แหวนแต่งงานของผม (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ที่มาของแหวน ตอนที่ 1
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แหวนแต่งงานของผม (จบแล้ว) ตอนพิเศษ ที่มาของแหวน ตอนที่ 1  (อ่าน 20216 ครั้ง)

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




แหวนแต่งงานของผม




“ไม่มีใครทนกินเมนูเดิม รสเดิม ไปได้ทุกมื้อหรอกใช่ไหม”
“ใช่”

“ไม่มีใครดูหนังเรื่องเดิมตลอดชีวิตโดยไม่สนใจเรื่องใหม่ว่าไหม”
“ก็คงใช่”

“ไม่มีใครเลือกเที่ยวแต่ที่เดิมโดยไม่อยากไปที่อื่นบ้าง”
“ก็ถูก”

“แล้วคิดว่ามันจะมีไหมละคนที่รักแต่คนเดิมไปตลอดชีวิตหนะ”
“.....................................”



สองคนที่คบกัน ต้องรักกันมากแค่ไหนถึงจะพอ
กับคำว่า ตลอดไป



บทนำ
ไม่เคยมีแต่ต้นแล้ว ก็ให้มันไม่มีต่อไปนั่นแหละไม่เป็นไรหรอกมั้ง

 :n1:



สารบัญ

Chapter 1
Chapter 2
Chapter 3
Chapter 4
Chapter 5
Chapter 6
Chapter 7
Chapter 8
Chapter 9
Chapter 10
Chapter 11
Chapter 12
The End
ตอนพิเศษ “หมอติ”




ผลงานเรื่องอื่นๆ


สายลมและคมมีด

เรือผี

ซ่อนแอบ Hide and seek

เช่นทินกรอ่อนแสง

 :mew1: :pig2: :bye2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2018 20:59:43 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 1 ลืม
«ตอบ #1 เมื่อ04-11-2018 14:42:30 »

ตอน 1

ลืม


แหวนสองวง ความรักของคนหนึ่งที่มอบให้อีกคนหนึ่ง

ใครสักคนคิดว่าวงกลมที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด

แต่เรื่องพวกนั้นมันไม่ดูหลอกตัวเองไปหน่อยเหรอ

รู้อยู่ว่ารักตลอดไปมันมีแค่ในนิยาย สุดท้ายไม่หมดรัก ก็หมดลมตายจากอยู่ดี





“ปีที่ห้าเกือบได้หมั้น ถ้าไม่ติดที่มันไปเป็นพ่อของลูกคนอื่นซะก่อน” วิว หรือ วิววรรณบอกเล่าประสบการณ์รันทดในอดีตของเธอ ก็ไม่แปลก เธอขี้วีน เอาแต่ใจ และติดแฟนจนเกินไป ผู้ชายมักจะคิดว่าผู้หญิงมีให้เลือกไปเรื่อยๆ พวกเขาแค่อยากได้แต่ไม่ชอบโดนเป็นเจ้าของ

วิว เป็นเคสสนับสนุนประโยคที่ว่า คนที่คบกับคนที่จะเป็นแม่ของลูก มักจะเป็นคนละคนกัน

“ไม่รอดตอนปีที่สาม เขาว่ากูดีเกินไป” นนท์นทีเดือนคณะสูงยาวขาวหล่อ เขารักเดียวใจเดียว เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ บางทีเขาอาจมีข้อเสียอื่นที่คนเป็นแฟนเท่านั้นจะเข้าใจ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

นนท์ เป็นเคสสนับสนุนประโยคที่ว่า ผู้หญิงไม่ชอบคนดี

“กูเหรอ อืมมม....” นาย ชื่อเต็ม นายรวิทย์ ก้มนับนิ้วตัวเองเหมือนไม่แน่ใจในข้อมูลที่จำได้ ทุกคนพากันส่ายหัวระอาใจกับท่าเคาะโต๊ะคิดหนักนั้น ก็นายไม่เคยคบใครเกินสองเดือนยังจะกล้านับ

นายเป็นแฝดนนท์ แต่นิสัยต่างกันทุกอย่าง ย้ำว่าทุกอย่าง มันเป็นเคสสนับสนุนประโยคที่ว่า ผู้หญิงชอบคนเลว



“ตามึงน้องทราย” การที่ผมหน้าเด็กกว่าพวกมัน จนเหมือนเฟรชชี่มากกว่าพี่ปีสี่ ทำให้พวกมันอิจฉาแล้วพาลมาเรียกผมว่า ‘น้อง’ ‘ทราย’ ไม่ค่อยชอบใจแต่ขี้เกียจเถียงปล่อยเลยตามเลย มันก็แค่ชื่ออยากเรียกอะไรก็ช่าง

ผมแวร์ซาย เพราะพ่อกับแม่เจอกันที่ประราชวังแวร์ซายย์แล้วรักกัน ชื่อจริง นายท่องพิภพ นามสกุล เวทย์สาคร ก็มาจากที่พ่อกับแม่ชอบเที่ยวอีกนั่นแหละ ท่องพิภพ ชื่อแปลกดีผมชอบ ทว่าพวกเพื่อนกลับเรียกผมว่า พิภพ จบสาคร ชื่อเล่นก็เปลี่ยนเป็น ทราย แม้จะอธิบายจนเบื่อ ว่ากูชื่อ ซาย ไม่ใช่ทราย คือมันคนละความหมายกันเลยนะ ทรายมันชื่อผู้หญิงไหมเล่า โว๊ะ! สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ คิดต่อว่ามันก็แค่ชื่อ จะเรียกอะไรก็ช่าง

ผมค่อนข้างโดดเด่นในจุดที่ผมอยู่ หน้าหวานอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง ผิวใส สูงโปร่ง เอวบาง เพื่อนต่างนิยามรูปลักษณ์ภายนอกของผมว่า ‘มีเสน่ห์’ มันเลยทำให้ผมติดจะเอาแต่ใจ และไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นเท่าที่ควร

เงยหน้าขึ้นจากรายงานของเพื่อน เจอสายตาเพื่อนทั้งกลุ่มรอคำตอบผมอยู่

“ไม่มีประสบการณ์วะ โทษทีนะออย กูไม่เคยเลิกกับแฟน”

แล้วทำหน้าขิงใส่พวกมัน (ขิงเป็นศัพท์สแลง อารมณ์ข่ม เย้ย โชว์เหนือ) “รำ”

“คาญ”

“มากกกกกก”

หนึ่งสาวกับแฝดสองคนรวมหัวกันสร้างประโยคสั้นๆ ใส่หน้าผม ส่วนออยคนเก็บข้อมูลได้แต่บึนปากทำตาเหล่ พูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้พวกนี้

“ว่าไปมึงก็คบพี่ตินานมากเลยเนอะกี่ปีแล้ววะ” วิวถามโดยที่ตายังจับจ้องแต่สีเล็บลายใหม่ทำมาเมื่อวาน สองร้อยห้าสิบบาท รอนานสองชั่วโมง อะไรทำให้ผู้หญิงคิดว่าถ้ามีเล็บลายเสือดาวแล้ว พวกเธอจะดูน่าสนใจขึ้น บางทีผมอาจเข้าไม่ถึงเรื่องศิลปะบนร่างกายมั้ง

“อีกสี่เดือนครบเจ็ดปีอ่ะ” ผมตอบไม่ยินดียินร้าย ยื่นรายงานคืนให้ออยแล้วยกสองแขนชูขึ้น ขยับหัวไปมา เป้าหมายคือคลายกล้ามเนื้อให้หายตึง

“พูดถึงผัวทำเสียงเบื่อโลกเลยนะมึง จำตอนดราม่าที่บ้านเขาไม่ยอมรับมึงได้ไหม กูนี่ไม่ได้หลับได้นอนเป็นเดือนกับมึงไปด้วย” คนพูดชื่อออยเพื่อนสนิทผมตั้งแต่ประถม อยู่กับผมทุกช่วงชีวิต สนิทกว่าแฟนก็นางสาวฟารานิษย์นี่แหละ

“จำด้าย แต่แบบพวกมึงไม่เคยถึงจุดแบบกู พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก” อันนี้ผมไม่ได้ขิงนะ บางเรื่องต้องมีประสบการณ์ถึงจะอินไง

“จ๊ะ กูไม่เคยคบใครนานเท่ามึง แล้วมันยังไงกันล๊า” วิววางมือลงบนบ่าผมตั้งคำถามจริงจัง

“พูดมาเถอะ กูจะเอาไปเขียนรายงาน ไม่ได้อยากเสือกเรื่องใต้เตียงมึงนักหรอก” ไอ่ออยมันอ้างมาแบบนั้น

เหตุผลพวกเราต้องมานั่งเล่าประสบการณ์ความรัก ประหนึ่งถูกเชิญออกรายการพี่อ้อยพี่ฉอด เพราะออยมันจะเอาข้อมูลไปทำรายงานวิชาปรัชญาความเชื่ออะไรของมันสักอย่างนี้แหละ ที่ผมสนใจก็คงเป็นคำนิยามของรายงานมัน อ่านวนซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ

แหวนสองวง ความรักของคนหนึ่งที่มอบให้อีกคนหนึ่ง

ใครสักคนคิดว่าวงกลมที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด

แต่เรื่องพวกนั้นมันไม่ดูหลอกตัวเองไปหน่อยเหรอ

รู้กันอยู่ว่ารักตลอดไปมันมีแค่ในนิยาย สุดท้ายไม่หมดรัก ก็หมดลมตายจากอยู่ดี



ใจลอยเผลอสัมผัสแหวนเงินที่ห้อยคอตัวเอง เป็นแหวนคู่แต่ผมไม่ใส่แหวน

เลยขอคนให้ว่าห้อยคอแทนได้ไหม แม้จะไม่มีโอกาสได้อยู่บนนิ้วอย่างที่คนให้ตั้งใจ แต่มันก็อยู่บนคอผมตลอดมาตั้งแต่วันที่เขาให้

“มึงกับพี่ติเริ่มอิ่มตัว” ไม่น่าเชื่อว่าคำจริงจังดูมีสาระนั้นมาจากนาย วายร้ายของกลุ่ม นนท์แฝดพี่รีบเหน็บกลับ

“เห๊อะ คนลองรักเล่นๆ แบบมึงรู้จักคำว่าอิ่มตัวด้วยเหรอนาย”

“เพราะกูก็รู้ไง ว่ารักที่เนิ่นนาน มันจะจืดและชืดจนเจือจาง กูเลยไม่เคยคบใครนานไม่ใช่อิ่มตัวก่อนถึงจะเท ความรักมันก็มีความสุขแค่ช่วงจีบ กับตอนได้กันใหม่ๆ เท่านั้นแหละโว้ย”

ได้ทีนายยิงคำคมอีกรัวๆ โดนใครบ้างไม่รู้ แต่ใจผมถึงกับพรุน

“ขออีกทีกูจดไม่ทัน อะไรต้มจืดนะ” ออยจับปากกาจรดกระดาษเตรียมจด

“ต้มจืดอะไรล่ะ มึงหิวแล้ว ฟังนะกูพูดอีกรอบเดียว จืดและชืดจนเจือจาง”

เหมือนมีใครมาลดโวลุ่มเสียงเพื่อนสองคนลง แล้วเพิ่มระดับเสียงความคิดในหัวดังขึ้นมาแทน

รักที่เนิ่นนานมัน ก็จืดชืด จนเจือจาง

ภาพเปรียบเทียบแจ่มชัด จนเผลอร้องอุทานเป็นชื่อสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง เมื่อก่อนผมกับพี่ตินอนกอดกัน ผมจมอกเขาทั้งคืน ไม่ว่าจะร้อนหนาวฝนหรือแดดออก ส่วนตอนนี้ ต่างคนต่างนอน ผ้าห่มคนละผืน หมอนคนละใบ บางคืนมีหมอนข้างกั้นเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อก่อน ไม่เห็นหน้าเขากินข้าวไม่ลง ส่วนตอนนี้ เอาที่สะดวกท้องไม่ได้ติดกัน

เมื่อก่อนผมใส่แค่เสื้อขาวไม่บางอะไรยังโดนบ่น ส่วนตอนนี้เหรอ ถอดเสื้อเล่นบอลยังไม่ว่าสักคำ

เมื่อก่อนไอ่นนท์ไอ่นายเดินกอดคอผม พี่ติยังมองตาแทบหลุด ส่วนตอนนี้เหรอ เพื่อนเขามาแอบหอมแก้มผม ยังยืนขำใส่

เมื่อก่อนเวลางอนกันผมหนีกลับไปนอนบ้าน วิ่งโร่ไปตามกลับทั้งที่ผมยังไปไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ ส่วนตอนนี้ไม่ตามไม่ถามด้วย จะอยู่ด็ดีใจ จะไปก็ยินดี อย่างนั้นละมั้ง

เมื่อก่อนโดนกินแทบทุกคน คืนละกี่รอบไม่ต้องนับ เพราะหลับคาอก ส่วนตอนนี้ถ้ำแล้งมาหลายปี เมฆที่มีก็ไม่เคยตกมาเป็นฝน เรื่องปรกติที่เราเคยเสพติดกันกลายเป็นวาระพิเศษที่โลกต้องรอคอย ไม่ต้องถามว่ากี่รอบแค่เกือบๆ จะได้กันยังขอนับ เพราะไม่งั้นมันไม่มีให้นับแล้ว

เมื่อก่อนตื่นมาผมจะสะอาดทั้งตัวทั่วร่อง เสื้อผ้าใส่ให้แถมกอดไว้ไม่ให้ห่างส่วนตอนนี้ เสร็จสมต่างคนต่างหลับ ตัวแทบไม่แตะกันเลยจะดีกว่า



“ไอ้น้องทราย!!” เสียงนายตะโกนเรียกผมจนขี้หูเต้นระบำ

“ใจลอยแบบนี้ มีอะไรระบายสินะมึง งั้นคืนนี้เราไปติ๊ดกันเถอะ” ตัวตั้งตัวตีในการเข้าที่อโคจร คือผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม เจริญไหมล่ะ อ้อที่ผมว่าวิวเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถูกต้องแล้ว เพราะออยมันเป็นผู้หญิงที่แมนกว่าพวกผมสามคนมัดรวมกันอีก ถ้าไม่นับว่าออยยังไม่ได้ต่อขาที่สาม มันก็ไม่มีอะไรเหมือนผู้หญิงเลยสักอย่าง เสียงห้าว นิสัยห้าว หน้าตาหล่อ ส่วนสูงเลยหัวผู้ชายบางคนในเอกอีก ที่สำคัญสาวติดมันพอกับไอ่นาย

“ผับโซแซดนะ กูจะไปจีบนักร้อง” ไอ่ออยรีบบอกจุดประสงค์ เมื่อทุกคนโอเคก็ตามนั้น สรุปเย็นนี้เจอกันนะพวกมึง!!



คงอย่างที่ไอ่นายพูด อยู่ด้วยกันนานก็ชิน ผมไม่กล้าถามตัวเองว่าเบื่อไหม ไม่กล้าถามเพราะกลัว คำตอบจะคือ ‘ใช่’

ที่ห้องของผมกับพี่ติ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เห็นพี่ตินอนหลับอยู่ ช่วงนี้ได้ยินบ่นว่าเคสเยอะ พี่ติของผมเป็นหมอจิตครับ จิตแพทย์สุดหล่อ ผมก็เกือบลืมไปว่ามีแฟนหล่อขนาดนี้ เขาขยับตัวเล็กน้อยทักถามผมทั้งที่ยังไม่ลืมตาขึ้นมามอง

“กินอะไรมารึยังครับ” ถามเหมือนทุกที มันเป็นความห่วงใยที่เขามีหรือแค่เคยชินที่จะถามกันแน่

“อือ คืนนี้ไปกินเหล้ากับเพื่อนนะ พี่จะ..” ผมยังถามไม่จบเขาก็ตอบปฏิเสธ

“ไม่เหนื่อยมาก พี่นอนที่ห้องรอดะ...” เขายังปฏิเสธไม่จบ ผมก็เดินเข้าห้องน้ำปิดประตู

ไม่ใช่ว่าผมงอน และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องง้อ แต่มันเป็นความขัดเคืองที่ชินชา

จนเราไม่นับเป็นปัญหาที่ต้องใส่ใจ



“เบาๆ แดกเหมือนอาบเลยนะมึง เครียดนักรึไง” นนท์ปรามผมเหมือนที่มันปรามเพื่อนคนอื่น ยกเว้นแฝดมันเพราะยังไงมันก็ต้องแบกไอ่น้องแฝดกลับเหมือนทุกที นนท์ไม่กินเหล้าแต่มันสามารถสนุกได้ ผมก็ยอมใจมันแล้ว

“อ่ะได้ที่แล้วอีน้องทราย เล่ามาค่ะเพื่อน มันยังไงพี่ติไม่เอา เขาไม่เล้าโลมอะไรก็ว่ามา” คำติดเรทจากวิวสาวคนเดียวในกลุ่มครับ มันจะซ่าเกินไปไหมเพื่อน กูเป็นห่วงนะ

“อีวิวอยู่กับคนอื่นมึงอย่าไปพูดแบบนี้นะ เดี๋ยวเขาจะว่าเพื่อนไม่สั่งสอน” โดนออยไปหนึ่งดอก

“วิวมึงก็พูดจาให้มันเรียบร้อยหน่อย กูกลัวตื่นมาเจอข่าวมึงโดนโทรม” ตามด้วยไอ่นายอีกดอก

“หมดคำจะพูดกับมึงแล้ว แม่กุลสตรีไทยสมัยปีสามพัน” ผมร่วมวงจัดดอกไม้ให้อีกคน วิวหันไปซบหลังนนท์บอกว่ารับไม่ได้โดนรุมด่า กว่าจะประณามให้เพื่อนมีความเหนียมอายเหมือนผู้หญิงสวยคนอื่นบ้าง ก็ใช้เวลาสักพัก วิวก็รู้ว่าพวกเราเป็นห่วง แต่มันยังไม่ค่อยยอมรับ ยังมีหน้ามาบอก

“ด้านได้อายอด” ก็ตามใจมึงเลยครับเพื่อน

วกมาเรื่องรักจืดจางของผมต่อ

“คือเอาจริงถ้าพี่ติมีคนใหม่ไปซะ กูจะดีใจมาก” ผมหมายความตามนั้นจริง

“ฮัลโหล พี่ติของมึง คือหมอหนุ่มรูปหล่อ มีคลินิกของตัวเอง ไม่เจ้าชู้ รักมึงหลงมึง ที่บ้านมึงกับบ้านเขาก็เข้ากันได้ มึงจะเอาอะไรอี๊กก” ผมคงดูเป็นไก่ได้พลอยในสายตาเพื่อน

“มึงอย่าเอาความเบื่อแค่อารมณ์ชั่ววูบ มาทำให้มึงเสียใจไปตลอดชีวิต เขาไปจริงแล้วจะรู้สึก” นนท์มันช่วยเตือนสติแถมแอบแช่งเบาๆ

ส่วนนายขยับมากอดคอผมแน่น “เอ่อแต่กูว่ากูเข้าใจมึงวะ” เชื่อไหมว่าที่เพื่อนสองคนพูดก่อนหน้านี้ผมไม่สนใจเลยสักคำ แต่พอนายบอกว่าเข้าใจ ผมนี่ตั้งใจฟังมันมาก

สุดท้ายคนเราก็คงรับฟังแค่ที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น

“กูเคยคบแฟนคนแรก ชื่อน้องฝนน่ารักอ่อนหวาน หุ่นดีมีนม แต่พอเข้าปีที่สอง น้องฝนของกูกลายเป็นน้องพายุทอนาโด นิดหน่อยวีน นิดหน่อยโวย นมหายกลายเป็นพุง กูจะทนคบก็ใช่ที่ คือพวกมึงเข้าใจมะ ฝนที่กูรักหายไป โดนอีทอนาโดแดกเข้าไปแล้วอ่ะ”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ” พวกเราช่วยกันใช้เสียงหัวเราะแทนคำปลอบโยนให้นาย เจ้าตัวก็ไม่ได้เศร้าเหมือนที่มันว่า ผมเห็นมันอ่ะขำดังสุดเลย

ตัดมาที่ผมพอเป็นเรื่องตัวเอง กลับขำไม่ออก พี่ติก็ไม่ถึงขั้นกลายร่างเหมือนน้องฝน เขาก็ยังหล่อ หุ่นดี แต่ก็ทำไมที่ผมเคยให้เขามันลดลง

พยายามนึก.....

สายตาที่ผมมองเขาด้วยความชื่นชมครั้งสุดท้าย

ความพยายามอ่อยให้เขาลากขึ้นเตียงครั้งที่ผ่านมา

ความตื่นเต้นเร้าใจที่เขาทำแล้ว มีผลให้หัวใจผมพองโตครั้งล่าสุด

นึกไม่ออก...



เสียงหวานใสดึงผมกลับมาที่วงเหล้า “พี่ออยคะ” สาวน้อยหน้าหวานผมสั้น หน้าประถมแต่นมมหาลัยเข้ามาทักออย เหมือนออยมันจะไม่เห็นว่าที่นั่งยังว่าง มันถึงดึงน้องไปนั่งบนตักมันแทน

เพื่อนผมเป็นคนดีใจมีน้ำใจแบบนี้ตลอด ก่อนมามันบอกจะมาจีบนักร้องใช่ไม่ใช่ สงสัยจะลืม นั่งไปสักพักออยมันกระซิบอะไรข้างหูน้องสักอย่าง น้องหน้าแดงเขินอายแต่ยิ้มสู้สุดใจ น้องคนนี้พวกเราไม่เคยเห็น คงจะเด็กใหม่ ดูออยมีความสุข



ผมกับพี่ติก็เคยเป็นแบบนี้ เป็นคู่ที่ทำให้คนรอบข้างเป็นอากาศ เหมือนทั้งโลกมีเราแค่สองคน เขาแค่กระซิบว่าคืนนี้จะโดนไม่ใช่น้อย ผมนี่ขนลุกซู่ไปหมด หน้าผ่าวหูร้อน เป็นช่วงเขินอายไร้สติ เป็นช่วงที่วิ่งไล่ตะครุบหัวใจตัวเองจนเหนื่อย แข้งขาก็อ่อน เอ่อ... ไม่ใช่ล่ะ กลับมาเถอะ

อ้าวพอรู้ตัวออยหายไปกับน้องคนนั้นซะละ สงสัยว่าจะไปหาที่นั่งให้น้องคนนั้นนอนละมั้ง

“เมาแล้วนะมึงอ่ะ กลับไงพี่ติมารับไหม หรือให้กูไปส่ง” นนท์ถามไปด้วย คว้าไอ่นายที่คอพับคออ่อนไม่ให้หน้าจูบจานยำไปด้วย มันเป็นเพื่อนที่ดีและเป็นพี่ชายที่ดี ทำไมคนดีแบบมันอาภัพรักนักก็ไม่รู้

“มึงไปส่งวิวละกันมันดูไม่ไหวล่ะ” วิวก็นอนสลบหัวหนุนตักไอ่นนนท์ไปสักพักแล้ว แค่สองคนนั้นนนท์ก็แย่ล่ะ ผมไม่อยากเป็นภาระให้มันเพิ่มอีกคน

“โทรหาพี่ติเลย เดี๋ยวนี้” มันสั่งเหมือนพ่อ แต่ผมก็ซึ้งใจที่มีเพื่อนอย่างมัน

“มึงห่วงกูเหรอนนท์” ตอนนี้ผมยังพอมีสติ แค่ยืนขึ้นแล้วจะงงทางนิดหน่อย

“กูจะให้พี่เขามาช่วยแบกสองคนนี้ไปที่รถ” ไอ่ห่า ผมด่ามันแบบไม่มีเสียงมันหัวเราะแล้วบอกหยอกเล่น ความจริงมันโสดอาจมีความสุขกว่าผมอีกนะ สรุปว่ามันหรือผมที่อาภัพกันแน่

“เล่นผ่องงสิ กูโทรก็ได้” ในเมื่อผมก็ไม่มีแรงช่วยมันแบกใคร ออยก็โดนรักพาตัว พี่ติก็ต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ต่างกับเมื่อก่อนถึงมีคนมากมายผมก็เลือกโทรหาพี่ติก่อนเสมอ ถ้าเขารู้เขาจะเสียใจไหมนะที่อันดับความสำคัญในชีวิตผมลดลง หรือว่าเฉยๆ เพราะเขาก็อาจลดอันดับผมเช่นกัน คิดได้แค่นั้น

แต่ไม่ถึงห้านาทีในความรู้สึกของผม แฟนผมก็มาในชุดนอน เสื้อยืดสีดำตัวเดิม กางเกงผ้ามันสีดำตัวเดิม เพิ่มเติมคือผมว่าพี่เขาดูหล่อเท่กว่าเดิมมาก อาจเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไป อาจเพราะก่อนหน้านี้ผมเผลอใจคิดอะไรแบบนั้น คิดได้ว่าเขาไม่ให้ความสำคัญ ในเมื่อก็เห็นกันอยู่ เขาทำงานเหนื่อย เขาไม่ว่าง แต่เวลาผมโทรหาเขาเคยมาช้าไหม ก็ไม่ไง เขาจะรีบมาเสมอ

“ซายเดินดีๆ” เสียงเข้มจากหมอติ มือหนึ่งช่วยพยุงนาย อีกมือโอบเอวผม

คงทุลักทุเลน่าดู ขนาดผมไม่ค่อยมีสติยังรู้เลย ไอ่นนท์พยุงวิวไปเปิดประตู

ตัวผมตอนนี้เหมือนจะแพ้ให้แรงดึงดูดของโลก เดินไปก็จะล้มไป การรับรู้ต่ำลงจนลืมไปว่าพื้นที่เดินย่ำอยู่ไม่สะอาดพอจะนอน กลิ่นละเหยจากลมหายใจตัวเองฉุนจนกล่อมให้เมาแล้วเมาอีก แขนสองข้างที่กอดยึดลำคอหนาของผู้ชายที่ผมว่าผมเบื่อเขา มันดูแน่นกว่าทุกครั้ง

พี่ติตัวสูงแข็งแรงจนยกผมขี่หลังได้สบาย ผมรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา บางทีคำว่าเบื่อ ชิน ทั้งหมดทั้งมวล อาจแค่อารมณ์ชั่ววูบที่ผมแค่รู้สึกไปเองอย่างที่นนท์บอก ผมจำทุกอย่างได้แค่นั้น ราวภาพตัด

ลืมตาอีกทีนอนในห้องชุดเดิม เตียงเดิม เมื่อก่อนตื่นมาชุดใหม่เนื้อตัวสะอาด แต่นั่นมันเมื่อก่อนไม่ใช่ตอนนี้ ที่รู้สึกผิดเมื่อคืน ที่คิดว่าคิดไปเองเมื่อคืน เช้ามาวนลูปเดิมอีกจนได้ ความรู้สึกเบื่อนี่มันยังไงกันนะ มั่นใจว่ากำจัดมันได้แล้วแท้ๆ แต่ไหงงอกขึ้นมาใหม่เป็นดอกเห็ดแบบนี้

พี่ติยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา แปลกนะทุกทีตื่นมาไม่เจอเขาแล้ว เขารักงานมาก จนผมเคยคิดว่าเขาห่วงใยเคสมากกว่าผมอีก

“วันนี้คลินิกปิดเหรอ” เขาพยักหน้าแต่ยังไม่เงยขึ้นมามองผม

“ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว” สั่ง สั่ง เหมือนพ่ออีกคนแล้ว

หน้าเบื่อโลกของผมก็มีให้เห็นอีกครั้ง สะบัดผ้าห่มออกให้พ้นทาง เดินเข้าห้องน้ำ ไม่ลืมจะหยิบมือถือเข้าไปด้วย ไถไอจี ตามเทรนทวิต ดูข่าวสารบ้านเมือง ให้ความสนใจเรื่องคนอื่น พอให้มีเรื่องน่าตื่นเต้นในชีวิตบ้าง อาศัยแค่ชีวิตตัวเอง เรียนปีสุดท้ายก็เครียด ชีวิตรักก็นะ ไม่นำพาสักอย่าง

พันผ้าเช็ดตัวโชว์หน้าท้องแบนราบกับกล้ามสไตล์นายแบบ ไม่ดีเท่าของพี่ติหรอก แต่ก็ดูดีในระดับที่ผมกล้านำเสนอก็แล้วกัน คุณหมอแว่นยังก้มอ่านเอกสารเคสของเขาไป ถ้าจะหยุดงานแล้วเอาแต่ทำงาน เรียกว่าเปลี่ยนที่ทำงานจะดีกว่าไหม

ระหว่างแต่งตัวไม่มีสายตาชื่นชมโลมเลีย ไม่มีคำพูดแทะเล็ม เราสองคนคงอยู่ในช่วงที่นายมันเรียกว่า จืดจนชืดแล้วจริงๆ กินอาหารจานเดิม ไปสถานที่เดิม แม้จะชอบกิน ชอบไปแค่ไหน ยังไงเราก็ต้องเบื่อเข้าสักวัน

ผมตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากระหว่างรับสายเพื่อน “อือมึง ว่างาย”

“อ้าวไหนว่าส่งเดือนหน้าวะ” ออยมันส่งข่าวว่าอาจารย์เลื่อนส่งงานไวขึ้น รีบจะไปต่างประเทศ ท่ามกลางความเบื่อหน่ายยังมีความเลวร้ายซ่อนอยู่ มันแย่เพราะนี่ไม่ใช่ความตื่นเต้นที่ผมร้องขอ

“กินยาด้วยกันแฮงค์” พ่อคนที่สองสั่งพร้อมชี้นิ้วไปที่กล่องยา เขาวางไว้ใกล้แก้วน้ำ ผมพยักหน้าแต่ยังไม่กิน รีบไปแต่งตัวยกจานวางไว้ที่อ่าง ถ้าเขาไม่ล้างผมจะกลับมาล้างเอง แต่ตอนนี้วาร์ปได้ทำไปแล้ว

“ไปทำงานที่ห้องนนท์นะ” บอกไปรื้อเอกสารที่ต้องใช้ยัดกระเป๋าไป ก่อนออกไม่ลืมหยิบกล่องยาสีใส ที่มียาเม็ดเล็กนอนอยู่ ผมโอเคไม่ได้เมาค้าง แต่ก็เอาไปด้วยแหละเดี๋ยวเขาบ่น

มันไม่เชิงว่าผมไม่ซึ้งใจที่เขาดูแล หรือไม่พอใจ แต่มันยังไงดีล่ะ คือมันเหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องทำให้ ของตายเหรอคำนั้นมันความหมายไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็คงใช่อะไรแบบนั้นแหละมั้ง



ทุกอย่างรีบเร่ง จนตอนขับรถออกมาแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าผมลืมพูดคำสำคัญ



ขอบคุณครับพี่ติ



ขอบคุณสำหรับเมื่อคืน

ขอบคุณสำหรับข้าวต้ม

ขอบคุณสำหรับยา





#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 11:41:49 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน ตอน 2 มือที่สาม
«ตอบ #2 เมื่อ04-11-2018 15:46:46 »

ตอน 2

มือที่สาม


มือที่สาม เรื่องที่ทำให้เกิดการเลิกรามากที่สุด คู่รักมีปัญหากันมากแค่ไหนถ้าไม่มีใครมาแทรกกลางก็อาจจะปรับความเข้าใจกันได้ แต่ถ้าลองมีมือที่สาม พูดเลยว่ายาก เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว กับการไปฝึกงานของผม

“สำนักงานทนายความ ณพล รับปรึกษาทุกปัญหาทางกฎหมายฟรี” ผมยกแขนเสื้อปาดเหงื่อที่ไหลข้างขมับลวกๆ เงยหน้าอ่านตัวหนังสือบนป้ายไม้แผ่นใหญ่เท่าฝาบ้าน สลับกับก้มดูตัวสะกดในเอกสารที่ถืออยู่ โอเคตัวหนังสือตรงกันทุกอักษร

สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาว แต่ผลคือใจเต้นแรง ตื่นเต้นกว่าเดิม

พี่ติบอกว่าเวลาตื่นเต้นควรหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ หลอกกันเห็นๆ

“สวัสดีครับเชิญด้านในก่อนครับ” เสียงชายใจดีที่ภายหลังรู้ว่าคนนี้ชื่อพี่พล

“มาเร็วมากไหนว่าจะมาถึงสายๆ ไง” อีกเสียงดังมาจากอีกคนหน้าเครียดกว่า แต่หล่อกว่าด้วยคนแรก

“ขอโทษครับ ผมคำนวณเวลาไม่ถูก ออกมาเร็วไปหน่อย ตื่นเต้นด้วย” พูดไปยิ้มไป เผลอหัวเราะไปด้วยตอนจบประโยค แต่นาทีต่อมาต้องรีบหุบหน้าลงตอนที่นึกขึ้นได้ การพูดไปหัวเราะไปทำให้ดูไม่มั่นใจในตัวเอง แถมดูเป็นคนไม่จริงจัง ร้ายแรงไปไหม ก็แค่หัวเราะใส่อารมณ์ละลายบรรยากาศให้ไม่เครียดแค่นั้นเอง

พี่สองคนก็ดูไม่น่าจะคิดมากเท่าผมสักคน

“ไม่เป็นไรหรอก ไอ่ณะมึงก็ไปแกล้งน้อง ดูกลัวหมดแล้ว เราก็ตามพี่มา” พี่พลคนใจดีเดินนำผมไปที่ห้องทำงานส่วนตัว

หลังจากได้เอกสารผมก็นั่งอ่านเงียบๆ ที่โต๊ะมุมห้อง ก่อนเจ้าของห้องจะออกไปทิ้งท้ายไว้ว่า

“ไม่เข้าใจตรงไหน จดไว้เดี๋ยวพี่จะกลับมาให้ถาม”



สำนักงานทนายความ ณพล เป็นชื่อตั้งร่วม โดยการเอาชื่อ พี่ณะ หรือ นายณพันธ์ รักษ์เดช และ พี่พล หรือ นายพลร่ม ไกรหล้า มาผสมเป็นชื่อแบบไม่เป็นทางการนัก แค่ตั้งให้เป็นชื่อที่แปลกและจำง่ายเท่านั้น ส่วนในเอกสารทางกฎหมาย

ยกให้เป็นชื่อ นายณพันธ์ รักษ์เดช เพียงคนเดียว

พี่ติ: เป็นไงบ้าง นศ.ฝึกงานของพี่

คนที่ได้ชื่อว่าแฟน ทักมาถามสั้นๆ ผมไม่ได้ตื่นเต้นมากมายขี้เกียจตอบ แต่ก็อุ่นใจที่พี่ติยังห่วงใย ก่อนมาฝึกงานเราแทบไม่ว่างได้คุยกันด้วยซ้ำ เหตุผลเดิมเคสเขาเยอะ งานผมแยะ ไม่มีเรื่องอะไรอยากเล่าให้กันฟัง กลับมาก็เหนื่อยล้าอยากนอนทั้งคู่

ครู่ต่อมาเป็นเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ของเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม

ออย: มึงอยู่ไหนกูอยู่ข้างล่าง

ผมรีบพิมพ์ตอบเพื่อนไปว่าอยู่ในห้องพี่พล เราฝึกงานด้วยกัน ส่วนนนท์ฝึกกับวิว ส่วนนายไปฝึกที่บ้าน มันวิ่งแข่งแพ้พี่ชายเลยได้ฝึกที่บริษัทของครอบครัว พ่อกับแม่พวกมันยื่นคำขาด ยังไงก็ต้องให้ลูกชายคนใดคนหนึ่งมาฝึกด้วย นายโวยวายอยู่หลายวันกว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง

ตอนนี้ช่างคนอื่นก่อน กลับมาที่ผมกับออย ที่นี่มีทนายความขาจรที่แวะมารับจ๊อบเสริมหลายคน อาคารพาณิชย์มีสี่ชั้น ชั้นสามกับสี่เป็นห้องนอนกับพื้นที่ส่วนตัวของพี่พลและพี่ณะ แยกกันคนละชั้น ผมไม่เคยขึ้นไป มากสุดก็ชั้นสอง ที่เป็นโซนกินข้าว และทำครัว กับมุมดาดฟ้าขนาดย่อม พี่ๆ ทนายชอบใช้เป็นที่ผ่อนคลายกินเหล้าร้องเพลงกัน ตามประสาชายโสด แต่ดูจากหน้าตาบางคนก็ไม่น่าโสด เช่นพี่ณะ เป็นต้น

ผมเลือกยื่นขอฝึกงานที่นี่เพราะเคยเห็นข่าวพี่ณะ ตอนเป็นทนายความอาสาช่วยคดีชาวบ้าน ต่อสู้กับนายทุนเรื่องปล่อยน้ำเสียลงคลอง ประทับใจบวกกับอุดมการณ์ตรงกัน เลยเกิดเป็นความศรัทธา ปลื้มพี่เขาทั้งที่ยังไม่เคยเจอตัวจริง

“กูว่าพี่ณะชอบมองมึงแปลกๆ” ออยพูดกับผมในบ่ายวันหนึ่ง ผมกับมันถูกทิ้งให้เฝ้าสำนักงานสองคน

“เหรอ” ตอบมันแค่นั้น แต่ในใจยิ้มแล้วครับ ให้ตายมันไม่ดีผมรู้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกผิดกับพี่ติ ไม่สามารถเอาชนะความตื่นเต้นเวลาอยู่กับพี่ณะได้เลย

แย่ แย่มากผมรู้ตัว

“จะยิ้มก็ยิ้ม ไม่ต้องมาแอ๊บ แอบเลวมันก็คือเลวนั่นแหละ” พอโดนเพื่อนด่าตรงๆ ก็สะอึกไปเหมือนกันแหละ

“เอามีดมายิงกูเลยก็ได้ เอาเลย กูอยากตาย” ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ คิดเข้าข้างตัวเองแบบคนเลว แค่คิดไม่ผิดมากหรอก เพราะยังไงภายนอกผมก็ไม่แสดงอาการอะไรอยู่แล้ว

“ไงเด็กๆ เบื่อกันรึยัง” เสียงพี่พลที่เปิดประตูเข้ามาทักพวกเรา ออยหันไปสัมภาษณ์เรื่องคดีอย่างกระตือรือร้น ผมก็นั่งฟังไปพร้อมกับมัน กฎหมายเป็นเรื่องที่ละเอียด ใครพลาดก็แพ้

พี่พลสอนว่า อย่าเอาอารมณ์มาปนกับความจริง การเป็นทนายความที่ดี ต้องเก็บซ่อนความคิดเห็นไว้ให้ลึกที่สุด แล้วโฟกัสแต่หลักฐานที่เรามี ว่าจะเอามาใช้อะไรได้บ้าง บางทีเราแพ้คดีอาจไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เราแพ้ เพราะเรายึดติดกับอคติมากกว่าหลักฐาน

เป็นปรัชญาที่ผมท่องจนขึ้นใจ ไม่ใช่ว่าเข้าใจถ่องแท้ แค่เห็นว่ามันเท่ดี

“ซาย มึง”

“อีน้องทราย!!”

“ห๊ะ อะ อะไรนะ”

ผมสะดุ้งหลุดจากปรัชญากฎหมายในหัว เพราะเสียงเรียกของออย หันไปทำหน้าบึ้งให้มัน เรียกซะกูตุ๊ดเลยนะมึง

“พี่ณะเรียก มัวแต่ใจลอยหา...ผัว” มันตั้งใจไม่ออกเสียงตรงคำสุดท้าย ถีบทอมก็นับเป็นการทำร้ายผู้หญิงใช่ไหม นั่นแหละผมเลยไม่ทำไง

“พี่ณะ ออยบอกพี่เรียกผม” นั่งลงตรงหน้าไอดอล ไม่บ่อยนักที่เราจะได้อยู่กันตามลำพัง คือพี่พลเป็นพี่เลี้ยงผม ส่วนพี่ณะเป็นของออย อิจฉาอยากแลกอยากเปลี่ยนตัว

“เราอยู่มาครึ่งเดือนแล้ว ไปกับพี่พลมันสอนอะไรเราบ้าง” พี่ณะถามไปเปิดเอกสารตรงหน้าไป

“ส่วนใหญ่สอนปรัชญานักกฎหมายครับ” ผมตอบตามซื่อ คนฟังขำอยู่พักใหญ่ เคยมีใครบอกพี่ณะไหมว่า เวลาพี่ไม่ทำหน้าเครียดโลกสดใสขึ้นเป็นกอง นี่มาฝึกงานหรือฝึกใจกันแน่ อย่าถามว่าพี่ติคือใครตอนนี้ ผมกลัวจะต้องตอบว่าไม่รู้จัก ใครกำลังด่าผมหลายใจ ด่ามาเลยผมเข้าใจ ผมก็ด่าตัวเองอยู่เหมือนกัน

“พรุ่งนี้พี่จะพาไปดูคดีอาญา ฆ่าลูกชายเพื่อน เราอยู่ฝั่งจำเลย ใส่สแลค เชิ้ตสีสุภาพสูทดำ รองเท้านักศึกษาก็ได้ เอกสารพี่จินจะเอามาให้ตอนบ่ายสอง ซีไว้สามชุด แยกใส่คนละซอง เจอกันหกโมงเช้าหน้าสำนักงาน แล้วก็ฝากซื้อขนมปังมาให้พี่ด้วย”

พี่ณะสั่งรวดเดียวครั้งเดียวฟูก้าคา ครบจบทุกประเด็น ละเอียดสมกับเป็นไอดอลของผม ทนายต้องละเอียดดุจทำงานฝีมือ



เช้านี้ที่หน้าสำนักงาน พี่ณะใส่เชิ้ตสีออกเทา สีเดียวกับผมเลย ใจตรงกันไม่ต้องสืบ ผมเห็นครุยแถบขาวห้อยในรถ พี่พลเคยเล่าว่าทนายความสุดหล่อคนนี้ บ้านไม่รวยพ่อแม่ก็ป่วย แต่พี่ณะสามารถดูแลทุกคนให้อยู่สบายได้ แถมทำให้ตัวเองอยู่ในจุดที่เป็นไอดอลของหลายคนได้อีก

ตอนผมฟังผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอวยไส้แตกแบบไอ่ออยหรอกแต่ในใจผมยิ้มกว้างมาก ก็ผมนี่แหละเป็นหนึ่งในหลายคนที่ว่ามีพี่ณะเป็นไอดอล

“เราไม่กินเหรอ” พี่ณะหันมาถามก่อนจะกัดครัวซองต์แฮมชีสในมือ เคี้ยวไม่กี่คำก็ดูดกาแฟที่ผมแถมให้ ดูเขากินน่าอร่อย

“เรียบร้อยแล้วครับ” ยิ้มส่งให้หลังตอบคำถาม พี่เบิกตากว้างทำหน้าแปลกๆ แล้วกัดขนมในมือต่อ

ที่ศาลคนไม่เยอะขั้นตอนต่างๆ ผ่านไปด้วยดี สุดท้ายคือเราแพ้คดี ลูกความโดนใส่กุญแจมือและตรวนโซ่ที่ข้อเท้า ชายร่างสูงทรุดตัวหมดแรงลงบนพื้น ตาแดงก้มหน้าเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรในโลกใบนี้อีกต่อไป ศาลชั้นสูงสุดพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ลดโทษไปบ้างตามข้อกฎหมายให้โอกาส

หดหู่กับภาพตรงหน้ามาก แต่ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง ฆ่าคนก็ต้องติดคุก

“กินอะไรดี” ระหว่างทางที่รถเคลื่อนตัวออกจากศาล พี่ณะดูไม่เครียดมากเท่าผม

“อะไรก็ได้ครับ” เป็นคำตอบกลางๆ ในกรอบของคำว่ามารยาทที่พึงใช้กับคนที่ไม่สนิท

“โอเค๊” พี่ทนายในดวงใจไม่ได้ซักอะไรต่อ เขาหักพวงมาลัยไปตามเส้นทางเลี้ยวเหมือนมีจุดหมายในใจแล้ว

ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่เชิงข้างทาง แต่ก็ไม่ได้หรูหราแบบติดแอร์ ร้านเล็กๆ ที่ตกแต่งน่ารัก ราคาเหมาะสมกับความอร่อยที่สำคัญเกี๊ยวทอดฟรีไม่อั้น เป็นโปรที่ดึงลูกค้าเข้าร้าน จนแทบไม่มีโต๊ะว่างทีเดียว

“เป็นอะไรสงสารลูกความเหรอ” พี่ณะถามราวกับมานั่งในใจผม

“เหมือนพี่ไม่รู้สึกอะไรเลยนะครับ” ผมย้อนถาม ทั้งที่ยังตกใจว่าพี่ณะยกลูกชิ้นกุ้งให้ผมทำไม

“กินไปอย่าคิดมาก รู้ไหมทำไมพี่มาเป็นทนาย” ผมเลิกคิ้วรอฟัง ปากเคี้ยวลูกชิ้นกุ้ง แต่ในใจกำลังยุ่งเหยิงจนแทบบ้า

“ทนายความเป็นอาชีพที่ทำให้เรายอมรับความจริง และมีชีวิตบนความมั่นคง คนที่รู้กฎหมายไม่มีวันสิ้นหนทาง” ว่าพี่พลเป็นทนายเจ้าปรัชญาแล้ว แต่พอฟังพี่ณะ ไอดอลก็คือไอดอลหมดคำจะอวย

“ผมไม่แปลกใจที่พี่สองคนสนิทกัน พี่ณะกับพี่พลน่าจะไปเขียนหนังสือ” ผมว่าใส่ เขายิ้มขำ

“หนังสือกฎหมาย” เขาดันรับมุกผม

“เปล่าหนังสือปรัชญา” และผมก็ทำการตบมุก

“ตลกนะเรา” เขาจิ้มตะเกียบมา เกือบโดนแก้มผม ตอนที่ได้ยินพี่ณะหัวเราะ ใจผมที่เคยบอกว่าให้พี่ติไปหมด ตอนนี้อยากขอคืนสักนิดได้ไหม จะแบ่งให้พี่ณะหน่อย แต่คงไม่ได้หรอก ข้อนั้นผมรู้ดี

“อ่ะกินให้หมดลูกสุดท้ายแล้ว” เงยหน้ามองเขา ก็เจอแต่หน้าเฉยไร้ความรู้สึกใด ให้ผมทำไม มันมีความหมายอะไรในลูกชิ้นกุ้งของพี่ กินไปสักพักเหมือนผมกินช้ากว่าเขามาก ตอนนี้เขาเลยว่างนั่งมองผมกิน

“เราล่ะ ทำไมมาเรียนนิติ” สายตาที่พี่ณะจ้องมาที่ผมตอนนี้ มันดูหวานหวิวบรรยายไม่ถูก เราจ้องตากันเพียงเสี้ยววินาที แต่เป็นเสี้ยววินาทีที่เราไม่ได้กะพริบตา ผมรู้ความหมายเลยรีบมองทางอื่นทันที

ไม่ได้ ไม่ได้ ผมมีแฟนแล้ว

“กฎหมายยิ่งใหญ่เหนือทุกชีวิต ผมถึงเลือกเรียนกฎหมาย คือไม่ได้อยากอยู่เหนือใคร ผมแค่อยากเป็นคนที่ใช้อารมณ์ให้น้อยลง แล้วใช้เหตุผลให้มากขึ้น”

ผมหมายถึงเรื่องหัวใจด้วย

“โอเค พี่จะให้ซายมาเขียนคำนิยามให้หนังสือของพี่ก็แล้วกัน”

“อาพี่ณะเอาคืนผมเหรอ” มุกหนังสือปรัชญายังสร้างเสียงหัวเราะ และเรียกรอยยิ้มกว้างให้เราสองคน จนหมดมื้อกลางวันนั้น



พี่ติ: กินข้าวเที่ยงรึยัง วันนี้พี่กลับไปนอนบ้านนะ

ผมอ่านข้อความของคนที่ผมยกใจให้ก่อนจะมาเจอพี่ณะ พี่หมอติที่ผมก็เคยปลื้มเขา แต่เวลาเปลี่ยนไป ผมกลายเป็นว่าที่ทนายความ เราเรียนคนละสาย เวลาคุยกันเรื่องวิชาชีพ ก็จะไม่มีช่วงรับส่งมุกแบบที่เกิดกับพี่ณะ แต่นั่นไม่อาจใช้เป็นเหตุผลให้ผมนอกใจพี่ติ แบบนั้นมันใช้ได้ที่ไหน

ขอโทษครับพี่ติ ผมยังไม่อยากตอบไลน์พี่

ขอโทษที่หลายคืนมานี้ก็ไม่ได้รับสายพี่

ขอโทษที่ผมหวั่นไหว

ขอโทษครับ



“อีน้องทราย” เรียกแบบนี้คงไม่ใช่ใคร เพื่อนสาวสุดหล่อของผม ไอ่ออยคนเดิมเพิ่มเติมคือแก้วเหล้าในมือ ค่ำคืนนี้พวกเราเหล่า ณพล พี่ณะพี่พล และพี่ทนายขาจรอีกสองสามคน ผมและออย นักศึกษาฝึกงาน กำลังยึดครองพื้นที่อยู่บนชั้นสองของสำนักงาน

วิวท้องฟ้าน่ามอง ต่างจังหวัดเห็นดาวชัดกว่าเมืองหลวง อากาศก็ดี แถมยังมีพี่ณะในมุมสบายๆ ชุดธรรมดาพี่เขาดูเด็กลงหลายปี ทำใจผมบางไปอีกชั้น ปลุกความบาปให้ตัวเองกว่านี้ไม่มีแล้ว ภาพพี่ณะยิ้มให้ผม แววตาเป็นประกายในเสี้ยววิ

เกือบเผลอยิ้มกลับ ถ้าไม่มองเห็นฉากหลังเป็นหนามของต้นงิ้วซะก่อน

“ออยกูว่า” ผมยังไม่ทันจะพูดอะไร มันเบือนหน้าหนี เสมือนรู้ว่าผมจะพูดอะไร

“อีหลายใจ หยุดเลยนะพี่หมอติจะเสียใจ” มันเตือนสติและด่าผมเรื่องนี้นับครั้งไม่ถ้วน

“กูรู้” ใช่ผมรู้ ดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ไงเล่า

“งั้นก็ห้ามการกระทำให้ได้ เรื่องในใจอย่าเผลอหลุดออกมา” เพื่อนรักพยายามหาทางออกให้ผม

“น้องออยมาช่วยพี่หน่อยสิคะ” เสียงหวานคือพี่จูน ทนายความสาวอายุไม่ห่างพวกเราเท่าไหร่ เรื่องออยกับพี่จูนเหรอ รู้แค่วันก่อนไปหามันที่ห้องพัก เจอพี่จูนนอนบนเตียงมัน มันบอกว่าอย่าถาม และห้ามบอกใคร เป็นอันรู้กันว่าไม่จริงจัง รู้กันรึยังว่าผมติดความหลายใจมาจากใคร

“เบื่อไหมเรา” คืนนี้เสียงพี่ณะอ่อนโยนมากไปไหมครับ พี่ณะเมาเหรอ ผมจะได้อยู่ห่างพี่ไว้

“ถ้าผมเบื่อล่ะ” ความหลายใจไม่เข้าใจออกใคร ได้แต่ตะโกนด่าตัวเองในใจ

ไอ่ซายมึงมันไม่รักดี!!

ช่วยทำหน้ารำคาญแล้วพูดใส่หน้าผมทีว่า แล้วแต่มึงเลย พี่ณะช่วยหน่อยเถอะ แต่พี่ณะคงไม่เข้าใจที่ผมขอร้อง

“หื้มม” ทำเสียงแบบนั้นทำไม อย่าส่งสายตาแบบเมื่อกลางวันได้ไหม

“อยากฟังเพลงครับ” ผมมันหลายใจและเอาแต่ใจ แต่เพราะแบบนี้แหละพี่ติถึงชอบ ไม่ใช่หลายใจนะ แต่พี่ติเคยบอกว่าชอบที่ผมเอาแต่ใจและขี้อ้อน เขาอยู่กับผมแล้วไม่เครียด แต่นั่นก็นานมากแล้ว สามปีให้หลังมานี้ คงกลายเป็นว่าพยายามไม่เครียดกับผมแทนมากกว่า

“เห็นว่าวันนี้เป็นเลขาที่น่ารักนะ พี่จะตามใจ” พี่ณะกระซิบแล้วเอื้อมมือไปหยิบกีตาร์ข้างหลังผม คล้ายถูกเขาเข้ามาโอบไว้ในช่วงจังหวะแสนสั้น ไออุ่นจากลมหายใจเขา รินรดหลังใบหู ขนลุกไม่พอมันร้อนกว่าเดิม

ตอนนี้นายณพลมีผลกับอุณหภูมิในร่างกายของผมมากกว่า แอลกอฮอล์ซะอีก ทำทีหันไปมองทางอื่น จับแหวนที่ห้อยคอ ท่องไว้ไอ่ซาย

พี่ติ

พี่ติ

พี่ติ

แต่ท่องครบร้อยพี่ติ ก็ไร้ความหมาย เมื่อเสียงโน้ตตัวแรกดังขึ้น คนคุมทำนองกลายเป็นเป้าสายตา พี่พลเดินมานั่งข้างผม พี่ณะตวัดสายตาขึ้นมองพี่พลแป๊บเดียว ก่อนจะก้มหน้าใช้นิ้วเรียวยาว ดีดบรรเลงโน้ตตัวต่อไปด้วยท่วงท่ามีเสน่ห์

ไม่ไหวพี่ณะเท่เกินไป พี่ณะครับผมหวั่นไหวกับพี่วะ

ขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นเหยียบหนามแหลมของต้นงิ้ว ในความสุขใจก็มีความขมหน่วงในอารมณ์ มือว่างอยู่ รีบยกมาจับแหวนที่คอไว้แน่นอีกครั้ง

“มีใครที่เขาเฝ้าคอยแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง ไม่ใช่ความบังเอิญก็ตั้งใจเดินมาให้เจอ มีใครที่เขาเฝ้ามองแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่ห่วงใยเธอเสมอ”

เสียงคุมโทนต่ำทุ้ม เพราะเหมือนเสียงดนตรีที่เขาเป็นคนบรรจงดีดเส้นสายเหล่านั้น ผมสารภาพถ้อยคำปนไปด้วยบาปให้เขาทางสายตา ไม่ได้มองเขาตรงๆ เราไม่ได้สบตากัน แต่ผมรู้ว่าเขารู้ และเขาก็รู้ว่าผมรู้ รู้ว่าเรารู้สึกยังไงต่อกัน

“ได้แต่พูดลอยๆ อย่างนั้นเรื่อยไป เปิดเพลงรักบ่อยๆ แต่ไม่ได้บอกให้ใครบอกว่ารักเบาๆ ในใจเท่านั้น”

วันนั้นที่ผมเห็นข่าวพี่เขาสัมภาษณ์ในไลฟ์สดของเพจข่าวเพจหนึ่ง เขาดูน่าชื่นชม มาตอนนี้ผมกำลังมองเขา ที่ร้องเพลงเหมือนจะจีบผม ยิ่งกว่าคำว่าฝันเป็นจริง

“ไม่ใช่พรหมลิขิตที่ขีดเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ ก็อยากให้เธอเข้าใจสักครั้ง”

พี่ณะกับพี่ติไม่เหมือนกัน หล่อคนละแบบ พี่ติหล่อแบบคุณหมอ ขาวหล่อ อบอุ่นใจดี แต่ผมกับพี่ติอยู่ด้วยกันจนชิน บางมุมพี่ติก็คนธรรมดาเดินดินนี้แหละ บางคืนก็ไม่อาบน้ำ ทำงานจนโทรม บางทีก็เฉยชา เอาแต่บ้างาน รับมุกไม่เก่งแล้วก็ไม่ค่อยหวานเลย

“ถ้าเธอได้ฟังเพลงนี้ ก็อาจจะพอได้รู้ใจ กับความจริงข้างใน ที่มันทำยังไงก็ไม่กล้าพูดออกไปสักที ว่าใครที่อยู่ตรงนี้ รู้ยัง”

อาจเพราะผมจีบพี่ติก่อน เลยไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่จะเขิน การโดนจีบโดยคนที่เราก็มีใจ มันเป็นแบบนี้เองเหรอ เพิ่งจะรู้ ยิ้มทั้งที่ไม่อยากยิ้ม

มองไปเจอออยมันมองผมแววตาเป็นห่วง อาการทางใจของผมน่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ

เราไม่ได้พูดอะไรกันมากมาย แค่ส่งสายตาให้กัน สายตาแบบที่ผมกับเขาเท่านั้นที่เข้าใจ และก่อนที่จะเผลอตัวปีนต้นงิ้วเต็มตัว ขอบคุณศีลธรรมที่ตัวเองมี ผมยังยั้งท่าทีทัน

ตอนนี้รู้แล้ว ว่าทำอะไรยังไม่ได้ ผมไม่อยากพูดแต่ผมเห็นแก่ตัวมาก ยังไงก็ไม่อยากเลิกกับพี่ติ ส่วนพี่ณะ แค่อยากมีช่วงเวลาดีๆ เท่านั้น เป็นไงซายเลวพอไหม

“น้องออยกับจูนนี่ยังไง” พี่พลหรี่ตามองเพื่อนผมกำลังแทคแคร์พี่จูน ผมไม่ตอบแต่ยิ้มตาเป็นประกาย พี่พลพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วซายละไม่เคยเห็นมีใครมาหา อย่าบอกนะว่าโสด” อยากเอาเหล้ากรอกปากพี่พลก็ตอนนี้ จะถามทำไมวะ เหลือบตามองคนที่เกาสายกีตาร์เล่น ผมไม่อยากตอบว่ามีแฟนแล้ว แต่ก็ไม่อยากโกหก ทนายความต้องยอมรับความจริง ใครไม่ยึดผมยึด

“..............” ผมเลือกจะอมยิ้มแล้วกระดกแก้วแทน พี่พลขอร้องอย่าคาดคั้นเอาคำตอบนะ

“พลไปส่งกูหน่อย เมียโทรมาตามแล้ว” ขอบคุณพี่นิวที่มาช่วยชีวิตผมไว้ เหลือแค่ภาวนาไม่ให้พี่ณะถามอีกคน

ออย: กูจะไปส่งพี่จูน ให้ไปส่งมึงก่อนไหม

ออยไลน์มาถาม ผมหันไปมองมัน หนีกลับก่อนที่ใจจะไม่ไหวกว่านี้ท่าจะดี

ออย: เอาไงก็บอกกูก่อนเที่ยงคืน อย่าแรดไปมีชู้กูจะฟ้องพี่ติ

เพื่อนรู้ทันแบบนี้ผมจะกล้าไปมีชู้อย่างที่ใจอยากตอนไหนได้ ยังไงผมก็แคร์พี่ติที่สุด หันไปทำหน้าเซ็งใส่มัน มันชี้นิ้วใส่ผมแบบคาดโทษ ก่อนจะหันไปอ้อนพี่จูนต่อ คนอย่างออยคงไม่มีใครที่ทำให้มันรู้สึกผิดด้วยหรอก

แบบไหนดีกว่า มีคนที่เราให้ความสำคัญคนเดียว ตัดโอกาสคนใหม่แม้ว่าจะมีใครดีกว่า กับการมีหลายคนแต่ไม่สำคัญสักคน แลกกับการได้เรียนรู้คนใหม่ไปเรื่อยๆ

ครืนน ครืนนนน หน้าจอโชว์ชื่อพี่ติ ปรติไม่เคยโทรมา พี่ติมีญาณอะไรรึเปล่าเนี่ย ผมเดินเลี่ยงไปเกาะขอบระเบียง มองฟ้ามองความมืดกล่าวคำทักทาย

“พี่ติ” ส่งเสียงทักทายสั้นๆ เบาๆ ไม่รู้ว่าคนปลายสายได้ยินชัดไหม

(คิดถึงจัง) เสียงพี่ติไม่ค่อยสดใสเลย ผมเริ่มห่วงและรู้สึกผิดต่อเขามาก

“เป็นอะไรรึเปล่า เสียงไม่ค่อยดีเลย”

(พี่แค่อยากบอกว่าคิดถึง ฝึกงานเสร็จพี่จะพาเที่ยวอยากไปไหนคิดไว้เลย)

ดีใจไหม ดีใจสิครับ แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้ดีใจไม่สุด



อาจเพราะสายตาของพี่ณะ ที่มองมาเต็มไปด้วยคำถามว่าผมคุยกับใคร

อาจเพราะใจผมมันมีบาปเจือปน อาจเพราะเสียงพี่ติที่ไม่ค่อยโอเค

อาจเพราะคำว่าเรา มันมีอะไรไม่เหมือนเดิม



#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 12:29:41 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน ตอน 3 คำสารภาพ
«ตอบ #3 เมื่อ04-11-2018 16:47:39 »

ตอน 3

คำสารภาพ



ในขณะที่ผมต่อสู้กับความผิดบาป ที่กำลังเล่นงานหัวใจจนผมนอนไม่หลับทั้งที่ล่วงเข้าวันใหม่แล้วก็ตาม ไร้ประโยชน์ที่จะมานั่งคิดเรื่องในอ่างน้ำวน ไม่มีทางออก มีแต่วนไปวนมาไม่จบสิ้น เมื่อชีวิตเราเศร้า ก็เข้าอินเทอร์เน็ตดูชีวิตคนอื่นให้ลืมเรื่องตัวเองไปสักพัก เผื่อจะช่วยให้หลับได้

นี่

มัน

อะไร

กัน!!

ดาราดาวรุ่งน้องเน็กซ์ ไม่ปฏิเสธรูปที่ถูกแชร์ว่อนเน็ต ย้ำชัดแค่ชอบผู้ชายไม่ได้หมายถึงต้องเป็นเกย์

ในรูปที่แนบมามันพี่ติชัดๆ ขณะที่ผมกำลังห้ามตัวเองไม่ให้เผลอตัวกับทนายหนุ่ม พี่ติกลับเป็นข่าวกับดาราชายหน้าใส จากที่นอนไม่หลับอยู่แล้ว ตอนนี้ตาตื่นใจเต้นไปใหญ่

“ตีสอง” บอกเวลากับตัวเอง พรุ่งนี้ค่อยโทรเคลียร์ตอนนี้ดึกแล้ว มือกดเข้าไปอ่านข่าวแบบไม่ต้องรีรอ

ช่วงนี้มีคนตาดีแอบเห็นน้องเน็กซ์ว่าที่สามีแห่งชาติคนต่อไป มีหนุ่มนิรนามสุดเท่ ตามประกบไม่ห่างเกือบตลอดเวลา ทั้งวันที่ทำงานและวันว่างๆ อะไรยังไงไม่รู้รู้แค่ว่างานนี้เก้งกวางบ่างชะนี ตาลุกเป็นไฟ ไม่รู้จะอิจฉาคนไหนดี

เป็นข่าวที่เขียนได้เห็นภาพจนน่าโมโห หึง ก็แหง๋ล่ะสิ พี่ติแฟนผมนี่นา แฟนที่ผมเคยบอกว่า ถ้าเขามีแฟนใหม่ไปซะผมอาจจะดีใจ ผมเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ซายมึงต้องเสียสติแน่ ถึงคิดว่าตัวเองไม่รักพี่ติแล้ว

หลักฐานมันคาตาว่าตอนนี้ผมร้อนรนจนอยากกลับไปหาเขา เอาข่าวนี้ไปปาใส่หน้าหมอ แล้วเค้นคอถามหาคำอธิบาย เดือดดาลไปหมด คนเบื่อกันคนไม่สนใจ ไม่แคร์ เค้าจะเดือดได้แบบนี้เหรอ ไม่มีหรอก

แล้วผมก็สวมวิญาณนักสืบเข้าเช็ค ไอจีของนักแสดงคนนี้ทันที สตอรี่มีหมอของผมติดมานิดหน่อยแทบทุกอัน สรุปไปเฝ้าเขาจริงๆ สินะ ไม่ลงไม่รอมันแล้ว

เวย์ซาย: จะเปลี่ยนเป็นผู้จัดการดาราแล้วเหรอ // แนบลิงก์ข่าว

ทิ้งข้อความไว้ก่อน ถ้าตื่นมาแล้วไม่รีบตอบละน่าดู เช้านี้ที่สำนักงานทนายความเดิม ผมอารมณ์บูดตาเป็นแพนด้า เพราะนอนไปจริงแค่ชั่วโมงเดียว

“ไหวไหมมึง ตัดใจหนักเลยรึไง” ออยเดินมาทักผมที่ยืนชงกาแฟอยู่ เมื่อคืนละนอนไม่หลับ แต่พอมาทำงานกลับสัปหงกคืออะไร

ผมล้วงมือถือให้มันดูข่าว “มึงดูนี่” มันทำหน้างงรับไปดู

“เห้ยนี่มันพี่ติ ได้ไง โทรเลยมึงโทรไปถามเขาเซ่”

“กูส่งข้อความไปแล้วเขายังไม่ตอบ” ทำท่าเหมือนไม่ร้อนใจ แต่ใครจะรู้ผมร้อนจนเดือดตั้งแต่เมื่อคืน ออยจิ๊ปากว่าผมไม่ได้ดั่งใจ มันจะโทรเอง โวยวายกว่าเมียพี่ติก็เพื่อนเมียนี่แหละ

“ฮัลโหลพี่ติ นี่ออยเองนะพี่” ผมคอตั้งรอฟังกับมัน มันหันมาทำปากว่าเขาเพิ่งตื่น

“ออยเห็นข่าวพี่กับดารา อ๋อๆ เข้าใจพี่ ไม่กวนพี่แล้ว” วางสายยิ้มให้ผมหนึ่งทีแล้วเดินตัวปลิวออกไป “เห้ยยเล่ามาดิ๊” คนกำลังร้อนใจ กวนอยู่ได้

“นึกว่ามึงไม่สนใจ” ลอยหน้าลอยตากวนตีนผมต่อไป

“ช่างมึงกูโทรเอง” ระหว่างที่ผมปลดล็อคหน้าจอ ก็เห็นข้อความตอบกลับจากพี่ติ

พี่ติ: ดาราคนนั้นเคสพี่ครับ บอกใครไม่ได้มันกระทบกับชื่อเสียงเขา

พี่ติ: ไม่มีอะไรนะซายห้ามคิดมาก

ออยมันยักคิ้วคอนเฟิมร์ “มึงว่าจริงเหรอ” ผมขอความเห็นเพื่อนแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“มึงน่าจะรู้จักพี่ติดีกว่ากูนะ แต่ถ้าถามกูก็เชื่อพี่ติแหละ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีใครเหมือนมึง”

“กูไม่มีใครสักหน่อย” มันชี้หน้าเอาจริง “สาบานสิ” คราวนี้ได้แต่มองแรง สาบานก็โง่ดิ

“แค่คิดไม่ผิด ใครจะห้ามความคิดได้มึงบอกกูเอง” มันทำหน้าหน่ายใส่ผม

“มึงนี่น๊า เอาเถอะกูจะให้กิ๊กที่กองถ่ายละครเรื่องนี้สืบให้ แต่มีข้อแม้ว่า”

“ว่า” ผมพร้อมทำให้มันหมด เลี้ยงเหล้า ชาบู ซูซิ ขอให้รีเควสมา

“มึงต้องไปสารภาพเรื่องที่คิดไม่ซื่อกับคนอื่นให้พี่ติฟัง” บ้าไปแล้ว “ไม่อาว”

“ตามใจงั้นก็ไปหาสืบเอง” มันโบกไม้โบกมือไล่ผม “ใครเพื่อนมึงกันแน่”

“เพราะกูเพื่อนมึงไงเลยรู้ว่า ถ้าพี่ติรู้ทีหลังจะเป็นเรื่องใหญ่ บอกตอนนี้ดีแล้วเขาจะไม่โกรธมึงมาก เพราะเขาก็มีคดีอยู่ อีกอย่างตัดไฟแต่ต้นลม มึงจะได้ตัดใจจากพี่ณะง่ายขึ้น”

“สรุปยังไง” ย้ำถามผมอีกรอบ พูดมาขนาดนี้แล้วผมเลือกอะไรได้ไหม

“เออก็ได้ แต่ขอข่าวก่อนค่อยไปสารภาพได้ป่าว”

“อือ ขอเวลาสามวัน”



สามวันที่ผมบอกจะรอ ผมมารู้ทีหลังว่ามันเหมือนสามปี กินไม่ได้นอนไม่หลับ ยิ่งกว่าตอนที่บ้านพี่ติไม่ยอมรับผมซะอีก ยิ่งเข้าไปดูไอจีดาราคนนั้น เหมือนจงใจถ่ายสตอรี่ติดหมอของผมมาทุกครั้ง นี่ตามไปบำบัดกันถึงห้องแล้วรึยัง อันนี้สงสัยมากแต่ไม่กล้าถาม

‘พี่เป็นของซาย รักซายคนเดียว ตลอดไป’ ที่พี่เคยบอกมันยังหมายความตามนั้นไหมครับ

“เป็นอะไรรึเปล่าซาย” พี่ณะดูเป็นห่วงผมจริงๆ “ไม่ครับ” แปลกที่พอมีเรื่องดารานั่น เรื่องพี่ณะเหมือนจางลงในความคิดของผม ผมกำลังหวงก้างพี่ติ หรือเพิ่งรู้ตัวว่าคนไหนกันแน่คือคนสำคัญตัวจริง

“เย็นนี้ว่างไหมพี่จะชวนไป”

“ไม่ครับ เอ่อขอโทษทีครับ พอดีผมนัดคุณแม่ไว้” ผมไม่ได้โกหก เย็นนี้แม่พี่ติมาทำธุระเลยจะแวะมาหาผมด้วย เราจะไปทานข้าวเย็นกัน แล้วผมจะแอบถามเรื่องที่ว่าพี่ติกลับไปค้างที่บ้านบ่อยๆ มันจริงรึเปล่า

“งั้นไม่เป็นไรไว้วันหลังก็ได้” ผมไม่ตอบรับแต่ถามเขากลับ

“ความรักของพี่ณะคืออะไรเหรอครับ” พี่ทนายดูแปลกใจ ที่ได้ยินคำถามอะไรแบบนั้นจากผม เขาผ่อนลมหายใจเลียปากอย่างใช้ความคิด

“ความรักเหรอ คิดยังไงมาถามพี่ล่ะ” นี่เราสองคนเล่นเกมแข่งกันถามแต่ไม่มีคนตอบอยู่รึไงกัน ผมไหวไหล่ยิ้มให้เขา ไม่อยากตอบผม ผมก็ไม่ตอบพี่หรอก



ต่างคนต่างทำงาน วันนี้ผมลืมแอบมองพี่ณะไปเลย ไม่สนใจ ไม่อะไรเลยขณะที่มือเผลอจับแหวนที่ห้อยบนคออยู่บ่อยครั้ง เต็มไปด้วยความกลัว กลัวบางคนจะหายไป เพราะผมเคยมีเค้าจนชิน ถึงเพิ่งรู้ว่าเขาสำคัญ เพราะเคยคิดว่าเขาจะไม่ไปไหน เลยมั่นใจว่าเขาจะไม่มีคนอื่น เพราะอะไรมากมายเลยทำให้ผมเพิ่งรู้

ความรักของผม คือพี่ติ

ถ้าผมยังไม่เสียเขาไป ผมจะทำให้ทุกวันของเรากลับมาหวานเหมือนเดิม จะพูดเพราะกับเขา จะไม่เฉยชา และดูแลเขามากกว่านี้

‘พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าดื่มเยอะ’

‘ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว’

‘กินยาด้วยกันแฮงค์’

‘ขับรถดีๆ เข้าใจไหม’

พี่ติมีความห่วงใยให้ผมตลอด เขาไม่เคยเปลี่ยน ผมเองที่เปลี่ยน ผมเองที่ผิด ถ้าเรื่องดาราคนนั้นมันมีอะไรมากกว่าเคส ผมก็คงว่าเขาไม่ได้ ผมเองก็ผิดผมก็หวั่นไหวกับพี่ณะ

“ซายครับ”

“คะ ครับ ครับ”

“สายเข้า” พี่ณะชี้ไปที่มือถือผม นี่ผมใจลอยขนาดไม่ได้ยินเสียงมือถือเลยเหรอเนี่ย

“ครับคุณแม่ ได้ครับ”

“แม่ดุเหรอ” พี่ณะชวนผมคุยเยอะจังวันนี้ “ไม่ครับใจดี” หมายถึงคนที่โทรมานะ แม่พี่ติใจดีกับผมมาก ส่วนแม่ผมจริงๆ เหรอหึ ดุมากกกกกก

‘พี่ติของมึง คือหมอหนุ่มรูปหล่อ มีคลินิกของตัวเอง ไม่เจ้าชู้ รักมึงหลงมึงที่บ้านมึงกับบ้านเขาก็เข้ากันได้ มึงจะเอาอะไรอี๊ก’ จริงอย่างที่วิวมันว่าแล้วผมจะเอาอะไรอีกวะ

“ถ้างั้นแปลว่าไม่ได้คิดมากเรื่องแม่”

วันก่อนๆ ผมพยายามหาเรื่องมาชวนพี่ณะคุยตลอด ตลกดีพอผมถอยพี่ณะก็ก้าวเข้ามาซะเอง แต่ผมกลับไม่ดีใจ ความรู้สึกที่เหมือนจะหวั่นไหวกับพี่ณะ ตอนนี้จอดสนิทไม่คิดจะสานต่อ

“เรื่องแฟนเหรอ” ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงยิ้มและเงียบ ไม่ตอบเพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องมีแฟน แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว “ครับมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

ไม่รู้ว่าเขาจะรู้และเข้าใจว่ายังไง สำหรับผมไม่สำคัญอีกต่อไป พี่ณะไม่ใช่คนที่ผมสนใจอีกแล้ว พนมมือท่องศีลข้อสามดังสุดเสียง และอยากให้มันดังไปถึงพี่ติเลยด้วยซ้ำ



“ซายลูก” คุณแม่เดินยิ้มมาแต่ไกล ผมเดินไปหาอ้อมกอดของแม่คนรักตลอดเวลาที่คบกัน นอกจากจะได้คนรักที่แสนดี ผมยังได้ครอบครัวกลับมาอีกด้วยเพราะพ่อกับแม่ผมชอบเที่ยว ท่านสองคนมีความฝันว่าจะเที่ยวรอบโลก ตั้งแต่ผมเริ่มขึ้น ม.1 ท่านสองคนก็เริ่มเดินทาง

การเจอกันจากรอบอาทิตย์ เป็นเดือนเป็นปี กว่าจะเจอกันสักครั้ง ผมเคยน้อยใจท่านแต่นั่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ดีใจซะอีกที่ท่านมีความสุข

“ฝึกงานเหนื่อยไหมลูก” คำถามแรกหลังเราได้อาหารที่สั่งหมดแล้ว

“ไม่เลยครับ สนุกดี”

“จบแล้ว มาเป็นฝ่ายกฎหมายให้บริษัทเรานะอย่าลืม” ถึงตอนนั้นผมกับพี่ติอาจเลิกกันไปแล้วก็ได้ คิดแล้วเศร้าแฮะ

“แม่ชวนซายตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาลัย จนตอนนี้จะจบแล้วไม่รู้แหละต้องไป” ผมหัวเราะให้ท่าน คุยกันเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ผมก็หาโอกาสเข้าคำถามที่เตรียมมาแต่ไม่ง่ายนัก จังหวะมันไม่ให้ ก็ถามที่คิดออกไปก่อนแล้วกัน

“คุณแม่มาคนเดียวเหรอครับ” แอบภาวนาให้ลูกชายแม่มาด้วย

“ใช่จ้ะ แต่วันกลับพี่ติของเราจะมารับ เห็นว่า จะแวะมาหาน้องด้วย” จริงเหรอพี่ติจะมาหาผมเหรอ แค่นี้ผมก็ใจชื้นใจฟูไปไหนต่อไหนแล้ว

“ช่วงนี้ติเขางานยุ่ง ไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่ซายมาฝึกงาน” ใจที่ฟูอยู่หล่นกลิ้งไม่เป็นท่าไปตามพื้น “เหรอครับ” พี่ติโกหกผม ที่บอกว่ากลับไปนอนบ้านบ่อยๆ เขาโกหก

“แม่ไปนะลูก วันมะรืนเจอกันใหม่นะจ๊ะ” คุณแม่กอดลาผม หอมแก้มผม เหมือนทุกที ผมหวงพี่ติ หวงครอบครัวพี่ติ ผมไม่อยากเสียทุกคนให้ใครทั้งนั้น คุณแม่กลับไปแล้ว ผมยังเดินเตร่ไร้จุดหมายอยู่บนห้าง ร้านไอติมชื่อดังราคามหาโหด



‘ซายชอบกินรสไหน’ พี่ติในชุดนักศึกษา นั่งตรงข้ามผมที่อยู่ในชุดนักเรียนตอนนั้นเพื่อนพี่ติมาเจอ ล้อว่าเขา “แอบกินเด็ก”

ผมคนซื่อดันไปแก้ตัวว่า “ยังไม่ได้กิน”



พี่ๆ เลยเปลี่ยนไปล้อว่า พี่ติกาก วันต่อมาพี่ติประกาศต่อหน้าเพื่อนว่า “กูไม่กากแล้ว” ผมเขินจนเถียงต่อไม่เป็น

ยิ้มทั้งน้ำตากับความทรงจำนั้น ป่านนี้พี่จะไปเอาใจใครแทนผมรึเปล่านะพี่ติ

‘มึงอย่าเอาความเบื่อแค่อารมณ์ชั่ววูบ มาทำให้มึงเสียใจไปตลอดชีวิต เขาไปจริงแล้วจะรู้สึก’ กูรู้สึกอย่างที่มึงบอกแล้วนนท์ ขนาดเขายังไม่ไปไหน กูยังเสียใจขนาดนี้เลย



นั่งทำงานแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน เมื่อวันนี้คือวันมะรืนที่จะได้เจอพี่ติ และออยก็รับปากว่าจะหาข่าวดาราคนนั้นมาให้ ใจเต้นเป็นจังหวะที่ไม่มีในโลกเหมือนคนกินยาผิดขนาน เหมือนโดนผีเข้าไม่มีสติ ความสงบคืออะไรซายไม่รู้จัก

ออย: ทำใจเย็นไว้นะมึง จั่วหัวมาแบบนี้ไม่กรี๊ดก็บุญแล้ว เย็นยังไงไหวออยไปข้างนอกกับพี่พล ผมเลยต้องทนรอข้อความจากมันอยู่แบบนี้ ข้อความต่อมาเป็นคลิปเสียง แหล่งข่าวที่มันบอกคงส่งมา

ผมหันไปหยิบหูฟังมาเสียบมือถือ มือสั่นไปหมด ไม่แน่ใจว่าตัวสั่นด้วยไหมใช้เวลาสักพักกับสายหูฟัง ที่พันกันแน่นหนาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอทุกอย่างพร้อมผมกลับนิ่งไม่กล้ากดฟัง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นตุบตุบ

จ้องหน้าจอคอม แต่ความคิดกระจายไปไหนต่อไหน ลืมทุกสิ่งที่ควรสนใจสติแตกตื่นตูมจนพอใจแล้ว บอกตัวเองว่าความจริงก็คือความจริง ทนายต้องยอมรับความจริง นิ้วชี้กดฟังหลับตาเร่งระดับเสียง มือจับแหวนวงเดิมไว้แน่น

เสียงผู้หญิง

“อิ๋วก็ไม่แน่ใจนะพี่ออย เห็นแค่พี่คนนั้นตามประกบเน็กซ์แจ มาเฝ้าที่กองไม่ๆ มาพร้อมกันเลยบางทีก็กลับพร้อมกัน หลังๆ มาแทนผู้จัดการส่วนตัวเลย หาน้ำให้ ชวนคุย เหมือนแบบโลกนี้มีกันแค่สองคน”

พี่ติมีคนอื่น

พี่ตินอกใจ

แทนที่จะเสียใจ ร้องไห้ แต่เอาเข้าจริงผมอึ้ง ในหัวว่างเปล่าราวกำลังฝัน ผมแค่เผลอใจแต่เขามีใหม่ไปแล้ว กรรมมันสนองไวไปรึเปล่า ผมไม่ผิดขนาดโทษประหารแบบนี้สักหน่อย ยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษกับศาลไหนได้บ้าง

ออย: โอเคไหมมึง ไหวนะ

ไม่ได้ตอบอะไรเพื่อน ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดยังไง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ผมเตรียมใจไม่ทัน

“ซายครับ”

“เห้ย พะ พี่ณะ” พี่เขาลุกมาจากโต๊ะเขาตอนไหนไม่เห็นจะรู้ ตอนนี้ยืนพิงโต๊ะก้มลงมามองผมเขม็ง

“เป็นอะไรช่วงนี้ มีปัญหาอะไรบอกพี่มา อะห้ามบอกว่าไม่มีอะไร” ดักคอกันแบบนี้ให้ผมทำไง

“หวยแดกครับ” รู้ว่าดูเหมือนแถแต่ผมไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกัน

“แฟนมีคนอื่นเหรอ” อะเอ๋อสิ เอ๋อแดกของจริงเลย “ถูกเหรอพี่แค่เดามั่วนะ”

อ้าว ทำหน้าไม่ถูกเลยครับ “ขอโทษๆ พี่ยิ้มเพราะดีใจ ซายโสดพี่จะได้จีบต่อ”

“อะ อะไรนะครับ” ประโยคแรกที่ผมพูดได้สักที

“ก็ตามนั้น โสดแล้วบอกพี่คนแรกนะครับ” แล้วคนพูดก็ก้าวขายาวๆ ไปนั่งที่โต๊ะทำงานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายมาหาผมยืมปากกาแล้วก็กลับ เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่า จุดสมดุลของความรักไม่มีอยู่จริง



เย็นวันนั้นในที่สุดผมก็ได้อยู่กับพี่ติสองต่อสอง ตอนนั่งรอเขาที่ห้อง ผมอึดอัดที่สุดยิ่งกว่าตอนรอลุ้นผลสอบ หนึ่งชั่วโมงที่ปานจะขาดใจตาย ในที่สุดเขาก็มานั่งตรงนี้ ข้างผมมีคำถามเป็นล้านข้อ จนแล้วจนรอดสุดท้ายก็เรียบเรียงประโยคไม่ได้

“พี่มีอะไรจะสารภาพ// ผมมีเรื่องจะถาม” พอคิดออกก็ดันมาพร้อมกันอีก

“ซายก่อนเลย”

“พี่จะสารภาพอะไรว่ามาเลย เผื่อเป็นเรื่องที่ผมจะถามพอดี” เราคุยกันแต่ไม่มีใครมองหน้าใคร

“เน็กซ์เป็นเคสพี่จริงๆ ส่วนเรื่องที่พี่จะสารภาพ” พี่ติเว้นช่วงถอนหายใจ ไม่เคยเห็นเขาเครียดแบบนี้ อย่าบอกนะว่า

“เขาบอกว่าเขาชอบพี่” นี่เป็นอินโทก่อนที่จะโดนบอกเลิกชัดๆ ผมก้มหน้าบีบมือตัวเองแน่น “แล้วพี่ล่ะ” กลั้นใจถามเขาไป แต่ในใจไม่พร้อมจะฟังอะไรเลย

“อืม” เขาตอบมาสั้นๆ น้ำตาผมก็เกินจะกลั้นไว้แล้ว

“พี่ช่วยพูดให้มันยาวๆ ได้ไหมวะ” ผมตะโกนใส่เขาทั้งน้ำตา

“ซายพี่ขอโทษ” ผมตัวอ่อน ยอมให้เขากอดไว้ ไม่มีแรงขัดขืน ถ้าเขาปล่อยมือผมคงล้มไม่ต้องสงสัย

“พี่แค่รู้สึกหวั่นไหว พี่ไม่ได้ คือพี่ยังรักแค่ซาย รักซายคนเดียว อย่าร้องนะซาย พี่ขอโทษ” พี่ติเสียงสั่นไม่ต่างกัน เขาจูบซับน้ำตาผมปลอบให้ผมเลิกร้อง แต่มันไม่ง่าย ผมไม่ได้ร้องฟูมฟาย แต่น้ำตามันไหลเหมือนเขื่อนแตก หยุดไม่ได้ ห้ามไม่อยู่

“พี่แน่ใจเหรอว่าไม่รักเขา พี่กับเขาถึงขั้นไหนแล้ว” อยากรู้อยากถาม ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าคำตอบของเขาผมจะรับไหวแค่ไหน ใจผมพังกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“แค่กอด แค่กอดเท่านั้น พี่ขอโทษ” คำว่าขอโทษของเขาช่างบางเบา แต่คำว่าเขากอดคนอื่น กลับดังก้องในใจของผม นึกภาพคนที่กอดผมตอนนี้ แต่คนที่เขากอดไม่ใช่ผมกลายเป็นคนนั้น เขาเป็นดารา หน้าตาดีกว่าผมหลายเท่าด้วย ตัวเล็กๆ ขาวออร่า ยิ้มแล้วโลกสดใส เกลียดความรู้สึกที่ว่าผมแพ้ เกลียด!!!

“ที่พี่บอกว่าไปค้างที่บ้านพี่ก็ไป”

“ช่วงนี้พี่ค้างกับเขาบ่อย คือ เขา เขา อยากฆ่าตัวตาย พี่เลยต้องเฝ้าเขาแบบใกล้ชิด เขาเป็นดาราการมาบำบัดที่คลินิก มันเป็นไปได้ยากแล้ว แล้ว...” หูดับชั่วคราว เหมือนผมปิดหูไว้ ไม่รับรู้อะไรจากเขาแล้ว

เขาไปนอนด้วยกัน เขากอดกัน พี่หวั่นไหว ผมควรทำยังไง ซายยังเป็นคนที่พี่อยากให้อยู่ด้วยอีกไหม

ได้แค่ส่งสายตาเป็นคำถามไป ไม่กล้าจะเอ่ยถามอะไรอีกแล้ว กลัวไปหมดแล้ว

“อีกแค่เดือนเดียวเขาดีขึ้นพี่จะไม่ติดต่อเขาอีก พี่เสียซายไปไม่ได้ แต่พี่ไม่อยากมีความลับกับเรา” ประโยคต่อมาเหมือนน้ำฝนฉ่ำเย็น หัวใจที่เกือบแห้งตายของผม กลับฟื้นสัญญาณชีพมาได้อีกครั้ง

“พี่จะบอกว่าไม่อยากเลิกกับผมใช่ไหม ใช่ไหมพี่ติ พี่ไม่ได้จะทิ้งผมใช่ไหม” คร่ำครวญเหมือนคนบ้า กอดรัดตัวเขาไว้แน่น พี่ติซบหน้าลงกับอกผม ตัวสั่นเราต่างเสียใจไม่ต่างกัน

“ซายให้อภัยพี่ไหม อย่าโกรธพี่นะ ตอนนี้พี่ไม่รู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้นพี่รักแค่ซาย”

เรื่องของเขาเหมือนจะไม่มีอะไรติดค้างแล้ว เหลือแต่เรื่องของผมต่อ ผมควรพูดไปซะอย่างที่ออยบอก เขาก็มีคดี เรื่องของผมจะได้ไม่ดูร้ายแรงนัก แต่มันจะง่ายแบบนั้นเหรอ

“ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธพี่ เพราะผมก็ผิดไม่ต่างกัน” หมอติเงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยคำถาม เหมือนผมเห็นภาพตัวเองเมื่อสักครู่ฉายซ้ำอีกรอบ สลับแค่ตำแหน่ง ตอนนี้ผมต้องสารภาพความผิดออกมาบ้าง

“ผมขอโทษ” ประโยคแรกที่พูดออกไป เหมือนเขาไม่มีผิด เขายังนิ่งเหมือนรอฟัง

“ผมก็หวั่นไหว แต่วันที่ผมรู้ว่าพี่ติมีคนอื่นผมแทบอยู่ไม่ได้ ผมเพิ่งรู้ว่าพี่คือคนเดียวที่ผมจะเสียไปไม่ได้” เขาไม่ได้ถามอะไร ผมเลยกัดฟันเล่าต่อ

“แต่ผมไม่เคยแสดงออกกับเขานะ เขาไม่รู้ว่าผมหวั่นไหว”

“ซายพี่ขอบคุณ ขอบคุณครับ พี่ก็เสียน้องไปไม่ได้เหมือนกัน พี่รักซาย”

“ผมก็รักพี่ พี่ติ ผมรักพี่” ผมกอดเขาแน่นเหมือนกลัวเสียเขาไป และถูกเขากอดไว้แน่นเหมือนเขาก็กลัวเสียผมไป เรากอดกันแน่น เหมือนกลัวว่าจะมีใครมาพรากเราจากกัน

คำว่ารัก ในรอบสองปีรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่เป็นคำว่ารักที่ผมจะไม่ลืมเลย เพราะมันคือ คำว่ารักที่ต่อท้ายด้วยคำว่าเข้าใจ คำว่ารักที่หมายความว่าอภัย





#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 13:21:43 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 4

เซ็กส์บำบัด



เซ็กส์ที่ห่างหาย กับคนรักที่คิดว่าจะไม่ได้กลับคืน ในค่ำคืนของการปรับความเข้าใจ พี่ติใช้คำว่า “เซ็กส์บำบัด”

“เขาชื่ออะไร” เสียงถามดุดันดังเหมือนเราสองคนอยู่ไกลกัน ทั้งที่เขาอยู่ห่างผมไม่ถึงคืบ

“พี่เขาชื่อณะ ณพล” คืนนี้ผมจะต้องตอบทุกคำถามให้เขาฟัง สายตาไม่พอใจของพี่ติทำเอาใจผมสั่น แทนที่จะกลัวแต่มันกลับเร้าใจ ไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนเราทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง

“เล่ามา ให้ หมด” คำสั่งขาดหายไปเป็นห้วงๆ เพราะปากเราที่ประกบกัน และปลายลิ้นตะกละตะกลามของเขา เริ่มล้วงเข้ามาล้ำเส้นตลอดเวลา ผมต้องรับจูบที่หาความอ่อนโยนไม่เจอ ในขณะที่ต้องตอบคำถามของเขาไปด้วย ขอแนะนำให้รู้จักหมอติ ในร่างร้าย

“เขาเก่ง หล่อ อื้อออ” ผมโดนหมอกัดปาก สักพักรู้สึกเค็มๆ นิดๆ กลิ่นเลือดในปากลอยขึ้นจมูก หมอติกำลังกินปากผมอย่างเอร็ดอร่อย พี่ติปากผมกินไม่ได้นะ

“เล่าติต่อครับ” สายตาของเขาราวกับมัจจุราช ที่มาพร้อมกับภารกิจปลิดชีพผม

“เขาเล่นกีตาร์จีบ ผะผม อืมมม พี่ติ..” ปลายประโยคเบาหวิว มือหมอล้วงบีบสะโพกกลมดันยกขึ้น ผมตัวลอยติดมือเขาไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อน แก้มก้นเปลือยเปล่าสัมผัสความเย็นของผิวหินอ่อนมันเย็นไปทั้งตัว ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟหัวเตียง ประตูห้องนอนยังเปิดอยู่ แต่เราสองคนไม่มีใครคิดจะก้าวเข้าไป

ตกลงกันว่าจะจบทุกปัญหาบนโต๊ะหินอ่อนตรงนี้ มือหนาจับกุมข้างแก้มของผมไว้ ไม่แน่นหนานักแต่ผมก็จนปัญญาจะหลบหนี

“ชอบเขาไหม” เป็นคำถามที่ตอบยาก พี่ติใช้จังหวะที่ผมกำลังคิดคำตอบอยู่นั้น ถอดอาภรณ์ชิ้นที่เหลือบนตัวผมให้พ้นทางเขา

“ชอบ แต่ไม่ได้รัก” คำว่าชอบหลุดจากปากผมไป พร้อมชั้นในชายสีขาวก็หลุดร่นเกี่ยวคาที่ข้อเท้า หมอจู่โจมกัดหัวไหล่ผมจนเนื้อขาวขึ้นรอยสมใจ พักจังหวะด้วยการซุกหน้าหล่อกับต้นคอผม มือหนึ่งเขายันโต๊ะอีกข้างเขาจับบีบยอดอกเม็ดชมพูของผม ด้วยความชำนาญ

“ตอนนี้รู้สึกยังไง”

“เสียววว” ผมตอบเสียงสั่นเบา หมอติหลุดขำในคอ และในที่สุดเขาก็หลุดยิ้มแรกให้ผมสักที

“หมายถึงตอนนี้ยังชอบอยู่ไหม” แล้วเขาเองก็ได้เห็นผมเขินอายจนหน้าแดงหูแดง หมอบ้าถามไม่ชัดเจน

“ไม่ครับ ไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมตอบตามจริง เขาต้องเชื่อเท่านั้น เพราะผมไม่ได้โกหก

“พี่เชื่อซาย” จ้องตาลูบหัวผม หน้าผากเราชนกัน ผมหายใจหอบเขาหลับตายิ้มอีกมือเขาดึงเอวผมเข้าหา ก้นผมยังเย็นชืดแต่กับใจเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้าง

การบำบัดเพิ่งจะเริ่มต้นผมรู้ แล้วตอนนี้ผมพร้อมจะรับการรักษาอีกขั้นของเขาแล้ว

ทันทีที่ตัวผมถูกยกลงจากโต๊ะ เท้าสัมผัสพื้น ถูกเขาจับหันหลังก้มลงผิวแก้มนาบลงสัมผัสพื้นผิวหินอ่อน มันเย็นราวน้ำฝนที่สาดซัดในค่ำคืนฤดูหนาว ผมสั่นสะท้านไม่ใช่แค่ความเย็นที่ปะทะเรือนร่าง แต่เป็นความรู้สึกผิด ที่ชัดเจนราวกับกล้องส่องทางไกลที่เพิ่งปรับโฟกัสได้ชัดเจนต่างหาก

‘พี่ติผมชอบพี่’ คำสารภาพรักในวันวาน ที่มอบให้จิตแพทย์หนุ่มคนที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ในเวลานี้ ทุกครั้งที่เขากระแทก บดส่ายลำตัวเข้ามาให้ผมดูดกลืนตัวเขา ความเสียวซ่านที่ทวีกับความทรงจำของเราสองคนก็เริ่มฉายชัด ประโยคแล้วประโยคเล่า สัมผัสแล้วสัมผัสเล่า



เวลาบ่ายของวันจันทร์ ประกาศผลการสอบเข้าเรียนต่อสายวิทย์ ในโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ผมคาดหวัง ผมสอบติดและพี่ติเป็นเบื้องหลังที่ช่วยติว

รางวัลที่ให้พี่ มันคือจูบแรกของผม ตอนนั้นทำให้พี่ติรู้ว่าผมมีใจ

ขาผมสั่น แรงจะยืนแทบไม่มี ถุงยางอนามัยเครื่องห่อหุ้มเดียวที่เราใช้ในตอนนี้ ถูกถอดทิ้งขยะ และสวมทับด้วยอันใหม่ทันที สองแขนผมปัดป่ายบนโต๊ะตัวเดิมด้วยความเหนื่อยอ่อน เป็นความล้าที่แสนจะเต็มใจ

เวลาเช้าตรู่ของวันจันทร์แรกที่เปิดเทอม ม.4 พี่ติมอบของขวัญให้ผมเช่นกันจูบครั้งที่สอง และคำพูดที่ผมไม่ได้คิดถึงมันนานมากแล้ว

‘แน่ใจเหรอว่าจะจีบ’ ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าพี่ติก็มีใจ

ลิ้นสากลากไปตามจุดไวต่อสัมผัส ขณะที่ผมยันตัวขึ้นพักเหนื่อย ก้มทิ้งสายตาลงจ้องพื้นผิวหินอ่อนตรงหน้า ปล่อยให้ความทรงจำ ระหว่างเราเด่นชัดไหลบ่า ราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก

เวลาค่ำของวันจันทร์ที่ผมเรียนจบ ชั้นม.4 ระยะเวลาปีกว่า กับความพยายามที่ตามจีบรุ่นพี่นักศึกษาแพทย์ปี 4 วันที่ผมเกือบทิ้งทุกอย่างไปเพราะเหนื่อยกับการวิ่งตาม พี่ติมาหาผมที่หอพัก ตะโกนเรียกจากลานจอดรถขึ้นมาชั้น 5 เพื่อบอกว่า ‘พี่คิดถึงซายนะครับ’ ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าจีบติดแล้ว

คุณหมอยังตามฝังจูบอย่างตั้งใจ เนิบนาบแต่รุนแรง มันเริ่มจากหลังกกหู ละมาที่ซอกคอ แวะไปจนทั่วลงมาจบที่ข้อพับขา วนกลับมาที่สะดือ แล้วลงต่ำอีกครั้งหยุดจมจ่อที่ต้นขาด้านใน จุดที่ปลุกทุกการหลับใหลให้ตื่นตัวอีกครั้ง

เวลาเกือบเที่ยงของวันจันทร์ ช่วงที่ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อคณะที่ต้องการ ผมได้รู้จักกับพ่อแม่ของพี่ติครั้งแรก เป็นความทรงจำที่ไม่ได้ดีนัก แต่กลับทำให้ผมรู้สึกไม่ผิดหวังที่รักผู้ชายคนนี้

‘พ่อ แม่ นี่ซาย น้องเรียนนิติศาสตร์ ปี1 ตามจีบผมมาเกือบ3 ปีแล้ว ผมควรรับรักน้องดีไหมครับ’



แน่นอนว่าพ่อแม่ของพี่ติไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธในทันที ส่วนผมคงต้องอ่านหนังสือให้หนักขึ้นเพื่อสอบเข้าคณะที่ตั้งใจ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าพี่ติเป็นคนโกหก

ผมน่าจะรู้ดีตั้งแต่ตอนนั้น ว่าที่คุณหมอช่างร้ายกาจ เพราะเขาบอกพ่อแม่ไปแล้วว่าผมเรียนนิติ ผมก็ต้องอ่านหนังสือเพื่อสอบให้ติด แล้วการพาไปหาครอบครัวเขา ด้วยประโยคที่ว่าผมจีบ พ่อแม่ก็ไม่กล้าห้ามทันทีเพราะยังไม่ได้คบ ไม่เรียกว่าร้ายแล้วเรียกว่าอะไร

เมื่อจูบจนพอใจหมอติก็เพิ่มเลเวล คุกเข่าแล้วครอบปากกับส่วนแข็งขืนกลางตัวผม เกือบจะตาย เสียงครางต่ำของผมดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะปากที่เขามอบให้ก้มลงมองตาเขาที่มองขึ้นมาสบตาผม จับเส้นผมของเขาไว้ หลับตาให้ความทรงจำของเราแจ่มชัดอีกครั้ง

เกือบตีสามของวันใหม่ และมันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น เพราะมันเป็นวันจันทร์ วันที่ผมรู้ว่าผมคือว่าที่นิสิตคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยที่ผมคาดหวังไว้ ที่เดียวกับคนที่เป็นแรงบันดาลใจของผม คราวนี้ประโยคที่ผมจำได้ดีกลับมาจาก นางสิณี ธำรงค์วิทย์ แม่ของพี่ติ ที่ไม่ค่อยยอมรับผมเท่าไหร่

‘มาเป็นลูกชายของแม่อีกคนนะลูก’ ลูกชายของแม่ ผมยิ้มอิ่มกับความทรงจำ

ความทรงจำหยุดฉายชั่วขณะ ในจังหวะที่ได้ปลดปล่อยสายธารขุ่นออกจากตัว เลอะมุมปากของผู้รีดเร่ง หมอติยิ้มร้ายให้ผม หลังเห็นผมเหนื่อยจนต้องหายใจทางปาก

ร่างของถูกอุ้มมาวางลงบนพื้นห้องอีกฝั่ง ฉวยจังหวะนี้ทิ้งหัวลงซุกอกกว้างของเขา ยอมจำนนให้เขาแล้วทุกอย่าง เขาอยากทำอะไรผมยอมหมดแล้ว

พี่ลงบนบีนแบคทรงสามเหลี่ยมเนื้อผ้านุ่มลื่น สบายผิวกว่าโต๊ะหินอ่อน แต่ผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับความสบายผิวนั้น

“ช่วยพี่หน่อยนะครับ” นานแล้วที่เราไม่ได้พูดจากันเพราะๆ ผมหรือเขาที่เป็นคนทิ้งความไพเราะอ่อนหวานนั้นก่อนจำไม่ได้

เลื้อยตัวลงจากอกเขา ถอยหลังลงไปหาส่วนที่ตั้งตรงขัดกับร่างกำยำที่นอนราบ หยอกล้อส่วนปลายด้วยนิ้วเรียว เจ้าของสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหลุดขำเบาๆ

เขามีความสุขผมก็มีความสุข

‘พี่ติเป็นเป็นของผม ต้องรักผมคนเดียว’ เสียงของเด็กเอาแต่ใจคนนั้น ก็คือเสียงผมนี่แหละ

‘ครับพี่เป็นของซาย รักซายคนเดียว ตลอดไป’ หมอติใจดีแถมคำสุดท้าย ที่ผมไม่เอ่ยขอให้ผมยิ้มแก้มเกือบแตก วันนั้นเราครบรอบสามปีของความสัมพันธ์ที่หวานยิ่งกว่าน้ำตาล

นานแล้วที่ผมไม่ได้กินไอติมแท่งนี้ ปากของผมยังรู้วิธีกิน รู้วิธีเรียกเสียงครางจากเขา ค่อยเล้าลิ้นวน ช่ำช้า แต่ไม่อ้อยอิ่งให้เขารำคาญใจ ใช้ทั้งปากและลิ้นที่รู้ใจเขาปรนเปรอ เรียกน้ำฉ่ำแฉะ ซึมออกมาไม่หยุด เสียงอีกคนกดครางนานรับสัมผัสจากผม

“ซายย อย่ามีใครนอกจากพี่” คำสั่งหมอช่างรัญจวนหัวใจ เยียวยาขั้วสามัญสำนึกแห่งความซื่อสัตย์ของผม ที่เคยอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็งแทนคำขอโทษผมเร่งจังหวะขยับขึ้นลง อีกมือที่ว่างเข้าช่วยเพราะทั้งปากทั้งลิ้นเริ่มชา

เสียงของหมอดังขึ้นเป็นจังหวะไล่ตามลมหายใจ ตามอารมณ์ที่ร่านร้าย มือข้างหนึ่งของเขาจับยึดเส้นผมของผมไม่จิกแรง แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนนัก อีกมือยันพื้นขณะที่หลังพิงฝาเริ่มหายใจหอบ

“ซาย พะ พี่ ระ รัก ซะ ซายย” ประโยคบอกรักถูกตัดแบ่งเป็นคำๆ เพราะคนพูดต้องเว้นช่วงให้ตัวเองหายใจ

เซ็กส์บำบัดจบลง พร้อมกับหยดน้ำกามหยดสุดท้าย เขาจูบลงบนแหวนของเขา ที่ห้อยบนคอผม

เราสองคนต่างยิ้มให้กันได้หมดหัวใจอีกครั้ง ยิ้มให้กันทางสายตา แข่งกันโกยอากาศมาหายใจ มันเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาของชีวิตคู่ที่เรามีร่วมกัน

“ผมขอโทษนะครับ” ตอนที่พูดคำนั้นออกไป รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กชายเวย์ซายที่แอบรักติวเตอร์พี่ติ ระยะห่างของอายุ 7 ปี เท่ากับความสัมพันธ์ที่แนบแน่น ที่เราสองคนมีร่วมกัน

รู้สึกใจหายที่มันเกือบพังลงเพราะการละเลยกัน ผมขยับตัวเข้าหาแผงอกของเขาอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าเราใกล้กันจนไม่มีที่ว่างให้ขยับเข้าไปอีกแล้วก็ตาม ส่วนเขาก็ตอบรับโดยการคลายกอดออก แล้วกระชับตัวผมเข้าไปอีกครั้ง

มันเป็นการกอดในตำแหน่งเดิม อ้อมกอดเดิม แต่ทำไมรู้สึกอุ่นขึ้น นี่ใช่ความมหัศจรรย์ของความรักหรือเปล่า

“พรุ่งนี้ให้ผมเป็นหมอบ้างนะครับ” เสียงผมเปลี่ยนมาขุ่นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงตอบรับจำยอมเบาๆ จากอีกคน

“ครับผม”









.................................................................................

มีแฟนเป็นหมอก็ดีอย่างนี้เอง บำบัดฟรี

#พี่ติน้องซาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 13:48:58 โดย antivirus »

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #5 เมื่อ04-11-2018 17:55:38 »

จุดเริ่มต้นของการแยกทางหรือไปต่อสินะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #6 เมื่อ04-11-2018 18:10:50 »

 :pig4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #7 เมื่อ04-11-2018 18:23:09 »

น่าสนจัยยย  o18 ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #8 เมื่อ04-11-2018 20:16:22 »

น่าติดตาม รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 5 ฟุ้งซ่าน
«ตอบ #9 เมื่อ05-11-2018 08:45:49 »

Chapter 5

ฟุ้งซ่าน





เมื่อผมบอกพี่หมอว่า มีอะไรวิจารณ์มาตรงๆ

“เค็มไปนิด”

“จืดไปหน่อย”

“เผ็ดไปครับ”

“พี่ว่ามันขาดบางอย่าง”

พอเลิก!!

เรียนจบแล้วแต่งานก็ยังหาไม่ได้ นิยามคือว่างงาน ช่วงนี้ก็ได้แต่อยู่ห้องรอพี่ติ ผมเลยหาอะไรทำแก้เหงาเสน่ห์ปลายจวักมัดใจคุณหมอ แต่ใช่ว่าพอเราแยกเกลือกับน้ำตาลออกแล้ว ก็จะทำอาหารอร่อยได้หรอกนะ สุดท้ายก็เททิ้ง ไม่ทงไม่ทำแล้ว เปลี่ยนมาทำขนมดีกว่า เราอาจไม่ใช่สายคาวเรามันสายหวาน

เช้าวันถัดมามีพนักงานมาส่งตู้อบ และอุปกรณ์หลายอย่างที่ผมสั่งเอาไว้ โซนครัวถูกจัดใหม่ พร้อมสำหรับมุมขนมปัง ลองผิดลองถูกไปตามขั้นตอนที่เจอในเน็ต วัตถุดิบเสียหายไปหลายร้อย ก็เริ่มได้กลิ่นหอมลอยมาจากเตา กลิ่นเนยที่แค่สูดดมก็รู้สึกอ้วนขึ้นมาทันที

“พี่กะ...กลับมาแล้ว ซายทำอะไรอยู่ครับหอมจัง” มาแล้วเหยื่อ เอ๊ยคนชิม

“พี่ติมาชิมเร็วๆ ครับ” ขนมปังไส้ทะลักยิ่งกว่าขนมปังวังหลังถูกพี่ติซัดเรียบ

“อร่อยมากครับ” เพิ่งรู้ว่าแฟนผมชอบกินขนมปังขนาดนี้



ความว่างน่ากลัวมาก ผมอยากทำขนมทั้งวันจะได้ไม่ต้องว่าง ส่วนพี่ติคงกินขนมจนเบื่อ ก็สงสารอยู่เหมือนกัน วันนี้เลยว่าจะเอาไปฝากพนักงานคลินิก แล้วก็แอบไปหาคุณหมอสักหน่อย

“ขอบคุณค่ะน้องซาย” พี่พนักงานต้อนรับประจำคลินิกยิ้มแย้มกับขนมที่ผมเอามาฝาก ย่องเข้าไปหาคุณหมอที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูเอกสาร นึกเล่นเป็นเด็ก ปิดตาแล้วถามว่าใครเอ่ย หมอติหัวเราะกับการเล่นไม่สนใจอายุของผม มือผมที่ปิดตาเขาไว้ไม่มีความหมาย เมื่อเขาหันมาใช้ปากปิดลงที่ปากผมแทน

“อื้ออ” ประท้วงพอเป็นพิธี แต่ไม่มีเหตุผลให้ต้องขืนขัดเขา จวบจนคุณหมอเขาพอใจก็ปล่อยให้ปากผมเป็นอิสระ

“ขยันจังน๊า แล้วนี่มาหาแบบนี้ไม่กลัวโดนจีบอีกรึไง” ดูถามเข้าสิไม่อยากให้ผมมาเองรึเปล่าเนี่ย

“ผมชินแล้ว เกิดเป็นคนหล่อต้องทำใจ”

"คร๊าบสุดหล่อ ยิ้มได้แบบนี้ค่อยสมกับเป็นซายหน่อย" ยิ้มให้เขาอีกทียืนยันว่าผมโอเคแล้ว

นึกถึงวันที่เคสของเขามาจีบผมแล้วก็ยังขำไม่หาย พี่ติแสดงความเป็นเจ้าของผมจนเคสหายไปเลย

ผมรู้สึกดีจังเวลาเขาแสดงความรู้สึก หวงผม หึงผม หรือแสดงออกชัดเจนว่าผมเป็นของเขาห้ามใครมายุ่ง การเป็นคนสำคัญของคนที่เรารัก มันเป็นแรงให้เราไม่เหนื่อยที่จะรักกัน

"ซายครับ อย่าคิดมากเรื่องงานเดี๋ยวก็หาได้ ไม่ได้ก็ไปทำกับคุณพ่อคุณแม่" เอาอีกแล้วเรื่องนี้อีกแล้ว

"ผมอยากทำสำนักงานกฎหมายมากกว่า มันมีคดีหลากหลายให้ทำ"

"อื้ม ตามใจเราเถอะ พี่แค่ไม่อยากเห็นซายเครียด"

"ครับผมรู้" แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา พยายามไม่เครียดก็ยิ่งเครียดพี่หมอก็น่าจะรู้

บอกผมอย่าคิดมาก ไม่ดูตัวเองเล้ย นั่งดูเขาเคร่งเครียดกับเอกสาร พี่ติดคงเหนื่อยแต่การทำงานจนเหนื่อย มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนเราอยู่แล้ว ตอนเด็กเราเหนื่อยกับการเรียน

ตอนโตเราก็เหนื่อยกับการทำงาน โชคดีที่สุดก็คนที่รู้ว่า เกิดมาพร้อมจะเหนื่อยให้กับเรื่องอะไร ผู้คนส่วนน้อยนิดที่มีความสุขในความเหนื่อย

“ทำหน้ามู่ทู่มีอะไรครับ” ผมไม่มีอะไรแค่เบื่อ ว่างจนเบื่อ

“ไปหาเพื่อนได้นะถ้าเบื่อ” เขารู้ใจผมมากก็แหง๋เราอยู่ด้วยกันมานาน แต่ก็เป็นความคิดที่ดี ไม่เจอพวกเพื่อนนานแล้ว คิดถึงอยู่เหมือนกัน



“โทษทีวะกูเพิ่งอบขนมเสร็จ” ผมชูขนมปังไส้ต่างๆ ในมือ

เพื่อนทุกคนแข่งกันทำหน้าเหวอ

“มึงทำเองเหรอน้องทราย”

“ทำขายเหรอวะ”

“หรือมึงทำงานฝ่ายกฎหมายอยู่ฟาร์มเฮ้าส์” ไปกันใหญ่แล้ว ต้องมาอธิบายอีกว่าผมซื้อเตามาอบเองเพราะ ว่างงานเบื่อกับการไม่มีอะไรทำระดับร้อย

“วันก่อนพี่พลโทรหากู บอกว่าถ้ายังไม่มีงาน ไปทำกับเขาได้ มึงก็ด้วย” ออยพูดกับผม ตอนที่วิวออกไปเต้นกับแฟนมัน ลืมเล่าวิวมีแฟนใหม่ที่น่าจะไปด้วยกันได้ ชื่อพี่อดุลเห็นบอกว่าเจอกันที่ทำงาน

ส่วนไอ่สองแฝดทำงานที่บ้านตอนนี้ก็โดนใครสักคนโทรตาม จนต้องหลบไปคุยนอกร้าน

“กูคงไม่ไปวะ” แทบไม่ต้องคิดพี่ติคงยอมให้ไปหรอก

“อีกเรื่องพี่พลบอกพี่ณะมีแฟนแล้ว ตัดใจจากมึงได้แล้ว ไม่ต้องคิดมาก”

“ก็ดี”

“แล้วมึงสบายดีรึเปล่าเนี่ย”

“อืมดี”

“ตอบมาตรงๆ มารยาททางสังคมกูไม่ชอบ” เพื่อนก็คือเพื่อนครับ ไอ้ที่จะถามตามมารยาท ตอบตามมารยาทพวกผมไม่รู้จักหรอก





“พวกมึงมีงานทำกันหมด กูเบื่อตกงานเครียด เลยตะบี้ตะบันทำขนม พี่ติกินจนเขาคงเอียนแล้ว” นั่นแหละความจริงที่ผมมี

“บริษัทพ่อแม่พี่ติล่ะ ยังไงมึงก็ลูกสะใภ้”

“ลูกสะใภ้ผ่องดิ กูต้องยืนได้ด้วยตัวเองป่ะ ขนาดพี่ติลูกแท้ๆ ยังไม่ทำเลย แล้วกูเป็นใคร”

“พี่ติเค้าเรียนจบหมอเฉพาะทางมา มึงจะให้เขาไปบริหารอะไรมันใช่เหรอ”

“ก็กูไม่อยากไป” ทำงานให้บริษัทเขาถ้าเลิกกันจะทำยังไง จริงอยู่ว่าไม่ได้คิดจะเลิก แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนอยู่ดี

“เออๆ แล้วแต่มึงละกัน ไม่ไหวก็โทรหากู อยู่ต่างจังหวัดก็จะรีบมา”

“ซึ้งใจน้ำตาไหลกอดที”

“ตีนกูนี่มากงมากอด”

“กับเพื่อนหวงตัวกับผู้หญิงวิ่งใส่” มักยักคิ้วให้ไม่มีแก้ตัวเลยสักคำ

กลายเป็นว่าผมกับออยคุยกันเรื่องสะระตะไม่มีสาระใดๆ เหมือนวันเก่าๆ ไม่มีผิด ต่างกันที่ทุกคนมีงานทำ แต่มาพูดว่าอิจฉาผมที่ไม่ต้องทำงาน ถามว่าให้มาแลกกันไหม พวกมันก็คงไม่เอา

ใครจะอยากตกงานอยู่บ้านให้คนอื่นเลี้ยงกันล่ะ ศักดิ์ศรีทุกคนก็มี ยิ่งผมที่เคยมั่นใจในตัวเองมากด้วยแล้ว การอยู่แบบไร้เป้าหมาย ไร้หน้าที่ที่รับผิดชอบ มันเหมือนผมกำลังตายลงช้าๆ



ค่ำคืนดึกดื่นก็นอนไม่หลับ คิดเรื่องหางานวกไปวนมา ชีวิตที่สุขสงบมีแค่ช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็มีปัญหาเวียนมาไม่รู้จบสิ้น

“เป็นอะไรครับ” แม้ปัญหายังไม่หายไปไหน แต่เพราะมือหนาของเขาที่ลูบหัวกับเสียงที่ถามชวนให้ยิ้มได้

“พี่ติผมว่างงาน” ผมใช้สิทธิ์แฟนบำบัดฟรีได้ใช่ไหม

“เครียดเหรอ” คงจะได้ “มากๆ”

“ให้หมอช่วยไหมครับ” คุณหมอมากระซิบข้างหูแบบนี้ “ช่วยบำบัดผมที” ส่งสายตาร้องขอคุณหมอแบบนี้ คิดว่าคืนนี้จะรอดไหม

ไม่น่ารอด!!

มือของเขาล้วงลูบแผ่นหลังผมเบาๆ มันมืดแต่เราก็พอเห็นกันอยู่ สายตาอบอุ่นของเขาส่งมาไล่ความเครียดในใจผม “อย่าคิดมากนะซาย” จูบกลางกระหม่อมอ่อนโยนจนผมรู้สึกผ่อนคลาย

“เมื่อถึงเวลางานดีๆ จะเข้ามาหาเองนะครับ” แค่นั้นปากของเขาประทับลงบนปากของผม แค่กดค้างแค่จูบแบบปากต่อปาก ความใกล้ชิดที่ไม่ได้เพื่อปลุกปั่น

แค่ปลอบประโลม ปัดเป่าความเครียดในใจผมให้หมดสิ้นไป

แก้มอิ่มอมชมพูของผมอุ่นขึ้น เมื่อเขาหอมฟอดใหญ่ อีกฟอด อีกฟอด จนผมเริ่มเผลอลืมเรื่องงานที่กำลังคิดมาก “แฟนใครนะแก้มหอมจัง” ยังมีหน้ามาหวานอีก “ผมโสด ฮ่าๆ โอ๊ยยพี่ติ อย่าสิ”

พอได้ยินว่าโสด หมอก็ลงโทษโดยมากกัดคอผม กัดแบบไม่จริงจัง กัดพอให้รู้สึกจั๊กจี้ ผมขำจนเหนื่อย บิดตัวหนีหมอจอมโหด

จนสุดท้าย.........จนมุม

หมอพลิกตัวมาคล่อมผมไว้ หนีไม่ได้ เลยต้องยอม

“ยังจะโสดอีกไหมครับ” หมอเล่นเลิกเสื้อผมขึ้น วนลิ้นกับยอดอก จะไม่อะไรเลยถ้ามันไม่ใช่จุดตายของผม ซายใจจะขาดแล้วพี่หมอ

“ไม่ครับมี ฟะ แฟนแล้ว” คนบนร่างยิ้มชอบใจ ให้รางวัลผมโดยการย้ายไปวนลิ้นเล่นกับอกอีกข้าง ถ้าผมรู้สักนิดว่าทั้งบทลงโทษและรางวัลจะไม่ต่างกัน ผมไม่พูดอะไรเลยดีกว่า

“น่ารักจัง”

“อยู่ดีๆ ก็ชมกันแบบนี้ อยากเห็นผมเขินรึไง”

“ถึงพี่ไม่ชม น้องก็เขินไม่ใช่เหรอครับ” น้ำเสียงนี้ สายตานี้ ผมคิดว่าตัวเองอาจเป็นคนแรกที่จะตายเพราะความสุข

มาทายกันว่า ผมต้องยอมแพ้ ให้ผู้ชายคนนี้อีกกี่ครั้ง ปรับอารมณ์ให้ผมยิ้มได้ หายเครียดแล้วคุณหมอก็รุกหนักแบบไม่รีรอ เซ็กส์บำบัดของหมอเริ่มต้นอีกครั้ง

มือพี่หมอโอบกอด ลากผ่านอ่อนโยนบนเนื้อตัวผม ลมหายใจอุ่นของพี่ที่รดมาให้ผมหายสั่นไหว ผมรู้ว่าพี่ติรักผม

ถ้อยคำที่พร่ำบอกยามบทรักแนบแน่น ลึกล้ำ คำว่ารักจากปากของเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมรู้ว่าพี่ติห่วงผม

สัมผัสจากเนื้อสู่เนื้อ รู้สึกเหมือนเขาเอาใจเขามาโอบกอดใจผม ทำให้มั่นใจว่ายังไงผมก็ยังมีพี่ติอยู่ข้างๆ เสมอ



“พี่รักซาย” เสียงแหบพร่าสุดท้าย ในลมหายใจเหนื่อยหอบ

“ขอบคุณครับ ผมก็รักพี่ติ” ผมทิ้งทั้งตัวลงไปในอ้อมอกเขา





ถ้าคนที่ผมรักคือเขาคนนี้ บางทีคำว่าตลอดไปอาจมีอยู่จริง













....................................................................

ช่วงตกงาน ว่างงาน ใครก็คงเคยมี มันเครียดเนอะยิ่งถ้ามีภาระรออยู่ยิ่งเพื่อนๆ มีงานดีกันหมด

มันกดดันอย่างห้ามได้ยาก แต่อะไรที่เป็นของเราย่อมเป็นของเราวันยังค่ำ มันแค่รอเวลา

อยู่ที่เราแหละใจสู้หรือเปล่า



#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 14:19:03 โดย antivirus »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 5 ฟุ้งซ่าน
« ตอบ #9 เมื่อ: 05-11-2018 08:45:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 6 ซายบำบัด
«ตอบ #10 เมื่อ05-11-2018 09:01:11 »

ตอน 6

ซายบำบัด



แม่บอกว่าอะไรที่เป็นของเราย่อมเป็นของเราวันยังค่ำ ในที่สุดผมก็ได้งาน ที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่งใกล้กับคลินิกของพี่ติ โชคดีขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว

“พี่ติไม่ไปคลินิกเหรอครับ” คนที่นอนอุตุตอบไม่เต็มเสียงว่า “ไม่ครับ” แล้วก็เงียบไป ผมรีบมากเพราะวันนี้ตื่นสายด้วย เลยไม่ได้ถามอะไรเขาต่อ

“งั้นผมไปนะครับ”

ทักทายกันแค่นั้น ก็รีบพาร่างของตัวเองเร่งไปศาล วันนี้วันแรกที่ได้ลงสนามจริง เคยไปตอนฝึกงานแล้วก็จริง แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ครั้งนี้ผมเป็นทนายตัวจริงแล้ว ไม่ใช่สแตนด์อินไม่ได้เป็นนักศึกษาฝึกงานแล้วนะ

พบลูกความ ว่าความ พบลูกความ เตรียมเอกสาร เผาเวลาในชีวิตไปกระทั่งหมดวัน ลูกความสาวที่อยากได้ลูกชายคืนก็ได้สมใจอยาก แม้จะโดนมองแรงจากฝ่ายตรงข้าม แต่เอาเถอะในโลกนี้ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว ไม่ถูกรักก็ถูกเกลียด เลือกอาชีพนี้แล้วก็ต้องทำใจ



เปิดประตูห้องเข้าไปเห็นพี่ตินั่งกุมหัวอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่พอเห็นผมเขาก็หันมายิ้มให้ กลบเกลื่อนใบหน้าเหมือนโลกจะถล่มของเขา หรือผมแค่ตาฝาดไปเอง

“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ” ผมวางครุยกับเอกสารที่หอบมาเต็มไม้เต็มมือลงกับโต๊ะ เดินเข้าหาคุณหมอที่อาการน่าเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” เขาตอบแค่นั้น แล้วยิ้มปากกว้าง โกหกไม่เนียนเลยนะ โอบกอดเขาจากข้างหลังซบหน้าลงไถที่ไหล่เขา

“ยิ้มแค่ปากเรียกว่าฝืนยิ้มรู้ไหมครับ” พี่ติเงียบไปชั่วอึดใจ รู้ได้ไม่ยากว่าเขากำลังเครียดมาก การที่คุณหมอติ ผู้มองโลกในแง่บวก เงียบและฝืนยิ้ม แปลว่าปัญหาใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว

“นี่คือข้อเสียของการมีแฟนเป็นทนายรึเปล่าครับ” เมื่อเจ้าตัวจงใจเปลี่ยนประเด็น ผมจะเซ้าซี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี บางทีเขาอาจจะยังไม่อยากพูดถึง

“ไม่ทันแล้วนะผมไม่ยอมให้พี่ติ ไปมีแฟนเป็นคนอื่นแล้ว” อ้อนให้เขาดีขึ้นและยิ้มได้ทั้งแววตานั่นแหละที่ผมพอจะทำได้

เขายิ้มในที่สุด คราวนี้ผมไม่แน่ใจนักว่าพี่ติยิ้มด้วยความรู้สึกไหน มือใหญ่ดึงแขนผมออก จัดท่าให้ผมไปนั่งบนตักเขา ผมไม่กล้าบอกว่ากลัวเก้าอี้หัก เลยพยายามนั่งแบบไม่ทิ้งน้ำหนักทั้งหมด

“ขอบคุณครับ” สายตาของเขาที่มาพร้อมคำขอบคุณไม่มีความเชื่อมหวาน มีแค่ความจริงใจที่ส่งมา ชัวร์แล้วว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ ผมเห็นสายตาแบบนี้ ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่....

“มีอะไรหนักหนากว่าวันนั้นอีกเหรอพี่ติ บอกผมได้ไหม” ไม่ปล่อยผ่านแล้วต้องรู้ให้ได้

“…….” เขาดูไม่เข้าใจที่ผมถาม

“ก็สายตาแบบนี้ของพี่ผมเคยเห็นตอนที่ แม่พี่ไม่ยอมรับเรื่องของเราจนเราเกือบไม่ได้คบกัน บอกผมมาว่าตอนนี้พี่มีปัญหาอะไร” คาดคั้นและรบเร้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก สำหรับคนที่เขาไม่อยากเล่า แต่ผมคงนอนไม่หลับถ้าไม่รู้ อีกอย่างผมไม่อยากคิดไปเอง

“ถ้าพี่ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมจะลองคิดดูว่าเป็นเพราะผมรึเปล่า”

ยอมรับว่าเทคนิคการรีดความจริง ผมได้มาเพราะวิชาชีพล้วนๆ ที่เขาว่าทนายลิ้นสองแฉก ถึงมันเป็นคำนิยามที่ไม่ค่อยดีงามนัก แต่ผมก็เห็นด้วย

“เห้ยซายไม่เอาสิครับ” ยิ้มมุมปากให้คนที่กอดผมแน่น ขาข้างหนึ่งเริ่มชา เพราะทิ้งน้ำหนักไม่เท่ากัน แต่ผมไม่ใส่ใจขาตัวเองเลยสักนิด จดจ่อแค่เมื่อไหร่คนที่ผมนั่งตักอยู่นี่จะเปิดปาก

“พี่อยากเลิกกับผมแต่ไม่กล้าบอก?” นี่เป็นวิธีค้นความจริงจากปากคนที่เขาแคร์คุณเท่านั้น

ถ้าไม่มั่นใจว่าคนที่คุณคุยด้วยแคร์คุณมาก สิ่งที่คุณจะได้กลับมาจะมีแค่ความรำคาญ

แต่ผมกล้าใช้วิธีนี้เพราะรู้ดีว่าพี่ติกลัวที่สุด ที่จะทำให้ผมคิดมาก จำช่วงหางานได้ไหม ผมเกือบเป็นโรคซึมเศร้า ตั้งแต่ตอนนั้น พี่หมอก็จะใส่ใจจิตใจผมมากเป็นพิเศษ เขาคงกลัวผมกลับไปเป็นอีก

“เฮ้ออ โอเคพี่ยอมเล่าแล้ว” ผมยิ้มเมื่อได้ยินอะไรแบบนั้นจากเขา ไม่ได้อยากเอาชนะ แต่เขาทำให้ผมรู้ว่า เขาแคร์ผมมากกว่าความรู้สึกของตัวเองซะอีก

“คลินิกพี่มันขาดทุน พี่อาจต้องปิดเดือนหน้า ช่วงนี้ก็ไม่รับเคสใหม่แล้ว.....”

ผมนั่งนิ่งสายตาจ้องไปไร้โฟกัส เพราะใจมัวแต่จดจ่อกับเรื่องที่ได้ยิน พี่ติเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่ว่าเคสไม่ค่อยมี คนมักคิดว่าปัญหาทางความรู้สึกนึกคิดไม่ต้องพบหมอ ความเชื่อเก่าเต่าล้านปียังไม่หมดไป

อีกอย่างการที่สื่อออนไลน์มันเข้าถึงง่าย ค้นหาทางจัดการกับปัญหาทางใจแบบฟรีๆ มีให้เลือกหลายรูปแบบ พี่ยืมเงินที่บ้านมาช่วยพยุงแต่มันไม่ไหวแล้ว

ปัญหาคือ พี่ติไม่ชอบทำงานในระบบปรกติ ไม่ชอบโรงพยาบาลข้อนี้ผมรู้ดี

เมื่อคำพูดสุดท้ายจบลง ผมก็ลดตัวลงนั่งกับพื้น ขาชาไร้ความรู้สึกแต่ผมก็ไม่สนใจอีกนั่นแหละ

ผมต้องใช้สองมือเพื่อกุมมือเขาข้างหนึ่งขึ้นมาแนบแก้ม จูบแหวนคู่ของเราบนนิ้วของเขาสองสามครั้ง ด้วยความอ่อนโยนที่สุดที่คนอย่างผมจะทำได้ หวังแค่ช่วยบรรเทาความรู้สึกทั้งหลาย ที่ทำให้เขาเศร้าจางไป

“พี่ติยังมีผมนะครับ” พูดได้แค่นั้น รู้สึกยิ้มไม่ออกเหมือนกัน เลยเลือกจะซบหน้าลงกับตักเขา ยืดแขนกอดเอวเขาไว้ เขาก้มตัวซบกับหลังผมอย่างหมดแรง ค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครคิดจะพูดอะไร

ราวกับเราสองคนมีความรู้สึกเชื่อมถึงกัน เขาทุกข์ผมทุกข์ ลมหายใจของเราประสานกันเป็นจังหวะเดียว รู้ตัวว่าไม่ควรพากันดิ่ง ผมต้องฉุดเขาสิถึงจะถูก

มือที่โอบเอว เลื่อนลูบหลังเขาไปมา พี่ติกอดตัวผมไว้แน่น เหมือนเขากำลังดูดเก็บพลังงานที่ผมส่งไป พลังงานที่เรียกว่ากำลังใจ

หมอกำลังแย่ กับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ผมทำได้แค่กอดปลอบเขาทั้งคืน ปล่อยเลยความรู้สึกที่ว่าจะพูดอะไร บางครั้งแค่สัมผัสจากคนบางคนก็เกินพอ



หลายวันต่อมาเหมือนว่าพี่หมอจะดีขึ้น ไปคลินิกตามปรกติ พูดคุยกับผมปรกติ ยิ้มแย้มปรกติ แต่มันไม่ปรกติหรอก

“กูไม่ว่างว่ะเคสเยอะ”

หลายครั้งที่ได้ยินเขาอ้างเลี่ยง ไม่ไปตามที่เพื่อนหมอของเขานัดพบที่ร้านประจำ คงมีแค่ผมที่รู้ว่าความจริงที่เขาไม่ไปตามนัดเพราะอะไร

ถ้ายังจำได้ตอนผมหางานแล้วต้องหอบหิ้วขนมปัง ไปฝากเพื่อนที่มีงานมีการทำกันหมด ผมเกือบจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าเลยนะ แล้วเขาถึงขั้นจะต้องปิดคลินิกที่เขารัก คิดไม่ออกเลยว่ามันต้องถาโถมระดับไหน

มันไม่ใช่เรื่องของการอยากเด่นอยากเอาชนะเพื่อน แต่มันเป็นความรู้สึกหมดความศรัทธาในตัวเอง ลึกๆ คนเราก็ไม่ชอบเห็นสายตาเห็นใจ หรือกลายเป็นคนน่าสงสาร

ไม่อยากจะบอกเลย แต่ก็ต้องบอก

“อาทิตย์หน้าผมไปหาลูกความที่ต่างจังหวัดนะครับ ไม่น่าเกินห้าวัน” รู้ดีว่าเขาต้องการคนอยู่ข้างๆ แต่ภาระหน้าที่ก็รอผมอยู่ ลูกความที่รอผมไปช่วยให้ได้ที่ดินคืน ก็สำคัญกับผมเช่นกัน

“ไปเถอะไม่ต้องห่วงพี่” เขาลูบหัวผมยิ้มอบอุ่นทั้งแววตาส่งมายืนยัน ว่าเขาโอเคทิ้งเขาไว้คนเดียวได้เลย

“ไปกับผมไหมครับ” ปากไวใจเร็วเพราะไม่อยากทิ้งเขาไว้ตามลำพัง

“พี่ไปด้วยได้เหรอ กวนซายทำงานเปล่าๆ” ถามแบบนี้แปลว่าอยากไปแต่ยังเกรงใจ

“ไม่หรอกครับพี่รอที่พัก ผมไปกับลูกความวันหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงหรอก ถือว่าไปพักผ่อนสมองไงไปนะ” ผมกอดรัดซุกหน้ากับอกอุ่นของเขา สูดกลิ่นตัวของเขาแล้วไม่อยากให้วันหยุดผ่านไปเลย อยากกอดอยากอ้อนเขาบนเตียงแบบนี้นานๆ

“พี่ขอคิดดูก่อนละกัน” ย่อมได้ครับ ผมพยักหน้าในอ้อมกอดไม่ได้เงยหน้าไปเร้าหรืออะไร อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ตามใจเขาแล้วกัน

“พี่ว่าจะไปสมัครงานที่โรงพยาบาล” เขาก็เอ่ยขึ้นเหมือนจะขอความเห็นจากผม รู้สึกว่าเส้นผมบนหัว กำลังลู่ไปตามสัมผัสจากมือของเขาที่ลูบมันเหมือนเพลินมือ จะบอกเขาว่ายังไงดี ผมเคยชินกับการขอคำปรึกษาเขามากกว่า พอเขาอยากได้คำปรึกษาจากเด็กอย่างผม ก็เลยอดเกร็งไม่ได้

“พี่เคยบอกว่าไม่ชอบโรงพยาบาล” เขาพรึมพร่ำว่ามันจริง ผมเลยถามต่อ

“แต่พี่ก็ไม่เคยทำ มันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้นะครับ” ผมคิดว่าที่พูดไปมันดีที่สุดแล้ว ไม่เชียร์มากและไม่ได้สปอยเขาเกินไป

“เฮ้ออออ” การถอนหายใจของคนเรามีสองแบบ คือโล่งใจ และ คิดไม่ตก สารภาพว่าผมไม่รู้เลย ที่แฟนผมถอนไปนั่นคือแบบไหน

เป็นวันหยุดที่เราสองคนไม่ค่อยมีความสุขนัก เพราะปัญหาของพี่ติมันรบกวนจิตใจจนเผลอใจลอยกันทั้งคู่ ไม่มีใครอยากเปิดทีวี มีแค่เสียงเพลงเบาๆ กับอาหารง่ายๆ ที่ผมทำเอง มันง่ายจริงๆ แค่ไข่เจียวแถมไหม้ด้วย

ลอบมองคุณหมอติที่เคยยิ้มแย้ม มีพลังงานบวกออกมาเสมอ เขาใจลอยจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแอบมอง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตื่นตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายโมงแล้ว

“พี่ติครับช่วยผมที....” เลือกปรึกษาเขาเกี่ยวกับลูกความ คำถามทั่วไปที่ผมก็รู้ดีว่าควรทำยังไง แต่แค่อยากดึงความคิดเขาออกจากปัญหา แค่ไม่กี่นาทีก็ยังดี

กลัวเส้นเลือดในสมองเขาแตก



“ไม่ต้องคิดมากเรื่องพี่หรอกน่า” สุดท้ายก็โดนจับได้ว่าถามทำไม ผมลุกเดินไปทำน้ำแดงให้เขา น้ำหวานอาจทำให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง และผลที่ได้คือ

“เห็นพี่เป็นกุมารทองรึไง” หึ ไม่กินก็ช่าง ผมวางแก้วลง เดินหน้าบูดไปนั่งอีกมุมของห้อง ดูคดีของวันพรุ่งนี้ดีกว่า

“โอ๋ๆ งอนเหรอ” หมอเดินมาวอแวแถวๆ ลำคอ มือซุกล้วงเข้าไปในเสื้อ ผมถอยจนชิดผนังเบาะรองนั่งใหญ่ก็จริง แต่ถ้าผู้ชายสองคนนั่งด้วยกัน มันก็เกือบจะไม่พอ พี่ติเลยยกตัวผมขึ้นนั่งซ้อนตัก เป็นการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด

“อยากให้พี่หายเครียดเหรอครับ” เล้ากันขนาดนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะทำอะไร

“พี่อยากบำบัด” คราวนี้กระซิบข้างหูอีก ขนลุกเหมือนทุกครั้งห้ามไม่ได้

“ซาย บำ บัด” เสียงต่ำของเขายังมาเป็นคำๆ เหมือนนึกอะไรออกเขาก็พูด

ส่วนผมปล่อยตัวให้เขาใช้บำบัด ตามที่ใจเขาอยาก ไม่คิดขัดขืน

ยกขาข้างหนึ่งวางอีกฝั่ง กลายเป็นผมนั่งหันหน้าหาเขา เขาอยู่หว่างขาผม ใบหน้าหล่อเหลาตักตวงกลิ่นหอมจากตัวผม จูบฟัดผมแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำเหมือนผมเป็นกัญชาแมวที่ทำให้อารมณ์ดี “ตัวหอมจัง แก้มก็นิ่ม”

พอได้อย่างใจเขาก็ให้รางวัลด้วยคำหวาน พูดกี่ครั้งผมก็ไม่เคยเบื่อที่จะฟัง เลิกเสื้อแขนยาวผ้าย้วยของผมขึ้นด้วยมือข้างขวา ส่วนมือซ้ายบดขยี้ติ่งเนื้อสีชมพูข้างซ้าย ปากที่ว่างก็ใช้จัดการติ่งเนื้อด้านขวา ร่างกายเขาทำหน้าที่ประสานกันอย่างไร้ที่ติ

คุณหมอกำลังทำให้ผมละลายลงช้าๆ บางอย่างใต้บ็อกเซอร์ตัวบางของเราสองคน กำลังตุงดึนผ้าจนต่างฝ่ายต่างรับรู้ในอารมณ์ที่ลุกโชนของกันและกัน

ผมซุกหน้าลงกัดย้ำที่หัวไหล่ของเขา แม้จะมีเสื้อยืดสีเทารองไว้แต่ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าเนื้อใต้ผ้าต้องมีรอยฟัน มันเป็นวิธีที่ผมใช้บอกเขาว่า ถ้าหยุดตอนนี้ผมเอาตายแน่

เสียงครางสลับกันแยกยากว่าเสียงไหนของใคร รู้ตัวอีกทีหลังผมก็แนบพื้นพรมไปแล้ว เสื้อย้วยตัวโปรดถูกถอดหายไปไหนไม่มีใครสนใจ กางเกงตัวบางถูกลู่ขึ้นจนพวงอะไรๆ ที่ตุงอยู่โผล่มาวับๆ แว่บๆ

หมอติใจร้อนขนาดที่ว่า ไม่ถอดบ็อกเซอร์ของผมออกด้วยซ้ำ ปากเขาร้อนราวเตาหลอมเหล็ก ชิมเล็มไปที่ส่วนหัว

ตอนนี้ผมปล่อยอารมณ์ไปให้สุด เท่าที่ราคะของในร่างจะอยาก มือไม้จับจิกลงที่ผมของเขา เงยหน้าครางร้องไปตามสัมผัสดิบของหมอ

น้ำกามซึมจนมือเขาเลอะ จังหวะขึ้นลงที่เขาบังคับ ช่างดีเหลือเกิน

“พี่ติ” เสียงครางที่ฟังแทบไม่เป็นภาษา แต่พอเป็นชื่อเขามันกลับชัดเจน

ลืมคืนลืมวัน ลืมปัญหา ลืมทุกสิ่งอย่าง รับรู้แค่ความรู้สึกซ่านไหวในจุดที่กระสันอยาก จนเกือบจะขาดใจ รู้สึกปวดเกร็งแต่สุขล้นระคนกันไปไม่รู้จบ ปากเขาอ้าอมจนสุดลำ

เมื่อความอยากเอาชนะทุกสิ่ง ลืมความอาย ส่ายร่อนยกเอวตัวเองอัดสวน

ไม่จำเป็นต้องเก็บกั้นเสียงครางหวานหู เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นชอบฟัง

สุดท้ายต้องปล่อยสายธารที่ฉีดพุง ไหลย้อยลงมุมปากของคุณหมอ เผลอสะดุ้งยามโดนรีดดูดน้ำที่ยังออกมาไม่หมด เมื่อถึงปลายทางก็รู้สึกเหนื่อย ตอนนี้ก็ได้แค่นอนหอบ หายใจ หายใจ และหายใจ

รอจนตั้งตัวได้อีกครั้ง ไม่ต้องให้บอก ผมจัดการตอบกลับอีกฝ่ายทันที ทำเหมือนที่เขาทำให้ผม ทุกท่า ทุกสัมผัส ทุกอารมณ์ หนักเบา ช้า เร็ว

แค่ใช้ปากมอบความสุขให้กัน ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ไม่มีท่าอื่นต่อ เพราะเป้าหมายแค่ให้คุณหมอหายเครียด และตอนนี้ก็คงจะดีขึ้นมาก

กอดรัดหยอกล้อกันตามประสาผัวเมีย ซายบำบัดก็เป็นอีกเรื่องระหว่างเราที่เพิ่งค้นพบ

“พี่อยากเครียดบ่อยๆ แล้วสิ”



อาทิตย์ต่อมาผมไปต่างจังหวัดโดยมีคุณหมอติติดตามไปด้วย ทิ้งเขาไว้ที่โฮมสเตย์หลังหนึ่ง บรรยากาศดีมาก แล้วก็ไปหาลูกความ นัดเจรจานอกรอบกับอีกฝ่ายเรื่องที่ดิน รอบแรกไม่ได้อะไรมากนัก แต่ก็มากกว่าที่คาดหวัง ทนายได้เงินดีก็จริง แต่ก็เหนื่อยและใช้พลังงานเยอะมาก

แบกร่างและสมองที่อ่อนล้ากลับที่พัก เปิดประตูเข้าไปหมอตินอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แทรกร่างเข้าไปนอนข้างเขา ขนาดยังไม่ลืมตายังมีแก่ใจดึงตัวผมไปกอด

เป็นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ที่เขามีต่อผมรึไงกัน

ปล่อยตัวปล่อยใจจนหลับตามเขาไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ลืมตามาอีกที

ห้องที่เคยสว่างก็มืดลงแล้ว ที่นี่ไม่เลี้ยงอาหารเย็น มีแค่อาหารเช้า ผมหันไปมองอีกคนในความมืด อุ่นใจที่ยังมีเขาให้กอด นึกขอบคุณตัวเอง ที่ตอนนั้นกล้าสารภาพรัก คิดแล้วก็อดยิ้มเป็นบ้ากับตัวเองในความมืดไม่ได้

“ยิ้มอะไรครับ” ขนาดในที่มืดยังรู้อีกเหรอ เก่งเกินไปแล้ว

“ใครยิ้มไม่มีสักหน่อย” ตอนปฏิเสธผมก็ยังหุบยิ้มไม่ได้ เขาว่าหมั่นเขี้ยวแล้วผมก็โดนหมอใช้ปากเม้มลำคอ หัวเราะจนเหนื่อยไปรอบหนึ่ง

“หิวไหมครับ” ผมจงใจไม่ให้เขารุกต่อ

“หิวครับ” เสียงของเขาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น

“หิวผมเหรอ” อดใจไม่ได้แกล้งเขากลับ ให้มันรู้ไปว่าผมไม่ได้ทำเป็นแค่เขิน

“หิวข้าวสิครับ” แต่กลายเป็นเขาที่ไม่รับมุกผม คืนนี้อย่าบ่นว่าหิวก็แล้วกัน



ร้านข้างทางเล็กๆ ที่ยังเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน ตัวเลือกไม่มากมีอะไรก็กินไปก่อน หลังจากกินอิ่ม ก็ตระเวนขับรถชมเมืองยังพอมีแสงไฟตามจุดท่องเที่ยว อนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญ จุดรับลมในบรรยากาศที่ไม่วุ่นวายนัก สิ่งต่างๆ คงทำให้แฟนผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

“พี่ส่งใบสมัครไปแล้วนะ” ผมแค่ยิ้มไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม ไม่รู้ว่าควรถามอะไร รอให้เขาเล่าเอง

“แต่ทุกที่ยังไม่มีตำแหน่งว่าง คงต้องรอสักพัก เดือนหน้าพี่คงว่างจัดอาจจะกลับบ้าน ไม่ก็ไปหาเพื่อนพักสมองหน่อย”

ไปหาเพื่อน เพื่อนคนไหน พี่หมอสองคนที่สนิทกับเขาก็อยู่กรุงเทพ

“เพื่อนพี่อยู่เกาะเป็นหมออยู่ที่พงัน แฟนเก่าสมัยมอต้น”



หื้มมม แฟนเก่า!!





#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 15:01:15 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 7 แฟนเก่า
«ตอบ #11 เมื่อ05-11-2018 09:53:33 »

ตอน 7

แฟนเก่า



“เพื่อนพี่อยู่เกาะเป็นหมออยู่ที่พงันแฟนเก่าสมัยมอต้น”

หื้มมม แฟนเก่า!! เพิ่งรู้ว่าพี่ติมีแฟนเก่า ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าเผลอทำหน้าแบบไหนออกไป

“ไม่มีอะไรนะครับ ห้ามคิดมาก พี่กับเจลเราเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว” “อา ครับ” ชื่อเจลเหรอไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลย



“เรื่องตั้งแต่ตอนเด็ก พี่กับเจลไม่เคยได้กันเลยด้วยซ้ำ” เดี๋ยวพูดตรงขนาดนั้น ผมไม่คิดมากก็ได้

“ยิ้มได้รึยังครับ” ในที่สุดก็หลุดยิ้ม ฟาดแขนเขาไปทีหนึ่ง

“ผมไม่มีเลยแฟนเก่าหนะ”

“ก็ดีแล้ว พี่จะได้ไม่ต้องหึง”

“ทีผมห้ามคิดมาก ทีตัวเองนี่นะ”

“ก็พี่ขี้หึง แต่ซายเป็นคนมีเหตุผล เราเลยอยู่กันได้ไง”

“...........” หมดคำจะพูด เบื่อพวกปลาไหล



เราอยู่ต่อแค่สองวัน งานเสร็จไว พี่ติดูอารมณ์ดีขึ้นไม่ค่อยคิดมากแล้ว คงปลงตก ส่วนผมก็งานเยอะมาก ส่วนใหญ่งานการกุศลช่วยเพื่อนช่วยคนรู้จัก มันเป็นช่วงชดใช้หนี้บุญคุณหรือยังไงกัน กว่าจะได้หายใจหายคอก็เกือบสิ้นเดือน

คลินิกพี่ติปิดตัวลงในวันพี่ผมแพ้คดีแรกตั้งแต่ทำงานมา เราสองคนแทบหมดแรงด้วยกันทั้งคู่ คำปลอบใจมีแค่อ้อมกอดที่ผมมีให้เขา และเขาลูบหลังผม แค่นั้นไม่หวือหวา ไม่อะไรพิเศษอะไรมากมาย แต่ก็ทำให้ผมดีขึ้นมาบ้าง

เดือนใหม่พี่ติกลับบ้านไปช่วยที่บ้านเกือบครึ่งเดือน คุณพ่อคุณแม่เขาโทรมา ชมกับผมใหญ่เลยว่าลูกชายเพิ่งพาได้สักที พานจะมาชวนผมให้ไปทำงานกับเขาด้วย บอกว่าอยากได้ทนายที่ไว้ใจได้ ไอ่ออยมันดันไปทำงานกับพี่จูน ก็สำนักงานที่พวกผมไปฝึกงานแหละ ผมก็เลยได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ บอกไปว่าขอเก็บประสบการณ์ก่อน

“คิดถึงจัง” ประโยคที่เราสองคนได้ยินและได้พูดให้อีกฝ่ายทุกวัน ผมยุ่งมากแต่เขาว่างมาก สลับกันช่วงที่ผมหางานผมก็ว่าง แต่เขากลับยุ่ง ยิ่งโตขึ้นช่วงเวลาในชีวิตเรายิ่งไม่ตรงกัน

“พี่เข้าใจแล้วที่ตอนนั้น ทำไมซายเอาแต่ทำขนม” แต่หลายอย่างก็ทำให้รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ซะอย่างนั้น

แล้วผมก็คิดได้ว่า เวลาที่ตรงกันมันไม่สำคัญอีกแล้ว แค่ใจเรายังตรงกันก็น่าจะพอ

“กลับพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ” ผมถามไม่ได้จะเร่งอะไร คิดถึงก็คิดถึง แต่เราคบกันมานาน ไม่ได้เสพติดกันเหมือนข้าวใหม่ปลามันอะไรแบบนั้นแล้ว อีกอย่างห่างกันกว่านี้ก็บ่อยไม่ใช่จะไม่เคย

“พรุ่งนี้พี่จะลงเกาะไปหาเพื่อนที่เคยบอก” เพียงแต่ไม่คิดว่า เขาจะไปหาเพื่อนต่อทันที เพื่อนที่แปลว่า...แฟนเก่า

จะให้ผมพูดอะไรได้อีกล่ะ นอกจาก “ครับตามใจพี่” แล้วผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่ได้ขอ แต่เขาบอกให้รู้ต่างหาก

วันแรกที่ไปถึงเกาะ ผมติดต่อเขาไม่ได้ เขาลืมไปรึเปล่า ผมบอกว่าถึงแล้วให้บอกผมด้วย

วันที่สองเขาโทรมา บอกว่ามือถือตกน้ำตอนขึ้นเรือ เอาเบอร์เพื่อนที่แปลว่าแฟนเก่าโทรมา ตอนนั้นผมในใจอยากจะบอกเขาว่า ไปซื้อเครื่องใหม่ให้ไวเลยนะ แต่สุดท้ายพูดได้แค่

“ซื้อเครื่องใหม่แล้ว ก็ค่อยโทรมาก็ได้ครับ”

วันที่สาม เงียบ

วันที่สี่ ป่าช้า

วันที่ห้า ผมกำลังจะบ้า

วันที่หก โทรกลับเบอร์เพื่อนเขา แต่ติดต่อไม่ได้

กำแหวนที่คอพยายามไม่คิดมาก แต่ไม่ไหวจริงๆ

วันที่เจ็ด ผมว่างและกำลังจะลงใต้ไปตามหมอติ



เกาะพงันมีโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่สุดที่เดียว ผมรู้แค่ว่าชื่อหมอเจล ชื่อจริงก็ไม่รู้จัก จะหาแฟนเก่าเขาเจอไหมเนี่ย

“หมอเจลมาโน้นแล้วค่ะ” เมื่อตามนิ้วชี้ของพยาบาลสาว ก็สะดุดตากับชายหนุ่มร่างเล็กกว่าผม หน้าใสแนวเกาหลี ผมหน้าม้า ยิ่งเห็นว่าหน้าตาน่ารักผมยิ่งหงุดหงิด

“สวัสดีครับ คุณมาหาผมเหรอ” เสียงเขาสดใสและมียิ้มที่จริงใจ จากตัวเอก หมอเจลทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเองกลายเป็นตัวร้ายไปเลย

“สวัสดีครับคุณเจล ผมชื่อเวย์ซาย” แนะนำตัวแค่นี้พอ อยากรู้ว่าเขาจะรู้จักผมไหม หมอเจลเกาหลีมองหน้าผมขมวดคิ้ว แปลว่าไอ่แฟนหมอของผมไม่แนะนำ

โอเค ไม่เป็นไร

“ผมขอตัวนะครับ” เขารั้งผมเหมือนกันแต่ผมไวกว่า ขาสั้นไงเลยเดินตามผมไม่ทัน เดินเร็วเหมือนอยากหนีไปให้พ้นทาง ในใจเดือดเกือบร้อยแปดสิบองศาองศาเซลเซียส เช็คอินเข้าที่พักนอนทิ้งตัวหัวหมุนไปชั่วขณะ

ถึงอย่างนั้นความเพลียจากการเดินทางหลายชั่วโมง กลับไม่ทำให้ผมง่วงเลยแม้แต่น้อย ปวดตาร้อนผ่าวเหมือนอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลลงมาสักหยด ความสงสัยมากมายรุมเร้ารอบตัว

หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาหมอเจล คราวนี้ติด แต่รอจนสายตัดแม่งไม่มีใครรับสายผม รู้อะไรไหมนอกจากผมจะเป็นทนายแล้ว ผมยังเป็นนักสืบอีกด้วย

อดใจรอจนข้ามวันใหม่ อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดธรรมดา ไปโรงพยาบาลเดิม เฝ้าอยู่หน้าประตู แผนต่อไปค่อยหาเอาดาบหน้า รอตั้งแต่หกโมงเช้า ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบเที่ยงยังไม่มีวี่แววหมอเจลเกาหลีนั่นเลย พลันก็คิดได้ ถ้าเขาหยุดล่ะ

ตึ่ง!!! หูดับชั่วขณะ มาเสียเที่ยวใช่ไหม

ระหว่างมองซ้ายมองขวา หาทางออกอยู่นั้น ก็มารีบหลบหลังซอกตึก มุมที่ผมมองเห็นเขาฝ่ายเดียว หมอเจลกับหมอติแฟนผมเดินข้างกัน คุยอะไรกันไม่รู้ เห็นแค่หมอติยิ้มหัวเราะเหมือนอารมณ์ดีมาก

ใจตกวูบเกือบรับไว้ไม่ทัน ความหยาบคายเข้าครอบงำจิตใต้สำนึก ผมอยากถอดแหวนที่คอปาใส่หัวหมอติแรงสุดแรงจะได้เลิกยิ้ม

ความจริงผมก็ไม่ได้หวานจ๋า และมีความสุภาพเท่าไหร่ คำพูดที่เคยพูดกับหมอติก็เป็นสิ่งที่พยายามจะทำให้เขา เอาใจตามที่หมอชอบ

เคยถามเขาอยู่ว่า ทีเพื่อนสนิทเขายังพูดภาษาพ่อขุนเลย แต่เขาตอบมาว่า

“ก็นั่นเพื่อน นี่คนรักของพี่ ทำไมเราไม่พูดกันดีๆ ละครับ” สุดท้ายผมก็แพ้เขาอยู่ดี

มองดูหมอเจล คนอะไรแค่ยิ้มก็รู้ว่าเป็นคนอ่อนโยนมาตั้งแต่เกิด ผมสู้เขาไม่ได้เลย แล้วทำไมผมต้องเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่นด้วย ถ้าพี่ติชอบหมอเจลจริงเขาต้องคบกันต่อสิ ปล่อยความคิดตีกันอีกรอบโดยไม่คิดจะห้าม

ระหว่างรอ รอครับ รอต่อไป เกือบบ่ายสามเชื่อไหมว่าผมรอได้ขนาดนี้โดยไม่ได้กินข้าวสักเม็ดน้ำสักหยด ใจที่กระวนกระวายมันคงส่งผลให้ร่างกายอิ่มทิพย์ชั่วคราว ใครผ่านไปมาก็มองแต่ผมไม่สนใจ รปภ.มาถามผมบอกว่ารอญาติ เขาก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ

ในที่สุดพวกเขาก็ออกมา

“เอ่อดิมันสีเหมือนกันใครจะไปรู้”

“รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น ฮ่าๆ”

"เงียบไปเลยนะ"

เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนที่ผมยืนรอ ออดอ้อนกันจังนะ ผมจะไม่เข้าไปแสดงตัวตอนนี้ แต่ขับรถตามพวกเขาไปเงียบๆ ในมันอดคิดถึงตอนที่เขาสารภาพว่าหวั่นไหวกับดาราคนนั้นไม่ได้ เน็กซ์กับหมอเจลเกาหลีนี่ก็แนวเดียวกันเลยนะ น่ารักนุ่มนิ่ม

ใจลอยคิดตอนที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าชอบมองติวเตอร์พี่ติ ผมเคยถามเขาเรื่องนี้

‘เก่งนี่ทำถูกหมดเลย’

‘ผมขอรางวัลได้ไหมครับ’

‘อ่ะ อยากได้อะไรพี่ให้ได้ก็จะให้’

‘พี่ติชอบคนแบบไหนครับ’

‘ถามไปทำไมมีใครใช้ให้มาถามเนี่ย’ ตอนนั้นเขาไม่น่าจะรู้ตัวด้วยซ้ำ

‘ตอบมาผมอยากรู้’

‘สเปกพี่ไม่มีหรอก แต่พี่ชอบคนเอาแต่ใจ แล้วก็ขี้อ้อน’

‘รูปร่างหน้าตายังไง’ ผมรบเร้าถามต่อเขาส่ายหัวให้ แต่สุดท้ายก็ยอมตอบ

‘ขาวๆ ตัวเล็กมั้ง อ้อ พี่ชอบคนพูดเพราะ’



ถ้ามองตามจริง ขาว ตัวเล็ก พูดจาดี ดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั่นมันหมอเจลชัดๆ ทำไมความสามารถในการคิดในแง่ลบ ของผมมันพัฒนาขึ้นมากขนาดนี้ สายตาผมยังอยู่ที่ท้ายรถเก๋งสีขาวคันเดิม ตอนนี้เราขับไปตามเส้นทางที่ผมเพิ่งออกมา รถจอดหน้าโรงแรมที่ผมพัก หรือเขาจะรู้ว่าผมพักที่นี่

ไม่หรอกมั้ง นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเช่า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขาสองคนก็ เดินออกมา พี่ติหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกคนก็เดินตามเหมือนเงา

ผมจะรอเขากลับแล้วเช็คเอ้าท์กลับเลย หรือจะออกไปคุยให้รู้เรื่องดีนะเผชิญหน้าท้าชนหรือหลบลี้หนีหน้า ชั่งใจกับตราช่างที่ไม่มีจริงอยู่สักพัก

ถ้าไม่มีอะไรทำไมเขาไม่โทรหาผม

ถ้าไม่มีอะไรทำไมเขาไม่ซื้อมือถือใหม่

เวลาว่าความ ผมจะมองหาข้อได้เปรียบของลูกความตัวเองได้เสมอ แต่ตอนนี้ ผมมองหาเหตุผลแก้ต่างให้เขาไม่ได้เลยสักข้อ ข้อมูลที่มีมันชี้ชัดว่าเขาไม่อยากคุยกับผม

งั้นก็กลับ รอจนเก๋งสีขาวแล่นออกไปลับตา ผมก็ลงจากรถขึ้นไปเก็บของบนห้อง คืนนี้คงต้องเปลี่ยนโรงแรม เดี๋ยวเขาก็คงกลับมาอีก ไม่อยากยอมรับเพราะดูน้ำเน่ามากผมกำลังหนีใจตัวเอง ใจที่กลัวว่าจะเจ็บจากความจริงที่ว่า พี่ติไม่อยากคุยกับผม

เก็บข้าวของลงกระเป๋า คิดถึงตอนที่เรามีปัญหาเรื่องพี่ณะ กับเรื่องดาราคนนั้น

‘ซาย อย่ามีใครนอกจากพี่’ ประโยคนั้นผมจำได้ขึ้นใจ

“พี่ติก็อย่ามีใครนอกจากผมสิ” บอกเขาแต่มีแค่ผมเองที่ได้ยิน

“ก๊อกๆ” จำได้นะว่าไม่ได้สั่งอาหารหรือเครื่องดื่มมาสั่งลา

พี่ติ!!

หมอของผมยืนอยู่หลังประตู ไม่มีรอยยิ้มบนหน้า ไม่อยากคุยไม่อยากเปิด แต่ก็ต้องเปิด ทำไมต้องรู้สึกเหมือนตัวเองผิดด้วยนะให้ตายเถอะ

“ซายพี่ห่วงแทบแย่” เปิดประตูปุ๊บเขาก็ดึงผมไปกอด ไอ่หมอบ้าอธิบายมาก่อนสิเว่ยเห้ย

“เข้ามาก่อนสิครับ” มองซ้ายมองขวาไม่มีหมอเจลเกาหลีแฮะ

“เพื่อนพี่ล่ะไม่มาด้วยกันเหรอ” เห็นตามกันเป็นเงานี่

“ไปเข้าเวรต่อคืน นี้พี่นอนด้วยนะครับ” เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มือถือซื้อใหม่ยัง” ไม่ต้องมีคงมีครับแล้ว ณ จุดนี้

“ยังครับ” แต่เขายังสุภาพจนผมเริ่มรำคาญ

“ทำไม” ผมเสียงแข็งขึ้นแววตาก็คงเช่นกัน

“พี่ว่าจะไปซื้อที่กรุงเทพ” ตอบง่ายๆ แล้วเดินสบายไปยืนที่ระเบียง ติสเนอะ “แล้วคิดจะกลับเมื่อไหร่” ผมถามขนาดนี้แล้วเขาไม่รู้หน่อยเหรอว่าผมกำลังโกรธ

“น่าจะสิ้นเดือนครับ มานี่มา” ยังจะมีหน้ามาเรียก ผมมองเพดานกัดปากข่มอารมณ์ที่เหมือนภูเขาไฟใกล้จะระเบิดเอาไว้ เดินออกไปหาเขา ไปถึงก็โดนดึงไปกอด แต่ใจผมไม่อุ่นเลยสักนิด มันร้อน ร้อนมากๆ

“ครึ่งเดือน พี่คิดว่าจะไม่คุยกับผมเลยใช่ไหม” ในที่สุดความโกรธก็เกินจะกลั้น

“โกรธเหรอครับ” เอ่อสิ ยังจะมาถามอีกเป็นหมอหรือเป็นควายวะ

“..................” โกรธจนพูดไม่ออก ควันออกหูได้คงเห็นไปแล้ว

“พี่ขอโทษครับ เพื่อนพี่จะเอามือถือสำรองมาให้ใช้ แต่มันยังไม่ว่างไปเอา พี่คิดเอาเองว่าซายคงงานเยอะ มีอะไรก็จะโทรมาเอง พี่คิดน้อยไปพี่ขอโทษนะครับ”

เหตุผลที่ให้มามันมีค่าเท่ากับติดลบ ดูเป็นไปได้แต่

“ไม่คิดถึงกันเลยสินะ” อยู่ๆ ความโกรธก็เปลี่ยนรูปเป็นความน้อยใจ ทั้งที่ตอนอยู่คนเดียวก็ไม่อยากร้อง แต่พออยู่กับเขา น้ำตาก็ไหลลงมาง่ายๆ ซะงั้น ยิ่งฝืนยิ่งหลั่งไหลเป็นสายฝน

“ร้องไห้ทำไมครับ ซายพี่ขอโทษ” คนต้นเรื่องทั้งปลอบทั้งขำใส่ผม

“ตลกมากรึไง ถ้าไม่อยากให้อยู่ในชีวิตก็บอกกันตรงๆ ได้นะ” เคยเป็นไหมเวลาน้อยใจ เรามักจะทำอะไรงี่เง่า ตลอดเวลาที่คบกันมา ผมอาจจะเคยคิดเรื่องเลิกกัน แค่ลองคิด แต่ครั้งนี้ผมถึงกับเกือบหลุดปากคำนั้น เขาคงตกใจที่เริ่มรู้ว่าผมจริงจัง

“อย่าพูดแบบนั้นสิพี่เสียใจนะ” เขากอดผมแน่นขึ้น ผมรู้สึกถึงความชื้นที่หัวไหล่ เราร้องไห้ด้วยกัน ขณะที่ผมไม่มีแม้แรงจะยกแขนไปกอดเขาตอบ

“ขอจูบได้ไหม” หมอติเอ่ยปากขอ “ไม่” แต่ผมไม่ให้ ยังโกรธอยู่ห้ามจูบ

“อะไรนะไม่ได้ยิน” ผมเงยหน้ามองเขา กำลังจะอ้าปากบอกให้ชัดๆ ว่า ไม่! แต่หมอเจ้าเล่ห์กลับใช้จังหวะนั้นก้มประกบปากผม แค่ปากชนปาก ไม่ใช่จูบ สุดท้ายเป็นผมซะเองที่ยกสองมือกอดคอเขา แล้วสอดลิ้นเริ่มดีฟคิส

น้ำตาเหือดแห้ง ความโกรธดับสนิท สุดท้ายผมแพ้โดยไม่ต้องนับศพทหาร

“หายไปหลายวัน พี่ว่ามันธรรมดารึไงห๊ะ” เสียงเอะอะโวยวายมาจากผมล้วนๆ

“แล้วมาอยู่กับแฟนเก่า จะให้ผมยิ้มเข้าใจไม่คิดอะไรเลยงั้นเหรอ” ยิ่งว่ายิ่งจะโมโหอีกรอบ สุดท้ายคนที่หลุดก็เป็นผมอยู่ดี

“ไอ่พี่หมอเงียบอยู่นั่นแหละ” หมอติแค่ยิ้มขำทำใจเย็น เหมือนทุกครั้งที่ผมร้อน เขานี่แทบจะเป็นน้ำแข็ง

“เจลกับพี่เราแค่เพื่อนกันครับ แฟนเก่าที่พี่แทบจำไม่ได้แล้วว่ารักเขายังไง คนนี้ต่างหากของพี่” หมอติจิ้มนิ้วเรียวมาที่แหวนของเขา ซึ่งห้อยอยู่บนคอของผม ยิ้มหวานให้ผม แล้วก็ตามด้วยคำหวาน ที่หวานจนทำให้ผมหายหัวร้อน

“ซายเป็นปัจจุบัน เป็นอนาคตของพี่ ตลอดไป”

ครับ!!

แพ้อีกรอบ!!

เราบอกลาหมอเจลในวันต่อมา เพราะผมมีงานด่วน ส่วนพี่ติก็คงกลัวผมน้อยใจคิดมากอีก เลยตัดปัญหากลับพร้อมผมเลย เอาจริงๆ หมอเจลก็ดูไม่อะไรกับพี่ติหรอก เขาก็มีแฟนแล้วด้วย ผมเริ่มอายที่ฟูมฟายบ้าบอไปเอง แต่มันก็เพราะผมรักเขามากไง ผมเลยงี่เง่าได้ขนาดนั้น

กลับมากรุงเทพพี่ติก็ได้รับข่าวดีมีโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เรียกไปคุยเรื่องตำแหน่งหมอจิตเวช เห็นมะถ้าผมไม่ลากกลับมาก่อน จะได้งานไหม ไม่ได้อยากทวงบุญคุณหรอกนะ

อีโธ่!!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2019 13:35:21 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน ตอน 8 ร้าวฉาน
«ตอบ #12 เมื่อ05-11-2018 15:30:27 »

ตอน 8

ร้าวฉาน



กลับมาทำงาน คราวนี้ต่างคนต่างยุ่ง โรงพยาบาลใหม่ของเขา ลูกความใหม่ของผม กลับถึงห้องก็หมดแรงจะหวานใส่กัน ต่างต้องการแค่เตียงนอนนุ่มให้ทิ้งตัว นอนข้างกันแต่เหมือนเราไกลกันไปทุกที

ความทรงจำเริ่มเหมือนสลิปเซเว่นที่เก็บไว้นานรายการมันก็เลือน เราสองคนต่างก็เป็นคนมีเสน่ห์จึงไม่แปลกที่จะมีคนอื่นเข้ามา แค่ที่ผ่านมามันไม่ดูหนักหนาเท่าตอนนี้

“เราแต่งงานกันเถอะ/เราเลิกกันเถอะ” ที่เราสองคนเพิ่งพูดออกมาพร้อมกันความหมายก็คล้ายๆ กับถ้อยคำข้างบนนั่นแหละ แค่มันดูซอฟกว่า

ผมบอกพี่ว่า “ผมจะย้ายไปอยู่คนเดียว” ส่วนเขาก็บอกผมว่า “พี่รักซายนะ” มันคงไม่ได้แย่อะไร ถ้าผมจะพูดให้มันช้าลงอีกนิด แล้วพี่เขาพูดเร็วกว่าเดิมอีกสักหน่อย แต่เราดันพูดประโยคที่ขัดแย้งทางความหมายขึ้นมาพร้อมกันซะแล้ว

สามสิ่งในชีวิตที่เราเอาคืนมาไม่ได้ เวลา โอกาส และคำพูด ตอนนี้ผมได้เสียคำพูดไปแล้ว ทั้งที่คิดมาทั้งคืนว่าคิดดีแล้ว แต่หลังจากพูดจบ ทำไมรู้สึกว่าที่คิดมามันยังไม่พอ ก้มหน้ามองเตียงที่ผมกับเขานอนด้วยกันเกือบทุกคืน

พี่หมอลูบหน้า เหมือนขับไล่อะไรบางอย่างจากความคิด วินาทีนั้นผมรู้อย่างหนึ่งว่า ยังไม่พร้อมจะเสียเขาไป

“คือช่วงนี้ลูกความผมมีปัญหาบ่อย ไปมาก็ไกล แค่ไปอยู่ที่โน่นสักพักเองครับ ไม่ได้ไปตลอด”

สมแล้วกับเป็นทนายพออารมณ์เปลี่ยนคำพูดก็ถูกปรับ ไม่รู้ว่าคนรักร่างสูงจะรู้ไหมว่า ผมกำลังเกิดอาการสับปลับ



ย้อนไปช่วงที่พี่ติได้งานที่โรงพยาบาลใหม่ๆ ผมรับว่าความให้คุณบาส

นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่ต้องมาสะดุดเพราะเรื่องเงินมรดก ใครว่าคนรวยไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเงิน น้อยไปสิ ยิ่งกิจการใหญ่โต ก็ต้องใช้เงินหมุนเยอะ ยิ่งมรดกเยอะก็ยิ่งต้องใช้เวลาจัดการนาน การรอเงินมรดกก้อนโต ทำให้กิจการของคุณบาสไม่เป็นไปตามกำหนด

“วางใจเถอะครับ ผมจะช่วยคุณให้ไวที่สุด เท่าที่ผมจะสามารถทำได้” ประโยคแรกที่ผมบอกเขา

หนึ่งเดือนต่อมา ผมกับคุณบาสกลายเป็นคนที่เจอกันบ่อยกว่าคนรักอย่างพี่ติ นอกจากเรื่องคดีเราลามไปคุยกันเรื่องส่วนตัวบ้าง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องพี่ติ คุณบาสไม่ได้ละลาบละล้วงเรื่องแฟน

ผมเองก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องมาอวดว่า แฟนผมเป็นหมอบ้านรวย และอุดมการณ์สวย แถมหน้าตาดีอะไรแบบนั้น แค่คิดยังหมั่นไส้ตัวเองเลย



“ทำอะไรอยู่” คุณบาสนั่นแหละไม่ใช่พี่ติหรอก เสียงทักทายธรรมดาไม่หวาน ดูไม่มีอะไร แค่ทำให้ผมรู้สึกสนิทใจ อารมณ์เพื่อนใหม่ที่คุยกันถูกคอ

“คดีอื่นครับ”

“โหยมาทำคดีให้ผม ยังเอาของคนอื่นมาทำด้วยอีกเหรอ”

“จะหักค่าจ้างผมรึไง”

“หักยังไงเล่า ผมจ่ายคุณเต็มไปแล้ว จำไม่ได้ช่ะ” มันก็แค่การคุยเล่นกันธรรมดา ไม่เหมือนคนจะจีบกันเลย

แต่มารู้ตัวอีกทีก็อดเปรียบเทียบพี่ติกับคุณบาสไม่ได้ คุณบาสหล่อแบบนักธุรกิจ พี่ติหล่อแบบคุณหมอ เท่ทั้งคู่แต่คนละแบบ นิสัยพี่ติสุภาพกว่าในขณะที่คุณบาสคุยสนุกกว่า

เหมือนคนสองคนนี้จะมีในสิ่งที่อีกคนขาดเลยแฮะ แม้จะหลอกตัวเองว่าไม่ได้ตั้งใจเปรียบเทียบ แต่ช้างตายทั้งตัวเอาใบอะไรมาปิดก็ไม่มิดทั้งนั้น นอกใจกับนอกกาย อะไรแย่กว่ากัน

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมเริ่มเผลอหวั่นไหวกับคนอื่น คนเรารักคนสองคนในเวลาเดียวกันไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีคนหนึ่งที่เรารู้สึกมากกว่า และแน่นอนไม่ต้องสืบคนที่ผมให้มากกว่าก็ยังเป็นพี่ติอยู่แล้ว

‘ซายเป็นปัจจุบัน เป็นอนาคตของพี่ ตลอดไป’

‘ซายย อย่ามีใครนอกจากพี่’

แม้จะลืมท่องศีลข้อสาม แต่คำพูดของพี่ติยังก้องอยู่ในหัว รู้ตัวก็กำแหวนบนคอแน่น

หลังจากนั้นผมกับเขาคุยกันแค่เรื่องคดีจนดึก เลยขออาบน้ำห้องเขาเพราะง่วงมากอยากตาสว่างด้วย เดินออกมาก็พอว่าเขารับสายแทนผมไปแล้ว หมอโทรมา

“แฟนเหรอ” หลังจากรับสายพี่ติ เขาก็คงอยากรู้

“ครับ” ถึงผมไม่อยากบอก แต่ก็ไม่อาจโกหก

“รู้สึกเหมือนกำลังอกหัก” คุณบาสพูดหน้าตาย เงียบกันไปพักใหญ่

คืนนั้นผมไม่ได้ค้างกับคุณบาสอย่างที่ปล่อยให้พี่ติเข้าใจหรอก เกือบตีสองผมหอบร่างเกือบสลบ ไปขอนอนกับออยที่มาพักอยู่ใกล้ๆ พอดี



“ไกลกันมากเลยเหรอที่จะไปอยู่” คำถามดึงผมกลับมาบนเตียงอีกครั้ง

“ไกลครับ” ตอนนี้ผมรู้สึกไกลกับพี่ติมากๆ

“พี่ไปหาได้ไหม” เป็นแฟนกันเรื่องไปหาไม่เห็นต้องขอ

“ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ผมคงยุ่งมากๆ” ถ้าฟังแล้วคิดว่ามันเป็นการปฏิเสธก็คงใช่

“ซายเรื่องหมอปัง” เรื่องเก่าเล่าใหม่ทีไรก็เจ็บทุกที มีอย่างที่ไหนกลับมาเจอแฟนตัวเองเอาหมอหน้าตาน่ารักมานอนด้วย หน้าตาตื่นตกใจเหมือนโดนจับได้ว่าเขามีชู้นั่นอีก ผมออกไปซื้อกับข้าวมาให้ด้วยความหวังดี กลับมาอีกทีเขาซบกันออกไปสงบสติกลับมาใหม่ เอ้าลูบหัวกันซะงั้น

ถึงกับต้องลูบหัวดูว่ามีเขางอกออกมารึยัง เรื่องหมอปังเขาก็ยังไม่เคลียร์เรื่องคุณบาสผมก็ยังไม่ชัดเจน หรือว่าครั้งนี้เราสองคนจะต้องเลิกกันจริงๆ

สายตาจ้องไปที่แหวนอีกวงบนนิ้วของเขา วัตถุสีเงินที่อยู่กับเราคนละชิ้น มันสามารถมัดใจเราสองคนเอาไว้ด้วยกันได้จริงๆ เหรอ

“ถ้าพี่บอกว่าไม่มีอะไรก็ตามนั้นครับ” ตัดบทเพราะขี้เกียจฟัง คนเราการกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้ว

ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดเราเท่าเส้นผม เป็นสุภาษิตที่อธิบายตัวผมได้ดีที่สุด เพราะเรื่องคุณบาส ทำให้ผมไม่กล้าโวยวาย เรื่องหมอปังปิ้งอะไรนั่นมากนัก

ยิ่งว่าก็เหมือนจะเข้าตัวก็เลยปล่อยเฉย ลึกๆ ผมก็ไม่ได้หึงหวงอะไรมากเท่าที่คิดด้วย ชั่ววูบความคิดที่ตัวเองยังไม่เชื่อตัวเองก็ดังขึ้น เขามีคนใหม่ก็ดี จะได้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกผิด

แล้วเกิดคำถามว่าที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมรักพี่ติอยู่จริงไหม ตอบยาก รู้แค่ว่าถ้าไม่มีเขาแล้วผมก็อยู่ได้

อยู่ได้จริงเหรอ จำตอนเน็กซ์กับหมอเจล ที่จะเป็นจะตายไม่ได้เหรอ จำได้ แต่พอมีหลายครั้ง คนเราก็ต้องเบื่อที่จะเจอปัญหาเดิมๆ รึเปล่า แต่เรื่องเก่าๆ มันก็ผ่านไปแล้วไง ตอนผมแย่พี่ติก็อยู่ด้วยตลอด เถียงกับตัวเองเหมือนยืนอยู่หน้าศาล

ความคิดที่ว่าเราอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอด ที่เคยให้คำมั่นกับพ่อแม่ตอนที่รั้นจะคบกันใหม่ๆ ตอนนี้เริ่มสั่นคลอน

ย้ำอีกครั้งผมเลือกเรียนกฎหมายเพราะ อยากเป็นคนที่ใช้อารมณ์ให้น้อยลง แล้วใช้เหตุผลให้มากขึ้น แต่ตอนนี้ผมกลับใช้แต่อารมณ์จนน่าโมโหตัวเอง อารมณ์หวั่นไหวที่มีคุณบาสเป็นตัวแปร ทำให้เกิดความไม่มั่นคง น้อยใจ โกรธ ไม่เชื่อใจ ต่อพี่ติ



“แล้วจะไปวันไหนครับ” ผมตอบเขาไปว่ามะรืน ใช่มันดูเร็วมากเหมือนบอกจะไปก็ไปเลย

“พี่ว่าจะพักร้อนสักอาทิตย์หนึ่ง จะมาช่วยขนของ แล้วก็ไปอยู่เป็นเพื่อนซายจะได้ไม่เหงาดีไหม” ในใจผมไม่อยากให้เขาไป แต่ถ้าเขาถามหาเหตุผล ผมก็ไม่มีให้อยู่ดี

“ครับ ตามใจพี่ติ” หลังๆ มานี่ผมใช้คำว่าตามใจพี่บ่อยมาก เหมือนผมจะตามใจเขา แต่เปล่าเลยผมแค่ไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไรก็แค่นั้น

แววตาเศร้าของพี่ติเคยมีผลกับจิตใจผม แต่วันนี้ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลย

“พี่ติพี่อยากมีคนอื่นเมื่อไหร่บอกผมนะ” จะว่าหลุดปากได้ไหม อยู่ๆ ผมก็พูดสิ่งที่กำลังคิด หมอติไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ เขาลุกเดินไปที่ครัว หยิบไข่มาทอด

“ซายกินก่อนไปทำงานนะครับจะได้มีแรง” หัวใจผมเหมือนมีคนควักไปโยนเล่น เกิดคำถามใหม่ว่า ผมกำลังทำให้เขาเสียใจมากขนาดไหน

“พี่ติ” เรียกชื่อเขาแผ่วราวกับกลัวเจ้าของชื่อจะได้ยิน

เขาเอาคนอื่นมานอนห้องของเรานะ เขาซบกัน เขาลูบหัวกัน จะใจอ่อนแล้วเดินไปกอดเหมือนทุกครั้ง และรอให้เขามีคนใหม่เข้ามาอีก มาอีก ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ

“ซายจะไปแล้วเหรอ” เขาวิ่งมากอดผมจากด้านหลัง มือเขายังเปื้อนไข่ดิบที่เพิ่งตอกเสร็จ ป่านนี้มันคงรอให้เขากลับไปทอดแล้ว

“พี่อยากให้ซายเชื่อใจพี่ หมอปังพี่ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลยจริงๆ พี่ห่วงเขาเพราะเราทำงานด้วยกันแค่นั้น แค่นั้น พี่รักซายคนเดียว รักคนนี้คนเดียวมาตลอด”

รัก

รัก

รัก

ระหว่างเราสองคนต้องใช้ความรักมากแค่ไหน ถึงจะเพียงพอกับคำว่าตลอดไป

พอให้เราไปต่อโดยไม่ให้เหมือนรอวันเลิก หรือระแวงว่าใครอีกคนจะมีคนใหม่ ยังไม่นับเรื่องที่ว่า เราจะเจอช่วงที่เบื่อกันอีกรอบหรือเปล่า แย่หน่อยที่ชีวิตคู่ของเราช่วงนี้ ช่างห่างไกลกับคำว่าตลอดไป

“ผมไปทำงานก่อนนะ เย็นๆ ค่อยคุยกัน” สองแขนที่กอดรั้งตัวผมตกลงเหมือนเขาหมดแรงที่จะกอด ก็ผมเอาแต่บอกว่าจะไป คนสองคนใช้ชีวิตร่วมกัน คนหนึ่งอยากไปแต่อีกคนอยากรั้ง มันช่างน่าอึดอัดและทรมานกันทั้งคู่

เดินออกจากห้องของเรา เข้าลิฟต์หลับตาเงยหน้า รอบตัวรู้สึกถึงแต่ความทุกข์ใจ ก่อนหน้านี้เรารักกันมาก เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย คำว่ารักของเราถ้าจะต้องนับจริงๆ อาจมีเป็นล้านคำหรือมากกว่านั้น เรากอดกัน จูบกัน แสดงออกให้รู้ว่าเรารักกัน แหวนของเขายังอยู่ที่คอของผม และอีกวงก็ยังอยู่บนนิ้วของเขา

เอาเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่เราสองคนจะเลิกกัน ที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาเรียกว่าอะไรเหรอ ร้าวฉาน คำนั้นก็น่าจะใช้ได้ รอยร้าวที่รอวันแตก

เดินไปที่รถวีออสคันเดิมแม่พี่ติซื้อให้

‘ซายแม่ฝากพี่เขาด้วยนะลูก ถ้าวันไหนเขาไม่น่ารักให้คิดถึงวันนี้นะลูก’

‘มาเป็นลูกชายของแม่อีกคนนะลูก’

ทุกครั้งที่ผมอยากวิ่งห่างเขา สิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ ก็จะตามผมเป็นเงาเสมอ มันทำให้ผมเสียดาย วันเวลาที่ผ่านมา เสียดายความสัมพันธ์ที่ดี เสียดายความรักจากครอบครัวเขา เสียดายความรักที่เรายังมีให้กันอยู่ โลเลเป็นบ้า

คุณบาส: ผมลาไปต่างประเทศได้ไหม

แวย์ซาย: อนุมัติครับ

คุณบาส: กลับมาผมอยากได้ยินข่าวดี

แวย์ซาย: ผมจะเร่งให้เต็มที่ครับ

คุณบาส: ไม่ใช่เรื่องมรดกหรอกนะ

แวย์ซาย: ยังไงครับ

คุณบาส: ข่าวดีที่ผมอยากฟังคือ ซายโสดแล้วอะไรแบบนั้น

ผมควรรู้สึกยังไงครับตอนนี้ ก่อนหน้านี้คุณบาสดูไม่ได้จริงจังจะรุก แล้วพอหลังจากรับสายพี่ติ เขาก็เดินหน้าเข้ามาจนผมเริ่มอึดอัด เขาเป็นลูกความผมไม่อยากให้กระทบเรื่องงาน

ทำไมทั้งคุณบาสและพี่ณะ ต้องอยากให้ผมโสด ทำไมไม่ถอยเมื่อรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว พี่ณะกับคุณบาส พูดเหมือนกันเลย

‘ขอโทษๆ พี่ยิ้มเพราะดีใจ ซายโสดพี่จะได้จีบต่อ’

‘อะ อะไรนะครับ’

‘ก็ตามนั้น โสดแล้วบอกพี่คนแรกนะครับ’

ความรู้สึกวันนั้นที่พี่ณะบอกว่าอยากให้ผมโสด กับตอนนี้ในข้อความของคุณบาส ผมรู้สึกเหมือนกันเลยล่ะ “อึดอัดว่ะ” ถ้าเป็นผมรู้ว่าคนที่ผมชอบมีเจ้าของแล้วผมจะทำไง ไม่รู้สิ ใครจะไปรู้บางเหตุการณ์ต้องเจอเองถึงจะอิน

เริ่มคิดได้ตอนนี้เองว่า พี่ติเองก็อาจรู้สึกไม่ต่างกันเรื่องหมอปัง บางทีผมอาจรับฟังเขาน้อยไป บ่ายนี้ผมว่างแวะไปหาเขาที่โรงพยาบาลดีไหม ที่ทำงานใหม่ของเขาที่ผมไม่เคยไป ไปแอบดูเขากับหมอปังนั่น ไปดีไม่ดี เมื่อคิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ออก

“ออยมึงว่างไหม กูอยากปรึกษา” ในที่สุดก็ต้องโทรหาเพื่อน

(พี่ติมีคนอื่นหรือไง) ผมก็ไม่ได้ปรึกษามันบ่อยนะ จะรู้ทันอะไรขนาดนี้

“ออยญาณทิพย์ป่ะเนี่ย”

(หาจริงดิ กูแค่ล้อมึงเล่นเอง)

“อืม เล่นจริงเจ็บจริงว่ะ”

ผมเล่าเรื่องหมอปังกับคุณบาสให้มันฟัง ตบท้ายด้วยการถามว่าผมควรไปหาเขาที่ทำงานไหม

“เป็นกูจะไปนะ ไปให้มันเห็นจะจะ เพราะมึงก็ไม่เชื่อที่เขาพูด ส่วนเรื่องคุณบาสกูก็ไม่มีความเห็น เพราะกูไม่รู้จักเขา เอางี๊คิดทีละเรื่องดีไหมมึง เอาแค่เรื่องหมอปังปิ้งอะไรนี่ให้จบก่อน”

ขอบคุณเพื่อนไป ผมโชคดีจริงๆ ที่มีออยเป็นเพื่อน นอกจากเรื่องเงินมันช่วยผมได้ทุกเรื่อง เป็นไงเป็นกัน ไปก็ไป!

สุดท้ายถ้าผมต้องเสียพี่ติไปจริง ก็ต้องไม่ใช่เพราะผมคิดอะไรไปเอง ไม่อยากให้มันซ้ำรอยเหมือนคราวหมอเจล



“มาพบหมอจิตติครับ” ผมทักทายประชาสัมพันธ์ เธอแนะนำเส้นทางให้ผมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ หน้าห้องเขามีเก้าอี้ไม้ตัวยาว นั่งรอเขาที่นั่น แผนกจิตเวชคนไข้ไม่เยอะ ผมก็นั่งรอเงียบๆ อยู่คนเดียว มีห้องตรวจแค่สองห้อง สงบมาก คงไม่แปลกที่พี่ติจะสนิทกับหมออีกคนที่เข้าเวรพร้อมกันไม่ใช่เหรอ

‘จะจีบพี่จริงอ่ะ’

‘เห็นผมล้อเล่นรึไง’

‘ทำไมมาชอบพี่ แก่กว่าเราตั้งเยอะนะ’

‘แก่กว่าแล้วไง ไม่เห็นเกี่ยวเลย’

‘ก็ช่วงชีวิตเราอาจมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจกัน ตอนซายเรียนพี่ทำงาน ตอนซายทำงานพี่อาจมีมุมมองที่แตกต่าง’

‘แค่ผมรักพี่ พี่รักผมมันไม่พอเหรอ’

‘.................’

ตอนนั้นพี่ติแค่โยกหัวผมเล่นว่าผมเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วที่เขาบอกมามันจริงทุกอย่าง อายุห่างไม่ใช่ปัญหา แต่สังคมความคิดที่เราเจอต่างกันนั่นแหละปัญหา

ดูสิวันนี้ผมเป็นทนายใหม่ไฟแรง ขณะที่เขาเป็นหมอที่ต้องใช้ชีวิตแบบปลงๆ ความฝันของเขาอาจไม่ชัดเจนหรือหล่นหายไปแล้วด้วยซ้ำ ทัศนคติเราเริ่มไม่ตรงกัน ตอนนั้นผมอยากหวานแต่เขากลับเฉย ตอนนี้เขาอยากทุ่มเทเวลาให้ผม แต่ผมอยากทุ่มเทเวลาให้งาน มันสลับกันไปหมด เหมือนแหวนที่ใส่ผิดนิ้วมันไม่พอดี

ไม่หลวมไปก็จะคับแน่นเกิน



“มารอพบคุณหมอรึเปล่าครับ” ชายร่างบางออกมาจากห้องตรวจอีกห้อง หมอปังผมจำเขาได้ แต่เขาน่าจะจำผมไม่ได้ เหมือนว่าคืนนั้นเขาจะนั่งกอดเข่าเศร้าที่ระเบียง เขาคงไม่ทันเห็นหน้าผมด้วยซ้ำ

“เอ่อ ครับรอพบคุณหมอติครับ”

“นัดไว้เวลานี้เหรอครับ” เขาทำหน้างงใส่ผม ดูซื่อใสภาพหมอเจลลอยมา

“เปล่าครับ ไม่ได้นัด”

“น่าจะต้องรออีกนานเลย ฝากชื่อกับเบอร์โทรไว้ที่พยาบาลได้นะครับ” ใจดีเหมือนกันอีก

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” หมอปังน่าจะสัมผัสคลื่นความไม่พอใจของผม เลยไม่ถามต่อ เห็นเดินออกไปคุยกับพยาบาล แล้วก็เดินหายไป ไม่ชอบเลยจริงๆ ทำไมคนอื่นต้องเป็นสเปกพี่ติหมดเลยนะ ตัวเล็ก ขาว พูดเพราะ

นั่งตีกับความคิดของตัวเองพักใหญ่ ประตูห้องคุณหมอจิตติก็เปิดออก ผู้หญิงเดินจูงมือเด็กชายตัวเล็ก หน้าตาไม่ค่อยยิ้มออกมา เขาคงเห็นผมที่นั่งรออยู่

“ซายมาไม่เห็นบอกพี่เลย” ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้ม ดูดีใจมากมาย ทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก

“ว่าง ไม่รู้จะไปไหนครับ” ทำไมต้องอยากพูดเพราะเอาใจเขาด้วยนะ

“พี่ไม่มีนัดแล้ว เดี๋ยวทำแฟ้มเสร็จก็ว่าง” มือหมอยื่นมาให้ผมจับ ผมยิ้มยื่นมือให้เขาจูงไปในห้อง รู้สึกเหมือนเรารักกันมาก ทั้งที่มีแต่ความสงสัยไม่เชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของเราเต็มไปหมด

“นั่งรอพี่ก่อนนะครับ”

“ครับ”

“ซาย”

“หือ”

“พี่ดีใจที่น้องมา” หัวใจอ่อนยวบ!! ใจอ่อนให้คุณหมอ แต่เมื่อก้มหน้ามาเจอข้อความจากอีกคน

คุณบาส: เงียบเลย ผมล้อเล่นนะ

ก้มอ่านข้อความ คุณบาสบอกล้อเล่น ผมรู้สึกยังไงอธิบายไม่ถูกเหมือนกันจะบอกว่าพี่ติไม่น่าไว้ใจมันก็ไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าเราต่างก็ไม่น่าไว้ใจทั้งคู่ถึงจะถูก

แวย์ซาย: เล่นซะผมไปต่อไม่ถูกเลย

คุณบาส: หลงผมเหรอถึงไปไม่ถูก

แวย์ซาย: ยังไม่เลิกเล่นอีกนะคุณ

คุณบาส: ผมก็เลิกเล่นนานแล้วนะ

สมองเบลอ มึนอีกครั้ง เขาจีบผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

“ก๊อกๆ พี่ติปังเอง” เสียงเขาพูดไม่มีเสียงเคาะประตู น่ารักจังเลยนะ

“ครับเข้ามาเลย”

เราต่างหันไปมองคนมาใหม่ หมอปังมองหน้าผมแล้วยิ้มแบบงงๆ ให้อีกครั้ง

“ซายนี่หมอปัง หมอปังเข้าเวรพร้อมพี่เกือบทุกวัน ส่วนนี่ซายแฟนพี่ เคยเจอกันแล้วนี่นา”

“อ้าว ขอโทษนะครับ ผมจำคุณซายไม่ได้จริงๆ เสียมารยาทจัง” อยากจะมองบนใส่ความมีมารยาทตอนนี้ของคุณมากครับ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ติว่าคุณมีปัญหา ดีขึ้นรึยังครับ” พี่ติมองผมตาแทบถลนก็ผม คนไม่มีมารยาทจะทำไมเหรอ

“ดีขึ้นแล้วครับขอบคุณนะครับ อ่ะพี่ติปังซื้อมาฝาก ขอตัวก่อนนะครับ” หมอปังออกไป ในห้องเกิดสงครามเงียบทันที ผมดึงกาแฟนบนโต๊ะเขามาดูด ขณะที่สายตาจ้องเขาไม่กะพริบ เขาทำหน้านิ่ง ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

รู้ว่าเพิ่งทำตัวไม่น่ารัก แต่ช่างเถอะผมไม่สนใจ!!



“ผมอยากไปเดินห้าง มีของที่อยากได้” พี่ติถอนหายใจใส่ผม เขารำคาญผมงั้นเหรอ

“วันนี้วันจันทร์รถคงติด ซายจะไปซื้ออะไร” อืมไม่มีหางเสียงด้วย

“แก้วเก็บความร้อนกับกาแฟสำเร็จรูป” ผมเริ่มประกาศสงคราม

“จะได้ไม่ต้องรอให้ใครซื้อมาให้ไงครับ ซายจะชงให้พี่เอง” นี่ผมกำลังหึง คนกำลังเบื่อกันเขาหึงกันแบบนี้เหรอ

“หึ จะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วไม่ใช่เหรอครับ” อ้าวพูดงี๊คืออะไร ผมลุกขึ้นมองเขาตาขวาง คือไม่พอใจที่ผมไปกวนหมอปังปิ้งก็บอกมาเถอะ

“นั่งๆ พี่ขอโทษ” แต่สีหน้าเขาไม่รู้สึกผิดสักนิด ที่ทำอยู่มันหน้าคนรำคาญชัดๆ

“ผมกลับดีกว่า ไม่อยากกวนพี่แล้ว” กำลังจะหมุนตัวออกมา ด้วยความรู้สึกฉุนเฉียว

“ซายครับมีเหตุผลหน่อยสิ” ผมกำลังร้อน เขาก็เริ่มเย็นไม่ไหว ที่นี่ห้องทำงานเขา ผมจะไม่มีเรื่องตรงนี้ แต่ให้อยู่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมก็ไม่ทำเหมือนกัน สาวเท้าเดินออกมาจากห้องเขา ไม่หันกลับไปมอง เขาก็ไม่ได้รั้งผมไว้

พาตัวเองมานั่งในรถ ปล่อยความร้อนรนในความคิดฟาดระบายไปกับลมหายใจ สบถถ้อยคำไม่รื่นหูออกไปเต็มเสียง

 “แม่งเอ้ยย”

ผมเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ไม่มีสักครั้งที่พี่ติจะแสดงอะไรแบบเมื่อกี๊ ถ้าอยู่ข้างนอก เขาอาจตะคอกใส่ผม เราอาจทะเลาะกันรุนแรงกว่านี้ก็ได้ บางทีการแยกกันอยู่อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด เราลองห่างกันดูเผื่อจะรู้ใจกันมากขึ้น





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2019 14:32:51 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #13 เมื่อ05-11-2018 17:11:34 »

แงง ขออีกตอนไม่ได้เหรอคะ ไม่ชอบความค้างคานี้เลยฮือ

ซายอย่าทำให้พี่ติเสียใจสิ หวั่นไหวกันบ่อยจังเลย เฮ้อมมม

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #14 เมื่อ05-11-2018 18:15:56 »

ชีวิตคู่นี่ยากจัง รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: แหวนแต่งงาน
«ตอบ #15 เมื่อ05-11-2018 21:04:31 »

หวิวทุกครั้งที่อ่านจบแต่ละตอน

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 9 ห่างเหิน
«ตอบ #16 เมื่อ06-11-2018 08:15:01 »

ตอน 9

ห่างเหิน



Ti part…

ผมชื่อ จิตติ ธำรงค์สุวิทย์ ชื่อเล่น ติ ผมเป็นจิตแพทย์ เลยมีวิธีจัดการกับอารมณ์ที่ตัวเองไม่ชอบ ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี แค่หัวเราะบ่อยๆ คุณก็จะป่วยน้อยลงแต่ทำไมคนเราไม่ทำกันก็ไม่รู้

วันนี้น้อง หมายถึงซายคนรักของผม แต่ผมชอบเรียกเขาว่าน้อง มันหมายถึงว่าผมเอ็นดู รัก และอยากดูแลเขา เราคบกันมานานแล้ว ตั้งแต่เขาเป็นเด็กน้อย ม.3 ที่ต้องติวสอบเข้า ม.4 โรงเรียนชื่อดังมีการแข่งขันสูง ตอนนั้นผมอยู่ปี 4

อายุห่างกันมาก ตอนแรกไม่คิดว่าน้องจะชอบคนแก่ เลยไม่ทันได้ระวังตัวพอรู้ตัวหลงเด็กไปซะแล้ว เด็กน้อยซายน่ารักสดใสสมวัย ขี้อ้อน หน้าหวาน เอาแต่ใจ

พอโตมาหน่อยก็ดูจะสวยมากกว่าน่ารัก เพื่อนผมเคยแซวว่าโตขึ้นให้ส่งน้องไปประกวดมิสทิฟฟานี่ แต่ผมดูแล้วไม่น่าจะดี น้องยังแต่งชายแล้วก็ ไม่ได้มีมารยาทงามเท่าไหร่ ไปจริงก็ต้องใส่วิก นอกจากหน้าสวย น้องไม่น่าพร้อมจะไปแข่งกับใครเลย

ขำทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ แค่นึกภาพน้องใส่ชุดว่ายน้ำ ซึ่งต้องพาไปเสริมนม

แล้วก็ใส่วิกผมยาว ดัดลอน แต่งหน้าทาปาก แต่ท่าเดินโคตรแมน

“ฮ่าๆ” ขำคนเดียวไม่หยุด นี้แหละวิธีการสร้างรอยยิ้มของผม อย่าไปฟ้องซายนะครับ ถ้าเขารู้ผมคงขำไม่ออก

“ติพาน้องมากินข้าวด้วยนะเย็นนี้ แม่ทำของโปรดน้องไว้” แม่ผมเองคุณนายสิณี ธำรงค์สุวิทย์ ผู้หญิงคนเดียวในบ้านที่ครองตำแหน่งขวัญใจน้องซาย ก็เล่นสปอยน้องหนักจนแม่ตัวจริงของซายต้องโทรข้ามประเทศมาปราม ตอนน้องสอบติดคณะนิติศาสตร์ แม่ผมเปย์บีเอ็มป้ายแดงให้เป็นของขวัญ เพียงเพราะน้องบอกว่ารถคันเก่ามันชอบเกเร

มีการถกเถียงกันระหว่างสองครอบครัว จนในที่สุดลงตัวที่วีออส ก็นั่นแหละครับแม่ผม สปอยลูกไม่ได้ก็เลยไปลงที่แฟนลูกแทน

“ได้งั้นเจอกันบ้านพี่เลย เดี๋ยวให้ไอ่ออยไปส่ง ทำงานต่อก่อนนะ” น้องรับปากแล้วรีบวาง คงจะงานเร่งจริง ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซายลืมคำลงท้ายน่ารัก คำว่า ‘ครับ’ น้องไม่ได้พูดกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่ได้เจ้าอย่างนะ แต่ไม่อยากให้เขาติดนิสัย การพูดจาเพราะเป็นเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้คนอื่นมองเราในแง่ดี โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย

ไปถึงบ้านก่อน ส่วนน้องตามมาทีหลัง ออยเพื่อนของน้องก็สนิทกับครอบครัวผมเป็นอย่างดี เพราะออยกับซายสนิทกันตั้งแต่เด็ก เวลาซายมาหาผมที่บ้าน ออยก็จะมาด้วย มื้อนี้น้องออยสุดหล่อเลยมานั่งกินข้าวกับเราด้วย

“ไม่ค่อยเจอกันเลยนะครับน้องออย”

“มันติดสาว” ซายตอบแทน

“หล่อขนาดนี้คงฮอตน่าดู” ผมแซวเพื่อนสาวหน้าหล่อของซาย ออยทำหน้าทะเล้นตอบมา “เถียงไม่ออกเลยอ่ะพี่ติ” ซายมองบนใส่ แล้วสองคนเพื่อนรักก็เถียงกันทีเล่นทีจริงไม่หยุด

ผมคนนอกได้แต่ส่ายหัว ยิ้มตาม ระหว่างกินข้าว น้องก็คุยกับพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ คุยกับผมบ้างนิดหน่อย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราก็เจอกันที่ห้องอยู่ดี ส่วนออยก็ช่างคุยเหมือนเดิม

“ออยจบแล้วมาทำงานที่บริษัทพ่อนะ พ่อจองตัว”

“ค่ะพ่อ ออยไม่ไปที่ไหนเลยกะว่าเรียนจบจะเกาะพ่อกับแม่ต่อเลย”

พ่อแม่ยิ้ม ซายหน้ามุ่ย

“พ่อไม่ชวนซายเลยน้อยใจอ่ะ”

“อะไรเราเป็นเจ้าของ ต้องชวนทำไม บังคับเลยสิถึงจะถูก ไม่มาอยู่กับพ่อสิจะน้อยใจ”

“ใช่ลูก ตาติก็ไม่มาช่วยคนหนึ่งแล้ว พ่อกับแม่ก็มีแต่ซายที่จะหวังพึ่งได้นะ” แม่เสริม

“พูดซะผมเลวเลยนะครับ” ผมแกล้งออกตัวน้อยใจบ้าง แต่ได้กลับมาเป็นฝ่ามือของแม่ หลบหลังน้องแต่แม่ก็สามารถ เอื้อมมือมาตีแขนผมจนได้ ท่านก็รักของท่านจริงๆ รักมากกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆ อีก

อาหารมื้อนั้นเลยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

“กลับพร้อมออยนะ งานยังไม่เสร็จจะไปทำต่อ” ผมยิ้มพยักหน้าให้น้องกับเพื่อน ต้องกลับไปเคลียร์งานของตัวเองต่อเหมือนกัน

มันคือความสุขของผม ใครจะว่าความราบเรียบคือความน่าเบื่อผมว่ามันไม่จริง ความราบเรียบนี่แหละความสนุกและท้าทายที่สุด คิดดูสิว่าใครสักคนจะทนใช้ชีวิตแบบราบเรียบได้นานขนาดไหน การค้นหาความพอใจ และความสุขในแบบที่ชีวิตไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมจากเมื่อวาน มันท้าทายแค่ไหน

รักตัวเองแค่ไหนถึงจะมีความสุขกับตัวเองได้ทุกวัน ถ้าจิตใจเข้มแข็งก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว



“มาไหมหมอจิตพวกกูรอ” เพื่อนสนิทของผมเอง เป็นหมอกันหมดทุกคน ที่โทรมาชื่อกา หรือการุณ เป็นหมอฟัน อีกคนที่ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าถ้าไม่มาก็ไม่ต้องเรียกพวกมันว่าเพื่อนนั่น ไอ่ปราณ หรือปราณธนา หมอศัลยกรรม มีอีกคนหมอเจล แต่อยู่ไกลไม่ค่อยได้เจอกัน

“ถ้าไอ่หมอนมจะพูดขนาดนี้กูก็คงต้องไป” พวกเรามีชื่อเรียกกันเอง หมอจิต หมอฟัน หมอนม (มันรับเสริมนมเป็นหลัก) ส่วนหมอเจลไม่มีฉายา ทำงานไกลก็เลยห่างกัน ถึงชื่อไอ่ปราณจะดูหน้าม่อสุด แต่ผมก็อยากเรียนตามมันนะ รายได้มันสองวันเยอะกว่าของผมทำทั้งเดือนอีก พูดแล้วอยากย้อนไปตอนเลือกเฉพาะทางอีกครั้ง

“หายหัวเลยนะ น้องงอแงรึไง” หมอฟันมันทักทายไปถึงน้องผมด้วย

“งานกูเยอะ มึงก็รู้ซายพูดง่ายจะตาย” ผมพูดจริง ถ้าเทียบกับตอนซายงอแงสุดยังไม่เท่าเมียมันสองคนตอนอารมณ์ดีเลย คือน้องฟ้าเมียไอ้กา กับ น้องกุ๊กไก่ เมียไอ่ปราณเนี่ย โคตรผู้หญิง แบบผู้หญิงอารมณ์แปรปรวนมาก ไม่ถูกใจนิดหน่อย โดนบิดหูแดง

นึกขอบคุณที่ซายไม่เป็นแบบนั้น ถ้าน้องไม่พอใจก็แค่เงียบ เป็นอันรู้กันว่าผมทำอะไรผิดอยู่

“คร๊าบบ พ่อคนทำบุญมาดี พ่อเมียดีเป็นศรีแก่ตัว” ผมยิ้มร่าให้กับคำประชดนั้น

“อย่ามาว่าน้องกู เมียพวกมึงเถอะปล่อยมาได้ไง วันนี้ไม่มาคุม”

“เมียกูไปเที่ยวยุโรปกับที่บ้าน คิดถึงนิดหน่อย แต่ลั้นลาม๊ากกกกก” อดขำใส่หมอฟันไม่ได้ นานๆ จะมีโมเม้นท์ลั้นลากับเขา ดีใจกับมันด้วย

“ส่วนกูกุ๊กไก่ไปเกาหลีกับเพื่อนว่ะ ไม่อยู่เหมือนกานนน” หมอปราณลากเสียงยาวทำหน้าระรี้ระริก

“จะครบเจ็ดปีแล้วนี่มึงอ่ะ ปีนี้พาน้องไปฉลองหนาย” ปราณมันยกศอกกระแซะถาม เพื่อนอีกคนร่วมวง

“คบกันโคตรนานอ่ะ นึกถึงวันที่น้องมาสารภาพรักมึงในวันเกิดไอ่ปราณ กูยังอึ้งอยู่เลย น้องซายได้ใจพี่กาเต็มๆ”

“เห้ยน้อยๆ หน่อย ซายเด็กกู” ผมก็รับมุกหึงไปตามเรื่อง รู้ครับว่าเพื่อนมันชอบแกล้ง บางทีด้วยความสนิทกันไอ่กาก็จะกอดคอน้อง หอมแก้มน้องก็มี ผมขี้เกียจจะห้าม เมียมันก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่ายอมให้คนหนึ่ง สรุปว่าคนรอบตัวผม หลงน้องกันหมด ขนาดกุ๊กไก่เมียไอ่ปราณยังบอกว่าซายหล่อ อันนี้ผมก็ปวดหัวอยู่นะ

“ใช่ แล้วมาสารภาพในงานวันเกิดกู เหตุผลก็ร้ายสุดๆ” อันนี้ผมเห็นด้วยครับ ซายร้ายจริงๆ เขาว่าที่เลือกสารภาพวันเกิดเพื่อนรักผม เพราะถ้าผมไม่รับรัก หรือเลิกกันไป ผมก็จะจำเขาได้ทุกปีในงานวันเกิดของไอ่ปราณ แล้วเขาก็มั่นใจว่าผมกับปราณจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป โอ้โห ร้ายตั้งแต่เด็กเลยนะ



แต่ก็ดีครับ ผมไม่ต้องจำวันครอบรอบ ก็ไอ่ปราณจะคอยเตือน เนียนทวงของขวัญมันด้วยทุกปี

“ยังไม่รู้จะให้อะไรเลยมึง น้องดูยุ่งๆ ด้วยใกล้จบแล้ว”

“จริงด้วย ซายจะเรียนจบแล้วนี่หว่า จบวันไหนนัดเลี้ยงน้องกัน โอ๊ยย มึงตบหัวกูไมไอ่จิต” บางทีคำเรียกก็ไม่มีหมอนำครับ จิต ฟัน นม สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ

“มึงนี่ก็จะแดกเหล้าตลอด” หมอนมมันว่าให้หมอฟัน ผมหันไปพยักหน้าเห็นด้วย นมมันพูดดี

“น้องยุ่งหรือเบื่อคนแก่กันแน่ ระวังนะเว่ย” อ้าวเพิ่งชมมันไปหยกๆ

“นมมึงควรไปศัลปากให้หมาน้อยลงนะ ซายแค่งานเยอะโว๊ยย” ผมปฏิเสธเพื่อนไปจริงจังมาก แต่ลึกๆ ในใจกลับหวิวชอบกล พยายามโกยเอาการมองโลกในแง่ดีของตัวเองมาสุมให้ท่วมตัว แต่ก็ยังไม่อาจลบรูโหว่ในความรู้สึกนั้นไปได้อยู่ดี

ความจริงก็คือ ตอนนี้ผมกับน้อง เราเริ่มมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นน้ำเสียงที่เราคุยกัน ขาดความเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางทีพูดไม่จบประโยคก็อยากพูดแทรก คำง่ายๆ ขอบคุณ ขอโทษ ไม่มีใครเห็นประโยชน์อยากจะหยิบมาพูด

ภาษากายยิ่งชัดเจน นอนหันหลังให้กัน เหมือนในโฆษณาคู่รักที่มีปัญหาก่อนเตียงหัก สกิลชิฟที่เคยขาดไม่ได้ ตอนนี้แทบติดลบ เดินเฉียดยังไม่รู้สึกดึงดูดอะไรเลย

เล็กๆ น้อยๆ ของคำว่าคู่รักที่เราเคยให้กัน มันหายไปไหนหมด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกหรอก แต่แค่ไม่อยากเอามาเป็นปัญหาให้ต้องเถียงกัน น้องเรียนหนัก งานผมก็เยอะ จนไม่อยากสนใจเรื่องพูดไม่เพราะ หรือการไม่กอดกัน มาทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่ม การที่เรายังรักกันอยู่นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับผม



‘ติแม่ฝากน้องด้วยนะลูก ซายเอาแต่ใจถ้ารับอะไรไม่ได้ก็บอกเขาไปตรงๆ ให้น้องรู้ว่าไม่ดี’

‘ครับแม่ ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุดจนกว่าน้องจะไม่อยากให้ผมดูแล’

‘พูดอะไรแบบนั้นพี่ติ ผมขอสั่งให้พี่ตามใจผมตลอดไป’

‘เนี่ยๆ แม่พูดไม่ทันขาดคำ อย่าเอาแต่ใจนักสิลูก เดี๋ยวพี่เขาเบื่อหรอก’

‘อ่ะ หน้างอเลย ไม่เอาสิครับ อะตามใจก็ตามใจ’



หรือมันจะเป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยขัดใจเขา แต่ซายก็ไม่ได้เอาแต่ใจจนไร้เหตุผลนะ น้องก็เป็นไปตามวัย เราอายุห่างกันเยอะพูดอะไรเขาก็มักจะเชื่อผมเสมอ

“ใจลอยหาน้องหรา” เพื่อนสองคนเท้าแขนกับโต๊ะจ้องผมใหญ่ “ไรเล่า”

“บอกพวกกูมามึงมีปัญหากับน้องซายใช่ไหม เรื่องอะไร” ผมถอนหายใจส่ายหน้าไปตามเรื่อง หวังให้พวกมันเลิกตอแยแต่ไร้ประโยชน์

“เออๆ ก็ไม่เชิงหรอกแค่รู้สึกว่าห่างกัน” เพื่อนสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนมีเรื่องในใจแต่ไม่บอกผม แล้วดูไม่ออกเล้ยว่ามันมีความลับ เนียนมาก!!

“มีอะไรวะ” เป็นผมที่คาดคั้นพวกมันแทน

“มึงอย่าคิดมากนะ คือวันก่อนพวกกูเห็นน้องซายที่ผับโซแซดนั่งให้น้องหน้าหล่อคนหนึ่งกอดว่ะ”

“วันไหน ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นไง” ผมใจเต้นรัว

“ผ่านมาไม่กี่วันนี่แหละ ผู้ชายสูงพอๆ กับน้องหล่อดูสะอาดๆ”

“วันที่สิบป่ะ”

“อ่ะน่าจะใช่”

“เพื่อนน้อง วันนั้นกูก็มารับน้องกลับห้องเมาเป็นหมาเลย ตกใจหมด แต่ก็ขอบใจพวกมึงมากที่เป็นหูเป็นตาให้” พ่นลมหายใจโล่งอก ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจน้องนะ

แม้ว่าคบกันมาจะไม่เคยมีเรื่องให้ผมเสียใจ แต่ซายก็มีเสน่ห์คนเข้ามาหาได้ตลอด แต่น้องไม่เล่นด้วย ผมก็ไม่อยากเอามาเป็นเรื่องใหญ่



“พูดก็พูดเถอะวะ เรื่องคนอื่นกูไม่ห่วง กูห่วงว่ากูกับน้องจะห่างกันจนลืมที่จะใส่ใจกันมากกว่า”

“เห้ยพูดงี๊ไม่สมกับเป็นหมอจิตเลยนะมึง”

นั่นสินะ ผมควรเป็นคนที่จัดการกับความรู้สึกพวกนี้ได้ดีที่สุด ผมเป็นจิตแพทย์ อายุก็มากกว่าซายตั้งหลายปี ทีเรื่องคนอื่นเนี่ยเก่ง พอเรื่องของตัวเองล่ะอ่อนด้อย



#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2019 14:58:42 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : ตอน 10 หวั่นไหว
«ตอบ #17 เมื่อ06-11-2018 08:49:00 »

ตอน 10

หวั่นไหว


Ti part…



เน็กซ์เป็นดาราดาวรุ่ง ดาราเจ้าบทบาทมักจะอินกับบทที่ตัวเองได้รับ ล่าสุดบทผู้ป่วยทางจิต ที่มาจากความผิดหวังในชีวิตซ้ำซาก บทที่ทำให้เน็กซ์ได้รับเสียงชื่นชมมากมาย แต่รางวัลหลายสำนักที่เขาได้รับกลับไม่คุ้มเลยเมื่อเขาต้องโดนโรคซึมเศร้า ตามรังควาน

“พี่อยากให้คุณหมอมาดูแลน้องคนนี้ อย่างใกล้ชิดแบบพิเศษกว่าเคสอื่น เน็กซ์จะไม่ไปที่คลินิก และต้องหายดีก่อนเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ อีกสี่เดือนข้างหน้า หมอคิดว่าไหวไหมคะ”

พี่บี ผู้จัดการดาราคนดัง ขอร้องพร้อมแจงเงื่อนไขให้ฟังอีกหลายข้อ หมอปฏิเสธคนไข้ไม่ได้ และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็เป็นเคสที่ผมเชี่ยวชาญ ในที่สุดก็รับปากเขาไป

“น้ำครับน้องเน็กซ์”

เด็กหนุ่มหน้าใสนัยต์ตาหวาน ใช้แค่หางตามองผมแล้วเอื้อมมือมารับน้ำแร่ไปดื่ม เน็กซ์อายุน้อยกว่าซายปีหนึ่ง แต่มีบางอย่างเหมือนกัน นั่นคือเอาแต่ใจ รู้จักวิธีใช้ความเงียบ เดาอารมณ์ได้ยาก บางครั้งเหมือนจะร่าเริงสดใส แต่บางคราวก็นิ่งจนน่ากลัว

ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้คุยกับซายเลย จนวันนี้น้องไปฝึกงานต่างจังหวัดแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยห่วงมาก มีออยไปด้วย มีอะไรออยคงเล่าให้ผมฟังเอง

หมอติ: เป็นไงบ้าง นศ.ฝึกงานของพี่

ผมส่งข้อความห่วงใยแสนสั้นให้คนรักที่ห่างตาไปไกล น้องไม่อ่านในทันที คงยุ่งตามเคย

“หมดคิวแล้วครับ” เสียงเน็กซ์ทำให้ผมเลิกรอข้อความตอบกลับจากซาย

แล้วกลับไปให้ความสนใจกับเคสของผมคือ พาความสดใสกลับสู่หัวใจให้ดาราดาวรุ่งคนนี้ให้ได้

ตั้งแต่รับดูแลเคสนี้ผมกับน้องก็อยู่ด้วยกันแทบตลอด ผมไม่รู้ว่าพี่บีบอกคนอื่นว่าไง ทุกคนถึงไม่มองว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ช่างเถอะวงการมายา ก็ต้องมีคำตอบสำเร็จรูปไว้อยู่แล้ว

“คุณหมออยากไปนั่งรถเล่นไหมครับ” เขาเอ่ยชวน ภายนอกเขาก็ไม่ได้อาการหนัก ดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นคนที่เพิ่งจะพยายามฆ่าตัวตาย ดีว่ายังทำไม่สำเร็จ

ชีวิตมันมีค่าก็ตอนที่เราผ่านปัญหาน้อยใหญ่ไปแล้ว เน็กซ์คงไม่รู้หรอกว่าเขาจะมีความสุขกับชีวิตได้มากแค่ไหน จนกว่าเขาจะผ่านมันไปให้ได้ก่อน

“คุณหมออยากไปไหน” คนขับหันมาถามผม

“ถ้าผมบอกไปคุณจะขับไหวรึเปล่าครับ” เขายิ้มแผ่ออร่าสมกับเป็นดารา ใครเห็นเขายิ้ม ก็ต้องเผลอตัวยิ้มตาม ผมก็คนหนึ่ง

“โด่ ดูถูกกันชัดๆ คุณหมอ” ทั้งที่ผมอายุเยอะกว่าเขาหลายปี เขาไม่เคยเรียกผมว่าพี่เลย เรียกแต่คุณหมอจนชินปาก มันควรจะดีที่เขาเปิดใจให้ผมมากขึ้น แต่ผมกลับวางตัวยาก

เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเพิ่งย้ายมานอนกับเขาที่คอนโด ไม่ได้มาทุกคืน แต่มาคืนที่เขาบอกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ ซึ่งก็เกือบทุกคืนอยู่ดี นั่นทำให้ผมไม่มีเวลาโทรหาซายเลย คิดถึงน้อง แต่จะทำไงได้งานผมมันมีเวลาแค่สี่เดือน ถึงตอนนั้นน้องก็คงฝึกงานเสร็จพอดี

หมอติ: กินข้าวเที่ยงรึยัง วันนี้พี่กลับไปนอนที่บ้านนะ

ผมเลือกใช้คำที่ไม่ตรงกับความจริงส่งไปบอกน้อง แต่น้องก็ไม่ได้อ่านในทันทีอีกนั่นแหละ กลายเป็นว่าเราต่างทิ้งข้อความให้กันแค่ตอนที่ว่าง



งานก็คืองาน เรามีหน้าที่ต้องทำ ซายไม่เคยงอแงใส่ผม ทั้งที่เขาเป็นน้องผมหลายปี ผมควรจะดีใจที่มีแฟนไม่งี่เง่า

หมอนม : จิตมึงไปเป็นดาราตั้งแต่เมื่อไหร่วะ //แนบลิงก์ข่าวที่ผมเดินประกบเน็กซ์

หมอฟัน: ดังแล้วแยกวงนะมึง เงียบหายเหมือนตายจาก

หมอนม: น้องไม่อยู่ ถึงกับคว้าดารามาแก้ขัดเลยเหรอ

หมอฟัน: ส่งข่าวให้น้องซายดีกว่า

หมอติ: ทำงานเถอะครับทุกคน ไม่งั้นจะฟ้องเมียพวกคุณว่าไปม่อสาววันที่พวกเธอไม่อยู่

เท่านั้นแหละไลน์เงียบสงบทันที ผมหลุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

“ทะเลาะกับแฟนเหรอครับ”

“หือ!! เอ่อ ทำไมถึงคิดแบบนั้นละครับ” การตอบคำถามโดยการถามกลับ เป็นวิธีการเลี่ยงที่จะตอบคำถามที่เราไม่อยากตอบแบบเนียนๆ

“ก็ผมไม่เคยเห็นคุณหมอทำหน้าเครียดแบบนั้นเลยนี่นา” เน็กซ์เอียงหัวชี้หน้าผม น่ารักดี ไม่ยักกะรู้ว่าเขาก็สังเกตผมด้วย

“เครียดเรื่องอื่นไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องเรื่องแฟน” ถามกลับไปเรื่อยๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะเบื่อที่จะตอบ และยอมเปลี่ยนเรื่องไปเอง

“หมอครับ หมอโสดไหมครับ” แต่อีกคนไม่ยอมออกนอกประเด็น แถมตบหัวข้อให้แคบลงจนน่าอึดอัด สิ่งที่เราทำได้ก็แค่....เงียบ

“......................” นานนับห้านาทีที่ผมแค่ยิ้มและเงียบ ผมเป็นหมอเขาเป็นเคส เรื่องส่วนตัวของผมบางเรื่องก็ไม่อยากเล่า แต่นั่นเป็นเหตุผลจริงไหม ผมไม่แน่ใจ

....ซายครับ พี่คิดถึงน้องจัง...ผมตั้งใจคิดถึงเด็กอีกคนที่กุมหัวใจของผมไว้ทั้งดวง ไม่แยแสความรู้สึกห่างไกลที่มี ละทิ้งความรู้สึกหวั่นไหวตอนที่เน็กซ์ยิ้มให้

“ถ้าเงียบผมจะถือว่า หมอโสดนะครับ คิดเข้าข้างตัวเองผมถนัดมาก” เขาพูดเองเออเอง

ผมเงียบต่อไม่มีรอยยิ้มให้เขาแล้ว พลังบวกที่สะสมไว้ร่อยหรอลงไปทุกที ถ้าบอกว่ามีแฟนแล้ว จะทำให้เน็กซ์ผิดหวังอีกเขาจะแย่ลงไหม

ผมไม่อยากเห็นเขาเสียน้ำตากับเรื่องของผม แค่นี้โลกของเขาก็หม่นพอแล้ว แต่ถ้าไม่พูดมันจะยิ่งแย่ในอนาคตไหมนะ สรุปตอนนี้คนที่ควรรักษาจิตใจอาจเป็นผมซะเอง

ดึกขนาดนี้ผมควรนอนในห้องนอนแขก ไม่ใช่มานั่งในห้องนอนเขาแบบนี้

“คุณหมอครับหลับรึยัง ผมรู้สึกไม่ดีเลย” รู้สึกแย่ที่ปล่อยอะไรเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ จำใจลุกจากเก้าอี้ไปนอนลงข้างๆ เน็กซ์ กอบโกยร่างในชุดนอนบางเบาเนื้อผ้าลื่นมือมาไว้ในอ้อมแขน

ในฐานะหมอวิธีการรักษาของผมก็ผิด

ในฐานะแฟนสิ่งที่ผมเอางานมาบังหน้า มันยิ่งผิดจนไม่น่าให้อภัย

ถึงมันจะแค่กอดก็ตาม แต่ผมก็เผลอใจเต้นแรงอีกนั่นแหละ เนื้อเนียนกับตาหวานๆ ตัวนุ่มนิ่มของเน็กซ์เล่นเอาหมออย่างผมแทบฉีกจรรยาบรรณทิ้ง

แต่คำพูดของเด็กอีกคนที่ผุดขึ้นมา ทำให้ผมกลับไปกอดจรรยาบรรณไว้แน่นกว่าเดิม

‘พี่ติเป็นเป็นของผม ต้องรักผมคนเดียว’

‘ครับพี่เป็นของซาย รักซายคนเดียว ตลอดไป’

เน็กซ์หลับไปแล้ว ผมออกไปอีกห้องที่เขาให้ผมเป็นเจ้าของชั่วคราว คงนอนไม่หลับเหมือนกัน ถ้าไม่ได้โทรหาซาย สารภาพสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ซะ ให้น้องเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่ผม

สัญญาณรอสายเหมือนกระบอกปืนที่เล็งมาที่หัวของผม ความไม่กล้าพอจะพูดมันรุนแรงจนอุ้งมือมีเหงื่อชื้น คนมีความผิดติดตัวมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง



(พี่ติ) เสียงรอบข้างเหมือนกำลังมีปาร์ตี้ดังกลบเสียงน้องเกือบหมด

“คิดถึงจัง” ผมพยายามยิ้มตอนบอกคำนั้นให้เขาได้ฟัง

(เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย เสียงไม่ค่อยดีเลย) ผมคงพยายามไม่มากพอ

“พี่แค่อยากบอกว่าคิดถึง ฝึกงานเสร็จพี่พาไปเที่ยวอยากไปไหนคิดไว้เลย”



สุดท้ายผมก็ไม่กล้าบอกน้องไปตรงๆ ทำดีลบความผิดแบบนี้ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่

แต่ก็เลือกจะทำแบบนี้ต่อไป ถ้าซายกลับมาค่อยบอกก็ได้ อย่างน้อยน้องก็อยู่ในสายตา กอดได้ง้อได้ง่ายกว่า ยังไงผมก็แคร์ซายที่สุดอยู่แล้ว ก้มมองแหวนบนนิ้วตัวเองที่ไม่คิดจะถอดเนิ่นนาน

ระหว่างเราสองคน มันมีอะไรไม่เหมือนเดิม ตอบไม่ได้ว่าความไม่เหมือนเดิมมาจากผมหรือจากน้องกันแน่



“เย่ๆ ผมชนะคุณหมอต้องทำแล้วล่ะ” เม็กซ์ดีใจกระโดดตัวลอย ตอนนี้อาการซึมเศร้าของเขาดีขึ้นมาก มันดีขึ้นในปลายเดือนที่สามพอดี ทำให้ผมมั่นใจว่า เดือนหน้าเขาจะไม่ต้องพึ่งผมแล้ว

“ชัยชนะของคนขี้โกง” ผมยิ้มต่อว่า ก็เห็นๆ อยู่ว่า เขาออกกระดาษช้ากว่าผมออกค้อน

“โห่ แพ้แล้วพาลเหรอครับคุณหมอ” รอยยิ้มสดใสที่ส่งมา ผมต้องทำเป็นมองไปทางอื่นชั่วคราว เน็กซ์จะรู้ตัวไหมว่าผมพยายามที่สุด จะปิดทางเข้าทุกทางไม่ให้เขาเข้ามาในหัวใจผมได้

ถึงเขาจะขี้อ้อน จะเอาแต่ใจ แบบที่ผมชอบแต่ในใจผมมีซายอยู่แล้ว ใจเดียวมีสองคนไม่ได้ แล้วใจผมก็ดันแคบเกินไป

“ก็ด้ายย คุณอยากกินอะไรล่ะ”

“ส้มตำ” ยากไปไหมผมทำไม่เป็นนะ นั่นแหละที่ผมคิด แต่สุดท้ายเมนูพื้นบ้านก็เป็นรูปเป็นร่าง ใช้เวลาเกือบทั้งวัน เราไปตลาดหามะละกอ เครื่องปรุง และครกก็ด้วย เปิดวิธีจากเน็ต แล้วก็พร้อมจะพังครัวของเน็กซ์ให้กระจุย หวังแค่ส้มตำหนึ่งจาน

“อืมมมม” ผมจดจ้องรอฟังผลจากคนชิม

“ใช้ได้นะ หมอชิม” เขายื่นช้อนมาที่ผม แล้วเท้าคางรอฟังผมบ้างสลับกัน

“แหวะไหนว่าใช้ได้ คุณแกล้งผมเหรอ” เค็มมากครับ อย่าบอกว่าไม่อร่อย คือมันกินไม่ได้มากกว่า เสียงหัวเราะของผมกับเขาดังมาก ดังจนผมกลัว กลัวซายได้ยิน แม้จะรู้ว่าซายไม่มีทางได้ยินก็ตาม นี่แหละวัวสันหลังหวะ

“หมอครับ ผมรักหมอ”

???????

ก่อนนอนคืนนั้น ผมหลับไปด้วยเครื่องหมายคำถามในหัวหลายอัน ตื่นมาตอนเช้าเลยรู้สึกมึนๆ แต่ทันทีที่ได้จับมือถือ ผมต้องตาสว่างโดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ

เวย์ซาย: จะเปลี่ยนเป็นผู้จัดการดาราแล้วเหรอ // แนบลิงก์ข่าว

ผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่เพื่อนสองหมอมันทักมาแซวแล้ว ว่าน้องอาจจะเห็นข่าวนี้ ซายต้องคิดมากแน่ๆ รีบอธิบายไปก่อน

หมอติ: ดาราคนนั้นเคสพี่ครับ บอกใครไม่ได้มันกระทบกับชื่อเสียงเขา

หมอติ: ไม่มีอะไรนะซายห้ามคิดมาก

น้องยังไม่ทันอ่านเพื่อนน้องก็โทรเข้ามา ผมบอกออยว่าแค่งานอย่างที่บอกซายในไลน์ ออยดูเข้าใจแต่อีกคนผมไม่แน่ใจ เพราะเขาอ่านแล้วไม่ตอบผม นั่งไม่ติดแล้วตอนนี้ นึกได้ว่าแม่บอกจะไปหาน้อง ผมเลยขอไปด้วย กะจะไปสารภาพความผิด แต่ช็อกกว่าคือน้องก็มีความผิดมาสารภาพผมเหมือนกัน

สุดท้ายเราก็เคลียร์กันได้ ผ่านไปอีกครั้งกับเรื่องที่เกือบทำเอาบ้านแตก จำจนตายไม่รับเคสแบบนี้อีกแล้ว จำได้ว่าทั้งซายและผมเสียน้ำตากันไปตั้งเท่าไหร่ กับแค่คำว่าหวั่นไหว



#พี่ติน้องซาย

Sy symbol A

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2019 15:37:56 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน : Chapter 11
«ตอบ #18 เมื่อ06-11-2018 09:11:47 »

ตอน 11

หึงหวง



Ti part…..



“อย่าพูดคำว่ารักออกไป ทั้งที่ใจไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น มันจะเหมือนเวลาที่เรากินขนมปังเปล่า แต่ก็ยังเอาแต่หวังว่า กัดๆ ไปมันจะเจอไส้หวานฉ่ำ”

ปรัชญาความรักน้ำเน่าออกจากปากผู้ชายคนหนึ่ง น้องก้าน หรือคุณก้านไม้ เชฟมือทองของประเทศไทย งานรุ่งแต่รักดันร่วงไม่เป็นท่า เพิ่งโดนแฟนที่คบกันมาเกือบสามปีบอกเลิก

“ผมหวัง ดูงมงายมากใช่ไหมพี่หมอ” เนื่องจากเราเจอกันมากกว่าสิบครั้งแล้ว สนิทกันในระดับหนึ่ง การพบจิตแพทย์ก็เหมือนเรามีใครสักคนคอยรับฟัง และได้คำแนะนำที่ถูกทาง ไม่ได้แปลว่าเราบ้า บางคนคิดว่าแค่ระบายกับเพื่อนสนิทก็ได้

แต่คุณเคยไหมล่ะที่ได้ยินคำว่าสู้ๆ จากใครสักคนแล้วกลับยิ่งทำให้คุณอยากตายมากยิ่งขึ้น

หรือถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่แปลความหมายประโยคที่ว่า เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วตอบกลับในใจว่า ไม่เคยโดนก็พูดได้ นั่นแหละสัญญาณ คุณต้องการหมอมากกว่าคนใครสักคนแล้วล่ะ

“ตอนนี้เลิกโทรหาเขารึยังครับ” ผมถามให้เขาคิดและตอบ เขาดูไม่ดีขึ้นจากครั้งแรกที่เราเจอกัน ยึดติดแต่ว่าอีกฝ่ายสัญญาแล้วทำไมไม่ทำตาม บางทีเขาก็โทรหาแฟนเก่า โทรออกแต่ไม่คุย ได้ยินเสียงเขาแล้วก็วาง ถ้าจะถามหมออย่างผม คุณไม่ยอมรับความจริงแบบนี้ไม่มีทางดีขึ้น แต่ถ้าจะถามแบบคนทั่วไปคำตอบคงเปลี่ยนเป็น งมงายไปก็ไม่ช่วยอะไรโว้ย

เหล่ตามองเข็มสั้นเข็มยาวที่ผนังห้อง เกือบเที่ยงวันแล้ว วันนี้น้องจะมารับไปกินข้าว ตั้งแต่เราบำบัดกันและกันตอนนั้นผมกับน้อง ก็กลับมาหวานได้อีกครั้ง

แล้วน้องก้านก็บอกลาผม รวมถึงขอนัดเวลาเดิมเหมือนทุกที ‘ใกล้เที่ยง’

นึกแปลกใจที่เห็นแววตาตื่นเต้นของเขาฉายชัดราวกับ ไม่ใช่คนที่จมดิ่งในความเศร้าแบบตอนที่เรานั่งคุยกัน

“น้องซายมาแล้วค่ะหมอ” เสียงผู้ช่วยเปิดประตูมาเรียก ผมพยักหน้าหันไปดับความสว่างของจอคอมพิวเตอร์ เดินออกไปก็เจอคนคุ้นเคยสองคน ยืนคุยกันดูสนิทสนม ‘รู้จักกันรึไง’

“พี่หมอ/พี่ติ” สองคนทักทายผมพร้อมกัน

“นี่รู้จักกันเหรอครับ” ผมถามทั้งสองคนแต่สบตาซายเป็นพิเศษ

“พี่เขามาถามทางนิดหน่อยครับ ไม่ได้รู้จักกัน” ซายอธิบาย ผมยังไม่ทันได้พยักหน้าเข้าใจ เรื่องก็เริ่มขึ้น

“ใช่ครับ เรายังไม่รู้จักกันเลย พี่ชื่อก้านไม้ น้องชื่อซายเหรอครับ” สายตาเป็นประกายราวกับไม่ใช่คนงมงายที่ผมรู้จัก อะไรยังไง ผมเลิกคิ้วใส่น้อง

รู้สึกแปลกตั้งแต่วันก่อน ที่เห็นก้านชอบมองซายแล้ว เพราะช่วงนี้น้องเพิ่งเรียนจบยังหางานไม่ได้ เขาเลยมาหาผมบ่อย ผมก็อยากให้น้องมา กลัวอยู่กับเตาอบขนมจนเป็นบ้าไปซะก่อน แล้วทุกครั้งที่น้องก้านเจอผมกับน้องก็จะมาทักผมตลอดตอนนั้นคิดว่าแค่ทักทายผม แต่นี่ไม่ใช่แล้ว อ๋อมิน่า นัดช่วงใกล้เที่ยงตลอด

“ผม ผมเวย์ซายครับ ยินดีที่รู้จักครับ” น้องแนะนำตัวตามมารยาทหน้างงเห็นแล้วอยากดึงมากอด แล้วบอกว่าคนนี้เมียหมอ แต่คงไม่ดี บอกตัวเองนิ่งไว้หมอติ

“ไปทานข้าวเหรอครับ ผมก็หาแรงบันดาลใจเมนูใหม่พอดี ไปด้วยได้ไหมครับ” อยากบอกว่า ไม่ได้!! แต่ทำได้แค่ปั้นหน้าเรียบ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ

“เอ่อออ ไปกินด้วยกันไหมครับ พี่ก้านไม้” น้องกลายเป็นคนรักษามารยาทให้ผม

“ขอติดรถไปด้วยได้ไหมครับ พอดีน้องที่จะมารับบอกว่าติดธุระ”



ที่ร้านอาหารใกล้ๆ ผมกำลังนั่งมองคนนอกที่มีท่าทีต่อซายออกนอกหน้ามาก อืมมม นับหนึ่งถึงพันไว้หมอติ ผมข่มความไม่พอใจขั้นสุดเอาไว้ เพราะนอกจากการรุกแบบไม่มีหยุดพักแล้ว อีกฝ่ายส่งสายตาชัดเจนว่าชอบซาย ผมต้องมีสติ ผมเป็นหมอ ท่องไว้ๆ

“จันทร์หน้าพี่ว่าจะไปกินมื้อเที่ยงกับคุณแม่ น้องไม่ต้องมาหาพี่นะ เดี๋ยวพี่แวะไปรับ” ผมกำลังหาเหตุผลที่จะสนับสนุนเรื่องที่คิด บางทีผมอาจคิดไปเองก็ได้

“หมอครับจันทร์หน้าผมไม่ว่างแล้วงั้น ขอเลื่อนไปอีกอาทิตย์ได้ไหมครับ”

ชัดเลย.....

บ้ารึเปล่าแกล้งหาเรื่องมาพบหมอ เพื่อจีบเมียหมอ ไอ่น้องก้านมึงจะได้ป่วยจริงแน่ๆ

“พี่ติเป็นอะไรรึเปล่าครับ” น้องเอียงหัวถาม ทำหน้าน่ารัก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ผมยิ้มหวานส่ายหัวให้เขา หวังให้อีกคนเข้าใจ แต่ไม่เลยอีกคนก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยพอกัน

“น้องชายคุณหมอ น่ารักดีนะครับ”

หา!!

น้องชาย

น้องชายบ้าอะไร นี่เมียกู!!

ซายวางมือบนขาผมใต้โต๊ะ สายตาบอกว่าให้ผมใจเย็นๆ เย็นยังไงไหว ไอ่เชฟหน้าเพลย์บอย มันมองที่รักของผม เหมือนจะสะกดจิตน้องอยู่เนี่ย

“ผมไม่ใช่น้องชายหรอกครับพี่ก้าน” ซายรีบพูดแทนผมแบบสุภาพ

“อ้าว แล้ว เอ่ออ” ก้านชี้ผมกับซายสลับกันไปมา

“7ปีครับ” น้องบอก

ผมรีบเสริมเผื่ออีกคนจะโง่ “เวลาที่เราคบกันครับ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2019 13:49:39 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
ตอน 12
คราวซวยของหมอ




Ti part….



ผมตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว ถึงจะหนีแค่ไหนก็ต้องเป็นหมอในโรงพยาบาลอยู่ดี แต่คงไม่มีอะไรย่ำแย่เท่าช่วงเวลาที่ผ่านมาหรอก คลินิกโดนปิด น้องเข้าใจผมผิดเรื่องแฟนเก่าเกือบโดนบอกเลิก ผมก็ผิดเองแหละ ไม่อธิบายอะไรปล่อยน้องคิดไปไกล แย่มากเลยนะขนาดนึกตอนซายแต่งหญิงแล้วก็ยังขำไม่ออก

เดินเข้าห้องทำงานใหม่ ป้ายชื่อยังเป็นของหมอคนเก่าอยู่เลย สงสัยจะเพิ่งออกเลยเปลี่ยนไม่ทัน

“เฮ้” เสียงใครบางคนทำให้ผมหันไปมอง ทั้งที่ก็รู้ว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง สงสัยจะหมอห้องข้างๆ ที่นี่มีห้องหมอจิตเวชสองห้อง แปลว่าเข้าเวรทีละสองคน

ผมคงจะได้มีเพื่อนหมอเพิ่มอีกหลายคนทีเดียว

“ก๊อกๆ” ยังไม่ถึงเวลาตรวจ น่าจะพยาบาล

แต่เปล่า!! ว่าที่เพื่อนใหม่ของผมต่างหาก เปิดประตูเข้ามาแนะนำตัวชื่อหมอปัง หน้าขาวตัวขาว ขายาวแต่ไม่เท่าผม ผอมบางหน้าเรียว ดูรวมๆ น่ารักมากกว่าหล่อ และท่าทางจะคุยเก่ง เพราะเข้ามาคุยกับผมราวกับสนิทกันปานว่าตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล

“ได้เวลางานแล้ว ไว้เที่ยงค่อยคุยกันใหม่นะพี่ติ” พอรู้รหัสนักศึกษาผมก็เรียกพี่ชินปากไปแล้ว เข้ากับคนง่ายจริงเชียว

แวย์ซายย์: ที่ทำงานใหม่เป็นไงบ้างครับ

ใกล้เที่ยงน้องทักมา เมื่อเช้าตื่นก็ไม่เจอกัน รายนั้นลูกความเขาเยอะ ช่วงนี้ออกจากห้องตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น

หมอติ: ว่างดีครับ

แวย์ซายย์: อิจฉา ผมนี่เพิ่งได้นั่งเหนื่อยจัง

หมอติ: รีบกลับห้องสิครับ พี่บำบัดให้

แวย์ซายย์: กลัวจะเหนื่อยกว่าเดิม

แล้วผมก็ไม่ได้ตอบกลับ เพราะหมอปังเดินเข้ามาเรียกซะก่อน

“งานที่นี่ไม่ยุ่งหรอกครับ พี่ติว่างมากเอาครีมออนไลน์มาขายด้วยยังได้เลย” ความเรื่อยเปื่อยของปังไม่แพ้ใครจริงๆ

“อ่ะพูดแล้วจะหาว่าคุย ปังเล่นหุ้นไปด้วยนะครับ”

“ห้า” ผมทำหน้าตกใจใส่ อันนี้แปลกใจจริง

“นั่นง่ะในใจต้องคิดว่า ไอ่เด็กพูดมากคนนี้ มันทำอะไรแบบนั้นเป็นด้วยเหรอใช่ไหมล่ะ”

“ป่าวววววว”

“ยาวไปแล้วครับ” ปังทำหน้ายู่ใส่ น่าเอ็นดูจริงๆ แค่มื้อเดียวที่เรากินข้าวด้วยกัน ก็ทำให้ผมกับน้องหมอปังสนิทกันได้ กล้าคุยเล่นกันอีก



ทำงานจนเริ่มปรับตัวได้ แม้ยังไม่คุ้นชินกับกลิ่นโรงพยาบาลเท่าไหร่ ช่วงนี้น้องไปต่างจังหวัด ผมก็เตร่ๆ คนเดียวเหงาเหมือนกัน อยู่ห้องก็ไม่ค่อยมีอะไรทำ ทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำ เคสแทบไม่มี

“ว่าไงนม” ผมกดรับสายเพื่อนหมอศัลยกรรม มันว่าโสด เศร้า เหงา อยากมีเพื่อนเมา ผมปฏิเสธไปหลายรอบแล้ว วันนี้ก็เหงาด้วย ไปก็ไป แต่พอเปิดประตูออกไปก็เพิ่งระลึกได้ว่าวันนี้นัดหมอปังจะพาไปเลี้ยงวันเกิด สุดท้ายผมก็เลยต้องพาเพื่อนรุ่นน้องมาด้วย

“ไงครับเพื่อน ไม่เจอกันนานขนาดที่ว่าเปลี่ยนเมียแล้วเหรอ” ดูมันทักสิ หันไปมองน้องหมอปังหน้าเหลอหลา

“น้องหมอที่ทำงานใหม่ของผม ปากคุณมึงนี่นะ ปัง นี่ไอ่หมอปราณ มันรับเสริมนม กับนั่น ไอ่หมอกา มันรับฟัน”

“พี่เป็นหมอศัลครับ”

“พี่ทันตะครับเหม่ไอ่หมอจิต มึงก็แนะนำซะพวกกูเสียหมด”

“ฮ่าๆ” ครู่ต่อมาเสียงหัวเราะร่าของหมอปังดังไม่หยุด เพราะพวกผมคุยกันสนุก ยิ่งเหล้าลงคอยิ่งรับส่งมุกกันกระจาย มุกแบบหมอน่ะครับ แล้วน้องปังก็คุยเก่งด้วยเลยสนุก ถ้าซายมาด้วยบางมุกเขาก็จะไม่เข้าใจเท่าไหร่

“พี่ติมีแฟนแล้วเหรอครับ” น้องไม่ได้ถามผมครับ แต่ถามเพื่อนผม คงเพราะผมไม่ค่อยเล่าอะไร

“เจ็ดปีแล้วครับ โอ๊ยความรักมันน่ะยังเฮลบลูบอย หวานชื่นรื่นรมย์”

หมอฟันเปิดฉากเผาผม หมอนมมีเหรอจะไม่ตาม

“สุดที่รักมันชื่อน้องซาย เพิ่งเรียนจบปีนี้แหละ เป็นทนาย”

“มึงและมึง เล่าประวัติส่วนตัวซายให้ปังฟังซะเลยสิ ถ้าจะขนาดนี้” ผมประชด แต่น้องปังดูสนใจจริง

“เล่าเลยๆ ปังอยากฟัง ถามพี่ติทีไรก็เอาแต่ยิ้ม”

“ไอ่นี่มันหวงครับ ไม่ค่อยพามาหาพวกพี่หรอก เคยเจอกันไม่กี่ครั้งเอง แต่เมียมันสวย”

“ชื่อทรายเหรอครับ” ปังถามย้ำ แบบนั้นถ้าซายมาได้ยินไม่ชอบใจแน่ๆ

“ซายครับ พระราชวังเวย์ซายย์” ผมรีบแก้ ปังยิ้มพยักหน้าหงึก แต่เหมือนยังสงสัยต่อ

“คบมาตั้งนาน พ่อแม่น้องผู้หญิงไม่ว่าหรอกครับ ทำไมไม่ไปสู่ขอ”

“พรวดด”

“แค่กๆ”

ผมกับไอ่นมถึงกับสำลัก ไอ่หมอฟันขำใส่ดังลั่น แล้วช่วยตอบข้อสงสัย

“แฟนมันเป็นผู้ชายครับน้องปัง” เกิดจังหวะนิ่งเงียบ น้องปังดูอึ้งๆ มองผมตาปริบๆ ทำหน้าตลกอีกแล้วไอ่เด็กคนนี้ สักพักปังขอไปเข้าห้องน้ำ

“ยังไงกันวะไอ่จิต น้องปังนี่กิ๊กมึงหรา เรื่องน้องดารานั่นอีก ระวังน้องซายมาแหกอกเอานะ” ปราณกอดอกถามผมทันที



“กิ๊กบ้ากิ๊กบออะไร ไม่ใช่สักหน่อย” พูดแบบนี้หน้าซายลอยมาเลยนะ

“ถ้ามึงไม่คิดอะไร ก็อย่าไปใกล้น้องมันมาก กูดูสายตาเหมือนน้องจะชอบมึง” มันพูดต่อ

“ไม่มีอะไรหรอก เข้ากะเดียวกันแทบทุกวัน ต้องสนิทกันไหมล่ะ” ถึงจะปฏิเสธไปแบบนั้นแต่ผมก็อดคิดตามไม่ได้ ปังก็ดูเป็นผู้ชายอ้อนแอ้นกว่าซายอีก ดูไม่ยากว่าชอบผู้ชายเหมือนกัน แต่หน้าตาน่ารักแบบนั้น เจ้าของต้องหวงอยู่แล้ว



ก่อนจะแยกกันขึ้นรถใครรถมัน ผมเลยตัดสินใจไม่ให้มีอะไรติดค้าง

“กลับดึกแฟนปังจะตามกระทืบพี่ไหมล่ะเนี่ย” น้องหุบยิ้ม ก้มหน้าไขกุญแจรถ

“เขาไม่สนใจปังหรอกครับ” เสียงดูเศร้าจนผมรู้สึกผิดที่ถาม ก่อนจะยิ้มร่าว่าผมกลับ

“น้องซายสิจะมาฆ่าปังเอา”

“ซายไม่อยู่ครับ ไปดูลูกความต่างจังหวัด”

“เหรอครับ อืมยังไงวันนี้ ขอบคุณนะพี่ติที่พามาเลี้ยงวันเกิด”

“สบายๆ มีความสุขมากๆ นะน้องชาย” แล้วเราก็ต่างคนต่างกลับ เช้าวันต่อมาก็เจอกันเหมือนเดิม ผมไม่รู้ว่าเราสองคนเริ่มสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน รู้อีกทีผมกับหมอปังก็ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ทั้งในที่ทำงานงานและหลังเลิกงานจนเป็นเรื่องปรกติ แต่ไม่ปรกติที่ไม่มีใครเอ่ยถามเรื่องคนรักของอีกฝ่าย เหมือนเราสองคนไม่อยากพูดถึง

ผมทำผิดต่อซายรึเปล่า ก็คงจะผิด แต่ผมรู้เส้นนะว่าได้แค่ไหน และคนที่ผมรักก็ยังมีแต่ซายเท่านั้น ซายที่ไม่มีเวลาให้ผมเลยช่วงนี้ เราอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ค่อยได้เจอกันเลย

หมอติ: คิดถึงจัง

แวย์ซายย์: เหนื่อยจัง

เหนื่อยจัง

เหนื่อย

ผมอ่านข้อความน้องด้วยรู้สึกถึงความผิดในมโนสำนึก น้องทำงานจนเหนื่อยแต่ผมกลับว่าง ไปมีเวลาให้คนอื่น ไม่รู้จะด่าตัวเองว่ายังไงแล้ว

“พี่ติช่วยปังด้วย” ประโยคขอความช่วยเหลือดังขึ้นในสาย จากคนที่ผมตั้งใจว่าจะออกห่าง แต่ก็ทำไม่ได้ ผมมาหาปังตามโลเคชั่นที่เขาส่งให้ คอนโดหรูใกล้โรงพยาบาล

“ปัง” สภาพปังนั่งตัวสั่นมุมปากช้ำเลือด เนื้อตัวเขียวเป็นจ้ำๆ กำลังเสียขวัญอย่างที่สุด โผเข้ากอดผมแน่น น้ำตาไหลแต่ไม่ได้ฟูมฟาย ผมปลอบโดยการลูบหลัง

ภาพซายวันที่เรากอดกันที่พงันก็ฉายชัด เผลอดันตัวปังออกเหมือนกลัวซายมาเห็น

“เกิดอะไรขึ้น ให้พี่แจ้งตำรวจไหมครับ” ปังส่ายหน้าเหมือนลืมเจ็บ

“พี่ พี่ชายปังเป็นคนทำ” เสียงปังสั่น พี่ชายแบบไหนทำน้องชายขนาดนี้

“พี่ชายแค่ในนาม ความจริงปังเป็นแค่ลูกบุญธรรม” ปัญหาครอบครัวผมไม่อยากยุ่ง แต่ก็อดห่วงปังไม่ได้

“คืนนี้เขาต้องกลับมาอีกแน่ๆ” ปังพูดราวกับเพ้อ แววตาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ดูเป็นคนละคนกับหมอปังผู้สดใสที่ผมเคยรู้จัก

“งั้นคืนนี้ไปกับพี่ก่อนแล้วกัน” ผมก็ไม่รู้ว่าการตัดสินใจของผมจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา



ราวสี่ทุ่มห้าสิบนาที หมอปังนั่งพิงกระจกมองวิวที่ระเบียง ส่วนผมนั่งมองเขาจากในห้อง กำลังคิดว่าหมอแบบพวกเรา ก็มีมุมที่รับมือกับความอ่อนแอทางอารมณ์ไม่ได้เช่นกัน



แล้วประตูห้องก็เปิดออก หมอปังหันมามองผมท่าทางตกใจ ไม่ต่างจากผม ซายบอกว่าจะกลับวันนี้เหรอ หรือผมจะจำวันผิด

ซวยแน่ๆ

“เฮ้ออ กว่าจะเสร็จงาน ผมขับรถจนจำทางในตัวเมืองสุโขทัยได้หมดแล้วมั้ง” เหมือนน้องจะยังไม่รู้ว่ามีแขก วางกระเป๋าเสร็จก็ยกแขนมาโอบคอผม หอมผมอีกฟอด แถมจุ๊บปากอีกครั้ง ผมหายตกใจถอยออก ซายดูอึ้งๆ ที่เห็นปัง สายตาน้องแทนคำถามที่ไม่ต้องพูดอะไรผมก็เข้าใจ

“หมอปังน้องที่โรงพยาบาล มาขอพักด้วยสักคืนครับ พี่คิดว่าซายยังไม่กลับก็เลย”

“เออ ตามสบายครับ” น้องยังแสดงมารยาทกับแขก แต่ผมเริ่มใจคอไม่ดีซายลากกระเป๋าเข้าห้องนอน ผมเดินตามปิดประตูไม่ได้พูดอะไร แค่รั้งเขามากอด แล้วบอกว่าคิดถึง

“ขออาบน้ำก่อน” แค่ประโยคสั้นๆ ก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม น่าจะบอกเขาสักนิดก่อน แต่ทำผิดไปแล้วจะทำอะไรได้อีก ผมก็ไม่ได้มีคนอื่นสักหน่อย เดี๋ยวค่อยง้อน้องคงเข้าใจ

“หิวไหมครับ” ผมถามเขาส่ายหัว ตาแดงนั่นน้องหาวหรือว่าร้องไห้ แปลกแต่จริงที่เราคบกันยิ่งนาน ก็ยิ่งมองอีกฝ่ายไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

“ผมจะไปข้างนอกนะครับ พี่จะได้ดูแลเพื่อนพี่” ไม่ทันได้รั้ง น้องก็เดินออกไปซะแล้ว ไปไหนไปกับใคร ผมถามได้หรือเปล่า คงได้แต่เขาก็คงไม่ตอบ มันแย่ไปหมดเลย

แย่!!

แขกยังนั่งใจลอยเหมือนไม่สนใจแผลบนตัว ผมคงไม่ใจร้ายไล่ปังกลับห้องเพราะแค่กลัวแฟนโกรธ แล้วผมควรทำยังไงดี

“แฟนพี่ไปไหนแล้วครับ”

คนตัวเล็กเดินเข้ามาถามผม คงเพิ่งรู้ตัวว่าซายหายไป ผมยิ้มให้เขาพยายามทำเสียงปรกติ “ไปหาลูกความครับ ปังหิวไหม”

โกหกให้ปังสบายใจ แค่นี้เขาก็ดูเครียดพอแล้ว ปังกอดเข่าซุกหน้าซ่อนน้ำตา แต่เสียงสะอื้นเบานั้นทำให้ผมรู้ว่าเขาร้องไห้

ผมได้แต่เกาหัวทั้งที่ไม่ได้คันด้วยซ้ำ บางทีปังอาจเป็นพวกชอบร้องคนเดียวเงียบๆ ผมควรเดินเข้าห้อง ทิ้งเขาไว้ แต่

“พี่ติปังกลัว” อ่า พี่ก็กลัวครับ กลัวแฟนพี่กลับมา มองซ้ายมองขวา มองประตู น้องคงไม่กลับมาหรอก เอาวะพลีชีพเพื่อเพื่อนมนุษย์ สาวเท้าไปนั่งลงข้างหมอปังที่ร้องไห้จนตัวโยน เสียงเศร้าเคล้าน้ำตาบอกเล่าปัญหาชีวิต ขาดกระท่อนกระแท่นฟังเกือบไม่รู้เรื่อง

“เขา ทำร้ายผม” พอจะรู้ว่าเขาคือพี่ชาย

“ผมเจ็บ” อันนี้พี่ก็พอรู้

“ผมอยากไปไกลๆ ไม่อยากเจอเขาอีก” ปังก็เป็นหมอทางจิตทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นขนาดนี้ ในฐานะคุณหมอ ผมควรรับฟังเขาเงียบๆ การพยายามยัดความรู้สึก หรือความเห็นให้คนที่กำลังขวัญเสียไม่ใช่สิ่งที่ดี เหมือนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เจ็บหนัก ถ้ายกผิดท่าเขาอาจเจ็บมากกว่าเดิม

“พี่ติขอบคุณนะครับ ที่ให้ปังมาอยู่ด้วย” ตัวเล็กเอียงหัวลงกับไหล่ผม แค่ซบ ไม่ได้กอดและผมก็นั่งเกร็งให้เขาซบ ในใจเต้นแรงไม่แน่ใจว่าเต้นเพราะปังหรือเพราะซาย รู้แค่ ภาวนาอย่าให้น้องกลับมาตอนนี้

“แกร็ก” ทว่า...ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง

ผมหันไปมองหน้าซาย ปังรีบเงยหน้าปาดน้ำตา ซายยืนค้างแล้วหันหลังกลับออกไปอีกครั้ง

“พี่ติปังขอโทษ แฟนพี่จะคิดมากไหมครับ”

น่าจะไม่ครับ

ไม่เหลือ!!!!

ผมเอื้อมมือไปลูบหัวปัง จะปลอบใจว่าเดี๋ยวพี่คุยเอง

“แกร็ก” ประตูบานเดิมเปิดออกโดยคนเดิม มือผมค้างอยู่อย่างนั้น

“กับข้าวครับ ซื้อมาให้” ซายบอกแล้ววางถุงกับข้าวลง ก่อนจะปิดประตูหายไป ผมลุกพรวดวิ่งตามน้องไปทันที

“ซายฟังพี่ก่อน” น้องตาแดงจ้องหน้าผม แววตาเจ็บปวดเหมือนวันที่เราทะเลาะกันเรื่องเน็กซ์ ผมทำเขาเสียใจอีกครั้ง ครั้งนี้มันตำตาด้วย แม้จะไม่ตั้งใจทำ แต่เขาก็คงเสียใจไปแล้ว

“พี่ขอโทษมัน ไม่ใช่อย่างที่ซายเข้าใจ คือปังเขามีปัญหากับพี่ชายก็เลยหลบมาอยู่ห้องเราแล้ว” ยังพูดไม่จบ น้องยกมือแตะปากผมค้างไว้ คงตั้งใจจะบอกว่าหุบปาก

“กลับไปดูแลเขาเถอะครับ ผมไม่เป็นไร ไว้ค่อยคุยกัน” ลิฟต์เปิดออก ร่างบางเดินเข้ากล่องเหล็กสี่เหลี่ยม มันพาซายหายลับไป เป้าหมายเป็นชั้นล่างสุด ผมไม่แน่ใจว่า การที่ยืนนิ่งไม่ขยับตัววิ่งตามน้องไป มันดีที่สุดแล้วหรือยัง แต่ถ้าถามว่าอยากวิ่งตามไหม ก็ต้องตอบว่าไม่

หรือว่าผมแคร์ปังมากกว่า เกลียดตัวเองเป็นบ้า นี่กำลังทำห่าเหวอะไรอยู่

สบถด่าตัวเองแรงๆ ให้สำนึก แต่ก็เปล่าประโยชน์ เดินกลับห้องพบว่าปังนั่งกอดเข่าร้องไห้อีกแล้ว คราวนี้ผมไม่ไปนั่งให้ซบแน่ๆ

“ปังพี่ว่าเรากินข้าวกันเถอะ พี่หิวแล้ว” ไม่มีอารมณ์ปลอบใจ แต่ใช่ว่าไม่ห่วง ยังไงปังก็ดูตัวเล็กบอบบางน่าเป็นห่วง กับข้าวที่ผมชอบกินทุกอย่าง เทใส่จานไป ก็อยากตบตัวเองแรงๆ ซายพี่ขอโทษ เอ่ยคำที่อยากได้แค่ในใจเท่านั้น คนที่อยากให้ได้ยิน เขาไม่อยู่ฟังในตอนนี้

สั่งกึ่งบังคับให้ปังกินข้าวจนได้ หมอตัวเล็กกินเสร็จก็ล้มตัวนอนบนโซฟา คงเหนื่อยและเพลียสักพักก็หลับไป ผมหาผ้ามาห่มให้เขา แล้วกระหน่ำโทรหาเพื่อนซาย อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าน้องไปนอนกับใคร เพื่อนไม่มีใครรับสาย ส่วนน้องปิดเครื่อง ให้มันได้อย่างนี้สิ

ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมนั่งอยู่บนรถ ขับไปถึงคอนโดน้องวิว เพื่อนคนเดียวของซายที่อยู่กรุงเทพ เหลวเป๋ว โทรขึ้นห้องก็ไม่มีใครรับ วิวอาจไม่อยู่ด้วยซ้ำ

“มึงอยู่ไหนวะ” ในที่สุดก็ต้องไปคอนโดไอ่ปราณ อย่างน้อยก็ให้มีพยานว่าผมไม่ได้นอนกับปังสองต่อสอง คิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้วสำหรับทุกฝ่าย



“ไอ่โง่ติ ไอ่ฟายเผือก ไอ่ฉิบหาย” มาถึงก็โดนมันด่าคำไม่ซ้ำจนฟังไม่ทัน

“มึงทำงี๊เมียไม่งอนสิแปลก คอยดูถ้าน้องซายไม่กลับมึงได้ดิ้นตายแน่ๆ แล้วกูขอถามตรงๆ คุณมึงชอบน้องปังรึ” ผมส่ายหัว นิ่วหน้า ผมไม่ได้ชอบ

“แค่สงสารน้องไม่มีที่พึ่ง เขาโดนทำร้าย” มันส่ายหัว ลูบหน้าตัวเอง หายออกใจแรงเหมือนจะเครียดมากกว่าผมซะอีก

“เค้าอ่อนแอ เค้าชอบมึง และมึงดีกับเขา เขายิ่งชอบมึง คนที่เราอยากให้อยู่ด้วย คนที่เราอยากซบหน้าตอนร้องไห้ ไม่ใช่แค่ใครสักคนนะไอ่หมอจิต มึงเรียนมาทางนี้เอาความฉลาดมาใช้บ้างไม่ได้รึไง”

โหเจ็บไปถึงกระดูก เถียงไม่ออกสักคำ

“แล้วอีกอย่างนะ มึงเคยได้ยินป่ะ ความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรัก” เหมือนมันยังไม่สาแก่ใจ

“ลองคิดดูถ้ามึงเปิดประตูมาเจอใครไม่รู้ซบหน้าร้องไห้ แล้วซายลูบหัวเขา มึงจะทำไง ยิ้มแล้วเข้าใจเหรอถามจริง” อันนี้ก็ถูกอีก

“กูควรทำไงดี แต่คืนนี้กูขอนอนกับมึงก่อนนะ”

“ก็ยังดีที่ยังฉลาดบ้าง ทางรอดก็หาเอาเองละกัน ไม่ใช่เรื่องของกู” มันโยนหมอนกับผ้าห่มมาให้ผม ส่วนตัวมันเข้าห้องนอนไปแล้ว เมื่อกี๊ยังด่าเหมือนตาสว่างอยู่ พอให้ช่วยคิดละปิดประตูใส่เลยทันที

กดโทรออกหาน้องอีกครั้ง คราวนี้ติด เสียงสัญญาณรอสายทำเอาคนรอนานใจจะขาด รู้สึกปืนกระบอกเดิมเล็งมาที่หัวผมอีกแล้ว

“สวัสดีครับ ซายอาบน้ำอยู่ครับ” เสียงทุ้มไม่คุ้นหู

“สวัสดีครับ ใครรับสายครับ” แทนที่จะตอบ ปลายสายกลับเงียบ

“พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน” อยู่ๆ ก็หัวร้อนตอนเที่ยงคืน

“เอ่อ” อึกอักทำไม ทำไมต้องอึกอัก แล้วเสียงในสายก็เปลี่ยนเป็นเสียงน้อง

“พี่ติพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ซายจะนอน มันดึกแล้ว เกรงใจลูกความ”

ลูกความ

ลูกความ

ไปนอนบ้านลูกความแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? ได้แต่เก็บมาถามตัวเองเพราะซายวางหูไปแล้ว ข่มความโกรธไว้กับมือที่กำมือถือแน่น

แม้จะเป็นหมอทางจิตก็ใช่ว่าจะมีสติตื่นรู้ตลอดเวลา ตอนนี้มาลุ้นกันว่า ความบ้าของผมกับวันใหม่อะไรจะมาถึงก่อนกัน

‘พี่ติเป็นเป็นของผม ต้องรักผมคนเดียว’

‘ครับพี่เป็นของซาย รักซายคนเดียว ตลอดไป’

ประโยคหวานที่ตอนนี้ กลับมากลายเป็นหอกทิ่มแทงให้ผมเกือบร้องไห้ ซายก็คงเสียใจไม่ต่างกัน ที่เห็นผมเอาใครก็ไม่รู้มาซบที่ห้อง ส่วนผมทำได้แค่ภาวนา ให้คนที่น้องอยู่ด้วยเป็นแค่คนอื่น



เวลาสายของวันต่อมา ผมกลับไปที่ห้อง ปังนั่งอยู่ที่ระเบียงหันมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่า

“ผมคงรบกวนพี่ติมาก ขอโทษด้วยนะครับ” เสียงหมอปังเบาเกือบไม่ได้ยิน ผมเดินไปหาเขา

“พี่ขอโทษที่ทำให้ปังคิดแบบนั้น แต่ถ้าพี่จะนอนที่ห้องกับปังสองต่อสอง พี่กลัวแฟนพี่คิดมาก ปังเข้าใจพี่ด้วยเถอะ” คนตัวเล็กมีแววตาเศร้า จนผมเหมือนคนใจยักษ์ไปแล้วตอนนี้

“ผมเข้าใจพี่ ขอตัวกลับเลยดีกว่า ขอบคุณพี่ติมากนะครับ”

“พี่ไปส่งดีกว่า” ผมควรไปส่งเพราะเมื่อคืนผมก็ไปรับเขามา

“ไม่ดีกว่าครับ ปังกลับแท็กได้ วันนี้เดย์ออฟไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล” เขาหยุดก็แปลว่าผมหยุดนั่นแหละกะเดียวกันนี้นา

“พี่ไปส่งนั่นแหละ จะได้แวะกินข้าวด้วย” ยังไงซายคงยังไม่กลับเพราะวันนี้น้องทำงาน หาอะไรทำระหว่างรอน้องตอนเย็นดีกว่า อยู่ว่างๆ มันฟุ้งซ่าน เมื่อทำอะไรไม่ได้ปังก็ทำหน้าอ่อนใจใส่ผม “ตามใจครับ”



กลับมาที่ห้องอีกครั้ง โทรออกหาน้องเพราะเย็นแล้วน้องน่าจะว่างรับสาย

แต่เสียงเปิดประตูเข้ามาซะ ผมขอกอดไว้ก่อน ค่อยคุยทีหลัง

“ร้อนครับ ขอผมอาบน้ำก่อน” บ่ายเบี่ยงออกจากวงแขน สายตาไร้ความรู้สึก ทำเอาผมเจ็บจี๊ดที่ขั้วหัวใจขึ้นมาทันที

กลับสู่ภาวะคาราคาซังอีกครั้ง แม้ว่าน้องจะดูเข้าใจ แต่ผมก็เห็นกันอยู่ว่าซายเองก็เหมือนมีอะไรที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร น้องบอกว่าต้องไปพักที่อื่นสักพัก ผมเกือบจะคิดว่าเขาอยากให้เราห่างกัน

แต่เขาก็ไปหาผมที่ทำงาน ซึ่งน้องไม่เคยไป ทำเหมือนหึงผมกับหมอปัง เรียกว่าอะไรนะ แสดงความเป็นเจ้าของเหรอครับอะไรแบบนั้น ถามหาความชัดเจนเวลานี้ เหมือนจะถามผิดเวลา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2019 14:27:55 โดย antivirus »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: แหวนแต่งงาน The End
«ตอบ #20 เมื่อ06-11-2018 11:45:26 »

ตอนจบ



“ซายอยู่ได้ไหม”

“ดีกว่าที่คิดไว้อีก ขอบคุณมากนะครับคุณบาส”

“แล้วนี่จะย้ายมาวันไหน ผมจะได้มาช่วย” คุณบาสก็จะมาช่วย

‘พี่ว่าจะพักร้อนสักอาทิตย์หนึ่งจะมาช่วยขนของ แล้วก็ไปอยู่เป็นเพื่อนซายจะได้ไม่เหงาดีไหม’ พี่ติก็จะมาคุม รู้สึกเหมือนตัวเองจับปลาสองมือ ถือใจสองดวงยังไงไม่รู้

“ว่าไงครับ” คุณบาสยื่นหน้ามาถาม

“ใกล้ไปแล้วครับ” เป็นผมที่ถอยออกมา

“ผมชอบซาย” ลูกความเดินหน้าไม่หยุด จนตอนนี้ผมหลังชิดติดประตูแล้ว

“แต่เสียดายคุณมีแฟนแล้ว” ปากบอกว่าเสียดาย แต่สายตาน้ำอ้อยนั้นมันเต๊าะกันชัดๆ

“พอดีผมมีคดีต่อ ขอตัวนะครับ” อยู่ต่อไม่ไหว ต้องไปทันที



พักความรู้สึกทุกอย่างไว้ เป้าหมายคือห้างสรรพสินค้า หลังโทรหาพี่ติแล้วเขาบอกพิกัด คิดถึงเขาเหรอ เปล่าหรอก ผมแค่อยากเจอเขามาก อยู่กับพี่หมอผมจะได้เลิกมีความคิดจะมีชู้ไง

“ห้องใหม่เป็นไงบ้างครับ” เขายื่นผักกาดขาวมาให้ผมวางในรถเข็น

“ดูสงบดีครับ ที่พี่บอกจะพักร้อนสรุปลาได้ไหม”

“ถ้าซายอยากให้พี่อยู่ด้วย มันได้อยู่แล้ว” แปลว่ายังไงเขาก็มา

“อยากสิครับ” ความจริงในใจ อยากแต่ไม่มากนักไม่รู้ทำไม ผมตัดสินใจแล้วว่าควรสารภาพเรื่องคุณบาสซะ ตัดไฟแต่ต้นลม

“พี่ติครับ ผม...”

“เห้ย”

ตุบ!!

ผู้ชายคนนี้เป็นใคร อยู่ดีๆ ก็เข้ามาต่อยพี่ติ ผมเดินเข้าขวาง

“นี่มันอะไรกันคุณ ต่อยเขาทำไม”

“หึ บอกผัวคุณ อย่ามายุ่งกับเมียคนอื่น ไม่งั้นจะไม่แตกแค่ปาก” ใครเมียเขา ผมหันไปมองคนที่ล้มอยู่ที่พื้น น้ำสีแดงซึมออกมาจากมุมปาก ช่วยฉุดเขาลุก คนหน้าเข้มตาดุชี้มาที่พี่ติอีกครั้ง

“เมียมึงก็สวยดีนี่ ไม่พอใจอีกรึไงวะ อย่าให้กูรู้ว่าเอาเมียกูไปกกที่ห้องมึงอีกนะ”

กก แปลว่า เอา? ใครก็ได้ปลุกผมที เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังรู้สึกกลัวตัวเองจะมีชู้ ต้องรีบแจ้นมาหาเขา แต่นี่อะไรกลายเป็นว่าจริงๆ เขางอกที่หัวผมงั้นเหรอ

“เดี๋ยว เมียคุณน่ะใคร” หมอยกหลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก ถามคนที่เป็นเจ้าของผลงานนั้น

“หมอปังเมียกู” หน้าผมชา ใจผมระส่ำระสายไปหมด

“คุณมีหลักฐานอะไรมาว่าเขากกกัน” เปล่าผมไม่ได้จะปกป้องพี่ติ แต่ผมอยากเห็นหลักฐาน จำได้ไหมผมเป็นทนาย ผมเชื่อหลักฐานมากกว่าลมปาก ผู้ชายคนนั้นหันมามองผมตาไม่กะพริบ

“เขาสารภาพกับผม ไม่เชื่อก็ถามมันดูสิ” จบไหม ไม่รู้สิ ไม่มีหลักฐานผมยังขอไม่เชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บ

“ซายพี่”

“กลับห้อง” ผมพูดได้แค่นั้น เดินลิ่วไปที่รถ พี่ติก็คงไปที่รถเขา ผมแทบไม่มีสมาธิขับรถ มือที่กำพวงมาลัยสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ หมอปังบอกผู้ชายคนนั้นว่ามีอะไรกับพี่ติเหรอ แต่พี่ติบอกว่าเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะ ผู้ชายคนที่อ้างว่าเป็นแฟนหมอปัง ผมไม่รู้จัก แต่พี่ติแฟนผมเรารู้จักกันมาตั้งนาน

ผมต้องเชื่อแฟนผม ขณะที่หลอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร แต่ใจผมกลับรู้สึกอ่อนล้าที่จะรักไปแล้ว ตอนผมไปฝึกงาน ที่เราเกือบเลิกกัน ผมเคยบอกตัวเองไว้ว่า ถ้าผมยังไม่เสียเขาไป ผมจะทำทุกวันของเรา ให้กลับมาหวานเหมือนเดิม จะพูดเพราะกับเขา จะไม่เฉยชา และดูแลเขามากกว่านี้

แต่ผมก็ทำได้แค่ไม่นาน ผมก็กลับมาเป็นคนเอาแต่ใจ และหวั่นไหวกับคนอื่นอีกนั่นแหละ เพิ่งรู้เป็นแฟนที่ดีมันยากเหมือนกันนะ



หมอตินั่งกุมขมับอยู่ที่เตียง เมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามา เขาเข้ามากอดผมทันที เขาเป็นพวกชอบสัมผัสมากกว่าพูด

“ผู้ชายคนนั้น” ผมเริ่มเปิดประเด็น

“พี่ไม่เคยเจอเขามาก่อน”

“ไม่ใช่ครับผมหมายถึงผู้ชายที่พี่รับสายพี่คืนนั้น ที่ผมบอกว่าเขาเป็นลูกความผม” คราวนี้มือที่กอดผมอยู่คลายออก ถ้าวันนี้ต้องเคลียร์ ผมก็จะขอพูดเรื่องที่ผมรู้ก่อน

“ซายบอกพี่ว่าเขาเป็นแค่ลูกความ” สายตาเขาขาดความมั่นใจอย่างที่สุด

“ใช่ครับ แต่ผมกับเขาเรามีอะไรมากกว่าลูกความ” ผมจงใจพูดให้เขาคิดไปเอง ให้เรื่องมันเกินกว่าความเป็นจริง เป็นเทคนิคที่ทำให้คนฟังรู้สึกโกรธเราน้อยลง ตอนรู้ความจริงว่าไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด

“ซะ ซาย จะบอกอะไร พี่” พี่ติปากสั่นตอนถาม ตาเขาแดง ขอบตารื้น ผมทำเขาเสียใจ ให้ตายรู้สึกผิดเป็นบ้า

“ผมขอโทษ เราสนิทกัน เขาบอกว่าชอบผม แต่คืนนั้นผมไม่ได้นอนห้องเขาไปนอนห้องออย แค่คุยเรื่องคดี มันดึกง่วงมากเลยขออาบน้ำให้ตาสว่าง ผมก็หวั่นไหว แต่ไม่มีอะไรเกินเลย ก็พี่เอาคนอื่นมาที่ห้อง ซบกัน ลูบหัวกัน ให้ผมคิดยังไงกันเล่า”

หลายอย่างรุมเร้าให้ผมเกินเก็บกั้น ในที่สุดก็ระเบิด

“โอเคๆ พี่ขอโทษที่ทำทุกอย่างให้ชัดเจนไม่ได้ ซายรอพี่สักครู่” หมอติล้วงมือถือขึ้นมาโทรออก

สายแรก.........

“ไอ่ปราณมึงบอกน้องทีว่าคืนนั้นกูไปนอนกับมึง ไม่ได้อยู่กับปังที่ห้องสองต่อสอง”

(อะไรของมึงไอ่จิต โดนเมียแฉ่งสิท่ากูบอกแล้วไง สงสารคนอื่นไปทั่วน้องซายครับด่ามันเลย มันมานอนที่ห้องพี่จริง แต่ด่ามันเลยไอ่ติมันจะได้หายโง่)

"ไอ่นมเดี๋ยวมึงจะโดน" พี่ติว่าเพื่อนแล้วกดวางทันที ผมหลุดยิ้มกับคำพูดของเพื่อนเขาที่ผมรู้จักดี สรุปไม่ได้นอนด้วยกันโอเคมีพยานผมเชื่อ

สายที่สอง......

“ปังพี่รบกวนหน่อยเถอะครับ เมื่อสองชั่วโมงก่อนมีผู้ชายคนหนึ่งต่อยพี่บอกว่า เป็นแฟนปัง แถมบอกว่าปังสารภาพว่าเรามีอะไรกัน พี่งงไปหมดแล้ว ที่สำคัญซายก็อยู่ด้วย” ผมหัวใจเต้นแรง เลือดฉีดพุ่งไปทั่วตัว รอฟังคำตอบจากหมอปัง

“ปังขอโทษที่ดึงพี่มาเกี่ยว ปัง ไม่รู้จะทำยังไง อยากเลิกเลยอ้างอะไรโง่ๆ แบบนั้น ทั้งที่อยากให้มันจบแต่มันยิ่งแย่ ฮือออ แฟนพี่จะเข้าใจผิดไหมปังขอโทษ”

ถามมาได้ ใครจะเข้าใจถูกทันทีละ เขาเห็นผมเป็นพระเวสสันดรรึไงวะ ผมพยักหน้าพอใจ พี่ติบอกทางนั้นว่าไม่เป็นไรดูแลตัวเองด้วย แล้วบอกผมว่ามีคนทำร้ายหมอปัง ผมก็เห็นใจเขาขึ้นมาซะงั้น ต่อมความดีผมมีเยอะเกินไปแล้ว หรือผมจะเป็น พระเวสสันดรจริง

“ซายครับเรื่องปังพี่ไม่ได้ชอบเขาเลย แค่ชอบที่เขาดูสดใส บางทีเขายิ้มมาให้พี่ก็ใจสั่น แต่พี่รู้ว่าได้แค่เพื่อนร่วมงาน พี่เป็นของซายคนเดียว ไม่ได้แค่ยึดติดกับคำสัญญา แต่หัวใจพี่ยืนยันได้ว่าค้นไปจนทั่วมันมีแต่ซาย”

เป็นอีกครั้งที่คำว่ารักของหมอ ทำให้ผมใจอ่อน

“แต่พี่ติผมหวั่นไหวกับคุณบาส” ผมสะอื้นบอกเขา รู้สึกเข่าอ่อนสักพักตัวก็กองลงกับพื้น

“ซาย ให้ตายเถอะพี่เจ็บ” พี่หมอบอกว่าตัวเองเจ็บ แต่ยังเข้ามาเช็ดน้ำตาให้ผม

คนคนนี้ ที่ผมฝากชีวิตไว้

คนคนนี้ ที่พยายามรักผมแค่คนเดียว

คนคนนี้ ไม่เคยเรียกชื่อผมผิดอย่างคนอื่น

คนคนนี้ พาผมก้าวข้ามปัญหามากมาย

คนคนนี้ ตามใจผมเสมอแม้แต่เรื่องแหวนที่ผมไม่ใส่ เขาก็ไม่ว่า

พี่ติใจดีกับผมเสมอ ให้อภัยผมทุกเรื่อง แม้ตอนนี้เขายังนั่งข้างผมไม่ไปไหน

คนคนนี้ ทำให้ผมเป็นห่วงจนลืมขาที่เจ็บชาของตัวเอง

คนคนนี้ เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกผิด ทั้งที่ผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรเลย

ผมถามตัวเองว่า สองคนที่คบกัน ต้องรักกันมากแค่ไหนถึงจะพอ กับคำว่า ตลอดไป

วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว

“พี่ติครับซายขอโทษ เราเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม” ผมล้วงมือถือขึ้นมาโทรหาคุณบาส ในเมื่อเขาชัดเจนกับผม ผมก็ต้องทำให้เขาด้วย

“คุณบาสครับอย่ารอผมโสดเลยนะครับ เพราะมันคงไม่มีวันนั้น” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร สัญญาณปลายสายตัด ผมเห็นคุณหมอยิ้มทั้งน้ำตา รั้งหัวผมไปชนอกเขา

มันเป็นกอดที่อุ่นที่สุดกอดหนึ่งของเรา

อยู่ๆ พี่ติก็ถามผมขึ้นมา

“ไม่มีใครทนกินเมนูเดิม รสเดิม ไปได้ทุกมื้อหรอกใช่ไหม”

ผมตอบว่า “ใช่”

“ไม่มีใครดูหนังเรื่องเดิมตลอดชีวิตโดยไม่สนใจเรื่องใหม่ว่าไหม”

ผมตอบว่า “ก็คงใช่”

“ไม่มีใครเลือกเที่ยวแต่ที่เดิมโดยไม่อยากไปที่อื่นบ้าง”

ผมตอบว่า “ก็ถูก”

“แล้วคิดว่ามันจะมีไหมล่ะ คนที่รักแต่คนเดิมไปตลอดชีวิตน่ะ”

ผมตอบเขาไปว่า

“ถ้ามื้อนั้นมีพี่กินด้วย ถ้าหนังเรื่องนั้นพี่นั่งดูด้วย ถ้าที่นั้นมีเรา ผมก็อยากกิน อยากดู อยากไป กับพี่แค่คนเดียว” ได้ยินเสียงพี่ติดสะอื้นออกมา ผมปาดน้ำตาแล้วถามเขากลับ

“ถ้าผมไม่มีอะไรมายืนยัน ว่าชีวิตคู่ของเราจะมีแต่ความสุข ผมไม่รู้ว่าจะเผลอใจไปหาใครอีก พี่จะยังอยากอยู่กับผมไหมครับ”

“อยู่สิครับ พี่อยากดูแลซาย อยากเห็นรอยยิ้มของน้อง อยากอยู่กับทุกช่วงเวลาในชีวิตน้อง”

“เหมือนเราสารภาพรักกันใหม่เลยเนอะ” ผมหัวเราะทั้งน้ำตา เอื้อมมือไปปลดสร้อยที่คอ หยิบแหวนเงินที่ไม่เคยคิดว่าจะสวมที่นิ้ว ยื่นให้พี่หมอ

“สวมให้น้องหน่อยสิ”

“หือ” คุณหมอหน้าขึ้นสี เงยหน้ายิ้มกับเพดาน

“พี่ติเขินที่น้องให้สวมแหวนให้เหรอ” เขายกมือเกาข้างหูไม่สบตาผม

“พี่ชอบนะที่ซายแทนตัวเองว่าน้อง” อ่ะ...ขี้โกง ส่งไม้ต่อไวเกิน ผมเขินแทนเขาขึ้นมาทันที



แหวนเงินมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายผมเรียบร้อย พี่หมอจูบแหวนบนนิ้วผม ผมก็จูบแหวนบนนิ้วเขา

เรายิ้มกว้างให้กัน หัวเราะทั้งน้ำตา เขาจ้องตาผม เราจ้องตากัน ทำเอาผมสั่นไหว สายตาคนคนนี้มีผลต่อหัวใจของผมมากกว่าใครคนไหน

ผมแพ้

“ถ้าวันไหนซายไม่รักพี่แล้วให้ถอดมันออก แต่ถ้าตราบใดที่ซายยังไม่ถอดมันออก ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนากว่านี้พี่จะอยู่ข้างน้องเสมอ”



รักของเขาไม่ใช่เชือก ไม่ใช่โซ่ ที่ใช้มัดผมไว้ แต่เป็นหัวใจของเขาต่างหากที่ผมไม่กล้าไปไหน

รู้อะไรไหม?

ผมแพ้หมอติคนนี้…..

คนเดียว!!!









THE END



#พี่ติน้องซาย

By Symbol A
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2019 16:02:42 โดย antivirus »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ zenesty

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เจ็บดีนะ เหมือนถูกเอาชีวิตของตัวเองมาเล่าเป็นนิยาย ซึ่งแม่งงงง!!! ก็ตรงกับชีวิตเราทุกอย่าง :mew6: เหมือนมาเปิดไดอารี่อ่านอีกครั้งแล้วนั้งร้องไห้ เสียใจกับสิ่งที่ทำ   :mew4: และต้องขอบคุณวันนั้นที่ทำให้มีวันนี้  :hao5: :hao5: :hao5: (ตรงจริงๆ ตรงกับชีวิตเรานี่!!!)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2018 13:02:11 โดย zenesty »

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
พล็อตเรียบง่าย เกิดได้ในชีวิต
เป็นเรื่องราวที่เหมือนเกิดได้ทุกวัน กับทุกคู่
ถ่ายทอดได้นะคะ อ่านแล้ว ....... อืมมมมมมมมมม ยาว ๆ เลย

แสนจะใช่
และหมอติกับซาย โชคดี
เพราะบางคน ไม่โชคดีอย่างนี้ ....

ขอบคุณนะคะ สำหรับเรื่องดี ๆ

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
หานิยายแนวนี้อ่านยากมากเลยย ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านกันนะคะ เนื้อเรื่องไม่หวือหวา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตคู่ทั่ว ๆ ไป อ่านไปก็กลัวใจว่าอาถรรพ์เลขเจ็ดจะทำงาน แต่พอเห็นพี่ติกับน้องซายสารภาพบาปใส่กันแล้วก็โล่งใจ ชอบที่สองคนนี่มีคำพูดในอดีตกับแหวนมาคอยยยึดเหนี่ยวจิตใจตลอด หวั่นไหวไปได้แต่ก็ควบคุมอารมณ์นึกถึงคนรักของตัวเองได้ตลอด ถึงจะไม่ได้มั่นคงในความรักตลอดเรื่อง(ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์) แต่ก็ข่วยดึงกันและกันให้กลับมาเอาใจใส่กันและกันได้เสมอ จริง ๆ คนรักกันแค่ใส่ใจกันเสมอต้นเสมอปลายก็ช่วยให้ความรักกลับมาหวานได้ อ่านแล้วละมุนมาก ๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ meepoohyoyo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราชอบนิยายที่ดำเนินเรื่องแบบนี้มาก มันเรียลลลลลลลลแบบบอกไม่ถูก ชอบการพัฒนาของตัวละคร เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ตอนจบปลดล็อกอารมณ์มากดำเนินเรื่องได้แยยเอฟเวรี่เดย์มากชอบมากกกกกกกก สุดท้ายแล้วที่เราเบื่อหน่ายมันเพราะความคิดของเราไม่ใช่เพราะรักที่มีจืดจางถ้าเปิดอกดีๆแต่แรกก็เคลีย

ออฟไลน์ RinNam

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ดีมากกกก ชอบมากกกก จริงมากกกกกกกกกกกกก

ชอบเรื่องแบบนี้เลยยยยย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

 :pig4:

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เราชอบ ดีมากๆเลยค่ะ
มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด