โชคดีเป็นของพิรัลเมื่อการมาเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะไม่ได้เจอพายุฝนและท้องฟ้าสดใสแจ่มจ้าตลอดเวลา พิรัลยังได้พบเจอประสบการณ์พิเศษกับชายหนุ่มตัวขาวที่ทำให้เขารู้สึกลืมโลกทั้งใบ เขาไม่ได้คิดถึงงานที่ต้องกลับไปเผชิญ ไม่ได้คำนึงถึงโรคที่รุมเร้า ไม่ต้องเห็นสายตาแห่งความสงสารจากพ่อและแม่
ตอนที่เดินหาของกินในถนนคนเดินอยู่นั้นชายหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักทำให้พิรัลสมองว่างเปล่า พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางความรู้สึก มันเป็นเพียงแค่ความสุขที่ก่อเกิดขึ้นบนดินแดนแห่งความเพ้อฝัน พิรัลคิดเสมอว่ามนุษย์มักกระทำในสิ่งที่เป็นสุข ตัวเขาเองเป็นเช่นนั้นอย่างไม่ต้องกังขา และเขาทำสิ่งนั้นอยู่ ช่วงเวลานี้ตอนนี้เขากำลังมีความสุขที่ได้เที่ยวเล่นกับคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของพิรัล
พิรัลค้นหาข้อมูลจากในโลกออนไลน์ก่อนมาที่กระบี่ เขาพบบาร์แห่งหนึ่งที่เล่นดนตรีสดแต่เป็นเพลงในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมนัก แสงสีแดงในร้านที่ตกแต่งด้วยวัถสดุท้องถิ่นส่องอาบโลมผิวกายของพวกเขาราวกับมอมเมา พิรัลมองอีกฝ่ายซึ่งนั่งดื่มเบียร์อย่างเปิดเผยไม่คิดปิดบัง เขาเคยกล่าวกับฝ่ายนั้นไว้แล้วว่าคาดหวังอะไรและในเมื่อยังไม่ถูกปฏิเสธซ้ำยังได้รอยยิ้มกลับมาพิรัลจึงมองไม่เห็นว่าทำไมถึงจะต้องสงวนท่าทีไว้
ชายหนุ่มตัวขาวนั่งให้พิรัลโอ้โลมอย่างไม่อายสายตาใครราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง พวกเขาไม่ได้กระทำอนาจารหากเพียงแค่นั่งเบียดชิด ส่งสายตาหยาดเยิ้ม และหยอกเย้ากันด้วยคำพูดในบางคราว พิรัลช้อนตามองชายหนุ่มผิวขาว กอบกุมมือข้างหนึ่งจับเล่นไปมาพลางเอ่ยชมถึงรอยยิ้มของฝ่ายนั้นเพื่อเรียกรอยยิ้มสวยๆนั่นอีก พิรัลไม่ได้แสดงออกว่าเป็นการกระทำที่หวังผลเพื่อพัฒนาความรู้สึกเพราะเขาไม่ต้องการคนรัก ยังไม่ต้องการในเวลานี้
“ผมรู้ว่าคุณชมผมเพราะหวังอะไร แล้วผมไม่ได้ยิ้มสวยอะไรด้วย”
พิรัลยิ้มแล้วจูบลงที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายก่อนจะโอบเอวกระชับแน่น “คุณยิ้มสวยจริงๆ อย่างน้อยผมก็ชอบ”
“ขอบคุณครับ” นิพัทธ์ยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่ “เลิกมองผมได้แล้วครับ”
“ทำไมล่ะ” พิรัลถามเสียงแผ่วทั้งที่ยังยิ้ม “คุณน่ารักผมก็อยากมอง”
นิพัทธ์หัวเราะอารมณ์ดี “คุณก็น่ารักครับ”
“ผมน่ารักเหรอ น่ารักมากมั้ยครับ” พิรัลขยับเข้าใกล้อีกแสร้งทำหน้าตาใสซื่อจนฝ่ายนั้นหัวเราะไม่หยุด เมื่อเห็นเช่นนั้นหัวใจก็พิรัลก็เต้นตุบตับอย่างเป็นสุข เขาจูบที่หัวไหล่องอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ขยับห่างออกมาเพื่อมองตากันหวานซึ้งในตอนที่เพลงท่อนหนึ่งดังขึ้น
So tonight, we’ll dance,
Let’s pretend we rule this town
In tomorrow’s dawn
I’ll be long gone
Long gone, long gone
พิรัลแวะเช็คเอ้าท์ออกจากโฮสเทลท่ามกลางความประหลาดใจของพนักงาน เธอสอบถามลูกค้าชายคนนี้ด้วยเพราะสงสัยว่าเหตุใดถึงไม่นอนค้างจนครบคืน และแสดงความกังวลว่าการให้บริการของทางโฮสเทลนั้นไม่ถูกใจลูกค้าหรือเปล่า พิรัลยิ้มและตอบเธอด้วยความสุภาพว่าจะไปค้างคืนที่ห้องเพื่อนจากนั้นเธอก็ดูคลี่คลายสีหน้าแห่งความกังวลลง เขาเก็บของทั้งหมดที่มีไม่มาก คืนจักรยาน และออกมาสมทบกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันซึ่งรออยู่ด้านนอก
พิรัลวางกระเป๋าสัมภาระไว้บนโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งในห้องอย่างไม่ได้สนใจมากนัก เขาออกมาสูบบุหรี่ที่ระเบียงด้านนอก ทอดอารมณ์ว่างเปล่าไปกับลมทะเลและเงี่ยฟังเสียงคลื่นซัดสาด ดวงตาสีเข้มที่ทอดมองไปยังทะเลไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดเป็นพิเศษ เขาเห็นหมู่ดาราและดวงจันทร์เคียงข้างกันในผืนท้องฟ้าสีดำ เก็บเกี่ยวความสวยงามของภาพธรรมชาตินั่นไว้ก่อนที่จะไม่ได้เห็นอีกนาน พิรัลยังไม่อยากนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพแต่ก็อดนึกถึงจำนวนอีเมลและจำนวนงานที่คั่งค้างไม่ได้ ทว่ายังไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้นเขาก็ถูกเรียกร้องความสนใจด้วยสัมผัสไออุ่นจากคนที่เดินเข้ามายืนด้านข้าง
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“งานครับ” พิรัลสูบบุหรี่หลังจากตอบคำถาม จากนั้นก็ขยี้ดับมวนสีขาวนั่นลงและขยับเข้ามาจูบที่แก้มอีกฝ่าย “ตัวหอมจัง” เขาพึมพำพลางค่อยๆเลื่อนคอเสื้อนอนย้วยๆของชายหนุ่มตัวขาวออกแล้วจูบลงบนหัวไหล่ “แล้วคุณคิดอะไรอยู่ครับ”
ฝ่ายนั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่ดวงตาจ้องมองพิรัลที่เริ่มซุกไซ้ผิวกายจุดอื่น “ไม่ได้คิดครับ”
พิรัลเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มทั้งที่รู้ว่าคำตอบที่ได้ไม่ใช่ความจริง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจนัก ร่างสูงใหญ่ของพิรัลขยับเคลื่อนเข้ามาโอบกอดอีกฝ่าย เขาล้วงมือเข้าไปในกางเกงของหนุ่มตัวขาวแล้วขยำลูบไล้ไม่เบาแรง “ที่นี่เห็นดาวชัดดีนะครับ”
“ครับ” นิพัทธ์ตอบรับไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก เขาเสียววาบที่ท้องเมื่อท่อนเนื้อถูกปลุกปั่นโดยตรง ไออุ่นจากชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังทำให้เขาหอบหายใจแรง “ไปทำในห้องมั้ยครับ”
“ผมยังอยากอยู่ข้างนอก แต่ถ้าจะคุณจะเข้าห้องก่อนก็แล้วแต่ครับ” พิรัลดึงมือกลับและขยับห่างออกมา ชายหนุ่มตัวขาวมีท่าทีอึกอักพูดไม่ออกกับท่าทีที่ได้รับ เขารู้ว่ากำลังถูกหยอกล้อแม้ว่าส่วนนั้นจะยังไม่แข็งขึ้นมาแต่เขาก็เริ่มมีอารมณ์แล้ว
“คุณ...”
“ครับ” พิรัลยิ้มอยู่ในทีท่าสบายๆไม่ได้แสดงออกอะไรมาก เขาสุขใจที่ได้แกล้งชายหนุ่มคนนี้ ยิ่งเห็นสีหน้าลำบากใจนั่นก็ยิ่งสนุก แต่แล้วพิรัลก็ไม่อาจแกล้งได้นานเพราะเขาเองก็ต้องการเสพสมกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เช่นกัน พิรัลหัวเราะลงคอแล้วโอบร่างอีกฝ่ายดังเดิม “ผมหมายความแบบนั้นจริงๆนะ ที่ยังอยากอยู่ข้างนอกน่ะ”
นิพัทธ์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้สิ่งใด สมาธิของเขาจมจ่อมอยู่กับสัมผัสใต้สะดือและคิดอะไรไม่ออกเมื่อผิวกายถูกดอมดมไปทั่วอย่างแผ่วเบาผิวเผิน
“คุณ ผมอยากเข้าไปในตัวของคุณแล้ว” พิรัลกล่าวเสียงแผ่วรอฟังสัญญาณตอบรับด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนนั้นของเขาพร้อมแล้วและมันก็อยากโลดแล่นอยู่ในความคับแน่นที่เคยได้ลิ้มลอง เขาจัดท่วงท่ารั้งบั้นท้ายอีกฝ่ายเข้ามาบดเบียดกับส่วนที่แข็งขืน “ได้มั้ยครับ”
นิพัทธ์หายใจแรง ลำคอของเขาถูกขบเม้มและเบื้องล่างก็ถูกเล้าโลมจนแข็งตัว การปฏิเสธนั้นทำได้ยากเย็นเหลือเกิน นิพัทธ์ตอบรับสัมผัสด้วยการหันกลับไปรั้งใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาจูบ ร่างของเขาถูกรั้งให้เดินเข้าไปในห้อง นิพัทธ์ถอดเสื้อผ้าขณะที่ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กำลังใส่ถุงยางอนามัย พิรัลกลับขึ้นบนเตียงพลางสะบัดกางเกงขาสั้นไปให้พ้นทาง เขาจูบริมฝีปากสีธรรมชาติ รั้งขาอีกฝ่ายออกกว้างบดเบียดท่อนล่างเข้าหาแต่ยังไม่สอดใส่เสียทีเดียว พิรัลครางเสียงต่ำพึงพอใจที่ได้เห็นสีหน้ายั่วเย้าดวงตาฉ่ำเยิ้มของชายหนุ่มตัวขาว แสงไฟสีส้มในห้องพักเป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศวาบหวาม สายลมพัดผ่านเข้ามาทำให้พวกเขาไม่ร้อนมากนัก ทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงเวลาเป็นใจให้พิรัลมีความสุขจนใจเต้นแรง
ร่างของนิพัทธ์รุ่มร้อนไปหมด เขาอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นจนไม่อาจคลี่คลายความต้องการได้เพียงสัมผัสภายนอก นิพัทธ์ร้องขอให้อีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาหากแต่ยังไม่ถูกตอบสนอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หนุ่มแปลกหน้าเป็นคนร่ำร้องเอง ช่องทางด้านหลังของนิพัทธ์บีบรัดด้วยสัมผัสที่เคยคุ้นเมื่อคืนวาน ในหัวตอนนั้นคิดเพียงแค่ไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป เขาต้องการมากกว่านี้แต่เมื่อแสดงออกไปถึงความต้องการนั้นกลับถูกอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากหยอกเย้า
“ผมอยากได้ของคุณ” นิพัทธ์ไม่เขินอายในสิ่งที่ต้องการแม้แต่น้อย
พิรัลหัวเราะลงคอ “คุณน่ารักจังเลยครับ”
“เลิกชมผมได้แล้วครับ ผมไม่ได้น่ารักขนาดนั้น”
พิรัลไม่ได้ตอบอะไรอีกแต่ค่อยๆปาดป้ายเจลที่ช่องทางด้านหลังของอีกฝ่าย และสอดใส่ส่วนแข็งขืนเข้าไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาต่างพอใจในสัมผัสนั้น เสียงครางต่ำในลำคอของชายหนุ่มสองคนเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี ความลื่นไหลจากเจลหล่อลื่นเริ่มส่งเสียงลามกยามที่พิรัลขยับเข้าออก เขาประคองกอดร่างชายหนุ่มตัวขาวที่กำลังรัดตัวเขาแน่นไว้ในอ้อมอก สอดใส่ส่วนนั้นหนักหน่วงขึ้นตามห้วงอารมณ์ ก่อนจะผ่อนแรงลงเนิบนาบอยู่ในความคับแน่นเรียกเสียงครวญจากหนุ่มตัวบาง พิรัลปัดเส้นผมที่ชื้นเหงื่อไปให้พ้นทางแล้วจุมพิตที่ขมับ เขารั้งร่างของคนในอ้อมกอดให้ขึ้นนั่งคร่อมทับ ฝ่ายนั้นบดเบียดรับท่อนเนื้อของเขาเข้าไปอีกครั้งและเริ่มขยับกาย พิรัลรูดรั้งท่อนเนื้อของชายหนุ่มตรงหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นเร้า ดวงตาสีเข้มมองท่อนขาที่อ้าออกกว้าง มันกำลังขยับไหวเย้าอารมณ์ เสียงชื้นแฉะดังต่อเนื่องอยู่ภายในห้องพักหลังนั้น พิรัลรู้ว่าคนตรงหน้าใกล้ถึงอารมณ์หมายเขาจึงช่วยเร่งเร้าให้ แต่ทว่าฝ่ายนั้นกลับหยุดลงพร้อมๆกับที่ส่วนแข็งขืนของพิรัลหลุดออกจากช่องทางด้านหลัง
ในตอนนั้นนิพัทธ์ไม่ได้ขาดสติ เขาต้องการสิ่งนี้เพื่อเติมเต็มอารมณ์หมาย ชายหนุ่มตัวสูงไม่ได้ขัดขืนอะไรในตอนที่นิพัทธ์ดึงถุงยางอนามัยออก พวกเขาสบมองกันขณะที่นิพัทธ์หย่อนบั้นท้ายรับตัวตนเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเข้ามาอีกครั้ง สะโพกบางขยับเขยื้อนพลางโอบกอดพิรัลไว้แนบแน่น พิรัลมองข้ามขีดจำกัดของตัวเองเขากระแทกกายสวนขึ้นไป ท่อนเนื้อเปลือยที่เสียดกับช่องทางคับแน่นนั้นทำให้สะท้านมากกว่าเดิม เขากระทำกับร่างกายของหนุ่มตัวขาวแรงขึ้นหนักขึ้น ยิ่งในช่วงถึงจุดสุดยอดฝ่ายนั้นถึงกับหลุดเสียงครางครวญรัญจวนใจ พิรัลฝังกายลึกอยู่ในช่องทางด้านหลังของหนุ่มตัวขาว แก่นกายของเขารู้สึกได้ถึงแรงตอดรัดยามที่น้ำขาวขุ่นพุ่งพล่านอยู่ภายใน มันไหลย้อนลงมาจนเฉอะแฉะไปหมดแต่ไม่มีใครสนใจนัก นิพัทธ์พิงแนบใบหน้าอยู่ที่ไหล่ลาดลมหายใจอุ่นรดรินบนผิวกาย เขายังคงกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ขยับตัวไปไหน หลับตาลงและซึมซับไออุ่นจากคนที่กอดอยู่นานสองนาน
คนแปลกหน้าอย่างพวกเขาต่างสุขสมอารมณ์หมาย ไม่มีใครพูดถึงการกระทำที่ส่งผลให้ชุ่มแฉะเหล่านั้น ไม่มีใครเสียหาย ไม่มีใครเรียกร้องความสัมพันธ์ทางความรู้สึก ไม่มีใครต้องการสิ่งใดจากการได้พบกัน
พิรัลเก็บของลงกระเป๋าอย่างเงียบงันในตอนช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เขาลงไปกินอาหารเช้าอีกมื้อจากบัตรบุฟเฟ่อาหารเช้าของชายหนุ่มตัวขาว พวกเขาไม่ได้สนทนาอะไรกันเป็นพิเศษนอกจากไถ่ถามเรื่องเที่ยวบินกลับกรุงเทพ พิรัลบอกไปตามความจริงและพบว่าพวกเขาต้องกลับเที่ยวบินเดียวกัน ไม่มีใครแสดงความกระอักกระอวนกับโชคชะตานี้เท่าใดนัก พวกเขายังสามารถพูดคุยกันได้ปกติตลอดทางที่อยู่ในรถตู้จนถึงสนามบินที่กระบี่ ต่างคนต่างแยกย้ายนั่งตามที่นั่งเมื่อเช็คอินก่อนขึ้นเครื่องบิน และเจอกันอีกครั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ นิพัทธ์ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“โชคดีนะครับ”
“ครับผม คุณก็ด้วยนะครับ”
พิรัลมองตามหลังชายหนุ่มตัวขาวก่อนจะกระชับกระเป๋าสะพายหลังและเดินหันเดินออกไปอีกทาง สุดท้ายก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อของกันและกันอยู่ดี
“น้องเจตน์!”
เสียงเรียกที่ค่อนข้างดังในยามเช้านั้นทำให้เจ้าของชื่อหยุดชะงัก “อ้าว พี่หวาน หวัดดีพี่” พิรัลหันกลับมาทักทายหญิงสาวที่สวมชุดทำงานท่าทางทะมัดทะแมง แต่เมื่อสังเกตให้ดีท้องของเธอภายใต้ชุดกางเกงทำงานนั้นนูนเด่นชัด
เธอเอ่ยสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มที่อยู่ในชุดทำงานเรียบกริบ “เป็นไง”
“เป็นไงอะไรพี่”
“กระบี่ไง”
“สบ๊ายยย แล้วนี่คนท้องดื่มกาแฟได้เหรอ”
“ได้สิ แค่แก้วเดียว” เธออตอบแล้วหลังจากนั้นเครื่องดื่มที่พิรัลสั่งไว้ก็ถูกเสิร์ฟพอดิบพอดี “เออ เจตน์ เดี๋ยวขึ้นไปแล้วพี่ขอคุยด้วยนะ”
“คุยตอนนี้เลยก็ได้พี่”
“ขอกินข้าวก่อนสิ แล้วเดี๋ยวไปตาม เคนะ” สิ้นคำเธอส่งเสียงไล่ชายหนุ่มลูกน้องให้พ้นทาง พิรัลหัวเราะก่อนจะรับคำแล้วเดินออกจากร้านเครื่องดื่มไปในช่วงเช้าของวันจันทร์ วันเริ่มต้นแห่งการทำงาน
ตอนเก้าโมงครึ่งพิรัลถูกเรียกพบในห้องประชุมขนาดเล็กอย่างไม่เป็นทางการ หัวหน้าของเขาดื่มกาแฟดำและเขมือบครัวซ็องเพิ่มหลังจากที่เธอบอกว่าเพิ่งกินข้าวกล่องไปแล้วหนึ่งกล่อง เธอบอกว่าลูกหิว พิรัลหัวเราะลั่นแล้วหยอกล้อนิดหน่อยให้อารมณ์ดียามเช้าก่อนที่หัวหน้าจะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงเวลาเป็นการเป็นงาน
“พี่รู้ว่าเราเหนื่อยมาก”
“พี่หวาน ผมไม่ได้ป่วยขนาดนั้น ถ้าไม่ไหวก็หยุดพัก ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่หมายถึงตอนนี้มันจะมีโปรเจคใหม่เพิ่มเข้ามาอีกเยอะ ทีนี้ถ้าจะให้เจตน์ดูแลโปรเจคอื่นเพิ่มอีกก็คงไม่ไหว พี่มองขนาดงานแล้วไม่ไหวแน่ๆ โปรเจคใหม่นี้พี่ก็เลยรับคนเข้ามา”
“เดี๋ยว นี่อัลฟี่แอพพรูฟคนเพิ่มเหรอ หูฝาดป่าวพี่”
“เออ ตอนไปคุยก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ผ่าน”
“แล้วโปรเจคใหม่ผมต้องไปสแตนบายที่ไซต์นานมั้ย”
“เจตน์คิดยังไงถ้าพี่ให้เจตน์บริหารคนเพิ่มด้วย” หวานตอบด้วยการโยนคำถาม
พิรัลนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ในสมองประมวลคำถามที่ได้ยิน “พี่หมายถึงยังไง”
“พี่จะโปรโมตเจตน์แทนตั้ม ตั้มจะลาออก แล้วเจตน์ก็รู้งานจากตั้มมาหมดแล้ว อยู่ที่เจตน์นี่แหละว่าอยากทำรึเปล่า”
พิรัลยังคงเงียบ
“จะเอาไปคิดก่อนก็ได้นะ ยังพอมีเวลาอยู่ แต่ถ้าเจตน์ไม่ทำพี่ต้องหาคนมาแทนตั้ม”
ทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างครุ่นคิดกันไปพักใหญ่ สุดท้ายพิรัลก็เอ่ยปากตอบรับ “ทำครับ”
“ดี งั้นเริ่มจากสอนงานน้องใหม่เลยแล้วกัน น่าจะมารออยู่ตรงรีเซปชั่นแล้ว”
“เดี๋ยว พี่หวาน นี่รับเด็กมาใหม่แล้วเหรอ ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย นี่มีใครรู้อีกป่าว”
“ทุกคนจะรู้พร้อมกันวันนี้แหละ” หญิงสาวหัวหน้าดื่มกาแฟจนหมดก่อนจะตามด้วยน้ำเปล่า ขณะที่พิรัลยังคงพยายามรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมจู่โจมเข้ามา
เขาคิดว่าการไปพักผ่อนที่กระบี่จะช่วยชาร์จพลังก่อนกลับมาทำงาน แต่พอเริ่มต้นทำงานวันจันทร์เท่านั้นแหละดูเหมือนพิรัลจะต้องการพลังมากกว่าเดิม พลังจากกระบี่ไม่น่าเพียงพอเขาอาจจะต้องหาทริปบียอนด์เอเชียสักหน่อยเสียแล้ว
“พี่จะพาน้องใหม่ไปแนะนำในทีมก่อน แล้วเดี๋ยวเจตน์พาน้องไปแนะนำทีมอื่นด้วยนะ พี่มีประชุมกับอัลฟี่ตอนสิบโมง” เธอร่ายยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน
“พี่หวาน แล้วเรื่องพี่ตั้มคนอื่นรู้มั้ยครับ”
“ตั้มจะบอกวันนี้แหละ นางจะอยู่ช่วยจนกว่าพี่จะลาคลอด”
พิรัลพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามหัวหน้าออกจากห้องประชุมไป หญิงสาวยืนรอลูกน้องที่หมายมั่นปั้นให้เติบโตอยู่ที่ประตูทางออกจากออฟฟิศชั้นใน เธอกดปุ่มเปิดประตูเพื่อออกไปสู่ชั้นนอกซึ่งเป็นส่วนต้อนรับลูกค้า เด็กใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาทำงานกำลังนั่งรอตามนัด พิรัลนิ่งค้างไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายในชุดทำงานเรียบร้อยตามปกติ ฝ่ายนั้นกำลังลุกขึ้นทักทายหญิงสาวที่เป็นหัวหน้า พิรัลแทบก้าวขาไม่ออก ตรงหน้าตอนนี้หัวหน้าของเขายิ้มแย้มส่งสายตาเป็นเชิงให้พิรัลเดินเข้าไปหา ด้วยวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพพิรัลก้าวเข้าไปหาเด็กใหม่ด้วยหัวใจที่ไม่อาจยับยั้งให้เต้นแรงได้
“เจตน์ นี่น้องกานต์ เด็กใหม่ทีมเรา กานต์ นี่พี่เจตน์”
เด็กใหม่ที่หัวหน้ารับมานั้นคุ้นหน้าคุ้นตากับพิรัลเป็นอย่างดี พวกเขาสองคนอยู่ในช่วงเวลาประดักประเดิด แต่สุดท้ายพิรัลก็ส่งยิ้มให้น้องร่วมทีมด้วยมิตรไมตรี
“สวัสดีครับพี่เจตน์” นิพัทธ์ยกมือไหว้ตามมารยาทหากในแววตากลับมีความสับสนงงงวยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มากพอที่จะแสดงอะไรมากจนสังเกตเห็นได้ชัด อย่างน้อยหัวหน้าของพวกเขาก็ยังไม่เห็นผิดสังเกต
“หวัดดี” พิรัลตอบแล้วหลังจากนั้นหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าก็พาน้องใหม่เดินเข้าสู่ออฟฟิศชั้นในซึ่งเป็นส่วนที่พนักงานนั่งทำงานกันตามปกติ จะมีก็แต่พิรัลและนิพัทธ์เท่านั้นที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
นอกจากงานที่คั่งค้างและโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานกำลังจู่โจมพิรัลอยู่นั้น สิ่งที่ทำให้พิรัลหนักหนาใจจนไม่ค่อยมีสมาธิมากนักเห็นทีคงไม่พ้นพนักงานใหม่ที่ชื่อกานต์
พิรัลมารู้คราวหลังว่าชายหนุ่มที่เขาร่วมหลับนอนด้วยนั้นอายุห่างจากกันเป็นสิบปี นิพัทธ์อายุยี่สิบห้าขณะที่พิรัลอายุสามสิบหก มันไม่เชิงว่าเขาพรากผู้เยาว์หรอก เขาไม่เคยสนใจเรื่องนั้นตราบเท่าที่อีกฝ่ายสมยอมและไม่เรียกร้องสิ่งใด แต่ที่น่าหนักใจคงจะเป็นเพราะต้องร่วมงานกัน พิรัลคิดว่าด้วยวุฒิภาวะ ประสบการณ์ชีวิต และสิ่งต่างๆรอบกายสามารถทำให้เขาแยกเรื่องส่วนตัวได้แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เขายังคงมองว่าชายหนุ่มตัวขาวนี้เป็นวันไนท์สแตนด์ที่น่าประทับใจ นอกเหนือจากนั้นตัวตนของเขาที่แสดงออกเมื่อครั้งอยู่ที่กระบี่ก็ถูกเผยไปแล้วอย่างหมดจด หากจะไม่ให้หวนคิดเรื่องที่ร่วมกระทำด้วยกันในคราวนั้นก็คงผิดแปลกไปบ้าง ส่วนของฝ่ายนั้นเองพิรัลคิดว่าก็คงหนักใจไม่แพ้กันเพราะเสียงออดอ้อนเพื่อขอให้พิรัลสอดใส่กายเข้าไปยังคงไม่ลืมเลือน
พิรัลยืนมองนิพัทธ์ที่กำลังยกมือสวัสดีพี่ๆในทีมคนอื่น หลายคนก็แสดงความเอ็นดูด้วยการชวนไปดื่มเหล้าหลังเลิกงานเสียตั้งแต่วันนี้ แต่หัวหน้าสาวของพวกเขาก็ขัดคอด้วยการยกเรื่องงานมาอ้าง หวานบอกให้พิรัลช่วยรับช่วงต่อก่อนจะปลีกตัวหายไปประชุมกับอัลฟี่เจ้านายชาวต่างชาติตามที่เคยได้กล่าวไว้ พิรัลรู้สึกถึงความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาและอยากหนีหายไปตั้งสติเงียบๆเพียงลำพัง แต่เพราะหน้าที่การงานและความคาดหวังจากหัวหน้าทำให้เขายังยืนอยู่ตรงนี้ ความเป็นมืออาชีพที่สั่งสมมามันน้อยเกินไปจริงๆ
“คุณไท คุณป๊อปปี้ ผมพาน้องใหม่มาแนะนำครับ ชื่อกานต์”
นิพัทธ์ยกมือไหว้เป็นรอบที่ล้านและแนะนำตัวเองคร่าวๆกับหัวหน้าเซลและพรีเซล คุยไปคุยมาได้สักพักก็รู้เพิ่มว่านิพัทธ์จบมาจากที่เดียวกับพรีเซลที่ชื่อป๊อปปี้ พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อยตามประสาคนจบที่เดียวกัน
“แล้วกานต์มาช่วยงานของหมิงหรือของหวานล่ะ เจตน์”
“น้องมาช่วยงานฝั่งพี่ตั้มครับ”
“อ๋อ ออนไซต์กับตั้มเหรอ แล้วนี่เคยออนไซต์ลูกค้ามั้ยกานต์ ไหวมั้ย งานที่นี่หนักนะ”
“ไหวครับ ผมเคยออนไซต์แล้ว”
จากนั้นก็พิรัลก็ตัดบทด้วยการบอกว่าจะพาเด็กใหม่ไปแนะนำทีมอื่นให้รู้จักอีกด้วยเพราะไม่อยากยืดเยื้อบทสนทนาไปนานกว่านี้ ทีมที่จะพาไปรู้จักต้องเดินผ่านโถงทางเดินซึ่งด้านข้างเป็นห้องประชุมบริเวณนั้นจึงค่อนข้างเงียบสงบ และสบโอกาสให้นิพัทธ์สามารถคุยกับพิรัลได้อย่างเป็นส่วนตัว
“คุณ ผม…”
“เข้ามาคุยในนี้” พิรัลเปิดประตูห้องประชุมที่ไม่มีคนอยู่ “ว่าไง” เขาเอ่ยถามท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศและไฟในห้องประชุมที่ไม่ได้เปิด
“ผมไม่รู้ว่าคุณทำงานอยู่ที่นี่”
“ไม่มีใครรู้หรอก ช่างมันเถอะ”
“แต่ว่าผม…”
“กานต์ ไม่มีใครรู้หรอก” พิรัลมองสบดวงตาของชายหนุ่มตัวขาว ความมั่นคงฉายแววอยู่ในนั้นเพื่อเป็นหลักไม่ให้คนที่อายุน้อยกว่าตื่นตระหนกใจเกินกว่าที่ควรจะเป็น เขาได้แต่หวังว่าสิ่งที่พูดออกไปจะสร้างความเข้าใจตรงกันนั่นก็คือ หนึ่ง ไม่มีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของกันและกัน สอง ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหน สาม ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้นว่าแม่งจะโคจรมาเจอกัน
“ครับ”
พวกเขาเงียบลงช่วงอึดใจหนึ่งก่อนที่พิรัลจะรวบรวมตั้งสมาธิกับหน้าที่ที่ต้องกระทำ “ผมจะพาคุณไปแนะนำตัวกับทีมอินฟราฯ แล้วพอกลับมาก็ช่วยหญิงคาริเบตหน้าจอเครื่องโพสหน่อย”
“ได้ครับ”
พิรัลจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า จนถึงเวลานี้สถานะใหม่ระหว่างพวกเขาก็ยังไม่เคยชินเสียที
“กานต์ ไม่มีใครรู้อะไรหรอก”
น้ำเสียงที่เปล่งเพื่อย้ำเตือนออกไปนั้นค่อนข้างเป็นไปในเชิงปลอบประโลม พิรัลพอจะเข้าใจว่าระหว่างพวกเขานั้นวุฒิภาวะและความเป็นมืออาชีพค่อนข้างต่างกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนวัยยี่สิบห้าที่เพิ่งผ่านการใช้ชีวิตในที่ทำงานมาได้ไม่กี่ปี
“ฟังผมนะกานต์ ระหว่างผมกับกานต์เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักกัน เข้าใจตามนี้นะ”
************************************
ติดตามตอนต่อไปในเร็วๆนี้ด้วยนะคะ