บทที่ 23 หนาวเพราะฝนในใจWhen the day is long
And the night, the night is yours alone
When you’re sure you’ve had enough
Of this life, well, hang on*
กระแสลมสีเทาพัดผ่านจนพื้นที่โดยรอบยะเยือกเย็น ฤดูหนาวแผลงฤทธิ์ร้ายกาจจนปวดลึกลงไปในขั้วใจ ใครว่าภาคใต้มีฤดูหนาวที่น้อยกว่าภาคอื่น เปล่าเลย สิ่งที่มนุษย์เราสัมผัสได้ตอนนี้มันช่างหนักหนาสาหัสนัก ความหนาวเย็นเจ็บปวดช่างสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ หลังจากฝนระลอกสุดท้ายทิ้งทวนไปก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีพายุใดพัดผ่านเข้ามาในฤดูหนาวอีก
เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว ฝนย่อมไม่ตกฤดูหนาว
ที่กำลังหยดลงมามันคือน้ำตาในหัวใจของคนเราต่างหาก
แม้เวลาจะล่วงเลยไปราวเที่ยงคืน แต่สองชีวิตก็ยังคงปล่อยลมหายใจอุ่น ๆ เข้าออกแข่งกับสภาพอากาศรอบกาย สะพานข้ามแม่น้ำบนถนนสายใหญ่มีแสงไฟสีส้มทองสาดส่องลงมากระทบกับทั้งสองร่างจนเกิดเป็นเงาคาดทับลงไปบนฟุตปาธเบื้องล่าง ราวสะพานคอนกรีตมีขนาดหนามากพอที่ผู้ชายสองคนจะปีนขึ้นไปนั่งทอดสายตาบนนั้น
ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! ปลายส้นเท้ากระทบเข้ากับผนังคอนกรีตเป็นจังหวะตามที่เจ้าตัวแกว่งขาทั้งสองข้างเข้าออก ระหว่างที่ใครอีกคนปล่อยน้ำหนักสองขาลงมานิ่งสนิท แม่น้ำเบื้องล่างไม่ได้มีคลื่นลมแรงจนไร้ทิศทางดั่งทะเล ซ้ำยังไหลเชื่องช้าเป็นสายไปในเส้นทางเดียวกัน ไม่มีทางไหลย้อนกลับ ไม่มีทางสาดซัดเข้าฝั่ง พื้นน้ำสีเข้มช่างสวยสงบและน่าดึงดูดให้ดำดิ่งลงไปสู่เบื้องลึก
ดำดิ่งลงไป ลึกลงไป และไม่กลับขึ้นมาอีกเลย
“คุณวัสจำได้มั้ย ตอนที่ผมต้องออกมาอยู่คนเดียวแรก ๆ เราก็เคยหนีออกมาด้วยกันแบบนี้ ตอนนั้นมันตลกมากเลย สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปกับอาประชา” คนฟังคำถามนำสายตาเหม่อลอยของตนเข้ามามองคนข้าง ๆ ทันที สองขวาที่กำลังแกว่งไปมาหยุดนิ่งสนิท วัสสะผุดรอยยิ้มจาง ๆ ขึ้นมาที่ริมฝีปาก นั่นสินะ ครั้งหนึ่งเมื่อราวสิบปีก่อนเขาก็เคยฉุนเฉียวพาธารางกูรหลีกหนีออกมาเช่นตอนนี้ เพียงแต่ครั้งนั้นทางเลือกสุดท้ายที่มีคือการกลับไปอยู่ใต้อาณัติเช่นเดิม
“ทำไมจะจำไม่ได้ พอผมรู้ว่าท่านสั่งให้คุณย้ายหนีผมอีก ก็รีบโดดรั้วโรงเรียนนายร้อยออกมาหาคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากอยู่คนเดียวแบบนั้น ผมรู้ว่าคุณจะเหงา ผมรู้ว่าคุณจะกลัว ผมอยากพาคุณไปอยู่ด้วยกันที่ไหนสักที แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้” แม้ว่าตัวเขาจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่ทุกประโยค ทุกคำพูดกลับตอกย้ำตัวเอง ซ้ำยังกดลึกลงไปในความทรงจำและความรู้สึกผิด
วัสสะเคยหวังว่าเมื่อไหร่ที่ชีวิตเติบโตได้ด้วยแขนขา เขาจะพาธารางกูรออกมาจากกรงเหล็กที่ขังมาตลอดชีวิต ทว่ายิ่งนานวัน ยิ่งเป็นผู้ใหญ่มีความคิดและสติ เชือกเส้นใหญ่ยิ่งตรึงแขนขาไม่ให้ขยับไปในทางใด ซ้ำยังถูกชักจูงไปมาซ้ายขวาราวกับหุ่นเชิด ตัวเขากลายเป็นฆาตกรที่มีฉากหน้าเป็นนายตำรวจอนาคตไกล ส่วนธารางกูรก็กลายเป็นเพียงชีวิตหนึ่งซึ่งไร้ตัวตนแท้จริง
วันนั้นเขาทำไม่ได้ วันนี้เขายังทำไม่ได้
ถ้าใครสักคนจะผิด ก็คงจะผิดที่ตัวเขาเอง
“แต่วันนั้นมันทำให้ผมรู้ว่าผมรักคุณวัสมากแค่ไหน ผมยอมทุกอย่าง ผมยอมท่านทุกอย่างเลย ผมขอแค่ได้อยู่ข้างคุณวัสบ้างเท่านั้นก็พอ” สองมือเย็นเฉียบจับกันเองเอาไว้ที่ตัก ธารางกูรสบสายตาคนข้าง ๆ ด้วยความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจ แสงไฟสีส้มที่สาดกระทบใบหน้าลงมาตอนนี้ยิ่งทำให้ภาพจำของกันและกันอยู่ในห้วงลึกสุดหัวใจ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกวินาทีที่กำลังหายใจเข้าออก ในอกของทั้งคู่มันบีบรัดเสียดแน่นจนอยากจะกระอักความจุกออกมา
“ผมก็เหมือนกัน แล้วตอนนี้ผมก็ยังคิดเหมือนเดิม ผมยอมทุกอย่าง ขอแค่ได้อยู่กับคุณ” วัสสะเอื้อมมือของตนประคองเข้าที่กรอบหน้าของธารางกูร มือที่เคยแข็งแกร่งและอบอุ่นกลับสั่นเทาและเย็นเฉียบในเวลานี้ จะมีใครบ้างที่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับเขา ความมั่นใจว่าจะพาธารางกูรหลีกหนีไปดั่งคำพูดลดน้อยลงทุกที ลดน้อยลงจนกระทั่งสูญสิ้นไปทั้งหมดเมื่อเขาเลิกหลอกตัวเอง การพูดคุยกับประชาเป็นการปลุกความจริงและซ้ำลงไปให้รับรู้ว่าสถานการณ์นี้เขาไม่ได้เป็นต่อ และเกมกำลังจะจบลงราวกับเขาเป็นหมากระจอกตัวหนึ่ง
“คุณวัสครับ”
“หืม ว่าไงครับ” ธารางกูรใช้มือเย็น ๆ ทั้งสองข้างของตนจับเข้าที่ข้อมือของวัสสะ สัมผัสเย็นยะเยือกทำให้นิ้วโป้งที่กำลังไล้พวงแก้มชะงักไป กลุ่มน้ำในดวงตาของธารางกูรวาววับสะท้อนกับแสงไฟ ก่อนที่มันจะไหลลงมาสัมผัสกับปลายนิ้วของวัสสะ เพียงเท่านั้นคนที่ยังอดกลั้นก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามในการกักเก็บความรู้สึกย่ำแย่เอาไว้
“คุณวัสเหนื่อยมั้ยที่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อผมขนาดนี้ เหนื่อยมากๆ มั้ยที่ต้องคอยดูแลคนอย่างผม”
“ทำไมถามแบบนี้ ผมไม่เคยเหนื่อยเลย รู้มั้ยว่าทุกครั้งที่ผมเห็นคุณมันทำให้ผมรู้สึกดีขนาดไหน”
“ผมไม่อยากให้คุณวัสคิดทำอะไรเพื่อผมขนาดนี้เลย ผม...”
“คุณรู้มั้ยกูร… บางทีผมก็ตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเอง การที่ผมตัดสินใจมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพื่อตัวผมเอง เพื่อหัวใจดวงเดียวของผม”
“ขอบคุณนะครับ ความรักของผม” กองทัพน้ำตาที่ถูกกดเอาไว้ภายในรื้นออกมาทันทีที่ธารางกูรพูดจบ วัสสะไม่อาจบังคับให้ตัวเองเข้มแข็งได้จนวินาทีสุดท้าย เขาเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ภายในใจถูกทุบทำลายทุกเมื่อเชื่อวัน สุดท้ายโครงสร้างแข็งแกร่งจึงเหลือเพียงซากปรักหักพัง ความเป็นคน สติ ความคิด ความหวัง ชีวิต หนทางเดินหน้า เส้นทางย้อนกลับ ทุกอย่างมันพังพินาศไปหมดแล้ว ไม่มี ไม่หลงเหลืออะไรเลย นอกจากความรัก วัสสะไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย
“ชีวิตที่ถูกตัดแขนขาจนไม่มีหนทาง ผมก็คงต้องตัดสินใจอย่างคนไม่มีหนทาง”ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่กับความเงียบในใจตัวเองอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างใช้สายตาทอดมองออกไปยังผืนน้ำแผ่นฟ้าและสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ไม่ว่าวัสสะและธารางกูรจะอยู่ในห้วงตัดสินใจใด นี่ไม่ใช่การลังเลเพื่อดึงเวลาให้ผ่านไป ทว่ามันเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่พวกเขาจะได้จัดเก็บลมหายใจของกันและกันเอาไว้ที่ชั้นในสุดของหัวใจ เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ผ่านการคิดและตระเตรียมมาก่อน แต่เพราะทางออกทั้งหมดถูกปิด ทางเดียวที่จะเป็นอิสระคือการปล่อยให้จิตวิญญาณให้เป็นดำดิ่งลงไปพร้อมกัน
ไม่อยากอยู่ ไม่อยากคิด ไม่อยากรู้สึกแบบที่เป็น
การตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดจากการชักชวนทรงพลังและทำให้ทั้งสองมีความสุขเล็ก ๆ ขึ้นมาในใจอย่างประหลาด เมื่อวัสสะได้รับรู้ว่าการสิ้นหนทางจนต้องคิดฆ่าตัวตายของธารางกูรเป็นอย่างไร เขาก็แน่ใจในทันทีว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่ในวินาทีปัจจุบันนี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก และเมื่อดวงตาสิ้นหวังสองคู่สบมองกัน คำตอบที่เป็นหนึ่งเดียวก็เกิดขึ้นโดยไม่ต้องพูดคำใดออกมา ไม่ต้องเชิญชวน ไม่ต้องโน้มน้าว ไม่ต้องเอ่ยปากบอกใครอีกคนให้คล้อยตาม
“คุณกลัวรึเปล่า” วัสสะเอ่ยขึ้นทำลายเสียงลมพัดที่แว่วอยู่ข้างหู เขาซุกมือสั่น ๆ ของตัวเองเข้าไปใต้โค้ท ก่อนจะหยิบของสองสิ่งออกจากกระเป๋าใต้สาบเสื้อ ของสองสิ่งที่เขาหยิบติดมือมาอย่างตั้งใจ หยิบมาเพราะคิดแค่ว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายที่มี
“ไม่ครับ ผมนึกถึงมันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่วันนี้ ก็คงพรุ่งนี้” ธารางกูรส่ายหน้าบาง ๆ และเอ่ยตอบเมื่อเห็นว่าวัสสะถืออะไรเอาไว้ในมือ ของชิ้นแรก ขวดสีชาขนาดเล็กที่ด้านในเต็มไปด้วยผลึกยาสีขาวฤทธิ์แรง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเศร้าก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของร่างบาง เสียงของตัวเองวนย้อนกลับมาเข้าหู ธารางกูรเคยพร่ำบอกใครต่อใครว่ามันจะช่วยให้ไม่ทรมาน และเขารู้ดีว่ามันจะทำให้ไร้ความรู้สึกจนกระทั่งชีวิตดับวูบไป
“แต่ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย จนกระทั่งตอนนี้” วัสสะก้มมองของในมือตนบ้าง เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าธารางกูรคิดอะไรอยู่ถึงได้พยายามฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่เคยทำความเข้าใจ และไม่เคยรู้เลยว่ามีความทรมานข้อใดอยู่ในหัวใจดวงเล็กดวงนั้น จนกระทั่งวันที่หนทางตีบตัน เขาเข้าใจดีที่สุด เข้าใจดีที่สุดว่าอารมณ์ชั่ววูบขณะที่เรากำลังเจอปัญหามันร้ายแรงสักแค่ไหน
“ผมไม่ใช้มันได้มั้ยครับคุณวัส” ธารางกูรพูดขึ้นขณะที่ยังมองขวดสีชาอยู่ วัสสะมองตามสายตาคู่นั้นและพินิจด้วยความคิดที่คล้ายกัน
“นี่น่ะเหรอ”
“ครับ… ผมอยากกอดคุณวัส อยากกอดคุณวัสเอาไว้จนกว่าวินาทีนั้นจะมาถึง” ธารางกูรใช้ปลายนิ้วปาดเก็บน้ำตาตัวเอง สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือความอบอุ่นเดียวในฤดูหนาว ความอบอุ่นที่เขาอยากจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึงมันจนถึงห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขารู้ดีว่าเจ้าของสายตาทุกคู่ที่เคยไร้รู้สึกจากยาตัวนี้นั้นทรมานแค่ไหน อาจจะดูไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกกระทำเหล่านั้น แต่หากยังเห็นแก่ตัวได้อีกสักครั้ง ธารางกูรยังอยากจะรู้สึก แม้อาจจะเจ็บปวด ทรมาน ทุรนทุราย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึก
“อันที่จริงผมก็ไม่อยากใช้มัน ผมยังอยากมองคุณ อยากบอกรักคุณ” วัสสะปล่อยขวดสีชาออกจากมือทันที นานนับวินาทีกว่าที่มันจะสัมผัสกับพื้นน้ำกว้างส่งเสียงเป็นสัญญาณขึ้นมาด้านบน ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองกันและปล่อยน้ำตามากมายไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ใครก็อยากมีชีวิตดี ๆ ที่มีความรักและคนรักอยู่เคียงข้างกายกันทั้งนั้น ไฉนเลยคนที่กำลังแข่งกันร้องไห้ตัวโยนจะไม่อยากมีชีวิตสดใสเช่นคำกล่าว
“ผมขอโทษนะกูร ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมผิดสัญญา ผมทำไม่ได้ ผมขอโทษ มันไม่มีทางเลย ผมขอโทษ” เสียงขอโทษละล่ำละลักออกมาระหว่างที่วัสสะเอื้อมสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายไม่หยุด
“คุณวัสครับ เราทำดีที่สุดแล้ว เราสู้กันมาไกลมากแล้ว ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ ” คำขอโทษเหล่านั้นถูกตอบกลับไปด้วยคำขอบคุณที่มีน้ำเสียงติดขัดไม่แพ้กัน
“มันไม่ทางแยกเราออกจากกัน เข้าใจใช่มั้ย”
“ครับ ไม่มีทาง เราจะไม่ไปจากกัน” ธารางกูรพยักหน้ารับเมื่อจ้องมองของอีกสิ่งในมือของวัสสะ กุญแจมือสีเงินวาววับถูกสวมเข้าที่ข้อมือซ้ายของคนถือเป็นอันดับแรก ก่อนที่ธารางกูรจะยื่นข้อมือขวาของตนเข้าไปในห่วงกลม สลักถูกล็อกเข้าตำแหน่งอย่างแน่นหนา สายตาสองคู่มองพันธนาการโลหะที่เชื่อมโยงกันไว้แล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา อาจจะดูบ้า แต่มันเป็นเครื่องช่วยทางจิตใจเพียงสิ่งเดียวที่สามารถกระทำได้ในตอนนี้
วัสสะและธารางกูรจะไม่ไปจากกัน
“อยู่กับผมนะกูร” ธารางกูรพยักหน้ารับคำจากวัสสะ เขาก้มใบหน้าซบลงไปกับไหล่กว้าง และปล่อยให้อีกฝ่ายกดปลายคางลงมากับกลุ่มผม หยดน้ำตายังไหลลงมาต่อเนื่องระหว่างที่ห้วงเวลาดำเนินต่อไป เสียงหัวใจสองดวงเต้นประสานกันเป็นจังหวะที่ไม่ได้แผ่วลง ซ้ำยังส่งเสียงเด่นชัดรอคอยความตายตามที่ปรารถนาอยู่ในทุกวินาที
“คุณวัสครับ… ชาติหน้ามันมีจริงรึเปล่า”
“เราจะยังจำกันได้มั้ยกูร”
“ถ้าชาติหน้ามีจริง เราคงไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้อีกแล้วใช่มั้ย” ทั้งคู่ผลัดกันตอบคำถามด้วยคำถาม อาจเป็นเพราะคำถามเหล่านั้นมันเป็นปริศนาที่ใครก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ หรือบางทีต่างฝ่ายอาจจะต้องการใช้ประโยคคำถามอธิบายความรู้สึกสุดท้ายที่มี
“เราจะได้เจอกันรึเปล่า”
“ผมจะจำได้รึเปล่าว่าผมรักคุณวัสขนาดไหน”
“แล้วผมจะจำได้มั้ยว่าเคยรักคุณยังไง”
“คุณวัสรักผมมั้ยครับ”
“คุณรักผมได้เท่าที่ผมรักคุณรึเปล่ากูร” สองมือที่ถูกเชื่อมติดกันไว้ด้วยกุญแจมือประสานกันแน่นกว่าครั้งไหน ๆ ทั้งคู่เงยหน้าสบมองกันทั้งคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนจนสิ้นความสดใสทั้งที่พยายามยกปากยิ้มอยู่ วัสสะก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเรียวเบา ๆ เพียงเพื่อให้รู้ว่ายังมีกันและกันอยู่ ลำแขนแกร่งข้างที่เป็นอิสระของวัสสะเอื้อมกอดร่างธารางกูรเอาไว้ ก่อนที่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ร่างกายของทั้งคู่จะวูบลงจากราวสะพาน
วินาทีที่ร่างกายวัสสะกระทบลงกับพื้นน้ำเป็นอันดับแรก คำตอบสำหรับคำถามที่ตั้งเอาไว้มันก็ถาโถมเข้ามาในสมองของทั้งคู่จนหมด สายน้ำโอบล้อมคนสองคนที่ทิ้งชีวิตลงมาพร้อมกัน แขนข้างหนึ่งที่เคยโอบกอดกันไว้หลุดออกในวินาทีนั้น หลงเหลือเพียงแต่พันธนาการที่ผูกเอาไว้ไม่ให้ห่างไปไกล ในร่างกายของคนที่กระแทกพื้นน้ำรู้สึกจุกไปเสียหมด พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังดิ่งลงไปความมืดใต้น้ำลึกเท่าไหร่ ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และหาได้ตะเกียกตะกายหาทางเอาชีวิตรอด
ชาติหน้ามีจริงมั้ยคงไม่สำคัญ
พวกเขาจะหลงลืมกันไปรึเปล่าคงไม่อาจรู้ได้
แต่คำตอบที่แน่ใจ คือสองหัวใจรักกันมากเหลือเกิน
ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่กระแสน้ำยิ่งเย็นและยิ่งไหลเฉี่ยวกราก ดวงตาคู่คมลืมขึ้นเมื่อร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยากับสภาวะที่อันตราย วัสสะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดที่มีตัวตน สมองที่ยังสั่งการคว้าจับมือคนที่เกี่ยวพันไว้ด้วยกุญแจมือ สองร่างผวาเคลื่อนกายฝ่ากระแสน้ำเข้าหากัน วัสสะดึงธารางกูรเข้ามากอดเอาไว้แนบอก ทั้งคู่โอบรั้งกันไว้อย่างคนคร่ำครวญหา อีกทั้งมือข้างที่มีพันธะยังจับประสานกันแน่นไม่ได้ปล่อย สัมผัสอบอุ่นจากร่างกายท่ามกลางสายน้ำเย็นไหลเชี่ยวคือสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่ายังมีกันอยู่ตรงนี้
ฟองอากาศกลุ่มใหญ่ลอยขึ้นจากคนทั้งคู่สู่ผิวน้ำเบื้องบน ธารางกูรเผลอสำลักน้ำงับอากาศเข้าปอดเข้าไปเฮือกใหญ่จนร่างกายกระตุกเกร็งตามสัญชาตญาณ วินาทีนั้นวัสสะที่ยังคงกลั้นหายใจเริ่มอึดอัดทรมานจากการขาดอากาศ เขาตระหนกด้วยหัวใจที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อไม่อาจมองเห็นได้ว่าธารางกูรในอ้อมอกมีสีหน้าเป็นอย่างไร แต่แรงมือที่บีบจับกันแน่นขึ้น ๆ ทุกที ก็ทำให้เขาแน่ใจว่าร่างบางกำลังเกิดความรู้สึกประหวั่นกลัวและทนทุกข์กับห้วงเวลานี้ไม่แพ้กัน
จู่ ๆ เบื้องลึกในจิตใจก็นึกถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา
ขณะที่ดวงตาคมเริ่มแสบร้าวเพราะเพ่งในน้ำนานเกินไป เรียวคิ้วหนาก็ต้องขมวดเป็นปมเมื่อมีภาพมากมายไหลเวียนเข้ามาในหัว วัสสะที่พยายามกลั้นหายใจไม่ให้น้ำทะลักเข้าผ่านไปเริ่มอดทนกับการไร้อากาศหายใจไม่ได้ ความหวาดผวาเข้าครอบคลุมจนอึดอัดหวาดกลัวไปเสียหมด ซ้ำร้ายภาพความสุขในชีวิตที่ไม่เคยให้ค่า ไม่เคยนึกถึง ดันต่อแถวเป็นขบวนกลับเข้ามาให้จดจำในเสี้ยววินาทีนั้น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผู้คนรอบกาย ความสวยงามของโลกใบใหญ่ แม้จะเป็นเพียงภาพจำส่วนเล็ก ๆ แต่กลับทรงพลังจนอยากจะพยายามหายใจเพื่อสู้ต่อ เข้าใจแล้ว วัสสะเข้าใจแล้วว่าสายตาทุกคู่ที่มองมายังเขาและธารางกูรรู้สึกทรมานอย่างไรก่อนตาย
เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมสายตาพวกนั้นถึงพยายามครวญขอชีวิตอีกครั้ง
ธารางกูรที่สำลักน้ำผ่านช่องปากและจมูก รู้สึกแสบจี้ดขึ้นในหัวลามไปยันลำคอและโพรงจมูก เขากำลังรับน้ำเข้าไปแทบจะมากเกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ ร่างบางรู้สึกทรมานและอยากหลุดพ้นไปจากตรงนี้ แม้ว่าร่างกายจะยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ก็ตามที สติสัมปชัญญะของเขากำลังใกล้สู่จุดอันตรายและใกล้จะสิ้นสุด สัญชาตญาณพยายามดิ้นหาอากาศทั้งที่กำลังทิ้งตัวจมลงไปเรื่อย ๆ หากไม่ได้ใครอีกคนรั้งกอดเอาไว้ ป่านนี้ธารางกูรคงจะจมลงไปจนสุดความลึก
หลงใหลความตายและหวาดกลัวชีวิตในเวลาเดียว
วัสสะที่ตกอยู่ในช่วงเวลามืดมนนั้นเข้าใจความสำคัญของชีวิตอย่างถ่องแท้ หัวใจที่ยังเต้นเป็นจังหวะของเขาแกว่งขึ้นมาจนน้ำตาแทบจะรื้นออกมากลางแม่น้ำสายนี้ เพราะเขารู้ว่าธารางกูรคงจะรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน เพราะเขารู้ว่าแขนของธารางกูรที่กำลังกอดเอาไว้เริ่มตกลง เพราะเขารู้ว่าแรงบีบที่มือของอีกฝ่ายเริ่มลดน้อยลงทุกที
วินาทีสุดท้ายของชีวิต คือวินาทีที่รู้ว่าชีวิตสำคัญที่สุด
มือหนาเคลื่อนควานหาใบหน้าอีกฝ่ายในทันที ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ยังมีอยู่ถูกมอบให้คนที่วัสสะรักหมดใจผ่านริมฝีปาก ธารางกูรเผยอปากสูบอากาศเพียงนิดที่ได้รับเข้าไปอย่างคนที่ยังอยากสู้ แม้มองไม่เห็น แม้ไม่มีเสียงเรียก แต่ทั้งสองคนกลับรู้ใจกันพากันตะเกียกตะกายสุดชีวิต แต่การดิ้นรนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ง่ายดายนัก และยากพอ ๆ กับการจบชีวิตลงเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ใจ
ไม่มีอะไรง่ายดาย
ไม่มีความทุกข์ใดผ่านไปอย่างง่ายดาย
ไม่เลย
เมื่อวัสสะดึงธารางกูรขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ร่างกายอ่อนแรงก็พากันจมดิ่งลงไปจนสำลักกระอักกระไอ ช่างทารุณหัวใจเต้นรัวและร่างกายอย่างทรมานที่สุด หลายต่อหลายครั้งที่สัญชาตญาณพยายามสั่งให้ร่างกายดิ้นรน แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าความปรานีก็ไม่เคยเกิดขึ้น สองร่างดำผุดดำว่ายไม่เป็นท่าทั้งที่ต่างว่ายน้ำแข็ง ครั้นพากันหยุดนิ่งปิดเปลือกตาลงรอรับความตายดั่งที่ใจเคยปรารถนา โชคชะตาเล่นตลกก็ปล่อยให้สองชีวิตลอยตัวสูงจนโผล่พ้นขึ้นจากพื้นน้ำกว้าง
ดั่งถูกลงโทษ
ดั่งถูกหลอกให้ทรมาน
ดั่งถูกตอกย้ำให้รู้ว่าไม่เหลือทางเลือกเดินที่เป็นของตน
“ไม่ต้อง กลับขึ้นมา” คนบนฝั่งที่เพิ่งสั่งให้คนกระโจนลงน้ำได้แต่ถอนหายใจโล่งอก ลูกน้องของประชาว่ายน้ำวนกลับขึ้นฝั่งทั้งที่ยังเข้าไม่ถึงตัวคนทั้งคู่ ภาพที่เห็นทำให้ความหนักอกหนักใจเกิดขึ้นเพราะความสงสารเวทนา ประชาเห็นอกเห็นใจวัสสะและธารางกูรอย่างถึงที่สุด หรือแม้แต่เหล่าคนที่คอยตามติดเฝ้ามองมาตลอดหลายวันยังจุกอกอยู่ไม่น้อย แต่เพราะคำสั่งที่ยังค้ำคอจึงไม่อาจจะปล่อยให้ทั้งสองคนเป็นอิสระได้
แม้แต่ความตาย ยังไม่อาจหาญยื่นมือเข้ามาช่วย
การหลีกหนีด้วยลมหายใจ มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
วัสสะพยุงร่างธารางกูรเอาไว้ขณะที่ทั้งคู่พากันสูดอากาศเข้าไปหายใจจนเต็มปอด ธารางกูรที่สำลักน้ำเข้าไปจำนวนมากกว่าอยู่ในอาการที่ยังไม่สู้ดีแม้จะมีสติ สองขาของวัสสะจึงต้องออกแรงตีน้ำแหวกกระแสคลื่นเบาเข้าฝั่งที่ยังอยู่อีกไกล กุญแจมือที่ผูกติดร่างกายแม้จะเป็นภาระที่ทำให้การเอาชีวิตรอดยากขึ้น แต่ทว่านั่นทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนหน้าของคนทั้งคู่ที่รู้ว่าจะไม่มีทางพลัดจากกันไปไหน
ไม่มีเสียงพูดใด
มีแต่เสียงหอบเหนื่อย
เสียงหัวใจที่ยังเต้นอยู่
และเสียงเรียกร้องจากชีวิต ที่อยากจะขอสู้ต่อ ทั้งที่ไม่รู้ว่าไม่มีทางชนะ
หนีไม่ได้
ตายไม่ได้
เมื่อไหร่จะหลุดพ้นเสียที*R.E.M. - Everybody Hurts
Talk
ดูเหมือนว่าเรื่องจะหนักขึ้นทุกที ตอนก่อน ๆ คนอ่านพากันบอกว่าฆ่าตัวตายซะเถอะ เราคันปากอยากบอกเหลือเกินว่า รอหน่อยนะ การตัดสินใจแบบนั้นน่ะมาแน่ 5555 แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด อารมณ์ชั่ววูบ การคิดหลีกหนีปัญหาพาคนเสียใจมานักต่อนัก ขอกำลังใจให้อีก 4 ตอนที่เหลือด้วยนะคะ ใกล้จบเต็มทีแล้ว
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุก ๆ คนมาก ๆ ค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงสำหรับคนที่คอยติดตามกันประจำ มันต่อพลังให้ได้มากจริง ๆ ขอบคุณค่าาาา
ปล.สารภาพมานะว่าแอบลุ้นให้ตายหรือไม่ตาย 55555