พิมพ์หน้านี้ - [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chaleeisis ที่ 21-10-2018 20:25:44

หัวข้อ: [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-10-2018 20:25:44
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************


"แด่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันชัดเจนของผม"


------------------------------


Fear

ผมกลัว....กลัวความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากความรักเหมือนกับที่เคยเสียมันมาก่อน
ผมกลัวตัวเองทนไม่ไหวถ้าวันนึงต้องเสียเขาไป ผมเลยทำได้แค่รั้งเขาไว้ให้อยู่ข้างกายและไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ผมคิดว่าตัวเองจะควบคุมความรู้สึกตัวเองได้แต่ไม่เลย และที่แย่ที่สุดคือสิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้น
ผมกำลัง....จะเสียเขาไป

 
--------------------------------




LoveWriteProject : Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#จริงจังหรือแค่ขำๆ #แช่มหอม
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 1 : 21/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-10-2018 20:29:12
บทที่ 1 คนขี้เมา



Charit @Charitpedd

ผมอยากมีคุณอยู่ข้างๆ นะ

แต่ผมกลัวจะรักษาคุณเอาไว้ไม่ได้



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






ก็คิดซะแบบเนี้ยะ

มันถึงได้อยู่กับที่แบบนี้ไง

ผมวางโทรศัพท์หลังจากที่เห็นข้อความในทวิตเตอร์ของใครบางคนที่ผมคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะนั่งเมาอยู่ที่ไหนสักที่ มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปกติแล้วผมมักจะเป็นคนยอมอยู่เสมอแต่กับครั้งนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรยอมอีกต่อไป เขาน่ะงี่เง่า และก็งี่เง่าแบบนี้มาตลอด มันแปลกที่ผมเองทนมาได้ตั้งนาน

เพราะรักอย่างนั้นเหรอ

ก็อาจจะใช่

ผมย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่หน้ากระจก เงาสะท้อนของคนในนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขเอาซะเลยอาจเป็นเพราะมีงานต้องรับผิดชอบเยอะแล้วก็ต้องต่อกรกับคนงี่เง่าล่ะมั้ง เขาจะรู้ไหมนะว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมวุ่นวายใจขนาดนี้ คิดไปคิดมาผมอยากจะลองเอามีดคว้านอกเขาแล้วควักหัวใจออกมาดูว่ามันเป็นสีแดงหรือสีดำกันแน่

โหดจังเลยล่ะข้าวหอม

ผมชื่อ 'ข้าวหอม' เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาโยธาปี 3 ได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะว้ากเกอร์ของคณะวิศวะฯ ในปีนี้ด้วย ผมผ่านการเข้าประชุมเชียร์กับน้องๆ ประมาณ 3 ครั้งแล้วแต่ยังไม่รู้สึกชินสักนิดเดียว มันยากมากที่ต้องปั้นหน้านิ่งๆ ใส่เด็กๆ ที่ไม่รู้ว่ามันแกล้งทำตาใสใส่เรารึเปล่า ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้เพราะผมก็เคยทำตอนปี 1 ไงล่ะ

ร้ายกาจเนอะ

คนที่ดูจะทรมานใจที่สุดก็น่าจะเป็นขุนศึกเพื่อนรักที่เป็นเฮดว้ากนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนที่ผมมองว่าใจดีนะกับพวกรุ่นน้องอะ แต่พอต้องมาปั้นหน้านิ่งใส่น้องๆ ปี 1 ก็คงหนักหนาอยู่ไม่น้อยเลย พวกผมมีพวกพี่ขันเทรนด์ให้นะก่อนที่จะเป็นพี่ว้ากน่ะ กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ปวดประสาทอยู่พอตัวเลย เฮ้อ....เมื่อไหร่จะรับน้องวะ

เทอมหน้าโน่น

กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องอดทนไปก่อนน่ะเนอะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตูห้องก็พบกับคนที่หน้าเหมือนผมอย่างกับแกะ ยิ่งไม่ใส่แว่นแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองจริงๆ นั่นแหละ “ว่าไงเจ้าน้องรัก”

“ถ้ามึงจำไม่ผิดคือหมอหยิบกูออกมาจากท้องแม่ก่อน” ข้าวก้องบอกก่อนจะเดินเข้ามาในห้องผมพร้อมกับยืนยันเหตุการณ์ตอนที่เกิด ใจคอคือจะไม่ยอมเป็นน้องจริงๆ สินะ

“ฝาแฝดน่ะ พี่คือคนที่เสียสละให้น้องออกไปก่อน อย่าลืมสิ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ

“กูออกมาก่อน คือจบ เลิกเถียงเรื่องนี้สักที”

“เอาแต่ใจ”

“นั่นมันมึงแล้วแหละ แล้วเนี่ยะ ทำไมไม่เช็ดหัว เดี๋ยวก็ป่วย มานั่งนี่เลย” จอมเผด็จการสั่งผมเสียงแข็ง ข้าวก้องก็ยังคงเป็นข้าวก้องคนเดิมที่สั่งเก่งมาตั้งแต่สมัยเตรียมอนุบาล

เอาแต่ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมหยิบผ้าขนหนูส่งให้ก่อนจะนั่งลงกับพื้น “เบาๆ นะ โอ๊ยยยย เหมือนแกล้งอะ”

“เปล่าสักหน่อย อ่านหนังสือยัง มะรืนมีควิซนะ” เจ้าตัวถามก่อนจะลงมือเช็ดผมให้

“อ่านบ้างแล้วแหละ เดี๋ยวจะอ่านอีกทีพรุ่งนี้ เออเราประชุมเชียร์น้องอีกทีเมื่อไหร่นะ”

“อาทิตย์หน้าโน่น อาทิตย์นี้มีแต่สันทนาการ แวะไปดูน้องไหม”

“ดูความว่างก่อนละกัน งานเยอะมึงก็เห็น”

“นั่นสินะ” ผมมองข้าวก้องผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง คนที่หน้าเหมือนผมยิ้มบางๆ ให้ ใบหน้านี้ถ้าคนอื่นได้เห็นคงต้องมีการหลงรักกันบ้างแหละ แต่จะว่าไปมันก็น่าหน้าเหมือนผมป้ะวะ

ผมกับข้าวก้องมีความต่างกันไม่มากเท่าไหร่นะ ใบหน้าเราเหมือนกันมาก เหมือนกันจนน้องของผมเลือกที่หาแว่นมาสวมเอาไว้เพื่อที่จะให้คนอื่นแยกเราสองคนได้ แว่นที่ข้าวก้องสวมไม่ใช่แว่นสายตาแต่เป็นแว่นแฟชั่นเลนส์ธรรมดาทั่วไป น้อยคนที่จะรู้นะครับ คนส่วนมากก็คิดว่ามันสายตาสั้น และเจ้าตัวก็ไม่ได้แก้ข่าวด้วยนะปล่อยให้ชาวบ้านเขาคิดไปแบบนั้นนั่นแหละ ส่วนเรื่องความสูงก็ต่างกันนิดเดียว ผมสูง 180 เซ็นฯ ส่วนข้าวก้องจะสูง 182 เซ็นฯ

การเล่นบาสฯ สมัยมัธยมฯ นี่ช่วยพวกเราได้จริงๆ

ตั้งแต่เปิดเทอมมาแล้วต้องรับผิดชอบหน้าที่โน่นนี่ผมก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย แต่เดี๋ยวต้องหาเวลาดูแลตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย พักหลังมานี้ผมประสาทแดกบ่อย สุขภาพจิตก็ย่ำแย่อยู่ละ ผมจะทำให้สุขภาพกายแย่ตามไม่ได้ ความจริงผมไม่ควรจะมานั่งเก็บเรื่องบ้าบอมาคิดด้วยซ้ำ แต่คงเพราะมันเป็นเรื่องพี่แช่มมั้งผมก็เลยปล่อยมันออกจากหัวไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนขี้เมาแบบนั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อชีวิตผมนัก

เพราะสร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกนี่ป้ะวะ

ผมยกมือขึ้นลูบจี้ใบโคลเวอร์ที่แขวนอยู่ข้างเกียร์ของตัวเอง มันเป็นจี้ที่พี่แช่มให้ผมมาตั้งแต่ตอนปี 1 แล้วครับ เรื่องของเรามันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ผมเข้ามาเรียนที่นี่ วันนั้นเป็นวันที่ผมโชคร้ายมากๆ ในหลายๆ เรื่อง วันนั้นนาฬิกาปลุกไม่ดังผมเลยตื่นสายมาก ตอนที่ไปถึงมหา’ลัยผมก็ลืมของเอาไว้ก็เลยต้องกลับมาเอาที่หอแล้วก็ให้ข้าวก้องไปเรียนก่อน แล้วแบตฯ โทรศัพท์ก็หมด ผมติดต่อใครไม่ได้ ตารางห้องเรียนก็อยู่ในโทรศัพท์

มันเป็นวันที่แย่จริงๆ นั่นแหละ

แต่วันแย่ๆ นั่นมันก็เป็นวันที่ทำให้ผมได้เจอกับใครคนนึง เขาเป็นคนพาผมไปที่ห้องเรียนถึงแม้ว่าเขาเองก็กำลังจะสายเหมือนกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เราดันเรียนสาขาเดียวกันพอดีและเย็นวันนั้นเราก็พบกันอีกครั้งตอนที่รุ่นพี่ปี 2 นัดรวมสันทนาการ คนที่ช่วยผมไว้เขาเป็นหนึ่งในทีมสันฯ มองจากภายนอกเขาดูเป็นคนขี้เล่นและใจดีกับน้องๆ ทุกคน

‘แช่ม’ คือชื่อของเขาครับ

ผมจำได้ว่าวันที่เราเจอกันครั้งแรก ตอนที่กำลังจะเลิกกิจกรรม พี่แช่มมาทักผมก่อนจะให้ใบโคลเวอร์สี่แฉกซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาไปเอามันมาจากไหน ผมรู้แค่ว่าใบโคลเวอร์สี่แฉกมันหายากมากและเขาก็บอกผมว่าฝากให้ผมเก็บไว้ให้เขาหน่อย ถ้าเขาอยากได้มันคืนวันไหน เขาจะบอกผมเอง จากวันนั้นก็ 2 ปีกว่าแล้วครับที่ใบโคลเวอร์แห้งๆ นั่นอยู่กับผม มันถูกไว้อย่างดีในกล่องสมบัติในตู้ของผม

เกือบโดนข้าวก้องเอาทิ้งรอบนึงเพราะคิดว่าเป็นขยะ

ดีนะที่วันนั้นผมกลับมาทันน่ะ

“เสร็จละ” คนที่เช็ดหัวให้ผมลุกเอาผ้าขนหนูไปตาก “เออหอม แล้วนี่ไม่คุยกับพี่แช่มหรอ”

“ยังอะ ทะเลาะกันนิดหน่อยเมื่อเย็น”

“ทะเลาะกันอีกแล้วหรอ”

“อืม เรื่องไร้สาระเหมือนเดิม โน่น งอนกูจนหนีไปกินเหล้าโน่น น่าตีชะมัด” ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะดึงตุ๊กตานกฮูกมากอดไว้ ไม่ต้องถามว่าคนซื้อมาคือใคร เพราะตอนนี้คนๆ นั้นคงเทาหัวทิ่มโต๊ะไปละ

คิดแล้วน่าหงุดหงิด

“เหนื่อยบ้างป้ะวะ ทะเลาะกันทุกวันแบบนี้”

“ก็มีบ้างแหละ หลายๆ อย่างมันขัดแย้งกันอยู่ในหัวว่ะก้อง บางทีก็รู้สึกว่าอยากจะพอแต่ว่าบางทีก็คิดว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เราจะต้องตัดใจจากกัน แค่กูยอมอ่อนให้ก็ไม่น่าเป็นไร แต่มันก็มีความคิดที่ว่า....”

“ทำไมกูต้องยอมอ่อนให้ ใช่ไหมล่ะ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “อืม เอาจริงๆ กูก็รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มที่จะต้องการมากขึ้น ไม่รู้ว่ะ คนเราถ้ารักกันแล้วอยากจะเป็นเจ้าของกันและกันมันไม่แปลกป้ะวะ”

“กูไม่เข้าใจความรักหรอก เพราะกูไม่มี” เจ้าตัวเอ่ยบอกผมก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง “ความรู้สึกที่ทำให้ใจเรารู้สึกแปลกๆ นั่น กูยังไม่อยากรู้จักมันตอนนี้หรอก” ว่าแล้วมันก็เดินออกจากห้องไปทันที

“อะไรของมันวะ” ผมมองประตูที่เจ้าน้องชายเดินออกไปอย่างงงๆ ช่างแม่งเถอะ อย่าไปสับสนกับเรื่องของคนอื่นทั้งๆ ที่เรายังสับสนเรื่องของตัวเองจะดีกว่า

ไม่งั้นคงบ้าตาย

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าทวิตเตอร์ ผมชอบเล่นทวิตเตอร์มากเลยนะครับ เล่นมานานหลายปีแล้วด้วย มีแอคเคาท์อยู่ 2 แอคเคาท์ แอคฯ ของผมไม่ได้เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนนะว่าผมเป็นใคร ส่วนมากผมก็จะเวิ่นเว้อผ่านทวิตฯ อยู่บ่อยๆ คิดโควทคำพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาของคนชอบเพ้อเจ้อ เมื่อสมัยมัธยมฯ ผมมักจะถ่ายรูปสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวแล้วก็คิดโควทเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง

คิดแล้วตลกอยู่เหมือนกัน

ผมเป็นคนที่ทวิตฯ บ่อยแล้วก็ลบค่อนข้างบ่อย ข้อความเก่าๆ พอผ่านไปได้สักพักนึงผมก็ลบทิ้งแล้ว ข้าวก้องเคยถามว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม ผมก็เลยให้คำตอบไปว่าผมแค่อยากทำเฉยๆ มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายในการลบข้อความเก่าๆ ออก ผมไม่สนใจว่าจะมียอดรีทวิตเยอะมากเท่าไหร่ ผมสบายใจที่จะลบผมก็ลบ

เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ไปเลย

เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ทวิตเตอร์ของผมมีข้อความไม่เยอะสักเท่าไหร่ทั้งๆ ที่เล่นมานาน อันนี้ส่วนของทวิตเตอร์หลักนะครับ ส่วนอีกแอคเคาท์นึงเป็นแอคเคาท์หลุมของผมที่สร้างขึ้นมาเพื่อไว้ฟอลโลว์คนขี้เมาโดยเฉพาะ พี่แช่มเองก็เล่นทวิตเตอร์เหมือนกัน แอคเคาท์ของเขาคือ @Charitpedd รายนั้นก็จะบ่นอะไรไปเรื่อย ส่วนมากก็คงเป็นเรื่องของเรานี่แหละ ผมว่าพี่แช่มไม่รู้นะว่าผมเล่นทวิตเตอร์เพราะว่าผมไม่เคยบอกเขา

เราไม่เคยยุ่งโทรศัพท์ของกันและกันด้วยนะครับ

เพราะแบบนั้นเขาก็ไม่น่าจะรู้นะว่าผมก็เล่นทวิตเตอร์ ดีละ ถ้าเขารู้เขาคงไม่เวิ่นเว้อผ่านทวิตเตอร์แน่ๆ เพราะกลัวผมรู้ หลายข้อความที่เขาทวิตลง ผมอยากจะจับเจ้าตัวมานั่งทุบๆ ๆ ๆ ซะจริงๆ ตัดพ้อเก่ง เก่งกว่าใครในโลกก็ชริตนี่แหละ แล้วอาการนี้คือเป็นมานานจนผมคิดว่าเขาไม่น่าจะหายได้ง่ายๆ เนี่ยะ พอคิดแบบนี้แล้วมันคันไม้คันมืออยากหยิกให้ตัวเขียวจริงๆ เลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาตอนนี้อีกวะ

ผมลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปเปิดประตู ร่างสูงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ายืนอยู่ด้านหน้าพร้อมกับถุงน้ำเต้าหู้ใบเตยที่เจ้าตัวชอบซื้อมาฝากผมอยู่เป็นประจำ ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมา

“ดี....กันนะน้องหอม” มือเรียวยื่นถุงน้ำเต้าหู้มาให้ “นะจ๊ะ”

อ๋อ ซื้อมาง้อ

“รู้แล้วหรอว่าตัวเองคือคนผิดน่ะ” ผมทำหน้านิ่งใส่ เอาคืนซะบ้าง เขาไม่รู้หรอกว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านมาผมปวดประสาทมากแค่ไหน

“รู้ มา ตลอด นั่น แหละ จ่ะ” เขาเลื่อนมือมาจับมือผม “พี่ ขออออ โทษษษษ นะ”

อาการแบบนี้นี่เมาสุด

“พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดอะ” ผมหยิบถุงน้ำเต้าหู้ในมือเขามาก่อนจะเอามาวางไว้บนโต๊ะ คนขี้เมายังคงยืนพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้น คงกำลังจะตั้งสติล่ะมั้ง ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเมามาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสภาพแบบนี้จะมาถึงหอผมได้

สมควรนอนตายอยู่ข้างทางอะเอาจริงๆ

“น้องหอม”

“หืม....”

“พี่ว่า.....พี่เมา มากเลย” เจ้าตัวเอ่ยเสียงยานๆ สภาพนี่น่าอนาถใจมาก ดีนะที่พรุ่งนี้เขาไม่มีเรียนน่ะ ขืนถ้ามีเรียนแล้วสติเป็นขนาดนี้นี่คงแย่มาก

“ใครดูก็รู้ว่าพี่เมามาก แล้วนี่จะเอายังไง กลับหอไหวรึเปล่าหรือจะนอนที่นี่”

“ต้องกลับ....ไปนอน....กับคุณเฉลิม” พี่แช่มส่ายหัวตั้งสติ “แต่มันมึนอะ พี่เห็นน้องหอมสองคนแล้ว ตอนนี้”

“พี่นี่มันบ๊องจริงๆ เลย” ผมหยิบน้ำเต้าหู้ไปแช่ไว้ในตู้เย็นก่อนจะหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์แล้วมาหยุดอยู่หน้าพี่แช่ม “เอากุญแจรถมา”

มือเรียวส่งกุญแจรถให้ผม “นี่จ่ะ จะเอารถพี่....ไป...ไหนอะ”

“ไปส่งพี่นั่นแหละ”

“ดูแลด้วยป้ะ”

“อืม” ผมประคองคนขี้เมาเอาไว้ “ก็ทำแบบนี้มาตลอดไม่ใช่รึไง”

“หึ....ขอบคุณ....นะครับ” เขาเอ่ยบอกผมเบาๆ มันจะเป็นการขอบคุณมากกว่านี้ถ้าพี่ออกแรงเดินให้ตรงน่ะนะพี่แช่ม เดินเซไปมาแบบนี้คงได้กลิ้งลงไปทับกันตายอยู่ตรงบันไดนี่แหละดูทรงละ

เฮ้อ....เพลียใจจริงๆ เลยว่ะ





หอ B3

ผมแบกพี่แช่มเข้ามาในห้องก่อนจะเอาร่างของคนขี้เมาไปทิ้งไว้บนเตียง โอ่ย ปวดหลังเลยทีเดียว นี่ดีนะว่าเป็นสายซัพพอร์ตเก็บซากเพื่อนบ่อยอยู่แล้ว แต่การแบกคนที่ตัวใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ผมกับพี่แช่มสูงห่างกันไม่มากนะแต่เขาก็ตัวหนากว่าผมออยู่พอสมควร แล้วแก๊งค์ปลาทองของเขานี่คือตัวประมาณนี้กันหมดเลย มีพี่เฌอที่รูปร่างพอๆ กันกับผม ส่วนพวกที่เหลือก็ยักษ์ทั้งนั้น

ตอนเด็กๆ กินอะไรเข้าไปอะถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้

ผมเดินไปหยิบกะละมังพร้อมกับผ้าขนหนูมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พี่แช่มสะลึมสะลือมาก สติคงหลุดไปไกลแล้วล่ะ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่อ้วกออกมา หรือถ้าจะอ้วกก็ขอให้มีสติพาตัวเองไปห้องน้ำได้ด้วยเถอะ ผมไม่ได้มีปัญหากับการต้องเช็ดอ้วกใครหรอกนะแต่ว่าไม่อยากให้คนขี้เมาถูกเจ้าของหอด่าเพราะทำเตียงเขาเลอะอ้วกก็เท่านั้นแหละ

เจ้าของหอนี้ปากจัดมากเลยนะครับ

พั่บบบบ

ผมหันมองหนึ่งในเจ้าของห้องที่โผขึ้นมาบนเตียง “ว่าไงคุณเฉลิม”

“.....” เจ้านกแสกตัวกลมเอียงคอมองผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ มันคงสงสัยล่ะมั้งว่าผมกำลังทำอะไร

“อยากเช็ดตัวให้พี่แช่มหรอหืม”

“.....” คุณเฉลิมโผกลับไปที่บ้านของตัวเองเหมือนเดิม อารมณ์เหมือนบินมาดูสภาพพี่แช่มว่าเป็นยังไง พอใจแล้วก็บินกลับอะไรทำนองนั้น อีกอย่างคงไม่อยากเกะกะผมที่จะเช็ดตัวให้คนขี้เมาด้วยล่ะมั้ง

ขอบอกเลยว่าคุณเฉลิมนี่เป็นขวัญใจของชาวบ้านมาก พี่แช่มเคยพานางไปมหา’ลัยด้วยครั้งนึงช่วงซ้อมกีฬาสีเมื่อปีก่อน คุณเฉลิมเป็นนกที่เชื่องมากเลยครับ นิ่งมากจนเหมือนตุ๊กตา ไม่ค่อยร้องเสียงดัง เลี้ยงง่าย บินไปมาอยู่ในห้องนี่แหละ วันไหนสัญชาตญาณนักล่าเข้าสิงก็จะไปจับหนูจากไหนไม่รู้มาอวดพี่แช่ม ตอนแรกผมไม่ค่อยชอบนกเท่าไหร่ แต่พอได้มาเจอคุณเฉลิมก็รู้สึกว่าตัวเองโอเคกับนกขึ้นเยอะเลย

นางน่ารักนี่นะ

หลังที่อวยคุณเฉลิมจนพอใจผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าของพี่แช่มออก จำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ได้เห็นร่างกายของผู้ชายคนนี้ผมใจเต้นมากอะ แต่สำหรับตอนนี้ก็พูดได้เลยว่าเฉยๆ เพราะเห็นบ่อยมาก ตำหนิบนตัวเขาผมจำได้แทบทุกรอย ไงล่ะ ช่างสังเกตป้ะ บนเนื้อบนตัวของเขาไม่มีใครรู้ดีไปกว่าผมอีกแล้ว ผมชอบผิวของพี่แช่มนะ มันเนียนแล้วก็น่าจับมากเลย ใครมันจะไปคิดว่าอีตาขี้เมานี่จะมีผิวที่น่าสัมผัสขนาดนี้วะ

ว่าแล้วก็ลูบให้ทั่วตัวซะเลย

ผมจัดแจงเช็ดตัวให้พี่แช่มไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เขา เปลี่ยนได้แค่ข้างนอกแหละครับ ส่วนชั้นในนี่ก็ต้องให้เจ้าตัวรวบรวมสติมาเปลี่ยนเอง ผมกับพี่แช่มยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเลย ขั้นที่....จะพูดยังไงดีวะ ผมว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันแปลกๆ มันเหมือนคนที่เป็นแฟนกันทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้คบกัน และผมก็ไม่รู้ว่าวันที่เราได้เป็นแฟนกันมันจะมาถึงเมื่อไหร่

มันแทบไม่มีจุดหมายเลย

เพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของกันแบบนี้ผมกับเขาเลยไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดหรือจับมือกัน หอมแก้มยังไม่เคยเลยนะครับ เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน เอาจริงๆ การกระทำหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ดูเสียหายหรอกแต่ว่าพี่แช่มเขาไม่ยอมทำน่ะ มันก็ดีนะที่เขาให้เกียรติผมในหลายๆ อย่าง แต่บางทีผมก็อยากมีโมเม้นท์ที่อยากมีร่วมกับเขาไง

ทุกอย่างมันคงเป็นได้แค่ความคิด

ผมเดินเอากะละมังไปเก็บก่อนจะหยิบบุหรี่แล้วไปยืนสูบอยู่ที่ระเบียง ถ้าเป็นเวลาปกติผมจะสูบบุหรี่ที่นี่ไม่ได้นะครับเพราะว่าพี่แช่มจะดุ เขาไม่ชอบให้ผมสูบบุหรี่ ตอนนี้ผมพยายามหาทางเลิกอยู่แต่มันยากว่ะ อยากจะฮึกเหิมแล้วก็ตัดใจเลิกได้เหมือนที่ไอ้ขุนทำเพื่อขนมบ้าง แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็สูบน้อยลงไปเยอะแล้วนะ ตกวันละไม่กี่มวนเอง เมื่อก่อนนี่วันละครึ่งซองโน่น

นับว่าเป็นจุดล่มจมของการเงินเลยล่ะ

ผมคิดว่าตัวเองจะเลิกบุหรี่ได้แน่ๆ มันก็แค่ต้องใช้เวลากับแรงจูงใจที่แรงกล้ามากขึ้นอีกนิดนึง เวลาที่พี่แช่มเห็นผมสูบบุหรี่เขาจะชอบบ่นว่าเดี๋ยวเวลาที่เขาจะจูบผม กลิ่นบุหรี่มันจะต้องทำให้ไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็ไม่เคยจูบผมเลยสักครั้ง เพราะแบบนี้แหละผมถึงตัดใจเลิกไม่ได้สักที บ่อยครั้งที่ผมคิดภาพของเราที่กำลังจูบกันและบ่อยครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าสัมผัสนั้นมันจะเป็นยังไง

มันจะดีรึเปล่า....ปากเขาจะนิ่มมากแค่ไหน

ก็คงได้แต่สงสัยน่ะนะ

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ว่าไง”

(พี่แช่มนี่ถึงหอพี่แบบปลอดภัยใช่ป้ะ)

“อืม แต่ตอนนี้กูพาเค้ามาที่หอเค้าละ นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ทำไมอะ เค้าไปกินเหล้ากับมึงหรอ”

(ใช่ อาการหนักเหมือนกันนะพี่ ปกติพี่แช่มเค้าจะเมาแล้วเวิ่นเว้อใช่ป้ะ แต่วันนี้เค้าเมาแล้วโคตรเงียบอะ นั่งเหม่ออยู่เป็นพักน่ะ หมีว่ามันโคตรผิดปกติเลย)

“ขนาดนั้นเลยหรอ”

(อื้ม เอาจริงๆ เท่าที่สังเกตได้นะ พักหลังมาพี่แช่มเค้าแปลกๆ ไป เรื่องนี้พี่หอมน่าจะรู้สึกได้เหมือนกันนะ)

“กูก็พอรู้อยู่ว่าเค้าแปลกๆ แต่ถึงถามไปเค้าก็ไม่บอกอยู่ดี กูก็เลยรอให้เค้าเล่าออกมาเองดีกว่า”

(แบบนั้นก็ดีนะพี่ หมีรู้ว่าพี่แช่มชอบงี่เง่าใส่ แต่ว่าช่วงนี้ก็ใจเย็นๆ กับเค้าหน่อยละกัน)

“กูน่ะใจเย็นสุดละหมี ถ้ากูใจร้อนนะ กูคงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วแหละ”

(นั่นสิน้า....อื้ออ.อ.อ...อะไรเนี่ยะพี่ขัน ยังอีก)

“งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวพี่ขันมาตามกระทืบกู”

(ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ พี่ก็พูดไป เห้ยยยยพี่ขันนนน)

“อะไรของมันวะ” ผมมองหน้าจอที่ถูกตัดสายไปแล้ว พี่ขันเขาคงเชือดไอ้หมีล่ะมั้งที่โทรคุยกับผู้ชายคนอื่น เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาคู่นี้ยังไงก็ไม่รู้

คิดดูสิ จากคนที่ไม่มีใครคิดว่าจะลงเอยกันได้ก็มาลงเอยกัน ถึงแม้ว่าระหว่างนั้นจะชอกช้ำพอสมควรแต่ทุกอย่างมันก็จบลงได้ด้วยดี แล้วดูอย่างคู่ของผมสิ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นนิยามของคำว่าอยู่ด้วยกันไปวันๆ มาก จุดหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะดีหรือร้าย ความสุขมันก็มีแหละ แต่ว่านะ....ผมเป็นคนโลภอะ มันแปลกเหรอที่เราจะต้องการมากขึ้น

เรา....รักกันหนิ

“เพ้อเจ้อจัง” ผมทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในแล้วนั่งลงข้างๆ คนที่หลับอยู่ มือเลื่อนไปเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออกเบาๆ หน้าตอนนอนนี่ไร้พิษสงสุดๆ ผิดกับตอนตื่นอย่างกับคนละคน

“.....ชะเอม”

ห้ะ

“พี่แช่ม” ผมมองคนที่เผลอละเมอออกมา “พี่ว่าไงนะ”

“.....พี่ขอโทษนะคะชะเอม....พี่ขอโทษ” เจ้าตัวเอ่ยออกมาโดยที่ตายังหลับอยู่แบบนั้น สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและในหัวก็ตั้งคำถามเต็มไปหมดว่าชะเอมเป็นใคร

พี่แช่มขอโทษเขาทำไม

ฟังจากการใช้คะแล้วด้วย ชะเอมคงเป็นผู้หญิงสินะ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้ออกจากปากพี่แช่มเลย นี่เป็นครั้งแรกและผมก็ไม่ชอบใจเอามากๆ เขาคือใครอะ แฟนเก่าเหรอวะ ถ้าใช่จริงๆ ผมจะโกรธมากเลยนะ

เมาแล้วเพ้อถึงแฟนเก่าเนี่ยะ

“ชะเอมคือใครห้ะพี่แช่ม” ผมคว้าหมอนตีคนที่หลับอยู่อย่างหงุดหงิด นอนเรียกชื่อคนอื่นทั้งๆ ที่ผมอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ มันจะมากไปเกินไปมั้ง

“....ชะเอม”

“ยังไม่หยุดอีก” ผมกดหมอนลงกับหน้าเขา เอาสิ เอาให้ตายไปเลย มันน่าเอามีดมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้เป็ดกินซะจริง หึ้ยยย.ย....อาการหัวร้อนนี้มันคืออะไรวะ

ผมเลื่อนหมอนออกก่อนจะตีคนที่หลับอยู่ไปอีกสองสามที อย่าบอกนะว่าที่ช่วงนี้เขาเปลี่ยนไปมันเป็นเพราะคนชื่อชะเอมน่ะ อาจจะใช่ ถ้าลองไปถามไอ้หมีมันจะรู้จักไหมวะ ต้องลองดู แต่ไม่แน่ว่าถ้าพี่แช่มตื่นขึ้นมาผมคงจับคอเขาเขย่าแล้วเค้นถามเอง ตอนนี้ใจผมรู้สึกไม่โอเคเลย มันน่าคิดมากอยู่นะ ถ้าสมมุติว่าชะเอมเป็นแฟนเก่าของพี่แช่มจริงๆ แล้วตอนนี้พี่แช่มยังไม่ลืมเขาก็แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มันไม่ไปไหนเลยนี่เป็นเพราะคนชื่อชะเอมงั้นเหรอ

แม่งต้องใช่แน่ๆ เลยว่ะ

ผมเขย่าตัวพี่แช่ม “ตื่นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ ต่อให้เมาก็ต้องตื่นนนน” ไม่งั้นผมต้องประสาทเสียอยู่คนเดียวแน่ๆ

“อื้ออ.อ.อ....” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น “....น้องหอม”

“......”

“....อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ” เจ้าของอ้อมกอดพึมพำเบาๆ ก่อนจะขยับหน้าเข้ามาซุกอกผม “.....นะครับ”

“ถ้าไม่รู้ว่าชะเอมเป็นใครก็ทิ้งแน่โว้ยยยย” ผมหยิกแก้มคนขี้เมาอย่างหมั่นไส้ก่อนจะนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เขากอดอยู่แบบนั้น

ทำไมหัวใจรู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล

ก็นะ....ผมเพิ่งได้ยินคนที่ตัวเองรักละเมอชื่อคนอื่นออกมาหนิ ผมไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขาละเมอออกมาคือใคร ไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันขนาดไหน ไม่รู้มาก่อนเลยตลอดเวลาเกือบ 2 ปี ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

รู้สึกแย่ชะมัด

ผมยกมือขึ้นลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ “พี่ทำให้หอมรู้สึกไม่ดีอีกแล้วนะพี่แช่ม พี่จะรับผิดชอบมันยังไงดีหืม....”

“.....”

“เมื่อไหร่พี่จะยืนยันเรื่องระหว่างเราสักที หอมรอพี่มาจะ 2 ปีแล้วนะ”

“.....”

“หอมต้องรอไปอีกนานแค่ไหนหรอพี่แช่ม”

“.....”

“ถ้าไม่อยากให้หอมหายไปขนาดนั้น” ผมกระซิบข้างหูเจ้าตัวเบาๆ “ทำไมไม่ผูกมัดหอมไว้ล่ะ”

“.....”

“หรือว่าที่พี่ไม่ทำแบบนั้นมันเป็นเพราะ.....พี่ไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก”

ก็อาจจะใช่

ไม่งั้นเขาจะคอยท่ามาทำไมนานขนาดนี้

ผมยิ้มบางๆ ให้เขาเหมือนกับทุกครั้ง เคยคิดตลอดนะว่าถ้าวันนึงความสัมพันธ์ของเรามันถึงจุดจบ ตอนนั้นสภาพของผมจะเป็นยังไงบ้าง เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนทำใจรออยู่ตลอด คิดๆ แล้วเหมือนตัวเองโง่เลยที่อยู่กับความไม่ชัดเจนมาได้นานขนาดนี้ ผมรักพี่แช่มมากกว่ารักตัวเองเยอะเลย แต่จะว่าไป....มันก็เป็นผมทั้งนั้นแหละที่เลือกทำแบบนี้เอง เพราะงั้นมันจะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง

“ทำไมถึงฟุ้งซ่านแบบนี้วะหอม” ผมกอดพี่แช่มไว้แน่นก่อนจะหลับตาลง มันอาจจะยากที่จะต้องข่มตาหลับแต่ยังไงมันก็ต้องหลับให้ได้ ไม่งั้นผมคงบ้าบอไปมากกว่านี้

พักผ่อนซะข้าวหอม


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 1 : 21/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-10-2018 20:32:19
---------- ต่อจากบท 1 ----------




“หื้มม.ม....กินดีดีสิ”

เสียงใครวะ

“อืมม.ม.....” ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันมองด้านข้างก็พบกับความว่างเปล่า แต่เสียงที่แว่วเข้ามาบ่งบอกว่าคนที่นอนข้างผมนั้นอยู่อีกฝั่งนึง

นางกำลังคุยกับนกครับ

“พอแล้วนะ กินเยอะเกินไปแล้ว ถ้าอ้วนแล้วจะบินไม่ไหวนะคุณเฉลิม” พี่แช่มบอกเจ้านกตัวกลมก่อนจะเอาถุงหนูแช่แข็งไปแช่ไว้ในตู้เย็นเหมือนเดิม คุณเฉลิมก็ยังคงเดินตามต้อยๆ เหมือนจะขออาหารอีก

น่าเอ็นดูซะจริง

“....พี่แช่ม”

“ตื่นแล้วหรอน้องหอม” เจ้าตัวหันมามองผมพร้อมกับยิ้มหวานให้ “พี่ซื้อโจ๊กมาให้ จะกินเลยไหม”

“กิน แต่เดี๋ยวหอมล้างหน้าก่อนละกัน” ว่าแล้วผมก็ลากสังขารตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ หอพี่แช่มจะมีของใช้ที่เป็นเฉพาะของผมอยู่ด้วยนะ เสื้อผ้าก็มีเหมือนกัน เรียกได้ว่าเบียดเต็มตู้แข่งกับของพี่แช่มเลยทีเดียว

วันนี้ดีว่าเป็นวันที่ผมกับพี่แช่มหยุดตรงกัน เรียกได้ว่าว่างทั้งวัน แต่ไม่รู้ว่าคนขี้เมาเขาจะมีธุระไปไหนรึเปล่า ช่วงนี้ยิ่งชอบเร่ร่อนไปโน่นไปนี่ซะด้วย ผมว่าเขาอาจจะอยากไปซึมซับสถานที่เก่าๆ ก่อนจะไม่ได้สัมผัสอีกนานล่ะมั้ง เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายที่เขาจะเรียนก่อนออกไปฝึกงานซึ่งพี่แช่มได้ฝึกงานที่จังหวัดระยองครับ มันก็ไม่ได้ไกลมากจากกรุงเทพฯ แต่ว่ามันก็ถือว่าไกลอยู่ดีน่ะนะ

เราต้องอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตรเลยล่ะ

ผมไม่รู้เลยว่าช่วงที่เราต้องห่างกันนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาจริงๆ ก่อนที่เขาจะไปฝึกงานนี่น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะความสัมพันธ์ของเรามันแปลกๆ มั้งครับ ยิ่งช่วงนี้ผมยิ่งรู้สึกได้เลยว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เข้ามาสั่นคลอน การกระทำของพี่แช่มมันทำให้ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ ยิ่งเรื่องที่เขาละเมอเรียกคนอื่นเมื่อคืนด้วยแล้ว อืมม.ม....คิดเรื่องนี้แล้วปวดหัวว่ะ

คนเราไม่ควรปวดหัวตั้งแต่ตื่นป้ะวะ

หลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าของห้องนั่งรอผมกินข้าวอยู่โดยมีคุณเฉลิมยืนอยู่ข้างๆ  เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว นี่ถ้าอยู่บ้านคือโดนแม่ตบแล้วนะนอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้

“เมื่อคืนน้องหอมแบกพี่กลับมาหอหรอ”

“ใช่” ผมรับคำก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา “ก็พี่บอกหอมว่าจะกลับมานอนกับคุณเฉลิม นี่จำอะไรไม่ได้เลยหรอ”

เจ้าตัวส่ายหน้าพลางยิ้มแห้ง “ไม่เลยจ่ะ รู้แค่ว่าเมาแล้วก็ไปซื้อน้ำเต้าหู้ ไปหาน้องหอมแล้วก็ภาพตัด”

“พี่นี่ขี้เมาจริงๆ นั่นแหละ” ผมตักโจ๊กใส่ปาก อื้มม.ม....อร่อยจริงๆ ถึงจะเย็นไปหน่อยก็เถอะ ที่โจ๊กเย็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะพี่แช่มออกไปซื้อมาสักพักแล้วแน่เลย

“อร่อยป่ะ พี่ตั้งใจไปซื้อมาให้เลยนะ”

“ไม่ปวดหัวอ๋อ ตอนแรกหอมนึกว่าพี่จะลุกไม่ไหวแล้ว เมาซะขนาดนั้น”

“พี่คือแช่มนะจ๊ะ เหล้าไม่เคยทำให้พี่ตาย”

“เมื่อกี้คือพูดเองว่าภาพตัด”

“มันก็ต้องมีบ้าง แต่ต่อให้พี่เมาขนาดไหน ถ้าตื่นมาพี่ก็ไหวนะ น้องหอมไม่ต้องเป็นห่วง” เขาบอกก่อนจะยิ้มแป้นให้ผม มือก็ตักโจ๊กกินไปเรื่อย

“เมื่อคืนพี่ละเมอด้วยนะพี่แช่ม”

“จริงหรอ....ละเมอว่าอะไรอะ”

“ละเมอถึงคนชื่อชะเอม”

เคร้ง


ผมมองคนตรงหน้าที่ทำช้อนร่วงทันทีที่ผมบอกแบบนั้น มือเรียวสั่นอย่างเห็นได้ชัด รับรู้ได้ถึงการหายใจที่แรงขึ้น พี่แช่มก้มมองชามโจ๊กอยู่อย่างนั้นไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา อาการทั้งหมดนี่ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจหนักกว่าเดิม คนชื่อชะเอมมีผลต่อพี่แช่มมากถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ

เขาเป็นใครกันแน่

“คือ....” เจ้าตัวเหลือบมองผม “คือว่าพี่”

“เค้าเป็นใครหรอพี่แช่ม”

“พี่.....” เขาเบือนหน้าหนีไปด้วยสีหน้าที่ลำบากใจจะเล่า และนั่นชักทำให้ผมหงุดหงิด ปกติแล้วพี่แช่มไม่เคยมีความลับกับผมนะ มีเรื่องอะไรก็มักจะเล่าให้เสมอ

แต่เหมือนเรื่องนี้จะไม่ใช่

“ไม่อยากบอกงั้นหรอ”

“ไม่ใช่ไม่อยาก” พี่แช่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่พี่ยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้น้องหอมฟังตอนนี้”

“คือ....หอมต้องรอใช่ไหม”

“ข้าวหอม”

“ไม่เป็นไร กินโจ๊กเหอะเนอะ” ผมยิ้มหวานให้เขาก่อนจะตักโจ๊กเข้าปากแล้วทำเหมือนไม่เป็นไรแต่ในใจคือเดือดผุดๆ มาก คนชื่อชะเอมคงสำคัญกับพี่แช่มมากจริงๆ

ก็คงมากกว่าผม

รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะ อยากจะกระชากคอแล้วถามแต่ดูจากอาการเขาคือถามไปก็ไม่รู้เรื่องแน่ๆ เพราะงั้นผมจะใจเย็นไว้ก่อน อาจจะต้องให้ใครช่วยสืบเรื่องนี้หน่อย ไม่เป็นไร ถ้าพี่แช่มไม่บอกเดี๋ยวผมให้ไอ้หมีตามสืบให้ก็ได้ เอาจริงๆ การรอให้เขาจะบอกว่าชะเอมเป็นใครมันก็อาจจะไม่นานเท่ากับการรอให้เรื่องของเรามันชัดเจนมากกว่านี้ก็ได้

ขยี้ตัวเองก็เป็นอะคนเรา

ผมกินโจ๊กจนหมดชามก่อนจะเดินเอาไปล้างที่ซิ้งค์ สักแปปนึงก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดจากด้านหลังกับปลายคางที่วางไว้บนไหล่ของผม เนี่ยะ ทำตัวน่าทุบแล้วก็ชอบมาอ้อนทีหลัง เป็นแบบนี้ประจำและก็เป็นผมที่ชอบพ่ายแพ้กับการกระทำนี้อยู่ตลอด

สงสัยต้องหัดทุบตัวเองบ้างแล้วล่ะ

“น้องหอม”

“หืม.....”

“พี่ขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ”

“หลายเรื่องเลย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ช่วยรอพี่หน่อยนะ ไว้ถึงเวลาพี่จะเล่าให้น้องหอมฟังทุกอย่าง”

ผมเหลือบมองเขา “อีกนานแค่ไหน”

“......”

ไม่มีคำตอบ

“หอมจะรอละกัน” ผมคว่ำจานก่อนจะจับมือพี่แช่มออกแล้วหันหน้าเข้าหาเขา “หอมรอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยมันจะเป็นไรไป”

“ก็มันเหมือนจะเป็น”

“งั้นพี่ก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้หอมได้รู้ว่าสิ่งที่รออยู่มันมีจุดหมาย.....ไม่ใช่แค่ให้มันผ่านไปวันๆ ” ผมยิ้มบางๆ ให้พี่แช่มก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนเตียงข้างๆ คุณเฉลิม

ร่างสูงยืนล้างจานต่อจากผม เชื่อได้เลยว่าในหัวเขามันคงสับสนอยู่ไม่มากก็น้อยเพราะสิ่งที่ผมพูด หวังนะว่ามันจะไปเตือนสติให้เขาทำอะไรสักอย่างจริงๆ ผมอดทนกับพี่แช่มมามาก นั่นก็เพราะว่าผมรักเขาและเขาก็ดีกับผมมาตลอด บอกแล้วว่าแค่ช่วงหลังๆ มานี้ที่เขาประสาทแดกและผมก็โลภมากขึ้น แต่ระหว่างเรามันก็ควรไปให้มันไกลมากกว่านี้จริงๆ แหละ

ความสัมพันธ์....ถ้าไม่เดินหน้ามันก็ต้องจบ

มันต้องสักทางที่ไม่ใช่การย่ำอยู่กับที่แบบนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดเข้าไปในทวิตเตอร์แล้วพิมพ์ข้อความเสียดแทงใจตัวเองเหมือนอย่างที่ชอบทำ หวังว่าวันนี้มันจะไม่หน่วงใจไปมากกว่านี้แล้วนะ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว

หวังให้เป็นแบบนั้นจริงๆ





Kh. @KhH22_luc

ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันเห็นจุดหมาย

.........จุดหมายที่ฉันไม่มีวันไปถึง :)



#CloverBad













TBC.

สวัสดีค่ะบี๋ชาลมาส่งพี่แช่มกับพี่หอมให้แล้วนะ ก็จะยังมีวันลงที่ไม่แน่นอนนะคะ แต่ว่าจะไม่ให้รอนานเกินไปแน่ๆ ก็โทนเรื่องปูมาแบบนี้ก็ชัดแล้วนะว่าจะพาไปสายปวดจิตปวดใจแน่นอน

ตอนแรกชาลกะว่าจะกลับมาลงนิยายในโปรเจ็กต์นี้อีกทีคือปีหน้าแต่เปลี่ยนใจมาลงก่อนเลย อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ที่ชาลเลือกเปิดนิยายวันนี้เพราะมันเป็นวันเกิดของชาลเอง อยากจะเริ่มต้นไปพร้อมกับตัวเองจริงๆ ก็เนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปรอติดตามนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 1 : 21/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-10-2018 06:50:08
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 2 : 26/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 26-10-2018 22:12:52
บทที่ 2 มารหัวใจ



Kh. @KhH22_luc

บางเรื่องที่เราคุยกัน เธออาจเห็นว่าไม่สำคัญ

แต่รู้ไหม....ฉันจำมันทุกคำเลยนะ



#CloverBad






จำได้ดีมากอีกต่างหาก

ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดใจ คืองี้ครับ เมื่อวานพี่แช่มบอกผมว่าวันนี้จะตื่นไปกินโจ๊กด้วยกันแล้วก็จะมาส่งที่มหา’ลัย แต่ไปๆ มาๆ คือนางไม่ตื่น ก็คือผิดนัดนั่นแหละ แล้วผมก็นอยด์แดกมาก รอเขาที่หอจนตัวเองสายด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเออเดี๋ยวก็มาแล้วรออีกแปปนึงเถอะ จนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา ผมต้องลากสังขารมามอด้วยความช้ำใจและคนที่ผิดนัดผมก็ทักไลน์มาบอกว่าเพิ่งตื่นตอน 10 โมงกว่า

มันน่าทุบป้ะล่ะ

ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว ผมว่าอีกสักพักพี่แช่มก็คงจะโผล่มาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดแน่ๆ รายนั้นมีเรียนตอนบ่ายครับ ส่วนผมก็จะไม่มีเรียนแล้วแต่ว่าวันนี้มีประชุมเชียร์น้องปี 1 ตอนเย็น ก็ต้องนั่งเปื่อยนอนเปื่อยรอเวลาล่ะนะ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมรู้สึกได้ว่าตัวเองหงุดหงิดง่ายมาก รับรู้ได้เลยว่าสภาวะอารมณ์แปรปรวนสุดๆ อาจเป็นเพราะมีเรื่องที่ยังคาใจอยู่ล่ะมั้ง

เรื่องของชะเอมน่ะ

ผมฝากให้ไอ้หมีตามสืบเรื่องนี้ให้แล้วแต่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ความเลย หมีบอกว่าคนชื่อชะเอมที่เรียนอยู่ที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่แช่มเลยสักคน เพราะงั้นชะเอมที่พี่แช่มพูดถึงอาจจะไม่ได้เรียนอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นจะเป็นงานยากมากที่จะตามสืบ คือถ้าอยากรู้เรื่องก็คงจะต้องต้อนถามกับพี่แช่มเอาเอง

คิดว่าเขาจะบอกง่ายๆ ไหมล่ะ

ไม่มีทางหรอก

“หน้าบึ้งเชียวนะมึง” สยามนั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะยื่นซองขนมมาให้ “เป็นไรวะ”

“หงุดหงิดว่ะ” ผมบอกพลางจกขนมกิน ตอนนี้เหมือนมีวิญญาณผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนเข้าสิงเลยอะ ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

โคตรงี่เง่า

“หงุดหงิดเรื่องพี่แช่มหรอ”

ผมเหลือบมองเพื่อนรัก “มึงรู้ได้ไง”

“ชีวิตมึงจะหงุดหงิดกี่เรื่องกันวะหอม” เสียงของแกงป่าดังแทรกเข้ามาก่อน ร่างสูงนั่งลงข้างผมก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะไหล่เบาๆ “เล่าให้พวกกูฟังได้นะ ได้ช่วยกันวางแผนชั่วเพื่อแก้ไขปัญหาไง”

“พวกมึงนี่นะ เออมึงกูขอถามอะไรหน่อยดิ”

“ว่ามา”

“ถ้าสมมุติว่าแฟนพวกมึงเมาแล้วเผลอละเมอเรียกชื่อคนอื่น มึงจะทำยังไงวะ”

“ตบให้สร่างสิครับรอไรล่ะ” เพื่อนแกงสวนทันควันพร้อมกับทำหน้าเหี้ยม “แล้วพอมันตื่นกูก็จะตบซ้ำอีกแล้วเค้นให้ได้ว่ามันละเมอชื่อใครออกมา”

สยามมองคนหัวแดงตาค้าง “มึงโหดจังวะแกง”

“เป็นมึงอะ ถ้าสมปองละเมอชื่อคนอื่นออกมามึงจะทำไง”

“กูจะปู้ยี้ปู้ยำน้องจนกว่ามันจะละเมอชื่อกูออกมาแทน”

“บ้ากามชิบหาย ในหัวนี่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องแบบนี้ไหมวะ” แกงป่าบอกก่อนจะเบ้ปากใส่คนกาม อะไรของพวกมึงวะเนี่ย อยู่ดีดีก็มาแขวะกันเองเฉย

ไอ้พวกบ้า

“ว่าแต่....มึงถามแบบนี้ทำไมวะหอม มึงอย่าบอกนะว่าพี่แช่มเค้า”

ผมพยักหน้ารับ “เค้าละเมอชื่อคนอื่นออกมาตอนที่หลับ กูลองถามเค้าแล้วนะว่าคนนั้นเป็นใครแต่ว่าเค้ายังไม่พร้อมที่จะเล่าให้กูฟัง ขอให้กูรอก่อน”

“เชี่ยยยย จึ้กว่ะ”

เออจึ้ก....จึ้กไปทั้งใจเลย

ก็เข้าใจอยู่แหละว่าคนเรามันก็ต้องมีละเมอกันบ้างมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่มันแบบ....เฮ้อ หงุดหงิดจังเลยน้า ปกติผมว่าตัวเองเป็นคนที่ใจเย็นกว่านี้มากเลยนะครับ แต่พักหลังมานี้รู้สึกว่าจะเดือดดาลได้ง่ายกว่าปกติ ข้าวก้องถึงกับทักเลยนะเพราะว่ามันส่งผลต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นไง ตอนนี้ผมก็พยายามอดทนแล้วบอกให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้ อย่าอารมณ์ร้อนให้มันมากนักเพราะมันไม่ดีต่อรอบข้าง

พูดเหมือนง่ายแต่ตอนทำน่ะยากเลยนะ

ผมยัดขนมเข้าปากพลางกวาดสายตาไปรอบๆ คนเยอะเหมือนกันนะโรงอาหารตอนกลางวันเนี่ยะ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของชาวแก๊งค์ปลาทองนะครับ ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือของผมก็ไม่รู้ว่าไปซื้อข้าวหรือว่าไปปลูกข้าวกันแน่

นานเกินไปแล้วนะ

“ข้าว” มือเรียวของน้องรักวางชามข้าวไว้ด้านหน้าผม “กินเยอะๆ จะได้โตๆ ”

“กูก็โตเท่ามึงแหละก้อง” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ซี๊ดด.ดด.....เผ็ดจังวะ นี่สั่งกะเพราเผ็ดน้อยนะ ทำไมถึงได้เผ็ดชิบหายแบบนี้ล่ะ

“เป็นไรวะ”

“กูเผ็ด ทำไมข้าวเผ็ดแบบนี้อะก้อง”

“อ๋อ ผิดจาน” ว่าแล้วเจ้าน้องตัวแสบก็สลับจานข้าวของผมกับของมัน โถ่ ไอ้น้องเวรนี่ เดี๋ยวไปซื้อน้ำก่อนเถอะแล้วจะกลับมาจัดการ

“อื้มมม....กูจะไปซื้อน้ำ ใครเอาอะไรไหม” ผมเอ่ยถามเหล่าสหาย

“ของกูน้ำเปล่า”

“กูเอาโกโก้”

“ชาเขียวละกัน”

“เอานมตราหมีที่เป็นรสมอลล์ใส่โอริโอ้ปั่นบอกเค้าว่าไม่ต้องหวานมาก ขอปั่นละเอียดหน่อยเพราะครั้งก่อนที่สั่งมาคือน้ำแข็งยังเป็นก้อนอยู่เลย แล้วก็เอาหลอดสีฟ้าด้วยนะ”

“สั่งแดกเองเลยไหมไอ้ก้อง” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มัน ใครมันจะไปจำเมนูยาวขนาดนั้นได้วะ แม่งคิดจะแกล้งผมชัดๆ

“ของกูเอา.....”

“มึงแดกน้ำเปล่าละกันชา ไม่ไหวแล้วกูเผ็ด” ผมตัดบทสนทนาก่อนจะรีบเดินไปที่ร้านน้ำทันที อือ.ออ.อ....แสบปากไปหมดแล้วเนี่ย

ผมหยิบปากกามาจดเมนูทั้งหมดใส่กระดาษก่อนจะส่งให้แม่ค้าทันที “ทำช็อกโก้บานาน่าก่อนเลยนะครับ”

“ได้จ่ะ” แม่ค้ารับคำก่อนจะเริ่มทำเมนูทั้งหมดให้ อดทนอีกนิดนะหอม เดี๋ยวก็หายเผ็ดแล้ว

“สวัสดีครับพี่ข้าวหอม” ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท ใบหน้าหล่อที่ดูมีเสน่ห์มากจนพวกเหล่าคณะกรรมการฯ คิดจะปลุกปั้นไอ้เด็กนี่ให้เป็นเดือนของวิศวะฯ ในปีนี้ให้ได้

ผมมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ดูดีจริงๆ นั่นแหละแถมยังสูงมากด้วย ตัวพอๆ กับพี่แช่มเลย ผิวก็ดี เท่าที่ได้ยินมาคือเรียนค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ โปรไฟล์โดยรวมคือเพอร์เฟ็คเลยแหละ เพราะงั้นก็เลยได้เป็นตัวเต็งของการคัดเลือกเดือนคณะ แต่สำหรับผมแล้วถ้าให้พูดถึงข้อเสียของเด็กนี่ก็น่าจะเป็นเรื่อง....ทำตัวน่ารำคาญนี่แหละ

แล้วก็โคตรขี้ลืมอีกต่างหาก

“ป้ายชื่อคุณไปไหน....บวร”

“เรียกเบย์ก็ได้นะครับ”

“ผมถามว่าป้ายชื่อคุณไปไหน”

คนตรงหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ผม “คือว่าผม....ลืมหยิบมาน่ะครับ”

“ไปวิ่งรอบโรงอาหาร 3 รอบ”

“โหหหห”

“เดี๋ยวนี้” ผมเอ่ยอย่างจริงจัง เรื่องป้ายชื่อนี่ห้ามลืมเด็ดขาดนะ สมัยผมลืมเอามาคือวิ่งกันลากเลือด เพราะงั้นรุ่นน้องๆ ก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน

แค่ 3 รอบนี่ถือว่ายังน้อย

“ก็ได้ครับ” ว่าแล้วร่างสูงก็เริ่มออกวิ่งไปทันที เอาจริงๆ ถ้าน้องมันไม่มาทักผม มันอาจจะไม่โดนลงโทษก็ได้นะ คือตอนประชุมเชียร์ก็คงไม่รอดอยู่แล้วแหละ แต่เล่นมาทักพี่ว้ากก่อนแบบนี้คือพลาดมาก

นั่นแหละ....วิ่งไปซะ

ผมยืนซี๊ดซ้าดอยู่สักพักก็ได้ช็อกโก้บานาน่ามาดับความเผ็ด อื้มม..ม....ค่อยยังชั่วหน่อย ผมเป็นคนที่กินเผ็ดได้นิดหน่อยนะ แต่ถ้าระดับที่กินเมื่อกี้คือไม่ไหวจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมข้าวก้องถึงชอบแกล้งผมแบบนี้ มันน่าทุบอะ แล้วเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กด้วยนะ มันชอบบังคับให้ผมกินเผ็ดกับมัน ไม่เข้าใจเลยว่าข้าวก้องทำแบบนั้นไปทำไม ตัวเองกินเผ็ดก็กินไปสิ ไม่เห็นต้องคิดยัดเยียดความเผ็ดใส่ปากคนอื่นเลย

โคตรนิสัยไม่ดีและน่าตีมาก

“เสร็จแล้วจ่ะ” แม่ค้าขายน้ำเอ่ยบอก ผมจึงส่งเงินไปให้แล้วถือน้ำทั้งหมดเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง ก่อนจะนั่งก็เบ้ปากใส่ไอ้น้องเวรไปทีนึง ไว้แม่โทรมาหาก่อน กูจะฟ้องให้หมดเลย

มึงตายแน่ข้าวก้อง

“ขอบใจจ่ะ” สยามยิ้มแฉ่งก่อนจะหันมองซ้ายมองขวา “ว่าแล้วท่านเฮดว้ากเราไปไหนวะ”

“อาจารย์วิชัยเรียกพบ” แกงป่าตอบก่อนจะแย่งข้าวในจานข้าวก้องมากิน “โอ้โหสัสก้อง แดกไปได้ยังไงเนี่ยเผ็ดชิบหาย”

“ไม่เผ็ดสักหน่อย พวกมึงคิดไปเองอะ”

ชาเย็นลองตักมากินบ้าง “หื้มม.ม.ม.....มันเผ็ดนะมึง”

“มันไม่เผ็ด”

“มันไม่เผ็ดที่หน้ามึงอะ ถ้าปวดท้องขึ้นมากูจะปล่อยให้มึงตายไปเลย” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มัน เวลาใจดีด้วยแล้วไม่ชอบไง มันจะต้องให้โฉดชั่ว เหมือนการเลี้ยงด้วยความรักไม่ได้ผลก็ต้องเลี้ยงด้วยลำแข้ง

เตะก้านคอแม่งไปเลยอย่างงี้

อาจจะเห็นว่าเราสองพี่น้องดูโหดเหี้ยมใส่กันขนาดนี้แต่ความจริงเรารักกันมากนะครับเพราะแม่สั่งไว้ว่าให้รักกัน ผมว่าผมเป็นคนรักน้องนะ แต่น้องผมเนี่ยะจ้องแต่จะแกล้งผมไง เอาจริงๆ ตั้งแต่ข้าวก้องเป็นเด็กจนโตมานี้ผมแอบหยิกมันตอนหลับบ่อยมาก แล้วไอ้บ้านี่เป็นประเภทหลับลึกโคตรๆ ลึกในระดับที่ถ้ามีไฟไหม้บ้านคือมันตายแน่นอน รอจัดงานศพให้ทีเดียวไปเลย เพราะแบบนี้แหละทุกครั้งที่ผมหยิกมันก็จะก็ไม่รู้สึกตัว

พี่ชายที่แสนดีก็จะประมาณนี้แหละครับ

“อ้าวท่านเฮดว้าก คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วหรอ” สยามเอ่ยทักเพื่อนขุนที่เดินมานั่งลงใกล้ๆ สีหน้าของเจ้าตัวดูหงุดหงิดอยู่พอตัว เป็นอะไรของมันวะ

“เสร็จแล้ว เออเมื่อกี้กูเห็นน้องปี 1 วิ่งรอบโรงอาหาร ใครเป็นคนสั่งวะ”

“กูเอง มันไม่ได้เอาป้ายชื่อมา” ผมเท้าคางมองมัน “มึงเถอะ ไปแดกรังแตนที่ไหนมา”

“รังแตนมันกินได้ด้วยหรอวะ” ชาเย็นเอ่ยถามอย่างจริงจังแถมยังตาโตมากด้วย เกิดมาอายุ 20 ปีนี่ไม่เคยได้ยินสำนวนนี้เหรอ

มึงไปอยู่ที่ไหนมาวะ

“มันเป็นคำเปรียบเปรยครับชาเย็น” แกงป่าบอกพร้อมกับทำหน้าเอือมใส่ ไอ้คนซื่อบื้อมันก็พยักหน้ารับรู้

“คือเรื่องงานนี่แหละมึง เหมือนว่าค่ายครั้งนี้เขาจะเร่งเวลาไปเร็วกว่าครั้งแรกอะ เพราะงั้นพวกรายงานกิจกรรมที่ต้องทำก็ต้องเสร็จเร็วหน่อย วันนี้กูกะจะนัดประชุมคณะกรรมการหลังจากที่ประชุมเชียร์เสร็จ ยังไงก็วานมึงเรียกประธานของสองชั้นปีให้กูด้วยละกันนะก้อง”

“โอเค” เจ้าของชื่อรับคำก่อนจะเอียงหัวมาใกล้ผม “พี่แช่มมองมึงอยู่”

“ไหนวะ” ผมกวาดสายตามองตามทันทีหลังจากที่มันพูดจบ ร่างสูงที่สวมเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงอาหารกับเพื่อนๆ ของเขา พอเจ้าตัวเห็นผมมองก็ยิ้มหวานให้

ยังมีหน้ามายิ้มอีกนะ

“ไม่ลุกไปหาหรอ”

“ไม่อะ แดกข้าวอยู่เนี่ยะ”

“แต่เค้าเดินมาหามึงละนะ”

ผมมองพี่แช่มที่ปลีกตัวเดินเข้ามาที่โต๊ะ บรรดาเหล่าสหายก็ยกมือไหวกันไปตามระเบียบ ร่างสูงเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ “น้องหอม”

“เรามีคดีกันอยู่นะ” ผมเหลือบมองเขานิ่งๆ เนี่ยะ ถ้าตอนเย็นไม่ถูกง้อด้วยการพาไปกินไอติมล่ะก็จะงอนแม่งข้ามไปอีกชาติภพเลยคอยดู

“พี่ขอโทษนะ ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกจริงๆ อะ” เขาบอกเสียงอ่อนก่อนจะเอียงหัวเข้ามาใกล้ผม “ถ้าไม่อยากให้พี่ตื่นสายก็มานอนกับพี่สิจ๊ะ”

ไปนอนกับพี่เพื่อให้ได้ยินพี่ละเมอถึงคนอื่นอีกน่ะเหรอ

ฝันไปเถอะ

“ไม่ โตแล้วก็ต้องตื่นเองได้สิ” ผมรวบช้อนไว้กลางจานก่อนจะหยิบช็อกโก้บานาน่ามาดูดจนหมดแก้ว

“ก็อยากให้ปลุกหนิ”

“ไม่ต้องเลย” ผมจับมือพี่แช่มมาตีเบาๆ “นี่คือโทษที่เบี้ยวนัดกันเมื่อเช้า เย็นนี้ต้องพาหอมไปเลี้ยงไอติมด้วย”

“ได้สิจ๊ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” เจ้าตัวรับคำพลางยิ้มหวาน มือเรียวประสานเข้าที่มือผมก่อนจะยกหลังมือตัวเองขึ้นไปจูบเบาๆ ทำอะไรของเขาวะนั่นน่ะ

ผมหลุดหัวเราะออกมา “พี่ทำอะไรเนี่ยะ”

“ให้กำลังใจตัวเอง เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนนะ น้องหอมก็เสร็จงานเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน เดี๋ยวพี่รอ”

“โอเค ตั้งใจเรียนนะพี่แช่ม”

“ค้าบบบบ” ร่างสูงรับคำก่อนจะเดินไป รับรู้ได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาทางผม คือจ้องไม่พอนะมีการยกมือมาบีบจมูกตัวเองกันด้วย

“เป็นอะไรของพวกมึง”

“เหม็นความรัก”

ประสานเสียงกันไปอีก

ผมเบ้ปากใส่ชาวแก๊งค์ที่แสดงรีแอคชั่นกวนประสาทออกมา มันน่าไหมเนี่ยะแต่ละคน เวลาที่พวกมันเอาแฟนมานั่งหยอดกันต่อหน้าผมยังไม่เคยแซวเลย นี่แค่มานั่งคุยกันแปปๆ เองนะทำมาเป็นเหม็นความรักกัน น่าหมั่นไส้ ไว้ถึงทีของข้าวหอมบ้างนะครับเพื่อนๆ ถ้าเพื่อนๆ เอาแฟนมานั่งกุ๊กกิ๊กด้วย กูจะเอาสเปรย์ปรับอากาศไล่ฉีดเลย เอาให้เป็นการเหม็นความรักที่เล่นใหญ่กว่าชาวบ้านเขา

มึงเจอแน่

เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงอยู่นะที่ต้องเข้าประชุมเชียร์น่ะ ผมกะว่าจะนั่งเปิดตี้เล่นกับเพื่อนๆ ไปยาวๆ แต่เดี๋ยวต้องย้ายที่ไปห้องของคณะซะก่อน คือแก๊งค์ว้ากเกอร์เนี่ยะมันก็ต้องคีพลุคในระดับนึงไง แต่เวลาที่พวกผมเล่นเกมมันจะเหมือนเด็กกระโปกที่ขี้โวยวายมาก และถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะเป็นการรบกวนคนอื่นที่เขานั่งกินข้าวกัน อีกอย่างไอ้ที่คีพลุคกันมาอาจจะแตกยับได้ในเกมเดียว

อา....เป็นพี่ว้ากมันลำบากจริงๆ นั่นแหละ

คิดแล้วเพลียใจชิบ





“ผมหวังว่าครั้งหน้าพวกคุณจะมีระเบียบมากกว่านะครับ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม!!!!”

“เข้าใจครับ / ค่ะ”

“ดี” ขุนศึกกวาดสายตามองไปรอบๆ “เดี๋ยวประธานของปี 2 จะมาชี้แจงเรื่องกิจกรรมกับพวกคุณ และผมขอย้ำอีกครั้งว่าการเข้าประชุมเชียร์ครั้งหน้า....ห้ามสายนะครับ ขอบคุณ” สิ้นเสียงสั่งร่างสูงก็เดินนำพวกผมออกมาจากห้องเชียร์ทันทีเพื่อให้พวกปี 2 ได้ทำหน้าที่ต่อ

พวกเราคณะว้ากเกอร์เดินกลับมาที่ห้องคณะก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่อย่างหมดสภาพ ประชุมเชียร์ครั้งที่ 4 นี่ปวดจิตมากจริงๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่ามีเด็กมาสายเยอะแถมยังมีคนที่ไม่เข้าอยู่เยอะพอสมควรเลย ผมพอเข้าใจเด็กที่ไม่เข้าร่วมการประชุมเชียร์นะ เอาจริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลที่จะเข้าร่วมหรือไม่ก็ได้ เราจะไปบังคับเด็กที่ไม่อยากเข้าให้เข้ามันก็ไม่ใช่เรื่องหรอก

การตัดสินใจของคนอื่นเราจะไปยุ่งได้ยังไง.....จริงไหม

เท่าที่ผมดูแล้วคือเด็กที่ไม่เข้านี่ก็คือเด็กที่ไม่เข้าตั้งแต่ครั้งแรก ไม่ก็พวกที่จะหนีความผิดอย่างเช่นการลืมเอาป้ายมาหรือเรื่องอื่นๆ ก็เลยเลือกที่จะไม่เข้าประชุมเชียร์ เด็กพวกนี้มันแสบจริงๆ เลยนะ เชื่อได้เลยว่าถ้าเจอหน้ากันรอบนอกมันจะพากันวิ่งหนีแน่ๆ ส่วนมากจะเป็นแบบนั้นนะครับ เอาจริงๆ ตอนที่พวกผมเรียนปี 1 เนี่ยะก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กพวกนี้สักเท่าไหร่

ดีไม่ดีหนักกว่าด้วยซ้ำ

ผมเป็นคนนึงที่เคยไม่ชอบระบบโซตัสนะเพราะจดจำภาพที่ว่าจะต้องโดนว้ากโน่นนี่ จิตใจมันต้องโคตรหดหู่แน่ๆ อีกอย่างคือรุ่นพี่มันเป็นใครวะ ห้าวแค่ไหนถึงมาตะคอกใส่รุ่นน้อง คือตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ นะครับแต่พอได้เข้าประชุมเชียร์ครั้งแรกมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเหล่าพี่ว้ากของรุ่นผมแกไม่ได้ทำตัวเหี้ยมดีแต่เสียงดังใส่ล่ะมั้ง พวกรุ่นพี่ของผมให้อะไรกับพวกผมหลายอย่างเลยนะและผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมันดี ผมก็เลยมองโซตัสในแง่ดีมากขึ้น

ระบบนี้มันไม่ได้แย่แต่มันต้องมีขอบเขตครับ

มากเกินไปแน่นอนว่ามันต้องไม่ดี ถ้านำไปใช้แบบผิดๆ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมว่านะไอ้ระบบที่รุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่เนี่ยะ มันก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวรุ่นพี่ด้วยนะ ถ้ารุ่นพี่น่าเคารพยังไงรุ่นน้องก็ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่ถ้ารุ่นพี่ไม่น่าเคารพในแง่ของการกระทำที่ไม่ดีหลายๆ อย่างมันก็ไม่น่าแปลกที่รุ่นน้องจะไม่เคารพ อีกอย่างผมคิดว่าคนทุกคนน่าจะโอเคกับการพูดจากันดีดี มีเหตุผล ไม่ใช่แค่เสียงดังใส่แล้วสั่งอย่างเดียว

ใช่ไหมล่ะ

“เราจะทำยังไงให้เด็กที่ไม่เข้าประชุมเชียร์ยอมเข้าวะ” สยามเอ่ยถามขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้เด็กๆ เปลี่ยนใจ มันก็ทำได้แหละแต่ว่าต้องใช้เวลา

“อาจจะต้องใช้การพูดจาโน้มน้าวใจ” ขุนศึกบอกพลางถอนหายใจออกมาหนักๆ “เรื่องนี้กูจะจัดการเอง ไม่ต้องห่วง”

ข้าวก้องลุกไปหยิบเอกสารในตู้มาวางกองไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นข้อมูลเรื่องค่ายนะ อีกครึ่งชั่วโมงจะประชุมละ พวกมึงก็เคลียร์สมองแล้วตั้งสติละกัน”

“กูเคยคิดมาตลอดตอนที่อยู่ปี 2 ว่าพวกพี่ขันนี่เก่งจังเลยน้า รับผิดชอบงานเยอะขนาดนี้ได้โดนยังไม่ตาย นี่กูก็หวังให้น้องเราคิดแบบนั้นบ้าง” แกงป่าบ่นก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

“กูว่าพวกปี 2 ก็ต้องคิดแบบเรานี่แหละ” ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาดู ข้อความไลน์จากคนขี้เมามันก็พอทำให้อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของผมดีขึ้นมาได้บ้างล่ะนะ



แช่มนะ : คิดถึงนะ ตั้งใจทำงานด้วย *สติ๊กเกอร์นกฮูกยิ้ม*



น่ารักชะมัด

“อยู่ดีดีก็นั่งยิ้มอะ ไปกันใหญ่แล้วคนเรา”

ข้าวก้องนี่มัน....

“เสือก!!!!”



---------- 50% ------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 2 : 26/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 26-10-2018 22:15:21
------------ ต่อจากบท 2 ----------

[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



“ทำไมวะแช่ม กูไม่ดีตรงไหนอะ”

“ไม่ใช่ว่ามึงไม่ดีหรอกเฌอ” ผมยกมือขึ้นแตะไหล่เพื่อนรักเบาๆ “มึงแค่ไม่ใช่ว่ะ”

“อา....แดกเหล้าเลย เดี๋ยวกูไลน์นัดเพื่อนแปป”

“กูไปไม่ได้นะ”

เจ้าตัวหันขวับมองผมทันที “ทำไมงั้นล่ะ”

“มีนัดกับน้องหอมแล้ว กูมีคดีเบี้ยวนัดกินโจ๊กเมื่อเช้าด้วย กูก็เลยกะให้เวลาน้องเต็มที่หน่อย”

“มึงนี่แม่ง กูไปกับไอ้หมีก็ได้”

คิดว่าไอ้ขันจะปล่อยให้ไอ้หมีไปเหรอวะ

ไม่มีทางซะหรอก

ผมนั่งมองเพื่อนรักอย่างเพลียหัวใจ ไอ้บ้านี่มันโดนแฟนคนที่สองแสนสามบอกเลิกอีกแล้วครับ ได้ข่าวว่าเพิ่งคบกันเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง ทำไมถึงได้คบไวแล้วเลิกไวแบบนี้วะ ตั้งแต่ผมรู้จักเฌอมานี่ก็นับว่า 3 ปีได้แล้วนะ ผมไม่เคยเห็นมันคบกับใครเกิน 1 เดือนสักคน นานสุดเท่าที่เห็นก็คือ 2 อาทิตย์ แล้วพอมันอกหักมันก็จะแซดมาก ไปพักใจตามร้านเหล้า ผมว่าคนที่จะตายก่อนใครในกลุ่มก็มันนี่แหละ

เป็นโรคตับแข็งตาย

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเฌอมันไม่เข็ดกับความรักสักทีนะ อย่างน้อยก่อนที่จะยกใจให้ใครไปก็น่าจะดูกันให้ดีดีก่อนสิ สุดท้ายก็มานั่งเสียใจแบบนี้ แต่จะว่ามันอย่างเดียวมันก็จะดูไม่แฟร์สักเท่าไหร่ ตัวผมเองก็ไม่ได้ทำได้ดีในเรื่องของความรักมากนัก จะว่าไปก็เกือบ 2 ปีแล้วที่ผมยึดติดอยู่กับคนๆ เดียว ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกเขาเป็นเด็กปี 1 ที่หาห้องตัวเองไม่เจอและแววตาของเขามันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่ได้จากผมไปแล้ว

มันเหมือนกันมากจริงๆ

เด็กคนนั้นคือข้าวหอมครับ ผมมาเจอน้องอีกทีตอนเย็นที่กำลังเข้ากิจกรรมสันทนาการ จำได้ว่าวันนั้นผมได้ให้ใบโคลเวอร์สี่แฉกกับเขาไปแล้วก็บอกไว้ว่าฝากไว้ก่อน วันไหนที่ผมจะเอาคืนเดี๋ยวผมจะบอก ไม่รู้ว่าป่านนี้น้องจะยังเก็บมันเอาไว้อยู่รึเปล่า แต่เวลานานขนาดนี้มันก็คงจะแห้งหมดแล้วล่ะ ผมเชื่อในเรื่องของใบโคลเวอร์สี่แฉกที่พาความโชคดีมาให้นะ ที่หอของผมจะมีโหลที่เก็บใบโคลเวอร์สี่แฉกเอาไว้ มันเป็นคำสัญญาที่ผมทำไว้กับ.....

อื้มมม.ม.....ปวดหัวจัง

ผมควรเลิกนึกถึงมัน

“เป็นไรวะ ปวดหัวอีกแล้วหรอ” เฌอเอ่ยถามก่อนจะจับหัวผม “มึงไปหาหมอก็ดีนะ กูว่ามึงปวดหัวบ่อยเกินไปว่ะ”

“เพราะพักผ่อนน้อยนั่นแหละ ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มบางๆ ให้เพื่อไม่อยากให้มันเป็นห่วง

“แต่ถ้าไม่ไหววันไหน มึงต้องไปนะ”

“ได้ดิ โถ่มึง กูเป็นใครครับ กูแช่มนะ ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอก” ผมยักคิ้วให้มัน “แล้วนี่มึงจะกลับไปหอก่อนรึเปล่า”

“ก็อาจจะ แล้วไอ้หอมจะมากี่โมง”

“น้องหอมบอกว่าน่าจะเสร็จตอน 6 โมงกว่าๆ ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวกูไปก่อนละกัน คืนนี้เดี๋ยวกูกินเหล้าเผื่อเองมึงไม่ต้องห่วงนะ”

“เออ แดกให้ตับพังไปข้างเลยนะ”

“ได้ดิ แล้วเจอกันมึง” สิ้นเสียงบอกร่างโปร่งก็ลุกเดินออกไป เหลือแค่ผมที่นั่งอยู่คนเดียวหน้าตึก ตอนนี้ก็ 6 โมงแล้วนะครับผมคิดว่าน้องหอมคงใกล้มาแล้วแหละ

ช่วงนี้ระหว่างเราสองคนก็ถือว่าโอเคนะครับ ก็โอเคกว่าตอนแรกที่ทะเลาะกันแทบทุกวัน มันเป็นเพราะความงี่เง่าของผมล้วนๆ เลยด้วยที่ไปชวนน้องทะเลาะ สาเหตุมันก็มาจากการที่คนอื่นมาวอแวเขานั่นแหละ ผมไม่ชอบอะมันน่าหงุดหงิด แต่จะไปตามกระทืบมันก็ไม่ใช่เรื่องไง รู้ตัวอีกทีก็ทำตัวประชดประชันใส่น้องหอมไปแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ

ผมเนี่ยะผิดเต็มๆ

เอาจริงๆ ความสัมพันธ์ของเรามันค่อนข้างจะกึ่งๆ จะว่าชัดเจนไหมมันก็พูดได้ไม่สุด หลายๆ คนก็เข้าใจว่าผมกับน้องหอมไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเนื่องจากการขิงข่าของผมเอง แต่เอาตามความจริงเราก็ยังคงเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันนั่นแหละ สถานะของเรามันยังแค่นี้แต่ความสัมพันธ์ของเราก็คือคนที่รักกันนะครับ

ผมคิดแบบนั้นนะ

เราใจตรงกันมาตั้งนานแล้วแหละ ผมยังจำช่วงที่ความรู้สึกมันเปลี่ยนจากชอบมาเป็นรักได้เลย ในหัวมันบอกแค่ว่าเรารักคนๆ นี้นะ ต้องทำยังไงถึงจะให้เขาอยู่เคียงข้าง ทำยังไงเพื่อไม่ให้เสียเขาไป ผมเป็นคนที่กลัวความสูญเสียจากความรักมากครับ บวกด้วยการเห็นเฌอเสียใจเพราะความรักบ่อยมากจนมันทำให้ผมไม่อยากอยู่ในจุดนั้น เพราะแบบนี้มันก็เลยยังทำให้ผมไม่กล้ามากพอที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้มันไปไกลมากกว่านี้

มันคือความเห็นแก่ตัวจริงๆ

ผมมีเหตุผลของผมซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมปวดหัวมากและมันคงแย่มากถ้าผมพูดถึงมันอีก ใครไม่ใช่ผมจะไม่มีวันเข้าใจเด็ดขาดและต่อให้ใครไม่เข้าใจก็ตามผมก็ยังเลือกที่จะไม่พูดถึงมันดีกว่าเพราะมันอาจจะเป็นวิธีเดียวที่ยังทำให้ผมเป็นแช่มในทุกวันนี้ได้ ทุกคนย่อมเคยมีช่วงย่ำแย่ของชีวิตครับ ผมผ่านจุดนั้นมาแล้วและผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นแบบนั้นอีก

กว่าจะกลับมาเป็นปกติมันช่างยากเหลือเกิน

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ว่าไงจ๊ะน้องหอม”

(หอมประชุมเสร็จแล้วนะพี่แช่ม แล้วคุณจะเดินชนผมทำไมเนี่ยะบวร ตลกมากหรอห้ะ)

ไอ้เบย์อีกแล้วงั้นเหรอ

“ออกมากับไอ้เด็กนั่นอีกแล้วหรอ”

(ก็ออกมากันทั้งหมดนั่นแหละ แล้วนี่ทำเสียงเข้มทำไม)

“....เปล่า”

(หนิ คดียังอยู่นะ ห้ามมาเข้มใส่หอมเชียว)

“พี่จะทำอะไรน้องหอมได้ล่ะหืม แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ พี่ได้เดินไปหา”

(กำลังจะไปลานจอดรถ เจอกันที่นั่นเลยก็ได้)

“ใช่ งั้นเดี๋ยวพี่เดินไปหานะครับ”

(ครับ เอ๊ะคุณนี่มันยังไงวะบวร)

“หึ....” ผมกดวางสายก่อนจะผ่อนลมหายใจหนักๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด รู้สึกหัวร้อนยังไงไม่รู้ว่ะ

ไม่ชอบใจเลย

ผมเดินจากหน้าตึกแล้วไปที่ลานจอดรถทันที ความคุกรุ่นในใจนี่มันจริงๆ เลยนะ บ่อยครั้งที่ผมฉุนเฉียวใส่น้องหอมเพราะเด็กปี 1 ที่ชื่อว่าบวร มันชื่อเล่นว่าเบย์ครับ สืบข่าวมาแล้วคือเป็นตัวท็อปของวิศวะฯ ปีนี้เลยแหละ ดังในระดับที่คนส่วนมากรู้จัก หน้าตาดี รูปร่างดี เรียนเก่ง ดีกรีประธานคณะกรรมการนักศึกษาของปี 1 ดูทรงแล้วน่าจะถูกดันให้เป็นเดือนคณะด้วย   

โปรไฟล์ไม่ไก่กาเลย

ผมรู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้เด็กนี่ตั้งแต่วันแรกที่เห็นมันแล้ว สายตาที่มันมองน้องหอมคือชัดเจนมากว่าชอบ ตอนแรกผมคิดว่ามันจะชอบผู้หญิงซะอีก ที่ไหนได้ล่ะ หึ้ยย.ย..ย....ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดว่ะบัดซบเอ๊ย คนมีตั้งเยอะไม่ชอบมาชอบคนของผม แถมยังวอแวเก่งจนน่ารำคาญ ผมไว้ใจน้องหอมนะว่าเขาคงไม่ได้เผลอใจไปให้มันแน่ๆ แต่ยังไงผมก็ไม่ชอบใจอยู่ดี ใครมันจะอยากเห็นคนที่ตัวเองรักมีคนอื่นมายุ่มย่ามวะ

วางแผนดักตีหัวดีไหมน้า

ทำไมเป็นคนเถื่อนแบบนี้ล่ะแช่ม

ไม่เอาๆ ผมจะไม่ทำตัวเป็นไอ้ขันสองเด็ดขาดที่ทำตัวโฉดชั่วเด็ดขาด เรื่องแผนดักตีหัวนี่เอาไว้ให้ถึงวันที่ทนไม่ไหวจริงๆ ดีกว่า แต่ช่วงนี้ก็รู้สึกไม่ไหวบ่อยน่ะนะ คือทุกครั้งที่เจอไอ้เบย์ผมก็ทำหน้าเหี้ยมใส่มันไปตลอดแต่เหมือนว่ามันจะดูไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ มันต้องรู้แหละว่าผมกับน้องหอมมีซัมติงกันแต่มันก็ไม่ได้สนใจ ยังตามวอแวน้องหอมของผมอยู่ทุกวี่ทุกวัน

แหม่....พูดละของขึ้น

บวกแม่งซะเลยดีไหม

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงลานจอดรถ เห็นร่างของน้องหอมยืนรออยู่โดยที่ข้างๆ มีมารหัวใจยืนอยู่ด้วย แถมกำลังหัวเราะคิกคักอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยเดินหน้านิ่งเข้าไปหาพลางส่งสายตาอำมหิตไปให้ไอ้เบย์ด้วย

มันยกมือไหว้ผม “พี่แช่มสวัสดีครับ”

“เออ” ผมขานรับก่อนจะหันมองน้องหอม “ไปยัง”

“ไปดิ” เจ้าตัวยิ้มรับคำ ทำหน้าแบบนี้คือรู้แน่ๆ ว่าผมกำลังไม่ชอบใจอยู่ ดีละ รู้แบบนี้ก็ดี เพราะหลังจากนี้มันจะถึงคราวผมงอนบ้างแล้ว

เตรียมตัวง้อพี่เลยนะน้องหอม

“อย่าลืมที่บอกผมไว้นะพี่หอม ผมจะรอนะครับ”

ผมหันขวับมองทันที “ข้าวหอม”

“เราไปกันเถอะเนอะ” น้องยิ้มหวานให้ผมก่อนจะทำหน้าดุใส่ไอ้เบย์ “ส่วนคุณน่ะ ไปได้แล้วไป”

“ครับ แล้วเจอกันนะครับพี่”

ฝันอยู่เหรอว่าจะได้เจอกัน

เดี๋ยวมึงตายแน่ไอ้เวรเบย์

ผมขึ้นรถด้วยหน้าที่ยับเป็นหมาปั๊ก เนี่ยะ น้องหอมตกลงอะไรกับมันก็ไม่รู้ หื้ออ.อ.อ....ไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจเอามากๆ ในหัวผมมีแต่คำนี้ลอยอยู่เต็มไปหมด นี่ประสาทจะแดกแล้วนะ ทำไมมันจะต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ

น่าหงุดหงิดชิบหาย

“พี่แช่ม” คนที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับเหลือบมองผม “เป็นไร”

“.....หึ”

“อย่าหึสิ ไหนเป็นไรมาคุยกันก่อนเร็ว” มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเบาๆ “ไหนพูดมาซิว่าเป็นอะไร”

“อย่าลืมที่บอกนี่คือบอกอะไร”

“ชีทเก่าๆ อะพี่ มันบอกว่าอยากได้เฉยๆ ไม่มีอะไรเลย”

ผมหรี่ตามอง “.....งั้นเหรอ”

“พี่ไม่เชื่อหอมหรอ” มือที่จับผมอยู่คลายออกก่อนจะมองผมนิ่งๆ “ถ้าพี่ไม่เชื่อ หอมก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันหน้าหนีผม แล้วทำไมมันเหมือนน้องงอนผมกลับล่ะ

“พี่ยังไม่ทันบอกเลยว่าไม่เชื่อ”

“หน้าพี่มันฟ้องทุกอย่างแล้ว” น้องหันกลับมามองผม “หึงขนาดนั้นเลยรึไง”

“ก็น่าจะรู้นะครับ”

“แล้วหึงในฐานะอะไร”

นั่นสิ....ผมจะหึงน้องได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

.....โคตรใช่เลยว่ะ

“พี่ขอโทษนะน้องหอมที่งี่เง่าใส่” ผมยิ้มบางๆ ให้น้อง “ไปหาอะไรกินกันเนอะ”

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“หอมยังไม่ได้คำตอบใช่ไหม”

“.....”

“ไม่เป็นไร มันก็เหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละเนอะ” น้องยิ้มหวานให้ผม “ไปหาไรกินกันเถอะ หอมหิวแล้ว” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ออกรถทันที ความรู้สึกอึดอัดใจนี้มันคืออะไรกัน ผมไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้เลย

ตอนแรกน้องหอมยังยิ้มอยู่เลย ยิ้มที่เป็นรอยยิ้มแบบจริงๆ ไม่ได้ยิ้มเพื่อปกปิดอะไรบางอย่างแบบนี้ ผมทำเรื่องแย่กับน้องอีกแล้ว มันรู้สึกผิดแต่ผมคงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขอโทษเขาแค่อย่างเดียว ผมนึกไม่ออกเลยว่าวันไหนที่เขาไม่ยกโทษให้ผมแล้ว ผมจะเป็นยังไง มันต้องแย่มากแน่ๆ

แค่คิดมือก็สั่นแล้ว

“ไม่ต้องทำหน้าซึมแบบนั้นเลย” น้องหอมเหลือบมองก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “หอมรอได้ตลอดนั่นแหละรู้ไหม แต่ว่าหอมก็อยากให้พี่วางใจให้มากขึ้นนะ ยังไงหอมก็มีแค่พี่นั่นแหละ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมจับมือน้องไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไป พี่ขอเวลาอีกสักหน่อยนะน้องหอม พี่จะไม่ปล่อยให้เราต้องรออีก

“เลิกทำหน้าเศร้าได้แล้ว”

“จ่ะ” ว่าแล้วผมก็ยิ้มให้น้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมือของเราสองคนที่กุมกันไว้แล้วกดเข้าไปในทวิตเตอร์เพื่ออัพข้อความบางอย่าง ผมเป็นคนที่ติดทวิตเตอร์ในระดับนึงเลยนะ

มันมีความหมายกับผมในหลายๆ อย่างเลยล่ะ

อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้





Charit @Charitpedd

ผ้าห่มหนาๆ ที่ว่าอุ่นก็ยังสู้มือของคุณไม่ได้ :)



#พี่แช่มได้กล่าวไว้










TBC.

สวัสดีบี๋ทุกคนน้าชาลมาส่งแช่มหอมให้แล้วนะคะ ก็คติของนิยายเรื่องนี้คือเราจะมาเป็นไบโพล่าร์ไปพร้อมๆ กันนะ มันจะสลับอารมณ์อยู่ตลอดแบบนี้แหละ สตอรี่เรื่องของพี่แช่มเนี่ยะ ตอนนี้มีแค่ชาลคนเดียวที่รู้อย่างแจ่มแจ้ง ก็รอติดตามกันต่อไปนะคะ

ช่วงนี้มันนเป็นสองวีคสุดท้ายที่ชาลจะเรียนของเทอมนี้และก็เป็นสองวีคที่งานเยอะมากๆ นิยาอาจจะลงช้ามากเพราะต้องรีบเคลียร์งานนะคะ โปรเจ็กต์แต่ละตัวมันค่อนข้างจะสาหัสมากเลยและก็ส่งผลต่อคะแนนมากด้วย ชาลจะต้องตั้งใจกับมันมากๆ เดี๋ยวจะสอบไฟนอลแล้วด้วย ชาลจะลงนิยายช้าหน่อยขอให้บี๋อดทนรอกันหน่อยนะ สำหรับบี๋ที่ใกล้จะเปิดเทอมแล้วชาลก็อยากบอกว่าให้ตั้งใจเรียนนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 2 : 26/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-10-2018 03:21:52
เฮียไม่ชัดเจน ให้ความหวังอีน้อง ระวังอีน้องหมดใจเด้อเฮีย  :seng2ped:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 3 : 8/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-11-2018 21:09:25
บทที่ 3 คนที่ใช่



Kh. @KhH22_luc

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่สถานะ แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ของเราที่มีต่อเขาต่างหาก



#CloverBad






เหมือนทุกวันนี้ผมจะใช้ประโยคนี้ปลอบใจตัวเองซ้ำๆ นะ

แซดเฉยเลยว่ะ

ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างกายก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียง วันนี้เป็นวันหยุดครับและตอนนี้ก็รู้สึกเปื่อยมาก มองนาฬิกาก็เกือบจะทุ่มนึงละ พวกเพื่อนๆ ก็ชวนออกไปตี้นะแต่ผมเบื่อๆ ยังไงไม่รู้เลยขอบาย นี่ก็นอนกลิ้งไปมาตั้งแต่บ่ายแล้ว คือถ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำผมก็ไม่ลงจากเตียงตัวเองเลย ขลุกอยู่บนนี้ประหนึ่งมันเป็นวิมาน

รู้จักป้ะวิมานเตียงของข้าวหอมอะ

บนเตียงนี่เต็มไปด้วยตุ๊กตานกฮูกที่ผมไม่ได้ซื้อมาเอง ของพี่แช่มทั้งนั้นแหละ เขาดูชอบนกฮูกมากเลยนะ แน่ล่ะขนาดคุณเฉลิมของเขายังเป็นสัตว์ในตระกูลนกฮูกเลยหนิ ว่าแล้วก็คิดถึงคุณเฉลิมเหมือนกันนะเนี่ย เป็นอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้ไปหานาง ป่านนี้เจ้าอ้วนนั่นคงคิดถึงผมแย่ ไม่เป็นไรนะคุณเฉลิม เดี๋ยวถ้าหอมเข้าไปหา หอมจะซื้อหนูแช่แข็งไปให้เยอะๆ เลย

เอาให้กินตัวกลมกันไปข้าง

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย เสียงคุ้นหูที่ผมจำได้เป็นอย่างดีว่าคือใคร “คุณเอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ยะบวร”

(พี่ข้าวหอม)

“ไม่ได้ยินที่ผมถามงั้นหรอ”

(ก็ผมควรมีเบอร์พี่นะครับ เผื่อติดต่องานไง)

“คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ มีปัญหาด้านการสื่อสารหรอ”

(ผมเอาเบอร์มาจากพี่สยามครับ)

หึ....ไอ้สยาม

“แล้วคุณมีอะไรถึงได้โทรหาผม”

(ก็อยากขอบคุณน่ะครับที่วันนี้พี่เอาชีทมาให้)

“คุณขอบคุณผมไปแล้วนะวันนี้”

(ก็ผมอยากขอบคุณพี่อีกหนิครับ)

“ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ถ้าไม่มีไรอีกงั้นแค่นี้แหละ” ผมกดตัดสายทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดออกมา เชื่อได้เลยว่าถ้าผมไม่ชิงตัดสายก่อนมันจะต้องยืดเยื้อมากกว่านี้แน่ๆ

บวรเนี่ยะถือว่าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้พี่แช่มงอนผมบ่อยมาก คือทุกครั้งที่มันมาวอแวผมแล้วพี่แช่มเห็นเขาก็จะดึงหน้าแสดงออกว่าไม่พอใจทันที ตัวบวรเองก็รู้นะว่าพี่แช่มไม่ชอบแต่มันก็ไม่สนใจ ยังคงวอแวสร้างความร้าวฉานให้ผมกับพี่แช่มอยู่ร่ำไป แต่เอาจริงๆ พี่แช่มเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาหึงหวงหรือไม่ชอบใจอะไรนะเพราะว่าเราสองคนก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน

ทำไมมันจึ้กๆ แบบนี้วะ

ถึงจะจึ้กยังไงแต่สิ่งที่ผมพูดมันก็คือความจริงแหละนะ เราก็แค่คนที่ชอบกันแต่มันก็เท่านั้นอะ ผมไม่สนใจใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตนะแต่พี่แช่มนั่นแหละที่กลัวว่าผมจะไปสนใจคนอื่น คิดแบบนี้ทีไรก็รู้สึกคันไม่คันมืออยากตบให้คว่ำสักสองสามที แล้วนี่ก็หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่บ่าย บอกมาแค่ว่าจะออกไปผจญภัยในโลกกว้างกับเหล่าแก๊งค์ปลาทองของเขา คิดได้เลยว่าคงมีงานต้องทำด้วยกันนั่นแหละแต่ก็ขอให้ได้บอกว่าออกไปผจญภัย

คนติ๊งต๊องก็เป็นแบบนี้แหละครับ

ครืดดด....ดดด

ใครอีกวะคราวนี้อะ

“มีไรวะไอ้ก้อง”

(กูเห็นพี่แช่มมีเรื่องกับโต๊ะข้างๆ ในร้านอะ)

“จริงป้ะเนี่ย แล้วมีใครห้ามยัง”

(ก็ช่วยกันห้ามอยู่ ไอ้พวกนั้นเรียกพี่แช่มออกไปนอกร้าน เนี่ยะ พวกกูกำลังจับตัวเค้าอยู่)

“แล้วอาการพี่แช่มตอนนี้เป็นยังไง”

(โหโมอะไรไม่รู้เหมือนกัน จะเอาเรื่องไอ้พวกนั้นให้ได้ด้วย มึงรีบมาห้ามหน่อยได้ไหมวะ เผื่อเค้าจะใจเย็นลง)

“อยู่ร้านไหน”

(จันทร์เจ้า)

“เออ เดี๋ยวกูรีบไป” ผมกดวางสายก่อนจะรีบหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องทันที ดันมีเรื่องกันเฉยเลย ปกติพี่แช่มก็สายบวกด้วยนะ ไม่รู้ว่ามีอะไรมาทำให้ฟีลขาดถึงได้พร้อมลุยขนาดนั้น

ผมรีบขับรถอออกจากหอเพื่อนมุ่งหน้าไปจันทร์เจ้าทันที ขืนชักช้านี่มีหวังอาละวาดร้านพังแน่ๆ ผมว่าพี่แช่มไม่น่าไปกินเหล้านะแต่ว่าจันทร์เจ้ามันเป็นร้านของพี่ชายพี่ฉายไง ทำงานที่นั่นก็ถือว่าสะดวกอยู่แหละ พวกปลาทองเขาไม่สนเรื่องเสียงดังหรือเสียงแหกปากโวยวายอะไรหรอก เนี่ยะ พอเป็นแบบนี้มันก็น่าสงสัยนะว่ามีเรื่องอะไรถึงได้คิดจะลงไม้ลงมือกันแบบนี้ หวังว่าเรื่องที่มีปัญหากันมันคงไม่เกี่ยวกับผมนะเพราะถ้าเกี่ยวนี่จะองค์ลงให้ดู

ตายเป็นตายเลยเอาดิ

ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดด้านหลังร้านก่อนจะรีบลงไปหาพี่แช่มด้านในทันที เห็นเหล่าเพื่อนๆ ผมกำลังรั้งตัวพี่แช่มอยู่ พวกพี่ขันหายไปไหนไม่รู้ครับ อาจจะเคลียร์ให้อยู่ไม่ก็เป็นฝ่ายไปออกรบเองล่ะมั้ง เดี๋ยวนี้ยิ่งทำตัวเปรี้ยวตีนกันอยู่ด้วยไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยจะอัดอั้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นพี่ว้ากอยู่ล่ะมั้ง ช่วงนั้นทำอะไรก็ต้องคีพลุค แต่ตอนนี้คือลอยตัวแล้วไง อยากทำอะไรก็คือตามใจตัวเองสุดๆ

คิดจะบวกหน้าใครก็บวก

ห้าวจัดเลยอะ

“พี่แช่ม” ผมเดินเข้าไปหาเขาทันที “เกิดอะไรขึ้น”

“น้องหอม” เจ้าตัวดูมีสติขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม แน่ล่ะ ลองไม่สติสิ นี่จะเอาเบียร์ราดหัวให้ชุ่มเลยคอยดู

“หอมถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเพื่อนๆ พี่ไปไหนหมด”

“ออกไปเคลียร์ข้างนอก แต่พวกมันไม่ให้พี่ออกไป” เขาเอ่ยอย่างหัวเสียก่อนจะนั่งลงที่เดิม “พวกมันไม่น่าห้ามพี่เลย”

“ห้ามน่ะดีแล้ว” ผมบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ มือก็เลื่อนไปลูบแขนเจ้าตัวเบาๆ เพื่อหวังให้เขาใจเย็นลง “ไหนเล่ามาซิว่าเกิดเรื่องอะไร ทำไมถึงจะทะเลาะกัน”

“ก็เมื่อกี้พี่ออกไปเข้าห้องน้ำ แล้วเจอเด็กกลุ่มนึงมันใช้บุหรี่จี้ขาแมวอะดิ พี่โมโหที่เห็นแมวโดนรังแกแบบนั้น พี่ก็เลย.....”

“โอเคหอมเข้าใจพี่แช่มละ แล้วตอนนี้แมวตัวนั้นอยู่ไหน”

“พี่เจ้าพาไปหาหมอ มันโดนจี้หลายจุดมาก ดูก็รู้แล้วว่ามันทรมาน จิตใจของไอ้เลวพวกนั้นทำด้วยอะไรก็ไม่รู้”

ผมเลื่อนมือไปจับมือพี่แช่มที่กำลังกำอยู่ให้คลายออก “ไม่เป็นไรนะพี่ เจ้าเหมียวนั่นคงไม่เป็นไรแล้วแหละ หอมว่ามันต้องดีใจมากแน่ๆ ที่พี่ปกป้องมันถึงขนาดนี้”

“พี่น่าจะเห็นไวกว่านั้น ไม่งั้นมันคงไม่เจ็บมากหรอก”

“พี่ทำดีที่สุดแล้ว....ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มบางๆ ให้ พอได้ฟังเหตุผลที่ทำให้เขาหัวร้อนนี่มันก็สมควรอยู่หรอกนะ ผมก็ชักอยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่มันทำร้ายแมวจริงๆ ว่ามันเป็นใคร

ดักกระทืบไล่หลังแม่ง

ผมไม่ชอบจริงๆ เลยนะพวกที่รังแกสัตว์เนี่ยะ เรื่องไม่ชอบก็พอเข้าใจแต่อยู่กันดีดีไม่ได้เหรอ จะไปเบียดเบียนมันทำไม ต่างคนต่างอยู่ก็ทำได้ป้ะวะ เก่งจริงกับสัตว์เนี่ยะ พอเห็นมันตัวเล็กกว่าก็เอาละ ไอ้คนแบบนี้มันน่าจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่โดนรังแกบ้าง จะได้รู้ซึ้งว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง แฟร์ดีด้วย เคยทำอะไรไว้แล้วได้เจอในสิ่งที่ตัวเองเคยทำนี่มันเป็นอะไรที่จุกสุดละ

สาปแช่งแม่ง

ถ้าผมเป็นพี่แช่มแล้วเห็นอะไรแบบนี้นะ ผมพุ่งเข้าไปซัดแล้ว เพื่อนฝูงก็ห้ามไม่ได้อะถ้าจะเอาเรื่อง ผมไม่ใช่สายพูดเยอะซะด้วยเพราะว่ามันเสียเวลา ข้องใจก็จัดเลย แต่ว่าการจัดแต่ละครั้งมันก็ต้องมีเหตุผลของมันนะครับ ต้องถึงจุดที่ทนไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ เมื่อก่อนผมอารมณ์ร้อนกว่านี้มากแต่พอมาเจอพี่แช่มก็ต้องใจเย็นมากขึ้น มันเป็นข้อดีนะที่ผมยับยั้งอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองได้ดีกว่าเดิมน่ะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นข้าวหอมที่โตสมกับอายุ 20 เลย

คำพูดคำจามันเว่อร์ไปป้ะวะ

“ไอ้ขัน”

ผมหันมองตามเสียงก็พบกับร่างสูงของพี่ขันที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ที่มุมปากมีรอยช้ำอยู่เล็กน้อย คนที่เดินเข้ามาข้างๆ กันคือไอ้หมีที่หน้ายับเหมือนกระดาษที่ถูกขยำ ไปทำอะไรกันมาวะนั่นน่ะ

“สวัสดีครับพี่ขัน ปากไปโดนอะไรมาอะพี่” ผมเอ่ยถามคนที่เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เปรี้ยวจัดไง เอาหน้าไปรับหมัด มันใช่เรื่องไหมห้ะ บอกแล้วจะจัดการให้ ไม่เคยจะฟังหรอก ยื่นหน้ามานี่เลย” ไอ้หมีบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะหยิบน้ำแข็งมาแปะที่มุมปากของแฟนตัวเอง

“อื้อออ.อ.อ....เบาๆ สิ มันเจ็บนะเนี่ย”

“พี่น่ะเงียบไปเลยนะ”

“แล้วไอ้พวกนั้นอะขัน”

“พวกมันไปละ ก็มีซัดกันนิดหน่อยนั่นแหละ แต่กูก็ไม่ได้เป็นไรมาก โอ๊ยยยย มึงจะฆ่ากูรึไงหมี”

“หื้อออ.อ.อ....นอนพื้นไปเลยนะวันนี้อะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะลุกเดินหนีไปไหนก็ไม่รู้ เอาล่ะพี่ขัน งานงอกแล้ว ดูจากหน้าไอ้หมีก็คงหงุดหงิดอยู่พอตัว ก็คงต้องปล่อยให้เขาตามง้อกันไปล่ะนะ

“อะไรของพวกมันวะ” พี่แช่มมองคู่ผัวเมียที่กำลังวอแวใส่กันอย่างเอือมๆ “แบบนี้ก็ไม่รู้น่ะสิว่ามันจบยังไง”

“ก็คงเคลียร์แล้วแหละ หรือว่าถ้ามีปัญหาตามมาทีหลัง ถึงตอนนั้นค่อยจัดการก็ได้”

“เอาอย่างนั้นก็ได้จ่ะ อา....หัวร้อนเป็นบ้าเลย”

“ให้หอมเอาน้ำราดหัวให้ไหมล่ะ มันจะได้เย็นลง”

“เอาจริงๆ ไม่ต้องใช้น้ำหรอก” เขาเอียงหัวเข้ามาใกล้ผม “แค่มีน้องหอม พี่ก็รู้สึกเย็นขึ้นแล้วแหละ”

คำพูดคำจานี่มัน....

“พูดจาเพ้อเจ้อ” ผมหันหนีก่อนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ ฟู่วววว....รู้สึกได้ว่ามันร้อนฉ่าพอสมควรเลยแฮะ อาการนี้บ่งบอกผมกำลังเขินในสิ่งที่เขาพูด แน่ล่ะ....พูดมาขนาดนั้นจะไม่ให้เขินได้ไงวะ

“ใช่สิ พี่มันคนชอบเพ้อเจ้อหนิ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะเท้าคางมองผม “เพ้อเจ้อแล้วชอบป้ะ”

ผมหลุดยิ้มให้เขา “มันเป็นคำถามที่พี่ก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ”

“ก็อยากได้ยินจากปากนี่จ๊ะ”

“ก็......”

“พี่แช่มพี่หอมสวัสดีครับ”

ไม่ต้องหันไปมองยังรู้เลยว่าเป็นเสียงของใคร

ผมมองสีหน้าของพี่แช่มที่ดูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อโดนทัก ซึ่งคนที่ทักเราสองคนก็คือบวรนั่นเองครับ ผมหันไปมองร่างสูงที่อยู่ในชุดไปรเวท ดูดีเชียวล่ะ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขากำลังจะทำให้ผมกับพี่แช่มมีเรื่องข้องใจกัน ความรู้สึกนี้มันโคตรใช่เลย ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาไม่หยุด พอเห็นแบบนี้แล้วอยากวาร์ปกลับหอแล้วนอนคลุมโปงเลยว่ะ

จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น

“อืม คุณมาทำไรเนี่ยะ” ผมเอ่ยถามไปตามมารยาท สายตานิ่งๆ ของพี่แช่มเหลือบมองมาทันที งืม....อย่ามองมาแบบนั้นซี่

ใจคอไม่ดีเลย

“วันนี้วันเกิดไอ้เนยไงพี่ หลานรหัสพี่อะ”

“อ่าวหรอ”

“ใช่ครับ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอพี่หอมที่นี่ มากินเหล้าหรอพี่”

“ร้านเหล้านี่มากินไอติมล่ะมั้ง” เสียงบ่นพึมพำดังจากพี่แช่ม เอาละ อาการหงุดหงิดระดับหนึ่งมาละ ผมว่าถ้าบวรยังอยู่ตรงนี้ อาการหงุดหงิดระดับสองน่าจะตามมาในอีกไม่ช้า

“เปล่าหรอกคุณ ผมมาตามพี่แช่มกลับหอน่ะ” ผมบอกก่อนจะหันไปหาพี่แช่ม “กลับกันเถอะ”

“ไม่กลับ พี่จะกินเหล้า” ว่าแล้วมือเรียวก็ยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้ากระดกลงคอจนหมด อะไรของเขาวะ กวนส้นตีนชิบ เนี่ยะ แม่งงอนผมระดับสองละ ดูทรงแล้วถ้าไม่เมาก็ไม่กลับนะเนี่ย

เพลียใจเลยข้าวหอม

เพลียใจเล้ยยยย

“งั้นก็แล้วแต่นะ” ผมบอกเสียงเรียบก่อนจะหันมองบวร “ไอ้เนยอยู่ไหนล่ะ ผมจะไปเปย์เหล้ามันสักหน่อย”

“อยู่โต๊ะฝั่งโน่นอะพี่” มันชี้นิ้วให้ผมดูแก๊งค์เด็กปี 1 ที่นั่งเย้วๆ กันอยู่ไกลๆ เฮฮากันน่าดูเลย หวังว่าถ้าผมเดินไปคงไม่เงียบเป็นป่าช้ากันนะ

“งั้นไปกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแต่มือเรียวของคนข้างๆ คว้าข้อมือผมไว้ “อะไร”

“อย่าไป”

“ไม่....ชวนกลับแล้วไม่กลับเอง” ผมดึงมือตัวเองออกมาจากเขาก่อนจะเดินหนีออกมาทันที เชื่อดิว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องหงุดหงิดระดับสามแล้วก็แปลงร่างเป็นแช่มคนขี้เมาเหมือนกับทุกครั้งเพราะงั้นปล่อยเขาไว้ตรงนั้นแหละ

ค่อยมาเก็บซากทีหลัง

ผมเดินตามบวรมาจนถึงโต๊ะพวกปี 1 เสียงเจี๊ยวจ๊าวตอนแรกก็เงียบลง พวกตัวแสบยกมือไหว้ผมก่อนจะนั่งทำตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน เนี่ยะ เป็นแบบที่คิดจริงๆ ด้วยว่าบรรยากาศมันต้องกลายเป็นป่าช้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงได้ชัดเจนเลยว่าเด็กๆ ก็คงกลัวผมอยู่ไม่น้อย พอเห็นแบบนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมบวรไม่มีอาการแบบนี้แสดงออกมาบ้าง มีแต่เจอผมแล้วจะพุ่งเข้ามาหาอย่างเดียว

ไม่สนใจสถานการณ์รอบข้างด้วย

โคตรเอาแต่ใจ

“พวกคุณเงียบกันทำไม” ผมเอ่ยถามก่อนจะควักเงินในกระเป๋าส่งไปให้หลานรหัสตัวเอง “ถือว่าพี่เลี้ยงละกัน สุขสันต์วันเกิดนะเนย”

“ขอบคุณครับพี่หอม” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม บรรยากาศดูโอเคขึ้นกว่าตอนแรก พวกตัวแสบก็กินเหล้ากันต่อพร้อมกับเขยิบที่ให้ผมนั่งร่วมวงด้วย

“พี่หอมนี่ก็ใจดีเหมือนกันนะครับ เลี้ยงเหล้าไอ้เนยตั้งหลายบาท” ไอ้พริกเอ่ยขึ้นพลางส่งแก้วเหล้ามาให้ผม

“ก็วันเกิดมัน อีกอย่างมันเป็นหลานรหัสผม นานๆ ทีเลี้ยงมันบ้างก็ไม่แปลกเท่าไหร่”

“สายเปย์ไปอีก”

“ไงล่ะ ดีกว่าลุงรหัสกูคือไม่มีแล้วครับ” ไอ้เนยยักคิ้วให้ไอ้มิกซ์ มันใช่เรื่องเอากูไปขิงกันไหมเนี่ยะ แต่ช่างเถอะ สมัยที่ผมเป็นเด็กปี 1 ผมก็ไม่ได้ต่างจากพวกมันเท่าไหร่

กระโปกกว่าด้วยซ้ำไป

“รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้ที่พี่หอมมานั่งด้วย” บวรเอ่ยพลางยิ้มบางๆ สายตากรุ้มกริ่มอีกสามคู่มองเราสองคนสลับกันไปมา ในหัวสมองอาจจะคิดคำแซวอยู่ล่ะมั้ง ไหนดูซิว่าจะมีใครกล้าพูดออกมารึเปล่า

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะไอ้เบย์” ไอ้พริกปาถั่วใส่ “มั่นหน้ามั่นโหนกนะมึงอะ”

“อะไรวะ ก็พูดจริงๆ นี่หว่า” ว่าแล้วมันก็ปาถั่วกลับ เล่นอะไรกันเป็นเด็กจริงๆ

หลานรหัสเอนหัวเข้ามาใกล้ผม “พี่หอม”

“หืม....”

“มานั่งกับพวกผมนี่ พี่แช่มไม่ว่าหรอพี่”

“ช่างเค้า”

“ได้หรอวะพี่แบบนั้นอะ” ไอ้เนยมองผมตาโตก่อนจะยกมือทาบอกตัวเอง “เดี๋ยวพี่แช่มมาอาละวาดพังปาร์ตี้วันเกิดของผมนี่จะชิบหายมากเลยน่ะ” เจ้าของวันเกิดทำหน้าผวา เกลียดการโอเวอร์แอคติ้งของมันมาก

“เค้าไม่มาพังปาร์ตี้ของเอ็งหรอก คิดมากบ้าบอว่ะเนย”

“เอ้าพี่ นั่นพี่แช่มนะ ใครเดาอารมณ์เค้าได้ที่ไหน”

นั่นสินะ....ใครจะเดาอารมณ์ได้

ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเท่านี้ผมไม่เคยเจอใครอารมณ์แปรปรวนเท่าพี่แช่มมาก่อนเลย วันไหนก็ดีจนน่าใจหาย วันไหนร้ายก็ร้ายมากจริงๆ ยิ่งช่วงหลังนี่คือหนัก ไม่รู้เลยว่าอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขามันจะมาเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้เขาเป็น เชื่อไหมว่านั่งกันอยู่คนละซีกร้านแต่ยังรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาเลย อยากรู้จังว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะทะเลาะกันหรือเราจะทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหมือนอย่างทุกๆ ครั้ง

“ทำไมทำหน้าเศร้าจังล่ะครับพี่หอม” บวรถามก่อนจะส่งงขวดเบียร์มาให้ ผมจัดแจงกรอกเบียร์ขวดนั้นเข้าปากทันที ความขมของเบียร์ที่ไหลลงคอยังไม่ขมเท่ากับชีวิตของผมในตอนนี้เลย

“ไม่มีอะไรหรอกคุณ” ผมบอกปัดไปก่อนจะนั่งจิบเบียร์เงียบๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวหมดเบียร์ขวดนี้ผมกลับหอไปนอนดีกว่า ความน่าเบื่อหน่ายที่กำลังพบเจอนี่ต้องแก้ปัญหาด้วยการนอนเท่านั้น

“พอเห็นพี่ทำหน้าแบบนี้ ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย”

“คุณจะมารู้สึกทำไม”

“ก็คนมันรู้สึกไปแล้วนี่ครับ” เจ้าตัวเอ่ยพลางมองผมด้วยสายตาจริงจัง “จะไปห้ามไม่ให้รู้สึก....มันก็ไม่ได้อีก”

“คุณมันเด็กเพ้อเจ้อจริงๆ เลยนะบวร” ผมยกเบียร์ขึ้นกระดกจนหมดขวดก่อนจะหันมองไอ้เนย “งั้นพี่ไปก่อนนะ อยากกลับไปนอนแล้วว่ะ”

“ขับรถได้ป้ะเนี่ยพี่” มันถามอย่างเป็นห่วง

“เบียร์ขวดเดียวนี่เบๆ พวกคุณก็ดูแลตัวเองกันดีดีด้วยล่ะ ผมไปละ” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นทันที เหมือนบวรจะเดินตามออกมาแต่บรรดาเพื่อนๆ รั้งไว้ก่อน ดีละ เขาควรอยู่ห่างจากผมบ้าง

เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น

ผมเดินออกมาทางหลังร้าน ไม่รู้ว่าสภาพของพี่แช่มจะเป็นยังไงบ้างแต่ว่าช่างเขาเถอะ เดี๋ยวเพื่อนๆ เขาก็จัดการเองแหละ รู้สึกหงุดหงิดใจเหมือนกันนะที่ผมมาหาเขาแต่เขากลับ....ช่างแม่งเถอะ ความหงุดหงิดของผมมันทะลุเกินปรอทไปไกลมากแล้วตอนนี้ มากจนอยากจะอัดควันบุหรี่เข้าปอดหนักๆ ถ้าแม่รู้ว่าผมกำลังทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการแบบนี้เขาต้องด่าจนหูชาแน่ๆ เลย

ก่อนถึงมือแม่อาจจะต้องผ่านมือข้าวก้องก่อน

ผมเดินมาจนถึงรถของตัวเองก็พบกับร่างสูงของคนที่ทำให้ผมหงุดหงิด เขายืนทำหน้านิ่งๆ มองผมอยู่อย่างนั้น ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้าอย่างเห็นได้ชัด คงซัดไปเยอะเลยสิถึงได้เป็นแบบนี้น่ะ ผมเดินมาจนถึงประตูรถของตัวเองแล้วก็กำลังจะเปิดมันออก แต่พี่แช่มก็ขวางเอาไว้พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่ผม มาแนวนี้คือต้องมีปะทะฝีปากกันแน่เลยว่ะ

ไม่ชอบใจเลย

“หอมจะกลับหอ”

“อร่อยไหม” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ที่ไปนั่งกินกับโต๊ะนั้นน่ะ”

ผมผ่อนลมหายใจหนักๆ เพื่อข่มอารมณ์ตัวเอง “หอมว่าพี่เมามากแล้วนะ คุยกันตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง”

“หอมก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบไอ้เบย์อะ แล้วทำไมยังต้องให้มันวอแวอยู่ใกล้ๆ ตัวหอมด้วย” เขาโวยวายใส่ผม สีหน้าแสดงออกมาชัดเจนว่าหงุดหงิดมากและพร้อมอาละวาดได้ทุกเมื่อ

“พี่ก็รู้นะว่าหอมไม่ชอบที่พี่เป็นแบบนี้ แล้วทำไมพี่ถึงยังทำมันซ้ำๆ ซากๆ อยู่ล่ะพี่แช่ม” ผมสวนกลับไป เอาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาโวยวายใส่ผมด้วยซ้ำ

“โอเคพี่ผิด....พี่ผิดทั้งนั้นแหละ!!!”

“ใช่!!! พี่ผิด พี่ผิดตั้งแต่ที่หอมชวนพี่กลับแต่พี่ไม่กลับแล้ว คิดดูสิว่าพี่กำลังจะมีเรื่อง หอมเป็นห่วงพี่หอมก็เลยมาหา ตอนแรกเราก็คุยกันดีดีแต่พี่ก็เป็นแบบนี้แค่เห็นหน้าบวรอะ หอมรู้ว่าพี่ไม่ชอบหอมก็เลยชวนพี่กลับแต่พี่ก็ไม่กลับไง ถ้าพี่กลับตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาหัวเสียใส่กันแบบนี้หรอก”

“ถึงพี่จะยังไม่กลับแต่หอมไม่เห็นต้องไปนั่งกับมันเลยหนิ....หอมประชดพี่”

“ก็รู้หนิว่าประชด ในเมื่อหอมพยายามที่จะเลี่ยงให้พี่แล้ว แต่พี่ก็เป็นแบบเนี้ยะ ชอบไม่ใช่หรออะไรที่จะทำให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดอะ” ผมกำหมัดแน่นอย่างโมโห “พอไม่ชอบใจ พอหงุดหงิดพี่ก็มาลงที่หอม ไอ้ที่เคยบอกว่าให้เชื่อใจกันนั่นมันไม่ได้เข้าไปในหัวเลยใช่ไหมล่ะ”

“ข้าวหอม”

“พี่ไม่รู้หรอกว่าหอมต้องอดทนมากแค่ไหนอะ พี่ไม่เคยอดทนได้ถึงครึ่งนึงที่หอมทนด้วยซ้ำ.....ถ้าวันไหนที่หอมไม่ทนแล้ว พี่อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”

มือเรียวดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น “มะ....ไม่เอา อย่าพูดแบบนั้น” น้ำเสียงที่สั่นเครือดังอยู่ข้างหู พี่แช่มกอดผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป

เขาทำแบบนี้อีกแล้ว

ผมปล่อยให้ร่างสูงยืนกอดนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกอึดอัดนะ ทั้งทางร่างกายแล้วหัวใจเลย ความรู้สึกนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ถ้ามีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไปผมจะไม่มาหาพี่แช่มที่นี่เลย ปล่อยให้เขาเคลียร์ปัญหากันเองน่าจะดีกว่า ดูสิ ไปๆ มาๆ ผมกับพี่แช่มดันมาทะเลาะกันเอง เรื่องก็ไม่ใช่เรื่อง รู้สึกแย่จริงๆ ที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้

มันไม่ดีเลย

ร่างสูงที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกก่อนจะมองผมด้วยแววตาที่รู้สึกผิด “พี่....”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะในวันนึงพี่ก็จะทำมันอีก” ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เหมือนกับที่พี่ทำมันมาตลอดซ้ำๆ หอมชินกับมันแล้วแหละ”

“.....”

“หอมกลับหอแล้วนะ ค่อยคุยกันวันหลังละกัน” ผมหันหลังกลับเพื่อจะขึ้นรถ แต่พี่แช่มคว้าข้อมือของผมไว้ก่อน

“พี่อยากคุยกับหอมวันนี้”

“ถ้าคุยกับหอมวันนี้หอมจะถามพี่เหมือนที่เคยถามนะ”

“....ถาม”

ผมหันกลับมาหาเขา “ชะเอมเป็นใคร”

“ข้าวหอม” เขาหน้าซีดไปเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมถาม มือที่จับข้อมือผมไว้ก็ปล่อยออกก่อนจะยกขึ้นกุมขมับตัวเอง สีหน้าและอาการที่ไม่ค่อยดีแบบนี้มันบ่งบอกเลยนะว่าชะเอมเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเขามากแค่ไหน

ก็คงจะมากกว่าผมแน่นอน

“พี่ไม่บอกหอมล่ะว่าชะเอมเป็นใคร พี่รู้ไหมว่าหอมมคาใจเรื่องนี้มากแค่ไหน หรือสุดท้ายแล้วพี่จะบอกให้หอมรออีก”

“พี่.....”

“ชะเอมคงเป็นคนที่สำคัญมากของพี่สินะ อย่างน้อยก็คงมากพอที่พี่จะเก็บไว้ในใจแล้วเอามาละเมอเพ้อถึงได้น่ะ”

“อย่าพูดถึงเขานะ!!!!” เขาตวาดใส่ผมลั่นก่อนจะยกมือจับขมับตัวเองทั้งสองข้าง “อย่าพูด”

“หึ....โอเค โอเคเลย” ผมขึ้นรถก่อนจะรีบขับออกมาโดยปล่อยให้พี่แช่มยืนอยู่แบบนั้น มันเรื่องบ้าอะไรวะ ความหงุดหงิด ความไม่ชอบใจมันมากเกินไปจริงๆ ผมรู้สึกโมโหและกลัวที่จะระงับมันเอาไว้ไม่ได้

สุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่ได้คำตอบจากพี่แช่มว่าชะเอมเป็นใครแถมอะไรๆ มันก็ดูแย่ไปซะหมด เราไม่ควรทะเลาะกันจริงๆ นั่นแหละว่ะ แต่คนที่ชวนทะเลาะก็ไม่ใช่ผมป้ะวะ จิ๊....ช่างแม่งเถอะ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมไปหาที่ระบายดีกว่า มันคงไม่ใช่การดีเท่าไหร่ถ้าต้องอยู่คนเดียวในสภาพที่หัวร้อนเป็นฟืนไฟขนาดนี้ อย่างน้อยถ้าผมอยากจะอาละวาดขึ้นมามันจะได้มีคนห้ามผมได้

โอเค....ตามนี้แหละ



---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 3 : 8/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-11-2018 21:10:40
---------- ต่อจากบท 3 ----------



“เนี่ยะ คือกูงงมากจริงๆ สรุปใครผิดวะ”

“เออใจเย็นๆ ก่อน มึงไม่ผิดหรอก”

“ลองบอกว่ากูผิดดิ กูจะซัดหน้ามึงเลย”

“โหดจังวะหอม หน้าที่ดูใจดีนี่คือเอาไว้หลอกชาวบ้านใช่ไหม” ไอ้แกงทำหน้าผวาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ไอ้เกียร์ที่นั่งพับผ้าอยู่ “ช่วยด้วยที่รัก เค้าจะโดนเพื่อนซัด”

“ขนลุกอะแกง” เจ้าตัวบอกก่อนจะทำหน้าหยีใส่

เพื่อนรักผมตีไหล่แฟนตัวเองเต็มแรง “พูดแบบนี้คืออยากตายหรอห้ะไอ้เกียร์ พูดดีดีด้วยไม่ชอบ ชอบให้ป่าเถื่อนใช่ไหมมมม!!!!” ว่าแล้วไอ้โหดก็คว้าหมอนมาตีไอ้เกียร์รัวๆ แล้วทำไมอยู่ดีดีก็ตีกันเองได้วะ

ต้องห้ามไหมเนี่ยะ

ผมนั่งเท้าคางมองคู่รักที่กำลังไล่ตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย จริงๆ แล้วผมไม่คิดเลยนะว่าจะมีภาพนี้ให้ได้เห็นน่ะ แน่ล่ะ ก่อนจะมารักกันมันเกลียดขี้หน้ากันแทบบ้า อยู่ดีดีก็มาลงเอยกันเฉย ที่น่าหมั่นไส้สุดคือไอ้แกงครับ มันเคยลั่นวาจาไว้ว่ายังไงก็จะไม่มีวันญาติดีกับไอ้เกียร์เด็ดขาด แล้วไปๆ มาๆ มันก็มาได้กัน ได้กันแบบงงๆ ด้วยนะ ไม่รู้ว่าเอาเวลาตรงไหนไปจีบกัน รู้อีกทีคือพามาเปิดตัวแล้วบอกว่าเป็นแฟนกันแล้ว

เพื่อนๆ นี่ถึงกับสับสนมึนงง

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะมีโมเม้นท์ได้กันแบบงงๆ มาก ทุกวันนี้ก็มีแค่โมเม้นท์ทะเลาะกันแบบงงๆ ตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว ผมไม่รู้ว่าสภาพของพี่แช่มจะเป็นยังไงแต่ตัวผมเองก็ถือว่าใจร่มลงเยอะ อย่างน้อยก็มีสติกว่าตอนแรก เนี่ยะ พอได้ระบายให้เพื่อนได้ฟังมันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ นั่นแหละ

ค่อยยังชั่วหน่อย

“อื้ออ.อ.อ.อ....แกง กูเจ็บ” เสียงร้องโอดโอยดังออกมาจากปากไอ้เกียร์ พอเป็นแบบนั้นไอ้แกงจึงยอมลามือแล้วมานั่งข้างผมเหมือนเดิม

นั่งหอบแฮ่กเป็นหมาเลยล่ะ

“สบายใจยังได้ตีกันเนี่ยะ”

“สบายใจละ เออเรื่องที่มึงเล่ามาอะ กูว่ามึงน่าจะทำอะไรสักอย่างนะหอม”

“กูอะทำหลายอย่างเลย แต่ก็อย่างที่เห็นอะ”

มือเรียวเลื่อนมาแตะที่ไหล่ผม “กูไม่คิดเหมือนกันว่ามึงจะทนอยู่กับสถานะแบบนี้มาได้ตั้ง 2 ปีกว่า ไหนควักหัวใจออกมาให้ดูหน่อยซิ อยากรู้ว่ามันจะบอบช้ำมากขนาดไหน”

“แกง” ไอ้เกียร์เอ็ดแฟนตัวเองก่อนจะหันมองผม “กับความสัมพันธ์นี้มันเหนื่อยมากไหมหอม”

ผมพยักหน้ารับ “ก็นะ มันครึ่งๆ กลางๆ ผิดที่เค้าไม่เดินหน้าและก็ผิดที่กูตัดใจหยุดความสัมพันธ์นี้ไม่ได้สักที มันถึงได้ดันทุรังอยู่แบบนี้”

“แต่จริงๆ พี่แช่มแกเพิ่งจะมาเป็นแบบนี้ก็พักหลังๆ ป้ะ ตั้งแต่ขึ้นปี 4 อะ”

“ก็ใช่แหละ เมื่อก่อนก็มีบ้างแต่ว่าไม่บ่อยเท่าตอนนี้ มึงคิดดูดิ พักหลังมาคือทะเลาะกันแทบทุกวันและเรื่องก็จบแบบเดิมคือเค้ามาขอโทษกูแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สักแปปก็เอาอีกละ”

“น่าสงสารมึงว่ะ นี่ถ้าไอ้เกียร์เป็นแบบนี้นะ กูเฉดหัวออกไปจากชีวิตกูนานละจริงๆ ไม่ยอมทนขนาดนี้หรอก”

“ที่หอมมันทนก็เพราะว่ามันรักไง วันไหนที่ไม่รักแล้วก็จะไม่ทนแล้ว....จริงไหมหอม”

“อืม เรื่องดีดีที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรามันทำให้กูยังอยู่ตรงนี้ ถ้าวันไหนมันมีเรื่องที่เข้ามาลบล้างความรู้สึกดีดีเหล่านั้นไป กูก็คงไม่อยู่ตรงนี้แล้วล่ะ เพราะมันคงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าที่ตรงนี้มันไม่ใช่ของกู”

“เศร้าใจแทนเลยว่ะ แดกเบียร์มะ”

“กูกินมาละ” ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง “นอนด้วยได้ไหมวะ รู้ว่ามันจะรบกวนพวกมึงแต่กูขอรบกวนหน่อยเถอะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน” ไอ้เกียร์บอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ไอ้บ้านี่ก็ใจดีจริงๆ เลยว่ะ ดูอีกกี่รอบก็เหมือนเข้ากันกับไอ้แกงไม่ได้

ผมนอนเอามือก่ายหน้าผากพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คืนนี้คงไม่มีอะไรที่ทำให้ผมประสาทแดกอีกแล้วแหละ หรือถ้ามี ผมจะโดดตึกตายเพื่อหนีทุกอย่างจริงๆ ด้วย ไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่ตัวเองกำลังเจอเลยอะ ไม่รู้ว่าควรจะจัดการไปในทิศทางไหนดี ตอนที่ผมเป็นเด็ก พ่อไม่เคยบอกเลยนะว่าโตมาแล้วต้องวุ่นวายมากขนาดนี้ อารมณ์เหมือนอยากให้เรียนรู้เอาด้วยตัวเองล่ะมั้ง

ประสบการณ์จะสอนเราเอง....อะไรทำนองนี้

แต่สอนหนักไปไหมวะ

ผมหันหน้าหาเพื่อนรัก “แกง”

“หืม....”

“เคยคิดจะเลิกกับไอ้เกียร์ไหม”

“ไม่เคย” มันขยับขึ้นมานอนบนเตียงข้างผม “เพราะเรารักกันมากไงมึง มันก็มีช่วงอารมณ์เบื่อๆ และก็รู้สึกรำคาญนะ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปแหละ กูว่าความรู้สึกนี้มึงก็น่าจะเข้าใจดีนะ”

“นั่นสินะ กูอาจจะเข้าใจมันดีก็ได้”

“ไม่เป็นไรนะมึง กูเชื่อในเรื่องของทฤษฎีคนที่ใช่จะโคจรมาเจอกันนะ ถ้ามึงกับพี่แช่มเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน ยังไงซะมันก็ต้องคู่กันอยู่ดี”

“หรือกูกับพี่แช่มเจอกันไวเกินไปวะ”

“ทำไมมึงคิดแบบนั้นอะ”

“ก็ถ้าเป็นคนที่ใช่....แต่ดันมาเจอกันในเวลาที่ไม่ใช่” ผมยิ้มบางๆ ให้คนที่นอนข้างๆ “ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี”

“เรื่องนั้น....เวลาจะเป็นตัวบ่งบอกทุกอย่างเอง”

ก็ต้องรออีกสินะ

ไม่เป็นไร....ผมเป็นพวกอดทนรอเก่งอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้มันคงไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็เป็นสัญญาณบอกกับผมว่าต้องเผื่อใจเอาไว้แล้วนะ อย่างน้อยในวันที่ต้องเลือกจะตัดใจมันจะได้ไม่สาหัสมาก ผมอยากรู้จริงๆ ว่าในเวลาที่ผมกำลังฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ ใครอีกคนเขาจะเป็นเหมือนผมไหม เราจะรู้สึกแบบเดียวกันรึเปล่า

จิ๊....ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวว่ะ

พอๆ เลิกคิดเถอะข้าวหอม

ผมเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเข้าไปดูแจ้งเตือนทางทวิตเตอร์ เมื่อชั่วโมงก่อนคนขี้เมาเขาทวิตข้อความ ขนาดยังไม่เข้าไปดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องดราม่าแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงกดเข้าไปดู ข้อความที่ปรากฏขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะเอาผ้าห่มคลุมหัวพี่แช่มแล้วก็กระหน่ำทุบรัวๆ ซะจริง เก่งนักนะเรื่องตัดพ้อตัวเองเนี่ยะ ช่างแม่ง ปล่อยให้เสียสติไปวันนึงก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

เมาไม่พอแถมยังงี่เง่าอีก

คนบ้า....





Charit @Charitpedd

อยากเป็นแค่คนเดียวที่ทำให้คุณยิ้มได้ในทุกๆ วัน แต่แย่หน่อยที่ทำแบบนั้นไม่ได้



#พี่แช่มได้กล่าวไว้












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากหายไปพักนึงเลย ช่วงนี้กำลังสอบไฟนอลค่ะ แล้วก่อนหน้าคือโปรเจ็กต์เยอะมาก รู้สึกดีีใจกับตัวเองที่เอาชีวิตรอดมาได้

สำหรับตอนนี้ก็หนึบหนับหัวใจพอสมควรนะคะ อะไรที่ยังเป็นปริศนาก็ยังคงต้องเป็นปริศนากันต่อไป เรื่องของแช่มหอมมันจะเดินไปประมาณนี้จริงๆ กุมใจกันเอาไว้ดีดีนะ เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 4 : 24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-11-2018 22:24:39
บทที่ 4 ขี้้โกง
[/b]



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



Charit @Charitpedd

บางเรื่องที่พยายามจะจำ มันไม่เคยจำได้

แต่กับบางเรื่องที่พยายามจะลืม มันไม่เคยลืมเลย



#พี่แช่มได้กล่าวไว้


.

.

“ฮึกก.ก.ก.....หนูกลัว”

“ชู่ววว....ไม่เป็นไรนะคะ อย่าร้องเลยนะคนเก่งของพี่”

“ฮืออ.อ....พี่แช่ม”

“มันจะไม่เป็นอะไรนะคะชะเอม.....พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะ....ชู่ววว”

“คุณพ่อคุณแม่....ฮึก....”

ปังงงง

.

.

​.

“เฮือกกกก.....” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง อื้อออ.อ..อ.....ทรมานเกินไปแล้ว ทุกอย่างมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ มันหลายปีแล้วแต่ทำไมมันถึงได้.....

“เป็นไรวะมึง” เสียงเฌอดังขึ้นเรียกสติผม ทำไมมันมาอยู่กับผมได้วะ

“กู.....ไม่มีไร แล้วทำไมมึงถึงอยู่นี่ได้อะ”

“เมาจนเพี้ยนหรอไอ้ชิบหาย นี่ห้องกู มึงเมาอย่างกับหมาอะเมื่อวาน กูนี่ต้องลากซากมึงกลับมาด้วย ถามแบบนี้คือจำอะไรไม่ได้เลยหรอ”

“จำไม่ได้”

เอาจริงๆ ก็จำได้นิดหน่อย

ผมจำได้ว่าตัวเองไปนั่งทำงานกันที่ร้านจันทร์เจ้าแล้วก็มีเรื่อง น้องหอมมาหาผม แล้วเราก็ทะเลาะกันเพราะผมโกรธที่เขาไปนั่งกินเหล้าโต๊ะไอ้เบย์ พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยกินเหล้าประชดเขา ผมจำได้ประมาณนี้ส่วนเรื่องหลังจากนั้นมัน....

มันเกิดอะไรขึ้นวะ

“แต่กูจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คืองี้นะเพื่อนนะ มึงแดกเหล้า มึงเมาแล้วมึงก็ออกไปหาน้องหอม หายไปพักนึงเลยก่อนจะกลับเข้ามาในร้านแล้วก็นั่งแดกเหล้าต่อ แดกแม่งจนอ้วกอะไอ้เวร มึงรู้ไหมว่าใครเช็ดอ้วกมึงเมื่อคืน กูนี่ไง ท่านเฌอคนนี้ไง”

ผมหลุดขำออกมาเพราะท่าทีของเพื่อนรัก “ขอบใจท่านเฌอด้วยละกันที่เป็นสายซัพฯ ให้กูเมื่อคืน”

“เออ เลี้ยงข้าวกูด้วยนะ” มันบอกก่อนจะขยับมานั่งลงข้างๆ “ตกลงคือจำไม่ได้เลยใช่ไหมเรื่องเมื่อคืน”

“อืม แต่คิดว่าตอนนี้น้องหอมน่าจะโกรธกูเอามากๆ เลยแหละ กูต้องขอโทษน้อง”

“กูไม่ค่อยพูดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่ว่า....คำว่าขอโทษของมึง อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ไอ้หอมต้องการแล้วก็ได้”   

“ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะว่ามันไม่มีการขอโทษไหนจะดีเท่าการที่มึงไม่ทำสิ่งนั้นซ้ำอีก คำพูดน่ะแช่ม มันจะไปสู้การกระทำได้ยังไงวะ จริงอยู่ว่าการที่จะเริ่มต้นคุยกันอีกครั้งอาจจะเริ่มจากคำว่าขอโทษแต่กูคิดว่ามันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนักหรอก”

ก็จริงแบบที่เฌอพูด....ผมใช้คำว่าขอโทษบ่อยมากเกินไปจริง

ขอโทษเนี่ยะ มันเป็นคำที่เราพูดบอกเวลาทำผิด มันไม่ได้เสียหายหรอกครับถ้าเลือกที่จะพูด แต่ถ้าเราพูดมันซ้ำๆ แต่เรายังทำผิดอยู่เหมือนเดิม มันก็เป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ ที่ไร้ค่า อยากจะพูดตอนไหนก็พูด ซึ่งนั่นมันไม่ดีเลย ผมเป็นแบบนี้ตลอด พยายามจะเปลี่ยนตัวเองแล้วนะแต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ขึ้น มันทำให้ผมทนไม่ไหวแล้วก็ทำเรื่องไม่ดีต่อน้องหอมอยู่ซ้ำซาก

มันแย่มากจริงๆ

ช่วงหลังมาผมจัดการความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมทำมันได้ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนนี้มาก เหตุผลมักจะมาก่อนเสมอ ผมอยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ กลับไปตอนที่ความสัมพันธ์ของเราสองคนยังดีกว่านี้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันเลยก็ตาม

ตอนนั้นมันดีมากจริงๆ

“เดี๋ยวกูจะจัดการเรื่องของตัวเองก็แล้วกัน” ผมบอกก่อนจะหยิบข้าวของของตัวเองเพื่อจะเดินออกไปจากห้อง

“มึงไปไหนอะ”

“.....หาหมอ”


***



“ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกนะชริต”

“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับ”

“คุณลุงได้มาด้วยรึเปล่าล่ะ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “เค้าไม่รู้ด้วยว่าผมมาหาหมอ ผมไม่ได้บอกเค้า”

“อยากให้หมอบอกเค้าไหม”

“ไม่ครับ ผมอยากให้คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่ผมคนเดียว”

“อื้มโอเค เล่ามา.....เกิดอะไรขึ้น” พอหมอเอ่ยแบบนั้นผมจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงหลายเดือนให้เขาฟัง ทั้งเรื่องความฝัน เรื่องภาพหลอน และอาการปวดหัวของผม

นายแพทย์นวัตรเป็นแพทย์ประจำตัวผมเมื่อหลายปีก่อน ความจริงผมไม่ได้อยากกลับมาหาเขาเท่าไหร่หรอกเพราะว่าการกลับมาหาเขามันหมายถึงว่าผมกำลังจะกลับไปอยู่ที่จุดๆ เดิม ตอนนั้นมันแย่นะครับ ถึงในหัวจะไม่ค่อยรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆ กาย แต่ความรู้สึกที่เข้ามามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การทำให้ตัวเองหายจนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ก็ใช้เวลานาน

ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก

สิ่งที่ผมเป็นอยู่ ผมไม่เคยคิดที่จะบอกใครไม่ว่าเพื่อนหรือแม้กระทั่งน้องหอม ส่วนสาเหตุมันเป็นเพราะผมอยากให้ทุกคนปฏิบัติกับผมเหมือนคนทั่วไป ผมไม่ได้อยากเป็นที่ละเว้นจากใครทั้งนั้น ความเท่าเทียมคือสิ่งที่ผมต้องการ ช่วงที่เข้ามหา’ลัยผมคิดมาตลอดเลยว่าตัวเองหายดีแล้ว มันจะไม่กลับมาอีกแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เหมือนหลอกตัวเองมาตลอด เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่ามันจะไม่มีวันหายขาด.....ตราบใดที่ความทรงจำยังอยู่

ผมจะไม่มีวันลืมมัน

ทั้งๆ ที่ใจไม่ได้อยากจำสักนิด

“ก็เอาเรื่องอยู่นะ การควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เนี่ยะ มันสามารถทำร้ายคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัวได้....จริงไหม”

“ครับ”

“ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะต้องเข้ารับการบำบัด ไม่ก็กลับไปกินยานะชริต”

“กินยาหรอครับ” ผมรู้สึกปวดขมับทันทีที่หมอบอกออกมาแบบนั้น ถึงเวลามันจะผ่านมาหลายปีแต่ผมยังจำความรู้สึกของผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาตัวเองได้ดีเลย

มันทรมานเอาเรื่องเลยนะตอนนั้นน่ะ

“ถ้าไม่อยากกินยาก็ต้องเข้ารับการบำบัดนะ เพราะถ้าอาการมันแย่ลงกว่านี้ คนที่จะทนไม่ไหวก็คือตัวเธอเอง” เขายิ้มบางๆ ให้ผม “เธอรู้อยู่แล้วว่าควรต้องคิดยังไง ต้องจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง อย่าคิดว่าไม่ไหว เพราะครั้งนึงที่เธอเคยอยู่จุดนั้นที่เลวร้ายมากกว่านี้ เธอยังผ่านมันมาได้เลย หมอก็หวังนะว่าครั้งนี้เธอจะผ่านมันไปได้เหมือนกัน”

“ครับ ผมจะพยายาม” ผมรับคำเขา “ทำเรื่องเข้ารับการบำบัดเลยครับ”

“โอเค เดี๋ยวหมอจะจัดการเรื่องนี้ให้นะ”

“ขอบคุณนะครับ”

ผมหวังว่าการเข้ารับการรักษาในครั้งนี้มันจะทำให้อาการหลายๆ อย่างของผมดีขึ้น ผมต้องจัดการตัวเองให้กลับไปเป็นปกติให้ได้ อย่างน้อยถ้าผมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากกว่านี้ ผมก็จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีต่อน้องหอม แล้วถ้าทุกอย่างมันโอเคขึ้น ผมก็จะค่อยๆ ซ่อมรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเราให้กลับไปสมบูรณ์เหมือนเดิม

ผมต้องทำให้ได้



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]



สิ่งที่เยียวยาชีวิตของเราตอนโซแซดได้ดีที่สุดก็คือ.....ของกินครับ

ในตอนนี้คือของกินที่เรียกว่าปลาดิบ

ผมยัดแซลม่อนสีฉ่ำเข้าปากทันที กลิ่นฉุนของวาซาบิคือสิ่งแรกที่สัมผัสได้ อื้ออ.อ.อ....มันสุดจริงๆ ผมชอบเวลาที่หัวโล่งแบบนี้นะ ถึงมันจะต้องแลกกับการเสียน้ำตาแล้วก็หายใจฟึดฟัดก็ตาม อาหารญี่ปุ่นนี่เป็นที่สุดในดวงใจผมเลย อย่างน้อยมันก็ช่วยเยียวยาผมได้ดีในตอนที่ชีวิตเจอเรื่องบัดซบมา ตอนแรกผมกะว่าจะปลีกวิเวกมาคนเดียวแบบสงบๆ แต่สิ่งที่คิดมันก็ได้พังลงไปเพราะมีคนสะเหล่ออยากมากินด้วย

น่ารำคาญชะมัด

บุคคลน่ารำคาญที่ว่าก็คือน้องชายของผมเองนั่นแหละ ไม่รู้ว่านึกคึกอะไรถึงอยากตามออกมากินซูชิด้วย ปกติแล้วมันจะไม่ค่อยชอบพวกปลาดิบเท่าไหร่ไง โน่น สไตล์มันต้องร้านส้มตำแถวหลังมอโน่น ตำปูปลาร้าพริกร้อยเม็ดอย่างงี้ แค่นึกถึงสีของส้มตำที่มันกินผมก็จะร้องไห้แล้วอะ แล้วดุมันเรื่องกินเผ็ดจัดเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะฟัง ใช่สิ เพราะผมเป็นข้าวหอมไงมันเลยไม่ฟังผม แต่เอาจริงๆ ข้าวก้องก็ไม่เคยฟังใครอยู่แล้วนะ

มันดื้อ

“ไม่ชอบก็อย่าฝืนกินสิวะ” ผมนั่งเท้าคางมองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าแหยะๆ ออกมาหลังจากที่กินแซลม่อนไป เนี่ยะ ถ้าไม่ชอบมันถึงขนาดนั้นก็ไม่เห็นต้องกินเลยป้ะวะ

“ขนาดมึงไม่ชอบมึงยังฝืนอยู่เลยหอม”

จึ้ก....จึ้กเลย

ไอ้น้องเวรนี่มันน่านักนะ

“อยากโดนตะเกียบแทงตายหรอถึงได้พูดอะไรไม่เป็นเรื่องแบบนี้น่ะ” ว่าแล้วผมก็ทำหน้าเหี้ยมใส่ ต่อให้มึงเป็นน้องกูก็ไม่ยกเว้นนะจะบอกให้

“กูพูดความจริง” ไอ้น้องตัวแสบมันทำหน้ายียวนใส่ “มึงอะ หัดยอมรับความจริงซะบ้าง”

“มึงพูดอะไรวะ” ผมแสร้งทำเป็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “ไร้สาระ”

“จ้า คนมีสาระ” มันเบ้ปากใส่ผมก่อนจะคีบปลาดิบเข้าปากพร้อมกับทำหน้าหยีอีกรอบ รู้สึกเสียดายของมากๆ เลยนะ ไม่ชอบก็ไม่หยุดกินสักทีล่ะไอ้เวร

“ไม่ต้องกินละ โน่น สั่งข้าวหน้าเนื้อไป” ผมบอกมันก่อนจะโยนเมนูให้ ไม่ได้สงสารที่มันต้องมานั่งทรมานตัวเองหรอกนะแต่รำคาญอะ

“กูกำลังแสดงให้มึงดูอยู่นะว่าถ้ายังอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบมันจะทำให้มึงรู้สึกแย่”

“....กูชอบ”

“แล้วถ้าสมมุติว่าของที่มึงชอบมันเริ่มทำให้มึงไม่มีความสุขล่ะ” ข้าวก้องเอ่ยถามพลางมองอย่างจริงจัง “มึงยังจะทนกินมันอยู่อีกหรอ”

ผมสบตามันทันทีหลังจากสิ้นเสียงนั้น ผมรู้ดีว่าข้าวก้องต้องการจะสื่อถึงอะไร เมื่อวานที่ผมกับพี่แช่มทะเลาะกันแน่นอนว่ามันรู้เรื่อง ไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนแต่มันมาถามผมตั้งแต่เมื่อเช้าละ ไอ้เราก็ยังไม่ตื่นไอ้เวรนี่ก็ปลุกอยู่นั่น จนสุดท้ายแล้วผมต้องแหกขี้ตาตื่นมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง แล้วก็นั่นแหละ มันรู้เรื่องแล้วก็คงจะไม่ชอบใจพี่แช่มอยู่ไม่น้อยที่ทำแบบนี้กับผม

ดีแค่ไหนที่ไม่คิดจะไปตามกระทืบเขาน่ะ

เดิมทีข้าวก้องก็ไม่ได้ปลื้มปริ่มอะไรคนขี้เมานักหรอก ก็เรียกว่าเฉยๆ นั่นแหละ แต่เพราะเป็นคนที่ผมชอบมันก็เลยไม่ได้อะไรนัก แต่พอพี่แช่มเริ่มทำให้ผมเสียใจเข้ามากๆ มันก็ไม่แปลกที่น้องอย่างมันจะหงุดหงิดใจเป็นธรรมดา ปกติมันจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กับผมหรอกนะ มีวันนี้นี่แหละที่แสดงออกมาชัดเจนมากว่าอยากให้ผมพอได้แล้ว ตอนคิดมันอาจจะง่ายนะแต่พอจะทำมันก็อีกเรื่อง

ถ้ามันตัดใจง่ายขนาดนั้นผมคงไม่จมอยู่ตรงนี้หรอก

“ช่างเรื่องกูเถอะน่ะ” ผมบอกปัดไปก่อนจะคีบทาโกะเข้าปาก “กูคิดว่ากูจัดการชีวิตตัวเองได้”

“จัดการได้ซะชอกช้ำเลยนะ”

“เออน่ะ ช้ำก็ชีวิตกูอีกอะ” ผมทำหน้ายับใส่มัน เหมือนบอกไปหลายครั้งแล้วนะว่าชีวิตคนเรามันก็ต้องมีชอกช้ำบ้างแหละ ทุกเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านเข้ามาคือบททดสอบว่าเราจะผ่านมันไปได้ยังไง

ผมพยายามคิดแบบนี้เพื่อให้ตัวเองเข้าใจในคำว่าชีวิตนะ ช่วงเวลาที่มีความสุขมันก็ดีมากๆ แต่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าชีวิตเราต้องเจอความทุกข์เหมือนกัน แต่ละคนก็จะเจอเรื่องที่แตกต่างกันออกไป บางคนต้องทุกข์ใจเพราะไม่ได้มีแบบคนอื่นเขา กับบางคนอาจจะทุกข์ใจเรื่องที่รูปร่างของตัวเองมันไม่ได้ดั่งใจ อย่างของผมมันก็คือเรื่องของความรักซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกเป็นทุกข์กับมัน ยังมีคนอีกหลายล้านที่เจอแบบเดียวกันกับผม

มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตจริงๆ นั่นแหละ

ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองในการตัดสินใจเลือกทางได้สักทาง อย่างตัวผมตอนนี้ก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ในจุดที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเจ็บปวด เหตุผลที่เรียกว่าความรัก....มันเป็นเหตุผลที่ดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลยนะแต่มันก็จริงตามนั้น ผมรักพี่แช่ม ถึงแม้ตอนนี้จะยังรู้สึกหงุดหงิดใจกับเขาอยู่แต่ว่าผมรู้ตัวเองเลยล่ะว่าจะต้องใจอ่อนแล้วยอมหายโกรธเพราะคำขอโทษหรือการกระทำที่แสดงออกมาเพื่อง้อผมแน่ๆ

ข้าวหอมนี่มันน่าตีจริงๆ

ผมนั่งมองข้าวก้องที่เพิ่งสั่งไอติมชาเขียวมากิน สีหน้าค่อยดูดีกว่าตอนกินปลาดิบหน่อย เคยสงสัยเหมือนกันนะว่าไอ้น้องเวรของผมเนี่ยะมันไม่มีคนที่ตัวเองรู้สึกชอบจริงๆ เหรอวะ ความรักครั้งล่าสุดของมันก็ตั้งแต่สมัยมัธยมฯ ตอนนั้นข้าวก้องคบกับน้องคนนึง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยนะ ผมรู้ว่ามันรักแฟนตัวเองมาก อะไรที่ทำเพื่อเธอได้มันก็ยอมทำแทบทุกอย่างแถมยังดูแลเป็นอย่างดีแต่สุดท้ายแล้วน้องคนนั้นก็นอกใจมัน

น่าประสาทแดกป้ะล่ะ

จากนั้นมา....ข้าวก้องก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่เกลียดความรักไปเลยด้วย ทั้งๆ ที่มันเองก็เคยมีความรักมาก่อนแต่กลับบอกว่าตัวเองไม่เข้าใจมัน ทั้งๆ ที่เคยมีแต่ก็บอกว่าไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น มันเหมือนการปิดกั้นตัวเองไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้น แต่ผมพอเข้าใจนะว่ามันทำแบบนั้นไปทำไม คงจะเป็นเรื่องของเซฟโซนที่เจ้าตัวขีดเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจากสิ่งที่อาจจะเข้ามาทำให้เสียใจ

ข้าวก้องคงไม่ได้ชอบเสียใจซ้ำซากเหมือนผมล่ะมั้ง

“ก้อง”

“หืม....”

“เคยคิดจะเริ่มต้นใหม่ป้ะวะ”

คนตรงหน้าเหลือบมองผม “พูดถึงเรื่องอะไร”

“ความรัก”

“กูไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรัก”

“มึงรู้อยู่แก่ใจดี” ผมบอกก่อนจะแย่งไอติมในถ้วยมันมากิน “กลัวความรักหรอ”

“ไม่ได้กลัวความรัก” มันตอบทันควันก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ผม “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเสียใจจากมันต่างหาก มึงน่าจะยังจำตัวกูในตอนนั้นได้ว่ามันย่ำแย่มากแค่ไหน กูไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหาเรื่องให้ตัวเองกลับไปอยู่จุดนั้นอีกแล้ว”

“แต่คนทุกคนมันก็ไม่เหมือนกันป้ะวะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำมึงเสียใจ”

“มึงไม่เคยเจอกับตัวเองว่ะหอม คนๆ เดียวอาจจะทำให้เราฝังใจไปทั้งชีวิตก็ได้ ใจเราอาจจะไม่อยากเป็นแต่มันช่วยไม่ได้เมื่อทุกอย่างมันอยู่ในความทรงจำ สมองมันคิดไปเองโดยอัตโนมัติ มันคือเรื่องที่ควบคุมยาก”

“ก็จริงของมึงอะนะ กูยังไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายเท่ามึง ถ้ากูเจอแบบนั้นบ้างมันก็คงบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะทนรับมันไหวไหม....ความอดทนของคนเราไม่เท่ากัน”

“มึงเข้าใจถูกแล้วล่ะ กูอะ ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียใจเหมือนกับที่กูเคยเป็น” มันบอกก่อนจะเบ้ปาก “ที่กูพูดนี่ไม่ได้หมายความว่ากูเป็นห่วงนะ แต่กูพูดเพราะว่ากูเป็นพี่มึง”

“กูต่างหากที่เป็นพี่”

“เหมือนบอกไปหลายรอบละนะว่าหมอหยิบกูออกมาก่อน”

“มึงนี่มันน่ารำคาญจริงๆ เลย”

“แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

กวนส้นตีน

ครืดดดด....ดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏชื่อคนที่เพิ่งทะเลาะกันไปเมื่อคืน ตอนนี้เขาน่าจะฟื้นสติกลับมาเป็นคนปกติแล้วล่ะมั้ง ที่โทรมาหานี่ก็อาจจะเพราะเรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ ผมลองทำตัวหยิ่งไม่รับสายเขาดีไหมวะ ใจก็อยากลองทำแบบนั้นแต่เดี๋ยวเรื่องที่คาใจกันอยู่มันไม่จบสักที คุยๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด อยากรู้เหมือนกันว่ารอบนี้จะเอาวิธีไหนมาง้อผม

“....ฮัลโหล”

(อยู่ไหนอะ พี่มาหาน้องหอมที่หอแล้วไม่เจอ)

“ออกมากินข้าวข้างนอก มีอะไรรึเปล่า”

(ไปกาญฯ กันไหม)

“ตอนนี้เนี่ยนะ” ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง เข็มสั้นชี้ไปที่เลข 2 ซึ่งถ้าสมมุติว่าไปตอนนี้มันก็คงจะถึงตอนเย็นเลยล่ะมั้งเนี่ยะ แล้วเขานึกยังไงถึงอยากได้ชวนผมไปกาญฯ ตอนนี้วะ

(อื้ม พี่จองรีสอร์ตไว้แล้วอะ น้องหอมไปกับพี่นะ)

เอาแต่ใจไม่ปรึกษากันสักคำ....พี่แช่มนี่มันน่าทุบจริงๆ เลย

“แล้วถ้าหอมไม่ไปอะ”

(น้องหอมต้องอยากไป)

“ทำไมพี่ถึงคิดว่าหอมอยากไปกับพี่วะ”

(เพราะรีสอร์ตที่พี่จองคือ River Kwai Jungle Rafts ลองคิดเอานะว่าอยากไปรึไม่อยาก)

“เออไป มารับด้วยละกันอยู่ห้าง BB”

(แล้วเจอกันจ่ะ)

ผมกดวางสายก่อนจะทึ้งหัวตัวเองเบาๆ บ้าเอ๊ย ทำไมคิดไวใจเร็วแบบนี้น้าข้าวหอมน้า เอาจริงๆ แค่ได้ยินว่าเป็น River Kwai Jungle Rafts ก็เนื้อเต้นแล้วอะ มันเป็นแพบนแม่น้ำแควที่ผมกับพี่แช่มเคยสัญญากันไว้ว่าจะลองไปด้วยกันสักครั้ง ความพิเศษของแพที่นี่คือจะไม่มีไฟฟ้าใช้เลยครับ ไม่มีแอร์ ไม่มีแสงไฟ จะต้องใช้แสงจากตะเกียงเท่านั้น ก็คือจะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติเต็มที่เลยล่ะ

แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว

ที่พี่แช่มจองไว้ก็น่าจะเป็น 2 วัน 1 คืนแหละเพราะว่าวันมะรืนผมมีเรียนและตัวเขาเองก็คงมีเรียนเหมือนกัน ดีนะว่าช่วงนี้มันวันหยุดยาวเพราะอาจารย์ติดสัมมนา แต่หลังจากนี้ไปก็มีแต่เรียน งาน เข้าเชียร์และก็จะวนลูปแบบนี้ไปยันไฟนอล ไปเที่ยวครั้งนี้ถือว่าไปพักผ่อนสมองสักวันก็แล้วกัน หวังว่าคนที่ชวนผมไปจะไม่ทำทริปของเรากร่อย เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นนะผมจะเดินหนีเข้าป่าไปเลย

ไปอยู่กับหมี อยู่กับช้างแทน

ผมหยิบกุญแจรถของตัวเองส่งไปให้ข้าวก้อง “ฝากเอารถกลับด้วย”

“มึงจะไปไหน”

“ไปกาญฯ ”

“กับพี่แช่มหรอ”

“อืม”

“มึงนี่มันไม่เข็ดจริงๆ เลยนะ”

“เอ๊ะ มึงนี่” ผมทำบู้บี้ใส่มัน ถึงข้าวก้องจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังอยากไปอยู่ดี รอจะไปที่นี่มาตั้งนานแล้วนี่หว่า อีกอย่างคือพี่แช่มเองก็อาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อแทนการขอโทษผมเรื่องเมื่อคืนก็ได้

อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง

“กูจะรอซ้ำเติมมึง”

“เออ รอซ้ำเติมไปเลยไอ้หน้าสัส” ผมหยิบเงินก่อนจะส่งให้มัน “ค่าอาหาร กูไปละ ขับรถกลับดีดีด้วยล่ะ”

“เออไอ้เวร” พอได้ยินแบบนั้นผมเลยชูนิ้วกลางให้มันไปทีนึงก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เดี๋ยวไปซื้อของใช้ด้วยดีกว่า เพราะว่าถ้าพี่แช่มมารับผมแล้วเขาคงไม่แวะกลับไปหอแล้วล่ะ

ผมคิดนะว่าจะทำหน้ายังไงใส่เขาดี เมื่อคืนเราทะเลาะกันมาหนักมากแต่ไม่รู้ว่าคนขี้เมาจะจำได้รึเปล่า พี่แช่มจะเป็นประเภทเมาหนักแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แบบนั้นมันก็ดีและก็ไม่ดีนะ มันอาจจะดีกับตัวเขาแต่มันไม่ค่อยดีกับผมเท่าไหร่ เพราะในขณะที่เขาลืมทุกอย่างจนหมดแต่ผมกลับจำได้ทุกอย่างเลยไง บ่อยครั้งที่ผมต้องเอาคำว่าช่างแม่งมาใช้กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ต้องเป็นข้าวหอมที่อดทนเก่งจริงๆ

ใช้เวลาซื้อของสักพักพี่แช่มก็ไลน์มาหาผมว่าถึงแล้ว พอเป็นแบบนั้นผมก็ลากสังขารตัวเองมาที่ลานจอดรถของห้าง รถซูซูกิ สวีฟสีขาวที่ผมนั่งเป็นประจำจอดรออยู่ไม่ไกล ผมเดินมาขึ้นรถก่อนจะคาดเบลท์แล้วหันมองคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ พี่แช่มเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มหวานให้ หึ....ทำมาเป็นยิ้ม น่าหมั่นไส้มากจริงๆ

หันหนีแม่ง

“เป็นอะไรหืม....หันหนีพี่ทำไมอะ” มือเรียวเลื่อนมาลูบหัวผมเบาๆ ความจริงไม่ได้ชอบให้ใครมาทำให้หัวตัวเองเสียทรงหรอกนะ แต่กับคนนี้ก็คือยอม

ก็ยอมแทบทุกเรื่องแหละว่ะ

“จำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้หรอ”

“จำได้....บ้าง จำได้ว่าทะเลาะกัน”

“แล้ว”

“กำลังจะง้อนี่ไง” เขาจับหัวผมให้หันไปมอง “ไปเที่ยวกันเนอะ”

“ก็ไปสิ” สิ้นเสียงของผมพี่แช่มก็ออกรถ ไปกาญฯ นี่น่าจะใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้ารถไม่ติดก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้นะ ผมอยากงีบสักพักจัง หนังท้องตึงหนังตามันก็จะหย่อนแบบนี้แหละ

“ง่วงหรอ นอนก่อนได้นะ ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวพี่ปลุก”

“โอเค งั้นหอมนอนนะ” ว่าแล้วผมก็หลับตาลง สัมผัสได้ถึงแรงลูบอุ่นๆ ที่หลังมือด้วย แน่ะๆ ๆ ๆ จะแอบมากุมมือตอนหลับล่ะสิ ร้ายนักนะ

กอดอกแม่ง

“น้องหอมนี่น้า....”

ไม่ต้องมาน้องหอมนี่น้าเลย

ขับรถไปซะเจ้าขี้เมา



---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 4 : 24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-11-2018 22:25:20
---------- ต่อจากบท 4 ----------



“ถึงแล้วนะน้องหอม”

“อื้อออ..อ....ขอสามนาที”

“สามนาทีอะไรล่ะ เดี๋ยวเรือมารับแล้วนะ”

ผมลืมตาขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำว่าเรือ “ถึงแล้วหรอ”

“ใช่ ไปกันเร็ว” พี่แช่มบอกก่อนจะถือของทั้งหมดแล้วเดินลงไปจากรถ ผมก็ส่ายหัวตัวเองเพื่อตั้งสติก่อนจะเดินตามเขาลงมา ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ แปลว่ามันยังไม่เย็นมากสิเนี่ยะ

ผมเดินตามร่างสูงมายังท่าเรือเพื่อรอเรือจากรีสอร์ตมารับไป คือ River Kwai Jungle Rafts เนี่ยะ เป็นแพที่ลอยอยู่บนแม่น้ำแควแล้ววิธีที่จะไปได้คือต้องรอเรือมารับไปเท่านั้น ผมเคยเห็นในรูปคือมันฟีลธรรมชาติสุด ช่วงนี้มันยังหน้าฝนอยู่อากาศก็จะชื้นหน่อยๆ ผมอยากรู้นะว่าถ้าไปใช้ชีวิตแบบไม่มีไฟฟ้าสักวันนี่จะเป็นยังไง ไม่แน่ใจว่าสัญญาณโทรศัพท์จะโอเคไหมนะ แต่มันก็คงใช้ได้อยู่แหละ

ไม่ได้อยู่กลางหุบเขาที่อับสัญญาณสักหน่อย

เรานั่งรออยู่แปปนึงก็มีเรือมารับ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปบรรยากาศริมแม่น้ำแคว มันสวยมากจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าเราจะมากันเย็นไปสักหน่อยก็เถอะ แต่มันก็ถือว่าโอเคอยู่ที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ ผมกับพี่แช่มนั่งเรือกันมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงรีสอร์ต มันสวยกว่าที่เห็นในรูปจริงๆ ผมช่วยพี่แช่มถือของขึ้นมาจากเรือ ร่างสูงเดินไปจัดการเช็คอิน ส่วนผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย

สวยๆ แบบนี้คือเก็บไว้ขิงเพื่อนได้อีกนาน

“ทางนี้น้องหอม” เสียงพี่แช่มเรียก ผมเดินตามหลังเขามาต้อยๆ มาจนถึงห้องของเรา

เตียงเดี่ยวขนาดใหญ่มากพอที่จะนอนกันสองคน แถมมีพัดวางอยู่บนเตียงด้วย เหมือนสื่อว่าถ้าร้อนก็พัดเอานะ ด้านบนมีมุ้งด้วยครับ สำหรับตอนกลางคืนที่นี่น่าจะมียุงเยอะพอสมควรเพราะธรรมชาติรอบๆ คือป่า ดีนะที่ผมซื้อสเปรย์ตะไคร้ไล่ยุงมา ไม่งั้นล่ะก็ยุงสูบเลือดหมดตัวแน่ๆ

ผมเดินออกมาที่ด้านหน้าแพ “มีเปลด้วยแฮะ” ว่าแล้วผมก็เดินไปนั่งที่เปลทันทีพร้อมกับถ่ายรูปต่อ วิวที่เป็นแม่น้ำแล้วก็ป่าปกคลุมนี่มันดีจริงๆ อากาศบริสุทธิ์แบบนี้หาไม่ได้ที่เมืองกรุงนะครับ

เพราะงั้นต้องสูดให้เต็มปอด

ฟื้ดดดด

ร่างสูงเดินมานั่งลงที่พื้นใกล้ๆ เปลผม “ชอบไหม”

“ชอบ นึกว่าจะไม่ได้มาซะแล้ว”

“ก็พี่เคยบอกน้องหอมไว้แล้วหนิว่าจะพามา” พี่แช่มเอียงหัวพิงหัวเข่าผม “แต่พี่ก็ให้รอนานไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ก็พอให้อภัยได้อยู่” ผมบอกก่อนจะลูบหัวเขาเบาๆ “แล้วเรื่องเมื่อคืนอะ เราควรเคลียร์กันนะ หอมไม่อยากให้อะไรมันคาใจหอมอยู่แบบนี้”

“พี่รู้ว่าคนที่พี่ผิดคือพี่ เอาจริงๆ ถ้าพี่ยอมกลับหอกับน้องหอมตั้งแต่แรกมันก็คงไม่บานปลายหรอก พี่เองที่ความอดทนต่ำเกินไป สุดท้ายแล้วพี่ก็ทำให้น้องหอมเสียใจเพราะการกระทำของตัวเอง คำว่าขอโทษมันอาจจะดูซ้ำซากเพราะงั้นพี่จะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก ไอ้เฌอบอกว่าการขอโทษที่ดีที่สุดคือการที่เราจะไม่ทำเรื่องเดิมซ้ำสอง”

“พี่เฌอก็พูดถูก”

มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “พี่จะพยายามอดทนเหมือนที่น้องหอมอดทนกับพี่มาตลอด จะหักห้ามใจ ไม่งี่เง่า พี่จะทำให้เรื่องของเรามันดีกว่านี้ ตอนนี้พี่มีบางอย่างต้องจัดการกับตัวเองก่อน พี่อยากให้น้องหอมเป็นกำลังใจให้พี่ด้วย”

“มันเป็นเรื่องที่บอกหอมไม่ได้หรอ” ผมขยับลงมานั่งข้างๆ เขาก่อนจะหันมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆ

“อาจจะยังไม่ถึงเวลาของมัน” พี่แช่มโอบเอวผมไว้ “มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ น้องหอมอาจจะไม่เข้าใจ แต่เอาจริงๆ พี่ก็ทำเรื่องที่น้องหอมไม่เข้าใจเยอะเต็มไปหมดเลยอะนะ”

“ก็รู้ตัวหนิ” ผมหยิกหลังมือเขาเบาๆ “กำลังใจจากหอมมันสำคัญกับพี่แช่มมากเลยหรอ”

“สำคัญสิ....พี่อยากกลับไปเป็นคนเดิม พี่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป น้องหอมเองก็คงสังเกตได้ว่าพี่ไม่ใช่แช่มคนเดิม แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะรีบพาตัวเองกลับมา”

ผมหลุดยิ้มออกมา “ถ้าพี่พูดแบบนั้น พี่ก็ต้องรีบพาตัวเองกลับมานะ หอมจะเป็นกำลังใจให้พี่เอง”

“ขอบคุณนะครับ” พี่แช่มยกมือผมขึ้นไปจูบเบาๆ บรรยากาศดีขนาดนี้ยังจูบแค่หลังมือเลย นึกภาพว่าเป็นไอ้สยามนะคือต้องลากสมปองไปปู้ยี่ปู้ยำในห้องแล้วอะ

“จูบแค่มือเองหรอ”

“หึ....” มือเรียวรั้งต้นคอผมไว้ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ช้าๆ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดอยู่บนใบหน้า เสียงหัวใจที่เต้นแรงแข่งกับสายน้ำมันดังเข้ามาในโสตประสาทของผม

ตึกตัก

ริมฝีปากนุ่มเลื่อนเข้ามาทาบทับที่ปากผมอย่างแผ่วเบา ความอุ่นที่ส่งผ่านมา สัมผัสอ่อนโยนที่ข้างแก้มมันคือสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมเลื่อนมือไปขยุ้มเสื้อพี่แช่มเอาไว้เมื่อลิ้นร้อนเริ่มสอดเข้ามาทักทายในปากผม มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ อากาศหายใจก็เริ่มเหลือน้อยเต็มทน ใจนึงก็อยากจะผละออกแต่อีกใจก็อยากจะอยู่แบบนี้

เกิดมา 20 ปีก็เพิ่งทำตัวไม่ถูกอีตอนนี้เนี่ยแหละ

“อื้มม.ม.ม.....” ร่างสูงถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มให้ผม “โอเคไหม”

ผมส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะดันเขาออกแล้วหันหลังหนี “จูบครั้งแรกก็เอาซะขนาดนี้เลยหรอ อื้ออ.อ....รู้สึกเหมือนปากเจ่อเลย” ไม่รู้ด้วยโดนแทะโลมไปขนาดไหน จิตใจนี่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักนิด

“ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้อยากเอาซะขนาดนั้นหรอก” พี่แช่มขยับเข้ามากอดจากด้านหลังพลางเอาคางเกยไหล่ผมไว้ “แต่ใครบางคนแถวนี้ทำหน้าตาน่ารักเกินไป พี่ก็เลยอดใจไม่ไหวน่ะ”

“ขี้โกงอะ”

“พี่โกงได้มากกว่านี้อีก” ว่าแล้วเขาก็กดจมูกลงบนแก้มผมหนักๆ “อื้มม.ม.ม....หอมจัง แถมยังนิ่มมากด้วย ถ้าพี่รู้ว่าแก้มน้องหอมนิ่มขนาดนี้ พี่คงไม่ห้ามใจตัวเองมาตั้ง 2 ปีหรอก”

งื้อออ.อ.อ.....หน้าร้อนไปหมดแล้วโว้ย

มันอะไรกันวะเนี่ยยยย

“อื้อออ..อ...เกินไปแล้วนะ”

“พี่ไม่เคยเห็นน้องหอมเขินมากขนาดนี้มาก่อนเลย”

ผมหันมองเขา “ก็เพราะพี่นั่นแหละ”

“ไม่ชอบหรอที่พี่ทำแบบนี้”

“ชอบสิ ใครจะไม่ชอบล่ะ” ผมทำแก้มป่องใส่เขา “หัวใจหอมเต้นแรงไปหมด รู้สึกมีความสุขมากเลยด้วย”

“มีความสุขก็ดีแล้ว”

“แล้วพี่ล่ะ มีความสุขไหม”

“หน้าพี่มันแสดงออกไปหมดทุกอย่างแล้วล่ะจ่ะ” เขายิ้มหวานให้ก่อนจะซบหน้าบนไหล่ผม งืมม.ม...ทำไมในใจถึงได้รู้สึกแบบนี้นะ มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยอะ

มีความสุขจนเกินไปแล้ว

ผมอาศัยจังหวะนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับเข้าทวิตเตอร์ของตัวเอง สิ่งที่กำลังเจอมันมีอิทธิพลต่อใจผมเอามากๆ ผมดีใจนะกับสิ่งที่พี่แช่มบอกมา ผมหวังว่ามันจะเป็นไปตามอย่างที่เขาพูด

ผมหวังจริงๆ





Kh. @KhH22_luc

ขอบคุณนะที่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้น

ผมจะรอคุณคนเมื่อวานกลับมานะครับ



#CloverBad










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะ หายไปหลายวันเลยต้องขอโทษด้วย การฝึกงานเซเว่นฯ ทำให้แรงเหือดหายจริงๆ นี่ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ป่วยหนักๆ ในวีคแรก ช่วยส่งกำลังมาให้ชาลเอาชีวิตรอดไปได้ด้วยน้าบี๋

ตอนนี้อาจจะบอกนัยข้อสงสัยหลายๆ อย่างในใจของหลายคนแล้วนะคะ ก็ถ้าอยากรู้เรื่องราวแบบแจ่มแจ้งก็ต้องรออ่านกันต่อไป เรื่องราวจะเจ้มจ้น หวานขมหรือยังไงก็รออ่านน้า ช่วงฝึกงานนี้ชาลคงไม่สามารถลงนิยายได้สม่ำเสมอแบบที่เคยทำมาตลอดได้เลยนะเพราะเรื่องของเวลาไปทำงานมันไม่แน่นอน แล้วการทำงานแต่ละวันมันก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก แต่ชาลจะพยายามสู้กับมันนะ บี๋ช่วยรอนิยายกันอย่างใจเย็นน้า

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจกันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 4 : 24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-11-2018 03:04:52
ชะเอมคือน้องสาวของพี่แช่มชิมิ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 4 : 24/11/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-11-2018 16:24:10
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 5 : 1/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-01-2019 02:54:33
บทที่ 5 เรื่องของพี่แช่ม
[/b]




Kh. @KhH22_luc

การตื่นมาแล้วได้เจอคุณเป็นคนแรกนี่มันดีจริงๆ เลยนะ



#CloverBad






มันดีจริงๆ นะครับ

ผมนอนมองคนที่หลับอยู่ข้างๆ นานแล้วนะที่ไม่ได้ตื่นมาแล้วเห็นพี่แช่มหลับอยู่แบบนี้น่ะ นั่นเป็นเพราะว่าเขามักจะตื่นก่อนผมประจำนั่นแหละ สีหน้าตอนหลับดูเป็นผู้ชายอ่อนโยนสุดๆ ไปเลย แต่เอาจริงๆ นิสัยของเขาก็มีความอ่อนโยนอยู่แล้วนะโดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณเฉลิมนี่จะอ่อนโยนเป็นพิเศษ พูดถึงเจ้านกฮูกอ้วน เมื่อวานผมถามพี่แช่มด้วยว่าการที่เรามาเที่ยวกันแล้วทิ้งคุณเฉลิมเอาไว้มันจะไม่เป็นไรเหรอ

นางอาจจะเหงามากเลยก็ได้

แต่พี่แช่มบอกมาว่าเอาเจ้าอ้วนไปฝากไว้กับสัตวแพทย์ที่รู้จัก พอได้ยินแบบนั้นผมก็ค่อยโล่งใจ เจ้าตัวให้เหตุผลว่าที่ไม่พาคุณเฉลิมมาด้วยเพราะว่ากลัวนางจะเห็นธรรมชาติแล้วหึกเฮิมบินหนีเข้าป่าไป มันก็อะไรทำนองนี้นี่แหละ อีกอย่างคือการที่ไม่มีคุณเฉลิมมาด้วยมันก็จะทำให้เราสองคนมีเวลาให้กันมากขึ้น

ถ้านางได้ยินนางคงน้อยใจแย่

ผมเลื่อนมือไปเกลี่ยแก้มคนที่หลับอยู่เบาๆ ตอนนี้เกือบ 7 โมงแล้วนะครับแต่คนขี้เซาเขายังไม่ตื่น แน่ล่ะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนกันนี่ชุลมุนวุ่นวายสุดๆ แล้วในห้องเราก็มีแค่ตะเกียงเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง จะหยิบจะจับอะไรก็ดูมืดไปหมด แต่ผมว่ามันเป็นบรรยากาศที่ดีเลยนะ ปกติแล้วเราไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้กันบ่อยๆ ไง การไม่มีไฟฟ้าใช้มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความอดทนเพิ่มขึ้นในระดับนึงเลยล่ะ

รู้สึกสงบขึ้นด้วย

แต่ข้อเสียของการไม่มีไฟฟ้าใช้ก็คือเราจะไม่มีพัดลมหรือแอร์ใช้เหมือนกัน อากาศเมื่อคืนถือว่าร้อนอยู่นิดหน่อย คงเป็นเพราะเวลาที่ผมอยู่ที่หอ แอร์ในห้องจะฉ่ำมาก พอมาอยู่แบบไม่มีแอร์ไม่มีพัดลมมันก็ไม่แปลกที่จะร้อนอะแต่ยังดีว่าทางรีสอร์ตเขามีพัดให้ใช้และแน่นอนว่าคนที่นั่งพัดจนแขนเปลี่ยก็คือพี่แช่มนั่นเอง เชื่อได้เลยว่าถ้าเขาตื่นมา เขาต้องบ่นว่าปวดแขนอย่างโน้นอย่างนี้แน่ๆ

คนขี้บ่นก็จะประมาณนี้แหละครับ

“อื้มมม.ม......” เสียงครางดังขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงขยับเข้ามาซุกผม เขาคิดว่าตัวเองเป็นแมวรึไงนะ ถ้าใช่ก็คงเป็นแมวยักษ์แน่ๆ

“ตื่นได้แล้วพี่แช่ม” ผมกระซิบบอกข้างหูเจ้าตัวเบาๆ แน่นอนว่าคนขี้เซาก็ส่งเสียงประท้วงออกมาก่อนจะเอาหน้ามุดหนีผมอยู่อย่างนั้น

“อื้อออ.อ.อ....”

“ตื่นเร็ว ข้างนอกอากาศดีมากเลยนะ”

“ไม่มีอากาศตรงไหนดีเท่าตรงนี้อีกแล้ว” เขาเอ่ยพลางเอาจมูกถูเบาๆ ที่ซอกคอผม “ชื่นใจ”

ตึกตัก

รุนแรงแต่เช้าเลย

“พูดจาเว่อร์จริงๆ ” ผมลูบหัวพี่แช่มก่อนจะเลื่อนมากุมที่แก้มเขา “หิวข้าวแล้วอะ ไปกินข้าวกัน”

“พี่ยังง่วงอยู่เลย”

“งั้นพี่ก็นอนไปเลย เดี๋ยวหอมจะไปกินข้าว” ว่าแล้วผมก็ดันเขาออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วบิดไปบิดมา รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกันนะเพราะโดนพี่แช่มรัดทั้งคืนไง

ตัวก็เล็กมากมั้งน่ะ

“น้องหอมจะทิ้งพี่หรอ”

“ใช่ หอมเห็นข้าวสำคัญมากกว่าพี่” ผมฉีกยิ้มให้เขาก่อนจะเปิดมุ้งออก “ถ้าจะไปด้วยกันก็เร็วๆ ให้เวลา 10 นาที หอมจะรอที่เปลหน้าแพ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะเดินออกมาทันที ถ้าครบ 10 นาทีแล้วพี่แช่มยังลีลาไม่ยอมออกมา ผมก็จะทิ้งเขาไว้ที่นี่แหละ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศยามเช้า ด้วยความที่รีสอร์ตนี้อยู่บนแม่น้ำแควและมีภูเขาล้อมรอบ ตอนเช้าๆ มันก็จะมีหมอกจางๆ ให้เราได้เห็น ผมว่ามันเป็นอะไรที่สวยมากเลยนะ ลองคิดภาพต้นไม้สีเขียวๆ ที่มีหมอกลอยอยู่ด้านบนสิ ภาพแบบนี้หาไม่ได้ในเมืองแน่ๆ อากาศก็นับว่าเย็นสบาย มีลมโชยมาอ่อนๆ ได้ยินเสียงน้ำ เสียงนกที่ร้องแข่งกันมันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไปบ้านของไอ้หมีที่สระบุรีเลย

บรรยากาศดีมากจริงๆ

ตอนนั้นที่ไปบ้านของไอ้หมีกันก็วุ่นวายอยู่พอตัวอาจเพราะว่าคนไปเยอะด้วยล่ะมั้ง ผมอยากมีบ้านอยู่ที่ต่างจังหวัดบ้างเหมือนกันนะ อารมณ์แบบเป็นบ้านที่มีเอาไว้เพื่อกลับไปพักผ่อน พักใจในเวลาที่เหนื่อย ผมเคยคุยกับแม่ด้วยนะเรื่องที่อยากจะมีบ้านสักหลังที่ต่างจังหวัดน่ะ เขาก็บอกว่าพ่อได้ซื้อที่ไว้ให้ที่จังหวัดกระบี่ แต่มันเป็นที่ดินเปล่ายังไม่มีการทำอะไรทั้งนั้น

อาจจะมีต้นไม้กับต้นหญ้าขึ้นบ้างนิดหน่อย

แม่บอกว่าพ่อซื้อไว้เพื่อรอให้ผมเรียนจบ เขาจะยกที่ดินตรงนั้นให้เป็นของขวัญ แต่ว่าการที่ผมจะทำอะไรกับมัน ผมก็ต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมด คิดไปคิดมานี่เหมือนกับว่าที่ดินนั่นเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อจะให้เลยอะ แต่ช่างเถอะ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดเรื่องนี้อีกทีก็ยังได้ ยังไงผมก็เหลือเวลาปีกว่าๆ ในการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในรั้วมหา’ลัย ตักตวงเวลาตรงนี้ให้คุ้มก่อนที่จะออกไปใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่จริงๆ จะดีกว่า

ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปละกัน

“เสร็จแล้วน้องหอม” ร่างสูงโผล่หน้าออกมา “ไปกันเถอะ”

“อืม” ผมลุกมาหาเขาก่อนจะเดินนำเพื่อไปหาข้าวกิน เมื่อคืนผมตกลงกับพี่แช่มเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะแวะไปเที่ยวที่สะพานข้ามแม่น้ำแควกันก่อนจะกลับกรุงเทพฯ

เอาจริงๆ กาญจนบุรีมีที่เที่ยวเยอะมากเลยนะครับ แต่เสียดายที่เราไม่มีเวลามากพอ ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ผมคงตะลอนไปทั่วทั้งกาญฯ เลยล่ะ ไว้เรียนจบเมื่อไหร่ค่อยชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวด้วยกันทีเดียวดีกว่า ตั้งทริปยาวๆ ไปเลยก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน พูดถึงเรื่องทำงานนี่....ผมยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าตัวเองเรียนจบไปแล้วจะทำอะไรดี จะไปตามสายที่เรียนหรือจะกลับไปช่วยงานที่บ้าน

เหมือนปัญหาโลกแตกเลยว่ะ

ที่ผมเลือกเรียนวิศวะฯ โยธามันก็แน่นอนว่าเพราะความชอบ พอได้เข้ามาเรียนมันก็โอเค ผมจัดการตัวเองได้ค่อนข้างดีเลยแหละสำหรับเรื่องเรียน แล้วผมจะเป็นบุคคลเดียวในกลุ่มที่เก็งข้อสอบได้เม่นเป๊ะเหมือนรู้ว่าอาจารย์จะออก เรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่มัธยมฯ แล้วล่ะครับ เวลาจะสอบทีไรเพื่อนๆ ก็จะเรียกหาผมตลอดพร้อมกับเอาขนมมาประเคนให้

ชีวิตดี๊ดีเนอะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....” เจ้าตัวละจากขนมปังขึ้นมามองผม “อิ่มแล้วหรอ”

“เปล่า คือหอมมีเรื่องอยากจะถามอะ”

“เรื่องอะไรหรอ”

“เดี๋ยวพี่แช่มก็เรียนจบแล้วใช่ป้ะ คิดไว้ยังว่าจะทำอะไรต่อไป”

“พี่มีงานของที่บ้านที่ต้องกลับไปทำต่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะกลับไปได้รึเปล่า” เขาเอ่ยพลางยิ้มเศร้าๆ ออกมา สีหน้าแบบนั้นมันคืออะไรกัน

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

“พี่มีปัญหากับตัวเองน่ะ มันก็เกี่ยวกับเรื่องที่พี่ยังบอกน้องหอมไม่ได้นั่นแหละ” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมเอาไว้ “แต่พี่ก็คิดว่าสักวันนึง พี่จะกลับไปที่บ้านโดยที่พี่ไม่เป็นอะไร กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเหมือนเมื่อก่อนและพี่ก็หวังว่าคนที่จะอยู่ข้างๆ พี่ตรงนั้นก็คือน้องหอมนะ”

ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่เขาพูดแบบนั้น “ได้สิ หอมจะอยู่ตรงนั้น พี่อย่าปล่อยให้ใครมาแทนที่หอมละกัน”

“ไม่มีใครมาแทนที่น้องหอมได้หรอก” เขายิ้มให้ผมจนตาหยี ดูสิดู พูดจาชวนอ้วกอีกแล้ว นี่กะทำให้ผมหัวใจเต้นแรงจนตายไปเลยรึไงนะ

ร้ายกาจที่สุด

ผมยกชาขึ้นจิบพลางคิดในสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ มันเป็นคำพูดที่เหมือนแฝงอะไรบางอย่างเลย พอเป็นแบบนี้ผมก็ชักจะอยากรู้เข้าไปอีกว่าเรื่องที่เขาเก็บเอาไว้มันคืออะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้รับรู้มัน สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คืออดทนรอเท่านั้น จนถึงวันที่พี่แช่มจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังผมก็ได้แต่หวังว่าอย่าให้มีเรื่องอะไรเข้ามาทำให้เราวุ่นวายใจอีกเลย อย่างน้อยผมกับเขาก็ไม่ควรทะเลาะกันอีก

มันควรเป็นแบบนั้น

บ่อยครั้งที่ผมเห็นพี่แช่มแล้วรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้ปกติเหมือนอย่างเรา คล้ายๆ กับไอ้หมีเลยครับเลยที่มักจะยิ้มออกมาหรือแสดงท่าทีว่าตัวเองไม่เป็นไรทั้งๆ ที่ข้างในกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่ ผมเคยคิดด้วยว่าเขาอาจจะป่วย แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแปลกๆ แหละนะ มันดูยากที่คนแบบพี่แช่มจะป่วยเป็นอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นโรคที่ดูเข้าทางสุดก็น่าจะโรคตับแข็งไม่ก็สุราเรื้อรังนั่นแหละ

อันนี้จริงจังเลยนะ

ผมเคยคิดจะขอให้ขาเพลาๆ ลงบ้างด้วยนะเรื่องการดื่มเหล้าน่ะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากอยู่ไม่น้อยอีกอย่างคือถ้าผมไปบอกเขา เขาน่าจะสวนเรื่องที่ผมสูบบุหรี่กลับแน่ๆ แค่คิดว่าอาจจะต้องเถียงกับเขาเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดประสาทแล้ว เอาเป็นว่าวันไหนที่ผมเลิกบุหรี่ได้แล้วจริงๆ วันนั้นผมจะไปขอให้พี่แช่มเลิกกินเหล้า อย่างน้อยตอนนั้นก็มีข้อต่อรองอะ แล้วถ้าสมมุติเขาไม่เลิกนะ ผมจะเอาขวดเหล้าฟาดให้

โหดป้ะล่ะ

“เออพี่แช่ม บ้านที่พี่บอกนี่คือที่ไหนหรอ” ผมเท้าคางมองเขา จะว่าไป....ผมไม่เคยถามเลยเกี่ยวกับที่บ้านเขาเลยนะ รับรู้แค่ว่าเขามีครอบครัวคือคุณเฉลิม ตัวเขาเองก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวเลยด้วย

“บ้านของพี่อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชน่ะ มีสวนยางด้วยนะ แต่ว่าตอนนี้เพื่อนของพ่อพี่คอยดูแลให้อยู่”

“แล้วพ่อของพี่ล่ะ”

“ทั้งพ่อกับแม่ของพี่ท่านเสียแล้วล่ะ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มออกมาบางๆ “ตั้งแต่พี่ยังเป็นเด็ก”

“หอมเสียใจด้วยนะ” ผมลูบมือเขาเบาๆ คล้ายปลอบประโลม รอยยิ้มที่พี่แช่มแสดงออกมามันแฝงด้วยความเศร้าชัดเจน เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกสงสารจริงๆ

“ครอบครัวของพี่เป็นเจ้าของสวนยางที่มีชื่อพอสมควรเลยในนครฯ ที่ดินของบ้านพี่ราคาดีมาก ก็เลยมีคนติดต่อมาขอซื้อเยอะพอสมควรแต่ว่าพ่อพี่ไม่ขาย และสุดท้ายมันก็กลายเป็นปมขัดแย้งทางธุรกิจ ตอนนั้นพี่เพิ่ง 8 ขวบเอง ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย”

“แล้วยังไงต่อ”

“วันนึงพ่อมาบอกกับพี่ว่าถ้าปิดเทอมแล้ว พ่อจะพาพวกเราไปเที่ยวที่ภูเก็ตแต่วันต่อมาทั้งพ่อและแม่ของพี่ก็ถูกยิง....ต่อหน้าพวกเรา”

ผมจับมือเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิม “พอแล้ว ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้ถ้ามันทำให้พี่รู้สึกไม่ดี”

“พี่โอเค สักวันนึงน้องหอมต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอย่างมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย” เขาบอกก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “ความจริงตัวพี่เองก็เกือบจะไม่รอดแล้วแหละ ดูเหมือนว่ามือปืนจะได้รับคำสั่งมาให้ฆ่ายกครัว ตอนนั้นพ่อบอกให้พวกเราซ่อนอยู่ในตู้ พี่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง มันน่าเศร้าที่เราอยู่ตรงนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย”

“พี่ยังเด็กไง มันไม่แปลกไม่ใช่หรอ หอมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพี่จริงๆ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ว่าใครจะผ่านมันมาได้”

“ใช่ ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้น สิ่งที่เจอมันหนักหนาแต่พอคิดว่าพี่ยังมีคนที่ต้องดูแลต่อไปมันก็เลยทำให้พี่เข้มแข็งขึ้น พี่ต้องเป็นหลักให้ได้ คือ....พี่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอะ มีแต่เพื่อนสนิทของพ่อ คนที่พ่อไว้ใจ คนที่คอยช่วยเหลือพวกเรามาตลอด พี่มีแค่นั้นแหละจนกระทั่งมาเจอกับเพื่อนๆ แล้วก็น้องหอม”

“พี่เก่งมากจริงๆ ที่ผ่านมันมาได้”

“ยังหรอก” พี่แช่มยกมือผมขึ้นไปกุมแก้มเขาไว้ “แต่สักวันนึง....พี่จะไม่เป็นไร ไม่เป็นอะไรจริงๆ ”

ผมยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้าพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มเขาเบาๆ เรื่องที่พี่แช่มเล่ามันไม่ธรรมดาเลย มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะสำหรับชีวิตของเด็กคนนึงที่สูญเสียพ่อแม่ด้วยเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นน่ะ ไม่รู้เลยว่าเรื่องที่ผมรู้นี้จะมีสักกี่คนที่รู้บ้าง เพื่อนแก๊งค์ปลาทองของเขาจะรู้เรื่องพวกนี้ไหม ไม่เข้าใจความรู้สึกใจโหวงแบบนี้เลยอะ นี่ถ้าอยู่กันในห้องสองคนผมคงกอดเขาแน่นๆ แล้วล่ะ

เรื่องที่เจอมามันเกินไปจริงๆ

สิ่งนึงที่ผมสงสัยก็คือตอนที่พี่แช่มเรื่องทั้งหมดนั่น เขาใช้คำว่าพวกเราแทนตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้มันคงไม่ได้หมายความถึงเขาแค่คนเดียวแน่ๆ พวกเรามันต้องมากกว่าหนึ่งอยู่แล้วล่ะ แต่ดูจากการเล่าของเขาคือเจตนาชัดเจนว่าไม่ขอพูดถึงใครอีกคน ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ ใจนึงผมก็อยากจะถามนั่นแหละแต่ดูจากหน้าเขาแล้วมันก็ไม่ควรเท่าไหร่ กลัวว่ามันจะไปสะกิดแผลที่อยู่ในใจเขาน่ะครับ

คนตรงหน้าผมนี้....เขาอาจจะเปราะบางมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลย

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้รับรู้ความเป็นตัวตนของพี่แช่มยังไงก็ไม่รู้ว่ะ เหมือนกับว่า 2 ปีที่เรารู้จักกันมามันเป็นแค่เกราะบางๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาเอาไว้เท่านั้น ไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้คนที่ดูเจิดจ้า สดใสอยู่ตลอดเวลาจะแบกรับเรื่องเลวร้ายขนาดนี้เอาไว้ ผมดีใจนะที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง มันเป็นเรื่องที่มีผลต่อความรู้สึกมากๆ การที่เขาบอกผมมันก็คงแปลว่าเขาไว้ใจผมสินะ

รู้สึกดีจัง

“น้องหอมกินเยอะเกินไปแล้วนะ อยากเป็นคุณเฉลิมสองหรอ”

พี่แช่มนี่มัน.....

“ตัวเองแย่งขนมปังคนอื่นไปกินแท้ๆ ยังจะกล้าพูดอีกนะ”

เดี๋ยวก็ทุบให้เลยหนิ



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



การได้มาสถานที่สวยๆ กับคนที่เรารักนี่มันทำให้มีความสุขจริงๆ เลยนะครับ

จะสุขกว่านี้ถ้าคนที่เรารัก.....เขาสนใจเรามากกว่านี้นิดนึง

พี่จะร้องไห้แล้วนะน้องหอมมมม

ผมยืนทำหน้ายับมองร่างโปร่งอยู่ไกลๆ ตอนนี้คนดีของผมเขากำลังถ่ายรูปไปทั่วเลยครับ น่าจะประมาณสิบล้านรูปแล้วล่ะ ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ตั้งแต่ที่เช็คเอาท์ออกมาจากรีสอร์ต ผมก็พาน้องหอมมาเที่ยวต่อที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว บรรยากาศดีมากเลยนะ แดดไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วก็ยังมีลมโชยอ่อนๆ ด้วย มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเรามีเวลาอยู่เที่ยวได้อีกสักวันสองวัน

ชีวิตเด็กมหา’ลัยนี่มันมีเวลาน้อยนิดจริงๆ

เทอมหน้าผมก็จะฝึกงานแล้วด้วย มันดูเป็นอะไรที่เร็วเหมือนกันนะ แปปๆ ก็อยู่ปี 4 แล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องอนาคตของตัวเองเท่าไหร่ ยังไม่รู้เลยว่าจะจบไปแล้วจะทำงานตรงกับสายที่เรียนมารึเปล่า อีกอย่างคือผมมีสวนยางกับคนงานที่ต้องกลับไปรับผิดชอบด้วย ถือว่ายังดีที่ผมมมีลุงเชตคอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ เสมอมาตั้งแต่ที่เสียพ่อกับแม่ไป ตอนนี้เขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่

ถ้าไม่มีเขาก็คงไม่มีผมอยู่ตรงนี้แล้ว

เรื่องในอดีตของผมที่เล่าให้น้องหอมฟัง มันเป็นเรื่องที่ผมเคยบอกกับเพื่อนๆ ไปแค่ว่าครอบครัวของผมเสียชีวิตหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้เล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นและทุกคนก็ไม่ได้อยากรับรู้อะไรไปมากกว่านั้น ส่วนน้องหอม....ที่ผมเล่าให้เขาฟังก็เป็นเพราะผมคิดว่าเขาควรรับรู้เอาไว้ และวันนึงเขาก็จะได้รับรู้เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม คิดไม่ออกเลยว่าถ้ามีวันที่เขาเลือกที่จะไม่อยู่ฟังเรื่องเหล่านั้นมันจะเป็นยังไง

ผมจะรับมันไหวไหมนะ

หลังจากที่ไปหาหมอมา ผมก็คิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ อย่างน้อยมันก็ต้องลองเสี่ยงดู จริงอยู่ว่าผมกลัวการสูญเสียมาก แต่ว่าถ้าผมรักษามันเอาไว้ได้มันก็อาจจะไม่เป็นไร คำพูดของหมอนวัตรทำให้ผมคิดว่าการที่เราเลือกจะไม่ครอบครอง มันไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียสิ่งนั้นไปไม่ได้ แค่ความรู้สึกมันอาจจะต่างกันเท่านั้นเอง เพราะแบบนี้แหละเลยทำให้ผมกล้าที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรามันไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่

ตอนนี้ก็ได้จูบแล้วนะครับ

มันเป็นความรู้สึกที่ดีเอามากๆ ผมไม่เคยจูบใครมาก่อนเลย นั่นก็เป็นจูบแรกของผมและดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นจูบแรกของน้องหอมเหมือนกัน นาทีที่ผละออกมาแล้วเห็นน้องหน้าแดงก่ำนั่นมันทำให้ใจผมสั่นไปหมด พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยหอมแก้มน้องซ้ำไปอีก ทีนี้เจ้าตัวก็เขินเข้าไปใหญ่ พอจะเริ่มเข้าใจโมเม้นต์ของเพื่อนๆ ที่ชอบเอาเมียตัวเองมาขิงแล้วว่าเวลาทำแบบนี้มันจะน่ารักอย่างโน้นอย่างนี้แล้วล่ะ

อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“พี่แช่ม” ร่างโปร่งเดินเข้ามาหาผมก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ “ถ่ายรูปให้หอมหน่อย”

ไม่สนใจพี่แล้วยังจะมาให้พี่ถ่ายรูปให้อีก

“ไม่เอา”

“ทำไมล่ะ” เจ้าตัวถามเสียงอ่อนพลางเบะปากน้อยๆ คิดว่าน่ารักใช่ไหม ใช่ มันโซคิวท์มาก แต่ตอนนี้พี่กำลังงอนอยู่ เพราะงั้นมันจะไม่มีผลต่อใจพี่แน่นอน

“น้องหอมเอาแต่ถ่ายรูปอะ” ผมหันหนีน้อง “น้องหอมไม่สนใจพี่เลยสักนิด”

“ใครบอกหอมไม่สนใจ”

“พี่เห็นอยู่ตำตา”

“งั้นพี่ก็ไม่เห็นนี่น่ะสิ” มือเรียวยื่นโทรศัพท์มาจ่อหน้าผมก่อนจะเปิดให้ดูในอัลบั้มรูป ภาพที่ปรากฏอยู่ในนั้นทั้งหมดคือรูปที่เขาถ่ายผมซะเป็นส่วนใหญ่ รูปวิวอื่นๆ มีปนอยู่แค่นิดหน่อยเท่านั้น

อา....รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา “พี่ขอโทษจ่ะ”

“ทีนี้ก็รู้แล้วนะว่าหอมสนใจพี่มากแค่ไหน มีแต่พี่นั่นแหละที่เหม่อมองท้องฟ้ากับแม่น้ำอยู่นั่นอะ” น้องหอมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะตีไหล่ผม “รู้อยู่หรอกว่าวิวมันสวยแต่ช่วยสนใจหอมด้วยสิ”

“โอ๋ๆ ๆ ๆ ” ผมรั้งเอวน้องเข้ามาใกล้ “สนใจแล้วค้าบ อย่างอนพี่เลยนะ ไหนยิ้มซิ”

“ไม่”

“น้องหอม” ผมทำหน้าละห้อยทันทีเมื่อเด็กขี้งอนยังทำหน้าบึ้งอยู่ “ถ้าไม่หายงอนพี่จะฟัดเราตรงนี้จริงๆ ด้วย” เอาสิอะ ที่พูดนี่กล้าทำนะครับ ระดับนี้ไม่เก่งแต่ปากอยู่แล้ว

“ไม่เอา ห้ามฟัด”

“งั้นดีกันก่อน” ผมยื่นนิ้วก้อยไปทางน้อง เจ้าตัวมองผมก่อนจะยื่นนิ้วมาเกี่ยวแต่โดยดี แก้มขาวๆ นั่นขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยเมื่อกี้ แอบจินตนาการว่าผมจะฟัดเขาตรงนี้แน่ๆ ร้ายไม่ใช่ย่อยเลยนะ

ไว้ถึงเวลาก่อนเถอะ....จะฟัดให้ตายกันไปข้างนึงเลย

“ถ่ายรูปให้ด้วย” น้องยัดโทรศัพท์ใส่มือผมก่อนจะเดินไปยืนแอคท่าถ่ายรูปอยู่กลางสะพาน พอเป็นแบบนั้นผมก็ยืนถ่ายรูปให้เขารัวๆ

คนรักคนที่อยู่ตรงหน้านะ เวลาที่ได้อยู่กับเขามันคือความสุขจริงๆ แต่ก็แย่หน่อยที่ผมชอบไปทำตัวบัดซบใส่น้อง ตัวเองผิดเองแท้ๆ ยังจะไปลงกับเขาอีก แต่เอาวะ หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้เรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นอีก ผมต้องหักห้ามใจตัวเองให้ได้ เดี๋ยวเวลาที่หงุดหงิดจะต้องนึกถึงหน้าไอ้ขันเอาไว้ นึกถึงคำที่มันชอบด่าผมซ้ำๆ ซากๆ ผมจะได้ไม่ต้องทำตัวงี่เง่าใส่น้องหอมอีก

ชริตต้องทำได้แหละว่ะ

ผมส่งโทรศัพท์คืนให้น้องหอมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเข้าไปทวิตข้อความทิ้งไว้ในทวิตเตอร์ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ยุ่งกับโลกโซเชี่ยลเท่าไหร่เลยตั้งแต่เกิดภาวะประสาทแดกน่ะ มันก็ดีเหมือนกันนะ มันจะเป็นความรู้สึกว่าชีวิตตัวเองสงบมากเลยล่ะแต่กลับกันก็คือเราจะไม่รู้เรื่องราวของเพื่อนฝูงเลยอย่างเช่นที่ไอ้เฌอมันตัดเพ้อเพราะเลิกกับแฟนอีกแล้ว   

อีกแล้วเหรอวะ

คนที่แสนแปดแล้วมั้งแฟนมันเนี่ยะ เชื่อได้เลยว่าพอกลับไปมันจะต้องชวนผมไปดื่มย้อมใจแน่ๆ เนี่ยะ คนที่จะตายห่าก่อนใครในกลุ่มก็คงเป็นมันนี่แหละดูจากทรงแล้ว หลายครั้งนะที่ผมบอกมันว่า เออเฌอ ถึงอกหักก็ไม่ต้องกินเหล้าเสมอไปนะ ปังเย็นเอย หมูกระทะเอยก็ไปกินได้นะ แต่สุดท้ายแล้วแม่งก็ตัดบทด้วยคำว่าเจอกันที่ร้าน แล้วถ้าสมมุติว่าเพื่อนๆ ไม่มีใครไปกับมันสักคน มันก็จะเริ่มตัดพ้อละ

งอแงอย่างกับเด็กสามขวบ

“พี่แช่ม”

“จ๋า” ผมละจากโทรศัพท์ขึ้นมามองน้องหอมที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า “ยิ้มอะไรหืม....”

“มีความสุขอยู่”

“หรอ มีมากขนาดไหนลองบอกพี่ซิหืม”

นิ้วเรียวชี้ขึ้นไปทางแม่น้ำแควให้ผมดู “ขนาดนั้นเลย”

“ถ้านั่นเป็นส่วนของน้องหอม” ผมชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “นี่ก็คือส่วนของพี่”

“มีความสุขขนาดนั้นเชียว”

“ใช่สิ” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้น้อง “ได้อยู่กับน้องหอมทั้งที พี่จะไม่มีความสุขได้ไง” ว่าแล้วผมก็ยิ้มหวานให้เขา คนตรงหน้าแก้มขึ้นสีเป็นที่เรียบร้อย น่ารักจัง เด็กคนนี้จะรู้ตัวไหมนะว่าตัวเองกำลังทำให้ผมหลงจนหัวปักหัวปรำน่ะ

“คำพูดคำจา” น้องบ่นอุบอิบก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมไปทางโน้นดีกว่า” สิ้นเสียงพูด ร่างโปร่งก็รีบเดินหนีผมไปทันที อาการแบบนี้ก็คือเขินนั่นแหละ เขินจนต้องเดินหนีไปอีกทาง

มันน่านักนะ

ดีจังที่การมาออกทริปสั้นๆ ของเรามันจะทำให้เรื่องทุกอย่างดูโอเคขึ้น อย่างน้อยตอนนี้น้องหอมก็คงหายโกรธผมแล้วล่ะ ดีละ หลังจากนี้ผมก็ต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองสร้างปัญหาอีก เดี๋ยวเรื่องนี้ต้องเล่าให้ไอ้ขันฟังด้วย เจ้าแผนการณ์อย่างมันน่าจะมีอะไรดีดีแนะนำผมได้บ้าง มันคงจะถึงเวลาที่ผมจะต้องเป็นเจ้าของน้องหอมแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ขืนถ้ายังลีลาอยู่ล่ะก็....หมาที่มันคอยจ้องจะง้าบสุดที่รักของผม มันต้องพุ่งข้ามาตะครุบแน่ ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

ยังไงก็ไม่ยอม



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 5 : 1/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-01-2019 02:55:23
---------- ต่อจากบทที่ 5 ----------



“แล้วทำไมมึงถึงมาอยู่ห้องกูได้เนี่ยะ”

“อื้ออ.อ.อ.อ....”

“ยังอีก”

“.....”

“มึงนี่มัน....” ผมรั้งผ้าห่มของตัวเองออกมาจากไอ้น้องเวรที่นอนซุกอยู่ในนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้มานอนที่ห้องผม คือเปิดห้องเข้ามาก็เจอมันนอนเป็นซากอยู่ในนี้แล้วอะ

ตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มแล้วครับ ผมกับพี่แช่มเราเพิ่งแยกกันเมื่อกี้นี่เอง เขามาส่งผมก่อนจะกลับไปที่หอตัวเองพร้อมกับคุณเฉลิม วันนี้มันเป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ คืออะไรๆ มันก็ดูโอเคไปหมด ได้ไปเที่ยว ได้มีช่วงเวลาดีดีร่วมกับคนที่เรารัก คือมันเป็นโมเม้นต์ที่ดีเลยแหละแต่การที่ต้องกลับมาห้องแล้วเจอกับซากน้องชายตัวเองที่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

อารมณ์ไหนของมันวะ

“ข้าวก้อง”

รอยอะไรเต็มไปหมดเลยเนี่ยะ

ผมไล่มองไปตามซอกคอขาวที่มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ ติดอยู่เต็มไปหมด บางรอยเหมือนรอยโดนกัดเลยอะ นี่ไปทำอะไรมาวะเนี่ยะ ผมเลื่อนมือไปแตะเบาๆ ก็พบว่าคนที่นอนซมอยู่นั่นกำลังเป็นไข้ ตัวร้อนเอาเรื่องเลยว่ะ ไม่สบายสินะถึงได้ดูไม่มีสติแบบนี้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูมาวางไว้ข้างเตียงก่อนจะลงมือแก้ผ้าให้คนป่วยทันที รอยจ้ำที่ผมเห็นมันไม่มีแค่ที่ซอกคอนะแต่แม่งมีทั่วทั้งตัว

มันจะอะไรขนาดนั้นวะน่ะ

รอยจ้ำทั้งหมดนี่ดูก็รู้แล้วล่ะว่าเป็นรอยจูบแน่นอน ผมเห็นบ่อยตามซอกคอเพื่อนๆ แต่สำหรับข้าวก้องนี่คือครั้งแรกเลยล่ะ ที่ผมสงสัยก็คือจะมีผู้หญิงที่ไหนมาทำรอยจูบบนตัวผู้ชายได้มากมายขนาดนี้ น้องผมไม่ใช่เกย์อะ ถ้าจะมีเซ็กซ์ก็แน่ๆ ว่าคงต้องกับผู้หญิง แต่พอมาเห็นแบบนี้มันก็อดคิดอีกอย่างไม่ได้เหมือนกันนะ สิ่งที่ผมสงสัยน่าจะคลายได้ก้ต่อเมื่อเจ้าตัวตื่นมาตอบเท่านั้นแหละ

แล้วถ้ามันไม่ตอบล่ะ

ใช่ มันไม่ตอบแน่ๆ

งั้นช่างมันละกัน ถ้าข้าวก้องเลือกที่จะไม่ตอบว่าตัวเองไปทำอะไรมาก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของมันอีกอะ แต่เดี๋ยวสิทธิ์ด่าและโขกหัวมันจะเป็นของผม โทษฐานเข้ามานอนโดยไม่บอกแล้วก็บอกให้ตัวเองอยู่ในสภาพเป็นซากแบบนี้ซะได้ ผมไม่ชอบเวลาที่ข้าวก้องเป็นไข้แบบนี้เลย ปกติแล้วมันเป็นคนแข็งแรงมาก นานๆ ทีนั่นแหละถึงจะป่วย แต่พอป่วยครั้งนึงก็ถือว่าเป็นหนักเอาการเลยแหละ

“ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะไอ้เวร” ผมดึงแก้มมันอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินเอากะละมังไปเก็บ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมคณะกรรมการฯ อีกนะเนี่ย แค่คิดถึงงานที่ต้องทำก็รู้สึกเพลียใจแล้ว

ผมเดินมานอนลงข้างๆ ข้าวก้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรูปพี่แช่มที่ตัวเองแอบถ่ายเอาไว้ ผมถ่ายรูปเขาไว้เยอะมากๆ เลยนะ นึกถึงตอนที่เจ้าตัวงอนเพราะผมไม่สนใจก็ตลกอยู่เหมือนกัน ผมเนี่ยนะจะไม่สนใจเขา มีแต่เขานั่นแหละที่เหม่อไม่หยุด ผมชอบนะเวลาที่ได้เห็นพี่แช่มทำหน้าเหมือนน้องหมาหูตกน่ะ น่ารักชะมัด อยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้แต่น่าเสียดายที่ผมถ่ายไม่ทัน

ไม่เป็นไรเอาไว้ครั้งหน้า

ความจริงคืนนี้พี่แช่มก็ขอให้ผมไปนอนที่หอเขานะแต่ผมเองที่ปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลว่าเขาควรใช้เวลาอยู่กับคุณเฉลิมบ้าง พอผมบอกแบบนั้นเขาก็ต้องยอม เอาน่ะ เมื่อคืนก็กอดกันมาจนหนำใจแล้วหนิ อีกอย่างคือต่อให้คืนนี้ไม่ได้นอนด้วยกันเดี๋ยวคืนอื่นๆ เขาก็ต้องหาเรื่องมาล่อลวงผมให้ไปนอนกับเขาได้อยู่ดี

ร้ายกาจที่สุดละจริงๆ

ผมออกจากแกลลอรี่ก่อนจะเข้าไปที่ไลน์ เห็นแจ้งเตือนทวิตเตอร์ของคนขี้เมาเด้งอยู่ด้วยนะแต่ว่ายังไม่ได้กดเข้าไปดู แต่ก่อนที่จะกดดูทวิตเตอร์พี่แช่ม ผมขอด่าเพื่อนในไลน์ก่อน คืองี้ครับ คือผมไปเที่ยวกับพี่แช่มใช่ไหม แล้วทีนี้ไอ้พวกเวรมันก็เกิดอาการตัดพ้อกันแบบชิบหายวายวอด ยาวเป็นร้อยข้อความเลยแหละ ผมเห็นละแต่ผมยังไม่ได้ด่ามันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้คือถึงเวลาอันดีละ

จะแท็กด่าแม่งเรียงตัวเลยไอ้สัส

“อื้ออ.อ.อ.....หอม” คนที่นอนข้างๆ ผงกหัวขึ้นมามองผม “มึงมาทำอะไรห้องกู”

“ห้องกูมั้งเถอะไอ้เวร มึงเถอะ ไปโดนส้นตีนอะไรมาถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้”

“ตกบันได”

เชื่อก็เชี่ยละ

“มึงเห็นกูเป็นเด็กสามขวบหรอที่จะเชื่อว่ามึงตกบันไดอะ”

“เออน่ะเชื่อๆ ไปเหอะ เพราะยังไงไม่ว่าใครถามกูก็บอกว่ากูตกบันได”

“มึงมันตอแหลกัน”

“ติดมึงมาทั้งนั้นแหละ” ว่าแล้วมันก็แย่งผ้าห่มผมไปก่อนจะม้วนตัวเป็นหนอน พอเห็นแบบนั้นผมเลยถีบมันตกเตียงไปเพราะความหมั่นไส้

“ไอ้สัสหอม”

“นอนนั่นแหละไอ้ชิบหาย” ผมปาหมอนใส่มันก่อนจะนอนแผ่เต็มเตียง แต่ไอ้น้องเวรมันก็กระโจนขึ้นมาทับผมเอาไว้ อื้อหืออออ....อ....ตัวเบามากมั้งหนิ

“กูหนัก จะนอนก็ลงไปนอนดีดี”

“ไปเที่ยวกับพี่แช่มมาเป็นไงบ้าง”

“มีความสุขมาก”

“ถ้าเป็นแบบนั้น.....ก็ดี” ข้าวก้องขยับตัวลงไปนอนข้างๆ “ถ้ามึงมีความสุข ก็ดีแล้ว” เจ้าตัวบอกพลางพลิกตัวไปอีกทาง ท่าทางแบบนี้ก็คงโอเคล่ะมั้งที่เรื่องของผมดีขึ้นน่ะ

“อืม นอนพักซะมึงอะ” ผมกระชับผ้าห่มขึ้นให้มันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าไปในทวิตเตอร์ แจ้งเตือนเด้งเยอะเหมือนกันนะเนี่ย

ผมไล่ตามไทม์ไลน์ไปเรื่อยๆ จนเจอกับทวิตฯ ของพี่แช่ม ข้อความสั้นๆ ที่เขาทวิตเมื่อหลายชั่วโมงก่อนตั้งแต่เรายังอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำแควด้วยกันมันทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทันที ตลกว่ะ เหมือนเมื่อหลายวันก่อนยังเห็นข้อความดราม่าตัดพ้อชีวิตอยู่เลย มาวันนี้คืออินเลิฟสุดๆ อารมณ์เหมือนคนเป็นไบโพล่าร์เลยว่ะ

บ้าบอชะมัด

“เขินจะตายห่าอยู่แล้ว.....”

แม่ง





Charit @Charitpedd

ความสุขของผมก็คือการที่ผมมีคุณ....มีคุณ และก็มีคุณ



#พี่แช่มได้กล่าวไว้














TBC.

สวัสดีค่าชาลมาส่งนิยายแล้วนะ ขอโทษด้วยที่หายไปเป็นเดือนเลย ด้วยหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้มันเลยทำให้เวลาที่มีน้อยมากๆ ขอบคุณที่ยังรอกันอยู่นะคะ ตอนนี้ยังไม่ได้แก้คำผิด เดี๋ยวชาลจะไล่แก้ให้น้า

สวัสดีปีใหม่ด้วยนะคะ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกคนเลยนะ มีความสุขมากๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง ตัวชาลเองก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องนิยาย อีกไม่กี่เทอมชาลก็จะเป็นเด็กปี 4 ที่ต้องเตรียมตัวกับโปรเจ็กต์จบซึ่งมันจะค่อนข้างหนักแต่ว่าก็ทำใจสู้กับมันเอาไว้แล้วล่ะค่ะ เป็นกำลังให้กันด้วยนะคะ

ในนิยายมีข้อมูลของรีสอร์ตจังเกิ้ลราฟ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงนะ มันอาจจะไม่ตรงกับข้อมูลจริงในบางอย่างชาลต้องขออภัยด้วยนะคะ ถ้ามีข้อเสนอแนะก็สามารถบอกได้เลยนะ ชาลจะนำมารีไรท์ให้มันเรียลที่สุดนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้น้า สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 5 : 1/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-01-2019 08:21:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 5 : 1/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-01-2019 18:27:02
ละลายแล้วตอนนี้  o18
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-03-2019 21:02:07
บทที่ 6 บัตรผู้ป่วย




Charit @Charitpedd

เหมือนวันหนึ่งกำลังจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เดิมอยู่ดี



#พี่แช่มได้กล่าวไว้





เป็นอะไรอีกรึเปล่านะ....พี่แช่มน่ะ

รู้สึกเป็นห่วงจัง

ผมเลื่อนดูข้อความในทวิตเตอร์ไปเรื่อยพลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ พี่แช่มเขาดูแปลกๆ  ครับ แปลกแบบผิดปกติ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เคยถามแล้วแต่เขาก็บอกว่าช่วงนี้นอนไม่พอ ผมว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยอมบอก จะว่าไป....อาการที่เขาเป็นตอนนี้มันดูเซื่องๆ ซึมๆ ผมเคยเห็นอาการประมาณนี้เมื่อนานมาแล้วล่ะ แต่ครั้งนั้นคนที่เป็นคือไอ้หมี

ผมควรไปลองถามไอ้หมีดีไหมวะ

จากวันที่เราไปเที่ยวที่กาญฯ ด้วยกันนี่ก็ผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าๆ แล้วครับ ความสัมพันธ์ของเรามันก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ น่ะนะ ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องดี พี่แช่มดูอดทนได้ดีขึ้นเวลาเจอหน้าบวร แต่บวรนี่สิ ผมไม่รู้ว่าช่วงนี้เขาเป็นอะไร อาการเขาเองก็ดูแปลกๆ เวลาที่ได้เจอหน้าผม พอผมถามเขาก็บอกว่าผมจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ผมนี่ก็คือแบบ....อะไรวะ

ยังไม่ทันทำอะไรเลย

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องของบวรสักเท่าไหร่เพราะผมสนใจเรื่องของพี่แช่มมากกว่า ตอนนี้ 5 โมงกว่าๆ เขาน่าจะใกล้เลิกเรียนแล้วล่ะ วันนี้เรานัดกันไว้ว่าจะไปหาอะไรกินด้วยกัน แล้วก็จะไปที่จันทร์เจ้าด้วยเพราะว่าเป็นวันเกิดพี่ฉาย ผมเตรียมของขวัญไว้ให้เขาแล้วด้วย คิดว่าน่าจะชอบนะ เพราะพี่เฌอบอกมาว่าพี่ฉายชอบอะไรแบบนี้

ไม่อยากจะบอกว่าเป็นชุดนอนวาบหวิว

พี่เฌอเล่าให้ฟังว่าพี่ฉายชอบบ่นว่าอยากเห็นแฟนตัวเองใส่ชุดอะไรพวกนั้นบ้าง พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยไปจัดมาให้เขาสามชุดเลยครับ และด้วยความที่ผมสั่งชุดมาจากในเน็ต ตอนที่ของมาส่งพี่แช่มก็อยู่กับผมในห้องด้วย จังหวะที่แกะกล่องแล้วเขาเห็นชุดพวกนั้นก็คือตาวาวเลยทันที จากคนขี้เมากลายเป็นคนหื่นกามในทันใด แถมยังเซ้าซี้บอกให้ผมลองใส่ให้ดูหน่อย   

น่าฟาดชิบ

ผมบอกพี่แช่มไปว่าล้มเลิกความตั้งใจอยากจะเห็นผมใส่ชุดพวกนั้นได้เลยเพราะมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น แล้วพอบอกไปแบบนั้นนางก็ไปนั่งดราม่ากับคุณเฉลิมเลยจ้า บอกว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ ตามใจหน่อยก็ไม่ได้ แล้วก็ตัดพ้อยาวไปจนก่อนจะนอน ผมนี่กะไล่เขาไปนอนห้องน้ำละเอาจริงๆ ไว้ถ้ามีคราวหน้าที่เขาทำตัวง้องแง้งแบบนี้อีกผมจะเอาหมอนข้างฟาดให้ตายเลยคอยดู

อย่างข้าวหอมนี่พูดจริงทำจริง

“มึง” ไอ้ขุนหันมาทางผม “วันนี้มีประชุมเรื่องค่าย”

“ถามจริง” อยู่ดีดีจะมานัดประชุมกะทันหันแบบนี้ไม่ได้ป้ะวะ

“เออดิ ไอ้ก้องบอกอยู่ในกลุ่มเนี่ยะ อาจารย์เขาอยากได้เอกสารเร็วขึ้นก็เลยต้องรีบจัดการอะ”

“แม่งเอ๊ย” ผมยกมือเสยผมตัวเองขึ้นอย่างหัวเสีย “งั้นกูก็ต้องเลื่อนนัดพี่แช่ม”

“กูก็ต้องเลื่อนนัดขนมเหมือนกัน ไปหาพวกมันกันเถอะ อยู่ที่ห้องคณะกรรมการละ” ไอ้ขุนบอกก่อนจะลุกนำไป ผมก็เก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินตามมันมา

ผมกับขุนศึกเพื่อนรักนั่งอยู่หน้าตึกกันสองคนไง ส่วนเพื่อนๆ ที่เหลือก็ไปหาอะไรกินกัน ผมว่าพวกมันที่เพิ่งรู้เรื่องก็น่าจะฉุนเฉียวอยู่เหมือนกันแต่ก็นะ มันเรื่องงานอะ จะไม่ทำก็ไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่บ่นๆ ๆ ๆ เท่านั้นแหละ พูดถึงค่ายอบรมของสาขาโยธานี่ก็รู้สึกอยากตายขึ้นมาทันที มันเป็นงานที่สูบเลือดสูบเนื้อพวกคณะกรรมการที่สุดแล้วโดยเฉพาะปี 3 คิดดูสิว่าการที่ต้องดูแลพวกตัวแสบเป็นร้อยมันเป็นยังไง

แม่งต้องวุ่นวายมากแน่ๆ เลยว่ะ

ค่ายอบรมของโยธาจัดขึ้นสิบวันและมันจะเป็นสิบวันที่ผมไม่ได้เจอพี่แช่ม ค่ายนี้พวกพี่ปี 4 ไม่ได้ไปครับ แต่ยังถือว่าโชคดีอยู่ที่กลุ่มว้ากเกอร์ของปี 3 จะได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ อย่างน้อยผมกับเขาก็ยังมีโอกาสได้โทรหากันบ้างก่อนนอน ช่วงที่เราห่างกันผมน่าจะคิดถึงเขามากแน่ๆ ตัวพี่แช่มเองก็คงไม่ต่างกัน เอาจริงๆ ที่ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างงานยุ่งแล้วไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ผมก็รู้สึกหว่าเว้ละนะ

อา....เศร้าจัง

“หอม”

“ห้ะ”

“มึงว่าปี 1 จะหาค่ายที่ไหนให้เราไปวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ประธานฯ ปี 1 คือบวรหนิ กูว่ามันก็น่าจะหาที่ดีดีได้ล่ะมั้ง”

“กูยังจำที่เราไปค่ายเมื่อปีก่อนได้เลย ที่สมปองหาแล้วเซอร์ไพรสไอ้หยัมอะ”

“เออ โคตรน่าหมั่นไส้ แล้วเนี่ยะ นี่ก็จะครบรอบ 1 ปีที่พวกมันคบกันแล้วด้วย กูไม่รู้ว่าแม่งจะมีแผนเซอร์ไพรสอะไรกันรึเปล่า”

“ถ้ามี เราขัดขวางไหม”

ผมหันขวับมองเพื่อนรักทันที “เห้ยขุน.....เฉียบว่ะ” ยกนิ้วโป้งโชว์ว่าเยี่ยมไปอีกที เรื่องทำลายล้างแบบนี้ล่ะพวกผมถนัดนัก

“งั้นตามนั้น เดี๋ยวคอยสืบก่อนว่ามันจะทำอะไรกันบ้าง”

“โอเคเลยครับเพื่อน”

ผมกับขุนศึกเพื่อนรักเดินเข้ามาในห้องคณะกรรมการก็พบกับบรรดาเพื่อนๆ และเหล่าแก๊งค์ประธานของปี 2 ส่วนของปี 1 ก็มีแค่บวรคนเดียว ดวงตาคมมองที่ผมไม่ละเลยว่ะ แต่ช่างเถอะ มันก็ถือว่าเป็นปกติอยู่แล้วล่ะที่เขาชอบมองผมแบบนี้ นี่ดีนะที่การประชุมนี้มีไม่มีพวกพี่ปี 4 ร่วมด้วย ขืนถ้ามีล่ะก็....ผมว่าพี่แช่มน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่และตัวผมเองก็เริ่มจะอารมณ์ไม่ค่อยดีแล้วเหมือนกัน

มองขนาดนั้น....ต้องการอะไรกันแน่วะ



[บันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]



หงุดหงิดใจจัง

หงุดหงิดใจ.....มากจริงๆ

ผมนั่งฟังสมปองอธิบายเรื่องเข้าค่ายอบรมของโยธาที่จัดขึ้นในเทอมหน้าด้วยความรู้สึกที่อึดอัดชิบหาย อาจเพราะสายตาของเด็กปี 1 ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้แหละมั้ง ดวงตาคมมองผมกับข้าวหอมสลับกันไม่หยุดซึ่งมันเป็นการกระทำที่ผมไม่ชอบเอามากๆ แต่จะให้พูดออกไปในตอนนี้มันคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่เพราะงั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือนั่งหงุดหงิดใจอยู่คนเดียวนี่แหละ

รู้สึกแย่จริงๆ

บ่อยครั้งที่สายตาคู่นั้นแสดงความสงสัยออกมา ผมรู้เลยล่ะว่าเขากำลังมีเรื่องแคลงใจอยู่ เรื่องนั้นมันค่อนข้างใหญ่และไม่มีใครรู้นอกจากเราสองคน ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้นเหมือนกันนะเพราะว่ามันสร้างความลำบากให้กับข้าวหอม แต่อีกใจผมก็คิดว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ตลกเหมือนกันที่ผมกลับเป็นฝ่ายหมดสภาพและนอนซมหลังจากทำเรื่องแบบนั้น

เซ็กซ์น่ะ

มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันอยู่เหมือนกัน คืนที่ข้าวหอมไปเที่ยวกับพี่แช่ม มันเป็นคืนที่ผมก็ไปเที่ยวเหมือนกัน ผิดปกติหน่อยที่ไม่ได้สวมแว่นเหมือนทุกครั้งและไม่ได้เซ็ตผมให้เป็นทรง ผมเลือกไปเที่ยวผับที่อยู่ไกลจากแถวนี้ด้วยความตั้งใจที่ว่าอยากไปนั่งสงบจิตสงบใจคนเดียวเฉยๆ แต่สุดท้ายผมก็ไปเจอเด็กคนนึงที่นั่นและผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผับถึงให้เด็กอายุไม่ถึง 20 ปีเข้ามาใช้บริการได้

เด็กคนนั้นคือบวร

ผมไปเจอเขาในสภาพที่เมาจัดๆ เลยแหละ ตอนแรกผมไม่ได้คิดว่าจะทักหรืออะไรเลยนะแต่เป็นเขาที่เห็นผมก่อน เขาก็ทักผม ถามผมว่ามากินเหล้าเหรอ นั่งด้วยกันไหม ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรเลยครับจนเขาขอให้ไปส่งที่คอนโดฯ หน่อยเพราะขับรถเองไม่ไหว โอเคผมก็ตกลงนั่นแหละ ลากเขากลับมาจนถึงคอนโดฯ ลากไปส่งยันห้องนอนแต่มันก็เกินคาดไปหน่อยที่เขาผลักผมลงบนเตียงแล้วก็....นั่นแหละ

ทุกสัมผัสยังตราตรึงอยู่ในใจผมอยู่เลย

“พวกพี่มีความเห็นว่ายังไงบ้างครับ” สมปองเอ่ยถามหลังจากที่อธิบายเสร็จ นี่ถ้าผมบอกว่าฟังไม่รู้เรื่องน้องมันจะโกรธไหมวะ

“ก็โอเคนะ มันเป็นแผนงานที่โอเคเลยแหละ แต่ถ้าจะให้ปรับแก้อะไรสักอย่างก็น่าจะเป็นเรื่องของเวลา กูว่าเวลามันยืดเกินไป ส่วนนี้อาจจะทำให้เด็กๆ เบื่อได้ ถ้าเราสามารถทำให้มันกระชับกว่านี้กูว่าน่าจะดีขึ้น พวกมึงคิดว่าไง” ข้าวหอมบอกพลางถามความเห็นจากเพื่อนๆ ผมก็พยักหน้ารับไปทันที ไม่ได้รู้เรื่องหรอกแต่ทำเนียนไว้ก่อน

“กูเห็นด้วย” เพื่อนขุนรับคำ “แล้วเรื่องกิจกรรมเราจะเอายังไง จะเหมือนปีที่แล้วหรือว่าเปลี่ยน”

“เปลี่ยนเอากิจกรรมที่ให้หาของออก กูว่ามันค่อนข้างอันตรายต่อเด็กๆ กูไม่รู้เมื่อปีก่อนใครเอางูเขียวปลอมไปซ่อนไว้บนต้นไม้ ชามตาไก่เงี้ยะ เอาไปซ่อนในทุ่ง คิดได้ไงวะ” สยามบ่นอย่างจริงจัง

“แล้วเราจะเอาอะไรมาแทนดีล่ะ”

“ถ้าเป็นพวกกิจกรรมปลูกป่าอะไรพวกนี้ล่ะครับ พี่ๆ โอเคไหม” บวรเอ่ยถามพลางส่งใบเอกสารมาทางพวกผม “ค่ายที่ผมกับเพื่อนๆ ไปดูมามันอยู่ใกล้กับศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ป่าชายเลน ผมว่ามันน่าจะเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ที่ดีและก็จะได้ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติด้วย”

“เป็นความคิดที่ดีเลยนะ งั้นเอาตามนี้แหละ” ขุนศึกส่งฟอร์มงานกิจกรรมให้ “ขอแผนงานกิจกรรมฉบับสมบูรณ์วันจันทร์หน้านะ ทางคณะเขาเร่งมาเหมือนกัน”

“ได้ครับ”

“ส่วนเรื่องงานงบประมาณ มึงรับผิดชอบนะก้อง”

ผมพยักหน้ารับ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“โอเค งั้นแยกย้ายได้” สิ้นเสียงขุนศึกบอกผมก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องทันทีโดยที่ไม่ได้รอใครทั้งนั้น จุดมุ่งหมายของผมคือใต้ต้นไม้ใหญ่หลังตึก

ตอนนี้ทุ่มกว่าๆ แล้วครับ ในตัวตึกค่อนข้างเงียบแล้ววังเวงมากเลย ดีละ อยู่แบบเงียบสงบบ้างก็ดีเหมือนกัน ผมนั่งลงที่ม้านั่งตัวเดิม ตัวประจำที่ผมชอบมานั่งสูบบุหรี่ นี่ก็เข้าปีที่ 5 แล้วมั้งที่ผมสูบมันน่ะ คิดเหมือนกันนะว่าจะต้องเลิกให้ได้ ข้าวหอมก็บอกกับผมว่าจะเลิกบุหรี่เพราะพี่แช่มขอให้เลิก ดีเนอะที่มีแรงจูงใจในการเลิกที่ชัดเจนว่าจะทำเพื่อใครสักคน แต่เอาจริงๆ ผมก็เคยคิดอยากจะเลิกมันเพื่อตัวเองเหมือนกันนะ

แต่ยังทำไม่ได้อะ

หรือผมยังรักตัวเองไม่มากพอวะ

ช่วงที่ผมสูบบุหรี่มันเริ่มมาจากที่ผมจับได้ว่าแฟนของตัวเองนอกใจ ตอนนั้นผมเสียใจมากเลยนะ ผมรักเธอมากและยอมทำให้เธอทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เธอต้องการผมก็พยายามหามาให้เพราะผมเห็นว่ามันเป็นความสุขของเธอแต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ผมได้กลับมาคือการทรยศ พอเกิดเหตุการณ์นั้น....ผมก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน ผมไม่เชื่อในความรัก ไม่คิดอยากจะมีมันจนวันนึงได้มาตกหลุมของเด็กโง่ๆ ที่ชอบเอาข้าวมาให้หมาให้แมวแถวสวนสาธารณะ

เด็กโง่ๆ ที่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อเลย

ในสวนสาธารณะมันจะมีก้อนหินโง่ๆ ก้อนนึงที่จะมีเด็กโง่ๆ คนนึงชอบมาสะดุดแล้วล้มลงเป็นประจำ ก้อนหินมันอยู่ตรงนั้นของมันดีดีเลยนะ ไอ้เด็กเวรนี่แหละที่ชอบเดินไปสะดุดมันและน่าแปลกคือทุกครั้งที่เขาล้ม เขามักจะหัวเราะออกมาเสมอ ดูปัญญาอ่อนอะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมใจผมชอบเต้นแรงให้กับรอยยิ้มที่เขาแสดงออกมา อาจเพราะมันสดใสแล้วก็ดูอบอุ่นดีมั้งครับ

ตอนนี้มันก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอไม่เคยเปลี่ยน

“ขอนั่งด้วยนะครับ” เสียงเรียบเอ่ยบอกผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ ทันที “เพิ่งรู้เลยว่าพี่ก็สูบบุหรี่”

“ผมก็เพิ่งรู้ว่าคุณก็สูบ”

“ผมเคยเห็นพี่คนนึงเขาสูบ มันดูเท่ดีผมก็เลยทำตาม”

“เหตุผลของคุณมันโคตรเด็กเลย”

“ก็ยังเด็กอยู่นะครับ” เจ้าตัวยิ้มบางๆ ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบ

ผมเหลือบมองเขา “เมื่อกี๊ตอนที่อยู่ในห้องประชุม คุณมองมาทางผมกับข้าวหอมบ่อยจนน่าหงุดหงิด”

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมแค่คิดว่าพวกพี่เหมือนกันจริงๆ ”

“นั่นแปลว่าคุณยังไม่รู้จักพวกเราดี”

“นั่นสินะครับ เพราะถ้าสมมุติว่าเป็นพี่ข้าวหอม เขาคงจะไม่มีทางนั่งสูบบุหรี่ข้างผมแน่นอน” บวรเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะอัดควันเข้าปอดตัวเอง สีหน้าแบบนั้นแสดงชัดเลยว่าเขากำลังรู้สึกเศร้าอยู่

ผมก็ควรเศร้าเหมือนกันรึเปล่านะ

มันเป็นความผิดของผมตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่ได้เจอเขาแล้ว วันนั้นผมนั่งสูบบุหรี่อยู่แล้วมีเด็กมัธยมปักดาวที่มุมปก 3 ดวงมาหาเรื่องไอ้เด็กโง่ๆ ที่กำลังให้อาหารหมาอยู่ พวกนั้นก็ชกต่อยกันนั่นแหละแล้วผมก็สะเหล่อเข้าไปช่วยไอ้เด็กโง่นั่น แล้วจังหวะที่เขาถามชื่อผมนั้น.....ผมก็บอกไปแค่ว่าผมชื่อข้าว ส่วนไอ้ตัวกะเปี๊ยกในตอนนั้นก็บอกว่าตัวเองชื่อบวร ชื่อเล่นว่าเบย์แล้วก็ยิ้มหวานให้ผม

โคตรน่ารักเลยไอ้เวร

รอยยิ้มโง่ๆ นั่นน่ะแหละที่ทำให้ผมตกบ่วงแต่ด้วยความที่ผมไม่คิดจะจริงจังกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ไปที่สวนสาธารณะนั่นอีก ผมคิดว่าความรู้สึกที่มีตอนนั้นมันก็คงแค่ชั่ววูบ แต่พอได้มาเจอบวรอีกทีตอนที่เขาเข้ามหา’ลัยแล้วมันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า อืม....ก็คงเรียกได้ว่าชอบแหละมั้ง ผมคิดด้วยนะว่าไอ้เด็กโง่นั่นจะจำผมได้รึเปล่าและผมคิดถูกด้วยว่าเขาจำผมได้

แต่เขาเข้าใจว่าผมคือข้าวหอม

เขาแทบไม่ยุ่งกับผมเลยสักนิดแต่คนที่เขาเข้าหาคือฝาแฝดของผม ก็นะ ตอนที่ผมเจอเขาผมไม่ได้เซ็ตผม ไม่ได้สวมแว่น และตอนนี้เขาก็เข้าใจว่าพี่ข้าวที่เขาเจอตอนนั้นคือข้าวหอม....ไม่ใช่ข้าวก้อง

ถ้าผมเป็นไอ้หมีก็คือต้องยกมือปาดน้ำตาแล้วล่ะ

“ทำไมพี่ถึงสูบอาร์กติก แบล็กเหรอครับ” เขาพ่นควันออกก่อนจะมองผม “ชอบเย็นๆ เหรอ”

“ใช่ แล้วคุณล่ะ ชอบหวานๆ เหรอถึงได้สูบเพอเพิล”

“ผมเคยลองเรดแล้วแต่มันร้อนไป ไม่รู้ว่าพี่หมีสูบได้ยังไง”

ผมหรี่ตามองอย่างสงสัย “คุณรู้จักไอ้หมีด้วยเหรอ”

“รู้สิครับ ผมว่าใครๆ ก็น่าจะรู้จักพี่หมีนะถ้าไปนั่งชิวบ่อยๆ ”

“ก็จริงของคุณ แต่คุณอย่าไปวอแวกับมันนักล่ะ พี่ขันน่ะขี้หึงมากเลยนะ ระวังจะโดนกระทืบเอา”

“ผมไม่กลัวพี่ขันหรอกครับ” บวรหลุดยิ้มออกมา “ผมน่าจะต้องกลัวพี่แช่มมากกว่า”

“แต่ถึงให้คุณกลัวพี่แช่ม คุณก็ยังยุ่งกับไอ้หอมอยู่ดีหนิ”

“ก็ผมชอบเขาหนิครับ ไม่อยากยอมแพ้ให้กับสิ่งที่ผมชอบหรอก อีกอย่าง....ตอนนี้พี่หอมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แช่มเพราะงั้นผมก็น่าจะยังคงมีสิทธิ์อยู่”

“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ” มือเรียวทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะยิ้มหวาน “ผมจะทำทุกอย่างให้พี่หอมมาเป็นของผมให้ได้ ผมขอตัวก่อนนะครับ” สิ้นเสียงร่างสูงก็เดินไปทันทีทิ้งไว้แต่ความรู้สึกปวดใจแปล๊บๆ ให้ผมเท่านั้น

ทั้งๆ ที่เป็นคนเลือกทางนี้เองแท้ๆ แต่กลับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เรื่องแบบนั้นมันไม่ดีเลยจริงๆ แต่ผมก็คนน่ะนะ จะให้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยมันก็จะเกินไป บางทีก็อึดอัดอยู่เหมือนกันที่ต้องปิดบังมันเอาไว้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นทางที่ดีรึเปล่าที่ผมเลือกทำแบบนั้น แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเลือกแล้วก็แค่ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็พอ

ก็ทำได้แค่นั้นจริงๆ

กลิ่นมาโบโรโล่เพอเพิลยังคงติดอยู่ในจมูกผมถึงแม้ว่าคนที่สูบมันจะไม่อยู่แล้ว ผมว่าบวรเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมากเลยล่ะเพราะว่าคืนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมรับรู้ได้จากรสจูบที่เขามอบให้ มันหวานจนต่อต้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาเมาหนักมากเลยครับและคิดว่าผมคือข้าวหอม เสียงแหบพร่าที่กระซิบอยู่ข้างหูตอนนั้นไม่ได้เรียกชื่อผมออกมาแม้แต่น้อย แต่ถึงเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธเขานะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่

สุดท้ายก็เกินเลย สภาพผมย่ำแย่เอามากๆ มันปวดไปหมด ผมไม่อยากขยับด้วยซ้ำแต่ว่ายังไงก็ต้องรีบพาตัวเองออกมาจากที่นั่นให้ได้เร็วที่สุดก่อนที่บวรจะตื่น อย่างน้อยผมก็อยากปล่อยให้เขาคิดว่าภาพเลือนลางที่เขาเห็นเมื่อคืนมันเป็นแค่ความฝันหรือไม่ก็เพ้อหนักเพราะเมามากเท่านั้นเอง ผมลากสังขารกลับมาที่หอด้วยความเบลอมากจนเข้าห้องผิด

สะเหล่อเนอะ

คือผมกับข้าวหอมจะมีกุญแจห้องของกันและกันอยู่แล้วไงครับ เอาจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอก ข้าวหอมก็เคยเมามากจนเข้าห้องผิดเหมือนกัน มันเคยนอนอยู่ข้างถนนด้วยซ้ำ ผมนี่เป็นคนลากมันกลับห้องเองกับมือ ช่วงนั้นทะเลาะกับพี่แช่มแล้วแซดหนักไง แดกเหล้าซะเมายับ พอมันสร่างผมก็จัดการสวดให้พร้อมกับตบกะโหลกเรียกสติไปที

โหดสุดๆ

ผมนี่แหละแบดกายที่แท้ทรู

“ก็ว่าอยู่ว่ามึงไปไหน”

ผมมองคนที่หน้าเหมือนตัวเองเดินมา “ทำไมยังไม่กลับอีก”

“กูลืมเอากุญแจห้องมา” มือเรียวยื่นมาตรงหน้า “ขอกุญแจหน่อย”

“เด๋อจังวะ” ผมหยิบกุญแจในกระเป๋าส่งให้ข้าวหอม “แล้วมึงจะไปจันทร์เจ้ากี่โมง”

“ 2 ทุ่มกว่าๆ นั่นแหละ มึงอะ”

“ประมาณนั้นแหละมั้ง ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวกูบอกละกัน”

“โอเค งั้นกูไปละ” พูดจบมันก็เดินไป โรคขี้ลืมของข้าวหอมนี่ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่สิบปีถึงจะหาย ผมล่ะอยากเอากุญแจห้อยไว้ที่คอมันจริงๆ

ผมทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น เดี๋ยวต้องไปงานวันเกิดพี่ฉายครับ ผมต้องกลับไปจัดการตัวเองทั้งร่างกายและความรู้สึกต่างๆ ให้เสร็จซะก่อน ผมไม่รู้ว่าไปจันทร์เจ้าวันนี้แล้วจะเจอใครบ้าง หวังว่าจะไม่เจอบวรอีกรอบนะเพราะว่าถ้ากันอีกเนี่ยะ ใจผมคงจะปวดหนึบหนับน่าดูเลยแต่ถ้าสมมุติว่าได้เจอกันที่ร้านอีก ผมก็คงต้องให้เหล้าช่วยปลอบใจตัวเองแล้วล่ะ

ไม่เมาไม่เลิก....เอาสิ



[จบบันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-03-2019 21:03:05
---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวววววววววว.....อะเป่า”

“ฟู่วววว” เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนจนดับหมดทุกเล่ม “ขอบใจนะพวกมึง”

“โตแล้วก็เลิกเชี่ยซะนะ”

“นี่อวยพรกูถูกไหม”

“ใช่สิ กูไม่ได้ด่ามึงเลยนะ”

“กูต้องเชื่อไหมหนิ”

“ต้องเชื่อสิ เอามีดมาตัดแบ่งเค้กเร็ว”

วุ่นวายชิบหาย

ผมนั่งเท้าคางมองเหล่าแก๊งค์ปลาทองที่สุมกันอยู่ตรงเค้กก้อนใหญ่ จะบอกว่าทั้งแก๊งค์เลยก็ไม่ได้เพราะมีคนนั่งซึมกะทืออยู่ข้างผมคนนึง พี่แช่มเขาดูแปลกๆ อะ ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนอย่างทุกทีเลย และนี่ยิ่งเป็นวันเกิดเพื่อนเขาอีกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่หือไม่อือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย อารมณ์เหมือนโดนบังคับให้มาด้วยซ้ำไป เชื่อไหมว่าตั้งแต่มาที่ร้านเนี่ยะ เขายังไม่แตะแอลกอฮอล์สักแก้วเลยนะครับ

เป็นไปได้ป้ะล่ะ

คนขี้เมาไม่ยอมแตะเหล้าหรือเบียร์เลยสักนิด ต่อให้เพื่อนๆ พูดยังไงเขาก็ไม่ดื่ม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ว่ามันก็รู้สึกแปลกๆ อะ ผมไม่รู้ว่าพี่แช่มเขาเป็นอะไรรึเปล่า ถามแล้วนะแต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่ใครจะเชื่อวะ อาการนี่แสดงออกมาชัดมากว่าไม่ปกติ เนี่ยะ พอเขาเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเป็นห่วง ไม่รู้เลยว่าจะดึงพี่แช่มคนที่เฮฮาปาร์ตี้กลับมาได้ยังไง

คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เหรอ”

เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “น้องหอมถามพี่หลายรอบแล้วนะ”

“ก็พี่ทำตัวน่าเป็นห่วง”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรเลยจ่ะ”

“ปกติพี่ต้องกินเหล้าแล้ว”

“แต่วันนี้ไม่กินไง ช่วงนี้พี่ต้องงดเหล้าหน่อยน่ะ เวลากินมันจะชอบปวดหัวบ่อยๆ ” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ “อืม....แต่พี่อยากกินนมปั่นนะ ไปหานมปั่นกินกันไหม”

“ไปตอนนี้เลยได้เหรอ”

“ได้ดิ ก็จะไปอะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะหันไปหาเพื่อนๆ “พวกมึง กูขอตัวก่อนนะ ปาร์ตี้เผื่อด้วย”

“เออ ไปพักเถอะ แล้วก็ขอบใจสำหรับของขวัญนะ” พี่ฉายยิ้มบางๆ ให้เราสองคน

“โอเค กูไปละ ไปกันจ่ะน้องหอม” มือเรียวจูงมือผมออกมาจากร้าน ออกมาแบบงงๆ ด้วยนะ เนี่ยะ นี่มันไม่ใช่พี่แช่มนะ เขาโดนผีสิงป้ะวะ

ร่างสูงลากผมมาที่รถก่อนจะจับยัดเข้าไปส่วนตัวเองก็มาประจำที่ฝั่งคนขับ ผมนั่งมองพี่แช่มตาแป๋วอยู่แบบนั้น มันรู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ เขาแปลกไปอะ มันไม่ใช่แปลกไปทางที่ไม่ดีนะครับแต่มันดูเหมือนไม่ใช่ตัวเขายังไงก็ไม่รู้ บางทีแววตาที่แสดงออกมามันก็ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเอามากๆ เวลาที่เรียกเขาในบางครั้งเขาก็ไม่ได้ยิน เหมือนคนไม่มีสติยังไงไม่รู้ อีกอย่างคือช่วงนี้เขานอนเยอะผิดปกติด้วย

ตื่นสายอีกต่างหาก

ผมเปิดเก๊ะเพื่อจะหาลูกอมกินแต่ก็ต้องไปสะดุดตากับบัตรผู้ป่วยที่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘นรินทร์จิตเวชคลินิก’ โดยชื่อบนบัตรนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่านาย ชริต ทำไมพี่แช่มถึงมีบัตรผู้ป่วยจิตเวชล่ะ

เขาป่วยงั้นเหรอ

“หาอะไรเหรอน้องหอม”

ผมปิดเก๊ะก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เขา “หอมหาลูกอมน่ะ มันหมดแล้วเหรอ”

“หมดแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ซื้อมาไว้ให้ใหม่นะ”

“อื้ม”

“ลงเถอะจ่ะ ถึงแล้ว” เขาบอกก่อนจะปลดเบลท์แล้วลงไปจากรถ ผมก็เดินตามพี่แช่มลงมาพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมาย

จะหาคำตอบได้จากไหนวะเนี่ยะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....”

“คือหอม.....” อยากรู้เรื่องบัตรผู้ป่วยจิตเวชนั่น “คือหอมอยากกินปังเย็นภูเขาไฟอะ”

“ก็กินสิ พี่เลี้ยงเองมื้อนี้” ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะประจำที่เรานั่งกันบ่อยๆ ผมมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ตาก็มองมือเรียวจดเมนูลงกระดาษยุกยิกๆ

ตอนนี้คนที่ดูแปลกๆ จะไม่ใช่พี่แช่มละนะ

น่าจะเป็นผมนี่แหละ

ตอนนี้ในหัวผมคิดถึงแต่เรื่องบัตรผู้ป่วยและมีคำถามเกี่ยวกับมันมากมาย บัตรนั้นเป็นของพี่แช่มงั้นก็แสดงว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชน่ะสิ แล้วเขาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หรือว่าเขาเพิ่งจะเป็นวะ แต่ถึงแบบนั้นเขาไม่คิดที่จะบอกผมสักหน่อยเหรอ กลัวว่าผมจะเป็นห่วงหรือว่าอะไร หรือตั้งใจจะปิดบังไปเรื่อยๆ จนตัวเองหายเป็นปกติแบบนั้นสินะ

นี่คิดเองเออเองหมดเลยข้าวหอม

ตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พี่แช่มพูดเมื่อตอนที่เราอยู่กาญฯ ด้วยกันแล้ว เรื่องที่เขาบอกว่าให้ผมรออีกสักนิด รอให้ตัวเขาคนเดิมกลับมาก่อน สิ่งที่เขาบอกนั่นมันอาจหมายความว่าให้ผมรอจนกว่าเขาจะหายดีแน่ๆ เลยว่ะ ว่าแต่โรคจิตเวชที่เขาเป็นนี่โรคไหนวะ คือโรคทางจิตเวชมีเยอะมากแล้วก็แบ่งเป็นยิบย่อยอีกไม่น้อยเลย หรือเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ดูพี่แช่มก็ไม่ค่อยเข้าข่ายเท่าไหร่เลยนะ

ครั้นจะถามไปตรงๆ เดี๋ยวพ่อคุณเขาก็ไม่บอกอีก

“คิดอะไรอยู่หืม....” นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม “คิ้วขมวดเป็นปมเชียว”

“มีเรื่องคาใจหอมอยู่”

“เรื่องอะไรหืม....” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ถ้าสมมุติว่าผมบอกเขาไปมันจะเป็นยังไงกันนะ ผมจะได้คำตอบแบบที่ตัวเองต้องการไหม

“คือ....หอมคิดว่าทุกวันนี้มีคนป่วยเป็นโรคทางจิตเวชเยอะเนอะ แบบคนที่เราไม่คิดว่าจะเป็นแต่เขาก็เป็นอะ” ผมบอกพลางดูการตอบสนองจากคนตรงหน้า ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผม

“เราดูคนที่ภายนอกไม่ได้หรอก สิ่งที่เราเห็นมันอาจจะไม่ได้ครึ่งนึงของความจริงที่เขาเป็นด้วยซ้ำ คนที่ยิ้ม คนที่ดูเหมือนมีความสุข เขาอาจจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าใครๆ ก็ได้นะ”

“นั่นสินะ” ผมลูบหลังมือเขาเบาๆ “สมมุตินะพี่แช่ม ถ้าพี่ป่วยเป็นโรคพวกนี้ พี่จะบอกคนอื่นไหม”

“อืม....คำถามยากจัง” เขาเท้าคางมองผม “แต่ถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่บอกหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“พี่คงไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงมั้ง อีกอย่างนะ เวลาที่เรารู้ว่าคนๆ นี้กำลังป่วย เราอาจจะมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปซึ่งถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แล้วพี่ก็คิดว่าถ้าตัวเองป่วยจริงๆ พี่ก็จะต้องหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “หอมเข้าใจแล้ว แต่พี่แช่มไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นที่อยู่ข้างๆ พี่ เขาอาจจะรอซัพพอร์ต รอเป็นกำลังใจให้พี่อยู่ก็ได้”

“นั่นสินะ ช่างเถอะ.....ปังเย็นมาแล้ว กินกันเถอะจ่ะ” พี่แช่มตักปังเย็นในถ้วยก่อนจะมาจ่อที่ปากผม ผมก็อ้าปากรับสิ่งที่เขาป้อน อื้มม.ม.ม....ความหวานความเย็นนี้มันดีจริงๆ เลยว่ะ

สิ่งที่เราคุยกันเมื่อกี้แน่นอนว่ามันคือการหลอกถามและผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ โอเค รับรู้แล้วครับว่าพี่แช่มกำลังป่วย แต่ที่ไม่รู้คือเขาป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ด้วยว่าวันนึงที่เขาหาย เขากลับมาเป็นปกติ เขาจะเล่าถึงมันให้ผมฟังรึเปล่าหรือจะปล่อยให้มันจบไปเฉยๆ แต่พอมารู้แบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ ผมว่าตั้งแต่ช่วงที่เขาเรียนปี 3 จนถึงปี 4 ที่เขาแปลกๆ ไปนี่น่าจะเป็นเพราะเขาป่วยแน่ๆ

ทนมานานขนาดนั้นได้ยังไงกัน

ช่วงนี้ที่เขาเซื่องซึมแปลกๆ มันก็เป็นไปได้ว่าเพราะป่วยนี่แหละ ผมควรจะปฏิบัติกับเขายังไงดีนะ พอเจ้าตัวไม่พูดผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยสิ งั้นเอาเป็นว่าทำตัวไปตามปกติก่อนละกัน คนแบบพี่แช่มถ้าอยากบอกอะไรเดี๋ยวเขาก็คงบอกเอง ไปเซ้าซี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมนั่งมองคนตรงหน้าที่นั่งกินปังเย็นอย่างมีความสุข ยิ้มอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าที่เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าล่ะวะ

“ยิ้มอะไรนักหนาอะ”

“มีความสุข”

“ทำไมถึงมีความสุข”

“เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพี่คือน้องหอมไง”

ฉ่า

หน้าร้อนเฉย

“หยอดกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่แช่ม” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง “อารมณ์ไหนอะ”

“อารมณ์ดี ได้อยู่กับน้องหอมสักที” เขายิ้มหวานก่อนจะตักปังเย็นมาจ่อที่ปากผม

“ปกติก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วป้ะ” ผมบอกก่อนจะกินปังเย็น

“มันก็ใช่แหละ แต่ช่วงนี้พี่ว่าพี่โหยหาน้องหอมเป็นพิเศษ ไม่รู้ดิ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นอะ”

ผมหยิบทิชชู่ขขึ้นไปเช็ดที่มุมปากของพี่แช่ม “แต่หอมเห็นนะว่าบางทีเวลาเราอยู่ด้วยกัน พี่แช่มก็นั่งเหม่อ เหมือนอยู่คนเดียวในโลก”

“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นหรอกแต่มัน....”

“หอมเข้าใจ” ผมยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมอยากให้พี่รู้ว่าถ้าออกมาจากโลกของตัวเองเมื่อไหร่ พี่ก็จะเห็นหอมอยู่ตรงนี้เสมอ”

“น่ารัก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ “เออพี่มีอะไรจะให้น้องหอมด้วย”

“อะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองมือเรียวที่ล้วงเข้าไปในเสื้อของตัวเอง พี่แช่มถอดสร้อยที่เขาใส่ออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผม

สร้อยที่มีจี้ห้อยเป็นเกียร์ของวิศวะฯ

เอาจริงดิ

ผมมองเกียร์สลับกับหน้าเขาอยู่อย่างนั้น นี่มันหมายความว่ายังไงอะ ผมรู้ดีสำหรับความหมายของเกียร์นั่น ผมรู้ดีว่าการที่เด็กวิศวะฯ ให้เกียร์กับใครสักคนมันหมายความว่ายังไง การที่พี่แช่มทำแบบนี้มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ และหน้าของผมเองก็น่าจะแดงมากเหมือนกัน บทจะให้ก็ให้อย่างงี้เลยเหรอ ไม่มีให้ตั้งตัวหรืออะไรก่อนเลย ร้ายกาจชะมัด แล้วยื่นมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำอีก

เกินไปแล้วนะชริต

“หมายความว่ายังไง”

“น้องหอมคิดว่ายังไงล่ะ”

“จะฝากไว้ที่หอมเหรอ”

“แล้วรับฝากไหม”

“ไม่รับฝาก” ใครเขารับฝากเกียร์ของคนอื่นกัน

“งั้นพี่ให้” ร่างสูงอ้อมมาอยู่ด้านหลังผมก่อนจะสวมสร้อยให้ “ถือว่าเป็นของหมั้นละกัน”

“ยังไม่ทันได้เป็นแฟนกันเลย จะหมั้นแล้วเหรอ”

พี่แช่มเลื่อนมากระซิบอยู่ข้างหูผม “ถ้างั้น....”

“พี่ข้าวหอม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบกับบวรที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เขา โวะ จังหวะดีดีนี่มีคนขัดตลอดเลยว่ะ

มันยังไงวะ

ผมยกมือเสยผมด้วยความหงุดหงิด “ว่าไง มากินปังเย็นกันเหรอ”

“ใช่ครับ ผมนึกว่าพวกพี่จะอยู่ในงานวันเกิดพี่ฉายซะอีก”

“คือพี่แช่มเขาอยากกินนมปั่นน่ะ” ผมมองร่างสูงที่เดินไปป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ร้าน น่าจะจ่ายเงินมั้งครับ โอเคมันคงวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะไปจากร้านนี้น่ะนะ

ดีจังที่เขาดูไม่ค่อยหัวร้อนเท่าไหร่

“ที่คอพี่หอมมัน....”

“เกียร์ของพี่แช่มน่ะ” ผมมองเจ้าของเกียร์ที่เดินมาพอดี “จ่ายเงินแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะเนอะ”

“จ่ะ” พี่แช่มเลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะมองทางบวร “กินให้อร่อยนะเด็กๆ ” ว่าแล้วเขาก็พาผมออกมาจากร้านทันที แหมๆ ๆ ๆ ร้ายเหมือนกันหนิคำพูดคำจา

ยอมเขาเลย

ร่างสูงจูงมือผมเดินมาเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดีนะที่เขาดูไม่ค่อยโมโหที่บวรมาทักผม การไม่มีเรื่องกันมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้วล่ะ ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ละกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะโฟกัสและมีความสุขกับมันก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก น่าเสียดายอยู่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อกี๊เขาจะพูดอะไรออกมาเพราะบวรเข้ามาขัดซะก่อน

ถ้าอยากรู้ต้องถาม

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“เมื่อกี๊พี่จะพูดอะไรกับหอมอะ”

“....ลืมไปแล้วอะ”

“เอ้า” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “อะไรของพี่เนี่ยะ อยู่แก๊งค์ปลาทองไม่ได้หมายความว่าต้องความจำสั้นแบบปลาทองป้ะ”   

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ผมหมุนตัวกลับมาหาก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ไหน มือไหนที่ตีพี่”

“พี่จะทำไม” ผมมองเขาตาโต เอาจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ได้เหมาะที่ผู้ชายตัวยักษ์สองคนจะมายืนโอบเอวกันหรอกนะ ทำอะไรโจ่งแจ้งชะมัด

“พี่จะ....” เขาจับมือผมทั้งสองข้างขึ้นมาหอมๆ ๆ ๆ ไม่หยุด หื้ออ.อ.อ.อ.....อะไรวะเนี่ย จะทำให้เขินกันไปถึงไหนเล่าพ่อคุณณณณ

“พอแล้ว” ผมดึงมือตัวเองกลับมา “เขินจะเป็นบ้าแล้วนะ”

มือเรียวขยี้หัวผมเบาๆ “กลับหอกันดีกว่า.....อยากนอนกอดแล้วครับ” พูดจบร่างสูงก็เดินขึ้นรถไปปล่อยให้ผมยืนเขินและสงสัยกับสิ่งที่เขาบอกว่าลืม

ไม่ได้ลืมหรอกแค่ยังไม่พูด

แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อาจต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อยแต่ผมว่ามันคงจะใกล้ๆ นี่แหละ ดูทรงแล้วพี่แช่มน่าจะรอจังหวะอยู่ เมื่อกี้ก็ฉุกละหุกไปหน่อย โอเค ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นเดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้รออีกนิดละกัน รอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยก็สบายแหละ ยิ่งตอนนี้เกียร์ของเขามาอยู่ที่ผมแล้วด้วย ไม่ต้องลังเลอะไรอีกต่อไปละครับ

รอเวลาแค่อย่างเดียว

ผมขึ้นรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเกียร์ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเอง พี่แช่มเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะคว้ามือผมไปกุมตามปกติ ผมกดเข้าไปในทวิตเตอร์ก่อนจะทวิตข้อความที่มีเหตุมาจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าพอกลับถึงหอแล้ว พี่แช่มจะหาเรื่องมาทำให้ผมใจสั่นอีกรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็....ผมจะหาเรื่องทำให้เขาใจสั่นบ้าง มันจะได้วินวินไง

สั่นมาสั่นกลับไม่โกง....





Kh. @KhH22_luc

เรื่องทำให้ใจสั่นเก่งก็คงต้องยกให้คุณเขานั่นแหละ

เก่งกว่าใครในโลกเลย.....



#CloverBad














TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่ห่างหายไป 2 เดือนเลยสำหรับเรื่องนี้ ชาลกลับไปเรียนแล้วนะคะแล้วก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีพรีเซ้นต์นวัตกรรมพรุ่งนี้ ก็ช่วยส่งกำลังใจมาให้กันหน่อยนะคะ

ตอนนี้ก็เฉลยหลายอย่างอยู่นะแต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ต้องรอติดตามกันต่อไป เดี๋ยวชาลจะชี้แจงตารางลงนิยายที่ชัดเจนให้นะคะว่ากำหนดลงมมันจะตรงกับวันไหน อดใจรอหน่อยนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-03-2019 21:05:17
---------- ต่อจากบทที่ 6 ----------



“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูวววววววววว.....อะเป่า”

“ฟู่วววว” เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนจนดับหมดทุกเล่ม “ขอบใจนะพวกมึง”

“โตแล้วก็เลิกเชี่ยซะนะ”

“นี่อวยพรกูถูกไหม”

“ใช่สิ กูไม่ได้ด่ามึงเลยนะ”

“กูต้องเชื่อไหมหนิ”

“ต้องเชื่อสิ เอามีดมาตัดแบ่งเค้กเร็ว”

วุ่นวายชิบหาย

ผมนั่งเท้าคางมองเหล่าแก๊งค์ปลาทองที่สุมกันอยู่ตรงเค้กก้อนใหญ่ จะบอกว่าทั้งแก๊งค์เลยก็ไม่ได้เพราะมีคนนั่งซึมกะทืออยู่ข้างผมคนนึง พี่แช่มเขาดูแปลกๆ อะ ไม่ค่อยร่าเริงเหมือนอย่างทุกทีเลย และนี่ยิ่งเป็นวันเกิดเพื่อนเขาอีกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่หือไม่อือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย อารมณ์เหมือนโดนบังคับให้มาด้วยซ้ำไป เชื่อไหมว่าตั้งแต่มาที่ร้านเนี่ยะ เขายังไม่แตะแอลกอฮอล์สักแก้วเลยนะครับ

เป็นไปได้ป้ะล่ะ

คนขี้เมาไม่ยอมแตะเหล้าหรือเบียร์เลยสักนิด ต่อให้เพื่อนๆ พูดยังไงเขาก็ไม่ดื่ม ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะแต่ว่ามันก็รู้สึกแปลกๆ อะ ผมไม่รู้ว่าพี่แช่มเขาเป็นอะไรรึเปล่า ถามแล้วนะแต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่ใครจะเชื่อวะ อาการนี่แสดงออกมาชัดมากว่าไม่ปกติ เนี่ยะ พอเขาเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเป็นห่วง ไม่รู้เลยว่าจะดึงพี่แช่มคนที่เฮฮาปาร์ตี้กลับมาได้ยังไง

คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เหรอ”

เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “น้องหอมถามพี่หลายรอบแล้วนะ”

“ก็พี่ทำตัวน่าเป็นห่วง”

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรเลยจ่ะ”

“ปกติพี่ต้องกินเหล้าแล้ว”

“แต่วันนี้ไม่กินไง ช่วงนี้พี่ต้องงดเหล้าหน่อยน่ะ เวลากินมันจะชอบปวดหัวบ่อยๆ ” เขาเอ่ยก่อนจะหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ “อืม....แต่พี่อยากกินนมปั่นนะ ไปหานมปั่นกินกันไหม”

“ไปตอนนี้เลยได้เหรอ”

“ได้ดิ ก็จะไปอะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะหันไปหาเพื่อนๆ “พวกมึง กูขอตัวก่อนนะ ปาร์ตี้เผื่อด้วย”

“เออ ไปพักเถอะ แล้วก็ขอบใจสำหรับของขวัญนะ” พี่ฉายยิ้มบางๆ ให้เราสองคน

“โอเค กูไปละ ไปกันจ่ะน้องหอม” มือเรียวจูงมือผมออกมาจากร้าน ออกมาแบบงงๆ ด้วยนะ เนี่ยะ นี่มันไม่ใช่พี่แช่มนะ เขาโดนผีสิงป้ะวะ

ร่างสูงลากผมมาที่รถก่อนจะจับยัดเข้าไปส่วนตัวเองก็มาประจำที่ฝั่งคนขับ ผมนั่งมองพี่แช่มตาแป๋วอยู่แบบนั้น มันรู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ เขาแปลกไปอะ มันไม่ใช่แปลกไปทางที่ไม่ดีนะครับแต่มันดูเหมือนไม่ใช่ตัวเขายังไงก็ไม่รู้ บางทีแววตาที่แสดงออกมามันก็ให้ความรู้สึกว่างเปล่าเอามากๆ เวลาที่เรียกเขาในบางครั้งเขาก็ไม่ได้ยิน เหมือนคนไม่มีสติยังไงไม่รู้ อีกอย่างคือช่วงนี้เขานอนเยอะผิดปกติด้วย

ตื่นสายอีกต่างหาก

ผมเปิดเก๊ะเพื่อจะหาลูกอมกินแต่ก็ต้องไปสะดุดตากับบัตรผู้ป่วยที่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘นวัตรจิตเวชคลินิก’ โดยชื่อบนบัตรนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่านาย ชริต ทำไมพี่แช่มถึงมีบัตรผู้ป่วยจิตเวชล่ะ

เขาป่วยงั้นเหรอ

“หาอะไรเหรอน้องหอม”

ผมปิดเก๊ะก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เขา “หอมหาลูกอมน่ะ มันหมดแล้วเหรอ”

“หมดแล้วมั้ง เดี๋ยวพี่ซื้อมาไว้ให้ใหม่นะ”

“อื้ม”

“ลงเถอะจ่ะ ถึงแล้ว” เขาบอกก่อนจะปลดเบลท์แล้วลงไปจากรถ ผมก็เดินตามพี่แช่มลงมาพร้อมกับคำถามที่อยู่ในหัวมากมาย

จะหาคำตอบได้จากไหนวะเนี่ยะ

“พี่แช่ม”

“หืม.....”

“คือหอม.....” อยากรู้เรื่องบัตรผู้ป่วยจิตเวชนั่น “คือหอมอยากกินปังเย็นภูเขาไฟอะ”

“ก็กินสิ พี่เลี้ยงเองมื้อนี้” ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะประจำที่เรานั่งกันบ่อยๆ ผมมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ตาก็มองมือเรียวจดเมนูลงกระดาษยุกยิกๆ

ตอนนี้คนที่ดูแปลกๆ จะไม่ใช่พี่แช่มละนะ

น่าจะเป็นผมนี่แหละ

ตอนนี้ในหัวผมคิดถึงแต่เรื่องบัตรผู้ป่วยและมีคำถามเกี่ยวกับมันมากมาย บัตรนั้นเป็นของพี่แช่มงั้นก็แสดงว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเวชน่ะสิ แล้วเขาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา หรือว่าเขาเพิ่งจะเป็นวะ แต่ถึงแบบนั้นเขาไม่คิดที่จะบอกผมสักหน่อยเหรอ กลัวว่าผมจะเป็นห่วงหรือว่าอะไร หรือตั้งใจจะปิดบังไปเรื่อยๆ จนตัวเองหายเป็นปกติแบบนั้นสินะ

นี่คิดเองเออเองหมดเลยข้าวหอม

ตอนนี้ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พี่แช่มพูดเมื่อตอนที่เราอยู่กาญฯ ด้วยกันแล้ว เรื่องที่เขาบอกว่าให้ผมรออีกสักนิด รอให้ตัวเขาคนเดิมกลับมาก่อน สิ่งที่เขาบอกนั่นมันอาจหมายความว่าให้ผมรอจนกว่าเขาจะหายดีแน่ๆ เลยว่ะ ว่าแต่โรคจิตเวชที่เขาเป็นนี่โรคไหนวะ คือโรคทางจิตเวชมีเยอะมากแล้วก็แบ่งเป็นยิบย่อยอีกไม่น้อยเลย หรือเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่ดูพี่แช่มก็ไม่ค่อยเข้าข่ายเท่าไหร่เลยนะ

ครั้นจะถามไปตรงๆ เดี๋ยวพ่อคุณเขาก็ไม่บอกอีก

“คิดอะไรอยู่หืม....” นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม “คิ้วขมวดเป็นปมเชียว”

“มีเรื่องคาใจหอมอยู่”

“เรื่องอะไรหืม....” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ถ้าสมมุติว่าผมบอกเขาไปมันจะเป็นยังไงกันนะ ผมจะได้คำตอบแบบที่ตัวเองต้องการไหม

“คือ....หอมคิดว่าทุกวันนี้มีคนป่วยเป็นโรคทางจิตเวชเยอะเนอะ แบบคนที่เราไม่คิดว่าจะเป็นแต่เขาก็เป็นอะ” ผมบอกพลางดูการตอบสนองจากคนตรงหน้า ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผม

“เราดูคนที่ภายนอกไม่ได้หรอก สิ่งที่เราเห็นมันอาจจะไม่ได้ครึ่งนึงของความจริงที่เขาเป็นด้วยซ้ำ คนที่ยิ้ม คนที่ดูเหมือนมีความสุข เขาอาจจะมีความทุกข์ยิ่งกว่าใครๆ ก็ได้นะ”

“นั่นสินะ” ผมลูบหลังมือเขาเบาๆ “สมมุตินะพี่แช่ม ถ้าพี่ป่วยเป็นโรคพวกนี้ พี่จะบอกคนอื่นไหม”

“อืม....คำถามยากจัง” เขาเท้าคางมองผม “แต่ถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่บอกหรอก”

“ทำไมล่ะ”

“พี่คงไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงมั้ง อีกอย่างนะ เวลาที่เรารู้ว่าคนๆ นี้กำลังป่วย เราอาจจะมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปซึ่งถ้าเป็นพี่ พี่คงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แล้วพี่ก็คิดว่าถ้าตัวเองป่วยจริงๆ พี่ก็จะต้องหายแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนเดิม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “หอมเข้าใจแล้ว แต่พี่แช่มไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นที่อยู่ข้างๆ พี่ เขาอาจจะรอซัพพอร์ต รอเป็นกำลังใจให้พี่อยู่ก็ได้”

“นั่นสินะ ช่างเถอะ.....ปังเย็นมาแล้ว กินกันเถอะจ่ะ” พี่แช่มตักปังเย็นในถ้วยก่อนจะมาจ่อที่ปากผม ผมก็อ้าปากรับสิ่งที่เขาป้อน อื้มม.ม.ม....ความหวานความเย็นนี้มันดีจริงๆ เลยว่ะ

สิ่งที่เราคุยกันเมื่อกี้แน่นอนว่ามันคือการหลอกถามและผมก็ได้คำตอบในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ โอเค รับรู้แล้วครับว่าพี่แช่มกำลังป่วย แต่ที่ไม่รู้คือเขาป่วยเป็นโรคอะไร ไม่รู้ด้วยว่าวันนึงที่เขาหาย เขากลับมาเป็นปกติ เขาจะเล่าถึงมันให้ผมฟังรึเปล่าหรือจะปล่อยให้มันจบไปเฉยๆ แต่พอมารู้แบบนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ จริงๆ นะ ผมว่าตั้งแต่ช่วงที่เขาเรียนปี 3 จนถึงปี 4 ที่เขาแปลกๆ ไปนี่น่าจะเป็นเพราะเขาป่วยแน่ๆ

ทนมานานขนาดนั้นได้ยังไงกัน

ช่วงนี้ที่เขาเซื่องซึมแปลกๆ มันก็เป็นไปได้ว่าเพราะป่วยนี่แหละ ผมควรจะปฏิบัติกับเขายังไงดีนะ พอเจ้าตัวไม่พูดผมก็ทำตัวไม่ถูกเลยสิ งั้นเอาเป็นว่าทำตัวไปตามปกติก่อนละกัน คนแบบพี่แช่มถ้าอยากบอกอะไรเดี๋ยวเขาก็คงบอกเอง ไปเซ้าซี้ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมนั่งมองคนตรงหน้าที่นั่งกินปังเย็นอย่างมีความสุข ยิ้มอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีกว่าที่เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าล่ะวะ

“ยิ้มอะไรนักหนาอะ”

“มีความสุข”

“ทำไมถึงมีความสุข”

“เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพี่คือน้องหอมไง”

ฉ่า

หน้าร้อนเฉย

“หยอดกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่แช่ม” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง “อารมณ์ไหนอะ”

“อารมณ์ดี ได้อยู่กับน้องหอมสักที” เขายิ้มหวานก่อนจะตักปังเย็นมาจ่อที่ปากผม

“ปกติก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้วป้ะ” ผมบอกก่อนจะกินปังเย็น

“มันก็ใช่แหละ แต่ช่วงนี้พี่ว่าพี่โหยหาน้องหอมเป็นพิเศษ ไม่รู้ดิ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นอะ”

ผมหยิบทิชชู่ขขึ้นไปเช็ดที่มุมปากของพี่แช่ม “แต่หอมเห็นนะว่าบางทีเวลาเราอยู่ด้วยกัน พี่แช่มก็นั่งเหม่อ เหมือนอยู่คนเดียวในโลก”

“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแบบนั้นหรอกแต่มัน....”

“หอมเข้าใจ” ผมยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มตัวเองเบาๆ “หอมอยากให้พี่รู้ว่าถ้าออกมาจากโลกของตัวเองเมื่อไหร่ พี่ก็จะเห็นหอมอยู่ตรงนี้เสมอ”

“น่ารัก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ “เออพี่มีอะไรจะให้น้องหอมด้วย”

“อะไรเหรอ” ผมเอ่ยถามพลางมองมือเรียวที่ล้วงเข้าไปในเสื้อของตัวเอง พี่แช่มถอดสร้อยที่เขาใส่ออกมาก่อนจะยื่นมาให้ผม

สร้อยที่มีจี้ห้อยเป็นเกียร์ของวิศวะฯ

เอาจริงดิ

ผมมองเกียร์สลับกับหน้าเขาอยู่อย่างนั้น นี่มันหมายความว่ายังไงอะ ผมรู้ดีสำหรับความหมายของเกียร์นั่น ผมรู้ดีว่าการที่เด็กวิศวะฯ ให้เกียร์กับใครสักคนมันหมายความว่ายังไง การที่พี่แช่มทำแบบนี้มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ และหน้าของผมเองก็น่าจะแดงมากเหมือนกัน บทจะให้ก็ให้อย่างงี้เลยเหรอ ไม่มีให้ตั้งตัวหรืออะไรก่อนเลย ร้ายกาจชะมัด แล้วยื่นมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำอีก

เกินไปแล้วนะชริต

“หมายความว่ายังไง”

“น้องหอมคิดว่ายังไงล่ะ”

“จะฝากไว้ที่หอมเหรอ”

“แล้วรับฝากไหม”

“ไม่รับฝาก” ใครเขารับฝากเกียร์ของคนอื่นกัน

“งั้นพี่ให้” ร่างสูงอ้อมมาอยู่ด้านหลังผมก่อนจะสวมสร้อยให้ “ถือว่าเป็นของหมั้นละกัน”

“ยังไม่ทันได้เป็นแฟนกันเลย จะหมั้นแล้วเหรอ”

พี่แช่มเลื่อนมากระซิบอยู่ข้างหูผม “ถ้างั้น....”

“พี่ข้าวหอม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบกับบวรที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนๆ เขา โวะ จังหวะดีดีนี่มีคนขัดตลอดเลยว่ะ

มันยังไงวะ

ผมยกมือเสยผมด้วยความหงุดหงิด “ว่าไง มากินปังเย็นกันเหรอ”

“ใช่ครับ ผมนึกว่าพวกพี่จะอยู่ในงานวันเกิดพี่ฉายซะอีก”

“คือพี่แช่มเขาอยากกินนมปั่นน่ะ” ผมมองร่างสูงที่เดินไปป้วนเปี้ยนแถวเคาน์เตอร์ร้าน น่าจะจ่ายเงินมั้งครับ โอเคมันคงวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะไปจากร้านนี้น่ะนะ

ดีจังที่เขาดูไม่ค่อยหัวร้อนเท่าไหร่

“ที่คอพี่หอมมัน....”

“เกียร์ของพี่แช่มน่ะ” ผมมองเจ้าของเกียร์ที่เดินมาพอดี “จ่ายเงินแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะเนอะ”

“จ่ะ” พี่แช่มเลื่อนมือมาจับมือผมก่อนจะมองทางบวร “กินให้อร่อยนะเด็กๆ ” ว่าแล้วเขาก็พาผมออกมาจากร้านทันที แหมๆ ๆ ๆ ร้ายเหมือนกันหนิคำพูดคำจา

ยอมเขาเลย

ร่างสูงจูงมือผมเดินมาเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดีนะที่เขาดูไม่ค่อยโมโหที่บวรมาทักผม การไม่มีเรื่องกันมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้วล่ะ ขอให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ละกัน ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะโฟกัสและมีความสุขกับมันก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก น่าเสียดายอยู่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อกี๊เขาจะพูดอะไรออกมาเพราะบวรเข้ามาขัดซะก่อน

ถ้าอยากรู้ต้องถาม

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“เมื่อกี๊พี่จะพูดอะไรกับหอมอะ”

“....ลืมไปแล้วอะ”

“เอ้า” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “อะไรของพี่เนี่ยะ อยู่แก๊งค์ปลาทองไม่ได้หมายความว่าต้องความจำสั้นแบบปลาทองป้ะ”   

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ผมหมุนตัวกลับมาหาก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปใกล้ “ไหน มือไหนที่ตีพี่”

“พี่จะทำไม” ผมมองเขาตาโต เอาจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ได้เหมาะที่ผู้ชายตัวยักษ์สองคนจะมายืนโอบเอวกันหรอกนะ ทำอะไรโจ่งแจ้งชะมัด

“พี่จะ....” เขาจับมือผมทั้งสองข้างขึ้นมาหอมๆ ๆ ๆ ไม่หยุด หื้ออ.อ.อ.อ.....อะไรวะเนี่ย จะทำให้เขินกันไปถึงไหนเล่าพ่อคุณณณณ

“พอแล้ว” ผมดึงมือตัวเองกลับมา “เขินจะเป็นบ้าแล้วนะ”

มือเรียวขยี้หัวผมเบาๆ “กลับหอกันดีกว่า.....อยากนอนกอดแล้วครับ” พูดจบร่างสูงก็เดินขึ้นรถไปปล่อยให้ผมยืนเขินและสงสัยกับสิ่งที่เขาบอกว่าลืม

ไม่ได้ลืมหรอกแค่ยังไม่พูด

แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อาจต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อยแต่ผมว่ามันคงจะใกล้ๆ นี่แหละ ดูทรงแล้วพี่แช่มน่าจะรอจังหวะอยู่ เมื่อกี้ก็ฉุกละหุกไปหน่อย โอเค ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นเดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้รออีกนิดละกัน รอมาได้ตั้งนาน รออีกหน่อยก็สบายแหละ ยิ่งตอนนี้เกียร์ของเขามาอยู่ที่ผมแล้วด้วย ไม่ต้องลังเลอะไรอีกต่อไปละครับ

รอเวลาแค่อย่างเดียว

ผมขึ้นรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเกียร์ที่ห้อยอยู่ที่คอตัวเอง พี่แช่มเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะคว้ามือผมไปกุมตามปกติ ผมกดเข้าไปในทวิตเตอร์ก่อนจะทวิตข้อความที่มีเหตุมาจากคนข้างๆ ผมไม่รู้ว่าพอกลับถึงหอแล้ว พี่แช่มจะหาเรื่องมาทำให้ผมใจสั่นอีกรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็....ผมจะหาเรื่องทำให้เขาใจสั่นบ้าง มันจะได้วินวินไง

สั่นมาสั่นกลับไม่โกง....





Kh. @KhH22_luc

เรื่องทำให้ใจสั่นเก่งก็คงต้องยกให้คุณเขานั่นแหละ

เก่งกว่าใครในโลกเลย.....



#CloverBad














TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่ห่างหายไป 2 เดือนเลยสำหรับเรื่องนี้ ชาลกลับไปเรียนแล้วนะคะแล้วก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีพรีเซ้นต์นวัตกรรมพรุ่งนี้ ก็ช่วยส่งกำลังใจมาให้กันหน่อยนะคะ

ตอนนี้ก็เฉลยหลายอย่างอยู่นะแต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ต้องรอติดตามกันต่อไป เดี๋ยวชาลจะชี้แจงตารางลงนิยายที่ชัดเจนให้นะคะว่ากำหนดลงมมันจะตรงกับวันไหน อดใจรอหน่อยนะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-03-2019 23:43:56
ตอนนี้มีสั่นกันหลายคน ดี ๆ ชอบ ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-03-2019 11:20:39
+1  o13 ขอบคุณครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 6 : 4/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 05-03-2019 11:23:45
 o13
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 7 : 13/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-03-2019 20:21:01
​บทที่ 7 : สั่นคลอน



Kh. @KhH22_luc

ชอบความสัมพันธ์ที่เราบ่นว่าหนาวแล้วเขาก็เดินเข้ามากอด

น่ารักดีเนอะ



#CloverBad





ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าตอนนี้คนกอดอยู่ไหนก็เถอะ

เฮ้อ....

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองท้องฟ้าที่ครึ้มอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เหมือนฝนจะตกเลยครับ ฟังข่าวเมื่อเช้าเขาบอกมาว่าภาคเหนือจะมีพายุเข้าด้วย ภาคกลางก็เลยอาจจะมีฝนตก ผมไม่ค่อยชอบอากาศแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันทำให้รู้สึกหม่นหมองอะ ตอนนี้เกือบบ่าย 3 แล้วและผมใกล้จะเลิกเรียน ไม่มีแพลนอะไรทำต่อนอกจากกลับหอนอนด้วย หวังว่าตอนที่ผมกลับหอ ฝนจะไม่ตกนะ

ไม่อยากเปียกอะเอาตรงๆ

วันนี้ผมเอารถมอเตอร์ไซค์มา แน่นอนว่าถ้าฝนตกคือผมคงเปียกแน่ๆ แต่ช่างเถอะ เราอย่าไปคิดอะไรล่วงหน้าเลย ฝนมันยังไม่ตกลงมาสักหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมหลายวันนี้มานี้ผมถึงมีฟีลเบื่อโลกเอามากๆ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย เรื่องนี้มันน่าจะมีบวรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมั้งครับ หลายวันแล้วที่เขามองผมแบบแปลกๆ แปลกแบบผิดปกติแล้วตัวเขาเองก็ชอบมาวอแวผมแบบแปลกๆ

ดีนะพี่แช่มไม่เห็นน่ะ

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่แช่มมันกำลังดีเอามากๆ ผมไม่อยากให้ใครมาทำลายมันจริงๆ ดีว่าคนขี้เมาเขาอดทนเก่งไม่อาละวาด แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนได้ตลอดไปถ้าบวรยังมายุ่มย่ามกับผมอยู่ ผมคิดด้วยนะว่าบางทีการกระทำของผมมันก็ชัดเจนแล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจสักที บ่อยครั้งที่ผมหงุดหงิด อยากจะโวยใส่แต่อีกใจมันก็นะ

เขาก็รุ่นน้องอะ

เราอยู่ในคณะกรรมการนักศึกษาด้วยกันอีก ผมไม่อยากให้เรามีปัญหากันจนมองหน้าไม่ติด มันจะส่งผลต่อการทำงานรวมไง เนี่ยะ ยิ่งตอนนี้กำลังมีเรื่องค่ายอบรมเข้ามา ผมหวั่นใจมากเลย ปีนี้เขาจะเลื่อนเวลาไปค่ายให้เร็วขึ้นด้วยนะครับ ประมาณช่วงก่อนเปิดเทอม 1 ปกติแล้วเรียนเทอมซัมเมอร์เสร็จมันจะหยุดเกือบเดือน แต่ปีเนี้ยะอะไรๆ มันก็ดูเร่งไปหมดเลย

คณะกรรมการนี่หัวปั่นแล้วนะ

“หอม”

“ว่าไงชา” ผมมองมือเรียวที่ยื่นมาจับหน้าตัวเองหันไปหันมา “มึงทำอะไรกูเนี่ยะ”

“หน้ามึงดูหมองแปลกๆ นะ พักผ่อนน้อยเหรอวะ”

“ก็ส่วนนึงมั้ง ช่วงนี้กูรู้สึกไม่ค่อยสงบใจเท่าไหร่ ก็เลย....”

“เรื่องที่ว่าไม่สงบใจมันเรื่องอะไร” ชาเย็นมองซ้ายมองขวาก่อนจะยื่นหูมาใกล้ “ไม่อยากให้ใครรู้ก็กระซิบบอกกูได้นะ”

“เรื่องบวร”

“ไอ้เบย์มันทำไมวะ”

“ช่วงนี้ชอบมาวอแวกูแปลกๆ ว่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“มันชอบมึงหนิ”

“ใช่ กูรู้ว่ามันชอบกู แต่มันก็น่าจะรู้ป้ะวะว่ากูชอบอยู่กับพี่แช่ม ถึงแม้ว่าตอนนี้กูกับเขายังไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ว่าบวรก็ไม่น่าทำแบบนี้ป้ะวะ”

“แล้วมึงเคยบอกมันตรงๆ รึเปล่าว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับมัน”

“.....”

“เงียบแบบนี้แปลว่าไม่สินะ” มือเรียวยกขึ้นแตะไหล่ผม “มึงรู้ป้ะหอมว่าบางอย่างแค่การกระทำมันไม่พอนะ มึงต้องพูดด้วย กูว่าเรื่องนี้มึงกับพี่แช่มคือเหมือนกันเลย”

“เหมือนยังไงวะ”

“ก็พี่แช่มอะ เขาไม่เคยบอกว่าเขารักมึง เขาไม่เคยพูดว่าเขาจะผูกมัดมึงเอาไว้เพราะเขาคิดว่าการกระทำทุกอย่างของเขามันชัดเจนอยู่แล้วแต่พอเขาไม่พูดเนี่ยะ มึงก็คิดเยอะอย่างโน้นอย่างนี้ ความรู้สึกว่าเขาไม่ชัดเจนมันเกิดขึ้นในใจมึงใช่ไหม”

ผมพยักหน้ารับ “ก็ใช่”

“นั่นแหละ มันก็เหมือนกันอะ ต่อให้มึงจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจไอ้เบย์ แต่ไม่มีคำพูดยืนยันว่ะ ถ้ากูเป็นไอ้เบย์ กูก็คงไม่ยอมแพ้หรอกเพราะว่ามึงยังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ใน 100 วันที่ผ่านมามึงอาจจะไม่ประทับใจในตัวมันแต่วันที่ 101 มันอาจจะมีเหตุการณ์โง่ๆ ที่ทำให้มึงเปลี่ยนใจจากพี่แช่มมารักมันก็ได้ เนี่ยะ เชื่อสิไอ้เบย์มันต้องคิดแบบกู”

มันก็จริงตามที่ชาเย็นพูด

ผมไม่เคยพูดบอกกับบวรไปแบบจริงๆ จังๆ สักครั้งนั่นแหละ เพราะผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ไง ในสักวันนึงที่ผมกับพี่แช่มคบกันเขาก็น่าจะเลิกราไปเอง เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกัน คนที่เราพยายามเลี่ยงแล้วแต่ก็ยังเข้าหาอยู่ตลอด  ผมยอมรับในความพยายามของเขานะแต่ว่าถ้าเราไม่มีใจ ยังไงความพยายามนั้นมันก็สูญเปล่าป้ะวะ นั่นแหละ ปล่อยให้สิ่งที่เขากำลังทำ ทำให้เขารู้เองดีกว่าว่าที่อยู่ตรงนี้มันเสียเวลา

ผมคงไม่เปลี่ยนใจจากพี่แช่มหรอก

นี่ก็อาทิตย์กว่าๆ แล้วนะที่เกียร์ของพี่แช่มมาอยู่กับผม ส่วนเกียร์ของผมมันก็ยังคงอยู่ที่คอผมเหมือนกัน ผมยังไม่ได้ให้เกียร์เขาเลย มันห้อยอยู่กับจี้ใบโคลเวอร์สี่แฉกอยู่อย่างนั้น ผมกะว่าจะให้เขาในวันที่เราคบซึ่งก็ยังไม่รู้เลยว่าจะคบกันวันไหน หรือผมเป็นฝ่ายขอเขาเป็นแฟนก่อนดี แล้วก็ค่อยลุ้นอีกทีว่าเจ้าตัวจะตกลงรึเปล่า ผมกลัวคำตอบของคนขี้เมาเหมือนกัน ผมกลัวว่าถ้าพูดขอเขาไปแล้ว.....เขาจะไม่ตกลง

ใจผมต้องแตกเป็นเศษแน่ๆ

เพราะงี้แหละถึงได้รอให้พี่แช่มเป็นฝ่ายพูด รอมา 2 ปีกว่าๆ แล้วด้วย เวลาที่ผมคิดเรื่องระหว่างเรามันก็ดูตลกร้ายยังไงก็ไม่รู้ หลายครั้งที่คิดอยากจะตัด หลายครั้งที่กลับมาหลงรักเขาเหมือนเดิม ความทรงจำที่มีร่วมกันมันดีมากจนผมไม่อยากเสียไป แต่ถ้าถามถึงความชอกช้ำมันก็มากอยู่นะ แต่เอาเถอะ ผมเลือกเองนี่ แล้วช่วงนี้พี่แช่มเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ ตัวผมเองก็คงทำได้แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น

อา....ทำไมวันนี้มันฟุ้งซ่านจังวะ

รู้สึกแย่ๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ทำหน้าอย่างกับ.....” มือเรียวบีบแก้มผมเข้าหากันจนปากจู๋ “ส้นตีน”

“หน้ากูก็เหมือนมึงแหละไอ้เวร” ผมจับมือข้าวก้องออก พลางทำหน้ามุ่ยใส่ กลิ่นบุหรี่นี่คลุ้งสุดๆ แอบออกไปสูบมาเหรอวะ

“ไม่เหมือน หน้ากูไม่เหมือนส้นตีน”

“มึงนี่นะ ช่วงนี้สูบจัดเหรอวะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นที่ติดเสื้อมัน “กลิ่นติดทั้งตัว”

“อยากกอดกูก็บอกดีดีสิ” มันรั้งหัวผมไว้ก่อนจะกดเข้าที่หน้าท้องตัวเองอยู่อย่างนั้น กูหายใจไม่ออกไหมล่ะ สะเหล่อจริง ยังไม่ทันบอกเลยจะกอด

“หายใจไม่ออกไอ้สัส”

ร่างโปร่งปล่อยผมออกก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงมาบนตัก “กูแซดจังเลยว่ะหอม”

“เป็นไรอีกอะ แล้วตัวมึงนี่เล็กมากเลยมั้งมานั่งบนตักกู”

“เออน่า ขอนั่งหน่อย” ข้าวก้องบอกก่อนจะเอนหัวมาพิงกับหัวผม “กูมีเรื่องอยากถามมึง”

“เรื่องอะไร”

“เมื่อวานกูไปเจอหนังสือเล่มนึงมา มันเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ นาย A แอบชอบนาย C มานาน แต่นาย C ชอบนาย B ซึ่งนาย B เนี่ยะ เป็นน้องของนาย A มึงว่านาย A ควรทำยังไง”

“มึงใช้คำนำหน้าว่านายทั้งหมดนี่คือผู้ชายเหรอ”

“รายละเอียดบางอย่างมึงผ่านไปก็ได้เถอะ” มันบีบแก้มผมแรงๆ “ไหนลองบอกกูมาดิ๊ว่ามึงควรทำยังไง”

“ถ้าสมมุติว่ากูเป็นนาย A อะนะ มันก็ต้องดูว่ะว่านาย B ที่เป็นน้องเนี่ยะ ชอบนาย C รึเปล่า ถ้าชอบกูก็ต้องตัดใจเพราะดันทุรังไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์ ใจเขาก็ไม่ได้แถมยังเสียเวลาอีก”

“แล้วถ้านาย B ไม่ได้ชอบนาย C ล่ะ”

“งั้นกูก็คงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นาย C หันมามองล่ะมั้ง คือการชอบใครสักคนอะมึง มันก็ต้องหวังเล็กๆ ป้ะวะ มันต้องทำอะไรสักอย่างเพราะว่ามันดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“ถ้าไม่สมหวังอะ”

“อย่างน้อยก็พยายามแล้วหนิ” ผมโอบเอวข้าวก้องไว้พลางหรี่ตามองมัน “นาย A คือมึง นาย B คือกูใช่ไหม”

คนบนตักผมทำหน้าเลิ่กลั่ก “เปล่าหนิ กูก็คือกู มึงก็คือมึงดิ”

“เหรอ แล้วนาย C คือใคร” ถ้าลองคิดว่านาย C ชอบนาย B แต่นาย B ไม่ชอบ ถ้าพูดถึงคนที่ชอบผมมันก็น่าจะเป็น.... “มึงอย่าบอกนะว่าบะอื้อออ.อ.อ.....” ยังไม่ทันพูดจบ ข้าวก้องก็เลื่อนมือมาปิดปากผมไว้

“กูบอกว่าเอามาจากหนังสือไง อย่าเพ้อเจ้อได้ไหมวะ”

คนเพ้อเจ้อมันมึงต่างหากไอ้เวรรรร

ผมมองสีหน้าของข้าวก้องที่ดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ผมว่านะ ในใจมันต้องคิดว่ากูไม่น่ามาถามมึงเลยข้าวหอม แล้วพอมันมาถามผมแบบนี้ มันก็ต้องมีข้อสงสัยในใจผมเกิดขึ้นไง ผมเชื่อว่าสิ่งที่ไอ้บ้านี่ถามคือเรื่องจริงของมัน ไม่ได้เอามาจากหนังสือแน่ๆ ถ้าที่ผมคิดเมื่อกี๊มันใช่ ถ้าคนที่ข้าวก้องชอบคือคนที่ชอบผมจริงๆ อา....คิดไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

บวรเนี่ยะนะ

เรื่องมันเป็นมายังไงกัน

ร่างโปร่งลุกออกไปจากตักผมก่อนจะรีบชิ่งออกไปทันที ร้ายนักนะ ไว้กลับหอก่อน เดี๋ยวจะเค้นออกมาให้หมดเลย เชื่อสิว่าข้าวก้องต้องตีหน้ามึนทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วก็แถไปจนสุดทางแน่ๆ ปกติแล้วก็เป็นคนแบบนั้นแหละ ถ้าไม่ยอมรับอะไรแล้วก็จะไม่ยอมรับอยู่แบบนั้น ปากแข็งเป็นที่สุดแต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะง้างปากมันเอง

เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ

ผมมองอาจารย์ที่เดินออกไปจากห้องก่อนจะเก็บของแล้วเดินตามออกมา เลิกเรียนแล้วก็กลับหอนอนดีกว่า วันนี้พี่แช่มเขาเลิกเที่ยงครับ ก็น่าจะอยู่กับคุณเฉลิมที่หอนั่นแหละ เดี๋ยวเย็นๆ ก็น่าจะโผล่มาหาผม แต่จะว่าไปวันนี้เขายังไม่ได้ทักมาหาผมเลยนะ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เช้าแล้วด้วยแหละแต่ผมคิดว่าเจ้าตัวน่าจะลืมเอาโทรศัพท์มารึไม่ก็แบตฯ หมด

ขี้ลืมสมกับอยู่แก๊งค์ปลาทอง

ผมเดินมาจนถึงเวฟร้อยคู่ใจก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วขับออกมาจากตัวตึก วันนี้ผมไม่ได้หยิบหมวกกันน็อคมาด้วย เอาจริงๆ มันไม่ดีเลยนะสำหรับการขับรถแล้วไม่ใส่หมวกเนี่ยะ เราอาจจะคิดว่าระยะทางมันนิดเดียว มันไม่เป็นไรหรอก ผมนี่เคยวัดถนนมาแล้ว ไม่ใส่หมวกด้วยก็เรียบร้อย หัวแตกเย็บไปห้าเข็มจ้า ตอนนั้นนึกว่าตายแล้วเอาจริงๆ ข้าวหอมนี่กลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนเลยครับ

คิดแล้วก็สงสารตัวเอง

แหมะ แหมะ

เอาล่ะ สงสารตัวเองหนักกว่าเดิมอีก

ผมรีบบิดรถทันทีเมื่อฝนกระหน่ำลงมา แม่เจ้า ไม่มีการตกปรอยๆ ให้ได้เตรียมตัวเลยสักนิด คิดจะตกก็ตกเลยเหรอวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ แบดไปอะบางที แล้วเหมือนซัดซ้ำกรรมซัดตรงที่รถมาติดไฟแดงอีก โอเค ยอมแล้ว ยอมเปียกก็ได้ ตอนแรกผมกะรีบเร่งเครื่องกลับหอเพราะจะได้ไม่เปียกมาก แต่ไหนๆ ก็เปียกละ จะขับรถให้ช้ากว่าเมื่อกี๊ก็แล้วกัน ฝนตกถนนจะลื่นครับเพราะงั้นต้องระวังหน่อย

ผมไม่อยากโคฟเวอร์เป็นขนุนรอบที่สองหรอกนะ

ใช้เวลาสักพักนึงผมก็กลับมาถึงหอในสภาพที่เปียกไปทุกซอกของร่างกาย โทรศัพท์ก็น่าจะชุ่มฉ่ำเหมือนกัน หวังว่ามันจะไม่เป็นไรนะ ผมหยิบของทุกอย่างออกมาจากรถก่อนจะเดินเข้าด้านในเพื่อจะขึ้นหอ แต่ร่างสูงของใครบางคนมันก็ทำให้ผมชะงักไปทันที

เขามาที่นี่ได้ยังไง

“....บวร”

“เปียกมาเหมือนกันเหรอครับ” ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ มือเรียวเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองขึ้นไป สภาพเขาคือเปียกหนักมากเหมือนผมเลยครับ คงตากฝนมาเหมือนกันสินะ

“อืม แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ผมเอาเอกสารมาให้พี่น่ะครับ แล้วก็พวกเลคเชอร์เก่าๆ ที่พี่ให้ยืม” เจ้าตัวบอกก่อนจะชูแฟ้มพลาสติกให้ผมดู “มันไม่เปียกแน่นอนครับ ผมห่อมาอย่างดี”

ผมพยักหน้ารับ “งั้นเอามาสิ เดี๋ยวผมดูให้”

“ตรงนี้เลยเหรอครับ” บวรมองซ้ายมองขวา คือตรงนี้เป็นทางขึ้นหอ โอเคมันอาจจะเกะกะคนอื่นเขาหน่อยแต่ผมไม่ได้อยากให้เขาขึ้นไปที่ห้องของผมหนิ

“คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“ผมเดินมาหาพี่แล้วฝนมันก็ตก” เจ้าตัวเบือนหน้าไปด้านนอกที่ฝนกระหน่ำลงมา “ดูท่าแล้วมันน่าจะยังตกอีกนาน ตัวผมเองก็เปียกไปหมด ใจคอพี่หอม....จะปล่อยผมไว้ตรงนี้เหรอครับ”

พูดถึงขนาดนี้เลยนะ

“.....ไปคุยที่ห้องผมก็ได้ ตามมาสิ” ว่าแล้วผมก็เดินนำร่างสูงไปทันที หงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่บอกปัดไป ทำไมวะหอม มันก็แค่ปฏิเสธอะ

พูดตรงๆ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นรึเปล่า

แต่เอาเถอะ ฝนมันตกอยู่จริงๆ แล้วเขาก็คงกลับไม่ได้ เอาเป็นว่ารอให้ฝนซาอีกสักหน่อยแล้วค่อยหาเรื่องไล่เขากลับไปดีกว่า คิดซะว่าคุยเรื่องงานด้วย ใช่ครับผมกำลังหาข้ออ้างมาใช้เพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกผิด คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพี่แช่มมาเห็นบวรอยู่ในห้องผมนี่จะเป็นยังไง แต่ก็ไม่น่าหรอกเพราะฝนตกหนักขนาดนี้ เขาก็น่าจะอยู่ที่หอตัวเองนั่นแหละ คนขี้เมาคงไม่บ๊องอยากออกมาข้างนอกตอนฝนตกหรอก

คิดว่านะ

ผมเปิดประตูห้องของตัวเองก่อนจะเดินนำบวรเข้ามา ปกติแล้วถ้าเปียกมาขนาดนี้ผมคงต้องอาบน้ำก่อนแต่เหมือนว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ผมวางของทุกอย่างงก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหัวตัวเอง ร่างสูงมองไปรอบๆ ห้องผมอย่างสนใจ ก็นะ ครั้งแรกที่เขาได้มาอยู่ตรงนี้เลยหนิ แต่จะว่าไป....การที่บวรได้มาเห็นความทรงจำของผมกับพี่แช่มที่อยู่รอบๆ ห้อง มันก็น่าจะทำให้เขาคิดจะตัดใจได้บ้างน่ะนะ

ทุกอย่างมันชัดออกว่าผมไม่ได้เลือกเขา

“รูปพี่แช่มเยอะจังเลยนะครับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เต็มห้องเลย”

“มันก็ไม่แปลกนะคุณ”

“พี่หอมรักพี่แช่มขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”

“แล้วพี่แช่มเขาเคยบอกว่ารักพี่บ้างรึเปล่า” บวรวางรูปของผมกับพี่แช่มลงก่อนจะเดินเข้ามาหา “น่าจะไม่เคยล่ะมั้ง เพราะไม่งั้นพี่สองคนคงคบกันไปนานแล้ว”

ผมเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด “เราจะคุย....เรื่องงานกันไม่ใช่เหรอ”

“ขอโทษครับ ผมลืมไป....” เขายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะหยิบแฟ้มงานมาให้ “แผนงานทั้งหมดที่ผมทำมาอยู่ในนั้นแล้วครับ พี่หอมลองอ่านดูว่ามันเรียบร้อยไหม ถ้าไม่ผมจะได้แก้”

“อืม” ผมหยิบแผนงานที่อยู่ในแฟ้มออกมาก่อนจะอ่านมัน ถึงตาจะมองกระดาษแต่ผมยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองตัวเองไม่หยุด

ผมหันหลังให้เขา บวรทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเอาเรื่องเลยล่ะ ใจผมอยากจะให้ฝนมันหยุดตกไวไวซะจริง เขาจะได้ไปจากที่นี่ สิ่งที่เขาพูดกับผมเมื่อกี๊น่าหงุดหงิดสุดๆ ผมรู้ว่าเขาตั้งใจพูดจี้จุดผม ร้ายกาจชะมัด แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็เป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ พี่แช่มไม่เคยบอกว่ารักผมสักครั้งแต่ในเรื่องของการกระทำหลายๆ อย่างผมก็รู้สึกได้น่ะนะ บางทีความรู้สึกที่ย้อนแย้งอยู่ในใจนี่ก็น่ารำคาญเหมือนกัน

ใจแม่งไม่สงบเลยว่ะ

ผมอ่านแผนงานไปเรื่อยๆ การทำงานของเขามันไม่มีผิดพลาดจริงๆ แผนงานนี้ดีมากเลยครับ ไม่จำเป็นต้องแก้ด้วยซ้ำเพราะไม่มีจุดบกพร่อง ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ งานในอนาคตที่เขาต้องรับผิดชอบมันก็คงไม่หนักหนาหรอก ในจังหวะที่ผมกำลังสนใจแผนงานในมือ มือเรียวก็รั้งเอวผมเข้าไปใกล้ก่อนจะกอดไว้แน่นจากด้านหลัง ผมดิ้นทันทีเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนั้น แต่ดูเหมือนเจ้าของอ้อมแขนนี่จะไม่ยอมปล่อยออกง่ายๆ

แรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ

“บวร”

“เป็นผมไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”

“ปล่อย!!!! ก่อนที่ผมจะโมโหไปมากกว่านี้”

“ถ้าพี่อยากหลุดออกไปขนาดนั้น” เสียงเรียบเอ่ยอยู่ที่ข้างหู “พี่ก็ดิ้นออกไปสิครับ”

“นี่คุณ” ผมพยายามสะบัดร่างสูงออก จิกแขนก็แล้ว ดิ้นก็แล้ว ทำไมมันดูไม่สะทกสะท้านเลยวะ สาบานได้เลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มาเหยียบห้องผม

ถ้าผมหลุดออกไปได้ล่ะก็นะ

“ตอนแรกผมก็เฉยๆ กับคุณนะ ผมมองว่าคุณเป็นรุ่นน้องมาตลอด แต่สงสัยผมต้องมองคุณเปลี่ยนไปแล้วล่ะ จิ๊....ปล่อยสิวะ”

“ผมสงสัยมาตลอดเลยนะครับพี่หอม ว่าทำไมพี่ทนอยู่กับคนที่ไม่เคยให้ความชัดเจนอะไรกับพี่ได้เลย คิดดูสิ....ขนาดผู้หญิงที่ชื่อชะเอม เขายังบอกพี่ไม่ได้เลยว่าเป็นใคร”

ผมเหลือบมองเขา “คุณรู้เรื่องชะเอมได้ยังไง”

“ผมเคยได้ยินพี่แช่มพูดถึงผู้หญิงคนนั้น วันนั้นเขาเมามากๆ แล้วเขาก็เพ้อไม่หยุด ขนาดเพื่อนๆ เขาถาม เขาก็ยังไม่บอก” บวรยกยิ้ม “ผมคิดถูกจริงๆ ด้วยว่าเขาก็ไม่ได้บอกพี่เหมือนกันว่าชะเอมเป็นใคร”

“.....ผมไม่สนใจหรอกว่าชะเอมจะเป็นใคร”

“ปากไม่ตรงกับใจเลยนะครับ ผมว่าพี่รู้อยู่แก่ใจเลยล่ะว่าตัวเองสนหรือไม่สน”

“ปล่อยผมสักที”

“ยอมรับเถอะครับพี่หอม ว่าความสำคัญของพี่....มันเทียบกับผู้หญิงที่ชื่อชะเอมไม่ได้เลย”

“บวร!!!!”

แอ๊ดดดด

“พี่ซื้อน้ำเต้าหู้มาให้....น้องหอม”

“พะ....พี่แช่ม”

ผมเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ดวงตาคมมองมาทางผมกับบวรนิ่งๆ สิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดมันก็เกิดจนได้ โถ่เว้ย ผมโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง ผมอาศัยจังหวะที่บวรตกใจผลักเขาให้ออกห่าง สีหน้าและแววตาของพี่แช่มมันทำให้ผมรู้สึกผิด ผิดมากๆ เลยที่ทำให้เขาต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ และอีกใจผมก็กลัวว่าเขาจะทะเลาะกับบวรเพราะผมอีก

นี่มันแย่จริงๆ เลยข้าวหอม

พี่แช่มมองผมกับบวรสลับกัน “.....พี่แขวนไว้ให้ตรงนี้นะ” มือเรียวแขวนถุงน้ำเต้าหู้ไว้ที่ลูกบิดประตูก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินไปทันที พอเห็นแบบนั้นผมก็ตามเขาออกมา

“มันไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ” ผมรั้งแขนเขาไว้ “หอมกับบวรไม่ได้....”

“อย่า....มายุ่ง”

เจ้าของเสียงเรียบดึงแขนออกก่อนจะเดินไปทันที ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปจนลับตาแล้วรู้สึกโกรธตัวเองมากที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถ้าผมใจแข็งมากพอไม่ให้บวรขึ้นมาบนห้องมันก็คง....

“พี่หอม”

ผมหันหลังกลับมามองคนด้านหลังด้วยความเกลียดชัง “พอใจมึงแล้วใช่ไหม มึงพอใจรึยังที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้น่ะ” ผมผลักอกคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

“เสียงอะไรวะ” ข้าวก้องโผล่หน้าออกมาก่อนจะเดินมาหาผม “มึงเป็นไรหอม ร้องไห้ทำไม”

“มึงพูดมาสิไอ้เบย์ ฮึกก.ก.ก....มึงเงียบทำไมล่ะ”

“ผม....”

“คุณทำอะไรข้าวหอมบวร” ข้าวก้องกระชากคอเสื้อบวรเข้ามาใกล้ “ผมถามว่าคุณทำอะไรข้าวหอม ห้ะ!!!!”

“พอก้อง ช่างมัน” ผมรั้งร่างโปร่งออกมาจากบวรก่อนจะจ้องหน้าเขา “มึงจำไว้นะเบย์ ต่อให้กูกับพี่แช่มต้องจบ ต่อให้กูกับเขาไม่ได้รักกันแล้ว แต่สิ่งนึงที่มึงก็ต้องรับรู้คือกูจะไม่มีวันรักมึง....ไม่มีวัน!!!”

ผมเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับข้าวก้องโดยทิ้งให้บวรยืนอยู่ตรงนั้น ถุงน้ำเต้าหู้ที่แขวนอยู่มันยิ่งตอกย้ำความผิดของผมเข้าไปอีก เมื่อวานผมบ่นกับพี่แช่มเองว่าอยากกินน้ำเต้าหู้ แต่ร้านไม่ขาย เจ้าตัวก็เลยซื้อมาให้ผมแทนในวันนี้ แต่ผมกลับทำให้เขาต้องรู้สึกไม่ดี เรื่องนี้พี่แช่มไม่ผิดเลยครับ ผมคนเดียวเลยที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธผม

ผมยังโกรธตัวเองเลย

“แย่เลยสิมึง”

ผมพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนจะโผไปกอดข้าวก้อง “ฮึกก.ก.ก....พี่แช่มบอกว่าอย่ามายุ่ง....ฮือออ.อ....เขาไม่เคยพูดกับกูแบบนี้เลย....ฮืออ.อ.อ.....”

“เขากำลังโกรธแหละ มึงต้องตั้งสติแล้วใจเย็นๆ นะ” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ “ให้เวลาเขาสักหน่อยละกัน”

“ฮึกก.ก.ก....ถ้าพี่แช่มไม่หายโกรธล่ะ”

“เขารักมึงจะตาย เดี๋ยวเขาก็หาย ทุกทีที่มึงโกรธเขา เขายังทำทุกอย่างเพื่อให้มึงหายโกรธได้เลย ตัวมึงเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน.....มึงกับเขาตัดกันไม่ขาดหรอกหอม”

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ฮืออ.อ....”

ผมไม่เคยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันสั่นคลอนมากขนาดนี้เลย พอเป็นเรื่องที่มีบวรเข้ามาเกี่ยวมันช่างดูน่ากลัวไปหมด แล้วอย่างที่บอกคือพี่แช่มไม่เคยพูดแบบนี้กับผมสักครั้ง ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะพุ่งไปซัดบวรแล้วที่ทำแบบนั้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันผิดคาดไปหมด เอาจริงๆ จะแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ มันเพราะผมคนเดียวเลย

“ฮึกก.ก....หอมขอโทษนะพี่แช่ม”

หอมขอโทษ

---------- 50% บท 7 ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 7 : 13/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-03-2019 20:23:36
---------- ต่อจากบทที่ 7 ----------


[บันทึกพิเศษ : แช่ม]


“อยู่กรุงเทพฯ แต่มาแดกเหล้านครปฐม ถามจริง....มึงคิดไรอยู่เนี่ยะ”

“กำลังคิดว่ามึงรู้ได้ยังไงว่ากูอยู่ที่นี่”

“เพราะกูคือชรันไงล่ะชริต” ร่างโปร่งนั่งลงข้างผม “อะเล่ามา”

“....ไม่มีอะไรจะเล่า”

“จะใช่เหรอ อย่างน้อยก็เล่าเรื่องรอยแตกบนมือนี่ก็ได้นะ”

“หกล้ม”

“ตอแหลชิบหาย”

ผมมองรอยแผลบนหลังมือทั้งสองข้างก่อนจะยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ขึ้นซด อื้มม.ม.....เกือบเดือนเลยนะที่ผมไม่แตะมัน เกือบเดือนที่ผมเลี่ยงเพราะว่าต้องงดแอลกอฮอล์เพื่อเข้ารับการบำบัด เกือบเดือนที่ผมต้องกินยาทุกวันแม้ว่าผมจะไม่อยากกินมันเลยสักนิด เกือบเดือนที่ผลข้างเคียงของยาทำให้ผมรู้สึกทรมาน เกือบเดือนที่ผมอดทนเพื่อคนที่ผมรัก

เกือบเดือนที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทุกสิ่งที่อดทนมาก็คงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่วันนี้ ผมไม่มีใจจะทำอะไรเลย ลืมคำพูดของหมอทุกอย่างแล้วก็หนีมากินเหล้าถึงนครปฐม ทำร้ายตัวเองอีกต่างหาก มันไม่ดีเลยที่เป็นแบบนี้แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมโกรธมากกับสิ่งที่ตัวเองไปเจอมา ผมบอกกับน้องหอมว่าอย่ามายุ่งกับผม เพราะตอนนั้นผมไม่พร้อมที่จะฟังอะไรทั้งนั้น ผมไม่ใจเย็นมากพอที่จะฟังเขาและเราจะทะเลาะกันเปล่าๆ

การถอยออกมาคือทางเลือกของผม

อีกอย่างคือถ้าผมยังไม่ออกมาจากตรงนั้น ไอ้เบย์อาจจะตายไปแล้ว ผมต้องใช้ความอดทนมากเลยที่จะไม่ทำอะไร เรื่องนี้น้องหอมต้องอธิบายกับผมอยู่แล้วแหละว่าไอ้เบย์ไปอยู่ในห้องได้ยังไง แล้วทำไมมันถึงกอดเขาอยู่แบบนั้น ผมคิดว่าน้องหอมคงไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอก ปัญหามันอยู่ที่ไอ้เบย์ ส่วนนึงมันก็อาจจะอยู่ที่ผมด้วยเพราะตัวผมเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่มันชัดเจนมากพอ

มากพอ....ที่ไอ้เบย์จะเลิกยุ่งกับน้องหอม

หลายวันก่อนผมให้เกียร์น้องหอมไปแล้วที่ร้านปังเย็น ใจผมตอนนั้นก็อยากจะบอกเขานั่นแหละว่า....คบกันไหม ถึงมันอาจจะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่แต่ผมก็อยากจะพูดออกไปนะ แล้วไอ้เบย์ก็เข้ามาขัด ผมหงุดหงิดแต่ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ในใจ ไม่แสดงอะไรออกไปทั้งนั้น อาจเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาด้วยมั้ง ผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่และมันแย่

แต่ถ้าอยากหาย....ผมก็ต้องทนรับมันให้ได้แหละนะ

“ก่อนมาหามึง กูไปหาน้องหอมมาด้วยนะ”

“.....”

“น้องร้องไห้จนหลับไปเลยแหละ ติดต่อมึงไม่ได้ หาตัวมึงไม่เจอ” เฌอยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “เอาจริงๆ กูก็รู้แหละว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นกู กูก็คงโกรธนั่นแหละ แต่กูจะไม่โกรธนานนะถ้าเขาบอกเหตุผลว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น แล้วถ้าเหตุผลมันโอเค กูก็คงให้อภัยเขาแหละ เพราะว่ากู....รักเขา”

ผมเหลือบมองมัน “กูไม่ได้โกรธน้องหอม”

“ไม่ได้โกรธแต่มาแดกเหล้ายันนครปฐม อะกูเน้นให้ฟังนะ....นครปฐม

“กูแค่อยากอยู่กับตัวเอง มึงนี่แหละที่สะเหล่อหากูเจอ”

“กูรู้นะว่าปากมึงพูดแบบนี้แต่ข้างในมึงมันก็ไม่ได้โอเคหรอก” มันบอกก่อนจะแย่งแก้วในมือผมไป “มึงอย่าคิดว่ามึงไม่บอก มึงไม่พูดแล้วเพื่อนจะไม่รู้นะ พวกกูรู้ทั้งนั้นแหละว่าทำไมมึงไม่กินเหล้า ทำไมทุกวันอังคารตอนเช้ามึงต้องหายหัวไป รู้แหละว่าทำไมหลายอาทิตย์ที่ผ่านมามึงเซื่องๆ ซึมๆ ผิดจากตัวมึงที่เคยเป็นมาตลอด”

“นี่มึง....”

“พวกกูรู้ว่ามึงเป็น PTSD”

“........”

“แต่พวกกูไม่รู้หรอกว่าทำไมมึงถึงเป็นได้ พวกกูไม่คิดจะถามด้วยเพราะถามไปมึงก็ไม่บอก ขนาดเรื่องที่ป่วยนี่มึงยังไม่บอกเลย” เฌอถอยหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “กูขอโทษที่เสือกอยากรู้ว่ามึงหายไปไหนแล้วแอบสะกดรอยตามมึงไป มันก็เลยทำให้กูรู้ในสิ่งที่มึงเป็น”

“ไปคุยกันข้างนอก” ผมบอกก่อนจะเดินนำมันออกมาจนถึงลานจอดรถ ร่างโปร่งเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

“มึงทนมาได้ยังไง....ตั้งหลายปีวะ”

“ก่อนหน้านี้อาการมันดีขึ้นเพราะกูได้ตกหลุมรักคนๆ นึง 2 ปีที่ผ่านมาสำหรับกูแล้วมันคือความสุข มันทำให้กูไม่สนใจอดีต แต่เมื่อไม่นานมานี้ทุกอย่างมันก็แย่ มันมีปัจจัยนึงที่ทำให้กูรู้สึกว่ากูจะเสียคนที่กูรักไปและทุกครั้งที่กูคิดแบบนั้น สิ่งที่อยู่ในความทรงจำมันก็ตามหลอกหลอน กูรู้สึกแย่จนกูทำเรื่องแย่ๆ ลงไปมากมาย”

“กูไม่เข้าใจทั้งหมดหรอกนะเพราะกูไม่ใช่มึง”

“ใช่ เรื่องทั้งหมดมีแค่กูเท่านั้นที่เข้าใจ กูไม่ต้องการเล่าให้ใครฟังทั้งนั้นแม้กระทั่งน้องหอม อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนที่กูยังไม่หายจาก PTSD กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูจะหายได้ยังไง แค่กลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยเจอมา....กูยังไม่กล้าเลย”

อื้มม.ม.ม....ปวดหัวจัง

ผมยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง แย่นะที่ต้องทนกับสภาวะแบบนี้ ยอมรับเลยว่าตกใจอยู่ที่เพื่อนๆ รู้เรื่องที่ผมป่วยเป็น PTSD ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือมันเป็นความผิดปกติทางอารมณ์หลังจากที่เจอเหตุการณ์สะเทือนใจ ในเคสของผมมันคือการสูญเสีย จะเรียกว่าโรคกลัวการสูญเสียก็พอเข้าใจได้ ผมเป็นมาตั้งแต่ที่เสียพ่อกับแม่ไป แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ จนกระทั่งถึงวันที่ผมผมอายุ 17

วันเกิดที่ผมอยากลบมันออกไปจากความทรงจำ

จากวันนั้นผมก็กลายเป็นคนป่วยโดยสมบูรณ์ มันแย่มากถึงขั้นที่ผมเคยจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ผมใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชหลายเดือน มันเป็นหลายเดือนที่ว่างเปล่าเอามากๆ แต่มันก็อาจจะยังโชคดีของผม ผมไปเจอสิ่งๆ นึงที่ดึงตัวเองกลับมาได้ มันทำให้ผมนึกถึงคำสัญญาที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ คำสัญญาที่เกี่ยวกับใบโคลเวอร์สี่แฉก อีกอย่างคงจะเป็นบุคคลนิรนามที่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ภาพถ่ายและโควทที่เขาพูดมันก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่ทำให้ผมอยากกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง

แต่ช่วงนี้เขาดูเศร้าๆ ยังไงไม่รู้

“กูรู้นะแช่มว่าวันนึงมึงจะผ่านมันไปได้ ถ้ามึงจะสู้ กูก็อยากให้มึงรู้ว่ามึงไม่ได้สู้อยู่คนเดียว” เฌอยิ้มบางๆ ให้ผม “ถ้าทางข้างหน้ามึงเห็นว่ามันดูยากลำบาก ถ้าวันไหนที่มึงคิดว่าเส้นทางนี้มึงไปคนเดียวไม่ไหว กูก็อยากให้มึงมองกลับมาข้างหลัง มึงก็จะเห็นพวกกูอยู่ตรงนั้น.....เสมอ”

“ขอบใจนะมึง ขอบใจจริงๆ ”

“เพื่อน....เขามีไว้ทำแบบนี้แหละ”

นั่นสินะ

ผมยิ้มบางๆ ให้เฌอก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปดูทวิตเตอร์ ผมไม่เคยคิดเลยว่าการที่มีคนรับรู้ในสิ่งที่เรากำลังเผชิญมันจะทำให้รู้สึกสบายขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้แค่ตัวคนเดียวอีกแล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้ผมก็ยังไม่คิดที่จะบอกน้องหอมนะครับ ไว้วันที่อะไรมันดีกว่านี้ก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะรับรู้ทุกอย่าง

ผมจะเป็นคนบอกเขาเอง

ผมกดทวิตข้อความบางอย่างก่อนจะกดปิดเครื่อง ไม่อยากให้ใครติดต่อได้อีกแล้วนอกจากเฌอ เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวไอ้เวรนี่ก็ต้องบอกคนอื่นอยู่ดีว่าผมไม่เป็นไร ดีหน่อยว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผม มีเวลาให้พักใจแล้วก็อยู่กับตัวเองพอสมควร ซึ่งมันคงดีแล้วล่ะ

"ดราม่าในทวิตฯ อีกละ"

"เดี๋ยวกูจะบล็อกมึง"

"ม่ายน้าาาาาาาาาาา"

รำคาญจริงๆ





Charit @Charitpedd

สำหรับบางเวลา....การอยู่กับตัวเองคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำให้ใครเสียใจ หรือมีใครมาทำให้เสียใจ



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาแช่มหอมแล้วนะคะ สำหรับตอนนี้ก็ปวดใจหนึบหนับเลยเนอะ ทุกตัวละครก็มีเหตุผลของการกระทำนะคะ และทุกการกระทำก็จะส่งผลต่อๆ ไป ก็รอติดตามกันได้น้า

สำหรับวันลงจริงจังหรือแค่ขำๆ น่าจะเป็นทุกวันพุธค่ะ ถ้ามีเลื่อนเฉพาะกิจชาลจะแจ้งให้ทราบนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 7 : 13/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-03-2019 00:10:54
ทั้งสั่น ทั้งคลอนสมหัวจิต หัวใจ จริง ๆ เลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 7 : 13/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-03-2019 03:56:57
บางที่ก็สงสารน้องหอมที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วยังมีอีเบย์อีก โคตรอึดอัดเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 8 : 23/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-03-2019 20:43:43
​บทที่ 8 เรื่องของความสัมพันธ์


Kh. @KhH22_luc

ไม่มีอะไรจะทรมานใจไปมากกว่าการที่ผมไม่มีคุณอยู่ข้างๆ

ช่วยกลับมาเถอะนะ....



#CloverBad






“มึงทำไรน่ะ”

“เสือก”

“เห้ยแบดจังอะ มึงคิดว่าตัวเองเป็นขันเหรอชริตเป็ด”

“เออ กูอะขันสอง รู้ไว้ซะ”

“มีแค่ขันเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่ละ นี่มีขันสองอีกเหรอวะ”

“เลิกบ่นแล้วขับรถไปได้แล้ว” ผมสั่งคนน่ารำคาญให้ทำหน้าที่เป็นสารถีต่อไป เนี่ยะ ทำมาเป็นสะเหล่ออยากรู้เรื่องชาวบ้านเขา ไม่ยุ่งสักเรื่องเหมือนจะตาย

ไอ้เวรต้นไม้

ผมเลิกสนใจเฌอแล้วกลับมามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏข้อความในทวิตเตอร์ของใครคนนึงซึ่งเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เขาใช้ชื่อแอคว่า @KhH22_luc ผมตามเขามาหลายปีแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังป่วยหนักๆ โควทและรูปถ่ายในทวิตของเขามันเป็นแรงจูงใจในการอยู่ต่อของผมน่ะครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความเหมือน.....นั่นแหละ

ละไว้ในฐานที่ผมเข้าใจคนเดียวดีกว่า

บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเจ้าของทวิต @KhH22_luc เท่าไหร่นัก เขาเป็นประเภททวิตอะไรเอาไว้แล้วสักพักก็จะมาลบออก เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี แต่หลายประโยคหลายข้อความเลยนะที่ผมแคปเก็บเอาไว้ ประมาณ 2 ปีมานี้มันจะมีข้อความทวิตที่เขาติดแฮชแท็กว่า #CloverBad ส่วนมากข้อความที่ติดแฮชแท็กอันนี้ เขาจะไม่ลบออก ส่วนพวกประโยคที่เขาทวิตมันก็จะเกี่ยวกับความรัก

ผมรู้สึกได้แบบนั้นนะ

ช่วงแรกๆ มันก็หวานๆ นะ มีพักหลังมาที่มีความขมมาปะปน ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกเศร้า ผมก็รู้สึกไปกับเขาด้วยนะ อาจเพราะผมติดตามเขามานานล่ะมั้ง เอาจริงๆ ทวิตที่ผมใช้ฟอลโล่ว์เขาเป็นทวิตอันเก่าครับ ซึ่งปัจจุบันมันคือแอคหลุมของผมเอง ส่วนแอค @Charitpedd นี่ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและทุกวันนี้คือรำคาญเฌอที่แม่งชอบมาวอแวผมในทวิตด้วย

“นี่มึงคิดออกยังว่าถ้าเจอหน้าน้องหอมแล้วจะทำไง”

“ก็ไม่ทำไงเพราะคิดว่าไม่จะเจอ”

“ไอ้แช่มมมม” คนข้างๆ ทำเป็นตาโตใส่ “มึงอย่าใจร้ายกับน้องหอมสิวะ”

“ถ้ากูเจอน้องนะ กูน่าจะใจร้ายกว่าที่เป็นอยู่นี่อีก”

“มันจะ 3 วันแล้วนะที่น้องจมอยู่กับความรู้สึกดาวน์ๆ อะ”

“แล้วมึงคิดว่าน้องจมอยู่คนเดียวรึไง” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่น้องหรอก มันอยู่ที่กูเนี่ยะ กูกลัวว่าตัวเองจะไประเบิดลงใส่เขา กูไม่อยากให้เราทะเลาะกันป้ะวะ”

“มึงคิดว่าเงียบแบบนี้แล้วมันจะดีเหรอวะ ยังไม่ทันได้คุยกันเลยก็คิดไปยันโน่นแล้ว ถ้ามีปัญหาแล้วรีบเคลียร์กันมันไม่ดีกว่าเหรอแช่ม”

“ที่มึงพูดก็ถูก”

“กูพูดอะไรก็ถูกเสมอแหละ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ผม นี่ก็เป็นอีกครั้งที่คำพูดของมันทำให้ผมคิดอะไรได้

จริงอยู่ที่เฌอบอก เวลาคนเราทะเลาะหรือมีปัญหากันก็ควรรีบปรับความเข้าใจ ไม่งั้นอะไรๆ มันจะคาราคาซังกันไปเรื่อย มันไม่ดีหรอกที่คนสองคนไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน นี่ก็เกือบ 3 วันแล้วนะที่ผมมาใช้ชีวิตอยู่นครปฐมเพราะอยากมีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่อีเวลาตรงนั้นก็มีไอ้เพื่อนเวรนี่เข้ามาอยู่ด้วย มันไม่ได้แย่หรอกอย่างน้อยการมีอยู่ของเฌอก็ทำให้ผมมีสติ ไม่ได้ฟุ้งซ่านมากเหมือนกับทุกๆ ครั้ง

ถึงจะน่ารำคาญไปหน่อยก็เถอะ

ตัวมันเองบอกว่ามันเพิ่งเลิกกับแฟนที่เพิ่งคบกันเมื่ออาทิตย์ก่อน มันก็เศร้าแต่พอมันเห็นว่าผมเศร้ากว่าก็เลยทำตัวติ๊งต๊องเพื่อคอยปลอบใจผม ผมคิดมาตลอดเลยนะว่าทำไมคนแบบเฌอถึงไม่เคยเจอใครที่คิดจริงจังกับมันเลยสักคน ผู้หญิงพวกนั้นเขาไม่ชอบผู้ชายที่ดูแลเทคแคร์เอาใจใส่งั้นเหรอ เฌอมันเป็นประเภทถ้าแฟนเรียกหามันก็จะไปทันทีเลยนะครับถึงแม้ว่าตอนนั้นมันจะอยู่กับเพื่อนก็เถอะ

มันยกให้แฟนทุกคนเป็นที่หนึ่งเสมอ

แต่เหมือนเวลาผ่านไปสักพักก็กลายเป็นว่าเพื่อนผมเป็นฝ่ายโดนทิ้งตลอด มันไม่เคยบอกเลิกใครก่อน ไม่เคยทำตัวเย็นชาใส่ มันเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายมาก เป็นยังไงก็คงเป็นอย่างนั้น เวลาไม่เคยทำให้เฌอเปลี่ยนไปได้เลย ถ้าผมเป็นผู้หญิงแล้วผมมีแฟนเป็นมัน ผมก็คงรักตายป้ะวะ เนี่ยะ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจเหตุผลที่มันโดนบอกเลิกจริงๆ เอ๊ะ หรือว่าเพราะมันจัดจ้านไม่พอวะ

ไม่เด็ดพออย่างงี้

“เฌอ”

“หืม....”

“ทำไมถึงเลิกกับแฟนอะ”

“ก็เขาบอกกับกูว่ามันไม่ใช่ความรักอะ มึงเชื่อป้ะว่ากูได้ยินเหตุผลนี้มาประมาณแสนแปดรอบได้จากคนที่ทิ้งกูไป”

“ลองเปลี่ยนแนวมาคบผู้ชายบ้างไหม อาจจะเวิร์ค”

“กูชอบผู้หญิง” มันหยิบเยลลี่เข้าปากในจังหวะที่รถติดไฟแดง “ต่อให้กูอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่เป็นเกย์แต่กูก็ไม่ได้รู้สึกชอบผู้ชายขึ้นมานะ”

“แล้วมึงคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสชอบผู้ชายได้บ้างไหมวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ถ้าสมมุติว่าวันไหนที่ใจเต้นแรงเพราะผู้ชายคนนึง มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ เอาจริงๆ พอขึ้นชื่อว่าความรักมันก็ไม่ได้โดนกำหนดกฏเกณฑ์เรื่องเพศมาป้ะวะ กูอะมองว่าเราจะรักใครก็ได้ถ้าใจเราอยากจะรัก ไม่จำเป็นต้องสนด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อันนี้คือกูเป็นไบเซ็กชวลรึเปล่า”

“ก็อาจจะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าเฌอ “กูทำแบบเนี้ยะ ใจมึงเต้นแรงบ้างป้ะ”

“ไม่ แต่ดูขนที่แขนกูด้วย ลุกหมดละไอ้สัส เอาหน้าออกไปเลย” มือเรียวดันหน้าผมออกก่อนจะลูบแขนตัวเอง ใช้ซี้ กับเพื่อนนี่ทำเป็นขนลุก

ผมหันไปสนใจวิวข้างทางแทน อีกสักพักเราก็จะถึงกรุงเทพฯ แล้วล่ะ เดี๋ยวต้องแวะไปรับคุณเฉลิมด้วย ผมเอาเขาไปฝากไว้ที่คลินิกประจำ ป่านนี้เจ้าอ้วนนั่นน่าจะคิดถึงผมแย่แล้ว ผมกับคุณเฉลิมนี่ก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีนะ ยังจำสมัยเขาเป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งเกิดอยู่ในสวนปาล์มของลุงเชตได้เลย เอาจริงๆ ผมไม่ได้อยากเลี้ยงนกแต่ใครอีกคนเขาอยากน่ะครับ คุณเฉลิมก็เลยมาอยู่ที่บ้านเรา แล้วพอมาถึงวันที่เหลือผมแค่คนเดียว หน้าที่ในการดูแลเขาก็เลยตกมาอยู่กับผม

คุณเฉลิมคือหนึ่งในความทรงจำดีดีที่ผมมี

เดี๋ยวต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่กับการรักษาแล้วก็ต้องไปสารภาพบาปกับหมอด้วยว่าตบะแตกกินเหล้าไปแล้วเรียบร้อย ไม่ได้กินยามา 3 วันด้วยเพราะลืมเอามาไงล่ะ กลับไปนี่ต้องทำอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะเนี่ยะ อาทิตย์หน้าผมต้องไปรับใบส่งตัวฝึกงานแล้วเอาไปยื่นที่สถานประกอบการอีก อาจจะมีสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวผมต้องทำ Portfolio ด้วย

มันต้องออกมาเหมือนเด็กประถมฯ ทำแน่เลยว่ะ

ช่างมัน พักเรื่องงานไว้ก่อน ผมกะว่าจะงีบสักพัก ตื่นมาก็น่าจะถึงพอดี ปล่อยให้เฌอมันเวิ่นเว้อของมันไปคนเดียวพอ เดี๋ยวต้องไลน์ไปด่าไอ้ขันด้วยเพราะว่ามันแพล่มอะไรเต็มไลน์ของผมก็ไม่รู้ ไอ้ฉายก็ด้วย รายนั้นก็ไดเร็คฯ ไอจีมาไม่หยุด ส่วนทะเลเพื่อนรักคือโทรจิกเป็นไก่เลย แต่อันนี้ผมแก้ปัญหาด้วยการบล็อกเบอร์มันไปละ เรื่องนี้น่าจะเป็นผมที่โดนด่า

แต่เดี๋ยวถ้ามันด่าปากผมจะเตะปากมันเอง

“ทำหน้าชั่วทำไมวะ”

เฌอนะเฌอ

“ขับรถเงียบๆ ไปไอ้เวร”



***



“ค่าขับรถสามพัน”

“รถกูด้วยนะรู้สึก” ผมเหลือบมองมัน “ขอบใจที่ไปพากูกลับมา”

“เออ ต่อให้มึงไปไกลยันพม่า กูจะเป็นคนลากมึงกลับมาเอง”

“เออ เจอกันตอนเย็นละกัน”

“โอเค”

ผมลงมาจากรถก่อนจะเดินขึ้นหอตัวเอง ทันทีที่เดินมาจนถึงหน้าห้องก็พบกับร่างโปร่งยืนรออยู่ตรงนั้น สีหน้าเขาดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาก็บวมจากการร้องไห้ ผมไม่ค่อยได้เห็นน้องหอมในสภาพนี้เท่าไหร่ ครั้งล่าสุดก็คงเป็นหลายเดือนก่อนที่เราทะเลาะกันหนักๆ ผมไม่ชอบนะที่เห็นเขาเป็นแบบนี้เพราะยังไงผมว่าเขาเหมาะกับการเป็นคนที่ยิ้มหวานๆ แล้วก็ดูสดใสมากกว่า

เดี๋ยวขอเก๊กขรึมก่อนนะ

“พี่แช่ม” น้องหอมเดินเข้ามาหาผม “พี่หายไปไหนมา หอมติดต่อพี่ไม่ได้เลย หอมเป็นห่วงนะ”

“....พี่สบายดี ไม่ได้เป็นอะไร”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว”

“อืม” ผมหยิบกุญแจห้องก่อนจะไขที่กลอนประตู รับรู้ได้ถึงแรงดึงตรงชายเสื้อ พอเป็นแบบนั้นผมจึงดึงข้อมือน้องหอมให้เข้ามาด้วยกันในห้อง

“หอมขอโทษ”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่หอมปล่อยให้บวรเข้ามาในห้องแล้วก็โดนมันกอด”

ผมหันหน้าไปเผชิญกับน้อง “รู้ป้ะว่าพี่โกรธมากแค่ไหน”

“รู้ หอมรู้สึกผิดที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ หอมผิดเองที่ใจแข็งกับบวรไม่มากพอ แต่หอมบอกบวรไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรและก็จะไม่มีวันคิด หอมจะไม่ให้บวรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตหอมอีก พี่อย่าโกรธหอมเลยนะพี่แช่ม”

ผมมองคนตรงหน้าที่พยายามอธิบายให้ผมฟังทั้งๆ ที่น้ำตาคลอเบ้า น้องหอมน่าจะกลัวคำตอบของผมนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าเขากำลังทำหน้าตาน่าเอ็นดูขนาดไหน สีหน้าแบบนี้ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นะครับบอกเลย

น่ารักชะมัด

“ทำไมถึงโดนมันกอด”

“ตอนนั้นหอมกำลังอ่านแผนงานเรื่องค่ายอบรมที่มันทำให้ แล้วมันมากอด หอมพยายามดิ้นแล้วแต่มันดิ้นไม่ออก จากนั้นพี่แช่มก็มาพอดี”

“มันได้พูดอะไรรึเปล่า”

“มันก็บอกว่าเป็นมันไม่ได้เหรอ แล้วก็พูดถึง.....” น้องชะงักไปก่อนจะหลบตาผม “เรื่องที่หอมไม่ได้สำคัญมากที่สุดสำหรับพี่”

ไอ้เชี่ยเบย์นี่ชักจะเหิมเกริมใหญ่

มันเอาอะไรมาตัดสินว่าน้องหอมไม่สำคัญสำหรับผมวะ โอเค ส่วนนึงอาจจะมาจากการกระทำของผมเองที่ยังไม่มีชื่อเรียกสถานะที่ชัดเจนกับน้องหอม แต่การกระทำทุกอย่างมันก็ชัดแล้วไหมวะ แม่งเอ๊ย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด และด้วยความที่มันเป็นรุ่นน้องในสาขาอีก ผมจะทำอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่อง เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมจะปล่อยให้จบไป ถ้าน้องหอมบอกว่าคุยกับมันแล้วก็โอเค แต่ถ้าหลังจากนี้มันยังมายุ่งอีกผมจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่

งัดหน้าให้

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า น้องหอมคนแบดกายของผมกลายเป็นเด็กขี้แยไปแล้ว เห็นแบบนี้จะไม่ใจอ่อนยอมให้มันก็จะดูใจร้ายไปน่ะนะ อีกอย่างน้องก็อธิบายให้ผมฟังหมดทุกอย่างแล้ว เรื่องที่อยากรู้ผมก็ได้รู้แล้ว ไม่มีอะไรติดใจทั้งนั้น น้องหอมไม่ค่อยทำให้ผมโกรธหรอกครับถ้าเทียบกับที่ผมทำให้เขาโกรธ และทุกครั้งตัวน้องเองก็จะให้อภัยผมเสมอ ผมเองก็คงต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน

ผมรักเขานี่ครับ

“มากอด” หลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป ร่างโปร่งก็โผเข้ามากอดผมแน่น แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหนอีก

“หายโกรธแล้วนะ”

“ไม่หาย”

เจ้าตัวผละออกก่อนจะมองหน้าผม “ทำไมยังไม่หายล่ะ”

“ง้อสิ” ผมทำแก้มป่องให้น้องดู ขนาดนี้ก็ต้องรู้แล้วนะว่าควรทำยังไง

“พี่น่ะขี้โกง”

“ถ้าไม่อยากให้หายโกรธก็ไม่ต้อง....”

ฟอดดดด

“ดีกันนะ” น้องหอมยื่นนิ้วก้อยมาทางผม “เราจะไม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องของบวรอีก”

“....อื้ม” ผมเลื่อนนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับน้องก่อนจะยกมือลูบหัวเขา

เรื่องของความสัมพันธ์มันไม่ง่ายเลยนะครับ อาจเป็นที่ตัวผมด้วยนั่นแหละที่ดันไม่เหมือนคนอื่นเขา ผมกลัวว่าสักวันจะเสียน้องหอมไปมากๆ ผมเคยแย่มาแล้วครั้งนึง ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีก อยากจะหายจากโรคที่เป็นอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน แล้วจนกว่าจะถึงวันที่ผมหาย คนตรงหน้านี้เขาจะยังอยู่กับผมรึเปล่า แต่ผมก็อยากจะรักษาเขาเอาไว้ให้ดีที่สุด

อย่างน้อยก็ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้

ผมรั้งเอวน้องหอมเข้ามาชิดก่อนจะเอนตัวลงบนเตียง เจ้าตัวขยับเข้ามาซุกที่อกผม ดวงตาคมสีดำมองผมอยู่อย่างนั้น คิดถึงนะครับช่วงที่ไม่เจอกันเกือบ 3 วันน่ะ มันเป็นความคิดถึงที่ยังกลับมาหาไม่ได้ด้วยไงเพราะสภาวะอารมณ์ยังไม่สงบพอ ผมดีใจนะที่น้องหอมบอกว่าคุยกับไอ้เบย์ไปแล้วว่าจะไม่เลือกมัน หวังว่ามันจะตาสว่างแล้วก็ตัดใจจากน้องหอมได้สักที ทรมานจะตายห่าถ้ายังดันทุรังให้กับสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้

เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก

“ตอนที่พี่บอกหอมว่าอย่ามายุ่ง หอมนึกว่าเรื่องของเรามันจะจบแล้ว”

“ตอนนั้นพี่โกรธมาก และถ้าพี่ยังอยู่ตรงนั้นทั้งๆ แบบนั้น พี่ว่ามันอาจจะจบจริงๆ แบบที่น้องหอมคิด ไม่ใช่เพราะน้องหอมด้วย น่าจะเพราะพี่”

“ก็เลยเลือกที่หายไป 3 วันน่ะเหรอ”

“ใช่ ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยพี่ก็ใจเย็นขึ้น”

“แต่หอมรู้สึกผิดมาก” น้องบอกก่อนจะเบะปาก “แล้วก็คิดถึงพี่มากเลยด้วย”

ผมหลุดยิ้มออกมา “ขนาดนั้นเชียว”

“ขนาดนั้นเลยแหละ แล้วเนี่ยะ พอไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ มันก็พาลให้กินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ดูหน้าหอมพี่ก็น่าจะรู้แล้วมั้ง”

“งั้นเย็นนี้ไปกินชาบูกันไหมล่ะ พี่นัดเฌอไว้”

“ไป” น้องหอมกอดผมแน่นกว่าเดิม “อย่าหายไปไหนอีกนะพี่แช่ม หอมเองก็จะไม่ให้พี่หายไปไหนอีกแล้ว”

“....จ่ะ” ผมลูบหัวน้องเบาๆ “นอนเถอะนะ เดี๋ยวพี่ปลุกเอง”

“อื้มมมม”

ผมไม่รู้ว่าระหว่างเราหลังนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแต่สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำไว้ยังไงก็คงต้องเป็นไปตามนั้น ผมกะว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยตื่นไปกินชาบู มื้อนี้เฌอเลี้ยงครับเนื่องในโอกาสที่มันอยากกินและไม่ยอมมีใครไปกินกับมันเพราะเพื่อนอีกสามคนติดเมียกันหมด ผมยังไม่มีเมียไงก็เลยไปกินได้ น้องหอมก็ไม่มีเมียเพราะงั้นก็ไปได้เหมือนกัน แต่ผมว่าทั้งชีวิตนี้น้องหอมไม่น่ามีเมียหรอก เพราะว่าในวันนึงเขาจะเป็นเมียผมไงครับ

ถ้าถึงวันนั้นไวไวก็ดีสิน่า

“อื้ออ.อ.อ....พี่แช่ม”

ละเมอถึงผมด้วยว่ะ....น่ารักจริงๆ

“พี่อยู่นี่แล้วครับ”



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]


------------ 50% -----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 8 : 23/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-03-2019 20:44:36
---------- ต่อจากบทที่ 8 ----------



“สามชั้นของกู”

“มึงเขียนชื่อติดไว้เหรอ”

“ทำไมมึงเป็นคนเชี่ยแบบนี้อะ”

“แล้วมึงจะทำไมห้ะ”

“เดี๋ยวกูจะเอาตะเกียบตีมึง”

“ก็มาดิไอ้สัส”

ข้าวหอมมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้กันนะ

ผมนั่งเคี้ยวเบคอนอย่างสบายใจพลางมองสองเพื่อนรักที่กำลังมีปากเสียงกันเพราะหมูสามชั้น คือในหม้อน่ะหมูสามชั้นเยอะมาก แต่มันจะต้องมาคีบชิ้นเดียวกันแล้วก็มานั่งทะเลาะกัน เหมือนเด็กเลยทั้งพี่แช่มทั้งพี่เฌอ เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่หมูสามชั้นนะที่ทำให้เขาตีกัน มันเริ่มตั้งแต่กุ้ง ปลาหมึกกรอบ ตับ ผัดกาด แครอท คือมันเยอะมากเลยอะ ผมนั่งมาตรงนี้สักพักแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะแย่งของกินกันทำไม

ในหม้อนั่นก็ตั้งเยอะ

“อะนี่พี่แช่ม หอมเอาชิ้นใหม่ให้” ผมคีบหมูสามชั้นใส่ในถ้วยเขา จะได้เลิกแย่งกับพี่เฌอสักที

“แต่ชิ้นนั้นมันของพี่นะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะเบะปาก

“ให้พี่เฌอเขาไปเถอะ ในหม้อมีตั้งเยอะน่ะเห็นไหม”

“เออ ในหม้อมีตั้งเยอะ ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยพลางยัดหมูสามชั้นเข้าปาก ร้อนบ้างไหมน่ะ ไม่คิดจะเป่าสักนิดเลยเหรอพี่

“แดกไปเงียบๆ เลยนะมึงก่อนที่จะไม่ได้แดก”

“ทำเป็นโหด” พี่เฌอเบ้ปากก่อนจะแลบลิ้นใส่รัวๆ “แบล่บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

“กวนส้นตีนไอ้สัส” พี่แช่มหันมามองทางผม “อยากกินกุ้งไหมน้องหอม เดี๋ยวพี่แกะให้”

ผมพยักหน้ารับ “เอาเยอะๆ ”

“ต้องมีค่าแกะด้วยนะ”

“งั้นไม่ต้องให้มันแกะหรอกน้องหอม เดี๋ยวพี่แกะให้ แกะฟรีด้วย”

“ไอ้เวรเฌอ เดี๋ยวเถอะมึง” พี่แช่มแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรัก พวกพี่นี่มันจริงๆ เลยน้า

ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้

ผมนั่งมองพี่แช่มพลางอมยิ้ม ดีใจจังที่เขาไม่โกรธมากจนถึงขั้นอยากจบเรื่องระหว่างเรา มันดีนะครับที่ทุกอย่างดูกลับมาเป็นปกติ เราเหมือนคนที่ไม่ได้ทะเลาะกันมาก่อนเลย เขายังคงปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ช่วงที่คนขี้เมาหายไปผมจิตใจห่อเหี่ยวมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นห่วงเขามากๆ เพราะว่าไม่มีใครติดต่อได้ ยังดีว่าพี่เฌอตามหาเขาจนเจอ ไม่งั้นผมต้องประสาทเสียแน่ๆ

ผมแอบติดจีพีเอสไว้ที่รถพี่แช่มดีไหมนะ

ค่อนข้างน่าสนใจ

เก็บแผนนี้เอาไว้ในใจก่อน จากวันที่มีเรื่องกัน บวรก็ได้หายออกไปจากชีวิตผมเลยครับซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าอยู่กันแบบดีดีไม่ได้ สู้ไม่ต้องมีเรื่องมายุ่งเกี่ยวกันเลยดีกว่า เรื่องงานผมจะฝากข้าวก้องจัดการให้ มันคงเข้าใจอยู่แล้วแหละ ผมไม่อยากมีปัญหาแบบนี้อีก สิ่งที่ผมพูดออกไปมันก็แรงอยู่นะและผมคิดว่าบวรควรล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมดซะเพราะว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรในสายตาของผมเลยสักนิด

ต่างคนต่างอยู่มันดีที่สุดแล้ว

อีกอย่างคือบวรทำให้ผมรู้สึกแย่มากกับการที่เขาพูดถึงชะเอมขึ้นมา ผมตั้งใจว่าจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วรอให้พี่แช่มเป็นคนพูดถึงมันเอง แล้วเนี่ยะ พอเป็นแบบนี้ผมก็เอามันออกจากหัวไม่ได้เลย ผมไม่อยากคิดมากนะแต่ต้องยอมรับว่าบางครั้งมันอดคิดไม่ได้จริงๆ 3 วันมานี้ผมก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าชะเอมจะสำคัญกับพี่แช่มมากขนาดไหน มากกว่าผมที่อยู่ข้างเขาตอนนี้เลยเหรอ

อา....ฟุ้งซ่านจัง

ใจนึงผมก็อยากจะถามเขาอีกครั้งนะเรื่องชะเอมแต่ผมกลัวว่าเราจะทะเลาะกันอีก พี่แช่มเขาคงไม่บอกในตอนนี้อะ พอเป็นแบบนี้แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากช่างแม่งวะ เฮ้อ....พอๆ เลิกคิด กินกุ้งต่อดีกว่า เมื่อเย็นตอนที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดพี่แช่มมันเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ผมแอบจับชายเสื้อเขาเอาไว้ด้วยเพราะไม่อยากให้เขาไปไหน

เหมือนเด็กเลยอะ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“คืนนี้หอมไปนอนกับพี่ได้ไหม”

“ตามใจสิ” เจ้าตัวมองผมพลางยิ้มหวาน “ทำไมเรา คิดถึงพี่ขนาดนั้นเชียว”

ผมพยักหน้ารัวๆ “ก็พี่หายไปตั้งหลายวัน”

“พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง” พี่แช่มคีบหมูสามชั้นก่อนจ่อมาที่ปากผม พอเห็นแบบนั้นผมก็รับมันเข้าปากทันที

“กลับมาก็ดีแล้ว” ผมเอียงหัวพิงไหล่เขา รับรู้ได้ถึงแรงกดดันทางสายตาจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลยว่ะ

“เหม็นความรักจังเลยน้า” พี่เฌอเอ่ยพลางเท้าคางแล้วเอียงหัวมองทางพวกเรา

ร่างสูงทำหน้าเหี้ยมใส่ “มึงก็ไม่ต้องหายใจสิ”

“ไอ้เชี่ยแช่ม”

“แบล่บๆ ๆ ๆ ๆ ”

พวกพี่นี่น้า

ครืดดดด....ดดด

ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงก้อง”

(มา....รับหน่อยดิ)

“มึงเมาเหรอ”

(ไม่รู้....ว่ะ)

“แล้วนี่อยู่ไหน”

(ไม่....รู้เหมือนกัน)

“ถ้าไม่รู้แล้วกูจะไปรับได้ไงล่ะไอ้เวร” ผมโวยใส่มัน ไอ้บ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว อยู่ดีดีก็โทรมาให้ไปรับ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เนี่ยะ ก่อนจะติดจีพีเอสไว้ที่พี่แช่ม ผมควรติดที่ข้าวก้องก่อน

(โอเค)

“โอเคอะไรของมึงห้ะไอ้ก้องงงง ฮัลโหลลลล” ผมมองหน้าจอที่ตัดสายไปแล้ว เอาล่ะงานหยาบแล้วทีนี้ ผมจะไปตามหาซากฝาแฝดของผมได้ที่ไหนวะ สภาพมันน่าจะอยู่ร้านเหล้าแต่ไม่รู้ว่าอยู่ร้านไหนนี่สิ

ข้าวก้องแม่ง....

เรื่องนี้กูบอกแม่แน่



[บันทึกพิเศษ : บวร]



หลายวันมานี้มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่จริงๆ

แต่อาจจะไม่แย่เท่าวันนี้ก็ได้

ผมยืนมองร่างโปร่งที่ฟุบอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ แวบแรกที่เห็นเขาผมนึกว่าพี่หอมครับ แต่พอตั้งสติแล้วดูดีดีได้รู้ว่าคนตรงหน้าคือพี่ก้อง วันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นแต่คงเป็นเพราะการเซ็ตผมมันก็เลยทำให้ผมยังแยกเขาออกอยู่ พี่ก้องพี่หอมเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันมาก ถ้าสมมุติว่าวันไหนที่พี่ก้องไม่เซ็ตผมแล้วไม่สวมแว่น ผมคงคิดว่าเขาเป็นพี่หอมอย่างสนิทใจเลย

ก็เคยคิดแบบนี้มาแล้วน่ะนะ

สภาพของคนตรงหน้าคือเมาจัดเลยครับ ผมไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่ผับนี้เลยเพราะว่ามันไกลจากมหา’ลัยเราเอามากๆ ผับนี้เป็นของครอบครัวผมเอง เพราะแบบนั้นผมถึงสะเหล่อเข้ามาอยู่ในนี้ได้ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะที่เด็กอายุ 18 จะมาอยู่ในผับแต่บางครั้งผมก็มาช่วยเฮียไบรท์ทำบัญชี เฮียของผมเนี่ยะคือพี่ชายที่จะพูดว่าแสนดีก็พูดไม่ได้เต็มปาก จะบอกว่าชั่วมากก็ไม่ได้มากขนาดนั้นอะ

เป็นคนแปลกๆ ด้วยเอาจริงๆ

ช่างเฮียผมไปก่อน ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงพี่ก้องดี เหมือนว่าเขาจะมาที่นี่คนเดียวนะเพราะผมไม่เห็นเพื่อนๆ เขาเลย กับพี่หอมผมก็ไม่เห็น แต่ถ้าพี่หอมมาผมก็คงต้องเป็นฝ่ายเอาตัวเองไปไว้ที่อื่นซะมั้ง ทำเรื่องแย่ไปขนาดนั้น ผมอยากขอโทษเขานะแต่แค่หน้าผมเขายังไม่อยากเห็นเลย นี่ไม่รู้ว่าพี่แช่มจะมาตามไล่กระทืบผมรึเปล่า นี่คือผลของการทำอะไรแล้วไม่คิดให้ดีสินะเบย์

แย่ชะมัด

ผมคิดมาตลอดว่าจะมีหวังในตัวพี่หอมแต่ดูเหมือนผมจะทำลายทุกอย่างลงไปด้วยมือของตัวเอง หลังจากนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำใจ พี่หอมเป็นคนพูดเองด้วยว่าต่อให้เขากับพี่แช่มไม่ได้รักกัน เขาก็จะไม่มีวันเลือกผม ประโยคเดียวมันเป็นคำตอบของสิ่งที่ผมพยายามมาตลอด เสียใจนะครับที่อะไรๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง เอาจริงๆ ผมเสียใจตั้งแต่ที่เขาจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลยทั้งๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกันบ่อยๆ

คิดแล้วเศร้าใจจัง

ผมนั่งลงข้างคนที่ฟุบอยู่ก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็เฟลนะ ตอนนั้นที่เราเริ่มสนิทกัน อยู่ดีดีพี่หอมก็หายไปจากชีวิตผม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วพอหลายปีผ่านมาที่ผมเข้ามหา’ลัย ผมก็มีโอกาสมาได้เจอเขา แต่เขาจำผมไม่ได้ ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เขาทำเหมือนไม่เคยเจอผมมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ตอนแรกผมรู้แค่ว่าเขาชื่อข้าว เพราะเจ้าตัวบอกไว้แบบนั้น อาจเพราะเขาคิดว่าชื่อตัวเองคล้ายผู้หญิงก็ได้มั้งถึงได้เลือกที่จะบอกว่าชื่อข้าว

“พี่ก้อง” ผมเขย่าตัวเขาเบาๆ “ได้ยินผมไหม”

“อื้มม.ม.ม....” เสียงงึมงำดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะหันหน้ามามองผม “....หน้าเหมือนเบย์เลย”

ก็เบย์ไงครับ

“พี่เมามากแล้วนะ อยากกลับไหม เดี๋ยวผมไปส่ง”

“อื้ออ.อ.อ....ไม่มี”

ผมเลิกคิ้วมองเขา “ไม่มีอะไรครับ”

“กุญ....แจห้อง”

“งั้นไปห้องผมแล้วกันนะครับ พี่สร่างเมื่อไหร่ค่อยกลับ” ผมบอกเขา ใจนึงก็อยากจะแบกกลับไปให้พี่หอมอยู่หรอกแต่มันอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ที่ผมไปเจอหน้าเขาตอนนี้

คิดแบบนั้นนะ

ผมประคองร่างโปร่งขึ้นมาก่อนจะพาเขาเดินมาจนถึงลานจอดรถ ดีที่คนเมายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ผมนึกถึงไอ้เนยเลย รายนั้นนี่ถ้าเมาคือไม่มีใครประคองเดินได้ทั้งนั้น ต้องหามไม่ก็ลากมาตามพื้นอย่างเดียว มีเพื่อนเมาแล้วเรื้อนมันเหมือนเป็นเวรกรรมของชีวิตเลยอะ ผมจัดแจงยัดพี่ก้องใส่รถก่อนจะคาดเบลท์ให้เขาเสร็จสรรพ พี่จะเป็นอะไรก็ได้แต่ขอแค่อย่าอ้วกใส่ลูกผมเป็นพอนะครับ

รักรถยิ่งชีพก็พูดได้

ผมขับรถออกจากผับก่อนจะมุ่งหน้ามาที่คอนโดฯ ของตัวเอง เหมือนเดจาวูยังไงก็ไม่รู้แค่ตอนนั้นคนที่เมาเป็นผม ช่างเถอะ เรื่องที่ว้าวุ่นในใจนี่ต้องพักไว้ก่อนเพราะผมมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำนั่นก็คือการแบกพี่ก้องลงจากรถแล้วพาขึ้นไปบนห้อง พอคิดได้แบบนั้นผมก็จัดการพาคนขี้เมาออกมาจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในตัวตึกทันที ห้องของผมอยู่ชั้นบนสุดเลยครับ แต่ความรู้สึกผมคือยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งโดดเดี่ยวมากเท่านั้นนะ

มันคงดีถ้ามีใครสักคนอยู่กับเรา

ใช้เวลาไม่นานลิฟต์ก็พามาจนถึงชั้นบนสุด ผมพาพี่ก้องไปยังห้องของตัวเอง ปกติแล้วผมไม่ค่อยให้ใครได้เข้ามาในนี้นะแม้กระทั่งเพื่อนๆ แต่นี่มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เข้ามา ถึงแม้ว่าความทรงจำเมื่ออาทิตย์ก่อนมันจะเลือนลางแต่ผมคิดว่าตัวเองจำไม่ผิดนะ อย่างน้อยมันก็มีสิ่งนึงที่ยืนยันในเรื่องระหว่างเราที่เกิดขึ้น

จูบที่เป็นกลิ่นบุหรี่มาร์โบโร่ อาร์กติก แบล็ก

มันเป็นบุหรี่ของพี่ก้อง

ผมวางร่างโปร่งไว้บนเตียงก่อนจะเดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูมาเพื่อที่จะเช็ดตัวให้เขา แก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นเหมือนวันนั้นไม่มีผิด อาจต่างกันเพราะสาเหตุ วันนี้มันแดงเพราะว่าเขาเมาแต่วันนั้นมันก็อีกเรื่อง ย้อนกลับไปนึกก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ผมดันคิดว่าเขาคือพี่หอม ผมขอให้เขามาส่งแล้วผมก็ล่วงเกินเขาไป พี่ก้องไม่ขัดขืนเลยครับถึงแม้ว่าปากผมจะเรียกแต่ชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่เขาก็ตาม

ถ้าผมเป็นพี่ก้อง....ผมคงเกลียดคนที่ชื่อบวรมาก

คืนนั้นสำหรับผมมันคือความสุขเลยนะ แต่ตื่นมาก็ไม่เจอใครมีแค่รอยยับเยินบนเตียงที่เป็นสิ่งยืนยันว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ฝันหรือเพ้อไปเอง ตอนนั้นก็คิดดีใจว่าพี่หอมเป็นของผมแล้ว แต่พอมาได้เจอพี่ก้องวันที่ประชุมคณะกรรมการฯ ผมถึงได้รู้ว่าคืนนั้นคนที่อยู่กับผมมันไม่ใช่พี่หอมแต่เป็นพี่ก้อง เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่เราทำกันถึงขนาดนั้น

ผมยังจำได้อยู่เลยว่าสัมผัสนั้นมันหอมหวานมากแค่ไหน

“อื้อออ.อ.อ....” คนเมาส่งเสียงประท้วงออกมา “จะนอน”

“พี่ก็นอนไปสิครับ” ผมบอกพลางเช็ดตัวเขาไปเรื่อยๆ

“อื้อออ.อ..อ....”

“อื้ออะไรนักหนาล่ะหืม....” ผมเกลี่ยแก้มใสเบาๆ พี่ก้องลืมตามองก่อนจะงับเข้าที่มือผม นี่พี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกแมวเหรอครับ

เดี๋ยวเถอะนะ

“นอนซะนะครับ” ผมใช้อีกมือลูบหัวเขาเบาๆ ร่างโปร่งยอมอ้าปากเพื่อปล่อยมือผมแล้วหลับตาลงตามเดิม ผมว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ผมเอากะละมังกับผ้าขนหนูไปเก็บก่อนจะเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆ พี่ก้อง คนที่หลับอยู่ขยับตัวเข้ามาซุกที่สีข้างผม พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยลูบหัวเขาไปเรื่อยๆ ผมชอบสีหน้าของเขาในตอนนี้นะ ปกติแล้วพี่ก้องเขาเป็นคนประเภทหน้าตาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ต่อให้เขาหน้าเหมือนพี่หอมแต่เขาก็ดูเข้าถึงยากกว่า ดูสุขุม บางครั้งสายตานี้ก็แสดงออกมาแต่ความเย็นชา

ผมมักจะได้รับมันทุกครั้งเลยล่ะ

ไม่รู้ว่าถ้าพี่ก้องตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมเขาจะทำท่าทียังไง เจ้าตัวก็น่าจะโกรธผมเรื่องพี่หอมอยู่ไม่น้อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เขายังไม่ตื่นนี่นะ จะว่าไปนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เขาได้มาอยู่บนเตียงของผม พอคิดได้แบบนั้นผมก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ข้างหัวเตียงมาก่อนจะกดเข้าไปที่กล้องเพื่อที่จะถ่ายรูปเขา โอกาสที่จะได้หน้าแบบนี้มีไม่บ่อย อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้

แชะ แชะ แชะ

หลังจากได้รูปพี่ก้องจนพอใจผมก็กดเข้าไปในทวิตเตอร์ ข้อความแรกที่อยู่หน้าฟีดเป็นของพี่แช่มครับ จากข้อความทวิตนั่นมันก็บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับพี่หอมคงกลับมาเป็นปกติแล้ว เห็นแบบนี้ก็เศร้าเหมือนกันเนอะ ผมคิดหลายรอบมากว่าจะอันฟอลโล่ว์เขาดีไหม เอาจริงๆ เหตุผลของการติดตามนี่คือเพื่อเอาไว้เสือกเรื่องเขากับพี่หอมล้วนๆ ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเล่นทวิตเตอร์แบบจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ

เล่นเพราะเสือกเลยครับ

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียงก่อนจะเอนตัวนอนลงข้างๆ พี่ก้อง ร่างโปร่งขยับเข้ามากอดก่อนจะซุกหน้าไว้กับอกผม เขาคงเป็นพวกติดหมอนข้างหรือไม่ก็ชอบซุกอะไรอุ่นๆ แน่เลย ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพลางมองใบหน้าใสอยู่อย่างนั้น ตอนนี้พี่แช่มกำลังมีความสุขกับพี่หอมอยู่ ส่วนผมก็คงได้แต่ปลอบใจตัวเอง ตัดความรู้สึกที่มีมาหลายปีให้ขาดแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ทำเหมือนเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

ผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้นะเพราะว่า.....พี่ก้องเขาก็ทำได้เหมือนกัน

“เรื่องทุกอย่าง....มันไม่เคยเกิดขึ้น”





Charit @Charitpedd

ผมอยากให้เรื่องของเรามีแค่ผมกับคุณแบบนี้....ตลอดไป



#พี่แช่มได้กล่าวไว้












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะคะ ก็ทั้งสองคนเขาก็เคลียร์กันไปแล้วเรียบร้อยเนอะเรื่องบวร แต่เหมือนว่าฝั่งบวรอาจจะมีเรื่องต้องเคลียร์กับพี่ก้องต่อ จะเป็นยังไงก็รอติดตามนะคะ

ชาลต้องขออนุญาตพักกการลงนิยายสักระยะนึง อาจจะ 2 อาทิตย์เพราะว่าต้องปิดต้นฉบับไดอารี่ของสมปองให้เสร็จนะคะ ทั้งแก้คำผิดและก็แต่งตอนพิเศษ ต้องรีบหน่อยเพราะจะส่งน้องไปพิจารณากับสนพ. ก็สำหรับใครที่อ่านหยัมปองก็เอาใจช่วยน้องด้วยนะคะ แล้วเดี๋ยวถ้าจัดการส่วนนั้นเสร็จแล้วชาลจะกลับบมาลงนิยายตามปกติค่ะ รบกวนบี๋ช่วยรอกันอย่างใจเย็นเนอะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอายล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 8 : 23/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2019 22:54:33
ปัญหาเข้าหากันทุกคู่เลยแฮะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 9 : 13/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-04-2019 19:54:05
บทที่ 9 ครึ่งๆ กลางๆ



Charit @Charitpedd

อิจฉาตัวเองเนอะ

ตื่นมาก็ได้เห็นคุณก่อนใครเลย



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






ขี้ขิงสุดๆ ไปเลย

ผมอิจฉาเขามากกว่าเขาอิจฉาตัวเองอีก

เอ๊ะ....หรือจะไม่อิจฉาดี

“ยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย” ผมมองร่างโปร่งที่ยังไม่ได้สติบนเตียงของตัวเอง เขาจะนอนนานเกินไปแล้วนะ

ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วและพี่ก้องยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิด ผมควรปลุกหรือปล่อยให้เขานอนไปแบบนี้ดีนะ ใจนึงก็อยากให้นอนเยอะๆ อีกใจก็อยากให้ตื่นเพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าเมื่อคืนได้นอนที่ห้องผม จะบ่น จะด่า จะอาละวาดไหมนะ หรือว่าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็กลับไปเงียบๆ ผมเลื่อนหน้าไปใกล้คนที่หลับอยู่ก่อนจะเกลี่ยแก้มใสนั่นเบาๆ

ถึงเขาจะเหมือนพี่หอม

แต่พี่ก้องก็ยังคงเป็นพี่ก้อง

ผมลุกออกมาจากเตียงก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง วันนี้วันหยุด ตอนแรกพวกเพื่อนๆ ชวนผมไปทะเลด้วย ไปปลอบใจที่อกหัก แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปดีไหม มันนัดว่าจะไปกันเย็นนี้อะครับ ถ้ารวมผมด้วยก็มีอยู่สี่คน แก๊งค์ผมมันจะเป็นอะไรที่โคตรน่ารำคาญ ผมถือว่าเป็นคนที่สงบปากสงบคำที่สุดแล้ว เป็นขั้วต่างของไอ้เนย ไอ้เวรนั่นคือเงียบไม่เป็น

เงียบได้สัก 5 นาทีคือเก่งที่สุด

รองลงมาจากไอ้เนยก็จะเป็นไอ้ภัทร รายนั้นจะพูดน้อยลงมานิดนึง ส่วนคนสุดท้ายก็จะเป็นไอ้ฟรังก์ มันก็จะเงียบลงมาหน่อย แต่โดยรวมเพื่อนทั้งสามคนของผมก็คือพูดมากขั้นสุด ไม่รู้เหมือนกันว่าทนอยู่กับพวกมันได้ยังไง ลองนึกถึงเวลามันเถียงอะไรกันสักอย่างแล้วมันก็จะพูดๆ ๆ ๆ กันไม่หยุดสิ แล้วบางทีก็ตีกันเหมือนเด็กๆ ด้วย แล้วคนห้ามจะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่ผม

พอดุมากๆ ก็ชอบงอน

ใช่ครับ นั่นเพื่อนผมเอง

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ก่อนจะเดินออกมาในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวแค่ผืนเดียว พี่ก้องยังคงหลับอยู่ ใจคอจะไม่ตื่นเลยใช่ไหมเนี่ยะ ผมเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่แล้วยืนเช็ดหัวอยู่อย่างนั้น คอนโดฯ ผมอยู่ชั้น 14 มันก็เลยทำให้ได้เห็นวิวเมืองกรุงสวยๆ อะนะ แต่ผมก็มีฟีลอยากเห็นวิวป่าเขาอยู่เหมือนกัน เนี่ยะ เรียนจบเมื่อไหร่ว่าจะหนีพ่อไปสร้างบ้านอยู่ในป่า

นี่คิดจริงจังเลยนะ

“บวร”

ผมหันไปตามเสียงเรียก “ตื่นแล้วเหรอครับ”

“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คนเพิ่งตื่นถามพลางยกมือกุมขมับตัวเอง ปวดหัวสิท่า ก็ไม่แปลกหรอก เล่นเมาซะขนาดนั้นอะ

“พี่เมามาก ผมก็เลยพาพี่กลับมาด้วย เท่านั้นเองครับ”

“งั้นก็ขอบใจละกัน” พี่ก้องบอกก่อนจะลุกออกมาจากเตียงแต่ก็เซจนล้มลงไป อะไรของเขาล่ะนะ

ผมหลุดออกมาทันที “ทำอะไรของพี่น่ะครับ” ว่าแล้วผมก็เดินมาพยุงเขาขึ้น

“ไม่เคยเมาหนักๆ จนตื่นมาแล้วปวดหัวงั้นเหรอ”

“เคยครับ แต่ไม่เซจนล้มแบบนี้”

“ปกติผมก็ไม่ล้ม” เจ้าตัวเอ่ยพลางเบือนหน้าหนีผม “นี่เป็นครั้งแรก”

“งั้นเหรอครับ”

“อืม ผมอยากกลับหอ”

“แค่เดินยังเซเลย อยู่ที่นี่ให้หายมึนก่อนก็ได้นะครับ”

“ผมไม่อยากรบกวน”

“ผมยังไม่ทันพูดเลยว่าพี่รบกวน อย่าไปคิดแบบนั้นเลยนะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินไปแต่งตัวที่หน้าตู้เสื้อผ้า ในหัวก็กำลังตัดสินใจเรื่องไปทะเลเย็นนี้

ผมเหลือบมองร่างโปร่งเป็นระยะๆ ผ่านกระจก เขานั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ไม่ขยับตัวเลยด้วยซ้ำไป คงคิดอะไรอยู่ล่ะมั้ง ก็อาจจะเป็นเรื่องของเราในคืนนั้นก็ได้ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงชอบสภาพเพิ่งตื่นของพี่ก้องจัง อาจเพราะปกติเขาเป็นคนที่ดูเนี้ยบอยู่ตลอดล่ะมั้ง ผมเขาไม่เคยฟูแบบนี้เลยสักครั้ง ไหนจะหน้าสดๆ ที่เพิ่งตื่นนั่นอีก ดูดีชะมัด ผมอยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้าพี่หอมตื่นขึ้นมา สภาพเขาจะเป็นแบบนี้รึเปล่า

ก็คงทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละนะ

พอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินไปนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ พี่ก้อง เจ้าตัวหันมองผมนิ่งๆ อยู่แบบนั้น อะไหนดูซิว่าใครจะจ้องตาใครได้นานมากกว่ากัน ดวงตาคมสีดำสนิทนั่นมีเสน่ห์อย่างมากถึงที่สุด ถ้าถามถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นฝาแฝดของเขา สายตานี่แหละที่น่าจะแบ่งออกได้ชัดเจนเหมือนกัน คนตรงหน้าผมจะดูดุกว่ามาก นี่คิดเหมือนกันนะว่าถ้าจ้องไปสักพัก เขาจะต่อยผมตาแตกรึเปล่า

พี่ก้องจะแบดขนาดนั้นไหมนะ

“มองผมขนาดนั้น”

“พี่ก็มองผมเหมือนกัน”

“ก็คุณมองก่อน”

“ใช่” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ “.....คงเพราะพี่น่ามองมั้งครับ”

“ผมไม่ได้น่ามองสักนิด” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะพิมพ์อะไรไม่รู้ยุกยิกๆ

“พรุ่งนี้พี่หยุดไหมครับ”

“ถามทำไม”

“ไป....ทะเลกันไหมครับ”

พี่ก้องละจากโทรศัพท์ขึ้นมามองผม “....ชวนผม”

“ใช่ เผื่อพี่อยากไปพักผ่อนหรือเปลี่ยนบรรยากาศก่อนสอบไฟนอลบ้าง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ เพราะนอกจากผมก็มีเพื่อนๆ ผมไปด้วย”

“งั้นคุณไปกับเพื่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

“ก็แค่อยากลองไปกับคนที่ไม่ใช่เพื่อน....สักครั้งน่ะครับ”

“.....”

“ว่าไงครับพี่ก้อง....จะไปหรือไม่ไป”



[จบบันทึกพิเศษ : บวร]



“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะน้องหอม”

“หงุดหงิดใจ”

“หงุดหงิดใจเรื่องอะไร”

“ไอ้ก้อง”

“ข้าวก้องทำไม”

“อยู่ดีดีมันก็นึกครึ้มอยากไปทะเลเฉยๆ ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็เมาแล้วก็โทรมาพูดอะไรไม่รู้เรื่อง แถมยังติดต่อกลับไม่ได้อีก หอมว่าทั้งหมดนี่มันแปลกๆ  อะ”

แปลกมากๆ เลยด้วย

ผมนั่งมองข้อความในไลน์ที่ไอ้น้องเวรมันส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน อะไรทำให้คนที่ไม่ชอบทะเลไปทะเลได้วะ ร้อยวันพันปีข้าวก้องไม่เคยคิดอยากไปทะเลด้วยซ้ำเพราะมันไม่ชอบลมทะเล ไม่ชอบเสียงคลื่น ไม่ชอบการที่ทะเลกว้างใหญ่เกินไปจนคาดเดาอะไรไม่ได้ ปกติแล้วถ้าไม่ไปเพื่อทำงานก็อย่าหวังเลยว่ามันจะไป เนี่ยะ พอเป็นแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกแปลกๆ กับข้อความไลน์ที่เจ้าตัวทักมาบอก

ไปกับใครวะ

“คิ้วจะชนกันอยู่แล้วนะ” นิ้วเรียวจิ้มตรงกลางระหว่างคิ้วผม “แปลกมากขนาดนั้นเชียว”

“แปลกสิพี่แช่ม ข้าวก้องไม่ชอบทะเลแต่อยู่ดีดีก็ไปทะเล หอมว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ”

“ก็อาจจะอยากไปเฉยๆ ก็ได้”

“แต่มันก็แปลกอยู่ดี”

“เอาเถอะน่ะ อย่าไปคิดอะไรให้มันวุ่นวายใจเลย ดูสิ คุณเฉลิมมองน้องหอมใหญ่แล้วนะ”

ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเจ้านกอ้วนเบาๆ “คุณเฉลิมก็สงสัยเหมือนหอมใช่ไหมล่ะ”

“คุณเฉลิมบอกเปล่า”

“พี่รู้ได้ไงว่าคุณเฉลิมบอกแบบนั้น”

“เพราะพี่เลี้ยงคุณเฉลิมมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ ไง พี่ฟังภาษานกรู้เรื่อง น้องหอมไม่รู้เหรอ เนอะๆ คุณเฉลิมเนอะ”

พรึ่บบบบ

“จ้า เข้ากันดีนักนะ” ผมมองคุณเฉลิมที่กางปีกกว้างเหมือนรับคำในสิ่งที่พี่แช่มพูด มันน่าฟัดซะจริงๆ เลยนะเจ้าอ้วนนี่น่ะ

ผมมองร่างสูงที่ลุกไปหยิบหนูแช่แข็งในตู้เย็นออกมาป้อนให้คุณเฉลิม นี่เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้วครับและผมก็รู้สึกหิวแล้วด้วย น่าจะเป็นเพราะกินไปแค่ข้าวเช้าล่ะมั้ง ผมกะว่าถ้าพี่แช่มป้อนอาหารคุณเฉลิมเสร็จ ผมจะชวนเขาไปหาอะไรกิน หลายวันมานี้ผมขลุกอยู่แต่กับเขา ไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องตัวเองเลย แต่เชื่อไหมว่าต่อให้เรานอนอยู่ข้างกัน พี่แช่มเขาก็ไม่ทำอะไรผมเลยนะ

เต็มที่คือแค่นอนกอดเท่านั้นเอง

เพราะเรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอเขาก็เลยไม่คิดอยากจะคลอเคลียผม ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ตอนที่ไปกาญฯ ด้วยกันเขายังจูบผมเลยนะ จูบครั้งนั้นเป็นจูบแรกและจูบเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เขาไม่คิดจะจูบผมอีกเลยอะ ทำไมวะ ปากผมไม่น่าจูบหรือเขาอยากจะให้เกียรติผมโดยการไม่ทำอะไรเกินเลยจนกว่าเราจะคบกันอย่างนี้น่ะเหรอ

หื้มม.มม....แค่คิดก็ห่อเหี่ยวแล้ว

ผมชอบการสกินชิพนะ ยิ่งถ้าได้ทำกับคนที่ชอบมันก็มีความสุขป้ะวะ แต่จะบอกไปตรงๆ ว่าพี่แช่มทำแบบนี้ๆ ๆ กับหอมสิมันก็เขินไปอะ จะเป็นฝ่ายเริ่มก็เงอะงะไม่รู้เรื่องอีก ลองไปถามคนที่โชกโชนในด้านนี้อย่างไอ้ขุนหรือไอ้หยัมดีไหมนะ พอนึกคำตอบออกเลยว่ามันจะมาในรูปแบบไหน หรือว่าผมควรจะอดทนและรออย่างใจเย็น ถ้าพี่แช่มอยากวอแวผมก็ค่อยให้เขาทำตามใจอย่างงี้

แล้วถ้าเขาไม่อยากทำล่ะ

ฮืออ.อ.อ...เบะปากแล้ว

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“เปล่า”

“เปล่าอะไรล่ะ” พี่แช่มบีบแก้มผมเข้าหากัน “พี่เห็นน้องหอมทำหน้าเป็นเป็ดอยู่”

“อื้อออ.อ....หอมก็แค่สงสัย”

“สงสัยอะไรหืม”

“พี่แช่มไม่คิดอยากจะแบบ....”

เขาหรี่ตามองผม “แบบอะไร”

“ก็แบบ....” ผมทำปากจู๋ใส่เขาแวบนึงก่อนจะหันมองไปทางอื่น พี่แช่มจะรู้เรื่องในสิ่งที่ผมสื่อไหมนะ อาจจะไม่เพราะว่าเขาเป็นประเภทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

“หันหนีพี่ทำไม”

“ก็พี่อื้อออ..อ.อ....” จังหวะที่ผมหันกลับมาร่างสูงก็เลื่อนริมฝีปากเข้ามาทาบทับกับปากผม

พี่แช่มกดจูบลงมาหนักๆ ก่อนจะย้ายขึ้นมาคร่อมผมไว้ สัมผัสอุ่นๆ ที่ได้รับมานี่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนให้เข้ามาด้านใน ร่างสูงสอดลิ้นเข้ามาคลอเคลียหยอกเย้าไล่กับลิ้นผมอยู่อย่างนั้น มือเรียวลูบเบาๆ อยู่แถวสะโพก ตอนนี้เริ่มหายใจติดขัดยังไงก็ไม่รู้ ทำไมมันเป็นจูบที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสูบวิญญาณออกไปด้วยเลยวะ

อื้ออ.อ.อ.อ....จะตายไหมเนี่ย

ร่างสูงถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะมองผมอยู่อย่างนั้น รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หน้าร้อนมาก แต่มันอาจจะไม่ร้อนเท่ากับสายตาที่กำลังมองผมอยู่ก็ได้ พี่แช่มจะรู้ตัวไหมนะว่าการมองของเขาทำให้ผมรู้สึกเขินจนตัวแทบแตกมากแค่ไหน นิ้วเรียวไล้ริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนลงมาจูบอีกครั้ง อื้มมม.ม.ม....ทำไมพอได้จูบแล้วถึงจูบไม่หยุดเลยล่ะพ่อคุณ

เกินไปแล้วน้า

ผมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้พี่แช่มทำตามใจ หมดแรงจะขัดขืนโดยสิ้นเชิง คนที่อยู่ด้านบนยังคงตักตวงความหวานไม่ยอมหยุด ยิ่งสัมผัสวาบวามที่อยู่ใต้เสื้อนี่อีก พี่จะไล้มือไปทั่วแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่เคยถูกทำมากถึงขนาดนี้เลย ไม่รู้ด้วยว่ามันจะจบลงที่ตรงไหน คนขี้เมาจะไม่หยุดแล้วทำต่อไปจนถึงขั้นสุดเลยรึไงนะ

แบบนั้นผมต้องตายแน่ๆ

พี่แช่มไล่จูบมาตามซอกคอผม “หายใจแรงจังเลยล่ะหืม....”

“พี่....พี่ไม่เข้าใจหอมหรอก”

“หึ...” ใบหน้าคมขยับมามองผมในระดับเดียว “ใครกันที่อยากให้พี่จูบ”

“พี่ทำมากกว่าจูบอีก”

“พี่ทำอะไร”

“ก็ทำเหมือน....จะกินหอมเข้าไปทั้งตัว”

“ก็น่ากินอยู่”

“พี่แช่ม” ผมทำแก้มป่องใส่เขา เจ้าตัวหัวเราะชอบใจก่อนจะก้มลงมาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ

“หิวไหม ไปหาข้าวกินกัน”

“พี่ก็ลุกออกไปสิ” สิ้นเสียงผม ร่างสูงก็ลุกออกไปก่อนจะดึงให้ผมลุกตาม ใจยังเต้นแรงมากอยู่เลย แอร์ในห้องก็เย็นนะแต่เหงื่อนี่ออกไม่หยุด

เกินไปแล้ว

ผมมองพี่แช่มที่ดูอารมณ์ดีหยิบโน่นหยิบนี่ใส่กระเป๋า ใช่สิ สูบพลังชีวิตผมไปตั้งเยอะหนิ เมื่อกี๊ผมคิดจริงจังเลยนะว่าถ้าเขาไม่หยุดไว้แค่จูบมันจะเป็นยังไง ถ้าสมมุติว่าเขาทำมันจริงๆ ผมก็คงจะ....อื้อออ.อ..อ...คิดอะไรเนี่ยะข้าวหอม พอเลยพอ หยุดทุกความคิดเอาไว้ตรงนี้และเปลี่ยนไปคิดซะว่าจะกินอะไรดี ขืนชักช้าอีกผมน่าจะเป็นฝ่ายโดนกินแทนข้าวแน่ๆ

ดูสายตาที่พี่แช่มมองมาสิ

“อย่ามองแบบนั้นสิ” ผมลุกออกจากเตียงก่อนจะหยิบกระเป๋ากับกุญแจรถ

“มองแบบไหน”

“พี่ก็รู้ตัวเองดีว่าใช้สายตาแบบไหนมองหอมอยู่” ว่าแล้วผมก็เดินนำเขาออกมาจากห้อง

“น้องหอมคิดไปเองรึเปล่า”

“ไม่ได้คิดไปเองเถอะ แล้วนี่พี่จะกินอะไร”

“พี่กินได้ทุกอย่างที่น้องหอมอยากกิน” ร่างสูงบอกก่อนจะยิ้มแป้นออกมา น่าบีบแก้มนัก รอยยิ้มแบบนี้อย่าให้ใครเห็นเชียว ไม่งั้นเขาคงหลงรักกันจนหัวปักหัวปรำ

ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

“งั้น....กินปิ้งย่างเนอะ”

“ตามใจจ่ะ”

ชอบจริงๆ เลยคนตามใจเนี่ย



***



“หอมจะกินชิ้นนั้นอะ”

“ของพี่”

“ให้หอมไม่ได้เหรอ”

มือเรียวคีบเนื้อใส่ปาก “เอาสิอะ อยากกินก็ต้องกินจากปากพี่เท่านั้น”

“ขี้โกง” มากๆ เลยด้วย

พี่แช่มนี่โคตรพี่แช่มจริงๆ

ผมทำหน้ามุ่ยใส่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มันน่านัก นี่ไม่ใช่เนื้อชิ้นแรกที่ผมเป็นคนปิ้งแต่พี่แช่มเป็นคนแย่งไปกินนะ มันน่าจะเป็นชิ้นที่สามร้อยห้าสิบได้ละ ผมน่ะอยากเอาตะเกียบตีขาเขาให้แตกมากเลย เรื่องอื่นพอยอมได้แต่เรื่องเนื้อย่างมันยอมไม่ได้ป้ะวะ นี่เรื่องใหญ่ระดับชาติเลยนะครับ ก็ถือว่ายังดีที่ผมไม่ได้หิวจนหน้ามืด ไม่งั้นคงได้เกิดเหตุฆาตกรรมกันในร้านปิ้งย่างแล้วล่ะ

รอดตัวไปนะพี่แช่ม

ตอนนี้เกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ เราสองคนนั่งกินกันมาสักพักพลางพูดเรื่องงานของคณะที่ต้องรับผิดชอบต่างๆ นานา จะว่าไปนี่ก็ใกล้สอบไฟนอลแล้ว เดี๋ยวต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ เมื่อวานซืนผมส่งแผนงานการไปค่ายอบรมให้เพื่อนขุนไปแล้วล่ะครับ มันน่าจะแก้แล้วก็เอาส่งอาจารย์วิชัยไม่เกินอาทิตย์นี้ ขอให้ผ่านด้วยเถอะ เพราะถ้าไม่ผ่านก็ต้องมาไล่แก้อีกรอบซึ่งมันต้องกระทบต่อการอ่านหนังสือสอบของผมแน่ๆ

ข้าวหอมจริงจังกับการสอบมากเลยนะครับ

“น้องหอม”

“หืม....”

“หลังสอบไฟนอล เราไปเที่ยวกันไหม”

“เที่ยวที่ไหน”

“ที่ไหนก็ได้ที่น้องหอมอยากไป พี่จะพาไป” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะคีบเนื้อมาใส่ในจานผม

“พี่จะว่างพาไปได้เหรอ”

“ว่างสิ พี่พูดเองขนาดนี้ก็แปลว่าต้องพาไปได้”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “งั้นเดี๋ยวหอมคิดก่อนละกันว่าจะไปไหน เออพี่แช่ม พี่รู้แล้วใช่ไหมว่าค่ายอบรมของโยธาปีนี้มันไปช่วงก่อนเปิดเทอม”

“รู้แล้วและค่อนข้างหงุดหงิดมากเลย พี่จะไม่ได้เจอน้องหอมตั้ง 10 วันแน่ะ”

“ก็ปี 4 แล้วหนิ ช่วงที่หอมไม่อยู่ก็ทำตัวดีดีนะ” ผมยิ้มหวานให้คนขี้เมาที่กำลังทำหน้ามุ่ยอยู่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“พี่ต้องคิดถึงน้องหอมจนตายแน่ๆ เลย”

“เว่อร์น่ะ คิดถึงก็โทรหาหอมก็ได้ ปีนี้เขาไม่ยึดโทรศัพท์แล้วนะเพราะว่าเมื่อปีก่อนมีใครก็ไม่รู้หลงทาง”

“เอาจริงๆ มันเป็นแผนของพี่เอง ไงล่ะครับ เพราะแผนอันเฉียบแหลมของชริต น้องๆ ในปีนี้ก็เลยได้ใช้โทรศัพท์” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะยักคิ้วให้ แหมๆ ๆ ๆ กล้าพูดเนอะว่าเป็นแผน

ตัวเองเด๋อด๋าเองแท้ๆ

ผมคีบเนื้อเข้าปากพลางนึกถึงเหตุการณ์ไปค่ายที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว วันที่มีกิจกรรมต้องหาของเนี่ยะ พี่แช่มเขาหลงทางครับ ไม่มีใครหาตัวเจอแล้วก็ติดต่อไม่ได้ ที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะว่าตอนนั้นเจ้าหน้าที่ของทางค่ายเขาประกาศให้ฟังว่ามีคนหลงทางและก็ให้พวกเรารวมกลุ่มกันไว้ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าใครที่หลงทาง นึกว่าเป็นน้องปี 1 ด้วยซ้ำแต่ที่ไหนได้ล่ะ

เนี่ยะ ไม่ให้เรียกว่าเด๋อด๋าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร

ตอนที่รู้ว่าพี่แช่มหายไป ผมก็เป็นห่วงเขามากเลยนะ โชคดีที่หาตัวเจอ คนขี้เมาเดินหลงไปจนถึงหน้าถ้ำค้างคาวแน่ะ แล้วมีการมาเล่าให้ฟังด้วยนะว่าตัวเองไปผจญภัยมาอย่างโน้นอย่างนี้ ผมก็ตีมือเขาไปแล้วก็บอกว่านั่นไม่ใช่การผจญภัยแต่มันเป็นเพราะเขาหลงทาง เจ้าตัวก็ทำเป็นเนียนเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย ขนาดเวลาผ่านมาจะปีนึงเขายังไม่ยอมรับเลยว่าตัวเองหลง แล้วตอนนี้ก็มาบอกว่ามันเป็นแผน

แผนที่หน้าสิ

“น้องหอม” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมไว้ “ช่วงที่ห่างกัน.....อย่าปล่อยให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเองรู้ไหม”

“ใครมันจะมายุ่มย่ามกับหอม”

“มันก็มีอยู่ ถ้าสมมุติว่ามีคนมาวอแวก็มาบอกพี่เลยนะ”

“พี่จะทำไมหืม....”

“พี่จะเตะเข้าให้”

“เตะคนที่มาวอแวหอมอะนะ”

“เตะน้องหอมนี่แหละ” เขาทำหน้าเหี้ยมใส่ “ปล่อยให้คนอื่นมาวอแวตัวเองได้ไง”

ผมตีมือพี่แช่มแรงๆ “พี่กล้าทำหอมเหรอ” เดี๋ยวนี้มีคิดจะเตะผมด้วย ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะชริต

“ล้อเล่นน่ะจ่ะ ใครจะกล้าทำน้องหอมล่ะเนอะ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มแฉ่งให้ผม “อิ่มยัง จะได้ไปกัน”

“อิ่มละ เช็กบิลเลย” ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไลน์ที่เพิ่งส่งมา

ข้าวก้องส่งรูปดาวบนท้องฟ้ามาครับ รูปลังเบียร์แล้วก็มือมันที่ชูนิ้วกลางใส่ทะเล อีเลว ไปทำมือแบบนั้นใส่ทะเลได้ยังไง เดี๋ยวกลับถึงหอเมื่อไหร่ผมจะโทรไปด่ามัน แล้วนี่กินเบียร์เป็นลังเลยเหรอวะ งั้นแปลว่าที่ผมสงสัยว่ามันไม่ได้ไปคนเดียวก็ชัดเจนแล้วล่ะ สงสัยเหมือนกันนะว่าคนแบบไหนถึงทำให้ข้าวก้องยอมไปทะเลได้ เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้ เราจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เพราะว่าเราอยากเสือกไง

อันนี้ยอมรับแบบจริงใจเลยครับ

หลังจากที่เช็กบิลเสร็จพี่แช่มก็ลากผมออกมาจากร้าน เดี๋ยวต้องไปซื้อของใช้เข้าหอด้วยเพราะว่ามันหมดแล้ว ถือว่าเป็นการเดินย่อยไปในตัวด้วยก็แล้วกัน พี่แช่มเลื่อนมือจับมือผมเอาไว้ ชอบนะครับที่เขาไม่สนสายตาที่คนอื่นมองเลย ผมรู้นะว่าเดี๋ยวนี้เรื่องเพศมันเปิดกว้างมากขึ้น แต่มันก็ยังมีเหมือนกันคนที่มองมาทางเราโดยใช้สายตาแปลกๆ ยอมรับว่ามันค่อนข้างน่าหงุดหงิด

แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากช่างมันนะครับ

ผมเคยถามพี่แช่มว่าไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอเวลามีคนมองตอนที่เดินจับมือผม เขาบอกว่าช่างมัน เขาแคร์แค่ผม เขาไม่ได้แคร์คนอื่น เพราะแบบนั้นมันก็เลยเป็นเรื่องปกติที่เราจะจับมือกันเวลาไปไหนมาไหน เคยคิดด้วยนะว่าถ้าคนที่บ้านมาเห็นผมเดินจับมือกับพี่แช่มแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่รู้เลยว่าพ่อกับแม่จะโอเคไหม ผมไม่เคยบอกพวกเขาเรื่องพวกนี้เลย

ยังไม่คิดจะบอกตอนนี้ด้วย

“แช่ม....ใช่แช่มรึเปล่า”

ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับป้าคนนึง “เขาเรียกพี่แช่มอะ” ทันทีที่ผมบอกแบบนั้นร่างสูงก็หันไปมอง

“คุณนายสร้อย” ดวงตาคมมองคนตรงหน้านิ่งๆ ป้าคนนี้เขาเป็นใครกันนะ รู้จักพี่แช่มด้วยแฮะ

“เธอดูดีขึ้นนะ” เขามองคนที่อยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “หายดีแล้วงั้นเหรอ”

หายดีเหรอวะ

“ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงเรียบ ผมไม่เคยเห็นพี่แช่มทำหน้าแบบนี้มาก่อนเลย มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ถ้าหายดีแล้วก็ดีนะ แล้วนี่เรียนถึงชั้นไหนแล้วล่ะ”

“ปี 4 แล้วครับ”

“จะว่าไป ฉันก็ไม่ได้เจอเธอนานเหมือนกันนะตั้งแต่ตอนนั้น ฉันเคยไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลแต่หมอบอกว่าเธอไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย ฉันเสียใจกับเธอนะที่ต้องเสียชะ....”

“ขอบคุณนะครับ” พี่แช่มพูดขัดขึ้นมาก่อนจะยิ้มบางๆ “ผมมีธุระต้องไปทำต่อเพราะงั้นขอตัวก่อน” สิ้นเสียงพูด ร่างสูงก็หันหลังให้ทันที

“ฉันยังอยากได้ที่ดินตรงนั้นอยู่นะ ถ้าเธอคิดว่าการอยู่ตรงนี้มันดีกว่า เธอติดต่อฉันมาได้เสมอ”

พี่แช่มหันกลับไปมองก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ “ผมไม่คิดจะขายที่ของพ่อหรอกครับ” ว่าแล้วเขาก็จูงมือผมออกมาจากตรงนั้นทันที

สถานการณ์วายป่วงเมื่อกี๊มันคืออะไรกันวะ ฟังจากที่พวกเขาพูดกันมันก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้อยู่หรอก ป้าคนนั้นคือคนที่อยากได้ที่ดินตรงบ้านพี่แช่มแน่นอน เรื่องที่เขาถามว่าหายดีแล้วมันอาจจะเกี่ยวกับโรคจิตเวชที่พี่แช่มเป็น แล้วไอ้เรื่องที่หมอบอกว่าไม่รู้สึกตัวล่ะ แล้วเรื่องที่เสียอะไรไปสักอย่างนั่นมันคืออะไรวะ พี่แช่มไม่น่าพูดขัดก่อนเลย เกือบจะได้รู้เรื่องแล้วแท้ๆ

น่าตีซะจริง

ต่อให้ผมอยากตีเขาแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงไม่เหมาะ สีหน้าของพี่แช่มแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน มือเขาก็สั่นยังไงก็ไม่รู้ อาการดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย พอเป็นแบบนั้นผมก็แลยตัดสินใจลากร่างสูงแวะที่ร้านขายไอศกรีม

“กินติมกัน”

“.....”

“พี่แช่มจะกินอันไหน” ผมเอ่ยถามแต่เขาก็ไม่ตอบ “งั้นหอมเลือกให้เอง เอาอันนี้กับอันนี้ครับ” พอสั่งไอศกรีมเสร็จผมก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่หัวไหล่ตัวเอง

ผมยกมือลูบหัวร่างสูงเบาๆ เขาคงรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ล่ะมั้ง สิ่งที่ป้าเขาพูดออกมามันคงมีอิทธิพลต่อพี่แช่มพอสมควรเลย เขาถึงได้ซึมแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร ต่อให้ใครมาทำให้เขาซึม ผมก็จะทำให้เขากลับมายิ้มให้ได้

“ขอบคุณครับ” ผมรับไอศกรีมมาก่อนจะส่งให้พี่แช่ม “ของพี่”

“.....”

“ต้องกินนะ จะได้รู้สึกดีขึ้นไง” ผมจ่อที่ปากเขา

“อยากกินเหล้า”

“ไม่ได้นะ ตัวเองบอกว่าจะเลิกแล้วก็สั่งหอมให้ช่วยห้ามด้วย เพราะงั้น....ล้มเลิกความคิดที่อยากกินเหล้าไปเลย เนี่ยะ กินไอติมแทนไปซะ”

“พี่รู้สึกไม่ค่อยดีเลยอะ”

“แล้วพี่รู้ใช่ไหมว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น” ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มเจ้าตัว “หอมไม่รู้ว่าสิ่งที่ป้าคนนั้นพูด ทำให้พี่รู้สึกแย่แค่ไหน แต่พี่จะจมอยู่กับมันไม่ได้”

“....”

“ขนาดเวลามันยังเดินต่อไปเรื่อยๆ เลย.....แล้วพี่จะอยู่ที่เดิมไปทำไม”

“นั่นสินะ” พี่แช่มคลี่ยิ้มให้ผมก่อนจะก้มลงเลื่อนมาจุ๊บปากผม “ขอบคุณนะครับที่ทำให้พี่คิดได้”

ตึกตัก

ผู้ชายคนนี้นี่มันจริงๆ เลย

ผมยกมือตีไหล่เขา “พี่จุ๊บหอมกลางห้างเลยนะ” ไม่คิดจะแคร์สายตาใครเลยรึไงพ่อหนุ่ม นั่นจุ๊บนะไม่ใช่จับมือ นั่นมันจุ๊บ!!!!

“ก็น่าจุ๊บอะ” เขาเอียงหัวมาใกล้หัวผม “แต่ถ้าน้องหอมไม่โอเค เราค่อยกลับไปจุ๊บกันที่หอก็ได้นะ”

“ไม่ต้องเลยนะ” ผมตีเขาอีกทีก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง เมื่อกี๊ยังซึมอยู่เลยแท้ๆ ทำไมถึงกลับมาบ้ากามไว้นักล่ะ เขาเป็นไบโพล่าร์รึเปล่าวะเนี่ย

ถึงภายนอกจะดูเหมือนไม่เป็นไรแต่ภายในนั้นไม่อาจรู้ได้เลย ตอนนี้เขายังดีอยู่แต่ไม่รู้นะครับว่าหลังจากนี้จะดาวน์อีกไหม ผมไม่อยากเห็นเขาซึมหรือทำหน้าเศร้าแล้วก็เหม่อมองท้องฟ้าอีกแล้ว มันคงจะดีนะถ้าผมได้รับรู้สักครึ่งนึงในสิ่งที่พี่แช่มกำลังเผชิญอยู่ อย่างน้อยผมจะได้เข้าใจเขามากขึ้นอีกนิดก็ยังดี แต่ก็แย่หน่อยที่ผมไม่รู้อะไรเลยและก็ไม่รู้ด้วยว่าจะได้รู้เรื่องทุกอย่างวันไหน

อา...หน่วงเฉยเลยว่ะ

ผมหันไปมองร่างสูงพลางยิ้มบางๆ ให้ มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปทวิตเตอร์ ความรู้สึกหนึบหนับใจเมื่อกี๊ต้องเอาออกไปให้ไวที่สุด เพราะว่าต่อให้เก็บเอาไว้ในหัวมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากจะทำให้รู้สึกแย่เปล่าๆ ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันก็ยังดี ขอแค่ผมอดทนรออีกหน่อย แล้วก็ขอแค่ให้วันที่พี่แช่มพร้อมจะบอกทุกอย่างมาถึงเร็วๆ ก็พอ

ขอแค่เท่านี้จริงๆ





Kh. @KhH22_luc

เพราะคุณสำคัญ....เราถึงยังอยู่ตรงนี้



#CloverBad








TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้ว ขอโทษด้วยที่หายไป 3 อาทิตย์เลยสำหรับเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้ยังไม่ได้แก้คำผิดนะ แต่เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะคะ

วันเป็นวันสงกรานต์ ก็ขอให้มีความสุขกับช่วงเทศกาลครอบครัวนะคะ เดินทางปลอดภัยกันด้วยน้า สำหรับเรื่องของแช่มหอมก็ต้องติดตามกันต่อไป กุมใจกันเอาไว้ให้ดีๆ นะคะ เพราะว่ามันใกล้ช่วงมรสุมจริงๆ จังๆ แล้ว

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 9 : 13/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2019 22:41:18
พี่แช่มอุตส่าห์ชวนแล้ว รีบกลับห้องเลย  :impress2:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 10 : 20/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-04-2019 22:52:55
บทที่ 10 เปราะบาง




Charit @Charitpedd

ความผิดของผมเองที่ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป



#พี่แช่มได้กล่าวไว้






รู้ตัวก็ดีแล้วชริต

หึ้ย..ย....น่าทุบจริงๆ

ผมนั่งสูบบุหรี่อยู่หลังตึกด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดขั้นสุด วันนี้เป็นวันสอบไฟนอลวันสุดท้ายแล้วครับ ผมสอบเสร็จแล้วแต่ยังลีลาเยอะไม่ยอมกลับหอ คือใจก็อยากกลับแหละแต่มีประชุมเรื่องค่ายไง แผนงานที่ส่งอาจารย์วิชัยไปผ่านแล้วล่ะ วันนี้ก็คือนัดรับตารางงานและก็แบบของการจัดกิจกรรม ก็อีกหลายอาทิตย์อะนะกว่าจะไปค่าย ไม่รู้ว่าทำไมถึงให้รีบรับใบนัก ผมหวั่นใจกลัวจะทำมันหายก่อนได้ไปเหลือเกิน

ทุกปีก็ทำหายตลอด

เรื่องที่ผมหงุดหงิดมันไม่เกี่ยวกับเรื่องค่ายหรืออะไรหรอก สิ่งที่ทำให้ผมไม่ชอบใจก็คือพี่แช่มครับ ช่วงก่อนสอบมันเป็นช่วงที่ผมไปนอนกับเขาค่อนข้างบ่อยและจะได้ยินอะไรที่ไม่เข้าหูทุกคืน ผมไม่ได้เล่าให้เจ้าตัวฟังหรอกเพราะถ้าเล่าไปแล้วเขาไม่ยอมพูดอะไรเลย เราก็จะพาลทะเลาะกันเปล่าๆ เรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นและตอนนี้มันเกิดขึ้นถี่มาก ช่วงวันสอบผมเลยนอนคนเดียวที่หอ อย่างน้อยก็ทำให้ผมนอนหลับมากขึ้น

ข้าวหอมควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดีวะ

พี่แช่มเขาละเมอชื่อชะเอมน่ะครับ บางคืนหนักในระดับที่สะดุ้งตื่นมาแล้วเพ้ออะไรไม่รู้ เพ้อไม่หยุด ขนาดผมเรียกชื่อเขาซ้ำๆ เขายังทำเหมือนไม่ได้ยินเลย ใช้เวลาสักพักเลยล่ะถึงจะดึงสติได้ เขาไม่พูดอะไรเลยนะ ทำแค่เดินมากอดผมแน่นๆ เท่านั้น เขาสั่นไปทั้งตัวเหมือนคนกลัวอะไรบางอย่าง ใจนึงผมก็หัวเสียที่เขาเอาแต่เพ้อถึงชะเอม ส่วนอีกใจก็สงสารที่เขาต้องเป็นแบบนั้น

แต่ที่สุด....ผมควรสงสารตัวเอง

เพราะตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พอเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยก็มักจะไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไง ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไงด้วยซ้ำ ผมอยู่ในสถานะไม่รู้อะไรเลยมานานเหมือนกันนะ ตลกตัวเองชะมัด ทนมาได้ยังไงตั้งนาน ผมไม่รู้ว่าเหตุผลที่เรียกว่าความรักมันจะใช้ได้อีกนานแค่ไหน ผมรักเขา เขาก็เหมือนว่ารักผมแต่มันคล้ายกับว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับความรักนั้นเลย ไม่รู้สิ แค่ผมไม่รู้ว่าชะเอมเป็นใคร มันก็ส่งผลต่อความรู้สึกพอสมควรเลย

จิ๊....หงุดหงิด

“ไหนว่าเลิกสูบบุหรี่แล้ว”

“เบื่อ อยากตายห่าไวไว” ผมมองร่างโปร่งของฝาแฝดที่นั่งลงข้างๆ “แต่ดูทรงแล้วน่าจะตายหลังมึง”

“ปากดีไอ้สัส”

“หึ....ตกลงจะไม่บอกกูจริงๆ สิว่าวันที่ไปทะเลนั่น มึงไปกับใคร” ผมเอ่ยถามพลางจ้องมันอย่างจับผิด

“ผ่านมาตั้ง 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ ยังไม่ลืมอีกเหรอวะ” มือเรียวหยิบมาโบโร่ อาร์กติก แบล็กออกมาก่อนจะจุดไฟแล้วสูบ

“ผ่านไป 2 ปีก็ไม่มีทางลืม มึงไม่ใช่คนชอบทะเล แต่อยู่ดีดีก็ไปทะเล ใครมันจะไม่สงสัยวะ”

“สะเหล่อ”

ผมถลึงตาใส่มัน “เดี๋ยวกูก็เอาบุหรี่จี้ซะหนิ” อย่าคิดว่าไม่กล้านะไอ้เวร

“ช่างกูเถอะน่ะ” ข้าวก้องยิ้มบางๆ ให้ผม “ตอนนี้กูอาจจะชอบทะเลขึ้นมานิดนึงก็ได้มั้ง”

“ชอบทะเล หรือชอบคนที่ไปทะเลด้วยกัน”

“สะเหล่อ”

“มึงนี่แม่ง” ผมตีขามันไปแรงๆ สองทีด้วยความหมั่นไส้ คนโดนตีก็หัวเราะออกมาหลังจากที่กวนประสาทผมได้สำเร็จ

เรื่องที่ข้าวก้องไปทะเลยังคงคาใจผมไม่หาย ถึงตอนนี้มันจะผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าก็เถอะ มันจะไม่ให้คาใจก็จะแปลกๆ อะนะ ฝาแฝดผมมีรอยจูบกลับมาเต็มคอด้วยล่ะ ถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมบอก ใช้คำว่าสะเหล่อกรอกหูผมอยู่อย่างนั้น อยากจะจับมันมัดแล้วเค้นคอถามจริงๆ ถ้าไม่ยอมพูดก็จั๊กจี้เอวให้ขำตายไปซะ จะว่าไป....ข้าวก้องกับพี่แช่มนี่คล้ายๆ กันเลย มีอะไรก็ไม่ยอมพูด

น่าจับไปถ่วงน้ำทั้งคู่

“หอม”

“อะไร”

“มึงทะเลาะกับพี่แช่มเหรอ”

“เปล่า ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้น”

ดวงตาคมมองบุหรี่ที่มือผม “มึงกลับมาสูบบุหรี่”

“ก็แค่อยากสูบ”

“เล่ามา”

“พี่แช่มเขาละเมอถึงชื่อคนที่ว่าชะเอม กูไม่รู้ว่าชะเอมเป็นใคร มันไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่เขาละเมอถึง ครั้งแรกที่กูได้ยิน กูถามเขาก็ไม่พูด ขอแค่ให้กูรอ กูไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ กูไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงที่ต้องได้ยินเขาเพ้อถึงใครก็ไม่รู้ ใจกูอยากจะถามวันละล้านรอบด้วยซ้ำว่าชะเอมเป็นใคร แต่ทุกอย่างมันก็เป็นได้แค่ความคิดเพราะถึงถามไปกี่ครั้งเขาก็จะไม่บอก”

“เจ็บเนอะ”

“.....ยิ่งกว่าเจ็บอีก”

ผมอัดควันเข้าปอดก่อนจะปล่อยมันออกมาช้าๆ ไม่ไหวว่ะ สอบเสร็จแล้วก็จะว่างให้ฟุ้งซ่านมากความไง ก่อนหน้านี้ยังมีหนังสือให้อ่านเพื่อเยียวยาจิตใจแต่หลังจากนี้จะไม่มีอะไรให้ทำละ ผมหนีเข้าป่าดีป้ะวะ ไปใช้ชีวิตแบบทาร์ซานสักพักนึง ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้วุ่นวายใจ เออ จำได้ว่าตกลงกับพี่แช่มไว้ว่าถ้าปิดเทอมจะไปเที่ยวด้วยกันนี่หว่า

ว่าแต่ถ้านอนด้วยกัน....เขาจะละเมอถึงชื่อชะเอมอีกไหมอะ

แม่ง....ชะเอมเป็นใครวะ

“ทำหน้าอย่างกับส้นตีน” มือเรียวบีบแก้มผม “ไหนลองยิ้มซิ”

“ไม่ยิ้มห่าไรทั้งนั้นแหละ”

“อย่าเกรี้ยวกราดสิวะ” เจ้าตัวบอกผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหล....”

ผมเอาหูไปแนบด้วย “ใครอะ”

“มึงนี่เปลี่ยนชื่อจากข้าวหอมไปเป็นข้าวเสือกไป” มันผลักหัวผมออกก่อนจะลุกไปอีกทาง

“ปากดีนักนะมึง เดี๋ยวจะโดนกูเตะ เดี๋ยวก่อน” พอผมบอกแบบนั้น ข้าวก้องก็แลบลิ้นใส่ไม่หยุด ตอนนี้ก็หงุดหงิดเฉยๆ นะแต่ตอนนี้หงุดหงิดชิบหายละ

“อืม เดี๋ยวผมไป” มือเรียวกดวางสายก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเอง “กูไปก่อนนะ อย่างอแงมากนักล่ะ”

“กูไม่ได้งอแง” ผมโวยวายไล่หลังก่อนจะหยิบบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นมาสูบ วันนี้คือสูบจัดสุดๆ จัดจนปอดพังไปแล้วครึ่งซีก   

ผมรู้ว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้น มันแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น ผมจะอดทน จะใจเย็นและ.....ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมจะกลับไปคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยที่ร่าเริงกว่านี้นิดหน่อย ข้าวหอมคนเฮงซวยจะมีแค่วันนี้เท่านั้นแหละ คืนนี้มีนัดกับเพื่อนๆ แล้วด้วยว่าจะไปฉลองที่สอบไฟนอลเสร็จ ก็คงจะเมาหนักน่าดู ฟีลอ้วกไม่นับหลับแพ้ต้องมาอะเอาดิ วันนี้ฉายาคนขี้เมาต้องหมายถึงผมแล้วล่ะ

ว่าแล้วก็อยากให้มืดเร็วๆ จัง



[บันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]



การไปทะเลวันนั้นแม่งโคตรพลาดเลย

พลาดทั้งตัวแล้วก็พลาดทั้งหัวใจ

ผมเดินมาขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่หน้ามหา’ลัย คนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับยิ้มให้ผมบางๆ เห็นแล้วมันเขี้ยวชะมัด 2 อาทิตย์กว่าแล้วครับหลังจากวันที่ไปทะเลมาด้วยกัน เกิดเรื่องบัดซบขึ้นเยอะแยะระหว่างเราแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นเรื่องบัดซบที่ผมมีความสุขเอามากๆ มีความสุขจนน่ารำคาญด้วยซ้ำไป ผมเป็นข้าวก้องคนโป๊ะแตกที่ทำความลับของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้แล้วพอไอ้เด็กเวรนั่นรู้ มันก็.....

เฮ้อ

ไม่อยากจะเอ่ยเลยว่าชีวิตผมต้องเจอกับอะไรบ้าง

“คุณรู้ใช่ไหมว่าคณะกรรมการมีประชุม”

“รู้ครับ”

“แล้วคุณจะเรียกผมมาทำไม”

“ไม่อยากพูดจาหวานๆ เลย ผมกลัวพี่เขิน”

ผมมองค้อนใส่ทันที “กวนส้นตีน”

“อย่าดุสิครับ” บวรยิ้มแฉ่งให้พร้อมกับเอียงหัวเข้ามาใกล้ “ผมมีเรื่องสำคัญที่คิดว่าพี่ควรจะได้รับรู้เอาไว้ จริงๆ แล้วผมอยากบอกเรื่องนี้กับพี่หอมมากกว่า แต่อย่างว่า....พี่หอมเขาสั่งห้ามไว้ว่าไม่ให้ผมไปยุ่งกับเขา”

“คุณกำลังพูดให้ผมรู้สึกแปลกๆ ” แปลกและอยากจะงัดหน้าให้อีกทีด้วย ถ้าอยากพูดกับข้าวหอมก็ไปหาข้าวหอมสิวะ จะเรียกผมมาทำไม

ไอ้สัส

“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับพี่แช่มครับ” เจ้าตัวจิ้มแก้มผม “ทำหน้าเหมือนหึงเชียว”

“ใครหึงคุณ” ผมปัดมือบวรออกก่อนจะหันหนี สำคัญตัวผิดเก่ง คนอย่างข้าวก้องเนี่ยนะจะหึง

ไม่มีทาง

“พี่นี่จริงๆ เลยนะ หัดยอมรับบ้างก็ได้ อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น อีกอย่าง....ผมยังไม่ได้จัดการที่พี่หายไปหลายปีแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลยนะ หึ....ระวังตัวเอาไว้เลย”

“บวร” ผมหันไปมองคนพูดก่อนจะตีแขนเขาหลายที อย่าห้าวนักได้ไหมวะ คุณไม่มีสิทธิ์ห้าวกับผมนะ

“เดี๋ยวค่อยตีกันต่อนะครับ แต่ว่าตอนนี้พี่ต้องไปกับผมก่อน” ว่าแล้วเขาก็ออกรถทันที แล้วจะไปไหนก็ไม่บอกด้วยนะ เนี่ยะ เด็กเอาแต่ใจก็จะเป็นคนประมาณนี้แหละ

ผมนั่งมองข้างทางพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่ว่าเกี่ยวกับพี่แช่มนั่นมันเรื่องอะไรนะ สำคัญมากขนาดไหนถึงขั้นต้องโดดประชุมของคณะกรรมการมา แล้วเนี่ยะ พอหายไปสองคนพร้อมกันก็จะน่าสงสัยอีก บวรนี่มันจริงๆ เลยนะ ไว้ถ้าเคลียร์เรื่องพี่แช่มเสร็จเดี๋ยวผมจะจัดการเขา ตั้งแต่กลับจากทะเลมานี่เอาใหญ่เลย เหิมเกริมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร คิดจะข่มผมก็หลายรอบ สงสัยว่าถึงเวลาที่กำราบแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ

จะได้รู้ว่าใครเป็นใหญ่

วันที่ไปทะเลด้วยกันก็ดีครับ ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะผมไม่ชอบทะเลไงมันก็เลยไม่ได้มีความประทับใจอะไรมากนัก แต่กับคนที่ไปด้วยมันก็โอเค เพื่อนๆ ของบวรก็ฮาดี ไม่ได้ต่างอะไรจากแก๊งค์ผม ติดตรงที่แต่ละคนคือพูดมากขั้นสุด ร่างสูงนี่ดูเงียบไปเลย ก็น่าจะเงียบเฉพาะกับกลุ่มเพื่อนแหละมั้ง เห็นทุกเวลาที่อยู่กับผมก็พูดมาก กวนประสาท น่าซัดให้คว่ำ นิยามของความน่ารำคาญก็ยกให้บวรได้เลย

ไม่มีใครให้มากกว่าไอ้เด็กเวรนี่อีกแล้ว

ใช้เวลาสักพักรถก็จอดอยู่หน้าตึกแห่งหนึ่ง ดูเหมือนคลินิกเลยครับ ผมอ่านป้ายด้านหน้ามันเขียนไว้ว่า นวัตรจิตเวชคลินิก ทำไมบวรถึงพาผมมาที่นี่ มันมีอะไรเกี่ยวกับพี่แช่มรึยังไง

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”

“เพราะว่าทุกวันอังคาร พี่แช่มจะมาที่นี่ครับ ผมคิดว่าเขาอาจจะ....ป่วย”

ผมเหลือบมองคนพูด “คุณรู้ได้ไงว่าเขามาที่นี่ทุกวันอังคาร”

“ผมแอบตามเขามา”

“เหมือนพวกโรคจิตเลยนะคุณน่ะ” พอผมพูดจบ บวรก็ทำหน้ามุ่ยใส่ทันที

“ถ้าไม่ตามมาก็ไม่รู้น่ะสิครับ เข้าไปข้างในกันเถอะ” ร่างสูงเดินนำลงไป ผมหยิบของก่อนจะเดินตามลงมา ตอนนี้ประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว ในคลินิกไม่มีใครนอกจากเจ้าหน้าที่เลยครับ

ผมมองร่างสูงที่เดินไปอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ถ้าสมมุติว่าพี่แช่มเขามาหาหมอที่นี่จริงๆ ก็ต้องแปลว่าเขาป่วย แล้วเขาป่วยเป็นอะไร ข้าวหอมรู้เรื่องนี้รึเปล่า แต่ดูทรงแล้วอาจจะไม่ เพราะถ้ามันรู้ มันคงเล่าให้ผมฟังแล้ว พี่แช่มน่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเหมือนกับทุกๆ เรื่องที่เขาไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง ตัวตนเขามันเข้าถึงยากมากเลยนะในความรู้สึกผม เหมือนเป็นคนเก็บอะไรไว้ข้างในมากมายเหลือเกิน

ดูลึกลับไปหมด

“นะครับ อย่างน้อยขอให้ผมได้บอกเหตุผลกับคุณหมอ”

“ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ทางคลินิกเราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลคนไข้ได้” เจ้าหน้าที่เอ่ยบอก มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะที่เขาจะไม่ยอมบอก แต่ใจผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าพี่แช่มเป็นอะไร

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงก็ผมกับร่างสูงสวมเสื้อกาวน์ยืนอยู่ นั่นคงเป็นคุณหมอสินะ

“คุณเขาอยากทราบข้อมูลคนไข้น่ะค่ะ บอกว่าเป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย”

คุณหมอยิ้มบางๆ ให้ “คนไข้ชื่ออะไรเหรอครับ”

“เอ่อ....ชริตครับ เขาชื่อชริต” บวรเอ่ยบอก คุณหมอพยักหน้ารับก่อนจะหันไปกระซิบบอกอะไรเจ้าหน้าที่ไม่รู้

“เดี๋ยวเชิญที่ห้องตรวจละกันนะครับ” สิ้นเสียงพูด เจ้าตัวก็เดินนำเข้าไปในห้องตรวจ ผมกับบวรเดินตามเข้ามาก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้ามกับคุณหมอ

“ผมขอบอกคุณหมอก่อนนะครับว่าผมเป็นพี่ชายฝาแฝดของคนที่เป็นเหมือนคนรักของพี่แช่ม แล้วดูเหมือนว่าน้องผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลย”

“หมอพอเข้าใจนะครับ เพราะว่าชริตไม่คิดที่จะบอกใครทั้งนั้น” เขายิ้มออกมาบางๆ “คุณใช้คำว่าเหมือนคนรัก นั่นแปลว่าน้องคุณไม่ใช่คนรักของชริต”

“ใช่ครับ ผมไม่เข้าใจส่วนนี้เหมือนกัน ตอนแรกความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนมันดีมาก ดีมากจนถ้าจะคบกันมันก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ผมไม่รู้ว่าพี่แช่มรออะไร เขาดูเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง”

“ใช่ครับ เขากลัว ความจริงเรื่องข้อมูลของคนไข้หมอจะเปิดเผยไม่ได้นะครับ แต่ว่าชริตเนี่ยะเป็นเคสที่ค่อนข้างน่ากังวลโดยเฉพาะช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา คนรอบข้างไม่รู้ว่าเขากำลังเจอกับอะไร เขาคิดว่าเขาจะรับมือมันไหวแต่ความจริงมันไม่ใช่ อย่างน้อยถ้ามีคนเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเจอมันอาจจะดีกว่า และยิ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดเขามากอย่างน้องของคุณด้วย แต่เรื่องนี้....ชริตต้องไม่รู้นะครับ”

“ได้เลยครับ ผมจะไม่บอกเขา”

“โอเคครับ ชริตเนี่ยะ ป่วยเป็น PTSD ครับ สาเหตุมันเกิดมาจากที่เขาสูญเสียครอบครัวตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นหนักเหมือนตอนนี้นะครับ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอาการเขาดีขึ้นแต่ว่าช่วงก่อนหน้านี้เขากลับมาหาหมออีกครั้งเพราะอาการต่างๆ มันกำเริบ เขาบอกว่าเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แต่เขาอยากหายเพราะไม่อยากทำตัวแย่ใส่ใคร หมอคิดว่าอีกนัยนึงมันหมายถึงเขาไม่อยากทำตัวแย่ใส่น้องของคุณ”

ผมพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้พี่แช่มเขาทะเลาะกับน้องผมค่อนข้างบ่อย แต่เขาก็จะดีกันเร็วนะครับ น้องผมเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพี่แช่ม พอเขาไม่รู้ ผมคิดว่าเขาทำตัวไม่ถูก อีกเรื่องนึงคือพี่แช่มเขาจะละเมอถึงคนที่ชื่อชะเอมบ่อยมากเลยครับ หมอทราบไหมครับว่าชะเอมเป็นใคร”

“ทราบครับ เพราะชะเอมเป็นตัวแปรสำคัญของอาการป่วยทั้งหมด”



***



“หนักเนอะพี่ก้อง”

“อืม” ผมมองวิวแม่น้ำเจ้าพลางพ่นควันสีขาวออกจากปาก ไม่ไหวว่ะ นี่ขนาดไม่ใช่เรื่องของตัวเองยังรู้สึกเจ็บปวดแทนเลย

พี่แช่มผ่านมันมาได้ยังไงวะ

“ผมไม่คิดเลยนะพี่ว่าพี่แช่มเขาจะแบบ....”

“ใครจะคิดอะ เห็นภายนอกดูสดใสมีพลังบวกเยอะชิบหายขนาดนั้น ไม่มีใครคิดหรอกว่าเขาป่วย แถมหนักมากด้วย”

“นั่นสินะ”

เมื่อชั่วโมงก่อนที่ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพี่แช่มทั้งหมดมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก ผมเข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะไม่พูดถึง ไม่ใช่ไม่อยากพูดแต่เพราะมันพูดไม่ได้ต่างหาก พอเป็นแบบนั้นก็เลยต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ข้างใน ส่วนคนที่ไม่รู้อะไรเลยก็นะ มันไม่แปลกที่เหตุผลเหล่านี้จะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่มันไม่แข็งแรง แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ข้าวหอมต้องได้รับรู้

อย่างน้อยน้องผมต้องไม่หัวเสียเวลาพี่แช่มเรียกชื่อชะเอมอีก

ตอนนี้เราสองคนมาตั้งสติกันอยู่ที่ท่าเรือริมแม่น้ำ เรื่องที่รู้มามันก็หนักนะแล้วก็คิดไม่ออกเลยว่าควรทำยังไงต่อไปดี แต่วันนี้ยังไงผมก็ต้องบอกข้าวหอมให้ได้ รอพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ด้วย เพราะว่ายิ่งเขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดเร็วเท่าไหร่ มันก็ดีเท่านั้น ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดโทรไปหาเจ้าตัวทันที ใช้เวลาไม่นานปลายสายก็รับ

“อยู่ไหน”

(มึงเถอะอยู่ไหน โดดประชุมเดี๋ยวจะโดนตบนะ)

“เออน่ะ ว่าแต่มึงอะอยู่ไหน”

(หอพี่แช่ม)

“อยู่กับพี่แช่มเหรอ”

(เปล่า อยู่คนเดียวนี่แหละ พี่แช่มไปธุระกับเพื่อนๆ อะ มึงมีอะไรรึเปล่า)

“มีเรื่องอยากคุยด้วย เดี๋ยวกูไปหาละกัน”

(ทำไมวะ มีเรื่องไรจะคุย)

“ก็เรื่องพี่แช่มนั่นแหละ รอก่อนละกัน”

(เออ)

“อืม แค่นี้แหละ” ผมกดวางสายก่อนจะมองคนที่จ้องอยู่ “มองอะไร”

“พี่นี่เป็นห่วงพี่หอมมากเลยนะครับ”

“นั่นน้องผมหนิ” อะไรก็ตามที่จะไม่ทำให้ข้าวหอมเศร้า ผมต้องทำอยู่แล้ว

หวังว่าถ้าเล่าทุกอย่างให้ฟังมันอาจจะดีขึ้นนะ อย่างน้อยข้าวหอมน่าจะรู้ว่าต้องทำยังไงเวลาอยู่กับพี่แช่ม ไอ้น้องเวรของผมน่ะรักเขามาก มากจนเจ็บเจียนตายก็ยังอดทนอยู่ตรงนั้น ผมว่าถ้าเจ้าตัวรับรู้ทุกอย่าง มันจะต้องเข้าใจและอะไรๆ ก็จะต้องโอเค

ผมหวังให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ



[จบบันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]


----- 50% -----
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 10 : 20/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-04-2019 22:54:33
----- ต่อจากบท 10 -----


สำหรับข้าวหอมแล้ว....วันนี้เป็นวันที่เปื่อยมาก

เปื่อยขั้นสุด

ผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียงพี่แช่ม เจ้าของห้องยังไม่กลับมาครับ ไปทำธุระอะไรกับเพื่อนไม่รู้ เขาบอกว่าให้ผมมารอที่หอก่อน รู้สึกเหงาๆ อะ คุณเฉลิมก็ไม่อยู่เพราะนางไปตรวจสุขภาพแล้วคุณหมอให้อยู่ที่คลินิกก่อน อยากเล่นกับเจ้าอ้วนชะมัด แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอกันแล้วล่ะ เมื่อเย็นตอนประชุมเสร็จ คนขี้เมาโผล่มาหาผมแถมยังขโมยหอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่พร้อมกับให้เหตุผลว่า....พลังงานชีวิตหมดไปกับข้อสอบแล้ว ขอพลังหน่อย

ทำมาเป็นอ้อน

ผมเอื้อมมือไปหยิบน้ำแดงที่ชงไว้มากิน เอาจริงๆ เมื่อเย็นที่โดนขโมยหอมแก้มไปมันก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาจึ๋งนึงอะนะ อย่างน้อย....ภายใต้ความสัมพันธ์แปลกๆ นี่มันก็ยังมีโมเม้นต์หวานๆ ให้ได้รู้สึกดีอยู่ ในจังหวะที่ผมพลิกตัวนั้น น้ำแดงเจ้ากรรมก็หกใส่เสื้อทันที แหม่ อยู่ดีไม่ว่าดีชิบหาย นี่ดีนะไม่หกใส่เตียง ไม่งั้นพี่แช่มต้องบ่นผมหูดับแน่ๆ

ดีไม่ดีตีผมด้วย

ข้าวหอมลากสังขารตัวเองเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะถอดเสื้อนักศึกษาที่สวมอยู่ออก แช่ไว้ก่อนละกันเดี๋ยวค่อนซัก ผมมีเสื้ออยู่หอพี่แช่มหลายตัวมากเพราะงั้นไม่มีปัญหาว่าจะไม่มีเสื้อใส่ ความจริงผมใส่เสื้อพี่แช่มก็ได้แหละ เจ้าตัวไม่กล้าว่าอะไรผมหรอก หลังจากที่เอาน้ำล้างตัวเสร็จผมก็เดินมาที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะหยิบเสื้อยืดออกมาสวม ตาก็สะดุดกับกล่องๆ นึงที่อยู่ในซอกด้านใน

กล่องอะไรวะ

ผมหยิบมันออกมาดู หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ เอาจริงๆ ผมไม่เคยเห็นกล่องนี่เลย ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีด้วยนะครับ สงสัยพี่แช่มซื้อมาเพื่อไว้ใส่ของล่ะมั้ง ผมพาเจ้ากล่องสีดำนั่นเดินมาจนถึงเตียงก่อนจะเปิดฝาออก ของที่อยู่ด้านในทำให้ผมชะงักไปทันที ด้านในนี้มีอัลบั้มรูป ช่อดอกไม้แห้งๆ จดหมาย แล้วก็โหลที่ใส่ใบโคลเวอร์สี่แฉกแห้งๆ ไว้ มันเยอะจนเกินครึ่งโหลมาเลยครับ

บนฝาเขียนไว้ว่า....คำสัญญา

ผมหยิบอัลบั้มรูปมาเปิดดู มันเป็นรูปผู้หญิงที่หน้าตาดีมากเลยล่ะ รอยยิ้มนั้นมันสดใส มีรูปเธออยู่เต็มไปหมด ผมเปิดมาเรื่อยๆ จนพบกับรูปของพี่แช่มที่อยู่ในชุดนักเรียนสมัยมัธยมฯ ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็สวมชุดนักเรียนมอต้น ดาวที่ปกปักไว้ 3 ดวง รูปพวกนี้มันคงจะหลายปีแล้วล่ะนะ ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจผมมันคืออะไรก็ไม่รู้ เหมือนสิ่งที่คิดมันกำลังจะเป็นไปตามนั้นเลยว่ะ

ผู้หญิงคนนี้คือชะเอม

รอยปากกาที่เขียนเอาไว้บนภาพสุดท้ายเป็นสิ่งยืนยัน ชะเอมเป็นคนสวยมากเลย ใครได้เห็นก็คงตกหลุมรักง่ายๆ รอยยิ้มนั่นมีเสน่ห์เป็นที่สุด ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงดีที่ยังเห็นพี่แช่มเก็บของๆ เธอเอาไว้ทุกอย่าง ผู้หญิงคนนี้คงเป็นแฟนเก่าของพี่แช่มจริงๆ นั่นแหละ มีรูปที่จุ๊บหัวกันด้วย ยังอาลัยอาวรณ์อยู่เหรอวะถึงยังได้เก็บเอาไว้ ก็อาจจะอะนะ ทุกวันนี้ละเมอเพ้อถึงอยู่เลย

ทำไมหงุดหงิดจังวะ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางหยิบจดหมายที่อยู่ในซองมาอ่าน ใจความของมันยิ่งทำให้หัวใจผมเจ็บแปล๊บๆ มันดีรึเปล่านะที่ผมได้มาเห็นของพวกนี้ นี่เป็นจดหมายที่ผมคิดว่าชะเอมเป็นคนเขียน แน่ล่ะ เธอเขียนชื่อตัวเองไว้ตรงท้ายหนิ

 

8/4/2015

วันนี้เป็นวันครบรอบ หนูดีใจนะที่เราได้ไปที่นั่นด้วยกัน เห็นพี่ยิ้มได้หนูก็มีความสุข หนูชอบของขวัญที่พี่แช่มให้มากๆ สร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกนี่สวยมากจริงๆ หนูจะใส่เอาไว้ตลอดเวลาเลย หนูอยากขอบคุณที่จากวันนั้นจนถึงตอนนี้พี่ยังทำตามคำสัญญาที่เรามีให้กันอยู่ มันอาจจะต้องใช้เวลาแต่หนูคิดว่าเราต้องทำได้แน่นอน

หนูไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีพี่แช่มอยู่ หนูจะเป็นยังไง พี่อยู่กับหนูตลอดไปเลยนะคะ ชะเอมคนนี้จะเป็นเด็กดีของพี่แช่ม จะไม่ทำให้พี่แช่มเหนื่อย เราจะให้กำลังใจกันไปเรื่อยๆ เราจะกอดกันเหมือนทุกครั้ง เราสองคนจะมีกันและกันเสมอ

รักนะคะความสุขของหนู

ชะเอม[/i]


ความรู้สึกมือชานี่มันคืออะไรกัน

ไหนจะขอบตาร้อนๆ นี่อีก

ผมดูรูปคู่ของพี่แช่มและชะเอม บนคอของเธอสวมสร้อยเส้นเดียวกันกับที่ผมสวม สร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกนี้มันเคยมีเจ้าของมาก่อน ผมไม่ใช่คนแรกที่ได้สวมมัน พี่แช่มทำเหมือนผมเป็นตัวแทนของชะเอมยังไงอย่างงั้น รู้สึกแย่ชะมัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมระหว่างเรามันถึงไม่ไปไหน เพราะเขายังยึดติดกับผู้หญิงคนนี้ คนที่เขารักมาก มากกว่าผมด้วยซ้ำ เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วเขายังไม่ลืมเธอเลย

แล้วผมคืออะไรวะ

สิ่งที่เห็นวันนี้มันคงเป็นคำตอบของทุกอย่างแล้ว คำตอบของความสัมพันธ์ที่มันไม่มีวันเป็นไปได้ของผม รออะไรมาตั้ง 2 ปีกว่าอะข้าวหอม ไงล่ะ รักเขามากเลยหนิ อดทนทุกอย่าง ทำเพื่อเขาแทบทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่เงาของใครอีกคนเท่านั้นเอง พี่แช่มทำแบบนี้กับผมทำไม เขาเอาสร้อยของผู้หญิงคนนั้นมาให้ผมทำไม ไหนจะเกียร์ของเขาอีก ผมไม่เข้าใจเลยว่าทั้งหมดมันหมายความว่ายังไงกันแน่

ฮึก....พอแล้ว

ที่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ของผมอีกแล้ว

แอ๊ดดดด

“น้องหอมมมม” ร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง “พี่กลับ..มา.......น้องหอมทำอะไร”

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง “หอมต้องถามพี่มากกว่าว่าพี่ทำอะไร”

เจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แววตาสั่นอย่างเห็นได้ชัด ตกใจล่ะสิที่เห็นผมเอากล่องนี้ออกมาดู ตกใจที่ผมได้รับรู้ทุกๆ อย่างที่เขาซ่อนเอาไว้ ผมรู้สึกแย่กับสิ่งที่ไม่ชัดเจนมาตลอด แต่วันนี้ผมจะไม่ยอมทนกับมันอีกแล้ว เรื่องอะไรก็ตามที่ผ่านมา ผมยอมเสมอเพราะผมรักเขามาก รักจนลืมรักตัวเอง รักจนทำให้ตัวเองเจ็บปวด

ผมมันโง่จริงๆ

“วาง....จดหมายนั่นได้ไหม”

“ทำไม แตะต้องไม่ได้เลยเหรอ”

คนตรงหน้าน้ำตาคลอเบ้าแล้วมองผม “ช่วย....วาง....มันลง” เสียงสั่นนั่นเอ่ยบอกผมเบาๆ

“ชะเอมสำคัญกับพี่มากขนาดนั้นเลยสินะ” ผมวางจดหมายลงบนเตียง “แล้วหอมอะ หอมเป็นอะไรสำหรับพี่เหรอพี่แช่ม”

“พี่....พี่รักน้องหอมนะ” เขาเอ่ยก่อนจะเดินมาที่เตียงช้าๆ ก่อนจะใช้มือสั่นๆ นั่นเก็บจดหมายและอัลบั้มรูปใส่เอาไว้ในกล่อง บอกรักผมแต่ยังสนใจของพวกนั้นมากกว่าผมเลย

“รักหอมแล้วทำแบบนี้กับหอมน่ะนะพี่แช่ม พี่ยังเก็บของทุกอย่างของชะเอมไว้อย่างดี พี่ยังลืมเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าพี่ยังลืมอดีตไม่ได้ พี่จะมายุ่งกับหอมทำไมวะ”

“มัน....มันไม่ใช่แบบที่น้องหอมคิดนะ” เขาเอ่ยก่อนจะหันมองผม “....มันไม่ใช่”

“แล้วพี่จะให้หอมคิดยังไง พี่เชื่อไหมว่าเวลาหอมได้ยินพี่เรียกชะเอม ชะเอม ชะเอม ชะเอม ตอนที่นอนอยู่ หอมต้องรู้สึกยังไง มันไม่ใช่ครั้งแรกด้วย พี่ไม่เคยให้หอมรับรู้อะไรสักอย่าง พี่บอกให้หอมรอ รอไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย นี่อะนะที่พี่บอกว่าความรักอะ ความรู้สึกที่พี่มีต่อหอมมันไม่ได้เศษเสี้ยวของที่พี่มีให้ชะเอมเลยมั้ง” ผมมองเขาทั้งน้ำตา “ถ้ายังรักและอาวรณ์กันขนาดนั้นก็ไปอยู่ด้วยกันเลยสิ”

“ฮึกก.ก....น้องหอม.....” มือเรียวจับข้อมือผม “ไม่เอา....อย่าไล่พี่ไปไหน....”

ผมดึงข้อมือตัวเองออกก่อนจะผลักเขา “พี่ทำหอมเสียใจมามากจนเกินพอแล้ว หอมอดทนเพื่อพี่มามากแค่ไหน พี่คือคนที่รู้ดีที่สุด คำสัญญาอะไรก็ตามที่พี่ให้ไว้กับหอมมันมีค่าไม่เท่ากับคำสัญญาระหว่างพี่กับชะเอมด้วยซ้ำ!!!!” ผมหยิบโหลใบโคลเวอร์สี่แฉกขึ้นมาก่อนจะปาใส่กำแพงจนแตกละเอียด

“ไม่....ไม่นะ ไม่!!!!!!” ร่างสูงก้มไปกวาดเศษแก้วกับใบโคลเวอร์บนพื้นทันที รู้อยู่แก่ใจว่าจะทำให้ตัวเองเจ็บแต่เขาก็ยังยอมเก็บมัน

ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำความสำคัญเข้าไปอีก

ผมยืนมองพี่แช่มที่นั่งเก็บเศษแก้วกับใบโคลเวอร์อยู่แบบนั้น ความรู้สึกของเราทั้งสองคนมันคงแตกเหมือนกับโหลนั่นแหละ ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีทางเหมือนเดิม เขาไม่มีทางลืมคนๆ นั้นแล้วรักผมจนหมดหัวใจได้ เขาเห็นผมเป็นแค่ตัวแทนของชะเอม สร้อยใบโคลเวอร์นี้มันแสดงชัดเจนแล้วว่าผมเป็นได้แค่นั้น ของๆ คนอื่นผมไม่ต้องการ หัวใจของเขาที่มีคนอื่นอยู่ผมก็ไม่ต้องการเหมือนกัน

ผมไม่อยากอยู่กับความไม่ชัดเจนนี้อีกแล้ว

“ฮึก....” ผมดึงสร้อยใบโคลเวอร์พร้อมกับเกียร์ของเขาออกมาจากคอ “หอมขอให้เรื่องระหว่างเรามันจบแล้วกัน หอมไม่อยากเสียใจอีกแล้ว”

“ฮืออ.อ.อ....น้องหอม....ฮึก....ไม่....อย่าไป....พี่....พี่รักน้องหอมนะ”

“หอมก็รักพี่”
ผมปล่อยสร้อยทั้งสองเส้นให้มันตกลงด้านหน้าเขา “แต่หอมก็เลิกรักพี่ได้เหมือนกัน” พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้องนั้นทันที ได้ยินเสียงเรียกไล่หลังแต่ผมจะไม่สนใจอะไรอีกทั้งนั้น

พอแล้วกับความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้ 2 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่ดีที่สุดผมจะเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ ผมรู้ว่าพี่แช่มคงเจ็บปวดมากแต่เขาต้องรับรู้ว่าผมเองก็เจ็บไม่ต่างกัน เขายังจัดการตัวเองไม่ได้และทุกอย่างมันยิ่งทำให้เรื่องระหว่างเราแย่ ผมทนมามาก และวันนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว อย่างน้อยถ้าผมต้องอยู่ในชีวิตเขา ผมก็อยากอยู่ในที่ของข้าวหอม ไม่ใช่ชะเอม การอยู่ในที่ของคนอื่น....มันไม่มีความสุขหรอก

มันไม่มีความสุขจริงๆ



[บันทึกพิเศษ : บวร]



“พี่อย่าทำหน้างอนแบบนั้นสิครับ”

“คุณทำผมเสียเวลา”

“พี่เป็นคนหิวนะครับ ผมแค่พาแวะกินข้าวเอง งอนอะไรขนาดนี้”

“ก็คุณกินช้าอะ” เจ้าตัวเอ่ยพลางหน้ามุ่ย “หัดกินข้าวให้มันเร็วๆ บ้างนะ”

“ครับ ถึงแล้วเนี่ยะ” ผมจอดรถที่หน้าหอพี่แช่ม ร่างโปร่งรีบเดินลงไปทันที ใจคอจะไม่รอกันสักนิดเลยเหรอครับ

ผมเดินตามร่างโปร่งไปจนถึงหน้าห้องของพี่แช่ม พี่ก้องยืนเคาะประตูพร้อมกับเรียกพี่หอมแต่ดูเหมือนในห้องจะเงียบนะ ไม่มีคนอยู่เหรอ แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาที่พวกพี่เขานัดจะไปตี้กันเลยหนิ หรือว่าเขาออกไปหาอะไรกินก่อน

“ลองโทรหาไหมครับ เผื่ออยู่ที่อื่นกัน”

“อืม” มือเรียวล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะกดโทรไปหาพี่หอม “....ไม่มีสัญญาณว่ะ ปิดเครื่องหรือแบตฯ หมดมั้ง”

ผมลองหมุนลูกบิดประตู “ไม่ได้ล็อกนี่ครับ”

“งั้นเข้าไปเลย” ทันทีที่พี่ก้องบอกแบบนั้นผมก็เปิดประตูห้องเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของพี่แช่มที่นอนจมกองเลือดอยู่กลางห้อง

“พี่แช่ม!!!!” ผมรีบเข้ามาประคองเขาทันที “พี่แช่มได้ยินไหมครับ”

“พาไปโรงพยาบาล เร็วบวร” ผมกับพี่ก้องช่วยกันพยุงร่างของเขาขึ้นมาก่อนจะพาลงมาที่รถ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เลือดที่ออกนั่นเยอะมาก

ผมออกรถทันทีเพื่อที่จะไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด หัวใจเขายังเต้นอยู่ครับแต่สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตัวเขาซีดน่าจะเพราะเสียเลือดมาก เมื่อกี๊เท่าที่ผมเห็นคือมีเศษแก้วแตกเต็มพื้นไปหมดเลย ใครทำอะไรเขางั้นเหรอ หรือว่ามีโจรขึ้นหอพักเหรอวะ จิ๊....แม่งเกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ แล้วพี่หอมก็มาติดต่อไม่ได้อีก

หรือว่าเขาทะเลาะกับพี่หอมวะ

ช่างแม่งก่อนละกัน

ใช้เวลาไม่นานผมก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาลก่อนจะจอดตรงฝ่ายเปล เจ้าหน้าที่เห็นพวกผมแบกพี่แช่มที่หมดสติก็เข้ามาช่วยแล้วเข็นเปลเขาเข้าห้องฉุกเฉินไป ผมมองมือที่เต็มไปด้วยเลือดก็รู้สึกหวั่นใจยังไงไม่รู้ เข้าใจฟีลว่าวันนี้เพิ่งได้รับรู้เรื่องของพี่แช่มมาไหมครับ แล้วพอมาตอนเย็นก็ได้เห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนั้นน่ะ

เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ

“พี่ก้อง ไปล้างมือกันก่อนดีกว่าครับ”

“อืม” เจ้าตัวรับคำก่อนจะเดินมาห้องน้ำพร้อมกับผม “คุณเห็นที่ข้อมือพี่แช่มรึเปล่า”

“ผมไม่ได้สังเกต มีอะไรเหรอครับ”

“รอยกรีด เต็มไปหมด” พี่ก้องเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาคมที่มีน้ำตาเอ่อหันมองผม “ผมกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป แล้ว....พอติดต่อข้าวหอมไม่ได้แบบนี้ผมยิ่งกังวล”

“พี่แช่มจะไม่เป็นอะไรครับ” ผมปลอบเขา “เขาต้องปลอดภัย พี่เชื่อผมนะ”

“ดีแค่ไหนที่เราไปทัน ถ้าช้ากว่านี้เราคงไม่มีโอกาสแล้ว” เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา พอเห็นแบบนั้นผมจึงรั้งเขามากอดเอาไว้

รู้สึกผิดเหมือนกันที่ผมพาพี่ก้องไปถึงช้ากว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเราไปถึงไวกว่านี้พี่แช่มอาจจะไม่แย่แบบนั้นก็ได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนั้นอาจจะต้องให้เจ้าตัวฟื้นเพื่อมาเล่าเอง หรือไม่ก็ต้องถามพี่หอมเพราะเขาอาจจะรู้เรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงเลยด้วยเพราะตอนนี้เขาติดต่อไม่ได้

ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยนะ

ผมพาพี่ก้องมานั่งรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน ร่างโปร่งโทรแจ้งข่าวกับเพื่อนๆ ของพี่แช่ม ผมก็โทรหาเพื่อนๆ วานให้ตามหาตัวพี่หอมให้หน่อย เขาอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้ ผมเห็นแจ้งเตือนในทวิตเตอร์เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ข้อความนั้นมันค่อนข้างยืนยันเลยว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพี่แช่มและพี่หอมแน่นอน ผมไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงแค่ไหนแต่ว่าพี่หอมคงไม่รู้แน่ๆ ว่าพี่แช่มเขาเป็นแบบนี้

เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ





Kh. @KhH22_luc

มันไม่ใช่ความจริงจัง....มันก็แค่ขำๆ



#CloverBad












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะคะ ยังไม่ได้แก้คำผิดนะแต่ว่าเดี๋ยวจะตามแก้ให้ค่ะ

หนักสุดของเรื่องคือบทนี้นะคะ ต่อจากนี้ก็สู้ๆ เนอะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 10 : 20/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-04-2019 00:03:25
จับเข้าบำบัดจิตด้วยกันทั้งคู่เลยแล้วกัน รักเป็นพิษเล่นงานทั้งคู่เลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 11 : 21/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-04-2019 21:04:02
บทที่ 11 ชะเอม



Charit @Charitpedd

สุดท้ายแล้ว....ผมก็เสียเขาไป




#พี่แช่มได้กล่าวไว้






ข้อความจากทวิตเตอร์ของพี่แช่มเมื่อ 10 กว่าชั่วโมงก่อน

ไม่ได้มีแค่ข้อความที่แจ้งเตือนในโทรศัพท์

ผมฟื้นมาตอนเที่ยงของอีกวันบนเตียงของโรงแรม เมื่อวานหลังจากที่ทะเลาะกับพี่แช่มผมก็ปิดโทรศัพท์เอาไว้ พาตัวเองไปเสเพลมาเต็มที่ด้วย รู้สึกเมาค้างชะมัด การที่เราลืมทุกอย่างในช่วงเวลาสั้นๆ มันก็ดีนะ แต่พอสร่างมันก็อีกความรู้สึกนึง ผมไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ตัวเองจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ มันอาจจะต้องใช้เวลานานมากพอสมควร

ฝั่งพี่แช่มเองก็เหมือนกัน

ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เวลาเจอหน้ามันจะเป็นยังไง ในเบอร์รายชื่อที่โทรหาผมเมื่อวานไม่มีเบอร์เขานะ ไม่มีข้อความทักมาหาด้วย ผมว่าเขาอาจจะคิดว่าผมโกรธเฉยๆ แล้วก็ต้องมาตามขอโทษเหมือนกับทุกครั้งแน่ๆ จะว่าไปเมื่อวานผมก็พูดออกไปชัดเจนแล้วนะว่าให้มันจบไป เกียร์เขา สร้อยเขาผมก็คืนไปให้จนหมด ผมจริงจังมากพอในสิ่งที่ผมพูด

ตัดใจแล้วเริ่มต้นใหม่น่าจะดีกว่า

ครืดดดด....ดดด

ผมกดรับสาย “ว่าไง”

(ติดต่อไม่ได้เลยนะมึง อยู่ไหนล่ะ)

“โรงแรม เมื่อคืนเมาหนักไปหน่อย กูกลับหอไม่ไหว ว่าแต่มึงมีอะไร”

(มาโรงพยาบาล H หน่อยได้ไหม)

“ทำไมวะ ใครเป็นไรอะ”

(....พี่แช่ม)

“พี่แช่มทำไม”

(เขาจะฆ่าตัวตายเมื่อวาน แต่ดีว่ากูไปเจอก่อน)

พี่แช่มฆ่าตัวตาย

“เดี๋ยว....กูไป” ผมตอบรับเสียงสั่นก่อนจะรีบหยิบกุญแจรถแล้วออกมาจากห้องทันที ทำไมใจโหวงไปหมดแบบนี้วะ ผมคิดว่าสาเหตุที่พี่แช่มคิดสั้นมันน่าจะเป็นเพราะเราทะเลาะกันเมื่อวานแน่ๆ

ผมไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงขั้นนั้นจริงๆ ถ้าเขาเป็นอะไรไปผมต้องรู้สึกผิดมาก เมื่อวานที่ทะเลาะกันผมไม่ได้คิดเลยว่าเขากำลังป่วย ซึ่งป่วยเป็นอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ถึงผลกระทบของคำพูดของตัวเอง ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเลวร้ายถึงขนาดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นสำหรับพี่แช่มแล้วมันทำให้เขาเสียใจมากผมรู้ แต่ผมก็มีเหตุผลของผมซึ่งตัวเขาเองก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน

อืม....ทำไมมันรู้สึกแย่ไปหมดแบบนี้วะ

ใช้เวลาสักพักผมก็ขับรถมาจนถึงโรงพยาบาลก่อนจะเดินขึ้นตึกไปยังชั้นที่ข้าวก้องบอกมาในไลน์ ผมหยุดอยู่ที่หน้าห้องพิเศษ 403 ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป สิ่งแรกที่ผมเห็นคือบรรดาเพื่อนๆ พี่แช่มที่ยืนอยู่รอบเตียงรวมถึงข้าวก้องกับบวร ผมยกมือไหว้พวกพี่ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียง หน้าเขาซีดมาก ตามฝ่ามือรวมถึงแขนข้างซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผล ข้อมือฝั่งขวามีสายน้ำเกลือกับสายเลือดติดอยู่

ต้องให้เลือดด้วยงั้นเหรอ

“พี่แช่มเขา....”

“มันกรีดข้อมือตัวเองน่ะ” พี่ขันเอ่ยบอก “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”

“ผมทะเลาะกับพี่แช่มครับ เราทะเลาะกันหนัก และผม....ผมขอตัดความสัมพันธ์กับเขา”

“ถึงขั้นนั้นเลยเหรอ” พี่เฌอมองผมกับพี่แช่มสลับกัน “บอกสาเหตุได้ไหม”

“ผมเจอของๆ ผู้หญิงคนนึงที่เขาเก็บเอาไว้ เขายังไม่ลืมเธอ การเพ้อถึงมันเป็นสิ่งยืนยันชัดเจน พี่แช่มเอาสร้อยที่เป็นของผู้หญิงคนนั้นมาให้ผมใส่ เหมือนผมเป็นตัวแทนเขา”

“มึงกำลังเข้าใจผิดนะหอม” ข้าวก้องเอ่ยขึ้นมาในจังหวะเดียวกันกับที่มีคนเดินเข้ามาในห้อง ผมหันไปมองร่างสูงของผู้ชายสองคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่พอสมควร เขาเป็นใครกันนะ

“พี่ๆ ครับ นี่หมอนวัตรครับ เป็นหมอประจำตัวของพี่แช่ม” สิ้นเสียงบวรพูด ทุกคนในห้องก็ยกมือไหว้ ผมเคยเห็นชื่อหมอนวัตรบนบัตรประจำตัวผู้ป่วยของพี่แช่ม เป็นเขาเองสินะ

“สวัสดีนะครับ นี่เป็นคุณลุงของชริตนะครับ ชื่อลุงเชต” คุณหมอแนะนำคนที่มาด้วยกันข้างๆ ลุงเชตเดินไปลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ ลุงเชตน่าจะเป็นเพื่อนของพ่อพี่แช่ม ผมจำได้ว่าเขาเคยบอกไว้ตอนที่เราไปกาญฯ

“ตอนนั้นเขาก็แย่แบบนี้” ลุงเชตพูดขึ้นมา “เราได้แค่หวังให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร”

“หมายความว่ายังไงครับลุง”

“เขาเคยเป็นแบบนี้เมื่อตอนอายุ 17 เขาคลั่งและหลับไป ตื่นขึ้นมาก็สูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่รับรู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เขารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวชนานหลายเดือนกว่าจะกลับมาเป็นตัวเองได้ สิ่งที่ดึงเขากลับมาคือคำสัญญาที่เขายังทำไม่สำเร็จ”

คุณหมอมองผม “หมอและคุณเชตอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” พอผมรับคำ ร่างสูงของทั้งสองคนก็เดินนำผมออกไปด้านนอก

ผมเดินตามมาเรื่อยๆ จนถึงร้านกาแฟชั้นล่างของโรงพยาบาล โกโก้เย็นถูกส่งมาตรงหน้าผม คุณหมอกับน้าเชตนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเขาดูใจเย็นพอสมควร ผมประหม่ายังไงไม่รู้ คงเป็นเพราะผมทะเลาะกับพี่แช่มจนทำให้เขาทำเรื่องแบบนั้น แต่จะว่าไป....การได้พูดคุยกับเขาสองคนอาจจะทำให้ผมรู้ว่าพี่แช่มเป็นอะไรกันแน่ สิ่งที่แคลงใจผมมาตลอดมันอาจจะถึงเวลาคลายออกแล้วก็ได้

ทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้น

“มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“หมอขอถามก่อนนะครับว่าคุณรู้จักชริตมากแค่ไหน คุณรู้ไหมว่าเขาป่วย”

ผมพยักหน้ารับ “รู้เพราะเห็นบัตรผู้ป่วยครับ แต่ไม่รู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร เวลาที่ผมถามเขาไม่เคยบอกอะไรผมเลย ขอแค่ให้รออย่างเดียว ส่วนเรื่องครอบครัวเขาเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อแม่เสียไปนานแล้ว เขามีลุงเชตคอยให้ความช่วยเหลือ”

“เขาพูดถึงแค่พ่อแม่ใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“อย่างที่ทราบนะครับว่าพ่อแม่ของชริตเสียชีวิตโดยการฆ่าซึ่งมันกลายเป็นโศกนาฏกรรมในใจของเขา เหตุการณ์นั้นสะเทือนใจมากสำหรับเด็ก 8 ขวบที่เห็นพ่อกับแม่จากไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นเขามีอาการของ PTSD หรือว่าอาการสะเทือนใจอย่างรุนแรงหลังจากเกิดเหตุการณ์บางอย่าง แต่ในตอนที่เขาเป็นเด็กมันยังมีสิ่งนึงที่ช่วยเหนี่ยวรั้งจิตใจของเขาเอาไว้ได้ ตอนนั้นชริตคิดว่าตัวเองต้องเข้มแข็งและเป็นหลักเพื่อใครอีกคนที่ยังอยู่”

“ใครอีกคนที่ยังอยู่หมายถึงใครครับ”

“แช่มน่ะมีน้องสาวคนนึงอายุห่างกันแค่ 2 ปีเท่านั้น วันที่พ่อแม่เขาเสีย เขาก็ซ่อนกันอยู่ในตู้สองคน ลุงไปเจอพวกเขาในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ตั้งแต่ตอนนั้นมาลุงก็ให้ความช่วยเหลือสองพี่น้อง ตอนแรกอยากจะให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันแต่แช่มก็ยังยืนยันว่าจะอยู่ที่บ้านของพ่อแม่กับน้องสาวเขาสองคน ลุงก็เลยตามใจ ทำได้แค่คอยส่งคนไปเฝ้าเขาเท่านั้น มันเป็นแบบนี้หลายปีจนทั้งสองคนโตเลยล่ะ”

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่แช่มมีน้องสาว เธอชื่ออะไรครับ”

“ชะเอมครับ”

ชะ...เอม

ไม่ใช่แฟนเก่าแต่เป็นน้องสาว

ของที่อยู่ในกล่องนั่นไม่ได้เป็นความทรงจำของแฟนเก่า แต่มันเป็นของน้องสาวเขา ชะเอมเป็นน้องสาวของพี่แช่ม ทำไมเขาไม่ยอมบอกผมเรื่องนี้ แล้วทำไมที่ผมถามว่าชะเอมเป็นใครเขาถึงไม่พูด ขอแค่ให้ผมรอเท่านั้นอะ ถ้าชะเอมเป็นน้องสาวมันก็ไม่น่าใช่เรื่องยากที่จะบอกมาตรงๆ รึเปล่า ผมเข้าใจผิดไปหมดทุกอย่างและไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้เลย

นี่มันแย่มากจริงๆ

“คุณไม่เคยรู้เรื่องของชะเอมเลยสินะครับ”

“ใช่ครับ เขาแค่ละเมอถึง เวลาผมถามเขาก็จะสั่นแล้วก็เลี่ยงที่จะตอบ ขอแค่ให้ผมรอแล้ววันนึงเขาจะเล่าให้ผมฟังเองแต่ผมก็คิดว่าเขาคงไม่มีวันเล่าให้ฟัง”

“เขาไม่มีทางเล่าให้ใครฟังเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขาพูดไม่ได้” ลุงเชตผ่อนลมหายใจเบาๆ “ชะเอมเป็นครอบครัวคนสุดท้ายที่แช่มเหลืออยู่ แช่มรักน้องมาก ดูแลอย่างดีตั้งแต่เด็กจนโต แต่เรื่องเลวร้ายมันขึ้นในวันเกิดอายุ 17 ของเขา ปกติแช่มจะเป็นคนไปรับชะเอมที่โรงเรียนทุกวัน แต่วันนั้นชะเอมกลับมาที่บ้านก่อน ส่วนแช่มยังกลับมาไม่ถึง ลุงคิดว่าชะเอมคงจะมาเซอร์ไพรส์วันเกิดแช่มนั่นแหละ”

“แล้วยังไงต่อครับ”

“มันมีคนงานของสวนยางข้างๆ ลักลอบเข้ามาแล้วก็....ข่มขืนชะเอมพร้อมกับฆ่าเธอ”

ผมยกมือขึ้นกุมอกตัวเองทันทีหลังที่ลุงเชตพูดจบ ขอบตาร้อนผ่าวเพราะรู้สึกสงสารกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนึงต้องเผชิญ มันเลวร้ายมาก มากถึงมากที่สุด ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาที่พูดถึงชะเอมพี่แช่มถึงเป็นแบบนั้น

“เพราะแบบนี้เองเขาถึงไม่พูดถึงชะเอม”

ลุงเชตพยักหน้ารับ “ตอนเย็นที่แช่มกลับไปถึงบ้านแล้วเจอศพน้องสาวเขาก็สติหลุด ตอนลุงไปเจอช่วงค่ำๆ คือเขานั่งร้องไห้แล้วกอดชะเอมไม่ปล่อยเลย มันเป็นเรื่องน่าสลดใจมาก เค้กฉลองวันเกิดของเขาก็อยู่ตรงนั้น ทั้งจดหมายหรือของขวัญที่ชะเอมเตรียมไว้ ตอนนั้นความรู้สึกแช่มคงเหมือนสูญเสียทุกอย่างไปจนหมด เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ตอนที่ต้องย้ายศพเขาก็คลั่งจนต้องใช้ยาสลบเพื่อทำให้เขาหลับ แล้วก็อย่างที่บอกคือตอนที่เขาตื่นมา เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว”

“นี่มันหนักมากจริงๆ ครับ” ผมยกมือเช็ดน้ำตาตัวเอง “เพราะชะเอมจากไปใช่ไหมครับ พี่แช่มถึงป่วยหนักมากกว่าเดิม”

“ใช่ครับ 2 ปีที่ผ่านมาเขาอาการดีขึ้น แต่เหมือนถูกกระตุ้นด้วยความทรงจำเก่าๆ ที่เกี่ยวกับชะเอม ทุกครั้งที่เขาได้ยินชื่อน้องสาว ภาพเหตุการณ์เลวร้ายมันจะย้อนกลับมาและเขาไม่สามารถทนรับกับมันได้ เจ้าตัวถึงได้หลีกเลี่ยงการพูดถึงหรือการเคยมีตัวตนของน้องสาวมาตลอด ไม่ใช่ไม่อยากบอก แต่เขารู้ว่าถ้าเล่าทุกอย่างออกไป เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้และอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

ผมพยักหน้ารับรู้ ตอนนี้เข้าใจทุกอย่าง ทุกเหตุผลและรู้ด้วยว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อวานมันเลวร้ายมากที่สุด ผมเกือบทำให้พี่แช่มตาย ผมเกือบเสียเขาไปเพราะการกระทำของตัวเอง แต่ผมไม่รู้เลยสักอย่างไง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาแบกรับไว้มันหนักมากมายขนาดนี้ ถ้าผมรู้ว่าเขาต้องเผชิญกับอะไร ผมคงจะไม่ทำกับเขาแบบนั้น

ผมไม่น่าเลย

“ฮึก....ลุงรู้เรื่องคำสัญญาไหมครับ มันเขียนบนฝาของขวดโหลที่ใส่ใบโคลเวอร์แห้งๆ ”

“รู้ มันเป็นคำสัญญาของสองพี่น้องตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่เขาเสียใหม่ๆ แล้วล่ะ แช่มกับชะเอมตกลงกันว่าจะหาใบโคลเวอร์สี่แฉกใส่โหลจนเต็มเพื่อเอาไปวางไว้ที่หน้าเจดีย์ใส่อัฐิพ่อกับแม่ของเขา คำสัญญานี้คือสิ่งที่ดึงแช่มให้กลับมามีสติและรับรู้ว่าตัวเองเป็นใคร”

“ฮึกก.ก.....ผมปามันแตก....ต่อหน้าเขาเมื่อวานนี้...ฮืออ.อ.อ....ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผม”

“ใจเย็นไว้ก่อนนะครับ”

“ฮือออ..อ....ผมเข้าใจผิด ผมนึกว่าชะเอมเป็นแฟนเก่าเขา...ฮึก....ผมพูดกับเขาเองว่าถ้ายังอาลัยอาวรณ์กันอยู่ก็ให้เขาไปอยู่กับชะเอม....ฮือออ..อ....ผมทำให้พี่แช่มเป็นแบบนี้”

“ฟังลุงนะ ลุงเข้าใจว่ามันเป็นเพราะเราไม่รู้อะไรเลย ลุงไม่อยากให้คิดว่าใครเป็นฝ่ายผิด แต่ขอให้คิดว่ามันเป็นบทเรียน สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี่ต่างหาก เราจะรับมือกับมันยังไง”

“จริงแบบที่ลุงเชตพูดนะครับ ช่วงหลังมานี้ชริตกลับไปหาหมอเพื่อรักษาอาการกำเริบ หมอคิดว่าคุณเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาอยากหายเป็นปกติ ในตอนแรก....ชริตไม่เหลือใคร เขากลับมาได้ด้วยคำสัญญาและใช้ชีวิตปกติได้แบบสมบูรณ์เมื่อได้รู้จักกับคนๆ นึง ผมยังจำวันนั้นที่เขาบอกกับผมว่าเหมือนเขาเจอคนสำคัญ เขาก็เลยให้สิ่งนึงที่เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาจะสูญเสียมันไปไม่ได้นั่นก็คือสร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉก”

“....เขาให้มันกับผม”

“ใช่ครับ เพราะคุณสำคัญและเขาจะไม่ยอมเสียคุณไป” มือเรียวยื่นสร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกรวมถึงเกียร์ของพี่แช่มมาให้ผม “พยาบาลบอกว่าเขากำมันไว้แน่นเลยครับ”

ผมรับสร้อยนั้นมา “ผมทำร้ายเขาด้วยมือของผมเองเลย”

“ถ้าคิดแบบนั้น....หลังจากนี้ลุงขอให้เราช่วยเอาเขากลับมาได้ไหม”

“ครับ ผมจะเอาเขากลับมาเอง ผมได้รับรู้เรื่องทุกๆ อย่างที่ต้องการอยากรู้มาตลอด ไม่มีอะไรคาใจ ผมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้” ผมยกมือไหว้พวกเขา “ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่แช่มเป็นแบบนั้น”

“ไม่เป็นไร.....ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”

“หมอครับ โรคที่พี่แช่มเป็น มันต้องรักษายังไงครับ”

“ช่วงที่ผ่านมาชริตเข้ารับการบำบัดและกินยาครับ แต่การบำบัดที่ค่อนข้างสำคัญคือการให้เขากลับไปเผชิญกับอดีต สิ่งของหรือสถานที่ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นั้นๆ คุณบอกว่าคุณเป็นคนขว้างโหลคำสัญญาแตกแปลว่าคุณเจอกล่องสีดำอันนั้น ใช่ไหม”

“ใช่ครับ ผมเจอมัน ทั้งๆ ที่มันไม่เคยอยู่ที่ห้องพี่แช่มมาก่อน”

“เพราะตอนแรกมันอยู่กับหมอครับ ชริตเพิ่งรับไปเมื่อไม่กี่วันนี่เองเพื่อจะบำบัดในขั้นต่อไป เราจะเริ่มจากสิ่งของก่อนแล้วก็จะไปสถานที่น่ะครับ”

“พอรู้แบบนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่” ผมลูบหน้าตัวเองก่อนจะตั้งสติ “ต้องขอบคุณนะครับที่เล่าทุกอย่างให้ผมฟัง มีเรื่องที่ผมต้องกลับไปจัดการ ผมขอตัวก่อน”

“ตามสบายครับ มีอะไรปรึกษาหมอได้ตลอด คุณเชตก็ด้วย”

“ขอบคุณจริงๆ ครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถ

ผมมีเรื่องต้องไปทำและคิดว่ามันสำคัญ อย่างน้อยมันคือการไถ่บาปของผมเอง ผมรู้สึกผิดต่อพี่แช่ม รู้สึกผิดต่อชะเอม ผมนึกโกรธเธอทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ผมทำพี่ของเธอเสียใจ ทำลายสิ่งที่เป็นคำสัญญาของทั้งสองคน ยิ่งรู้ว่าโหลนั่นมีไว้เพื่อที่จะนำไปไว้หน้าเจดีย์อัฐิของพ่อกับแม่เขาผมก็รู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ นี่มันเป็นบทเรียนครั้งที่หนักสุดในชีวิตของผมเลย แต่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายครับ

เรื่องแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก

มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว



***


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 11 : 21/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-04-2019 21:06:34
--------- ต่อจากบท 11 ----------


ผมเดินเข้ามาในห้องของพี่แช่มที่หอ สภาพทุกอย่างยังเหมือนเมื่อวาน เศษแก้วยังร่วงอยู่เต็มพื้น คราบเลือดนั่นเยอะมากเลย ใบโคลเวอร์แห้งๆ กระจายอยู่เต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปหยิบกะละมังในห้องน้ำออกมาก่อนจะไล่เก็บเศษแก้วทั้งหมด ส่วนใบโคลเวอร์ก็เอาไว้ในกะละมังอีกใบ เดี๋ยวผมจะต้องเอาไปล้างแล้วตากให้แห้ง มันต้องเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ต้องเหมือนเดิมให้ได้มากที่สุด

ผมจะทำให้มันเป็นแบบนั้น

พอเก็บใบโคลเวอร์ทั้งหมดเสร็จผมก็เอาไปล้างคราบเลือดออกก่อนจะเอามาตากไว้บนตะแกรงลวดแบบถี่ ผมแวะซื้อของทั้งหมดนี้ก่อนจะมาหอ ผมใช้ตะแกรงอีกอันกดไว้ก่อนจะวางบนซิงค์ล้างจาน เดี๋ยวค่อยเอาไดร์เป่าให้แห้งครับแต่ตอนนี้ผมควรเช็ดคราบเลือดที่พื้นก่อน พอคิดได้แบบนั้นผมก็เริ่มทำความสะอาดห้องของพี่แช่ม ผมอยากให้มันสะอาด เวลาที่เขากลับมาเห็นจะได้รู้สึกดี

อยากให้เขาคิดแบบนั้นจริงๆ

แอ๊ดดดด


“เดาถูกจริงๆ ด้วยที่มึงอยู่นี่” เจ้าของเสียงเดินเข้ามาในห้อง ในมือถือถุงข้าวมาด้วย

“สวัสดีครับพี่หอม” บวรเอ่ยก่อนจะเดินไปหยิบจาน “พี่ก้องจะกินด้วยเลยไหมครับ”

“อืม”

ผมมองมันอย่างจับผิด “มาด้วยกันเหรอ”

“เห็นว่ากูมาคนเดียวป้ะล่ะ”

“ไปทะเลด้วยกันมาใช่ไหม”

“มึงเปลี่ยนอารมณ์ไวเกินไปละนะ ไบโพล่าร์แดกป้ะเนี่ยะ” ข้าวก้องโขกหัวผมก่อนจะเดินมาดูกล่องบนเตียง “นี่น่ะเหรอ สิ่งของที่ว่า”

“อืม มึงรู้เรื่องของชะเอมรึเปล่า”

“รู้เมื่อวาน ก็นั่นแหละเรื่องที่กูอยากจะเล่าให้มึงฟังแต่ว่าช้าไปหน่อย กูกลับมาไม่ทัน มาอีกทีพี่แช่มก็นั่นแหละ”

“ขอบใจที่มึงมาช่วยเขาทัน” ผมเดินเอาไม้ถูไปซักก่อนจะเดินออกมาด้านนอก ข้าวก้องกลางโต๊ะญี่ปุ่นพร้อมกับเทข้าวไว้ให้ จะว่าไปตั้งแต่ตื่นมาผมยังไม่ได้กินอะไรเลย

เอาจริงๆ ก็อาจจะกินไม่ค่อยลงด้วยแหละ

ผมนั่งมองข้าวผัดในจานกับสองคนตรงหน้าสลับกันไปมา สายตาของบวรมองข้าวก้องแบบเดียวกับที่เคยมองผม ดูมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นด้วย ระหว่างสองคนนี้มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เรื่องนั้นเดี๋ยวเอาไว้ตามสืบทีหลัง ผมไม่ได้อะไรกับบวรแล้วแหละ อย่างน้อยมันก็เป็นคนที่ช่วยแบกพี่แช่มไปโรงพยาบาลอะนะ อีกอย่างถ้าผมตั้งแง่เกลียดขี้หน้าเจ้าตัว ข้าวก้องน่าจะลำบากใจน่าดู

ผมอ่านเกมออก....เชื่อสิ

ข้าวผัดจืดๆ ถูกยัดใส่เข้าปากผมหงุบหงับๆ ของทุกอย่างถูกเก็บเสร็จหมดแล้ว เดี๋ยวพอทำให้ใบโคลเวอร์แห้งผมก็จะเก็บใส่โหลใบใหม่ที่ซื้อมา รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันไม่มีทางแทนที่โหลใบเดิมได้แต่มันก็แตกไปแล้ว ผมไม่มีปัญญาเอาเศษแก้วพวกนั้นมาประกอบกันได้ ให้โหลใหม่นี้เป็นเหมือนการเริ่มใหม่ หวังว่าพี่แช่มจะเข้าใจ ถ้าเขาฟื้นเมื่อไหร่ก็ต้องรอดูอาการก่อนว่าเจ้าตัวจะเป็นยังไง

เขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปไหมนะ

ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงเสียใจมาก กว่าจะเอาเขากลับมาได้ครั้งแรก หมอบอกว่าต้องใช้เวลาตั้งหลายเดือน ผมไม่รู้ว่าถ้าเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม อาการมันจะหนักกว่าตอนแรกรึเปล่า แต่ถ้าโชคดี เขาตื่นมาแล้วยังจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร ผมคงเปิดใจคุยกับเขา ผมจะบอกว่าผมรับรู้เรื่องทุกอย่างแล้วเราจะต้องหาทางรักษามัน เขาจะต้องหาย และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับชะเอมจนเสร็จ

ผมจะสานต่อในส่วนที่มันขาดเอง

สิ่งที่พี่แช่มเคยบอกเรื่องบ้านของเขาที่ยังไม่คิดจะกลับไป ผมรู้แล้วว่ามันเป็นเพราะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นั่น การกลับไปหมายถึงการตอกย้ำความทรงจำเก่าๆ และมันจะทำให้เขาอาการกำเริบ แต่นั่นมันเป็นเพราะเขาคิดจะรับมือมันคนเดียว ผมจะต้องพาเขากลับไปบ้านหลังนั้นให้ได้ อย่างน้อยในช่วงเวลานึงที่เขายังเป็นเด็ก ช่วงที่เขาได้ใช้ชีวิตกับน้องสาวมันจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ

พี่แช่มต้องเข้มแข็งมากพอที่จะยอมรับมันให้ได้

ผมอยากเห็นเขามีความสุข

“คิดไว้รึยังว่าจะทำยังไงต่อไป”

“คิดไว้บ้างแล้ว แต่ต้องคิดอีกทีตอนที่พี่แช่มฟื้น”

“เอาจริงๆ คือเขาฟื้นแล้ว”

ผมหันขวับมองมันทันที “ตอนไหน”

“ก่อนกูมา”

“เขาเป็นยังไงบ้าง เขาจำตัวเองได้ไหม....เขา”

“เขาก็แค่ลืมตามองทุกคนแล้วก็หลับไปอีกรอบ” ข้าวก้องเอ่ยก่อนจะแย่งกุ้งในจานผมไป “ก่อนหลับก็เรียกชื่อมึง....แค่นั้น”

“งั้นแปลว่า....”

“ก็อาจจะไม่ได้แย่ขั้นก่อน ไม่รู้ว่ะ เขายังขี้เซาอยู่อะ ยังเดาอะไรไม่ได้ เอาเป็นว่ามึงใจร่มๆ ไว้ก่อน กูว่าทุกอย่างต้องดีขึ้น”

“กูก็ขอให้เป็นแบบนั้น” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะมองบวรที่แย่งกุ้งในจานข้าวก้องไปอีกที คนพวกนี้เป็นอะไรกับกุ้งนั่นอะ

รู้สึกโล่งใจเหมือนกันที่รู้ว่าเขาฟื้นแล้วและเรียกชื่อผม มีความเป็นไปได้ว่าเขายังคงเป็นพี่แช่มอยู่ ถ้าแบบนั้นมันก็ดีนะ ถ้าเขาฟื้นผมจะขอโทษเขาสำหรับเรื่องทุกอย่าง หวังว่าคนขี้เมาจะให้อภัย หลังจากนี้จะพูดจะคิดหรือทำอะไรผมก็ต้องรอบคอบให้มากขึ้น เรื่องแบบนี้มันจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก เอาจริงๆ ผมว่าตัวเองใจเย็นแล้วก็อดทนเก่งมากเลยนะแต่มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ระเบิดลงอะมันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

เอาวะ....มันเป็นบทเรียน

เรียนแล้วจะไม่เรียนซ้ำอีก

ผมลุกเอาจานไปเก็บก่อนจะหยิบตะแกรงที่ตากใบโคลเวอร์มาเป่าด้วยไดร์เป่าผม ต้องทำให้แห้งสนิทนะครับไม่งั้นมันอาจจะขึ้นราได้ ผมจัดแจงยืนเป่ามันจนแห้งก่อนจะนำใส่โหลแก้วทั้งหมด เดี๋ยวจะเอาไปโรงพยาบาลด้วย ไม่รู้ว่าถ้าพี่แช่มฟื้นขึ้นมาแล้วได้เห็นเขาจะรู้สึกยังไง ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ผมจะเฝ้าจนกว่าเขาจะตื่น เจ้าตัวจะต้องได้เห็นหน้าของผมเป็นคนแรกเลยคอยดู

“นี่พวกมึงจะไปโรงพยาบาลอีกรอบไหม กูจะได้ติดรถไปด้วย”

“ไปครับ พี่หอมจะไปเลยไหม”

“อืม กินเสร็จแล้วก็ไปกันเลยก็ได้ เผื่อพี่แช่มฟื้นอีกรอบ”

ข้าวก้องยื่นจานไปหน้าบวร “ล้างด้วย”

“ครับ” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินเอาจานไปล้าง ตกลงเป็นเบ๊น้องผมไปแล้วสินะ ดูท่าทางฟังคำสั่งดีมากซะด้วย

“ดีเนอะที่เรื่องมันเกิดหลังจากสอบไฟนอลเสร็จแล้ว”

“อืม ดีว่าปิดเทอมอะนะ” ผมนำโหลแก้วใส่กระเป๋า “ยังพอมีเวลาให้จัดการอะไรๆ ได้อีกหลายอย่าง”

“กูจะช่วยมึงเอง”

“ขอบใจ”

“ไม่อยากเห็นมึงร้องไห้เท่านั้นแหละวะ” เจ้าตัวเบ้ปากใส่ผม “ดูสะเหล่อ”

“กวนส้นตีน” ได้ทีเอาใหญ่เลย อย่าให้เห็นมึงร้องไห้บ้างนะ มีวันนั้นเมื่อไหร่กูจะเอาคำว่าสะเหล่อไปตอกให้หน้ายับเลย

“เสร็จแล้วครับ ไปกัน”

ผมเดินนำลงมาหน้าหอก่อนจะขึ้นไปนั่งเบาะหลังรถของบวร เดี๋ยวต้องโทรไปหาทางคลินิกที่คุณเฉลิมอยู่ว่าขอฝากไว้ที่นั่นก่อน ตอนนี้ทุกคนยังวุ่นอยู่ คงจะดูแลนางได้ไม่เต็มที่ ป่านนี้เจ้าอ้วนอาจจะคิดถึงพี่แช่มแย่แล้วมั้ง

อดทนหน่อยนะคุณเฉลิม

“ทำหน้าเหมือนส้นตีนอีกละ”

ข้าวก้องนี่มันน่าทุบจริงๆ เลยนะ

“นั่งเงียบๆ ไปเลยนะมึงอะ”



***



ผมเดินเข้ามาในห้องพิเศษ 403 ซึ่งไม่มีใครอยู่เลย ทุกคนอาจจะกลับไปพักแล้วค่อยมาใหม่ล่ะมั้ง ส่วนข้าวก้องกับบวรก็ไปนั่งกินกาแฟกันข้างล่าง บอกว่าเดี๋ยวตามขึ้นมาทีหลัง ผมหยิบโหลใบโคลเวอร์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะวางมันไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงเขา พี่แช่มยังคงหลับสนิท ไม่รับรู้ในการมาของผมแม้แต่นิดเดียว อยากให้เขาตื่นจัง ผมอยากคุยกับเขาถึงเรื่องราวทั้งหมด

เหนือสิ่งอื่นใดคืออยากขอโทษ

“พี่แช่ม” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือเขาไว้ “นอกจากขี้เมาแล้วพี่ยังขี้เซาด้วยเหรอ”

“....”

“ข้าวก้องบอกว่าพี่ฟื้นแล้วเรียกชื่อหอมสินะ พี่ยังจำทุกอย่างได้ใช่ไหมล่ะ ดีจังเลยเนอะ” ผมยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะเลื่อนมือเรียวมาแนบแก้มตัวเองไว้ “ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อให้หอมได้ไถ่โทษในสิ่งที่ทำผิดไปนะ”

“....”

“หอมรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ เข้าใจทั้งหมดด้วย หอมเก็บใบโคลเวอร์ทั้งหมดมาให้พี่แล้ว คำสัญญาที่พี่เคยทำเอาไว้ หอมจะเป็นคนช่วยทำมันต่อเอง เราจะหาใบโคลเวอร์สี่แฉกมาใส่ในโหลจนเต็มแล้วเอาไปให้พ่อกับแม่พี่ด้วยกัน”

แหมะ

“....”

“ฮึกก.ก.....หอมจะพยายามทำทุกอย่างให้พี่หาย เราจะไปที่บ้านพี่ หอมจะพาพี่กลับบ้านให้ได้ ฮึกก....พี่ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น....หอมจะอยู่ข้างพี่ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”

“....”

“หอมรู้แล้วว่าพี่รักหอมแค่ไหน รู้แล้วว่าทำไมพี่ถึงให้สร้อยเส้นนี้ไว้กับหอม” ผมจูบที่หลังมือเขาเบาๆ “หอมรักพี่แช่มนะ”

“....”

“รีบตื่นขึ้นมายิ้มให้หอมนะครับ”



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]



ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม....มันเคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว

ครั้งแรกเพราะผมสูญเสียพ่อกับแม่

ครั้งที่สองเพราะผมสูญเสียน้องสาว

ส่วนครั้งนี้มัน....

ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนทุ่งหญ้า ชันตัวลุกขึ้นมาถึงได้รู้ว่ามันเป็นทุ่งที่อยู่ท้ายสวนยางของบ้านผมเอง ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ หรือว่าผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก ผมหันไปมองรอบๆ กาย นานแล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นมัน ดอกหญ้าพวกนี้มีใครบางคนชอบให้ผมถักเป็นมงกุฎให้ เธอจะเปรียบตัวเองเป็นเจ้าหญิงและผมเป็นอัศวิน ทุ่งหญ้านี้เป็นอาณาจักรของเรา

คุณเฉลิมจะเป็นเพื่อนคนสนิทของเธอ

ผมลุกเดินไปที่ต้นพญาเสือโคร่งต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก ใต้ต้นจะมีชิงช้าสีขาวที่ผมเป็นคนผูกเอาไว้ให้ เธอชอบนั่งมันและให้ผมเป็นคนแกว่ง รายละเอียดทุกอย่างผมยังจำมันได้ทั้งหมด สิ่งที่เธอชอบหรือไม่ชอบ ผมไม่เคยมีวันลืม

เจ้าหญิงของผม

น้องสาวของผม

“ชะเอม”

ร่างบางที่นั่งอยู่บนชิงช้าหันมามองผม “....พี่แช่ม”

“หนูอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”

“หนูรอพี่ตั้งนาน” เธอยิ้มหวานให้ ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวชะเอมเบาๆ “หนูไม่เคยสู้กับปีศาจในหัวพี่ได้เลยนะ มันร้ายกาจมาก”

“พี่ไม่เข้าใจ”

“หนูเสียใจที่ทำให้ปีศาจเกิดขึ้นในหัวของพี่” เจ้าตัวเอ่ยเสียงเศร้า “หนูพยายามแล้วแต่มันไม่เคยสำเร็จ”

“ไม่เป็นไรนะคะ”

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ เพราะตอนนี้พี่อยู่ตรงหน้าหนูแล้ว” เธอยิ้มหวานให้ผมก่อนจะขยับเข้ามากอด “หนูคิดถึงพี่แช่มมากเลยนะคะ”

“พี่ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน” ผมกอดน้องเอาไว้แน่นพลางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ

ผมคิดถึงน้องมาก เธอเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมมีหลังจากที่เสียพ่อกับแม่ไป ผมรักเธอ ดูแลเธออย่างดี แต่มันก็มีคนมาทำร้ายน้องผม เธอจากไปทั้งๆ ที่อายุแค่ 15 เธอไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝันที่อยากเป็นพยาบาลเพราะมีคนที่จิตใจหยาบช้ามาทำลายมัน ชะเอมไม่ควรต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายอะไรแบบนั้นเลย ถ้าวันนั้นผมดื้อสักหน่อย ไม่ยอมให้น้องกลับบ้านก่อน เรื่องมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

มันผิดที่ผมเอง

“พี่แช่ม” ร่างบางคลายกอดก่อนจะเงยหน้ามองผม “หนูรู้นะคะว่าพี่เหนื่อยมากที่ต้องสู้กับปีศาจในหัวตัวเอง หนูรู้ว่ามันยากที่จะเอาชนะ แต่คนเก่งของหนูรู้ใช่ไหมว่ามันสามารถทำได้”

ผมพยักหน้ารับ “พี่รู้ค่ะ พี่พยายามอยู่”

“หนูไม่อยากให้พี่เศร้าหรือโทษตัวเองเรื่องของหนูอีกแล้ว พ่อกับแม่ไม่เคยโทษพี่ ไม่มีใครโทษพี่ทั้งนั้น เราไม่สามารถฝืนในสิ่งที่ถูกกำหนดมาได้เพราะงั้นพี่ต้องเข้มแข็ง”

“ชะเอม”

“หนูอยู่ตรงนี้เสมอ” นิ้วเรียวชี้ที่หัวใจของผม “หนูไม่เคยไปไหน ทุกครั้งที่พี่เสียใจในเรื่องของหนู หนูก็จะรู้สึกไม่ต่างกันเพราะงั้นช่วยมีความสุขได้ไหมคะ หนูจะมีความสุขต่อเมื่อพี่มีความสุข”

“พี่จะทำค่ะ เพื่อหนู....พี่จะพยายาม”

“ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เพื่อหนูคนเดียวค่ะ ตรงนี้มีคนอื่นอยู่เหมือนกัน คนที่พี่ยกให้เขาสำคัญ คนที่พี่ยกใจให้เขา พี่ต้องทำให้เขามีความสุข ดูแลเขาเหมือนที่เคยทำกับหนู”

น้องหอม

อีกคนนึงที่อยู่ในหัวใจของผม

“ค่ะ พี่เข้าใจแล้ว”

มือเรียวเช็ดน้ำตาให้ผม “สู้หน่อยนะคะ พี่ต้องชนะปีศาจในหัวนั่น สัญญานะว่าจะชนะมัน” นิ้วก้อยเรียวยื่นมาทางผม ผมก็เกี่ยวมันไว้

“สัญญาค่ะ พี่จะชนะมันให้ได้”

“เยี่ยมเลยค่ะคนเก่ง” เธอยิ้มหวานให้ผม “ได้เวลาที่พี่ต้องกลับไปแล้วนะคะ คนๆ นั้นรออยู่ มีอีกอย่างที่หนูอยากจะขอ....”

“อะไรคะ”

“กลับไปบ้านเราด้วยนะคะ ถึงเวลานั้น....พี่จะชนะปีศาจนั่นอย่างสมบูรณ์”

“ค่ะ พี่จะกลับบ้านนะ” ผมยิ้มหวานให้น้อง “พี่รักชะเอมนะคะ”

“หนูก็รักพี่แช่มค่ะ....แล้วเจอกันนะคะ”

เจอกันค่ะ....ที่บ้านของเรา



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]



หลายชั่วโมงผ่านไปแล้วนะคุณชริต

ยังไม่ยอมตื่นอีก

ผมนั่งมองหน้าพี่แช่มอยู่อย่างนั้น เขาหลับยาวนานตั้งแต่บ่ายยันดึก ดีไม่ดีจะลากไปยันเช้าด้วย เพื่อนฝูงเวียนมาเยี่ยมจนกลับไปแล้วมาเยี่ยมใหม่ละเนี่ยะ ขี้เซาว่ะ ถ้าตื่นมาแล้วเคลียร์กันเสร็จผมจะบ่นเขา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปท้องฟ้าด้านนอก ก่อนจะกดเข้าไปทวิตเตอร์มันอัปโหลดมัน คืนนี้ดาวสวยนะครับ เป็นไปได้ผมก็อยากให้คนที่หลับอยู่ตื่นมาดูมันด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่เลยนอกจากรอเขาเท่านั้น

....แค่รอ





Kh. @KhH22_luc

ดาวจะสวยกว่านี้อีกถ้าได้ดูมันกับคุณน่ะ

.....กลับมาได้แล้วนะ



#CloverBad​



(https://image.dek-d.com/27/0656/8070/128685561)




















​TBC.

สวัสดีค่ะ ชาลมาส่งแช่มหอมแล้วนะคะ ยังไม่ได้แก้คำผิดนะแต่เดี๋ยวจะตามแก้ให้ค่ะ

เฉลยแล้วเนอะว่าชะเอมเป็นใคร มีคนเดาถูกด้วย เก่งมากเลย บันทึกพิเศษของพี่แช่มนัั่นมันเหมือนจิตใต้สำนึกของเขานะคะ เขาอยากเอาชนะอาการป่วยแต่เขาทำไม่ได้ ตัวตนของชะเอมที่ถูกสร้างมาคือแรงใจในส่วนลึกของเขาเอง รอลุ้นนะคะว่าเนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นยังไง

ติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 11 : 21/4/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-04-2019 23:18:40
เป็นไงล่ะหอม หงอยเชียวนะ  :o11:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 12 : 1/5/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-05-2019 21:34:13
บทที่ 12 สิ่งที่เฝ้ารอ




Kh. @KhH22_luc

คนหลับไม่รู้จริงๆ สินะว่าคนที่ตื่นอยู่ คิดถึงเขามากแค่ไหน



#CloverBad





3 วันกับการรอคอยให้คนขี้เซาตื่น

มันเป็น 3 วันที่ข้าวหอมไม่เป็นอันทำอะไรเลย

ผมนั่งมองคนที่หลับอยู่บนเตียงคนไข้และยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น ทำไมเขาฟื้นแล้วก็หลับยาวมา 3 วันแบบนี้ก็ไม่รู้ ร่างกายเพลียขั้นไหนกันนะ หมอบอกว่าด้านร่างกายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ แผลที่แขนไม่ได้อักเสบ การที่เขาไม่ตื่นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนทำโทษเลย ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ไง เจ้าตัวก็เลยเอาคืนด้วยการขี้เซาหนักมาก ตอนนี้ในใจเขาอาจจะคิดว่าสมน้ำหน้า รอกูฟื้นอยู่น่ะสิไอ้เวรหอม ฝันไปเถอะ ใครจะอยากฟื้นไปเจอหน้าคนที่ทำให้ช้ำใจวะ

พี่แช่มต้องคิดแบบนี้แน่เลย

ช่วง 3 วันที่ผ่านมาผมสิงอยู่โรงพยาบาลกับเวียนไปที่หอ แล้วก็ทำความเข้าใจและวิธีการรับมือกับผู้ป่วยโรค PTSD ครับ อาจจะไม่เข้าถึงแบบถ่องแท้แต่เข้าใจและรับรู้ว่าหลังจากนี้ควรทำยังไง หมอบอกว่าพลังใจสำคัญมากเพราะตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการต่างๆ ของเขากำเริบมันมาจากความคิด เพราะควบคุมความคิดไม่ได้มันก็เลยทำให้สู้กับภาพเหตุการณ์เลวร้ายไม่ไหว

มันค่อนข้างหนักมากเลยล่ะ

ทุกคนย่อมมีเรื่องราวที่ฝังใจมากๆ นะแต่ผลกกระทบจากมันจะต่างกัน เรื่องฝังใจสำหรับผมคือเคยขับจักรยานตกสระน้ำหลังบ้านแล้วจมครับ เกือบตายเลยนะตอนนั้นอะ ดีกว่าข้าวก้องเป็นคนมาช่วยผมเอาไว้ จากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่แตะจักรยานไปอีกหลายปีเลย ปกติผมว่ายน้ำเป็นนะแต่วันนั้นมันน่าจะตกใจเกินเหตุ พอสติไม่มีมันก็ทำอะไรไม่ถูกไง

นั่นแหละเรื่องฝังใจของข้าวหอม

“อื้มม...ม..ม....” เสียงครางในลำคอดังขึ้นมาทำให้ผมหันไปมองตามเสียงทันที คนที่หลับมา 3 วันลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาคมไล่มองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ผม

“พี่แช่ม”

“....ใคร”

“.....”

“คุณเป็นใคร”


“พะ....พี่จำหอมไม่ได้เหรอ” ผมมองร่างสูงที่เบือนหน้าไปมองหน้าต่างแทน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจนี้มันคืออะไร ความเจ็บปวดแปล๊บๆ ที่สัมผัสได้ทำไมมันถึง....

ขอบตาผมร้อนผ่าวทันทีที่พี่แช่มเอ่ยถามว่าผมเป็นใคร เขาจำผมไม่ได้ ตลอด 3 วันผมคิดนะว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นผมจะรับมือกับมันยังไง คิดเอาไว้ว่าน่าจะไหวแต่พอมันเป็นแบบนี้ผมไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงต่อ นี่เป็นบทลงโทษที่ผมต้องยอมรับมันใช่ไหมที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ผม....ผมต้องทำยังไงให้เขาจำผมให้ได้

ฮึกก...กก....ไม่เอาแบบนี้สิ

ไม่เอานะ

“ถ้าพี่พูดแบบนั้น....น้องหอมต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย”

“พะ...พี่แช่ม”

เจ้าตัวหันกลับมามองผม “ดูสิ แค่นี้ยังร้องไห้เลย”

“ฮืออ.อ....พี่แกล้งหอมงั้นเหรอ” ผมปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ “ฟื้นมาก็เอาเลยใช่ไหม...ฮืออ...อ...”

“ดูทำหน้าเข้า” มือเรียวเกลี่ยน้ำตาผมออก “พี่ดีใจนะที่ตื่นมาแล้วได้เห็นน้องหอมอยู่ตรงนี้ ก่อนหน้ามันเหมือนฝันร้ายเลย”

“หอม....ฮึกก.ก....หอมขอโทษ หอมผิดเองที่ทำแบบนั้น”

“น้องหอมไม่ผิดหรอก พี่เองที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้” พี่แช่มกุมแก้มผมเอาไว้ “เพราะพี่ไม่เคยบอกอะไรกับน้องหอมเลยสักอย่าง มันคงทรมานมากเลยสินะกับการที่ไม่เคยรู้อะไรเลย”

“ฮึกก.ก.ก....พี่แช่ม”

“พี่ผิดเองน้องหอม”

“ฮือออ...อ....”

“พี่ขอโทษ”

ผมซุกหน้าอยู่กับมือพี่แช่มอยู่อย่างนั้น ร้องไห้หนักแบบนี้หน้าต้องทุเรศมากแน่ๆ ฮึกก.ก.ก....แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้เลยหนิ ผมรู้สึกดีที่เขาไม่โทษว่ามันเป็นความผิดผม รู้สึกดีที่เขาเองก็ขอโทษผมเหมือนกัน ระยะเวลาก่อนหน้านี้ของเรามันมีแต่ความไม่เข้าใจเต็มไปหมด แต่หลังจากนี้เราต้องเข้าใจกันให้มากขึ้น ความสัมพันธ์มันแตกเป็นเสี่ยงไปเพราะความไม่รู้ มันยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ถึงยังไงผมก็จะเริ่มใหม่

ผมจะเริ่มความรักระหว่างเราใหม่

จะทำมันให้ดีกว่าเดิมด้วย

มือเรียวเช็ดน้ำตาให้พลางลูบหัวผมเบาๆ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก เห็นสีหน้าที่ดูดีขึ้นก็ค่อยยังชั่ว ดวงตาคมเหลือบไปมองโหลใส่ใบโคลเวอร์ที่อยู่บนโต๊ะข้างๆ เขามองมันนิ่งๆ พอเห็นแบบนั้นผมก็หยิบมันมาให้ พี่แช่มมองใบโคลเวอร์ในโหลอยู่อย่างนั้น แววตาฉายความเศร้าออกมาชัดเจน ผมกุมมือพี่แช่มไว้แน่นเพื่อต้องการจะยืนยันว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็มีผมที่อยู่กับเขา

ผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว

“หอมเก็บล้างให้ทุกใบเลยนะ” ผมยิ้มให้เขา “หอมรู้ว่ามันสำคัญกับพี่มากแค่ไหนก็ตอนที่ทำลายมันไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเป็นโหลอันเดิม พี่จะทำตามคำสัญญาได้ไหม”

“พี่ต้องทำได้สิ หอมจะช่วยพี่สานต่อคำสัญญาเอง”

“น้องหอม”

ผมยกมือพี่แช่มมากุมแก้มตัวเองก่อนจะมองเขา “หอมรู้เรื่องทุกอย่างแล้วนะ เข้าใจทุกอย่าง ใจนึงก็เสียใจที่รู้ช้าไป ถ้าหอมรู้ไวกว่านี้ หอมคงไม่ทำให้พี่แช่มเจ็บปวด หอมกลับไปแก้ไขเรื่องทั้งหมดไม่ได้แต่ว่า....อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ หอมจะทำมันให้ดีที่สุด”

“.....”

“หอมจะทำให้พี่หายป่วย” ผมคลี่ยิ้มให้ “หอมจะเป็นคน...ฮึกกก....พาพี่กลับบ้าน กลับเอาโหลอันนี้ไปไว้ที่หน้าเจดีย์อัฐิของพ่อแม่พี่ พาพี่กลับไปหาน้องสาวคนเก่งของพี่ หอมจะต้องพาพี่กลับไปให้ได้ หอมรู้ว่าพี่คิดถึงพวกเขามากแค่ไหน ตลอดหลายปีของความทรมานมันจะต้องจบ”

“.....”

“หอมอยากเห็นพี่มีความสุขจริงๆ เรื่องในอดีตต้องไม่ทำร้ายพี่อีก....สัญญากับหอมนะว่าพี่จะสู้มัน สู้ไปด้วยกัน”

“....พี่จะสู้” นิ้วก้อยเรียวเกี่ยวเข้าที่นิ้วก้อยผม “พี่จะต้องชนะมันให้ได้”

“พี่ต้องชนะมันแน่ๆ ยังไงก็ต้องชนะ”

“นั่นสินะ” พี่แช่มอ้าแขนออก “ขอกอดหน่อยครับ” สิ้นเสียงเขา ผมก็ลุกขึ้นไปกอดเจ้าตัวไว้ทันที

ฮึกกก...ก....อบอุ่นที่สุดเลยอ้อมกอดนี้ ผมจะไม่ยอมเสียมันอีกแล้ว ดีจังที่เขาบอกว่าจะสู้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นผมเชื่ออย่างนั้น มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ตลอดมาผมไม่ได้มีปัญหากับเรื่องของเวลา ผมรอได้ จนกว่าวันที่พี่แช่มจะหาย ผมจะอยู่ข้างเขาตรงนี้นี่แหละ

ถึงไล่ก็ไม่ไป

“หอมรักพี่แช่มนะ”


“นะ....น้องหอม”

“หอมไม่เคยบอกพี่เลยว่าหอมรักพี่มากแค่ไหน ตอนที่พี่ไม่ฟื้น หอมนึกเสียใจด้วยว่าทำไมก่อนหน้านี้หอมไม่พูดให้พี่ฟัง” ผมละกอดออกมาแล้วยิ้มหวานให้เขา “แต่ตอนนี้ได้พูดแล้วนะ หลังจากนี้ก็จะพูดให้ฟังบ่อยๆ ”

“ขอบคุณนะครับ” เจ้าตัวเลื่อนหน้าผากมาชนหน้าผากผมไว้ “พี่ก็รักน้องหอมเหมือนกันนะ”

“....พี่แช่ม”

“พร้อมแล้วใช่ไหมที่จะใช้ชีวิตหลังจากนี้ไปด้วยกันน่ะ”

“พร้อมมาตั้งนานแล้ว”

“นั่นสินะ....งั้นก็”

“.....”

“เป็นแฟนพี่นะข้าวหอม”

ความชัดเจนที่ผมรอมันมาตลอด....ในที่สุดก็มาถึงแล้วครับ

“อื้ม....หอมจะเป็นแฟนพี่แช่ม”


***



“แล้วคือยังไงนะ”

“ก็ไม่ยังไง”

“ไม่ยังไงก็เชี่ยละ” คนหน้าเหมือนผมจ้องอย่างคาดคั้น “บอกกูมาซะดีดี”

“ก็ไม่มีอะไร”

“ข้าวหอม”

“ข้าวก้อง”

“อย่ามาเรียกชื่อกูนะ บอกมาซะดีดีเลยว่าทำอีท่าไหนถึงคบกันอะ”

“ต้องทำท่าไหนด้วยเหรอวะ”

“เอ๊ะ มึงนี่” ร่างโปร่งถลึงตาใส่พร้อมกับหยิกมือผมเบาๆ เอาใหญ่แล้ว เห็นข้าวหอมยอมเข้าหน่อยก็ทำตัววางอำนาจนะข้าวก้องนะ

ไม่รู้ว่าใครเป็นใครซะแล้ว

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ไอ้น้องเวรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้มาสิงกันอยู่ที่ร้านข้าวมันไก่ใกล้ๆ โรง’บาลครับ ปล่อยให้พี่แช่มอยู่กับเพื่อนเขาไปก่อน แก๊งค์ปลาทองดีใจกันน่าดูเลยที่คนขี้เมาฟื้นแล้ว ตอนนี้พี่แช่มอาจจะโดนเทศน์อยู่เรื่องที่คิดสั้น แต่ผมเข้าใจความรู้สึกนะ ถ้าผมเป็นเขาแล้วต้องสูญเสียทุกอย่างไปมันคงแย่มาก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ต่อแล้ว จิตใจของคนเรามันเปราะบางมากเลยเนอะ

มองจากภายนอกอย่างเดียวไม่ได้จริงๆ

โล่งใจอยู่ที่เหมือนทุกอย่างจะโอเค พี่แช่มดูมีสติดีหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ไม่แสดงอาการเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้หลังจากได้เห็นโหลใบโคลเวอร์นั่น ก่อนหน้านี้คุยกับหมอเรื่องการรักษาต่อแล้วนะครับ จะกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ผมต้องให้พี่แช่มกินยาและก็พาเขาเข้าบำบัด ช่วงหวั่นใจคือช่วงที่ผมไปค่าย จริงอยู่ว่ากว่าจะไปมันเกือบ 3 อาทิตย์แต่ต้องเข้าใจว่า PTSD ไม่มีทางหายได้ในเวลาที่สั้นขนาดนั้น

พี่แช่มเขาป่วยมาตั้งกี่ปี

“ยังไม่บอกอีก”

“เขาขอเป็นแฟน เท่านั้นแหละจบ” ผมเท้าคางมองคนตรงข้าม “ว่าแต่มึงเถอะ กับไอ้เบย์มันยังไงกันแน่ มันเข้าหามึงเองหรือว่าอะไร”

“ซับซ้อน ขอไม่เล่า”

“ไม่ได้” ผมจ้องมันคืน “มึงต้องเล่าให้กูฟัง มึงอย่าลืมว่าก่อนหน้านี้มันทำอะไรไว้บ้าง กูไม่รู้ว่าการที่มันไปยุ่งกับมึงมันเป็นเพราะกูไหม ถ้ามันคิดจะเอามึงมาแทนกูเพราะหน้าเราเหมือนกัน แบบนั้นกูก็ไม่ยอมนะ”

“มึงรู้ใช่ป้ะว่ากูกลัวความรักมากเลยอะ”

ผมพยักหน้ารับ “แล้วไงต่อ”

“ตอนที่อกหักใหม่ๆ กูไปที่สวนสาธารณะหลังโรงเรียนทุกวันเลย กูเจอเด็กโง่ๆ คนนึง เด็กคนนั้นคือไอ้เบย์”

“แล้ว....ยังไงอีก”

“มันก็มีอาการแบบ....เผลอใจมั้ง ไม่รู้ว่ะ ความเป็นมันในตอนนั้นทำให้กูรู้สึกชอบ แต่เพราะกูกลัวกูก็เลยถอยห่างออกมา กูเคยบอกมันไว้ว่ากูชื่อข้าว แล้วมึงเองก็คงรู้ว่าเราสองคนเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันขนาดไหน”

“แปลว่าไอ้เบย์ก็ชอบมึงมาตั้งแต่ที่เจอกันตอนโน้น แต่เข้าใจผิดว่ากูคือมึง”

“อืม มันก็ประมาณนั้นแหละ”

เพราะอย่างนี้นี่เอง

ถึงว่าทำไมบวรเคยถามผมว่าจำมันไม่ได้เหรอ

เพราะผมไม่รู้จักมันตั้งแต่แรกเลยไง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผมจะจำมันไม่ได้ แล้วไอ้คนที่จำได้ก็เงียบกริบ เก็บเงียบมาหลายเดือนไม่บอกไม่กล่าวใครเลยด้วย ผมคิดว่าจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ข้าวก้องก็น่าจะยังชอบบวรอยู่ คิดไม่ออกเลยว่าเวลาที่ผ่านมา มันทนได้ยังไงเวลาเห็นคนที่ตัวเองชอบมาวอแวผม แต่จะบ่นมันมากก็ไม่ได้หรอกเพราะความรักครั้งเก่าของมันทำไว้เจ็บแสบมาก

แผลในใจนั่นเหมือนจะไม่มีวันหายด้วย

“แล้วมึงจะเอายังไงต่อ”

“นั่นสิ”

“เกิดอะไรขึ้น” จะว่าไปผมไม่เห็นไอ้เบย์มา 2 วันแล้ว สีหน้าของข้าวก้องก็ดูเศร้าๆ ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันรึเปล่า

“เบย์เป็นน้องของบีมว่ะ”

ผมมองมันตาโตทันที “ถามจริง”

“กูก็ไม่รู้ว่าจะโกหกมึงไปทำไม” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เกินคาดกูมากเหมือนกันนะเรื่องนี้”

“คิดไว้รึยังว่าจะเอายังไง”

“คิดไว้ว่าอาจจะห่าง ไม่รู้ว่ะ ไม่อยากเจอหน้าเบย์เลย”

“กูว่าก่อนที่มึงจะตัดสินใจว่าจะเอายังไง มึงควรถามตัวเองนะว่ารู้สึกอะไรกับไอ้เบย์รึเปล่า”

“.....อยากสูบบุหรี่เฉยเลยว่ะ”

“เอาน่ะ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ หาทาง”

“อืม” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามรับคำก่อนจะกินข้าวต่อเงียบๆ ลำบากใจหนักเลยสินะ

บีมคือแฟนเก่าของข้าวก้องครับ คบกันนานพอสมควร น้องผมรักเธอมากแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะนอกใจ วันนั้นที่ข้าวก้องเสียใจมากจนไม่เป็นอันทำอะไรผมยังจำได้ดี ผมไม่อยากเห็นมันกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ผมควรลองคุยกับบวรเรื่องนี้ดีไหมนะ แต่ถ้าคุยก็ต้องคุยต่อหน้าพี่แช่มด้วย เพื่อความสบายใจผมควรทำแบบนั้น ถึงตอนนี้สถานะของเราจะชัดเจนแล้วแต่เรื่องนี้มันก็ยังควรระวังเอาไว้

ไม่อยากให้พี่แช่มคิดมากน่ะครับ

ดีใจนะที่ได้เป็นแฟนกันสักที รอมานานตั้ง 2 ปีกว่า อย่างน้อยตอนนี้ผมก็สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าเขาเป็นแฟนผม จะบอกพ่อแม่เรื่องนี้เลยดีไหมนะ ไม่อยากปิดบังเลยอะ ความจริงก็ปิดเรื่องที่ชอบผู้ชายมา 2 ปีกว่าแล้ว แล้วเนี่ยะ ทั้งผมทั้งข้าวก้องดันชอบผู้ชายทั้งคู่เลย พวกเราเป็นลูกชายสองคนของพวกเขาด้วย ไม่รู้เลยครับว่าเขาจะโอเคกับเรื่องนี้ไหม ถ้าสมมุติว่ารับได้ก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าไม่.....ก็อาจจะแย่หน่อย

ไม่ก็แย่มาก

“มึงว่ากูบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ดีไหม”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่เป็นแฟนกับพี่แช่ม”

“มึงคิดไว้รึยังว่าจะรับมือกับมันยังไงถ้าพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยเรื่องความรักของมึง”

“ยังไม่ได้คิดเลยว่ะ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่กูอยากบอกนะ ของบางอย่างก็ต้องลองดูก่อน”

“งั้นก็เอาเลยดิ” มือเรียวส่งโทรศัพท์มาให้ผม “ผลจะเป็นยังไงค่อยมาหาทางแก้กันทีหลังก็ได้”

“เนอะ” ผมหยิบโทรศัพท์ข้าวก้องก่อนจะกดโทรไปหาพ่อ ใช้เวลาไม่นานเขาก็รับสาย “สวัสดีครับพ่อ”

(เหมือนไม่ได้โทรหานานเลยนะ เป็นยังไงบ้างล่ะ)

“สบายดีครับ ข้าวก้องก็เหมือนกัน คืองี้นะพ่อ หอมมีอะไรจะบอกพ่อด้วยอะ” หายใจเข้าลึกๆ นะข้าวหอม เป็นไงเป็นกัน สู้ๆ

(เรื่องอะไร)

“หอม....มีแฟนแล้วนะพ่อ”

(เพิ่งมีปัญญาหาแฟนได้เหรอ)

พ่อไม่อ่อนโยนเลย

“ก็มีแล้วนี่ไงพ่อ” ผมเลื่อนมือไปจับมือข้าวก้องไว้แน่น “....แต่ไม่ใช่ผู้หญิงนะ”

(....)

“....ฮัลโหลพ่อ พ่อได้ยินไหม” ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป

ชิบหายแล้วววว

“พ่อตัดสายว่ะมึง”

“งานหยาบสัสๆ ” มือเรียวบีบมือผมเบาๆ เหมือนปลอบใจ “มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่มึงคิดก็ได้นะหอม”

“มันอาจจะแย่กว่าที่กูคิดก็ได้นะก้อง”

ผมเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกก่อนจะนั่งกุมใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก พ่อรับไม่ได้แน่ๆ เลยว่ะถึงได้วางสาย ก็นะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะรับได้ง่ายๆ นี่หว่า ผมไม่รู้เลยว่ามุมมองเรื่องความรักกับเพศในครอบครัวมันเป็นยังไง แล้วก็เนี่ยะ ห้าวหาญสุดคือโทรหาพ่อเลย ทำไมไม่เข้าทางแม่ก่อนวะหอม แม่น่าจะเข้าใจมากกว่ารึเปล่า โอ๊ยยยย คิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วอะ

พ่อต้องโกรธมากแน่ๆ

ผมกลัวการโกรธของพ่อมากเลยอะ ไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงถึงขั้นไหน ผมกลัวการตัดขาดจากครอบครัวมาก ถ้าพ่อบอกจะตัดผมออกจากการเป็นลูกเพราะผมชอบผู้ชายมันต้องแย่มากแน่ๆ หรือถ้าเขาให้เงื่อนไขมาว่าถ้าอยากอยู่ในบ้านต่อไปก็ต้องเลิกกับพี่แช่มล่ะ ผมจะทำแบบนั้นได้ไงวะ เพิ่งคบกันวันนี้เองด้วย อีกอย่างคือตอนนี้พี่แช่มมีแค่ผมที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของเขา

ถ้าไม่มีผม....มันต้องไม่มีเขาแน่ๆ

ทำไมรู้สึกเหมือนจะร้องไห้แบบนี้วะ

ครืดดดด....ดดด

“มึง พ่อโทรกลับมาว่ะ”

“รับสิรับ” พอข้าวก้องบอกแบบนั้นผมก็กดรับสายทันที ปลายสายเงียบมากครับ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย

“....พ่อ”

(....ถ้าพ่อกับแม่บอกว่ารับไม่ได้ แกจะรู้สึกยังไง)

“คงเสียใจครับ เสียใจมากๆ ”

(อืม แล้วรู้ไหมว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ลูกตัวเองเสียใจหรอก มันก็อาจจะมีแหละแต่ไม่ใช่สำหรับครอบครัวเรา)   

“พ่อหมายความว่า....”

(จะรักใครก็เอาเถอะ ถ้าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกคือสิ่งที่ดีที่สุด พ่อก็เคารพในการตัดสินใจของแก)

“ขอบคุณนะครับพ่อ” ผมหลุดยิ้มออกมาทันที “แล้ว....ถ้าพ่อโอเค พ่อจะตัดสายหอมทำไมอะ”

(โทรศัพท์มันดับมั้งเถอะ พ่อบอกแม่แกไปหลายรอบแล้วว่าซื้อใหม่ให้หน่อย ก็ยังบอกว่าให้ใช้เครื่องเดิมอยู่ได้ บางทีก็หงุดหงิดนะ เงินมีตั้งกี่สิบล้านแต่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องละไม่กี่หมื่นนี่คิดแล้วคิดอีก จะขัดใจไปซื้อเองก็ไม่ได้ด้วย)

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะครับ”

(พ่อรักแม่แกมากๆ เลยไงก็เลยไม่อยากขัดใจ แต่เดี๋ยวคงต้องคุยกันด้วยเหตุผลซะหน่อยละ)

“เดี๋ยวให้ข้าวก้องช่วยคุยให้ครับ เรื่องคุยกับแม่ไม่มีใครเก่งเท่ามันอีกแล้ว”

(อืมเอาเถอะ ถ้ามีเวลาว่างก็กลับบ้านบ้างนะ พาแฟนมาด้วยก็ได้ พ่ออยากเห็นน้ำหน้าไอ้คนที่หลงผิดว่ามันเป็นยังไง)

“พ่ออออ”

(ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวพ่อเคลียร์งานต่อก่อน)

“โอเคครับ ขอบคุณนะครับที่เข้าใจหอม”

(....จะเข้าใจเสมอนั่นแหละ แค่นี้ลูก)

“ครับ” ผมกดวางสายก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดข้าวก้องจนตัวกลม ไม่สนสายตาคนอื่นที่มองมาด้วย ฮืออ.อ.อ....ดีใจที่พ่อยอมรับอะ

เหมือนฝันเลย

ปล่อยวางได้เลยสำหรับเรื่องครอบครัวเพราะเขายอมรับแน่ๆ เรื่องนี้ต้องเล่าให้พี่แช่มฟังด้วย เจ้าตัวน่าจะใจชื้นพอสมควร ตอนนี้รู้สึกโล่งแบบโล่งถึงที่สุดเลยครับ พ่อผมคือเดอะเบสท์พ่อจริงๆ นั่นแหละ อาจเพราะว่าเขาไม่ได้อายุเยอะเว่อร์ล่ะมั้ง พ่อกับแม่แต่งงานกันตอนอายุยังน้อย มีพวกผมก็ตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ๆ เลย พ่อบอกว่าตัวเองเป็นคุณพ่อลูกแฝดตอนอายุ 22 เอง

แล้วตอนนี้พ่อผมเพิ่ง 40 กว่านิดๆ

ดีเนอะที่ครอบครัวเข้าใจน่ะ เดี๋ยวถ้าพี่แช่มออกจากโรง’บาลเมื่อไหร่ ผมพาเขาไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า ไหนๆ พ่อก็บอกว่าอยากเจอเขาแล้ว หลังจากนี้มีเรื่องต้องทำเยอะอยู่เหมือนกัน สำคัญสุดก็คือการรักษาอาการป่วยของพี่แช่ม เรื่องเตรียมไปค่ายแล้วเดี๋ยวผมต้องไปรับคุณเฉลิมมาจากคลินิกด้วย ฝากไว้ที่นั่นมาเป็นอาทิตย์แล้ว ป่านนี้นางอาจจะน้อยใจแย่ ถ้าพี่แช่มออกจากโรง’บาลแล้วเห็นเจ้าอ้วนรออยู่ที่หอ เขาน่าจะดีใจ

รอยยิ้มของพี่แช่มคือสิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดเลย

ก่อนหน้านี้เหมือนมรสุมเข้าเลยครับแถมยังลูกใหญ่มากด้วย ดีที่ว่าหลังจากมรสุมนั้นมีท้องฟ้าที่สดใสรออยู่ อะไรที่เสียหายจากมัน ก็ต้องซ่อมแซมและพยายามทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ให้มากที่สุด เพิ่มเติมจากมรสุมคือได้บทเรียนที่สำคัญหลายอย่างเลยสำหรับเราทั้งสองฝ่าย ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจกันมันเลวร้ายมากในเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์

มันเป็นบทเรียนที่ผมจะไม่มีวันลืม

“กลับโรง’บาลกันเถอะ พี่แช่มคิดถึงมึงละ”

“รู้ได้ไง”

“ทวิตเตอร์” พอข้าวก้องพูดแบบนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปในทวิตเตอร์

ข้อความที่คนขี้เมาเพิ่งทวิตเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมันทำให้ผมยิ้มออกมาแก้มปริทันที มันก็แค่คำว่าคิดถึงแต่ไม่รู้ว่าทำไมมันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงได้มากขนาดนี้ คงเพราะสถานะระหว่างเราเปลี่ยนไปมั้งครับ ความหน้าร้อนที่กำลังสัมผัสได้จะหายไปเมื่อได้กอดคนที่ทำให้มันร้อนเท่านั้นเพราะงั้นผมรีบกลับไปหาแฟนผมดีกว่า

อยากกอดจะแย่แล้ว





Charit @Charitpedd

คิดถึง ‘แฟน’ จังครับ



#พี่แช่มได้กล่าวไว้










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่หายไปหลายวันเลย ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ ช่วงวีคนรกจริงๆ งานเยอะมาก ใกล้ไฟนอลแล้วขอให้ชาลมีชีวิตรอดผ่านมันไปได้เนอะ

เขาคบกันแล้วนะคะ ฮิ้ววววว

ติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

เจอกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 12 : 1/5/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-05-2019 01:57:27
พาพี่แช่มไปหาพ่อด่วนเลย ให้พ่อกับแม่รับขวัญเขยหน่อย เผื่ออาการป่วยจะดีขึ้น  o18
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 12 : 1/5/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-05-2019 00:46:40
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 13 : 17/5/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 17-05-2019 20:09:52
บทที่ 13 ผูกพัน



Charit @Charitpedd

บอกตัวเองว่าเราต้องลืมเรื่องราวที่ผ่าน....แม้ความจริงทรมาน

   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้






เห็นสภาพแฟนตัวเองแล้วสงสารจับใจเลย

ถ้าเขาดีขึ้นไวไวก็ดีน่ะสิ

ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะพับผ้าต่อพลางมองคนที่นั่งนิ่งเป็นท่อไม้ให้คุณเฉลิมเกาะอยู่บนหัว พี่แช่มเขานิ่งมาชั่วโมงกว่าๆ แล้ว ไม่มีการขยับตัวเลยนอกจากกระพริบตาและหายใจ ผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วครับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เราเริ่มรักษา PTSD กันอย่างจริงจัง เริ่มด้วยการให้เขากินยาตามที่หมอสั่ง ผลข้างเคียงก็ออกมาตามที่เห็น เขาเซื่องซึมเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน บางวันก็นอนเยอะ บางวันก็ไม่นอนเลย

อย่างวันนี้นี่ไง

เขายังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อวาน ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังพยายามทำให้ตัวเองรีแลกซ์โดยการเล่นเกม อ่านหนังสือ หาอะไรดูไปเรื่อยเปื่อย มีมานิ่งสงบก็เมื่อชั่วโมงที่แล้วเนี่ยแหละ ผมเรียกเขาก็ไม่ตอบ เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย ช่วงแรกๆ ที่เขาเป็นแบบนี้ผมก็ไม่เข้าใจนะ แต่หมอบอกว่ามันเป็นอาการปกติ ไม่ต้องไปสุงสิงเพราะเดี๋ยวเขาจะกลับมาเอง

อดทนอย่างเดียวเลยข้าวหอม

หลังจากที่พับผ้าเสร็จผมก็เดินเอาไปเก็บพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปพี่แช่มที่มีคุณเฉลิมนั่งจุมปุ๊กอยู่บนหัว เจ็บบ้างไหมน่ะ กรงเล็บของเจ้าอ้วนนั่นคมไม่ใช่เล่น ผมยังจำวันที่ไปรับนางกลับได้เลย เหมือนจะมีงอนกันเล็กน้อย คงนอยด์ที่ปล่อยให้อยู่คลินิกนานล่ะมั้ง แต่ก็นะ คุณเฉลิมต้องเข้าใจแหละว่าพ่อนางป่วย ไม่มีใครว่างดูแล ผมเพิ่งรู้มาจากลุงเชตด้วยว่าเจ้าอ้วนนี่ไม่ใช่นกของพี่แช่ม

แต่เป็นของชะเอม

ลุงเชตทำสวนปาล์มและเลี้ยงนกแสกไว้เพื่อล่าหนูในสวน คุณเฉลิมเป็นลูกนกที่ชะเอมขอมาเลี้ยงตั้งแต่สมัยเธอเรียนประถมฯ จะว่าไปเจ้าอ้วนคงคิดถึงเจ้าของตัวจริงน่าดู พูดถึงชะเอม....ถ้าเธอยังอยู่ก็คงจะอายุน้อยกว่าผมปีนึง แล้วดูทรงคนเป็นพี่ชายก็คงหวงน้องมากซะด้วย จากรูปที่ผมเห็นคือเธอเป็นคนที่สวยมาก น่ารัก ใครเห็นก็ต้องหลงแน่นอน พอได้รู้ว่าเธอจากไปโดยเรื่องแบบนั้นผมยังรู้สึกเสียใจไม่หายเลย

ไม่ควรมีใครได้เจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้น

พรึ่บ

“ว่าไงคุณเฉลิม” ผมลูบหัวเจ้าอ้วนที่บินมาหา “พี่แช่มเขาไม่เล่นด้วยสินะเลยมาหาหอมเนี่ยะ”

“แอ๊กกกก”

“งั้นเหรอๆ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวหอมตีพี่แช่มให้”

“แอ๊กกกก”

“น้องหอม” เสียงอ่อนดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของคนพูดโถมตัวเข้ามากอดผมจนจมเตียง คุณเฉลิมตกใจจนบินหนีไปโน่นแน่ะ

เขานี่มันจริงๆ เลยนะ

“กลับมาได้แล้วเหรอ” ผมเขี่ยผมที่ปรกใบหน้าคมออก “หอมนึกว่าพี่จะนั่งมองกำแพงยันเย็นซะแล้ว”

“พี่ไม่ได้ไปไหนมาสักหน่อย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะซุกหน้าลงกับอกผมอย่างอ้อนๆ “เบื่อไหม”

“เบื่ออะไรอะ”

“เบื่อที่พี่เป็นแบบนี้ไง”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าเมื่อก่อนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงเป็นแบบนั้นแต่ตอนนี้เข้าใจทุกอย่าง หอมไม่เบื่อพี่หรอก ใครเขาจะเบื่อแฟนตัวเองล่ะจริงไหม”

“แต่พี่เบื่อนะ”

“เบื่ออะไร”

“เบื่อไอ้แช่ม”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อย่าเบื่อพี่แช่มสิ” ผมกอดร่างสูงไว้แน่นพลางลูบหัวเขาเบาๆ

อ้อนเป็นแมวเลยทั้งๆ ที่ตัวอย่างกับยักษ์ ผมว่าอีกสักพักเขาน่าจะหลับ ก็นะ....เมื่อวานไม่ได้นอนเลยหนิ ตื่นอีกทีคงดึกน่าดู นี่เกือบบ่าย 3 แล้ว ชีวิตในช่วง 2 อาทิตย์ของเรามันวนเวียนอยู่แค่นี้จริงๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนด้วย ผมกังวลอยู่เหมือนกันนะช่วงที่ต้องไปค่ายน่ะ เหลือแค่อาทิตย์เดียวเอง ไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นพี่แช่มจะอยู่คนเดียวได้ไหม อาจจะต้องฝากบรรดาเพื่อนๆ เขาให้ดูแลหน่อย

ผมเป็นห่วงเขามากขนาดนี้เลยนะ

“พี่แช่ม”

“หืม....”

“อยู่ได้ใช่ไหมช่วงที่หอมไปค่ายน่ะ”

“อยู่ได้สิ พี่ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย” เจ้าตัวผงกหัวขึ้นมามองหน้าผม “พี่ไม่ได้กิ๊กก๊อกขนาดนั้นนะน้องหอม นี่ก็ยังมีสติอยู่ ที่เซื่องๆ ก็เพราะยา เนี่ยะ รู้เหตุผลรึยังว่าทำไมเมื่อก่อนพี่ถึงไม่อยากบอกใครว่าพี่เป็นอะไร”

“เพราะเขาจะเป็นห่วงพี่มากจนเกินไป”

“ใช่ ตอนนี้น้องหอมก็เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าความเป็นห่วงมันไม่ดีหรอกนะ พี่มีความสุขที่น้องหอมเป็นห่วงและดูแลพี่อย่างดี แต่พี่รู้นะว่าลึกๆ แล้วน้องหอมก็เหนื่อยที่ต้องทำแบบนี้”

“.....”

“อย่าฝืนตัวเองทำเพื่อพี่เลยนะ ทำเหมือนปกติอย่างที่เคยทำดีกว่า ครั้งนี้ถ้าพี่ไม่ไหวพี่จะบอกน้องหอมไปตามตรง พี่จะไม่ฝืนตัวเองเหมือนกันเพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมันสอนเอาไว้แล้วว่าผลจะออกมาเป็นยังไง”

“หอมเข้าใจแล้ว”

“ดีมากจ่ะที่รัก” พี่แช่มจุ๊บหน้าผากผมก่อนจะซุกอยู่ที่ซอกคอ “พี่นอนละนะ ง่วงแล้ว”

“ฝันหวานครับ”

สิ่งที่เขาพูดเหมือนทำให้ผมคิดได้ขึ้นมานิดหน่อยเลย มันจริงเลยนะที่ผมเป็นห่วงเขามาก คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ผมทำให้เขาเกือบตายด้วยแหละ ผมกลัวว่าตัวเองจะพลาดอีก อะไรที่ทำได้ก็อยากทำแต่ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะมากเกินไปจนเป็นการฝืนตัวเองแบบนี้ ถ้าพี่แช่มไม่บอกผมก็คงทำเหมือนเดิมและอาจจะเครียดกว่าเดิม สุดท้ายแล้วคนที่จะแย่ก็คือเราทั้งคู่

ตึงไปหย่อนไปไม่ดีจริงๆ ด้วย

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ฮัลโหล”

(หิว)

“ก็ไปกินข้าวสิ”

(อยากกินปลาดิบ)

เอาละ....อาการแบบนี้

“เป็นไรอีกเนี่ยะ”

(เดี๋ยวเลี้ยงแซลม่อน)

“ข้าวก้อง”

(เจอกันร้านเดิม แค่นี้นะ)

“อะไรของมันวะ” ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้ว เอาแต่ใจเกินใครก็ไอ้น้องเวรของผมนี่แหละ

ผมจัดแจงท่านอนให้พี่แช่มใหม่ก่อนจะหยิบหมอนข้างมาให้เขากอดแทน ร่างสูงหลับสนิทไปแล้วล่ะครับ ดีละ ให้เขาพักผ่อนมากๆ ผมหยิบกระดาษโน้ตมาเขียนก่อนจะวางไว้ที่หัวเตียง เผื่อผมกลับมาไม่ทันเขาตื่น คนขี้เมาจะได้รู้ว่าผมหายไปไหน จะว่าไปช่วงนี้ข้าวก้องติสท์แตกบ่อยจนผมปวดประสาท ไม่รู้ว่าปัญหาของมันจะจบลงยังไงเลย ตอนนี้ก็คาราคาซังจนหาทางแก้ไม่ได้ด้วย

คิดแล้วปวดหัวแทนชิบหาย

ไอ้น้องเวร

   
***

   

“มึงทำหน้าเหมือนจะอ้วกขนาดนั้นอะ ความจริงกูกินส้มตำก็ได้นะ”

“กูกำลังดื่มด่ำรสชาติปลาแซลม่อนต่างหาก”

“ลองพูดให้ตรงกับสิ่งที่คิดซิ”

“เออจะอ้วก” ข้าวก้องเบ้ปากก่อนจะคีบปลาดิบทั้งหมดมาให้ เนี่ยะ มันน่าตบนัก ชอบว่าแต่ผมทำอะไรฝืนใจตัวเองแหมๆ ๆ ๆ ๆ

น่าหมั่นไส้

ผมคีบปลาดิบเข้าปากพลางมองคนตรงหน้าที่พยายามหาของที่ตัวเองพอกินได้ รู้อยู่หรอกว่ามันไม่ได้หิว ที่ชวนมากินข้าวก็เพื่ออยากคุยด้วยเท่านั้นแหละ ช่วงนี้หน้าข้าวก้องดูผ่องและหม่นหมองยังไงก็ไม่รู้ เหมือนมีความสุขแต่ก็มีความทุกข์เหมือนกัน คิดได้เลยว่าคงไม่พ้นเรื่องบวรหรอก ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมารู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่น่าจะยังไม่เคลียร์ คนตรงข้ามผมอาจจะกำลังคิดอยู่ว่าจะตัดหรือไม่ตัดดี

แต่ดูเหมือนจะตัดยากนะ

รอยจูบยังเต็มคออยู่เลย

“คิดไงถึงชวนออกมากินข้าว”

“ก็อยากชวน ไม่ได้กินข้าวกับมึงหลายวันแล้ว”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “แล้ว....ไอ้เบย์อะ”

“ไม่รู้ดิ”

“หมายความว่าไงว่าไม่รู้”

“ก็หมายความว่าไม่รู้”

“อย่ามาโกหก”

“อย่ามาดุ”

“ข้าวก้อง”

“ข้าวหอม” มันทำเสียงแข็งใส่ เหนื่อยจะคาดคั้นจริงๆ ข้าวก้องต้องเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า เนี่ยะ ไม่บอก ไม่พูด ไม่อะไรเลยสักอย่าง

จะช่วยได้ยังไงวะ

“มึงนี่มันโคตรดื้อเลยว่ะ”

ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มันก่อนจะตีมือเรียวให้อีกทีนึง นี่แน่ะ คอยดูเถอะเดี๋ยวกูจะฟ้องพ่อให้ ดื้อๆ แบบนี้ต้องโดนกำราบ มันน่ะชอบทำให้เป็นห่วงตลอดเลย คิดไปคิดมาพี่แช่มกับข้าวก้องนี่แทบไม่ต่างกัน เก็บปัญหาเอาไว้คนเดียวเงียบๆ มีหลุดออกมาให้สงสัยและแคลงใจเล่น มันน่าหงุดหงิดเหมือนกันนะ แล้วคนหงุดหงิดก็ทำอะไรมากไม่ได้ด้วย หึ้ยยยย...ย...อยากจับมัดแล้วทุบๆ ๆ ๆ ๆ ให้หัวแบะซะจริง

จิ๊....หัวเสียเฉย

ผมยื่นมือไปบีบแก้มขาวนั่นแรงๆ เพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่าผมมันเขี้ยวมัน นานเหมือนกันนะที่ไม่ได้เห็นข้าวก้องแสดงท่าทีกิ๊กก๊อกแบบนี้ บวรก็เก่งอยู่ที่ทำให้น้องผมเป็นแบบนี้ได้ ตอนนี้เรื่องของผมกับพี่แช่มมันชัดเจนมากพอแล้ว เหลือแค่เรื่องของข้าวก้องกับบวรนี่แหละที่ไม่รู้ว่ามันจะจบลงยังไง และก็ไม่รู้ว่าตอนจบมันจะเป็นแบบไหน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ตัวเองจะมีความสุข

อย่างน้อยมันคือความสบายใจ

“หอม”

“หืม....”

“กูอยากให้ทุกอย่างมันจบว่ะ”

ปากพูดอีกอย่าง....แต่สายตากลับแสดงอีกอย่าง

ดื้อมากจริงๆ นั่นแหละ

“งั้นมึงก็ให้มันจบสิ”

“.....”

“ผลจะออกมาเป็นยังไง....ค่อยว่ากัน”

   

[บันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]

   

อ่อนแอ

ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอถึงขนาดนี้เลย

.....มันไม่เคยเลยจริงๆ

ผมยืนอยู่หน้าห้องของบวร มือจับอยู่ที่กลอนประตูและลังเลอยู่สักพักใหญ่แล้วว่าจะเปิดเข้าไปดีไหม ก่อนหน้านี้ผมไปกินปลาดิบกับข้าวหอมมา ลั่นวาจาไปแล้วว่าอยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบ ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครหรืออะไรที่เชื่อมโยงกับบีม ผู้หญิงที่เป็นแฟนเก่าของผม มันเป็นเรื่องที่น่าปวดใจที่สุดเลย บวรเป็นน้องของบีม ถึงจะคนละแม่แต่เขาก็พี่น้องกัน คนที่ผมชอบเป็นน้องของคนที่ผมเกลียด

ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย

ใครจะรับได้หรือทำใจได้ผมไม่สนใจหรอก แต่สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ได้ยอมรับได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ ใช้เวลาหลายปีผมก็ยังไม่ลืม มันไม่มีทางลืมความรู้สึกเลวร้ายนั่นได้ แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็เพิ่งเจอคนที่เคยทำร้ายใจผม เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด คำพูดของเธอผมยังจำมันได้ดี บีมรับรู้เรื่องของผมกับบวร รู้ว่าเรากำลังมีความรู้สึกดีดีต่อกันแต่เธอกลับ....บอกว่าจะทำลายมัน

ผมเคยหลงรักผู้หญิงคนนี้ไปได้ยังไง

เรื่องของผมกับบวรมันน่าตลกตรงที่เราหายจากกันไปหลายปีแต่ก็กลับมาเจอกันแถมยังผูกพันกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ มันคงจะดีนะถ้าวันนี้เราต้องห่างกันแล้วมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก ไม่ว่าจะอีกสักกี่ปีข้างหน้าก็ตาม ผมอาจจะพร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ในวันที่โตกว่านี้ก็ได้ อย่างน้อยในวันที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มุมมอง เหตุผลและความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ก็ต้องมีมากขึ้น

มันคงดีกว่าตอนนี้

“เอาน่ะก้อง แบบนี้มันอาจจะดีก็ได้” ผมเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปด้านในแล้วมุ่งไปที่ห้องนอน กลิ่นบุหรี่ที่คุ้นเคยก็ลอยเข้ามาในจมูก ผมมองร่างสูงที่ยืนหันหลังให้อยู่ตรงริมระเบียง รอยข่วนบนแผ่นหลังนั่นผมเป็นคนทำเองเมื่อคืน

เยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“ผมนึกว่าพี่จะไม่กลับมาที่นี่แล้วซะอีก”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม”

“เพราะที่นี่ไม่มีใครเข้ามาได้ไงครับ” บวรหันกลับมามองผม “ช่วยพูดให้ผมดีใจหน่อยสิ ว่าพี่กลับมาเพราะอยากอยู่กับผม”

“ผม....ลืมบุหรี่เอาไว้” ผมบอกปัดก่อนจะเดินไปหยิบบุหรี่ของตัวเอง ถึงข้ออ้างนี้จะไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่แต่มันก็นะ

“ก็แค่บุหรี่ ซื้อใหม่ก็ได้มั้งครับ”

“นี่อาร์กติกแบล็กนะคุณ คิดว่าซองละกี่บาท”

“ราคาเท่าเพอเพิลของผม” เจ้าของห้องเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ผมรู้ว่าบุหรี่ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้พี่อยู่ตรงนี้เพราะงั้นบอกผมเถอะครับ”

“....ผมอยากให้เรื่องของเรามันจบ” สิ้นเสียงผมพูด บวรก็มองผมนิ่งๆ ก่อนจะยกบุหรี่ที่อยู่ในมือขึ้นสูบต่อ

ผมไม่รู้ว่าเขาจะตอบยังไง ถ้าเขาบอกว่าไม่อยากให้เรื่องของเราจบล่ะ ถ้าเขายังเลือกที่จะตามตื๊อผมมันจะเป็นยังไง ใจนึงผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นแต่อีกใจผมก็อยากให้มันจบจริงๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกย้อนแย้งนี่เลย หรือผมไม่ควรยอมแพ้ดีวะ นั่นก็แค่บีมเอง เคยหนีมาตลอดแล้วต้องหนีต่อไปอีกเหรอ โว้ยยยยยยยยยยย แม่งเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ยากชิบหายเลย จิ๊....ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ

“พี่....อยากให้เรื่องของเราจบทั้งๆ ที่เมื่อคืนเรานอนกอดกันอยู่ตรงนั้นน่ะนะ” นิ้วเรียวชี้ไปทางเตียงที่ยังมีรอยยับอยู่ “เมื่อคืนผมมีความสุขเหมือนฝันเลย”

ผมก็เหมือนกัน

“คุณไม่เข้าใจผมหรอก”

“ไม่มีใครเข้าใจพี่ทั้งนั้นแหละ ผมรักพี่แค่ไหน ตัวพี่ต้องรู้ดีอยู่แล้ว ทำไมอะพี่ก้อง แค่ผมเป็นน้องของบีมเหรอ” ร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ผมไม่เคยคิดว่าบีมเป็นพี่สาวผมเลยสักครั้งแต่พี่กลับใช้เหตุผลนั้นเพื่อจะเดินหนีผมไปเนี่ยนะ”

“....บวร”

“ถ้าพี่จะไป....พี่ก็ไปเลยครับ ผมเคารพในการตัดสินใจของพี่เสมอ ความจริง....ตัวพี่เองก็คงไม่ได้อยากมีผมอยู่ในชีวิตตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะไม่งั้นพี่จะทำเป็นเหมือนไม่รู้จักผมทำไมจริงไหม”

“.....”

“ทุกอย่างที่มันมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะผมเมาแล้วไปทำพี่แบบนั้นนั่นแหละ ผมขอโทษที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้” บวรยิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมแก้มผม “.....ผมเสียใจที่พี่อยู่ตรงหน้าแต่ผม....ฮึก....ต้องยอมปล่อยเพียงเพราะพี่จะไป”

“.....”

“ขอกอดได้ไหมครับ....ฮึกก.ก.....แค่ครั้งสุดท้ายก็ได้”

ไม่เคยคิดว่าการได้เห็นน้ำตาของใครจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้มากถึงขนาดนี้

ผมมันใจร้ายจริงๆ

“อืม....”

   

[จบบันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]

   

“อะแล้วไงต่อ”

(ก็ไม่แล้วไง)

“มึงโอเคไหม”

(ไม่)

“ทีนี้ก็รู้แล้วนะว่าการตัดสินใจเลือกทางนั้นมันส่งผลแบบไหน”

(....กูนอนละ)

“เดี๋ยวข้าวก้อง” ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้ว “จิ๊ ไอ้น้องเวรนี่”

ข้าวก้องโทรมาบอกผมว่าตัดความสัมพันธ์กับบวรไปแล้ว สภาพน่าจะย่ำแย่พอสมควร ผมคิดไว้แล้วแหละว่ามันต้องเป็นแบบนี้ อยากด่ามันอยู่หรอกแต่ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจอะนะ ในเมื่อเลือกไปแล้ว ตัวข้าวก้องเองน่าจะคิดหาทางรับมือกับมันไว้แล้วแหละ ไม่รู้ว่าฝั่งบวรจะเป็นยังไงแต่คงสาหัสไม่ต่างกัน รักเขามาตั้งหลายปี โอกาสมีอยู่ตรงหน้าแต่ก็ต้องเสียไปเพราะความกลัวความรักของอีกฝ่าย

โคตรเจ็บปวดเลยว่ะ

ผมเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นกว่ามันเกือบตี 2 แล้ว พี่แช่มตื่นแล้วล่ะครับ ตอนนี้เขานั่งทาแป้งซะหน้าขาวผ่องอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า คือเพิ่งอาบน้ำเสร็จไงก็คงอยากเป็นแช่มชุบแป้งทอดอะผมคิดว่า แล้วเนี่ยะ พ่อคุณเขาตื่นตี 2 แล้วเป็นเวลาที่ผมควรนอน ทำไมไม่มีโมเม้นท์ที่คนขี้เมานอนยาวไปยันเช้าบ้างวะ เวลาตื่นจะได้ตื่นพร้อมกัน เฮ้อ....คงต้องรอไปอีกสักระยะเลยมั้ง

“น้องหอม”

“หืม....”

“ทำไมทำหน้าบู้บี้”

“หอมไม่ได้ทำหน้าบู้บี้สักหน่อย”

“ก็พี่เห็นอยู่กับตา ไม่งั้นพี่จะพูดได้ไง” ร่างสูงเดินมานั่งลงข้างๆ

“เออพี่ ข้าวก้องมันเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับไอ้เบย์อะ”

“ทำไมล่ะ”

“ตอนแรกข้าวก้องมันเป็นคนไม่เชื่อในความรักเพราะว่ามันเคยรักผู้หญิงคนนึง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็นอกใจมันไปมีคนอื่น มันก็เปลี่ยนไป แล้วมันมาเจอไอ้เบย์ใช่ไหม มันก็หวั่นไหวนั่นแหละแต่สุดท้ายมันก็เลือกที่จะจบทุกอย่างเพราะว่าไอ้เบย์เป็นน้องชายของผู้หญิงที่ทิ้งมันไป”

“ถ้าพี่เป็นไอ้เบย์ พี่คงเสียใจมากเลยล่ะ”

“หอมก็คิดแบบนั้นแหละ แล้วพี่คิดดูนะ ตัวข้าวก้องที่เป็นคนเลือกยุติความสัมพันธ์ก็เสียใจมากเหมือนกันแต่ก็เลือกที่จะทำแบบนั้น”

“แต่พี่ว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นนะ คนรักกัน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดกันอยู่ มันผูกพัน ตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว”

“หอมขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ” ผมถอดสร้อยที่คล้องเกียร์ของตัวเองออกมาก่อนจะยื่นให้พี่แช่ม “มันเป็นของพี่แล้ว”

“เกียร์ของน้องหอม”

“อื้ม ให้ไปแล้วก็ต้องเก็บไว้อย่างดีนะ พี่เป็นคนบอกหอมเองว่าเกียร์ที่เป็นตัวแทนของหัวใจ เราต้องเลือกให้คนที่จะอยู่กับเราตลอดไป”

“พี่จะอยู่กับน้องหอม” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น “น้องหอมก็ต้องอยู่กับพี่นะ”

“หอมจะไปไหนได้ล่ะจริงไหม....” ผมซบหน้าลงกับไหล่หนาอยู่อย่างนั้น อุ่นจัง อุ่นจนไม่อยากปล่อยเลย

แลกเกียร์กันแล้วก็ต้องดูแลกันไปเรื่อยๆ ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องปรับเข้าหากัน กลับมาจากค่ายผมหวังว่าอาการของพี่แช่มจะดีขึ้นมากกว่านี้ อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็ควรพูดชื่อน้องสาวเขาได้แล้ว ผมเชื่อว่าเจ้าตัวจะอดทนสู้กับมันได้ มันจะต้องไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและทำให้เขาเจ็บปวดอีกต่อไป พี่แช่มควรจะยิ้มได้เมื่อนึกถึงความทรงจำดีดีเกี่ยวกับชะเอม ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ขอให้เป็นแบบที่คิดเถอะ

   

   

Kh. @KhH22_luc

อะไรก็ตามที่ทำให้คุณมีความสุข....ผมจะทำ

   

#CloverBad












   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วน้า หายไปนานเลย สอบไฟนอลเสร็จแล้วค่ะและกำลังจะขึ้นปี 4 แล้วววว

   ก็ช่วงนี้หยุดยาวนะคะ แต่เดี๋ยวต้องปิดต้นฉบับหินแรร์ ก็อาจจะยุ่งๆ หน่อย สำหรับนิยายตอนนี้ก็เศร้าเนอะพาร์ทเบย์ก้อง จะเป็นยังไงต่อรอติดตาม

   ติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 13 : 17/5/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-05-2019 22:28:01
สู้ ๆ เด้อน้องข้าวก้อง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 14 : 14/6/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-06-2019 21:52:37
บทที่ 14 ความทรงจำ



Charit @Charitpedd

ความรู้สึกเวลาคิดถึงคุณมากๆ มันเป็นแบบนี้เอง


   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้

   

   

ทำไมชอบทวิตอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าอยากหนีค่ายวะ

ชริตเป็ดบ้า

ผมนั่งทำหน้ามุ่ยใส่โทรศัพท์หลังจากเห็นข้อความของใครบางคนที่ป่านนี้น่าจะนอนเป็นซากอยู่ที่ห้องกับคุณเฉลิม พี่แช่มทวิตข้อความนี้ไว้เมื่อบ่ายครับ ตอนนี้ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว นี่เป็นวันที่ 8 สำหรับการมาค่ายอบรมของสาขาโยธา ขอบอกเลยว่าคิดถึงแฟนมาก มากถึงมากที่สุด ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเป็นยังไง เราสองคนวิดิโอคอลหากันทุกคืนเลยนะแต่มันก็ยังคิดถึงอยู่ดีอะ

ในจอโทรศัพท์ไม่มีทางสู้ตัวจริงได้อยู่แล้ว

ตลอดเวลาในการอยู่ค่ายนี้มีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมดเลยครับ ช่วง 6 วันแรกที่เป็นการอบรมกับการดูงานมันก็เปื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ซึ่งมันก็เหมือนกับทุกปี เมื่อวานมีกิจกรรมแรกที่ทำร่วมกันนั่นก็คือการแสดงละครเวทีที่สมปองเคยเสนอไว้ตั้งแต่เมื่อปีก่อน มันสร้างสรรค์อยู่แล้วไงก็เลยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ส่วนกิจกรรมของวันนี้ก็จะเป็นการผูกสัมพันธ์ของพี่น้อง

ไม่รู้จะผูกอะไรกันนักหนา

แน่นแฟ้นกันจะตายห่าอยู่แล้ว

กิจกรรมวันสุดท้ายจะเป็นการปลูกป่าชายเลนครับ ผมว่ามันน่าจะสนุกพอสมควรเลย ผมอยากปลูกป่ามานานละ ยิ่งได้รับรู้ถึงประโยชน์ของมันก็รู้สึกได้เลยว่าเราสมควรที่จะทำจริงๆ ป่าชายเลนนับว่าสำคัญต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่ง ช่วยเรื่องป้องกันแนวชายฝั่ง ไหนจะเป็นที่อยู่ของสัตว์อีกหลายชนิดอีก ผมเคยคิดตั้งแต่ช่วงมัธยมฯ แล้วว่าอยากมาเที่ยวเชิงนิเวศน์และก็ปลูกป่าแบบนี้

ความคิดของบวรนี่ดีจริงๆ

ไหนๆ ก็พูดถึงบวรแล้วก็ต้องพูดถึงไอ้น้องเวรของผมด้วย ตั้งแต่วันที่ข้าวก้องบอกตัดความสัมพันธ์กับบวรไป มันดูไม่เป็นผู้เป็นคนยังไงก็ไม่รู้ เมาเกือบทุกวัน บางครั้งต้องไปลากมันกลับมาจากร้านเหล้า คือสภาพแย่มาก ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะพูด อาการหนักไม่ต่างจากตอนที่เลิกกับบีมเลยสักนิด ผมสงสารมันนะ ไม่อยากให้จมอยู่กับสภาพนั้น เอาจริงๆ ฝั่งบวรเองก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่

แววตาแสดงความเศร้าออกมาตลอดเวลา

ถ้ารักกันขนาดนั้น....ทำไมไม่คุยกันวะ

“ขอนั่งด้วยนะครับ” เสียงเรียบเอ่ยบอกก่อนจะนั่งลงข้างผม ตายยากโคตรๆ เลย เพิ่งนึกถึงก็โผล่มา

“สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคุณ”

“เหมือนมันจะไม่ดีทุกวันเลยครับ” เจ้าตัวยิ้มให้ผมบางๆ “ผมมีอะไรอยากถามพี่หอม”

“ว่ามา”

“พี่ก้องเป็นยังไงบ้างครับ”

“เป็นซากอะไรสักอย่าง คุณก็น่าจะเห็นนะ เอาจริงๆ การมาค่ายนี่ก็ดีตรงที่ไม่มีเหล้าให้มันกินนี่แหละ”

“แต่ถ้ากลับไป เขาก็คงจะเหมือนเดิม”

“อืม” ผมเหลือบมองคนข้างๆ “ผมถามจริงๆ นะ คุณอยากให้เรื่องมันจบงั้นเหรอ”

บวรส่ายหน้าเบาๆ “ผมรักพี่ก้องมากเลยนะครับ รักมาตั้งหลายปี”

“แล้วคุณจะยอมแพ้เหรอ”

“ไม่ได้อยากยอมหรอกครับแต่ผมจะทำยังไงได้ในเมื่อพี่ก้องไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิตเขาแล้ว ต่อให้ดันทุรังยังไงมันก็ไม่เป็นประโยชน์ ดีไม่ดี เขาจะเกลียดผมเปล่าๆ ”

อา....ไม่รู้จะปลอบใจยังไงเลยว่ะ

ผมยกมือแตะไหล่คนด้านข้างเบาๆ สิ่งที่บวรรู้สึกผมรับรู้ได้จากน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมาเลย สัมผัสได้จริงๆ ว่าเขารักข้าวก้องมากแค่ไหน เจ็บปวดเนอะ ทั้งๆ ที่รักมากขนาดนั้นแต่ต้องยอมละจากมันเพียงเพราะเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเอามายึดติดด้วยซ้ำ ปัญหาของเรื่องนี้ควรจัดการยังไงวะ กระทืบข้าวหอมสักทีให้กลับมามีสติดีไหมวะ หรือจับมามัดกับเก้าอี้แล้วปรับทัศนคติก็ได้

คือมันต้องมีสักทางไหมอะ

มันต้องสักทางที่จะไม่ทำให้สองคนนี้เจ็บปวด ผมไม่อยากให้ข้าวหอมเสียใจเพราะความกลัวของตัวเอง ไม่อยากให้บวรเจ็บช้ำที่น้องผมเลือกแบบนี้ด้วย เอาจริงๆ มองเห็นแค่ทางเดียวที่ดูเวิร์คที่สุดก็คือจับทั้งสองคนมานั่งคุยกัน มันต้องหาปัญหาก่อนว่าทำไมความสัมพันธ์ถึงไปต่อไม่ได้ พอเราหาปัญหาเจอ วิธีแก้ไขมันจะตามมาเอง ตอนนี้ผมมีบวรที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือแต่ข้าวก้องสินะ

“บวร....ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณก็อย่าลุกไปไหนนะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เออน่ะ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดโทรไปหาข้าวก้อง “.....เห้ยมึง กูเจอไอ้เบย์นอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้อะ เออสิวะ หัวแตกด้วยเนี่ยะไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

“พี่อื้อออ....อ.....” ผมเอามือปิดปากเจ้าตัวเอาไว้

“เออกูแบกไม่ไหวเนี่ยะ เออมึงรีบมานะ ตรงโซนต้นสะพานน้ำอะ เออๆ แค่นี้แหละ” ผมกดวางสาย “คุณนับถอยหลังได้เลยเพราะเดี๋ยวมันก็มา”

“พี่ทำแบบนี้ทำไมครับพี่หอม”

“ผมไม่อยากให้คุณและข้าวก้องจบแบบนี้จริงๆ ถ้าคุณรักมัน คุณก็ตามน้ำผมละกัน”

“ไอ้หอม!!!!” เสียงคุ้นหูแว่วเข้ามา ผมหันไปมองก็พบร่างโปร่งที่หน้าตาตื่นสุดชีวิต เป็นห่วงบวรจนจะขาดใจแล้วมั้งน่ะ

“มึงมาไว้มากเลยนะ ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ”

“แฮ่ก....นี่มันอะไรกันวะ”

ผมลุกไปลากมันมานั่งข้างกัน “อย่าดิ้น อยู่นิ่งๆ ซิ”

“มึงโกหกกูหนิ ไอ้เบย์ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ข้าวก้องเอ่ยพลางมองคนที่นั่งอยู่อีกด้าน

“ถ้ากูไม่บอกมึงแบบนั้น มึงจะมาไหมล่ะ”

“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กูจะไปแล้ว” คนดื้อพยายามแกะมือผมที่จับแขนมันออก “ปล่อยสิวะ มึงแรงเยอะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ถ้ามึงหนีอีก ความรักก็จะหนีมึงเหมือนกันนะ” ทันทีที่ผมพูดแบบนั้นร่างโปร่งก็ชะงักไปทันที ขนาดนี้มันต้องไปสะกิดใจอะไรบ้างแหละว่ะ

ข้าวก้องยืนนิ่งอยู่แป๊บนึงก่อนจะนั่งลงข้างผม เอาล่ะ นี่แหละคือการเป็นคนกลางที่แท้ทรู เริ่มยังไงดีวะ ตอนที่คิดจะทำก็ไม่ได้เตรียมคำพูดไว้ด้วย ปล่อยเดดแอร์ไปก่อนละกัน ผมเหลือบมองทั้งสองคนที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา บรรยากาศค่อนข้างกดดันพอสมควรแต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้ายังรักกันมันก็จะต้องไม่จบแบบนี้ รักกันจริงๆ ก็ต้องพร้อมที่จะสู้กับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นไปด้วยกันสิวะ

จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง

“บวร”

“....ครับ”

“คุณจำสิ่งที่บอกกับผมก่อนหน้านี้ได้ไหม”

“จำได้ครับ”

“พูดอีกครั้งหน่อยสิ” ผมหันไปมองข้าวก้อง “มึงฟังนะ”

“ผมต้องพูดจริงเหรอครับ” ร่างสูงเอ่ยเสียงอ่อน ผมก็พยักหน้ารับ “แต่คำพูดของผมมันจะไม่มีค่าเลยนะถ้ามีอีกคนไม่อยากฟัง”

“พูดมาสิ ผมจะฟัง” ข้าวก้องบอกพลางมองป่าชายเลนเบื้องหน้า

“ผม....ถามพี่หอมว่าพี่ก้องเป็นยังไงบ้าง”

“กูก็เลยบอกไปว่ามึงเป็นซากน่ะ”

“มึงนี่” มือเรียวหยิกขาผมทันที อื้อออ....เจ็บนะ กล้าดีที่สุด เรื่องนี้ถึงหูพ่อแน่ฝากไว้ก่อนเถอะ

“แล้วพี่หอมก็ถามว่าผมอยากให้เรื่องของเราจบเหรอ” บวรผ่อนลมหายใจออกมา “แน่นอนว่าผมไม่อยากให้มันจบเพราะผมรักพี่ก้องมานานแล้ว”

“.....อืม”

“พี่หอมถามอีกว่า ผมจะยอมแพ้เหรอ” เจ้าตัวหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างผม “ผมบอกว่าไม่ได้อยากยอมแต่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะพี่ก้องไม่อยากมีผมอยู่ในชีวิตอีกแล้ว ต่อให้ดันทุรังมันก็ไม่มีประโยชน์”

ผมมองทั้งสองคนสลับกัน ข้าวก้องยังคงมองที่ป่าชายเลนเบื้องหน้า น้ำใสๆ เอ่ออยู่ที่ขอบตา ผมพอรู้ได้ว่ามันกำลังรู้สึกแบบไหน ใจนึงก็รัก อีกใจก็ลืมความเจ็บปวดที่เคยเจอไม่ได้ ตัวบวรเองก็ไม่ได้ต่างกันเลย ผมยกมือขึ้นแตะไหล่ทั้งสองคนเบาๆ ไม่เป็นไรนะใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวข้าวหอมคนนี้จะเป็นคนทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นให้ ฝั่งบวรน่ะไม่ยากหรอกแต่ฝั่งข้าวก้องนี่สิ

คิดแล้วมันน่าทุบจริงๆ

“คุณ....ไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหน” ร่างโปร่งยกมือขึ้นปาดน้ำตา “ต่อให้ตัดสินใจยังไง สุดท้ายแล้วผมก็จะเสียคุณไปอยู่ดี”

“มึงรู้ได้ไงว่ามึงจะเสียไอ้เบย์ไป” ผมเอ่ยถามพลางจ้องมัน “เพราะสิ่งที่บีมพูดเหรอ”

“บีมพูดอะไรกับพี่ก้อง” บวรถามเสียงแข็ง

ผมค่อยๆ ถอยหลังออกมา “มึงบอกไปสิก้องว่าบีมพูดอะไรกับมึง อะไรที่ทำให้มึงเลือกที่จะจบความสัมพันธ์”

“บอกผมสิพี่ก้องว่าบีมพูดอะไรกับพี่” มือเรียวคว้าที่แขนน้องผม “ที่พี่อยากให้มันจบมันไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นน้องของบีมอย่างเดียวสินะ”

“ฮึกกกก....บีมบอกจะทำลายความรักของเรา ฮึก....เขาจะทำทุกอย่างให้เราไม่มีความสุข ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย”

“พี่ก้อง” บวรดึงข้าวก้องเข้าไปกอดพลางลูบหัวเบาๆ “จะไม่มีใครทำอะไรเราได้นะครับ ผมจะไม่ยอมให้บีมทำอะไรเราได้”

“ฮืออออ....ตอนนั้นผมก็เสียใจเพราะเขามาก เรื่องมันผ่านไปหลายปีแต่ผมลืมสิ่งที่เขาทำเอาไว้ไม่ได้เลย ฮึกกก....ผมไปทำอะไรให้เขาเหรอ ทำไมถึงต้องแค้นกันขนาดนั้น ฮึกกกก....ผมผิดอะไรอะ”

“พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้นเพราะงั้นไม่ต้องร้องไห้นะครับ”

“ฮึกกก...ก....คุณรู้ไหมบวร ตอนที่บีมบอกกับผมแบบนั้น ผมรู้สึกแย่มาก ผมคิดไม่ออกเลยว่าควรจะทำยังไงต่อ ฮืออออ....แล้วทางที่ผมเลือกมันก็ทำให้เราเสียใจ ตอนแรกผมนึกว่ามันจะดีแล้วสำหรับเรื่องของเราแต่ความจริงมันไม่ใช่เลย” ข้าวก้องกอดบวรแน่น “ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงคุณเลย....ไม่มีเลยจริงๆ ”

“พี่ก้อง....”

ครั้งสุดท้ายที่ผมเคยเห็นข้าวก้องร้องไห้หนักขนาดนี้มันก็ตอนที่เจ้าตัวอกหักจากบีมนั่นแหละ ฟูมฟายแล้วก็ถามซ้ำๆ ว่าตัวเองทำอะไรผิดถึงได้โดนคนรักทำแบบนั้น มันเสียใจมากจนไม่เป็นอันทำอะไรจริงๆ อะ ข้าวปลาก็ไม่กิน ชีวิตคือเศร้าถึงขีดสุดแล้ว พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงมากเลยล่ะกลัวข้าวก้องจะคิดสั้น บีมน่ะเป็นความรักครั้งแรกที่ข้าวก้องมี ทุ่มเทให้ทุกอย่างแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือการทรยศ

มันเลวร้ายมากจริงๆ

การที่ได้เห็นทั้งสองคนกอดกันแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของพี่แช่มเลย เขาบอกไว้ว่าคนรักกัน มันจะมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดกัน ผูกพันแล้วก็ตัดกันไม่ขาด ผมว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เลือกยุติความสัมพันธ์กันมันก็คงชัดเจนแล้วล่ะว่าต่างฝ่ายต่างโหยหากันมากแค่ไหน แยกกันไปหรือจะอยู่ด้วยกันแล้วสู้กับอุปสรรคที่จะตามมา ตอนนี้ทั้งคู่คงได้คำตอบที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกมีความสุขแล้วล่ะ

ดีแล้วที่เข้าใจกัน

“ทีนี้มึงก็รู้แล้วนะไอ้น้องเวรว่าควรทำยังไงต่อ” ผมขยี้หัวคนขี้แย “หน้าตาดูไม่ได้เลย”

“เพราะมึงนั่นแหละ” ข้าวก้องผละออกมาจากบวรก่อนจะเช็ดน้ำตาลวกๆ นี่ถ้าผมร้องไห้ สภาพหน้าก็จะเป็นแบบนี้สินะ

“กูทำไมหืม....”

“....ขอบใจ ถ้ามึงไม่ทำแบบนี้กูคงแย่มากๆ ”

“เวลามึงแย่กูก็รู้สึกแย่ไปด้วย” ผมยกมือแตะไหล่มัน “กูเลยอยากให้มึงมีความสุขมากกว่าเพราะถ้ามึงมีความสุข กูก็มีความสุขเหมือนกัน”

“ขอบคุณนะครับพี่หอมที่ช่วยผมเรื่องนี้”

“ถ้าอยากขอบคุณผมจริงๆ ก็ช่วยดูแลน้องชายผมให้ดีด้วยนะ ฝากมันด้วย”

“กูต่างหากที่เป็นพี่” ร่างโปร่งทำหน้ามุ่ยใส่ผม “มึงอะเป็นน้อง”

“หนิ เดี๋ยวตบให้หน้าคว่ำคาสะพานหรอก” ใจคอคือจะเถียงกันจนวันตายเลยใช่ไหมเรื่องใครเป็นพี่ใครเป็นน้องเนี่ยะ

“ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ” บวรปรามพวกเราก่อนจะมองข้าวก้อง “เรา....เริ่มกันใหม่นะครับพี่ก้อง ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ผมอยากให้เราผ่านมันไปด้วยกัน พี่อย่าให้ผมไปไหนอีกนะครับ”

“อื้ม....ผมจะไม่ให้คุณไปไหนอีกแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าของคนพูด ตอนนี้ก็ยังยิ้มได้นั่นแหละแต่เชื่อเถอะว่าคนดื้อแบบมันจะต้องมีเรื่องเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยแล้วก็มางอแงกับผมโดยไม่ให้บวรรู้

“พอๆ หวานกันเกินไปแล่ว” ผมเดินมานั่งลงข้างไอ้น้องเวรก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมา “สักมวนมา กูจะเลิกบุหรี่ละ”

“เลิกจริงใช่ไหมรอบนี้”

“เออ เลิกจริงแหละ” ผมหยิบบุหรี่มวนสุดท้ายของซองมาจุดก่อนจะสูบมันช้าๆ ขอลาวงการแล้วนะครับคุณดิบซี ลาจริงจังเพราะแฟนผมบ่นว่าไม่ค่อยชอบเลยเวลามีกลิ่นติดปาก

จูบแล้วรู้สึกแปลกๆ

ผมพ่นควันบุหรี่พลางมองวิวด้านหน้า สงบใจดีเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าระยะเวลาที่ห่างจากพี่แช่มมาเขาจะเป็นยังไงบ้าง ผมได้แต่หวังให้อาการเขาดีขึ้น อยากให้เขาดูรูปน้องสาวเขาได้สักที อยากเห็นเหมือนกันนะภาพนั้นน่ะ วันมะรืนผมก็จะได้กลับไปหาเขาแล้ว เจอกันเมื่อไหร่จะกอดแน่นๆ ให้สมกับความคิดถึงที่มีเลย

ผมนี่....รักพี่แช่มมากจริงๆ เลยว่ะ

   

---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 14 : 14/6/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-06-2019 21:53:54
--------- อ่านต่อจากบท 14 ----------



[บันทึกพิเศษ : แช่ม]

   

“อารมณ์ไหน”

“นั่นสิ อารมณ์ไหน”

“เออ กูก็สงสัย”

“ว่าไง”

“มึงจะถามอะไรกันเยอะแยะวะ แบกตามมาก็พอ” ผมบ่นเหล่าสหายก่อนจะเดินนำขึ้นหอ เชื่อไหมว่าหลายชั่วโมงกับการไปซื้อของด้วยกันคือวายป่วงมาก

รู้งี้ไปคนก็ดีอะ

ผมกับเพื่อนๆ ออกไปซื้อของมาครับ ผมอยากจะจัดมุมพิเศษมุมนึงไว้ในห้องก็เลยไปซื้อโต๊ะมาใหม่แล้วก็พวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ใครบางคนชอบมันมากเหลือเกิน ตอนนี้น้องหอมไปค่ายอบรมของสาขา กว่าจะกลับก็วันมะรืน หลายวันที่ผ่านมาการไม่มีเขาอยู่ด้วยมันทำให้ผมรู้สึกเหงามากจริงๆ ยังดีว่าได้วิดิโอคอลหากันทุกวัน ไม่งั้นผมต้องเฉาตายแน่ๆ

เฉาตายไปกับคุณเฉลิมนั่นแหละ

ผมรู้สึกได้ว่าช่วงที่ผ่านมาอาการต่างๆ ดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็นอนหลับได้เหมือนคนปกติแล้วนะครับ ไม่มีฝันร้าย ภาพความทรงจำที่อยู่ในหัวมันไม่ได้จางหายไปแต่ผมไม่ได้รู้สึกแย่กับมันมากขนาดนั้น คงเป็นเพราะวันที่ผมคิดสั้น ช่วงที่หลับไปผมได้เจอเธอ เธอคนที่รอผมมาตลอด ผมจำคำพูดทั้งหมดนั้นได้ดี มันไม่ใช่ความผิดผม เธออยากให้ผมมีความสุขเพื่อใครอีกคนที่อยู่ในจุดเดียวกันกับเธอ

เธอคนนั้น....น้องสาวของผม

ชะเอม

“มือมึงสั่น” เฌอคว้ามือผมไปจับ “หน้าซีดด้วย”

“คิดอะไรนิดหน่อยว่ะ” ผมเปิดประตูห้องตัวเองก่อนจะเดินนำเพื่อนๆ เข้าไป ผมเก็บห้องให้เป็นระเบียบมากกว่าเดิมเยอะเลย ถ้าน้องหอมเห็นเขาต้องตกใจแน่ๆ

“แปลกใจเหมือนกันนะที่อยู่ๆ มึงก็ไลน์มาชวนพวกกูไปซื้อของเนี่ยะ” เพื่อนขันเอ่ยก่อนจะวางของทั้งหมด

“ไม่เห็นแปลกป้ะวะ เมื่อก่อนกูก็ไลน์ชวนพวกมึงไปกินเหล้าบ่อยๆ ”

จันทร์ฉายหยิบกรอบรูปออกมาจากกล่อง “มันไม่เหมือนกันป้ะวะ”

“ว่าแต่มึงจะบอกรึยังว่ามึงซื้อของพวกนี้มาทำไม” สิ้นเสียงทะเลถามผมก็เดินไปหยิบกล่องสีดำที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามา จากวันที่ทะเลาะกับน้องหอท ผมไม่ได้เปิดมันอีกเลย

ความกล้ายังมีไม่มากพอล่ะนะ

“กูอยากจะมีโซนที่เป็นความทรงจำของ....” ผมผ่อนลมหายใจพลางคุมมือตัวเองไม่ให้สั่น เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเลยนะ

แค่เอ่ยชื่อออกมาเองแช่ม

“ใจเย็นๆ นะ ไม่เป็นไร” ขันบอกก่อนลูบไหล่ผมเบาๆ “ค่อยๆ หายใจ”

ผมนั่งลงกับพื้นก่อนที่เพื่อนๆ จะนั่งลงข้างๆ รู้สึกตัวเย็นยังไงไม่รู้ มันยากจริงๆ นั่นแหละแต่มันต้องไม่ยากที่ผมจะสู้กับมันได้ป้ะวะ ถ้ากับแค่เรื่องพูดชื่อน้องผมยังทำไม่ได้ ผมจะกลับไปบ้านได้ยังไง นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ไปไหว้อัฐิของพ่อกับแม่ ตอน....ตอนงานศพของน้องผมก็ไม่รับรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยได้ถามน้าเชตด้วยว่าเขาจัดการเอาไว้ยังไง ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปตั้งหลายปี

ผมไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว

“พวกมึงคงรู้แล้วว่ากูมีน้องสาว” ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดฝากล่องออก “ถ้าเธอยังอยู่ก็คงจะเพิ่งเข้ามหา’ลัยนั่นแหละ แล้วกูก็คงหวงเธอมาก”

“....อื้ม”

ผมหยิบอัลบั้มรูปออกมาก่อนจะเปิดมันช้าๆ พลางมองรอยยิ้มของคนที่ปรากฏบนนั้น “น้องสาวกูเขา....อยากเป็นพยาบาลมากเลย เพราะเราเสียพ่อแม่กันไปตั้งแต่เด็ก เธอก็เลยบอกกูว่า....ถ้ากูไม่สบาย เธอจะเป็นคนดูแลเอง”

“สวยนะ น้องสาวมึงน่ะ” มือเรียวของเฌอหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู “รอยยิ้มนั้นมีเสน่ห์มากจริงๆ ”

“ใช่” ผมยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะดูคนในรูป “น้องยังควรได้อยู่กับกูแต่ว่า....มัน”

“ไม่ใช่ความผิดของมึงหรอกนะ”

“ใช่ มันไม่ใช่ความผิดของมึง ไม่มีใครอยากให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก”

“นั่นสินะ ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว” ผมหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับเธอออกมาก่อนจะเอาใส่กรอบรูป “กูเสียใจจริงๆ ที่ทุกอย่างเป็นแบบนั้น กูเสียใจที่กูเป็นแบบนี้ด้วย กูไม่อยากให้ฝันร้ายทำอะไรกูได้อีกแล้ว กูไม่อยากทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงหรือลำบากเพราะกูอีก”

“.....แช่ม”

“น้องกู.....ฮึกกก....” ผมยิ้มทั้งน้ำตาให้เพื่อนๆ “....ชะเอม....ก็คงอยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”

“มึงพูดชื่อเธอออกมาได้แล้วนะ” สิ้นเสียงทะเล เหล่าเพื่อนๆ ก็กรูเข้ามากอดผม ฮึกกก....เห็นกูอ่อนแอรึไงไอ้พวกบ้า ไม่เห็นต้องเข้ามากอดเลยป้ะวะ

“ฮืออออ.....มึงจะร้องทำไมวะไอ้เวรแช่ม กูร้องตามแล้วแม่ง....ฮึก....”

“ฮึกกก....มึงมันกระจอกไงไอ้เฌอ”

“ฮืออ...อ....มึงก็ด้วยเถอะไอ้ขัน”

พวกมึงนี่มันจริงๆ เลยนะ

ผมมองรูปของเราสองคนที่อยู่ในกรอบ พี่ทำได้แล้วนะคะชะเอม....พี่พูดชื่อหนูออกไปได้แล้วนะ ถ้าหนูเห็นพี่ในตอนนี้ หนูคงยิ้มกว้างมากๆ แน่ ขอบคุณจริงๆ ที่มาหาพี่วันนั้น การสู้กับปีศาจในหัวมันไม่ง่ายเลย แต่เพราะคำพูดของหนู เพราะหนูบอกว่าพี่ยังมีคนที่ต้องคอยปกป้องและทำให้เขามีความสุข พี่ถึงได้ฮึดที่จะสู้กับมันอีกครั้ง พี่จะไม่ยอมให้ความทรงจำเลวร้ายนั่นทำอะไรพี่ได้อีก

พี่จะนึกถึงแต่ความทรงจำดีดีที่เราเคยมีด้วยกัน

พี่จะมีแต่ความสุข....ตามแบบที่หนูต้องการ

“กู....ขอบใจพวกมึงนะสำหรับวันนี้น่ะ”

“ฮือออ.อ....ไม่เป็นไรนะชริตเป็ด กูเพื่อนมึงไง กูเฌอไง....ฮือออ..อ....หยุดร้องไห้ไม่ได้ ช่วยด้วย”

“มึงนี่มันงอแงเก่งจริงๆ เลยเฌอ”

“ฮืออออ....”

   

***

   

“สวยดีเนอะ”

“อืม....ชะเอมชอบอะไรแบบนี้น่ะ”

“คุณเฉลิมก็น่าจะชอบเหมือนกัน”

“นั่นสิ”

น่าจะชอบมากด้วย

ผมมองคุณเฉลิมที่ยืนเกาะอยู่บนโต๊ะที่มีกรอบรูปและของอื่นๆ วางอยู่ เจ้าอ้วนมองรูปเหล่านั้นไม่หยุด คงคิดถึงเจ้าของตัวเองมากน่าดู โซนความทรงจำของผมกับน้องเสร็จเมื่อตอนเกือบ 3 ทุ่ม เพื่อนๆ ทยอยกลับไปแล้วจนเหลือแค่เฌอคนเดียว สภาพหน้าก็ดูไม่ได้เลย เอาจริงๆ ก็ดูไม่ได้แทบทุกคนอะ อยู่ดีดีแก๊งค์ปลาทองก็พากันร้องไห้

โคตรดูไม่จืด

เอาน่ะ ไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอดเวลาหรอก ผมดีใจกับตัวเองนะที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ เหลือแค่บ้านที่ต้องกลับไป ใจน่าจะสั่นมากเลยล่ะตอนได้เห็นสถานที่นั้น พอคิดออกนะว่าจะเป็นยังไงแต่ผมจะอดทน สัญญากับชะเอมไว้แล้วด้วยว่าจะกลับไป ผมจะชนะปีศาจในหัวได้ก็ต่อเมื่อผมกลับไปที่บ้านแล้วไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทำร้ายตัวเองอีกแล้ว ผมต้องทำได้

ครอบครัวรอผมอยู่ที่นั่น

“เดี๋ยวไปหาข้าวกินกันเถอะว่ะ หิว”

“เออ เอาดิ”

ครื้ดดดด...ดดด

“น้องหอมมึงอะ” เฌอส่งโทรศัพท์มาให้ น้องหอมวิดิโอคอลมาครับ ก่อนออกไปกินข้าวผมขออ้อนแฟนสักหน่อยก็แล้วกัน

“ว่าไงครับแฟนพี่” ผมยิ้มหวานให้คนที่อยู่ในจอ

“แหวะ ทำมาเป็นหวาน”

“มึงนี่มัน....” ผมเดินเลี่ยงเฌอมาที่ริมระเบียง “ยิ้มอะไรหืม....วันนี้เป็นไงบ้าง”

(คิดถึงมากๆ เลย)

“พี่ก็คิดถึงน้องหอมเหมือนกัน กลับมาเมื่อไหร่จะกอดให้จมอกเลย”

(หูยยยย....อยากโดนกอดจังเลย)

“ทำหน้าทะเล้นเดี๋ยวจะโดนนะ” ผมมองเจ้าตัว “วันมะรืนก็เจอกันแล้ว พี่มีอะไรเซอร์ไพรส์น้องหอมด้วย”

(เซอร์ไพรส์อะไรน้า)

“กลับมาเดี๋ยวก็เห็น แล้วนี่กินข้าวรึยัง”

(กินแล้ว พี่แช่มล่ะ)

“เนี่ยะ ว่าจะออกไปหาข้าวกินกับเฌอ”

(งั้นพี่ออกไปกินข้าวเถอะ กลับมาแล้วค่อยคอลหาหอมก็ได้ หอมมีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟังเยอะแยะเลย)

“เอาแบบนั้นก็ได้จ่ะ ถ้าพี่กลับมาแล้วเดี๋ยวคอลหานะ”

(โอเคเลย แค่นี้น้า)

“แค่นี้ครับ” ผมกดวางสายจะมองข้อความในทวิตเตอร์ที่แจ้งเตือนขึ้นมา

ช่วงนี้ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าของแอคที่ผมตามอยู่หลายปีกำลังมีความสุข มันก็ดีแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้เขาดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่อยากขอบคุณเขานะ ถ้าไม่มีโควทแปลกๆ ของเขา การถ่ายรูปเอียงๆ ของเขา ชริตเป็ดในตอนอายุ 17 อาจจะนั่งเหม่อมองท้องฟ้าไม่หยุดเลยก็ได้

คิดสภาพแล้วตลกชะมัด

บ้าว่ะแช่ม

   

   

Kh. @KhH22_luc

ถ้าผมมีเวลา....ผมจะใช้มันทั้งหมดกับคุณ

คิดถึงคุณจังเลยครับ

   

#CloverBad









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมหลังจากที่หายไปนานมาก ขอโทษด้วนะคะ งานที่มอเยอะจริงๆ เพราะงั้นขอให้รอนิยายกันอย่างใจเย็นน้า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 14 : 14/6/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-06-2019 22:33:45
เคลียร์เรื่องชะเอมได้ อีพี่คงจะหายดีในไม่ช้า  o18
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 15 : 6/7/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-07-2019 20:56:21
บทที่ 15 เซอร์ไพรส์ [Nc]




Charit @Charitpedd

เจอหน้าเมื่อไหร่จะกอดคุณให้จมอกเลยครับ

.

#พี่แช่มได้กล่าวไว้


.

.

ทำมาเป็นรักกันหวานชื่น

น่าหมั่นไส้จริงๆ

ผมมองข้อความในทวิตเตอร์ของพี่แช่มที่เวิ่นเว้อถึงแฟนตัวเองตามปกติ มันก็ดีหรอกนะที่เห็นรักกันได้แบบนั้น แต่บางทีมันก็อดมันเขี้ยวอยากจับมาทุบทั้งคู่จริงๆ แต่จะว่าไป คนที่น่าทุบมากกว่าใครก็อาจจะเป็นผมก็ได้ กว่าจะมีสติ ตัดสินใจทุกอย่างก็เกือบสายเกินไปแล้ว ดีหน่อยที่ข้าวหอมเป็นคนดึงผมกลับมาได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าน้องผมไม่ทำแบบนั้น ชีวิตผมหลังจากนี้มันจะเป็นยังไง

ต้องเศร้ามากแน่ๆ เลยว่ะ

ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตามหลังใครบางคนเข้ามาในห้องที่ผมคุ้นเคย ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้กับการมาที่นี่ หลังจากนี้ผมคงจะเข้ามาบ่อยจนไม่คิดสงสัยว่าเข้ามากี่ครั้งแล้วก็ได้ อีกอย่างคือเจ้าของห้องก็คงไม่บ่นด้วยถ้าผมจะโผล่มาหาเขาบ่อยๆ

คิดว่างั้นนะ

“ทำอะไรของคุณเนี่ยะ” ผมสะดุ้งทันทีที่โดนแขนแกร่งของคนตัวโตกว่ารั้งเข้าไปกอด ตอนนั้นยังตัวแค่ไหล่ผมแท้ๆ ไม่กี่ปีเขาโตได้มากถึงขนาดนี้เลยนะ

“ผมคิดถึงพี่”

“คิดถึงอะไรของคุณ ไปค่ายก็ไปด้วยกัน” ผมบ่นอู้อี้อยู่กับไหล่เขา

ร่างสูงผละออกมามองผม “ช่วงอาทิตย์แรกเหมือนอยู่กันคนละโลกเลยครับ เพิ่งรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกันก็เมื่อวันปลูกป่านั่นแหละ วันสุดท้ายด้วยนะ อยู่กันก็คนละกลุ่ม รถก็กลับคนละคัน พี่จะไม่ทำให้ผมคิดถึงได้ยังไง”

“บ่นเก่งขนาดนี้เลยเหรอ”

“บ่นไม่ได้เหรอครับ ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หนิ” เจ้าตัวกอดผมพลางซุกหน้าลงที่ซอกคอ “เพราะงั้น....ขอกอดหน่อยนะครับ”

อ้อนเก่งกว่าใครในโลกเลย

ผมลูบหัวเขาเบาๆ ชอบเวลาที่เขาอ้อนแบบนี้จัง ทั้งน้ำเสียงหรือสายตาที่สื่อออกมามันทำให้ผมใจเต้นแรงยังไงก็ไม่รู้ เด็กคนนี้ร้ายมาก เขารู้ว่าจะทำยังไงให้ผมแพ้ จะอ้อนยังไงผมถึงต้องยอม บวรมักอ่านเกมขาดเสมอ บางทีก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเอง อาจเพราะไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้วก็ได้แหละมั้ง หลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าบีมจะทำอะไรรึเปล่าแต่ว่า....ผมจะไม่ยอมแล้ว

บีมจะทำร้ายผมได้ครั้งเดียวคอยดูสิ

ถึงปากจะพูดแบบนี้แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกันแต่เอาวะ ให้มันเกิดขึ้นก่อนเถอะ ดีไม่ดีถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ มันอาจจะไม่ต้องถึงมือผมด้วยซ้ำ จากคำพูดของข้าวหอมแล้วก็บวรที่บอกว่าถ้ามีปัญหาอะไร ทุกคนจะช่วยกันจัดการเอง มันจะไม่ใช่เรื่องของผมแค่คนเดียวแน่ๆ ผมคิดว่าตัวเองโชคดีจังเลยเนอะที่มีคนคอยซัพพอร์ตขนาดนี้

ทุกอย่างนี่มันดีมากจริงๆ

“เลิกกอดได้แล้วบวร ผมเมื่อย”

เจ้าตัวละออกไปแต่ยังรั้งเอวผมไว้ “เรียกเบย์สิครับ”

“ทำไมต้องอยากให้เรียกเบย์”

“ดูสนิทดี”

“ผมสนิทกับคุณเหรอ”

“ก็สนิทอยู่พอตัวเลยนะครับ” เขายิ้มหวานให้ผมจนตาปิด ดูคำพูดคำจาสิ

“คุณคิดไปเองแล้ว” ผมดันเขาออกก่อนจะหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอน เด็กดื้อก็หยิบของตัวเองแล้วเดินตามเข้ามา

“ของเนี่ยะ ถ้าเอาไว้ที่นี่ ผมไม่ให้เอาไปไหนแล้วนะครับ”

“อืม” ผมมองมือเรียวที่เปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับดันของตัวเองไปฝั่งขวา “คุณก็อย่าเอามันออกไปไหนล่ะ แล้วก็....อย่าให้ใครได้มาแทนที่ผมด้วย”

“ใครจะแทนคนอย่างพี่ได้กัน”

ผมเหลือบมองเขาก่อนจะเอาของใช้ที่มีจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ของพวกนี้มันก็แค่ของใช้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ของหลักๆ ก็ยังอยู่ที่หอ ผมไม่ได้คิดจะย้ายมาอยู่กับบวรหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่มีของพวกนี้ติดไว้ที่ห้องเขาก็ดีเหมือนกัน เผื่อฉุกเฉินต้องมาค้าง จะได้ไม่ต้องวุ่นวายหาโน่นนี่นั่นใส่ เสื้อผ้าเขามันตัวใหญ่มากเลย จริงอยู่ว่าความสูงของเราพอๆ กันแต่ขนาดตัวก็ดูต่างอยู่

อยู่ดีดีผมก็รู้สึกตัวเล็กไปเลย

ตั้งแต่วันที่เข้าใจกันมันก็ยังไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยนะครับ เราไม่ได้พูดถึงสถานะความสัมพันธ์ของเรา ยังไม่ได้กำหนดชื่อเรียกหรืออะไรทั้งนั้น ผมควรเป็นคนเริ่มพูดหรือว่ารอให้เขาพูดดีนะ ผมไม่อยากให้มันเหมือนกับที่ข้าวหอมเคยเจอ รู้อยู่แก่ใจดีเลยแหละว่าเขารักแต่มันก็นะ เรื่องบางอย่างมันไม่แน่นอนเอาซะเลย ยิ่งกับความรักมันก็ยิ่งยาก

ปกติข้าวก้องต้องไม่คิดมากขนาดนี้ป้ะวะ

หลังจากเก็บของเสร็จ ผมก็หยิบเจ้าอาร์กติก แบล็กก่อนจะเดินมาที่ระเบียง มือหยิบบุหรี่ออกมาจากซองแล้วจุดสูบทันที แฝดน้องของผมตัดสินใจเลิกบุหรี่ไปแล้ว คิดว่าครั้งนี้น่าจะเลิกได้แน่ๆ นั่นแหละ ส่วนผม....ไม่รู้ว่ะ ข้าวหอมเลิกเพราะโดนพี่แช่มดุ แต่อย่างผมนี่ใครจะดุล่ะ อีกอย่างคือต่อให้ดุแค่ไหนผมก็ไม่ยอมฟังอยู่ดี

เป็นคนเอาแต่ใจอะ

“สูบบุหรี่เหรอครับ”

“อืม....” ผมมองคนข้างๆ “เอาหน่อยไหมล่ะ”

“ผมสูบไม่ไหวจริงๆ อาร์กติก แบล็ก มันเย็นไป แสบคอ”

ผมยิ้มเยาะ “เด็ก”

“ก็เด็กจริงๆ แหละครับ” เจ้าตัวหยิบบุหรี่ของตัวเองมาจุดสูบ “ขนาดสูบบุหรี่ ผมยังสูบตามพี่เลย”

“แล้วถ้า....ผมเลิกสูบล่ะ”

“ก็คงเลิกมั้งครับ อย่างที่บอก ตอนเริ่มสูบผมก็ทำตามพี่ ถ้าพี่เลิกสูบ ผมเองก็คงเลิกเหมือนกัน”

“คุณนี่ชอบเลียนแบบว่ะ” ผมอัดควันเข้าปอดก่อนจะพ่นมันออกมา ชอบความเย็นจัดแบบนี้จริงๆ ถ้าเลิกบุหรี่ ความรู้สึกนี้ก็จะหายไปสินะ

แต่ถ้าเลิก....ก็จะดีต่อสุขภาพมากเลย

“ต่อควันกันไหมครับ”

ผมหันขวับมองเขาทันที “ไม่ต้องมาชวนผมทำอะไรอีโรติกแบบนั้นเลย”

“อีโรติกตรงไหน เขาเรียกว่าโรแมนติกต่างหาก” ร่างสูงสูบควันเข้าไปเต็มที่ก่อนจะประกบปากลงมา รับรู้ได้ถึงควันที่ถูกปล่อยจากปากบวรได้เลย

กลิ่นหอมหวานนี้มันเกินไป

ผมละออกจากเขาก่อนจะพ่นควันออกมา มาโบโร่ เพอเพิลมันไม่ใช่ทางของผมเลย แต่ผู้ชายคนนี้นี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่ หึ....ต่อควัน เอาจริงๆ เด็กนี่แค่อยากหาเศษหาเลยกับผมเท่านั้นแหละ ดูหน้าที่ยิ้มทะเล้นนี่สิ พอเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบแก้มขาวๆ นั่น มือเรียวของคนข้างๆ จับมือผมเข้าไปจุ๊บค้างเอาไว้ เขาจะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังมองผมด้วยสายตาแบบไหน

ตึกตัก

หัวใจเต้นแรงไปหมดแล้วนะ

“พี่ก้องครับ”

“หืม....”

“ถ้าผมขอพี่เป็นแฟน....พี่จะยอมตกลงใช่ไหมครับ”

.

[จบบันทึกพิเศษ : ข้าวก้อง]

.

“ทำไมถึงดูอารมณ์ดีขนาดนั้นอะ”

“ก็น้องหอมกลับมาแล้วหนิ พี่ก็ต้องอารมณ์ดีสิ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ช่ายยยย” เจ้าตัวรับคำก่อนจะยกมือผมขึ้นไปจุ๊บ “พี่น่ะโคตรคิดถึงน้องหอมเลย”

“เว่อร์มาก”

“เว่อร์ได้มากกว่านี้อีก”

ผมมองคนที่กำลังขับรถอยู่นิ่งๆ เขาดูสดใสมาก สดใสในระดับที่เมื่อสิบวันก่อนเทียบไม่ติดเลย มีเรื่องดีดีเกิดขึ้นรึไงนะพี่แช่มถึงได้แจ่มใสขนาดนี้ แต่จะว่าไปมันก็ดีแล้วแหละ เห็นเขาโอเคขึ้นผมก็สบายใจ ตอนนี้เรากำลังกลับไปที่หอกันครับ พี่แช่มมารับผมที่มหา’ลัย สิบวันสำหรับการเข้าค่ายก็วายป่วงเอาตัว ดีเหมือนกันที่มันจบลงไปสักที หลังจากนี้ก็จะเปิดเทอมและก็มีกิจกรรมมหาโหดที่ใกล้เข้ามา

รับน้อง

แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

งานนี้ปีสองจะเหนื่อยหน่อย พวกปีสามจะจัดการเรื่องประเพณีวิ่งเกียร์ครับ สันทนาการจะเป็นของพวกน้องๆ ทำไป เดี๋ยวจะมีงานประกวดดาวเดือนด้วย มาไล่ๆ กันเลย เนี่ยะ พอมาคิดถึงงานที่ต้องเจอทั้งหมดก็อยากเข้าป่าไปจำศีลแล้วอะ พวกคณะกรรมการนักศึกษาทุกรุ่นคือยอดมนุษย์จริงๆ สำหรับผมแล้ว รุ่นพวกพี่ขันคือขั้นสุดมาก ทีมนี้คือเก่งโคตรๆ ถึงจะดูติ๊งต๊องไปหน่อยแต่เก่ง

ติ๊งต๊องสุดคือแฟนผม

ใช้เวลาสักพักเราก็กลับมาถึงห้องพี่แช่ม ร่างสูงช่วยถือของก่อนจะเดินนำผมขึ้นห้อง มือเรียวเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ผมตามเข้ามาก็เห็นว่าห้องสะอาดและเป็นระเบียบมาก เขาจัดห้องใหม่สินะ มีมุมๆ นึงที่ถูกเพิ่มเข้ามา โต๊ะสีขาวที่มีของหลายอย่างวางอยู่ ที่เห็นชัดๆ ก็คือกรอบรูปเยอะแยะเลย สิ่งที่ได้เห็นมันทำให้ผมยิ้มออกมาทันที ยิ่งรูปที่แขวนอยู่บนผนังนั่นมันก็ทำให้ผมได้เข้าใจว่าพี่แช่มจะเซอร์ไพรส์อะไร

รูปที่ตรงนั้น....พี่แช่มถ่ายคู่กับชะเอม

“เซอร์ไพรส์ไหม” ร่างสูงกอดผมจากด้านหลัง “พี่....ตั้งใจมากเลย”

“เซอร์ไพรส์มาก พี่โอเคแล้วสินะถึงได้ทำแบบนี้น่ะ”

“อื้ม พี่ไม่รู้สึกเศร้าที่จะต้องเอ่ยถึงชะเอมอีกแล้วล่ะ อีกอย่าง....ถ้าพี่ยังเป็นเหมือนเดิม ทุกๆ คนก็จะรู้สึกไม่ดี พี่อยากจะสู้กับมัน อย่างน้อยตอนนี้พี่ก็ชนะไปได้ขั้นนึงแล้ว”

“พี่เก่งมากพี่แช่ม เก่งมากจริงๆ ” ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาไว้ “หอมดีใจนะที่พี่อาการดีขึ้นขนาดนี้น่ะ”

“เพราะได้กำลังใจดีไง” พี่แช่มจับตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา มือเรียวเลื่อนขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ต้องขอบคุณน้องหอมนั่นแหละ ที่อยู่ข้างพี่ตลอดแม้จะแป็นตอนที่พี่ประสาทแดกก็ตาม”

“นั่นเพราะว่าหอมรักพี่แช่มไง” ผมยิ้มแป้นให้เขาก่อนจะกอดแน่น รับรู้ได้ถึงหัวใจพี่แช่มที่เต้นแรงมากๆ เขินที่โดนบอกรักแน่เลยว่ะ

“พูดแบบนี้พี่เขินนะ”

“ตัวจะแตกเลยป้ะ”

“เดี๋ยวจะโดน” เจ้าตัวละกอดออกไปก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ “ถ้าเขินจนตัวจะแตกบ้างอย่าว่าพี่ละกัน”

“อยากตัวแตกจัง”

“หึ....ไปอาบน้ำกัน” ว่าแล้วร่างสูงก็ลากผมเข้าห้องน้ำทันที เดี๋ยวก่อนนะ นี่ยังไม่ได้ตกลงเลยว่าจะอาบน้ำด้วย

“เดี๋ยวพี่แช่ม”

“ไม่เดี๋ยวแล้ว” คนเอาแต่ใจรั้งเสื้อผมออกไปก่อนจะขยับเข้ามาเบียดจนแนบชิด ใบหน้าคมลอยอยู่ตรงหน้า ลมหายใจร้อนๆ ที่รดผมอยู่มันทำให้รู้ได้เลยว่าเขากำลังคุกรุ่นมากแค่ไหน

เอาจริงเหรอวะ

สายตาของพี่แช่มแสดงความจริงจังในสิ่งที่อยากทำออกมาชัดเจน นิ้วเรียวเกลี่ยที่ข้างแก้มผมพลางเลื่อนมาลูบบนริมฝีปากเบาๆ อา....ประหม่าจัง ก่อนหน้านี้มันมักจะหยุดที่จูบตลอดเลย เขาไม่เคยทำมากกว่านั้น ถามว่าผมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไหมมันก็นะ พูดยากเหมือนกันว่ะ แต่ที่รู้แน่ๆ คือผมไม่เคยปฏิเสธเวลาที่เขาจะเข้ามายุ่มย่ามกับตัวเองเลยสักครั้ง ไม่เคยห้ามแถมยังยอมให้ความร่วมมือดีด้วยซ้ำ

ผมชอบการถูกสัมผัสจากคนที่ผมรัก

“พี่จะทำอะไร” ผมเอ่ยถามพลางมองคนตรงหน้าไม่วางตา ต้องคอนเฟิร์มก่อนครับว่าเรากำลังคิดเหมือนกัน ไม่งั้นผมจะเก้ออยู่คนเดียวเหมือนกับทุกๆ ครั้ง

“....เซ็กซ์”

ตึกตัก

พูดตรงจัง

“จะทำจริงๆ เหรอ”

“อยากทำ” ปลายจมูกเขาเขี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้มผม “แต่ถ้าน้องหอมยังไม่อยาก....พี่ก็”

“ขออาบน้ำก่อน อาบคนเดียว”

ร่างสูงละออกไปก่อนจะยกยิ้มมองผม “พี่รอข้างนอกนะ” สิ้นเสียงพูดเขาก็เดินออกไป โอ๊ยยยย ใจข้าวหอม เต้นแรงมากกว่านี้หัวใจจะวายเอานะ

วูบวาบไปหมดแล้วโว้ย

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองพลางตั้งสติ พี่แช่มเขาเอาจริงแน่ๆ แหละรอบนี้ ตื่นเต้นไปหมดเลยว่ะ ผมพอรู้อยู่ว่าผู้ชายด้วยกันมันทำยังไง แล้วก็รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายไหน เหมือนเตรียมใจกับเรื่องนี้เอาไว้นานมากๆ แต่พอมันจะเกิดขึ้นจริงๆ มันก็อดคิดไม่ได้เลยนะ ผมคงเขินมาก อีกอย่างมันเป็นครั้งแรกของเราสองคนด้วย มันต้องเงอะงะมากแน่ๆ เลยว่ะ

ลองคิดภาพขำๆ ก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัว

ผมใช้เวลาพักใหญ่ในการอาบน้ำ มันต้องให้ได้สะอาดมากที่สุดเลยน่ะครับ แล้วผมก็จัดการตรง....อืม รู้สึกแปลกๆ มากเลยอะ ผมหวังให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันดีนะ เอาวะ ต้องมั่นใจหน่อยแหละ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอวเพียงผืนเดียว เอาจริงๆ พี่แช่มเห็นจนชินแล้วแหละ แต่ด้วยสายตาที่เขามองวันนี้มันทำให้อดเขินไม่ได้เลย

มันต่างจากทุกครั้งเอามากๆ

ร่างสูงนั่งมองอยู่ที่ปลายเตียง มือเรียวเอื้อมมารั้งเอวผมให้ไปนั่งเกยอยู่บนตักเขา ไม่หนักบ้างรึไงนะ ตัวผมไม่ใช่เล็กๆ เลย แต่จะว่าไป....พี่แช่มก็ตัวใหญ่กว่าผมพอสมควร ไซส์ตัวพอๆ กับพี่ขันเลย กินอะไรกันเข้าไปวะถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้

บวรก็อีกคน

“หอมจัง” จมูกโด่งดมฟุดฟิดที่ซอกคอผม “หอมสมชื่อเลย”

“พูดอะไรเนี่ยะ”

“พูดความจริงทั้งนั้น แต่ถ้าไม่อยากให้พี่พูดมาก.....ก็ทำให้พี่เงียบสิ”

ผมยกมือขึ้นโอบรอบคอคนด้านล่าง “หอมต้องทำยังไงเหรอ”

“อย่าพูดเหมือนไม่รู้สิ” เจ้าตัวยิ้มบางๆ ให้ผม สัมผัสถึงแรงบีบที่สะโพกได้เลย มือหนักซะด้วยนะ

“ก็....ไม่รู้จริงๆ อะ”

พี่แช่มพลิกให้ผมนอนราบไปกับเตียงก่อนที่เขาจะเลื่อนตัวขึ้นทาบทับไว้ด้านบน “งั้นเดี๋ยวพี่ทำให้รู้เอง” สิ้นเสียงนุ่มเจ้าตัวก็ประกบจูบลงมาทันที

ผมเปิดปากรับสัมผัสนั้นแต่โดยดี ชอบครับ ชอบไปหมดทุกอย่าง รสจูบที่อ่อนโยนนี้มันดีต่อใจผมมากจริงๆ ลิ้นร้อนไล่ต้อนไปมาเหมือนกับหยอกเย้า ผมเลื่อนมือไปถกเสื้อเขา จะชีเปลือยอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ มันไม่แฟร์ ร่างสูงละจูบออกไปก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออกแล้วก้มลงมาจูบต่อ อื้อออ...อ.....ใจคอจะจูบกันจนปากเปื่อยเลยใช่ไหมหืม....

จะหายใจไม่ทันแล้วนะ

คนบนร่างไล่จูบมาตามซอกคอพลางเลื่อนมือมาลูบผ่านยอดอกผมเบาๆ มืออีกข้างเลื่อนต่ำลงไปจับส่วนอ่อนไหวตรงกลางที่อยู่ใต้ผ้าเช็ดตัว อื้อออ...อ...ทำไมต้องทำให้รู้สึกแปลกๆ ไปหมดแบบนี้ด้วยนะ ทุกสัมผัสที่มาจากเขามันทำให้ผมประหม่าไปหมด จากแรงจูบที่ต้นคอนี่ต้องเป็นรอยจ้ำแน่ๆ พอคิดว่าพี่แช่มทำคิสมาร์กทิ้งเอาไว้ ผมก็ผงกหัวขึ้นไปขบเม้มแรงๆ ที่ซอกคอเขาบ้าง

ทำมาก็ต้องทำกลับสิครับ

“ทำไมถึงน่ากินไปทั้งตัวเลยอะ” ร่างสูงเอ่ยถามพลางลากลิ้นลงไปเลียวนรอบยอดอกผม มือเรียวดึงผ้าเช็ดตัวออกไปก่อนจะเลื่อนมากุมส่วนนั้นไว้ อื้อออ....ผมโดนปู้ยี้ปู้ยำแล้วววว

“อ๊ะ....หอมเปล่า”

“เหมือนน้องหอมจะชอบที่พี่ทำแบบนี้เลย” ลิ้นร้อนเลียวนอยู่ที่เดิมก่อนจะงับเบาๆ สลับกันไป มือด้านล่างก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี

“อื้อออ...อ....อย่าทำแบบนั้นสิ”

“ทำไมล่ะหืม....” เจ้าตัวจูบใต้คางผมเหมือนปลอบ มือก็ขยับหนักขึ้นกว่าเดิม ฮืออออ....เหมือนโดนแกล้งเลยอะ เพราะไม่เคยทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ มันก็เลยรู้สึกแบบนี้

ข้าวหอมจะเป็นบ้าแล้วนะ

“หอมรู้สึกแปลกๆ ”

“พี่จะทำให้แปลกว่านี้อีก” พี่แช่มเอื้อมไปหยิบเจลหล่อลื่นกับถุงยางที่อยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงออกมา แอบไปซื้อมาตอนไหนวะ ก่อนหน้านี้ไม่มีแท้ๆ

ผมนอนหายไปใจแรงๆ พลางปล่อยให้ร่างสูงทำตามอำเภอใจ มือพี่แช่มที่กุมตรงนั้นของผมอยู่ก็ผ่อนแรงลง เจ้าตัวเลื่อนมาจูบผมอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่ช่องทางรักด้านหลัง ความลื่นนั่นมาจากเจลเย็นๆ อื้อออ....มือคนอื่นมันทำให้วาบหวามได้มากขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ใช่สิ ต้องพูดว่ามือพี่แช่มมากกว่า เพราะถ้าเป็นคนอื่น ผมคงไม่ยอมให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ๆ

“อื้อออ....” ผมกัดปากเพื่อข่มความเจ็บยามที่นิ้วเรียวแทรกเข้ามาด้านใน เจ็บอะ ตอนที่ทำเองมันไม่เจ็บเท่านี้เลย เพราะขนาดของนิ้วงั้นเหรอ

แล้วถ้าไม่ใช่นิ้ว....มันจะขนาดไหนวะเนี่ย

“แน่น”

“ต้องแน่นอยู่แล้ว....อ๊ะ....เบาหน่อยพี่แช่ม” ผมบอกเสียงอ่อนเมื่อเจ้าตัวขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ ลิ้นร้อนเลียเล่นอยู่ที่ยอดอกผม รู้สึกทั้งบนและล่างแบบนี้มันเกินไปแล้ว

“อดทนหน่อยนะ” ร่างสูงขยับนิ้วเข้าออกอยู่อย่างนั้นก่อนจะเพิ่มจำนวนเข้ามาจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสามตามลำดับ

อื้อออ...ตรงนั้นมัน

“อื้ออออ....มันแปลกๆ ”

“ตรงนี้” เขากดเข้าที่จุดนั้นซ้ำๆ ความเสียววูบวาบแล่นเข้ามาที่ท้องน้อยทันที

“มัน....มันเสียว เสียวเหมือนจะเป็นบ้าเลย....อื้ออ...อ...” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองด้วยความอาย หน้าร้อนมากเลยว่ะ ตอนนี้ตัวผมคงแดงไปหมดแล้วแน่ๆ

“พี่จะเอาจริงๆ แล้วนะ” สิ้นเสียงพูด ผมก็แง้มนิ้วเพื่อมองเขา พี่แช่มถอดกางเกงยีนส์ออกไป ผมเห็นสิ่งที่นูนทะลุบ๊อกเซอร์ออกมา นี่ขนาดยังไม่ได้ออกมาจังๆ นะ

ใหญ่ขนาดนั้นเชียว

“เบามือหน่อยนะ”

“ไม่รับปากได้ไหม”

“งื้ออออ....พี่จะทำหอมเจ็บเหรอ”

“มันต้องเจ็บแหละแต่พี่จะทำให้น้องหอมมีความสุข” มือเรียวถอดชั้นในออกไปจนหมด ผมตาค้างทันทีที่ได้เห็นส่วนนั้นของเขา คือมันเกินไปแล้วอะ

ใหญ่ขนาดนั้นจะเข้ามาได้ยังไงวะ

สามนิ้วของเขายังไม่เฉียดกับของจริงเลย

ผมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างติดขัด มองพี่แช่มหยิบถุงยางสวมเข้าไปตรงนั้น มือเรียวชะโลมเจลหล่อลื่นไว้เต็มไปหมด เจ้าตัวคงอยากทำให้ผมเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบลงมา ผมรับรู้ได้ถึงส่วนแข็งขืนที่ถูวนอยู่ที่รอบปากทางเข้า ร่างสูงแทรกกายเข้ามาช้าๆ มันเจ็บ มันอึดอัด แต่ก็ยังดีที่มีจูบหวานๆ คอยปลอบประโลม ไม่งั้นผมต้องแย่มากแน่ๆ

ดีจังที่เขาทำแบบนี้

ร่างสูงละจูบออกพลางคลี่ยิ้มให้ผม มือเรียวเกลี่ยที่ข้างแก้มเบาๆ สายตาที่เขามองมามันอ่อนโยนมากเลย การกระทำนี้ทำให้รู้สึกได้ว่าเขาอยากถนอมผมจริงๆ ผมรอให้ความรักของเรามันชัดเจนมาตลอด จนมาถึงวันนี้ รู้สึกดีมากเลยนะการที่ได้เชื่อมโยงกับคนที่เรารักน่ะ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่....ผมมีความสุขกับมันมากเลย

“โอเคไหม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไปโอบรอบคอเขา “หอมไม่เป็นไรแล้ว พี่แช่มขยับเลย”

“น้องหอม....รัดพี่แน่นมากเลยอะ”

“อย่าพูดนะ”

“หึ....” เอวสอบเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ อา....ดีจัง ถึงเจ็บหน่อยแต่เดี๋ยวก็คงชิน

ครั้งแรกก็ต้องอดทนแบบนี้แหละ

“อื้อออ....พี่แช่ม”

“พี่น่ะ....รักน้องหอมมากเลยนะ” เสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู “น้องหอมเป็นของพี่จริงๆ แล้วนะ”

พี่ก็เป็นของหอมแล้วเหมือนกัน

“....เราเป็นของกันและกันแล้ว”

“อื้มมม....”

“อ๊ะ....”



***



ปวดไปทั้งตัว....ตั้งแต่หัวจรดเท้า

ไม่อยากขยับตัวเลย

ผมมองคนที่กอดตัวเองอยู่นิ่งๆ พี่แช่มหลับอยู่ครับ ตอนนี้เกือบตี 4 แล้ว คือเรามีเซ็กซ์กันครั้งแรก มันดีมากเลย และตอนนี้ผมก็ปวดมากด้ย ไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะหรอกแต่น่าจะเป็นเพราะครั้งแรกนั่นแหละ ร่างกายมันไม่ไหวเลย ผมรู้นะว่าร่างสูงอยากทำต่อแต่เขาเห็นผมป้อแป้ไปหมดก็เลยยอมหยุด รู้สึกว่าตรงนั้นระบมมากเลยอะ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันจะหายด้วยเนี่ยะ แล้วก็คือเดี๋ยวต้องไปมหา’ลัยด้วย

ข้าวหอมตายแน่ๆ

“พี่แช่ม” ผมจิ้มแก้มเขา “พี่แช่มมมม”

ร่างสูงลืมตามองผมก่อนจะกระชับกอดให้แน่นขึ้น “ไม่นอนล่ะหืม....”

“หิวน้ำอะ เอาน้ำให้หน่อยสิ หอมเจ็บคอไปหมดแล้ว”

“ทำไมเสียงแหบจัง”

“ยังจะมาถามอีก” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ เสียงแหบเพราะใครล่ะแหมๆ ๆ ๆ

“เดี๋ยวก็โดนพี่ฟัดอีกรอบหรอก ดูทำหน้าเข้า” เจ้าตัวลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปหยิบน้ำมาให้ ผมพลิกตัวนอนคว่ำด้วยความยากลำบาก ให้ลุกนั่งคงไม่ไหวแน่นอนอะจากสภาพ

“อีกสองอาทิตย์มันจะมีสัมนาอะ ช่วงนั้นหยุดยาว เราไปบ้านพี่กันไหม”

พี่แช่มส่งน้ำให้ผมก่อนจะเดินมานอนลงที่เดิม “พี่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ว่าพี่อยากไปนะ ไหวไม่ไหวก็ค่อยว่ากันอีกที พี่จะหนีต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้อีกแล้ว”

“หอมเชื่อว่าพี่ทำได้” ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาไว้ “ไม่ต้องห่วงนะ หอมจะอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนพี่เอง”

“อยู่เป็นเมียได้ป้ะ”

“ไม่ต้องพูดเลย” ผมเอาหน้าซุกหมอนเพื่อหนีเขา เราคุยเรื่องจริงจังกันอยู่นะ ไว้ผมหายดีก่อนเถอะ จะไล่ทุบให้

“โอ๋ๆ ไม่พูดแล้ว” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดเอาไว้ “นอนซะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปซื้อข้าวกับยามาให้”

“ขอบคุณนะพี่แช่ม”

“พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ....” ว่าแล้วคนตรงหน้าก็หลับตาลงอีกรอบ พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเขาเอาไว้

ความสัมพันธ์ของเรามันข้ามไปอีกขั้นแล้ว ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่ผูกพันกันแต่ร่างกายเองก็ด้วย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นที่ทุกอย่างมันจะจบลงด้วยดี ถ้าพี่แช่มสามารถกลับไปที่บ้านเขาได้ หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกต่อไป อย่างน้อยเขาจะได้มีความสุขมากขึ้น จะว่าไป....สีหน้าเขาในตอนนี้มันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ผมดีใจนะที่ทุกอย่างมันกำลังจะผ่านได้ด้วยดี

ดีใจมากจริงๆ

.

.

Kh. @KhH22_luc

ความสุขของคุณคือความสุขของผมนะครับ

.

#CloverBad


.

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค่ะมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากหายไปนานเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ สำหรับ Nc มันก็ยังยากเหมือนทุกครั้งนะ ถ้าแปร่งๆ ต้องขอแภัยด้วย เรื่องจะเป็นยังไงรอติดตามต่อค่า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 15 : 6/7/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-07-2019 22:24:36
เรื่องบนเตียงของหอมเนี่ย เล่นเอาหมดทั้งแรง หมดทั้งเสียงเลยหรอ อีพี่แช่มเนี่ย ร้ายนิ  :m4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 16 : 18/8/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-08-2019 20:31:59
บทที่ 16 หลากหลายความรู้สึก



Kh. @KhH22_luc

เห็นคุณยิ้มอย่างสดใสได้ทุกวันผมก็ชื่นใจ

   

#CloverBad

   

   

ชื่นใจมากจริงๆ เลยนะ

ผมมองรูปในไลน์ที่พี่แช่มถ่ายส่งมาให้ดู เขาทำหน้าตาตลกแล้วก็ส่งมาไม่หยุดเลย คงว่างมั้งถึงได้ทำอะไรแบบนี้ได้ จากวันที่ผมไปค่ายก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วครับ ช่วงที่ผ่านมาความรักหวานชื่นมากเลย มีความสุขจนเหมือนจะเป็นบ้า แฟนผมเขาทำตัวน่ารักน่าหลงขึ้นทุกวัน บางทีใจก็ไม่ไหวนะ มันเขินอะ เชื่อไหมว่าจากวันที่มีอะไรกันครั้งนั้น จนถึงตอนนี้ผมยังปวดแปล๊บๆ ที่เอวอยู่เลย

ร่างกายนี้มันกิ๊กก๊อกจริงๆ

ข้าวหอมเป็นคนแข็งแรงนะครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าทำเรื่องแบบนั้นแล้วร่างจะเปลี้ยได้ขนาดนี้ ตอนที่ตื่นขึ้นมาผมก็ไม่สบาย เป็นไข้เลยอะ ทรมานเหมือนกันนะที่เป็นแบบนั้น แต่ตอนที่ทำกันมันก็ดีมากๆ ผมชอบที่แฟนตัวเองทะนุถนอม อ่อนโยน แล้วก็คอยดูแล มันเป็นโมเม้นท์ที่นึกถึงทีไรก็มีความสุข

หุบยิ้มไม่ได้เลย

“ดูหน้าก็รู้แล้วว่าคิดถึงผัวอยู่”

ผมตีไหล่คนที่หน้าเหมือนตัวเองทันที “ผัวอะไรของมึงวะ”

“กูพูดผิดรึไง หรือมึงคิดถึงผัวคนอื่นล่ะ”

“ข้าวก้อง”

“อย่ามาทำเสียงดุแบบนั้นนะ” เจ้าตัวบีบแก้มผม “ช่วงนี้สีหน้าดูสดใส มีความสุขดีใช่ไหม”

“อืม มึงก็เหมือนกันสินะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ไม่นิดหน่อยมั้ง”

“พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจหรอก” คนข้างๆ ยักคิ้วให้อย่างกวนส้นตีน “แฟนมึงไม่ได้เป็นเด็กเหมือนแฟนกูอะ”

ก็คือขิงผัวเด็กอย่างนั้นเถอะ

“น่าหมั่นไส้จริงๆ ” ผมรั้งคอไอ้น้องเวรเข้ามาใกล้ก่อนจะขยี้หัวมันอย่างมันเขี้ยว ตายซะเถอะมึง

ตอนนี้พวกเรานั่งกันอยู่หน้าตึกเรียนครับ มีนัดประชุมเชียร์น้องตอนบ่าย 3 ก่อนที่จะหยุดยาวช่วงอาจารย์สัมมนา ผมกับพี่แช่มตกลงกันไว้ว่าจะกลับไปที่บ้านเขา จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่วันแรกๆ อาจจะต้องไปอาศัยค้างที่บ้านลุงเชตก่อน จะให้พี่แช่มกลับไปนอนในบ้านตัวเองเลยก็คงยาก นี่ยังไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับการเผชิญหน้านี้ได้ขนาดไหน เจ้าตัวเหมือนเตรียมใจเอาไว้ตลอดนะช่วงที่ผ่านมาแต่ถ้าเจอของจริง ผมคิดไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะแสดงอาการยังไง

ขอให้มันไม่แย่ไปกว่าเดิมก็พอ

ความเป็นห่วงของผมมันเหมือนเดิมเลยนะ ถึงช่วงที่ผ่านมา อาการหลายๆ อย่างของเขาจะดีขึ้นก็เถอะ แต่มันก็อดวางใจไม่ได้อยู่ดี ตราบใดที่พี่แช่มยังกลับไปที่บ้านของตัวเองไม่ได้ ผมคงเก็บเรื่องนี้มาคิดเล็กคิดน้อยอยู่ตลอดแน่ๆ ก็นะ แม่งเรื่องของคนที่ตัวเองรักนี่หว่า ถึงแฟนผมจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแต่ใครมันจะอดใจได้วะ แล้วเนี่ยะ ทุกวันนี้ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจคนเดียว

ถ้าพี่แช่มรู้ เขาก็จะดุผม

“หอม”

“หืม....”

“มึงจะไปไหนรึเปล่าช่วงวันหยุดยาว”

“กูตกลงกับพี่แช่มว่าจะกลับไปบ้านเขาที่นครศรีธรรมราชอะ”

“โอเคแล้วเหรอถึงจะกลับไป”

ผมส่ายหน้าช้าๆ “กูก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เขาพูดถึงชะเอมได้แล้วและก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่แย่สักเท่าไหร่ อีกอย่างการกลับบ้านนี้ เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะกลับไปนะ กูว่าตัวเขาก็คงเตรียมใจไว้ระดับนึง”

“แล้วมึงได้คิดเอาไว้รึเปล่าว่าถ้ากลับไปแล้ว มันแย่ลง มึงจะทำยังไง”

“ก็เริ่มใหม่ เริ่มใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับมัน” แต่ผมเชื่อนะว่าพี่แช่มจะไม่กลับไปอยู่ในจุดที่แย่ขั้นสุดจนจำอะไรไม่ได้ ผมว่ามันไม่น่าขนาดนั้น แต่อย่างว่า....ใจคนอะเนอะ

เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะเปลี่ยนไปตอนไหน

“กูเอาใจช่วยละกัน”  ข้าวก้องยกมือแตะไหล่ผมเบาๆ “ถ้ามีอะไรก็บอกกูได้เสมอ”

“อืม ขอบใจ แล้วมึงอะ หยุดแล้วจะไปไหน”

“เบย์อยากไปทะเล” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เชื่อได้เลยว่าไอ้น้องเวรไม่ได้บอกแฟนตัวเองว่ามันไม่ชอบทะเล ดูทรงคงอยากตามใจบวรนั่นแหละแต่ก็คือต้องฝืนใจตัวเอง นี่ถ้าผมไปบอกผัวเด็กมันว่า เห้ยบวร แฟนคุณไม่ชอบทะเลอะ เด็กนั่นจะต้องเปลี่ยนแพลนโดยการพาข้าวก้องไปที่อื่นทันที แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่ใช่ธุระของผมที่ต้องไปบอกสักหน่อย ถ้าข้าวก้องคิดว่าตัวเองทนไหวก็ปล่อยไป

เก่งอยู่แล้วเรื่องทรมานตัวเองอะ

“เดี๋ยวกูไปซื้อชานมก่อน พวกมึงเอาอะไรไหม” ผมหันไปถามบรรดาชาวแก๊งค์ ทุกคนก็จดของที่ต้องใส่กระดาษโน้ตก่อนจะส่งมาให้ผม เอาอะไรกันเยอะแยะวะ เห็นข้าวหอมมีกี่มือกัน

ช่างเถอะ....บ่นไปก็เท่านั้นแหละ

ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงร้านขายน้ำก่อนจะส่งกระดาษโน้ตให้ป้าเจ้าของร้าน เห็นแต่ละเมนูแล้วเหนื่อยแทนจริงๆ  โดยเฉพาะของข้าวก้อง บานาน่าช็อกโก้ใส่โอริโอ้แล้วปั่นแบบละเอียดๆ ท็อปวิปครีมและขอหลอดสีฟ้า คือมีคนเรื่องมากกว่านี้อีกป้ะในโลกนี้อะ โอเคผมเชื่อว่าอาจจะมี แต่โลกของผมเนี่ยะ มีมันนี่แหละที่เรื่องมากที่สุด กินเหมือนคนอื่นคงจะประสาทแดกมั้งดูท่า

ป่านนี้คงจามจนตายละ

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหลครับ....ลุงเชต”

(สะดวกคุยไหมข้าวหอม)

“สะดวกครับ” ผมเอ่ยถามพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ร้าน “ลุงเชตโทรหาผม มีธุระอะไรเหรอครับ”

(ที่บอกกับลุงว่าช่วงวันหยุดจะกลับมานครศรีฯ กัน ยังจะกลับอยู่ใช่ไหม)

“กลับครับ หรือว่าลุงเชตไม่สะดวกที่จะให้พักที่บ้านลุงก่อนเหรอครับ”

(ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก คืองี้นะข้าวหอม เพื่อนลุงที่เขาเป็นตำรวจน่ะ แจ้งมาว่าจับคนร้ายที่ฆ่าชะเอมได้แล้วนะ)

จับคนร้ายที่ฆ่าชะเอม

“จะ....จริงเหรอครับ” ผมยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง “แล้ว....จะทำยังไงต่อ”

(เขานัดวันทำแผนน่ะ ที่บ้านนั่นแหละ คือลุงคิดว่าแช่มอาจจะพร้อมกลับมาบ้านแต่คงไม่ใช่วันที่ทำแผน ลุงกลัวว่าตัวแช่มเองที่จะทนไม่ไหว เอาจริงๆ ลุงยังไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับแช่มเองเลย ถึงได้โทรหาเรา)

“ผมเข้าใจครับ ดีจังที่จับคนร้ายได้”

(ตอนแรกลุงก็ไม่คิดว่าจะตามจับได้เหมือนกันเพราะมันหนีมาตั้งหลายปี ความจริงมันโดนจับเพราะคดีขนส่งยาเสพติด แล้วพอเช็กประวัติถึงรู้ว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีของชะเอม ลุงฝากข้าวหอมบอกแช่มเรื่องนี้ด้วยนะ แล้วเป็นยังไงก็ค่อยบอกลุงอีกทีก็ได้)

“ได้ครับ ผมจะจัดการให้”

(งั้นแค่นี้ก่อน ลุงต้องทำงานต่อ)

“ครับลุงเชต สวัสดีครับ” ผมกดวางสาย มือก็ลูบอกตัวเองอยู่อย่างนั้น มันมีความรู้สึกหลายอย่างที่เกิดขึ้นในใจตอนที่รับรู้ว่าไอ้ชั่วนั่นโดนจับ

ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องราวของชะเอม ผมก็อดสงสารเธอไม่ได้ สิ่งที่เธอเจอมันเลวร้ายมากๆ มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น ลองคิดว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับคนในครอบครัวตัวเองมันคงเป็นเหมือนฝันร้ายไปตลอดทั้งชีวิตเลยล่ะ ไม่แปลกใจเลยที่พี่แช่มจะป่วยเป็นแบบนั้น น้องสาวเขาคือครอบครัวคนสุดท้าย แล้วมาจากไปเพราะการกระทำเลวๆ ของคนๆ นึง ไม่มีใครรับเรื่องแบบนั้นได้หรอก

ไอ้สารเลวนั่นควรรับได้รับโทษอย่างถึงที่สุด

ผมต้องบอกเรื่องนี้กับพี่แช่ม พอรู้เลยว่าเขาจะแสดงท่าทีออกมายังไง คงโกรธ คงโมโหมาก แต่ไม่รู้ว่ามันจะมากถึงขั้นไหน ถ้าสมมุติว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ผมต้องทำยังไง อา....ไม่รู้ว่ะ พอเหตุการณ์ยังไม่เกิด มันคิดไม่ออกจริงๆ นะ เดี๋ยวต้องดูอาการก่อนนั่นแหละ การรับมือจะยังไงค่อยว่ากันอีกที ถ้าคนเดียวไม่ไหวผมจะให้คุณเฉลิมเป็นกองหนุน

แต่นางก็คงทำได้แค่บินวนไปมาเท่านั้นแหละ

“เสร็จแล้วนะพ่อหนุ่ม”

“นี่เงินครับ” ผมส่งเงินให้ป้าเจ้าของร้านก่อนจะถือน้ำทั้งหมดแล้วเดินกลับมาหน้าตึก แล้วทำไมทุกคนต้องรุมเอาใบไม้ปาใส่สยามด้วยวะ

“พอแล้ววววว สนุกกันมากไหมห้ะ” คนที่ใบไม้ปักอยู่บนหัวส่งสายตาอำมหิตใส่เพื่อนๆ ก่อนจะหันมองผม “ไหนนมเย็นกู”

“อันนี้ แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ยะ ทำไมทุกคนถึงปาใบไม้ใส่มึงอะ”

“ก็ไอ้หยัมมันทำตัวน่าหมั่นไส้” เพื่อนแกงเบ้ปากก่อนจะหยิบนมสดของตัวเองไป “ขิงเมียตัวเองอยู่ได้ ทำไม  ประธานสันฯ อะมันทำไมวะไอ้สัส แฟนกูเป็นเดือนมหา’ลัย มีคนชอบแม่งตั้งค่อนมอ กูยังไม่อยากพูดเยอะเลย”

นี่ขนาดไม่อยากพูดเยอะนะ

“เออน่ะพวกมึงนี่ เลิกเถียงกันแล้วก็กินน้ำซะ” ผมยุติสงครามขนาดย่อมก่อนจะนั่งดูดชานมอย่างสงบเสงี่ยม เหล่าสหายก็พูดคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสา

เดี๋ยวต้องปรับอารมณ์ให้สุขุมนุ่มลึกเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมเชียร์น้อง เอาจริงๆ ปีผมคือซอฟต์ลงมากเลยนะถ้าเทียบกับปีก่อนๆ พี่แช่มยังบอกเลยว่าพวกผมใจดีกับน้องมาก แต่ขนาดใจดี ประนีประนอมแบบนี้ก็ยังมีประเภทที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมืออยู่นะ มันน่าหงุดหงิดพวกที่คอยก่อกวนแต่ด้วยความที่พวกเราเป็นรุ่นพี่ ก็ต้องอดทนให้ได้มากที่สุด ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

ถึงรุ่นน้องจะทำให้ประสาทแดกก็เถอะ

“ข้าวหอม”

“หืม....อะไรวะ” ผมมองตามนิ้วของข้าวก้องที่ชี้ขึ้นไปบนตึก เห็นใครบางคนกำลังโบกมือไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ หึ....คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมัธยมฯ รึไง

ดูทำเข้าสิ

“กูยืมหน่อย” ผมหยิบโทรโข่งของสยามมาจ่อใกล้ปากตัวเอง “ตั้งใจเรียนนะพี่แช่ม”

“ฮิ้ววววววววววว”

“เอาว่ะ มีบอกให้ตั้งใจเรียน”

“เดี๋ยวนี้เอาใหญ่นะข้าวหอมนะ”

“เงียบไปเลยน่ะพวกมึงอะ” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่เพื่อนๆ ก่อนจะมองไปทางพี่แช่มแล้วโบกมือให้เขา ตอนนี้ยังยิ้มได้อยู่ หวังว่าตอนเย็นจะยิ้มได้แบบนี้เหมือนกันนะ

หวังให้เป็นแบบนั้นจริงๆ

   

***

   

ประชุมเชียร์วันนี้แม่งโคตรเสียพลังงานชีวิตเลย

เหนื่อย....ข้าวหอมเหนื่อย

ย๊ากกกกกกกกกกก

ผมนอนแผ่อยู่บนเตียงในห้องพี่แช่มอย่างหมดสภาพ ตอนนี้เกือบทุ่มนึงแล้ว พี่แช่มอาบน้ำอยู่และผมต้องรวบรวมสติเพื่อที่จะบอกเขาเรื่องชะเอม ความจริงวันนี้คนขี้เมาดูอารมณ์ดีมากๆ ดีผิดปกติด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีนั่นแหละ แต่ถ้าสมมุติว่าเขารับรู้เรื่องที่จับคนร้ายได้ แล้วรู้สึกไม่โอเคจนอาละวาดหรือทำลายข้าวของเหมือนแบบที่เคยทำ ผมควรจะจัดการยังไงถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น

เอาเชือกมัดเขาไว้ก่อนแล้วค่อยบอกดีไหม

ถ้าคลั่งขึ้นมาก็ไม่เป็นไรเพราะมัดไว้แล้ว

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหืม....” ร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“เหนื่อยๆ อะ ประชุมเชียร์น้องวันนี้วุ่นวายมากเลย”

“งั้นก็ไปอาบน้ำ จะได้ไปหาอะไรกินกัน”

“คือ....หอมมีเรื่องจะคุยกับพี่แช่มด้วย” ผมลุกขึ้นมานั่งพลางตบเตียงข้างๆ “เรื่องสำคัญ”

เจ้าตัวเดินมานั่งลงข้างๆ “เรื่องอะไรเหรอ”

“ก่อนที่หอมจะบอก หอมอยากให้พี่ใจเย็นๆ เอาไว้ให้มาก ตั้งสตินะ ทำได้ใช่ไหม”

“ได้สิ ตอนนี้พี่ก็มีสตินะ” พี่แช่มมองผมนิ่งๆ “เรื่องที่ว่าสำคัญ มันคือเรื่องอะไร”

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชะเอม”

“เรื่องของชะเอม”

“ใช่ คืองี้นะพี่แช่ม” ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาเอาไว้ “เมื่อบ่ายลุงเชตโทรมาหาหอมแล้วเขาก็บอกว่า.....”

“ว่า”

“ตำรวจจับตัวคนร้ายที่ทำร้ายชะเอมได้แล้วนะ” พอสิ้นเสียงพูดของผม ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ดวงตาคมที่จับจ้องผมสั่นไหวพลางมองไปยังโซนที่จัดเอาไว้ให้ชะเอม

ผมรับรู้ได้ถึงมือที่สั่น ไม่ใช่แค่มือหรอก ทั้งตัวเขาเลยที่กำลังสั่น ในใจพี่แช่มคงมีหลายความรู้สึกมากๆ และเจ้าตัวคงกำลังหาทางจัดการกับมันอยู่ อาการที่เขาแสดงออกมาถือว่าผิดคาดจากที่ผมคิดพอสมควร ก็ดีแล้วแหละที่เขายังทนรับกับมันไหว ผมคิดว่าพี่แช่มน่าจะดีใจที่คนร้ายโดนจับ แต่การที่บอกไปแบบนี้มันอาจจะทำให้เขาคิดถึงตอนที่น้องสาวเขาตายไง มันเหมือนตอกย้ำความทรงจำที่เลวร้าย

ผมรู้ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับมันให้ไหวแต่ว่า....ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ป้ะวะ

ร่างสูงแกะมือผมออกก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าโซนของชะเอมพลางมองรูปเธออยู่อย่างนั้น ผมเดินไปอยู่ด้านหลังเขาพร้อมกับยกมือแตะไหล่เบาๆ พี่แช่มกำมือแน่นมาก หายใจค่อนข้างแรง คงกำลังอดทนอยู่นั่นแหละ ผมคิดเหมือนกันนะว่าถ้าพี่แช่มเจอตัวไอ้ชั่วนั่น เขาคงอยากฆ่ามันทิ้งแน่ๆ เอาจริงๆ ต่อให้ยังไม่เจอก็น่าจะอยากทำแบบนั้น พอเห็นพี่แช่มเป็นแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเลย

“ไม่นึกว่าจะมีวันนี้ซะอีก” มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง “ดีใจด้วยนะคะชะเอม ในที่สุดเขาก็จับตัวคนที่ทำร้ายหนูได้แล้ว”

“.....พี่แช่ม”

“ลุงเชตบอกอะไรอีกไหม”

“ลุงเชตบอกว่ามันต้องทำแผนที่บ้านพี่ คือเขาเป็นห่วงเรื่องอาการของพี่นั่นแหละ”

“น้องหอมคิดยังไง”

“หอมคิดว่าเรากลับไปตามแพลนแต่วันที่ทำแผนก็ให้ลุงเชตจัดการ ถ้าพี่อยากเห็นหน้าไอ้เวรนั่นเราไปสถานีตำรวจกัน เอาจริงๆ พี่ก็ต้องไปนั่นแหละ เพราะว่าพี่เกี่ยวข้องกับชะเอมโดยตรง”

“งั้นก็เอาตามที่น้องหอมคิดนั่นแหละ”

“ไม่เป็นไรนะพี่แช่ม” ผมกอดเขาพลางลูบหลังเจ้าตัวเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ”

“พี่ไม่เป็นไรหรอก” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ “มันหลายความรู้สึกมากเลยน้องหอม ทั้งโกรธ โมโห แต่ก็ดีใจนะที่จับไอ้สัสนั่นได้ อย่างน้อยน้องสาวพี่ก็ไม่ตายฟรี ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าพี่เจอหน้ามัน พี่จะอดทนได้แค่ไหน”

“พี่ต้องใจเย็นๆ นะ หอมรู้ว่ามันทำได้ยากแต่ว่าก็นั่นแหละ อย่างน้อยก็เย็นให้สุดเท่าที่จะทำได้”

“พี่จะพยายามนะน้องหอม” พี่แช่มคลายกอดก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมากุมแก้มผม “ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปกินข้าวกัน”

“พี่โอเคแน่นะ”

“น้องหอม” ใบหน้าคมก้มลงมาใกล้ก่อนจะจูบปากผมเบาๆ “ช้ากว่านี้พี่ไม่กินแล้วนะข้าวอะ จะเอายังไงหืม....” ว่าแล้วเขาก็ระดมหอมแก้มผมเป็นว่าเล่น

“พอเลยพอ” ผมดันคนเจ้าเล่ห์ออก “เมื่อกี๊อย่างกับอีกคน เป็นไบโพล่าร์ด้วยป้ะเนี่ยะ”

ร่างสูงเดินเข้ามาชิดผม “อยากรู้ป้ะล่ะ”

“ไม่ๆ ๆ ๆ ๆ หอมหิวแล้ว ขออาบน้ำแป๊บนึง แป๊บบบบ” พูดจบผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ทำไมอารมณ์พี่แช่มถึงได้เปลี่ยนไวขนาดนั้นวะ

ตอนแรกยังซีเรียสจริงจังแถมโมโหมากแต่อยู่ดีดีก็จ้องจะกินผมซะงั้น แต่มันก็ดีที่เขาไม่จมกับอารมณ์ร้อนๆ มากจนเกินไป ไม่รู้ว่าถ้าไปถึงนครศรีธรรมราชแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมตกลงกับพี่แช่มว่าถ้าเรากลับไปที่บ้านเขาได้ อาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เราจะนำอัฐิของชะเอมไปใส่ไว้ในเจดีย์อัฐิเดียวกันกับพ่อแม่ของพี่แช่ม รวมถึงโหลใบโคลเวอร์สี่แฉกด้วย

ทำตามคำสัญญาที่พี่น้องเขาให้กันเอาไว้

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมกับพี่แช่มช่วยกันหามาใส่โหลอยู่ตลอด มันยังไม่เต็มหรอกครับ ใบโคลเวอร์สี่แฉกไม่ได้เจอง่ายขนาดนั้น ไม่งั้นมันไม่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีหรอก ความจริงผมก็ถามพี่แช่มนะว่ามันยังไม่เต็มแบบนี้จะเอาไปไว้ที่นั่นเลยเหรอ เจ้าตัวบอกว่าแบบนั้นน่ะดีแล้ว ถึงเวลาที่มันควรอยู่ตรงนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่แต่ถ้าพี่แช่มตัดสินใจแบบนั้น ผมก็จะเคารพในการตัดสินใจของเขา

ขอให้การกลับบ้านครั้งนี้มันราบรื่นด้วยละกัน

ผมใช้เวลาสักพักในการอาบน้ำก่อนจะเดินออกมาด้านนอก ร่างสูงกำลังป้อนอาหารให้คุณเฉลิมอยู่ เดี๋ยวเราต้องเอาเจ้าอ้วนไปฝากไว้ที่คลินิกเหมือนอย่างทุกที ยังไม่สะดวกที่จะพาไปด้วยจริงๆ ครับ ไว้รอโอกาสหน้าจะดีกว่า

“แฟนใครทำไมน่ารักจัง” พี่แช่มอยู่อยู่ด้านหลังก่อนจะคล้องคอผมไว้หลวมๆ “พอกลายเป็นของพี่แล้วดูเซ็กซี่ขึ้นนะ”

“พูดอะไรเนี่ยะ” ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเอง ข้าวหอมในกระจกนี่หน้าแดงมากเลยอะ สาเหตุมันก็มาจากคำที่เขาพูดเมื่อกี๊นี้ไง

“พี่พูดจริงๆ นะ แล้วเนี่ยะ พอน้องหอมเป็นแบบนี้ พี่ก็จะยิ่งหวงมากขึ้น อืม....จับขังไว้ในห้องอย่างเดียวดีไหมนะ”

ผมหลุดขำออกมาที่เขาพูดแบบนั้น “พูดออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เนี่ยะนะ บ๊องจริงๆ ”

“เดี๋ยวจะโดนนะเจ้าแฟน” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมหนักๆ “พี่รอข้างนอกนะ เร็วๆ ด้วยล่ะ”

“อื้ออออ” ผมรับคำพลางมองเขาเดินออกไปจากห้อง คุณเฉลิมก็บินมาเกาะที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองผมอยู่อย่างนั้น

แอ๊กกกก....แอ๊กกกก


“อิจฉาหอมล่ะสิคุณเฉลิม” ผมลูบหัวเจ้าอ้วนก่อนจะแต่งตัวต่อ รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย อย่างน้อยเย็นนี้ก็คงกินข้าวลงแล้วล่ะ เรื่องเครียดมันหายไปแล้วไง

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู หน้าจอแจ้งเตือนการอัปเดตทวิตเตอร์ของใครบางคนที่รออยู่ด้านนอก ผมกดเข้าไปอ่านทันที ข้อความที่พี่แช่มทวิต มันทำให้ผมได้รู้ว่าการที่เขาแสดงออกมาว่าไม่เป็นไรนั้นมันไม่จริงเลย เขาคงอยากเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจเพียงเพราะไม่อยากให้ผมเป็นห่วงเขามากจนเกินไป แต่เจ้าตัวไม่รู้ไงว่าผมฟอลฯ ทวิตเตอร์ของเขาเอาไว้

เขารู้สึกอะไร คิดอะไร.....ผมเห็นหมดทุกอย่างนั่นแหละ

น่าตีจริงๆ

   



Charit @Charitpedd

ความโกรธ ความเกลียด ความแค้นใดใด ก็อย่าให้หลุดออกไปทำร้ายคนรอบข้าง

ตัวเรา ความรู้สึกของเรา ขอให้มีเพียงแค่เราที่รับรู้ถึงมัน…..แค่เรา

   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้วหลังจากที่หายไปเดือนกว่า ต้องขอโทษที่ทำให้รอนานมากเลยนะคะ ช่วงก่อนหน้างานเยอะมากรวมถึงมีงานเขียนเรื่องสั้นต้องส่งสำนักพิมพ์ และโปรเจ็กต์ที่มหา'ลัยต่างๆ วันพรุ่งนี้ชาลจะฝึกงานโปรเจ็กต์จบแล้วค่ะ 6 เดือนหลังจากนี้เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ

สำหรับแช่มหอมก็อีกไม่กี่แชปก็จะจบแล้วนะคะ เรื่องราวจะเป็นยังไงรอติดตามต่อน้า

สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 16 : 18/8/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-08-2019 21:39:33
พี่แช่มจะไปหรือไม่ไปดี แต่ใจพี่แช่มคงจะดีขึ้นกว่าเดิมนิ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 17 : 8/9/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-09-2019 21:23:08
บทที่ 17 ปกป้อง


Chatit @Charitpedd

ขอเพียงให้ใจเราแข็งแกร่งในวันที่รู้สึกอ่อนแอก็พอ

   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้


   

   

คิดได้แบบนั้นก็ดี

ผมกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์พลางเหลือบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆ ข้อความที่พี่แช่มทวิตเมื่อกี๊มันน่าจะเป็นตอนที่เราแวะปั๊มน้ำมันเมื่อชั่วโมงก่อน วันนี้สีหน้าเขาค่อนข้างจะเรียบเฉย ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย ผมคิดว่าในหัวเขาคงมีอะไรยุ่งเหยิงเต็มไปหมดเลยล่ะ อีกอย่างคือเจ้าตัวคงเตรียมใจกับการกลับไปในบรรยากาศเก่าๆ ที่ตัวเองเคยอยู่กับมันในสมัยก่อนด้วย

บ้านของเขา....ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

ตอนนี้เราเข้ามาในตัวจังหวัดแล้วครับ เราออกจากกรุงเทพฯ ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ได้ ความตั้งใจคือเพื่อที่จะมาถึงที่นี่ในช่วงเช้า แต่เหมือนกับว่าการเดินทางจะนานกว่าที่คิดเยอะเลย นี่เกือบเที่ยงแล้วล่ะ 10 กว่าชั่วโมงเลยนะสำหรับการเดินทางน่ะ แล้ววันนี้จะมีการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้ายในคดีของชะเอม ผมตั้งใจที่จะไปดูเขาทำแผนด้วย ส่วนพี่แช่มก็ให้เขานอนพักผ่อนที่บ้านลุงเชตไปก่อน พอทำแผนเสร็จค่อยไปเจอกันที่สถานีตำรวจ

ไม่รู้เลยว่าวันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังหวั่นใจเรื่องอาการของพี่แช่มอยู่ ถ้าสมมุติว่าเราไปยืนอยู่ตรงหน้าบ้านเขาแล้วทุกอย่างมันไม่เป็นตามที่คิดเอาไว้ก็จะแย่เลยนะ ใจนึงผมกังวลมากแต่อีกใจก็พร่ำบอกว่าเรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นเลย เราจะแพนิกในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นไปก่อนทำไม เพราะแบบเนี้ยะ สติถือว่าสำคัญมากจริงๆ ผมต้องเชื่อใจในตัวพี่แช่มให้มากๆ ผมต้องเชื่อว่าเขาจะสู้กับภาวะทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นได้

การอยู่เคียงข้างเขา....เป็นหน้าที่ของผม

“เมื่อยไหมพี่แช่ม ให้หอมขับแทนไหม”

“ไม่เป็นไร พี่ขับไม่กี่ชั่วโมงเอง น้องหอมขับมาตั้งเกินครึ่งทาง”

“เกือบพาหลงด้วย” ผมหยิบถุงขนมมาแกะก่อนจะป้อนให้คนที่ขับรถอยู่ “ง่วงไหม”

เจ้าตัวส่ายหน้าเบาๆ “น้องหอมล่ะ”

“ก็นิดหน่อย แต่ใครจะหลับลงล่ะจริงไหม” มีเรื่องวุ่นวายใจอยู่เต็มไปหมด

“เป็นอะไร เครียดเหรอ” มือเรียวเลื่อนมาลูบที่ท้ายทอยผมแล้วบีบเบาๆ เหมือนเชิงให้ผ่อนคลาย “พี่บอกน้องหอมว่าอะไร ลืมไปแล้วรึไง”

“ไม่ได้ลืมแต่มันแบบ....ไม่รู้อะ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่รู้ใช่ไหมว่าความคิดและความรู้สึกของคนเรามันห้ามกันไม่ได้”

“พี่รู้”

“นั่นแหละ เพราะแบบนั้น หอมถึงได้เป็นแบบนี้ไง แต่ว่าหอมก็รู้ตัวนะว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ รู้ว่ามันจะส่งผลดีหรือผลเสียมากน้อยแค่ไหน รู้ว่าตัวเองต้องจัดการกับมันยังไง พี่แช่มไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ต้องห่วงสิ” เขาจับมือผมขึ้นไปจูบเบาๆ “แฟนพี่ทั้งคน”

ตึกตัก

แบบนี้ข้าวหอมก็เกมอะดิ

“พี่นี่มันจริงๆ เลยนะ”

“ทำไม เขินเหรอ”

“ใครจะไม่เขินล่ะ” ผมทำแก้มป่องใส่เขา ชอบนักล่ะเรื่องทำให้ผมเขินน่ะ

พี่แช่มเปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับหลังจากที่เป็นแฟนกันน่ะ แล้วยิ่งพอทำเรื่องแบบนั้นด้วยกันไปแล้วเขาก็ยิ่งหวานเลี่ยนมากขึ้นไปอีก ผมชอบนะแต่ว่ามันก็เขินอะ ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเอาหน้าร้อนๆ ไปซุกไว้ที่ไหนดี แล้วแฟนผมเนี่ยะ เขาเป็นประเภทพูดจาอ่อนโยนทั้งๆ ที่หน้านิ่งเป็นหินอะ เรียกได้ว่าพูดออกได้ธรรมชาติจนคนฟังไม่ได้ตั้งตัวเลยทีเดียว เมื่อก่อนเขาจะออกแนวหยอดด้วยมุกห้าบาทสิบบาทแล้วทำหน้าทะเล้นซะมากกว่า

เวลาเปลี่ยนคนได้จริงๆ นั่นแหละ

ส่วนผม....ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่เลยนะ อาจจะมีความเป็นห่วงในตัวพี่แช่มมากขึ้นและก็คงเป็นเรื่องลดความงี่เง่าหรือชอบคิดอะไรเสียดแทงใจตัวเองล่ะมั้ง เมื่อก่อนผมอยู่กับความไม่ชัดเจน ความครึ่งๆ กลางๆ เหล่านั้นมันทำให้คิดฟุ้งซ่านมากเลยนะ แต่พออะไรๆ มันลงตัวแล้ว ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องคิดเรื่องที่บั่นทอนใจตัวเอง ทุกวันนี้ก็ถือว่าดีแล้วแหละสำหรับผมน่ะ

เหลือแค่เรื่องอาการป่วยของพี่แช่มเท่านั้นเอง

“ถึงแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามหลังจากที่พี่แช่มเลี้ยวเข้ามาในทางๆ นึง ด้านหน้าเมื่อกี๊เหมือนเห็นป้ายชื่อสวนแวบๆ

“ใช่ อันนี้เป็นสวนปาล์มของลุงเชต ส่วนสวนยางบ้านพี่ถัดจากนี้ไปประมาณ 5 กิโลฯ ”

“พี่ตื่นเต้นไหม”

“นิดหน่อย” เจ้าตัวกระชับมือที่กุมกันเอาไว้ให้แน่นขึ้น “พี่เตรียมใจไว้พอสมควรเลย ความรู้สึกมันเยอะไปหมด ผสมปนเปจนสับสนเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรนะพี่แช่ม เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”

“นั่นสินะ นี่ไงถึงละบ้านของลุงเชต” ร่างสูงบอกก่อนจะจอดรถที่หน้าบ้านหลังนึง

ผมมองไปด้านหน้าก็พบบ้านทรงประยุกต์หลังใหญ่ที่สวยมาก ตัวบ้านเป็นปูนกึ่งไม้ บริเวณรอบๆ ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้เต็มไปหมด ดูร่มรื่นมากเลยล่ะ เห็นบ้านลุงเชตแล้วก็อยากเห็นบ้านพี่แช่มเหมือนกันนะ อยากรู้ว่าบ้านเขาจะเป็นยังไง

“ไปกันเถอะ” เขาบอกก่อนจะลงไปจากรถ ผมก็ถือของเดินตามลงมา แดดตอนนี้คือโคตรร้อนมาก ไม่อยากนึกถึงตอนไปดูเขาทำแผนกันเลย

คนจะเยอะไหมวะ

“มากันแล้วเหรอ”

“สวัสดีครับลุงเชต” พวกเรายกมือไหว้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน “เขาทำแผนกันกี่โมงเหรอครับ”

“อีกครึ่งชั่วโมง ข้าวหอมจะไปกับลุงใช่ไหม”

ผมพยักหน้ารับ “ครับ ถ้าทำแผนเสร็จค่อยไปเจอกันที่สถานีตำรวจ”

“โอเค” ลุงเชตเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือแตะไหล่พี่แช่ม “ลุงดีใจนะที่เห็นเราอยู่ตรงนี้น่ะ ทุกคนก็น่าจะดีใจเหมือนกัน”

“ขอบคุณสำหรับหลายปีที่ผ่านมานะครับลุงเชต”

“เรื่องเล็กน้อยน่ะ ไปพักเถอะ เดี๋ยวเจอกันอีกที”

“ครับ” พี่แช่มรับคำก่อนจะเดินถือกระเป๋าเข้าไปในบ้าน ส่วนผมก็เดินมากับลุงเชตเพื่อที่จะไปบ้านพี่แช่ม

คนขี้เมาบอกว่าสวนยางบ้านเขาเป็นที่ต้องการมาก มีคนมาติดต่อขอซื้อหลายครั้งตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก แต่พ่อของพี่แช่มไม่คิดจะขาย เพราะแบบนั้นก็เลยกลายเป็นว่ามีปัญหากับผู้อิทธิพลในตอนนั้น ไปๆ มาก็เกิดเหตุรุนแรงที่มีคนส่งมือปืนมาฆ่าคนทั้งครอบครัว นึกถึงเรื่องนี้ทีไรใจก็หดหู่ ยังเด็กกันอยู่เลยนะสองพี่น้องในตอนนั้น แล้วต้องมาเสียพ่อกับแม่ไปต่อหน้าต่อตาด้วยเหตุผลที่มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง

แย่มากจริงๆ

พอพ่อแม่พี่แช่มเสีย มรดกทุกอย่างก็กลายเป็นของเขากับชะเอม ที่ดินของสวนยางเป็นของพี่แช่มทั้งหมด ส่วนที่ดินส่วนของทุ่งกว้างด้านหลังสวนเป็นของชะเอม คนขี้เมาเล่าให้ฟังว่าเขากับน้องสาวชอบไปที่นั่นประจำ มันเป็นทุ่งดอกหญ้าที่กว้างมาก ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ มีชิงช้าผูกเอาไว้ใต้ต้นพญาเสือโคร่งด้วย คนเป็นพี่จะชอบเก็บดอกหญ้ามาร้อยเป็นมงกุฎและสวมหัวให้น้องสาว

ตัดภาพไปที่ผมกับข้าวก้อง

วิ่งไล่ทุบกันรอบบ้าน

แต่อย่างว่านะ บ้านนั้นเขาเป็นพี่ชายกับน้องสาวไง ส่วนบ้านผมมันผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นฝาแฝดกันอีก จนถึงตอนนี้ก็ยังเถียงเรื่องตอนเกิดได้อยู่ตลอด คือรักกันนะไม่ใช่ไม่รักกันแต่แบบเรื่องแสดงความอ่อนโยนน่ะไม่มีทาง เพราะแบบนี้เวลาที่พี่แช่มเล่าเรื่องน้องสาวของตัวเอง ผมถึงรู้สึกว่ามันน่ารัก น่าเอ็นดูไปซะหมด แถมเวลาที่เขาเล่า รอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้ผมรู้สึกดีเอามากๆ

มันบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุข

“อาการแช่มเป็นยังไงบ้าง”

“ดีขึ้นเยอะครับ ตั้งแต่ที่เขาพูดถึงชะเอมได้ เขาก็นอนหลับได้มากขึ้น ถึงบางคืนสะดุ้งตื่นมากลางดึกแต่มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเขาได้เห็นตัวคนร้ายมันจะเป็นยังไง กับเรื่องนี้ผมยังกังวลอยู่เลย”

“คนร้ายในคดีนี้มันชื่อไอ้คม มันเคยเป็นคนงานกรีดงานของสวนยางข้างๆ สวนของแช่มนั่นแหละ ตอนที่ลุงฟังคำรับสารภาพมันบอกว่าวันนั้นมันมากินแหล้ากับเพื่อนคนงานในสวน เมาแล้วเห็นชะเอมกลับมาบ้านพอดี ก็เลย....นั่นแหละ”

“เลวร้ายมากจริง”

“ใช่ จิตใจมันหยาบช้ามาก ตอนที่เล่าเรื่องพวกนั้นมันก็ไม่สะทกสะท้านเลยนะ แล้วก็บอกว่าที่ตัดสินใจฆ่าชะเอมก็เพราะว่าเธอร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด มันรำคาญ” พอได้ยินแบบนั้นผมก็กำมือแน่นทันที อา....เอาจริงๆ คนแบบนี้ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อด้วยซ้ำ เลวจนไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาบรรยาย

“แล้วเรื่องโทษล่ะครับลุงเชต มันจะหนักถึงขั้นไหน”

“คงหนักเอาเรื่อง เพราะทั้งข่มขืนและฆ่า อีกอย่างคือชะเอมอายุแค่ 15 เอง ยังผู้เยาว์อยู่เลย ลุงก็หวังว่ามันจะได้รับโทษสูงสุดเหมือนกัน คนแบบนี้ปล่อยให้มีชีวิตไปก็เป็นอันตรายต่อสังคม แต่ขำเหมือนกันนะที่มันถูกจับเพราะคดีขนยาเสพติด”

“กรรมมันตามทันแล้วไงครับ ถ้าชะเอมได้รับรู้ เธอคงสบายใจ”

“ลุงก็คิดแบบนั้นแหละ”

ใช้เวลาไม่นานลุงเชตก็เลี้ยวรถเข้าไปในเขตของสวนยางอัญวานิชณ์ มันเป็นชื่อนามสกุลของพี่แช่มครับ ตลอดทางเข้าผมเห็นมีรถจอดเต็มไปหมด มีรถตำรวจอยู่หลายคันด้วย ลุงเชตขับเข้ามาจนถึงสุดเส้นกั้นที่ตำรวจเขาจัดเอาไว้ ด้านหน้ามีตำรวจเยอะพอสมควรเลย ด้านหน้าผมเป็นบ้านปูนสองชั้นหลังใหญ่พอสมควร สภาพบ้านไม่ได้ดูเก่าเลย ลุงเชตน่าจะคอยดูแลให้ตลอดตอนที่พี่แช่มไม่อยู่

บ้านเขาสวยมากเลยจริงๆ

ผมเดินตามลุงเชตลงมา เห็นมีคนยืนอยู่นอกเส้นกั้นเยอะเลยครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกคนงานและชาวบ้านในละแวกนั้น ตอนที่คุยกับลุงเชตเรื่องคดีของชะเอม เขาบอกว่าตอนนั้นเป็นข่าวดังเลยล่ะ คือใกล้สวนยางนี้เป็นตลาด พวกพ่อค้าแม่ค้าเขาคุ้นเคยกับครอบครัวพี่แช่มตั้งแต่สมัยพ่อแม่เขานั่นแหละ พอตอนที่ชะเอมตาย พวกเขาก็เสียใจกันมากเพราะเขามองว่าเป็นลูกหลานของพวกเขา

ผมเข้าใจความรู้สึกเลย

เหมือนกับว่าพี่น้องสองคนนี้จะแวะเดินตลาดก่อนกลับบ้านด้วยกันทุกวัน คุ้นเคยกับทุกคนมาตั้งแต่เด็กๆ โตมาคนนึงก็ถูกฆ่า ส่วนอีกคนก็ป่วยจนเสียความเป็นตัวเองไป ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกโกรธแค้นคนที่ทำเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้นมา ผมเข้าใจเลยว่าเส้นกั้นมาที่อยู่ตรงนี้คงเอาไว้เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ร้าย ผมคิดว่างั้นนะ ตอนนี้ตำรวจน่าจะทำแผนกันอยู่ในบ้าน

“สวัสดีครับคุณเชต”

“สวัสดีครับน้าป้อม เขาทำแผนกันอยู่ใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ ผมเห็นหน้าไอ้คนร้ายแล้วอยากจะฆ่ามันจริงๆ ทำแบบนั้นกับคุณหนูได้” ลุงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น เรียกชะเอมว่าคุณหนูแบบนี้ เขาน่าจะเป็นคนงานของสวนยางล่ะมั้ง

“เดี๋ยวมันก็ได้รับโทษของมันแล้วล่ะน้าป้อม”

“นั่นสินะครับ หลายปีแล้วที่คุณแช่มไม่กลับมาที่นี่ เขาสบายดีไหมครับ”

“ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” ลุงเชตยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะหันมองผม “เข้าไปข้างในกันเถอะ”

“ครับ” ผมรับคำก่อนจะเดินตามหลังลุงเชตมาในบ้าน ตำรวจยืนล้อมรอบโซฟาในห้องรับแขกเต็มไปหมดเลยครับ ตรงนี้คงเป็นสถานที่ก่อเหตุแน่ๆ เลย

“สวัสดีครับคุณเชต” นายตำรวจคนนึงยกมือไหว้ “กำลังทำแผนเลยครับ”

“เรียบร้อยดีใช่ไหมสารวัตร”

“ครับ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ ผู้ต้องหาให้ความร่วมมือถึงแม้จะกวนประสาทมากไปหน่อยก็เถอะ มองจากรูปคดีน่าจะโดนหนักเอาตัว”

“สมควรแล้วล่ะ”

ผมมองผู้ชายคนนึงที่อยู่กลางวงล้อมตรงนั้น นั่นคงเป็นไอ้คมที่ลุงเชตบอก หน้าตาน่ากลัวมากครับ อายุน่าจะประมาณเกือบ 40 แล้วล่ะ สายตาดูไม่สะทกสะท้านจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วหงุดหงิดใจชิบ มันไม่รู้เหรอว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเลวร้ายมากแค่ไหนต่อชีวิตของใครหลายคน ไม่ใช่แค่กับตัวผู้เสียชีวิต แต่คนในครอบครัวของเขาก็ต้องทนทุกข์เหมือนกัน

จิ๊....ผมรู้สึกโกรธมากจริงๆ

ใช้เวลาอีกสักพักในการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องขั้นตอนเท่าไหร่ ลุงเชตจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ในระหว่างที่เขาทำแผนกัน ลุงเชตพาผมเดินดูไปรอบๆ บ้านพี่แช่มพร้อมกับเล่าเรื่องที่เขาพอจะรู้ให้ฟัง รวมถึงเรื่องกิจการสวนยางของครอบครัวพี่แช่มด้วย เขาเป็นคนจัดการส่วนตรงนี้ให้ทั้งหมด ช่วงที่ราคายางตกต่ำ เขาก็เป็นคนหาทางแก้ไขปัญหาในส่วนนั้นให้ มีลูกน้องหลายคนที่เขาไว้ใจคอยช่วยเหลือ อย่างลุงคนเมื่อกี๊ที่ชื่อป้อม เขาก็เป็นหัวหน้าคนงาน

แกเป็นคนช่วยดูแลเรื่องบ้าน

ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่มีใครอยู่แต่ก็จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ทุ่งหญ้าท้ายสวนก็ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีการปล่อยรก คือทุกคนที่นี่ทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อรอเจ้าของบ้านกลับมาและสานต่อทุกอย่างที่เป็นของครอบครัวเขา จากที่น้าป้อมพูดนั่นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาคงรักและเป็นห่วงพี่แช่มมาก ถ้าพี่แช่มกลับมาที่นี่ พวกเขาต้องดีใจมากแน่ๆ

ป่านนี้คนขี้เมาจะทำอะไรอยู่นะ

“แผนทำเสร็จแล้วนะครับคุณเชต เดี๋ยวเราจะเอาตัวผู้ต้องหากลับไปโรงพัก”

“โอเคครับสารวัตร” เขารับคำก่อนจะหันมองผม “ไปกันเถอะหอม เมื่อกี๊ลุงไลน์หาแช่มแล้วว่าให้เจอกันที่โรงพัก”

“ได้ครับ”

“เราก็ไปกันเถอะ” สิ้นเสียงลุงเชต ผมก็เดินตามเขาไป ช่วงเวลาที่น่ากลัวใกล้มาถึงแล้วครับ ผมต้องตั้งสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาน่ะ เรามีตำรวจทั้งโรงพักคอยห้ามทัพอยู่

รถของเราตามรถตำรวจมาเรื่อยๆ จนถึงโรงพัก ผมเห็นรถของตัวเองจอดอยู่ด้านในด้วย ร่างสูงยืนอยู่ด้านข้างนิ่งๆ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงลงจากรถก่อนจะเดินไปหาเขา พี่แช่มมองรถตำรวจไม่วางตา มือเรียวกำแน่นมากเหมือนกำลังข่มใจอยู่ ผมลูบแขนเขาเบาๆ เชิงให้ผ่อนคลาย เจ้าตัวเลื่อนมาจับมือผมก่อนจะพาเดินเช้าไปด้านในของสถานีตำรวจก่อนจะเข้าไปในห้องๆ นึงซึ่งมีผู้ต้องหานั่งอยู่อีกฝั่ง

มือของพี่แช่มออกแรงบีบเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย

ตัวเขาก็กำลังสั่น

ดวงตาคมมองคนตรงหน้านิ่งๆ สีหน้าแสดงความโกรธแค้นออกมาชัดเจน ไอ้ชั่วนั่นก็ยังไม่รู้สึกรู้สา ทำหน้าทำตาเหมือนไม่สนใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป เห็นแล้วน่าหงุดหงิดโคตรๆ เลย แต่จะว่าไปยังโอเคอยู่นะที่พี่แช่มไม่ได้คลั่งจนกระโจนไปฆ่าไอ้คมตายซะก่อน พอรู้อยู่หรอกว่าเขาอยากทำแบบนั้นมากแค่ไหน

“เป็นไรนะพี่แช่ม”

ร่างสูงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะคลายแรงบีบที่มือลง “....ไม่เป็นไร”

“แช่ม.....ชื่อนี้คุ้นๆ นะ” คนที่ถูกใส่กุญแจมือด้านหน้าเอ่ยขึ้น “อ๋ออออ....นึกออกแล้วว่าเคยได้ยินจากไหน”

“คิดจะพูดอะไรก็ระวังหน่อยนะนายคม” สารวัตรบอกขึ้นมาก่อน แต่เหมือนกับว่าไอ้คมจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด

“ก็แค่จะพูดความจริงเท่านั้นเองน่ะสารวัตร” ไอ้ชั่วนั่นยกยิ้มมองพี่แช่ม “อยากรู้ไหมล่ะว่าฉันรู้ชื่อแกได้ยังไง”

“.....”

“เพราะว่าวันนั้น....ผู้หญิงคนนั้น”

“นายคม!!!!”

“มันร้องหาแกไม่หยุดตอนที่ถูกฉันข่มขืน”

“.....”

“เรียกชื่อแกจนหมดลมหายใจ”

“....น้องหอม” พี่แช่มจับที่ข้อมือผมที่ปิดหูเขาเอาไว้ทั้งสองข้างเบาๆ ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นแรงมากๆ รับรู้ถึงความโกรธที่มันเอ่อออกมาจากคำพูดนั้น

นี่มันเกินไป....เกินไป

“ผมว่าให้คุณแช่มออกไปก่อนดีกว่านะครับ ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง” หลังจากที่สารวัตรเอ่ยบอกแบบนั้นผมก็รีบลากร่างสูงออกมาจากห้องทันที

ผมรู้ว่าถ้าพี่แช่มได้ยินมันจะแย่มากแค่ไหน ผมรู้ว่าเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้และสิ่งที่ตั้งใจทำกันมาตลอดมันจะต้องกลับไปเริ่มใหม่ซึ่งผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว กลับกันดูเหมือนว่าคำพูดจากเหตุการณ์เมื่อกี๊จะทำให้ผมเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ใช่ ผมกำลังหายใจแรงอย่างผิดปกติเพราะความโกรธที่มากเกินไป มือผมสั่น เหงื่อผมออกไม่หยุด

หน้ามืด

หน้ามืดไปหมด

“เป็นอะไรรึเปล่าน้องหอม ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ” ร่างสูงเอ่ยถามพลางกุมแก้มผม “เมื่อกี๊มันพูดอะไร”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “อย่า....สนใจเรื่องนั้นได้ไหม”

“น้องหอม”

“พี่แช่ม” ผมดึงเขามากอดเอาไว้ “ฮึกกก....คนเก่งของหอม” ผมซบหน้าลงกับไหล่เขาอยู่อย่างนั้น เรื่องที่ไอ้ชั่วนั่นพูด ต่อให้ตาย เขาก็ต้องไม่รับรู้เรื่องนี้

อะไรก็ตามที่จะทำให้เขาเสียใจ....ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

“มันแย่ขนาดนั้นเลยใช่ไหมน้องหอม” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ....ไม่เป็นไร”

“ฮืออออ....”

“น้องหอม”

“ฮึกกกก....”



***

   

แบดเดย์

เบียร์เท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาเราได้

พูดไปงั้นแหละ

ผมนั่งดูดน้ำผักอยู่ที่ระเบียงห้องนอนในบ้านลุงเชต เหตุการณ์เมื่อบ่ายที่ไปสถานีตำรวจกับพี่แช่มมาคือวายป่วงมาก ผมโกรธและร้องไห้จนแสบตาไปหมด ดูไม่จืดแต่ว่าช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องนึกถึงมันอีก คนที่ทำร้ายชะเอมก็จะได้รับโทษที่ตัวเองได้ก่อ มันจะได้ชดใช้ในสิ่งที่มันทำ ผมกับพี่แช่มก็ต้องสานเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ให้เสร็จ จะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับวันพรุ่งนี้เนี่ยแหละ

หวั่นใจไปหมดเลย

“เป็นยังไงบ้างน้องหอม” ร่างสูงเดินเข้ามาหาผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ “โอเคขึ้นรึยัง”

“ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ พี่ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นอะไรเลยเพราะคนที่รับความเศร้าทั้งหมดไปคือน้องหอมไง” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ ดูพูดเข้า แน่ล่ะ ถ้าผมไม่รับมันมาแล้วเขากลับไปประสาทแดกอีกรอบ ผมต้องรู้สึกเสียใจมากแน่ๆ

“ไม่เท่าไหร่หรอก” ผมขยับเข้าไปนั่งพิงอกพี่แช่มพลางดูดน้ำผักต่อ “พรุ่งนี้พี่จะได้กลับไปที่บ้านของตัวเองแล้ว”

“ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน พี่ไม่รู้ว่ามันจะดีหรือแย่ แต่จะพยายามอดทน”

“เอาเท่าที่ไหว หอมว่าพี่ทำได้อยู่แล้ว” ผมเงยหน้ามองเขา “รู้ไหมว่าทุกคนที่นั่น รอให้พี่กลับไปหานะ”

“พี่รู้....พี่มีคำสัญญาเยอะแยะเลยที่ต้องกลับไปทำ พี่ดีใจนะที่ตรงนี้ไม่ได้มีพี่แค่คนเดียว”

“หอมก็ดีใจที่ได้อยู่กับพี่ตรงนี้เหมือนกัน” ผมกอดพี่แช่มเอาไว้แน่น “สู้ๆ นะครับ กำลังใจของคุณอยู่ตรงนี้แล้ว”

“มีแรงฮึ้ดขึ้นมาเป็นร้อยเท่าเลย” เจ้าตัวจุ๊บหัวผมก่อนจะยิ้มหวาน เห็นแบบนี้แล้วค่อยมั่นใจในเรื่องที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้หน่อย

บ้านของพี่แช่มที่ผมเห็นในวันนี้ ถ้าเราไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในนั้นก็จะรู้สึกได้เลยว่ามันน่าอยู่มาก ธรรมชาติรอบๆ วิว ทิวทัศน์ต่างๆ นั้นสวยงามมากจริงๆ คราบเลือดที่เคยเปื้อนมันทำให้บ้านหลังนั้นดูหม่นหมอง แล้วยิ่งเจ้าของไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วด้วย ผมหวังว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นวันที่ดีของคนที่ผมรัก ผมอยากให้เขากลับบ้านตัวเองและไม่รู้สึกแย่กับมันอีก ทำตามคำสัญญาที่เขาให้กับน้องสาวของเขาให้เสร็จ

กลับไปเป็นตัวเองคนเดิมที่อดีตจะไม่ทำให้เจ็บปวดอีก

ทุกเรื่องราวในอดีตควรเป็นแค่ความทรงจำครับ จริงอยู่ว่าเราอาจจะมีความรู้สึกร่วมกับมัน แต่ถ้าเราเก็บแต่ความทุกข์ใจ ความเศร้า ความเจ็บปวด มันจะมีความหมายอะไรจริงไหม ให้สิ่งที่อยู่ในความทรงจำมีแค่ความสุขก็พอ อย่างน้อยเวลาที่ย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้นมันก็ทำให้เรายิ้มได้ ผมอยากให้พี่แช่มมีความสุขและคิดถึงแต่ช่วงเวลาดีดีที่เขาเคยใช้กับครอบครัว ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เขาเคยเผชิญมา

หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันของเรา

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปดูข้อความแจ้งเตือนในไลน์จากบรรดาเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเป็นห่วงผมและก็ถามถึงอาการของพี่แช่ม รู้สึกดีนะที่เหล่าสหายเป็นห่วงกันมากขนาดนี้ ใจชื้นขึ้นเยอะเลยล่ะ อะไรก็ตามที่เราจะเจอในวันพรุ่งนี้ขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดี....ทุกๆ อย่างเลย

   



Kh. @KhH22_luc

ถ้ามีเราแล้ว....จะไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้น เชื่อผมนะ

   

#CloverBad












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งแช่มหอมแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้รอกันนานเลยนะคะ

ช่วงที่หายไปมีอะไรเกิดขึ้นเยอะจริงๆ ต้องชี้แจงให้บี๋ฟังเรื่องที่ชาลเริ่มรักษาโรคซึมเศร้านะคะ เดิมทีชาลเป็นแค่แพนิกแต่ว่าไปพบจิตแพทย์ครั้งล่าสุดเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนเขาบอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าและต้องเริ่มกินยา ยามันรุนแรงมากสำหรับชาล เอฟเฟ็กต์ต่างๆ มันแย่มาก ไม่ได้ไปทำงาน 1 อาทิตย์เต็มๆ เลยค่ะเพราะสภาพไม่ไหว แต่คิดว่าหลังจากนี้ก็อาจจะดีขึ้น อยากให้บี๋รอนิยายกันอย่างใจเย็นน้า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 17 : 8/9/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-09-2019 23:05:40
ทำผิดแล้วยังไม่สำนึก มันน่า.......  :z6:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 18 : 11/1/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-11-2019 23:36:12
กลับบ้าน
[/b]



Kh. @KhH22_luc

เข้มแข็งเอาไว้นะคนเก่งของผม ถ้าเกิดอะไรขึ้นในใจของคุณ

รู้เอาไว้นะว่าผมอยู่ตรงนี้


   

#CloverBad



   

“พร้อมไหม”

“ถึงตอนนี้พี่คงต้องพร้อมแล้วล่ะ”

“นั่นสินะ”

ดีแล้วที่เขาพร้อมแต่เหมือนผมจะไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เลย

หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัด

ผมมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้รถเรามาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของพี่แช่มครับ ใช้เวลาทำใจกันนานพอสมควรกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เอาจริงๆ คนที่ใช้เวลาทำใจนานไม่ใช่พี่แช่มนะ แต่เป็นผมนี่แหละ พอคิดว่าถึงเวลาที่ต้องมาแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ กังวลหลายเรื่องมากด้วย ในหัวผมมีแต่ความคิดน่ากลัวทั้งนั้นเลย ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแต่สุดท้ายแล้วถ้ามันจะเกิด เราก็ห้ามอะไรไม่ได้ป้ะวะ

หายใจเข้าลึกๆ ก่อนข้าวหอม

ฟู่วววว....

ไม่ได้รู้สึกโล่งขึ้นสักนิดเดียว

“หายใจแรงจังล่ะ”

“ได้ยินเหรอ”

“ใช่สิ” มือเรียวควานหามือผม “น้องหอมโอเคนะ”

“ทำไมพี่ถึงเป็นคนใช้คำถามนี้ถามหอมกันนะ” ผมจับมือเขามาแนบแก้มตัวเอง “หอมอดกังวลไม่ได้เลยพี่แช่ม หอมรู้ว่าตอนนี้พี่โอเคขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแต่ว่ามันก็นะ.....พี่ห้ามให้หอมไม่เป็นห่วงพี่ไม่ได้หรอก”

“พี่รู้ รู้ดีว่ามันอาจจะยากในการเข้าไปอยู่ตรงนั้น แต่ก็เตรียมใจมาแล้วน่ะนะ อีกนิดเดียวเอง ถ้ามันดีทุกอย่างที่เคยเลวร้ายมันก็จะจบลง”

“แล้วถ้ามันแย่ล่ะ”

“เรามีเวลาทั้งชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่เพื่อสู้กับมันใช่ไหมล่ะ เมื่อก่อนพี่รู้สึกกลัวเพราะพี่ไม่เหลือใคร แต่ตอนนี้มันไม่ใช่” นิ้วเรียวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “พี่มีน้องหอมอยู่ตรงนี้ด้วยกัน มันคงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ที่พี่จะพยายามอดทนผ่านช่วงเลวร้ายไปให้ได้ ที่สำคัญ....ถ้าพี่แพ้มัน พี่ก็จะพาน้องหอมไปไหว้พ่อกับแม่ไม่ได้สักที”

นั่นสินะ....เป็นอย่างที่เขาพูด

“หอมเข้าใจแล้ว” ผมจุ๊บที่หลังมือเขา “งั้นเราไปกันเถอะ” ว่าแล้วผมก็ลงจากรถก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้พี่แช่ม

ร่างสูงมีผ้าผูกตาปิดเอาไว้ครับ ผมเป็นคนเสนอให้เขาทำแบบนี้เอง จุดแรกที่ผมอยากให้เขาได้เห็นก็คือตรงห้องรับแขกที่เขากลับมาแล้วเจอน้องสาวตัวเองนั่นแหละ สำหรับเรื่องที่เราจะทำ ผมปรึกษากับหมอนวัตรแล้ว การรักษาโดยการเลือกเผชิญกับสถานที่หรือเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุของอาการป่วยถือว่าเป็นวิธีการที่ควรทำนะ ถ้าเขาสามารถอดทนกับมันและผ่านไปได้ก็ถือว่าจบ

อาจจะมีประสาทแดกบ้างเป็นบางครั้งแต่มันจะไม่ร้ายแรงอีกแล้ว

“ระวังนะพี่แช่ม ตรงนี้เป็นบันไดหน้าบ้าน”

“พี่จะล้มไหมอะ”

“ไม่ล้มหรอกถ้าเดินระวังๆ น่ะ”

“แล้วถ้าพี่ล้มแล้วคอหักล่ะ” เจ้าตัวถามพลางชะงักขาเอาไว้ที่ก้าวแรก คือบันไดขึ้นบ้านมันมีแค่ 4 ขั้นไง ถ้าจะล้มแล้วคอหักตรงนี้มันก็เป็นเว่อร์ไปหน่อยไหมล่ะ

“ถ้าสะดุดล้มคอหักล่ะก็ หอมก็จะปล่อยให้พี่เป็นวิญญาณสิงอยู่ตรงบันไดหน้าบ้านนี่แหละ และหอมก็จะไปมีผัวใหม่ซะ”

“กล้าพูดมากเลยนะข้าวหอม” มือเรียวบีบมือผมแน่นพลางทำเสียงเข้ม “เดี๋ยวจะโดนพี่ฟาดที่หน้าบ้านนี่แหละ”

“ก็มาดิครับ คิดว่ากลัวอ๋อ” ผมบีบแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว ถึงตอนนี้จะมีผ้าปิดตาบังหน้าพี่แช่ม แต่ผมรับรู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ ดีไม่ดีถ้าเสร็จจากเรื่องที่เราทำกัน ผมอาจจะโดนพี่แช่มลงโทษสถานหนักเลยก็ได้

หึ....คิดว่าข้าวหอมคนนี้จะกลัวเหรอ

“เดี๋ยวจะโดนนะ พี่คาดโทษน้องหอมเอาไว้แล้ว ถ้าพี่มีชีวิตรอดไปจากวันนี้ได้ พี่จะจัดการน้องหอม”

“หอมจะรอให้พี่มาจัดการหอมละกันนะ” หลังจากที่เถียงกันเรื่องล้มตรงบันไดจบ ผมก็เดินพาพี่แช่มเข้ามาในบ้านเรื่อยๆ จนถึงห้องรับแขกที่ใช้เป็นสถานที่ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

สัมผัสได้ถึงอาการหายใจแรงๆ จากคนที่อยู่ข้างๆ เขารับรู้แล้วแหละว่าเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว พอเห็นแบบนี้ผมก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน แต่เอาวะ เรามากันถึงขนาดนี้แล้วอะ จะถอดใจยอมถอยก็ไม่ได้แล้วแหละ ผมหวังว่าพี่แช่มจะผ่านมันไปได้ เหมือนอย่างที่เขาพูดว่าจะพยายามอดทน ถ้าสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาปวดเจ็บไม่ได้อีก หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องน่ากังวลใจอีกแล้ว

เราจะได้ไหว้พ่อแม่ของเขากัน

ผมปล่อยมือจากพี่แช่มก่อนจะถอยหลังกลับมาอยู่ตรงทางเข้าห้อง ร่างสูงเดินเข้าไปในบริเวณโต๊ะและโซฟาช้าๆ ตาเขายังปิดอยู่อย่างนั้น มือเรียวสัมผัสสิ่งรอบๆ ตัวเขาไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ โซฟา หรือแม้กระทั่งพรมที่ปูอยู่บนพื้น มือเขาสั่นมากเลย เหงื่อผุดเต็มใบหน้า หายใจแรงไม่หยุด ดูจากตรงนี้แล้วเหมือนเขาจะไม่ไหวเลย ก่อนหน้านี้เราตกลงกันว่าถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเรียกผม ผมก็จะไม่เข้าไปหาเด็ดขาด

ชริตเป็ดเขาอยากพยายามด้วยตัวเองให้ถึงที่สุดนนั่นแหละ

“โซฟาตัวนี้ที่หนูชอบนั่ง ให้พี่สอนการบ้าน ส่วนอีกฝั่งจะเป็นที่ของพ่อกับแม่ แต่หนูคงจำตอนนั้นไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอกมั้ง ตอนนั้นหนูยังเด็กอยู่เลย” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า ตอนนี้ในหัวเขาคงมีความทรงเก่าๆ ไหลเข้ามาไม่หยุดเลยก็ได้ ในใจก็คงรู้อะไรหลายอย่าง

ผมเป็นห่วงเขาจัง

“.....”

“....พี่เคยนอนตรงนี้แล้วสวมบทคนไข้เพื่อให้หนูรักษาด้วย หนูใช้ดินสอแทนเข็มฉีดยา ใช้ยางรัดผมมามัดแขนพี่ บัตรคนไข้ที่หนูเคยทำให้ พี่ยังเก็บมันเอาไว้ตลอดเลยรู้ไหม แต่น่าเสียดายที่พี่ไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว”

“.....”

“ฮึก....ชะเอม” มือเรียวรั้งผ้าปิดตาออกช้าๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ “ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วย ทำไมถึง.....”

“พี่แช่ม”

“ฮืออออ....ชะเอม” พี่แช่มยกมือกุมขมับก่อนจะฟุบหน้าลงกับโซฟาแล้วร้องไห้อยู่อย่างนั้น ผมอยากเข้าไปกอดเขาพร้อมบอกว่าไม่เป็นไรนะ อยากให้เขาเข้มแข็งเอาไว้ สิ่งที่เขาทำอยู่มันดีที่สุดแล้ว

แค่อีกนิดเดียวมันก็จะผ่านไปแล้ว

“.....”

“ฮึกกก....ก พี่ขอโทษนะชะเอม ขอโทษที่ไม่มาให้ไวกว่านี้ ขอโทษที่ทำให้หนูต้องรอนาน พี่พยายามแล้วที่จะกลับมา พี่พยายามแล้วจริงๆ ฮือออ....ชะเอม”

“.....” ดูจากอาการเขาแล้วมันไม่ค่อยโอเคเลย ผมรู้สึกปวดหัวใจมากที่เห็นเขานั่งร้องไห้แล้วตัวเองทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ก็นะ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้ มันคือสิ่งที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง

อดทนอีกหน่อยนะพี่แช่ม

“ถ้าไอ้เลวนั่นไม่ทำแบบนั้น พี่ก็ไม่ต้องเสียหนูไปแล้ว ฮึก....ฮือออ....ทำไมมันต้องทำแบบนั้นด้วย...ฮือออ....ทำไม!!!!!!!!!” ร่างสูงปัดแจกันบนโต๊ะไปอีกฝั่งจนมันแตกกระจ่างเป็นเสี่ยงๆ มือหยิบหมอนบนโซฟาขว้างไปอีกทาง

เขากำลังคลุ้มคลั่ง

แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“ฮืออออ....มันไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้เลย....ฮึก....ไม่น่าเลย” พี่แช่มพูดซ้ำๆ อยู่แบบนั้น มือก็จิกแขนตัวเองแน่น “ฮึก....พี่ขอโทษนะชะเอม ขอโทษที่ช่วยหนูเอาไว้ไม่ได้ พี่ขอโทษ.....พี่ผิดเอง....มันเพราะพี่เอง...”

“พี่แช่ม” ผมรีบเข้ามาหาเขาทันทีเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายสติหลุดไปแล้ว “พี่แช่มได้ยินหอมไหม พี่แช่ม”

“พี่ผิดเองชะเอม มันเป็นความผิดของพี่”

“ไม่ๆ มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลยสักนิด พี่ไม่ผิดนะพี่แช่ม”

“พี่ขอโทษชะเอม....พี่ขอโทษนะ”

“พี่แช่ม” ผมแกะมือเขาที่กำลังจิกแขนตัวเองออก “ไม่ใช่ความผิดของพี่แช่มนะ พี่แช่ม”

“พี่....ขอโทษนะชะเอม” สิ้นเสียงพูด คนตรงหน้าก็ทรุดลงไปกับพื้นทันที ผมรีบประคองพี่แช่มเอาไว้ก่อนจะจับให้เขานอนลงที่โซฟา เขาสลบไปทั้งแบบนั้น ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ในหัวเขาจะเป็นยังไง

ผมรู้สึกกลัวมากเลยจริงๆ

ผมกลัวว่าพี่แช่มจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่รับรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ตื่นขึ้นมาแล้วลืมเรื่องราวทุกอย่าง ถ้ามันเป็นแบบนั้นผมจะทำยังไง ถ้าเขาจำอะไรไม่ได้เลยผมควรทำยังไงดี ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ด้วย นี่มันแย่มากจริงๆ ผมไม่น่าให้เขารีบร้อนที่จะทำเรื่องแบบนี้เลย การพาเขากลับมาที่บ้านนี้ทำให้อาการเขาแย่มาก เขาไม่ได้ยินเสียงที่ผมเรียกด้วยซ้ำ ถ้าเขาหายไปแล้วไม่กลับมาอีก คนที่เสียใจที่สุดก็คือผม

ทุกอย่างมันแย่ไปหมด

แย่มากเลยจริงๆ

คิดมาตลอดว่ามันอาจจะเลวร้ายแต่ผมไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายมากขนาดนี้ ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่หวังในใจให้พี่แช่มตื่นขึ้นมาแล้วไม่เป็นไร หวังให้เขาจำเรื่องราวทุกอย่างได้ หวังให้เขา....ฮึก.....

“หอมขอโทษนะพี่แช่ม อย่าเป็นอะไรเลยนะ” ผมยกมือเขาขึ้นมากุมไว้แน่น “หอมรู้ว่าพี่กำลังเหนื่อย พักก่อนก็ได้ พักให้รู้สึกหายเหนื่อย หอมจะรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

“.....”

“ฮึก....เข้มแข็งเอาไว้นะครับ แล้วก็....”

“.....”

“กลับมาหาหอม....เร็วๆ นะ”

   

[บันทึกพิเศษ : แช่ม]

   

“ตื่นเร็วค่ะ จะสายแล้วนะ”

“อื้อออ....ขออีก 10 นาทีค่ะ”

“ไม่ 10 นาทีแล้วค่ะ วันนี้จะอายุ 17 แล้วนะ ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นนะรู้ไหม”

เสียงหวานที่ดังเข้ามาพร้อมกับแรงเขย่าทำให้พี่ชายอย่างเขาต้องยอมตื่น เหตุผลที่เจ้าหญิงตัวน้อยของเขายกมาทำให้รู้สึกดีไม่หยอก อายุมากขึ้น....ต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อาจจะสามารถปกป้องสิ่งสำคัญที่ตัวเองไม่อยากสูญเสียไปอีก หลายปีหลังจากที่พ่อแม่ของเขาจากไป บาดแผลในใจนั้นฝังลึกมาตั้งแต่ตอนนั้น สิ่งเดียวที่เยียวยาและทำให้แต่ละวันของเขามีความสุขก็คือน้องสาว

เธอเป็นครอบครัวคนสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่

สัญญากับตัวเองมาตลอดว่าจะดูแลเธอให้ดี ดีที่สุดเท่าที่พี่ชายคนนึงจะทำได้

“วันเกิดพี่แท้ๆ แต่ทำไมหนูถึงดูโตกว่าพี่ก็ไม่รู้” มือเรียวบีบแก้มใสอย่างมันเขี้ยว “วันนี้มีกิจกรรมตอนเย็นไหมคะ ถ้าไม่มีพี่จะได้ไปรับเวลาเดิม”

“ไม่มีค่ะ แต่ว่าวันนี้หนูขอกลับเองนะคะ”

“ทำไมเรา....จะแอบเซอร์ไพรส์อะไรพี่”

“เป็นความลับค่ะ” รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าสวย “ถ้าอยากรู้ก็ต้องรีบกลับบ้านน้า”

“ได้ค่ะ พี่จะรีบกลับบ้านนะคะ”

“โอเคเลย” ร่างบางโผกอดเขาแน่น “สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่ชายของชะเอม”

เสียงที่เอ่ยออกมาพร้อมกับสัมผัสที่อบอุ่นนั้น

เขาไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้รับมันจากน้องสาวที่เขารัก.....

.

.

ผมเสียใจที่กลับมาถึงบ้านช้าเกินไป

มันสายไปแล้ว....สายไปมากจริงๆ

“พี่ผิดเองชะเอม....” ผมมองภาพความทรงจำเก่าที่ฉายซ้ำวนเวียนอยู่แบบนั้น ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน เหมือนกับห้องๆ นึงที่มืดสนิท มองแทบไม่เห็นอะไรนอกจากเรื่องราวเก่าๆ

เรื่องราวของความทรงจำที่ดีที่สุดของผม

ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวมันช่างอบอุ่นในหัวใจจริงๆ เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งเหล่านั้นอีก ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปตอนนั้น กลับไปตอนที่ยังมีพ่อ มีแม่ และก็มีชะเอม ผมคิดถึงพวกเขา ทำไมยังเป็นผมที่ยังต้องทนอยู่ในตอนนี้ ผม....ฮึกกก.....

“ทำไมถึงทิ้งแช่มเอาไว้คนเดียวล่ะครับ...ฮืออ...”

“ขอโทษนะลูก”

เสียงนั้นมัน....

ผมหันไปมองเสียงที่อยู่ด้านหลังก็พบกับคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด “....พ่อ...แม่”

“โตขนาดนี้แล้วอย่าร้องสิ ไม่เท่เลยนะ”

“ฮืออออออ” ผมวิ่งเข้าไปกอดพวกท่านทันที กอดแน่นที่สุดเพื่อที่ท่านจะได้ไปจากผมไปไหนอีก “แช่ม....ฮึก....”

“ชู่วววว อย่าร้องสิคนเก่งของแม่” มือบางลูบหัวผมอย่างปลอบโยน “ไม่เป็นไรแล้วนะแช่ม”

“แช่มขอโทษ....ฮึก....ขอโทษที่ดูแลน้องไม่ดี แช่มผิดเองครับแม่....”

“ไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ มันไม่เคยเป็นความผิดของลูกเลยสักนิด” แม่คลายกอดผมพลางยิ้มให้ “แช่มทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว เก่งมากแล้วนะลูก”

“พ่อกับแม่ต่างหากที่ควรจะโทษ ปล่อยให้ลูกลำบากมาจนถึงตอนนี้ ทรมานมากเลยสินะ”

ผมยืนมองพวกเขาอยู่อย่างนั้น มีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกไปแต่แย่หน่อยที่ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่ร้องไห้ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะรู้สึกยังไงดี ดีใจที่ได้เจอพ่อแม่อีกครั้ง หรือเสียใจเพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ที่จะได้เจอพวกเขา แล้วชะเอมล่ะ น้องไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นเหรอ ผมอยากเจอน้องเหมือนกันนะ ผมสัญญากับเธอไว้ว่าจะกลับมาหา ถึงแม้ว่าสภาพผมในตอนนี้จะแย่ไปหน่อยก็เถอะ

ความจริงก็ไม่หน่อย

ผมยกมือเช็ดน้ำตาก่อนจะหันมองไปรอบข้าง “ผมไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน”

“ที่นี่คือบ้านเรา”

“มันมืดไปหมด”

“นั่นเพราะลูกไม่อยากเห็น” พ่อเอ่ยก่อนจะยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “หลายปีที่ลูกหนีไปจากที่นี่ พ่อเข้าใจว่าลูกเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าวันนี้ลูกเก่งจริงๆ ที่กลับมาที่นี่ได้”

“แม่รู้ว่าอดีตทำให้ลูกเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่อย่าลืมว่าที่นี่เองก็มีความทรงจำดีดีที่เราได้ทำร่วมกัน อย่างตรงนั้น....ลูกชอบเอาผลไม้มาให้แม่ปอกให้ จำได้ไหม ชะเอมก็ชอบเอานิทานมาให้แม่อ่านให้ฟัง”

ผมมองตามนิ้วเรียวของแม่ก็เห็นว่าตรงที่เป็นความมืดค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับปรากฏเป็นมุมนั่งเล่นที่เราชอบใช้เวลาทำโน่นทำนี่ด้วยกัน ผมจำได้ ผลไม้ที่แม่ปอกให้ นิทานที่น้องชอบให้แม่อ่าน ช่วงเวลาเหล่านั้นมันดีเหลือเกิน

ทำไมผมไม่นึกถึงมันตั้งแต่แรก

“ส่วนตรงโน้น....เราชอบนั่งต่อเลโก้ด้วยกัน ลูกจำได้ใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นมันสนุกมากเลยนะที่เราช่วยกันสร้างเมืองๆ นึงขึ้น และตอนนี้มันก็ยังอยู่ในห้องของลูก ไม่เคยหายไปไหน”

ใช่....มันไม่เคยหายไปไหน

ความมืดที่บดบังอยู่ค่อยๆ จางลงทำให้ผมเห็นภาพที่ตัวเองกำลังนั่งต่อเลโก้กับพ่อ ผมชอบการต่อเลโก้มากเลย เราช่วยกันต่อเสร็จไปหลายชุด ทุกชิ้นอยู่ที่ห้องนอน ผมเก็บมันไว้อย่างดีเพราะทุกครั้งที่ได้เห็น ผมรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ

ครั้งนึงเราก็เคยได้ใช้เวลาดีดีด้วยกัน....ถึงแม้จะไม่นานก็เถอะ

“นั่นสินะครับ ทำไมผมไม่จำเรื่องพวกนี้กัน”

“เพราะความรู้สึกผิดที่มันติดอยู่ในใจของลูกไง พ่อกับแม่ขอบอกอีกครั้งเลยนะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของลูก เพราะงั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว”

“ใช่ค่ะ เลิกโทษตัวเองแล้วนะ”

ผมหันไปตามเสียงก็พบกับร่างบางที่เดินเข้ามาหา “....ชะเอม”

“คนเก่งของหนู” เธอโผเข้ามากอดผมแน่น กอดแน่นเหมือนกับวันนั้น วันสุดท้ายที่ได้กอดกันตอนที่เธอยังมีลมหายใจ

ผมไม่อยากปล่อยให้อ้อมกอดนนี้หายไปเลย

“พี่กลับมาตามสัญญาแล้วนะคะ” ผมลูบหัวน้องเบาๆ “พี่กลับมาบ้านเราแล้วนะ”

“หนูรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าพี่ต้องทำได้” ชะเอมผละออกพลางยกมือขึ้นกุมแก้มผมแล้วเผยยิ้มออกมา “พี่ชายของชะเอมเก่งจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

“ไม่เก่งเลย ถ้าพี่เก่งจริงๆ ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

“เรากำหนดความเป็นไปของทุกสิ่งไม่ได้หรอกค่ะ สำหรับหนูแล้ว การได้เห็นว่าพี่กลับมาที่บ้านเราอีกครั้งมันเป็นอะไรที่มากเกินพอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนูรู้สึกผิดเสมอที่ทำให้ทุกสิ่งในใจของพี่มืดไปหมดแบบนี้ หนูขอโทษนะคะพี่แช่ม....หนูขอโทษจริงๆ ”

“ชะเอม”

“หนูอยากให้พี่มีความสุขเหมือนกับที่หนูเคยบอกพี่เอาไว้ไงคะ ตอนนี้พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ” สิ้นเสียงเอ่ยนั้น ความมืดรอบๆ ก็ค่อยๆ หายไป พอเป็นแบบนั้นผมถึงได้เห็นใครบางคนกำลังกุมมือผมที่หลับอยู่บนโซฟาด้วยความเป็นห่วง

น้องหอม

“เขาเป็นห่วงลูกมากเลยนะแช่ม”

“ครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แช่มก็มีเขานี่แหละครับที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด ช่วยดูแลไม่เคยห่าง อดทนเก่งยิ่งกว่าใคร ขนาดแช่มทำตัวไม่ดีใส่เขาแค่ไหน เขาก็ยังอยู่ตรงนั้น....น้องหอมจะอยู่ตรงนั้นเสมอ”

“เพราะงั้นลูกก็ต้องดูแลเขาให้ดี ทำให้เขามีความสุข”

“นั่นสินะครับ” ผมยิ้มให้ทุกคน “เราอาจจะโชคร้ายที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันนานมากกว่านี้ แช่มเสียใจแต่จะไม่ให้เรื่องเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นมาทำร้ายแช่มได้อีกแล้ว หลังจากนี้แช่มจะจดจำแต่เรื่องราวดีดีที่เคยเกิดขึ้น แช่มจะมีความสุขและใช้ชีวิตต่อไป”

“นั่นแหละค่ะคนเก่ง.....นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องการมากที่สุด”

ทั้งพ่อแม่และน้องเข้ามากอดผม ครั้งนี้มันคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ทุกครั้งที่ผมคิดถึงพวกเขา ผมจะนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยทำให้มีความสุข ดูรูปที่เคยถ่ายเอาไว้ด้วยกัน เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในความทรงจำและผมจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดอีก ทั้งคนที่จากไปแล้วหรือคนที่ยังอยู่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

ผมจะเป็นชริตที่มีความสุขในทุกๆ วัน

“ไปได้แล้วค่ะคนเก่ง มีเรื่องต้องจัดการอีกเยอะเลยนะคะ”

“นั่นสินะ” ผมผละออกจากทุกคนก่อนจะยิ้มให้ “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

“มีความสุขมากๆ นะลูก”

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

“พวกเรารักพี่แช่มนะคะ”

“พี่ก็รักทุกคนค่ะ” ผมลูบหัวชะเอมเบาๆ “พี่ไปก่อนนะคะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก....ในสักวัน”

“ค่ะ สักวัน....ลาก่อนนะคะคนเก่ง”

“ค่ะ....ลาก่อน”



[จบบันทึกพิเศษ : แช่ม]


---------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 18 : 11/1/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-11-2019 23:36:41
---------- ต่อจากบท 18 ----------


หลายชั่วโมงเลยครับที่เขาหลับไป

ผมไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนให้เขาตื่นขึ้นมา....ตื่นขึ้นมาหาผม

ได้แต่ภาวนาให้พี่แช่มไม่ลืมว่าผมเป็นใคร

ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ตอนนี้เกือบ 2 ทุ่มแล้วครับ ลุงเชตแวะเข้ามาหาด้วย เขาเป็นห่วงอาการของพี่แช่มมาก กังวลเรื่องที่ถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คือตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือรอให้พี่แช่มฟื้นอย่างเดียวเลย จนถึงตอนนั้นนั่นแหละถึงจะรู้ได้ว่าเขาเป็นยังไง ผมหวังอยู่ในใจลึกๆ ให้เขาตื่นขึ้นมาโดยจำผมได้ และเรื่องราวเลวร้ายไม่มีผลต่อใจเขาอีกต่อไป

ผมอยากให้ความหวังนี้กลายเป็นความจริง

ลุงเชตบอกผมว่ามีงานต้องกลับไปเคลียร์ แต่เดี๋ยวเขาจะเข้ามาอีกรอบ ผมคิดเหมือนกันนะว่าถ้าพี่แช่มตื่นขึ้นมาแล้วไม่รับรู้อะไรเลย ผมจะทำยังไง แล้วถ้าเขาคลั่งขึ้นมา ผมคนเดียวจะเอาไหวรึเปล่า ตัวเขาหนากว่าผมแถมยังแรงเยอะอีกต่างหาก ถ้าชริตเขาอาละวาดขึ้นมาจริงๆ ข้าวหอมคนนี้ต้องตายแน่ๆ เลย

แต่ก่อนอื่น....ให้เขาตื่นขึ้นมาก่อนเถอะ

จะอาละวาดหรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที

หลังจากที่เช็ดตัวให้พี่แช่มเสร็จผมก็เดินเอากะละมังไปเก็บก่อนจะกลับมานั่งข้างเขาเหมือนเดิม สีหน้าเขาดูดีขึ้นมานิดหน่อยจากตอนแรก ไม่มีคราบน้ำตาเปื้อนอีกแล้ว ผมไม่อยากเห็นเขาร้องไห้แบบนั้นอีก ไม่อยากให้เขาเสียใจหรือต้องเจ็บปวด อยากให้เขาเป็นชริตที่มีความสุขเหมือนกับตอนแรกที่เราเริ่มรู้จักกัน รอยยิ้มตอนนั้นมันสดใสแค่ไหนผมยังจำได้ดี

“เลิกขี้เซาได้แล้ว” ผมเกลี่ยแก้มเขาเบาๆ “ตื่นสักที”

“อื้อออออ....”

ผมมองร่างสูงที่ขยับตัวก่อนจะกุมมือเขาเอาไว้ “พี่แช่ม พี่ได้ยินหอมใช่ไหม”

“.....” คนที่นอนอยู่ลืมตามองผมช้าๆ “....น้องหอม”

เขายังจำผมได้

“มะ....ไม่เป็นไรใช่ไหม พี่โอเครึเปล่า หอม....ฮึก.....พี่แช่ม” ผมขยับเข้าไปกอดเขาไว้แน่น “หอมเป็นห่วงพี่มากเลยรู้ไหม....ฮืออออ”

“พี่ขอโทษนะ” มือเรียวลูบหัวผมเชิงปลอบโยน “พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ทุกอย่างมันจบแล้ว”

“ฮึกกกก....มันจบแล้วจริงๆ ใช่ไหมพี่แช่ม”

“จบแล้วครับ” เจ้าตัวเช็ดน้ำตาให้ผม “อย่าร้องสิ พี่จะร้องตามนะ”

“พี่จะห้ามหอมได้เหรอ....ฮึก....” ผมพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เอาน่ะ ปล่อยให้ข้าวหอมได้งอแงแค่ตอนนี้เถอะนะ หลังจากนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว

“ขอบคุณนะน้องหอม ที่อยู่กับพี่ตลอดจนถึงตอนนี้ พี่ไม่รู้เลยว่าถ้าพี่ไม่มีน้องหอม พี่จะเป็นยังไง” นิ้วเรียวเกลี่ยผมที่ผมหน้าผมออกให้ “พี่เป็นชริตที่โชคดีมากจริงๆ ”

ตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวเองว่ารักคนๆ นี้ ผมก็พยายามหลายอย่างเพื่อเขามาตลอด เคยคิดตัดใจไปครั้งนึงเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่หลังจากนี้มันคงไม่มีเรื่องแบบนั้นแล้วล่ะ ผมไม่คิดที่จะทิ้งพี่แช่มไปไหน ตัวเขาเองก็เหมือนกัน ผมจะไม่ยอมให้ความสุขที่เรามีหายไปอีกแล้ว รู้สึกดีเหมือนกันนะที่คนตรงหน้าแสดงท่าทีออกมาว่าไม่เป็นไร สิ่งที่เราตั้งใจที่จะทำกันมันก็สำเร็จไปตามนั้น

ทุกอย่างนี่มันดีจริงๆ

พอเรื่องราวในอดีตไม่สามารถทำร้ายอะไรพี่แช่มได้อีก เราก็จะได้ไปจัดการเรื่องหลายๆ อย่างที่ทำค้างคากันเอาไว้ อัฐิของชะเอมก็ต้องนำไปไว้ในเจดีย์อัฐิเดียวกับพ่อแม่ของเขา โหลใบโคลเวอร์ที่เป็นคำสัญญาของพี่น้องก็จะได้ไปอยู่นั่นด้วยเหมือนกัน คนรักของผมจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องมีอดีตที่เลวร้ายคอยหลอกหลอนอีกแล้ว

เหมือนทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นเลย

เรื่องของเราที่มันจะเริ่มต้นจริงๆ

“พี่เก่งแบบที่หอมคิดจริงๆ ด้วย”

“คนที่เก่งคือน้องหอมต่างหาก....น้องหอมคือที่สุดในชีวิตของพี่แล้วนะ”

ผมขยับเข้าไปกอดเขาอีกครั้ง “หอมดีใจที่พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“พี่ก็ดีใจที่ตัวเองออกมาจากวังวนนั้นได้สักที” ร่างสูงกระซิบข้างหูผมเบาๆ “พี่รักน้องหอมนะ อยู่กับพี่ไปนานๆ นะครับ”

“.....มันต้องแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ”

   

***

   

บางทีผมก็สงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอนที่พี่แช่มหลับไป

อะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนไปทันตาเลย

ผมนั่งมองร่างสูงที่นั่งทาครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดูปกติมาก ปกติจนเผลอคิดว่าไปว่านี่แหละที่ผิดปกติ อา....ยิ่งพูดยิ่งไม่ค่อยเข้าใจอะนะ คืองี้ครับ ตอนนี้เกือบ 5 ทุ่มแล้ว เราอยู่กันที่บ้านของพี่แช่มซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในห้องนอน ห้องนอนที่คนเป็นเจ้าของไม่ได้นอนมาหลายปีตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น เข้าใจฟีลไม่ได้มาอยู่ตรงนี้นานป้ะ แล้วที่ตรงนี้ก็คล้ายกับแผลเก่ารอยใหญ่อีก แต่ตอนนี้ชริตเป็ดคือทำตัวปกติเหมือนตัวเองนอนอยู่ที่นี่ทุกวัน

มันก็ดีอยู่หรอกแต่มันก็แปลกๆ อะ

ตอนที่เลิกฟูมฟายแล้วดึงสติกลับมาได้แล้วทั้งคู่ พี่แช่มก็คือทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอะ ตอนที่เขาหลับไป เขาอาจจะไปตกลงกับสมองเพื่อไม่ให้ตัวเองเศร้าก็ได้นะ ผมคิดแบบนี้ได้ป้ะวะ ครั้นจะไปถามเขาว่าทำไมเขาถึงทำตัวปกติทั้งๆ ที่มันเป็นแบบนี้ๆ ๆ ๆ ผมก็คิดว่ามันไม่ควรอีก เพราะงั้นช่างไปละกัน เลิกคิด เขาไม่เป็นอะไร เขาหายดีก็คือดีแล้ว

“มองพี่ขนาดนั้น มาช่วยพี่ทาครีมมา”

“ไม่เอา หอมไม่อยากขยับตัว” ผมเหลือบไปมองเลโก้ที่ประกอบกันเป็นเมืองที่อยู่ตรงมุมนึงของห้อง “เดี๋ยวหอมกลายร่างเป็นก็อตสิล่าแล้วไปพังเมืองของพี่ หอมไม่รู้ด้วยนะ”

ผมเป็นคนที่ชอบพังของที่ทำเสร็จแล้วมากครับ ข้าวก้องจะเป็นพวกชอบสร้างไง โมเดลบ้านต่างๆ ที่ไอ้น้องเวรผมเป็นคนต่อเอาไว้ ผมก็จะพังมันทั้งหมด เมืองเลโก้แบบนี้ก็เหมือนกัน เห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมือชะมัด

“เมืองเลโก้ตรงนั้นพี่เคยช่วยต่อกับพ่อ 2 คน น้องหอมจะพังมันเลยเหรอ”

เชี่ย.....ผมพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปสินะ

“.....หอมขอโทษนะพี่แช่ม” ผมเดินเข้าไปหาเขาด้วยความรู้สึกผิด “หอมไม่รู้”

“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ดูทำหน้าเข้าสิ”

“ก็มัน....”

“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าอย่าไปพังมันเลยละกัน ปล่อยให้มันตั้งเป็นเมืองแบบนั้นแหละ” ร่างสูงช้อนตัวผมก่อนจะเดินมาที่เตียง คือข้าวหอมไม่ได้ตัวเล็กขนาดจะมาอุ้มลอยแบบนี้นะ

แรงเยอะเกินไปแล้ว

“หอมไม่ได้ตัวเล็กนะ ดูอุ้มซะ”

“น้องหอมตัวเล็กตัวน้อยสำหรับพี่เสมอแหละ” อ้อมแขนแกร่งวางผมลงบนเตียงก่อนจะรั้งเข้าไปกอดเอาไว้ “พี่รู้นะว่าในหัวของน้องหอมตอนนี้มันอาจจะมีความสงสัยอยู่เต็มไปหมด ตัวพี่เองไม่อยากพูดอะไรนักหรอก แต่อยากให้น้องหอมสบายใจว่าหลังจากนี้พี่จะไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เชื่อพี่นะ”

“อื้ม หอมจะเชื่อพี่ ถ้าพี่ไม่อยากพูด หอมก็จะไม่เอามาใส่ใจ การที่พี่หายดีแล้วไม่แสดงอาการแย่ๆ ออกมา แค่นั้นมันก็พอแล้ว”

การที่พี่แช่มพูดแบบนี้แปลว่าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ก็คงเป็นไปตามนั้น ตอนที่เขาหลับคงมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ แต่เจ้าตัวพูดเองว่าไม่อยากเอ่ยถึงเพราะงั้นผมก็จะเลิกคิดเรื่องนี้ซะ วันนึงในอนาคตข้างหน้าเขาอาจจะอยากพูดถึงมันเองก็ได้ ตอนนี้ผมควรจะสบายใจได้แล้ว หลายวันมานี้ค่อนข้างเครียดและเหนื่อยมากเลยล่ะ นอนไม่พออีกต่างหาก ผมต้องชาร์จพลังให้กับชีวิตบ้างละ จะได้กลับไปเป็นข้าวหอมคนแกร่งเหมือนเดิม

เวลาหมดแรง.....ก็ต้องนอนกอดแฟนแน่นๆ ครับ

“น้องหอม”

“หืม....”

“พรุ่งนี้ไปวัดกันนะ ไปไหว้พ่อแม่พี่กัน”

“ได้สิ” ผมเอาจมูกไปถูแก้มพี่แช่ม “พวกท่านต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เราจะไปไหว้น่ะ”

“ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ” พี่แช่มเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์มาก่อนจะกดอะไรยุกยิกๆ แล้ววางไวที่เดิม โทรศัพท์ผมแจ้งเตือนดังขึ้นมาหลังจากนั้น เขาคงอัปเดตทวิตล่ะมั้ง ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยดูทีเดียวละกัน

“ฝันหวานนะครับคนเก่งของหอม” ผมจุ๊บปากร่างสูงก่อนจะกอดเขาเอาไว้แน่น อุ่นจัง รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายด้วย ทุกอย่างมันเป็นบ่งบอกว่าคนที่ผมรักเขายังอยู่ตรงนี้ มันคงจะดี....ถ้าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป

“ฝันหวานจ่ะน้องหอม”

สำหรับคืนนี้ผมคงนอนหลับได้อย่างสบายใจจริงๆ แล้วล่ะ

   

   

Chatit @Charitpedd

ถ้าไม่มีคุณ....ก็คงไม่มีผมในวันนี้หรอก

ขอบคุณนะครับ

   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งนิยายแล้วนะคะหลังจากที่หายไปนานมากจริงๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

คนที่อ่านมาสคอตแล้วเห็นทอล์คของชาลก็อาจจะพอรู้แล้วบ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่อ่านเรื่องนั้นชาลจะแจ้งอีกทีนะคะ ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะเลยนะ บี๋อาจจะรู้ว่าชาลกำลังฝึกโปรเจ็กต์จบ มีปัญหาสุขภาพต่างๆ คือตอนนี้ปัญหาสุขภสพคือดีขึ้นนะคะ แต่ชาลดรอปเรียนไปแล้วเพราะมีปัญหาส่วนตัว ตอนนี้กำลังทำงานพาร์ทไทม์ค่ะ 6 วันต่อสัปดาห์ ชาลต้องจัดการเรื่องนิยายและทำงานไปด้วย ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ มันเป็นคำพูดซ้ำๆ แต่ก็ต้องบอกให้บี๋รอนิยายอย่างใจเย็นนะคะ สำหรับแช่มหอมอีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วนะ ใช้เวลาเป็นปีเลยก็ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ

บี๋สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได่ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบบ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 18 : 11/1/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-11-2019 22:57:31
กว่าจะหลุดจากบ่วงได้ เลยเอาหืดขึ้นคอเลยจะเฮียแช่ม  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 19 : 18/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-12-2019 22:40:24
บทที่ 19 เรื่องของอนาคต


Kh. @KhH22_luc

เวลาตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างแล้วได้ทำตามนั้น

มันเป็นอะไรที่โคตรดีเลย.....หลังจากนี้จะไม่มีอะไรค้างคาอีกแล้ว

.

#CloverBad


.   

.   

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ

ตอนนี้เราอยู่กันที่วัดสำโรงครับ มาจัดการเรื่องเปลี่ยนเจดีย์ใส่อัฐิแล้วก็นำโกศของชะเอมมาใส่รวมไว้กับคุณพ่อคุณแม่ พี่แช่มเขาจัดแจงเรื่องนี้ด้วยตัวเองทั้งหมดเลย ปลุกผมตั้งแต่เช้ามืดแน่ะ ไปตลาดซื้อของทำบุญ ส่วนเจดีย์ใส่อัฐิคือเขาสั่งด่วนตั้งแต่เมื่อวาน ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยว่าเขาจะเปลี่ยนเจดีย์ใหม่ รู้แค่ว่าจะมาวัดด้วยกันเท่านั้นเอง พอจะทำโน่นนี่นั่นก็ทำปุบปับไม่บอกใครสักคน

น่าทุบจริงๆ

เมื่อเช้าหลังจากที่ไปตลาดก็แวะไปนำโกศชะเอมที่บ้านลุงเชตมา ตอนนี้โกศทั้งสามถูกบรรจุลงเจดีย์หินอ่อนเป็นที่เรียบร้อย ด้านหน้ามีชื่อและรูปภาพติดเอาไว้ ทุกอย่างคงเป็นไปตามความตั้งใจของพี่แช่มแล้วล่ะ ผมดีใจนะที่เขาสามารถพาตัวเองผ่านมาจนถึงจุดนี้ได้ ถึงจะเสียเวลาหน่อยแต่การที่ได้ความเป็นตัวเองกลับมามันก็อาจจะดีแล้วก็ได้ ผมโคตรชอบสีหน้าที่พี่แช่มแสดงออกมามากเลย

เขาไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ใจอีกแล้ว

ผมเดินมาหยุดอยู่ข้างร่างสูง “เสร็จแล้วเหรอ”

“อื้ม” เจ้าตัวรับคำก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเจดีย์ “ดีจังที่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจสักที”

“ทีนี้พี่ก็จะไม่มีอะไรที่มันค้างคาใจแล้วนะ”

“คงงั้นแหละ”

“อะนี่ หอมไปเอามาให้น่ะ” ผมส่งโหลใบโคลเวอร์แห้งให้พี่แช่ม เจ้าตัวรับไปก่อนจะนำไปวางไว้ข้างกระถางธูป

“พี่ทำตามคำสัญญาแล้วนะคะชะเอม ถึงมันไม่เต็มโหลก็เถอะ หนูคงรู้ใช่ไหมว่าใบโคลเวอร์สี่แฉกมันไม่ได้หาได้ง่ายๆ เลย พี่ทำเต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ”

“หอมว่าชะเอมเข้าใจพี่แช่มอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ” มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ “พ่อครับ แม่ครับ นี่ข้าวหอมครับ เป็นแฟนของแช่ม”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้รูปท่านทั้งสอง “คุณพ่อ คุณแม่ ชะเอมด้วยนะ”

“น้องหอมคือคนที่ช่วยแช่มไว้เกือบทุกเรื่องเลยครับ คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด คอยดูแล และเป็นคนที่ทำให้แช่มกลับมาเป็นแช่มได้ เพราะเขาเลยครับ หลังจากนี้พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงแช่มแล้วนะ แช่มไม่เป็นไรแล้ว”

“พี่แช่ม....” ผมยกมือขึ้นแตะไหล่เขาเบาๆ พลางยิ้มให้ “หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะมีหอมเสมอนะ”

“ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะมองที่รูปของครอบครัวเขา ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ชีวิตของพี่แช่มหลังจากนี้ผมจะช่วยดูแลให้เอง จะไม่ทำให้เขาเสียใจ และก็จะไม่จากเขาไปไหน จะคอยอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ก่อนหน้านี้อาจมีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจกัน แต่ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกตั้งเยอะ ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ผิดหวังแน่นอน

ขอสัญญาเลยครับ

หลังจากนี้อาจจะต้องหาวันว่างสักวัน พาพี่แช่มไปหาพ่อกับแม่สักหน่อย ตอนแรกผมกะว่าจะพาเขาไปที่บ้านหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล แต่มันไม่ค่อยมีเวลาว่างเลยเพราะเตรียมไปค่ายอบรม ไว้กลับจากที่นี่ละกัน เดี๋ยวผมต้องโทรถามพ่อด้วยว่าว่างวันไหนจะได้เข้าไปหาถูก อยากรู้เหมือนกันนะว่าตอนที่พี่แช่มเจอหน้าพ่อผมเนี่ยะ เขาจะทำหน้ายังไง จะว่าไปมันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนขี้เมาเลยก็ได้

ชริตเป็นพวกอัธยาศัยดีไง....ผู้ใหญ่เห็น ผู้ใหญ่รัก

“เออพี่ หอมเห็นร้านน้ำข้างนอก พี่จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวหอมไปซื้อให้”

“งั้นพี่ขอชาเย็นละกัน เดี๋ยวถ้าทำความสะอาดตรงนี้เสร็จแล้ว เราค่อยไปหาข้าวกินกัน โอเคไหม”

“โอเค” ผมรับคำก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วมุ่งไปทางหน้าวัดที่มีร้านขายน้ำอยู่ ตอนนี้เกือบบ่ายแล้วครับ ดีว่าวันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ ผมกับพี่แช่มยังไม่ได้กินข้าวด้วย อีกสักพักแหละกว่าเขาจะทำโน่นนี่เสร็จ

“เอาอะไรดีพ่อหนุ่ม”

“เอาชาเย็นครับ และก็โกโก้แก้วนึง แล้วก็ขนมปังปิ้ง 4 แผ่น”

“แป๊บนึงนะลูก” ป้าแม่ค้ารับคำก่อนจะเริ่มลงมือทำเมนูที่ผมสั่ง “ว่าแต่มาจากไหนเหรอเรา ไม่ใช่คนแถวนี้ล่ะสิ”

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ น่ะครับ แต่ว่าบ้านแฟนอยู่ที่นี่ เขากลับมาทำเจดีย์อัฐิให้พ่อแม่กับน้องสาวใหม่”

“แฟนงั้นเหรอ คบกันมานานรึยังล่ะ”

“ไม่นานหรอกครับ ไม่กี่เดือนเอง แต่ว่ารู้จักกันมาเกือบ 3 ปีแล้ว คือเราเรียนคณะเดียวกัน ป้ารู้จักพี่แช่มไหมครับ ที่เป็นลูกชายเจ้าของสวนยางอัญวานิชณ์”

“อ๋อ เจ้าแช่ม นี่พ่อหนุ่มเป็นแฟนเจ้าแช่มหรอกเหรอ”

“ใช่ครับ ผมเป็นแฟนพี่แช่ม”

“เจ้าแช่มน่ะน่ารักนะ ป้าเห็นตั้งแต่ยังเด็กโน่นล่ะ เขามาทำบุญกับครอบครัวบ่อย คิดแล้วป้าก็สงสารเขานะที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆ มาตลอด เรื่องพ่อแม่ก็้ว่าแย่แล้ว พอมาเรื่องหนูชะเอม ป้ายิ่งสงสารเขาจับใจเลยล่ะ”

“เรื่องพวกนั้นไม่น่าเกิดขึ้นเลยนะครับป้า”

ไม่ว่าจะกับครอบครัวไหนก็ไม่ควรมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

ผมว่าพี่แช่มยังโชคดีนะที่เจอเรื่องร้ายถึงขนาดนั้นแล้วยังผ่านมันมาได้จนถึงตอนนี้ มันมีนะคนที่เจอเรื่องแบบนี้แล้วไม่สามารถผ่านมันไปได้ ต้องวนเวียนอยู่ในวังวนของความทุกข์อยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อ่ไหร่ หรือมันอาจจะไม่มีวันจบลงเลยก็ได้ มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้มแข็งมากพอที่จะก้าวผ่าน บางครั้งมันต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง แค่ตัวเราอาจจะไม่พอ อย่างพี่แช่มเนี่ยะ ที่เขาผ่านเรื่องทุกอย่างมาได้เพราะเขามีคนรอบๆ ตัวคอยให้กำลังใจ

สำหรับคนที่ไม่ใครเลย....ผมขอให้สู้ๆ นะครับ

สู้ไว้ก่อนและสักวันมันจะต้องดีขึ้น

“พ่อแม่ของเจ้าแช่มน่ะเป็นคนจิตใจดี ชาวบ้านแถวนี้เขารู้จักหมดนั่นแหละ แล้วที่ดินของสวนยางตรงนั้นน่ะราคาดี ผ่านไปกี่สิบปีก็ยังมีคนอยากได้อยู่ ป้าล่ะยังหวั่นๆ ว่าเจ้าแช่มจะโดนใครทำอะไรไหม”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“ก็อย่างพ่อแม่ของเจ้าแช่มที่ถูกส่งคนมาฆ่าน่ะ ตอนนั้นก็เพราะเรื่องที่ดินเนี่ยแหละ ปมขัดแย้งนี้ป้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ ตั้งแต่ที่หนูชะเอมเสีย เจ้าแช่มก็ป่วย คุณเชตเข้ามาดูแลทุกอย่างเพื่อรอให้เจ้าแช่มหายดี ที่ป้ารู้เรื่องพวกนี้เพราะผัวป้าทำงานอยู่กับคุณเชตน่ะ อะนี่พ่อหนุ่ม” ป้าส่งขนมปังกับน้ำทั้งหมดให้ผม “ป้าเลี้ยงละกันนะ ถือว่าต้อนรับที่เจ้าแช่มกลับมาเยี่ยมบ้าน”

“ผมเกรงใจน่ะครับ ของซื้อของขาย”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อแม่เจ้าแช่มน่ะช่วยครอบครัวป้าไว้เยอะเหมือนกัน ป้าขอให้พ่อหนุ่มอยู่กับเจ้าแช่มไปนานๆ นะ เขาไม่เหลือใครแล้ว ตอนนี้พ่อหนุ่มอาจจะเป็นครอบครัวของเขา เป็นคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ก็ได้”

“ครับ ผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหนแน่นอน ขอบคุณสำหรับขนมปังกับน้ำนะครับ ผมขอตัวก่อน” ผมยกมือไหว้ป้าเขาก่อนจะเดินกลับเข้ามาในวัด

จากที่ฟังจากคนงานหรือชาวบ้านในตลาดที่รู้จักครอบครัวพี่แช่มแล้ว ทุกคนล้วนเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานะ เอาจริงๆ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ถ้าได้ฟังเรื่องพวกนี้ก็คงคิดแบบเดียวกันนั่นแหละ เวลาที่ผมได้รับรู้เรื่องแบบนี้ทีไร ใจมันก็หนึบหนับทุกที ห้ามไม่ให้รู้สึกไม่เสียใจไม่ได้จริงๆ อย่างตอนนี้ผมก็อยากจะกอดปลอบเขาแน่นๆ ความจริงพี่แช่มอาจจะไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ยังไงผมก็อยากทำแบบนั้นอยู่ดี

รอให้ออกจากวัดก่อนละกัน

ผมเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับน้ำและขนมในมือ “นี่นะพี่แช่ม”

“ไปนานจัง” เจ้าตัวเอาไม้กวาดไปเก็บก่อนจะเดินมานั่งข้างผม “พี่คิดถึงนะ”

“เกินเถอะ ในวัดในวาดูพูดจาเข้า”

“ก็มันจริงนี่นา ว่าแต่ยังไม่ได้บอกพี่เลยว่าทำไมไปนานจัง”

“ก็ป้าแม่ค้าเขาชวนคุย เขารู้จักพี่แช่มด้วยนะ”

“ใครๆ ก็รู้จักพี่ทั้งนั้นแหละ เป็นคนดัง น่ารัก ลุงป้าน้าอาเอ็นดู”

“พี่จะอวยตัวเองอีกนานไหม” ผมหยิกหลังมือเขาอย่างมันเขี้ยว “ลุงป้าน้าอาเขารู้ไหมว่าพี่เป็นคนหลงตัวเองแบบนี้”

“พี่พูดจริงๆ นะ เมื่อก่อนตอนที่ยังอยู่ที่นี่ พี่จะไปรับชะเอมทุกวัน มาเดินตลาดหาซื้อของก่อนกลับบ้าน ซื้อขนมซื้อผลไม้ทีไร ลุงๆ ป้าๆ ก็คอยแถมให้ตลอด ยิ่งของชะเอมนะ ได้เยอะกว่าพี่ตลอด”

“ก็ชะเอมน่ารัก”

“พี่ก็น่ารักเถอะ” มือเรียวบีบแก้มผมให้เข้าหากัน “อย่าทำให้พี่รู้สึกหึงน้องสาวของตัวเองนะ”

“พี่หึงของพี่คนเดียวเลย” ผมจับมือเขาออกก่อนจะยัดขนมปังปิ้งเข้าปากพลางเคี้ยวแก้มตุ่ย

“พี่จะหึงน้องหอมแบบนี้ไปเรื่อยๆ นี่แหละ เดี๋ยวไปหาข้าวกินกันนะ พี่ทำอะไรเสร็จหมดแล้ว”

“กินที่ไหนอะ”

“เดี๋ยวน้องหอมก็รู้เองแหละ”



---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 19 : 18/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-12-2019 22:41:04
--------- ต่อจากบท 19 ----------

[บันทึกพิเศษ : แช่ม]

.   

ความรู้สึกสบายใจที่ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ความรู้สึกที่ผมปรารถนามาหลายปี

ครอบครัวของคงดีใจที่ผมเป็นแบบนี้และได้ทำอย่างที่ตัวเองอยากทำมาตลอด ตั้งแต่เมื่อเช้าผมพาน้องหอมไปตลาดเพื่อซื้อของทำบุญ ไปทำเจดีย์อัฐิให้พ่อกับแม่ใหม่และก็นำโกศของชะเอมมาใส่รวมไว้ที่เจดีย์เดียวกัน มันน่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้อยู่ในงานศพของน้อง แต่ตอนนี้ผมก็ทำอะไรเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่ตัวเองหายไปแล้วนะ ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหลังจากนี้ผมก็จะมีความสุขให้มากๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

โดยเฉพาะเจ้าแฟนของผมเนี่ย

ตอนนี้ผมกำลังพาน้องหอมไปหาข้าวกินแถวหาดหินงาม ไกลจากที่บ้านแต่ว่าไหนๆ ก็กลับมาที่นี่แล้ว อยากไปทะเลสักหน่อย อีกอย่างเพื่อนสนิทผมสมัยมัธยมฯ มันก็เปิดร้านข้าวอยู่แถวนั้น ไม่ได้เจอมันตั้งนานตั้งแต่ตอนสติแตก ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง ติดต่อกันครั้งล่าสุดก็ปีใหม่โน่นล่ะ ไม่แน่ว่าผมอาจจะหาโรงแรมแถวนั้นนอน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่บ้าน จัดโน่นนี่นั่นใหม่สักหน่อยค่อยกลับกรุงเทพฯ

มีงานเยอะเลยหลังจากนี้น่ะ

ความจริงงานของผมที่ว่าเยอะมันก็เรื่องเคลียร์งานทั้งของตัวเองและคณะ แล้วก็เรื่องเอกสารฝึกงาน เทอมหน้าต้องฝึกงานแล้วเหรอเนี่ย จะรอดจะตายต้องมาดูอีกที เหล่าสหายกลุ่มว้ากเกอร์คือแยกย้ายไปฝึกงานคนที่เลยอะ ไอ้สัสขันขี้โกงสุดได้อยู่ในกรุงเทพฯ พวกที่เหลือก็กระจายไปต่างจังหวัด ชริตเป็ดคือมาอยู่ไกลที่สุดเลย ไม่รู้ว่าช่วงที่ห่างจากน้องหอม ผมจะเป็นยังไงบ้าง

แค่คิดใจก็ห่อเหี่ยวไปหมด

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามพลางหยิบถุงขนมด้านหลังมาแกะ

“ทำหน้าแบบไหน”

“หน้าเหมือนหมดอาลัยตายอยาก”

“ก็อาจจะ” ผมเบะปากน้อยๆ “แค่คิดว่าต้องอยู่ห่างกับน้องหอม พี่ก็ท้อใจ”

“แค่ระยองเอง”

“อย่ามาใช้คำว่าแค่นะ สำหรับพี่ แค่หอพี่กับหอน้องหอมก็นับว่าห่างแล้ว” จริงๆ นะ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็รู้สึกว่ามันไม่เท่าไหร่ แต่พอเป็นแฟนกันปุ๊บ ผมก็รู้สึกอยากอยู่กับน้องหอมตลอดเวลา

ยิ่งพอได้กันแล้วก็อยากจะกินเขาเข้าไปเลย

ไม่ต้องให้ใครเห็นทั้งนั้น

“เว่อร์มาก”

“เว่อร์ได้มากกว่านี้อีก” ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในร้านอาหารแห่งนึง ซึ่งชื่อร้านสุดสะเหล่อนั่นก็คือชะย้ง ชื่อที่เคยคุยกันขำๆ สมัยเกือบสิบปีก่อน ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง

“ชื่อร้านแปลกจัง”

“เจ้าของร้านก็แปลก” ผมลงจากรถก่อนจะลากน้องหอมเดินเข้าไปในร้าน ไม่แน่ใจว่าไอ้เพื่อนเวรจะอยู่ที่ร้านรึเปล่า ไม่ได้คิดเลยนะว่าถ้ามาแล้วไม่เจอมันแล้วจะยังไงต่อ

ช่างแม่ง

ผมจัดแจงสั่งโน่นนี่นั่นตามที่ตัวเองอยากกิน ความจริงจะให้ซื้อทั้งร้านนี้ก็ทำได้แต่เดี๋ยวไอ้ย้งจะไม่มีอะไรทำซะก่อน ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยประถมฯ ยันมัธยมฯ เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวเลยมั้งที่มีอะ คือรู้ใจกันแทบทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเลิกเป็นเพื่อนกันวันไหนก็ต้องฆ่ามันทิ้งเท่านั้นครับ เก็บเอาไว้ไม่ได้หรอกเพราะความลับของผมที่มันรู้แม่งเยอะชิบหาย

กลัวใจมันเผาเรื่องผมให้น้องหอมฟังเหมือนกันนะ

“แอร้ยยยย”

“หืม....” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก้มมองใต้โต๊ะ “มีเด็กเกาะขาหอมอยู่ด้วยพี่แช่ม”

ผมก้มลงดูใต้โต๊ะบ้าง “ลูกใครวะเนี่ย”

“แอร้ยยยย” เจ้าตัวเล็กชูแขนจนสุดมือประหนึ่งอยากให้น้องหอมอุ้มยังไงอย่างนั้น ไอ้อุ้มมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าลูกใครนี่สิ กลัวพ่อแม่เขามาโวยวายถ้าอยู่ดีดีไปแตะลูกเขา

“น้องจะให้อุ้มอะพี่แช่ม”

“ก็อุ้มสิ” ถ้าพ่อแม่เด็กมาโวยเดี๋ยวพี่จัดการให้เอง บ้องหูสักสองทีด้วย ปล่อยเด็กตัวน้อยๆ มาเดินแบบนี้ได้ยังไง

“แอร้ยยยยยยยย”

“ค้าบๆ อุ้มแล้ว” มือเรียวอุ้มเจ้าเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมกอด เห็นแบบนี้แล้วน่ารักจังเลยน้า ถ้าผมกับน้องหอมมีลูกด้วยกันสักคนก็น่าจะดีนะเนี่ย แต่จะมีได้ไงวะ

เป็นผู้ชายทั้งคู่เลย

“สิชลครับ กวนอะไรลูกค้าล่ะลูก” ร่างบางเดินเข้ามาที่โต๊ะผม ฟังจากคำพูดน่าจะเป็นแม่ของเขาล่ะมั้ง สวยจัง น่าจะรุ่นเดียวกับน้องหอมเลยนะเนี่ย

“น้องน่ารักมากเลยนะครับ”

“กำลังซนด้วยค่ะ ตอนนี้ฝึกเดินอยู่ บางทีก็เดินซะไว จับแทบไม่ทันเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรับคำพลางมองไปรอบๆ ร้านที่ไม่มีคนเลย “เอ่อ น้องเป็นพนักงานที่นี่เหรอครับ”

“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

“ไอ้ย้งอยู่ไหม คือพี่เป็นเพื่อนมันอะ”

“พี่ย้งอยู่ในครัวค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูไปเรียกให้นะคะ”

“จ่ะ” ผมยิ้มหวานให้เธอก่อนจะเหลือบมองแฟนตัวเองที่กำลังทำหน้ามุ่ย “เป็นอะไรอะน้องหอม ดูทำหน้าเข้า”

“ยิ้มหวานเชียวนะ”

“ทำไม หึงรึไง” ผมเท้าคางมองเจ้าตัวอยู่อย่างนั้น คนหึงก็หันหน้าหนีไม่ยอมตอบ แหม่ ทำตัวน่ารักในที่สาธารณะแบบนี้พี่ก็ลำบากสิน้องหอม

ร้ายกาจจริงๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคนตรงหน้า ชอบนะเวลาเขาหึง ชอบเวลาเขาแสดงท่าทีออกมาว่าหวง ปกติผมมักจะเป็นคนแสดงออกเรื่องพวกนี้รุนแรงมากกว่าเขาตั้งแต่สมัยตอนที่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลย เอาจริงๆ ผมกับน้องหอมยังคบกันได้ไม่ค่อยนานเท่าไหร่ เพิ่งไม่กี่เดือน แต่ความรู้สึกที่ใจตรงกันมันก็นานแล้วนะ ตั้งแต่สมัยน้องหอมปี 1 อะ ประมาณช่วงเทอม 2 ที่เราพัฒนาความสัมพันธ์จากแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไปเป็นคนพิเศษ

ส่วนตอนนี้ก็เป็นผัวเมียกันแล้วครับ

พูดเองก็เขินว่ะ

ผมชอบความรู้สึกในตอนนี้ ตอนที่ไม่มีอะไรค้างคาใจ ไม่กังวล ไม่มีอะไรต้องกลัว พูดง่ายๆ ก็คือตอนที่ไม่ประสาทแดกนั่นแหละ เหมือนได้ย้อนกลับไปช่วงเข้าเรียนมหา’ลัยใหม่ๆ เลย ความจริงในกลุ่มว้ากเกอร์เนี่ยะ ผมจะเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นมิตรและน่ารักที่สุดแล้ว นั่นคือก่อนที่อาการป่วยจะกำเริบนะครับ พอหลังจากที่ PTSD กลับมาหนักๆ ผมก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่เหมือนเดิม

เปลี่ยนไปจนรอบข้างรู้สึกได้

แต่หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้คนที่อยู่รอบตัวต้องรู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองเป็น อีกอย่างชริตในตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องฝังใจที่จะทำให้เจ็บปวดอีกแล้ว เจ็บสุดในตอนนี้ก็คงเพราะโดนแฟนหยิกมือเนี่ยแหละ

ยัง....ยังไม่หยุด

“พี่เจ็บนะ หยิกพี่ทำไมเนี่ยะ”

“หมั่นไส้”

“ยังไม่ทันทำไรเลย” ผมเหลือบมองร่างสูงที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจจัดๆ “ไอ้ย้ง”

“ไอ้แช่มมมม!!!!” เจ้าของชื่อโถมตัวเข้ามากอดผมแน่นประหนึ่งไม่ได้เจอกันนาน มันก็นานจริงแหละแต่มึงไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ก็ได้

เดี๋ยวแฟนกูก็หยิกมือกูอีก

“แน่นไปแล้ว”

“เห้ยเพื่อนนนน มึงเป็นไงบ้างเนี่ย กูไม่ได้เจอมึงมากี่ปีแล้ววะ ไหนดูซิว่ายังเหมือนคนปกติอยู่รึเปล่า” ว่าแล้วมือหนาก็จับหน้าผมหันไปมาเหมือนสนุก

“กูปกติดี มีแต่มึงเนี่ยะเหมือนจะไม่ปกตินะ” ผมดันมันออกพลางทำหน้าเหี้ยมใส่ “กูกลับมาบ้านอะ ตอนนี้โอเคแล้วก็เลยแวะมาหามึงก่อนจะกลับไปเรียน”

“กูดีใจด้วยนะมึง ในที่สุดก็มีวันนี้สักที” เจ้าตัวยิ้มให้ผม ไอ้ย้งมันรู้เรื่องราวทั้งหมดดีครับ มันก็คงดีใจนั่นแหละที่ผมจะไม่ประสาทแดกอีกแล้ว

“เออๆ แล้วนี่น้องหอม แฟนกูเอง”

“สวัสดีครับ” เจ้าแฟนผมยกมือไหวไอ้ย้ง

“สวัสดีครับน้องหอม เหนื่อยหน่อยนะเป็นแฟนไอ้แช่มอะ”

“ปากดี ใครเป็นแฟนกูอะโชคดีจะตาย เนอะน้องหอมเนอะ” พอผมถามแบบนั้น น้องหอมก็ส่ายหัวรัวๆ ใช่ซี้ เพราะตรงนี้มีไอ้ย้งอยู่ถึงได้กล้าทำห้าวใส่พี่ ไว้ให้อยู่กันแค่สองคนก่อนเถอะ โดนแน่

เพื่อนรักนั่งลงข้างๆ ผม “แฟนมึงยังไม่เห็นด้วยเลย”

“แฟนกูแกล้งกูเถอะ ว่าแต่มึงอะ เปิดร้านชื่อนี้จริงๆ ด้วย สะเหล่อชิบหาย”

“ก็เคยบอกมึงเอาไว้ว่าจะเอาชื่อมึงมาตั้งร้าน ทำไม ไม่มีใครคิดว่ามึงเป็นเมียกูหรอก”

“ไอ้สัสย้ง” เดี๋ยวบ้านแตกไอ้เวร

ผมแอบหยิกขามันแรงๆ พลางมองน้องหอม เจ้าตัวมองผมเหมือนกับอยากรู้เรื่องราวต่างๆ ที่ไอ้ย้งพูด คืองี้ เมื่อประมาณม.ต้น อาจารย์ให้เขียนเรียงความเรื่องอาชีพในอนาคต แล้วไอ้ย้งมันอยากจะมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ผมเป็นเพื่อนสนิทมัน มันก็เลยบอกว่าชื่อร้านเนี่ยะ จะเป็นชื่อผมกับมันรวมกัน ชะย้งมาจากชริตกับย้งครับ แม่งตั้งเองโดยไม่ถามผมสักคำ

ตอนนั้นก็ด่ามันไปนะ ไม่คิดว่ามันยังจะเอาชื่อนี้

ก็นั่นแหละ เพราะไอ้บทความนั้นเลยทำให้หลายๆ คนคิดว่าผมกับไอ้ย้งไม่ใช่แค่เพื่อนกัน คือแบบ....ตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ทำไมมีคนคิดอะไรแบบนี้ด้วยวะ ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมาก ตัวไอ้ย้งเองก็มีแฟน ตัวท็อปของโรงเรียนสตรีล้วนเลยด้วย ส่วนผมนั้นชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกครับ ตอนที่รู้ตัวก็น่าจะประมาณช่วงมัธยมฯ ต้น ฮอร์โมนพุ่งพล่านไง ใจเต้นแรงกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็เลยคิดว่าตัวเองชอบผู้ชาย

เป็นเกย์มาตั้งแต่ตอนนั้นเลยครับ

แต่ผมไม่เคยคบกับใครเลยนะ น้องหอมเป็นแฟนคนแรก เป็นคนแรกเลยจริงๆ สำหรับทุกๆ อย่าง ความรู้สึกที่สัมผัสได้ตอนที่เห็นเขาครั้งแรกคือใจเต้นแรงชิบหาย แรงแบบไม่เคยแรงขนาดนี้มาก่อน ที่ผมเป็นแบบนั้นมันก็คงเพราะเขาเกิดมาเพื่อเป็นของผมล่ะมั้ง พอรู้สึกว่าคนๆ นี้คือคนพิเศษ สายตาก็จะมองหาแต่เขา เวลาทำอะไรก็จะนึกถึงเขาไปหมด การตกหลุมรักใครสักคนมันทำให้มีความสุขมากเลย

ยิ่งถ้าได้ครอบครองแล้วด้วย....แม่งโคตรมีความสุข

“แอร้ยยยย”

“แอร้ยอะไรครับเจ้าอ้วนนนน” ไอ้ย้งอุ้มเจ้าตัวเล็กที่เกาะขาตัวเองขึ้นมา “น่ารักป้ะมึง ลูกกู”

“ลูกมึง”

“เออ ผู้หญิงที่มึงเห็นนั่นก็แฟนกูเองชื่อน้องอัญ”

“ทำไมมีลูกไวจังวะ แฟนมึงอายุเท่าไหร่”

“ปีนี้ 20 ละ คือกูก็สารภาพตามตรงว่ากูไม่ได้ตั้งใจ แต่พอสิชลอยู่ในตัวน้องอัญมันก็ทำให้กูคิดที่จะเอาจริงเอาจังกับชีวิตมากขึ้น ร้านนี้กูเริ่มทำตั้งแต่น้องอัญท้อง กูดรอปเรียนเอาไว้ เดี๋ยวเดือนหน้าก็จะกลับไปเรียน น้องอัญก็ดูลูก พอสิชลโต ไปโรงเรียนได้เมื่อไหร่กูจะให้น้องอัญกลับไปเรียนต่อ”

“แล้วร้านอะ”

“เดี๋ยวพี่ยิ้มจะกลับมาอยู่บ้าน ก็คงจะมาช่วยดูแลร้านให้ เอาจริงๆ กูก็มีป้าแม่ครัวอยู่แล้ว ที่อยู่ร้านก็ทำพวกบัญชีเท่านั้นแหละ เด็กเสิร์ฟก็มีเยอะแยะ ไม่ค่อยน่ากังวลหรอก ลูกน้องพ่อกูทั้งนั้นอะ”

“ก็ดีแล้วที่มึงวางแผนอนาคตตัวเองเอาไว้ คิดแล้วก็ขำว่ะ ไม่เจอกันหลายปี เพื่อนกูมีลูกแล้ว”

“ลูกกูน่ารักด้วย ไหนสิชลไหว้ลุงแช่มสิครับ”

“แค่อาพอไอ้เวร”

“เออ งั้นเดี๋ยวกูฝากลูกหน่อย จัดการในครัวแป๊บ” ว่าแล้วมันก็ส่งเจ้าตัวเล็กมาให้ ฟังจากชื่อเมื่อกี๊ชื่อน้องสิชลสินะ น่ารักจัง หน้าหวานได้แม่เขามาเต็มๆ เลย

ผมมองตาใสแป๋วนั้น สิชลเอื้อมมือมาดึงแก้มผมพลางส่งเสียงอ้อแอ้ พอเห็นแบบนั้นผมก็อุ้มเขาก่อนจะพาเดินออกไปหน้าร้านที่เป็นหาดทราย ตอนนี้แดดร่มแล้ว ระหว่างรออาหารก็ลักพาตัวลูกไอ้ย้งมาเดินเล่นหน่อยละกัน ตอนนี้เท้าเล็กๆ เหยียบอยู่บนเท้าของผม เราเดินบนหาดด้วยกัน สิชลดูชอบใจมาก ส่งเสียงไม่หยุดเลย เด็กๆ ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ

“แอร้ยยยยยย” สิชลโผเดินไปหาน้องหอมก่อนจะกอดขาเขาเอาไว้แน่น “แอ้ๆ ๆ ๆ ๆ ”

“ว่าไงค้าบ อยากให้พี่หอมพาเดินใช่ไหมหืม....”

“อยากกอดพี่หอมจังเลยค้าบ”

“ไม่ต้องมาอยากกอดเลยนะ” น้องหอมบอกพลางพาสิชลเดินหนีผม “สิชลไปกับพี่หอมสองคนเนอะ”

“เดี๋ยวเถอะ” ผมเดินมาอยู่ข้างๆ ก่อนจะที่มือน้อยๆ ของสิชลจะจับหมับเข้าที่มือผม โอ๊ยยยย ฟีลนี้มันพ่อแม่ลูกชัดๆ เนี่ยะ เดี๋ยวมรดกทั้งหมดที่มีผมยกให้สิชลหมดเลย

ฝากสวนยางของอาด้วยนะครับลูก

ผมไม่เคยคิดที่จะมีลูกเลยอาจเพราะรู้ว่าตัวเองคงมีไม่ได้ แต่เรื่องที่คิดว่าอาจจะรับเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะมี ในตอนนั้นคงต้องพร้อมและรู้สึกว่ามันถึงเวลา เยอะนะครับสำหรับเด็กที่ไม่มีครอบครัวน่ะ การรับเขาเข้ามาเป็นส่วนนึงมันคงเป็นอะไรที่ดีไม่ใช่น้อย แต่ก่อนจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องคุยกับคนที่อยู่ข้างกายด้วยว่าเขาโอเครึเปล่าถ้าครอบครัวของเราจะมีสมาชิกเพิ่ม

เรียนยังไม่จบแต่คิดไปถึงโน่นแล้วนะ

“น้องหอมอยากมีลูกไหม”

“ก็นะ....เด็กๆ ก็น่ารักดี แต่หอมคงมีลูกไม่ได้” เจ้าตัวหันมองผม “แล้วพี่แช่มล่ะ อยากมีลูกไหม”

“ก็อยากนะ”

“แล้วพี่จะทำยังไง จะไปมีลูกกับผู้หญิงเหรอ”

“พี่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง” ผมนั่งลงกับพื้นทรายที่ใต้ร่มของต้นไม้ใหญ่ก่อนจะดึงสิชลมานั่งบนตัก “พี่อาจจะรับเลี้ยงเด็กแทนน่ะ”

“แบบนั้นก็ดีนะ รับเลี้ยงสักสองสามคน พวกเขาจะได้ไม่เหงา”

“พี่อยากมีลูกสาว เดี๋ยวไว้หนวดตั้งแต่ตอนนี้เลย ฝึกไว้ก่อน”

“เว่อร์มาก” น้องหอมหัวเราะออกมาก่อนจะเอนหัวมาซบไหล่ผม “จนกว่าจะถึงตอนนั้น พี่จะอยู่กับหอมไปเรื่อยๆ ใช่ไหม”

ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาเอาไว้ “มันต้องแน่นอนอยู่แล้ว ทุกช่วงเวลาของชีวิตหลังจากนี้ น้องหอมจะมีพี่เสมอนั่นแหละ กลับไปครั้งนี้ คงต้องไปไหว้พ่อแม่น้องหอมแบบจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ ไปถามด้วยว่าเขาจะเอาสินสอดเท่าไหร่”

“สินสอดอะไรของพี่”

“สินสอดไว้สู่ขอน้องหอมไง” ผมยกมือเขาขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “พี่น่ะ....คิดเอาไว้ว่าหลังเรียนจบ พี่จะทุบบ้านที่นี่ทิ้ง แล้วสร้างหลังใหม่”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะว่าอยากเริ่มต้นใหม่ จริงอยู่ว่าตอนนี้พี่อาการดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่มีวันหายขาด ถ้าวันนึงที่ตัวพี่รับมือกับมันไม่ได้อีก มันจะแย่มากกว่าเดิม”

ผมตัดสินใจยากมากเรื่องจะทุบบ้านที่ตัวเองเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด มันมีความทรงจำกับผมมากมายทั้งดีและร้าย แต่อย่างที่บอก วันนี้ผมอาการดีขึ้นแต่มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่กลับไปมีสภาพแย่แบบนั้นอีก เพราะงั้นการที่ผมคิดจะทำแบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้ ทุบบ้านแล้วสร้างใหม่ ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับคนที่ผมมองว่าเขาเป็นครอบครัว

“ถ้าพี่จะทำแบบนั้น หอมก็เคารพในการตัดสินใจของพี่นะ”

“ขอบคุณนะน้องหอม ถึงตอนนั้นที่บ้านหลังใหม่สร้างเสร็จ....น้องหอมมาอยู่กับพี่นะ”

“พี่พูดเหมือนจะขอหอมแต่งงานเลย”

“ก็ใช่....”

“.....พี่แช่ม”

“น้องหอมเรียนจบเมื่อไหร่.....เราแต่งงานกันนะ”

.   

[จบบันทึกพิเศษ : พี่แช่ม]

.   

ทำไมวันนี้หัวใจมันฟองฟูจังวะ

อยู่ดีดีก็ถูกขอแต่งงาน

ผมนั่งอยู่ริมระเบียงพลางมองทะเลเบื้องหหน้า วันนี้เรามาค้างกันที่บ้านพี่ย้งครับ ตอนแรกพี่แช่มจะไปพักที่โรงแรม แต่เพื่อนเก่าเขาบอกว่านานๆ พี่แช่มจะโผล่มาสักที ให้ค้างซะที่นี่ มีเรื่องอยากคุยด้วยอีก ตอนนี้ก็นั่งสังสรรค์กันอยู่นั่นแหละ นอกจากพี่ย้งกับพี่แช่มแล้วก็มีพวกเพื่อนๆ เก่าเขามาอีกหลายคน ตอนแรกผมก็นั่งร่วมวงอยู่ด้วยแต่พอโดนแซวเยอะๆ มันก็เขินอะ

ข้าวหอมเลยปลีกตัวออกมานั่งสงบจิตสงบใจ

เหตุการณ์ที่ชายทะเลเมื่อเย็นทำให้ผมเขินมากเลย ที่พี่แช่มบอกว่าถ้าเขาเรียนจบ เขาจะทุบบ้านหลังเดิมทิ้งพร้อมกับสร้างใหม่ และถ้าผมเรียนจบเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกันและเขาจะให้ผมไปอยู่ด้วย ภาพในหัวตอนนี้คือโคตรตลกอะ สะเหล่อไปคิดภาพตัวเองสวมชุดเจ้าสาวไง ใส่เวลสวยๆ ทั้งที่คือถ้าได้แต่งงานกันจริงๆ ผมก็ไม่ต้องใส่ชุดเจ้าสาวป้ะวะ เราก็ต้องใส่ชุดทักซิโด้ทั้งคู่ป้ะ

ทำไมผมดูตื่นเต้นจัง

อีกตั้งหลายปีแน่ะกว่าจะถึงตอนนั้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมหันไปตามเสียงเคาะก็พบร่างสูงที่เดินเข้ามา “ทำไมมานี่ล่ะ”

“ก็เห็นน้องหอมหายไปนาน” เจ้าตัวเดินมานั่งลงข้างผม “ทำอะไรอยู่”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อย หอมเห็นที่พี่คุยกับเพื่อนๆ แล้วรู้สึกได้เลยว่าพี่แช่มคนเดิมกลับมาแล้ว” จริงๆ นะครับ ช่วงที่อาการเขากำเริบหนักๆ เขาไม่ค่อยแสดงอะไรออกมาเลย

“พี่ก็ดีใจเหมือนกันที่ตัวเองกลับมา ความรู้สึกที่ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ มันดีมากจริงๆ นะ”

“ดีแล้ว หลังจากนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก พี่ต้องบอกหอมนะ ให้หอมรับรู้และคอยช่วยเหลือพี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”

“พี่สัญญา พี่จะไม่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวอีกแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่จะบอกน้องหอมนะ” ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ “ตอนนี้พี่ก็มีบางอย่างที่จะบอกน้องหอมด้วย”

“อะไรอะ”

“ขอจูบหน่อยนะ” สิ้นคำเอ่ยริมฝีปากบางก็ทาบทับลงมาโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว ผมยังไม่ได้ยอมตกลงเลยนะว่าจะให้จูบน่ะ พี่แช่มนี่ร้ายจริงๆ

ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนเข้ามาสอดคลอเคลีย สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่ช่วงเอว ร้อนไปหมด ร้อนเพราะเขากินเหล้ามาหรือร้อนเพราะอย่างอื่นก็ไม่รู้ ผมชอบเวลาพี่แช่มจูบ ชอบการสัมผัส ชอบทุกอย่างที่เขาทำ และยังคงรู้สึกประหม่าทุกครั้ง กับเรื่องแบบนี้ผมจะไม่มีทางที่จะชินกับมันได้

หัวใจยังคงเต้นแรงอยู่เสมอ

ร่างสูงถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง “ทำไมแก้มแดงจัง”

“เขินไง คิดว่าอะไรล่ะ” ผมตีไหล่เขา “พี่อะ อยู่ดีดีมาขอจูบ แถมหอมยังไม่ได้บอกให้จูบเลย”

“เอาคืนไปป้ะล่ะ” เจ้าตัวทำปากจู๋ใส่

“ไม่ต้องเลย ไปได้แล่ว เพื่อนๆ พี่รออยู่นะ”

“แล้วน้องหอมล่ะ”

“เดี๋ยวโทรหาข้าวก้องเสร็จแล้วจะตามไป”

“โอเคครับ” พี่แช่มจุ๊บหัวผมก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อื้ออออ.....แก้มร้อนไปหมดแล้ว ทำไมถึงเขินแบบนี้วะ

ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดดูโน่นนี่ ในกลุ่มไลน์แก๊งค์คือบันเทิงขั้นสุด มีแต่คนแท็กผมแล้วถามวนไปมาว่าเมื่อไหร่จะกลับ ข้อความเป็นร้อยอะ แม่งคุยอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ เห็นเพื่อนๆ คิดถึงข้าวหอมขนาดนี้ เดี๋ยวขากลับซื้อขนมไปฝากพวกมันหน่อย ในจังหวะที่ผมกำลังจะกดโทรหาข้าวก้อง แจ้งเตือนทวิตเตอร์ก็เด้งขึ้นมา ผมกดเข้าไปดูข้อความที่ใครบางคนเพิ่งอัปเดตทวิต และประโยคที่แสดงอยู่นั้นทำให้หน้าผมร้อนขึ้นไปอีก

พี่แช่มแม่ง....

.

.   

Chatit @Charitpedd

แฟนเราจะน่ารักมากที่สุดก็หลังจากโดนจูบจนปากเจ่อนั่นแหละ

.   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้


.

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งนิยายแล้วนะคะ ขอโทษที่หายไปเป็นเดือนและทำให้ต้องรอกันขนาดนั้นนะคะ

จริงจังหรือแค่ขำๆ จบภายในเดือนนี้แน่นอนค่ะ เหลืออีกแค่ 2 บทเท่านั้น ก็ถ้าปี 2020 เมื่อไหร่ เรื่องสุดท้ายของเลิฟไรท์โปรเจ็กต์ก็จะพับลิกให้ได้อ่านกัน ก็รอติดตามกันนะคะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค้าบ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 19 : 18/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-12-2019 23:48:42
Chatit @Charitpedd

แฟนเราจะน่ารักมากที่สุดก็หลังจากโดนจูบจนปากเจ่อนั่นแหละ

.   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้

^
:
:
เห็นด้วยทุกประการ  o13
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 20 : 27/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-12-2019 00:41:18
บทที่ 20 โชคดี [Nc]
[/b]



Charit @Charitpedd

โคตรเบื่อเวลาของขาดเลย....หงุดหงิดใจ

.

#พี่แช่มได้กล่าวไว้

.

.

หงุดหงิดใจหรือหงุดหงิดอะไรกันแน่

พี่คิดว่าหอมไม่รู้รึไงคนลามก

ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกมาจากตึก ตอนนี้เกือบบ่ายสองแล้วครับ หลังจากนี้คือไม่มีเรียนละ ผมนัดกับที่บ้านไว้ว่าวันนี้จะเข้าไปหา พ่อเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อรอเชือดลูกชายสุดที่รักโดยเฉพาะ เอาจริงๆ ถึงจะบอกเรื่องพี่แช่มกับพ่อไปแล้วแต่ผมก็ยังหวั่นใจอยู่เหมือนกันนะ คือพ่อเนี่ยะจะต้องเตรียมคำถามปั่นประสาทเอาไว้แน่ๆ หวังว่าแฟนผมจะไม่ประสาทแดกนะ

เหมือนตอนนี้คนที่ประสาทแดกที่สุดคือผมเลยว่ะ

“มึงทำหน้าเหมือนเครียด” เสียงเอ่ยถามจากสยามเพื่อนรัก “เป็นไรวะ”

“วันนี้กูจะพาพี่แช่มไปกินข้าวที่บ้านอะ เจอพ่อกับแม่ ไม่รู้จะเป็นยังไงเลยว่ะ”

“ตอนกูเจอพ่อสมปองนะ กูโดนยิงแน่ะ”

ผมหันขวับมองมันทันที “ถามจริง มึงโดนยิงตอนไหน”

“ก็ปีก่อนโน้นแหละตอนไปหาสมปองที่บ้านน้องครั้งแรก เอาจริงๆ ตอนนั้นกูก็ทำให้ปองเสียใจด้วยแหละ พ่อปองก็เลยยิงให้”

“พี่แช่มจะโดนยิงไหมวะ ไม่น่าหรอกเพราะพ่อกูไม่มีปืน”

“ไม่โดนหรอก มึงน่าจะรู้จักพ่อตัวเองดีนะ มึงคิดว่าเขาจะทำยังไงกับพี่แช่ม”

“ไม่รู้ว่ะ เดายากมากอะพ่อกู แต่กูก็หวังว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี ก็แค่กินข้าวกันเอง”

“กูขอให้โชคดีละกัน เดี๋ยวกูไปหาปองละ” เจ้าตัวบอกก่อนจะแยกเดินไปอีกทาง ส่วนผมก็เดินมายืนรอหน้าห้องคณะกรรมการ นัดกับพี่แช่มเอาไว้ครับ เดี๋ยวอีกแป๊บก็คงมาแล้วล่ะ

ความจริงไม่ได้มีแค่ผมกับพี่แช่มหรอกที่จะเข้าไปหาพ่อ ข้าวก้องกับเบย์ก็จะไปเหมือนกัน ตอนแรกไอ้น้องเวรผมบอกว่ายังไม่อยากไป ใจยังไม่พร้อม พอเป็นแบบนั้นก็เลยทำข้อตกลงกันครับ เป่ายิงฉุบกัน ถ้าผมชนะ มันต้องไปด้วย และผลสรุปของการเป่ายิงฉุบก็คือข้าวหอมคนนี้เป็นฝ่ายชนะ ฮ่าๆ ๆ ๆ คือข้าวก้องเนี่ยะ เวลาเป่ายิงฉุบมันจะออกกระดาษก่อนเสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยประถมฯ

ข้าวก้องไม่เคยเอาชนะผมเรื่องนี้ได้

“น้องหอม”

ผมหันมองตามเสียงเรียกก็พบร่างสูงที่ถือถุงเซเว่นเต็มไปหมด “ซื้อของเหรอ”

“ใช่ ขนมที่ต้องหมดอะ มะรืนนี้นัดทำงานกันที่ห้อง พี่ก็เลยซื้อไปตุนไว้ก่อน เออวันนี้พี่ไม่ได้เอารถมานะ”

“เดี๋ยวไปรถหอมนี่แหละ” ว่าแล้วผมก็เดินนำพี่แช่มมาจนถึงลานจอดรถ ซึ่งมีคนหน้าเหมือนตัวเองและผัวเด็กของมันนั่งรออยู่

“มาช้า”

“ไอ้ก้องบ่นพี่อะพี่แช่ม”

“ผมเปล่านะพี่แช่ม” ข้าวก้องเถียงทันทีก่อนจะเดินขึ้นรถ “เปิดแอร์เร็วๆ ร้อนนนนน”

“ขี้โวยวายชิบหาย”

ผมขับรถออกจากมหา’ลัยก่อนจะมุ่งไปที่บ้านของตัวเอง บ้านผมไม่ได้ไกลจากมหา’ลัยมากนักแต่ปัญหาที่น่ารำคาญใจมากที่สุดคือรถติด เพราะรถติดเนี่ยแหละผมกับข้าวก้องถึงได้ย้ายมาอยู่หอที่ใกล้มหา’ลัยมากกว่า เสียเงินเยอะหน่อยแต่แลกกับเวลาที่เพิ่มขึ้นก็ถือว่าดีนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยขับรถและหงุดหงิดที่เสียเวลาด้วย ดีนะที่พ่อตามใจให้พวกเรามาอยู่หอ

ปีนึงกลับบ้านอยู่ 3 ครั้ง

แต่ผมโทรกลับไปหาที่บ้านบ่อยนะ มีช่วงหลังๆ ที่ยุ่งวุ่นวายเนี่ยแหละถึงไม่ได้โทรหา เอาน่ะ พ่อกับแม่ต้องเข้าใจอยู่แล้วแหละ อีกอย่างพวกเขาก็ทำงานเหมือนกัน ดีไม่ดียุ่งกว่าผมด้วยซ้ำ ครอบครัวเราทำงานเกี่ยวกับการจัดการที่ดินครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องงานของที่บ้านเท่าไหร่ ที่รู้คือตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ต้องไปต่างจังหวัดบ่อย ส่วนเราพี่น้องก็จะอยู่กับป้าจิตที่เป็นหัวหน้าแม่บ้าน

เหงาเหมือนกันนะตอนเด็กๆ น่ะ

“พ่อแม่น้องหอมดุไหม” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม ดุไหมงั้นเหรอ พ่อจะชอบดุเวลาที่พวกเราไปอ้อนแม่ซะส่วนใหญ่ ตอนเด็กก็ไม่เข้าใจหรอก แต่พอโตมาถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก ทำไม....พี่กังวลเหรอ”

“นิดหน่อย เรียกว่าตื่นเต้นมากกว่า น้องหอมว่าพ่อเราจะเรียกค่าสินสอดพี่เท่าไหร่”

ผมหลุดหัวเราะออกไป “พี่ยังไม่จบเรื่องค่าสินสอดอีกเหรอ”

“ไม่จบหรอก” ร่างสูงหันไปหาข้าวก้องด้านหลัง “มึงว่าค่าตัวน้องหอมเนี่ยะเท่าไหร่วะก้อง”

“ 10 บาทขาดตัว”

“แหมมมม ถ้าค่าตัวกู 10 บาท ของมึงก็ 5 บาทเท่านั้นแหละ”

“อย่ามากดราคาตัวกูนะ แม่ง ถูกกว่ามาม่าอีก”

“พี่แช่มคิดเรื่องสินสอดขอพี่หอมด้วยเหรอครับ” บวรเอ่ยถามพลางมองแฟนตัวเอง “แล้วผมต้องคิดบ้างไหมเนี่ย”

“คุณเตรียมหมดตัวไว้เลยนะเบย์ พ่อผมน่ะหน้าเลือดมาก”

“กลัวไม่หมดตัวนี่สิครับ”

เหมือนจะขิงว่าตัวเองรวยมากเลยไอ้เวร

ผมมองกระจกหลังเพื่อดูคู่รักที่หยอกล้อกันอยู่ ตั้งแต่ที่ข้าวก้องตัดสินใจคบกับบวร มันดูมีความสุขขึ้นเยอะเลยครับ บางวันก็มานอนกลิ้งไปมาที่ห้องผมเพราะเขินผัวเด็ก อีกอย่างที่รู้คือมันไม่ค่อยได้นอนที่หอตัวเองแล้วนะ โน่น ไปกกอยู่ห้องแฟนโน่น แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีคนมาคอยปั่นประสาทเวลาอยู่กับพี่แช่ม คือตั้งแต่กลับมาที่นี่ แทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบสงบจิตสงบใจเลย

หัวจะปวดอะ

ตั้งแต่กลับจากนครศรีธรรมราชก็เกือบ 3 อาทิตย์แล้วครับ ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน พี่แช่มคือแจ่มใสร่าเริง ยิ้มหวานน่ารักมาก ช่วงที่มีการสันทนาการเด็กปี 1 เขาก็โผล่ไปบ่อยๆ แล้วการโผล่ไปของเขามันก็ทำให้มีเด็กๆ เนี่ยะ ชอบใจไม่น้อย บางคนชอบใจมากถึงขั้นทักไลน์มาหาด้วยซ้ำ ผมไม่รู้เลยว่าเด็กพวกนั้นไปหาไลน์แฟนผมมาจากไหนกันนักหนา ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วเหรอวะ

หงุดหงิดเรื่องมีคนมาวอแวพี่แช่มไม่พอ

ต้องมาหงุดหงิดที่ข้าวก้องปั่นอีก

หลังจากที่ขับรถมาสักพักใหญ่ผมก็มาถึงวิมานอันแสนสุขที่เรียกว่าบ้าน บ้านที่ผมคิดตั้งแต่เด็กว่ามันใหญ่เกินไป แต่พอมองเห็นลูกน้องพ่อที่ยืนแถวเป็นระเบียบนั่น บ้านหลังนี้ก็อาจจะกำลังดีแล้วล่ะมั้ง เอาไว้ซ่องสุมกองโจร

อย่าไปบอกพ่อเชียวนะครับ

“บ้านหลังใหญ่มากเลยนะ”

“บ้านพ่อน่ะ ถ้าหอมมีบ้าน เชื่อเถอะว่าไม่มีทางใหญ่ขนาดนี้” ผมปลดเบลท์ก่อนจะเดินลงจากรถ คนที่หน้าเหมือนกันก็เดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง “พร้อมไหมมึง”

“ไม่....มึงบอกพ่อแล้วว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย แต่กูยังไม่ได้บอก”

ผมเหลือบมองมันพลางงทำหน้าเหี้ยม “มึงตายแน่”

“มึงแหละจะตายก่อน เพราะกูเนี่ยะ”

“กูไม่กลัวหรอก” ผมคว้ามือพี่แช่มมาจับเอาไว้ “ไปกันเถอะ” ว่าแล้วผมก็พาร่างสูงเดินนำเข้าบ้าน ระหว่างทางบรรดาลูกน้องพ่อก็กล่าวทักทายตามปกติ

ข้าวหอมและข้าวก้องเป็นคุณหนูของบ้านนี้ครับ

ผมลากพี่แช่มเดินมุ่งหน้าไปห้องทานอาหาร ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้าไปก็พบคุณเจ้าของบ้านกำลังนั่งทำหน้านิ่งอยู่ ส่วนด้านข้างคือภรรยาคนสวยของเขา แววตาแบบนี้เดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่าพ่อรู้คิดยังไงอยู่ แต่ก่อนอื่น....

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคนก่อนจะเดินมากอดแม่ “คิดถึงจังเลยครับ”

“แม่ก็คิดถึงข้าวหอมนะ ไม่ได้กลับบ้านซะนานเลย”

“นั่นภรรยาของพ่อ ปล่อยมือออกเดี๋ยวนี้เลย” เสียงเข้มเอ่ยออกมา แหมๆ ๆ ๆ ขี้หึงจังเลยน้า กับลูกก็ไม่เว้น

“กอดแค่นี้เอง ทำเป็นหวงไปได้” ผมเดินกลับมาหาพี่แช่ม “พ่อครับแม่ครับ นี่พี่แช่ม เขาเป็นแฟนของหอม”

“สวัสดีครับ” ร่างสูงยกมือไหว้พลางยิ้มหวานอย่างเป็นมิตร

“นี่เองสีหน้าคนที่หลงผิด”

“หลงผิดอะไรกันล่ะพ่อ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะลากให้พี่แช่มมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ กัน สายตาของพ่อที่มองแฟนผมตอนนี้คือพิจารณามาก อารมณ์เหมือนกำลังดูโหวงเฮ้งอยู่เลย

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” คนที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยบอกพลางยกมือไหว้ “เบย์นี่พ่อกับแม่ของผม”

“สวัสดีครับ ผมชื่อเบย์ เป็นแฟนพี่ก้อง”

“นี่ก็หลงผิดอีกคน แต่เดี๋ยวนะ ลูกไม่ได้บอกพ่อล่วงหน้าเลยนะข้าวก้อง”

“ก็เซอร์ไพรส์ไงครับ” ไอ้น้องตัวดียิ้มแฉ่งก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งเดียวกับแม่ พอเห็นพ่อนั่งกุมขมับแบบนี้แล้วตลกยังไงก็ไม่รู้ว่ะ กับแม่น่ะไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่กับพ่อนี่ดิ

ทำหน้าเหมือนเครียดเลย

“โอเค มากันครบแล้วเนอะ ตักข้าวเลย ดูเหมือนมื้ออาหารนี้จะอร่อยน่าดู”

.

[บันทึกพิเศษ : แช่ม]

.

ไม่เคยกินข้าวแล้วรู้สึกแปลกๆ แบบนี้เลยครับ

เหมือนมีสายตาทิ่มแทงจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

ผมตักผัดผักให้น้องหอมพลางเหลือบมองพ่อกับแม่เขาเป็นระยะ ตอนนี้สถานการณ์ยังทรงตัวครับ เงียบๆ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา มีแค่สายตาเท่านั้นที่ค่อนข้างแสดงออกให้เห็นชัดเจนนะครับ เหมือนพ่อน้องหอมจะไม่ค่อยชอบใจผมกับไอ้เบย์สักเท่าไหร่ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงแต่สายตาที่มองมามันทำให้รู้สึกแบบนั้น

ประหม่ายังไงก็ไม่รู้

“เธอ 2 คนเป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ” สิ้นเสียงพ่อน้องหอมถาม ผมกับไอ้เบย์มองหน้ากันทันที ผมพยักหน้าน้อยๆ เพื่อให้อีกฝ่ายพูดก่อน

“ผมเป็นลูกคนสุดท้องของเจ้าสัวทรงเดชครับ ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับสถานบันเทิง....”

“และคาสิโนที่มาเก๊า” เสียงเข้มพูดดักขึ้นมาก่อนจะมองข้าวก้อง “รู้ป้ะเนี่ยว่าแฟนตัวเองเป็นลูกมาเฟียอะ”

คนโดนถามส่ายหัวรัวๆ “ไม่รู้ จริงเหรอเบย์”

“พ่อผมไม่ได้ถึงขั้นนั้นสักหน่อยครับ เขาอาจจะอิทธิพลเยอะไปหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นมาเฟียหรอกครับ”

“แปลว่ายังไม่ได้เข้าดูธุรกิจของบ้านตัวเองล่ะสิ เคยได้ยินมาแค่ว่าเจ้าสัวทรงเดชมีลูกชาย 3 คนที่เป็นลูกของภรรยาหลวง อีกคนนึงเป็นลูกของภรรยาน้อย ลูกสาว....เธอรู้ไหมว่าตอนนั้นพี่สาวของเธอทำลูกชายของฉันเสียใจมากขนาดไหน”

“ผมรู้ครับ และรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จริงอยู่ว่าบีมเคยทำให้พี่ก้องเสียใจ แต่ผมไม่ใช่บีม ผมจะไม่มีทางทำให้คนที่ผมรักเสียใจเด็ดขาดครับ”

“ดี....มุ่งมั่นดี” พ่อน้องหอมเอียงหัวไปหาภรรยาคนสวย “ที่รักคิดว่ายังไงคะ”

“ผ่านค่ะ” แม่น้องหอมยิ้มหวานให้ “แม่ฝากเราช่วยดูแลพี่เขาหน่อยนะ ถ้าข้าวก้องดื้อมากๆ ก็ฟ้องคุณพ่อได้เลยจ่ะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วอีกคนที่หลงผิดล่ะ มาจากไหน” พ่อน้องหอมมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบ คือคูมพ่อตาครับ เรียกผมว่าแช่มก็ได้นะครับ อย่าเรียกว่าคนที่หลงผิดสิ

“พ่อของผมเป็นเจ้าของสวนยางอัญวานิชณ์ครับ แต่ว่าตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว แม่ผมก็ด้วย ตอนนี้ผมเหลือตัวคนเดียว”

“เธอเป็นลูกชายของคุณสาธิตย์กับคุณปิ่นอนงค์งั้นเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ “รู้จักพ่อกับแม่ด้วยเหรอครับ”

“รู้จักสิ ตอนนั้นน้องสาวเธอเพิ่งเกิดเลยล่ะ ส่วนเธอก็ดูรักน้องมากเลยนะ เกาะอยู่ที่ขอบเปลไม่ยอมไปไหนเลย จากตอนนั้นผ่านมาเกือบ 20 ปีเลยเหรอเนี่ย”

“นานเหมือนกันนะคะคุณ และก็ไม่น่าเชื่อเลยว่าแฟนข้าวหอมจะเป็นเด็กคนนั้น”

ใช่ครับไม่น่าเชื่อ

ผมจำเรื่องตอนเป็นเด็กน้อยขนาดนั้นไม่ได้หรอก แต่ความรู้สึกที่รักน้องมากนั่นคงใช่ เรื่องนี้แม่เองก็เคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน ผมน่ะเห่อชะเอมมากตั้งแต่ที่เธอเกิด เปลของน้องผมก็อาสาไกวให้เองทุกวัน ความทรงจำสมัยเป็นเด็กมากๆ นึกออกแค่มีคนมาหาพ่อแทบทุกวัน บางคนก็ดูใจดี บางคนก็ดูน่ากลัว ผมคิดว่าคนพวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่อยากซื้อที่ของบ้านเราก็ได้ การที่พ่อน้องหอมไปหาพ่อผมตอนนั้นมีเหตุผลเดียวกับรึเปล่านะ

เรื่องที่ดินตรงนั้น

“ทำไมตอนนั้นคุณอาถึงไปหาพ่อล่ะครับ”

“ไปตีราคาของที่ดินให้น่ะ พ่อของเธอเคยมีความคิดที่จะขายมันเพราะกลัวความไม่ปลอดภัย ที่ดินตรงนั้นทำเลดีมีแต่คนมาติดต่อขอซื้อแต่พ่อเธอไม่คิดที่จะขายเพราะสืบทอดกันต่อมา จนกระทั่งมีการข่มขู่เกิดขึ้น พ่อของเธอคงอยากปกป้องครอบครัวโดยการคิดจะขายที่ดินแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”

“เธอยังเด็กไง ตอนที่ฉันไปตีราคาที่ให้ ฉันก็แนะนำเขาว่าไม่ให้ขาย ย้ายไปอยู่ที่อื่นได้แต่อย่าขายเลย เพราะราคามันสู้ไม่ได้กับสิ่งต่างๆ ที่บรรพบุรุษสืบทอดมาให้ พ่อเธอวางแพลนที่จะย้ายบ้านแต่เหมือนว่าจะไม่ทัน....ฉันเสียใจกับเธอด้วยนะ”

“....ครับ” มือเรียวของน้องหอมยกขึ้นแตะไหล่ผมเบาๆ เชิงปลอบ

ถ้าวันนี้ไม่มาเจอพ่อของน้องหอมที่นี่ ผมจะไม่มีทางรู้เลยว่าพ่อพยายามที่จะปกป้องพวกเราจากคนที่ไม่หวังดี ไม่เข้าใจเลย กับที่ดินตรงนั้นทำไมจะต้องอยากได้กันนัก อยากครอบครองจนต้องทำลายชีวิตคนอื่น โคตรทุเรศเลย พอมารู้ทีหลังก็เสียใจเหมือนกันนะครับ อีกแค่นิดเดียวเอง ตอนนั้นถ้าไม่เกิดเลวร้ายขึ้นซะก่อน ตอนนี้ครอบครัวเราอาจจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ได้

โชคชะตาแม่งโคตรเล่นตลกเลยว่ะ

“พี่โอเคไหม”

“พี่ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะเสียใจแต่เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว พี่แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

“เข้มแข็งดีนะ คิดแบบนั้นได้ก็ดีแล้ว ที่เธอบอกว่าเธอเหลือตัวคนเดียว หลังจากนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นแล้วล่ะ” พ่อน้องหอมยิ้มบางๆ ให้ผม “ฝากลูกชายของฉันด้วยและก็ยินดีต้อนรับนะ”

ความรู้สึกนี้ผมจะไม่มีวันลืมเลย

“ขอบคุณครับ....ผมขอฝากตัวด้วย”

   

***

   

---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 20 : 27/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-12-2019 00:43:01
---------- ต่อจากบท 20 ----------


“ยิ้มไม่หุบเลยนะ”

“ก็พี่มีความสุขหนิ นานมากเลยนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้น่ะ”

ต้องขอบคุณน้องหอมจริงๆ ที่พาให้ผมมาเจอกับครอบครัวตัวเองและได้เป็นส่วนนึงในนั้น

ผมนั่งนิ่งๆ ให้เจ้าแฟนเช็ดผมให้ ตอนนี้เกือบ 5 ทุ่มแล้วครับ วันนี้ผมนอนค้างที่บ้านน้องหอมเพราะพรุ่งนี้พ่อกับแม่ของน้องชวนไปทำบุญด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วล่ะ รู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่พวกเขาเอ่ยปากชวน พ่อน้องหอมเนี่ยะสุดยอดเลย เป็นบุคคลที่เก็บข้อมูลต่างๆ เอาไว้เยอะมาก ฟังจากการที่เขาเล่าเรื่องโน่นนี่นั่นให้ฟังน่ะนะ ความจริงก็น่าเหลือเชื่อตั้งแต่รู้จักพ่อไอ้เบย์และรู้จักครอบครัวผม

รู้ในสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

พ่อน้องหอมทำให้ผมรู้ว่าทุ่งหญ้าหลังบ้านของเรา ก่อนหน้านี้มันเป็นป่ารก ไม่ได้สวยอย่างที่เป็น เขาเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปตีราคาที่ดินให้พ่อของผม เขาเห็นว่าทัศนวิสัยหลังบ้านผมไม่ดีเลย ควรทำให้ที่ตรงนั้นโล่งและปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้สักหน่อย นอกจากจะไม่ทำให้แถวนั้นดูน่ากลัวแล้ว เรายังมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่ม ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมจำไม่ได้เลย อาจเพราะยังเด็กมาก พอรู้ความก็เห็นว่าหลังบ้านเป็นทุ่งหญ้าแล้ว

เขานี่เองที่เป็นคนแนะนำพ่อ

“หอมดีใจนะที่ได้เห็นพี่มีความสุขแบบนี้น่ะ” มือเรียวกุมแก้มผม “หอมชอบเวลาเห็นพี่ยิ้ม”

“แล้วถ้าพี่ไม่ยิ้มอะ ชอบไหม” ผมรั้งเอวเจ้าตัวเข้ามาใกล้พลางมองใบหน้าใสอยู่อย่างนั้น อื้ออออ.....กลิ่นสบู่หอมจัง ทั้งๆ ที่ใช้เหมือนกันแต่ทำไมของน้องถึงหอมกว่านะ

“ก็ชอบ....ก็ชอบทุกอย่างแหละ” น้องหอมเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออก “ถ้าไม่ชอบ....ผมจะเป็นแฟนคุณเหรอ คุณชริตเป็ด”

“หืม.....”

ชริตเป็ด

“ไปเอาชื่อนี้มาจากไหน”

“ก็ใน.....” คนบนตักชะงักไปเหมือนนึกอะไรออก น้องหอมทำท่าจะลุกออกจากตักแต่ผมก็ล็อกเอวเขาเอาไว้ เอาล่ะ เหมือนวันนี้ผมจะมีเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เพิ่มมาอีกเรื่อง

“ในไหน....”

“อื้ออออ.....คาดคั้นอะไรเนี่ยะ”

“รู้จักทวิตเตอร์พี่ด้วยเหรอ” ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยว่าน้องหอมเล่นทวิตเตอร์ด้วย คือปกติเราไม่ยุ่งโทรศัพท์ของกันและกันน่ะครับ อย่างโซเชี่ยลก็มีคอนแทคกันแต่ยกเว้นทวิตเตอร์

“ใครๆ ก็ต้องรู้จักทวิตเตอร์พี่แช่มป้ะ ไม่เห็นแปลก”

“แปลก น้องหอมไม่เคยบอกพี่เลย แบบนี้ก็....” เห็นหมดเลยน่ะสิเวลาผมเพ้อเจ้ออะไรในนั้นน่ะ

ผมจับน้องหอมโยนลงเตียงก่อนจะขึ้นคร่อมเอาไว้ คนที่อยู่ใต้ร่างพยายามดิ้นด๊อกแด๊กเพื่อจะเอาตัวเองออกไปแต่ฝันไปเถอะ วันนี้ไม่พ้นเงื้อมือพี่แน่ล่ะเจ้าแฟน เอาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่น้องหอมเล่นทวิตเตอร์ แต่มันตกใจที่น้องจะเห็นผมงี่เง่าเต็มในนั้นเลยไง แม่งเอ๊ย ทวิตอันเศร้าไม่เท่าไหร่ แต่อันที่มันบ้ากามเนี่ยะจะทำยังไง เออผมทวิตเองแหละแต่แบบไม่คิดว่าแฟนตัวเองจะเห็นป้ะวะ

จบแล้ว

จบ....แล้ว

“พี่จะทำอะไรหอมเนี่ย”

“แอคไหนว่ามาซิ” ผมจ้องเพื่อจะเอาคำตอบ “จะตอบพี่ดีดีหรือจะตอบพี่ด้วยเสียงคราง....ห้ะ”

“พี่แช่มมมม” มือเรียวตีไหล่ผมอย่างแรง ฮันแน่ ทำร้ายร่างกายกันอีก ได้เลยน้องหอมผู้น่ารักของพี่ จะเอาแบบนี้ใช่ไหม

ได้เลยจ้า

ผมก้มลงจูบปิดปากคนใต้ร่างทันที มือเลื่อนเข้าไปในสาบเสื้อเขาพร้อมกับเบียดสะโพกเข้าหา น้องหอมส่งเสียงอู้อี้ไม่หยุด พอเป็นแบบนั้นผมเลยใช้ปลายนิ้วลูบวนที่ยอดอกเจ้าตัวจนเขาบิดไปมา ในจังหวะที่เด็กดื้อเผลอเปิดปากผมก็สอดลิ้นเข้าไปตักตวงความหวานให้สาสมกับความบ้ากามที่ตัวเองมี เป็นแฟนพี่ก็เหนื่อยหน่อยนะครับน้อง ทุกเรื่องพี่ยอมได้แต่เรื่องนี้พี่จะไม่ยอมเด็ดขาด

ยิ่งดื้อๆ อย่างน้องหอมแล้วด้วย

ต้องโดนผมกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว

“อื้อออออ....” มือเรียวตะปบเข้าที่หูผมอย่างแรง

“โอ๊ยยยยน้องหอมมมม” ผมละจูบออกมาก่อนจะกุมหัวเอง “ไม่กลัวหูพี่ฉีกเลยเหรอ มันหลุดออกไปเป็นแผงได้เลยนะ” ผมงอแงใส่น้องพลางไล่จับตามจิวและต่างหูที่ใส่เอาไว้

“ก็พี่อะ”

“พี่ทำไมหืม....”

“ก็พี่จูบหอม”

“ก็น้องหอมไม่บอกพี่ว่าแอคอะไร พี่ก็เลยลงโทษนิดหน่อย” ผมยกยิ้มอย่างพอใจที่เห็นปากน้องหอมเจ่อแบบนั้น “ตกลงยังไงดี จะบอกพี่หรือจะขาดใจตายแบบเมื่อกี๊”

“พี่ขี้โกง”

“โอเค นั่นคือคำตอบของน้องหอมใช่ไหม” ผมเลิกเสื้อคนใต้ร่างขึ้นไปก่อนจะขดเป็นปมไว้เพื่อไม่ให้เขาเอามือออกได้ เรียกง่ายๆ ก็คือมัดนั่นแหละ สงสัยวันนี้ต้องรุนแรงหน่อยล่ะมั้ง ดื้อใส่กันขนาดนี้

“พี่ปล่อยหอมเลยนะ”

“ไม่ปล่อย ทำไม ที่บอกพี่ไม่ได้ว่าชื่อแอคอะไรเพราะมันเป็นแอคเค่อเหรอ”

“แอคเค่ออะไรของพี่วะ แอคหลุมต่างหาก”

พูดว่าแอคหลุมแบบนี้

“มีแอคหลักด้วยใช่ไหมถึงได้ใช้แอคหลุมเนี่ยะ งั้นเอางี้ พี่จะถามใหม่ แอคทวิตเตอร์ที่น้องหอมมี มีแอคอะไรบ้าง”

“งื้อออออ....ทำไมต้องอยากรู้”

“ก็อยากรู้ นะครับ....บอกหน่อยนะ”

“ถ้าพี่รู้แล้วพี่จะทำอะไรต่อ”

“ก็คงฟอลโล่ว์กลับ” ผมก้มหน้าลงต่ำก่อนจะไล่จูบเบาๆ ไปตามหน้าท้องเนียน มือก็ลูบขาเจ้าตัวไปด้วย

“คือพี่จะทำเหรอ”

ผมหยุดการจูบไว้แค่นั้น “ทำอะไร”

“ก็....เซ็กซ์ พี่ทำเหมือนจะทำมันเลย”

อา....จับขึงขนาดนี้คงให้จบแค่จูบหรอก

ผมคร่อมน้องเอาไว้อย่างนั้นก่อนจะไล่ถอดจิวและต่างหูของตัวเองออก ใบหน้าใสมองผมไม่ละแถมยังหายใจแรงอีกต่างหาก ดูหน้าก็รู้แล้วว่ากำลังประหม่ามาก เขิน ใจเต้นแรง มีอารมณ์แล้วด้วย ใต้กางเกงที่กั้นอยู่นี่คงคุกรุ่นน่าดู

“เปลี่ยนเรื่องเหรอ”

“เปล่า ก็แค่เรื่องนี้มันน่าจะสำคัญกว่า” น้องยกมือที่ถูกมัดมาคล้องคอผมก่อนจะรั้งเข้าไปใกล้ “พี่คิดว่ามันไม่สำคัญเหรอ”

“สำคัญสิ แต่เรื่องแอคของน้องหอมก็สำคัญเหมือนกัน”

“ถ้าพี่จะทำ เราเอาเรื่องนั้นไว้ ทีหลังได้ไหม”

“ได้” ได้เสมอถ้าน้องหอมต้องการ

ผมก้มลงจูบปิดปากเขาอีกครั้งก่อนจะแกะเสื้อที่มัดข้อมือออกให้ คนด้านล่างเปิดปากให้ผมล่วงล้ำเข้าไปพลางส่งลิ้นเข้ามานัวเนียด้วย จูบเก่ง เก่งขึ้นเยอะเลยล่ะ ผมยังจำวันนั้นที่เราจูบกันครั้งแรกได้เลย น้องเงอะงะแล้วก็เขินเหมือนตัวจะระเบิด แต่ดูตอนนี้สิ มันไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว จังหวะการจูบแบบนี้ใครโดนแล้วไม่ของขึ้นก็ให้มันรู้ไป

แต่คงไม่มีใครโดนนอกจากผมหรอก

ผมไล่จูบมาตามซอกคอขาวพลางขบเม้นจนมันขึ้นเป็นรอยจางๆ ต้นคอแบบนี้จะทำรอยเข้มมากคงไม่ได้ แต่ถ้าเลยหน้าอกลงไป ผมบอกได้เลยว่าจะไม่ให้เหลือที่ว่างเชียว ผมชอบการทิ้งร่องรอยไว้บนตัวของคนรักนะ มันเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าคนๆ นี้เป็นของผม ถึงแม้คนอื่นจะไม่ได้เห็นมันก็เถอะ

ของแบบนี้ผมเห็นคนเดียวก็พอ

“อื้มมม...ม...”

“ตรงนี้ดีไหม” ผมเอ่ยถามพลางเลียวนรอบยอดอกน้องหอมเบาๆ “ชอบรึเปล่า”

“พี่ถามอะไรเนี่ย”

“ก็อยากรู้อาการ” ขณะที่ลิ้นผมวนเวียนอยู่กับยอดอกน้องนั้น มือก็เลื่อนต่ำลงมาถึงขอบกางเกงบ๊อกเซอร์ก่อนจะรั้งมันออกไป

“อื้อออออ...ไม่....อย่าจับ”

“ไม่ให้จับตรงนี้ จะให้พี่จับตรงไหน” ผมรูดรั้งส่วนแข็งขืนของน้องอย่างเอาใจ ปากก็พรมจูบไปทั่ว “พี่ชอบเวลาน้องหอมเขินแบบนี้จัง”

“อย่าแกล้ง”

“หึ....” ผมลุกออกมาจากตัวน้องก่อนจะเดินไปหยิบถุงยางกับเจลหล่อลื่นในกระเป๋า ร่างโปร่งนอนหายใจแรงอยู่อย่างนั้น ใบหน้าใสตอนนี้คือแดงก่ำ ส่วนแถวหน้าอกนั้น....มีแต่รอยจูบของผมเต็มไปหมด

มองจากตรงนี้แล้ววิวดีชิบ

พอได้ของที่ต้องการผมก็กลับมาที่เตียงก่อนจะดันขาเรียวให้แยกออกจากกัน มือบีบเจลแล้วนำไปชโลมช่องทางรักด้านหลังเบาๆ เสียงครางในลำคอจากคนตรงหน้านี่มันดีจริงๆ สีหน้า แววตา ทุกอย่างที่เป็นเขา ผมชอบที่สุดเลย

“เจ็บไหมครับ” ผมจูบปลายคางน้องหอมเบาๆ หลังจากที่สอดนิ้วเข้าไปด้านใน ไม่แน่นอย่างที่คิดเท่าไหร่ หรือว่าเมื่อกี๊ที่เขาอาบน้ำนาน มันเป็นเพราะแบบนี้รึเปล่า

ไปเตรียมตัวมาก่อนอย่างนั้นเหรอ

“อื้อออ....ไม่ค่อย”

“เพราะเตรียมมาก่อนเหรอ” มือเรียวยกขึ้นปิดปากผมก่อนจะที่เจ้าตัวจะทำหน้าตึงใส่

“อย่าได้พูดเชียว....อ๊ะ....ตรงนั้น”

“หึ....ตรงนั้นทำไมครับ” ผมกดซ้ำๆ ย้ำๆ ที่จุดกระสันของน้องหอม พอทำแบบนั้นแล้ว ริมฝีปากบางๆ ก็กลั้นเสียงไม่อยู่อีกต่อไป ผมใช้ปากฉีกซองถุงยางก่อนจะถอดบ๊อกเซอร์ของตัวเองออก

“อื้ออออ....ไม่เอาแล้ว”

“ไม่เอาอะไร”

“ไม่เอานิ้วแล้ว” น้องหอมรั้งผมลงไปใกล้ “ใส่เข้ามาได้แล้ว”

เด็กมันยั่วจริงๆ

ผมจัดแจงสวมถุงยางก่อนจะก้มไปจูบน้อง มือก็จับส่วนแข็งขืนจ่อที่ปากทางเข้าสีหวานแล้วดันเข้าไปช้าๆ มือเรียวจิกที่ไหล่ผมเพื่อระบายความเจ็บ ซี๊ดดด...ด....แน่นจัง ดูจากหน้าแล้วน้องหอมไม่น่าจะเจ็บเท่ากับครั้งแรกที่ทำกันหรอก จะว่าไปนี่ครั้งที่ 2 เองสำหรับเรื่องแบบนี้ ช่วงก่อนหน้ามีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด เราเลยไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้กัน แต่หลังจากนี้ผมจะกุ๊กกิ๊กกับน้องหอมบ่อยๆ เลย

ก่อนที่จะแห้งไปหลายเดือน

“พร้อมไหม.....พี่ขยับนะ” ผมไล่จูบไปตามขมับน้อง ขาเรียวของเขายกขึ้นเพื่อเกี่ยวเอวของผมเอาไว้

“เอาสิ” สิ้นเสียงนั้นผมก็เริ่มขยับส่วนล่างเข้าตามอำเภอใจ เชื่อเถอะว่าหลังจากที่ทำกิจกรรมตรงนี้เสร็จหลังผมคงมีเลือดซิบเป็นทางยาวแน่ๆ

น้องหอมข่วนซะขนาดนี้

“อื้มมมม....ตอดดีจังเลยครับ” ผมขยับเอวให้เร็วขึ้นอีกพลางรูดรั้งส่วนนั้นของน้องไปด้วย ซี๊ดดดด....เวลาได้เชื่อมต่อกับคนที่ตัวเองรักนี่มันดีมากเลยจริงๆ

“อื้อออ....อ๊ะ...พี่แช่ม”

ผมก้มลงไปกระซิบข้างหูเขา “พูดคำนั้นให้ฟังหน่อยสิ”

“อ๊ะ....อื้ออออ....” น้องหอมผงกหัวขึ้นมาจูบปากผมหนัก “หอม....หอมรักพี่แช่มนะ”

น่ารัก...

“พี่ก็รักน้องหอมครับ”

และมันจะเป็นแบบนี้เสมอ....พี่สัญญา



***

   

“อะไหนว่ามาซิเรื่องแอคน่ะ”

“อื้ออออ....หอมหมดแรงแล้ว ปล่อยให้หอมได้พักผ่อน” เสียงแหบแห้งของน้องหอมเอ่ยบอกผมพร้อมกับทำหน้างอแง

“ไม่ได้ น้องหอมบอกพี่เองนะว่าจะบอกหลังจากเรากุ๊กกิ๊กกันเสร็จ เพราะงั้นวันนี้พี่ต้องได้รู้”

“พี่นี่จริงๆ เลย” มือเรียวเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะส่งมาให้ “มีข้อแม้นะ.....ต้องแลกกัน”

“ได้ดิ พี่ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ผมส่งโทรศัพท์ตัวเองให้น้องหอมก่อนจะเดินเอาผ้าและกะละมังใส่น้ำไปเก็บ

“โคตรปวดเอวเลยให้ตาย” ร่างโปร่งย้ายจากโซฟาไปที่เตียงหลังจากที่ผมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาเรียบร้อย ไงล่ะ มีผมเป็นแฟนนี่เหมือนมีพ่อบ้านส่วนตัวเลยนะ

ผมเดินมานั่งพิงที่หัวเตียงข้างน้องหอมที่นอนคว่ำอยู่ ตอนนี้เกือบตีสองแล้วครับ พอดูแอคทวิตเตอร์น้องเสร็จเดี๋ยวนอนเลย ทำบุญตอนเช้าน่าเปลี้ยอยู่แหละ ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่น้องหอมนี่สิ พรุ่งนี้ต้องบ่นไม่หยุดแน่ๆ

“น้องหอมฟอลทวิตเตอร์พี่มานานเท่าไหร่แล้ว”

“ก็ตั้งแต่ปี 2 ”

“แล้วรู้ได้ไง”

“พี่เฌอบอกว่าพี่แช่มเพ้ออะไรเต็มทวิตไม่รู้ แล้วเขาก็เอาให้หอมดู หอมเลยรู้ว่าพี่เล่นทวิตเตอร์ด้วย”

“โอเค” เดี๋ยวเจอหน้าไอ้เฌอก่อน จะทุบสักสองที

สะเหล่อนัก

ผมกดเข้าแอปฯ ทวิตเตอร์ของน้องหอมก่อนจะเข้าไปดูแอคเคาท์บัญชี ในแอปฯ มี 2 บัญชีที่ถูกล็อกอินไว้ในเครื่อง แอคที่ใช้อยู่ตอนนี้เป็นแอคหลุมครับ ไม่มีโปรไฟล์ ติดตามคนค่อนข้างเยอะเลยล่ะ ส่วนอีกแอคที่ถูกล็อกอินไว้ด้วยกันคือ.....@KhH22_luc

ตึกตัก

น้องหอมเป็นเจ้าของแอคนี้งั้นเหรอ

“พี่ก็เล่น 2 แอค หอมนึกว่าพี่มีแอคเดียวซะอีก” เจ้าตัวหันมองผมก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ “พี่ก็แอบเอาแอคหลุมมาฟอลโล่ว์หอมเหมือนกันหนิ แถมฟอลโล่ว์แค่หอมคนเดียวอีก”

“พี่ไม่รู้ว่านั่นเป็นแอคน้องหอม”

“หมายความว่าไงที่ว่าไม่รู้”

“แอคหลุมนั่นเป็นแอคเก่าของพี่เอง และพี่ก็ฟอลโล่ว์แอคน้องหอมมาตั้งแต่ตอนอายุ 18 ”

จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็เกือบ 5 ปีแล้ว

“เรื่องจริงเหรอเนี่ย” น้องหอมลุกขึ้นมานั่งประจันหน้าเข้าหาผม “พี่....ฟอลโล่ว์หอมตั้งแต่ที่ยังไม่ได้รู้จักกันน่ะนะ”

“ใช่ ถ้าวันนี้พี่ไม่ดูทวิตเตอร์น้องหอม พี่ก็น่าจะยังไม่รู้ว่าคนที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการไปต่อ อยู่ใกล้แค่นี้เอง” ผมยกมือกุมแก้มคนตรงหน้าเอาไว้ “ช่วงนั้นที่พี่ติดตามทวิตเตอร์แอคเคาท์นี้มันเป็นเพราะชะเอมเคยรีทวิตภาพที่เป็นใบโคลเวอร์สี่แฉกกับโควตที่ว่า ‘วันนี้จะต้องเป็นวันที่โชคดีมากแน่ๆ สู้ๆ นะ’ มันแค่นั้นเอง พอพี่เข้าดูในแอคเคาท์นั้นก็เห็นพวกรูปถ่ายและคำพูดเยอะแยะเลย จากนั้นพี่ก็ฟอลโล่ว์เอาไว้”

“หอมจำไม่ได้เลย มันนานมาก”

“ไม่แปลกหรอก แอคนี้ชอบทวิตเอาไว้ พอเวลาผ่านไปก็จะมาลบออก พี่มองแอคนี้เป็นพลังบวกเสมอ มีช่วงหลังๆ ที่เขาเริ่มเศร้า พูดถึงความรักและติด #CloverBad พี่ก็รู้สึกเสียใจที่เขาอาจจะเจอเรื่องไม่ดี โดยพี่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุของความเสียใจนั้นมาจากตัวพี่เอง” ผมดึงน้องเข้ามากอดเอาไว้ “พี่ขอโทษนะน้องหอม.....ขอโทษ”

น้องหอมติดตามทวิตเตอร์ผมมาตลอด เขาย่อมรู้เวลาที่ผมตัดพ้อใส่เขาแน่นอน เขารู้ว่าผมเป็นเจ้าของแอค รู้ว่าผมรู้สึกยังไง แต่ผมนี่สิ ไม่รู้เลยว่าแอคที่ผมคอยตามมาตลอด แอคที่แสดงความเสียใจผ่านทางโควตคำพูดต่างๆ มันจะเป็นแอคของน้องหอม ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนที่ผมไม่รู้จักแต่ที่ไหนได้ ผมรู้จักเขาดีและเป็นสาเหตุของการโควตเศร้าๆ ของเขาอีก พอนึกถึงทั้งหมดที่ผ่านมาแล้ว....ผมเสียใจจริงๆ

แก้ไขอะไรไม่ได้.....ทำได้แค่จะไม่ทำให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก

ผมจะไม่ทำให้น้องหอมเศร้าอีกแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกพี่แช่ม ตอนนั้นหอมมีหลายเรื่องที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้จะเป็นยังไงก็ช่างมันไป หลังจากนี้เราทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นก็พอ....เนอะ”

“มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ” ผมเอนตัวลงนอนก่อนจะรั้งน้องหอมมากอด “ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณเรื่องอะไร”

“เรื่องที่หลงเข้ามาในชีวิตของพี่ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เจอกัน ถ้าวันนั้นพี่ไม่มีแอคนี้ดึงตัวเองให้กลับมาทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับชะเอม พี่อาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็ได้”

“พอพี่พูดแบบนี้แล้วหอมรู้สึกมีความสุขจัง....ไม่คิดเลยว่าจากคนที่ไม่เคยเจอกัน เห็นกันผ่านแค่ในทวิตเตอร์ จะมาเจอกัน มารักกันและได้อยู่ด้วยกันแบบนี้”

“ตอนนี้พี่คิดว่าตัวเองโชคดีจัง โชคดีมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้”

ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตพี่นะน้องหอม

ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดฟอลโล่ว์น้องหอมก่อนจะจัดการทวิตข้อความโดยแท็กไปหาเขาด้วย ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นแรงบันดาลใจมาตลอดจะกลายเป็นคนพิเศษของตัวเอง เป็นคนที่ทำให้ผมได้กลับมาเป็นคนๆ เดิม เหมือนอย่างที่เคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว อีกอย่างคือ....หลังจากนี้ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้แอดหลุมเพื่อติดตามเขาแล้วล่ะ

.

Charit @Charitpedd

ขอบคุณสำหรับตลอดเวลาที่ผ่านมาครับ

ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เจอคุณ

@KhH22_luc

.   

#พี่แช่มได้กล่าวไว้


.

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งนิยายแล้ว มาซะดึกเลยต้องขอโทษด้วยนะคะ

Nc ยังคงยากเสมอนะคะ ก็ถ้ามีจุดบกพร่องหรือแปร่งๆ ตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะ ก็ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ รอติดตามด้วยล่ะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทที่ 20 : 27/12/2019] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-12-2019 01:55:32
โล่งเลยนะเฮียแช่ม พ่อแม่ไม่ว่าไรแล้ว เข้าหาได้ตลอด ทางโล่งแล้ว  :m4:
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-01-2020 21:43:39
บทส่งท้าย
[/b]



Kh. @KhH22_luc

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานึงของชีวิต

ไม่ว่าดีหรือร้าย สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความทรงจำ

เป็นความทรงจำที่สอนอะไรหลายอย่างให้เรามากมาย....มากมายจริงๆ



#CloverBad






นานๆ เลยที่จะทวิตข้อความอะไรที่จริงจังและเหมือนคนแก่ขนาดนี้

ช่างเถอะเพราะผ่านไปสักพักเดี๋ยวก็ลบออก

ผมนั่งอยู่หน้าตึกคณะเพื่อรอข้าวก้องน้องรัก คือนัดกันไว้ว่าจะไปรับของที่สั่งทำเอาไว้น่ะครับ วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของไฟนอลเทอมแรก เรียกได้ว่าหืดขึ้นตาเลยทีเดียว จะว่าไปเวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ จากวันที่พาพี่แช่มไปหาพ่อกับแม่ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน ช่วงเวลาที่ผ่านมางานเยอะชิบหาย เหนื่อยอะ กิจกรรมของเทอมหน้าหนักสุดก็กีฬาสี

แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

ตอนนี้เกือบบ่ายโมงครับ พี่แช่มสอบเสร็จตอนบ่าย 3 วันนี้เราตกลงไปฉลองสอบเสร็จที่จันทร์เจ้าด้วย แฟนผมบอกว่าตอนสอบเสร็จจะพาคุณเฉลิมไปตรวจสุขภาพที่คลินิกประจำ ก่อนที่ลุงเชตจะมารับเจ้าอ้วนให้ไปอยู่ที่สวนปาล์ม คือตอนแรกพี่แช่มเขาอยากจะเอาคุณเฉลิมไปอยู่ที่ระยองด้วยกันแต่ผมค้านเขาเอง เพราะว่าลำพังดูแลตัวเองแค่คนเดียวก็ลำบากแล้ว อีกอย่างการจะเลี้ยงสัตว์มันก็ต้องมีเวลาให้ด้วย ผมกลัวคุณเฉลิมจะเหงา

พอเป็นแบบนี้พี่แช่มก็จะเหงาแทน

เอาน่ะ เชื่อสิว่าผมเลือกทางที่ดีที่สุดให้พี่แช่มและคุณเฉลิม แค่ช่วงไม่กี่เดือนเองที่เขาฝึกงานน่ะ พอฝึกเสร็จ จัดการโน่นนั่นเรียบร้อยก็ค่อยไปรับคุณเฉลิมจากสวนปาล์มของลุงเชต จะว่าไปก็อีกแค่แป๊บเดียวเอง พี่แช่มจะเรียนจบ ส่วนผมก็จะขึ้นปี 4 แล้วไปเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันกับเขา ชีวิตในรั้วมหา’ลัยเหลือไม่อีกนานละ ไหนลองนึกถึงช่วงที่ผ่านมาทั้งหมดซิว่ามันเป็นยังไง

ทำไมนึกออกแต่งานวะ

“รอนานป้ะ”

“นาน”

“รอนานก็เรื่องของมึง” ข้าวก้องเอ่ยวาจาแบดๆ ออกมาก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาแล้วจุดสูบ “พี่แช่มอะ”

“ยังสอบไม่เสร็จ แล้วไอ้เบย์อะ”

“ตายแล้ว”

“เดี๋ยวกูจะบอกมัน”

“อย่า” เจ้าตัวทำหน้าตึงใส่ผมทันที แหมๆ ๆ ๆ พูดจาเหมือนจะห้าว สุดท้ายก็กลัวผัวนี่หว่า

“มึงนี่มันเก่งแต่ปาก” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะหยิบบุหรี่ที่ข้าวก้องสูบเหลือครึ่งมวนทิ้งลงที่ทิ้งบุหรี่

“ยังไม่หมดมวนเลย”

“เออ สูบแค่นั้นพอ กลิ่นบุหรี่มึงรมหัวกูหมดแล้วเนี่ยะ” ผมล็อกคอมัน “ไปกันเถอะ กูหิว”

“เออๆ ไม่ต้องล็อกคอ” มือเรียวจับแขนผมออกก่อนจะเดินขึ้นรถ ผมก็มานั่งประจำตำแหน่งคนขับ

ของที่ผมจะไปเอาคือจี้ครับ ผมไปสั่งทำจี้เรซิ่นให้พี่แช่มเนื่องในโอกาสที่วันนี้เป็นวันครบรอบที่เป็นแฟนกันมา 6 เดือน จี้ที่ผมไปสั่งทำเป็นจี้ที่ใส่ใบโคลเวอร์สี่แฉกที่เขาให้ผมมาในวันที่เราเจอกันครั้งแรก ตอนนี้มันแห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว ผมกะจะให้เขาห้อยมันไว้ข้างกับเกียร์ของผม ช่วงที่เขาฝึกงาน เวลามีปัญหาหรือเหนื่อยมากๆ ถ้าเขาได้มองสิ่งที่ผมให้ติดตัวไป มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ ตอนแรกผมใส่สร้อย 2 เส้น สร้อยเกียร์เส้นนึง สร้อยใบโคลเวอร์เส้นนึง

นึกถึงตอนตื่นแล้วมันพันคอดิ

ตอนนี้ผมเอาจี้มาห้อยด้วยกันแล้วครับ ใส่ติดตัวตลอด ไม่คิดที่จะถอดและจะไม่ให้ใครถอดมันออกด้วย สำหรับผมแล้ว สร้อยเส้นนี้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเคยถอดมันออกด้วยมือตัวเองครั้งนึง การกระทำในตอนนั้นทำให้เกือบเสียคนที่ตัวเองรักไปแล้ว เอาน่ะ เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ผมจะไม่เอามาคิดแล้วล่ะ หลังจากนี้อะไรก็ตามที่เราคิดว่ามันสำคัญ เราก็ต้องดูแลรักษาสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

“มึงได้ให้เกียร์ไอ้เบย์ยังวะก้อง”

“ยัง คิดว่าจะให้หลังจากวิ่งเกียร์”

“คิดไว้ป้ะว่าจะให้ยังไง”

“ก็คงให้เฉยๆ แล้วก็บอกว่าเก็บไว้ให้ดีดี ทำหายตาย ถ้าทำหาย กูจะหายไปพร้อมเกียร์นั่นแหละ” มันบอกก่อนจะทำหน้าเหี้ยม ดูก็รู้แล้วว่าไม่จริงหรอก ถ้าสมมุติไอ้เบย์ทำเกียร์หายนะ มันต้องร้องไห้งอแงแน่นอน

ฟูมฟายเป็นหมา

“ทำโหดอีก” ผมเบ๊ปากใส่มันก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดในห้างบีบีแล้วหยิบกระเป๋าลงจากรถ หิวข้าวมากเลยอะ ใจนึงอยากกินซูชิแต่เดี๋ยวข้าวก้องจะทำหน้าเหมือนส้นตีนอีกเพราะงั้นเลือกอะไรที่จะกินได้ทั้งคู่ดีกว่า

“กินข้าวก่อนไหม”

“อืม ชาบูป้ะ”

“ได้ ดีเลย เบย์บอกว่าอยากกินมาหลายวันแต่ไม่ได้กิน เดี๋ยวกูจะถ่ายรูปไปเย้ยมัน”

“แล้วมันก็จะกินมึงแทนชาบู”

“รู้มากจริงไอ้เวร” ร่างโปร่งเดินนำผมเข้าไป เขินก็บอกเขินดิ ชอบทำเป็นโหดกลบเกลื่อน

เราสองคนเดินมาในร้านชาบูก่อนจะจัดแจงสั่งโน่นนี่นั่น เดี๋ยวระหว่างที่รอของทั้งหมด ผมแวะไปเอาของก่อนดีกว่า มันแค่แป๊บเดียวแหละ เดี๋ยวให้ข้าวก้องรอไปก่อน พอคิดได้แบบนั้นผมก็บอกกับเจ้าน้องรักก่อนจะเดินออกมาจากร้านแล้วมุ่งไปชั้น 3 ของห้าง ร้านของขวัญอยู่ตรงข้ามกับบันไดเลื่อนเลยครับ ร้านนี้ไอ้หมีแนะนำมา มันบอกว่าเป็นพี่ที่รู้จักกันสมัยเรียนมัธยมฯ

แม่งรู้จักคนทุกประเภทอาชีพจริงๆ

“ผมมาเอาของที่สั่งเอาไว้น่ะครับ”

“ของคุณอะไรคะ”

“ชนัศชัยครับ”

“รอสักครู่ค่ะ” พนักงานรับคำก่อนจะเดินไปหยิบของออกมาให้ “ทั้งหมด 250 บาทค่ะ”

ผมส่งเงินให้เขาก่อนจะรับของมา “ขอบคุณนะครับ”

“รอใบเสร็จสักครู่นะคะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะมองของที่อยู่ในถุง พอพนักงานนำใบเสร็จมาให้ผมก็เดินออกมาจากร้าน ตื่นเต้นว่ะ ไม่รู้ว่าพี่แช่มจะทำหน้ายังไงตอนได้รับจี้อันนี้

ผมหวังว่าเขาจะดีใจนะ

“ได้มาแล้วเหรอ” ข้าวก้องเอ่ยถามก่อนจะยัดหมูสามชั้นเข้าปาก “ดูหน่อย”

“อย่าทำเลอะ” ผมส่งกล่องใส่จี้ไปให้ดู จี้ที่ผมสั่งทำ ลักษณะเป็นทรงกลมแบนครับ ตรงกลางเป็นใบโคลเวอร์สี่แฉกที่แห้งไปแล้ว ดูเรียบๆ แต่มีความหมายกับเราทั้งสองคน

“อ๋ออันนี้ที่กูเคยจะเก็บทิ้ง”

“ใช่ มึงคิดว่าเป็นขยะ” ผมหยิบกล่องจากมือข้าวก้องมาใส่ถุงไว้ตามเดิมก่อนจะส่งแมงกะพรุนกรุบกรับเข้าปากทันที อื้มมมม....อร่อยว่ะ

กินแมงกะพรุนแบบนี้แล้วนึกถึงทะเลเลย

ผมยังจำทะเลที่บ้านพี่แช่มได้เลยนะ ถ้ามีเวลาว่างก็อยากกลับไปอีก ข้าวร้านพี่ย้งก็อร่อย ป่านนี้น้องสิชลน่าจะเดินรอบร้านได้แล้วแหละ เด็กๆ น่ะโตไวจะตาย นึกถึงเรื่องนี้ทีไร คำพูดที่พี่แช่มเคยบอกว่าอยากมีลูกก็กลับเข้ามาทุกที ผมรู้นะว่าเขาไม่พูดเล่นแน่ๆ เรื่องที่จะรับเด็กมาเลี้ยง แต่นั่นแหละมันก็ต้องเป็นเรื่องของอนาคต จนถึงตอนนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นความพร้อม เลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่คิดว่าจะเลี้ยงก็เลี้ยงได้

มันต้องมีความรับผิดชอบสูงเลยล่ะ

“ข้าวก้อง”

“หืม....”

“มึงเคยคุยกับไอ้เบย์เรื่องมีลูกบ้างไหม”

“เคย ตกลงไว้แล้วว่าจะไม่มี ไม่รับเลี้ยงเด็กด้วย”

“ทำไมวะ”

“เพราะต่างฝ่ายอาจจะหึงอีกฝ่ายจนหน้ามืดก็ได้”

“แต่นั่นเด็กนะมึง”

“เออ เด็กก็หึงเหมือนกัน” เจ้าตัวคีบตับมาใส่ชามผม “ตอนนี้ก็คิดกันแบบนี้แหละ แต่กูไม่รู้หรอกว่าอนาคตมันจะยังไง ตอนนี้ไม่อยากมีลูก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่อยากมี แล้วมึงอะ คุยกับพี่แช่มไว้แล้วเหรอเรื่องนี้”

“ก็คุยกันเอาไว้บ้าง พี่แช่มน่ะคิดจะรับเลี้ยงเด็ก รับเลี้ยงแบบแน่ๆ เลยล่ะ เขาบอกว่ารอให้ตัวเองพร้อมมากกว่านี้ก่อน กูว่าน่าจะอีกหลายปี อาจจะตอนเขาอายุเกือบ 30 เลยก็ได้มั้ง”

“ถึงตอนนั้นก็คงได้แหละ อย่างพี่แช่มเขาก็มีภาระที่ต้องดูแลคนงานในสวนยางป้ะ”

“ใช่ เขาต้องกลับไปเรียนรู้งานกับลุงเชตอีก กว่าจะเข้าทีเข้าทางก็คงใช้เวลาหลายปีนั่นแหละ”

“มึงรู้ไหมว่าแพลนหลังเรียนจบของเขาคืออะไร”

“สร้างบ้านหลังใหม่”

“ทันทีเลยเหรอ”

“ใช่”

“งั้นช่วงปี 4 มึงกับเขาก็ต้องแยกกันอยู่น่ะสิ”

“อืม” ผมพยักหน้ารับเบาๆ “แยกกันทำหน้าที่ของตัวเอง”

คือตอนนี้ที่พี่แช่มต้องไปฝึกงาน เราก็ต้องอยู่ห่างกันหลายเดือน พอเขาฝึกงานเสร็จ จัดการเรื่องเรียนจบ เขาก็ต้องกลับไปทำเรื่องบ้านต่อ ในขณะที่ผมเรียนปี 4 พี่แช่มก็ต้องกลับไปเรียนรู้งานต่างๆ กับลุงเชตที่นครศรีฯ คงมีบ้างที่เราเจอกันแต่ก็คงนานๆ ครั้ง ผมน่ะเตรียมใจเรื่องนี้เอาไว้แล้วตั้งแต่ที่คุยกันเมื่อหลายเดือนก่อน ผมรู้ว่าเราจะอยู่ด้วยตลอดในทุกช่วงเวลาไม่ได้เพราะแต่ละคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ

ทุกอย่างก็แค่รอให้ผมเรียนจบ

สัญญากันเอาไว้แล้วไงว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกัน พี่แช่มจะรับผมไปอยู่ด้วยที่บ้าน คือแพลนนี้วางกันเอาไว้แล้ว ระหว่างนั้นก็ต้องอดทนกันไป มันไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายนึงที่ต้องอดทนไง เพราะถ้าผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ก็ไม่ต้องมีอะไรหวั่นใจแล้วล่ะ เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยนะว่าจะต้องมาวางแผนชีวิตอะไรแบบจริงจังขนาดนี้ ผมเล่าเรื่องพวกนี้ให้พ่อฟัง เขาก็เห็นด้วยในสิ่งที่เราสองคนจะทำนะ หากมีอะไรให้ช่วยเหลือก็สามารถบอกได้เลย

ผมโคตรโชคดีเลยที่ครอบครัวเข้าใจและคอยซัพพอร์ตแบบนี้

“มึงกับพี่แช่มก็ดีเนอะ วางแผนการใช้ชีวิตต่างๆ กูกับเบย์เนี่ยะ คิดแค่วันนี้กับพรุ่งนี้เอง”

“แบบนั้นก็ดีนะ ได้ไม่ต้องคิดมากไง”

“ไอ้ดีมันก็ดี แต่มันดูไม่ค่อยมีอะไรไง กับเบย์ยังไม่เท่าไหร่ มันเพิ่งปี 1 เอง แต่กูเนี่ยะ จะปี 4 แล้ว กูจะเรียนจบก่อน มึงว่ากูควรทำงานอะไรดี”

“ทำงานกับพ่อไง ไหนจะที่ดินเปล่าที่พ่อให้มึงอีก ไม่งั้นก็ไปทำอะไรสักอย่างตรงนั้นดิ”

“เออว่ะ พูดถึงที่ ของกูกับของมึงนี่อยู่ข้างกันเลย”

“เออ เหมือนพ่อจะให้กูอยู่กับมึงไปด้วยกันจนตาย” ผมแย่งสันนอกมาจากข้าวก้อง “ที่ตรงนั้นทำเลดีนะ ตอนแรกกูก็คิดเอาไว้ว่าถ้าเรียนจบ อยากจะทำอะไรกับมันสักอย่าง แต่ตอนนี้สิ่งที่กูจะทำมันชัดเจนแล้ว เพราะงั้นที่ดินตรงนั้น มึงเอาไปเลย ส่วนของกู กูยกให้”

“ราคามันหลัก 10 ล้านนะ มึงคิดดีดี”

“เออ ให้ก็ให้ดิวะ มึงกับกูไม่เห็นต้องมาคิดมากเรื่องนี้เลย อีกอย่างถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ทำประโยชน์เลย มันก็น่าเสียดาย สู้ให้มึงเอาไปทำอะไรสักอย่างดีกว่า”

“เออ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ไว้ถ้าคิดออกเมื่อไหร่จะบอก”

“ได้ เดี๋ยวไปบอกพ่อด้วย” ผมแกะกุ้งก่อนจะใส่จานไว้ให้คนตรงข้าม

ผมไม่รู้เลยว่าถ้าตัวเองไม่มีพี่น้องขึ้นมามันจะเป็นยังไง ชีวิตอาจจะลำบากมากกว่านี้ก็ได้ ผมไม่รู้ว่าบ้านอื่นเป็นยังไง แต่สำหรับบ้านผมแล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น ผมกับข้าวก้องไม่เคยทะเลาะกันแบบจริงจังเลยสักครั้ง เรื่องอะไรที่ยอมให้กันได้ก็ยอม ถึงจะปากร้ายด่ากันอยู่ทุกวัน แต่ต่างฝ่ายก็รู้อยู่แก่ใจว่าอีกคนเป็นห่วงตัวเองมากแค่ไหน เวลาที่ผมมีปัญหา ข้าวก้องจะเป็นคนแรกเสมอที่อยู่กับผม

ก็นะ....เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในท้องของแม่แล้ว

“มึงเคยคิดป้ะว่าถ้าเป็นลูกคนเดียว จะเป็นยังไง”

“หมายถึงไม่มีมึงน่ะเหรอ”

“ใช่”

“ก็คงไม่มีคนให้กูแกล้งล่ะมั้ง”

“ความคิดมึงนี่แม่ง” เบ้ปากใส่ไปที เอาจริงๆ ในหัวนั่นคงจะคิดอะไรที่ดีกว่านี้แหละแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมามากกว่า

ช่างเถอะ....ข้าวก้องก็เป็นคนแบบนี้แหละ

ผมยัดโน่นนี่นั่นใส่ปากไปเรื่อยพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น เห็นทวิตเตอร์ของตัวเองแล้วผมยังรู้สึกแปลกๆ อยู่เลย วันที่พี่แช่มบอกว่าเขาติดตามทวิตเตอร์ผมมาตั้งแต่ตอนอายุ 18 ติดตามมาก่อนที่เราจะเจอกัน มันโคตรน่าเหลือเชื่อเลยที่แอคของผมทำให้เขากลับมาทำตามคำสัญญาของชะเอม ทำให้เขากลับมาเป็นตัวเขาได้อีกครั้ง ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นพลังบวกให้ใครได้มากขนาดนั้น

เชื่อแล้วครับว่าคนบางคนมีอิทธิพลต่อชีวิตเราจริงๆ

ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่รู้จักเขาเลย

“อยู่ดีดีก็ยิ้มให้กับโทรศัพท์....มึงบ้าป้ะเนี่ย”

“แดกเงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกไอ้เวร”



***



---------- 50% ---------


หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-01-2020 21:44:15
---------- ต่อจากบทส่งท้าย ----------



“หมอว่าไงบ้างอะพี่แช่ม”

“ก็บอกว่าคุณเฉลิมแข็งแรง สมบูรณ์น่ารัก คนรักคนหลงเพราะเจ้าของก็เป็นคนน่ารัก”

“หอมว่าหมอเขาบอกแค่คุณเฉลิมแข็งแรงนั่นแหละ ส่วนที่เหลือพี่เพิ่มเอาเอง”

“หมอพูดแบบนี้จริงๆ ”

“ไม่เชื่อหรอก” ผมส่ายหัวให้คนที่ขับรถอยู่อย่างเอือมๆ เก่งจริงเชียวล่ะเรื่องอวยตัวเองเนี่ย

ตอนนี้เรากำลังไปที่ร้านจันทร์เจ้าครับ เกือบ 3 ทุ่มแล้วด้วยซึ่งตอนแรกนัดกันไว้ 2 ทุ่ม แน่นอนว่าผมกับพี่แช่มน่าจะสายที่สุดแล้วครับ คือแฟนผมเขามัวแต่ลีลามากความไง กลับจากพาคุณเฉลิมไปหาหมอก็มานอนกลิ้งไปมา สักพักเปิดแอปฯ คาราโอเกะร้องเพลงไปอีกยี่สิบเพลง กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะแต่งตัว คือน่าหมั่นไส้มาก ผมอยากอัญเชิญพี่ขันมากระทืบเขาที่ห้องจริงๆ แต่เชื่อเถอะ ถ้าถึงร้านปุ๊บเนี่ย พี่ขันจะเป็นคนแรกเลยที่ด่าพี่แช่ม

ดีไม่ดีอาจจะมีตบด้วย

รถซูซูกิ สวีฟสีขาวเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหลังร้านจันทร์เจ้า ผมหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินลงมาจากรถ ร่างสูงเดินตามลงมาพร้อมกับลากผมเข้าไปในร้าน สัมผัสได้ถึงสายตาทิ่มแทงที่มองมาด้วยครับ หนักสุดก็คือสายตาจากอดีตเฮดว้ากของเมื่อปีก่อนนั่นเอง การเปิดตี้วันนี้คือครบองค์ประชุมมาก วันรวมญาติชัดๆ เอาจริงๆ เฉพาะชาวแก๊งค์วิศวะฯ นี่ก็เต็มร้านแล้วนะ เด็กคณะอื่นคือหาร้านอื่นนั่งกินกันเถอะ

โคตรเหมาร้านเลยวันนี้

“มาช้านะไอ้หน้าสัส นัดไว้กี่โมงแล้วมึงมากี่โมงห้ะ”

นั่นไง....ผมบอกแล้วว่าพี่ขันจะด่าพี่แช่มเป็นคนแรก

“เออทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

“นัดไม่เคยเป็นนัด”

“เห็นคำพูดพวกกูเป็นแค่ลมปากกเหรอ”

“เออ กูนี่มันคนแย่จริงๆ ” พี่แช่มหยิบแก้วเบียร์จากไอ้หมีก่อนจะซดจนหมด “พอใจพวกมึงแล้วนะไอ้เวร”

“เบียร์ของหมีนะ”

“กูกินไปแล้ว ทำไม เอาจากปากกูไหมล่ะ”

“ไอ้แช่ม”

“พี่แช่ม” ผมหยิกเอวเขาสุดแรง มันใช่เรื่องที่จะพูดแบบนี้ไหมเนี่ยะ ลำพังผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พี่ขันนี่ดิ ถ้าเขากระทืบพี่ขึ้นมาใครจะห้ามได้วะ

พูดอะไรไม่คิดเลย

“พี่ล้อเล่นน่ะจ่ะ” ร่างสูงยิ้มแฉ่งให้ผมก่อนจะเดินไปนั่งข้างพี่เฌอ “เด็กมึงอะ”

“เด็กไหนไม่รู้เรื่อง”

“อย่าให้กูพูดชื่อนะ” พี่แช่มจ้องหน้าเพื่อนรักเหมือนจับผิด

ผมพอได้ยินมาบ้างเรื่องพี่เฌอแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรนัก ให้พี่แช่มเขาใส่ใจไปคนเดียวก็พอ แฟนผมน่ะชอบมาบ่นว่าพี่เฌอไม่ค่อยไปโน่นนี่นั่นด้วยเพราะติดเด็ก เอาจริงๆ พี่เฌอจะติดใครมันก็เรื่องของเขาไหมวะ อีกอย่างมันเป็นปกติอยู่แล้ว พี่เฌอเป็นบุคคลที่เวลามีแฟน จะทุ่มเทเวลาให้แฟนมากกว่าเพื่อนอะ เรื่องนี้เขารู้กันทั้งมหา’ลัยแล้วมั้ง จะว่าไปก็มีพักหลังนี่แหละที่เขาไม่มีแฟน

แฟนคนล่าสุดก็เป็นเด็กคณะแพทย์ฯ

พี่แช่มมาเล่าให้ฟังว่าน้องเด็กแพทย์ฯ คนนั้นสวยมาก น่ารัก คบกับพี่เฌอได้นานที่สุดคือเดือนกว่าๆ ก่อนที่จะบอกเลิกพี่เฌอ หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีแฟนใหม่เลยจนถึงตอนนี้ แต่เหมือนพี่แช่มจะไปรู้มาว่าตอนนี้พี่เฌอก็กำลังมีซัมติงกับเด็กแพทย์ฯ อีกคน ซึ่งที่พีคๆ เลยก็คือเด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย เป็นเดือนคณะเมื่อปีก่อน ผมจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร นึกหน้าก็ไม่ออก อาจจะเพราะผมไม่ได้สนใจล่ะมั้ง

เรื่องของคนอื่นอะ จะอยากรู้ไปทำไมวะ

“อะพี่หอม” ไอ้หมีส่งแก้วเบียร์มาให้ “ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ เรื่องพี่แช่ม”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่เขาจะเปลี่ยนไปและกลับมาเป็นเหมือนเดิมไง”

“ก็จริง กูยังนึกถึงตอนที่คุยกับมึงเรื่องเขาได้เลย ตอนที่ไม่รู้อะไรแม่งโคตรแย่ แต่มันก็คงดีแล้วแหละที่เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้”

“หมีก็ยินดีกับพี่ด้วยละกัน ดีใจอะ จะไม่มีใครมางอแงกับหมีอีกแล้ว”

“ขอบใจมึงด้วยละกัน” ผมชนแก้วกับไอ้หมีก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซด จะว่าไปถ้าช่วงที่ผ่านมาไม่มีไอ้หมีให้คอยปรึกษาโน่นนี่ ระหว่างผมกับพี่แช่มน่าจะบัดซบกว่านี้เยอะ

“หมีเห็นพวกพี่มีความสุข หมีก็ดีใจ”

“คุยไรกัน พอละ” พี่ขันรั้งแฟนเด็กเข้าไปใกล้เหมือนหวง ขนาดนี้ก็ให้มันนั่งบนตักเลยก็ได้มั้ง

“น้องหอมกินนี่”

“อะไรอะ” ผมมองในช้อนที่เขาตักมาจ่อปาก “ปลาหมึกเหรอ”

“ใช่ ยำปลาหมึก อร่อยมาก” หลังจากที่เขาบอกแบบนั้น ผมก็กินยำปลาหมึกที่เขาป้อน อื้อออ... อ... เผ็ดชิบหาย มีแค่ข้าวก้องเท่านั้นแหละที่กินได้

พี่แช่มกับข้าวก้องนี่เวลากินข้าวควรนั่งกินด้วยกันอะ ถูกปากแน่ๆ ล่ะกินรสเผ็ดจัดเหมือนกันขนาดนี้ ผมถ่ายรูปยำปลาหมึกเจ้ากรรมลงทวิตเตอร์ พริกเยอะขนาดนี้ก็ไม่แปลกใจหรอกทำไมเผ็ด คือเชื่อป้ะว่ากับแกล้มที่วางอยู่บนโต๊ะคือมีแค่ยำปลาหมึกกับไก่ทอด นอกนั้นคือเหล้ากับเบียร์ล้วนๆ โซจูเป็นสิบขวดอะเฉพาะบนโต๊ะนะ ในถังน้ำแข็งไม่เกี่ยว คือกินวันนี้ตื่นอีกทีสามวันข้างหน้า

วันนี้ต้องมีคนลงพุ่มหญ้าหลังร้านบ้างแหละ

“อะพี่แช่ม” ไอ้หมีส่งแก้วโซจูที่มีเยลลี่หมีสามอันข้างในมาให้ “นี่หมีเสียสละหมีสีแดงให้พี่แช่มเลยนะ เพราะงั้นต้องกินให้หมด”

“ไม่น่าไว้ใจ” จริงแบบที่พี่แช่มพูดครับ อะไรก็ตามที่ถูกส่งให้ในวงเหล้า ถ้าเราไม่ได้กับตาตอนที่ชงหรือรินลงแก้วเนี่ยะ อันตราย

เราอาจจะหลับกลางอากาศ

นี่น้องเองไง กินๆ ไปเถอะน่า ถ้าพี่เมาเดี๋ยวพี่หอมก็แบกกลับ”

“มึงนี่มัน” พี่แช่มยกแก้วโซจูซดฮวบเดียวจนหมดพร้อมกับเยลลี่หมีที่อยู่ในนั้น เอาจริงๆ แค่แก้วเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก อย่างคนขี้เมาเนี่ยะ ถ้าจะสติหลุดก็ต้องกินเยอะกว่านี้ แค่นี้ยังน้อย

“น้องหอมเอาอะไรดี”

“เบียร์ดีกว่า”

“นี่จ่ะ” มือเรียวส่งแก้วเบียร์มาให้ “อย่ากินเยอะนะเดี๋ยวเมา”

“พี่บอกตัวเองเถอะ” ผมหยิกแขนเขาอย่างมันเขี้ยวก่อนจะมองไอ้หมีที่เดินขึ้นไปบนเวทีด้านหน้า คงร้องเพลงเหมือนอย่างทุกทีแหละมั้ง

ผมนั่งจิบเบียร์พลางยัดไก่ทอดเข้าปากไปพลางๆ ทำไมเหมือนฟีลนั่งร้านเหล้าแบบนี้หายไปนานเลยวะ พอย้อนไปนึกถึงเรื่องงานที่ทำก็สมควรอยู่แหละ เมื่อก่อนช่วงปี 1 ปี 2 อะ มากินเหล้าบ่อยนะ ทุกอาทิตย์เลย แต่จะไปร้านนั่งชิวมากกว่า พวกพี่แช่มจะติดร้านจันทร์เจ้า ก็คงเพราะว่าพี่ฉายเขาเป็นน้องเจ้าของร้านด้วยแหละ กลุ่มเขาแม่งไม่เคยเสียค่าเหล้าค่าเบียร์ราคาเต็มสักครั้งหรอก

พี่เจ้าขาดทุนยับอะบอกเลย

“น้องหอม....เดี๋ยวพี่มานะ”

“ไปไหนอะ”

“ไอ้เฌอให้ไปเอาของเป็นเพื่อนอะ”

ผมพยักหน้ารับคำ “อื้ม รีบไปรีบมานะ”

“จ่ะ” พี่แช่มจุ๊บหัวผมทีนึงก่อนจะเดินออกไปพร้อมพี่เฌอ คือเดินออกไปเฉยๆ ก็ได้ไหม ไม่เห็นต้องจุ๊บหัวผมให้ตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้เลย

เหมือนกำลังจะโดนแซว

“กูไม่อิจฉาหรอกนะครับเพื่อน” สยามบอกก่อนจะจุ๊บหัวสมปองโชว์บ้าง

"เบียร์หวานเฉยเลยอะ” คำนี้มาจากข้าวก้อง แหมๆ ๆ ๆ ทีมึงกับผัวเด็กนั่งจะเกยกันแบบนั้นกูยังไม่แซวเลย

“พอเลยนะพวกมึงอะ” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่ก่อนจะหันไปสนใจเพลงที่ไอ้หมีร้อง โคตรเพราะเลย จะว่าไปผมไม่เคยได้ยินพี่แช่มร้องเพลงเลยสักครั้ง

เขาจะร้องเพลงเพราะแบบนี้ไหมวะ

ปกติได้ยินแต่เสียงโวยวายไง เอาจริงๆ ถ้าพี่แช่มร้องเพลงเพราะ มันก็น่าจะทำให้เขามีเสน่ห์มากขึ้นกว่าที่เป็น คนก็น่าจะชอบเขามากขึ้น พอมีคนชอบเขาเยอะๆ ผมก็จะหึงจนหน้ามืด แม่งต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหล”

(ออกมาหาพี่หลังร้านหน่อยสิ)

“โอเค” ผมวางแก้วเบียร์ก่อนจะเดินออกไปทางหลังร้าน เห็นพี่แช่มยืนพิงรออยู่ข้างรถ “เรียกหอมออกมาทำไม”

“หลังรถ”

“หลังรถทำไมอะ”

“ไปดูดิ” พอเขาบอกแบบนั้นผมก็เดินมาเปิดหลังรถดู

ตึกตัก

ผมกวาดสายตามองตุ๊กตานกฮูกที่อัดแน่นอยู่ในนั้น รอบๆ มีไฟดวงเล็กๆ ตกแต่ง ตรงกลางมีช่อดอกไม้สีฟ้าวางอยู่ ร่างสูงหยิบมันออกมาก่อนจะส่งให้ เขาโน้มลงมาจูบบนหน้าผากผมเบาๆ รอยยิ้มของคนตรงหน้าปรากฏขึ้นซึ่งผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย

ทำอะไรแบบนี้ก็เป็นแฮะ

“อะไรเนี่ย”

“วันนี้เป็นวันครบรอบเดือนที่ 6 ของเราไง เราเป็นแฟนกันมาครึ่งปีแล้วนะ”

“หอมนึกว่าพี่ลืมแล้ว เห็นเดือนก่อนไม่มีอะไรแบบนี้”

“ก็รอให้ครบครึ่งปีไง” เจ้าตัวยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “ชอบไหม”

ผมพยักหน้ารับ “ชอบมากเลย ขอบคุณนะ ว่าแต่นี่มันดอกอะไรอะ”

“มันคือดอกไฮเดรนเยีย มันมีความหมายถึงความเย็นชา แต่อีกนัยนึงมันก็ใช้แทนการขอบคุณ.....พี่ขอบคุณน้องหอมนะ ที่อยู่กับพี่มาจนถึงตอนนี้ คอยอดทนแม้ว่าพี่จะงี่เง่ามากแค่ไหนก็ตาม” พี่แช่มรั้งผมเข้าไปกอดไว้ “พี่แม่งโคตรโชคดีเลยที่มีน้องหอม อยู่เป็นความโชคดีของพี่ไปทุกวันเลยนะ”

“หอมจะไปไหนได้ล่ะ” ผมผละกอดจากเขาก่อนจะหยิบกล่องจี้ในกระเป๋าส่งให้ “อันนี้ของที่หอมเตรียมมาให้พี่”

“มันคือ....จี้ใบโคลเวอร์สี่แฉก”

“มันคือใบโคลเวอร์สี่แฉกที่พี่เคยให้หอมไว้ตอนที่เราเจอกันไง หอมเก็บมันไว้ตลอดจนถึงตอนนี้เลยนะ” ผมจับสร้อยที่คล้องเกียร์ของพี่แช่มออกมาก่อนจะติดจี้เพิ่มเข้าไปให้ “ทีนี้เราก็จะมีเหมือนกันแล้ว”

“พี่นึกว่าน้องหอมจะทิ้งมันไปแล้วซะอีก”

“ไม่ทิ้งหรอก เนี่ยะ ของที่ให้ไปก็เก็บเอาไว้ดีดีนะ”

“พี่จะเก็บเอาไว้ให้ดีที่สุดเลย” พี่แช่มยกจี้ขึ้นจูบเบาๆ “ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มหวานให้เขาพลางยกมือขึ้นไปกุมแก้มเจ้าตัวเอาไว้ จากวันแรกที่เจอกันมันเกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะเลย แต่ดีตรงที่ทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าอนาคตที่แน่นอนมันเป็นยังไง แต่รู้ใจตัวเองนะว่าคงจะไม่ไปไหนจากคนตรงหน้า ผมรักเขา อดทนและทำหลายๆ อย่างเพื่อให้เขายิ้มได้เหมือนอย่างที่เป็นในตอนนี้ ผมอยากให้เขามีความสุขมากๆ ไม่อยากให้เขาเสียใจและเปลี่ยนไปเป็นใครที่ผมไม่รู้จักอีก

พี่แช่มควรเป็นคนที่ยิ้มเก่งแบบนี้แหละ

ก่อนหน้านี้ที่ความสัมพันธ์ของเราสั่นคลอนด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ผมไม่สามารถรับรู้มันได้และตัวพี่แช่มเองก็พูดถึงไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นช่วงที่แย่มาก ในหัวผมคิดมาตลอดว่าตั้งแต่รู้จักกันมา คำที่เขาพูด การกระทำต่างๆ ของเขา มันจริงจังรึเปล่า เขาทำเหมือนเขารักผมแต่ระหว่างเรามันไม่มีชื่อเรียก ผมรอสถานะนี้มา 2 ปี ตอนแรกรออย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าปลายทางมันจะจบลงยังไง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ

บางทีการรอคอยของผม มันอาจจะดีแล้วแหละ

รอให้พี่แช่มเอาชนะในสิ่งที่เขากลัว

รอเพื่อเรียนรู้ในอะไรหลายๆ อย่าง

รอเพื่อให้รู้ว่าผมคิดผิด.....ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ได้จริงจัง

คนตรงหน้าพิสูจน์แล้วครับว่าระหว่างเรามันเป็นยังไง

“พี่เชื่อไหมว่าช่วงที่เรารู้ว่าใจเราตรงกัน แต่ต้องอยู่ในสถานะที่ไม่มีชื่อเรียก หอมรู้สึกยังไง”

“น้องหอมเสียใจ....พี่รู้ มันผิดที่พี่ เวลาที่ผ่านไปก่อนหน้านั้น พี่ก็คงต้องปล่อยให้มันผ่าน เวลาที่พี่มีคือหลังจากนี้เพราะงั้นพี่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้น้องหอมต้องเสียใจเหมือนอย่างที่ผ่านมา”

“ขอบคุณนะ....ตัวหอมเองก็จะพยายามเหมือนกัน”

“ทีนี้ก็รู้แล้วนะ”

“รู้ว่าอะไร”

“ก็....” มือเรียวหยิบโทรศัพท์มากดอะไรยุกยิกๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแจ้งเตือนของทวิตเตอร์ที่พี่แช่มแท็กมา ข้อความที่ปรากฏนั้นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกไป “หอมต้องตอบไหม”

“ต้องตอบสิ”

“ได้....”





Charit @Charitpedd

ผมน่ะจริงจัง....ไม่ได้แค่ขำๆ



@KhH22_luc


.

.

Kh. @KhH22_luc

กำลังตอบกลับถึง @Charitpedd



งั้นจริงจังกับผมตลอดไปเลยนะครับ


.

.

Charit @Charitpedd

กำลังตอบกลับถึง @KhH22_luc



เรื่องนั้น....




   

“แน่นอนอยู่แล้วครับ”

ริมฝีปากบางกดจูบลงมาแผ่วเบา ความอบอุ่นนี้ที่ผมชอบและทำให้รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้สัมผัส ไม่เคยคิดเลยว่าความรักจะทำให้เรามีความสุขมากขนาดนี้....จนกระทั่งมาเจอเขานี่แหละ

ผมจะดูแลความสุขนี้ไปนานๆ เลย

“....รักนะ”

“รักเหมือนกันครับ”






   ---------- END ----------



สวัสดีปีใหม่ค่ะบี๋ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงและร่่ำรวยมากๆ นะคะ

ชาลมาส่งนิยายบทส่งท้ายของจริงจังหรือแค่ขำๆ แล้วนะ

ชาลดีใจที่นิยายเรื่องนี้จบลงได้นะคะ ใช้เวลาานานเลย ปีกว่า เป็นเรื่องที่ 4 ของโปรเจกต์เลิฟไรท์ซึ่งชาลรู้สึกว่าตัวเองเก่งเหมือนกันที่เขียนนิยายมาจนจบถึงเรื่องนี้แล้ว

เหมือนกับทุกกครั้งนะ ชาลหวังว่านิยายเรื่องนี้จะให้อะไรกับบี๋ไม่มากก็น้อยนะ

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-01-2020 22:44:27
จบแบบสุข ๆ จุก ๆ ไปอีกคู่  o13
หัวข้อ: Re: [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-01-2020 18:38:57
บทพิเศษ : ความทรงจำสีเทา

ฉันรู้ดีว่าเวลาไม่อาจย้อนกลับ

สิ่งใดที่เกิดขึ้นไปแล้ว....มันไม่มีทางแก้ไขได้

ชิงช้าใต้ต้นพญาเสือโคร่งต้นใหญ่ที่ใครบางคนเคยผูกไว้ให้ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ทุ่งหญ้านี่คืออาณาจักรของเรา ฉันเป็นเจ้าหญิง เขาเป็นอัศวิน คุณเฉลิมเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ความทรงจำในตอนนั้นมันช่างแสนพิเศษและมีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึง

แต่ก็น่าเสียดายที่ทำได้เพียงแค่นั้น

เรื่องราวเลวร้ายในความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในใจของฉันคือการเสียพ่อกับแม่ไป ตอนนั้นฉันยังเด็กและหวาดกลัว เราสองคนซ่อนอยู่ในตู้เพราะพ่อบอกให้เราอยู่ในนั้น ฉันได้ยินเสียงดังของคนทะเลาะกันก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงของปืนถึงสองครั้ง

เสียงแห่งการสูญเสีย

ครอบครัวที่เหลือเพียงสอง อยู่ด้วยกันและดูแลกันเท่าที่จะทำได้ มีลุงเชตคอยช่วยเหลือเรื่องต่างๆ เขาเปรียบเหมือนเป็นผู้ปกครองของเราเลย เขาใจดีเหมือนกับพ่อ ฉันเคารพเขา ตัวพี่ชายของฉันเองก็เหมือนกัน มันน่าเสียดายตรงที่ฉันยังไม่ได้มีโอกาสตอบแทนสิ่งดีดีที่เขาทำให้เลย

มันน่าเสียดายจริงๆ

ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันอยู่กับเขา พี่ชายคนเก่ง คนที่เก่งกว่าใครในโลก คนที่ยกให้ฉันเป็นที่หนึ่งเสมอ ใจดี อ่อนโยน เป็นแบบนั้นตลอดมาไม่เคยเปลี่ยน เรามีกันแค่นี้ เราสัญญากันเอาไว้ว่าจะดูแลกันและกัน เราสัญญากันว่าจะเก็บใบโคลเวอร์สี่แฉกที่เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีไปให้พ่อกับแม่ด้วยกัน ฉันทำตามคำสัญญามาจนถึงวันเกิดของพี่ชายฉัน

วันเกิดตอนที่เขาอายุ 17 ปี

ฉันไม่คิดเลยว่าตอนเช้าที่ฉันไปปลุกเขา ตอนที่เรานั่งคุยกันจนถึงตอนที่เขาไปส่งฉันที่โรงเรียน นั่นจะเป็นครั้งสุดท้าย วันนั้นฉันผิดสัญญาที่ให้ไว้และทิ้งความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ให้เขาด้วย

ฉันเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เสียใจที่ผิดสัญญา เสียใจที่ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ฉันตั้งใจจะเป็นพยาบาล อยากจะดูแลเขาในวันที่เขาไม่สบาย แต่ตอนนี้ก็เป็นไม่ได้แล้ว

ฉันกลายเป็นฝันร้าย

กลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถเอ่ยชื่อถึงได้และนั่นมันทำให้ฉันเจ็บปวดจริงๆ

ฉันได้แต่ภาวนาให้เขาเจอใครสักคนที่สามารถพาเขาออกจากวังวนแห่งฝันร้ายนี้ได้ ใครสักคนที่ทำให้เขายิ้ม ทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความทรงจำที่เกี่ยวกับฉัน คนที่จะไม่จากเขาไปไหน คนที่จะคอยเคียงข้างเขาตลอดไป

และตอนนี้เขาเจอแล้ว

ฉันรอพี่ชายคนเก่งอยู่ตรงนี้เสมอ....ที่บ้านของเรา และดีใจที่ได้เจอกันที่นี่อีกครั้ง ฉันรู้ว่าสำหรับเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้มันเลวร้ายยังไง สูญเสียทั้งพ่อแม่ สูญเสียน้องสาวซึ่งเป็นครอบครัวคนสุดท้าย จดจำได้แต่ความทรงจำที่ไม่ดี บ้านที่ทำให้เขารู้สึกเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คนๆ นั้นเก่งมากที่พาเขากลับมาได้

ฉันรับรู้และเห็นทุกอย่าง การกระทำ สายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง ฉันรู้ว่ามันมีมากแค่ไหน และคิดว่าดีจริงๆ ที่เขาเข้ามาในชีวิตของพี่ชายฉัน เข้ามาไล่ฝันร้าย เข้ามาเป็นความสุข เข้ามาช่วยทำตามคำสัญญาที่เราสองพี่น้องยังทำไม่เสร็จ

ฉันรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ

ฉันรออยู่ตรงนี้มาตลอด....แต่วันนี้ไม่มีอะไรต้องรอแล้วล่ะ

ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้คือพี่แช่มที่กำลังมีความสุขกับคนที่เขารัก เขากำลังยิ้มและหัวเราะเหมือนอย่างที่เคยเป็น เขารับปากกับฉันว่าจะมีความสุขและจะไม่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงอีก เขาจะเลือกจดจำแต่ช่วงเวลาดีดีที่เคยเกิดขึ้น เขาจะเลิกโทษตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป

ฉันก็ปรารถนาให้ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น

“ชะเอม”

ฉัน....คงต้องไปแล้วล่ะ

“ค่ะ....ไปกันเถอะ” ฉันจับมือพ่อและแม่ก่อนจะมุ่งไปทางแสงสว่างที่อยู่ตรงขอบฟ้า ความรู้สึกของการจากลาที่แท้จริงมันเป็นแบบนี้เอง





หนูไปแล้วนะคนเก่ง

ยิ้มเยอะๆ และมีความสุขให้มากๆ

ชะเอมรักพี่แช่มนะคะ....

ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ





------- END -----
หัวข้อ: Re: [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-01-2020 22:35:32
 :bye2: แล้วเจอกันใหม่จะ ชะเอม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ [บทส่งท้าย : 1/1/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:29:14
 :pig4: