Finding the twilight
21
เรื่องโกหก
☼ ☽
แววตาของเขามีความฉงน
แลดูไม่เชื่อใจ?
“…” หากศศิพูดเล่น พระองค์ก็คงจะหัวเราะออกมา แต่เพราะแววตาที่มีหยาดน้ำตาคลอนั้นดูจริงจังเกินไปกว่าจึงทำให้อคิราห์ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆเลย ทว่ากลับทรงคิดไปว่านี่คือความเพ้อฝันของคนรักที่เครียดเรื่องของเราจนหาทางออกไม่ได้เพราะอย่างไรผู้ชายก็ไม่สามารถมีลูก เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเผลอทอดพระเนตรมองเจ้ากระต่ายน้อยด้วยแววตาสงสาร
“ท่านคงรังเกียจ”
“พี่ไม่ได้รังเกียจเจ้า”
“แต่ไม่ได้เชื่อกันเลยใช่ไหม”
“…”
“ข้าไม่ได้โกหกนะ”
“ศศิ…ถึงเจ้าจะมีหรือไม่มีลูกให้ ข้าก็ยังรักเจ้าอยู่เหมือนเดิม”
“…”
“แม้ข้าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าในอดีตกาลจะมีผู้ชายที่ท้องได้ แต่…” เขาเพียงคิดว่าศศิกำลังละเมอเพ้อไปว่าตนคือหนึ่งในกลุ่มชายที่ท้องได้และกำลังตั้งท้องอยู่ อาการป่วยที่กำลังเผชิญนี้ ศศิคงคิดไปเองกระมังว่าตนนั้นท้อง
“หากท่านไม่ลืม คงจะจำได้ว่าข้าเป็นหมอคนหนึ่งเหมือนกัน” ศศินั้นพูดย้ำ “และคงไม่ลืมว่าข้านั้นต่อให้รักท่านแค่ไหน แต่ก็ทำใจว่าจะต้องจากไกลอยู่ตลอดเวลา” แววตาของผู้ฟังที่มองกันมามีแววตัดพ้อ ทุกสิ่งที่ศศิพูดในวันนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่มีอยู่จริงยกเว้นประโยคหลัง แม้จะพยายามทำใจว่าจะต้องจากไกลเสมอมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้จริงๆ
“เจ้าพูดอะไร รู้ตัวหรือไม่” น้ำเสียงของเขาพลันดุดันไปพร้อมๆกับแววตา
“มันไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รัก หรืออยากไปจากท่านเลย”
“ศศิ”
“แต่ข้าเห็นแก่ลูกของข้า ลูกที่พ่อของเขาไม่ยอมรับว่ามีอยู่จริง ลูกที่ข้าไม่อยากให้มาข้องเกี่ยวกับราชสกุลไหนๆในสิหราชนครา หากข้ารู้สักนิดว่าตนเองจะผิดปกติถึงเพียงนี้ข้าจะไม่มีวันยอมให้ตนเองกับลูกในท้องตกเป็นหมากของคนที่นี่เลย” นี่ศศพินทุ์ตีค่าความรักนี่…เป็นเพียงแค่หมากบนกระดานงั้นหรือ คิดไปได้อย่างไร แต่อคิราห์ก็ไม่ได้รับทราบทั้งเรื่องของจันทราปราการ คำทำนาย หรือไม่แม้แต่จะสงสัยเรื่องยาปลุกกำหนัด
“หากเจ้ามีลูกของข้าจริง ข้าย่อมรักและเทิดทูนทั้งแม่และลูก” น้ำเสียงทรงอำนาจที่ดุดันนั้นถูกเปล่งออกจากลำคอของคนที่มีอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด ในยามนี้ที่ทั้งกายและใจของศศิกำลังอ่อนแอ เขากลับริบคืนความอบอุ่นนั้นไป “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากมีหรือ ลูกน่ะ..” ใช่ พระองค์เองก็อยากมี แต่ทรงรักบุรุษร่างบางผู้งดงามนี้ไปจนหมดหัวใจ หน้าที่ในการดำรงไว้ซึ่งราชสกุลถึงกับเพิกเฉย ทรงหลงใหลศศิถึงขนาดละเลยความสำคัญของการมีบุตรเพื่อสืบทอด เป็นเช่นนี้แล้วจะใจร้ายกับพระองค์ไปถึงไหน
ทั้งคนรอบข้างและคนงามตรงนี้
“ข้าไม่ได้โกหก”
“ข้าอยากจะเชื่อเจ้าเหลือเกิน” หากพระองค์บ้าบอได้มากกว่านี้ก็จะเชื่อคนรักจนหมดใจ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้ดีว่าเหตุใดศศิถึงกุเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อให้ทรงอยากจะปลอบใจอีกคนเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับว่าเรื่อง ‘ลูก’ ก็เป็นแผลในพระทัยมาสักพักแล้วเช่นกัน ศศิที่มองแววตาของคนรักนั้นก็ได้ตัดสินใจมั่น ในเมื่อไม่ทรงเชื่อก็ไม่เป็นไร ศศิไม่มีความจำเป็นที่จะอธิบายหรือบอกต่ออะไรแล้ว
ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คงจะดีกว่า…
“ข้าปวดหัว ง่วงแล้ว” ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มเศร้าๆออกมาก่อนจะปาดน้ำตาและล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ไม่ชอบที่จะทะเลาะกับ และไม่ชอบที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องจนทำให้สถานการณ์มันดูงี่เง่าได้ขนาดนี้ ในส่วนของอคิราห์นั้นจะเชื่อหรือไม่และจะทำใจเคียงข้างกายกันได้หรือเปล่า
มันก็แล้วแต่เขาจริงๆ
☼ ☽
แม้การทะเลาะกันจะเกิดไม่กี่ครั้งแต่ครั้งนี้สะเทือนใจคนท้องอยู่มากทีเดียว
ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้ขี้งอนไร้เหตุผลจนหนีไป ความรักที่มีให้ยังเรียกได้ว่ามากมายจนทำให้ไม่อาจจะตัดใจ ลำพังเด็กคนเดียว มีหรือว่าศศิจะไม่มีปัญญาเลี้ยง แม้จันทราปราการจะยังลำบากแต่ก็มั่นใจได้ว่าทุกคนย่อมช่วยเหลือ ทว่าเพราะยังไม่อาจจะเสียสละรักมั่นไปได้ การจากลาจึงไม่เกิดขึ้น
ศศพินทุ์ล้วนรู้ดีถึงปัญหาที่ทรงเผชิญอยู่ เรื่องมากมายพาให้กดดัน ด้วยอาจจะไม่อยากรับรู้สิ่งใดที่เหลือเชื่อจนเกินไป อาจจะทำให้เส้นผมบังภูเขาต่อหน้าพระเนตรได้ ทว่าแม้จะเข้าใจแต่ก็แอบน้อยใจไปตามประสาจึงหมายให้เวลาช่วยเยียวยาและช่วยบอกความจริงใจ
ในทุกวันเราตื่นมาจนกระทั่งหลับใหลก็แสดงความรักให้กันเหมือนปกติ แต่ก็มีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจไม่มากก็น้อย มันอาจจะเป็นเพราะศศิเองที่โพล่งเรื่องนั้นออกไป อารมณ์ของตนก็ใช่ว่าจะคงที่ และเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรควรหรือไม่ควรเราจึงเลี่ยงที่จะสานต่อบทสนทนานั้น และเก็บมันเอาไว้ในใจให้เกาะกินความรู้สึก
ตอนนี้ทรงกำลังวุ่นวายกับการปราบปรามเหล่าเครือญาติที่คิดร้ายต่อราชวงศ์ แม้จะยุ่งแต่ก็ยังกลับมาหาศศิทุกวัน ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของพระทัย เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยากจะนิ่งนอนใจหรอก ทรงอยากจะหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งแค่ยังไม่มีเวลาพูดคุยกันจริงๆจังๆ แต่พระองค์ก็ไม่ได้เอาเรื่องภายในออกไปสู่ภายนอก ความขัดแย้งระหว่างเราจึงยังอยู่ในใจของเราอย่างนี้
ศศพินทุ์เองก็พยายามที่จะประสานรอยร้าว แม้เจ้าตัวจะยังป่วยหรือมีใบหน้าที่ซีดเซียวเพียงไหน ก็ยังจะฝืนลุกมาออดอ้อนเอาใจ เราสองพยายามเก็บเกี่ยวเวลาที่มีกันไว้ โดยไม่อาจจะตอบปัญหาความคาใจหรือแม้แต่จะหันหน้าเขาพูดคุยในเรื่องที่เก็บไว้ได้
ดวงตาคู่สวยของศศิเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สถานะที่มีโซ่ที่มองไม่เห็นนั้นล่ามกันไว้ในตำหนักแห่งนี้ แม้เจ้าของตำหนักจะปราณีแต่ใจของศศิก็เหมือนล่องลอยไปไกล โหยหาอิสระอยู่หรือ ก็ไม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนยินดีจะถูกขังไว้ไหมในกรงหัวใจแห่งนี้ มือเล็กเผลอลูบท้องของตนอย่างเผลอไผล ถึงจะบอกว่าให้เวลาเป็นการพิสูจน์คำพูดแต่ก็เกรงว่าตนจะอกแตกตายเองเสียก่อน
“ทำไมถึงไม่เชื่อกันนะ” คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบา ก่อนที่จะรู้สึกถึงใครบางคนที่เดินมาข้างหลัง พระพักต์ของพระองค์นั้นยังคงหล่อเหลา ตัวตนของเขายังเป็นความสุขสูงสุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“เจ้าไม่สบายอยู่นะ” ทรงเมียงมองยอดรักอยู่นานแล้วแต่ศศิก็ยังไม่รู้ตัว จนทนไม่ไหวต้องเดินออกไปเอ่ยทักทาย ปล่อยไว้เช่นนี้ อาการที่แย่อยู่แล้วอาจจะทรุดหนักได้อีก ใครให้มานั่งตากแดดตากลมอยู่อย่างนี้
“อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้” กระต่ายแววตาเศร้านั้นยิ้มให้ น่าสงสารจับใจจนต้องกอดเอาไว้แนบกาย
“หากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว สัญญาจะพาไปทุกหนแห่ง” และพูดคุยด้วยในทุกๆอย่าง
“ข้าไม่ค่อยสบาย คงไปไหนไกลๆนานๆกับท่านไม่ได้หรอก”
“ใจคอเจ้าจะไม่หายเลยหรือ” ทรงเอ่ยถามอย่างออดอ้อน
“มันต้องหายสิ”
“เครียดเรื่องของพี่หรือ”
“ข้าคิดทุกเรื่อง” ศศิทอดยิ้มเศร้าส่งไปให้ ไม่ปิดบังว่าทุกเรื่องในนั้นมีพระองค์อยู่ด้วย อคิราห์ขยับอ้อมแขนให้ยอดรักของพระองค์ได้นั่งสบายขึ้น ก่อนจะวางคางของตนลงบนบ่าเล็ก
“พี่ยอมแพ้แล้ว ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”
“ได้โปรดอย่าขอโทษเลย” ศศิเอ่ยขอ “ข้าค่อนข้างจะปลงและลืมเลือนมันไปบ้างแล้ว” โกหก ศศิไม่ลืม แต่แค่พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางความรู้สึกให้ตัวเองอยู่
“ถ้าเจ้าอยากมีลูก” พระองค์จึงพยายามนำพาบทสนทนากลับไปตรงนั้นแม้ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขความบาดหมางใจนี้ได้ ทว่าศศิกลับร้องห้าม
“เรายังไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า”
“….”
“ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับท่าน” น้ำเสียงที่เจือเสียงสะอื้นนั้นทำให้พระหทัยอ่อนยวบ ทรงกอดรัดเด็กน้อยของพระองค์ให้แน่นขึ้นและซุกใบหน้ากับต้นแขนของคนที่กำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวด นี่พระองค์ใจร้ายกับศศิเกินไปหรือเปล่า บีบบังคับให้คนน้องต้องจนมุมต่อกันแบบนื้ เพียงเพราะทรงไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย แต่จะให้ทำเช่นไรในเมื่อมันเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน
ศศิจนมุมในอ้อมกอดของพระองค์ สะอื้นไห้อย่างอ่อนแออยู่อย่างนี้ จนกระทั่งร่างทั้งร่างนั้นนิ่งงัน…
“ศศิ…” ทรงคิดว่าคนน้องคงหลับ แต่เมื่อสังเกตดีๆก็พบว่านี่มันดูจะหลับลึกจนเกินไป ราวกับว่าต่อให้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวเอง
ด้วยความร้อนรน ทรงอุ้มยอดรักขึ้นมาหมายจะพาไปหาหมอหลวง ประจวบเหมาะกับทิชากรมาเยี่ยมหาศศิในวันนี้ ยอดรักของพระองค์จึงได้ไปอยู่ในการดูแลของอาจารย์ของตนเอง เมื่อทิชากรตรวจดู เจ้าตัวก็เพียงแค่ถอนหายใจออกมา เดิมทีที่มาหา ก็เพื่อจะโน้มน้าวใจเด็กดื้อนี่อีกที ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันในสภาพเช่นนี้
“พักผ่อนไม่เพียงพอ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” ทิชากรพูดออกมา ท่าทางของคนที่มองมานั้นดูโล่งใจ “แต่ข้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่อันตราย” น้ำเสียงที่ใช้พูดคุยนั้นพลันเย็นชา ทิชากรย่อมรู้จักนิสัยศศิดีอยู่แล้ว ที่ทรุดแบบนี้ก็เพราะปัจจัยที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราและนิสัยส่วนตัวที่เรียกว่าคิดมากนั่นแล
“เช่นนี้แล้วรักษาอย่างไรถึงจะหาย”
“ต้องทำให้สบายใจขึ้น เครียดมากไม่ดีต่อโรคที่เป็นอยู่ขณะนี้”
“อา…”
“หากทะเลาะกันก็ส่งหลานคืนมาให้กระหม่อมซะ” ในที่สุดทิชากรก็ไม่รีรอ เจ้าตัวเร่งเข้าเรื่องในทันที
“…”
“ทรงบกพร่องในการดูแลศศิถึงเพียงนี้ ก็ส่งคืนมาเถิด กระหม่อมเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก กระหม่อมย่อมเลี้ยงได้”
“เราไม่ให้”
“แล้วทรงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ทิชากรเองก็ไม่ยอมเช่นกัน “มีคนวางยาหลานข้าด้วยยาปลุกกำหนัด ศศิป่วย มีคนมาลากออกไปสอบสวนเรื่องลอบปลงพระชนม์และช่วงนี้ยังมีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนักยามที่พระองค์ไม่อยู่ ไม่คิดหรือว่าพวกเขาปองร้ายหลานของข้าก็เพราะพระองค์!”
“…” ใช่…นี่คือสิ่งที่อคิราห์ไม่ได้บอกใครและมันก็ทำให้ทรงวุ่นวายมากๆในช่วงนี้ มีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนัก และก็ยังจับตัวไม่ได้
“กระหม่อมไม่รู้ว่าศศิพูดอะไรให้ฟังบ้าง แต่หลานของกระหม่อมมีพันธะผูกพันบางอย่างทางการเมืองของคีรีธารา หากยังดึงดันยึดเขาไว้ข้างกายเพื่อผลประโยชน์ของสิหราชนครา ไม่แน่ว่ามันอาจจะนำมาซึ่งปัญหาที่ทรงต้องรับมืออีกมากมายก็เป็นได้”
“ท่านพูดอะไร”
“อชิระไม่เคยพูดให้ฟังหรอกรึว่าพวกกระหม่อมมีความเกี่ยวข้องกับคีรีราชสกุล”
“….เรื่องนั้น…” เรื่องที่ว่าศศิ…เป็นคนที่อาจจะเกิดมาเพื่อครองคู่กับทางนั้น
“ขอจงทรงพิจารณาด้วยเถิดพะยะค่ะ” คำพูดของทิชากรที่หลุดออกมาแต่ละคำ ช่างบาดพระทัยเหลือเกิน ทว่าก็มิอาจจะโต้แย้งได้ เดิมทีทรงให้ความมั่นใจกับตัวเองและคนรักไปว่ารักของเราจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ทว่าแม้จะพยายามเท่าไหร่ ความจริงก็ยิ่งพรากเราไปไกลเท่านั้น
และเมื่อเห็นท่าทางและใบหน้าขององค์รัชทายาทแบบนี้ น้าของศศิก็รู้ตัวว่าตนได้พูดเกินไปแล้ว ทั้งนี้มันเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาเนิ่นนาน พอได้ปล่อยออกมาบ้างก็ยากจะควบคุม ทิชากรควรให้เกียรติเจ้าของตำหนักมากกว่านี้ เหมือนกับที่พระองค์เองก็พยายามจะให้เกียรติทั้งศศิและตัวของทิชากร
“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยในสิ่งที่พูดไป เพียงแค่ห่วงหลานเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาจะเกินเลย”
“ข้าเข้าใจ”
“ศศิกำลังป่วย จำต้องได้รับการดูแลใกล้ชิด กระหม่อมไม่อาจจะพูดได้ว่าแพทย์หลวงไม่เก่งกาจแต่โรคของศศินั้นเข้าใจยาก จำต้องได้รับการรักษาจากผู้มีความรู้เฉพาะทาง”
“เด็กคนนั้นเขาบอกว่าเขาท้อง”
“…”
“มันเป็นความจริงหรือ” คำถามที่ย้อนกลับนั้นทำให้ทิชากรเข้าใจสถานการณ์และความเครียดที่คนป่วยกำลังเผชิญในทันที จริงอยู่ว่าเรื่องผู้ชายท้องได้นั้นมีน้อยจนเรียกว่าเกือบจะไม่มีในยุคสมัยนี้ แต่เคยมีก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีไม่ได้ ทว่าเป้าหมายของจันทราปราการนั้นสำคัญกว่า และที่สำคัญ…ชีวิตของศศิ หากต้องเลือกที่จะลงหลักปักฐานกับสิหราชนคราจริงๆ ทิชากรก็อยากให้หลานชายได้ชั่งใจหลายๆแบบดู ว่ามันคุ้มหรือไม่ กับการเลือกความรักที่แถมมาพร้อมกับการเมืองที่ผูกมัดไว้
“ไม่จริงสำหรับสิหราชนคราในตอนนี้” ทว่าก็ไม่สามารถโกหกออกไปได้ เพราะถ้าทิชากรยืนยันออกไป คำพูดของหลานที่บอกคนรักก็จะกลายเป็นเรื่องโกหก ศศพินทุ์จะน่าสงสารเกินไป แล้วทีนี้ทิชากรควรอ้างว่าศศิป่วยเป็นอะไร…เป็นบ้ากระนั้นหรือ
“หมายความว่าอย่างไรกัน”
“หมายความว่าพระองค์ควรจะตั้งใจจดจ่อกับสถานการณ์ในตอนนี้”
“…”
“กับศศิ กระหม่อมจะดูแลอย่างดีที่สุด หากเมื่อไหร่ที่ราชวงศ์พร้อม ตัวพระองค์พร้อม พิจารณาแล้วว่าอยากจะรับกลับไปกระหม่อมก็จะไม่ขัดเลย”
“เราพร้อมแล้ว”
“ข้างนอกรั้วตำหนักกำลังวุ่นวายแค่ไหน ก็ทรงรู้ดี” ทิชากรเอ่ยย้ำ “เป้าหมายทางการเมืองไม่ได้มีแค่พระองค์แล้ว หลานชายของกระหม่อมที่กำลังป่วยอยู่ก็ด้วย คนที่พระองค์ก็รู้ว่าใครบ้างกำลังหาโอกาสเข้าถึงตัวของศศิ” ใช่…เรื่องนี้พระองค์รู้ดี หลังจากที่การมีอยู่ของศศิถูกเปิดเผย ทั้งผู้หวังดีและไม่หวังดีต่างก็อยากเข้าหา ที่แน่ๆทุกคนล้วนรู้แล้วว่าองค์ชายอคิราห์มีจุดอ่อนใหญ่คืออะไร
“แต่ความรู้สึกของศศิ”
“เขาจะไม่โกรธพระองค์หรอก” ทิชากรมั่นใจ “เด็กคนนั้นมีเหตุผลพอ อาการป่วยของเขาตอนนี้มันอาจจะทำให้หงุดหงิดไปบ้าง แต่ศศิจะเข้าใจ และถ้าหากหลานของพระองค์ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเลย”
“…” ทิชากรพูดถูก หากศศิรักพระองค์จริงๆ หากอธิบายเหตุผลทั้งหมด ศศิจะต้องเข้าใจและไร้อาการโกรธเคือง ทว่าช่วงนี้…ความสัมพันธ์ของเราก็ใช่ว่าจะดีเสียเมื่อไหร่
“ข้าคงต้องขอคุยกับเจ้าตัวก่อน”
“รับปากกระหม่อมว่าจะไม่ทำให้ศศพินทุ์ต้องเครียดจนเกินไป”
“…”
“เห็นแก่อาการป่วยของหลานกระหม่อมด้วยเถิด” ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเจ้ากระต่ายน้อยจะไม่ใช่อะไรที่ควบคุมได้
แต่ก็ต้องพยายามควบคุมมันให้ได้แล้ว!
ทรงเสด็จกลับเข้ามาในห้องบรรทมและประทับนั่งลงข้างๆร่างที่กำลังหลับใหล ร่างเล็กบอบบางแบบนี้แบกรับอะไรไว้มากมายหนักหนา ทำไมพระองค์ถึงช่วยแบ่งปันมาไม่ได้ หรือเพราะศศิไม่ยอมแบ่งให้เพราะพระองค์เองก็มีภาระอยู่เต็มไม้เต็มมือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเองเลย ทรงเคยบอกว่าอยากให้คาดหวังในตัวกันมากกว่านี้แท้ๆ
‘หากอยากให้มันจบลงด้วยดีกว่านี้ก็ตอบรับการแต่งงานกับอภิชญาไปเถิดลูก การมีบุตรกับลูกสาวท่านแม่ทัพ จะช่วยทำให้อนาคตในฐานะองค์เหนือหัวของเจ้ามั่นคงขึ้นนะ’ ในช่วงนี้พระองค์ได้รับฟังเรื่องของการมีทายาทมานับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่บิดาของพระองค์ที่เคยเอ็นดูศศิอยู่มาก ก็เหมือนจะเริ่มคล้อยตามเสด็จแม่ที่พยายามปูทางให้ ทั้งๆที่ทรงเคยระแวงฐานะและจุดยืนของกันและกันมาก่อน ทำไมใครๆก็อยากให้พระองค์มีทายาทและทำไมใครๆก็อยากมีทายาทกับพระองค์
แม้แต่ศศิเองก็ด้วย
ท้องจริงๆหรือ…อคิราห์ยังมิอาจจะเชื่อปักอก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหากศศิจะโกหกต่อกันแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำส่วนหนึ่งของหัวใจก็ทรงภาวนาขอให้เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี่เป็นความจริง หากเราสองคนมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน เขาจะเติบโตมาเป็นอย่างไรกันนะ ถ้าเหมือนกับแม่ของเขา น่ารักแบบนี้ พระองค์คงเป็นพ่อที่หลงทั้งลูกทั้งแม่เป็นบ้าเป็นบอแน่ๆ แค่เพียงตัวตนในจินตนาการ ก็ทำให้พระองค์ยิ้มร่าราวกับคนสติไม่สมประกอบ
“อื้ม” เสียงของศศิที่นอนอยู่ปลุกพระองค์ออกจากภวังค์ ดวงตาใสจ้องมองกลับมา รอยยิ้มที่ปรากฏทำให้พระองค์ได้รู้ว่าศศพินทุ์ดีใจแค่ไหนที่ตื่นมาเห็นหน้ากันเป็นอย่างแรก
“เป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าหลับไปนานไหม”
“ไม่กี่ชั่วโมงหรอก” ที่อยู่ๆก็เป็นลมล้มพับลงไป ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้คนมองรู้สึกทรมานได้เหมือนเป็นวันๆ
“ทำไมทำหน้าแบบนี้เล่า ไม่สบายใจหรือไร” ศศิเองก็รู้สึกผิดที่ควบคุมภาวะทางอารมณ์และคำพูดอะไรของตัวเองไม่ค่อยจะได้ สุดท้ายแล้วแม้พยายามจะไม่ทะเลาะแต่บรรยากาศก็อึมครึมแบบที่ไม่มีใครชอบแบบนั้น
“มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ข้าเลยมีหลายอย่างให้ต้องคิด”
“งานของท่านเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วใช่ไหม” ศศิขยับจะลุก พระองค์จึงทรงช่วยให้คนป่วยได้นั่งและจัดหมอนตั้งให้ได้พิง
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง” พระองค์ไม่แน่ใจนักว่าจะควบคุมไม่ให้ศศิสติแตกไปอีกรอบหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากปิดบัง “มันมีเรื่องของความปลอดภัยของเจ้าด้วย”
“ของข้าหรือ?”
“หากเจ้าสังเกต คงเห็นว่าเรามีการเพิ่มเวรยามรอบตำหนักมากขึ้น”
“ข้านึกว่าเอาไว้ใช้สำหรับการคุ้มครองท่านในช่วงนี้เสียอีก”
“ชีวิตข้าสำคัญสำหรับคนหลายคนก็จริง” แต่อีกสิ่งที่จริงยิ่งกว่า “แต่สำหรับข้านั้นชีวิตเจ้าสำคัญที่สุด”
“พี่อาทิตย์…”
“เห็นเจ้าเจ็บป่วยเช่นนี้พี่ก็ไม่ได้สบายใจเลย”
“ศศิจะหายป่วยเอง เชื่อเถิด ข้าเป็นหมอนะ” รอยยิ้มที่ส่งมาให้แม้มันจะดูซีดเซียวแต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจ อคิราห์ยังคงลังเลที่จะถาม แต่มันอาจจะเป็นการวัดใจ ทั้งตัวพระองค์และตัวของคนที่พระองค์รักที่สุด
“เจ้ามีความคิดที่อยากจะไปจากที่นี้ไหม”
“พี่อาทิตย์…”
“น้าของเจ้ามาคุยกับพี่ ว่าเจ้าจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด” อคิราห์จ้องลึกไปในแววตาคู่นั้น “แต่พี่จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด หากเจ้าจะอยู่” ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้น้องไปห่างจากอก พระองค์ทรงเอ่ยถามแต่แฝงแววเว้าวอนในน้ำเสียงอย่างเห็นแก่ตัว ถ้าศศิลุ่มหลงในตัวพระองค์ย่อมตามพระทัยเป็นแน่
แต่ถ้าศศิรักและเข้าใจพระองค์…ก็จะหักหาญน้ำใจแบบที่ทิชากรคิดไว้
“หากข้าเลือกรักสุขภาพตนเองในยามนี้เล่าจะผิดไหม”
“…”
“ข้าไม่อยากให้พี่ท่านมาทุ่มเทเอาใจใส่ให้ในตอนนี้ เพราะท่านมีเรื่องให้กังวลมากมาย” ศศิยิ้ม แววตานั้นแน่วแน่กับคำตอบและหนทางที่ตนได้เลือก ถ้าเลือกได้ ศศิก็ไม่อยากให้เราต้องจบเส้นทางของเราไว้เพียงเท่านี้
แต่ต้องยอมรับว่าตนเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียว
และไม่ได้มีหัวใจดวงเดียวที่จะทิ้งขว้างให้เขาแบบยอมไม่เหลืออะไรอย่างนั้นอีกแล้ว
“หากจัดการปัญหาทั้งหมด และมั่นใจว่ายังรักและพร้อมจะปกป้องในสิ่งที่ข้าพยายามปกป้องอยู่จริงๆเมื่อไหร่ พี่อาทิตย์รู้ใช่ไหม ว่าจะไปตามหาข้าได้ที่ไหน”
“ศศิ…”
“ข้าขอไปรอท่านที่ค่ายของท่านอชิระ หากท่านไม่มาหรือไม่ส่งข่าวคราวมาให้ทราบ ข้าจะไม่มาเรียกร้องอะไรอีก ตลอดตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าพี่จะตัดสินใจอย่างไร น้องจะเคารพมัน”
“เจ้าไม่ให้พี่เลือกอะไรบ้างเลย”
“ศศิให้พี่อาทิตย์เลือกราชวงศ์แล้วไง”
“บังคับกันต่างหาก”
“จริงๆก็ไม่ได้ปลื้มนักหรอกแต่ก็ฉุดองค์ชายรัชทายาทไปอยู่ในป่าแล้วทำให้เป็นของตัวเองคนเดียวไม่ได้เหมือนกัน” เป็นตลกร้ายที่อยากจะเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง แต่ไม่มีใครในที่นี้ที่หัวเราะกับมันได้อย่างจริงใจเลย
สุดท้ายแล้วอคิราห์ก็จำต้องยอมปล่อยหทัยของพระองค์ไปจากอ้อมพระอุระ
☼ ☽
แม้นี่ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจต้องการ แต่สมองก็สั่งงานให้ทำในสิ่งที่เหมาะควรที่สุด
ทั้งนี้เราเองก็ไม่มีการกำหนดเรื่องระยะเวลาที่จะไปพบเจอกันตายตัว เพราะในวันนี้ที่เรากำลังจะจากกันไกล การกำหนดวันกลับมาพบเจอนั้นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการได้ ระบบการทำงานของหัวใจและสมองที่พยายามจะปรับกลไกลให้ควบคู่กันจึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา
อชิระและทิพากรมารอรับศศพินทุ์ เรามีการวางแผนการส่งตัวและพาไปชายแดนด้วยกันอย่างรัดกุม จริงอยู่ว่าชายแดนเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ทิชากรให้คำมั่นด้วยว่าตนนั้นลงหลักปักฐานอยู่มานานย่อมสร้างทางหนีที่ไล่จากที่นั่นไว้แล้ว และอชิระเองก็มีคนในควบคุมอยู่มากมาย
ต่อจากนี้ตัวตนของศศิ ก็จะถูกทำให้หายไปจากชีวิตพระองค์ จะไม่มีการติดต่อจากอีกฝ่ายในนามของศศพินทุ์มาหา และแม้แต่พระองค์ก็ไม่อาจจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปอีกครั้งได้ ทรงรับฟังแผนการและคำยืนยันจากอาของตนด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย แต่ก็ไว้ใจว่าพวกเขาที่รับยอดหทัยของพระองค์ไปดูแลจะทำอย่างดีที่สุด บางที…ศศิอาจจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้
“เห็นหน้าเจ้าแล้ว อาก็ไม่อยากทำบาปด้วยการพรากเมียของเจ้ามาเลย”
“ข้าให้โอกาสท่านพลาดลืมเมียของข้าไว้ที่นี่”
“เจ้าก็รู้ว่าอาของเจ้าไม่เคยพลาด” คำตอบนั้นทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคืองอยู่บ้าง ยิ่งเสียงหัวเราะทุ้มๆนั่นก็ช่างบาดหูเหลือเกิน “แต่ข้าจะดูแลยอดรักของเจ้าให้ดีให้สมกับที่ข้าก็รักเหมือนลูกหลาน”
“ท่านอา…” อคิราห์นั้นเรียกหา ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้แล้ว “เคยอยากคิดกลับสู่ฐานันดรศักดิ์ไหม”
“พูดอย่างกับเจ้านั้นอยากจะเจริญรอยตามข้า”
“ก็อาจจะ แต่ตำแหน่งรัชทายาทจะว่างอยู่”
“หากเจ้าทำดี เชื่อข้าว่ารออีกไม่กี่ปีก็ได้ลงสมใจแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ได้ลงเพื่อขึ้นเป็นองค์เหนือหัวไง พี่ของข้าอยากจะลงจะแย่” อชิระนั้นย่อมหมายถึงหากหลานชายของตนดูแลราชวงศ์ให้ดี ไม่นานนักเมื่อเจ้าตัวเล็กเติบใหญ่ขึ้นอีกนิด ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็มีคนขึ้นแทนแล้ว แต่คนโง่งมที่ไม่เชื่อถือใครแม้แต่ยอดดวงใจย่อมไม่รู้ความหมายที่แฝงมา
“ถ้าข้าไม่อยากเป็นทั้งรัชทายาทและองค์เหนือหัวแล้วเล่า”
“…”
“สนใจกลับมาแทนไหม” เป็นข้อเสนอที่ใครได้ยินอาจจะรีบตะครุบ แต่อชิระกลับส่ายหน้า
“ข้าไม่อาจมีลูกได้ เพราะได้หลงรักคนที่ไม่อาจจะมีทายาทให้จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว” แม้จะรักและพร้อมจะสนับสนุนหลานชายในหลายๆด้านแต่เรื่องนี้คงให้ไม่ได้ “ต่อให้มีเจ้าตัวเล็กก็เถิด ตัวข้าที่ไม่ชอบการเมืองในวังนะหรือ จะทำร้ายลูกด้วยการยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบให้”
“…”
“ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเพื่อยอมเสียสละหรอกนะ”
แม้แต่ศศิเองก็ไม่ได้ฝักใฝ่ตำแหน่งข้างกายองค์รัชทายาท ทุกวันนี้ที่ยอมใกล้ชิดนั้นก็เพียงเพราะรักพี่อาทิตย์มากก็เท่านั้น ต่อจากนี้การเมืองในวังจะยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก ที่อีกคนเลือกจากไป พระองค์ก็ไม่ได้คิดว่าศศิเห็นแก่ตัวเลย แต่คิด…ว่าศศิเองก็เสียสละมาพอแล้ว
หรือว่าจะถึงคราวที่พระองค์จะต้องปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยไปตลอดกาล…
TALK
จริงๆก่อนกำหนดลงรัวๆนี่ เราได้มีการตรวจเนื้อหาและคำผิดแล้วรอบหนึ่งจนถึงตอนที่ 25 แล้วค่ะ
แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ได้ตรวจไปหรือยังเพราะชื่อไฟล์มันแปลกๆเลยคิดว่าอาจจะตรวจแล้วแต่เซฟทับไม่ได้ทำเป็นไฟล์ใหม่
เอาเป็นว่าถ้าพบเจอคำผิดเยอะผิดปกติก็มาบอกกันหน่อยนะคะ
เราเป็นคนที่ตรวจยังไงก็มีคำผิดอยู่ดี พยายามปรับปรุงแล้วค่ะ แต่ก็หวังจะดีขึ้นๆไปอีก
มาถึงในส่วนเนื้อเรื่อง ไหงเป็นงี้อ่ะ555
ทำไมพี่เขาไม่เชื่อเรื่องน้องท้อง จริงๆจะบอกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งดีกว่า กลัวเจ็บทีหลัง555
และสถานการณ์ในตอนนั้นมันบีบคั้นๆหลายๆอย่างมีแต่คนอยากให้หาเมียมีลูกเร็วๆแถมยังมีคนลอบจะฆ่าศศิเต็มไปหมด
พี่เลยเลือกปล่อยเบลอเพราะถ้าเชื่อสนิทใจว่าศศิมีลูกจริง พระเอกเราคงไม่ปล่อยน้องแน่
ส่วนน้องเองก็พยายามใช้เหตุผลแล้ว เราบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนี มีแต่ส่งออกไปเอง55
ช่วงนี้จะเริ่มคลายปมที่พันกันยุ่งออกมาแล้ว หากมีตรงไหนไม่เข้าใจคอมเมนท์สอบถามได้นะคะ
จะมาตอบเหรอ ใช่…จะมาตอบ55
หรือติดแท้ก #อาทิตย์ศศิ ไว้ เดี๋ยวเมนชั่นไปตอบ หรือเมนชั่นมาถามเลยก็ได้ นี่ก็จะตอบอยู่ดี555
TWITTER @reallyuri