☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 33 : 30/1/2019 P.6 (END)  (อ่าน 40408 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอาล่ะคนพ่อมีแผนการแล้ว  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
15
ความไม่มั่นคง
☼ ☽

เป็นช่วงสัปดาห์แรกที่…เราแทบไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกันเลย


หรือบางทีก็ไม่ได้กลับมานอนที่ตำหนัก พระราชกิจนั้นจะว่ายุ่งก็ยุ่งอยู่แล้ว แต่มันไม่เคยเกินมือขนาดนี้มาก่อน ถึงกระนั้นศศิก็ทำได้แค่เพียงส่งใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีทว่าการทานข้าวคนเดียว มันก็หว้าเหว่จนเกินไป มากจนตนเองก็ไม่เคยคาดคิด


กำลังทำอะไรอยู่นะ…นี่คือความคิดตลอดทั้งวันของคนที่เต็มไปด้วยความคิดถึง แม้ว่าท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์จะแวะมาหาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรักษาโรคต่างๆและสมุนไพรอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องอยู่มาคนเดียว ความเหงาก็ก่อตัวขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหว ในคืนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้พบใบหน้าอันเป็นที่รักไหม ก็ไม่มีใครตอบกันได้เลย


“ท่านศศิจะไม่รับขนมหรือเจ้าคะ”


“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากนะ”


“แต่ท่านศศิไม่รับขนมมาหลายมื้อแล้วนะเจ้าคะ”  กับศศิที่ชื่นชอบของหวานมากที่สุดการงดของหวานเช่นนี้ก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย และเพราะอาจจะทำให้คนอื่นเสียน้ำใจที่พวกเขาต่างตั้งใจทำมาเอาใจกัน ในที่สุดก็ต้องยอมกินอาหารว่างเพื่อทำให้พวกเขาสบายใจ ทั้งๆที่ภายในหัวใจของตนนั้นอึมครึมจนไม่อาจจะลิ้มรสหวานแล้วรู้สึกหวานได้เลย


ฟ้าเริ่มจะมืดลง เจ้าของร่างงดงามนั้นค่อยๆหย่อนตัวลงในสระน้ำส่วนพระองค์ที่วันนี้เจ้าของก็ยังไม่กลับมาใช้งาน ด้วยเห็นว่ายอดรักของเจ้าของตำหนักนั้นดูจะเงียบเหงา เหล่านางกำนัลจึงพากันเอาอกเอาใจด้วยการดูแลเป็นพิเศษ คงจะหวังให้การแช่น้ำที่เจ้าตัวชื่นชอบจะช่วยทำให้เบาสบายไปทั้งกาย แต่ความหนักอึ้งในใจอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย


“คิดถึงพี่ไหม” 


ทว่าเสียงกระซิบที่ข้างหูก็ทำให้คนที่สดับรับฟังเสียงต้องรีบหันกลับมาหา  ดวงตาที่ดูจะเลื่อนลอยในช่วงหลายวันพลันกลับมามีประกายสดใสอีกครั้ง ศศิที่น่ารักขนาดนี้ทำให้อดใจไม่ไหวต้องฉกจูบที่ริมฝีปากอิ่มนั่นแรงๆ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันเมื่อกลับมาเจออีกครั้งและได้เห็นอีกคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคิดถึงทั้งการแสดงออกและแววตา ก็ทรงเอ็นดูจนอยากจะฟัดแรงๆให้สมกับความน่ารักที่คุ้มค่าราคาคนึงหาของพระองค์นัก


“อื้อ”  ยิ่งได้สัมผัสก็ทรงอยากจะใกล้ชิดให้มากขึ้น ทรงฉกฉวยความหอมหวานของผิวแก้ม ลำคอ จนอีกฝ่ายต้องถอยหนีส่งให้พระองค์ต้องลงมาในสระไปด้วยกันอ้อมแขนแกร่งโอบกอดร่างบางเอาไว้โดยไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก่อนจะพาอีกฝ่ายไปนั่งที่ข้างขอบสระ


“คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”


“อืม”  แล้วทำไมไม่กลับมาหากันให้เร็วกว่านี้ คำถามนี้อยู่เพียงในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป คนตัวเล็กที่แทบจะจมหายไปในอ้อมอกทำเพียงสัมผัสพระพักต์แผ่วเบาๆ ไม่ได้เพื่อความเอ็นดู แต่เพื่อให้ผ่อนคลาย


ในที่สุดพระองค์ก็ฝากตัวเองไว้กับไหล่บาง ใบหน้าหล่อที่เอียงซบนั้นดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เป็นเช่นนี้ต่อให้น้อยใจแค่ไหนศศิก็ได้แต่โทษตัวเองที่คิดมากมายอย่างเห็นแก่ตัว มือเล็กยังคงลูบหัวให้ราวกับพระองค์เป็นเด็กๆอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกที่เราร่วมสร้างค่อยๆก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจศศิ..กำลังสร้างบ้านหลังเล็กๆในพระทัยขององค์ชายผู้สูงศักดิ์


หลายวันมานี้ทรงต้องดูแลพระราชกิจตามรับสั่งขององค์เหนือหัวที่มอบหมายมาให้กะทันหัน วุ่นวายจนบางครั้งเผลอบรรทมหลับคากองเอกสารเลยก็ว่าได้ กระนั้นแล้วที่จะน่าสงสารที่สุดก็ไม่พ้นตัวคนรักของพระองค์ที่เฝ้ารอ ตลอดเป็นเดือนๆที่ศศิไม่ได้ออกไปไหน แม้จะไม่มีพระองค์เคียงกาย แต่ก็ยังคงรอตามที่ทรงได้ขอไว้อย่างใจเย็น


หลังจากที่ศศิขึ้นจากสระ พระองค์ยังคงอยู่ชำระร่างกายต่อไปเงียบๆคนเดียว เมื่อออกมาที่ห้องบรรทม ภาพของศศิที่กำลังหวีผมยาวของตนก็ทำให้เผลอแย้มพระสรวลออกมา ช่างเป็นภาพที่น่ามองเหลือเกิน เมื่อคนงามเสร็จกิจการหวีแปรงผม อคิราห์ก็เข้าช้อนขึ้นมาอุ้มก่อนจะค่อยๆวางลงบนพระแท่นบรรทมอย่างทะนุถนอม ดวงตาของพระองค์ที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความรัก


พระโอษฐ์บางนั้นเคลื่อนเข้าหากันเรื่อยๆจนกระทั่งมันแนบสนิท ทรงค่อยๆบดคลึงริมฝีปากอิ่มที่จะไม่ยอมยกให้ใครอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆกดย้ำมันลงไปให้แนบแน่นยิ่งขึ้น คนตัวเล็กที่ไม่ค่อยประสีประสากลับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ความลึกซึ้งที่ทรงมอบให้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง อ้อมแขนเล็กถูกยกขึ้นมาโอบรอบคอ ส่งให้จูบของเราลึกซึ้งขึ้น หวานขึ้น ชวนให้ลุ่มหลงมากขึ้น


ทว่ากลับผละออกมาแม้จะสุดแสนเสียดาย แต่ก็ไม่วายต้องกลับไปชิมความหวานจากมุมปากและแก้มใส ก่อนพระองค์จะคว้ามือซนของศศิไว้มาประสานมือกัน กักขังร่างบางไว้ใต้ร่าง กักขังหัวใจของศศิไม่ให้ไปไหน เสียงครางหวานที่ดังอยู่ตรงข้างหูนั้นทำให้มีรอยยิ้มขณะที่กำลังกดจูบลงที่แก้มและย้ำหนักตรงปานสีดำแดง ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆและกอดไว้ด้วยแสนคิดถึง


“เจ้าคงเหนื่อยแล้ว”  กดจูบที่หน้าผากเนียนอีกครั้ง  “พักผ่อนกันเถิด”  และเป็นอีกครั้ง


ที่ไม่ได้ก้าวล้ำไปยังเขตส่วนตัวอีกเขตของคนรัก…


องค์ชายอคิราห์ก็อาจจะยังไม่เข้าสู่นิทราอย่างที่พยายาม และศศินั้นก็เพียงแค่นิ่งเงียบแสร้งทำเป็นหลับใหล แม้ในใจกำลังถามคำถามวนไปวนมา ตั้งแต่ตกลงปลงใจจนก้าวข้ามจุดที่เป็นแค่คนไข้และหมอกลายมาเป็นคนรัก พัฒนาการทางความสัมพันธ์ก็จัดได้ว่าเติบโตขึ้น แต่บางอย่างก็เหมือนจะหยุดชะงักอยู่กับที่


เป็นเพราะเคยขัดขืนไปงั้นหรือเขาจึงเกรงใจไม่กล้าล่วงเกินกันมากกว่านี้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบใจตัวเองแน่ชัดว่านี่คือสิ่งที่สามารถมอบให้ได้จริงๆหรือไม่ แต่ส่วนลึกบางส่วนในใจก็อยากให้เขาทำอะไรต่อกันมากกว่านี้ ทว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายเกินไปที่จะเอ่ยปากขอต่อให้มันเป็นความต้องการของศศิจริงๆก็ตาม


ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายนั้นไม่อาจจะช่วยผูกมัดอะไรระหว่างกันได้เลย แต่ก็อยากถูกกอดรัดอย่างลึกซึ้งสักครั้งดู


ในวันรุ่งขึ้นยามที่ศศิยังไม่ตื่นดีนัก ริมฝีปากที่ได้แนบประทับบนหน้าผากก็ทำให้งัวเงียตื่นขึ้นมา ภาพเด็กงอแงงัวเงียช่างน่าเอ็นดูจนใจหายทำให้คนที่แข็งใจตื่นไปทำงานนั้นเกือบจะทนไม่ไหวทรุดตัวลงไปนัวเนียข้างๆคนที่บิดกายไล่ความขี้เกียจผู้อ่อนเดียงสา ไม่ได้ทราบว่าสภาพของตนทั้งน่าเอ็นดูและน่าย่ำยีขนาดไหน


“จะไปแล้วหรือ”  น้ำเสียงที่ติดจะแหบนิดๆนั้นออกมาจากปากของศศิที่กลับไปหลับตาซบหมอน


“ใช่แล้ว ข้าต้องเดินทางไปต่างเมืองน่ะ”


“อืม…”


“เป็นเด็กดีนะ”


“ศศิจะเป็นเด็กดี”  เด็กขี้เซา เจ้าพูดเช่นนี้แล้วใยกลับไปหลับต่อราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเล่า บุรุษผู้รักและเทิดทูนเจ้ากระต่ายน้อยกว่าใครสะบัดหัวแรงๆ ทรงหักห้ามใจและจากมา


ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเราจำต้องห่างกันไปอีกนานแค่ไหน


หลังจากนั้น ศศิไม่อาจจะข่มตาหลับได้อีกเลยเมื่อรับทราบถึงความเป็นไปได้ว่าวันนี้องค์ชายอคิราห์จะไม่เสด็จกลับมาที่ตำหนักอีกแล้ว ช่วงเวลาแห่งความสุขมันสั้นเกินไป สั้นจนต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจจะเก็บน้ำตาได้ ในที่สุดมันก็ไหลออกมาเอง แม้เพียงหนึ่งหยดก็รับรู้ได้ว่าขอบความอดทนของตนเองนั้นมีเขตจำกัดอย่างน่าเหลือเชื่อ หากชายคนนั้นจะมีความอดทดในเรื่องของศศิต่ำเหลือเกิน


ศศพินทุ์คนนี้ก็ช่างอ่อนไหวง่าย หากเป็นเรื่องของพระองค์ชายคนนั้นเช่นกัน


☼ ☽


ไร้การติดต่อ…จากอคิราห์เป็นเวลาถึง 5 วัน


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้จะไถ่ถามใครก็ไม่สามารถตอบได้ หากมีอิสระกว่านี้ตนย่อมออกไปตามหาตามที่ตัวเองตั้งใจ แต่เพราะรับปากไว้ว่าจะไม่ออกไปไหน จึงทำให้การเฝ้ารอที่ไร้จุดหมายยิ่งแปรเปลี่ยนให้แต่ละวันผ่านไปได้ยากเย็น หากพ้นอาทิตย์นี้ไปแล้วทรงยังไม่เสด็จกลับมาหา เห็นทีว่าจะอยู่เฉยต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว


แม้จะต้องเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวเพื่อได้ไถ่ถาม ศศิก็จะทำ!


ด้วยไม่อาจจะอยู่เฉยๆให้ความรู้สึกกัดกิน ท่านหมอน้อยจึงหาเรื่องทำนั่นทำนี่เท่าที่จะนึกออก แต่แม้จะหาเรื่องทำได้มากมาย ทว่าไม่ว่าทำอะไรก็มักไม่ได้ดั่งใจ จนกระทั่งมาชงชาดอกไม้ด้วยตนเองในห้องครัวใหญ่ ศศิก็ทุ่มเทความสนใจกับการจัดแต่งจานขนมจนแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าที่แห่งนี้เกือบจะไร้ผู้คน


แต่ก็ยังมีผู้คนที่คิดว่าห้องนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เช่นกัน…


“เจ้าได้ยินที่นางกำนัลตำหนักองค์ราชินีคุยกันหรือเปล่า”


“อืม หรือที่องค์ชายไม่เสด็จกลับก็เพราะเหตุนั้น”


“ทรงผลักดันคุณหนูอภิชญาให้เป็นราชินีองค์ถัดไปจริงๆงั้นหรือ”


“ความเหมาะสมนั้นก็เหมาะสมอยู่หรอก แต่องค์ชายอคิราห์ไม่ได้มีท่านศศิอยู่หรือ”


“…”


“น่าสงสาร แต่ไม่กลับมาเช่นนี้ ก็อาจจะไปพบว่าที่พระคู่หมั้นที่กำลังอยู่ที่บ้านพักตากอากาศจริงๆ”


“ทางองค์ราชินีคงคิด ว่าหากองค์ชายมีทายาทกับคุณหนูอภิชญาได้ คงจะช่วยคานอำนาจบางอย่าง”


“ไม่ใช่ว่าพระนางและองค์เหนือหัวอยากให้มีทายาทกันอยู่แล้วหรอกหรือ ได้ยินคนพูดว่าพระองค์ถูกกดดันเรื่องขึ้นครองราชย์ แต่พวกขุนนางบางฝ่ายก็อยากให้มีทายาทก่อน พอขึ้นแล้วจะได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเลย ไม่ต้องให้ญาติผู้น้องหรือสายเลือดใกล้ชิดคนอื่นขึ้นแทนเหมือนตอนองค์เหนือหัวกับองค์ชายอชิระ ไม่สิ…ท่านแม่ทัพอชิระ”


“สายเลือดใกล้ชิดที่ว่าก็คือพวกที่ลือกันว่าพยายามลอบปลงพระชนม์นะหรือ เพราะอย่างนี้สินะ จะได้ประกาศตนครองราชย์ต่อได้เลย หากองค์ชายไม่ทายาทก็ถือว่าราชวงศ์สิ้นสลายเลยนะ”


“ตอนแรกข้าไม่เชื่อข่าวลือนั่นเลย แต่พอไม่เสด็จกลับมาอย่างนี้ก็…ว้าย!ท่านศศิ!?!”  ในที่สุดก็ถูกจับได้สินะ ว่ากำลังแอบฟังอยู่


หากเป็นในยามปกติ ศศิก็คงจะยิ้มและขอโทษที่เสียมารยาท ทว่าเรื่องที่ได้ยินนี้มันอื้ออึงอยู่ในหัว ร่างกายของศศิเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง สองขาของตนนั้นพาร่างที่โอนเอนนั่นออกไปจากที่นี่ ไม่มีการมองหน้าใครที่กำลังเดินสวนหรือทักทายกลับ สิ่งที่ต้องการอาจจะเป็นความเงียบ ศศิจึงเข้าไปในห้องบรรทมของเจ้าของตำหนักและขังตัวเองไว้ที่นั่น


นี่มันอะไรกัน?  สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ นี่มันอะไรกัน?
อภิชญา ทายาท…และราชวงศ์สิ้นสลาย?


แววตาสุกวาวคู่นั้นสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มร่างบางผู้หนึ่งที่กำลังสับสนในข้อมูลต่างๆที่ตนเพิ่งได้รับ คู่หมั้นอย่างนั้นหรือ? ผู้ชายคนนั้นที่บอกกันว่ารักมากนั้นมีคนอื่นอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร ทำไมศศิไม่เจ็บปวดเจียนตายแบบที่ควรจะเป็น ทว่ากลับรู้สึกชาไปหมด ราวกับว่าแผลที่แทงนี้มันสดใหม่เกินไป และต่อจากนี้ความเจ็บปวดจะเข้าโจมตีกันจริงๆจังๆ


เมื่อมองไปรอบห้อง ที่ๆศศิแสวงหาซึ่งความเงียบงันนั้นแท้จริงมันไม่มีอยู่เลย ปวดหัวใจ…ความรู้สึกแรกที่ชัดเจนหลังอาการชาเมื่อครู่ได้เกิดขึ้นแล้ว ร่างเล็กนั้นค่อยๆทรุดลงนั่งกับพื้นและกุมอกซ้ายของตน มันกำลังเต้นช้าลงอย่างนั้นหรือ ก็ไม่…มันก็เต้นปกติเหมือนทุกวันนั่นแล สัญญาณแห่งการมีชีวิต ตอบศศิมาว่าตนยังไม่ตาย แต่ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าก้อนเลือดนั้นกำลังค่อยๆเคลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ หรือว่านี่คืออาการที่เรียกว่าปวดหน่วง?


นี่เราได้ชอบเขาไปขนาดนั้นแล้วหรือ ทั้งๆที่คิดว่าอาจจะยังไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้นแท้ๆ แต่หากเจ็บปวดขนาดนี้ คงจะชัดเจนแล้วว่าใช่…ศศิเผลอใจไปแล้วทั้งหมดจริงๆ


“ท่านศศิเจ้าคะ จะรับอาหารกลางวันที่ห้องทานข้าวหรือที่ไหนดีเจ้าคะ”  นางกำนัลคนหนึ่งนั้นพยายามเคาะเรียกแต่สักพักแล้วคนข้างในก็ไม่ตอบสักที หากปล่อยไว้นานกว่านี้พวกนางคงกระวนกระวายหาอะไรมาพังประตู เพราะห้องบรรทมขององค์รัชทายาทพังก็ซ่อมได้ แต่คนสำคัญ…ไม่มีใครรู้เลยว่าจะหาคืนมาได้ที่ไหน


“ข้าไม่หิว”


“แต่ว่า…”


“เถอะนะ”  ศศิขอร้อง


ในตอนนี้แม้ไม่มีที่ไหนที่ให้ความสงบใจได้
อย่างน้อยก็ขอให้อย่าได้มีใครมาวุ่นวาย…


ทว่าในที่สุดก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงมื้อเย็น คงเป็นเพราะนางกำนัลคนหนึ่งได้เอ่ยบอกกับท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ ศศิจึงต้องมานั่งทานอาหารเย็นกับท่านที่มาเยี่ยมเยือน ดวงตาของศศิบวมช้ำ แต่กระนั้นก็ไม่อาจจะหลบหลีกเมื่อมีผู้มาหาด้วยความเป็นห่วงได้


“เจ้าดูไม่ค่อยดีเลย วันนี้ควรจะอาบน้ำพักผ่อนแต่หัววัน” 


“ขอบคุณท่านอาจารย์หมอมากที่เป็นห่วง” แขกผู้มาเยือนนั้นเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ศศิก็ขอบคุณตามมารยาท ทว่าในยามนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะนอนหลับหรือได้ไม่  โรคแห่งความรักนั้น ต่อให้อ่านตำรามากมายแค่ไหน ก็ไม่มีเล่มใดที่บอกวิธีรักษาให้หาย และศศิมั่นใจว่าต่อให้หายตอนนี้ มันก็จะไม่มีวันหายขาด


“หากเจ้ากังวลเรื่องขององค์รัชทายาท มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่”


“…”


“หากเป็นกังวลและอยากระบาย ข้าก็ยินดีจะรับฟัง”


“ขอบพระคุณท่านมาก แต่ข้าไม่เป็นไร” 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”  เหตุผลที่ปฏิเสธไป ไม่ใช่ว่าตนเองไม่เป็นไรอย่างที่พูด ศศินั้นถึงจะโกหกไม่เก่งแต่บางทีก็ทำมันบ้าง ทั้งนี้มันคือกระบวนการปกป้องดูแลตัวเองแบบหนึ่ง อนึ่งเรื่องความรักก็มีความสำคัญไม่ต่างกับเรื่องส่วนตัว ต่อให้มั่นใจในตัวที่เข้ามาถามเรื่องส่วนตัวแค่ไหน ก็ไม่อาจจะระบายได้อย่างใจนึกอยากหรอก


ทางออกของความไม่เข้าใจที่ค้างคาอยู่นี่ ทางออกย่อมมีให้เห็นการรับฟังคนอื่นแม้มันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ได้นำพาให้ตนเข้ามาสู่ภาวะไม่มั่นคงเช่นนี้แล้ว การจะเยียวยาตัวเองจากภาวะนี้มีเพียงคนเดียวที่ทำได้ คำพูดของเขาจะช่วยให้ศศิได้ใช้สมองคิดตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร แต่ปัญหาหนึ่งเดียว…คือเมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน


เพราะมีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่กัน
และจนกว่าจะได้พบกับเขาคนนั้น ศศิก็จะไม่ตัดใจ!


ถึงจะมีความคิดที่ดูเกรี้ยวกราดประมาณหนึ่ง แต่จริงๆแล้วศศิก็ทำได้แค่นั่งใจเต้นแรงอยู่ในห้องบรรทมหลังจากที่วัชรินทร์ผู้หวังดีได้กลับไปแล้ว ร่างกายของตนในยามนี้เหมือนจะผิดปกติ เหมือนกับว่ากำลังต้องพิษหรืออะไรบางอย่าง การอาบน้ำก็ไม่ได้ช่วยให้เย็นลงได้ หรือเพราะว่านี่เป็นอาการข้างเคียงจากความเครียดที่กำลังเผชิญ ใจของศศิกำลังเต้นแรง แต่ชีพจรยังปกติ เหงื่อกาฬเริ่มไหลออกมา ใบหน้าก็แดงราวกับมีพิษไข้


จึงดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ ค่อยๆผ่อนลมหายใจเข้าออก รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังทรมานทว่าตัวท่านหมอเองก็ไม่มีอารมณ์มาวินิจฉัยโรคอะไรในตอนนี้ เอาเป็นว่าดีขึ้นก็ดีแล้ว ศศิจึงเอ่ยปากขอผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าและแอ่งชีพจร เป็นไปได้ว่าความเครียดอาจจะทำให้ใจเต้นแรงจนธาตุต่างๆตีพันกันวุ่นวายไปหมด เมื่อพบว่าตนเองดีขึ้นร่างบางก็ค่อยๆทิ้งร่างลงบนเตียงที่ในวันนี้ที่ข้างๆก็ยังคงว่างเปล่า ยังไม่ทันได้ข่มตาหลับประตูห้องก็ถูกเคาะรุนแรง


“หืม…”  เกิดอะไรขึ้น…คือสิ่งที่คิด ทว่าก็ไม่ได้ตะโกนถามอะไรออกไปด้วยไม่ค่อยรู้สึกสบาย ทว่าเสียงเคาะประตูนั้นเหมือนจะเร่งปฏิกิริยาภายในกายให้ร้อนขึ้นมา ท่านหมอจึงพยายามสะกดกั้นอาการ ก่อนจะค่อยๆเดินไปเอากลอนออกเพื่อให้คนที่เรียกกันได้บอกความต้องการ


ทว่า…


“ให้ตายสิ…”  พระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งพระทัยนั้นทำให้คนที่เพิ่งเปิดประตูออกมามึนชา


เมื่อได้พบหน้าคนที่รอมาทั้งวันโดยไม่หวังว่าจะได้เจออีกต่อไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในใจเป็นหมื่นพันล้านคำก็ไม่มีสักคำออกมา จนกระทั่งได้รับกอดที่เต็มไปด้วยความคนึงหา จึงระลึกได้ถึงสถานการณ์ความเป็นจริง และแทนที่ควรจะโกรธเคืองในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ ศศิกลับทำเพียงกอดเขากลับด้วยความคิดถึงที่มีไม่ต่างกัน


และน้ำตาก็ค่อยๆไหลลงมา…


“ทำไมขี้แยจังวันนี้” อคิราห์ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยล้า เมื่อเข้ามาในตำหนักนางกำนัลที่ทรงไหว้วานให้ดูแลคนสำคัญของพระองค์ก็มากราบทูลกันว่าวันนี้ท่านหมอดื้อแค่ไหน ข้าวก็ไม่ยอมกิน ไม่พูด ไม่คุย แถมหลังอาหารเย็นก็มีอาการป่วยเหมือนไข้จับอีก เป็นหมอที่น่าตีดีแท้ ทรงอยากจับกรอกยาสมุนไพรตีนตุ๊กแกที่เจ้าตัวเคยเคี่ยวให้ดื่มนัก


5 วันที่ผ่านมา พระองค์ไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่าศศิเป็นเช่นไร ความเป็นห่วงที่มีจนล้นพระอุระพลันล้นออกมาจริงๆเมื่อได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆนั่น ทรงตรงปรี่มาหาเพราะได้ยินว่าศศินั้นเข้านอนเร็วกว่าทุกวัน และเมื่อเคาะเรียกก็หาได้มีเสียงใดตอบกลับ แต่นั่นมันไม่แปลกหรอก ในเมื่ออคิราห์ยังไม่ตะโกนเรียกอีกฝ่ายเลย นับประสาอะไรที่ศศิจะไม่ตะโกนออกมา


“ฮึก…ท่านไปไหนมา”  ศศิอดทนมาตลอด แต่พอพบหน้าความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาก็พังทลาย เมื่อพบหน้า เมื่อได้สัมผัสกาย สิ่งที่คิดไว้ก็เหมือนจะจางหายไป ศศิแพ้แล้ว แพ้ให้กับความรู้สึกของตนเอง ไม่ใช่ต่อพระองค์เลย


“ไปทำงานนอกเมืองไง” 


สาเหตุที่การเดินทางล่าช้ามาเป็นเวลาห้าวันแบบนี้ ไม่ใช่เพราะราชกิจมากมายเพียงอย่างเดียวหรอก เพราะขบวนเดินทางส่วนพระองค์ถูกลอบโจมตี แม้ความเสียหายจะไม่มากมายแต่ก็จำต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางจากเส้นทางเดิมที่กลับมาได้รวดเร็วเป็นอีกทางหนึ่งที่ต้องอ้อมไปอีกไกล กว่าจะมาถึงที่นี่พระองค์ไม่มีโอกาสในการแจ้งข่าวสารมาที่ตำหนักโดยตรงเลย


และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครบอกศศิเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย


ทรงอธิบายถึงเรื่องที่ทรงพบเจอให้ฟัง ในตอนแรกพระองค์ก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร แต่พอเห็นน้ำตาที่ไหลเป็นสายของอีกฝ่ายแล้ว ต่อให้ไม่พูดก็ดูเหมือนว่าศศิจะคิดนำกันไปไกลเสียแล้ว ดังนั้นพระองค์จึงเลือกที่จะแถลงไขความเข้าใจทุกอย่างด้วยพระโอษฐ์เอง สีหน้าของคนน่ารักที่รับฟังเต็มไปด้วยความตกใจ


“แต่ตอนนี้ก็ได้กลับมาปลอดภัยในอ้อมอกเจ้าแล้ว” ว่าเสร็จก็ดึงร่างบางมากอดรัด


ในตอนแรกพระองค์นั้นสุดแสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ไม่แม้แต่จะไปรายงานตัวให้องค์เหนือหัวหรือองค์ราชินีด้วยตัวเองแต่กลับส่งคนไปแจ้งข่าวและก็ตรงมาที่นี่ในทันทีด้วยความคิดถึงและห่วงใย ตอนนี้พลังที่มีก็ควรจะหมดไปทว่าเมื่อได้พบหน้าใสๆนี่ กลับกลายเป็นว่ากำลังวังชาจากไหนก็ไม่รู้ถาโถมจนคิดว่าให้วิ่งรอบพระราชวังอีกสักครั้งก็ยังไหว


ศศินั้นเสนอตัวมาช่วยปรนนิบัติยามสรงน้ำ ทว่าทรงปฏิเสธไปแต่คนตัวเล็กก็ดูจะขัดใจอยู่บ้าง ปกติศศิจะต้องเขินอาย ทว่าวันนี้กลับดูขุ่นเคือง แต่ช่างเถิด ที่ไม่อนุญาตให้มาช่วยเพราะห่วงหรอก ได้ยินว่าไข้จับ พระองค์ก็อยากให้พักผ่อนดีๆ


เมื่อเปลี่ยนไปใส่ฉลองพระองค์ที่สบายพระวรกาย อคิราห์ก็พร้อมจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆร่างบางที่ทรงอยากกอดในทุกวัน ท่านหมอน้อยที่ตอนแรกนอนตะแคงหันหลังให้ก็ขยับกายเข้ามา ก่อนจะเปลี่ยนมานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน ได้มองตาคนที่รักแบบนี้ในทุกๆวัน เป็นความสุขที่ล้ำค่าเสียจริง


“ท่านไม่ได้มีบาดแผลอะไรใช่ไหม”


“มีฟกช้ำบ้าง หากท่านหมอหายไข้แล้วก็จะให้รักษาให้ทั้งตัวเลย”


“เกรงว่าข้าจะไม่ได้เป็นไข้”


“แต่เจ้าป่วยนะ”  อุณหภูมิร่างกายของศศินั้นสูงผิดปกตินัก ใบหน้าก็เหมือนจะแดงก่ำขึ้นมา จะว่าเพราะเขินก็ไม่น่าจะใช่


“ท่านเหนื่อยหรือยัง” พระองค์ทรงส่ายหน้าด้วยอยากจะนอนคุยกันแบบนี้ทั้งคืน ความคิดถึงมันรุนแรงนัก แต่คนงามก็หาได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่  “ข้ามีคำถามบางอย่าง”


“ทุกคำถามจะมีคำตอบ แต่ทุกคำตอบจะมีข้อแลกเปลี่ยน” ทรงแย้มพระสรวลออกมาก่อนจะบดคลึงริมฝีปากอิ่มด้วยนิ้วโป้งของพระองค์ เป็นอันรู้กันว่าอะไรคือสิ่งที่ทรงจะร้องขอ


“ข้ายินดีแลกเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อคำตอบ” 


“เป็นอันตกลง”  ทรงคิดว่าเด็กน้อยที่มาต่อรองกันแบบนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน ทว่าคำถามที่ออกจากปาก


มันก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันควัน


“ท่านกับคุณหนูอภิชญาเป็นอะไรกันหรือ?”แววตาที่ไม่ได้ล้อเล่นของศศินั้นบอกให้รู้ว่าคำถามนี้หากต้องการของแลกเปลี่ยน จะต้องไม่มีการเล่นลิ้นใดๆอีก หลังจากคิดถึงมาทั้งวันก็ได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าถ้าคำตอบมันเป็นอะไรที่ตนรับไม่ได้จูบที่เสียไปก็ไม่ใช่อะไรที่ยากเกินจ่ายคืนให้ เพราะอย่างไรจูบนี้ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย


ก่อนจากลา…


TALK
นำส่งดราม่ากรุบกริบพร้อมเดินมาบอกว่า
เดี๋ยวจะพยายามมาอัพทุกวันนะ5555555












ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
พี่อาทิตย์ต้องหาคำตอบดีๆมาตอบศศิแล้วล่ะ ตอบไม่มีนี่เดี๋ยวงานเข้า 555 ศศิเหมือนโดนวางยาเลย เอ้ะ ยาอะไรหนออออ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
16
ทรงเป็นของศศิคนเดียว
☼ ☽

“เจ้าไปได้ยินอะไรมา” กับคำถามที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของศศิที่ไม่เคยออกไปไหน ทรงแปลกพระทัยไม่น้อยที่ได้ยินชื่อนี้ พระพักต์ที่เคยติดจะขี้เล่นเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา ที่จอมดื้อเงียบต่อต้านทุกอย่างในวันนี้ สาเหตุหนึ่งมันอาจจะเป็นเพราะชื่อ ‘อภิชญา’ นั่น


“ข้าเป็นฝ่ายถาม”  และพระองค์มีหน้าที่ตอบ นี่คือกฎที่เจ้ากระต่ายตัวน้อยเริ่มมาตั้งแต่ต้น ทรงไม่เคยนึกอยากคุยเรื่องนี้กับอีกคนมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ก็รู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ แต่ศศิก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล บนหนทางของการเป็นคนรักขององค์รัชทายาท ความเชื่อใจคือสิ่งที่ใช้ชี้วัด


“อภิชญาเป็นคนที่เสด็จแม่ของข้ามั่นหมายจะให้เป็นคู่หมั้น เพื่อให้ครอบครัวของทางนั้นช่วยส่งเสริมอำนาจของราชวงศ์”  แม้องค์ราชินีจะเป็นคนของราชวงศ์เก่า แต่ก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ฝ่ายไหนก็ได้คนหนึ่ง ทว่าพระนางเหมือนจะคล้อยตามพระโอรสที่สุด


ในสงครามการโค่นล้มราชวงศ์นี้ องค์ราชินีถูกจัดให้อยู่รอบนอกของเกมการเมืองแต่ก็พยายามจะเข้ามา หลายครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์แต่ก็มักจะถูกแก้เกมโต้กลับโดยฝั่งสิหราชวงศ์เสมอ ในครั้งนี้ที่ได้สนับสนุนอภิชญาซึ่งเป็นธิดาของท่านแม่ทัพแห่งชายแดนตะวันออกที่ 1 ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะเสริมอำนาจให้พระโอรสเพื่อปูพื้นการครองบัลลังก์


ทั้งๆที่ทรงอาจจะไม่ได้อ่านเกมอะไรออกชัดเจนเลยก็ตาม…


พระองค์ทรงรักพระมารดาแต่นั่นก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ต้องทำ ด้วยเพราะหลายครั้งที่เกือบจะพลาดท่าเพลี้ยงพล้ำให้กับฝ่ายศัตรูเพียงเพราะสายสัมพันธ์มารดาและบุตร ทำให้ทรงระวังทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเรื่องของอภิชญาด้วยและเพราะยังไม่อาจรู้ได้ว่าการหนุนอำนาจโดยตระกูลของท่านแม่ทัพคนนั้นจะเป็นประโยชน์จริงๆหรือชักศัตรูเข้าบ้าน จึงยังไม่วางพระทัย


“เพื่อหนุนอำนาจสินะ”  ศศิพึมพำกับตนเอง พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ ใบหน้าของคนตัวเล็กดูครุ่นคิดบางอย่าง แต่ดูแล้วว่าไม่ได้มีแววหึงหวงกันแต่อย่างใด


“แต่เรายังไม่รู้เจตนาจริงๆของฝ่ายนั้น ขอเจ้าจงวางใจ ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอภิชญาจริงๆ”


“แต่ถ้าทางนั้นเขาหนุนท่านได้จริงๆเล่าท่านก็อาจจะต้องแต่งงานกันใช่ไหม”


“ศศิ…”


“ยิ่งคุณหนูท่านสามารถมีทายาทให้ท่านได้ ท่านจะยังรักแค่ข้าคนเดียวได้หรือเปล่า จะสัญญาได้ไหมว่าจะรักข้าแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นข้าอนุญาตให้มีได้ไม่เกินห้าคนแต่ห้ามรัก แต่งงานเพื่อเหตุผลทางการเมืองได้อย่างเดียวเท่านั้น โปรดซ่อนข้าไว้อย่าให้ใครรู้ แต่อย่าให้หัวใจของท่านได้รักใครนอกจากข้า หรือถ้ารักไปแล้วก็ช่วยโกหกให้แนบเนียนอย่าให้ต้องจับได้” 


“นั่นเจ้าพูดอะไรออกมา!”


“ข้าน่ะ ไม่ได้เชื่อถือในตัวท่านนักหรอก เพราะลำพังตัวเองก็ยังไม่เชื่อเลย”  แต่จะอนุญาตให้มีคนอื่นนี่นะ?!“และถ้าวันหนึ่งท่านหมดรักแล้ว บอกกันตรงๆได้หรือไม่”


“ข้านะหรือจะหมดรักเจ้า” 


“เมื่อถึงตอนนั้นหากใครสักคนหมดใจ ก็ขอให้ไปจากกันด้วยดีเถิดนะ แค่เพียงท่านบอกมาตามตรง ต่อให้ยังรักอยู่ข้าจะยอมจากไปแต่โดยดีและถ้าหากข้าหมดรักท่านแล้วก็ขอให้ข้าไปเถิดนะ”  ฟังแค่เพียงตรงนี้ อาการหน้ามืดก็เข้าจู่โจม ทรงทิ้งพระวรกายลงบนแท่นบรรทม เพราะไม่เห็นด้วยตามข้อเสนอ

“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดเรื่องมีคนที่หนึ่งสองสามสี่ห้าแบบที่เจ้าว่ามา”


“…”


“จนตอนนี้คนที่รักก็มีเพียงเจ้า เลยไม่รู้ว่าตัวเองจะมีหนึ่งสองสามสี่อื่นๆไหม”


“มันอาจจะจำเป็น เหตุผลทางการเมืองอาจจะบีบคั้น”


“เป็นกษัตริย์แล้วจะเปลี่ยนกฎมณเฑียรบาล”  ทำไมตรัสราวกับเด็กอนุบาลเช่นนี้


“นี่คือเหตุ ที่เขาใช้เพิ่มโอกาสให้กษัตริย์ได้มีผู้สืบทอดต่างหาก”


“งั้นเดี๋ยวไปเปลี่ยนหัวข้อเรื่องผู้สืบทอดด้วย ศศิ…เจ้าอย่าบีบให้ข้าตอบในสิ่งที่เราทั้งสองต่างไม่ต้องการได้หรือไม่”


“ไม่ว่าจะข้าหรือท่านก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”


“ได้สิ! อาจจะสัญญาตอนนี้ไม่ได้ แต่จะพยายามไม่ให้สิ่งที่เจ้ากังวลนั้นเกิดเพราะข้าก็ไม่ต้องการมันเหมือนกันจนกว่าจะถึงตอนนั้นเจ้าอย่าพูดว่าจะจากไปหรือยอมแพ้ในตัวของข้าแล้วได้ไหม”


“….”  ตั้งแต่รู้จักคบหาพัฒนาความสัมพันธ์ อคิราห์ไม่เคยทำให้ศศิผิดหวังได้เท่าความคิดของตัวเอง คำวอนขอให้เชื่อมั่นนั้นศศิก็ไม่มั่นใจว่าจะทำให้ได้จริงๆ แต่เกรงว่าตอนนี้ตนก็เผลอเชื่อมั่นเข้าให้แล้วทั้งๆที่สิ่งที่คนรักนั้นพูดมาอย่างเอาแต่ใจ เอาเข้าจริงอาจจะทำให้ไม่ได้เลยสักข้อ และเราอาจจะต้องจากลากันในท้ายที่สุดก็ตาม


เมื่อเป็นเรื่องของความรัก คนเราก็จะหูเบาขึ้นมานิดหน่อย…


“ข้าจะไม่พูดมันแล้ว”  มือเล็กประคองพระพักต์หล่อเหลาที่ไม่พอพระทัยกับบทสนทนาของเราเท่าไหร่ ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ มอบจูบหวานๆที่มีฤทธิ์ปลอบประโลมหัวใจให้คนที่เหนื่อยทั้งกายและใจ หวังว่าพระองค์ก็จะไม่ท้อเพราะศศิเหมือนกัน


อย่างไรก็ตามทุกคำถามที่มีคำตอบคนถามล้วนพอใจแล้ว ช่วงเวลาต่อไปนี้เห็นทีจะมีแต่การจ่ายค่าเสียหายเท่านั้น แม้จะถามไปไม่กี่คำถามและเช่นนี้ผู้ถามอาจจะขาดทุนได้แต่ก็ดูเหมือนว่าศศิจะยินดีให้ทรงกอบโกยได้ตามพระทัย ภายในนั้นกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง อาการครั้นเนื้อครั้นตัวที่มีมาตลอดโจมตีกันอย่างหนักแต่เจ้าของร่างที่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองก็ไม่คิดจะฝืนอะไรอีกแล้ว


“ใยวันนี้เจ้าเริ่มก่อน” 


“ใยจึงขี้สงสัยนัก ข้าก็แค่ทำตามที่เราตกลงกันไว้”  คำถามแลกจูบ ศศิช่างซื่อสัตย์ในคำพูดก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบพระองค์อีกครั้ง กักขังองค์รัชทายาทไว้ในอ้อมแขนผอมบางของตนเอง มอบจูบอันแสนหวานอ้อยอิ่งเชิญชวนให้ตกสู่วังวนเสน่หา เป็นทุกครั้งที่ทรงเริ่มก่อนแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ศศิไม่คิดว่าตนนั้นอยู่ในสภาพที่เต็มร้อยเท่าไหร่


แต่ความรู้สึกและความต้องการของหัวใจนั้นชัดเจนดี


“พี่อาทิตย์”  คำเรียกที่ไม่ค่อยออกจากปากทว่ามีตัวตนอยู่ในใจเสมอมา “เป็นของศศิได้ไหม”  คำวอนขอที่ไม่คิดว่าจะออกจากริมฝีปากอิ่มนี้ทำให้คนฟังแทบไม่เชื่อในสติของตนเอง


“เจ้าพูดจริงๆหรือ”


“อื้อ…ข้าคิดว่าอาการที่เป็นอยู่นี้มันเกินเยียวยาแล้ว”


“เจ้าไม่สบายอยู่นะ”


“ข้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ”  ดวงตาของศศิปรือมองคนที่อยู่ใต้ร่าง อคิราห์ยังคงทำพระทัยเย็นรอฟังข้อเสนอใหม่เผื่อว่าที่ได้ยินจะหูฝาดไป “เกรงว่าจะเป็นผลของยา…ปลุกกำหนัด”  เมื่อได้ฟังพระเนตรก็เบิกกว้าง ศศิโดนวางยาอย่างนั้นหรือ งั้นที่เริ่มก่อนก็เป็นเพราะฤทธิ์ยาอย่างนั้นสินะ


“เราต้องรีบจัดการขับยาตัวนี้ออกมาให้เจ้า”  พระองค์ยังคงคิดว่าศศิไม่ได้ยินดีที่จะเป็นของกันจริงๆ


แต่ทรงไม่รู้ว่าสำหรับศศิแล้ว แม้จะพลาดท่าดื่มกินอาหารหรือเครื่องดื่มบางอย่างที่มียาปลุกกำหนัดใส่ไว้ แต่กับแค่การสำรวจอาการและดูแลตัวเองก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทว่าที่ทนมาจนถึงตอนนี้เพราะหัวใจของตนได้ยอมรับอย่างเต็มเปี่ยม ผลออกมาคือการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ศศิยามปกติไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกแต่หัวใจของศศิในตอนนี้ มันพร้อมทำให้องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเป็นของตนแล้ว…


แม้ว่าศศิไม่อาจจะตอบรับความหวังเรื่องการมีทายาท
และสุดท้ายก็อาจจะพ่ายแพ้ให้กับคุณหนูอภิชญาก็ตาม


“พี่อาทิตย์”


“….”


“ศศิพร้อมแล้ว”  มือเล็กนั้นสัมผัสไปบนพระโอษฐ์บาง ดวงตาหวานเยิ้มของอีกฝ่ายนั้นค่อยๆดึงดูดให้มัวเมาไปตามกัน “ทำให้ศศิเป็นของพี่อาทิตย์ที”


สิ้นคำนั้น ก็เหมือนเส้นด้ายที่ขาดผึง…


จอมราชสีห์แห่งสิหราชนครานั้นไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไป ทรงพลิกร่างบางลงมานอนอยู่ใต้ร่าง บดจูบอันแสนร้อนแรงเป็นบทเรียนแรกแห่งความเร่าร้อนให้กับคนที่ร้องขอการถูกกระทำโดยพระองค์ ทรงรอศศิมานานแม้ไม่แน่ใจว่าทุกคำที่ออกจากปากเป็นความจริง


“ข้าให้โอกาสปฏิเสธอีกครั้ง”  ทรงมอบโอกาสแม้ไม่แน่ใจว่าพระองค์เองก็ทำได้


“ข้าคิดมาดีแล้ว”  ศศิคิดมาตลอดว่ามันควรจะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ จนกระทั่งเมื่อเขาหายไปโดยไร้ซึ่งข่าวคราวก็มั่นใจว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็เป็นได้


เพราะตนเอง…ก็โหยหาการสัมผัสกายของเขาเหมือนกัน


เป็นศศิที่โน้มตัวพระองค์ลงมาหากัน เป็นศศิที่โหยหาจุมพิตหวานที่เคล้าไปด้วยความเสน่หานั่นมือที่อุ่นร้อนนั้นลูบไล้ไปตามร่างกายของพระองค์ชาย แต่ละสัมผัสก่อให้เกิดความร้อนแรงขึ้นไปทีละขั้น ก่อนจะผละออกจากกันเพื่อสำรวจส่วนอื่นๆที่ปลุกเร้าได้มากกว่า ร่างบางนั้นเอียงคอรับสัมผัสนิ่มยุ่นจากพระโอษฐ์บางตั้งแต่ลำคอและเรื่อยลงมาตามจังหวะการปลดอาภรณ์


ความเชื่อใจมันเกินขึ้นง่ายๆยามที่เป็นคนๆนี้ ศศินั้นยิ่งบิดเร้าเมื่อทรงมอบบางสิ่งที่วาบหวามยิ่งกว่า ร่างที่ไม่อาจจะหยุดมือไม้ของตนไว้จำต้องกำผ้าปูเตียงแน่น เอวบางกระตุกไปกับทุกสัมผัสที่ทรงมอบให้ อคิราห์นั้นฟ้อนเฟ้นไปทั่วกาย เปลี่ยนศศิให้กลายเป็นเทียมหอมโดนไฟ ยิ่งเผาไหม้ก็ยิ่งหลอมละลายส่งกลิ่นหอม


ทรงผละออกมาดูภาพผลงานของตน สีแดงระเรื่อราวกลีบกุหลาบนั่นติดอยู่บนร่างกายขาวนวลที่ยิ่งร้อนก็ยิ่งแดงก่ำ ดวงตาของศศิที่มองขึ้นมานั้นหวานเยิ้มเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ร่างกายที่บิดเร้าอยู่นั้นช่างเหมือนกับปฏิมากรรมซึ่งถูกสรรสร้างขึ้นจากศิลปินฝีมือดี


คาดว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเทียบชั้น…


อาภรณ์ที่ติดกายสูงสง่านั้นถูกดึงกระชากอย่างไม่ใยดี แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นร่างกายของกันและกัน แต่แค่เพียงจินตนาการนำไปว่าในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ร่างกายที่ได้แต่มองเห็นทว่ามิอาจจับต้องจะอยู่ในการครอบครอง ก็ทรงแทบทนรอไม่ไหว คาดว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย อคิราห์ก็ไม่มีวันไปจากเตียงในตอนนี้ได้จริงๆ


“พี่อาทิตย์”  เสียงเรียกที่หวานหูนั้นทำให้อีกคนยิ้มกริ่ม ทรงจ้องมองศศิที่กำลังบิดกายปิดบังบางอย่างในร่างกาย แต่ยามนี้จะไม่ปล่อยให้เจ้ากระต่ายขี้อายหนีกลับเข้าโพรง


“เจ้างดงามเหลือเกิน” ทรงชื่นชมตั้งแต่ไหปลาร้า เรื่อยมายังยอดอกสีสวย เมื่อปลายนิ้วของพระองค์หยอกล้อมันก็ชูชันขึ้นสู้ ธรรมชาติของศศิช่างค้านสายตากับท่าทางเขินอายนั่นเหลือเกิน


ทว่าความเย้ายวนที่บรรยายมาถึงตรงนี้ก็ชวนน้ำลายสอจนต้องครอบครองมันไว้ในปาก แม้ในความเป็นจริงมันจะไม่ได้มีรสชาติอะไรออกมา แต่การได้กระทำการคุกคามด้วยตัวพระองค์เอง ก็ทำให้คิดว่าศศิช่างหวานล้ำเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่ใช่แค่เจริญสายตา แต่กินได้….ไม่รู้ลืม


“ตรงนี้ของเจ้า…รู้สึกถึงขนาดนี้เชียวหรือ”  ทรงสั่งสอนคนงามด้วยการดึงมือของอีกฝ่ายที่วางอย่างอ่อนแรงบนผืนเตียงมาสัมผัสกับยอดอกของตัวเอง ศศิไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นได้ขนาดนี้เลยเผลอไผลถูไถสำรวจความประหลาดของร่างกาย แต่ภาพนั้นกลับยิ่งโหมไฟให้ลุกโชนให้คนที่เริ่มกลั่นแกล้งกันก่อน


“แล้วตรงนี้เล่า เป็นเช่นไรบ้าง” อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังมึนงงอยู่นั้น แยกต้นขาที่ถูกหนีบมิดชิดให้กางออก เผยส่วนสัดที่เจ้าตัวพยายามซ่อนมันให้ออกมา ศศินั้นพยายามจะปิดมันทว่ากลับถูกรวบมือของเอาไว้


“อย่ารังแกข้า”


“พี่ไม่ได้รังแกเจ้าเลย”  หมายมั่นจะมอบความสุขให้ก็เท่านั้น ทรงทอดพระเนตรมองร่างบางที่สั่นระริก ก่อนจะค่อยดูดอมนิ้วเล็กของอีกคนให้ชุ่มช่ำ ศศินั้นกัดฟันแน่น ทว่าก็เป็นเขาที่ส่งนิ้วเรียวยาวของตนเข้ามาในปากของตนเช่นกัน บทเรียนแห่งการทำตามนั้นได้เริ่มต้นขึ้น ก่อนที่พระองค์จะครอบครองแก่นกายเล็กและเคลื่อนไหวจนศศิที่แสนจะอัดอั้นนั้นเผลอขบกัดนิ้ว


“อืม”   


“อ้าขาอีกนิดสิ ยอดรัก”  เหมือนกับโดนมนต์ เรียวขาขาวนั้นค่อยๆอ้าออกตามคำสั่งอย่างลืมอาย เสียงริมฝีปากของเราที่ดูดดึงกันนั้นเหมือนจะดึงความสนใจให้นิ้วมือซนที่วนเวียนอยู่ที่บริเวณาปากทางทำรักนั้นหยุดชะงัก


ก่อนที่จะผละอย่างสุดแสนเสียดายและลงจากเตียงมา


“ดูแลตัวเองไปก่อนนะ พี่จะรีบกลับมา”  ทรงจุมพิตแก้มที่สุกปลั่งนั้นก่อนจะฝากฝัง ใจจริงพระองค์ไม่ได้อยากจากไป ทว่าสำนึกในบางอย่างทำให้ต้องลุกขึ้นมา ก่อนจะไปมองหาความช่วยเหลือที่จะให้คนตัวบางเจ็บตัวน้อยลง


ทรงไม่อยากทำให้ครั้งแรกของศศิ เกินรับไหวทั้งทางกายและหัวใจ


เมื่อกลับมาหลังจากได้สิ่งที่หวังไว้แล้ว ภาพคนงามที่นอนบิดกายตะแคงมองกันด้วยดวงตาหวานเยิ้มก็เกือบทำให้เส้นความอดทนขาดผึง


“เจ้าจะเจ็บนะ ศศิ”  หากยังทรมานตัวเองและพระองค์เช่นนี้ ทรงเอ่ยออกมา ก่อนจะรินน้ำบางอย่างในขวดออกมาชโลมไปทั่วนิ้ว ทรงประทับนั่งที่ปลายเท้าของศศิ ทอดพระเนตรมองไปยังภาพด้านหน้าที่ดูนวลเนียนน่าสัมผัสไปหมด บั้นท้ายนั้นเองที่เป็นจุดหมายของพระองค์


“ท่านจะทำอะไร”  ทรงพาให้ศศิลุกขึ้นนั่งหันบั้นท้ายงามงอนตรงหน้าพระองค์ แนวกระดูกสันหลังที่เรียงตัวสวยงามนั้นก็น่าฝากรอยประทับไปหมด นำพาให้มือเล็กจับบริเวณหัวเตียงเป็นที่มั่น ก่อนจะค่อยลากจูบตามแนวหลังที่ทรงปรารถนา ล่อลวงศศิให้เข้าใจไปทางหนึ่ง ก่อนที่จะกระทำอีกอย่างหนึ่งที่ต้องการ


“ไม่เป็นไรนะ”  นิ้วเรียวยาวของพระองค์นั้นค่อยๆกดเข้าไป หมุนวนอยู่ภายในให้อีกฝ่ายคุ้นชินกับการมีสิ่งแปลกปลอมในนั้น ยามแรกศศินั้นต่อต้าน หากแต่จูบที่ปลอบประโลมก็ได้ทำให้คล้อยตาม


ต่อจากนั้นนิ้วที่สองก็เข้าไป…
ก่อนที่นิ้วที่สามจะตามติด…


“อ๊ะ!  อย่า! ไม่เอาตรงนั้น!”  แต่คำขอของคนตัวเล็กไม่ก่อให้เกิดอำนาจยับยั้งใดๆ คนเอาแต่ใจก็ยังคงคุกคามจุดอ่อนไหวนั้นซ้ำๆจนร่างบางกระตุกเฮือก ยิ่งเน้นย้ำกดถี่แรง ก็ยิ่งเสียการควบคุม แล้วสัญชาตญาณส่วนลึกก็เข้าครอบงำ มือเล็กบางนั้นค่อยๆจับความอุ่นร้อนของแกนกายของตนที่ขึงเครียด ชักนำจังหวะประสานกับนิ้วของอีกคนที่กำลังเล่นงานกันอยู่ด้านหลัง ศศิที่ไร้เดียงสาย่อมไม่เคยพาตัวเองมาถึงจุดๆนี้ เขาได้ย้อมเฉดสีแห่งราคะให้กันเสียแล้ว


“เด็กดี”  พระองค์ทรงเอ่ยชม ร่างบางที่กระตุกเฮือกก่อนจะปลดปล่อยออกมานั้นเหมือนไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองและทรุดลงไปนอน ทว่าลึกๆตนก็รู้ดีว่ายังมีความต้องการหลงเหลืออยู่ ขอแค่ถูกปลุกด้วยแรงสะกิดเพียงนิด ผนวกกับฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่ยังคั่งค้างก็ทำให้ตัณหาพุ่งทะยาน


และมันเป็นหน้าที่ที่คู่เสน่หาทำได้ดีทีเดียว


แก่นกายอุ่นร้อนที่ขึงเครียดไม่ได้รับการปลดปล่อยของเขานั้นสัมผัสเบาๆกับบั้นท้ายที่สั่นระริก ศศิที่นอนคว่ำนั้นหันมามองกันด้วยแววตาแดงก่ำ นิ้วมือเล็กอันแสนซนนั้นสัมผัสกับช่องทางที่เขาเคยรุกรานด้วยปลายนิ้วอย่างสงสัย ความชื้นแฉะเพื่อเตรียมความพร้อมนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ นิ้วเล็กๆของตนนั้นค่อยๆกดลึกเข้าไป สร้างประกายวาวในแววตาคนมองผู้ซึ่งมีความอดทนสูงสุด


ทั้งๆที่อยากขยำขยี้เจียนจะบ้าแต่ของดีก็ไม่ใช่จะมีได้มองบ่อยๆ


“เจ้าช่างร้อนแรงนัก คงต้องจับคนวางยาให้ได้เสียแล้ว”  พระองค์จะเป็นคนริบยาบ้าบอนั่นมาเป็นของตัวเองเพื่อการใช้งานที่ถูกต้องแบบนี้


“คนบ้า”  เด็กไร้เดียงสาในตอนนี้ราวกับกระต่ายป่าที่ด่าทอกัน ทว่าทรงชอบศศิที่แสดงความจริงใจแบบนี้มากกว่า แต่ติดจะถือสาในความอ้อยอิ่งนั่นอยู่สักหน่อย


กระต่ายป่าของพระองค์นั้นค่อยๆดันตัวเองขึ้นมานั่งและคลานเข้าหา อีกฝ่ายมองแกนกายอันใหญ่โตของพระองค์โดยไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ ก่อนที่จะเหยียดตัวขึ้นมามอบจุมพิตอันเร่าร้อน ทรงปล่อยให้ศศินำเกมนี้ไปก่อนเพราะหมายมั่นไว้แล้วว่าจะตีแต้มคืนในภายหลัง


“ขวดนั่นอยู่ไหนหรือ”


“ที่พื้น”  ทรงตอบสั้นๆก่อนจะยอมปล่อยให้ศศินั้นก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา


ทรงมองการจัดการของกระต่ายป่าที่พอจะรับทราบแล้วว่ามันใช้ในการทำอะไร ปล่อยให้ศศิได้ชโลมมันลงบนมือและใช้มือนั่นกอบกุมความเป็นชายของพระองค์เอาไว้ ชโลมน้ำที่ใช้หล่อลื่นไปทั่วแกนกายของพระองค์และตนเอง เจ้ากระต่ายป่าค่อยๆจับเราทั้งสองเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ดวงหน้าที่เปี่ยมสุขที่ได้ปรนเปรอให้ตนเองนั้นทำให้พระองค์ไม่อาจจะอดทนต่อไปอีกได้ ทรงบดขยี้ริมฝีปากอิ่มก่อนจะนำพาร่างของเราทั้งสองกระโจนลงหาความนุ่มของแท่นบรรทมที่จะรองรับเกมรักครั้งแรกของเรานี่ได้


“ยั่วยวนกันแบบนี้ คิดหาว่าข้าจะปราณีเจ้าได้อย่างไร”


“อ๊ะ!”  โดยไม่ทันให้ปกป้องตัวเองได้ ทรงจับเรียวขาของศศิให้อ้าออกกว้าง แววตานักล่าที่สะท้อนออกมาทำให้รับรู้ว่าตนไม่อาจจะรอดไปจากเงื้อมมือของเกมเสน่หาที่เลยเถิดมาถึงตรงนี้ได้ ทรงค่อยๆแทรกกายเข้าไปอย่างพอจะปราณีอยู่บ้าง ช่องทางคับแน่นนั้นทำให้ใบหน้าเหยเกทั้งผู้รักและผู้ถูกรัก


คำหวานที่ข้างหูและสัมผัสจากริมฝีปากที่คอยปลอบประโลมกันนั้นทำให้ยอมเชื่อใจพระองค์อีกครั้ง หลังจากหยุดให้คนร่างบางได้ปรับตัว ก็ทรงค่อยๆเริ่มเกมรักที่แท้จริงของเรา เสียงครางหวานของศศินั้นเหมือนจะเป็นยากระตุ้นกำหนัดที่ดีเยี่ยม ทรงเร่งเร้าให้ร่างบางต้องต้านรับตอบสนองในจังหวะที่ค่อยๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ


“ศศิ…ศศิของข้า”  เสียงครางทุ้มที่แม้ไม่ดังนักแต่ได้ยินชัดนั้นสร้างความปิติสม ศศิก็ยินดีที่พระองค์เองก็สุขสมไปกับร่างกายของตน เพราะทั้งนี้ไม่อาจจะบอกได้เลยว่าศศินั้นปรนนิบัติเขาได้ดีกว่าใครที่ทรงเคยพบพาน และความเป็นคนขี้อิจฉาที่ซ่อนอยู่นี่ก็ผลักดันให้คนขี้อายทำเรื่องไม่คาดฝันไปเสียเยอะ


“ชะ..ช้าหน่อย”  ทว่าคำขอไม่เป็นผล เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทรงเก็บกบมานานแค่ไหนจนกระทั่งวันนี้ หากเป็นไปได้ก็ทรงอยากจะแตะต้องอีกฝ่ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าก็จำต้องหักห้ามด้วยเกรงในความรู้สึกที่ดูน่าจะบอบบางเหมือนร่างกาย มาถึงวันนี้ที่ศศิรุกก่อนเพราะความหวาดกลัวว่าเขาจะเบื่อหน่ายกัน การรอคอยของพระองค์นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว


วันนี้พระองค์จึงตั้งหน้าตั้งตาเอาคืน…ไม่ใช่สิ…ตักตวงความต้องการที่ล้นปรี่สะสมกันเป็นแรมเดือน


จวบกระทั่งที่เกมราคะของเราจบสิ้น ศศพินทุ์จำต้องแบกรับทั้งความปรารถนาของตนและคนรักเอาไว้ นานจนไม่อาจนับรอบ ฟ้าภายนอกนั้นมืดสนิท ร่างกายราวกับไม่ใช่ของตนอีกต่อไป พระองค์เรียกร้อง ศศิก็สนอง จนกระทั่งธารอุ่นร้อนนั้นพุ่งพวยอยู่ในกายบาง สุขสมอารมณ์หมายไปหลายต่อหลายครั้งในเกมนี้จนร่างกายอ่อนล้าไปหมด


ไม่น่าเชื่อว่าคนที่อดหลับอดนอนเดินทางดั้นด้นกลับมา คนที่เป็นดั่ง ‘บ้าน’ จะตอบรับปรารถนากันได้จนเหนื่อยล้าแบบนี้ พระวรกายสูงใหญ่นั้นทาบทับอยู่บนร่างบาง แนบหน้าท้องแกร่งอยู่ระหว่างเรียวขาที่ประดับประดาไปด้วยรอยจูบที่ทรงทำขึ้นทั้งสองข้าง มันยังคงสั่นระริก


เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ก็คงไม่พ้นคำว่ารัก แต่ศศิไม่อาจจะได้ยินมันแล้ว เราทำเราให้เป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ ตัวตนของพระองค์ที่สอดแทรก ยังสร้างความรู้สึกคั่งข้างไว้ในกาย ราวกับว่ายังไม่ได้จากไปไหนและได้มอบบางอย่างประทับไว้จนมันตราตรึงไปทั่วร่าง


ในตอนนี้ศศิรู้แล้วว่าตนไม่อาจจะถอยกลับได้อย่างที่เคยตั้งใจก่อนจะผูกพัน ศศิจะผูกมัดคนๆนี้ไว้แม้มันไม่อาจจะเป็นไปได้เลยและในตอนนี้ตนก็ไม่อาจจะย้อนกลับไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ใครสักคนอาจจะเป็นผู้กำหนด ทว่าคนที่ยินดีกับหนทางที่ถูกกำหนดนั้นไม่ใช่ใคร…


หากแต่เป็นศศิเอง….


☼ ☽


ศศิเหมือนอยู่ในโลกอีกใบที่ไม่เคยพบเห็น แต่คุ้นเคยอย่างประหลาด…


“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะศศิ จริงๆแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้”  ศศิ….ใครเรียกกันหรือ


ร่างบางที่ยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองนั้นมองผู้ที่เอ่ยชื่อตนด้วยความฉงนใจ ที่นี่มันที่ไหน และเขาคุยกับศศิอยู่หรือ แต่เปล่าเลย สายตาของคนคู่นั้นไม่มีศศิเป็นเป้าหมายแม้แต่น้อย พวกเขากำลังคุยกันอยู่แต่ทำไมชื่อของตนถึงได้ออกจากปากเขาได้เล่า และเขาเป็นใครกัน ทำไมศศิรู้สึกเหมือนรู้จักแต่จำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้กัน?


“แต่เขาอาจจะโทษว่ามันเป็นความผิดของข้าจึงได้ทำเช่นนั้นไป”  อีกคนที่หันหลังให้นั้นตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ชายหนุ่มร่างบางผู้นี้เมื่อมองจากด้านหลัง เขาดูสูงและมีขนาดตัวพอๆกับศศิเลย แม้แต่น้ำเสียง ก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง


“ศศิ…”


“อย่าห้ามเลย ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง”  คนที่ถูกเรียกนั้นหันมาเผชิญหน้า ต่อให้ถูกห้ามแค่ไหนก็ไม่อาจจะหยุดความตั้งใจได้ นอกจากความรู้สึกผิดที่ตนมีอยู่นั้น มันเหมือนจะมีอะไรที่มากกว่าแต่บอกใครไม่ได้


โดยเฉพาะคู่กรณีที่ไม่ได้อยู่ที่นี่…


“อาทิตย์ยอมละทิ้งตัวตนบนนี้แล้วเราต้องหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทน แค่ตอนนี้ก็วุ่นวายพอแล้วหากเจ้าจะตามเขาไปอีก เกรงว่าเราจะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่”


“แต่ว่า…”


“ไปคิดมาเสียให้ถี่ถ้วนก่อนเถิด”


“ข้าตัดสินใจแล้ว”


“ศศิ!”


“นั่นก็เพราะข้าก็รักอาทิตย์มากอย่างไรเล่า!”


“…”


“ข้าจึง…ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก”


“พวกเจ้ารักกันหรอกหรือ”


“….”


“แล้วทำไม…”


“ให้ข้าลงไปอยู่กับเขาที่โลกมนุษย์นั่นเถิดนะ”  เจ้าของชื่อที่เหมือนกันนั้นหลังจากได้ถ่ายทอดความในใจออกไปเจ้าตัวก็เอ่ยต่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ 


“ได้โปรด” คำนี้ช่างดู…เจ็บปวดเหลือเกิน

☼ ☽


“ศศิ”  เสียงเรียกและลมหายใจที่รินรดใส่ทำให้เจ้าของร่างบางนั้นลืมตาตื่น เสียงเรียกขององค์ชายอคิราห์ที่ดึงให้ตนหยุดรับรู้ภาพฝันเมื่อครู่และมาพบกับความเป็นจริง


รอยยิ้มนี้ ช่างเจิดจ้าราวพระอาทิตย์…


“อาทิตย์…”  โดยไม่รู้ตัว ศศินั้นเอ่ยเรียกและยิ้มออกมา ความรู้สึกหดหู่ที่เกิดขึ้นในฝันนั้นพลันถูกชะล้างเมื่อได้ค้นพบว่าที่ข้างกายของตนไร้ซึ่งความอ้างว้างใดๆ


เขาอยู่ตรงนี้แล้ว…


“เรียกพี่ทำไมหรือ”  ศศิไม่ได้ตอบ แต่ดีใจกับการได้พบเจอกับเขาในยามนี้ยิ่งกว่าครั้งไหน ภาพที่ได้เห็นในความฝัน เรื่องราวของคนอื่นนั้นทำไมพาให้ใจรู้สึกหน่วงหนักไปตามๆกันอย่างนั้นได้เล่า


ชื่อศศิอย่างนั้นหรือ…


“ต่อให้วันนี้มีงานใหญ่ พี่ก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”  อคิราห์นั้นกล่าวอย่างหมายมั่น ก่อนจะตะกองกอดร่างบางเอาไว้ ศศิไม่อาจจะเห็นแก่ตัวเก็บเขาไว้หรอก แต่ก็แอบคิดไว้ว่าไม่อยากให้ไปไหน


การมีคนกอดไว้มันดีจริงๆนะ เหมือนจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างให้กันได้ เมื่อหวนคิดถึงความฝัน ใบหน้าอันเลือนรางของคนที่ถูกเรียกว่าศศิยังคงติดตา แม้จะมองได้ไม่ชัดเจน แต่กับคนที่ส่องดูใบหน้าของตัวเองมาตั้งแต่เกิดย่อมรู้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับใครบทสนทนาของพวกเรายังคงฝังหู และความรู้สึกร่วมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เหตุใดศศิคนนี้ถึงรู้สึกมันอย่างชัดเจน


ทั้งคิดถึง รู้สึกผิด และขัดแย้งในตัวเอง


TALK:
มาถึงครึ่งเรื่องแล้วคับ
อ่านถี่ๆกันหน่อยเนาะช่วงนี้
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2018 13:35:11 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีศศินั้นแล้วก็ศศินี้ จะเกี่ยวกับตอนต้นมั้ยนะ

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
17
จันทราปราการ
☼ ☽


"แม้แต่กับตัวเอง เจ้ายังใจร้ายได้ลงคอเชียวหรือ"
"โลกนี้ไม่มีความปราณีนักหรอก"
"แล้วเราอยู่บนโลกกันหรือไง"
"...."
"โลกมนุษย์ ยังดูให้อิสระกับข้ามากกว่าที่นี่อีก"
"อาทิตย์..."
.
.
.
“อาทิตย์!!!!!”  ทว่ายิ่งไขว่คว้าเขาก็ยิ่งห่างออกไป ศศิลืมตาตื่นขึ้นมาจากความมืดมิด มาพบกับฝ้าห้องบรรทมที่คุ้นเคย


ฝันหรอกหรือ?!


“มีอะไรหรือศศิ”  คนที่นอนหลับข้างๆกายก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วย ใบหน้าเสียขวัญของคนรักทำให้พระองค์ต้องคว้าศศิมากอดไว้เพื่อปลอบขวัญ เด็กดี…ใยตื่นขึ้นมาก็น้ำตาคลอแบบนี้เล่า


“อาทิตย์…อาทิตย์”


“ข้าอยู่นี่แล้ว” ทรงลูบหลังคนขวัญเสียในอ้อมกอด แผ่นหลังของศศิเปียกชื้น ต้องเป็นฝันร้ายแบบไหนถึงทำให้เด็กคนนี้หวาดกลัวได้ขนาดนี้


ศศิยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมพระอุระเป็นเวลาสักพักกว่าจะหยุดลงและผละออกมาเอง ดวงตาที่ยังคงฉ่ำน้ำนั้นช้อนมองกัน ในแววตานั้นมีแววแห่งความไม่มั่นใจอยู่ พระองค์จึงจุมพิตที่หน้าผากเนียนและปานที่เหมือนจะจางลงนิดๆบนใบหน้าเพื่อปลอบโยน จากที่ตั้งใจว่าจะต้องรีบลุกไปสะสางพระราชกิจ ทว่าศศิที่เป็นแบบนี้ก็ไม่อาจจะปล่อยให้ละสายตาได้เลย


“ข้าฝันร้าย”


“ข้ารู้”  แต่ที่ไม่รู้คือศศิ…นั้นฝันอะไร


เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจในภาพฝัน ทว่าความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรง นี่ตนอ่อนไหวขนาดนั้นเลยหรือนี่ทั้งๆที่คนในบทสนทนานั้นไม่ใช่ตัวของศศิเลย ทว่าความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งกลับท่วมท้นอยู่ในใจ ราวกับว่าคำพูดร้ายๆเหล่านั้นที่ทำให้อีกคนเสียใจ…ศศิเป็นคนพูดมันออกมาจากปากตัวเอง


“อย่าไปไหนเลยนะ”  ภาพที่ฝ่ายหนึ่งประชดประชันอีกฝ่ายก่อนจะเดินหันหลังให้นั้นสร้างความเจ็บปวดร้าวแสน แค่เพียงคิดว่าหากอคิราห์ผู้นี้ทำกันตนบ้างก็ไม่อาจจะทราบได้เลยว่าจะทนแบกรับไปได้แค่ไหน


ศศิที่เข้มแข็งมาตลอด จะอ่อนแอได้ขนาดนั้นเลยหรือ


ด้วยไม่อาจจะเห็นตัวเองเป็นเช่นนั้นได้อีก จึงกัดฟันผละออกมาจากอ้อมอกที่ปลอบโยนเรื่องแบบนั้นมันยังไม่เกิดขึ้นเสียหน่อย ก็แค่ฝันไปเท่านั้น หากงี่เง่าฉุดรั้งเขาไว้แบบนี้ก็รังแต่จะทำให้รำคาญเสียเปล่า อคิราห์นั้นลังเลที่จะจากไปแต่ก็เป็นศศิที่ดุนหลังกันให้ออกห่าง


“ไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วยจริงๆหรือ”


“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าแค่ฝันร้าย ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว”


“แน่หรือ”


“อื้ม”


“ถ้าข้าไม่อยู่แล้วผีมาหลอกเจ้าเล่า”


“หาใช่ว่าข้าจะกลัวผีเสียที่ไหน” ร่างบางนั้นก้าวเข้าไปหาเด็กเกเรที่ไม่ยอมไปสะสางงานการ เขย่งเท้าเพื่อมอบจูบที่แก้มสากก่อนจะกระซิบเบาๆ  “รีบไปแล้วรีบกลับมาหาศศินะ”  และน้ำเสียงแบบนี้ก็เป็นเหมือนมนต์ขลังที่สั่งให้ต้องทำตามสถานเดียว


องค์รัชทายาทแห่งสิหราชนครานั้นถูกปราบโดยสิ้นเชิงโดยคนตัวเล็กกว่าที่มีนามว่าศศพินทุ์ เจ้าตัวไม่ได้ใช้ถ้อยคำเกรี้ยวกราดแต่อย่างใดในการทำให้ทรงทำตาม ทว่าเพียงแค่น้ำเสียงหวานๆและสรรพนามเพราะๆก็เอาอยู่ หากไม่ทั้งรักทั้งหลง ว่าที่ราชสีห์ใหญ่แห่งสิหราชนครานะหรือจะยอมได้ขนาดนี้


“ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนมาสายแต่อารมณ์ดี”  องค์เหนือหัวทรงเอ่ยทัก พระโอรสที่ดูย่ำแย่เพราะเพิ่งผ่านการถูกไล่ล่าในวันนั้น ช่างต่างจากเช้านี้เสียเหลือเกิน เกรงว่าเรื่องดีๆที่เราคาดไว้คงจะเกิดขึ้นอย่างที่ต้องการ


ใช่….ทรงเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง…บางส่วน


ไม่แน่ว่าอคิราห์ก็อาจจะพอรู้ว่าบิดาของตนนั้นตั้งใจเสียยิ่งกว่าอะไรในการจับคนรักแยกจากกัน หลายวันเป็นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทรงประทานพระราชกิจให้พระโอรสไปทำแทนเยอะมากๆ ตั้งใจให้ยุ่งเสียจนไม่ได้หลับได้นอนแต่กระนั้นเจ้าลูกชายก็ไม่มีบ่นและตั้งหน้าตั้งตาทำให้เสร็จ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไรหรือเพราะใคร


ตราบใดที่ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ ก็จะไม่มีใครบังคับเรื่องครองราชย์และมีทายาท…


ทว่าเหตุการณ์ลอบสังหารอะไรนั่นก็ว่าเป็นฝีมือพระองค์ไม่ได้เต็มปาก ทรงให้องค์รัชทายาทออกไปปฏิบัติงานที่นอกเมืองโดยทราบดีว่าการคุ้มกันที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ ทรงส่งคนไปเพื่อหมายจะตั้งตัวแสร้งเป็นศัตรูเพื่อถ่วงเวลาการกลับมาขององค์ชายอคิราห์ ทว่ามันเหตุการณ์ไม่ดีกลับเกิดขึ้นจริงโดยกลุ่มอื่นที่หมายจะลอบสังหารคนสำคัญของราชวงศ์


เคราะห์ดีที่พระองค์ส่งคนไปสมทบ แม้จะโดยไม่คาดหมายแต่ก็ช่วยจัดการเก็บพวกนั้นได้ หลังจากนั้นก็ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ องค์รัชทายาทจึงต้องระหกระเหินเดินทางกลับมาโดยเลี่ยงเส้นทางเดิมและใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวัน พอทราบข่าวว่าพระโอรสจะเสด็จกลับมาถึงในวันนี้ ก็ให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ไปจัดการวางยาศศิ ช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอและฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดอ่อนๆที่ให้ดื่มไป คงจะพอทำให้พวกเด็กๆแสดงออกอย่างลุ่มหลงโดยเปิดเผย


พระองค์ไม่ได้คาดหวังว่าเพียงคืนวานจะทำให้พระราชนัดดายอมมากำเนิดที่ท้องของยอดรักของพระโอรส เพราะเราก็ยังไม่อาจจะรู้ได้ว่าศศพินทุ์นั้นใช่คนที่เราสันนิษฐานไว้หรือไม่ บนโลกนี้ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่ทำเช่นนั้นได้ แต่จะว่ามีก็มีทว่ามีน้อยเหลือเกิน และคนที่มีคุณสมบัติเหล่านั้น


ย่อมมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา….


ในวันหนึ่งเมื่อราวๆ 20 ปีก่อนนั้น พระองค์ได้รับฟังคำทำนายจากโหรหลวงเกี่ยวกับเหตุการณ์ธรรมชาติที่เพิ่งเกิดไปนี้ แม้ไม่ได้มีความเชื่อในด้านนั้นเป็นพิเศษแต่ก็มีโหรประจำราชวงศ์ที่สืบทอดกันมาเนิ่นนาน ถึงบ้านเมืองจะพัฒนาไปไกลแค่ไหนแต่โหรหลวงก็มีไว้เพื่อความมั่นคงทางจิตใจด้วยเพราะพระองค์ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษจึงจำข้อความที่ถูกถ่ายทอดไม่ได้หมด


นอกเหนือไปจากความงามที่เกิดขึ้น โหรหลวงที่รับหน้าที่ทำนายชะตาบ้านเมืองและราชวงศ์นั้นกลับได้กล่าวพาดพิงถึงอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดเมื่อ 8 ปีก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นวันที่เกิดปรากฏการณ์อาทิตย์ทรงกลด และนั่นได้สร้างความสนใจให้กับองค์เหนือหัวสิหราชที่ไม่เคยสนใจศาสตร์การพยากรณ์มาก่อนเลย


เพราะในวันนั้นคือวันถือกำเนิดของอคิราห์…


ลูกชายที่พระองค์ทรงเฝ้ารอให้มาอยู่ที่นี่เนิ่นนานด้วยความพยายามอันมากมายเพื่อที่จะให้สืบทอดบัลลังก์ต่อไป กำลังจะตัดพระทัยแล้ว จนกระทั่งทรงพระสุบินถึงชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม รัศมีที่ส่องสว่างจากกาย ทำให้พระองค์รู้ว่าที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเขารูปงามราวกับเทวดา


หรือจริงๆแล้วเขาเป็นเทพแห่งสุริยา…ก็ไม่มีใครรู้เลย…


‘จงให้นามเด็กคนนั้นที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดดั่งดวงอาทิตย์’


เหมือนเป็นคำสั่งหรือคำสัญญา หลังจากวันนั้นพระองค์ก็ได้รับแจ้งข่าวดีว่าองค์ราชินีทรงพระครรภ์ หลายเดือนต่อมาจากนั้น ในวันที่พระโอรสอันเป็นที่รักได้ถือกำเนิด ความทรงจำเกี่ยวกับฝันนั้นก็เหมือนกลับมาย้ำเตือน
‘จงให้นามเด็กคนนั้นที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดดั่งดวงอาทิตย์’
ทันทีที่พระองค์ได้มองใบหน้าของลูกชาย ชื่อนี้ก็โผล่ขึ้นมาในหัวราวกับว่า...มันถูกกำหนดไว้แล้วว่าเด็กคนนี้ต้องชื่อว่าอคิราห์…ที่แปลว่าแสงของดวงอาทิตย์ เพราะลูกเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่มอบทางออกให้กับพระองค์ที่อับจนหนทาง


กลับมาที่คำทำนายที่เกี่ยวข้องกับวันที่เกิดดวงจันทร์ทรงกลด จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือสิหราชนคราเลย ทว่ากับเป็นที่ล่วงรู้กันว่านี่คือสัญญาณที่ส่งให้กับตระกูล ‘จันทราปราการ’อันโด่งดังไปทั่วทิศมากกว่า และจันทราปราการที่ว่าก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรนี้


เดิมทีเชื่อว่าสิหราชนครานั้นได้รับการปกป้องดูแลโดยสุริยเทพที่มีร่างหนึ่งคือพญาราชสีห์ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่ามีอาณาจักรใดที่ประวัติศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่าได้รับการปกป้องโดยตรงจากจันทรเทพ ทว่าก็มีอาณาจักรหนึ่งที่ถูกช่วยเหลือโดยจันทรเทพในทางหนึ่ง


โดยผ่าน  ‘จันทราปราการ’


‘จันทราปราการ’ เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ว่ากันว่าได้ถือกำเนิดจากความเมตตาของจันทรเทพ ว่ากันว่าพวกเขาได้ร่อนเร่เผยแพร่วิทยาการทางการแพทย์และการศึกษาไปเรื่อย จนปักหลักช่วยเหลือคีรีธาราในการสร้างอาณาจักร สมาชิกในตระกูลมักจะอยู่ในวงการวิชาการแขนงต่างๆแต่ไม่ใช่นักปกครอง ทว่าสมาชิกบางคนในบางยุคสมัยก็เป็นผู้ชักใยนักปกครองอยู่เบื้องหลัง จากประวัติก็ทราบได้แล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตในคีรีธาราขนาดไหน ทว่าเมื่อเกิดความวุ่นวายจนอาณาจักรนั้นแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายแล้ว จันทราปราการนั้นอยู่ฝ่ายไหน…


คำตอบที่ถูกต้องไม่มีใครรู้
แต่ใครๆก็ว่ากันว่าอยู่ที่คีรีราชสกุล…หรือว่าหนุนหลังระบบกษัตริย์ของคีรีธาราอย่างที่เคยสนับสนุนกันมาตลอดนั่นเอง


ทั้งนี้วันที่เกิดดวงจันทร์ทรงกลดนั้น ว่ากันว่าเด็กที่เกิดในวันนั้นซึ่งสืบสายเลือดของจันทราปราการจะสามารถให้ครรภ์เป็นศรีแห่งบ้านเมืองและวงศ์ตระกูล เป็นดวงที่เหมาะสมจะเคียงคู่กับนักปกครองหรือถ้าให้เรียกให้ดูยิ่งใหญ่กว่านั้น…ก็คือกษัตริย์แห่งคีรีราชสกุลดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้พวกคีรีเขตเข้าใจว่าจันทราปราการย่อมเทใจไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยเพราะเหตุผลนี้


เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่คีรีเขตหันมาโจมตีจันทราปราการ เป็นเหตุให้สกุลนี้สิ้นชื่อสูญหายไปจากคีรีธารา พวกเขาคงหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ลำพังเหล่ามันสมองที่มีคงไม่ยากที่จะหาทางออก แต่การสูญเสียย่อมเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้


ทันทีที่ได้ยินเรื่องเล่าจากอคิราห์หรือจากอชิระเองที่แม้ไม่พูดเยอะแต่ก็พอจะปะติดปะต่อเองได้ พระองค์ทรงปักใจเชื่อว่าศศพินทุ์คือเด็กคนนั้น และอาจจะไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กคนหนึ่งที่สูญหายไปจากคีรีธารา จะมาอยู่ในพระราชวังแห่งสิหราชนครา


ใครจะไปคิดว่าคนที่อยู่ไกลกันราวตะวันตกและตะวันออก จะได้มาพานพบและใครจะไปคิดว่ากษัตริย์ผู้ที่จะได้ครองคู่กับเด็กที่เกิดในวันสำคัญนั้นอาจจะไม่ใช่กษัตริย์แห่งคีรีธาราแต่เป็นสิหราชนคราที่อยู่นอกสายตา หากอคิราห์ที่เกิดในวันอาทิตย์ทรงกลดจะได้ครองคู่กับอีกคนที่เกิดในวันดวงจันทร์ทรงกลด คาดว่าพรหมลิขิตคงชักพาให้อาทิตย์กับจันทรามาอยู่ด้วยกัน


ถ้าหากศศินั้นไม่ใช่คนแบบที่เราคิดพวกเขาก็ยังรักกันได้ แต่อาจจะต้องแบกรับความกดดันมากมายอย่างที่พระองค์เคยเจอ การมีบุตรนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับราชวงศ์ แม้อคิราห์จะมีศศิได้ทว่าก็ต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้พิสูจน์ตัวเพื่อขึ้นมามอบทายาทที่จะสืบทอดบัลลังก์โดยชอบธรรม


☼ ☽


ศศิมาอยู่ที่นี่นานร่วม 3 เดือนแล้ว


ชีวิตในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้วุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้ว่างอะไร แม้ว่าก็ยังไม่ได้ออกไปไหน ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้ บางที…ก็มีแขกที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมเยียนทั้งท่านอชิระและท่านน้าทิชากรที่สอนสั่งกันมา เฉกเช่นวันนี้ที่พวกเขามาร่วมทานอาหารกลางวันร่วมกัน


“เจ้าช่างเข้มแข็งนัก จากเด็กดื้อซนชอบเที่ยวเล่นในวันนั้น นับวันเจ้าจะยิ่งอยู่ติดที่ไม่ไปไหน”  ศศินั้นยิ้มให้กับคำพูดของท่านอาจารย์หรือคนที่มีศักดิ์เป็นน้าอย่างเขินอาย คงเพราะมีเป้าหมายให้คาดหวังอยู่ทุกวัน เช่นว่าวันนี้เขาจะกลับมาที่นี่ไหมและแค่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามแค่ไหนที่จะกลับมา ความปลื้มใจนี่ก็ฉุดรั้งกันไว้ต่อให้คาดหวังในเรื่องแบบนี้ทุกๆวัน


ทิชากรนั้นดูก็ออกว่าหลานของตนกับองค์รัชทายาทนั้นเป็นอะไรกัน เพียงแววตาที่พวกเขามองกันนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ตั้งแต่คราแรกที่ได้พบเจอคนทั้งคู่พร้อมๆกันทิชากรก็ทราบได้ทันที แต่ก็ยังขัดขวางอยู่บ้างด้วยไม่อยากให้หลานที่รักของตนด่วนใจเร็วไปก่อน ทั้งนี้เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา


หากแต่เป็นผู้ชายประเภทที่ทิชากรได้พยายามพาศศิออกห่างไม่ให้ไปข้องเกี่ยวด้วยตลอดชีวิต


“เฮ้อ”  แต่มันก็ไม่สำเร็จ พอเป็นเรื่องของหัวใจ เมื่อเด็กที่ตนดูแลนั้นเติบโตขึ้นก็ยากที่จะควบคุมเหมือนในวันวาน มันอาจจะเป็นแรงดึงดูดประหลาดที่นำพาให้คนแบบศศิเท่านั้นที่เข้าไปในกำแพงสูงขององค์รัชทายาทได้และคงเป็นแค่เขาเท่านั้นที่หลุดจากการคัดกรองของทิชากรแต่แรกเริ่ม แม้จะเข้มงวดแค่ไหน สิ่งที่ทิชากรแพ้ก็คือโชคชะตา


ที่นำพาให้คนทั้งสองได้มากลายเป็นของกันและกันทั้งกายและใจในตอนนี้


“ปานรูปพระจันทร์ของเจ้า ดูจะจางลงนะ”  ทิชากรนั้นเชยคางของศศิที่ก้มหน้าลงเขินอายอยู่กับการถูกจับผิด จับหันดูด้วยความสนใจ พิจารณาและก็พบว่ามันจางลงจริงๆ ปานที่ศศิเกลียดชังนั่น


“ข้าแทบไม่ได้สังเกตเลย” จะว่าเพราะมัวแต่ตกหลุมรักจนลืมสนใจก็ว่าได้ แต่ศศิเพียงแค่ลืมสนใจหรือเพราะอคิราห์กันที่ทำให้ตนไม่ได้คิดว่ามันน่าเกลียดอีกเลย เท่าที่จำได้นั้นก็มีแต่เพียงรอยจุมพิตที่ฝังอยู่ตรงนี้ ที่ๆเขามักปลอบประโลมยามที่ขวัญหายไปไกลและถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว


“คงไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ข้าได้ปรุงยาบำรุงมาให้เจ้า จงกินตามที่บอกไว้อย่าให้ขาด”


“สมุนไพรบำรุงตัวนี้หายากนัก ข้าแบ่งชงให้องค์รัชทายาทด้วยได้ไหม”


“นี่สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ สำหรับองค์รัชทายาทนั้นข้าได้จัดอีกตัวไว้ แต่เจ้าควรเอาให้แพทย์ประจำราชสำนักตรวจสอบของพระองค์ดูก่อนเพื่อความมั่นใจของพวกเขา”  อย่างไรทิชากรก็ถือเป็นคนนอก การเอายาสมุนไพรให้คนในราชวงศ์ดื่มทานอาจจะสร้างความระแวงให้เกิดขึ้นได้จึงควรได้รับการรับประกัน


“แล้วตัวนี้เหล่า ช่างแปลกใหม่เหลือเกิน ข้าไม่เคยพบเห็น”


“เป็นสมุนไพรหายากมาก เจ้าจงต้มทานเป็นประจำ”


“มันคืออะไรหรือท่านน้า”


“ก็แค่ยาบำรุง ยาได้กังวล”


“….”


“ข้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นานๆทีถึงจะได้มาที่นี่ ขอเจ้าจงดูแลตัวเองให้ดีให้สมกับที่ไว้ใจให้อยู่ห่างกายได้ไหม”


“ท่านน้า…”


“ข้ารู้ว่าเจ้าจะบอกว่าองค์รัชทายาทนั้นดูแลเจ้าดีแค่ไหน แต่ตัวของเจ้ามันเป็นสิทธิ์ของเจ้าที่จะเห็นแก่ตัวเองและดูแลตัวเองได้ดีกว่าใครเพราะฉะนั้นหากไว้ใจข้า จงดูแลตัวเองให้ดี”


“…”


“ที่นี่อาจจะปลอดภัยกับเจ้าแต่ภายนอกรอบๆกำแพงนั่น เจ้าก็เห็นว่ามีการตรึงกำลังองค์รักษ์ไว้รอบๆเพื่อความปลอดภัยของคนที่อยู่ภายในเจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี”


“ข้าทราบแล้ว”  ศศินั้นเอ่ยรับ เข้าใจในความหวังดีของทิชากรได้ไม่ยาก ที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามทว่ากลับมีอันตรายรายล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่ง การแก่งแย่งชิงดีมีมาเนิ่นนานและมันฝังรากลึก


ทิชากรจากไปแล้ว และคิดว่าพวกเขาคงเดินทางไปที่ชายแดนกันในวันนี้เพราะอชิระมีกิจธุระจึงกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นาน การที่ท่านน้าเอาหยูกยามาให้นั่นก็คงเพราะความห่วงใยที่มีให้เสมอและเพื่อตอบแทนความทุ่มเทของเจ้าตัว ศศิจึงจะปฏิบัติตามคำขอร้องอย่างเคร่งครัดทั้งกับตัวเองและแน่นอนว่าย่อมต้องส่งต่อให้กับเจ้าของตำหนักด้วยอย่างแน่นอน


แต่ต้องให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่รับผิดชอบสุขอนามัยประจำราชสำนักตรวจสอบก่อน…


“เป็นข้าที่คลาดกับอาจารย์ของเจ้าอีกแล้วหรือ”  ท่านยิ้มออกมาด้วยเสียดายที่ไม่ได้เจอกับทิชากรที่มากะทันหัน และในวันนี้ที่มาเจอกัน ก็เพราะศศิเป็นคนเชิญมาพบเพื่อให้ดูสมุนไพรที่จะใช้ปรุงให้กับองค์รัชทายาทดื่มกินเพื่อบำรุงกำลัง


ศศิขนตัวยาที่ทิชากรเตรียมมาให้เขาพิจารณาดูและมันได้ถูกอนุมัติให้ใช้ การที่ท่านหมอน้อยว่างงานอยู่ที่นี่ก็เอาเวลาไปศึกษาจนรู้ดีไปหมดว่าอะไรควรไม่ควร เราสนทนาแลกเปลี่ยนกันเรื่องสมุนไพรมากมาย


“เห็นเจ้าสุขภาพดี สดใสเยี่ยงนี้ก็ดี มาอยู่ที่นี่เจ้ามีเบื่ออาหารบ้างหรือไม่”


“ไม่นะ พวกเขาทำอะไรให้ ก็กินได้อร่อยไปหมด”


“จะว่าไปข้าได้ส้มมา แต่รสมันออกจะเปรี้ยวเสียหน่อย เจ้าจะกินได้ไหม”


“จริงๆแล้วข้าไม่ค่อยถนัดผลไม้รสเปรี้ยวเท่าไหร่ แต่ถ้าท่านจะกรุณา ข้าจะทานให้หมดไม่ให้เหลือ”


“…”


“ด้วยเพราะความดูแลของท่านและทุกคนที่นี่ ศศิช่างโชคดีที่อยู่ได้อย่างสุขสบายไม่ป่วยไข้อะไรเลย”  ศศิยังคงยิ้มละไม ไม่รับรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย


“เจ้าดูสบายดีจริงๆ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าตรวจร่างกายหน่อยดีไหม”


“ตรวจร่างกาย?”


“เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์อย่างไร”  เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศศิก็ยินยอมให้ท่านหมอได้ตรวจร่างกายเบื้องต้นดูเพราะไม่เห็นว่ามันจะดูเสียหายตรงไหน อีกทั้งรอบห้องก็มีบรรดานางกำนัลอยู่เต็มไปหมดแค่จับมือถือแขนตรวจชีพจรคงไม่อะไร


ใช้เวลาไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่าศศินั้นมีสุขภาพที่ดี จริงๆแล้วตนก็รู้ชัดแน่แล้วเพราะหมั่นดูแลตัวเองเสมอและยังมีทิชากรที่มาหาเมื่อวันก่อนที่มาตรวจดูซ้ำเพื่อความสบายใจ ดังนั้นผลที่ออกมาในวันนี้จึงไม่ต่างจากความคาดหมาย ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากับแขกผู้มาเยือน ในเมื่อสมุนไพรเหล่านี้ได้รับการยืนยันว่าใช้ได้แล้วศศิจึงไม่รอช้าไปเตรียมต้มให้กับคนที่เดี๋ยวนี้นับวันยิ่งขี้โรค คาดว่าเพราะงานเยอะเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอจึงฉายแววจะเป็นลมให้เห็นอยู่บ่อยๆ


วันนี้กลับมาสภาพก็คงน่าเป็นห่วงอีกตามเคย


“คิดถึงพี่ไหม”  และคนที่มีสภาพน่าเป็นห่วงก็สวมกอดกันจากข้างหลัง ทรงเสด็จกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครทราบ หรือทุกคนทราบแต่พยายามทำให้ศศิไม่ทราบกัน


“พี่อาทิตย์ ท่านดูป่วยหนักเหลือเกิน ทำไมไม่ไปพักก่อนเล่า”  ศศินั้นวางถ้วยยาลงรีบหันมาหา สำรวจพระพักต์ที่ดูหมองๆด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ต้องดุให้กับการเล่นไม่รู้จักประมาณตนเองเช่นนี้เหมือนกัน


“เจ้าคือแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยม ไม่รู้หรือ”  หากใครว่าทรงถูกศศิทำของใส่ก็ไม่เถียงเลย นับวันก็ยิ่งจะหลงรักจนยากจะถอนตัว พระโอษฐ์บางนั้นประทับจุมพิตที่แก้มใส ก่อนจะหอมแรงๆด้วยต้องการสูดดมกลิ่นอายที่ก่อให้เกิดความสบายใจสูงสุด ร่างบางนั้นดิ้นไปมาในอ้อมพระอุระ ทว่าสุดท้ายก็ต้องยอมเป็นแหล่งพลังงานให้โดยดี


“พะ…พอก่อน”  เป็นศศิที่ร้องห้ามออกมา เล่นตะโบมจูบกันแบบนั้นก็เป็นศศิเองน่ะสิที่ถูกดูดพลัง  ทว่าก็ยังกอดกันเอาไว้แม้จะเพิ่งจากกันไปเมื่อเช้านี้ ชอบที่จะได้รับรู้ว่ามีศศิอยู่ตรงนี้เหลือเกินทรงรักใคร่ไปหมดทั้งตัวโดยเฉพาะตอนนี้ที่คนงามดูจะเจ้าเนื้อขึ้นมานิดหน่อย จับตรงไหนก็นิ่มและนวลไปหมด…


แต่ดูเหมือนว่าจะจับมากไปเจ้าของร่างจึงดันพระองค์ออกจนสุดแรง ศศิเริ่มจะโมโหนิดๆที่พูดไม่ฟังพระองค์ชายเลยต้องเอาใจด้วยการดื่มยาบำรุงกำลังที่อีกฝ่ายเตรียมให้ หลังจากเสร็จมื้อเย็นพระองค์ก็ไปชำระพระวรกายที่เหนียวเหนอะหนะ อย่างน้อยจะกอดคนรัก ไปทั้งๆที่หอมๆแบบนี้อาจจะจูงใจศศิได้ดีกว่า


“อื้ม ข้าชอบเจ้าไปเสียหมดแล้วจริงๆ”  ทรงซ้อนกอดคนที่นอนตะแคงหันหลังก่อนจะกดจูบลงตรงไหล่บาง ศศิที่ว่าจะทำเป็นไม่สนใจสุดท้ายก็ต้องหันมาหา


“พักเถิด ท่านดูไม่สู้ดีนัก”


“เพราะงานหนัก”  ก็เพราะหลังจากรังแกกันแล้วก็ทรงพักผ่อนเพียงนิดและโหมงานต่อถึงจะกลับมานอน เป็นเช่นนี้มาหลายสัปดาห์แล้วจนคนที่ต้องคอยดูแลเองก็อ่อนใจ ทั้งหมดมันก็มีเหตุมาจากศศิเองอยู่ดี เพราะฝันร้ายในวันนั้นทำให้พระองค์ห่วงกันจนไม่ไปไหนไกล ทรงเชื่ออย่างหมดใจว่าการที่ไม่กลับมาบรรทมด้วยทำให้เจ้ากระต่ายเครียดจนเอาแต่ฝันร้าย ทว่ามันไม่ใช่เลย…


ศศิไม่คิดว่าฝันร้ายนั้นเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ได้เจอกัน เพราะภาพฝันที่เห็นมันเสมือนจริงราวกับว่าเคยพบเคยเห็นมาก่อนมากกว่า แต่เพียรนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้เลย


“อย่าได้กังวลเลยไม่มีอะไรที่ข้าเต็มใจทำเท่าการได้กลับมานอนกอดเจ้า”  แม้จะเหน็ดเหนื่อยทรมานแต่ก็ทรงเต็มใจ ศศิที่มองพระเนตรอันแน่วแน่คู่นั้นแล้วก็ใจอ่อนอย่างที่มักเป็น มือเล็กนั้นเกลี่ยเบาๆที่แก้มสากก่อนจะกดจูบลงไป ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าในความทุกข์ใจนั้นมีความยินดีอยู่ ศศิก็ชอบที่เขามาอยู่ข้างๆแบบนี้


“พี่อาทิตย์”  มือไม้ที่สอดเข้าไปในร่มผ้านั้นเริ่มจะซุกซนจนเกินจะห้ามไหว พอเราเดินทางมาถึงจุดนี้อะไรๆก็เหมือนจะเกิดขึ้นง่ายดายราวกับว่าอุปกรณ์ที่ใช้ยับยั้งความต้องการได้พังทลายลงไปในวันนั้น ทรงสามารถรักศศิได้ตามใจอยาก และศศิก็ให้พระองค์ได้รักตนเพราะไม่อาจจะทนต่อความต้องการที่ดึงดูดหากันนี่ได้


ทรงกอดศศิได้ไม่มีเบื่อเลย ยิ่งตอนนี้ศศิช่างดูนุ่มนิ่มมากกว่าเดิม กอดเท่าไหร่ก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเลย
แต่นานเท่าไหร่เล่าถึงจะพอเพียง…


“เป็นของพี่ตลอดไปเลยนะ” คำขอนี้ขอให้มันยาวนานสมดั่งว่า


เพราะตอนนี้ไม่มีใครจินตนาการภาพที่เราไม่ได้เป็นของกันและกันออกอีกแล้ว

TALK
ตอนนี้ต่อให้ศศิจะถอยก็ไม่ทันล่ะ
โดยกินตลอดตัวไปแล้ว แต่น้องยืนยันแล้วว่าตัดสินใจมาดีแล้ว
เมื่อวานเราแต่งเรื่องนี้จบละค่ะ  จริงๆควรจบเร็วกว่านี้แต่เราขี้เกียจเอง
กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี เดี๋ยวคิดได้จริงๆแล้วจะมาบอกนะคะ
วันนี้เราลงลูกชุบของอัศวินด้วยคับ อย่าลืมไปอ่านนะ
Twitter @reallyuri
#อาทิตย์ศศิ




















ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เจ้าตัวเล็กมาแล้วใช่มั้ยยย  :katai2-1:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 1 : 22/10/2018
«ตอบ #68 เมื่อ01-01-2019 04:26:10 »

คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านแต่ก็จำเรื่องราวไม่ค่อยได้แล้ว 555

สวัสดีปีใหม่นะคะ ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
กำลังจะมีทายาทตัวน้อยๆแล้วใช่ไหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 17 : 31/12/2018 P.3
« ตอบ #69 เมื่อ: 01-01-2019 09:20:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
18
ลอบปลงพระชนม์
☼ ☽

“หรือว่าเราจะผิดหวังกันจริงๆแล้วสินะ”  องค์เหนือหัวแห่งสิหราชนครานั้นเอ่ยอย่างสุดแสนเสียดายกับท่านหมอคนสนิท หลังจากทราบเรื่องที่แอบไปตรวจสอบมา


ศศิไม่ได้ท้อง


เด็กคนนั้นไม่มีสัญญาณว่ากำลังมีครรภ์ ทั้งอาการพื้นฐานที่หลายๆคนเผชิญ หรือแม้แต่สัญญาณชีพของบุตรในท้องก็ไม่มีให้ได้ยิน ทว่าการตรวจคร่าวๆนี้ไม่อาจจะชี้ชัด เพราะมันก็มีจุดที่แปลกๆอยู่หลายๆจุด โดยเฉพาะสัญญาณชีพของศศิเองก็ไม่มีให้ได้ยินเช่นกัน แต่เสียงเต้นของหัวใจหรือลมหายใจก็ยังคงปกติ


“เราอาจจะ…ไม่ได้อุ้มหลานในเร็วๆนี้”  โอกาสที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะตั้งท้องนั้นต่ำนัก พระองค์เองก็ไม่ควรคาดหวังแต่แรก ที่มาของศศิก็ไม่มีใครรู้เขาอาจจะไม่ได้มาจากจันทราปราการจริงๆ เรื่องนี้ไม่มีใครยืนยันให้กันได้ แล้วเช่นนี้พระองค์จะไปตัดสินเอาเองได้อย่างไรในเมื่อทรงคาดหวังผิดๆมาแต่แรกแล้ว


“แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปดีละพะยะค่ะ”


“ก็คงต้องทำอย่างอื่นแทน”


“…”


“ตอนนี้คงต้องเลื่อนเรื่องทายาทของอคิราห์กับศศิไว้ก่อน เราอาจจะต้องสรรหาคนอื่นหรือพูดคุยกับเจ้าตัวเขาให้รับทราบไว้บ้างแต่เราจำเป็นต้องจัดการพวกก่อกบฏให้เด็ดขาดไปด้วย”  เพราะไม่สามารถอ้างเรื่องการมีทายาทขององค์รัชทายาทได้ พระองค์ก็อาจจะต้องครองบัลลังก์ต่อไปอีกสักพักและคงไม่อาจจะโน้มน้าวคนโดยการอ้างว่าทายาทขององค์ชายอคิราห์กับศศิเป็นเด็กที่เทพเจ้าประทานมาได้อีก จึงอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกว่านี้ แต่จะอย่างไรก็ต้องให้องค์รัชทายาทมีลูกให้ได้


ไม่เช่นนั้นสิหราชวงศ์ก็คงถึงคราวล่มสลายแล้ว


☼ ☽


“เห็นเจ้ามีความสุข ข้าก็ดีใจ”


“รู้ได้อย่างไรว่าข้ามีความสุข”


“เจ้าดูมีน้ำมีนวลขึ้น กอดเต็มมือไปหมดเช่นนี้ข้าคงไม่ได้กล่าวหาเกินเลย”  ทรงทำให้ศศิรู้สึกอายด้วยวาจาและแววตา ก็เพราะไม่ได้ทำอะไรเลยเล่า กินและนอนอย่างเดียวแบบนั้นจะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร!


“ข้ายอมรับว่าอ้วนขึ้น งั้นคงต้องขออนุญาตลุกจากเตียงแล้ว”  แล้วก็น้อยใจเก่งด้วย โชคดีที่ทรงง้องอนเก่งเหมือนกันเลยกอดก่ายไว้ไม่ให้ลุกไปไหน พระองค์ไม่ได้มีเวลามาก กลับมาก็ฟ้ามืดแล้ว จะได้กอดหอมให้ชื่นใจหน่อยก็เวลานี้เท่านั้น เป็นเวลาสั้นๆที่มีค่าต่อพระทัยเหลือเกิน


“อ้วนข้าก็รัก” ทรงซุกพระพักต์ที่ตรงแผ่นหลังของคนขี้งอนพลางลูบท้องของอีกฝ่ายเล่น การหยอกล้อแบบนี้ ทำให้ศศินึกขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง ก็รู้อยู่หรอกว่าเดี๋ยวนี้เริ่มลงพุงน่ะ!


“ท่านไม่มีวันชอบข้าที่ดูอัปลักษณ์ได้หรอก”  เช่นนั้นศศิจะพยายามกู้คืนหุ่นดีๆของตนต่อจากนี้ อคิราห์ที่ทราบได้ว่าไปจี้จุดอีกคนเข้าแล้วจึงสวมกอดให้แน่นขึ้น สูดดมกลิ่นหอมจากลำคอระหงก่อนจะปลอบประโลมด้วยคำหวาน


“เจ้าจะอ้วนกว่านี้สักนิดก็ไม่เป็นไรหรอก น่ารักดี”


“….”


“หรือจะอ้วนมากอีกนิดก็ได้หากเจ้าจะมีความสุขและยิ้มให้ข้า”  ทรงจับให้ศศิพลิกมาหา และมอบจูบอันแผ่วเบาให้ไป ทว่าคนที่ทำอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงพูดจริงๆกลับลุกหนีมานั่งเอาหลังพิงหัวเตียง นี่ใจคอจะไม่เชื่อใจกันเลยหรือ?


ทรงมอบจุมพิตเบาๆบนหน้าท้องที่พระองค์เคยเอ่ยแซวให้อีกคนคิดมาก ตรงไหนที่ศศิไม่มั่นใจก็จะไล่จูบมันให้หมด ปานรูปจันทร์เสี้ยวที่เริ่มจางหายนั่นเหมือนกัน พระองค์จะจูบจนกว่าอีกคนจะมั่นใจว่านอกจากศศิแล้วพระองค์ไม่มีใครอื่นที่คิดว่างดงามได้เท่าจริงๆ


“ท่านไม่ต้องปลอบข้าถึงเพียงนี้ก็ได้” 


“ตัวของเจ้านั้นอบอุ่นเหลือเกิน ไม่ว่าจะในสภาพไหน ข้าก็มั่นใจว่าจะกอดเจ้าได้อุ่นแบบนี้”


“…”


“เช่นนี้แล้วเหมือนเรากำลังมีลูกด้วยกันเลย”  แม้จะเป็นคำเอ่ยแซวหยอกล้อทว่าก็ทรงยังจุมพิตที่หน้าท้องนั่นอยู่ดี ด้วยเพราะไม่สามารถมีบุตรธิดาของตัวเองกับศศิดิได้ และในอนาคตจะต้องได้เจอกับความกดดันแบบไหน ในตอนนี้พระองค์ยังไม่พร้อมและไม่อยากจะคิดถึงมัน ในภวังค์อันแสนสงบสุขนี่อยากให้มีเพียงแค่เราและเราไปก่อนเท่านั้น


แม้ไม่อาจจะทำให้สบายใจหรือปล่อยวางได้ทั้งหมด ก็ถือว่าประสบความสำเร็จที่จะทำให้ศศิผู้คิดมากไม่หุนหันทำอะไรที่ไม่ดีต่อร่างกาย หลังจากวันนั้นก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจอีกทว่าก็ยังชอบกอดจูบร่างนุ่มนิ่มนั้นอยู่ดี ด้วยเพราะวุ่นวายอยู่กับการทำการบางอย่าง ทุ่มเทเสียจนดูซูบโทรมอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่คิดจะหยุดยั้ง เมื่อกลับมาพบคนงามก็เรียกร้องกำลังใจจากกันโดยไม่คิดหยุดหย่อน


“ท่านไม่ควรหักโหมงานนัก ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างเถิด”  เสียงแห่งความเป็นห่วงเป็นใยนั้นคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ทำให้พระองค์ตื่นเต็มตา เพียงแค่ตื่นมาเห็นใบหน้าก็รู้สึกเป็นสุขราวอยู่บนสวงสวรรค์


“ข้าก็ได้พักผ่อน”


“แต่มันไม่มีเพียงพอ ท่านไม่เคยได้มีวันหยุดพักผ่อนเลย”


“บางอย่างหากไม่เร่งมือก็อาจจะพลาดได้”  ศศิก็เข้าใจและในสถานการณ์ที่ไว้วางใจใครไม่ได้เลยเช่นนี้ พระองค์จึงลงมือทำนั่นนี่เองเกือบทั้งหมด “แล้วไหนใครกันที่ไม่ค่อยสบาย”  ทรงถามกลับด้วยเสียงนุ่ม จ้องมองใบหน้าของคนที่มีไข้อ่อนๆตั้งแต่เมื่อคืนวานจนกระทั่งวันนี้ แม้แต่ท่านหมอคนเก่งก็อ่อนแอได้เช่นกัน


“เดี๋ยวข้าก็หายแล้ว”


“พักผ่อนเยอะๆเถิด เจ้าไม่ต้องลุกมาต้มยาบำรุงให้ข้าหรอก เดี๋ยวจะให้ท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์มาดูคนเก่งเสียหน่อย พักเยอะๆ ข้ากลับมาเจ้าต้องหาย”  ทรงฝากฝังทุกอย่างไว้เสร็จสรรพจนคนป่วยเอ่ยแย้งอะไรไม่ได้อีก ศศิได้แต่พยักหน้า งดการต้มยาบำรุงให้กับคนรักในวันนี้เพราะต้องบำรุงตัวเองโดยการพักผ่อนให้หายดี เพราะเรานอนข้างกันแบบนี้ไม่แคล้วเขาจะติดไข้ด้วย


ในส่วนขององค์รัชทายาท ด้วยทรงคาดหวังให้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับตัวพระองค์และราชวงศ์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น แม้ไม่อาจจะริดลอนอำนาจของอีกฝ่ายมาได้ทั้งหมดในทันที แต่พระองค์ก็ไล่ตามทันทุกแผนการที่พวกนั้นต้องการจะทำ ดังนั้นทุกย่างก้าวจึงจะช้าไม่ได้เพราะโอกาสอาจจะไม่กลับมาเป็นครั้งที่สอง


การเข้าหารือกันในวันนี้ที่ทุกฝ่ายเข้าร่วมนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายจนไม่น่าจะจบลงโดยงดงาม ฝั่งราชวงศ์เก่ากำลังร้อนรนกับการถูกไล่ต้อนจนแตกฮือกันอยู่ตรงนี้ การควบคุมให้การประชุมเป็นไปในทิศทางที่เอื้อเฟื้อกันทุกฝ่ายนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีใครคิดที่จะหยุดยั้งความต้องการของตัวเอง


กระทั่งมื้อกลางวันก็ไม่ได้มีใครได้แตะ จนกระทั่งขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นลมเป็นแล้งไปจึงต้องพักการประชุมไว้แค่นั้นก่อน เหล่าสมาชิกต่างพากันเดินออกไปจากท้องพระโรง องค์รัชทายาทเองก็เช่นกัน ด้วยคาดว่าหลังจากพักนี้สภาพคงไม่ต่างจากการพากันไปลงสนามศึกครั้งใหญ่จึงคิดจะจัดหาอะไรลงท้องไปเพื่อเสริมกำลังหลังจากนี้


“ธมล เจ้าช่วยจัดอะไรที่ทานง่ายๆแต่อยู่ได้นานให้ข้าที คาดว่าหลังจากนี้ข้าต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียแล้ว”  ทรงมีหลักฐานในมือที่สดร้อนๆซึ่งยังไม่ได้เผยออกมา เสวยให้อิ่มหนำสำราญแล้วได้มาประทับดูละครฉากใหญ่ที่เห็นคนดิ้นกันไปมาก็ดูไม่เลว นึกสำราญในพระทัยถึงตอนที่ทรงเปิดไพ่ตายออกมาเพื่อดูว่าเฮือกสุดท้ายคนพวกนั้นจะทำอะไร


รอไม่นานนัก สิ่งที่พระองค์รับสั่งก็ถูกจัดเตรียมและถูกนำมาวางพร้อม ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ตรงหน้า ก่อนที่กาน้ำชาที่ทรงคุ้นเคยจะถูกนำมาวางไว้ด้วยกัน ยังคงเป็นศศิที่ห่วงใยแม้พระองค์จะออกมาข้างนอกเช่นนี้


“นี่คงเป็นยาที่ศศิต้มให้” ด้วยเพราะคิดเช่นนั้นจึงรินใส่ถ้วยชาและยกขึ้นดื่ม ทั้งๆที่ห้ามปรามไว้แล้วว่าให้พักเยอะๆ นี่ดีขึ้นแล้วหรือไรถึงได้ลุกไปเดินเฮี้ยวแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามกำลังใจหนึ่งเดียวของพระองค์คือศศพินทุ์และการได้ดื่มกินสิ่งที่อีกคนเตรียมให้ก็เรียกขวัญกำลังใจเป็นอย่างดี


ทรงวางถ้วยชาลงก่อนจะหยิบอุปกรณ์สำหรับการรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่ช้ามาเป็นชั่วโมง ทว่าจับมันไว้ไม่มั่นพอมันจึงร่วงล่นไปจากมือ…


“อคิราห์” 


“พะยะค่ะ”  ทรงตอบรับไปยังพระบิดาที่เรียกหา แต่ก็พบว่าภาพที่เห็นนั้นมันพร่าเลือนและไม่ว่าพระองค์จะหยิบช้อนขึ้นมากี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่อาจจะกำมันไว้แน่นๆได้


นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะ?


“ตามหมอหลวง!”  เสียงดังอึกทึกอยู่รอบกายทว่าพระองค์กลับไม่รับรู้อะไรเลยเพราะร่างทั้งร่างได้ล้มลงไปกับพื้นเสียแล้ว สติก็เริ่มพร่าเลือน ทุกอย่างดูไม่เป็นรูปเป็นร่างในหัว แต่ก่อนที่สติจะดับลงไปนั้น


เสียงเรียกชื่อศศิยังคงดังก้องวนเวียน


☼ ☽


“แจ้งยกเลิกการประชุมและไปตามศศิมาที่นี่!”  พระสุรเสียงดังก้องนั้นทำให้คนรับคำสั่งถึงกับสะดุ้งไปพร้อมๆกัน หลังจากที่อคิราห์นั้นล้มลงไป อาจารย์หมอคนสนิทที่ถูกตามก็รีบเข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ ตอนนี้ก็ยังอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดและยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับพระอาการ เหล่าองค์รักษ์ในห้องนั้นมองหน้ากันด้วยไม่มีใครรู้ว่าศศิเป็นใครยกเว้นธมลที่เป็นคนสนิทของพระองค์ชายเอง และสาเหตุที่บุคคลลึกลับผู้นั้นถูกเรียก


ก็คงไม่พ้นกาน้ำชาอันนั้น


การสืบสวนได้ถูกดำเนินขึ้นแล้ว อาหารเครื่องดื่มและภาชนะต่างๆถูกยึดไว้เพื่อตรวจหาหลักฐาน การสืบสวนผู้เกี่ยวข้องนั้นก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จากคำกล่าวขององค์รัชทายาทที่ทรงเสวยมันลงไป คาดเดาได้ว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของคนรักของพระองค์เอง…ดังนั้นเราจึงต้องรีบพาตัวมาให้เร็วที่สุด!


ใช้เวลาไม่นานเหล่าองครักษ์ขององค์เหนือหัวก็มาถึงตำหนักชลสินทุ์ขององค์รัชทายาท ศศิที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นคนมากมายเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางของพวกเขาดูขึงขังเจือมาดร้าย ในขณะที่ยังงงงวยอยู่นั้น ธมลได้ปรากฏตัวขึ้นแต่นั่นก็ไม่ทำให้โล่งใจได้เลย


“ท่านหมอ”  เขาไม่ได้ทำความเคารพหรือยิ้มให้อย่างที่เคย 


“มีอะไรหรือท่านธมล” 


“เกรงว่าเราต้องพาท่านไปพบองค์เหนือหัวเดี๋ยวนี้”


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาก็รู้ดีว่าศศิไม่ควรออกไปไหน


“มีเหตุที่ยังบอกไม่ได้ให้เชิญท่านไป”  ธมลพูดด้วยน้ำเสียงเครียด “หากไม่ยอมติดตามไปแต่โดยดี ข้าเกรงว่าพวกเขาเหล่านี้มีอำนาจจะขู่บังคับ”  และนั่นเท่ากับศศิเลือกอะไรไม่ได้เลย


มีแต่ต้องไปและไปเท่านั้น


ในใจก็คิดไปถึงอคิราห์ผู้เป็นคนรักขึ้นมา ในยามนี้ตนถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าองครักษ์ขององค์เหนือหัวที่เหมือนจะไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปไหนได้ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมศศิถึงได้ออกไปจากที่นี่โดยไร้ซึ่งการบอกกล่าวของเขา หากจะต้องจากไปแล้วเหตุไฉนถึงถูกเรียกไปพบที่พระตำหนักประจำพระองค์ แม้เคยคิดว่าอยากจะมีอิสระเดินไปไหนมาไหนได้ แต่มันไม่ควรจะเป็นในลักษณะนี้


ลักษณะที่เหมือนถูกลิดรอนความมีอิสระราวๆกับถูกคุมขังอยู่แบบนี้


ศศิถูกพามาที่ห้องๆหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรที่คลายความสงสัยได้ทว่าในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่อาจจะคิดดีๆได้แล้วเช่นกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วมันเกี่ยวข้องกับศศิอย่างไร เพราะในสถานที่แห่งนี้ศศิไม่เห็นความเกี่ยวข้องกับใครที่ไหนนอกจากองค์เหนือหัวและท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์


และองค์ชายอคิราห์…


“พี่อาทิตย์”  แล้วความคิดของตนก็เข้าสู่จุดที่แย่เสียยิ่งกว่า หากนานไปกว่านี้คงไม่อาจจะทนไหวได้อีกต่อไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาพอดี ความคิดที่ไปไกลของตนนั้นจึงถูกหยุดไว้แค่นั้น


แต่คนที่เข้ามาก็ไม่ใช่พี่อาทิตย์อยู่ดี…

   
“ฝ่าบาท”  เป็นองค์เหนือหัวแห่งสิหราชนคราที่มาพบศศิด้วยตัวเอง


“ศศิ วันนี้เจ้าทำอะไรอยู่ที่ไหน”


“ข้าพระองค์? เอ่อ ตั้งแต่เช้ามาวันนี้กระหม่อมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายจึงอยู่แต่ในห้อง…บรรทมขององค์รัชทายาท”  แม้อีกฝ่ายจะทราบดีในสถานะความสัมพันธ์ของศศิและอคิราห์ แต่จะให้พูดออกไปอย่างชัดเจนศศิก็ยังขัดเขิน


“เจ้าไม่ได้ออกไปไหน ทำอะไรเลยหรือวันนี้” 


“ข้าเพียงมีพบท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่มาช่วยตรวจดูอาการให้เพราะองค์รัชทายาทให้มา หลังจากนั้นเมื่อดีขึ้น กระหม่อมก็ไปทานอาหารและตั้งใจจะนอนเล่นในห้องหนังสือ”


“…”


“จนกระทั่ง…ถูกพามาที่นี่”


“เป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ”


“….”


“จงรออยู่ที่นี่ อย่าไปไหน” ว่าแล้วพระองค์ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังเพิ่มเติมและเสด็จออกไป


ทว่าการปรากฏตัวของผู้เป็นใหญ่กลับยิ่งตอกย้ำความคิดก่อนหน้าของตนให้ย่ำแย่ลงไปอีก การไม่ได้รับรู้อะไรซ้ำยังถูกขังไว้ที่นี่โดยมีคนเฝ้าที่ด้านนอกอย่างมิดชิดยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่มากขึ้น เมื่อเช้านี้ทุกอย่างยังดูหวานล้ำเช่นทุกวันอยู่เลยมันเกิดอะไรขึ้น


ความเงียบงันและความสับสนทำให้เวลาดูเหมือนจะยาวนานขึ้นในความรู้สึก ศศิไม่อาจรู้เลยว่านี่เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ในความรู้สึกของตนดูเหมือนว่ามันจะผ่านมาเป็นวันๆแล้วจริงๆ ทว่าความอึดอัดเหล่านั้นก็เหมือนจะถูกกำจัดออกไปเพราะประตูบานนั้นที่กั้นศศิออกจากความจริงได้เปิดออกมาแล้ว


พร้อมกับทิชากรที่อยู่ที่อีกด้านหนึ่งตรงนั้น


“ท่านน้า”  ศศิเปล่งเสียงเรียกก่อนจะเดินเข้าไปโผกอด ทิชากรที่มีใบหน้านิ่งมาตลอดจึงยอมลดท่าทีเย็นชาลงและกอดกลับหลานรักคงทรมานใจเจียนตาย ศศิในสภาพที่ดูหลงทางเช่นนี้ช่างน่าสงสาร แรงสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดยิ่งทำให้คนที่เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ยิ่งรู้สึกโกรธที่หลานรักถูกกระทำเช่นนี้จนทนไม่ไหว


“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องร้อง”


“ฮือ….ท่านน้า นี่มัน..นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจะปลอดภัย”  ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ศศิคาดหวังว่าจะได้ยิน สิ่งที่ตนอยากรู้…ดูจะมีเพียงแค่ว่าเขาคนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง


แต่ละย่างก้าวของศศินั้นช้าสิ้นดี และก็เป็นทิชากรเองที่ไม่อนุญาตให้ศศิไวไปกว่านี้ เมื่อเริ่มตั้งสติได้คนน้าก็ได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับหลานชายฟัง และไม่ทันได้หยุดยั้ง ศศิก็ออกเดินไปตามทางทั้งๆที่ไม่รู้ว่าตนได้รับอนุญาตให้พบได้หรือเปล่าหรือไม่แม้แต่จะสนใจสภาพของตัวเองในตอนนี้ ความเป็นห่วงและความหวาดกลัวนั้นเหมือนล้นจนทะลักออกมาจากใจแล้ว ศศิอยากเห็น…ว่าเขานั้นยังปลอดภัยดีอยู่


“ไม่ต้องห่วงไปหรอก เขาปลอดภัยแล้วจริงๆ”  แต่ยังไม่ฟื้น โชคยังดีที่แม้จะเป็นพิษร้ายแรง แต่ก็รับไปไม่มากและมีการล้างท้องที่รวดเร็ว ทิชากรนั้นวันนี้ติดสอยห้อยตามมากับอชิระด้วยหมายมั่นว่าจะมาพบหลานแต่กลับกลายเป็นว่าศศิถูกพาตัวไปคุมขังไว้เสียแล้ว


ด้วยเพราะอำนาจที่อชิระมีอยู่และการหาพยานหลักฐานให้ศศินั้นเริ่มขึ้นแล้วหลังจากได้รับฟังคำให้การในเบื้องต้นไป ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเจ้าตัวเล็กหรือไม่ที่ดันไม่สบายและได้รับการดูแลโดยท่านหมอที่เป็นที่ไว้ใจขององค์เหนือหัว อีกทั้งก็อยู่ในสายตาของนางกำนัลหลายคนตลอดเวลา เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ที่ตั้งใจโยนความผิดให้ศศินี้จึงถือเป็นไปไม่ได้


แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนร้ายตัวจริงอยู่ดี


“อะ…องค์รัชทายาทจะเป็นอะไรไหม”


“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าได้เข้าไปดูและให้คนไปจัดหาสมุนไพรที่ต้องการมาช่วยเตรียมการรักษาแล้ว พระองค์จะไม่เป็นอะไร” ทิชากรนั้นช่วยประคองร่างของหลานที่กำลังจะทรุด นอกจากเดินเร็วก็จะไม่ไหว ไข้ก็ขึ้น แล้วยังห่วงคนอื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ


“ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมต้องทำร้ายกันแบบนี้” นั่นสินะ….



มันไม่ถูกต้องแต่นี่คือสิ่งที่อคิราห์ต้องพบเจอและศศิต้องฝ่าฟัน


ทิชากรนั้นเฝ้าพร่ำสอนเจ้ากระต่ายน้อยเสมอมาว่าการเมืองและอำนาจนำมาซึ่งความโลภและความต้องการมากมาย แต่ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าต่างๆนั้นหลานจะฟังพอเข้าใจแต่ไม่เข้าถึงสักเท่าไหร่ เมื่อได้มาเจอกับมันซึ่งๆหน้าๆต่อให้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายอคิราห์ต้องเผชิญแต่ศศิก็ไม่เคยชิน เรื่องของชีวิตคนที่ตนรักต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจแค่ไหน เห็นความเป็นความตายมามากมายเพียงใด ก็ไม่ชินชาเสียที…


ศศพินทุ์ช่างน่าสงสาร แต่ทิชากรก็ไม่อาจจะยอมให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ได้เหมือนกัน!


ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ หลานชายผู้น่าสงสารก็ทรุดตัวลงที่ข้างๆแท่นบรรทม คนรักของศศิยังคงสลบไสลไม่รู้ตัว พระอาการของพระองค์นั้นปลอดภัยแล้วแต่ร่างกายก็ไม่ใช่จะปกตินัก และด้วยตามวิสัยแม้ทุกคนจะบอกว่าอคิราห์ไม่เป็นไร แต่ศศิก็ยังคงตรวจซ้ำ จนกระทั่งมั่นใจว่าสัญญาณชีพของเขายังมีอยู่จึงคลายกังวลขึ้นมาบ้างทว่าก็ยังไม่ยอมไปห่างกาย


“ตัวยาสำคัญจะมาพร้อมเมื่อไหร่”


“ภายในไม่กี่ชั่วโมงคงมาถึง”  ตอนนี้ก็ให้ม้าเร็ววิ่งไปที่คฤหาสน์ปิติชาญอยู่


“ถ้าทรงไม่ได้รับยาถอนภายในวันนี้อาการอาจจะทรุดหนักลงได้”


“เราจึงให้ม้าเร็วรีบไปจัดหามา มันไม่ใช่พืชที่หาง่ายในสิหราชนครา”  แม้แต่ตัวทิชากรเองก็มีมันอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ศศิเองก็มีติดมืออยู่จำนวนไม่เยอะ อาจจะพอสำหรับใช้วันนี้แต่พรุ่งนี้และมะรืนคงไม่พอ ทว่าคนตัวเล็กได้ตัดสินใจแล้ว


แม้จะแค่วันเดียว ศศิก็จะยื้อชีวิตของเขาให้ได้


“นั่นเจ้าจะไปไหน”  ทิชากรขมวดคิ้ว เมื่อเห็นหลานชายที่ไม่ค่อยจะสบายดีในวันนี้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก็พลันเป็นห่วง


“ข้าพอจะมีว่านหางเงินอยู่บ้าง จะรีบไปเอามา”


“งั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนไปเอา”


“ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าเก็บอะไรไว้ที่ไหน ให้ข้าไปเถิด”


“ก็ได้ศศิ แต่เจ้าอย่ารีบเร่งจนเกินไป”


“แต่ถ้าชักช้า…”


“ศศิ!”


“….”


“ข้าบอกกับเจ้าว่าให้ค่อยๆเดิน เจ้าไม่สบายหากเป็นอะไรไปอีกคนจะลำบาก”  มันก็จริงอย่างที่ทิชากรพูด สุขภาพของศศิที่หมายมั่นปั้นมือจะฉุดรั้งอคิราห์กลับมาจากหน้าประตูยมโลกก็สำคัญ เมื่อมองจ้องเข้าไปในแววตาของน้าที่พ่วงตำแหน่งอาจารย์ก็พบว่าท่านจริงจังกับคำขอนี้มาก ตอนนี้ต่อให้อยากจะวิ่งแค่ไหน ศศิก็คงต้องค่อยๆเดินไป ทว่าเป็นโชคดีที่ธมลเข้ามา จึงได้ฝากฝังให้เขาไปหยิบทุกอย่างที่ศศิเก็บไว้ในห้องหนังสือมาที่นี่


มือเล็กของศศิยังคงจับพระหัตถ์ที่ไม่ขยับเขยื้อนนั้นอย่างคงมั่น ดวงตาของศศิแม้จะคลอหยาดน้ำและพร้อมที่จะปลดปล่อยหยาดหยดลงมา ทว่าก็ไร้เสียงสะอื้น ดวงตาคู่นั้นแทบไม่กระพริบเพราะกลัวว่าเพียงเสี้ยววินาทีเขาจะหายไปจากตรงหน้า อคิราห์ยังคงนิ่งอยู่ มันช่างน่าใจหาย


ทิชากรที่มั่นใจได้ว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดศศิออกจากบ่วงแห่งรักนี้ก็คงไม่มีวันสำเร็จจึงได้แต่ถอนหายใจ ที่ตนไม่อยากจะห้ามแต่แรกเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจของเด็กที่เลี้ยงมากับมือ และเพราะคิดว่ามันคงไม่จีรังยั่งยืนเลยยินยอมทำเป็นหลับหูหลับตาไปบ้าง แต่มาถึงขั้นนี้ที่อะไรๆก็เกินเลยจนไม่อาจจะควบคุมได้ก็อาจจะต้องทำใจยอมปล่อยไป


“อคิราห์จะไม่เป็นอะไรนะศศิ ที่นี่มีหมอที่ดีที่สุดถึงสามคนอยู่ข้างๆเขา ไม่มีนักล่าความตายที่ไหนกล้ามาพรากเขาไปจากเจ้าหรอก” อชิระพูดให้กำลังใจ  และสามคนที่ว่านั้นก็คือท่านอาจารย์หมอวัชรินทร์ ทิชากร รวมถึงตัวศศิตรงนี้ เมื่อฟังเช่นนั้นเจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผ่อนออกมา มั่นใจหน่อยสิ เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่ไปพรากความตายออกจากผู้ชายคนนี้แต่แรก มาถึงขั้นนี้จะยอมแพ้แล้วหรือ ไม่ได้หรอก ศศิจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเขาได้ซ้ำๆ


“หากสมุนไพรมาแล้ว ข้าจะออกไปจัดเตรียม เจ้าจะไปด้วยหรือจะอยู่ที่นี่”  ทิชากรเอ่ยถาม แต่ก็พอจะรู้คำตอบในใจของเด็กน้อยดี


“ข้าจะอยู่ รบกวนท่านด้วย”


“ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปกับท่านเพื่อการศึกษาได้หรือไม่”  เป็นอาจารย์หมอวัชรินทร์ที่เสนอตัว ซึ่งทิชากรไม่ได้ขัดข้องอยู่แล้ว จริงๆตนก็พอจะรู้จักท่านหมอท่านนี้มาก่อน ศศิเองก็เคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ การได้แลกเปลี่ยนศาสตร์ทางการแพทย์ที่ถูกคิดค้นโดยแต่ละท้องถิ่นนั้นก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น แต่พวกเขาจำต้องให้ความสนใจที่งานสำคัญนี้ก่อนเพราะมันอาจจะหักอกของศศิเป็นสองท่อนได้เลย


“ท่านธมลมาแล้วขอรับ ตอนนี้กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์การปรุงยาโดยคณะแพทย์ผู้ช่วย”  องครักษ์นายหนึ่งได้เข้ามาแจ้งข่าว ทิชากรไม่รอช้าเดินออกไปทันทีและวัชรินทร์ก็ตามไปติดๆ ในห้องบรรทมเก่าของอคิราห์นี้จึงเหลือเพียงแค่เจ้าตัวที่นอนนิ่ง ศศพินทุ์ที่ไม่ยอมห่างกาย อชิระที่ค่อนข้างเป็นกังวล และองค์เหนือหัวที่ไม่พูดอะไรกับใคร


แต่ภายในใจกลับเก็บเอาไว้เป็นร้อยเป็นหมื่นคำ


TALK
เห็นมีนักอ่านบอกว่าเรื่องคุ้นๆเหมือนเคยอ่านที่ไหน555
อันนี้เราคิดว่าเพราะพลอตองค์รัชทายาทบาดเจ็บและนายเอกมาช่วยรักษา อุปสรรคฐานันดรอะไรแบบนี้คงมีอยู่อีก
อย่างน้อยก็เรื่องหนึ่งล่ะ เราเคยแต่งเองเป็นฟิคชั่น5555 แต่อาจจะมีที่ท่านอื่นแต่งอีก (ซึ่งเราคิดว่าคงมี)
ทั้งนี้บางส่วนของเรื่องอาจจะคล้ายแต่ตัวเนื้อเรื่องทั้งหมดเราคิดขึ้นเองใหม่และพิมพ์ใหม่ทั้งหมดค่ะ
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หายไปนาน นั่นก็เอาไว้ไปตบตีกับเรื่องนี้นั้นแหละค่ะ ลบแก้หลายรอบ ยากมากๆ
ไม่สามารถแต่งและลงไปแบบเจนไม่นกจริงๆ._. เพราะเรื่องนี้มีปมหลายๆอย่างที่ยากกว่า(ฟู่วววว)
จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ยาก แต่เรามันอ่อนด้อยเอง แงงงงงงงงงงงงงง555
เราหยิบยกเรื่องนี้มาพูดไม่ได้จะแก้ตัวหรือรู้สึกไม่ดีนะคะ
แค่อยากจะบอกไว้เพื่อความสบายใจของตัวเองและคนอ่าน
เรื่องนี้ยังคิดว่าจะลงทุกวันอยู่ ยังไงถ้าติดขัดจะมาบอกอีกทีนะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ
@reallyuri #อาทิตย์ศศิ





























ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เหม็นความรัก!
----------------
เพิ่งเห็นว่ามีตอนใหม่แล้ว เมื่อเช้าอ่านจบละสลบเลยมาคอมเม้น

ทีหลัง  ว่าแต่ฝีมือใครร พ่อเองหรือองครักษ์นั่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2019 16:12:54 โดย Noname_memi »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ใครวางยาอีกแล้วเนี่ยยยย
แต่เดาว่าตอนนี้ศศิท้องแล้วแน่ๆ เลย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ท่านน้าห้ามศศิเดินเร็วแบบนี้แสดงว่าศศิท้องแล้วใช่ไหม พี่อาทิตย์ก็โดนวางยาบ่อยเหลือเกิน

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โดนวางยาอีกแล้ว TT
ต้องกินยาต้านพิษอีกกี่ตัววว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
19
เรื่องที่ศศิไม่รู้
☼ ☽


ในความฝัน ทรงได้ยินเสียงจากคนๆหนึ่ง ที่บอกว่าพระองค์จำต้องตื่นขึ้นมาให้ได้
 ‘ตื่นเถิด อย่าให้...รอนานกว่านี้เลย’


และจากการพักผ่อนอันยาวนานในความรู้สึกบางคน ในที่สุดเจ้าชายนิทราก็ได้ลืมตากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ชั่วขณะแรกพระองค์เพียงแค่คิดว่าตนนั้นคงหลับไปเฉยๆ แต่ที่ข้างกายกลับไม่มีคนตัวนิ่มนอนอยู่ข้างๆ อคิราห์ยังคงมึนงงเกินกว่าจะระบุสถานการณ์ต่างๆรอบตัว ทรงแค่ทอดพระเนตรไปยังด้านหน้า ประสานโลกที่แยกออกจากกันให้รวมกันเป็นภาพเดียว ก่อนที่จะขยับปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย


“พี่อาทิตย์!”  และสาเหตุที่ศศิไม่ได้นอนข้างๆนั่นก็เพราะเจ้าตัวนั่งอยู่กับพื้นและซบหน้าลงกับฟูกตียง ไม่ได้หลับหรอก กำลังสังเกตอาการเป็นระยะ


“ศะ…ศิ”  พระสุรเสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบพร่า คนรักของพระองค์นั้นทราบได้ทันทีว่าอะไรคือสิ่งที่ทรงต้องการเป็นอย่างแรก ศศิรินน้ำจากในเหยือกที่ได้รับการตรวจสอบมาแล้วว่าปลอดพิษใส่แก้ว ก่อนจะช่วยให้พระองค์ได้จิบน้ำอย่างไม่ลำบากในสภาพที่ยังคงเอนตัวนอนอยู่อย่างนี้


อคิราห์นั้นกลับมานอนหงายอยู่เหมือนเดิม พระองค์รู้สึกครั่นเนื้อตัวไปหมด จึงทราบได้ว่าไม่ค่อยสบาย แต่เมื่อพิศดีๆก็ได้เห็นว่าคนที่มาเฝ้านั้นมีสภาพที่ไม่ค่อยจะเหมือนทุกวันเท่าไหร่ จะว่างามก็งามอยู่…


แต่ดูหม่นหมองกว่าทุกวัน…


“ใครทำเจ้าร้องไห้กัน”  ทรงเอ่ยถามโดยหารู้ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นคือพระองค์เอง


เจ้าของร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้นนั้นยิ้มหวานให้ทว่ามันก็ยังมีแววเหน็ดเหนื่อยอยู่ดี พระหัตถ์หนานั้นยื่นไปสัมผัสแก้มใสอย่างแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง มือเล็กของศศิจึงทาบทับมันไว้ด้วยหมายจะรับรู้ถึงความอบอุ่นที่พระองค์มี หลายต่อหลายครั้งแล้วที่ศศิมีหน้าที่ยื้อชีวิตของพระองค์ไว้และหลายต่อหลายครั้งที่หัวใจตนก็เหมือนจะตามไปทุกหนแห่ง


“ท่านตื่นแล้ว ข้าดีใจนัก”  หยาดน้ำที่คลออยู่นั้นเกินจะเก็บกัก ศศิยอมปล่อยมันออกมาด้วยทนความตื้นตันต่อไปนี้ไม่ไหว และเป็นเจ้าของมือที่ยังสัมผัสแก้มกันอยู่นั้นที่เกลี่ยให้ แม้จะอ่อนแรงและไร้คำพูดแต่การกระทำนั้นแสดงออกได้มากมาย ยิ่งใหญ่ ราวหยาดฝนที่มาชโลมหัวใจอันเหือดแห้ง ศศิรักไปหมดแล้วจริงๆ และคงจะรักมากๆเสียด้วย


หลังจากนั้น เหล่าอาจารย์หมอทั้งสองก็เข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้ช่วย องค์ชายอคิราห์เพิ่งรู้สึกได้ว่าพระองค์ไม่ได้อยู่ที่ตำหนักของตัวเอง และท่าทางของศศิที่แสดงออกก็ดูจะเหินห่างอยู่นิดๆ คาดว่าเพราะการแสดงออกอย่างใกล้ชิดจะทำให้ ‘คนนอก’ เหล่านี้ครหานินทา ที่นอนเฝ้ากันทั้งคืนนั่นก็อาจจะใช้สิทธิ์ของการเป็นหมอ หาใช่การเป็นคนรักของพระองค์ไม่


“อาการดีขึ้นแต่ยังต้องทำการรักษาและให้ยาอย่างต่อเนื่อง”  นี่คือข้อสรุปของทิชากร และวัชรินทร์เองก็เห็นตามนั้น ศศิเพียงพยักหน้าและก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับใครอีก


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


“ทรงไม่ทราบเรื่องเลยหรือ”


“เรายังคงมึนงงอยู่มาก”


“….”


“จำได้แค่ว่าทานยาจากศศิ…”


“เป็นเรื่องเข้าใจผิดพะยะค่ะ นั่นไม่ใช่ที่ศศิต้ม”


“….”


“แต่เป็นคนที่หมายจะปลงพระชนม์พระองค์โดยใช้ยาพิษร้ายแรงต่างหาก”  และนั่นทำให้พระองค์ต้องหันไปมองศศิที่อยู่ด้านหลังทุกคน คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น พระองค์ทรงเชื่อหมดใจว่าไม่ใช่ศศิหรอกแต่ไม่รู้เจ้าตัวรู้สึกเช่นไรอยู่


“ทางเราสืบสวนแล้ว ศศิไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”  วัชรินทร์อธิบายเพิ่มเติม ด้วยกลัวว่าอคิราห์จะเข้าใจผิดในตัวของคนรัก บรรยากาศรอบด้านดูไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่


“พวกเจ้าทำเสียมารยาทอะไรกับศศพินทุ์หรือเปล่า”  ทว่าคำถามที่ติดน้ำเสียงเย็นชานั้นกลับทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบ ศศิรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพระเนตรคมคู่นั้นที่มองทุกคนอย่างเอาเรื่อง ร่างบางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธออกไปทว่าน้ำเสียงของผู้มีอำนาจที่สุดก็ดังขึ้น


“เป็นพ่อเองที่เป็นคนให้ไปพาศศิมาสอบสวนที่นี่”   องค์เหนือหัวสิหราชนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวในสิ่งที่ลูกชายสงสัยที่สุด ไม่มีใครโต้แย้งอะไรใดๆอีกเพราะพากันเงียบปากและทำความเคารพ ส่วนคนป่วยก็ก้มหัวลง


“หากจะโทษก็เป็นความผิดของลูกเองที่เลินเล่อ” แค่เพียงเห็นกาน้ำชาที่เหมือนกันก็พาลคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ศศิส่งมาให้ บทจะตาย พระองค์ก็รนหาที่ตายได้ง่ายดายเหลือเกิน


“นั่นเป็นความผิดของเจ้าจริง แต่การสอบสวนก็เป็นระเบียบที่ต้องทำ”


“…”


“แม้ใจเจ้าจะไม่อยากให้ศศิออกจากตำหนักแค่ไหนก็ตาม”


“เข้าใจแล้วพะยะค่ะ”


“เราขอคุยกับองค์รัชทายาทสักประเดี๋ยว ขอทุกคนออกไปรอข้างนอก”  น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเมื่อครู่ถูกเปลี่ยนโทนให้ดูอ่อนโยนขึ้น เหล่าผู้ติดตาม อาจารย์หมอ และตัวศศิจึงพากันออกไปข้างนอกตามคำสั่ง


ในยามนี้เหลือเพียงคนสองคนสนทนากันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


“แม้เจ้าจะไว้ใจศศิ แต่ให้รู้ไว้ว่านอกจากเจ้าก็ไม่มีใครรู้จักศศิอีก ไม่แปลกหากเขาจะระแวง ‘คนที่ไม่เป็นที่รู้จัก’ หรอกนะ”


“พะยะค่ะ”


“อคิราห์ พ่อเกรงว่าการที่เจ้าซ่อนศศิไว้คงจะไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว หากใช้กาใบนั้นเพราะรู้ว่าเจ้าจะไว้ใจ แสดงว่าอาจจะมีคนระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับคนที่ถูกซ่อนไว้แล้ว เป็นไปได้ว่าคนในตำหนักอาจจะเอาเรื่องออกไปบอก แม้การวางแผนจะมีความเสี่ยงแต่พวกเขาเหมือนหมาจนตรอกในยามนี้ จึงทำทุกอย่างดูว่าจะมีทางไหนที่ทำให้เจ้าตายได้บ้าง”


“…”


“จงระวังตัวไว้ด้วย เจ้าจับจุดอ่อนพวกเขาได้ ก็ดูเหมือนคนอื่นจะระแคะระคายถึงจุดอ่อนของเจ้าแล้ว”


“กระหม่อมจะระวัง”


“และอีกอย่าง พ่อเกรงว่าเจ้าจะปิดแม่เรื่องศศิไม่ได้อีกแล้ว”


“…”


“พระนางคงลุกมาทำอะไรสักอย่างแล้วเป็นแน่ เจ้าลูกชาย”  ตัวตนของศศิ แม้จะโกหกว่าเป็นแค่หมอคนหนึ่งแค่ไหน ตอนนี้ก็คงยากที่จะเชื่อได้แล้ว แล้วอคิราห์ควรทำเช่นไรในเมื่อซ่อนในที่มืดก็ไม่ได้ผลอีกต่อไป


จะพาออกมาในที่สว่างก็สุดแสนจะอันตราย


☼ ☽


“ใจคอจะไม่พักผ่อนหน่อยเลยหรือ”


“หลานคงนอนไม่หลับ”  แม้ทิชากรจะพูดด้วยความเป็นห่วงทว่าเจ้าของใบหน้าอิดโรยก็ยังคงยืนยัน จะให้ศศิไปทำอะไรก็ได้แต่ขอให้อยู่รอบๆนี้ คอยดูว่าเขาจะไม่ไปไหนไกลจากใจของกันอีก


“ศศิ เจ้ายังไม่ได้พักผ่อนเลย คงจะดีกว่าหากได้หลับสักครู่”  วัชรินทร์เองก็เห็นด้วย ทว่าแม้เจ้ากระต่ายจอมดื้อจะเม้มปากไม่ตอบอะไรแต่ผู้ใหญ่ทั้งคู่ก็รับรู้ว่าศศิไม่ฟัง


“หากเจ้าเป็นห่วง วันนี้ข้าจะเฝ้าเขาเอง” ทิชากรเอ่ยเสนอ


“ท่านอาจารย์…”


“เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็หลับไม่ลงหรอก” 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังไหว”


“ศศิ!”


“ศศิ ข้าเองก็เห็นด้วยกับทิชากรว่าเจ้าควรไปพักผ่อน”  วัชรินทร์เอ่ยซ้ำ


“….”


“บางทีตัวเจ้า อาจจะต้องได้รับการดูแลมากกว่าที่เจ้าคิดก็เป็นได้”  เป็นคำพูดของวัชรินทร์ที่ศศิไม่เข้าใจหากแต่ทิชากรนั้นเข้าใจดีทว่าก็ไม่ได้อยากได้ยินที่สุด คนที่เป็นทั้งอาจารย์และญาติของตัวปัญหานั้นเม้มปากเป็นเส้นตรงพิจารณาเจ้าของประโยคนั้นอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาให้กันบางๆ


“ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรถึงจะหลับลงได้”  หากไม่มีเขาอยู่ข้างกาย เกรงว่าศศิจะไม่สามารถนอนคนเดียวได้ในยามที่ขวัญเสียแบบนี้  ฝันร้ายคงบุกโจมตีในทันทีที่หลับตาลง และเมื่อระแวดระวังอยู่แบบนี้มีหรือจะหลับได้ลง


“คงอยากจะมั่นใจจริงๆว่าอคิราห์จะไม่เป็นไรใช่ไหม”  แต่แล้วเสียงผู้มาใหม่ก็ทำให้การโต้เถียงหยุดลง เหล่าผู้คนที่ยังหาทางออกให้กับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ต่างพากันถอยร่นและทำความเคารพโดยพร้อมเพียง องค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งกับพระโอรสเสร็จแล้วจึงออกมา เห็นกระต่ายน้อยของเจ้าลูกชายกำลังยืนกรานท่าเดียวแบบนี้ก็นึกเอ็นดูปนสงสาร เมื่อพระองค์ปักใจว่าศศิไม่อาจจะมีลูกให้กับอคิราห์ได้ก็พยายามทำใจว่าอาจจะไม่ได้เด็กคนนี้มาเป็นสะใภ้เอก ดังนั้นความรู้สึกที่มีให้ในตอนนี้คือทั้งสงสารและเอ็นดู เพราะอย่างไรศศิก็แสดงออกชัดเจนถึงความจงรักในตัวอคิราห์


“กระหม่อมยังไหว ขอแค่เพียงองค์รัชทายาทปลอดภัยจริงๆก็ขอให้กระหม่อมเฝ้าเถิด”


“ท่านอาจารย์ทั้งสอง ลูกชายของเรานั้นอาการหนักถึงขั้นที่ต้องเฝ้ายามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาเลยหรือ”


“เอ่อ จริงๆกระหม่อมเห็นควรว่าไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นแต่อย่างไรหากมีคนคอยดูแลใกล้ชิดก็คงจะดีกว่า”


“ถ้าไม่ถึงขนาดที่ต้องถ่างตาดูว่าเขาจะตายไปเงียบๆตลอดเวลาแบบนั้นแล้วล่ะก็ งั้นศศิเจ้าไปนอนเถิด”


“…”


“ข้างๆอคิราห์ยังว่าง เขาคงอยากให้เจ้าไปเติมเต็มตรงนั้น หวังว่าท่านอาจารย์หมอทิชากรคงไม่ขัดข้อง คนที่นี่ไม่ปากมากหรอก เราเองก็ไม่ได้ยินดีที่ลูกชายของเราทำไม่ถูกต้องเท่าไหร่แต่มันก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว”


“กระหม่อมอนุญาตพะยะค่ะ”  สิ้นคำขององค์เหนือหัว ทิชากรที่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่จำต้องเก็บความในใจไว้ ก่อนที่จะยอมพยักหน้า กีดกันไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา อย่างน้อยแบบนี้ก็ทำให้คนที่กำลังอ่อนแอสบายใจกว่าจริงๆนั่นแล


เพราะร่างกายและความต้องการของศศิ… อยู่เหนือสิ่งอื่นใดจริงๆ


ในที่สุดศศิก็ได้กลับเข้ามาหาคนที่ตนรัก ซึ่งก็ทรงเฝ้ารอให้เจ้าตัวกลับมาหาอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเราอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนในห้องนี้ก็เปรียบเหมือนทั้งโลกมีแค่เราเท่านั้น เจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์เดินเข้าไปหาและนั่งลงที่ข้างเตียง เอียงคอมองพระพักต์หล่อเหลานั้นก่อนจะยกพระหัตถ์มาแนบแก้มใส อมยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขด้วยเพราะแค่เห็นว่าเขาปลอดภัย ช่างไม่มีอะไรจะทำให้สุขกว่านี้ได้


“พวกเขาทำรุนแรงกับเจ้าหรือทำให้ใจหายไปบ้างหรือไม่”


“ไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจหายหรือกลัวเกินไปกว่าการที่ท่านล้มไปแล้ว”  ศศิแทบไม่คิดถึงความหยาบคายที่ถูกกระทำนั้นเลยหรือจริงๆพวกเขาก็แค่ให้ศศิมาที่นี่ ไม่ได้มีโอกาสบังคับเพราะตนก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด


“หากไม่พอใจเจ้าก็ควรบอกมา ข้าจะได้ไปพูดให้”


“ช่างมันเถิด”


“…”


“ทำไมพวกนั้นช่างใจร้าย…ทำกับพี่อาทิตย์ของศศิได้อย่างไร” จะมีก็เพียงเรื่องเดียวที่ค้างคาอยู่ในหัวใจและเมื่อทนไม่ไหวก็เริ่มที่จะร่ำไห้ออกมา สงสารคนที่เจ็บป่วยอยู่ตอนนี้ปานขาดใจ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะชีวิตโดยระแวงไปตลอดชีวิต


“พี่อาทิตย์ของเจ้างั้นหรือ ตอนนี้ข้าชักจะโกรธพวกนั้นไม่ลงแล้วสิ เป็นเจ้าโกรธแทนให้หมดแล้ว”  ช่างเล่นไม่รู้จักเป็นเวล่ำเวลาเสียจริงๆ แต่ศศิก็ตีกันไม่ลง ไม่รู้ว่าภายในพระวรกายจะระบมไปมากเท่าไหร่แล้ว


อคิราห์นั้นมีความต้องการที่จะพักผ่อนต่อ แม้จะตื่นขึ้นมา แต่นั่นก็เพื่อให้บางคนเบาใจว่าทรงไม่เป็นไรจริงๆ ทว่าคนป่วยคือคนป่วยและคนป่วยจำต้องหลับตาลงเพื่อพาตนเองกลับไปสู่นิทรา ทรงเรียกอีกคนที่เฝ้าดูแลกันเป็นวันๆให้ขึ้นมานอนที่ข้างๆ จะให้พระองค์หลับใหลอย่างสงบได้อย่างไรหากไม่ได้กอดเจ้าของแก้มหอมนี่


เดิมทีศศิก็ต่อต้านด้วยว่าที่นี่ไม่ใช่ตำหนักขององค์รัชทายาทแต่คำอ้อนวอนของพระองค์ก็ทำให้ตนยอมไปหมดทุกอย่าง ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นความต้องการของศศพินทุ์เองที่หมายจะอยู่ในอ้อมกอดนี้ให้นานที่สุด จนคิดว่าคำว่า ‘ตลอดไป’ อาจจะเป็นคำที่เหมาะเจาะสำหรับการกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการจะใกล้ชิด แต่จริงๆแล้วคำนี้ช่างเป็นคำขอที่ยากเกินกว่าฟ้าดินจะให้กันได้


เพราะรักของเรามีอุปสรรคมาขวางกั้นเสมอ…


☼ ☽


ในขณะที่คนหนึ่งกำลังพักผ่อนหลังจากที่ไม่ได้หลับไม่นอน อีกสองคนก็กำลังพูดคุยกันหรือจะให้เรียกให้ถูกก็คือคนหนึ่งกำลังสั่งให้อีกคนทำตามมากกว่า


“ข้าต้องการพูดคุยกับหลานข้าสองต่อสอง”


“ก็ดูไม่ใช่เรื่องยากอะไร”  ก็ที่อยากคุยด้วยก็หลานตัวเองไหมเล่า จะไปยากอะไรก็แค่ไปเรียกมา


“ข้าอยากให้ท่านเป็นคนดูแลองค์ชายอคิราห์ให้ในระหว่างที่คุยกับหลานตัวเอง”


“ก็ให้ท่านวัชรินทร์มาดูแลสิ”  นั่นแลปัญหาใหญ่ คนรู้มากแบบนั้นทิชากรไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวขอร้องสักเท่าไหร่เพราะจะเป็นที่สงสัยได้ ดังนั้นถ้าให้เลือกคนขี้สงสัยอย่างอชิระจึงรับมือง่ายกว่าเพราะแค่เพียงมองด้วยแววตาดุๆ เจ้าตัวก็ไม่เซ้าซี้อะไรแล้ว


เช่นอย่างนี้เป็นต้น…


“เข้าใจแล้วเจ้าไม่ต้องมองกันปานจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนี้แล้วก็ได้ แต่ถ้าอยากกินข้าก็จะให้ ว่าอย่างไรเล่า”  อชิระที่รู้ทันกันเสมอจึงยิ้มออกมาและไม่ได้ถามซอกแซกอีก ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งสิหราชนครานั้นรู้จักทิชากรดี หลายสิบปีมาแล้วที่อยู่ด้วยกัน เราสองแม้ไม่เคยพูดให้ชัดเจน แต่เวลาพิสูจน์ความเป็นคู่ชีวิตได้ดี


แต่อะไรคือเรื่องสำคัญที่ทิชากรมั่นหมายจะพูดคุยกับหลานของตนเล่า เรื่องนี้แม้คู่ชีวิตอย่างอชิระเองก็ไม่อาจจะบอกได้ คนรักของเขานอกจากจะไม่ยอมรับในความลึกซึ้งของเราแล้วก็ยังเก็บงำความลับมากมายเกี่ยวกับตนเองไว้อยู่เยอะ ที่อชิระยังคงตามใจมาถึงวันนี้ก็เพราะหลงใหลในตัวอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกเห็น แถมตกหลุมเสน่ห์ที่อีกฝ่ายทำไว้เรื่อยมาจนมองข้ามเรื่องต่างๆที่อาจจะสำคัญ เพียงแค่คำมั่นที่ว่าจะไม่ทำร้ายสิหราชนคราหรือราชวงศ์เท่านั้นที่ทิชากรมอบให้อย่างจริงจัง เรื่องอื่นนั้นที่เกี่ยวข้องกับอดีตของอีกคน อชิระก็เลือกที่จะเฉยเมยทั้งสิ้น


“ข้าเพียงแค่อยากคุยกับหลานเรื่องความปลอดภัยของตัวเขาเอง”  และทิชากรก็ยอมหลุดออกมาบ้าง กับคนนอกอาณาจักร อชิระควรจะระแวดระวังเข้าไว้ แต่อย่างไรก็ได้เชื่อใจไปหมดแล้ว เรียกว่ายอมไปหมดทุกอย่างจะปอกลอกกันเท่าไหร่ก็ย่อมได้จริงๆ


หลังจากคิดว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ทิชากรก็เข้าไปดูอาการขององค์รัชทายาทด้วยตนเอง ทั้งสองคนตื่นแล้วและกำลังพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นคนที่เข้ามาศศิก็ยิ้มอย่างเขินอายหลบตาจากการถูกจ้องมองก่อนจะผละออกมายืนให้ห่างในระดับหนึ่ง ทิชากรนั้นเข้าตรวจอาการ วันนี้ทางสะดวก วัชรินทร์เหมือนจะไม่อยู่จึงควรจะรีบกันศศิออกมาพูดคุยให้รู้เรื่อง


“อาการทรงฟื้นฟูขึ้นมาก แต่ยังคงต้องพักอย่างนี้ไปอีกสองวัน”  ทิชากรให้บทสรุป ก่อนจะน้อมรับคำขอบคุณจากองค์รัชทายาท ในส่วนของศศิที่มองห่างๆคอยสังเกตตามเงียบๆ จนกระทั่งถวายการรักษาจนเสร็จสิ้นท่านอาจารย์หมอก็ไม่รอช้า หันมามองกันด้วยสายตาที่ลูกศิษย์สายตรงเข้าใจได้ว่ามีเรื่องที่ต้องคุยด้วย เดี๋ยวนี้!


“เดี๋ยวข้าเฝ้าเอง”  อชิระที่ตามเข้ามานั้นพูดสมทบ อาการของอคิราห์แม้จะบอกว่าดีขึ้นมากๆแต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะอาจจะมีอาการแทรกซ้อนกะทันหันในอีกสองวันนี้ก็เป็นได้ แม้เจ้าตัวคนป่วยจะยังคงไม่เข้าใจอะไรแต่เห็นศศิหันมายิ้มให้ก่อนจะตามทิชากรออกไปก็ทรงต้องจำยอมโดยไม่ได้มีโอกาสถามคำถามใดๆ ทว่าเมื่อหันไปหาท่านอาที่เป็นคนเดียวที่พอจะตอบคำถามได้ อชิระก็ทำเพียงส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


เมื่อคิดว่าเจอมุมที่ปลอดคนที่สุดแล้ว ทิชากรก็หันมาหาศศิที่หยุดเดินและยืนเงียบๆ ท่าทางยอมคนนั้นไว้ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว บทเจ้ากระต่ายน้อยจะดื้อ ก็ดื้อเงียบร้ายๆให้ต้องถอนหายใจยาวมากจริงๆ


“เจ้ารู้ว่าน้าจะเรียกมาคุยเรื่องสำคัญ”  แต่เป็นเรื่องใดนั้นศศิไม่รู้เลย แม้จะสงสัยบางอย่างอยู่บ้าง แต่เรื่องบางเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่ควรจะเป็นไปได้จริงๆ


“ท่านน้าทิชากรมีอะไรกับศศิหรือ”


“เกี่ยวกับสุขภาพของเจ้า”


“…”


“คงจะพอรู้แล้วสินะว่ามันผิดปกติ” 


“หลานก็พยายามดูแลตัวเองอยู่”


“แล้วทราบไหมว่าเป็นโรคอะไร”


“ก็อาจจะแค่แพ้อาหารหรือไม่ก็พักผ่อนน้อย”


“แล้วได้กินอะไรผิดสำแดงหรือพักผ่อนไม่เพียงพอบ้างไหม”


“…”


“เจ้าควรจะรู้ดีกว่าใคร และไม่ควรหลอกตัวเอง”


“หลานเองก็จนปัญญานัก บางทีการศึกษาที่หลานร่ำเรียนมามันอาจจะยังไม่พอ”


“หรือไม่ภูเขาแห่งความรู้ก็บังตาเจ้าอยู่”


“…”


“ทราบหรือไม่ว่าเพราะร่างกายของเจ้าไม่เหมือนบุรุษทั่วไปและทำไมเราถึงต้องจากบ้านเมืองมา” ศศินั้นไม่อาจจะต่อล้อต่อเถียงอะไรได้อีกเลย เพราะข้อมูลตรงนี้ก็ไม่เคยรับทราบมาก่อนและไม่ค่อยได้ไถ่ถาม


ถึงที่มาจุดกำเนิดของตนนัก…


“อย่าตกใจ จงควบคุมสติไว้”  ทิชากรเอ่ยเตือนก่อนจะพูดความจริงออกมา “เจ้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ” และคำตอบของโรคปริศนาที่ตนกำลังเผชิญ


ก็เหมือนสายฟ้าฟาดที่กลางใจ…


“…”  แม้จะนิ่งเงียบ แต่เสียงมากมายกำลังก้องดังอยู่ในหัว มากมายจนทะลักออกมาในรูปแบบน้ำตาที่ตีค่าว่ามันคือความปิติหรือเสียใจไม่ได้เลย


“ศศิ…”  ทิชากรที่เห็นความสับสนของหลานรักตรงหน้าก็เข้าโผกอด ศศิไม่เคยรู้ว่าร่างกายของตนพิเศษจึงไม่อาจจะรับได้ในคราแรกที่ได้ยิน  แต่ไม่ใช่ว่าศศิจะพาลรังเกียจเจ้าก้อนกลมที่อยู่ในท้องหรอก เพียงแค่ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะยอมรับทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามา และนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดที่จะต้องรับฟัง


ทิชากรเริ่มเล่าให้เจ้ากระต่ายที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรา หลายคนอาจจะคาดเดากันไปว่าเหล่าผู้อพยพจากคีรีธารากลุ่มนี้คือผู้สืบเชื้อสายจันทราปราการแต่ตราบใดที่หัวหน้าตระกูลคนล่าสุดไม่เอ่ยปากยอมรับ ก็ไม่มีใครรู้ชัดว่าใช่หรือไม่ใช่ และแน่นอนแม้จะถูกทรมานเจียนขาดใจทิชากรก็จะไม่พูด


ว่าตัวเองนี่แลที่เป็นหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันของจันทราปราการ!


“เราจำต้องปกป้องทั้งเจ้าและคนอื่นๆในตระกูลจึงต้องพากันหนีมาถึงที่นี่”


“เพราะข้าหรอกหรือ คนอื่นๆถึงต้องมาลำบากแบบนี้”  ศศิจ้องมองออกไปยังเบื้องหน้าแต่แววตาช่างไร้จุดหมาย ในตอนยังเล็ก ศศิยังจำได้ถึงความลำบากของทุกคน แต่เมื่อตนบอกว่าหิวก็มักจะมีของกินมาวางอยู่ตรงหน้าเสมอ ความสงสัยที่ว่าอะไรทำให้คนอื่นยอมเสียสละเพื่อตนขนาดนั้นวันนี้เพิ่งกระจ่างชัด


เพราะศศิคือทายาทที่สืบเชื้อสายตรงของจันทราปราการ


“พวกเราเต็มใจทำเพื่อเจ้า อย่าคิดไปเองว่านั่นคือเหตุผลที่เราเสียสละมาถึงทุกวันนี้ คีรีธาราในยามนั้นวุ่นวายนัก ตั้งแต่ก่อนเจ้าเกิดจันทราปราการก็เริ่มที่จะวางมือกับการเมืองและหันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คนแล้ว แต่พวกคีรีเขตไม่เคยไว้ใจเราเลย”  และพอศศิเกิด คำทำนายบ้าบอนั่นก็ยิ่งทำให้คีรีเขตระแวงเข้าไปใหญ่จึงคุกคามกันจนต้องหนีออกมา ที่หนีไม่ทันก็ยังมี หลบซ่อนตัวสร้างรากฐานมั่นที่แผ่นดินเกิดแต่อยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแน่ชัด


ก็จริงอยู่ที่ว่าคำทำนายบอกกล่าวว่าศศิคือเด็กที่เทพประทานมาให้ถือกำเนิดในท้องของพี่สาวคนกลางของทิชากร ทว่าหลังจากเกิดไม่นาน ทิพย์วารีผู้เป็นแม่ของศศินั้นก็ได้จากพวกเราไป ส่วนคนรักของพี่สาวก็ถูกพวกคีรีเขตฆ่าตาย ตัวของทารกน้อยจึงกลายเป็นสิทธิ์ขาดของทิชากรที่จะต้องโอบอุ้มเลี้ยงดู สถานการณ์การเมืองภายในยิ่งเลวร้าย จันทราปราการอยู่ในอันตรายเกินกว่าจะรับมือได้ ทิชากรในวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปีจึงจำต้องแบกรับตำแหน่งนายใหญ่แห่งจันทราปราการและพาคนในตระกูลรวมถึงข้ารับใช้หนีมา


“คำทำนายนั่น มันบ้าบอไปหมด”  เพียงเพราะคำทำนายนั่นจึงทำให้ชีวิตตนและคนอื่นๆพลิกผันมาถึงตรงนี้ ศศิไม่ใช่คนแรกที่เป็นบุรุษประหลาดมีครรภ์ได้เหมือนสตรี ทว่าครรภ์นี้แม้จะมีคำทำนายรับรองมากมาย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ทิชากรยอมมอบศศิให้กับใคร จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หาได้เหมาะสมเพราะมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าใครที่คู่ควร


และก็ดูเหมือนว่าศศิจะได้เลือกแล้วถึงคนและหนทางที่นำไปสู่ปัญหา


“ข้าถึงอยากให้เจ้าดูแลตัวเองให้มากกว่านี้”  เพราะศศิไม่ได้อยู่คนเดียว ในนั้นมีครรภ์สำคัญที่พลิกฟ้าดินได้อย่างนั้นหรือ ไม่…ในนี้มีคนสำคัญอยู่


แค่เป็นลูกของตัวเองกับคนที่รัก…แค่นี้เขาก็สำคัญกับศศิที่สุดแล้ว


“ลูกหรือ”  ในภาวะที่ยังสับสนกับเรื่องราวทั้งหมด ศศิทำเพียงลูบท้องที่ยังไม่ได้ใหญ่โตของตนออกมา ทิชากรรับทราบมาสักพักแล้วและพยายามช่วยปกปิดอย่างเต็มความสามารถ ทั้งจัดหาสมุนไพรบำรุงครรภ์และแม้แต่สมุนไพรที่ใช้ซ่อนอาการเพื่อไม่ให้ใครจับได้


“ศศิ จงฟังข้าให้ดี” 


“….”


“จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ชายและเจ้าในช่วงนี้คงจะเห็นแล้วว่ามันไม่ปลอดภัย”  และคำสุดท้ายที่หลุดจากปากทิชากรก็ทำให้ศศพินทุ์เริ่มคิดถึงอะไรบางอย่าง หากในร่างกายของตนกำลังมีอีกคนอยู่ นั่นเท่ากับว่าหน้าที่ของตนได้ถูกเพิ่มขึ้นมาแล้ว นอกจากปกป้องตัวเอง ดูแลอคิราห์ ศศิยังต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่กำลังอยู่ในนี้


“ข้า…”


“ข้าอยากให้เจ้าไปจากที่นี่”  ศศพินทุ์อาจจะเคยยอมอยู่กับอคิราห์เพราะความรักที่ล้นอก


แต่ความรัก ก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ศศิต้องจำยอมจากเช่นกัน

TALK
ลงต่อไม่รอแล้วนะ วันนี้ใครเปิดแล้วบ้างงงงง เรายังไม่เปิด อิอิ
ตอนนี้จะได้เห็นปมใหญ่ของเรื่องแล้วใช่ไหมคะ อดใจรอกันสักนิด ถ้าลงทุกวันยังไงเรื่องนี้ก็จบในเดือนนี้
แต่เราไม่น่าลงทุกวันได้นะ คาดว่าเราคงต้องปั่นโอทีตั้งแต่ต้นเดือนแต่จะรีบตามมาค่ะ
ศศิกับองค์ชายหวานกันมามากแล้วตอนนี้เรามาตั้งน้ำต้มมาม่ากัน ยังไม่ได้จุดไฟเด้อ แต่ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม555
ฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ ไว้ในอ้อมใจ คิดเห็นยังไงมาบอกกันให้รู้หน่อยน้า
TWITTER @reallyuri























ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไม่หนีนะน้องงงงงง

ออฟไลน์ aurusma

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
ไม่เอานะ ให้พี่เขารู้ด้วยนะว่าเขามีลูกอ่ะะะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ☼ ☽ Finding the twilight (mpreg warning*) ตอนที่ 19 : 2/1/2019 P.3
« ตอบ #79 เมื่อ: 02-01-2019 15:47:13 »





ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
20
เรื่องที่ศศิต้องตัดสินใจ
☼ ☽


“สาเหตุที่ข้าอยากให้ห่างกันออกมา เพราะอันตรายยังคงมีเรื่อยๆ”


“…”


“และเจ้ากำลังจะมีลูกจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่สมควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในของที่นี่เลยแม้แต่น้อย” ทิชากรก็ยังเป็นทิชากร แต่มีข้อหนึ่งที่เราเห็นพ้องคือความสำคัญของเด็กน้อยที่อยู่ในท้องของศศิ เขาจำต้องได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ใช่เพราะเขาอาจจะได้เป็นรัชทายาทคนต่อไปของสิหราชนครา แต่เขาเป็นลูกของศศิเอง


“ท่านน้า…ท่านไม่โกรธที่ข้าชิงสุกก่อนห่ามใช่ไหม” 


“มาถึงขั้นนี้ข้าก็ไม่ได้โกรธหรอก”  ทิชากรไม่ใช่คนหัวโบราณขนาดที่จะมาผิดหวังในตัวหลานได้ เขาเองก็มีสถานการณ์ที่เหมือนจะถูกพรหมลิขิตเล่นตลกอยู่บ้างเหมือนกัน จึงเข้าใจดีว่าคนรักกันอยู่ใกล้กันมันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพลั้งเผลอใจ และคาดเดาได้ว่าศศิอาจจะตั้งครรภ์แต่ที่ปล่อยทั้งคู่ไว้แบบนี้โดยไม่แม้แต่จะกล่าวตักเตือน นั่นก็เพราะมันไม่อาจจะห้ามไม่ให้พวกเขาตกหลุมรักกันได้แต่แรกอยู่แล้วต่างหาก!


“ในตอนนั้นข้าคิดว่าถูก…วางยาปลุกกำหนัด”  แม้ใจของศศิก็ยอมเป็นของเขาทั้งหมดแล้วแต่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่ไม่รู้ที่มาก็น่าสงสัย


“คงเป็นใครสักคนที่อยากให้เจ้ามีลูกกับอคิราห์ ถ้าให้ข้าเดาคงจะเป็นวัชรินทร์” คำพูดของคนๆนั้นก็น่าสงสัยไม่น้อย ทิชากรจึงเชื่อสนิทใจ ส่วนศศิก็ไม่ได้ต่างกันมาก ยังจำได้ว่าตนถูกตรวจร่างกายเช่นกัน และเพราะมีความรู้ทางการแพทย์ ทุกอย่างที่วัชรินทร์ทำนั้นดูชัดเจนจริงๆ…เขาพยายามตรวจหาว่าศศิท้องอยู่หรือเปล่า


นี่พวกเขาอยากให้ศศิมีลูกกับองค์รัชทายาทเพราะคำทำนายงั้นหรือ!


ความรู้สึกของศศินั้นดูจะผิดหวังไม่น้อย เพียงเพราะความสำคัญแบบนั้นหรือไง หากไม่ได้รักชอบอยู่กับอคิราห์ พวกเขาก็ยังจะหักหาญน้ำใจกันหรือ ที่ผ่านมาที่เคยให้ความสนิทสนมไว้ใจไปทั้งหมด พวกเขากำลังเห็นกันเป็นตัวอะไรอยู่?!


“ในตอนนั้นที่เจ้าเกิด จันทราปราการได้รับจดหมายและเชิญพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าเยอะมากๆ ใครๆก็อยากเกี่ยวดองกับเจ้าเพื่อส่งเสริมฐานะในอนาคต” 


“ข้าดูไม่ต่างอะไรจากสิ่งของเสริมโชคเลย” ศศิยิ้มอย่างนึกสมเพช


“พวกเราเองก็ไม่อยากให้เจ้ามีชีวิตแบบนั้นจึงได้เลือกหนีมาและปฏิเสธทุกคำขอไป แต่จะมีอยู่คำขอหนึ่งที่ดูจะดื้อเพ่งไปเสียหน่อย”


“…”


“ศศิ…ทางคีรีธาราก็เคยเทียบเคียงขอเจ้าให้หมั้นหมายกับองค์ชายรัชทายาทของทางนั้นเช่นกัน” และแม้จันทราปราการจะปฏิเสธเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังดื้อเพ่งอยู่ และสาเหตุที่ไม่สามารถส่งคนมาช่วยจากคุกคามโดยคีรีเขตนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะอยากจะบีบให้จันทราปราการยินยอมมอบศศิให้แต่โดยดี ซึ่งแน่นอนว่าทิชากรไม่ทำและเลือกจะหนีตายเอาดาบหน้าเช่นนี้


แต่ในตอนนี้ที่นึกกลัวนั้นคืออนาคตของคู่รักอาทิตย์กับดวงจันทร์ไม่น้อย หากพวกเขาโชคดีได้ครองคู่และคีรีราชสกุลเป็นฝ่ายชนะศึกภายในแล้วล่ะก็ ความรักระหว่างอคิราห์กับศศิ…อาจจะส่งผลทางการเมืองก็เป็นได้


เพราะเราไม่รู้เลยว่าพวกเขาตัดใจจากเด็กน้อยศศพินทุ์คนนั้นหรือยัง


ข้อมูลที่ได้รับฟังมา ศศิยังไม่อาจจะกลั่นกรองได้อย่างแน่วแน่ มันซับซ้อนและรายละเอียดให้นึกถึงก็เยอะเกินไป ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น การที่มานั่งคิดมากมายมันไม่ใช่เรื่องดีกับคนท้องเลย แม้ศศิจะเคยเห็นการทำคลอดมามากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ตนรู้สึกหวาดกลัวมาก่อน ทว่าบางอย่างที่อยู่ข้างในก็เหมือนจะปลอบโยนกันไม่ให้กลัวเกรงไปมากกว่าที่เป็นอยู่


ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป อชิระที่ยืนอยู่ก็ขอตัวจากลา ทิ้งไว้เพียงปัญหาใหญ่หนึ่งเดียวที่แสนหวานที่สุดในหัวใจของศศินี้เอาไว้ ความรักช่างหวานหอมและอันตรายเพียงใด ตอนนี้ก็ได้รับรู้ชัดเจนแล้ว กับคนๆนี้คนที่ยิ้มให้กันแม้สีหน้าจะไม่สู้ดีนัก


“ข้าคิดถึงเจ้า” ทั้งๆที่ไปไม่นานเลยแต่ก็คิดถึงเสียแล้วหรือ เพียงคำออดอ้อนของชายคนหนึ่งคนนี้ อะไรๆที่สุมอยู่ในหัวของศศิก็พลันหายไปหมดทิ้งไว้เพียงแค่ควันจางๆ


“ข้าก็คิดถึง”  ไม่บ่อยนักที่ท่านหมอน้อยจะตอบกลับเช่นนี้และไม่บ่อยเลยกลับการโผเข้าไปกอดกัน


“เป็นอะไรหรือ ไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า”  คาดว่าอาจจะโดนทิชากรเรียกไปดุ ทรงคิดเช่นนั้นแต่มันไม่ใกล้เคียงเท่าไหร่ ทว่าศศิไม่ได้ตอบกลับว่าไม่สบายใจเพราะเหตุใด จึงทรงทำได้แค่ลูบหลังให้เบาๆเป็นการปลอบโยน


ศศิเพียงแค่คิดว่าในความวุ่นวายตั้งมากมายนี้ หากตัดทุกปัญหาเกี่ยวกับชาติกำเนิดแล้วเหลือแค่การมีลูก ลูกของศศิช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเขาเป็นพ่อ อคิราห์ใจดีกับศศิขนาดนี้ เขาอาจจะชอบเด็กและสัตว์ตัวเล็กๆ ถ้าเราเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพันธะหน้าที่ต่อใครหรืออะไร บางทีเราอาจจะเหมาะกับบ้านหลังน้อย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์และช่วยกันดูแลลูก หากเป็นลูกชาย เขาคงพาไปซนด้วยกันตามประสา ถ้าเป็นลูกสาวก็อาจจะประคบประหงมมากจนต้องดุว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่จินตนาการของศศิทั้งนั้น


“รู้สึกเพลียบ้างหรือเปล่า”  ศศิถาม


“นิดนึง”  อคิราห์ตอบ และเราก็นอนกอดกันแบบนั้น ไม่มีใครได้มองหน้าใคร ทว่าไออุ่นที่ส่งถึงกายได้ถูกนำพาไปถึงหัวใจช่วงเวลาแบบนี้ต้องรีบเก็บเกี่ยวเอาไว้ เพราะสุดท้ายแล้วศศิอาจจะจำต้องไปจริงๆ ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว…ก็คงต้องไป แต่อย่างไรตอนนี้ก็ยังไปไหนไม่ได้


จนกว่าเราจะแน่ใจได้ว่าพระองค์ชายผู้เป็นที่รักนี่จะปลอดภัย

☼ ☽


ทรงฟื้นตัวได้ไวราวปาฏิหาริย์


อาจจะเพราะได้รับการรักษาที่ดีและรวดเร็ว เรื่องนี้คงทำให้คนที่ทำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเครียดแค้นอยู่มากแต่ศศิก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดเป็นเรื่องใหญ่ ความกังวลโดยหลักของตนเห็นเพียงจะมีแค่สุขภาพของคนรักและคนที่กำลังจะมาเป็นที่รักในเร็วๆนี้


จนกระทั่งองค์รัชทายาทแข็งแรงดีแล้ว แต่ศศิก็ยังไม่ได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดเรื่องย้ายออกไป…


แม้ทิชากรจะเตือน และแม้ศศิจะหวั่นระแวงตาม แต่กระนั้นเรื่องที่ตนเก็บงำไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้ฟังได้ จนถึงตอนนี้ศศิก็ยังไม่ได้พูดออกไปด้วยคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน เชื่อได้ว่าถึงแม้จะทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าศศพินทุ์ไม่ใช่ผู้ชายปกติทั่วไป องค์ชายรัชทายาทผู้รักกันมากมายก็คงรักลูกของเราเป็นแน่ แต่ว่าทำอย่างไรเขาถึงจะยอมเชื่อใจกันเช่นนั้น


ทั้งสถานการณ์ภายในที่ไม่มั่นคง การแสวงหาอำนาจทางการเมือง ความปลอดภัยต่างๆ ศศินั้นต่อให้รักพระองค์เพียงไหน จิตวิญญาณความเป็นจันทราปราการก็เรียกร้องไม่ให้ตนเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของราชวงศ์แห่งสิงหราชนคราในตอนนี้ ครอบครัวเราหนีจากคีรีธารามาไกลก็ย่อมไม่อยากจะมาพบเจอปัญหาเดิมๆซ้ำๆให้คนอื่นที่ตามกันมาต้องลำบากไปด้วย ศศิอาจจะรักอคิราห์มาก แต่ความจริงที่ตนได้พบเจอเมื่อไม่นานมานี้ยิ่งตอกย้ำถึงจุดยืนของศศิที่ข้างกายของเขา ไม่ว่าจะเป็นใหญ่หรือเป็นน้อย ศศิก็ไม่อยากเป็นทั้งนั้นที่เห็นว่าอยากจะเป็นก็มีเพียงแค่ ‘เป็นที่รัก’ เท่านั้น


“ใยถึงทำหน้าเครียดเช่นนี้  มึนหัวอีกแล้วหรือ”  เมื่อพระวรกายแข็งแรงแล้วพระองค์ก็ริเริ่มทำบางอย่างในทันทีด้วยแค้นพระทัยยิ่ง ทรงเร่งสอบสวนคดีลอบปลงพระชนม์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มานึกดูแล้วศศิช่างโชคดีที่มีคนรักที่ดวงแข็งเช่นนี้


“เดี๋ยวนอนอีกสักพักคงจะดีขึ้นเอง”


“อย่าหักโหมรู้ไหม เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ”


“…”


“เจ้ายังมีข้าอยู่ด้วยไง”  ทรงยังไม่รู้และไม่ได้สงสัย ว่าศศิกำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ทั้งในใจและกาย


ล่ำลากันเสร็จ ท่านหมอน้อยที่กลายมาเป็นคนป่วยเสียเองก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ดูท่าเจ้าตัวเล็กในท้องคงจะแสบใช่เล่น แม้จะไม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงแต่ก็เล่นเอามึนหัวได้ทุกวัน คนอื่นก็ตีความกันไปว่าเป็นเพราะความเครียด ส่วนตนเองนั้นแยกไม่ออกเลยว่านี่เครียดหรือแพ้ท้องกันแน่


ช่วงบ่ายๆที่แสนจะว่างเปล่าในตำหนักชลสินทุ์วันนี้มีทิชากรและอชิระมาช่วยเติมเต็ม ดูเหมือนว่าท่านน้าของตนก็ยังไม่ได้บอกท่านแม่ทัพเกี่ยวกับเรื่องของศศพินทุ์ ทิชากรเป็นคนรอบคอบซึ่งบางทีก็น่าจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของการเป็นคนขี้หวาดระแวง แต่เอาเถิด หลายสิบชีวิตจากจันทราปราการก็มีวันนี้ได้เพราะนิสัยจู้จี้แบบนี้ของทิชากรไม่ใช่หรือไร


“ข้าต้องกลับไปตรึงกำลังที่ชายแดนแล้ว”  อชิระนั้นพูด ศศิกำลังจะแสดงความตกใจ ทว่าทิชากรที่รู้อยู่แล้วนั้นเงียบเฉย


ราวกับว่ารู้แล้ว แต่แล้วไง?


“ใยไม่ไปกับข้า”


“ข้าจะอยู่กับหลาน”


“ศศิโตแล้ว อคิราห์ดูแลเขาได้ ใยต้องห่วงนักห่วงหนา”  ทว่าทิชากรไม่ตอบว่าเพราะอะไร และศศิก็ต้องทำปากให้หนักเข้าไว้เพราะดูแล้วเราอาจจะยังไม่ควรบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ทิชากรจำต้องระวังอย่างใกล้ชิดนี้


“ท่านก็โตแล้ว ใยถึงไปคนเดียวไม่ได้”


“เพราะเราไม่เคยห่างกันอย่างไร”


“งั้นก็ห่างเลยเสียแต่วันนี้”  คำพูดที่ดูจะใช้โทนเสียงปกติของทิชากรนั้นให้ศศิสะดุ้งโหยง เจ้าตัวจะรู้ไหมว่ากิริยานิ่งๆน้ำเสียงเย็นๆแบบนั้น พอพูดประโยคแบบนี้แล้วช่างร้ายกาจต่อใจเหลือเกิน รู้สึกสงสารอชิระเหลือเกิน แม้เพิ่งได้ทราบว่าทั้งสองผูกสัมพันธ์กันมานานก็ยิ่งสงสาร ถ้าอคิราห์พูดแบบนี้ใส่ตนบ้าง แรงที่จะยืนก็คงหายไปในบัดดลเช่นกัน


“หากจะแข็งกร้าว ข้าก็หวังให้เจ้ามีเหตุผลที่ดีกว่านี้”  และดูเหมือนอชิระก็ไม่ยอมเช่นกัน คนที่ดูจะอึดอัดที่สุดเห็นจะเป็นคนนอกที่มานั่งอยู่ไม่ไกลจากสองคนในนี้อย่างเจ้ากระต่ายน้อยที่ประสบการณ์รักยังอ่อนด้อยนัก


“ข้ามีเหตุผลที่คิดว่าดีพอ”


“…”


“แต่เกรงว่าจะเล่าให้ฟังไม่ได้”  คำพูดร้ายกาจนี้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของอชิระขาดผึง เขาทั้งยกย่องเชิดชูทิชากรเหนือใคร ทำเป็นหลับหูหลับตาเวลาที่อีกฝ่ายแอบทำอะไรลับหลังแต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะหักหน้ากันไปมากไปแล้ว เราเคยตกลงกันไว้ไม่ใช่หรือว่าหากยังไม่อาจจะส่งมอบหัวใจให้กันได้จริงๆก็จะยอมรับแต่โดยดี มีเพียงแค่คำขอเดียวเท่านั้น…


ที่ได้ขอไว้ว่าถ้าใจยังให้ไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้ไปห่างกาย…


“ทิชากร…ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะผิดคำพูดที่เคยสัญญาต่อกันไว้”


“…”


“แม้ข้าเองจะประกาศก้องว่าไม่อาจจะเป็นศัตรูกับคนที่รักแต่ความต้องการที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ก็รับไม่ได้เช่นกัน” 


“…”  ศศิที่มองอยู่นั้นรู้สึกได้ถึงความร้าวลึกในความรู้สึกของผู้พูด อชิระคงไม่อยากบอกความในใจหรือกล่าวตัดพ้อแบบนี้ต่อหน้าตนที่เป็นคนนอกหรอก แต่คงรู้สึกว่าทิชากรทำร้ายหัวใจกันมากเกินกว่าจะเก็บรอให้ไปปรับความเข้าใจกันในที่รโหฐานได้ หัวใจคน…มันก็มีเส้นแบ่งความอดทนเช่นกัน


“หรือถ้าเจ้าดึงดัน ก็ขอให้รู้ด้วยเถิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ข้าจะยอม”  แววตาของท่านอาจารย์หมอที่มักจะสุขุมนั้นวูบไหว แค่เพียงนิดเดียวแต่ผู้เป็นหลานสังเกตได้ ทิชากรนั้นเสียสละมากเกินไปจนแม้แต่หัวใจตัวเองก็อาจจะละทิ้งได้เพื่อจันทราปราการ คำตัดพ้อกล่าวหาของอชิระนั้นรุนแรงเหลือเกิน หากเขาเคยบอกกันไว้ว่าในเมื่อให้ใจไม่ได้ก็ขอให้อยู่ข้างกาย แล้วถ้าทิชากรไม่ได้ผิดคำพูดตรงไหนที่ขอไปให้ห่างกายในวันนี้


ก็เพราะ ‘ใจ’ ได้มอบให้ไปหมดแล้วอย่างไร…


“...”


“…”


“ท่านอชิระ ท่านน้า”  ศศิเรียก ในที่สุดคนที่ไม่อาจจะทนไหวได้ต่อไปก็คือคนนอกคนนี้ที่เก็บงำความลับของญาติผู้ใหญ่ของตน  “ได้โปรดอย่าทะเลาะกันเลย”


“ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดีนะศศิ”  เมื่อเห็นศศิที่กำลังล้มป่วยเอ่ยเตือน อชิระเองก็รู้สึกผิดที่ทำให้บรรยากาศดีๆเสียไป แม่ทัพใหญ่แห่งสิหราชนครานั้นยิ้มออกมาอย่างขมขื่นฝืนใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยไร้ซึ่งคำอธิบาย ความกะทันหันนี้เหมือนกระชากใจของใครบางคนอย่างแรงไปด้วย แต่ก่อนที่เขาจะไปไกลโดยไม่ได้รับคำตอบอะไรเป็นศศิที่แสดงความกล้าที่สุดออกไปโดยการรั้งเรียกไว้


“ท่านแม่ทัพพาท่านน้าของข้าไปด้วยเถิด”


“ศศิ!”  เป็นทิชากรที่กำลังจะหันมาต่อว่า


“น้าของเจ้าไม่อยากไป ก็อย่าได้ไปบังคับจิตใจเขาเลย”


“ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปหรอก” 


“….”


“แต่ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าเอง”   โดยไม่ได้ปรึกษากันก่อน จอมดื้อรั้นจึงชิงอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เกี่ยวกับอาการป่วยที่จำต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ


เพราะไม่มีหมอรอบตัวที่ไหน ที่มีความรู้เกี่ยวกับการทำคลอดให้บุรุษแห่งจันทราเช่นตน


“…”  แรกเริ่มเมื่ออชิระได้ยิน เขาเกือบจะยืนไม่ได้จนคิดว่านี่คือความฝันไปใช่หรือไม่ก่อนจะหันไปมองทางผู้ที่พยายามปกปิดเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่านอกจากทิชากรไม่ไว้ใจใคร ก็ยังไม่ไว้ใจเขาด้วย


“เรื่องของหัวใจและเรื่องของหน้าที่มันเป็นเรื่องยากที่จะเอื้อนเอ่ย จนถึงตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่อาจจะพูดให้บิดาของเด็กในท้องได้รับทราบ”  คนที่มีความรักย่อมเข้าใจความลึกซึ้งของความเจ็บปวดนี่ แม้ทิชากรจะยังคงนิ่งเงียบ แต่หลานชายก็ได้พูดแทนใจไปหมดแล้ว ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ก็มีคนที่มีความรู้สึกคล้ายคลึงกันอยู่ มือเล็กของคนท้องกุมมือน้าชายของตนเอาไว้ อยากจะส่งมอบความเข้มแข็งที่ตนก็ไม่ค่อยจะมีให้


อชิระอาจจะสงสัยหรือไม่รู้อะไรเลยถึงความรู้สึกของทิชากรผู้พูดน้อย คิดหรือว่าเขานั้นไม่สำคัญ หากไม่มีจันทราปราการหรือศศิซึ่งเป็นดั่งหน้าที่และความผูกพันก็เกรงว่าคงไม่มีใครสำคัญกับหัวใจได้เกินกว่าคนๆนี้ คนที่จะหลอกให้ลุ่มหลงก่อนจะวางยาฆ่าให้ตายและหนีมาก็ได้ ในเมื่อเขาไว้ใจกันจนละหลวมถึงเพียงนั้น


“เรื่องสำคัญเช่นนี้เจ้าจะไม่บอกอคิราห์ได้ลงคอหรือ”


“ข้ายังไม่อยากให้เขาต้องคิดถึงข้าเกินไปกว่าหน้าที่ และข้าก็ยังไม่แน่ใจ…”  แม้หน้าท้องของศศิจะยังไม่ได้ใหญ่โตแต่เมื่อสัมผัสเบาๆ หัวใจก็พลันอุ่นวาบ ราวกับว่าเด็กคนนี้คือแสงสว่างที่สำคัญกับชีวิตตนนัก จะก้าวไปทางไหน ก้าวกว้างเท่าไหร่ หากตัดสินใจผิดแม้แต่นิด ความสูญเสียที่มากมายก็อาจจะทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต


“เจ้าไม่อยากสร้างครอบครัวกับอคิราห์หรือ”


“อยากสิ…”


“...”


“แต่แค่ยังไม่มั่นใจว่าครอบครัวแบบไหนที่เราจะร่วมสร้างด้วยกันได้ก็เท่านั้น”


หวังว่าปัญหาของศศิจะช่วยชี้นำทางสว่างให้ผู้ใหญ่ปากแข็งทั้งสองที่กลับออกไปแล้วได้คิดได้บ้าง ความรักของคนอื่นเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการแต่พอเป็นของตัวเองแล้วกลับหาทางดูแลรักษาได้ยากเย็น เพียงเพราะเราคาดหวังความสมบูรณ์แบบหรอกหรือ ถึงทำให้ต้องเหนื่อยแสนเพื่อที่จะสร้างรูปแบบที่ต้องการนี้


ยามค่ำที่เจ้าของตำหนักเสด็จกลับมา เมื่อประตูห้องบรรทมเปิดออกพระองค์ก็ได้เห็นคนงามกำลังนั่งสวดมนต์อยู่บนแท่นบรรทม ศศิที่นิ่งเงียบสงบอยู่นั้นช่างงดงาม แสงจันทร์ที่สาดส่องกายยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูน่าหลงใหล ในยามนี้เจ้ากระต่ายน้อยของพระองค์ไม่ใช่แค่ดูอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา หากแต่เสน่ห์บางอย่างที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่เราตอบรับความรักของกันและกันก็ทำให้อีกฝ่ายยิ่งดูน่าหลงใหล


การเปิดตัวศศพินทุ์เมื่อไม่นานมานี้ทำให้คนมากมายรู้ถึงการมีอยู่ และพระองค์ก็ต้องคอยทนฟังคำถามและคำป้อยอแทนเจ้าตัวเล็กทั้งวัน บ้างสงสัยว่าทรงไปพบเจอคนงามเช่นนี้จากที่ไหน รักกันได้อย่างไร และฐานะอะไรที่พระองค์จะทรงมอบให้ยอดยาใจของพระองค์ดี สิ่งที่ทรงตอบออกไปสำหรับคำถามสุดท้ายนี้…


คำว่า ‘ยอดรัก’ ก็คงจะพออธิบายความในใจของพระองค์ได้ทั้งหมด


ยอดรักของพระองค์อาจจะยังไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจนในทางการเมือง ทว่าทางหัวใจนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าทรงยกให้อยู่บนยอดเหนือผู้ใด ทรงเทิดทูนคนงามมากจนอาจจะมีผู้กล่าวหาว่าทรงมัวเมาจนเกินไป แต่พวกเขาไม่เคยมีศศิในครอบครองเหมือนพระองค์ย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็คงไม่ให้หรอก สิทธิ์ในตัวของศศิจะเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทว่าทุกอย่างมันไม่ได้สดใสแบบนั้น ด้วยเพราะความเป็นบุรุษของศศิที่ทำให้ฝ่ายสิหราชวงศ์ระแวง มีบ้างในอดีตที่กษัตริย์มีพระสนมเป็นชาย แต่ในประวัติศาสตร์ไม่มีใครยกให้ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งสูงทางการเมืองเหตุด้วยเพราะเป็นชายไม่อาจจะมีทายาทได้ ตำแหน่งที่จะได้รับไปจึงมีแค่ความรักใคร่ความเอ็นดูที่ไร้ซึ่งอำนาจ


ทรงถูกกดดันทั้งทางฝั่งพระบิดาและมารดาเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมายกับผู้อื่นเพื่อมีทายาท แต่พระองค์ก็ปฏิเสธเรื่อยมา และตอนนี้ที่ประชุมก็มักจะมีคนพูดถึงเรื่องนี้ ราวกับว่า…อยากจะตอกย้ำให้พระองค์รับทราบถึงหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ หาใช่แต่หลงใหลในชายงามจนละเลย แรกๆพระองค์ก็ปฏิเสธชัดเจนแต่ก็ถูกซักถามเข้าทุกวันจนไม่ตอบอะไร มากเข้าก็เก็บมาคิดแต่ไม่อาจจะพูดให้คนรักฟังได้ ด้วยกลัวใจของคนที่ป่วยอยู่นี่จะพากันเครียดไปด้วย


ทั้งนี้ไม่คิดว่าจะสละอะไรได้เลยทั้งบัลลังก์และ…ยอดรัก



“อธิฐานสิ่งใดกับพระจันทร์อยู่หรือ” ทรงกอดร่างบางไว้ ก่อนจะกระซิบถามที่ข้างหู


“ข้าขอให้คนรักของข้าอยู่รอดปลอดภัยสบายดี”


“คำอธิฐานของเจ้าเป็นจริงแล้ว”  ทรงจุมพิตที่แก้มนุ่มแผ่วเบา แต่ช่างไม่รู้อะไรว่ายอดรักไม่ได้ขอพรให้เขาเพียงคนเดียว แต่ขอให้กับเด็กในท้องที่เป็นลูกของเราสองคน


“ช่วงหลังๆมานี่ข้ามีอะไรให้คิดหลายๆเรื่อง ทั้งสุขภาพของตนเองและของท่าน”  ศศิที่เอนซบกับอกแกร่งนั้นค่อยๆออดอ้อน ความต้องการของคนท้องในยามนี้คือการได้รับไออุ่นจากผู้เป็นสามี ความรักของเขา จะทำให้หัวใจของตนเต้นอย่างเป็นสุข เผื่อแผ่ความรักของพ่อและแม่ไปให้กับลูกน้อยในท้องได้รู้


“อย่าคิดมากไปเลย ยิ่งคิดเจ้ายิ่งเครียด และข้าไม่อยากให้เจ้าเครียด”


“วันนี้ข้าต้องมารับรู้การทะเลาะกันของคู่รักคู่หนึ่ง พลันคิดถึงเรื่องของเราไม่น้อย”


“คู่รัก? คู่ไหนหรือ”


“นั่นสิ คู่ไหนกันนะที่มาเยี่ยมข้าถึงตำหนักองค์ชายรัชทายาท”


“อา..” ในที่สุดเขาก็ทราบ “แล้วมาทะเลาะกันให้คนป่วยเห็นนะหรือ เห็นทีคงต้องตำหนิท่านอาข้าหน่อยแล้ว”  เสียงหัวเราะทุ้มๆนั้นทำให้ศศิยิ้ม ก่อนจะกดจูบที่มุมปากของคนรักแผ่วเบา


“เป็นท่านอาของท่านที่โวยวาย แต่ก็เป็นท่านอาจารย์ของข้าที่ทำเย็นชาเพิกเฉย คนหนึ่งพูดถึงความต้องการออกมาได้ตรงๆ หากแต่อีกคนมีความต้องการอยู่เต็มเปี่ยมแต่พูดอะไรออกมาไม่ได้” คนร่างสูงประคองกอดคนงามไว้ให้แน่นขึ้น คนป่วยนั้นอ่อนไหวได้ขนาดนี้เชียวหรือ


“อย่าคิดมากเรื่องของพวกเขาเลย”


“ข้าเพียงแค่คิดเรื่องของเรา”


“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”


“พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอด ติดตามกันไปทุกหนแห่งไม่เคยห่างหายเป็นเวลาหลายสิบปี ทว่าก็ยังไม่มีความมั่นใจในตัวของกันและกัน”  ยอดรักของพระองค์เอ่ย ก่อนจะพูดสมทบเบาๆอีกคำ “เพราะการแสดงออกและการพูดจาที่น้อยเกินไปหรือไร”


“มันคงไม่เกี่ยวกับว่าคบกันมานานหรือคบกันมาสั้นแค่ไหนหรอก หากใช้ความเงียบคุยกันแบบนี้”


“….”


“ข้าแสดงความรักต่อเจ้า เพียงพอให้ไว้ใจในกันและกันหรือไม่”


“ไม่”


“…”


“ข้ากังวลว่าถ้าข้าไม่อยู่ข้างกายแล้ว ท่านจะดูแลตัวเองได้ดีหรือไม่ จะปลอดภัยหรือเปล่าหรือแม้แต่จะหาคนมาเคียงข้างแทนที่ของข้าในตอนนี้หรือไม่”


“ศศิ…”


“ข้าหวั่นระแวงไปหมด ท่านหาใช่คนธรรมดาสามัญที่ไหนแล้วข้าเล่ามาจากที่ใด ครอบครัวและบริวารของท่านจะยอมรับในตัวข้าได้ไหม ข้าหวั่นใจไปหมดเลย” ศศิเองก็คิดไปหมด ทั้งผู้คนที่อยู่แวดล้อมตัวเขาและผู้คนที่เป็นดั่งครอบครัวที่เสียสละให้กันมากมาย หากเรายืนกรานที่จะอยู่ด้วยกัน ผู้คนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และศศิไม่แน่ใจว่ามันดีแล้วจริงๆหรือ


“ยอดรัก…”


“ข้ารำคาญร่างกายอันอ่อนแอตัวเองในตอนนี้นัก ใยถึงได้อ่อนไหวและขี้แยเช่นนี้” ยิ่งเมื่อคนท้องเบะปากหลั่งน้ำตา คนที่ต้องคอยฟังและรองรับอารมณ์ปรวนแปรก็จำต้องหยุดคำถามในใจก่อนจะคว้าเอาศศิเข้ามากอดไว้แนบอก “ท่านรำคาญไหม” 


“เจ้ายังป่วยและงอแงได้น่ารักเยี่ยงนี้ ใครเล่าจะรำคาญได้ลงคอ”


กว่านานที่ศศิเงียบไปในอ้อมแขน ทรงทำเพียงแค่ลูบหลังและจูบเบาๆที่ปานบนใบหน้าที่จางหายจนเกือบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ศศิไม่ค่อยแสดงด้านนี้ออกมาและพระองค์ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องทรงรับมือกับอะไรแบบนี้ ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นพระทัยก็เย็นกว่าที่เคยคาดคิด ในส่วนของความรู้สึกแม้โดนตัดพ้อเสียหลายส่วนทว่าก็ไม่ขุ่นเคืองใจอะไรเลย


“ข้าเชื่อใจในความรักของท่านได้จริงๆหรือ”


“ยอดรัก ข้าอาจจะยังหาหนทางแก้ปัญหาที่เจ้ากังวลไม่ได้แต่ขอให้รู้ไว้ว่าข้ารักจนไม่อาจจะเสียไปได้แล้วจริงๆ”


“…”


“ยังไม่ต้องเชื่อใจหรอกแต่ขอให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยเจ้าไป”  กับคนที่ไม่ร้องขอความเชื่อใจแต่กลับขอให้เชื่อมั่นในความเห็นแก่ตัวเช่นนี้นะหรือ ศศิควรจะไว้ใจเขาหรือไม่ ทั้งการกระทำและคำพูด มันอาจจะดูชัดเจนแต่ไม่มีใครรู้อนาคต ตอนนั้นองค์ชายรัชทายาทแห่งสิหราชนคราอาจจะตระบัดสัตย์ต่อกันก็เป็นได้


“ท่านไม่คิดอยากจะมีลูกหรอกหรือ”


“ตอนนี้ข้าคิดแค่อยากมีเจ้า” และไม่หมายมั่นจะฟังเรื่องลูกอะไรตอนนี้ ต่อให้พระองค์อยากจะมีก็ไม่ใช่เพราะถูกกดดันให้ต้องมี


“เป็นกษัตริย์ แต่ไม่มีผู้สืบทอดได้อย่างไร”


“…”


“ถึงท่านจะบอกว่าข้าเป็นชายคนรักของท่านก็ตาม”


“ศศิ…เจ้าอาจจะไม่สามารถบันดาลตำแหน่งแม่ของลูกที่น่ารักอย่างที่ข้าอยากจะมีตลอดชีวิตได้ แต่เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่ได้เจอเจ้า เป้าหมายของข้าก็เปลี่ยนไป”


“….”


“ข้าอาจจะไม่สามารถสร้างครอบครัวแบบที่เคยอยากมีได้ แต่คำหวานที่แค่ว่าอยากมีแค่เจ้า กลับกลายเป็นปรารถนาสูงสุดที่คนอย่างข้าอยากจะมี”


“พี่อาทิตย์”


“พี่อาทิตย์ของเจ้า เห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่”  เป็นคำถามที่ไม่ได้ทรงต้องการคำตอบแต่อย่างใดเพราะมันเกินเยียวยาแล้วกับความเห็นแก่ตัวอันแสนหวานนี่


ทรงเคยอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีบุตร และองค์ราชินีที่ไม่เพียงแค่ใส่ใจในตัวลูกที่จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์แต่ยังเผื่อความอารีไปให้กับราษฎรและตัวพระองค์ที่เป็นสวามี ทรงมั่นใจเหลือเกินว่าศศิจะเป็นเช่นนั้นได้ทว่าก็ทรงรู้ดีว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนน่ารักมิอาจให้พระองค์ ความรักนี้ช่างเสี่ยงต่อความมั่นคงในฐานะรัชทายาทหรือกษัตริย์แห่งสิหราชนคราเหลือเกิน


แต่ก็ทรงมียอดรักได้เพียงหนึ่ง และจะไม่มีใครได้เป็นที่รักของหัวใจดวงนี้อีก


“ข้าขอโทษ”  ศศิเอ่ยออกมา


“ไม่เป็นไร ข้ารักเจ้าและรู้ดีว่าเจ้าไม่อาจจะมีลูกให้ได้แต่ก็ยังดึงดันต่อไป”


“….”


“ทำใจให้สบายเถิดนะมันอาจจะมีทาง…”  ทางออกระหว่างเรา… ทว่ายังพูดไม่จบก็มีคนสวนขึ้นมา


“ข้าท้อง”  คนที่น้ำตานองหน้าพูดออกมาชัดเจน


“….” 


“ข้ากำลังท้อง…ลูกของเราอยู่นะ”  นี่มัน…


เรื่องอะไรกัน?!



Talk
มาถี่ไปไหมยังไง ก็แหมมมมเดี๋ยวจะเปิดงานแล้ว เราก็ขอลงไว้หน่อยเซ่ะ
มีคนคอมเมนท์ไว้ว่าน้องจะหนีจะหนี เอ๊ะนายเอกที่หนีเก่งจนน่าด่านี่มัน #เจนไม่นก ปะคะ (ขายของเก่ง)
เรื่องนี้ขอใบ้ก่อนว่าศศิไม่หนี  แต่ตามอารมณ์คนท้องแบบที่กล่าวไว้น้องอาจจะงี่เง่าบ้างแต่จะดึงสติได้อยู่
ช่วงนี้ก็จะหวั่นไหวขี้กลัวมากความเสียหน่อย โปรดเข้าใจน้องด้วย
ถ้ายังไงฝากแท้ก #อาทิตย์ศศิ เหงาๆเช่นเคย
TWITTER @reallyuri
















ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
นึกว่าจะไม่บอกแล้ววว
จะเอายังไงต่อๆๆๆ  :hao5:

ออฟไลน์ cho_co_late

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
น้องบอกไปแล้ว พี่อาทิตย์คงจะดีใจนะ(หลังจากอธิบายให้ฟัง)
สถานการณ์นี้ก็คือต้องคอยประคับประคองกันไป มีแต่คนปองร้าย พี่อาทิตย์ก็โดนวางยาตลอด
เรื่องน้องท้องก็ต้องเป็นความลับสุดยอดเลยไม่งั้นอันตรายแน่ๆ
คู่คุณอาคุณน้าอย่าดราม่าน้า ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งงอนที่คุณหมอใหญ่ไม่ยอมบอกเรื่องศศิเลย

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
กลัวอาทิตย์คิดว่าศศิโกหกจัง  :ling3:

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
Finding the twilight
21
เรื่องโกหก
☼ ☽


แววตาของเขามีความฉงน
แลดูไม่เชื่อใจ?


“…”  หากศศิพูดเล่น พระองค์ก็คงจะหัวเราะออกมา แต่เพราะแววตาที่มีหยาดน้ำตาคลอนั้นดูจริงจังเกินไปกว่าจึงทำให้อคิราห์ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆเลย ทว่ากลับทรงคิดไปว่านี่คือความเพ้อฝันของคนรักที่เครียดเรื่องของเราจนหาทางออกไม่ได้เพราะอย่างไรผู้ชายก็ไม่สามารถมีลูก เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเผลอทอดพระเนตรมองเจ้ากระต่ายน้อยด้วยแววตาสงสาร


“ท่านคงรังเกียจ”


“พี่ไม่ได้รังเกียจเจ้า”


“แต่ไม่ได้เชื่อกันเลยใช่ไหม”


“…”


“ข้าไม่ได้โกหกนะ”


“ศศิ…ถึงเจ้าจะมีหรือไม่มีลูกให้ ข้าก็ยังรักเจ้าอยู่เหมือนเดิม”


“…”


“แม้ข้าจะเคยได้ยินมาบ้างว่าในอดีตกาลจะมีผู้ชายที่ท้องได้ แต่…”  เขาเพียงคิดว่าศศิกำลังละเมอเพ้อไปว่าตนคือหนึ่งในกลุ่มชายที่ท้องได้และกำลังตั้งท้องอยู่ อาการป่วยที่กำลังเผชิญนี้ ศศิคงคิดไปเองกระมังว่าตนนั้นท้อง


“หากท่านไม่ลืม คงจะจำได้ว่าข้าเป็นหมอคนหนึ่งเหมือนกัน”  ศศินั้นพูดย้ำ “และคงไม่ลืมว่าข้านั้นต่อให้รักท่านแค่ไหน แต่ก็ทำใจว่าจะต้องจากไกลอยู่ตลอดเวลา”  แววตาของผู้ฟังที่มองกันมามีแววตัดพ้อ ทุกสิ่งที่ศศิพูดในวันนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่มีอยู่จริงยกเว้นประโยคหลัง แม้จะพยายามทำใจว่าจะต้องจากไกลเสมอมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้จริงๆ


“เจ้าพูดอะไร รู้ตัวหรือไม่”  น้ำเสียงของเขาพลันดุดันไปพร้อมๆกับแววตา


“มันไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รัก หรืออยากไปจากท่านเลย”


“ศศิ”


“แต่ข้าเห็นแก่ลูกของข้า ลูกที่พ่อของเขาไม่ยอมรับว่ามีอยู่จริง ลูกที่ข้าไม่อยากให้มาข้องเกี่ยวกับราชสกุลไหนๆในสิหราชนครา หากข้ารู้สักนิดว่าตนเองจะผิดปกติถึงเพียงนี้ข้าจะไม่มีวันยอมให้ตนเองกับลูกในท้องตกเป็นหมากของคนที่นี่เลย”  นี่ศศพินทุ์ตีค่าความรักนี่…เป็นเพียงแค่หมากบนกระดานงั้นหรือ คิดไปได้อย่างไร แต่อคิราห์ก็ไม่ได้รับทราบทั้งเรื่องของจันทราปราการ คำทำนาย หรือไม่แม้แต่จะสงสัยเรื่องยาปลุกกำหนัด


“หากเจ้ามีลูกของข้าจริง ข้าย่อมรักและเทิดทูนทั้งแม่และลูก” น้ำเสียงทรงอำนาจที่ดุดันนั้นถูกเปล่งออกจากลำคอของคนที่มีอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด ในยามนี้ที่ทั้งกายและใจของศศิกำลังอ่อนแอ เขากลับริบคืนความอบอุ่นนั้นไป “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากมีหรือ ลูกน่ะ..”  ใช่ พระองค์เองก็อยากมี แต่ทรงรักบุรุษร่างบางผู้งดงามนี้ไปจนหมดหัวใจ หน้าที่ในการดำรงไว้ซึ่งราชสกุลถึงกับเพิกเฉย ทรงหลงใหลศศิถึงขนาดละเลยความสำคัญของการมีบุตรเพื่อสืบทอด เป็นเช่นนี้แล้วจะใจร้ายกับพระองค์ไปถึงไหน


ทั้งคนรอบข้างและคนงามตรงนี้


“ข้าไม่ได้โกหก”


“ข้าอยากจะเชื่อเจ้าเหลือเกิน”  หากพระองค์บ้าบอได้มากกว่านี้ก็จะเชื่อคนรักจนหมดใจ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้รู้ดีว่าเหตุใดศศิถึงกุเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อให้ทรงอยากจะปลอบใจอีกคนเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับว่าเรื่อง ‘ลูก’ ก็เป็นแผลในพระทัยมาสักพักแล้วเช่นกัน ศศิที่มองแววตาของคนรักนั้นก็ได้ตัดสินใจมั่น ในเมื่อไม่ทรงเชื่อก็ไม่เป็นไร ศศิไม่มีความจำเป็นที่จะอธิบายหรือบอกต่ออะไรแล้ว


ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คงจะดีกว่า…


“ข้าปวดหัว ง่วงแล้ว”  ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มเศร้าๆออกมาก่อนจะปาดน้ำตาและล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ไม่ชอบที่จะทะเลาะกับ และไม่ชอบที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องจนทำให้สถานการณ์มันดูงี่เง่าได้ขนาดนี้ ในส่วนของอคิราห์นั้นจะเชื่อหรือไม่และจะทำใจเคียงข้างกายกันได้หรือเปล่า


มันก็แล้วแต่เขาจริงๆ


☼ ☽


แม้การทะเลาะกันจะเกิดไม่กี่ครั้งแต่ครั้งนี้สะเทือนใจคนท้องอยู่มากทีเดียว


ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้ขี้งอนไร้เหตุผลจนหนีไป ความรักที่มีให้ยังเรียกได้ว่ามากมายจนทำให้ไม่อาจจะตัดใจ ลำพังเด็กคนเดียว มีหรือว่าศศิจะไม่มีปัญญาเลี้ยง แม้จันทราปราการจะยังลำบากแต่ก็มั่นใจได้ว่าทุกคนย่อมช่วยเหลือ ทว่าเพราะยังไม่อาจจะเสียสละรักมั่นไปได้ การจากลาจึงไม่เกิดขึ้น


ศศพินทุ์ล้วนรู้ดีถึงปัญหาที่ทรงเผชิญอยู่ เรื่องมากมายพาให้กดดัน ด้วยอาจจะไม่อยากรับรู้สิ่งใดที่เหลือเชื่อจนเกินไป อาจจะทำให้เส้นผมบังภูเขาต่อหน้าพระเนตรได้ ทว่าแม้จะเข้าใจแต่ก็แอบน้อยใจไปตามประสาจึงหมายให้เวลาช่วยเยียวยาและช่วยบอกความจริงใจ


ในทุกวันเราตื่นมาจนกระทั่งหลับใหลก็แสดงความรักให้กันเหมือนปกติ แต่ก็มีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจไม่มากก็น้อย มันอาจจะเป็นเพราะศศิเองที่โพล่งเรื่องนั้นออกไป อารมณ์ของตนก็ใช่ว่าจะคงที่ และเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรควรหรือไม่ควรเราจึงเลี่ยงที่จะสานต่อบทสนทนานั้น และเก็บมันเอาไว้ในใจให้เกาะกินความรู้สึก


ตอนนี้ทรงกำลังวุ่นวายกับการปราบปรามเหล่าเครือญาติที่คิดร้ายต่อราชวงศ์ แม้จะยุ่งแต่ก็ยังกลับมาหาศศิทุกวัน ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเสียงเรียกร้องของพระทัย เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยากจะนิ่งนอนใจหรอก ทรงอยากจะหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งแค่ยังไม่มีเวลาพูดคุยกันจริงๆจังๆ แต่พระองค์ก็ไม่ได้เอาเรื่องภายในออกไปสู่ภายนอก ความขัดแย้งระหว่างเราจึงยังอยู่ในใจของเราอย่างนี้


ศศพินทุ์เองก็พยายามที่จะประสานรอยร้าว แม้เจ้าตัวจะยังป่วยหรือมีใบหน้าที่ซีดเซียวเพียงไหน ก็ยังจะฝืนลุกมาออดอ้อนเอาใจ เราสองพยายามเก็บเกี่ยวเวลาที่มีกันไว้ โดยไม่อาจจะตอบปัญหาความคาใจหรือแม้แต่จะหันหน้าเขาพูดคุยในเรื่องที่เก็บไว้ได้


ดวงตาคู่สวยของศศิเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สถานะที่มีโซ่ที่มองไม่เห็นนั้นล่ามกันไว้ในตำหนักแห่งนี้ แม้เจ้าของตำหนักจะปราณีแต่ใจของศศิก็เหมือนล่องลอยไปไกล โหยหาอิสระอยู่หรือ ก็ไม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนยินดีจะถูกขังไว้ไหมในกรงหัวใจแห่งนี้ มือเล็กเผลอลูบท้องของตนอย่างเผลอไผล ถึงจะบอกว่าให้เวลาเป็นการพิสูจน์คำพูดแต่ก็เกรงว่าตนจะอกแตกตายเองเสียก่อน


“ทำไมถึงไม่เชื่อกันนะ”  คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบา ก่อนที่จะรู้สึกถึงใครบางคนที่เดินมาข้างหลัง พระพักต์ของพระองค์นั้นยังคงหล่อเหลา ตัวตนของเขายังเป็นความสุขสูงสุดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


“เจ้าไม่สบายอยู่นะ”  ทรงเมียงมองยอดรักอยู่นานแล้วแต่ศศิก็ยังไม่รู้ตัว จนทนไม่ไหวต้องเดินออกไปเอ่ยทักทาย ปล่อยไว้เช่นนี้ อาการที่แย่อยู่แล้วอาจจะทรุดหนักได้อีก ใครให้มานั่งตากแดดตากลมอยู่อย่างนี้


“อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้”  กระต่ายแววตาเศร้านั้นยิ้มให้ น่าสงสารจับใจจนต้องกอดเอาไว้แนบกาย


“หากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว สัญญาจะพาไปทุกหนแห่ง” และพูดคุยด้วยในทุกๆอย่าง


“ข้าไม่ค่อยสบาย คงไปไหนไกลๆนานๆกับท่านไม่ได้หรอก”


“ใจคอเจ้าจะไม่หายเลยหรือ”  ทรงเอ่ยถามอย่างออดอ้อน


“มันต้องหายสิ”


“เครียดเรื่องของพี่หรือ”


“ข้าคิดทุกเรื่อง”  ศศิทอดยิ้มเศร้าส่งไปให้ ไม่ปิดบังว่าทุกเรื่องในนั้นมีพระองค์อยู่ด้วย อคิราห์ขยับอ้อมแขนให้ยอดรักของพระองค์ได้นั่งสบายขึ้น ก่อนจะวางคางของตนลงบนบ่าเล็ก


“พี่ยอมแพ้แล้ว ขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”


“ได้โปรดอย่าขอโทษเลย”  ศศิเอ่ยขอ “ข้าค่อนข้างจะปลงและลืมเลือนมันไปบ้างแล้ว”  โกหก ศศิไม่ลืม แต่แค่พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางความรู้สึกให้ตัวเองอยู่


“ถ้าเจ้าอยากมีลูก”  พระองค์จึงพยายามนำพาบทสนทนากลับไปตรงนั้นแม้ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขความบาดหมางใจนี้ได้ ทว่าศศิกลับร้องห้าม


“เรายังไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า”


“….”


“ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับท่าน”  น้ำเสียงที่เจือเสียงสะอื้นนั้นทำให้พระหทัยอ่อนยวบ ทรงกอดรัดเด็กน้อยของพระองค์ให้แน่นขึ้นและซุกใบหน้ากับต้นแขนของคนที่กำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวด นี่พระองค์ใจร้ายกับศศิเกินไปหรือเปล่า บีบบังคับให้คนน้องต้องจนมุมต่อกันแบบนื้ เพียงเพราะทรงไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย แต่จะให้ทำเช่นไรในเมื่อมันเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน


ศศิจนมุมในอ้อมกอดของพระองค์ สะอื้นไห้อย่างอ่อนแออยู่อย่างนี้ จนกระทั่งร่างทั้งร่างนั้นนิ่งงัน…


“ศศิ…” ทรงคิดว่าคนน้องคงหลับ แต่เมื่อสังเกตดีๆก็พบว่านี่มันดูจะหลับลึกจนเกินไป ราวกับว่าต่อให้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวเอง


ด้วยความร้อนรน ทรงอุ้มยอดรักขึ้นมาหมายจะพาไปหาหมอหลวง ประจวบเหมาะกับทิชากรมาเยี่ยมหาศศิในวันนี้ ยอดรักของพระองค์จึงได้ไปอยู่ในการดูแลของอาจารย์ของตนเอง เมื่อทิชากรตรวจดู เจ้าตัวก็เพียงแค่ถอนหายใจออกมา เดิมทีที่มาหา ก็เพื่อจะโน้มน้าวใจเด็กดื้อนี่อีกที ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันในสภาพเช่นนี้


“พักผ่อนไม่เพียงพอ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  ทิชากรพูดออกมา ท่าทางของคนที่มองมานั้นดูโล่งใจ “แต่ข้าไม่ได้หมายความว่ามันไม่อันตราย”  น้ำเสียงที่ใช้พูดคุยนั้นพลันเย็นชา ทิชากรย่อมรู้จักนิสัยศศิดีอยู่แล้ว ที่ทรุดแบบนี้ก็เพราะปัจจัยที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราและนิสัยส่วนตัวที่เรียกว่าคิดมากนั่นแล


“เช่นนี้แล้วรักษาอย่างไรถึงจะหาย”


“ต้องทำให้สบายใจขึ้น เครียดมากไม่ดีต่อโรคที่เป็นอยู่ขณะนี้”


“อา…”


“หากทะเลาะกันก็ส่งหลานคืนมาให้กระหม่อมซะ”  ในที่สุดทิชากรก็ไม่รีรอ เจ้าตัวเร่งเข้าเรื่องในทันที


“…”


“ทรงบกพร่องในการดูแลศศิถึงเพียงนี้ ก็ส่งคืนมาเถิด กระหม่อมเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก กระหม่อมย่อมเลี้ยงได้”


“เราไม่ให้”


“แล้วทรงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”  ทิชากรเองก็ไม่ยอมเช่นกัน “มีคนวางยาหลานข้าด้วยยาปลุกกำหนัด ศศิป่วย มีคนมาลากออกไปสอบสวนเรื่องลอบปลงพระชนม์และช่วงนี้ยังมีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนักยามที่พระองค์ไม่อยู่ ไม่คิดหรือว่าพวกเขาปองร้ายหลานของข้าก็เพราะพระองค์!”


“…”  ใช่…นี่คือสิ่งที่อคิราห์ไม่ได้บอกใครและมันก็ทำให้ทรงวุ่นวายมากๆในช่วงนี้ มีคนหมายมั่นจะเข้ามาในตำหนัก และก็ยังจับตัวไม่ได้


“กระหม่อมไม่รู้ว่าศศิพูดอะไรให้ฟังบ้าง แต่หลานของกระหม่อมมีพันธะผูกพันบางอย่างทางการเมืองของคีรีธารา หากยังดึงดันยึดเขาไว้ข้างกายเพื่อผลประโยชน์ของสิหราชนครา ไม่แน่ว่ามันอาจจะนำมาซึ่งปัญหาที่ทรงต้องรับมืออีกมากมายก็เป็นได้”


“ท่านพูดอะไร”


“อชิระไม่เคยพูดให้ฟังหรอกรึว่าพวกกระหม่อมมีความเกี่ยวข้องกับคีรีราชสกุล”


“….เรื่องนั้น…” เรื่องที่ว่าศศิ…เป็นคนที่อาจจะเกิดมาเพื่อครองคู่กับทางนั้น


“ขอจงทรงพิจารณาด้วยเถิดพะยะค่ะ” คำพูดของทิชากรที่หลุดออกมาแต่ละคำ ช่างบาดพระทัยเหลือเกิน ทว่าก็มิอาจจะโต้แย้งได้ เดิมทีทรงให้ความมั่นใจกับตัวเองและคนรักไปว่ารักของเราจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้น ทว่าแม้จะพยายามเท่าไหร่ ความจริงก็ยิ่งพรากเราไปไกลเท่านั้น


และเมื่อเห็นท่าทางและใบหน้าขององค์รัชทายาทแบบนี้ น้าของศศิก็รู้ตัวว่าตนได้พูดเกินไปแล้ว ทั้งนี้มันเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาเนิ่นนาน พอได้ปล่อยออกมาบ้างก็ยากจะควบคุม ทิชากรควรให้เกียรติเจ้าของตำหนักมากกว่านี้ เหมือนกับที่พระองค์เองก็พยายามจะให้เกียรติทั้งศศิและตัวของทิชากร


“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยในสิ่งที่พูดไป เพียงแค่ห่วงหลานเท่านั้นไม่ได้มีเจตนาจะเกินเลย”


“ข้าเข้าใจ”


“ศศิกำลังป่วย จำต้องได้รับการดูแลใกล้ชิด กระหม่อมไม่อาจจะพูดได้ว่าแพทย์หลวงไม่เก่งกาจแต่โรคของศศินั้นเข้าใจยาก จำต้องได้รับการรักษาจากผู้มีความรู้เฉพาะทาง”


“เด็กคนนั้นเขาบอกว่าเขาท้อง”


“…”


“มันเป็นความจริงหรือ”  คำถามที่ย้อนกลับนั้นทำให้ทิชากรเข้าใจสถานการณ์และความเครียดที่คนป่วยกำลังเผชิญในทันที จริงอยู่ว่าเรื่องผู้ชายท้องได้นั้นมีน้อยจนเรียกว่าเกือบจะไม่มีในยุคสมัยนี้ แต่เคยมีก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีไม่ได้ ทว่าเป้าหมายของจันทราปราการนั้นสำคัญกว่า และที่สำคัญ…ชีวิตของศศิ หากต้องเลือกที่จะลงหลักปักฐานกับสิหราชนคราจริงๆ ทิชากรก็อยากให้หลานชายได้ชั่งใจหลายๆแบบดู ว่ามันคุ้มหรือไม่ กับการเลือกความรักที่แถมมาพร้อมกับการเมืองที่ผูกมัดไว้


“ไม่จริงสำหรับสิหราชนคราในตอนนี้”  ทว่าก็ไม่สามารถโกหกออกไปได้ เพราะถ้าทิชากรยืนยันออกไป คำพูดของหลานที่บอกคนรักก็จะกลายเป็นเรื่องโกหก ศศพินทุ์จะน่าสงสารเกินไป แล้วทีนี้ทิชากรควรอ้างว่าศศิป่วยเป็นอะไร…เป็นบ้ากระนั้นหรือ


“หมายความว่าอย่างไรกัน”


“หมายความว่าพระองค์ควรจะตั้งใจจดจ่อกับสถานการณ์ในตอนนี้”


“…”


“กับศศิ กระหม่อมจะดูแลอย่างดีที่สุด หากเมื่อไหร่ที่ราชวงศ์พร้อม ตัวพระองค์พร้อม พิจารณาแล้วว่าอยากจะรับกลับไปกระหม่อมก็จะไม่ขัดเลย” 


“เราพร้อมแล้ว”


“ข้างนอกรั้วตำหนักกำลังวุ่นวายแค่ไหน ก็ทรงรู้ดี”  ทิชากรเอ่ยย้ำ  “เป้าหมายทางการเมืองไม่ได้มีแค่พระองค์แล้ว หลานชายของกระหม่อมที่กำลังป่วยอยู่ก็ด้วย คนที่พระองค์ก็รู้ว่าใครบ้างกำลังหาโอกาสเข้าถึงตัวของศศิ” ใช่…เรื่องนี้พระองค์รู้ดี หลังจากที่การมีอยู่ของศศิถูกเปิดเผย ทั้งผู้หวังดีและไม่หวังดีต่างก็อยากเข้าหา ที่แน่ๆทุกคนล้วนรู้แล้วว่าองค์ชายอคิราห์มีจุดอ่อนใหญ่คืออะไร


“แต่ความรู้สึกของศศิ”


“เขาจะไม่โกรธพระองค์หรอก”  ทิชากรมั่นใจ  “เด็กคนนั้นมีเหตุผลพอ อาการป่วยของเขาตอนนี้มันอาจจะทำให้หงุดหงิดไปบ้าง แต่ศศิจะเข้าใจ และถ้าหากหลานของพระองค์ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทแห่งสิหราชนคราเลย”


“…”  ทิชากรพูดถูก หากศศิรักพระองค์จริงๆ หากอธิบายเหตุผลทั้งหมด ศศิจะต้องเข้าใจและไร้อาการโกรธเคือง ทว่าช่วงนี้…ความสัมพันธ์ของเราก็ใช่ว่าจะดีเสียเมื่อไหร่


“ข้าคงต้องขอคุยกับเจ้าตัวก่อน”


“รับปากกระหม่อมว่าจะไม่ทำให้ศศพินทุ์ต้องเครียดจนเกินไป”


“…”


“เห็นแก่อาการป่วยของหลานกระหม่อมด้วยเถิด”  ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเจ้ากระต่ายน้อยจะไม่ใช่อะไรที่ควบคุมได้


แต่ก็ต้องพยายามควบคุมมันให้ได้แล้ว!


ทรงเสด็จกลับเข้ามาในห้องบรรทมและประทับนั่งลงข้างๆร่างที่กำลังหลับใหล ร่างเล็กบอบบางแบบนี้แบกรับอะไรไว้มากมายหนักหนา ทำไมพระองค์ถึงช่วยแบ่งปันมาไม่ได้ หรือเพราะศศิไม่ยอมแบ่งให้เพราะพระองค์เองก็มีภาระอยู่เต็มไม้เต็มมือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเองเลย ทรงเคยบอกว่าอยากให้คาดหวังในตัวกันมากกว่านี้แท้ๆ


‘หากอยากให้มันจบลงด้วยดีกว่านี้ก็ตอบรับการแต่งงานกับอภิชญาไปเถิดลูก การมีบุตรกับลูกสาวท่านแม่ทัพ จะช่วยทำให้อนาคตในฐานะองค์เหนือหัวของเจ้ามั่นคงขึ้นนะ’ ในช่วงนี้พระองค์ได้รับฟังเรื่องของการมีทายาทมานับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่บิดาของพระองค์ที่เคยเอ็นดูศศิอยู่มาก ก็เหมือนจะเริ่มคล้อยตามเสด็จแม่ที่พยายามปูทางให้ ทั้งๆที่ทรงเคยระแวงฐานะและจุดยืนของกันและกันมาก่อน ทำไมใครๆก็อยากให้พระองค์มีทายาทและทำไมใครๆก็อยากมีทายาทกับพระองค์


แม้แต่ศศิเองก็ด้วย


ท้องจริงๆหรือ…อคิราห์ยังมิอาจจะเชื่อปักอก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหากศศิจะโกหกต่อกันแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำส่วนหนึ่งของหัวใจก็ทรงภาวนาขอให้เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี่เป็นความจริง หากเราสองคนมีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน เขาจะเติบโตมาเป็นอย่างไรกันนะ ถ้าเหมือนกับแม่ของเขา น่ารักแบบนี้ พระองค์คงเป็นพ่อที่หลงทั้งลูกทั้งแม่เป็นบ้าเป็นบอแน่ๆ แค่เพียงตัวตนในจินตนาการ ก็ทำให้พระองค์ยิ้มร่าราวกับคนสติไม่สมประกอบ


“อื้ม”  เสียงของศศิที่นอนอยู่ปลุกพระองค์ออกจากภวังค์ ดวงตาใสจ้องมองกลับมา รอยยิ้มที่ปรากฏทำให้พระองค์ได้รู้ว่าศศพินทุ์ดีใจแค่ไหนที่ตื่นมาเห็นหน้ากันเป็นอย่างแรก


“เป็นเช่นไรบ้าง”


“ข้าหลับไปนานไหม”


“ไม่กี่ชั่วโมงหรอก”  ที่อยู่ๆก็เป็นลมล้มพับลงไป ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้คนมองรู้สึกทรมานได้เหมือนเป็นวันๆ


“ทำไมทำหน้าแบบนี้เล่า ไม่สบายใจหรือไร”  ศศิเองก็รู้สึกผิดที่ควบคุมภาวะทางอารมณ์และคำพูดอะไรของตัวเองไม่ค่อยจะได้ สุดท้ายแล้วแม้พยายามจะไม่ทะเลาะแต่บรรยากาศก็อึมครึมแบบที่ไม่มีใครชอบแบบนั้น

“มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ข้าเลยมีหลายอย่างให้ต้องคิด”


“งานของท่านเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วใช่ไหม”  ศศิขยับจะลุก พระองค์จึงทรงช่วยให้คนป่วยได้นั่งและจัดหมอนตั้งให้ได้พิง


“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”  พระองค์ไม่แน่ใจนักว่าจะควบคุมไม่ให้ศศิสติแตกไปอีกรอบหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากปิดบัง  “มันมีเรื่องของความปลอดภัยของเจ้าด้วย”


“ของข้าหรือ?”


“หากเจ้าสังเกต คงเห็นว่าเรามีการเพิ่มเวรยามรอบตำหนักมากขึ้น”


“ข้านึกว่าเอาไว้ใช้สำหรับการคุ้มครองท่านในช่วงนี้เสียอีก”


“ชีวิตข้าสำคัญสำหรับคนหลายคนก็จริง” แต่อีกสิ่งที่จริงยิ่งกว่า “แต่สำหรับข้านั้นชีวิตเจ้าสำคัญที่สุด”


“พี่อาทิตย์…”


“เห็นเจ้าเจ็บป่วยเช่นนี้พี่ก็ไม่ได้สบายใจเลย” 


“ศศิจะหายป่วยเอง เชื่อเถิด ข้าเป็นหมอนะ”  รอยยิ้มที่ส่งมาให้แม้มันจะดูซีดเซียวแต่ก็เต็มไปด้วยกำลังใจ อคิราห์ยังคงลังเลที่จะถาม แต่มันอาจจะเป็นการวัดใจ ทั้งตัวพระองค์และตัวของคนที่พระองค์รักที่สุด


“เจ้ามีความคิดที่อยากจะไปจากที่นี้ไหม”


“พี่อาทิตย์…”


“น้าของเจ้ามาคุยกับพี่ ว่าเจ้าจำต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”  อคิราห์จ้องลึกไปในแววตาคู่นั้น  “แต่พี่จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด หากเจ้าจะอยู่”  ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้น้องไปห่างจากอก พระองค์ทรงเอ่ยถามแต่แฝงแววเว้าวอนในน้ำเสียงอย่างเห็นแก่ตัว ถ้าศศิลุ่มหลงในตัวพระองค์ย่อมตามพระทัยเป็นแน่


แต่ถ้าศศิรักและเข้าใจพระองค์…ก็จะหักหาญน้ำใจแบบที่ทิชากรคิดไว้


“หากข้าเลือกรักสุขภาพตนเองในยามนี้เล่าจะผิดไหม”


“…”


“ข้าไม่อยากให้พี่ท่านมาทุ่มเทเอาใจใส่ให้ในตอนนี้ เพราะท่านมีเรื่องให้กังวลมากมาย”  ศศิยิ้ม แววตานั้นแน่วแน่กับคำตอบและหนทางที่ตนได้เลือก ถ้าเลือกได้ ศศิก็ไม่อยากให้เราต้องจบเส้นทางของเราไว้เพียงเท่านี้


แต่ต้องยอมรับว่าตนเองก็ไม่ได้ตัวคนเดียว
และไม่ได้มีหัวใจดวงเดียวที่จะทิ้งขว้างให้เขาแบบยอมไม่เหลืออะไรอย่างนั้นอีกแล้ว


“หากจัดการปัญหาทั้งหมด และมั่นใจว่ายังรักและพร้อมจะปกป้องในสิ่งที่ข้าพยายามปกป้องอยู่จริงๆเมื่อไหร่ พี่อาทิตย์รู้ใช่ไหม ว่าจะไปตามหาข้าได้ที่ไหน”


“ศศิ…”


“ข้าขอไปรอท่านที่ค่ายของท่านอชิระ หากท่านไม่มาหรือไม่ส่งข่าวคราวมาให้ทราบ ข้าจะไม่มาเรียกร้องอะไรอีก ตลอดตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าพี่จะตัดสินใจอย่างไร น้องจะเคารพมัน”


“เจ้าไม่ให้พี่เลือกอะไรบ้างเลย”


“ศศิให้พี่อาทิตย์เลือกราชวงศ์แล้วไง”


“บังคับกันต่างหาก”


“จริงๆก็ไม่ได้ปลื้มนักหรอกแต่ก็ฉุดองค์ชายรัชทายาทไปอยู่ในป่าแล้วทำให้เป็นของตัวเองคนเดียวไม่ได้เหมือนกัน”  เป็นตลกร้ายที่อยากจะเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง แต่ไม่มีใครในที่นี้ที่หัวเราะกับมันได้อย่างจริงใจเลย 


สุดท้ายแล้วอคิราห์ก็จำต้องยอมปล่อยหทัยของพระองค์ไปจากอ้อมพระอุระ


☼ ☽


แม้นี่ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจต้องการ แต่สมองก็สั่งงานให้ทำในสิ่งที่เหมาะควรที่สุด


ทั้งนี้เราเองก็ไม่มีการกำหนดเรื่องระยะเวลาที่จะไปพบเจอกันตายตัว เพราะในวันนี้ที่เรากำลังจะจากกันไกล การกำหนดวันกลับมาพบเจอนั้นมันเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการได้ ระบบการทำงานของหัวใจและสมองที่พยายามจะปรับกลไกลให้ควบคู่กันจึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา


อชิระและทิพากรมารอรับศศพินทุ์ เรามีการวางแผนการส่งตัวและพาไปชายแดนด้วยกันอย่างรัดกุม จริงอยู่ว่าชายแดนเป็นสถานที่ที่อันตราย แต่ทิชากรให้คำมั่นด้วยว่าตนนั้นลงหลักปักฐานอยู่มานานย่อมสร้างทางหนีที่ไล่จากที่นั่นไว้แล้ว และอชิระเองก็มีคนในควบคุมอยู่มากมาย


ต่อจากนี้ตัวตนของศศิ ก็จะถูกทำให้หายไปจากชีวิตพระองค์ จะไม่มีการติดต่อจากอีกฝ่ายในนามของศศพินทุ์มาหา และแม้แต่พระองค์ก็ไม่อาจจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไปอีกครั้งได้ ทรงรับฟังแผนการและคำยืนยันจากอาของตนด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย แต่ก็ไว้ใจว่าพวกเขาที่รับยอดหทัยของพระองค์ไปดูแลจะทำอย่างดีที่สุด บางที…ศศิอาจจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้


“เห็นหน้าเจ้าแล้ว อาก็ไม่อยากทำบาปด้วยการพรากเมียของเจ้ามาเลย”


“ข้าให้โอกาสท่านพลาดลืมเมียของข้าไว้ที่นี่”


“เจ้าก็รู้ว่าอาของเจ้าไม่เคยพลาด”  คำตอบนั้นทำให้องค์รัชทายาทขุ่นเคืองอยู่บ้าง ยิ่งเสียงหัวเราะทุ้มๆนั่นก็ช่างบาดหูเหลือเกิน “แต่ข้าจะดูแลยอดรักของเจ้าให้ดีให้สมกับที่ข้าก็รักเหมือนลูกหลาน”


“ท่านอา…”  อคิราห์นั้นเรียกหา ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้แล้ว  “เคยอยากคิดกลับสู่ฐานันดรศักดิ์ไหม”


“พูดอย่างกับเจ้านั้นอยากจะเจริญรอยตามข้า”


“ก็อาจจะ แต่ตำแหน่งรัชทายาทจะว่างอยู่”


“หากเจ้าทำดี เชื่อข้าว่ารออีกไม่กี่ปีก็ได้ลงสมใจแล้ว”


“หมายความว่าอย่างไร”


“ได้ลงเพื่อขึ้นเป็นองค์เหนือหัวไง พี่ของข้าอยากจะลงจะแย่” อชิระนั้นย่อมหมายถึงหากหลานชายของตนดูแลราชวงศ์ให้ดี ไม่นานนักเมื่อเจ้าตัวเล็กเติบใหญ่ขึ้นอีกนิด ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็มีคนขึ้นแทนแล้ว แต่คนโง่งมที่ไม่เชื่อถือใครแม้แต่ยอดดวงใจย่อมไม่รู้ความหมายที่แฝงมา


“ถ้าข้าไม่อยากเป็นทั้งรัชทายาทและองค์เหนือหัวแล้วเล่า”


“…”


“สนใจกลับมาแทนไหม”  เป็นข้อเสนอที่ใครได้ยินอาจจะรีบตะครุบ แต่อชิระกลับส่ายหน้า


“ข้าไม่อาจมีลูกได้ เพราะได้หลงรักคนที่ไม่อาจจะมีทายาทให้จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว”  แม้จะรักและพร้อมจะสนับสนุนหลานชายในหลายๆด้านแต่เรื่องนี้คงให้ไม่ได้  “ต่อให้มีเจ้าตัวเล็กก็เถิด ตัวข้าที่ไม่ชอบการเมืองในวังนะหรือ จะทำร้ายลูกด้วยการยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบให้”


“…”


“ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเพื่อยอมเสียสละหรอกนะ” 


แม้แต่ศศิเองก็ไม่ได้ฝักใฝ่ตำแหน่งข้างกายองค์รัชทายาท  ทุกวันนี้ที่ยอมใกล้ชิดนั้นก็เพียงเพราะรักพี่อาทิตย์มากก็เท่านั้น ต่อจากนี้การเมืองในวังจะยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก ที่อีกคนเลือกจากไป พระองค์ก็ไม่ได้คิดว่าศศิเห็นแก่ตัวเลย แต่คิด…ว่าศศิเองก็เสียสละมาพอแล้ว


หรือว่าจะถึงคราวที่พระองค์จะต้องปล่อยเจ้ากระต่ายน้อยไปตลอดกาล…



TALK
จริงๆก่อนกำหนดลงรัวๆนี่ เราได้มีการตรวจเนื้อหาและคำผิดแล้วรอบหนึ่งจนถึงตอนที่ 25 แล้วค่ะ
แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ได้ตรวจไปหรือยังเพราะชื่อไฟล์มันแปลกๆเลยคิดว่าอาจจะตรวจแล้วแต่เซฟทับไม่ได้ทำเป็นไฟล์ใหม่
เอาเป็นว่าถ้าพบเจอคำผิดเยอะผิดปกติก็มาบอกกันหน่อยนะคะ
เราเป็นคนที่ตรวจยังไงก็มีคำผิดอยู่ดี พยายามปรับปรุงแล้วค่ะ แต่ก็หวังจะดีขึ้นๆไปอีก

มาถึงในส่วนเนื้อเรื่อง ไหงเป็นงี้อ่ะ555
ทำไมพี่เขาไม่เชื่อเรื่องน้องท้อง จริงๆจะบอกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งดีกว่า กลัวเจ็บทีหลัง555
และสถานการณ์ในตอนนั้นมันบีบคั้นๆหลายๆอย่างมีแต่คนอยากให้หาเมียมีลูกเร็วๆแถมยังมีคนลอบจะฆ่าศศิเต็มไปหมด
พี่เลยเลือกปล่อยเบลอเพราะถ้าเชื่อสนิทใจว่าศศิมีลูกจริง พระเอกเราคงไม่ปล่อยน้องแน่
ส่วนน้องเองก็พยายามใช้เหตุผลแล้ว เราบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนี มีแต่ส่งออกไปเอง55
ช่วงนี้จะเริ่มคลายปมที่พันกันยุ่งออกมาแล้ว หากมีตรงไหนไม่เข้าใจคอมเมนท์สอบถามได้นะคะ
จะมาตอบเหรอ ใช่…จะมาตอบ55
หรือติดแท้ก #อาทิตย์ศศิ ไว้ เดี๋ยวเมนชั่นไปตอบ หรือเมนชั่นมาถามเลยก็ได้ นี่ก็จะตอบอยู่ดี555

TWITTER @reallyuri

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ้ออออ คนรอบตัวพูดขนาดนี้พี่อาทิตย์ยังไม่เชื่ออีกเนาะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
สงสารศศิ TT ไปอยู่นู่นก็ใช่ว่าจะไม่คิดมาก
ส่วนคนทางนี้ไม่เชื่อแล้วก็ยังจะพยายามเบี่ยงให้เป็นอีกทางอีก
พอเถ้อออออออออออ  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
วันข้างหน้ายังต้องเจออะไรอีกมาก ถ้าคำพูดจากปากคนข้างๆเชื่อไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง
รู้ว่าเรื่องลูกไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ควรให้หมอมาพิสูจน์มั้ย  :ling2: :ling2:  โกรธ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ถ้าพี่อาทิตย์ยังไม่เชื่อว่าน้องท้องก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะ

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
มีภาระหน้าที่ ติดตัวที่หนีไม่ได้
แม่กระต่ายกลับรังไปมีลูกน้อย
ปัญหาฝั่งพี่อาทิตย์ ถ้าจะให้จบคือต้องเคลียร์ฐานอำนาจเก่าให้หมด
แต่ตอนนี้แม่จะจับมือให้ดมยังยากเลย
คนที่ที่สว่างที่โดนปองชีวิตตลอดจะจัดการหมดได้ยังไง

ยังไม่รวมถึงอีกฝั่งที่เรื่องยังไม่เกิด แค่ปัญหาภายในก็หนักแล้ว
ห่วงกับการมีรัชทายาทเพราะเหมือนสามารถที่ล่มบังลังก์ได้ง่ายเลย

ปูเรื่องมาในเรื่องความรัก ก็เข้าใจความรักแต่พอต้องโตพอมีสติในการเดินต่อก็ต้องหักใจกัน

ยังคิดไม่ออกว่าปัญหาฝั่งนี้จะเคลียร์จบไง เพราะพี่อาทิตย์ดูอำนาจน้อยจนโดนกดดันทุกทางแทน

Sent from my EVA-L19 using Tapatalk


ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
น้องกระต่ายท้องอยู่ อย่าทำให้น้องเสียใจนะพี่อาทิตย์ เจ้าคนโง่!!!!  :hao4: :hao4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด