Tomorrow's the past พรุ่งนี้ของผมคืออดีต <Chapter12> 24.10.18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Tomorrow's the past พรุ่งนี้ของผมคืออดีต <Chapter12> 24.10.18  (อ่าน 3649 ครั้ง)

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





คงเป็นพรหมบนฟ้าที่หัวเราะให้กับความผิดหวังของผมจนสมใจ
เลยมอบโอกาสให้ผมได้ย้อนกลับไปแก้ตัว
ผมจะเปลี่ยนวันพรุ่งนี้ของผม ให้กลายเป็นอดีตที่สวยงาม


#พรุ่งนี้ของโมทย์
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-10-2018 21:08:48 โดย geurechi »

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Prologue




                ฝนลงเม็ดเบา ๆ หลังจากที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่หัววัน ช่างไม่รู้เวล่ำเวลาเสียจริง ผมเดินคอตกลากรองเท้าพัง ๆ ไร้จุดหมาย รู้แค่ว่าควรจะหาป้ายรถเมล์ให้เจอเสียที ยามวิกาลเช่นนี้จะเหลือวิ่งซักกี่คัน หากในกระเป๋าไม่เหลือเพียงแค่เศษเหรียญผมคงโบกแท็กซี่ไปนานแล้ว

               

                น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่ไหลมาเป็นทาง ปลดเปลื้องอารมณ์ที่สะสมมาแสนนาน ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์จากการเดินผิดเส้นทาง ผมถูกแฟนที่คบกันมาหลายปีบอกเลิก ล้มเหลวในหน้าที่การงาน ติดเชื้อน่ารังเกียจที่ทำลายทุกอย่างในชีวิตผมลง

 

                จะโทษใครได้ นอกจากตัวของผมเอง

 

                ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งเผือด ขาที่ไร้เรี้ยวแรงพาผมมาไกลได้เท่านี้ ผมเลื่อนลิสรายชื่อเบอร์โทรที่หวังว่าคงจะมีใครสักคนให้ขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มี แม้แต่เพื่อนที่สนิทมากผมก็ทำให้เขาเสียใจจนมองหน้ากันไม่ติด จะให้ผมบากหน้าไปรบกวนเวลายามวิกาลอย่างนี้ รังแต่จะสร้างความเกลียดที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้น

 

 

                รถเมล์คันหนึ่งจอดเทียบในมุมมืดที่ผมยืนพักอยู่ คนขับหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ขนแขนตั้งชัน ผมก้าวขึ้นไปแม้ว่าจะกลัว ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าขึ้นถูกสายหรือเปล่า รู้แค่ว่าอย่างน้อยให้ได้มุ่งไปบนถนนข้างหน้าโดยที่ผมไม่ต้องเดิน ย่นระยะทางให้ผมได้เจอป้ายรถเมล์ที่พอจะมีสายที่ผมต้องการไปจริง ๆ 

 

                กระเป๋ารถเมล์เป็นชายวัยกลางคน พูดจาประหลาด เขาไม่ได้ถามว่าผมจะลงป้ายไหน แต่เขาถามผมว่า

“จะย้อนกลับไปปีอะไรครับ” ผมขมวดคิ้ว ในหัวคิดว่าหากเราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ จะกลับไปแก้ไขจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตพัง “ปี 2012 ครับ” เขารับเหรียญที่ผมยื่นให้ไป และไปถามคำถามแปลก ๆ นี้กับผู้โดยสารท่านอื่นเช่นเดียวกัน หากแต่ไม่มีใครรู้สึกว่ามันผิดปกติ ทุกคนทำเหมือนรถเมล์คันนี้มีไว้เพื่อเดินทางข้ามเวลาอย่างนั้น

               

“เอ่อ ลงป้ายหน้าให้ด้วยครับ” ผมรู้สึกไม่ชอบมาพากลจากเส้นทางที่เขาขับมา ทางแยกที่ผมไม่คุ้นชิน ทั้งถนนไร้แสงไฟ ไม่ใช่ทางกลับบ้านผม

               

“เราไม่จอดจนกว่าจะพาทุกคนถึงที่หมายครับ” กระเป๋ารถเมล์ตอบ

 

                ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาให้ถึงที่หมายตามที่เขาบอกได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็ขอให้มีตู้ ATM ให้ผมกดเงิน จะได้นั่งแท็กซี่กลับ หากคิดได้อย่างนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องนั่งรถเมล์คันนี้มาให้ลำบาก

 

                ผมเผลองีบ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่พอลืมตาก็พบว่าควันสีขาวพวยพุ่งปกคลุมรถแทบจะทั่วทั้งคัน มันมากจนผมเริ่มจะมองอะไรไม่เห็น และรู้สึกง่วงซึมมากกว่าก่อนหน้านี้ หนังตาเริ่มหนังจนผมควบคุมไม่ได้

 

 

                “ไอ่โมทย์ ตื่น ตอนบ่ายมึงมีสอบ” เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานของใครสักคน แรงเขย่าจากมือนุ่มทำให้ผมตื่นจากฝัน

 

                หลังคาสีขาวนวลอยู่ไม่ห่างจากผมมาก ผมนอนเตียงบน ใช่ ผมคงฝันซ้อนฝันเห็นตัวเองอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย หากแต่ทำไมฝันช่างเสมือนจริง

 

เมื่อไหร่จะตื่นสักที ฝันร้ายจนเหนื่อยแล้ว

 

                “ไปอาบน้ำได้แล้วไอ่โมทย์ จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวร้านเจ๊แตนคนเต็ม” คนตัวเล็กยังตะเบงเสียงปลุกผมอยู่

                “เมื่อไหร่จะตื่นจริงสักทีวะ ป่านนี้รถเมล์แม่งเลยป้ายไปไกลแล้วมั้งเนี้ย” ผมพูดกับตัวเอง แต่คงจะดังจนรูมเมทเสียงแจ้วได้ยิน

                “รถมงรถเมล์อะไร มึงอาศัยมอไซกูไปสอบเนี่ย จะลุกมาอาบน้ำดี ๆ หรือว่าให้กูเอาน้ำมาราดมึงบนเตียง ห๊ะ”

                “โอ้ย ใจเย็น ๆ หน่อยสิมึง กูไปอาบก็ได้” ผมตอบ “ทำไมครั้งนี้ฝันเหมือนจริงจังวะ”

                “ฝันเหี้ยไร มึงอ่านหนังสือจนเป็นบ้าแล้วหรอ”

 

                น้ำจากฝักบัวทุกหยด ผมรู้สึกได้ ทั้งความร้อน แรงกระทบ กลิ่นสบูที่ผมไม่ค่อยชอบแต่ต้องทนใช้ให้หมด ทุกอย่างมันจริง หรือว่า

                “แฮม ปีนี้ปีอะไร” ผมวิ่งล่อนจ้อนออกมาจากห้องน้ำ ต้องรู้คำตอบให้ได้เดี๋ยวนี้

 

                “ไอ่โมทย์ ไอ่บ้า” เขาหันหลังหลบ “ปีนี้ก็ปี 2012 ไง  2555 น่ะ”

 

                “เชี้ยยยยย”

 

              ยากที่จะเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน


              แต่ถ้าหากว่านี่จะเป็นความฝัน

              ในเมื่อผมยังไม่ตื่น และฝันช่างสมจริงขนาดนี้

ผมได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต โดยไร้สายตาโกรธแค้นกับสิ่งที่ผมเคยทำไม่ดีกับเขาไว้

ผมขอดื่มด่ำกับความสุขเหล่านี้ ตักตวงช่วงเวลาที่คงอยู่ในความทรงจำ อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก่อนที่จะตื่นนอนก็แล้วกัน

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2018 08:56:27 โดย geurechi »

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1


นี่ไม่ใช่ความฝัน ผมพิสูจน์แล้วด้วยกะเพราหมูสับร้านเจ๊แตนแดนมหัศจรรย์ รสชาติที่คุ้นลิ้น ความร้อนแรงจากพริกที่กำลังเผาปาก ผมยิ้ม ยิ้มให้กับเรื่องประหลาดที่ไม่น่าเชื่อ ยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่กำลังเอร็ดอร่อยกับผัดซีอิ๊วเมนูโปรด

 

“อร่อยปะมึง” ผมถาม

“อร่อยดิ ถามแปลก ที่มึงกับกูมากินร้านนี้ทุกวันก็เพราะมันอร่อยที่สุดในย่านนี้แล้วไง”

 

ผมมองไปรอบ ๆ ที่นี่ยังเหมือนเดิม ไม่สิ เพราะมันคือที่เดิมเวลาเดิมที่ผมเคยผ่านมาแล้ว ผมจำได้ลาง ๆ ว่าช่วงบ่ายผมทำข้อสอบไม่ได้ ในวัยนี้ผมไม่เคยสนใจเรื่องการเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว อ่านหนังสือสอบก็แค่ให้ผ่านตา ไม่มีประโยชน์เอาซะเลย เสียเวลาไปเปล่า ๆ

 

“วันนี้กูจะเอาท็อปให้ดู” แฮมพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มกระจายไปทั่ว ดีที่ผมหลบทัน

“มึงจะเอาใครก็ได้ แต่มึงจะเอาเขาโชว์เพื่อนไม่ได้ไง” เอ่อ.. ตอนพูดผมก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะหมายความถึงแบบอื่นด้วย

“นี่มึงเข้าใจเป็นอะไรเนี่ย กูหมายถึงกูจะทำข้อสอบให้ได้คะแนนเยอะสุดให้มึงดู”

“กินยาดีกว่าไหมมึง พาราซักเม็ดไหม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” แน่นอนว่าแฮมต้องไม่เชื่อว่าผมจะทำคะแนนได้เยอะ แต่ผมจะให้ดู เป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ครั้งแรกในชีวิต ถ้าผมทำคะแนนได้ดี เส้นทางในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ผมอยากรู้

 

 

บรรยากาศที่ห่างหายไปนาน ห้องสอบที่กว้างใหญ่ แต่ผมมักจะได้นั่งเก้าอี้แคบ ๆ อยู่ขอบห้อง เดิมทีผมอาจจะกวาดสายตามองคำตอบจากเพื่อนด้านข้างหรือด้านหน้า แต่พอผ่านประสบการณ์ทำงานมาประมาณหนึ่ง วิชาที่กำลังจะสอบเป็นอะไรที่ง่าย และพื้นฐานมาก ๆ ผมบรรเลงฝนข้อสอบเพลินมือ ข้อเขียนที่ให้มาผมก็ตอบยาวจนถึงบรรทัดสุดท้าย

 

“ออกห้องคนแรกอย่างนี้ มึงทำไม่ได้อีกแล้วอะดิ” แฮมถาม

“ใครบอก กูทำได้ทุกข้อเลยตะหาก มึงรอดูคะแนนสอบนะ” ผมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าคนตรงหน้าจะเบ้ปากใส่ผมก็เถอะ

“มึง พากูไปลานซาลาเปาหน่อย กูหิว อยากกินขนมจีบ” ผมก็หิวเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ในวันนี้คุ้นว่าผมจะเจอใครคนหนึ่ง เบน คนที่บอกเลิกผมในวัย 25 คนที่เป็นพาหะนำโรคร้ายมาติดผม และรับผิดชอบมันด้วยคำว่าขอโทษเพียงคำเดียว

ผู้คนจับจองโต๊ะจนแทบไม่เหลือที่ให้ผมกับแฮมนั่ง เขาคนนั้นมีน้ำใจขยับกระเป๋าแล้วชวนผมนั่งร่วมโต๊ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน และตอนนี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง

ต่อจากนี้ผมอาจจะชวนเขาคุยเรื่องการสอบ เป็นอย่างไรบ้าง สอบอะไรมา ตามมารยาท และมันตามมาด้วยกันแลกพินบีบีกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่คาดหวังว่าความสัมพันธ์นี้จะยืนยาว ผมก็แค่เห็นว่าการมีคนคุยด้วยมันก็ไม่เหงาดี ซึ่งผมยอมให้มันเกิดขึ้นอีกไม่ได้ ผมนั่งเงียบและจ้องแค่คนตรงข้าม ที่กำลังกินขนมจีบอย่างเอร็ดอร่อย

“มึงอิ่มยัง กูอยากกลับแล้ว” ผมไม่ได้จะถาม แต่เร่งให้แฮมกินเร็วนี้กว่าอีกหน่อย

“เหลือหนมจีบอีกลูกหนึ่ง มึงอย่ารีบ กูอยากกินช้า ๆ ค่อย ๆ ลิ้มรส”

 

ผมรู้ว่าที่แฮมมันช้าไม่ใช่เพราะมันต้องการกินหนมจีบลูกสุดท้ายอย่างตั้งใจ แต่เป็นเขาต่างหากที่แฮมมันต้องการมองนาน ๆ


ผมกับแฮมเราสนิทกันมาก นอกจากที่เป็นรูมเมทกันแล้ว เรายังเรียนสาขาเดียวกัน เราไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยโกรธกันไม่ว่าเรื่องไหน แต่เมื่อตอนที่ผมตัดสินใจคบกับเบน แฮมโกรธผมไม่คุยด้วยเป็นเดือน สุดท้ายกลายเป็นผมที่หาเรื่องทะเลาะ เขาหลุดปากออกมาว่าเขาชอบเบน

ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเพื่อนกับแฟนที่ทำชีวิตผมพังในอนาคต ผมขอเลือกเพื่อน บางทีที่ผมได้รับโอกาสย้อนเวลากลับมาจากใครก็ไม่รู้ก็คงเพื่อสะสางเรื่องเหล่านี้ก็ได้

 

 

 

ผมงวยเงียตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มในห้องมืดสนิท ผมอยู่ที่ไหน แล้วที่ฝันไปเมื่อกี้ช่างสมจริงอะไรขนาดนั้น น่าหัวเราะกับฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง


ผมควานหามือถือข้างหมอน ไม่พบ แต่รับรู้ได้ว่าเตียงที่นอนอยู่แคบเหลือเกิน ผิดกับเตียงขนาดคิงไซส์ที่คุ้นเคย ในชีวิตเคยนอนเตียงแคบสุดก็คงชีวิตมหาลัย

 

อืม เข้าใจละ ผมไม่ได้ฝันไปจริง ๆ

 

ผมงีบหลับทันทีที่กลับถึงห้อง ข้าวเย็นไม่ได้ตกถึงท้องสักเม็ดด้วยซ้ำ หอในตอนนี้ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกแล้วด้วยสิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคงจะเป็นทางเลือกแก้ขัด

 

ไม่รู้ว่าตอนนี้ดึกแค่ไหน รูมเมทนอนหลับกันหมดแล้ว ห้องนี้ เราอยู่กัน 4 คน มีผม แฮม เป้ และกานต์ เราสนิทกันหมด แต่ผมสนิทกับแฮมที่สุด ไม่รู้สิ แค่คุยกันถูกคอ เป็นคนไลฟ์สไตล์คล้าย ๆ กันเลยไปไหนมาไหนตัวติดกันซะจนคนชอบแซวว่าเป็นคู่จิ้น

 

ผมเปิดไฟโต๊ะอ่านหนังสือนั่งซูดบะหมี่คนเดียวเงียบ ๆ เปิดคอมพิวเตอร์เสิร์ชหาข้อมูลรถเมล์ที่พาผมย้อนเวลากลับมา แต่ไม่พบ แม้แต่ภาพยนตร์สักเรื่องที่เคยมีคนนั่งรถเมล์ข้ามเวลามาแบบนี้ก็ไม่มี ใกล้เคียงที่สุดคงจะเป็นรถไฟที่ลอดอุโมงค์แล้วหายไป แล้วโผล่พ้นจากอุโมงค์มาอีกทีสิบกว่าปีให้หลัง

ผมแค่อยากรู้ว่าผมจะกลับไปอนาคตได้เมื่อไหร่ สถานที่ล่าสุดที่ผมจากมาคือกรุงเทพ แต่ตอนนี้ผมอยู่เชียงราย รถเมล์คันนั้นจะวิ่งผ่านไหม แล้วผมต้องไปยืนรอตรงป้ายไหน ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ บางทีผมอาจจะติดอยู่ในอดีตซึ่งกลายเป็นปัจจุบันไปแล้ว ทำได้แค่รอให้เวลาผ่านไปจนถึงอนาคต

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 เงากระจกสะท้อนผมในวัย 18 ช่างดูอ่อนต่อโลกนัก ใบหน้าที่ปราศจากริ้วรอยทำให้ผมดูเป็นคนโง่ หลอกได้ง่าย เป็นเด็กผู้ชายหน้าโง่ที่หลงเชื่อคำหวานของคนอื่นไปทั่ว ขอโทษฉันซะสิ การตัดสินใจของนายมันทำให้ชีวิตเราพังไปเป็นท่า


                “ตื่นเช้าจัง วันนี้ไม่มีสอบนะมึง” แฮมเพิ่งจะตื่นนอน ผมเพ้ายุ้งเหยิงไปหมด

                “ใครบอกว่ากูตื่นเช้า นอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน นั่งเล่นคอมยาว”


                ผมเล่นคอมยันเช้า พยายามจะเข้าเฟซบุกแต่จำรหัสผ่านไม่ได้ รหัสผ่านอีเมลก็เช่นกัน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก และไม่ได้ล็อกอินค้างไว้ ต้องสร้างแอคเค้าใหม่ ในยุคที่คนเริ่มแชทผ่านบีบีน้อยลง ผมคงขาดการติดต่อกับเพื่อนถ้าไม่มีเฟซบุกเล่น

                รายชื่อที่เฟซบุคแนะนำให้เพิ่มเพื่อน ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผมเคยเห็นผ่านตา ผมยิ้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ได้เห็นพวกเขาเหล่านี้อีกครั้ง ผมอยากจะทักแชทไปหาและบอกเล่าเรื่องราวในอนาคตของพวกเขา แต่คงจะถูกมองว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบเสียมากกว่า


                รายชื่อหนึ่งที่ผมเผลอกดเพิ่มเพื่อนไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจนักหรอก จะยกเลิกก็คงไม่ทันเพราะเขาตอบรับคำขอนั้นแล้ว


                Ben Aphichoke accepted your friend request


                Ben Aphichoke : ดี ๆ เปลี่ยนเฟซใหม่หรอ

                Future Mote : ครับ


                ผมตอบสั้น ๆ ที่จริงไม่ควรแม้แต่จะตอบเพื่อรักษามารยาทเลยด้วยซ้ำ ผมยอมรับว่าผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมต้องทำความรู้จักกับเขาอีก ผมจบบทสนทนาโง่ ๆ นั่นไว้แค่นั้น ไม่สนใจว่าเขาจะพิมพ์อะไรกลับมาอีก


                “ใจคอจะนั่งแช่โต๊ะคอมจนรากงอกเลยปะ กูหิวอะ ออกไปหาไรกินกัน” แฮมบ่น

                “เป้กับกานต์เพิ่งออกไปกินข้าว โทรหามันดิ แล้วฝากมันซื้อ กูขี้เกียจไม่อยากออกไปไหน”


                แฮมคงไม่พอใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่ เขาถึงได้ลากผมมาถึงเซ็นทรัล นี่ไม่ใช่แค่หาข้าวกินธรรมดา แต่เขาซื้อตั๋วหนัง เดินซื้อของ ข้าวยังไม่ถึงท้องซักเม็ด ไหนบอกว่าหิวไง

                “จะกินชาบู หรืออาหารญี่ปุ่น” เขาเสนอทางเลือกให้ผม แต่ผมก็ตามใจเขานั่นแหละ ผมไม่ใช่คนกินยาก

                “แล้วแต่มึงดิ มึงอยากกินอะไรมึงเลือก” เขายิ้ม


                เขาเลือกอาหารญี่ปุ่น ร้านไม่ได้ใหญ่โต ทุกโต๊ะจัดเรียงชิดกันมาก โต๊ะข้าง ๆ เป็นคนที่ผมรู้จัก เขาชื่อพี่โปเต้ ใบหน้าเข้ม ๆ มีหนวดและขนเคราบาง ๆ ผมจำเขาได้แค่ชื่อ ไม่รู้ว่าเรารู้จักกันที่ไหนเมื่อไหร่ และห่างหายกันไปเพราะอะไร


                ผมลืมตัว เผลอทักเขาอย่างคนรู้จักกันดี

                “หวัดดีครับพี่เต้” เขาขมวดคิ้วใส่ พยักหน้ารับ แต่สีหน้ายังคงแคลงใจว่าผมคือใคร

                “สวัสดีครับ” เขาตอบตามมารยาท

                ผมไปต่อไม่ถูก คนที่สงสัยเรื่องนี้มากกว่าคงเป็นคนตรงหน้า ที่รู้ความเป็นไปในชีวิตของผมแทบทุกอย่าง ผมรู้จักใคร เขารู้จักด้วย

                “พี่เขาเป็นใครหรอ”

                “รุ่นพี่ที่รู้จักน่ะ”

                “ทำไมกูไม่รู้จักอะ มึงไปรู้จักพี่เขาตอนไหน ทำไมไม่บอกกู” นี่เพื่อนหรือแม่วะเนี่ย

                “ดุจังวะ ไว้ค่อยเล่าละกัน” โชคดีที่อาหารมาเสิร์พพอดี แฮมถูกดึงจุดสนใจไปที่ปลาแซลม่อนย่างมากกว่าเรื่องของพี่โปเต้ ผมเองก็ไม่รู้จะเล่าให้ฟังยังไงเหมือนกัน ถ้าบอกว่าผมย้อนเวลามาจากอนาคตเขาคงไม่เชื่อแน่ เขาเป็นคนเชื่อในวิทยาศาสตร์ และเรื่องที่มีเหตุผลสุด ๆ

                แต่จะว่าไป ผมก็ไม่รู้ว่าการเดินทางข้ามผ่านเวลาของผมนั้นจัดอยู่ในประเภทของวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ มันอาจจะเป็นนวัตกรรมจากโลกอนาคต หรือ เทวดา เทพ พรหม หรือผู้วิเศษสักคนสร้างมันขึ้นมา


                แฮมพาผมมาดูหนังเรื่องเดอะฮังเกอร์เกมส์ เป็นอีกครั้งที่เราดูด้วยกัน ผมเคยมาดูเรื่องนี้กับมันเนี่ยแหละ รอบนี้จะเป็นรอบที่ 4 แล้วมั้งที่ผมดู ก็ทุกครั้งที่มีภาคใหม่ผมก็ต้องวนดูภาคเก่าก่อนให้จำได้


                “ฉากต่อไปริวตาย” ผมกระซิบบอกแฮมให้รู้ เขาเป็นคนเซนซิทิฟ เขาต้องร้องไห้แน่ถ้าเห็นเธอตาย อีกอย่างผมอยากจะแกล้งเขาด้วยแหละ เขาไม่พอใจเวลาถูกสปอยเนื้อหาหนัง แต่ก็มักจะทำเสียเองเมื่อแนะนำหนังให้ผมดู


                “รู้ได้ไง อ่านนิยายมาแล้วหรอ”

                “อื้ม อ่านมา”


                เขาอยากเชื่ออย่างนั้นก็เชื่อไปเถอะ แต่ถ้าเขารู้จักผมดี จะรู้ว่าหนังสือกับผมไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่ ยาสลบช้างยังออกฤทธิ์ไม่แรงเท่าหนังสือหนา ๆ สักเล่ม ต่อให้เป็นนิยายน้ำดีที่คนชื่นชม ผมก็ไม่อ่าน


                หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก ไม่ว่าผมจะดูมันมาแล้วหลายรอบก็ยังประทับใจ สำหรับเขาที่เพิ่งได้ดูครั้งแรกก็เช่นกัน น้ำตาเอ่อจนผมอดแซวไม่ได้

                “ร้องไห้ยังกับเด็ก อายคนอื่นเขาเห้ย” ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวให้

                “นี่ขนาดมึงเตือนกูเรื่องน้องริวแล้วนะ กูก็ยังปล่อยโฮอยู่ดี เขาจะทำภาคต่อใช่ไหมวะ กูรอเลยอะ”

                “มีภาคต่อแน่ มึงมาดูกับกูอีกนะ”

                “อื้ม”


                ถ้าผมเปลี่ยนอนาคตได้ ผมคงมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ ในโรงหนัง เรื่องนี้ ภาค 2

                และคงจะมีโอกาสได้ดูหนังด้วยกันอีกหลาย ๆ เรื่องที่เรารอให้เข้าโรง


                “สัญญานะ ว่ามึงจะมาดูกับกูอีกอะ”


                “นี่มึงจะดึงเข้าซีนดราม่าทำไมเนี่ย บอกว่ามาก็มา กูกับมึงมีเพื่อนเยอะนักหรอ ยังไงก็ต้องมาดูกันแค่นี้อยู่แล้ว”

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1


Chapter 2


                สัปดาห์นรกแห่งการสอบผ่านพ้นไปด้วยดี วันหยุดสั้น ๆ ไม่กี่วันหลังสอบกลางภาค เรามาพักผ่อนที่บ้านเป้ เราที่ว่ามีผม แฮม และเป้ ส่วนกานต์มาด้วยไม่ได้ ติดแฟน

               

เป้เป็นคนเชียงราย ที่บ้านทำรีสอร์ทใหญ่โต อยู่บนดอยแม่สลอง ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พวกเรารู้สึกโชคดีและอยากขอบคุณ ที่มักจะได้มาพักผ่อนฟรี ๆ อยู่บ่อยครั้ง พ่อแม่ของเป้ใจดีมาก สำหรับคนที่จากบ้านเกิดมาเรียนไกลอย่างผม รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน

 

                ศาลาชมวิวกลายเป็นห้องอาหารพิเศษสำหรับเราสามคน คงเพราะพ่อกับแม่เป้กลัวว่าพวกเราจะเสียงดังรบกวนแขก และอีกอย่าง ไวน์ไม่รู้กี่ขวดที่เป้เตรียมไว้เผาหัว ถ้าแขกที่มาพักเห็นเด็กวัยเราดื่มจนหัวราน้ำคงจะไม่เหมาะ

 

                “มึง เล่นหมุนขวดกันปะ” เป้เปิดประเด็น ปกติพวกเราเมื่อรวมกันครบสี่คนจะเล่นอะไรพวกนี้กันอยู่แล้วเพื่อเพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ตอนนี้เหลือกันแค่สาม คงจะไม่สนุก

                “สามคนไม่สนุกหรอก” ผมตอบ

                “สนุกดิวะ ดีซะอีก รู้กันแค่สามคน ห้ามไปบอกใคร” เป้ย้ำ

                “กูเอาไงก็ได้” แฮมพูด

                “งั้นเล่นก็เล่น” ผมตกลง เพราะปาร์ตี้เล็ก ๆ นี้คงกร่อยถ้าไม่มีกิจกรรมตื่นเต้น ๆ ทำ

 

                ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างแฮมสักเท่าไหร่ ปากขวดมักจะชี้ไปที่เขา โดนถามคำถามวนมาหลายรอบแล้ว ไม่ผมถาม ก็เป็นเป้

 

                “รอบนี้กูถามเรื่องความรักมึงดีกว่า มึงชอบใครอยู่วะ” เป้ถาม

 

แฮมนิ่ง เขาคงจะอยากตอบว่าเบน แต่คงเห็นวันก่อนที่ผมแชทกับเบนทิ้งไว้เลยไม่กล้าตอบนัก ผมอยากให้เขารู้เหลือเกินว่าสำหรับผมถ้าเพื่อนกับผมชอบคนเดียวกัน ผมยินดีเปิดทางให้ แต่สำหรับเบน ผมไม่ยอมให้เขาได้คนแบบนั้นไปหรอก เลว คงเป็นคำนิยามที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนอย่างเบน

 

                “เปลี่ยนคำถามได้ปะ”

                “งั้นแสดงว่ามึงชอบใครแต่ไม่อยากบอกพวกกูหรอ” เป้แหย่

                “เปล่า กูแค่ไม่มีหวังเรื่องนี้ว่ะ กูปลงแล้ว” ผมเข้าใจที่แฮมพูด

                “กูรู้ว่ามึงชอบใคร อย่าไปสนคนแบบนั้นเลย แม่งเลว” แฮมหัวเราะ

 

                พอถึงคราวที่แฮมหมุนขวด ผมเป็นฝ่ายถูกถาม แถมคำถามจากแฮมก็โหดจนผมไม่อยากตอบ

                “พี่เต้เป็นอะไรกับมึง แล้วได้กันหรือยัง”

 

                พี่เต้เป็นวันไนซ์แสตน ในคืนที่ต่างคนต่างต้องการ และตอนนั้นผมยังไม่มีใคร แต่มันยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผมควรจะตอบเขาตามความจริงที่ผมรู้ ผมโกหกคนไม่เก่งซะด้วยสิ

 

                “ยังไม่เคยได้กัน”  ผมหลบตา กลัวแฮมจะจับได้ แต่ยิ่งทำอย่างนั้นยิ่งมีพิรุธไปใหญ่

                “มึงรู้ไหมโมทย์ มึงโกหกไม่เนียนว่ะ สรุปมึงได้กับพี่เขาแล้วใช่ไหม” แฮมถาม

                “ยังไม่ได้โว้ย”

                “ตอนนี้ยัง แต่ยังไงก็ต้องได้กันใช่ปะ”

                “มึงดุกูแบบนี้ กูไม่เอาแล้วโว้ย พี่เขาแม่งเป็นรุกด้วย กูว่ากูรับไม่ไหวว่ะ”

                “เชี้ย พวกมึงคุยกันถึงขั้นนั้นแล้วดิ” เป้ขยี้ สายตาแฮมตอนนี้ดูพร้อมจะเอาขวดไวน์ที่ดื่มหมดแล้วฟาดหัวผม

 

                ผมไม่ค่อยแปลกใจที่แฮมจะเป็นห่วงเป็นใยผมมากกว่าปกติที่เพื่อนเขาจะทำกัน เพราะนี่คือปกติของเขา เขาเอาใจใส่และเป็นห่วงทุกคน หลายครั้งที่เขาเตือนผมให้ระวังโรคร้าย ในมหาลัยเราคนติดเชื้อกันเยอะไม่น่าเชื่อ บางคนเห็นใส ๆ ยิ่งต้องระวัง

 

                “กูง่วงว่ะ กูขอตัวไปนอนนะ” แฮมลุกออกไป ทิ้งผมกับเป้เคลียร์กับแกล้มและไวน์ที่เหลืออีกครึ่งขวด ของดีแบบนี้จะทิ้งก็เสียดาย

                “มึง กูมีเรื่องจะสารภาพว่ะ” เป้พูด

                “เรื่องไรวะ”

                “คือกูว่ากูชอบแฮมว่ะ มึงสนิทกับแฮม มึงช่วยกูเรื่องนี้ได้ไหมวะ กูอยากมีโอกาสอยู่กับแฮมสองต่อสองบ่อย ๆ อะ”

                ผมตกใจเหมือนกันที่ได้ฟังเรื่องนี้จากปากของเป้ อดีตในความทรงจำของผมเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้ บางที นี่คงเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันที่ส่งผลต่ออนาคต เรื่องพี่โปเต้ที่ผมเปิดใจพูด อาจจะกระทบให้เป้กล้าพูดสิ่งที่คิดอยู่ ผมสรุปเอาเองว่าคงเกี่ยวกัน

 

                “กูไม่รู้จะช่วยยังไงนะ แต่กูจะพยายามละกัน” ผมรับปาก คงจะดีเหมือนกันถ้าแฮมคบกับเป้ เป้เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่คงจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ สุดท้ายก็ให้แฮมเป็นคนเลือกเอง ผมรู้จักนิสัยของเขาดี เขาไม่ชอบให้คนมาจับคู่ให้ ตอนที่โดนคนแซวว่าเป็นคู่จิ้นกับผมเขาก็โวยวายใหญ่โต

 

 

                “มึงนอนยัง” แฮมนอนคว้ำฟุบหน้าไปกับหมอน ผมดูไม่ออกว่านี่เขากำลังหลับอยู่หรือเปล่า

                “ยัง” แฮมตอบเสียงอู้อี้อย่างกับคนเป็นหวัด

                “ไหนบอกว่าง่วง ไม่สบายหรอมึง”

                “ป่าว ง่วงแล้ว ปิดไฟให้ทีดิ”

 

                ห้องมืดลงทันทีที่ผมดับไฟ ไม่มีแม้แต่แสงสว่างจากโคมหัวเตียง

 

                ความมืดทำให้ผมกล้าพูดเรื่องที่คาใจเมื่อก่อนหน้า

 

                “แฮม เรื่องพี่เต้ กูไม่รู้ว่าจะบอกมึงยังไง แต่มึงเชื่อกูเถอะว่ากูไม่มีทางทำตัวแบบนั้นเด็ดขาด กูรู้แล้วว่าทุกอย่างที่มึงเตือนกู มันมีความหมาย”

                “มึงจะบอกกูทำไม กูไม่ได้อยากรู้”

                “กูกลัวมึงโกรธ”

                “กูจะไปโกรธมึงได้ไงวะ”

                “ไม่รู้ล่ะ กูขอโทษมึงไว้ก่อนนะ”

                “อืม”

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1


Chapter 2


เช้าวันใหม่ อากาศบนดอยเย็นสบาย ผมนั่งเล่นอยู่ริมระเบียง ส่องไอหมอกพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ทำให้ผมนึกถึงช่วงฤดูหนาวครั้งแรกที่มาเที่ยวที่นี่ เมื่อเรายังเป็นเด็กปีหนึ่ง เป็นการเมาครั้งแรกของแฮม พอตื่นมาอีกวันเขาต้องเผชิญกับอาการแฮงค์ ใบหน้าแดงก่ำตัดกันกับผิวขาว ๆ ของเขา ดูแล้วน่าสงสาร แต่ก็อดขำไม่ได้เมื่อเขาเอาแต่กระวนกระวายหาวิธีแก้

 

"มาทำอะไรตรงนี้คนเดียว" แฮมถาม

"สูดอากาศ ชอบบรรยากาศแบบนี้ อยากมีบ้านบนดอยสักหลัง"

"เหมือนกัน" ดวงตาของแฮมบวมแปลก ๆ อาจจะเป็นปกติของคนตื่นนอน แต่มันควรจะยุบได้เสียที เขาตื่นมาได้สักพักแล้ว

"มึงแพ้ไรปะเนี้ย ตาบวมเชียว"

"ไม่รู้ดิ เดี๋ยวมันก็หาย"

"ถ้ามีผื่นขึ้นด้วยมึงต้องรีบกินยานะ เดี๋ยวอาการหนัก บนนี้ไม่น่ามีโรงพยาบาล"

"อื้ม"

"พวกมึงรีบมา ตลาดเช้าใกล้จะวายแล้ว" เป้มาตามแต่เช้า เจ็ดโมงของพวกเราอาจจะเช้ามาก แต่ชาวบ้านบนดอยเข้าตื่นมาขายของกาดกันตั้งแต่ตีสี่ เป้บอกผมอย่างนั้น

 

แฮมสะพายกล้องเดินนำไปนู้น เขาตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้เสมอ

"มึง กูอยากไปกับแฮมแค่สองคนว่ะ กูอยากสร้างความทรงจำดี ๆ มึงไม่ไปได้ป่าววะ"

"ไอ้เป้ ไอ้เพื่อนเชี้ย ถ้ามึงจะชวนกูมาเที่ยวแล้วให้กูอยู่แค่รีสอร์ต มึงไม่ต้องชวนกูมาก็ได้"

"เอาหน่ามึง แค่ตอนเช้านะ บ่าย ๆ กูพาไปกินร้านขาหมูยูนนาน" ผมยอมรับว่าก็เห็นแก่กินอยู่บ้าง และกาดเช้าที่จะไป ไม่ได้น่าตื่นเต้นสำหรับผมเท่าไหร่นัก

"แฮม มึงไปกะไอ้เป้เลยนะ กูอยากกลับไปเข้าห้องน้ำว่ะ" ผมตะโกนบอกแฮมที่เดินนำไปไกลแล้ว

"รอก็ได้ มึงเข้าไม่นานหรอก"

"ไปกันเลย ๆ ไม่ต้องรอกู กูไม่ค่อยอยากไปว่ะ อยากนอนอีกงีบด้วย"

"ไปกันสองคนเหอะมึง รอมันแม่ค้าเก็บแผงกันหมดพอดี" ไอ้เป้เสริม ผมยักคิ้วให้มัน ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องพัก

 

ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนักเวลาอยู่คนเดียว ผมเดินสำรวจรีสอร์ตไปทั่ว ช่างกว้างใหญ่ ถ้าแฮมได้เป็นแฟนเป้คงสบายไปทั้งชาติ ผมเชื่ออย่างนั้น เป้เป็นคนดูแลเอาใจใส่คนอื่น เขาดูแลแฮมได้แน่

 

ผมเหลือเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋ว แช่ตัวอยู่ในสระน้ำใหญ่ หนาวเมื่อหย่อนตัวลงทีแรก แต่เมื่อผ่านไปสักพักร่างกายปรับตัวได้ก็เริ่มอุ่น เช้าแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เหมือนสระว่ายน้ำนี้เป็นของผมคนเดียว

 

                ผมดำผุดดำว่ายอยู่นาน ขายซ้ายค่อย ๆ ปวด กล้ามเนื้อหดตัวเกร็ง ผมไม่สามารถถีบตัวเองให้พ้นเหนือระดับน้ำได้ ร่างกายค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่พื้นสระ ลมหายใจที่กักไว้เริ่มจะน้อยลงจะทนไม่ไหว เกินจะฝืน ผมปล่อยให้มวลน้ำเข้าสู่ร่างกายทางปาก จมูก และภาพที่มองเห็นก็เริ่มเลือนรางจนลับหายไป

 

 

“เฮือก” ผมสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เรียกสติตัวเองกลับมา

 

ผมนั่งอยู่บนรถเมล์คันเดิม คันที่ผมขึ้นมาในคืนก่อนนั้น ผู้คนในรถนั่งหลับกันถ้วนหน้า มีแต่กระเป๋ารถเมล์ที่ยืนนิ่ง ผมกลับมาแล้ว แต่น่าเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่านี้ ผมไม่รู้ว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

 

Rrrr Rrr Rr

 

มือถือผมสั่น หน้าจอขึ้นเป็นชื่อแฮม ผมคงจะแก้ไขเรื่องที่เราทะเลาะแล้วไม่คุยกันได้สินะ

 

“ว่าไงมึง”

(ถึงไหนแล้ว พวกกูอยู่ร้านนานแล้วเนี่ย ถ้ามึงมาช้ากว่านี้อีกนิดไอ้กานต์มันจะกลับก่อนละเนี้ย) ปลายสายบ่นใหญ่ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี แฮมก็ยังเป็นคนขี้บ่นเหมือนเดิม

“ร้านไหนวะ กูจะรีบไป”

(เชี้ย มึงลืมอะไรเนี้ย ร้านเดิม ในไลน์มึงเป็นคนเลือกร้านแท้ ๆ)

 

ผมเปิดไลน์ดู มีกรุปไลน์ที่ผมไม่คุ้น ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

ชื่อกรุปว่า รูมเมทนรกแตก มีสมาชิกสี่คนถ้วน

 

“เอ่อ พี่ครับ ผมขอลงป้ายหน้าได้ไหมครับ” พี่กระเป๋ารถเมล์หันมามอง

“กลับมาแล้วหรอ รีบกลับมาจัง” พี่กระเป๋าตอบ

 

รถเมล์จอด เป็นป้ายที่ผมไม่คุ้น

“รถวิ่งไม่บ่อย อีกครั้งศุกร์หน้าที่ป้ายเดิม แต่ไม่รับประกันว่าเราจะจอดรับคุณ” พี่กระเป๋าบอกก่อนผมจะเดินลงจากรถ

 

 

 

“กว่าจะมาถึงได้ ช้ากว่านี้แม่งกูจะกลับละ กว่าจะอ้อนเมียออกมาได้เนี่ย มันยากมากนะโว้ย” กานต์บ่นทันทีที่ผมโผล่หน้ามาให้เห็น

“ขอโทษ ๆ กูนั่งรถเมล์ผิดสาย โบกแท็กซี่เป็นร้อยคันกว่าจะรับ”

“เชี้ย ระดับผู้จัดการโมทย์นี่นะนั่งรถเมล์ มึงจอดเบนซ์ทิ้งไว้ให้นกขี้ใส่หรอวะ” เป้พูด ผมเป็นผู้จัดการ แถมยังมีรถเบนซ์ด้วยหรอ

“กูทำงานไรวะ แล้วกูมีปัญญาถอยเบนซ์หรอวะ” ผมหันไปถามแฮมที่กำลังนั่งหน้าบูดอยู่

“มึงถามแปลก ความจำเสื่อมหรอ หรือว่าจะสละตำแหน่งผู้จัดการให้กูดีล่ะ แม่ง ตอนเรียนปีหนึ่งลอกข้อสอบกูแทบตาย จบมาได้เป็นหัวหน้ากูเฉย” แฮมตอบ เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของคนที่ผมเชื่อใจที่สุด คงจะจริงแล้วล่ะ

“กูถามไรอย่างได้ปะ ตอนนั้นที่กูพักที่รีสอร์ตมึง กูไม่ได้จมน้ำตายใช่ปะ” ผมถามเป้

“ถ้าตายมึงจะมานั่งแดกเหล้ากับพวกกูคืนนี้ได้ไหมล่ะ มึงกราบแฮมเมียกูนี่ ถ้าเขาไม่ลืมเมมกล้องไว้ที่ห้องมึงได้ตายเป็นผีเฝ้ารีสอร์ตไปแล้ว”

 

เอ่อ ผมไม่ได้สนใจเรื่องการที่ผมไม่จมน้ำเมื่อได้ยินคำว่า “แฮมเมียกู” อย่างเต็มปากเต็มคำของเป้ แค่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมทำ ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เลยใช่ไหม แค่ผมตั้งใจทำข้อสอบในวันนั้น ตอนนี้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต แถมยังช่วยให้สองคนนี้สมหวังกันอีกด้วย

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะครับ คิดว่าโมทย์ควรจะกลับไปอดีตอีกไหมครับ 55555

ฝากแฮชแทก #พรุ่งนี้ของโมทย์ ในทวิตเตอร์ด้วยนะครับถ้าใครเล่น พูดคุยกันได้

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
   ห้องทำงานส่วนตัวแอร์เย็นฉ่ำ ผมปลดกระดุมสูทก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หนังประจำตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ผมดีใจที่ผมถีบตัวเองจนมาอยู่ในจุดนี้
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากผมกลับมาปัจจุบัน ความทรงจำที่ผมมียังคงเป็นอดีตในเวลาเดิมก่อนที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีบางความทรงจำที่เข้ามาแทรก ผมจำเส้นทางมาที่ทำงานได้ทั้งที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ผมสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ทั้งที่ไม่เคยเรียน ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อย มีผลมหาศาลดังคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงใหญ่ออกไปเรื่อย ๆ
   “คุณปราโมทย์คะ แจนร่างหนังสือเชิญคุณบวรออกเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ตอนบ่ายคุณมีนัดทานข้าวกับคุณฟุรุคาว่า ส่วนคุณอลงกฎมีเรื่องขอเข้าพบ แจนเลื่อนนัดมาเป็นช่วงสิบเอ็ดโมงนะคะ” เลขาสาวสวยรายงานผมเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมอ่อนระทวยไปกับรอยยิ้มของเธอ
   “ครับ” ผมตอบ

   หนังสือเชิญออก เข้าใจง่าย ๆ ก็คือไล่ออก คนคนนั้นคือบวร ความทรงจำใหม่ที่แทรกเข้ามา บอกกับผมว่าไม่ควรเก็บเขาไว้ ขัดแย้งกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่หาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งไหนที่เขาทำผิด จนถึงขั้นต้องไล่ออก เขาเป็นเพื่อนแกนะโมทย์ เพื่อนที่ให้โอกาสแกในทุกเรื่องที่แกทำผิด แกจะทำกับเขาแบบนี้ได้ลงคอหรอ
   ผมฉีกเอกสารใบนั้นทิ้ง ต่อให้โมทย์คนก่อนหน้าจะตัดสินใจยังไงก็ตาม ผมไม่เห็นด้วย

   “สวัสดีครับคุณปราโมทย์” ชายวัยกลางคนยกมือไหว้ผม เขามาพร้อมกระเช้าผลไม้ เขาคงเป็นคุณอลงกฏสินะ ในความทรงจำใหม่บอกว่าเขาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทที่ผมเป็นลูกค้าอยู่
   “สวัสดีครับคุณอลงกฏ” ผมเอ่ยทักตามมารยาท ไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย แต่ดูจากสิ่งที่แนบมาในกระเช้าผลไม้นั้นคงมีจุดประสงค์ที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่แน่
   “ผมเข้าเรื่องเลยละกัน ได้ยินว่าคุณจะไปคุยกับคุณฟุรุคาว่า เลยรีบมาหาคุณก่อน เราร่วมงานกันมานาน คุณได้ประโยชน์จากผม ผมได้ประโยชน์จากคุณ ทำไมคุณต้องไปพึ่งเขาด้วยล่ะ” ผลประโยชน์หรอ
   “คุณจะทำอะไร” เขายื่นเงินในกระเช้านั้นให้ผมรับไว้ ประเมินจากสายตาคงมูลค่าหลายแสนบาท
   “ก่อนหน้านี้ผมอาจจะให้คุณได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าคุณช่วยผมเรื่องการประมูลครั้งหน้า ผมจะไม่ลืมบุญคุณเป็นอันขาด”

   เงินร้อนที่ผมจับ ย้ำความทรงจำใหม่ เงินสกปรกพวกนี้ บ้าน รถ ที่ผมมี ล้วนแล้วแต่ได้มาด้วยวิธีที่ไม่ชอบธรรม เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมไม่เคยคิดคดโกงใครแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้

   “คุณกลับไปก่อนเถอะครับ เก็บเงินพวกนี้กลับไปด้วย”

   เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมอยากทราบเรื่องราวจากปากของคนที่ไว้ใจได้ แฮม เขาต้องอธิบายให้ผมฟังได้ว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้

   “แจน ตามบวรมาหาผมที”
   “ได้ค่ะ” เลขาสาวหน้าห้องรับคำสั่ง

   “มีอะไรครับคุณปราโมทย์” ท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เขาทำเหมือนผมเป็นคนอื่น
   “เฮ้ย เรียกกูคุณเคินอะไรกัน กูมีเรื่องจะถาม”
   “ก็คุณบอกให้ผมเรียกแบบนี้ในที่ทำงาน ผมต้องไม่รู้จักคุณ ห้ามทำตัวสนิทกับคุณ” เฮ้ย ผมเคยบอกเขาอย่างนั้นหรอ
   “กูว่ามันชักจะแปลก ๆ ละ มึงเล่าให้กูฟังทีได้ไหม ว่าทำไมกูต้องไล่มึงออก กูเป็นคนไม่ดีใช่ไหม” ใบหน้าที่เฉยชา จดจ้องผมอย่างสงสัย
   “แค่เรื่องที่กูรู้เรื่องระยำตำบอนของมึง มึงต้องไล่กูออกเลยหรอ เหอะ ไม่ต้องไล่ กูออกเอง” คำพูดและสายตาที่เขามองผม เต็มไปด้วยอารมณ์เจ็บแค้น ทำให้ผมหนักใจเข้าไปใหญ่ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
   
   “แจน เขามาพบผมหน่อย”
   “ค่ะ”

   “มีอะไรหรอคะ”
   “คุณทำงานกับผมมานานเท่าไหร่แล้ว”
   “สองปีค่ะ”
   “คุณรู้เรื่องของผมแค่ไหน”
   “ทุกเรื่องค่ะ”
   “ผมเป็นคนไม่ดีใช่ไหม ทำไมผมต้องไล่บวรเขาออก”
   “ไม่ทราบค่ะ”
   “ทำไมคุณถึงไม่ทราบ ไหนบอกว่ารู้ทุกเรื่องของผม” เธอยิ้ม
   “เรื่องบางเรื่อง คุณเป็นคนบอกให้ฉันเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ใครถามเรื่องนี้ก็ให้บอกว่าไม่รู้ ค่ะ”

   ผมสับสน ผมกำลังเกลียดตัวเอง ไม่ใช่ตัวผมคนนี้ แต่เป็นตัวผมอีกคนที่ทำทุกอย่างให้แย่ไปหมด เขาเลวจนผมไม่อยากเชื่อว่านั่นคือตัวผมเอง    

   “ผมอยากให้คุณเล่าให้ผมฟัง เรื่องคุณอลงกฎ และเรื่องที่ผมจะไล่บวรออก”
   “คุณอลงกฏตุกติกเรื่องส่วนแบ่งที่เราควรจะได้ค่ะ ส่วนที่คุณไล่คุณบวรออก ก็เพราะเขาสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง” ส่วนแบ่งที่เราควรจะได้ ในหัวของผมแวบขึ้นมา เงินจำนวนเกือบสิบล้าน ผมกับแจนรู้เห็น มากไปกว่านั้น ผมเห็นความสัมพันธ์ของผมกับเธอไม่ใช่แค่เจ้านายลูกน้อง
   “พอ ๆ หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ผมจำได้แล้ว ตอนบ่ายยกเลิกนัดของคุณฟุรุคาว่าให้ผมที และผมจะไม่มาทำงานทั้งอาทิตย์”

   ผมเดินตามหาแฮมทั่ว ไม่เจอเขาในบริษัท พนักงานโต๊ะข้าง ๆ บอกว่าแฮมลางานครึ่งวัน ผมตามมาหาที่คอนโด เคาะห้องอยู่นานกว่าเขาจะเปิดประตู เขาอนุญาตให้ผมคุยได้แค่หน้าห้อง เขาคงเกลียดผมอีกแล้ว ผมทำให้เขาเจ็บปวดใช่ไหม
   “มึงมาทำไม”
   “กูขอโทษ กูไม่รู้ว่ากูจะไล่มึงออก คนก่อนหน้านี้ไม่ใช่กูคนนี้”
   “นี่มึงไม่ใช่เด็กแล้วโมทย์ กูเบื่อเรื่องเลว ๆ ของมึงเต็มที กูไม่อยากจะเกลียดมึงเลย มึงเป็นเพื่อนที่ดี แต่ความทะเยอทะยานของมึงมันเยอะเกินกว่ากูจะรับไหวว่ะ ต่อไปนี้มึงไม่ต้องเรียกกูว่าเพื่อนแล้วนะ จะไปไหนก็ไป”

   แววตาที่ไร้ซึ่งความไยดีของเขา บาดลึกเข้าไปข้างในหัวใจ ผมอยากกลับไปแก้ไขอดีตอีก

ผมจำได้ว่า “รถวิ่งอีกทีวันศุกร์หน้า” คำพูดจากกระเป๋ารถเมล์คนนั้น ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบาง
   
แต่...ผมจะมีโอกาสได้ขึ้นรถคันนั้นอีกใช่ไหม
   

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
รถเมล์คันเดิม จอดรับผมในจุดที่เดียวกันกับวันนั้น เป็นเวลาหลายต่อหลายชั่วโมงที่ผมเฝ้ารอ ผมก้าวขึ้นรถอย่างโล่งใจ คำถามมากมายที่ผมคิดขึ้นระหว่างรอ ผมอยากรู้อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมกลายเป็นคนชั่วได้ถึงเพียงนั้น และอะไรที่ควรหรือไม่ควรเปลี่ยนแปลงในอดีต
“รู้ว่าจะถามอะไร” พี่กระเป๋าเอ่ยทักผมประโยคเดียวที่ดูเข้าใจสิ่งที่ผมคิดเป็นอย่างดี “มันเปลี่ยนไปเยอะจนรับไม่ได้สินะ”
“ครับ” ผมตอบ
“ไม่แปลกหรอก จู่ ๆ ได้คะแนนท็อปทุกวิชา อีกคนของคุณเขากลายเป็นคนทะเยอทะยาน ดูเหมือนจะมากเกินไป”
“งั้นผมขอกลับไปช่วงเวลาเดิมนะครับ”
“ไม่ได้ เราส่งคุณได้แค่ต่อจากเวลาก่อนกลับมา”
“งั้นผมต้องไม่ทำอะไรบ้าง ผมไม่อยากให้อนาคตมันแย่ แล้วผมไปแล้ว จะกลับมาปัจจุบันได้ยังไง”
“ผมบอกคุณไม่ได้ คุณต้องคิดเอาเอง ส่วนวิธีกลับมาปัจจุบัน คุณก็แค่ตาย แต่คุณจะไม่ตายจริงหรอกนะ”
“ทำไมผมได้รับโอกาสย้อนเวลาล่ะครับ มันมีอะไรที่ผมต้องแลกหรือเปล่า”
“นอกจากเงินสิบสามบาทก็ไม่มีอะไรอีก เราเป็นหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร เหมือนกับยมทูตที่พาคนชั่วไปเที่ยวนรกให้กลัวบาป คุณเป็นคนที่สมควรได้รับโอกาสให้แก้ไขเรื่องบางอย่าง”

หมอกสีขาวพวยพุ่งปกคลุมรถอีกครั้ง มันคงมียานอนหลับผสมอยู่แน่ เปลือกตาผมแทบจะยกไม่ขึ้น ผมค่อย ๆ ปล่อยตัวเองให้หลับ ทุกอย่างมืดดับลง


“อ่อก” ผมสำลักมวลน้ำออกมาจากลำคอ ผมนอนราบอยู่ริมสระ ขาซ้ายยังคงปวดตะคริวไม่หาย
“ฟื้นแล้ว” ตาผมยังเบลอ แต่เสียงนี้ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของเป้
“ไอ้เชี้ยโมทย์ กูนึกว่ามึงจะตายแล้ว ฮึก” แฮมร้องไห้ มือมันกำมือผมไว้ สั่นแรงจนผมเป็นห่วง
“กูยังไม่ตาย มึงหยุดร้องได้แล้ว” กลายเป็นผมที่เพิ่งจะฟื้น เป็นคนปลอบ “หรือว่าที่ร้องไห้เพราะเสียใจที่กูฟื้นกันแน่ฮะ”
“ไอ้บ้า”
“มันใช่เวลามาตลกไหมเนี่ย มึงรีบไปใส่เสื้อผ้าเลยไอ่โมทย์ เดี๋ยวไม่สบายพอดี” เป้บอก


ผมจิบชาร้อน ๆ ให้สดชื่นขึ้นกว่านี้ เหมือนผมจะมีหวัดนิดหน่อย รู้สึกผิดที่ทำให้ทริปวันนี้ต้องล่ม ผมน่ะไปเที่ยวได้แม้จะป่วยก็ตาม แต่บางคนไม่ยอมให้ผมไป อยากให้ผมพักผ่อน ขัดคำสั่งเขาไม่ได้ด้วยสิ
“มึงจะออกไปเที่ยวกับเป้มันสองคนก็ได้นะเว้ย กูอยู่ได้” ผมบอก ผมกลัวเขาจะเบื่อ เขาไม่มีอะไรทำ เอาแต่นอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียง
“ไม่อะ กูขี้เกียจ ละมึงไม่ไปด้วยกูจะถ่ายรูปใคร มึงเป็นนายแบบประจำตัวกูนะ”
“ก็ถ่ายเป้สิ”
“ไม่อะ เป้มันถ่ายรูปไม่ขึ้น แล้วมันชอบยิ้มให้กล้อง”
“อ้าว มันก็ถูกแล้ว ต้องยิ้มให้กล้องดิ”
“มันไม่ธรรมชาติไง กูถ่ายรูปมึงมากกว่า มึงชอบเหม่อ หน้านิ่ง ๆ มันน่าค้นหา”

รอยยิ้มของแฮมที่ผมเห็นตอนนี้พอจะลบล้างคำพูดขับไสไล่ส่งผมก่อนหน้าได้บ้าง

“มึง ถ้าวันหนึ่งกูทำอะไรผิดมาก ๆ มึงจะไล่กูออกจากชีวิตมึงปะ” ผมถาม แฮมนิ่ง เพ่งสายตามาที่ผม
“อืมม ถ้าไม่ที่สุดจริง ๆ กูคงไม่ไล่มึงไปจากกูง่าย ๆ อะ มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูนะเว้ย”
“ขอบใจมึงนะ”

ผมดีใจกับคำตอบ แม้ว่าจะไม่รู้เลยก็ตามว่าผมจะเผลอทำร้ายแฮมไปโดยไม่รู้ตัวถึงเมื่อไหร่ และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่จะเสียใจกับการกระทำของผม ผมเองก็เสียใจไม่ต่างกัน แฮมเป็นเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิตของผม ถ้าไม่มีเขาผมก็คงไม่มีใครคบอีกแล้ว
“ปีใหม่เรามาเค้าดาวน์กันที่นี่เนอะ กูว่ามันต้องสนุกแน่ถ้าเรามากันหลาย ๆ คน ล้อมวงกินหมูกระทะกัน อากาศหน้าหนาว โคตรฟิน” ผมเปลี่ยนเรื่อง ดึงบรรยากาศกลับมาเฮฮาเหมือนเดิม
“เอาดิ ตอนแรกกูคิดว่าจะกลับบ้าน แต่ถ้ามึงชวนกูก็คงจะอยู่เค้าดาวน์ที่นี่”
“บ้านไว้กลับเมื่อไหร่ก็ได้ ดูกูสิ สองปีที่ผ่านมายังไม่เคยกลับบ้าน ติดต่อที่บ้านแค่เดือนละสองครั้ง กลับไปเขาจำไม่ได้แล้วว่ากูเป็นลูก” แฮมหัวเราะ ถึงอยู่ที่นี่จะเหงา แต่พอมีเพื่อน ผมก็อยู่ได้
“ป๊ากับแม่กูเขาบ่นคิดถึงจะแย่ นี่เขาหาว่ากูติดแฟนเลยไม่ยอมกลับ”
“ก็บอกเขาไป ว่าติดกู ไม่ได้ติดแฟน”
“เชี้ย ไม่ได้ต่างกันเลย”
“หื้ม?”




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

เวลาแห่งความสุขมันช่างสั้น เหมือนหายใจเข้าออกแค่ไม่กี่ที วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนหลังสอบกลางภาค ผมไม่ต้องลุ้นเรื่องคะแนน เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องฟออกมาดี และหลายคนก็คงช็อกไปตาม ๆ กัน

ตลอดทั้งอาทิตย์ผมได้ยินแต่เสียงชื่นชม ไม่รู้หรอกว่าลับหลังจะมีคนพูดถึงในทางไหนบ้าง ผมไม่สนใจ คะแนนของผมท็อปเกือบทุกวิชา ยกเว้นบัญชี ผมยอมแพ้ให้กับแฮมจริง ๆ เต็มสี่สิบแฮมได้สามสิบเก้า ยังกล้าบ่นกับผมอีกว่าที่หายไปหนึ่งคะแนนเพราะลืมฝนข้อสุดท้าย ไม่งั้นได้เต็มไปแล้ว

 

                “เชี้ย มึงโกงข้อสอบใช่ไหม” เขาถามเล่น

                “แต่ข้อเขียน กูจะโกงได้หรอ ถ้ากูท็อปทุกวิชามึงว่าชีวิตกูจะเปลี่ยนไปยังไงวะ” ผมถาม การที่อยู่ ๆ ชีวิตคนเราพลิกไปจากเดิมมาก ๆ จากเด็กที่คะแนนร่อแร่ทำคะแนนให้ผ่านมีนยังยาก คงส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างมากเลยล่ะ

                “ทุกคนก็จะรู้จักมึง ให้ความสนใจมึงมากกว่าเดิม และมันเป็นการกดดันมึงทางอ้อมให้ครั้งต่อ ๆ ไปต้องรักษามาตรฐานเดิมให้ได้” เขาอธิบายอย่างเข้าใจ คงเป็นเพราะเขาผ่านมันมาด้วยตัวเอง

 

                ผมกับแฮมเราต่างกันละขั้วในสายตาคนอื่น เขา เป็นคนที่สูงค่า ไม่รู้ว่าผมจะหาคำไหนมาแทน เขาเรียนดี นิสัยดี หาข้อบกพร่องของเขาแทบไม่พบ ผม ต่างไปจากเขา คนเข้าหาเยอะเพราะผมดูไม่มีอะไรที่สูงค่าแบบนั้นเลย  ขอบคุณนะที่เป็นเพื่อนกับผม ผมคิดอย่างนั้นในใจเสมอเมื่อได้อยู่ใกล้แฮม

 

                “แล้วมึงจะไม่เกลียดกูใช่ปะที่แย่งคะแนนท็อปจากมึงอะ” ผมแหย่เขาเล่น ๆ ผมรู้ว่าเขาไม่โกรธ แต่คงอยากทุบผมแรง ๆ ที่แทบจะไม่อ่านหนังสือแต่ทำคะแนนอย่างนั้นได้

                “เกลียดดิ เกลียดที่มึงจะฮอตกว่าเดิมอะ” สายตาของแฮมเอาเรื่องเหมือนกัน

                “มันคงไม่มากไปกว่านี้แล้วล่ะ ถ้ามากกว่านี้กูกลัวท่อปัสสาวะอักเสบ”

                “เชี้ย ทะลึ่ง”

                “มึงก็พอ ๆ กะกูอะ ไม่งั้นจะเข้าใจมุกนี้หรอ”

 

 

                ผมอ่านการ์ตูนเพลินจนเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคนโต๊ะข้างหน้าจ้องอยู่นานแล้ว

                “มองอะไรเก้า” เก้า เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่เพียบพร้อม ผมยกให้เขาเป็นแฮมเวอร์ลดความเก่งลงนิดหนึ่งอะนะ และดูจะเรียบร้อยกว่าแฮมไปมาก

                “โมทย์ทำยังไงให้คะแนนดีขึ้นหรอ จะว่าให้แฮมติวให้เราก็ว่าคงไม่ใช่ คะแนนเยอะกว่าแฮมอีก” เก้าถาม

                “เราแอบอ่านสรุปของแฮมมันแหละ ก่อนสอบไหว้สมเด็จย่าด้วย ท่านคงจะช่วยเรามั้ง” ผมเฉไฉไปเรื่อย แฮมที่กำลังคัดจีนอยู่ หันมาเบ้ปากใส่

                “ครั้งหน้าโมทย์ติวให้เราได้ป่าว เดี๋ยวเราเลี้ยงหนม” เนี่ย ไม่ชอบการเอาของกินมาล่อเลย ผมน่ะแพ้มุกนี้ที่สุด

                “จริง ๆ เก้าก็เก่งอยู่แล้วนะ แต่มาอ่านหนังสือด้วยกันก็ได้ อ่านหลายคนสนุกดี”

                “การเปิดชีทผ่าน ๆ ก่อนนอนของมึงเขาเรียกว่าอ่านหนังสือหรอวะโมทย์” แฮมพูด

                “เชี้ย ก็หลังจากนี้ไง เรามาอ่านหนังสือด้วยกันนะ”

                “ไม่ กูจะอ่านคนเดียว”

 

                แฮมคงไม่ได้งอนผมเล่น ๆ แล้ว ตลอดวันเขาถามคำตอบคำ เขาไม่ยิ้มด้วยซ้ำเมื่อคุยกับผม แต่กับคนอื่นเขาปกติมาก ผมได้แต่ถามตัวเองว่าเรื่องอะไร เขาไม่ใช่คนขี้งอน หรือเพราะเรื่องคะแนนสอบ

 

                เลิกเรียนกลับถึงห้องแล้วเขาก็ยิ่งไม่พูดกับผม แต่กับเป้ล่ะพูดคุยเหมือนสนิทกันที่สุด ผมเห็นเป้ชอบใจก็เลยปล่อยให้เขาใช้เวลาด้วยกันไปเถอะ ยังไงเขาก็ต้องเป็นแฟนกันอยู่แล้วในอนาคต

                “มึงไปเซ็นทรัลกันปะ” เป้ถามผม ผมรู้ทันว่าคำตอบที่เขาต้องการ เขาอยากอยู่กับแฮมสองต่อสอง ไอ่กานต์ปฏิเสธคนแรกสุดเพราะเมียหวง รายนั้นเขาออกไปไหนไม่ค่อยได้

                “กูไม่ไปอะ กูอยากนอน”

                “งั้นไปกันสองคนเนอะ” เป้บอกแฮม เขาไม่ปฏิเสธ

 

                พออยู่ห้องกับกานต์สองคนก็ไม่มีอะไรทำ นอกจากฟังบทสนทนาฝั่งเดียวจากกานต์ที่คุยกับแฟน  และนั่งเล่นคอมไปเรื่อยเปื่อย

                Nine Kita : โมทย์ อยู่ป่าว

                แชทจากรายชื่อที่ไม่คุ้นเด้งขึ้น เข้าไปส่องถึงได้รู้ว่าเป็นเก้า ปีกว่าจะสองปีที่เรียนที่นี่มา เราไม่เคยแชทหากันเลยหรอเนี้ย

                Future mote : อยู่ ๆ มีไร ๆ

            Nine Kita : โมทย์ขับรถเป็นป่าว คือเรามีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ

            Future mote : ขับเป็น มีเรื่องไรให้ช่วยหรอ

            Nine Kita : คือเราต้องไปซื้อของที่เซ็นทรัลอะ ไอ่บอมไม่ว่างไปมันให้ยืมรถ เราขับไม่เป็น ไม่รู้จะรบกวนใครดี

               

                ผมไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไหร่ แต่เป็นคนใจอ่อนง่ายน่ะสิ ถ้าผมไม่ไปขับรถให้เก้าผมต้องรู้สึกผิด เขาอุตส่าห์มาขอความช่วยเหลือ

                Nine Kita : ถ้าโมทย์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ แต่ถ้าไปเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวตอบแทน

 

                ผมบอกแล้วว่าผมเกลียดวิธีเอาของกินมาล่อที่สุด

               

Future mote : สะดวกมาก จะให้ขับรถไปเชียงใหม่เราก็ยังได้ ว่างมาก

 

ตอนนี้กังวลเรื่องเดียวถ้าเจอสองคนนั้นขึ้นมาจะทำยังไง ลำพังเป้มันคงเข้าใจแหละ แต่แฮมที่ยังงอนผมอยู่น่ะสิ ก่อนหน้าที่บอกว่าไม่อยากไปเซ็นทรัล อยากนอน ถ้าเจอกันเข้าผมคงโดนงอนเพิ่มคูณสอง

 

แต่คงไม่เจอกันหรอกมั้ง ถ้าเป็นเซเว่นก็ว่าไปอย่าง


ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

                ระหว่างทาง เสียงเพลงในรถพอจะคลายความตึงเครียดได้บ้าง ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่สนิทสองต่อสอง หากเขาไม่เป็นคนเริ่มการสนทนา ผมก็จะปล่อยให้ในรถเงียบอยู่แบบนี้ เขาก็คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเดียวกับผม จึงได้กระแอมเบา ๆ เรียกร้องความสนใจ เขายิ้มให้เมื่อเราเผลอสบตากัน ผมหลบตา ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร แต่ผมแค่ไม่ชอบ

 

                กว่าจะมาถึงห้างได้ก็ทุลักทุเล ไม่ใช่ท้องถนนที่ไม่สมบูรณ์ แต่เป็นเราสองคนที่ดูจะไม่มีเรื่องไหนที่คุยกันได้รู้เรื่อง

                “จะกินข้าวก่อน หรือซื้อของก่อนดี” เก้าถาม ผมคิดว่าหากซื้อของก่อนคงต้องลำบากขนย้าย เก้าจะมาซื้อเครื่องปริ้นเอกสาร เขาให้ผมแนะนำ แต่ผมไม่รู้เรื่องพวกของใช้สำนักงานแบบนี้เลย

                “หาไรกินก่อนก็ได้ ตอนซื้อของจะได้เดินย่อยอาหารไปด้วย”

                “ดีเหมือนกัน โมทย์ชอบกินอะไรล่ะ” แทนที่จะใช้คำว่า “อยากกินอะไร” เก้ากลับถามผมว่า “ชอบกินอะไร” คงจะตามใจผมเกินไปแล้วล่ะ

                “เรากินได้ทุกอย่าง เก้าเลือกเลย”

                “งั้นเดินดูก่อนก็ได้”

 

                คืนวันพุธใครบอกว่าห้างคนน้อย ไม่เลย ร้านอาหารในเซ็นทรัลเต็มแทบจะทุกร้าน เหลือแค่ซิสเลอร์ที่พอจะมีที่ให้นั่งบ้าง เราไม่มีทางเลือกนัก

 

                แต่สิ่งที่ผมไม่อยากให้มันบังเอิญ มันก็เกิดขึ้นจริง ไหนใครบอกว่าถ้าเราเชื่ออย่างไร มันก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าวนหาที่จอดรถในห้างแล้วคิดว่าจะมีที่ว่างให้เรา ก็จะเจอ นี่ผมคิดไว้แล้วว่าไม่เจอแฮมหรอก ห้างออกตั้งใหญ่ แต่กลับเจอ

 

หนำซ้ำเก้ายังเดินเข้าไปทักแฮมหน้าตาเฉย ผมกล่าวโทษเขาไม่ได้สิ เขาไม่ได้ผิด งานนี้แบ่งความผิดให้ผมครึ่ง ให้เป้ครึ่ง

“อ้าวโมทย์ ไหนมึงว่ามึงจะนอน มากะใครเนี้ย” เป้ถาม ส่วนแฮมยังไม่มองหน้าผมเลยตั้งแต่เข้ามา ผมรู้ว่าเขาต้องเห็นผมอยู่แล้ว ก็เดินตามเก้ามาติด ๆ จะไม่เห็นก็บ้าแล้ว

“นี่เก้า เพื่อนสาขาน่ะ” เป้เป็นคนเดียวในนี้ที่ยังไม่รู้จักเก้า ผมเลยเป็นคนกลางแนะนำให้สองคนรู้จักกัน

“นั่งด้วยกันเลยสิมึง ไหน ๆ ก็มาเจอกันแล้ว” เป้ชวน เขาเองก็คงรู้ว่าแฮมไม่โอเคแน่ที่ผมโกหกไปก่อนหน้านี้ เลยพยายามประนีประนอม ทำให้แฮมอารมณ์ดีตลอดเวลา หาประเด็นชวนทุกคนคุยกัน

“คุ้นหน้าเป้นะครับเนี้ย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เก้าถามเป้ ไม่แปลกที่เก้าจะหน้าคุ้นเป้ ไอ่เป้มันเป็นเดือนไอที แม้ว่าจะได้อันดับแค่รอง แต่พอเดือนอันดับหนึ่งซิ่วไปเรียนที่อื่น ป้ายบิลบอร์ดต้อนรับนักศึกษาใหม่จึงเป็นภาพมันเต็มไปหมด

“พวกมึงนั่งนานยัง สั่งอะไรกันหรือยัง” ผมถามเป้และแฮม แต่ดูแฮมจะไม่สนใจอยากตอบสักนิด เอาแต่นั่งกดมือถือ

 

เก้าเป็นคนจัดการสั่งอาหาร รวมถึงของผมด้วย เขาสั่งสเต็กเนื้อบดให้ผม เขารู้ได้ไง ยิ่งการที่เขาตัดสินใจเลือกของเคียงจากมันอบเป็นข้าวให้ผม เหมือนรู้ดีว่าผมต้องมีข้าวในอาหารทุกมื้อ ไม่งั้นจะไม่อยู่ท้อง นอกจากครอบครัว และแฮม ก็ไม่มีใครรู้แล้วนะ

 

ผมเก็บความสงสัยนั้นไว้ไปกับความเงียบของผมและแฮม ในโต๊ะคงจะมีเป้กับเก้าที่คุยกันดูจะถูกคอ ผมกับแฮมเป็นพวกให้ความสนใจแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า หากอาหารมื้อไหนอร่อย เราจะเงียบและกินมันอย่างละเมียด แต่ไม่รู้ว่ารวมการที่เขาโกรธผมด้วยไหมถึงไม่พูดกับใครสักคน เอาแต่ยิ้ม หัวเราะไปตามน้ำ

 

“มื้อนี้เราขอเป็นเจ้ามือนะ” เก้ายื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน ผมเกรงใจ แต่เก้ายืนยันที่จะจ่ายให้ ถือว่าเลี้ยงข้าวที่ผมขับรถมาส่งเหนื่อย ๆ ที่จริงก็ไม่เหนื่อยอะไรหรอก น้ำมันรถก็ไม่ต้องเติมอีก มีแต่คุ้มกับคุ้ม

 

“กูกะแฮมจองตั๋วหนังไว้อะ จะไปดูด้วยกันปะ” เป้ถาม

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเรากับโมทย์จะไปเดินซื้อของกันน่ะ งั้นแยกตรงนี้เลยละกัน ขอบคุณนะแฮม”

“อื้ม” แฮมตอบ ทำให้ผมสงสัยว่าเขาขอบคุณอะไรกัน แฮมที่นั่งเงียบแทบไม่มีบทบาท ไปทำอะไรที่เก้าต้องขอบคุณ

 

 

 

                เก้าอยู่หอนอก แพงใช้ได้เลยล่ะหอนี้ ดูน่าอยู่ แต่ผมชอบบรรยากาศหอในมากกว่า ด้านหลังมีวิวป่า ภูเขาให้มองอย่างใกล้ชิด ใกล้จนบางทีแมลงก้นกระดกก็มาเยี่ยมเยือนจนเอาสกอตช์เทปไล่แปะแทบไม่ทัน

                “ห้องใหญ่จัง นี่เก้าอยู่กับใคร” ผมถาม เพราะเห็นอีกเตียงใกล้กันจัดที่นอนเป็นระเบียบ

                “ก็อยู่กับบอม แต่บอมไม่ค่อยกลับมานอนห้องหรอก อยู่ห้องแฟนนู้น ทิ้งเราอยู่คนเดียว กลัวผีจะตาย” ผมยิ้มในใจกับประโยคที่เก้าพูด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะหาเล่าเรื่องผีจนเขากลัว หาเรื่องนอนเป็นเพื่อน และจับเขาทำเมียในที่สุด แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะเอาอนาคตมาล้อเล่น ปล่อยผ่านให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นซ้ำแบบเดิมอีก

                “จะสี่ทุ่มแล้วอะ เราต้องกลับแล้ว เดี๋ยวหอในปิด” ผมหาเรื่องกลับห้อง

                “อ่อ กลับไงอะ” ผมคงต้องโทรให้กานต์มารับกลับ ตอนมาเขามาส่ง ถ้าไม่รับผมกลับจะให้เดินก็คงไม่ไหว รถเขียวก็ใช่ว่าจะส่งถึงหอชาย

               

                ล่าสุดสายที่สิบแล้วกานต์ก็ยังสายไม่ว่าง และไม่มีทีท่าว่าจะรับสายผมสักนิด

                เป้ที่ผมคิดว่าน่าจะช่วยเหลือได้ก็ไม่รับสายเช่นกัน

                ส่วนแฮมนะหรอ กดตัดสายทิ้งยังไม่พอ นี่เล่นปิดเครื่องหนีผมซะงั้น

 

                ถ้าคืนนี้โมทย์น้อยถูกกระทำชำเรากูจะสาปพวกมึงงงง 

 

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
   ท้ายที่สุดผมก็ค้างที่นี่ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีผมอาจจะระแวงไปเอง ผมกับเก้าเรานอนคุยกันทั้งคืน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตที่ยังไม่มากนัก ในวัยนี้ การดำเนินชีวิตของเขาทุกอย่างดูปูทางไปสู่อนาคตที่ดี เท่าที่ผมทราบเขาไปเรียนต่อและทำงานอยู่ต่างประเทศ
   ผมรู้จักเก้าขึ้นมาประมาณหนึ่ง เขาดูต่างออกไปจากที่ผมคิดไว้ ผมอาจจะเผลอตัดสินเขาจากภายนอก ที่ดูเป็นคนนิ่ง ๆ พวกเด็กเรียนเก่งที่เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ แต่เป็นผมเองที่ไม่เปิดใจทำความรู้จักเองมากกว่า

   “ตอนบ่ายอาจารย์แคลเซิลคลาสนะ วันนี้โมทย์จะไปไหนหรือเปล่า” เก้าถาม ผมยังไม่มีแผนจะทำอะไรในวันนี้
   “คงจะอ่านหนังสืออยู่ห้องอะ”
   “ขยันจัง”
   “ไม่หรอก เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร ชีวิตมหาลัยนี่มีเวลาว่างเยอะมากเลยนะ”

   ชีวิตมหาลัยเป็นช่วงที่สบายที่สุดแล้ว เมื่อเรียนจบ ก้าวสู่โลกของวัยทำงานไม่มีวันไหนที่เราจะรู้สึกสบาย ไม่มีโอกาสให้แคลเซิลคลาส โดดงานเหมือนโดดเรียนก็ไม่ได้

   “ไปไหว้พระกันไหม ที่เชียงแสน ตั้งแต่มาเรียนที่นี่เรายังไม่เคยไปเลย” ผมเองก็ไม่เคยไป ก็ดีเหมือนกันนะ ผมกับแฮมเราเคยคุยกันว่าอยากไปถ่ายรูป แต่ช่วงนั้นเขาไม่ว่าง ต้องเก็บชั่วโมงทุนอะไรของเขา 
   “ชวนแฮมไปด้วยนะเก้า เหมือนแฮมจะโกรธ ๆ เราอยู่อะ ถ้าเก้าชวนแฮมต้องไปแน่”
   “เอ่อ ได้ดิ เดี๋ยวเราชวนเก้าให้นะ แต่ขออาบน้ำก่อนนะ”
   “เรายืมคอมใช้หน่อยได้ป่าวอะ” มือถือผมแบตหมดไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน ผมอยากดูว่าแฮมได้อ่านแชทของผมหรือยัง แล้วได้ตอบหรือเปล่า
   “ตามสบายเลย”

   ผมเปิดเข้าหน้าเฟซบุก ที่คงยังเป็นแอคเค้าของเก้าอยู่ ผมไม่อยากเสียมารยาท แต่แชทที่เก้าคุยค้างไว้กับแฮมมันเด้งขึ้นมาให้ผมเห็นเอง ผมไม่อยากถือว่าสาสะ แค่เผลออ่านไปแล้วก็ยั้งไม่ได้

   เราจองโต๊ะแล้วนะ ที่ซิสเลอร์
   ขอบใจนะแฮม

   โมทย์ชอบกินอะไรอะ แฮมพอจะรู้ป่าว
   สเต็กเนื้อบด เปลี่ยนมันบดเป็นข้าว
   แต๊งกิ้ว แล้วเสร็จนี่แฮมไปทำอะไรต่อเนี่ย
   ดูหนังเสร็จก็กลับหอเลยอะ
   ดูหนังกับเป้ให้สนุกนะ เป้ก็น่ารักนะเนี้ย เหมาะกับแฮมดี

   เห็นวันนี้เซอร์วิสแคนเซิลคลาสอะ เราควรจะพาโมทย์ไปเที่ยวไหนดี
   เชียงแสน โบราณสถาน วัดเก่า พระธาตุผาเงา
   ฟังดูน่าสนใจ โมทย์เขามีมุมนี้ด้วยหรอเนี้ย ขอบคุณแฮมนะ

   ผมรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันควรจะดีใจหรือเปล่าที่เพื่อนเราช่วยให้คนที่ชอบเรา เอาใจเรา แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย ความหวังดีแบบนี้มันดูจะข้ามเส้นเกินไป เราจะรักใครชอบใครก็ให้เป็นเรื่องที่เราตัดสินใจเองปะวะ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาจับคู่

   ผมล็อคอินเขาเป็นแอคเค้าของตัวเอง ความใจร้อนทำให้ผมระบายทุกอย่างลงในแชทของแฮมทันที ไม่สนว่าเขาจะตอบหรือไม่ตอบ ขอแค่ให้ได้รับรู้

   กูว่ามันแปลกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มึงทำแบบนี้ทำไมวะแฮม กูไม่ได้ชอบเก้า และไม่มีทางจะชอบมัน มึงทำแบบนี้ทำไมวะ หรือมึงแค่อยากให้กูไปพ้น ๆ กูไม่อยากจะงี้เง้านะ แต่กูไม่เข้าใจมึงเลย มึงโกรธอะไรกูนักหนาวะ

   ก็เหมือนที่มึงจับคู่ให้กูกับเป้ไง มึงไม่คิดว่ากูก็รู้สึกแย่เหมือนกันหรอ

   ผมเถียงต่อไม่ออก จริงสิ ผมมองข้ามความรู้สึกของแฮมไป เมื่อเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันบ้างจึงเข้าใจว่ามันอึดอัดยังไงเมื่อให้เราต้องอยู่สองต่อสองกับคนที่เราไม่ได้ชอบ

   กูขอโทษ กูเข้าใจมึงแล้ว

   คำขอโทษไม่ใช่สิ่งที่จะหลุดออกจากปากผมได้ง่ายนัก เขารู้ และผมคิดว่ามันน้ำหนักมากพอที่จะแลกการให้อภัยจากเขาเสียที

   เออ แล้วนี่มึงจะไปเชียงแสนกับเก้าใช่ปะวันนี้
   กูจะชวนมึงไปด้วยเนี่ย ไปเที่ยวโดยไม่มีมึงกูก็อดได้ภาพสวย ๆ อะดิ
   ก็ดี กูอยู่ห้องก็ว่างไม่มีอะไรทำ

   ผมยิ้มออก ความกังวลที่มีก่อนหน้าหายไปหมด เหมือนยกภูเขาออกจากอก มีไม่กี่คนในชีวิตที่เขาเป็นความสบายใจของผม แฮมเป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นเหมือนใครสักคนที่มีอำนาจในการอนุญาตให้ผมมีความสุข มีความทุกข์ มีความเศร้า ทุกอารมณ์ เขามีอิทธิพลกับมันมาก ถ้าเสียเพื่อนดี ๆ แบบนี้ไปอีกผมคงไม่ยอมให้อภัยตัวเองแน่

   เก้าอาบน้ำเสร็จแล้ว คลุมผ้าเช็ดตัวแค่ท่อนล่างออกมาจากห้องน้ำ ตามประสาคนแอบหื่นอย่างผมก็มองอย่างจงใจ หน้าท้องบาง เอวคอดนิด ๆ ผิวขาวอมชมพูดูเป็นลูกคุณหนู เรียกน้ำลายผมได้พอสมควร แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่ผมชอบ อีกอย่าง ใครจะไปรู้ว่าภายนอกที่ดูใสใส แบบนี้ จะแอบแฝงอะไรอยู่ภายในหรือเปล่า คนเรายากแท้หยั่งถึง ผมคงไม่ใช้ชีวิตประมาทแบบเมื่อก่อนแล้ว เข็ดแล้ว


ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
   เสียงกระดิ่งลมกระทบกันไปมา ประสานกับเสียงนกร้อง สบายหู ผมอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน ความสงบไม่ใช่ความเงียบ หากแต่เป็นการไร้กิเลสมาเร้าหรือจิตใจตั่งหาก
   “ชอบล่ะสิ มึงควรจะบวชอะกูว่า” แฮมพูดหลังจากกราบพระเสร็จ
   “กูแค่ชอบบรรยากาศ แต่ไม่อยากถือศีลปะวะ” ผมตอบ “เก้าเข้าวัดบ่อยปะ” ผมถามเก้าที่มองสำรวจไปรอบโบสถ์
   “เราไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่ใส่บาตรบ้าง ตรงนู้นมีเซียมซี ไปลองเสี่ยงกันไหม” เก้าถาม
   “ไปดิ น่าสนใจ” ด้านขวากลางโถงของโบสถ์มีเซียมซีให้เสี่ยง ผมไม่ค่อยได้ดูดวงบ่อยนักหรอก ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่เพราะกลัวคำทำนายจะเป็นจริง การใช้ชีวิตโดยที่เราไม่รู้วันข้างหน้ามันตื่นเต้นกว่า

   เก้าเสี่ยงเสร็จคนแรก ได้ใบทำนายหมายเลขสี่ คำทำนายทายไว้ว่า

   “เลขที่สี่ เมื่อประสบพบหน้าคนไกล คุ้นเคยเพียงใดมิรู้ เหมือนฟ้าลิขิตให้พาดู จักสมคู่สู่ปองเมื่อวันวาน ถามโชคลาภพอมีให้จกใช้ มากเกินไปควรยับยั้งชั่งใจหนา สุขภาพเป็นบ่าวตามใจยา ยกศีลห้าขึ้นไว้กลางใจตน” เก้าขมวดคิ้ว ผมว่าภาษาในใบเซียมซีบางทีก็เข้าใจยากเหมือนกัน

   ผมเสี่ยงได้หมายเลขสิบแปด ทำนายว่า 
   “เลขที่สิบแปด ของที่รักจากไปไม่มาแล้ว จะคืนแคล้วสมปองมิอาจหวัง แต่อนึ่งพรจากฟ้าที่ประดัง มีมนต์ขลังกลับสู่วันที่ดี อีกลาภยศพวกพ้องสรรเสริญ หากมากเกินเป็นลบจบกันหนา มีพอดีอย่างพอเพียงเลี้ยงกายา อย่าค้นหาให้มากนักจักเป็นภัย” ของรักที่จากไป คงจะเป็นเบนสินะ ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรักเขา ถึงแม้ในที่สุดเขาได้ทำชีวิตผมพัง ผมโทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ส่วนเรื่องลาภยศเห็นจะจริง อะไรที่มากไปมันก็ไม่ดีอย่างที่คำทำนายว่า
   
   “มึงได้เบอร์ไร” ผมถามแฮม
   “ไม่บอก ทำไมกูต้องบอก” เขาซ่อนใบเซียมซีไว้ไม่ให้ผมเห็น ผมอยากรู้ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้รู้ก็ไม่เป็นไร
   “ช่างเหอะ” ผมตัดบท “เดี๋ยวเราไปหาร้านนั่งริมโขงกันไหม ใกล้เที่ยงแล้วเริ่มหิวกันหรือยัง” ผมถามเก้า
   “ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในวัดนานชักจะร้อนๆ” เก้าหัวเราะเบาๆ ผมไม่กลัวขำเลย ไม่คิดเขาจะกล้าเล่นมุกแบบนี้ด้วย
   
   ร้านอาหารริมแม่น้ำแอร์เย็นฉ่ำ ผิดกับอากาศข้างนอกที่ร้อนระอุ แดดเชียงรายถึงจะร้อนเผาน้อยกว่ากรุงเทพ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ระคายผิว
   การมีแฮมมาด้วยทำให้ผมเป็นตัวเองได้มากขึ้น ลดความอึดอัดเมื่ออยู่กับเก้าลง เขาคงยังไม่รู้เรื่องที่ผมรู้แล้วว่าเขาให้แฮมช่วย เขายังคงพยายามจีบผมอยู่ ผมไม่ได้ปฏิเสธแบบไม่รักษาน้ำใจ ทำได้แค่ค่อย ๆ ทำให้เขารู้ตัวว่าผมมองเขาเป็นแค่เพื่อน ผมหวังว่าเขาอาจจะรู้สึกได้บ้าง

   “แฮมกับโมทย์รู้จักกันมากี่ปีแล้วเนี่ย” เก้าถาม
   “ก็ตั้งแต่เข้าหอตอนปีหนึ่งอะ เป็นเมทกับมันยาวมาจนถึงทุกวันนี้” ผมบอก และในอนาคตเราสี่คนก็จะอยู่หอด้วยกันไปแบบนี้ นอกจากจะเป็นรูมเมทที่อยู่ด้วยกันได้แล้ว หอในยังประหยัดมาก เหลือเงินเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ
   “อ่อ ดูสนิทกันมาก เรานึกว่ารู้จักกันตั้งแต่มัธยมแล้วซะอีก” เก้าบอก ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
   
   “เออมึง เป้ชวนไปบ้านอีกวันศุกร์นี้ ที่บนดอยมีงานโล้ชิงช้า” ผมบอกแฮมตามแชทที่เป้ส่งมา
   “อื้ม ก็ไปดิ” สีหน้าของแฮมดูอึดอัดเล็กน้อยกับเรื่องที่ผมบอก ผมไม่ได้พยายามจับคู่เขากับเป้ แต่อยากให้ไปเที่ยวด้วยกันในฐานะเพื่อน ให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
   “เก้าไปด้วยกันดิ บ้านเป้ทำรีสอร์ทอยู่บนดอยแม่สลอง เขาจะมีงานเทศกาลโล้ชิงช้า สนใจไหม” ผมชวนเก้าด้วย
   “สนใจ ต้องให้เจ้าตัวเขามาชวนดิ เขาอยากให้เราไปหรือเปล่าเหอะ”

   ผมให้เป้พิมพ์ข้อความชวนเก้าเป็นทางการให้หน่อย เพื่อยืนยันว่าเป้ไม่ติดขัดอะไรถ้าเก้าจะไป

   Pe Phethai : คุณเก้าคร้าบบบ รบกวนมาเที่ยวบ้านผมหน่อยนะครับวันศุกร์นี้ ยินดีต้อนรับเสมอคร้าบบบ

   เก้ายิ้มเมื่อได้อ่านข้อความ “โอเคๆ ไปๆ เราอยากขึ้นไปเที่ยวบนดอยมานานแล้ว ตั้งแต่มาเรียนนอกจากมอกับเซ็นทรัล เราก็ไม่เคยออกไปไหนเลย”

   “ดีละ ไปกันหลายคนจะได้สนุก” แฮมพูด ผมเห็นด้วย ยิ่งไปกันหลายคนยิ่งสนุก


คำทำนายของแฮม

เลขที่ยี่สิบเอ็ด ถามถึงคู่เก้าสู่ประตูหมาย มิวางวายเชื่อมภพจบอีกหน เดินทางไกลเพื่อมาอยู่เป็นคู่ตน อย่ารีบรนจนถึงวันตามบัญชา ตามเส้นทางครั้งนี้มันไม่ง่าย ต้องเบิกทางเริ่มใหม่กันอีกหน อนาคตจะอย่างไรแล้วแต่ตน ร่วมวาดกันสองคนจนชีวาวาย

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
   ช่วงฤดูฝน อากาศตอนเช้าเย็น มีหมอกลงบางๆ ทำให้บรรยากาศรีสอร์ตของเป้เหมือนสวรรค์ ลอยอยู่บนก้อนเมฆ นี่ถ้าฤดูหนาวคงสวยกว่านี้มาก ผมน่ะเก็บบรรยากาศด้วยตาเนื้อ ส่วนแฮมยกกล้องมาเก็บภาพไม่รู้กี่ช็อตไปแล้ว และพอจบทริปเราก็จะได้เห็นรูปวิวสวยๆ มากกว่าที่ตาเนื้อเห็นอีกสองเท่า มีแสงแดดส่องอย่างรู้ทิศทาง ไอหมอกที่ดูคล้ายก้อนเมฆจะกลายเป็นใยไหมที่ดูนุ่มน่าสัมผัส
   “ถ่ายรูปให้กูหน่อย” ผมยืนบังกล้องแฮมที่กำลังถ่ายวิวอยู่
   “ถอยไปอีก ริมๆ หน้าผานู่นเลย”
   ผมยืนเก๊กท่าให้แฮมถ่ายรูปอยู่นาน จนเขาบอกว่า “ได้แล้ว” นั่นคือเขาได้ภาพที่ใช้ได้แล้ว

   “กูไม่ได้เช็คกับแม่ก่อนว่ะ ห้องเหลือห้องเดียว เป็นเตียงคู่ ต้องมีคนนอนกับกูที่บ้านคนหนึ่ง” เป้บอก ผมปล่อยให้แฮมไปนอนด้วยไม่ได้ ผมไม่ไว้ใจเป้ และถ้าจะเสนอตัวเองไปนอนกับเป้โดยทิ้งเก้าไว้กับแฮมก็ยิ่งไม่ได้ ถ้าเก้าอ่อยแฮมขึ้นมาคนอย่างแฮมไม่ปล่อยเก้าไว้แน่
   “เอางี้ กูกะแฮมนอนด้วยกันเหมือนเดิม แต่เก้านอนกับเป้ โอเคไหม” ผมบอก เป้กับเก้าดูไม่มีปัญหา
   “เอาตามนี้แหละ เอาของไปเก็บกันก่อน เดี๋ยวออกไปเที่ยวงาน” เป้พูด

   
   เทศกาลโล้ชิงช้า ผมเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก งานไม่ได้จัดใหญ่โตอลังการ แต่เป็นงานเทศกาลที่แสดงวัฒนธรรมของคนที่นี่ ผมเห็นชุดชนเผ่าละลานตาไปหมด แยกไม่ออกว่าเผ่าไหนเป็นเผ่าไหน รู้แค่เสื้อผ้าทำมือเหล่านั้นเป็นงานแฮนเมดราคาแพง อาจจะมากกว่าแบรนเนมบางยี่ห้อด้วยซ้ำ
   “อีกเดี๋ยวเขาจะให้เราโล้ชิงช้าได้แล้ว ไปลองเล่นกันไหม” เป้ถาม ผมสนใจ แฮมดูจะตื่นเต้นมากกว่าใคร
   “มึงเล่นด้วยกันดิ” แฮมถามผม แน่นอนว่าผมต้องเล่นอยู่แล้ว
   “เอาดิ”

   
   เล่นด้วยกันของแฮมกับผมไม่เหมือนกัน เล่นด้วยกันของผมคือผมเล่นหลังจากที่เขาเล่นเสร็จ แต่เล่นด้วยกันของเขาคือเราสองคนหันหน้าเข้าหากัน โดยมีฐานล่างทับกันอยู่
ชิงช้าของชาวเขาไม่เหมือนชิงช้าเด็กเล่นที่มีไม้กระดานให้เรานั่ง มีเพียงเชือกเส้นใหญ่เส้นเดียวปลายสายมีแท่นไม้กลมๆ เพียงให้เราปล่อยน้ำหนักหย่อนก้นได้นิดหน่อย ต้นขาให้หนีบเชือกไว้ เมื่อมันเป็นการเล่นสองคน อีกฝ่ายต้องใช้ต้นขาหนีบเอว เป็นภาพที่ไม่น่าดูซักเท่าไหร่
เราเล่นด้วยกันแล้ว โชคดีที่ผมขึ้นนั่งชิงช้านั้นก่อน เขาเลยต้องนั่งทับผม นี่ถ้าผมไวต่อความรู้สึกกว่านี้แฮมอาจจะมีอะไรแข็งๆ ดุนขา แต่นาทีนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าแรงผลักชิงช้าอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าแฮมหรือผมใครกอดใครแน่นกว่ากัน รู้แค่ว่าทำยังไงก็ได้ให้ไม่ตกไปแขนหัก ขาหัก หรือปลิวตกเขา


“เวียนหัวจะอ้วก” สีหน้าผมคงดูไม่ได้หลังลงจากชิงช้า ถ้านานกว่านี้อีกหน่อยคงอ้วกพุ่ง “พวกมึงเล่นกันหน่อยไหม” ผมถามเป้กับเก้า ดูจะไม่สนใจและไม่กล้าเล่นเมื่อเห็นผมกับแฮมที่เล่นไปก่อนหน้า
“เราว่าไม่ดีกว่า น่ากลัวพอๆ กับเล่นรถไฟเหาะเลยนะเนี่ย” เก้าพูด ผมอยากจะบอกว่ารถไฟเหาะยังมีที่ล็อกตัวให้เรารู้สึกปลอดภัย แต่ชิงช้านี่ถ้าไม่มีแฮมผมก็คงตกไปตั้งแต่ห้าวินาทีแรก
“ไปถ่ายรูปกับเด็กชาวเขาตรงนู้นกัน” เป้ชวน
เด็กชาวเขาแต่งตัวตามชนเผ่ายืนให้บริการถ่ายรูปด้วย น่าตาน่ารัก
“เห็นเด็กแล้วกูอยากมีลูกเลยว่ะ” ผมบอกแฮม
“มึงมาบอกกูทำไม” แฮมตอบ
“กูก็แค่พูดขึ้นเฉยๆ ปะวะ เห็นเด็กน่ารักๆ แล้วอยากมีลูกเป็นของตัวเอง”

“ที่นี่คุ้นมาก เหมือนเราเคยมา แต่จริงๆ เรามาที่นี่เป็นครั้งแรก เหมือนเดจาวู เหมือนเคยฝันถึง” เก้าพูดพลางมองไปรอบๆ
“ชาติที่แล้วเก้าอาจจะเคยมาที่นี่หรือเปล่า” เป้ถามเก้า

ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในไทม์ไลน์เวลารอบแรก เก้าพูดถึงเรื่องที่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษ เช่นเดียวกันกับเป้ที่ไปเรียนต่ออังกฤษ ในไทม์ไลน์นั้นผมไม่ได้ติดต่อกับเขา แต่พอจะได้ยินข่าวมาบ้างว่าเป้คบกันคนที่จบจากมหาลัยเรา โดยเจอกันที่อังกฤษ หรือว่าคนนั้นอาจจะเป็นเก้านะ


กว่าจะถึงที่พักก็ใกล้ค่ำ เป้พาเราขับรถเล่นไปถ่ายรูปจุดต่างๆ ที่วิวสวย มีแฮมเป็นตากล้องให้ทั้งวัน

“กูว่าเราไม่ต้องกังวลเรื่องเป้กับเก้าแล้วว่ะ” แฮมพูด
“ทำไมหรอวะ”
“มึงดูไม่ออกหรือไงว่าเขาปิ๊งกัน” หืม ตอนไหน อันที่จริงผมดูไม่ออกเลยสักนิด ตรงไหนที่บ่งบอกว่าสองคนนี้กำลังปิ๊งกัน
“ไม่หนิ ก็ดูสนิทกันแบบเพื่อนธรรมดา” แฮมถอนหายใจ
“เรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องตรงไปตรงมามากนักหรอก” แฮมตบไหล่ผม ก่อนจะเดินหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมงงอยู่กับสิ่งที่เขาพูด

เรื่องบางเรื่องไม่ต้องตรงไปตรงมา งั้นหรอ สำหรับผม ความชัดเจนมันสำคัญมากหากคนเราจะรักกัน ถ้ามัวแต่อ้อมค้อมอยู่อย่างนั้นเมื่อไหร่จะสมหวังล่ะ แต่ผมก็ดีใจด้วยนะถ้าเป้กับเก้าเขาจะชอบกันขึ้นมาจริงๆ เขาอาจจะเป็นคู่กันอยู่แล้วก็ได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2018 13:47:18 โดย geurechi »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ลงซ้ำปะครับ โพสต์สุดท้ายซ้ำกับโพสต์บน

// เซียมซีของแฮมชัดเจนเลย  :-[

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
   เรากลับมาถึงหอพักกันแต่เช้า ผมยังอยากนอนต่ออีกสักนิด หัวยังหนักๆ อยู่กับแอลกอฮอลล์ที่ดื่มไปเมื่อคืนวาน
   
“กูให้ ซื้อจากเด็กชาวเขามา” แฮมยื่นดอกไม้กำเล็กๆ ที่หยิบจากกระเป๋าสะพายให้ผม มันช้ำแล้วบ้าง ผมรับไว้ แล้วแนบมันเอาไว้ด้านในหนังสือเล่มหนา

   “ขอบใจมากนะมึง” ผมบอก
   “แล้วเพื่อนที่ไม่ได้ไปด้วย มีของอะไรมาฝากด้วยไหมวะ” กานต์พูด
   “ไม่มี ครั้งหน้ามึงต้องไปแล้วนะเว้ย พาเมียมึงไปด้วยก็ได้” แฮมบอก ผมก็คิดอย่างนั้น สองปีที่ผ่านมา ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้าแฟนของกานต์เลย
   “เออๆ ถ้าเขาว่างตรงกันกูไปด้วยแน่”

   แฮมนั่งแต่งรูปที่ถ่ายมาโดยมีผมนั่งประกบอยู่ข้างๆ ผมก็แค่อยากเห็นภาพเหล่านี้ก่อนใคร ภาพที่ได้ก่อนจะผ่านการตกแต่งก็ว่าสวยแล้ว แต่หากได้ใส่จินตนาการ แสง สี ของแฮมเพิ่มลงไป ยิ่งสวยขึ้นอีกเท่าตัว
   “มึงเก่งขนาดนี้ทำไมไม่เป็นตากล้องมือถือชีพไปเลยวะ” ผมถาม
   “กูรักการถ่ายรูป กูรักมันมากเลยให้มันเป็นแค่งานอดิเรก” แฮมพูด
   “ทำไมวะ ไม่ดีหรอที่ได้ทำงานที่รักไปด้วย และได้เงินไปด้วย” ผมถามต่อ เพราะผมคิดเห็นในเรื่องการทำงานแบบนี้ งานที่เรารัก หากมีรายได้จากมันด้วยยิ่งทำให้ชีวิตเรามีความสุข
   “กูก็แค่กลัวว่าวันหนึ่งกูจะรักมันน้อยลง” คำตอบของเขาค่อนข้างจะขัดกับความคิดผมอยู่มาก

   “นี่เวลามึงชอบใครมึงคิดแบบนี้ด้วยปะ คิดแล้วกูสงสารคนที่จะมาเป็นแฟนมึงเลย”
   “มึงไม่ต้องสงสารเขาหรอก มึงสงสารกูนี่”
   “พูดงี้มึงชอบใครวะ มึงบอกกูมาดิ เบนปะ คนที่เจอวันนั้นที่ลานเปา” เขาส่ายหัว สีหน้าไม่ค่อยอยากบอกผมสักเท่าไหร่ “บอกมาเหอะ กูสาบานว่าจะไม่บอกใคร” กานต์ออกไปเรียนแล้วเหลือแต่เราสองคน ผมสาบานเลยว่าถ้ารู้แล้วจะเก็บเป็นความลับ
   “กูบอกไม่ได้”
   “ทำไมวะ มีเรื่องไหนที่กูไม่ให้มึงรู้บ้างอะ แค่มึงชอบใครทำไมมึงไม่ยอมบอกกูวะ” ผมเสียความรู้สึกนิดหน่อย ถึงแม้จะแสดงออกทีเล่นทีจริงก็ตาม มีเรื่องไหนของผมที่เขาไม่รู้บ้าง ในขณะเดียวกัน เหมือนผมรู้จักเขาแค่เท่าที่เขาอยากให้ผมรู้จักเท่านั้น
   “มึงเป็นคนเดียวที่จะไม่มีวันได้รู้” น้ำเสียงและสีหน้านิ่งเฉยของเขามันน่ากลัว ผมนิ่ง และคิดว่าไม่ควรเร้าหรือเขาเรื่องนี้อีก มันต้องมีใครสักคนที่รู้ว่าแฮมชอบใคร เอาไว้ผมค่อยสืบทีหลัง
   “ความลับไม่มีในโลก กูบอกไว้แค่นี้” ผมสวนกลับอย่างมั่นใจที่สุด แม้ว่าเขาจะสนใจแค่จอคอมข้างหน้าก็ตาม


   ผมนั่งเกาะเก้าอี้ดูแฮมแต่งรูปมากี่นานแล้วไม่รู้ รู้แต่ว่าท้องเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าควรจะหาอะไรกินได้แล้ว
   “มึง หิวอะ ออกไปหาไรกินกัน” ผมบอก แต่ดูไม่มีทีท่าว่าแฮมจะอยากลุกจากหน้าคอมออกไปไหน
   “ไม่อะ ฟีลกูกำลังได้ มึงเวพมาม่ากินไปก่อนได้ไหม”
   “กูกลัวเป็นหัวล้านอะ ออกไปกินเจ๊แตนกัน” ผมตื้อ แต่เขาก็ยังไม่สนใจอยู่ดี
   “เจ๊แตนเขาก็ใส่ผงชูรสหนักพอๆ กับมาม่าน่ะแหละ” เขาตอบ
   “เอาหน่า อย่างน้อยก็มีสารอาหารครบ ไปส่งกูหน่อย” เขายื่นกุญแจรถมอเตอร์ไซต์ให้ “มึงก็รู้ว่ากูขี่มอเตอร์ไซต์ไม่แข็งอะ”
   “มึงต้องหัดอยู่คนเดียวบ้าง เดี๋ยววันหนึ่งมึงไม่มีกูมึงจะได้ทำอะไรด้วยตัวเองเป็น” เขาบอกอย่างนั้นผมก็คงต้องออกไปหาอะไรกินด้วยตัวเอง

   

   ผมค่อยๆ ขับมอเตอร์ไซต์ออกมาจากหอในอย่างทุกทักทุเล จะขึ้นเนินลงเนินทีขาสั่นไปหมด ผมยังควบคุมแฮนด์ไม่ค่อยได้ เวลาจะเลี้ยวค่อนข้างลำบาก เรื่องการเปลี่ยนเลนยิ่งแล้วใหญ่ ยากกว่ารถยนต์มาก กระจกมองหลังก็เห็นได้แค่วงแคบ จังหวะที่มือต้องบิดคันเร่ง มันสวนทางกับเท้าที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ไหนจะเบรกมือ เบรกเท้าที่แยกเป็นเบรกหน้าเบรกหลัง
   กว่าจะถึงที่หมายก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
   “เอากะเพราหมูสับหนึ่ง ผัดซีอิ๊วหนึ่งครับ ใส่กล่องนะครับ”
   ผมสั่งเมนูโปรดของผมเอง และของแฮม เขาก็คงหิวแหละผมเลยซื้อไปเผื่อ

   ยากกว่าการขับรถออกมา คือการขับกลับ ถ้าผมไม่เหิมเกริมขับรถข้ามไฟแดงมาแวะเซเว่นหน้ามอ ผมคงไม่ต้องเผชิญการยูเทิร์นที่แสนจะอันตราย รถอีกฝั่งวิ่งผ่านแทบจะไม่มีช่องว่างให้ผมได้กลับรถ แล้วการทรงตัวของผมก็ไม่ค่อยดีนัก

   ผมพุ่งตัวออกไปเมื่อเห็นว่ารถคันนั้นอยู่อีกตั้งไกล แต่ความเร็วรถผมคงน้อยกว่าเขาหลายเท่าตัว ภาพสุดท้ายที่เกิดขึ้นเร็วมากคือรถคันนั้นเข้าใกล้ผม จนประชิดตัว

   แรงกระแทกนั้นเกินจะต้านไหว ตัวผมปลิวไปคนละทิศทางกับมอเตอร์ไซต์

   วินาทีนั้นผมขอแค่อย่าให้หัวไปกระแทกอะไรเข้า ตัวผมลอยกระเด็นมาไกล

   ผมตกใจจนไม่ทันได้รู้ว่ามีความเจ็บปวดเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ภาพทุกอย่างค่อย ๆ มืดลง

   มืดลง

   . . .

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ทำไมรู้สึกค้าง

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถ้าตายในอดีตก็กลับมาปัจจุบันสิเนี่ย ตามที่กระเป๋ารถเมล์บอก  :a5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

แรงเขย่าจากมือหนา ปลุกผมตื่น ผมอยู่บนรถเมล์คันเดิม

“ขอโทษที่ต้องปลุกนะครับ แต่มือถือคุณดังไม่หยุด อาจเป็นสายสำคัญ”

 

เบ้บ ใครสักคนที่กำลังโทรหาผม ชื่อไม่คุ้นเลย ใครคือเบ้บ

 

“สวัสดีครับ” ผมทักปลายสายอย่างสุภาพ

(มาครับอะไร กวนตีนหรอ อยู่ไหนแล้ว จะให้กูไปรับตรงไหน) เสียงเล็กแหลมแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสียงที่คุ้นหูผมดี

“พี่ครับ จอดป้ายหน้าให้ทีครับ” ผมบอกพี่กระเป๋ารถเมล์ “เดี๋ยวส่งโลให้ในไลน์ละกัน”

(อื้ม)

 

ในไลน์ผมตั้งชื่อเขาว่า 'หมูแฮม’ เป็นชื่อของเขา ที่เขาไม่อยากให้ผมเรียก มันฟังดูหน่อมแหน่ม ฟังแล้วคล้ายเป็นชื่อผู้หญิงมากกว่า

 

ไม่นานนักรถคันหนึ่งก็จอดเทียบในจุดที่ผมยืนอยู่ เขาใส่สูทแต่งตัวมาอย่างเท่ เนี๊ยบ ดูเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง

“นี่เรากำลังจะไปไหนกันวะ” ผมถาม เขาขมวดคิ้วใส่ ไม่ยอมตอบ แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำมันเหนือความคาดหมายผมไปมาก

 

เขาค่อยๆ โน้มตัวมาทางผมเรื่อยๆ ยิ่งผมถอยหนีเขาก็ยิ่งตาม ริมฝีปากของเขาประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เมื่อต้อนผมจนมุม เขาบดขี้ริมฝีปากเขากับผม ยอมรับนะว่าเขาจูบเก่งกว่าผมมาก เล่นเอาใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ผมเคลิ้มไปสักพัก ก่อนจะผลักเขาออก ผมอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าจูบนี้มันดีหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจ กลับมีความสุขในใจแปลกๆ

 

“นี่มึงทำอะไรเนี่ย” ผมถาม

“กูต้องถามมึงปะ ว่าเป็นอะไร ทำเหมือนกูจะข่มขืนมึงอย่างนั้นแหละ” เขาพูดหน้าตาเฉย

“มึงจูบกูทำไม”

“เอ้า ก็กูเป็นแฟนมึง ทำไมกูจะจูบไม่ได้ แล้วไม่เจอกันไม่กี่วันกูคิดถึงมึงมากเลยรู้ปะ”

“เชี้ย มึงอำกูปะเนี้ย” ผมไม่อยากจะเชื่อ ทำไมถึงมาเป็นแฟนกับเขาซะได้

“แค่กูไม่มาหาไม่กี่วัน ต้องงอนขนาดนี้เลยหรอวะ” กูไม่ได้งอน แต่กูไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

                ผมนิ่งเงียบตลอดการเดินทาง เขาจอดที่สวนอาหารที่ผมไม่เคยมา ผมปล่อยให้เขาเดินนำทางไปยังจุดหมาย

 

                โต๊ะด้านในมีแขกที่ผมรู้จักอยู่แล้วสามคน ส่วนอีกหนึ่งคนไม่เคยเห็นมาก่อน เขานั่งข้างกานต์ หรือคนนี้อาจจะเป็นแฟนกานต์ ที่น่าสนใจกว่าคืออีกคู่ที่นั่งชิดกันจนดูออก เก้ากับเป้ พวกเขาโตขึ้น เก้านี่เปลี่ยนไปมาก จากคนที่ดูใสใส เรียบร้อย เข้มขึ้น ดูเป็นผู้ชายแมนแมน

 

“กว่าจะมากันได้ นี่ถ้าไม่นัดมาแจกการ์ดกูไม่มานะ” กานต์พูด จะผ่านไปนานแค่ไหน ไอ่นี่ก็หัวร้อนไม่ต่างจากเดิม

“โทษทีว่ะ กูเคลียร์งานนานไปหน่อย แล้วโมทย์ก็งอนกูเนี่ย ไม่ยอมให้กูไปรับ”

“กูไปงอนมึงตอนไหนเนี่ย” ผมถาม ตอนนี้จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเรื่องราวอะไรเปลี่ยนไปบ้าง แล้วการ์ดที่ว่าจะแจกนี่คืออะไร

“ต่อหน้าเพื่อนไม่ต้องทำตัวน่าสงสารเลยมึงอะ” เขาพูด เพื่อนในโต๊ะพากันหัวเราะ

“ยังไม่ทันจะแต่งก็กลัวเมียแล้วหรอโมทย์” เก้าพูด

“มึงจะโดนเมียข่มไม่ได้นะโว้ย” เป้เสริม

“นี่พวกมึงไม่ได้อำกูใช่ปะ กูเป็นแฟนแฮมหรอวะ” ผมถาม

“มุกนี้เฉียบ แต่ดูตาแฮมด้วยมึง คืนนี้มึงได้นอนหน้าห้องแน่” คนที่นั่งข้างกานต์พูด สายตาแฮมตอนนี้จ้องผมน่ากลัวมาก เป็นสายตาที่จ้องเอาเรื่องจริงจัง เชื่อแล้วแหละว่ากูเป็นแฟนมึง เชื่อก็ได้

 

“พุธนี้ นัดตัดชุดนะพวกมึง” แฮมนัดหมายเพื่อนให้ไปตัดชุดอะไรสักอย่าง

“ชุดไรวะ” ผมถาม

“ชุดเพื่อนเจ้าบ่าวไง มึงเบลอไรปะเนี่ย” กานต์ทำหน้างงใส่ ผมไม่ได้เบลอ แต่หนักกว่าเบลออีก ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย แถมนี่ต้องแต่งงานกับแฮมอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ความทรงไม่ผุดอะไรขึ้นมาให้ผมรู้บ้างเลย ขอกระดกเบียร์ที่อยู่ข้างหน้านี้แป๊บ

 

                “อิจฉาคู่มึงจังเลยว่ะ กูอยากแต่งบ้าง แต่ที่บ้านเก้าเขายังไม่รู้เลยมั้งว่าพวกกูคบกัน” เป้พูด

                “ไม่ต้องมาอิจฉาพวกกูหรอก ค่าจัดงานแต่งนี่แพงพอๆ จะเงินดาวน์เรือนหอเลยนะ เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ” แฮมพูด ผมทำได้แต่นิ่งเงียบและฟัง ขืนพูดอะไรออกไปมีแต่จะทำให้งานกร่อย ผมไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แม้แต่วันจัดงาน ถ้าไม่อ่านจากการ์ดผมก็คงไม่รู้

 

                “แล้วนี่มีแพลนจะอุปการะเด็กซักคนปะ” คนที่นั่งข้างๆ กานต์ถาม

                “โมทย์เขาอยากมีลูก จะให้ญาติอุ้มบุญให้อะ มีสักสองคน ลูกกูคนหนึ่ง ลูกโมทย์คนหนึ่ง” แฮมตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เหมือนกับว่ามีการวางแผนกันอยู่แล้วอย่างดี ผมอยากมีลูกนะ จะดีมากเลยถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกที่มาจากเลือดเนื้อของผมเอง

                “กูดีใจกับพวกมึงจริงๆ นะเว้ย กูจำได้วันที่พวกมึงต้องแอบคบกันไม่ให้พวกกูรู้อะ วันที่พวกมึงแอบจุดเทียนในห้องสร้างบรรยากาศก่อนจะทำอะไรกันสองคน พวกมึงคงไม่ได้สังเกตหรอกว่ากูเปิดประตูมาเห็น แต่ต้องรีบปิดและออกไปค้างที่ห้องจีนเขา และก็ขอบคุณวันนั้นที่ทำให้กูกับจีนได้กัน” กานต์พูด ผมไม่ได้ขนลุกเรื่องที่คืนนั้นมันกับจีนได้กันหรอกนะ แต่ขนลุกที่ผมกับแฮมเราเคยแอบทำอะไรกันแบบนั้นหรอวะ อารมณ์ไหนวะเนี้ย

                “เชี้ยกานต์ กูว่าละวันนั้นเหมือนได้ยินเสียงคนเปิดประตู” แฮมพูดหน้าแดง

                “กูเคยทำอะไรแบบนั้นด้วยหรอวะ” ผมพูด

 

                ผมอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น ว่าอะไรเป็นมายังไง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมแท้ๆ แต่กลับนึกไม่ออกเลย

                “เปลี่ยนเรื่องเหอะๆ กินข้าวกัน ตั้งแต่เที่ยงกูมัวแต่ทำงานไม่ได้มีอะไรลงท้องเลย” แฮมเปลี่ยนมาสนใจอาหารตรงหน้า

 

                ผมเอาแต่มองเขาที่เปลี่ยนไป โตขึ้น เป็นคนเดิมที่ผมรู้จัก แต่เมื่อมุมมองที่ผมมีต่อเขามันเปลี่ยนไป ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า คุณความรัก ?

 

               
                ผมเดินสำรวจบ้านหลังใหญ่ ที่แฮมบอกว่านี่คือเรือนหอ เราย้ายเข้ามาอยู่กันได้ปีกว่าแล้ว แต่ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เลย ผมพูดอะไรที่ฟังดูเพ้อเจ้อหลายอย่าง แต่แฮมก็คงเข้าใจว่าผมพูดไปเพราะความเมา

               

                เขาเปลื้องเสื้อผ้าออกเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวบาง ผมพยายามเลี่ยงมองไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าภาพนั้นไม่น่ามอง แค่ไม่ชินสายตา

                “เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาอาบน้ำ” เขายืนออกคำสั่งอยู่หน้าห้องน้ำ เท่าที่ดูเขาคงไม่ปล่อยให้ผมอาบน้ำคนเดียวแน่ คือถ้าจะอาบน้ำด้วยกันผมก็ทำตัวไม่ถูก ผมไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าเขา เช่นกันที่เขาก็ไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าผม

                “มึงอาบก่อนเลย” ผมบอก

                “วันนี้มึงเป็นไรเนี้ยกูถามจริง ตอนแรกกูคิดว่ามึงแกล้งงอนกูเฉยๆ แต่นี่มันเริ่มเยอะไปแล้วนะ”

                “กูไม่ได้งอน กูสาบาน แต่ว่าที่กูเป็นอยู่ตอนนี้คือกูไม่รู้อะไรเลย เล่าไปมึงคงไม่เชื่อกู”

                “มีอะไรที่กูไม่เชื่อมึงบ้าง แม้แต่เรื่องโกหกกูยังเชื่อมึงเลย” เขาพูดเล่น แต่ผมขำไม่ออก

               

                “มึงเชื่อไหมว่าคนเราย้อนเวลากลับไปอดีตได้” ผมหยั่งเชิง หากว่าเขาไม่เชื่อ ผมก็คงไม่กล้าเล่า

                “ไม่รู้สิ ในโลกนี้มีอะไรแปลกๆ ที่คาดไม่ถึงตั้งมากมาย อาจจะเป็นไปได้”

                “มึงรู้ปะว่ากูกลับไปอดีตมา”

                “...” เขาเงียบ เดินมานั่งลงข้างๆ ผม เขาพร้อมที่จะฟัง

                “กูกลับไปเพื่อแก้ไขให้ไม่ต้องรู้จักคนคนหนึ่ง เพื่อที่กูจะไม่ต้องเสียมึงไป เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น แต่กูไม่รู้จริงๆ ว่ากูไปคบกับมึงได้ไง กูไม่รู้เลยว่าพอกูเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแล้วระหว่างทางมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง กูกลับมามันก็กลายเป็นวันนี้ไปแล้ว” เขาสวมกอดจากด้านข้าง มันอบอุ่น และเป็นสัมผัสที่ผมรู้สึกได้ว่ามันเติมเต็มความรู้สึกบางอย่างในใจ

                “กูเชื่อมึงนะ ถ้ามึงไม่รู้ว่าที่ผ่านเป็นยังไงกูจะเล่าให้ฟัง กูจะอยู่ตรงนี้ไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก” ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ เป็นรอยยิ้มที่ปลดเปลื้องความกังวลใดๆ ที่มี เช่นเดียวกันกับรอยยิ้มจริงใจของเขาที่ส่งมา ผมเชื่อได้จริงๆ ว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน

 

                “มึงไปอาบน้ำก่อนเลย เดี๋ยวกูอาบทีหลัง” เขายอมไปอาบน้ำคนเดียวแต่โดยดี

 

 

                ลมหายใจอุ่นรดต้นคอผมอยู่ มือหนักๆ กระชับให้ผมแนบชิดกับเขา เตือนผมให้รู้ว่าผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนี้คนเดียว ผมตื่นนอนมาโดยไม่สดชื่นนัก คงเพราะเมื่อคืนผมดื่มหนักไปหน่อย หัวเลยตื้อๆ ในเช้านี้

 

                ผมคงดิ้นจนคนข้างๆ ตื่นด้วยเหมือนกัน

                “วันนี้เดย์ออฟ มึงจะรีบตื่นทำไม” เขาบอก

                “กูไม่ได้อยากตื่นเช้า แต่พอตื่นแล้วมันนอนต่อไม่ได้”

                “มานอนข้างๆ ให้กูกอดก่อนดิ กูขออีกยี่สิบนาที”

                “ฉวยโอกาส มึงให้เวลากูตั้งตัวบ้างได้ปะ ช่วงนี้งดกิจกรรมที่มึงเคยทำกับกูก่อนหน้านี้ทั้งหมด”

                “เชี้ย มึงเอาแฟนกูคนเดิมคืนมาเดี๋ยวนี้เลย อาทิตย์ก่อนกูไม่ได้กลับบ้านทั้งอาทิตย์ มึงไม่คิดว่ากูจะงุ่นง่านบ้างเลยหรอ มึงไม่สงสารกูหรอวะ” สายตาอ้อนวอน จริตที่ผมไม่เคยได้เห็นจากเขาเลย มันดูกวนตีนนะ แต่ผมเห็นเป็นน่ารักมากกว่า

                “ไม่ได้ จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน มึงต้องเริ่มทำความรู้จักกูใหม่ ตอนนั้นใครเป็นคนจีบใครก่อนวะ”

                “มานอนให้กูกอดก่อน ถึงจะยอมเล่า”

                “งั้นไม่เป็นไร กูถามเพื่อนเอาก็ได้”

                “กูจะสั่งพวกมันห้ามเล่าให้มึงฟัง”

                “ใจร้ายว่ะ”

 

                ผมมุดกลับไปในผ้าห่ม ที่เดิม องศาเดิม นอนในท่าเดิมให้แฮมกอดได้สะดวก นี่ผมดูใจง่ายไปไหมวะ แต่ก็ยอมทำเพื่อแลกกับข้อมูลที่อยากจะรู้ ทำไมได้ล่ะ เขาต้อนผมจนมุมซะขนาดนี้

 

                “กูแอบชอบมึงก่อน แล้วมึงรู้ตอนหลัง มึงก็เลยจีบกูก่อน”

                “เป็นงั้นไป ทำไมกูถึงจีบมึงวะ มึงรู้ปะ”

                “มึงเคยบอกกับกูว่าไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะเข้าใจมึงดีเท่ากูอีกแล้ว แต่ตอนนั้นมึงลังเลมากเหมือนกันนะเว้ย มึงกลัวถ้าสักวันเราเลิกกันจะเสียเพื่อนดีๆ อย่างกูไป” เขาบอก ไม่แปลกหรอกหากผมจะกลัวอย่างนั้น เพื่อนดีๆ แบบแฮม หาที่ไหนในโลกไม่ได้แล้ว

                “แล้วเรื่องที่ไอ่กานต์พูด...” ผมหมายถึงเรื่องที่เราแอบคบกัน

                “มึงไม่เปิดตัวว่าเป็นแฟนกับกู เพราะถ้าวันหนึ่งเราเลิกกัน เราสัญญาว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ก็เลยลองคบกันแบบไม่ให้เพื่อนไม่รู้กันไปก่อน แต่ก็เก็บได้ไม่นานหรอก มึงอะเก็บความลับอะไรไม่ได้เลย”

                “เออ แล้วตอนนี้กูทำงานอะไร มึงทำงานอะไร”

                “กูกับมึงทำงานที่เดียวกัน กูเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ มึงเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นลูกน้องกูอีกที”

                “นี่กูได้ใช้เส้นไหมถึงได้ตำแหน่งนี้”

                “บ้า มึงเป็นฝ่ายดันกูให้เป็นผู้จัดการตั่งหาก ที่จริงมึงจะได้เป็น แต่มึงไม่รับโอกาสนั้น”

 

                อืม เริ่มเป็นคนดีกับเขาบ้างแล้วสินะ โมทย์

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

                ผมนอนมองใบหน้าเขาที่กำลังพริ้มหลับ ใบหน้าที่ไร้กรอบแว่นกลมๆ มาปิดบังดวงตาเรียวสวยคู่นี้ ขนตาแผ่ยาวอย่างอิสระ แม้ในยามหลับเขาก็ดูดีกว่าใคร ผมเห็น เพียงแต่ไม่เคยมองให้ชัด ไม่เคยใช้ใจมอง ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ผมคงหาใครที่ไหนไม่ได้แล้ว ไม่ได้หมายถึงหน้าตา แต่หมายถึงความเป็นเขา

 

                ผมปล่อยให้เขานอนอยู่อย่างนั้น ค่อยๆ ย่องลงจากเตียงเดินสำรวจบ้าน ที่เราเรียกมันว่าเรือนหอ ผมไม่รู้ว่าการตกแต่ง สีภายใน การจัดแบ่งห้อง โครงสร้างต่างๆ ใครเป็นคนออกแบบ มันตรงใจผมทุกอย่าง ผมชอบระเบียงที่ปูพรม มีเจกันดอกไม้วางไว้ตรงมุม ถ้าได้ตื่นมานั่งจิบชากาแฟรับลมในตอนเช้าคงจะสดชื่น หยิบหนังสือน่าอ่านสักเล่มมาด้วยก็คงนั่งอยู่ได้ทั้งวัน

 

                ผมหยิบมือถือมาถ่ายรูปตัวเองที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่ริมระเบียง ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่รู้สึกว่าผมดูดีขึ้น เหมือนผ่านการดูแลตัวเองมาอย่างดี ผิวที่เคยปล่อยให้หยาบกร้านก็ดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยเหี้ยวย่นตามวัยก็ลดลง

 

                “นั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้” เขายื่นแก้วใบขาวให้ กลิ่นที่ลอยมาทำให้รู้ว่าคงเป็นช็อกโกแลตร้อน

                “บ้านนี้ใครออกแบบ” ผมถามเขา

                “ไอเดียส่วนใหญ่มาจากมึงแหละ” ถึงว่า ผมค่อนข้างจะถูกใจกับบ้านหลังนี้

                “แล้วมึงชอบไหม”

                “ก็อยู่ได้ มันก็สวยดี”

 

                เขาทิ้งตัวนั่งลงหันหลังพิงกับผม

                “กูไม่คิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ได้” เขาพูด

                “กูก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าจะเสียท่าให้มึงซะได้” ผมหยอกเล่น

                “กูเหมือนได้แฟนใหม่เลยรู้ปะ กูชอบมึงแบบนี้มากกว่า”

                “ยังไงวะ กูคนก่อนหน้านี้ทำไรไม่ดีกับมึงไว้ปะ กูขอโทษนะ”

                “เฮ้ย ขอโทษทำไม แค่ทะเลาะกันบ้างตามธรรมชาติของคู่รักปะ”

                               

 

                เขาลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเหมือนจะไปไหน

                “นั่นมึงจะเก็บของไปไหนอะ” ผมถาม

                “กลับบ้าน”

                “ปกติมึงไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำหรอ”

                “ไม่อะ กูอยู่บ้าน คงหลังแต่งงานถึงจะได้มาอยู่บ้านหลังนี้”

                “แล้วทำไมไม่อยู่ด้วยกันไปเลย ผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เสียหายปะวะ”

                “ก็มึงเป็นคนบอกเองว่ากลัวกูจะเสียหาย” ผมเคยบอกอย่างนั้นหรอ

                “คงไม่ใช่ว่ามึงมีครอบครัวอยู่บ้านใหญ่ แล้วมีกูเป็นบ้านเล็กนะ” ผมพูดเล่น

                “ไอ่บ้า กูไปละ แค่มาค้างบ้านกับมึงหนึ่งคืนแม่กูบ่นหูชาอีกแน่ พรุ่งนี้กูมารับแต่เช้านะ” อ่อ พรุ่งนี้มีนัดตัดชุดเพื่อนเจ้าบ่าวกันสินะ

                “อื้ม พรุ่งนี้เจอกัน”

                “หาไรกินเองได้ใช่ไหม กูต้องรีบกลับบ้าน”

                “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กูเอาตัวรอดได้”

 

                ผมส่งเขากลับเรียบร้อย ออกมายืนหน้าบ้าน มองภาพรวมบ้านที่เกิดจากไอเดียของตัวเอง สวย ไม่ผิดจากบ้านในฝันสักเท่าไหร่ ในโรงจอดรถมีรถจอดอยู่ ไม่ใช่รถแบรนด์หรูแต่ก็สวยเตะตา พอแล้ว เท่านี้กำลังดี หน้าที่การงานตอนนี้ก็ไม่ได้แย่ ผมมีความสุขกับตอนนี้แล้ว คงไม่กลับไปอดีตอีก

 

                “วันนี้ไม่ออกไปทำงานหรอครับ” เด็กวัยรุ่นข้างบ้านตะโกนถาม

                “ไม่ครับ” ผมตอบสั้นๆ เพราะไม่รู้จักเขา

                “เมื่อคืนแฟนพี่มาค้างหรอครับ” เขารู้ด้วยหรอว่าแฮมเป็นแฟนผม

                “ครับ”

 

                ผมกลับเข้าบ้าน ไม่อยากจะคุยกับเด็กคนนั้นให้มากความ เขาดูเป็นมิตร แต่ผมไม่ชอบการถูกละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่

 

                ผมเข้าส่องเฟซบุกย้อนดูความเป็นไปที่ผ่านมา ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อัลบัมภาพถ่ายที่มีแยกไว้เป็นสัดส่วน ช่วยให้ผมดูได้ง่ายขึ้น

 

                3 ปีที่แล้ว มีรูปภาพที่ผมไปเที่ยวญี่ปุ่น คงไปกับแฮม มีไม่กี่คนหรอกที่จะถ่ายผมให้ดูดีได้ขนาดนี้ น่าจะเป็นงานดอกไม้ไฟที่โอซาก้า รอยยิ้มของผมในตอนนั้นดูมีความสุข สายตาที่ไม่ได้จดจ้องไปยังเลนส์ คงมองผ่านไปยังคนถ่ายสินะ แกคงมีความสุขมาสินะโมทย์

 

                2 ปีที่แล้ว เป็นภาพที่ผมยืนหันหลังให้กล้อง มีฉากหลังเป็นทะเลช่วงพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ท้องฟ้ามีสีขาวเจือที่ทองจากพระอาทิตย์เล็กน้อย เช็คอินสถานที่เป็นบางแสน แต่ดูจากภาพที่ถ่ายเขาทำให้เหมือนเป็นเกาะส่วนตัว สวยเหมือนต้องจ่ายเงินเป็นแสนเพื่อที่จะได้ไปเที่ยว

 

                1 ปีที่แล้ว ธิเบต เมืองหลังคาโลก ผมเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่งแล้วอยากไปมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ไป ในภาพผมของผมยุ้งเหยิงจากแรงลม เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเรียบง่าย รอยยิ้มที่ปรากฏในรูปภาพเป็นรอยยิ้มที่อิ่มใจ ผมเห็นความสงบจากรอยยิ้มนั้น

 

                อัลบัมล่าสุด ทำให้ผมที่นั่งอยู่หน้าคอมยิ้มจนแก้มปริ แม้ว่าจะจำอะไรไม่ได้ แต่ความรู้สึกข้างในมันบอกผมว่าผมควรมีความสุขกับรูปภาพเหล่านี้ ชายสองคนใส่สูทคู่กัน ต่างแค่คนหนึ่งผูกไทด์ยาวนั่นคือผม ส่วนอีกคนผูกโบว์หูกระต่ายทำให้เขาดูน่ารักแต่ไม่ได้ลดความหล่อนั้นลงเลย แฮม ยิ่งดูไปก็อดอิจฉาตัวเองไม่ได้

                เดี๋ยวนะ นี่ผมอิจฉาตัวเองได้ด้วยหรอวะ

 

            “เหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทราเลยว่ะ แต่ไม่ได้ตื่นมาแล้วมีผัวนะ ตื่นมาแล้วมีเมีย”

               

                ผมโพสข้อความนั้นลงเฟซบุก แทนความรู้สึกที่ตัวเองมีตอนนี้


                ผมยืดตัวไปบนอากาศ บิดเอี้ยวตัวไปมาคลายความปวดเมื่อยจากการนั่งจดจ่อคอมเกือบทั้งวัน ก่อนจะอาบน้ำให้สดชื่น และคิดต่อว่าเย็นนี้จะกินอะไรที่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็ไม่ใช่คนเลือกร้านอยู่ดี แฮมชวนผมออกไปหาอะไรกินข้างนอก เขาคงมีแผนในใจอยู่แล้ว

                เสื้อผ้าในตู้ดูจะฉีกจากผมไปพอสมควร ต้องขอชมว่ามีรสนิยมใช้ได้ ทั้งโทนสี คุณภาพของผ้า และแบรนที่เลือก ผมหยิบจับตัวไหนก็ดูจะเข้ากับตัวเองไปหมด ต้องให้ได้อย่างนี้สิโมทย์ สุดท้ายลงตัวด้วยเสือยืดน้ำเงิน กางเกงยีนส์รัดรูปสีขาว รองเท้าผ้าใบคู่ที่ใฝฝันอยากได้มานานแต่ทำใจซื้อไม่ลง แต่โมทย์คนนี้คงไม่เลือกอย่างไม่ลังเลสินะ

 

                “โทษทีนะที่ให้รอนาน กูลองขับมาอีกทางรถติดชิบหาย” แฮมบอก ผมไม่ติดถ้าเขาจะมาสายไปกว่านี้ ผมไม่รีบร้อนเพราะอยู่ในบ้านก็ทำนู่นนี่ไป เขาต่างหากที่ไม่ควรรีบ ขับรถอยู่บนท้องถนนเมืองกรุงต้องมีสติและระมัดระวัง

                “กูไม่ได้รีบ แล้วนั่นหอบถุงอะไร” ผมเพ่งสายตาไปที่ถุงพลาสติกข่าวขุ่นมองไม่เห็นด้านในที่เขาถือมา

                “อ่อ อันนี้แม่กูให้เอามาให้ พวกถั่วน่ะ ครั้งก่อนมึงไปบ้านกูมึงบอกแม่ว่าช่วงนี้ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง แกก็เลยอบถั่วมาให้ ไม่ใส่เกลือ มีโรยน้ำผึ้งนิดหน่อย ดีต่อสุขภาพ”

                “ขอบใจมากเลยเว้ย น่ารักจัง กูสนิทกับที่บ้านมึงด้วยหรอ”   ผมเข้าใจแค่ว่าพ่อแม่ของแฮมรับรู้การมีอยู่ของผม แต่ไม่คาดว่าจะสนิทกันได้

                “ก็ตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้ว ทุกครั้งที่กูกลับบ้าน มึงก็ขอกลับกับกูด้วย ทำตัวน่ารักยังกะจะมาแย่งพ่อแม่กูไป”

                “ก็ยังดีที่มึงบอกว่ากูน่ารักน่ะนะ” เราหัวเราะ

                “ไปกันได้แล้ว”

                แฮมจับมือผมแล้วจูงไปที่รถ ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อมือเราแตะกัน ผมกับมันกอดกันโคตรบ่อยในตอนนั้นที่ผมไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ที่รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของเราไปในทิศทางไหน ทุกการสัมผัสมันกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายขึ้นมาซะงั้น อาจจะเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว แบบนี้เขาเรียกว่าความสุขหรือเปล่า สมองอาจจะยังให้คำตอบผมตอนนี้ไม่ได้ แต่หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะสื่อสารแทนแล้ว

 

               

                ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา อาหารไทยหลายเมนูเสิร์พอยู่ข้างหน้า ทั้งที่มากันแค่เราสองคน ดูจากราคาและบรรยากาศแล้ว มื้อนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ

                “กูว่าวันนี้มันต้องเป็นวันพิเศษอะไรสักอย่างใช่ไหม จริงๆ กินแค่ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่งหน้าปากซอยก็ได้” ผมถาม

                “ได้ยังไง กูจองไว้แล้ว ที่จริงวันนี้เป็นวันครบรอบวันที่มึงขอกูเป็นแฟน”

                “หรอวะ มึงเล่าให้กูฟังได้ปะ”

                “คืนก่อนวันลอยกระทงตอนปีสอง มึงบอกกูว่ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูแล้ว กูตกใจมาก คิดว่ามึงจะเลิกคบกับกู แล้วมึงก็ยืนแหวนวงนี้ให้กู” เขายกมือขึ้นให้ผมเห็นแหวน เป็นแหวนเงินธรรมดา “แล้วมึงก็ขอกูเป็นแฟน”

                ฟังจบแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองทำ คล้ายจะโรแมนติก และมันก็โคตรจะเป็นผมสุดๆ

                “กูพอจะรู้ละว่าทำไมกูถึงชอบมึง” ผมบอกแฮม จากความรู้สึกที่เหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องนั้นให้ฟัง

                ผมไม่รู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ผมชอบแฮมคืออะไร เหมือนกับการที่เรากินกาแฟทุกเช้าให้ร่างกายสดชื่น ยิ่งกินทุกวันยิ่งติด ไม่ใช่เพราะรสขมเฝื่อนลิ้นของมันหรอกที่เราปลื้มใจ กลิ่นไอบางทีก็ชวนเวียนหัว แต่เพราะมันคือกาแฟยังไงล่ะ ให้เราไปกินโกโก้ที่ขมเข้มเหมือนกัน ก็ไม่มีทางแทนกันได้

                แฮม เป็นกาแฟแก้วหนึ่งที่ผมขาดไม่ได้ ทำไมผมเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้นะ

 

                แฮมยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงาน ผมก็ลืมนึกว่ามันควรจะเป็นหน้าที่ของผมมากกว่าที่เป็นฝ่ายจ่าย

                “กูลืมไปเลยว่ากูไม่เอากระเป๋าตังมา” ผมบอกแฮม เพราะเดินตัวลอยขาดสติตอนที่เขาจูงมือ กระป๋งกระเป๋าอะไรไม่ได้นึกถึง

                “ไม่เป็นไรหรอก มึงน่ะเก็บเงินไว้เถอะ ไหนจะผ่อนบ้าน ละไหนจะค่าสินสอดที่พ่อแม่กูเรียกอีก บอกได้เลยว่าอ่วม”

                “เท่าไหร่วะ” ผมถาม

                “บ้านเกือบสองล้าน สินสอดกูล้านกว่าๆ”

                “เชี้ย บ้านน่ะไม่แพง แต่มึงอะ แพงเชี้ยๆ กูหาเมียใหม่ได้ปะ”

                “ก็ได้นะ แต่มึงต้องย้ายออกจากบ้าน เพราะบ้านจดเป็นชื่อกู แต่มึงผ่อน” ได้หรอวะ นี่เรากลายเป็นพวกกลัวเมียหรอวะ

                “ฉลาดเป็นกรดเลยนะมึง นี่กูไม่ได้กำลังโดนมึงปอกลอกใช่ปะ”

                “อาจจะก็ได้นะ” เราหัวเราะร่า

                “กูอยากจำเรื่องทั้งหมดได้เร็วๆ จัง กูไม่รู้ช่วงเวลาดีๆ กับมึงตอนเป็นแฟนกันเลยว่ะ”

                “กูจะค่อยๆ เล่าให้มึงฟังละกัน แต่กลับถึงบ้านมึงช่วยอะไรกูอย่างได้ปะ”

                “อะไรวะ”

                “ช่วยทำให้ลูกกูสงบทีได้ปะ มันบ่นคิดถึงมึงมาหลายวันแล้วอะ” สายตาของแฮมก้มไปมองตรงเป้ากางเกง

                “ทะลึ่งละมึงอะ ไปเอานิสัยหื่นๆ แบบนี้มาจากไหน”

                “จากมึงนั่นแหละ”

 

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เข้าสมาคมเกลียมัวแบบไม่รู้ตัว   :m20:

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
...... คือ ก็คิดมาตลอดตั้งแต่ต้นว่าแฮมชอบโมทย์ แต่แฮมเวอร์ชั่นนี้ ถ้าเราเป็นโมทย์ก็เอ๋อเหมือนกัน 5555555

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
กลับมาปัจจุบันอีกครั้งพอย้อนอดีตอีกรอบจะเป็นยังไงเนี่ย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

                “กลับดีๆ นะ” ผมบอกเขาอย่างนั้นเมื่อปลดเข็มขัด และก้าวลงจากรถ แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ดับเครื่องและลงรถเช่นเดียวกับผม

                “..”

                “นี่มึงไม่ได้คิดจะทำอะไรกูใช่ไหมเนี่ย กูไม่พร้อมนะเว้ย” เขายิ้มมุมปาก ประกายจากแววตานั้น ผมคงจะพูดถูก เขาคงคิดจะทำอะไรไม่ดีๆ กับผมแน่

                “มึงเป็นแฟนกูนะโมทย์ มึงจะปล่อยให้กูกลับทั้งอย่างนี้นะหรอ” ทั้งอย่างนี้น่ะ มันอย่างไหน

                “ไม่รู้โว้ย ถ้ามึงใกล้กูอีกนิดกูตะโกนให้ข้างบ้านช่วยนะ”

                “อ่อ ไอ่น้องนักบาสคนนั้นอะนะ ตะโกนสิ ไม่เกินนาทีมันก็มาหามึงได้แล้วหนิ” สีหน้าเขาดูเจื่อน เหมือนว่าผมพูดอะไรบางอย่างผิดไป

                เขาเอี้ยวตัวเดินกลับไปที่รถ กลายเป็นผมที่รั้งให้เขาอยู่ต่อ ผมไม่สบายใจที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เถอะ

                “นี่มึงหึงกูกับน้องคนนั้นหรอ” น้องนักบาสที่แฮมพูดถึงคงเป็นน้องคนเดียวกับที่ผมเจอเมื่อตอนเช้า ผมถามตรงประเด็น เขานิ่ง และเดินมาหาผม

               

                ผมเดินตามเข้ามาในบ้าน เรานั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เขาถอนหายใจหลายครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องให้ผมฟัง

                “ขอโทษนะที่กูหงุดหงิดใส่ จะว่ากูหึงก็ได้ ก็ไอ่เด็กคนนั้นมาตอแยมึงไม่เลิก”

                “กูเสน่ห์แรงขนาดนั้นเลย” ผมเย้าแหย่เขาเล่น ให้คลายอารมณ์ร้อนนั้นลง ก็ดูจะได้ผล

                “มึงมันกะล่อน ชอบไปคุยกับเด็กมัน ไอ่เด็กนั้นก็รู้ว่าเราเป็นแฟนอยู่แล้วก็ชอบมาอ่อยมึงไม่เลิก”

                “ดุจัง กูไม่เกี่ยวนะเว้ย กูเพิ่งมา ไอ่โมทย์คนก่อนหน้าไม่ใช่กู”

                “ไม่ต้องเลย ต่อให้กูเชื่อสิ่งที่มึงบอกยังไง แต่กูก็อดระแวงไม่ได้นี่นา”

                “ถ้าหากว่าไอ่โมทย์คนก่อนหน้ากู มันทำให้มึงเสียใจ มึงจะโกรธกูคนปัจจุบันนี้ปะ”

                เขาเงียบ คงกำลังใช้ความคิด ผมไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเข้าใจถึงขั้นที่พร้อมให้อภัยนะ หากเป็นใครสักคนที่ผมรักเขาทำร้ายผมได้ลงคอ ไม่ว่าตอนนี้เขาจะรับรู้หรือไม่รับรู้ความผิดนั้นแล้ว ก็ยากที่จะให้อภัย

                “ก็โกรธ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสให้มึงแก้ตัว ต่อให้เรื่องย้อนเวลาของมึงเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก กูก็จะถือว่าเป็นวิธีหนึ่งที่มึงจะปรับปรุงตัวเอง”

 

                ผมยิ้มให้เขา ตอบแทนคำตอบที่ได้รับ

 

อันที่จริงผมดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าที่เขาโกรธเมื่อครู่นั้นเป็นแค่การเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันได้ผล เขาได้มานั่งอยู่ในบ้าน แถมตอนนี้ยังนั่งชิดและโอบไหล่ผมอยู่ ซุกหน้าเข้ามาข้างหูเป่าลมใส่เบาๆ จนผมขนลุกขนพอง

“หยุด” ผมบอกเสียงแข็ง พร้อมเขยิบหนีจนสุดริมโซฟา เขาไม่มีทีท่าว่าจะลดละ ยังเขยิบตามจนผมหนีไม่ได้ (แต่จริงๆ ถ้าลุกเดินหนีมันก็ได้น่ะแหละ)

“มึงเหมือนลูกแมวเลยว่ะ กูชอบมึงตอนถอดเขี้ยวเล็บแบบนี้จัง” เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ผมขนลุกบางๆ ไม่เหลือแล้วแฮมคนใสใสที่ผมรู้จัก

“ดึกแล้วนะมึง แม่มึงบ่นแย่ ถ้าไม่กลับบ้าน” ผมบอก แต่เขาดูไม่สนใจอะไรนอกจากผม

“ทนหูชาดีกว่าปล่อยให้ลูกชายกูชา นะมึง กูขอ” ผมเกือบจะเคลิ้มปล่อยปากให้สัมผัสกับปากเขาที่โน้มหน้ามาพูดใกล้ๆ

“ไม่ได้ๆ กูเห็นมึงเป็นเพื่อนมาตลอด ปุบปับจะให้กูมาทำอะไรแบบนี้เลย มันจะมองหน้ากันไม่ติดนะเว้ย”

“มึงเลิกคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงซะทีสิ ตอนนี้กูเป็นแฟนมึงแล้ว” เขาพลิกตัวที่นั่งอยู่ข้างๆ มาคร่อมบนตักผม นั่นทำให้ผมจิตใจฟุ้งซ่านแตกกระจายไปเป็นเสี่ยงๆ ยากเกินจะควบคุม ยิ่งริมฝีปากของเขาที่ยั่วเย้าริมฝีปากผมหลายรอบ

 

ปีศาจตัวร้ายในหัวผมยุแยงให้ลงมือทำเลย ในเกมนี้ผมไม่ควรทำตัวเป็นแมวเหมียว ลูกแกะมาลูบคมเขี้ยวขนาดนี้ จะปล่อยให้หลุดรอดไปได้หรือ

แต่อีกเสียงในหัวก็บอกกับผมว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวาน มันยังไม่ถึงเวลา แม้ว่าผมไม่ใช่พวกหัวโบราณที่เชื่อเรื่องการมีเซ็กส์หลังแต่งงาน แต่เหตุผลก็ฟังขึ้น มันยังไม่ถึงเวลาจริงๆ อาจจะใช่สำหรับโมทย์คนก่อน แต่ไม่ใช่สำหรับโมทย์คนนี้

 

ผมให้ได้มากสุดแค่จูบ นั่นมากสุดแล้วกับความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ แม้สายตาของเขากำลังเว้าวอนให้ผมมอบให้มากกว่านี้ก็ตาม เขาดูจะผิดหวังเมื่อผมยั้งมือที่กำลังไต่ไปในจุดที่ผมห่วงห้าม หลายต่อหลายครั้ง จนผมคิดว่าเราควรพอ

 

ผมผลักตัวเขาออกแผ่นเบา แม้ว่าเขาจะโน้มตัวลงมาจูบต่ออีกครั้งสองครั้ง ผมก็ผลักเขาออก ยอมรับว่าตอนนี้ใจผมเตลิดไปไกล พร้อมที่จะทำมากกว่านี้หากแต่ยังพอมีสติคิดได้ว่าอะไรควรไม่ควร

“มึงกลับได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องพาเพื่อนไปวัดตัวตัดชุดกันไม่ใช่หรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง เราดูไม่ยินดียินร้าย ท่าทางเฉยชานั้นดูเป็นเขาคนเดิมที่สุด

“อื้ม งั้นเดี๋ยวกูกลับแล้วนะ”

“ขับรถกลับดีๆ ล่ะ ไม่ต้องขับเร็ว ถึงแล้วไลน์บอกกูด้วยนะ” เขาพยักใบหน้าแดงก่ำนั้นขึ้นลง ผมเดินมาส่ง รอจนรถเขาเคลื่อนออกไปจึงกลับเข้าบ้าน ให้ตายเถอะ ผมเอาแต่สัมผัสริมฝีปากตัวเอง คิดถึงรสจูบเมื่อครู่ อารมณ์มันยังค้างคาเอามาก ผมส่ายหน้า สะบัดความคิดที่เกิดขึ้นในหัวทิ้งไป


วันนี้แฮมมารับผมแต่เช้า พร้อมน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ติดมือมาฝาก ของโปรดของผมเลยล่ะ ผมชอบบิดปาท่องโก๋เป็นชิ้นๆ แช่ทิ้งไว้ในน้ำเต้าหู้จนพอง นุ่ม เมื่อกินเข้าไปแทบจะละลายในปาก แถมยังได้รสชาติของน้ำเต้าหู้ชุ่มฉ่ำ อร่อย

“กินแปลก มันจะอร่อยหรอแบบนั้น” แฮมถาม

“อร่อยดิ ลองชิมไหม” ผมตักชิ้นปาท่องโก๋ป้อนเข้าปากแฮม เขาขมวดคิ้ว

“ไม่ได้แย่ แต่กูชอบกินแยกกันมากกว่า”

“แล้วนี่ต้องไปเจอพวกนั้นกี่โมงอะ” ผมถาม จำได้ว่าวันนี้เป็นวันนัดเพื่อนเจ้าบ่าวไปตัดชุด

“ก็ตอนเย็นนู่นเลย พวกมันติดงานกันอยู่”

“แล้วมึงมาทำอะไรแต่เช้า”

แฮมกระเถิบเก้าอี้เข้ามาใกล้ ยื่นหน้ามากระซิบ

“มาต่อจากเมื่อคืนไง” ผมลุกหนี เขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการแน่ ผมเริ่มจะกลัวแฮมในเวอร์ชันนี้แล้วสิ ดูเป็นคนบ้ากามผิดกับแฮมที่ผมรู้จัก หรือจริงๆ แล้วเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ววะ เพียงแต่ผมไม่รู้

“พอเลยมึง กูซีเรียส”

“กูก็ซีเรียสนะ มากเลยด้วย” แฮมไม่พูดเปล่า ผลักผมลงไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ผมหลับตาปี๋เมื่อปากของเราใกล้จะชนกัน ผมทำตัวเหมือนคนที่ยังครองความบริสุทธิ์ หายไปหมดแล้ว ความกล้าดีที่เคยมี

 

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังช่วยชีวิต เบรกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ต่อจากการจูบ ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนจะออกไปเปิดประตูรั้ว

น้องผู้ชายข้างบ้าน สูงแทบจะเท่าผมแล้วมั้ง ยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าบ้านผม

“มาทำอะไรครับ” ผมถามเขา

“ก็มาให้พี่ติวภาษาอังกฤษให้ไง ทุกวันพุธ อ๋อ แฟนพี่มานี่เอง จะเลื่อนไปเป็นตอนเย็นก็ได้นะครับ” ติวให้อย่างนั้นหรอ ถ้าโมทย์คนก่อนรับปากเขาไว้อย่างนั้น ผมก็ยินดีจะทำต่อให้ มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง แค่ติวภาษาอังกฤษ และคงจะดีกว่าถ้าให้แฮมอยู่ด้วย จะได้สบายใจทั้งคู่

“เข้ามาเลย”

“ขอบคุณครับ” เขาเดินสะพายกระเป๋าเดินนำลิ่วเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย

 

“สวัสดีครับแฟนพี่โมทย์” เขาเอ่ยทักแฮมอย่างนั้น คงไม่ได้รู้จักกันสินะ

“สวัสดีครับ นั่นแบกกระเป๋ามาทำอะไรน่ะ” แฮมตอบกลับตามมารยาท

“              วันนี้ให้พี่โมทย์ติวภาษาอังกฤษให้น่ะครับ”

“อ่อ ตามสบายเลย” แฮมลุกจากโต๊ะอาหารมานั่งรวมกันกับผมและน้องที่โซฟา

ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องเขาชื่ออะไร เลยแทนตัวน้องเขาว่าน้อง

 

ผมคงติวง่วงมาก แฮมถึงขั้นนั่งหลับคาโซฟา ยังดีที่น้องเขาไม่บ่น และตั้งหน้าตั้งตาทำแบบฝึกหัดที่ผมมอบหมายให้ทำ

ส่วนผมก็นั่งคิดถึงเรื่องตัวเอง แปลก ทำไมผมถึงไม่มีความทรงจำอะไรแวบขึ้นมาบ้างเลย ครั้งก่อนนั้นเวลาผมจับต้องสิ่งของ หรือมีใครพูดเกี่ยวกับอะไรที่เชื่อมโยงถึงผมนิดหน่อย ผมก็จะนึกบางเรื่องออก รู้สึกราวกับว่าเคยผ่านเหตุการณ์ เรื่องราวเหล่านั้นมาด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้มันกริบ ไม่ว่าผมจะพยายามเค้นความทรงจำตัวเองมากแค่ไหนก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลย

“เสร็จแล้วครับ” น้องเขายื่นแบบฝึกหัดที่ผมให้ทำ เก่งใช้ได้ เขาทำถูกทุกข้อ ดูจากลุคภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเก่งขนาดนี้ ผมอาจจะเผลอเหมารวมและตัดสินคนจากภายนอกไปหน่อย

“เก่งมาก ช่วงนี้ปิดเทอมหรอ ว่างๆ อยู่บ้านทำอะไรล่ะ” ผมชวนเขาคุย

“ก็อ่านหนังสือเรียน ช่วงเย็นก็ออกไปเล่นบาสกับเพื่อน”

“ตัวสูงเพราะเล่นบาสสินะ แล้วอยู่มอไรแล้วล่ะ” ผมถาม น้องทำหน้าแปลกๆ คงเพราะเรื่องที่ผมถาม ผมควรจะรู้จักน้องเขาอยู่แล้ว พอถามข้อมูลเดิมที่น่าจะรู้อยู่แล้ว น้องก็คงอดสงสัยไม่ได้

“มอห้าไงครับ พี่ถามเหมือนเราไม่รู้จักกันเลย ผมชื่ออะไรพี่ไม่ลืมใช่ไหมครับ”

“ลืม” น้องดูตกใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำตอบ

“พี่โดนเขาทำร้ายจนสมองเสื่อมหรอครับ” น้องกระซิบกระซาบเบาๆ พร้อมชี้นิ้วไปทางแฮม

“บ้า เปล่า เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

“ก็อาทิตย์ก่อนผมเห็นพี่สองคนทะเลาะกันแรง เสียงดังโครมคราม”

“ไม่มีอะไรหรอก พวกพี่รักกันดี” ผมบอกไปอย่างนั้น แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่แฮมคงไม่ได้ทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นหรอก เผลอๆ อาจจะเป็นผมเสียมากกว่าที่ไปทำอะไรไม่ดีกับเขา

“แต่พี่ดูเหมือนคนความจำเสื่อมนะครับ ได้ไปหาหมอบ้างไหม ช่วงนี้ลืมอะไรอีกหรือเปล่า”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เดี๋ยวพี่ก็จำได้เองแหละ แค่เลอะเลือนไปบางเรื่องน่ะ” น้องยิ้ม

“จะเที่ยงแล้ว ผมกลับบ้านก่อนนะครับ” ผมทำท่าจะลุกออกไปส่ง แต่น้องบอกว่าไม่เป็นไร

จริงๆ น้องเขาก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรนะ แต่เพราะความขี้เล่นของมันละมั้งที่ทำให้แฮมหึง และน้องเขาก็ไม่ใช่เสปคผมเลยด้วย ไม่มีทางที่ผมจะชอบน้องคนนี้ได้หรอก เขาเด็กเกินไป

 

“กลับไปแล้วหรอ” แฮมถามเสียงแหบพร่า เขาเพิ่งตื่น งีบมาเกือบค่อนวัน

“น้องเขากลับไปสักพักแล้ว กูกำลังจะปลุกมึงพอดี”

“หิวอะ มีไรกินมั้ง”

“ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย ออกไปหาไรกินข้างนอกกัน มึงไปล้างหน้าล้างตาก่อน”

“อื้ม”

 

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรละนี่...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด