ตอนที่ 8 จูนความรู้สึก
เมื่อห้าปีก่อน...
“พี่ทำแบบนี้ทำไม?”
เสียงของสีฝุ่นดึงความสนใจของฮ่องเต้ที่เพิ่งจะเดินมาถึงโรงฝากรถหน้าโรงเรียนจนต้องชะงักฝีเท้า ก่อนจะกระเถิบหลบเข้ามุมเสาเพื่อลอบมองสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า มองร่างสูงในสุดนักเรียนมัธยมปลายปีแรกกำลังยืนประจันหน้ากับเด็กมัธยมปลายต่างโรงเรียนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
เขาคืออ้น...
เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีที่ห้าและแฟนคนแรกของสีฝุ่น
อ้นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ห้ามสีฝุ่นเอาไว้ไม่ได้เพราะความรักของมันที่มีให้คนอย่างอ้นและความใสซื่อที่มากเกินกว่าจะตามเกมคนเจ้าเล่ห์ทัน มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องคอยตามดูแลสีฝุ่นไม่ห่าง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงไม่อาจจะปล่อยให้สีฝุ่นต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่
“ฝุ่น...”
“อย่ามาแตะตัวผม!” สีฝุ่นสะบัดมือของคนตรงหน้าออก แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่คนเป็นพี่เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนและแววตาที่กำลังสั่นระริกนั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้เขาฮ่องเต้อยากรู้เรื่องที่ทั้งคู่ทะเลาะกันมากขึ้นไปอีก
“พี่ขอโทษ”
“ผม...ไม่ให้...อภัย” น้ำเสียงสั่นเครือของสีฝุ่นบีบคั้นหัวใจของคนเป็นพี่ให้เจ็บปวดไปตามๆ กัน
“สีฝุ่น...”
“พี่ไปเถอะครับ ผมขอร้อง”
“ไม่ พี่รักฝุ่นคนเดียว ฝุ่นให้โอกาสพี่สักครั้งเถอะนะ พี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก!!”
ไอ้ฝุ่น ได้โปรด อย่าให้อภัยคนอย่ามันเลย
ฮ่องเต้ได้แต่ภาวนาในใจเช่นนั้น ด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ก่อนจะหลับตาลงด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เมื่อเห็นน้ำตาของคนเป็นน้องเริ่มไหลออกมา
เกินไป นี่มันมากเกินไปที่คนอย่างเขารับไหว
“ผม...ฮึก...ผม”
“ฝุ่นรักพี่อยู่ใช่ไหม”
สีฝุ่นได้แต่สะอึกสะอื้นและเอาแต่หลุบตาลงต่ำอย่างคนไม่รู้จะจัดการยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะแฟนคนแรกของเขาดันมาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขาเจ็บปวดปางตายแบบนี้ หากแต่การเงียบของสีฝุ่นกลับทำให้อ้นได้ใจ เอื้อมมือมาจับมือของเขาไปกุมเอาไว้ข้างหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“พี่รักฝุ่นนะครับ เรากลับมาคืนดีกันเถอะนะ”
หากแต่ประโยคนั้นกลับทำให้คนที่ลอบมองสถานการณ์อยู่นานสองนานหมดความอดทนและตะโกนออกไปเสียงดังลั่น
“ไม่มีทาง!” ฮ่องเต้เดินออกมาเผชิญหน้ากับอ้น พร้อมกับคว้าตัวสีฝุ่นที่กำลังสั่นระริกมาไว้ข้างหลังตน
“พี่เต้...”
เจ้าของชื่อจับจ้องใบหน้าของคนที่เอ่ยปากเรียกอย่างไม่วางตา ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ภายในใจถูกส่งผ่านสายตาคู่นั้นจนฝ่ายตรงข้ามเองก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกโกรธเกลียดมาแค่ไหน
ที่ผ่านมา เขายอมปล่อยเพราะเห็นว่าอ้นคือผู้ชายที่สีฝุ่นรักและคิดมาตลอดว่าความรักอันบริสุทธิ์ของลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเปลี่ยนใจอ้นได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ คงถึงเวลาที่เขาต้องออกมาปกป้องคนที่เขารักเสียที
“เลิกยุ่งกับไอ้ฝุ่นซะ กูเตือนมึงด้วยความหวังดี”
ดวงตาของอ้นฉายแววความเจ็บปวดออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากฮ่องเต้ ร่างกายเล็กๆ เริ่มสั่นระริก จนฮ่องเต้ก็ไม่แน่ใจว่าอ้นกำลังโกรธ เสียใจหรืออะไรกันแน่ เพราะความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าที่มีมากเกินกว่าจะคาดเดา
“ผมขอโทษ ได้โปรด พี่อย่าขัดขวางความรักของเราเลยนะครับ” อ้นเริ่มส่งเสียงอ้อนวอน หากแต่สายตาของฮ่องเต้กลับมองการแสดงออกของคนตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ
“พี่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด...คืออะไร” ท้ายประโยคดวงตาของอ้นกลับฉายแววประหลาดออกมา แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียว แต่มันก็ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับกระอักกระอวนขึ้นมาได้เพราะความลับบางอย่างที่คนทั้งคู่ต่างก็รู้ดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอ้นจะเอาเรื่องนั้นมาบีบบังคับเขาและทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ อย่างสีฝุ่นได้
แต่ในเมื่ออ้นเลือกที่จะทำแบบนี้ เขาเองก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากปกป้องหัวใจของลูกพี่ลุกน้องเพียงคนเดียวของเขาให้ได้มากที่สุด
“คนที่คิดไม่ซื่อ มึงก็รู้ว่าจุดจบมันจะต้องเป็นยังไง” ฮ่องเต้กล้ำกลืนฝืนพูดออกไป หากแต่คนตรงหน้ากลับตีหน้าเศร้าและพลั่งพรูคำพูดต่างๆ นานาออกมาไม่หยุด
“ผมไม่ได้ตั้งใจ พี่ให้อภัยผมนะ ให้ผมได้คืนดีกับสีฝุ่นเถอะนะครับ เพราะชีวิตของผมขาดเขาไม่ได้จริงๆ”
ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำ สองมือยกขึ้นมาเท้าสะเอวและเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างเหลืออด
“มึงรู้ไหมว่าความพลาดพลั้งของมึงทำร้ายคนกี่คนมาแล้ว! แต่กูก็ไม่ได้สนใจมากเท่ากับการที่มึงมาทำร้ายน้องกูหรอก! นั่นคือสิ่งที่กูไม่มีวันให้อภัยคนอย่างมึงได้”
“พอเถอะเฮีย...”
“มึงนั่นแหละ ที่ควรจะพอ...” ฮ่องเต้หันไปตอกกลับสีฝุ่นที่พยายามจะดึงตัวเขาให้ออกห่างจากอ้น ก่อนที่เขาจะหันไปสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“...พอกับการคาดหวังความรักจากคนที่นอกจากจะไม่เคยรักมึงจริงๆ แล้ว ยังคอยแต่ทำร้ายมึงด้วยการไปคบคนอื่นลับหลังมึงอีก!!”
“...”
“กูถามมึงจริงๆ เถอะนะ มึงเห็นน้องกูเป็นอะไร!?” เป็นคำถามที่ไม่เชิงต้องการคำตอบเสียทีเดียว ขณะที่อ้นได้แต่จ้องหน้าเขากลับด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน
“ผมก็เห็นว่าเขาเป็นน้องของพี่ไง...” อ้นกัดฟันพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาเปื้อนใบหน้า “...เพราะแบบนั้น ผมถึงต้องรั้งเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด”
“เลิกเถอะ เลิกคิดที่จะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้เสียที มึงก็รู้ว่าใจของมึงไม่ได้รักน้องกูมาตั้งแต่แรก”
ฮ่องเต้พยายามใจเย็นและเกลี้ยกล่อมคนตรงหน้า
“เราทุกคนต่างก็มีคนของตัวเองที่รอคอยอยู่บนหนทางข้างหน้า ถ้ามึงไม่ยอมปล่อย มึงก็ไม่มีทางได้เจอเขา ดังนั้น เลิกยุ่งกับน้องกูซะ แล้วต่างคนต่างเปิดใจออกตามหาคนของตัวเองได้แล้ว”
“ผมไม่...”
“ถือว่ากูขอร้อง...” ฮ่องเต้ตัดบทและมองอ้นด้วยสายตาวิงวอน “...เลิกเถอะนะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมากับภาพอดีตที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่เคยลืมและคงจะไม่มีทางลืมเป็นแน่ ยิ่งตอนที่ได้รู้ข่าวว่าสีฝุ่นกลับไปคบกับอ้นเป็นครั้งที่สอง สามและสี่...
เขาก็เอาแต่คิดมากเรื่องนี้มาโดยตลอดและหวังเอาไว้ตลอดเช่นกันว่าอ้นจะเปลี่ยนใจมารักสีฝุ่นได้จริงๆ หรือไม่ก็อาจจะยอมปล่อยให้สีฝุ่นไป แต่เปล่าเลย ทุกครั้งที่กลับมาคบกัน ทุกอย่างมันเหมือนเดินวนกลับมาที่เดิมทุกครั้ง
รักกัน...ผิดหวัง...เลิกคบและจบด้วยการกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง
และอีกหลายๆ เรื่องที่สีฝุ่นยังไม่รู้และเขาเองก็ไม่ต้องการให้สีฝุ่นรู้ เพราะเขาเองก็กลัวจับใจว่าสีฝุ่นจะรับไม่ได้และพาลให้เรื่องราวบานปลายมากขึ้น
วันนี้ ฮ่องเต้ต้องขับรถกลับไปที่หอของสีฝุ่น เพื่อไปดูแลคนที่ล้มป่วยตั้งแต่เมื่อคืน...
หลังจากกลับจากร้านเหล้า เขาก็ต้องคอยดูแลสีฝุ่นทั้งคืนเพราะสีฝุ่นดันไข้ขึ้น แถมยังเอาแต่ละเมอถึงอ้นจนเขาโมโหและอยากจะรู้ว่าครั้งนี้อ้นทำอะไรเอาไว้ สีฝุ่นถึงได้อาการสาหัสขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ ถึงรู้ไปก็เท่านั้นเพราะยังไงอ้นก็ได้ทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของเขาไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการที่เขาต้องกันให้อ้นออกห่างจากสีฝุ่นให้มากที่สุดและหลังจากนั้น เขาจะได้หาแฟนใหม่ให้สีฝุ่นซะให้รู้แล้วรู้รอด
ติ้ง!
เสียงลิฟต์เปิด ดึงสติให้ฮ่องเต้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขาหอบของกินที่เพิ่งจะออกไปซื้อเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างกดลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ดพร้อมกับรอประตูปิด ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวไปถึงชั้นสามนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ก้าวเข้ามา เขาเผลอสบตาคนมาใหม่ที่มองมาที่ตนอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทีแปลกใจ
ก็ผมไม่ใช่ผีนี่ครับ เรื่องอะไรที่มันต้องตกใจที่เห็นผมขนาดนั้น
ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดพร้อมกับใครคนนั้นที่หันมาสบตากับเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่ฮ่องเต้ใช่หรือเปล่าครับ?”
ฮ่องเต้กระพริบตาใส่อย่างมึนงงก่อนจะตอบ “ใช่”
พร้อมกับคิดไปว่าเขากับคนตรงหน้ารู้กันกันตั้งแต่ตอนไหน แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป คนที่เอาแต่ยิ้มก็เป็นฝ่ายเฉลยข้อสงสัยอย่างกับเดาความคิดของเขาออก
“ผมนัทนะครับ เป็นรุ่นน้องที่คณะ แต่พี่คงจำผมไม่ได้หรอกเนอะ”
ฮ่องเต้ทำหน้าครุ่นคิด เมื่อรู้สึกคับคล้ายคับคลากับรูปร่างหน้าตาและชื่อของเด็กคนนี้ สักพัก ก่อนที่เขาจะร้องอ๋อขึ้นมาเมื่อภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาหลังกลับไปชนใครสักคนเข้าที่ใต้ถุนคณะในวันรับน้องวันแรก
“อ๋อ ไอ้เด็กว่าที่เดือนคณะ” และก็เผลอพูดออกไปตามสิ่งที่คิด
“พี่พูดว่าอะไรนะครับ” ฝ่ายตรงข้ามถามออกมาอย่างไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก ทำเอาคนที่เพิ่งจะนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปทำหน้าเหลอหลาใส่
“หะ...หา? พะ...พูดอะไรวะ?”
หากแต่ท่าทางเช่นนั้นกลับดูน่ารักในสายตาของอีกฝ่าย จนเผลอหลุดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ก่อนที่สายตาคมจะเลื่อนขึ้นไปจับจ้องใบหน้าขาวใสของรุ่นพี่คณะและถือวิสาสะกระเถิบเข้าไปใกล้จนฮ่องเต้ตกใจก้าวถอยจนหลังติดพนังลิฟต์
“ก็ที่พี่บอกว่าเดือนคณะ เมื่อกี้...”
สายตาฉายแววขำขัน ครั้นเห็นรุ่นพี่ตรงหน้าตนกำลังตื่นตระหนกตกใจ หากแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ทำอะไร เสียงประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับผู้มาเยือนกลุ่มใหม่ ทั้งคู่หันไปมองผู้หญิงสามคนที่ทำหน้าเหวอกับภาพผู้ชายสองคนตรงหน้า ก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นฝ่ายดันตัวนัทให้ออกห่าง ซึ่งนัทก็ทำเพียงถอยออกไปยืนอยู่ข้างๆ เขาเพื่อเว้นที่ว่างให้กับพวกเธอและทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ กระทั่งลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นเจ็ด ฮ่องเต้กับนัทจึงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกัน
“พี่อยู่หอนี้หรือมาหาใครครับ” นัทเอ่ยปากถามระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปตามทางเดิน
ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ เล็กน้อยก่อนจะตอบ “มาหาญาติ พอดีมันไม่สบาย”
“แล้วญาติพี่ชื่ออะไรเหรอครับ เผื่อผมจะรู้จัก”
“สีฝุ่น” ฮ่องเต้ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร แต่คนข้างๆ กลับมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ใช่พี่สีฝุ่น ปีสอง คณะอักษรหรือเปล่าครับ?”
ฮ่องเต้เองก็แปลกใจเช่นกันที่คนข้างๆ ดันรู้จักลูกพี่ลูกน้องของตน “รู้จักด้วยเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ เผอิญว่าช่วงนี้พี่เขาชอบเมาแล้วมาเคาะห้องผมตลอด สงสัยคนเก่าที่เช่าห้องอยู่จะเป็นคนรู้จักของพี่เขาล่ะมั้งครับ เห็นเอาแต่พูดถึงคนชื่ออ้น”
ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น...
ในใจก็พาลนึกไปถึงคนที่ถึงขั้นมาเช่าห้องชั้นเดียวกันกับสีฝุ่นอย่างหงุดหงิดใจ
นี่มันยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกวะ!!
“พี่ฮ่องเต้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองหน้าคนข้างๆ อย่างนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังคุยกับเด็กปีหนึ่งค้างเอาไว้ ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา
“ไม่มีอะไร”
“แต่พี่ดูไม่ค่อยสบายใจนะครับ”
ฮ่องเต้ชะงักปากที่กำลังจะพูดออกไปว่า ไม่เป็นไร อีกครั้งอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยปากร้องขออะไรกับคนข้างๆ
“กูขออะไรมึงอย่างหนึ่งได้ไหมวะ”
นัททำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิครับ”
“ถ้าคนชื่ออ้นกลับมาที่นี่อีก ช่วยบอกพี่หน่อยได้หรือเปล่า”
คำพูดของฮ่องเต้ทำเอานัทนิ่งเงียบไปสักพัก อย่างคนกำลังชั่งใจและในเมื่อคิดได้ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“ได้ครับ แล้วพี่จะให้ผมติดต่อพี่ทางไหนล่ะครับ”
“เอาเบอร์พี่ไปก็ได้” ฮ่องเต้พูดจบ นัทก็ล้วงมือถือออกมาให้รุ่นพี่ตรงหน้าของตนกดเบอร์ลงไป เสร็จสรรพก็รับมือถือคืนมา
“เอาไว้เดี๋ยวผมจะไลน์ไปหาก็แล้วกันนะครับ” พูดออกไปด้วยความเต็มใจ
“ขอบใจแกมากนะ” ฮ่องเต้พยายามเลี่ยงใช้สรรพนามกับคนที่ยังไม่ได้สนิทกันมาก หากลับทำให้นัทต้องลิบยิ้มออกมาเพราะความน่ารัก (อีกแล้ว) ของฮ่องเต้
“พูดมึงกูเถอะครับ น่าจะถนัดกว่า”
ฮ่องเต้ได้แต่เกาหัวแก้เก้อกับคำพูดของรุ่นน้อง
“กลับห้องเถอะครับ เดี๋ยวกับข้าวในมือพี่จะเย็นชืดหมดนะครับ”
คำพูดและสายตาของนัท ทำเอาฮ่องเต้ต้องก้มลงมองตามที่มือของตัวเอง ก่อนจะละสายตาขึ้นมามองหน้าคนที่เด็กกว่าตน
“เออ กูไปก่อนนะ”
“ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ” นัทได้แต่ยืนยิ้มและมองตามฮ่องเต้ที่ผละออกไปจนลับสายตา ก่อนจะมองเบอร์โทรศัพท์ของฮ่องเต้ในมือถือและยิ้มกระหยิ่มในใจ
ฮ่องเต้เดินไปที่ห้องของสีฝุ่น จัดการใช้กุญแจที่หยิบติดมือมาด้วยตอนออกไปข้างนอก ไขประตูเข้าไปในห้องที่ถูกเปิดไฟทิ้งเอาไว้สว่างโร่พร้อมกับเจ้าของห้องที่ลงมานั่งชันเข่าเหม่อลอยอยู่บนพื้นปลายเตียง
“มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” ปากก็เอ่ยทักเจ้าของห้อง มือก็จัดแจงกับข้าวใส่ถ้วยชาม
“เฮีย...”
“ว่าไง?” ฮ่องเต้ตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมองใบหน้าซึมเศร้าของคนเป็นน้อง
“ผมอกหัก...”
หากแต่ประโยคสั้นๆ ที่ตอบกลับมากลับทำเอามือของเขาชะงัก กอปรกับน้ำเสียงปนเศร้าของสีฝุ่นแล้ว ยิ่งทำให้คนเป็นพี่รู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็ทำได้เพียงแค่เงียบเพื่อฟังคนเป็นน้องพูดต่อไป
“อันที่จริงผมควรที่จะบอก...ว่าผมมีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังเฮียอยู่ ตอนนั้น ผมกลัวว่าถ้าเฮียรู้เรื่องนี้ เฮียต้องโกรธและไม่ให้อภัยผมอีก เฮีย...” สีฝุ่นเว้นจังหวะพลางสูดลมหายใจเข้าลึก “...เฮียคงจะจำพี่อ้นได้”
ใจของฮ่องเต้กระตุกวูบอีกครั้งที่ความจริง (ที่เขาก็พอจะรู้มาบ้าง) หลุดออกมาจากปากของสีฝุ่น
“เขามาขอโอกาสกับผมเป็นครั้งที่สี่หรือห้า ผมเองก็จำไม่ได้ เขามาสารภาพว่าเขาไม่เคยมีความสุขเลยตอนที่เขาอยู่กับคนอื่น เขาเอาแต่คิดเรื่องของผมอยู่ตลอดเวลา...”
ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจและฟังสีฝุ่นพูดต่อ
“ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งและลืมเขาได้ แต่กลับกลายเป็นว่าผมไม่เคยลืมเขาได้เลย ผมมันโง่เองที่กลับไปคบกับเขา สุดท้าย เขาก็มีคนอื่นเหมือนที่ผ่านมา”
ก่อนที่สีฝุ่นจะหันใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตามาทางฮ่องเต้ที่เอาแต่ยืนเงียบ หากแต่มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอย่างหาที่ระบายความโกรธ
โกรธคนที่กล้ามาทำให้น้องของเขาเสียใจ
“ขอโทษนะเฮีย”
ฮ่องเต้เหลือบตาไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนเป็นน้องที่คงจะไม่รู้ว่าคนเป็นพี่อย่างเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน สายตาของฮ่องเต้ไม่อาจจะละไปจาดวงตาที่เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา ซึ่งไม่รู้ว่ามันไหลออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ อีกทั้งแขนสองข้างที่พยายามโอบกอดตัวเองเอาไว้
ความเปราะบางในเวลานี้ของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้แทบใจสลายไปตามๆ กัน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆ ดึงสีฝุ่นเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อปลอบประโลมจิตใจลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขา
“มึงจะร้องไห้อีกทำไม น้ำตาของมึงมันมีค่ามากกว่าจะเอาไปร้องให้คนแบบนั้นนะเว้ย อีกอย่าง กูก็อยู่นี่แล้ว กูสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อที่มึงจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับใครอีก”
“ผมขอโทษ...”
“มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไม่ได้ผิด คนที่ผิดคือคนที่ทำให้มึงต้องเสียใจต่างหาก แล้วกูก็ไม่เคยโกรธมึงและไม่มีทางที่กูจะโกรธน้องอย่างมึงหรอก”
คำพูดของฮ่องเต้ทำเอาสีฝุ่นจุกอก เขาน่าจะเชื่อฮ่องเต้ตั้งแต่แรกว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอ้น หากแต่เพราะความดื้อดึง หลงคิดไปว่าสิ่งที่อ้นแสดงออกคือความจริงใจ ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ฟังฮ่องเต้และยอมคบกับอ้น
ทั้งๆ ที่เฮียเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่เชื่อฟังเฮีย
นั่นทำให้เขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นอ้นอยู่กับคนอื่นเสียอีก
สีฝุ่นสะอึกสะอื้นออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ท่ามกลางสายตาของฮ่องเต้ที่เอาแต่จ้องมองคนเป็นน้องด้วยความสงสารจับใจ ก่อนจะขยับตามสีฝุ่นที่เคลื่อนตัวลงมานอนหนุนตักของเขาและมองตามคนที่ดึงมือข้างหนึ่งของเขาไปกุมเอาไว้อย่างต้องการความอบอุ่น
ภาพตรงหน้าเป็นภาพพี่ฮ่องเต้ต้องทำใจยอมรับ แม้ว่ามันจะบีบคั้นหัวใจมากแค่ไหนก็ตาม หากแต่ลึกๆ ก็นึกที่จะหาทางแก้แค้นอ้นสักครั้ง เพียงแต่เขายังหาทางทำให้คนอย่างอ้นเจ็บช้ำไม่ได้ก็เท่านั้น
“ผมรักเฮียนะ” จู่ๆ คนที่เงียบไปนานสองนานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำจ้องมองใบหน้าของฮ่องเต้ที่ระบายยิ้มออกมาบนใบหน้า
“เออ กูก็รักมึง”
ก่อนที่ทั้งคู่จะจะพากันถอนหายใจออกมา...
“เฮียว่าผมจะเจอรักแท้กับเขาบ้างหรือเปล่า”
คำพูดของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้อดยิ้มออกมาไม่ได้ พาลให้หวนนึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก ตอนที่ครอบครัวของทั้งสองคนเฉลิมฉลองวันครบรอบแต่งงานของป๊าม๊า สีฝุ่นก็เอาแต่ถามคำถามนี้กับฮ่องเต้ทุกปีว่าโตขึ้นจะเจอรักแท้เหมือนกับที่ป๊าม๊าเจอหรือเปล่า ตอนนั้น เขาเอาแต่หงุดหงิดใส่เพราะคิดว่าสีฝุ่นกวนโมโห ถามคำถามเดิมกับเขาทุกปี ขณะที่เขาก็กวนกลับด้วยการตอบคำถามแบบเดิมทุกปี และในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบเดิมไม่ได้ ในเมื่อเขาเองก็คิดเช่นนั้น
“จะให้กูบอกอีกกี่ทีวะ”
“ก็ผมอยากฟัง”
“เออๆ” ฮ่องเต้รับคำ มองใบหน้าที่เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อยพลางเอามือลูบผมของคนตรงหน้าอย่างเบามือ “ถ้ามึงยังเชื่อมั่นและศรัทธาในความรัก สักวันรักแท้จะเป็นฝ่ายเข้ามาหามึงเอง โดยที่มึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการไขว่คว้ามันมา...”
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยั้งคำพูดเอาไว้ เมื่อประโยคถัดไปดันไปแทงใจดำตัวเองเข้า จนน้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมาอีกครั้งดูเลื่อนลอย
“...หรือพยายามรักษาความรักนั้นเอาไว้ เพราะถ้ามันคือรักแท้จริงๆ มันจะอยู่กับมึงตลอดไป”
“เฮีย เป็นอะไรหรือเปล่า”
ฮ่องเต้ได้สติ ก้มลงไปมองสีฝุ่นที่กำลังเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เป็นอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ก็มึงอยากฟังไม่ใช่เหรอ กูก็พูดแล้วไง”
สีฝุ่นหรี่ตาลงมองอย่างจับพิรุธเพราะการพูดรัวๆ ติดกันเป็นพรืดของคนเป็นพี่
“ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะเฮีย” สีฝุ่นว่าก่อนจะผงกตัวลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขา “หรือว่าเฮียกำลังคิดถึงใครอยู่”
เท่านั้น คนถูกเพ่งเล็งก็ถึงกับตื่นตระหนก อึกอักอย่างคนไม่รู้จะพูดยังไง
“เฮียคิดถึงใคร บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลย!!”
“ไม่มีเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะรีบลุกขึ้น กะจะเดินหนี หากแต่สีฝุ่นกลับรีบลุกขึ้นตามและดึงแขนเขาเอาไว้
“ไม่ต้องมามีความลับกับผมเลยนะ”
“ความลับอะไรวะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย” พูดจบก็รีบสะบัดแขนของสีฝุ่นออกแล้วเดินหนีไปเตรียมกับข้าวต่อ พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่ยังคงตามมาเซ้าซี้ไม่เลิก
“ผมไม่เชื่อเฮียหรอก”
“เรื่องของมึง ถอยไป กูจะจัดโต๊ะ” ฮ่องเต้ยกชามกับข้าวและเดินไปที่โต๊ะตามที่พูด ทว่าสีฝุ่นยังคงตามตื๊อไม่เลิก
“เออ ก็ได้! เฮียไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร แต่หลังจากนี้ไป เฮียก็คอยระวังไว้ให้ดีเถอะ เพราะผมจะตามสืบเรื่องนี้แน่นอน ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครหน้าไหนมันบังอาจมาทำให้เฮียของผมตกหลุมรัก!”
ฮ่องเต้ถอนหายใจแรงๆ ใส่ไปหนหนึ่ง กับคำการพล่ามออกมายาวเหยียดของคนเป็นน้อง ก่อนที่สีฝุ่นจะเบิกตากว้างเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และร้องเสียงหลง จนฮ่องเต้เผลอตกใจตาม
“เฮ้ยยยยย หรือว่า...!!?”
“หรือว่าอะไรของมึงอีก!” พุดออกไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะใจหายวาบเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปจากสีฝุ่นว่า
“หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น!?”
“คะ...ใคร! ใคร?”
“ก็รหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้ไง!!”
และข้อสันนิษฐานของสีฝุ่นก็ฟาดเข้าใส่จนฮ่องเต้หน้าชาเพราะอุตส่าห์ว่าจะไม่คิด ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วแท้ๆ แต่...
มันจะรื้อฟื้นขึ้นมาหาพระแสงของ้าวอะไรของมันวะเนี่ยยยยย
ทว่าสีหน้าของฮ่องเต้กลับไปสะดุดตาสีฝุ่นเข้าเต็มๆ จนเจ้าตัวอดโวยวายออกมาไม่ได้
“ทำหน้าแบบนี้ๆ อย่าบอกนะว่าเฮียโดนอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองเล่นงานแล้วอ่ะ”
ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ สูดหายใจเข้าไปฟืดใหญ่ ก่อนจะลืมตา หันไปมองหน้าเหวอๆ ของคนเป็นน้องพร้อมกับตะโกนออไปเสียงดังลั่นห้อง
“มากินข้าว!!”
Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ
