกน้ำแข็งเกาะตามกล้ามเนื้อแช่แข็งไปถึงกระดูกกำลังสร้างความทรมานให้กับเขา
 
อาการขาดยากำลังเล่นงานเด็กหนุ่มอย่างเจ็บแสบชายหนุ่มสูดน้ำมูกแรงๆติดกัน หลบตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาฃ
 
คนพวกนี้น่ากลัว สายตาที่มองมาที่เขาเหมือนกำลังคิดจะเข้ามาทำร้ายเขา อริญชย์ใช้แขนกอดตัวเองไว้ไม่ให้ร่างกายสั่นมากไปกว่านี้ ริมฝีปากคล้ำพร่ำพูดซ้ำๆด้วยคำเดิม
 
                “อย่ามายุ่งกับกู  อย่ามายุ่งกับกู”ดวงตากลมหลุกหลิกหวาดระแวงไม่โฟกัสไปตามทางที่เดินซักนิด
 
ภาพหลอนในหัวของอริญชย์คือคนทุกคนรอบกายพร้อมจะเข้ามาทำร้ายเขา  พวกฝูงซอมบี้ที่น่ารังเกียจ ที่สุดเมื่อทนไม่ไหวเด็กหนุ่มก็ร้องออกมาอย่างหวาดกลัวพลางวิ่งหนีไปก่อนที่วินท์จะมาถึงเพียงไม่กี่วินาที...
 
อริญชย์พาร่างกายแสนหนาวสั่นหลบเข้ามาในตรอกแคบๆ  เด็กหนุ่มน้ำหูน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้  ทรุดตัวล้มลงกับพื้นคอนกรีตนิ้วมือนิ้วเท้าเกร็งจนรู้สึกปวด เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนกับพื้นร้องไห้อย่างเจ็บปวด
 
เขากำลังทรมานกับการขาดยา อริญชย์พาร่างกลับออกมาจากบ้านของแมนเพราะเพื่อนสนิทไม่อยู่บ้าน  หอบหายใจแรงจนรู้สึกเหนื่อย ส่งเสียงครางจากความเจ็บปวด
 
                “แม่...ม...แม่...อึก...แม่ช่วยริญชย์ด้วย แม่ครับ...ริญชย์ปวด” อริญชย์นอนดิ้นอยู่กับพื้นอย่างทรมานความหนาวเหน็บกำลังกัดกินทุกอณูผิวเจ็บปวดจนแทบขาดใจดวงตาปิดแน่นจนไม่สังเกตถึงการมาของใครอีกคน
 
                “ริญชย์!!!”วินท์ทิ้งทุกสิ่งที่อย่างในมือก่อนจะรีบไปประคองตัวที่สั่นเทิ้มราวลูกนกที่กำลังเปียกฝนของอริญชย์ เหงื่อของร่างสูงชุ่มโชกดวงตาแดงก่ำค่อยๆปรือขึ้น
 
ทั้งๆที่ยังไม่ได้เสพยาและกำลังทุกข์ทรมานแท้ๆ แต่ทำไมวินท์กลับเข้ามาอยู่ในความฝันของเขาเสียแล้วล่ะ
 
                “วินท์...ช่วยด้วย..วินท์ ช่วยริญชย์ด้วย ริญชย์หนาว”เอ่ยคำร้องขออย่างแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงออกไป ภาสวินท์ร้องไห้อย่างเสียขวัญกับอาการของอริญชย์เด็กหนุ่มกอดร่างผอมบางนั้นไว้ไม่รังเกียจความสกปรกของร่างกายซูบผอมนั้น  น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินจากดวงตาของตนเองหล่นลงไปกระทบผิวหน้าหยาบกร้านนั้น
 
ภาสวินท์ไม่อ่อนต่อโลกจนดูไม่ออกว่าอริญชย์เป็นอะไร
 
เวลาแค่หกเดือนอริญชย์ของเขากลับเปลี่ยนแปลงทรุดโทรมไปได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอลูบผิวแก้มหยาบกร้านของคนที่เริ่มจะดิ้นไปมาอย่างสงสาร อริญชย์กำลังต่อสู้กับความทรมานของอาการขาดยา ร่างสูงเริ่มโวยวายสลับกับส่งเสียงสะอื้น
 
                “ไม่เป็นไรนะริญชย์ ไม่เป็นไรนะ เราอยู่นี่แล้ว เราอยู่กับริญชย์แล้วนะ”พยายามใช้แรงที่มีกอดกักร่างของอริญชย์ที่กำลังดิ้นแกะมือเขาเตรียมจะหนีไปอีกครั้ง อริญชย์ผลักวินท์ออกจากตัวก่อนจะโก่งคออาเจียนออกมาอย่างหนักวินท์รีบลูบหลังของอริญชย์หยิบขวดน้ำในกระเป๋าเป้ออกมาให้อริญชย์ล้างปาก อริญชย์หายใจอย่างเหนื่อยหอบเจ็บยอกในช่องอดราวกับถูกค้อนทุบเขาเริ่มเรียกสติที่เหลืออยู่น้อยนิดกลับมาแล้วก็พบว่าตัวเองไม่ได้ฝัน
 
รังเกียจ...
 
อริญชย์ลรังเกียจตัวเองที่สกปรกเกินกว่าจะให้วินท์มาแตะต้องสัมผัสตัว ร่างสูงกระเถิบตัวเองไปจนชิดกำแพงเก่าๆแสนสกปรก
 
                “ริญชย์ อย่าหนีเรา ห้ามหนีเราอีกนะ”ยื่นมือจะมาจับแขนแกรนนั้นแต่อริญชย์กลับปัดออกอย่างแรง
 
                “ไป กลับไป อย่ามายุ่งกับกู”เสียงแหบเอ่ยไล่หลบสายตาที่มองมายังตน
 
วินท์ตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆที่เขาเพิ่งจะหนีมาหรอก  น่ากลัว ไม่น่าไว้วางใจ  อริญชย์มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง
 
                “มึงจะเอาตำรวจมาจับกูใช่มั้ย  กูไม่ยอมหรอก อย่ามายุ่งกับกู”อริญชย์ร้องโวยวายเมื่อวินท์พยายามจะมาจับตัวเขาก่อนที่วินท์จะตั้งตัวทันอริญชย์ก็สวนหมัดเข้าที่ใบหน้าจนคนตัวเล็กหงายท้องลงไปนอนกับพื้น ความเจ็บแสบทำให้ต้องใช้มือแตะริมฝีปากของตัวเอง เลือดสีแดงติดปลายนิ้วมาอย่างน่ากลัวอริญชย์พุ่งมานั่งคร่อมวินท์ด้วยความเร็วจนน่ากลัว มือแกร่งคว้าเข้าที่ต้นคอก่อนจะออกแรงบีบ
 
                “มึงจะมาฆ่ากูใช่มั้ย  กูไม่ยอมหรอก  กูจะฆ่ามึง”ชายหนุ่มขยำคอขาวด้วยแรงโทสะ ภาสวินท์ไอโขลกเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ
 
อริญชย์ในตอนนี้ไม่มีสติพอที่จะรับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครภาพหลอนในสมองของอริญชย์ในตอนนี้คือพ่อที่ใช้กำลังทุบตีตั้งแต่เด็กกำลังกร่นด่าพ่นคำหยาบและท้าทายให้เขาฆ่าให้ตายอยู่
 
                “ริญชย์...อย่า ริญชย์ ปล่อยเรานะ นี่เราเองวินท์ไง ริญชย์จำไม่ได้เหรอ?”ภาสวินท์พยายามเรียกสติของอริญชย์กลับมาแต่แรงกดที่คอไม่ได้น้อยลงเลยซักนิด มือเรียวควานหาตามพื้นจนพบกับก้อนอิฐตัดสินใจฟาดลงบนหัวอริญชย์จนคนบนร่างล้มตึงหมดสติลงข้างตัว  วินท์ไอออกมาติดๆกันพลางโกยอากาศเข้าปอดอย่างเหนื่อยอ่อน ล้วงหาโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของอริญชย์ เลื่อนหาเบอร์โทรเบอร์หนึ่งก่อนจะกดออก รอสายไม่นานปลายทางก็รับสาย
 
                “ฮัลโหล แม่เหรอครับ นี่วินท์พูดนะครับ แม่ครับริญชย์พักอยู่ที่ไหนครับ จะพาไปส่ง”
 
 
                อริญชย์ลืมตาขึ้นในสายของอีกวันหนึ่ง ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อความเจ็บแปลบบนหัวเข้าเล่นงานใช้มือแตะดูก็พบว่ามีผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัว  ปรับสายตาให้ชินกับแสงอย่างยากลำบากแล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีใครอีกคนนั่งหลับอยู่ข้างเตียง  กะละมังน้ำและผ้าขนหนูยังวางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ย  ห้องหับสะอาดสะอ้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัดรวมทั้งเนื้อตัวของเขาก็ไม่ได้สกปรกเหมือนเช่นทุกวัน
 
ภาสวินท์มาอยู่ที่นี่ในห้องนี้ได้อย่างไรกัน
 
ชายหนุ่มพยายามทบทวนความทรงจำแต่มันก็ยากเกินไปพยายามเดินลงจากเตียงเพื่อไปหยิบน้ำดื่มแรงยวบบนเตียงเรียกให้คนที่เผลอหลับสะดุ้งตื่น รีบคว้ามือผอมๆนั้นไว้อย่างเร็ว
 
                “จะไปไหน!!”ตวาดเสียงดังอย่างลืมตัวจนอริญชย์สะดุ้งเฮือก
 
                “จะเสียงดังทำไม ตกใจหมดแล้วเนี่ย”ต่อว่าต่อขานคนที่ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อก่อนจะชี้ส่งๆไปที่ตู้เย็น
 
                “หิวน้ำ จะไปกินน้ำ” ภาสวินท์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะกดข้อมือของอริญชย์ลงให้นั่งลง
 
                “รอนี่แหล่ะเดี๋ยวไปหยิบให้”พูดจบก็เคลื่อนตัวไปหยิบขวดน้ำที่เหลือเพียงครึ่งขวดมายื่นให้อริญชย์รับมาดื่มอย่างหิวกระหาย  เมื่อดื่มเสร็จก็โยนมันไปที่มุมหนึ่งของห้องแล้วก็นั่งเบนสายตาไปตรงอื่น ตรงที่ๆไม่มีวินท์อยู่ในกรอบสายตา
 
                “หิวหรือเปล่า”
 
                “...”ภาสวินท์ถอนหายใจให้กับอากัปกริยาเมินเฉยนั้นของอริญชย์
 
                “ถามว่าหิวมั้ย?”
 
                “กลับไป”นอกจากจะไม่ตอบแล้วเจ้าของห้องยังเอ่ยไล่เขาซะอย่างนั้น ภาสวินท์อยากจะเอาไม้แขวนเสื้อตรงผนังมาฟาดคนปากดีให้เข็ดหลาบดูซักที
 
                “ถ้าหิวก็กินไก่ทอดนี่รองท้องไปก่อนนะ จริงๆเวย์ฝากซื้อแต่เมื่อคืนต้องพานายกลับมาที่นี่เลยต้องติดน้องไว้ก่อน”วินท์ทำเป็นเอาหูทวนลมเดินไปหยิบกล่องไก่ทอดที่จะซื้อฝากน้องชายมาวางบนโต๊ะ
 
                “มาที่นี่ถูกได้ยังไง?”เอ่ยถามเมื่อเห็นคนดื้อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
 
                “โทรถามแม่นายไง”ยื่นไก่ชิ้นหนึ่งมาให้อริญชย์เบือนหน้าหนีในทันที เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด เขาอยากอะไรที่มีมูลค่ามากกว่านั้น
 
                “กินรองท้องหน่อยเถอะนะ ถือว่าขอร้อง”
 
                “ไม่หิวไม่อยากกิน”เอ่ยปฏิเสธก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาดุของวินท์
 
ทำไมเขาต้องกลัวก็ไม่รู้  รู้แต่ตอนนี้วินท์น่ากลัวมาก เหมือนคนมีชนักติดหลัง ที่สุดอริญชย์ก็ยอมรับไก่ชิ้นนั้นมากินอย่างเสียไม่ได้
 
                “ไปเรียนบ้างหรือเปล่า?”เอ่ยถามหลังจากพาตัวเองไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของอริญชย์ สมุดว่างเปล่าบางเล่มมีการบ้านที่ยังไม่ได้ทำค้างอยู่อีกพะเรอเกวียน
 
                “ไม่ค่อย”
 
                “ทำไมไม่ไป”
 
                “ขี้เกียจ”
 
                “ขี้เกียจหรือว่าเล่นยาจนลุกไม่ไหว?”คำถามนั้นถูกเอ่ยมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทว่ากลับเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงบนผิวน้ำรงสะท้อนกระจายเป็นวงกว้าง อริญชย์หลบตาของวินท์ที่จับจ้องมาที่ตัวเขาไม่ได้คลายไปไหน
 
                “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”คำถามคล้ายคนอ่อนแรงถูกเปล่งออกมาอย่างสะกดกลั้น ภาสวินท์รู้ดีว่าถ้าร้องไห้ตอนนี้มันจะไม่มีอะไรดีขึ้น คนตัวเล็กเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างประหม่า
 
จริงๆเขาเองก็กลัวคำตอบพอๆกับอริญชย์ที่กำลังกลัวที่จะตอบคำถาม
 
                “เราถามว่าริญชย์ติดยาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่ตอบล่ะ”น้ำเสียงที่ถามดังขึ้นจนอริญชย์เงยหน้าขึ้นมองวินท์อย่างไม่เชื่อหู
 
เวลาแค่ 6 เดือนทำให้วินท์เปลี่ยนไปได้ขนาดไหนนะ ร่างบางโตขึ้น สูงขึ้นจนเกือบจะเท่าเขาแล้ว ดวงตาที่เคยสดใสตอนนี้กลับมาแววเศร้าเจืออยู่  อีกทั้งความจริงจังที่ฉายชัดทำให้อริญชย์รู้สึกหวั่นใจ
 
                “ตั้งแต่ออกจากบ้าน”
 
                “ทำไมล่ะริญชย์ ทำไมมีปัญหาอะไรไม่บอกเรา ริญชย์ก็รู้ว่ายาพวกนั้นมันไม่ดี ทำไมริญชย์ยังไปใช้มันอีก”น้ำเสียงเจือสะอื้นเอ่ยออกมาอย่างปวดใจ
 
ทั้งๆที่เขาสองคนสนิทกันมากที่สุดแท้ๆแต่อริญชย์กลับเลือกที่จะมองข้ามไป  อริญชย์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด อาการอยากยาเริ่มกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง ร่างสูงนั่งกัดเล็บพร้อมกับเขย่าขาและโยกตัวเพื่อระงับใจของตัวเอง
 
                “เลิกได้มั้ยริญชย์”เดินมาแตะไหล่ของอริญชย์เบาๆ เอ่ยขอร้องด้วยน้ำตา
 
เขาไม่อยากให้อริญชย์ใช้ยาเสพติดต่อไปแล้วด้วยรู้ดีว่าโทษของมันหนักหนาแค่ไหน
 
                “เลิก?...กูติดมันจนเกินกว่าจะเลิกได้แล้ววินท์ กูต้องใช้มันทุกวัน มึงไม่เห็นเหรอว่าตอนกูขาดมันกูทรมานแค่ไหน กลับไปซะ กลับไปอยู่ในโลกสวยๆของมึงแล้วเลิกมายุ่งกับกูซักที ครึ่งปีที่กูหนีมึงมันไม่ได้ช่วยให้มึงลืมกูได้เลยเหรอ”
 
                “ยอมรับแล้วสินะว่าหนีเรา หนีเราทำไมเหรอริญชย์ เราไปทำอะไรให้ ทำไมริญชย์ทำกับเราแบบนี้ล่ะ”
 
                “มึงควรไปอยู่กับคนดีๆที่ดีๆมากกว่ามาขลุกอยู่กับคนไม่มีอนาคตอย่างกู”
 
                “แล้วตัวเองเป็นใครถึงมาคิดแทนคนอื่น เราจะคบกับใคร หรือใครจะตกต่ำยังไงแล้วจะทำไม เพราะไม่ว่าคนๆนั้นจะตกต่ำอีกซักกี่ครั้งเราก็ไม่เคยเหนื่อยที่จะอยู่ข้างๆ ทำไมชอบผลักเราไปให้คนอื่นนักล่ะริญชย์ รู้มั้ยเราเหนื่อยแค่ไหนในการไปตามหาริญชย์แล้วไม่เจออะไรเลย เราเป็นห่วงสารพัดแล้วริญชย์ทำอะไร ริญชย์เอาเวลาเอาอนาคตมาทิ้งกับไอ้ยานรกพวกนี้น่ะเหรอ เราโคตรรู้สึกแย่เลย เหมือนเราห่วงริญชย์จนเป็นบ้าอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่ริญชย์ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้เลย”วินท์ใช้กำปั้นของตัวเองทุบลงบนอกของอริญชย์อย่างตัดพ้อ ร่างสูงนั่งนิ่งไม่ได้ปัดป้อง  สมองของเขาตอนนี้คิดตามคำพูดของวินท์ไม่ทัน ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ
 
                “กลับไปก่อนได้มั้ย ขอร้อง”เสียงแหบเอ่ยขอ  วินท์มองท่าทางกระสับกระส่ายนั้นแล้วก็เข้าใจ   อริญชย์กำลังอยากยา เขาไม่มีทางปล่อยให้อริญชย์กลับไปใช้ยานรกนั่นอีก ร่างบางสวมกอดร่างสูงไว้เมื่ออริญชย์พรวดพราดลุกขึ้นจะคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่
 
                “ไม่...ไม่กลับแล้วก็ไม่ให้ไปด้วย”
 
                “ปล่อย!!”อริญชย์พยายามขืนตัวและแกะมือของวินท์ออก หงุดหงิดขัดใจไปหมดเมื่อตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงสู้คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ ภาสวินท์ลากอริญชย์ที่พยายามจะวิ่งหนีออกจากห้องหยิบเชือกที่เตรียมไว้มามักมือของคนตัวสูงผูดติดกับหัวเตียง อริญชย์ดิ้นทุรนทุรายมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้หลุดออกไป
 
อาการหนาวจนปวดกระดูกหวนกลับมาเล่นงานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว  ชายหนุ่มสบถพร้อมกับร้องโวยวายไม่หยุดปาก สองขาเตะถีบกับอากาศรวมทั้งโต๊ะญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ๆจนกระเด็น ภาสวินท์ใช้สองมือปิดปากตัวเองกลั้นเสียงสะอื้น จำต้องทำใจแข็งกับภาพที่อริญชย์ทั้งหาวทั้งอ้วกอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมง
 
สงสารปานใจจะขาดแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้อริญชย์กลับไปใช้ยานรกนั่นอีก
 
ประตูห้องถูกเปิดออกโดยพละการแม่ของอริญชย์รีบถลาเข้าหาลูกชายที่นอนดิ้นอยู่กับพื้น วินท์รีบเดินไปปิดประตูเพราะเกรงว่าเสียงของอริญชย์จะไปรบกวนเพื่อนบ้านคนอื่น โชคดีว่าเป็นเวลากลางวันผู้คนต่างออกไปทำงานกันหมดวินท์ปล่อยให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตัวเองขอตัวออกไปโทรหาแม่ข้างนอก อรดารีบเข้าไปกอดร่างสั่นเทาของลูกชายไว้  คนเป็นแม่ส่งเสียงร้องไห้โฮออกมาเมื่อลูกชายรีบเกาะแขนแม่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร
 
                “แม่...แม่ครับ...”อริญชย์ร้องเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
 
                “จ๋าลูก  แม่อยู่นี่แล้วนะ แม่อยู่นี่แล้ว”หล่อนลูบผมเปียกชื้นจากเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างมากมาย
 
                “ริญชย์ปวดแม่ ริญชย์ปวดไปหมดเลย แม่ช่วยริญชย์นะ นะครับ แม่ปล่อยริญชย์ไปนะ ริญชย์จะตายอยู่แล้ว โอ้ยยยยย!!!!”ชายหนุ่มลงไปนอนคุดคู้กับพื้นอีกครั้งเมื่อความปวดแล่นปราดเข้าไขกระดูก คนเป็นแม่ร้องไห้โฮกอดลูกไว้ด้วยใจสลาย
 
                “จะให้แม่ทำยังไงริญชย์บอกแม่ จะให้แม่ทำยังไงลูก ปวดตรงไหนเจ็บตรงไหนริญชย์บอกแม่นะ”
 
                “แม่ปล่อยริญชย์นะ แม่ปล่อยริญชย์ไปนะ นะแม่นะ”คนเป็นลูกชายสะอึกสะอื้นร้องขอ ยื่นมือที่ถูกเชือกมัดให้แม่ดู
 
                “ริญชย์เจ็บ แม่ปล่อยริญชย์ไปนะแม่นะ ริญชย์ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ” ในที่สุดหัวอกของคนเป็นแม่ก็ทนเห็นลูกเจ็บปวดไม่ไหว ก่อนที่วินท์จะทันได้เปิดประตูออกมา บานประตูห้องก็เปิดพรวดพร้อมกับร่างของอริญชย์ที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปานลูกธนู  เร็วจนวินท์คว้าจับไว้ไม่ทัน  ภายในห้องระเนระนาดมีหญิงวัยกลางคนนั่งกอดเข่าจ่อมจมกับความทุกข์ใจแสนสาหัสนั่งกอดเข่าร้องไห้ปานใจจะขาดอยู่ตรงนั้นพร้อมเชือกเส้นใหญ่ที่ตกอยู่ข้างตัว
 
ภาสวินท์ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
 
อริญชย์ไปแล้วไปโดยที่วินท์รั้งไว้ไม่ทัน
 
จะทำยังไงดี...จะช่วยดึงอริญชย์ขึ้นจากนรกขุมนี้ยังไงดี
 ...........................

เกิดความรู้สึกทอล์คไม่ออก นอกจากขอโทษค่ะที่ต้องให้ริญชย์ดิ่งลงมากกว่านี้


ความสุขอยู่กับเราไม่นานที่อยู่กับเราตลอดไปคือความทุกข์ ขอให้เลือกที่จะอยู่กับมันให้เป็นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทางจิตใจกันทุกคนนะคะ
 


ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2





                “ตกลงมึงจะเอายังไงไอ้ริญชย์ กลับหรือไม่กลับ”พัคอ้นใช้ปลายเท้าสะกิดขาเพื่อนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ อุปกรณ์เสพยาวางไว้ข้างตัว อ ริญชย์กรอกดวงตาที่ล่องลอยของตัวเองไปมาโดยมีแพจินต์ทิ้งศีรษะพิงไหล่อยู่ข้างๆ
 
                “ไอ้นี่ก็คิเป็นลูกหมาเลย”พูดพลางจับแขนของจินต์พาดบ่าตัวเองจะเอาเพื่อนหน้าเล็กไปนอนให้สบายๆแต่จินต์กลับงอแงใส่ซะงั้น
 
                “ไม่ไปกูจะนอนกับไอ้ริญชย์”ทำตัวเลียนแบบตุ๊กแกด้วยการเกาะแขนเพื่อนตัวสูงแจไม่ยอมปล่อย อ้นส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะยอมแพ้ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆแทน
 
                “สรุปนอนห้องกูกันหมดเลยเนอะ งั้นก่อนกลับถ้ากูกับไอ้แมนยังไม่กลับมึงล็อคห้องให้กูด้วยนะ”เอ่ยสั่งกับคนตัวสูงที่ปรือตามองริญชย์ไม่ได้ตอบอะไร อันที่จริงเสียงของอ้นไม่ได้เข้าหัวเลยด้วยซ้ำริญชย์หรี่ตาหลบแสงจากด้านนอกยามที่อ้นกับแมนเปิดประตูห้องก่อนที่ทุกอย่างจะกลับไปมืดทึมเฉกเช่นเดิม
 
               
 
                ตีสองแล้ว...ภาสวินท์นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงของอริญชย์  แม่กลับไปแล้วพร้อมคำอ้อนวอนขอให้วินท์อย่าปล่อยริญชย์ไว้ลำพัง นางจะรีบกลับมาหลังจากยื่นเรื่องขอลาพักร้อนได้
 
ถึงแม่ไม่ขอภาสวินท์ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่ายังไงเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ริญชย์ถลำลึกในห้วงเหวเหล่านั้นอีกต่อไป อุปกรณ์เสพยาที่ริญชย์ซุกซ่อนไว้ถูกน้ำใส่ถุงดำแล้วโยนทิ้งลงถังขยะใบใหญ่ที่ไกลจากหอพักอย่างไม่ใยดี ห้องที่สกปรกทึมทึบถูกทำความสะอาดใหม่ เสื้อผ้าถูกซักตากและเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยมีแม่คอยช่วยเหลือ หน้าต่างห้องนอนที่ริญชย์เอาผ้าสีดำมาปิดไว้ถูกปลดออกแทนที่ด้วยผ้าม่านสีขาวสะอาดตา  ตลอดทั้งเย็นเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลิกยาเสพติด
 
อริญชย์อายุยังน้อยถ้าเลิกได้เสียตั้งแต่ตอนนี้จะยังไม่สายเกินไป มือเรียวจดรายชื่อสถานพยาบาลที่รับดูแลเคสของผู้ป่วยที่ติดยาเสพติดไว้ โทรศัพท์ถูกกดเบอร์ของสถานที่เหล่านั้น
 
ภาสวินท์ตั้งมใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ใจอ่อนกับริญชย์เด็ดขาด เขาทนเห็นริญชย์เจ็บปวดทรมานจากการขาดยาแบบนั้นไม่ได้แล้ว
 
สภาพของอริญชย์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับซากศพเลยด้วยซ้ำ
 
อริญชย์คนที่หล่อจนใครๆต้องเหลียวหลังมามองให้เขาหวงเล่นตอนนั้นลอยหายไปอยู่ที่ใดภาสวินท์ไม่รู้เลย
 
ที่เห็นวันนี้คืออริญชย์ที่มีสภาพไม่ต่างจากคนเร่ร่อนตามข้างทางเล็บมือดำเขรอะเหมือนเมื่อตอน 9 ขวบไม่มีผิด
 
เสื้อผ้าสกปรก เหมือนเมื่อตอน 9 ขวบไม่มีผิด
 
หลบหน้าหลบตา เหมือนเมื่อตอน 9 ขวบไม่มีผิด
 
แต่ที่ไม่เหมือนคือในตอนนี้อริญชย์ลดคุณค่าลดศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์ให้กับยานรกพวกนั้นไปแล้ว
 
และหนึ่งในสาเหตุนั้นคือตัวเขาเอง
 
การตัดสินใจของวินท์นั้นถูกคัดค้านโดยผู้เป็นแม่ สุนิสาตกใจกับสิ่งที่ลูกชายโทรมาบอกเมื่อตอนบ่ายและค้านหัวชนฝาที่วินท์จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้  เธอและสามีเลี้ยงภาสวินท์ให้ได้มีชีวิตที่ดี เลี้ยงให้ลูกเป็นคนสุภาพและอยู่ในกรอบมาโดยตลอด คนเป็นแม่ภูมิใจที่ลูกชายตั้งมั่นที่จะเรียนหมอดังนั้นไม่ว่าวินท์จะขอเรียนพิเศษซักกี่วิชาเธอไม่เคยคิดเสียดายเงินที่ต้องจ่ายไปเลยซักแดง
 
เส้นทางของภาสวินท์นั้นราบเรียบและมีกลีบกุหลาบที่พ่อแม่บรรจงเด็ดไว้ปูทางเดินให้
 
                “ลูกไม่จำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบชีวิตของใครนะวินท์หน้าที่ของลูกตอนนี้คือตั้งใจเรียนแล้วสอบหมอให้ติด เรื่องริญชย์แม่ก็เห็นใจแต่คนที่ควรดูแลเขาคือครอบครัวของเขาไม่ใช่เรานะลูก” ผู้เป็นแม่กรอกเสียงมาตามสายเมื่อลูกชายขออนุญาตมาอยู่กับริญชย์ที่หอพัก เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
 
                “แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ริญชย์ดูแลผมล่ะครับแม่ นั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาเหมือนกันทำไมเขาถึงอาสาเข้ามาดูแลผม”คำถามที่แฝงความดื้อรั้นนั้นทำให้คนเป็นแม่ที่กำลังจะบ่นยาวยืดหยุดเสียงลงทันที ความละอายใจตีตื้นขึ้นมาในอกปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่วินท์พูดนั้นเป็นเรื่องจริง อริญชย์เข้ามาดูแลใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของวินท์ไม่ว่าจะไปรับไปส่งที่โรงเรียนสอนพิเศษ เรื่องธุระเล็กๆน้อยๆส่วนตัวของวินท์บางครั้งเธอยังไม่รู้เลยแต่ริญชย์รู้ทุกเรื่องและช่วยจัดการแทนให้อย่างไม่มีที่ติ
 
กลายเป็นหล่อนที่สบายจนละเลยลูกเสียด้วยซ้ำ โทรศัพท์ถูกแย่งเอาไปแล้วแทนที่เสียงปลายสายด้วยผู้เป็นพ่อ
 
                “วินท์...”น้ำเสียงทอดอ่อนของพ่อทำให้วินท์ที่กำลังนึกเคืองแม่อ่อนยวบลงทันที
 
                “ครับพ่อ”
 
                “ทำตามที่ลูกเห็นสมควรนะ แต่รับปากพ่อถ้าแม่ของริญชย์มาแล้วลูกต้องกลับบ้าน”ภาสวินท์ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขอบตาร้อนผ่าว
 
“พ่อรักลูกนะ รู้ใช่มั๊ย อย่าทำให้ตัวเองเจ็บนะเข้าใจมั๊ยวินท์”
 
“ครับ เข้าใจแล้วครับ ผมก็รักพ่อนะครับ รักแม่กับกรด้วย ขอบคุณที่เชื่อใจนะครับ”
 
“พ่อเคารพการตัดสินใจของลูกแล้วก็ภูมิใจที่ลูกเกิดมาเป็นลูกของพ่อนะ”พ่อไม่เคยบังคับเขาเลยซักครั้งแต่คำพูดนุ่มนวลของพ่อทำให้วินท์รับคำอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มให้สัญญากับพ่อพูดคุยกันอีกสองสามคำแล้ววางสาย ก็พอดีกับที่ริญชย์วิ่งพรวดสวนออกไปนั่นแหล่ะ
ภาสวินท์ผืนรอริญชย์จนเกือบรุ่งเช้าจึงผล็อยหลับไปด้วยความง่วง
 
 
 
เกือบ 8 โมงเช้า ร่างสูงพาตัวเองกลับมายังหอพักหลังจากตื่นเต็มตาและหายมึน สติกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้งหลังจากได้รับยาตามต้องการ ไขกุญแจเข้าไปในห้องแล้วก็ต้องแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ นอกจากความสะอาดสะอ้านแล้วยังมีร่างขาวๆของภาสวินท์นอนหลับคุดคู้อยู่บนเตียงของเขาอีกต่างหาก
 
บอกเขาทีสิว่าตอนนี้เขาเมายาอยู่ยังไม่หายเบลอและภาพที่เห็นนั่นคือภาพหลอน ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหาร่างนุ่มนิ่มบนเตียงนั้นอย่างถวิลหา นั่งลงบนเตียงมองใบหน้าที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดครึ่งปีอย่างไม่วางตา ในตอนที่มีสติดีพร้อมคลื่นความคิดถึงก่อตัวจนแทบจะล้นปรี่ออกมานอกอก นั่งมองผิวแก้มนุ่มความรู้สึกขัดแย้งในใจและสมองตีรวนกันให้วุ่นวาย
 
อยากจะสัมผัสอยากจะแสดงความรักที่กักเก็บไว้ตลอดออกไปแต่อีกใจหนึ่งก็มีเสียงตอบกลับมาว่าอย่าเอาร่างกายสกปรกของเขาไปแปดเปื้อนภาสวินท์เลย
 
แต่ในที่สุดความคิดฝ่ายต่ำก็เอาชนะจิตใจได้ริญชย์จัดการขยับร่างกายของวินท์ให้นอนหงายในท่าที่สบายขึ้นก่อนจะใช้ปลายนิ้วหยาบของตนเกลี่ยแก้มใสเบาๆ
 
น่ารัก...
 
ภาสวินท์ตอนหลับช่างน่ารัก
 
เปลือกตาสีมุกนั้นสวย ยามลืมตาจ้องมองเขาดวงตากลมโตสีน้ำตาลนั้นหวานจับตา
 
ปลายจมูกเชิดรั้นนั้นบอกว่าจริงๆแล้ววินท์เองก็มีนิสัยเอาแต่ใจไม่ต่างกับเขาเลยซักนิด เวลาร้องให้จะขึ้นสีแดงก่ำจนน่าสงสาร
 
ไหนจะริมฝีปากอิ่มนุ่มนี่อีกล่ะยามตื่นเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่เวลาหลับกลับเผยอน้อยๆจนน่าลิ้มรสริญชย์ใช้นิ้วเกลี่ยความนุ่มหยุ่นนั้นอย่างหลงใหล
 
ราวกับต้องมนตร์สะกดจากนางฟ้าร่างสูงโน้มตัวลงไปชิด หยุดคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะค่อยๆแตะริมฝีปากของตนเองกับกลีบปากสีเชอร์รี่นั้น
 
และเป็นเวลาเดียวกับที่วินท์ลืมตาตื่นขึ้นมา...อริญชย์ชะงักเพียงครู่เมื่อเห็นดวงตาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่นั้นกำลังไหวระริก
 
ได้โปรด...เอ่ยห้ามเขาที
 
ได้โปรด...ผลักไสเขาซักนิด
 
ได้โปรด...ขัดขืนเขาสักหน่อย
 
แต่ถึงแม้วินท์จะเอ่ยห้าม  อริญชย์คนนี้ก็จะไม่หยุดหรอกนะ
 
ประคองใบหน้าหวานนั้นไว้ก่อนจะกดจูบซ้ำๆ จูบย้ำๆเพื่อให้วินท์รู้ว่าที่ผ่านมาเขาคิดถึงวินท์มากแค่ไหน
 
ไม่มีการรุกล้ำมากไปกว่านั้น เป็นจูบแรกที่แสนอ่อนโยนทะนุถนอมราวกับวินท์นั้นมีค่าเกินกว่าจะทำให้บอบช้ำ
 
ลมหายใจอุ่นที่เจือด้วยกลิ่นชวนมึนเมาทำให้วินท์หลงมัวเมาไปกับสัมผัสหวาน กว่าจะรู้ตัวริญชย์ก็ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว วินท์ลืมตาขึ้นมองก็พบกับประกายตาหวานล้ำ ริมฝีปากคล้ำเอื้อนเอ่ยคำที่ทำให้น้ำตาไหลพราก
 
                “คิดถึง...”
 
               
“กูคิดถึงมึงมากนะวินท์ แล้วมึงคิดถึงกูบ้างมั้ยวินท์” น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปมั่นคงจนหัวใจดวงน้อยของวินท์กระตุกวูบบอกความรู้สึกเช่นนี้ไม่ถูกว่าเขาเรียกว่าอะไรมันทั้งตกใจและดีใจตีตื้นสับสนกันไปหมดแทนคำตอบริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มทั้งน้ำตา
 
                “เราก็คิดถึงริญชย์นะ คิดถึงมากด้วย”กล่าวออกมาพร้อมแรงสะอื้นน้อยๆ ผวากายลุกขึ้นนั่งมือเรียวสวมกอดร่างผอมนั้นไว้อย่างหวงแหนซบศีรษะพิงอกบางนั้นไว้อย่างรักใคร่ริญชย์หัวเราะน้อยๆกับความน่ารักของคนในอ้อมกอดยกมืออีกข้างลูบผมนิ่มอย่างเบามือ ร่างกายเบียดชิดกันบนเตียงแคบๆ ความนุ่มมือของผิวเนื้อนี่อีกล่ะ หัวใจของริญชย์อยู่ๆก็เต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
 
ความรู้สึกแปลกๆตีตื้นจนร่างกายร้อนผ่าว
 
                “วินท์ปล่อยกูก่อน”แกะแขนวินท์ให้ออกจากเอวของตนร่างบางช้อนตาขึ้นมามองอย่างสงสัย
 
ให้ตายเถอะ ใครสั่งใครสอนให้ภาสวินท์ทำหน้าทำตาแบบนั้นกันนะ ริญชย์ถึงกับต้องกลั้นหายใจกับความน่ารักนั้น ยิ่งคนตัวบางเลิกคิ้วเชิงคำถามเขายิ่งรู้สึกว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี่อันตรายต่อหัวใจเสียเหลือเกิน
 
                “มึงจะน่ารักแบบนี้เวลาอยู่บนเตียงนอนสองต่อสองไม่ได้นะวินท์”เอ่ยปากดุเบาๆไม่ได้จริงจังนัก
 
                “ทำไมอ่ะ?”
 
                “น่ารักแบบนี้ระวังจะเจ็บตัวนะ...”เอ่ยพลางจ้องคนตัวเล็กด้วยดวงตาเป็นประกาย  วินท์นึกตามคำพูดพลันใบหน้าขาวก็ขึ้นสีแดงตั้งแต่แก้มลามไปถึงใบหูก่อนจะรีบผละตัวออกจากอ้อมกอดของริญชย์
 
                “ทะลึ่ง”น้ำเสียงบ่นอุบเมื่อเจ้าตัวเฉไฉทำเป็นเดินเข้าห้องน้ำไป  ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดสนิทรอยยิ้มเมื่อครู่พลันจางหายไปราวกับน้ำที่เทรดลงบนพื้นทรายร้อนระอุ
 
ริญชย์ใช้ความคิดอย่างหนัก การที่ภาสวินท์มานอนที่ห้องเขาแถมจัดระเบียบซะใหม่ตอกย้ำความคิดที่ว่าวินท์จะจับเขาเลิกยา และอะไรก็ตามที่วินท์ตั้งใจแล้วจะไม่มีวันเลิกล้ม ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนที่นอนสะอาดสะอ้านนั้นยกมือขึ้นก่ายหนาผากอย่างคิดหนัก
 
เขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าหากเขาขาดยาขึ้นมาเขาจะขาดสติที่อะไรรุนแรงใส่วินท์
 
เขากลัวว่าจะเป็นเขาที่ทำให้วินท์ต้องได้รับบาดเจ็บอันตราย
 
เขากลัวว่าจะเป็นเขาเสียเองที่ทำให้วินท์ร้องไห้
 
และจะเป็นเขาเสียเองที่ทำให้วินท์ต้องผิดหวัง
 
ใช่ว่าริญชย์จะไม่เคยคิดที่จะเลิกยา  เขารู้สึกว่าร่างกายเขาทรุดโทรมลงไปมาก หน้าตาของเขาหมองคล้ำจนดูแทบไม่ได้ ผิวหนังที่แม้จะไม่ได้นุ่มนิ่มแบบวินท์แต่ก็ไม่ได้หยาบกระด้างเช่นทุกวันนี้ สุขภาพของเขาเองก็ไม่ได้แข็งแรงแบบเมื่อก่อนแล้ว ชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือนริญชย์กลับมีสภาพคล้ายคนแก่ที่กำลังป่วยหนัก
 
หนึ่งเพราะเขาไม่ได้เล่นบาสเหมือนตอนเรียนมัธยมต้นแล้ว ริญชย์หันหลังให้กับการออกกำลังกายโดยสิ้นเชิง วันๆออกกำลังกายมากสุดก็คือเดินไปขึ้นรถเพื่อนไปหาเพื่อนๆทั้งสามคน  จากนั้นเขาก็จะเมาแล้วหลับคาบ้านใครซักคนถ้าขี้เกียจกลับมาห้อง เมื่อเสพยามากเข้าม่านตาของเขาก็ขยายจนไม่สามารถสู้แสงได้ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะนอนในตอนกลางวันให้มากที่สุด
 
สองเพราะเขาแทบจะไม่ได้กินข้าวเลย ร่างกายจึงซูบผอมจนน่าใจหาย  อริญชย์เลือกที่จะกินให้น้อยที่สุดแล้วเก็บเงินไปซื้อเฮโรอีนมาเสพ  ยิ่งนานวันเขาก็ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ เงินที่มีเก็บไว้จึงร่อยหรอในที่สุดก็หมดลง  สิ่งที่ตามมาคือการขอแม่ด้วยการโกหกสารพัด  หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงนึกโกรธตัวเองที่ทำให้แม่ต้องทำงานหนักกว่าเดิมแล้วหาเงินมาปรนเปรอเขา
 
เคยลองหักดิบด้วยตัวเองแต่สุดท้ายเขาก็ทนความทรมานไม่ได้  มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนติดเลยซักนิด เขาอดทนไม่พอและยอมพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มต้นเองด้วยซ้ำ
 
แกร่ก...ประตูห้องน้ำเปิดออก วินท์เช็ดผมที่เปียกด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก มองไปยังร่างสูงที่เหยียดยาวบนเตียงแล้วก็ได้แต่ใจหาย
 
หากไม่ได้สนทนากันเมื่อครู่ใหญ่ภาพตรงหน้าของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากซากศพ  อริญชย์ปิดเปลือกตาสนิท  ลมหายใจสม่ำเสมอ  เข้าสู่นิทรารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ร่างบางเกลี่ยเส้นผมที่ยาวปรกใบหน้าซูบตอบออกให้อย่างเบามือ มือเรียวลูบลูบตอบเบาๆ น้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้ ถ้าเมื่อวานเขาไม่ลองเสี่ยงเดินเข้ามาในตรอกมืดๆนั่น ป่านนี้ริญชย์ก็ยังจะคงกลายเป็นบุคคลสาบสูญต่อไป  ทั้งๆที่ก็อยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้แต่กลับไม่เคยเจอกันเลยซักครั้ง
 
ริญชย์หลบเก่งหรือภาสวินท์ยังใส่ใจคนๆนี้ไม่มากพอตัวเขาเองก็ไม่รู้
 
                “อย่าหนีเราไปอีกนะขอร้องล่ะริญชย์ ถ้าหายไปอีกรอบแล้วเราหาไม่เจอจะทำยังไง เหนื่อยมากๆเลยนะที่ผ่านมาเราเหนื่อยกับการตามหาริญชย์มากๆเลย”
 
 
                อริญชย์ลืมตาตื่นอีกครั้งในช่วงสายชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงอีกครั้งเมื่อปะทะกับแสงแดดที่ส่องพ้นผ้าม่านสีขาวสะอาด ตาของเขาสู้แสงไม่ได้ตั้งแต่เล่นยา ใช้มือป้องแสงแดดนั้นกวาดตามองหาก็พบกับวินท์นั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ย ร่างบางตั้งใจอ่านจนไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าคนที่หลับกำลังค่อยๆเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงด้านหลังอย่างเงียบๆกว่าจะรู้รู้เอวคอดก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง หัวไหล่ถูกจับจองด้วยคางของอีกฝ่าย
 
เป็นท่ากอดที่ริญชย์ชอบทำ...
 
วินท์ก็จำไม่ได้แล้วว่าริญชย์ชอบกอดเขาด้วยท่านี้ตั้งแต่เมื่ไหร่อาจจะซักเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1
 
แต่นอกจากริญชย์จะชอบกอดด้วยท่านี้แล้ว วินท์เองก็ชอบที่จะถูกกอดแบบนี้เหมือนกัน ความอบอุ่นจากมือที่ประสานตรงหน้าท้องทำให้ร่างบางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
 
                “ตื่นแล้วเหรอ?”รู้ว่าเป็นคำถามโง่ๆแต่ก็ยังถามออกไป
 
                “ยังมั้ง นี่กูถอดจิตมากอดมึง”
 
                “นี่กำลังกวนตีนเราอยู่ใช่มั้ยอริญชย์ หื้ม??”คนตัวบางตีป๊าบลงบนแขนของอีกฝ่ายก่อนจะหันไปดึงแก้มจนริญชย์ร้องโอยอย่างรู้สึกเจ็บ
 
                “เดี๋ยวนี้ทำไมไม่อ่อนโยน? เดี๋ยวนี้ทำไมพูดคำหยาบได้?”ว่าพลางแกล้งยีผมคนตรงหน้าเรียกเสียงขู่ฟ่อจากเจ้าแมวน้อยได้เป็นอย่างดี สองแก้มป่องด้วยพองลมอย่างแสนงอน
 
ฟอด!! ร่างสูงโน้มตัวไปฟัดแก้มนิ่มอย่างหมั่นเขี้ยว
 
                “ไอ้คนฉวยโอกาส”ปากว่าแต่สองแก้มนุ่มกลับขึ้นสีจัด อริญชย์นอกจากจะไม่สำนึกกับคำบริภาษนั้นยังยิ้มเผล่ให้เป็นการก่อกวนหัวใจดวงน้อยให้เต้นแรงอีกต่างหาก วินท์ทุบลงบนอกของอีกฝ่ายอย่างทำโทษก่อนจะส่งค้อนวงใหญ่ให้
 
ไม่เจอครึ่งปีทำไมริญชย์มือไวใจกล้าขึ้นขนาดนี้เนี่ย
 
               "ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อยมาหอมแก้มเดี๋ยวพ่อเสยปากแตกซะเลยนี่" บ่นงุบงิบอยู่คนเดียวแล้วหันหน้าหนีแต่ยังไม่วายโดนดึงให้หันกลับมาหาใหม่อีกครั้ง
 
                “วินท์ที่กูบอกว่าคิดถึงมึงน่ะ กูพูดจริงๆนะ”สายตาหวานถูกส่งมอบอย่างงอนง้อ
 
ภาสวินท์ไม่เคยชนะเวลาริญชย์ส่งตาอ้อนแบบนี้ซักที
 
                “รู้แล้วน่าพูดทำไมบ่อยๆ”แกล้งทำเสียงแข็งแต่ในใจกลับอ่อนยวบเปราะบางเสียเหลือเกิน แพ้..ยังไงภาสวินท์ก็แพ้อริญชย์เวอร์ชั่นนี้ทุกครั้ง
 
                “แล้วไม่ชอบเหรอ?”

                   "ชอบ"
 
                “ชอบกู?”เอ่ยกลับอย่างน่าไม่อายหากแต่คนตอบกลับส่งยิ้มหวานให้
 
                “อือ...ชอบริญชย์”เป็นอีกครั้งที่อริญชย์สตั๊นท์จนทำอะไรไม่ถูกดวงตาคมจ้องตาคนที่หาญกล้าเอ่ยคำตอบชวนให้หัวใจหยุดเต้นแน่นิ่ง

                “ชอบในที่นี้ของมึงหมายความว่ายังไงวะ? คือจะหาว่ากูโง่ก็ได้แต่กูไม่ค่อยเข้าใจ”พยายามดึงมือคนที่จะลุกหนีเพราะทนจ้องตาต่อไม่ได้ให้นั่งลงตามเดิมแต่วินท์ก็เอาแต่จะหนีเลยตั้งรวบร่างเข้ามากักในอ้อมกอดอีกครั้ง วินท์ย่นคอหนีเมื่อคราวนี้ริญชย์ไม่เพียงแค่เกยคางกับไหล่มนหากแต่กลับเอียงหน้าเข้าหาต้นคอหอมยามเอ่ยพูดริมฝีปากก็แตะโดนเพียงผะแผ่วแต่ทำให้กายขาวร้อนวูบ
 
                “จะถามอะไรเยอะแยะเนี่ยหิวข้าวแล้ว”อริญชย์ไม่ได้สนใจประโยคนั้นยังคงย้ำถามซ้ำๆจนวินท์ต้องจิ๊ปากอย่างขัดใจ
 
เขินจะแย่แล้วเนี่ยทำไมริญชย์ต้องมาไล่ต้อนด้วย
 
                “เออๆ ก็ชอบไง ชอบมานานแล้วด้วย ชอบแบบไม่ได้ชอบแบบเพื่อนแล้วมันเกินเพื่อนไปนานแล้ว”กลั้นใจตอบก่อนจะใช้ฝ่ามือปิดหน้าตัวเอง
 
หน้าจะระเบิดอยู่แล้วคนบ้านี่กลับไม่ยอมปล่อยซ้ำยังทำเสียงงุ๊งงิ้งใส่
 
                “ชอบกูแล้วมึงไปคบกับไอ้ปากเบินนั่นทำไมล่ะ ชอบกูทำไมมึงไม่มาคบกับกู”
 
                “ก็ตอนนั้นไม่รู้นี่ว่าความรู้สึกของตัวเองคืออะไร ริญชย์เองก็เถอะริญชย์ก็ไม่ได้บอกให้มันชัดเจนมั้ยว่าตกลงเราจะเป็นเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อนทุกสิ่งที่ทำให้มันพิเศษแต่ริญชย์ก็ย้ำตลอดว่าเราเป็นเพื่อนรัก เราเลยไม่กล้าออกจากเฟรนด์โซนแล้วพี่เบนก็เข้ามาในจังหวะที่ริญชย์เมินเรา เค้าก็ดีจนเราไม่กล้าปฏิเสธด้วย”
 
                “เจ็บจังว่ะ ถึงตอนนี้จะรู้แล้วกูก็ยังอยู่ในเฟรนด์โซนอยู่ดีเพราะมึงคบกับมันไปแล้ว”กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างหวงแหนร่างเล็กตรงหน้าซุกไซร้จมูกให้กับความหอมหวานของต้นคออย่างตัดพ้อ
 
                “นี่...”เอ่ยเรียกคนที่หลบตาซบไหล่ตนเบาๆ ริญชย์ขานรับในลำคอเสียงเครือ
 
                “เราเลิกกับพี่เบนนานแล้วนะ”ริญชย์ชะงักการซุกไซร้ทันที ดวงตาคมเงยขึ้นสบกับดวงตาของวินท์ที่มองมาทันที
 
                “จริง?”
 
                “อือ...เราเลิกกับพี่เบนจริงๆ บอกเลิกตั้งแต่วันที่เราแยกจากริญชย์วันนั้นแหล่ะ เราเลิกกับพี่เบนเพื่อริญชย์แล้วนะ แล้วริญชย์ล่ะจะเลิกยาเพื่อเราได้มั้ย?”



......................................


ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
อนธการ ตอนที่ 10



“ก่อนอื่นนะคะผู้ป่วยควรเตรียมร่างกายให้พร้อมเพื่อที่จะเข้ารับการบำบัด การใช้ Methadone ในการรักษาจะต้องใช้เวลานะคะในกรณีที่น้องยังเป็นเยาวชนต้องมีผู้ปกครองรับรอง”เสียงเจ้าหน้าที่ของสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดอธิบายขั้นตอนต่างๆไปเรื่อยๆ  อริญชย์ฟังบ้างไม่ฟังบ้างต่างกับวินท์และผู้เป็นแม่ที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มมีท่าทีหลุกหลิกอยู่ตลอดเวลา
อธิบายอะไรนานนักหนาวะไม่เห็นรู้เรื่อง
ความคิดในใจยิ่งทำให้หงุดหงิด ริญชย์ขาดยามาร่วมสองชั่วโมงแล้ว ฝ่ามือชื้นเหงื่อบวกกับการสูดน้ำมูกถี่ๆทำให้วินท์เริ่มสังเกตได้ มือเรียวเอื้อมมาจับมือหนาที่เริ่มจะสั่นกระชับเบาๆใต้โต๊ะ ริญชย์มองไปยังคนที่นั่งขนาบข้างก็พบรอยยิ้มที่สวยที่สุด ภาสวินท์กำลังยิ้มให้เขา เพียงเท่านี้ก็เหมือนมีสายน้ำเย็นไหลเข้ามาในหัวใจให้ชุ่มชื่นขึ้น พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองช้าๆอย่างมีสติ
อดทน...เพื่อแม่และเพื่อวินท์
 
ในที่สุดการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็จบลง ริญชย์เลือกที่จะหักดิบด้วยตัวเองก่อนที่จะเข้ารับการบำบัดด้วย Methadone หากเขาทำสำเร็จเขาจะเลิกยาได้เร็วขึ้น ริญชย์รีบวิ่งลงจากแท็กซี่นำไปก่อนในขณะที่วินท์กับแม่ช่วยกันแบกของลงจากรถ คนเป็นแม่กับวินท์มองหน้ากันด้วยสีหน้าเศร้าๆ
 
ในระหว่างนี้วินท์จำเป็นต้องยอมให้ริญชย์ใช้ยาไปก่อนแต่นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอริญชย์จะเริ่มอดยาอย่างจริงจัง วินท์และแม่ของริญชย์รู้ดีว่ามันยากและริญชย์จะทรมานมากขนาดไหน แน่นอนทั้งสองคนเคยลิ้มรสหมัดของอริญชย์มาแล้วทั้งคู่ ยามลูกชายสงบจากยาอริญชย์ร้องไห้ราวว่าจะขาดใจเมื่อเห็นรอยช้ำบนตัวแม่กับวินท์แต่ทั้งสองคนทำเพียงพูดว่าไม่เป็นไรและกอดปลอบเขาที่ร้องไห้จนตัวโยนเพราะความรู้สึกผิดแล่นริ้วกันกินหัวใจของเขาจนแทบจะกร่อน แม่ลางานเพื่อมาอยู่ดูแลเขาโดยเฉพาะ ริญชย์รู้สึกผิดที่ทำให้แม่ต้องมาทุกข์ใจ วินท์จะอยู่กับเขาช่วงหลังเลิกเรียนพิเศษและจะกลับบ้านวันเว้นวันแต่ตอนเช้าก่อนไปเรียนคนตัวเล็กจะรีบนั่งรถมาหาเขาก่อนมากินข้าวเช้าด้วยกันชวนพูดคุยตลอด
 
                “มึงจะเทพวกกูแล้วเหรอวะไอ้ริญชย์”เป็นจินที่เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าเอาเรื่องเมื่ออริญชย์ไปบอกว่าเขาตัดสินใจที่จะเลิกยา เพื่อนๆต่างโน้มน้าวให้เขายังใช้มันต่อ
 
                “ไหนว่าพวกเราเป็นตายกันไงวะถึงไหนถึงกันแล้วทำไมมึงถึงคิดจะเลิกล่ะ อ้นเป็นอีกคนที่ตัดพ้อต่อว่าเขาในเรื่องนี้ ต่างจากแมนที่นั่งรับฟังด้วยท่าทางนิ่งๆไม่ถามหรือวิจารณ์อะไรเลย ชายหนุ่มเอาแต่นั่งมองออกนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าที่เดาใจไม่ออก
 
 
“กูสงสารแม่กูว่ะ กูถลำลึกไกลเกินไปแล้ว”
 
                “สงสารแม่หรือสงสารไอ้วินท์กันแน่วะ กูเห็นมึงติดมันแจได้กันแล้วหรือไง?”น้ำเสียงติดจะดูถูกที่พูดถึงวินท์ทำให้อริญชย์หน้าตึงขึ้นทันที
 
เขาไม่ชอบให้ใครพูดถึงภาสวินท์ลับหลังด้วยคำพูดแบบนี้
 
                “จินมึงพูดให้มันดีๆหน่อย นั่นก็เพื่อนมึงป่าว”อริญชย์เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงติดห้วน
           
“แต่กูก็ไม่เคยเห็นมันเป็นเพื่อนแต่แรกแล้วป่าววะมีแต่มึงอ่ะยัดเยียดให้พวกกูเป็นเพื่อนมันอยู่ได้”จินไม่ยอมแพ้สวนกลับทันทีเช่นกัน
 
                “จินมึงก็แรงไป”เป็นแมนที่เอ่ยขัดก่อนที่เด็กสองคนมันจะตีกัน
 
                “คราวนี้มึงคิดว่าจะเลิกได้จริงๆเหรอไอ้ริญชย์ อย่าลืมคราวที่แล้วที่มึงลองหักดิบไม่ถึงสองวันมึงก็วิ่งโร่มาขอยากูแล้ว”แมนหันไปถามอริญชย์ด้วยสีหน้าจริงจัง
 
                “จริง”
 
                “ยอมรับแล้วสินะว่ามึงชอบมันจริงๆ”จินทำเสียงขึ้นจมูก
 
                “กูไม่ได้ชอบวินท์...”อริญชย์ตวัดตามองหน้าจินที่ส่งยิ้มเหยียดให้
 
                “แต่กูรักวินท์ต่างหาก”
 
 
 
ภาสวินท์มองโซ่เส้นยาวในมือที่ริญชย์ส่งให่พร้อมกับสีหน้าลำบากใจ
 
“จะเอาแบบนี้จริงๆเหรอริญชย์?”คำถามเดิมๆที่ถูกพูดซ้ำๆนับสิบรอบถูกเปล่งออกมาด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
 
 
“เอาแบบนี้แหล่ะ”ริญชย์ตอบเสียงเรียบก่อนจะลูบผมวินท์เบาๆ
 
                “ไม่ต้องห่วงกูนะกูไม่เป็นไรจริงๆ ถ้ามึงไม่ล่ามกูไว้ตัวมึงนั่นแหล่ะจะเป็นอันตราย”อริญชย์เห็นดวงตาของวินท์วูบไหว จึงยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บมุมปากวินท์เบาๆอยากหยอกเย้า
 
                “อย่าใจอ่อนสิ กูก็อยากเลิกยาเพื่อมึงจริงๆนะ กูอยากเดินข้างมึงแล้วมึงไม่ต้องอายใคร  อยากจับมือมึงแล้วใครๆก็มองว่ากูเหมาะกับมึง คู่ควรกับมึง ไม่ใช่เดินไปไหนด้วยกันแล้วมีแต่คนซุบซิบนินทาอย่างทุกวันนี้”วินท์รู้สึกเหมือนหัวใจของเขาพองฟูจนคับแน่นในช่องอก คำพูดสั้นๆแม้ไม่ได้หวานหูแต่กลับเรียกรอยยิ้มได้ไม่ยาก
 
                “ถ้าริญชย์คิดว่าแบบนี้คือทางออกที่ดีก็ตกลงตามนั้น แต่ริญชย์ฟังเรานะ เราไม่เคยอายใครที่ต้องเดินคู่กับริญชย์ เราดีใจที่ริญชย์ยอมกลับมาเดินข้างๆเราแบบตอนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำเพื่อลบคำดูถูกจากใคร แต่ขอให้ริญชย์ทำเพื่ออยู่กับเรานานๆแค่นั้นที่เราต้องการ ยื่นขามาสิ” ริญชย์ยื่นขาของตัวเองไปตรงหน้าวินท์ เด็กหนุ่มคุกเข่าลงก่อนจะคล้องโซ่รอบข้อเท้าของคนตัวสูง แม่กุญแจถูกสอดใส่และล็อคจนเกิดเสียงดังกริ๊ก วินท์เอาปลายโซ่อีกด้านล็อกกับลูกกรงตรงหน้าต่าง
 
                “ถ้ากูอาละวาด มึงออกไปอยู่ห่างๆกูนะ”ลูบแก้มนิ่มอย่างเบามือ วินท์ยิ้มและพยักหน้ารับก่อนสวมกอดริญชย์ไว้เด็กหนุ่มสองคนนั่งกอดกันเงียบๆท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้า ในใจเต้นตุบปวดหน่วงปล่อยให้ความเงียบเคลื่อนผ่านอย่างเชื่องช้า
 
“วินท์...”เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดริญชย์ก็ส่งเสียงเรียกวินท์น้ำเสียงที่เริ่มห้วนและร่างกายที่เริ่มสั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังจะเริ่มขึ้น  วินท์กระชับอ้อมกอดกับเอวสอบนั้น
 
“อย่าไล่ จะกอดไว้อย่างนี้ล่ะเดี๋ยวริญชย์หนาวแล้วใครจะกอด”
 
“แต่...”
 
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวเราไปเอง จะอยู่อย่างนี้ล่ะ อยู่ข้างๆแบบนี้ ริญชย์อดทนนะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้”ฝ่ามือบางลูบหลังคนที่กำลังสั่นอย่างให้กำลังใจกระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวก่อนภาพตรงหน้าจะค่อยๆพร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาที่เข้ามาเติมเต็ม ริญชย์เริ่มผลักเขาออกบ่อยขึ้น ในความมืดเสียงร้องฮือๆดังเป็นระยะ
 
“แม่งเอ้ย...ปล่อยกู”ฝ่ามือซูบแต่กลับมีแรงผลักเขาอย่างน่าประหลาดทำให้วินท์กระเด็นออกมา ริญชย์เริ่มเดินงุ่นง่านสลับกับทึ้งผมตัวเองเป็นระยะ เสียงหายใจหอบถี่ริมฝีปากคล้ำสั่นสลับกับพ่นคำหยาบก่อนจะทรุดตัวล้มลงนอนงอตัวกับพื้น ร่างสูงกระตุกเป็นระยะก่อนที่นิ้วมือจะเริ่มงอหงิกส่งเสียงร้องโอดโอยจนวินท์ต้องรีบเข้ามากอดปลอบ
 
                “โอยยยยย....ปล่อย...ปล่อยกู กูหนาว...ฮือ...”ร่างสูงสั่นเทิ้มราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาน้ำแข็ง
 
                “หนาวเหรอ เดี๋ยววินท์กอดริญชย์ไว้นะ”วินท์รวบร่างสั่นเทานั้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มนวมมาห่มให้ริญชย์ที่ใช้มืองอหงิกของตัวเองกอดอกไว้กระชับอ้อมกอดให้คนตัวสูงรู้สึกอุ่นขึ้น แต่เพียงไม่นานร่างสูงก็ดีดตัวออกก่อนจะร้องว่าร้อนๆ
 
อริญชย์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายเมื่อแรกอาการปวดท้องจู่โจมคล้ายกับมีคีมเหล็กมาบิดลำไส้ของเขา ความพะอืดพะอมเล่นงานจนน้ำลายของเขาไหลออกมาราวกับก๊อกน้ำที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ก่อนความหนาวเย็นจนปวดกระดูกจะตามมาเล่นงานซ้ำ มันหนาวจนเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่างคล้ายกับว่าเขาตกลงไปในทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เพียงชั่วครู่ความร้อนก็เข้ามาแทนที่ราวกับว่าเขาตกลงไปยังปล่องภูเขาไฟที่มีลาวาเหลวข้นกำลังกัดกินผิวเนื้อของเขาอยู่ด้านใน
 
ทรมาน เจ็บปวดเจ็บปานจะขาดใจตาย
 
เหมือนกำลังตกนรกทั้งๆที่ยังมีลมหายใจ เหงื่อไหลราวกับว่าเขาวิ่งมาจากที่อันไกลแสนไกล คอแห้งผากราวกับกลืนทรายร้อนๆเข้าไป
 
ปล่อย...ใครก็ได้ปล่อยเขาออกไปจากไอ้โซ่บ้าๆนี่ที เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งก่อนจะพยายามดึงโซ่จากข้อเท้าออก โลหะเย็นเฉียบถูกดึงรั้งจนกินเนื้อข้อเท้า วินท์รีบถลามาจับมือริญชย์ไว้ห้ามปรามไม่ให้เขาทำแบบนั้นแต่กลับถูกผลักกระเด็นไปจนเอวไปปะทะกับโต๊ะหนังสือเต็มแรง ร่างบางกุมเอวตัวเองไว้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น
 
น่ากลัว...วินท์กลัวเหลือเกินว่าที่สุดแล้วจะเป็นเขาเองที่ใจอ่อนปล่อยอริญชย์ไป อ ริญชย์ยังคงส่งเสียงร้องอย่างทรมานจนในที่สุดร่างสูงก็โก่งคออาเจียนออกมาจนเต็มพื้น วินท์รีบถลาเข้าไปลูบหลังของคนที่ตนเองรักโดยไม่นึกรังเกียจความสกปรกเลยซักนิด ความทุรนทุรายที่อริญชย์มีทำให้หัวใจของวินท์เปวดชาไปหมด ริญชย์ยังคงส่งเสียงร้องสองขาดีดดิ้นสลับกันอย่างควบคุมไม่ได้ในที่สุดเมื่อความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุดเด็กหนุ่มชักเกร็งสุดตัวแล้วสลบไป
 
วินท์มองภาพคนตรงหน้าด้วยหัวใจปวดร้าว ความพยายามอดกลั้นที่สร้างมาก็พังทลาย เสียงสะอื้นค่อยๆหลุดออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจแทน หยาดน้ำตาร่วงรินคล้ายเม็ดฝนจากพายุที่โหมกระหน่ำ
 
ภาสวินท์ผู้น่าสงสารสวมกอดร่างที่นิ่งสงบบนพื้นอย่างหวงแหน...
 
อยากจะเป็นคนที่เจ็บแทนเสียเหลือเกิน
 
สงสารใจจะขาด แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรริญชย์ไม่ได้เลยซักนิด ใช้มือลูบคราบน้ำตาและเศษอาเจียนของริญชย์ออกอย่างอ่อนโยนแผ่วเบา กดจูบลงบนริมฝีปากซีดสนิทนั้นอย่างแสนรักกอดร่างของริญชย์ไว้แนบอกตบลงเบาๆที่ต้นแขนแกรนนั้นโยกตัวไปมาราวกับจะกล่อมให้ริญชย์เข้าสู่นิทราแสนหวาน
 
                “ไม่เป็นไรแล้วนะ...ฮึก... ไม่เป็นไรแล้ว ริญชย์นอนซะนะซอนจะอยู่ตรงนี้อยู่ข้างๆริญชย์เอง”



 
 
 
                “แม่ครับถ้าริญชย์ตื่นมาให้เค้ากินข้าวด้วยนะครับผมซื้อเป็ดพะโล้ของโปรดของเค้ามาให้แล้ว ต้องบังคับให้กินเยอะๆนะครับอย่าใจอ่อน ร่างกายจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไป แล้วก็ถ้าเขาไม่ไหวจริงๆในตู้เย็นผมแช่ขนมไว้ให้ให้เขากินเล่นไปริญชย์ชอบกินของหวานๆน่าจะลดอาการอยากยาได้ วันนี้ผมไม่ได้ค้างถ้าเขาเริ่มมีอาการให้แม่เอาโซ่คล้องเค้าไว้นะครับอย่าใจอ่อนถ้าครบ 7 วันหักดิบได้ทางศูนย์จะให้รับเมทาโดรนต่อได้เลย”วินท์เดินก้าวฉับๆเข้ามาในโรงเรียนปากอิ่มเอ่ยคำบอกกล่าวกับมารดาของริญชย์อย่างเป็นระบบ วันนี้วินท์ต้องกลับบ้านแม่ของริญชย์จึงมาอยู่เป็นเพื่อนแทน แม้จะเป็นกังวลแค่ไหนหลังจากเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ริญชย์เสร็จแบกร่างสูงให้ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วเก็บกวาดทำความสะอาดห้องก็เกือบเช้ามืดวินท์จึงเดินออกไปตลาดเช้าแล้วซื้อเป็ดพะโล้ตัวโตมาให้ริญชย์
 
เขาจำได้ขึ้นใจถึงของโปรดเพื่อนตัวสูงที่ตอนนี้สถานะเปลี่ยนเป็นคนที่ตัวเองรัก  อริญชย์ชอบกินเป็ดพะโล้ตั้งแต่เด็กแล้วแม้แต่โตมาก็ยังชอบกินถ้ามีเมนูนี้ในมื้ออาหารเขาจะกินข้าวได้เยอะ เคยแม้กระทั่งเนื้อเป็ดหมดแล้วเจ้าตัวยังเอาข้าวเปล่าลงไปคลุกกับน้ำพะโล้ รอยยิ้มเอ็นดูผุดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงดวงตาหยีๆยามริญชย์ยิ้มกว้าง
 
อยากให้รอยยิ้มนั้นกลับมาเร็วๆจังเลย
 
                “นี่เหม่ออะไรอยู่จะเดินชนเสาอยู่แล้ววินท์”เบญจ์ดึงคอเสื้อวินท์ทันก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะเดินชนเสาของอาคารเรียน ดีดหน้าผากมนเสียงดังป๊อก วินท์ยกมือกุมหัวพลางลูบป้อยๆ
 
                “พี่เบนเจ็บนะ!!”ส่งเสียงดังพลางค้อนวงใหญ่ให้กับคนที่ยืนหัวเราะจนตาเป็นขีด
 
                “ก็ดีดหัวเรียกสติไง ว่าแต่ตกลงเหม่อเรื่องอะไรเนี่ยเห็นเดินยิ้มกับลมกับแล้งตั้งแต่วางโทรศัพท์”สองคนพากันเดินคู่กันมายังโรงอาหาร
 
            “คิดอะไรนิดหน่อยแล้วมันตลกอ่ะครับเลยขำ”
 
ยามเช้าโรงอาหารขนาดใหญ่ของโรงเรียนคับคั่งไปด้วยเด็กนักเรียนทุกชั้นปี เบนเอ่ยตอบรับคำทักทายของรุ่นน้องทุกคนด้วยสีหน้าแต้มรอยยิ้ม  การเป็นประธานนักเรียนของเขาทำให้ทุกวันจะมีเด็กๆมาทักทายไม่ได้ขาด
 
                “แหม เดินข้างท่านประธานแล้วรู้สึกตัวเล็กลีบแปลกๆ”แกล้งแซวเมื่อจับจองที่นั่งได้แล้ว
 
                “นี่ถ้ายังคบกับพี่ก็ชินไปนานแล้ว”
 
                “พูดมากไปซื้อข้าวไป”เอ่ยไล่เมื่อเบนรื้อฟื้นเรื่องเก่า เมื่อร่างสูงเดินไปหาซื้ออาหารเช้าแล้ววินท์ก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดไลน์ พิมพ์ข้อความหาอริญชย์แม้จะรู้ว่าป่านนี้เจ้าตัวคงยังไม่ตื่น เสร็จแล้วก็เก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม หยิบหนังสือเรียนที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านรอ อาทิตย์หน้าเขาจะสอบกลางภาคแล้ว เวลาว่างจากดูแลริญชย์หรือเวลาที่อริญชย์ไม่อยากยาวินท์จะไม่ปล่อยเวลาให้ว่างเลย เด็กหนุ่มต้องการที่จะทำคะแนนให้ดีที่สุดการเรียนแพทย์ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้พ่อแม่แต่เพราะวินท์เองรักและชอบในอาชีพนี้ อาจจะเป็นเพราะตอนเขาเด็กๆวินท์เคยไม่สบายหนักแล้วเมื่อแอดมิทคุณหมอเจ้าของไข้กลับใจดีและดูแลเด็กน้อยวินท์ดีมากๆ นั่นจึงเป็นความประทับใจ
 
ถ้าโตไปได้เป็นหมอ เขาก็จะเป็นคุณหมอที่ใจดีกับคนไข้ให้เหมือนคุณลุงหมอคนนั้นเช่นกัน
 
                “วินท์กินข้าวก่อน”เบนวางจานข้าวลงตรงหน้าอดีตคนรักก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามวินท์เลื่อนหนังสือไปไว้ข้างๆก่อนจะเริ่มกินข้าวพร้อมเบน
 
นึกขอบคุณรุ่นพี่ในใจทุกครั้งที่ได้คุยกัน  แม้จะเลิกรากันไปแต่เบนยังคงปฏิบัติกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
 
เคยดีอย่างไรก็ยังคงดีอย่างนั้น  ภาสวินท์รู้ว่าตัวเองนั้นแสนจะโชคดี เด็กหนุ่มภาวนาขอให้เบนเจอกับคนดีๆและรักเบนมากๆในซักวันหนึ่ง
 
                “มองอะไร มองอย่างนี้นึกเสียดายพี่อยู่รึไง”
 
                “ฮื่อ...เสียดายจริงๆแหละ “รับคำอย่างว่าง่าย
 
                “นี่...คนบอกเลิกน่ะไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรแบบนี้หรอกนะพี่จะบอกให้ เสียดายตอนนี้แม้แต่ขาอ่อนก็ไม่ได้เห็นแล้วล่ะไอ้น้องเอ๋ย”เบนว่าเสร็จก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อวินท์เบะปากใส่อย่างหมั่นไส้
 
                “ผมไม่ได้เสียดายแบบนั้นซักกะหน่อยพี่นี่หลงตัวเองชะมัด”หยิบก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กๆปาใส่คนตัวสูง
 
                “อ่าว ก็บอกเสียดายๆก็นึกว่าหมายถึงแบบนั้น”
 
                “ผมเสียดายที่ทำไมไม่มีคนดีๆมาจีบพี่ซักที รูปหล่อบ้านรวยอนาคตดีแบบพี่อ่ะไม่น่าจะอยู่ว่างแบบนี้ได้เลย”
 
                “ยังไม่อยากมีใครน่ะ เลิกคุยเรื่องพี่เถอะมาคุยเรื่องของเราเหอะตกลงตอนนี้อริญชย์เป็นยังไงบ้าง”พอคำถามถูกตั้งมาหน้าวินท์ก็สลดลงเหมือนลูกโป่งทีอัดแก๊สจนเต็มที่แล้วดันทำหลุดมือจนมันลอยไปไกลแล้วตกลงพื้นดินเมื่อแก๊สหมด
 
                “แย่น่ะ”
 
                “ทำหน้าแบบนี้แปลว่าแย่มาก”
 
                “เมื่อคืนริญชย์ให้ผมล่ามโซ่เขาไว้ ภาพที่เขาทุรนทุรายยังติดตาผมอยู่เลยพี่ น่าสงสารมากๆเลย”พูดจบวินท์ก็ยกฝ่ามือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเมื่อภาพที่ริญชย์ชักเกร็งผุดเข้ามาในความทรงจำ
 
เมื่อคืนตอนเห็นริญชย์เป็นแบบนั้นวินท์สงสารใจจะขาด ในใจของเด็กหนุ่มมีแต่ความหวั่นกลัว
 
กลัวว่าอริญชย์จะตาย
 
กลัวไปสารพัด
 
กว่าจะผ่านช่วงหักดิบสภาพของริญชย์จะเป็นอย่างไร
 
                “แต่ก็ผ่านมาได้วันหนึ่งแล้วนี่นา พี่เชื่อว่าถ้ามีกำลังใจจากวินท์ยังไงริญชย์ก็น่าจะดีขึ้น นายเก่งอยู่แล้ว สู้ๆสิ”
 
“แม่...”ผู้เป็นแม่ละสายตาจากผ้าพันคอที่กำลังถักแล้วรีบเดินไปหาลูกชายที่นอนกุมหัวอยู่บนเตียงทันที
 
“ว่าไงลูก...ปวดหัวเหรอ”ริญชย์พยักหน้ารับก่อนจะออกแรงลุกขึ้นนั่งตามที่แม่ประคอง ความปวดร้าวตามร่างกายบ่งบอกว่าเมื่อคืนเขาต่อสู้กับยานรกอย่างหนักหนาสาหัสถึงเพียงไหน
 
แค่วันเดียวเขายังเกือบตายกว่าจะครบ 7 วัน เขาอาจจะได้ตายจริงๆก็ได้
 
“วินท์ไปไหนล่ะแม่ ไปเรียนแล้วเหรอ”เอ่ยปากถามหาคนที่มักจะนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ย
 
“อืม ไปแล้ว แต่เมื่อเช้าวินท์เดินไปซื้อเป็ดพะโล้ไว้ให้ริญชย์ด้วยนะ สั่งไว้ว่าให้ลูกกินเยอะๆ ริญชย์ไปอาบน้ำไปลูกแม่หุงข้าวไว้แล้วเสร็จจะได้มากินข้าว”หล่อนเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้ลูกชาย ริญชย์รับมาถือไว้แต่ยังไม่ขยับไปไหน
 
“วันนี้วินท์จะไม่มาใช่มั้ยแม่”เอ่ยถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เป็นไปตามข้อตกลงที่ลุงแจซอกบอกว่าจะให้วินท์มาค้างกับริญชย์ได้แค่วันเว้นวันเท่านั้น
 
ยังไงซะวินท์ก็เพิ่งจะ 16 ยังเด็กเกินไปที่จะมาจัดการกับเรื่องนี้อย่างเต็มตัว ปัญหามันใหญ่จนคนเป็นพ่อแม่ห่วงลูกชาย
 
ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มีให้เห็นทุกวันว่าการขาดยาเสพติดทำให้ผู้เสพคลั่งจนฆ่าคนตายมาแล้ว
 
และถ้าริญชย์อยากมากๆจะมีอะไรมารับประกันว่าริญชย์จะไม่พลั้งมือทำกับวินท์เข้าซักวัน
 
อย่างน้อยในเมื่อห้ามไม่ได้ฮานาก็ขอตั้งกฎให้ลูกชายซักนิดก็ยังดี
 
“แม่...”ริญชย์เอ่ยเรียกแม่ที่เริ่มตั้งโต๊ะกินข้าว หญิงวัยกลางคนหยุดการจัดสำรับแล้วหันมามองลูกชายที่นั่งหน้าตาซีดเซียวอยู่บนเตียง
 
“อะไรลูก? จะเอาอะไรหรือเปล่าหรือลุกไม่ขึ้น ให้แม่เช็ดตัวให้มั้ย?”ริญชย์รีบโบกมือปฏิเสธ
 
“ป่าวแม่ อาบเองไหว ริญชย์แค่จะถามแม่ว่า...”อยู่ๆคนหน้าซีดก็พลันหน้าแดงขึ้นซะอย่างนั้น
 
“ว่าอะไรลูก?”
 
“แม่ว่าวินท์น่ารักมั้ย?”
 
“ก็น่ารักดีนี่ลูกนิสัยดีแถมห่วงริญชย์มาก หายากนะลูกเพื่อนแบบนี้เมื่อคืนวินท์ก็นั่งเฝ้าริญชย์ทั้งคืน ตอนแม่มาวินท์เพิ่งเก็บห้องเสร็จตานี่โหลเชียว”หล่อนพูดอย่างชื่นชมเด็กข้างบ้าน แต่น้อยจนเติบใหญ่เพื่อนของริญชย์ก็มีวินท์นี่แหละที่เข้าท่าที่สุดไม่พากันไปเกเรที่ไหนซ้ำยังจะคอยช่วยฉุดลูกชายของหล่อนให้ตั้งใจเรียนอีกต่างหาก
 
“ถ้าน่ารักแล้วริญชย์ขอรักกับวินท์ได้มั้ยแม่?” คนเป็นแม่ชะงักกับคำถามนั้น ใจของหล่อนหล่นวูบลงไปอยู่ที่ปลายเท้าก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
 
“ริญชย์กับวินท์ก็รักกันอยู่แล้วนี่ลูก เพื่อนสนิททั้งคน”
 
“แม่ก็รู้ว่าริญชย์ไม่ได้หมายความถึงความรักแบบเพื่อน”เด็กหนุ่มเอ่ยแย้งเมื่อแม่พยายามเบี่ยงประเด็น
 
“ริญชย์ไม่ได้บอกเพื่อขออนุญาตแม่หรอกนะริญชย์บอกให้แม่รู้ไว้ว่าริญชย์กับวินท์รักกัน แม่อย่าขวางเราเลยนะ แม่ก็เห็นว่าที่ผ่านมาวินท์ดีกับริญชย์แค่ไหน”
 
“ริญชย์แน่ใจจริงๆเหรอว่าความรู้สึกระหว่างริญชย์กับวินท์มันคือความรักไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ลูกสองคนอาจจะยังเด็กจนสับสนในความรู้สึกก็ได้”
 
“แม่....อย่าดูถูกความรักของเด็กนักเลย ริญชย์กับวินท์จริงจังกันจริงๆนะแม่ ริญชย์อยากบอกให้แม่รู้ไว้เพราะริญชย์รักแม่ ริญชย์อยากให้แม่อวยพรให้ความรักของริญชย์กับวินท์ แม่จะอายคนอื่นมั้ยถ้าแม่มีลูกที่รักผู้ชายด้วยกันแม่อายหรือเปล่า?”ผู่เป็นแม่ส่งยิ้มให้ลูกชายแม้ในใจอยากจะร้องไห้ แต่ถ้านั่นคือความสุขของริญชย์หล่อนก็ยินดี
 
แม้ความรักของเด็กสองคนจะกลายเป็นเรื่องต้องห้ามของสังคมก็ตามที
 
แล้วยังไงล่ะ ในยามที่ลูกของหล่อนเศร้าเสียใจคนภายนอกเหล่านั้นไม่ได้มาเช็ดน้ำตาให้ลูกชายของหล่อนเหมือนที่ภาสวินท์ทำ
 
ในยามที่ลูกชายของหล่อนเกเรอาละวาดคนที่คอยฉุดดึงริญชย์ไว้ไม่ใช่คนเหล่านั้นแต่เป็นวินท์
 
ในยามที่ลูกชายของหล่อนหลงผิดเดินเข้าสู่ห้วงเหวคนที่ยื่นมือเข้าช่วยไม่ใช่คนเหล่านั้นหากแต่เป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าลูกชายของหล่อนเพียงแค่สี่เดือนอย่างภาสวินท์
 
แล้วมีเหตุผลอะไรที่หล่อนจะกีดกันไม่ให้ลูกชายรักกับวินท์ล่ะ สังคมตัดสินชีวิตของเธอและลูกมานานเกือบ 17 ปีแล้ว ตัดสินอย่างอยุติธรรมเสมอมาแล้วทำไมหล่อนต้องแคร์คนพวกนั้นด้วยล่ะ
 
นางเดินไปหาลูกชายโน้มตัวลงกอดลูกไว้หลวมๆลูบกลุ่มผมยาวกระเซอะกระเซิงนั้นอย่างแผ่วเบา
 
“ช่างหัวสังคมมันเถอะลูก ทำตามที่ใจลูกต้องการเถอะ ลูกรักใครแม่ก็รักด้วย”
 
“ขอบคุณนะแม่...ขอบคุณที่เข้าใจริญชย์  ริญชย์รักแม่นะ”
 
“แม่ก็รักริญชย์ อะไรที่ทำแล้วมีความสุขแม่จะไม่ห้ามริญชย์เลยขอแค่ลูกมีความสุขแม่ยอมทุกอย่าง”
 
 
“แม่ปล่อย!!! ปล่อยผม!!!” เสียงโซ่กระทบพื้นดังลั่นเมื่อริญชย์เริ่มอาละวาดหนัก ข้าวของใกล้มือถูกปัดทิ้งด้วยพละกำลังอันมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ  เด็กหนุ่มทั้งร้องไห้ทั้งอ้อนวอนจนกระทั่งข่มขู่ให้แม่ปล่อยตัวเองออกจากโซ่ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนยื่นโซ่ให้แม่เองแท้ๆ
 
“กูบอกให้ปล่อยไงวะ โอ้ยยยยยยยยย”เด็กหนุ่มลงไปนอนดิ้นแถมชักจนนิ้วมือนิ้วเท้าจิกเกร็งไปหมด คนเป็นแม่หวีดร้องอย่างสงสารลูกนางรีบเข้ามาสวมกอดลูกชายไว้ร้องไห้โฮปานใจจะขาดใจ
 
“ริญชย์ลูก ริญชย์ เจ็บตรงไหนปวดตรงไหนๆบอกแม่สิลูก ฮือ...”หล่อนพยายามคลำตามตัวที่ลูกชายร้องบอกว่าปวด พยายามนวดเฟ้นหวังว่าจะให้อาการของริญชย์ดีขึ้น แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มมีท่าทางทรมานหนักกว่าเดิม อาการหนาวสั่นสลับกับร้อนจนแทบทนไม่ไหวเล่นงานหนักหนากว่าเมื่อวาน
 
“แม่ริญชย์ปวด...แม่ปล่อยริญชย์ทีแม่ครับ นะแม่นะ แม่ปล่อยริญชย์ที โอ้ยยยยย...ริญชย์จะตายอยู่แล้วนะครับแม่ ฮือ...ปวดไปหมดทั้งตัวเลย”ริญชย์ขดตัวต่อสู้กับความเจ็บปวด
 
“ได้ลูกได้ๆ รอก่อนนะ โธ่..ลูกรัก ใจแม่จะขาดแล้วลูกเอ๊ย” ใจคนเป็นแม่แทบแตกสลายเมื่อลูกชายร่ำร้องทุรนทุรายในที่สุดหล่อนก็ล้วงเอาลูกกุญแจมาไขให้ลูก ริญชย์รีบโยนโซ่ออกห่างตัวราวกับมันเป็นของร้อน
 
“แม่...แม่ริญชย์ขอเงินหน่อยแม่ ริญชย์ขอเงินหน่อย เอาเงินมาให้ริญชย์นะๆ”ชายหนุ่มเกาะแขนแม่เขย่าอย่างแรงผู้เป็นแม่รีบล้วงหากระเป๋าเงินก่อนที่ลูกชายจะอาละวาดไปมากกว่านี้ธนบัตรหลายใบถูกยัดใส่มือลูกชายทั้งน้ำตา
 
“เอาไปลูก เอาไปแล้วอย่าอาละวาดนะลูกนะ อ่ะนี่แม่ให้”
 
 
ริญชย์ไปแล้ว...
 
เป็นอีกครั้งที่นางปล่อยให้ลูกเดินทางกลับไปหายานรกนั่น
 
หล่อนทนเห็นลูกเจ็บปวดทรมานแบบนั้นไม่ไหวจริงๆ…ได้แต่ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแล้วกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
 
 
            ร่างสูงเดินซมซานมาหาอ้นที่คอนโด มือเรียวกดกริ่งรัวแรงพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองอ้วกออกมา ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก จินเบะปากเมื่อเห็นสภาพของริญชย์
 
                “ไงคนเก่ง ไหนบอกจะเลิกแล้วกลับมาทำไมล่ะ?”คำถามถากถางถูกพ่นออกไปโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง  อริญชย์ใช้มือผลักอกจินให้พ้นทางก่อนจะเดินไปหาอ้นและแมน
 
                “ขอยาให้กู”เอ่ยเสียงแหบแบมือไปข้างหน้าสั่นงันงก
 
                “ไอ้ริญชย์เอ๊ย กูล่ะสงสารมึงจริงๆเลยว่ะเพื่อน”อ้นตบลงบนบ่าริญชย์หนักๆสองทีก่อนจะหันไปหาแมน
 
                “มึงว่าไงวะแมนให้ไม่ให้”แมนปรายตามองริญชย์แล้วให้รู้สึกสมเพชคนตรงหน้า หมดคราบริญชย์จอมอวดเก่งเมื่ออาทิตย์ก่อนไปเสียสนิท
 
                “ไม่ให้”คำตอบเรียบๆถูกเปล่งออกมา
 
                “แมนมึงให้ยากูเถอะนะกูขอร้อง”ริญชย์ถลาเข้าไปเกาะแขนแมนร่ำร้องอ้อนวอนเมื่อร่างกายเริ่มกระตุก อาการเสี้ยนยาทำให้เขาทรมานแทบสิ้นใจ
 
                “กูมีเงินนะกูซื้อมึงก็ได้ นี่ไงมึงเอาไปเลยกูยกให้มึงหมดเลย ขอยาให้กูเถอะนะๆ”ริญชย์ยัดเงินใส่มือแมนที่ยืนนิ่งไม่ตอบสนอง ธนบัตรหลายใบหล่นลงแทบเท้า แมนเดินเหยียบไปอย่างไม่สนใจ
 
                “ถ้ามึงอยากได้ยามึงทำอะไรให้กูอย่างหนึ่งสิไอ้ริญชย์”
 
                “มึงบอกมาว่ามึงจะให้กูทำอะไรกูทำได้ทั้งนั้น ขอยาให้กูก่อน”
 
                “กูจะให้ยามึงก็ได้ แต่พรุ่งนี้มึงต้องเอายาไปส่งแทนไอ้อ้น มึงทำได้มั้ย?”ปรายตามองคนที่ตอนนี้แทบครองสติไม่อยู่แล้ว อริญชย์ชะงักไปเพียงอึดใจก่อนจะตอบรับ
 
                “ได้ พรุ่งนี้กุจะไปส่งยาแทนไอ้อ้น”
 
                “มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก”แมนโยนขวดเล็กให้ริญชย์ ชายหนุ่มรีบตะครุบก่อนจะหันไปรับเข็มจากอ้น ใช้มือฉีกซองหุ้มก่อนจะเดินไปทรุดนั่งตรงมุมประจำของตน รัดแขนก่อนแทงเข็มแหลงลงบนท้องแขน น้ำตาของเด็กหนุ่มไหลออกมาอย่างช้าๆ
 
ขอโทษนะวินท์
 
ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้
 
ขอโทษจริงๆ



...............................................
เอาแม่ไปเผาได้ป่ะ พังหมดที่วินท์ทำมา

วินท์น่าสงสารจังเลยยังต้องเจอสภาพริญชย์แบบนี้ไปทุกวันแล้วใจดวงน้อยๆจะทนได้ไหวมั้ยนะ

ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆว่าที่คุณหมอของเราได้คนรักเป็นคนไข้คนแรกเลยนะ ในชีวิตจริงจะหาคนที่รักเราด้วยใจจริงแบบนี้ได้ไหมนะ

คนดีๆแบบนี้ยังมีหลงเหลืออยู่มั้ย แน่นอนว่ามี อาจจะอยู่ที่ใดซักแห่งบนโลกเพียงแต่แรงดึงดูดเหวี่ยงเขาไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่เรา แต่ถ้าหากคุณได้คนๆนี้ไปเป็นคู่ชีวิตโปรดรักษาและทะนุถนอมหัวใจเขาไว้ให้ดีเพราะไม่รู้ว่าขั่วขีวิตนี้หากคุณเสียเขาไปแล้วคนใหม่ที่เข้ามาจะดีได้เท่ากับเขาหรือเปล่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2019 22:39:21 โดย thanatcha »

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่ควรให้แม่คุมแล้วอ่ะ ล่ามโซ่ขังไว้ในห้องเลยเถอะ ตอนแรกนึกว่าแมนจะเป็นคนดีกว่านี้ทำไมทำงี้ //ว่าแต่คุณแม่มีหลายชื่อจังค่ะเดี๋ยวฮานาเดี๋ยวดาอึน55

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2

อนธการ

ตอนที่ 11



                ภายในตรอกแคบๆย่านสถานบันเทิงชื่อดังถึงแม้ด้านหน้าที่เป็นถนนเส้นหลักจะคลาคล่ำไปด้วยเหล่านักเที่ยวและผีเสื้อราตรี แต่ทางด้านหลังนั้นกลับเงียบไร้การสัญจร นานๆจะมีพนักงานร้านต่างๆออกมาทิ้งขยะ  บนพื้นถนนเฉอะแฉะไปด้วยน้ำสกปรก อ ริญชย์ขยับหมวกให้ปิดบังใบหน้ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แมนตบบ่าเพื่อนรุ่นน้องให้ก้าวเข้าไปด้านใน ตนเองคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่รออย่างใจเย็น มวนบุหรี่ถูกจุดสูบจับสายตากับแผ่นหลังที่ค่อยๆกลืนหายไปกับความมืด
 
                เด็กนั่นมันโง่ โง่อย่างน่าสมเพช โง่ไม่ต่างจากอ้นและจินหรอก เขาก็แค่เลี้ยงด้วยยาเพื่อที่จะใช้ทำงานที่เสี่ยงๆแทน พวกเขาทุกคนต่างมาจากครอบครัวที่มีปัญหาเพราะฉะนั้นตอนที่เล่นกันเมื่อครั้งยังเยาว์วัยไม่มีใครพูดจาทำร้ายใจใครก็เพราะทุกคนต่างมีชนักติดหลังกันทั้งนั้น แมนที่อายุมากกว่าเด็กพวกนั้นสองปีกลายเป็นหัวโจก  เพราะต้องย้ายบ้านบ่อยทำให้แมนขาดเรียนจนในที่สุดก็พักการเรียนไปเกือบสองปี ตอนที่มาอยู่บ้านหลังนี้เด็กชายจึงต้องเรียนซ้ำชั้นทำให้ได้รู้จักกับอ้นและจินที่บ้านใกล้กัน สองคนนั่นจึงพาเขามารู้จักอริญชย์อีกต่อหนึ่ง
 
                เพราะอายุเยอะกว่าไม่ว่าจะชวนเล่นอะไรเด็กพวกนั้นก็คล้อยตามด้วยเสมอมา แมนคือพี่ใหญ่ คือหัวโจก รู้สึกเหมือนตัวเองคือพระเจ้าที่จะบัญชาให้ใครทำอะไรก็ได้
 
น่าตลกที่เด็กพวกนี้จิตใจเปราะบางเสียเหลือเกิน คนที่หลงกระโจนเข้ามาในกองไฟนี้คนแรกคือจินเด็กที่ชอบทำตัวเหมือนไม่กลัวอะไรซักอย่างนั่นน่ะจิตใจอ่อนไหวยิ่งกว่าริญชย์ซะอีก ข้อดีของจินคือเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เด็กนั่นน่ะ ยามไม่มีเงินก็ใช้ร่างกายแลกกับยานรก แมนชอบผิวลื่นๆนุ่มมือของตัวจินมากๆแต่พอนานๆไปก็กลายเป็นความชินชา และเรื่องนี้ก็รู้กันเพียงแค่เขากับจินเท่านั้น เมื่อได้ตามสิ่งที่ต้องการทุกอย่างก็เป็นเหมือนปกติ พวกเขายังคงเป็นเพื่อนกัน
 
ส่วนอ้นน่ะเด็กนั่นไม่ถึงกับติดแต่เพราะฐานะที่บ้านไม่ค่อยดีอ้นจึงกลายมาเป็นมือขวาของเขา ถึงแม้จะอายุยังน้อยแต่อ้นนั่นน่ะไหวพริบดี หูตาว่องไว ฉลาดเป็นกรด เขาเบาใจได้เลยถ้าอ้นมาด้วยยังไงงานก็ไม่มีพลาด เสียดายที่คืนนี้อ้นต้องไปเฝ้าลุงที่ป่วยดังนั้นจินจึงไม่ใช่ตัวเลือก
 
เขายื่นยานรกให้ริญชย์เพราะหวังจะได้ริญชย์มาคอยช่วยงาน แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดตั้งแต่ภาสวินท์หาริญชย์เจอ
 
หงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าเด็กนั่น เด็กที่มีสีหน้าอวดดีอยู่ตลอดเวลานั่น โดยเฉพาะดวงตาของวินท์ที่มองมายังพวกเขา ในแววตาเรียบสนิทของวินท์มีคำตำหนิมากมายส่งมอบมาให้จนร่างกายร้อนๆหนาวๆ
 
ถามว่าเกลียดภาสวินท์มั้ย...ก็ไม่ เพียงแต่ไม่อยากให้วินท์มาดึงริญชย์ไปจากพวกเค้า อย่างน้อยริญชย์ก็คบกับพวกเขามาก่อนที่วินท์จะเข้ามาในชีวิต
 
อริญชย์ก้าวเท้าเข้าไปด้วยจิตใจที่เต้นระรัว มันเต้นเร็วมากกว่าตอนที่เขาขาดยาเสียอีก ตาเรียวเหลือบซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังเมื่อไปถึงจุดนัดคือหลังบาร์แห่งหนึ่งผู้ชายร่างอ้วนก็ยืนสูบบุหรี่รออยู่ก่อนแล้ว
 
“มึงเป็นใครวะไม่ใช่ไอ้อ้นนี่”ผู้ชายคนนั้นเอ่ยทักเมื่อเห็นร่างสูงที่ก้าวฝ่าความมืดเข้ามาหาตนนั้นไม่ใช่อ้นที่จะมาส่งยาให้เขาเป็นประจำ
 
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่ากูเป็นใครเอาของไปเอาเงินมาเร็วๆเถอะ”ริญชย์ยื่นมือไปรับซองเงินก่อนจะเอาออกมานับจนครบแล้วจึงยื่นห่อยาให้
 
“ฝากบอกไอ้แมนด้วยว่ารอบหน้ากูขอมากกว่านี้เท่านึง”ริญชย์ไม่ได้ตอบรับเขาหมุนตัวกลับมายังเส้นทางเดิมก่อนจะโยนซองเงินให้แมน
 
“มึงจะไปไหน?”แมนที่สตาร์ทรถเอ่ยถามเมื่อริญชย์เลือกที่จะเดินไปอีกทาง
 
“กลับบ้าน”
 
“กูไปส่ง”
 
“ไม่ต้องหรอกกูกลับเอง”น้ำเสียงเรียบตึงนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้พูดชัดเจน
 
ริญชย์กำลังโกรธแมนอยู่
 
“ริญชย์มึงโกรธกูเหรอ?”เอ่ยถามไปทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาในกลุ่มของพวกเขาริญชย์คือคนที่ดูออกง่ายที่สุด จะทุกข์หรือว่าจะเศร้าเด็กคนนี้ล้วนแต่แสดงออกมาอย่างซื่อตรง
 
“มึงทำอะไรให้กูโกรธเหรอไอ้แมน? เรื่องที่มึงพากูมาส่งยาเนี่ยเหรอ ขอบใจนะที่พากูก้าวขาข้ามตารางมาพร้อมกันทั้งสองขาน่ะเหรอ กูไม่โกรธหรอกเพราะกูรนหาเรื่องเอง ที่กูรู้สึกแย่คือการที่อยู่ๆกูก็ดันคิดว่าที่เราคบกันเป็นเพื่อนอยู่ทุกวันนี้เพราะพวกเราเป็นเพื่อนรักกันจริงๆหรือมึงแค่หลอกใช้ผลประโยชน์จากกูกันแน่ อ่อไอ้อ้วนนั่นบอกว่าคราวหน้าขอยาเพิ่มอีกเท่าตัวนะกูไปล่ะ”เด็กหนุ่มหันมาแค่นยิ้มให้ก่อนจะเดินทิ้งหายไป แมนได้แต่ยีผมตัวเองอย่างหงุดหงิด
 
 
เกือบรุ่งสางริญชย์ก็กลับถึงหอพัก ทุกชั้นยังเงียบสงบเพราะพราะอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า บรรยากาศช่วงหน้าฝนเยิ่งทำให้เช้านี้อากาศโดยรวมเย็นๆผิว ความชุ่มชื่นแผ่คลุมเต็มท้องฟ้า เด็กหนุ่มแวะซื้อโจ๊กเพื่อเอาไปฝากแม่ เดินขึ้นบันไดมาด้วยฝีเท้าเงียบเชียบแทนการใช้ลิฟท์ เขาอยากทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำ
 
แมนอันตรายเกินไป  วันนี้ริญชย์รู้แล้วว่าเพื่อนรุ่นพี่ไม่ได้หวังดีกับใครจริง แมนทำเพียงแค่เลี้ยงยาพวกเขาไว้เพื่อหวังผลประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
 
ถ้าเขายังคงพ่ายแพ้กับใจของตัวเองและกลับไปขอยาจากแมนอีกท้ายที่สุดคงไม่พ้นตัวเขาเองจะกระโจนลงไปในแวดวงนี้ซะเอง
 
ที่สำคัญถ้าวินท์รู้ว่าเขาแพ้ใจตัวเองไปเล่นยาคนตัวเล็กที่เชื่อใจเขาจะผิดหวังขนาดไหน ริญชย์เดินขึ้นไปจนถึงชั้นห้าไฟในห้องปิดสนิทไขกุญแจก่อนจะเปิดไฟพลันร่างกายก็เย็นเฉียบราวกับถูกน้ำเย็นราดลงมาบนหัว
 
                “กลับมาแล้วเหรอ”
 
ภาสวินท์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของห้องที่บัดนี้หน้าซีดเผือดราวกระดาษ ในห้องไม่มีแม่อยู่กลับกลายเป็นวินท์ที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนของเขา ข้างๆกายมีโซ่เส้นใหญ่ที่ไว้ใช้ล่ามเขาวางอยู่ใกล้ๆ วินท์ปามันลงมาหล่นลงข้างเท้าเขาด้วยแรงอารมณ์ผุดลุกขึ้นยืนข้างเตียงร่างกายนั้นสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แววตาที่วินท์มองมาไม่ได้แข็งกร้าวที่เป็นสายตาที่ฉายชัดถึงความผิดหวัง ริมฝีปากอิ่มที่เคยเอยคำเจื้อยแจ้วบัดนี้เม้มสนิทเข้าหากันอย่างคนที่พยายามข่มอารมณ์ ขอบตาบวมช้ำบ่งบอกว่าวินท์ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักแค่ไหน
 
ร้องไห้เพราะความไม่เอาไหนของเขา
 
“วินท์ริญชย์ขอโทษ”คำขอโทษที่ท้ายเสียงแผ่วเบาด้วยความรู้สึกเสียใจตีตื้นขึ้นมาที่ช่องอกรีบสาวเท้าก้าวยาวๆไปหาวินท์ทีเดินหันหลังให้เขา  คว้าเอวบางหมายจะกอดแต่วินท์กับปัดมือเขาทิ้งพลางผลักไสคล้ายรังเกียจ
 
“ขอโทษอีกแล้วเหรอ ริญชย์พูดคำว่าขอโทษมากี่ครั้งแล้วเคยนับบ้างมั้ย? ขอโทษแล้วเคยคิดที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่านี้หรือเปล่า เหมือนที่ผ่านมาเราพยายามอยู่ฝ่ายเดียว เราอยากให้ริญชย์หาย อยากให้ริญชย์เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วนี่คืออะไร ริญชย์ตอบแทนความรักความหวังดีของเราด้วยการขอให้แม่ปล่อยริญชย์กลับไปหายานรกพวกนั้นน่ะเหรอ ฮึก...”สุดท้ายวินท์ก็กลั้นเสียงสะอื้นและน้ำตาไม่อยู่ร่างบางทรุดตัวลงกับพื้นยกสองมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น ริญชย์ได้แต่ยืนคอตกอยู่กับที่ราวกับถูกตะปูดอกใหญ่ตรึงขาไว้ ที่ผ่านมาหลายปีต่อให้เขาทำผิดแค่ไหนวินท์มักจะพูดคำว่าว่าไม่เป็นไรกับเขาอยู่เสมอมา ต่อให้ในใจของวินท์จะเศร้าหรือเสียใจแค่ไหนวินท์ก็ไม่เคยกล่าวโทษหรือต่อว่าเขาเลยซักครั้ง แต่ครั้งนี้วินท์เลือกที่จะพูดทุกอย่างตรงกับที่ใจคิด
 
คนตรงหน้าต้องผิดหวังในตัวเขามากขนาดไหนกันนะ
 
“ขนาดตัวเองริญชย์ยังไม่รักแล้วแบบนี้ริญชย์จะมารักเราได้ยังไง?”ภาสวินท์เงยหน้าที่มีคราบน้ำตาเปรอะหน้าขึ้นมาพูดกับเขา
 
สายตาที่บ่งบอกออกมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นความผิดหวัง ความเสียใจ ความรักที่มีให้กับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่วินท์รู้สึกกับเขาเป็นเขาเองที่เหยียบย่ำทำลายมันไปทั้งหมด เสียงสะอื้นเบาๆนั้นยิ่งบาดเข้าไปในจิตใจส่วนลึกวินท์พยุงตัวลุกขึ้นแรงสะอื้นจนตัวโยนนั้นทำให้ริญชย์ก้าวเข้าไปรวบร่างบางมาสวมกอดแม้จะถูกขืนตัวหรือผลักออกแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมปล่อยแม้จะโดนทุบตีแต่ริญชย์ก็ไม่ปัดป้อง ยอมให้วินท์ทุบลงบนตัวเขาซ้ำๆ มันไม่เจ็บเลย ไม่เจ็บเลยซักนิดกลายเป็นคนที่ทุบตีเขานั่นแหล่ะที่ยิ่งตีก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเสียงตัดพ้อต่อว่าดังเข้ามาในหูริญชย์หลับตาลงพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบโอบล้อมอยู่อย่างนั้นจนเมื่อวินท์สงบลง ร่างเล็กก็แกะมือที่กอดเอวของเขาออก ดวงตากลมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของอีกฝ่ายที่ฉายชัดถึงความหวาดกลัวและสับสนในใจ
 
“ถ้าริญชย์ยังไม่พร้อม ถ้าเราบังคับริญชย์มากเกินไป งั้นเราก็พอเถอะ รอริญชย์พร้อมที่จะเลิกมันจริงๆแล้วค่อยโทรหาเรานะ เราคงทนเสียใจซ้ำๆไม่ได้หรอก ระหว่างนี้เราคงไม่มาหาริญชย์นะ อาทิตย์หน้าเราจะสอบลองห่างกันซักพักริญชย์ไปทบทวนว่าเราจะเดินไปด้วยกันต่อหรือจะหยุดแค่นี้ แต่ถ้าริญชย์จะมีเราริญชย์ต้องเลิกยานั่นเพราะเราคงเดินไปกับริญชย์พร้อมมันไม่ได้”พูดจบมือเล็กที่เคยอบอุ่นของวินท์ก็ปล่อยมือของริญชย์ออกสองเท้ากำลังจะผละเดินออกไปแต่ต้องชะงักเมื่อริญชย์ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วใช้สองแขนโอบกอดรอบขาของเขาไว้กลายเป็นว่าตอนนี้เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นไม่ใช่ของวินท์อีกต่อไป อริญชย์ร้องไห้ เสียงร้องไห้ที่กรีดแทงเข้ามาในใจของวินท์ทำให้ริมฝีปากของคนตัวเล็กกว่าสั่นระริกอย่างสะเทือนใจ  น้ำตาไหลจนหยดลงพื้น
 
“ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้สิวะ ไม่เลิก วินท์อย่าทิ้งริญชย์นะ อย่าทิ้งริญชย์ ไม่ทำแล้ว ฮึก ไม่ทำแล้วจะเลิก เลิกจริงๆนะ”เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กพร้อมกับใบหน้าที่ซุกไซร้กับต้นขาของริญชย์ทำให้ใจของวินท์อ่อนยวบ ยังไม่ทันไรก็จะใจอ่อนกับเขาเสียแล้วหรือภาสวินท์
 
ไม่หรอก วินท์ตอบตัวเองในใจ ถ้ายอมทุกอย่างก็จะกลับไปอีหรอบเดิม วินท์ลูบผมของริญชย์แผ่วเบาร่างสูงรีบคว้ามือนุ่มนั้นมาแนบแก้มวินท์นั่งลงประคองใบหน้าหล่อเหลานั้นไว้ก่อนจะบรรจงเช็ดน้ำตาให้ความลินอย่างอ่อนโยน
 
“อย่าเพิ่งรับปากเลยริญชย์ ยังไงเราก็จะให้เวลาริญชย์ตัดสินใจให้เวลาริญชย์คิดว่าจะทำได้จริงๆมั้ย เราทนความผิดหวังไม่ไหวแล้วนะ ตอนนี้เราถอยคนละก้าวก่อน วินท์รักริญชย์นะ แล้วริญชย์ล่ะรักตัวเองเหมือนที่วินท์รักหรือเปล่า? วินท์ไม่อยากให้ริญชย์เลิกยาเพราะวินท์บังคับ ต่อให้มีโซ่ซักร้อยเส้นมาล่ามริญชย์ไว้ถ้าใจของริญชย์ไม่เข้มแข็งพอมันก็ไม่มีประโยชน์ วินท์ไม่ได้ไปไหนหรอกเมื่อไหร่ที่ริญชย์ต้องการให้วินท์กลับมาก็บอกนะ”ภาสวินท์จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของริญชย์
 
ความอบอุ่นนั้นยังคงอยู่แต่ไม่มีวินท์ในห้องอีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงริญชย์ที่นอนปล่อยให้น้ำตารินไหลอยู่บนพื้นห้องพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆสาดส่องเข้ามาอย่างช้าๆ...



 
 
 
อริญชย์สะดุ้งตื่นเมื่อพระอาทิตย์เลยหัวไปแล้ว แสงแดดแรงกล้าทำให้ดวงตาแสบแห้ง หันมองไปรอบๆตัวบัดนี้ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่กับเขาแล้ว ไม่มีทั้งแม่และไม่มีทั้งวินท์ ร่างสูงเอื้อมมือคว้าโซ่ขึ้นมาดู
 
เป็นเขาเองที่กระโจนลงหุบเหวนั้น เป็นเขาเองที่เลือกจะปัดความรักและความหวังดีที่แม่และวินท์มอบให้ โซ่เส้นยาวถูกโยนลงพื้น ริญชย์พลิกแขนของตัวเองไปมา มันเป็นแผลมีรอยกระจายทั่วบริเวณเส้นเลือดดำ
 
เกิดมาพ่อแม่ก็ให้มาครบทั้ง 32 ประการ ให้สุขภาพที่แข็งแรงแล้วแท้ๆ แต่เขากลับทำร้ายตัวเอง มองตัวเองผ่านภาพสะท้อนในกระจกเงาผมยาวรุงรังไม่ได้ต่างจากคนเร่ร่อน ผิวที่เคยขาดจัดบัดนี้ซีดดวงตาดำคล้ำริมฝีปากเป็นแผลร้อนในเรื้อรังไม่หายซักที  นี่เขากำลังทำอะไรอยู่?  เขากำลังฆ่าตัวเองอย่างช้าๆ กำลังทำร้ายจิตใจของแม่อย่างเลือดเย็นอย่างนั้นเหรอ ริญชย์ค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน คำพูดของวินท์ไหลเข้ามาในใจช้าชัดทีละประโยค
 
“ขนาดตัวเองริญชย์ยังไม่รักแล้วแบบนี้ริญชย์จะมารักเราได้ยังไง?”
 
อริญชย์อยากรัก อยากเป็นคนที่ดีพร้อมและคู่ควรกับภาสวินท์ไม่ใช่ขี้ยาที่ไปไหนใครๆก็รังเกียจแบบนี้ น้ำตาของวินท์เมื่อเช้าเหมือนน้ำกรดที่ค่อยๆกัดกร่อนจิตใจของเขา ไม่อยากทำให้คนๆนี้ร้องไห้อีกแล้ว
 
ช่วงเย็นที่แดดร่มแล้วริญชย์ก็เดินทางออกจากห้องลงไปยังด้านล่าง เดินตรงไปยังตลาดแล้วซื้ออาหารรวมทั้งของแห้งที่จะประทังชีวิตได้ทั้งอาทิตย์ เด็กหนุ่มพกความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากได้ทุกสิ่งทุกอย่างอริญชย์ก็หอบข้าวของพวกนั้นกลับมาบนห้อง ใช้โซ่ล่ามขาตัวเองไว้แล้วกะระยะไม่ให้เดินหรือแม้แต่เอื้อมมือถึงผนังมุมใดมุมหนึ่งได้ จัดการวางข้าวของที่เขาสามารถหยิบกินได้ตลอดอาทิตย์ ยิ่งทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยเท่าไหร่อกข้างซ้ายก็รัวกระหน่ำดุจกลองรบ
 
ครั้งนี้เขาจะทำมันด้วยตัวเอง ทำโดยไม่มีใครมาคอยอยู่เป็นเพื่อนเหมือนสองวันที่ผ่านมา
 
 
      ภาพของลูกชายคนโตที่นั่งเหม่อสายตาไม่ได้จับจ้องไปที่ใดที่หนึ่งที่เห็นมาเกือบอาทิตย์ทำให้นิกรตัดสินใจเดินเข้าไปยืนข้างๆ ฝ่ามือหนาของคนเป็นพ่อลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างเบามืออ่อนโยน วินท์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าไปยิ้มอ่อนๆให้พ่อ
 
“เหนื่อยมั้ยลูก?”คำถามที่ไม่ได้แจงรายละเอียดแต่เรียกความร้อนผ่าวที่กระบอกตาให้กับคนอ่อนวัยกว่าได้แทบจะทันที วินท์สวมกอดเอวของผู้เป็นพ่อ ซุกหน้ากับหน้าท้องของพ่อ นิกรรับรู้ได้ถึงความอุ่นชื้นที่ซึมผ่านเนื้อผ้าของเสื้อเช๊ตที่เขาใส่
 
“เหนื่อยครับ”คำสารภาพที่เปล่งออกมาตามตรงนั้นช่างอ่อนแรง
 
“จะไปต่อหรือจะถอยล่ะลูก”
 
“อยากไปต่อแต่เขาไม่ยอมไปกับลูกเลย ลูกจะทำยังไงดีครับ”น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกบ่งบอกว่าวินท์ร้องไห้ไม่ใช่น้อย ต้องทรมานใจขนาดไหนลูกชายที่สดใสของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางเมฆฝนขนาดนี้ นิกรรู้จักนิสัยของลูกชายดี วินท์ภายนอกดูเหมือนเด็กร่าเริงก็จริง แต่ภายในใจของลูกชายคนโตของเขานั้นมีแต่ความจริงจัง ทุกอย่างที่วินท์ทำต้องดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด
 
ภาสวินท์คาดหวังว่าริญชย์จะเลิกยาได้ตามแผนที่วางไว้ แต่เมื่อทุกอย่างมันออกนอกลู่นอกทางเด็กคนนี้ก็เอาแต่ถามตัวเองว่าทำไม ทำไมริญชย์ถึงทำไม่ได้ตามที่ตนเองหวังไว้
 
เพราะยังอ่อนเดียงสา เพราะตั้งความคาดหวังไว้สูง พอไม่ได้ดั่งใจความผิดหวังก็ถาโถมราวคลื่นยักษ์
 
วินท์รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในการพาอริญชย์ออกมาจากสิ่งต่ำทรามเหล่านั้น
 
“ลูกเข้มงวดกับเขาไปหรือเปล่า? ลูกตึงไปหรือเปล่ากับสิ่งที่ให้เขาทำ? หรือลูกตั้งความหวังกับเขาสูงไปมั้ย อย่าลืมว่าสิ่งที่เขาเป็นน่ะตอนนี้เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาที่ถอนยา เราไม่ใช่เขานะลูกเราไม่มีทางรู้หรอกว่าระหว่างนั้นเขาต้องสู้ต้องทรมานแค่ไหน ริญชย์ต้องการกำลังใจมากกว่าการบีบบังคับ ตอนนี้เขาอาจจะรู้สึกแย่อยู่ก็ได้”
 
“ที่ลูกตึงเพราะลูกอยากให้เขาเลิกยาได้นี่ครับพ่อ”เอ่ยเถียงเสียงเบาจนผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความเอ้นดู
 
“อะไรหย่อนไปก็ไม่ดี อะไรตึงไปก็ไม่ดี บางทีลูกควรค่อยเป็นค่อยไป”
 
“แต่สภาพของริญชย์ตอนนี้มันแย่มากเลยนะครับพ่อ เขาไม่เหมือนเดิมเลย เวลาแค่ไม่กี่เดือนมันบอกเลยว่าริญชย์น่ะเล่นยาหนักขนาดไหน ลูกกลัวว่าวันหนึ่งถ้าริญชย์ใช้มันมากเกินไปริญชย์อาจจะตาย...”
 
“แต่การที่เราทิ้งเขามาแบบนั้นเขาก็อาจจะตายได้ ถ้าริญชย์เสียใจจนไปเสพยาหนักกว่าเดิมล่ะ?”คนเป็นพ่อลองหยั่งเชิงถาม วินท์ผละออกจากอ้อมกอดพ่อด้วยสีหน้าตื่นๆ เขาลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิทใจ ไหนจะยุ่งเรื่องการสอบที่พรุ่งนี้สอบเป็นวันสุดท้ายแล้ว วินท์ก็ไม่ได้นึกถึงข้อนี้ไปเลย อีกอย่างหลายวันมานี้ริญชย์ไม่ติดต่อกลับมาหาเขาเลยซักครั้ง ใจดวงน้อยไหวสั่นอย่างรุนแรงด้วยความกลัว
 
“ถ้าเป็นแบบนั้นลูกจะทำยังไงดีครับพ่อ ถ้าริญชย์กลับไปเล่นยาหนักกว่าเดิมลูกจะทำยังไงดี”
 
“อย่าเพิ่งตื่นตกใจไปพ่อแค่ยกตัวอย่าง พรุ่งนี้สอบเสร็จจะไปหาเค้ามั้ย?”คนเป็นพ่อถามอย่างเป็นห่วง ให้เห็นลูกนั่งซึมไม่มีความสุขแบบนี้ทุกวันเขาก็ไม่โอเค วินท์พยักหน้ารับสวมกอดพ่ออีกครั้งอย่างอุ่นใจ อย่างน้อยพ่อก็ไม่เคยห้ามเวลาเขาตัดสินใจอะไรกลับคอยให้คำแนะนำที่ดีเสมอ ต่างจากอริญชย์เขาไม่มีใครให้ปรึกษาเลย ตั้งแต่ริญชย์ไม่อยู่บ้านวินท์โอก็แทบไม่ได้คุยกับคนข้างบ้านเลย นกจากดนัยที่ถามหาริญชย์เสมอเมื่อเจอหน้า เด็กน้อยในอ้อมกอดของพ่อเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่สบายใจขึ้น
 
“ขอบคุณนะครับพ่อ วินท์รู้แล้วว่าต่อไปต้องทำยังไง อาจจะใช้เวลานานหน่อยแต่ก็ดีกว่าล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก”
 
 
                ภาสวินท์ใช้เวลาทั้งวันในการสอบวันสุดท้ายจนในที่สุดเสียงกริ่งก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าหมดเวลา เด็กหนุ่มรีบเก็บปากกาและอุปกรณ์การสอบใส่กระเป๋าใส่ดินสอนำกระดาษคำตอบไปส่งอาจารย์ด้วยใจที่ลิงโลด กระเป๋าเป้ถูกเหวี่ยงขึ้นคล้องหลังก่อนจะรีบเดินกึ่งวิ่งเพื่อไปขึ้นรถเมล์
 
“วินท์ๆ จะรีบไปไหนอ่ะ”น้ำเสียงเรียกจากด้านหลังทำให้วินท์ต้องหยุดมองพร้อมๆกับแรงปะทะและคล้องแขนลงบนไหล่ของเด็กหนุ่ม เบนยิ้มจนตาหยี
 
“ไปกินข้าวกันเดี๋ยวพี่เลี้ยงฉลองสอบเสร็จ”คนเป็นพี่เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงสดใส
 
“แต่พี่ผมมีธุระ”
 
“โหย ธุระด่วนเลยเหรอ สอบเสร็จหยุดตั้งครึ่งเดือนจะไม่ได้เจอวินท์ตั้งครึ่งเดือนเลยนะเว๊ย”คนเป็นพี่ทำหน้าหงอยราวจะตัดพ้อ วินท์ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
 
“โธ่พี่ กรุงเทพแค่นี้นัดเจอวันไหนก็ได้ป่าววะ ทำยังกะจะไปซัมเมิงซัมเมอร์ที่อังกฤษ”เพราะสนิทจึงกล้าพูดไม่สุภาพกับรุ่นพี่ แต่เบนกลับยู่ปากใส่ซะอย่างนั้น
 
“เออไง ปิดเทอมป๋ากับแม่จะพาไปเที่ยวอังกฤษ เดินทางคืนนี้”
 
“โห รวยเว่อร์ รวยสุดๆ อยากตื่นมาตอนเช้าแล้วคุณหญิงแม่บอกว่าคุณลูกขาตื่นเร็วแม่จะพาไปจิบชาที่ลอนดอนบ้าง”วินท์แกล้งเอ่ยแซวรุ่นพี่ก็ได้แรงผลักจนหัวแทบหลุดกลับมา
 
“ตกลงว่าไงไปได้ไม่ได้”รุ่นพี่หนุ่มยังคงรอคำตอบ วินท์เห็นใบหน้าหงอยๆนั้นแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้
 
“ก็ได้ๆ แต่ว่าแป๊บเดียวนะ”เพียงแค่นั้นเบนก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจรีบลากรุ่นน้องไปที่รถทันที
 
วินท์มองบรรยากาศหรูหรารอบตัวแล้วก็ได้แต่หดกาย ความใหญ่โตของร้านอาหารรวมทั้งลูกค้าที่ดูรวยทำให้เกิดความประหม่า เบนสั่งอาหารโดยแทบจะไม่ต้องเปิดเมนูเลยด้วยซ้ำ บ่งบอกว่ารุ่นพี่หนุ่มมาร้านนี้บ่อยมากขนาดไหน ไวน์สีแดงก่ำถูกนำมาเปิดและรินใส่แก้วของเบน บริกรยกแก้วตรงหน้าวินท์เตรียมจะรินน้ำสีสวยนั้นให้หากแต่เด็กหนุ่มเอ่ยท้วงในทันที
 
“เอ่อ ของผมไม่ต้องครับ ผมไม่ดื่ม”
 
“ลองซักหน่อยสิวินท์ แค่จิบๆไม่เป็นไรหรอก ดื่มเรียกน้ำย่อยเป็นเพื่อนพี่หน่อย”พูดจบเบนก็พยักหน้าให้บริกร แก้วไวน์ใบใหญ่ถูกวางเสิร์ฟลงตรงหน้า เบนยื่นแก้วของตนเองมารอวินท์จำต้องยกแก้วขึ้นมาชนกับรุ่นพี่
 
“อย่ารีบดื่มนะให้ดมกลิ่นมันก่อนอมไว้แป๊บนึงความหอมของมันจะได้อวลในปาก”พูดจบเบนก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ใบหน้ารูปไข่ท่วงท่าสง่างามนั้นดูดีจนอดคิดไม่ได้ว่าเบนไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลยน่าจะเป็นแวมไพร์หรืออะไรก็ตามที่สาวๆเพ้อฝัน วินท์ลองทำตามที่เบนบอก ทันทีที่ไวน์สัมผัสปลายลิ้นเด็กหนุ่มก็เบ้หน้าให้กับรสชาตินั้น
 
“ไม่เห็นอร่อยเลย รสชาติเหมือนองุ่นเน่า”วินท์วางแก้วอย่างไม่ใยดีมันอีกต่อไป เสียงหัวเราะทุ้มๆของเบนบ่งบอกว่าเจ้าตัวน่ะอารมณ์ดีมากมายขนาดไหน
 
“ขี้แกล้งเหอะพี่อ่ะ”แทบจะปาผ้าเช็ดปากใส่คนที่เลียนแบบสีหน้าน่าเกลียดๆของตัวเองแต่ต้องยั้งมือไว้
 
กว่าเบนจะขับรถมาส่งวินท์ที่อพาร์ทเม้นท์เก่าๆที่วินท์บอกทางก็เกือบสองทุ่ม วินท์เอ่ยขอบคุณสำหรับมื้ออาหารสุดหรูและความมีน้ำใจสั่งอาหารกลับมาให้ริญชย์อีกชุด ซ้ำยังขับรถมาส่งทั้งๆที่ตัวเองก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเดินทางในช่วงดึก ร่างบางโบกมือลารุ่นพี่ที่ออกรถไปก่อนจะหิ้วข้าวของต่างๆเข้ามาในตัวอาคาร
 
“น้อง  น้องคะ น้องใช่เพื่อนของเด็กที่ชื่อริญชย์ที่อยู่ห้อง 520 มั้ยคะ”วินท์หยุดหันไปมองผู้หญิงที่เดินเข้ามาหาเขา เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยสีหน้างงๆ
 
“คือพี่เป็นคนดูแลตึกน่ะค่ะ พอดีข้างห้องของน้องริญชย์เขาร้องเรียนมาว่าอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ห้องน้องเค้าเสียงดังตลอดเลย ถ้ารบกวนเพื่อนบ้านอย่างนี้อาจจะต้องขอให้ย้ายออกนะคะ”
 
“ทั้งอาทิตย์เลยเหรอครับ?”วินท์ถามด้วยความแปลกใจ
 
“ใช่ค่ะ อาทิตย์นี้พี่ไม่เห็นน้องเค้าออกไปไหนเลยค่ะแต่ทำเสียงดังตึงตังตลอด มีเงียบไปเมื่อหัวค่ำนี่เองยังไงพี่รบกวนฝากน้องบะ...อ้าว น้องคะน้อง”ผู้จัดการตึกร้องเรียกวินท์ที่หันหลังวิ่งขึ้นบันไดไปทั้งๆที่เธอยังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ ขายาวแทบจะก้าวข้ามขั้นเว้นขั้นด้วยซ้ำ
 
ริญชย์ไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดอาทิตย์ หมายความว่าอะไรกัน
 
ทั้งๆที่เขาไม่ได้มาริญชย์น่าจะไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านของแมนไม่ก็คอนโดของอ้นไม่ใช่เหรอ
 
อะไรคือได้ยินเสียงตึงตังและอยู่แต่ในห้อง
 
จิตใจของวินท์ตีตื้นด้วยคลื่นความรู้สึกหลากหลาย
 
ทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวลใจ ทั้งแปลกใจ แต่ที่มีมากเหนือสิ่งอื่นใดคือวินท์กำลังดีใจ...แม้ไม่รู้ว่าความเป็นจริงจะเป็นเหมือนสิ่งที่คิดไว้หรือไม่แต่วินท์ก็ขอเข้าข้างตัวเองว่าริญชย์นั้นรักและแคร์ความรู้สึกของเขามากมายขนาดไหน สองเท้าวิ่งสุดกำลังขึ้นมาจนถึงชั้นห้า แม้จะเจ็บหน้าอกจากการหายใจไม่ทันแต่ก็ไม่ได้ทำให้ยูวินท์โออ้อยอิ่งเลยซักนิดหนึ่ง ล้วงเอากุญแจห้องที่ริญชย์ให้ไว้สำรองออกมาจากกระเป่าก่อนจะไขเข้าไปด้วยมืออันสั่นเทา
 
ทันทีที่บานประตูถูกผลักเข้าไปภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ใจดวงน้อยคล้ายถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น ภาสวินท์ก็กรีดร้องจนสุดเสียง
 
“ริญชย์!!!”

....................................................................

สมน้ำหน้าเขานะคะซิส

ถ้าใจคนเรามันไม่เข้มแข็งพอต่อให้ใช้ความรักมากมายขนาดไหนมันก็เลิกไม่ได้หรอก ตอนนี้วินท์ระเบิดความผิดหวังใส่ริญชย์แล้ว บอกให้รู้กันไปเลยว่าศรีจะไม่ทนอีกต่อไป เล่นอ่อนแอซ้ำซากแบบนี้ใครมันจะไปทนไหวจริงมั้ยคะ

เจอชื่อผิดสะกิดบอกด้วยนะคะ เราแปลงมาจากฟิคของเรามาเป็นวายไทยอ่ะค่ะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :3123:
รออ่านต่อจร้าา
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ ninknpk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะรอติดตาม  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ thanatcha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-2
ตอนที่ 12




 
เสียงล้อรถเข็นที่แหวกทางแคบๆในโรงพยาบาลเรียกความสนใจจากบุคคลรอบข้างได้เป็นอย่างดี บุรุษพยาบาลและพยาบาลต่างทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจเพราะหากว่าพวกเขามัวแต่อิดออดชีวิตของคนที่กำลังพาไปยังห้องฉุกเฉินอาจจะดับสิ้นลง ร่างบางของภาสวินท์วิ่งตามไปอย่างไม่ลดละ น้ำตาไหลเป็นสาย เขาเป็นห่วงคนที่นอนหน้าซีดหมดสติบนรถเข็นที่ถูกเข็นเข้าห้องไป
 
วินท์ทรุดตัวลงนั่งพยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่มันแทบจะทะลักออกมาจากอก
 
ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรมากมายขนาดนี้ หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับมีเข็มนับพันเล่มกำลังทิ่มแทง
 
มันเจ็บเหมือนจะขาดใจ  สายตาที่สื่อความในใจทุกอย่างถูกส่งผ่านเข้าไปในห้องนั้น ห้องที่อริญชย์กำลังถูกปั๊มหัวใจอยู่
 
ถ้าริญชย์ตายเขาจะทำยังไง
 
ถ้าริญชย์ตายแล้วเขาจะอยู่อย่างไร
 
ใครจะช่วยเก็บเศษใจร้าวๆกลับมาผสานให้เหมือนเดิมได้
 
                “อย่าตายนะริญชย์  ขอร้องล่ะ อยู่ต่อนะอยู่เพื่อฉัน”
 
 
ภาสวินท์ไม่รู้หรอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วที่ริญชย์เข้าไปอยู่ในห้องไอซียูเด็กหนุ่มนั่งหลังงอรออยู่หน้าห้องสองมือประสานกันไว้ที่อกอ้อนวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า ร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดคืนอริญชย์มาให้เขา
 
ได้โปรดอย่ากระชากหัวใจหัวใจของวินท์ไปเลย
 
กลับมา...กลับมาหาเรานะ ได้โปรด
 
ประโยคเดิมถูกพูดในใจซ้ำๆนับล้านรอบ ต่อไปอริญชย์อยากจะทำอะไร อยากจะได้อะไรวินท์จะยอมให้หมด ขอแค่ริญชย์กลับมา น้ำตาไหลจนไม่มีจะไหลขอบตาบวมช้ำ หลังจากแจ้งข่าวให้แม่ของริญชย์ทราบวินท์ก็เอาแต่นั่งจ่อมจมอยู่ที่หน้าห้องนี้ ราวสี่ทุ่มนิกรก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างมาพังทลายลงไปอีกครั้ง
 
เด็กน้อยอายุ 16 ปี สวมกอดผู้เป็นพ่อแน่นแล้วร้องไห้โฮอย่างเสียขวัญ นิกรกอดลูกชายที่กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยหัวใจที่คล้ายจะพังได้ทุกเมื่อ
 
ตั้งแต่เกิดมาวินท์ไม่เคยต้องยืนอยู่ระหว่างเส้นแบ่งของความเป็นและความตายมากมายขนาดนี้
 
มันใกล้เพียงลมหายใจกั้น วินาทีที่เปิดประตูเข้าไปเจอริญชย์นอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องนั้นภาสวินท์ก็ได้เรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสีย เด็กหนุ่มทิ้งทุกอย่างลงพื้นรีบไปประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกนั้นไว้ในอ้อมอก ข้อเท้าเป็นแผลลึกจนน่ากลัว ร่างกายขาวซีดคล้ายศพนั้นยิ่งทำให้ใจเสีย เศษอาเจียนกระจายเต็มพื้นห้อง กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม อริญชย์ถอนยาแบบหักดิบอาการลงแดงเล่นงานเขาอย่างเจ็บแสบ เขาทั้งถ่ายท้อง ทั้งอาเจียน จนในที่สุดเพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอเด็กหนุ่มชักอย่างรุนแรงแล้วช็อคหมดสติไปก่อนที่วินท์จะมาถึงเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
 
แม้จะใจเสียแค่ไหนเมื่อจับชีพจรและอังจมูกดูแล้วแม้จะเต้นอ่อนแม้ลมหายใจจะรวยรินแต่วินท์ก็ไม่ปล่อยโอกาสนั้นไปเด็กหนุ่มรีบโทรแจ้งโรงพยาบาลก่อนจะแบกร่างไร้สตินั้นลงมารอข้างล่าง
 
ต้องยื้อไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
 
แต่เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง อริญชย์หยุดหายใจเมื่อมาเกือบถึงโรงพยาบาลแล้ว วินท์ร้องไห้โฮเมื่อเห็นพยาบาลพยายามปั๊มหัวใจของคนรัก ทุกสิ่งทุกอย่างเร่งรีบไปหมดจนสมองของเขาหมุนติ้ว
 
ความรู้สึกทุกอย่างประเดประดังถาโถมกันเข้ามาจนเขารับแทบไม่ทัน วินาทีนั้นช่างบีบรัดจนหัวใจของเขาจุกเจ็บ
 
                “พ่อ วินท์จะทำยังไงดี ถ้าริญชย์ตายวินท์จะทำยังไง” คำถามที่เคล้าเสียงสะอื้นถูกถามกับคนเป็นพ่อ นิกรมองผ่านกระจกสีขุ่นนั้นแม้จะไม่เห็นอะไรแต่เขาเชื่อว่าริญชย์จะต้องสู้ จะต้องอดทน
 
                “ไม่หรอก ริญชย์ต้องไม่ตาย พ่อเชื่อว่าเขาจะกลับมา”
 
ประตูห้องไอซียูเปิดออกสองพ่อลูกผละออกจากกันวินท์รีบเดินเข้าไปหาคุณหมอเจ้าของไข้
 
                “ญาติคุณอริญชย์ใช่มั้ยครับ?”
 
                “พอดีผมเป็นเพื่อนบ้านครับแม่เขากำลังเดินทางมาจากต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าริญชย์อาการเป็นยังไงบ้างครับ” นิกรออกหน้าแทนลูกชายเพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ใหญ่น่าจะคุยกับหมอรู้เรื่องมากกว่า
 
                “เบื้องต้นผู้ป่วยเกิดสภาวะช็อคหยุดหายใจแต่หมอทำการปั๊มหัวใจจนตอนนี้สัญญาณชีพกลับมาเป็นปกติแล้ว เด็กพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ร่างกายของเขาอ่อนแอมากจากการถอนยาอย่างกะทันหันหมอคงต้องให้อยู่ในไอซียูอีกซัก 2-3 วัน ดูอาการแล้วค่อยย้ายไปพักหอผู้ป่วยนอกได้ ยังไงคืนนี้ญาติกลับไปพักก่อนก็ได้ครับพรุ่งนี้ถึงจะให้เยี่ยมได้”
 
ภาสวินท์ไม่รู้หรอกว่าตัวเองพร่ำพูดคำว่าขอบคุณไปกี่ครั้ง ขอบคุณคุณหมอที่ยื้อชีวิตของริญชย์กลับมาได้ ขอบคุณพระเจ้าขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ร่างบางทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรงความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเกิดขึ้นในทันที
 
อย่างน้อยตอนนี้ริญชย์ก็กลับมาเดินเข้าไปเกาะกระจกพยายามส่งใจไปให้คนในนั้น
 
ขอบคุณนะ ขอบคุณที่กลับมา
 
ขอบคุณที่รักษาสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งกันไปไหน
 
 
 
                “กินหน่อยเถอะน่าริญชย์ทำไมพูดยากพูดเย็นแบบนี้เนี่ย”ภาสวินท์ส่งเสียงเอ็ดคนที่เอาหมอนขึ้นมาอุดหูปิดหน้าตัวเองเมื่อวินท์พยายามป้อนข้าวต้มเปล่าให้ริญชย์กิน  เพราะร่างกายขาดอาหารและน้ำมาหลายวันคนป่วยจึงกินได้แต่อาหารรสอ่อน และมื้อนี้เป็นมื้อแรกที่ริญชย์ได้กินอาหารแต่เจ้าตัวกลับได้ข้าวต้มเละๆเปล่าๆแบบที่ไม่ชอบ ร่างสูงที่ถูกย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้นก็ออกอาการงอแงและดื้อให้วินท์ต้องโมโห แม่ของริญชย์กลับไปทำงานแล้วเพราะว่าลามาได้แค่ไม่กี่วัน ร่างสูงจอมงอแงบนเตียงจึงอ้อนใครไม่ได้อีก วินท์ดึงหมอนออกจากหน้าริญชย์อย่างนึกฉุน
 
                “แค่กินข้าวนี่มันจะยากเย็นอะไรขนาดนี้เนี่ยริญชย์ ทำตัวเป็นเด็กเล็กไปได้อ้าปาก”เสียงดุที่ส่งมาให้พร้อมใบหน้าบึ้งที่พร้อมจะฟาดมือลงมาได้ตลอดเวลานั้นทำให้ริญชย์ต้องอ้าปากอย่างจำยอม ข้าวต้มเต็มช้อนถูกยัดเข้าไปในปากอย่างหงุดหงิดริญชย์ส่งค้อนให้พยาบาลจำเป็นก่อนจะนั่งอมข้าวอยู่อย่างนั้น
 
ภาสวินท์ล่ะเหนื่อยใจ อริญชย์ตอนนี้เหมือนย้อนอายุตัวเองไปเป็นน้องริญชย์ 3 ขวบ ยังไงยังงั้น
 
                “ยังจะอมข้าวอีก กลืนเข้าไปเดี๋ยวนี้จะได้กินยา”อดฟาดมือลงบนต้นแขนผอมบางด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ ริญชย์รีบกลืนข้าวลงคอไปทันทีกว่าจะกินข้าวชามเล็กๆนั่นหมดชามก็เล่นเอาคุณพยาบาลวินท์เหนื่อย ที่เหนื่อยเนี่ยคือบ่นจนปากเปียกปากแฉะกับคนป่วยจอมดื้อนั่นแหละ ถ้วยยาถูกส่งให้ริญชย์รับไปกินแต่โดยดี  เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ววินท์ก็หายเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมาพร้อมกะละมังที่มีผ้าขนหนูแช่อยู่ในนั้น รูดม่านปิดป้องกันสายตาคนไข้และญาติเตียงอื่นๆ
 
                “เช็ดตัวนะ จะได้นอนสบายๆ”วินท์ปรับเตียงของริญชย์ให้ตั้งขึ้นก่อนจะจัดการถอดเสื้อให้ร่างสูง ผ้าชุบน้ำบิดหมาดถูกเช็ดไปตามร่างกายของริญชย์ด้วยความคล่องแคล่ว เพราะเวลาน้องชายของวินท์ไม่สบายก็เป็นวินท์นี่แหล่ะที่ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ร่างบางจัดการเช็ดท่อนบนจนสะอาดแล้วพลันใบหน้าก็ขึ้นสีอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเหลือครึ่งล่างที่ยังไม่ได้จัดการ
 
                “ที่เหลือเช็ดเองก็แล้วกัน”คนตัวเล็กว่าก่อนจะยัดผ้าขนหนูที่เพิ่งบิดหมาดใส่มือคนป่วย ริญชย์แอบขำกับท่าทางน่ารักนั้นก่อนจะแกล้งสำออย
 
                “เช็ดแล้วก็เช็ดให้เสร็จสิ กูเพิ่งฟื้นไม่มีแรงอ่ะ”
 
                “อย่ามาสำออยเช็ดเองเลย”
 
                “ถ้าไม่เช็ดให้งั้นกดออดเรียกพยาบาลมาช่วยเช็ดนะ พยาบาลสวยๆอ่ะมือนิ๊มนิ่ม เมื่อเช้าเค้ายังแวะไปคุยกับกูอยู่เลย” พูดจบร่างสูงก็ทำท่าจะกดออดข้างตัวจริงๆวินท์ฟาดมือป้าบลงไปบนแขนขาวนั่นอีกรอบ
 
                “ลองกดสิเดี๋ยวได้ตายอีกรอบ นั่งดีๆสิจะถอดกางเกง”
 
 
 
 
 
ภาสวินท์อยากจะเอาผ้าขนหนูในมือฟาดไอ้คนป่วยที่นอนหนุนแขนของตัวเองพลางขยับก้นให้เขาถอดกางเกงได้สะดวกนัก ใบหน้าของวินท์ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อปลดกางเกงพ้นไปจากขาของริญชย์แล้ว อะไรๆที่ถูกปกปิดไว้บัดนี้นอนนิ่งให้เห็นในระยะไม่ถึงครึ่งเมตร หันหน้าหนีไปอีกทางจึงไม่เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของคนป่วยเจ้าเล่ห์
 
                “อ้าวเมื่อไหร่จะเช็ดอ่า นอนโป๊แบบนี้มันหนาวนะเนี่ยดูสิลมโกรกหดหมดแล้ว”ภาสวินท์ไม่เคยคิดอยากจะเอาหมอนอุดหน้าไอ้คนที่เพิ่งผ่านความตายจากเมื่อ 3-4 วันก่อนที่นอนกระดิกเท้าทำหน้าระรื่นอย่างไร้ยางอายบนเตียงนั่นเท่าตอนนี้เลย ดูสิเขาหรือเขินจนแทบจะระเบิดหน้าตัวเองอยู่รอมร่อแล้วแต่อริญชย์กลับแกล้งเขาด้วยความสบายใจ
 
ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ แต่ไอ้อะไรแบบนี้มันก็ไม่ควรมานอนอ้าซ่าให้ชาวบ้านเขาเช็ดให้มั้ยล่ะ
 
หน้าด้าน
 
อริญชย์หน้าด้านที่สุด กว่าวินท์จะทำใจได้ก็ใช้เวลาเกือบห้านาที มือเล็กไล่ผ้าผ่านเอวลงไปที่ขาทั้งสองข้างพลิกตัวเพื่อเช็ดด้านหลังแล้วทำท่าจะเอากะละมังไปเก็บ ริญชย์คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กนั่น สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาที่ใบหน้าที่กำลังขึ้นสีอย่างน่ารักนั้นน้ำเสียงทุ้มติดแหบเอ่ยท้วง
 
                “เว้นไว้เดี๋ยวเหม็นจะทำยังไง”
 
อริญชย์ไอ้คนบ้า!! 
 
 
 
 
                บ่ายของวันที่ 3 ที่ริญชย์ย้ายจากไอซียูมาห้องพักฟื้น ขณะที่นอนอ่านหนังสือที่วินท์เอามาทิ้งไว้ให้ก็ปรากฏแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเขา
 
ความกระอักกระอ่วนอบอวลในห้องจนน่าอึดอัด  ไลลาลินมองน้องชายด้วยดวงตาปริ่มน้ำ สภาพซีดขาวทรุดโทรมของน้องชายทำให้หัวใจของเธอเจ็บจนรู้สึกปวด แม้ว่าไลลาจะไม่ค่อยได้พูดกับน้องนักแต่เธอเองก็รักน้องไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่คนไหนบนโลก แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะเล่นกับน้องไม่กล้าที่จะพูดคุยหรือแสดงความรักกับน้องเพราะเกรงใจพ่อ
 
ถึงแม้จะได้รับฐานะลูกสาวคนโปรดแต่ไลลารู้ดีว่ายามที่พ่อโกรธนั้นเธอเองก็อาจจะโดนดุได้
 
                “ริญชย์...เป็นยังไงบ้าง พี่รู้ข่าวจากวินท์”มือขาวยื่นมาจับมือน้องชายไว้พร้อมๆกับน้ำตาที่รินไหล
 
                “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะริญชย์ ทำไมน้องเป็นแบบนี้”เลื่อนปลายนิ้วแตะตามแผลบนแขนของน้อง น้ำตาก็ไหลเผลาะจนริญชย์ทำหน้าไม่ถูก
 
                “มีอะไรทำไมไม่บอกกันบ้างเลย พี่เป็นพี่ของริญชย์นะ จะเก็บเรื่องในใจไว้คนเดียวถึงเมื่อไหร่”น้ำเสียงสะอึกสะอื้นนั้นทำให้ริญชย์ต้องหันมามองคนเป็นพี่ ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนไปบีบมือพี่สาวไว้
 
                “ไลลา พี่มึงอย่าร้องไห้ อย่าโทษใครกูมันเหี้ยเอง”สองพี่น้องปล่อยให้ความเงียบปกคลุมภายในห้องพักนั้นเนิ่นนานจนไลลาลินหยุดร้องไห้ พี่สาวเลื่อนเก้าอี้มานั่งก่อนจะหยิบเอาถุงของกินขึ้นมา
 
                “พี่ซื้อโจ้กเจ้าอร่อยมาฝากด้วยนะ แม่บอกว่าริญชย์ยังกินอาหารรสจัดๆไม่ได้”พี่สาวหยิบเอากล่องเก็บความร้อนที่หล่อนใส่โจ๊กมาวางให้น้องดู
 
                “ริญชย์จะกินเลยมั้ย หิวเปล่าเดี๋ยวพี่ป้อน”ริญชย์รีบยกมือห้าม
 
                “เพิ่งกินกลางวันไปก่อนพี่จะมา”
 
                “แล้วนี่เมื่อไหร่จะออกจากโรงพยาบาลได้ล่ะ”
 
                “หมอบอกว่าอีก 2 วัน”
 
                “ขอพี่ไปหาริญชย์ที่ห้องบ้างได้มั้ย?”คนเป็นพี่เอ่ยขอ อริญชย์มองหน้าพี่สาวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไลลา หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังโดนน้องชายจับผิดหญิงสาวหลบตาน้องทำเป็นมองไปยังคนไข้เตียงอื่น
 
                นี่ป่วยแบบเดียวกันหมดเลยเหรอ?”
 
                “เป็นอะไรไลลา พี่มีอะไรหรือเปล่า?”ควานบินจับตามองพี่สาวไม่ได้ละสายตา ไลลาส่ายหน้าจนผมหน้าม้าปลิว
 
                “พี่จะไปมีอะไรได้ล่ะ ที่มาเพราะแม่โทรบอกว่าริญชย์เข้าโรงพยาบาล เรามีกันแค่สองคนพี่น้องถ้าไม่ห่วงน้องจะให้พี่ไปห่วงใครจริงมั้ย”
 
                “แล้ว...เขา...เป็นยังไงบ้าง?”ถึงแม้จะไม่อยากจะยอมรับว่าใจจริงริญชย์ก็คิดถึงพ่อแต่ปากกลับเอ่ยถามหาคนใจร้ายคนนั้นไปซะแล้ว
 
                “พักนี้พ่อไม่ค่อยสบายป่วยบ่อย”คำตอบที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่นทันที ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยว่าพ่อสุขภาพไม่ดี เพิ่งจะไม่ถึงปีที่เขาออกจากบ้านมาคนเป็นน้องถามไถ่อาการของพ่อแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรมากนักเพราะไลลาเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ปีนี้ไลลาเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 แล้ว กิจกรรมรับน้องอันแสนโหดกินเวลาชีวิตเธอไปเกินครึ่ง สองพี่น้องนั่งคุยกันอีกพักใหญ่ก่อนไลลาจะเอ่ยลาน้องชายเพื่อกลับบ้าน อริญชย์คว้ามือของพี่ไว้จนคนเป็นพี่ต้องหันมองอย่างแปลกใจ
 
                “พี่...ถ้ามีอะไรอยากจะบอกก็พูดได้ตลอดนะ เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง ถึงกูจะไม่ค่อยพูดแต่กูก็...รักมึงนะ”
 
                “อื้อ...ถ้าพี่มีอะไรพี่จะบอกริญชย์เป็นคนแรกเลย เราเองก็ดูแลตัวเองดีๆนะ พี่จะเป็นกำลังใจให้”คนเป็นพี่สาวส่งยิ้มให้น้องชาย อริญชย์รู้ดีว่าแม้ปากของไลลาจะส่งยิ้มให้แต่ดวงตาของเธอไม่สดใสเหมือนที่ผ่านมา ความรู้สึกเป็นห่วงนี้เกาะกินใจเขาไปทั้งช่วงบ่ายจนกระทั่งวินท์มานั่นแหละริญชย์ถึงได้ลืมเลือนไป
 
                “ริญชย์นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะลูกเดี๋ยวแม่ไปเปิดหน้าต่างให้”หญิงวัยกลางคนประคองลูกชายลงนั่งบนเตียงก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมด้านนอกเข้ามาในห้อง อากาศที่เริ่มเย็นทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์ หล่อนเปิดพัดลมจ่อไปที่ลูกชาย วินท์เอากระเป๋าเสื้อผ้ารวมทั้งสัมภาระต่างๆที่หอบกลับมาจากโรงพยาบาลเก็บเข้าที่เข้าทางจนเรียบร้อย หยิบถุงยาที่หมอจ่ายให้มาอ่านสลากด้านหน้าอย่างละเอียดก่อนจะแบ่งยาสลับตลับแบ่งที่จดวันและเวลาในการกินเรียบร้อยแล้วหันไปอธิบายให้คนป่วยฟัง
 
                “เดี๋ยวยังไงคืนนี้ผมกลับบ้านดีกว่านะครับแม่จะได้นอนกับริญชย์”คนตัวเล็กหันไปพูดกับแม่ของริญชย์ที่เริ่มแกะถุงอาหารที่แวะซื้อมาจากแถวหน้าโรงพยาบาล
 
                “อ้าว ทำไมไม่นอนค้างล่ะ”คนเป็นแม่เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ร่างบางส่งยิ้มให้ก่อนจะบอกเหตุผลที่ริญชย์แอบทำหน้างอ
 
                “ก็วันนี้แม่อยู่เตียงมันเล็กจะนอนเบียดกันยังไง อีกอย่างนานๆแม่จะมาค้างได้ซักทีก็อยู่คุยกับริญชย์ไปจะดีกว่า”
 
                “ไม่เอาอ่ะ นอนนี่แหละ”คนเพิ่งหายป่วยร้องท้วง
 
                “ก็บอกว่าเตียงมันเล็ก”
 
                “ก็ให้แม่นอนเตียงมึงกับกูก็ปูผ้านอนที่พื้นจะไปยากตรงไหนวะ”คนป่วยว่าอย่างเอาแต่ใจ ภาสวินท์ทำท่าจะเถียงแต่ริญชย์กลับเดินไปเปิดตู้เอาที่นอนสำรองออกมา
 
                “เนี่ย พอนอนด้วยกันสองคน วันนี้ไม่ต้องกลับหรอกเดี๋ยวโทรไปขอพ่อมึงให้”ไม่พูดเปล่าริญชย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายตรงหานิกรพ่อของวินท์จริงๆ
 
ภาสวินท์ได้แต่มองหน้าริญชย์อย่างทึ่งในความเอาแต่ใจที่มีมากขึ้นในขณะที่ผู้เป็นแม่ยิ้มขำกับพฤติกรรมของลูกชาย
 
               
 
                “แม่ครับผมปิดไฟเลยนะครับ”วินท์เอ่ยบอกกับแม่หลังจากหญิงสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงของลูกชาย คนแก่วัยกว่าพยักหน้าก่อนดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วนอนตะแคงข้างเข้าผนังไป ถัดจากเตียงนอนที่นอนสำรองถูกปูตรงกลางห้องคนที่เพิ่งหายป่วยหมาดๆนอนหลับตานิ่ง วินท์ปิดสวิซต์ไฟแล้วค่อยๆเดินกลับมายังที่นอนจองตนขยับกายเพียงแผ่วเบาแล้วค่อยๆดึงผ้าห่มส่วนของตนมาคลุมกายปิดเปลือกตาเพื่อเข้าสู่นิทราแต่ยังไม่ทันได้หลับดีก็พบว่าไอ้คนข้างๆที่ทำท่าหลับไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนค่อยๆใช้มือลูบลงมาบนร่างกายของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะทันห้ามปรามอริญชย์ก็รวบตัวของวินท์เข้ามาไว้ในอ้อมกอดเรียบร้อยแล้ว ขายาวๆก่ายพาดล็อคไม่ให้วินท์ได้ขยับหนี
 
                “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”คนตัวเล็กส่งเสียงกระซิบดุพลางใช้มือหยิกขาของริญชย์จนเจ้าตัวร้องซี๊ดออกมาเบาๆร่างสูงรวบผ้าห่มแล้วตวัดจนคลุมพวกเขาทั้งสองจนมิดก่อนจะระดมจูบลงไปบนแก้มใสของวินท์ คนตัวเล็กได้แต่ดิ้นยุกยิกไปมาก่อนที่ริญชย์จะใช้ริมฝีปากครอบครองกลีบปากอิ่มของวินท์ไว้ จูบเนิ่นนานที่ไม่ได้รุกล้ำก่อนจะกลายเป็นจุ๊บรัวๆอย่างหยอกล้อให้คนตัวเล็กอดขำอย่างถอนฉิวไม่ได้ สุดท้ายเมื่อเหนื่อยจะห้ามและวินท์เองก็รู้สึกดีกับการหยอกล้อนั้นคนตัวเล็กกว่าก็ปล่อยให้ริญชย์เอาเปรียบตัวเองจนพอใจถึงได้หลับลงในตอนดึกแทบจะพร้อมกัน
 
                ไม่รู้ว่าตอนหยุดหายใจแล้วหมอปั๊มหัวใจจนฟื้นมาได้น่ะวิญญาณที่กลับเข้าร่างริญชย์ใช่ตัวจริงหรือเปล่า เผลอเป็นกอด เผลอเป็นจูบในสมองมีแต่คอยหาเรื่องแกล้งเขาแบบหื่นๆได้ทุกวัน
 
 
                “ตัวนี้เป็นเมทาโดนนะคะ เราจะให้น้องดื่มทุกวัน เมทาโดนเป็นสารสังเคราะห์ที่สกัดจากฝิ่นนะคะเราใช้สำหรับบำบัดผู้ติดยาเสพติด เราจะให้น้องดื่มในปริมาณที่จำกัดต่อความต้องการของน้องนะคะ แล้วก็ระยะแรกๆนี้น้องต้องมารับยาที่นี่ทุกวันและต้องดื่มให้ตรงเวลา ข้อควรจำก็คือดื่มรวดเดียวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ทางเราจะไม่ให้ยากลับไปทานที่บ้านนะคะ ห้ามดื่มเหล้าหรือใช้ยาเสพติดเพิ่มระหว่างนี้ หลังจากดื่มไปแล้วอาการปวดเพราะขาดยาจะน้อยลงแต่น้องจะยังคงมีอาการปวดท้อง หาวนอนอยู่นะคะ”เภสัชกรสาวเอ่ยบอกสรรพคุณของไอ้ยาสีเขียวที่เรียกว่าเมทาโดนให้ริญชย์และวินท์ฟัง หลังจากทั้งคู่กลับมาที่นี่อีกครั้งแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าริญชย์ได้หักดิบด้วยตัวเองเป็นเวลา 7 วัน และนอนโรงพยาบาลอีกหนึ่งอาทิตย์เต็ม ตอนนี้ริญชย์พร้อมจะเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจังแล้ว แม้ว่าระหว่างที่อยู่ในห้องริญชย์จะยังงมีอาการอยากยาอยู่แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากเท่าช่วงแรกๆแล้ว นั่นทำให้วินท์ดีใจ เด็กหนุ่มคอยอยู่เคียงข้างริญชย์ตลอดเวลา คอยกอดยามริญชย์บ่นว่าหนาว คอยพัดยามริญชย์บอกว่าร้อน บีบนวดยามเจ็บปวดและอยู่เคียงข้างคอยปลอบขวัญให้กำลังใจในทุกค่ำคืน
 
วินท์ไม่อยากปล่อยให้ริญชย์ต้องต่อสู้กับยานรกเหล่านั้นเพียงลำพังอีกแล้ว เหตุการณ์ที่ผ่านมา สภาพแสนย่ำแย่ของริญชย์ในวันนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในสมองของวินท์โดยที่คนตัวเล็กเองก็ไม่ได้ลบมันออกไป
 
เขาอยากจะเก็บความทรงจำนั้นไว้คอยเตือนตัวเองว่าอย่าตึงจนเกินไปจนสายป่านขาดเพราะเขาอาจจะไม่ได้โชคดีได้ริญชย์กลับมาเป้นครั้งที่สอง
 
หลังจากได้ตารางการรับยาเมทาโดนเสร็จวินท์ก็จูงมือริญชย์ไปยังห้างสรรพสินค้าที่เขาเรียนพิเศษเด็กหนุ่มรุนหลังริญชย์ที่ทำท่าอิดออดไม่อยากเข้ามาในสถานที่ๆคนเยอะๆนี้เท่าไหร่นัก วินท์พาริญชย์มาหยุดอยู่ข้างหน้าร้านตัดผมร้านหนึ่ง
 
                “ตัดผมกัน อีกสองวันเราเปิดเทอมแล้ว ไหนๆก็ไหนๆตัดพร้อมกันไปเลย”
 
                “ไม่เอาไม่ตัดแบบนี้ก็หล่อดีป่าววะ”คนตัวสูงกว่าทำท่าจะเดินหนีแต่วินท์ก็ยังดึงรั้งไว้
 
                “ตัดเถอะนะๆๆ วินท์อยากให้ริญชย์ตัด น๊าๆ”ทำตากระพริบปริบๆราวกับจะอ้อนจนคนตัวสูงต้องพ่นลมออกจากปากเป็นการกลบเกลื่อนความเขิน
 
                “ถ้ากูยอมตัดจะได้อะไร?”
 
                “ได้หล่อไง ริญชย์ตอนตัดผมอ่ะหล่อจะตาย”
 
                “ผมยาวกูก็หล่อเหอะ”
 
                “งั้นเดี๋ยวทำกับข้าวให้กินเย็นนี้”
 
                “พอตัดเสร็จมึงก็ลากกูไปกินข้าวในร้านอยู่ดี”
 
                “โอ๊ย ทำไมเรื่องมากกะอีแค่ตัดผมเนี่ยริญชย์” เมื่อโดนขัดคอมากๆเข้าภาสวินท์ก็ทำหน้ามุ่ยใส่
 
                “ตัดก็ได้ ส่วนจะเอาอะไรเป็นรางวัลเดี๋ยวค่อยคิด”อยู่ๆไอ้คนเรื่องมากก็สรุปอย่างง่ายๆแล้วเดินนำเข้าร้านเสริมสวยไปซะอย่างนั้น ภาสวินท์พ่นลมออกจากปากอย่างนึกฉุน
 
นอกจากหื่นขึ้น ความเอาแต่ใจก็เหมือนจะอัพเลเวลขึ้นอย่างน่ากลัว ภาสวินท์รู้สึกเหมือนตัวเองจะรับมือกับริญชย์เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้ซะแล้ว
 
เมื่อก่อนเป็นริญชย์ที่คอยเอาอกเอาใจเขาแต่ตอนนี้กลายเป็นเขาซะเองที่ต้องคอยตามใจคนเจ้าเล่ห์นี่
 
ไม่รู้จะขออะไรพิเรนท์ๆอีกหรือเปล่า ร่างบางส่ายหน้าก่อนจะตามเข้าไปในร้านเมื่อริญชย์ใช้สายตาดุๆมองมาเป็นคำถามว่าจะยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกนานมั้ย
 
 
.....................................
เอาล่ะมาทอล์คแบบจริงๆจังล่ะ

นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วผู้เขียนดูข่าวอยู่น่าจะเป็นประเด็นเด็ด7 สี แล้วมีสกู๊ปของเมทาโดนขึ้นมา เลยคิดพลอตตั้งแต่ตอนนั้น

ใช้เวลาเดินทางเสียหลายปี

ส่วนพวกอาการปวดหรืออาหารคนป่วยเอาประสบการณ์ของตัวเองมาปรับใช้ค่ะ

อยากถ่ายทอดให้มันจริงที่สุดในเรื่องของการรักษาเพราะริญชย์ติดยาเสพติดชนิดที่ร้ายแรงที่สุดแค่หักดิบ 7 วันมันไม่หายค่ะ การรักษาต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่หมอกำหนดให้ และรับการบำบัดด้วยเมทาโดนซึ่งกว่าจะลดอาการอยากยาจนกระทั่งหายขาดได้ต้องใช้เวลาบางคนก็หลายเดือนบางคนก็เป็นปี บางคนบำบัดไปแล้วตบะแตกกลางคันก็มี ฟิคเรื่องนี้ไม่ใช่ฟิคหวานแหววที่ว่าจะใช้ความรักของเธอเยียวยา แค่มีเธออยู่ข้างๆฉันก็สามารถเลิกยาได้ภายในสามวัน ไม่ใช่ค่ะ

อยู่กับความเป็นจริงให้ได้แล้วเราจะแกร่งขึ้น

อาจจะมีข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือไม่สมบูรณ์ก็แนะนำกันได้นะคะ



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด