KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ  (อ่าน 13708 ครั้ง)

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                                                                        บทนำ

                ตาย..เขาต้องตายแน่ๆ

               ร่างสูงเกือบร้อยแปดสิบกำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เบื้องหลังคืองูสีแดงตัวใหญ่กำลังเลื้อยตามมาอย่างไม่ลดละความพยายาม ดวงตากลมโตของมันเอาแต่จับจ้องมาทางคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างกระหาย ท่ามกลางความเงียบงันบนถนนรกร้าง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่ากับชุดกระโปรงที่อยู่บนตัวเขานี่หรอก เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในชุดเจ้าสาว? (แบบที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่ควรจะได้มาสวมใส่) ที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าไปใส่ตั้งแต่ตอนไหน แถมยังรองเท้าส้นสูง ศัตรูตัวฉกาจยิ่งกว่าไอ้สัตว์เลื้อยคลานที่กำลังเลื้อยตามหลังมา ไหนจะช่อดอกไม้ในมือที่มาแบบไม่รู้ตัวนี่อีก

                แล้วเขาจะถือเอาไว้ทำไมกัน?

            คิดได้เช่นนั้น พลันสองมือก็โยนช่อดอกไม้ในมือทิ้ง สองเท้ากระโดดผลุงและดีดรองเท้าส้นสูงออกจากเท้าของตน มันกระเด็นเฉียดหัวงูตัวนั้นไปเพียงหน่อยเดียว (น่าจะโดนหัวมันไปให้รู้แล้วรู้รอด)  ความยาวรุ่มร่าม ทำให้เขาต้องถลกกระโปรงขึ้นและวิ่งหนีด้วยเท้าเปล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่วิกผมจะปลิวหลุดออกไปจากหัวของเขา ตอนนี้ เขาเลยกลายเป็นกระเทยร่างยักษ์กำลังวิ่งพล่านเหมือนคนบ้าอยู่กลางถนนไปเสียอย่างนั้น

                สองขาพยายามพาร่างของตัวเองหนีให้พ้นอันตราย ทว่าพละกำลังของเขากลับอ่อนลงไปเรื่อยๆ  เสียงหอบหายใจเริ่มดังถี่ขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไป อาการชาเริ่มแล่นปราดไปทั่วขาของเขาอย่างไม่อาจจะหาอะไรมาหยุดยั้งได้  ภายในใจก็เอาแต่พร่ำบ่นถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ตนกำลังเผชิญหน้าในเวลานี้

                ทำไมกัน...ทำไมเขาต้องมาวิ่งหนีไอ้สัตว์เลื้อยคลานในเวลาที่ฟ้ายังไม่สางแบบนี้ด้วย!

                รอบข้างที่มีเพียงความมืดและอาการอันเย็นเฉียบ ส่งผลให้ใจของเขาระส่ำระส่ายเท่าทวีคูณ

                และเมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่าไอ้งูตัวนั้นยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะไล่ตามเขา ตาโตๆ ของมันที่ทั้งดุดันและน่ากลัวเอาแต่จับจ้องมายังคนตรงหน้าอย่างไม่ให้คลาดสายตา ราวกับว่าเขาคือเป้าหมายหนึ่งเดียวของมันในเวลานี้!

                จนกระทั่ง...

                พลั่ก!

                เขาสะดุดล้ม...!

                อาจจะเป็นเพราะขาที่หมดแรงเอาดื้อๆ อาการปวดตุ้บๆ เริ่มแล่นขึ้นมาตามข้อเท้า น่องและขาของเขาทีละนิด ขณะที่สายตาของเขายังคงจ้องไปยังงูตัวใหญ่สีแดงอย่างไม่ละสายตาด้วยความกลัว มันค่อยๆ เลื้อยเข้ามาใกล้ แม้ว่าภายในใจอยากจะรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เขาก็ทำเพียงแค่ขยับร่างกายถอยไปข้างหลังทีละนิด ก่อนที่งูตัวนั้นจะสบโอกาสพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วจนคนตรงหน้าเผลอร้องออกมาเสียงดังลั่น!

                คิด...ว่าคงไม่รอดแน่ๆ !

                จึงได้แต่หลับตารอรับความเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น เพียงชั่วครู่ เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตตรงหน้า สัมผัสที่แตะลงบนต้นแขนของเขาและกระชับแน่น

              “พี่ครับ...”

                เสียงเด็กผู้ชายเอ่ยเรียก เป็นเสียงที่เขารู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน 

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงนั้นยังคงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

              หรือจะมีเด็กที่ไหน เข้ามาช่วยเขาจากงูสีแดงตัวนั้น?

            เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและลืมตาขึ้นทีละนิด ก่อนจะเบิกตาโพลง เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กผู้ชายคนนั้นเต็มตาใบหน้าของคนตรงหน้าเข้าใกล้มากเสียจนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ทำให้ใจของเขาเริ่มระส่ำระส่ายอีกครั้ง ดวงตาของเด็กคนนั้นสบลึกเข้ามาในตาของเขา...ราวกับต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง

                ก่อนที่ปากเล็กๆ นั้นจะค่อยๆ ขยับ...

                “แต่งงานกับผมนะ พี่สาว...”

                ก่อนที่เด็กชายคนนั้นจะเข้าใกล้และจุมพิตลงบนแก้มของเขาอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะผละออกไปแล้วยืนยิ้มให้กับคนที่เอาแต่นิ่งอึ้ง ก่อนที่ร่างสูงจะแหกปากเสียงดังลั่นอย่างที่เคยทำ

                “ม่ายยยยยยยยยย”

 

                “...!?”

                เจ้าของร่างสูงสะดุ้งตื่นหลังจากรู้สึกวืดเหมือนตกจากที่สูง ยกมือขึ้นมาจับแก้มทันทีที่เรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงความฝัน

                เพราะเคยแพ้เกมเพื่อนสนิทตอนม.หนึ่ง จนต้องแต่งหญิงคราวนั้น เขาถึงได้ฝังใจเรื่องเด็กผู้ชายคนนั้นและเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะเอาตั้งแต่เล็กจนโต ก็เพราะไอ้เด็กผู้ชายคนนั้น (ที่เพิ่งจะขึ้นป.สี่ในตอนนั้น) มันเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ มันเลยวิ่งแจ้นตามเฝ้าเขาเช้ายันเย็น บางวันมีแอบตามไปถึงบ้าน เล่นเอาเขาหลอนไปเป็นปีๆ

            เขาคิดและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง...

                ทว่า..

                “รีบตื่นทำไมวะ?”

                เขาหันไปมองค้อนใส่ ซัน เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันมาตั้งแต่สมัยประถม เหตุเพราะเจ้าตัวเพิ่งจะแอบถ่ายรูปเขาไปหมาดๆ  ซันส่งเสียงในลำคออย่างคนขัดใจ ก่อนจะลดกล้องลง

                “แอบถ่ายอะไรกูอีก!” ฮ่องเต้ร้องโวยวาย ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่คนตรงหน้าเต็มที่ ตรงข้ามกับซันที่ดูเหมือนจะมีความสุขที่ทำให้เขาหงุดหงิดได้

                “ก็มันน่าถ่ายไว้นี่หว่า...” ก่อนที่ซันจะยื่นกล้องมาให้เขาดู

                ฮ่องเต้นิ่วหน้า หรี่ตามองไอ้จอเล็กๆ ที่กำลังฉายภาพ...ของเขาเอง

                “ไอ้ซัน!!”

                เป็นอันต้องเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังลั่นอย่างเหลืออดเพราะนอกจากคลิปนั้นจะไม่น่าดูแล้ว ภาพยังติดเรทจนดูไม่ได้อีก ทว่าพอเขากะจะกระโจนเข้าตะปบกล้องมา หมายจะเอามาลบคลิปทุเรศๆ ในกล้องนั่น ไอ้เจ้าของกล้องมันก็ดันมือไวกว่าทำให้เขาถึงกับวืด หน้าทิ่มไปกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย

                และนั่นทำให้คนที่ชื่อว่าซันหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ที่ได้เห็นเขาทำเรื่องน่าอายเข้าให้จนได้!

                “กูชอบจัง เวลามึงละเมอเนี่ย...” ซันหันมาเย้าหยอกฮ่องเต้ต่อ ก่อนจะเว้นจังหวะแล้วยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูคนที่เพิ่งจะยันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นว่า “...โคตรเอกซ์เลยว่ะ”

                “ไอ้ซัน!!” และมือที่ฮ่องเต้หมายจะซัดใส่ซันสักป๊าบก็วืดอีกระรอก เหตุเพราะซันถอยห่างออกไปด้วยความไวแสงประหนึ่งรู้ทันความคิดของเขา

                “ลบคลิปเลย ไอ้ซัน” ฮ่องเต้หันไปออกคำสั่ง ทว่าซันกลับยักไหลอย่างไม่ใส่ใจในคำพูด แต่หันมาสนใจเรื่องที่ฮ่องเต้ละเมอต่อ

                “ไอ้เต้ กูถามมึงจริงๆ เหอะ มึงฝันอะไรอยู่วะ ถึงได้นอนจูบกระเป๋าตัวเองแถมยังทำเสียงอื้อๆ อีกต่างหาก”

                คนพูดก็พูดไปยิ้มอย่างล้อเลียนเพื่อนไป ส่วนไอ้คนที่ถูกถามก็หน้าหงิกงอไปแล้วเรียบร้อย

                “ยุ่งน่า!”

                ฮ่องเต้ตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับใบหน้าขึ้นสี ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าใครต่อใครจะผ่านมาเห็นตอนเขาละเมอบ้างหรือเปล่า ยิ่งกับพวกรุ่นน้องมานั่งรวมกลุ่มกันเตรียมของสำหรับกิจกรรมรับน้องใต้ถุนคณะด้วยแล้ว เขายิ่งไม่อยากจะให้มาเห็นเพราะต้องถูกเอาไม่นินทาลับหลังเป็นแน่

                “เอาน่า มันเรื่องปกติไม่ใช่หรือไงวะ”

                “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” พูดออกไปอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์   

                “ท่านฮ่องเต้ขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

                เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังมาแต่ไกลเรียกสายตาให้เจ้าของชื่อและซันหันไปมอง แถมด้วยพวกปีสองที่พร้อมใจกันส่งสายตาไปยังไอ้ตัวต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง

               “เสียงดังไปแล้วมึงอ่ะ” ฮ่องเต้อดหันไปเอ็ดตะโรใส่คนมาใหม่อย่างเสียไม่ได้ เจ้าของส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้าหยุดยืนกระหืดกระหอบได้สักพัก ก็หันมามองหน้าคนที่รอฟังที่โต๊ะ

               “ไม่ดังไม่ได้เว้ย เรื่องแบบนี้”

                “เรื่องอะไรวะ ไอ้นิว” เป็นซันที่หันไปถามด้วยความอยากรู้และนั่นทำให้คนเล่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ก่อนจะหันไอถามคนที่นั่งเงียบ แต่ก็ตั้งตารอฟังอย่างฮ่องเต้ว่า

               “มึงเห็นสเตตัสน้องรหัสมึงหรือยัง” น้ำเสียงและท่าทางที่ดูตื่นเต้นผิดปกติ ทำให้คนที่เหมือนจะมีส่วนเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ แม้ว่าเขาจะหวังเอาไว้ว่าเรื่องที่จะได้ยินต่อไปนี้จะเป็นข่าวดี แต่ทำไมใจของเขาถึงไม่รักดี เอาแต่เต้นผิดจังหวะเป็นลางอยู่ได้

                “มี...อะไรวะ” ถามออกไปอย่างหวั่นๆ

             “อะ มึงดูให้เต็มตา” ไม่ว่าเปล่า นิวยังส่งมือถือของตัวเองให้เขาดูอีก “อย่างไวอ่ะ ตอนแรกกูคิดว่าจะเป็นมึงซะอีกที่สละโสด คบกับน้องยิ้ม”

                คำอธิบายภาพบนหน้าจอมือถือซึมซับเข้าไปในสมองน้อยๆ จนฮ่องเต้เริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่มากขึ้นสถานะคบกันของ ยิ้ม น้องรหัสปีสามและ ลัคกี้ หลานรหัสปีสอง ทำให้ฮ่องเต้ปวดหัวขึ้นมาอัตโนมัติ รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ละม้ายคล้ายจะเป็นลม  จนได้ยินเสียงลึกลับลอยมาเข้ามาในโสตประสาต เสียงของใครบางคนที่กำลังเขย่าโสตประสาตจนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง

             พวกเอ็งรู้ไหมว่าสายรหัส 178 คณะเรามีอาถรรพ์นะเว้ย เขาว่าเป็น สายรหัสกินกันเอง จะกี่รุ่นๆ ก็ได้แฟนในสายรหัสตัวเองหมดทุกคนเลย ถ้าไม่เชื่อนะ ก็รอพิสูจน์ได้เลย

            เป็นประโยคบอกเล่าจากลุงรหัสของฮ่องเต้ที่ฝังอยู่ในใจและสมองน้อยๆ มาจวบจนเขาเรียนอยู่ปีสี่ และลุงรหัสคนนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการมีแฟนเป็นป้ารหัสของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย คบกันตั้งแต่สมัยยังเป็นเฟรชชี่ใสๆ จนตอนนี้เรียนจบ ทำงานและดูเหมือนว่าจะมีแพลนแต่งงานปีหน้านี้เลยด้วย

                “โอ้โห ถ้าอย่างนั้น น้องเฟรชชี่ปีนี้ ก็ตกเป็นของท่านฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย”

                นิวเริ่มพูดจาหยอกล้อเพื่อนไปตามประสาคนพูดมากที่สุดในกลุ่ม ทำเอาฮ่องเต้ที่เพิ่งตั้งสติได้หันมาเขม่นใส่ แต่คนพูดมากกลับไม่ได้สนใจเอาแต่พล่ามออกมาไม่หยุดเหมือนคนเก็บกด ถูกห้ามไม่ให้พูดมานานเป็นแรมปี

              “แต่ช้าแต่ อย่าเพิ่งกระวนกระวายไป ไม่แน่นะเว้ย สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้ อาจจะ...” ว่าแล้วก็ทำท่าท่ามโน สติล่องลอยออกไปไกลถึงนอกโลก “...สวย เซกซี่ หุ่นเซี๊ยะ น่าเจี๊ยะก็ได้ท่านฮ่องเต้”

                “ไร้สาระ”

               การตอกกลับที่แสนสั้นแต่กลับได้ใจความจนนิวต้องทำตาโต อ้าปากกว้าง เหมือนกำลังตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

                “มึงไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะเว้ย กูเห็นพี่ๆ มึงแต่ละคนก็คบกันเองทั้งนั้นอ่ะ แถมยังไปรอด แต่งงานมีลูกไปกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วด้วย”

                บางทีเขาก็นึกอยากจะหาอะไรมาปิดปากคนพูดมาก ยิ่งมันพูดออกมามากเท่าไหร่ เหมือนยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เขาต้องยอมรับความจริงมากขึ้นเท่านั้น

              “มันก็แค่เรื่องบังเอิญ มึงเข้าใจความบังเอิญไหม”

                แม้ว่าจะรู้จักอาถรรพ์สายรหัสดีอยู่แก่ใจ แต่ฮ่องเต้ก็ต้องทำทีเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งที่นิวพูด เพื่อป้องกันพวกเพื่อนรักที่ตั้งท่ารอแซวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าเด็กปีหนึ่งปีนี้

                “เออ เดี๋ยวกูจะรอดู” สุดท้าย นิวก็ได้แต่ทำท่า เบะปากหมั่นไส้ แต่ไม่วายพูดทิ้งทวนชวนให้เพื่อนคิดเอาไว้ “ได้ยินมาว่ารหัสนักศึกษารุ่นหกศูนย์ประกาศแล้วนี่หว่า สงสัยจะต้องเข้าส่องน้องรหัสเสียหน่อยแล้ว”

                ดูก็รู้ว่านิวจงใจจะให้ใครบางคนแถวนี้คิดต่อเรื่องอาถรรพ์สายรหัส เพราะนอกจากท่าทางที่น่าหมั่นไส้แล้ว เจ้าตัวยังทำเสียงเล็กเสียงน้อยประกอบเข้าไปด้วยและนั่นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับต้องลุกขึ้นมาอย่างเหลืออด

              “ไปเล่นไกลๆ เลยไป!”

              “ขอรับ เกล้ากระหม่อมขอทูลลาฮ่องเต้” พูดจบเจ้าตัวก็กระโดดหลบเท้าที่พุ่งเข้าใส่อย่างเต็มแรงและวิ่งแจ้นหายไปในหมู่เด็กปีสองปีสาม ส่วนอีกคนก็ทำเป็นลอยหน้าลอยตาเดินหนีไปถ่ายรูปเด็กๆ ต่อ

                ฮ่องเต้จึงได้แต่ส่งเสียงในลำคออย่างคนหัวเสีย แต่พอหันกลับมาที่โต๊ะและเห็นโน้ตบุ๊คที่ตัวเองเล่นเกมค้างเอาไว้ อะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว

             ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของนิวเพื่อนรัก หรือสถานะคบกับของสายรหัส ท่านฮ่องเต้ถึงได้หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวด้วยการเปิดเว็บไซต์ค้นหารหัสนักศึกษาของมหา’ลัย และพิมพ์รหัสนักศึกษาของตัวเองเข้าไปในช่อง เปลี่ยนแค่เลขรุ่นของเขาจากห้าเจ็ดเป็นหกศูนย์และกดปุ่มค้นหา

             เพียงเท่านั้น ข้อมูลทั้งหมดก็ปรากฏ

 

              นายธิติกร นันทพรหม รหัสนักศึกษา  600921178

            นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิติศาสต์

            อาจารย์ที่ปรึกษา xxxxxx xxxxxxxxxxx

 

            ข้อมูลที่ฉายขึ้นมาบนหน้าจอเล่นเอาฮ่องเต้ถึงกับผงะ สองมือยกขึ้นมาขยี้ตาและหันไปดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสายตาของตัวเอง

                นายธิติกร นันทพรหม...

            นายธิติกร...

            นาย...

            นำหน้าด้วยคำว่า นาย แบบนี้ สายรหัสคนต่อไปของเขาก็เป็น...ผู้ชาย...อย่างไม่ต้องสงสัย

                แล้วแบบนี้ใครมันจะไปรับได้...

                ผู้ชายกับผู้ชายนะคุณ! จะไม่ให้ผมตื่นตระหนกตกใจเป็นไก่ตาแตกเลยหรือไง

                เรื่องนี้มันยิ่งเสียกว่าตอนที่เขาได้รู้ว่าสายรหัสปีสองกับปีสามคบกันเสียอีก แล้วไอ้พี่ปีสี่อย่างเขา มีโอกาสให้แก้ตัวปีหน้าเสียที่ไหน (เรียนต่ออีกปีก็เปอร์สิครับ) ดูเหมือนว่าสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดจะเล่นตลกกับชีวิตของเขาเข้าแล้ว

               

                พวกเอ็งรู้ไหมว่าสายรหัส 178 คณะเรามีอาถรรพ์นะเว้ย เขาว่าเป็น สายรหัสกินกันเอง จะกี่รุ่นๆ ก็ได้แฟนในสายรหัสตัวเองหมดทุกคนเลย ถ้าไม่เชื่อนะ ก็รอพิสูจน์ได้เลย                 

               

                มึงไม่เชื่อ ก็รอพิสูจน์ได้เลย !?

 

 




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2018 20:03:54 โดย Salisa-อ่านว่า-สาริสา »

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 1 น้องปีหนึ่งมาถึงเชียงใหม่
                รถยนต์สีขาวขับเข้ามาจอดเทียบทางเข้าห้องน้ำในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ อากาศเย็นๆ ในเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าทำให้เจ้าของรถอย่างโฟโต้สามารถเดินทางต่อได้อย่างสบาย แต่ที่ต้องแวะจอดเอาที่ปั้มนี้ ก็เพราะไอ้มนุษย์เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันดันปวดธุระส่วนตัวกะทันหัน จนเจ้าของรถอย่างเขาต้องเหยียบคันเร่ง สอดสายตามองหาที่ปลดปล่อยให้มันแทบไม่ทัน จนกระทั่ง มาเจอที่นี่และคงไม่ต้องบอกว่าไอ้มนุษย์เพื่อนที่พูดถึงมันรีบแจ้นลงจากรถไปไหน

                “ไอ้ฟิวด์ๆ”

                ในเมื่อคนหนึ่งหายต๋อมไปในห้องน้ำ เขาจึงจำต้องปลุกอีกคนที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาแก้เมารถมานานเกือบชั่วโมง กาฟิวด์สะลึมสะลือตื่น เอามือขยี้ตาสองสามทีและผงกตัวลุกขึ้นมาสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก่อนจะหันไปถามคนที่ปลุกเขา

                “ถึงแล้วเหรอ”

                “ยัง ไอ้เปรมมันเจือกปวดอี้ กูเลยต้องแวะปั้มให้มัน”

                คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังหน้ามึนไปเล็กน้อย คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างไม่กระจ่างดี

                “นี่ยังไม่ถึงเชียงใหม่อีกเหรอ”

                “ถึงแล้ว อีกนิดเดียวก็จะถึงมอแล้วเนี่ย มึงลงไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม เดี๋ยวต้องไปรายงานตัวเข้าหอไม่ใช่หรือไง”

                “อือ” กาฟิวด์รับคำและลงไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย บนรถจึงเหลือแค่โฟโต้ที่กำลังนั่งกดมือถือฆ่าเวลาเล่นไปพลางๆ  ก่อนที่หน้าจอจะถูกแทรกขึ้นมาด้วยสายเรียกเข้าจากคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

                “ว่าไงครับ คุณหญิงแม่” เสียงสดใสตอบกลับไป หลังจากไม่ยอมรับโทรศัพท์แม่ของตัวเองมาเกือบสามชั่วโมงเพราะต้องขับรถจากเชียงรายมาเชียงใหม่ ทำเอาปลายสายอดบ่นกลับมาอย่างเสียไม่ได้

                โฟโต้คุยเล่นและรายงานความคืบหน้าเรื่องการเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยภัคนลินให้กับผู้เป็นแม่จนเสร็จเรียบร้อยได้สักพัก เพื่อนรักทั้งสองคนของเขาก็กลับขึ้นมานั่งบนรถด้วยด้วยท่าทางที่สบายขึ้น (หมายถึงไอ้เปรม) ส่วนลูกสิงโตประจำกลุ่มอย่างกาฟิวด์ก็มีสีหน้าสดชื่นขึ้น

                “พวกมึง ถ่ายรูป” โฟโต้ว่าพลางยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป เสร็จสรรพก็ส่งไปให้กับแม่ของตนที่ยังคงคอยส่งข้อความมาถามไถ่เรื่อยๆ แม้ว่าจะโทรคุยกันแล้วก็ตาม

                “ไอ้ฟิวด์ มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่ย้ายออกมาอยู่กับพวกกู” เปรมหันไปถามคนที่นั่งด้านหลังด้วยความเป็นห่วง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่กาฟิวด์ได้ออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ แถมยังต้องอยู่หอในคนเดียวแบบไม่มีเพื่อนอย่างพวกเขาคอยปกป้องด้วย

                “สบายมาก” ทว่าคนตอบกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับการจากบ้านมาอยู่ต่างจังหวัดแบบนี้

                ไอ้ที่พวกเพื่อนเขาเป็นห่วงกันก็เพราะบุคลิกและนิสัยของเขานั่นแหละ ทั้งใสซื่อบริสุทธิ์และดูบอบบางเสียอย่างนั้น จะไม่ให้ห่วงมันก็กะไรอยู่

                “เอาน่า ปล่อยมันได้ลองอยู่คนเดียวบ้าง” โฟโต้หันไปปลอบใจคนข้างๆ และหันไปยิ้มให้กับกาฟิวด์ ก่อนจะหันไปสตาร์ทรถและขับออกไปจากปั้มน้ำมัน

               

                ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงมหาวิทยาลัยที่สอบติดด้วยความยากลำบาก (เพราะสมองทื่อๆ ของพวกเขา) เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วและเป็นมหาวิทยาลัยที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะมาเรียนด้วยกัน วันนี้ การจราจรแออัดพอสมควรเพราะผู้ปกครองต่างพานักศึกษาปีหนึ่งมารายงานตัวเข้าหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย กว่าพวกเข้าจะฝ่าการจราจรบริเวณประตูหน้าของมอได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร

                โฟโต้สับเกียร์ เหยียบคันเร่งและเลี้ยวรถผ่านเข้าประตูหน้าของมหาวิทยาลัยเข้าไป สายตาทั้งสามคู่มองสำรวจไปยังบรรยากาศรายรอบด้วยความตื่นเต้นที่สื่อผ่านทางสายตาและรอยยิ้มอย่างอดใจเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ชีวิตเด็กมหา’ลัยกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้

                รถคันสีขาวขับเข้ามาเทียบจอดที่ลานจดรถด้านหลังหอสองชาย ก่อนที่ทั้งสามคนจะทยอยลงรถและเดินไปส่งกาฟิวด์ด้านในหอพัก แม้ว่าจะเป็นอาคารหอพักแสนธรรมดา แต่พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ทั้งเสียงรุ่นพี่ รุ่นน้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ปกครองยิ่งทวีความตื่นเต้นเป็นเท่าตัว ก่อนที่กาฟิวด์จะไปต่อแถวที่โต๊ะเหมือนเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ

                โฟโต้กับเปรมถอยห่างออกมายืนรอกาฟิวด์รายงานตัวอยู่ตรงทางขึ้นหอพัก ไม่นานเจ้าตัวก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับบัตรประจำตัวและกุญแจห้อง ก่อนที่ทั้งสามคนจะช่วยกันขนสัมภาระขึ้นไปบนชั้นสามและตรงดิ่งไปยังห้องพักทันที

                “กูว่ามึงจองเตียงเดี่ยวไปเลย” เปรมเสนอความคิดเห็นทันทีที่เห็นว่าในห้องยังไม่มีใครมา เนื่องจากในห้องมีเพียงแค่เตียงเดี่ยวและเตียงสองชั้นอย่างละหนึ่ง

                “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรอคนอื่นมาแล้วค่อยว่ากันก็ได้” แต่คนขี้เกรงใจกลับปฏิเสธ

                “คนมาก่อน ก็มีสิทธิ์ก่อนป่ะวะ” คนหัวดื้อยังคงไม่ละความพยายาม นอกจากจะเถียงกลับแล้ว ยังจัดการยกสัมภาระไปวางไว้บนที่นอนเรียบร้อย

                “เปรม” กาฟิวด์ได้แต่ยืนเรียกเพื่อนอย่างไม่รู้จะห้ามยังไง

                “เอาน่า ไอ้ฟิวด์ มึงนอนเตียงเดี่ยวน่ะดีแล้ว เตียงสองชั้นมันไม่เหมาะกับมึงหรอก” โฟโต้ช่วยปลอบใจเพื่อนอีกแรง ขณะยืนมองเปรมเขียนข้อความลงในกระดาษว่า ห้ามย้าย มีปัญหาโทรมาเคลียร์ได้ที่เบอร์... จนเสร็จและแปะติดไว้ที่หัวเตียง

                “ถ้ารูมเมทมึงมีปัญหาก็มาเคลียร์กับกูนี่” พูดจบเจ้าตัวก็เดินนำลิ่วๆ ออกจากห้องไป ปล่อยให้กาฟิวด์ยืนมองสัมภาระของตัวเองตาละห้อย

                “ไปๆ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงปลอบใจ” โฟโต้ว่าพลางลากเด็กน้อยกาฟิวด์ที่ไม่อาจจะขัดคำสั่งคุณพ่อเปรมได้ออกมาจากห้อง

                ทั้งสามขับรถออกไปจากมหาวิทยาลัยที่แออัดไปด้วยรถจำนวนมากและเลี้ยวเข้าไปทางหลังมหาวิทยาลัยซึ่งเต็มไปด้วยรถไม่แพ้กัน เนื่องจากโซนหอพักหลังมอเองก็มีนักศึกษาย้ายเข้ามาเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะกิจกรรมของแต่ละคณะที่กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ ทุกคนจึงต้องรีบเข้าขนของเข้าหอกันวันนี้ เช่นเดียวกันกับโฟโต้และเปรมที่จองหอในไม่ทัน จึงจำต้องหาที่พักที่ใกล้ที่สุดอย่างหอพักโซนหลังมอแทน

                หลังจากมาถึงหอพักที่พวกเขาจัดการโอนเงินมัดจำและค่าหอมาจองล่วงหน้าเกือบสองเดือน (เพราะถ้าจองช้ากว่านี้ คงไม่มีที่พักดีๆ เหลือให้พวกเขาเป็นแน่) ทั้งสามคนก็เข้าไปทำสัญญาเช่าหอพัก เสร็จสรรพก็ขนของเข้าไปกองไว้ในห้องตามระเบียบ  ก่อนที่ทั้งสามคนจะขึ้นรถและขับออกมาจากหอพัก มุ่งหน้าไปยังถนนเส้นในตัวเมืองเพื่อไปหาซื้อของและตามล่าหาที่เที่ยวตามแผนการที่วางเอาไว้

                นานทีได้มาเยือนเชียงใหม่ มีหรือที่พวกเขาจะพลาดเรื่องเที่ยว...

 

                บรรยากาศในยามเช้ายังคงขับเคลื่อนไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่หลั่งไหลเข้ามาเยือนเมืองเชียงใหม่ เสียงจอแจของกลุ่มคนทั้งไทยและเทศต่างสร้างความคึกครื้นไปตามเส้นทางการสัญจร อีกทั้งการจราจรที่คับคั่งยังบ่งบอกถึงค่านิยมของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้

                แม้ว่าทั้งสามคนจะเป็นคนภาคเหนือ แต่เชียงใหม่ยังคงเอกลักษณ์ สร้างความแตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอย่างจังหวัดเชียงราย อาจจะเรียกได้ว่าแต่ละที่ก็ย่อมมีกลิ่นอายของความเป็นตัวตนที่ไม่อาจจะนำมาเทียบเคียงกันได้เพราะต่างที่ต่างก็มีทีเด็ดเป็นของตัวเอง

                สามเพื่อนซี้ว่าที่เฟรชชี่มหาวิทยาลัยภัคนลินยังคงติดอยู่บนรถ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดมาร์คบนแผนที่ที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าจะไปเยือนให้ได้ แน่นอนว่าสถานที่แรกต้องเป็นแหล่งของกินอย่างช่วยไม่ได้เพราะความเร่งรีบในการเดินทางทำให้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากขนมปังและน้ำที่ปะทังชีวิตมาเกือบสี่ชั่วโมงเต็ม

                โฟโต้เลี้ยวรถเข้าไปจอดร้านอาหารชื่อดังในย่านนิมมานเหมินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของวัยเรียน วัยทำงานและนักท่องเที่ยว (เยอะสุดก็เห็นจะเป็นชาวจีน) เพราะแหล่งอาหารที่หลากหลาย ทั้งสามแวะเข้าออกแทบจะทุกร้านโดยไม่ทันได้คำนึงถึงกระเพาะของตน เพราะความอยากรู้อยากลอง จนต้องไปเพิ่งยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อกันแบบรัวๆ  หลังจากหนังท้องอิ่มก็เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อต่อ ไล่มาตั้งแต่ในตัวเมืองย้อนกลับมาทางมหาวิทยาลัยภัคนลิน ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปนั่นนี่เพื่อส่งไปรายงานให้กับผู้ปกครองทางบ้านทั้งหลาย เสร็จสรรพก็แวะซื้อของเข้าหอเพิ่มเติมบ้างประปราย ก่อนจะจบลงด้วยการมาเดินตลาดหน้ามอภัคนลินยามเย็น ที่เริ่มตั้งตลาดกันตั้งแต่หกโมง

                “ไอ้ฟิวด์ นี่มึงยังไม่อิ่มอีกเหรอวะ”

                เปรมเริ่มบ่นกระปอดกระแปดด้วยความรู้สึกเหนื่อยแทนคนที่แวะซื้อของกินตลอดข้างทาง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงพลังงานเต็มเปี่ยม ตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเด็กเล็กก็ไม่ปาน นั่นก็เพราะเขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนเสียเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่แวะห้าง ไม่ก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านกับครอบครัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น

                “มึง! ไปกินเสต็กกัน! เขาว่าร้านนี้เจ้าเด็ดหน้ามอเลยนะ” พูดจบเจ้าตัวก็ปรี่เข้าไปในร้าน โดยไม่รอฟังคำตอบจากเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเปรมต้องถอนหายใจออกมา   

                “มึงก็ปล่อยมันเหอะ นานทีปีหนมันจะได้อิสระกับชาวบ้านเขา” โฟโต้ยังคงทำหน้าที่ปลอบใจอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าไปในร้าน ปล่อยให้เปรมเดินตามมาต้อยๆ

                กาฟิวด์สั่งแบบจัดเต็มอย่างไม่เกรงกระเพาะจะแตก ตรงกันข้ามกับสองคนที่เหลือที่สั่งกันมาคนละนิดละหน่อย พออาหารถูกเสิร์ฟต่างฝ่ายต่างก็ลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกาฟิวด์ที่จ้วงอาหารเข้าปากด้วยความตื่นเต้น สีหน้าดูมีความสุขสุดๆ ส่วนอีกสองคน...ยังคงกินไปเรื่อยๆ เพราะความอิ่มจนท้องเกือบแตกกับอาหารที่แหวกฝูงชนเข้าไปกินมาตั้งแต่เช้า       

                ทั้งสามคนจะเดินออกร้านด้วยความอิ่มเกินคุ้ม หลังจากซัดอาหารมื้อค่ำเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ทว่าคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกลับเพ่งสายตาไปยังร้านขนมหวานที่ตั้งอยู่เกือบสุดทางเดินด้วยใจที่เต้นแรงไม่หยุด ก่อนสองมือจะคว้าหมับเข้าที่มือของเพื่อนคนละข้างและออกแรงดึงไปยังพื้นที่เป้าหมายอย่างไม่รีรอ

                กาฟิวด์เดินเข้าไปสั่งเมนูด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางความง่วงเหงาหาวนอนของเพื่อนทั้งสองเพราะการเดินทางไกลมาทั้งวัน แถมตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว ความเพลียที่สะสมมาเนิ่นนานก็เริ่มออกฤทธิ์ไปตามระเบียบ

                “กิน!”

                เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไอศกรีมเย็นๆ ที่ยัดเข้าปาก ทำเอาโฟโต้ที่นั่งหลับตาพริ้ม หลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ถึงกับสะดุ้งผุดลุกขึ้นมานั่ง

                “อะไรของมึงเนี่ย”

                “เครปเย็นไง จะได้หายง่วง” พูดพร้อมกับใช้ช้อนตักไอศกรีมในเครปที่ถูกม้วนเป็นทรงกรวยขึ้นมาใส่ปากอย่างมีความสุข สายตาที่มองของกินในมือตรงหน้าเป็นประกายวาววับเพราะนอกจากวิปครีมสีรุ้งที่สะดุดตาแล้ว กระดาษห่อสีเขียวลายน่ารักยังถูกอกถูกใจคนกินอีก

                “ไอ้ที่กินเข้าไปตั้งแต่หัววันนี่เอาไปไว้ไหนหมดวะ หรือกระเพาะมึงยืดดะ...”

                ยังบ่นไม่ทันจบประโยค ไอศกรีมก็ถูกส่งไปอุดปากคนพูดมากจนเลอะขอบปาก เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนทั้งสองได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารสหวานเย็นจะถูกปาก แต่กลับไม่ได้ช่วยให้คนถูกแกล้งสงบจิตสงบใจได้เลย สังเกตได้จากดวงตาและริมฝีปากที่ขยับไปมาด้วยความหงุดหงิดใจ

                “อร่อยใช่ป่ะล้า” คนแกล้งยังคงไม่ยี่หระกับอารมณ์ของเพื่อน แถมยังยื่นเครปเย็นไปจ่อหน้าและบังคับให้กินอีก แต่คนหัวรั้นก็ดื้อดึงเพราะท้องที่แน่นไปด้วยสารพัดของกิน จึงใช้มือพยายามดันตัวลูกสิงโตประจำแก๊งให้ออกห่าง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังพยายามยัดเยียดของหวานให้ ทั้งคู่ผลักกันไปดันกันมาด้วยแรงที่เริ่มมากขึ้น จนกระทั่ง เปรมเผลอไปปัดมือของกาฟิวด์เข้า เป็นเหตุให้เครปเย็นหลุดออกจากมือทันที

                สายตาทั้งสามคู่มองตามของหวานที่ลอยละล่องขึ้นเหนือหัว ก่อนจะร่วงแผละใส่ใครบางคน

                “เฮ้ยยยยยยย” ว่าที่ปีหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ขณะจับจ้องไปยังร่างสูงของคนแปลกหน้าที่มีคราบไอศกรีมและวิปครีมสีรุ้งเปรอะเปื้อนตั้งแต่เส้นผมจรดลงมาถึงไหล่

                เขานิ่งงันไปเหมือนคนกำลังมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

                “ขอโทษครับๆ” กาฟิวด์รีบปรี่เข้าไปหาพร้อมกับมือล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างร้อนรน ก่อนที่เขาจะชะงักมือเพราะคนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง

                “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเช็ดเอง” พูดจบก็คว้าผ้าเช็ดหน้าไปซับคราบของหวานที่เลอะอยู่ทันที จังหวะนั้นเองที่เปรมเพิ่งจะได้มีโอกาสมองสำรวจผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้าเขา

                “รุ่นพี่คณะมึงไม่ใช่เหรอวะ” เปรมหันไปกระซิบกระซาบ หลังจากสายตาสบเข้ากับสัญลักษณ์คณะที่ติดอยู่ที่อกด้านซ้ายของเสื้อ แต่เพราะคราบที่เลอะอยู่จึงทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้เห็นเลขรุ่นของรุ่นพี่คนนี้

                “เออว่ะ ตาดีฉิบหาย” โฟโต้ร้องบอก ขณะที่กาฟิวด์กลายร่างเป็นกระต่ายตื่นตูม ขอโทษขอโพยรุ่นพี่เสียยกใหญ่ หน้าตาที่เหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้ ทำเอาคนตรงหน้านึกขำ แต่อีกใจหนึ่งก็อดเอ็นดูไม่ได้

                “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราเสียหน่อย” คนแปลกหน้าเลือกใช้สรรพนามเช่นนั้น เพราะใบหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูเด็กกว่า

                “แต่ผมเป็นคนทำนี่ครับ”

                “ไม่เป็นไร เลอะแค่นี้เอง”

                ถึงจะเป็นเรื่องแค่นี้สำหรับเขา แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกกาฟิวด์อยู่ดี เด็กน้อยตรงหน้าจึงยังรุ้สึกผิดไม่หาย

                “แล้วนี่ ใช่เด็กภัคนลินหรือเปล่า” อีกฝ่ายชวนคุยขณะมองสำรวจคราบเลอะที่อาจจะหลงเหลือบนเสื้อของตัวเอง

                “ครับ”

                “ปีหนึ่งป่ะ”

                “ใช่ครับ”

                ร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และส่งยิ้มใจดีไปให้

                “ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

                “ไม่เป็นไรครับ พี่ขอตัวก่อนนะ” พูดจบก็ส่งคืนผ้าเช็ดหน้าให้และเดินห่างออกไป โดยหารู้ไม่ว่าสายตาหนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่

                เป็นโฟโต้ที่ลอบมองคนที่เพิ่งเดินออกไป ความรู้สึกอันแปลกประหลาดครั้นได้เห็นสีหน้าท่าทางของรุ่นพี่คนนั้น ทำให้เขาเผลอแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกไปอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเพื่อนรักอย่างเปรมเอาแต่จ้องหน้าเขาด้วยความสงสัย 

                “ตกหลุมรักผู้ชายเหรอวะ” เปรมหันไปถามพร้อมกับยิ้มกริ่ม

                “ห่าอะไรล่ะมึง สเป็กกูก็ไม่ใช่ นมใหญ่ๆ หุ่นเอกซ์ๆ ก็ว่าไปอย่าง”

                “กูจะไปรู้กับมึงเหรอ เห็นมองตาค้างขนาดนั้น” พูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ ส่วนโฟโต้ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะหันไปมองคนที่นิ่งเงียบไปนานสองนาน

                กาฟิวด์มองลงไปที่พื้นตาละห้อยพร้อมกับทำหน้าจู๋เหมือนเด็กเสียดายของ และไอ้ของที่ว่าดันเป็นเครปเย็นที่เจ้าตัวเพิ่งจะตักกินไปได้แค่คำสองคำ แต่บัดนี้มันกับกลายเป็นคราบประดับตกแต่งพื้นถนนเรียบร้อย

                “ซื้อใหม่ก็ได้นี่หว่า เดี๋ยวพวกกูยืนรอก็ได้” โฟโต้ปลอบใจเพื่อนด้วยความเอ็นดู

                “อันใหม่ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม” เจ้าตัวว่าพร้อมกับสีหน้าที่เริ่มซึมเศร้า จนเปรมต้องเข้ามาช่วยปลอบใจ

                “ร้านเดิม มันก็ต้องเหมือนเดิมดิวะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเพื่อเป็นการไถ่โทษที่กูทำเครปมึงตกก็ได้เอ้า” ทั้งที่อุตส่าห์ออกไปพูดไปขนาดนั้นแล้ว แต่สีหน้าของกาฟิวด์กลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกผูกผันกับเครปเย็นบนพื้น

                “ร้านเดิม รสชาติเดิม แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม” พูดไปพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปพลาง “เครปอันนี้มันเป็นเครปเย็นอันแรกในชีวิตนักศึกษาของกูเลยนะ ต่อให้ซื้ออีกกี่อัน มากินอีกกี่ครั้ง ความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนกันหรอก”

                “แล้ว...มึงจะเอายังไงต่อ” เปรมเลียบๆ เคียงๆ ถาม

                “กลับเหอะ กูหมดอารมณ์แล้วอ่ะ” พูดจบก็เดินเตร็ดเตร่นำหน้าไป สองสหายที่เหลือหันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไง ท้ายที่สุดจึงได้แต่ตามใจและเดินตามไป

                “น้องครับ! น้อง!”

                เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้ทั้งสามคนต้องชะงักฝีเท้าและหันกลับไปมอง ก็พบรุ่นพี่คนเดิมที่วิ่งตามมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

                “นึกว่าจะไม่ทันซะละ” ร่างสูงเอ่ยปากบอก “อะ พี่ให้ครับ”

                สายตาสามคู่จับจ้องไปที่เครปเย็นตรงในมือของรุ่นพี่ตรงหน้าเลิกลัก โดยเฉพาะกาฟิวด์ที่เหมือนจะทำตัวไม่ถูก จนคนตรงหน้าต้องเป็นฝ่ายยัดของหวานใส่มือให้

                “รับไปเถอะ” และก็ส่งยิ้มใจดีให้ “ถึงแม้ว่าความรู้สึกมันจะไม่เหมือนกับครั้งแรก แต่อย่างน้อยรสชาติของมันจะยังอยู่ในความทรงจำของน้องตลอดไปนะครับ”

                คำพูดของคนแปลกหน้าทำเอากาฟิวด์อดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ เช่นเดียวกับโฟโต้ที่เอาแต่จับจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่วางตาเพราะคำพูดที่เขาเองก็นึกไม่ถึง เห็นจะมีแค่เปรมคนเดียวที่ทำหน้าบูดบึ้ง เอาแต่มองจับผิดคิดไปไกลว่ารุ่นพี่คนนี้อาจจะเข้ามาจีบเพื่อนเขา

                “ยังไงก็ขอให้ใช้เวลาในรั้วมหา’ลัยให้คุ้มค่านะครับ” พูดจบก็เดินแยกตัวไปอีกทางทันที โดยไม่ทันได้ฟังคำขอบคุณจากรุ่นน้อง

                กาฟิวด์ก้มลงมองเครปเย็นในมือและยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจ เช่นเดียวกันกับโฟโต้ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้โดยตรง แต่แรงดึงดูดกลับทำเอาเขาไม่อาจจะละสายตาไปจากคนที่เพิ่งจะเดินจากไปได้

                ใจดีด้วย แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าแบบนี้ ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้อง คงจะหลงรักตายพอดี

 

                ค่ำคืนนั้น ทั้งสามคนก็กลับเข้าไปนอนพักผ่อนที่หอพักของตน เพื่อรอเข้าร่วมกิจกรรมในวันรุ่งเช้า แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมานอนหอคนเดียวแบบนี้ แต่ในหัวใจของพวกเขากลับถูกโอบกอดด้วยความอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ 

               


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 2 พี่ปีสี่พบปะน้องปีหนึ่ง
   เก๋งซีดานสีขาววิ่งผ่านเข้าประตูหลังของมหาวิทยาลัย ท่ามกลางอากาศสบายๆ ในยามที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้ามาเพียงน้อยนิด แสงแดดจางๆ สะท้อนผ่านกระจกรถเข้ามากระทบใบหน้าของคนขับที่มีความสุขเสียยิ่งกว่าอะไรในตอนนี้ หากแต่เจ้าของรถตัวจริงที่นั่งมาด้วยกลับเอาแต่ทำหน้าหงิกเหมือนเด็กสามขวบโดนขัดใจเสียอย่างนั้น
   ฮ่องเต้อ้าปากหาววอดๆ  สีหน้าแสดงออกถึงอาการง่วงนอนอย่างเต็มที่เพราะเวลานี้เขาควรจะนอนหลับสบายอยู่บนเตียง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไร ตั้งแต่ชาติปางไหน ที่นำพาเจ้ากรรมนายเวรมาลากเขาออกจากหอพักแต่เช้าตรู่และบังคับให้ไปที่คณะนิติศาสตร์ เพื่อไปทำซากพืชซากสัตว์อะไรก็ไม่รู้...
   นี่มันยังไม่เปิดเทอมสักหน่อย มันมีความจำเป็นอะไรที่เขาต้องไปที่นั่นกันด้วยล่ะ
   “มึง...” ฮ่องเต้หันใบหน้าเนือยๆ ไปหาเจ้ากรรมนายเวรอย่างนิวเพื่อนรักที่เขาเริ่มจะเกลียดมันเข้าไปทุกวันและเอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดระยะทางตั้งแต่ออกจากหอ “มึงลากกูมาทำเพื่อ?”
   คนถูกถามเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ถูกฝ่าเท้าทาบหน้าว่า “ก็ลากมาส่องว่าที่เมียไง”
   “ไอ้นิว...”
   “เอ๊ะ หรือจะว่าที่ผัวก็แล้วแต่มึงถนัดอ่ะ”
   “ไอ้สัสนิว! กูไม่ตลก!” เขาหันไปด่าพร้อมกับชักสีหน้าบูดบึ้งเพิ่มขึ้นไปอีกเลเวลหนึ่งและถ้าไม่ติดที่ว่าไอ้รถที่คนข้างกายขับอยู่เป็นรถของเขาล่ะก็...คงได้ถูกเท้าของเขายันจนกระเด็นทะลุกระจกรถแน่ ถือว่าเป็นโชคดีของมันที่เขาหวงซีดานลูกรักอยู่พอสมควร
   “แล้วใครว่ากูตลกล่ะครับ นี่กูจริงจังและทำเพื่อมึงอยู่นะเว้ย” นิวร้องบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเสียจนฮ่องเต้นึกไหมั่นไส้
   “จริงจังตรงไหนวะ มึงกำลังกวนประสาตกูชัดๆ”
   “ไอ้เต้...”
   เพราะจู่ๆ น้ำเสียงที่ดูจริงจังขึ้นมา ฮ่องเต้จึงชะงักนิ่งและหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย
   “ความรู้สึกมึงอ่ะ กูรู้หมดแล้วนะเว้ยและกูก็รู้ดีด้วยว่าที่มึงเอาแต่เกรี้ยวกราดทุกวันนี้ เป็นเพราะอะไร”
   “อะไร...” เขาขยับปากถามออกไปได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่คนข้างๆ จะหันมาตอบ
   “เพราะว่ามึงเหงาตูดไง”
   “ไอ้เชี้ยนิว!” ฮ่องเต้หันไปด่ากลับแทบไม่ทัน หลังจากได้ยินคำตอบ ในใจเอาแต่พร่ำบ่นว่าไม่น่าหลงคิดว่าคนอย่างนิวจะพูดอะไรจริงจังเป็นกับชาวบ้านชาวเมืองเขา
   “เอาน่า วันนี้ปีหนึ่งมารายงานตัวกันแล้ว มึงไม่ต้องกลัวจะเหงาตูดหรอก”
   “หุบปากและพากูกลับหอเดี๋ยวนี้!” แม้ว่าจะหันไปออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเพียงใด เพื่อนนิวก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวรถกลับเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับยิ่งเหยียบคันเร่งให้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น
   “เสียใจด้วยนะขอรับ โค้งหน้าถึงคณะ” และเพื่อนนิวตัวน้อยก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา

   สองชั่วโมงต่อมา...               
   “ไอ้เต้! ไอ้เต้โว้ย ออกมาเร็ววววว”
   เสียงแหกปากดังลั่นห้องสโมสรนักศึกษาประจำคณะนิติศาสตร์ ปลุกคนที่กำลังเคลิ้มหลับต้องสะดุ้งผุดลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ (ที่เขาอุตส่าห์ลงทุนเอามาวางต่อกันทำที่นอน) ก่อนจะชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ทันทีที่เห็นว่าเป็นซัน มนุษย์เพื่อนที่มีอาวุธประจำกายคือกล้องถ่ายรูป ท่ามกลางห้องที่ว่างเปล่าเพราะพวกรุ่นพี่ที่อยู่ในห้องต่างพากันไปสุมหัวอยู่ที่จุดรับน้องใต้ถุนตึกคณะเรียบร้อยแล้ว
   “อะไรของมึงอีกวะ วุ่นวายกับกูจังเฮ้ย” พูดไปพลางเอามือยีผมไปพลาง สภาพของเขาตอนนี้งัวเงียได้ที่ เหตุเพราะถูกลากออกจากหอแต่เช้าไม่พอ พอหาที่งีบหลับได้ก็มีมารอย่างเพื่อนซันมาผจญอีก ไม่แปลกถ้าวันนี้เขาจะอารมณ์บ่จอยทั้งวัน
   “ไปกับกู” ไม่ว่าเปล่า ซันยังหันไปฉุดฮ่องเต้ให้ลุกขึ้นตามอีก
   “ไปไหน!?”
   “ไปดูเด็กปีหนึ่งสิวะ”
   “กูไม่ไป! กูจะนอนนนนนนนนน” และฮ่องเต้ก็เริ่มโวยวาย ดึงตัวเองกลับมานั่งก้นติดกับเก้าอี้ งอแงเหมือนเด็กนอนไม่เต็มอิ่ม อารมณ์ของเขาในตอนนี้ บอกเลยว่า...พร้อมจะไฟว์กับทุกคนที่มาขัดขวางการนอนแบบสุดๆ 
   “แต่มึงต้องไปกับกู กูให้ไอ้นิวพามึงมาที่คณะก็เพื่อให้มึงมาดูน้องนะเว้ย ไม่ใช่ให้มานอน ลุกขึ้นมา!” ซันยังคงไม่ยอมแพ้ กระตุกแขนเสียจนฮ่องเต้เกือบหน้าทิ่มพื้น
   “ดูน้องอะไร กูไม่ไปทั้งนั้นอ่ะ วันนี้มันไม่ใช่คิวกูเสียหน่อย มึงอย่ามาผิดคิว”
   เขาจำได้ว่าคิวเขามันอีกตั้งสองวันโน่น
   “ไอ้ฮ่องเต้” ซันเริ่มเรียกเขาเสียงแข็ง ขณะที่เขาเองก็หันไปมองตาขวางๆ และถามกลับเสียงห้วน
   “อะไร”
   “ถ้ามึงไม่ลุกขึ้นมาเนี่ย...” ซันเว้นจังหวะและกระเถิบเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์สุดๆ “...กูจะปล่อยคลิปมึง”
   “คลิป?” ฮ่องเต้ทวนคำพูดด้วยความมึนงงกับเรื่องคลิปที่พูดถึง
   “คลิปที่มึงนอนละเมอ เมื่อวันก่อนไง” และซันก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเป็นต่อ “...ว่าไงครับ สรุปว่าจะไปกับกูดีๆ ไหม?”
   เพราะซันเป็นมนุษย์เพื่อนที่ไม่น่าไว้ว่าใจและเขาก็เชื่อว่ามันต้องทำตามคำพูดอย่างแน่นอน ดังนั้น...
   “เออ กูไปก็ได้” เขากัดฟันพูดออกไปในที่สุด “...แต่มึงห้ามปล่อยคลิปกูนะเว้ย”
   เพราะขืนมันปล่อยไป เขาได้กลายเป็นโรคจิตในสายตาคนรอบข้างเป็นแน่ แถมยังขายหน้าชาวบ้านข้าวมหา’ลัยเขาไปทั่วอีกต่างหาก

   แต่ผมไม่ใช่โรคจิตนะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดกันล่ะ มันก็แค่ความฝัน แล้วไอ้ความฝันมันบังคับกันได้ที่ไหน

   และเขาก็ต้องยอมจำนน หันไปคว้ากระเป๋าและเดินตามซันออกไปจากห้องสโมฯ แต่โดยดี
   
   เสียงกลองประสานกับเสียงร้องเพลงของพวกรุ่นพี่ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณใต้ถุนตึก เด็กปีหนึ่งในชุดเสื้อยืดสีเทาประจำคณะกับกางเกงขายาวกำลังทยอยต่อแถวรายงานตัวเข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง ขณะที่พวกรุ่นพี่ที่โต๊ะก็ช่วยกันทำป้ายชื่อให้น้องอย่างขะมักเขม้น
   พอได้เห็นบรรยากาศเช่นนั้น เขาก็เริ่มใจอารมณ์ดีขึ้นมาพอสมควร หวนนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้ามาที่คณะครั้งแรก ความกลัวและความกังวลคอยเกาะกุมจิตใจของเขาตลอดเวลา แต่พอได้รุ่นพี่ในคณะเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ก้าวแรกของการเป็นนักศึกษา เขาก็ทั้งอุ่นใจและมีความสุขกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยตลอดมาเพราะนอกจากรุ่นพี่จะทำการต้อนรับปีหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว ยังคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในยามที่รุ่นน้องลำบาก มันทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงน้ำใจน้องพี่ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่าแท้จริง
   ฮ่องเต้ได้แต่ยิ้มในใจ ก่อนจะสอดสายตามองหาที่สิงสถิตระหว่างกิจกรรมรับน้องเพราะขืนมายืนทำหน้ามึนอยู่ตรงนี้ เกรงว่าจะเกะกะขวางทางพวกรุ่นน้องเสียเปล่า ส่วนซัน...ก็เดินลิ่วๆ ไปถ่ายรูปรุ่นน้องอีกฟากหนึ่งเสียแล้ว ทิ้งให้เขายืนเคว้งอยู่ตามลำพัง ทั้งที่ตัวมันลากเขามาเองแท้ๆ เลยเชียว แบบนี้จะไม่ให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอีกระรอกได้เช่นไร
   แต่ก่อนที่เขาจะพาร่างของตัวเองไปยังโต๊ะของพวกปีสี่ที่กำลังส่งเสียงเย้วๆ กันอยู่ที่มุมตึกอีกฝั่ง เขาคงต้องไปเข้าห้องน้ำ ล้างตาล้างตาเสียก่อนเพราะเพิ่งจะตื่นนอนมาหมาดๆ ที่สำคัญจะให้มานอนต่อท่ามกลางบรรยากาศรับน้องก็ใช่เรื่อง เสียงดังขนาดนี้ เขานอนไม่ลงหรอกครับ
   คิดได้เช่นนั้น เขาก็หมุนตัวกะจะเดินไปอีกทิศ ทว่า...
   ปึก!
   “ขอโทษครับ!”
   เสียงรุ่นน้องเอ่ยขอโทษทันทีที่ชนรุ่นพี่อย่างเขาเข้าในจังหวะที่เขาหันไปพอดีและเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เขาจึงเซถอยหลังไปเล็กน้อย พร้อมกันกับรุ่นน้องคนข้างหลังที่เผลอเอามือมาจับแขนเขาไว้เพราะกลัวคนตรงหน้าจะล้มเพราะแรงชนเมื่อครู่
   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
   คนตรงหน้าที่สูงกว่าเขาไปเล็กน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
   “มะ...ไม่เป็นไร เอ่อ...”
   คำพูดถูกกลืนลงไปในลำคอ ฮ่องเต้เผลอมองคนที่ยืนอยู่หน้าตาไม่กระพริบพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่อยากจะเชื่อกับสายตาตัวเอง

   ก็จะให้เขาไม่มองไอ้รุ่นน้องคนนี้ตาค้างได้ยังไง ในเมื่อออร่าว่าที่เดือนคณะฉายออกมาจนกลบรัศมีเด็กปีหนึ่งคนอื่นขนาดนี้

   “เอ่อ...พี่ครับ”
   ฮ่องเต้ยังคงมองสำรวจว่าที่เดือนคณะปีนี้ (ในความคิดของเขา) อย่างลืมตัว ทั้งผิวพรรณที่ขาวใสเปล่งประกายออร่า จมูกโด่ง ตาคม ริมฝีปากบาง แถมรูปร่างที่ดูสมส่วนราวกับนายแบบ ทุกอย่างล้วนแต่ดึงดูดสายตาของเขาในเวลานี้
   “พี่ครับ พี่!”
   “หะ...หา!?” เขาเผลอร้องออกมาทันทีที่ตั้งสติได้ พร้อมกับกู่ร้องถามตัวเองในใจว่าเขามายืนทำผีบ้าอะไรตรงนี้
   “เห็นพี่เหม่อๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” รุ่นน้องถามกลับพลางกลั้นขำกับทำท่าเงอะงะของคนตรงหน้า
   “เออ ไม่...ไม่เป็นไร”
   และจังหวะนั้นเอง ที่เขาเหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่ห้อยคอรุ่นน้องอยู่

   ...ชื่อ นัท รหัส 204...

   “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ” พูดจบ นัทก็คลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารักและอบอุ่นไปในที
   “เออๆ ไม่เป็นไร รีบไปรับน้องเถอะ” ฮ่องเต้พูดแค่นั้น ก่อนที่ทั้งเขาและนัทจะแยกตัวกันไปตามทางของตัวเอง โดยที่ฮ่องเต้ไม่รู้เลยว่านัทแอบหันกลับมามองส่งเขาจนลับสายตา พร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ ที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
   น้ำไหลออกมาทันทีที่ก๊อกถูกเปิด ฮ่องเต้จัดการล้างหน้าล้างตาจนเริ่มตื่นเต็มที่และยืนจัดผมเผ้าอยู่หน้ากระจกเพราะสภาพที่เขาถึงกับต้องหันไปตามตัวเองว่าใจกล้าหน้าด้าน พาร่างโทรมๆ เดินเข้ามาในคณะได้เช่นไร แถมคนที่ผ่านไปผ่านมาก็มีไม่ใช่น้อย ดีไม่ดีใครเขาได้สงสัยอีกว่าเขาอาบน้ำแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหรือเปล่า

   แต่สาบานได้ว่าเขาอาบน้ำน้ำ แปรงฟันแล้วนะครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต้องมาแปรงใหม่เพราะหลับไปจนรู้สึกเหมือนน้ำลายเริ่มบูดแล้วก็ตาม

   และขณะที่ฮ่องเต้กำลังแปรงฟัน (ถือว่าโชคดีที่เป็นคนพกแปรงฟันตลอดเวลา) อยู่หน้ากระจกและฟองกำลังฟูเต็มปาก เสียงประหลาดก็ดังออกมาจากห้องส้วมห้องหนึ่ง มันเป็นห้องเดียวที่ประตูถูกปิดในเวลานี้และเขาคงไม่คิดอะไรต่อ ถ้าไอ้เสียงประหลาดนั่นมันไม่เพิ่มระดับความดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าได้ยินมันอย่างชัดเจนเต็มสองรูหู
   ฮ่องเต้บ้วนฟองยาสีฟันทิ้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ห้องส้วมที่อยู่ข้างในสุด
   “อื้อ...อ้า...”
   เสียงนี้มัน...
   “อีก...อื้อ...เอาอีก”
   เขากระเถิบเข้าไปใกล้และเอาหูแนบกับประตูด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภายในใจก็หวังเอาไว้ว่าคนที่อยู่ข้างในคงไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขาคิดลึกเอาไว้
   “อีกนิด...อ้า”
   แต่เสียงปลดปล่อยดังชัดแจ๋วขนาดนี้ เขาคงไม่ได้หูฝาดไปเป็นแน่
   “ดีมาก ที่ร้ากกกกก”

   เชี้ยยยยยย

   ใครมันมาลงโทษตัวเองวะ!? นี่มันห้องน้ำคณะเลยนะเฮ้ย

   เพราะการกระทำอันหยามเกียรติสถานบัน ทำให้รุ่นพี่ที่รักคณะ รักมหาวิทยาลัยสุดใจอย่างเขาอดรนทนไม่ไหว ต้องยกมือขึ้นเคาะประตูรัวๆ เพื่อเรียกตัวการทำลายความดีงามออกมาเพื่อสั่งสอนทันที
   ปังๆๆๆ!!
   “ออกมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ครั้นมือก็ยังคงทุบประตูและตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่คนที่อยู่ด้านในกำลังลนลานแทบเป็นแทบตายจนชนนั่นนี่เสียงดังปึงปังด้วยความตกใจที่มีใครมาได้ยินเข้าจนได้ 
   “ผมบอกให้ออกมา!!” น้ำเสียงของเขาเริ่มเจือไปด้วยความแข็งกร้าว ในใจก็คิดไปไกลจนถึงขั้นจะส่งตัวคนทำผิดไปให้พวกปกครองอบรมนอกรอบเสียหน่อย เพราะเขากะเอาไว้ว่าคนที่กล้าทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่พวกปีสามก็ต้องเป็นพวกปีสี่แน่ๆ และยิ่งเป็นรุ่นพี่นี่แหละ ที่ทำให้เขาปล่อยไปไม่ได้เพราะขนาดรุ่นพี่ยังทำตัวไม่เหมาะสม รุ่นน้องหน้าไหนจะมาฟังคำ 
   “นี่คุณ! ผมสั่งให้...”
   เสียงของเขาเงียบหายไป เมื่อประตูถูกเปิดมาและสายตาปะทะเข้ากับนักศึกษาชายในชุดเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขายาว...

   เชี้ย เด็กปีหนึ่ง...!?

   ฮ่องเต้มองหน้าเด็กปีหนึ่งที่กำลังยืนหน้าเสีย เด็กคนนั้นสูงกว่าเขาไปเล็กน้อย หน้าตาออกแนวกวนๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาและริมฝีปากได้รูปที่ดูมีเสน่ห์จนไม่อาจจะละสายตาได้ แต่เดี๋ยว นั่นไม่ใช่ประเด็น! แม้ว่ารูปร่างหน้าตาผิวพรรณของคนตรงหน้าจะดีแค่ไหน มันก็ไม่ได้ช่วยลดทอนความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นในใจของรุ่นพี่อย่างเขาในตอนนี้ได้หรอก
   “เมื่อกี้น้องทำอะไรครับ” ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเรียบดุ ดึงหน้า ทำตาดุประหนึ่งวิญญาณรุนพี่สุดโหดเข้าสิง
   “คือ...ผมอธิบายได้นะครับ” คนตรงหน้าเริ่มว่าเสียงเครียด เหตุเพราะเกรงว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจผิด
   “ว่ามาสิ” ฮ่องเต้หันไปเร่ง เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องของตนเอาเต่ทำท่าเลิกลัก
   “ผมโดนเพื่อนแกล้ง ก็จู่ๆ มันก็ส่งคลิปอะไรไม่รู้มาให้ ผมเลยลองเปิดดู แล้วมันก็...อย่างที่พี่น่าจะได้ยินนั่นแหละครับ”
   พูดจบก็เงยหน้า เหลือบตามองรุ่นพี่ขาโหดที่กำลังจ้องเหมือนกำลังจับผิดเขา

   ฉิบหาย! จ้องตาขวางขนาดนี้ คงจะไม่เชื่อแน่

   “ถ้าถูกเพื่อนแกล้งจริง  แล้วทำไมไม่รีบปิดคลิปล่ะครับ พี่ได้ยินว่าเสียงนั่นมันดังนานมากเลยนะ”
   คำพูดของฮ่องเต้ทำเอารุ่นน้องอย่างเขาหน้าเสีย อ้าปากพะงาบๆ อย่างพยายามจะเถียง แต่เพราะความจริงที่มันไม่สมควรจะพูดออกไป ทำให้เขาเหมือนคนน้ำลายท่วมปาก อึดอัดแทบจะเป็นบ้า
   “สรุปว่ายังไงครับ จะยอมรับผิดไหม ว่าน้อง...มา...” ฮ่องเต้พูดติดขัดไปเล็กน้อยเพราะคำพูดที่กระดากปาก “...มาช่วยตัวเองในห้องน้ำ”
   “โหย พี่...ก็มัน...”
   “ถ้าน้องไม่ยอมรับ พี่คงต้องส่งตัวไปให้พวกรุ่นพี่ฝ่ายปกครองสอบสวนและลงโทษ”
   “เฮ้ย ใจเย็นสิพี่!” หนุ่มรุ่นน้องปรี่เข้าไปดึงแขนทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายหมุนตัวจะออกไปทำตามที่พูดเอาไว้ ฮ่องเต้ก้มลงมองมือของรุ่นน้องพร้อมกับทำหน้าเหยเก
   “เอามือออกไป!”
   “ขอโทษครับ” คนตรงหน้าวาพร้อมกับยกมือขึ้นสองข้างอย่างสำนึกผิด ก่อนจะยอมรับความจริงในท้ายที่สุด “ผมยอมรับก็ได้ครับ ว่าผมทำแบบนั้น”
   “แล้วทำไมถึงได้มาทำแบบนั้นในที่สาธารณะแบบนี้” ฮ่องเต้ว่าเสียงนิ่งอย่างเริ่มจะสั่งสอนรุ่นน้องด้วยคำพูด
   คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นสบตาเล็กน้อยและสารภาพออกมาอย่างหมดเปลือก
   “ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าผมโดนเพื่อนแกล้ง แต่ผมก็เป็นผู้ชายปกติ น้ำขึ้นน้ำลงเหมือนคนทั่วไป แล้วทั้งภาพทั้งเสียงชัดระดับ HD ขนาดนั้น น้องชายผมมันก็เลยโผล่หัวขึ้นมาพร้อมแรงอัดฉีดเต็มสูบ แล้วพี่จะให้ผมออกไปทั้งที่มัน...”
   เว้นจังหวะพลางก้มลงมองที่กางเกงของตน ทำเอาฮ่องเต้เผลอมองตาม ก่อนจะกระแอมและเสมองไปทางอื่น เมื่อรุ่นน้องตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังแอบอมยิ้มเพราะใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีของเขา
   “พี่คงไม่อยากให้ผมไปเดินเพ่นพ่าน ทั้งที่น้องชายของผมหัวโด่โผล่ทะลุกางเกงออกมาแบบนั้นใช่ไหมครับ”
   “...” คราวนี้เป็นฝ่ายรุ่นพี่ที่เงียบกริบอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทำเอาอีกฝ่ายแอบหัวเราะในใจอย่างเสียไม่ได้

   ถึงจะดึงหน้าโหดให้ตาย รุ่นพี่คนนี้เขาจะรู้ไหมว่าสุดท้ายมันก็เหมือนเด็กสามขวบทำหน้าบึ้งอยู่ดี

   “ผมก็เลยต้องกล่อมน้องผมให้หลับก่อน แล้วค่อยออกไปข้างนอกไงครับ”
   เป็นอันว่ารุ่นพี่อย่างฮ่องเต้พ่ายแพ้ไปในเกมนี้ เขามองรุ่นน้องที่สารภาพบาปที่ไม่ได้ตั้งใจ (หรือว่าตั้งใจ) จะทำและถอนหายใจหนักๆ ออกมาทีหนึ่ง
   “เออๆ จะยังไงก็ช่าง คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน ที่นี่มันสถานศึกษา ควรจะให้เกียรติสถานที่ด้วย ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ อย่าลืมว่าเราอยู่ในสังคม อยู่ในที่สาธารณะ ไม่ได้อยู่ในที่ส่วนตัว ต่อให้น้องยังเป็นปีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำของน้องมันจะเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นไม่ได้”
   “โห คำพูดพี่นี่...โคตรเจ๋งว่ะ”
   “ไอ้...” ฮ่องเต้ชะงักปากอย่างไม่รู้จะด่าอะไรออกไปเพราะท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่สำนึกของคนตรงหน้า
   “เอ๊ย ขอโทษครับพี่” คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาไหว้แบบกวนๆ ชวนให้ฮ่องเต้หงุดหงิดใจขึ้นมาอีกระรอก
   “อย่าให้เจอคราวหน้าอีกนะ ไม่อย่างนั้น ผมไม่ปล่อยไปเหมือนครั้งนี้แน่” พูดจบก็หมุนตัวกะจะเดินไปหยิบกระเป๋าแต่ไอ้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับเอามือมาคว้าแขนไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาและปาดนิ้วลงบนด้านข้างริมฝีปากของเขา
   “เชี้ยอะไรเนี่ย!” ฮ่องเต้เผลอผลักคนตรงหน้าออก ท่าทางเงอะงะเหมือนคนไม่รู้จะจัดการยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า

   ผมเป็นผู้ชาย แต่กลับมาเจอผู้ชาย (แถมเป็นเด็กปีหนึ่ง) ด้วยกันเองมาทำแบบนี้ จะให้ยิ้มรับหน้าบานได้ยังไงเฮ้ย

   “คราบยาสีฟันครับ ผมเห็นมันติดอยู่นานแล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตายีราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   “พี่ชื่ออะไรเหรอครับ”
   ไม่วายยังถามชื่อเขาต่ออีก ท่าทางรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาจะเจอโรคจิตปีหนึ่งตัวจริงเสียงจริงเข้าเสียแล้ว
   “ไม่บอกเว้ย!”
   ตะโกนลั่นใส่หน้าและหันไปคว้ากระเป๋า ก่อนจะใส่เกียร์หมาชิ่งหนีออกจากห้องน้ำด้วยความไวแสง โดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
   
   

   

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 3 เมียงู (ไม่) พร้อม

                วันที่สองของการรับน้อง...

                หลังจากเฟรชชี่ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บเอาไว้ในอัลบั้ม เฟรชชี่ รุ่นที่ 60 กันจนครบจบกระบวนการตามระเบียบ พี่ๆ ก็เตรียมการรอรับรุ่นน้องอยู่ตรงบริเวณใต้ถุนคณะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

                รุ่นพี่ยังคงมาพร้อมกับกลองและเสียงเพลงเช่นเคย ขณะที่พวกเฟรชชี่หน้าใสก็พากันออกสเต็ปกันเต็มที่ จนเกินคุ้มสำหรับชีวิตปีหนึ่ง ภาพเหล่านั้นปรากฏผ่านสายตาของรุ่นพี่ทุกคน รวมถึงฮ่องเต้ที่มีคิวนัดเข้ามาดูแลน้อง ร่างสูงเดินดื่งไปยังม้านั่งสำหรับรุ่นพี่ทันที กะจะไปนั่งพักเอาแรงเสียหน่อย หลังจากไปช่วยรุ่นน้องขนของไปไว้ที่ด้านหลังคณะมาหมาดๆ บนโต๊ะมีแก๊งเพื่อนปีสี่ของเขาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี กำลังส่งเสียงดังกันอย่างไม่หยุดปาก ส่วนหนึ่งก็หัวเราะชอบอกชอบใจกับท่าเต้นของเด็กปีหนึ่ง อีกส่วนก็เอาแต่พูดถึงเฟรชชี่หน้าสวย หุ่นดี ว่าที่ดาวคณะและอาจจะเป็นดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้

                และทันที่ที่เขาปรากฏตัว ทุกสายตาก็เบนความสนใจจากกลุ่มเด็กปีหนึ่งตรงหน้ามาที่เขาทันที แถมยังมองด้วยสายตามีเลศนัยอีกต่างหาก ทำเอาฮ่องเต้มองกลับไปด้วยความระแวงใจ

                พวกแม่งจะเล่นอะไรกูอีกวะ

            แม้จะคิดในใจเช่นนั้น แต่สองขาก็พาร่างของตัวเองไปรวมกลุ่มกับเจ้าของสายตาหมาดร้ายทั้งหลายแหล่อย่างไม่มีทางเลือก

                “เป็นยังไงบ้างขอรับ ท่านฮ่องเต้”

                ยังคงเป็นนิวเพื่อนรักมักจี่ที่เป็นฝ่ายเอ่ยทักด้วยประโยคแฝงความนัยเหมือนเช่นเคย แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ดังเช่นทุกครั้งเพราะเพื่อนแต่ละคนของเขาไม่เคยจะไว้วางใจได้แม้แต่วินาทีเดียว

                “เป็นยังไง อะไรของมึง” เขาถามกลับอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง

                “เอ้า ไอ้นี่ความจำสั้นเหรอวะ”

                ดูมันตอบ น่าโบกให้หัวหลุดออกจากบ่า

                “ก็เรื่องว่าที่เมีย เอ๊ะ หรือจะเป็นว่าที่ผัววะ ฮ่าๆๆ”

                ป้าบ!

                ฝ่ามือของฮ่องเต้โบกเข้าที่หัวของนิวเสียงดัง เหตุเพราะความอดทนที่หมดลงกะทันหัน ทว่าคนถูกทำร้ายร่างกายกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังหัวเราะลั่นพร้อมกับเพื่อนคนอื่นที่ดูจะสนอกสนใจเรื่องของเขาเป็นพิเศษ ชวนให้คนที่ตกเป็นประเด็นให้พูดถึงหัวร้อนขึ้นมาทันตาเห็นเพราะเดิมทีก็เป็นคนไม่ชอบให้ใครมาล้ออยู่แล้ว ยิ่งเรื่องที่ถูกล้อดันมาเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัส 178  ยิ่งต้องหัวร้อนเข้าไปใหญ่

                “อ้าว พี่ฮ่องเต้มาด้วยเหรอครับ”

                เสียงใสๆ ของ กรีน หนุ่มรุ่นน้องปีสามเอ่ยทัก หลังจากเจ้าตัวโผล่เข้ามาร่วมวงกับรุ่นพี่ที่โต๊ะพร้อมกับพี่รหัสอย่าง เจมส์ ที่เดินเข้ามาสมทบพร้อมกับใบหน้าหล่อๆ  เพราะวันนี้จะมีการคัดเลือกดาวเดือนคณะรอบแรก ซึ่งคัดจากสายตาของเหล่าดาวเดือนปีก่อนๆ และกลุ่มรุ่นพี่แก๊งคัดสรรดาวเดือนคณะ อดีตเดือนคณะทั้งสองอย่างกรีนและเจมส์จึงต้องมาร่วมกิจกรรมรับน้องในวันนี้

                “ไม่น่าถามนะกรีน ไอ้เต้มันก็ต้องมาดูหน้าว่าที่แฟนของมันอยู่แล้ว” และฮ่องเต้ก็ถูกกวนประสาทเข้าอีกหน ท่าทางวันนี้เขาคงได้หัวร้อนตั้งแต่หัววัน

                “ไอ้เจมส์ ว่างนักก็ไปเล่นกับเมียมึงโน่นไป” ฮ่องเต้เอ็ดตะโรใส่อย่างคนเริ่มจะหัวเสีย ทว่าคนที่ถูกไล่กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน

                “เสียใจด้วยว่ะ เมียกูพักอยู่ที่หอ พอดีเมื่อคืนเล่นกันยาวไปหน่อย กูเลยมีเวลามาดูหน้าว่าที่ผัวมึงไง”

                “แหม เบาๆ ครับ คุณเจมส์ เห็นแก่ตำแหน่งเดือนคณะของมึงมั่ง” นิวหันไปแซว ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดชวนให้คิดลึกของเจมส์ เพราะทุกคนต่างก็รู้ถึงกิตติศัพท์เรื่องอย่างว่าของเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าทีแรกจะมีเอียงอายไปบ้าง แต่พอเวลาผ่านพ้นไปนานแล้ว เดือนคณะอย่างเขาก็หาได้ยี่หระกับเสียงเล่าลือถึงเขาไม่

                เขาจะสนใจทำไม ในเมื่อเขาทำกับเมียตัวเองแค่คนเดียว ถึงจะบ่อยและรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ

                “ไอ้นี่ก็เป็นถึงรอเดือนคณะ  ไม่เห็นมันจะทำตัวสมตำแหน่งเลย” และเจมส์ก็บุ้ยปากไปทางคนหัวร้อนอีกครั้ง

            อ้าว มาลงที่กูเฉยยยย!

            ฮ่องเต้เบะปากใส่อย่างคนโดนขัดใจเพราะตำแหน่งรองเดือนที่เขาพยายามจะหลงลืมมันไปให้ได้และไม่อยากให้ใครต่อใครพูดถึงอีก อันเนื่องมาจากวีรกรรมขายหน้าที่เขาได้สร้างไว้ตอนประกวดนั่นแหละ

                “อันที่จริงหน้าตามึงก็ออกจะน่ารักนะเว้ย กูว่ามึงเลิกดึงหน้าโหดเหอะ เผื่อว่าที่สามีของมึงจะได้รักได้หลงไง”

                ยังไม่วายที่เดือนคณะปี 57 จะวกกลับมาพูดเรื่องนี้ แถมไอ้คำว่าน่ารักนั่นอีก พอเขาได้ฟังแล้วมันของขึ้นตงิดๆ จนเท้าอยากจะสะกิดเนื้อหนังใครเข้าให้และระหว่างนั้นเอง

                “เอาล่ะ เพลงต่อไป!” เสียงรุ่นน้องสันทนาการคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากร้องเพลงจบ เรียกสายตาให้พวกรุ่นพี่หันไปมองเป็นสายตาเดียว ขณะที่บรรดาปีหนึ่งยังคงยิ้มร่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

                “เอาเป็นเพลงรับน้องที่คลาสสิกสุดๆ ไปเลยดีกว่า พี่เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเพลงนี้แน่นอน นั่นคือเพลงอะไรคะ พี่แพรว”

                “เพลง...เมียงูค่า!!”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อเพลง เหตุเพราะเขารู้ดีว่านอกจากเพลงเมียงูมันจะโคตรเก่าแล้ว มันยังไม่ได้อยู่ในลิสต์เพลงรับน้องปีนี้ (เขามาเฝ้าน้องมันเตรียมงานรับน้องทุกวัน ทำไมจะไม่รู้)

                “เพลงที่มันมีงูออกมาใช่ไหมครับ” นักศึกษาปีหนึ่งคนหนึ่งตะโกนถาม ทำเอาคนรอบข้างหัวเราะกันครืน

                “ไม่ใช่ๆ เมียงูสุดคลาสสิกของเราต้องร้องว่า...บาทเดียวดูเพลินอะไรไม่เกินเมียงู...” ไม่ว่าเปล่า รุ่นน้องสันทนาการคนนั้นยังทำท่าตามเพลงที่ร้อง เรียกเสียงฮาจากรุ่นน้องยกใหญ่

                “เอ้า ช่วยกันร้องหน่อยเร็วววววว”

                เท่านั้น เสียงร้องเพลงเมียงูสุดคลาสสิกก็ดังกระหึ่มพร้อมกับกลุ่มพี่สันฯ ที่พร้อมใจกันเต้นโชว์น้องๆ จนจบเพลง

                “เอาล่ะ ต่อไปก็ตาน้องๆ แล้ว...”

                “เดี๋ยวๆ พี่แม็ค...” เสียงรุ่นน้องสันฯ อีกคนหนึ่งขัดขึ้น “...เพลงเมียงู แต่ไม่มีเมียงู มันจะไปสนุกอะไร ใช่ไหมคะน้องๆ”

                “ช่ายยยยยยยยย” เสียงปีหนึ่ง

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอ...”

                เพราะสายตาที่รุ่นน้องสันฯ หันมามองทางโต๊ะของพวกปีสี่อย่างกะทันหัน ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะแอบตีเนียน เดินหลบออกไปอยู่ข้างหลังเสา ลอบมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำ

                สังหรณ์ใจว่าจะโดนเล่นงานยังไงชอบกล

            “ขอให้พี่เจมส์กับพี่กรีน เดือนคณะปีสามและปีสี่ มาเป็นเมียงูให้น้องหน่อยค่า!!”

                จบประโยค เสียงโห่ร้องของพวกรุ่นพี่ก็ดังกระหึ่มเพราะชื่อเสียงของเดือนคณะคู่นี้ และไม่นานรุ่นพี่ทั้งสองที่ถูกเรียกชื่ออย่างเจมส์และกรีนก็ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางเฟรชชี่ (โดยเฉพาะสาวแท้ สาวเทียม) ที่ต่างพากันกระซิบกระซาบพร้อมกับทำหน้าตาปลาบปลื้มกันเสียยกใหญ่ ในใจพวกเธอต่างก็ภาวนาให้ตนได้ออกไปเต้นคู่กับเมียงูที่หล่อลากกระชากใจ

                ในขณะเดียวกัน คนที่ลอบมองสถานการณ์ด้วยความระแวงอย่างฮ่องเต้ก็เตรียมจะชิ่งหนี เหตุเพราะเกรงว่าตนจะได้ออกไปทำอะไรแปลกๆ เขาหันซ้าย มองขวา ก่อนจะคว้ากระเป๋าและชิ่งหนีด้วยความไวแสง แต่มันยังคงไวไม่พอที่จะพ้นรัศมีของมือใครบางคนที่พุ่งเข้ามากระชากกระเป๋าของเขาจากทางด้านหลัง   

                “มึงจะไปไหน ไอ้เต้!” นิวร้องเรียกพร้อมกับออกแรงกระชากกระเป๋า เอาซะฮ่องเต้เซถอยหลังตาม

                “ปล่อยกู!!” คนถูกกระชากได้แต่ร้องเรียกพร้อมกับออกแรง ยื้อยุดฉุดร่างให้ออกห่างจากมือของนิว ขณะที่ทุกคนยังมัวแต่สนใจเดือนคณะทั้งสอง

                “อร๊ายยยยย!! ขอเสียงปรบมือให้กับพี่เจมส์ พี่กรีน เมียงูของเราด้วยค่า!!”

                เสียงปรบมือดังลั่นใต้ถุนพร้อมกันกับเสียงชัตเตอร์จากช่างภาพทั่วสารทิศ ขณะที่ร่างของฮ่องเต้ถูกนิวล็อกแขนและลากกลับไปที่เดิม ก่อนที่นิวจะทำในสิ่งที่ฮ่องเต้ไม่ทันได้คาดคิด...

                “เดี๋ยวครับเดี๋ยว!!”

                เมื่อถูกขัดจังหวะ ทุกสายตาก็หันขวับไปมองเจ้าของเสียงทันที ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับเบิกตากว้างพร้อมกับดิ้นพลั่กๆ เพื่อให้หลุดจากแขนของเพื่อนที่กำลังทรยศเขาด้วยการทำให้เขาอับอายขายหน้าเฟรชชี่

                “ลืมใครไปหรือเปล่าคร้าบบบบ” นิวลากเสียงอย่างอารมณ์ดี ผิดกับอีกคนที่แทบจะลงไปแดดิ้นกับพื้น

                “พี่ฮ่องเต้!! อร๊ายยยยยยยย”

                และเจ้าของชื่ออย่างเขาก็ถูกผลักออกมาประจันหน้ารุ่นน้องเป็นที่เรียบร้อย ทว่าพอจะหันหลังกลับและหนีออกไปจากตรงนี้ เจมส์กับกรีนก็เข้ามาประกบและช่วยกันล็อคตัวเขา ทำฮ่องเต้ที่หมายจะกระโดดถีบมารร้ายอย่างนิวเข้าสักทีต้องชะงักหันมาส่งสายตาข่มขู่ให้กับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสอง

                “เย็นไว้ ไม่มีอะไรหรอกน่า” คำพูดของเจมส์ดูเหมือนจะเป็นการปลอบใจ แต่น้ำเสียงกลับแฝงความนัยไปอีกแบบ

                “เอาล่ะจ้าๆ ตอนนี้ เราก็ได้เมียงูกันแล้ว คราวนี้ พี่จะให้น้องๆ ออกมาเต้นคู่กับพี่เมียงูทั้งสามคนและเพื่อความสนุกคูณสอง พี่จะทำการสุ่มรหัสน้องๆ ทีละคนนะคะ!!”

                และทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบ...

                ใบหน้าของเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้ม เว้นแต่เพียงรุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ที่โมโหโกรธา หัวเสียจนแทบจะถอดหัวตัวเองเหวี่ยงใส่พญามารนิวที่เอาแต่หัวเราะก๊ากๆ ได้อยู่แล้ว

                “คนแรก คู่กับพี่เจมส์นะคะ รหัสสอง...สาม...ศูนย์ค่า อยู่ไหมเอ่ย?” พวกพี่สันฯ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

                “อยู่ค่า!!” กระเทยปีหนึ่งร่างท้วมผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าดีใจแบบสุดๆ ก่อนจะรีบเดินฝ่าฝูงชนเด็กปีหนึ่งที่นั่งอยู่ออกไปข้างหน้าทันที ท่ามกลางความอิจฉาของเฟรชชี่คนอื่น

                “น่ารักมาก! เอาล่ะ อีกสองคนที่เหลือ คนแรกคู่กับพี่กรีน ส่วนคนที่สองคู่กับฮ่องเต้สุดน่ารักของเรานะคะ”

                สายตามาดร้ายของฮ่องเต้ส่งไปหารุ่นน้องสันฯ ทันทีที่คำว่าน่ารักหลุดออกมาจากปาก จนเธอสะดุ้งเฮือกและหันหน้าหนีแทบไม่ทัน

                จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าผมน่ารักเว้ยยยย

            ที่สำคัญ ช่วยดูหน้าผมตอนนี้ด้วย แทบจะแยกเขี้ยวกระโดดงับคอคนได้อยู่แล้ว ไอ้แบบนี้มันเรียกว่าน่ารักยังไงหา!?

            ยิ่งคิด ก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะขวิดไอ้ตัวการประทุษร้ายเขาด้วยเรื่องขายหน้าให้เสียรู้แล้วรู้รอด ก่อนที่เขาจะตะโกนกู่ร้องก้องพื้นที่ภายในใจกับคำพูดต่อไปของรุ่นน้องสันฯ

                “รหัสสาม...” รุ่นน้องสันฯ เว้นจังหวะเพิ่มความตื่นเต้น “...สามหนึ่งสี่และหนึ่งเจ็ดแปดค่า!!”

                รหัสสามตัวสุดท้าย ทำเอาฮ่องเต้หันขวับไปมองคนประกาศจนคอแทบเคล็ด ในหัวก็เอาแต่คิดว่านี่ต้องเป็นแผนแน่ๆ ก่อนจะมองตามเด็กปีหนึ่งที่ลุกขึ้นยืน ทว่าเขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อคนที่ลุกขึ้นมาไม่ใช่เด็กปีหนึ่งรหัสหนึ่งเจ็ดแปด แถมยังภาวนา อ้อนวอนต่อพระเทวดาทั้งหลายแหล่ในสากลโลกให้ดลใจไอ้เด็กปีหนึ่งคนนั้นไม่มาเข้าร่วมกิจกรรมวันนี้ หรือไม่ก็ให้เจอเด็กขี้อายจนไม่กล้าออกมาเต้น หรือ...หรือให้มันท้องเสียกะทันหันก็ได้เอ้า!!

                “รหัสสามหนึ่งสี่มาแล้ว! รหัสหนึ่งเจ็ดแปดล่ะคะ อยู่ไหมเอ่ย!?”

                ไม่อยู่ ไม่ต้องอยู่ มึงไม่สมควรอยู่ในเวลานี้!!

            นั่นคือเสียงสวดภาวนาในใจของฮ่องเต้ ก่อนที่เขาจะถูกฟ้าผ่าใส่หัวดังเปรี้ยง เมื่อสายตาประสานเข้ากับเด็กปีหนึ่งที่ลุกขึ้นยืนท่ามกลางบรรดาเฟรชชี่ทั้งหลายที่เอาแต่จับจ้องอย่างไม่วางตา บางคนถึงกับน้ำลายหกรดใส่ป้ายชื่อ ส่วนบางคนถึงกับแดดิ้นจนเพื่อนต้องหันมามอง อาจจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและดูมีเสน่ห์จนดึงดูดสายตาคนรอบข้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งกับฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่ได้มองคนตรงหน้าด้วยความพิศวาสแต่อย่างใด เขาแทบจะเป็นลมใส่ด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าไอ้เจ้าของรหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้คือเด็กปีหนึ่งคนเดียวกันกับที่เขาเจอในห้องน้ำ

                ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดของเหล่ารุ่นพี่จะดังขึ้นมาพร้อมกับบทสนทนาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองที่ทำเอาคนที่เข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้อย่างฮ่องเต้ถึงกับหงุดหงิด

                ทำไมไอ้โรคจิตปีหนึ่งต้องตกมาเป็นสายรหัสปีนี้ของผมด้วยฟระ

            “มาข้างหน้าเลยจ้า!!” เสียงรุ่นน้องสันฯ ตะโกนเรียกอีกครั้ง ขณะที่รุ่นน้องคนนั้นเดินฝ่ากลุ่มเด็กปีหนึ่งออกมา สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองไปที่ป้ายชื่อของเด็กคนนั้นอย่างไม่วางตา

                ...ชื่อ โฟโต้ รหัส 178...

            สำเนาถูกต้อง ไม่ผิดตัวเป็นแน่...

                “เต้นคู่กับพี่ฮ่องเต้เนอะ” รุ่นน้องสันฯ หันมาบอกพร้อมกับดันเจ้าตัวมาทางฮ่องเต้ที่กำลังเหลือบมองคนข้างๆ อย่างหัวเสีย ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะพฤติกรรมที่เข้าขั้นโรคจิตและเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ใบหน้าของฮ่องเต้ยังคงบูดบึ้งอยู่อย่างนั้น จนคนข้างๆ คิดไปไกลว่าถูกรุ่นพี่เกลียดขี้หน้าเข้าให้เสียแล้ว

                และในขณะที่ฮ่องเต้หันไปสาปแช่งพญามารนิวที่กำลังทำหน้าระรื่นล้อเลียเขาอยู่ จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งมาสะกิดเข้าที่ไหล่ พอหันไปมองก็พบว่าเป็นโฟโต้

                “ดูหงุดหงิดจังเลยนะครับ” โฟโต้พยายามเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เพราะที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ทว่ามันกลับทำให้คิ้วของฮ่องเต้ขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม

                “พี่เกลียดผมเหรอ”

                น้ำเสียงนอยด์ๆ ของโฟโต้ ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับชะงักและหันกลับมาเหลือบตามองคนที่ปั้นหน้าน้อยใจรุ่นพี่อย่างเขาเสียเต็มประดา

                “คุยกับผมหน่อยสิครับ”

                ฮ่องเต้ยังคงนิ่งเงียบ จนโฟโต้ต้องย่นจมูกใส่ (ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เข้ากับหน้าของโฟโต้มากในสายตาฮ่องเต้)

                “ทำไมพี่ไม่ยอมคุยกับผมล่ะครับ”

                “มึงมันโรคจิตไง”

                “โธ่ เรื่องแบบนั้นมันก็ปกติของผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

                ฮ่องเต้หันขวับไปมองหน้าโฟโต้อย่างเหลืออด ก่อนจะแอบหันไปมองรอบข้างอย่างหวาดระแวงเพราะจู่ๆ โฟโต้ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายกลับตีความผิด จึงเบิกตากว้างหันไปถามด้วยความประหลาดใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รุ่นพี่สันฯ กำลังออกคำสั่งพอดี

                “เมียงูพร้อม! สาม...สะ../ หรือว่าพี่ไม่เคย!!?”

                ยังไม่ทันได้นับสี่ โฟโต้ก็ตะโกนขึ้นกลางวง ทำเอาทุกอย่างหยุดชะงักอัตโนมัติพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่หันมามองโฟโต้กับฮ่องเต้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับประโยคที่ว่าไม่เคยอะไรสักอย่าง

                ฮ่องเต้หน้าเสีย หันไปมองรอบข้างด้วยความอับอายขายขี้หน้า ก่อนจะหันไปส่งสายตามาดร้ายให้กับคนก่อเรื่อง

                “พูดอะไรของมึงเนี่ย!” เขาหันไปกระซิบกับโฟโต้ อีกฝ่ายจึงได้แต่ยิ้มแห้ง

                “ขอโทษครับ”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาให้กับรุ่นน้องสันฯ เป็นเชิงให้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ก่อนที่เสียงกลองจะดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเพลงเมียงูสุดคลาสสิก และฮ่องเต้ก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นเสาให้กับโฟโต้เต้นรอบเขาด้วยความอับอาย

                “แล้วเวลาพี่มีอารมณ์ พี่ทำยังไงเหรอครับ”

                ยังไม่วายที่โฟโต้จะกลับมาพูดเรื่องนี้อีกจนได้ แถมยังแอบอมยิ้มกับใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีด้วยความอายของรุ่นพี่ที่เขาเจตนาจะแหย่เล่นเพราะความน่ารักเวลาเขินอายของพี่เขา 

                “บอกผมหน่อยสิครับ”

                “มึงจะรู้ไปทำไม!”

                “ก็เผื่อวิธีของพี่จะดีกว่าการเปิดคลิปแล้วทำแบบที่ผมทำ ผมจะได้เอาไปทำบ้าง ไม่แน่นะครับ วิธีของพี่อาจจะทำให้ผมติดใจไปจนวันตายเลยก็ได้นะครับ”

                ฮ่องเต้ได้แต่ยืนอึ้งเพราะไม่คิดว่าไอ้เด็กปีหนึ่งตรงหน้าเขาจะโรคจิตถึงขั้นกล้าพูดเรื่องแบบนี้ท่ามกลางคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ แถมยังมาพูดกับเขาที่เพิ่งเคยเจอกัน จะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็ยังได้เลย นี่เขาต้องรับมือยังไงกับสายรหัสปีนี้ของตัวเองกัน

                ก่อนที่เพลงจะจบลงและฮ่องเต้จะก้าวขาฉับๆ เดินหนีอย่างไม่สนใจใยดีคนที่เอาแต่หัวเราะกับท่าทางของเขา โฟโต้ได้แต่มองตามรุ่นพี่จอมเหวี่ยงไปจนสุดสายตา ไม่ว่าจะมองยังไง ไม่ว่ารุ่นพี่คนนั้นจะทำหน้าหงุดหงิดใส่ขนาดไหน สายตาของเขาก็ยังคงมองเห็นความน่ารักในตัวรุ่นพี่คนนั้นอยู่ดี

                คนอะไร น่าแกล้งชะมัด 

                “แปลกๆ นะมึงอ่ะ”

                โฟโต้หันไปมองกรีนที่หันมาพูดกับเขา รอยยิ้มของกรีนทำให้โฟโต้ได้แต่งงในคำพูด

                “มองอยู่ได้ พี่คนนั้นน่ะ”

                โฟโต้หันไปมองตามสายตาของกรีน ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

                “ไม่รู้สิครับ แค่คิดว่าพี่เขาดูแปลกดี...”

                กรีนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอามือตบบ่ารุ่นน้องและเดินแยกออกมา พร้อมกับเจมส์ที่เดินตามาสมทบที่โต๊ะ

                “ว่าไงมึง ว่าที่แฟนตัวหอมป่ะ” เสียงนิวที่กำลังสัมภาษณ์ฮ่องเต้ดังเรียกความสนใจกรีนกับเจมส์ ก่อนที่กรีนจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้เจมส์ทำหน้าที่แซวเพื่อนต่อไป 

                “เงียบไปเลยไอ้นิว!”

                “อะไรวะ แค่นี้ทำเป็นเขิน เห็นตอนอยู่กับน้อง มึงนี่ตัวเกร็งเชียว”

              “เกร็งมากๆ ระวังจะเจ็บนะเว้ย” เจมส์เริ่มเสริมทับ พร้อมกับยิ้มกริ่มและมองหน้าฮ่องเต้ที่หัวร้อนจนแทบไหม้

                “กูไม่ได้เกร็งเว้ย!”

                “จริง?” เจมส์ทำหน้าไม่เชื่อ “เมื่อกี้กูยังเห็นมึงเงอะๆ งะๆ อยู่เลย มึงรู้สึกเกร็งที่ได้อยู่ใกล้ไอ้เด็กนั่นก็บอกมาเถอะ”

                “ไม่ใช่เว้ย!!”

                “หน้าแดงหมดแล้วมึง ฮ่าๆ” พญามารนิวไม่ว่าเปล่า ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับทำหน้าเขินล้อเลียนเขาอีก 

                “เขินจนหน้าแดงแบบนี้ จากประสบการณ์แล้ว...” เจมส์เว้นวรรคและทำหน้าสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงขั้นต้องลงมือผลักหัวเดือนคณะปีตัวเองว่า “...เมียชัวร์”

                “เมียบ้านมึงดิ อย่ามามั่ว!”

                “มึงคอยดูละกัน ว่ามันผิดจากที่กูพูดหรือเปล่า” พูดจบก็ยักคิ้ว ทำหน้ากวนประสาตใส่และโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูฮ่องเต้อีกหน “กูจะรอดูว่าที่ผัวใหม่มึงนะ”

                “ไอ้เจมส์!!”

                สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ด่าเท่านั้นเพราะเจ้าตัวดันวิ่งแจ้นหนีฝ่ามือพิฆาตออกไปจากโต๊ะเรียบร้อย เหลือเพียงพญามารนิวที่ยืนยิ้มมองหน้าเขาอย่างมีเลศนัย

                “อะไร มึงจะล้ออะไรกูอีกล่ะ”

                “กูไม่ล้อมึงหรอกน่า...” พูดจบ นิวก็ยิ้มกริ่มและพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “...เพราะกูกลัวเพื่อนเหงาตูด ฮ่าๆ”

                ฮ่องเต้ได้แต่นิ่งเงียบและใช้สายตาด่าคนตรงหน้าอย่างไม่รู้จะกลั่นกรองงัดแงะสารพัดคำไหนมาด่าได้แล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอาขั้นสุด

               

                 

 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 4 รับน้องก้าวแรก

                วันนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นวันจัดกิจกรรม รับน้องก้าวแรก กิจกรรมรับน้องในวันนี้ จึงเริ่มต้นด้วยการทำบุญใส่บาตรในช่วงเช้าตรู่ และแบ่งทีมทำความสะอาดแต่ละบริเวณของคณะนิติศาสตร์ในช่วงสาย อันเริ่มตั้งแต่หกโมงเช้าจนกระทั่งตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว รุ่นพี่จึงเรียกเหล่าเฟรชชี่มารวมตัวกันที่ใต้ถุนคณะดังเช่นทุกครั้ง ขณะที่รุ่นพี่อีกส่วนหนึ่งก็ช่วยกันตรวจสอบความเรียบร้อยและทยอยเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดที่สรรหามาให้น้อง

                โฟโต้อาสารวบรวมอุปกรณ์ทำความสะอาดในทีมของตัวเอง เขายืนรอเพื่อนในทีมเอาของมายื่นให้จนครบก่อนจะทยอยยกพวกไม้กวาดไปก่อน และจังหวะที่เขากำลังก้มลงเก็บไม้กวาดนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นเท้าของให้บางคนที่มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ  ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นและหันไปมองผู้มาใหม่

                คนที่ตัวสูงพอๆ กันกับเขาส่งยิ้มมาให้อย่างคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และเขาคงจะยิ้มตอบเช่นกัน หากไม่ติดอยู่ที่ว่าเขาไม่ยักกะรู้จักเพื่อนคนนี้ ถึงแม้ว่าจะเห็นหน้าค่าตาช่วงรับน้องสองวันแรกมาบ้างแล้ว แต่ก็เพิ่งจะได้มีโอกาสเข้าใกล้

                เขาชื่อ นัท รหัส 204

                ป้ายชื่อที่ห้อยคออยู่บอกเขาเอาไว้เพียงแค่นั้น

                “เดี๋ยวกูช่วย” เพื่อนใหม่ร้องบอกก่อนจะช่วยยกที่ตักขยะและเดินนำลิ่วๆ ไปหารุ่นพี่ที่ยืนรออยู่ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ยืนมองก่อนจะยกไม้กวาดขึ้นมาและเดินเอาไปให้รุ่นพี่บ้าง

                “อุ๊ย น้องนัท”

                โฟโต้เหลือบมองคนข้างๆ สลับกับรุ่นพี่ที่กำลังทำทางเอียงอายกับความหล่อของนัท ก่อนที่เขาจะยื่นไม้กวาดไปให้ จังหวะนั้นเอง ที่รุ่นพี่เพิ่งจะมองเห็นเขา ทำเอาโฟโต้ถึงกับหมั่นไส้คนข้างๆ ไปตามๆ กัน

                ออร่ากลบกูซะมิดเลยนะ ไอ้เผือกเอ๊ย!

            ก่อนที่เขาจะเอาแต่คิดว่าคนที่ชื่อนัทอะไรนี่กินผงซักฟอกเป็นอาหารหรือเปล่า ถึงได้ขาวจัดขนาดนี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นคนขาวอยู่แล้ว แต่พอไปยืนเทียบกับนัท ความขาวของเขาก็กลายเป็นรองไปซะเฉย แบบนี้ ยิ่งทำให้โฟโต้หงุดหงิดและรีบเดินหนีออกมาทันที

                โฟโต้แวะเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือและล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับปีหนึ่งคนอื่นที่ทยอยกันมาจนใกล้จะครบแล้ว ซึ่งก็นั่งรอได้ไม่นาน รุ่นพี่ที่ยืนอยู่หน้าแถวก็เริ่มเข้ามาทำหน้าที่ หลังจากรุ่นน้องปีหนึ่งก็เข้ามานั่งที่ใต้ถุนตึกคณะเรียบร้อยแล้ว

                “เอาล่ะค่ะ พี่จะให้น้องพักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเริ่มกิจกรรมฐานในช่วงบ่ายนะคะ ให้น้องๆ นั่งอยู่ที่เดิม เดี๋ยวพวกพี่ๆ จะเป็นคนเอาข้าวกับน้ำไปให้นะคะ”

                สิ้นเสียงของรุ่นพี่คนนั้น พวกรุ่นพี่ก็ทยอยเอาข้าวกับน้ำมาแจกเด็กปีหนึ่งไปตามระเบียบ ก่อนที่ห่อข้าวร้อนๆ จะแตะเข้าที่ข้างแก้มของคนที่เอาแต่นั่งเหม่ออยู่

                “ข้าวครับน้อง” โฟโต้หันไปยกมือไหว้รุ่นพี่ที่ยื่นห่อข้าวมาให้ จำได้รางๆ เหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนของรุ่นพี่จอมเหวี่ยง คนเดียวกันกับที่ตะโกนขึ้นผ่ากลางวงและเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องมาเป็นเมียงูให้กับเขาเมื่อวาน

                “ขอบคุณครับ” พูดพร้อมกับรับห่อข้าวมาจากรุ่นพี่

                “กูชื่อนิวนะ” รุ่นพี่เริ่มแนะนำตัว “เป็นเพื่อนไอ้เต้ เอ่อ ไอ้ฮ่องเต้อ่ะ มึงจำมันได้ใช่ป่ะ”

                “อ๋อ จำได้ครับ”

                โดยเฉพาะไอ้ท่าเมียงูเมื่อวาน ผมจำได้ขึ้นใจเลยล่ะครับ

            “เออดี...” ก่อนที่นิวจะก้มลงมองป้ายและพึมพำชื่อคนตรงหน้าออกมา “...โฟโต้ กูจะจำไว้ล่ะกันนะ มึงเฟรนลี่ดี น่าจะเข้ากับเพื่อนกูได้”

                พูดจบก็ปล่อยก๊ากออกมาท่ามกลางความมึนงงของโฟโต้ ก่อนจะผละออกไปและเดินแจกข้าวสาวๆ ปีหนึ่งต่อตามประสาคนเฟรนลี่เข้าได้กับเฟรชชี่ (เน้นแค่สาวๆ ) ทุกคน

                โฟโต้มองภาพนั้นอย่างขำๆ และจัดการกับห่อข้าวในมือต่อ...

               

                ขณะเดียวกัน ที่หน้าคณะนิติศาสตร์...

                ฮ่องเต้ง่วนอยู่กับข้าวสำหรับใช้ในกิจกรรมรับน้องของหลังรถที่เพิ่งจะไปซื้อมาจากตลาด เขาทยอยขนของยื่นให้รุ่นน้องอีกสองคนที่มาช่วย ก่อนจะปิดประตูและเดินหิ้วของพะรุงพะรังเข้าคณะไป

                “ไอ้เต้ กินข้าวยัง” เสียงหนึ่งเอ่ยถามหลังจากสองมือของเจ้าของชื่อวางของลงบนโต๊ะ

                “ยัง ซื้อของเสร็จ กูก็กลับมาเลยเนี่ย” ฮ่องเต้หันไปตอบ คิง ประธานรุ่นปีเขาที่เอาข้าวเอาน้ำมาให้

                “เออๆ ถ้าอย่างนั้นมึงก็พักกินข้าวก่อนก็แล้วกัน กูคุยกับน้องละ ว่ากิจกรรมฐานตอนบ่ายให้มึงไปอยู่ช่วยฝ่ายพยาบาลแทน ไหนๆ มึงก็อุตส่าห์วิ่งรถออกไปซื้อของตั้งไกล”

                “กูอยู่ช่วยฐานเหมือนเดิมก็ได้นะเว้ย แค่ออกไปซื้อของ กูไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อย” เขาพูดไปตามความจริง แถมไอ้ของที่เขาซื้อมาก็แค่พวกขนมนมเนยสำหรับเด็กปีหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะและจัดการกับห่อข้าวห่อน้ำที่ได้มา

                “เออ ถ้าไม่เหนื่อยก็แล้วแต่มึงละกันวะ” คิงว่าพลางยิ้มขำกับท่าทางคนที่เหมือนจะตายอดตายอยากมาตั้งแต่เช้า

                “ใจเย็นมึง เดี๋ยวติดคอพอดี” คิงว่าพลางส่งทิชชูให้กับคนที่เริ่มจะกินเลอะเทอะเพราะความเร่งรีบ

                “ก็กูหิวนี่หว่า ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลย” พูดเสียงอ้อมแอ้มเพราะข้าวที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในปาก

                “เอาไปอีกห่อเลยไป เดี๋ยวมึงไม่อิ่ม”

                ฮ่องเต้เงยหน้ามองคิงที่ส่งห่อข้าวมาให้ ก่อนจะถามออกไปด้วยความสงสัย

                “แล้วมึงไม่กินอ่ะ”

                “กูกินแล้ว ไอ้พวกปีสองมันสั่งมาเผื่อพี่มันเยอะจะตาย กินๆ ไปเหอะ”

                ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็คลี่ยิ้มออกมาและรับห่อข้าวมาจากคิง ก่อนที่อีกฝ่ายจะแยกตัวไปดูรุ่นน้องต่อ

                “โหย นี่ท่านฮ่องเต้ไปอดอยากปากแห้งมาจากไหนขอรับครับท่าน ถึงได้โซ้ยข้าวตั้งสองห่อเนี่ย”

                ฮ่องเต้ชะงักมือพลางหันไปมองพญามารนิวอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตักข้าวเข้าปากด้วยความเร็ว ต่อด้วยยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความไวแสงและลุกขึ้นเดินหนีทันที

                “โธ่ ทำเป็นไม่พูดกับกู” นิวว่าก่อนจะเดินตามฮ่องเต้ไปติดๆ ก่อนจะตกใจจนเผลอสบถลั่นเพราะไอ้คนข้างหน้าดันเบรกฝีเท้าแบไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า

                ฮ่องเต้หันขวับมาจ้องหน้านิวด้วยสายตาดุดัน “ถ้ามึงคิดจะมาล้อกูเรื่องไอ้เด็กนั่นล่ะก็ กูถีบมึงกระเด็นแน่”

                คำขู่ของฮ่องเต้ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหวั่นเกรงเลยสักนิด แถมยังทำหน้าทำตาล้อเลียนเขาอีกต่างหาก

                “ทำเป็นมาขู่ เดี๋ยวก็รู้ฤทธิ์อาถรรพ์สายรหัส”

                “ไอ้นิว!” ฮ่องเต้กระแทกเสียงใส่อย่างคนเริ่มจะหงุดหงิด

                ไอ้นี่ก็กะจะแซวจนกูได้กับไอ้เด็กนั่นเลยใช่ไหม

                “เรียกกระผมทำไมหรือขอรับนายท่าน” ไม่วายจะฉีกยิ้มกว้างใส่คนตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายและเดินเอาขยะไปทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาไม่หยุด

               

                กิจกรรมรับน้องช่วงบ่ายเริ่มขึ้นแล้ว รุ่นพี่แบ่งน้องปีหนึ่งออกเป็นกลุ่มเพื่อสะดวกต่อการทำกิจกรรมฐาน ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็เน้นไปในส่วนของความสามัคคีกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รุ่นน้องได้รู้จักและปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่มากขึ้น  แม้ว่าเวลาจะคล้อยบ่ายแล้วและแม้ว่าเนื้อตัวจะน้องตัวเปื้อนสี เปื้อนน้ำ เปื้อนโคลนไปบ้าง  แต่เด็กปีหนึ่งทุกคนยังคงเต็มที่กับทุกกิจกรรมในทุกๆ ฐานที่รุ่นพี่จัดเตรียมไว้ให้ ทำให้ภายในคณะนิติศาสตร์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของเหล่าสมาชิกในครอบครัว

                เช่นเดียวกันกับฮ่องเต้ แม้ว่าเขาจะเป็นพี่โตสุดในคณะและผ่านกิจกรรมรับน้องมาทั้งตอนเป็นเฟรชชี่และรุ่นพี่ปีสองปีสามมาแล้ว แต่การได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการรับน้องอีกครั้ง ก็ยังคงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข จนอดยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาเองก็อยากจะเก็บเกี่ยวบรรยากาศดีๆ เอาไว้เพราะอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือน เขาก็จะต้องก้าวออกจากรั้วบ้านหลังที่สองแห่งนี้ไปในนามของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยภัคนลิน

                ฮ่องเต้ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เข้ามาดูแลกิจกรรมฐานสุดท้ายร่วมกับเพื่อนและรุ่นน้องชั้นปีอื่นๆ ซึ่งฐานของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ให้น้องใช้ความสามัคคีเอาชนะอุปสรรคจากเชือกที่มัดข้อเท้าเอาไว้ก็เท่านั้น แต่มันอาจจะยากไปสักหน่อยเพราะพื้นดินที่เฉอะแฉะ ประกอบกับภารกิจอีกนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่านั้น

                เด็กปีหนึ่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าแวะเข้ามาร่วมกิจกรรมและเวียนไปฐานอื่นเรื่อยๆ ฮ่องเต้ยังคงเอาแต่ยิ้มร่าอย่างมีความสุขอยู่อย่างนั้นและมองรุ่นน้องกลุ่มล่าสุดที่เวียนไปยังฐานอื่น ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะหุบฉับทันทีที่สายตาประสานเข้ากับใบหน้าของใครบางคน

                ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง!

            เขาอุทานขึ้นมาในใจพลางเบนสายตาหนีโฟโต้ที่เดินถือรองเท้าซึ่งยัดไส้ด้วยถุงเท้าเปียกๆ เอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่มองมาทางเขาอย่างละสายตาไม่ได้ ภายในใจก็เอาแต่พร่ำบนกับตัวเองถึงสาเหตุที่ฮ่องเต้สามารถดึงดูดสายตาของเขาได้มากถึงขนาดนี้

                พี่ฮ่องเต้ทำเสน่ห์ใส่เราหรือยังไง

            เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมเสน่ห์ของลูกแมวตาโตตัวนี้อย่างไม่อาจจะหาอะไรมาฉุดรั้งได้

                ใช่ เขาดูเหมือนลูกแมว

            โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่มักจะเอาแต่จ้องมองเขาแบบดุๆ นั่น แก้มขาวๆ ที่มักจะขึ้นสีทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน แถมริมฝีปากแดงระเรื่อราวกับเขาเฝ้าดูแลมันมาเป็นอย่างดี เหมือนบุหรี่ไม่เคยแตะ เหล้าไม่เคยสัมผัส ขนาดริมฝีปากด้านนอกยังดูดีขนาดนั้น แล้วข้างใน...รสชาติ...ของมัน...แค่คิดก็ทำเอาใจเต้นไม่เป็นระส่ำขึ้นมา

                เฮ้ย คิดบ้าอะไรอยู่วะ พี่เขาเป็นผู้ชายนะเว้ย

            โฟโต้สะบัดหน้าไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว  ก่อนจะพยายามหันไปสนใจสิ่งรอบข้างอื่น ทำทีเป็นวางรองเท้าผ้าใบเปื้อนโคลนก็แล้ว พับขากางเกงขึ้นก็แล้ว ทว่าสุดท้ายสายตาของเขาก็ถูกดึงมาที่คนๆ เดิม จนเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่เสียงของรุ่นพี่ประจำฐานจะดังเรียกความสนใจ

                “สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับน้องๆ เข้าสู่ฐานที่เจ็ดนะคะ ฐานนี้เป็นฐานวัดความสามัคคี โดยกติกาของเราก็ง่ายมาก! พี่จะแบ่งน้องออกเนสองกลุ่มและให้เชือกเส้นนี้...” พี่สันฯ อธิบายพร้อมกับชูเชือกผ้าเส้นหนึ่งขึ้นมา “...ผูกระหว่างข้อเท้าของน้องกับเพื่อนเอาไว้ หลังจากนั้น เราจะมาแข่งกันทำภารกิจกัน ซึ่งถ้าทีมไหนแพ้ จะต้องถูกลงโทษนะคะ”

                ก่อนที่พี่สันฯ อีกคนจะหันมาสั่ง “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ขอให้น้องๆ แบ่งออกเป็นสองทีมได้เลยนะคะ”

                รุ่นน้องเริ่มนับหนึ่งสองและแยกกลุ่มตามเลขที่นับได้จนเสร็จสรรพ แต่ความที่รุ่นน้องกลุ่มนี้มีจำนวนไม่เท่ากัน แถมยังน้อยกว่าปีหนึ่งกลุ่มอื่นที่ผ่านมาอีก พี่สันฯ ปีสองจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ปีสี่ที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะ ซึ่งเป็นจุดที่เตรียมเอาไว้สำหรับให้น้องๆ แข่งกันกินขนมและน้ำ

                “ขอให้พี่ปีสี่ช่วยเข้ามาแทรกน้องด้วยค่ะ”

                แม้ว่าจะดูเหมือนออกคำสั่ง แต่สายตาที่ส่งไปให้รุ่นพี่กลับเป็นสายตาที่อ่อนลงเฉกเช่นคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งรุ่นพี่ปีสี่อย่างนิว เมธและฮ่องเต้ก็เต็มใจเข้ามาช่วยเป็นอย่างดี ทั้งสามคนเดินเข้ามาสมทบท่ามกลางสายตาของรุ่นน้องที่มองมาอย่างไม่วางตา โดยเฉพาะกับฮ่องเต้ที่ดูเหมือนว่าความน่ารักจะไปสะดุดตาสาวๆ เข้าจนพวกเธอต้องหันไปกระซิบกระซาบกันด้วยความเขินอายยกใหญ่

                ไม่เว้นแม้กระทั่งสายตาของโฟโต้ที่ยังคงมองตามคนที่สะกดสายตาเขามาตั้งแต่เดินเข้ามาที่ฐานนี้แล้ว หากแต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาไม่ใช่เรื่องเสน่ห์ของรุ่นพี่คนนั้น แต่เป็นคำพูดของพี่สันฯ ที่ทำเอาเขาอึ้งไปทันทีที่ได้รู้ว่านอกจากฮ่องเต้จะเป็นรุ่นพี่ของเขาแล้ว พี่เขายังเป็นพี่โตสุดในคณะอีกต่างหาก

                มิน่า พี่เขาถึงได้เอาแต่ทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมคุยเล่นกับผม

            โฟโต้จึงได้แต่มองตามฮ่องเต้ที่เดินไปอยู่อีกทีมตาละห้อย ความรู้สึกผิดที่ไปหยอกล้อพี่ปีสี่เล่นก่อนหน้านั้นเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่พูดและทำอะไรแบบนั้นเป็นแน่

                พี่สันฯ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ก่อนที่เชือกผ้าจะถูกส่งมาถึงมือรุ่นน้องทีมแรกที่ได้เริ่มเล่นก่อน โฟโต้จัดการมัดเชือกผ้าเส้นนั้นเข้าที่ข้อเท้าของตนและเพื่อนที่อยู่ติดกันเหมือนคนอื่นๆ และยืดตัวขึ้น ใช้แขนโอบไหล่คนข้างๆ เอาไว้ ก่อนที่พี่สันฯ จะเริ่มนับเลขให้สัญญาณเตรียมตัวเริ่มเกม

                “พร้อมกันแล้วใช่ไหมเอ่ย”

                “พร้อมแล้วค่า/ครับ” เสียงปีหนึ่ง

                “เอาล่ะนะ! สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!”

                สิ้นเสียงออกคำสั่ง ทุกคนในทีมก็พร้อมใจกันก้าวเท้าทันที กติกาเกมก็ไม่มีอะไรมาก แค่ต้องเดินไปให้ถึงโต๊ะที่มีสารพัดของกินวางอยู่ด้วยเท้าที่ถูกผูกติดกันแน่นหนา แต่มันจะยากขึ้นก็ตรงการก่อกวนจากรุ่นพี่ในฐาน โดยเฉพาะคนที่ถือสายยางฉีดน้ำที่เล่นใหญ่ เอาซะพื้นดินเฉอะแฉะพาลให้พวกรุ่นน้องทรงตัวแทบไม่อยู่ สถานการณ์ตรงหน้าเป็นไปด้วยความเร่งรีบและชุลมุนวุ่นวายเสียยกใหญ่ และเพราะแบบนั้น เลยทำให้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

                “โอ๊ยยยยยยย!!” โฟโต้แหกปากลั่นด้วยความเจ็บปวด หลังจากร่างกายล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง พลอยให้คนข้างๆ ล้มตามไปด้วย

                ก่อนที่เขาจะตกเป็นเป้าสายตา...

                “เชี่ย! เป็นยังไงมั่ง” เสียงร้องของเพื่อนข้างๆ ดังขึ้น ขณะที่มือก็ช่วยแกะเชือกผ้าที่ข้อเท้าให้โฟโต้ไปด้วย ท่ามกลางกิจกรรมที่หยุดชะงักไปกลางคัน

                โฟโต้เอาแต่นั่งนิ่ง เอามือกุมเท้าและนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่มากจนขยับลุกไปไหนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะแรงกระแทกและท่าล้มที่ทำให้ร่างกายขยับผิดที่ผิดทาง

                “ให้กูดูหน่อย!!”

                เพราะมัวแต่เจ็บ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าฮ่องเต้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่  แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าและท่าทางมากเพียงใด และดูเหมือนว่ามันจะมากพอจนไปกระตุ้นความรู้สึกรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจของโฟโต้ สายตาของเขาเอาแต่มองไปทางรุ่นพี่ปีสี่ที่เอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ตนมาตลอด เขาไม่อยากจะเชื่อกับสายตาตัวเองว่ารุ่นพี่จอมเหวี่ยงคนนั้น จะกลับกลายมาเป็นรุ่นพี่ที่กำลังกังวลกับเรื่องของเขาได้มากมายเพียงนี้

                “โอ๊ย!” โฟโต้เผลอร้องออกมาอีกครั้งเพราะมือของฮ่องเต้ที่ไปโดนเข้าที่แผล

                “เจ็บเหรอ ขอโทษนะ”

                น้ำเสียงอ่อนโยนที่เพิ่งเคยจะได้ยินครั้งแรก เรียกสายตาให้โฟโต้หันกลับไปมองและสบสายตาเข้ากับดวงตาที่ฉายแววความห่วงใยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เพียงเท่านั้น ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด

                ฮ่องเต้ค่อยๆ ดึงมือของโฟโต้ที่กุมเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองออกช้าๆ สีหน้าหวาดๆ ของเขาทำเอาเจ้าของเท้าอดหันไปมองตามไม่ได้และนั่นทำให้โฟโต้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเพราะหลังเท้าที่ถลอกเป็นรอยเลือดซิบ ความชาแล่นปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วจนคนบาดเจ็บต้องนิ่วหน้าอีกครั้ง

                “อดทนหน่อยนะ” ฮ่องเต้เอ่ยกับคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปสั่งพวกรุ่นพี่เสียงเข้ม “มาช่วยพยุงน้องหน่อย”

                พวกรุ่นพี่ช่วยกันพยุงตัวของโฟโต้ออกไปจากฐานกิจกรรมรับน้องและตรงไปยังหน่วยรักษาพยาบาล แม้จะทุลักทุเลไปบ้างเพราะร่างที่ปวดหนึบจากการกระแทกจนเดินเองแทบไม่ได้ แต่อย่างน้อยความรู้สึกอบอุ่นจากการดูแลของรุ่นพี่ก็ทำให้เด็กปีหนึ่งอย่างเขาคลายความกังวลลงไปได้

                โฟโต้ปล่อยให้รุ่นพี่ที่หน่วยพยาบาลช่วยทำแผลให้จนเสร็จ ขณะที่สายตาก็เอาแต่มองหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ ทว่ารอบกายของเขาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่ไม่ได้ชื่อฮ่องเต้

                “เป็นไงมั่งวะ” นิวเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์ชุลมุนเมื่อครู่เช่นกัน

                “เจ็บครับ” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำเอานิวอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

                “เออ ยังดีที่ตอบว่าเจ็บเพราะถ้ามึงตอบว่าไม่เจ็บล่ะก็ กูจะได้เหยียบเท้าซ้ำเข้าให้”

                “โหย ใจร้ายว่ะพี่”

                ทั้งคู่คุยเล่นกันไปตามประสาพี่น้องที่เริ่มคุยกันถูกคอ (เพราะเป็นสายกวนประสาตเหมือนกัน)

                “ไปทำอีท่าไหนน่ะเรา ถึงได้แผลถลอกมาซะขนาดนี้” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม ขณะกำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับเข้าที่

                “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้อีกทีก็ล้มลงไปแล้ว” โฟโต้หันไปตอบตามความจริง ทว่ารุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลกลับทำหน้าสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

                “แต่แผลมันเหมือนจงใจมากเลยนะ”

                “ทำไมอ่ะหวาน” นิวหันไปถามด้วยความสนอกสนใจ เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ กับรอยถลอกที่เท้าของรุ่นน้องเช่นกัน แต่ที่ไม่ได้ถามอะไรออกไปก็เพราะไม่คิดว่าจะมีคนสงสัยเหมือนกัน

                “ต่อให้น้องล้มไปข้างหน้า ยังไงแผลมันก็ไม่ออกมาลักษณะนี้แน่ๆ” หวานแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ และหันไปมองหน้าโฟโต้ “แน่ใจนะ ว่าไม่ได้โดยใครเหยียบเท้าเข้า โดยเฉพาะคนที่ใส่รองเท้า”

                คำพูดของหวานทำให้โฟโต้ชะงักนิ่ง นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะรู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าจะถูกใครเหยียบเท้าเข้าจริงๆ แต่ภาพเหตุการณ์มันก็ไม่ได้กระจ่างชัดมากพอจะไปจับเท้าใครได้คาหนังคาเขาเพราะตอนนั้นสายตาของเขาก็เอาแต่มองไปที่โต๊ะวางขนมด้านหน้า ไม่ได้มาสนใจว่าเท้าใครจะเดินย่ำไปทางไหน

                “คงเป็นช่วงชุลมุนมากกว่าครับ เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก” แม้ว่าปากของรุ่นน้องจะบอกออกไปแบบนั้น แต่นิวกับหวานก็ไม่วายหันมามองหน้ากันอย่างสื่อความหมายอีก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยทุกอย่างผ่านไปเพราะไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาความผิดกับใครได้ นิวกับหวานจึงชวนโฟโต้คุยเรื่องสัพเพเหระต่อเพื่อรอให้โฟโต้ได้นั่งพักไปพลาง

               

                ขณะเดียวกัน ที่ลานจอดรถด้านหลังคณะ...

                ฮ่องเต้หยิบถุงพลาสติกออกมาจากหลังรถหนึ่งใบและจัดการยัดรองเท้าผ้าใบที่เปรอะไปด้วยคราบสกปรกจากการเข้าร่วมกิจกรรมฐานลงไป เสร็จสรรพก็ยัดมันเข้าไปที่หลังรถ ก่อนจะหันไปคว้าถุงกระดาษที่เขาลืมเอาลงจากรถตั้งแต่ก่อนรับน้องออกมาเพื่อตรวจเช็คของที่อยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินหิ้วถุงกระดาษและกลับเข้าไปในคณะทันที ทว่าพอไปถึงยังที่หมาย ขาของเขากลับชะงักขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

                ฮ่องเต้ลอบมองโฟโต้ผ่านหลังต้นไม้ใหญ่ คนที่เพิ่งจะเจ็บตัวนั่งมองแผลตัวเองท่ามกลางอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่เป็นเพื่อนเพราะตอนนี้ ฝ่ายสันทนาการเรียกรุ่นพี่รุ่นน้องไปรวมตัวกันแล้ว ส่วนรุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลคงจะไปเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

                สายตาของคนเป็นพี่เอาแต่จับจ้องคนเป็นน้องด้วยความรู้สึกประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาเองก็เป็นฝ่ายเข้าไปช่วยเด็กปีหนึ่งคนนั้นเองแท้ๆ นั่นอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเขาตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากไปหน่อย พอเห็นโฟโต้ลงไปร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดกับพื้น ใจของเขาก็เต้นไม่เป็นระส่ำเพราะเกรงว่ารุ่นน้องของตนจะบาดเจ็บหนัก (แต่มันก็หนักจริงๆ นั่นแหละ) จนกระทั่ง ตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไปและความรู้สึกไม่แน่ใจกลับก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนเขาได้แต่มองของในมืออย่างชั่งใจ         

                “โอ๊ย!”

                เสียงร้องของโฟโต้ทำเอาเขาสะดุ้ง รีบปรี่เข้าไปช่วยพยุงคนอวดดีที่ลุกขึ้นมาทั้งที่ยังเจ็บอยู่ แม้ว่าคนเข้าไปช่วยจะไม่ทันได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับหันมามองด้วยความแปลกใจเสียอย่างนั้น

                ฮ่องเต้ยังคงว้าวุ่นอยู่กับการบาดเจ็บของรุ่นน้องและช่วยพยุงให้โฟโต้นั่งลงที่เก้าอี้ดังเดิม โดยไม่ทันได้สังเกตสายตาของโฟโต้ที่มองมาทางเขาด้วยสายตาที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

                “เจ็บตัวแล้วยังอวดดีอีกนะ”

                ไม่รู้ว่านั่นเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบฉบับของฮ่องเต้หรือเปล่า แต่คำพูดนั้นกลับดีต่อใจโฟโต้อย่างน่าประหลาด ไม่คิดว่าคนที่เอาแต่ทำหน้าเหวี่ยงไปวันๆ จะอ่อนโยนกับเขาได้

                “แผลเป็นไงบ้าง” แม้จะพูดด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังคงวางมาดตามแบบฉบับฮ่องเต้

                โฟโต้เหลือบไปมองที่แผลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “มีแค่แผลถลอกที่เท้าครับ นอกนั้นก็ปวดตามตัวนิดหน่อย”

                “ปวดนิดหน่อย? แบบที่นิดหน่อยก็ร้องโอ๊ยน่ะเหรอ” ฮ่องเต้ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหยิบถุงกระดาษข้างๆ ยื่นให้กับโฟโต้

                “ครับ?”

                “รองเท้า” คำตอบสั้นๆ แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้กับโฟโต้เป็นอย่างมาก มือหนึ่งยกขึ้นมารับถุงกระดาษจากรุ่นพี่ไปเปิดดูและเป็นอันต้องแปลกใจเข้าไปใหญ่

                “พี่ให้ผมเหรอครับ”

                คำถามของคนข้างๆ ทำเอาฮ่องเต้ชะงักเพราะไม่ทันได้คิดว่าน้องมันจะถามคำถามนี้กับเขา

                “เปล่า พี่รหัสปีสี่ของมึงฝากมาให้”

                ถึงจะรู้สึกกระดากปากที่พูดออกไปแบบนั้นและรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไอ้พี่รหัสปีสี่ที่พูดถึงคือตัวเขาเอง แต่มันก็ดีกว่าให้โฟโต้มารู้ว่าเขาเป็นคนให้เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามใดใดที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

                “ยังไงก็ขอบคุณพี่นะครับ ที่อุตส่าห์เอามาให้” พูดจบก็หันไปยิ้มอ่อนโยนให้

                เป็นครั้งแรกที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้เห็นมุมอ่อนโยนของกันและกัน...

            “เออ...อืม รีบใส่ซะสิ เดี๋ยวจะได้ไปส่งที่หอ” ท้ายประโยคเสียงของฮ่องเต้กลับแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องพูดประโยคนี้ออกไป แต่เพียงแค่เสียงอันแผ่วเบาก็ทำเอาอีกฝ่ายใจเต้นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าโฟโต้เองจะไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนี้กับรุ่นพี่ผู้ชายคนนี้คืออะไร แต่เขาก็ยินดีรับมันไว้เพราะอย่างน้อยมันทำให้เขามีความสุข

                “ขอบคุณครับ”

                โฟโต้หันไปขอบคุณอีกครั้งและหยิบรองเท้าจากถุงออกมาใส่ ก่อนที่ฮ่องเต้จะลุกขึ้นและช่วยพยุงโฟโต้ให้ลุกตาม พอจัดท่าทีได้ลงตัว ทั้งคู่ก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างช้าๆ

               

                แสงแดดยามเย็นสาดกระทบร่างสูงของรุ่นพี่ปีสี่และเฟรชชี่ปีหนึ่งสายรหัส 178 จนเกิดเงาทอดไปบนพื้นถนน เท้าของพวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างมั่นคง ประคับประคองอีกฝ่ายไปตามเส้นทางข้างหน้าอันแสนยาวไกล แม้ว่ากิจกรรมรับน้องจะสิ้นสุดลงไปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่คนที่อยู่ข้างกายกลับช่วยเติมเต็มความทรงจำของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ

                ก้าวแรกของพวกเขาที่ก้าวไปพร้อมกันในวันนี้ อาจจะเป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆ บนทางเดินอันแสนยาวไกล หากแต่มันกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในใจ แม้ว่าคนทั้งคู่จะยังไม่มีใครรู้ตัวเลยก็ตาม

                เมื่อมีก้าวแรก ก้าวที่สองก็ต้องตามมาเสมอ...

            ที่สำคัญ คงไม่มีใครหน้าไหนที่จะหยุดก้าวของตัวเองเอาไว้ที่เพียงแค่ก้าวเดียว...     


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 5 อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง

                วันนี้ คนบาดเจ็บติดแหงกอยู่ที่หอเพราะเนื้อตัวที่ระบมไปหมด โดยเฉพาะตั้งแต่ส่วนสะโพกลามไปยังฝ่าเท้า หลังจากกลับถึงห้องเมื่อวาน เขาก็สลบเหมือดทันทีด้วยความเหนื่อยล้า จนมาสะดุ้งตื่นเอาอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองของอีกวัน อันที่จริง...ที่เขาตื่นก็เพราะเสียงกระเพาะที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องต่างหาก

                โฟโต้ค่อยยันตัวลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ แม้ว่าจะปวดหนึบตามเนื้อตามตัว แต่ก็ยังโชคดีที่พอเดินได้ ร่างสูงจัดการอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความทุลักทุเล หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปหยิบกระเป๋าเงินและย่ำเท้าเตาะแตะไปยังประตูห้อง

                สายตาเหลือบมองรองเท้าแตะสีน้ำตาลคู่ใหม่ที่เพิ่งจะได้มาเมื่อวาน พลันรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เขายังคงจำเหตุการณ์เมื่อวานได้เป็นอย่างดีและชาตินี้ทั้งชาติ เขาคงไม่อาจจะลืมมันไปได้ ส่วนเจ้าของรองเท้าคู่นี้ คงต้องรอลุ้นต่อไปว่าเป็นใคร สองเท้าค่อยสวมรองเท้าคู่นั้นและเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมล็อคกุญแจห้องเสร็จสรรพ

                ไว้ใจไม่ได้ครับ เห็นข่าวออกจะบ่อย ขนาดว่าล็อคห้องแน่นหนา โจรมันยังอุตส่าห์ลงทุนงัดเข้ามาขโมยของได้ ใครจะรู้ว่าผมจะซวยอะไรอีก   

                โฟโต้ลงลิฟต์ไปชั้นล่าง เดินลงบันไดต่ออีกไม่กี่ขั้น ก่อนจะเลี้ยวเข้าร้านอาหารตามสั่งข้างหอเพราะความขี้เกียจปนสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย           

                ช่วงบ่ายสองคนเริ่มบางตา อาจจะเป็นเพราะว่าเลยมื้อเที่ยงมาแล้ว กอปรกับคนที่มาพักที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษามอภัคนลิน ซึ่งออกไปรับน้องกันตั้งแต่เช้า โฟโต้จึงเดินเข้าไปสั่งข้าวผัดแกงเขียวหวานใส่กล่องขึ้นไปกินบนห้อง เสร็จสรรพก็เดินไปสั่งโอริโอ้ปั่นที่ร้านน้ำข้างๆ และระหว่างที่เขากำลังยืนรออยู่นั้นเอง จู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น ด้วยความคุ้นหู ทำให้โฟโต้ต้องหันไปมองและเป็นอันต้องรีบกระเถิบหลบไปแอบหลังพุ่มที่ใช้ประดับภายในร้าน เมื่อสายตาสบเข้ากับรุ่นพี่ที่รู้จัก

                ฮ่องเต้ลุกลี้ลุกลนอยู่ที่โต๊ะอาหารเกือบด้านในสุดของร้าน หลังจากที่เพื่อนรักอย่างนิวพยายามจับผิดเรื่องที่เขาเยี่ยมหน้ามาที่หอนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์มาแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ แต่ดันมาดวงซวยเจอเพื่อนเข้าจนได้ แถมยังเป็นคนปากมากที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดอีกต่างหาก

                “ไอ้ฮ่องเต้ มึงสารภาพมาโดยด่วน อย่าให้กูต้องโมโหเพราะความอยากเผือก!!”

                “เบาๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวคนอื่นก็หันมามองกันหมดพอดี” ฮ่องเต้หันไปมองรอบร้านอย่างหวาดระแวง แม้ว่าภายในร้านจะมีเพียงสองแม่ลูกที่เป็นลูกค้านั่งเกือบด้านนอกสุดของร้านก็ตาม ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะหันกลับมาจ้องฝ่ายตรงข้ามที่เอาแต่จ้องจับผิดเขา โดยทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครอีกคนแอบฟังบทสนทนาของเขากับเพื่อนอยู่อีกหนึ่งคน

                “มึงก็บอกมาดิ ว่ามึงมาทำไม!?” ไม่ถามเปล่า ยังเอาช้อนที่เพิ่งจะใช้ตักข้าวกินจนเสร็จเมื่อครู่ ยกขึ้นมาชี้หน้าผู้ต้องหาคดีบุกหอพักตรงหน้า

                ฮ่องเต้อ้ำๆ อึ้งๆ ยกมือขึ้นมายีหัวจนยุ่งอย่างคนไม่อยากจะตอบคำถาม อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่รู้จะสรรหาคำอธิบายใดมาพูดกับคนตรงหน้าต่างหาก สมองพยายามคิดหาคำแก้ตัวเพราะหากนิวรู้ว่าเขามาทำอะไรที่หอนี้ เป็นอันได้ถูกล้อเลียนไปยันเรียนจบเป็นแน่ แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังคงได้แต่อึกอักอยู่เช่นนั้น

                “ทำไมวะ! กูจะมากินข้าวร้านนี้ไม่ได้หรือไง!”

                ในเมื่อเถียงไม่ออก ก็โวยวายออกไปก่อนก็ได้ล่ะวะ

            “มาได้! แต่มันผิดปกติเว้ย หอมึงอยู่ตั้งไกล แต่ถ่อสังขารพาร่างมากินข้าวถึงที่นี่เนี่ย มันไม่ใช่วิสัยปกติของท่านฮ่องเต้นะครับ”

                “ทีมึงยังมาได้เลย”

                “ก็หอกูอยู่นี่” พูดจบก็ชี้ไปทางหอพักของตน ทำเอาคนที่แอบอยู่ตรงพุ่มไม้ต้องมองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้รู้ว่านิวอยู่หอเดียวกันกับเขา เสร็จสรรพก็หันกลับมามองรุ่นพี่ทั้งสองที่ยังซักถามกันไม่เลิก

                “และมึงก็ไม่มีทางมาหากูที่หอในเวลาแบบนี้ อีกอย่างไอ้ของที่มึงหิ้วมาเนี่ย มันก็ไม่ใช่ของกูแน่นอน ดังนั้นอย่ามาอ้างว่าเอาของมาให้กู”

                ข้อสันนิษฐานของนิวทำเอาฮ่องเต้หุบปากฉับเพราะโดนดักหน้าไปเสียทุกทาง จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยในการสรรหาข้อแก้ตัว

                “สรุปว่ายังไง มึงมาทำอะไรที่นี่ครับ”

                ฮ่องเต้เหลือบมองนิวอย่างเซ็งๆ

                กับตอนเรียนในห้องไม่เคยจะยกมือถามอาจารย์ แต่พอนอกห้องและเป็นเรื่องของกูนี่อยากเผือกจังวะ

                “ไงมึง! จะตอบกูได้ยัง” คนเร่งรัดเอาคำตอบยักคิ้วจึกๆ ทำท่าถือไพ่เหนือกว่า จนอีกฝ่ายถึงกับจ๋อยสนิทและค่อยๆ เปิดปากสารภาพความจริงออกมา

                “กูก็แค่...”

                “น้ำได้แล้วจ๊ะ!!” เสียงป้าร้านน้ำดังขัดจังหวะ ดึงความสนใจจากคนทั้งคู่เพราะจุดที่ป้าแกยืนอยู่คือหลังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก ฮ่องเต้จับจ้องไปยังจุดนั้นก่อนจะตื่นตะลึง เมื่อเห็นร่างสูงของใครอีกคนที่เขาไม่จะเจอในเวลานี้

                ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง! มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?

            นึกขอบคุณตัวเองที่ยังไม่พูดอะไรออกไป ไม่เช่นนั้น ความได้แตกต่อหน้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นแน่  เขามองไปยังอีกฝ่ายอย่างพยายามหาโอกาส เมื่อเห็นว่าโฟโต้หันหลังให้รีบลุกหนีไปทางด้านหลังร้านด้วยความไวแสง

                “อ้าวเฮ้ย ไอ้เต้ๆ” นิวร้องเรียกตามเพื่อนที่วิ่งหายต๋อมไปตรงหลังร้าน สองคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยพลางหันกลับไปมองโฟโต้ที่กำลังยืนคุย ฝ้าย ดาวเด่นปีหนึ่ง ว่าที่ดาวคณะนิติศาสตร์ปี 60 ที่ออร่าเข้าตาเขามาตั้งแต่วันแรก แต่ไอ้เรื่องทีเขาสงสัยคือเรื่องที่เพื่อนของเขาลุกหนีทันทีที่ได้เห็นไอ้เด็กโฟโต้ต่างหาก

                หรือว่ามันจะเอาของมาให้ไอ้เด็กนั่นวะ

           

                ขณะที่อีกด้านของร้าน แม้ว่าอยากจะเผือกเรื่องของพี่ฮ่องเต้มากแค่ไหน โฟโต้ทำได้เพียงแค่ยิ้มและล้วงเงินในกระเป๋าออกมาเพื่อมาจ่ายค่าน้ำ ทว่ากลับไม่ทันอีกมือหนึ่งที่ยื่นมา

                “ค่าโอริโอ้ปั่นค่ะ” เป็นฝ้ายที่จ่ายเงินค่าน้ำแทนเขา ซึ่งป้าก็รับเอาแบงค์กับเหรียญในมือของเธอไปเป็นที่เรียบร้อย ทำเอาโฟโต้ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

                “เธอมาจ่ายให้เราทำไม?” ถามพร้อมกับมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ

                “เราแค่อยากไถ่โทษ ที่เมื่อวานทำเธอเจ็บตัว”

                ฝ้ายตอบออกพร้อมกับแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมาและอธิบายต่อ

                “คือเมื่อวาน เราไม่ทันได้ระวัง เลยพลาดไปเหยียบเท้าเธอ แต่! เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เราสาบานได้ มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ได้ยินมาว่าเธอถึงกับไปรับน้องวันนี้ไม่ได้ เราเลยยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่...”

                “เฮ้ย ใจเย็นๆ” โฟโต้ร้องบอกเพราะน้ำเสียงที่ร้อนรนและสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้เต็มที่

                ฝ้ายเงยสบตากับโฟโต้เล็กน้อยก่อนจะหลุบตาลงต่ำ

                “เราขอโทษ”

                “ไม่เป็นไร เราไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่ากังวลเลย เราไม่โกรธหรอก” เขาตอบพร้อมกับพยายามยิ้มแบบใจดีไปให้

                “ขอบใจนะ ที่ไม่โกรธเรา” ฝ้ายร้องบอกเสียงใสและยิ้มให้กับโฟโต้ “เอ้อ เราชื่อปุยฝ้ายนะ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ต้องขอโทษเธออีกรอบด้วย”

                “อืม เราโฟโต้...”

                “รู้แล้วแหละ”

                “หืม?” โฟโต้ชะงักทันทีกับคำตอบของคนตรงหน้า

                “เรารู้ชื่อเธอแล้ว ก็ในคณะอ่ะ เธอออกจะดัง” และเธอก็เอาแต่ยิ้มกริ่ม จนเขาชักจะสงสัยไอ้คำว่า ออกจะดัง ที่ว่านั้นมันจะใช่ในทางที่ดีหรือเปล่าเพราะเขาไม่อยากจะเสียประวัติตั้งแต่ยังไม่เปิดเรียน

                “ยังไงก็ขอให้หายไวๆ นะ จะได้ไปรับน้องด้วยกัน กำลังสนุกเลย”

                “อืม ขอบใจนะ” เขาตอบกลับเพียงเท่านั้น ก่อนที่ฝ้ายจะขอตัวไปกินข้าวกับแม่

                โฟโต้อดหันกลับไปมองที่โต๊ะเกือบริมสุดของร้านอีกครั้งไม่ได้ ทว่าที่โต๊ะกลับเหลือเพียงแค่นิวที่นั่งกดมือถือยิกๆ อยู่คนเดียว

                ไวชะมัด สมเป็นลูกแมวจริงๆ

            ส่ายหัวอย่างนึกขำ ก่อนจะเดินไปที่เอาข้าวและกลับเข้าหอเพราะแหล่งข่าวหายตัวไปแล้ว นักเผือกอย่างเขาก็ต้องกลับรังอย่างไม่มีทางเลือก

 

                หลังจากเห็นหลังไวๆ ของเด็กปีหนึ่งเดินกลับเข้าหอ คนที่เอาแต่หลบหน้าก็ย่องออกมาจากหลังร้าน สอดสายตามองไปทางหน้าร้านจนแน่ใน จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหันกลับมาเจอสายตามาดร้ายจากนิว

                “มองอะไรมึง”

                “มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกู” คนที่ยังไม่ได้รับคำตอบทวงสิทธิ์เพราะหากวันนี้ไม่ได้รู้ความจริง เขาต้องนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย คล้ายจะเป็นโรคเผือกกำเริบ

                “คำตงคำตอบอะไร กูรีบ กูจะกลับแล้ว!” ไม่ว่าเปล่า ยังหันไปคว้าถุงใส่ของที่เก้าอี้และก้าวขาฉับๆ เดินหนีไปอย่างรวดเร็วชนิดไม่หันหลังกลับมามองคนข้างหลังแม้แต่น้อย

                “ชิส์ มึงหนีได้ กูก็ตามได้เหมือนกันนั่นแหละวะ” ตั้งเป้าหมายกับตัวเองเสร็จสรรพก็พรวดพราดออกไปจากร้านทันที

                แม้ว่าจะเดินออกมาจากร้านและขึ้นมานั่งบนรถซีดานสีขาวประจำตัวแล้วก็จริง ทว่าเจ้าของรถกลับไม่คิดจะขับออกไปแม้แต่น้อย หากแต่ลอบมองสถานการณ์ตรงหน้าผ่านกระจกรถของตน สายตาเอาแต่จับจ้องนิวเพื่อนรักที่เดินกลับเข้าไปในหอ รอเวลาสักพัก จนกระทั่งแน่ใจว่านิวกลับขึ้นห้องไปแล้ว จึงเปิดประตูและกระโดดผลุงลงมาจากรถ

                ฮ่องเต้หิ้วถุงกระดาษที่เป็นเหตุผลหลักที่เขาต้องเยี่ยมหน้ามาที่นี่ แล้วเดินเข้าไปในหอพักอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อถามหาห้องของเจ้าของไอ้ของที่เขาเอามาให้ เสร็จสรรพก็ขึ้นลิฟต์และตรงไปยังห้องของเป้าหมายทันที โดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามเขาอยู่

                ไม่ใช่นิว แต่เป็นรูมเมทอย่างซันที่มาเห็นเพื่อนรักต่างหอของตนเข้าโดยบังเอิญ สองเท้าจึงพาร่างไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์และมองหมายเลขที่ไปหยุดอยู่ตรงชั้นเจ็ด ซึ่งไม่ใช่ชั้นของห้องเขากับนิว ความสงสัยทำให้ซันต้องรีบขึ้นลิฟต์ตามไป จนกระทั่งถึงชั้นเจ็ด

                ซันก้าวออกมาจากลิฟต์และรีบหลบหลังกำแพงทันทีที่สายตาสบเข้ากับร่างสูงอันคุ้นเคย สายตาลอบมองคนที่กำลังเขียนอะไรยุกยิกอยู่ตรงหน้าประตูห้องอย่างจับพิรุธอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะหลบเข้ามุมกำแพง เมื่อฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมามองสำรวจทางเดินและเดินไปทางลิฟต์ โดยทิ้งถุงกระดาษห้อยเอาไว้ตรงหน้าประตูห้องของใครสักคน

                หลังจากเห็นว่าเพื่อนสนิทของตนลงลิฟต์ไปแล้ว ซันก็รีบโผล่ออกมาจากมุมกำแพง กะจะเข้าไปแอบดูของในถุงกระดาษนั้น ทว่าความไม่ทันระวังทำให้ไหล่ของเขากระทบเข้ากับร่างสูงของใครบางคนเข้า

                “ขอโทษครับ/ขอโทษ...”

                สองเสียงประสานกันขึ้น ก่อนที่ซันจะทันได้เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถูกชน ทว่าใบหน้าที่คุ้นตาทำให้เขาต้องชะงัก สองสายตาประสานกันอย่างสื่อความหมายพร้อมกับใบหน้าของซันที่บึ้งตึงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

                ไอ้เปรม...ไม่สิ ต้องเรียกมันว่าไอ้เด็กเปรต แม่งมาได้ไงวะ

                “พี่ซัน...”

                “เรียกกูทำไม”

                น้ำเสียงกระชากของคนเป็นพี่ ทำเอาอีกฝ่ายใจหล่นวูบ มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใดได้

                “แค่แปลกใจที่ได้เจอพี่ที่นี่” แม้ว่าจะพยายามพูดจาดีด้วยเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะนอกจากซันจะเริ่มมองรุ่นน้องตรงหน้าตาขวางแล้ว เสียงที่เปล่งออกมาก็เริ่มแข็งกร้าวตามไปด้วย

                “กูก็อยู่ที่นี่ ดีๆ ของกูมาตั้งนานแล้ว มึงต่างหากที่เพิ่งจะโผล่มา ดังนั้น คนที่ควรแปลกใจคือกู ไม่ใช่มึง”

                ฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบไปอย่างพยายามอดกลั้นความหงุดหงิดเต็มที่ ทว่าก็สะกดกลั้นเอาไว้ได้เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น

                “เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง”

                “ไม่มีความจำเป็นที่กูต้องพูดดีๆ กับคนทรามๆ อย่างมึง”

                “พี่ซัน!”

                “ทำไม โมโหเหรอ จะต่อยกันสักยกไหมล่ะ เผื่อมึงจะได้หลาบจำและมีสติคิดได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร”

                ซันยกยิ้มที่มุมปากเหมือนที่เคยทำและนั่นทำเอาความอดทนของเปรมขาดผึง ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                “นี่มันก็ห้าปีแล้ว ทำไมพี่ไม่ยอมเปิดใจฟังสักทีว่าผมไม่ได้คิดร้ายกับน้องซิน” เปรมหมายถึงน้องสาวที่ซันทั้งรักทั้งหวงและไอ้การที่คนตรงหน้ายังคงดื้อดึงที่จะเป็นศัตรูกับเขาอยู่แบบนี้ ก็เพราะเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ซันเข้าใจผิดและพาลเกลียดขี้หน้าเขาเข้าเต็มๆ

                แม้ว่าเปรมจะพยายามหาทางอธิบายสักเท่าไหร่ ซันก็ยังคงดึงดันที่จะไม่ฟังเพราะทิฐิของตัวเองที่ฝังรากลึก จนปักใจคิดไปเองเรียบร้อยแล้วว่าเปรมก็แค่ผู้ชายทรามๆ ที่พยายามเข้าหาน้องสาวของเขาเพื่อหวังฟัน

                ทว่ายังไม่ทันได้เคลียร์คดีความที่คั่งค้างมายาวนานถึงห้าปี เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะพร้อมกับเด็กปีหนึ่งหน้าใสคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้านหลังเปรม

                “เออ...ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุยกันอยู่” เสียงใสเอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปทางเพื่อนของตน “ถ้าอย่างนั้น กูเข้าไปที่ห้องก่อนนะ มึงคุยเสร็จก็ตามมา”

                ซันลอบมองสองคนที่คุยกันอย่างสนิทสนมด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินหนี ทำให้คนมาใหม่ถึงกับมึนงงทำอะไรไม่ถูกเพราะคิดว่าตนเป็นสาเหตุทำให้ซันไม่พอใจและเดินหนีเปรมไป

                “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจอ่ะ” คนขี้กังวลหันไปบอกกับเพื่อนสนิท ทว่าเปรมกลับส่ายหน้ามาให้

                “มึงไม่ต้องขอโทษหรอกไอ้ฟิวด์ มึงไม่ได้ผิด คนผิดก็คือคนที่ไม่ยอมฟังอะไรนั่นต่างหาก” เปรมมองตามรุ่นพี่ที่ก้าวขาฉับๆ ตามจังหวะอารมณ์จนกระทั่งร่างนั้นเดินเข้าลิฟต์ไป จึงหันหน้ากลับมาหาคนข้างๆ

                “ไปเหอะ” พูดจบก็เดินนำไปยังห้องของตัวเองทันที ขณะที่กาฟิวด์ได้แต่มองทางเดินที่ว่างเปล่าและหันกลับมามองแผ่นหลังของเปรมอีกครั้ง

                “อะไรของมันวะ” เอ่ยกับตัวเองพลางยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ อย่างคนหาคำตอบไม่ได้ ก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนสนิทของตนไปทั้งที่ยังคาใจเรื่องเมื่อครู่อยู่แบบนั้น

               

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ต่อ.......

 หลังจากกลับถึงห้องและจัดการข้าวน้ำที่ซื้อมาจนอิ่มแปล้ เจ้าของร่างสูงก็ไปกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียง โดยมีโน้ตบุ๊คตัวโปรดวางแหมะอยู่ที่ขา สองมือพิมพ์หาอะไรอ่าน ท่องโซเชียลไปเรื่อยจนกระทั่งผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงมือถือกรีดร้องลั่นห้อง ปลุกเจ้าของห้องให้รีบเร่งมารับสาย

                โฟโต้สะลึมสะลือลุกขึ้นมารับโทรศัพท์และเป็นอันต้องสะดุ้งกับเสียงปลายสายที่ตะโกนใส่อย่างไม่คิดว่าคนฟังจะหูดับหรือเปล่า ทำเอาเจ้าของเครื่องชักสีหน้าหงุดหงิดออกมาเพราะนอกจากจะโดนรบกวนแล้ว ยังต้องมาฟังเสียงแหกปากของเพื่อนสนิทอีก

                [ถ้าไม่ลุกมาเปิดประตู กูจะพังเข้าไปแล้วนะโว้ย!!]

                แม่งไปโมโหใครมาวะ ตะโกนเหมือนไม่มีใครให้ระบาย

            “เออๆ เดี๋ยวกูลุกไปเปิด” ตอบกลับไปแค่นั้นและวางสาย พยุงร่างหนักๆ ไปยังประตูและเปิดให้กับเพื่อนรักที่หัวร้อนเพราะถูกปล่อยให้เคาะประตูอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครมาเปิด

                ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปรมก็ถือวิสาสะเปิดไฟในห้อง จนคนที่เพิ่งจะตื่นต้องหยีตาเพราะแสงสว่างจ้า ก่อนจะปิดประตูและเดินตามเปรมกับกาฟิวด์เข้ามาในห้องของตัวเอง

                “เป็นยังไงบ้าง” เป็นกาฟิวด์ที่หันมาถาม ขณะที่เจ้าของห้องเดินงัวเงียกลับไปนั่งที่เตียง ขณะที่เปรมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรื้อเอาถ้วยชามเพื่อเอามาใส่กับข้าวที่หิ้วมาฝากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

                “ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีปวดอยู่นิดหน่อย” โฟโต้ตอบพลางเหลือบไปมองเปรมที่ยังคงวุ่นวายกับการรื้อห้องของเขา

                ไอ้นี่ก็ค้นซะจนกูนึกว่าเป็นห้องมัน

                คิดพลางส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนจะหันกลับมาขมวดคิ้วใส่กาฟิวด์ที่ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่มาให้

                “กูเห็นมันวางอยู่หน้าห้องมึงอ่ะ”

                คำอธิบายของกาฟิวด์ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้คนฟังเข้าไปอีก ก่อนมือเปิดถุงกระดาษใบนั้นออกเพื่อดูของที่อยู่ในนั้นและเป็นอันต้องตกตะลึงเพราะสายตาสบเข้ากับรองเท้าผ้าใบของตน ที่ทำหล่นหายไปเมื่อวาน ทีแรกเขาคิดว่าคงจะไม่ได้คืนแล้ว จึงไม่ได้ตามหา แต่ตอนนี้มันกลับถูกส่งตรงมาหาเขาถึงห้อง แถมยังดูสะอาดสะอ้านกว่าตอนที่เขาใช้ก่อนหน้านั้นเสียอีก

                ใครกันที่นอกจากจะใจดีทำความสะอาดรองเท้าแล้ว ยังอุตส่าห์เอามาส่งคืนเขาถึงที่ห้องอีก

            “ใครเอามาให้วะ” โฟโต้อดหันไปถามเพื่อนของเขาอย่างเสียไม่ได้ ทว่าทั้งกาฟิวด์และเปรมกลับส่ายหน้ามาให้

                “ไม่รู้อ่ะ มาถึง พวกกูก็เห็นมันแขวนอยู่ตรงหน้าห้องแล้ว กูก็นึกว่ามึงจะเอามันเข้ามาในห้องแล้วเสียอีกเพราะกูเห็นมันห้อยเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายสอง”

                เอามาทิ้งไว้ให้นานแล้วเสียด้วย

            พลันความคิดก็สะดุดลงเพราะอีกหนึ่งความคิดที่ดันแทรกขึ้นมากะทันหัน ภาพเหตุการณ์ที่ร้านอาหารใต้หอกลับมาฉายซ้ำราวกับพยายามจะยืนยันอีกความคิดของเขา

                จะเป็นพี่ฮ่องเต้จริงๆ เหรอ

            ท่าทีเลิกลักเหมือนคนมีความลับ หลังจากที่ถูกเพื่อนซักถามอย่างเอาเป็นเอาตายที่เขาได้เห็นเมื่อตอนบ่าย ทำเอาเขาอดสันนิษฐานไม่ได้ว่าใครคนนั้นจะเป็นฮ่องเต้ แม้ว่าความเป็นไปได้มันจะน้อยนิดก็ตาม

                ถึงแม้จะพอได้เห็นความอ่อนโยนของอีกฝ่ายมาบ้าง แต่คำพูดและท่าทางห่ามๆ ก็ยังคงดูขัดกับการกระทำอยู่ดี พอได้ลองจินตนาการถึงภาพที่รุ่นพี่คนนั้นกำลังซักรองเท้าให้เขาแล้ว โฟโต้ถึงกับต้องรีบสลัดภาพนั้นออกไปจากหัวทันที

                สายโหดแบบนั้น จะไปลงทุนซักรองเท้าให้ใครได้

                “มันไม่มีโน้ตอยู่ในถุงเหรอวะ?” คำพูดของเปรมเหมือนแสงสว่าง ชี้บอกทางให้กับเขา

                โฟโต้หันขวับกลับไปค้นถุงกระดาษอีกครั้งและก็พบกับกระดาษเล็กๆ อย่างที่เพื่อนขาโหดของเขาเพิ่งจะพูดถึง

                “เขียนว่าไงวะ!?” เจ้าของคำพูดก่อนหน้านั้น กระโดดผลุงขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความไวแสง ทำเอาโฟโต้อดแขวะในใจไม่ได้

                เรื่องเผือกไวเชียวนะมึง!  ถึงว่าล่ะ คบกับกูได้ (อ่าว)

                แต่กระนั้นก็ยังคงแบ่งปันข่าวสารด้วยการอ่านข้อความให้รู้กันอย่างทั่วถึง

                “โตแล้ว รู้จักซักรองเท้าบ้าง ส่วนถุงเท้าก็ไม่ต้องงก ใช้จนมันเน่าคาเท้า แล้วก็อย่าลืมใส่ยาด้วย จากพี่รหัสปีสี่”

                เมื่ออ่านข้อความบนกระดาษจนเสร็จสิ้น เปรมก็ถือวิสาสะคว้าถุงกระดาษไปเปิดดูและร้องออกมา

                “โห ซักร้องเท้าให้ไม่พอ ยังแถมถุงเท้าให้เป็นแพ็คกับยามาอีกหนึ่งชุดซะด้วย ใจดีผิดปกตินะเนี่ย” ท้ายประโยคหันมาหรี่ตามองโฟโต้ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเอือมระอากับสิ่งที่ได้ยิน

                “พี่รหัสใจดีกับน้องรหัส มันผิดปกติตรงไหนวะ”

                “ผิดตรงที่มันมากเกินไปไง มึงเพิ่งเข้าคณะได้แค่สามวัน หน้าพี่เขา มึงก็ยังไม่เคยเห็น เอาตรงๆ นะ ขนาดกูคบมึงมาเกือบจะเจ็ดปี กูยังไม่เคยคิดจะซักแม้แต่เสื้อให้มึงเลย”

                “ก็นั่นมันมึง ไม่ใช่รุ่นพี่กู” โฟโต้สวนกลับทันควัน เหตุเพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ยักกะเคยเห็นเพื่อนห่ามๆ ของเขาคนนี้ทำงานบ้านเลยสักครั้ง ยิ่งกับตอนทำเวรประจำวันหลังเลิกเรียนด้วยแล้ว มันยังใช้คนอื่นให้ทำให้เลย   

                “เออ! กูจะเป็นยังไงก็ช่างกูเหอะน่า ว่าแต่มึงเถอะ ไม่คิดจะตามหารุ่นพี่สายรหัสตัวเองบ้างหรือไง!?”

                “กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยว่ะ” โฟโต้ตอบกลับเสียงเรียบ ทว่าคนข้างกายทั้งสองกลับดูตกตะลึงราวกับสิ่งที่เขาพูดออกไปได้สร้างปัญหาใหญ่หลวง

                “หาโดยด่วนเลยครับเพื่อน ไม่อย่างนั้นมึงได้อกแตกตายก่อนวันเปิดสายรหัสแน่”

                “กูหรือมึงกันแน่ที่จะอกแตกตาย” โฟโต้หันไปแขวะด้วยความเอือมระอาอย่างถึงที่สุด ทำเอาอีกฝ่ายรีบสวนกลับแทบไม่ทัน

                “ใครจะอกแตกตายก็ช่างแม่งเหอะ เพราะหน้าที่ของมึงคือ...หาตัวรุ่นพี่สายรหัสให้เจอครับ”

                “แล้วกูจะรู้ได้ไงวะ คำใบ้อะไรก็ไม่มี รุ่นพี่คณะกูก็มีตั้งกี่ร้อยคน” พูดออกไปเพราะมืดแปดด้านล้วนๆ ตรงข้ามกับคนที่อยากเผือกเรื่องเพื่อน ซึ่งดวงตาฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างปิดไม่มิด

                “กูมีวิธี”

                ไม่รอช้า เจ้าตัวก็รีบคว้ามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดหยิกๆ เพื่อเข้าเว็บไซต์ของมหา’ลัย

                “เอารหัสนักศึกษาของมึงมา” เปรมเอ่ยปากพูดโดยไม่เงยหน้ามาสบตากับอีกสองคนที่เอาแต่จ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

                “หกศูนย์...” โฟโต้ยอมบอกรหัสนักศึกษาของตัวเองอย่างว่าง่ายจนกระทั่งไปถึงเลขสามตัวสุดท้าย “...หนึ่งเจ็ดแปด”

                “เชี่ย! หนึ่งเจ็ดแปด!?”

                สองเสียงซ้ายขวาประสานกันขึ้น ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงกลางถึงกับสะดุ้ง ขณะที่เปรมเองก็หันขวับกลับมามองหน้าเขาด้วยความตื่นตะลึง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปสบกับกาฟิวด์ที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน ตรงข้ามกับโฟโต้ที่เลิกลักมองหน้าเพื่อนสลับกันไปมาอย่างระแวง

                “อะไรของพวกมึงงงง!?”

                “มึงไม่รู้จริงๆ เหรอ” กาฟิวด์เอ่ยปากถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเรื่องที่พวกเขารู้มา เป็นเรื่องที่ไม่มีนักศึกษาคนไหนในมอภัคนลินที่ไม่รู้ โดยเฉพาะกับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ที่เป็นพยานให้กับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

                “เออๆ ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ตอนนี้ตามหาพี่รหัสของมันก่อน” เปรมบอกปัดและก้มหน้าก้มตากดข้อมูลในมือถือต่อ “มึงเอาปากกากับกระดาษมาจดสิ”

                โฟโต้กระเถิบไปหยิบกระดาษกับปากกาบนหัวเตียงและจดชื่อจริงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยของรุ่นพี่คนแรกตามรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าขอมูลนักศึกษาลงไปตามคำสั่งของเปรม ก่อนที่จะจดชื่อรุ่นพี่คนต่อไปหลังจากที่เปรมเปลี่ยนเลขรหัสสองตัวหน้าในช่องค้นหาใหม่ ให้เป็นปีห้าแปดและห้าเจ็ดตามลำดับ

                หลังจากโฟโต้จดรายชื่อรุ่นพี่ทั้งสามคนลงไปในกระดาษเป็นที่เรียบร้อย เปรมก็หันมาสั่งให้เขาเสิร์ชหาชื่อพวกนี้ในเฟสบุ๊คต่อทันที

                “มันจะเจอเหรอวะ บางคนเขาไม่ได้ใช้ชื่อเฟสเต็มยศนะเว้ย” แม้ว่าจะพูดไปตามความจริง แต่เขากลับโดนเปรมโบกหัวเข้าให้

                “หาๆ ไปเหอะน่า” เปรมหันไปสั่งพร้อมกับจ้องเข้าไปบนหน้าจอมือถือในมือของโฟโต้ต่อด้วยความสนอกสนใจ ขณะที่เจ้าของเครื่องได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับสองมือที่ยังคงกดค้นหารายชื่อไปเรื่อย

                “เฮ้ย! เจอแล้วๆ!!”

                เปรมกับกาฟิวด์อดทำหน้าหมั่นไส้โฟโต้ไม่ได้ เพราะจู่ๆ เพื่อนของเขาก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้คิดแม้แต่จะทำอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่เปรมจะตาลุกวาวหลังจากที่ชะโงกหน้าเข้าไปส่องดูเฟสพี่รหัสปีสองของคนข้างๆ

                “เชี่ย น่ารักว่ะ”

                โฟโต้หันมาโบกหัวคนพูดที่โพล่งอะไรออกมาไม่รู้จักคิด

                “พี่รหัสกูเป็นผู้ชายไหมล่ะ” นี่คือเหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกเหตุผล “แถมยังมีแฟนแล้วด้วย” 

                แต่เพราะชื่อเฟสของแฟนพี่รหัสปีสองที่คุ้นตา ทำเอาสองคิ้วของโฟโต้ต้องขมวดเข้าหากันแน่น

                “มึง...” เช่นเดียวกับกาฟิวด์ที่ร้องเรียกเพราะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเช่นเดียวกันกับเขา “...กดเข้าไปดูเฟสแฟนพี่เขาดิ๊”

                ความอยากรู้อยากเห็นทำให้นิ้วจิ้มไปบนชื่อแฟนของรุ่นพี่ปีสองอย่างไม่คิดและนั่นทำเอาลูกกะตาทั้งหกแทบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อคนที่คบกับพี่รหัสปีสองคือพี่รหัสปีสามของเขาเอง

                “เหี้ยยยยย มันเรื่องจริงเหรอวะ” เปรมสติแตกเป็นที่เรียบร้อย

                “มึงจะอินอะไรเบอร์นั้นวะ สายรหัสคบกันเองแค่นี้” ยังคงเป็นโฟโต้ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเช่นเดิม

                “แต่พี่รหัสปีสี่ของมึงเป็น...ผู้ชาย” พูดจบ กาฟิวด์ก็ก้มลงมองกระดาษในมือข้างหนึ่งของโฟโต้ที่มีชื่อ นายปฐมพงศ์ จารุวงศ์ Patompong Jaruwong อยู่ ทำให้อีกสองคนต้องมองตาม ก่อนที่โฟโต้จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูดอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่

                “แล้วไงวะ?”

                โฟโต้ถามกลับแบบมึนๆ ท่ามกลางเพื่อนสองคนที่มองหน้ากันเลิกลัก ทั้งคู่เริ่มเกี่ยงกันเป็นคนพูดอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่งมีหน่วยกล้าตายคายความลับออกมา

                เปรมสูดลมหายใจเข้าลึกพลางเหลือบมองคนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะเริ่มเล่า

                “มึงจำเรื่องอาถรรพ์สายรหัสที่กูเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม?”

                “ก็...จำได้”

                ถ้ามันหมายถึงไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสของมหา’ลัยภัคนลิน ที่มันพูดกรอกหูผมตั้งแต่ก่อนสอบเข้าล่ะก็...ผมจำได้ดียิ่งกว่าเนื้อหาออกสอบตอนนั้นเสียอีก

             “เออ นั่นแหละ” และเปรมก็ได้แต่แสดงสีหน้าหนักใจออกมา “กูจะบอกว่า...สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด คณะนิติศาสตร์ของมึงอ่ะ เป็นสายรหัสอาถรรพ์”

                โฟโต้นิ่งเงียบไปราวกับคนกำลังใช้ความคิด สองหูยังคงรอรับฟังสิ่งที่เพื่อนกำลังจะพูดต่อ

                “เขาว่ากันว่า...เป็นสายรหัสกินกันเองว่ะ”

                สิ้นเสียงของเปรม หัวใจของโฟโต้ก็กระตุกวูบและเต้นแรงในเวลาต่อมา

                “มึงหมายความว่าไงวะ ที่ว่าสายรหัสกินกันเอง” ปากขยับถามออกไปอย่างต้องการแน่ใจกับความหมายของคำพูดนั้น 

                “กินกันเอง ก็คือได้กันเองไง” เปรมช่วยขยายความ “กูได้ยินมาว่าตั้งแต่นักศึกษารุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน ก็มีแฟนแต่งงานกับคนในสายรหัสตัวเองหมดเลยนะเว้ย”

                “และที่กูกับไอ้เปรมเป็นห่วง ก็เพราะว่าพี่รหัสปีสี่ของมึงเป็น...ผู้ชาย” กาฟิวด์ช่วยเสริมจนโฟโต้เริ่มกระจ่าง

                “ใช่ และตอนนี้ก็เหลือแค่พี่เขากับมึงอ่ะ ที่ยังไม่มีแฟน”

                “ดังนั้น มึงก็คงหนีไม่พ้นหรอก”

                เงียบ...

                ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบเพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เต็มๆ ดันเอาแต่นั่งนิ่ง

                “กูว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องที่รุ่นพี่เขาพูดต่อๆ กันมาก็ได้นะเว้ย”

                แม้ว่าจะเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น แต่เขากลับไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าตัวเองพูดออกมาเพราะไม่เชื่อเรื่องนี้หรือเพราะว่าต้องการปลอบใจตัวเองกันแน่ แถมใจของเขายังเอาแต่เต้นเร็วและแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอกเสียอย่างนั้น

                “แต่พี่รหัสปีสองกับปีสามของมึงก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการคบกันเองแล้วนะ มึงยังจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าอีกหรือไง”  กาฟิวด์พยายามเตือนสติ

                “มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ” ปากของคนฟังยังคงเอาแต่คัดค้าน ทำเอาเปรมถึงกับเหนื่อยใจ

                “บังเอิญที่ว่าทั้งสายรหัสมึงคบกันเองทุกคนทุกคู่เนี่ยนะ ใช้ตรรกะความน่าจะเป็นหน่อยดิวะ”

                และทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกครั้ง...

                “ไอ้โฟ...” กาฟิวด์ค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างระแวงในความเงียบของเพื่อน “...มึงจะลองค้นเฟสพี่ปีสี่ดูหน่อยไหม?”

                “นั่นดิ ไหนๆ ก็เหลือแค่พี่เขากับมึงที่โสดแล้ว ลองดูหน้า ศึกษาประวัติว่าทีแฟนคร่าวๆ เอาไว้ก็ไม่เสียหายนะเว้ย เผื่ออะไรๆ มันดันเป็นจริงขึ้นมา” เปรมหันไปสบสายตากับกาฟิวด์อีกครั้ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับมามองเจ้าของเรื่อง

                โฟโต้หันซ้ายหันขวาและสบกับสายตาเพื่อนรักทั้งสองนิ่ง...

                “กินข้าวเหอะ”

                  เขาเลี่ยงที่จะตอบและพยุงตัวลุกขึ้นเดินหนีไปที่โต๊ะอาหาร ท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองที่มองมาด้วยความเป็นห่วง

                               

                แม้จะกินอิ่ม แต่คืนนั้นเขากลับนอนไม่หลับเพราะในหัวมีแต่เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอยู่เต็มหัวและเขาคงจะไม่คิดมากขนาดนี้ หากรุ่นพี่ที่อาถรรพ์จงใจเลือกให้เขาดันเป็น...ผู้ชาย   

            เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าชีวิต ความรู้สึกและอะไรต่อมิอะไรมากมายจะเป็นเช่นไร หากอาถรรพ์สายรหัสดันเป็นจริงขึ้นมา ที่สำคัญ เขายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเขาเองจะยอมรับความจริงนั้นได้มากแค่ไหน เขาไม่เคยรังเกียจ หากวันหนึ่งจะตกหลุมรักใครสักคนที่มีเพศสภาพเหมือนเขา เพียงแต่เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันต้องเริ่มจากตรงไหนและก้าวเดินต่อไปยังไง มันจะเหมือนความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของเขาไหม แต่ก็นั่นแหละ ที่ผ่านมาเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ความรัก มันเป็นยังไง แม้จะคบกับใคร ผ่านอะไรมาพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกกับใครจนเรียกว่ารักเลยสักคน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่จริงใจกับใครมาจนถึงตอนนี้

            นายธิติกรถอนหายใจแรงๆ ออกมาทีหนึ่งและล้มตัวลงนอน แขนข้างหนึ่งก่ายหน้าผากอย่างคนคิดมาก พยายามข่มตาให้หลับอย่างไม่รู้เลยว่าจะนอนหลับสนิทหรือเปล่า

                ทำไมลูกผู้ชายอย่างผมต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องงมงายพวกนี้ด้วยวะ!? หรือจริงๆ แล้วมันเป็นเหตุผลที่โชคชะตานำพาให้ผมสอบติดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภัคนลินกัน? เรื่องแค่นี้ในความคิด จึงกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกของผมได้ อย่างกับทุกอย่างมันถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรกเสียอย่างนั้น...

                คิดไปพลางถอนหายใจไปพลาง ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องของตน ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

 

                ค่ำคืนอันแสนสั้นผ่านไปท่ามกลางหมู่ดาวพราวระยับบนผืนฟ้า สายลมแห่งคืนวันได้พัดผ่านไปท่ามกลางความเงียบงันและท่ามกลางเด็กปีหนึ่งจำนวนมากที่หลับใหลด้วยความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมในวันนี้ หากแต่มีใครบางคนที่ไม่อาจจะหลับตาลงได้ แม้ว่าภายในห้องจะปิดไฟมืดมานานกว่าหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

                ฮ่องเต้ลืมตาเหม่อมองไปยังเพดานท่ามกลางความมืด หากแต่บางอย่างกลับยังคงชัดเจนในความทรงจำ เขาเองก็คิดมากไม่ต่างจากเด็กปีหนึ่งคนนั้น ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดในฐานะน้องรหัสปีหนึ่งของเขา หากแต่สิ่งที่อยู่ในใจของเขามันคือความสับสน ใช่ เขากำลังสับสนว่าควรจะทำอะไรหรือไม่ควรจะทำอะไร ในใจก็เอาแต่คิดว่าเด็กคนนั้นจะรู้หรือยังว่าใครคือพี่รหัสปีสี่ แล้วเด็กนั้นจะรู้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองไหม แล้วถ้าเกิดเด็กคนนั้นรู้...จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปนับจากวินาทีนั้นบ้าง

                ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ แต่พอพยายามจะหลงลืมมันไป ทุกอย่างกับพร้อมใจกันผุดขึ้นมาในหัวจนเขาไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ก็ช่างเถอะ สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ เห็นจะเป็นการพยายามไม่เข้าใกล้และสร้างความรู้สึกอะไรบางอย่างกับเด็กคนนั้นให้มากที่สุด

                มันคงจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอีกหนึ่งปีที่เหลือในรั้วมหา’ลัยภัคนลินแห่งนี้ต่อไปได้ ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาถรรพ์สายรหัสที่จะจับคู่ให้เด็กคนหนึ่งคนนั้นในปีต่อๆ ไป

 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 6 แค่รู้สึกว่าน่าแกล้ง

                เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน...

                เสียงมือถือกรีดร้องลั่นจนคนที่เพิ่งจะหลับตานอนต้องตื่นขึ้นมารับด้วยความหงุดหงิดและเป็นอันต้องหัวเสียเข้าไปอีก เมื่อได้รู้ว่าปลายสายคือ สีฝุ่น ลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักมักที่ชัง ซึ่งใจกล้าหน้าด้าน ออกคำสั่งให้คนเป็นพี่อย่างฮ่องเต้ไปรับที่ร้านเหล้าด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นสุดๆ ว่า

                ผมเป็นผู้ชายบอบบาง ตัวเล็กๆ เกิดถูกไอ้หนวดหน้าไหนฉุดไปปล้ำ แล้วใครจะช่วยผมล่ะ

            ด้วยความใจดีและกลัวมันโดนปล้ำ (อันที่จริงคือรำคาญที่มันตามตื๊อไม่เลิก) พี่ชายที่แสนดีอย่างเขาเลยต้องมาติดแหงกอยู่บนรถในเวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้

                สองมือหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในซอย ซึ่งเป็นย่านสังสรรค์ของเหล่ามนุษย์กลางคืนทั้งหลายและอย่างที่รู้กันว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากทั่วสารทิศ สอดสายตามองหาจนกระทั่งเจอร้าน T ที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้บอกกล่าวเอาไว้  จึงหาที่จอดรถและโทรตามเจ้าตัวการที่คอยโทรมาเร่งเขาทุกๆ สิบนาที

                “กูอยู่ลานจอดรถ มึงอยู่ไหน”

                [เฮียยยยยยยย] เสียงอ้อแอ้ดังมาตามสาย [มารับผมข้างในร้านหน่อยดิ ไม่ไหวแล้วอ่า]

                 คำพูดของฝ่ายตรงข้ามทำเอาฮ่องเต้ถึงกับเหลือกตาขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

                ใช้กูมารับ แล้วยังจะให้กูไปลากสังขารมึงออกมาจากร้านอีก

            “ออกมาเองดิวะ เร็วๆ ด้วย กูจะรออยู่ในรถ”

                [ไม่เอาอ่ะ เฮียยยยย มารับผมหน่อยเด้ ผมม้ายหวายล้าวววววว]

                ฮ่องเต้นิ่งเงียบ สมองพยายามประมวลความคิดถึงสิ่งที่ควรทำในเวลานี้

                ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะเข้าไปรับ หากแต่ชุดของเขาต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะความเร่งรีบปนขี้เกียจ ทำให้เขาลากตัวเองออกมาจากห้องด้วยสภาพเสื้อยืดกับกางเกงบอล อนึ่งเพราะภาพในหัวที่คิดไว้คือเขาขับรถมาถึงปุ๊บ สีฝุ่นปั๊บและเขาก็ขับรถออกไปทันที ใครจะไปคิดว่าจะต้องเข้าไปข้างร้าน

                ไหนตอนแรกบอกจะให้กูมารับเฉยๆ ฟระ!!

            คนเป็นพี่อดบ่นกับตัวเองอย่างเสียไม่ได้ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงปิดต่อมคนดีในตัวและนอนหลับที่หออย่างสุขสงบต่อไปแล้ว ไม่ออกมาเผชิญอากาศเย็นๆ ช่วงดึก ทั้งที่พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเข้าคณะและทำอีกสารพัดกิจกรรมหรอก

                [นะเฮีย นะครับ น้าคร้าบบบ ]

                “เออ! เดี๋ยวกูเข้าไป ว่าแต่มึงอยู่ตรงไหน” ปากว่าออกไปด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก

                [โซนข้างในสุดเลยเฮีย แถวโต๊ะที่พวกเพื่อนเฮียชอบมานั่งอ่ะ] พูดจบก็เรอใส่ทั้งที่ยังไม่ว่างสาย

                ฮ่องเต้ดึงมือถือออกห่างอย่างรู้สึกรับไม่ได้ ก่อนจะรับกดวางสายและหันไปควานหาบัตรประชาชนในกระเป๋าตังค์ เสร็จสรรพก็ลงจากรถและตรงดิ่งไปยังทางเข้าซึ่งมียามนั่งหน้าโหดอยู่ประจำตำแหน่ง ฮ่องเต้ส่งยิ้มและยกมือไหว้อย่างคนคุ้นเคยและยื่นบัตรประชาชนไปให้ดูพอเป็นพิธี ก่อนจะยื่นมือไปรับตราประทับของทางร้าน

                “คิดไงมาคนเดียวะไอ้น้อง แถมมาชุดนี้อีก กักตัวไม่ให้เข้าดีไหมเนี่ย” คนตรงหน้าเอ่ยทัก ก่อนจะหลุดขำกับเสื้อผ้าสุดแสนจะธรรมดาของเขา

            เสื้อยืด กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ

                เหมือนเตรียมมานอนในร้านเหล้า แทนที่จะมาเที่ยว และในใจเขาก็คาดโทษไว้กับสีฝุ่นไปแล้วด้วย 

                “โห พี่ ให้ผมเข้าเถอะ ผมมารับไอ้ฝุ่นมันอ่ะ ท่าทางจะเมายับแล้วด้วย”

                “กูก็แค่แซวเล่น ร้านนี้ไม่ได้คนเข้าเสียหน่อย ฮ่าๆ” คนตรงหน้าว่าขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีที่นึกอะไรขึ้นมาได้

                “ว่าแต่ไอ้สีฝุ่นเหอะ แม่งห่าอะไรลงวะ กูเห็นมันเข้ามาตั้งแต่ร้านเปิดแล้วนะเว้ย ป่านนี้เพิ่งจะให้มึงมารับ แถมมันยังมาแดกเหล้าสามสี่วันติดกันแล้วมั้งเนี่ย”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นเพราะเดิมทีลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ไม่ใช่สายดื่ม และมันก็จะไม่มีทางดื่มหนักเป็นแน่ หากไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรในใจที่บอกใครไม่ได้

                มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ

                ฮ่องเต้รีบเข้าไปในร้านด้วยความเป็นห่วงและทันทีที่เท้าก้าวเหยียบข้างในร้าน เขาก็รีบสอดสายตามองหาเป้าหมาย ขณะที่สองขาก็พาร่างของตัวเองไปยังโซนข้างในสุดของร้าน ท่ามกลางกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งไปทั่ว เสียงเพลงดังกระหึ่ม ท่ามกลางนักดื่มที่กำลังสนุกได้ที่

                หลายสายตาต่างพากันจับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา ไม่ใช่เพราะความหล่อหรอก แต่เพราะสภาพเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าตัวเนี่ยแหละ โดยเฉพาะกับผู้ชายบางกลุ่มที่เหลือบมองขาขาวที่โผล่พ้นร่มผ้าของเขาตาเป็นมัน ทำเอาฮ่องเต้ต้องรีบก้าวขาฉับๆ เดินไปตามหาไอ้สีฝุ่นทันที

                “สวัสดีครับ พี่เต้!” รุ่นน้องที่โต๊ะหันมายกมือไหว้กันเป็นแถวเพราะรู้จักกันดีในฐานะพี่ชายเพื่อนอยู่แล้ว

                ฮ่องเต้รับไหว้พวกรุ่นน้องแบบลวกๆ ก่อนจะปรายตามองเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่เลื้อยไปกับที่นั่งอย่างไร้สติ

                “ไหวไหมพี่ ให้ผมช่วยป่ะ” หนึ่งในคนที่นั่งอยู่หันมาถาม

                “เออ ขอบใจเว้ย” ซึ่งฮ่องเต้ก็ยินดีรับความช่วยเหลือนั้นทันทีเพราะสภาพของสีฝุ่นที่ดูแทบไม่ได้ ก่อนจะหันไปเรียกคนที่กลายเป็นตัวภาระในความคิดของตนไปเรียบร้อยแล้ว

                “ไอ้ฝุ่น! ไอ้สีฝุ่น!!”

                คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยตาปรือ “อ้าววววว เฮียยยยย”

                “ไม่ต้องมาองมาอ้าวเลย ไป! กลับได้แล้ว” ปากก็ร้องบอกไป ส่วนตัวก็เข้าไปพยุงร่างที่โคตรของโคตรจะหนักขึ้นมา โดยมีเพื่อนของสีฝุ่นคอยช่วย แต่พอเดินออกห่างจากโต๊ะได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว สีฝุ่นก็โงหัวพร้อมกับยกมือขึ้นมาห้าม

                “เดี๋ยวก่อนเฮีย...” เว้นจังหวะพลางทำหน้าพะอืดพะอม “...ผมจะอ้วก”

                “เหี้ยยยย มึงอย่ามาอ้วกใส่กูนะเว้ย” เป็นอันต้องร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “พามันไปห้องน้ำดีกว่าพี่ ขืนปล่อยมันไป ไม่อ้วกในร้านก็ในรถพี่แน่ๆ”

                ฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดนั้นอย่างถึงที่สุด จึงหันกลับไปบอกกับเพื่อนน้องมันว่า...

                “เออว่ะ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวกูพามันกลับเองก็ได้”

                “ไหวเหรอพี่ ไอ้ฝุ่นมันหนักจะตาย แถมยังตัวสูงกว่าพี่อีก” แม้ประโยคหน้าจะแสดงความเป็นห่วง หากแต่ประโยคหลังกลับทำเอาคนเป็นพี่ฉุนกึก

                ตัวสูงกว่าแล้วไงวะ แค่แบกลูกพี่ลูกน้องตัวเองแค่นี้ เรื่องเล็กเถอะ ชิส์

                “เออ กูไหว มึงนั่งดื่มกับเพื่อนต่อเถอะ” พยายามพูดออกไปแบบไม่กระแทกเสียง

                “แน่ใจนะครับ ว่าพี่จะไม่ให้ผมช่วย”

                “เออ ครับ” เป็นอันต้องเน้นคำอย่างชัดเจนเพราะอีกฝ่ายที่เซ้าซี้ไม่เลิก

                “โอเคพี่ ยังไงก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

                หลังจากบอกลาด้วยประโยคคลาสสิกเสร็จสรรพ ฮ่องเต้ก็พยุงร่างสีฝุ่นและหมุนตัวเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องน้ำ และทันทีที่เข้ามาข้างใน ก็ต้องเข้าไปช่วยลูบหลังให้คนเป็นน้องที่อ้วกออกมาแต่น้ำ ก่อนที่มันจะล้างหน้าล้างตาและยืนหลับตาพิงกำแพงห้องน้ำ

                ฮ่องเต้ยืนมองสีฝุ่นอยู่อย่างนั้นและเอาแต่คิด...

                ท่าทางมันจะมีเรื่องเครียดหนักจริงๆ

            “ไงมึง ไหวไหม” ฮ่องเต้ถามออกไปพร้อมกับจ้องหน้าสีฝุ่น

                ฝ่ายตรงข้ามลืมตาขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ

                “ไหวดิ ผมน้องเฮียนะ” มันพยายามฝืนยิ้มและก็เป็นฮ่องเต้ที่เป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาแทน

                “ไปคุยกันที่หอ”

                พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นและพยุงคนที่เริ่มจะสร่างเมาขึ้นมาบ้าง แม้จะเดินเซและอ่อนแรงไปบ้างก็ตาม

                ท่าทางไอ้ขวดที่วางเกลื่อนโต๊ะนั่นจะเป็นของมันล้วนๆ

                “มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่อ้วกอีก” คนเป็นพี่หันไปถามระหว่างออกมาจากร้านและเดินไปที่รถ

                “สาบานว่าผมไม่มีทางอ้วกใส่รถเฮียแน่ ฮึกกกก” เอ่ยปากเสียดิบดี แต่ดันมีการทำท่าจะขย้อนของในท้องออกมา ทำเอาฮ่องเต้เผลอร้องเสียงหลงไปทีหนึ่ง

                “กูว่ามึงอ้วกแน่ๆ”

                “ไม่อ้วกหรอกน่า” คนที่ยังไม่สร่างเมาดีเริ่มโวยวายและทำท่าพะอืดพะอมขึ้นมาอีกระรอก

                ท่าทางไม่น่าไว้วางใจของสีฝุ่น เพิ่มความเป็นห่วงให้กับฮ่องเต้ ไม่ใช่ห่วงว่ามันจะอ้วกเลอะรถหรอก แต่ห่วงสภาพจิตใจต่างหาก สายตาอันแสนอ่อนโยนจับจ้องไปยังใบหน้าอึนๆ อย่างพินิจพิจารณาว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขาต้องจัดเหล้าจนเมาหนักแบบนี้

                คงจะไม่ใช่เพราะไปอกหักจากใครมาอีกนะ

            เพราะถึงแม้หน้าตา ท่าทางมันจะดูกะล่อน แต่เขารู้ดีว่ามันจริงใจกับทุกคน ยิ่งถ้าได้รักใครเข้าแล้ว ก็จะรักแบบชนิดที่ว่าถอนตัวไม่ขึ้น 

                “ฮึกกกกก” สีฝุ่นทำท่าจะอ้วกอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถ ฮ่องเต้จึงจัดการดันตัวมันให้ยืนพิงข้างรถเอาไว้และรีบหันไปล้วงกุญแจรถในกระเป๋ากางเกง

                “เฮ้ย! ดีๆ มึง” ยังไม่ทันที่จะเปิดประตู ก็ต้องหันไปคว้าตัวคนข้างๆ ให้กระเถิบเข้ามาชิดรถอีกหน เมื่อสีฝุ่นทำท่าจะโงนเงนไปข้างหน้า จนเกือบจะหัวฟาดกับรถคันข้างๆ

                และระหว่างที่เขากำลังเปิดประตูรถนั้นเอง สีฝุ่นก็ผงกตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนเขาคว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน พอตั้งสติได้อีกทีก็พบว่าคนเป็นน้องขย้อนทุกสรรพสิ่งในท้องออกมาเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องมันไม่ได้จบอยู่เพียงแค่ตรงนั้น

                “เชี่ยยยยย” ฮ่องเต้แทบจะสบถลั่นออกมาทันทีที่สายหันไปปะทะเข้ากับใครบางคนและภาพตรงหน้าก็ทำเอาเขาแทบตาถลน

                ภาพเด็กผู้ชายเสื้อเปื้อนอ้วกของคนข้างตัวเขา...

                จังหวะนรกฉิบหาย ดันมาลงจากรถตอนไอ้สีฝุ่นอ้วกพอดีเป๊ะ

                คิดในใจและหันไปมองคนข้างกายอีกหน

                นี่ก็อีกคน หาเรื่องให้กูซวยอีกแล้ว

            “เฮ้ย น้อง พี่ขอโทษ” เป็นฮ่องเต้ที่เป็นฝ่ายขอโทษขอโพยคนตรงหน้า ก่อนจะพยุงสีฝุ่นที่ยืนพิงรถด้วยความเหนื่อยหอบ

                “มะ...ไม่เป็นไรครับพี่” ถึงปากจะบอกไม่เป็นไร แต่สีหน้าพะอืดพะอมบ่งบอกว่าลึกๆ ภายในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น

                “รอเดี๋ยวนะ” ฮ่องเต้เปิดประตูหลังและยัดร่างสีฝุ่นเข้าไป เสร็จสรรพก็ควานหากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองและค้นเสื้อยืดออกมาให้คนตัวเล็ก (นึกขอบคุณที่เป็นคนชอบพกเสื้อผ้าสำรองติดตัว เผื่อเอาไว้เปลี่ยนเวลาไปออกกำลังกายกับเพื่อนเสร็จ)

                “เปลี่ยนซะ ตัวเหม็นหมดแล้ว”

                คนตัวเล็กมองเขาอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับไป “เอ่อ ขอบคุณครับ”

                ก่อนที่จะเอาแต่ยืนถือเสื้อของเขาอยู่แบบนั้น

                “ไม่เปลี่ยนล่ะ” เขาถามออกไปอย่างสงสัยเพราะท่าทางเงอะงะ แถมยังเขินๆ ยังไงชอบกล

                หรือว่าไม่กล้าถอดเสื้อต่อหน้าคนอื่น?

            “เอาเข้าไปเปลี่ยนในรถก็ได้นะ พี่ไม่ดูหรอก” หลังจากตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น เขาก็หันหลังให้และทำทีเข้าไปจัดท่านอนของคนที่หมดสติไปเสียดื้อๆ

                เมื่อเห็นเช่นนั้น คนตัวเล็กก็มุดกลับเข้าไปในรถและจัดการเปลี่ยนเสื้อทันทีเพราะสภาพและกลิ่นที่ตัวเองไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป เสร็จสรรพก็มุดกลับออกมาและปิดประตูรถ

                “เอ่อ พี่ครับ” เอ่ยปากเรียกคนที่ยังคงวุ่นวายอยู่ในรถของตัวเอง

                ฮ่องเต้หันกลับมามองตามเสียงเรียก ทว่าเขาเกือบจะหลุดขำออกมาเพราะเสื้อยืดตัวโคร่งสีเข้มที่ไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักของคนตรงหน้าสักนิด

                “ผมรบกวนขอเบอร์พี่หน่อยได้ไหมครับ จะได้เอาเสื้อไปคืน”

                “เอ๊ย ไม่ต้องคืนก็ได้ พี่ให้” พูดจบก็ยิ้มให้รุ่นน้องด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อมีโอกาสได้มองสำรวจหน้ารุ่นน้อง

                จะว่าไปหน้าตาน้องมันก็คุ้นตาเหมือนกันแหะ เหมือนเคยเจอที่ไหนหว่า

            “ไม่เอาพี่ ผมเกรงใจอ่ะครับ”

                แถมไอ้ท่าทีขี้เกรงใจแบบนี้ด้วย...

            “พี่ครับ พี่!”

                “หะ...หะ?” ฮ่องเต้เผลอตกใจเพราะเมื่อครู่ มัวแต่เหม่อ

                “เอาเบอร์พี่มาเถอะครับ หรือจะที่อยู่ก็ได้ ผมจะได้ซักแล้วเอาไปคืน” ไม่ว่าเปล่า ยังยื่นมือถือมาจ่อตรงหน้าอีกต่างหาก แถมยังทำหน้าตาน่าเอ็นดูเข้าไปอีก

                “โอเคๆ เดี๋ยวพี่ให้เบอร์เราไปก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็คว้ามือถือมากดเบอร์โทรตัวเองลงไป ก่อนจะนึกอะไรแผลงๆ ขึ้นมาจึงกดลบตัวเลขทั้งหมดและกรอกอีกเบอร์หนึ่งลงไปแทน

                “อะ เรียบร้อย” ยื่นมือถือคืนให้คนตัวเล็ก “แล้วถ้ามีโอกาสพี่จะให้น้องพี่มันไปไถ่โทษที่ทำเสื้อเราเปื้อนนะ”

                “ไม่ปะ...”

                “ห้ามปฏิเสธ” เขาขัดคนตัวเล็กได้ทันควัน ท่าทางเกรงใจของคนตรงหน้าทำให้ฮ่องเต้รู้สึกถูกชะตาอย่างน่าประหลาด แถมยังคิดว่าหากเขามีน้องชายแบบนี้สักคน คงได้หวงจนตามเฝ้าเช้าเย็นแน่ๆ

                “จริงด้วย ผมลืมไปเลย” จู่ๆ ก็ร้องออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ทำเอาฮ่องเต้สะดุ้งตามก่อนจะหัวเราะกับคำถามถัดมา “พี่ชื่ออะไรครับ?”

                “ฮ่องเต้ เรียกกู...เอ่อ” พลันปากก็ชะงักด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่จะใช้สรรพนามเช่นนั้นกับรุ่นน้องตรงหน้า “...เรียกว่าพี่เต้ก็ได้”

                ทว่าคนตัวเล็กกลับหัวเราะออกมากับท่าทางของเขา

                “พี่จะพูดกูมึงกับผมก็ได้นะครับ ปกติผมกับเพื่อนก็พูดกันแบบนี้”

                และเขาก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ

                ใครจะไปรู้ล่ะวะ ท่าทางก็เหมือนคุณหนู ไม่น่ามาอาศัยอยู่กับสรรพนามมึงกูได้นี่หว่า

            “ผมชื่อกาฟิวด์นะครับ เรียกผมฟิวด์ก็ได้” ร้องบอกพร้อมกับยิ้ม

                ใบหน้าหวานๆ ทำเอาฮ่องเต้อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้

                ผู้ชายบ้าอะไรน่ารักขนาดนี้

            “แล้วนี่มาเที่ยวคนเดียวเหรอ”

                อยากถามเหลือเกินว่าไม่กลัวถูกฉุดบ้างหรือไง เปราะบางน่าถะนุถนอมขนาดนี้

            “เปล่าครับ ผมมากับเพื่อน แต่ว่ารถเสีย มันเลยให้ผมรออยู่ในรถอ่ะครับ”

                ฮ่องเต้มองหน้ากาฟิวด์อย่างชั่งใจเพราะคิดไปว่าจะใช้โอกาสนี้เป็นการไถ่โทษ

                “ถ้าอย่างนั้น ให้พี่ไปส่งไหม”

                “จะดีเหรอพี่ ผมเกรงใจ”

                คนตัวเล็กปฏิเสธตามคาด ทำเอาฮ่องเต้แอบเซ็งเพราะลึกๆ ในใจไม่ได้คิดแค่เรื่องไถ่โทษอย่างเดียว หากยังนึกไปถึงคนที่สลบเหมือดอยู่ข้างตรงเยาะหลังนั่นต่างหาก

                “เอาน่า ถือเป็นการไถ่โทษเรื่องที่...” เหลือบตาไปมองข้างหลังรถเล็กน้อย “...ที่มันอ้วกใส่เราอ่ะ”

                คนตรงหน้านิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ “ผมขอโทรถามเพื่อนก่อนนะครับ”

                “เอาสิ เดี๋ยวพี่ไปรอในรถนะ” พูดจบก็ทำทีเปิดเข้าไปนั่งเล่นมือถือในรถรอไปพลาง จนกระทั่ง...

                “พี่เต้ครับ!” กาฟิวด์หันมาเรียก

                “ว่าไง” หันไปถามพร้อมกับยิ้มแบบใจดี ก่อนที่จะหุบยิ้มฉับ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่เพิ่งจะเดินมาถึง ใครคนนั้นเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยและฉีกยิ้มกว้าง ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้านิ่งให้กับความซวยที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว

                ใครจะไปคิดว่าคนน่ารักจะคบค้าสมาคมกับไอ้เด็กโรคจิตนั่นกันล่ะวะ!

                “นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่ฮ่องเต้นี่เอง” เป็นคำทักทายที่ฟังดูไม่รื่นหูสำหรับฮ่องเต้สักนิด ไม่วายยังกวนประสาทเขาในตอนท้ายอีกต่างหาก “มาเที่ยวคนเดียว ไม่กลัวถูกฉุดเหรอครับ” 

                “กลัวไปต่อยปากคนแถวนี้มากกว่า” คนสวนกลับทันควันอย่างคนลืมตัวว่าจะพยายามไม่สุงสิงหรือต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้า ขณะที่สองขาก็ก้าวขาลงจากรถมายืนประจันหน้ากับรุ่นน้องทั้งสองคน

                “รู้จักกันด้วยเหรอ” กาฟิวด์มองฮ่องเต้สลับกับโฟโต้

                “เขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะ” โฟโต้หันไปตอบเพื่อน แต่ไม่วายเดินเข้ามาใกล้จนฮ่องเต้ระแวง เผลอก้าวถอยหลัง “พี่รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่ารถผมเสีย”

                “เออ รู้แล้ว” ปากก็ตอบไป มือก็พยายามผลักคนตรงหน้าออกไปพลาง แต่นอกจากมันจะไม่ยอมถอยออกไปแล้ว ยังฉวยโอกาสจับมือรุ่นพี่ที่อายุห่างกันเกือบสามปีอีก

                “พี่จะให้ผมกลับด้วยใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับต้องการสะกดจิตคนตรงหน้า

                “ปล่อย” แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ผล โฟโต้จึงกระชับมือของฮ่องเต้แน่นและพูดอย่างเอาแต่ใจ

                “คนถามยังไม่ได้คำตอบเลยนะครับ”

                “...”

                “ว่าไงครับ จะให้ผมกลับด้วยใช่หรือเปล่า”

                สุดท้ายรุ่นพี่ปีสี่ก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาจ้องหน้ารุ่นน้องปีหนึ่งแบบเคืองๆ และตอบกลับไป

                “เออ!” 

                แต่หากน้ำเสียงกระชากและคำตอบสั้นๆ กลับยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับอีกฝ่าย

                “อะไรกันครับ เออของพี่เนี่ย ผมไม่เห็นเข้าใจเลย”

                ทุกคำพูดล้วนมาจากความอยากแกล้งของเขาล้วนๆ

                “กวนตีนกูละ มึงอ่ะ” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับชักมือกลับและผลักคนตรงหน้าให้ถอยห่าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่าย ขณะที่กาฟิวด์ก็ได้แต่มองเพื่อนรักที่ทำตัวกวนประสาตรุ่นพี่ที่คณะด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าการหยอกล้อ

                ใครใช้ให้พี่น่าแกล้งล่ะครับ

            โฟโต้เอาแต่นึกขำ โดยหารับรู้ถึงความผิดปกติของพฤติกรรมของตัวเองไม่ เช่นเดียวกับคนที่เอาแต่หงุดหงิดใส่ฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลาอย่างฮ่องเต้ เขาเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าการโต้ตอบกันในระยะเวลาสั้นๆ มันได้ทำให้หัวใจของเขาซึมซับอะไรบางอย่างเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว

                “กวนตีนอะไรกันครับ ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพี่หมายถึงอะไร”

                ยังๆ ไม่หยุดอีกนะ ไอ้โรคจิตปีหนึ่ง!

            “มึงก็โตพอที่จะรู้ว่ากูหมายถึงอะไร” ฮ่องเต้แอบมองค้อนใส่ทีหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “แล้วอันที่จริงเนี่ย กูชวนแค่น้องฟิวด์ ส่วนมึง...ถ้าจะกลับก็ขึ้นรถ”

                “ปากร้ายใจดีนะครับ พี่ฮ่องเต้” ปากก็ว่าไป ขณะที่มือก็ยกขึ้นมาหยิกแก้มฝ่ายตรงข้ามอย่างลืมตัว เพราะความสุขเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาในใจได้บดบังทุกสถานะระหว่างเขากับคนตรงหน้าไปแล้วเรียบร้อย คงมีเพียงแค่กาฟิวด์คนเดียวที่เอาแต่จับจ้องการกระทำของเพื่อนอย่างไม่วางตาเพรา

                “ใจดีแบบนี้ รุ่นน้องทั้งคณะ เขาไม่รักพี่ตายเลยเหรอครับ”

                “เชี่ยอะไรมึงเนี่ย!” ฝ่ายตรงข้ามเอ็ดตะโรใส่พร้อมกับปัดมือของคนที่เด็กกว่าตนออก

                มึงก็ผู้ชาย กูก็ผู้ชาย น่าเกลียดฉิบหาย มาจับแก้มกันแบบนี้ รู้ตัวบ้างดิวะ กูรุ่นพี่คณะมึงนะเว้ย

                แม้ว่าจะหงุดหงิด หากแต่ลึกๆ กลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอย่างที่คิด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ใจเต้นขึ้นมาเสียได้ ความรู้สึกไหววูบนั่นทำเอาฮ่องเต้ถึงกับต้องสบถในใจลั่น

                มึงอย่ามาใจเต้นกับไอ้เด็กโรคจิตนี่นะเว้ย มันแค่แกล้ง เข้าใจไหมว่ามันแกล้งมึงให้มึงหงุดหงิดอยู่โว้ยยย

            ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าฟืดใหญ่และพูดใส่คนตรงหน้า “ถ้ามึงไม่เลิกหาเรื่องกูล่ะก็ กูจะปล่อยมึงทิ้งไว้นี่แหละ”

                “อะไรกันครับ ผมยังไม่ทันหาเรื่องอะไรพี่เลยนะ ที่สำคัญ นี่ก็ดึกมากแล้วนะครับ ทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้ พี่ไม่กลัวเหรอ” ท้ายประโยคส่งเสียงอ้อนคนตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องปั้นหน้าหงุดหงิดใส่อย่างต้องการจะปกปิดความรู้สึกแปลกๆ ข้างใน

             “กลัวอะไรของมึง”

                “ก็กลัวไม่มีใครปกป้องพี่ตอนถูกฉุดไงครับ” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาฮ่องเต้ฉุนขาด ถึงกับเงยหน้า สบสายตากับเด็กปีหนึ่งและถามกลับเสียงเรียบว่า

                “มึงจะกลับไหม” คำพูดของเขาเหมือนเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้าย จนอีกฝ่ายต้องเลิกแกล้ง

                “กลับครับ แต่ผมขอโทรบอกช่างก่อนนะครับ” ร้องบอกออกไปก่อนจะออกไปโทรศัพท์

                “ขึ้นรถเลยก็ได้นะ” ฮ่องเต้หันไปบอกกาฟิวด์ที่ยังยืนมึนกับการโต้เถียงกันเมื่อครู่ไม่หาย ก่อนจะร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ “เอ๊ย! เดี๋ยวพี่พาไอ้ฝุ่นไปนั่งข้างหน้าเอง”

                เท่านั้น คนตัวเล็กก็โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งกับพี่...”

                พูดได้เพียงแค่นั้น ก็หันกลับมามองหน้าฮ่องเต้เพราะไม่แน่ใจกับสรรพนามที่ใช้เรียกคนที่หลับอุตุอยู่ในรถ

                ฮ่องเต้เหลือบตาไปมองคนในรถเล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “พี่สีฝุ่น มันอยู่ปีสอง”

                “ครับ เดี๋ยวผมนั่งกับพี่เขาก็ได้ครับ จะได้ไม่ลำบากพี่เต้” หันมาบอกอย่างเกรงใจ “ที่สำคัญ ให้โฟโต้นั่งหน้ากับพี่เต้ดีกว่าครับ มันบอกทางเก่ง”

                แม้จะแอบหัวเสียกับประโยคสุดท้ายเพราะไม่อยากโดนโฟโต้กวนประสาตใส่ไปตลอดทาง แต่เพราะข้อเสนอแรกที่เป็นอันพออกพอใจ จึงให้อภัยได้ ทว่ารอยยิ้มก็ขึ้นมาประดับบนใบหน้าได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่มันจะหายไปพร้อมกับเสียงจากคนข้างหลัง

                “ให้ผมนั่งกับพี่ดีแล้วครับ รับรองว่าผมไม่พาพี่ หลง แน่ๆ”

                แม้แต่คนพูดยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไรออกมา ส่วนฝ่ายตรงข้ามเองถึงกับชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ส่งสายตามองไปยังคนที่เอาแต่ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีและออกคำสั่งเสียงเข้ม

                “ขึ้นรถ!!”

               

 

 


ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เดี๋ยวววววว จะอัพทีเดียวเยอะแบบนี้ไม่ด้ายย เก็บไว้ให้รอมั่ง 5555555  :z13:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :o8:  :-[  :impress2: น่ารักกกนะเนี่ยสายรหัสนี้เนี่ย...  o13 รอตามอ่านค่ะ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แทงคิ้ว

ป.ล.  รอบนี้จะอัพจนจบหรือเปล่า?  โพสต์เก่าอัพแล้วอยู่ ๆ ก็หายไป

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 7 แค่หวงเพื่อน
“ท่าทางเพื่อนผมมันจะไม่ไหวแล้วนะครับ” น้ำเสียงร้อนรนของคนข้างกาย ทำเอาสายตาของคนที่ขับรถอยู่ต้องละจากถนนตรงหน้า เหลือบไปมองกระจกที่สะท้อนภาพของลูกพี่ลูกน้องของตนที่กำลังเลื้อยเข้าไปกอดกาฟิวด์เอาไว้ ขณะที่กาฟิวด์เองก็พยายามใช้มือดันตัวคนที่เมาไม่รู้เรื่องออกไป

ก่อนที่ฮ่องเต้จะเหลือบตามองใบหน้าหงุดหงิดของคนข้างๆ และเอ่ยออกมาโดยไม่ทันได้ไต่ตรอง

“มึงหวงเหรอ”

หากแต่อีกคนกลับจริงจัง “ครับ ผมหวง”

คำตอบสั้นๆ แต่กลับกระชับได้ใจความจนคนฟังใจกระตุกวูบ ใบหน้าเริ่มตึงขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ผมขอไปนั่งข้างหลังแทนได้ไหมครับ”

อีกหนึ่งประโยคที่หลุดออกมาจากปากของโฟโต้ เหมือนอาวุธร้ายที่ฟาดเข้าที่หัวของเขาเข้าจังๆ แม้จะไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่ก็คงต้องยอมรับว่ามันทำเอาเขาหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย

หงุดหงิดก็เพราะมันกำลังจะทำแผนผมล่มไม่เป็นท่าเท่านั้นแหละวะ

พยายามคิดหาคำแก้ตัวเพื่อปลอบใจตัวเอง ก่อนจะชะงักไปกับอีกความคิดหนึ่งที่ผุดแทรกขึ้นมากลางหาว

หรือว่ามันจะไม่ใช่แค่เพื่อนกันวะ?

ยิ่งคิด ภายในใจก็ยิ่งสับสนกับสถานะของคนทั้งคู่ พาลให้ใบหน้าเริ่มตึงมากกว่าเดิม อย่างที่ไม่รู้ตัว

“นะครับ ผมขอร้อง”

และยิ่งได้ยินน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความกังวลและซีเรียสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปทวีอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจเขามากขึ้น จนเริ่มจะทนไม่ไหว เท้าของเขาเหยียบเบรกเข้าให้อย่างเต็มแรง ทำเอาคนที่นั่งมาด้วยหน้าทิ่มไปตามๆ กัน

“เออ มึงย้ายไปนั่งข้างหลังกับ เพื่อน มึงก็แล้วกัน”

ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพูดออกไปด้วยอารมณ์ไหน แต่ประโยคนั้นก็ได้หลุดออกจากปากรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาไปแล้ว ถึงจะเป็นการพูดแบบไม่ได้จงใจ หากแต่คนฟังกลับสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่แปลกไป แต่พอจะหันไปรั้งคนหัวเสียเอาไว้ ก็ไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยปากเรียก จึงได้แต่เปิดประตูลงจากรถและมองตามคนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง พยุงร่างของสีฝุ่นออกมาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ร่างของเขาจะเซจนเกือบล้มเพราะคนที่เมาไม่รู้เรื่องดันเลื้อยมากอด แถมยังทิ้งน้ำหนักตัวมาที่เขาทั้งหมด

แต่ก่อนที่ร่างสูงจะทันได้ล้มลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง เสียงร้องเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนใครสักคนที่เข้ามาช่วยประคองสองร่างเอาไว้

สองสายตาเผลอไผลไปประสานเข้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากแต่แรงดึงดูดบางอย่างกลับทำให้ทั้งคู่เอาแต่สบตากันนิ่งอยู่เช่นนั้น พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมา

ก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ความรู้สึกที่เขาเอาแต่เรียกมันว่า แปลกประหลาด มาตลอดนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจเอาเสียเลย มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวผมช่วยครับ”

เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงแค่พยุงสีฝุ่นไปนั่งที่เบาะหน้าเท่านั้น ก่อนจะเดินตัวปลิว ไม่ยอมหันมามองร่างสูงของรุ่นน้องที่เอาแต่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา

ใช่ว่าจะมีแต่เขาที่รู้สึกแปลกๆ คนเดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะคนที่เด็กกว่าก็สัมผัสได้ถึงแรงกระตุ้นบางอย่างเช่นกัน เป็นแรงกระตุ้นที่เขาเองก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เขาเกิดความว้าวุ่นใจไม่ใช่น้อย แต่เขากลับทำได้เพียงแค่เดินขึ้นไปนั่งเบาะหลังกับเพื่อนแบบเงียบๆ

ก่อนที่เก๋งซีดานสีขาวจะเคลื่อนตัวออกไปโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ ต่อจากนั้น กระทั่งเจ้าของรถขับมาถึงหอพักของคนด้านหลัง ที่เขาเพิ่งจะแวะเวียนมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า

“ขอบคุณมากนะครับ” คนด้านหลังเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าของรถทำเพียงแค่ตอบรับด้วยเสียง อือ ในลำคอเบาๆ เท่านั้น

“เอาไว้ ผมจะซักเสื้อมาคืนให้นะครับ”

ฮ่องเต้พยักหน้ารับคำและยิ้มบางๆ ให้กับกาฟิวด์ ก่อนจะเหลือบมองตามรุ่นน้องทั้งสองที่ลงจากรถไปจนกระทั่งทั้งคู่เดินหายเข้าไปในหอพัก จึงถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยแบบไม่ทราบสาเหตุ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขับรถออกไป เสียงมือถือของคนข้างกายก็ดังขึ้นเสียก่อน จึงถือวิสาสะล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงของมันออกมาดู แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่วางสายไปก่อนแล้ว

ก่อนที่ข้อความแจ้งเตือนจะเด้งขึ้นมา...

และนั่นทำให้เขาได้รู้ความจริงอะไรบางอย่างจากข้อความในแชทที่เขาถือวิสาสะเปิดดูเพราะความสงสัยที่ไม่อาจจะทนเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

มันอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ไอ้สีฝุ่นต้องเป็นแบบนี้ก็ได้

อ้น : รับสายพี่หน่อยได้ไหม พี่อยากคุยกับเราจริงๆ นะ ขอร้องล่ะ

ทั้งชื่อและข้อความที่ถูกส่งเข้ามาทำเอาฮ่องเต้ฉุนกึก ไม่นึกว่าในชีวิตจะได้มาเจอคนๆ นี้อีก ก่อนที่จะอาศัยความมึนเมาจนไร้สติของคนข้างๆ สแกนลายนิ้วมือและกดเข้าไปดูข้อความเก่าทั้งหมด

 อ้น : มาเจอพี่หน่อยได้ไหม

สีฝุ่น : ผมไม่ต้องการเจอพี่อีก หวังว่าพี่คงเข้าใจ

อ้น : พี่รู้ว่าพี่ทำผิด พี่ขอโทษ แต่ช่วยออกมาคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม

สีฝุ่น : พี่จะคุยอะไรกับผมอีก พี่ไม่ได้รักผมแล้ว ผมก็เลือกที่จะปล่อยพี่ไป ผมขอร้อง อย่าทำให้ผมต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย

อ้น : พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ

สีฝุ่น : ครับ ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอให้พี่มีความสุขกับคนใหม่ของพี่นะครับ

ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ ที่หลับสนิทและได้แต่ถอนหายใจออกมา

“มึงไม่น่ารู้จักคนอย่างมันเลยว่ะ”

เป็นอีกครั้งที่เขาคิดเช่นนั้น และต่อให้เขามีเวลาทบทวนมากกว่านี้อีกเป็นสิบๆ ปี เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม  ก่อนที่เขาจะสะดุ้งกับเสียงมือถือของสีฝุ่นที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจึงหันไปจับจ้องชื่อสายเรียกเข้าแบบไม่วางตา พอคิดไปว่าคนที่โทรเข้ามาอาจจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้คนเป็นน้องต้องเมาหัวราน้ำในวันนี้ จึงกดรับและรอฟังปลายสายที่ดูเหมือนจะดีใจมากเพราะคิดไปว่าเขาคือสีฝุ่น

[ฝุ่น ขอบคุณนะ ที่รับสาย ตอนนี้ฝุ่นอยู่ไหน เราออกมาเจอกันได้หรือเปล่า]

“คงไม่ได้หรอก ไอ้ฝุ่นมันไม่มีทางตื่นขึ้นมาตอนนี้แน่” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

[พี่ฮ่องเต้!!]

ปลายสายตื่นตระหนกทันทีที่ได้รู้ว่ากำลังคุยอยู่กับใคร

“จำได้ด้วยเหรอ” ทว่าฮ่องเต้กลับแค่นเสียงใส่ “ถ้าจำกูได้ ก็ไม่น่าจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับน้องกูอีก”

[แต่ผมรักสีฝุ่น รักมากเท่าชีวิตของผม]

“แต่การกระทำของมึงมันไม่ใช่” สวนกลับไปทันควัน ทำเอาปลายสายถึงกับนิ่ง

[เชื่อผม ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะครับ]

“ห้าปีที่ผ่านมามันยังไม่เรียกว่าโอกาสอีกเหรอวะ”

ฮ่องเต้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นอย่างไม่คิดจะปิดบัง เรื่องราวที่มันวนเวียนซ้ำรอยเดิมมาห้าปีเต็ม ถ้าไม่ติดว่าสีฝุ่นรักอ้นมากขนาดนี้ เขาคงไม่ต้องมานั่งทนเห็นคนใกล้ตัวของเขาเจ็บปวดเจียนตายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

[ผมขอโทษ...] ปลายสายเริ่มสะอึกสะอื้น แต่มันกลับไม่ได้เรียกความน่าสงสาร หากแต่เรียกความสมเพชจากฝ่ายตรงข้าม

[...แต่ผมทิ้งฝุ่นไปไม่ได้ ผมรักเขา...ผมรักเขามาก ผมรักเขาจริงๆ นะครับ]

คำพูดของอ้นทำให้ฮ่องเต้ต้องถอนหายใจใส่ด้วยความรำคาญใจ

“ถ้ามึงรักมันจริง มึงคงไม่ไปนอนกกกับผู้ชายคนอื่นจนไอ้ฝุ่นมันเสียใจแล้วพาลทะเลาะกับมึงหรอก กี่ครั้งแล้วที่พวกมึงเลิกกันเพราะเหตุผลนี้ กี่ครั้งแล้วที่มึงทำให้ไอ้คนที่มึงบอกว่ารักนักรักหนาต้องใช้ชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็น!”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ปลายสายส่งกลับมาแทนคำตอบ ทำเอาฮ่องเต้แสยะยิ้มออกมาอย่างนึกรังเกียจ

“เลิกยุ่งกับน้องกูซะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายจากกู”

ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นและกดวางสาย สายตาเหลือบมองไปยังคนข้างกายที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นทั้งที่หลับตาอยู่ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ ก่อนที่มือจะเอื้อมไปเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออก

“กูจะทำทุกอย่างให้มึงมีความสุข กูสัญญา”

คำพูดของคนเป็นพี่ดังแทรกเข้าไปในความคิด โดยที่คนพูดเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้หลับสนิทไปอย่างที่เข้าใจ เขารับรู้ทุกถ้อยคำที่ฮ่องเต้พูดออกมากระทั่งประโยคสุดท้าย

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในยามดึกอีกครั้ง ก่อนที่ซีดานสีขาวจะแล่นออกไปจากบริเวณหอพักพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะแก้มทั้งสองข้างของคนที่แสร้งว่าหลับสนิท

ขอบคุณเฮียมากนะครับ ที่คอยอยู่เคียงข้างผมมาตลอด สัญญาว่าจากนี้จะไม่ดื้อกับเฮียและเริ่มต้นชีวิตใหม่เหมือนที่เฮียคอยพูดเตือนสติผมมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา

แม้น้ำตาจะยังคงไหล หากแต่รอยยิ้มกลับผุดขึ้นมาในหัวใจ ซึ่งถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นจากลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวที่เขารักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของตน

 

 

ขณะเดียวกัน...

คนตัวเล็กนั่งห้อยขา ส่งสายตาจับพิรุธไปทางเพื่อนสนิทของตนที่ดูเหม่อลอยผิดปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเห็นสนุกกับการเถียงกับรุ่นพี่คณะตัวเอง จนเขาเองก็อดคิดไปไกลไม่ได้ว่าเพื่อนรักของเขากำลังมีใจให้กับผู้ชายเป็นครั้งแรก

กาฟิวด์ยังคงจ้องมองไปทางโฟโต้ที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนคนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่สองเท้าก็ไปที่ตู้เสื้อผ้า ส่วนสองมือก็หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกมาพาดบ่าเอาไว้ผืนหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ นิ่งไปสักพักและหันกลับมาสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง

“ไอ้ฟิวด์...”

“ว่า”

“กูว่าพี่เขาชอบมึงว่ะ”

โฟโต้ค่อยๆ เอ่ยปากพูดกับกาฟิวด์หลังจากที่เอาแต่ชั่งใจอยู่นานสองนาน เขาเอาแต่คิดไม่ตกกับเรื่องนี้มาตั้งแต่เห็นท่าทีที่แปลกไปของฮ่องเต้ หลังจากที่เขาขอแลกที่นั่งบนรถ หากแต่คนฟังกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ตรงกันข้าม กาฟิวด์กลับคิดไปว่าโฟโต้เองนั่นแหละ ที่เริ่มมีใจให้รุ่นพี่อย่างฮ่องเต้

“มึงเอาอะไรมาพูด พี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูหรอกน่า” พูดไปเพื่อความสบายใจของเพื่อนรักที่แอบชอบรุ่นพี่แบบไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว

“แต่เขาดูใจดีกับมึงมากเลยนะเว้ย ตั้งแต่ตอนเจอกันที่ตลาดหน้ามอ แถมวันนี้ยังให้เสื้อมึงมาใส่ฟรีๆ อีก”

กาฟิวด์แอบยิ้มขำกับความคิดของเพื่อน ก่อนจะพยายามอธิบายสิ่งที่เป็นอยู่ให้ฟัง

“ไอ้เรื่องใจดีเนี่ย กูว่ามันเป็นนิสัยของพี่เขาอยู่แล้วนะ ส่วนเรื่องเสื้อ...ที่พี่เขาให้กูมาใส่ก็เพราะรู้สึกผิดที่พี่สีฝุ่นอ้วกใส่กูนั่นแหละ”

“แต่พี่เขาอาสามาส่งมึงเลยนะเว้ย!”

และที่เขาต้องรีบกลับมาที่รถ หลังจากกาฟิวด์โทรไปบอกว่ามีคนอาสาไปส่ง ก็เพราะเขาเป็นห่วง กลัวว่าเพื่อนจะถูกใครหลอกพาขึ้นรถไปไหนต่อไหนหรือทำมิดีมิร้ายเข้า แต่พอได้รู้ว่าใครคนนั้นคือพี่ฮ่องเต้ รุ่นพี่ปีสี่ที่ชอบทำตัวห่ามตรงข้ามกับหน้าตา (ก็หน้าตาพี่เขาออกจะใจดี) ก็อดแปลกใจไม่ได้ ยิ่งพอมานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่พี่เขาซื้อเครปเย็นอันใหม่ให้กาฟิวด์ ทั้งๆ ที่เพื่อนของเขาเป็นฝ่ายผิด ทำให้เนื้อตัวพี่เขาเลอะเองแท้ๆ ถ้าไม่ชอบ ก็คงไม่ยอมขนาดนี้หรอกมั้ง

กาฟิวด์มองหน้าโฟโต้ที่คิดเป็นตุเป็นตะไปถึงไหนต่อไหนและได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยายามอธิบาย

“ที่พี่ฮ่องเต้มาส่งกูก็เพราะว่าพี่เขาอยากจะไถ่โทษแทนน้องเขา อีกอย่าง พี่เขาก็ให้มึงก็นั่งมาด้วยไม่ใช่หรือไง คิดอะไรมากมายวะ”

“ถ้าอย่างนั้น ไอ้ตอนที่พี่กูขอแลกที่กับมึง ทำไมพี่เขาต้องพูดเหมือนประชดกูด้วยวะ เหมือนเขาไม่พอใจที่กูจะไปนั่งแทนมึงเลยนะเว้ย”

กาฟิวด์ถอนหายใจใส่คนตรงหน้ายาวเหยียด ในใจก็นึกอยากจะหาอะไรมาฟาดเข้าที่หัวเพื่อนสักทีสองที เผื่อสมองจะได้ทำงานและมองเห็นความจริงที่มันเกิดขึ้น

“เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ ยังไงพี่เขาก็ไม่มีทางชอบกูแน่ๆ” กาฟิวด์บอกปัด

“แต่กูว่าชอบ” หากแต่คนขี้สงสัยยังคัดค้านอยู่อย่างนั้น

“โอ๊ยยย แล้วมึงจะคิดมากเรื่องกูกับพี่เขาทำไมวะ เอาเวลาไปคิดเรื่องตัวเองเหอะ” ท้ายประโยคพูดออกไปเพราะต้องการประชดล้วนๆ แต่มันกลับเพิ่มความสงสัยให้ฝ่ายตรงข้ามเสียอย่างนั้น

“เรื่องของกู? ทำไมวะ?”

โฟโต้เลิ่กคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่กาฟิวด์ต้องการจะสื่อ ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงต้องเหลือกตาใส่อย่างเหลืออด แต่พออ้าปากจะพูดเรื่องของพี่ฮ่องเต้ออกไป ก็เกรงว่าจะทำให้เพื่อนรักของเขาคิดมากเพราะมันไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน (ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งบอกว่าพี่ฮ่องเต้ชอบเขาก็เถอะ) เอาเป็นว่ารอเวลาอีกสักหน่อย ปล่อยให้มันรู้สึกมากขึ้นกว่านี้อีกนิด มันจะได้หนีความจริงไปไหนไม่รอด

ความจริงที่ว่าพี่ฮ่องเต้คือพี่รหัสปีสี่และเป็นคนๆ เดียวกับที่อาถรรพ์สายรหัสกินกันเองได้เลือกให้มันนั่นแหละ

ต้องขอบคุณความเผือกของเปรมในวันนั้น ทำให้พวกเขาสองคนได้รู้ว่าใครคือว่าที่แฟนของโฟโต้ แต่ที่พวกเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบเพราะรู้ดีว่าไอ้เพื่อนรักอย่างโฟโต้เคยคบมาแต่ผู้หญิง หากจะให้สนใจมองผู้ชายสักคน คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“ก็เรื่องที่มึงไปแหย่พี่ฮ่องเต้ไง ระวังเหอะ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนตอนอยู่ในคณะ”

กาฟิวด์ทำเป็นพูดออกนอกเรื่องเพื่อดึงความสนใจของโฟโต้ออกจากเรื่องที่พี่ฮ่องเต้ชอบหรือไม่ชอบเขา

“เอาคืนแล้วไงวะ อย่างพี่เขาจะไปทำอะไรคนอย่างกูได้ ฮ่าๆ” และโฟโต้ก็หัวเราะร่วน ชวนให้กาฟิวด์ส่ายหน้าใส่ด้วยความระอา

ในหัวของโฟโต้มีแต่ภาพของคนที่อายุมากกว่า ซึ่งชอบทำตัวขัดกับรูปร่างหน้าตาเท่านั้นและเขารับประกันได้เลยว่าอย่างฮ่องเต้ไม่มีทางทำอะไรเขาได้  หลังจากที่ได้เจอกันมาสักพัก แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าฮ่องเต้ขี้เขินมากขนาดไหน ยิ่งตอนที่เขาเข้าใกล้หรือโดนตัวยิ่งแล้วใหญ่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้การพ่นคำด่าหรือไม่ก็ชักสีหน้ารำคาญใส่ มันเป็นเพียงแค่การแสดงเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายเท่านั้น และนั่นก็ทำให้เขายิ่งหมั่นไส้ อยากจะแกล้งพี่ฮ่องเต้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

“เออ กูจะรอดูว่าระหว่างมึงกับพี่ฮ่องเต้ใครจะแพ้”

อันที่จริง เขาอยากจะพูดออกไปว่า ใครจะแพ้ทางอีกฝ่ายก่อนกัน แต่เพราะกลัวคนแถวนี้คิดมากเลยต้องยั้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น

“เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าเพื่อนมึงเก่ง”

“เออ มึงเก่ง” กาฟิวด์หมายถึงเก่งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความรู้สึกของตัวมันเอง

ทั้งคู่ยืนคุยกันสักพัก ก่อนที่โฟโต้จะแยกตัวไปอาบน้ำ ขณะที่กาฟิวด์กดเล่นมือถือไปเรื่อยเปื่อย  สักพัก ก่อนที่จะมีสายเรียกเข้าจึงกดรับทันที

“ว่าไงครับแม่”

[แม่ได้ยินมาว่าเราไปร้านเหล้ามาเหรอ]

เสียงดุๆ ของแม่ดังมาตามสาย หากแต่คนฟังกลับอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

“ผมแค่ไปเป็นเพื่อนไอ้โฟโต้มันน่ะครับ พอดีพี่กราฟให้เอาของไปให้เพื่อนที่นั่น”

กาฟิวด์หมายถึงพี่ชายของโฟโต้ที่เปิดร้านอาหารอยู่ที่เชียงใหม่ พ่วงด้วยการมีแฟนเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่เขาเพิ่งจะกลับมาหมาดๆ

[แล้วไป แม่นึกว่าจะเข้าผับเข้าบาร์ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมเสียอีก]

“ผมจะเข้าได้ยังไงล่ะครับ อายุยังไม่ถึงเลย”

[ก็ดีแล้ว แม่ล่ะห่วงเราจริงๆ แล้วอยู่หอในเป็นไงบ้าง สะดวกสบายหรือเปล่า ให้แม่สั่งให้คนไปช่วยย้ายออกมา...]

“แม่ครับ ทุกอย่างโอเคครับแม่ อย่าห่วงเลย” กาฟิวด์รวบรัดตัดความคำพร่ำบ่นของคนเป็นแม่ที่บ่นมาตั้งแต่เขาตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยภัคนลินที่ตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งห่างไกลจากบ้าน เพราะความต้องการอยากจะเรียนรู้โลกภายนอกของตัวเองล้วนๆ

[เฮ้อ เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ไม่ยอมฟังแม่อยู่ดี เอาเป็นว่าถ้าลูกมีปัญหาอะไรให้รีบโทรหาแม่เลยนะ เข้าใจไหม]

“โอเคครับแม่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมจะรีบรายงานแม่ทันทีเลยครับ”

กาฟิวด์ตอบกลับไปแค่นั้น ก่อนที่แม่ลูกจะพูดจาล่ำลากันและวางสาย แต่แม่ของเขายังไม่วายที่จะส่งข้อความมาทางไลน์ด้วยความเป็นห่วงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนอีก กาฟิวด์จึงได้แต่พิมพ์ข้อความตอบกลับไปเพื่อความสบายใจของคนเป็นแม่ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับรายชื่อเพื่อนในไลน์ที่เพิ่มขึ้นมา รูปโปรไฟล์ที่คุ้นตาทำให้กาฟิวด์ต้องกดเข้าไปดูไม่ได้ ก่อนจะมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อเห็นภาพของสีฝุ่นชัดเต็มสองตา

“มาได้ยังไง” ปากขยับพึมพำไป ก่อนที่เหตุการณ์ตอนที่ขอเบอร์มือถือจากพี่ฮ่องเต้จะฉายซ้ำเข้ามาในหัว และนั่นทำให้มือของเขาต้องกดเข้าไปดูเบอร์โทรที่ถูกบันทึกเอาไว้

มันหาใช่เบอร์ของพี่ฮ่องเต้จริงๆ ไม่ แต่กลับเป็นเบอร์ของพี่สีฝุ่นที่เมาหลับไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

“แล้วพี่เขาจะเมมเบอร์พี่ฝุ่นมาทำไมกัน”

ยังคงเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ แถมยังได้แต่คิดไปว่าพี่ฮ่องเต้อาจจะใส่เบอร์ลูกพี่ลูกน้องของเขามาให้เพราะอยากให้น้องชายมาไถ่โทษที่อ้วกใส่เขาก็เป็นได้

“ช่างเหอะ” บอกกับตัวเองก่อนจะนั่งเล่นมือถือฆ่าเวลาต่อไป

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 8 จูนความรู้สึก

                เมื่อห้าปีก่อน...

                “พี่ทำแบบนี้ทำไม?”

                เสียงของสีฝุ่นดึงความสนใจของฮ่องเต้ที่เพิ่งจะเดินมาถึงโรงฝากรถหน้าโรงเรียนจนต้องชะงักฝีเท้า ก่อนจะกระเถิบหลบเข้ามุมเสาเพื่อลอบมองสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า มองร่างสูงในสุดนักเรียนมัธยมปลายปีแรกกำลังยืนประจันหน้ากับเด็กมัธยมปลายต่างโรงเรียนที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี

                เขาคืออ้น...

                เด็กนักเรียนมัธยมปลายปีที่ห้าและแฟนคนแรกของสีฝุ่น

                อ้นเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ห้ามสีฝุ่นเอาไว้ไม่ได้เพราะความรักของมันที่มีให้คนอย่างอ้นและความใสซื่อที่มากเกินกว่าจะตามเกมคนเจ้าเล่ห์ทัน มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้ต้องคอยตามดูแลสีฝุ่นไม่ห่าง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงไม่อาจจะปล่อยให้สีฝุ่นต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่

                “ฝุ่น...”

                “อย่ามาแตะตัวผม!” สีฝุ่นสะบัดมือของคนตรงหน้าออก แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่คนเป็นพี่เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนและแววตาที่กำลังสั่นระริกนั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้เขาฮ่องเต้อยากรู้เรื่องที่ทั้งคู่ทะเลาะกันมากขึ้นไปอีก

                “พี่ขอโทษ”

                “ผม...ไม่ให้...อภัย” น้ำเสียงสั่นเครือของสีฝุ่นบีบคั้นหัวใจของคนเป็นพี่ให้เจ็บปวดไปตามๆ กัน

                “สีฝุ่น...”

                “พี่ไปเถอะครับ ผมขอร้อง”

                “ไม่ พี่รักฝุ่นคนเดียว ฝุ่นให้โอกาสพี่สักครั้งเถอะนะ พี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก!!”

                ไอ้ฝุ่น ได้โปรด อย่าให้อภัยคนอย่ามันเลย

            ฮ่องเต้ได้แต่ภาวนาในใจเช่นนั้น ด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ก่อนจะหลับตาลงด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เมื่อเห็นน้ำตาของคนเป็นน้องเริ่มไหลออกมา

                เกินไป นี่มันมากเกินไปที่คนอย่างเขารับไหว

                “ผม...ฮึก...ผม”

                “ฝุ่นรักพี่อยู่ใช่ไหม”

                สีฝุ่นได้แต่สะอึกสะอื้นและเอาแต่หลุบตาลงต่ำอย่างคนไม่รู้จะจัดการยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะแฟนคนแรกของเขาดันมาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขาเจ็บปวดปางตายแบบนี้ หากแต่การเงียบของสีฝุ่นกลับทำให้อ้นได้ใจ เอื้อมมือมาจับมือของเขาไปกุมเอาไว้ข้างหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                “พี่รักฝุ่นนะครับ เรากลับมาคืนดีกันเถอะนะ”

                หากแต่ประโยคนั้นกลับทำให้คนที่ลอบมองสถานการณ์อยู่นานสองนานหมดความอดทนและตะโกนออกไปเสียงดังลั่น

                “ไม่มีทาง!” ฮ่องเต้เดินออกมาเผชิญหน้ากับอ้น พร้อมกับคว้าตัวสีฝุ่นที่กำลังสั่นระริกมาไว้ข้างหลังตน

                “พี่เต้...”

                เจ้าของชื่อจับจ้องใบหน้าของคนที่เอ่ยปากเรียกอย่างไม่วางตา ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ภายในใจถูกส่งผ่านสายตาคู่นั้นจนฝ่ายตรงข้ามเองก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกโกรธเกลียดมาแค่ไหน

                ที่ผ่านมา เขายอมปล่อยเพราะเห็นว่าอ้นคือผู้ชายที่สีฝุ่นรักและคิดมาตลอดว่าความรักอันบริสุทธิ์ของลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเปลี่ยนใจอ้นได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ คงถึงเวลาที่เขาต้องออกมาปกป้องคนที่เขารักเสียที

                “เลิกยุ่งกับไอ้ฝุ่นซะ กูเตือนมึงด้วยความหวังดี”

                ดวงตาของอ้นฉายแววความเจ็บปวดออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากฮ่องเต้ ร่างกายเล็กๆ เริ่มสั่นระริก จนฮ่องเต้ก็ไม่แน่ใจว่าอ้นกำลังโกรธ เสียใจหรืออะไรกันแน่ เพราะความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าที่มีมากเกินกว่าจะคาดเดา

                “ผมขอโทษ ได้โปรด พี่อย่าขัดขวางความรักของเราเลยนะครับ” อ้นเริ่มส่งเสียงอ้อนวอน หากแต่สายตาของฮ่องเต้กลับมองการแสดงออกของคนตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ

                “พี่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด...คืออะไร” ท้ายประโยคดวงตาของอ้นกลับฉายแววประหลาดออกมา แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียว แต่มันก็ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับกระอักกระอวนขึ้นมาได้เพราะความลับบางอย่างที่คนทั้งคู่ต่างก็รู้ดี แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอ้นจะเอาเรื่องนั้นมาบีบบังคับเขาและทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ อย่างสีฝุ่นได้

                แต่ในเมื่ออ้นเลือกที่จะทำแบบนี้ เขาเองก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากปกป้องหัวใจของลูกพี่ลุกน้องเพียงคนเดียวของเขาให้ได้มากที่สุด

                “คนที่คิดไม่ซื่อ มึงก็รู้ว่าจุดจบมันจะต้องเป็นยังไง” ฮ่องเต้กล้ำกลืนฝืนพูดออกไป หากแต่คนตรงหน้ากลับตีหน้าเศร้าและพลั่งพรูคำพูดต่างๆ นานาออกมาไม่หยุด

                “ผมไม่ได้ตั้งใจ พี่ให้อภัยผมนะ ให้ผมได้คืนดีกับสีฝุ่นเถอะนะครับ เพราะชีวิตของผมขาดเขาไม่ได้จริงๆ”

                ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำ สองมือยกขึ้นมาเท้าสะเอวและเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างเหลืออด

                “มึงรู้ไหมว่าความพลาดพลั้งของมึงทำร้ายคนกี่คนมาแล้ว! แต่กูก็ไม่ได้สนใจมากเท่ากับการที่มึงมาทำร้ายน้องกูหรอก! นั่นคือสิ่งที่กูไม่มีวันให้อภัยคนอย่างมึงได้”

                “พอเถอะเฮีย...”

                “มึงนั่นแหละ ที่ควรจะพอ...” ฮ่องเต้หันไปตอกกลับสีฝุ่นที่พยายามจะดึงตัวเขาให้ออกห่างจากอ้น ก่อนที่เขาจะหันไปสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

                “...พอกับการคาดหวังความรักจากคนที่นอกจากจะไม่เคยรักมึงจริงๆ แล้ว ยังคอยแต่ทำร้ายมึงด้วยการไปคบคนอื่นลับหลังมึงอีก!!”

                “...”

                “กูถามมึงจริงๆ เถอะนะ มึงเห็นน้องกูเป็นอะไร!?” เป็นคำถามที่ไม่เชิงต้องการคำตอบเสียทีเดียว ขณะที่อ้นได้แต่จ้องหน้าเขากลับด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน

                “ผมก็เห็นว่าเขาเป็นน้องของพี่ไง...” อ้นกัดฟันพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาเปื้อนใบหน้า “...เพราะแบบนั้น ผมถึงต้องรั้งเขาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด”

                “เลิกเถอะ เลิกคิดที่จะทำอะไรโง่ๆ แบบนี้เสียที มึงก็รู้ว่าใจของมึงไม่ได้รักน้องกูมาตั้งแต่แรก”

                ฮ่องเต้พยายามใจเย็นและเกลี้ยกล่อมคนตรงหน้า

                “เราทุกคนต่างก็มีคนของตัวเองที่รอคอยอยู่บนหนทางข้างหน้า ถ้ามึงไม่ยอมปล่อย มึงก็ไม่มีทางได้เจอเขา ดังนั้น เลิกยุ่งกับน้องกูซะ แล้วต่างคนต่างเปิดใจออกตามหาคนของตัวเองได้แล้ว”

                “ผมไม่...”

                “ถือว่ากูขอร้อง...” ฮ่องเต้ตัดบทและมองอ้นด้วยสายตาวิงวอน “...เลิกเถอะนะ”

 

                ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมากับภาพอดีตที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่เคยลืมและคงจะไม่มีทางลืมเป็นแน่ ยิ่งตอนที่ได้รู้ข่าวว่าสีฝุ่นกลับไปคบกับอ้นเป็นครั้งที่สอง สามและสี่...

                เขาก็เอาแต่คิดมากเรื่องนี้มาโดยตลอดและหวังเอาไว้ตลอดเช่นกันว่าอ้นจะเปลี่ยนใจมารักสีฝุ่นได้จริงๆ หรือไม่ก็อาจจะยอมปล่อยให้สีฝุ่นไป แต่เปล่าเลย ทุกครั้งที่กลับมาคบกัน ทุกอย่างมันเหมือนเดินวนกลับมาที่เดิมทุกครั้ง

                รักกัน...ผิดหวัง...เลิกคบและจบด้วยการกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง

                และอีกหลายๆ เรื่องที่สีฝุ่นยังไม่รู้และเขาเองก็ไม่ต้องการให้สีฝุ่นรู้ เพราะเขาเองก็กลัวจับใจว่าสีฝุ่นจะรับไม่ได้และพาลให้เรื่องราวบานปลายมากขึ้น

 

                วันนี้ ฮ่องเต้ต้องขับรถกลับไปที่หอของสีฝุ่น เพื่อไปดูแลคนที่ล้มป่วยตั้งแต่เมื่อคืน...

                หลังจากกลับจากร้านเหล้า เขาก็ต้องคอยดูแลสีฝุ่นทั้งคืนเพราะสีฝุ่นดันไข้ขึ้น แถมยังเอาแต่ละเมอถึงอ้นจนเขาโมโหและอยากจะรู้ว่าครั้งนี้อ้นทำอะไรเอาไว้ สีฝุ่นถึงได้อาการสาหัสขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ ถึงรู้ไปก็เท่านั้นเพราะยังไงอ้นก็ได้ทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของเขาไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการที่เขาต้องกันให้อ้นออกห่างจากสีฝุ่นให้มากที่สุดและหลังจากนั้น เขาจะได้หาแฟนใหม่ให้สีฝุ่นซะให้รู้แล้วรู้รอด

                ติ้ง!

                เสียงลิฟต์เปิด ดึงสติให้ฮ่องเต้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขาหอบของกินที่เพิ่งจะออกไปซื้อเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างกดลิฟต์ไปยังชั้นเจ็ดพร้อมกับรอประตูปิด ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวไปถึงชั้นสามนั้นเอง ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ก้าวเข้ามา เขาเผลอสบตาคนมาใหม่ที่มองมาที่ตนอย่างตื่นตระหนกด้วยท่าทีแปลกใจ

                ก็ผมไม่ใช่ผีนี่ครับ เรื่องอะไรที่มันต้องตกใจที่เห็นผมขนาดนั้น

            ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดพร้อมกับใครคนนั้นที่หันมาสบตากับเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                “พี่ฮ่องเต้ใช่หรือเปล่าครับ?”

                ฮ่องเต้กระพริบตาใส่อย่างมึนงงก่อนจะตอบ “ใช่”

                พร้อมกับคิดไปว่าเขากับคนตรงหน้ารู้กันกันตั้งแต่ตอนไหน แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป คนที่เอาแต่ยิ้มก็เป็นฝ่ายเฉลยข้อสงสัยอย่างกับเดาความคิดของเขาออก

                “ผมนัทนะครับ เป็นรุ่นน้องที่คณะ แต่พี่คงจำผมไม่ได้หรอกเนอะ”

                ฮ่องเต้ทำหน้าครุ่นคิด เมื่อรู้สึกคับคล้ายคับคลากับรูปร่างหน้าตาและชื่อของเด็กคนนี้ สักพัก ก่อนที่เขาจะร้องอ๋อขึ้นมาเมื่อภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาหลังกลับไปชนใครสักคนเข้าที่ใต้ถุนคณะในวันรับน้องวันแรก

                “อ๋อ ไอ้เด็กว่าที่เดือนคณะ” และก็เผลอพูดออกไปตามสิ่งที่คิด

                “พี่พูดว่าอะไรนะครับ” ฝ่ายตรงข้ามถามออกมาอย่างไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่นัก ทำเอาคนที่เพิ่งจะนึกได้ว่าพูดอะไรออกไปทำหน้าเหลอหลาใส่

                “หะ...หา? พะ...พูดอะไรวะ?”

                หากแต่ท่าทางเช่นนั้นกลับดูน่ารักในสายตาของอีกฝ่าย จนเผลอหลุดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ก่อนที่สายตาคมจะเลื่อนขึ้นไปจับจ้องใบหน้าขาวใสของรุ่นพี่คณะและถือวิสาสะกระเถิบเข้าไปใกล้จนฮ่องเต้ตกใจก้าวถอยจนหลังติดพนังลิฟต์

                “ก็ที่พี่บอกว่าเดือนคณะ เมื่อกี้...”

                สายตาฉายแววขำขัน ครั้นเห็นรุ่นพี่ตรงหน้าตนกำลังตื่นตระหนกตกใจ หากแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะทันได้ทำอะไร เสียงประตูลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับผู้มาเยือนกลุ่มใหม่ ทั้งคู่หันไปมองผู้หญิงสามคนที่ทำหน้าเหวอกับภาพผู้ชายสองคนตรงหน้า ก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นฝ่ายดันตัวนัทให้ออกห่าง ซึ่งนัทก็ทำเพียงถอยออกไปยืนอยู่ข้างๆ  เขาเพื่อเว้นที่ว่างให้กับพวกเธอและทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ กระทั่งลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นเจ็ด ฮ่องเต้กับนัทจึงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกัน

                “พี่อยู่หอนี้หรือมาหาใครครับ” นัทเอ่ยปากถามระหว่างทางที่พวกเขากำลังเดินไปตามทางเดิน

                ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ เล็กน้อยก่อนจะตอบ “มาหาญาติ พอดีมันไม่สบาย”

                “แล้วญาติพี่ชื่ออะไรเหรอครับ เผื่อผมจะรู้จัก”               

                “สีฝุ่น” ฮ่องเต้ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร แต่คนข้างๆ กลับมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจ

                “ใช่พี่สีฝุ่น ปีสอง คณะอักษรหรือเปล่าครับ?”

                ฮ่องเต้เองก็แปลกใจเช่นกันที่คนข้างๆ ดันรู้จักลูกพี่ลูกน้องของตน “รู้จักด้วยเหรอ”

                “ก็ไม่เชิงหรอกครับ เผอิญว่าช่วงนี้พี่เขาชอบเมาแล้วมาเคาะห้องผมตลอด สงสัยคนเก่าที่เช่าห้องอยู่จะเป็นคนรู้จักของพี่เขาล่ะมั้งครับ เห็นเอาแต่พูดถึงคนชื่ออ้น”

                ฮ่องเต้ชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น...

                ในใจก็พาลนึกไปถึงคนที่ถึงขั้นมาเช่าห้องชั้นเดียวกันกับสีฝุ่นอย่างหงุดหงิดใจ

                นี่มันยังมีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกวะ!!

            “พี่ฮ่องเต้ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

                เจ้าของชื่อหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองหน้าคนข้างๆ อย่างนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังคุยกับเด็กปีหนึ่งค้างเอาไว้ ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

                “ไม่มีอะไร”

                “แต่พี่ดูไม่ค่อยสบายใจนะครับ”

                ฮ่องเต้ชะงักปากที่กำลังจะพูดออกไปว่า ไม่เป็นไร อีกครั้งอย่างชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยปากร้องขออะไรกับคนข้างๆ

                “กูขออะไรมึงอย่างหนึ่งได้ไหมวะ”

                นัททำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “ได้สิครับ”

                “ถ้าคนชื่ออ้นกลับมาที่นี่อีก ช่วยบอกพี่หน่อยได้หรือเปล่า”

                คำพูดของฮ่องเต้ทำเอานัทนิ่งเงียบไปสักพัก อย่างคนกำลังชั่งใจและในเมื่อคิดได้ว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ก็ยิ้มบางๆ ออกมา

                “ได้ครับ แล้วพี่จะให้ผมติดต่อพี่ทางไหนล่ะครับ”

                “เอาเบอร์พี่ไปก็ได้” ฮ่องเต้พูดจบ นัทก็ล้วงมือถือออกมาให้รุ่นพี่ตรงหน้าของตนกดเบอร์ลงไป เสร็จสรรพก็รับมือถือคืนมา

                “เอาไว้เดี๋ยวผมจะไลน์ไปหาก็แล้วกันนะครับ” พูดออกไปด้วยความเต็มใจ

                “ขอบใจแกมากนะ” ฮ่องเต้พยายามเลี่ยงใช้สรรพนามกับคนที่ยังไม่ได้สนิทกันมาก หากลับทำให้นัทต้องลิบยิ้มออกมาเพราะความน่ารัก (อีกแล้ว) ของฮ่องเต้

                “พูดมึงกูเถอะครับ น่าจะถนัดกว่า”

                ฮ่องเต้ได้แต่เกาหัวแก้เก้อกับคำพูดของรุ่นน้อง

                “กลับห้องเถอะครับ เดี๋ยวกับข้าวในมือพี่จะเย็นชืดหมดนะครับ”   

                คำพูดและสายตาของนัท ทำเอาฮ่องเต้ต้องก้มลงมองตามที่มือของตัวเอง ก่อนจะละสายตาขึ้นมามองหน้าคนที่เด็กกว่าตน

                “เออ กูไปก่อนนะ”

                “ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ” นัทได้แต่ยืนยิ้มและมองตามฮ่องเต้ที่ผละออกไปจนลับสายตา ก่อนจะมองเบอร์โทรศัพท์ของฮ่องเต้ในมือถือและยิ้มกระหยิ่มในใจ

 

                 ฮ่องเต้เดินไปที่ห้องของสีฝุ่น จัดการใช้กุญแจที่หยิบติดมือมาด้วยตอนออกไปข้างนอก ไขประตูเข้าไปในห้องที่ถูกเปิดไฟทิ้งเอาไว้สว่างโร่พร้อมกับเจ้าของห้องที่ลงมานั่งชันเข่าเหม่อลอยอยู่บนพื้นปลายเตียง

                “มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ” ปากก็เอ่ยทักเจ้าของห้อง มือก็จัดแจงกับข้าวใส่ถ้วยชาม

                “เฮีย...”

                “ว่าไง?” ฮ่องเต้ตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมองใบหน้าซึมเศร้าของคนเป็นน้อง

                “ผมอกหัก...”

                หากแต่ประโยคสั้นๆ ที่ตอบกลับมากลับทำเอามือของเขาชะงัก กอปรกับน้ำเสียงปนเศร้าของสีฝุ่นแล้ว ยิ่งทำให้คนเป็นพี่รู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็ทำได้เพียงแค่เงียบเพื่อฟังคนเป็นน้องพูดต่อไป

                “อันที่จริงผมควรที่จะบอก...ว่าผมมีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังเฮียอยู่ ตอนนั้น ผมกลัวว่าถ้าเฮียรู้เรื่องนี้ เฮียต้องโกรธและไม่ให้อภัยผมอีก เฮีย...” สีฝุ่นเว้นจังหวะพลางสูดลมหายใจเข้าลึก “...เฮียคงจะจำพี่อ้นได้”

                ใจของฮ่องเต้กระตุกวูบอีกครั้งที่ความจริง (ที่เขาก็พอจะรู้มาบ้าง) หลุดออกมาจากปากของสีฝุ่น

                “เขามาขอโอกาสกับผมเป็นครั้งที่สี่หรือห้า ผมเองก็จำไม่ได้ เขามาสารภาพว่าเขาไม่เคยมีความสุขเลยตอนที่เขาอยู่กับคนอื่น เขาเอาแต่คิดเรื่องของผมอยู่ตลอดเวลา...”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจและฟังสีฝุ่นพูดต่อ

                “ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งและลืมเขาได้ แต่กลับกลายเป็นว่าผมไม่เคยลืมเขาได้เลย ผมมันโง่เองที่กลับไปคบกับเขา สุดท้าย เขาก็มีคนอื่นเหมือนที่ผ่านมา”

                ก่อนที่สีฝุ่นจะหันใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตามาทางฮ่องเต้ที่เอาแต่ยืนเงียบ หากแต่มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอย่างหาที่ระบายความโกรธ

            โกรธคนที่กล้ามาทำให้น้องของเขาเสียใจ

            “ขอโทษนะเฮีย”

                ฮ่องเต้เหลือบตาไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของคนเป็นน้องที่คงจะไม่รู้ว่าคนเป็นพี่อย่างเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน สายตาของฮ่องเต้ไม่อาจจะละไปจาดวงตาที่เริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา ซึ่งไม่รู้ว่ามันไหลออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ อีกทั้งแขนสองข้างที่พยายามโอบกอดตัวเองเอาไว้

                ความเปราะบางในเวลานี้ของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้แทบใจสลายไปตามๆ กัน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาและนั่งลงข้างๆ  ดึงสีฝุ่นเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อปลอบประโลมจิตใจลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเขา

                “มึงจะร้องไห้อีกทำไม น้ำตาของมึงมันมีค่ามากกว่าจะเอาไปร้องให้คนแบบนั้นนะเว้ย อีกอย่าง กูก็อยู่นี่แล้ว กูสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อที่มึงจะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับใครอีก”

                “ผมขอโทษ...”

                “มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไม่ได้ผิด คนที่ผิดคือคนที่ทำให้มึงต้องเสียใจต่างหาก แล้วกูก็ไม่เคยโกรธมึงและไม่มีทางที่กูจะโกรธน้องอย่างมึงหรอก”

                คำพูดของฮ่องเต้ทำเอาสีฝุ่นจุกอก เขาน่าจะเชื่อฮ่องเต้ตั้งแต่แรกว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอ้น หากแต่เพราะความดื้อดึง หลงคิดไปว่าสิ่งที่อ้นแสดงออกคือความจริงใจ ทำให้เขาเลือกที่จะไม่ฟังฮ่องเต้และยอมคบกับอ้น

                ทั้งๆ ที่เฮียเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่เชื่อฟังเฮีย

            นั่นทำให้เขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นอ้นอยู่กับคนอื่นเสียอีก

                สีฝุ่นสะอึกสะอื้นออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ท่ามกลางสายตาของฮ่องเต้ที่เอาแต่จ้องมองคนเป็นน้องด้วยความสงสารจับใจ ก่อนจะขยับตามสีฝุ่นที่เคลื่อนตัวลงมานอนหนุนตักของเขาและมองตามคนที่ดึงมือข้างหนึ่งของเขาไปกุมเอาไว้อย่างต้องการความอบอุ่น

                ภาพตรงหน้าเป็นภาพพี่ฮ่องเต้ต้องทำใจยอมรับ แม้ว่ามันจะบีบคั้นหัวใจมากแค่ไหนก็ตาม หากแต่ลึกๆ ก็นึกที่จะหาทางแก้แค้นอ้นสักครั้ง เพียงแต่เขายังหาทางทำให้คนอย่างอ้นเจ็บช้ำไม่ได้ก็เท่านั้น

                “ผมรักเฮียนะ” จู่ๆ คนที่เงียบไปนานสองนานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำจ้องมองใบหน้าของฮ่องเต้ที่ระบายยิ้มออกมาบนใบหน้า

                “เออ กูก็รักมึง”

                ก่อนที่ทั้งคู่จะจะพากันถอนหายใจออกมา...

                “เฮียว่าผมจะเจอรักแท้กับเขาบ้างหรือเปล่า”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้อดยิ้มออกมาไม่ได้ พาลให้หวนนึกถึงสมัยยังเป็นเด็ก ตอนที่ครอบครัวของทั้งสองคนเฉลิมฉลองวันครบรอบแต่งงานของป๊าม๊า สีฝุ่นก็เอาแต่ถามคำถามนี้กับฮ่องเต้ทุกปีว่าโตขึ้นจะเจอรักแท้เหมือนกับที่ป๊าม๊าเจอหรือเปล่า ตอนนั้น เขาเอาแต่หงุดหงิดใส่เพราะคิดว่าสีฝุ่นกวนโมโห ถามคำถามเดิมกับเขาทุกปี ขณะที่เขาก็กวนกลับด้วยการตอบคำถามแบบเดิมทุกปี และในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบเดิมไม่ได้ ในเมื่อเขาเองก็คิดเช่นนั้น

                “จะให้กูบอกอีกกี่ทีวะ”

                “ก็ผมอยากฟัง”

                “เออๆ” ฮ่องเต้รับคำ มองใบหน้าที่เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อยพลางเอามือลูบผมของคนตรงหน้าอย่างเบามือ “ถ้ามึงยังเชื่อมั่นและศรัทธาในความรัก สักวันรักแท้จะเป็นฝ่ายเข้ามาหามึงเอง โดยที่มึงไม่ต้องใช้ความพยายามในการไขว่คว้ามันมา...”

                จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยั้งคำพูดเอาไว้ เมื่อประโยคถัดไปดันไปแทงใจดำตัวเองเข้า จนน้ำเสียงที่พยายามเปล่งออกมาอีกครั้งดูเลื่อนลอย

                “...หรือพยายามรักษาความรักนั้นเอาไว้ เพราะถ้ามันคือรักแท้จริงๆ มันจะอยู่กับมึงตลอดไป” 

                “เฮีย เป็นอะไรหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้ได้สติ ก้มลงไปมองสีฝุ่นที่กำลังเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

                “เป็นอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ก็มึงอยากฟังไม่ใช่เหรอ กูก็พูดแล้วไง”

                สีฝุ่นหรี่ตาลงมองอย่างจับพิรุธเพราะการพูดรัวๆ ติดกันเป็นพรืดของคนเป็นพี่

                “ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะเฮีย” สีฝุ่นว่าก่อนจะผงกตัวลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขา “หรือว่าเฮียกำลังคิดถึงใครอยู่”

                เท่านั้น คนถูกเพ่งเล็งก็ถึงกับตื่นตระหนก อึกอักอย่างคนไม่รู้จะพูดยังไง

                “เฮียคิดถึงใคร บอกผมมาเดี๋ยวนี้เลย!!”

                “ไม่มีเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะรีบลุกขึ้น กะจะเดินหนี หากแต่สีฝุ่นกลับรีบลุกขึ้นตามและดึงแขนเขาเอาไว้

                “ไม่ต้องมามีความลับกับผมเลยนะ”

                “ความลับอะไรวะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย” พูดจบก็รีบสะบัดแขนของสีฝุ่นออกแล้วเดินหนีไปเตรียมกับข้าวต่อ พยายามทำเป็นไม่สนใจคนที่ยังคงตามมาเซ้าซี้ไม่เลิก

                “ผมไม่เชื่อเฮียหรอก”

                “เรื่องของมึง ถอยไป กูจะจัดโต๊ะ” ฮ่องเต้ยกชามกับข้าวและเดินไปที่โต๊ะตามที่พูด ทว่าสีฝุ่นยังคงตามตื๊อไม่เลิก

                “เออ ก็ได้! เฮียไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไร แต่หลังจากนี้ไป เฮียก็คอยระวังไว้ให้ดีเถอะ เพราะผมจะตามสืบเรื่องนี้แน่นอน ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครหน้าไหนมันบังอาจมาทำให้เฮียของผมตกหลุมรัก!”

                ฮ่องเต้ถอนหายใจแรงๆ ใส่ไปหนหนึ่ง กับคำการพล่ามออกมายาวเหยียดของคนเป็นน้อง ก่อนที่สีฝุ่นจะเบิกตากว้างเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และร้องเสียงหลง จนฮ่องเต้เผลอตกใจตาม

                “เฮ้ยยยยย หรือว่า...!!?”

                “หรือว่าอะไรของมึงอีก!” พุดออกไปด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะใจหายวาบเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปจากสีฝุ่นว่า

                “หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น!?”

                “คะ...ใคร! ใคร?”

                “ก็รหัสหนึ่งเจ็ดแปดปีนี้ไง!!”

                และข้อสันนิษฐานของสีฝุ่นก็ฟาดเข้าใส่จนฮ่องเต้หน้าชาเพราะอุตส่าห์ว่าจะไม่คิด ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วแท้ๆ แต่...

                มันจะรื้อฟื้นขึ้นมาหาพระแสงของ้าวอะไรของมันวะเนี่ยยยยย

            ทว่าสีหน้าของฮ่องเต้กลับไปสะดุดตาสีฝุ่นเข้าเต็มๆ  จนเจ้าตัวอดโวยวายออกมาไม่ได้

                “ทำหน้าแบบนี้ๆ อย่าบอกนะว่าเฮียโดนอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองเล่นงานแล้วอ่ะ”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ สูดหายใจเข้าไปฟืดใหญ่ ก่อนจะลืมตา หันไปมองหน้าเหวอๆ ของคนเป็นน้องพร้อมกับตะโกนออไปเสียงดังลั่นห้อง

                “มากินข้าว!!”

 


                 Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                                                       :katai5: :katai5: :katai5:





ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 9 บางอย่าง

                “มึงจะไปเรียนไหม!?” ฮ่องเต้ยืนพูดกับคนขี้เซาที่เอาแต่นอนจมอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ขณะที่มือก็ถือผ้าขนหนู เช็ดผมที่เพิ่งจะสระเสร็จไปเมื่อครู่อยู่ที่ปลายเตียง

                หลังจากที่เขาต้องมานอนเป็นเพื่อนสีฝุ่นสามวันเต็ม ก็ถึงเวลาเปิดเทอมวันแรกและถึงเวลาที่เขาจะกลายเป็นนักศึกษาปีสี่อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็อย่างว่า...ยิ่งเรียนสูง ยิ่งเหนื่อยหนัก เขาเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตปีสี่จะเป็นยังไง แต่ก็ขอไม่ไปเรียนสายตั้งแต่วันแรกก็เป็นพอ เพราะอย่างน้อย เขาก็ไม่ควรจะถูกอาจารย์เทศนาตั้งแต่คาบเรียนแรกของเทอม ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องรีบตื่นแต่เช้า เผื่อเวลามาปลุกไอ้ตัวการที่กำลังจะทำให้เขาไปเรียนสายอย่างคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติงยู่บนเตียง

                และในเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากผีผ้าห่มเขาเรียก เขาก็จำเป็นต้องเดินไปที่ข้างเตียงและดึงผ้าห่มออก ก่อนจะจัดการสะบัดหัว เพื่อให้น้ำจากเส้นผมเปียกๆ ช่วยปลุกคนขี้เซา

                “เล่นอะไรของเฮียเนี่ยยยยยย” ในที่สุดสีฝุ่นก็โวยวายออกมาไม่ค่อยจะเป็นภาษาเท่าไหร่ พร้อมกับหยีตาเพราะแสงสว่างจ้าจากพระอาทิตย์ที่เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง หากแต่เจ้าตัวกลับพลิกตัวหนีและทำท่าจะหลับต่อเสียอย่างนั้น

                “ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวกูต้องแวะไปส่งมึงอีกนะเว้ย!” คนเป็นพี่ร้องบอกพลางก้มตัวลงไปฉุดแขน จนกระทั่งสีฝุ่นผงกตัวลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย จึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตู้เสื้อผ้าและเดินกลับมาพร้อมกับโยนผ้าผืนนั้นลงบนหัวของสีฝุ่น

                “ไปอาบน้ำ! แล้วรีบออกมาแต่งตัว กูรีดชุดไว้ให้แล้ว” เขาหมายถึงชุดนักศึกษาที่รีดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

                ฮ่องเต้มองสีฝุ่นที่ลุกขึ้นมาอย่างเนือยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำไป หลังจากที่ประตูห้องน้ำปิด เขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาใส่ เสร็จสรรพก็ไปจัดการเซ็ทผมที่เริ่มยาวเพราะเขาไม่ได้ตัดมันมานานหลายเดือน

                หลายนาทีผ่านไป...

                สีฝุ่นก็เดินออกจากห้องน้ำและแต่งตัวจนเสร็จ เหลือบมองดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงสี่สิบแล้ว ฮ่องเต้กับสีฝุ่นจึงเร่งฝีเท้าออกมาจากหอพักโดยด่วนเพราะเกรงว่าจะไม่ทันการ

                “เฮียจะไปไหนแต่เช้าเนี่ย”

                สีฝุ่นร้องถามพร้อมกับมองเหลียวหลังตาม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ขับรถผ่านประตูทางเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้หอพักของสีฝุ่นมากที่สุด

                “ก็พามึงไปรับสิ่งดีๆ ก่อนเข้าเรียนวันแรกไง” ฮ่องเต้ตอบขณะเลี้ยวรถไปตามทางแยกเพื่อตรงไปยังถนนหน้ามอ

                “ผมอยู่ปีสองแล้วนะเฮีย ไม่ได้เป็นเฟรชชี่ปีแรกที่ต้องเล่นใหญ่ตอนเปิดเทอมสักหน่อย” ท้ายประโยคเริ่มฟังไม่เป็นภาษาเพราะสีฝุ่นอ้าปากหาวไปด้วย

                “อยู่ปีไหนก็ควรเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดีๆ เผื่อมึงจะได้เจอรักแท้กับชาวบ้านเขาบ้างไง” พูดจบก็เหลือบตาไปมองคนข้างๆ ที่ตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ หน้าตาที่ดูง่วงนอนแบบสุดๆ ของสีฝุ่นทำเอาเขาเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้

                “เอาน่า เลิกทำหน้าบึ้งตึงได้แล้ว ตอนนี้มึงควรยิ้มมากกว่า”

                “แบบนี้ใช่ไหมเฮีย” ไม่ว่าเปล่า ยังหันมายิ้มยิงฟันใส่แบบกวนๆ จนฮ่องเต้อดไม่ได้ โบกหัวคนเป็นน้องไปที

                “กวนประสาตแต่เช้านะมึง”

                ฮ่องเต้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พลางสอดสายตามองหาที่ว่างและเลี้ยวรถเข้าไปจอด ก่อนจะลากสีฝุ่นที่เริ่มงอแงเป็นเด็กสามขวบลงมาจากรถและพามันเดินไปตามทางเดิน กระทั่งถึงจุดที่ขายของสำหรับทำบุญ

                “สวัสดีครับ” ฮ่องเต้ยกมือไหว ป้าเนียม แม่ค้าประจำร้านขายชุดอาหารสำหรับใส่บาตรจอนเช้า เขารู้จักกับป้ามาตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะเขามักจะแวะมาใส่บาตรเกือบทุกเช้าก่อนไปเรียนเสมอ

                “ไม่เจอกันนาน หน้าตาน่ารักขึ้นนะเรา”

                สีฝุ่นแทบจะหลุดขำออกมาทันทีที่ได้ยินคำชมนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงยิ้มแห้งๆ ไปให้คนพูด พาลนึกไปว่ายังดีที่เป็นป้า เพราะถ้าเป็นเพื่อนหรือรุ่นน้องคนอื่น เขาอาจจะแยกเขี้ยวใส่และกระโดดงับคอไปแล้วก็ได้ ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าเขาน่ารัก

                มันเป็นปมฝังใจผมมาตั้งแต่เด็ก ได้โปรดเข้าใจผมด้วย

                “แล้วพาใครมาด้วยล่ะ”

                ฮ่องเต้มองไปข้างหลังตามป้าเนียมที่ชะโงกหน้ามองพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง

                “นี่สีฝุ่น ลูกพี่ลูกน้องของผมครับ”

                “สวัสดีครับ” สีฝุ่นยกมือไหว้ ขณะที่ป้าเนียมทำหน้าเหมือนเสียดายอะไรสักอย่าง

                “ป้าก็นึกว่าแฟนใหม่เราเสียอีก”

                ฮ่องเต้ถึงกับชะงัก หน้าตาเหลอหลาขึ้นมาทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากของป้า เขาคงไม่กระวนกระวายใจเท่าไหร่นักหรอก หากตอนนี้สีฝุ่นไม่ได้ยืนอยู่ด้วย เพราะนอกจากสีฝุ่นจะเอามือมาจับต้นแขน ออกแรงบีบเล็กน้อยเพื่อให้เขาหันไปมองแล้ว ยังส่งสายตากดดันเป็นเชิงคาดคั้นเอาคำตอบอีกต่างหากและอย่าฮ่องเต้จะทำอะไรได้นอกจาก...

                “เอาสองชุดนะครับป้า” หันไปพูดกับป้าอย่างจงใจเปลี่ยนเรื่องและพยายามดึงแขนออกจากมือของสีฝุ่น โดยไม่หันไปมองหน้าเจ้าของมือเป็นอันขาด โชคดีที่พระท่าบิณฑบาตผ่านมาพอดี เขากับสีฝุ่นเลยต้องรีบใส่บาตรและรับพรจากรพะท่านก่อน เสร็จสรรพฮ่องเต้ก็ยื่นเงินให้กับป้าเนียมและเดินหนีทันที

                “บอกผมมาให้หมดเลยนะเฮีย ไอ้ที่ป้าแกพูดนั่นหมายความว่าไง”

                แม้จะพยายามตามตื๊อ แต่ฮ่องเต้ก็ก้าวขายาวๆ เร่งฝีเท้าเดินหนี จนกระทั่งคนที่ตามหลังมาต้องเปลี่ยนจากเดินเร็วๆ มาเป็นวิ่งตามจนทันและฉวยโอกาสโผล่พรวดเข้าไปขวางหน้า ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับตกใจและเบรกเท้าแทบไม่ทัน

                “อะไรของมึงอีกวะ!?”

                “บอกผมมา!” สีฝุ่นคาดคั้นหน้านิ่ง พยายามข่มคนเป็นพี่ให้ได้มากที่สุด แต่เขาคงจะลืมไปว่าฮ่องเต้เคยกลัวเด็กอย่างเขาที่ไหนกัน

                “มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ป้าแกก็แค่เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนที่เคยมาใส่บาตรด้วยกันเป็นแฟนกู”

                โกหกออกไปเช่นนั้น โดยหารู้ไม่ว่าหน้าตา ท่าทางและน้ำเสียงของเขาส่อแววพิรุธมากแค่ไหน และมันก็มากพอที่จะทำสีฝุ่นหรี่ตาลงมองอย่างจับผิดเขาได้

                “จะให้ผมบอกอีกกี่ที ว่าเฮียโกหกไม่เก่ง”

                คำพูดของสีฝุ่นเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ฮ่องเต้หมดทางหนี หากแต่เจ้าตัวยังคงคัดค้าน

                “ไม่มีอะไรก็คือไม่มีดิวะ”

                “ผมไม่เชื่อ”

                “ก็เรื่องของมึง” พูดจบก็เดินหนี จนสุดท้ายสีฝุ่นก็ยอมล่าถอยไปแต่โดยดี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคาดคั้นเอาความกับคนที่ไม่คิดจะพูดความจริงกับเขา ยิ่งเป็นคนปากหนักอย่างเฮียฮ่องเต้ด้วยแล้ว เขารู้ดีว่าคาดคั้นไปเป็นปีก็ไม่มีทางปริปากหลุดอะไรออกมาแน่ สู้เขาเอาเวลาไปตามสืบเรื่องนี้เองดีกว่า

                “รอผมด้วยเฮีย” สีฝุ่นตะโกนเรียกพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินตามให้ทันคนที่หายวับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

                สีฝุ่นเดินไปสั่งกาแฟ ขณะที่ฮ่องเต้หยิบขนมปังบนชั้นวางสองห่อใส่ลงไปในตะกร้า เป็นขนมปังสังขยาแบบที่เขาชอบห่อหนึ่งกับขนมปังไส้ทูน่าของสีฝุ่นอีกห่อหนึ่ง หากแต่พอจะเดินผ่านชั้นขนมปังไปนั้นเอง เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยุดยืนให้ความคิดสักพักก่อนจะเดินกลับมาที่ชั้นวางขนมปังอีกครั้งและเลือกขนมปังที่เขาคิดว่าคนที่กำลังนึกถึงอยู่น่าจะชอบใส่ลงไปในตะกร้าเพิ่มอีกสองห่อ ก่อนจะเดินไปเลือกนมขวดเล็กมาอีกห้าขวด พร้อมกับน้ำดื่มสำหรับติดรถเอาไว้อีกสามขวด

                “เฮียจะเอาไปขายในห้องเหรอ ซื้อเยอะจัง” สีฝุ่นที่เดินตามหลังมาพร้อมกับแก้วกาแฟร้อนในมือ ชะโงกหน้าเข้ามามองของในตะกร้าอย่างสงสัย

                “กูก็ซื้อเผื่อมึงนั่นแหละ” ฮ่องเต้ตอบและเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์

                “มันเยอะไปป่ะเฮีย” สีฝุ่นว่าและหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ “หรือว่าซื้อไปให้ใครหรือเปล่าครับ”

                น้ำเสียงที่ฟังดูยียวนกวนประสาตทำเอาฮ่องเต้อดเหลือบตาไปมองอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้

                “กูก็เพิ่งบอกไปว่าซื้อเผื่อมึง” พูดจบก็หิ้วถุงเดินออกจากร้านสะดวกซื้อทันที

                “เอะอะก็มีความลับกับน้องนะ อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าซื้อไปให้ใคร” ว่าแล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาจิบทีหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตามประสาคนรักกาแฟ ก่อนจะเดินตามคนเป็นพี่ไปที่รถ

                หากแต่พอขึ้นไปนั่งบนรถได้ คนข้างๆ ก็คว้าแก้วกาแฟออกจากมือไปและยัดขนมปังกับนมมาใส่มือเขาแทน

                “กินให้หมดด้วยนะ” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะสตาร์ทรถ

                “ไม่เอา! เฮียเอากาแฟผมคืนมาเลย!” สีฝุ่นโวยวายออกมาพร้อมกับชักสีหน้าเหมือนเด็กถูกบังคับให้กินของที่ไม่ชอบ และไอ้ของที่ว่าดันเป็นนมขวดที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้นั่นแหละ

                สีฝุ่นเกลียดการดื่มนมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้รู้ดี เพราะแบบนั้นเขาจึงบังคับให้คนเป็นน้องดื่มนมทุกเช้าและก่อนเข้านอนมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งทุกวันนี้ที่เขาก็ยังคงบังคับสีฝุ่นทักครั้งที่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน

                “ดื่มเข้าไปเหอะน่า มันดีต่อสุขภาพนะเว้ย”

                อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้มันดื่มแต่เหล้า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน สีฝุ่นจะเอาแต่กินเหล้าจนเมาหัวราน้ำไปกี่วัน กี่สัปดาห์ ที่สำคัญ ไม่รู้ว่าระบบร่างกายจะมีอะไรเสื่อมไปเพราะเหล้าบ้างไหม

                ฮ่องเต้ขับรถพาสีฝุ่นไปส่งที่คณะอักษรศาสตร์และขับมาถึงคณะตัวเองในเวลาเจ็ดโมงกว่าๆ เขาขับรถวนหาที่จอดรถหลังคณะและดับเครื่อง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลบางอย่างในเว็บไซต์มหาวิทยาลัย  พิมพ์รหัสนักศึกษาของใครบางคนลงไปและกดค้นหา หลังจากนั้น ผมก็แคปข้อมูลบนหน้าจอเอาไว้ ก่อนจะลงจากรถและเดินไปเปิดประตูหลัง จัดการเปิดกระเป๋าเป้ เอาโพสอิจและปากกาออกมาเขียนข้อความลงไป หลังจากนั้นก็แปะมันลงไปบนห่อขนมปังและใส่มันกลับเข้าไปในถุงดังเดิม         

                หลังจากฮ่องเต้เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเสร็จ ก็ปิดประตู ล็อครถและเดินเข้าคณะ ท่ามกลางสายตาของใครอีกคนที่นั่งจับตาดูเขาอยู่ข้างในตัวรถ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

                ระหว่างที่ฮ่องเต้เดินเข้าไปยังตึกที่ตนเรียนนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกรีนที่กำลังเดินเข้ามาในตึกเรียนเดียวกันกับเขาพอดี เขาจึงมองตามกรีนที่ถอดหูฟังออกและเก็บลงกระเป๋าเป้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นรุ่นพี่ปีสี่ของตน

                “สวัสดีครับ พี่เต้” กรีนหันไปยกมือไหว้ฮ่องเต้พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยแซวต่อว่า “ปีสี่แล้ว ยังต้องตื่นมาเรียนแปดโมงอีกเหรอครับ”

                ซึ่งฮ่องเต้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอ่อนไปให้

                “ชีวิตนักศึกษามันก็แบบนี้แหละ ยังดีที่ตอนเรียนยังแค่แปดโมง ไม่อยากคิดถึงตอนทำงาน” เขาบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสา ก่อนจะวกเข้าเรื่องสำคัญ

                “เออ ไอ้กรีน กูมีเรื่องให้มึงช่วยว่ะ”

                “ว่ามาเลยครับ” กรีนยิ้มให้ด้วยความยินดี

                “กูจะฝากมึงเอาของไปให้เด็กปีหนึ่งหน่อยได้ไหมวะ”

                “เรื่องแค่นี้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างน้องปีหนึ่งสายพี่ ผมก็รู้จักดีอยู่แล้ว” ท้ายประโยคยิ้มอย่างล้อเลียน จนฮ่องเต้ต้องตีหน้านิ่งใส่

                “โธ่ พี่เต้ อย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งใส่ผมสิครับ ผมแค่ล้อเล่นเอง แล้วไหนล่ะครับ ของที่จะให้น้อง” กรีนเปลี่ยนเรื่อง ฮ่องเต้จึงเปิดกระเป๋าเป้และเอาถุงใส่ขนมปังกับนมออกมาสองถุง แล้วยื่นให้คนตรงหน้า หากแต่กรีนกลับยิ้มกริ่มกับของที่เห็น

                “เสิร์ฟมื้อเช้าให้กันตั้งแต่วันแรกแบบนี้ ผมคงได้ยินข่าวดีเร็วๆ นี้ใช่ไหมครับ”

                “ไอ้กรีน เว้นว่างไม่แซวเรื่องนี้กับกูบ้างก็ได้นะ แค่พวกพี่มึง กูก็ปวดหัวจะแย่”  ฮ่องเต้ว่าพลางส่ายหน้าอย่างระอาใส่ ก่อนจะหันไปปิดกระเป๋า

                “โอเคครับ ผมจะพยายาม ว่าแต่น้องเรียนตึกนี้เหรอครับ”

                “ใช่ ห้องเจ็ดหกศูนย์เก้า” ฮ่องเต้บอกออกไปตามข้อมูลที่ค้นหาจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยตอนที่อยู่บนรถ

                “ครับ ถ้าผมเจอน้องแล้ว ผมจะไลน์ไปบอกพี่ก็แล้วกันนะครับ”

                “อืม ขอบใจมาก” ฮ่องเต้ยิ้มให้กับกรีน ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์พร้อมกัน

                และจังหวะที่ทั้งคู่ก้าวเข้าไปยืนอยู่ในลิฟต์นั้นเอง จู่ๆ ก็มีใครบางคนโผล่พรวดเข้ามาข้างในลิฟต์อีกสองคน ฮ่องเต้กับกรีนที่กดเลขชั้นที่จะไปเรียบร้อยแล้ว จึงเขยิบถอยหลังเผื่อพื้นที่ให้คนที่เข้ามาใหม่อย่างไม่คิดอะไร ก่อนที่ประตูจะปิดลง

                กับน้องผู้หญิง เขาพอจะจำได้ว่าเธอคือน้องฝ้าย ดาวเด่นปีหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง หากแต่ผู้ชายอีกคนนี่สิ รูปร่างและท่าทางคุ้นตาฮ่องเต้ยังไงชอบกล ก่อนที่บทสนทนาของคนข้างหน้าจะดังขึ้น

                “ดีใจจังที่ได้เรียนห้องเดียวกัน” น้องผู้หญิงหันไปคุยกับน้องผู้ชายคนข้างๆ “ว่าแต่เธอตื่นเช้าแบบนี้ตลอดเลยเหรอ”

                “ไม่หรอก แล้วแต่ว่าวันไหนมีอะไรให้ทำมากกว่า” น้องผู้ชายหันไปตอบ

                หากแต่เสียงที่ดูคุ้นหู ทำเอาฮ่องเต้กับกรีนหันมามองหน้ากันทันที รอยยิ้มของกรีนทำให้ฮ่องเต้แน่ใจว่าสองคนข้างหน้าคือคนที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิดตัวเป็นแน่

                “จะเปลี่ยนใจเอาให้น้องเองไหมครับ” กรีนกระซิบถามเป็นเชิงล้อเลียน ฮ่องเต้จึงหันไปเขม่นใส่พร้อมกับเอานิ้วชี้แตะที่ปากเพื่อบอกให้คนข้างๆ อย่าเสียงดัง

                แต่ก็ไม่ทันคนข้างหน้าที่หันกลับมามองข้างหลังอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำเอาฮ่องเต้ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองรุ่นน้องตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้แทนการทักทาย ขณะที่กรีนได้แต่แอบหัวเราะอย่างนึกขำกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่     

                ฮ่องเต้ทำได้แค่เพียงพร่ำบ่นในใจว่าทำไมชีวิตของเขาไม่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ กับคนอื่นเขาบ้าง ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำบุญใส่บาตรแท้ๆ  แต่กลับต้องมาเจอคนที่ไม่อยากจะเจอแต่เช้า

                ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่เอาแต่มองสำรวจฮ่องเต้ในชุดนักศึกษาที่เขาก็เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก...

                น่ารักว่ะ

            นั่นคือคำจำกัดความที่โฟโต้ยกให้ฮ่องเต้ในเวลานี้ ทั้งเส้นผมสีเข้มที่ถูกเซ็ทมาเป็นอย่างดี ผิดกับวันรับน้องที่ฮ่องเต้แต่งตัวติดออกจะสบายๆ แถมเส้นผมยังแอบยุ่งน้อยๆ เหมือนกับคนเพิ่งตื่น แต่ยังไงตอนนั้น โฟโต้ก็ยังคงมองว่ามันดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ

                ไม่รู้ว่าอะไรที่ดลใจให้เขาคิดเช่นนั้น แต่เขาก็คิดแบบนั้นไปแล้ว

                ยิ่งมอง ยิ่งใกล้ ใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ฮ่องเต้เป็นผู้ชาย แต่กลับดึงดูดสายตาและดูเหมือนว่ารุ่นพี่ปีสี่คนนี้จะเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เด็กปีหนึ่งอย่างเขาหลงเสน่ห์

                แม้ว่าทุกสัดส่วนบนร่างกายจะไม่ได้ต่างกัน แถมนิสัยของรุ่นพี่คนนี้ก็ติดจะห่ามๆ ไม่ได้ดูเปราะบางเหมือนกับเพื่อนของเขาอย่างกาฟิวด์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้ดูน่ารัก...เป็นความน่ารักอย่างลงตัวในแบบฉบับของฮ่องเต้ ที่ทำเอาเขาไม่อาจจะถอนสายตาออกไปได้

                “สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

                ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ กว่าที่เขาจะรู้ตัวและยกมือไหว้รุ่นพี่ทั้งสองคนตรงหน้าพร้อมกับฝ้าย ซึ่งกรีนก็รับไหว้น้องพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผิดกับฮ่องเต้ที่กำลังพยายามปรับสีหน้า (หลังจากตกใจที่ได้เจอเขา) และไม่ยอมหันมามองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

                สงสัยจะไม่ชอบขี้หน้าเพราะโดนผมกวนประสาตแน่ๆ

            แต่นั่นกลับเป็นความคิดที่ทำให้โฟโต้หลุดยิ้มออกมาและอดแซวคนที่ชอบชักสีหน้าบึ้งตึงใส่ทุกครั้งที่เจอหน้าเขาไม่ได้

                “แหม ได้เจอพี่ฮ่องเต้แต่เช้าแบบนี้ เหมือนเป็นลางว่าผมจะโชคดีทั้งวันเลยนะครับ”

                ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้าที่พยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุด โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าการทำแบบนั้น ยิ่งเป็นการแสดงพิรุธ แต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปเพราะเขามองว่าท่าทางแบบนั้นคือเสน่ห์อีกแบบของพี่ฮ่องเต้

                หากแต่คนตรงหน้าเขากลับเอาแต่นิ่งเงียบเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเท่าไหร่นัก และก่อนที่เขาจะทันได้ยุแหย่ฮ่องเต้ต่อ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นห้าเสียก่อน ฮ่องเต้จึงได้โอกาสรีบแจ้นออกไป ทิ้งไว้เพียงแค่สายตาของโฟโต้ที่มองตามไปจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิด

                “ไม่ตามไปเรียนกับพี่เขาด้วยเลยล่ะ มองตามขนาดนั้น”

                โฟโต้หันกลับมามองหน้ากรีนที่เอ่ยแซวรุ่นน้องด้วยแววตาหยอกล้อ

                “ทำอย่างกับพี่เขาจะยอมให้ผมตามอย่างนั้นแหละครับ”

                กรีนหัวเราะออกมาเบาๆ  กับคำพูดของโฟโต้ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกที่ชั้นหก ทั้งสามคนจึงเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกัน ก่อนที่กรีนจะมองตามรุ่นน้องสองคนที่กำลังยืนหาห้องเรียน

                “ห้องเจ็ดหกศูนย์เก้าอยู่ทางนู้น” กรีนช่วยชี้บอกทางและอธิบาย “เลขตัวเลขบอกตึก เลขตัวที่สองบอกชั้น ส่วนเลขสองตัวสุดท้ายบอกห้อง ซึ่งมันก็เรียงไปตามเลขนั่นแหละ มึงสังเกตเอาจากป้ายบนประตูก็ได้”

                ทั้งฝ้ายและโฟโต้มองตามมือของกรีนที่ชี้ไปยังป้ายเล็กๆ บนประตูซึ่งมีเลขสี่ตัวอยู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับกรีน

                “ขอบคุณครับ พี่กรีน”

                “ไม่เป็นไร ตอนอยู่ปีหนึ่ง กูก็งงๆ แบบนี้แหละ”

                หากแต่ก่อนที่โฟโต้จะทันได้เดินไป เสียงฝ้ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

                “แล้วพี่กรีนรู้ได้ยังไงคะ ว่าพวกหนูหาห้องเจ็ดหกศูนย์เก้าอยู่”

                กรีนไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร แต่ทำเพียงแค่ยิ้มและยื่นอะไรบางอย่างไปตรงหน้าของโฟโต้

                “พอดีพี่ปีสี่ของโฟโต้เขาบอกมา แล้วก็ฝากของมาให้ด้วย”

                ท้ายประโยคหันไปพูดกับโฟโต้ เจ้าตัวจึงได้แต่รับถุงในมือกรีนมาแบบงงๆ ก่อนที่กรีนจะช่วยอธิบาย

                “พี่รหัสปีสี่ของมึงเขาฝากมาให้มึงถุงหนึ่ง  ส่วนอีกถุงฝากให้คนชื่อนัท รหัสสองศูนย์สี่ เรียนอยู่ห้องเดียวกันนั่นแหละ”

                “อ่อ ยังไงก็ขอบคุณพี่กรีนนะครับ ที่เอามาให้ผม” โฟโต้ขอบคุณคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่กรีนจะแยกตัวไปเรียน ขณะที่โฟโต้กับฝ้ายก็เดินเข้าห้องเรียนไป

                โฟโต้สอดสายตามองหาคนชื่อนัทท่ามกลางนักศึกษาที่เริ่มทยอยมาเกือบจะเต็มห้อง ก่อนจะไปสะดุดตากับร่างสูงของคนที่เขาอิจฉาในออร่าเมื่อตอนรับน้องที่เพิ่งจะเดินเข้าห้องมา

                เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมองตาป้ายที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า นัท 204 แล้ว ก็ตรงเข้าไปหาพร้อมกับของในมือทันที

                “โทษนะ พี่รหัสปีสี่ฝากของมาให้” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับยื่นของในมือไปให้ ขณะที่นัทก็รับไปแบบมึนงง

                “เออ ขอบคุณนะ” ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มไปให้และต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปนั่งเรียน ซึ่งโฟโต้ก็เลือกนั่งโซนแถวกลางห้องและเกือบจะชิดริมหน้าต่าง โดยมีฝ้ายที่ขอตามมานั่งข้างๆ ด้วย ทำเอาผู้ชายแถวนั้นมองตามด้วยความอิจฉา

                “ดีจัง ได้ของเทคตั้งแต่เปิดเทอมเลย” ฝ้ายหันมาชวนคุย ขณะที่โฟโต้กำลังอ่านโพสอิจที่เขียนเอาไว้แค่ว่า ตั้งใจเรียนนะ จากพี่รหัสปีสี่ เท่านั้น

                “เดี๋ยวเธอก็ได้เหมือนกันนั่นแหละ” โฟโต้หันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนที่สายตาจะหันไปสบกับร่างสูงของใครบางคนเข้า ทำให้บทสนทนาชะงักไป

                “ขอนั่งด้วยได้ไหม พอดีมันไม่มีที่ว่างแล้ว”

                เป็นนัทที่เดินเข้ามาคุยด้วย โฟโต้ปราดตาไปมองเก้าอี้ทั่วห้องและเมื่อเห็นว่ามันเต็มตามที่นัทบอกเอาไว้ จึงหันกลับมาบอกคนตรงหน้า

                “เอาดิวะ ตรงนี้ไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว” โฟโต้ร้องบอก ก่อนที่นัทจะเอ่ยขอบคุณและนั่งลงข้างๆ  ทำให้วันนั้น ทั้งโฟโต้ต้องนั่งเรียนกับเพื่อนใหม่ทั้งสองคนอย่างนัทและฝ้ายไปโดยปริยาย

               

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                                        :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:



ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 10 แกล้งนักมักรักเอง Part 1

                ชีวิตปีสี่หนักกว่าที่ฮ่องเต้คิดเอาไว้...

                เพราะเจอหน้ากันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อาจารย์ก็เล่นสั่งงานล่วงหน้ายาวไปยันปลายเทอม เขาจึงอดเซ็งไม่ได้ แต่คนที่เซ็งกว่า น่าจะเป็นคนข้างๆ ที่เอาแต่บ่นไม่หยุดมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว

                “ตายๆๆ อุตส่าห์ดีใจที่รอดเงื้อมมืออาจารย์บดินทร์ตอนเทอมที่แล้วมาได้ แต่ต้องมาเจอในวิชานี้อีก ชีวิตปีสี่กูตายห่าแน่ๆ”

                คำพูดของนิวทำเอาฮ่องเต้กับซันหัวเราะครืน ขณะที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมออกจากห้องเพื่อที่จะไปหาอะไรกินต่อ หากแต่นิวยังคงเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดตามประสาคนพูดมาก

                “นี่กูไปทำเวรทำกรรมอะไรกับใครไว้หรือเปล่าวะ โชคชะตาถึงได้จงใจให้กูต้องมาเรียนวิชานี้ เอ๊ะ หรือว่าเมื่อเช้ากูก้าวเท้าออกจากหอผิดข้างวะ ไอ้ซัน เมื่อเช้ามึงทันเห็นป่ะว่ากูก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวาออกจากห้องอ่ะ”

                ท้ายประโยคนิวหันไปพูดกับซันที่ยืนยิ้มมองหน้ามันด้วยความเอือมระอา ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาโบกหัวคนพูดมากไปที

                “จะเท้าไหนมันก็ไม่เกี่ยวหรอก ไอ้ที่มึงโดนเพ่งเล็งก็เพราะมึงทำตัวเองทั้งนั้น”

                “กูทำอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย นี่มันเพิ่งจะเปิดเทอมสัปดาห์แรกเอง” นิวตีหน้ายุ่งใส่เหมือนคนถูกกล่าวหา

                “เหรอ ไม่ได้ทำอะไรเหรอครับ” ซันเว้นจังหวะและทำทีหันมาพูดกับฮ่องเต้ “ไอ้เต้ มึงจำได้หรือเปล่าวะ ว่าไอ้เด็กปีสี่หน้าไหนมันที่ก่อวีรกรรมมาสายสามคาบติดกัน จนอาจารย์บดินทร์สั่งทำโทษวะ”

                ฮ่องเต้ทำเพียงหัวเราะใส่ ตรงข้ามกับคนที่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้เต็มๆ อย่างนิว ที่ถึงกับเท้าสะเอวใส่และจ้องหน้าซันอย่างเอาเรื่อง

                “ก็มึงนั่นแหละ ทิ้งกูไปนอนกับสาวที่ไหนก็ไม่รู้ เลยไม่มีใครช่วยปลุกกูไง มึงก็รู้ๆ อยู่ว่ากูตื่นยาก”         

                “มึงก็หัดตื่นเองมั่งดิวะ เรียนจบไปก็ใช่ว่ากูจะได้อยู่กับมึงเสียหน่อย ยังไงสักวันหนึ่งมึงก็ต้องตื่นไปทำงานเองอยู่ดีหรือเปล่าวะ”

                นิวนิ่งไปเล็กน้อยอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างหันมามองหน้าซันตาเป็นประกาย

                “งั้นมึงก็ไปอยู่กับกูดิ”

                “ใช่เรื่อง” ซันตอกกลับทันที หากแต่นิวยังคงไม่ยอมแพ้

                “ไม่รู้เว้ย หลังจากเรียนจบ กูจะไปสมัครงานที่เดียวกับมึง ย้ายไปอยู่หอเดียวกับมึง แล้วก็...”

                “แต่งงานสร้างครอบครัวกับกูด้วยเลยไหมล่ะ” ซันพูดประชดประชันใส่ หากแต่นิวกลับคิดเป็นอีกอย่าง

                “เออ ก็ดีนะ กูจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาเมียไง บอกตามตรงว่าตอนอยู่หอกับมึงนี่กูโคตรสบายเลยว่ะ ฮ่าๆๆ”

                และนิวก็หัวเราะลั่นอย่างไม่สนใจสายตาของซันที่มองมันด้วยความเอือมระอาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่นิวจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ฮ่องเต้กับซันเดินตามหลัง

 

                เวลาลุล่วงเข้าไปห้าโมงเย็นแล้ว เด็กปีหนึ่งต่างทยอยเข้ามาในลานกิจกรรมในร่มประจำคณะ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเชียร์กันเป็นวันแรก เพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมระหว่างเปิดเทอมที่จะเกิดขึ้น โดยมีรุ่นพี่แต่ละชั้นปีเข้ามาดูแลรุ่นน้องไม่ห่าง

                 เช่นเดียวกับฮ่องเต้ นิวและซันที่ก็เดินลัดเข้ามาทางประตูหลัง ที่ฮ่องเต้ต้องเข้าห้องเชียร์ในวันนี้ ก็เพราะเรื่องการคัดเลือกดาวเดือนคณะที่เขาต้องเข้าไปเอี่ยวเพราะเคยเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวด ส่วนสองรายหลัง คนหนึ่งมาเพราะเป็นตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่สี่ในการเก็บภาพบรรยากาศกิจกรรม ส่วนอีกคนมาเพราะชอบเข้าร่วมกิจกรรมกับรุ่นน้อง ไม่สิ อันที่จริงต้องบอกว่ามาเพื่อส่องสาวๆ มากกว่า เพราะคนที่ถือคติว่าสาวสวยคือสีสันและอาหารตาในชีวิตอย่างนิว คงไม่มีธุระอื่นใดที่จะสำคัญไปกว่ารุ่นน้องสาวๆ อีกแล้ว

                “ให้กูช่วยมองหาว่าที่แฟนมึงให้ป่ะ” นิวหันไปหยอกล้อทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามารวมตัวกับรุ่นพี่ที่มาออกันอยู่ด้านหลังห้องเชียร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเด็กปีสามที่กำลังเช็คชื่อเด็กปีหนึ่ง ซึ่งกำลังต่อแถวเรียงคิวกันเดินเข้ามาในห้องเชียร์

                “มึงไม่ต้องมากวนตีนกูเลยนะไอ้นิว” ฮ่องเต้หันไปทำหน้าดุใส่อย่างเคยและเช่นกัน นิวก็ยังคงไม่ยี่หระกับคำพูดใดๆ เพราะยิ่งทำให้ฮ่องเต้โมโหใส่ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสนุกสำหรับเขา

                “กวนตีนที่ไหน นี่กูช่วยมึงเลยนะเว้ย”

                “ช่วยห่าอะไร มึงไม่ต้องมายุกูเรื่องสายรหัสเลยนะ”

                “เรื่องอะไรล่ะ ก็กูอยากให้มึงมีแฟน กูก็ต้องยิ่งยุมึงดิวะ ฮ่าๆๆ” นิวพูดอย่างลอยหน้าลอยตา จนเกือบจะโดนฝ่าเท้าของฮ่องเต้ที่ลอยตามมาติดๆ  โชคดีที่เขาจับทางเพื่อนรักเขาได้ ก้นของเขาจึงพ้นจากฝ่าเท้าของฮ่องเต้ไปอย่างหวุดหวิด ทำเอาคนที่ลดเท้าลงต้องเท้าสะเอวใส่อย่างหงุดหงิดใจ

                น่าจะโดนสักทีนะไอ้นิว

            แต่ก็ได้คิดแค้นแค่ในใจเท่านั้น ก่อนที่จะลงไปนั่งกับม้านั่งและมองพวกรุ่นน้องที่ทยอยเข้ามานั่งในห้องเชียร์ต่อ ส่วนนิวก็มุ่งหน้าเข้าไปหาสาวๆ ต่อด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดๆ  ขณะที่ซันก็ออกไปทำหน้าที่ เริ่มทยอยถ่ายรูปบรรยากาศรอบห้องเชียร์ จนกระทั่ง...

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเช็คชื่ออยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าที่คุ้นตาทำเอาหัวใจของเขาเริ่มสั่น อาจจะเพราะกังวลใจหรือไม่ก็เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนและเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันมักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาได้เจอกับโฟโต้

                จนเขาต้องพยายามเบนสายตาไปมองทางอื่นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้นให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาระยะห่างและความปลอดภัยให้กับหัวใจตัวเอง

               

                ระหว่างนั้น...

                สีฝุ่นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตึกคณะ ก้มมองมือถือในมือของตัวเองที่มีข้อความจากคนแปลกหน้าเข้ามาในไลน์ ข้อความนั้นถูกส่งมาตั้งแต่ตอนบ่ายสอง แต่เพราะว่าเขาติดเรียนจึงไม่มีโอกาสได้แตะโทรศัพท์ เลยเพิ่งจะมาเห็นข้อความเอาตอนเกือบห้าโมงเย็นไปแล้ว

                “คืนนี้ว่าไงเพื่อน” เสียงของ มิว เพื่อนสนิทในคณะดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับแขนยาวๆ ที่พาดตรงบ่า สีฝุ่นจึงละสายตาจากมือถือแล้วหันไปคุยกับเพื่อนของเขาก่อน

                “ไม่ว่ะ กูกะจะงดเข้าร้านสักพัก” แม้ว่าเจ้าตัวจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่คำตอบนั้นกลับทำให้มิวถึงกับอึ้ง จับไหล่เพื่อนให้หันมาทางตัวเองและมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า

                “เฮ้ย นี่มึงเป็นใครวะ ใช่ไอ้สีฝุ่นเพื่อนกูป่ะเนี่ย”

                ป้าบ!

                มือของสีฝุ่นฟาดเข้าที่หัวของมิวเสียงดังลั่น

                “ตลกละมึง”

                “เอ้า ก็ปกติเพื่อนกูไม่เคยพูดอะไรแบบนี้นี่หว่า...” มิวว่าพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ “...มึงไม่รู้หรอก ที่ผ่านมามึงซดเหล้าแทนน้ำทุกวัน ตั้งไม่รู้กี่เดือน จนกูเนี่ยคิดว่ามึงติดเหล้าไปแล้วนะเว้ย”

                สีฝุ่นถึงกับนิ่งไปกับคำพูดของเพื่อนที่แทงใจดำเขาเข้าเต็มๆ ที่มิวพูดไม่ได้เกินไปเลยสักนิด เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่เข้าร้าน กลับถึงห้องอย่างหมดสภาพ จนไม่เป็นอันทำอะไร

                “แต่กูก็ต้องขอบใจมึงนะเว้ย ที่อุตส่าห์ดูแลกูมาตลอด”

                “ไม่เป็นไรเว้ย อีกอย่าง กูเห็นมึงคิดได้ กูก็ดีใจ งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อนละ ต้องไปรับแฟนว่ะ”   พูดจบ มิวก็แยกตัวออกไปรับแฟนตามที่บอก ก่อนที่สีฝุ่นจะก้มลงมองมือถือและจัดการกับข้อความที่ส่งเข้ามา

                สีฝุ่น : เดี๋ยวพี่ไปหาที่คณะก็ได้ครับ

            เขาพิมพ์ตอบกลับไปแค่นั้น ก่อนจะหย่อนมือถือใส่กระเป๋ากางเกง หากแต่ข้อความที่เข้ามาใหม่ทำให้เขาต้องชะงักมือและก้มลงมองมือถืออีกครั้ง

                กาฟิวด์ : ถ้าอย่างนั้น ผมรออยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อน หลังโรงอาหารสังคมนะครับ

            เสร็จสรรพจึงหย่อนมือถือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะเดินออกจากตึกและข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามคณะอักษรศาสตร์ที่เขาเรียนอยู่ ซึ่งเป็นคณะสังคมศาสตร์เพื่อไปตามนัดของกาฟิวด์ เด็กปีหนึ่งที่เขาเองก็ยังไม่เคยจะเห็นหน้าเลยสักครั้ง แต่เด็กคนนั้นกลับมีไลน์เขาเสียได้

                แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินเข้าไปในคณะสังคมฯ เสียงของใครบางคนก็ดังเรียกชื่อเขาขึ้นมา เสียงนั้นทำเอาสีฝุ่นต้องชะงักฝีเท้า สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันตาเห็น แต่ยังคงไม่ยอมหันหลังกลับไปมองเพราะใจของเขาที่เต้นไม่เป็นระส่ำระส่าย

                “ขอเวลาพี่สักเดี๋ยวได้ไหม” รุ่นพี่ปีสามในชุดนักศึกษาต่างมหา’ลัยเอ่ยปากถาม ดวงตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้แต่ยืนนิ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกมา

                “เดี๋ยวสิฝุ่น รอพี่ก่อน” อ้นยังคงไม่ลดละความพยายาม เพราะเขาติดต่อกับสีฝุ่นไม่ได้มาซักระยะหนึ่งแล้ว จนกระทั่งเขาตัดสินใจมาตามหาที่มอภัคนลินและได้เจอกับสีฝุ่นในวันนี้

                สีฝุ่นเร่งฝีเท้า ก้าวขาฉับๆ อย่างไม่สนใจใยดีคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งและเอาแต่ตะโกนเรียกตามหลังมาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมาถึงตรงจุดที่มีนักศึกษาบางตาอย่างโซนหลังคณะสังคมศาสตร์ และเพราะว่าสีฝุ่นหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ไม้หินอ่อน อ้นจึงสบโอกาสคิดเข้าข้างตัวเองว่าสีฝุ่นอาจจะต้องการคุยกับเขาในที่ปลอดคนเพื่อความสะดวก

                “สีฝุ่น ขอบคุณนะ ที่ยอมคุยกับ...”

                “พี่สีฝุ่นใช่ไหมครับ”

                อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจังหวะ ทำให้อ้นชะงัก ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองยังเด็กปีหนึ่งอีกคนที่เขาเพิ่งจะเห็น หลังจากที่มัวแต่มองสีฝุ่น

                “ครับ น้องฟิวด์” สีฝุ่นเหลือบมองป้ายชื่อที่ห้อยคอของคนตรงหน้าและร้องบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหากาฟิวด์ที่ยังคงยืนยิ้มอย่างไม่รับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบข้าง

                แต่รอยยิ้มสดใสนั้น กลับทำให้ใครบางคนฉุนกึก สายตาของอ้นไม่อาจจะมองความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่อยู่ตรงหน้าไปในทางที่ดีเลยแม้แต่น้อย

                “นี่ครับ เสื้อของพี่ฮ่องเต้” กาฟิวด์ยื่นถุงกระดาษไปตรงหน้า กะเอาไว้ว่าจะฝากขอบใจฮ่องเต้ต่ออีกสักหน่อย แล้วจะได้กลับหอ แต่มันดันติดอยู่ที่สีฝุ่น ซึ่งทำเพียงแค่ปรายตามองลงมาที่ถุงในมือของคนตัวเล็กด้วยสายตาที่สื่ออกมาว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับกาฟิวด์

                “พี่ว่าน้องฟิวด์เอาไปคืนพี่เต้เองดีกว่านะครับ” พูดพลางเอื้อมมือไปจับมือกาฟิวด์และกะจะเดินออกไปจากที่นี่ แต่เพราะว่าภาพตรงหน้าที่สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง ทำให้อ้นต้องเข้ามาขวางหน้าคนทั้งคู่เอาไว้

                “ถ้าฝุ่นคิดจะประชดพี่ด้วยการทำแบบนี้ ก็อย่าเลยดีกว่าเพราะยังไงพี่ก็จะตามฝุ่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าฝุ่นจะกลับมาหาพี่”

                น้ำเสียงตัดพ้อของอ้น ทำให้สีฝุ่นเลือกที่จะไม่ยอมสบตากับคนตรงหน้าเพราะใจของเขายังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้องมาเจอกับคนๆ นี้

                “แล้วแต่พี่เถอะครับ” เขาจึงทำได้เพียงร้องบอกคนตรงหน้าสั้นๆ และจูงมือกาฟิวด์ รีบเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้นทันที โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้า แววตาและท่าทางของอ้นที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

                ก่อนที่อ้นจะล้วงมือถือออกมาและกดโทรหาใครบางคน

                “ยังอยู่ที่นั่นใช่ไหม ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”

 

                กาฟิวด์ทำเพียงแค่ปล่อยให้สีฝุ่นลากมาที่ลานจอดรถคณะอักษรฯ โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำเพราะท่าทางที่ดูไม่ดี แถมยังสีหน้าที่แสดงอารมณ์ขุ่นมัวออกมาอย่างปิดไว้ไม่มิด กระทั่งสีฝุ่นหยุดเดินและหันหน้ากลับมาหาเขา

                “ขอโทษนะ”

                กาฟิวด์มองหน้าสีฝุ่นที่เอ่ยคำพูดนั้นออกมาและระบายยิ้มจางๆ กลับไปให้ ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง

                “พี่ฝุ่น...ไม่เป็นไรนะครับ”

                สีฝุ่นอดเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจกับคำถามของคนที่เพิ่งจะเห็นหน้ากันไม่ได้ จังหวะนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจคนตรงหน้า

                ใบหน้าที่แลดูน่ารักมากเกินกว่าจะคิดว่าเป็นผู้ชาย รูปร่างและผิวพรรณดูมีน้ำมีนวลและน่าถะนุถนอม อีกทั้งริมฝีปากและดวงตาที่ดูเหมือนลูกสิงโตนั่น ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้เขาต้องหยุดมอง

                “พี่สีฝุ่น...”

                นี่มันคนหรือตุ๊กตากันแน่

            สีฝุ่นอุทานขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจจะละสายตาจากคนตรงหน้าได้ จนกาฟิวด์ต้องเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเอามือมาจับแขนเขาเขย่าเล็กน้อยเพราะคิดไปไกลว่ารุ่นพี่ตรงหน้าเป็นอะไรไป

                 “พี่โอเคหรือเปล่าครับ” ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขณะที่สีฝุ่นได้สติ มองหน้ารุ่นน้องตรงหน้าเล็กน้อยและหัวเราะออกมาเบาๆ กับอาการของตน

                คิดอะไรของมึงวะ สีฝุ่น

                “ไม่เป็นไรครับ พี่โอเค” สีฝุ่นตอบคำถามพลางระบายยิ้มออกมา

                “ถ้าอย่างนั้น อันนี้ ผมฝากคืนพี่เต้ด้วยนะครับ” กาฟิวด์ยื่นถุงกระดาษมาตรงหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้สีฝุ่นยอมรับไปแต่โดยดี เขาสำรวจของในถุงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับกาฟิวด์

                “แล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ ให้พี่ไปส่งไหม”

                “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเพื่อนผมมารับ” โกหกออกไปเพราะความเกรงใจ ประกอบกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทำให้เขาต้องเว้นระยะห่างจากสีฝุ่นเอาไว้

                เผื่อบางที พี่เขาอาจจะอยากอยู่คนเดียว

                “โอเคครับ” สีฝุ่นรับคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่กาฟิวด์จะแยกตัวไป ขณะที่สีฝุ่นก็กระโดดขึ้นรถและขับออกไปจากคณะอักษรศาสตร์

 

                 ที่ห้องเชียร์ คณะนิติศาสตร์...

                หลังจากที่รุ่นพี่ปีสามอธิบายเรื่องการคัดเลือกดาวเดือนคณะ ซึ่งได้มีการคัดเลือกจากสายตาพวกรุ่นพี่ไปแล้วหนึ่งรอบ ครั้งนี้จึงถึงคิวของรุ่นน้องที่มีหน้าที่โหวตว่าอยากให้ใครเป็นตัวแทนในการประกวด โดยอาศัยวิธีง่ายๆ คือการเขียนชื่อเพื่อนลงในกระดาษและส่งให้กับรุ่นพี่เพื่อช่วยกันนับคะแนนโหวต ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ในการนับ ระหว่างนั้น รุ่นพี่บางส่วนก็เข้าไปคุยเรื่องกิจกรรมอื่นๆ กับรุ่นน้องไปพลางๆ  ขณะที่พวกที่อยู่ตรงโต๊ะด้านหลังห้องเชียร์กำลังวุ่นอยู่กับการนับคะแนน

                “กูว่าหนึ่งในนั้นต้องมีว่าที่แฟนมึง” ยังคงเป็นนิวที่หันมาคุยเรื่องของสายรหัสและคงไม่ต้องบอกว่าสีหน้าของฮ่องเต้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจแค่ไหน

                “ไม่พูดเรื่องนี้ซักชั่วโมง มึงจะตายไหม” ฮ่องเต้หันไปตอกกลับอย่างเซ็งๆ

                “ไม่ต้องถึงชั่วโมงหรอก แค่สามวินาที กูก็ลงแดงตายแล้วเว้ย” พูดจบก็หัวเราะร่าออกมาเช่นเคย หาได้สะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดของเพื่อนไม่

                ก่อนที่เสียงประกาศจากรุ่นพี่ปีสามจะดังขึ้นมา ดึงความสนใจของทุกคนที่อยู่ในห้องเชียร์

                “ถ้าพี่ประกาศชื่อใคร ขอให้น้องคนนั้นออกมายืนข้างหน้าด้วยนะคะ”

                “ต้องมีไอ้โฟโต้แน่ๆ เชื่อกูดิ” นิวยังไม่วายใช้ศอกสะกิดเข้าที่สีข้าง จนฮ่องเต้อดถองศอกใส่อย่างนึกรำคาญไม่ได้

                “หุบปาก เก็บน้ำลายไว้บ้างเหอะมึง”               

                แต่คนโดนว่าก็ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่อย่างนั้น

                “สำหรับดาวคณะคนแรกนะคะ น้องฝ้าย สามหนึ่งศูนย์ค่า”

                เสียงปรบมือและโห่แซวจากพวกผู้ชายดังกราว เพราะต่างก็หมายตาน้องฝ้ายเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในคณะ ก่อนที่รุ่นพี่จะประกาศรายชื่อว่าที่ดาวคณะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบทั้งเจ็ดคน จึงเริ่มประกาศรายชื่อคนที่ผ่านเข้าการคัดเลือกเดือนคณะต่อ

                “สำหรับเดือนคณะคนแรกนะคะ น้องนัท สองศูนย์สี่ค่า”

                เป็นไปตามที่ฮ่องเต้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดเพราะออร่าของนัทที่โดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอ สายตาของเขามองตามนัทที่เดินออกไปยืนอยู่ข้างหน้า ท่ามกลางเสียงเชียร์ของพวกสาวๆ ในห้องเชียร์ทั้งหลายแหล่             

                “ไอ้น้องคนนี้ใช่ป่ะ ที่เขาว่ากันว่าเป็นนายแบบ” นิวหันมาถามอย่างสงสัย

                “ไม่รู้เว้ย” ฮ่องเต้ตอบไปตามความจริงเพราะเขาไม่ได้รู้จักมักจี่เด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว

                “มึงไม่รู้ได้ไงวะ น้องเทคมึงไม่ใช่หรือไง”

                “กูไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็น จะได้รู้เรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วอย่างมึง” ฮ่องเต้ตอกกลับไปอย่างสาแก่ใจ หากแต่มันกลับเปิดโอกาสให้เพื่อนนิวเข้าจนได้

                “อ๋อ มึงจะบอกว่ามึงเป็นพวกชอบถูกสอดมากกว่างั้นดิ” พูดจบก็ยิ้มกริ่มออกมา

                ฮ่องเต้นิ่งไปสักพัก ก่อนจะเบิกตากว้างและหันไปโบกหัวคนข้างๆ ครั้นเข้าใจในสิ่งที่นิวพูด

                “คิดได้แต่เรื่องเหี้ยๆ นะมึง”

                “มึงจะมาว่ากูไม่ได้นะเว้ย มึงนั่นแหละ เปิดประเด็นสอดๆ ก่อน”

                “เดี๋ยวหมัดกูจะได้สอดเข้าที่หน้ามึง”

                “โธ่ ทำเป็นมาโหดใส่”

                “หุบปากได้ละมึง” พูดจบก็เอามือกอดอกและหันใบหน้าหงุดหงิดไปอีกทาง มองดูพวกรุ่นน้องทำกิจกรรมกันต่อ

                “ส่วนเดือนคณะคนสุดท้ายนะคะ น้อง...”

                “โฟโต้ๆๆ” นิวทำทีเข้ามากระซิบเชียร์ที่ข้างหู จนฮ่องเต้ต้องชักสีหน้ารำคาญใส่อีกหน หากแต่นิวกลับหัวเราะร่า ก่อนจะโหวกเหวกขึ้นมาเสียงดังเมื่อรุ่นน้องประกาศว่า

                “...น้องโฟโต้ หนึ่งเจ็ดแปดค่า”

                “บร๊ะ กูว่าแล้ว!!” และเจ้าตัวก็ตบเข่าฉาด แถมยังเอาแขนมาพาดบ่าฮ่องเต้อย่างกวนๆ อีกต่างหาก

                “ออกไปไกลๆ เลย” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับผลักนิวออก

                “ทำมาไล่กู มึงดีใจที่น้องมันเข้ารอบก็บอกมาเถอะ”

                “ถ้ากูจะดีใจก็เพราะมันเป็นสายรหัสกูก็แค่นั้นล่ะวะ”

                “จริงเหรอ กิ้วๆๆ” นิวหันไปแซวจนเกือบฮ่องเต้ถีบเข้าให้ หากแต่เจ้าตัวกลับหลบทัน แต่ก็ไปชนกับคนมาใหม่ จนใครคนนั้นร้องเสียงหลงเพราะเท้าของนิวที่เหยียบเข้าที่เท้าของเขาเข้า

                “โหย เหยียบมาได้นะเฮียนิว” เป็นสีฝุ่นที่เดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษในมือ

                “กูขอโทษ ก็เฮียมึงอ่ะดิ จะถีบกู” นิวหันไปฟ้องเหมือนเด็กๆ  ทำเอาสีฝุ่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้

                “เฮียเขาคงอยากกลบเกลื่อนความน่ารักล่ะมั้งครับ ฮ่าๆๆ” และสองพี่น้องก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวสายตาดุๆ ของคนที่ถูกเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย

                “เดี๋ยวมึงจะได้โดนอีกคน ไอ้ฝุ่น”

                สีฝุ่นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนเป็นพี่และตรงเข้ามาหาฮ่องเต้พร้อมกับยื่นถุงกระดาษในมือมาให้

                “แต่ก่อนที่ผมจะโดน เฮียคงต้องตอบผมมาก่อนแล้วล่ะครับ ว่าเฮียคิดจะทำอะไร”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาฮ่องเต้ขมวดคิ้วเป็นปม รับถุงกระดาษมาเปิดดูอย่างสงสัย ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าในนั้นเป็นเสื้อที่เขาเคยให้กาฟิวด์ใส่

                “ว่าไงครับ เฮีย” สีฝุ่นยิ้มกริ่มมองใบหน้าคนเป็นพี่อย่างจับพิรุธ ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้า ทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                 

               

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมดอดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ


                                       :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 11 แกล้งนักมักรักเอง Part 2

                “ว่าไงครับ เฮีย” สีฝุ่นยิ้มกริ่มมองใบหน้าคนเป็นพี่อย่างจับพิรุธ ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้า ทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “ทำอะไร”

                สีฝุ่นรู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นการพยายามบ่ายเบี่ยงการตอบคำถามของเขาต่างหาก  อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีหรือที่สีฝุ่นจะไม่รู้จักนิสัยของคนเป็นพี่

                “ก็ไอ้ที่เฮียเอาไลน์ผมให้น้องกาฟิวด์ไงครับ”

                “ก็น้องเขาขอเบอร์เอาไว้ จะได้ติดต่อเอาเสื้อมาคืนไง” ฮ่องเต้พยายามตอบคำถามอย่างระมัดระวัง

                “ทั้งๆ ที่เสื้อมันเป็นของเฮียเนี่ยนะ ทำไมเฮียไม่เอาเบอร์ตัวเองให้น้องไป” สีฝุ่นยังคงจับตาคนเป็นพี่ไม่เลิก ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับหลุดท่าทีแปลกๆ ออกมา แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนเป็นน้องสังเกตเห็น

                “ก็ตอนนั้น แบตมือถือกูหมด แล้วกูก็จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ เลยเอาเบอร์มึงให้น้องมันไปไง”

                “จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ แต่ดันจำเบอร์ผมได้ ไม่เนียนเลยนะครับ เฮียบอกความจริงกับผมมาเหอะ”

                สีฝุ่นกอดอกรอคำตอบ เช่นเดียวกับนิวที่ยืนอยู่ข้างหลังรอฟังด้วยความสนอกสนใจ (อันที่จริงแค่อยากเผือก) จนท้ายที่สุด ฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

                “เออ กูบอกความจริงมึงก็ได้” ฮ่องเต้เหลือบไปมองสีฝุ่นแบบเซ็งๆ ก่อนจะเริ่มเล่า

                “ก็คืนนั้นที่มึงโทรตามให้กูไปรับที่ร้าน มึงเล่นเมาไม่รู้เรื่อง แล้วไปอ้วกใส่น้องฟิวด์ กูเลยต้องเอาเสื้อกูให้น้องเขาเปลี่ยน ตอนแรกกูก็กะจะให้เสื้อน้องมันไปเลย แต่น้องมันดันอยากซักเสื้อมาคืน แล้วขอเบอร์กูเอาไว้ อันที่จริงกูให้เบอร์กูไปก็ได้นะ แต่พอดีว่าคนที่ก่อเรื่อง มันคือมึงไง กูเลยเอาเบอร์มึงให้น้องฟิวด์ไปแทน เผื่อมึงจำได้ว่าไปอ้วกใส่เขาไว้ จะได้ทำอะไรเพื่อเป็นการขอโทษไง”

                สีฝุ่นกระพริบตาปริบๆ  สมองพยายามประมวลผลสิ่งที่ฮ่องเต้เล่าออกมายาวเหยียด

                “เฮียไม่ได้เล่านิทานหลอกผมใช่ไหม”

                ป้าบ!

                ฮ่องเต้หันไปโบกหัวคนเป็นน้องอย่างเหลืออดเพราะดันมาว่าเขากุเรื่องขึ้นมาได้ คนอุตส่าห์พูดความจริงแท้ๆ  ถึงแม้จะพูดออกมาไม่หมดก็ตามเถอะ

                จะบอกหมด ไม่หมด ผมก็ถือว่าได้บอกความจริงออกไปก็แล้วกัน

            “ก่อเรื่องเอง แล้วยังจะมาหาว่ากูมั่วอีก”

                “แล้วทำไมเฮียไม่บอกผมตั้งแต่แรกเล่า เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วอ่ะ” สีฝุ่นเอามือลูบหัวป้อยๆ หน้าหดเหลือสองนิ้ว ท่าทางวางมาดจับพิรุธเมื่อครู่หายไปในพริบตา

                “ก็ตอนนั้นมึงมัวแต่เสียใจอยู่ กูก็เลยพลอยลืมเรื่องน้องฟิวด์ไปด้วยไง” ฮ่องเต้ได้แต่ส่ายหน้าใส่อย่างเอือมระอา

                “เออ เอาเป็นว่าผมจะไปขอโทษน้องก็แล้วกัน” พูดพลางทำหน้ายู่ “งั้นผมกลับก่อนก็แล้วกัน ต้องไปเอาชุดนักศึกษา เดี๋ยวร้านปิดก่อน”

                “อืม แล้วอย่าไปก่อเรื่องที่ไหนอีกล่ะมึง กูขี้เกียจตามช่วย” ฮ่องเต้หมายถึงเรื่องเข้าร้านเหล้า

                “รู้แล้วน่า ผมกลับละ บายครับเฮียนิว” ท้ายประโยคหันไปบอกคนที่เอาแต่ยืนเงียบมานานสองนาน หากแต่ตาดูหูฟังสองพี่น้องคุยกันอย่างจับความได้บ้างไม่ได้บ้าง

                “ไว้เจอกัน” นิวร้องบอกพ้อมกับมองตามสีฝุ่นที่เดินออกไปจนลับสายตา ก่อนจะหันขวับกลับมามองหน้าฮ่องเต้

                “อะไรมึง” ฮ่องเต้ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ทันทีที่เห็นอะไรบางอย่างในแววตาของนิว

                “มึงไม่ได้คิดจะจับคู่ให้น้องมึงใช่ไหม”

                คำถามของนิวทำเอาฮ่องเต้ต้องเหลือกตาใส่ “งดเผือกสักมื้อเถอะมึงน่ะ”

                “เออ กูไม่ยุ่งเรื่องของไอ้ฝุ่นมันก็ได้ แต่กูจะยุ่งเรื่องของมึงแทนก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็กระเถิบเข้ามาใกล้และเอาแขนพาดบ่าฮ่องเต้ “รู้สึกยังไงบ้างครับ ที่ว่าที่แฟนผ่านเข้ารอบเดือนคณะ”

                ฮ่องเต้หันไปยิ้มมาดร้ายใส่นิว “เสือกขนาดนี้ ไปเป็นเมียน้องมันแทนกูเลยไหมล่ะ”

                “ไม่เอาอ่ะ กูไม่ชอบยุ่งกับของๆ เพื่อน แล้วอีกอย่างนะ กูเป็นพวกชอบสอด ไม่ได้ชอบถูกสอดแบบมึง เฮ้ยยยยย”

                เป็นอันต้องร้องเสียงหลงในตอนท้าย เมื่อฮ่องเต้หันไปคว้าโทรโข่งแถวนั้นขึ้นมาหมายจะฟาดเข้ากลางแสกหน้าของคนพูดมาก จนนิวต้องยกมือขึ้นร้องห้ามแทบไม่ทัน

                “ทำร้ายร่างกายคนอื่นมันผิดกฎหมายนะขอรับ โดยเฉพาะกับเพื่อนที่ทั้งหวังดีและหน้าตาดีอย่างผมเนี่ย ยิ่งบาปกรรม เกิดมาชาติหน้าไม่น่ารักเท่าชาตินี้นะเว้ย เฮ้ยยยย”

                นิวร้องลันอีกครั้งเพราะฮ่องเต้ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่จริงๆ

                “พอๆ เลยมึง มึงไม่ต้องไล่กูด้วยวิธีนี้หรอก นี่! กูมีเท้า นะเพื่อนนะ กูเดินไปเองได้ ไปละ” พูดจบก็วิ่งแจ้นหายตัวไปอย่างเช่นเคย ฮ่องเต้จึงถอนหายใจใส่ไปทีหนึ่งพร้อมกับลดมือและเอาโทรโข่งวางไว้ที่โต๊ะดังเดิม

                “ไอ้เต้ ประชุมดาวเดือน” เจมส์เดินมาเรียก หลังจากรุ่นพี่ปีสามประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านเข้ารอบดาวเทียมทั้งเจ็ดคนและประกาศเลิกห้องเชียร์ในเวลาต่อมา เหลือไว้เพียงแค่นักศึกษาปีหนึ่งที่เข้ารอบการคัดเลือกดาวเดือน รวมถึงดาวเทียมของคณะและรุ่นพี่ดาวเดือนแต่ละชั้นปี รวมถึงรองเดือนคณะปีห้าเจ็ดอย่างฮ่องเต้

 

                โฟโต้ นัทและฝ้ายกระเถิบเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ  ดาวเดือนคนอื่นๆ  เพื่อรอรุ่นพี่เข้ามาพูดคุยเรื่องการประกวด

                “ก่อนอื่น พี่จะขอแนะนำดาวเดือนแต่ละชั้นปีให้รู้จักก่อนเลยนะคะ” รุ่นพี่ปีสามซึ่งเป็นเฮ้ดหลักในการจัดงานประกวดเริ่มเปิดประเด็นและทยอยแนะนำรุ่นพี่แต่ละคนให้รุ่นน้องได้รู้จัก โดยเริ่มจากรุ่นพี่ปีสี่อย่างเจมส์

                แต่เดือนคณะที่พ่วงด้วยตำแหน่งเดือนมหา’ลัยอย่างเจมส์ กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของโฟโต้กับนัทเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตาของทั้งคู่เอาแต่จับจ้องไปทางใครอีกคนที่กำลังออกมาแนะนำตัวเป็นคนต่อมา

                “สวัสดีครับ พี่ชื่อฮ่องเต้ จะเรียกว่าพี่เต้ก็ได้นะครับ พี่เป็นรองเดือนคณะปีห้าเจ็ดนะ” ว่าแล้วก็ยิ้มใส่รุ่นน้องไปที จนสาวน้อยสาวใหญ่ จะว่าไปก็รวมถึงหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ (โดยเฉพาะโฟโต้กับนัท) ถึงกับยิ้มตามเป็นทิวแถว ก่อนที่รุ่นพี่ปีถัดไปจะทยอยแนะนำตัวกันจนครบ

                “สำหรับการประกวด น้องๆ ต้องเตรียมการแสดงมาคนละหนึ่งอย่าง จะเป็นร้องเพลง เล่นดนตรีหรืออะไรก็ได้ที่แสดงศักยภาพของน้องๆ ออกมาให้ได้มากที่สุดนะคะ ทั้งนี้ พวกพี่ๆ จะให้น้องทุกคนจับฉลาก เพื่อเลือกพี่เทคน้องๆ กันนะคะ”

                ว่าแล้วก็ยื่นกล่องไปให้พร้อมกับเด็กปีหนึ่งที่ทยอยจับฉลากขึ้นมาทีละคน โดยเริ่มจากผู้หญิงก่อน ค่อยมาเป็นผู้ชายจนครบ ท่ามกลางสายตาของฮ่องเต้ที่เผลอไปมองโฟโต้ซึ่งกำลังเปิดฉลากอ่านอยู่ ส่วนในใจก็ได้แต่ภาวนา ขอให้โฟโต้จับได้รุ่นพี่คนอื่นทีเพราะช่วงระยะเวลาการประกวดดาวเดือนยาวนานหลายสัปดาห์ แน่นอนว่ามันมากพอที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน

                หากแต่ฮ่องเต้คงจะหลงลืมไปว่าการที่เขามาเจอกับโฟโต้ได้ เป็นเพราะอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองประจำคณะนิติศาสตร์ รวมถึงการจับฉลากเลือกพี่เทคในครั้งนี้ ที่ดูเหมือนสายรหัสอาถรรพ์จะไม่ยอมปรานี พยายามสานสัมพันธ์ให้กับคนทั้งคู่

                “น้องโฟโต้ จับได้ใครเอ่ย” รุ่นพี่ปีสามร้องถาม ขณะที่นั่งยองๆ ตรงหน้า ในมือถือปากกากับกระดาษเตรียมจดชื่อ

                โฟโต้เงยหน้าขึ้นมาพลางปรายตามองไปทางฮ่องเต้เล็กน้อย ทำเอาคนถูกมองถึงกับแววตาสั่นระริกเพราะรับรู้ถึงลางร้ายที่กำลังมาเยือนตน ก่อนที่โฟโต้จะหันกลับมามองหน้ารุ่นพี่ปีสามตรงหน้าและเอ่ยปากพูดออกมาว่า

                “พี่ฮ่องเต้ครับ”

                ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง ฮ่องเต้ลมแทบจับทันทีที่ชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของเด็กปีหนึ่งที่เขาไม่อยากใกล้ชิดมากที่สุด ส่วนโฟโต้เองก็เหลือบมองฮ่องเต้เป็นระยะๆ  เช่นเดียวกัน

                ก็ใช่จะมีแต่ฮ่องเต้ที่รู้สึกถึงบางอย่างคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับรุ่นพี่ปีสามที่แทบจะยิ้มกริ่มทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ขณะที่มือก็จดชื่อลงไปในกระดาษ เมื่อจดรายชื่อครบหมดทุกคนแล้ว จึงยืนขึ้นและกลับไปยืนประจำตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่ต่อไป

                หลังจากอธิบายเรื่องงานดาวเดือนคณะต่อจนเสร็จสรรพ รุ่นพี่รุ่นน้องต่างก็ทยอยเข้าไปทักทายและพุดคุยกับพี่เทคของตนเอง รวมถึงโฟโต้ที่เดินเข้าไปหาฮ่องเต้ที่ทำหน้านิ่ง หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ท่ามกลางสายตากรุ้มกริ่มของรุ่นพี่รุ่นน้องดาวเดือนรอบข้างที่มองมาที่พวกเขาอย่างรู้กันดีในความหมาย

                “ดีใจจัง ที่เป็นพี่ฮ่องเต้” โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างอย่างล้อเลียนเพราะรู้ดีว่าตนเป็นสาเหตุของสีหน้าบึ้งตึงของคนตรงหน้า

                “มีอะไรจะปรึกษาก็ว่ามา อย่าลีลานัก มันเสียเวลากู” ฮ่องเต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่มันกลับทำให้โต้อดหัวเราะออกมาไม่ได้     

                “อันที่จริง ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะปรึกษาพี่มานานแล้ว”

                โฟโต้เว้นจังหวะพลางมองฮ่องเต้ที่เหลือบมองมาทางเขาด้วยความอยากรู้ว่าจะถูกรุ่นน้องคนตรงหน้ากวนประสาตอะไรเขาอีก

                “ผมอยากจะปรึกษาว่าต้องทำยังไง พี่ฮ่องเต้ถึงจะทำตัวน่ารักกับผมบ้าง” โฟโต้ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบใดออกไป ผิดกับฮ่องเต้ที่หันทำหน้าดุใส่อย่างพยายามรักษามาดรุ่นพี่ปีสี่ของตนเอาไว้

                “พี่เทคมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแค่เรื่องดาวเดือน ดังนั้น กูจะไม่ตอบคำถามใดๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานประกวด”

                “โธ่ บอกผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ ก็ผมอยากรู้”

                โฟโต้เผลอเอามือไปจับมือของฮ่องเต้แล้วแกว่งไปมาแบบอ้อนๆ

                “เวลาเจอหน้ากันทีไร พี่ก็ทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมตลอด ยิ้มให้ผมบ้างสิครับ เวลาพี่ยิ้ม น่ารักจะตายไป”

                ฮ่องเต้เริ่มฉุนกับคำว่า น่ารัก ที่ออกมาจากปากของโฟโต้เป็นครั้งที่สอง จนต้องเอ่ยปากร้องเตือนคนตรงหน้า

                “ข้อแรกที่มึงควรจะรู้คือกูไม่ชอบให้ใครมาพูดว่ากูน่ารัก”

                “อ่าว ก็พี่น่ารักนี่ครับ”

                แต่ดูเหมือนว่าโฟโต้จะไม่ได้สนใจคำเตือนนั้นเลยแม้แต่น้อย

                “กูจะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็เรื่องของกู แต่ระหว่างที่กูเป็นพี่เทคเดือนให้ มึงห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกูไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม”

                “แล้วถ้าผมเผลอหลุดปากพูดออกมาว่าพี่น่ารักล่ะครับ” โฟโต้ยังคงฉีกยิ้มเย้าแหย่รุ่นพี่ปีสี่ตรงหน้าไม่เลิก

                “มึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าถ้ากูได้ยินคำนั้นออกจากปากมึงเมื่อไหร่ มึงก็ไม่ต้องมาคุยกับกู”

                “โห โหดนะเนี่ย” โฟโต้หาได้กลัวคิดแบบที่พูดออกไปไม่ ตรงกันข้ามเขากลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับยิ้มกริ่ม “แต่ฟังๆ ไปก็เหมือนแฟนกันเลยเนอะ เหมือนกับว่าถ้าผมไปบอกรักคนอื่น พี่จะไม่คุยกับผมอย่างนั้นแหละ”

                “ไอ้โฟโต้!” ฮ่องเต้เรียกชื่อเด็กปีหนึ่งจอมกวนเสียงดังลั่น “ถ้ามึงกวนตีนกูอีกแค่ครั้งเดียว ก็...”

                หากแต่ปากกลับชะงักเพราะคิดคำขู่ไม่ออก ทำเอาโฟโต้หัวเราะร่วน มองคนที่โต (แค่อายุ) กว่าด้วยความเอ็นดู

                “โอเคครับ เอาเป็นว่าผมจะพยายามไม่กวนพี่ก็แล้วกันนะครับ”

                โฟโต้ร้องบอกออกไปแค่นั้นและล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่งให้กับฮ่องเต้

                “ผมรบกวนขอเบอร์พี่หน่อยได้ไหมครับ เผื่อว่าผมมีเรื่องจะปรึกษา จะได้ติดต่อพี่ได้”

                เพราะสีหน้าและท่าทางที่ดูจริงจังขึ้นมา ฮ่องเต้จึงยอมรับมือถือมาและกดเบอร์โทรให้เด็กปีหนึ่งตรงหน้าแต่โดยดี

                “อะ ติดต่อเฉพาะเวลาจำเป็นนะเว้ย แล้วก็ห้ามเกินสี่ทุ่มด้วย กูจะนอน” เน้นย้ำและส่งมือถือคืนให้ โฟโต้จึงรับมือถือกลับคืนมาและกดยิงเบอร์ตัวเองเข้าเครื่องของอีกฝ่าย

                “นั่นเบอร์ผมนะครับ เผื่อพี่มีอะไร จะได้ติดต่อผมได้”

                “อืม” ฮ่องเต้รับคำสั้นๆ “มึงก็ไปคิดมาก่อนละกันว่าวันจริงจะแสดงอะไร แล้วค่อยมาปรับทีหลัง”

                “โอเคครับ”

                “เออ กูกลับละ” ฮ่องเต้พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องเชียร์ทันที ทิ้งให้โฟโต้มองตามพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เลยว่ายังมีอีกสายตาหนึ่งที่จับจ้องมาทางเขาสลับกับฮ่องเต้อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

                “มองอะไรวะ” กรีนเอ่ยทักพร้อมกับเอามือไปโบกตรงหน้าของนัท เจ้าตัวจึงหันกลับมาสนใจพี่เทคของตัวเองต่อ

                “เปล่าครับ” นัทตอบพร้อมกับยิ้มบางๆ ไปให้

                “อืม วันนี้ก็รู้ไปคร่าวๆ ก่อนก็แล้วกัน ถ้ามึงมีปัญหาอะไร ตรงไหนก็ทักมาถามกูในเฟสหรือไลน์ก็ได้”

                “ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่กรีน”

                “เออ สู้ๆ เว้ย” กรีนเอามือตบบ่ารุ่นน้องสองสามที ก่อนที่จะแยกตัวออกไป ท่ามกลางสายตาของนัทที่ยังคงมองตามโฟโต้ที่กำลังง่วนอยู่กับมือถือในมือ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องเชียร์

 

                “เชี่ยเอ้ย มาเสียอะไรตอนนี้วะ” ฮ่องเต้สถบออกมาไม่หยุด ขณะที่ยืนรอช่างซ่อมรถที่เขาเพิ่งจะโทรหาเมื่อครู่ เพราะรถเก๋งซีดานคันโปรดดันมายางแบนสี่เส้นพร้อมกันในเวลาเกือบหนึ่งทุ่มเสียได้ แถมยังสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ยอมติดอีก ระหว่างนั้น เจ้าตัวก็เดินสำรวจรอบรถไปพลางเผื่อว่าตัวการที่ทำให้รถเขาเสีย

                เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครบางคนผ่านมาเจอ สายตาของใครคนนั้นเอาแต่จับจ้องท่าทางแปลกๆ ของฮ่องเต้อยู่สักพักใหญ่ จึงเดินเข้ามาถามไถ่เผื่อว่ารุ่นพี่คนนี้จะมีอะไรให้ช่วย

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่เต้”

                ฮ่องเต้เงยหน้ามองถามเสียงเรียกและก็พบว่าเป็นนัท น้องเทคของตัวเองกำลังส่งสายตามองมาทางเขาอยู่

                “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่รถเสีย” แม้ปากจะบอกว่า แค่ แต่ความเป็นจริงมันทำให้เขาหัวเสียไม่ใช่น้อย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา แถมท่าทางลูกรักของเขาอาการหนักเอาการอยู่เหมือนกัน นั่นแหละ ที่ทำให้เขายิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่

                “ให้ผมช่วยโทรตามช่างให้ไหมครับ”

                “ไม่เป็นไร กูโทรแล้ว เดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง” ฮ่องเต้บอกออกไปอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เท่าที่คุยกับช่างเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรอคิวพอสมควรเพราะทางร้านดันมีลูกค้าเข้าเยอะอีก

                “ถ้าอย่างนั้น ผมรอเป็นเพื่อนนะครับ”

                “เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงกลับเหอะ”

                “มันจะมืดแล้วนะครับ อยู่คนเดียวแบบนี้มันอันตราย” นัทสบสายตากับฮ่องเต้ด้วยความเป็นห่วง ทำเอาฮ่องเต้นิ่งไปสักพักอย่างใช้ความคิด

                “กูอยู่ได้น่า กูเป็นผู้ชายนะเว้ย ใครจะมาทำอะไรกูได้วะ อีกอย่าง ที่นี่ก็ในมหา’ลัย ไม่เป็นไรหรอก”

                ฮ่องเต้บอกพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย อันที่จริง เขาไม่อยากให้นัทมาอยู่รอเพราะกว่าช่างจะมา แถมยังไม่รู้ว่ารถจะซ่อมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้อีก กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ

                “แต่ผมเป็นห่วงพี่นี่ครับ”

                ฮ่องเต้ชะงักไปทันทีที่นัทพูดประโยคนั้นออกมา สายตาเหลือบมองรุ่นน้องตรงหน้าพลางขยับปากอย่างคนไม่รู้จะพูดอะไร

                “ให้ผมอยู่รอเป็นเพื่อนเถอะนะครับ เพราะถ้าพี่ให้ผมกลับไปตอนนี้ ผมก็อดห่วงพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่ดี”

                ฮ่องเต้ได้แต่ยิ้มแห้งออกมา “มึงจะห่วงอะไรกูวะ ไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วงสักหน่อย”

                “ก็เพราะเป็นพี่ผมถึงต้องห่วง ดังนั้น ให้ผมกับพี่นะครับ” คำร้องขอพร้อมกับสายตาอ้อนวอนทำเอาคนที่พยายามปฏิเสธเริ่มใจอ่อน ดูเหมือนว่านัทจะมาถูกจุดเสียแล้วเพราะน้อยนักที่ใครจะรู้ว่าท่าทางห่ามๆ แถมยังหน้าตาดุๆ ของฮ่องเต้มันก็แค่ฉากบังหน้า หากแต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนอ่อนไหวกับสิ่งรอบข้างมากแค่ไหน

                และนั่นทำให้ฮ่องเต้ได้แต่เกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่รู้จะทำยังไง ท้ายที่สุดเขาจึงต้องเอ่ยปากบอกไปกับคนตรงหน้าว่า

                “ก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน”

                รอยยิ้มแสนอบอุ่นผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนัททันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกโล่งใจไม่น้อยที่ฮ่องเต้เปิดโอกาสให้เขาได้อยู่ใกล้ในเวลาที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนแบบนี้ ตรงกันข้ามกับใครบางคนที่กำลังจับตามองทั้งคู่จากในตัวรถโดยสิ้นเชิง

                สายตาของโฟโต้ไม่อาจจะละไปจากคนสองคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ระหว่างนั้น หัวใจของเขากลับส่งเสียงแปลกๆ อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกของเขาตอนนี้เหมือนมีหลากหลายอารมณ์ปนเปผสมผสาน จนเขาแยกแยะไม่ออกว่าตนรู้สึกยังไงกันแน่

                จะว่าไม่พอใจ ก็อาจจะใช่...

                มันรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดใจแปลกๆ เหมือนสถานการณ์ตรงหน้าของเขาในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องคิดหนัก ความขุ่นข้องหมองใจมันเอ่อล้นจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ จังหวะนั้นเองที่สมองพลันคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนรักอย่างเปรม

                “มึงยังอยู่ที่คณะใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา”

                โฟโต้ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไปจากหลังคณะนิติศาสตร์ทันที

 

                เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที...

                ฮ่องเต้เปิดประตูทิ้งเอาไว้และเข้าไปนั่งข้างในรถพลางกดมือถือเล่นไปพลาง โดยมีนัทที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังฝั่งคนขับเป็นเพื่อน

                “พี่เต้เป็นคนเชียงใหม่เหรอครับ ถึงได้มาเรียนที่นี่” นัทเปิดประเด็นชวนคุยเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง

                “เปล่า กูเป็นคนเชียงราย แต่พอดีกูสอบติดที่นี่” ฮ่องเต้ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะหันไปถามคนข้างหลัง “แล้วมึงล่ะ คิดไงมาเรียนที่นี่”

                “ผม...”

                ยังไม่ทันที่นัทจะได้ตอบคำถาม เสียงมอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาจอดเทียบตัวรถก็ดังขัดจังหวะ พอเห็นว่าเป็นช่างซ่อมรถก็กระโดดลงไปหาทันที

                ฮ่องเต้พูดคุยกับช่างซ่อมรถสักพักใหญ่พร้อมกับสีหน้าที่ตึงเครียดเพราะไม่สามารถซ่อมรถให้เสร็จทันภายในวันนี้ ท้ายที่สุด เขาจึงต้องปล่อยให้ช่างเรียกคนมาเอารถไปพร้อมกับทิ้งเบอร์โทรเอาไว้ให้เพื่อติดต่อ

                “แย่เลยนะครับ รถดันมาเสียช่วงเปิดเทอมแบบนี้” นัทเอ่ยออกมาขณะมองช่างเอารถของฮ่องเต้ไป

                “เออ เมื่อเช้าก็ดีๆ อยู่ กูก็ไม่คิดว่ามันจะอาการหนักขนาดนี้” ฮ่องเต้สีหน้าเหยเกเพราะความเซ็งปนกับความเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและเข้าห้องเชียร์มาทั้งวัน

                “พี่เต้ครับ พี่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ไหมครับ”

                ฮ่องเต้กระพริบตาใส่อย่างมึนงงที่จู่ๆ นัทก็ถามแบบนั้นออกมา “ได้ดิ ทำไมวะ”

                “เดี๋ยวผมไปส่ง” นัทตอบกลับไปแค่นั้นพร้อมกับยิ้มละมุนออกมา ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้ารุ่นน้องอย่างช่างใจก่อนจะให้คำตอบ

                “เออ รบกวนมึงด้วยก็แล้วกัน”

                “ยินดีครับ”

                พูดจบ นัทก็พาฮ่องเต้เดินไปที่ลานจอดมอเตอร์ไซค์หลังคณะและให้ฮ่องเต้ขึ้นซ้อนท้ายเขาทันที

                “กอดเอวผมเอาไว้ก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ” นัทว่าพร้อมกับแอบลอบยิ้ม

                “ไม่เป็นไร แค่นี้กูไม่ตกลงไปหรอก” ฮ่องเต้ตอบกลับไปแค่นั้น อันที่จริง ก่อนหน้านั้น เขาเองก็ขับมอเตอร์ไซค์มาโดยตลอด แถมยังซ้อนท้ายเพื่อนออกจะบ่อยเพราะกิจกรรมที่ทำให้ต้องวิ่งเข้าออกคณะ ส่วนรถยนต์ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เขาเองก็เพิ่งจะมาขับเอาตอนปีสาม

                “โอเคครับ”

                นัทแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขับรถออกไป

 

Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ

                             :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:



ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 12 ความสับสนของน้องปีหนึ่ง

                วันนี้เป็นวันศุกร์ แต่นายธิติกรไม่ได้สุขตาม เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะในสมองมีแต่เรื่องประหลาดที่วนเวียนเข้าออกไม่ยอมหยุด กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เขาถึงได้ไปปลุกเพื่อนรักทั้งสองและพามาที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยตั้งแต่นาฬิกายังไม่เดินไปถึงเวลาเจ็ดโมงดีเลยด้วยซ้ำ

                และเมื่อมาถึงที่โรงอาหาร เขาก็กลับเอาแต่ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่จานข้าวตรงหน้า สองมือจับช้อนซ้อมเขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างหงุดหงิดใจ จนเพื่อนรักของเขาทั้งสองคนอดหันมามองหน้ากันอย่างสื่อความหมายไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

                “เป็นอะไรของมึงวะ หมาแมวที่ไหนไปอี้กองไว้ที่หน้าห้องมึงหรือไง” เปรมหันไปทักด้วยความอยากรู้ เพราะสีหน้าและอาการของเพื่อนที่พาลทำเขากินข้าวไม่ลง

                “หมาแมวทิ้งบอมบ์หน้าห้อง มันยังไม่ทำให้กูหงุดหงิดขนาดนี้หรอกเว้ย”

                “แล้วเป็นอะไรของมึง!?” เปรมถามกลับอย่างคนเริ่มจะหงุดหงิดตาม

                โฟโต้จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเปรมและถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ไม่รู้เว้ย!”

                คำตอบของโฟโต้ทำเอาเปรมแทบจะหาอะไรมาเคาะหัว โชคยังดีที่แถวนี้ไม่มีอาวุธ เลยได้แต่เอามือกอดอก วางแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะและจ้องไอ้คนที่เอาแต่ก้มหน้างุด ใช้ช้อนสับข้าวจนจะเละคาจานอยู่รอมร่อ

                “เล่ามา” เปรมเอ่ยออกไปเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่กาฟิวด์เองก็ลอบมองเพื่อนด้วยความอยากรู้

                “กู...” โฟโต้ชะงักปากเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าสิ่งที่อยู่ในใจเขามาตลอดทั้งคืนยังไง เขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์เหวี่ยงแต่เช้าได้ขนาดนี้

                “ใช่เรื่องพี่ฮ่องเต้หรือเปล่า” กาฟิวด์ค่อยปริปากพูดออกมาอย่างเชื่องช้า พลางลอบมองสีหน้าฝ่ายตรงข้ามที่กำลังขมวดคิ้วมาให้

                “ทำไมมึงถึงคิดว่าเป็นเรื่องนั้น” โฟโต้ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพราะรู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำเข้าเต็มๆ แต่ไอ้ที่ทำให้เขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้เต็มปาก ก็เพราะสาเหตุที่ทำให้เขาโมโหนั่นต่างหาก

                แม้จะรู้ดีว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายเนื้อ ไม่สบายตัว แถมด้วยไม่สบายใจหลังจากที่เห็นฮ่องเต้กับนัทเมื่อวานตอนเย็น แต่เขาแค่ต้องการเหตุผล...

                เหตุผลที่จะมารองรับความรู้สึกทั้งหมดที่เป็นไปในเวลานี้

            “ก็มึงเพิ่งจะบอกกับกูว่ามึงรู้สึกไม่ชอบที่เห็นพี่ฮ่องเต้อยู่กับนัท แถมขากลับมึงก็ยังเห็นเขาซ้อนท้ายกันอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องพี่เต้ มันจะมีเรื่องไหนอีกที่ทำให้มึงเป็นแบบนี้” กาฟิวด์พูดไปตามความจริงที่ได้รับฟังจากปากเพื่อน

                เมื่อวาน หลังจากกินข้าวด้วยกันเสร็จและระหว่างทางที่โฟโต้มาส่งเขาที่หอใน ทั้งคู่ก็บังเอิญเจอนัทที่ขับรถสวนไปพร้อมกับมีพี่ฮ่องเต้ซ้อนท้าย ตอนนั้น กาฟิวด์แทบจะร้องเสียงหลงเพราะจู่ๆ โฟโต้ก็เล่นเหยียบเบรกกะทันหัน แถมยังเอาแต่จ้องไปยังนัทกับพี่ฮ่องเต้ไม่วางตาอีก เมื่อเห็นอาการหงุดหงิดใจของเพื่อน กาฟิวด์ก็เลยถามไถ่จนพอจะได้ใจความมาว่า

                “กูก็แค่ไม่ชอบที่เห็นพี่เขาดีกับคนอื่น แต่กับกู แค่ยิ้มให้ก็ยังไม่เคย”

                อาการที่ใครๆ ก็ดูออกว่านายธิติกรเพื่อนรักของเขากำลัง หึง และ น้อยใจ รุ่นพี่ปีสี่คนนั้น แต่ดูเหมือนว่าโฟโต้เองจะยังไม่รู้ตัว

                “นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงหวงพี่ฮ่องเต้อะไรนั่นน่ะ” เป็นเปรมที่โพล่งออกไปไม่ทันคิด ทำเอากาฟิวด์ต้องเหลือกตาใส่และหันไปทำหน้าดุใส่เปรม

                “มึงจะพูดทำไมวะ” กาฟิวด์กระซิบกระซาบเพราะเขาเองก็อุตส่าห์เลี่ยงที่จะพูดแท้ๆ

                ขณะที่โฟโต้สตันไปกับคำพูดของเปรม สมองก็พยายามคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

                “ว่าไงไอ้โฟ สรุปว่ามึงหวงพี่เต้ใช่ไหม” เปรมหันไปถามอีกครั้ง โดยไม่ฟังคำเตือนจากกาฟิวด์

                “ไอ้เปรม กูบอกว่าอย่าพูดแบบนั้นไง” กาฟิวด์ร้องบอกพลางกระตุกแขนเปรมยิกๆ

                “มึงก็ดูหน้ามันดิ ขืนมันรู้ตัวช้าอยู่แบบนี้ มีหวังไอ้พี่เต้อะไรนั่นได้โดนหมาคาบไปแดกก่อนพอดี แล้วทีนี้คนที่จะกลายเป็นหมาก็คือมันนั่นแหละ”

                 โฟโต้เหลือบมามองหน้าเปรมด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าไอ้ความรู้สึกที่เป็นอยู่มันคืออาการหวงจริงๆ

                “มึงก็ใจเย็นๆ หน่อยดิวะ พี่ฮ่องเต้เขาเป็นผู้ชายนะ ให้เวลาไอ้โฟโต้บ้างดิ” กาฟิวด์ยังคงพยายามเบรกความแรงของเปรมที่นับวันยิ่งมากขึ้น แต่เปรมกลับยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะมองหน้าโฟโต้ด้วยแววตาจริงจัง

                “มึงไม่เคยคบกับผู้ชาย กูพอเข้าใจ แต่กับพี่ฮ่องเต้ มึงคงจะยังไม่รู้ว่าเขาเคยคบผู้ชายมาก่อนและที่สำคัญพี่เขายังเป็นที่หมายตาของชาวเดือนภัคนลินด้วย ดังนั้น ถ้ามึงไม่รีบ กูฟันธงเลยว่าพี่ฮ่องเต้โดนเดือนคณะอื่น ปีอื่นสอยแน่นอน”

                คำบอกเล่าของเปรมทำเอาโฟโต้ถึงกับมึนตึ๊บ จนต้องหันไปถามแบบไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเอง

                “แล้วมึงไปรู้มาได้ยังไงวะ” ทั้งเรื่องที่พี่ฮ่องเต้คบผู้ชาย ไหนจะเรื่องชาวเดือนอะไรนั่นอีก มันทำเอาเขาอดคิดไปไม่ได้ว่าเปรมกำลังกุเรื่องขึ้นมาหลอกเขาอยู่

                “กูรู้มาจากรุ่นพี่กูอีกที แต่รับรองว่าข่าวนี้เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็น” ก่อนที่เจ้าตัวจะลอยหน้าลอยตาพูดต่อว่า “ดีไม่ดี ตอนนี้เขาอาจจะมีใจให้ใครสักคนอย่างไอ้นัทไปแล้วก็ได้เพราะพี่เต้ไม่ได้เลือกคบคนที่เพศเหมือนมึง”

                พูดแทงใจดำเพื่อนเสร็จก็ยักคิ้วใส่ ทำเอาโฟโต้อดหมั่นไส้ไม่ได้ หากแต่จะไปตอกกลับเพื่อนก็กะไรอยู่ เพราะลำพังตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอดเลยด้วยซ้ำ ใช่ว่าเขาจะเลือกคบคนที่เพศเสียเมื่อไหร่ เขาแค่กังวลใจเท่านั้น ว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

                “ไง รู้แบบนี้แล้ว มึงจะยอมรับได้หรือยังว่ามึงหวงพี่ฮ่องเต้” เปรมยังคงวกเข้ามาเรื่องเดิม

                โฟโต้หันไปมองหน้าเปรมอย่างช่างใจเล็กน้อยและตอกกลับสั้นๆ ว่า “เรื่องของกู”

                “เออครับ ไอ้คุณโฟโต้ กูจะถือว่ากู เตือนแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบทำ มาเสียดายเวลาที่หลัง บอกเลยว่าเปล่าประโยชน์”

                “เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ได้ยินไอ้เปรมพูดจาดี เก่งๆๆ” กาฟิวด์ยิ้มอย่างล้อเลียน ขณะที่คนข้างๆ ได้แต่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

                “คนเรามันเก่งกันคนละเรื่องเว้ย อีกอย่าง คนที่ขี่ม้าเก่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตกม้าตายไม่ได้นี่หว่า ใช่ไหมไอ้โฟโต้” ท้ายประโยคหันมาเหน็บแนมโฟโต้เข้าเต็มๆ เพราะโฟโต้เรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม แถมยังเจ้าเล่ห์ไปเสียทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหัวใจตัวเอง

                ที่ผ่านมามันอาจจะใช้สารพัดความมารยาสยบผู้หญิงมานักต่อนัก แต่นั่นมันก็แค่ ‘ครอบครอง’ ไม่ใช่ ‘ความรัก’ พอมารู้สึกจริงๆ กับใครสักคนเข้า คนฉลาดที่สุดก็กลับกลายมาเป็นคนซื่อบื้อที่สุดอย่างที่เห็น

            “มึงอย่าพูดมากดีกว่าไอ้เปรม เพราะเกิดถึงคราวตัวเองตกม้าตายขึ้นมา มันจะจุกนะเว้ย” โฟโต้ยักคิ้วใส่เพื่อนไปที จนเกิดสงครามน้ำลายระหว่างสองฝ่ายขึ้นมา

                “งั้นก็มาลองวัดกันดูว่าใครจะตกม้าตายก่อนกัน ระหว่างมึงกับกู” เปรมยังคงเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

                “ก่อนที่มึงจะมาวัดกับกู มึงควรจะจัดการตัวมึงเองก่อนเหอะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้สับรางไม่ทันแล้วไม่ใช่หรือไง ไอ้เสือ” โฟโต้ร้องแซวพลางมองสำรวจใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างขำขัน

                “แล้วมึงช่วยเอาเวลาสับรางไปดูแลสภาพหน้ามึงบ้างนะเว้ย เดี๋ยวรถไฟตกราง แล้วจะหาว่ากูไม่เตือน”

                เปรมนิ่วหน้าใส่ด้วยความมั่นไส้กับคำพูดของโฟโต้ ช่วงนี้เขาดูโทรมลงไปจริงๆ นั่นแหละ ก็เพราะสาวๆ ดันหัวไวแล้วพาลมาจับผิดเขาเข้าให้ จนเขาต้องสับรางเป็นพัลวันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปตามๆ กัน 

                “ก็รถไฟมันดันเดินผิดรางนี่หว่า กูก็ต้องมานั่งปรับสับรางใหม่ดิวะ เวลากูเลยไม่พอให้มาดูแลตัวเองไง”

                โฟโต้ได้แต่ส่ายหัวให้กับคำพูดของเปรม เขาเองก็เตือนนักเตือนหนาว่าเข้ามหา’ลัยแล้วก็เพลาๆ บ้าง ยิ่งช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า ทีแรกก็รับปากเขาเสียดิบดี แต่เผลออีกที เสืออย่างเปรมก็ลากเหยื่อเข้าห้องเรียบร้อย ซึ่งถ้าเตือนไม่ฟังแบบนี้ เขาก็คงต้องปล่อยให้ตัวใครตัวมัน

                “ที่สำคัญ มึงก็รู้ดีว่าของแบบนี้มันห้ามได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะกับกูแล้วเนี่ย มึงก็น่าจะรู้ว่าไม่มีอะไรห้ามกูได้หรอก” เปรมยังคงยืนยันจุดยืนในการออกล่าสาวของตน จนโฟโต้เองถึงกับถอดถอนหายใจ

                “กูว่ามึงควรจะเลือกเวลาบ้างเถอะ”

                “เฮ้ย ไอ้โฟโต้ กูไม่ใช่เสือซุ่ม เสือซ่อนเล็บอย่างมึงนะเว้ย จะได้มัวแต่รอเวลาให้เหยื่อตายใจก่อนค่อยลากไปกิน กูถามจริงเหอะ อดแดกมาแล้วกี่คนวะ”

                “คุณเปรมครับ อย่างผมเนี่ย เขาเรียกว่าช้าแต่ชัวร์ แล้วกูก็ไม่เคยพลาดท่าปล่อยเหยื่อไปโดยที่กูไม่ได้แดก” ว่าแล้วก็ยักคิ้วใส่ ทำหน้าโชว์พาวเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม

                “เออ มึงมันเล่ห์กลเยอะ จนกูแทบอยากจะขโมยไปขายให้รู้แล้วรู้รอด” เปรมพูดประชดก่อนจะทำหน้าจริงจัง “ว่าแต่มึงจะเอายังไงกับเหยื่อรายล่าสุดวะ”

                “เหยื่อรายล่าสุดอะไรของมึงวะ” โฟโต้ถามกลับแบบมึนๆ จนฝ่ายตรงข้ามเกือบจะเอาช้อนปาใส่

                “ก็พี่ฮ่องเต้ไงวะ มึงจะเอายังไง”

                โฟโต้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “กูมีวิธีของกูก็แล้วกันน่า”

                โฟโต้หมายถึงวิธีที่เขาอาจจะคิดออกเวลาอื่น อันที่จริง เขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าเอ่ยปากว่าเขาจะทำยังไงกับรุ่นพี่ที่ชื่อว่าฮ่องเต้ ตอนนี้ คิดได้อย่างเดียวเลยก็คือ...

                ชัดเจนกับตัวเอง ให้ได้ก่อน ส่วนไอ้เรื่องใส่เกียร์เดินหน้าและเอาพี่ฮ่องเต้มาเป็นของเขา มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเสือซ่อนเล็บอย่างเขาอยู่แล้ว

                “เออ แล้วก็อย่าช้าเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกันนะเว้ย เพราะพี่ฮ่องเต้ไม่เหมือนคนอื่นที่มึงเคยรุก”

                “พูดมากจังวะ ไอ้เปรม”

                “กูก็แค่เตือนหรือเปล่าวะ กลัวมึงจะอดแดก” เปรมเน้นสองคำสุดท้ายอย่างจงใจ หากสายตาของอีกฝ่ายกลับเหลือบมองไปทางกาฟิวด์ที่นั่งหน้าซื่อฟังเพื่อนทั้งสองมานานสองนาน

                “กูว่ามึงเลิกพูดเหอะ เกรงใจคนข้างๆ มึงบ้าง หูมันไม่ควรจะมารับมลภาวะทางเสียงแต่เช้านะเว้ย” โฟโต้โพล่งออกไปเพื่อจะปรามเปรมล้วนๆ หากแต่มันกลับทำให้กาฟิวด์หน้าหงิก หันไปสบตากับโฟโต้ทีหนึ่ง กับเปรมทีหนึ่งก่อนจะทำท่าฮึดฮัดใส่ 

                “เมื่อไหร่พวกมึงจะเลิกมองกูแบบนี้สักที กูก็ผู้ชายเหมือนกันกับพวกมึงนั่นแหละ”

                แต่ท่าทางของคนตัวเล็กกลับทำเอาเพื่อนรักทั้งสองคนต้องหันมาสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะหัวเราะ

                “เออ มึงเป็นผู้ชาย” เปรมร้องบอกก่อนที่โฟโต้จะเสริมทับว่า

                “แต่มึงไม่เหมือนพวกกูไง”

                “ไม่เหมือนตรงไหน” ลูกสิงโตประจำกลุ่มแหวใส่ พยายามทำตัวให้ดูน่ากลัวเผื่อว่าเพื่อนรักของเขาทั้งสองเห็นแล้ว จะได้ถอนคำพูด โดยหารู้ไม่ว่าการทำแบบนั้น มันไม่ได้ช่วยลดบุคลิกที่ดูราวกับเด็กไม่ประสีประสาเรื่องทางโลก แถมหน้าตายังดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนน้องชายในสายตาเพื่อนมากกว่า

                เอาเป็นว่าต่อให้มองยังไง กาฟิวด์ก็คือลูกสิงโตแบเบาะพลัดถิ่นมาอยู่กับพญาเสือโคร่งอย่างพวกเขาอยู่ดี

                และระหว่างที่ต่างฝ่ายกำลังปะทะกันอยู่นั้นเอง เสียงแจ้งเตือนจากไลน์ก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของกาฟิวด์ออกจากเพื่อนรักทั้งสอง ก่อนที่สองคิ้วจะขมวดเข้าหากันเพราะชื่อเจ้าของไลน์

                สีฝุ่น : เย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ

                สองมือก็ได้แต่พิมพ์ตอบกลับไป

                กาฟิวด์ : เย็นนี้ ผมต้องเข้าห้องเชียร์ พี่สีฝุ่นมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ

            สีฝุ่น : พอดีพี่มีธุระสำคัญอยากจะคุยกับน้องฟิวด์

            “คุยกับใครวะ” เพราะเปรมชะโงกหน้าเข้ามาถามเสียก่อน ทำเอากาฟิวด์สะดุ้งหันมามองคนข้างๆ ก่อนที่จะทันได้พิมพ์ตอบสีฝุ่นกลับไป

                “กูคุยกับเพื่อน” ตอบออกไปพลางเบี่ยงตัวหลบคนที่พยายามจะชะโงกหน้าเข้ามาดูข้อความในมือถือ

                “แน่ใจนะ ว่ามึงคุยกับเพื่อน”

                “เออดิวะ”

                เปรมยังคงหรี่ตามองอย่างสงสัย จนกาฟิวด์ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากโฟโต้ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่นั่งตรงกันข้ามเองก็มองมาทางเขาอย่างจับผิดเช่นกัน

                “อะไรของพวกมึงเนี่ย กูบอกคุยกับเพื่อนก็คุยกับเพื่อนดิวะ” กาฟิวด์เริ่มทำหน้างอไปตามประสา โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งเป็นการแสดงพิรุธออกมามากขึ้น

                “เพื่อนที่ไหน ชื่ออะไร” เปรมเริ่มซักเสียงดุเพราะความหวงเพื่อนที่มีมาตั้งแต่รู้จักกันวันแรก

                เขากับโฟโต้จำได้ดีว่าที่พวกเขาดึงกาฟิวด์เข้ามาอยู่ในกลุ่มก็เพราะกาฟิวด์เป็นเหยื่อของพวกอันธพาลในโรงเรียน แถมยังเอาตัวไม่รอด จนพวกเขาทนไม่ไหและเข้าไปช่วยเอาไว้ตลอด จนสุดท้าย พวกเขาก็กลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด

                หากแต่คนที่เพื่อนห่วงนักห่วงหนากลับเอาแต่บ่ายเบี่ยง “เพื่อนที่คณะ! ชื่อ...ชื่อ...”

                พูดออกไปได้เพียงเท่านั้นเพราะสมองดันมาตันเอาเสียดื้อๆ ก่อนที่เขาจะร้องเสียงหลง เมื่อมือถือในมือถูกคนมือไวอย่างเปรมดึงออกไปหน้าตาเฉย

                “เอาคืนมานะเว้ย!”

                ซ้ำเคราะห์ร้ายเพราะข้อความของสีฝุ่นที่ถูกส่งเข้ามาพอดี

                สีฝุ่น : ว่าแต่น้องฟิวด์เลิกกี่โมงครับ

                “สีฝุ่น...” เปรมพึมพำชื่อนั้นออกมา ทำเอาคนที่คุ้นหูอย่างโฟโต้ต้องหันขวับไปมองพร้อมกับยื่นมือไปคว้ามือถือมาเปิดดูรูปโปรไฟล์และเมื่อเห็นกับตาว่าใช่คนเดียวกันกับที่เคยเจอ     เลยกะจะกดเข้าไปดูข้อความอย่างถือวิสาสะ หากแต่กาฟิวด์ดันมือไวกว่า ลุกขึ้นโน้มตัวข้ามโต๊ะมาคว้ามือถือไปจากมือของเขา

                “ไอ้ฝุ่นผงอะไรนั่นมันเป็นใคร” เปรมหันมาทำเสียงดุใส่อีกครั้ง จนกาฟิวด์หน้างอหนักกว่าเก่า

                “เออ จะสีฟงสีฝุ่นอะไรก็ช่าง มันเป็นใคร!?”

                “เขาเป็นลูกน้องของพี่ฮ่องเต้” กาฟิวด์ตอบเสียงอ่อย ท่าทางเหมือนกำลังโดนพ่อสอบสวนไม่มีผิด ขณะที่เปรมได้แต่ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันขวับไปมองจนกาฟิวด์เผลอสะดุ้งตามสายตาโหดๆ ของเปรม

                “อะ...อะไร”

                “ไอ้พี่นั่นคงไม่ได้มาจีบมึงใช่ไหม” อีกหนึ่งคำถามในการสอบสวนออกมาจากปากของเปรมพร้อมกับสายตาคาดคั้นที่ใครเห็นเป็นอันต้องกลัว

                “เปล่าสักหน่อย” และกาฟิวด์ก็ต้องตอบปฏิเสธไปตามระเบียบ

                “ก็ดี แต่ถ้าไอ้พี่นั่นมันทำท่าว่าจะจีบ มึงต้องรีบบอกกู เข้าใจไหม!?”

                กาฟิวด์อ้าปากพะงาบๆ อึกอักอยู่สักพักจึงค่อยเอ่ยปากพูดแบบติดๆ ขัดๆ ออกมาว่า

                “พะ...พี่เขาจะจีบกูได้ยังไงเล่า ผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น” ก่อนจะนิ่งไปเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และหันมามองหน้าเพื่อนรักทั้งสองสลับกัน “เดี๋ยวนะ ไอ้ที่พวกมึงบอกว่ากูเป็นผู้ชาย แต่ไม่เหมือนกับพวกมึงเมื่อกี้ อย่าบอกนะว่าพวกมึงหมายถึง...”

                เท่านั้น อีกสองคนที่เหลือก็ถึงกับหันหน้ามามองกันเลิกลักเพราะอีกฝ่ายดันจับความหมาที่แฝงไปกับคำพูดก่อนหน้านั้นได้ และแน่นอนว่ากาฟิวด์จะต้องโกรธพวกเขาเป็นแน่ ดังนั้น...

                “รีบไปเหอะว่ะ เดี๋ยวไปเรียนสายนะเว้ย” โฟโต้เป็นคนแรกที่โพล่งออกมาก่อน พร้อมกับผุดลุกขึ้นมา สะพายกระเป๋าเป้และเดินหนี ทำทีว่าต้องรีบเอาจานข้าวไปเก็บแบบสุดๆ

                “อ่าวเฮ้ย! ทิ้งบอมบ์ให้กูเลยนะ” เปรมร้องโวยวายเสียงดังตามหลัง ก่อนจะลุกตามโฟโต้ไป ทิ้งไว้แค่เพียงคนตัวเล็กที่หน้าบูดเป็นบูดเด็กไปแล้วเรียบร้อย

                กูขอโทษนะเว้ย ไอ้กาฟิวด์ ดูยังไง มึงก็ไม่น่าจะรุกใครได้ว่ะ

            นั่นเป็นความในใจของนายธิติกรที่ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยออกเพื่อนรักตัวน้อยของเขาได้ฟังเพราะเกรงว่าทุกอย่างจะพังไปมากกว่าเดิม...

               

               

               

               

               
Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ
                                    :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 13 ความชัดเจน

                เพราะเป็นวันอาทิตย์และไม่มีกิจกรรม นายธิติกรเลยมีโอกาสตื่นเช้าและแวะเวียนไปที่ร้านอาหารของ กราฟิก พี่ชายแท้ๆ ที่อายุห่างกันถึงเจ็ดปีและมีดีแค่หน้าตาเพราะปากสุนัขไม่รับประทาน แถมยังหัวร้อนเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าไอ้อุปนิสัยแบบพี่ชายของเขาถึงได้ดึงดูดหนุ่มหล่อลากระดับพระกาฬ  ที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะ หน้าที่การงานและฉลาดเป็นกรด แถมยังนิสัยดีราวกับพ่อพระมาเกิดอย่าง แบมบู หนุ่มข้างบ้านที่พอจะเห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่เด็กแถมยังหลงรักพี่ชายเขาหัวปักหัวปำ จนครั้งหนึ่ง น้องชายอย่างเขาถึงกับต้องไปเอาน้ำหมดมาให้ดื่ม ให้อาบเพราะหลงคิดว่ากราฟิกเล่นของใส่จนแบมบูหน้ามืดตามัวมาหลงรักได้

                แต่ก็ช่างเถอะ แม้ว่าพวกพี่ๆ ทั้งสองของเขาจะดูต่างกันคนละขั้ว แต่เห็นทั้งคู่รักกันดีจนเข้าปีที่สี่แล้ว เขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

                ส่วนตอนนี้ กลับมาสนใจสาเหตุที่เขาต้องถ่อสาระร่าง เยี่ยมหน้าเข้ามาที่ร้านของพี่ชายแต่หัววันก่อน

                สองเท้าพาร่างสูงเข้าไปด้านหลังร้าน ลูกน้องหลายคนยกมือไหว้ตามประสาคนที่รู้จักกันดีว่าเป็นน้องชายเจ้าของร้าน ซึ่งโฟโต้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มกลับไปให้และถามหาคนเป็นพี่ที่หายหัวไปไหนก็ไม่รู้   

            “พี่กราฟล่ะครับ”

                “คุณกราฟอยู่ข้างบนห้องครับ” มนตรี พนักงานประจำเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอะไร

                ทันทีที่ได้รับคำตอบ โฟโต้ก็หมายเอาไว้ว่าจะเดินขึ้นไปตามคนเป็นพี่ที่บนห้อง ทว่าแขนกลับถูกพนักงานรั้งเอาไว้

                “เอ่อ ผมว่า...ผะ...ผมโทรขึ้นไปชั้นบนดีกว่าครับ คุณโฟโต้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไป”

                เพราะท่าทางมีพิรุธ โฟโต้จึงต้องจับตามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยว่าพี่ชายของเขาทำอะไรอยู่ข้างบน พนักงานคนนี้ถึงได้บอกให้เขารออยู่ด้านล่าง

                “มีอะไรหรือเปล่า” โฟโต้ถามออกไปเสียงเรียบ หากแต่มันกลับทำให้คนตรงหน้าเลิกลักอย่างคนหาคำตอบไม่ได้

                “มะ...ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เห็นว่าคุณโฟโต้มาเหนื่อยๆ ก็เลย....”

                “บอกความจริงผมมา” โฟโต้พูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับส่งสายตาคาดคั้นไปให้ จนพนักงานถึงกับสะดุ้งและก้มหน้างุด

                “ถ้าพี่ไม่ยอมบอก พี่อาจจะโดนไล่ออกก็ได้นะครับ อย่าลืมว่าแม่ของผมก็มีอภิสิทธิ์ในร้านนี้เหมือนกัน”

                มีเพียงโฟโต้เท่านั้น ที่รู้ดีว่าตนไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ อย่างที่ว่า แต่ที่เขาต้องสวมรอยแอบอ้างเช่นนั้นออกไปก็เพราะความต้องการของตัวเองล้วนๆ  และเขาก็เคยทำแบบนี้มากหลายครั้งหลายหน จนพนักงานในร้านต่างก็คิดไปว่าเขาถือหุ้นร้านอาหารกับพี่ชายของตนคนละครึ่งจริงๆ  แต่เขาก็ไม่สนหรอก เพราะตราบใดที่พี่ชายของเขายังไม่รู้ นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถตีเนียนต่อไปได้

                “โธ่ คุณโฟโต้ครับ ถ้าผมบอกไป ผมก็โดนไล่ออกอยู่ดีนั่นแหละครับ” สีหน้าหมดอาลัยตายอยากของพนักงานตรงหน้า ทำให้คนฟังแสยะยิ้มออกมาอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

                “ถ้าอย่างนั้น ก็ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกันนะครับ” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง หากมองผิวเผินก็คงจะเป็นแค่เพียงรอยยิ้มอันแสนสดใส แต่หากลึกๆ ลงไปกลับแฝงไปด้วยพลังงานชั่วร้ายบางอย่าง

                “แต่ว่า...”

                “เอาเป็นว่าผมจะช่วยให้พี่พ้นผิดก็แล้วกัน” พูดจบ เจ้าตัวก็พรวดพราดเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนทันที โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของคนที่กำลังตกที่นั่งลำบากในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย

                “ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ นะครับ คุณกราฟ” มนตรีพูดออกมาเสียงอ่อน ได้มองตามโฟโต้ที่หายวับขึ้นไปชั้นบนตาละห้อย อย่างคนไม่อาจจะทำอะไรได้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องของสองพี่น้องและภาวนาในใจให้ตนเองไม่ถูกไล่ออกเท่านั้น

                โฟโต้เดินขึ้นมาบนชั้นสาม ยกมือขึ้นกะจะเคาะประตูห้อง แต่ก็ต้องชะงักและเปลี่ยนมาจับลูกบิดแทน เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บิดสองสามทีและเมื่อพบว่ามันไม่ได้ล็อกเหมือนที่ตนคิดเอาไว้ ก็ถือวิสาสะเปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ก่อนจะค่อยย่องเข้าไปในห้องซึ่งถูกจัดแต่งเอาไว้เหมือนคอนโดขนาดย่อม ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับรองเท้าที่เขาจำได้ดีว่าไม่ใช่ของพี่ชายตนเป็นแน่ เพียงเท่านั้น รอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนที่สองขาจะพาร่างตรงดิ่งไปที่ประตูห้องนอนซึ่งถูกเปิดแง้มเอาไว้ด้วยความสะเพร่าของเจ้าของห้อง

                พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของผู้ชายสองคนในห้องนอนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ทั้งคู่กำลังยืนอยู่ตรงปลายเตียงและคลอเคลียกันไม่ห่าง ทำเอาคนที่กำลังจับตาดูถึงกับยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแอบล้วงมือถือขึ้นมาถ่ายภาพนั้นเอาไว้

                “ขอนอนก่อนนะ นะครับ” เสียงอ้อนๆ ของแบมบูดังขึ้นเพราะกำลังถูกสวมกอดจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น หากแต่คนที่หัวดื้อกลับเอาแต่รั้งเขาเอาไว้และพยายามซุกไซร้ พรมจูบทั่วผิวเนียนใสที่โผล่พ้นชุดนอนออกมา ก่อนจะขยับซุกไซร้ที่ซอกคอด้วยความหื่นกระหาย จนแบมบูถึงกับหดตัวเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นปราดขึ้นมาจนผิวพรรณเริ่มแดงระเรื่อ

                “ขออีกทีไม่ได้เหรอ ช่วงนี้เราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยนะ” กราฟิกเองก็พยายามออดอ้อนคนตรงหน้าไม่แพ้กัน อีกทั้งยังพยายามสัมผัสทุกสัดส่วนบนเรือนร่างที่เขาหวงแหนเสียยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก เพื่อให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนโอนอ่อนตาม

                “แบมก็อยู่กับกราฟแล้วไงครับ แบมอุตส่าห์ให้ลูกน้องเฝ้าร้าน คืนนี้เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืนไง” แบมบูพยายามอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกที่เริ่มไหววูบไปตามสัมผัสที่กราฟิกพยายามมอบให้ไม่หยุด ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกเสียเมื่อไหร่ แต่เพราะว่าเขาต้องเปิดร้านตอนกลางคืน ส่วนกราฟิกเปิดร้านอาหารในตอนกลางวัน เวลาของพวกเขาเลยไม่ตรงกัน พาลไม่ค่อยได้เจอหน้าและนั่นทำให้แบมบูต้องพยายามหาเวลามาหากราฟิกที่ร้านบ่อยๆ ขณะที่กราฟิกเองก็ไปนอนค้างที่ร้านเขาสลับกันบ้างเป็นครั้งคราว

                “แต่แบมก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้ากราฟกินไม่อิ่ม กราฟจะไม่มีแรงทำงาน” ขยับปากพูดเสียงแผ่วและค่อยโลมเลียสัมผัสต้นคอจนอีกฝ่ายรู้สึกวาบหวามและไม่อาจจะสะกดกั้นอารมณ์ใดๆ ได้อีกต่อไป เสียงเบาเปล่งออกมาจากริมฝีปากระเรื่อของแบมบู

                “อื้อ...พอ...พอก่อน...” แม้ปากจะพยายามเอ่ยปราม แต่ร่างกายกลับกระตุกตามสัมผัสที่คอยจาบจ้วงเข้ามาใต้ร่มผ้า สองมือของกราฟิกยังคงทำหน้าที่เย้ายวนอารมณ์อีกฝ่ายไม่หยุดยั้ง มือหนาค่อยเลื้อยไปด้านหน้าและเลื่อนจับบริเวณที่เสียวซ่านที่สุดบนยอดอก ขยี้เบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวจนอีกฝ่ายต้องกัดปาก ส่งเสียงออกมาจากลำคอ

                “ขอ...นะครับ” กราฟิกกระซิบเสียงแหบพร่า ความกระหายไม่อาจจะฉุดรั้งอะไรเขาได้อีกต่อไป

                “ไม่...อื้อ” แบมบูไม่อาจจะห้ามปรามคนหัวดื้อได้ด้วยคำพูดอีกต่อไปเพราะริมฝีปากได้รูปตรงเข้าครอบครองริมฝีปากของอีกฝ่ายและสอดอาวุธร้ายที่ร้อนระอุไปตามแรงอารมณ์เข้าไปตวัดเกี่ยวกับอีกฝ่ายแบบไม่ให้ได้พักหายใจ ขณะเดียวกัน มือหนาก็ล้วงลึกลงไปข้างในกางเกง สัมผัสกับส่วนที่ไวต่อการสัมผัสที่สุดบนร่างกายท่อนล่าง ขยับมือขึ้นลงตามจังหวะจนต่างฝ่ายต่างก็เริ่มหายใจถี่ยิบ

                และจังหวะที่แบมบูขยับพลิกตัวนั้นเอง สายตาก็สบเข้ากับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูพร้อมกับมือถือในมือ

                “โฟโต้!?” ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก สองมือผลักร่างสูงของอีกฝ่ายออกไปอัตโนมัติ ขณะที่กราฟิกเองก็ยอมปล่อยคนรักของตนแต่โดยดี   ก่อนจะหันไปมองหน้าโจรย่องเบาที่ลักลอบเข้ามาในห้องของเขา

                “ไอ้น้องเวร!” กราฟิกสบถลั่นทันทีที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของน้องชายตัวร้าย ขณะที่โฟโต้ก็รีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋าด้วยความเร็วแสงแบบชนิดที่กราฟิกไม่ทันเห็น

                “มึงมาได้ยังไงวะ” กราฟิกโวยวายเสียงดังตามประสาคนหัวร้อนง่ายและต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจเช่นนี้จะเป็นอะไรไปได้นอกเสียจาก

                ข้อแรก คือเขาถูกขัดจังหวะ ส่วนข้อสอง ไอ้คนที่มาขัดจังหวะดันเป็นไอ้น้องชายตัวแสบที่เขาอยากจะจับมาตีให้หายคันไม้คันมือสักที

            “ต่อก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยมาถามว่าผมมาได้ยังไง” เจ้าตัวการยังคงยิ้มหน้าระรื่นอย่างล้อเลียนพี่ชายของตน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่เขาไม่ชอบให้ใครมาขัดจังหวะตอนทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กับภรรยาสุดที่รักและเพราะว่าเขารู้ ถึงได้รีบแจ้นขึ้นมาดู ส่วนไอ้เรื่องคลิป ก็กะจะเก็บเอาไว้ขู่ให้พี่ชายของตนทำตามคำสั่งอะไรบางอย่างก็เท่านั้น

                 “กูคงมีอารมณ์ต่อหรอก ส่วนมึง ตอบมาได้แล้วว่ามาทำไม”

                “สรุปพี่อยากรู้ว่าผมมาได้ยังไงหรือว่าผมทำไมกันแน่ เอาสักข้อสิครับ”

                “ไอ้โฟโต้!” กราฟิกเรียกชื่อคนเป็นน้องเสียงดังอย่างเหลืออด “ถ้ามึงยังไม่เลิกกวนประสาท กูจะให้ไอ้มนตรีมาจับมึงโยนออกนอกร้านจริงๆ ด้วย”

                “ใจเย็นๆ ก่อนสิ กราฟ น้องอุตส่าห์มาหาทั้งทีนะ” แบมบูเข้ามาปรามคนเป็นพี่พร้อมกับส่งยิ้มใจดีไปให้คนเป็นน้อง ทำเอาโฟโต้ได้ใจ ปรี่เข้าไปหาพี่สะใภ้ แต่ก็ยังไม่วายเอาแขนพาดบ่าแบมบูเอาไว้แบบต้องการยั่วโมโหกราฟิก

                “ใช่ไหมครับพี่แบม ผมอุตส่าห์มาหาทั้งที คนแถวนี้ก็ใจร้าย ไม่ต้อนรับไม่พอ ยังขู่ว่าจะจับโยนออกนอกร้านอีก” ก่อนที่จะหันใบหน้าระรื่นไปทางกราฟิก “ใช้ไม่ได้เลยเนอะ”

                “ไอ้โฟโต้! ปล่อยเมียกูแล้วมาให้กูถีบเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวพุ่งเข้ามาหมายจะถีบน้องชายตัวแสบ แต่โฟโต้ดันหลบทัน จนกราฟิกโมโหและชี้นิ้วหมายหัวไปทางโฟโต้

                “กลับมานี่เลยนะเว้ย!”

                “กลับไปก็โดนพี่กราฟถีบดิ เฮ้ยยยยยย” พูดจบก็ต้องวิ่งวนรอบแบมบูอีกครั้งเพราะคนเป็นพี่ยังคงไม่ยอมแพ้ คาดโทษหมายเตะเข้าทีก้นของคนเป็นน้องให้หายโมโหสักที

                และสุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างออกมานั่งหอบที่โต๊ะข้างนอก

                “กินน้ำ แล้วนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนไป” แบมบูว่าพลางมองหน้าสองพี่น้องสลับกันไปมาอย่างขำๆ  ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงข้างๆ กราฟิกที่จ้องหน้าคาดโทษน้องชายอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเอาแต่หัวเราะไม่หยุด

                “เออ ว่าแต่เป็นไงมาไงถึงได้แวะมาที่ร้านได้”

                โฟโต้สีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ถูกถาม ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูด “ผมมีเรื่องจะปรึกษา...”

                “สับรางไม่ทัน แล้วโดนสาวๆ เอาไม้หน้าสามมาฟาดหน้าหรือไง”

                “ถ้าเรื่องนั้น ผมไม่มาปรึกษาพี่ให้เสียเวลาหรอก เพราะปรึกษาไปก็เอาอะไรไปใช้ไม่ได้อยู่ดี” ก่อนที่โฟโต้จะหันหน้าไปทางแบมบู “ผมอยากปรึกษาพี่แบมเรื่อง...”

                เพราะโฟโต้เอาแต่อึกอัก กราฟิกจึงได้แต่ขมวดคิ้วและทำหน้าหงุดหงิดใส่

                “เรื่องอะไรก็บอกมาสักทีดิวะ ชักช้าอยู่ได้”

                “พี่กราฟ ถ้ามันพูดง่ายก็พูดไปแล้วป่ะ” โฟโต้หันไปว่าก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมขอคุยกับพี่แบมก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวผมจะบอกพี่กราฟทีหลัง”

                “ทำไมวะ ความลับหรือไง”

                “มันก็ไม่เชิง ขอร้องเหอะ ผมเครียดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว”

                คำพูดและท่าทางของคนเป็นน้อง ทำให้กราฟิกต้องช่างใจอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

                “เออๆ ก็ได้ ถ้างั้นกราฟไปเตรียมร้านก่อนนะ” ท้ายประโยคหันไปสั่งคนข้างๆ

                “ครับ” แบมบูมตอบกลับแค่นั้น ก่อนที่สายตาของคนที่เหลือจะมองตามคนที่ลุกจากโต๊ะและเดินออกจากห้องไป

                ก่อนที่โฟโต้จะหันกลับมาสบสายตากับแบมบูอีกครั้ง

                “คือมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะถามนะครับ แต่ผมอยากได้ความเห็นจากพี่จริงๆ”

                “ถามมาเถอะ” แบมบูยิ้มขำกับท่าทางกังวลของคนตรงหน้า

                “แต่พี่ห้ามโกรธผมนา”

                “ครับ พี่ไม่โกรธ”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกและเข้าประเด็นทันที

                “พี่แบมยังจำได้ไหม ที่พี่เคยบอกผมว่าก่อนหน้าที่พี่จะมาคบกับพี่กราฟ พี่เคยคบกับผู้หญิงมาก่อน”

                แบมบูสตันกับคำถามของโฟโต้ไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเรื่องที่โฟโต้อยากจะปรึกษาคือเรื่องพวกนี้

                “จำได้ดิ มีอะไรหรือเปล่า”

                โฟโต้กลืนน้ำลายลงคอ ก้มหน้าอย่างชั่งใจแล้วพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้ม “ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงเปลี่ยนใจมาคบกับผู้ชาย แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าตัวเอง...”

                “เรื่องที่พี่เป็นเกย์ใช่ไหม” แบมบูพูดออกมาตรงๆ อย่างไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรที่ถูกถามถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับเริ่มอยากรู้ถึงสาเหตุที่น้องชายของแฟนมาถามเรื่องนี้กับเขา

                “กะ...ก็ประมาณนั้นครับ”

                ยิ่งได้เห็นสีหน้าตึงเครียดของคนตรงหน้า ยิ่งทำให้แบมบูเริ่มมั่นใจในความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว จึงค่อยๆ เปิดปากพูดกับคนตรงหน้าอย่างใจเย็น

                “ก่อนที่พี่จะให้คำตอบ พี่ขอถามเราอย่างหนึ่งได้ไหม”

                โฟโต้ค่อยเงยหน้าขึ้นมาสบกับสายตาจริงจังของฝ่ายตรงข้าม “ได้ครับ”

                “พี่อยากรู้ว่าทำไมเราถึงมาปรึกษาเรื่องนี้กับพี่”

                “คือ...”   

                “ที่พี่อยากรู้ก็เพราะว่าพี่จะได้ให้คำปรึกษาเราได้ถูกจุด”

                “โอเคครับ” โฟโต้พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่ผมมาปรึกษาพี่เรื่องนี้ก็เพราะว่าผม...คิดว่าผม...รู้สึกกับ...”

                “กับผู้ชายด้วยกันเองใช่ไหม”

                คนเป็นน้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะพยักหน้า “ครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมรู้สึกมันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ผมรู้แค่ว่าเวลาเจอหน้าเขาทีไร ผมก็อยากเข้าไปแกล้ง ทั้งๆ ที่เขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งเหมือนโกรธผมอยู่ตลอดเวลา แต่ผมกลับมองว่าเขาน่ารัก แต่ระยะหลังมานี้ ผมก็เพิ่งจะมาน้อยใจตอนที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ยิ้มให้กับคนอื่น แต่พออยู่กับผมทีไร เขาก็ไม่เคยยิ้มให้ผมเลย”

                “น้อยใจหรือว่าหึง เอาให้แน่ๆ”

                คำถามของแบมบูทำเอาโฟโต้ชะงัก เหลือบมองคนที่อายุมากกว่าเล็กน้อยและได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์คุกกรุ่นภายในใจ

                “ผมไม่ชอบเวลาที่เห็นเขาไปกับคนอื่น มันหงุดหงิด...แต่ผมไม่ได้หงุดหงิดใส่เขานะครับ ผมหงุดหงิดกับตัวเอง แล้วก็เอาแต่คิดเรื่องเขาตลอดเวลา”

                “นั่นไม่น่าจะใช่อาการของคนน้อยใจนะ”

                โฟโต้เองก็อดยอมรับกับคำพูดของแบมบูไม่ได้

                “ผมรู้ แต่ผมแค่ไม่แน่ใจเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ผมอาจจะรู้สึกกับเขาในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง...”

                “ฟังนะ โฟโต้ มันไม่ยากเลย ถ้าเวลาเราไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง เราก็แค่หาทางพิสูจน์และพี่ก็เชื่อว่าโฟโต้โตพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรที่เรียกว่าพี่น้อง อะไรที่เรียกว่าความรัก”

                “...” โฟโต้ได้แต่นิ่งเงียบและรับฟังสิ่งที่แบมบูพูดต่อไป

                “อันที่จริง โฟโต้ไม่จำเป็นต้องมานั่งถามใครเลยด้วยซ้ำ พี่หมายถึงเรื่องที่เราจะเป็นหรือไม่เป็นเกย์ เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับ ความรู้สึก ของเราเอง ไม่ใช่ของคนอื่น ถ้าคิดว่าชอบ ก็คือชอบ ถ้าไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ แล้ว เวลา จะบอกกับเราเองว่าสิ่งที่เรารู้สึกไปนั้น มัน ใช่ จริงๆ หรือเปล่า”

                “...”

                “พี่ไม่รู้นะ ว่าเรากำลังกลัวเรื่องเพศสภาพอยู่หรือเปล่า แต่พี่อยากจะเตือนอะไรเราเอาไว้อย่างหนึ่ง”

                จังหวะนั้นเองที่โฟโต้หันมาสบสายตาของแบมบูอีกครั้ง

                “ถ้าคิดว่าเราเจอคนที่ใช่ อย่าปล่อยให้เงื่อนไขอะไรก็ตามมาทำให้เราเลือกที่จะปล่อยเขาไป เราไม่มีทางรู้หรอกว่าในอนาคต เขาจะยังเป็นคนที่ใช่สำหรับเราหรือเราเป็นคนที่ใช่สำหรับเขาอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่พี่อยากให้โฟโต้คิดเอาไว้เสมอคือ ขอแค่เขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเราในปัจจุบันก็พอ ส่วนที่เหลือก็แค่เดินหน้า ทำทุกอย่างให้เรากลายเป็นคนที่ใช่สำหรับเขา”

                ได้ยินแบบนั้น โฟโต้เองก็ได้แต่นิ่งคิด หัวใจของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายไหลเวียนไปทั่ว จนเริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ 

                “เอาจริงๆ ตอนนั้น พี่ไม่รู้หรอกว่าพี่เป็นเกย์หรือไม่เป็น จนกระทั่ง พี่ได้เจอกับกราฟและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พี่เองก็บอกไม่ถูก ก็อย่างที่เรารู้ว่าพี่เขาเป็นคนยังไง เขาทำให้พี่รู้สึกอบอุ่นใจที่อยู่ด้วย มันรู้สึกดีที่มีคนคอยปกป้อง คอยดูแลและอยู่เคียงข้างพี่ในยามที่พี่ทุกข์ ความรู้สึกทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับที่พี่รู้สึกกับแฟนพี่ที่เป็นผู้หญิง”

                “...”

                “แต่หลังจากนั้น พี่ก็ไม่ได้มานั่งสนใจอีกว่าพี่จะเป็นหรือไม่เป็น หรือว่าใครจะมองว่าพี่เป็นเกย์หรือเปล่าเพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือพี่รักกราฟและมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้พี่เลิกรักเขาได้ เดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้มันด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้แค่ยอมรับทุกอย่างไปตามความรู้สึกเท่านั้นก็พอ”

                “แล้วพี่พอจะมีวิธีไหนบ้างไหมครับ ที่พอจะพิสูจน์ว่าเราชอบเขาจริงๆ”

                แบมบูหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำถามของคนที่ผ่านเรื่องรักตามประสาวัยรุ่นมามาก แต่กลับไม่รู้จักว่าความรัก มันต้องรู้สึกยังไง

                “ลองใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ  แล้วใช้หัวใจเรานั่นแหละ เป็นตัวตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ”

                “...”

                “แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์มันออกมาว่า ชอบ ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตนเอง”





Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ


                                                         :L3: :L3: :L3: :L3: :L3: :L3:

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 14 ถือกำเนิดสไมโลดอน

                “ลองใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ แล้วใช้หัวใจเรานั่นแหละ เป็นตัวตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ”

            ...

            “แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์มันออกมาว่าชอบ ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตนเอง”

            ...

            คำพูดของแบมบูที่วนเวียนอยู่ในหัว ทำเอาคนสติสตังของนายธิติกรขาดหาย สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนคนคิดมาก ขณะที่สายตาเอาแต่เหม่อลอยไปไกล ทั้งที่เขาควรจะใช้สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโปรเจคเตอร์หน้าห้องและฟังเสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายเนื้อหาบทเรียน ในเวลาที่เขานั่งอยู่ในห้องเรียนเช่นนี้ต่างหาก

                เขาเป็นแบบนี้มาสักพัก ตั้งแต่คาบแรกกระทั่งคาบเรียนสุดท้าย...

                ความคิดที่จะพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองก็ยังไม่หลุดออกไปจากหัวเสียที

            “โฟโต้ๆ” ฝ้ายหันมาร้องเรียก พลางเอามือโบกตรงหน้าคนข้างๆ หลังจากที่เธอกับนัทเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หากแต่เพื่อนของเธอคนนี้กลับเอาแต่นั่งนิ่งอย่างกับคนสติหลุด

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลไม่แพ้สีหน้าของตนในเวลานี้ หลังจากโฟโต้หันกลับมามองเธอแบบตื่นๆ

                “เอ่อ ไม่...ไม่เป็นไร” โฟโต้พูดและแสร้งยิ้มออกไป ทั้งที่ในใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

                “นายดูเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ มีอะไรหรือเปล่า” นัทเองก็สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของโฟโต้เช่นกันและมันก็ทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่าเพื่อนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ

                “เฮ้ย ไม่มีอะไร เราแค่ง่วงๆ” โฟโต้บอกอีกครั้งและลุกขึ้น เก็บข้าวของใส่กระเป๋า ท่ามกลางสายตาเป็นกังวลของฝ้ายกับนัท ทั้งคู่หันมาสบสายตากันเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยโฟโต้ไปเพราะต่างคนต่างก็คิดว่าบางที อาจจะเป็นเรื่องที่โฟโต้ไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้

                “ถ้าไม่มีอะไรก็รีบไปซ้อมดาวเดือนเหอะ จะสายแล้ว” นัทหันไปบอกอีกครั้ง ก่อนที่โฟโต้จะสะพายกระเป๋าและทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องเรียน ตรงไปยังลานซ้อมกิจกรรมของคณะทันที

 

                ขณะเดียวกัน...

                ฮ่องเต้ก็มารวมกลุ่มกับพวกพี่เทคดาวเดือนคนอื่นๆ ที่ลานซ้อมกิจกรรม เพื่อรอเด็กปีหนึ่งที่เลิกเรียน ระหว่างนั้นก็นั่งอ่านหนังสือไปพลาง เนื่องจากช่วงสอบย่อยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วและหลังจากนี้ กิจกรรมของทางคณะและมหา’ลัยจะมีมากขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องมาทบทวนให้เข้าใจเสียก่อน ส่วนเรื่อนความจำก็ค่อยจำไปทีละนิด จะได้ไม่ต้องมานั่งลำบากจำทีเดียวหลายบท

                ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นเด็กสามคนที่กำลังเดินเข้ามาข้างใน หนึ่งในนั้นยังคงมีเด็กปีหนึ่งที่เขายังคงยืนยันว่าเป็นคนที่เขาไม่อยากจะเจอ แต่ก็ดันหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะไอ้เด็กคนนั้นดันจับฉลากได้เขาเป็นพี่เทคเดือนเสียได้ ดังนั้น คงต้องทำใจและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวรตามกรรม...

                ไม่ๆๆ เขาไม่ควรปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น เขาต้องตั้งสติและพึงระลึกเอาไว้เสมอว่าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวแค่เฉพาะเรื่องกิจกรรมเท่านั้น

                “สวัสดีครับ พี่ฮ่องเต้” โฟโต้เอ่ยทักพลางฉีกยิ้มกว้างแบบที่เคยทำ แสร้งกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่ระส่ำระส่ายอยู่ในเวลานี้ ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงเก๊กหน้านิ่งใส่เหมือนอย่างที่เคยทำ โดยไม่รู้เลยว่ารุ่นน้องที่เขาระแวงนักระแวงหนากำลังมีแผนการบางอย่างอยู่ในหัว

                ใจเย็นเว้ย ไอ้โฟโต้ ทำตัวตามปกติๆ

            โฟโต้ท่องประโยคนั้นซ้ำไปมาอยู่ในใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองเห็นเอกสารประกอบการเรียนในมือของฮ่องเต้ ที่มีรอยขีดเขียนไปมากกว่าครึ่ง

                “พี่เต้ขยันแบบนี้ คงได้เกรดสวยทุกเทอมเลยสินะครับ”

                หากแต่ประโยคนี้กลับไม่ได้ออกจากปากของสายรหัสปีหนึ่ง แต่กลับเป็นคำพูดของสายเทคที่เดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับรอยยิ้มละมุนที่มีให้รุ่นพี่ปีสี่ตรงหน้าเช่นเคย

                แต่นั่นกลับทำให้สายตาของโฟโต้ฉายแววความไม่พอใจออกมาและเขาเองก็อดสงสัยในแววตาที่นัทกำลังมองไปทางพี่ฮ่องเต้อย่างเสียไม่ได้ ดูยังไงมันก็เหมือนแววตาของคนที่แอบชอบและที่สำคัญ พี่ฮ่องเต้ของเขาดันยิ้มกลับไปให้นัทด้วยนี่สิ มันน่าโมโหนัก

                “ว่างๆ มาติวให้ผมได้หรือเปล่าครับ” นัทยังคงไม่ยอมหยุด หยอดสายตาและรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนไปให้และแน่นอนว่ามันทำให้สติของสายรหัสตัวจริงอย่างโฟโต้ขาดผึ่ง สายตาตวัดมองไปทางนัทที่ยังคงเอาแต่จับจ้องใบหน้าของฮ่องเต้อย่างไม่วางตา

                “พี่เทคเดือนนายเป็นใครเหรอ” อาจจะฟังเป็นคำถามสำหรับใคร แต่มันไม่ใช่สำหรับนายธิติกรเพราะรอยยิ้มและสายตาที่ต้องการสื่อความหมายง่ายๆ กับฝ่ายตรงข้ามว่า มึงไปซะ

            “พี่กรีน ปีสอง มีอะไรหรือเปล่า” นัทส่งยิ้มกลับไปพร้อมกับมองโฟโต้ด้วยสายตาที่สื่อความนัยว่าเขาไม่ได้โง่ ที่จะดูไม่ออกว่าโฟโต้ต้องการอะไร แต่เขาเพียงต้องการกวนประสาตอีกฝ่ายกลับก็เท่านั้น

                โฟโต้จึงทำทีเป็นชะเง้อมองหาก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงความร้ายกาจเอาไว้ว่า “พี่กรีนเขามองหานายอยู่นะ น่าจะมีธุระสำคัญคุยด้วย”

                นัทชะงักนิ่ง จ้องหน้าโฟโต้ที่ยังคงทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่สักพัก ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาด้วยความคับแค้นใจและหันไปมองตามสายตาของโฟโต้ แต่เพราะว่าเขาเองก็เห็นตำตาว่ากรีนกำลังมองหาเขาอยู่จริงๆ จึงได้แต่ฝากความคับแค้นใจนั้นเอาไว้กับอีกฝ่ายเท่านั้น

                “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมไปหาพี่กรีนก่อนนะครับ” นัทหันไปพูดกับฮ่องเต้ที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับสายรหัส สายเทคปีหนึ่งของตน เลยทำเพียงแค่พยักหน้าและยิ้มแทนคำตอบเท่านั้น ตรงข้ามกับโฟโต้ที่แสร้งยิ้มและส่งสายตาขับไล่ไสส่งนัทอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                พี่เทคเดือนของผม ใครหน้าไหนก็ห้ามแตะเว้ย

                คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหายวับไปจากความคิด เมื่อเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

                “น้อยใจหรือว่าหึง เอาให้แน่ๆ”

            คำพูดนั้นทำให้เขาถึงกับชะงักและพิจารณาสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะทำลงไปเมื่อครู่

                “นั่นไม่น่าจะใช่อาการของคนน้อยใจนะ”

            หึงเหรอวะ...

            พึมพำกับตัวเองในใจ โดยหารู้ไม่ว่าฮ่องเต้กำลังมุ่นคิ้ว จับตามองสีหน้าประหลาดของเขาอยู่

                หึงที่ไอ้นัทเข้ามายุ่งย่ามกับพี่ฮ่องเต้...

                ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ากลับมามองคนที่เขาเพิ่งจะบอกกับตัวเองว่า หึง ไปหมาดๆ พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

                “อะไร”

                เป็นอันได้สติ เมื่อฮ่องเต้โพล่งถามออกมาอย่างไม่เข้าใจรุ่นน้องตรงหน้า

                “เป็นอะไรของมึง ลืมกินยาแก้โรคประสาตหรือไง”  ฮ่องเต้ว่าพลางส่ายหน้าน้อยๆ  จนโฟโต้ต้องรีบปรับสีหน้าและยิ้มกริ่มออกมา

                “ผมยอมรับครับ ว่าลืมกินยา ไม่ใช่ยาแก้โรคประสาตนะครับ แต่เป็นยา...” เขาเว้นจังหวะ มองสำรวจฮ่องเต้ในชุดนักศึกษาด้วยสายตาหยอกเย้าและค่อยเปล่งเสียงออกมาว่า “...ยาแก้โรคทนความน่ารักของพี่เต้ไม่ไหว”

                ถึงคราวฮ่องเต้เป็นคนสตันบ้าง เขายืดตัวขึ้น มองหน้าคนที่เพิ่งจะพูดหยอกบอกว่าเขาน่ารักด้วยสายตาที่ไหววูบเล็กน้อยเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ทำเอาเขาใจเต้นแรง ก่อนจะตีหน้าดุใส่อย่างที่เคยทำ

                “กูบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกู”

                หากแต่ท่าทางฮึดฮัดและคำเตือนของฮ่องเต้กลับทำให้โฟโต้ได้ใจเสียอย่างนั้น

                “ถ้าอย่างนั้น...” เขาทำทีเป็นมองรุ่นพี่ปีสี่ที่ชอบทำตัวโหดไม่เข้ากับหน้า ด้วยสายตาจาบจ้วงอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเขินอายมากขึ้นไปกว่าเดิม “...เปลี่ยนเป็นน่าฟัดแทนนะครับ”

                “ไอ้โฟโต้!!”

                ฮ่องเต้เผลอร้องเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังลั่น จนคนรอบข้างหันมามองตามกันเป็นสายตาเดียวทีแรกก็มองมาด้วยความตกใจเพราะคิดว่าพี่น้องคู่นี้จะมีเรื่องกัน แต่พอเห็นว่าเป็นฮ่องเต้กับโฟโต้ พี่น้องสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดก็เปลี่ยนเป็นมองด้วยสายตาละห้อยและต่างพากันซุบซิบถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ไปต่างๆ นานา

                ขอโทษนะครับ พี่เต้ ใครใช้ให้พี่น่ารัก น่าฟัดล่ะครับ

            เสือร้ายยิ้มกระหยิ่มออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง เขากัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย มองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันเปี่ยมล้น อย่างต้องการจะแกล้งคนน่ารัก น่าฟัดในสายตาของเขา

                จนเหยื่ออย่างฮ่องเต้ถึงกับเริ่มหายใจแรงๆ ใส่ จะว่าเขากำลังหงุดหงิด โมโหก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะไอ้อาการร้อนผ่าวไปทั่วร่างจนอึดอัดและทำตัวไม่ถูกที่ดันมีมากกว่าความโกรธนี่สิ ที่ทำให้เขาลำบากใจ ทั้งที่ควรจะลุกหนีหรือจัดการปรามคนตรงหน้าให้รู้เด็กรู้ผู้ใหญ่เสียบ้าง แต่เพราะการกระทำของโฟโต้ไม่ได้ทำให้เขารูสึกแย่ เลยทำให้เขาโกรธไม่ลงเสียอย่างนั้น

                เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่ผมไม่ได้รู้สึกแย่อย่างนั้นเหรอวะ

                ฮ่องเต้เบิกตาโพลงอย่างคนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ค่อยเหลือบตาไปมองคนที่เอาแต่ยืนกอดอกจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ก่อนที่แววตาจะสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้งเพราะโฟโต้แกล้งเลียริมฝีปากเบาๆ และส่งสายตาหื่นกระหายมาทางเขาอีกครั้ง

                มึงตั้งสติเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย มึงอย่าไหลไปตามเกมดิวะ เชี้ยเอ้ยยยยย     

            ฮ่องเต้อยากจะเอามือทึ้งหัวตัวเองแทบตาย แต่ก็ทำได้เพียงแค่กำชีทและปากกาไฮไลท์เอาไว้แน่นอย่างต้องการระบายความร้อนในร่างกายในเวลานี้ ทว่าการกระทำนั้นกลับสะดุดตาของนายธิติกรเข้า ทำเอาคนขี้เล่นเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องมือของรุ่นพี่ตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

                ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปใกล้จนฮ่องเต้มองตามเลิกลัก กระทั่งรุ่นน้องที่เขามองว่าเป็นไอ้โรคจิตปีหนึ่งมาโดยตลอด โน้มตัวเข้ามาใกล้ชนิดที่เห็นชัดยันรูขุมขนเลยทีเดียว โฟโต้ฉวยโอกาสนั้น สบสายตากับคนเป็นพี่ หวังจะสะกดร่างนั้นแบบอยู่หมัด ก่อนจะใช้จังหวะที่ฮ่องเต้เผลอ เอื้อมไปจับมือของเขา คลายกำปั้นนั้นออกช้าๆ แล้วดึงปากกาไฮไลท์และชีท พร้อมกับถอนตัวเองออกมาจากอีกฝ่าย

                “ยับหมดแล้วครับ” โฟโต้ว่าขำๆ

                แต่ฮ่องเต้กลับไม่ขำด้วย แม้ว่าการกระทำของโฟโต้จะทำให้เขาใจเต้นแรง แต่พอสบเข้ากับสายตาของคนรอบข้างที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้ม ประกอบกับเหตุการณ์บางอย่างในอดีตทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย มันทำให้เขาเริ่มกระอักกระอวนจนใบที่เคยแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย กลับกลายมาเป็นซีดเผือดด้วยความหวั่นกลัว

                ...จนเขาต้องรีบดึงเอกสารประกอบการเรียนในมือของโฟโต้คืนมา

                “วันนี้ มึงซ้อมเดินเองก็แล้วกัน”

                พูดจบก็คว้ากระเป๋าและเดินหนีออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมทันที โดยไม่รอฟังเสียงเรียกจากคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย

                พี่เขาโกรธเหรอวะ

                โฟโต้มองตามร่างนั้นที่หายวับออกไปจากลานซ้อมกิจกรรม และได้แต่หันกลับมามองปากกาไฮไลท์ในมือที่เจ้าของคงจะโมโหจนหลงลืมมันเอาไว้

                “กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย” ปากก็ว่า อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นมายีหัวอย่างหงุดหงิดตัวเอง ก่อนที่จะหันไปมองตามมือของใครบางคนที่วางลงบนไหล่ ทว่าสายตาของเจ้าของมือกลับเอาแต่มองไปทางที่ฮ่องเต้เพิ่งจะเดินหายออกไป

                “มึงมาคุยกับกูหน่อยดิวะ” ซันบอกแค่นั้นและตบบ่ารุ่นน้องสองสามที ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมบาง ขณะที่โฟโต้ได้แต่หลับตาลงอย่างต้องการระงับอารมณ์ แล้วเดินตามตากล้องประจำคณะออกไปแต่โดยดี

                ท่ามกลางสายตาของนัทกับฝ้ายที่มองตามคนทั้งคู่ออกไป กับฝ้าย เธอมองตามไปด้วยความสงสัย แต่กับนัท เขาแอบสะใจเล็กน้อยที่โฟโต้พลาดท่าตั้งแต่เริ่มเดิมเกม

                ขอโทษด้วยนะ ยังไงพี่เต้ก็ต้องรักกู

                ซันเดินนำโฟโต้ออกมาตรงลานจอดรถ ตรงจุดที่คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก เสร็จสรรพก็หยุดเดินและหันหน้ากลับมามองนายธิติกร เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งจะก่อเรื่องกับเพื่อนเขามาหมาดๆ

                “ชอบหรือว่าแค่ต้องการแหย่เล่น” ซันเข้าประเด็นทันที ทำเอาคนถูกถามเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าที่หน้าอย่างจังเพราะความตรงไปตรงมาและสายตาเรียบนิ่งที่มองมาอย่างต้องการจะกดดันคนตรงหน้า

                “ผม...”

                “ขอบอกไว้ก่อนนะ กูไม่ชอบคนลังเล” ก่อนที่ซันจะเน้นประโยคถัดมา “ไอ้เต้ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”

                คำพูดของซันทำเอาโฟโต้เริ่มหน้านิ่ง สายตาที่มองกลับไปทางรุ่นพี่ดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา จนซันเองก็เริ่มคาดหวังที่จะได้เห็นและฟังอะไรดีๆ จากคนตรงหน้า

                “ผมชอบพี่เต้ครับ” โฟโต้พูดออกไปตามความรู้สึกของตนและมันก็ผ่านการคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว เหมือนที่พี่แบมบูบอกว่า แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง ในเมื่อพี่ฮ่องเต้น่ารักขนาดนั้นและนัทเองก็พยายามเข้ามายุ่งย่ามกับคนที่เขาชอบขนาดนี้ เสืออย่างเขาคงไม่ปล่อยให้จิ้งจอกอย่างนัทมาล่าเหยื่อของตนไปง่ายๆ หรอก

                “มึงแน่ใจนะ ไอ้ที่มึงพูดออกมา” ซันยังคงไม่วางใจเท่าไหร่นัก

                “ครับ ผมชอบพี่เต้จริงๆ ชอบมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาช่วยผมตอนผมล้มและตั้งแต่วันที่ผมได้ใกล้ชิดกับเขา”

                “มึงไม่คิดบ้างเหรอ ว่าบางที่ไอ้เต้มันก็ทำไปตามหน้าที่ของรุ่นพี่”

                โฟโต้นิ่งงันไปกับคำพูดของซัน เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก

                เขากำลังจะบอกว่าที่พี่เต้เข้ามาช่วย ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะว่าเขาทำตามหน้าที่...

            เพียงเท่านั้น ในใจก็เจ็บแปลบขึ้นมาราวกับถูกอะไรกรีดเข้า ใบหน้าเริ่มตึงเครียดขึ้นมาจนวันเองก็สังเกตเห็น

                “มึงอาจจะรู้สึกดีในฐานะพี่น้อง...”

                “ไม่ครับ” โฟโต้สวนกลับทันควัน ทำเอาซันถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงหน้าขรึมเช่นเดิมและสบสายตากับโฟโต้ที่มองมาทางเขาอย่างไม่วางตา “มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้อง ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่เต้ มันมากกว่านั้น ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหนและผมก็จะไม่มีทางทำให้ตัวเองรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ทำอะไรเลย”

                “...”

                “ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าการกระทำหรือคำพูดของพี่เต้จะเป็นไปตามหน้าที่ของรุ่นพี่หรืออะไร ผมรู้แค่ว่าสิ่งเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกดี ที่ผมชอบก็เพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นรุ่นพี่หรืออยู่ในฐานะอะไรก็ตาม”

                “พูดเหมือนมึงเคยคบผู้ชายมาก่อนเลยนะ”

                ซันก็ยังคงจี้จุดคนตรงหน้าต่อไปเรื่อยๆ แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อเพื่อนรักอย่างฮ่องเต้ เขาไม่อยากให้เพื่อนของเขาต้องพลาดท่าให้กับความรู้สึกที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่ถูกอีกฝ่ายหลอกต้องมาเจ็บปวดเพราะมารับรู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่ความรัก

                “แล้วถ้ากูบอกว่าไอ้เต้มันไม่ใช่เกย์ แต่มันเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงและมันก็ไม่มีทางชอบผู้ชายอย่างมึง มึงจะเลิกยุ่งกับเพื่อนกูไหม”

                ซันพูดเน้นคำในประโยคสุดท้ายและแสดงความรู้สึกผ่านทางน้ำเสียง สีหน้าและแววตาอันดุดัน อย่างจงใจจะขู่ให้คนตรงหน้าเลิกยุ่งกับเพื่อนเขาไปซะ จนโฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ยอมรับกับตนเองว่าคำพูดแต่ละอย่างของซันทำเอาเขาทั้งจุกและกระอักกระอวนไปหมด แต่เขาก็พยายามจะตอบคำถามของรุ่นพี่ไปตามความรู้สึกของตน 

                “ผมไม่รู้นะ ว่าพี่คิดยังไงกับเรื่องนี้ ผมไม่เคยมองว่าพี่ฮ่องเต้เป็นผู้ชายหรือเป็นเกย์และผมไม่คิดที่จะมองเขาแบบนั้นด้วย ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมชอบที่เขาเป็นเขา ต่อให้เขาจะไม่ได้ชื่อฮ่องเต้หรือจะเปลี่ยนชื่อ ศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าเป็นล้านครั้ง ผมก็ยังคงชอบเขาอยู่ดี”

                “...”

                “เพราะผมชอบตัวตนของเขาข้างใน ไม่ใช่อะไรก็ตามที่เป็นเพียงแค่เปลือกนอกและผมก็รู้สึกกับเขาแค่คนเดียว ส่วนพี่จะมองว่าผมหรือพี่เต้เป็นเกย์หรือไม่ ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ” 

                ซันยิ้มเยาะใส่คนตรงหน้า  “คำพูดของคน มันไม่ได้พิสูจน์ความจริงใจไม่ได้หรอก ก็เหมือนกับเพื่อนมึงไง โกหกหน้าด้านๆ”

                และมันทำเอาโฟโต้เริ่มฉุนขาด มองรุ่นพี่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เป็นความหงุดหงิดที่ทำเอาเขาเริ่มพูดเร็วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะความงี่เง่าของรุ่นพี่ตรงหน้าที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

                “พี่ซัน ผมรู้นะ ว่าพี่เกลียดเพื่อนผม แต่นี่มันเรื่องของผมกับพี่ฮ่องเต้ ไม่ใช่เรื่องของไอ้เปรมกับน้องสาวของพี่ กรุณาแยกแยะด้วยนะครับ”

                “มันจะต่างอะไรกันวะ ในเมื่อไอ้เต้มันก็เพื่อนกูและกูขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่ากูไม่ไว้ใจมึง กูจะไม่มีทางปล่อยให้มึงเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตของไอ้เต้แน่ ถึงแม้ว่าไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองอะไรนั่นมันจะเป็นจริงก็ตาม”

                โฟโต้ขมวดคิ้วกับประโยคสุดท้ายที่ซันพูดออกมา “เกี่ยวอะไรกับเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง?”

                ใจหนึ่งก็เริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์สายรหัสนี้ยังไง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของพี่ฮ่องเต้

                ซันมองสบกับสายตาสงสัยของคนตรงหน้าและยกยิ้มที่มุมปาก “รู้เอาไว้ด้วยนะ ว่าไอ้ฮ่องเต้คือพี่รหัสปีสี่ของมึง”

                แม้ว่าอีกนานกว่าจะถึงวันเปิดสายรหัสของคณะนิติศาสตร์ แต่ซันก็เลือกที่จะโพล่งความจริงออกไปเช่นนั้นเพราะความจงใจที่อยากจะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเป็นไปบางอย่าง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้เพราะโฟโต้เองก็ถึงกับอึ้งกิมกี่ที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งที่เขาอุตส่าห์ไม่ยอมตามหาพี่รหัสปีสี่แล้วแท้ๆ  แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าเขาจะหนีความจริงไม่พ้น

                และเขาเองก็กำลังสับสนกับความจริงที่เพิ่งจะมากระจ่างเอาตอนนี้...

                “ดีใจไหมล่ะ ที่ได้รู้ว่าใครเป็นพี่รหัสปีสี่ ได้ข่าวว่าพี่ปีสองกับปีสามของมึงก็คบกันเองแล้วนี่ ไอ้เต้ก็จะเรียนจบปีนี้แล้วด้วย มันคงหนีไม่พ้นอาถรรพ์สายรหัสของมันหรอก”

                ซันพูดไปพลางแสยะยิ้มไปพลาง มองหน้าเพื่อนของคนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาด้วยความสะใจ

                “แต่เพราะกูสงสาร กลัวว่ามึงจะเจ็บ กูเลยอยากบอกให้มึงรู้เอาไว้อีกอย่างหนึ่ง...”

                โฟโต้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตามาดร้ายของคนตรงหน้า

                “...มึงคงจะยังไม่รู้ว่าอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองมันไม่ได้ส่งผลกับแค่สายตรง แต่มันส่งผลกับสายเทครหัสสองศูนย์สี่ด้วย” ก่อนจะเว้นจังหวะและพูพออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “...และปีนี้ไอ้เต้ มันก็ดันมีสายเทคอีกหนึ่งคน กูคงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

                พูดจบวันก็เฉียดเข้ามาใกล้และเอามือจับเข้าที่บ่าของโฟโต้ ออกแรงบีบเล็กน้อย ขณะที่สายตาของคนทั้งคู่จะประสานกันราวกับต้องการจะฟาดฟันกันผ่านสายตา

                “ถอนตัวไปตอนนี้ ยังทันนะ”

                นั่นคือคำพูดที่ทิ้งท้ายเอาไว้ให้ สร้างความอึดอัด คับแค้นใจให้กับโฟโต้เป็นอย่างมาก สายตาของเขาไม่อาจจะปกปิดอารมณ์คุกกรุ่นเอาไว้ได้ ตรงกันข้ามมันใกล้จะระเบิดออกมาเต็มทนจนเขาต้องกำหมัดแน่น...

                แต่มือกลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง...

                มือข้างนั้นยกขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังปากกาไฮท์ไลท์ที่ฮ่องเต้ลืมเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ภายในใจของเขาออกมา ราวกับว่าปากกาไฮท์ไลท์ตรงหน้าคือพี่ฮ่องเต้ที่กำลังจ้องมองมาทางเขาอยู่

                “ใครจะว่ายังไงผมก็ไม่สนหรอก ในเมื่อผมยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้ว พี่ต้องเป็นของผม”

                จงใจเน้นคำพูดในประโยคสุดท้ายอย่างมาดหมั้น ก่อนจะบรรจงแตะริมฝีปากลงบนปากกาไฮท์ไลท์แท่งนั้นและยกยิ้มที่มุมปาก

                “มัดจำไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะค่อยผ่อนคืนให้หรือไม่ก็จ่ายทีเดียว”

                ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังพร้อมกับรอยยิ้มมาดร้ายและแผนการอีกมากมายในสมองที่รับรองได้ว่าทั้งฮ่องเต้และซัน ไม่สิ ต้องรวมถึงสายเทคของพี่ฮ่องเต้อย่างนัทด้วย รับรองว่าไม่ใครที่จะรอดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ แน่ต่อให้นัทจะเป็นเสือ แต่ก็คงจะเป็นแค่เสือดาวเท่านั้นและแน่นอนว่าไม่มีทางที่เสือดาวจะมาทำอะไรสไมโลดอนอย่างเขาได้หรอก

                เพราะถ้าสไมโลดอนเขาคิดจะล่าเหยื่อแล้วล่ะก็...เขาสามารถทำให้เหยื่อตายทีเดียวได้ง่ายๆ ในชั่วพริบตา

               

                               
Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ
                               :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 15 ตามง้อในฐานะพี่น้อง

                “เช้ดเข้ ใครพกผีแพนด้ามาเรียนด้วยวะ!”

                เสียงนิวร้องลั่นมาแต่ไกล ตั้งแต่ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้สาวเท้าเข้ามาให้ห้องเรียนเพราะสภาพที่เหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมงของเพื่อนรัก ที่ทำเอาเขาอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

                “เขามีแต่หมีแพนด้าหรือเปล่าวะ” ซันหันไปว่าขำๆ ตบมุกใส่จนนิวหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม ก่อนจะปรายตาไปมองคนมาใหม่ ที่ถึงกับทรุดลงทิ้งน้ำหนักทีเดียวจนก้นกระแทกเก้าอี้อย่างแรง แต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ แถมยังเลื้อยไหลลำตัวและฟุบนอนเอาแก้มแนบไปกับโต๊ะ พร้อมกับเสียงลมหายใจที่พ้นออกมาแรงๆ เหมือนคนมีเรื่องเครียดไปที

                ซันกับนิวหันมาสบตากัน แม้ว่าซันจะรู้แก่ใจดีว่าเพื่อนของเขากำลังคิดมากเรื่องอะไร แต่กับนิว เขายังคงไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น

                “เฮ้ยๆๆ มึงจะมาหลับใส่พวกกูแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ตื่นมาให้กูเผือกเรื่องมึงก่อนดิวะ” นิวปรี่เข้าไปเขย่าตัวจนฮ่องเต้ถึงกับขมวดคิ้วทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างหงุดหงิด หากแต่ตาทั้งสองข้างยังคงปิดสนิทอยู่เช่นนั้น

                “ไอ้เต้ มึงจะปล่อยให้กูหิวเผือกตายคาห้องเรียนแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” นิวยังคงร้องเรียกเพื่อนต่อไป แต่เพราะเขารู้ดีว่าปลุกแบบนี้ ให้ตายยังไงฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาเล่าให้เขาฟังแน่ว่ามันไปทำอะไรมา เขาจึงแสร้งหันไปพูดกับซันแทนว่า...

                “อ่อนเพลียมาแต่เช้าแบบนี้ กูว่ามันต้องเสร็จไอ้น้องโฟโต้แล้วแน่ๆ”

                หากแต่สายตาของนิวกลับเหลือบมองไปทางฮ่องเต้อย่างต้องการจะสังเกตปฏิกิริยา นั่นทำให้นิวไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาไม่พอใจของซัน

                “มึงไม่คิดเหรอว่าบางทีมันจะเสร็จไอ้น้องนัท สายเทคปีหนึ่งของมัน” เพราะซันแสร้งทำเสียงเหมือนไม่ว่าสิ่งที่พูดไม่ได้เป็นเรื่องจริงจังอะไรออกมา ทำให้คนที่ไม่คิดอะไรกับทุกเรื่องเป็นเดิมทีอย่างนิวเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น

                “อย่าบอกนะ ว่ามึงเชียร์ไอ้น้องนัทอ่ะ” นิวหรี่ตามองไปทางใบหน้าระรื่นของซัน

                “เออ ในเมื่อมึงเชียร์ไอ้โฟโต้ กูก็จะเชียร์ไอ้น้องนัทให้มันได้กับไอ้เต้” ท้ายประโยค ซันจงใจหันไปพูดกับฮ่องเต้ที่กำลังพยายามระงับความหงุดหงิดที่ชักจะเพิ่มระดับไปตามคำพูดของเพื่อนเรื่อยๆ

                และเมื่อซันประกาศเจตนาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง นิวจึงขยับถอยหลังไปสองก้าวและเอามือชี้หน้า หรี่ตามองซันพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

                “หมายความว่ามึงจะประกาศศึกกับกูใช่ไหม!?”

                “กูพูดออกจะชัดเจน” ซันตอบพร้อมกับยักไหล่กลับมาให้

                “ด้ายยยยยย มึงรอดูได้เลย ว่ากูเนี่ยแหละ จะทำให้ไอ้โฟโต้กับไอ้เต้...”

                แปะ!

                ฟึ่บๆๆ

                เอามือประสานกันขยับจนเกิดเสียงกระทบระหว่างฝ่ามือสองข้างเพื่อประกอบการบรรยาย

                “กูรับรองเลยนะ ไอ้เต้ ว่ามึงต้องฟินแน่นอนนนนน”

                ป้าบ!

                “เลิกพูดเรื่องนี้สักที ก่อนที่กูจะหมดความอดทนแล้วตัดเพื่อนกับมึง!” เป็นฮ่องเต้ที่ลุกขึ้นมาโบกหัวคนพูดมาก หากแต่คราวนี้ สีหน้า ท่าทางและน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นถนัดตาจนนิวถึงกับหน้าเหวอ

                “เฮ้ย มึง...กูแค่...”

                “มึงไม่ต้องมาแก้ตัว ถ้ามึงไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีกว่า” อาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้อดหลับอดนอนมาทั้งคืนและเครียดเรื่องบางอย่าง ทำให้สติและความอดทนของเขาต่ำลงไป จนพลั้งปากพูดออกไปเช่นนั้น แต่มันกลับทำให้ซันยิ้มกริ่มเพราะเขารู้ดีว่าที่ฮ่องเต้เป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องที่โฟโต้เข้าหาเมื่อวาน 

                “เออๆ กูไม่พูดแล้วก็ได้ ใจเย็นนะเพื่อนนะ” นิวทำได้แค่ยิ้มเจื่อนไปให้พร้อมกับค่อยเอามือแตะที่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ  แต่พอเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ว่าอะไร จึงดันให้เพื่อนรักที่กำลังฉุนขาดนั่งลงดังเดิม

                ก่อนที่อาจารย์จะเดินเข้าห้องและทุกอย่างก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ...

               

                โฟโต้ชะงักฝีเท้า เหลือบตาไปมองนัทที่นั่งอยู่ตรงที่ประจำอย่างไม่วางตา หากแต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีจงเกลียดจงชังอะไรออกมา ทำเพียงแค่เดินเข้าไปหาฝ้ายเหมือนเช่นทุกวันราวกับไม่มีเรื่องอะไรบาดหมางใจกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฝ้าย

                “โฟโต้ เรามีเรื่องจะถาม” ฝ้ายหันใบหน้ากังวลมาทางโฟโต้ทันทีที่เขานั่งลงข้างเธอ

                “มีอะไรเหรอ” โฟโต้ถามกลับพลางฉีกยิ้มกว้างเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่รอยยิ้มสดใสนั้นไม่ได้ช่วยให้ฝ้ายคลายความกังวลลงไป แถมกับนัท เขาเองก็ยังคงเอาแต่นิ่งเงียบด้วยความอึดอัดใจ

                “เมื่อวาน มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมพี่ฮ่องเต้รีบกลับไปแบบนั้น”

                โฟโต้สตันไปเล็กน้อยกับคำถามของคนข้างๆ หากแต่ก็รีบปรับสีหน้ายิ้มแย้มออกมา “ไม่มีอะไรหรอก พอดีพี่เขาไม่ค่อยสบายก็เลยขอตัวกลับก่อน”

                จังหวะนั้นเองที่นัทเงยหน้าขึ้นมามองคนพูด ขณะที่โฟโต้เองก็สบตากับอีกฝ่ายแบบที่รู้กันดีว่าพวกเขาทั้งคู่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกัน

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ซันเขาเรียกเธอไปคุยเรื่องอะไรล่ะ”

                แม้ว่าฝ้ายจะเป็นคนถาม แต่นัทกลับเอาแต่จ้องโฟโต้ไม่วางตาแบบคนที่รอฟังคำตอบ ในตาของโฟโต้จึงฉายแววยิ้มเยาะขึ้นมา แต่ก็เพียงชั่ววูบเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันไปมองฝ้ายและแสร้งทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องเมื่อวาน

                “ก็เรียกไปคุยเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย บอกไม่ได้หรอก มันเป็นความลับระหว่างลูกผู้ชาย”

                ท่าทีของคนขี้เล่นที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก ทำให้ฝ้ายคลายความกังวลลงไปได้บ้าง เพราะเธอเองก็ห่วงแทบตายว่าโฟโต้จะมีเรื่องตั้งแต่วันแรกที่นัดซ้อมดาวเดือน พาลได้ถูกหมายหัวถึงวันงานประกวดพอดี

                ก่อนที่โฟโต้จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และล้วงมือถือออกมากดเล่นระหว่างรออาจารย์ โดยมีสายตาของนัทที่คอยมองมาตลอด แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ลึกๆ เขารู้สึกไม่พอใจอีกฝ่าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

                โฟโต้นั่งมองข้อความที่เขาส่งไปหาใครบางคนตั้งแต่เมื่อคืน แต่ดูเหมือนว่าใครคนนั้นจะไม่ยอมเปิดอ่านเลยสักนิด แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่นัก

                คนขี้ใจอ่อน ยังไงก็โกรธได้ไม่นานหรอก

            คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจ ก่อนที่เสียงอาจารย์จะดังเรียกสติ เขาจึงต้องเก็บมือถือลงไปในกระเป๋าและหันมาตั้งหน้าตั้งตาเรียน

               

                เพราะเย็นวันนี้ ไม่มีนัดซ้อมดาวเดือนคณะ ฮ่องเต้จึงรีบสาวเท้าออกจากห้องเรียนอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่เพื่อนรักของเขาอย่างนิวกับซันที่ได้แต่มองตามคนที่หงุดหงิดมาตั้งแต่หัววันยันเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ

                “ไอ้เต้มันเป็นอะไรของมันวะ กูก็แซวมันเล่นออกจะบ่อย ทุกวันเลยด้วยซ้ำมั้ง ปกติมันก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้นี่หว่า...” นิวพล่ามออกมาสีหน้ากึ่งจริงจัง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ “...หรือว่าเหงาตูดเลยพาลมาโมโหกูวะ ไอ้ซัน!”

                ท้ายประโยคหันไปถามความเห็นจากซัน ที่ทำเพียงแค่ส่ายหน้าแบบเอือมระอามาให้

                “เลิกคิด แล้วไปหาข้าวกินได้แล้ว กูหิว” พูดจบ ซันก็เดินนำหน้า ปล่อยให้คนคิดมากแถมยังพูดไม่ยอมหยุดอย่างนิวต้องพล่ามสารพัดคำออกมาและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป

                “กลับมาช่วยกูคิดก่อนดิวะ”

               

                ขณะเดียวกัน...

                ฮ่องเต้กำลังขับรถออกจากคณะไปด้วยความหงุดหงิดใจ ปนความง่วงเพราะเมื่อคืนดันคิดมากจนนอนไม่หลับ พาลให้เท้าเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นอย่างคนขาดสติและจังหวะที่เขาสับเกียร์ขับขึ้นเนินสูง เตรียมขับอ้อมวงเวียนกลางถนนตรงที่อยู่ไม่ไกลนักนั้นเอง มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งดันขับปาดหน้าเขาเข้าให้จนเขาต้องขับเบี่ยงไปอีกทางแทนการเหยียบเบรกเพราะไม่อยากให้รถไหลลื่นลงไปชนรถข้างหลังเข้า แต่เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลิกเรียน จึงทำให้รถพลุกพล่านเยอะเป็นพิเศษ จึงไม่ได้มีแค่รถของเขาคันเดียวที่ได้รับผลกระทบ เพราะยังมีมอเตอร์ไซค์อีกคันที่ไถลไปกับถนน ท่ามกลางสายตาของนักศึกษาจำนวนมาก ทั้งจากบนรถและข้างถนน

                ฮ่องเต้รีบจอดรถลงมาช่วยดูอาการของนักศึกษาคนนั้นที่ล้มลงไปนอนกับพื้น ขณะที่มอเตอร์ไซค์คันที่ขับปาดหน้าเขา ฉวยโอกาส ตีเนียนขับรถหนีไปแล้วเรียบร้อย ทิ้งไว้เพียงแค่สายตาคับแค้นใจของฮ่องเต้ แต่ก็เพียงชั่วครู่ เพราะคนที่เขาห่วงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก

                ฮ่องเต้พยุงนักศึกษาชายคนนั้นให้ผงกตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะช่วยถอดหมวกกันน็อคออกเพราะแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของคนบาดเจ็บ ทว่าพอได้เห็นโฉมหน้าของนักศึกษาชายปริศนาตรงหน้า มือที่จับหมวกกันน็อคกลับชะงักนิ่ง ดวงตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าคุ้นตาด้วยความรู้สึกกระอักกระอวน

                ทำไมต้องเป็นไอ้โรคจิตปีหนึ่งด้วยวะ

            เพราะอาการของคนตรงหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้ฮ่องเต้พยายามลืมความรู้สึกอันน่าอึดอัดออกไปและพยายามสนใจรอยแผลตามตัวของนักศึกษาปีหนึ่งตรงหน้าแทน

                “ลุกไหวไหม”

                “ขอลองดูก่อนนะครับ” พูดจบเจ้าตัวก็ค่อยพยุงตัวลุกขึ้นมา หากแต่เพราะแรงกระแทกทำให้เขาต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด แล้วทรุดลงไปนั่งกับพื้นเพราะร่างกายที่หนักอึ้งไปหมด และนั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องช่วยพยุงโฟโต้ขึ้นมาอย่างช้าๆ โชคดีที่นักศึกษาบริเวณนั้นมีน้ำใจเข้ามาช่วยเหลือ จึงทำให้การพยุงร่างของเด็กปีหนึ่งอย่างโฟโต้ไปที่รถของฮ่องเต้เป็นเรื่องง่ายขึ้น

                เสร็จสรรพ ฮ่องเต้จึงเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นถนนและขอแรงนักศึกษาแถวนั้นช่วยยกขึ้นมา ก่อนจะเข็นเอาไปจอดไว้ตรงลานจอดรถนิเทศศาสตร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด 

                “ขอบคุณมากนะครับ เดี๋ยวผมพาน้องไปส่งโรงพยาบาลเอง”  ฮ่องเต้เอ่ยขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มและเดินกลับมาที่รถของตนพร้อมกับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์กับกระเป๋าของโฟโต้ในมือ

                “ทนหน่อยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้ว่าพลางสตาร์ทรถและขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที โดยไม่ทันได้สังเกตสายตาอบอุ่นของโฟโต้ที่เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตา

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า แต่ก็เพียงชั่ววูบเท่านั้น เพราะความเจ็บที่แล่นปราดขึ้นมาจนโฟโต้ต้องนิ่วหน้า

               

               

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 หลังจากทำแผล ฮ่องเต้ก็พยุงโฟโต้ออกมาจากโรงพยาบาลและพามาขึ้นรถ กะเอาไว้ว่าจะขับไปส่งที่หอพัก

                “ไหวไหมมึง” ฮ่องเต้ถามขณะที่โฟโต้ขยับตัวเข้าไปนั่งข้างในรถ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมายิ้มแบบอ่อนโยน

                “ไหวสิครับ พี่เต้อยู่ตรงนี้ทั้งคน”

                ทว่ามันกลับเป็นคำพูดที่ทำให้ฮ่องเต้เริ่มใจเต้นแปลกๆ ขึ้นมา เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตามองคนรุ่นน้องตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ทำทีเป็นเขยิบตัวเข้าไปใกล้และช่วยดึงเข็มขัดนิรภัยไปคาดให้เพราะแขนขวาของโฟโต้ที่ต้องเข้าเฝือกเอาไว้ และเพราะใบหน้าที่เฉียดเข้าใกล้ แม้จะเป็นเพียงแค่ด้านข้าง มันก็เรียกรอยยิ้มให้กับเด็กปีหนึ่งอย่างโฟโต้ได้ สายตาวาววับมองสำรวจใบหน้าของรุ่นพี่ปีสี่ทันทีที่สบโอกาส ทั้งเส้นผม ใบหู ดวงตาและแก้มเนียนใสของฮ่องเต้ ทุกอย่างล้วนแต่ชวนให้เขาใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ยิ่งกับกลิ่นกายอ่อนๆ ของคนตรงหน้าด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึก...ดี

                มันดี...จนกระทั่งเขาถึงกับเผลอไผลขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ แต่ก่อนที่จมูกของเขาจะทันได้จรดกับแก้มของคนตรงหน้าอย่างต้องการฉวยโอกาส ความรู้สึกอันแปลกประหลาดจากการถูกจับจ้อง ทำให้ฮ่องเต้หันใบหน้ากลับมามอง...

                จนปลายจมูกแตะกันด้วยความบังเอิญ...

                แต่เป็นความบังเอิญที่สร้างความพอใจให้กับรุ่นน้องอย่างโฟโต้ รอยยิ้มบางๆ จึงถูกระบายออกมาบนใบหน้า ดวงตาวาววับสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างจงใจ กระทั่งฮ่องเต้รับรู้ถึงความรู้สึกของรุ่นน้องที่ส่งมาให้เขาและเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไป

                ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบปิดประตูและสาวเท้าไปขึ้นรถฝั่งคนขับ ขณะที่โฟโต้ได้แต่มองตามคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ทำเป็นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เขาก็พอจะมองออกว่ารุ่นพี่ปีสี่คนนี้ของเขากำลังใจเต้นแรงไม่แพ้กัน และมันทำให้เสือร้ายยิ้มกระหยิ่มอย่างลำพองใจ

                “ขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยผม” โฟโต้ชวนคุยทำลายความเงียบเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะอึดอัดน่าดูกับการที่ต้องอยู่กับเขาสองต่อสองบนรถเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงต้องทำทุกทางให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายเข้าไว้เพราะนั่นจะทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจคุยกับเขาได้ง่ายขึ้น

                และมันอาจจะง่ายชนิดที่พี่ฮ่องเต้ไม่ทันรู้ตัว

            “อืม ไม่เป็นไร” และดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่รู้ตัวจริงๆ นั่นแหละ “วันหลังก็ขับรถระวังบ้าง มึงก็รู้ว่าทางในมอมันต่างระดับ โดยเฉพาะตรงวงเวียนยิ่งอันตราย ต่อให้มึงไม่ไปชนเขา เขาก็มาชนมึงอยู่ดี”

                ฮ่องเต้สั่งสอนรุ่นน้องไปตามความเคยชินเพราะความเป็นพี่ที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่บ้านก็ต้องดูแลสีฝุ่น พอเข้าโรงเรียน เข้ามหา’ลัยได้ก็ต้องมาดูแลรุ่นน้องต่อและนั่นทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเผลอเคยชินไปกับโฟโต้อีกคน

                คนข้างๆ เขาจึงสบโอกาสตีหน้าสลดอย่างคนสำนึกผิดและพูดจาอ้อมแอ้มออกมา

                “ผมเข้าใจครับ ว่าควรระวัง แต่ตอนนั้น ผมเอาแต่คิดมากก็เลยเผลอลืมตัวไปว่ากำลังขับรถอยู่”

                เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูเครียดๆ  ฮ่องเต้จึงต้องเหลือบตามามอง และเมื่อเห็นใบหน้าสลดของรุ่นน้องก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

                “คนอย่างมึงมีเรื่องให้คิดมากด้วยหรือไง” แม้รุ่นพี่อย่างฮ่องเต้จะพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร หากแต่รุ่นน้องอย่างโฟโต้กลับสวนกลับเขาทันควัน

                “มีสิครับ!” ก่อนจะหดตัวลง เมื่อฮ่องเต้เผลอหันมามองด้วยความตกใจ “เรื่องเดียวที่ผมคิดก็คือเรื่องของพี่นั่นแหละ”

                ฮ่องเต้เกือบเผลอเหยียบเบรกเพราะแอบสะดุ้งกับคำพูดของโฟโต้ ก่อนที่ใจของเขาจะระส่ำระส่ายขึ้นมา ขณะที่ปากก็ถามออกไปอย่างหวั่นๆ ว่า

                “คิดมากเรื่องกูทำไมวะ”

                “ก็พี่ไม่ยอมตอบไลน์ผม” คำตอบที่สวนกลับมาทำเอาฮ่องเต้สตัน กระพริบตาสองสามทีและชักสีหน้าหงุดหงิดใส่อย่างที่เคยทำเพราะคิดว่าโฟโต้จงใจกวนประสาตเขา

                “พี่โกรธผมใช่ไหมครับ” โฟโต้ว่าเสียงอ่อย ก่อนจะใช้โอกาสระหว่างที่รถติดไฟแดง หันไปสบตากับเจ้าของรถและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ผมกำลังง้อพี่อยู่นะ”

                เพราะฮ่องเต้ดันหันมา จึงสบเข้ากับสายตาอ้อนๆ ของรุ่นน้องข้างกายเข้าพอดี ใจจึงเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ ฮ่องเต้จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ ล่าถอยและถอนสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว

                ใจเย็น ไอ้เต้ น้องมันไม่ได้คิดอะไร มันแค่หยอกเล่นตามประสาเด็ก

            พยายามคิดปลอบใจของตัวเองที่ไม่รักดี ไปรู้สึกอะไรกับรุ่นน้องปีหนึ่ง

                แต่ไอ้เด็กนี่มันโรคจิตนะเว้ย ใครจะไปรู้ทันว่ามันคิดอะไรอยู่     

            อีกเสียงในหัวที่ทำเอาความคิดแรกสะดุด จนฮ่องเต้ต้องส่ายหน้าไล่ความคิดพวกนั้นออกจากหัวและตั้งสติกับสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด

                เลิกคิด...

            นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่เขาสั่งหัวใจของตัวเอง ก่อนจะเหยียบคันเร่ง หลังจากสายตาสบเข้ากับสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มของโฟโต้ที่กำลังพออกพอใจกับท่าทางกระสับกระส่ายของอีกฝ่าย ก่อนจะตีหน้าซื่อพูดกับพี่รหัสปีสี่ของตนต่อ

                “ผมขอโทษนะครับ ที่เข้าใกล้พี่เมื่อวาน ผมรู้ว่ามันทำให้พี่ไม่พอใจและโกรธผม”

                ฮ่องเต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เด็กโรคจิตปีหนึ่งในสายตาเขา มันไปรู้จุดอ่อนของเขามาหรือเปล่า ถึงได้เอาแต่พูดพล่ามเรื่องนี้ไม่หยุด รู้แต่ว่ามันทำให้คนขี้ใจอ่อนแบบเขารู้สึกไม่สบายใจและก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เขาจำเป็นต้องอธิบาย

                “กูไม่ได้โกรธ...” ฮ่องเต้เริ่มเปิดปากพูดเพราะเขาเองก็ไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคาใจ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่เขาทำให้ใครต้องมารู้สึกไม่ดีด้วยแล้ว มันยิ่งแย่ต่อความรู้สึกของเขาเอง

                “...เมื่อวาน กูแค่ตกใจที่มึงเข้าใกล้ก็เท่านั้น”

                “เพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองใช่ไหมครับ” ในที่สุด โฟโต้ก็โพล่งความลับออกมา นั่นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับชะงัก ใบหน้าตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่อาจจะปิดบังเอาไว้ได้ สองมือกระชับพวงมาลัยแน่นขึ้น ขณะหักเลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่ง โดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา

                จนกระทั่ง ฮ่องเต้ขับรถมาจอดตรงหน้าหอพักของโฟโต้ที่เขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง...

                “มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ฮ่องเต้เปิดประเด็นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือทำเอาโฟโต้ต้องหันไปมองอย่างช่างใจ ก่อนจะจงใจพูดอ้อมแอ้มออกมาอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกไปตามที่ตนต้องการ

                “เพราะว่าผมเข้าใกล้พี่เมื่อวาน หลังจากพี่กลับไป เพื่อนพี่ก็เข้ามาคุยกับผม...”

                ฮ่องเต้ได้แต่เงียบเพื่อรอฟังคำอธิบายของโฟโต้ โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าคนข้างๆ

                “...เขาเล่าเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองให้ผมฟัง รวมทั้งบอกด้วยว่าพี่เต้คือพี่รหัสปีสี่ของผม...”

                ใจของฮ่องเต้กระตุกวูบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พร้อมทั้งหายใจถี่ขึ้นแบบไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง เมื่อได้ยินประโยคถัดมาจากโฟโต้

                “...ก่อนที่พี่เขาจะสั่งให้ผมเลิกยุ่งกับพี่เต้”

                ฮ่องเต้หลับตาลงอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์คุกกรุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจและมันทำให้คนข้างกายอดยิ้มกริ่มขึ้นมาในใจอย่างเสียไม่ได้

                ขอโทษนะครับ พี่ซัน ผมว่าพี่พลาดมากที่พูดความจริงกับผมเมื่อวาน

            “ผมเลยอดคิดมากไม่ได้ว่าผมทำให้พี่เต้ไม่สบายใจ พี่รู้ไหมว่าผมดีใจที่ได้เจอรุ่นพี่ในคณะแบบพี่เต้เพราะพี่ทั้งน่ารัก ใจดีและอบอุ่น แถมนิสัยเหมือนกับพี่ชายแท้ๆ ของผม” ท้ายประโยคโฟโต้แสร้งหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เจอกับฮ่องเต้

                และมันทำให้คนข้างกายอดหันมามองอย่างเสียไม่ได้...

                มองใบหน้าของคนที่เอาแต่ยิ้ม ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเริ่มสลดกับประโยคถัดมา

                “แต่พอมารู้ว่าผมไปกวนใจพี่ จนเพื่อนพี่ต้องออกมาเตือน ผม...ผมก็รู้สึกไม่ดี ทั้งที่ผมแค่อยากให้พี่คุยกับผม ยิ้มให้ผมเหมือนกับที่พี่ทำกับรุ่นน้องคนอื่น ผมเลยต้องตามง้อ แต่พี่คงโกรธจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผม”

                ยิ่งได้ฟัง มันยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกแย่...

                “มึงฟังนะ...” ฮ่องเต้พยายามกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอมานานลงไปและค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ “...กูไม่ได้โกรธและไม่เคยโกรธ ต่อให้มึงจะทำอะไรยังไง พูดจาอะไรใส่ กูก็ไม่เคยคิดหรือแม้แต่รู้สึกโกรธมึงจริงๆ”

                แต่มันเป็นเพราะความทรงจำอันเลวร้ายต่างหาก ที่ทำให้ผมต้องพยายามถอยห่างเพื่อป้องกันหัวใจตัวเอง

            “ถ้ามึงคิดว่ากูเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของมึง มึงก็น่าจะรู้ดีว่ากูเป็นคนยังไง” ฮ่องเต้กัดฟันพูด ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความอึดอัดจนเขาแทบจะคลั่งตายอยู่ตรงนี้

                แต่เพราะโฟโต้ก็คือโฟโต้...เด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความทรงจำที่ผ่านมาของเขา เขาก็ไม่ควรจะทำร้ายความรู้สึกของเด็กคนนี้

            ....

            อย่างน้อย มันก็ยังอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง ดังนั้น เขาไม่ควรจะวิตกกังวลจนเกินเหตุเหมือนที่ผ่านมาอีก

            “กูขอโทษมึงก็แล้วกัน ที่ทำให้มึงต้องคิดมากเพราะการกระทำของกู...” ฮ่องเต้หมายถึงการพยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่โฟโต้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอดีตของเขา “...ส่วนเรื่องที่เพื่อนกูพูด มึงก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะบางทีมันก็แค่อาจจะหลอกมึงเล่น”

                เพราะคิดว่าคนที่โฟโต้พูดถึงคือนิว ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะความปากมากและอยากจะแกล้งเขาของเพื่อน จึงไปตั้งท่า ขู่น้องรหัสปีหนึ่งของเขา แต่ยังไงเขาก็คงต้องไปจัดการคนปากมากเสียหน่อย ที่ดันเอาเรื่องสายรหัสกินกันเองไปพูดให้โฟโต้ฟัง

                “พี่ไม่โกรธผมจริงๆ นะครับ” โฟโต้แสร้งหันไปถามเพื่อความแน่ใจ

                “เออ จะให้กูต้องพูดย้ำกี่ครั้งวะ สมองปลาทองหรือไงมึงน่ะ”

                เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เริ่มกลับมาพูดคุยกับเขาเป็นปกติ รอยยิ้มสดใสก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง

                “ขอบคุณนะครับ พี่เต้ ถ้าอย่างนั้น ผมขึ้นห้องก่อนนะครับ”

                “เดี๋ยวกูช่วย” พูดจบ ฮ่องเต้ก็เปิดประตูลงจากรถทันทีและเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งให้โฟโต้

                ฮ่องเต้ช่วยพยุงโฟโต้ลงมาจากรถพร้อมกับสะพายกระเป๋าเอาไว้อีกข้าง จนกระทั่งไปถึงตรงหน้าหอพัก ซึ่งมีร่างสูงของใครบางคนยืนรออยู่

                เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนของตัวเอง เปรมก็เดินดิ่งเข้ามาหาโฟโต้ช่วยรับร่างของโฟโต้เอาไว้ทันที

                “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ช่วยผม” โฟโต้ไม่ลืมที่จะหว่านเสน่ห์ทางสายตาให้กับฮ่องเต้เป็นการทิ้งท้าย จนฮ่องเต้ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา

                “เออ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก ไหนๆ มึงก็รู้แล้วว่ากูเป็นพี่รหัสปีสี่ของมึง กูกลับละ”

                “ครับ ขับรถกลับดีๆ นะครับ ถ้าถึงหอแล้วบอกผมด้วยนะ ผมเป็นห่วง”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบอะไร ก็หมุนตัวเดินออกไปจากหอพักทันที นั่นก็เพราะว่าคำพูดทิ้งท้ายของรุ่นน้องที่ทำเอารุ่นพี่อย่างเขาเผลอคิดไปถึงไหนต่อไหน

                คิดมากอะไรของมึงวะ

            ฮ่องเต้บอกกับตัวเองเท่านั้น ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกไป ท่ามกลางสายตาของโฟโต้กับเปรมที่ลอบมองจนกระทั่งรถของฮ่องเต้เคลื่อนตัวออกไปจากประตูรั้วหอพัก

                เท่านั้น โฟโต้ก็ถอนหายใจและทิ้งร่างที่เกร็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้พยุงลงมาจากรถ เพื่อผ่อนคลายร่างกายทันที  พร้อมกับรอยยิ้มมาดร้ายตามแบบฉบับโฟโต้ที่เผยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง ก่อนที่เขาจะมุ่นคิ้ว เมื่อสายตาหันไปสบเข้าไปเปรมที่กำลังมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                “มองหน้ากูแบบนั้น หมายความว่าไงวะ”

                “กูก็แค่อยากรู้ว่าหน้าอย่างมึงไปทำอีท่าไหน พี่เต้ถึงได้เชื่อสนิทใจว่ามึงโดนรถชนจริงๆ”

                “ก็ท่าล้มกลางถนนไง ทำอย่างกับมึงไม่เห็นไปได้ ทั้งที่มึงเป็นคนขับปาดหน้าพี่เขามาชนกูเองแท้ๆ” โฟโต้ว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ยังมีหน้ามากวนประสาทอีกนะ แล้วนี่มันถึงขั้นต้องใส่เฝือกเลยเหรอวะ ไหนบอกมึงนักล้มมืออาชีพไง”

                “ตอนแรกกูก็จะไม่ใส่หรอก แต่พอดีว่ากูมีแผน เลยขอพี่หมอเขาแถมให้” โฟโต้หมายถึงเพื่อนพี่ชายที่เขาเองก็คุ้นเคยดีอย่าง หมอมีน และไอ้ที่คุ้นเคยดีก็เพราะหมอมีนคนนี้นี่แหละเป็นผู้หญิงที่พี่ชายของเขาแอบชอบ แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายมาเป็นกาวใจให้กราฟิกกับแบมบูได้ยังไง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

                “เพื่อนอย่างมึงนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ว่ะ” เปรมเหน็บแหนมเข้าให้ทีหนึ่ง

                แต่โฟโต้กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดของเพื่อนแค่นี้ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันขึ้นลิฟต์และแยกย้ายกันกลับห้อง

               



Salisa : อ่านจบแล้ว เข้าไปคุยกันต่อได้ใน https://twitter.com/LackcomedB นะจ๊ะ ไปคุยกันได้ ไรท์ไม่กัด ไรท์แค่เหงา ช่วงนี้มีกิจกรรมให้เล่นกันด้วย อย่าลืมเข้าไปนะเอออ ช้าหมด อดได้ของรางวัลนะจ๊ะ คิคิ

                           :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 16 เดินหมากตัวแรก

                ฮ่องเต้ : กูถึงหอแล้ว

            นั่นคือข้อความแรกที่ฮ่องเต้ตัดสินใจส่งไป หลังจากที่เขาขับรถกลับมาถึงหอพักของตนเอง ก่อนที่เขาจะทันได้เลื่อนอ่านข้อความเก่าๆ ของโฟโต้ที่เขาไม่เคยคิดที่จะเปิดอ่าน

                หลังจากได้คุยกันแบบเปิดใจเมื่อวาน เขาก็ได้เรียนรู้บางอย่าง ทำให้เขาตัดสินใจปลดผ้าม่านผืนแรกซึ่งกั้นระหว่างเขากับเด็กปีหนึ่งคนนั้นเอาไว้ และนั่นก็อาจจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสายรหัสปีหนึ่งขยับเข้ามาใกล้กันอีกขั้นหนึ่ง

                อย่างน้อย...ก็แค่พี่น้อง

            เมื่อคิดแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าโฟโต้

                โฟโต้ : หาอะไรทาน แล้วก็รีบอาบน้ำ เข้านอนนะครับ สีหน้าพี่วันนี้ดูไม่ดีเลย ผมเป็นห่วง

            นั่นคือข้อความที่โฟโต้ตอบกลับมา หลังจากที่ได้อ่านข้อความของเขา

                มันก็แค่ห่วงในฐานะพี่น้อง

            ฮ่องเต้ย้ำกับตัวเองเช่นนั้น เพื่อเกลี้ยกล่อมให้หัวใจไม่ตกหลุมพรางไปตามเกมของอาถรรพ์สายรหัส ก่อนจะส่งข้อความกลับไป

            ฮ่องเต้ : วันพฤหัสนี้ ไปเรียนยังไง

                โฟโต้ : ให้เพื่อนไปส่งครับ

            ฮ่องเต้ : รถยนต์? มอเตอร์ไซค์?

            โฟโต้ : มอเตอร์ไซค์ครับ

            นั่นเป็นประโยคสุดท้าย ที่โฟโต้ตอบกลับเขามาและเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก

                และเพราะวันนี้เป็นวันพุธ ซึ่งไม่มีการเรียนการสอน เขาจึงขับรถกลับเข้ามาในมหา’ลัยแต่เช้าพร้อมกับช่างซ่อมรถ เพื่อมาเช็คสภาพมอเตอร์ไซค์ของโฟโต้ที่เขาลากมาจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถคณะนิเทศศาสตร์

                “ลำบากหน่อยนะ เครื่องมันเก่าแล้ว ถ้าจะให้ดีก็เก็บเงินซื้อใหม่ดีกว่าน้อง ใช้ไปก็อันตราย ถนนหนทางในมอยิ่งแล้ว เครื่องดับตอนขับขึ้นเนินนี่ ไม่รอดแน่ๆ”

                คำตอบที่ได้รับทำให้ฮ่องเต้ถึงกับนิ่วหน้า คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ขณะที่สายตาก็มองสำรวจมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ตรงหน้า ที่สภาพพอใช้งานถูๆ ไถๆ ได้เท่านั้น

                “ซ่อมได้หรือเปล่าครับ”

                ช่างหันมามองหน้าเครียดทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น “ไอ้ซ่อมมันก็ซ่อมได้ แต่จะให้ใช้การได้ตลอดคงไม่ไหวหรอก”

                “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น รบกวนพี่ซ่อมให้ด้วยนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปเอาที่ร้าน”

                “เออๆ เดี๋ยวพี่จะให้คนที่ร้านมายกไปก็แล้วกันนะ”

                หลังจากตกลงกันเสร็จ ฮ่องเต้ก็รอกระทั่งมีคนมายกรถไปพร้อมกับทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ช่าง ระหว่างนั้นเอง ที่จู่ๆ ก็มีสายเรียกเข้าจากคนแปลกหน้า ฮ่องเต้จึงชะงักเท้าที่กำลังจะเดินกลับไปที่รถและหันมารับโทรศัพท์แทน   

                “ฮัลโหลครับ”

                [พี่เต้ ผมนัทเองนะครับ...]

                “นัท...” ฮ่องเต้ทวนชื่อและนึกถึงหน้าน้องเทคปีหนึ่งของตัวเอง “...อ๋อ ไอ้นัท ว่าไง”

                [...พี่เต้ยังจำที่พี่ให้ผมคอยรายงานพี่เรื่องคนที่ชื่ออ้นได้ไหมครับ]

                ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยินชื่อของใครคนนั้น “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

                [ผมเห็นเขาเอาของมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ที่หอ เหมือนจะเอามาให้พี่สีฝุ่นนะครับ ผมเลยจะโทรมาถามว่าพี่เต้จะทำยังไงต่อ]

                หลังจากได้ฟังที่นัทพูด เขาก็นิ่งไปสักพักอย่างคนใช้ความคิดก่อนจะให้คำตอบ “มึงช่วยไปเอาของที่เคาน์เตอร์มาก่อนได้ไหมวะ แล้วสั่งคนที่หอเอาไว้ว่าไม่ต้องบอกให้สีฝุ่นมันรู้ เดี๋ยวกูจะเข้าไปหาที่หอ”

                [ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้]

                ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็กดวางสายและเดินดิ่งไปที่รถ จัดการขับออกไปจากมหา’ลัยทันที

               

                ขณะเดียวกัน...

                “คันเท้ามากหรือไง เดินไปเดินมาอยู่นั่น” เปรมเอ่ยทักพร้อมกับจ้องคนที่เอาแต่ทำหน้าเครียดเหมือนเงินในกระเป๋าหายไปสามล้านก็ไม่ปาน เพราะหลังจากที่โฟโต้มาเคาะห้องตั้งแต่เขายังไม่ตื่น จนเขาอาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ ไอ้ร่างสูงตระหง่านที่เข้ามาบุกห้องแต่เช้าก็ยังคงเอาแต่เดินวนไปทั่วห้อง

                โฟโต้จึงหยุดเดินและหันใบหน้าหงุดหงิดของตัวเองกลับมามองหน้าเพื่อน “กูเครียด!”

                สองคำที่พ่นออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เปรมกระจ่างแจ้งในอาการร้อนรนของเพื่อนตนเลยแม้แต่น้อย

                ตอบแบบนี้ มันไม่ต้องตอบผมเลยเสียยังจะดีกว่า

            “ไอ้ที่มึงเป็นอยู่นี่ กูไม่รู้เลยมั้งว่ามึงเครียด!” เปรมเหน็บแนมจนคนฟังหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ “กูต้องการคำอธิบาย ขยายความน่ะ มึงรู้จักไหม”

                “เออ! ก็พี่ฮ่องเต้ดิวะ จนข้ามวันแล้ว ยังไม่ส่งข้อความอะไรตอบกลับกูมาเลย”

                “เมื่อวาน พี่เขาก็ส่งข้อความมาหามึงแล้วไม่ใช่หรือไงวะ”

                โฟโต้ทำท่าจะทึ้งหัวตัวเองอย่างโมโห “เออ!! ส่ง! ส่งมาถามแค่ว่ากูไปเรียนยังไง เอารถอะไรไป พอกูบอกว่ามอเตอร์ไซค์ เขาก็เงียบเลยเว้ย แผนกูก็พังหมดดิวะ แบบนี้”

                เปรมนิ่งไปสักพักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วมึงบอกพี่เขาว่ามึงจะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเนี่ยนะ”

                “เปล่า กูบอกว่าเพื่อนไปส่ง”

                และเปรมก็ถึงบางอ้อทันที “สมควรแล้วที่พี่เขาไม่ตอบ มีเพื่อนไปส่งแล้วพี่เขาจะต้องห่วงอะไรอีกวะ ปิดเกมตัวเองแล้วยังจะมาหัวร้อนอีก”

                “มึง แต่แขนกูเข้าเฝือกอยู่นะเว้ย ไปมอเตอร์ไซค์มันจะไปสะดวกอะไรวะ”

                “มึงเข้าเฝือกที่แขน ไม่ใช่ขา เขาจะต้องมาห่วงความสะดวกอะไรกับมึงล่ะวะ บทมึงจะง่าวก็ง่าวเนอะ”

                โฟโต้ทำหน้าครุ่นคิดตามสิ่งที่เปรมพูด “หรือกูต้องจะแกล้งตกบันไดแล้วให้พี่หมอเข้าเฝือกที่ขาให้ดีวะ”

                “โอ้ย บ่างัว!” แต่นั่นกลับทำให้เปรมถึงกับทนไม่ได้ สบถภาษาถิ่นออกมาดังลั่น “มึงไม่กระโดดตึกลงไปให้เลยล่ะโว้ย จะได้ให้หมอมีนเข้าเฝือกพันร่างมึงให้กลายเป็นมัมมี่ไปเลย คราวนี้ พี่ฮ่องเต้จะได้สงสาร ตามดูแลมึงยี่สิบสี่ชั่วโมงไง”   

                “กูก็แค่พูดเล่นไหมล่ะ มึงก็จริงจังไปไหมวะ” โฟโต้ส่ายหน้าน้อยๆ กับคำพูดของเพื่อน เพราะลำพังแค่ต้องใส่เฝือกที่แขนไปเรียน แสดงละครกับคนรอบข้างทุกวันก็ลำบากจะแย่

                แต่จะว่าไป นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมยอมมาทำอะไรแบบนี้ เพื่อคนๆ เดียว รู้ไว้เถอะครับ ว่าพี่สำคัญสำหรับผมมากแค่ไหน

            “แล้วมึงจะเอาไงต่อวะ เรียกคะแนนความน่าสงสารไปเรื่อยๆ กูว่าไม่น่าจะได้ผลกับคนแบบพี่ฮ่องเต้นะเว้ย” เปรมร้องเตือนเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “ไอ้เปรมครับ ขืนกูใช้แค่ความน่าสงสารเนี่ย กูก็เหนื่อยฟรีดิวะ” และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของโฟโต้ “แผนนี้มันก็แค่ใช้เข้าหาพี่เขาในฐานะรุ่นน้องเท่านั้นแหละ กูก็แค่รอให้เขาตายใจอีกสักหน่อย แล้วค่อยจัดการทีเดียว”

                “อย่าชะล่าใจไปก็แล้วกัน เท่าที่กูสังเกตดู กำแพงที่กั้นระหว่างมึงกับพี่เขาก็สูงใช่ย่อยนะเว้ย”

                “กำแพงสูงแล้วไงวะ ประตูก็มี” โฟโต้โพล่งออกไปโดยไม่ต้องคิดทบทวนใดๆ

                เพราะเขาไม่มีทางปีนกำแพงให้เสียเวลาหรอก สู้ตะล่อมให้เหยื่อยอมเปิดประตูให้เขาเองยังจะเท่ห์กว่า

                “ปากดีไปเหอะ มึงน่ะ ถ้าเขาไม่ยอมมาเปิดประตูให้ อย่ามานั่งเป็นหมาหงอยก็แล้วกันเฝ้าหน้าบ้านเขาก็แล้วกัน”

                แต่โฟโต้กลับยักไหล่ใส่อย่างไม่ใส่ใจ “มึงคอยดูเหอะ ยังไงพี่ฮ่องเต้ก็ต้องเป็นของกู”

                “เรื่องมั่นหน้าไม่เคยเกินมึงหรอก”

                “กูไม่ได้มั่นแค่หน้า อย่างอื่นกูก็มั่นนะเว้ย” โฟโต้พูดจาสองแง่สองง่ามพลางเหลือบตามองลงไปที่กางเกงของตัวเอง จนเปรมต้องเบะปากใส่

                “กูไม่แปลกใจเลยที่พี่ฮ่องเต้ด่าว่ามึงเป็นโรคจิต”

                “เดี๋ยวก่อนๆ ไอ้เปรม เรื่องนั้นมันความผิดมึงนะเว้ย ส่งคลิปมาไม่ดูเวล่ำเวลา” โฟโต้อดเอ็ดใส่ถึงเรื่องคลิปอย่างว่าที่เปรมส่งมาให้เขาวันรับน้องคณะวันแรกไม่ได้ เพราะแบบนั้น เขาถึงได้ถูกฮ่องเต้มองว่าเขาเป็นโรคจิต

                “ทำอย่างกับมึงไม่ชอบ” เปรมหมายถึงคลิปหญิงอกตูม หุ่นน่าฟัดที่เขาส่งไปให้คราวนั้น

                “เออ ไอ้ชอบมันก็ชอบ...” ก่อนที่โฟโต้จะนิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ พลันรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง “...แต่สงสัยกูต้องไปหาแบบใหม่ดูหน่อยแล้วว่ะ”

                “แบบใหม่อะไรของมึงวะ” เปรมขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “ก็แบบฝึกหัดใหม่ เอาไว้ใช้สอนการบ้านพี่ฮ่องเต้ไงวะ” และเจ้าตัวก็หัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจกับแผนการชั่วร้ายในหัว “ฝึกแม่งทั้งทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนเลยเป็นไง พี่ฮ่องเต้จะได้ติดใจ หลงกูจนหนีไปไหนไม่รอด”

                “กูว่ามึงมากกว่าที่จะหลงพี่เขาจนไปไหนไม่รอด” คำพูดของเปรมทำเอาเสียงหัวเราะของโฟโต้เบรกลงทันที “ระวังเหอะ กูเห็นมาเยอะละ ไอ้พวกอวดดีแบบมึงเนี่ย กลัวเมียหัวหดกันทั้งนั้น”

                โฟโต้ตวัดสายตาหันไปมองทางเปรมอย่างเคืองๆ “ไม่ใช่กับกูก็แล้วกัน”

                “จะไปหาแบบฝึกหัดทำที่ไหนก็ไปเลยไป มึงน่ะ” เปรมเริ่มออกปากไล่แบบเอือมๆ กับท่าทางมั่นใจจนออกนอกหน้าของเพื่อน แต่ไม่วายร้องเตือนในตอนท้าย “แค่ฟังกับอ่านก็พอนะเว้ย อย่าไปฝึกพูด ฝึกเขียนกับผู้ชายที่ไหนล่ะ”

                “เออน่า กูก็ศึกษาภาคทฤษฎีเอาไว้ ส่วนภาคปฏิบัติ กูเก็บไว้ทดลองกับพี่ฮ่องเต้คนเดียวเว้ย” แล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอย่างเสือได้ใจอีกครั้ง

                “อย่าเพิ่งหวังภาคปฏิบัติเลยมึงน่ะ เกิดพี่ฮ่องเต้เขาไม่ยอมใจอ่อน ทฤษฎีที่ศึกษาเอาไว้มันจะสูญเปล่านะครับเพื่อน” เปรมยังอดหันกลับมาแขวะใส่เพื่อนรักมั่นหน้าของเขาไม่ได้ด้วยความหมั่นไส้

                “คนอย่างกูไม่รู้จักคำว่าพลาดเว้ย อีกอย่าง คนอย่างพี่ฮ่องเต้เดาได้ไม่ยากหรอก แค่กูแหย่นิดเดียวก็คิดเตลิดไปไกลแล้ว”

                “เออ พ่อคนเก่ง พลาดมาเมื่อไหร่ อย่าหวังว่ากูจะปลอบใจมึงเลย”

                “ทำไม มึงจะทำอะไร”

                “กูก็จะกระทืบมึงซ้ำ แถมเอาดินกลบหน้ามึงด้วยไง”

                “เออ โหดเข้าไป นับวันยิ่งเหมือนพ่อเข้าไปทุกทีนะมึงน่ะ” โฟโต้หมายถึงเจ้าของค่ายมวยสุดโหด ที่แม้แต่เพื่อนรักของลูกชายอย่างเขาและกาฟิวด์แทบจะไม่อยากเจอหน้า เพราะเจอทีไรเป็นอันต้องตัวเกร็งจนแทบจะลืมหายใจหายคอไปตามๆ กัน

                “เลิกพุดถึงพ่อกูสักทีเหอะ นี่ถ้ากูไม่หนีมาเรียนที่เชียงใหม่นะ ป่านนี้ กูโดนจับปั้นเป็นนักมวยแล้ว” เปรมว่าสีหน้าเหยเก อดนึกถึงสภาพตัวเองตอนที่ถูกบังคับให้ไปซ้อมมวยไม่ได้

                “มึงก็ไม่ตามใจพ่อมึงหน่อยวะ ไหนๆ บ้านมึงก็มีค่ายมวยแล้ว” โฟโต้หยอกเล่นขำๆ เพราะเขารู้ดีว่าเพื่อนเขาคนนี้เกลียดการชกมวยขนาดไหน

                “มึงก็รู้ว่ากูชอบว่ายน้ำมากกว่า” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เปรมทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับคำพูดของพ่อที่เขาได้ยินจนชินหูว่า

                “ฉันสร้างค่ายให้แกชกมวย ไม่ได้ให้มาเป็นนักว่ายน้ำ”

            แม้ว่าเปรมจะลงแข่งจนชนะการแข่งขันว่ายน้ำและได้รางวัลมามากมายก่ายกอง แต่พ่อของเขาก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่ต้องการให้เขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ

                Rrrrrrrrrr

                เสียงมือถือที่ดังขึ้น ดึงความสนใจของเพื่อนรักทั้งสอง

                “เดี๋ยวกูไปเอาให้” โฟโต้ร้องบอกเพราะเขาอยู่ใกล้เตียงที่สุด ก่อนจะเดินไปคว้ามือถือที่ชาร์ตแบตทิ้งไว้บนหัวเตียงขึ้นมา ทว่าพอเห็นสายเรียกเขาที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกลับทำให้ใบหน้าของคนขี้เล่นถึงกลับหน้าตึงขึ้นมา

                “น้องซิน...” โฟโต้พึมพำชื่อของใครคนนั้นออกมาและมันทำให้เปรมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือถึงกับเบิกตาโพลง

                “เชี้ยยยย” ก่อนที่เจ้าตัวจะปรี่เข้าไปคว้ามือถือมาจากมือของเพื่อนด้วยความร้อนรนและกดรับ พร้อมกับเดินออกไปคุยกับปลายสายที่นอกระเบียง ท่ามกลางสายตาของโฟโต้ที่มองมาอย่างต้องการคำตอบ

                กระทั่งเปรมเดินกลับเข้ามาในห้อง หลังจากคุยกับปลายสายเสร็จสรรพ...

                โฟโต้ก็ยังคงมองคนที่เดินเอื่อยๆ เข้ามาด้วยสายตากดดัน แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอกเอาไว้ ขณะที่เปรมพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แม้ว่าในใจของเขาตอนนี้จะเต้นไม่เป็นระส่ำระส่ายจนทำตัวไม่ถูก ที่จู่ๆ ความลับของเขาก็ดันมาแตกต่อหน้าโฟโต้

                “ทำไมมึงยังติดต่อกับน้องซินอยู่วะ” โฟโต้ถามออกไปเสียงเครียดเพราะเขาเตือนนักเตือนหนาว่าให้เลิกยุ่งกับน้องสาวของซันได้แล้ว เพราะมันมีแต่จะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อน

                “น้องเขาให้กูช่วยติวให้ มึงก็รู้ว่าตอนนี้ซินอยู่มอหกแล้ว”

                “แล้วทำไมมึงไม่ปฏิเสธวะ” โพล่งออกไปแบบนั้นและเงียบไปอึดใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือเป็นมึงที่เป็นคนอยากติวให้เขา”

                เปรมอึกอักมองหน้าโฟโต้ด้วยความรู้สึกกระอักกระอวนเพราะเรื่องบางอย่างที่เขาไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้

                “ก็กู...”

                “ไอ้เปรม จนป่านนี้มึงยังคิดจะปิดอะไรกูอีกวะ”

                เปรมเหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยและได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดใจ “กูเลิกยุ่งกับซินไม่ได้...”

                “สรุปว่ามึงชอบซินจริงๆ ใช่ไหม”

                โฟโต้ถามในสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอดออกไปเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่ที่เปรมกับซินรู้จักกัน จนกระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไปเข้าหูของพี่ชายอย่างซันเข้า ตั้งแต่นั้นมา ทุกอย่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดมาโดยตลอดและเขาก็ไม่อยากให้เพื่อนของเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นไปตลอดด้วย

                “กูไม่ได้ชอบซิน ระหว่างกูกับเขา เราเป็นแค่พี่น้องกันมาตั้งแต่แรก”

                “แล้วทำไมวะ” หากแต่คำตอบที่ได้รับ ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ 

                ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามอธิบายต่อว่า “...กูมีเหตุผลของกูนะเว้ย แต่กูแค่บอกมึงไม่ได้ แล้วที่สำคัญ ครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซิน”

                โฟโต้นิ่งไปอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้ามองเปรมที่พยายามพูดขอร้อง

                “กูสัญญาว่าจะจบเรื่องนี้ให้ได้ แต่กูขอเถอะ มึงอย่าเพิ่งมาซักอะไรกูตอนนี้เลย กู...ให้คำตอบอะไรมึงได้ทั้งนั้น”

                เพราะแววตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและสีหน้าที่บ่งบอกว่าคนพูดจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ทำให้โฟโต้ได้แต่ถอนหายใจใส่ยาวเหยียด

                “กูไม่เข้าใจว่ะ แล้วกูก็จะไม่พยายามเข้าใจด้วย ตราบใดที่มึงยังไม่อยากจะให้กูเข้าใจ” เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แค่มึงอย่าลืมว่ามึงยังมีกูที่เป็นเพื่อนมึงก็พอ”

                โฟโต้ไม่รู้หรอกว่าเปรมกำลังคิดที่จะทำอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อนของเขา

                “ว่าแต่ วันนี้ไอ้ฟิวด์มันไปไหนของมันวะ ปกติเห็นมาขลุกอยู่ห้องมึงตลอด” โฟโต้เปลี่ยนเรื่องเพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด

                “ไม่รู้ว่ะ กูทักแชทนไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันยังไม่ตอบกูเลย โทรไปก็ไม่รับ สงสัยคณะมันมีนัดทำกิจกรรมมั้ง”

                “เหรอวะ” โฟโต้ยังไม่ค่อยอยากจะปักใจเชื่อเสียเท่าไหร่ เพราะกาฟิวด์ไม่เคยห่างหายไปจากแชท แถมยังติดเปรมอย่างกับอะไรดี ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องมาขลุกอยู่ด้วยกันตลอด

                แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อติดต่อเจ้าตัวไม่ได้แบบนี้ พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้

                “แล้วนี่มึงจะลงไปกินข้าวกับกูไหม” เปรมหันมาถามเพราะตอนนี้ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว

                “ไม่ว่ะ ขืนกูออกไปกับมึง เดี๋ยวความแตกกันพอดี กูขี้เกียจใส่เฝือก”

                “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”

                “ไม่เห็นได้ไงละวะ เพื่อนพี่เต้ก็อยู่หอเดียวกับกูเนี่ย” โฟโต้หมายถึงนิว ที่อาจจะโผล่หน้ามาเจอเขาเมื่อไหร่ก็ได้

                “เออ ถ้างั้นกูซื้อมากินข้างบนเป็นเพื่อนมึงก็ได้” เปรมส่ายหน้าแบบเอือมระอากับแผนการบ้าๆ ที่ทำตัวเองเดือดร้อนของเพื่อน ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่ยิ้มแก้มปริทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “มึงนี่สุดยอดเพื่อนรักกูเลยว่ะ”

                “ไม่ต้องพูดมาก จะแดกอะไรก็บอกมา”

                เปรมทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะรับคำสั่งจากโฟโต้เรื่องของกินและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับความหิว

                ระหว่างนั้นเอง โฟโต้ก็เดินไปเปิดทีวีและมานั่งห้อยขาอยู่ตรงปลายเตียง ในมือก็ถือรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาสักพัก กระทั่งเจอรายการท่องเที่ยว ซึ่งโปรดของตัวเอง ทว่าจังหวะที่เขากำลังดูทีวีเพลินๆ อยู่นั้น มือถือของเขาก็ดังเรียกความสนใจจนเขาต้องรีบหันกลับไปมองเพราะคิดว่าอาจจะเป็นพี่ฮ่องเต้

                ทว่า...นอกจากเขาจะผิดหวังแล้ว ดูเหมือนว่าจะเจองานเข้าเต็มๆ เสียด้วย

                โฟโต้นิ่วหน้าใส่หน้าจอมือถืออย่างรับรู้ชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาใหม่ช้าๆ อย่างพยายามทำใจ สุดท้าย ก็ทำได้แค่กดรับสายและเอามือถือแนบกับหูตัวเอง

                “ว่าไงพี่กราฟ เห่อๆ” เขากรอกเสียงลงไปพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ ใส่ จนปลายสายอดเข้าให้ไม่ได้

                 [เห่อๆ...] กราฟิกทำเสียงล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนโทนเสียง ดุใส่จนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเหวอ [...มึงไม่ต้องมาห่งมาเห่อใส่กูเลยนะเว้ย สารภาพมาซะดีๆ ว่ามึงเอารถไอ้มนตรีไปทำอะไร]

                ชิบหายแล้วกู...

            โฟโต้ได้แต่เอามือลูบหน้าตัวเองและยิ้มเจื่อนให้กับปลายสาย “ผม...แค่ยืม แบบ...อยากลองใช้มอเตอร์ไซค์ในมอมั่งอ่ะ”

                [มึงไม่ต้องมาแถ หมอมีนเขาเล่าให้กูฟังหมดแล้วนะเว้ย เรื่องที่มึงไปขอให้เขาช่วยทำแผลให้เมื่อวาน ดูเหมือนว่ากูกับมึงต้องมาคุยกันหน่อยแล้วว่ะ ไอ้น้องชาย]

                ท้ายประโยคเล่นเอาโฟโต้เสียวสันหลังวาบ เพราะไม่บ่อยนักที่กราฟิกจะเรียกเขาเช่นนั้นและก็มักจะเรียกแค่เฉพาะตอนที่เขาไปก่อเรื่องใหญ่เอาไว้ ดังเช่นครั้งนี้

                “ช่วงนี้ผมไม่ว่างเลยอ่ะ ไหนจะเรียน ไหนจะกิจกรรม ไหนจะ...”

                [ไหนๆ มึงก็เรียนหนัก กิจกรรมเยอะแล้วเนอะ...] กราฟิกว่าเสียงหวาน ก่อนจะตะคอกใส่ในประโยคถัดมา [เดี๋ยวกูนี่แหละ จะไปหามึงถึงที่เอง! ห้ามหนี ห้ามพูดปด ไม่งั้นเรื่องนี้ถึงหูพ่อกับแม่แน่ เข้าใจไหม!”

                คำสั่งของกราฟิกเป็นเหมือนคำสั่งประหารเขาชัดๆ  แบบนี้น้องชายตัวดีอย่างเขาจะหนีไปไหนรอดได้อีก

                “เข้าใจครับ” โฟโต้ตอบกลับไปเสียงอ่อย ก่อนจะดึงมือถือออกมาจ้องดูหน้าจอประหนึ่งว่าเป็นหน้าโหดๆ ของพี่ชายตน

                “เชี้ยยยยยยยยยยยย” และเป็นอันต้องร้องลั่นพร้อมกับหงายท้องลงไปนอนดิ้นกับเตียงพลั่กๆ เหมือนเด็กเพราะดูเหมือนว่าอะไรหลายๆ อย่างจะไม่เป็นใจให้แผนการของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทำเอาเสือร้ายที่อวดตนนักอวดตนหนึงกับเสียหน้าและแทบจะทึ้งหัวตัวเองจนเส้นผมจะหลุดติดมืออยู่รอมร่อ

                ก่อนที่เสือแห้วตัวนั้นกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับตีหน้ายุ่ง “จับปล้ำแม่งเลยเว้ยยยย!!”

                ดูเหมือนนั่นจะเป็นแผนการเดียวที่เขาคิดออก ในเวลาที่ฉุนขาดและไร้สติเช่นนี้...

 

                ขณะที่ฮ่องเต้ขับรถไปถึงหอพักของสีฝุ่นแล้วเรียบร้อย...

                เขาสะพายกระเป๋าและขึ้นไปหานัทที่ห้องทันทีที่มาถึง ด้วยความร้อนรนจนเกินที่จะยับยั้งอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง

                “พี่เต้...” นัทพึมพำชื่อคนตรงหน้าออกมา หลังจากที่เขาเปิดประตูตามเสียงเคาะห้อง “...เข้ามาก่อนครับ”           

                ฮ่องเต้เดินเข้าไปข้างในตามคำบอก ก่อนที่นัทจะล็อกประตูห้องและตามเข้ามาข้างใน ตรงดิ่งไปยังโต๊ะอ่านหนังสือและคว้ากล่องของขวัญบนโต๊ะ ส่งให้กับฮ่องเต้

                “นี่ครับ ของที่คนชื่ออ้นฝากเอาไว้”

                “ไอ้สีฝุ่นมันยังไม่รู้ใช่ไหม” ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นกังวลเพราะเขาไม่อยากให้สีฝุ่นข้องเกี่ยวใดๆ กับอ้นอีก

                “ยังครับ แล้วผมก็กำชับป้าหอเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับพี่สีฝุ่น”

                ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะ ที่บอกกู แล้วก็ไปเอาของมาให้”

                “ไม่เป็นไรครับ” นัทยังคงส่งยิ้มละมุนกลับไปให้เหมือนเช่นทุกครั้ง “แล้วพี่จะไม่เปิดดูหน่อยเหรอครับ”

                คำถามของนัท ทำเอาฮ่องเต้ต้องก้มลงมองกล่องในมือเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรุ่นน้องตรงหน้า “ไม่ว่ะ ไว้กูจะเอาไปจัดการทีหลัง”

                เพราะเขาไม่อยากให้คนนอกอย่างนัทมารับรู้อะไรไปมากกว่านี้ จึงคิดที่จะจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง ซึ่งนัทก็ไม่ได้ว่าอะไร

                “ยังไงก็ขอบใจมึงอีกทีนะ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาแทนกู” ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ ไปให้ ขณะที่ยัดกล่องใบนั้นใส่ในกระเป๋าเป้

                “ผมยินดีช่วยครับ ยิ่งถ้าเป็นพี่ฮ่องเต้ ผมเต็มใจ”

                ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดของนัท แต่เมื่อเงยหน้ามามองแล้วพบว่าสีหน้าของรุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้มีอะไรแปลกไป จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก

                “ถ้ามึงมีอะไรที่กูพอจะช่วยได้ ก็บอกนะ ถึงเป็นการตอบแทนที่มึงช่วยกู”

                แม้ว่าคนพูดจะพูดออกไปโดยไม่คิดอะไรเพราะเขาเป็นพวกที่ว่าถ้าใครดีกับเขา เขาก็จะดีตอบอยู่แล้ว หากคำพูดนั้นกลับไปเข้าทางอีกฝ่ายเข้าเสียได้

                “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมขอรบกวนติดรถพี่เต้ไปเรียนด้วยหรือเปล่าครับ พอดีรถผมดันมาเสียพอดี”

                ฮ่องเต้มุ่นคิ้วหันกลับไปมองแบบงงๆ “มึงไม่ได้ไปส่งไอ้โฟโต้เหรอ เห็นมันบอกว่าจะไปกับเพื่อนเพราะแขนเข้าเฝือก ขับรถไปเรียนเองไม่ได้”

                อันที่จริง ฮ่องเต้ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก หากนัทจะขอติดรถไปด้วย แต่ไอ้ที่ทำให้เขาข้องใจเพราะคิดว่าเพื่อนที่โฟพูดถึงจะเป็นนัทเสียอีก เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ

                นัทเองก็ถึงกับชะงักไปกับคำพูดของรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาหลังจากสมองพยายามประมวลผลจนเสร็จสรรพ

                “เพราะแบบนั้นไงครับ ผมถึงต้องขอติดรถพี่เต้ไปด้วย” ก่อนที่นัทจะอธิบายเสริมว่า “ตอนแรก ผมก็กะจะไปรับโฟโต้ แต่รถผมดันมาเสียพอดี ไอ้ผมก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกครับ แต่กับโฟโต้ ผมไม่อยากให้เดินไปเรียนเอง ก็เลยกะจะขอใครสักคนไปส่ง พอดีมาเจอพี่เต้ก่อน ก็เลย...กะจะขอติดรถพี่เต้ไป”

                ท้ายประโยค นัทพยายามทำท่าทางเกรงใจเพื่อให้ฮ่องเต้เชื่อ ขณะที่ฮ่องเต้ก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเข้าใจในเหตุผลของรุ่นน้องตรงหน้า

                “ได้ เดี๋ยวยังไงคืนนี้กูไลน์หา นัดเวลาอีกทีก็แล้วกัน”

                “ขอบคุณมากนะครับ” และนัทก็ส่งยิ้มให้

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะกลับออกไปจากหอพัก ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองส่งจากประตูห้องจนลับสายตา

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 ตอนที่ 17 กระชับมิตร

                “ไม่ทำ ยังไงกูก็ไม่ทำ!” เปรมโวยวายเสียงดังลั่นห้องแต่เช้า หลังจากผู้บุกรุกอย่างโฟโต้พยายามบังคับขู่เข็ญให้เขาทำตามแผนบ้าๆ  แต่พอเห็นปฏิเสธเพื่อเป็นพัลวันเช่นนี้ จากที่จะบังคับในทีแรกก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขอร้องอ้อนวอนด้วยความเห็นใจเพราะเขาอุตส่าห์ลงทุนเล่นละคร อดทนใส่เฝือก ทั้งที่มันทั้งร้อนทั้งคันจนแทบบ้าเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากพี่ฮ่องเต้ขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้ทุกอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า

                ยิ่งได้รู้ว่านัทเองก็วางแผนเข้าใกล้พี่ฮ่องเต้ของเขา โดยการทำทีเป็นบอกว่ารถเสียและติดรถพี่ฮ่องเต้ไปเรียน เขาจึงต้องจำใจปฏิเสธที่จะไม่ไปกับฮ่องเต้เช้านี้ เพื่อที่จะใช้แผนการอื่นแทนและหนึ่งในแผนนั้นก็จำเป็นต้องมีหมากตัวสำคัญอย่างเปรม

                “โหย ไอ้เปรม กูขอร้องล่ะมึง” 

                “มึงไม่ต้องมารงมาร้องกับกูเลยนะเว้ย หลีกทางไป กูจะไปเรียน!” เปรมพยายามหาทางหลบเลี่ยงให้ถึงที่สุด ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ยอมแพ้เดินเข้าไปกางแขนขวางทาง เบี่ยงตัวซ้ายที ขวาทีเพื่อกันบุคคลสำคัญในแผนการของตนหนีไป

                “มึงอย่าทิ้งกูไว้แบบนี้ดิวะ มึงเองก็เคยบอกว่าถ้ากูช้า หมาก็คาบไปแดก”

                “เออ กูบอก แต่กูไม่ได้บอกสักคำว่าจะช่วยมึง”

                “แต่มึงเป็นเพื่อนกูนะเว้ย เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนดิวะ”

                เปรมหยุดยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกระชับกระเป๋าเป้ที่พาดบ่า จ้องหน้าพร้อมกับตะโกนลั่นว่า “งั้นกูเลิกคบมึง!”

                “ไอ้...”

                “ตั้งแต่วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้”

                “ไอ้เปรม...”

                “โอเคนะ กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้ว ดังนั้น กูก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ช่วยมึง”  พูดติดกันยาวเป็นพรืดและเบี่ยงตัวหลบ หมายจะเดินหนีออกจากห้อง หากแต่ก็ไม่ทันอีกมือหนึ่งที่คว้าหมับเข้าที่ข้อแขนและออกแรงจับแน่นจนเจ้าตัวต้องหันขวับกลับมามองด้วยความหงุดหงิด

                “ปล่อย!”

                “กูไม่ปล่อย จนกว่ามึงจะช่วยกู” โฟโต้ว่าอีกครั้งพร้อมกับจ้องหน้าฝ่ายตรงข้าม จนเปรมต้องหยุดนิ่ง ถอนหายใจใส่แรงๆ ไปที

                “ไอ้โฟโต้ มึงฟังกูนะเว้ย ถ้าเป็นเรื่องอื่นกูก็ยินดีจะช่วย แต่กูบอกแล้วไงวะ ว่าถ้าเป็นเรื่องพี่ซัน กูไม่ยุ่ง”

                “ก็แค่นิดเดียวเองหรือเปล่าวะ ถือว่าช่วยเพื่อนอย่างกูสักครั้งเหอะน่า” โฟโต้พยายามมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาอ้อนวอนอีกครั้ง ขณะที่เปรมได้แต่มองหน้าโฟโต้นิ่ง ก้มลงมองที่มือและเลื่อนสายตาขึ้นมามองที่หน้าอีกครั้ง

                “ไม่เว้ย!!” พูดจบ เจ้าตัวก็กระชากมือตัวเองออกมาและเดินหนีไปด้วยความหงุดหงิดใจ พาลให้คนข้างหลังอย่างโฟโต้ต้องโมโหตาม

                “ไอ้เปรม! ไอ้เปรม!!” โฟโต้ร้องเรียกชื่อเพื่อนด้วยความร้อนรน หากแต่อีกคนกลับเดินฉับๆ ไปที่ประตูอย่างไม่สนใจใยดี กระทั่งมือของเปรมจับเข้าที่ลูกบิดประตู เพียงเท่านั้น โฟโต้ก็เป็นอันต้องตะโกนลั่นด้วยความร้อนใจ

                “ถ้ามึงไม่ยอมช่วย กูไปบอกพี่ซันว่ามึงชอบพี่เขา!!”

                คำพูดของโฟโต้หยุดเปรมได้อย่างชะงัด ดวงตาสองข้างถึงกลับเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่มือก็ปล่อยออกจากลูกบิดพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

                ก่อนที่เปรมจะค่อยหันหน้ากลับมามองโฟโต้และเอ่ยปากถาม “มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

                “มึงไม่ต้องรู้หรอกว่ากูไปรู้เรื่องของมึงมาได้ยังไง รู้ไว้อย่างเดียว...” โฟโต้เว้นจังหวะพลางเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเปรมและเอ่ยปากพูดออกมาว่า “...ถ้ามึงไม่ยอมทำตามที่กูบอก เรื่องนี้ถึงหูพี่ซันแน่”

                “มึงคิดว่าคนอย่างมึงจะขู่กูได้เหรอวะ” เปรมว่าเสียงเครียด

                “ได้ ไม่ได้ มึงก็ถามใจตัวเองดูเถอะ ว่ามึงอยากจะให้ทุกอย่างมันเป็นความลับหรืออยากจะให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูใครบ้าง”

                เพียงเท่านั้น เปรมก็กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด จ้องหน้าโฟโต้อย่างคนหัวเสีย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามจ้องหน้าคนหัวร้อนอย่างท้าทาย

                “คบกันมาตั้งหลายปี มึงคงรู้นะว่าลึกๆ แล้วกูเป็นคนยังไง” โฟโต้ยังคงเกทับไม่เลิก

                “...”

                “มึงเองก็อุตส่าห์เก็บความลับ อดทนกับพี่เขามาได้ห้าปี มึงคงไม่คิดจะเอาความลับของมึงมาแลกกับการที่ไม่ช่วยกูทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ หรอกนะ”

                โฟโต้สังเกตว่าเปรมเริ่มหายใจแรงขึ้น แม้รู้ดีว่าจะทำให้เพื่อนของเขาโกรธ แต่เขาก็ยอมแลก เนื่องจากเปรมถือเป็นหมากตัวสำคัญในการเดินเกมจีบพี่ฮ่องเต้เพราะเปรมเป็นคนเดียวที่เขาคิดว่าสามารถจัดการซันได้อย่างอยู่หมัด

                คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ลงทุนตามสืบเรื่องของไอ้เปรม

            โฟโต้ยิ้มกระหยิ่มอย่างได้ใจเพราะการลงทุนในครั้งนั้นของเขา ดูเหมือนจะได้กำไรมากกว่าที่คิด

                อันที่จริง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของเพื่อนเลย แต่เพราะคำพูดของซันในวันนั้น ทำให้เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างและในเมื่อตัวต้นเหตุที่ทำให้ซันไม่ชอบหน้าเขาคือเปรม ดังนั้น เขาจึงจำต้องทำให้ทั้งสองคนปรองดองกันให้ได้ ซึ่งเขาก็เริ่มจากการสืบเรื่องความบาดหมางระหว่างเปรมกับซันให้กระจ่างชัด โดยการแอบไปหาน้องซินเพราะคิดเอาไว้ว่าซินน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องทั้งหมด

                และมันก็จริงอย่างที่เขาสันนิษฐานเอาไว้ ใช้วิธีการหลอกล่อนิดๆ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จถึงความทุกข์ทรมานของเปรม หลังจากที่มีเรื่องกับซันต่ออีกหน่อยและตบท้ายด้วยการทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดี อยากช่วยให้เปรมมีหายเครียดเรื่องซัน เท่านั้น น้องสาวที่แสนดีอย่างซินก็ยอมปริปากเล่าความจริงทุกอย่างให้เขาฟัง

                แน่นอน ว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้เขามีเรื่องมาขู่เปรมได้และคาดว่าจะจบเรื่องนี้ด้วยการส่งไอ้เปรมไปเป็นเครื่องบรรณาธิการให้กับซัน เพื่อจะได้กำจัด ไม่สิ ต้องเรียกว่าให้ซันยอมเปิดทางให้เขาเข้าหาพี่ฮ่องเต้จะเหมาะกว่า  ขอแค่เปรมคว้าหัวใจซันมาให้ได้ ก็เป็นอันจบเกมระหว่างเขากับซันได้แบบไม่มีใครเสียเปรียบใคร 

                “แค่ไปล่อพี่ซันให้ออกห่างจากพี่นิวใช่ไหม” เสียงของเปรมเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริกเพราะเจ้าตัวพยายามเก็บกดอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในใจและนั่นทำให้คนที่เหนือกว่าอย่างโฟโต้เผยรอยยิ้มร้ายออกมา

                “ใช่ มึงจะใช้วิธีไหน ก็ตามแต่ใจมึงเลย แค่แยกสองคนนั้นให้ห่างกันก็พอ”

                “เพื่ออะไรวะ” เปรมยังคงสงสัยไม่หายกับเรื่องนี้

                “เออน่า เอาไว้ถ้าแผนกูสำเร็จ กูจะมาเล่าให้ฟัง” ว่าเสร็จก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เวร กูไม่มีเวลาแล้ว มึงรีบออกไปเลย ได้เวลาพวกพี่เขาไปเรียนแล้ว”

                “มึงรู้ได้ไงว่าสองคนนั้นออกไปเรียนเวลานี้” เปรมยังคงตีหน้าเครียดใส่ จนโฟโต้เริ่มหัวร้อนขึ้นมาบ้าง

                “เออน่า กูจะรู้ได้ยังไงก็ช่างกูเหอะ มึงรีบไปได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเว้ย!” พูดจบ จอมวางแผนก็หมุนตัวและดุนหลังเพื่อนให้ออกเดิน พร้อมกับเปิดประตูให้เสร็จสรรพ

                “แล้วมึงไม่ไปกับกูล่ะวะ” เปรมหันกลับมาถามแบบงงๆ

                “ลงไป แผนก็แตกกันพอดีดิวะ” โฟโต้เอ็ดตะโรใส่เพื่อนอย่างคนเริ่มหัวเสีย “มึงลงๆ ไปเหอะน่า เดี๋ยวกูตามไป”

                “เออๆ แต่ถ้าพี่ซันจับได้ อย่ามาโทษกูก็แล้วกัน”

                คำพูดของเปรมทำเอาโฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าไปดังฟืด ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งตบเข้าที่บ่าเพื่อนดังปั้กๆ

                “ได้ กูไม่โทษมึงแน่” ก่อนที่รอยยิ้มร้ายจะผุดขึ้นมาบนใบหน้า “แต่ถ้าความลับมึงรั่วไหลหลังจากนั้น มึงก็อย่ามาโทษกูเหมือนกัน”

                “ไอ้ชะ...” เปรมชะงักปากเอาไว้แค่นั้นเพราะโฟโต้ทะลึ่งตาใส่อย่างคนมีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ เปรมจึงได้แต่กระชับกระเป๋าแน่นและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากห้องทันที โดยมีสายตาของโฟโต้มองตามอย่างพออกพอใจ

                เสร็จไปหนึ่ง เดินแผนสองได้

            คิดเช่นนั้นและหันหน้าไปอีกฝั่งซึ่งเป็นห้องพักของนิวกับซัน เขายืนเฝ้าสังเกตการณ์จากห้องของเปรมอยู่เช่นนั้น รอกระทั่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น จึงผลุบตัวเข้าไปข้างในห้องและใช้หูแนบไปกับประตูเพื่อแอบฟังเสียงความเป็นไปข้างนอกห้อง

                อีกฟากฝั่ง ซันกับนิวกำลังทำสงครามกันแต่เช้าเหมือนดังเช่นทุกวัน โดยหารู้ไม่ว่ากำลังมีเสือร้ายซุ่มอยู่

                “ไอ้ซัน มึงจะทิ้งกูเอาไว้แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย” เสียงนิวตะโกนออกมาจากห้อง เสียงนั้น ดังพอที่จะให้โฟโต้ได้ยินเพราะห้องของซันอยู่ไม่ไกลจากห้องของเปรมมากนัก

                “ใครใช้ให้มึงตื่นสายล่ะวะ ก็รู้อยู่ว่ากูออกห้องเวลาไหน” ซันหันไปว่าอย่างคนไม่คิดอะไรและทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง นั่นทำให้นิวต้องถลาเข้ามาห้าม สองมือดึงแขนเพื่อนเอาไว้จนซันเซถอยหลังตามเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

                “มึงงงง อยู่รอกูเดี๋ยวดิวะ แปปเดียวกูก็เสร็จแล้ว”

                ซันกรอกตาใส่ มองคนที่เพิ่งจะโพล่งคำว่า แปปเดียว ออกมาหมาดๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

                “สภาพชุดนอน เพิ่งตื่นแบบนี้เนี่ย แปปเดียว”

                และนิวก็ได้แต่ก้มลงมองสภาพตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนจะเงยหน้าไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับคนตรงหน้า “เออ กูขอสิบห้านาที รับรองเลยนะเว้ย สิบห้านาทีแบบเป๊ะๆ”

                “ไม่ให้เว้ย!”

                “ไอ้ซันนนนน ถ้ามึงทิ้งกู กูจะไปเรียนยังไงล่ะวะ”

                “ไอ้นิว มอเตอร์ไซค์มึงก็มีไหม หัดใช้บ้างดิวะ” ซันว่าอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย “ล็อคห้องด้วยนะเว้ย เจอกันที่คณะ”

                “อ่าวเฮ้ยๆ ไอ้ซันๆ!!” นิวตะโกนเรียกเสียงดังลั่น หากแค่ซันกลับทำเพียงแค่โบกมือทิ้งท้ายใส่ จนคนตื่นสายพาลหงุดหงิดระคนน้อยใจตาม

                “ไปเองก็ได้วะ” แล้วก็ได้แต่ทำหน้าหงอยเหงา ปิดประตูและเดินกลับเข้าไปในห้อง

                ติ้ง!

                เสียงแจ้งเตือนข้อความทำเอาขาที่กำลังจะพาร่างไปที่ห้องน้ำต้องชะงักและหันใบหน้าหงุดหงิดไปทางหัวเตียง

                “ใครส่งอะไรมาแต่เช้าอีกเนี่ยยยย” ร้องโวยวายเพียงลำพัง แต่ก็เดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดู

                ซัน : อีกสิบห้านาที กูออกรถ

            เท่านั้น ใบหน้าแสนหงุดหงิดก็แทบจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแก้มปริทันที

                “ไอ้ซันก็คือไอ้ซันอยู่วันยังค่ำแหละน่า” พึมพำกับตัวเองก่อนจะทำหน้าตื่นตระหนกอย่างนึกขึ้นมาได้ “รีบดิวะ ไอ้นิว! เดี๋ยวมันก็ทิ้งจริงๆ หรอก”

                และเจ้าตัวก็ทึ้งหัวตัวเองไปที ก่อนจะปรี่เข้าห้องน้ำไปด้วยความไวแสงเพราะเกรงว่าคนที่ล่วงหน้าลงไปข้างล่างก่อนแล้ว จะเปลี่ยนใจปล่อยให้เขาขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียนเองจริงๆ

               

                ขณะเดียวกัน เปรมแอบซุ่มอยู่ที่ข้างบันไดหน้าหอพัก เพื่อรอใครบางคนโผล่หน้ามา...

                “เหี้ยเอ๊ย ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ” เขายังคงหงุดหงิดใจไม่หายกับแผนการของโฟโต้ ที่เขาต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยอย่างไม่มีทางเลือก

                “แม่งเอ้ย!!” เปรมว่าพลางเตะเข้าที่ก้อนหินตรงหน้าอย่างหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้ พอจะแหกปากออกไป ก็เกรงจะเสียงดังจนไปเข้าหูคนที่เขารออยู่ แล้วพาลให้เสียแผนหมด

                จนกระทั่ง สายตาของเขาจะหันไปเห็นร่างสูงของใครบางคนหยุดยืนอยู่ที่บันได โชคดีที่ใครคนนั้นมัวแต่ก้มหน้าก้มตากดมือถือในมือยิกๆ จนไม่ทันได้สังเกตเขาที่แอบซุ่มรออยู่ โดยอาศัยพุ่มไม้แถวนั้นกำบังตัวและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินลงมา เขาก็รีบคว้ามือถือขึ้นมาด้วยความร้อนรนและแสร้งทำเป็นกำลังคุยสายกับใครสักคนอยู่ทันที

                “ว่าไงครับ น้องซิน...” เปรมจงใจเสียงดังในตอนท้าย หวังให้คนที่ยืนอยู่ตรงบันไดได้ยิน ซึ่งมันก็ได้ผลชะงัดเพราะซันถึงกับชักสีหน้าหงุดหงิดมองตามคนที่เดินตัดหน้าเขาไปอย่างไม่ให้คลาดสายตา

                เปรมทำทีมองไม่เห็นซันและหยุดยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าหอพักต่อ “ได้ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับนะ”

                ซันจ้องมองการกระทำนั้นด้วยความไม่พอใจ หากแต่พยายามจะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้เพราะอยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรต่อไป

                “เรื่องเรียนมันเรื่องเล็ก เรื่องของซินสำคัญกว่า ให้พี่ไปหาซินที่บ้านนะครับ” เปรมแกล้งพูดจาหว่านล้อมใส่มือถือของตน ก่อนจะกดวางสายและรีบเดินนำไปที่ลานจอดรถทันทีเพราะเขามั่นใจว่าคนข้างหลังจะต้องตามมาอย่างแน่นอน

                หวงน้องขนาดนั้น คงไม่ยอมปล่อยให้ซินมาเจอเขาแน่

            มันเป็นความคิดที่ถูกต้องทั้งหมดเพราะความหวงน้องออกนอกหน้า เสียจนซันเองก็หลงลืมไปว่าเขากำลังรอใครอยู่ ลืมแม้กระทั่งว่าคาบแรกของวันสำคัญกับเขามากแค่ไหน

                และนั่นทำให้เขาเดินตามเปรมไปอย่างขาดสติ โดยหารู้ไม่ว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นเพียงแค่แผนการลวงเหยื่อออกจากถ้ำก็เท่านั้น 

                เปรม : พี่ซันตามกูมาแล้ว ที่เหลือมึงจัดการเองก็แล้วกัน

            เปรมส่งข้อความไปหาโฟโต้เสร็จสรรพก็รีบขึ้นรถที่โฟโต้ทิ้งกุญแจเอาไว้ให้และขับออกไปทันที ขณะที่ซันเองก็ขับรถตามเขาไปติดๆ  เช่นกัน

 

                โฟโต้ยืนยิ้มให้กับหน้าจอมือถือ หลังจากได้อ่านข้อความที่เปรมส่งมาให้ ก่อนจะค่อยแง้มประตูห้องและสอดสายตามองไปยังห้องของนิวที่ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เท่านั้น เจ้าตัวก็รีบย่องออกมาจากห้องและรีบลงลิฟต์ไปชั้นล่าง หลังจากนั้น เขาก็ไปยืนดักรอนิวที่ด้านล่างหอพักเพื่อทำตามแผนการลำดับขั้นต่อไป

                ขณะที่เหยื่ออย่างนิว ก็ได้แต่เดินวนอยู่ในห้อง ไปทางซ้ายที ขวาทีจนหัวแทบหมุนเพราะความรีบร้อนกลัวว่าจะเพื่อนทิ้ง

                “หนังสือ รายงาน เอกสาร...” นิวหยุดยืนค้นกระเป๋าเพื่อสำรวจว่าเขาจะไม่ลืมเอาอะไรไปเรียน กระทั่งทุกอย่างครบก็รีบปิดกระเป๋าและหันไปคว้ามือถือที่โยนทิ้งไว้บนเตียง หากแต่ข้อความบางอย่างที่เข้ามาพอดี ทำเอาสองเท้าที่กำลังจะเดินไปต้องชะงัก

                ซัน : วันนี้กูโดดเรียนนะ

            เหมือนมีอะไรหล่นทับร่าง จนใบหน้าที่สดใสหม่นหมองลงทันตาเห็น ไอ้ที่เขาทุ่มเททำไปทั้งหมด ตั้งแต่อาบน้ำ แต่งตัวและเก็บของใส่กระเป๋าด้วยความไวแสงกลับกลายเป็นความสูญเปล่า เหมือนถูกหลอกให้รีบและก็ถูกทิ้งอย่างไม่ใยดี

                “ไอ้ซันนนนนนนนนนนน!” นิวร้องลั่นพลางกำมือถือในมือแน่น “จะมาโดดเรียนเชี่ยอะไรเช้านี้วะ”

                ก่อนที่เจ้าตัวจะต้องเดินกลับไปทีโต๊ะอ่านหนังสือ เปิดลิ้นชักและค้นกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองออกมาอย่างช่วยไม่ได้

                “สุดท้ายก็ต้องไปเองจนได้สิน่า!” บ่นพึมพำและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากห้องไป

 

                กลับมาที่ด้านล่างหอพัก...

                “ทำไมช้าจังวะ” หนุ่มรุ่นน้องว่าพลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเวลาได้ล่วงเข้าไปเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างและรีบเตรียมตัว เมื่อเห็นเหยื่อของตนกำลังเดินเข้ามาใกล้ จึงรอจังหวะ จนสบโอกาสและโผล่พรวดเข้าไปหา

                “อ่าว พี่นิว สวัสดีครับ” เสือร้ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ หลอกให้เหยื่ออย่างนิวคิดว่าตนมาเจอกับรุ่นน้องตรงหน้าเข้าด้วยความบังเอิญ

                “เออๆ สวัสดี...” ก่อนที่นิวจะนิ่วหน้า ส่งสายตาไปมองรุ่นน้องของตนด้วยความสงสัย “...แล้วนี่มึงไม่ได้ไปกับไอ้เต้เหรอวะ เห็นมันบอกจะไปส่งมึงที่คณะนี่”

                ครั้นได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็ถึงกับร้องขึ้นมาในใจเพราะเพิ่งจะมารู้ว่ารุ่นพี่ตรงหน้าเขาก็รู้เรื่องนี้ด้วย แต่นั่นกลับทำให้เขาสบโอกาส ตีหน้าเศร้า หลบสายตาและพูดเสียงอ้อมแอ้มออกมาว่า

                “ผมไม่อยากจะไปขวางทางคนรักกันน่ะครับ”

                และมันก็ทำให้นิวถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก “คนรักกันอะไรของมึงวะ”

                “ก็พี่ฮ่องเต้กับนัทไงครับ พอดีนัทบอกว่ารถเสีย ก็เลยกะจะขอติดรถพี่เต้ไปด้วย...” โฟโต้เว้นจังหวะพลางเหลือบมองหน้านิวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมาช้าๆ “...พี่คงจะยังไม่รู้ว่านัทชอบพี่ฮ่องเต้”

                “หะ ไอ้นัทเนี่ยนะ” นิวอ้าปาก เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง

                “ครับ ผมเลย...ไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                ประโยคสุดท้ายโฟโต้พยายามเค้นเสียงให้ฟังดูเจ็บปวดมากที่สุด จนนิวเองก็ใจหายวาบไปตามๆ กัน

                “แล้ว...มึงจะเศร้าทำไมวะ เรื่องแค่นี้เอง”

                “ก็ผมชอบพี่เต้!” โฟโต้ชะงักไปชั่วครู่ เหมือนเพิ่งจะนึกออกว่าตนพูดอะไรออกไป ก่อนจะรีบลนลานพูดออกไปในตอนท้าย “พี่ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกันนะครับ ผมขอตัวก่อน”

                “เดี๋ยวดิวะ!” นิวรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนรุ่นน้อง ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างต้องการจะพูดให้รู้เรื่อง

                “มึงชอบไอ้เต้จริงๆ ใช่ไหม” นิวหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างต้องการความจริง “กูขอความจริงนะเว้ย กูจริงจัง”

                และนั่นทำให้โฟโต้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

                “ครับ ผมชอบพี่ฮ่องเต้” ก่อนจะหดตัวลงและทำหน้าเศร้า “แต่พี่ฮ่องเต้ชอบนัทไปแล้ว ผมคงไม่มีสิทธิ์หรอกครับ”

                ท้ายประโยคโฟโต้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนกำลังประชดตัวเอง ทำเอาคนที่ยืนมองอย่างนิวต้องถอนหายใจใส่เฮือกใหญ่และจ้องหน้ารุ่นน้องที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา หมดความมั่นใจในตัวเองแบบสุดๆ อย่างพินิจพิจารณา

                บอกแล้วไงครับ ว่าเรื่องนี้ เขาจริงจัง

            “ไอ้ฮ่องเต้ มันไม่ได้ชอบไอ้นัทหรอก” และเขาจำเป็นต้องเอ่ยปากพูดความจริงกับคนตรงหน้า “แล้วมันก็คงจะชอบใครไม่ได้อีกแล้ว”

                “พี่นิว หมายความว่าไงครับ” เสือร้ายในตัวแทบจะโผล่พรวดออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เหมือนนั่นจะเป็นประเด็นสำคัญต่อเกมรุกจีบพี่ฮ่องเต้ของเขา

                นิวมองรุ่นน้องตรงหน้าอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา “คนที่คาดหวังกับความรักมากๆ  ชนิดที่ยอมแลกได้แม้กระทั่งชีวิต แต่พอวันหนึ่ง ได้พบว่าสิ่งที่เขายอมแลกไปมันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า มึงว่าความรู้สึกของคนๆ นั้นจะเป็นยังไงวะ”

                โฟโต้นิ่งไปเพราะในสมองเอาแต่ครุ่นคิด ตีความในสิ่งที่นิวพยายามจะสื่อให้เขาได้รู้และนั่นทำให้นิวต้องพูดต่อว่า

                “ไอ้เต้มันโตเกินกว่าจะมาล้อเล่นเรื่องความรักแล้วนะเว้ย ถ้ามึงคิดจริงจัง มึงต้องทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ แล้วมึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

                เป็นครั้งแรกที่นิวพูดอะไรทำนองนี้ออกมาและที่เขาตัดสินใจพูดแบบนี้ก็เพราะความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนอย่างฮ่องเต้ล้วนๆ  แม้ว่าเขาจะเชียร์ให้ฮ่องเต้ชอบโฟโต้ แต่เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจนักหรอกว่าเพื่อนของเขาจะไม่ผิดหวังเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง แต่อย่างน้อย ขอแค่ใครสักคนที่สามารถทำให้ฮ่องเต้ยอมเปิดใจและเชื่อในความรักอีกครั้ง เขาก็ต้องลองเสี่ยงและในเมื่อโอกาสมันมาถึงที่ มีหรือที่เขาจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปง่ายๆ

                “อยู่ใกล้กันแค่นั้น มันไม่ได้ทำให้ไอ้เต้ชอบไอ้นัทได้หรอก มึงยังมีสิทธิ์ที่จะจีบไอ้เต้อยู่นะเว้ย เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว กูเห็นแล้วใจไม่ดีตาม” นิวหัวเราะออกมาเบาๆ ในตอนท้ายเพื่อช่วยคลายอารมณ์เศร้าให้กับรุ่นน้องขี้ใจน้อยตรงหน้า

                แต่โฟโต้ยังคงทำหน้าเครียดใส่และตัดพ้อต่อว่า “แต่พี่ฮ่องเต้ไม่ยอมผมเข้าใกล้เข้าเสียขนาดนั้น ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบพี่เขาล่ะครับ อีกอย่างเขาก็ยอมให้แต่นัทเข้าหา แบบนี้ ผมไม่เสียคะแนนแย่เหรอครับ”

                นิวมองโฟโต้ที่สีหน้า ท่าทีดูเคร่งเครียดจนเขาเองแทบจะไมเกรนขึ้นตามอีกครั้ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มร้ายออกมา “เรื่องนั้นเดี๋ยวกูจัดการเอง”

                “พี่นิวจะจัดการยังไงเหรอครับ” โฟโต้แสร้งถาม หากแต่เสือร้ายในตัวสั่นระริกอย่างดีใจที่เหยื่ออย่างนิวติดกับเขาเข้าให้จนได้

                “มึงยังไม่ต้องรู้หรอก แต่ต่อจากนี้ไป แค่ตามน้ำไปกับกูก็พอ” นิวยิ้มหน้าระรื่น กลับมาเป็นรุ่นพี่มาดกวนเช่นเดิม จนโฟโต้แอบลอบยิ้มอย่างพออกพอใจ 

                “หมายความว่าพี่ชะช่วยผมใช่ไหมครับ”

                “เออ กูก็ต้องช่วย...” นิวเว้นจังหวะพลางคิดคำว่า สายรหัส ในใจ “...ช่วยรุ่นน้องอย่างมึงอยู่แล้วดิวะ มึงเป็นคนตรงๆ ดี กูชอบ ฮ่าๆๆ”

                และเจ้าตัวก็หัวเราะลั่นอย่างไม่รับรู้ถึงกับดักที่ล้อมตัวเอาไว้ใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะหันไปหารุ่นน้องอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ จนโฟโต้แทบจะปรับสีหน้าไม่ทัน

                “แล้วนี่มึงไปเรียนยังไงวะ” นิวว่าพลางมองแขนที่ยังใส่เฝือกของคนตรงหน้าอยู่ โฟโต้จึงก้มลงมองตามและได้แต่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้

                “คงต้องเดินไปแล้วล่ะครับ”

                “จะแปดโมงอยู่แล้วนะเว้ย ไม่ทันหรอก” นิวร้องโวยวายออกมาหลังจากก้มลงมองนาฬิกา “ไปๆ เดี๋ยวกูไปส่ง”

                “เอ่อ คือ...” โฟโต้ทำท่าจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ หากแต่นิวกลับสวนกลับทันควัน

                “ไปเหอะน่า!” พูดจบ นิวก็รีบลากโฟโต้ออกจากหอและตรงไปดิ่งไปยังลานจอดรถ ก่อนจะพารุ่นน้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ (คันที่เขาจอดทิ้งเอาไว้มานาน) และขับออกไปทันทีเพราะถ้าไม่รีบตอนนี้ มีหวังเขาคงได้ถูกอาจารย์สวดยับตายดับคาห้องเรียนเป็นแน่

                ส่วนโฟโต้...

                เสร็จไปอีกหนึ่ง

            ได้แต่คิดและยิ้มกระหยิ่มในใจที่แผนการกระชับมิตรของตนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส่วนเรื่องของซัน ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเปรมต่อไป



ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านทันแล้วว ขอคอมเม้นหน่อยนึง
เท่าที่อ่านมามันทำให้รู้สึกว่าโฟโต้ไม่จริงใจเลยอะ ดูหวังผลอะไรซักอย่าง คิดว่าถ้าเจ้าเล่ห์วางแผนอย่างงี้ต่อไปซักวันต้องโป้ะแตกแน่ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ฮ่องเต้คงปิดกั้นตัวเองมากขึ้นไปอีกแน่เลย รอซีนดราม่าพี่เต้เลยค้าบ
 :z3: :pig4:

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 18 ความว้าวุ่นของพี่ปีสี่

                ฮ่องเต้เอาหนังสือขึ้นมานั่งอ่านไปพลางๆ ระหว่างรอเรียนในคาบแรกของวัน แต่เขากลับพบว่าตนเองไม่มีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาในหนังสือตรงหน้าเลยสักนิดเพราะเรื่องของใครบางคนที่กำลังกวนใจ จนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น ขณะที่สายตาก็เหลือไปมองนาฬิกาเหนือไวท์บอร์ดหน้าห้องเรียน สลับกับมองมือถือบนโต๊ะที่เขาเป็นคนเอาขึ้นมาวางเพราะหวังจะได้เห็นความเคลื่อนไหวจากใครคนนั้น หลังจากที่เขาส่งข้อความไปถามว่า

                ฮ่องเต้ : ถึงห้องเรียนหรือยัง

            นั่นก็เพราะเขาได้รับข้อความจากเด็กคนหนึ่งเมื่อเช้า...

                โฟโต้ : ผมไม่รบกวนพี่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลาขับรถมารับผม

            ฮ่องเต้ : ไม่รบกวน ไม่เสียเวลาหรอก หอมึงก็อยู่แค่หลังมอเอง

            โฟโต้ : แต่พี่ต้องขับรถไปรับนัทอีกไม่ใช่เหรอครับ พี่ไปกับนัทเถอะครับ เดี๋ยวผมไปกับเพื่อนของผมอีกคนก็ได้

            เขาไม่เข้าใจว่าทำไมโฟโต้ต้องปฏิเสธเขาด้วย ในเมื่อการไปรับมันมาเรียน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจสักนิด แถมยังเรียนคณะเดียวกัน ยังไงมันก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้วด้วย

            และยิ่งไปกว่านั้น เขากลัวว่าโฟโต้จะไม่มีใครไปส่งเหมือนอย่างที่พิมพ์ข้อความมาบอก อีกอย่าง เขานึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อที่โฟโต้พูดถึงคือใคร ปกติก็เห็นตัวติดอยู่แต่กับนัทเสียส่วนใหญ่ เพราะแบบนั้น เขายิ่งกระวนกระวายใจเข้าไปอีก จนกระทั่งตอนนี้ ที่ทุกอย่างยังคงเงียบ...

                ไม่มีแม้แต่หนึ่งข้อความหรือหนึ่งสายเรียกเข้าจากคนที่ทำให้เขาพะว้าพะวงใจอยู่ในตอนนี้และมันกำลังจะทำให้เขาสติแตกเต็มที

                มันจะมาหรือยังวะ

            นั่นเป็นคำถามที่ยังคอยวนเวียนอยู่ในหัวมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน กระทั่งตอนนี้ ที่เวลาล่วงเข้าไปใกล้จะแปดโมง ซึ่งเป็นเวลาเริ่มเรียนวิชาแรก

                ป่านนี้ มันคงจะถึงห้องแล้วล่ะมั้ง

            และนี่ก็เป็นข้อสันนิษฐานสำหรับคำถามที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ ความวิตกกังวลทำให้ฮ่องเต้เผลอสั่นขาโดยไม่รู้ตัว แถมมือของเขายังอยู่ไม่นิ่ง เอาแต่ขยับพลิกหน้ากระดาษไปมาเพื่อหวังจะให้หนังสือตรงหน้าช่วยทำให้เขาลืมเรื่องของใครคนนั้น ทว่าท้ายที่สุด ก็คงต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขาไม่อาจจะหลงลืมเรื่องเด็กคนนั้นได้จริงๆ

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองเข็มนาฬิกาที่กำลังบอกว่าเขาไม่มีเวลาให้กลับออกไปข้างนอกห้องอีกแล้ว เขามองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนอดรนทนไม่ไหว รีบเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าและลุกขึ้น ก้าวขาฉับๆ ออกไปจากห้องอย่างไม่ยอมแม้แต่จะหยุดฟังคำทัดทานจากเพื่อนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย

                “มันจะโดดเรียนเหรอวะ นี่มันวิชาอาจารย์นัยนาเลยนะเว้ย” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับมองไปทางรองเดือนคณะปีของตนที่หายวับออกจากห้องเรียนไปเรียบร้อยแล้ว

                “กูว่าไม่น่าจะใช่หรอก มันคงมีธุระด่วน” เป็นคิงที่หันไปตอบเพื่อนในกลุ่มของตนเช่นนั้น เพราะเท่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะยอมโดดเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะมีอะไรสำคัญให้ทำ

               

                ฮ่องเต้รีบวิ่งลงจากบันไดชั้นห้ามาข้างล่างตึกและวิ่งตรงไปยังลานจอดรถหลังคณะทันที ก่อนที่เขาจะขับรถตัวเองออกไปทางประตูหลังมอและตรงไปทางหอพักในย่านนั้นทันที

                หากแต่เพราะในเวลาเกือบแปดโมงเช่นนี้ นักศึกษาต่างก็เร่งพากันขับรถเข้ามอเพราะใกล้จะถึงเวลาเรียนของตนแล้ว ทำให้การจราจรพลุกพล่านมากขึ้นกว่าตอนช่วงเช้าตรู่ พาลให้คนที่จิตใจร้อนรนเป็นเดิมทีอยู่แล้วอย่างฮ่องเต้ ต้องหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัว ระหว่างนั้น ก็หยิบมือถือขึ้นมาดูพลางๆ เผื่อว่าจะมีข้อความตอบกลับมา

                แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบเช่นเดิม...

                และมันทำให้ฮ่องเต้ต้องออกแรงเหยียบคันเร่งเพื่อที่จะได้ไปถึงที่หมายเร็วขึ้น กระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้ามาที่หอพักของใครคนนั้นในเวลาแปดโมงกว่าๆ  ทำเอาคนขี้กังวลต้องรีบลงจากรถและเข้าไปในหอพัก จัดการถามไถ่กับเจ้าหน้าที่ว่าเห็นบุคคลหายสาบสูญที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า

                “น้องโฟโต้เพิ่งจะออกไปกับเพื่อนเอง...” เจ้าหน้าที่ที่หอพักว่าพลางเหลือบมองนาฬิกา “...น่าจะออกไปได้สักเกือบๆ สิบนาทีก่อนหน้าที่น้องจะมาเอง มีอะไรจะฝากไว้หรือเปล่าจ๊ะ”

                “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ขอบคุณมากนะครับ” เขาได้เพียงแต่บอกกล่าวออกไปแค่นั้นและเดินกลับไปขึ้นที่รถ

                อดโล่งใจไปไม่ได้ ที่อย่างน้อยไอ้เด็กคนนั้นก็ไปเรียนกับเพื่อนเหมือนอย่างที่บอกกับเขาเอาไว้ ฮ่องเต้หลับตาและเอนหลังลงไปอย่างต้องการพักเอาแรงเพราะความรีบร้อนที่ทำเอาต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปทั่ว หากแต่ก็เพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้และล้วงมือถือออกมาดูเวลา

                “เชี้ยละ!” เป็นอันต้องสบถออกมาเพราะเวลาที่ล่วงเข้าไปเกือบแปดโมงสิบนาทีแล้ว ก่อนจะสตาร์ทรถและรีบขับออกไปเพราะเพิ่งจะมาสำเหนียกได้ว่าเขาเองก็ต้องรีบไปเรียนเช่นกัน

 

                กว่าจะเข้ามานั่งเรียนในห้องได้ ก็ถูกอาจารย์ประจำวิชาอย่างอาจารย์นัยนาบ่นจนหูชาเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฮ่องเต้มาสาย

                “อย่าให้มีคราวหน้าอีกนะ”

                ประโยคหลังไล่ตามมาติดๆ  พร้อมกับสาตาดุดันที่ทำเอาคนที่ค่อยย่องเข้าไปนั่งโซนหลังห้องเรียนเสียวสันหลังตามเป็นระยะๆ  จนกระทั่งเขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ อาจารย์จึงกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ ท่ามกลางความเงียบของเหล่านักศึกษาภายในห้อง

                “เป็นยังไงวะ ความรู้สึกของคนมาสาย” นิวหันมาหัวเราะใส่คนข้างๆ ทันที แต่เพราะความเหนื่อยหอบจากการต้องวิ่งขึ้นมาบนชั้นห้า (เนื่องจากแถวของคนที่ยืนรอลิฟต์ยาวเป็นโข) ทำให้ฮ่องเต้ได้แต่ส่งสายตาดุไปให้เพื่อนของตนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง ทำให้นิวได้แต่พูดพล่ามต่อไปอยู่ฝ่ายเดียว

                “ว่าก็ว่าเถอะ วันนี้พวกเพื่อนกูมันเป็นอะไรกันไปหมดวะ คนหนึ่งโดดเรียน ส่วนอีกคนก็มาสาย” ท้ายประโยคหันมามองหน้าฮ่องเต้อย่างจงใจ ขณะที่อีกฝ่ายได้แต่นั่งกระหืดกระหอบ โกยอากาศเข้าปอดพร้อมกับล้วงสมุดในกระเป๋ามาพัดให้ตัวเอง

                แม้ในห้องจะเปิดแอร์ แต่เพราะเขาเพิ่งจะมาถึง ร่างกายมันก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักพัก จึงไม่แปลกที่เหงื่อของเขาจะยังคงไหลตามใบหน้าและร่างกายของเขาเช่นนี้

                “ได้ข่าวว่ามึงไปรับไอ้น้องนัทมาเรียนด้วยเหรอ” นิวเริ่มแผนการด้วยคำถามที่แฝงความนัยอะไรบางอย่างเอาไว้

                “อืม” แต่กระนั้น ฮ่องเต้ยังคงตอบกลับไปสั้นๆ อย่างไม่ใส่ใจ

                “เฮ้อ สนใจกันจัง สายเทคเนี่ย คงไม่รู้ตัวเลยสินะ ว่าทำให้เด็กปีหนึ่งบางคนน้อยใจ” นิวพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ขณะที่ฮ่องเต้ถึงกับชะงักและหันไปขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “มึงหมายถึงใคร?” เขายังคงถามออกมาสั้นๆ เพราะไม่มีอารมณ์มาต่อความยาวสาวความยืดกับคนข้างๆ ทั้งความกังวลและอีกสารพัดทำให้อารมณ์ของเขาในตอนนี้ ผสมปนเปกันไปหมดจนเจ้าตัวรู้สึกเหนื่อยไปตามๆ กัน

                “มึงสนใจด้วยเหรอว้า” ทว่านิวยังคงไม่ยอมหยุด หยอกล้อคนข้างๆ ไปตามประสา ซึ่งมันก็ทำให้ฮ่องเต้หงุดหงิด

                “ถ้าไม่อยากเล่าก็หุบปากไป”

                “ใจเย็นดิวะ กูเกริ่มมาขนาดนี้ก็ต้องอยากบอกมึงอยู่แล้วป่ะ อีกอย่าง มันเป็นเรื่องของมึงล้วนๆ ทำไมกูต้องกั๊ก”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบ เพียงแต่ส่งสายตารำคาญไปให้จนนิวต้องรีบเล่าเพราะกลัวเพื่อนจะเปลี่ยนใจไม่อยากฟัง แล้วทำให้เขาเสียแผนหมด

                “เออๆ กูเล่าก็ได้...” นิวกระแอมไอใส่ไปทีก่อนจะเริ่มเล่า “...คือเมื่อเช้าเนี่ย กูเจอไอ้โฟโต้ที่หอ ทีแรกกูก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะมึงบอกว่ามึงจะไปรับมันไปเรียนด้วยเพราะแขนมันใส่เฝือก ขับรถไปเรียนเองไม่ได้ แต่มึงรู้ป่ะ ว่าไอ้ที่กูรู้เพิ่มเติมมาเนี่ย มันคืออะไร”         

                “ถามกูกลับอีกที มึงโดนตีนกูแน่”

                คำพูดนั้น ทำเอาคนลีลาเยอะถึงกับยิ้มแห้งใส่ “ไม่ถามก็ได้วะ ก็...น้องมันคิดว่ามึงกับไอ้นัทอยากนั่งรถไปด้วยกันสองต่อสองอ่ะ น้องมันเลยปฏิเสธ ไม่อยากไปกับมึง”

                ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเป็นหลายเท่าเพราะคำพูดที่ฟังดูไม่เข้าท่า “แล้วทำไมกูต้องอยากไปกับไอ้นัทสองต่อสองด้วยวะ แล้วมันปฏิเสธกูเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ”

                “ก็น้องมันคิดว่ามึงกับไอ้น้องนัทอะไรนั่น แอบกุ๊กกิ๊กๆ มีใจให้กันไงวะ” ไม่ว่าเปล่า นิวยังทำท่าทางประกอบและดัดเสียงเล็กเสียงน้อยจนน่าหมั่นไส้

                “ไอ้น้องมันก็ดีแสนดีนะเว้ย พอรู้ว่าไอ้น้องนัทนั่นชอบมึง ก็ไม่ยอมไปกับมึงเพราะไม่อยากเป็นก้างขวางคอรุ่นพี่กับเพื่อนรักของตัวเอง เออ มันคงจะรักไอ้นัทมากเลยเนอะ ว่าไหม ไม่อย่างนั้น มันคงไม่เสียสละให้เพื่อนมันขนาดนี้หรอกว่ะ”

                “ไอ้นิว...”

                “เนี่ย ถ้าเมื่อเช้ากูไม่ไปเจอและบังคับให้มันซ้อนท้ายกูมานะ ป่านนี้ มันคงยังเดินไม่ถึงคณะเลยมั้ง กูว่านะ...”

                “ไอ้นิว!!” ฮ่องเต้เอ่ยปรามคนพูดมากที่ชักจะเริ่มพูดจาเลยเถิดจนเขาชักจะโมโห

                “อะไรวะ มึงหงุดหงิดอะไรของมึงเนี่ย” นิวแสร้งถามออกไป ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

                “มึงไม่ได้สร้างเรื่องใช่ไหม” ฮ่องเต้ถามออกไปอย่างไม่แน่ใจในคำบอกเล่าของเพื่อน เพราะนิวมักจะชอบพูดจาใส่ไข่เพิ่มไปหลายฟองจนเรื่องมันเกินจริง แต่นั่นกลับกลายเป็นคำสบประหม่าจนนิวต้องทำท่าขึงขังใส่

                “ไอ้เต้ เรื่องนี้กูจริงจังนะเว้ย แล้วที่กูเอาเรื่องนี้มาบอกมึงก็เพราะกูสงสารไอ้โฟโต้ที่ต้องเดินไปเรียนคนเดียวเพราะมึงมัวแต่สนใจไอ้น้องนัทไง”

                “มึงว่าไงนะ!!” ฮ่องเต้แทบลุกพรวดขึ้นมาตะคอกใส่ หากแต่ระดับเสียงแค่นั้น กับบรรยากาศภายในห้องที่มีเพียงแค่เสียงของอาจารย์ ก็เพียงพอที่ทำให้เขาถูกเพ่งเล็ง

                “จะนั่งเรียนดีๆ หรือต้องให้อาจารย์ลงโทษเธอก่อนหะ!”

                “ขอโทษครับ อาจารย์” ฮ่องเต้ยกมือไหว้เป็นการขอโทษอาจารย์อย่างเกร็งๆ

                “ครั้งที่สองแล้วนะ เธอน่ะ ตั้งใจเรียนหน่อย”

                “ครับ” ฮ่องเต้รับคำเพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติแต่ที่ดูเหมือนจะไม่ปกติ เห็นจะเป็นอารมณ์ของฮ่องเต้ที่หมุนจนจะก่อพายุลูกใหญ่ได้

                ไหนว่ามันไปกับเพื่อนไงวะ!!

            นั่นคือสิ่งที่ติดอยู่ในหัวของเขาและทำให้เจ้าตัวอยากจะกลายเป็นพายุพัดเข้าใส่โฟโต้เข้าให้จริงๆ (เขาหมายถึงตอนที่เจอหน้ากัน) ขณะที่นิวลอบมองสีหน้าเพื่อนอย่างพอใจ ก่อนจะกระเถิบตัวเข้ามาใกล้และกระซิบกระซาบกับฮ่องเต้ต่อ

                “กูว่า มึงควรใส่ใจไอ้โฟโต้ให้มากกว่านี้นะเว้ย หยุด!” นิวยกมือขึ้นมาห้าม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังจะอ้าปากเถียง “กูหมายถึงให้มึงใส่ใจในฐานะรุ่นน้อง กูเข้าใจว่าไอ้นัทมันเป็นสายเทค แต่อย่าลืมว่าไอ้โฟโต้มันก็เป็นถึงสายตรงของมึงเลยนะเว้ย มึงควรจะดูแลความรู้สึกมันเหมือนกัน”

                ฮ่องเต้เหลือบตามองและเมื่อเห็นว่าสีหน้าของนิวดูจริงจังกับเรื่องที่พูดมาก เขาจึงเผลอคิดไปว่าครั้งนี้ นิวคงไม่ได้เอาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสของเขามาล้อเล่น เลยอดถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

                “เออ เดี๋ยวเรื่องนี้กูเคลียร์เอง” เขาตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ท่ามกลางความพอใจของนิวที่ไม่ได้แสดงออกมา

 

                “เออ เดี๋ยวเรื่องนี้กูเคลียร์เอง”

            พูดออกไปตั้งแต่คาบแรกของวัน จนป่านนี้ เลิกเรียนแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของไอ้คนที่ทำเอาเขาเสียสมาธิในชั่วโมงเรียนวันนี้ แถมไอ้ใครคนนั้นยังไม่ยอมแม้แต่จะอ่านข้อความที่เขาส่งไป พอโทรไปหาตอนที่มันไม่มีเรียนก็ไม่ยอมรับสายอีก

                เป็นอะไรของมันวะ

            ยังคงเป็นเรื่องค้างคาใจจนฮ่องเต้ไม่เป็นอันทำอะไร แต่กระนั้นก็ทำได้เพียงแค่ยืนดักรอเด็กปีหนึ่งที่ว่าอยู่ด้านล่างตึกเรียน เผื่อว่าจะได้เคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากเขามีโอกาสได้เจอกับโฟโต้

                “มารอนานหรือยังครับ พี่เต้” เสียงของนัทที่เอ่ยทัก ทำเอาฮ่องเต้ที่มัวแต่ก้มกดมือถือยิกๆ ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง หากสายตาของเขาไม่ได้โฟกัสไปที่หน้าของรุ่นน้องที่เดินเข้ามาหา เอาแต่มองหาใครอีกคนที่คิดว่าจะเดินมาพร้อมกับนัท

                “โฟโต้...ไม่ได้มาด้วยเหรอ” ฮ่องเต้เอ่ยถามไปตามที่ใจคิด จนรอยยิ้มบนใบหน้าของรุ่นน้องตรงหน้าแทบจะหายไปในทันที ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่ได้คิดอะไร

                “กลับไปแล้วครับ เห็นบอกว่าหมอนัดตรวจอาการ”

                “แล้วมันไปกับใคร” ฮ่องเต้โพล่งถามออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นและมันยิ่งไปกระตุ้นความหึงหวงของนัทมากขึ้น

                เพราะดูเหมือนว่ารุ่นพี่ตรงหน้าของเขา กำลังรู้สึกอะไรบางอย่างกับโฟโต้

            “โฟโต้ไปกับเพื่อนครับ” และมันก็ทำให้นัทเลือกที่จะโกหกออกไปเช่นนั้น เพราะถ้าฮ่องเต้รู้ว่าโฟโต้ไปหาหมอคนเดียว เขารู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องตามไปหาที่โรงพยาบาลและถ้าคนอย่างโฟโต้ได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่ฮ่องเต้สองต่อสองแบบนั้น เขาเชื่อว่าโฟโต้ไม่มีทางปล่อยให้พี่ฮ่องเต้รอดเงื้อมมือไปแน่

                ดังนั้น เขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้โอกาสนั้นเกิดขึ้น

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นัทแสร้งถามออกไป เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของรุ่นพี่ตรงหน้า จนฮ่องเต้ต้องรีบปรับสีหน้าและหันกลับมามอง

                “อ๋อ เปล่าๆ  แล้วนี่ มึงจะกลับเลยใช่ไหม เดี๋ยวกูจะได้ไปส่ง”

                “ครับ” นัทตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับยิ้มให้กับคนตรงหน้า

                “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเหอะ” ฮ่องเต้พูดปิดท้ายบทสนทนาแค่นั้น แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยเรื่องของสายรหัสปีหนึ่งอีกคนก็ตาม แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เดินไปที่รถพร้อมกับสายเทคปีหนึ่งของตัวเอง

               

            (มีต่อ.....)


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
                (ต่อ......)

    ระหว่างทาง ฮ่องเต้ก็เอาแต่เงียบและทำหน้าตึงอยู่ตลอดเวลา จนนัทต้องเหลือบตามามองเป็นระยะด้วยความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจ

                ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนข้างกายของเขาตอนนี้ กำลังคิดถึงใครอยู่

            ดูเหมือนว่าหัวใจของพี่ฮ่องเต้กำลังจะตกไปอยู่ในมือของเสือร้ายอย่างโฟโต้ แม้ว่าจะเพียงแค่น้อยนิด แต่มันก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากได้และนั่นทำให้นัทตัดสินใจยกล้วงมือถือออกมา พร้อมกับกดส่งข้อความหาใครบางคน

                ในเมื่อใช้ความดีเข้าสู้ไม่ได้ แผนร้ายก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่จะช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับเขา

            นัท : ช่วยหน่อยนะ เราเป็นห่วงโฟโต้ ไม่อยากให้นั่งรถกลับเองในสภาพแบบนั้น

            และเมื่อได้รับข้อความตอบกลับอันเป็นที่น่าพอใจจากอีกฝ่าย นัทก็เก็บมือถือใส่กระเป๋าเช่นเดิม พลางเหลือบมองเจ้าของรถที่ยังคงเอาแต่จับจ้องถนนด้านหน้า

                ขอโทษนะครับ ผมจำเป็นต้องทำเพราะทั้งตัวและหัวใจของพี่ มันสำคัญกับชีวิตของผม

            พลันแววตาอันแฝงไปด้วยความปวดร้าวก็ฉายผ่านดวงตาคู่นั้น ก่อนที่มันจะหายไป เมื่อฮ่องเต้ขับรถมาจอดตรงหน้าหอพักของเขาและหันมามอง

                นัทจึงกลับมาทำตัวปกติและส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ปีสี่ของตนทันที “ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้ผมติดรถไปเรียน แถมยังมาส่งอีก”

                “อืม ไม่เป็นไร มึงเองก็ช่วยกูเรื่องไอ้อ้น” ฮ่องเต้ว่าพลางฝืนยิ้มกลับไปให้ เพราะในหัวของเขาตอนนี้ ยังคงไม่อาจจะละทิ้งเรื่องของใครอีกคนไปได้ “มึงเข้าหอเถอะ เดี๋ยวกูจะกลับละ”

                “ขับรถระวังด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”

                ผมเป็นห่วง

            แม้ว่าจะเอ่ยออกมาจากปากของอีกคน แต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้หวนนึกถึงใครอีกคนเสียได้

                “ครับ ขับรถกลับดีๆ นะครับ ถ้าถึงหอแล้วบอกผมด้วยนะ ผมเป็นห่วง”

            เขายังจำรอยยิ้มสดใสของใครคนนั้นได้ดี จำได้แม้กระทั่งตอนที่เด็กคนนั้นฉวยโอกาสเข้าใกล้และพูดจาหยอกล้อใส่เขา แต่ดูเหมือนว่าท่าทีที่เป็นธรรมชาติและเป็นตัวของตัวเองแบบนั้น มันกำลังจะหายไปและมันก็ทำให้เขารู้สึก...แย่

                “มึงมันโรคจิต...”

                “พี่ว่าไงนะครับ?”

                ฮ่องเต้สะดุ้งที่ถูกถามกลับแบบนั้น เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องของใครอีกคน จนหลงลืมไปว่านัทยังอยู่บนรถกับเขา

                “มะ...ไม่มีอะไร ช่วงนี้ กูเบลอๆ เลยเผลอพูดอะไรไปเรื่อย” ก่อนจะยิ้มแห้งๆ  หากแต่มันกลับทำให้นัทได้โอกาส ทำหน้าจริงจังขึ้นมาและเอ่ยปากพูดกับคนข้างๆ

                “ดูแลตัวเองด้วยสิครับ อย่างน้อยแค่นอนหลับให้เพียงพอก็ยังดี” นัทพยายามสบสายตากับฝ่ายตรงข้าม จนฮ่องเต้ใจกระตุกวูบเพราะท่าทีที่เขาไม่เคยเห็นจากนัท “พี่ซูบลงไปมากแล้วนะครับ รู้ตัวบ้างไหม”

                ชั่วครู่ ฮ่องเต้เผลอไหววูบไปกับคำพูดของคนตรงหน้า หากแต่พอสายตาเหลือบไปเห็นมือของนัทที่ยกขึ้นมาจะแตะเข้าที่แก้มของตน เท่านั้น ฮ่องเต้ก็ได้สติ เบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อยและแสร้งทำเป็นพูดเรื่องอื่นต่อ

                “เอ่อ แล้วรถของมึงเป็นยังไงบ้าง”

                นัทนิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ เพราะท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่แสดงออกเป็นเชิงปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังคงพยามใจเย็นเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างตนกับรุ่นพี่ต่อไป

                “พรุ่งนี้ คงเข้าไปเอาที่ร้านได้แล้วครับ” นัทยังคงยิ้มออกไปเหมือนไม่ได้มีเรื่องอะไรในใจ “ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าหอก่อนนะครับ ขอบคุณพี่อีกครั้ง แล้วก็...เอาไว้เจอกันที่คณะนะครับ”

                “อืม” คราวนี้ ฮ่องเต้ทำเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ  และมองตามนัทที่เปิดประตูลงจากรถของตนไปจนกระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าหอไปแล้ว

                เมื่อเหลือเพียงแค่ตัวของเขาที่นั่งอยู่ภายในรถ...

                ใบหน้าของเขาก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ขณะที่มือก็กดมือถือและโทรหาใครบางคน

                “มึงอยู่ไหน” ฮ่องเต้ถามเสียงเครียด ทันทีที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกดรับสายเขาแล้ว

                [กูก็อยู่หอดิวะ ไอ้ซันหายหัวไปแบบนี้ มึงคิดว่ากูจะไปไหนได้หะ]

                คำตอบนั้น ทำเอาฮ่องเต้หน้าตึงเสียยิ่งกว่าเดิม แต่จะมีเพิ่มเติมขึ้นมาก็เห็นจะเป็นความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในใจ

                “มึงไม่ได้อยู่กับไอ้โฟโต้ใช่ไหม”

                [ฮั่นแน่ ถามหาว่าที่สามีแบบนี้ หมายความว่ามึง...] นิวร้องแซวพร้อมกับขนมที่อยู่เต็มปาก ขณะที่อีกมือและสองตาก็กำลังวุ่นอยู่กับการสำรวจขนมที่กองอยู่บนพื้นห้องตรงหน้า

                “กูถามเพราะอยากได้คำตอบ ไม่ใช่ให้มึงมาแซวกู”

                [เออๆ รู้แล้วน่า กูก็แค่แหย่เล่นป่าววะ]

                “ไอ้นิว! ถ้า”

                [โหย ไอ้เต้ ใจเย็นดิวะ กูจะบอกว่าแยกจากมึง กูก็ตรงกลับหอเลยเนี่ย จะเอาเวลาไหนไปอยู่กับผัวมึงวะ]

                เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด ฮ่องเต้ก็ไม่สนใจแม้แต่ประโยคชวนโมโหในตอนท้ายและกดวางสายทันที จนปลายสายถึงกับทำหน้ามึนใส่โทรศัพท์และทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าใส่ด้วยความเอือมระอา ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาสนใจขนมที่พื้นห้องต่อ

                ส่วนฮ่องเต้ที่กำลังหงุดหงิดได้ที่ ก็เอาแต่กำพวงมาลัยแน่นอย่างคนหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้

                “เมื่อเช้าก็โกหกกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ปล่อยให้มึงโกหกกูซ้ำสองหรอก”

                ปากก็โพล่งออกไปเช่นนั้น โดยหารู้ตัวไม่ว่าตนกำลังให้ความสนใจคนที่เขาพยายามจะกั๊กสถานะรุ่นน้องมากเกินความจำเป็นไปเสียแล้ว ก่อนที่เขาจะขับรถออกไปจากหอพักของนัทและตรงไปยังโรงพยาบาลที่เขาเคยพาโฟโต้ไปส่งตอนรถล้มมาครั้งหนึ่งแล้วทันที

                ท่ามกลางสายตาของนัทที่ลอบมองจากด้านในหอพักของตน...

               

                “แน่ใจเหรอว่าเขาจะมา”

                เสียงของหมอมีนหรือคนที่ตกกระไดพลอยโจรไปกับแผนการของโฟโต้เอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าวายร้ายปีหนึ่งเอาแต่นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงหน้าห้องทำงานของเธออย่างสบายใจเฉิบ หลังจากที่แวะเวียนเข้ามาให้เธอจัดการเปลี่ยนเฝือกที่แขนให้พร้อมกับถามไถ่ถึงอาการของคนบาดเจ็บจอมปลอม นั่นก็เผื่อว่าจะมีใครถาม จะได้ให้คำตอบแบบเนียนๆ

                “มา ไม่มา มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ” เด็กปีหนึ่งจอมร้ายกาจยังคงยิ้มหน้าระรื่นเสียจนคนที่โตกว่าอดเอามือผลักหัวแบบหมั่นไส้ไม่ได้

                “มันน่าจะเอาให้แขนหักจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนให้พี่เสียจรรยาบรรณ”

                “โธ่ พี่หมอมีน...” โฟโต้หันไปหาคนตรงหน้าและกอดแขนแบบออดอ้อน “...ผมออกจะน่ารัก น่าเลี้ยงขนาดนี้ พี่จะหักแขนผมลงเหรอ”

                และหมอมีนก็ได้แต่ยิ้มอย่างล้อเลียน “จ้า น่ารัก น่าเลี้ยง...” ก่อนที่เธอจะดึงแขนของตนกลับมา “...แต่พี่ว่าน้องเต้เขาคงไม่อยากเลี้ยงเธอหรอก”

                “อะไรกันครับ นี่พี่มีนจะไม่เข้าข้างผมเหรอ”

                “แน่สิ เด็กร้ายๆ แบบนี้ ใครจะไปเข้าข้าง แล้วอีกอย่างนะ น้องเต้เขาคงอยากจะเลี้ยงแมว ไม่ใช่เสืออย่างเรา”

                “พี่หมอมีนครับ ถึงผมจะเป็นเสือ แต่ก็เป็นเสือที่ว่านอนสอนง่าย แล้วก็กินง่ายด้วยนะครับ”

                “สอยง่าย กินง่ายมากกว่าล่ะมั้ง” หมอมีนอดแขวะเข้าให้ไม่ได้เพราะพาลนึกไปถึงพฤติกรรมแสบๆ ของคนตรงหน้า เมื่อครั้งยังเป็นเด็กมอปลาย “ระวังเหอะ กรรมจะตามทันนะ”

                “กรรมอะไรล่ะครับ  นั่นมันก็แค่บทเรียนเสริมชีวิตต่างหาก” ว่าแล้วก็ยิ้มทะเล้นใส่ไปที

                “บทเรียนเสริมชีวิต เดี๋ยวก็ได้เจอบทเรียนชีวิตเหมือนที่พี่ชายเราเจอหรอก” หมอมีนว่าพลางส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาไปให้ “พี่ไปทำงานต่อละ คุยกับคนไข้แถวนานๆ เดี๋ยวจะติดป่วยเป็นโรคร้ายๆ ตาม” 

                “ร้ายเพราะรักหรอกครับ” โฟโต้อดหยอกกลับไม่ได้ “ยังไงก็ขอบคุณพี่มีนมากนะครับ เอาไว้จะหาหนุ่มหล่อๆ มาตอบแทนนะครับ”

                “ย่ะ พ่อเสือร้าย” พูดจบ หมอมีนก็เดินกลับเข้าห้องทำงานไป ทิ้งให้โฟโต้มองตามจนลับสายตาและเมื่อเหลือบมองเวลาที่ปาเข้าไปสี่โมงครึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจลุกเดินออกไปข้างนอกและตรงไปที่ลานจอดรถทันที

               

                อีกฟากฝั่งหนึ่ง...

                กว่าฮ่องเต้จะขับรถมาถึงโรงพยาบาลได้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะช่วงเวลาตอนเย็นที่รถพลุกพล่าน จนเขาต้องไปติดอยู่กับไฟแดงหลายจังหวะ ระหว่างนั้น เขาก็พยายามโทรหาคนที่หายหัวไปตั้งแต่เช้า หากว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับสายเลยแม้แต่น้อย จนเขาชักจะร้อนใจเข้าไปใหญ่ พาลให้ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งจนจมมิดอย่างลืมตัว

                ตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ที่ออกมายืนหลบมุมตึกอยู่บริเวณที่ใกล้ทางเข้าโรงพยาบาลมากที่สุด เพื่อจับตามองรถของเหยื่อที่อาจจะขับเข้ามาในเร็วๆ นี้ นั่นเพราะว่าการที่พี่ฮ่องเต้ของเขาโทรเข้ามาถี่ยิบขนาดนี้ แสดงว่าต้องรู้เรื่องที่เขามาที่โรงพยาบาลจากนัทแล้วเป็นแน่และที่เขาเลือกที่จะไม่รับสาย ก็เพราะแค่อยากจะช่วยเร่งปฏิกิริยาร้อนเนื้อร้อนใจของฮ่องเต้ให้มากขึ้นก็เท่านั้น

                ถ้าพี่ฮ่องเต้ยิ่งมาถึงเร็วเท่าไหร่ แผนการของเขาก็ยิ่งสำเร็จขึ้นมากเท่านั้น

            กระทั่งฮ่องเต้ฝ่ากับการจราจรอันแสนวุ่นวายมาได้...

                เขาก็เลี้ยวเข้ามาหาในลานจอดรถของโรงพยาบาลทันที โดยหารู้ไม่ว่ารถของเขาได้ขับผ่านหน้าใครบางคน ที่ออกมายืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตรงบริเวณลานจอดรถและดูเหมือนว่าการมาของเขาจะทำให้ใครคนนั้น ดีใจจนเนื้อเต้น

                “มาจนได้สินะครับ” โฟโต้ยิ้มกริ่ม หลังจากที่เขาเอาแต่แอบซุ่มอยู่ตรงมุมตึกมานานสองนาน จึงตัดสินใจที่จะโทรกลับหาอีกฝ่ายอย่างจงใจ

                เพราะถูกปั่นอารมณ์ให้หงุดหงิดและกระวนกระวายอยู่เป็นเดิมทีแล้ว พอเห็นว่ารุ่นน้องที่ตนตามหาตั้งแต่เช้าโทรกลับเข้าหน่อย ฮ่องเต้ก็ตกหลุมพรางรับสายเขาเข้าให้อย่างง่ายดาย

                “มึง...อยู่ไหน” ฮ่องเต้พยายามพูดออกไปอย่างใจเย็น ทว่าน้ำเสียงที่แอบสั่นดันไปเข้าหูจนอีกฝ่ายอดลอบยิ้มออกมาไม่ได้

                “ผมอยู่ที่โรงพยาบาลครับ กำลังจะกลับหอ พี่เต้มีอะไรหรือเปล่า เห็นโทรหาผมตั้งแต่เช้า ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ได้รับสายพี่เลย” โฟโต้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และมันก็ส่งผลให้อีกฝ่ายที่ขี้ใจอ่อนเป็นเดิมทีอยู่แล้ว ถึงกับไหววูบไปตาม

                “มึงอยู่ตรงไหน”

                “ตอนนี้เหรอครับ...” โฟโต้เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “...ตอนนี้ ผมอยู่ที่ตึกใหญ่ครับ”

                “ตรงด้านหน้าตึกใช่ไหม”

                “เอ่อ ใช่ครับ”

                “รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูไปรับ”

                “พี่เต้...”

                “ไม่ต้องปฏิเสธ กูมีเรื่องจะคุยด้วย” ฮ่องเต้รวบรัดตัดความและรีบลงจากรถไปด้วยความเร่งรีบ เพราะเกรงว่าคนเด็กกว่าจะหาเรื่องหนีเขาไปอีก ตรงกันข้ามกับโฟโต้ที่เอาแต่ยืนยิ้มอย่างพออกพอใจที่ในที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มเดินไปตามเกมของเขาเสียที

                จนกระทั่ง ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้านในตึกใหญ่ บริเวณที่เด็กปีหนึ่งคนนั้นได้บอกกับเขาเอาไว้ ครั้นสอดสายตามองจนเจอ จึงรีบเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ที่มันคุกรุ่นอยู่ภายในใจ

                “สวัสดีครับ พี่เต้” โฟโต้แสร้งยกมือไหว้ฮ่องเต้แบบเกร็งๆ              ทว่าท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้หงุดหงิดใจเสียยิ่งกว่าเก่า

                “อืม” ฮ่องเต้ตอบกลับไปสั้นๆ เพราะความหนักอึ้งที่ริมฝีปาก

                “พี่เต้มีอะไรหรือเปล่า สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ” จนโฟโต้ต้องถามออกไปเช่นนั้น พลางใช้สายตาจับจ้องไปยังรุ่นพี่ของตนด้วยความเป็นห่วง...แค่ฉากหน้า

                หากแต่ลึกๆ แล้ว โฟโต้ก็อดดีใจไม่ได้ เพราะท่าทีที่ดูหงุดหงิดและไม่สบายใจไปในทีแบบนั้น มันเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา

                ฮ่องเต้เหลือบตามองรุ่นน้องที่ยังคงตีหน้าซื่อใส่อย่างช่างใจเล็กน้อยและพูดออกมาว่า “มี...”

                “ครับ?”

                “กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง” ฮ่องเต้ไม่อาจจะปกปิดน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนกำลังโกรธของตนได้มิด ยิ่งกับใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาในเวลานี้ด้วยแล้ว มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขากำลังตกหลุมพรางคนเจ้าเล่ห์เข้าเต็มๆ

                “เคลียร์เรื่องอะไรเหรอครับ” หากแต่เสือร้ายยังคงแสดงละครออกไปเช่นนั้น จนคนที่โตกว่าต้องพยายามข่มความร้อนรนภายในใจเอาไว้และค่อยๆ เอ่ยปากพูด

                “ก็เรื่องที่มึงไม่ยอมไปเรียนพร้อมกูเมื่อเช้าไง ทำไมมึงต้องโกหกด้วย”

                คำพูดของฮ่องเต้ เล่นเอาโฟโต้ถึงกับเงียบเพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าเขาจะพูดจาอะไรตรงไปตรงมาเช่นนี้

                สมแล้วพี่เป็นพี่ฮ่องเต้

            “ผมก็แค่ไม่อยากรบกวนพี่”

                “โกหก!” ฮ่องเต้สวนกลับทันทีอย่างเหลืออดเพราะคิดไม่ถึงว่าจนป่านนี้แล้ว รุ่นน้องตรงหน้ายังจะหาคำแก้ตัวแทนการพูดความจริงกับเขาอีก “เมื่อไหร่มึงจะเลิกโกหกกูสักทีวะ”

                “...”

                “กูอยากฟังความจริงจากปากมึง”

                “...”

                “แล้วมึงก็ควรจะรู้เอาไว้ด้วยว่าไม่มีใครบนโลกชอบคนโกหก รวมถึงกูด้วย”

                โฟโต้เหลือบมองคนที่เริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ก่อนจะค่อยเอ่ยปากออกมาอย่างคนยอมแพ้ “โอเคครับ ผมจะบอกความจริง...กับพี่”

                ก่อนที่เจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดต่อว่า “ผมไม่อยากไปเป็นส่วนเกินของพี่กับนัท...”

                แม้ว่าจะเป็นความจริง (ในความคิดของฮ่องเต้) ที่ฮ่องเต้พอจะรู้มาจากนิวบ้างแล้ว หากแต่มันก็ยังคงทำให้เขาหงุดหงิดได้อีกเพราะความความคิดเองเออเองของคนตรงหน้า

                “แล้วทำไมมึงต้อง...”

                “โฟโต้! อยู่นี่เอง เราตามหาเธอแทบแย่” เสียงของคนมาใหม่ทำเอาบทสนทนาหยุดชะงัก โฟโต้ถึงกับหันไปมองด้วยความหงุดหงิดใจเพราะดูเหมือนว่าเขากำลังจะเสียแผน ส่วนฮ่องเต้ทำเพียงแค่เหลือบตามองด้านหลังของโฟโต้เท่านั้น

                “อ่าว พี่เต้ สวัสดีค่ะ” ฝ้ายเอ่ยทัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่คณะของตน

                “ครับ”  และเขาก็ทำแค่ตอบกลับมาสั้นๆ เท่านั้น เพราะในหัวมัวแต่นึกย้อนไปถึงคำพูดของนัทก่อนหน้านี้

            “โฟโต้ไปกับเพื่อนครับ”

            หรือเพื่อนที่นัทหมายถึงจะเป็นฝ้าย

            เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจของเขาก็ถึงกับกระตุกวูบพร้อมกับอาการชาวาบไปทั่วทั้งร่าง หรือจะเป็นเขาที่คิดไปเองคนเดียว...รู้สึกเหมือนโดนอะไรฟาดหน้าเข้าเต็มๆ ก็ไม่ปาน

                คงเป็นเราที่คิดไปเอง ทั้งที่ครั้งนี้มันมากับเพื่อนจริงๆ

                “เอ่อ พี่เต้มาหาใครเหรอคะ” ฝ้ายเป็นฝ่ายถามเพราะเธอไม่คิดว่าฮ่องเต้จะมารับโฟโต้ได้

                หากแต่คำถามนั้นกลับทำให้ฮ่องเต้ต้องเหลือบตามามองโฟโต้ที่หันมาสบสายตาเข้าพอดี ก่อนที่เขาจะหันไปตอบรุ่นน้องอย่างฝ้าย

                “พี่มาหาเพื่อนน่ะ แต่เผอิญมาเจอโฟโต้ก่อน ก็เลยแวะทักทายนิดหน่อย” ท้ายประโยคฮ่องเต้จงใจหันไปมองทางโฟโต้ จนอีกฝ่ายหน้าเสีย “ยังไงพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”

                “เดี๋ยวสิครับ พี่เต้!”

                ฮ่องเต้ผละออกไปจากคนทั้งคู่ทันที ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงเรียกของโฟโต้ หลงลืมไปแม้กระทั่งเรื่องที่เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะเคลียร์กับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ทั้งหมด มันก็เพราะความว้าวุ่นในใจที่เขาเองก็พอจะรู้ว่ามันคืออะไร

                ใช่ว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกแบบนี้...

                ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าไอ้อาการแบบนี้มันเรียกว่าอะไร...

                เพียงแต่เขาควรจะมีเหตุผลให้มากกว่านี้ เหตุผลที่ทำให้เขาเลิกคิดและเลิกข้องเกี่ยวกับเด็กปีหนึ่งคนนี้เสียทีเพราะไม่เช่นนั้น ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่จะแย่...

 

                 

 

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 19 ผู้สนับสนุนหลัก

                หลังจากที่เป็นฝ่ายหนีกลับมาก่อน ฮ่องเต้ก็ค้นพบว่า...เด็กปีหนึ่งคนนั้น มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากแค่ไหน

                ทั้งคืน เขาไม่สามารถข่มตาหลับขับตานอนได้เพราะเรื่องของโฟโต้คอยกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะเฝ้าบอกตัวเองว่าอย่าไปสนใจ อย่าไปรู้สึกอะไร หากแต่การทำเช่นนั้น กลับยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เขาคิดถึงเรื่องของเด็กปีหนึ่งคนนั้นมากขึ้น

                “กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึง!” จนเขาทนไม่ไหว เผลอโพล่งออกไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเต็มทน

                เอาเสียคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาตอกกลับว่า “เออ กูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึง!”

                จังหวะนั้นเอง คนที่ตกอยู่ในวังวนความว้าวุ่นก็เพิ่งจะมีสติ สำเหนียกได้ว่าตนกำลังนั่งอยู่ในโรงอาหารของคณะกับเพื่อนประธานรุ่นอย่างคิง

                “กูไม่ได้หมายถึงมึง” และก็ได้แต่ส่งเสียงอ้อมแอ้มออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ยังคงหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น

                “แล้วมึงหมายถึงใคร” คิงถามพลางยิ้มขำกับท่าทางเหมือนกำลังงอนใครสักคนของคนตรงหน้า

                “ก็หมายถึง...” ฮ่องเต้ชะงักปากที่กำลังจะโพล่งชื่อของ โฟโต้ ออกไป “...ไม่ใช่มึงก็แล้วกัน”

                พูดจบก็แสร้งหันไปหยิบโกโก้ปั่นขึ้นมาดูด จนคิงอดส่ายหน้าใส่ไม่ได้เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นท่าทีที่ดูอ่อนลงราวกับเด็กของคนๆ นี้

                นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกที่มันปั่นป่วนอยู่ภายในใจได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งจากเรื่องที่โฟโต้ปฏิเสธเขาเพราะเรื่องของนัท จนเกือบจะได้เดินไปเรียนเอง แล้วยังจะเรื่องที่โรงพยาบาลซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้สติของเขาขาดผึ่ง

                เรื่องแรก มันทำให้เขาโกรธ...โกรธเพราะโฟโต้เลือกที่จะโกหก

                ส่วนอีกเรื่อง มันกลับดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น...

                เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ ว่าถ้าเป็นคนอื่นมารับโฟโต้ที่โรงพยาบาลเมื่อวาน เขาจะรู้สึกหงุดหงิดใจได้มากเท่านี้ไหม

                แม้จะรู้ดีว่าไอ้อาการที่ตัวเขากำลังเป็นอยู่มันคืออะไร แต่ที่เขาพยายามจะปฏิเสธก็เพราะ...ความกลัว

                กลัวว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย และกลัวว่า จะเป็นฝ่ายเดียวที่รู้สึก

                โดยเฉพาะยิ่งกับสายรหัสของตัวเอง ที่ต้องไปข้องเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัสเป็นเดิมทีอยู่แล้ว เขายิ่งไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกเพราะเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

                และนั่น...ทำให้เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองเด็ดขาด ไม่แม้แต่จะคิดที่จะรู้สึกกับรุ่นน้องคนไหนมากเกินกว่าพี่น้อง ไม่ว่าจะในสายรหัสหรือสายเทค

                แต่ตอนนี้...

                ดูเหมือนว่าความตั้งใจนั้นกำลังจะพังทลายลงไป แถมด้วยฝีมือของเขาเองล้วนๆ

                เป็นเขาที่รู้สึก...เป็นเขาที่เป็นฝ่ายเริ่มรู้สึกก่อน

                เป็นอีกครั้ง ที่เขาแพ้เสียงหัวใจตัวเอง ไม่สิ บางที เขาอาจจะแพ้...ไอ้โรคจิตปีหนึ่งคนนั้น

                “มึงมันโรคจิต!”

                จนสุดท้ายก็พลั้งปากพูดออกมาจนคนที่นั่งตรงข้ามต้องเงยหน้าขึ้นมามองทั้งที่ช้อนตักข้าวคาปากอยู่อย่างนั้น อย่างที่คนพูดเองก็ไม่รู้ตัว ราวกับว่าคำพูดนั้นกลายเป็นคำติดปากของเขาไปเสียแล้ว เวลามีเรื่องของโฟโต้มากวนใจทีไร ก็อดที่จะนึกถึงคำพูดนั้นอย่างเสียไม่ได้ เหมือนกับว่ามันสามารถแทนความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้ดีกว่าคำพูดอื่นใดบนโลกใบนี้ หรือไม่...มันก็อาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวอยู่ตลอดเวลา

                ไม่ว่าเด็กคนนั้น จะพูดหรือทำอะไร ก็ดูเหมือนว่าจะส่งอิทธิพลต่อจิตใจของเขาไปเสียหมด

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่นั่งคิด นอนคิดหรือแม้กระทั่งตอนหยิบโกโก้ปั่นขึ้นมาดูดปื้ดๆ แบบนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของเด็กคนนั้น

                ปั้ก!

                “ไอ้โรคจิต!!” และก็ลั่นวาจาออกมาเช่นนั้นอีกครั้ง หลังจากที่มือกระแทกแก้วน้ำปั่นลงบนโต๊ะ

                “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ กูไปโรคจิตใส่มึงตอนไหนวะ” และก็เป็นคิงที่หันมาตอบกลับ พร้อมกับอมยิ้มใส่คนที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งตั้งแต่เข้ามานั่งกินข้าวในโรงอาหาร แม้จะรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่ได้หมายถึงตน แต่เขาก็อดแกล้งหยอกกลับไปเช่นนั้นไม่ได้

            เขายังอดนึกเสียดายไม่ได้ที่ฮ่องเต้ชอบตั้งท่าเหมือนแมวจะจู่โจมใส่คนอื่นตลอดเวลา เพราะหน้าตาที่ดูน่ารักผิดหูผิดตากับสิ่งที่แสดงออกมาไป มันเลยกลายเป็นว่า...น่ารักแบบแปลกๆ ไปแทน แต่กระนั้น ทุกคนต่างก็ยังเอ็นดูรุ่นพี่ปีสี่คนนี้ โดยที่เจ้าตัวไม่ยักกะรู้ตัวเลยสักครั้งและหลงคิดไปด้วยซ้ำว่าท่าทีแบบนั้นทำให้ตนดูน่าเกรงขาม

                และฮ่องเต้ก็ทำหน้าบูดใส่เขาอีกหน ก่อนจะคว้าแก้วโกโก้ขึ้นมาดูดพรวดๆๆ จนคิงอดคิดไปไม่ได้ว่าเพื่อนเขาคงอาจจะอิ่มโกโก้แทนข้าวในจานที่เจ้าตัวแทบจะไม่ได้แตะเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มันคือข้าวไข่เจียวแฮมชีทของโปรดเจ้าตัวแท้ๆ  คงจะเป็นเพราะใครคนนั้นสำคัญต่อหัวใจมาก เพื่อนร่วมรุ่นของเขาคนนี้ถึงได้ยอมทิ้งเมนูโปรดทั้งจานได้ลงคอ

                คิงจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีของฝ่ายตรงข้ามอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีผู้เข้าร่วมการสัมภาษณ์คนใหม่เดินเข้ามาที่โต๊ะ ในเวลาเกือบจะเที่ยง แถมยังเดินหน้าตึง บอกบุญไม่รับมาอีกต่างหาก

                ไม่รู้ว่าหงุดหงิดเรื่องอากาศร้อน คนในโรงอาหารเยอะ โมโหหิวหรือไปมีเรื่องกับใครมากันแน่

                “ไอ้นี่ก็อีกคน หน้าตึงมาแต่ไกลเชียว” คิงว่าขำๆ พลางมองหน้าสองเพื่อนรักหน้ามุ่ย

                “เมื่อวานมึงโดดเรียนทำไม?” และเป็นฮ่องเต้กลายเป็นผู้สัมภาษณ์ หันไปถามคนที่หายหัวไปเป็นวันทันที ขณะที่คิงก็ได้แต่จับจ้องไปทางวันด้วยความอยากรู้ในประเด็นเดียวกัน

                “ไม่มีอะไร แค่ธุระด่วนนิดหน่อย” ซันพูดออกไปด้วยอารมณ์ติดจะหงุดหงิด นั่นก็เพราะเหตุการณ์เมื่อวานที่ทำเอาเขาหัวเสียไม่ใช่น้อย ถือว่าโชคดีที่พ่อแม่เขามาเยี่ยมซินที่บ้านป้าพอดี เลยไม่ทันได้มีเรื่องกัน แต่ไอ้ที่มันน่าหงุดหงิดใจก็ตรงที่พ่อแม่ของเขาดันเห็นดีเห็นงาม เห็นว่าเปรมเป็นเด็กที่โคตรจะแสนดีนั่นแหละ

                แบบนั้น เขาก็ต้องจับตาดูและคอยระวังไอ้เด็กเปรตนั่น ให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัวน่ะสิ

            “แน่ใจนะเว้ย ว่าแค่ธุระด่วน ไอ้นิวมันมาฟ้องว่าเมื่อคืนมึงก็ไม่ยอมกลับห้อง แถมยังบอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านอีก” ฮ่องเต้เอามือข้างหนึ่งจับเข้าที่บ่าเพื่อนและออกแรงบีบเบาๆ  “มึงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

                เพราะน้ำเสียงและแววตาที่ดูเป็นกังวลของฮ่องเต้ ทำเอาซันอดหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ความร้อนรุ่มภายในใจจะค่อยลดหลั่นลงไป จึงได้แอบลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ  และแสร้งยิ้มให้กับคนข้างๆ

                “กูจะไปมีเรื่องอะไรได้วะ พอดีเมื่อวานพ่อกับแม่มา เลยโทรให้กูไปรับก็แค่นั้น”

                “แล้วทำไมมึงต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านด้วย ทางไปบ้านมึงกับมหา’ลัยมันไม่ได้ใกล้ๆ เลยนะเว้ย”

                 ฮ่องเต้หมายถึงบ้านป้ากับลุงของซัน ที่สร้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ลูกของแกเข้าเรียนที่เชียงใหม่ แต่หลังจากเรียนจบ ลูกของแกก็ต้องย้ายไปทำงานที่อื่น เลยเหลือกันแค่สองคนสามีภรรยา แต่เพราะซันดันสอบติดที่เชียงใหม่ ประกอบกับตอนนั้น ลุงไม่สบาย ส่วนป้าก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ซันเลยต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้นเพื่อคอยช่วยดูแล กระทั่งอาการของลุงดีขึ้น ซันก็เลยขอย้ายออกมาอยู่หอกับนิวเพราะระยะทางจากบ้านที่ไกลจากมหา’ลัยหลายกิโลเมตรและช่วงนั้นเขาก็ต้องกลับดึกแทบทุกวันเพราะต้องทำงานกลุ่มกับเพื่อนและกิจกรรมของทางคณะ ทำให้ทางบ้านของซันเป็นห่วง ไม่อยากให้ขับรถไปกลับเสียดึกดื่น แถมยังต้องตื่นเช้า เผื่อเวลาขับรถไปเรียนอีก

                ส่วนน้องสาวอย่างซิน เท่าที่เขารู้มา ดูเหมือนว่าชอบเทียวไปเทียวมาอยู่ที่เชียงใหม่บ่อยๆ เฉพาะช่วงวันหยุดเพราะเธอติดพี่ชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

                อันที่จริง ก็สมควรจะติดอยู่ล่ะนะ ก็ไอ้ซันเล่นหวงจนไม่ยอมปล่อยให้น้องเข้าสังคมขนาดนั้น

            “พอดีลุงกับป้าต้องย้ายไปอยู่กับลูกเขาที่อื่น แล้วซินก็ดันอยากจะมาอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อเพราะวางแผนเอาไว้ว่าจะย้ายมาเรียนที่เชียงใหม่...”

                ซันเว้นจังหวะเล็กน้อยพร้อมกับพยายามระงับอารมณ์ เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่เขาโมโหไม่หายเพราะปีนี้ เขาก็จะเรียนจบแล้วและถ้าเขาปล่อยให้ซินมาอยู่ที่เชียงใหม่ นั่นก็ยิ่งเป็นการปล่อยให้ไอ้เสือเปรมมันมีโอกาสเข้าใกล้น้องสาวของเขามากขึ้น

                ก็ขนาดซินมาแค่ช่วงวันหยุด มันยังอุตส่าห์โดดเรียนไปหาน้องผมได้ นับประสาอะไรกับการที่ซินย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ แบบนั้น โอกาสที่จะได้เจอกันมันก็มีมากขึ้นน่ะสิครับ ดีไม่ดี มันอาจจะวางแผนทำอะไรมากกว่าแค่เจอก็ได้

            “แล้วไงต่อวะ” ฮ่องเต้ถามแทรกเพราะเห็นว่าเพื่อนเงียบไปนาน ซันจึงเหลือบตามามองเล็กน้อยและปรับสีหน้า ก่อนจะพูดต่อ

                “...ก็ซินเป็นผู้หญิง กูจะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไงวะ แต่ก็ต้องดูก่อนว่าซินจะย้ายเข้ามาวันไหน แล้วป้ากับลุงจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ เอาไว้เดี๋ยวกูจะบอกมึงอีกทีก็แล้วกัน” ซันปิดท้ายบทสนทนาเรื่องของตัวเองแค่นั้น ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ

                “มึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้บอกไอ้นิวเหอะ รายนั้นคงยอมหรอก”

                ได้ยินเช่นนั้นซันก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “มึงนั่นแหละ ที่ต้องเตรียมรับมือ ขาดกูไปสักคน กูรับรองเลยว่ามันไปป่วนมึงแน่ เผลอๆ อาจจะขอย้ายไปเป็นเมทมึงด้วย”

                “งั้นกูก็ขอให้มึงย้ายออกหลังจากเรียนจบเถอะ กูไม่อยากปวดหัว”

                “แล้วนี่ ไอ้นิวมันหายไปไหนของมัน” คิงเอ่ยถามหลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนรักคุยกันอยู่นานสองนาน

                “ไม่รู้ ตะกี้แวะเข้าไปที่หอก็ไม่เจอ มันไม่ได้มาเรียนเหรอวะ” ซันหันไปถามคนข้างๆ บ้างเพราะกว่าเขาจะกลับมาถึงมหา’ลัยก็ตอนสายๆ  เลยพาลไม่ได้เข้าเรียนในช่วงเช้า

                หากแต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า ขณะที่คิงช่วยพูดยืนยันอีกเสียง “ก็เออดิ อาจารย์แกฝากมาเตือนแล้วนะเว้ย คะแนนเข้าห้องหายไม่พอ เดี๋ยวได้หมดสิทธิ์สอบกันพอดี”

                “เอาเป็นว่าถ้ามันมาเรียนตอนบ่าย เดี๋ยวกูช่วยเตือนมันอีกทีก็แล้วกัน” ซันว่าเสียงเครียดเพราะแม้ว่าเขาจะเอาแต่บ่นเพื่อนคนนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อยาม แต่นั่นก็เพราะความเป็นห่วง อยากให้เพื่อนเรียนจบไปพร้อมๆ กันนั่นแหละ ยิ่งได้อยู่ด้วยกันทุกวัน เจอหน้ากันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงเด็กไม่รู้จักโตอย่างนิวที่สุด

                เขายังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ว่าหลังเรียนจบไป มันจะอยู่คนเดียวได้ยังไง

                และซันก็ได้แต่ทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปซื้อข้าว โดยไม่ลืมซื้อน้ำเย็นๆ ติดมือมาสักขวด เผื่อจะดับอารมณ์ร้อนก่อนที่เขาจะต้องไปเข้าเรียนคาบบ่ายกับคนที่ชวนให้เขาปวดหัวได้ตลอดเวลาอย่างนิว

                หรือบางที เขาควรจะแวะซื้อยาแก้ปวดสักแผงดีนะ จะได้ช่วยลดอาการปวดหัว หลังจากถูกเพื่อน (จำเป็นต้อง) รักของเขาคนนี้ สอบสวนเรื่องที่เขาหายไปเมื่อวานและเรื่องที่จะย้ายออกจากหอ

               
              (มีต่อ.......)

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
       (ต่อ....)
ขณะเดียวกัน...

                นิว : เย็นนี้ มึงว่างหรือเปล่า

            ข้อความที่ถูกส่งมาทำเอาเจ้าของเครื่องอย่างโฟโต้ถึงกับขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่เข้าใจในเจตนาของคนส่ง เพราะหลังจากกลับถึงหอเมื่อวาน เขาก็ทั้งส่งข้อความ ทั้งโทรหาฮ่องเต้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมแม้แต่จะอ่านข้อความของเขาเลยด้วยซ้ำ ทำให้เขาต้องหันไปพึ่งพาผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่สิ ต้องเรียกว่าผู้สนับสนุนรายหลักของเขาอย่างนิว เพื่อที่จะตามง้อพี่ฮ่องเต้...

                ใช่ครับ ผมต้องตามง้อเขา

            เพราะไอ้การที่พี่ฮ่องเต้เลือกที่จะโกหกต่อหน้าฝ้ายว่าไม่ได้มาหาเขา กับไอ้การที่รวบรัดตัดบทและเดินหนีไปเสียดื้อๆ แบบนั้น มันออกจะชัดเจนว่าลึกๆ แล้ว ในใจของพี่ฮ่องเต้กำลังถูกความรู้สึกบางอย่างเข้าครอบงำ

                ไม่โกรธก็คงจะหึง

            และถ้าเป็นแบบหลัง เขาก็ยิ่งต้องตามง้อ...

                แต่กับเหตุการณ์เมื่อวาน ก็คงต้องยอมรับว่าตัวเขาเองก็หงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย จนแทบอยากจะระบายด้วยการเข้าไปกระชากรุ่นพี่คนนั้น เข้ามาขังไว้ในอ้อมกอดของตัวเองและปรับความเข้าใจกันให้รู้เรื่อง แต่นอกจากมันจะติดไอ้เฝือกที่แขนของเขาแล้ว ยังติดที่พี่ฮ่องเต้ของเขาหุนหันพลันแล่นออกไปแบบไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามองเลยสักนิด ไหนจะเพื่อนของเขาอีกคนที่ยืนรอ เพราะฉะนั้น เขาจึงจำต้องปล่อยคนที่โตกว่าไปและนั่งรถกลับไปพร้อมกับฝ้ายเท่านั้น

                แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่ได้จบแค่นั้น...

                “ทำไมจู่ๆ ถึงมารับเราได้”

            นั่นเป็นข้อสงสัยที่ติดอยู่ในหัวของโฟโต้มาโดยตลอดเพราะหลังจากเลิกเรียน ฝ้ายก็ไม่ได้มีท่าทีจะมาส่งเขาที่โรงพยาบาลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ก็โผล่มาแบบนี้ แถมยังได้จังหวะแบบนี้ เขาก็อดระแวงไม่ได้ว่าจะมีใครชักใยอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า

                “ก็นัทนั่นแหละ บอกว่าเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะลำบากเพราะแขนก็เข้าเฝือกอยู่ เลยส่งข้อความบอกให้เรามารับ”

            อาจจะเป็นเพราะความใส่ซื่อของฝ้ายที่หลงคิดไปว่านัทกับโฟโต้สนิทใจกันชนิดที่ว่าพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทำให้เธอพูดความจริงออกมาทั้งหมด โดยหารู้ไม่ว่าความจริงนั้นทำให้โฟโต้โมโหจนแทบจะเผลอเผยร่างเสือร้ายของตนออกมา หากแต่ก็ยังใจเย็นพอที่จะตีหน้าซื่อ ทำตัวเป็นลูกเสือตัวน้อยที่ไร้พิษสงใดๆ ต่อหน้าเธอ

                “ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะ ที่อุตส่าห์มารับ”

            และเขาก็ได้แต่ตอบกลับไปเช่นนั้นเพราะฝ้ายไม่ได้รู้เรื่องใดๆ กับสงครามเย็นระหว่างเขากับนัทเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะแยกกับเธอไปและกลับมากระวนกระวายใจต่อที่ห้องของตัวเอง เขาทั้งพยายามส่งข้อความและโทรหา แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดข้อความอ่านเลยแม้แต่น้อย  แม้ใจหนึ่งเขาจะดีใจกับการที่ฮ่องเต้โกรธเพราะคิดไปว่าฮ่องเต้คงจะหึง หากอีกใจหนึ่งกลับไม่สบายใจเพราะความสัมพันธ์ของเขากับพี่ฮ่องเต้ยังไม่คืบหน้าไปไหน จะมีก็แต่การก่อกวนใจให้อีกฝ่ายรู้สึกก็เท่านั้น

                คงต้องหาวิธีเปิดปากพี่ฮ่องเต้ให้ได้

            นั่นคือแผนการต่อไปที่เขาคิดจะทำเพราะขืนเขาปล่อยให้ความสัมพันธ์มันดูน่าอึดอัดใจไปแบบนี้เรื่อยๆ  มีหวังเขาได้ถูกฮ่องเต้เมินเป็นแน่ จากการดูลาดเลามาหลายครั้ง เขาก็พอจะจับปฏิกิริยาคนอย่างฮ่องเต้ได้พอสมควรและเขาก็พอจะเดาออกว่าฮ่องเต้อ่อนไหวง่ายมาก เพราะแบบนั้น เขาถึงได้เห็นรุ่นพี่ปีสี่ของเขาตั้งท่า เก๊กหน้าและทำเสียงดุใส่อยู่บ่อยๆ  เพียงเขาแค่แหย่นิดแหย่หน่อย ก็เตลิดไปไกลถึงดาวอังคาร ยิ่งกับท่าทีที่แสดงให้เขาเห็นเมื่อวานยิ่งแล้วใหญ่ แม้ว่าเจ้าตัวกำลังโกรธ แต่กลับเป็นการโกรธที่โคตรของโคตรจะน่ารักในสายตาของเขาเลยก็ว่าได้

                ไม่แปลกใจที่คนอย่างพี่ฮ่องเต้จะทำให้เขาตกหลุมรักได้ง่ายดายขนาดนี้

                และในเมื่อเสืออย่างเขาตกหลุมรักใครแล้ว ทางเดียวที่เขาจะทำก็คือ...ลวงเหยื่อเข้าถ้ำซะ

                เพราะการที่เหยื่อเลือกที่จะเดินเข้ามาหาเสือเอง มันคือเครื่องรับประกันว่าเหยื่อคนนั้น จะอยู่กับเสืออย่างเขาในถ้ำด้วยกันตลอดไป

                ผมถึงชอบที่จะ ลวง มากกว่า ลาก เพราะเหยื่อจะได้ไม่คิดที่จะหาทางหนีออกจากถ้ำเหมือนแบบหลัง

            และการที่จะลวงเหยื่อให้เข้าถ้ำได้ มันก็ต้องอาศัยไส้ศึกอย่างนิวมาเป็นตัวช่วยสำคัญ

                อ่อ ลืมไป ผมไม่ควรเรียกเขาว่าไส้ศึกเพราะเขาคือผู้สนับสนุนรายหลักของผม

                โฟโต้ : ว่างครับ พี่นิวมีอะไรหรือเปล่า

            เพราะฉะนั้น การทำตัวให้ว่างและไหลลื่นไปตามแผนของเพื่อนพี่ฮ่องเต้ น่าจะทำให้เขาได้กินเหยื่อแบบหอมหวานและอร่อยที่สุด

                นิว : มึงว่างก็ดี เย็นนี้ไปกินข้าวกัน

            ทว่าข้อความที่ตอบกลับมานั้น ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่

                โฟโต้ : แล้วพี่ซันจะไม่ว่าเหรอครับ ปกติพี่อยู่ด้วยกันตลอด

            โฟโต้ถามดักเอาไว้ก่อนเพราะเกิดซันเยี่ยมหน้าไปกินข้าวเย็นด้วยจริง เขาจะได้หาทางหนีทีไล่ได้ถูก   

                ก็เผื่อแผนพี่นิวล่มขึ้นมา ผมก็แย่สิ

            นิว : มันไม่ว่าหรอก ตราบใดที่มึงกับกูไม่มีใครพูด เอาเป็นว่าเจอกันที่ร้าน DL ตอนหนึ่งทุ่มก็แล้วกัน พอดีหลังเลิกเรียน กูต้องออกไปซื้อของนิดหน่อย มึงก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะเว้ย

            โฟโต้อ่านข้อความนั้นและเงียบไปสักพักอย่างชั่งใจ

                ไว้ใจได้ไม่ได้ ลองตามน้ำไป เดี๋ยวก็รู้เองล่ะวะ

            โฟโต้ : โอเคครับ

            ข้อความสุดท้ายถูกส่งออกไปเรียบร้อย ก่อนที่โฟโต้จะเดินเข้าตึกเพื่อไปเข้าเรียนในช่วงบ่ายต่อ

 

                เมื่อเวลาปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่ม...

                นายธิติกรจึงต้องมายืนรอรุ่นพี่ที่นัดหมายตนให้มากินข้าวด้วยที่หน้าร้านอาหาร DL  ไม่นานนัก คนนัดก็โผล่หน้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างเสียจนน่าหมั่นไส้

                “สวัสดีครับ พี่นิว” โฟโต้ทำเป็นยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่คนสำคัญ (ในแผนการ) อย่างนอบน้อม

                “สวัสดีเว้ย ไปๆ เข้าไปข้างในกัน” ว่าแล้วก็เอามือตบบ่ารุ่นน้องสองสามทีและเดินนำเข้าไปข้างในร้าน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแผนการร้าย

                โฟโต้เหลียวซ้ายมองขวาเพื่อมองหาคนอื่น เมื่อเห็นว่านิวไม่มีทีท่าว่าจะพูดถึงคนที่พามาด้วยเลยแม้แต่น้อย แถมยังเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งอาหารอีกต่างหาก

                “พี่นิวครับ”

                “หืม ว่าไง” นิวยังคงยิ้มหน้าระรื่น

                “แล้วไม่มีใครมาด้วยเหรอครับ” โฟโต้เอ่ยปากถามออกไปอย่างเกร็งๆ หากฝ่ายตรงข้ามกับร้องอ๋อออกมาเสียงดัง

                “ถ้ามึงหมายถึงไอ้ฮ่องเต้มันอ่ะนะ เดี๋ยวมันก็ตามมา”

                คำตอบของนิวยิ่งทำให้โฟโต้ไม่เข้าใจในแผนการเข้าไปใหญ่ จนเขาได้แต่เงียบจนนิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในสมองน้อยๆ ของตนออกมา

                “คืองี้...” เจ้าตัวลุกขึ้นดึงเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดเสียงดัง “...เมื่อวาน มึงไลน์มาปรึกษากูใช่ป่ะ ว่าจะทำยังไงให้ไอ้ฮ่องเต้ยอมคุยกับมึง วันนี้ กูก็เลยนัดมันมาไง แต่กูไม่ได้บอกนะว่ามึงมาด้วย”

                โฟโต้พอจะจับใจความได้บ้าง จึงพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจไปให้ แต่ในใจก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีเพราะมันเป็นแผนที่ดูตื้นเกินไป แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั่งรอเวลาต่อไป กระทั่งพนักงานเดินเข้ามาที่โต๊ะ...

                และเหล้าพร้อมกับมิกเซอร์ก็ถูกวางลงตรงหน้าของเขา...

                ทำเอาคิ้วสองค้างวิ่งวุ่นเข้าหากัน พร้อมกับกลิ่นอายของแผนการร้ายที่มาพร้อมกับไอ้พวกของมึนเมาบนโต๊ะ สายตาของเขาได้แต่มองตามมือของนิวที่วุ่นวายอยู่กับการชงเหล้า กระทั่ง...

                แก้วในมือถูกยื่นมาตรงหน้า...

                “เอ่อ ผมไม่ดื่มครับ” โฟโต้ปฏิเสธออกไปเพราะยังคงไม่วางใจคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก

                จะมาไม้ไหนอีกวะ

            “มึงดื่มไปเหอะ ถ้ามึงเมา เดี๋ยวกูพากลับ” นิวยังคงพยักพเยิด ยื่นแก้วไปตรงหน้ารุ่นน้องอย่างไม่ยอมแพ้

                “แต่...ผมไม่อยากดื่ม” โฟโต้ยังคงตีเนียนทำตัวอ่อนต่อโลกและมองเครื่องดื่มในมือของรุ่นพี่พร้อมกับทำสีหน้าเหยเกใส่ “ผมขอไม่ดื่มได้ไหมครับ”

                “ไม่ได้!!” และนั่นทำเอานิวถึงกับลุกพรวดขึ้นมาร้องลั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้าหงอย “ถ้ามึงไม่ดื่ม ไอ้เต้ต้องเอากูตายแน่ๆ”

                “เกี่ยวอะไรกับพี่ฮ่องเต้ครับ?”

                นิวมองหน้ารุ่นน้องของตนและได้แต่ถอดถอนหายใจออกมา “ก็...ความจริงแล้ว ไอ้เต้เป็นคนสั่งให้กูทำแบบนี้”

                พี่ฮ่องเต้เนี่ยนะ จะให้ผมดื่มเหล้าไปทำไมกัน

            โฟโต้ได้แต่พึมพำในใจ ขณะรอคำอธิบายจากนิว

                “อันที่จริง หลังจากที่มึงส่งข้อความมาเล่าให้กูฟังเมื่อวาน กูเลยโทรไปหาไอ้เต้ บอกให้มันใจเย็นแล้วมาคุยกับมึงดีๆ  แต่มันกลับมาสั่งให้กูมาบังคับให้มึงดื่มเหล้าในโทษฐานที่กูเข้าข้างมึงอ่า แล้วถ้ากูทำไมสำเร็จ มันก็จะไม่ยอมติวให้กูอ่ะ กูยิ่งโง่ๆ อยู่ ถ้าไม่มีมัน กูต้องเรียนไม่จบแน่ๆ”

                นิวพยายามตีหน้าเศร้าเท้าความไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนี้

                “แล้วเนี่ย เมื่อกี้มันก็ส่งข้อความมาหาว่ามันเองก็มาถึงที่ร้านแล้ว แต่มันจะยอมออกมาคุยด้วยก็ต่อเมื่อมึงดื่มหมดนี่แล้ว...ไม่เมา”

                โฟโต้หันไปมองไอ้ หมดนี่ ของนิวที่วางอยู่บนโต๊ะและไอ้ หมดนี่ ที่ว่าก็หมายถึงเหล้าทั้งกลม...

                พร้อมกับสีหน้าลำบากใจที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดไว้ไม่มิด ถึงแม้เขาจะดื่มบ่อยและคอแข็ง แต่คนเดียวทั้งกลมแบบนี้ ก็ตายได้เหมือนกันเถอะ

                “มึงเองก็อยากจะคุยกับมันไม่ใช่เหรอ ถ้ามึงไม่ยอมทำตามที่มันสั่ง มันก็ไม่มีทางยอมคุยกับมึงแน่ๆ” นิวยังคงตะล่อมให้รุ่นน้องที่ตนหลงคิดว่าเป็นเด็กวัยสิบเก้าปีที่สุดแสนจะอ่อนต่อโลกต่อไป

                ทว่า...เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ

                โฟโต้ยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นแผนการของพี่ฮ่องเต้จริงๆ มันต้องมีอะไรมากว่านั้นเป็นแน่ โฟโต้จึงได้แต่นั่งเงียบอย่างคนกำลังทำใจสักพัก...

                เอาวะ ถ้าเกิดเขาคิดจะมอมจริงๆ เดี๋ยวค่อยแกล้งเมาเอาก็ได้

                “ก็ได้ครับ” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปคว้าแก้วมาจากนิว มองมันอยู่ชั่วอึดใจ แล้วค่อยจิบเข้าไปพร้อมกับทำสีหน้าเหยเกออกมาเพราะรสชาติเฝื่อนๆ ของเหล้าที่สัมผัสเข้ากับลิ้น

                “มึงไม่เคยกินเหล้าเหรอวะ” จนนิวต้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

                โฟโต้ทำเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเอียงอายมาให้ แบบที่ทำให้คนถามถึงกับสำนึกผิดและเอามือเกาหัวแกรกๆ

                ใครจะไปคิดว่าเด็กอย่างมันจะไม่เคยแตะของพวกนี้เลยล่ะวะ

            แต่กระนั้น เด็กตรงหน้าของนิวก็ค่อยรินเหล้าเข้าปากไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าแค่แก้วเดียวก็ไม่น่าจะรอด นิวแทบจะละสายตาไปจากรุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้เลย

                ปั้ก!

                เหล้าแก้วแรกหมดลงไปด้วยความยากลำบาก โฟโต้หลับตาลง พยายามกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอลงไปและได้แต่หายใจแรงๆ ออกมา

                “มึง...ไหวเปล่าวะ”

                “ไหว...ผมไหวครับ ขอแค่พี่เต้ยอมออกมาคุยกับผมก็พอ” โฟโต้จงใจจะสร้างภาพให้ตนน่าสงสาร ทั้งที่เหล้าแก้วเดียวที่ดื่มไปไม่แม้แต่จะสะกิดคอเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นแก้วกลับไปให้นิว “ต่อเลยครับ”

                นิวมองรุ่นน้องอย่างชั่งใจ ขณะที่รับแก้วมาชงเหล้าเพิ่ม

                ผมทำเกินไปหรือเปล่าวะ

            แม้จะกังวลเช่นนั้น หากแต่มือก็รีบชงเหล้าใส่แก้วและส่งกลับไปให้คนตรงหน้าอยู่ดี ขณะที่โฟโต้ยังคงตีมึนทำเป็นโงนเงนไปทีอย่างจงใจจะตบตารุ่นพี่ของตน สักพัก ก่อนที่เขาจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา...

                เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่ผลพวงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ เพราะดูเหมือนว่ามันจะไปกระตุ้นบางอย่างในร่างกายให้ตื่นตัวขึ้นมาจนน่าอึดอัด 

                พี่นิวใส่อะไรลงไปหรือเปล่าวะ

                แต่กระนั้น โฟโต้ก็ยังคงรับแก้วเหล้าจากนิวมาดื่มเป็นแก้วที่สองและตามมาด้วยแก้วที่สาม...

                “พี่...นิว หึๆ” โฟโต้แกล้งทำเป็นมึน ส่งแก้วเปล่าให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า “อีกแก้ว...จัดมาเลย!!”

                ระดับเสียงที่เริ่มจะดังขึ้น ทำให้นิวชักจะลังเลที่จะชงเหล้าเพิ่มให้คนตรงหน้า

                “กู...กูว่ามึงพอเหอะ” และก็ต้องร้องเตือนออกไปเพราะอาการที่ไม่น่าไว้วางใจของรุ่นน้อง

                “ไม่ครับ!!” โฟโต้เริ่มโวยวาย “ผมจะกิน! เดี๋ยวพี่เต้ไม่ยอมออกมาคุยกับโผ้มมมม อึก”

                “เออๆ กูชงให้ก็ได้วะ” แม้ปากจะว่าไปเช่นนั้น หากแต่ในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นเป็นเท่าตัว

                กูคิดผิดหรือเปล่าวะเนี่ย ที่ไปหลอกมันว่าเป็นแผนของไอ้เต้ ใครจะไปคิดว่ามันคออ่อนขนาดนี้วะ

            สายตาก็ได้แต่มองคนที่เอาแต่ทำหน้ามุ่ยด้วยความกังวล ก่อนที่มือจะยื่นแก้วกลับไปให้คนตรงหน้า ทว่า...

                ฟึบ!

                “เชี้ย!!” นิวร้องลั่น ลุกขึ้นมาดูอาการทันทีที่รุ่นน้องของตนฟุบหลับไปกับโต๊ะ “ไอ้โฟโต้ๆ!!”

                นิวพยายามเขย่าตัวเรียกชื่อรุ่นน้องของตน แต่โฟโต้เอาแต่พึมพำไปมาอย่างไร้สติอย่างที่คนวางแผนถึงกลับลอบยิ้มออกมา โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังถูกคนที่เด็กกว่าตลบหลังเข้าให้

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 20 มือของรุ่นพี่

                หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ฮ่องเต้ก็ต้องขับรถเข้ามาที่ร้านซ่อมรถในเวลาทุ่มกว่าๆ เหตุเพราะทางร้านโทรตาม หลังจากที่เขาลืมไปเสียสนิทว่าเป็นคนเอามอเตอร์ไซค์มาซ่อมให้โฟโต้

                “ฝากเอาไปส่งที่หอนี้เลยนะครับ” ฮ่องเต้บอกกับช่างซ่อม หลังจากจัดการจ่ายเงินค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากร้านและขับรถกลับหอทันที

                ที่เขาต้องสั่งให้ช่างเอารถไปส่งที่หอโฟโต้แบบนั้น ก็เพราะไม่อยากเจอเด็กปีหนึ่งคนนั้นในเวลาที่เขากำลังว้าวุ่นใจอยู่เช่นนี้ นอกจากมันจะทำให้เขาทำตัวไม่ถูกแล้ว มันทำให้เขาหวาดกลัวเสียจนอยากจะหนีไปให้ไกล

                แม้ว่าในใจจะรู้สึกดีกับการมีเด็กคนนั้นคอยกวนอยู่ตลอดก็ตาม...

                แววตาของคนที่โตกว่าอย่างเขายังคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาใจเต้นแรงทุกครั้งที่เด็กคนนั้นเข้าใกล้ แถมยังประหม่าเสียจนทำอะไรไม่ถูกและถ้าเขารู้ตัวตั้งแต่แรก คงไม่ปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้เป็นไปเช่นนี้

                แต่เรื่องของความรู้สึก มันห้ามได้ที่ไหนกัน

            เสียงหนึ่งทำเอาคนที่กำลังจะโทษวันเวลาที่ผ่านมาต้องชะงัก พลันถอนหายใจหนักๆ ออกมาที

                ก็เพราะว่ามันห้ามไม่ได้ไม่ใช่หรือ เขาถึงได้หวั่นใจอยู่เช่นนี้

            ฮ่องเต้ขับรถมาถึงหอของตนเองและดับเครื่องยนต์ หากแต่ร่างกายกลับหนักอึ้ง จนเจ้าตัวต้องเอนหลังนั่งนิ่ง ปล่อยมือจากพวงมาลัยพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย คิดไม่ตกกับเรื่องของรุ่นน้องที่เขาเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันได้กลายมาเป็น คนสำคัญ ในความรู้สึกของเขา

                ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาทีและตัดสินใจคว้ากระเป๋าเป้ ลงจากรถและเดินเข้าไปในหอพักด้วยท่าทีอ่อนแรงราวกับนักศึกษาที่เพิ่งจะผ่านสงครามการสอบและกองงานมาหมาดๆ

                แต่ความจริงมันคือสงครามความรู้สึกของผมเองต่างหาก

            แถมดูเหมือนว่าสงครามในครั้งนี้ จะไม่จบลงง่ายๆ เสียด้วย

                ผมควรจะจัดการยังไงกับความรู้สึกของตัวเองกัน

            ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบตั้งตัวไม่ติดและเขาก็รู้ดีว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่านั่นมันคืออะไร...

                ทั้งไอ้การที่เขาไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเขาชอบคนอื่น ทั้งไอ้การที่เขาเอาแต่หงุดหงิดในที่อีกฝ่ายโกหก เพียงเพื่อที่จะให้เขาไปอยู่กับคนอื่น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนผลักไสอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเรื่องที่เขากระวนกระวายใจกับอาการบาดเจ็บของมัน ในหัวของเขาเอาแต่คิดตลอดว่ามันจะเดินทางไปสะดวกไหม ทั้งที่มันนั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนก็ได้ แต่เขาก็อยากจะไปรับเพราะคิดไปว่ามันคงนั่งรถแบบนั้นไปเรียนไม่สะดวกแน่

                กระทั่งเรื่องที่เขาหงุดหงิดใจที่ฝ้ายเป็นคนไปรับโฟโต้ที่โรงพยาบาล ทั้งที่เขาอุตส่าห์จะไปรับ...

                ทั้งหมดนี้ มันออกจะชัดเจนว่าในหัวของเขา มีแต่เรื่องของเด็กที่ชื่อโฟโต้

            และมันก็มีเหตุผลเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น แต่เขาจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้จริงๆ เหรอ เขาควรจะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกต่อไปเรื่อยๆ  และสุดท้าย จะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้สึกมากขึ้นเพราะคนข้างกายเขาในเวลานี้ คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาไปมากกว่า รุ่นพี่

            แล้วมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบผู้ชายด้วย

            เป็นความจริงอีกข้อที่ฮ่องเต้เพิ่งจะมานึกขึ้นได้ ความจริงที่ว่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนบนโลก จะรู้สึกกับผู้ชายด้วยกันและถ้าโฟโต้เองเป็นแบบนั้น มันก็มีแต่จะพาลมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

                และนั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องส่ายหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไป แล้วเดินเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างคนที่พยายามจะไม่คิดมาก

  (มีต่อ....)


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
(ต่อ...)
                เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว...

                ฮ่องเต้ยังคงหมกตัวอยู่แต่ในห้อง หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะและพยายามจดจ่อกับกองงานตรงหน้า ทว่าจนแล้วจนเล่า...ภาพเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาฉายซ้ำให้คนหน้าใสต้องขมวดคิ้วแน่น

                “ไม่คิด กูต้องไม่คิด” พลางหลับตาลงอย่างพยายามจะตั้งสติ แล้วค่อยลืมตาขึ้นมาพร้อมกับพ่นลมออกมาจากปาก และหันไปจับปากกา ลงมือเขียนงานต่อ

                แต่แล้ว...

                “พี่โกรธผม...”

            เสียงหนึ่งก็ผุดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ทำเอามือถึงกับชะงัก

                “...ทั้งที่ผมแค่อยากให้พี่คุยกับผม ยิ้มให้ผมเหมือนกับที่พี่ทำกับรุ่นน้องคนอื่น ผมเลยต้องตามง้อ แต่พี่คงโกรธจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าผม”

                ...

                “ผมเลยต้องตามง้อ...”

            เพียงแค่ประโยคนั้นก็สามารถทำให้หัวใจของคนเป็นพี่ทำงานหนักมากขึ้นเท่าตัว สายตาของเขาหันไปมองมือถือที่วางอยู่ข้างๆ  ซึ่งเขาได้แตะมันเพียงแค่ไม่กี่นาที ในตอนที่ต้องคุยกับช่างซ่อมที่โทรมาบอกให้เขาเข้าไปเอามอเตอร์ไซค์ ก่อนที่มือจะค่อยขยับไปหยิบมันขึ้นมา

                มิสคอลที่ปรากฏบนหน้าจอทำเอาคนที่โตกว่าวูบวาบข้างในอก อีกทั้งข้อความที่เขาไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่าน เป็นข้อความที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน ภายหลังไม่กี่ชั่วโมงที่เขาเป็นฝ่ายแพ้และหนีกลับมาก่อน ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่วางมันกลับลงที่เดิมเพราะรู้ตัวดี ว่าเขากำลังใจอ่อนกับเด็กปีหนึ่งคนนี้

                “ไม่คิดเรื่องมันสักนาทีไม่ได้เลยเหรอวะ” ฮ่องเต้บ่นพึมพำกับตัวเอง สีหน้าติดจะกังวลใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น ก่อนจะส่ายหน้าไล่ความคิดทั้งหมดออกจากหัวและหันไปจับปากกาอีกครั้ง ทว่า...

                เสียงเคาะประตูกลับฉุดเขาออกมาจากกองงานตรงหน้าและคิดว่าใครกันที่มาเคาะประตูในเวลาเกือบสองทุ่มเช่นนี้ แล้วสองเท้าก็พาร่างเดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะเปิดมันออก...

                “ไอ้นิว!?” ร้องออกไปแบบงงๆ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนของเขาที่มาเคาะประตูห้องในเวลาแบบนี้ หากแต่สายตากลับมองผ่านไปยังอีกคน

                อีกคน...ที่คอยแต่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา

                หากแต่ครั้งนี้กลับมาเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่เพียงแค่เสียงที่ดังในความคิดของเขา

                “ฝากหน่อยดิวะ แม่งเมาไม่รู้เรื่องเลยเว้ย” นิวร้องบอก พยายามทรงตัว แบกคนที่เขาเพิ่งจะบอกว่าเมาไม่รู้เรื่องเอาไว้พร้อมกับมองเพื่อนด้วยสายตาอ้อนวอนแบบสุดๆ

                “ฝากอะไร ทำไมมึงไม่พามันกลับหอวะ” ฮ่องเต้ชักจะลนลานเพราะเขาไม่อยากจะเจอโฟโต้ในเวลานี้

                “ก็...” นิวชะงักปากที่กำลังจะบอกว่าไม่รู้จักหอของโฟโต้ เพราะเพิ่งจะมานึกเอาได้ว่าไอ้คนที่เขาแบกมาด้วย มันอยู่หอเดียวกันกับเขา

                “...เออ คือ...” อึกอักไปชั่วครูอย่างคนหาคำพูดไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตีเนียนร้องออกมา เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เฮ้ย ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงเลยนะเว้ย”

                และมันก็ทำให้คนที่ถูกโยนความผิดมาใส่ต้องชักสีหน้าหงุดหงิด “เกี่ยวอะไรกับกู กูไม่ได้ไปสั่งให้มันแดกเหล้าเสียหน่อย”

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ “แล้วมึงไปเจอมันได้ยังไง”

                “อะ...อะไร มึงอย่ามามองเหมือนว่ากูไปมอมเหล้ามันมานะเว้ย” นิวร้องเสียงหลงเพราะเจอสายตาดุดันจากฝ่ายตรงข้ามที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าเขา

                “แล้วมันจริงไหมล่ะ”

                “กูเปล่านะเว้ย กูก็ไปหาแดกของกูอ่ะ แล้วไอ้โฟโต้มันก็เมาเดินเข้าทัก มันมาถามถึงมึง พอกูบอกว่ากูไม่รู้ มันก็มาเพ้อเรื่องที่มึงไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมตอบข้อความมันให้กูฟัง กูก็เลยพามันมาหามึงนี่ไง”

                ว่าเสร็จ เจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่เพราะพล่ามออกไปแบบลืมหายใจไปชั่วขณะ

                “มึงนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุให้น้องมันแดกเหล้า มึงต้องรับผิดชอบนะเว้ย”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาหงุดหงิดไปทางคนพูดมากและเลยไปทางคนที่เมาเลื้อยไปกอดรุ่นพี่ของตนอย่างไร้สติ

                “แต่กูก็ไม่ได้ไปบังคับให้มันแดก มึงเป็นคนไปเจอมันนี่ มึงก็พามันไปนอนด้วยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้รวบรัดตัดความอย่างไร้เยื่อใย แม้ในใจจะโอนอ่อนไปบ้างกับการที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้โฟโต้มีสภาพเช่นนี้ และได้แต่คว้าลูกบิด กะจะปิดประตูใส่และเดินกลับเข้าห้องไป ทว่า...

                “เพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัสใช่ไหม มึงถึงเอาแต่หนีแบบนี้” นิวกลับตะโกนขัดเข้าเสียก่อนและดูเหมือนว่าคำพูดนั้น จะทำให้คนที่คิดแต่จะหนีถึงกับหันขวับกลับมามองหน้าเพื่อนของตน ด้วยสายตาที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้

                เพราะมันปนเปไปด้วยหลากอารมณ์เสียจนเจ้าตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าควรจะเรียกมันว่าอะไร เพียงแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกปวดหนึบที่ใจขึ้นมาได้

                “มึงไม่คิดที่จะเปิดใจรับอะไรบ้างเลยเหรอวะ”

                อะไร ที่นิวว่าก็หมายถึง ใครสักคน อย่างคนที่เมาหมดสภาพ (แต่เพียงเปลือกนอก) หากแต่ยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์พอที่จะรับรู้ทุกอย่าง แม้ว่าเปลือกตายังคงหลับอยู่เช่นนั้น

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้านิวด้วยความกระอักกระอวน สักพัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำว่า...

                “ใจของกูมันตายด้านไปแล้ว”

                ทว่ามันกลับเป็นคำพูดที่ทำเอาคนขี้เล่นและอารมณ์ดีมาตลอดถึงกับจี๊ดตาม

                “ถ้าอย่างนั้น มึงก็ช่วยชัดเจนกับมันในฐานะ พี่น้อง ด้วย อย่างน้อย ก็เคลียร์ให้รู้เรื่องว่าไอ้การที่มึงโกรธ มึงนอยด์จนไม่ยอมคุยกับน้องมันอยู่นี่ มันคืออะไร”

                ก่อนที่นิวจะสบสายตาจริงจังกับฮ่องเต้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “มึงก็น่าจะรู้ดีว่าการเป็น ฝ่ายเดียว มันรู้สึกยังไง”

                ฮ่องเต้รู้ดีว่านิวกำลังพูดถึงอดีตที่ทำให้เขาเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองออกจากทุกคนที่เข้ามา โดยเฉพาะกับสายรหัสและสายเทคของตน มันเป็นความทรงจำที่เขาไม่อาจจะลบเลือนมันไปได้เลยแม้แต่สักวินาทีเดียว

                เพราะว่ารักมาก...มันก็เลยเจ็บมาก

            และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจออกห่างจากโฟโต้ แม้ว่าภายในใจของเขาจะรู้สึกและภายในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องของเด็กที่ชื่อว่าโฟโต้ สายรหัสปีหนึ่งของเขาก็ตาม

                ท่ามกลางความเงียบระหว่างรุ่นพี่ทั้งสอง...

                โฟโต้เองกลับรู้สึกถึงบางอย่าง เขาเริ่มจะเดาได้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของนิวที่คิดจะมอมเหล้าเขาและพามาส่งให้ฮ่องเต้ เพื่อที่เขาจะได้มีเวลาและเผื่อว่าช่วงเวลานั้น จะช่วยคลายปัญหาทุกอย่างระหว่างเขากับฮ่องเต้ได้

                นั่นคือสิ่งที่เขาเข้าใจ...

                แต่ไอ้ที่ไม่เข้าใจก็คือ...ไอ้อาการแปลกๆ ที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่มันทำให้เขาทั้งอึดอัดและแทบจะทนไม่ไหว เสียจนต้องนิ่วหน้าอย่างพยายามจะระงับอาการปวดหนึบที่ช่วงล่าง

                แต่เขาก็ยังไม่อยากจะคิดว่านิวจะใส่อะไรอย่างว่าลงไปให้เขากินได้เพราะตอนที่นิวชงเหล้าให้ เขาก็ยังมีสติที่จะสังเกตว่านิวไม่ได้เอาอะไรแปลกๆ อย่างเช่นพวกยาปลุกอารมณ์ใส่ลงไป แล้วทำไมเขาถึงได้เป็นแบบนี้...

                ไม่ไหว...มันไม่ไหวแล้ว

            โฟโต้เริ่มหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมเพราะฤทธิ์ของของแปลกๆ ที่เผลอกินเข้าไป จึงได้แต่กำมือแน่นและคลายออกอย่างหาที่รองรับอารมณ์ไม่ได้ และหากเป็นแบบนี้ ไปเรื่อยๆ เขาต้องทรมานตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ

                ถือว่าพี่นิวเปิดทางให้เองก็แล้วกัน

            เมื่อคิดเช่นนั้น โฟโต้ก็ทำทีทิ้งร่างและโน้มตัวลงไปข้างหน้าอย่างพอจะเดาได้ว่าฮ่องเต้ยืนอยู่ตรงนั้น เสียจนฮ่องเต้กับนิวร้องเสียงหลง แต่โฟโต้ก็ไวพอที่จะคว้าหมับเข้าที่ร่างของฮ่องเต้และทิ้งน้ำหนักตัวไปที่รุ่นพี่ปีสี่ของเขาเพื่อถ่วงไม่ให้ฮ่องเต้หนี ส่วนนิวกลับยกยิ้มอย่างพอใจ

                “ขนาดมันเมาหมดสติขนาดนี้ มันยังเลือกที่จะอยู่กับมึงเลย” นิวเหน็บแหนมจนฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะสบสายตาจริงจังอีกครั้ง

                “มึงจะคิดอะไร มันก็เรื่องของมึง แต่ทางที่ดี...กูว่าให้ทุกอย่างมันจบลงภายในห้องนี้ หลังจากที่พวกมึงสองคนก้าวออกมา ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงก็เรื่องของพวกมึง ในฐานะเพื่อน กูก็ทำได้แค่นี้แหละ”   

                ก่อนที่นิวจะรีบเดินหนีออกไป แบบที่ฮ่องเต้ไม่ทันจะรั้งเพราะร่างของโฟโต้ที่ถ่วงเอาไว้อย่างจงใจ จึงได้แต่หันกลับมามองคนที่กอดเกี่ยวร่างของตนไว้พร้อมกับซบหน้าเข้าที่ไหล่ด้วยสายตาที่ไม่รู้จะเอายังไงกับเด็กคนนี้ดี ตรงข้ามกับโฟโต้ที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลัง...มากขึ้น

                กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายของคนที่เขาชอบ สัมผัสจากการกอดที่ยิ่งไปกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง

                ได้โปรดเถอะครับ พาผมเข้าไป...

            เขาได้แต่ภาวนาในใจเช่นนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่ยืนนิ่งเงียบ สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาและค่อยเอื้อมมือไปปิดพร้อมทั้งล็อคประตูเสียงดัง...

                แกร๊ก!

                เท่านั้น เสือร้ายก็ลอบยิ้มออกมาอย่างได้ใจ ขณะที่ถูกพยุงเข้าไปข้างในห้องและพามาที่เตียง...

                เมื่อร่างสัมผัสกับผ้าปูที่นอนและหัวแตะหมอนนุ่มๆ บนเตียง ฮ่องเต้ก็เอาแต่ยืนจับจ้องใบหน้านั้นอยู่พักหนึ่ง อาจจะเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์และเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาและตัดสินใจไปหยิบผ้าชุบน้ำ ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง

                “กูกลัวว่ามึงจะไม่สบายตัวแล้วป่วยหรอกนะ” ฮ่องเต้ว่าพลางทำใจอยู่นาน ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างของคนที่เมาไม่รู้เรื่อง

                เอาวะ คิดเสียว่ามันเป็นไอ้สีฝุ่นก็แล้วกัน     

            เพราะเขาเองก็เคยต้องดูแลลูกพี่ลูกน้องของตนตอนเมาอยู่บ่อยๆ จึงพยายามคิดเพื่อลดทอนอาการร้อนผ่าวในตัว แล้วจึงเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด

                แล้วมือจะสั่นทำเชี่ยอะไรวะ

            หากแต่เพราะความประหม่าจึงทำให้มือของเขาสั่นและดูเงอะงะไปในที ราวกับเด็กไม่เคยแกะกระดุมเสื้อ โดยหารู้ไหมว่าสัมผัสเช่นนั้น กลับทำให้โฟโต้...รู้สึกดี

                น่ารักฉิบหาย

            ทว่ากลับทำได้เพียงแค่ลอบยิ้มอยู่ในใจ ขณะที่ฮ่องเต้ก็จัดการปลดกระดุมกระทั่งเม็ดสุดท้ายและพยุงตัวโฟโต้ขึ้นมาเพื่อถอดเสื้อออก แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะเฝือกที่แขน

                “เจ็บแขนจนต้องใส่เฝือกขนาดนี้ ยังมีน่าไปแดกเหล้าอีกนะ” ฮ่องเต้เผลอหลุดปากบ่นออกมาตามประสา แต่มันกลับยิ่งทำให้คนที่ได้ฟังหัวใจพองโตขึ้นมาเพราะคิดไปว่าคนที่โตกว่ากำลังเป็นห่วงเขา

                พี่ฮ่องเต้ยังไงก็คือพี่ฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ

            และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเคยบอกว่าคนอย่างฮ่องเต้เดาได้ไม่ยาก ก่อนที่ความเย็นจะสัมผัสลงบนตัวของโฟโต้ ทำเอาเจ้าตัวแอบสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มจะกลับมาวนเวียนในร่างกายของเขาอีกหน

                เชี่ยละ แบบนี้มันก็ยิ่งไปกระตุ้นดิวะ

            เขาเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าของเก่ายังไม่ทันจะสงบดี เพราะถูกกระตุ้นด้วยผ้าเย็นๆ และสัมผัสอันเบาบาง มันก็ยิ่งกลับทำให้ภายในตัวของเขาร้อนผ่าวมากขึ้นไปอีก

                ขณะที่ฮ่องเต้ยังคงหวังดี ช่วยเช็ดตัวให้อย่างไม่รู้ว่ากำลังไปปลุกเสือร้ายภายในตัวเด็กปีหนึ่งที่ทำทีเป็นหลับใหลอยู่ ค่อยไล่เช็ดลำคอขาวที่กำลังลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อย่างเสือร้ายที่กำลังเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า ลงมาบนกล้ามเนื้อหน้าอกที่ชื้นไปด้วยเหงื่อและลากผ่านกระทั่งหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อพอขึ้นเป็นรูปให้ได้เห็น...

                ซ่อนรูปเหรอวะ

            ฮ่องเต้เองก็แอบลอบกลืนน้ำลาย เมื่อสายตาเผลอมองสำรวจแผ่นอกกว้างและกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่าลืมตัว จนมือของเขาเผลอไผลไปเช็ดวนอยู่ตรงกล้ามเนื้อหน้าอก จนหนุ่มรุ่นน้องเผลอกัดปากตามเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเสียจนแกนกายเริ่มกระตุกวูบและตุ่มบนยอดกล้ามเนื้อหน้าอกเริ่มแข็งเป็นไตขึ้นมา

                 เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เพราะฮ่องเต้เองก็เริ่มจะรู้สึกตัวร้อนไปตามๆ กัน จึงรีบผละออกมาอย่างเริ่มจะรู้สึกตัวได้

                คิดเชี่ยอะไรของมึงวะ ไอ้เต้!

                หรือมันอาจจะเป็นเพราะลึกๆ แล้ว เขาเองก็รู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นกัน จึงทำให้ความรู้สึกทั้งหมดมันง่ายกับทุกการสัมผัส ขณะที่อีกฝ่าย...

            เมื่อเขาเริ่มจะทนไม่ไหว  คนเจ้าเล่ห์ก็เอามือปัดป่ายไปทั่วอย่างจงใจและใช้มือหนึ่งคว้าเข้าที่แขนจนฮ่องเต้สะดุ้ง ปล่อยผ้าให้ร่วงจากมือพร้อมทั้งหันลับมามองคนคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้ว

                “พี่เต้...พี่เต้ใช่ไหม”

                ฮ่องเต้แอบใจคอไม่ดีที่จู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็ละเมอออกมา สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา พร้อมกับคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันแน่น แถมสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังทุกข์ทรมานกับฝันร้าย

                “ช่วย...ช่วยผมด้วย”

                เสียงแหบพร่าทำเอาร่างของคนที่โตกว่าชาวาบ เขามุ่นคิ้วมองไปยังเด็กปีหนึ่งที่กำลังขยับไปมาอย่างต้องการจะหาที่พึ่ง สักพักก็เริ่มดิ้นพล่านพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มจะไหลลงมาจากเส้นผม

                “ผมไม่ไหว...มันไม่ไหวแล้ว”

                ก่อนที่มือจะถูกลากไปคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงซึ่งกำลังมีอะไรบางอย่างดันออกมาจนขึ้นรูป แบบที่ฮ่องเต้ก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

                “เชี่ยอะไรของมึงเนี่ย!!” แม้ปากจะร้องโวยวาย หากแต่มือกลับถูกบังคับให้ลูบไปตามรอยนูนบนกางเกงอยู่เช่นนั้น จนผิวขาวเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความอาย ขณะอีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงออกมาจากลำคออย่างพอใจ แบบชวนให้คนที่กำลังสัมผัสส่วนนั้นอยู่ถึงกับหน้าร้อนผ่าว

                “ช่วยผม...นะครับ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาอย่างพยายามจะออดอ้อน เสียจนฮ่องเต้มือไม้สั่นอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาของคนที่ไม่คิดว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาตอนนี้

              (มีต่อ....)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด