[END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3  (อ่าน 11049 ครั้ง)

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************


"แด่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันชัดเจนของผม"


------------------------------


Fear

ผมกลัว....กลัวความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากความรักเหมือนกับที่เคยเสียมันมาก่อน
ผมกลัวตัวเองทนไม่ไหวถ้าวันนึงต้องเสียเขาไป ผมเลยทำได้แค่รั้งเขาไว้ให้อยู่ข้างกายและไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ผมคิดว่าตัวเองจะควบคุมความรู้สึกตัวเองได้แต่ไม่เลย และที่แย่ที่สุดคือสิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้น
ผมกำลัง....จะเสียเขาไป

 
--------------------------------




LoveWriteProject : Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#จริงจังหรือแค่ขำๆ #แช่มหอม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2020 17:55:51 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 1 คนขี้เมา



Charit @Charitpedd

ผมอยากมีคุณอยู่ข้างๆ นะ

แต่ผมกลัวจะรักษาคุณเอาไว้ไม่ได้



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






ก็คิดซะแบบเนี้ยะ

มันถึงได้อยู่กับที่แบบนี้ไง

ผมวางโทรศัพท์หลังจากที่เห็นข้อความในทวิตเตอร์ของใครบางคนที่ผมคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะนั่งเมาอยู่ที่ไหนสักที่ มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปกติแล้วผมมักจะเป็นคนยอมอยู่เสมอแต่กับครั้งนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรยอมอีกต่อไป เขาน่ะงี่เง่า และก็งี่เง่าแบบนี้มาตลอด มันแปลกที่ผมเองทนมาได้ตั้งนาน

เพราะรักอย่างนั้นเหรอ

ก็อาจจะใช่

ผมย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่หน้ากระจก เงาสะท้อนของคนในนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขเอาซะเลยอาจเป็นเพราะมีงานต้องรับผิดชอบเยอะแล้วก็ต้องต่อกรกับคนงี่เง่าล่ะมั้ง เขาจะรู้ไหมนะว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมวุ่นวายใจขนาดนี้ คิดไปคิดมาผมอยากจะลองเอามีดคว้านอกเขาแล้วควักหัวใจออกมาดูว่ามันเป็นสีแดงหรือสีดำกันแน่

โหดจังเลยล่ะข้าวหอม

ผมชื่อ 'ข้าวหอม' เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาโยธาปี 3 ได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะว้ากเกอร์ของคณะวิศวะฯ ในปีนี้ด้วย ผมผ่านการเข้าประชุมเชียร์กับน้องๆ ประมาณ 3 ครั้งแล้วแต่ยังไม่รู้สึกชินสักนิดเดียว มันยากมากที่ต้องปั้นหน้านิ่งๆ ใส่เด็กๆ ที่ไม่รู้ว่ามันแกล้งทำตาใสใส่เรารึเปล่า ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้เพราะผมก็เคยทำตอนปี 1 ไงล่ะ

ร้ายกาจเนอะ

คนที่ดูจะทรมานใจที่สุดก็น่าจะเป็นขุนศึกเพื่อนรักที่เป็นเฮดว้ากนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนที่ผมมองว่าใจดีนะกับพวกรุ่นน้องอะ แต่พอต้องมาปั้นหน้านิ่งใส่น้องๆ ปี 1 ก็คงหนักหนาอยู่ไม่น้อยเลย พวกผมมีพวกพี่ขันเทรนด์ให้นะก่อนที่จะเป็นพี่ว้ากน่ะ กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ปวดประสาทอยู่พอตัวเลย เฮ้อ....เมื่อไหร่จะรับน้องวะ

เทอมหน้าโน่น

กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องอดทนไปก่อนน่ะเนอะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตูห้องก็พบกับคนที่หน้าเหมือนผมอย่างกับแกะ ยิ่งไม่ใส่แว่นแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองจริงๆ นั่นแหละ “ว่าไงเจ้าน้องรัก”

“ถ้ามึงจำไม่ผิดคือหมอหยิบกูออกมาจากท้องแม่ก่อน” ข้าวก้องบอกก่อนจะเดินเข้ามาในห้องผมพร้อมกับยืนยันเหตุการณ์ตอนที่เกิด ใจคอคือจะไม่ยอมเป็นน้องจริงๆ สินะ

“ฝาแฝดน่ะ พี่คือคนที่เสียสละให้น้องออกไปก่อน อย่าลืมสิ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ

“กูออกมาก่อน คือจบ เลิกเถียงเรื่องนี้สักที”

“เอาแต่ใจ”

“นั่นมันมึงแล้วแหละ แล้วเนี่ยะ ทำไมไม่เช็ดหัว เดี๋ยวก็ป่วย มานั่งนี่เลย” จอมเผด็จการสั่งผมเสียงแข็ง ข้าวก้องก็ยังคงเป็นข้าวก้องคนเดิมที่สั่งเก่งมาตั้งแต่สมัยเตรียมอนุบาล

เอาแต่ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมหยิบผ้าขนหนูส่งให้ก่อนจะนั่งลงกับพื้น “เบาๆ นะ โอ๊ยยยย เหมือนแกล้งอะ”

“เปล่าสักหน่อย อ่านหนังสือยัง มะรืนมีควิซนะ” เจ้าตัวถามก่อนจะลงมือเช็ดผมให้

“อ่านบ้างแล้วแหละ เดี๋ยวจะอ่านอีกทีพรุ่งนี้ เออเราประชุมเชียร์น้องอีกทีเมื่อไหร่นะ”

“อาทิตย์หน้าโน่น อาทิตย์นี้มีแต่สันทนาการ แวะไปดูน้องไหม”

“ดูความว่างก่อนละกัน งานเยอะมึงก็เห็น”

“นั่นสินะ” ผมมองข้าวก้องผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง คนที่หน้าเหมือนผมยิ้มบางๆ ให้ ใบหน้านี้ถ้าคนอื่นได้เห็นคงต้องมีการหลงรักกันบ้างแหละ แต่จะว่าไปมันก็น่าหน้าเหมือนผมป้ะวะ

ผมกับข้าวก้องมีความต่างกันไม่มากเท่าไหร่นะ ใบหน้าเราเหมือนกันมาก เหมือนกันจนน้องของผมเลือกที่หาแว่นมาสวมเอาไว้เพื่อที่จะให้คนอื่นแยกเราสองคนได้ แว่นที่ข้าวก้องสวมไม่ใช่แว่นสายตาแต่เป็นแว่นแฟชั่นเลนส์ธรรมดาทั่วไป น้อยคนที่จะรู้นะครับ คนส่วนมากก็คิดว่ามันสายตาสั้น และเจ้าตัวก็ไม่ได้แก้ข่าวด้วยนะปล่อยให้ชาวบ้านเขาคิดไปแบบนั้นนั่นแหละ ส่วนเรื่องความสูงก็ต่างกันนิดเดียว ผมสูง 180 เซ็นฯ ส่วนข้าวก้องจะสูง 182 เซ็นฯ

การเล่นบาสฯ สมัยมัธยมฯ นี่ช่วยพวกเราได้จริงๆ

ตั้งแต่เปิดเทอมมาแล้วต้องรับผิดชอบหน้าที่โน่นนี่ผมก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย แต่เดี๋ยวต้องหาเวลาดูแลตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย พักหลังมานี้ผมประสาทแดกบ่อย สุขภาพจิตก็ย่ำแย่อยู่ละ ผมจะทำให้สุขภาพกายแย่ตามไม่ได้ ความจริงผมไม่ควรจะมานั่งเก็บเรื่องบ้าบอมาคิดด้วยซ้ำ แต่คงเพราะมันเป็นเรื่องพี่แช่มมั้งผมก็เลยปล่อยมันออกจากหัวไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนขี้เมาแบบนั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อชีวิตผมนัก

เพราะสร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกนี่ป้ะวะ

ผมยกมือขึ้นลูบจี้ใบโคลเวอร์ที่แขวนอยู่ข้างเกียร์ของตัวเอง มันเป็นจี้ที่พี่แช่มให้ผมมาตั้งแต่ตอนปี 1 แล้วครับ เรื่องของเรามันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ผมเข้ามาเรียนที่นี่ วันนั้นเป็นวันที่ผมโชคร้ายมากๆ ในหลายๆ เรื่อง วันนั้นนาฬิกาปลุกไม่ดังผมเลยตื่นสายมาก ตอนที่ไปถึงมหา’ลัยผมก็ลืมของเอาไว้ก็เลยต้องกลับมาเอาที่หอแล้วก็ให้ข้าวก้องไปเรียนก่อน แล้วแบตฯ โทรศัพท์ก็หมด ผมติดต่อใครไม่ได้ ตารางห้องเรียนก็อยู่ในโทรศัพท์

มันเป็นวันที่แย่จริงๆ นั่นแหละ

แต่วันแย่ๆ นั่นมันก็เป็นวันที่ทำให้ผมได้เจอกับใครคนนึง เขาเป็นคนพาผมไปที่ห้องเรียนถึงแม้ว่าเขาเองก็กำลังจะสายเหมือนกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เราดันเรียนสาขาเดียวกันพอดีและเย็นวันนั้นเราก็พบกันอีกครั้งตอนที่รุ่นพี่ปี 2 นัดรวมสันทนาการ คนที่ช่วยผมไว้เขาเป็นหนึ่งในทีมสันฯ มองจากภายนอกเขาดูเป็นคนขี้เล่นและใจดีกับน้องๆ ทุกคน

‘แช่ม’ คือชื่อของเขาครับ

ผมจำได้ว่าวันที่เราเจอกันครั้งแรก ตอนที่กำลังจะเลิกกิจกรรม พี่แช่มมาทักผมก่อนจะให้ใบโคลเวอร์สี่แฉกซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาไปเอามันมาจากไหน ผมรู้แค่ว่าใบโคลเวอร์สี่แฉกมันหายากมากและเขาก็บอกผมว่าฝากให้ผมเก็บไว้ให้เขาหน่อย ถ้าเขาอยากได้มันคืนวันไหน เขาจะบอกผมเอง จากวันนั้นก็ 2 ปีกว่าแล้วครับที่ใบโคลเวอร์แห้งๆ นั่นอยู่กับผม มันถูกไว้อย่างดีในกล่องสมบัติในตู้ของผม

เกือบโดนข้าวก้องเอาทิ้งรอบนึงเพราะคิดว่าเป็นขยะ

ดีนะที่วันนั้นผมกลับมาทันน่ะ

“เสร็จละ” คนที่เช็ดหัวให้ผมลุกเอาผ้าขนหนูไปตาก “เออหอม แล้วนี่ไม่คุยกับพี่แช่มหรอ”

“ยังอะ ทะเลาะกันนิดหน่อยเมื่อเย็น”

“ทะเลาะกันอีกแล้วหรอ”

“อืม เรื่องไร้สาระเหมือนเดิม โน่น งอนกูจนหนีไปกินเหล้าโน่น น่าตีชะมัด” ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะดึงตุ๊กตานกฮูกมากอดไว้ ไม่ต้องถามว่าคนซื้อมาคือใคร เพราะตอนนี้คนๆ นั้นคงเทาหัวทิ่มโต๊ะไปละ

คิดแล้วน่าหงุดหงิด

“เหนื่อยบ้างป้ะวะ ทะเลาะกันทุกวันแบบนี้”

“ก็มีบ้างแหละ หลายๆ อย่างมันขัดแย้งกันอยู่ในหัวว่ะก้อง บางทีก็รู้สึกว่าอยากจะพอแต่ว่าบางทีก็คิดว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เราจะต้องตัดใจจากกัน แค่กูยอมอ่อนให้ก็ไม่น่าเป็นไร แต่มันก็มีความคิดที่ว่า....”

“ทำไมกูต้องยอมอ่อนให้ ใช่ไหมล่ะ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “อืม เอาจริงๆ กูก็รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มที่จะต้องการมากขึ้น ไม่รู้ว่ะ คนเราถ้ารักกันแล้วอยากจะเป็นเจ้าของกันและกันมันไม่แปลกป้ะวะ”

“กูไม่เข้าใจความรักหรอก เพราะกูไม่มี” เจ้าตัวเอ่ยบอกผมก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง “ความรู้สึกที่ทำให้ใจเรารู้สึกแปลกๆ นั่น กูยังไม่อยากรู้จักมันตอนนี้หรอก” ว่าแล้วมันก็เดินออกจากห้องไปทันที

“อะไรของมันวะ” ผมมองประตูที่เจ้าน้องชายเดินออกไปอย่างงงๆ ช่างแม่งเถอะ อย่าไปสับสนกับเรื่องของคนอื่นทั้งๆ ที่เรายังสับสนเรื่องของตัวเองจะดีกว่า

ไม่งั้นคงบ้าตาย

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าทวิตเตอร์ ผมชอบเล่นทวิตเตอร์มากเลยนะครับ เล่นมานานหลายปีแล้วด้วย มีแอคเคาท์อยู่ 2 แอคเคาท์ แอคฯ ของผมไม่ได้เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนนะว่าผมเป็นใคร ส่วนมากผมก็จะเวิ่นเว้อผ่านทวิตฯ อยู่บ่อยๆ คิดโควทคำพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาของคนชอบเพ้อเจ้อ เมื่อสมัยมัธยมฯ ผมมักจะถ่ายรูปสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวแล้วก็คิดโควทเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง

คิดแล้วตลกอยู่เหมือนกัน

ผมเป็นคนที่ทวิตฯ บ่อยแล้วก็ลบค่อนข้างบ่อย ข้อความเก่าๆ พอผ่านไปได้สักพักนึงผมก็ลบทิ้งแล้ว ข้าวก้องเคยถามว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม ผมก็เลยให้คำตอบไปว่าผมแค่อยากทำเฉยๆ มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายในการลบข้อความเก่าๆ ออก ผมไม่สนใจว่าจะมียอดรีทวิตเยอะมากเท่าไหร่ ผมสบายใจที่จะลบผมก็ลบ

เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ไปเลย

เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ทวิตเตอร์ของผมมีข้อความไม่เยอะสักเท่าไหร่ทั้งๆ ที่เล่นมานาน อันนี้ส่วนของทวิตเตอร์หลักนะครับ ส่วนอีกแอคเคาท์นึงเป็นแอคเคาท์หลุมของผมที่สร้างขึ้นมาเพื่อไว้ฟอลโลว์คนขี้เมาโดยเฉพาะ พี่แช่มเองก็เล่นทวิตเตอร์เหมือนกัน แอคเคาท์ของเขาคือ @Charitpedd รายนั้นก็จะบ่นอะไรไปเรื่อย ส่วนมากก็คงเป็นเรื่องของเรานี่แหละ ผมว่าพี่แช่มไม่รู้นะว่าผมเล่นทวิตเตอร์เพราะว่าผมไม่เคยบอกเขา

เราไม่เคยยุ่งโทรศัพท์ของกันและกันด้วยนะครับ

เพราะแบบนั้นเขาก็ไม่น่าจะรู้นะว่าผมก็เล่นทวิตเตอร์ ดีละ ถ้าเขารู้เขาคงไม่เวิ่นเว้อผ่านทวิตเตอร์แน่ๆ เพราะกลัวผมรู้ หลายข้อความที่เขาทวิตลง ผมอยากจะจับเจ้าตัวมานั่งทุบๆ ๆ ๆ ซะจริงๆ ตัดพ้อเก่ง เก่งกว่าใครในโลกก็ชริตนี่แหละ แล้วอาการนี้คือเป็นมานานจนผมคิดว่าเขาไม่น่าจะหายได้ง่ายๆ เนี่ยะ พอคิดแบบนี้แล้วมันคันไม้คันมืออยากหยิกให้ตัวเขียวจริงๆ เลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาตอนนี้อีกวะ

ผมลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปเปิดประตู ร่างสูงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ายืนอยู่ด้านหน้าพร้อมกับถุงน้ำเต้าหู้ใบเตยที่เจ้าตัวชอบซื้อมาฝากผมอยู่เป็นประจำ ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมา

“ดี....กันนะน้องหอม” มือเรียวยื่นถุงน้ำเต้าหู้มาให้ “นะจ๊ะ”

อ๋อ ซื้อมาง้อ

“รู้แล้วหรอว่าตัวเองคือคนผิดน่ะ” ผมทำหน้านิ่งใส่ เอาคืนซะบ้าง เขาไม่รู้หรอกว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านมาผมปวดประสาทมากแค่ไหน

“รู้ มา ตลอด นั่น แหละ จ่ะ” เขาเลื่อนมือมาจับมือผม “พี่ ขออออ โทษษษษ นะ”

อาการแบบนี้นี่เมาสุด

“พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดอะ” ผมหยิบถุงน้ำเต้าหู้ในมือเขามาก่อนจะเอามาวางไว้บนโต๊ะ คนขี้เมายังคงยืนพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้น คงกำลังจะตั้งสติล่ะมั้ง ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเมามาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสภาพแบบนี้จะมาถึงหอผมได้

สมควรนอนตายอยู่ข้างทางอะเอาจริงๆ

“น้องหอม”

“หืม....”

“พี่ว่า.....พี่เมา มากเลย” เจ้าตัวเอ่ยเสียงยานๆ สภาพนี่น่าอนาถใจมาก ดีนะที่พรุ่งนี้เขาไม่มีเรียนน่ะ ขืนถ้ามีเรียนแล้วสติเป็นขนาดนี้นี่คงแย่มาก

“ใครดูก็รู้ว่าพี่เมามาก แล้วนี่จะเอายังไง กลับหอไหวรึเปล่าหรือจะนอนที่นี่”

“ต้องกลับ....ไปนอน....กับคุณเฉลิม” พี่แช่มส่ายหัวตั้งสติ “แต่มันมึนอะ พี่เห็นน้องหอมสองคนแล้ว ตอนนี้”

“พี่นี่มันบ๊องจริงๆ เลย” ผมหยิบน้ำเต้าหู้ไปแช่ไว้ในตู้เย็นก่อนจะหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์แล้วมาหยุดอยู่หน้าพี่แช่ม “เอากุญแจรถมา”

มือเรียวส่งกุญแจรถให้ผม “นี่จ่ะ จะเอารถพี่....ไป...ไหนอะ”

“ไปส่งพี่นั่นแหละ”

“ดูแลด้วยป้ะ”

“อืม” ผมประคองคนขี้เมาเอาไว้ “ก็ทำแบบนี้มาตลอดไม่ใช่รึไง”

“หึ....ขอบคุณ....นะครับ” เขาเอ่ยบอกผมเบาๆ มันจะเป็นการขอบคุณมากกว่านี้ถ้าพี่ออกแรงเดินให้ตรงน่ะนะพี่แช่ม เดินเซไปมาแบบนี้คงได้กลิ้งลงไปทับกันตายอยู่ตรงบันไดนี่แหละดูทรงละ

เฮ้อ....เพลียใจจริงๆ เลยว่ะ





หอ B3

ผมแบกพี่แช่มเข้ามาในห้องก่อนจะเอาร่างของคนขี้เมาไปทิ้งไว้บนเตียง โอ่ย ปวดหลังเลยทีเดียว นี่ดีนะว่าเป็นสายซัพพอร์ตเก็บซากเพื่อนบ่อยอยู่แล้ว แต่การแบกคนที่ตัวใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ผมกับพี่แช่มสูงห่างกันไม่มากนะแต่เขาก็ตัวหนากว่าผมออยู่พอสมควร แล้วแก๊งค์ปลาทองของเขานี่คือตัวประมาณนี้กันหมดเลย มีพี่เฌอที่รูปร่างพอๆ กันกับผม ส่วนพวกที่เหลือก็ยักษ์ทั้งนั้น

ตอนเด็กๆ กินอะไรเข้าไปอะถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้

ผมเดินไปหยิบกะละมังพร้อมกับผ้าขนหนูมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พี่แช่มสะลึมสะลือมาก สติคงหลุดไปไกลแล้วล่ะ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่อ้วกออกมา หรือถ้าจะอ้วกก็ขอให้มีสติพาตัวเองไปห้องน้ำได้ด้วยเถอะ ผมไม่ได้มีปัญหากับการต้องเช็ดอ้วกใครหรอกนะแต่ว่าไม่อยากให้คนขี้เมาถูกเจ้าของหอด่าเพราะทำเตียงเขาเลอะอ้วกก็เท่านั้นแหละ

เจ้าของหอนี้ปากจัดมากเลยนะครับ

พั่บบบบ

ผมหันมองหนึ่งในเจ้าของห้องที่โผขึ้นมาบนเตียง “ว่าไงคุณเฉลิม”

“.....” เจ้านกแสกตัวกลมเอียงคอมองผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ มันคงสงสัยล่ะมั้งว่าผมกำลังทำอะไร

“อยากเช็ดตัวให้พี่แช่มหรอหืม”

“.....” คุณเฉลิมโผกลับไปที่บ้านของตัวเองเหมือนเดิม อารมณ์เหมือนบินมาดูสภาพพี่แช่มว่าเป็นยังไง พอใจแล้วก็บินกลับอะไรทำนองนั้น อีกอย่างคงไม่อยากเกะกะผมที่จะเช็ดตัวให้คนขี้เมาด้วยล่ะมั้ง

ขอบอกเลยว่าคุณเฉลิมนี่เป็นขวัญใจของชาวบ้านมาก พี่แช่มเคยพานางไปมหา’ลัยด้วยครั้งนึงช่วงซ้อมกีฬาสีเมื่อปีก่อน คุณเฉลิมเป็นนกที่เชื่องมากเลยครับ นิ่งมากจนเหมือนตุ๊กตา ไม่ค่อยร้องเสียงดัง เลี้ยงง่าย บินไปมาอยู่ในห้องนี่แหละ วันไหนสัญชาตญาณนักล่าเข้าสิงก็จะไปจับหนูจากไหนไม่รู้มาอวดพี่แช่ม ตอนแรกผมไม่ค่อยชอบนกเท่าไหร่ แต่พอได้มาเจอคุณเฉลิมก็รู้สึกว่าตัวเองโอเคกับนกขึ้นเยอะเลย

นางน่ารักนี่นะ

หลังที่อวยคุณเฉลิมจนพอใจผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าของพี่แช่มออก จำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ได้เห็นร่างกายของผู้ชายคนนี้ผมใจเต้นมากอะ แต่สำหรับตอนนี้ก็พูดได้เลยว่าเฉยๆ เพราะเห็นบ่อยมาก ตำหนิบนตัวเขาผมจำได้แทบทุกรอย ไงล่ะ ช่างสังเกตป้ะ บนเนื้อบนตัวของเขาไม่มีใครรู้ดีไปกว่าผมอีกแล้ว ผมชอบผิวของพี่แช่มนะ มันเนียนแล้วก็น่าจับมากเลย ใครมันจะไปคิดว่าอีตาขี้เมานี่จะมีผิวที่น่าสัมผัสขนาดนี้วะ

ว่าแล้วก็ลูบให้ทั่วตัวซะเลย

ผมจัดแจงเช็ดตัวให้พี่แช่มไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เขา เปลี่ยนได้แค่ข้างนอกแหละครับ ส่วนชั้นในนี่ก็ต้องให้เจ้าตัวรวบรวมสติมาเปลี่ยนเอง ผมกับพี่แช่มยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเลย ขั้นที่....จะพูดยังไงดีวะ ผมว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันแปลกๆ มันเหมือนคนที่เป็นแฟนกันทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้คบกัน และผมก็ไม่รู้ว่าวันที่เราได้เป็นแฟนกันมันจะมาถึงเมื่อไหร่

มันแทบไม่มีจุดหมายเลย

เพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของกันแบบนี้ผมกับเขาเลยไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดหรือจับมือกัน หอมแก้มยังไม่เคยเลยนะครับ เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน เอาจริงๆ การกระทำหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ดูเสียหายหรอกแต่ว่าพี่แช่มเขาไม่ยอมทำน่ะ มันก็ดีนะที่เขาให้เกียรติผมในหลายๆ อย่าง แต่บางทีผมก็อยากมีโมเม้นท์ที่อยากมีร่วมกับเขาไง

ทุกอย่างมันคงเป็นได้แค่ความคิด

ผมเดินเอากะละมังไปเก็บก่อนจะหยิบบุหรี่แล้วไปยืนสูบอยู่ที่ระเบียง ถ้าเป็นเวลาปกติผมจะสูบบุหรี่ที่นี่ไม่ได้นะครับเพราะว่าพี่แช่มจะดุ เขาไม่ชอบให้ผมสูบบุหรี่ ตอนนี้ผมพยายามหาทางเลิกอยู่แต่มันยากว่ะ อยากจะฮึกเหิมแล้วก็ตัดใจเลิกได้เหมือนที่ไอ้ขุนทำเพื่อขนมบ้าง แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็สูบน้อยลงไปเยอะแล้วนะ ตกวันละไม่กี่มวนเอง เมื่อก่อนนี่วันละครึ่งซองโน่น

นับว่าเป็นจุดล่มจมของการเงินเลยล่ะ

ผมคิดว่าตัวเองจะเลิกบุหรี่ได้แน่ๆ มันก็แค่ต้องใช้เวลากับแรงจูงใจที่แรงกล้ามากขึ้นอีกนิดนึง เวลาที่พี่แช่มเห็นผมสูบบุหรี่เขาจะชอบบ่นว่าเดี๋ยวเวลาที่เขาจะจูบผม กลิ่นบุหรี่มันจะต้องทำให้ไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็ไม่เคยจูบผมเลยสักครั้ง เพราะแบบนี้แหละผมถึงตัดใจเลิกไม่ได้สักที บ่อยครั้งที่ผมคิดภาพของเราที่กำลังจูบกันและบ่อยครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าสัมผัสนั้นมันจะเป็นยังไง

มันจะดีรึเปล่า....ปากเขาจะนิ่มมากแค่ไหน

ก็คงได้แต่สงสัยน่ะนะ

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ว่าไง”

(พี่แช่มนี่ถึงหอพี่แบบปลอดภัยใช่ป้ะ)

“อืม แต่ตอนนี้กูพาเค้ามาที่หอเค้าละ นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ทำไมอะ เค้าไปกินเหล้ากับมึงหรอ”

(ใช่ อาการหนักเหมือนกันนะพี่ ปกติพี่แช่มเค้าจะเมาแล้วเวิ่นเว้อใช่ป้ะ แต่วันนี้เค้าเมาแล้วโคตรเงียบอะ นั่งเหม่ออยู่เป็นพักน่ะ หมีว่ามันโคตรผิดปกติเลย)

“ขนาดนั้นเลยหรอ”

(อื้ม เอาจริงๆ เท่าที่สังเกตได้นะ พักหลังมาพี่แช่มเค้าแปลกๆ ไป เรื่องนี้พี่หอมน่าจะรู้สึกได้เหมือนกันนะ)

“กูก็พอรู้อยู่ว่าเค้าแปลกๆ แต่ถึงถามไปเค้าก็ไม่บอกอยู่ดี กูก็เลยรอให้เค้าเล่าออกมาเองดีกว่า”

(แบบนั้นก็ดีนะพี่ หมีรู้ว่าพี่แช่มชอบงี่เง่าใส่ แต่ว่าช่วงนี้ก็ใจเย็นๆ กับเค้าหน่อยละกัน)

“กูน่ะใจเย็นสุดละหมี ถ้ากูใจร้อนนะ กูคงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วแหละ”

(นั่นสิน้า....อื้ออ.อ.อ...อะไรเนี่ยะพี่ขัน ยังอีก)

“งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวพี่ขันมาตามกระทืบกู”

(ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ พี่ก็พูดไป เห้ยยยยพี่ขันนนน)

“อะไรของมันวะ” ผมมองหน้าจอที่ถูกตัดสายไปแล้ว พี่ขันเขาคงเชือดไอ้หมีล่ะมั้งที่โทรคุยกับผู้ชายคนอื่น เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาคู่นี้ยังไงก็ไม่รู้

คิดดูสิ จากคนที่ไม่มีใครคิดว่าจะลงเอยกันได้ก็มาลงเอยกัน ถึงแม้ว่าระหว่างนั้นจะชอกช้ำพอสมควรแต่ทุกอย่างมันก็จบลงได้ด้วยดี แล้วดูอย่างคู่ของผมสิ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นนิยามของคำว่าอยู่ด้วยกันไปวันๆ มาก จุดหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะดีหรือร้าย ความสุขมันก็มีแหละ แต่ว่านะ....ผมเป็นคนโลภอะ มันแปลกเหรอที่เราจะต้องการมากขึ้น

เรา....รักกันหนิ

“เพ้อเจ้อจัง” ผมทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในแล้วนั่งลงข้างๆ คนที่หลับอยู่ มือเลื่อนไปเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออกเบาๆ หน้าตอนนอนนี่ไร้พิษสงสุดๆ ผิดกับตอนตื่นอย่างกับคนละคน

“.....ชะเอม”

ห้ะ

“พี่แช่ม” ผมมองคนที่เผลอละเมอออกมา “พี่ว่าไงนะ”

“.....พี่ขอโทษนะคะชะเอม....พี่ขอโทษ” เจ้าตัวเอ่ยออกมาโดยที่ตายังหลับอยู่แบบนั้น สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและในหัวก็ตั้งคำถามเต็มไปหมดว่าชะเอมเป็นใคร

พี่แช่มขอโทษเขาทำไม

ฟังจากการใช้คะแล้วด้วย ชะเอมคงเป็นผู้หญิงสินะ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้ออกจากปากพี่แช่มเลย นี่เป็นครั้งแรกและผมก็ไม่ชอบใจเอามากๆ เขาคือใครอะ แฟนเก่าเหรอวะ ถ้าใช่จริงๆ ผมจะโกรธมากเลยนะ

เมาแล้วเพ้อถึงแฟนเก่าเนี่ยะ

“ชะเอมคือใครห้ะพี่แช่ม” ผมคว้าหมอนตีคนที่หลับอยู่อย่างหงุดหงิด นอนเรียกชื่อคนอื่นทั้งๆ ที่ผมอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ มันจะมากไปเกินไปมั้ง

“....ชะเอม”

“ยังไม่หยุดอีก” ผมกดหมอนลงกับหน้าเขา เอาสิ เอาให้ตายไปเลย มันน่าเอามีดมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้เป็ดกินซะจริง หึ้ยยย.ย....อาการหัวร้อนนี้มันคืออะไรวะ

ผมเลื่อนหมอนออกก่อนจะตีคนที่หลับอยู่ไปอีกสองสามที อย่าบอกนะว่าที่ช่วงนี้เขาเปลี่ยนไปมันเป็นเพราะคนชื่อชะเอมน่ะ อาจจะใช่ ถ้าลองไปถามไอ้หมีมันจะรู้จักไหมวะ ต้องลองดู แต่ไม่แน่ว่าถ้าพี่แช่มตื่นขึ้นมาผมคงจับคอเขาเขย่าแล้วเค้นถามเอง ตอนนี้ใจผมรู้สึกไม่โอเคเลย มันน่าคิดมากอยู่นะ ถ้าสมมุติว่าชะเอมเป็นแฟนเก่าของพี่แช่มจริงๆ แล้วตอนนี้พี่แช่มยังไม่ลืมเขาก็แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มันไม่ไปไหนเลยนี่เป็นเพราะคนชื่อชะเอมงั้นเหรอ

แม่งต้องใช่แน่ๆ เลยว่ะ

ผมเขย่าตัวพี่แช่ม “ตื่นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ ต่อให้เมาก็ต้องตื่นนนน” ไม่งั้นผมต้องประสาทเสียอยู่คนเดียวแน่ๆ

“อื้ออ.อ.อ....” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น “....น้องหอม”

“......”

“....อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ” เจ้าของอ้อมกอดพึมพำเบาๆ ก่อนจะขยับหน้าเข้ามาซุกอกผม “.....นะครับ”

“ถ้าไม่รู้ว่าชะเอมเป็นใครก็ทิ้งแน่โว้ยยยย” ผมหยิกแก้มคนขี้เมาอย่างหมั่นไส้ก่อนจะนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เขากอดอยู่แบบนั้น

ทำไมหัวใจรู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล

ก็นะ....ผมเพิ่งได้ยินคนที่ตัวเองรักละเมอชื่อคนอื่นออกมาหนิ ผมไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขาละเมอออกมาคือใคร ไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันขนาดไหน ไม่รู้มาก่อนเลยตลอดเวลาเกือบ 2 ปี ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

รู้สึกแย่ชะมัด

ผมยกมือขึ้นลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ “พี่ทำให้หอมรู้สึกไม่ดีอีกแล้วนะพี่แช่ม พี่จะรับผิดชอบมันยังไงดีหืม....”

“.....”

“เมื่อไหร่พี่จะยืนยันเรื่องระหว่างเราสักที หอมรอพี่มาจะ 2 ปีแล้วนะ”

“.....”

“หอมต้องรอไปอีกนานแค่ไหนหรอพี่แช่ม”

“.....”

“ถ้าไม่อยากให้หอมหายไปขนาดนั้น” ผมกระซิบข้างหูเจ้าตัวเบาๆ “ทำไมไม่ผูกมัดหอมไว้ล่ะ”

“.....”

“หรือว่าที่พี่ไม่ทำแบบนั้นมันเป็นเพราะ.....พี่ไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก”

ก็อาจจะใช่

ไม่งั้นเขาจะคอยท่ามาทำไมนานขนาดนี้

ผมยิ้มบางๆ ให้เขาเหมือนกับทุกครั้ง เคยคิดตลอดนะว่าถ้าวันนึงความสัมพันธ์ของเรามันถึงจุดจบ ตอนนั้นสภาพของผมจะเป็นยังไงบ้าง เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนทำใจรออยู่ตลอด คิดๆ แล้วเหมือนตัวเองโง่เลยที่อยู่กับความไม่ชัดเจนมาได้นานขนาดนี้ ผมรักพี่แช่มมากกว่ารักตัวเองเยอะเลย แต่จะว่าไป....มันก็เป็นผมทั้งนั้นแหละที่เลือกทำแบบนี้เอง เพราะงั้นมันจะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง

“ทำไมถึงฟุ้งซ่านแบบนี้วะหอม” ผมกอดพี่แช่มไว้แน่นก่อนจะหลับตาลง มันอาจจะยากที่จะต้องข่มตาหลับแต่ยังไงมันก็ต้องหลับให้ได้ ไม่งั้นผมคงบ้าบอไปมากกว่านี้

พักผ่อนซะข้าวหอม


---------- 50% ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2018 12:22:52 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 1 ----------




“หื้มม.ม....กินดีดีสิ”

เสียงใครวะ

“อืมม.ม.....” ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันมองด้านข้างก็พบกับความว่างเปล่า แต่เสียงที่แว่วเข้ามาบ่งบอกว่าคนที่นอนข้างผมนั้นอยู่อีกฝั่งนึง

นางกำลังคุยกับนกครับ

“พอแล้วนะ กินเยอะเกินไปแล้ว ถ้าอ้วนแล้วจะบินไม่ไหวนะคุณเฉลิม” พี่แช่มบอกเจ้านกตัวกลมก่อนจะเอาถุงหนูแช่แข็งไปแช่ไว้ในตู้เย็นเหมือนเดิม คุณเฉลิมก็ยังคงเดินตามต้อยๆ เหมือนจะขออาหารอีก

น่าเอ็นดูซะจริง

“....พี่แช่ม”

“ตื่นแล้วหรอน้องหอม” เจ้าตัวหันมามองผมพร้อมกับยิ้มหวานให้ “พี่ซื้อโจ๊กมาให้ จะกินเลยไหม”

“กิน แต่เดี๋ยวหอมล้างหน้าก่อนละกัน” ว่าแล้วผมก็ลากสังขารตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ หอพี่แช่มจะมีของใช้ที่เป็นเฉพาะของผมอยู่ด้วยนะ เสื้อผ้าก็มีเหมือนกัน เรียกได้ว่าเบียดเต็มตู้แข่งกับของพี่แช่มเลยทีเดียว

วันนี้ดีว่าเป็นวันที่ผมกับพี่แช่มหยุดตรงกัน เรียกได้ว่าว่างทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าคนขี้เมาเขาจะมีธุระไปไหนรึเปล่า ช่วงนี้ยิ่งชอบเร่ร่อนไปโน่นไปนี่ซะด้วย ผมว่าเขาอาจจะอยากไปซึมซับสถานที่เก่าๆ ก่อนจะไม่ได้สัมผัสอีกนานล่ะมั้ง เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายที่เขาจะเรียนก่อนออกไปฝึกงานซึ่งพี่แช่มได้ฝึกงานที่จังหวัดระยองครับ มันก็ไม่ได้ไกลมากจากกรุงเทพฯ แต่ว่ามันก็ถือว่าไกลอยู่ดีน่ะนะ

เราต้องอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตรเลยล่ะ

ผมไม่รู้เลยว่าช่วงที่เราต้องห่างกันนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาจริงๆ ก่อนที่เขาจะไปฝึกงานนี่น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะความสัมพันธ์ของเรามันแปลกๆ มั้งครับ ยิ่งช่วงนี้ผมยิ่งรู้สึกได้เลยว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เข้ามาสั่นคลอน การกระทำของพี่แช่มมันทำให้ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ ยิ่งเรื่องที่เขาละเมอเรียกคนอื่นเมื่อคืนด้วยแล้ว อืมม.ม....คิดเรื่องนี้แล้วปวดหัวว่ะ

คนเราไม่ควรปวดหัวตั้งแต่ตื่นป้ะวะ

หลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าของห้องนั่งรอผมกินข้าวอยู่โดยมีคุณเฉลิมยืนอยู่ข้างๆ  เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว นี่ถ้าอยู่บ้านคือโดนแม่ตบแล้วนะนอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้

“เมื่อคืนน้องหอมแบกพี่กลับมาหอหรอ”

“ใช่” ผมรับคำก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา “ก็พี่บอกหอมว่าจะกลับมานอนกับคุณเฉลิม นี่จำอะไรไม่ได้เลยหรอ”

เจ้าตัวส่ายหน้าพลางยิ้มแห้ง “ไม่เลยจ่ะ รู้แค่ว่าเมาแล้วก็ไปซื้อน้ำเต้าหู้ ไปหาน้องหอมแล้วก็ภาพตัด”

“พี่นี่ขี้เมาจริงๆ นั่นแหละ” ผมตักโจ๊กใส่ปาก อื้มม.ม....อร่อยจริงๆ ถึงจะเย็นไปหน่อยก็เถอะ ที่โจ๊กเย็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะพี่แช่มออกไปซื้อมาสักพักแล้วแน่เลย

“อร่อยป่ะ พี่ตั้งใจไปซื้อมาให้เลยนะ”

“ไม่ปวดหัวอ๋อ ตอนแรกหอมนึกว่าพี่จะลุกไม่ไหวแล้ว เมาซะขนาดนั้น”

“พี่คือแช่มนะจ๊ะ เหล้าไม่เคยทำให้พี่ตาย”

“เมื่อกี้คือพูดเองว่าภาพตัด”

“มันก็ต้องมีบ้าง แต่ต่อให้พี่เมาขนาดไหน ถ้าตื่นมาพี่ก็ไหวนะ น้องหอมไม่ต้องเป็นห่วง” เขาบอกก่อนจะยิ้มแป้นให้ผม มือก็ตักโจ๊กกินไปเรื่อย

“เมื่อคืนพี่ละเมอด้วยนะพี่แช่ม”

“จริงหรอ....ละเมอว่าอะไรอะ”

“ละเมอถึงคนชื่อชะเอม”

เคร้ง


ผมมองคนตรงหน้าที่ทำช้อนร่วงทันทีที่ผมบอกแบบนั้น มือเรียวสั่นอย่างเห็นได้ชัด รับรู้ได้ถึงการหายใจที่แรงขึ้น พี่แช่มก้มมองชามโจ๊กอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา อาการทั้งหมดนี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจหนักกว่าเดิม คนชื่อชะเอมมีผลต่อพี่แช่มมากถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ

เขาเป็นใครกันแน่

“คือ....” เจ้าตัวเหลือบมองผม “คือว่าพี่”

“เค้าเป็นใครหรอพี่แช่ม”

“พี่.....” เขาเบือนหน้าหนีไปด้วยสีหน้าที่ลำบากใจจะเล่า และนั่นชักทำให้ผมหงุดหงิด ปกติแล้วพี่แช่มไม่เคยมีความลับกับผมนะ มีเรื่องอะไรก็มักจะเล่าให้เสมอ

แต่เหมือนเรื่องนี้จะไม่ใช่

“ไม่อยากบอกงั้นหรอ”

“ไม่ใช่ไม่อยาก” พี่แช่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่พี่ยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้น้องหอมฟังตอนนี้”

“คือ....หอมต้องรอใช่ไหม”

“ข้าวหอม”

“ไม่เป็นไร กินโจ๊กเหอะเนอะ” ผมยิ้มหวานให้เขาก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากแล้วทำเหมือนไม่เป็นไรแต่ในใจคือเดือดผุดๆ มาก คนชื่อชะเอมคงสำคัญกับพี่แช่มมากจริงๆ

ก็คงมากกว่าผม

รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะ อยากจะกระชากคอแล้วถามแต่ดูจากอาการเขาคือถามไปก็ไม่รู้เรื่องแน่ๆ เพราะงั้นผมจะใจเย็นไว้ก่อน อาจจะต้องให้ใครช่วยสืบเรื่องนี้หน่อย ไม่เป็นไร ถ้าพี่แช่มไม่บอกเดี๋ยวผมให้ไอ้หมีตามสืบให้ก็ได้ เอาจริงๆ การรอให้เขาจะบอกว่าชะเอมเป็นใครมันก็อาจจะไม่นานเท่ากับการรอให้เรื่องของเรามันชัดเจนมากกว่านี้ก็ได้

ขยี้ตัวเองก็เป็นอะคนเรา

ผมกินโจ๊กจนหมดชามก่อนจะเดินเอาไปล้างที่ซิ้งค์ สักแปปนึงก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดจากด้านหลังกับปลายคางที่วางไว้บนไหล่ของผม เนี่ยะ ทำตัวน่าทุบแล้วก็ชอบมาอ้อนทีหลัง เป็นแบบนี้ประจำและก็เป็นผมที่ชอบพ่ายแพ้กับการกระทำนี้อยู่ตลอด

สงสัยต้องหัดทุบตัวเองบ้างแล้วล่ะ

“น้องหอม”

“หืม.....”

“พี่ขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ”

“หลายเรื่องเลย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ช่วยรอพี่หน่อยนะ ไว้ถึงเวลาพี่จะเล่าให้น้องหอมฟังทุกอย่าง”

ผมเหลือบมองเขา “อีกนานแค่ไหน”

“......”

ไม่มีคำตอบ

“หอมจะรอละกัน” ผมคว่ำจานก่อนจะจับมือพี่แช่มออกแล้วหันหน้าเข้าหาเขา “หอมรอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยมันจะเป็นไรไป”

“ก็มันเหมือนจะเป็น”

“งั้นพี่ก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้หอมได้รู้ว่าสิ่งที่รออยู่มันมีจุดหมาย.....ไม่ใช่แค่ให้มันผ่านไปวันๆ ” ผมยิ้มบางๆ ให้พี่แช่มก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนเตียงข้างๆ คุณเฉลิม

ร่างสูงยืนล้างจานต่อจากผม เชื่อได้เลยว่าในหัวเขามันคงสับสนอยู่ไม่มากก็น้อยเพราะสิ่งที่ผมพูด หวังนะว่ามันจะไปเตือนสติให้เขาทำอะไรสักอย่างจริงๆ ผมอดทนกับพี่แช่มมามาก นั่นก็เพราะว่าผมรักเขาและเขาก็ดีกับผมมาตลอด บอกแล้วว่าแค่ช่วงหลังๆ มานี้ที่เขาประสาทแดกและผมก็โลภมากขึ้น แต่ระหว่างเรามันก็ควรไปให้มันไกลมากกว่านี้จริงๆ แหละ

ความสัมพันธ์....ถ้าไม่เดินหน้ามันก็ต้องจบ

มันต้องสักทางที่ไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่แบบนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดเข้าไปในทวิตเตอร์แล้วพิมพ์ข้อความเสียดแทงใจตัวเองเหมือนอย่างที่ชอบทำ หวังว่าวันนี้มันจะไม่หน่วงใจไปมากกว่านี้แล้วนะ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว

หวังให้เป็นแบบนั้นจริงๆ





Kh. @KhH22_luc

ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันเห็นจุดหมาย

.........จุดหมายที่ฉันไม่มีวันไปถึง :)



#CloverBad













TBC.

สวัสดีค่ะบี๋ชาลมาส่งพี่แช่มกับพี่หอมให้แล้วนะ ก็จะยังมีวันลงที่ไม่แน่นอนนะคะ แต่ว่าจะไม่ให้รอนานเกินไปแน่ๆ ก็โทนเรื่องปูมาแบบนี้ก็ชัดแล้วนะว่าจะพาไปสายปวดจิตปวดใจแน่นอน

ตอนแรกชาลกะว่าจะกลับมาลงนิยายในโปรเจ็กต์นี้อีกทีคือปีหน้าแต่เปลี่ยนใจมาลงก่อนเลย อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ที่ชาลเลือกเปิดนิยายวันนี้เพราะมันเป็นวันเกิดของชาลเอง อยากจะเริ่มต้นไปพร้อมกับตัวเองจริงๆ ก็เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปรอติดตามนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 2 มารหัวใจ



Kh. @KhH22_luc

บางเรื่องที่เราคุยกัน เธออาจเห็นว่าไม่สำคัญ

แต่รู้ไหม....ฉันจำมันทุกคำเลยนะ



#CloverBad






จำได้ดีมากอีกต่างหาก

ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดใจ คืองี้ครับ เมื่อวานพี่แช่มบอกผมว่าวันนี้จะตื่นไปกินโจ๊กด้วยกันแล้วก็จะมาส่งที่มหา’ลัย แต่ไปๆ มาๆ คือนางไม่ตื่น ก็คือผิดนัดนั่นแหละ แล้วผมก็นอยด์แดกมาก รอเขาที่หอจนตัวเองสายด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเออเดี๋ยวก็มาแล้วรออีกแปปนึงเถอะ จนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา ผมต้องลากสังขารมามอด้วยความช้ำใจและคนที่ผิดนัดผมก็ทักไลน์มาบอกว่าเพิ่งตื่นตอน 10 โมงกว่า

มันน่าทุบป้ะล่ะ

ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว ผมว่าอีกสักพักพี่แช่มก็คงจะโผล่มาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดแน่ๆ รายนั้นมีเรียนตอนบ่ายครับ ส่วนผมก็จะไม่มีเรียนแล้วแต่ว่าวันนี้มีประชุมเชียร์น้องปี 1 ตอนเย็น ก็ต้องนั่งเปื่อยนอนเปื่อยรอเวลาล่ะนะ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมรู้สึกได้ว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายมาก รับรู้ได้เลยว่าสภาวะอารมณ์แปรปรวนสุดๆ อาจเป็นเพราะมีเรื่องที่ยังคาใจอยู่ล่ะมั้ง

เรื่องของชะเอมน่ะ

ผมฝากให้ไอ้หมีตามสืบเรื่องนี้ให้แล้วแต่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ความเลย หมีบอกว่าคนชื่อชะเอมที่เรียนอยู่ที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่แช่มเลยสักคน เพราะงั้นชะเอมที่พี่แช่มพูดถึงอาจจะไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นจะเป็นงานยากมากที่จะตามสืบ คือถ้าอยากรู้เรื่องก็คงจะต้องต้อนถามกับพี่แช่มเอาเอง

คิดว่าเขาจะบอกง่ายๆ ไหมล่ะ

ไม่มีทางหรอก

“หน้าบึ้งเชียวนะมึง” สยามนั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะยื่นซองขนมมาให้ “เป็นไรวะ”

“หงุดหงิดว่ะ” ผมบอกพลางจกขนมกิน ตอนนี้เหมือนมีวิญญาณผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนเข้าสิงเลยอะ ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

โคตรงี่เง่า

“หงุดหงิดเรื่องพี่แช่มหรอ”

ผมเหลือบมองเพื่อนรัก “มึงรู้ได้ไง”

“ชีวิตมึงจะหงุดหงิดกี่เรื่องกันวะหอม” เสียงของแกงป่าดังแทรกเข้ามาก่อน ร่างสูงนั่งลงข้างผมก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะไหล่เบาๆ “เล่าให้พวกกูฟังได้นะ ได้ช่วยกันวางแผนชั่วเพื่อแก้ไขปัญหาไง”

“พวกมึงนี่นะ เออมึงกูขอถามอะไรหน่อยดิ”

“ว่ามา”

“ถ้าสมมุติว่าแฟนพวกมึงเมาแล้วเผลอละเมอเรียกชื่อคนอื่น มึงจะทำยังไงวะ”

“ตบให้สร่างสิครับรอไรล่ะ” เพื่อนแกงสวนทันควันพร้อมกับทำหน้าเหี้ยม “แล้วพอมันตื่นกูก็จะตบซ้ำอีกแล้วเค้นให้ได้ว่ามันละเมอชื่อใครออกมา”

สยามมองคนหัวแดงตาค้าง “มึงโหดจังวะแกง”

“เป็นมึงอะ ถ้าสมปองละเมอชื่อคนอื่นออกมามึงจะทำไง”

“กูจะปู้ยี้ปู้ยำน้องจนกว่ามันจะละเมอชื่อกูออกมาแทน”

“บ้ากามชิบหาย ในหัวนี่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องแบบนี้ไหมวะ” แกงป่าบอกก่อนจะเบ้ปากใส่คนกาม อะไรของพวกมึงวะเนี่ย อยู่ดีดีก็มาแขวะกันเองเฉย

ไอ้พวกบ้า

“ว่าแต่....มึงถามแบบนี้ทำไมวะหอม มึงอย่าบอกนะว่าพี่แช่มเค้า”

ผมพยักหน้ารับ “เค้าละเมอชื่อคนอื่นออกมาตอนที่หลับ กูลองถามเค้าแล้วนะว่าคนนั้นเป็นใครแต่ว่าเค้ายังไม่พร้อมที่จะเล่าให้กูฟัง ขอให้กูรอก่อน”

“เชี่ยยยย จึ้กว่ะ”

เออจึ้ก....จึ้กไปทั้งใจเลย

ก็เข้าใจอยู่แหละว่าคนเรามันก็ต้องมีละเมอกันบ้างมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่มันแบบ....เฮ้อ หงุดหงิดจังเลยน้า ปกติผมว่าตัวเองเป็นคนที่ใจเย็นกว่านี้มากเลยนะครับ แต่พักหลังมานี้รู้สึกว่าจะเดือดดาลได้ง่ายกว่าปกติ ข้าวก้องถึงกับทักเลยนะเพราะว่ามันส่งผลต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นไง ตอนนี้ผมก็พยายามอดทนแล้วบอกให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้ อย่าอารมณ์ร้อนให้มันมากนักเพราะมันไม่ดีต่อรอบข้าง

พูดเหมือนง่ายแต่ตอนทำน่ะยากเลยนะ

ผมยัดขนมเข้าปากพลางกวาดสายตาไปรอบๆ คนเยอะเหมือนกันนะโรงอาหารตอนกลางวันเนี่ยะ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของชาวแก๊งค์ปลาทองนะครับ ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือของผมก็ไม่รู้ว่าไปซื้อข้าวหรือว่าไปปลูกข้าวกันแน่

นานเกินไปแล้วนะ

“ข้าว” มือเรียวของน้องรักวางชามข้าวไว้ด้านหน้าผม “กินเยอะๆ จะได้โตๆ ”

“กูก็โตเท่ามึงแหละก้อง” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ซี๊ดด.ดด.....เผ็ดจังวะ นี่สั่งกะเพราเผ็ดน้อยนะ ทำไมถึงได้เผ็ดชิบหายแบบนี้ล่ะ

“เป็นไรวะ”

“กูเผ็ด ทำไมข้าวเผ็ดแบบนี้อะก้อง”

“อ๋อ ผิดจาน” ว่าแล้วเจ้าน้องตัวแสบก็สลับจานข้าวของผมกับของมัน โถ่ ไอ้น้องเวรนี่ เดี๋ยวไปซื้อน้ำก่อนเถอะแล้วจะกลับมาจัดการ

“อื้มมม....กูจะไปซื้อน้ำ ใครเอาอะไรไหม” ผมเอ่ยถามเหล่าสหาย

“ของกูน้ำเปล่า”

“กูเอาโกโก้”

“ชาเขียวละกัน”

“เอานมตราหมีที่เป็นรสมอลล์ใส่โอริโอ้ปั่นบอกเค้าว่าไม่ต้องหวานมาก ขอปั่นละเอียดหน่อยเพราะครั้งก่อนที่สั่งมาคือน้ำแข็งยังเป็นก้อนอยู่เลย แล้วก็เอาหลอดสีฟ้าด้วยนะ”

“สั่งแดกเองเลยไหมไอ้ก้อง” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มัน ใครมันจะไปจำเมนูยาวขนาดนั้นได้วะ แม่งคิดจะแกล้งผมชัดๆ

“ของกูเอา.....”

“มึงแดกน้ำเปล่าละกันชา ไม่ไหวแล้วกูเผ็ด” ผมตัดบทสนทนาก่อนจะรีบเดินไปที่ร้านน้ำทันที อือ.ออ.อ....แสบปากไปหมดแล้วเนี่ย

ผมหยิบปากกามาจดเมนูทั้งหมดใส่กระดาษก่อนจะส่งให้แม่ค้าทันที “ทำช็อกโก้บานาน่าก่อนเลยนะครับ”

“ได้จ่ะ” แม่ค้ารับคำก่อนจะเริ่มทำเมนูทั้งหมดให้ อดทนอีกนิดนะหอม เดี๋ยวก็หายเผ็ดแล้ว

“สวัสดีครับพี่ข้าวหอม” ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท ใบหน้าหล่อที่ดูมีเสน่ห์มากจนพวกเหล่าคณะกรรมการฯ คิดจะปลุกปั้นไอ้เด็กนี่ให้เป็นเดือนของวิศวะฯ ในปีนี้ให้ได้

ผมมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ดูดีจริงๆ นั่นแหละแถมยังสูงมากด้วย ตัวพอๆ กับพี่แช่มเลย ผิวก็ดี เท่าที่ได้ยินมาคือเรียนค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ โปรไฟล์โดยรวมคือเพอร์เฟ็คเลยแหละ เพราะงั้นก็เลยได้เป็นตัวเต็งของการคัดเลือกเดือนคณะ แต่สำหรับผมแล้วถ้าให้พูดถึงข้อเสียของเด็กนี่ก็น่าจะเป็นเรื่อง....ทำตัวน่ารำคาญนี่แหละ

แล้วก็โคตรขี้ลืมอีกต่างหาก

“ป้ายชื่อคุณไปไหน....บวร”

“เรียกเบย์ก็ได้นะครับ”

“ผมถามว่าป้ายชื่อคุณไปไหน”

คนตรงหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ผม “คือว่าผม....ลืมหยิบมาน่ะครับ”

“ไปวิ่งรอบโรงอาหาร 3 รอบ”

“โหหหห”

“เดี๋ยวนี้” ผมเอ่ยอย่างจริงจัง เรื่องป้ายชื่อนี่ห้ามลืมเด็ดขาดนะ สมัยผมลืมเอามาคือวิ่งกันลากเลือด เพราะงั้นรุ่นน้องๆ ก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน

แค่ 3 รอบนี่ถือว่ายังน้อย

“ก็ได้ครับ” ว่าแล้วร่างสูงก็เริ่มออกวิ่งไปทันที เอาจริงๆ ถ้าน้องมันไม่มาทักผม มันอาจจะไม่โดนลงโทษก็ได้นะ คือตอนประชุมเชียร์ก็คงไม่รอดอยู่แล้วแหละ แต่เล่นมาทักพี่ว้ากก่อนแบบนี้คือพลาดมาก

นั่นแหละ....วิ่งไปซะ

ผมยืนซี๊ดซ้าดอยู่สักพักก็ได้ช็อกโก้บานาน่ามาดับความเผ็ด อื้มม..ม....ค่อยยังชั่วหน่อย ผมเป็นคนที่กินเผ็ดได้นิดหน่อยนะ แต่ถ้าระดับที่กินเมื่อกี้คือไม่ไหวจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมข้าวก้องถึงชอบแกล้งผมแบบนี้ มันน่าทุบอะ แล้วเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กด้วยนะ มันชอบบังคับให้ผมกินเผ็ดกับมัน ไม่เข้าใจเลยว่าข้าวก้องทำแบบนั้นไปทำไม ตัวเองกินเผ็ดก็กินไปสิ ไม่เห็นต้องคิดยัดเยียดความเผ็ดใส่ปากคนอื่นเลย

โคตรนิสัยไม่ดีและน่าตีมาก

“เสร็จแล้วจ่ะ” แม่ค้าขายน้ำเอ่ยบอก ผมจึงส่งเงินไปให้แล้วถือน้ำทั้งหมดเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง ก่อนจะนั่งก็เบ้ปากใส่ไอ้น้องเวรไปทีนึง ไว้แม่โทรมาหาก่อน กูจะฟ้องให้หมดเลย

มึงตายแน่ข้าวก้อง

“ขอบใจจ่ะ” สยามยิ้มแฉ่งก่อนจะหันมองซ้ายมองขวา “ว่าแล้วท่านเฮดว้ากเราไปไหนวะ”

“อาจารย์วิชัยเรียกพบ” แกงป่าตอบก่อนจะแย่งข้าวในจานข้าวก้องมากิน “โอ้โหสัสก้อง แดกไปได้ยังไงเนี่ยเผ็ดชิบหาย”

“ไม่เผ็ดสักหน่อย พวกมึงคิดไปเองอะ”

ชาเย็นลองตักมากินบ้าง “หื้มม.ม.ม.....มันเผ็ดนะมึง”

“มันไม่เผ็ด”

“มันไม่เผ็ดที่หน้ามึงอะ ถ้าปวดท้องขึ้นมากูจะปล่อยให้มึงตายไปเลย” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มัน เวลาใจดีด้วยแล้วไม่ชอบไง มันจะต้องให้โฉดชั่ว เหมือนการเลี้ยงด้วยความรักไม่ได้ผลก็ต้องเลี้ยงด้วยลำแข้ง

เตะก้านคอแม่งไปเลยอย่างงี้

อาจจะเห็นว่าเราสองพี่น้องดูโหดเหี้ยมใส่กันขนาดนี้แต่ความจริงเรารักกันมากนะครับเพราะแม่สั่งไว้ว่าให้รักกัน ผมว่าผมเป็นคนรักน้องนะ แต่น้องผมเนี่ยะจ้องแต่จะแกล้งผมไง เอาจริงๆ ตั้งแต่ข้าวก้องเป็นเด็กจนโตมานี้ผมแอบหยิกมันตอนหลับบ่อยมาก แล้วไอ้บ้านี่เป็นประเภทหลับลึกโคตรๆ ลึกในระดับที่ถ้ามีไฟไหม้บ้านคือมันตายแน่นอน รอจัดงานศพให้ทีเดียวไปเลย เพราะแบบนี้แหละทุกครั้งที่ผมหยิกมันก็จะก็ไม่รู้สึกตัว

พี่ชายที่แสนดีก็จะประมาณนี้แหละครับ

“อ้าวท่านเฮดว้าก คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วหรอ” สยามเอ่ยทักเพื่อนขุนที่เดินมานั่งลงใกล้ๆ สีหน้าของเจ้าตัวดูหงุดหงิดอยู่พอตัว เป็นอะไรของมันวะ

“เสร็จแล้ว เออเมื่อกี้กูเห็นน้องปี 1 วิ่งรอบโรงอาหาร ใครเป็นคนสั่งวะ”

“กูเอง มันไม่ได้เอาป้ายชื่อมา” ผมเท้าคางมองมัน “มึงเถอะ ไปแดกรังแตนที่ไหนมา”

“รังแตนมันกินได้ด้วยหรอวะ” ชาเย็นเอ่ยถามอย่างจริงจังแถมยังตาโตมากด้วย เกิดมาอายุ 20 ปีนี่ไม่เคยได้ยินสำนวนนี้เหรอ

มึงไปอยู่ที่ไหนมาวะ

“มันเป็นคำเปรียบเปรยครับชาเย็น” แกงป่าบอกพร้อมกับทำหน้าเอือมใส่ ไอ้คนซื่อบื้อมันก็พยักหน้ารับรู้

“คือเรื่องงานนี่แหละมึง เหมือนว่าค่ายครั้งนี้เขาจะเร่งเวลาไปเร็วกว่าครั้งแรกอะ เพราะงั้นพวกรายงานกิจกรรมที่ต้องทำก็ต้องเสร็จเร็วหน่อย วันนี้กูกะจะนัดประชุมคณะกรรมการหลังจากที่ประชุมเชียร์เสร็จ ยังไงก็วานมึงเรียกประธานของสองชั้นปีให้กูด้วยละกันนะก้อง”

“โอเค” เจ้าของชื่อรับคำก่อนจะเอียงหัวมาใกล้ผม “พี่แช่มมองมึงอยู่”

“ไหนวะ” ผมกวาดสายตามองตามทันทีหลังจากที่มันพูดจบ ร่างสูงที่สวมเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงอาหารกับเพื่อนๆ ของเขา พอเจ้าตัวเห็นผมมองก็ยิ้มหวานให้

ยังมีหน้ามายิ้มอีกนะ

“ไม่ลุกไปหาหรอ”

“ไม่อะ แดกข้าวอยู่เนี่ยะ”

“แต่เค้าเดินมาหามึงละนะ”

ผมมองพี่แช่มที่ปลีกตัวเดินเข้ามาที่โต๊ะ บรรดาเหล่าสหายก็ยกมือไหวกันไปตามระเบียบ ร่างสูงเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ “น้องหอม”

“เรามีคดีกันอยู่นะ” ผมเหลือบมองเขานิ่งๆ เนี่ยะ ถ้าตอนเย็นไม่ถูกง้อด้วยการพาไปกินไอติมล่ะก็จะงอนแม่งข้ามไปอีกชาติภพเลยคอยดู

“พี่ขอโทษนะ ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจริงๆ อะ” เขาบอกเสียงอ่อนก่อนจะเอียงหัวเข้ามาใกล้ผม “ถ้าไม่อยากให้พี่ตื่นสายก็มานอนกับพี่สิจ๊ะ”

ไปนอนกับพี่เพื่อให้ได้ยินพี่ละเมอถึงคนอื่นอีกน่ะเหรอ

ฝันไปเถอะ

“ไม่ โตแล้วก็ต้องตื่นเองได้สิ” ผมรวบช้อนไว้กลางจานก่อนจะหยิบช็อกโก้บานาน่ามาดูดจนหมดแก้ว

“ก็อยากให้ปลุกหนิ”

“ไม่ต้องเลย” ผมจับมือพี่แช่มมาตีเบาๆ “นี่คือโทษที่เบี้ยวนัดกันเมื่อเช้า เย็นนี้ต้องพาหอมไปเลี้ยงไอติมด้วย”

“ได้สิจ๊ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เจ้าตัวรับคำพลางยิ้มหวาน มือเรียวประสานเข้าที่มือผมก่อนจะยกหลังมือตัวเองขึ้นไปจูบเบาๆ ทำอะไรของเขาวะนั่นน่ะ

ผมหลุดหัวเราะออกมา “พี่ทำอะไรเนี่ยะ”

“ให้กำลังใจตัวเอง เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ น้องหอมก็เสร็จงานเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน เดี๋ยวพี่รอ”

“โอเค ตั้งใจเรียนนะพี่แช่ม”

“ค้าบบบบ” ร่างสูงรับคำก่อนจะเดินไป รับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาทางผม คือจ้องไม่พอนะมีการยกมือมาบีบจมูกตัวเองกันด้วย

“เป็นอะไรของพวกมึง”

“เหม็นความรัก”

ประสานเสียงกันไปอีก

ผมเบ้ปากใส่ชาวแก๊งค์ที่แสดงรีแอคชั่นกวนประสาทออกมา มันน่าไหมเนี่ยะแต่ละคน เวลาที่พวกมันเอาแฟนมานั่งหยอดกันต่อหน้าผมยังไม่เคยแซวเลย นี่แค่มานั่งคุยกันแปปๆ เองนะทำมาเป็นเหม็นความรักกัน น่าหมั่นไส้ ไว้ถึงทีของข้าวหอมบ้างนะครับเพื่อนๆ ถ้าเพื่อนๆ เอาแฟนมานั่งกุ๊กกิ๊กด้วย กูจะเอาสเปรย์ปรับอากาศไล่ฉีดเลย เอาให้เป็นการเหม็นความรักที่เล่นใหญ่กว่าชาวบ้านเขา

มึงเจอแน่

เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงอยู่นะที่ต้องเข้าประชุมเชียร์น่ะ ผมกะว่าจะนั่งเปิดตี้เล่นกับเพื่อนๆ ไปยาวๆ แต่เดี๋ยวต้องย้ายที่ไปห้องของคณะซะก่อน คือแก๊งค์ว้ากเกอร์เนี่ยะมันก็ต้องคีพลุคในระดับนึงไง แต่เวลาที่พวกผมเล่นเกมมันจะเหมือนเด็กกระโปกที่ขี้โวยวายมาก และถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะเป็นการรบกวนคนอื่นที่เขานั่งกินข้าวกัน อีกอย่างไอ้ที่คีพลุคกันมาอาจจะแตกยับได้ในเกมเดียว

อา....เป็นพี่ว้ากมันลำบากจริงๆ นั่นแหละ

คิดแล้วเพลียใจชิบ





“ผมหวังว่าครั้งหน้าพวกคุณจะมีระเบียบมากกว่านะครับ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม!!!!”

“เข้าใจครับ / ค่ะ”

“ดี” ขุนศึกกวาดสายตามองไปรอบๆ “เดี๋ยวประธานของปี 2 จะมาชี้แจงเรื่องกิจกรรมกับพวกคุณ และผมขอย้ำอีกครั้งว่าการเข้าประชุมเชียร์ครั้งหน้า....ห้ามสายนะครับ ขอบคุณ” สิ้นเสียงสั่งร่างสูงก็เดินนำพวกผมออกมาจากห้องเชียร์ทันทีเพื่อให้พวกปี 2 ได้ทำหน้าที่ต่อ

พวกเราคณะว้ากเกอร์เดินกลับมาที่ห้องคณะก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่อย่างหมดสภาพ ประชุมเชียร์ครั้งที่ 4 นี่ปวดจิตมากจริงๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่ามีเด็กมาสายเยอะแถมยังมีคนที่ไม่เข้าอยู่เยอะพอสมควรเลย ผมพอเข้าใจเด็กที่ไม่เข้าร่วมการประชุมเชียร์นะ เอาจริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลที่จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ เราจะไปบังคับเด็กที่ไม่อยากเข้าให้เข้ามันก็ไม่ใช่เรื่องหรอก

การตัดสินใจของคนอื่นเราจะไปยุ่งได้ยังไง.....จริงไหม

เท่าที่ผมดูแล้วคือเด็กที่ไม่เข้านี่ก็คือเด็กที่ไม่เข้าตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ก็พวกที่จะหนีความผิดอย่างเช่นการลืมเอาป้ายมาหรือเรื่องอื่นๆ ก็เลยเลือกที่จะไม่เข้าประชุมเชียร์ เด็กพวกนี้มันแสบจริงๆ เลยนะ เชื่อได้เลยว่าถ้าเจอหน้ากันรอบนอกมันจะพากันวิ่งหนีแน่ๆ ส่วนมากจะเป็นแบบนั้นนะครับ เอาจริงๆ ตอนที่พวกผมเรียนปี 1 เนี่ยะก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กพวกนี้สักเท่าไหร่

ดีไม่ดีหนักกว่าด้วยซ้ำ

ผมเป็นคนนึงที่เคยไม่ชอบระบบโซตัสนะเพราะจดจำภาพที่ว่าจะต้องโดนว้ากโน่นนี่ จิตใจมันต้องโคตรหดหู่แน่ๆ อีกอย่างคือรุ่นพี่มันเป็นใครวะ ห้าวแค่ไหนถึงมาตะคอกใส่รุ่นน้อง คือตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ นะครับแต่พอได้เข้าประชุมเชียร์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเหล่าพี่ว้ากของรุ่นผมแกไม่ได้ทำตัวเหี้ยมดีแต่เสียงดังใส่ล่ะมั้ง พวกรุ่นพี่ของผมให้อะไรกับพวกผมหลายอย่างเลยนะและผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันดี ผมก็เลยมองโซตัสในแง่ดีมากขึ้น

ระบบนี้มันไม่ได้แย่แต่มันต้องมีขอบเขตครับ

มากเกินไปแน่นอนว่ามันต้องไม่ดี ถ้านำไปใช้แบบผิดๆ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมว่านะไอ้ระบบที่รุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่เนี่ยะ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวรุ่นพี่ด้วยนะ ถ้ารุ่นพี่น่าเคารพยังไงรุ่นน้องก็ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่ถ้ารุ่นพี่ไม่น่าเคารพในแง่ของการกระทำที่ไม่ดีหลายๆ อย่างมันก็ไม่น่าแปลกที่รุ่นน้องจะไม่เคารพ อีกอย่างผมคิดว่าคนทุกคนน่าจะโอเคกับการพูดจากันดีดี มีเหตุผล ไม่ใช่แค่เสียงดังใส่แล้วสั่งอย่างเดียว

ใช่ไหมล่ะ

“เราจะทำยังไงให้เด็กที่ไม่เข้าประชุมเชียร์ยอมเข้าวะ” สยามเอ่ยถามขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้เด็กๆ เปลี่ยนใจ มันก็ทำได้แหละแต่ว่าต้องใช้เวลา

“อาจจะต้องใช้การพูดจาโน้มน้าวใจ” ขุนศึกบอกพลางถอนหายใจออกมาหนักๆ “เรื่องนี้กูจะจัดการเอง ไม่ต้องห่วง”

ข้าวก้องลุกไปหยิบเอกสารในตู้มาวางกองไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นข้อมูลเรื่องค่ายนะ อีกครึ่งชั่วโมงจะประชุมละ พวกมึงก็เคลียร์สมองแล้วตั้งสติละกัน”

“กูเคยคิดมาตลอดตอนที่อยู่ปี 2 ว่าพวกพี่ขันนี่เก่งจังเลยน้า รับผิดชอบงานเยอะขนาดนี้ได้โดนยังไม่ตาย นี่กูก็หวังให้น้องเราคิดแบบนั้นบ้าง” แกงป่าบ่นก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

“กูว่าพวกปี 2 ก็ต้องคิดแบบเรานี่แหละ” ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาดู ข้อความไลน์จากคนขี้เมามันก็พอทำให้อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของผมดีขึ้นมาได้บ้างล่ะนะ



แช่มนะ : คิดถึงนะ ตั้งใจทำงานด้วย *สติ๊กเกอร์นกฮูกยิ้ม*



น่ารักชะมัด

“อยู่ดีดีก็นั่งยิ้มอะ ไปกันใหญ่แล้วคนเรา”

ข้าวก้องนี่มัน....

“เสือก!!!!”



---------- 50% ------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
------------ ต่อจากบท 2 ----------

[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



“ทำไมวะแช่ม กูไม่ดีตรงไหนอะ”

“ไม่ใช่ว่ามึงไม่ดีหรอกเฌอ” ผมยกมือขึ้นแตะไหล่เพื่อนรักเบาๆ “มึงแค่ไม่ใช่ว่ะ”

“อา....แดกเหล้าเลย เดี๋ยวกูไลน์นัดเพื่อนแปป”

“กูไปไม่ได้นะ”

เจ้าตัวหันขวับมองผมทันที “ทำไมงั้นล่ะ”

“มีนัดกับน้องหอมแล้ว กูมีคดีเบี้ยวนัดกินโจ๊กเมื่อเช้าด้วย กูก็เลยกะให้เวลาน้องเต็มที่หน่อย”

“มึงนี่แม่ง กูไปกับไอ้หมีก็ได้”

คิดว่าไอ้ขันจะปล่อยให้ไอ้หมีไปเหรอวะ

ไม่มีทางซะหรอก

ผมนั่งมองเพื่อนรักอย่างเพลียหัวใจ ไอ้บ้านี่มันโดนแฟนคนที่สองแสนสามบอกเลิกอีกแล้วครับ ได้ข่าวว่าเพิ่งคบกันเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง ทำไมถึงได้คบไวแล้วเลิกไวแบบนี้วะ ตั้งแต่ผมรู้จักเฌอมานี่ก็นับว่า 3 ปีได้แล้วนะ ผมไม่เคยเห็นมันคบกับใครเกิน 1 เดือนสักคน นานสุดเท่าที่เห็นก็คือ 2 อาทิตย์ แล้วพอมันอกหักมันก็จะแซดมาก ไปพักใจตามร้านเหล้า ผมว่าคนที่จะตายก่อนใครในกลุ่มก็มันนี่แหละ

เป็นโรคตับแข็งตาย

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเฌอมันไม่เข็ดกับความรักสักทีนะ อย่างน้อยก่อนที่จะยกใจให้ใครไปก็น่าจะดูกันให้ดีดีก่อนสิ สุดท้ายก็มานั่งเสียใจแบบนี้ แต่จะว่ามันอย่างเดียวมันก็จะดูไม่แฟร์สักเท่าไหร่ ตัวผมเองก็ไม่ได้ทำได้ดีในเรื่องของความรักมากนัก จะว่าไปก็เกือบ 2 ปีแล้วที่ผมยึดติดอยู่กับคนๆ เดียว ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเขาเป็นเด็กปี 1 ที่หาห้องตัวเองไม่เจอและแววตาของเขามันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่ได้จากผมไปแล้ว

มันเหมือนกันมากจริงๆ

เด็กคนนั้นคือข้าวหอมครับ ผมมาเจอน้องอีกทีตอนเย็นที่กำลังเข้ากิจกรรมสันทนาการ จำได้ว่าวันนั้นผมได้ให้ใบโคลเวอร์สี่แฉกกับเขาไปแล้วก็บอกไว้ว่าฝากไว้ก่อน วันไหนที่ผมจะเอาคืนเดี๋ยวผมจะบอก ไม่รู้ว่าป่านนี้น้องจะยังเก็บมันเอาไว้อยู่รึเปล่า แต่เวลานานขนาดนี้มันก็คงจะแห้งหมดแล้วล่ะ ผมเชื่อในเรื่องของใบโคลเวอร์สี่แฉกที่พาความโชคดีมาให้นะ ที่หอของผมจะมีโหลที่เก็บใบโคลเวอร์สี่แฉกเอาไว้ มันเป็นคำสัญญาที่ผมทำไว้กับ.....

อื้มมม.ม.....ปวดหัวจัง

ผมควรเลิกนึกถึงมัน

“เป็นไรวะ ปวดหัวอีกแล้วหรอ” เฌอเอ่ยถามก่อนจะจับหัวผม “มึงไปหาหมอก็ดีนะ กูว่ามึงปวดหัวบ่อยเกินไปว่ะ”

“เพราะพักผ่อนน้อยนั่นแหละ ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มบางๆ ให้เพื่อไม่อยากให้มันเป็นห่วง

“แต่ถ้าไม่ไหววันไหน มึงต้องไปนะ”

“ได้ดิ โถ่มึง กูเป็นใครครับ กูแช่มนะ ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอก” ผมยักคิ้วให้มัน “แล้วนี่มึงจะกลับไปหอก่อนรึเปล่า”

“ก็อาจจะ แล้วไอ้หอมจะมากี่โมง”

“น้องหอมบอกว่าน่าจะเสร็จตอน 6 โมงกว่าๆ ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวกูไปก่อนละกัน คืนนี้เดี๋ยวกูกินเหล้าเผื่อเองมึงไม่ต้องห่วงนะ”

“เออ แดกให้ตับพังไปข้างเลยนะ”

“ได้ดิ แล้วเจอกันมึง” สิ้นเสียงบอกร่างโปร่งก็ลุกเดินออกไป เหลือแค่ผมที่นั่งอยู่คนเดียวหน้าตึก ตอนนี้ก็ 6 โมงแล้วนะครับผมคิดว่าน้องหอมคงใกล้มาแล้วแหละ

ช่วงนี้ระหว่างเราสองคนก็ถือว่าโอเคนะครับ ก็โอเคกว่าตอนแรกที่ทะเลาะกันแทบทุกวัน มันเป็นเพราะความงี่เง่าของผมล้วนๆ เลยด้วยที่ไปชวนน้องทะเลาะ สาเหตุมันก็มาจากการที่คนอื่นมาวอแวเขานั่นแหละ ผมไม่ชอบอะมันน่าหงุดหงิด แต่จะไปตามกระทืบมันก็ไม่ใช่เรื่องไง รู้ตัวอีกทีก็ทำตัวประชดประชันใส่น้องหอมไปแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ

ผมเนี่ยะผิดเต็มๆ

เอาจริงๆ ความสัมพันธ์ของเรามันค่อนข้างจะกึ่งๆ จะว่าชัดเจนไหมมันก็พูดได้ไม่สุด หลายๆ คนก็เข้าใจว่าผมกับน้องหอมไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเนื่องจากการขิงข่าของผมเอง แต่เอาตามความจริงเราก็ยังคงเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันนั่นแหละ สถานะของเรามันยังแค่นี้แต่ความสัมพันธ์ของเราก็คือคนที่รักกันนะครับ

ผมคิดแบบนั้นนะ

เราใจตรงกันมาตั้งนานแล้วแหละ ผมยังจำช่วงที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนจากชอบมาเป็นรักได้เลย ในหัวมันบอกแค่ว่าเรารักคนๆ นี้นะ ต้องทำยังไงถึงจะให้เขาอยู่เคียงข้าง ทำยังไงเพื่อไม่ให้เสียเขาไป ผมเป็นคนที่กลัวความสูญเสียจากความรักมากครับ บวกด้วยการเห็นเฌอเสียใจเพราะความรักบ่อยมากจนมันทำให้ผมไม่อยากอยู่ในจุดนั้น เพราะแบบนี้มันก็เลยยังทำให้ผมไม่กล้ามากพอที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้มันไปไกลมากกว่านี้

มันคือความเห็นแก่ตัวจริงๆ

ผมมีเหตุผลของผมซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมปวดหัวมากและมันคงแย่มากถ้าผมพูดถึงมันอีก ใครไม่ใช่ผมจะไม่มีวันเข้าใจเด็ดขาดและต่อให้ใครไม่เข้าใจก็ตามผมก็ยังเลือกที่จะไม่พูดถึงมันดีกว่าเพราะมันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ยังทำให้ผมเป็นแช่มในทุกวันนี้ได้ ทุกคนย่อมเคยมีช่วงย่ำแย่ของชีวิตครับ ผมผ่านจุดนั้นมาแล้วและผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นแบบนั้นอีก

กว่าจะกลับมาเป็นปกติมันช่างยากเหลือเกิน

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ว่าไงจ๊ะน้องหอม”

(หอมประชุมเสร็จแล้วนะพี่แช่ม แล้วคุณจะเดินชนผมทำไมเนี่ยะบวร ตลกมากหรอห้ะ)

ไอ้เบย์อีกแล้วงั้นเหรอ

“ออกมากับไอ้เด็กนั่นอีกแล้วหรอ”

(ก็ออกมากันทั้งหมดนั่นแหละ แล้วนี่ทำเสียงเข้มทำไม)

“....เปล่า”

(หนิ คดียังอยู่นะ ห้ามมาเข้มใส่หอมเชียว)

“พี่จะทำอะไรน้องหอมได้ล่ะหืม แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ พี่ได้เดินไปหา”

(กำลังจะไปลานจอดรถ เจอกันที่นั่นเลยก็ได้)

“ใช่ งั้นเดี๋ยวพี่เดินไปหานะครับ”

(ครับ เอ๊ะคุณนี่มันยังไงวะบวร)

“หึ....” ผมกดวางสายก่อนจะผ่อนลมหายใจหนักๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด รู้สึกหัวร้อนยังไงไม่รู้ว่ะ

ไม่ชอบใจเลย

ผมเดินจากหน้าตึกแล้วไปที่ลานจอดรถทันที ความคุกรุ่นในใจนี่มันจริงๆ เลยนะ บ่อยครั้งที่ผมฉุนเฉียวใส่น้องหอมเพราะเด็กปี 1 ที่ชื่อว่าบวร มันชื่อเล่นว่าเบย์ครับ สืบข่าวมาแล้วคือเป็นตัวท็อปของวิศวะฯ ปีนี้เลยแหละ ดังในระดับที่คนส่วนมากรู้จัก หน้าตาดี รูปร่างดี เรียนเก่ง ดีกรีประธานคณะกรรมการนักศึกษาของปี 1 ดูทรงแล้วน่าจะถูกดันให้เป็นเดือนคณะด้วย   

โปรไฟล์ไม่ไก่กาเลย

ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้เด็กนี่ตั้งแต่วันแรกที่เห็นมันแล้ว สายตาที่มันมองน้องหอมคือชัดเจนมากว่าชอบ ตอนแรกผมคิดว่ามันจะชอบผู้หญิงซะอีก ที่ไหนได้ล่ะ หึ้ยย.ย..ย....ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดว่ะบัดซบเอ๊ย คนมีตั้งเยอะไม่ชอบมาชอบคนของผม แถมยังวอแวเก่งจนน่ารำคาญ ผมไว้ใจน้องหอมนะว่าเขาคงไม่ได้เผลอใจไปให้มันแน่ๆ แต่ยังไงผมก็ไม่ชอบใจอยู่ดี ใครมันจะอยากเห็นคนที่ตัวเองรักมีคนอื่นมายุ่มย่ามวะ

วางแผนดักตีหัวดีไหมน้า

ทำไมเป็นคนเถื่อนแบบนี้ล่ะแช่ม

ไม่เอาๆ ผมจะไม่ทำตัวเป็นไอ้ขันสองเด็ดขาดที่ทำตัวโฉดชั่วเด็ดขาด เรื่องแผนดักตีหัวนี่เอาไว้ให้ถึงวันที่ทนไม่ไหวจริงๆ ดีกว่า แต่ช่วงนี้ก็รู้สึกไม่ไหวบ่อยน่ะนะ คือทุกครั้งที่เจอไอ้เบย์ผมก็ทำหน้าเหี้ยมใส่มันไปตลอดแต่เหมือนว่ามันจะดูไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ มันต้องรู้แหละว่าผมกับน้องหอมมีซัมติงกันแต่มันก็ไม่ได้สนใจ ยังตามวอแวน้องหอมของผมอยู่ทุกวี่ทุกวัน

แหม่....พูดละของขึ้น

บวกแม่งซะเลยดีไหม

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงลานจอดรถ เห็นร่างของน้องหอมยืนรออยู่โดยที่ข้างๆ มีมารหัวใจยืนอยู่ด้วย แถมกำลังหัวเราะคิกคักอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยเดินหน้านิ่งเข้าไปหาพลางส่งสายตาอำมหิตไปให้ไอ้เบย์ด้วย

มันยกมือไหว้ผม “พี่แช่มสวัสดีครับ”

“เออ” ผมขานรับก่อนจะหันมองน้องหอม “ไปยัง”

“ไปดิ” เจ้าตัวยิ้มรับคำ ทำหน้าแบบนี้คือรู้แน่ๆ ว่าผมกำลังไม่ชอบใจอยู่ ดีละ รู้แบบนี้ก็ดี เพราะหลังจากนี้มันจะถึงคราวผมงอนบ้างแล้ว

เตรียมตัวง้อพี่เลยนะน้องหอม

“อย่าลืมที่บอกผมไว้นะพี่หอม ผมจะรอนะครับ”

ผมหันขวับมองทันที “ข้าวหอม”

“เราไปกันเถอะเนอะ” น้องยิ้มหวานให้ผมก่อนจะทำหน้าดุใส่ไอ้เบย์ “ส่วนคุณน่ะ ไปได้แล้วไป”

“ครับ แล้วเจอกันนะครับพี่”

ฝันอยู่เหรอว่าจะได้เจอกัน

เดี๋ยวมึงตายแน่ไอ้เวรเบย์

ผมขึ้นรถด้วยหน้าที่ยับเป็นหมาปั๊ก เนี่ยะ น้องหอมตกลงอะไรกับมันก็ไม่รู้ หื้ออ.อ.อ....ไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจเอามากๆ ในหัวผมมีแต่คำนี้ลอยอยู่เต็มไปหมด นี่ประสาทจะแดกแล้วนะ ทำไมมันจะต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ

น่าหงุดหงิดชิบหาย

“พี่แช่ม” คนที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับเหลือบมองผม “เป็นไร”

“.....หึ”

“อย่าหึสิ ไหนเป็นไรมาคุยกันก่อนเร็ว” มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเบาๆ “ไหนพูดมาซิว่าเป็นอะไร”

“อย่าลืมที่บอกนี่คือบอกอะไร”

“ชีทเก่าๆ อะพี่ มันบอกว่าอยากได้เฉยๆ ไม่มีอะไรเลย”

ผมหรี่ตามอง “.....งั้นเหรอ”

“พี่ไม่เชื่อหอมหรอ” มือที่จับผมอยู่คลายออกก่อนจะมองผมนิ่งๆ “ถ้าพี่ไม่เชื่อ หอมก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันหน้าหนีผม แล้วทำไมมันเหมือนน้องงอนผมกลับล่ะ

“พี่ยังไม่ทันบอกเลยว่าไม่เชื่อ”

“หน้าพี่มันฟ้องทุกอย่างแล้ว” น้องหันกลับมามองผม “หึงขนาดนั้นเลยรึไง”

“ก็น่าจะรู้นะครับ”

“แล้วหึงในฐานะอะไร”

นั่นสิ....ผมจะหึงน้องได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

.....โคตรใช่เลยว่ะ

“พี่ขอโทษนะน้องหอมที่งี่เง่าใส่” ผมยิ้มบางๆ ให้น้อง “ไปหาอะไรกินกันเนอะ”

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“หอมยังไม่ได้คำตอบใช่ไหม”

“.....”

“ไม่เป็นไร มันก็เหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละเนอะ” น้องยิ้มหวานให้ผม “ไปหาไรกินกันเถอะ หอมหิวแล้ว” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ออกรถทันที ความรู้สึกอึดอัดใจนี้มันคืออะไรกัน ผมไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้เลย

ตอนแรกน้องหอมยังยิ้มอยู่เลย ยิ้มที่เป็นรอยยิ้มแบบจริงๆ ไม่ได้ยิ้มเพื่อปกปิดอะไรบางอย่างแบบนี้ ผมทำเรื่องแย่กับน้องอีกแล้ว มันรู้สึกผิดแต่ผมคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขอโทษเขาแค่อย่างเดียว ผมนึกไม่ออกเลยว่าวันไหนที่เขาไม่ยกโทษให้ผมแล้ว ผมจะเป็นยังไง มันต้องแย่มากแน่ๆ

แค่คิดมือก็สั่นแล้ว

“ไม่ต้องทำหน้าซึมแบบนั้นเลย” น้องหอมเหลือบมองก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “หอมรอได้ตลอดนั่นแหละรู้ไหม แต่ว่าหอมก็อยากให้พี่วางใจให้มากขึ้นนะ ยังไงหอมก็มีแค่พี่นั่นแหละ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมจับมือน้องไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป พี่ขอเวลาอีกสักหน่อยนะน้องหอม พี่จะไม่ปล่อยให้เราต้องรออีก

“เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้ว”

“จ่ะ” ว่าแล้วผมก็ยิ้มให้น้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมือของเราสองคนที่กุมกันไว้แล้วกดเข้าไปในทวิตเตอร์เพื่ออัพข้อความบางอย่าง ผมเป็นคนที่ติดทวิตเตอร์ในระดับนึงเลยนะ

มันมีความหมายกับผมในหลายๆ อย่างเลยล่ะ

อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้





Charit @Charitpedd

ผ้าห่มหนาๆ ที่ว่าอุ่นก็ยังสู้มือของคุณไม่ได้ :)



#พี่แช่มได้กล่าวไว้










TBC.

สวัสดีบี๋ทุกคนน้าชาลมาส่งแช่มหอมให้แล้วนะคะ ก็คติของนิยายเรื่องนี้คือเราจะมาเป็นไบโพล่าร์ไปพร้อมๆ กันนะ มันจะสลับอารมณ์อยู่ตลอดแบบนี้แหละ สตอรี่เรื่องของพี่แช่มเนี่ยะ ตอนนี้มีแค่ชาลคนเดียวที่รู้อย่างแจ่มแจ้ง ก็รอติดตามกันต่อไปนะคะ

ช่วงนี้มันนเป็นสองวีคสุดท้ายที่ชาลจะเรียนของเทอมนี้และก็เป็นสองวีคที่งานเยอะมากๆ นิยาอาจจะลงช้ามากเพราะต้องรีบเคลียร์งานนะคะ โปรเจ็กต์แต่ละตัวมันค่อนข้างจะสาหัสมากเลยและก็ส่งผลต่อคะแนนมากด้วย ชาลจะต้องตั้งใจกับมันมากๆ เดี๋ยวจะสอบไฟนอลแล้วด้วย ชาลจะลงนิยายช้าหน่อยขอให้บี๋อดทนรอกันหน่อยนะ สำหรับบี๋ที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้วชาลก็อยากบอกว่าให้ตั้งใจเรียนนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เฮียไม่ชัดเจน ให้ความหวังอีน้อง ระวังอีน้องหมดใจเด้อเฮีย  :seng2ped:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 3 คนที่ใช่



Kh. @KhH22_luc

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่สถานะ แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ของเราที่มีต่อเขาต่างหาก



#CloverBad






เหมือนทุกวันนี้ผมจะใช้ประโยคนี้ปลอบใจตัวเองซ้ำๆ นะ

แซดเฉยเลยว่ะ

ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างกายก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียง วันนี้เป็นวันหยุดครับและตอนนี้ก็รู้สึกเปื่อยมาก มองนาฬิกาก็เกือบจะทุ่มนึงละ พวกเพื่อนๆ ก็ชวนออกไปตี้นะแต่ผมเบื่อๆ ยังไงไม่รู้เลยขอบาย นี่ก็นอนกลิ้งไปมาตั้งแต่บ่ายแล้ว คือถ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำผมก็ไม่ลงจากเตียงตัวเองเลย ขลุกอยู่บนนี้ประหนึ่งมันเป็นวิมาน

รู้จักป้ะวิมานเตียงของข้าวหอมอะ

บนเตียงนี่เต็มไปด้วยตุ๊กตานกฮูกที่ผมไม่ได้ซื้อมาเอง ของพี่แช่มทั้งนั้นแหละ เขาดูชอบนกฮูกมากเลยนะ แน่ล่ะขนาดคุณเฉลิมของเขายังเป็นสัตว์ในตระกูลนกฮูกเลยหนิ ว่าแล้วก็คิดถึงคุณเฉลิมเหมือนกันนะเนี่ย เป็นอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้ไปหานาง ป่านนี้เจ้าอ้วนนั่นคงคิดถึงผมแย่ ไม่เป็นไรนะคุณเฉลิม เดี๋ยวถ้าหอมเข้าไปหา หอมจะซื้อหนูแช่แข็งไปให้เยอะๆ เลย

เอาให้กินตัวกลมกันไปข้าง

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย เสียงคุ้นหูที่ผมจำได้เป็นอย่างดีว่าคือใคร “คุณเอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ยะบวร”

(พี่ข้าวหอม)

“ไม่ได้ยินที่ผมถามงั้นหรอ”

(ก็ผมควรมีเบอร์พี่นะครับ เผื่อติดต่องานไง)

“คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ มีปัญหาด้านการสื่อสารหรอ”

(ผมเอาเบอร์มาจากพี่สยามครับ)

หึ....ไอ้สยาม

“แล้วคุณมีอะไรถึงได้โทรหาผม”

(ก็อยากขอบคุณน่ะครับที่วันนี้พี่เอาชีทมาให้)

“คุณขอบคุณผมไปแล้วนะวันนี้”

(ก็ผมอยากขอบคุณพี่อีกหนิครับ)

“ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ถ้าไม่มีไรอีกงั้นแค่นี้แหละ” ผมกดตัดสายทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมา เชื่อได้เลยว่าถ้าผมไม่ชิงตัดสายก่อนมันจะต้องยืดเยื้อมากกว่านี้แน่ๆ

บวรเนี่ยะถือว่าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้พี่แช่มงอนผมบ่อยมาก คือทุกครั้งที่มันมาวอแวผมแล้วพี่แช่มเห็นเขาก็จะดึงหน้าแสดงออกว่าไม่พอใจทันที ตัวบวรเองก็รู้นะว่าพี่แช่มไม่ชอบแต่มันก็ไม่สนใจ ยังคงวอแวสร้างความร้าวฉานให้ผมกับพี่แช่มอยู่ร่ำไป แต่เอาจริงๆ พี่แช่มเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาหึงหวงหรือไม่ชอบใจอะไรนะเพราะว่าเราสองคนก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน

ทำไมมันจึ้กๆ แบบนี้วะ

ถึงจะจึ้กยังไงแต่สิ่งที่ผมพูดมันก็คือความจริงแหละนะ เราก็แค่คนที่ชอบกันแต่มันก็เท่านั้นอะ ผมไม่สนใจใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตนะแต่พี่แช่มนั่นแหละที่กลัวว่าผมจะไปสนใจคนอื่น คิดแบบนี้ทีไรก็รู้สึกคันไม่คันมืออยากตบให้คว่ำสักสองสามที แล้วนี่ก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่บ่าย บอกมาแค่ว่าจะออกไปผจญภัยในโลกกว้างกับเหล่าแก๊งค์ปลาทองของเขา คิดได้เลยว่าคงมีงานต้องทำด้วยกันนั่นแหละแต่ก็ขอให้ได้บอกว่าออกไปผจญภัย

คนติ๊งต๊องก็เป็นแบบนี้แหละครับ

ครืดดด....ดดด

ใครอีกวะคราวนี้อะ

“มีไรวะไอ้ก้อง”

(กูเห็นพี่แช่มมีเรื่องกับโต๊ะข้างๆ ในร้านอะ)

“จริงป้ะเนี่ย แล้วมีใครห้ามยัง”

(ก็ช่วยกันห้ามอยู่ ไอ้พวกนั้นเรียกพี่แช่มออกไปนอกร้าน เนี่ยะ พวกกูกำลังจับตัวเค้าอยู่)

“แล้วอาการพี่แช่มตอนนี้เป็นยังไง”

(โหโมอะไรไม่รู้เหมือนกัน จะเอาเรื่องไอ้พวกนั้นให้ได้ด้วย มึงรีบมาห้ามหน่อยได้ไหมวะ เผื่อเค้าจะใจเย็นลง)

“อยู่ร้านไหน”

(จันทร์เจ้า)

“เออ เดี๋ยวกูรีบไป” ผมกดวางสายก่อนจะรีบหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องทันที ดันมีเรื่องกันเฉยเลย ปกติพี่แช่มก็สายบวกด้วยนะ ไม่รู้ว่ามีอะไรมาทำให้ฟีลขาดถึงได้พร้อมลุยขนาดนั้น

ผมรีบขับรถอออกจากหอเพื่อนมุ่งหน้าไปจันทร์เจ้าทันที ขืนชักช้านี่มีหวังอาละวาดร้านพังแน่ๆ ผมว่าพี่แช่มไม่น่าไปกินเหล้านะแต่ว่าจันทร์เจ้ามันเป็นร้านของพี่ชายพี่ฉายไง ทำงานที่นั่นก็ถือว่าสะดวกอยู่แหละ พวกปลาทองเขาไม่สนเรื่องเสียงดังหรือเสียงแหกปากโวยวายอะไรหรอก เนี่ยะ พอเป็นแบบนี้มันก็น่าสงสัยนะว่ามีเรื่องอะไรถึงได้คิดจะลงไม้ลงมือกันแบบนี้ หวังว่าเรื่องที่มีปัญหากันมันคงไม่เกี่ยวกับผมนะเพราะถ้าเกี่ยวนี่จะองค์ลงให้ดู

ตายเป็นตายเลยเอาดิ

ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดด้านหลังร้านก่อนจะรีบลงไปหาพี่แช่มด้านในทันที เห็นเหล่าเพื่อนๆ ผมกำลังรั้งตัวพี่แช่มอยู่ พวกพี่ขันหายไปไหนไม่รู้ครับ อาจจะเคลียร์ให้อยู่ไม่ก็เป็นฝ่ายไปออกรบเองล่ะมั้ง เดี๋ยวนี้ยิ่งทำตัวเปรี้ยวตีนกันอยู่ด้วยไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยจะอัดอั้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นพี่ว้ากอยู่ล่ะมั้ง ช่วงนั้นทำอะไรก็ต้องคีพลุค แต่ตอนนี้คือลอยตัวแล้วไง อยากทำอะไรก็คือตามใจตัวเองสุดๆ

คิดจะบวกหน้าใครก็บวก

ห้าวจัดเลยอะ

“พี่แช่ม” ผมเดินเข้าไปหาเขาทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“น้องหอม” เจ้าตัวดูมีสติขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม แน่ล่ะ ลองไม่สติสิ นี่จะเอาเบียร์ราดหัวให้ชุ่มเลยคอยดู

“หอมถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเพื่อนๆ พี่ไปไหนหมด”

“ออกไปเคลียร์ข้างนอก แต่พวกมันไม่ให้พี่ออกไป” เขาเอ่ยอย่างหัวเสียก่อนจะนั่งลงที่เดิม “พวกมันไม่น่าห้ามพี่เลย”

“ห้ามน่ะดีแล้ว” ผมบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ มือก็เลื่อนไปลูบแขนเจ้าตัวเบาๆ เพื่อหวังให้เขาใจเย็นลง “ไหนเล่ามาซิว่าเกิดเรื่องอะไร ทำไมถึงจะทะเลาะกัน”

“ก็เมื่อกี้พี่ออกไปเข้าห้องน้ำ แล้วเจอเด็กกลุ่มนึงมันใช้บุหรี่จี้ขาแมวอะดิ พี่โมโหที่เห็นแมวโดนรังแกแบบนั้น พี่ก็เลย.....”

“โอเคหอมเข้าใจพี่แช่มละ แล้วตอนนี้แมวตัวนั้นอยู่ไหน”

“พี่เจ้าพาไปหาหมอ มันโดนจี้หลายจุดมาก ดูก็รู้แล้วว่ามันทรมาน จิตใจของไอ้เลวพวกนั้นทำด้วยอะไรก็ไม่รู้”

ผมเลื่อนมือไปจับมือพี่แช่มที่กำลังกำอยู่ให้คลายออก “ไม่เป็นไรนะพี่ เจ้าเหมียวนั่นคงไม่เป็นไรแล้วแหละ หอมว่ามันต้องดีใจมากแน่ๆ ที่พี่ปกป้องมันถึงขนาดนี้”

“พี่น่าจะเห็นไวกว่านั้น ไม่งั้นมันคงไม่เจ็บมากหรอก”

“พี่ทำดีที่สุดแล้ว....ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มบางๆ ให้ พอได้ฟังเหตุผลที่ทำให้เขาหัวร้อนนี่มันก็สมควรอยู่หรอกนะ ผมก็ชักอยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่มันทำร้ายแมวจริงๆ ว่ามันเป็นใคร

ดักกระทืบไล่หลังแม่ง

ผมไม่ชอบจริงๆ เลยนะพวกที่รังแกสัตว์เนี่ยะ เรื่องไม่ชอบก็พอเข้าใจแต่อยู่กันดีดีไม่ได้เหรอ จะไปเบียดเบียนมันทำไม ต่างคนต่างอยู่ก็ทำได้ป้ะวะ เก่งจริงกับสัตว์เนี่ยะ พอเห็นมันตัวเล็กกว่าก็เอาละ ไอ้คนแบบนี้มันน่าจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่โดนรังแกบ้าง จะได้รู้ซึ้งว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง แฟร์ดีด้วย เคยทำอะไรไว้แล้วได้เจอในสิ่งที่ตัวเองเคยทำนี่มันเป็นอะไรที่จุกสุดละ

สาปแช่งแม่ง

ถ้าผมเป็นพี่แช่มแล้วเห็นอะไรแบบนี้นะ ผมพุ่งเข้าไปซัดแล้ว เพื่อนฝูงก็ห้ามไม่ได้อะถ้าจะเอาเรื่อง ผมไม่ใช่สายพูดเยอะซะด้วยเพราะว่ามันเสียเวลา ข้องใจก็จัดเลย แต่ว่าการจัดแต่ละครั้งมันก็ต้องมีเหตุผลของมันนะครับ ต้องถึงจุดที่ทนไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ เมื่อก่อนผมอารมณ์ร้อนกว่านี้มากแต่พอมาเจอพี่แช่มก็ต้องใจเย็นมากขึ้น มันเป็นข้อดีนะที่ผมยับยั้งอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองได้ดีกว่าเดิมน่ะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นข้าวหอมที่โตสมกับอายุ 20 เลย

คำพูดคำจามันเว่อร์ไปป้ะวะ

“ไอ้ขัน”

ผมหันมองตามเสียงก็พบกับร่างสูงของพี่ขันที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ที่มุมปากมีรอยช้ำอยู่เล็กน้อย คนที่เดินเข้ามาข้างๆ กันคือไอ้หมีที่หน้ายับเหมือนกระดาษที่ถูกขยำ ไปทำอะไรกันมาวะนั่นน่ะ

“สวัสดีครับพี่ขัน ปากไปโดนอะไรมาอะพี่” ผมเอ่ยถามคนที่เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เปรี้ยวจัดไง เอาหน้าไปรับหมัด มันใช่เรื่องไหมห้ะ บอกแล้วจะจัดการให้ ไม่เคยจะฟังหรอก ยื่นหน้ามานี่เลย” ไอ้หมีบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะหยิบน้ำแข็งมาแปะที่มุมปากของแฟนตัวเอง

“อื้อออ.อ.อ....เบาๆ สิ มันเจ็บนะเนี่ย”

“พี่น่ะเงียบไปเลยนะ”

“แล้วไอ้พวกนั้นอะขัน”

“พวกมันไปละ ก็มีซัดกันนิดหน่อยนั่นแหละ แต่กูก็ไม่ได้เป็นไรมาก โอ๊ยยยย มึงจะฆ่ากูรึไงหมี”

“หื้อออ.อ.อ....นอนพื้นไปเลยนะวันนี้อะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะลุกเดินหนีไปไหนก็ไม่รู้ เอาล่ะพี่ขัน งานงอกแล้ว ดูจากหน้าไอ้หมีก็คงหงุดหงิดอยู่พอตัว ก็คงต้องปล่อยให้เขาตามง้อกันไปล่ะนะ

“อะไรของพวกมันวะ” พี่แช่มมองคู่ผัวเมียที่กำลังวอแวใส่กันอย่างเอือมๆ “แบบนี้ก็ไม่รู้น่ะสิว่ามันจบยังไง”

“ก็คงเคลียร์แล้วแหละ หรือว่าถ้ามีปัญหาตามมาทีหลัง ถึงตอนนั้นค่อยจัดการก็ได้”

“เอาอย่างนั้นก็ได้จ่ะ อา....หัวร้อนเป็นบ้าเลย”

“ให้หอมเอาน้ำราดหัวให้ไหมล่ะ มันจะได้เย็นลง”

“เอาจริงๆ ไม่ต้องใช้น้ำหรอก” เขาเอียงหัวเข้ามาใกล้ผม “แค่มีน้องหอม พี่ก็รู้สึกเย็นขึ้นแล้วแหละ”

คำพูดคำจานี่มัน....

“พูดจาเพ้อเจ้อ” ผมหันหนีก่อนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ ฟู่วววว....รู้สึกได้ว่ามันร้อนฉ่าพอสมควรเลยแฮะ อาการนี้บ่งบอกผมกำลังเขินในสิ่งที่เขาพูด แน่ล่ะ....พูดมาขนาดนั้นจะไม่ให้เขินได้ไงวะ

“ใช่สิ พี่มันคนชอบเพ้อเจ้อหนิ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะเท้าคางมองผม “เพ้อเจ้อแล้วชอบป้ะ”

ผมหลุดยิ้มให้เขา “มันเป็นคำถามที่พี่ก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ”

“ก็อยากได้ยินจากปากนี่จ๊ะ”

“ก็......”

“พี่แช่มพี่หอมสวัสดีครับ”

ไม่ต้องหันไปมองยังรู้เลยว่าเป็นเสียงของใคร

ผมมองสีหน้าของพี่แช่มที่ดูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อโดนทัก ซึ่งคนที่ทักเราสองคนก็คือบวรนั่นเองครับ ผมหันไปมองร่างสูงที่อยู่ในชุดไปรเวท ดูดีเชียวล่ะ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขากำลังจะทำให้ผมกับพี่แช่มมีเรื่องข้องใจกัน ความรู้สึกนี้มันโคตรใช่เลย ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาไม่หยุด พอเห็นแบบนี้แล้วอยากวาร์ปกลับหอแล้วนอนคลุมโปงเลยว่ะ

จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น

“อืม คุณมาทำไรเนี่ยะ” ผมเอ่ยถามไปตามมารยาท สายตานิ่งๆ ของพี่แช่มเหลือบมองมาทันที งืม....อย่ามองมาแบบนั้นซี่

ใจคอไม่ดีเลย

“วันนี้วันเกิดไอ้เนยไงพี่ หลานรหัสพี่อะ”

“อ่าวหรอ”

“ใช่ครับ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอพี่หอมที่นี่ มากินเหล้าหรอพี่”

“ร้านเหล้านี่มากินไอติมล่ะมั้ง” เสียงบ่นพึมพำดังจากพี่แช่ม เอาละ อาการหงุดหงิดระดับหนึ่งมาละ ผมว่าถ้าบวรยังอยู่ตรงนี้ อาการหงุดหงิดระดับสองน่าจะตามมาในอีกไม่ช้า

“เปล่าหรอกคุณ ผมมาตามพี่แช่มกลับหอน่ะ” ผมบอกก่อนจะหันไปหาพี่แช่ม “กลับกันเถอะ”

“ไม่กลับ พี่จะกินเหล้า” ว่าแล้วมือเรียวก็ยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้ากระดกลงคอจนหมด อะไรของเขาวะ กวนส้นตีนชิบ เนี่ยะ แม่งงอนผมระดับสองละ ดูทรงแล้วถ้าไม่เมาก็ไม่กลับนะเนี่ย

เพลียใจเลยข้าวหอม

เพลียใจเล้ยยยย

“งั้นก็แล้วแต่นะ” ผมบอกเสียงเรียบก่อนจะหันมองบวร “ไอ้เนยอยู่ไหนล่ะ ผมจะไปเปย์เหล้ามันสักหน่อย”

“อยู่โต๊ะฝั่งโน่นอะพี่” มันชี้นิ้วให้ผมดูแก๊งค์เด็กปี 1 ที่นั่งเย้วๆ กันอยู่ไกลๆ เฮฮากันน่าดูเลย หวังว่าถ้าผมเดินไปคงไม่เงียบเป็นป่าช้ากันนะ

“งั้นไปกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแต่มือเรียวของคนข้างๆ คว้าข้อมือผมไว้ “อะไร”

“อย่าไป”

“ไม่....ชวนกลับแล้วไม่กลับเอง” ผมดึงมือตัวเองออกมาจากเขาก่อนจะเดินหนีออกมาทันที เชื่อดิว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องหงุดหงิดระดับสามแล้วก็แปลงร่างเป็นแช่มคนขี้เมาเหมือนกับทุกครั้งเพราะงั้นปล่อยเขาไว้ตรงนั้นแหละ

ค่อยมาเก็บซากทีหลัง

ผมเดินตามบวรมาจนถึงโต๊ะพวกปี 1 เสียงเจี๊ยวจ๊าวตอนแรกก็เงียบลง พวกตัวแสบยกมือไหว้ผมก่อนจะนั่งทำตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เนี่ยะ เป็นแบบที่คิดจริงๆ ด้วยว่าบรรยากาศมันต้องกลายเป็นป่าช้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงได้ชัดเจนเลยว่าเด็กๆ ก็คงกลัวผมอยู่ไม่น้อย พอเห็นแบบนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมบวรไม่มีอาการแบบนี้แสดงออกมาบ้าง มีแต่เจอผมแล้วจะพุ่งเข้ามาหาอย่างเดียว

ไม่สนใจสถานการณ์รอบข้างด้วย

โคตรเอาแต่ใจ

“พวกคุณเงียบกันทำไม” ผมเอ่ยถามก่อนจะควักเงินในกระเป๋าส่งไปให้หลานรหัสตัวเอง “ถือว่าพี่เลี้ยงละกัน สุขสันต์วันเกิดนะเนย”

“ขอบคุณครับพี่หอม” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม บรรยากาศดูโอเคขึ้นกว่าตอนแรก พวกตัวแสบก็กินเหล้ากันต่อพร้อมกับเขยิบที่ให้ผมนั่งร่วมวงด้วย

“พี่หอมนี่ก็ใจดีเหมือนกันนะครับ เลี้ยงเหล้าไอ้เนยตั้งหลายบาท” ไอ้พริกเอ่ยขึ้นพลางส่งแก้วเหล้ามาให้ผม

“ก็วันเกิดมัน อีกอย่างมันเป็นหลานรหัสผม นานๆ ทีเลี้ยงมันบ้างก็ไม่แปลกเท่าไหร่”

“สายเปย์ไปอีก”

“ไงล่ะ ดีกว่าลุงรหัสกูคือไม่มีแล้วครับ” ไอ้เนยยักคิ้วให้ไอ้มิกซ์ มันใช่เรื่องเอากูไปขิงกันไหมเนี่ยะ แต่ช่างเถอะ สมัยที่ผมเป็นเด็กปี 1 ผมก็ไม่ได้ต่างจากพวกมันเท่าไหร่

กระโปกกว่าด้วยซ้ำไป

“รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้ที่พี่หอมมานั่งด้วย” บวรเอ่ยพลางยิ้มบางๆ สายตากรุ้มกริ่มอีกสามคู่มองเราสองคนสลับกันไปมา ในหัวสมองอาจจะคิดคำแซวอยู่ล่ะมั้ง ไหนดูซิว่าจะมีใครกล้าพูดออกมารึเปล่า

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะไอ้เบย์” ไอ้พริกปาถั่วใส่ “มั่นหน้ามั่นโหนกนะมึงอะ”

“อะไรวะ ก็พูดจริงๆ นี่หว่า” ว่าแล้วมันก็ปาถั่วกลับ เล่นอะไรกันเป็นเด็กจริงๆ

หลานรหัสเอนหัวเข้ามาใกล้ผม “พี่หอม”

“หืม....”

“มานั่งกับพวกผมนี่ พี่แช่มไม่ว่าหรอพี่”

“ช่างเค้า”

“ได้หรอวะพี่แบบนั้นอะ” ไอ้เนยมองผมตาโตก่อนจะยกมือทาบอกตัวเอง “เดี๋ยวพี่แช่มมาอาละวาดพังปาร์ตี้วันเกิดของผมนี่จะชิบหายมากเลยน่ะ” เจ้าของวันเกิดทำหน้าผวา เกลียดการโอเวอร์แอคติ้งของมันมาก

“เค้าไม่มาพังปาร์ตี้ของเอ็งหรอก คิดมากบ้าบอว่ะเนย”

“เอ้าพี่ นั่นพี่แช่มนะ ใครเดาอารมณ์เค้าได้ที่ไหน”

นั่นสินะ....ใครจะเดาอารมณ์ได้

ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเท่านี้ผมไม่เคยเจอใครอารมณ์แปรปรวนเท่าพี่แช่มมาก่อนเลย วันไหนก็ดีจนน่าใจหาย วันไหนร้ายก็ร้ายมากจริงๆ ยิ่งช่วงหลังนี่คือหนัก ไม่รู้เลยว่าอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขามันจะมาเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้เขาเป็น เชื่อไหมว่านั่งกันอยู่คนละซีกร้านแต่ยังรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาเลย อยากรู้จังว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะทะเลาะกันหรือเราจะทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหมือนอย่างทุกๆ ครั้ง

“ทำไมทำหน้าเศร้าจังล่ะครับพี่หอม” บวรถามก่อนจะส่งงขวดเบียร์มาให้ ผมจัดแจงกรอกเบียร์ขวดนั้นเข้าปากทันที ความขมของเบียร์ที่ไหลลงคอยังไม่ขมเท่ากับชีวิตของผมในตอนนี้เลย

“ไม่มีอะไรหรอกคุณ” ผมบอกปัดไปก่อนจะนั่งจิบเบียร์เงียบๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวหมดเบียร์ขวดนี้ผมกลับหอไปนอนดีกว่า ความน่าเบื่อหน่ายที่กำลังพบเจอนี่ต้องแก้ปัญหาด้วยการนอนเท่านั้น

“พอเห็นพี่ทำหน้าแบบนี้ ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย”

“คุณจะมารู้สึกทำไม”

“ก็คนมันรู้สึกไปแล้วนี่ครับ” เจ้าตัวเอ่ยพลางมองผมด้วยสายตาจริงจัง “จะไปห้ามไม่ให้รู้สึก....มันก็ไม่ได้อีก”

“คุณมันเด็กเพ้อเจ้อจริงๆ เลยนะบวร” ผมยกเบียร์ขึ้นกระดกจนหมดขวดก่อนจะหันมองไอ้เนย “งั้นพี่ไปก่อนนะ อยากกลับไปนอนแล้วว่ะ”

“ขับรถได้ป้ะเนี่ยพี่” มันถามอย่างเป็นห่วง

“เบียร์ขวดเดียวนี่เบๆ พวกคุณก็ดูแลตัวเองกันดีดีด้วยล่ะ ผมไปละ” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นทันที เหมือนบวรจะเดินตามออกมาแต่บรรดาเพื่อนๆ รั้งไว้ก่อน ดีละ เขาควรอยู่ห่างจากผมบ้าง

เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

ผมเดินออกมาทางหลังร้าน ไม่รู้ว่าสภาพของพี่แช่มจะเป็นยังไงบ้างแต่ว่าช่างเขาเถอะ เดี๋ยวเพื่อนๆ เขาก็จัดการเองแหละ รู้สึกหงุดหงิดใจเหมือนกันนะที่ผมมาหาเขาแต่เขากลับ....ช่างแม่งเถอะ ความหงุดหงิดของผมมันทะลุเกินปรอทไปไกลมากแล้วตอนนี้ มากจนอยากจะอัดควันบุหรี่เข้าปอดหนักๆ ถ้าแม่รู้ว่าผมกำลังทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการแบบนี้เขาต้องด่าจนหูชาแน่ๆ เลย

ก่อนถึงมือแม่อาจจะต้องผ่านมือข้าวก้องก่อน

ผมเดินมาจนถึงรถของตัวเองก็พบกับร่างสูงของคนที่ทำให้ผมหงุดหงิด เขายืนทำหน้านิ่งๆ มองผมอยู่อย่างนั้น ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้าอย่างเห็นได้ชัด คงซัดไปเยอะเลยสิถึงได้เป็นแบบนี้น่ะ ผมเดินมาจนถึงประตูรถของตัวเองแล้วก็กำลังจะเปิดมันออก แต่พี่แช่มก็ขวางเอาไว้พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่ผม มาแนวนี้คือต้องมีปะทะฝีปากกันแน่เลยว่ะ

ไม่ชอบใจเลย

“หอมจะกลับหอ”

“อร่อยไหม” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ที่ไปนั่งกินกับโต๊ะนั้นน่ะ”

ผมผ่อนลมหายใจหนักๆ เพื่อข่มอารมณ์ตัวเอง “หอมว่าพี่เมามากแล้วนะ คุยกันตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง”

“หอมก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบไอ้เบย์อะ แล้วทำไมยังต้องให้มันวอแวอยู่ใกล้ๆ ตัวหอมด้วย” เขาโวยวายใส่ผม สีหน้าแสดงออกมาชัดเจนว่าหงุดหงิดมากและพร้อมอาละวาดได้ทุกเมื่อ

“พี่ก็รู้นะว่าหอมไม่ชอบที่พี่เป็นแบบนี้ แล้วทำไมพี่ถึงยังทำมันซ้ำๆ ซากๆ อยู่ล่ะพี่แช่ม” ผมสวนกลับไป เอาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาโวยวายใส่ผมด้วยซ้ำ

“โอเคพี่ผิด....พี่ผิดทั้งนั้นแหละ!!!”

“ใช่!!! พี่ผิด พี่ผิดตั้งแต่ที่หอมชวนพี่กลับแต่พี่ไม่กลับแล้ว คิดดูสิว่าพี่กำลังจะมีเรื่อง หอมเป็นห่วงพี่หอมก็เลยมาหา ตอนแรกเราก็คุยกันดีดีแต่พี่ก็เป็นแบบนี้แค่เห็นหน้าบวรอะ หอมรู้ว่าพี่ไม่ชอบหอมก็เลยชวนพี่กลับแต่พี่ก็ไม่กลับไง ถ้าพี่กลับตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาหัวเสียใส่กันแบบนี้หรอก”

“ถึงพี่จะยังไม่กลับแต่หอมไม่เห็นต้องไปนั่งกับมันเลยหนิ....หอมประชดพี่”

“ก็รู้หนิว่าประชด ในเมื่อหอมพยายามที่จะเลี่ยงให้พี่แล้ว แต่พี่ก็เป็นแบบเนี้ยะ ชอบไม่ใช่หรออะไรที่จะทำให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดอะ” ผมกำหมัดแน่นอย่างโมโห “พอไม่ชอบใจ พอหงุดหงิดพี่ก็มาลงที่หอม ไอ้ที่เคยบอกว่าให้เชื่อใจกันนั่นมันไม่ได้เข้าไปในหัวเลยใช่ไหมล่ะ”

“ข้าวหอม”

“พี่ไม่รู้หรอกว่าหอมต้องอดทนมากแค่ไหนอะ พี่ไม่เคยอดทนได้ถึงครึ่งนึงที่หอมทนด้วยซ้ำ.....ถ้าวันไหนที่หอมไม่ทนแล้ว พี่อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”

มือเรียวดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น “มะ....ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้น” น้ำเสียงที่สั่นเครือดังอยู่ข้างหู พี่แช่มกอดผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป

เขาทำแบบนี้อีกแล้ว

ผมปล่อยให้ร่างสูงยืนกอดนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกอึดอัดนะ ทั้งทางร่างกายแล้วหัวใจเลย ความรู้สึกนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ถ้ามีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไปผมจะไม่มาหาพี่แช่มที่นี่เลย ปล่อยให้เขาเคลียร์ปัญหากันเองน่าจะดีกว่า ดูสิ ไปๆ มาๆ ผมกับพี่แช่มดันมาทะเลาะกันเอง เรื่องก็ไม่ใช่เรื่อง รู้สึกแย่จริงๆ ที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้

มันไม่ดีเลย

ร่างสูงที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกก่อนจะมองผมด้วยแววตาที่รู้สึกผิด “พี่....”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะในวันนึงพี่ก็จะทำมันอีก” ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เหมือนกับที่พี่ทำมันมาตลอดซ้ำๆ หอมชินกับมันแล้วแหละ”

“.....”

“หอมกลับหอแล้วนะ ค่อยคุยกันวันหลังละกัน” ผมหันหลังกลับเพื่อจะขึ้นรถ แต่พี่แช่มคว้าข้อมือของผมไว้ก่อน

“พี่อยากคุยกับหอมวันนี้”

“ถ้าคุยกับหอมวันนี้หอมจะถามพี่เหมือนที่เคยถามนะ”

“....ถาม”

ผมหันกลับมาหาเขา “ชะเอมเป็นใคร”

“ข้าวหอม” เขาหน้าซีดไปเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมถาม มือที่จับข้อมือผมไว้ก็ปล่อยออกก่อนจะยกขึ้นกุมขมับตัวเอง สีหน้าและอาการที่ไม่ค่อยดีแบบนี้มันบ่งบอกเลยนะว่าชะเอมเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเขามากแค่ไหน

ก็คงจะมากกว่าผมแน่นอน

“พี่ไม่บอกหอมล่ะว่าชะเอมเป็นใคร พี่รู้ไหมว่าหอมมคาใจเรื่องนี้มากแค่ไหน หรือสุดท้ายแล้วพี่จะบอกให้หอมรออีก”

“พี่.....”

“ชะเอมคงเป็นคนที่สำคัญมากของพี่สินะ อย่างน้อยก็คงมากพอที่พี่จะเก็บไว้ในใจแล้วเอามาละเมอเพ้อถึงได้น่ะ”

“อย่าพูดถึงเขานะ!!!!” เขาตวาดใส่ผมลั่นก่อนจะยกมือจับขมับตัวเองทั้งสองข้าง “อย่าพูด”

“หึ....โอเค โอเคเลย” ผมขึ้นรถก่อนจะรีบขับออกมาโดยปล่อยให้พี่แช่มยืนอยู่แบบนั้น มันเรื่องบ้าอะไรวะ ความหงุดหงิด ความไม่ชอบใจมันมากเกินไปจริงๆ ผมรู้สึกโมโหและกลัวที่จะระงับมันเอาไว้ไม่ได้

สุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่ได้คำตอบจากพี่แช่มว่าชะเอมเป็นใครแถมอะไรๆ มันก็ดูแย่ไปซะหมด เราไม่ควรทะเลาะกันจริงๆ นั่นแหละว่ะ แต่คนที่ชวนทะเลาะก็ไม่ใช่ผมป้ะวะ จิ๊....ช่างแม่งเถอะ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมไปหาที่ระบายดีกว่า มันคงไม่ใช่การดีเท่าไหร่ถ้าต้องอยู่คนเดียวในสภาพที่หัวร้อนเป็นฟืนไฟขนาดนี้ อย่างน้อยถ้าผมอยากจะอาละวาดขึ้นมามันจะได้มีคนห้ามผมได้

โอเค....ตามนี้แหละ



---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 3 ----------



“เนี่ยะ คือกูงงมากจริงๆ สรุปใครผิดวะ”

“เออใจเย็นๆ ก่อน มึงไม่ผิดหรอก”

“ลองบอกว่ากูผิดดิ กูจะซัดหน้ามึงเลย”

“โหดจังวะหอม หน้าที่ดูใจดีนี่คือเอาไว้หลอกชาวบ้านใช่ไหม” ไอ้แกงทำหน้าผวาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ไอ้เกียร์ที่นั่งพับผ้าอยู่ “ช่วยด้วยที่รัก เค้าจะโดนเพื่อนซัด”

“ขนลุกอะแกง” เจ้าตัวบอกก่อนจะทำหน้าหยีใส่

เพื่อนรักผมตีไหล่แฟนตัวเองเต็มแรง “พูดแบบนี้คืออยากตายหรอห้ะไอ้เกียร์ พูดดีดีด้วยไม่ชอบ ชอบให้ป่าเถื่อนใช่ไหมมมม!!!!” ว่าแล้วไอ้โหดก็คว้าหมอนมาตีไอ้เกียร์รัวๆ แล้วทำไมอยู่ดีดีก็ตีกันเองได้วะ

ต้องห้ามไหมเนี่ยะ

ผมนั่งเท้าคางมองคู่รักที่กำลังไล่ตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จริงๆ แล้วผมไม่คิดเลยนะว่าจะมีภาพนี้ให้ได้เห็นน่ะ แน่ล่ะ ก่อนจะมารักกันมันเกลียดขี้หน้ากันแทบบ้า อยู่ดีดีก็มาลงเอยกันเฉย ที่น่าหมั่นไส้สุดคือไอ้แกงครับ มันเคยลั่นวาจาไว้ว่ายังไงก็จะไม่มีวันญาติดีกับไอ้เกียร์เด็ดขาด แล้วไปๆ มาๆ มันก็มาได้กัน ได้กันแบบงงๆ ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเอาเวลาตรงไหนไปจีบกัน รู้อีกทีคือพามาเปิดตัวแล้วบอกว่าเป็นแฟนกันแล้ว

เพื่อนๆ นี่ถึงกับสับสนมึนงง

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะมีโมเม้นท์ได้กันแบบงงๆ มาก ทุกวันนี้ก็มีแค่โมเม้นท์ทะเลาะกันแบบงงๆ ตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว ผมไม่รู้ว่าสภาพของพี่แช่มจะเป็นยังไงแต่ตัวผมเองก็ถือว่าใจร่มลงเยอะ อย่างน้อยก็มีสติกว่าตอนแรก เนี่ยะ พอได้ระบายให้เพื่อนได้ฟังมันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ นั่นแหละ

ค่อยยังชั่วหน่อย

“อื้ออ.อ.อ.อ....แกง กูเจ็บ” เสียงร้องโอดโอยดังออกมาจากปากไอ้เกียร์ พอเป็นแบบนั้นไอ้แกงจึงยอมลามือแล้วมานั่งข้างผมเหมือนเดิม

นั่งหอบแฮ่กเป็นหมาเลยล่ะ

“สบายใจยังได้ตีกันเนี่ยะ”

“สบายใจละ เออเรื่องที่มึงเล่ามาอะ กูว่ามึงน่าจะทำอะไรสักอย่างนะหอม”

“กูอะทำหลายอย่างเลย แต่ก็อย่างที่เห็นอะ”

มือเรียวเลื่อนมาแตะที่ไหล่ผม “กูไม่คิดเหมือนกันว่ามึงจะทนอยู่กับสถานะแบบนี้มาได้ตั้ง 2 ปีกว่า ไหนควักหัวใจออกมาให้ดูหน่อยซิ อยากรู้ว่ามันจะบอบช้ำมากขนาดไหน”

“แกง” ไอ้เกียร์เอ็ดแฟนตัวเองก่อนจะหันมองผม “กับความสัมพันธ์นี้มันเหนื่อยมากไหมหอม”

ผมพยักหน้ารับ “ก็นะ มันครึ่งๆ กลางๆ ผิดที่เค้าไม่เดินหน้าและก็ผิดที่กูตัดใจหยุดความสัมพันธ์นี้ไม่ได้สักที มันถึงได้ดันทุรังอยู่แบบนี้”

“แต่จริงๆ พี่แช่มแกเพิ่งจะมาเป็นแบบนี้ก็พักหลังๆ ป้ะ ตั้งแต่ขึ้นปี 4 อะ”

“ก็ใช่แหละ เมื่อก่อนก็มีบ้างแต่ว่าไม่บ่อยเท่าตอนนี้ มึงคิดดูดิ พักหลังมาคือทะเลาะกันแทบทุกวันและเรื่องก็จบแบบเดิมคือเค้ามาขอโทษกูแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สักแปปก็เอาอีกละ”

“น่าสงสารมึงว่ะ นี่ถ้าไอ้เกียร์เป็นแบบนี้นะ กูเฉดหัวออกไปจากชีวิตกูนานละจริงๆ ไม่ยอมทนขนาดนี้หรอก”

“ที่หอมมันทนก็เพราะว่ามันรักไง วันไหนที่ไม่รักแล้วก็จะไม่ทนแล้ว....จริงไหมหอม”

“อืม เรื่องดีดีที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรามันทำให้กูยังอยู่ตรงนี้ ถ้าวันไหนมันมีเรื่องที่เข้ามาลบล้างความรู้สึกดีดีเหล่านั้นไป กูก็คงไม่อยู่ตรงนี้แล้วล่ะ เพราะมันคงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าที่ตรงนี้มันไม่ใช่ของกู”

“เศร้าใจแทนเลยว่ะ แดกเบียร์มะ”

“กูกินมาละ” ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง “นอนด้วยได้ไหมวะ รู้ว่ามันจะรบกวนพวกมึงแต่กูขอรบกวนหน่อยเถอะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน” ไอ้เกียร์บอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ไอ้บ้านี่ก็ใจดีจริงๆ เลยว่ะ ดูอีกกี่รอบก็เหมือนเข้ากันกับไอ้แกงไม่ได้

ผมนอนเอามือก่ายหน้าผากพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คืนนี้คงไม่มีอะไรที่ทำให้ผมประสาทแดกอีกแล้วแหละ หรือถ้ามี ผมจะโดดตึกตายเพื่อหนีทุกอย่างจริงๆ ด้วย ไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่ตัวเองกำลังเจอเลยอะ ไม่รู้ว่าควรจะจัดการไปในทิศทางไหนดี ตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อไม่เคยบอกเลยนะว่าโตมาแล้วต้องวุ่นวายมากขนาดนี้ อารมณ์เหมือนอยากให้เรียนรู้เอาด้วยตัวเองล่ะมั้ง

ประสบการณ์จะสอนเราเอง....อะไรทำนองนี้

แต่สอนหนักไปไหมวะ

ผมหันหน้าหาเพื่อนรัก “แกง”

“หืม....”

“เคยคิดจะเลิกกับไอ้เกียร์ไหม”

“ไม่เคย” มันขยับขึ้นมานอนบนเตียงข้างผม “เพราะเรารักกันมากไงมึง มันก็มีช่วงอารมณ์เบื่อๆ และก็รู้สึกรำคาญนะ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปแหละ กูว่าความรู้สึกนี้มึงก็น่าจะเข้าใจดีนะ”

“นั่นสินะ กูอาจจะเข้าใจมันดีก็ได้”

“ไม่เป็นไรนะมึง กูเชื่อในเรื่องของทฤษฎีคนที่ใช่จะโคจรมาเจอกันนะ ถ้ามึงกับพี่แช่มเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน ยังไงซะมันก็ต้องคู่กันอยู่ดี”

“หรือกูกับพี่แช่มเจอกันไวเกินไปวะ”

“ทำไมมึงคิดแบบนั้นอะ”

“ก็ถ้าเป็นคนที่ใช่....แต่ดันมาเจอกันในเวลาที่ไม่ใช่” ผมยิ้มบางๆ ให้คนที่นอนข้างๆ “ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี”

“เรื่องนั้น....เวลาจะเป็นตัวบ่งบอกทุกอย่างเอง”

ก็ต้องรออีกสินะ

ไม่เป็นไร....ผมเป็นพวกอดทนรอเก่งอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้มันคงไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็เป็นสัญญาณบอกกับผมว่าต้องเผื่อใจเอาไว้แล้วนะ อย่างน้อยในวันที่ต้องเลือกจะตัดใจมันจะได้ไม่สาหัสมาก ผมอยากรู้จริงๆ ว่าในเวลาที่ผมกำลังฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ ใครอีกคนเขาจะเป็นเหมือนผมไหม เราจะรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า

จิ๊....ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวว่ะ

พอๆ เลิกคิดเถอะข้าวหอม

ผมเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเข้าไปดูแจ้งเตือนทางทวิตเตอร์ เมื่อชั่วโมงก่อนคนขี้เมาเขาทวิตข้อความ ขนาดยังไม่เข้าไปดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องดราม่าแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงกดเข้าไปดู ข้อความที่ปรากฏขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะเอาผ้าห่มคลุมหัวพี่แช่มแล้วก็กระหน่ำทุบรัวๆ ซะจริง เก่งนักนะเรื่องตัดพ้อตัวเองเนี่ยะ ช่างแม่ง ปล่อยให้เสียสติไปวันนึงก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

เมาไม่พอแถมยังงี่เง่าอีก

คนบ้า....





Charit @Charitpedd

อยากเป็นแค่คนเดียวที่ทำให้คุณยิ้มได้ในทุกๆ วัน แต่แย่หน่อยที่ทำแบบนั้นไม่ได้



#พี่แช่มได้กล่าวไว้












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากหายไปพักนึงเลย ช่วงนี้กำลังสอบไฟนอลค่ะ แล้วก่อนหน้าคือโปรเจ็กต์เยอะมาก รู้สึกดีีใจกับตัวเองที่เอาชีวิตรอดมาได้

สำหรับตอนนี้ก็หนึบหนับหัวใจพอสมควรนะคะ อะไรที่ยังเป็นปริศนาก็ยังคงต้องเป็นปริศนากันต่อไป เรื่องของแช่มหอมมันจะเดินไปประมาณนี้จริงๆ กุมใจกันเอาไว้ดีดีนะ เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2018 21:13:11 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 4 ขี้้โกง
[/b]



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



Charit @Charitpedd

บางเรื่องที่พยายามจะจำ มันไม่เคยจำได้

แต่กับบางเรื่องที่พยายามจะลืม มันไม่เคยลืมเลย



#พี่แช่มได้กล่าวไว้


.

.

“ฮึกก.ก.ก.....หนูกลัว”

“ชู่ววว....ไม่เป็นไรนะคะ อย่าร้องเลยนะคนเก่งของพี่”

“ฮืออ.อ....พี่แช่ม”

“มันจะไม่เป็นอะไรนะคะชะเอม.....พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะ....ชู่ววว”

“คุณพ่อคุณแม่....ฮึก....”

ปังงงง

.

.

​.

“เฮือกกกก.....” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง อื้อออ.อ..อ.....ทรมานเกินไปแล้ว ทุกอย่างมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ มันหลายปีแล้วแต่ทำไมมันถึงได้.....

“เป็นไรวะมึง” เสียงเฌอดังขึ้นเรียกสติผม ทำไมมันมาอยู่กับผมได้วะ

“กู.....ไม่มีไร แล้วทำไมมึงถึงอยู่นี่ได้อะ”

“เมาจนเพี้ยนหรอไอ้ชิบหาย นี่ห้องกู มึงเมาอย่างกับหมาอะเมื่อวาน กูนี่ต้องลากซากมึงกลับมาด้วย ถามแบบนี้คือจำอะไรไม่ได้เลยหรอ”

“จำไม่ได้”

เอาจริงๆ ก็จำได้นิดหน่อย

ผมจำได้ว่าตัวเองไปนั่งทำงานกันที่ร้านจันทร์เจ้าแล้วก็มีเรื่อง น้องหอมมาหาผม แล้วเราก็ทะเลาะกันเพราะผมโกรธที่เขาไปนั่งกินเหล้าโต๊ะไอ้เบย์ พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยกินเหล้าประชดเขา ผมจำได้ประมาณนี้ส่วนเรื่องหลังจากนั้นมัน....

มันเกิดอะไรขึ้นวะ

“แต่กูจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คืองี้นะเพื่อนนะ มึงแดกเหล้า มึงเมาแล้วมึงก็ออกไปหาน้องหอม หายไปพักนึงเลยก่อนจะกลับเข้ามาในร้านแล้วก็นั่งแดกเหล้าต่อ แดกแม่งจนอ้วกอะไอ้เวร มึงรู้ไหมว่าใครเช็ดอ้วกมึงเมื่อคืน กูนี่ไง ท่านเฌอคนนี้ไง”

ผมหลุดขำออกมาเพราะท่าทีของเพื่อนรัก “ขอบใจท่านเฌอด้วยละกันที่เป็นสายซัพฯ ให้กูเมื่อคืน”

“เออ เลี้ยงข้าวกูด้วยนะ” มันบอกก่อนจะขยับมานั่งลงข้างๆ “ตกลงคือจำไม่ได้เลยใช่ไหมเรื่องเมื่อคืน”

“อืม แต่คิดว่าตอนนี้น้องหอมน่าจะโกรธกูเอามากๆ เลยแหละ กูต้องขอโทษน้อง”

“กูไม่ค่อยพูดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ว่า....คำว่าขอโทษของมึง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ไอ้หอมต้องการแล้วก็ได้”   

“ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะว่ามันไม่มีการขอโทษไหนจะดีเท่าการที่มึงไม่ทำสิ่งนั้นซ้ำอีก คำพูดน่ะแช่ม มันจะไปสู้การกระทำได้ยังไงวะ จริงอยู่ว่าการที่จะเริ่มต้นคุยกันอีกครั้งอาจจะเริ่มจากคำว่าขอโทษแต่กูคิดว่ามันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนักหรอก”

ก็จริงแบบที่เฌอพูด....ผมใช้คำว่าขอโทษบ่อยมากเกินไปจริง

ขอโทษเนี่ยะ มันเป็นคำที่เราพูดบอกเวลาทำผิด มันไม่ได้เสียหายหรอกครับถ้าเลือกที่จะพูด แต่ถ้าเราพูดมันซ้ำๆ แต่เรายังทำผิดอยู่เหมือนเดิม มันก็เป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ ที่ไร้ค่า อยากจะพูดตอนไหนก็พูด ซึ่งนั่นมันไม่ดีเลย ผมเป็นแบบนี้ตลอด พยายามจะเปลี่ยนตัวเองแล้วนะแต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ขึ้น มันทำให้ผมทนไม่ไหวแล้วก็ทำเรื่องไม่ดีต่อน้องหอมอยู่ซ้ำซาก

มันแย่มากจริงๆ

ช่วงหลังมาผมจัดการความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมทำมันได้ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนนี้มาก เหตุผลมักจะมาก่อนเสมอ ผมอยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ กลับไปตอนที่ความสัมพันธ์ของเราสองคนยังดีกว่านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันเลยก็ตาม

ตอนนั้นมันดีมากจริงๆ

“เดี๋ยวกูจะจัดการเรื่องของตัวเองก็แล้วกัน” ผมบอกก่อนจะหยิบข้าวของของตัวเองเพื่อจะเดินออกไปจากห้อง

“มึงไปไหนอะ”

“.....หาหมอ”


***



“ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกนะชริต”

“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับ”

“คุณลุงได้มาด้วยรึเปล่าล่ะ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “เค้าไม่รู้ด้วยว่าผมมาหาหมอ ผมไม่ได้บอกเค้า”

“อยากให้หมอบอกเค้าไหม”

“ไม่ครับ ผมอยากให้คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่ผมคนเดียว”

“อื้มโอเค เล่ามา.....เกิดอะไรขึ้น” พอหมอเอ่ยแบบนั้นผมจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงหลายเดือนให้เขาฟัง ทั้งเรื่องความฝัน เรื่องภาพหลอน และอาการปวดหัวของผม

นายแพทย์นวัตรเป็นแพทย์ประจำตัวผมเมื่อหลายปีก่อน ความจริงผมไม่ได้อยากกลับมาหาเขาเท่าไหร่หรอกเพราะว่าการกลับมาหาเขามันหมายถึงว่าผมกำลังจะกลับไปอยู่ที่จุดๆ เดิม ตอนนั้นมันแย่นะครับ ถึงในหัวจะไม่ค่อยรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆ กาย แต่ความรู้สึกที่เข้ามามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การทำให้ตัวเองหายจนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ก็ใช้เวลานาน

ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก

สิ่งที่ผมเป็นอยู่ ผมไม่เคยคิดที่จะบอกใครไม่ว่าเพื่อนหรือแม้กระทั่งน้องหอม ส่วนสาเหตุมันเป็นเพราะผมอยากให้ทุกคนปฏิบัติกับผมเหมือนคนทั่วไป ผมไม่ได้อยากเป็นที่ละเว้นจากใครทั้งนั้น ความเท่าเทียมคือสิ่งที่ผมต้องการ ช่วงที่เข้ามหา’ลัยผมคิดมาตลอดเลยว่าตัวเองหายดีแล้ว มันจะไม่กลับมาอีกแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เหมือนหลอกตัวเองมาตลอด เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่ามันจะไม่มีวันหายขาด.....ตราบใดที่ความทรงจำยังอยู่

ผมจะไม่มีวันลืมมัน

ทั้งๆ ที่ใจไม่ได้อยากจำสักนิด

“ก็เอาเรื่องอยู่นะ การควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เนี่ยะ มันสามารถทำร้ายคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัวได้....จริงไหม”

“ครับ”

“ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะต้องเข้ารับการบำบัด ไม่ก็กลับไปกินยานะชริต”

“กินยาหรอครับ” ผมรู้สึกปวดขมับทันทีที่หมอบอกออกมาแบบนั้น ถึงเวลามันจะผ่านมาหลายปีแต่ผมยังจำความรู้สึกของผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาตัวเองได้ดีเลย

มันทรมานเอาเรื่องเลยนะตอนนั้นน่ะ

“ถ้าไม่อยากกินยาก็ต้องเข้ารับการบำบัดนะ เพราะถ้าอาการมันแย่ลงกว่านี้ คนที่จะทนไม่ไหวก็คือตัวเธอเอง” เขายิ้มบางๆ ให้ผม “เธอรู้อยู่แล้วว่าควรต้องคิดยังไง ต้องจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง อย่าคิดว่าไม่ไหว เพราะครั้งนึงที่เธอเคยอยู่จุดนั้นที่เลวร้ายมากกว่านี้ เธอยังผ่านมันมาได้เลย หมอก็หวังนะว่าครั้งนี้เธอจะผ่านมันไปได้เหมือนกัน”

“ครับ ผมจะพยายาม” ผมรับคำเขา “ทำเรื่องเข้ารับการบำบัดเลยครับ”

“โอเค เดี๋ยวหมอจะจัดการเรื่องนี้ให้นะ”

“ขอบคุณนะครับ”

ผมหวังว่าการเข้ารับการรักษาในครั้งนี้มันจะทำให้อาการหลายๆ อย่างของผมดีขึ้น ผมต้องจัดการตัวเองให้กลับไปเป็นปกติให้ได้ อย่างน้อยถ้าผมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากกว่านี้ ผมก็จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีต่อน้องหอม แล้วถ้าทุกอย่างมันโอเคขึ้น ผมก็จะค่อยๆ ซ่อมรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเราให้กลับไปสมบูรณ์เหมือนเดิม

ผมต้องทำให้ได้



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]



สิ่งที่เยียวยาชีวิตของเราตอนโซแซดได้ดีที่สุดก็คือ.....ของกินครับ

ในตอนนี้คือของกินที่เรียกว่าปลาดิบ

ผมยัดแซลม่อนสีฉ่ำเข้าปากทันที กลิ่นฉุนของวาซาบิคือสิ่งแรกที่สัมผัสได้ อื้ออ.อ.อ....มันสุดจริงๆ ผมชอบเวลาที่หัวโล่งแบบนี้นะ ถึงมันจะต้องแลกกับการเสียน้ำตาแล้วก็หายใจฟึดฟัดก็ตาม อาหารญี่ปุ่นนี่เป็นที่สุดในดวงใจผมเลย อย่างน้อยมันก็ช่วยเยียวยาผมได้ดีในตอนที่ชีวิตเจอเรื่องบัดซบมา ตอนแรกผมกะว่าจะปลีกวิเวกมาคนเดียวแบบสงบๆ แต่สิ่งที่คิดมันก็ได้พังลงไปเพราะมีคนสะเหล่ออยากมากินด้วย

น่ารำคาญชะมัด

บุคคลน่ารำคาญที่ว่าก็คือน้องชายของผมเองนั่นแหละ ไม่รู้ว่านึกคึกอะไรถึงอยากตามออกมากินซูชิด้วย ปกติแล้วมันจะไม่ค่อยชอบพวกปลาดิบเท่าไหร่ไง โน่น สไตล์มันต้องร้านส้มตำแถวหลังมอโน่น ตำปูปลาร้าพริกร้อยเม็ดอย่างงี้ แค่นึกถึงสีของส้มตำที่มันกินผมก็จะร้องไห้แล้วอะ แล้วดุมันเรื่องกินเผ็ดจัดเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะฟัง ใช่สิ เพราะผมเป็นข้าวหอมไงมันเลยไม่ฟังผม แต่เอาจริงๆ ข้าวก้องก็ไม่เคยฟังใครอยู่แล้วนะ

มันดื้อ

“ไม่ชอบก็อย่าฝืนกินสิวะ” ผมนั่งเท้าคางมองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าแหยะๆ ออกมาหลังจากที่กินแซลม่อนไป เนี่ยะ ถ้าไม่ชอบมันถึงขนาดนั้นก็ไม่เห็นต้องกินเลยป้ะวะ

“ขนาดมึงไม่ชอบมึงยังฝืนอยู่เลยหอม”

จึ้ก....จึ้กเลย

ไอ้น้องเวรนี่มันน่านักนะ

“อยากโดนตะเกียบแทงตายหรอถึงได้พูดอะไรไม่เป็นเรื่องแบบนี้น่ะ” ว่าแล้วผมก็ทำหน้าเหี้ยมใส่ ต่อให้มึงเป็นน้องกูก็ไม่ยกเว้นนะจะบอกให้

“กูพูดความจริง” ไอ้น้องตัวแสบมันทำหน้ายียวนใส่ “มึงอะ หัดยอมรับความจริงซะบ้าง”

“มึงพูดอะไรวะ” ผมแสร้งทำเป็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “ไร้สาระ”

“จ้า คนมีสาระ” มันเบ้ปากใส่ผมก่อนจะคีบปลาดิบเข้าปากพร้อมกับทำหน้าหยีอีกรอบ รู้สึกเสียดายของมากๆ เลยนะ ไม่ชอบก็ไม่หยุดกินสักทีล่ะไอ้เวร

“ไม่ต้องกินละ โน่น สั่งข้าวหน้าเนื้อไป” ผมบอกมันก่อนจะโยนเมนูให้ ไม่ได้สงสารที่มันต้องมานั่งทรมานตัวเองหรอกนะแต่รำคาญอะ

“กูกำลังแสดงให้มึงดูอยู่นะว่าถ้ายังอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบมันจะทำให้มึงรู้สึกแย่”

“....กูชอบ”

“แล้วถ้าสมมุติว่าของที่มึงชอบมันเริ่มทำให้มึงไม่มีความสุขล่ะ” ข้าวก้องเอ่ยถามพลางมองอย่างจริงจัง “มึงยังจะทนกินมันอยู่อีกหรอ”

ผมสบตามันทันทีหลังจากสิ้นเสียงนั้น ผมรู้ดีว่าข้าวก้องต้องการจะสื่อถึงอะไร เมื่อวานที่ผมกับพี่แช่มทะเลาะกันแน่นอนว่ามันรู้เรื่อง ไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนแต่มันมาถามผมตั้งแต่เมื่อเช้าละ ไอ้เราก็ยังไม่ตื่นไอ้เวรนี่ก็ปลุกอยู่นั่น จนสุดท้ายแล้วผมต้องแหกขี้ตาตื่นมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง แล้วก็นั่นแหละ มันรู้เรื่องแล้วก็คงจะไม่ชอบใจพี่แช่มอยู่ไม่น้อยที่ทำแบบนี้กับผม

ดีแค่ไหนที่ไม่คิดจะไปตามกระทืบเขาน่ะ

เดิมทีข้าวก้องก็ไม่ได้ปลื้มปริ่มอะไรคนขี้เมานักหรอก ก็เรียกว่าเฉยๆ นั่นแหละ แต่เพราะเป็นคนที่ผมชอบมันก็เลยไม่ได้อะไรนัก แต่พอพี่แช่มเริ่มทำให้ผมเสียใจเข้ามากๆ มันก็ไม่แปลกที่น้องอย่างมันจะหงุดหงิดใจเป็นธรรมดา ปกติมันจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กับผมหรอกนะ มีวันนี้นี่แหละที่แสดงออกมาชัดเจนมากว่าอยากให้ผมพอได้แล้ว ตอนคิดมันอาจจะง่ายนะแต่พอจะทำมันก็อีกเรื่อง

ถ้ามันตัดใจง่ายขนาดนั้นผมคงไม่จมอยู่ตรงนี้หรอก

“ช่างเรื่องกูเถอะน่ะ” ผมบอกปัดไปก่อนจะคีบทาโกะเข้าปาก “กูคิดว่ากูจัดการชีวิตตัวเองได้”

“จัดการได้ซะชอกช้ำเลยนะ”

“เออน่ะ ช้ำก็ชีวิตกูอีกอะ” ผมทำหน้ายับใส่มัน เหมือนบอกไปหลายครั้งแล้วนะว่าชีวิตคนเรามันก็ต้องมีชอกช้ำบ้างแหละ ทุกเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านเข้ามาคือบททดสอบว่าเราจะผ่านมันไปได้ยังไง

ผมพยายามคิดแบบนี้เพื่อให้ตัวเองเข้าใจในคำว่าชีวิตนะ ช่วงเวลาที่มีความสุขมันก็ดีมากๆ แต่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าชีวิตเราต้องเจอความทุกข์เหมือนกัน แต่ละคนก็จะเจอเรื่องที่แตกต่างกันออกไป บางคนต้องทุกข์ใจเพราะไม่ได้มีแบบคนอื่นเขา กับบางคนอาจจะทุกข์ใจเรื่องที่รูปร่างของตัวเองมันไม่ได้ดั่งใจ อย่างของผมมันก็คือเรื่องของความรักซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกเป็นทุกข์กับมัน ยังมีคนอีกหลายล้านที่เจอแบบเดียวกันกับผม

มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตจริงๆ นั่นแหละ

ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองในการตัดสินใจเลือกทางได้สักทาง อย่างตัวผมตอนนี้ก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ในจุดที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวด เหตุผลที่เรียกว่าความรัก....มันเป็นเหตุผลที่ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลยนะแต่มันก็จริงตามนั้น ผมรักพี่แช่ม ถึงแม้ตอนนี้จะยังรู้สึกหงุดหงิดใจกับเขาอยู่แต่ว่าผมรู้ตัวเองเลยล่ะว่าจะต้องใจอ่อนแล้วยอมหายโกรธเพราะคำขอโทษหรือการกระทำที่แสดงออกมาเพื่อง้อผมแน่ๆ

ข้าวหอมนี่มันน่าตีจริงๆ

ผมนั่งมองข้าวก้องที่เพิ่งสั่งไอติมชาเขียวมากิน สีหน้าค่อยดูดีกว่าตอนกินปลาดิบหน่อย เคยสงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้น้องเวรของผมเนี่ยะมันไม่มีคนที่ตัวเองรู้สึกชอบจริงๆ เหรอวะ ความรักครั้งล่าสุดของมันก็ตั้งแต่สมัยมัธยมฯ ตอนนั้นข้าวก้องคบกับน้องคนนึง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยนะ ผมรู้ว่ามันรักแฟนตัวเองมาก อะไรที่ทำเพื่อเธอได้มันก็ยอมทำแทบทุกอย่างแถมยังดูแลเป็นอย่างดีแต่สุดท้ายแล้วน้องคนนั้นก็นอกใจมัน

น่าประสาทแดกป้ะล่ะ

จากนั้นมา....ข้าวก้องก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่เกลียดความรักไปเลยด้วย ทั้งๆ ที่มันเองก็เคยมีความรักมาก่อนแต่กลับบอกว่าตัวเองไม่เข้าใจมัน ทั้งๆ ที่เคยมีแต่ก็บอกว่าไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น มันเหมือนการปิดกั้นตัวเองไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ผมพอเข้าใจนะว่ามันทำแบบนั้นไปทำไม คงจะเป็นเรื่องของเซฟโซนที่เจ้าตัวขีดเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจากสิ่งที่อาจจะเข้ามาทำให้เสียใจ

ข้าวก้องคงไม่ได้ชอบเสียใจซ้ำซากเหมือนผมล่ะมั้ง

“ก้อง”

“หืม....”

“เคยคิดจะเริ่มต้นใหม่ป้ะวะ”

คนตรงหน้าเหลือบมองผม “พูดถึงเรื่องอะไร”

“ความรัก”

“กูไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรัก”

“มึงรู้อยู่แก่ใจดี” ผมบอกก่อนจะแย่งไอติมในถ้วยมันมากิน “กลัวความรักหรอ”

“ไม่ได้กลัวความรัก” มันตอบทันควันก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ผม “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเสียใจจากมันต่างหาก มึงน่าจะยังจำตัวกูในตอนนั้นได้ว่ามันย่ำแย่มากแค่ไหน กูไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหาเรื่องให้ตัวเองกลับไปอยู่จุดนั้นอีกแล้ว”

“แต่คนทุกคนมันก็ไม่เหมือนกันป้ะวะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำมึงเสียใจ”

“มึงไม่เคยเจอกับตัวเองว่ะหอม คนๆ เดียวอาจจะทำให้เราฝังใจไปทั้งชีวิตก็ได้ ใจเราอาจจะไม่อยากเป็นแต่มันช่วยไม่ได้เมื่อทุกอย่างมันอยู่ในความทรงจำ สมองมันคิดไปเองโดยอัตโนมัติ มันคือเรื่องที่ควบคุมยาก”

“ก็จริงของมึงอะนะ กูยังไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายเท่ามึง ถ้ากูเจอแบบนั้นบ้างมันก็คงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะทนรับมันไหวไหม....ความอดทนของคนเราไม่เท่ากัน”

“มึงเข้าใจถูกแล้วล่ะ กูอะ ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียใจเหมือนกับที่กูเคยเป็น” มันบอกก่อนจะเบ้ปาก “ที่กูพูดนี่ไม่ได้หมายความว่ากูเป็นห่วงนะ แต่กูพูดเพราะว่ากูเป็นพี่มึง”

“กูต่างหากที่เป็นพี่”

“เหมือนบอกไปหลายรอบละนะว่าหมอหยิบกูออกมาก่อน”

“มึงนี่มันน่ารำคาญจริงๆ เลย”

“แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

กวนส้นตีน

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏชื่อคนที่เพิ่งทะเลาะกันไปเมื่อคืน ตอนนี้เขาน่าจะฟื้นสติกลับมาเป็นคนปกติแล้วล่ะมั้ง ที่โทรมาหานี่ก็อาจจะเพราะเรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ ผมลองทำตัวหยิ่งไม่รับสายเขาดีไหมวะ ใจก็อยากลองทำแบบนั้นแต่เดี๋ยวเรื่องที่คาใจกันอยู่มันไม่จบสักที คุยๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด อยากรู้เหมือนกันว่ารอบนี้จะเอาวิธีไหนมาง้อผม

“....ฮัลโหล”

(อยู่ไหนอะ พี่มาหาน้องหอมที่หอแล้วไม่เจอ)

“ออกมากินข้าวข้างนอก มีอะไรรึเปล่า”

(ไปกาญฯ กันไหม)

“ตอนนี้เนี่ยนะ” ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง เข็มสั้นชี้ไปที่เลข 2 ซึ่งถ้าสมมุติว่าไปตอนนี้มันก็คงจะถึงตอนเย็นเลยล่ะมั้งเนี่ยะ แล้วเขานึกยังไงถึงอยากได้ชวนผมไปกาญฯ ตอนนี้วะ

(อื้ม พี่จองรีสอร์ตไว้แล้วอะ น้องหอมไปกับพี่นะ)

เอาแต่ใจไม่ปรึกษากันสักคำ....พี่แช่มนี่มันน่าทุบจริงๆ เลย

“แล้วถ้าหอมไม่ไปอะ”

(น้องหอมต้องอยากไป)

“ทำไมพี่ถึงคิดว่าหอมอยากไปกับพี่วะ”

(เพราะรีสอร์ตที่พี่จองคือ River Kwai Jungle Rafts ลองคิดเอานะว่าอยากไปรึไม่อยาก)

“เออไป มารับด้วยละกันอยู่ห้าง BB”

(แล้วเจอกันจ่ะ)

ผมกดวางสายก่อนจะทึ้งหัวตัวเองเบาๆ บ้าเอ๊ย ทำไมคิดไวใจเร็วแบบนี้น้าข้าวหอมน้า เอาจริงๆ แค่ได้ยินว่าเป็น River Kwai Jungle Rafts ก็เนื้อเต้นแล้วอะ มันเป็นแพบนแม่น้ำแควที่ผมกับพี่แช่มเคยสัญญากันไว้ว่าจะลองไปด้วยกันสักครั้ง ความพิเศษของแพที่นี่คือจะไม่มีไฟฟ้าใช้เลยครับ ไม่มีแอร์ ไม่มีแสงไฟ จะต้องใช้แสงจากตะเกียงเท่านั้น ก็คือจะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติเต็มที่เลยล่ะ

แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว

ที่พี่แช่มจองไว้ก็น่าจะเป็น 2 วัน 1 คืนแหละเพราะว่าวันมะรืนผมมีเรียนและตัวเขาเองก็คงมีเรียนเหมือนกัน ดีนะว่าช่วงนี้มันวันหยุดยาวเพราะอาจารย์ติดสัมมนา แต่หลังจากนี้ไปก็มีแต่เรียน งาน เข้าเชียร์และก็จะวนลูปแบบนี้ไปยันไฟนอล ไปเที่ยวครั้งนี้ถือว่าไปพักผ่อนสมองสักวันก็แล้วกัน หวังว่าคนที่ชวนผมไปจะไม่ทำทริปของเรากร่อย เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นนะผมจะเดินหนีเข้าป่าไปเลย

ไปอยู่กับหมี อยู่กับช้างแทน

ผมหยิบกุญแจรถของตัวเองส่งไปให้ข้าวก้อง “ฝากเอารถกลับด้วย”

“มึงจะไปไหน”

“ไปกาญฯ ”

“กับพี่แช่มหรอ”

“อืม”

“มึงนี่มันไม่เข็ดจริงๆ เลยนะ”

“เอ๊ะ มึงนี่” ผมทำบู้บี้ใส่มัน ถึงข้าวก้องจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังอยากไปอยู่ดี รอจะไปที่นี่มาตั้งนานแล้วนี่หว่า อีกอย่างคือพี่แช่มเองก็อาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อแทนการขอโทษผมเรื่องเมื่อคืนก็ได้

อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง

“กูจะรอซ้ำเติมมึง”

“เออ รอซ้ำเติมไปเลยไอ้หน้าสัส” ผมหยิบเงินก่อนจะส่งให้มัน “ค่าอาหาร กูไปละ ขับรถกลับดีดีด้วยล่ะ”

“เออไอ้เวร” พอได้ยินแบบนั้นผมเลยชูนิ้วกลางให้มันไปทีนึงก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เดี๋ยวไปซื้อของใช้ด้วยดีกว่า เพราะว่าถ้าพี่แช่มมารับผมแล้วเขาคงไม่แวะกลับไปหอแล้วล่ะ

ผมคิดนะว่าจะทำหน้ายังไงใส่เขาดี เมื่อคืนเราทะเลาะกันมาหนักมากแต่ไม่รู้ว่าคนขี้เมาจะจำได้รึเปล่า พี่แช่มจะเป็นประเภทเมาหนักแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แบบนั้นมันก็ดีและก็ไม่ดีนะ มันอาจจะดีกับตัวเขาแต่มันไม่ค่อยดีกับผมเท่าไหร่ เพราะในขณะที่เขาลืมทุกอย่างจนหมดแต่ผมกลับจำได้ทุกอย่างเลยไง บ่อยครั้งที่ผมต้องเอาคำว่าช่างแม่งมาใช้กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ต้องเป็นข้าวหอมที่อดทนเก่งจริงๆ

ใช้เวลาซื้อของสักพักพี่แช่มก็ไลน์มาหาผมว่าถึงแล้ว พอเป็นแบบนั้นผมก็ลากสังขารตัวเองมาที่ลานจอดรถของห้าง รถซูซูกิ สวีฟสีขาวที่ผมนั่งเป็นประจำจอดรออยู่ไม่ไกล ผมเดินมาขึ้นรถก่อนจะคาดเบลท์แล้วหันมองคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ พี่แช่มเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มหวานให้ หึ....ทำมาเป็นยิ้ม น่าหมั่นไส้มากจริงๆ

หันหนีแม่ง

“เป็นอะไรหืม....หันหนีพี่ทำไมอะ” มือเรียวเลื่อนมาลูบหัวผมเบาๆ ความจริงไม่ได้ชอบให้ใครมาทำให้หัวตัวเองเสียทรงหรอกนะ แต่กับคนนี้ก็คือยอม

ก็ยอมแทบทุกเรื่องแหละว่ะ

“จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้หรอ”

“จำได้....บ้าง จำได้ว่าทะเลาะกัน”

“แล้ว”

“กำลังจะง้อนี่ไง” เขาจับหัวผมให้หันไปมอง “ไปเที่ยวกันเนอะ”

“ก็ไปสิ” สิ้นเสียงของผมพี่แช่มก็ออกรถ ไปกาญฯ นี่น่าจะใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้ารถไม่ติดก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้นะ ผมอยากงีบสักพักจัง หนังท้องตึงหนังตามันก็จะหย่อนแบบนี้แหละ

“ง่วงหรอ นอนก่อนได้นะ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวพี่ปลุก”

“โอเค งั้นหอมนอนนะ” ว่าแล้วผมก็หลับตาลง สัมผัสได้ถึงแรงลูบอุ่นๆ ที่หลังมือด้วย แน่ะๆ ๆ ๆ จะแอบมากุมมือตอนหลับล่ะสิ ร้ายนักนะ

กอดอกแม่ง

“น้องหอมนี่น้า....”

ไม่ต้องมาน้องหอมนี่น้าเลย

ขับรถไปซะเจ้าขี้เมา



---------- 50% ----------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 4 ----------



“ถึงแล้วนะน้องหอม”

“อื้อออ..อ....ขอสามนาที”

“สามนาทีอะไรล่ะ เดี๋ยวเรือมารับแล้วนะ”

ผมลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำว่าเรือ “ถึงแล้วหรอ”

“ใช่ ไปกันเร็ว” พี่แช่มบอกก่อนจะถือของทั้งหมดแล้วเดินลงไปจากรถ ผมก็ส่ายหัวตัวเองเพื่อตั้งสติก่อนจะเดินตามเขาลงมา ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ แปลว่ามันยังไม่เย็นมากสิเนี่ยะ

ผมเดินตามร่างสูงมายังท่าเรือเพื่อรอเรือจากรีสอร์ตมารับไป คือ River Kwai Jungle Rafts เนี่ยะ เป็นแพที่ลอยอยู่บนแม่น้ำแควแล้ววิธีที่จะไปได้คือต้องรอเรือมารับไปเท่านั้น ผมเคยเห็นในรูปคือมันฟีลธรรมชาติสุด ช่วงนี้มันยังหน้าฝนอยู่อากาศก็จะชื้นหน่อยๆ ผมอยากรู้นะว่าถ้าไปใช้ชีวิตแบบไม่มีไฟฟ้าสักวันนี่จะเป็นยังไง ไม่แน่ใจว่าสัญญาณโทรศัพท์จะโอเคไหมนะ แต่มันก็คงใช้ได้อยู่แหละ

ไม่ได้อยู่กลางหุบเขาที่อับสัญญาณสักหน่อย

เรานั่งรออยู่แปปนึงก็มีเรือมารับ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปบรรยากาศริมแม่น้ำแคว มันสวยมากจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าเราจะมากันเย็นไปสักหน่อยก็เถอะ แต่มันก็ถือว่าโอเคอยู่ที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ผมกับพี่แช่มนั่งเรือกันมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงรีสอร์ต มันสวยกว่าที่เห็นในรูปจริงๆ ผมช่วยพี่แช่มถือของขึ้นมาจากเรือ ร่างสูงเดินไปจัดการเช็คอิน ส่วนผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย

สวยๆ แบบนี้คือเก็บไว้ขิงเพื่อนได้อีกนาน

“ทางนี้น้องหอม” เสียงพี่แช่มเรียก ผมเดินตามหลังเขามาต้อยๆ มาจนถึงห้องของเรา

เตียงเดี่ยวขนาดใหญ่มากพอที่จะนอนกันสองคน แถมมีพัดวางอยู่บนเตียงด้วย เหมือนสื่อว่าถ้าร้อนก็พัดเอานะ ด้านบนมีมุ้งด้วยครับ สำหรับตอนกลางคืนที่นี่น่าจะมียุงเยอะพอสมควรเพราะธรรมชาติรอบๆ คือป่า ดีนะที่ผมซื้อสเปรย์ตะไคร้ไล่ยุงมา ไม่งั้นล่ะก็ยุงสูบเลือดหมดตัวแน่ๆ

ผมเดินออกมาที่ด้านหน้าแพ “มีเปลด้วยแฮะ” ว่าแล้วผมก็เดินไปนั่งที่เปลทันทีพร้อมกับถ่ายรูปต่อ วิวที่เป็นแม่น้ำแล้วก็ป่าปกคลุมนี่มันดีจริงๆ อากาศบริสุทธิ์แบบนี้หาไม่ได้ที่เมืองกรุงนะครับ

เพราะงั้นต้องสูดให้เต็มปอด

ฟื้ดดดด

ร่างสูงเดินมานั่งลงที่พื้นใกล้ๆ เปลผม “ชอบไหม”

“ชอบ นึกว่าจะไม่ได้มาซะแล้ว”

“ก็พี่เคยบอกน้องหอมไว้แล้วหนิว่าจะพามา” พี่แช่มเอียงหัวพิงหัวเข่าผม “แต่พี่ก็ให้รอนานไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ก็พอให้อภัยได้อยู่” ผมบอกก่อนจะลูบหัวเขาเบาๆ “แล้วเรื่องเมื่อคืนอะ เราควรเคลียร์กันนะ หอมไม่อยากให้อะไรมันคาใจหอมอยู่แบบนี้”

“พี่รู้ว่าคนที่พี่ผิดคือพี่ เอาจริงๆ ถ้าพี่ยอมกลับหอกับน้องหอมตั้งแต่แรกมันก็คงไม่บานปลายหรอก พี่เองที่ความอดทนต่ำเกินไป สุดท้ายแล้วพี่ก็ทำให้น้องหอมเสียใจเพราะการกระทำของตัวเอง คำว่าขอโทษมันอาจจะดูซ้ำซากเพราะงั้นพี่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก ไอ้เฌอบอกว่าการขอโทษที่ดีที่สุดคือการที่เราจะไม่ทำเรื่องเดิมซ้ำสอง”

“พี่เฌอก็พูดถูก”

มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “พี่จะพยายามอดทนเหมือนที่น้องหอมอดทนกับพี่มาตลอด จะหักห้ามใจ ไม่งี่เง่า พี่จะทำให้เรื่องของเรามันดีกว่านี้ ตอนนี้พี่มีบางอย่างต้องจัดการกับตัวเองก่อน พี่อยากให้น้องหอมเป็นกำลังใจให้พี่ด้วย”

“มันเป็นเรื่องที่บอกหอมไม่ได้หรอ” ผมขยับลงมานั่งข้างๆ เขาก่อนจะหันมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆ

“อาจจะยังไม่ถึงเวลาของมัน” พี่แช่มโอบเอวผมไว้ “มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ น้องหอมอาจจะไม่เข้าใจ แต่เอาจริงๆ พี่ก็ทำเรื่องที่น้องหอมไม่เข้าใจเยอะเต็มไปหมดเลยอะนะ”

“ก็รู้ตัวหนิ” ผมหยิกหลังมือเขาเบาๆ “กำลังใจจากหอมมันสำคัญกับพี่แช่มมากเลยหรอ”

“สำคัญสิ....พี่อยากกลับไปเป็นคนเดิม พี่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป น้องหอมเองก็คงสังเกตได้ว่าพี่ไม่ใช่แช่มคนเดิม แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะรีบพาตัวเองกลับมา”

ผมหลุดยิ้มออกมา “ถ้าพี่พูดแบบนั้น พี่ก็ต้องรีบพาตัวเองกลับมานะ หอมจะเป็นกำลังใจให้พี่เอง”

“ขอบคุณนะครับ” พี่แช่มยกมือผมขึ้นไปจูบเบาๆ บรรยากาศดีขนาดนี้ยังจูบแค่หลังมือเลย นึกภาพว่าเป็นไอ้สยามนะคือต้องลากสมปองไปปู้ยี่ปู้ยำในห้องแล้วอะ

“จูบแค่มือเองหรอ”

“หึ....” มือเรียวรั้งต้นคอผมไว้ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ช้าๆ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดอยู่บนใบหน้า เสียงหัวใจที่เต้นแรงแข่งกับสายน้ำมันดังเข้ามาในโสตประสาทของผม

ตึกตัก

ริมฝีปากนุ่มเลื่อนเข้ามาทาบทับที่ปากผมอย่างแผ่วเบา ความอุ่นที่ส่งผ่านมา สัมผัสอ่อนโยนที่ข้างแก้มมันคือสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมเลื่อนมือไปขยุ้มเสื้อพี่แช่มเอาไว้เมื่อลิ้นร้อนเริ่มสอดเข้ามาทักทายในปากผม มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ อากาศหายใจก็เริ่มเหลือน้อยเต็มทน ใจนึงก็อยากจะผละออกแต่อีกใจก็อยากจะอยู่แบบนี้

เกิดมา 20 ปีก็เพิ่งทำตัวไม่ถูกอีตอนนี้เนี่ยแหละ

“อื้มม.ม.ม.....” ร่างสูงถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มให้ผม “โอเคไหม”

ผมส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะดันเขาออกแล้วหันหลังหนี “จูบครั้งแรกก็เอาซะขนาดนี้เลยหรอ อื้ออ.อ....รู้สึกเหมือนปากเจ่อเลย” ไม่รู้ด้วยโดนแทะโลมไปขนาดไหน จิตใจนี่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักนิด

“ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้อยากเอาซะขนาดนั้นหรอก” พี่แช่มขยับเข้ามากอดจากด้านหลังพลางเอาคางเกยไหล่ผมไว้ “แต่ใครบางคนแถวนี้ทำหน้าตาน่ารักเกินไป พี่ก็เลยอดใจไม่ไหวน่ะ”

“ขี้โกงอะ”

“พี่โกงได้มากกว่านี้อีก” ว่าแล้วเขาก็กดจมูกลงบนแก้มผมหนักๆ “อื้มม.ม.ม....หอมจัง แถมยังนิ่มมากด้วย ถ้าพี่รู้ว่าแก้มน้องหอมนิ่มขนาดนี้ พี่คงไม่ห้ามใจตัวเองมาตั้ง 2 ปีหรอก”

งื้อออ.อ.อ.....หน้าร้อนไปหมดแล้วโว้ย

มันอะไรกันวะเนี่ยยยย

“อื้อออ..อ...เกินไปแล้วนะ”

“พี่ไม่เคยเห็นน้องหอมเขินมากขนาดนี้มาก่อนเลย”

ผมหันมองเขา “ก็เพราะพี่นั่นแหละ”

“ไม่ชอบหรอที่พี่ทำแบบนี้”

“ชอบสิ ใครจะไม่ชอบล่ะ” ผมทำแก้มป่องใส่เขา “หัวใจหอมเต้นแรงไปหมด รู้สึกมีความสุขมากเลยด้วย”

“มีความสุขก็ดีแล้ว”

“แล้วพี่ล่ะ มีความสุขไหม”

“หน้าพี่มันแสดงออกไปหมดทุกอย่างแล้วล่ะจ่ะ” เขายิ้มหวานให้ก่อนจะซบหน้าบนไหล่ผม งืมม.ม...ทำไมในใจถึงได้รู้สึกแบบนี้นะ มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยอะ

มีความสุขจนเกินไปแล้ว

ผมอาศัยจังหวะนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับเข้าทวิตเตอร์ของตัวเอง สิ่งที่กำลังเจอมันมีอิทธิพลต่อใจผมเอามากๆ ผมดีใจนะกับสิ่งที่พี่แช่มบอกมา ผมหวังว่ามันจะเป็นไปตามอย่างที่เขาพูด

ผมหวังจริงๆ





Kh. @KhH22_luc

ขอบคุณนะที่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้น

ผมจะรอคุณคนเมื่อวานกลับมานะครับ



#CloverBad










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะ หายไปหลายวันเลยต้องขอโทษด้วย การฝึกงานเซเว่นฯ ทำให้แรงเหือดหายจริงๆ นี่ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ป่วยหนักๆ ในวีคแรก ช่วยส่งกำลังมาให้ชาลเอาชีวิตรอดไปได้ด้วยน้าบี๋

ตอนนี้อาจจะบอกนัยข้อสงสัยหลายๆ อย่างในใจของหลายคนแล้วนะคะ ก็ถ้าอยากรู้เรื่องราวแบบแจ่มแจ้งก็ต้องรออ่านกันต่อไป เรื่องราวจะเจ้มจ้น หวานขมหรือยังไงก็รออ่านน้า ช่วงฝึกงานนี้ชาลคงไม่สามารถลงนิยายได้สม่ำเสมอแบบที่เคยทำมาตลอดได้เลยนะเพราะเรื่องของเวลาไปทำงานมันไม่แน่นอน แล้วการทำงานแต่ละวันมันก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก แต่ชาลจะพยายามสู้กับมันนะ บี๋ช่วยรอนิยายกันอย่างใจเย็นน้า

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจกันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2018 19:33:05 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ชะเอมคือน้องสาวของพี่แช่มชิมิ  :hao4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 5 เรื่องของพี่แช่ม
[/b]




Kh. @KhH22_luc

การตื่นมาแล้วได้เจอคุณเป็นคนแรกนี่มันดีจริงๆ เลยนะ



#CloverBad






มันดีจริงๆ นะครับ

ผมนอนมองคนที่หลับอยู่ข้างๆ นานแล้วนะที่ไม่ได้ตื่นมาแล้วเห็นพี่แช่มหลับอยู่แบบนี้น่ะ นั่นเป็นเพราะว่าเขามักจะตื่นก่อนผมประจำนั่นแหละ สีหน้าตอนหลับดูเป็นผู้ชายอ่อนโยนสุดๆ ไปเลย แต่เอาจริงๆ นิสัยของเขาก็มีความอ่อนโยนอยู่แล้วนะโดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณเฉลิมนี่จะอ่อนโยนเป็นพิเศษ พูดถึงเจ้านกฮูกอ้วน เมื่อวานผมถามพี่แช่มด้วยว่าการที่เรามาเที่ยวกันแล้วทิ้งคุณเฉลิมเอาไว้มันจะไม่เป็นไรเหรอ

นางอาจจะเหงามากเลยก็ได้

แต่พี่แช่มบอกมาว่าเอาเจ้าอ้วนไปฝากไว้กับสัตวแพทย์ที่รู้จัก พอได้ยินแบบนั้นผมก็ค่อยโล่งใจ เจ้าตัวให้เหตุผลว่าที่ไม่พาคุณเฉลิมมาด้วยเพราะว่ากลัวนางจะเห็นธรรมชาติแล้วหึกเฮิมบินหนีเข้าป่าไป มันก็อะไรทำนองนี้นี่แหละ อีกอย่างคือการที่ไม่มีคุณเฉลิมมาด้วยมันก็จะทำให้เราสองคนมีเวลาให้กันมากขึ้น

ถ้านางได้ยินนางคงน้อยใจแย่

ผมเลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มคนที่หลับอยู่เบาๆ ตอนนี้เกือบ 7 โมงแล้วนะครับแต่คนขี้เซาเขายังไม่ตื่น แน่ล่ะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนกันนี่ชุลมุนวุ่นวายสุดๆ แล้วในห้องเราก็มีแค่ตะเกียงเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง จะหยิบจะจับอะไรก็ดูมืดไปหมด แต่ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่ดีเลยนะ ปกติแล้วเราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้กันบ่อยๆ ไง การไม่มีไฟฟ้าใช้มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความอดทนเพิ่มขึ้นในระดับนึงเลยล่ะ

รู้สึกสงบขึ้นด้วย

แต่ข้อเสียของการไม่มีไฟฟ้าใช้ก็คือเราจะไม่มีพัดลมหรือแอร์ใช้เหมือนกัน อากาศเมื่อคืนถือว่าร้อนอยู่นิดหน่อย คงเป็นเพราะเวลาที่ผมอยู่ที่หอ แอร์ในห้องจะฉ่ำมาก พอมาอยู่แบบไม่มีแอร์ไม่มีพัดลมมันก็ไม่แปลกที่จะร้อนอะแต่ยังดีว่าทางรีสอร์ตเขามีพัดให้ใช้และแน่นอนว่าคนที่นั่งพัดจนแขนเปลี่ยก็คือพี่แช่มนั่นเอง เชื่อได้เลยว่าถ้าเขาตื่นมา เขาต้องบ่นว่าปวดแขนอย่างโน้นอย่างนี้แน่ๆ

คนขี้บ่นก็จะประมาณนี้แหละครับ

“อื้มมม.ม......” เสียงครางดังขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงขยับเข้ามาซุกผม เขาคิดว่าตัวเองเป็นแมวรึไงนะ ถ้าใช่ก็คงเป็นแมวยักษ์แน่ๆ

“ตื่นได้แล้วพี่แช่ม” ผมกระซิบบอกข้างหูเจ้าตัวเบาๆ แน่นอนว่าคนขี้เซาก็ส่งเสียงประท้วงออกมาก่อนจะเอาหน้ามุดหนีผมอยู่อย่างนั้น

“อื้อออ.อ.อ....”

“ตื่นเร็ว ข้างนอกอากาศดีมากเลยนะ”

“ไม่มีอากาศตรงไหนดีเท่าตรงนี้อีกแล้ว” เขาเอ่ยพลางเอาจมูกถูเบาๆ ที่ซอกคอผม “ชื่นใจ”

ตึกตัก

รุนแรงแต่เช้าเลย

“พูดจาเว่อร์จริงๆ ” ผมลูบหัวพี่แช่มก่อนจะเลื่อนมากุมที่แก้มเขา “หิวข้าวแล้วอะ ไปกินข้าวกัน”

“พี่ยังง่วงอยู่เลย”

“งั้นพี่ก็นอนไปเลย เดี๋ยวหอมจะไปกินข้าว” ว่าแล้วผมก็ดันเขาออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วบิดไปบิดมา รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกันนะเพราะโดนพี่แช่มรัดทั้งคืนไง

ตัวก็เล็กมากมั้งน่ะ

“น้องหอมจะทิ้งพี่หรอ”

“ใช่ หอมเห็นข้าวสำคัญมากกว่าพี่” ผมฉีกยิ้มให้เขาก่อนจะเปิดมุ้งออก “ถ้าจะไปด้วยกันก็เร็วๆ ให้เวลา 10 นาที หอมจะรอที่เปลหน้าแพ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะเดินออกมาทันที ถ้าครบ 10 นาทีแล้วพี่แช่มยังลีลาไม่ยอมออกมา ผมก็จะทิ้งเขาไว้ที่นี่แหละ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศยามเช้า ด้วยความที่รีสอร์ตนี้อยู่บนแม่น้ำแควและมีภูเขาล้อมรอบ ตอนเช้าๆ มันก็จะมีหมอกจางๆ ให้เราได้เห็น ผมว่ามันเป็นอะไรที่สวยมากเลยนะ ลองคิดภาพต้นไม้สีเขียวๆ ที่มีหมอกลอยอยู่ด้านบนสิ ภาพแบบนี้หาไม่ได้ในเมืองแน่ๆ อากาศก็นับว่าเย็นสบาย มีลมโชยมาอ่อนๆ ได้ยินเสียงน้ำ เสียงนกที่ร้องแข่งกันมันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไปบ้านของไอ้หมีที่สระบุรีเลย

บรรยากาศดีมากจริงๆ

ตอนนั้นที่ไปบ้านของไอ้หมีกันก็วุ่นวายอยู่พอตัวอาจเพราะว่าคนไปเยอะด้วยล่ะมั้ง ผมอยากมีบ้านอยู่ที่ต่างจังหวัดบ้างเหมือนกันนะ อารมณ์แบบเป็นบ้านที่มีเอาไว้เพื่อกลับไปพักผ่อน พักใจในเวลาที่เหนื่อย ผมเคยคุยกับแม่ด้วยนะเรื่องที่อยากจะมีบ้านสักหลังที่ต่างจังหวัดน่ะ เขาก็บอกว่าพ่อได้ซื้อที่ไว้ให้ที่จังหวัดกระบี่ แต่มันเป็นที่ดินเปล่ายังไม่มีการทำอะไรทั้งนั้น

อาจจะมีต้นไม้กับต้นหญ้าขึ้นบ้างนิดหน่อย

แม่บอกว่าพ่อซื้อไว้เพื่อรอให้ผมเรียนจบ เขาจะยกที่ดินตรงนั้นให้เป็นของขวัญ แต่ว่าการที่ผมจะทำอะไรกับมัน ผมก็ต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมด คิดไปคิดมานี่เหมือนกับว่าที่ดินนั่นเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อจะให้เลยอะ แต่ช่างเถอะ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดเรื่องนี้อีกทีก็ยังได้ ยังไงผมก็เหลือเวลาปีกว่าๆ ในการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในรั้วมหา’ลัย ตักตวงเวลาตรงนี้ให้คุ้มก่อนที่จะออกไปใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่จริงๆ จะดีกว่า

ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปละกัน

“เสร็จแล้วน้องหอม” ร่างสูงโผล่หน้าออกมา “ไปกันเถอะ”

“อืม” ผมลุกมาหาเขาก่อนจะเดินนำเพื่อไปหาข้าวกิน เมื่อคืนผมตกลงกับพี่แช่มเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะแวะไปเที่ยวที่สะพานข้ามแม่น้ำแควกันก่อนจะกลับกรุงเทพฯ

เอาจริงๆ กาญจนบุรีมีที่เที่ยวเยอะมากเลยนะครับ แต่เสียดายที่เราไม่มีเวลามากพอ ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ผมคงตะลอนไปทั่วทั้งกาญฯ เลยล่ะ ไว้เรียนจบเมื่อไหร่ค่อยชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวด้วยกันทีเดียวดีกว่า ตั้งทริปยาวๆ ไปเลยก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน พูดถึงเรื่องทำงานนี่....ผมยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าตัวเองเรียนจบไปแล้วจะทำอะไรดี จะไปตามสายที่เรียนหรือจะกลับไปช่วยงานที่บ้าน

เหมือนปัญหาโลกแตกเลยว่ะ

ที่ผมเลือกเรียนวิศวะฯ โยธามันก็แน่นอนว่าเพราะความชอบ พอได้เข้ามาเรียนมันก็โอเค ผมจัดการตัวเองได้ค่อนข้างดีเลยแหละสำหรับเรื่องเรียน แล้วผมจะเป็นบุคคลเดียวในกลุ่มที่เก็งข้อสอบได้เม่นเป๊ะเหมือนรู้ว่าอาจารย์จะออก เรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่มัธยมฯ แล้วล่ะครับ เวลาจะสอบทีไรเพื่อนๆ ก็จะเรียกหาผมตลอดพร้อมกับเอาขนมมาประเคนให้

ชีวิตดี๊ดีเนอะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....” เจ้าตัวละจากขนมปังขึ้นมามองผม “อิ่มแล้วหรอ”

“เปล่า คือหอมมีเรื่องอยากจะถามอะ”

“เรื่องอะไรหรอ”

“เดี๋ยวพี่แช่มก็เรียนจบแล้วใช่ป้ะ คิดไว้ยังว่าจะทำอะไรต่อไป”

“พี่มีงานของที่บ้านที่ต้องกลับไปทำต่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกลับไปได้รึเปล่า” เขาเอ่ยพลางยิ้มเศร้าๆ ออกมา สีหน้าแบบนั้นมันคืออะไรกัน

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

“พี่มีปัญหากับตัวเองน่ะ มันก็เกี่ยวกับเรื่องที่พี่ยังบอกน้องหอมไม่ได้นั่นแหละ” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมเอาไว้ “แต่พี่ก็คิดว่าสักวันนึง พี่จะกลับไปที่บ้านโดยที่พี่ไม่เป็นอะไร กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเหมือนเมื่อก่อนและพี่ก็หวังว่าคนที่จะอยู่ข้างๆ พี่ตรงนั้นก็คือน้องหอมนะ”

ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่เขาพูดแบบนั้น “ได้สิ หอมจะอยู่ตรงนั้น พี่อย่าปล่อยให้ใครมาแทนที่หอมละกัน”

“ไม่มีใครมาแทนที่น้องหอมได้หรอก” เขายิ้มให้ผมจนตาหยี ดูสิดู พูดจาชวนอ้วกอีกแล้ว นี่กะทำให้ผมหัวใจเต้นแรงจนตายไปเลยรึไงนะ

ร้ายกาจที่สุด

ผมยกชาขึ้นจิบพลางคิดในสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ มันเป็นคำพูดที่เหมือนแฝงอะไรบางอย่างเลย พอเป็นแบบนี้ผมก็ชักจะอยากรู้เข้าไปอีกว่าเรื่องที่เขาเก็บเอาไว้มันคืออะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้รับรู้มัน สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คืออดทนรอเท่านั้น จนถึงวันที่พี่แช่มจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังผมก็ได้แต่หวังว่าอย่าให้มีเรื่องอะไรเข้ามาทำให้เราวุ่นวายใจอีกเลย อย่างน้อยผมกับเขาก็ไม่ควรทะเลาะกันอีก

มันควรเป็นแบบนั้น

บ่อยครั้งที่ผมเห็นพี่แช่มแล้วรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้ปกติเหมือนอย่างเรา คล้ายๆ กับไอ้หมีเลยครับเลยที่มักจะยิ้มออกมาหรือแสดงท่าทีว่าตัวเองไม่เป็นไรทั้งๆ ที่ข้างในกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่ ผมเคยคิดด้วยว่าเขาอาจจะป่วย แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแปลกๆ แหละนะ มันดูยากที่คนแบบพี่แช่มจะป่วยเป็นอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นโรคที่ดูเข้าทางสุดก็น่าจะโรคตับแข็งไม่ก็สุราเรื้อรังนั่นแหละ

อันนี้จริงจังเลยนะ

ผมเคยคิดจะขอให้ขาเพลาๆ ลงบ้างด้วยนะเรื่องการดื่มเหล้าน่ะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากอยู่ไม่น้อยอีกอย่างคือถ้าผมไปบอกเขา เขาน่าจะสวนเรื่องที่ผมสูบบุหรี่กลับแน่ๆ แค่คิดว่าอาจจะต้องเถียงกับเขาเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดประสาทแล้ว เอาเป็นว่าวันไหนที่ผมเลิกบุหรี่ได้แล้วจริงๆ วันนั้นผมจะไปขอให้พี่แช่มเลิกกินเหล้า อย่างน้อยตอนนั้นก็มีข้อต่อรองอะ แล้วถ้าสมมุติเขาไม่เลิกนะ ผมจะเอาขวดเหล้าฟาดให้

โหดป้ะล่ะ

“เออพี่แช่ม บ้านที่พี่บอกนี่คือที่ไหนหรอ” ผมเท้าคางมองเขา จะว่าไป....ผมไม่เคยถามเลยเกี่ยวกับที่บ้านเขาเลยนะ รับรู้แค่ว่าเขามีครอบครัวคือคุณเฉลิม ตัวเขาเองก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวเลยด้วย

“บ้านของพี่อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชน่ะ มีสวนยางด้วยนะ แต่ว่าตอนนี้เพื่อนของพ่อพี่คอยดูแลให้อยู่”

“แล้วพ่อของพี่ล่ะ”

“ทั้งพ่อกับแม่ของพี่ท่านเสียแล้วล่ะ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มออกมาบางๆ “ตั้งแต่พี่ยังเป็นเด็ก”

“หอมเสียใจด้วยนะ” ผมลูบมือเขาเบาๆ คล้ายปลอบประโลม รอยยิ้มที่พี่แช่มแสดงออกมามันแฝงด้วยความเศร้าชัดเจน เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกสงสารจริงๆ

“ครอบครัวของพี่เป็นเจ้าของสวนยางที่มีชื่อพอสมควรเลยในนครฯ ที่ดินของบ้านพี่ราคาดีมาก ก็เลยมีคนติดต่อมาขอซื้อเยอะพอสมควรแต่ว่าพ่อพี่ไม่ขาย และสุดท้ายมันก็กลายเป็นปมขัดแย้งทางธุรกิจ ตอนนั้นพี่เพิ่ง 8 ขวบเอง ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย”

“แล้วยังไงต่อ”

“วันนึงพ่อมาบอกกับพี่ว่าถ้าปิดเทอมแล้ว พ่อจะพาพวกเราไปเที่ยวที่ภูเก็ตแต่วันต่อมาทั้งพ่อและแม่ของพี่ก็ถูกยิง....ต่อหน้าพวกเรา”

ผมจับมือเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิม “พอแล้ว ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้ถ้ามันทำให้พี่รู้สึกไม่ดี”

“พี่โอเค สักวันนึงน้องหอมต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอย่างมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย” เขาบอกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “ความจริงตัวพี่เองก็เกือบจะไม่รอดแล้วแหละ ดูเหมือนว่ามือปืนจะได้รับคำสั่งมาให้ฆ่ายกครัว ตอนนั้นพ่อบอกให้พวกเราซ่อนอยู่ในตู้ พี่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง มันน่าเศร้าที่เราอยู่ตรงนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย”

“พี่ยังเด็กไง มันไม่แปลกไม่ใช่หรอ หอมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพี่จริงๆ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ว่าใครจะผ่านมันมาได้”

“ใช่ ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้น สิ่งที่เจอมันหนักหนาแต่พอคิดว่าพี่ยังมีคนที่ต้องดูแลต่อไปมันก็เลยทำให้พี่เข้มแข็งขึ้น พี่ต้องเป็นหลักให้ได้ คือ....พี่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอะ มีแต่เพื่อนสนิทของพ่อ คนที่พ่อไว้ใจ คนที่คอยช่วยเหลือพวกเรามาตลอด พี่มีแค่นั้นแหละจนกระทั่งมาเจอกับเพื่อนๆ แล้วก็น้องหอม”

“พี่เก่งมากจริงๆ ที่ผ่านมันมาได้”

“ยังหรอก” พี่แช่มยกมือผมขึ้นไปกุมแก้มเขาไว้ “แต่สักวันนึง....พี่จะไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไรจริงๆ ”

ผมยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้าพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มเขาเบาๆ เรื่องที่พี่แช่มเล่ามันไม่ธรรมดาเลย มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะสำหรับชีวิตของเด็กคนนึงที่สูญเสียพ่อแม่ด้วยเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นน่ะ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่ผมรู้นี้จะมีสักกี่คนที่รู้บ้าง เพื่อนแก๊งค์ปลาทองของเขาจะรู้เรื่องพวกนี้ไหม ไม่เข้าใจความรู้สึกใจโหวงแบบนี้เลยอะ นี่ถ้าอยู่กันในห้องสองคนผมคงกอดเขาแน่นๆ แล้วล่ะ

เรื่องที่เจอมามันเกินไปจริงๆ

สิ่งนึงที่ผมสงสัยก็คือตอนที่พี่แช่มเรื่องทั้งหมดนั่น เขาใช้คำว่าพวกเราแทนตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้มันคงไม่ได้หมายความถึงเขาแค่คนเดียวแน่ๆ พวกเรามันต้องมากกว่าหนึ่งอยู่แล้วล่ะ แต่ดูจากการเล่าของเขาคือเจตนาชัดเจนว่าไม่ขอพูดถึงใครอีกคน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ ใจนึงผมก็อยากจะถามนั่นแหละแต่ดูจากหน้าเขาแล้วมันก็ไม่ควรเท่าไหร่ กลัวว่ามันจะไปสะกิดแผลที่อยู่ในใจเขาน่ะครับ

คนตรงหน้าผมนี้....เขาอาจจะเปราะบางมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้รับรู้ความเป็นตัวตนของพี่แช่มยังไงก็ไม่รู้ว่ะ เหมือนกับว่า 2 ปีที่เรารู้จักกันมามันเป็นแค่เกราะบางๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาเอาไว้เท่านั้น ไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้คนที่ดูเจิดจ้า สดใสอยู่ตลอดเวลาจะแบกรับเรื่องเลวร้ายขนาดนี้เอาไว้ ผมดีใจนะที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มันเป็นเรื่องที่มีผลต่อความรู้สึกมากๆ การที่เขาบอกผมมันก็คงแปลว่าเขาไว้ใจผมสินะ

รู้สึกดีจัง

“น้องหอมกินเยอะเกินไปแล้วนะ อยากเป็นคุณเฉลิมสองหรอ”

พี่แช่มนี่มัน.....

“ตัวเองแย่งขนมปังคนอื่นไปกินแท้ๆ ยังจะกล้าพูดอีกนะ”

เดี๋ยวก็ทุบให้เลยหนิ



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



การได้มาสถานที่สวยๆ กับคนที่เรารักนี่มันทำให้มีความสุขจริงๆ เลยนะครับ

จะสุขกว่านี้ถ้าคนที่เรารัก.....เขาสนใจเรามากกว่านี้นิดนึง

พี่จะร้องไห้แล้วนะน้องหอมมมม

ผมยืนทำหน้ายับมองร่างโปร่งอยู่ไกลๆ ตอนนี้คนดีของผมเขากำลังถ่ายรูปไปทั่วเลยครับ น่าจะประมาณสิบล้านรูปแล้วล่ะ ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ตั้งแต่ที่เช็คเอาท์ออกมาจากรีสอร์ต ผมก็พาน้องหอมมาเที่ยวต่อที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว บรรยากาศดีมากเลยนะ แดดไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วก็ยังมีลมโชยอ่อนๆ ด้วย มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเรามีเวลาอยู่เที่ยวได้อีกสักวันสองวัน

ชีวิตเด็กมหา’ลัยนี่มันมีเวลาน้อยนิดจริงๆ

เทอมหน้าผมก็จะฝึกงานแล้วด้วย มันดูเป็นอะไรที่เร็วเหมือนกันนะ แปปๆ ก็อยู่ปี 4 แล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องอนาคตของตัวเองเท่าไหร่ ยังไม่รู้เลยว่าจะจบไปแล้วจะทำงานตรงกับสายที่เรียนมารึเปล่า อีกอย่างคือผมมีสวนยางกับคนงานที่ต้องกลับไปรับผิดชอบด้วย ถือว่ายังดีที่ผมมมีลุงเชตคอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ เสมอมาตั้งแต่ที่เสียพ่อกับแม่ไป ตอนนี้เขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่

ถ้าไม่มีเขาก็คงไม่มีผมอยู่ตรงนี้แล้ว

เรื่องในอดีตของผมที่เล่าให้น้องหอมฟัง มันเป็นเรื่องที่ผมเคยบอกกับเพื่อนๆ ไปแค่ว่าครอบครัวของผมเสียชีวิตหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้เล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นและทุกคนก็ไม่ได้อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านั้น ส่วนน้องหอม....ที่ผมเล่าให้เขาฟังก็เป็นเพราะผมคิดว่าเขาควรรับรู้เอาไว้ และวันนึงเขาก็จะได้รับรู้เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม คิดไม่ออกเลยว่าถ้ามีวันที่เขาเลือกที่จะไม่อยู่ฟังเรื่องเหล่านั้นมันจะเป็นยังไง

ผมจะรับมันไหวไหมนะ

หลังจากที่ไปหาหมอมา ผมก็คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ อย่างน้อยมันก็ต้องลองเสี่ยงดู จริงอยู่ว่าผมกลัวการสูญเสียมาก แต่ว่าถ้าผมรักษามันเอาไว้ได้มันก็อาจจะไม่เป็นไร คำพูดของหมอนวัตรทำให้ผมคิดว่าการที่เราเลือกจะไม่ครอบครอง มันไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียสิ่งนั้นไปไม่ได้ แค่ความรู้สึกมันอาจจะต่างกันเท่านั้นเอง เพราะแบบนี้แหละเลยทำให้ผมกล้าที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่

ตอนนี้ก็ได้จูบแล้วนะครับ

มันเป็นความรู้สึกที่ดีเอามากๆ ผมไม่เคยจูบใครมาก่อนเลย นั่นก็เป็นจูบแรกของผมและดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นจูบแรกของน้องหอมเหมือนกัน นาทีที่ผละออกมาแล้วเห็นน้องหน้าแดงก่ำนั่นมันทำให้ใจผมสั่นไปหมด พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยหอมแก้มน้องซ้ำไปอีก ทีนี้เจ้าตัวก็เขินเข้าไปใหญ่ พอจะเริ่มเข้าใจโมเม้นต์ของเพื่อนๆ ที่ชอบเอาเมียตัวเองมาขิงแล้วว่าเวลาทำแบบนี้มันจะน่ารักอย่างโน้นอย่างนี้แล้วล่ะ

อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“พี่แช่ม” ร่างโปร่งเดินเข้ามาหาผมก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ “ถ่ายรูปให้หอมหน่อย”

ไม่สนใจพี่แล้วยังจะมาให้พี่ถ่ายรูปให้อีก

“ไม่เอา”

“ทำไมล่ะ” เจ้าตัวถามเสียงอ่อนพลางเบะปากน้อยๆ คิดว่าน่ารักใช่ไหม ใช่ มันโซคิวท์มาก แต่ตอนนี้พี่กำลังงอนอยู่ เพราะงั้นมันจะไม่มีผลต่อใจพี่แน่นอน

“น้องหอมเอาแต่ถ่ายรูปอะ” ผมหันหนีน้อง “น้องหอมไม่สนใจพี่เลยสักนิด”

“ใครบอกหอมไม่สนใจ”

“พี่เห็นอยู่ตำตา”

“งั้นพี่ก็ไม่เห็นนี่น่ะสิ” มือเรียวยื่นโทรศัพท์มาจ่อหน้าผมก่อนจะเปิดให้ดูในอัลบั้มรูป ภาพที่ปรากฏอยู่ในนั้นทั้งหมดคือรูปที่เขาถ่ายผมซะเป็นส่วนใหญ่ รูปวิวอื่นๆ มีปนอยู่แค่นิดหน่อยเท่านั้น

อา....รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา “พี่ขอโทษจ่ะ”

“ทีนี้ก็รู้แล้วนะว่าหอมสนใจพี่มากแค่ไหน มีแต่พี่นั่นแหละที่เหม่อมองท้องฟ้ากับแม่น้ำอยู่นั่นอะ” น้องหอมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะตีไหล่ผม “รู้อยู่หรอกว่าวิวมันสวยแต่ช่วยสนใจหอมด้วยสิ”

“โอ๋ๆ ๆ ๆ ” ผมรั้งเอวน้องเข้ามาใกล้ “สนใจแล้วค้าบ อย่างอนพี่เลยนะ ไหนยิ้มซิ”

“ไม่”

“น้องหอม” ผมทำหน้าละห้อยทันทีเมื่อเด็กขี้งอนยังทำหน้าบึ้งอยู่ “ถ้าไม่หายงอนพี่จะฟัดเราตรงนี้จริงๆ ด้วย” เอาสิอะ ที่พูดนี่กล้าทำนะครับ ระดับนี้ไม่เก่งแต่ปากอยู่แล้ว

“ไม่เอา ห้ามฟัด”

“งั้นดีกันก่อน” ผมยื่นนิ้วก้อยไปทางน้อง เจ้าตัวมองผมก่อนจะยื่นนิ้วมาเกี่ยวแต่โดยดี แก้มขาวๆ นั่นขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยเมื่อกี้ แอบจินตนาการว่าผมจะฟัดเขาตรงนี้แน่ๆ ร้ายไม่ใช่ย่อยเลยนะ

ไว้ถึงเวลาก่อนเถอะ....จะฟัดให้ตายกันไปข้างนึงเลย

“ถ่ายรูปให้ด้วย” น้องยัดโทรศัพท์ใส่มือผมก่อนจะเดินไปยืนแอคท่าถ่ายรูปอยู่กลางสะพาน พอเป็นแบบนั้นผมก็ยืนถ่ายรูปให้เขารัวๆ

คนรักคนที่อยู่ตรงหน้านะ เวลาที่ได้อยู่กับเขามันคือความสุขจริงๆ แต่ก็แย่หน่อยที่ผมชอบไปทำตัวบัดซบใส่น้อง ตัวเองผิดเองแท้ๆ ยังจะไปลงกับเขาอีก แต่เอาวะ หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้เรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นอีก ผมต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้ เดี๋ยวเวลาที่หงุดหงิดจะต้องนึกถึงหน้าไอ้ขันเอาไว้ นึกถึงคำที่มันชอบด่าผมซ้ำๆ ซากๆ ผมจะได้ไม่ต้องทำตัวงี่เง่าใส่น้องหอมอีก

ชริตต้องทำได้แหละว่ะ

ผมส่งโทรศัพท์คืนให้น้องหอมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเข้าไปทวิตข้อความทิ้งไว้ในทวิตเตอร์ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ยุ่งกับโลกโซเชี่ยลเท่าไหร่เลยตั้งแต่เกิดภาวะประสาทแดกน่ะ มันก็ดีเหมือนกันนะ มันจะเป็นความรู้สึกว่าชีวิตตัวเองสงบมากเลยล่ะแต่กลับกันก็คือเราจะไม่รู้เรื่องราวของเพื่อนฝูงเลยอย่างเช่นที่ไอ้เฌอมันตัดเพ้อเพราะเลิกกับแฟนอีกแล้ว   

อีกแล้วเหรอวะ

คนที่แสนแปดแล้วมั้งแฟนมันเนี่ยะ เชื่อได้เลยว่าพอกลับไปมันจะต้องชวนผมไปดื่มย้อมใจแน่ๆ เนี่ยะ คนที่จะตายห่าก่อนใครในกลุ่มก็คงเป็นมันนี่แหละดูจากทรงแล้ว หลายครั้งนะที่ผมบอกมันว่า เออเฌอ ถึงอกหักก็ไม่ต้องกินเหล้าเสมอไปนะ ปังเย็นเอย หมูกระทะเอยก็ไปกินได้นะ แต่สุดท้ายแล้วแม่งก็ตัดบทด้วยคำว่าเจอกันที่ร้าน แล้วถ้าสมมุติว่าเพื่อนๆ ไม่มีใครไปกับมันสักคน มันก็จะเริ่มตัดพ้อละ

งอแงอย่างกับเด็กสามขวบ

“พี่แช่ม”

“จ๋า” ผมละจากโทรศัพท์ขึ้นมามองน้องหอมที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า “ยิ้มอะไรหืม....”

“มีความสุขอยู่”

“หรอ มีมากขนาดไหนลองบอกพี่ซิหืม”

นิ้วเรียวชี้ขึ้นไปทางแม่น้ำแควให้ผมดู “ขนาดนั้นเลย”

“ถ้านั่นเป็นส่วนของน้องหอม” ผมชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “นี่ก็คือส่วนของพี่”

“มีความสุขขนาดนั้นเชียว”

“ใช่สิ” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้น้อง “ได้อยู่กับน้องหอมทั้งที พี่จะไม่มีความสุขได้ไง” ว่าแล้วผมก็ยิ้มหวานให้เขา คนตรงหน้าแก้มขึ้นสีเป็นที่เรียบร้อย น่ารักจัง เด็กคนนี้จะรู้ตัวไหมนะว่าตัวเองกำลังทำให้ผมหลงจนหัวปักหัวปรำน่ะ

“คำพูดคำจา” น้องบ่นอุบอิบก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมไปทางโน้นดีกว่า” สิ้นเสียงพูด ร่างโปร่งก็รีบเดินหนีผมไปทันที อาการแบบนี้ก็คือเขินนั่นแหละ เขินจนต้องเดินหนีไปอีกทาง

มันน่านักนะ

ดีจังที่การมาออกทริปสั้นๆ ของเรามันจะทำให้เรื่องทุกอย่างดูโอเคขึ้น อย่างน้อยตอนนี้น้องหอมก็คงหายโกรธผมแล้วล่ะ ดีละ หลังจากนี้ผมก็ต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองสร้างปัญหาอีก เดี๋ยวเรื่องนี้ต้องเล่าให้ไอ้ขันฟังด้วย เจ้าแผนการณ์อย่างมันน่าจะมีอะไรดีดีแนะนำผมได้บ้าง มันคงจะถึงเวลาที่ผมจะต้องเป็นเจ้าของน้องหอมแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ขืนถ้ายังลีลาอยู่ล่ะก็....หมาที่มันคอยจ้องจะง้าบสุดที่รักของผม มันต้องพุ่งข้ามาตะครุบแน่ ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

ยังไงก็ไม่ยอม



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]


---------- 50% ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 03:02:51 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 5 ----------



“แล้วทำไมมึงถึงมาอยู่ห้องกูได้เนี่ยะ”

“อื้ออ.อ.อ.อ....”

“ยังอีก”

“.....”

“มึงนี่มัน....” ผมรั้งผ้าห่มของตัวเองออกมาจากไอ้น้องเวรที่นอนซุกอยู่ในนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้มานอนที่ห้องผม คือเปิดห้องเข้ามาก็เจอมันนอนเป็นซากอยู่ในนี้แล้วอะ

ตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มแล้วครับ ผมกับพี่แช่มเราเพิ่งแยกกันเมื่อกี้นี่เอง เขามาส่งผมก่อนจะกลับไปที่หอตัวเองพร้อมกับคุณเฉลิม วันนี้มันเป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ คืออะไรๆ มันก็ดูโอเคไปหมด ได้ไปเที่ยว ได้มีช่วงเวลาดีดีร่วมกับคนที่เรารัก คือมันเป็นโมเม้นต์ที่ดีเลยแหละแต่การที่ต้องกลับมาห้องแล้วเจอกับซากน้องชายตัวเองที่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

อารมณ์ไหนของมันวะ

“ข้าวก้อง”

รอยอะไรเต็มไปหมดเลยเนี่ยะ

ผมไล่มองไปตามซอกคอขาวที่มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ ติดอยู่เต็มไปหมด บางรอยเหมือนรอยโดนกัดเลยอะ นี่ไปทำอะไรมาวะเนี่ยะ ผมเลื่อนมือไปแตะเบาๆ ก็พบว่าคนที่นอนซมอยู่นั่นกำลังเป็นไข้ ตัวร้อนเอาเรื่องเลยว่ะ ไม่สบายสินะถึงได้ดูไม่มีสติแบบนี้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูมาวางไว้ข้างเตียงก่อนจะลงมือแก้ผ้าให้คนป่วยทันที รอยจ้ำที่ผมเห็นมันไม่มีแค่ที่ซอกคอนะแต่แม่งมีทั่วทั้งตัว

มันจะอะไรขนาดนั้นวะน่ะ

รอยจ้ำทั้งหมดนี่ดูก็รู้แล้วล่ะว่าเป็นรอยจูบแน่นอน ผมเห็นบ่อยตามซอกคอเพื่อนๆ แต่สำหรับข้าวก้องนี่คือครั้งแรกเลยล่ะ ที่ผมสงสัยก็คือจะมีผู้หญิงที่ไหนมาทำรอยจูบบนตัวผู้ชายได้มากมายขนาดนี้ น้องผมไม่ใช่เกย์อะ ถ้าจะมีเซ็กซ์ก็แน่ๆ ว่าคงต้องกับผู้หญิง แต่พอมาเห็นแบบนี้มันก็อดคิดอีกอย่างไม่ได้เหมือนกันนะ สิ่งที่ผมสงสัยน่าจะคลายได้ก้ต่อเมื่อเจ้าตัวตื่นมาตอบเท่านั้นแหละ

แล้วถ้ามันไม่ตอบล่ะ

ใช่ มันไม่ตอบแน่ๆ

งั้นช่างมันละกัน ถ้าข้าวก้องเลือกที่จะไม่ตอบว่าตัวเองไปทำอะไรมาก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของมันอีกอะ แต่เดี๋ยวสิทธิ์ด่าและโขกหัวมันจะเป็นของผม โทษฐานเข้ามานอนโดยไม่บอกแล้วก็บอกให้ตัวเองอยู่ในสภาพเป็นซากแบบนี้ซะได้ ผมไม่ชอบเวลาที่ข้าวก้องเป็นไข้แบบนี้เลย ปกติแล้วมันเป็นคนแข็งแรงมาก นานๆ ทีนั่นแหละถึงจะป่วย แต่พอป่วยครั้งนึงก็ถือว่าเป็นหนักเอาการเลยแหละ

“ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะไอ้เวร” ผมดึงแก้มมันอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินเอากะละมังไปเก็บ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมคณะกรรมการฯ อีกนะเนี่ย แค่คิดถึงงานที่ต้องทำก็รู้สึกเพลียใจแล้ว

ผมเดินมานอนลงข้างๆ ข้าวก้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปพี่แช่มที่ตัวเองแอบถ่ายเอาไว้ ผมถ่ายรูปเขาไว้เยอะมากๆ เลยนะ นึกถึงตอนที่เจ้าตัวงอนเพราะผมไม่สนใจก็ตลกอยู่เหมือนกัน ผมเนี่ยนะจะไม่สนใจเขา มีแต่เขานั่นแหละที่เหม่อไม่หยุด ผมชอบนะเวลาที่ได้เห็นพี่แช่มทำหน้าเหมือนน้องหมาหูตกน่ะ น่ารักชะมัด อยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้แต่น่าเสียดายที่ผมถ่ายไม่ทัน

ไม่เป็นไรเอาไว้ครั้งหน้า

ความจริงคืนนี้พี่แช่มก็ขอให้ผมไปนอนที่หอเขานะแต่ผมเองที่ปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลว่าเขาควรใช้เวลาอยู่กับคุณเฉลิมบ้าง พอผมบอกแบบนั้นเขาก็ต้องยอม เอาน่ะ เมื่อคืนก็กอดกันมาจนหนำใจแล้วหนิ อีกอย่างคือต่อให้คืนนี้ไม่ได้นอนด้วยกันเดี๋ยวคืนอื่นๆ เขาก็ต้องหาเรื่องมาล่อลวงผมให้ไปนอนกับเขาได้อยู่ดี

ร้ายกาจที่สุดละจริงๆ

ผมออกจากแกลลอรี่ก่อนจะเข้าไปที่ไลน์ เห็นแจ้งเตือนทวิตเตอร์ของคนขี้เมาเด้งอยู่ด้วยนะแต่ว่ายังไม่ได้กดเข้าไปดู แต่ก่อนที่จะกดดูทวิตเตอร์พี่แช่ม ผมขอด่าเพื่อนในไลน์ก่อน คืองี้ครับ คือผมไปเที่ยวกับพี่แช่มใช่ไหม แล้วทีนี้ไอ้พวกเวรมันก็เกิดอาการตัดพ้อกันแบบชิบหายวายวอด ยาวเป็นร้อยข้อความเลยแหละ ผมเห็นละแต่ผมยังไม่ได้ด่ามันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้คือถึงเวลาอันดีละ

จะแท็กด่าแม่งเรียงตัวเลยไอ้สัส

“อื้ออ.อ.อ.....หอม” คนที่นอนข้างๆ ผงกหัวขึ้นมามองผม “มึงมาทำอะไรห้องกู”

“ห้องกูมั้งเถอะไอ้เวร มึงเถอะ ไปโดนส้นตีนอะไรมาถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้”

“ตกบันได”

เชื่อก็เชี่ยละ

“มึงเห็นกูเป็นเด็กสามขวบหรอที่จะเชื่อว่ามึงตกบันไดอะ”

“เออน่ะเชื่อๆ ไปเหอะ เพราะยังไงไม่ว่าใครถามกูก็บอกว่ากูตกบันได”

“มึงมันตอแหลกัน”

“ติดมึงมาทั้งนั้นแหละ” ว่าแล้วมันก็แย่งผ้าห่มผมไปก่อนจะม้วนตัวเป็นหนอน พอเห็นแบบนั้นผมเลยถีบมันตกเตียงไปเพราะความหมั่นไส้

“ไอ้สัสหอม”

“นอนนั่นแหละไอ้ชิบหาย” ผมปาหมอนใส่มันก่อนจะนอนแผ่เต็มเตียง แต่ไอ้น้องเวรมันก็กระโจนขึ้นมาทับผมเอาไว้ อื้อหืออออ....อ....ตัวเบามากมั้งหนิ

“กูหนัก จะนอนก็ลงไปนอนดีดี”

“ไปเที่ยวกับพี่แช่มมาเป็นไงบ้าง”

“มีความสุขมาก”

“ถ้าเป็นแบบนั้น.....ก็ดี” ข้าวก้องขยับตัวลงไปนอนข้างๆ “ถ้ามึงมีความสุข ก็ดีแล้ว” เจ้าตัวบอกพลางพลิกตัวไปอีกทาง ท่าทางแบบนี้ก็คงโอเคล่ะมั้งที่เรื่องของผมดีขึ้นน่ะ

“อืม นอนพักซะมึงอะ” ผมกระชับผ้าห่มขึ้นให้มันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าไปในทวิตเตอร์ แจ้งเตือนเด้งเยอะเหมือนกันนะเนี่ย

ผมไล่ตามไทม์ไลน์ไปเรื่อยๆ จนเจอกับทวิตฯ ของพี่แช่ม ข้อความสั้นๆ ที่เขาทวิตเมื่อหลายชั่วโมงก่อนตั้งแต่เรายังอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำแควด้วยกันมันทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทันที ตลกว่ะ เหมือนเมื่อหลายวันก่อนยังเห็นข้อความดราม่าตัดพ้อชีวิตอยู่เลย มาวันนี้คืออินเลิฟสุดๆ อารมณ์เหมือนคนเป็นไบโพล่าร์เลยว่ะ

บ้าบอชะมัด

“เขินจะตายห่าอยู่แล้ว.....”

แม่ง





Charit @Charitpedd

ความสุขของผมก็คือการที่ผมมีคุณ....มีคุณ และก็มีคุณ



#พี่แช่มได้กล่าวไว้














TBC.

สวัสดีค่าชาลมาส่งนิยายแล้วนะ ขอโทษด้วยที่หายไปเป็นเดือนเลย ด้วยหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้มันเลยทำให้เวลาที่มีน้อยมากๆ ขอบคุณที่ยังรอกันอยู่นะคะ ตอนนี้ยังไม่ได้แก้คำผิด เดี๋ยวชาลจะไล่แก้ให้น้า

สวัสดีปีใหม่ด้วยนะคะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกคนเลยนะ มีความสุขมากๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ตัวชาลเองก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องนิยาย อีกไม่กี่เทอมชาลก็จะเป็นเด็กปี 4 ที่ต้องเตรียมตัวกับโปรเจ็กต์จบซึ่งมันจะค่อนข้างหนักแต่ว่าก็ทำใจสู้กับมันเอาไว้แล้วล่ะค่ะ เป็นกำลังให้กันด้วยนะคะ

ในนิยายมีข้อมูลของรีสอร์ตจังเกิ้ลราฟ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงนะ มันอาจจะไม่ตรงกับข้อมูลจริงในบางอย่างชาลต้องขออภัยด้วยนะคะ ถ้ามีข้อเสนอแนะก็สามารถบอกได้เลยนะ ชาลจะนำมารีไรท์ให้มันเรียลที่สุดนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 03:02:20 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ละลายแล้วตอนนี้  o18

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 6 บัตรผู้ป่วย




Charit @Charitpedd

เหมือนวันหนึ่งกำลังจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เดิมอยู่ดี



#พี่แช่มได้กล่าวไว้





เป็นอะไรอีกรึเปล่านะ....พี่แช่มน่ะ

รู้สึกเป็นห่วงจัง

ผมเลื่อนดูข้อความในทวิตเตอร์ไปเรื่อยพลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ พี่แช่มเขาดูแปลกๆ  ครับ แปลกแบบผิดปกติ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เคยถามแล้วแต่เขาก็บอกว่าช่วงนี้นอนไม่พอ ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยอมบอก จะว่าไป....อาการที่เขาเป็นตอนนี้มันดูเซื่องๆ ซึมๆ ผมเคยเห็นอาการประมาณนี้เมื่อนานมาแล้วล่ะ แต่ครั้งนั้นคนที่เป็นคือไอ้หมี

ผมควรไปลองถามไอ้หมีดีไหมวะ

จากวันที่เราไปเที่ยวที่กาญฯ ด้วยกันนี่ก็ผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าๆ แล้วครับ ความสัมพันธ์ของเรามันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ น่ะนะ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องดี พี่แช่มดูอดทนได้ดีขึ้นเวลาเจอหน้าบวร แต่บวรนี่สิ ผมไม่รู้ว่าช่วงนี้เขาเป็นอะไร อาการเขาเองก็ดูแปลกๆ เวลาที่ได้เจอหน้าผม พอผมถามเขาก็บอกว่าผมจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ผมนี่ก็คือแบบ....อะไรวะ

ยังไม่ทันทำอะไรเลย

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องของบวรสักเท่าไหร่เพราะผมสนใจเรื่องของพี่แช่มมากกว่า ตอนนี้ 5 โมงกว่าๆ เขาน่าจะใกล้เลิกเรียนแล้วล่ะ วันนี้เรานัดกันไว้ว่าจะไปหาอะไรกินด้วยกัน แล้วก็จะไปที่จันทร์เจ้าด้วยเพราะว่าเป็นวันเกิดพี่ฉาย ผมเตรียมของขวัญไว้ให้เขาแล้วด้วย คิดว่าน่าจะชอบนะ เพราะพี่เฌอบอกมาว่าพี่ฉายชอบอะไรแบบนี้

ไม่อยากจะบอกว่าเป็นชุดนอนวาบหวิว

พี่เฌอเล่าให้ฟังว่าพี่ฉายชอบบ่นว่าอยากเห็นแฟนตัวเองใส่ชุดอะไรพวกนั้นบ้าง พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยไปจัดมาให้เขาสามชุดเลยครับ และด้วยความที่ผมสั่งชุดมาจากในเน็ต ตอนที่ของมาส่งพี่แช่มก็อยู่กับผมในห้องด้วย จังหวะที่แกะกล่องแล้วเขาเห็นชุดพวกนั้นก็คือตาวาวเลยทันที จากคนขี้เมากลายเป็นคนหื่นกามในทันใด แถมยังเซ้าซี้บอกให้ผมลองใส่ให้ดูหน่อย   

น่าฟาดชิบ

ผมบอกพี่แช่มไปว่าล้มเลิกความตั้งใจอยากจะเห็นผมใส่ชุดพวกนั้นได้เลยเพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น แล้วพอบอกไปแบบนั้นนางก็ไปนั่งดราม่ากับคุณเฉลิมเลยจ้า บอกว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ ตามใจหน่อยก็ไม่ได้ แล้วก็ตัดพ้อยาวไปจนก่อนจะนอน ผมนี่กะไล่เขาไปนอนห้องน้ำละเอาจริงๆ ไว้ถ้ามีคราวหน้าที่เขาทำตัวง้องแง้งแบบนี้อีกผมจะเอาหมอนข้างฟาดให้ตายเลยคอยดู

อย่างข้าวหอมนี่พูดจริงทำจริง

“มึง” ไอ้ขุนหันมาทางผม “วันนี้มีประชุมเรื่องค่าย”

“ถามจริง” อยู่ดีดีจะมานัดประชุมกะทันหันแบบนี้ไม่ได้ป้ะวะ

“เออดิ ไอ้ก้องบอกอยู่ในกลุ่มเนี่ยะ อาจารย์เขาอยากได้เอกสารเร็วขึ้นก็เลยต้องรีบจัดการอะ”

“แม่งเอ๊ย” ผมยกมือเสยผมตัวเองขึ้นอย่างหัวเสีย “งั้นกูก็ต้องเลื่อนนัดพี่แช่ม”

“กูก็ต้องเลื่อนนัดขนมเหมือนกัน ไปหาพวกมันกันเถอะ อยู่ที่ห้องคณะกรรมการละ” ไอ้ขุนบอกก่อนจะลุกนำไป ผมก็เก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินตามมันมา

ผมกับขุนศึกเพื่อนรักนั่งอยู่หน้าตึกกันสองคนไง ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือก็ไปหาอะไรกินกัน ผมว่าพวกมันที่เพิ่งรู้เรื่องก็น่าจะฉุนเฉียวอยู่เหมือนกันแต่ก็นะ มันเรื่องงานอะ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่บ่นๆ ๆ ๆ เท่านั้นแหละ พูดถึงค่ายอบรมของสาขาโยธานี่ก็รู้สึกอยากตายขึ้นมาทันที มันเป็นงานที่สูบเลือดสูบเนื้อพวกคณะกรรมการที่สุดแล้วโดยเฉพาะปี 3 คิดดูสิว่าการที่ต้องดูแลพวกตัวแสบเป็นร้อยมันเป็นยังไง

แม่งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ เลยว่ะ

ค่ายอบรมของโยธาจัดขึ้นสิบวันและมันจะเป็นสิบวันที่ผมไม่ได้เจอพี่แช่ม ค่ายนี้พวกพี่ปี 4 ไม่ได้ไปครับ แต่ยังถือว่าโชคดีอยู่ที่กลุ่มว้ากเกอร์ของปี 3 จะได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ อย่างน้อยผมกับเขาก็ยังมีโอกาสได้โทรหากันบ้างก่อนนอน ช่วงที่เราห่างกันผมน่าจะคิดถึงเขามากแน่ๆ ตัวพี่แช่มเองก็คงไม่ต่างกัน เอาจริงๆ ที่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างงานยุ่งแล้วไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ผมก็รู้สึกหว่าเว้ละนะ

อา....เศร้าจัง

“หอม”

“ห้ะ”

“มึงว่าปี 1 จะหาค่ายที่ไหนให้เราไปวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ประธานฯ ปี 1 คือบวรหนิ กูว่ามันก็น่าจะหาที่ดีดีได้ล่ะมั้ง”

“กูยังจำที่เราไปค่ายเมื่อปีก่อนได้เลย ที่สมปองหาแล้วเซอร์ไพรสไอ้หยัมอะ”

“เออ โคตรน่าหมั่นไส้ แล้วเนี่ยะ นี่ก็จะครบรอบ 1 ปีที่พวกมันคบกันแล้วด้วย กูไม่รู้ว่าแม่งจะมีแผนเซอร์ไพรสอะไรกันรึเปล่า”

“ถ้ามี เราขัดขวางไหม”

ผมหันขวับมองเพื่อนรักทันที “เห้ยขุน.....เฉียบว่ะ” ยกนิ้วโป้งโชว์ว่าเยี่ยมไปอีกที เรื่องทำลายล้างแบบนี้ล่ะพวกผมถนัดนัก

“งั้นตามนั้น เดี๋ยวคอยสืบก่อนว่ามันจะทำอะไรกันบ้าง”

“โอเคเลยครับเพื่อน”

ผมกับขุนศึกเพื่อนรักเดินเข้ามาในห้องคณะกรรมการก็พบกับบรรดาเพื่อนๆ และเหล่าแก๊งค์ประธานของปี 2 ส่วนของปี 1 ก็มีแค่บวรคนเดียว ดวงตาคมมองที่ผมไม่ละเลยว่ะ แต่ช่างเถอะ มันก็ถือว่าเป็นปกติอยู่แล้วล่ะที่เขาชอบมองผมแบบนี้ นี่ดีนะที่การประชุมนี้มีไม่มีพวกพี่ปี 4 ร่วมด้วย ขืนถ้ามีล่ะก็....ผมว่าพี่แช่มน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่และตัวผมเองก็เริ่มจะอารมณ์ไม่ค่อยดีแล้วเหมือนกัน

มองขนาดนั้น....ต้องการอะไรกันแน่วะ



[บันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]



หงุดหงิดใจจัง

หงุดหงิดใจ.....มากจริงๆ

ผมนั่งฟังสมปองอธิบายเรื่องเข้าค่ายอบรมของโยธาที่จัดขึ้นในเทอมหน้าด้วยความรู้สึกที่อึดอัดชิบหาย อาจเพราะสายตาของเด็กปี 1 ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้แหละมั้ง ดวงตาคมมองผมกับข้าวหอมสลับกันไม่หยุดซึ่งมันเป็นการกระทำที่ผมไม่ชอบเอามากๆ แต่จะให้พูดออกไปในตอนนี้มันคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่เพราะงั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือนั่งหงุดหงิดใจอยู่คนเดียวนี่แหละ

รู้สึกแย่จริงๆ

บ่อยครั้งที่สายตาคู่นั้นแสดงความสงสัยออกมา ผมรู้เลยล่ะว่าเขากำลังมีเรื่องแคลงใจอยู่ เรื่องนั้นมันค่อนข้างใหญ่และไม่มีใครรู้นอกจากเราสองคน ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเหมือนกันนะเพราะว่ามันสร้างความลำบากให้กับข้าวหอม แต่อีกใจผมก็คิดว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ตลกเหมือนกันที่ผมกลับเป็นฝ่ายหมดสภาพและนอนซมหลังจากทำเรื่องแบบนั้น

เซ็กซ์น่ะ

มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันอยู่เหมือนกัน คืนที่ข้าวหอมไปเที่ยวกับพี่แช่ม มันเป็นคืนที่ผมก็ไปเที่ยวเหมือนกัน ผิดปกติหน่อยที่ไม่ได้สวมแว่นเหมือนทุกครั้งและไม่ได้เซ็ตผมให้เป็นทรง ผมเลือกไปเที่ยวผับที่อยู่ไกลจากแถวนี้ด้วยความตั้งใจที่ว่าอยากไปนั่งสงบจิตสงบใจคนเดียวเฉยๆ แต่สุดท้ายผมก็ไปเจอเด็กคนนึงที่นั่นและผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผับถึงให้เด็กอายุไม่ถึง 20 ปีเข้ามาใช้บริการได้

เด็กคนนั้นคือบวร

ผมไปเจอเขาในสภาพที่เมาจัดๆ เลยแหละ ตอนแรกผมไม่ได้คิดว่าจะทักหรืออะไรเลยนะแต่เป็นเขาที่เห็นผมก่อน เขาก็ทักผม ถามผมว่ามากินเหล้าเหรอ นั่งด้วยกันไหม ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรเลยครับจนเขาขอให้ไปส่งที่คอนโดฯ หน่อยเพราะขับรถเองไม่ไหว โอเคผมก็ตกลงนั่นแหละ ลากเขากลับมาจนถึงคอนโดฯ ลากไปส่งยันห้องนอนแต่มันก็เกินคาดไปหน่อยที่เขาผลักผมลงบนเตียงแล้วก็....นั่นแหละ

ทุกสัมผัสยังตราตรึงอยู่ในใจผมอยู่เลย

“พวกพี่มีความเห็นว่ายังไงบ้างครับ” สมปองเอ่ยถามหลังจากที่อธิบายเสร็จ นี่ถ้าผมบอกว่าฟังไม่รู้เรื่องน้องมันจะโกรธไหมวะ

“ก็โอเคนะ มันเป็นแผนงานที่โอเคเลยแหละ แต่ถ้าจะให้ปรับแก้อะไรสักอย่างก็น่าจะเป็นเรื่องของเวลา กูว่าเวลามันยืดเกินไป ส่วนนี้อาจจะทำให้เด็กๆ เบื่อได้ ถ้าเราสามารถทำให้มันกระชับกว่านี้กูว่าน่าจะดีขึ้น พวกมึงคิดว่าไง” ข้าวหอมบอกพลางถามความเห็นจากเพื่อนๆ ผมก็พยักหน้ารับไปทันที ไม่ได้รู้เรื่องหรอกแต่ทำเนียนไว้ก่อน

“กูเห็นด้วย” เพื่อนขุนรับคำ “แล้วเรื่องกิจกรรมเราจะเอายังไง จะเหมือนปีที่แล้วหรือว่าเปลี่ยน”

“เปลี่ยนเอากิจกรรมที่ให้หาของออก กูว่ามันค่อนข้างอันตรายต่อเด็กๆ กูไม่รู้เมื่อปีก่อนใครเอางูเขียวปลอมไปซ่อนไว้บนต้นไม้ ชามตาไก่เงี้ยะ เอาไปซ่อนในทุ่ง คิดได้ไงวะ” สยามบ่นอย่างจริงจัง

“แล้วเราจะเอาอะไรมาแทนดีล่ะ”

“ถ้าเป็นพวกกิจกรรมปลูกป่าอะไรพวกนี้ล่ะครับ พี่ๆ โอเคไหม” บวรเอ่ยถามพลางส่งใบเอกสารมาทางพวกผม “ค่ายที่ผมกับเพื่อนๆ ไปดูมามันอยู่ใกล้กับศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ป่าชายเลน ผมว่ามันน่าจะเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ที่ดีและก็จะได้ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย”

“เป็นความคิดที่ดีเลยนะ งั้นเอาตามนี้แหละ” ขุนศึกส่งฟอร์มงานกิจกรรมให้ “ขอแผนงานกิจกรรมฉบับสมบูรณ์วันจันทร์หน้านะ ทางคณะเขาเร่งมาเหมือนกัน”

“ได้ครับ”

“ส่วนเรื่องงานงบประมาณ มึงรับผิดชอบนะก้อง”

ผมพยักหน้ารับ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“โอเค งั้นแยกย้ายได้” สิ้นเสียงขุนศึกบอกผมก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องทันทีโดยที่ไม่ได้รอใครทั้งนั้น จุดมุ่งหมายของผมคือใต้ต้นไม้ใหญ่หลังตึก

ตอนนี้ทุ่มกว่าๆ แล้วครับ ในตัวตึกค่อนข้างเงียบแล้ววังเวงมากเลย ดีละ อยู่แบบเงียบสงบบ้างก็ดีเหมือนกัน ผมนั่งลงที่ม้านั่งตัวเดิม ตัวประจำที่ผมชอบมานั่งสูบบุหรี่ นี่ก็เข้าปีที่ 5 แล้วมั้งที่ผมสูบมันน่ะ คิดเหมือนกันนะว่าจะต้องเลิกให้ได้ ข้าวหอมก็บอกกับผมว่าจะเลิกบุหรี่เพราะพี่แช่มขอให้เลิก ดีเนอะที่มีแรงจูงใจในการเลิกที่ชัดเจนว่าจะทำเพื่อใครสักคน แต่เอาจริงๆ ผมก็เคยคิดอยากจะเลิกมันเพื่อตัวเองเหมือนกันนะ

แต่ยังทำไม่ได้อะ

หรือผมยังรักตัวเองไม่มากพอวะ

ช่วงที่ผมสูบบุหรี่มันเริ่มมาจากที่ผมจับได้ว่าแฟนของตัวเองนอกใจ ตอนนั้นผมเสียใจมากเลยนะ ผมรักเธอมากและยอมทำให้เธอทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เธอต้องการผมก็พยายามหามาให้เพราะผมเห็นว่ามันเป็นความสุขของเธอแต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ผมได้กลับมาคือการทรยศ พอเกิดเหตุการณ์นั้น....ผมก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน ผมไม่เชื่อในความรัก ไม่คิดอยากจะมีมันจนวันนึงได้มาตกหลุมของเด็กโง่ๆ ที่ชอบเอาข้าวมาให้หมาให้แมวแถวสวนสาธารณะ

เด็กโง่ๆ ที่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อเลย

ในสวนสาธารณะมันจะมีก้อนหินโง่ๆ ก้อนนึงที่จะมีเด็กโง่ๆ คนนึงชอบมาสะดุดแล้วล้มลงเป็นประจำ ก้อนหินมันอยู่ตรงนั้นของมันดีดีเลยนะ ไอ้เด็กเวรนี่แหละที่ชอบเดินไปสะดุดมันและน่าแปลกคือทุกครั้งที่เขาล้ม เขามักจะหัวเราะออกมาเสมอ ดูปัญญาอ่อนอะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมใจผมชอบเต้นแรงให้กับรอยยิ้มที่เขาแสดงออกมา อาจเพราะมันสดใสแล้วก็ดูอบอุ่นดีมั้งครับ

ตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอไม่เคยเปลี่ยน

“ขอนั่งด้วยนะครับ” เสียงเรียบเอ่ยบอกผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ ทันที “เพิ่งรู้เลยว่าพี่ก็สูบบุหรี่”

“ผมก็เพิ่งรู้ว่าคุณก็สูบ”

“ผมเคยเห็นพี่คนนึงเขาสูบ มันดูเท่ดีผมก็เลยทำตาม”

“เหตุผลของคุณมันโคตรเด็กเลย”

“ก็ยังเด็กอยู่นะครับ” เจ้าตัวยิ้มบางๆ ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบ

ผมเหลือบมองเขา “เมื่อกี๊ตอนที่อยู่ในห้องประชุม คุณมองมาทางผมกับข้าวหอมบ่อยจนน่าหงุดหงิด”

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมแค่คิดว่าพวกพี่เหมือนกันจริงๆ ”

“นั่นแปลว่าคุณยังไม่รู้จักพวกเราดี”

“นั่นสินะครับ เพราะถ้าสมมุติว่าเป็นพี่ข้าวหอม เขาคงจะไม่มีทางนั่งสูบบุหรี่ข้างผมแน่นอน” บวรเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะอัดควันเข้าปอดตัวเอง สีหน้าแบบนั้นแสดงชัดเลยว่าเขากำลังรู้สึกเศร้าอยู่

ผมก็ควรเศร้าเหมือนกันรึเปล่านะ

มันเป็นความผิดของผมตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่ได้เจอเขาแล้ว วันนั้นผมนั่งสูบบุหรี่อยู่แล้วมีเด็กมัธยมปักดาวที่มุมปก 3 ดวงมาหาเรื่องไอ้เด็กโง่ๆ ที่กำลังให้อาหารหมาอยู่ พวกนั้นก็ชกต่อยกันนั่นแหละแล้วผมก็สะเหล่อเข้าไปช่วยไอ้เด็กโง่นั่น แล้วจังหวะที่เขาถามชื่อผมนั้น.....ผมก็บอกไปแค่ว่าผมชื่อข้าว ส่วนไอ้ตัวกะเปี๊ยกในตอนนั้นก็บอกว่าตัวเองชื่อบวร ชื่อเล่นว่าเบย์แล้วก็ยิ้มหวานให้ผม

โคตรน่ารักเลยไอ้เวร

รอยยิ้มโง่ๆ นั่นน่ะแหละที่ทำให้ผมตกบ่วงแต่ด้วยความที่ผมไม่คิดจะจริงจังกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ไปที่สวนสาธารณะนั่นอีก ผมคิดว่าความรู้สึกที่มีตอนนั้นมันก็คงแค่ชั่ววูบ แต่พอได้มาเจอบวรอีกทีตอนที่เขาเข้ามหา’ลัยแล้วมันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า อืม....ก็คงเรียกได้ว่าชอบแหละมั้ง ผมคิดด้วยนะว่าไอ้เด็กโง่นั่นจะจำผมได้รึเปล่าและผมคิดถูกด้วยว่าเขาจำผมได้

แต่เขาเข้าใจว่าผมคือข้าวหอม

เขาแทบไม่ยุ่งกับผมเลยสักนิดแต่คนที่เขาเข้าหาคือฝาแฝดของผม ก็นะ ตอนที่ผมเจอเขาผมไม่ได้เซ็ตผม ไม่ได้สวมแว่น และตอนนี้เขาก็เข้าใจว่าพี่ข้าวที่เขาเจอตอนนั้นคือข้าวหอม....ไม่ใช่ข้าวก้อง

ถ้าผมเป็นไอ้หมีก็คือต้องยกมือปาดน้ำตาแล้วล่ะ

“ทำไมพี่ถึงสูบอาร์กติก แบล็กเหรอครับ” เขาพ่นควันออกก่อนจะมองผม “ชอบเย็นๆ เหรอ”

“ใช่ แล้วคุณล่ะ ชอบหวานๆ เหรอถึงได้สูบเพอเพิล”

“ผมเคยลองเรดแล้วแต่มันร้อนไป ไม่รู้ว่าพี่หมีสูบได้ยังไง”

ผมหรี่ตามองอย่างสงสัย “คุณรู้จักไอ้หมีด้วยเหรอ”

“รู้สิครับ ผมว่าใครๆ ก็น่าจะรู้จักพี่หมีนะถ้าไปนั่งชิวบ่อยๆ ”

“ก็จริงของคุณ แต่คุณอย่าไปวอแวกับมันนักล่ะ พี่ขันน่ะขี้หึงมากเลยนะ ระวังจะโดนกระทืบเอา”

“ผมไม่กลัวพี่ขันหรอกครับ” บวรหลุดยิ้มออกมา “ผมน่าจะต้องกลัวพี่แช่มมากกว่า”

“แต่ถึงให้คุณกลัวพี่แช่ม คุณก็ยังยุ่งกับไอ้หอมอยู่ดีหนิ”

“ก็ผมชอบเขาหนิครับ ไม่อยากยอมแพ้ให้กับสิ่งที่ผมชอบหรอก อีกอย่าง....ตอนนี้พี่หอมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แช่มเพราะงั้นผมก็น่าจะยังคงมีสิทธิ์อยู่”

“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ” มือเรียวทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะยิ้มหวาน “ผมจะทำทุกอย่างให้พี่หอมมาเป็นของผมให้ได้ ผมขอตัวก่อนนะครับ” สิ้นเสียงร่างสูงก็เดินไปทันทีทิ้งไว้แต่ความรู้สึกปวดใจแปล๊บๆ ให้ผมเท่านั้น

ทั้งๆ ที่เป็นคนเลือกทางนี้เองแท้ๆ แต่กลับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เรื่องแบบนั้นมันไม่ดีเลยจริงๆ แต่ผมก็คนน่ะนะ จะให้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยมันก็จะเกินไป บางทีก็อึดอัดอยู่เหมือนกันที่ต้องปิดบังมันเอาไว้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นทางที่ดีรึเปล่าที่ผมเลือกทำแบบนั้น แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเลือกแล้วก็แค่ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็พอ

ก็ทำได้แค่นั้นจริงๆ

กลิ่นมาโบโรโล่เพอเพิลยังคงติดอยู่ในจมูกผมถึงแม้ว่าคนที่สูบมันจะไม่อยู่แล้ว ผมว่าบวรเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมากเลยล่ะเพราะว่าคืนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมรับรู้ได้จากรสจูบที่เขามอบให้ มันหวานจนต่อต้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาเมาหนักมากเลยครับและคิดว่าผมคือข้าวหอม เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูตอนนั้นไม่ได้เรียกชื่อผมออกมาแม้แต่น้อย แต่ถึงเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธเขานะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่

สุดท้ายก็เกินเลย สภาพผมย่ำแย่เอามากๆ มันปวดไปหมด ผมไม่อยากขยับด้วยซ้ำแต่ว่ายังไงก็ต้องรีบพาตัวเองออกมาจากที่นั่นให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่บวรจะตื่น อย่างน้อยผมก็อยากปล่อยให้เขาคิดว่าภาพเลือนลางที่เขาเห็นเมื่อคืนมันเป็นแค่ความฝันหรือไม่ก็เพ้อหนักเพราะเมามากเท่านั้นเอง ผมลากสังขารกลับมาที่หอด้วยความเบลอมากจนเข้าห้องผิด

สะเหล่อเนอะ

คือผมกับข้าวหอมจะมีกุญแจห้องของกันและกันอยู่แล้วไงครับ เอาจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอก ข้าวหอมก็เคยเมามากจนเข้าห้องผิดเหมือนกัน มันเคยนอนอยู่ข้างถนนด้วยซ้ำ ผมนี่เป็นคนลากมันกลับห้องเองกับมือ ช่วงนั้นทะเลาะกับพี่แช่มแล้วแซดหนักไง แดกเหล้าซะเมายับ พอมันสร่างผมก็จัดการสวดให้พร้อมกับตบกะโหลกเรียกสติไปที

โหดสุดๆ

ผมนี่แหละแบดกายที่แท้ทรู

“ก็ว่าอยู่ว่ามึงไปไหน”

ผมมองคนที่หน้าเหมือนตัวเองเดินมา “ทำไมยังไม่กลับอีก”

“กูลืมเอากุญแจห้องมา” มือเรียวยื่นมาตรงหน้า “ขอกุญแจหน่อย”

“เด๋อจังวะ” ผมหยิบกุญแจในกระเป๋าส่งให้ข้าวหอม “แล้วมึงจะไปจันทร์เจ้ากี่โมง”

“ 2 ทุ่มกว่าๆ นั่นแหละ มึงอะ”

“ประมาณนั้นแหละมั้ง ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวกูบอกละกัน”

“โอเค งั้นกูไปละ” พูดจบมันก็เดินไป โรคขี้ลืมของข้าวหอมนี่ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่สิบปีถึงจะหาย ผมล่ะอยากเอากุญแจห้อยไว้ที่คอมันจริงๆ

ผมทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น เดี๋ยวต้องไปงานวันเกิดพี่ฉายครับ ผมต้องกลับไปจัดการตัวเองทั้งร่างกายและความรู้สึกต่างๆ ให้เสร็จซะก่อน ผมไม่รู้ว่าไปจันทร์เจ้าวันนี้แล้วจะเจอใครบ้าง หวังว่าจะไม่เจอบวรอีกรอบนะเพราะว่าถ้ากันอีกเนี่ยะ ใจผมคงจะปวดหนึบหนับน่าดูเลยแต่ถ้าสมมุติว่าได้เจอกันที่ร้านอีก ผมก็คงต้องให้เหล้าช่วยปลอบใจตัวเองแล้วล่ะ

ไม่เมาไม่เลิก....เอาสิ



[จบบันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]


---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวววววววววว.....อะเป่า”

“ฟู่วววว” เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนจนดับหมดทุกเล่ม “ขอบใจนะพวกมึง”

“โตแล้วก็เลิกเชี่ยซะนะ”

“นี่อวยพรกูถูกไหม”

“ใช่สิ กูไม่ได้ด่ามึงเลยนะ”

“กูต้องเชื่อไหมหนิ”

“ต้องเชื่อสิ เอามีดมาตัดแบ่งเค้กเร็ว”

วุ่นวายชิบหาย

ผมนั่งเท้าคางมองเหล่าแก๊งค์ปลาทองที่สุมกันอยู่ตรงเค้กก้อนใหญ่ จะบอกว่าทั้งแก๊งค์เลยก็ไม่ได้เพราะมีคนนั่งซึมกะทืออยู่ข้างผมคนนึง พี่แช่มเขาดูแปลกๆ อะ ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนอย่างทุกทีเลย และนี่ยิ่งเป็นวันเกิดเพื่อนเขาอีกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่หือไม่อือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย อารมณ์เหมือนโดนบังคับให้มาด้วยซ้ำไป เชื่อไหมว่าตั้งแต่มาที่ร้านเนี่ยะ เขายังไม่แตะแอลกอฮอล์สักแก้วเลยนะครับ

เป็นไปได้ป้ะล่ะ

คนขี้เมาไม่ยอมแตะเหล้าหรือเบียร์เลยสักนิด ต่อให้เพื่อนๆ พูดยังไงเขาก็ไม่ดื่ม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ว่ามันก็รู้สึกแปลกๆ อะ ผมไม่รู้ว่าพี่แช่มเขาเป็นอะไรรึเปล่า ถามแล้วนะแต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่ใครจะเชื่อวะ อาการนี่แสดงออกมาชัดมากว่าไม่ปกติ เนี่ยะ พอเขาเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเป็นห่วง ไม่รู้เลยว่าจะดึงพี่แช่มคนที่เฮฮาปาร์ตี้กลับมาได้ยังไง

คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เหรอ”

เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “น้องหอมถามพี่หลายรอบแล้วนะ”

“ก็พี่ทำตัวน่าเป็นห่วง”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรเลยจ่ะ”

“ปกติพี่ต้องกินเหล้าแล้ว”

“แต่วันนี้ไม่กินไง ช่วงนี้พี่ต้องงดเหล้าหน่อยน่ะ เวลากินมันจะชอบปวดหัวบ่อยๆ ” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ “อืม....แต่พี่อยากกินนมปั่นนะ ไปหานมปั่นกินกันไหม”

“ไปตอนนี้เลยได้เหรอ”

“ได้ดิ ก็จะไปอะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะหันไปหาเพื่อนๆ “พวกมึง กูขอตัวก่อนนะ ปาร์ตี้เผื่อด้วย”

“เออ ไปพักเถอะ แล้วก็ขอบใจสำหรับของขวัญนะ” พี่ฉายยิ้มบางๆ ให้เราสองคน

“โอเค กูไปละ ไปกันจ่ะน้องหอม” มือเรียวจูงมือผมออกมาจากร้าน ออกมาแบบงงๆ ด้วยนะ เนี่ยะ นี่มันไม่ใช่พี่แช่มนะ เขาโดนผีสิงป้ะวะ

ร่างสูงลากผมมาที่รถก่อนจะจับยัดเข้าไปส่วนตัวเองก็มาประจำที่ฝั่งคนขับ ผมนั่งมองพี่แช่มตาแป๋วอยู่แบบนั้น มันรู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ เขาแปลกไปอะ มันไม่ใช่แปลกไปทางที่ไม่ดีนะครับแต่มันดูเหมือนไม่ใช่ตัวเขายังไงก็ไม่รู้ บางทีแววตาที่แสดงออกมามันก็ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเอามากๆ เวลาที่เรียกเขาในบางครั้งเขาก็ไม่ได้ยิน เหมือนคนไม่มีสติยังไงไม่รู้ อีกอย่างคือช่วงนี้เขานอนเยอะผิดปกติด้วย

ตื่นสายอีกต่างหาก

ผมเปิดเก๊ะเพื่อจะหาลูกอมกินแต่ก็ต้องไปสะดุดตากับบัตรผู้ป่วยที่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘นรินทร์จิตเวชคลินิก’ โดยชื่อบนบัตรนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่านาย ชริต ทำไมพี่แช่มถึงมีบัตรผู้ป่วยจิตเวชล่ะ

เขาป่วยงั้นเหรอ

“หาอะไรเหรอน้องหอม”

ผมปิดเก๊ะก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เขา “หอมหาลูกอมน่ะ มันหมดแล้วเหรอ”

“หมดแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ซื้อมาไว้ให้ใหม่นะ”

“อื้ม”

“ลงเถอะจ่ะ ถึงแล้ว” เขาบอกก่อนจะปลดเบลท์แล้วลงไปจากรถ ผมก็เดินตามพี่แช่มลงมาพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมาย

จะหาคำตอบได้จากไหนวะเนี่ยะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....”

“คือหอม.....” อยากรู้เรื่องบัตรผู้ป่วยจิตเวชนั่น “คือหอมอยากกินปังเย็นภูเขาไฟอะ”

“ก็กินสิ พี่เลี้ยงเองมื้อนี้” ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะประจำที่เรานั่งกันบ่อยๆ ผมมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ตาก็มองมือเรียวจดเมนูลงกระดาษยุกยิกๆ

ตอนนี้คนที่ดูแปลกๆ จะไม่ใช่พี่แช่มละนะ

น่าจะเป็นผมนี่แหละ

ตอนนี้ในหัวผมคิดถึงแต่เรื่องบัตรผู้ป่วยและมีคำถามเกี่ยวกับมันมากมาย บัตรนั้นเป็นของพี่แช่มงั้นก็แสดงว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชน่ะสิ แล้วเขาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หรือว่าเขาเพิ่งจะเป็นวะ แต่ถึงแบบนั้นเขาไม่คิดที่จะบอกผมสักหน่อยเหรอ กลัวว่าผมจะเป็นห่วงหรือว่าอะไร หรือตั้งใจจะปิดบังไปเรื่อยๆ จนตัวเองหายเป็นปกติแบบนั้นสินะ

นี่คิดเองเออเองหมดเลยข้าวหอม

ตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พี่แช่มพูดเมื่อตอนที่เราอยู่กาญฯ ด้วยกันแล้ว เรื่องที่เขาบอกว่าให้ผมรออีกสักนิด รอให้ตัวเขาคนเดิมกลับมาก่อน สิ่งที่เขาบอกนั่นมันอาจหมายความว่าให้ผมรอจนกว่าเขาจะหายดีแน่ๆ เลยว่ะ ว่าแต่โรคจิตเวชที่เขาเป็นนี่โรคไหนวะ คือโรคทางจิตเวชมีเยอะมากแล้วก็แบ่งเป็นยิบย่อยอีกไม่น้อยเลย หรือเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ดูพี่แช่มก็ไม่ค่อยเข้าข่ายเท่าไหร่เลยนะ

ครั้นจะถามไปตรงๆ เดี๋ยวพ่อคุณเขาก็ไม่บอกอีก

“คิดอะไรอยู่หืม....” นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม “คิ้วขมวดเป็นปมเชียว”

“มีเรื่องคาใจหอมอยู่”

“เรื่องอะไรหืม....” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ถ้าสมมุติว่าผมบอกเขาไปมันจะเป็นยังไงกันนะ ผมจะได้คำตอบแบบที่ตัวเองต้องการไหม

“คือ....หอมคิดว่าทุกวันนี้มีคนป่วยเป็นโรคทางจิตเวชเยอะเนอะ แบบคนที่เราไม่คิดว่าจะเป็นแต่เขาก็เป็นอะ” ผมบอกพลางดูการตอบสนองจากคนตรงหน้า ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผม

“เราดูคนที่ภายนอกไม่ได้หรอก สิ่งที่เราเห็นมันอาจจะไม่ได้ครึ่งนึงของความจริงที่เขาเป็นด้วยซ้ำ คนที่ยิ้ม คนที่ดูเหมือนมีความสุข เขาอาจจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าใครๆ ก็ได้นะ”

“นั่นสินะ” ผมลูบหลังมือเขาเบาๆ “สมมุตินะพี่แช่ม ถ้าพี่ป่วยเป็นโรคพวกนี้ พี่จะบอกคนอื่นไหม”

“อืม....คำถามยากจัง” เขาเท้าคางมองผม “แต่ถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่บอกหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“พี่คงไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงมั้ง อีกอย่างนะ เวลาที่เรารู้ว่าคนๆ นี้กำลังป่วย เราอาจจะมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปซึ่งถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แล้วพี่ก็คิดว่าถ้าตัวเองป่วยจริงๆ พี่ก็จะต้องหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “หอมเข้าใจแล้ว แต่พี่แช่มไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นที่อยู่ข้างๆ พี่ เขาอาจจะรอซัพพอร์ต รอเป็นกำลังใจให้พี่อยู่ก็ได้”

“นั่นสินะ ช่างเถอะ.....ปังเย็นมาแล้ว กินกันเถอะจ่ะ” พี่แช่มตักปังเย็นในถ้วยก่อนจะมาจ่อที่ปากผม ผมก็อ้าปากรับสิ่งที่เขาป้อน อื้มม.ม.ม....ความหวานความเย็นนี้มันดีจริงๆ เลยว่ะ

สิ่งที่เราคุยกันเมื่อกี้แน่นอนว่ามันคือการหลอกถามและผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ โอเค รับรู้แล้วครับว่าพี่แช่มกำลังป่วย แต่ที่ไม่รู้คือเขาป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ด้วยว่าวันนึงที่เขาหาย เขากลับมาเป็นปกติ เขาจะเล่าถึงมันให้ผมฟังรึเปล่าหรือจะปล่อยให้มันจบไปเฉยๆ แต่พอมารู้แบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ ผมว่าตั้งแต่ช่วงที่เขาเรียนปี 3 จนถึงปี 4 ที่เขาแปลกๆ ไปนี่น่าจะเป็นเพราะเขาป่วยแน่ๆ

ทนมานานขนาดนั้นได้ยังไงกัน

ช่วงนี้ที่เขาเซื่องซึมแปลกๆ มันก็เป็นไปได้ว่าเพราะป่วยนี่แหละ ผมควรจะปฏิบัติกับเขายังไงดีนะ พอเจ้าตัวไม่พูดผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยสิ งั้นเอาเป็นว่าทำตัวไปตามปกติก่อนละกัน คนแบบพี่แช่มถ้าอยากบอกอะไรเดี๋ยวเขาก็คงบอกเอง ไปเซ้าซี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมนั่งมองคนตรงหน้าที่นั่งกินปังเย็นอย่างมีความสุข ยิ้มอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าที่เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าล่ะวะ

“ยิ้มอะไรนักหนาอะ”

“มีความสุข”

“ทำไมถึงมีความสุข”

“เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพี่คือน้องหอมไง”

ฉ่า

หน้าร้อนเฉย

“หยอดกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่แช่ม” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง “อารมณ์ไหนอะ”

“อารมณ์ดี ได้อยู่กับน้องหอมสักที” เขายิ้มหวานก่อนจะตักปังเย็นมาจ่อที่ปากผม

“ปกติก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วป้ะ” ผมบอกก่อนจะกินปังเย็น

“มันก็ใช่แหละ แต่ช่วงนี้พี่ว่าพี่โหยหาน้องหอมเป็นพิเศษ ไม่รู้ดิ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นอะ”

ผมหยิบทิชชู่ขขึ้นไปเช็ดที่มุมปากของพี่แช่ม “แต่หอมเห็นนะว่าบางทีเวลาเราอยู่ด้วยกัน พี่แช่มก็นั่งเหม่อ เหมือนอยู่คนเดียวในโลก”

“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นหรอกแต่มัน....”

“หอมเข้าใจ” ผมยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมอยากให้พี่รู้ว่าถ้าออกมาจากโลกของตัวเองเมื่อไหร่ พี่ก็จะเห็นหอมอยู่ตรงนี้เสมอ”

“น่ารัก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ “เออพี่มีอะไรจะให้น้องหอมด้วย”

“อะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองมือเรียวที่ล้วงเข้าไปในเสื้อของตัวเอง พี่แช่มถอดสร้อยที่เขาใส่ออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผม

สร้อยที่มีจี้ห้อยเป็นเกียร์ของวิศวะฯ

เอาจริงดิ

ผมมองเกียร์สลับกับหน้าเขาอยู่อย่างนั้น นี่มันหมายความว่ายังไงอะ ผมรู้ดีสำหรับความหมายของเกียร์นั่น ผมรู้ดีว่าการที่เด็กวิศวะฯ ให้เกียร์กับใครสักคนมันหมายความว่ายังไง การที่พี่แช่มทำแบบนี้มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ และหน้าของผมเองก็น่าจะแดงมากเหมือนกัน บทจะให้ก็ให้อย่างงี้เลยเหรอ ไม่มีให้ตั้งตัวหรืออะไรก่อนเลย ร้ายกาจชะมัด แล้วยื่นมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำอีก

เกินไปแล้วนะชริต

“หมายความว่ายังไง”

“น้องหอมคิดว่ายังไงล่ะ”

“จะฝากไว้ที่หอมเหรอ”

“แล้วรับฝากไหม”

“ไม่รับฝาก” ใครเขารับฝากเกียร์ของคนอื่นกัน

“งั้นพี่ให้” ร่างสูงอ้อมมาอยู่ด้านหลังผมก่อนจะสวมสร้อยให้ “ถือว่าเป็นของหมั้นละกัน”

“ยังไม่ทันได้เป็นแฟนกันเลย จะหมั้นแล้วเหรอ”

พี่แช่มเลื่อนมากระซิบอยู่ข้างหูผม “ถ้างั้น....”

“พี่ข้าวหอม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบกับบวรที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เขา โวะ จังหวะดีดีนี่มีคนขัดตลอดเลยว่ะ

มันยังไงวะ

ผมยกมือเสยผมด้วยความหงุดหงิด “ว่าไง มากินปังเย็นกันเหรอ”

“ใช่ครับ ผมนึกว่าพวกพี่จะอยู่ในงานวันเกิดพี่ฉายซะอีก”

“คือพี่แช่มเขาอยากกินนมปั่นน่ะ” ผมมองร่างสูงที่เดินไปป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ร้าน น่าจะจ่ายเงินมั้งครับ โอเคมันคงวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะไปจากร้านนี้น่ะนะ

ดีจังที่เขาดูไม่ค่อยหัวร้อนเท่าไหร่

“ที่คอพี่หอมมัน....”

“เกียร์ของพี่แช่มน่ะ” ผมมองเจ้าของเกียร์ที่เดินมาพอดี “จ่ายเงินแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะเนอะ”

“จ่ะ” พี่แช่มเลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะมองทางบวร “กินให้อร่อยนะเด็กๆ ” ว่าแล้วเขาก็พาผมออกมาจากร้านทันที แหมๆ ๆ ๆ ร้ายเหมือนกันหนิคำพูดคำจา

ยอมเขาเลย

ร่างสูงจูงมือผมเดินมาเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดีนะที่เขาดูไม่ค่อยโมโหที่บวรมาทักผม การไม่มีเรื่องกันมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้วล่ะ ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ละกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะโฟกัสและมีความสุขกับมันก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก น่าเสียดายอยู่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อกี๊เขาจะพูดอะไรออกมาเพราะบวรเข้ามาขัดซะก่อน

ถ้าอยากรู้ต้องถาม

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“เมื่อกี๊พี่จะพูดอะไรกับหอมอะ”

“....ลืมไปแล้วอะ”

“เอ้า” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “อะไรของพี่เนี่ยะ อยู่แก๊งค์ปลาทองไม่ได้หมายความว่าต้องความจำสั้นแบบปลาทองป้ะ”   

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ผมหมุนตัวกลับมาหาก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ไหน มือไหนที่ตีพี่”

“พี่จะทำไม” ผมมองเขาตาโต เอาจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ได้เหมาะที่ผู้ชายตัวยักษ์สองคนจะมายืนโอบเอวกันหรอกนะ ทำอะไรโจ่งแจ้งชะมัด

“พี่จะ....” เขาจับมือผมทั้งสองข้างขึ้นมาหอมๆ ๆ ๆ ไม่หยุด หื้ออ.อ.อ.อ.....อะไรวะเนี่ย จะทำให้เขินกันไปถึงไหนเล่าพ่อคุณณณณ

“พอแล้ว” ผมดึงมือตัวเองกลับมา “เขินจะเป็นบ้าแล้วนะ”

มือเรียวขยี้หัวผมเบาๆ “กลับหอกันดีกว่า.....อยากนอนกอดแล้วครับ” พูดจบร่างสูงก็เดินขึ้นรถไปปล่อยให้ผมยืนเขินและสงสัยกับสิ่งที่เขาบอกว่าลืม

ไม่ได้ลืมหรอกแค่ยังไม่พูด

แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อาจต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อยแต่ผมว่ามันคงจะใกล้ๆ นี่แหละ ดูทรงแล้วพี่แช่มน่าจะรอจังหวะอยู่ เมื่อกี้ก็ฉุกละหุกไปหน่อย โอเค ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นเดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้รออีกนิดละกัน รอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยก็สบายแหละ ยิ่งตอนนี้เกียร์ของเขามาอยู่ที่ผมแล้วด้วย ไม่ต้องลังเลอะไรอีกต่อไปละครับ

รอเวลาแค่อย่างเดียว

ผมขึ้นรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเกียร์ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเอง พี่แช่มเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะคว้ามือผมไปกุมตามปกติ ผมกดเข้าไปในทวิตเตอร์ก่อนจะทวิตข้อความที่มีเหตุมาจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าพอกลับถึงหอแล้ว พี่แช่มจะหาเรื่องมาทำให้ผมใจสั่นอีกรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็....ผมจะหาเรื่องทำให้เขาใจสั่นบ้าง มันจะได้วินวินไง

สั่นมาสั่นกลับไม่โกง....





Kh. @KhH22_luc

เรื่องทำให้ใจสั่นเก่งก็คงต้องยกให้คุณเขานั่นแหละ

เก่งกว่าใครในโลกเลย.....



#CloverBad














TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่ห่างหายไป 2 เดือนเลยสำหรับเรื่องนี้ ชาลกลับไปเรียนแล้วนะคะแล้วก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีพรีเซ้นต์นวัตกรรมพรุ่งนี้ ก็ช่วยส่งกำลังใจมาให้กันหน่อยนะคะ

ตอนนี้ก็เฉลยหลายอย่างอยู่นะแต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ต้องรอติดตามกันต่อไป เดี๋ยวชาลจะชี้แจงตารางลงนิยายที่ชัดเจนให้นะคะว่ากำหนดลงมมันจะตรงกับวันไหน อดใจรอหน่อยนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวววววววววว.....อะเป่า”

“ฟู่วววว” เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนจนดับหมดทุกเล่ม “ขอบใจนะพวกมึง”

“โตแล้วก็เลิกเชี่ยซะนะ”

“นี่อวยพรกูถูกไหม”

“ใช่สิ กูไม่ได้ด่ามึงเลยนะ”

“กูต้องเชื่อไหมหนิ”

“ต้องเชื่อสิ เอามีดมาตัดแบ่งเค้กเร็ว”

วุ่นวายชิบหาย

ผมนั่งเท้าคางมองเหล่าแก๊งค์ปลาทองที่สุมกันอยู่ตรงเค้กก้อนใหญ่ จะบอกว่าทั้งแก๊งค์เลยก็ไม่ได้เพราะมีคนนั่งซึมกะทืออยู่ข้างผมคนนึง พี่แช่มเขาดูแปลกๆ อะ ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนอย่างทุกทีเลย และนี่ยิ่งเป็นวันเกิดเพื่อนเขาอีกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่หือไม่อือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย อารมณ์เหมือนโดนบังคับให้มาด้วยซ้ำไป เชื่อไหมว่าตั้งแต่มาที่ร้านเนี่ยะ เขายังไม่แตะแอลกอฮอล์สักแก้วเลยนะครับ

เป็นไปได้ป้ะล่ะ

คนขี้เมาไม่ยอมแตะเหล้าหรือเบียร์เลยสักนิด ต่อให้เพื่อนๆ พูดยังไงเขาก็ไม่ดื่ม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ว่ามันก็รู้สึกแปลกๆ อะ ผมไม่รู้ว่าพี่แช่มเขาเป็นอะไรรึเปล่า ถามแล้วนะแต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่ใครจะเชื่อวะ อาการนี่แสดงออกมาชัดมากว่าไม่ปกติ เนี่ยะ พอเขาเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเป็นห่วง ไม่รู้เลยว่าจะดึงพี่แช่มคนที่เฮฮาปาร์ตี้กลับมาได้ยังไง

คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เหรอ”

เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “น้องหอมถามพี่หลายรอบแล้วนะ”

“ก็พี่ทำตัวน่าเป็นห่วง”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรเลยจ่ะ”

“ปกติพี่ต้องกินเหล้าแล้ว”

“แต่วันนี้ไม่กินไง ช่วงนี้พี่ต้องงดเหล้าหน่อยน่ะ เวลากินมันจะชอบปวดหัวบ่อยๆ ” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ “อืม....แต่พี่อยากกินนมปั่นนะ ไปหานมปั่นกินกันไหม”

“ไปตอนนี้เลยได้เหรอ”

“ได้ดิ ก็จะไปอะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะหันไปหาเพื่อนๆ “พวกมึง กูขอตัวก่อนนะ ปาร์ตี้เผื่อด้วย”

“เออ ไปพักเถอะ แล้วก็ขอบใจสำหรับของขวัญนะ” พี่ฉายยิ้มบางๆ ให้เราสองคน

“โอเค กูไปละ ไปกันจ่ะน้องหอม” มือเรียวจูงมือผมออกมาจากร้าน ออกมาแบบงงๆ ด้วยนะ เนี่ยะ นี่มันไม่ใช่พี่แช่มนะ เขาโดนผีสิงป้ะวะ

ร่างสูงลากผมมาที่รถก่อนจะจับยัดเข้าไปส่วนตัวเองก็มาประจำที่ฝั่งคนขับ ผมนั่งมองพี่แช่มตาแป๋วอยู่แบบนั้น มันรู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ เขาแปลกไปอะ มันไม่ใช่แปลกไปทางที่ไม่ดีนะครับแต่มันดูเหมือนไม่ใช่ตัวเขายังไงก็ไม่รู้ บางทีแววตาที่แสดงออกมามันก็ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเอามากๆ เวลาที่เรียกเขาในบางครั้งเขาก็ไม่ได้ยิน เหมือนคนไม่มีสติยังไงไม่รู้ อีกอย่างคือช่วงนี้เขานอนเยอะผิดปกติด้วย

ตื่นสายอีกต่างหาก

ผมเปิดเก๊ะเพื่อจะหาลูกอมกินแต่ก็ต้องไปสะดุดตากับบัตรผู้ป่วยที่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘นวัตรจิตเวชคลินิก’ โดยชื่อบนบัตรนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่านาย ชริต ทำไมพี่แช่มถึงมีบัตรผู้ป่วยจิตเวชล่ะ

เขาป่วยงั้นเหรอ

“หาอะไรเหรอน้องหอม”

ผมปิดเก๊ะก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เขา “หอมหาลูกอมน่ะ มันหมดแล้วเหรอ”

“หมดแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ซื้อมาไว้ให้ใหม่นะ”

“อื้ม”

“ลงเถอะจ่ะ ถึงแล้ว” เขาบอกก่อนจะปลดเบลท์แล้วลงไปจากรถ ผมก็เดินตามพี่แช่มลงมาพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมาย

จะหาคำตอบได้จากไหนวะเนี่ยะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....”

“คือหอม.....” อยากรู้เรื่องบัตรผู้ป่วยจิตเวชนั่น “คือหอมอยากกินปังเย็นภูเขาไฟอะ”

“ก็กินสิ พี่เลี้ยงเองมื้อนี้” ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะประจำที่เรานั่งกันบ่อยๆ ผมมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ตาก็มองมือเรียวจดเมนูลงกระดาษยุกยิกๆ

ตอนนี้คนที่ดูแปลกๆ จะไม่ใช่พี่แช่มละนะ

น่าจะเป็นผมนี่แหละ

ตอนนี้ในหัวผมคิดถึงแต่เรื่องบัตรผู้ป่วยและมีคำถามเกี่ยวกับมันมากมาย บัตรนั้นเป็นของพี่แช่มงั้นก็แสดงว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชน่ะสิ แล้วเขาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หรือว่าเขาเพิ่งจะเป็นวะ แต่ถึงแบบนั้นเขาไม่คิดที่จะบอกผมสักหน่อยเหรอ กลัวว่าผมจะเป็นห่วงหรือว่าอะไร หรือตั้งใจจะปิดบังไปเรื่อยๆ จนตัวเองหายเป็นปกติแบบนั้นสินะ

นี่คิดเองเออเองหมดเลยข้าวหอม

ตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พี่แช่มพูดเมื่อตอนที่เราอยู่กาญฯ ด้วยกันแล้ว เรื่องที่เขาบอกว่าให้ผมรออีกสักนิด รอให้ตัวเขาคนเดิมกลับมาก่อน สิ่งที่เขาบอกนั่นมันอาจหมายความว่าให้ผมรอจนกว่าเขาจะหายดีแน่ๆ เลยว่ะ ว่าแต่โรคจิตเวชที่เขาเป็นนี่โรคไหนวะ คือโรคทางจิตเวชมีเยอะมากแล้วก็แบ่งเป็นยิบย่อยอีกไม่น้อยเลย หรือเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ดูพี่แช่มก็ไม่ค่อยเข้าข่ายเท่าไหร่เลยนะ

ครั้นจะถามไปตรงๆ เดี๋ยวพ่อคุณเขาก็ไม่บอกอีก

“คิดอะไรอยู่หืม....” นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม “คิ้วขมวดเป็นปมเชียว”

“มีเรื่องคาใจหอมอยู่”

“เรื่องอะไรหืม....” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ถ้าสมมุติว่าผมบอกเขาไปมันจะเป็นยังไงกันนะ ผมจะได้คำตอบแบบที่ตัวเองต้องการไหม

“คือ....หอมคิดว่าทุกวันนี้มีคนป่วยเป็นโรคทางจิตเวชเยอะเนอะ แบบคนที่เราไม่คิดว่าจะเป็นแต่เขาก็เป็นอะ” ผมบอกพลางดูการตอบสนองจากคนตรงหน้า ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผม

“เราดูคนที่ภายนอกไม่ได้หรอก สิ่งที่เราเห็นมันอาจจะไม่ได้ครึ่งนึงของความจริงที่เขาเป็นด้วยซ้ำ คนที่ยิ้ม คนที่ดูเหมือนมีความสุข เขาอาจจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าใครๆ ก็ได้นะ”

“นั่นสินะ” ผมลูบหลังมือเขาเบาๆ “สมมุตินะพี่แช่ม ถ้าพี่ป่วยเป็นโรคพวกนี้ พี่จะบอกคนอื่นไหม”

“อืม....คำถามยากจัง” เขาเท้าคางมองผม “แต่ถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่บอกหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“พี่คงไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงมั้ง อีกอย่างนะ เวลาที่เรารู้ว่าคนๆ นี้กำลังป่วย เราอาจจะมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปซึ่งถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แล้วพี่ก็คิดว่าถ้าตัวเองป่วยจริงๆ พี่ก็จะต้องหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “หอมเข้าใจแล้ว แต่พี่แช่มไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นที่อยู่ข้างๆ พี่ เขาอาจจะรอซัพพอร์ต รอเป็นกำลังใจให้พี่อยู่ก็ได้”

“นั่นสินะ ช่างเถอะ.....ปังเย็นมาแล้ว กินกันเถอะจ่ะ” พี่แช่มตักปังเย็นในถ้วยก่อนจะมาจ่อที่ปากผม ผมก็อ้าปากรับสิ่งที่เขาป้อน อื้มม.ม.ม....ความหวานความเย็นนี้มันดีจริงๆ เลยว่ะ

สิ่งที่เราคุยกันเมื่อกี้แน่นอนว่ามันคือการหลอกถามและผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ โอเค รับรู้แล้วครับว่าพี่แช่มกำลังป่วย แต่ที่ไม่รู้คือเขาป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ด้วยว่าวันนึงที่เขาหาย เขากลับมาเป็นปกติ เขาจะเล่าถึงมันให้ผมฟังรึเปล่าหรือจะปล่อยให้มันจบไปเฉยๆ แต่พอมารู้แบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ ผมว่าตั้งแต่ช่วงที่เขาเรียนปี 3 จนถึงปี 4 ที่เขาแปลกๆ ไปนี่น่าจะเป็นเพราะเขาป่วยแน่ๆ

ทนมานานขนาดนั้นได้ยังไงกัน

ช่วงนี้ที่เขาเซื่องซึมแปลกๆ มันก็เป็นไปได้ว่าเพราะป่วยนี่แหละ ผมควรจะปฏิบัติกับเขายังไงดีนะ พอเจ้าตัวไม่พูดผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยสิ งั้นเอาเป็นว่าทำตัวไปตามปกติก่อนละกัน คนแบบพี่แช่มถ้าอยากบอกอะไรเดี๋ยวเขาก็คงบอกเอง ไปเซ้าซี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมนั่งมองคนตรงหน้าที่นั่งกินปังเย็นอย่างมีความสุข ยิ้มอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าที่เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าล่ะวะ

“ยิ้มอะไรนักหนาอะ”

“มีความสุข”

“ทำไมถึงมีความสุข”

“เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพี่คือน้องหอมไง”

ฉ่า

หน้าร้อนเฉย

“หยอดกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่แช่ม” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง “อารมณ์ไหนอะ”

“อารมณ์ดี ได้อยู่กับน้องหอมสักที” เขายิ้มหวานก่อนจะตักปังเย็นมาจ่อที่ปากผม

“ปกติก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วป้ะ” ผมบอกก่อนจะกินปังเย็น

“มันก็ใช่แหละ แต่ช่วงนี้พี่ว่าพี่โหยหาน้องหอมเป็นพิเศษ ไม่รู้ดิ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นอะ”

ผมหยิบทิชชู่ขขึ้นไปเช็ดที่มุมปากของพี่แช่ม “แต่หอมเห็นนะว่าบางทีเวลาเราอยู่ด้วยกัน พี่แช่มก็นั่งเหม่อ เหมือนอยู่คนเดียวในโลก”

“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นหรอกแต่มัน....”

“หอมเข้าใจ” ผมยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมอยากให้พี่รู้ว่าถ้าออกมาจากโลกของตัวเองเมื่อไหร่ พี่ก็จะเห็นหอมอยู่ตรงนี้เสมอ”

“น่ารัก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ “เออพี่มีอะไรจะให้น้องหอมด้วย”

“อะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองมือเรียวที่ล้วงเข้าไปในเสื้อของตัวเอง พี่แช่มถอดสร้อยที่เขาใส่ออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผม

สร้อยที่มีจี้ห้อยเป็นเกียร์ของวิศวะฯ

เอาจริงดิ

ผมมองเกียร์สลับกับหน้าเขาอยู่อย่างนั้น นี่มันหมายความว่ายังไงอะ ผมรู้ดีสำหรับความหมายของเกียร์นั่น ผมรู้ดีว่าการที่เด็กวิศวะฯ ให้เกียร์กับใครสักคนมันหมายความว่ายังไง การที่พี่แช่มทำแบบนี้มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ และหน้าของผมเองก็น่าจะแดงมากเหมือนกัน บทจะให้ก็ให้อย่างงี้เลยเหรอ ไม่มีให้ตั้งตัวหรืออะไรก่อนเลย ร้ายกาจชะมัด แล้วยื่นมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำอีก

เกินไปแล้วนะชริต

“หมายความว่ายังไง”

“น้องหอมคิดว่ายังไงล่ะ”

“จะฝากไว้ที่หอมเหรอ”

“แล้วรับฝากไหม”

“ไม่รับฝาก” ใครเขารับฝากเกียร์ของคนอื่นกัน

“งั้นพี่ให้” ร่างสูงอ้อมมาอยู่ด้านหลังผมก่อนจะสวมสร้อยให้ “ถือว่าเป็นของหมั้นละกัน”

“ยังไม่ทันได้เป็นแฟนกันเลย จะหมั้นแล้วเหรอ”

พี่แช่มเลื่อนมากระซิบอยู่ข้างหูผม “ถ้างั้น....”

“พี่ข้าวหอม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบกับบวรที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เขา โวะ จังหวะดีดีนี่มีคนขัดตลอดเลยว่ะ

มันยังไงวะ

ผมยกมือเสยผมด้วยความหงุดหงิด “ว่าไง มากินปังเย็นกันเหรอ”

“ใช่ครับ ผมนึกว่าพวกพี่จะอยู่ในงานวันเกิดพี่ฉายซะอีก”

“คือพี่แช่มเขาอยากกินนมปั่นน่ะ” ผมมองร่างสูงที่เดินไปป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ร้าน น่าจะจ่ายเงินมั้งครับ โอเคมันคงวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะไปจากร้านนี้น่ะนะ

ดีจังที่เขาดูไม่ค่อยหัวร้อนเท่าไหร่

“ที่คอพี่หอมมัน....”

“เกียร์ของพี่แช่มน่ะ” ผมมองเจ้าของเกียร์ที่เดินมาพอดี “จ่ายเงินแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะเนอะ”

“จ่ะ” พี่แช่มเลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะมองทางบวร “กินให้อร่อยนะเด็กๆ ” ว่าแล้วเขาก็พาผมออกมาจากร้านทันที แหมๆ ๆ ๆ ร้ายเหมือนกันหนิคำพูดคำจา

ยอมเขาเลย

ร่างสูงจูงมือผมเดินมาเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดีนะที่เขาดูไม่ค่อยโมโหที่บวรมาทักผม การไม่มีเรื่องกันมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้วล่ะ ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ละกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะโฟกัสและมีความสุขกับมันก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก น่าเสียดายอยู่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อกี๊เขาจะพูดอะไรออกมาเพราะบวรเข้ามาขัดซะก่อน

ถ้าอยากรู้ต้องถาม

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“เมื่อกี๊พี่จะพูดอะไรกับหอมอะ”

“....ลืมไปแล้วอะ”

“เอ้า” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “อะไรของพี่เนี่ยะ อยู่แก๊งค์ปลาทองไม่ได้หมายความว่าต้องความจำสั้นแบบปลาทองป้ะ”   

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ผมหมุนตัวกลับมาหาก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ไหน มือไหนที่ตีพี่”

“พี่จะทำไม” ผมมองเขาตาโต เอาจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ได้เหมาะที่ผู้ชายตัวยักษ์สองคนจะมายืนโอบเอวกันหรอกนะ ทำอะไรโจ่งแจ้งชะมัด

“พี่จะ....” เขาจับมือผมทั้งสองข้างขึ้นมาหอมๆ ๆ ๆ ไม่หยุด หื้ออ.อ.อ.อ.....อะไรวะเนี่ย จะทำให้เขินกันไปถึงไหนเล่าพ่อคุณณณณ

“พอแล้ว” ผมดึงมือตัวเองกลับมา “เขินจะเป็นบ้าแล้วนะ”

มือเรียวขยี้หัวผมเบาๆ “กลับหอกันดีกว่า.....อยากนอนกอดแล้วครับ” พูดจบร่างสูงก็เดินขึ้นรถไปปล่อยให้ผมยืนเขินและสงสัยกับสิ่งที่เขาบอกว่าลืม

ไม่ได้ลืมหรอกแค่ยังไม่พูด

แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อาจต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อยแต่ผมว่ามันคงจะใกล้ๆ นี่แหละ ดูทรงแล้วพี่แช่มน่าจะรอจังหวะอยู่ เมื่อกี้ก็ฉุกละหุกไปหน่อย โอเค ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นเดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้รออีกนิดละกัน รอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยก็สบายแหละ ยิ่งตอนนี้เกียร์ของเขามาอยู่ที่ผมแล้วด้วย ไม่ต้องลังเลอะไรอีกต่อไปละครับ

รอเวลาแค่อย่างเดียว

ผมขึ้นรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเกียร์ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเอง พี่แช่มเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะคว้ามือผมไปกุมตามปกติ ผมกดเข้าไปในทวิตเตอร์ก่อนจะทวิตข้อความที่มีเหตุมาจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าพอกลับถึงหอแล้ว พี่แช่มจะหาเรื่องมาทำให้ผมใจสั่นอีกรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็....ผมจะหาเรื่องทำให้เขาใจสั่นบ้าง มันจะได้วินวินไง

สั่นมาสั่นกลับไม่โกง....





Kh. @KhH22_luc

เรื่องทำให้ใจสั่นเก่งก็คงต้องยกให้คุณเขานั่นแหละ

เก่งกว่าใครในโลกเลย.....



#CloverBad














TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่ห่างหายไป 2 เดือนเลยสำหรับเรื่องนี้ ชาลกลับไปเรียนแล้วนะคะแล้วก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีพรีเซ้นต์นวัตกรรมพรุ่งนี้ ก็ช่วยส่งกำลังใจมาให้กันหน่อยนะคะ

ตอนนี้ก็เฉลยหลายอย่างอยู่นะแต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ต้องรอติดตามกันต่อไป เดี๋ยวชาลจะชี้แจงตารางลงนิยายที่ชัดเจนให้นะคะว่ากำหนดลงมมันจะตรงกับวันไหน อดใจรอหน่อยนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2019 11:35:26 โดย chaleeisis »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนนี้มีสั่นกันหลายคน ดี ๆ ชอบ ๆ  :hao3:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
​บทที่ 7 : สั่นคลอน



Kh. @KhH22_luc

ชอบความสัมพันธ์ที่เราบ่นว่าหนาวแล้วเขาก็เดินเข้ามากอด

น่ารักดีเนอะ



#CloverBad





ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนกอดอยู่ไหนก็เถอะ

เฮ้อ....

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองท้องฟ้าที่ครึ้มอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เหมือนฝนจะตกเลยครับ ฟังข่าวเมื่อเช้าเขาบอกมาว่าภาคเหนือจะมีพายุเข้าด้วย ภาคกลางก็เลยอาจจะมีฝนตก ผมไม่ค่อยชอบอากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันทำให้รู้สึกหม่นหมองอะ ตอนนี้เกือบบ่าย 3 แล้วและผมใกล้จะเลิกเรียน ไม่มีแพลนอะไรทำต่อนอกจากกลับหอนอนด้วย หวังว่าตอนที่ผมกลับหอ ฝนจะไม่ตกนะ

ไม่อยากเปียกอะเอาตรงๆ

วันนี้ผมเอารถมอเตอร์ไซค์มา แน่นอนว่าถ้าฝนตกคือผมคงเปียกแน่ๆ แต่ช่างเถอะ เราอย่าไปคิดอะไรล่วงหน้าเลย ฝนมันยังไม่ตกลงมาสักหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้มานี้ผมถึงมีฟีลเบื่อโลกเอามากๆ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย เรื่องนี้มันน่าจะมีบวรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมั้งครับ หลายวันแล้วที่เขามองผมแบบแปลกๆ แปลกแบบผิดปกติแล้วตัวเขาเองก็ชอบมาวอแวผมแบบแปลกๆ

ดีนะพี่แช่มไม่เห็นน่ะ

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่แช่มมันกำลังดีเอามากๆ ผมไม่อยากให้ใครมาทำลายมันจริงๆ ดีว่าคนขี้เมาเขาอดทนเก่งไม่อาละวาด แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนได้ตลอดไปถ้าบวรยังมายุ่มย่ามกับผมอยู่ ผมคิดด้วยนะว่าบางทีการกระทำของผมมันก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจสักที บ่อยครั้งที่ผมหงุดหงิด อยากจะโวยใส่แต่อีกใจมันก็นะ

เขาก็รุ่นน้องอะ

เราอยู่ในคณะกรรมการนักศึกษาด้วยกันอีก ผมไม่อยากให้เรามีปัญหากันจนมองหน้าไม่ติด มันจะส่งผลต่อการทำงานรวมไง เนี่ยะ ยิ่งตอนนี้กำลังมีเรื่องค่ายอบรมเข้ามา ผมหวั่นใจมากเลย ปีนี้เขาจะเลื่อนเวลาไปค่ายให้เร็วขึ้นด้วยนะครับ ประมาณช่วงก่อนเปิดเทอม 1 ปกติแล้วเรียนเทอมซัมเมอร์เสร็จมันจะหยุดเกือบเดือน แต่ปีเนี้ยะอะไรๆ มันก็ดูเร่งไปหมดเลย

คณะกรรมการนี่หัวปั่นแล้วนะ

“หอม”

“ว่าไงชา” ผมมองมือเรียวที่ยื่นมาจับหน้าตัวเองหันไปหันมา “มึงทำอะไรกูเนี่ยะ”

“หน้ามึงดูหมองแปลกๆ นะ พักผ่อนน้อยเหรอวะ”

“ก็ส่วนนึงมั้ง ช่วงนี้กูรู้สึกไม่ค่อยสงบใจเท่าไหร่ ก็เลย....”

“เรื่องที่ว่าไม่สงบใจมันเรื่องอะไร” ชาเย็นมองซ้ายมองขวาก่อนจะยื่นหูมาใกล้ “ไม่อยากให้ใครรู้ก็กระซิบบอกกูได้นะ”

“เรื่องบวร”

“ไอ้เบย์มันทำไมวะ”

“ช่วงนี้ชอบมาวอแวกูแปลกๆ ว่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“มันชอบมึงหนิ”

“ใช่ กูรู้ว่ามันชอบกู แต่มันก็น่าจะรู้ป้ะวะว่ากูชอบอยู่กับพี่แช่ม ถึงแม้ว่าตอนนี้กูกับเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ว่าบวรก็ไม่น่าทำแบบนี้ป้ะวะ”

“แล้วมึงเคยบอกมันตรงๆ รึเปล่าว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับมัน”

“.....”

“เงียบแบบนี้แปลว่าไม่สินะ” มือเรียวยกขึ้นแตะไหล่ผม “มึงรู้ป้ะหอมว่าบางอย่างแค่การกระทำมันไม่พอนะ มึงต้องพูดด้วย กูว่าเรื่องนี้มึงกับพี่แช่มคือเหมือนกันเลย”

“เหมือนยังไงวะ”

“ก็พี่แช่มอะ เขาไม่เคยบอกว่าเขารักมึง เขาไม่เคยพูดว่าเขาจะผูกมัดมึงเอาไว้เพราะเขาคิดว่าการกระทำทุกอย่างของเขามันชัดเจนอยู่แล้วแต่พอเขาไม่พูดเนี่ยะ มึงก็คิดเยอะอย่างโน้นอย่างนี้ ความรู้สึกว่าเขาไม่ชัดเจนมันเกิดขึ้นในใจมึงใช่ไหม”

ผมพยักหน้ารับ “ก็ใช่”

“นั่นแหละ มันก็เหมือนกันอะ ต่อให้มึงจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจไอ้เบย์ แต่ไม่มีคำพูดยืนยันว่ะ ถ้ากูเป็นไอ้เบย์ กูก็คงไม่ยอมแพ้หรอกเพราะว่ามึงยังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ใน 100 วันที่ผ่านมามึงอาจจะไม่ประทับใจในตัวมันแต่วันที่ 101 มันอาจจะมีเหตุการณ์โง่ๆ ที่ทำให้มึงเปลี่ยนใจจากพี่แช่มมารักมันก็ได้ เนี่ยะ เชื่อสิไอ้เบย์มันต้องคิดแบบกู”

มันก็จริงตามที่ชาเย็นพูด

ผมไม่เคยพูดบอกกับบวรไปแบบจริงๆ จังๆ สักครั้งนั่นแหละ เพราะผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ไง ในสักวันนึงที่ผมกับพี่แช่มคบกันเขาก็น่าจะเลิกราไปเอง เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน คนที่เราพยายามเลี่ยงแล้วแต่ก็ยังเข้าหาอยู่ตลอด  ผมยอมรับในความพยายามของเขานะแต่ว่าถ้าเราไม่มีใจ ยังไงความพยายามนั้นมันก็สูญเปล่าป้ะวะ นั่นแหละ ปล่อยให้สิ่งที่เขากำลังทำ ทำให้เขารู้เองดีกว่าว่าที่อยู่ตรงนี้มันเสียเวลา

ผมคงไม่เปลี่ยนใจจากพี่แช่มหรอก

นี่ก็อาทิตย์กว่าๆ แล้วนะที่เกียร์ของพี่แช่มมาอยู่กับผม ส่วนเกียร์ของผมมันก็ยังคงอยู่ที่คอผมเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ให้เกียร์เขาเลย มันห้อยอยู่กับจี้ใบโคลเวอร์สี่แฉกอยู่อย่างนั้น ผมกะว่าจะให้เขาในวันที่เราคบซึ่งก็ยังไม่รู้เลยว่าจะคบกันวันไหน หรือผมเป็นฝ่ายขอเขาเป็นแฟนก่อนดี แล้วก็ค่อยลุ้นอีกทีว่าเจ้าตัวจะตกลงรึเปล่า ผมกลัวคำตอบของคนขี้เมาเหมือนกัน ผมกลัวว่าถ้าพูดขอเขาไปแล้ว.....เขาจะไม่ตกลง

ใจผมต้องแตกเป็นเศษแน่ๆ

เพราะงี้แหละถึงได้รอให้พี่แช่มเป็นฝ่ายพูด รอมา 2 ปีกว่าๆ แล้วด้วย เวลาที่ผมคิดเรื่องระหว่างเรามันก็ดูตลกร้ายยังไงก็ไม่รู้ หลายครั้งที่คิดอยากจะตัด หลายครั้งที่กลับมาหลงรักเขาเหมือนเดิม ความทรงจำที่มีร่วมกันมันดีมากจนผมไม่อยากเสียไป แต่ถ้าถามถึงความชอกช้ำมันก็มากอยู่นะ แต่เอาเถอะ ผมเลือกเองนี่ แล้วช่วงนี้พี่แช่มเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ ตัวผมเองก็คงทำได้แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น

อา....ทำไมวันนี้มันฟุ้งซ่านจังวะ

รู้สึกแย่ๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ทำหน้าอย่างกับ.....” มือเรียวบีบแก้มผมเข้าหากันจนปากจู๋ “ส้นตีน”

“หน้ากูก็เหมือนมึงแหละไอ้เวร” ผมจับมือข้าวก้องออก พลางทำหน้ามุ่ยใส่ กลิ่นบุหรี่นี่คลุ้งสุดๆ แอบออกไปสูบมาเหรอวะ

“ไม่เหมือน หน้ากูไม่เหมือนส้นตีน”

“มึงนี่นะ ช่วงนี้สูบจัดเหรอวะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นที่ติดเสื้อมัน “กลิ่นติดทั้งตัว”

“อยากกอดกูก็บอกดีดีสิ” มันรั้งหัวผมไว้ก่อนจะกดเข้าที่หน้าท้องตัวเองอยู่อย่างนั้น กูหายใจไม่ออกไหมล่ะ สะเหล่อจริง ยังไม่ทันบอกเลยจะกอด

“หายใจไม่ออกไอ้สัส”

ร่างโปร่งปล่อยผมออกก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงมาบนตัก “กูแซดจังเลยว่ะหอม”

“เป็นไรอีกอะ แล้วตัวมึงนี่เล็กมากเลยมั้งมานั่งบนตักกู”

“เออน่า ขอนั่งหน่อย” ข้าวก้องบอกก่อนจะเอนหัวมาพิงกับหัวผม “กูมีเรื่องอยากถามมึง”

“เรื่องอะไร”

“เมื่อวานกูไปเจอหนังสือเล่มนึงมา มันเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ นาย A แอบชอบนาย C มานาน แต่นาย C ชอบนาย B ซึ่งนาย B เนี่ยะ เป็นน้องของนาย A มึงว่านาย A ควรทำยังไง”

“มึงใช้คำนำหน้าว่านายทั้งหมดนี่คือผู้ชายเหรอ”

“รายละเอียดบางอย่างมึงผ่านไปก็ได้เถอะ” มันบีบแก้มผมแรงๆ “ไหนลองบอกกูมาดิ๊ว่ามึงควรทำยังไง”

“ถ้าสมมุติว่ากูเป็นนาย A อะนะ มันก็ต้องดูว่ะว่านาย B ที่เป็นน้องเนี่ยะ ชอบนาย C รึเปล่า ถ้าชอบกูก็ต้องตัดใจเพราะดันทุรังไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์ ใจเขาก็ไม่ได้แถมยังเสียเวลาอีก”

“แล้วถ้านาย B ไม่ได้ชอบนาย C ล่ะ”

“งั้นกูก็คงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นาย C หันมามองล่ะมั้ง คือการชอบใครสักคนอะมึง มันก็ต้องหวังเล็กๆ ป้ะวะ มันต้องทำอะไรสักอย่างเพราะว่ามันดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“ถ้าไม่สมหวังอะ”

“อย่างน้อยก็พยายามแล้วหนิ” ผมโอบเอวข้าวก้องไว้พลางหรี่ตามองมัน “นาย A คือมึง นาย B คือกูใช่ไหม”

คนบนตักผมทำหน้าเลิ่กลั่ก “เปล่าหนิ กูก็คือกู มึงก็คือมึงดิ”

“เหรอ แล้วนาย C คือใคร” ถ้าลองคิดว่านาย C ชอบนาย B แต่นาย B ไม่ชอบ ถ้าพูดถึงคนที่ชอบผมมันก็น่าจะเป็น.... “มึงอย่าบอกนะว่าบะอื้อออ.อ.อ.....” ยังไม่ทันพูดจบ ข้าวก้องก็เลื่อนมือมาปิดปากผมไว้

“กูบอกว่าเอามาจากหนังสือไง อย่าเพ้อเจ้อได้ไหมวะ”

คนเพ้อเจ้อมันมึงต่างหากไอ้เวรรรร

ผมมองสีหน้าของข้าวก้องที่ดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ผมว่านะ ในใจมันต้องคิดว่ากูไม่น่ามาถามมึงเลยข้าวหอม แล้วพอมันมาถามผมแบบนี้ มันก็ต้องมีข้อสงสัยในใจผมเกิดขึ้นไง ผมเชื่อว่าสิ่งที่ไอ้บ้านี่ถามคือเรื่องจริงของมัน ไม่ได้เอามาจากหนังสือแน่ๆ ถ้าที่ผมคิดเมื่อกี๊มันใช่ ถ้าคนที่ข้าวก้องชอบคือคนที่ชอบผมจริงๆ อา....คิดไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

บวรเนี่ยะนะ

เรื่องมันเป็นมายังไงกัน

ร่างโปร่งลุกออกไปจากตักผมก่อนจะรีบชิ่งออกไปทันที ร้ายนักนะ ไว้กลับหอก่อน เดี๋ยวจะเค้นออกมาให้หมดเลย เชื่อสิว่าข้าวก้องต้องตีหน้ามึนทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วก็แถไปจนสุดทางแน่ๆ ปกติแล้วก็เป็นคนแบบนั้นแหละ ถ้าไม่ยอมรับอะไรแล้วก็จะไม่ยอมรับอยู่แบบนั้น ปากแข็งเป็นที่สุดแต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะง้างปากมันเอง

เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ

ผมมองอาจารย์ที่เดินออกไปจากห้องก่อนจะเก็บของแล้วเดินตามออกมา เลิกเรียนแล้วก็กลับหอนอนดีกว่า วันนี้พี่แช่มเขาเลิกเที่ยงครับ ก็น่าจะอยู่กับคุณเฉลิมที่หอนั่นแหละ เดี๋ยวเย็นๆ ก็น่าจะโผล่มาหาผม แต่จะว่าไปวันนี้เขายังไม่ได้ทักมาหาผมเลยนะ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เช้าแล้วด้วยแหละแต่ผมคิดว่าเจ้าตัวน่าจะลืมเอาโทรศัพท์มารึไม่ก็แบตฯ หมด

ขี้ลืมสมกับอยู่แก๊งค์ปลาทอง

ผมเดินมาจนถึงเวฟร้อยคู่ใจก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วขับออกมาจากตัวตึก วันนี้ผมไม่ได้หยิบหมวกกันน็อคมาด้วย เอาจริงๆ มันไม่ดีเลยนะสำหรับการขับรถแล้วไม่ใส่หมวกเนี่ยะ เราอาจจะคิดว่าระยะทางมันนิดเดียว มันไม่เป็นไรหรอก ผมนี่เคยวัดถนนมาแล้ว ไม่ใส่หมวกด้วยก็เรียบร้อย หัวแตกเย็บไปห้าเข็มจ้า ตอนนั้นนึกว่าตายแล้วเอาจริงๆ ข้าวหอมนี่กลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนเลยครับ

คิดแล้วก็สงสารตัวเอง

แหมะ แหมะ

เอาล่ะ สงสารตัวเองหนักกว่าเดิมอีก

ผมรีบบิดรถทันทีเมื่อฝนกระหน่ำลงมา แม่เจ้า ไม่มีการตกปรอยๆ ให้ได้เตรียมตัวเลยสักนิด คิดจะตกก็ตกเลยเหรอวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ แบดไปอะบางที แล้วเหมือนซัดซ้ำกรรมซัดตรงที่รถมาติดไฟแดงอีก โอเค ยอมแล้ว ยอมเปียกก็ได้ ตอนแรกผมกะรีบเร่งเครื่องกลับหอเพราะจะได้ไม่เปียกมาก แต่ไหนๆ ก็เปียกละ จะขับรถให้ช้ากว่าเมื่อกี๊ก็แล้วกัน ฝนตกถนนจะลื่นครับเพราะงั้นต้องระวังหน่อย

ผมไม่อยากโคฟเวอร์เป็นขนุนรอบที่สองหรอกนะ

ใช้เวลาสักพักนึงผมก็กลับมาถึงหอในสภาพที่เปียกไปทุกซอกของร่างกาย โทรศัพท์ก็น่าจะชุ่มฉ่ำเหมือนกัน หวังว่ามันจะไม่เป็นไรนะ ผมหยิบของทุกอย่างออกมาจากรถก่อนจะเดินเข้าด้านในเพื่อจะขึ้นหอ แต่ร่างสูงของใครบางคนมันก็ทำให้ผมชะงักไปทันที

เขามาที่นี่ได้ยังไง

“....บวร”

“เปียกมาเหมือนกันเหรอครับ” ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ มือเรียวเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองขึ้นไป สภาพเขาคือเปียกหนักมากเหมือนผมเลยครับ คงตากฝนมาเหมือนกันสินะ

“อืม แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ผมเอาเอกสารมาให้พี่น่ะครับ แล้วก็พวกเลคเชอร์เก่าๆ ที่พี่ให้ยืม” เจ้าตัวบอกก่อนจะชูแฟ้มพลาสติกให้ผมดู “มันไม่เปียกแน่นอนครับ ผมห่อมาอย่างดี”

ผมพยักหน้ารับ “งั้นเอามาสิ เดี๋ยวผมดูให้”

“ตรงนี้เลยเหรอครับ” บวรมองซ้ายมองขวา คือตรงนี้เป็นทางขึ้นหอ โอเคมันอาจจะเกะกะคนอื่นเขาหน่อยแต่ผมไม่ได้อยากให้เขาขึ้นไปที่ห้องของผมหนิ

“คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ผมเดินมาหาพี่แล้วฝนมันก็ตก” เจ้าตัวเบือนหน้าไปด้านนอกที่ฝนกระหน่ำลงมา “ดูท่าแล้วมันน่าจะยังตกอีกนาน ตัวผมเองก็เปียกไปหมด ใจคอพี่หอม....จะปล่อยผมไว้ตรงนี้เหรอครับ”

พูดถึงขนาดนี้เลยนะ

“.....ไปคุยที่ห้องผมก็ได้ ตามมาสิ” ว่าแล้วผมก็เดินนำร่างสูงไปทันที หงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่บอกปัดไป ทำไมวะหอม มันก็แค่ปฏิเสธอะ

พูดตรงๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นรึเปล่า

แต่เอาเถอะ ฝนมันตกอยู่จริงๆ แล้วเขาก็คงกลับไม่ได้ เอาเป็นว่ารอให้ฝนซาอีกสักหน่อยแล้วค่อยหาเรื่องไล่เขากลับไปดีกว่า คิดซะว่าคุยเรื่องงานด้วย ใช่ครับผมกำลังหาข้ออ้างมาใช้เพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกผิด คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพี่แช่มมาเห็นบวรอยู่ในห้องผมนี่จะเป็นยังไง แต่ก็ไม่น่าหรอกเพราะฝนตกหนักขนาดนี้ เขาก็น่าจะอยู่ที่หอตัวเองนั่นแหละ คนขี้เมาคงไม่บ๊องอยากออกมาข้างนอกตอนฝนตกหรอก

คิดว่านะ

ผมเปิดประตูห้องของตัวเองก่อนจะเดินนำบวรเข้ามา ปกติแล้วถ้าเปียกมาขนาดนี้ผมคงต้องอาบน้ำก่อนแต่เหมือนว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ผมวางของทุกอย่างงก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหัวตัวเอง ร่างสูงมองไปรอบๆ ห้องผมอย่างสนใจ ก็นะ ครั้งแรกที่เขาได้มาอยู่ตรงนี้เลยหนิ แต่จะว่าไป....การที่บวรได้มาเห็นความทรงจำของผมกับพี่แช่มที่อยู่รอบๆ ห้อง มันก็น่าจะทำให้เขาคิดจะตัดใจได้บ้างน่ะนะ

ทุกอย่างมันชัดออกว่าผมไม่ได้เลือกเขา

“รูปพี่แช่มเยอะจังเลยนะครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เต็มห้องเลย”

“มันก็ไม่แปลกนะคุณ”

“พี่หอมรักพี่แช่มขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”

“แล้วพี่แช่มเขาเคยบอกว่ารักพี่บ้างรึเปล่า” บวรวางรูปของผมกับพี่แช่มลงก่อนจะเดินเข้ามาหา “น่าจะไม่เคยล่ะมั้ง เพราะไม่งั้นพี่สองคนคงคบกันไปนานแล้ว”

ผมเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด “เราจะคุย....เรื่องงานกันไม่ใช่เหรอ”

“ขอโทษครับ ผมลืมไป....” เขายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะหยิบแฟ้มงานมาให้ “แผนงานทั้งหมดที่ผมทำมาอยู่ในนั้นแล้วครับ พี่หอมลองอ่านดูว่ามันเรียบร้อยไหม ถ้าไม่ผมจะได้แก้”

“อืม” ผมหยิบแผนงานที่อยู่ในแฟ้มออกมาก่อนจะอ่านมัน ถึงตาจะมองกระดาษแต่ผมยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองตัวเองไม่หยุด

ผมหันหลังให้เขา บวรทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเอาเรื่องเลยล่ะ ใจผมอยากจะให้ฝนมันหยุดตกไวไวซะจริง เขาจะได้ไปจากที่นี่ สิ่งที่เขาพูดกับผมเมื่อกี๊น่าหงุดหงิดสุดๆ ผมรู้ว่าเขาตั้งใจพูดจี้จุดผม ร้ายกาจชะมัด แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็เป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ พี่แช่มไม่เคยบอกว่ารักผมสักครั้งแต่ในเรื่องของการกระทำหลายๆ อย่างผมก็รู้สึกได้น่ะนะ บางทีความรู้สึกที่ย้อนแย้งอยู่ในใจนี่ก็น่ารำคาญเหมือนกัน

ใจแม่งไม่สงบเลยว่ะ

ผมอ่านแผนงานไปเรื่อยๆ การทำงานของเขามันไม่มีผิดพลาดจริงๆ แผนงานนี้ดีมากเลยครับ ไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยซ้ำเพราะไม่มีจุดบกพร่อง ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ งานในอนาคตที่เขาต้องรับผิดชอบมันก็คงไม่หนักหนาหรอก ในจังหวะที่ผมกำลังสนใจแผนงานในมือ มือเรียวก็รั้งเอวผมเข้าไปใกล้ก่อนจะกอดไว้แน่นจากด้านหลัง ผมดิ้นทันทีเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนั้น แต่ดูเหมือนเจ้าของอ้อมแขนนี่จะไม่ยอมปล่อยออกง่ายๆ

แรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ

“บวร”

“เป็นผมไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”

“ปล่อย!!!! ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้”

“ถ้าพี่อยากหลุดออกไปขนาดนั้น” เสียงเรียบเอ่ยอยู่ที่ข้างหู “พี่ก็ดิ้นออกไปสิครับ”

“นี่คุณ” ผมพยายามสะบัดร่างสูงออก จิกแขนก็แล้ว ดิ้นก็แล้ว ทำไมมันดูไม่สะทกสะท้านเลยวะ สาบานได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มาเหยียบห้องผม

ถ้าผมหลุดออกไปได้ล่ะก็นะ

“ตอนแรกผมก็เฉยๆ กับคุณนะ ผมมองว่าคุณเป็นรุ่นน้องมาตลอด แต่สงสัยผมต้องมองคุณเปลี่ยนไปแล้วล่ะ จิ๊....ปล่อยสิวะ”

“ผมสงสัยมาตลอดเลยนะครับพี่หอม ว่าทำไมพี่ทนอยู่กับคนที่ไม่เคยให้ความชัดเจนอะไรกับพี่ได้เลย คิดดูสิ....ขนาดผู้หญิงที่ชื่อชะเอม เขายังบอกพี่ไม่ได้เลยว่าเป็นใคร”

ผมเหลือบมองเขา “คุณรู้เรื่องชะเอมได้ยังไง”

“ผมเคยได้ยินพี่แช่มพูดถึงผู้หญิงคนนั้น วันนั้นเขาเมามากๆ แล้วเขาก็เพ้อไม่หยุด ขนาดเพื่อนๆ เขาถาม เขาก็ยังไม่บอก” บวรยกยิ้ม “ผมคิดถูกจริงๆ ด้วยว่าเขาก็ไม่ได้บอกพี่เหมือนกันว่าชะเอมเป็นใคร”

“.....ผมไม่สนใจหรอกว่าชะเอมจะเป็นใคร”

“ปากไม่ตรงกับใจเลยนะครับ ผมว่าพี่รู้อยู่แก่ใจเลยล่ะว่าตัวเองสนหรือไม่สน”

“ปล่อยผมสักที”

“ยอมรับเถอะครับพี่หอม ว่าความสำคัญของพี่....มันเทียบกับผู้หญิงที่ชื่อชะเอมไม่ได้เลย”

“บวร!!!!”

แอ๊ดดดด

“พี่ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้....น้องหอม”

“พะ....พี่แช่ม”

ผมเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ดวงตาคมมองมาทางผมกับบวรนิ่งๆ สิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดมันก็เกิดจนได้ โถ่เว้ย ผมโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ผมอาศัยจังหวะที่บวรตกใจผลักเขาให้ออกห่าง สีหน้าและแววตาของพี่แช่มมันทำให้ผมรู้สึกผิด ผิดมากๆ เลยที่ทำให้เขาต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ และอีกใจผมก็กลัวว่าเขาจะทะเลาะกับบวรเพราะผมอีก

นี่มันแย่จริงๆ เลยข้าวหอม

พี่แช่มมองผมกับบวรสลับกัน “.....พี่แขวนไว้ให้ตรงนี้นะ” มือเรียวแขวนถุงน้ำเต้าหู้ไว้ที่ลูกบิดประตูก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินไปทันที พอเห็นแบบนั้นผมก็ตามเขาออกมา

“มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ” ผมรั้งแขนเขาไว้ “หอมกับบวรไม่ได้....”

“อย่า....มายุ่ง”

เจ้าของเสียงเรียบดึงแขนออกก่อนจะเดินไปทันที ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปจนลับตาแล้วรู้สึกโกรธตัวเองมากที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถ้าผมใจแข็งมากพอไม่ให้บวรขึ้นมาบนห้องมันก็คง....

“พี่หอม”

ผมหันหลังกลับมามองคนด้านหลังด้วยความเกลียดชัง “พอใจมึงแล้วใช่ไหม มึงพอใจรึยังที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้น่ะ” ผมผลักอกคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

“เสียงอะไรวะ” ข้าวก้องโผล่หน้าออกมาก่อนจะเดินมาหาผม “มึงเป็นไรหอม ร้องไห้ทำไม”

“มึงพูดมาสิไอ้เบย์ ฮึกก.ก.ก....มึงเงียบทำไมล่ะ”

“ผม....”

“คุณทำอะไรข้าวหอมบวร” ข้าวก้องกระชากคอเสื้อบวรเข้ามาใกล้ “ผมถามว่าคุณทำอะไรข้าวหอม ห้ะ!!!!”

“พอก้อง ช่างมัน” ผมรั้งร่างโปร่งออกมาจากบวรก่อนจะจ้องหน้าเขา “มึงจำไว้นะเบย์ ต่อให้กูกับพี่แช่มต้องจบ ต่อให้กูกับเขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่สิ่งนึงที่มึงก็ต้องรับรู้คือกูจะไม่มีวันรักมึง....ไม่มีวัน!!!”

ผมเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับข้าวก้องโดยทิ้งให้บวรยืนอยู่ตรงนั้น ถุงน้ำเต้าหู้ที่แขวนอยู่มันยิ่งตอกย้ำความผิดของผมเข้าไปอีก เมื่อวานผมบ่นกับพี่แช่มเองว่าอยากกินน้ำเต้าหู้ แต่ร้านไม่ขาย เจ้าตัวก็เลยซื้อมาให้ผมแทนในวันนี้ แต่ผมกลับทำให้เขาต้องรู้สึกไม่ดี เรื่องนี้พี่แช่มไม่ผิดเลยครับ ผมคนเดียวเลยที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธผม

ผมยังโกรธตัวเองเลย

“แย่เลยสิมึง”

ผมพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนจะโผไปกอดข้าวก้อง “ฮึกก.ก.ก....พี่แช่มบอกว่าอย่ามายุ่ง....ฮือออ.อ....เขาไม่เคยพูดกับกูแบบนี้เลย....ฮืออ.อ.อ.....”

“เขากำลังโกรธแหละ มึงต้องตั้งสติแล้วใจเย็นๆ นะ” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ “ให้เวลาเขาสักหน่อยละกัน”

“ฮึกก.ก.ก....ถ้าพี่แช่มไม่หายโกรธล่ะ”

“เขารักมึงจะตาย เดี๋ยวเขาก็หาย ทุกทีที่มึงโกรธเขา เขายังทำทุกอย่างเพื่อให้มึงหายโกรธได้เลย ตัวมึงเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน.....มึงกับเขาตัดกันไม่ขาดหรอกหอม”

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ฮืออ.อ....”

ผมไม่เคยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันสั่นคลอนมากขนาดนี้เลย พอเป็นเรื่องที่มีบวรเข้ามาเกี่ยวมันช่างดูน่ากลัวไปหมด แล้วอย่างที่บอกคือพี่แช่มไม่เคยพูดแบบนี้กับผมสักครั้ง ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะพุ่งไปซัดบวรแล้วที่ทำแบบนั้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันผิดคาดไปหมด เอาจริงๆ จะแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ มันเพราะผมคนเดียวเลย

“ฮึกก.ก....หอมขอโทษนะพี่แช่ม”

หอมขอโทษ

---------- 50% บท 7 ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 7 ----------


[บันทึกพิเศษ : แช่ม]


“อยู่กรุงเทพฯ แต่มาแดกเหล้านครปฐม ถามจริง....มึงคิดไรอยู่เนี่ยะ”

“กำลังคิดว่ามึงรู้ได้ยังไงว่ากูอยู่ที่นี่”

“เพราะกูคือชรันไงล่ะชริต” ร่างโปร่งนั่งลงข้างผม “อะเล่ามา”

“....ไม่มีอะไรจะเล่า”

“จะใช่เหรอ อย่างน้อยก็เล่าเรื่องรอยแตกบนมือนี่ก็ได้นะ”

“หกล้ม”

“ตอแหลชิบหาย”

ผมมองรอยแผลบนหลังมือทั้งสองข้างก่อนจะยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ขึ้นซด อื้มม.ม.....เกือบเดือนเลยนะที่ผมไม่แตะมัน เกือบเดือนที่ผมเลี่ยงเพราะว่าต้องงดแอลกอฮอล์เพื่อเข้ารับการบำบัด เกือบเดือนที่ผมต้องกินยาทุกวันแม้ว่าผมจะไม่อยากกินมันเลยสักนิด เกือบเดือนที่ผลข้างเคียงของยาทำให้ผมรู้สึกทรมาน เกือบเดือนที่ผมอดทนเพื่อคนที่ผมรัก

เกือบเดือนที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทุกสิ่งที่อดทนมาก็คงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่วันนี้ ผมไม่มีใจจะทำอะไรเลย ลืมคำพูดของหมอทุกอย่างแล้วก็หนีมากินเหล้าถึงนครปฐม ทำร้ายตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ดีเลยที่เป็นแบบนี้แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมโกรธมากกับสิ่งที่ตัวเองไปเจอมา ผมบอกกับน้องหอมว่าอย่ามายุ่งกับผม เพราะตอนนั้นผมไม่พร้อมที่จะฟังอะไรทั้งนั้น ผมไม่ใจเย็นมากพอที่จะฟังเขาและเราจะทะเลาะกันเปล่าๆ

การถอยออกมาคือทางเลือกของผม

อีกอย่างคือถ้าผมยังไม่ออกมาจากตรงนั้น ไอ้เบย์อาจจะตายไปแล้ว ผมต้องใช้ความอดทนมากเลยที่จะไม่ทำอะไร เรื่องนี้น้องหอมต้องอธิบายกับผมอยู่แล้วแหละว่าไอ้เบย์ไปอยู่ในห้องได้ยังไง แล้วทำไมมันถึงกอดเขาอยู่แบบนั้น ผมคิดว่าน้องหอมคงไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอก ปัญหามันอยู่ที่ไอ้เบย์ ส่วนนึงมันก็อาจจะอยู่ที่ผมด้วยเพราะตัวผมเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันชัดเจนมากพอ

มากพอ....ที่ไอ้เบย์จะเลิกยุ่งกับน้องหอม

หลายวันก่อนผมให้เกียร์น้องหอมไปแล้วที่ร้านปังเย็น ใจผมตอนนั้นก็อยากจะบอกเขานั่นแหละว่า....คบกันไหม ถึงมันอาจจะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่แต่ผมก็อยากจะพูดออกไปนะ แล้วไอ้เบย์ก็เข้ามาขัด ผมหงุดหงิดแต่ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในใจ ไม่แสดงอะไรออกไปทั้งนั้น อาจเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาด้วยมั้ง ผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่และมันแย่

แต่ถ้าอยากหาย....ผมก็ต้องทนรับมันให้ได้แหละนะ

“ก่อนมาหามึง กูไปหาน้องหอมมาด้วยนะ”

“.....”

“น้องร้องไห้จนหลับไปเลยแหละ ติดต่อมึงไม่ได้ หาตัวมึงไม่เจอ” เฌอยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “เอาจริงๆ กูก็รู้แหละว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นกู กูก็คงโกรธนั่นแหละ แต่กูจะไม่โกรธนานนะถ้าเขาบอกเหตุผลว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น แล้วถ้าเหตุผลมันโอเค กูก็คงให้อภัยเขาแหละ เพราะว่ากู....รักเขา”

ผมเหลือบมองมัน “กูไม่ได้โกรธน้องหอม”

“ไม่ได้โกรธแต่มาแดกเหล้ายันนครปฐม อะกูเน้นให้ฟังนะ....นครปฐม

“กูแค่อยากอยู่กับตัวเอง มึงนี่แหละที่สะเหล่อหากูเจอ”

“กูรู้นะว่าปากมึงพูดแบบนี้แต่ข้างในมึงมันก็ไม่ได้โอเคหรอก” มันบอกก่อนจะแย่งแก้วในมือผมไป “มึงอย่าคิดว่ามึงไม่บอก มึงไม่พูดแล้วเพื่อนจะไม่รู้นะ พวกกูรู้ทั้งนั้นแหละว่าทำไมมึงไม่กินเหล้า ทำไมทุกวันอังคารตอนเช้ามึงต้องหายหัวไป รู้แหละว่าทำไมหลายอาทิตย์ที่ผ่านมามึงเซื่องๆ ซึมๆ ผิดจากตัวมึงที่เคยเป็นมาตลอด”

“นี่มึง....”

“พวกกูรู้ว่ามึงเป็น PTSD”

“........”

“แต่พวกกูไม่รู้หรอกว่าทำไมมึงถึงเป็นได้ พวกกูไม่คิดจะถามด้วยเพราะถามไปมึงก็ไม่บอก ขนาดเรื่องที่ป่วยนี่มึงยังไม่บอกเลย” เฌอถอยหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “กูขอโทษที่เสือกอยากรู้ว่ามึงหายไปไหนแล้วแอบสะกดรอยตามมึงไป มันก็เลยทำให้กูรู้ในสิ่งที่มึงเป็น”

“ไปคุยกันข้างนอก” ผมบอกก่อนจะเดินนำมันออกมาจนถึงลานจอดรถ ร่างโปร่งเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

“มึงทนมาได้ยังไง....ตั้งหลายปีวะ”

“ก่อนหน้านี้อาการมันดีขึ้นเพราะกูได้ตกหลุมรักคนๆ นึง 2 ปีที่ผ่านมาสำหรับกูแล้วมันคือความสุข มันทำให้กูไม่สนใจอดีต แต่เมื่อไม่นานมานี้ทุกอย่างมันก็แย่ มันมีปัจจัยนึงที่ทำให้กูรู้สึกว่ากูจะเสียคนที่กูรักไปและทุกครั้งที่กูคิดแบบนั้น สิ่งที่อยู่ในความทรงจำมันก็ตามหลอกหลอน กูรู้สึกแย่จนกูทำเรื่องแย่ๆ ลงไปมากมาย”

“กูไม่เข้าใจทั้งหมดหรอกนะเพราะกูไม่ใช่มึง”

“ใช่ เรื่องทั้งหมดมีแค่กูเท่านั้นที่เข้าใจ กูไม่ต้องการเล่าให้ใครฟังทั้งนั้นแม้กระทั่งน้องหอม อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนที่กูยังไม่หายจาก PTSD กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูจะหายได้ยังไง แค่กลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยเจอมา....กูยังไม่กล้าเลย”

อื้มม.ม.ม....ปวดหัวจัง

ผมยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง แย่นะที่ต้องทนกับสภาวะแบบนี้ ยอมรับเลยว่าตกใจอยู่ที่เพื่อนๆ รู้เรื่องที่ผมป่วยเป็น PTSD ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือมันเป็นความผิดปกติทางอารมณ์หลังจากที่เจอเหตุการณ์สะเทือนใจ ในเคสของผมมันคือการสูญเสีย จะเรียกว่าโรคกลัวการสูญเสียก็พอเข้าใจได้ ผมเป็นมาตั้งแต่ที่เสียพ่อกับแม่ไป แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ จนกระทั่งถึงวันที่ผมผมอายุ 17

วันเกิดที่ผมอยากลบมันออกไปจากความทรงจำ

จากวันนั้นผมก็กลายเป็นคนป่วยโดยสมบูรณ์ มันแย่มากถึงขั้นที่ผมเคยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ผมใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชหลายเดือน มันเป็นหลายเดือนที่ว่างเปล่าเอามากๆ แต่มันก็อาจจะยังโชคดีของผม ผมไปเจอสิ่งๆ นึงที่ดึงตัวเองกลับมาได้ มันทำให้ผมนึกถึงคำสัญญาที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ คำสัญญาที่เกี่ยวกับใบโคลเวอร์สี่แฉก อีกอย่างคงจะเป็นบุคคลนิรนามที่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ภาพถ่ายและโควทที่เขาพูดมันก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่ทำให้ผมอยากกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง

แต่ช่วงนี้เขาดูเศร้าๆ ยังไงไม่รู้

“กูรู้นะแช่มว่าวันนึงมึงจะผ่านมันไปได้ ถ้ามึงจะสู้ กูก็อยากให้มึงรู้ว่ามึงไม่ได้สู้อยู่คนเดียว” เฌอยิ้มบางๆ ให้ผม “ถ้าทางข้างหน้ามึงเห็นว่ามันดูยากลำบาก ถ้าวันไหนที่มึงคิดว่าเส้นทางนี้มึงไปคนเดียวไม่ไหว กูก็อยากให้มึงมองกลับมาข้างหลัง มึงก็จะเห็นพวกกูอยู่ตรงนั้น.....เสมอ”

“ขอบใจนะมึง ขอบใจจริงๆ ”

“เพื่อน....เขามีไว้ทำแบบนี้แหละ”

นั่นสินะ

ผมยิ้มบางๆ ให้เฌอก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปดูทวิตเตอร์ ผมไม่เคยคิดเลยว่าการที่มีคนรับรู้ในสิ่งที่เรากำลังเผชิญมันจะทำให้รู้สึกสบายขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้แค่ตัวคนเดียวอีกแล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้ผมก็ยังไม่คิดที่จะบอกน้องหอมนะครับ ไว้วันที่อะไรมันดีกว่านี้ก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะรับรู้ทุกอย่าง

ผมจะเป็นคนบอกเขาเอง

ผมกดทวิตข้อความบางอย่างก่อนจะกดปิดเครื่อง ไม่อยากให้ใครติดต่อได้อีกแล้วนอกจากเฌอ เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวไอ้เวรนี่ก็ต้องบอกคนอื่นอยู่ดีว่าผมไม่เป็นไร ดีหน่อยว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม มีเวลาให้พักใจแล้วก็อยู่กับตัวเองพอสมควร ซึ่งมันคงดีแล้วล่ะ

"ดราม่าในทวิตฯ อีกละ"

"เดี๋ยวกูจะบล็อกมึง"

"ม่ายน้าาาาาาาาาาา"

รำคาญจริงๆ





Charit @Charitpedd

สำหรับบางเวลา....การอยู่กับตัวเองคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำให้ใครเสียใจ หรือมีใครมาทำให้เสียใจ



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาแช่มหอมแล้วนะคะ สำหรับตอนนี้ก็ปวดใจหนึบหนับเลยเนอะ ทุกตัวละครก็มีเหตุผลของการกระทำนะคะ และทุกการกระทำก็จะส่งผลต่อๆ ไป ก็รอติดตามกันได้น้า

สำหรับวันลงจริงจังหรือแค่ขำๆ น่าจะเป็นทุกวันพุธค่ะ ถ้ามีเลื่อนเฉพาะกิจชาลจะแจ้งให้ทราบนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2019 21:15:41 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทั้งสั่น ทั้งคลอนสมหัวจิต หัวใจ จริง ๆ เลย  :hao5:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บางที่ก็สงสารน้องหอมที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วยังมีอีเบย์อีก โคตรอึดอัดเลย
 :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
​บทที่ 8 เรื่องของความสัมพันธ์


Kh. @KhH22_luc

ไม่มีอะไรจะทรมานใจไปมากกว่าการที่ผมไม่มีคุณอยู่ข้างๆ

ช่วยกลับมาเถอะนะ....



#CloverBad






“มึงทำไรน่ะ”

“เสือก”

“เห้ยแบดจังอะ มึงคิดว่าตัวเองเป็นขันเหรอชริตเป็ด”

“เออ กูอะขันสอง รู้ไว้ซะ”

“มีแค่ขันเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่ละ นี่มีขันสองอีกเหรอวะ”

“เลิกบ่นแล้วขับรถไปได้แล้ว” ผมสั่งคนน่ารำคาญให้ทำหน้าที่เป็นสารถีต่อไป เนี่ยะ ทำมาเป็นสะเหล่ออยากรู้เรื่องชาวบ้านเขา ไม่ยุ่งสักเรื่องเหมือนจะตาย

ไอ้เวรต้นไม้

ผมเลิกสนใจเฌอแล้วกลับมามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏข้อความในทวิตเตอร์ของใครคนนึงซึ่งเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เขาใช้ชื่อแอคว่า @KhH22_luc ผมตามเขามาหลายปีแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังป่วยหนักๆ โควทและรูปถ่ายในทวิตของเขามันเป็นแรงจูงใจในการอยู่ต่อของผมน่ะครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความเหมือน.....นั่นแหละ

ละไว้ในฐานที่ผมเข้าใจคนเดียวดีกว่า

บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเจ้าของทวิต @KhH22_luc เท่าไหร่นัก เขาเป็นประเภททวิตอะไรเอาไว้แล้วสักพักก็จะมาลบออก เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี แต่หลายประโยคหลายข้อความเลยนะที่ผมแคปเก็บเอาไว้ ประมาณ 2 ปีมานี้มันจะมีข้อความทวิตที่เขาติดแฮชแท็กว่า #CloverBad ส่วนมากข้อความที่ติดแฮชแท็กอันนี้ เขาจะไม่ลบออก ส่วนพวกประโยคที่เขาทวิตมันก็จะเกี่ยวกับความรัก

ผมรู้สึกได้แบบนั้นนะ

ช่วงแรกๆ มันก็หวานๆ นะ มีพักหลังมาที่มีความขมมาปะปน ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกเศร้า ผมก็รู้สึกไปกับเขาด้วยนะ อาจเพราะผมติดตามเขามานานล่ะมั้ง เอาจริงๆ ทวิตที่ผมใช้ฟอลโล่ว์เขาเป็นทวิตอันเก่าครับ ซึ่งปัจจุบันมันคือแอคหลุมของผมเอง ส่วนแอค @Charitpedd นี่ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและทุกวันนี้คือรำคาญเฌอที่แม่งชอบมาวอแวผมในทวิตด้วย

“นี่มึงคิดออกยังว่าถ้าเจอหน้าน้องหอมแล้วจะทำไง”

“ก็ไม่ทำไงเพราะคิดว่าไม่จะเจอ”

“ไอ้แช่มมมม” คนข้างๆ ทำเป็นตาโตใส่ “มึงอย่าใจร้ายกับน้องหอมสิวะ”

“ถ้ากูเจอน้องนะ กูน่าจะใจร้ายกว่าที่เป็นอยู่นี่อีก”

“มันจะ 3 วันแล้วนะที่น้องจมอยู่กับความรู้สึกดาวน์ๆ อะ”

“แล้วมึงคิดว่าน้องจมอยู่คนเดียวรึไง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่น้องหรอก มันอยู่ที่กูเนี่ยะ กูกลัวว่าตัวเองจะไประเบิดลงใส่เขา กูไม่อยากให้เราทะเลาะกันป้ะวะ”

“มึงคิดว่าเงียบแบบนี้แล้วมันจะดีเหรอวะ ยังไม่ทันได้คุยกันเลยก็คิดไปยันโน่นแล้ว ถ้ามีปัญหาแล้วรีบเคลียร์กันมันไม่ดีกว่าเหรอแช่ม”

“ที่มึงพูดก็ถูก”

“กูพูดอะไรก็ถูกเสมอแหละ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ผม นี่ก็เป็นอีกครั้งที่คำพูดของมันทำให้ผมคิดอะไรได้

จริงอยู่ที่เฌอบอก เวลาคนเราทะเลาะหรือมีปัญหากันก็ควรรีบปรับความเข้าใจ ไม่งั้นอะไรๆ มันจะคาราคาซังกันไปเรื่อย มันไม่ดีหรอกที่คนสองคนไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน นี่ก็เกือบ 3 วันแล้วนะที่ผมมาใช้ชีวิตอยู่นครปฐมเพราะอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่อีเวลาตรงนั้นก็มีไอ้เพื่อนเวรนี่เข้ามาอยู่ด้วย มันไม่ได้แย่หรอกอย่างน้อยการมีอยู่ของเฌอก็ทำให้ผมมีสติ ไม่ได้ฟุ้งซ่านมากเหมือนกับทุกๆ ครั้ง

ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อยก็เถอะ

ตัวมันเองบอกว่ามันเพิ่งเลิกกับแฟนที่เพิ่งคบกันเมื่ออาทิตย์ก่อน มันก็เศร้าแต่พอมันเห็นว่าผมเศร้ากว่าก็เลยทำตัวติ๊งต๊องเพื่อคอยปลอบใจผม ผมคิดมาตลอดเลยนะว่าทำไมคนแบบเฌอถึงไม่เคยเจอใครที่คิดจริงจังกับมันเลยสักคน ผู้หญิงพวกนั้นเขาไม่ชอบผู้ชายที่ดูแลเทคแคร์เอาใจใส่งั้นเหรอ เฌอมันเป็นประเภทถ้าแฟนเรียกหามันก็จะไปทันทีเลยนะครับถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะอยู่กับเพื่อนก็เถอะ

มันยกให้แฟนทุกคนเป็นที่หนึ่งเสมอ

แต่เหมือนเวลาผ่านไปสักพักก็กลายเป็นว่าเพื่อนผมเป็นฝ่ายโดนทิ้งตลอด มันไม่เคยบอกเลิกใครก่อน ไม่เคยทำตัวเย็นชาใส่ มันเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายมาก เป็นยังไงก็คงเป็นอย่างนั้น เวลาไม่เคยทำให้เฌอเปลี่ยนไปได้เลย ถ้าผมเป็นผู้หญิงแล้วผมมีแฟนเป็นมัน ผมก็คงรักตายป้ะวะ เนี่ยะ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจเหตุผลที่มันโดนบอกเลิกจริงๆ เอ๊ะ หรือว่าเพราะมันจัดจ้านไม่พอวะ

ไม่เด็ดพออย่างงี้

“เฌอ”

“หืม....”

“ทำไมถึงเลิกกับแฟนอะ”

“ก็เขาบอกกับกูว่ามันไม่ใช่ความรักอะ มึงเชื่อป้ะว่ากูได้ยินเหตุผลนี้มาประมาณแสนแปดรอบได้จากคนที่ทิ้งกูไป”

“ลองเปลี่ยนแนวมาคบผู้ชายบ้างไหม อาจจะเวิร์ค”

“กูชอบผู้หญิง” มันหยิบเยลลี่เข้าปากในจังหวะที่รถติดไฟแดง “ต่อให้กูอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่เป็นเกย์แต่กูก็ไม่ได้รู้สึกชอบผู้ชายขึ้นมานะ”

“แล้วมึงคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสชอบผู้ชายได้บ้างไหมวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ถ้าสมมุติว่าวันไหนที่ใจเต้นแรงเพราะผู้ชายคนนึง มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ เอาจริงๆ พอขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ไม่ได้โดนกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องเพศมาป้ะวะ กูอะมองว่าเราจะรักใครก็ได้ถ้าใจเราอยากจะรัก ไม่จำเป็นต้องสนด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อันนี้คือกูเป็นไบเซ็กชวลรึเปล่า”

“ก็อาจจะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าเฌอ “กูทำแบบเนี้ยะ ใจมึงเต้นแรงบ้างป้ะ”

“ไม่ แต่ดูขนที่แขนกูด้วย ลุกหมดละไอ้สัส เอาหน้าออกไปเลย” มือเรียวดันหน้าผมออกก่อนจะลูบแขนตัวเอง ใช้ซี้ กับเพื่อนนี่ทำเป็นขนลุก

ผมหันไปสนใจวิวข้างทางแทน อีกสักพักเราก็จะถึงกรุงเทพฯ แล้วล่ะ เดี๋ยวต้องแวะไปรับคุณเฉลิมด้วย ผมเอาเขาไปฝากไว้ที่คลินิกประจำ ป่านนี้เจ้าอ้วนนั่นน่าจะคิดถึงผมแย่แล้ว ผมกับคุณเฉลิมนี่ก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีนะ ยังจำสมัยเขาเป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งเกิดอยู่ในสวนปาล์มของลุงเชตได้เลย เอาจริงๆ ผมไม่ได้อยากเลี้ยงนกแต่ใครอีกคนเขาอยากน่ะครับ คุณเฉลิมก็เลยมาอยู่ที่บ้านเรา แล้วพอมาถึงวันที่เหลือผมแค่คนเดียว หน้าที่ในการดูแลเขาก็เลยตกมาอยู่กับผม

คุณเฉลิมคือหนึ่งในความทรงจำดีดีที่ผมมี

เดี๋ยวต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่กับการรักษาแล้วก็ต้องไปสารภาพบาปกับหมอด้วยว่าตบะแตกกินเหล้าไปแล้วเรียบร้อย ไม่ได้กินยามา 3 วันด้วยเพราะลืมเอามาไงล่ะ กลับไปนี่ต้องทำอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะเนี่ยะ อาทิตย์หน้าผมต้องไปรับใบส่งตัวฝึกงานแล้วเอาไปยื่นที่สถานประกอบการอีก อาจจะมีสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวผมต้องทำ Portfolio ด้วย

มันต้องออกมาเหมือนเด็กประถมฯ ทำแน่เลยว่ะ

ช่างมัน พักเรื่องงานไว้ก่อน ผมกะว่าจะงีบสักพัก ตื่นมาก็น่าจะถึงพอดี ปล่อยให้เฌอมันเวิ่นเว้อของมันไปคนเดียวพอ เดี๋ยวต้องไลน์ไปด่าไอ้ขันด้วยเพราะว่ามันแพล่มอะไรเต็มไลน์ของผมก็ไม่รู้ ไอ้ฉายก็ด้วย รายนั้นก็ไดเร็คฯ ไอจีมาไม่หยุด ส่วนทะเลเพื่อนรักคือโทรจิกเป็นไก่เลย แต่อันนี้ผมแก้ปัญหาด้วยการบล็อกเบอร์มันไปละ เรื่องนี้น่าจะเป็นผมที่โดนด่า

แต่เดี๋ยวถ้ามันด่าปากผมจะเตะปากมันเอง

“ทำหน้าชั่วทำไมวะ”

เฌอนะเฌอ

“ขับรถเงียบๆ ไปไอ้เวร”



***



“ค่าขับรถสามพัน”

“รถกูด้วยนะรู้สึก” ผมเหลือบมองมัน “ขอบใจที่ไปพากูกลับมา”

“เออ ต่อให้มึงไปไกลยันพม่า กูจะเป็นคนลากมึงกลับมาเอง”

“เออ เจอกันตอนเย็นละกัน”

“โอเค”

ผมลงมาจากรถก่อนจะเดินขึ้นหอตัวเอง ทันทีที่เดินมาจนถึงหน้าห้องก็พบกับร่างโปร่งยืนรออยู่ตรงนั้น สีหน้าเขาดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาก็บวมจากการร้องไห้ ผมไม่ค่อยได้เห็นน้องหอมในสภาพนี้เท่าไหร่ ครั้งล่าสุดก็คงเป็นหลายเดือนก่อนที่เราทะเลาะกันหนักๆ ผมไม่ชอบนะที่เห็นเขาเป็นแบบนี้เพราะยังไงผมว่าเขาเหมาะกับการเป็นคนที่ยิ้มหวานๆ แล้วก็ดูสดใสมากกว่า

เดี๋ยวขอเก๊กขรึมก่อนนะ

“พี่แช่ม” น้องหอมเดินเข้ามาหาผม “พี่หายไปไหนมา หอมติดต่อพี่ไม่ได้เลย หอมเป็นห่วงนะ”

“....พี่สบายดี ไม่ได้เป็นอะไร”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว”

“อืม” ผมหยิบกุญแจห้องก่อนจะไขที่กลอนประตู รับรู้ได้ถึงแรงดึงตรงชายเสื้อ พอเป็นแบบนั้นผมจึงดึงข้อมือน้องหอมให้เข้ามาด้วยกันในห้อง

“หอมขอโทษ”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่หอมปล่อยให้บวรเข้ามาในห้องแล้วก็โดนมันกอด”

ผมหันหน้าไปเผชิญกับน้อง “รู้ป้ะว่าพี่โกรธมากแค่ไหน”

“รู้ หอมรู้สึกผิดที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ หอมผิดเองที่ใจแข็งกับบวรไม่มากพอ แต่หอมบอกบวรไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรและก็จะไม่มีวันคิด หอมจะไม่ให้บวรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตหอมอีก พี่อย่าโกรธหอมเลยนะพี่แช่ม”

ผมมองคนตรงหน้าที่พยายามอธิบายให้ผมฟังทั้งๆ ที่น้ำตาคลอเบ้า น้องหอมน่าจะกลัวคำตอบของผมนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าเขากำลังทำหน้าตาน่าเอ็นดูขนาดไหน สีหน้าแบบนี้ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นะครับบอกเลย

น่ารักชะมัด

“ทำไมถึงโดนมันกอด”

“ตอนนั้นหอมกำลังอ่านแผนงานเรื่องค่ายอบรมที่มันทำให้ แล้วมันมากอด หอมพยายามดิ้นแล้วแต่มันดิ้นไม่ออก จากนั้นพี่แช่มก็มาพอดี”

“มันได้พูดอะไรรึเปล่า”

“มันก็บอกว่าเป็นมันไม่ได้เหรอ แล้วก็พูดถึง.....” น้องชะงักไปก่อนจะหลบตาผม “เรื่องที่หอมไม่ได้สำคัญมากที่สุดสำหรับพี่”

ไอ้เชี่ยเบย์นี่ชักจะเหิมเกริมใหญ่

มันเอาอะไรมาตัดสินว่าน้องหอมไม่สำคัญสำหรับผมวะ โอเค ส่วนนึงอาจจะมาจากการกระทำของผมเองที่ยังไม่มีชื่อเรียกสถานะที่ชัดเจนกับน้องหอม แต่การกระทำทุกอย่างมันก็ชัดแล้วไหมวะ แม่งเอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด และด้วยความที่มันเป็นรุ่นน้องในสาขาอีก ผมจะทำอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่อง เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมจะปล่อยให้จบไป ถ้าน้องหอมบอกว่าคุยกับมันแล้วก็โอเค แต่ถ้าหลังจากนี้มันยังมายุ่งอีกผมจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่

งัดหน้าให้

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า น้องหอมคนแบดกายของผมกลายเป็นเด็กขี้แยไปแล้ว เห็นแบบนี้จะไม่ใจอ่อนยอมให้มันก็จะดูใจร้ายไปน่ะนะ อีกอย่างน้องก็อธิบายให้ผมฟังหมดทุกอย่างแล้ว เรื่องที่อยากรู้ผมก็ได้รู้แล้ว ไม่มีอะไรติดใจทั้งนั้น น้องหอมไม่ค่อยทำให้ผมโกรธหรอกครับถ้าเทียบกับที่ผมทำให้เขาโกรธ และทุกครั้งตัวน้องเองก็จะให้อภัยผมเสมอ ผมเองก็คงต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน

ผมรักเขานี่ครับ

“มากอด” หลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป ร่างโปร่งก็โผเข้ามากอดผมแน่น แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหนอีก

“หายโกรธแล้วนะ”

“ไม่หาย”

เจ้าตัวผละออกก่อนจะมองหน้าผม “ทำไมยังไม่หายล่ะ”

“ง้อสิ” ผมทำแก้มป่องให้น้องดู ขนาดนี้ก็ต้องรู้แล้วนะว่าควรทำยังไง

“พี่น่ะขี้โกง”

“ถ้าไม่อยากให้หายโกรธก็ไม่ต้อง....”

ฟอดดดด

“ดีกันนะ” น้องหอมยื่นนิ้วก้อยมาทางผม “เราจะไม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องของบวรอีก”

“....อื้ม” ผมเลื่อนนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับน้องก่อนจะยกมือลูบหัวเขา

เรื่องของความสัมพันธ์มันไม่ง่ายเลยนะครับ อาจเป็นที่ตัวผมด้วยนั่นแหละที่ดันไม่เหมือนคนอื่นเขา ผมกลัวว่าสักวันจะเสียน้องหอมไปมากๆ ผมเคยแย่มาแล้วครั้งนึง ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก อยากจะหายจากโรคที่เป็นอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน แล้วจนกว่าจะถึงวันที่ผมหาย คนตรงหน้านี้เขาจะยังอยู่กับผมรึเปล่า แต่ผมก็อยากจะรักษาเขาเอาไว้ให้ดีที่สุด

อย่างน้อยก็ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้

ผมรั้งเอวน้องหอมเข้ามาชิดก่อนจะเอนตัวลงบนเตียง เจ้าตัวขยับเข้ามาซุกที่อกผม ดวงตาคมสีดำมองผมอยู่อย่างนั้น คิดถึงนะครับช่วงที่ไม่เจอกันเกือบ 3 วันน่ะ มันเป็นความคิดถึงที่ยังกลับมาหาไม่ได้ด้วยไงเพราะสภาวะอารมณ์ยังไม่สงบพอ ผมดีใจนะที่น้องหอมบอกว่าคุยกับไอ้เบย์ไปแล้วว่าจะไม่เลือกมัน หวังว่ามันจะตาสว่างแล้วก็ตัดใจจากน้องหอมได้สักที ทรมานจะตายห่าถ้ายังดันทุรังให้กับสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้

เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก

“ตอนที่พี่บอกหอมว่าอย่ามายุ่ง หอมนึกว่าเรื่องของเรามันจะจบแล้ว”

“ตอนนั้นพี่โกรธมาก และถ้าพี่ยังอยู่ตรงนั้นทั้งๆ แบบนั้น พี่ว่ามันอาจจะจบจริงๆ แบบที่น้องหอมคิด ไม่ใช่เพราะน้องหอมด้วย น่าจะเพราะพี่”

“ก็เลยเลือกที่หายไป 3 วันน่ะเหรอ”

“ใช่ ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยพี่ก็ใจเย็นขึ้น”

“แต่หอมรู้สึกผิดมาก” น้องบอกก่อนจะเบะปาก “แล้วก็คิดถึงพี่มากเลยด้วย”

ผมหลุดยิ้มออกมา “ขนาดนั้นเชียว”

“ขนาดนั้นเลยแหละ แล้วเนี่ยะ พอไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มันก็พาลให้กินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ดูหน้าหอมพี่ก็น่าจะรู้แล้วมั้ง”

“งั้นเย็นนี้ไปกินชาบูกันไหมล่ะ พี่นัดเฌอไว้”

“ไป” น้องหอมกอดผมแน่นกว่าเดิม “อย่าหายไปไหนอีกนะพี่แช่ม หอมเองก็จะไม่ให้พี่หายไปไหนอีกแล้ว”

“....จ่ะ” ผมลูบหัวน้องเบาๆ “นอนเถอะนะ เดี๋ยวพี่ปลุกเอง”

“อื้มมมม”

ผมไม่รู้ว่าระหว่างเราหลังนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแต่สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำไว้ยังไงก็คงต้องเป็นไปตามนั้น ผมกะว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยตื่นไปกินชาบู มื้อนี้เฌอเลี้ยงครับเนื่องในโอกาสที่มันอยากกินและไม่ยอมมีใครไปกินกับมันเพราะเพื่อนอีกสามคนติดเมียกันหมด ผมยังไม่มีเมียไงก็เลยไปกินได้ น้องหอมก็ไม่มีเมียเพราะงั้นก็ไปได้เหมือนกัน แต่ผมว่าทั้งชีวิตนี้น้องหอมไม่น่ามีเมียหรอก เพราะว่าในวันนึงเขาจะเป็นเมียผมไงครับ

ถ้าถึงวันนั้นไวไวก็ดีสิน่า

“อื้ออ.อ.อ....พี่แช่ม”

ละเมอถึงผมด้วยว่ะ....น่ารักจริงๆ

“พี่อยู่นี่แล้วครับ”



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]


------------ 50% -----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทที่ 8 ----------



“สามชั้นของกู”

“มึงเขียนชื่อติดไว้เหรอ”

“ทำไมมึงเป็นคนเชี่ยแบบนี้อะ”

“แล้วมึงจะทำไมห้ะ”

“เดี๋ยวกูจะเอาตะเกียบตีมึง”

“ก็มาดิไอ้สัส”

ข้าวหอมมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้กันนะ

ผมนั่งเคี้ยวเบคอนอย่างสบายใจพลางมองสองเพื่อนรักที่กำลังมีปากเสียงกันเพราะหมูสามชั้น คือในหม้อน่ะหมูสามชั้นเยอะมาก แต่มันจะต้องมาคีบชิ้นเดียวกันแล้วก็มานั่งทะเลาะกัน เหมือนเด็กเลยทั้งพี่แช่มทั้งพี่เฌอ เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่หมูสามชั้นนะที่ทำให้เขาตีกัน มันเริ่มตั้งแต่กุ้ง ปลาหมึกกรอบ ตับ ผัดกาด แครอท คือมันเยอะมากเลยอะ ผมนั่งมาตรงนี้สักพักแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะแย่งของกินกันทำไม

ในหม้อนั่นก็ตั้งเยอะ

“อะนี่พี่แช่ม หอมเอาชิ้นใหม่ให้” ผมคีบหมูสามชั้นใส่ในถ้วยเขา จะได้เลิกแย่งกับพี่เฌอสักที

“แต่ชิ้นนั้นมันของพี่นะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะเบะปาก

“ให้พี่เฌอเขาไปเถอะ ในหม้อมีตั้งเยอะน่ะเห็นไหม”

“เออ ในหม้อมีตั้งเยอะ ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยพลางยัดหมูสามชั้นเข้าปาก ร้อนบ้างไหมน่ะ ไม่คิดจะเป่าสักนิดเลยเหรอพี่

“แดกไปเงียบๆ เลยนะมึงก่อนที่จะไม่ได้แดก”

“ทำเป็นโหด” พี่เฌอเบ้ปากก่อนจะแลบลิ้นใส่รัวๆ “แบล่บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

“กวนส้นตีนไอ้สัส” พี่แช่มหันมามองทางผม “อยากกินกุ้งไหมน้องหอม เดี๋ยวพี่แกะให้”

ผมพยักหน้ารับ “เอาเยอะๆ ”

“ต้องมีค่าแกะด้วยนะ”

“งั้นไม่ต้องให้มันแกะหรอกน้องหอม เดี๋ยวพี่แกะให้ แกะฟรีด้วย”

“ไอ้เวรเฌอ เดี๋ยวเถอะมึง” พี่แช่มแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรัก พวกพี่นี่มันจริงๆ เลยน้า

ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้

ผมนั่งมองพี่แช่มพลางอมยิ้ม ดีใจจังที่เขาไม่โกรธมากจนถึงขั้นอยากจบเรื่องระหว่างเรา มันดีนะครับที่ทุกอย่างดูกลับมาเป็นปกติ เราเหมือนคนที่ไม่ได้ทะเลาะกันมาก่อนเลย เขายังคงปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ช่วงที่คนขี้เมาหายไปผมจิตใจห่อเหี่ยวมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นห่วงเขามากๆ เพราะว่าไม่มีใครติดต่อได้ ยังดีว่าพี่เฌอตามหาเขาจนเจอ ไม่งั้นผมต้องประสาทเสียแน่ๆ

ผมแอบติดจีพีเอสไว้ที่รถพี่แช่มดีไหมนะ

ค่อนข้างน่าสนใจ

เก็บแผนนี้เอาไว้ในใจก่อน จากวันที่มีเรื่องกัน บวรก็ได้หายออกไปจากชีวิตผมเลยครับซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าอยู่กันแบบดีดีไม่ได้ สู้ไม่ต้องมีเรื่องมายุ่งเกี่ยวกันเลยดีกว่า เรื่องงานผมจะฝากข้าวก้องจัดการให้ มันคงเข้าใจอยู่แล้วแหละ ผมไม่อยากมีปัญหาแบบนี้อีก สิ่งที่ผมพูดออกไปมันก็แรงอยู่นะและผมคิดว่าบวรควรล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมดซะเพราะว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรในสายตาของผมเลยสักนิด

ต่างคนต่างอยู่มันดีที่สุดแล้ว

อีกอย่างคือบวรทำให้ผมรู้สึกแย่มากกับการที่เขาพูดถึงชะเอมขึ้นมา ผมตั้งใจว่าจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วรอให้พี่แช่มเป็นคนพูดถึงมันเอง แล้วเนี่ยะ พอเป็นแบบนี้ผมก็เอามันออกจากหัวไม่ได้เลย ผมไม่อยากคิดมากนะแต่ต้องยอมรับว่าบางครั้งมันอดคิดไม่ได้จริงๆ 3 วันมานี้ผมก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าชะเอมจะสำคัญกับพี่แช่มมากขนาดไหน มากกว่าผมที่อยู่ข้างเขาตอนนี้เลยเหรอ

อา....ฟุ้งซ่านจัง

ใจนึงผมก็อยากจะถามเขาอีกครั้งนะเรื่องชะเอมแต่ผมกลัวว่าเราจะทะเลาะกันอีก พี่แช่มเขาคงไม่บอกในตอนนี้อะ พอเป็นแบบนี้แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากช่างแม่งวะ เฮ้อ....พอๆ เลิกคิด กินกุ้งต่อดีกว่า เมื่อเย็นตอนที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดพี่แช่มมันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ผมแอบจับชายเสื้อเขาเอาไว้ด้วยเพราะไม่อยากให้เขาไปไหน

เหมือนเด็กเลยอะ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“คืนนี้หอมไปนอนกับพี่ได้ไหม”

“ตามใจสิ” เจ้าตัวมองผมพลางยิ้มหวาน “ทำไมเรา คิดถึงพี่ขนาดนั้นเชียว”

ผมพยักหน้ารัวๆ “ก็พี่หายไปตั้งหลายวัน”

“พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง” พี่แช่มคีบหมูสามชั้นก่อนจ่อมาที่ปากผม พอเห็นแบบนั้นผมก็รับมันเข้าปากทันที

“กลับมาก็ดีแล้ว” ผมเอียงหัวพิงไหล่เขา รับรู้ได้ถึงแรงกดดันทางสายตาจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลยว่ะ

“เหม็นความรักจังเลยน้า” พี่เฌอเอ่ยพลางเท้าคางแล้วเอียงหัวมองทางพวกเรา

ร่างสูงทำหน้าเหี้ยมใส่ “มึงก็ไม่ต้องหายใจสิ”

“ไอ้เชี่ยแช่ม”

“แบล่บๆ ๆ ๆ ๆ ”

พวกพี่นี่น้า

ครืดดดด....ดดด

ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงก้อง”

(มา....รับหน่อยดิ)

“มึงเมาเหรอ”

(ไม่รู้....ว่ะ)

“แล้วนี่อยู่ไหน”

(ไม่....รู้เหมือนกัน)

“ถ้าไม่รู้แล้วกูจะไปรับได้ไงล่ะไอ้เวร” ผมโวยใส่มัน ไอ้บ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว อยู่ดีดีก็โทรมาให้ไปรับ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เนี่ยะ ก่อนจะติดจีพีเอสไว้ที่พี่แช่ม ผมควรติดที่ข้าวก้องก่อน

(โอเค)

“โอเคอะไรของมึงห้ะไอ้ก้องงงง ฮัลโหลลลล” ผมมองหน้าจอที่ตัดสายไปแล้ว เอาล่ะงานหยาบแล้วทีนี้ ผมจะไปตามหาซากฝาแฝดของผมได้ที่ไหนวะ สภาพมันน่าจะอยู่ร้านเหล้าแต่ไม่รู้ว่าอยู่ร้านไหนนี่สิ

ข้าวก้องแม่ง....

เรื่องนี้กูบอกแม่แน่



[บันทึกพิเศษ : บวร]



หลายวันมานี้มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่จริงๆ

แต่อาจจะไม่แย่เท่าวันนี้ก็ได้

ผมยืนมองร่างโปร่งที่ฟุบอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ แวบแรกที่เห็นเขาผมนึกว่าพี่หอมครับ แต่พอตั้งสติแล้วดูดีดีได้รู้ว่าคนตรงหน้าคือพี่ก้อง วันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นแต่คงเป็นเพราะการเซ็ตผมมันก็เลยทำให้ผมยังแยกเขาออกอยู่ พี่ก้องพี่หอมเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันมาก ถ้าสมมุติว่าวันไหนที่พี่ก้องไม่เซ็ตผมแล้วไม่สวมแว่น ผมคงคิดว่าเขาเป็นพี่หอมอย่างสนิทใจเลย

ก็เคยคิดแบบนี้มาแล้วน่ะนะ

สภาพของคนตรงหน้าคือเมาจัดเลยครับ ผมไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่ผับนี้เลยเพราะว่ามันไกลจากมหา’ลัยเราเอามากๆ ผับนี้เป็นของครอบครัวผมเอง เพราะแบบนั้นผมถึงสะเหล่อเข้ามาอยู่ในนี้ได้ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะที่เด็กอายุ 18 จะมาอยู่ในผับแต่บางครั้งผมก็มาช่วยเฮียไบรท์ทำบัญชี เฮียของผมเนี่ยะคือพี่ชายที่จะพูดว่าแสนดีก็พูดไม่ได้เต็มปาก จะบอกว่าชั่วมากก็ไม่ได้มากขนาดนั้นอะ

เป็นคนแปลกๆ ด้วยเอาจริงๆ

ช่างเฮียผมไปก่อน ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงพี่ก้องดี เหมือนว่าเขาจะมาที่นี่คนเดียวนะเพราะผมไม่เห็นเพื่อนๆ เขาเลย กับพี่หอมผมก็ไม่เห็น แต่ถ้าพี่หอมมาผมก็คงต้องเป็นฝ่ายเอาตัวเองไปไว้ที่อื่นซะมั้ง ทำเรื่องแย่ไปขนาดนั้น ผมอยากขอโทษเขานะแต่แค่หน้าผมเขายังไม่อยากเห็นเลย นี่ไม่รู้ว่าพี่แช่มจะมาตามไล่กระทืบผมรึเปล่า นี่คือผลของการทำอะไรแล้วไม่คิดให้ดีสินะเบย์

แย่ชะมัด

ผมคิดมาตลอดว่าจะมีหวังในตัวพี่หอมแต่ดูเหมือนผมจะทำลายทุกอย่างลงไปด้วยมือของตัวเอง หลังจากนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำใจ พี่หอมเป็นคนพูดเองด้วยว่าต่อให้เขากับพี่แช่มไม่ได้รักกัน เขาก็จะไม่มีวันเลือกผม ประโยคเดียวมันเป็นคำตอบของสิ่งที่ผมพยายามมาตลอด เสียใจนะครับที่อะไรๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง เอาจริงๆ ผมเสียใจตั้งแต่ที่เขาจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลยทั้งๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกันบ่อยๆ

คิดแล้วเศร้าใจจัง

ผมนั่งลงข้างคนที่ฟุบอยู่ก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็เฟลนะ ตอนนั้นที่เราเริ่มสนิทกัน อยู่ดีดีพี่หอมก็หายไปจากชีวิตผม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วพอหลายปีผ่านมาที่ผมเข้ามหา’ลัย ผมก็มีโอกาสมาได้เจอเขา แต่เขาจำผมไม่ได้ ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เขาทำเหมือนไม่เคยเจอผมมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกผมรู้แค่ว่าเขาชื่อข้าว เพราะเจ้าตัวบอกไว้แบบนั้น อาจเพราะเขาคิดว่าชื่อตัวเองคล้ายผู้หญิงก็ได้มั้งถึงได้เลือกที่จะบอกว่าชื่อข้าว

“พี่ก้อง” ผมเขย่าตัวเขาเบาๆ “ได้ยินผมไหม”

“อื้มม.ม.ม....” เสียงงึมงำดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ามามองผม “....หน้าเหมือนเบย์เลย”

ก็เบย์ไงครับ

“พี่เมามากแล้วนะ อยากกลับไหม เดี๋ยวผมไปส่ง”

“อื้ออ.อ.อ....ไม่มี”

ผมเลิกคิ้วมองเขา “ไม่มีอะไรครับ”

“กุญ....แจห้อง”

“งั้นไปห้องผมแล้วกันนะครับ พี่สร่างเมื่อไหร่ค่อยกลับ” ผมบอกเขา ใจนึงก็อยากจะแบกกลับไปให้พี่หอมอยู่หรอกแต่มันอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ที่ผมไปเจอหน้าเขาตอนนี้

คิดแบบนั้นนะ

ผมประคองร่างโปร่งขึ้นมาก่อนจะพาเขาเดินมาจนถึงลานจอดรถ ดีที่คนเมายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ผมนึกถึงไอ้เนยเลย รายนั้นนี่ถ้าเมาคือไม่มีใครประคองเดินได้ทั้งนั้น ต้องหามไม่ก็ลากมาตามพื้นอย่างเดียว มีเพื่อนเมาแล้วเรื้อนมันเหมือนเป็นเวรกรรมของชีวิตเลยอะ ผมจัดแจงยัดพี่ก้องใส่รถก่อนจะคาดเบลท์ให้เขาเสร็จสรรพ พี่จะเป็นอะไรก็ได้แต่ขอแค่อย่าอ้วกใส่ลูกผมเป็นพอนะครับ

รักรถยิ่งชีพก็พูดได้

ผมขับรถออกจากผับก่อนจะมุ่งหน้ามาที่คอนโดฯ ของตัวเอง เหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้แค่ตอนนั้นคนที่เมาเป็นผม ช่างเถอะ เรื่องที่ว้าวุ่นในใจนี่ต้องพักไว้ก่อนเพราะผมมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำนั่นก็คือการแบกพี่ก้องลงจากรถแล้วพาขึ้นไปบนห้อง พอคิดได้แบบนั้นผมก็จัดการพาคนขี้เมาออกมาจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในตัวตึกทันที ห้องของผมอยู่ชั้นบนสุดเลยครับ แต่ความรู้สึกผมคือยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโดดเดี่ยวมากเท่านั้นนะ

มันคงดีถ้ามีใครสักคนอยู่กับเรา

ใช้เวลาไม่นานลิฟต์ก็พามาจนถึงชั้นบนสุด ผมพาพี่ก้องไปยังห้องของตัวเอง ปกติแล้วผมไม่ค่อยให้ใครได้เข้ามาในนี้นะแม้กระทั่งเพื่อนๆ แต่นี่มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เข้ามา ถึงแม้ว่าความทรงจำเมื่ออาทิตย์ก่อนมันจะเลือนลางแต่ผมคิดว่าตัวเองจำไม่ผิดนะ อย่างน้อยมันก็มีสิ่งนึงที่ยืนยันในเรื่องระหว่างเราที่เกิดขึ้น

จูบที่เป็นกลิ่นบุหรี่มาร์โบโร่ อาร์กติก แบล็ก

มันเป็นบุหรี่ของพี่ก้อง

ผมวางร่างโปร่งไว้บนเตียงก่อนจะเดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูมาเพื่อที่จะเช็ดตัวให้เขา แก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นเหมือนวันนั้นไม่มีผิด อาจต่างกันเพราะสาเหตุ วันนี้มันแดงเพราะว่าเขาเมาแต่วันนั้นมันก็อีกเรื่อง ย้อนกลับไปนึกก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ผมดันคิดว่าเขาคือพี่หอม ผมขอให้เขามาส่งแล้วผมก็ล่วงเกินเขาไป พี่ก้องไม่ขัดขืนเลยครับถึงแม้ว่าปากผมจะเรียกแต่ชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่เขาก็ตาม

ถ้าผมเป็นพี่ก้อง....ผมคงเกลียดคนที่ชื่อบวรมาก

คืนนั้นสำหรับผมมันคือความสุขเลยนะ แต่ตื่นมาก็ไม่เจอใครมีแค่รอยยับเยินบนเตียงที่เป็นสิ่งยืนยันว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ฝันหรือเพ้อไปเอง ตอนนั้นก็คิดดีใจว่าพี่หอมเป็นของผมแล้ว แต่พอมาได้เจอพี่ก้องวันที่ประชุมคณะกรรมการฯ ผมถึงได้รู้ว่าคืนนั้นคนที่อยู่กับผมมันไม่ใช่พี่หอมแต่เป็นพี่ก้อง เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่เราทำกันถึงขนาดนั้น

ผมยังจำได้อยู่เลยว่าสัมผัสนั้นมันหอมหวานมากแค่ไหน

“อื้อออ.อ.อ....” คนเมาส่งเสียงประท้วงออกมา “จะนอน”

“พี่ก็นอนไปสิครับ” ผมบอกพลางเช็ดตัวเขาไปเรื่อยๆ

“อื้อออ.อ..อ....”

“อื้ออะไรนักหนาล่ะหืม....” ผมเกลี่ยแก้มใสเบาๆ พี่ก้องลืมตามองก่อนจะงับเข้าที่มือผม นี่พี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกแมวเหรอครับ

เดี๋ยวเถอะนะ

“นอนซะนะครับ” ผมใช้อีกมือลูบหัวเขาเบาๆ ร่างโปร่งยอมอ้าปากเพื่อปล่อยมือผมแล้วหลับตาลงตามเดิม ผมว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ผมเอากะละมังกับผ้าขนหนูไปเก็บก่อนจะเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆ พี่ก้อง คนที่หลับอยู่ขยับตัวเข้ามาซุกที่สีข้างผม พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยลูบหัวเขาไปเรื่อยๆ ผมชอบสีหน้าของเขาในตอนนี้นะ ปกติแล้วพี่ก้องเขาเป็นคนประเภทหน้าตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ต่อให้เขาหน้าเหมือนพี่หอมแต่เขาก็ดูเข้าถึงยากกว่า ดูสุขุม บางครั้งสายตานี้ก็แสดงออกมาแต่ความเย็นชา

ผมมักจะได้รับมันทุกครั้งเลยล่ะ

ไม่รู้ว่าถ้าพี่ก้องตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมเขาจะทำท่าทียังไง เจ้าตัวก็น่าจะโกรธผมเรื่องพี่หอมอยู่ไม่น้อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เขายังไม่ตื่นนี่นะ จะว่าไปนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เขาได้มาอยู่บนเตียงของผม พอคิดได้แบบนั้นผมก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ข้างหัวเตียงมาก่อนจะกดเข้าไปที่กล้องเพื่อที่จะถ่ายรูปเขา โอกาสที่จะได้หน้าแบบนี้มีไม่บ่อย อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้

แชะ แชะ แชะ

หลังจากได้รูปพี่ก้องจนพอใจผมก็กดเข้าไปในทวิตเตอร์ ข้อความแรกที่อยู่หน้าฟีดเป็นของพี่แช่มครับ จากข้อความทวิตนั่นมันก็บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับพี่หอมคงกลับมาเป็นปกติแล้ว เห็นแบบนี้ก็เศร้าเหมือนกันเนอะ ผมคิดหลายรอบมากว่าจะอันฟอลโล่ว์เขาดีไหม เอาจริงๆ เหตุผลของการติดตามนี่คือเพื่อเอาไว้เสือกเรื่องเขากับพี่หอมล้วนๆ ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเล่นทวิตเตอร์แบบจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ

เล่นเพราะเสือกเลยครับ

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงก่อนจะเอนตัวนอนลงข้างๆ พี่ก้อง ร่างโปร่งขยับเข้ามากอดก่อนจะซุกหน้าไว้กับอกผม เขาคงเป็นพวกติดหมอนข้างหรือไม่ก็ชอบซุกอะไรอุ่นๆ แน่เลย ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพลางมองใบหน้าใสอยู่อย่างนั้น ตอนนี้พี่แช่มกำลังมีความสุขกับพี่หอมอยู่ ส่วนผมก็คงได้แต่ปลอบใจตัวเอง ตัดความรู้สึกที่มีมาหลายปีให้ขาดแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ทำเหมือนเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

ผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้นะเพราะว่า.....พี่ก้องเขาก็ทำได้เหมือนกัน

“เรื่องทุกอย่าง....มันไม่เคยเกิดขึ้น”





Charit @Charitpedd

ผมอยากให้เรื่องของเรามีแค่ผมกับคุณแบบนี้....ตลอดไป



#พี่แช่มได้กล่าวไว้












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะคะ ก็ทั้งสองคนเขาก็เคลียร์กันไปแล้วเรียบร้อยเนอะเรื่องบวร แต่เหมือนว่าฝั่งบวรอาจจะมีเรื่องต้องเคลียร์กับพี่ก้องต่อ จะเป็นยังไงก็รอติดตามนะคะ

ชาลต้องขออนุญาตพักกการลงนิยายสักระยะนึง อาจจะ 2 อาทิตย์เพราะว่าต้องปิดต้นฉบับไดอารี่ของสมปองให้เสร็จนะคะ ทั้งแก้คำผิดและก็แต่งตอนพิเศษ ต้องรีบหน่อยเพราะจะส่งน้องไปพิจารณากับสนพ. ก็สำหรับใครที่อ่านหยัมปองก็เอาใจช่วยน้องด้วยนะคะ แล้วเดี๋ยวถ้าจัดการส่วนนั้นเสร็จแล้วชาลจะกลับบมาลงนิยายตามปกติค่ะ รบกวนบี๋ช่วยรอกันอย่างใจเย็นเนอะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอายล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบบ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปัญหาเข้าหากันทุกคู่เลยแฮะ  :hao4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด