+✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)  (อ่าน 9416 ครั้ง)

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 9
«ตอบ #30 เมื่อ20-10-2018 14:48:15 »


เทคที่ 9 ลูกผู้ชายกับความสัมพันธ์ที่ยังไม่มีชื่อเรียก 2/2


ระยะหลังมานี้ เวลาที่ใช้ในการจูบกันของผมกับพี่สองยาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากจูบแผ่วเบาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร้อนแรงแล้วเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาอีกครั้ง สลับกันไปมา จนสมองผมว่างเปล่า พอได้สติจะดิ้นหนี พี่สองก็กดข้อมือผมไว้บนเตียงแล้วตามมาปิดปากผมไว้อีก ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ


“สายแล้ว”


ผมผลักอกเขาไว้แล้วเตือน ใบหน้าของพี่สองเลื่อนต่ำมาซุกอยู่ที่คอผม


เมื่อวานผมกับพี่สองไปนอนเฝ้าพี่ซันที่คอนโด พอพี่อาร์ตมาเปลี่ยนเวร พี่สองจึงพาผมมาค้างที่ห้องด้วยจะได้ไม่ต้องขับรถกลับไปกลับมา ผมเองก็สงสารเขา พี่ซันแย่ พี่สองกับพี่อาร์ตก็แย่ตามไปด้วย


“อืม...มึงไปอาบน้ำก่อนเลย” พี่สองบอกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้ากับเตียง ผมเม้มปาก กระชับสาบเสื้อที่หลุดหลุ่ย เดินไปคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ


จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมก็ลงไปที่ด้านล่างคอนโด ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งกับกาแฟเย็นมาเผื่อพี่สอง แล้วให้เวลาคนที่อยู่ในห้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผมรู้...ว่าการที่ต้องฝืนอดทนต่อความต้องการของร่างกายมันทรมาน


รู้ดีแก่ใจว่าพี่สองไม่อยากบังคับผม เขากลัวว่าจะทำให้ผมกลัว


สถานะตอนนี้ก็แค่ เขาช่วยผม ผมช่วยเขา วินกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็ประมาทเขาไม่ได้หรอก อยู่ด้วยกันสองต่อสองทีไร พี่สองก็เข้ามาคลุกวงในผมทุกที


เสียเปรียบชะมัด!


ถ้าถามถึงคำจำกัดความของสถานะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่สอง ผมก็คงตอบได้เพียงว่า เรา...ก็ยังคงเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนั่นแหละ


วันนี้ผมกับพี่สองวางแผนจะนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย เพราะเรามีความเห็นตรงกันว่าอยากลองนั่งรถเมล์ไปเรียนด้วยกันดูบ้าง ก็...เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมรู้สึกว่าอยากจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำ


“พี่นั่งรถเมล์บ่อยมั้ย” ผมถามในขณะที่เรายืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายรถเมล์


เขาหันมาเลิกคิ้ว “แล้วแต่สะดวก ก่อนจะซื้อรถ ก็นั่งรถเมล์บ้าง แท็กซี่บ้าง รถเมล์มันกะเวลาลำบาก” พี่สองคลายเน็คไทที่คอออกหลวมๆ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาลงหนึ่งเม็ด เหงื่อเริ่มผุดที่ไรผม


อากาศตอนแปดโมงของเมืองไทยก็ไม่ธรรมดาจริงๆ


เมื่อรถเมล์สายที่เรารอมาถึง พี่สองก็แตะเอวผมส่งสัญญาณ คนขึ้นรถเมล์สายเดียวกับเราเยอะมาก ผมเดินเข้าไปข้างในสุด พี่สองเดินตามผมเข้ามาแล้วเบี่ยงตัวเดินเข้าไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผมอีกที


ผมเซไปด้านหน้าเมื่อรถออกตัว พี่สองยื่นมือมาจับเอวผมไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วส่งยิ้มล้อเลียน “ผมว่าผมเกาะดีแล้วนะ” ผมบ่นงุบงิบ ใช้บริการรถสาธารณะเมืองไทยต้องอาศัยสกิลขั้นสูง ไม่งั้นลำบากแย่


เชื่อไหมครับว่าผมจับเสาแน่นจนกล้ามขึ้น กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย


พี่สองหัวเราะหึๆ อยู่ข้างหู ไม่รู้ขำอะไรนักหนา…


“สอง ไอ้ซันเป็นไงบ้างวะ”


พี่ปอนเดินเข้ามาถาม ในขณะที่ผมกับพี่สองเดินเข้าคณะ น้องๆ ผู้หญิงมองพี่สองก็ซุบซิบกันใหญ่ครับ วันนี้เขาเซ็ทผมมาด้วย ผมยกมือไหว้พี่ปอน เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปรอคำตอบจากพี่สอง


“ดีขึ้นแล้ว” พี่สองเหลือบมองผมที่ขอแยกตัวออกมาทางสายตา


“เออกูว่าจะไปเยี่ยม...” พี่ปอนเดินคุยกับพี่สองไปทางอาคารเรียน ส่วนผมกำลังมุ่งหน้าไปที่ใต้ตึก นัดกับไอ้เหินไว้ พอเดินไปถึง ก็เห็นมันนั่งอยู่กับไอ้ธรรศ พี่โฬมก็อยู่ด้วย


ผมยกมือไหว้พี่โฬม “มาไกลถึงนี่เลยเหรอพี่”


“ไปเที่ยวมา...เลยเอาของฝากมาให้” พี่โฬมมองเลยไปที่ถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง พี่โฬมอยู่คุยเล่นด้วยอีกครึ่งชั่วโมงก็แยกตัวไป ผมกับไอ้เหินยังนั่งทำรายงานต่อหน้าดำคร่ำเครียด มีไอ้ธรรศคอยช่วยออกความเห็นอยู่ข้างๆ


“น๊อต”


ผมหันไปตามเสียงเรียก แล้วขมวดคิ้ว


“พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”


ไอ้เหินกับไอ้ธรรศเหลือบมองผม ก่อนจะก้มหน้า ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมหันไปมองหน้าพี่โมอีกครั้งแล้วลอบถอนหายใจ พี่โมไม่ชอบหน้าผมตั้งแต่ผมเลิกกับหมิว ได้ยินว่าสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน


ผมเดินนำพี่โม ไปหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะม้าหินข้างตึก


“พี่โมมีอะไรเหรอครับ”


“พี่ท้อง”


ผมเลิกคิ้ว ท้องแล้วมาบอกผมทำไม


“สามเดือนแล้ว”


ผมหลุบตามองพื้น


“พี่อยากคุยกับสอง” ประโยคนี้ดึงงามสนใจจากผมได้ผลชะงัด


ผมเงยหน้ามองพี่โม “พี่...ท้องกับพี่สองเหรอครับ”


พี่โมทำหน้ากลัดกลุ้ม ไม่ตอบคำถามผม แต่ผมกลับงงยิ่งกว่า พี่โมเลิกกับพี่สองไปเกินครึ่งปีแล้ว ท้องสามเดือน...ถ้าไม่เพราะท้องกับคนอื่น ก็เพราะกลับมายุ่งกับพี่สองในระหว่างที่เลิกกัน


ผมไม่อยากเข้าข้างพี่สอง จึงเลือกที่จะเงียบไม่แสดงความเห็น


“แฟนคนล่าสุดของพี่คือสอง”


“ทำไมพี่โมไม่ไปคุยกับพี่สองเอง”


“พี่รู้ แต่สองไม่ยอมคุยกับพี่ พี่เองก็ลำบากนะ ท้องโตขึ้นทุกวัน”


ผมมองหน้าพี่โม ล้วงเอามือถือออกมาต่อสายหาพี่สอง รอห้านาที ร่างสูงที่ผมโทรหาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เขาชะงักทันทีที่เห็นพี่โม แต่ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม


“มีอะไร”


“พี่โมบอกว่าท้องกับพี่”


“เป็นไปไม่ได้” เขาครางเหมือนไม่เชื่อหู


“สอง...แต่คืนนั้นโมอยู่กับสอง” พี่โมยืนยัน


พี่สองขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปตอบพี่โมเสียงหนักแน่น


“นอนบนเตียงเดียวกันก็ใช่ว่าจะมีอะไรกันเสมอไป อีกอย่าง...” พี่สองมองหน้าพี่โมสื่อความนัย “อย่าให้เราพูดเลย อายเปล่าๆ”


ผมไม่สามารถยืนฟังคนที่ผมมีใจให้ พูดคุยเรื่องบนเตียงกับคนอื่นได้จริงๆ ผมกำมือแล้วคลาย เงยหน้ามองพี่สองสลับกับพี่โม


“พวกพี่คุยกันเอาเองนะครับ”


พี่สองหันมามองผมสีหน้าจริงจัง “เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” ผมพยักหน้ารับ เดินเลี่ยงออกมา ไอ้เหินทำท่าจะถามแต่โดนไอ้ธรรศสะกิดห้าม จนเมื่อถึงเวลาเข้าเรียน พวกเราก็เก็บของเข้าเรียน ไอ้เหินไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก จวบจนพักเที่ยง ไอ้วิทย์ก็มาหาผม


“พี่”


ผมเงยหน้า เลิกคิ้วใส่ไอ้วิทย์ มันนั่งลง วางจานข้าวตรงที่นั่งฝั่งตรงข้าม


อย่าถามถึงไอ้เหินครับ เลิกปุ๊บเป็นหายหัว


“พี่กับพี่สองนี่ยังไง”


ลูกชิ้นที่ผมคีบไว้หล่นจากตะเกียบ ผมมองหน้าเจ้าของคำถาม ตั้งสติ แล้วขมวดคิ้วถามมันกลับ “อะไรคือยังไง”


ไอ้วิทย์ยักไหล่ “ก็อย่างเช่น มีซัมติง คนพิเศษแต่ไม่ใช่แฟน เป็นต้น”


“เป็นแค่พี่น้อง” ผมตอบ


ไอ้วิทย์ยิ้ม แล้วยื่นหน้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “พี่น้องที่ไหนเล่นคลุกวงในกันในรถ” ผมทำตาโต มองซ้ายมองขวา กลัวว่าใครจะได้ยิน ไอ้วิทย์ทำหน้าคาดไม่ถึง


“ผมแค่เดาเล่นๆ เรื่องจริงเหรอเนี่ย”


ไอ้สัดวิทย์!!!


ไอ้วิทย์หัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผมเลยอธิบายกับมันง่ายๆ ว่ามีแค่ผมที่ชอบพี่สอง แต่ความรู้สึกพี่สองผมเองก็ไม่อยากคาดเดา ไอ้วิทย์มันดันทำให้ผมช็อกกว่า ตรงที่มันบอกว่ามันรู้แล้วเรื่องที่ผมชอบพี่สอง


“กูดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”


“ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้หรอก” ค่อยยังชั่ว


“แต่ผมว่าพี่สองก็รู้มาสักพักแล้ว” ผมชะงัก รู้สึกแขนขาอ่อนแรง


“เขาไม่ได้เคลียร์เรื่องนี้กับพี่ใช่มั้ย ผมว่าแล้ว เรื่องพี่โมผมว่าไม่ใช่พี่สองหรอก เพราะถ้าใช่จริง พี่สองยืดอกรับไปนานแล้ว พี่สบายใจได้ ไม่ต้องขมวดคิ้วแล้ว” ไม่รู้ว่าไอ้วิทย์อยากแค่พูดปลอบผมหรือเปล่า


ช่วงนี้ข่าวลือเรื่องพี่สองกับพี่โมมาแรงจนฉุดไม่อยู่ ถึงผมจะเชื่อมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษของพี่สอง แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี ถ้าไปยุ่งกับคนที่มีซัมติงกับคนอื่น


ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่สอง


จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คุยกับพี่สองจริงจัง พ่อแม่พี่โมมาหาพี่สอง บังคับให้พี่สองรับผิดชอบพี่โม แต่พอพี่สองจะพาไปตรวจ พี่โมก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปตรวจกับครอบครัวพี่สอง เรื่องนี้ทำให้พี่สองปวดหัวมาก


ผมเลยปลีกตัวออกมา เว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับพี่สอง ขีดเส้นกั้นชนิดว่าถ้ามองเห็นพี่สอง ผมก็เผ่นแนบชนิดไม่เหลียวหลัง


สองเดือนผ่านไป พี่สองมาหาผมที่ห้อง


ผมมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงปลายเตียง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง พี่สองดูโทรมนิดหน่อย ใต้ตาดำคล้ำ หนวดไม่โกนด้วย


“เรื่องเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”


ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมไม่เคยถามพี่สองเลย


เป็นช่วงสองเดือนที่ผมรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในอกแต่บอกใครไม่ได้


“โมบอกว่าเครียดเลยแท้ง ความจริงน่าจะไม่ได้ท้องมากกว่า” พี่สองทำหน้าลำบากใจ เขาไม่เคยว่าร้ายผู้หญิง


ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่สองแล้วคุกเข่าลง ยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าคมเข้มของเขา “พี่โทรมมากเลย” ผมรู้สึกว่าตัวเองอาลัยอาวรณ์กับเจ้าของร่างนี้ก็ตอนที่ได้เจอเขานี่แหละ ทั้งที่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมสามารถทำตัวได้อย่างปกติ


“ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาปลอบ “ต้องขอบคุณไอ้อาร์ต” พี่สองอธิบาย ผมไม่ได้ถามต่อว่าพี่อาร์ตไปทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเส้นสายในวงการแพทย์ของพี่อาร์ตไม่ธรรมดา


“จบเรื่องสักทีนะครับ”


พี่สองเอาหน้าแนบกับมือผม สายตาดูอ่อนล้า ผมใช้สองมือประคองหน้าพี่สอง แล้วยื่นหน้าไปกดจูบที่ริมฝีปาก เนิ่นนาน... ก่อนจะผละออก


พี่สองสบตาผมนิ่ง เขายิ้มมุมปาก ยื่นมือมาเช็ดมุมปากให้ผมด้วยท่าทีอ่อนโยน


“เป็นแฟนกันมั้ย”


“ละ...ล้อผมเล่นหรือเปล่า”


"ไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน” เขายืนยันเสียงหนักแน่น

   
ผมกลั้นยิ้ม

   
“เป็นแฟนกันนะ”

   
ผมหลุบตาลง ก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม”


พี่สองโน้มตัวลงมากดจูบผม จูบนี้เนิ่นนานกว่าจูบที่ผ่านมา ลิ้นของพี่สองชอนไชไปตามโพรงปากของผม ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังผมก็สัมผัสกับเตียง


ผมลืมตาโพลง ยกมือขึ้นดันหน้าอกพี่สองไว้

   
“เดี๋ยว”

   
พี่สองเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ


ผมเม้มปาก “จะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เราเพิ่งคบกันเองนะ”


“ช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน” คำตอบของพี่สองทำให้สองแก้มผมร้อนฉ่า จะตรงไปไหน...


ผมมองคนที่กำลังถอดเสื้อของตัวเองเขวี้ยงทิ้งไปข้างเตียง ก่อนจะเปิดปากสารภาพ


“ผมกลัว...” เจ็บ


พี่สองหันมายิ้มอบอุ่น เคลื่อนตัวมาคร่อมอยู่บนตัวผมอีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาครอบครองริมฝีปากผม ดูดดุนจนเกิดเสียง แล้วผละออกมากระซิบแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”


ผมดิ้นเร้าอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ เมื่อพี่สองสอดมือเข้ามาใต้เสื้อ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งคลึงที่ยอดอก มืออีกข้างสอดเข้าไปในกางเกงผม แล้วลูบไล้อยู่แถวๆ ท้องน้อย


ลมหายใจอุ่นร้อนของพี่สองปัดป่ายอยู่ติ่งหูจนขนลุกซู่ ถึงแม้ผมจะยังไร้ประสบการณ์ สำหรับการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชาย แต่ผมก็พยายามตอบรับสัมผัสของพี่สองด้วยความยินดี คนด้านบนพยายามปรนเปรอให้ผมได้ไปถึงฝั่งฝันก่อนเป็นครั้งแรกด้วยมือและปาก ร่างผมกระตุกเกร็ง ก่อนจะอ่อนระทวยในอ้อมกอดเขา


พี่สองถอดเสื้อกับกางเกงของผมออกแล้วโยนทิ้ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาไล่จูบติ่งหู ลำคอและไหปลาร้า ขณะเดียวกันก็ถอดปราการชิ้นสุดท้ายของผมออกไปด้วย


ผมยกขาข้างหนึ่งเบี่ยงหนี ไม่ให้พี่สองมอง


เขาเงยหน้ามองผมแล้วส่งยิ้มอบอุ่นมาให้อีกครั้ง “ไม่ต้องอาย พี่ไม่เคยรังเกียจน๊อต” เอ่ยปลอบพลางใช้มือแหวกขาของผมออกจากกัน ผมเม้มปาก ตาของเรายังมองสบกันอยู่ พี่สองพยายามปลอบประโลมไม่ให้ผมอายทางสายตา


ครั้งแรกที่พี่สองพยายามแทรกกายเข้ามา ผมเกร็งจนลืมหายใจ ช่องทางอ่อนไหวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมอุ่นร้อนที่แทรกเข้ามาในร่าง ชั่วขณะนั้นผมกำผ้าห่มแน่น


พี่สองพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมด้วยปากและมือ พลางส่งเสียงบอกให้ผมผ่อนคลาย แต่ครั้งแรกมันยากเสมอ แม้เขาจะใช้น้ำลายช่วยหล่อลื่นบริเวณปากทางเข้าและสวมถุงยางอนามัยแล้วก็ตาม กว่าพี่สองจะแทรกกายผ่านเข้ามาได้ น้ำตาผมก็ไหลออกจากหางตาทั้งสองข้าง พี่สองกอดผมไว้


ผมหลับตา กัดฟันแน่น


“ขอโทษนะ อย่าร้องเลย พี่ไม่ทำแล้วก็ได้” พี่สองกระซิบข้างหู เสียงกัดฟันกระทบกันดัง ผมรู้ว่าเขาเองก็อดทนและทรมานไม่แพ้ผม


“ขะ...ขยับเลย ผมทนได้”


พี่สองเอียงหน้ามากดจูบซับน้ำตาให้ผมแทนคำพูด ก่อนจะใช้สองมือยันกับเตียง ค่อยๆ เริ่มขยับเอวสอบด้วยจังหวะช้าเนิบ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนร่างกายท่อนล่างฉีกขาด แต่ความอ่อนโยนของพี่สองก็ช่วยชโลมหัวใจผมให้อุ่นขึ้น


ขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งของเขาช่วยปรนเปรอส่วนด้านหน้าจนผมบิดเกร็ง จวบจนถึงปลายทางของพี่สอง ผมก็พบความสุขสม
      

เสียงหายใจหอบกระเส่าของพี่สองดังอยู่ข้างหู เขากอดผมแน่น ผมรู้ว่าตัวเองกัดเขาแรงมาก แม้จะรู้สึกผิดและอยากลุกขึ้นมาทำแผลให้ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้จะขยับตัว พี่สองค่อยๆ ถอนกายของจากตัวผมช้าๆ เขาหันซ้ายขวา คว้าเสื้อมาเช็ดทำความสะอาดตัวเองแล้วหยิบกางเกงมาสวม


ผมนอนมองเขาอย่างเหม่อลอย พี่สองเดินเข้ามาหา ก้มจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของผมหนึ่งทีอย่างอ่อนโยน "พอแล้วเหรอ" ผมอดถามเขาไม่ได้
 

เขาเลิกคิ้ว พอเห็นผมอึกอักก็เข้าใจ "แค่นี้มึงก็ไม่ไหวแล้ว" เมื่อเห็นผมจ้องเขาก็อธิบายต่อ "พอแล้ว ครั้งแรกของมึง ดอกเดียวก็เกินรับ ค่อยทำยอดต่อคราวหน้า"
 
           
ผมซุกหน้าลงหมอน แก้มร้อนจัด
 
           
พี่สองหัวเราะ ก่อนจะลูบหัวผม “นอนเถอะ”

   
สองคำสั้นๆ ของเขาเป็นเหมือนสวิตช์ปิดรับการรับรู้ของผม

   
ระหว่างสะลึมสะลืออยู่นั้น พี่สองก็ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมากินยา จากนั้นผมก็ล้มตัวนอนสลบไสล จำได้เลือนรางว่ามีคนเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าให้ ก่อนจะตามมาด้วยอ้อมกอดอบอุ่น


ผมซุกหน้าเข้าหาความอบอุ่นนั้นแล้วหลับสนิท





ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 10
«ตอบ #33 เมื่อ26-10-2018 11:53:53 »


เทคที่ 10 ว่าด้วยเรื่องความหึง



หลังจากวันนั้น...

ที่ผมกับพี่สองตกลงเป็นแฟนกัน พี่สองก็เอ่ยขอให้ผมย้ายไปอยู่กับเขาที่คอนโด แต่…เพราะผมยังเกรงใจเพื่อนอีกสองคน หากต้องย้ายไปอยู่กับแฟนจริงๆ จึงต่อรองกับพี่สองว่าขอเป็นฤกษ์สะดวก ผู้ชายที่ควบตำแหน่งแฟนและพี่เทคก็พยักหน้ารับ

ผมจึงเก็บเสื้อผ้าบางส่วนไปไว้ที่คอนโดพี่สอง

ประจวบเหมาะกับเมื่อสองอาทิตย์ก่อน คราวซวยเรื่องโรคภัยวนบรรจบครบรอบมาถึงพอดี ผมล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยเป็นไข้เลือดออก ป๊ากับม๊าสลับกันมาเฝ้าผมที่โรงพยาบาล (พี่สองไปสลับเฝ้าช่วงกลางคืนได้เป็นบางวันเท่านั้นเพื่อไม่ให้ป๊ากับม๊าสงสัย)

พอผมออกจากโรงพยาบาล พี่สองก็ยึดตัวผมไว้ที่คอนโดยาวเลย

พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก พี่ซันโดนหักอก (ขอเม้าท์เรื่องพี่ซันหน่อยนะครับ) เมาหัวราน้ำทุกวัน ผมกับพี่สอง หรือแม้แต่พี่อาร์ตผู้มีอาชีพเป็นหมอฝึกหัด ต้องเฝ้าผลัดเวรยามกัน แต่ขนาดว่ามีคนเฝ้า พี่รหัสของผมยังโดนเขาตีหัวแบะ ต้องไปนอนเล่นที่โรงพยาบาล

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลผมเลยแทบไม่ได้กลับหอตัวเอง

ระหว่างไปไหนมาไหนกับพี่สอง ผมก็ยังทำตัวเป็นน้องเทคที่ตัวติดกับพี่เทค เราสองคนไม่ได้ทำอะไรให้ดูพิเศษ เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น

พี่สองโดนจับคู่จิ้นกับคนอื่นผมก็เฉย

ผมโดนจับจิ้นคู่กับไอ้ธรรศ พี่สองก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่หากวันไหนมีรูปผมกับไอ้ธรรศลงเพจคู่จิ้นถึงคอนโดเมื่อไหร่ เขาก็จะจับผมโยนขึ้นเตียงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

ผมเองก็ชอบ เปลี่ยนอารมณ์บ้างชีวิตจะได้ไม่จืดชืด

พี่สองปฏิบัติต่อผมดีมาก จากที่เคยดีอยู่แล้ว ยิ่งดีขึ้นไปอีก ที่สำคัญเขาห่วงความรู้สึกของผมก่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ

หากผมเริ่มประสาทเสีย เอาเรื่องของพี่ซันมาผูกโยงกับเรื่องของเรา พี่สองก็จะกอดผมนิ่งๆ แล้วเตือนสติผมเสมอว่า ‘ทำในสิ่งที่คิดว่าอยากทำจะได้ไม่เสียใจทีหลังที่ไม่กล้าพอ’

กลับมาพูดถึงเรื่องอาการหึงหวงกันต่อ

เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าพี่สองมีคนชื่นชอบเยอะ เนื่องจากเป็นเพื่อนกับเดือนคณะ อีกทั้งยังเป็นพี่ว๊ากปีสูงที่น้องๆ ต่างรู้จักและคุ้นเคย ดังนั้น จึงมีคนเข้าหาพี่สองเยอะตามไปด้วย

เวลาไปกินเหล้าด้วยกัน หากว่าพี่สองจะเช็คเรตติ้งให้ตัวเองบ้าง ผมก็ไม่ห้าม เพราะผมเองเข้าใจอารมณ์ของผู้ชาย แซวบ้าง ส่งสายตาให้บ้าง ผมเองก็ทำ

พี่สองไม่ใช่คนขี้หึงอาละวาด แต่เขาจะหึงเงียบๆ แล้วกลับไปจัดหนักผมที่คอนโด

ส่วนผมเป็นประเภทที่ว่า...ยิ่งหึงยิ่งเงียบ

เหมือนอย่างตอนนี้…

ผมนั่งมองน้องเทคของตัวเอง อ้อนให้พี่สองสอนกินเหล้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยใบหน้านิ่งสนิท วันนี้ผมใส่แว่นตามาด้วย เพราะแสบตาเนื่องจากนอนไม่พอติดต่อกันหลายวัน

“อันนี้ขมไปนิดนะพี่ ผมว่าลดอีกหน่อยน่าจะพอดี”

ไอ้ปิงพูดกับพี่สองตาเยิ้ม ผมยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาขลุกขลิก ก่อนจะวางลงที่เดิม พี่สองเลื่อนจานข้าวเกรียบมาให้ เราทั้งคู่ยังไม่ได้กินข้าวเย็น เพราะกินข้าวเที่ยงกันตอนบ่ายสาม วันนี้เรานัดเลี้ยงสายเทค เนื่องจากอีกสองวันจะเป็นวันเกิดไอ้ปิง

“กูชงให้เอามั้ย”

ผมยื่นขาเข้าไปแทรก

“ไม่เอาครับ พี่สองเก่งกว่าพี่น๊อตอีก”

ไอ้ปิงส่ายหัวตอบผมด้วยท่าทีใสซื่อ

“หึ” ผมฉีกยิ้มมุมปาก

“พี่น๊อต เดี๋ยวแบมไปคุยโทรศัพท์แป๊บนึงนะคะ” น้องเทคในสายปีล่าสุดและเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในสายเทคเราชะโงกหน้ามากระซิบบอก

ผมวางแก้วเหล้าในมือลง

“เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน อยากออกไปสูดอากาศ” ผมกระซิบกลับ น้องแบมพยักหน้า หยิบกระเป๋ามาสะพายรอ ผมหันหน้าไปมองหน้าพี่สอง เขามองผมอยู่ก่อนแล้วแต่รอให้ผมพูด

“ผมจะออกไปสูดอากาศข้างนอกแป๊บนึง แบมจะไปคุยโทรศัพท์ด้วย” พี่สองมองเข้ามาในตาผม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่โทรศัพท์ผมที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างถังน้ำแข็งสื่อความนัย แล้วตอบรับในลำคอ ผมหยิบโทรศัพท์มาหย่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง เดินนำน้องแบมออกไปหน้าร้านเหล้า มองหาที่นั่งเงียบๆ

น้องแบมเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์แต่ยังอยู่ในสายตาผม

ผมทิ้งตูดลงนั่งได้ไม่ถึงสองนาทีพี่สองก็โทรเข้ามา ผมกดรับ แต่ไม่พูด พี่สองก็เช่นกัน เพียงแต่...ฝั่งของพี่สองจะมีเสียงของน้องเทคของผมคอยแทรกเข้ามาเป็นระยะ

“หงุดหงิดอะไรเหรอคะพี่น๊อต” น้องแบมทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผม ตอนที่รู้จักกันแรกๆ น้องนั่งตัวเกร็งเลยครับ ไม่กล้าพูดกับผมหรือพี่สองด้วยซ้ำ พอระยะเวลาผ่านไปถึงดีขึ้น

ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง หยิบสโมท็อคไร้สายขนาดจิ๋วออกจากหู

“เปล่านี่” ผมตอบยิ้มๆ

“เมื่อกี้แบมก็ทะเลาะกับแฟนค่ะ” สาวน้อยน่ารักชะโงกหน้ามากระซิบ

ผมเลิกคิ้ว “เพราะมากินเลี้ยงหรือเปล่า”

“ส่วนหนึ่งค่ะ เขาแค่หึงที่สายเทคของแบมมีแต่ผู้ชาย”

ผมพยักหน้ารับ พี่สองก็เป็นหน้าเป็นตาของคณะ ตัวผม...ถึงจะตี๋ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ไอ้ปิงก็สูงยาวเข่าดี

“ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจ พามารู้จักกันบ้างก็ได้นะ” ผมแสดงความเห็น ผู้ชายกับผู้ชายคุยกันได้ไม่ยาก กินเหล้าด้วยกันสองสามครั้งก็สนิทแล้ว

“แบมเกรงใจ เขาอยู่คนละม. กับเรา” น้องแบมสารภาพเขินๆ

“ไม่เป็นไรนี่ สบายใจเถอะน่า พี่สองมีตังค์เลี้ยง” ผมแกล้งเย้า น้องแบมหัวเราะ ก่อนจะถามผมเสียงเกรงใจ

“แฟนพี่น๊อตไม่หึงบ้างเหรอคะ”

“หึงใคร” ผมเลิกคิ้ว

“กับพี่ธรรศไง แบมเห็นเพจคู่จิ้นพี่น๊อตด้วย แบมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ เอ่อ ขอโทษนะคะถ้าแบมถามละลาบละล้วง ถ้าพี่ไม่สะดวกไม่ต้องตอบแบมก็ได้” น้องแบมเกาแก้ม

ผมกรอกตาขึ้นฟ้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่สองจะไม่ได้ฟังอยู่

“ถามได้ ถ้าตอบได้พี่จะตอบ แฟนพี่เขาไม่ขี้หึงหรอก” ผมหยุดคิด ก่อนจะต่อคำให้จบ “เขาโตพอจะคิดได้ พี่เองก็ไม่ชอบคนขี้หึง”

น้องแบมยิ้มตาหยี

“แล้วพี่น๊อตขี้หึงมั้ยคะ แบมขี้หึงนิดหน่อย ถ้าแฟนชอบไปอยู่ใกล้ๆ คนที่ชอบเขา แบมรู้สึกเหมือนเขาไม่ให้เกียรติเราเลย ทั้งที่รู้ว่าเราไม่ชอบให้เขาไปยุ่งกับใคร”

น้องแบมทำปากขมุบขมิบ ผมยิ้มนัยน์ตา ใช้นิ้วโป้งเขี่ยโทรศัพท์

“บางครั้งมันก็จำเป็น คำว่าสังคมมันก็มีทั้งคนที่เราชอบและไม่ชอบอยู่ร่วมกัน บางทีเราไม่ชอบแต่เพื่อนสนิทเราอาจจะชอบก็ได้ เข้าใจที่พี่ต้องการจะบอกมั้ย มันเป็นหน้าที่ของแฟนเราที่จะทำให้เราไว้ใจ ส่วนเราเองก็ต้องรู้จักแยกแยะ ไม่งี่เง่าในเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันถึงต้องมีคำว่าเหมาะสมไง”

“พี่น๊อตดูเข้าใจอะไรพวกนี้ดีจัง”

“พี่เป็นน้องคนเล็ก โตมากับพี่ๆ ที่อายุห่างกันน่ะ” ผมนึกถึงหน้าเฮียมอสกับเฮียน่านที่ชอบแกล้งผม แต่ก็ชอบสอนให้ผมรู้จักใช้สมองมากกว่าอารมณ์

“พี่น๊อตอย่าว่าแบมนะ แต่แบมสงสัยว่าพี่ปิงอาจจะชอบพี่สอง”

ผมหัวเราะ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

“งั้นมั้ง”

“เพื่อนในเซคแบมเม้าท์ว่าพี่สองคบแต่ดาวมหาลัย พี่ปิงจะมีหวังเหรอคะ”

ผมผงกหัว

“ก็อาจจะมีและไม่มี”

น้องแบมหัวเราะ “แต่แบมว่าพี่สองไม่ชอบพี่ปิงหรอก ถ้าชอบป่านนี้คงตอบรับพี่ปิงไปแล้ว ออกมานานแล้วแบมว่าเราเข้าไปข้างในกันดีมั้ยคะ กลัวพี่สองจะว่าเสียมารยาท แบมชวนพี่น๊อตออกมานานแล้ว” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในสายเทคยิ้มให้ผมอย่างเกรงใจ ผมพยักหน้ารับ ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ผมไม่น่าหัวร้อนเพราะเรื่องแค่นี้เลย

“อ้าวไอ้น๊อต”

ผมหันไปเลิกคิ้วมองคนเรียก ไอ้เวลเดินตรงเข้ามาหาผม ผมมองเลยไปทางด้านหลังของมัน เห็นพวกพี่หิน ไอ้ไฟน์ก็ตามมาด้วย มันยักคิ้วทักทายส่งให้ “มาเที่ยวเหรอ”

ไอ้เวลพยักหน้า

ผมหันไปหาแบม “แบมเข้าไปก่อนได้มั้ย พี่ขอคุยกับเพื่อนแป๊บนึง หรือจะให้พี่เดินเข้าไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ แบมจำโต๊ะได้”

ผมมองตามร่างเล็กของน้องแบม ก่อนจะหันมาหาไอ้เวล คณะของมันมากันประมาณห้าคน ผมยกมือไหว้พี่หินกับพี่ลักษ์ ไอ้ไฟน์แนะนำเพื่อนในคณะของมันให้ผมรู้จักชื่อ ‘ซีน’

“ยังไม่มีโต๊ะกันใช่มั้ย” ผมถามเพื่อน พวกพี่หินยืนรออยู่ไม่ไกล

“เออ แล้วสาวน้อยคนเมื่อกี้เป็นใคร” ไอ้ไฟน์เริ่มซัก เมื่อกี้ผมไม่ได้แนะนำ

“แบม น้องเทคคนล่าสุด”

“แล้ว...” ไอ้ไฟน์เลิกคิ้ว มันรู้ว่าผมเข้าใจ

“อยู่ข้างใน กูหงุดหงิดนิดหน่อยเลยออกมาสูดอากาศ” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง หยิบมือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูเบอร์แล้วทำหน้ายุ่ง

“ไม่รับล่ะ” ไอ้เวลถาม เมื่อกี้ผมตัดสายพี่สองทิ้ง

“เดี๋ยวก็เข้าไปแล้ว”

ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยสายตาซักไซ้ ผมยักไหล่ ไม่ขยายความต่อ ขี้เกียจเล่า เดี๋ยวจะหงุดหงิดอีก

“พวกมึงไปนั่งกับกูมั้ยล่ะ หลายคนก็สนุกดี” ผมออกความเห็น

“เลี้ยงวันเกิดคนในสายไม่ใช่เหรอ” ไอ้เวลถาม ผมพยักหน้า

“เงินพี่สอง ตอนนี้แค่นั่งดื่มขำๆ ไม่มีอะไรแล้ว” ขั้นตอนการให้ของขวัญและอวยพรผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่พี่สองจะนั่งชงเหล้าให้คนดื่มเล่นๆ นั่นแหละ

“โอ้ งั้นกูก็ยิ่งต้องไป” ไอ้ไฟน์ทำเสียงสนุก พวกเราเลยได้ข้อสรุปว่าจะไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ไอ้เวลหันไปถามพี่หิน พี่เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะสนิทกับพี่สองอยู่แล้ว ผมเดินนำทุกคนเข้าไปในร้าน เจอกับพี่สองยืนห่างจากประตูทางเข้าประมาณสิบเมตร

ผมเดินเข้าไปหา แล้วอธิบาย “ผมเจอไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เลยชวนไปนั่งกับเราด้วย” พี่สองพยักหน้ารับ เขายกมือไหว้พวกพี่หิน

“โต๊ะเบอร์สิบพวกพี่ไปถูกกันมั้ย พอดีผมจะออกไปหยิบของ จะให้ไอ้น๊อตออกไปช่วยถือของแป๊บเดียว” ผมกับพี่สองสบตากัน ก่อนจะเบือนหน้าไปคนละทาง พี่สองหันไปหาพี่หิน ส่วนผมก็หลุบตามองพื้น

“สบาย รีบไปรีบมาละกัน” พี่หินยักไหล่ ก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะเป้าหมาย ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์หันมามองหน้าผม มันยักคิ้วให้ แล้วหันหลังเดินตามพี่หินไปโดยไม่ถามอะไร

พี่สองเดินนำผมออกจากร้านออกมาเงียบๆ เปิดประตูรถด้านข้างคนขับก่อนจะส่งสายตาให้ผมเข้าไปนั่ง ผมกัดริมฝีปาก ยอมเดินเข้าไปนั่งโดยดี ผมรู้...ดื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่สองยืนห่างจากผมประมาณสิบเมตร พอผมนั่งเรียบร้อย ก็ขยับเข้ามาชิด

“มองหน้าพี่” เขาสั่ง พลางโน้มตัวเข้ามาหา

ผมหลุบตามองพื้น ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้น

“โกรธเหรอ” เขาถาม

ผมกลืนน้ำลาย พี่สองไวต่อความรู้สึกของผมเสมอ

“เปล่า”

“หึง?”

“...”

ผมสบตากับพี่สอง เขายิ้มรู้ทัน ยื่นหน้าเข้ามาจูบปากผมหนึ่งทีแล้วผละออก

“มึงก็รู้ว่าพี่ทำแบบนั้นทำไม” เขายื่นมือมาเช็ดมุมปากให้ผม คำตอบของพี่สองคือ เขาช่วยไอ้ปิงทำประชดแฟนมันที่นั่งอยู่โต๊ะสิบสอง แต่ที่ผมไม่พอใจเพราะผมเป็นฝ่ายเสนอตัวแล้วแต่ไอ้ปิงกลับเอ่ยปากขอพี่สองแทน โดยให้เหตุผลว่า ‘พี่สองดูน่าเกรงขามกว่า’

“ผมรู้ แค่อยากให้พี่รู้ไว้ว่าผมไม่พอใจ”

พี่สองมองหน้าผมด้วยสายตาวาววับ ก่อนจะก้มลงจูบผมดูดดื่มกว่าจูบแรกแล้วผละออก เขาดูดจนริมฝีปากผมชา ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดปากลวกๆ พี่สองยื่นนิ้วมาเชยคางผมขึ้นสบตาเขา แล้วยิ้มพอใจ

“รู้แล้วครับ”

“ผมไม่ชอบจริงๆ นะ” ผมย้ำ

พี่สองหลุดหัวเราะ

“แค่อยากเห็นมึงหึงเท่านั้นแหละ ต่อไปไม่ทำแล้ว”

“พี่น่าจะปล่อยให้ผมทำเอง” ผมรู้ว่าทำไมพี่สองถึงยอมตกปากรับคำ เขาไม่อยากให้ผมเป็นคู่ควงของไอ้ปิง แต่เขาน่าจะลืมไปว่าผมน่ะเหมาะสมเพราะใกล้ชิดสนิทสนมทางสายเทคมากกว่า

เขารู้ดีว่าถ้าเขาตัดสินใจทำอะไร ผมจะไม่หักหน้าเขา ถึงได้เป็นฝ่ายรับคำไอ้ปิง

“มึงก็รู้ว่าพี่หวง”

“ใช่ว่าพี่หวงเป็นคนเดียวนี่” ผมบอกเคืองๆ

พี่สองยื่นมือมายีหัวผม ผมปล่อยให้เขาจับ แต่เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย พอเห็นผมยอมให้ก็แกล้งใหญ่เลยนะ

“อย่าหงุดหงิดเลย มันน่าฟัด” เขาว่า ผมจิ๊ปาก ไอ้พี่สองแม่งขี้โกง

“ไม่ต้องแกล้งเปลี่ยนเรื่อง”

“พูดเรื่องจริงก็หาว่าเปลี่ยนเรื่อง”

“ผมเคยบอกมั้ยว่าขี้หวง” ผมย่นคิ้ว

พี่สองยื่นมือมาเคาะที่หว่างคิ้วผม “พอจะรู้”

“เฮ้อ...ผมเสียเปรียบ” ผมถอนหายใจ แต่พี่สองหัวเราะ

“ก็ไม่แน่ว่ามึงจะเสียเปรียบ”

เขายื่นมือมาตรงหน้าผม ผมเม้มปาก เหลือบมองหน้าพี่สองแวบหนึ่ง ให้ตายสิ ใช้วิธีนี้ทีไรผมแพ้ทุกที พี่สองยิ้มเมื่อผมยื่นมือไปจับมือเขา “อย่าหงุดหงิดเลย” เขาบีบมือผมหนึ่งที

พี่สองเดินนำผมเข้าไปในร้านเหล้าเงียบๆ เดินมาถึงโต๊ะน้องแบมกับไอ้ปิงก็หายไปแล้ว ไอ้เวลบอกผมว่าน้องแบมกลับไปกับแฟนแล้ว ส่วนไอ้ปิงบอกว่าออกไปเคลียร์กับแฟนเลยขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ที่โต๊ะจึงเหลือแค่พี่หิน พี่นาค พี่ไอ ไอ้เวล ไอ้ไฟน์ พี่สอง ผม

พี่หินสั่งเหล้าพร้อมกับแกล้มมาเพิ่ม

“ไปทำงานเป็นไงบ้างพี่” ผมถามพี่หินพี่สองชงเหล้าอ่อนๆ ส่งให้ผม

“ก็ดี แต่สังคมทำงานมันซับซ้อน เหนื่อยคนมากกว่าเหนื่อยงาน” พี่หินตอบยิ้มๆ ส่งกับแกล้มให้ไอ้เวล สองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่ไอ้เวลเป็นเฟรชชี่ใหม่ๆ

“เป็นลูกน้องเขาก็ต้องทำใจ” พี่นาคออกความเห็น หันไปชนแก้วกับพี่หิน

“มึงล่ะ ได้ที่ฝึกงานหรือยัง” พี่หินหันมาถามพี่สอง พี่สองเลิกลูบเอวผม หันไปคุยกับพี่หิน

“ได้แล้วพี่ ความจริงก็ไม่อยากใช้เส้นนะ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝึกงานที่บริษัทไอ้ซันได้ประโยชน์มากกว่าที่อื่น”

สาขาที่พี่สองยื่นใบสมัครอยู่ใกล้คอนโดของเขา

“มึงล่ะไอ้ตี๋ ตั้งแต่เลิกกับน้องหมิวไม่เห็นได้ยินข่าวว่าคบกับใคร” ผมสะดุ้ง เมื่อพี่หินเบนสายตามาเลิกคิ้วถาม ผมกรอกตามองฟ้า พี่สองที่นั่งข้างๆ นั่งมองแก้วเหล้ายิ้มๆ

“ก็มีคุยๆ อยู่ครับ”

พี่หินพยักหน้ารับ

“ไม่อยากเชื่อว่าพี่รหัสมึงจะเป็นเกย์” พี่หินพูดอย่างเสียงดาย ผมรู้ว่าพี่หินไม่ได้รังเกียจอะไร ที่พูดก็คงเพราะคาดไม่ถึงจริงๆ ตามประสาผู้ชายที่ตามเฮกันไปแอ่วสาว

“ก็ไม่ได้เป็นกับทุกคนหรอกพี่ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก” พี่สองตอบ ก่อนจะยื่นแก้วไปชนกับพี่หิน ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เหลือบมองผมสายตากรุ้มกริ่ม

พี่หินหัวเราะ ก่อนจะหันไปช่วยเพื่อนตัวเองออกไปเดินแอ่วสาวตามปกติ

“อ้าวสอง”

พวกเราทั้งกลุ่มหันไปมองผู้มาใหม่โดยไม่ได้นัดหมาย
   
พี่โม...

“มาเที่ยวเหรอคะ” พี่โมเกี่ยวแขนแฟนใหม่เดินเข้ามาทักพี่สอง

“ไม่ได้มาใส่บาตรก็แล้วกัน” คนรักของผมตีรวน

ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง

“พี่อิทคะ นี่พี่สองแฟนเก่าโม” พี่โมแนะนำแฟนใหม่ให้รู้จักแฟนเก่า ก่อนจะหันมาแนะนำแฟนใหม่ให้พวกเรารู้จัก “นี่พี่อิท...อิทธิรัฐ เศกสวัสดิ์” พวกเราทักทายกันด้วยรอยยิ้ม

ไอ้ไฟน์ทำปากอู้อ้า ผมหันไปเลิกคิ้วถามมันทางสายตาว่ามึงรู้จักเหรอ ไอ้ไฟน์ขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบบอก “ลูกรัฐมนตรีช่วยฯ”

ผมกับไอ้เวลสูดปาก ไอ้ลูกเจ้าของโรงแรมมันหูตากว้างขวางจริงๆ รู้จักคนใหญ่คนโต

“ยังชอบเที่ยวเหมือนเดิมเลยนะคะสอง” พี่โมขยับขึ้นมาหนึ่งก้าว พี่อิทยืนรอเธออยู่ด้านหลัง ผมสังเกตเห็นว่าเขาเหลือบมองไอ้ไฟน์เหมือนรู้จัก แต่เพื่อนผมมันเชิ่ดใส่ ทำเป็นมองไม่เห็น

“พวกเรามาฉลองวันเกิดให้น้องในสายน่ะครับ” ผมตอบแทน

พี่โมเหลือบมองผม ก่อนจะฉีกยิ้มหวานหยดให้ “ไม่เจอกันนานนะ” ผมยิ้มรับ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นใส่โมล่ะคะ เมื่อก่อนเรารักกันมากแท้ๆ” พี่โมยิ้มให้พี่สอง เธอท้าวมือสองข้างกับโต๊ะแล้วโน้มหน้าลงมาหาอดีตคนเคยรัก
   
พี่สองสบตาเธอ “ความจริงไม่ต้องเข้ามาทักกันจะดีกว่านี้”

แววตาพี่สองหม่นลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ผมเหลือบมองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามพี่สอง ปล่อยที่ว่างข้างพี่สองไว้ แน่นอนว่าเขามองตามร่างผม เราสบตากันแวบหนึ่ง

ผมยักไหล่ ไอ้ไฟน์ดูออกว่าผมพาล มันก้มหน้ามาซบไหล่ผมหัวเราะ

“ต้องขอบคุณสองที่ทำให้เราจบกัน โมถึงได้เจอพี่อิท” พี่โมพูดซื่อๆ เธอไม่ได้พูดเสียงดังแต่พวกเราอีกสามคนได้ยิน พี่อิทที่มากับพี่โมขยับห่างออกไปเหมือนไม่อยากเสียมารยาทแอบฟัง แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

“โมเคยเสียดายและเสียใจมากที่ต้องเลิกกับสอง” พี่โมเว้นวรรค

“แต่ตอนนี้โมว่าโมคิดถูกที่สุด ของที่สองเคยให้ สองคงไม่ว่าอะไรนะถ้าโมจะเอาไปบริจาคให้เด็กกำพร้า” เธอกรีดเล็บ ทำให้เรามองเห็นแหวนเพชรที่อยู่บนมือเธอ “สองเป็นคนใจดีคงไม่ถือหรอก โมรู้” ผมกำมือแน่น รู้สึกโกรธแทนคนของตัวเอง

“โมอยากรู้จริงๆ ว่าใครกันนะ ที่จะเก็บของเหลือจากโมมากินต่อ” เธอหัวเราะ ต้องยอมรับว่าพี่โมเป็นคนที่สวยสะกดคนมอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าใบหน้าสวยจัดนั่นไม่น่ามองเลยสักนิด

ผมก้มหน้านิ่ง ฟังพี่โมดูถูกพี่สอง ผมรู้ว่าพี่สองไม่ถือสาเพราะเขาไม่ทำร้ายผู้หญิง อาจจะไม่พอใจ แต่จะไม่เก็บมาใส่ใจ

“ตอนนี้ยังโสดอยู่ใช่มั้ยคะ” พี่โมมองหน้าพี่สองด้วยความเห็นใจ “ลืมโมซะเถอะ สองจะได้เริ่มต้นใหม่”

ไอ้ไฟน์กดไหล่ผมไว้ ผมหันไปหามันส่งสายตาให้มันปล่อย แต่มันส่ายหัวปฏิเสธ

พี่สองสบตากับผม ดูออกว่าผมคิดจะทำอะไร เขาส่ายหัว วางแก้วเหล้าในมือแล้วเงยหน้ามองพี่โมด้วยสายตาจริงจังและข่มขู่

“ถ้าโมยังคิดว่าเรายังลืมโมไม่ได้ บอกไว้ตรงนี้เลยว่าโมคิดผิด”

พี่โมหุบยิ้ม ทำหน้าไม่เชื่อ

“แม้แต่ความทรงจำดีๆ ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

พี่สองพูดด้วยคำพูดสุภาพ แต่สายตาเยาะเย้ย ไม่รู้เยาะเย้ยตัวเองหรือพี่โม ผมอย่างแรกอาจจะมีน้ำหนักมากกว่า ข้อเสียของพี่สองที่บางครั้งก็ทำให้ผมหงุดหงิด เขาใจดีและเป็นสุภาพบุรุษ แต่บางทีมันก็ควรจะมีข้อยกเว้นบ้าง

“ใคร”

พี่โมถามแววตาคาดคั้น พี่สองหัวเราะหึๆ ในลำคอ ผมเม้มปาก รู้ว่าพี่สองจะไม่มีวันหลุดปากบอกใคร ถ้ายังไม่ได้ขอความเห็นชอบจากผม

ไอ้เวลตบไหล่ผมสองที

“ไอ้อิท”

ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ไฟน์ มันกำลังกระดิกนิ้วเรียกท่านลูกรัฐมนตรีช่วยฯ คนนั้น พี่อิทหันมาเลิกคิ้วมองไอ้ไฟน์ ก่อนจะอมยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปหาไอ้ไฟน์ตามคำเรียก

ร่างสูงโปร่งของพี่อิทเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังเบาะนั่งไอ้ไฟน์ เพื่อนผมมันลุกขึ้นยืนมองหน้าพี่โมด้วยแววตาท้าทายและถือดี จนพี่โมมองตาวาว “ดูนี่” พูดจบก็โน้มคอพี่อิทลงมาจูบแก้มหนึ่งทีแล้วผละออก ผมทำหน้าโคตรช็อก เอ่อ เอาจริงๆ ยกเว้นพี่สองกับพี่อิทแล้ว ก็ดูเหมือนจะช็อกตาตั้งกันทั้งโต๊ะ

ไอ้ไฟน์กอดคอพี่อิทที่สูงกว่ามันลงมา แล้วเอ่ยขอพี่โม “คนนี้ขอนะ”

“พี่อิท!!” พี่โมร้องเรียกแฟนตัวเองเสียงดัง

“ไฟน์...” ไอ้ไฟน์ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก เมื่อผมจะอ้าปากถาม พี่สองกอดอกมองละครตรงหน้า คงมีแค่แฟนผมนี่แหละครับที่ยังนิ่งทุกสถานการณ์ ในเวลานี้ผมอยากเขย่าคอเสื้อเพื่อนตัวเองแล้วถามในสิ่งที่อยากรู้ใจจะขาด ไอ้เวลก็ไม่แพ้กัน แต่เมื่อกี้พี่หินเดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้างงงวย มันเลยต้องเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้พี่หินฟัง ไม่มีเวลามาซักไอ้ไฟน์

“โทษทีนะน้องโม” พี่อิทยิ้มนัยน์ตา

คำตอบของพี่เขาทำผมผงะ ไอ้ไฟน์ก็แทบเด้งหนี เมื่อพี่อิทยื่นมือมากอดเอวมันไว้

แม่เจ้าโว้ย!

“พี่อิททำแบบนี้กับโมได้ยังไงคะ!?” พี่โมโวยวาย พี่อิทหันมามองพี่โมตาดุ ดุแบบเออดุจริงๆ เมื่อกี้ยังสวมบทคุณชายผู้ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีอยู่เลย!

“อย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำ”

พี่โมเม้มปากฮึดฮัด ทั้งเจ็บใจทั้งอาย เธอมองหน้าพี่สอง แต่พอเห็นพี่สองไม่ได้มีท่าทีซ้ำเติมหรือสงสารก็หันมามองพี่อิทน้ำตาคลอ สะบัดหน้าเดินหนีไป

ผมเหลือบมองพี่สอง อยากรู้ว่าเขามีท่าทียังไง ที่เห็นคนรักเก่าโดนรังแก แต่พี่สองดันมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรู้สึกผิดในใจที่ตัวเองดีใจเมื่อเห็นพี่สองไม่ได้มีท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อคนรักเก่าของเขา

“ไปคุยกันหน่อยดีมั้ย” พี่อิทก้มมองหน้าไอ้ไฟน์ เพื่อนผมมันกรอกตามองบน ก่อนจะหันมามองพวกเราที่เหลือ “กูกลับก่อนละกัน”

“เดี๋ยวไฟน์” ผมห้าม ไอ้ไฟน์หันมาเลิกคิ้ว พี่อิทที่เดินไปแล้วหยุดยืนรอเพื่อนผมอย่างใจเย็น สาวๆ นี่เหลือบมองเขาเพียบ

ไอ้ไฟน์หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผม “ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดจบมันก็เดินออกไปกับพี่อิท แต่ไม่วายยังกวนตีนเขา ไอ้ไฟน์แกล้งเดินช้าแต่พี่อิทก็ยังหยุดรอมัน พอมันทำอ้อยอิ่งมากๆ พี่อิทเลยเดินกลับมาลากคอเสื้อมันออกไป

พวกเรานั่งดื่มต่อกันอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็แยกย้ายกลับ อย่าถามถึงเพื่อนพี่หินนะครับ เพราะพี่แกหายไปตั้งแต่บอกจะออกไปแอ่วสาวแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไอ้เวลไปกับพี่หินที่อาสาไปส่ง ส่วนผมก็ไม่ได้กลับหอตัวเอง โดนลากไปนอนไหนคงไม่ต้องเดา

กลับถึงห้อง ผมกับพี่สองก็สลับกันเข้าไปอาบน้ำ พี่สองเอาผ้าขนหนูมาพาดที่ไหล่ผมแล้วไล่ให้เข้าไปน้ำก่อน พอผมออกมาพี่สองก็เดินสวนทางไปอาบน้ำบ้าง ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนรัก ก่อนจะตัดใจคลานขึ้นไปนอนบนเตียงเงียบๆ

พี่สองเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ พลางสะบัดหัวไล่น้ำออกจากผม เขาเหลือบมองผมที่นอนมองอยู่บนเตียงก่อนจะวางผ้าขนหนูพาดไว้ที่เก้าอี้ เดินขึ้นเตียงมาเปิดผ้าห่มแล้วซุกตัวเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ผมขยับตัวเพื่อให้พี่สองนอนท่าสบายมากขึ้น

“คิดอะไรอยู่” เขาถาม

ผมขยับตัวหันไปเผชิญหน้ากับพี่สอง ยกมือขึ้นมาวางรองศีรษะตัวเองให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน “วันนี้มีแต่เรื่องให้หงุดหงิด”

“ขอโทษด้วยเรื่องโม” พี่สองก้มจูบหน้าผากผม

“ผมโกรธที่เขาว่ากระทบพี่ แต่ผมเป็นผู้ชาย ผมเลยทำได้แค่โกรธ” ผมสารภาพ พี่สองยกมือขึ้นมาลูบหัวผม เขาคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เพราะตั้งแต่อยู่ในรถก็ไม่พูดอะไรเลย

“มึงคิดถูกแล้ว เขาเป็นผู้หญิง”

“ผมไม่พอใจจริงๆ นะ”

พี่สองเลิกคิ้ว “เรื่องโม?” ผมพยักหน้ารับ ยอมรับเองแมนๆ ว่าแอบหวงเขากับแฟนเก่า

พี่สองโถมตัวมาฟัดแก้มผม เราสู้กันบนเตียงอยู่หลายท่า ก่อนผมจะนอนหอบแฮ่กอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวโตกว่า ผมเงยหน้ามองพี่สอง กอดเอวเขาด้วยสองมือ

“พี่เปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าตั้งแต่พี่จีบมึง” เขาก้มมองอกด้านซ้ายของตัวเอง “ในนี้มันก็มีแค่มึง”

เราสองคนส่งยิ้มให้กัน

ผมมองเข้าไปในตาพี่สอง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบหน้าของเขา นัยน์ตาคมเข้มมองการกระทำของผมเงียบๆ “ทำไมถึงได้หล่อขนาดนี้นะ” ผมพูดเพ้อๆ

พี่สองยิ้มนัยน์ตา

“คิดดังไปมั้ย”



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โม โสมน้ามหน้า  :laugh:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 11
«ตอบ #35 เมื่อ12-11-2018 18:38:21 »


เทคที่ 11 ลูกผู้ชายอย่ามุดหัวในกระดองเต่า


ช่วงเวลาที่ทำให้ผมตื่นเต้นจนต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าทั้งที่เป็นวันหยุดกำลังใกล้เข้ามา วันนี้ผมมีนัดกับพี่สอง เป็นนัดที่สำคัญมากสำหรับความสัมพันธ์ของเรา


พี่สองกำลังพาผมไปทำความรู้จักกับคนที่บ้าน

 
ในฐานะแฟน!!

 
ตอนที่เขาเอ่ยปากชวน ผมนี่ช็อกซีนีม่า ช็อกชนิดที่ว่า...ยืนค้างได้เกือบนาที จนพี่สองต้องสะกิดเรียก


พอได้สติผมก็เริ่มต้นซักเขาต่อว่าบอกที่บ้านไปแล้วใช่ไหม พี่สองยักไหล่สบายๆ บอกว่าตัวเองไม่มีความลับกับครอบครัว เขาบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ก่อนที่จะขอคบกับผมด้วยซ้ำ เพียงแต่...แค่ไม่ได้บอกเท่านั้นว่าเป็นผม

 
ผมอ้ำอึ้ง เพราะไม่เคยบอกใครนอกจากเพื่อนสนิททั้งสอง

 
พี่สองมองผมอย่างรู้ทัน ขยับปากบอกผมทั้งรอยยิ้มอบอุ่นว่า ‘ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ ยังไม่ต้องรีบร้อน’


ถึงแม้ว่าพี่สองจะปลอบผมอย่างนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกทะแม่งๆ แปลกใจกับท่าทางสบายอกสบายใจของพี่สอง และเริ่มตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะต้องไปแนะนำตัวกับครอบครัวของแฟนอย่างเป็นทางการ

 
แถมเรายังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นี่สิ

 
“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเป็นตูด”

 
ผมเงยหน้ามองไอ้เวลที่เดินถือแก้วนมเข้ามานั่งดูโคนัน อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จยังไม่ถึงเวลา จึงมานั่งทอดอารมณ์อยู่หน้าทีวี

 
“พี่สองบอกที่บ้านเรื่องของกูกับเขา”

 
ไอ้เวลทำตาโต “โคตรแมน” มันวางแก้วนม แล้วหันมาหาผม “แล้วเป็นไง โดนตีหัวแตก หรือโดนตัดออกจากกองมรดก”

 
ผมบีบมือตัวเอง ตอบเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ “น่าจะไม่โดนอะไรนะ”

 
ไอ้เวลสูดปาก “มึงเคยบอกว่าบ้านพี่เขาเป็นครูบาอาจารย์กันทั้งบ้านนี่”

 
ผมพยักหน้า

 
พ่อพี่สองเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน มีงานประจำคือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ แม่ของพี่สองก็เป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยม สอนวิชาภาษาไทย คุณน้าเป็นลูกเสี้ยวไทยจีนไต้หวัน (สวยมาก)


พี่สองเคยเล่าตำนานความรักของพ่อแม่เขาให้ผมฟังว่า พ่อพบรักกับแม่ตอนมาเที่ยววัดพระแก้วกับเพื่อนๆ ตอนสมัยเรียน แต่แม่ไม่ยอมคุยด้วยเพราะเห็นเป็นฝรั่ง พ่อเลยพูดไทยใส่ แม่ถึงยอมให้เบอร์โทรศัพท์และเริ่มคุยกับมาเรื่อยๆ คบกันอยู่สองปี พ่อก็ขอแม่แต่งงาน แล้วย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร

 
“อรุณสวัสดิ์ครับพวกมึง”


ไอ้ไฟน์โผล่เข้ามาในระยะสายตา หน้ามันดูเหนื่อยมาก สภาพแทบดูไม่ได้ บนบ่ามีเสื้อกาวน์แขวนอยู่ มันวางเสื้อพาดกับเก้าอี้ เดินไปรินน้ำแล้วกลับมานอนตายอยู่ที่โซฟาข้างผม


“เมื่อคืนไปไหนมา”


ไอ้เวลถาม ไอ้ไฟน์มันไม่กลับห้องเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่ถามเพราะอาการมันดูไม่โอเค เหมือนคนใกล้จะตายเต็มที

 
“กูยังไม่ได้นอนเลย”


ไอ้เวลเลิกคิ้ว “ตี้?”


“ตี้เหี้ยอะไร” ไอ้ไฟน์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “กูปีสามแล้วไอ้เลว แค่เวลานอนยังไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปปาร์ตี้” มันหัวเราะเนือยๆ ก่อนจะยกขาขึ้นพาดโต๊ะ ทำท่าจะนอนตายอยู่ตรงนี้จริงๆ


“ไม่ไหวก็ไปอาบน้ำนอน อย่ามานอนตายตรงนี้” ผมไล่


ไอ้ไฟน์เหลือบมองหน้าผมแล้วทวงคำตอบ “เมื่อกี้มึงยังไม่ได้ตอบกู”


ผมเลิกคิ้ว เมื่อกี้มันถามผมว่าอะไรนะ


“มันกำลังเครียด พี่สองชวนไปบ้าน” ไอ้เวลเป็นฝ่ายตอบแทน


ไอ้ไฟน์ตวัดสายตามามองผม ก่อนจะถามผมเอือมๆ “จะเครียดเพื่อ? ทำเหมือนไม่เคยไป”


“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาบอกที่บ้านเรื่องกูแล้ว กูแค่กลัว” ผมแย้ง กลัวว่าพ่อกับแม่พี่สองจะไม่ต้อนรับ กลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุทำให้พี่สองกับครอบครัวมีปัญหากัน ตอนนี้ผมกังวลไปหมด


ไอ้ไฟน์ลุกขึ้นนั่ง ยื่นหน้าเข้ามาถามเสียงจริงจัง “เขาทำท่าจะรับไม่ได้?”


“พี่สองไม่ได้พูดอะไร แต่กูก็กังวล กูกับเขา...ผู้ชายทั้งคู่” ผมยักไหล่ ไอ้ไฟน์ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เหมือนเจอคนโง่กำลังจะตายนั่งอยู่ตรงหน้า แล้วเผอิญคนๆ นั้นคือผม


“มึงเคยถามตัวเองหรือเปล่า มึงกำลังทุกข์เพราะความรักของมึงกับเขา หรือมึงกำลังทุกข์เพราะกลัวคำพูดของคนอื่นกันแน่”

 
คำถามของไอ้ไฟน์ทำให้ผมนิ่งไป เป็นคำถามที่จี้ลงกลางใจผม


“กูเห็นด้วยกับไอ้ไฟน์ มึงคิดดูนะเพื่อนยาก สมัยนี้ต่อให้เป็นชายหญิงแล้วยังไง ทุกคู่ก็มีสิทธิ์เลิก มีสิทธิ์นอกใจ มีสิทธิ์ผิดหวังในความรักได้เหมือนกันทั้งนั้น ปัญหาครอบครัวในข่าวก็มีออกเยอะแยะ” ไอ้เวลทำท่ายกนิ้วนับ “ผัวนอกใจเมีย เมียนอกใจผัว พ่อฆ่าลูก แม่ตีลูก เพศมันไม่ได้การันตีความสำเร็จของชีวิตคู่นะไอ้น๊อต อย่าเพิ่งเถียง...กูไม่ได้บอกว่าเป็นเพศทางเลือกแล้วจะไม่เจอปัญหานี้ แต่กูกำลังชี้ทางสว่างให้มึงเห็นว่าเหรียญมันมีสองด้าน อย่าตีตนไปก่อนไข้”


ผมผงกหัว “กูเข้าใจที่มึงพูด แต่ที่กูกลัวคือฝั่งของกูเอง ป๊ารักกูแค่ไหนพวกมึงก็รู้ กูไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง แต่กูก็ไม่กล้าปล่อยมือ พวกมึงเข้าใจปะวะ”

 
ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลมองหน้าผม


“เขาดีกับกูมาก ให้เกียรติกู เข้าใจกูโดยที่กูไม่ต้องอ้าปากอธิบายด้วยซ้ำ กูคิดว่าเขาคือคนที่ใช่ คือคนที่กูรอ กูกลัวว่าสักวัน เกิดวันหนึ่งกูไม่มีเขาแล้ว กูจะเป็นยังไง” ผมอาจจะถึงขั้นทุรนทุรายเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เราคบกันได้ไม่นาน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่สองมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ

 
“มึงจะกลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้” ไอ้ไฟน์เตือนสติ “ความรักที่ไม่สมหวังมีใครบ้างวะที่ไม่เจ็บปวด จะมีก็นอกจากจะหมดรักไปแล้วเท่านั้นแหละ ตอนนี้มึงแค่กังวล มึงกลัวที่บ้านจะรู้ใช่มั้ย”


“ไฟน์พอเถอะ อย่าไปกดดันมัน” ไอ้เวลตัดบท แต่ไอ้ไฟน์ส่ายหน้า

 
“ไอ้น๊อตที่กูรู้จัก ไม่ใช่คนขี้ขลาด แทนที่จะมานั่งกังวลมึงก็วิ่งชนไปเลยสิ ได้ไม่ได้ก็ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย สมัยเรียนมอต้นมึงยังเคยเปรี้ยวพากูปีนกำแพงหนีเรียนไปดูคอนเสิร์ตพี่ตูนบอดี้สแลมด้วยซ้ำ” ไอ้ไฟน์ระลึกความหลัง


พอวันรุ่งขึ้นมึงกับกูก็โดนเรียกไปฟาดหน้าเสาธงนั่นไง


วิธีเรียกกำลังใจของมึงนี่แม่ง...


ผมมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสอง “ขอบใจพวกมึงมากจริงๆ ที่เข้าใจกู”


“สบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ย กูจะได้ไปนอน” ไอ้ไฟน์หาว


“หึ จะไปนอนตายที่ไหนก็ไป” ผมไล่ด้วยความเป็นห่วง


“ฟาย...มึงนี่ดูเข้าอกเข้าใจไอ้น๊อตจริงๆ” ไอ้เวลแดกดัน


ไอ้ไฟน์ที่กำลังหยิบเสื้อกาวน์มาถือไว้ เงยหน้าขึ้นมองไอ้เวล


มันกระตุกยิ้มหนึ่งที “กูก็กำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะรู้สึกดีกับผู้ชาย”


!!!!!


เหยดเข้!!!!!!

 
“มึงว่าไงนะ!?” ไอ้เวลแก้มกระตุก


ไอ้ไฟน์ยักไหล่ขำๆ


“แค่สงสัยน่า”


“ใครวะกล้ามาล่อลวงมึง” ผมครางถาม


ไอ้ไฟน์หัวเราะ “กำลังอยู่ในช่วงทดลอง ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย” ผมอ้าปากค้าง ของแบบนี้มันทดลองกันเล่นๆ ได้ด้วยเหรอวะเพื่อน!!!! มึงเรียนหนักจนสมองกลับด้านแล้วใช่ไหมไอ้ลูกชายเจ้าของโรงแรม!


“ให้ตายเถอะ กูรู้สึกว่าไมเกรนจะขึ้น” ไอ้เวลยกมือขึ้นลูบหน้า ไอ้ไฟน์ยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนตัวเอง


ไอ้เวลมองตามหลังไอ้ไฟน์อึ้งๆ ก่อนที่มันจะหันมาขอความเห็นจากผม “มึงว่ามันอำพวกเราหรือว่ามันจะเอาจริงๆ วะ”


ผมกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นหน้าตาเหมือนท้องฟ้าจะถล่มของไอ้เวล ดูมันช็อกมากจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “มึงจะเลิกคบกันพวกกูหรือไง”


ไอ้เวลส่ายหัว “เปล่า” มันเงยหน้าขึ้นสบตาผมก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กูแค่กำลังสงสัยว่ามันจะอยู่ตำแหน่งไหน...รุกหรือรับ” ถามจบมันก็พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดทิ้งไป แล้วเปลี่ยนเรื่องมาถามผมถึงเวลานัดหมาย

 
เมื่อเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้วมันก็แยกเข้าห้องส่วนตัวไปเปิดเท็กซ์อ่านเล่นฆ่าเวลา


ก่อนถึงเวลานัดสิบนาทีพี่สองก็โทรมาหาผม   

 
“ตื่นเต้นเหรอ”

 
พี่สองหันมาถามขณะทำหน้าที่เป็นพลขับ

 
“ในความตื่นเต้นนั้นมีความกังวลอยู่ด้วย” ผมทำหน้าห่อเหี่ยว พี่สองเหลือบมองผมก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาลูบหัวแล้วผละออกไปจับพวงมาลัยไว้เหมือนเดิม

 
“ทำเหมือนไม่เคยเจอ”

 
ผมมองพี่สองเคืองๆ “มันเหมือนกันที่ไหน”

 
พี่สองหัวเราะในลำคอ “ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก แม่กับแด๊ดใจดี มึงก็รู้ อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นสิ” ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงจะกรอกตามองบนใส่พี่สอง จะไม่ให้ผมกังวลได้ยังไง ก็ตอนแรกผมรู้จักครอบครัวของเขาด้วยฐานะน้องเทค แต่ตอนนี้สถานะของผมมันล่อแหลมแค่ไหน เขาไม่เข้าใจหรือยังไง

 
“พี่น่ะลูกชายคนเดียวของบ้านเลยนะ คุณน้าเขาจะยอมรับผมเหรอ”

 
“ถ้าแม่กับแด๊ดไม่ยอมรับ มึงจะยอมเลิกกับพี่เหรอ”

 
ผมกัดปาก

 
ยังจำได้ว่าพี่สองเคยเอ่ยปากขออะไรไว้

 
“ทำใจให้สบายเถอะน่า แค่ทำตัวปกติแบบที่มึงเป็นก็พอแล้ว” พี่สองปลอบ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อพี่สองเลี้ยวเข้าซอยบ้าน เขาแวะซื้อกับข้าวสี่ห้าอย่างมาด้วย

 
รถของพี่สองจะเคลื่อนเข้าสู่ตัวบ้านคุ้นตา

 
“น๊อต”

 
พี่สองเรียกขณะที่ผมกำลังลดมือลงปลดสายคาดเบลล์

 
“ครับ?”

 
เขายื่นมือข้างหนึ่งมากุมมือผมไว้ แล้วบีบเบาๆ

 
“อย่ายอมแพ้ พี่ก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน”


ผมยิ้ม พยักหน้ารับคำ “อือฮึ”

 
ผมช่วยพี่สองขนของลงจากรถ คุณน้าทั้งสองเดินออกมารับเราทั้งคู่ ผมยกมือไหว้น้าษาหรือชื่อจริงก็คือคุณน้าคุณาลี ก่อนจะหันไปยกมือไหว้คุณน้าผู้ชาย

 
“สวัสดีครับน้าแซม” แซมมิก ตรัย แอนโทนี่ กอบกาญจ์กุล


ผู้ชายลูกครึ่งตัวสูงใหญ่ยิ้มรับด้วยความใจดี ก่อนจะเดินนำเข้ามาหา “หนักมั้ย น้าช่วย” น้าแซมยื่นมือมารับถุงกับข้าวในมือผมไปข้างหนึ่ง พี่สองเดินเข้าไปกอดแม่แล้วหอมแก้มซ้ายขวา เป็นภาพที่ผมเห็นทุกครั้งเวลามาเยือนบ้านหลังนี้

 
“ตรวจการบ้านดึกอีกแล้วใช่มั้ย ใต้ตาดำ เดี๋ยวก็แก่ไวหรอกแม่” พี่สองแซ็วแม่ตัวเอง น้าษาเอามือทุบแขนพี่สอง “เดี๋ยวเถอะ แม่จะตีให้หัวแบะ”

 
น้าแซมหัวเราะคู่แม่ลูกก่อนจะหันมาชวนผมเข้าบ้าน ผมช่วยน้าษาแกะถุงกับข้าวใส่จาน พี่สองกับน้าแซมมาช่วยยกกับข้าวออกไปวางที่โต๊ะอาหาร


ระหว่างกินข้าวพี่สองก็เล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้น้าษาฟัง สลับกับน้าแซวบ่นเป็นภาษาไทยเสียงชัดแจ๋วเรื่องเด็กๆ ที่มหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอนอยู่ น้าษานั่งฟังลูกชายกับคนรักของตัวเองสลับกันเล่าเรื่องขำขันยิ้มๆ พลางหยุดถามเมื่อถึงจังหวะเวลา ไม่ลืมหันมาถามความเห็นของผม จนกระทั่งทุกคนอิ่ม ผมอาสาล้างจาน พี่สองร้องแซ็วมาตามหลังว่าอย่าให้ถึงกับหมดตัวเพราะต้องซื้อจานชามมาให้แม่ใหม่

 
ผมเก็บจานชามเข้าที่ก่อนจะเช็ดมือให้แห้ง แล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น พี่สองกับน้าแซมกำลังออกความเห็นเรื่องฟุตบอลนัดล่าสุดกันอย่างออกรส น้าษากำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ เมื่อหันมาเห็นผมก็เอ่ยเรียกพี่สอง

 
“ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกแม่”

 
พี่สองเหลือบมองหน้าผมที่ซีดลงสองส่วน ก่อนที่ร่างสูงชะลูดตามกรรมพันธุ์จะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผม เขายิ้มนัยน์ตาส่งให้ ก่อนจะคว้าข้อมือผมไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างข้างกัน

 
“ผมพาน้องมารู้จักแม่กับแด๊ด”

 
น้าษาขมวดคิ้ว

 
“ไม่ใช่ว่ารู้จักอยู่แล้วเหรอ”

 
“ฐานะใหม่ครับแม่” พี่สองอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผมกำลังเหงื่อแตกซิกๆ แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อ พยายามปั้นหน้านิ่ง เหลือบมองเสี้ยวหน้าของพี่สองที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

 
“ก็เอาสิ”


พี่สองหันมามองหน้าผม ก่อนจะหันไปสบตากับน้าษา

 
“น๊อต...แฟนผมครับ”

 
ตุบ!

 
ผมเหลือบมองน้าแซมที่กำลังยื่นมือเก็บรีโมทที่เผลอทำหลุดมือเมื่อกี้แล้วเก็บสายตากลับ หลุบตามองพื้น มือกำกางเกงแน่น

 
“ลูกหมายถึงบอยเฟรนด์?”

 
น้าษาถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

 
“He’s my boyfriend”

 
ไม่รู้ว่าผมกังวลจนหูอื้อไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินพี่สองตอบแม่ตัวเองไปแบบนั้น

 
“Oh Shit! พระเจ้า” น้าแซมมองหน้าลูกชายตัวเองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

 
ผมเหลือบมองปฏิกิริยาของน้าษาแล้วกุมมือตัวเองไม่ให้สั่นจนคนอื่นสังเกตเห็น น้าษาหลับตาแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดยาวแล้วลืมตาขึ้นมองตรงมาที่ผม

 
“แม่ขอคุยกับน๊อตตามลำพัง”

 
“มัม!!!” พี่สองเรียกคุณน้าด้วยภาษาอังกฤษ

 
“Shut up! Go away now” มือเรียวขาวชี้ไปที่ประตู

 
พี่สองดื้อแพ่ง นั่งปักหลักอยู่ที่เดิมจนคุณน้าโกรธหน้าแดง ก่อนจะหันไปมองน้าแซมน้ำตาคลอ น้าแซมมองหน้าภรรยาสลับกับลูกชายคนเดียว

 
“Hey boy”

 
น้าแซมเรียกลูกชายตัวเองสั้นๆ แต่ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร พี่สองมองหน้าผมด้วยความลำบากใจ ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจในที่สุด

 
“พี่ไปเถอะ ผมไม่เป็นไร”

 
“แน่นะ”

 
ผมพยักหน้า ทั้งที่ไม่มั่นใจสักนิด

 
พี่สองลุกเดินออกไปนอกห้องโดยไม่หันกลับมา น้าษาขยับมานั่งฝั่งตรงข้ามกับผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตา น้าแซมไม่ได้พูดอะไรแต่นั่งกดดันผมทางอ้อม

 
“จริงหรือเปล่าที่สองพูด ตอบน้ามาตามตรง ถ้าโดนบังคับก็บอกน้า น้าจะจัดการลูกชายของน้าเอง น๊อตไม่ต้องกลัว” ผมใจเต้นตึกตัก คนที่เป็นฝ่ายล่อลวงคงจะเป็นผมเองกระมังครับคุณน้า ไม่ใช่ลูกชายของคุณน้า

 
น้าษายื่นมือมากุมมือผมที่วางไว้บนตัก


“ว่ายังไงลูก น๊อตก็ดูปกติดี ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย”

 
“ผม...” ผมเม้มปาก สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “ผมขอโทษครับน้าษา”

 
“ที่สองพูดคือเรื่องจริงสินะ”

 
ผมก้มหน้าไม่ตอบ

 
“ผู้ชายทั้งคู่จะรักกันได้ยังไง น้าไม่เห็นด้วย”

 
ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ยิ่งกว่าตอนโดนเฮียมอสแกล้งบอกว่าสอบไม่ติดเสียอีก ผมไม่กล้าสบตาน้าษาด้วยซ้ำ

 
“ครอบครัวของน๊อตก็ยังไม่รู้ใช่มั้ย”

 
ก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่ลำคอ ผมพยายามกลืนมันลงไป ก่อนจะส่ายหัวยอมรับ ในใจลึกๆ นึกโทษพี่สองที่ลากผมมาทั้งที่ผมยังไม่พร้อม อะไรหลายอย่างก็ยังไม่มั่นคงด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาบอกผมว่ามันจะไม่เป็นไรแท้ๆ

 
“เลิกได้มั้ย”

 
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาน้าษาทันทีที่ฟังประโยคคำถามจบ น้าษาหน้านิ่งสนิท น้าแซมก็มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

 
“ผมขอโทษครับ แต่ผมสัญญากับพี่สองไว้แล้วว่าถ้าเป็นเรื่องของเรา...ผมจะตัดสินใจเองคนเดียวไมได้ ขอโทษจริงๆ ครับคุณน้า”

 
“น๊อตชอบลูกชายน้าตรงไหน หล่อ รวย ช่างเอาใจใช่มั้ย”

 
“ถ้าเป็นพี่สองผมก็รับได้ทั้งหมดเลย”

 
“หืม?”

 
“ผมตอบไม่ได้ว่าชอบเขาที่ตรงไหน แต่ทั้งหมดที่เป็นเขาผมชอบหมดเลย” ทั้งความเอาใจใส่ ความใจดี ความเก่ง ความดี ความปากหนัก ความขี้หวงหลบใน ทั้งหมดนั่นเลย

 
“ตกลงว่าจะไม่ยอมเลิกใช่มั้ย”

 
น้าษาพูดเสียงสั่น กระฉากใจผมแทบหลุดออกมา

 
“ว่ายังไง”

 
ผมผงกหัว ก้มหน้าชิดคาง หางตาเห็นเงาร่างคนลุกขึ้น

 
“งั้นก็ไม่ต้องเลิก”

 
เห...

 
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นน้าษานั่งยิ้ม ใบหน้าเป็นปกติไร้แววเคร่งเครียดเหมือนเมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ น้าแซมเดินนำพี่สองเข้ามาในห้อง พอเห็นหน้าพี่สองผมก็รู้สึกอยากร้องไห้แปลกๆ แต่ต้องกลั้นเอาไว้

 
พี่สองเดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผมในท่าคุกเข่า เขายื่นมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปหาน้าษาที่กระซิบกระซาบอยู่กับน้าแซม

 
“แม่แกล้งแฟนผมแรงไปแล้ว”

 
ดะ...เดี๋ยวนะ

 
“มีแฟนแล้วลืมแม่” น้าษาตอบกลับเสียงขึ้นจมูก

 
“ทีเวลาแม่อยู่กับแด๊ด แม่ยังลืมผมเลย” พี่สองเถียงกลับ เขาเลื่อนมือมาจับมือผมแล้วบีบส่งความอบอุ่นมาให้

 
“ไม่มีอะไรแล้ว แม่แค่อยากแกล้งรับขวัญ”

 
“ฮะ?”

 
น้าษาเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างผม แล้วอ้าแขนกอด “ยินดีต้อนรับนะคะน้องน๊อต ทีแรกน้าก็ว่าจะแกล้งแค่นิดเดียวเพราะสองขอไว้ แต่พอเห็นหน้าซีดๆ ของเราแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ไม่โกรธน้านะ”

 
ผมมองพี่สองที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ แล้วมองเลยไปที่น้าแซมที่ส่งยิ้มใจดีมาให้เช่นกัน

 
“ขอบคุณครับน้าษา”

 
ผมยิ้มกว้าง โล่งใจจนอยากร้องไห้



Talk : มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง วุฮ่าๆ





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ใจน๊อตไปกองอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สำเร็จ.........ด้านพ่อแม่พี่สอง  :katai2-1:
ทำเอาใจหายใจคว่ำไปเลย ช่างแกล้งนะ  :z3: :sad4: :เฮ้อ:

โม นางสวย แต่ก็แปลกๆ  :really2:
มีอะไรที่สมองไม่สมกับความสวยของนาง  o22
เหมือนระบบตวามคิดนางเอียงกะเท่เร่
นี่ถ้านางไม่พาแฟนใหม่มาเยาะเย้ยสอง
นางคงกินแฟนใหม่เพลินไปแล้ว
เอ๊..........หรือเป็นโชคของอิฐกันนะ  ได้ไฟน์ สดใหม่ไปเป็นแฟน o18
เหมือนอิฐ เล็งไฟน์มานานแล้ว แต่ไฟน์ไม่รู้    :really2:
เลยเข้าทางอิฐจังเบอร์   :m20: :laugh: :pigha2:

พี่สอง  น๊อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
แม่กับแด๊ดน่ารัก แกล้งลูกสะใภ้หนักกว่าลูกชายตัวเองซะอีก
ครอบครับสุขสันต์
 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 ใจหายใจคว่ำไปหมดเลย คิดว่าแม่พี่สองจะให้เลิกจริงๆแล้วซะอีก

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 12
«ตอบ #41 เมื่อ20-11-2018 13:25:36 »


เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก


การไปกินข้าวกับครอบครัวของพี่สองในสถานะใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น (แม้ผมจะแทบหัวใจวายตาย) หลังจากที่โดนน้าษาแกล้งจนน้ำตาซึม พี่สองก็ลูบหัวปลอบผม ก่อนจะเฉลยด้วยรอยยิ้มว่าน้าษาจับได้นานแล้วแต่ไม่เปิดโปง รอให้พี่สองเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง

 
พี่สองแอบบอกผมว่าโดนพ่อต่อยไปหนึ่งที


ตั้งแต่มีแฟนชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ที่เคยกำเริบบ่อยครั้ง เพราะการเอาใจใส่ของพี่สองทำให้ตั้งแต่คบกันมาผมต้องกินยาแก้แพ้แค่สามครั้ง นับเป็นสถิติใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

 
อาทิตย์ที่แล้วผมไปเยี่ยมพี่ซันที่โรงพยาบาลพร้อมกับพี่สอง เพราะเกิดเรื่องกับน้องบีทส์ พี่ซันวิ่งพล่านเหมือนหมาโดนน้ำร้อน ขอความช่วยเหลือจากพี่ๆ จนติดหนี้บุญคุณชาวบ้านเขาไปตั้งเท่าไหร่ผมก็ยากจะหาคำตอบได้ บอกตามตรงว่าผมโคตรตกใจที่คนก่อเรื่องคือพี่เจ


ช่วงเวลาที่ผมรอฟังข่าวอยู่ที่ห้องพร้อมกับไอ้เวล เป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานใจที่สุด จนกระทั่งพี่สองโทรมาให้ผมไปเจอที่โรงพยาบาล ผมก็ดิ่งไปแทบจะทันที
 

น้องบีทส์ปลอดภัยดี แต่ต้องนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล ส่วนพี่ซันบาดเจ็บภายใน พอส่งน้องบีทส์ถึงมือหมอปุ๊บ ก็ล้มทั้งยืน โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นสาหัส หมอสั่งให้นอนโรงพยาบาล มีแม่พี่อาร์ตเป็นหมอเจ้าของไข้
 

กว่าจะผ่านเรื่องดราม่ามาได้เล่นเอาผมลุ้นจนเหนื่อย

 
“น๊อต”


ผมหันไปเลิกคิ้วใส่คนเรียก วางเกมในมือ พี่สองเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เขาเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเมื่อตอนหกโมงเย็น ถึงห้องก็ปีนขึ้นเตียงนอน ตื่นขึ้นมาอีกทีราวๆ สองทุ่ม

 
“หยิบชุดให้สักชุดสิ”

 
ผมเบ๋ปากเมื่อได้ยินคำสั่ง ลงจากเตียงไปที่ตู้เสื้อผ้า “อยากได้แบบไหน”

 
“ยืดยีนส์”


ผมหยิบกางเกงตัวโปรดของพี่สองพร้อมกับเสื้อยืดสีดำออกมาหนึ่งชุด เดินกลับไปยื่นให้พี่สองที่นั่งเช็คมือถือผมอยู่ที่ปลายเตียง

 
เผลอไม่เคยได้ ไม่รู้จะระแวงอะไรนัก

 
“มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

 
พี่สองเงยหน้าขึ้นมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนดูอินสตาแกรมส่วนตัวของผม

 
“เห็นว่าเพิ่งไปกินชาบูกับเพื่อนมา”


ผมพยายามนึกถึงหน้าเพื่อนที่ไปด้วยกัน ผู้สามารถจุดประกายความไม่พอใจเล็กๆ ให้พี่สองได้ ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลตัดทิ้ง ยิ่งพี่หินยิ่งแล้วใหญ่ เหลือก็แค่ไอ้ธรรศ ไอ้เหิน และสุดท้ายคือเก้าหญิงสาวคนเดียวที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยความบังเอิญ

 
“พี่หินเลี้ยงที่ได้เลื่อนขั้น ไอ้เวลเลยชวน” ผมอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดงานเลี้ยง

 
“เหรอ”

 
ผมมองหน้าพี่สองเกร็งๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาเงียบๆ

 
พี่สองยื่นมือถือส่งคืนให้ผม หลังจากเงียบไปพักใหญ่ “เพื่อนมึงมันคิดไม่ซื่อ” เขาพูดเปรยๆ พลางลุกขึ้นแต่งตัว

 
“เอาที่ไหนมาพูด”

 
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่” เขายักไหล่ “ไปแต่งตัวไป เปลี่ยนแค่กางเกงก็ได้ ไอ้ซันนัดเจอ”

 
ผมขมวดคิ้ว

 
“พี่ไม่ไว้ใจผมเหรอ”


พี่สองที่หัวเพิ่งโผล่จากคอเสื้อหันมามองผม เหมือนแปลกใจที่ได้ยินคำถามนี้ แต่ก็ยอมตอบ “ไม่ใช่เรื่องของความไม่ไว้ใจ แต่แฟนใครใครก็หวงทั้งนั้น”

 
ผมหลุบตามองพื้นหันหน้าเข้ากำแพง

 
ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงคนเคลื่อนไหวดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ด้านหลังผม

 
“เขินก็หันหน้าเข้ากำแพง โกรธก็หันหน้าเข้ากำแพง”

 
เสียงเย้าดังอยู่ข้างหู

 
ผมรีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับพี่สอง เปลี่ยนเรื่องพูดทันทีทันใด “พรุ่งนี้เช้าผมต้องกลับบ้านนะ” พี่สองยิ้มรับ ยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่ง

 
“เดี๋ยวไปส่ง”

 
หลังจากแต่งตัวเสร็จ พี่สองก็ขับรถพาผมไปยังสถานที่นัดหมาย เมื่อไปถึงพี่สองโทรหาพี่ซันเพื่อถามหมายเลขโต๊ะที่นั่ง ก่อนจะเดินนำผมเข้าไป โดยมีสายตาหลายคู่มองมาที่เราอย่างสนใจ

 
สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะมีสายตาใครสักคนจับจ้องมาที่เรา คล้ายกับเวลาเราอยู่ในห้องเรียนแล้วเพื่อนก็ขออนุญาตเข้าห้องมาทีหลัง รู้จักหรือไม่รู้จัก ก็ดึงความสนใจจากเราให้หันไปมองได้

 
ผมเรียกมันว่าปฏิกิริยาอัตโนมัติ

 
เพียงแต่...

 
ไอ้คนที่เดินนำผมอยู่ตอนนี้ดันเซ็ตผมมาซะหล่อเลย สาวๆ หลายคนเลยมีท่าทีสนอกสนใจพุ่งมา ผมกับพี่สองเดินถึงโต๊ะที่มีพี่ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมก็ยกมือไหว้ไล่ตั้งแต่ พี่อั๊ต พี่แทน พี่ปลื้ม พี่อาร์ต พี่โต้ง พี่บาส

 
“ไอ้คู่นี้มันยังไง ตัวติดกันอย่างกับตังเม”

 
พี่บาสแซ็ว ผมเหลือบมองพี่สอง เห็นเขายิ้มตอบเพื่อนแทนคำพูด ก่อนจะตบเบาะข้างตัว ส่งสัญญาณให้ผมนั่ง

 
“ให้มันจูบปากกันให้ดูก็รู้แล้ว”

 
พี่ปลื้มออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ จนผมต้องชั่งน้ำหนักในใจว่าพี่มันแค่แซ็วหรือว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

 
“จูบมั้ย”

 
พี่สองหันมาถามผมรับมุก ก่อนจะรับแก้วจากพี่ซันแล้วชนกันดังเกร๊ง ผมส่งค้อนให้เขาประหลับปะเหลือก ก็รู้ว่าเพื่อนชอบแกล้งผม แทนที่จะปรามเพื่อนสักหน่อย

 
“สอยลูกเจ้าของร้านทองจนได้สินะมึง เพื่อนกูกำลังจะเป็นหนูตกถังข้าวสาร”

 
“ข้าวสารพ่อง” พี่สองด่าพลางเขวี้ยงน้ำแข็งใส่พี่บาส ไอ้พี่บาสก็มุดหัวหลบอุตลุด ฮ่าๆ

 
พี่ซันหันมามองผมสีหน้าจริงจังจนผมต้องวางแก้วเหล้าในมือ “มึงโดนเพื่อนกูล่อลวงหรือเปล่าน๊อต กูให้โอกาสมึงเลือกในฐานะน้องกู ถ้ามึงไม่เต็มใจมึงมีสิทธิ์ที่จะถอนตัวตอนนี้ แล้วกูจะไม่ให้เพื่อนกูไปวุ่นวายกับมึงอีก” เขาเหลือบมองหน้าพี่สอง ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ผมอีกครั้ง

 
ผมมองหน้าพี่รหัสตัวเองด้วยความซาบซึ้ง

 
แต่ว่า...

 
“น้องมึงต่างหากที่เป็นฝ่ายล่อลวงกู” พี่สองทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง ผมเม้มปาก หลุบตามองแก้วเหล้าตัวเองตรงหน้า แม้จะรู้ว่ามันคือความจริงแต่มันก็อดเขินไม่ได้โว้ย!

 
“โอ้ ดูท่าไอ้สองจะเสียหมาว่ะ” พี่อาร์ตหัวเราะ หันไปชนแก้วกับพี่อั๊ต


“ผิดคาดสุดๆ” พี่อั๊ตพยักหน้าเออออ


พี่ซันมองหน้าผมด้วยสายตาอึ้งกิมกี่ ก่อนจะยกมือตบหน้าผาก “โธ่ เพื่อนกู”


ผมกระพริบตาใสซื่อไร้ความผิด ก่อนจะหยิบข้าวเกรียบมาใส่ปากแก้เก้อ อย่าพูดอะไรจะดีกว่า พูดไปก็เข้าตัว เพราะฉะนั้น...เงียบปากไว้เถอะ

 
พี่สองยิ้มรู้ทัน เขายื่นมือมายีหัวผม ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ซัน “แล้วนี่มึงหนีเที่ยวได้ไง”

 
พี่ซันยักไหล่ “ไม่ได้หนี มีเมียนะครับไม่ได้มีผู้คุมส่วนตัว ขอมาดีๆ กูก็มาได้” ผมกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ซัน ไม่กล้าหัวเราะดังเหมือนพี่อาร์ตกับพี่บาส

 
“ไอ้สัด กูนึกว่าจะแน่” พี่สองด่าขำๆ


“เมียมันเด็กดีจะตายชัก” พี่โต้งจุ๊ปาก

 
พี่ซันพยักหน้าสารภาพ เหมือนไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ “แม่เขาเลี้ยงมาดี”

 
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ซัน น้องเป็นเด็กผู้ชายที่ร่าเริง ขี้เล่น บางทีชอบอ้อนด้วย อยู่ใกล้แล้วสบายใจ ไม่แปลกใจที่ชนมนุษย์หินอย่างพี่ซันซะแตกกระเจิง พี่สองยังเคยเปรยกับผมเล่นๆ เลยว่าอยากมีน้องชายแบบบีทส์


“มึงบอกที่บ้านแล้วเหรอ” พี่อาร์ตเปรยถามพี่สอง พลางก้มกดแอพลิเคชั่นไลน์ในมือถือ ให้เดาคงเป็นแฟน แต่ไม่ยักพามาเปิดตัว

 
พี่สองเลิกคิ้ว เหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะตอบเมื่อผมพยักหน้าให้เขาเบาๆ “พาไปเจอแม่กับแด๊ดมาแล้ว”


“เช็ดโด้”


พี่ๆ อุทานพร้อมกัน


พี่สองยักคิ้ว ยื่นมือมาเกี่ยวคอผมไปกอดหลวมๆ


“กูจริงจัง”

 
คำพูดของพี่สองเรียกเสียงโห่จากคนในโต๊ะ ผมดิ้นส่งสัญญาณให้เขาปล่อย พี่สองหัวเราะยอมปล่อยมือ ผมรู้ว่าเขาแค่แหย่เพื่อนของเขา ไม่ได้คิดจะประกาศความเป็นเจ้าของอะไรหรอก


ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเกม ปล่อยให้พี่สองคุยกับเพื่อนๆ อย่างรู้มารยาท เท่าที่ได้ยินผ่านๆ พี่ซันนัดทุกคนมาที่นี่ก็เพราะอยากเลี้ยงขอบคุณอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังรวบการเลี้ยงส่งพี่โต้งที่กำลังจะบินไปเรียนต่อโทบริหารฯ ที่อังกฤษ


สี่ทุ่มพี่บาสขอตัวออกไปก่อนเป็นคนแรกพร้อมกับหญิงสาวท่าทางน่ารักคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ถัดจากนั้นไม่นานพี่แทนกับพี่ปลื้มก็ขอตัวกลับเพราะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดในเช้าวันรุ่งขึ้น พี่ซันออกไปคุยโทรศัพท์ พี่สองกำลังไปเคลียร์บิลแทนพี่รหัสผม


“อาร์ต มึงยังไม่เลิกกินเด็กอีกเหรอ”

 
พี่โต้งโพล่งถามพี่อาร์ตที่กำลังพิมพ์แชทสนทนาด้วยรอยยิ้มติดมุมปาก
           

“หือ?”


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไอ้สัด”


พี่อาร์ตเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “มีความสุขจะให้กูร้องไห้เหรอ”


พี่โต้งหัวเราะหึๆ หันมาถามผมด้วยความคะนองปาก “มึงล่ะไอ้ตี๋ มีแฟนเป็นผู้ชายรู้สึกยังไง” แต่ผมกลับไม่รู้สึกขำด้วยสักนิด

 
ผมส่งยิ้มเจื่อนให้คำถามเขา ถ้าเป็นคนอื่นที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วยมากพอ ผมคงขำใส่แล้วกวนตีนกลับไปว่า ‘ก็ดีนะครับ โดนทะลวงประตูหลังก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ ดี’


“ไอ้โต้ง” พี่อาร์ตปรามเพื่อนทั้งเสียงและสายตา


พี่โต้งยักไหล่ “เรียกทำไม” แล้วหันมาส่งยิ้มเลวๆ ให้ผมหนึ่งที


“อย่าให้ไอ้สองรู้เชียวว่ามึงปากหมาใส่เด็กมัน”


แผ่นหลังผมชื้นเหงื่อ รู้สึกติดลบกับสายตาของพี่โต้ง ภาวนาให้พี่สองกลับมาเร็วๆ ผมไม่ได้สนิทกับเพื่อนที่สนามของพี่รหัสมากพอจะที่ต่อปากต่อคำ ไปเช็คบิลหรือไปช่วยเขาเก็บร้านวะ นานฉิบหาย


พี่โต้งหันไปเลิกคิ้วให้พี่อาร์ต สายตาของทั้งคู่จ้องสบกัน

 
“ไม่เป็นไรหรอกพี่” ผมรีบออกตัวเพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เพื่อนสองคนสาดน้ำแข็งใส่กัน พี่อาร์ตหันมามองหน้าผม ก่อนจะสั่งผมให้เงียบปากทางสายตา ผมเลยก้มหน้าหยิบมือถือออกมาเล่นเกม


“มึงจะฟ้องมันว่างั้น?” พี่โต้งเลิกคิ้วกวน


“กูเตือนดีๆ”


ผมเม้มปาก เพ่งสมาธิกับเกมที่เล่นอยู่ พยายามไม่สนใจบทสนทนาที่แสนจะเย็นเหยือกของพี่อาร์ตกับพี่โต้ง ดูเหมือนว่าพี่โต้งจะไม่ชอบผมซะแล้ว ผมแอบยักไหล่


ในเมื่อไม่ชอบก็แค่ต่างคนต่างอยู่
 

“เฮอะ”


พี่โต้งกระชากเสียง ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกแล้ววางกระแทกโต๊ะจนผมสะดุ้ง


“กูกลับละ"
 

พี่โต้งลุกขึ้นยืน สายตาเขามองต่ำมาที่ผม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโดยไม่รอเสียงตอบรับจากพี่อาร์ต ผมมองตามแผ่นหลังของพี่โต้งจนแผ่นหลังนั้นหายไป จึงดึงสายตากลับ พี่อาร์ตถอนหายใจ ไม่พูดอะไรต่อ
 

ไม่นานหลังจากนั้นพี่สองก็เดินกลับมา


“เกิดอะไรขึ้น” เขาเลิกคิ้วถาม


“เปล่านี่” ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

 
“สีหน้ามึงดูไม่ดี ไม่สบายเหรอ หรือว่าปวดหัว” พี่สองถามน้ำเสียงห่วงใย ผมลอบสบตากับพี่อาร์ต “ทำไม ไอ้อาร์ตแกล้งอะไร” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธ เมื่อพี่สองหันไปทำสีหน้าเอาเรื่องกับพี่อาร์ต ไอ้พี่นี่ก็ขี้แกล้งจริง


“หัวเน่าเลยนะกูเนี่ย” พี่อาร์ตชี้เข้าหาตัวเองขำๆ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังเปลี่ยนเรื่อง “กูว่าไอ้โต้งมันแปลกๆ นะ” เขาเกริ่น มองหน้าพี่สองไปด้วย พี่สองเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเอง แล้วเหลือบมองผม


“ไอ้โต้งสินะ”


ผมทำหน้าอ้ำอึ้ง รู้สึกทึ่งในมิตรภาพของพี่อาร์ตกับพี่สอง รู้อยู่หรอกว่าทั้งพี่รหัสผม พี่อาร์ตแล้วก็พี่สองสนิทกันมาก แต่ผมรู้ดีว่ากับพี่โต้ง พี่บาสและพี่ๆ ที่สนามคนอื่นๆ ก็สนิทกับกลุ่มพี่ซัน


เมื่อกี้ผมยังได้ยินเต็มสองหูว่าพี่อาร์ตเตือนพี่โต้งว่าอย่าทำให้พี่สองรู้อยู่ชัดๆ

 
แต่ตัวเองดันเป็นคนบอกเองซะงั้น!!
 

พี่สองหัวเราะ ยื่นมือมาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

 
ผมส่ายหัว “อย่าเลย ผมไม่ได้เป็นอะไร”
 

พี่สองทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่...


“ไอ้เหี้ยอย่า! สงบสติอารมณ์ก่อน”


ผมหันไปมองตามเสียง เมื่อได้ยินเสียงห้ามปรามกันดังเข้ามาแทรกบทสนทนาของผมกับพี่สอง ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงคุ้นตาที่เดินหน้าตึงเข้ามาที่โต๊ะของเรา
 

ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างนั้นชัดขึ้น


“เฮียน่าน!” ผมอุทาน ในขณะเดียวกันเฮียก็เดินมาถึงตัวผม เขากระชากแขนผมขึ้นทีเดียวผมก็ลอยไปอยู่ข้างเฮียแล้ว เพื่อนเฮียที่ตามมาห้ามก็ยืนเป็นกองหนุนอยู่ด้านหลัง

 
พี่สองกับพี่อาร์ตลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน

 
“มึงคิดไม่ซื่อกับน้องกู เลวระยำ!” เฮียน่านขึ้นมึงกู มองหน้าพี่สองด้วยสายตาโกรธจัด ผมกำมือที่สั่นของตัวเองแน่น จากคำพูดของเฮียไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขารู้เรื่องที่ผมพยายามปกปิดแล้ว


เป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีเอาซะเลย


ผมไม่กล้ามองหน้าเฮียด้วยซ้ำ

 
“ผมคิดว่าเราต้องคุยกันอีกยาว”
 

พี่สองสบตาเฮียน่าน

 
“แหงอยู่แล้ว” เฮียน่านรับคำ แล้วหันมามองหน้าผม เขาขบฟันแน่น อ้ำอึ้ง อ้าๆ หุบๆ ปากอยู่หลายครั้ง ก่อนจะทำหน้าจนปัญญาใส่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น เห็นหน้าเฮียเหมือนเห็นผี”
 

“ฮะ...เฮีย” ผมปากคอสั่น ด้วยความกลัวจับจิต


ผมกลัวว่าเฮียจะโกรธแล้วเกลียดผม


เฮียน่านมองข้ามไหล่ผม หันไปคุยกับเพื่อน “พวกมึงไปสนุกต่อเถอะ กูมีเรื่องต้องทำ งานเลี้ยงมื้อนี้จดใส่บิลไว้ เดี๋ยวกูมาเคลียร์” พูดจบก็หันไปสบตาพี่สอง


“ไปที่ห้องมึงก็แล้วกัน”

 
ผมขยับไปยืนขวางหน้าเฮีย


"เฮีย...น๊อตขอเวลาแค่ห้านาที"


เฮียเบ๋หน้า
 

"แค่สามนาทีก็ได้" ผมชูสามนิ้วประกอบ ทำหน้าอ้อนวอนไปด้วย

 
"แค่สองนาทีเฮียจะไปรอตรงนู่น" เฮียชี้ไปที่ทางเลี้ยวก่อนถึงทางออก


"โอเค"

 
ผมหันมาสบตาพี่สอง พี่อาร์ตเดินเลี่ยงออกไป
 

"พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ผมเป็นคนล่อลวงพี่ ผมต้องรับผิดชอบ"

 
พี่สองเงียบมองหน้าผม
 

"จริงๆ นะ" ผมย้ำ


"ตอบคำถามพี่สักสองสามข้อ"


ผมพยักหน้า "ได้"
 

"พี่เป็นใคร"


แค่คำถามแรกก็ทำผมชะงัก ผมเหลือบมองเขา รู้ว่าคำตอบที่คนตรงหน้าต้องการคงไม่ใช่ประเภทว่า 'พี่คือพี่สองไงครับ'


"คิดนาน"


ผมเม้มริมฝีปาก "ฟะ...แฟน"
 

"ตอบให้เคลียร์"

 
"พี่เป็นแฟนผม"


"มึงคิดเล่นๆ กับพี่หรือเปล่า"


คราวนี้ผมตอบทันควัน "ผมจริงจังนะ"


ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ มันเหมือนกับว่าผมแค่อยากทดลองคบเขาคั่นเวลาไปงั้นๆ ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้ผู้ชายด้วยกันยึดอาณานิคมประตูหลังเล่นหรอก


"พี่ก็เหมือนกัน" เสียงหนักแน่นและจริงจังนั้นทำให้ผมชะงัก


"เพราะงั้นพี่ถึงต้องไปคุยกับพี่ชายมึงให้รู้เรื่อง" พี่สองให้เหตุผล


"แต่เราเพิ่งคบกันได้ไม่นานเอง" คบกันยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำถูกจับได้ โคตรไว

 
พี่สองส่ายหน้าไม่เห็นด้วย "อย่าลืมว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านั้นสามปี คิดว่าเรายังรู้จักกันได้ไม่ดีพออีกเหรอ" ผมไม่กล้าตอบว่า แก้ผ้าเดินในห้องก็ทำมาแล้ว
 

"ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ผมน่าจะเคลียร์กับทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน ก่อนที่ผมจะพาพี่ไปเจอ" เหมือนที่เขาเคยทำให้ผม

 
พี่สองมีสีหน้าจนใจ เขายกมือขึ้นมานวดขมับก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตาเคร่งขรึม

 
"ไม่อยากจะใช้คำนี้พูดกับมึงเลย ให้ตายสิน๊อต ช่วยสำเนียกตัวเองไว้ด้วยว่ามึงน่ะ...เมียกู เรื่องยุ่งยากของทางบ้านมึง มึงต้องปล่อยให้ผัวอย่างกูพิสูจน์ตัวเอง"

 
"..."
 

ผมหลุบตาลงก่อนจะกรอกตามองซ้ายมองขวา


"ถ้าอยากได้กำแพง มึงต้องเดินไปที่ห้องน้ำหรือไม่ก็ออกไปนอกร้าน" พี่สองพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

 
"เฮียผมโหดมากเลย" ผมพึมพำ

 
พี่สองมองข้ามไหล่ผมไป ก่อนจะเบนสายตากลับมามองผม "คงไม่เท่าป๊ามึง" ผมรีบพยักหน้าสมทบ


"ระดับเฮียคูณสาม" ผมชูสามนิ้ว


พี่สองหลุดหัวเราะ

 
"กูไม่กลัวที่จะเข้าถ้ำเสืออยู่แล้ว" เขายื่นมือมาเคาะหน้าผากผม "มันคุ้มพอ เพราะลูกเสือตัวนี้กูโคตรอยากได้"


"บ้าเอ้ยทำไมพี่ต้องชอบอ่อยให้ผมใจสั่นอยู่เรื่อย" ผมโอดครวญ

 
"ยังมีอะไรจะพูดอีกมั้ย"


ผมยิ้มแสร้งทำสีหน้าจนใจ "ช่างเถอะ ขู่ก็แล้ว ไล่ก็แล้ว พี่ก็ยังยืนยันคำเดิม แค่นี้ผมก็วางใจแล้ว"
 

พี่สองยิ้มชำเลืองมองด้านหลังผมอีกครั้ง


"ไปกันเถอะพี่มึงเริ่มอารมณ์บูดแล้ว"


ผมนั่งเงียบกริบอยู่ในรถเฮีย ระหว่างที่เฮียกำลังขับรถตามพี่สองกลับคอนโด


“น๊อต”


“...” ผมเม้มปาก


“หายใจด้วย”


ผมสูดอาการเข้าปอดลึกๆ ตามคำสั่ง


“กลัวอะไร”


“กลัวเฮียเกลียด"
 

เฮียเงียบไปอึดใจ


“ทำไมถึงคิดงั้น ถึงเฮียจะโกรธ แต่ไม่มีทางที่เฮียจะเกลียดน้องตัวเอง”

 
นับได้ไม่กี่ครั้งที่เฮียน่านจะทำให้ผมซาบซึ้งจนรู้สึกน้ำตาปริ่มที่หางตา ปกติเขาจะคอยแกล้งผมผสมโรงกับเฮียมอสไม่หยุดแล้วไม่ค่อยโอ๋ด้วย ไม่เหมือนเฮียมอสที่แกล้งไปแอบถือหางไป
 

“ถ้าป๊ากับม๊ารู้ ก็ต้องโกรธเหมือนกัน”
 

ผมนึกถึงใบหน้าใจดีของป๊ากับม๊า คนที่รักผมมากที่สุดในบ้านก็คือป๊า


“ลื้อเต็มใจหรือเปล่า”


ผมเม้มปาก พยักหน้ารับแทนคำตอบ


“น๊อตก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นะเฮีย รู้ตัวอีกทีก็ชอบเขาไปแล้ว” ผมสารภาพ พลางเหลือบมองป้ายคอนโดพี่สองที่อยู่ข้างหน้าแล้วกลืนน้ำลาย


“ยังชอบผู้หญิงได้อยู่ใช่มั้ย”
 

“เฮีย...”
 

“เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะตี๋เล็ก” เฮียตัดบทเสียงดุ ผมถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ขนาดเฮียน่านยังทำท่าจะรับไม่ได้ ไม่ต้องไปหวังถึงป๊าหรือเฮียมอสเลย


ยืนยันนอนยันได้เลยว่าเซย์โนแน่นอน
 

ถึงคอนโด เฮียน่านขับรถตามเข้าไปจอดข้างรถพี่สอง จากนั้นเราทั้งสามคนก็เดินตามกันเข้าลิฟท์เงียบๆ พอผมจะก้าวเข้าไปกระซิบกระซาบพี่สองหน่อย เฮียก็ดึงเสื้อผมไว้ จนผมเป็นฝ่ายยอมแพ้


พี่สองเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหยิบน้ำกับแก้วออกมาวางไว้บนโต๊ะ ผมเดินนำเฮียไปที่โซฟารับแขกแล้วนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม


เฮียน่านเลือกที่นั่งตรงข้ามผมแล้วกอดอกมอง เขาตวัดสายตามองพี่สองที่เดินมาลูบหัวผมก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งเดียวกัน

 
"ขอเนื้อๆ ไม่เอาน้ำ" เฮียน่านเปิดปาก


ผมเหลือบตามองพี่สองก่อนจะขอเล่าเรื่องเอง ผมเป็นฝ่ายล่อลวงพี่สองผมต้องรับผิดชอบ อีกอย่างผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี อันไหนเล่าได้เล่าไม่ได้ผมมั่นใจว่าตัวเองเดาไม่พลาด

 
ผมเล่าที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่สองคร่าวๆ เพราะบางส่วนเฮียรู้อยู่แล้ว อาทิเช่น พี่สองเป็นพี่เทคของผม จนกระทั่งผมชอบอีกฝ่ายก่อนและเผอิญพี่สองจับได้ทั้งยังตอบรับรักของผม เฮียน่านกอดอกฟังเงียบๆ มีเพียงแค่ตอนที่ผมสารภาพว่าชอบพี่สองก่อนเท่านั้นที่เฮียน่านยกมือขึ้นมาลูบหน้า


ผมเล่าจบก็หลุบตามองมือที่วางอยู่บนตัก

 
เกิดความเงียบขึ้นในขณะนั้น ผมใจสั่นจนรู้สึกว่าเหงื่อหลั่งออกมาจนฝ่ามือและแผ่นหลังเปียก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในห้องยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม

 
"คิดจะบอกป๊าเมื่อไหร่"


ผมกลั้นหายใจเมื่อฟังคำถามจบ


"ผมรอให้เขาพร้อม" พี่สองตอบเสียงหนักแน่น เขาไม่วอกแวกด้วยซ้ำตอนเฮียน่านมองเขาด้วยสายตาดุดัน

 
เฮียน่านเลื่อนสายตากลับมาจ้องหน้าผม


"..." แต่ผมไม่มีคำตอบ


พี่สองแสดงความหนักแน่นให้ผมมั่นใจ ครอบครัวเขาก็เปิดแขนต้อนรับผมอย่างดี ไม่มีท่าทีในทางลบให้ผมลำบากใจ กลับเป็นตัวผมที่ยังรักตัวเองมากกว่า


ผมยังมีความเห็นแก่ตัว เป็นความเห็นแก่ตัวที่พี่สองเรียกมันว่า ‘ความกลัวเพราะความรัก’ ผมกลัวที่จะทำให้ป๊าเสียใจ กลัวม๊ารับไม่ได้

 
เฮียน่านถอนหายใจหนักๆ "ตี๋เล็กเอ้ยยยย"
 

ผมเหลือบตามองเฮียน่านแล้วหลุบตาลง
 

"มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนสารภาพกับป๊าว่าแอบจิ๊กเงินไปซื้อเกมนี่"


"ขี้ขลาด"


เฮียน่านดุ


เออยอมรับก็ได้ว่าขี้ขลาด ผมมองหน้าเฮียงอนๆ พี่สองยื่นมือมาวางบนหลังมือผมแล้วออกแรงกระชับ

 
"ผมไม่ได้จะหลบๆ ซ่อนๆ แต่มันยังไม่ถึงเวลา ผมยังเรียนไม่จบ ไอ้น๊อตก็เหมือนกัน เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ผมยังไม่มีหน้าไปขอคบกับน้องชายพี่ต่อหน้าคนที่เลี้ยงดูลูกชายของตัวเองมาอย่างดี" พี่สองมองสบตากับเฮียน่านก่อนจะมองต่ำมาที่ผม "ตอนนี้ผมทำได้แค่พยายามดูแลคนของผมให้ดีด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเองอยู่ แต่สักวันที่ผมยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ผมจะไปขอน้องชายพี่มาดูแลด้วยตัวเอง"


เฮียน่านมองผมสลับกับพี่สองเงียบไปหลายอึดใจจนผมใจแป้ว


"ถ้าวันหนึ่งไอ้ตี๋มันสำนึกได้ว่ายังชอบผู้หญิงอยู่ล่ะ" ผมเงยหน้ามองเฮียด้วยความตระหนก ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัวแล้วส่ายหัวรัว พี่สองเลื่อนสายตาลงมามองผมแล้วส่งยิ้ม


"ผมจะยอมปล่อยมือ"

 
ผมเม้มปาก รู้สึกขัดใจกับคำตอบนี้ ตรงข้ามกับเฮียน่านที่ขานรับด้วยความพอใจ


“แต่ผมจะชดเชยให้เขาด้วยความรักและความเอาใจใส่ ทั้งหมดที่ผมมีเขาจะเป็นเจ้าของ ผมจะทำให้เขามีความสุขจนไม่รู้สึกขาดอะไร” พี่สองก็ยังคงชัดเจนทั้งคำพูดและการกระทำอยู่เสมอ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ผมมั่นใจว่าเชื่อใจเขาได้

 
"กลับกัน...ถ้าวันหนึ่งมึงพบว่าตัวเองเลือกทางผิด มึงจะปล่อยมือน้องกูแล้วเดินออกไปง่ายๆ หรือเปล่า" คำถามของเฮียทำให้ผมนึกอยากสลัดมือพี่สองออกแต่ดันดิ้นไม่หลุด


"ผมตอบเรื่องของอนาคตไม่ได้ แต่สาบานได้ว่าตราบใดที่เรายังคบกัน ผมจะไม่มองใคร"


“ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

 
“ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”


คนที่พี่สองสบตาด้วยคือผม




----------------------------------------

Talk :: ชอบไม่ชอบยังไง บอกกันได้นะคะ ขอบคุณทุกๆ กำลังแรงใจค่ะ




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปบอกพ่อกับแม่เลยน๊อต พี่สองยืนยันอย่างนี้   :hao3:

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พี่สองและน้องน็อตต้องฝ่าฟันไปได้เนอะ
มีความชัดเจน หนักแน่น
เปิดอกครั้งนี้ของให้พี่กลายมาเป็นแบ็คด้วยเลย กำลังขาดกองหนุน 55

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกง่าาา แต่เหมือนทล.เรื่องเดินเร็วไปหน่อย หรือจะไปเน้นเนื้อหาหนักในข่วงเป็นแฟนกัน เป็นกำลังใจให้น้องกะเฮียสองนาาา

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่โต้งนี่ยังไง ............
คิดไรๆกับพี่สองหรืเปล่า 
หรือแค่ปากเสีย ปากหมาเป็นปกติ  :fire: :angry2: :m31:

พี่สอง น่ารัก อบอุ่นมาก
ให้คำตอบเฮียน่านดี จนน็อตหงุดหงิดเรื่องถ้าน็อตเปลี่ยนไปชอบหญิง   :เฮ้อ:
คงยากเนาะ เพราะน็อตชอบพี่สองก่อน  :-[
พี่สอง  น็อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 13
«ตอบ #50 เมื่อ11-01-2019 16:22:30 »

ตอนพิเศษ - นายตรัยคุณ


ณ วัดหัวลำโพง


'ขอให้การผ่าตัดของแม่ผ่านไปด้วยดี แข็งแรงและออกจากโรงพยาบาลในเร็ววัน'


แม่ผมแอดมิทเพราะมีนัดผ่าตัดเดอร์มอยด์ซีสต์


"กูอยู่บนพระอุโบสถแล้วเนี่ย มึงขึ้นมาเลย"


ผมเหลือบมองคนที่รีบหยิบมือถือขึ้นมากดรับด้วยหางตา เหมือนมันเองก็รู้ตัวว่าถูกมอง มันหันมาส่งยิ้มเกรงใจให้แล้วพึมพำขอโทษ ผมรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั่น เหมือนเคยเห็นที่ไหน เลยลองส่งเสียงเรียกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง


"นี่"


เด็กนั่นหันมา ก่อนจะทำสีหน้าแปลกใจ


“กี่โมงแล้ว”


“สิบโมงสี่สิบห้าครับ”


ผมลอบมองใบหน้าอีกคนผ่านๆ มั่นใจในคำตอบ โลกกลมจริงแฮะ


“พี่...” ผมชะงักขา “อยู่วิศวะโยธา ม.NU ปะครับ”


ผมหันหลังกลับไป เขาทำสีหน้าไม่มั่นใจรอคอยคำตอบ พอได้คำตอบจากผมก็ทำสีหน้าดีอกดีใจ แถมยังโม้เรื่องที่จะสอบเข้าเรียนที่เดียวกับผมให้ได้


“ก็...ขอให้โชคดี”


ไม่รู้จะพูดอะไรไปได้ดีกว่าการกล่าวคำอวยพรอีกฝ่ายให้สมหวัง คนได้รับคำอวยพรยิ้มรับจนตาปิด เออ พอยิ้มแล้วน่าเอ็นดูขึ้นเป็นกอง


“พอจะมีมือถือมั้ย”


“เอ๋?”


“มือถือโดนล้วงน่ะ” เป็นความซวยบรรลัยของวัน


อีกฝ่ายทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ควักมือถือส่งให้ผมด้วยท่าทีระแวดระวัง ตากลมโตคู่นั้นเหลือบมองตามมือถือตัวเองตาไม่กระพริบ


“ฮัลโหล” ไอ้ซันกดรับ


“กูอยู่ที่วัดฝั่งตรงข้าม มึงอยู่ไหน”


“ไอ้สอง?”


“เออ”


“เอาเบอร์ใครโทรมาวะ กูเกือบไม่รับสายแล้วเนี่ย”


“เดี๋ยวเล่า”


“เออ กูวนหาที่จอดรถอยู่ มึงรีบข้ามฝั่งมาเลย”


“โอเค เจอกันมึง”


ผมกดวาง แล้วคืนโทรศัพท์คืนอีกฝ่าย “ขอบใจมาก”


คนมีน้ำใจยิ้มรับ ก่อนจะมองผ่านไปทางด้านหลังของผม ผมหันหลังมองตามสายตามันเด็กสองคนนั่นมองผมสลับกับเพื่อนตัวเองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมหันกลับมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขาอีกครั้ง แล้วเดินเลี่ยงออกมา


หึ
น๊อตผู้ครองโลก
เจอกันอีกแล้วนะ



สามปีที่แล้ว...


ร้านเบเกอรี่หน้าปากซอยทางเข้าโรงเรียนเป็นร้านประจำที่ผมชอบไปนั่งทำอารมณ์เงียบๆ สั่งโกโก้เย็นหนึ่งแก้ว นั่งแช่ในร้านเป็นชั่วโมงเพื่อหาแรงบันดาลใจในการถ่ายรูป


หรือไม่...ก็หาไอเดียเขียนคอลัมป์แนะนำเที่ยวเมืองไทยเป็นภาษาอังกฤษให้หนังสือที่น้าสาวร่วมหุ้นกับแม่ผมเปิดสำนักพิมพ์ รวมทั้งใช้นัดติวหนังสือกับกลุ่มเพื่อนสนิท


"มองอะไรวะ"


ไอ้ฮยอนอินหรือชื่อภาษาไทยคือพีรภาส ลูกครึ่งไทย-เกาหลีเพื่อนห้องเดียวกันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแนะนำรถ


"เปล่า"


ปากบอกว่าเปล่าแต่สายตาจับจ้องหญิงสาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางประชากรแน่นขนัดร่วมสิบคนในโต๊ะยาว ถัดจากโต๊ะผมไปหลายช่วงโต๊ะ


"ปีหน้าม.หกแล้วมึงจะเรียนอะไร"


ผมเก็บสายตากลับ หันมาโฟกัสที่หน้าหล่อสไตล์เกาหลีแต่สูงเป็นเปรตวัดสุทัศน์


"วิศวะ"


"อ่อ นึกว่าจะเดินสายกลาง" มันสื่อถึงอาชีพครู


"ไม่ใช่แนว ไปห้องน้ำแป๊บ"


ผมลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห้องน้ำที่เคยใช้บริการประจำเมื่อเห็นน้องคนนั้นลุกเดินไปทางห้องน้ำ พอเห็นเธอหายเข้าไปฝั่งห้องน้ำหญิง ผมก็ผลุบเข้าไปทำธุระที่ฝั่งห้องน้ำชาย


"ไอ้น๊อตมึงยังไม่คืนแผ่นน้องโซระกูเลยนะ"


เด็กผู้ชายคนที่อยู่ในห้องน้ำตะโกนออกมา


"เออไอ้สัส" คนที่ยืนฉี่อยู่ข้างผมรูดซิปกางเกงก่อนจะตอบเพื่อนเสียงกึ่งปรามกึ่งอับอาย "ทวงไม่รู้เวล่ำเวลา"


ผมกลั้นยิ้มรู้ว่าเขาอายผม เหลือบตาขึ้นสังเกตเครื่องแบบของเขาผ่านกระจกขณะล้างมือ ดูเหมือนเขาจะอยู่โรงเรียนเดียวกับคนที่ผมหมายตา


"คนนี้เด็ดจริงถึงจะอายุเยอะไปหน่อย พูดแล้วภาพลอยมาในหัว" คนในห้องน้ำยังไม่หยุดเพ้อถึงนางในเอวี


คนที่ยืนอยู่ข้างผมมันเหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่ง พอผมเลิกคิ้วให้ก็รีบหันหนี มันหันไปเหลือบมองห้องน้ำที่เพื่อนใช้ทำธุระ ก่อนจะเม้มปากแล้วตะโกนเสียงอับอาย "ไอ้ฟาย! ไอ้เหี้ยกูไปแล้วนะ" พูดจบก็เดินตัวตรงแน่วผ่านผมออกจากห้องน้ำไปพร้อมกับหูแดงๆ


ผมออกมายืนรอน้องผู้หญิงคนนั้นแล้วขอเบอร์โทร. เสียดายที่เธอขี้อายจนไม่กล้าให้ ผมเลยส่งยิ้มให้เธอแล้วเดินกลับโต๊ะ


"ทำไมรอยยิ้มเหี้ยแปลกๆ" ผมถามไอ้ฮยอนอินขณะทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวเดิม


มันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วทำสีหน้าซึนเดเระ "สองชินกู (เพื่อน) มึงตาฝาดแล้ว" มันเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อ "กูต้องไปแล้วเพื่อน ด่วนมากมื้อนี้กูเลี้ยงเอง" มันยักคิ้ว ส่งสายตาสื่อความหมายถึงธุระด่วนที่ว่า


ผมหัวเราะ ยกมือไล่มัน “เชิญไสหัวไป”


ผมนั่งอยู่ในร้านจนกระทั่งร้านใกล้ปิดถึงเก็บของแล้วกลับบ้าน


ผ่านไปสองอาทิตย์ผมก็เก็บไดอารี่เล่มหนึ่งได้ที่ป้ายรถเมล์ ไดอารี่เล่มนี้ถูกห่ออย่างดีปกติแล้วผมจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่เพราะชื่อหน้าปกนั่นกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผม


'น๊อตผู้ครองโลก'


ผมรู้สึกดีกับการยุ่งเรื่องชาวบ้านในครั้งนี้เพราะพอเปิดหน้าแรกก็เจอกับรูปๆ หนึ่งที่คุ้นหน้า ระหว่างเดินไปที่ร้านพี่นา ผมก็ฆ่าเวลาโดยการเปิดอ่านบันทึกในไดอารี่โดยไม่รู้สึกผิด


จวบจนกระทั่งหน้าสุดท้ายผมก็เดินถึงร้านเบเกอรี่จึงเขียนโน๊ตแปะถึงเจ้าของไดอารี่โดยระบุชื่อแทนตัวเองในกระดาษโน๊ตว่า 'ผู้คsองพิภพ' ฝากพี่เจ้าของร้านเอาไว้


เผื่อว่า 'น๊อตผู้ครองโลก' จะกลับมาที่ร้านแห่งนี้อีกครั้ง


พี่นาเล่าให้ฟังว่าตอนได้ไดอารี่คืน 'น๊อตผู้ครองโลก' คนนั้นถึงกับน้ำตาซึม หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของเขาอีกจนเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ จนกระทั่งเราบังเอิญไปเจอกันที่วัดหัวลำโพง เด็กนั่น...จำผมไม่ได้


ผมหวังว่าจะได้เจอเขาในวันเปิดเทอม


หนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม...


"สรุปงานไปถึงไหนแล้ว"


ไอ้ซันเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางหัวเสีย มันเพิ่งโดนพี่ปีสูงเรียกไปตำหนิ ความจริงเขาเรียกทั้งชั้นปี แต่เพื่อนผมมันชอบสวมบทพระเอกในคราบวายร้าย ทำเสียงเคร่งไล่เพื่อนออกมารอที่ใต้ตึก ส่วนตัวมันก็เดินท่อมๆ เข้าห้องประชุมไปคนเดียว


ไอ้ซันเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางอารมณ์ดี ใช่สิ...มันไม่ต้องคอยเก็กหน้าขรึมเหมือนพวกผม ต้องเท้าความสักเล็กน้อย...ตอนเปิดตัวพี่ว๊ากปีล่าสุดไอ้ซันมันดวงซวยท้องเสีย


ความซวยกว่าเลยมาตกที่ผมแทน


“ได้ทีมเกือบครบแล้ว ยังเหลืออีกตำแหน่งที่พวกกูต้องรอถามมึง” ผมเป็นตัวแทนสรุป เพราะโดยตำแหน่งแล้ว คนที่มีอำนาจรองจากไอ้ซัน ก็คือผม เอาเป็นว่าถ้ามันเกิดตายขึ้นมาในวันงาน ผมก็คือคนที่ต้องสวมหัวโขนแทนมัน


“ตำแหน่งอะไรวะ” ไอ้ซันเหลือบมองผม ขณะยกน้ำขึ้นกรอกลงคอ


“พี่เนียน”


มันขมวดคิ้ววางขวดน้ำ แล้วทำหน้าไม่เข้าใจว่าติดปัญหาที่ตรงไหน


“มึงจะรอทำไม ก็เลือกไปเลยสิ”


ผมมองหน้าไอ้ปอน ก่อนจะไล่สายตามองเพื่อนในโต๊ะ ซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันส่งสายตาโยนหน้าที่อธิบายมาให้ผม


“พวกกูเลือกแล้ว”


“แล้ว?”


“มึง”


“ฮะ?”


“มึง” ผมชี้นิ้วไปที่มัน “เหมาะสมที่สุด”


ไอ้ซันทำหน้าไม่เห็นด้วย “ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ”


“มีมึงคนเดียวที่โดดงานเปิดตัวพี่ว๊าก...”


“เดี๋ยว” ไอ้ซันยกมือห้าม “จำเป็นเหรอที่ต้องเป็นหนึ่งในพี่ว๊ากเท่านั้น ปีสองมีเยอะแยะ มึงแค่เลือกมาสักคน”


ผมมองหน้าไอ้เชน มันถอนหายใจ


“ซัน มึงลองคิดดูนะ มึงทนรับความกดดันได้ มึงรู้แผนงานของเรา รู้ว่าต้องทำอะไร รู้จักพลิกแผลงสถานการณ์ เวลามีคนสงสัยหรือมาถามอะไร มึงแค่ตีหน้านิ่งคนก็ไม่กล้าเซ้าซี้แล้ว”


ไอ้ซันเลิกคิ้วถามแนน


“แนนก็คิดเหมือนเชน”


“ไอ้ปอน บอกเหตุผลกูมาสักข้อ” ไอ้ซันหันไปกดดันไอ้ปอน


“มึงจะได้ไปดูลาดเลา ว่าใครที่เหมาะกับตำแหน่งเฮดว๊ากและผู้นำรุ่นปีล่าสุด มึงรู้...ว่าคนไหนที่เหมาะสม”


ไอ้ซันจิ๊ปาก


ผมรู้ว่าเหตุผลที่พวกเราพูดมา ล้วนฟังขึ้นทั้งหมด


“เออ...กูยอม”


เฮดว๊ากปีสองยกมือยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันหัวเสียเพราะเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฮดว๊าก แต่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย วันเปิดตัวพี่ว๊ากมันดันท้องเสีย ไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลตั้งสองวัน


พวกเราต่างก็ทุ่มเท และเตรียมงานกันอย่างหนัก เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ไอ้ซันย้ำเสมอว่าทุกกิจกรรมต้องอยู่ในกรอบ เราเป็นรุ่นพี่ที่อยากมอบสิ่งดีๆ ให้น้อง


ไม่ใช่เจ้าชีวิตที่สั่งให้น้องทำทุกอย่างเอาตามความสะใจ


เหมือนอย่างที่มันโดนตอนอยู่ปี 1


โชคดี...ที่เหตุการณ์ไม่ได้เข้าขั้นเลวร้าย เพราะเรื่องถึงหูพี่ปีสูงที่สุดเสียก่อน


ลึกๆ ในใจ ผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ ‘น๊อตผู้ครองโลก’


เด็กคนนั้นน่าสนใจ ผมไม่รู้ชื่อจริงของเขาจึงแอบดูไม่ได้ว่าเขาเป็นน้องรหัสของใคร ถ้าเขาได้เป็นน้องรหัสผมก็คงดี


วันแรกของการเข้าประชุมเชียร์


เช้านี้อากาศเย็นสบาย เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกลงมาอย่างหนัก โชคดีที่หยุดตกไปตอนเช้าตรู่ นาฬิกาส่งเสียงปลุกตอนหกโมงเช้า ผมลุกขึ้นนั่งพับผ้าห่มก่อนจะลุกออกจากเตียงไปชำระร่างกาย ชุดนักศึกษาจะแขวนเตรียมไว้ที่ตู้เสื้อผ้าทุกคืน ตอนเช้าก็หยิบใส่ได้เลย


แต่งตัวเสร็จ ผมก็คว้าเสื้อช็อปมาพาดบ่าหยิบมือถือปิดไฟและออกจากห้องนอนลงมายังชั้นล่างของบ้าน


"Good morning" คำทักทายสำเนียงอเมริกันขนานแท้ส่งมาก่อนที่ผมจะเดินไปถึงโต๊ะอาหาร เจ้าของร่างที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคนนี้คือเจ้าบ้านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อาศัยอีกที


ผู้ชายอเมริกันผมทองตัวโตแต่พูดภาษาไทยได้ชัดทีเดียว


แม่กับแด๊ดมีผมเป็นลูกคนเดียว หลังจากแท้งครั้งแรก ก็พยายามที่จะมีลูกต่อ พอมีผม แม่ก็ไม่เคยตั้งท้องอีก เคยไปปรึกษาหมอเฉพาะทางก็เหมือนเดิม สาเหตุเกิดจากมดลูกของแม่


"อรุณสวัสดิ์ครับแด๊ดอรุณสวัสดิ์ครับแม่" ผมทักทายกลับเป็นภาษาไทย แม่เอี้ยวตัวมาส่งยิ้มก่อนจะหันไปตักข้าวต้มใส่ชาม ผมทอดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านซ้ายมือแด๊ด


"ข้าวต้มร้อนๆ" แม่ส่งชามใบโตให้ผม ข้าวต้มโรยด้วยผักชีส่งกลิ่มหอมคลุ้ง


"ขอบคุณครับมัม"


"ไม่ต้องทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่เมียแด๊ด" แด๊ดวางหนังสือพิมพ์ในมือลง พลางแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึมมองผมสลับกับแม่


"เมียพ่อ...แต่แม่ผม"


แม่หัวเราะแล้วเติมน้ำส้มใส่แก้วให้แด๊ด


"I don’t care. She’s my wife (ไม่สน เธอเป็นเมียพ่อ)"


"งั้นจ่ายค่าแม่ผมมา" ผมแบมือ


"จะเรียกเท่าไหร่" พ่อรับมุก


"หมดตัว"


"ดีล/ดีล" ผมกับพ่อแท็กมือกัน


"OK. I give up (ผมยอมแพ้)"


ผมหันไปหาแม่ "มัม...เสียใจด้วย ผมคงแย่งมัมมาไม่ได้"


แด๊ดลุกขึ้นไปหอมแก้มแม่ตบมุกแสดงความเป็นเจ้าของก่อนจะออกไปเตรียมรถ เช้านี้ผมวางแผนจะไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับแด๊ด ด้านหลังรถอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์และลังกระดาษใส่ ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นของของผมหมดเลย


หลังจากช่วยแม่ทำความสะอาดครัว ผมก็รับหน้าที่ปิดบ้าน แด๊ดแวะส่งแม่ที่โรงเรียน ก่อนจะเลยไปส่งผมที่มหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นผมก็โทรตามเพื่อนให้มาช่วยขนของลงจากรถ พวกเรานัดรวมตัวกันที่ห้องกิจกรรม ไอ้ซันมาถึงตั้งแต่ไก่โห่ มันหยิบกระดาษที่เตรียมมาแจกให้พวกผมคนละแผ่น เป็นรายละเอียดของหน้าที่ที่ต้องทำของแต่ละคน


ไอ้ซันบรีฟงาน ก่อนจะหายหัวไปทำหน้าที่ของตัวเอง


ระหว่างรอพักเที่ยงแนนเดินหน้าเครียดเข้ามาหาผม อาหารที่สั่งไว้ทำไม่ทัน จึงต้องเร่งหาร้านใหม่ ไอ้ปอนรับอาสาขับรถออกไปซื้อ คนที่เหลือจึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้น้องทุกคนได้กินก่อน ส่วนรุ่นพี่ต้องรอกินทีหลังจนกว่าน้องทุกคนจะกินอิ่ม


ผมเดินออกมาจากห้องกิจกรรม เพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนเข้าประชุมเชียร์ในตอนบ่าย ระหว่างทางเจอเพลิน เธอรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวจึงหยิบน้ำใส่มือให้ขวดหนึ่งแล้วเล่าให้ฟังว่าน้องรหัสไอ้ซันเสียสละข้าวให้เพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็นั่งกลืนน้ำลาย


ผมรู้สึกแปลกใจ จึงถามหาคนที่ว่า เมื่อเพลินชี้มือไปที่ม้านั่งข้างตึกจึงอดเดินไปดูด้วยตัวเองไม่ได้ว่าน้องรหัสไอ้ซันหน้าตาเป็นยังไง


เผื่อจะยัดเยียดสักตำแหน่งให้รับผิดชอบ...


เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งแปลกใจ กระเป๋าเป้ที่ถูกวางไว้ข้างเจ้าของดูคุ้นตา คนที่นั่งซู้ดปากกินข้าวพลางใช้มือเป่าปาก เหงื่อบนหน้าผากแตกซิก ทำให้ผมเผลอหลุดเก็ก ยืนยิ้มมองมันอยู่ครู่ใหญ่


โลกกลมชะมัด ถ้ามันคือน้องรหัสไอ้ซัน ก็ต้องเป็นน้องเทคของผมด้วย


ผมยื่นน้ำไปตรงหน้า คนที่นั่งกินข้าวอยู่ชะงัก เงยหน้ามองผม ปากยังคาบช้อน ตากลมโตของมันกระพริบปริบๆ ก่อนจะยิ้มตาสระอิส่งมาให้ ได้พูดคุยกันนิดหน่อย ไอ้ซันก็เดินเข้ามา มันส่งสายตาไล่ผม ผมส่งยิ้มนัยน์ตาขำๆ ไปให้มันแล้วเดินออกมา


ไอ้ซันยืนรอน้องรหัสมันตั้งแต่เช้า เจอตัวปุ๊บก็ตามประกบปั๊บตามแผน


ระหว่างประชุมเชียร์ ไอ้น๊อตให้ความร่วมมือและกระตือรือร้นต่อทุกกิจกรรมจนผมอดยิ้มไม่ได้ พอถึงช่วงเวลาเริ่มแผน ผมก็เรียกไอ้ซันตามแผนการว๊ากวันนี้ มันทำหน้าตากวนตีน ไม่ยอมให้ความร่วมมือจนคนข้างๆ คอยดึงเสื้อมันหลายครั้ง


สงสารน้องรหัสมันจริงๆ


จะว่าซวยก็ซวย


คนที่โดนแกล้งไม่รู้ตัว แสดงสีหน้าจนใจใส่เพื่อนใหม่ ไอ้ซันก็ทำซึนไม่รับรู้ นัยน์ตามันพราวระยับ กลั้นขำ แล้วหันหนีไอ้น๊อตหลายครั้ง ไอ้คนน้องก็หน้าซีดแล้วซีดอีก


พอเลิกประชุมเชียร์ไอ้ซันก็โผล่มาที่ห้องกิจกรรม แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น ‘น้องรหัสไอ้ซัน’ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานชั้นปีสอง พวกไอ้ปอนเล่าสนุกสนาน เพราะไอ้น๊อตมันน่าแกล้งจริงๆ


‘น้องรหัสไอ้ซันแม่งเด็กเรียนโคตร’ ไอ้ปอนนินทา ผมเห็นด้วย บุคลิกไอ้น๊อตมันเนิร์ดจริง


‘น้องมันซวยเพราะมึงจับฉลากได้เขาเป็นน้องรหัส’ ไอ้เชนออกความเห็น ไอ้ซันแสดงสีหน้าผู้บริสุทธิ์ต่อคำกล่าวหา


‘แต่กูชอบนะ ปากนิด จมูกหน่อย ตี๋อินเทรน’ คนออกความเห็นวิ่งหลบขวดน้ำที่ไอ้ซันเขวี้ยงใส่หัว มันแก้ตัวว่าแค่ล้อเล่น แต่ไอ้ซันชี้หน้าด่าว่าอย่าแม้แต่จะคิด


ผมนึกขำ ตากลมโตใต้แว่นหนาๆ ของมัน มักจะเบิกกว้างขึ้นเวลาโดนสุ่มเรียก จากนั้นก็จะทำสีหน้ากลั้นใจเหมือนจะตายเสียให้ได้


ผมได้ข่าวว่ามันโดนแกล้งสารพัดตอนตามหาพี่รหัส โดยเฉพาะกลุ่มผมยิ่งแกล้งหนัก ไอ้ซันสั่งข้ามเด็ดขาดว่าห้ามใบ้และห้ามให้ความช่วยเหลือ


มันแกล้งน้องมันยันหยดสุดท้าย


สีหน้าตอนเจอพี่รหัสครั้งแรกของไอ้น๊อตจึงเรียกว่าช็อกตาตั้ง มันพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ต่างจากรอยยิ้มดีใจตอนที่มันรู้ว่าผมเป็นพี่เทคลิบลับ


ไอ้น๊อตเป็นคนมีน้ำใจ มันคอยช่วยเหลืองานพี่ๆ ตลอด ใครใช้อะไรก็ไม่ค่อยส่ายหน้าปฏิเสธ เดินผ่านขยะข้างทางมันยังก้มเก็บไปใส่ถังขยะ เป็นเด็กที่มีความกระตือรือล้นต่อสิ่งเร้าใหม่ๆ และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง


สมกับเป็น ‘น๊อตผู้ครองโลก’


ครั้งหนึ่งมันเคยวิ่งกลับไปเอาหนังสือให้เพื่อนทั้งที่ฝนตกหนัก แถมตัวเองก็ไม่มีร่ม จนวันรุ่งขึ้นก็ไข้ขึ้นสูง พอผมดุ มันก็เถียง ‘ป๊าสอนให้ผมมีความรับผิดชอบ’


แต่บางที...มันก็ชอบลนลานทำเสียเรื่อง


ตอนไอ้น๊อตอยู่ปีสอง เป็นครั้งแรกที่ไอ้ซันระเบิดอารมณ์ใส่น้องรหัส สาเหตุเกิดจากไอ้น๊อตทำรายงานผมหาย รายงานฉบับนั้นไอ้ซันยืมไปดูอ้างอิงแล้วฝากน้องรหัสมันไว้ก่อนจะไปลงแข่งบาส ทั้งเล่มทั้งไฟล์เลย


ตอนมันมาสารภาพหน้าโคตรซีด ตาก็แดง แต่เพื่อนผมมันฟิวส์ขาด ด่าไอ้น๊อตเปิง หวิดจะต่อยน้องมันด้วยถ้าผมไม่ห้ามไว้ซะก่อน


คืนนั้นมันหอบเสื้อผ้ามานอนค้างที่คอนโดผม มานั่งอดหลับอดนอนเป็นเพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเนื้อหาวิชานี้มันยังไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ


ตอนไอ้น๊อตเลิกกับแฟนคนแรก มันเฮิร์ทหนักมาก อ้อนวอนขอให้ผมไปช่วยง้อ แต่ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถเฉพาะบุคคล ไม่ควรให้มือที่สามเข้าไปยุ่ง เดี๋ยวแม่งจะยุ่งเข้าไปอีก มันเคืองที่ผมไม่ยอมช่วยอยู่เป็นเดือน จนไอ้ซันเบิ๊ดกะโหลกเข้าให้ เนื่องจากมันชอบทำหน้าประหลาดๆ ขัดแข้งขัดขาผม หลังจากโดนเบิ๊ดไปหนึ่งทีนั่นแหละ วิญญาณน้องเทคที่แสนดีของไอ้น๊อตถึงได้กลับเข้าร่าง


สามปีที่ได้รู้จักกันจริงจัง ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับคนๆ หนึ่งได้ขนาดนี้ ไอ้ซันชอบเหน็บผมบ่อยๆ ว่าลำเอียงถือแต่หางไอ้น๊อต ผมยังยิ้มขำๆ ใส่มันด้วยซ้ำ


จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเริ่มจับได้ว่าโดนแอบมองบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จากมองด้วยสายตาเคารพเทิดทูน แปรเปลี่ยนเป็นสายตาเคลิ้มฝัน จนบางครั้งอดไม่ได้ ต้องหยิบปากกามาเคาะหัวมันเรียกสติ


พอเห็นมันเขิน ผมก็แอบขำ


คนที่รู้จักกันมาสามปีเปลี่ยนไป ทำไมจะดูไม่ออก


หึๆ




----------------------------------------

Talk :: สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกท่านสุขสมหวัง สุขภาพแข็งแรง โบนัสงามๆ เพี้ยง!!




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ความในใจของอีพี่ สุดๆ  :hao3:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 14
«ตอบ #54 เมื่อ14-03-2019 18:14:30 »

เทคที่ 14 อย่าทำให้พี่เทคโกรธ (งานนี้มีเปลืองตัว) nc 2



ผมมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการซ้อมบาสก่อนที่พี่สองจะแวะมารับ ช่วงนี้ทีมบาสของเราลงซ้อมกันอย่างหนักเนื่องจากเวลาแข่งกระชั้นชิดเข้ามา อีกทั้งปีนี้พี่ซันประกาศต่อหน้าพวกเราทุกคนว่าถ้าไม่ได้แชมป์จะไล่เตะเรียงตัว


ไอ้พี่โหด!


สาเหตุที่ผมต้องมาซ้อมบาสเป็นประจำก็มาจากการที่ผมเกาะติดพี่สองหนึบ ทำให้ฝีมือการเล่นบาสของผมพัฒนาจนติดเป็นตัวสำรองของทีมบาสคณะ เป็นความภาคภูมิใจที่ผมอวดให้ป๊าฟังแล้วฟังอีกก็ไม่เบื่อ


"ตอนนี้มึงคบใครอยู่ปะ"


มือผมที่กำลังเช็ดหน้าอยู่ชะงัก ไอ้ธรรศเลิกคิ้วมองผม ท่าทางมันดูคาดหวังในคำตอบ จนผมใจเต้นตึกตัก ผมเม้มปากทำเฉไฉมองนู่นนี่ แต่ไอ้คนถามมันไม่ล้มเลิกความอยากรู้จนผมทนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไม่ไหว


"อยากรู้ไปทำไม"


ไอ้ธรรศหัวเราะ "ถามไม่ได้เหรอ"


"โสดอยู่ก็บอกมันไป" ไอ้เหินสอดปาก


ไอ้พวกที่เหลือพากันโห่หิ้ว ผมหัวเราะขำๆ รับน้ำเย็นที่ไอ้ธรรศเปิดฝาส่งมาให้ ยกขึ้นดื่มอักๆ แม่งเอ้ยจะอยากรู้ไปทำไม ถ้ากูใจกล้าตอบขึ้นมาเดี๋ยวพวกมึงจะมากันหน้าหงายซะเปล่าๆ


"จริงดิ" ไอ้ธรรศทำหน้าเหลือเชื่อ


ไอ้เหินทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่ไอ้ทรรศ ก่อนจะยืนยันคำพูดของตัวเอง "กูเพิ่งถามมันเมื่อวาน" เมื่อวานไอ้เหินแหกปากถามผมหน้าคณะ หน้าคณะ...ที่มีน้องๆ เดินผ่านให้ควัก ผมเลยได้แต่ตีหน้านิ่งสนิทแล้วตอบว่าไม่มี


"สรุปว่าตอนนี้มึงโสด?"


ไอ้ธรรศยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเพื่อทวงตอบ ไม่ยอมให้ผมเลี่ยงไปง่ายๆ


ผมมองหน้ามัน ก่อนจะตัดบทด้วยความรำคาญ


"โสดสนิท! ยุงสักตัวก็ไม่มีบินผ่านเข้ามา พอใจหรือยัง"


"เอาเว้ย ตี๋น๊อตสุดหล่อบอกว่าโสด คราวนี้ล่ะมึง สาวๆ รุมทึ้ง" ไอ้ศรแหกปากตะโกนลั่นสนาม ผมยกมือขึ้นกุมศีรษะ มึงจะตะโกนทำไม แค่นี้ยังเด่นกันไม่พอใช่ไหม


ไอ้ธรรศเดินไปหยิบลูกบาสมาชู๊ตลงห่วงบนเส้นสามแต้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบลูกบาสลูกเดิมมาเลี้ยงในมือ พอชู๊ตลงห่วงสามแต้มอีกครั้งมันก็หันมามองหน้าผม บนหน้ามีรอยยิ้มแฝงอยู่


"เพื่อนมึงยิ้มให้กู" ผมหันไปพูดกับไอ้เหิน แสร้งทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก


ไอ้เหินที่นั่งตรงข้ามผมหัวเราะสลับกับมองไปยังตำแหน่งที่ไอ้ธรรศยืน "มันกำลังดีใจ" มันตอบก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลังผมพลางยกมือขึ้นไหว้ "พี่สองหวัดดี มาตั้งแต่เมื่อไหร่พี่" คนที่เหลือส่งเสียงทักทายตามเกรียวกราว ส่วนผมสติกระเจิดกระเจิง มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!!


พี่สองยกมือรับไหว้รุ่นน้องยิ้มๆ ขณะเดียวกันก็เดินเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อยๆ


"มารับน้องเทคเหรอพี่" ไอ้ทรรศเดินถือลูกบาสเข้ามา


พี่สองเหลือบมองคนถามแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า "อืม"


ผมพยายามเรียกสติของตัวเองคืนมา รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ก่อนจะเงยหน้าบอกเพื่อนในทีมโดยควบคุมริมฝีปากของตัวเองไว้ให้มั่นคงที่สุด "คือมึง...กูไปก่อนนะ เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระสำคัญว่ะ"


พูดจบก็เผ่นแนบ ผมไม่รู้ว่าพี่สองคุยอะไรกับพวกไอ้ทรรศหลังจากนั้น เพราะผมพยายามสับขายาวๆ เดินนำเขาเพื่อหวังทิ้งห่างระยะ แต่พี่สองก็ก้าวยาวๆ ตามมา เขาไม่พูดอะไร เอาแต่เดินตามหลังผมมาจนกระทั่งถึงรถคันสวยของเขา


พี่สองเดินไปยืนฝั่งคนขับไม่ยอมปลดล็อกประตูรถ เราสองคนห่างกันแค่ตัวรถกั้น ผมเผลอกระชับสายกระเป๋าแน่น ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากกำลังรอ...รอว่าเขาจะพูดอะไร พี่สองเงยหน้าขึ้นเหลือบมองหน้าผม ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


"ไม่ยักรู้ว่ามึงโสดตั้งแต่ตอนไหน" เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ


ผมมือสั่น แต่พยายามควบคุมอาการลนลานเข้าไปนั่งเบาะด้านข้างคนขับแล้วรีบคาดสายเข็มขัดนิรภัย พี่สองไม่พูดอะไรอีก เขาขับรถต่อ สีหน้าเคร่มขรึม จนผมอยากร้องไห้


"กะ...โกรธเหรอ"


"กูสมควรโกรธหรือเปล่า"


ผมเม้มปาก สรรพนามที่เปลี่ยนไปของพี่สองกระทบใจผมอย่างแรง


"พี่...ผมแค่ตัดปัญหาไม่อยากให้ไอ้ทรรศเซ้าซี้" ผมพยายามอธิบาย


ผมแค่กังวลว่าถ้าบอกไปว่ามีแฟน ไอ้ธรรศมันจะถามต่ออีกว่าแฟนผมเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่คณะไหน มันรู้จักหรือเปล่า


ซึ่งผมจะไม่มีคำตอบให้มัน


"เงียบเถอะ ถ้ายังไม่อยากตายโหง" เขาขู่เสียงเข้ม


เออ! ไอ้พี่สอง ไอ้คนไม่มีเหตุผล!! ก็ยอมรับผิดแล้วไง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันบ้าง ผมเองก็เสียใจนะที่ทำให้พี่สองเสียความรู้สึก แม่ง ฮึก…


"ลงมา"


พี่สองเคาะกระจกรถด้านที่ผมนั่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านกระจก ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ คว้าเป้แล้วเปิดประตูรถ พี่สองกดล็อกรถแล้วเดินเข้าคอนโดไปคนเดียว ผมยืนมองแผ่นหลังนั่นด้วยความน้อยใจ ก่อนจะวิ่งตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้


บรรยากาศในห้องวังเวงจนผมสะท้าน


"ร้องทำไม"


ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนถาม พลางใช้หลังมือปาดหางตา นั่งโซฟาตัวเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเราห่างไกลกันขนาดนี้


"ขอโทษ พี่อย่า...ฮึก โกรธเลยนะ"


พี่สองมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ สู้ให้เขาอาละวาดหรือด่าผมตรงๆ ยังดีเสียกว่า ไม่รู้เลยหรือไงว่าความเงียบมันทำให้คนอื่นเขากังวล คิดไปถึงไหนต่อไหน


"กูอาจจะแคร์มึงมากเกินไป"


“พี่...”


"แคร์ว่ามึงรู้สึกยังไง แคร์ว่ามึงคิดยังไง จนบางทีอาจทำให้มึงรู้สึกอึดอัด" เขายกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ "แต่มึงไม่แคร์กูเลยสักนิด เฮอะ พูดออกมาได้เต็มปากว่าโสด ที่นั่งหัวโด่อยู่นี่ พ่อมึงเหรอ"


"พี่สอง!"


พูดจบผมก็ชะงัก เพราะรู้สึกตัวว่าตะคอกใส่เขา


สายตาอันตรายมองมาที่ผมอย่าอดทนอดกลั้น "บอกมาตามตรงดีกว่าว่ามึงแค่คบพี่รอวันเลิกหรือเปล่า" เขาเว้นวรรค แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับสายตาที่เย็นเหยียบพอกัน


"พี่จะได้ทำใจเอาไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ"


“...”


ผมรู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออก เหมือนมีมือมืดบีบหัวใจผมจนต้องเงยหน้าสูดเอาอากาศเข้าปอด น้ำตาไหลอย่างกับสั่งได้ เป็นการร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะความรักครั้งแรก


ถ้าพี่สองรู้เข้า ต้องภูมิใจแน่


"พี่จะต้องให้ผมนอนตายให้พี่ดูก่อนเหรอวะ ถึงจะพอใจ!" ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ต้องให้ผมควักหัวใจออกมาให้พี่ดูมั้ย" ผมตวัดสายตาขึ้นจ้องหน้าเขา "พี่รู้ดีแก่ใจ พี่รู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ"


พี่สองกรอกตาขึ้นฟ้า


เขาเม้มปากมองไปรอบๆ ห้อง


เกิดความเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน ผมเงยหน้ามองเขา พี่สองก็ก้มมองผมอยู่ ร่างสูงใหญ่เหยียดยิ้ม แล้วเอ่ยปากถาม


"มีกูเป็นแฟนมันน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ"


พูดจบพี่สองก็เดินเข้าห้องน้ำ เสียงปิดประตูดังปัง


ผมมองประตูห้องน้ำนิ่ง ใจยังสั่นไม่หาย คำถามของพี่สองเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจผม บาดแผลที่เราต่างสร้างให้กันวันนี้มันเหวอะหวะจนผมมองไม่เห็นแสงสว่าง



++++++++++++++



"พี่สองให้พวกกูมารับมึงกลับหอ" ไอ้ไฟน์เคาะประตู ก่อนจะเดินนำไอ้เวลเข้ามา ผมเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะก้มหน้าซุกเข่าตามเดิม


รับรู้ถึงแรงยวบบนเตียง ตามด้วยเสียงถอนหายใจของไอ้ไฟน์


"เฮ้อ ทะเลาะอะไรกับพี่เขาวะ ไหนมึงลองเล่ามาดิ๊"


ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพื่อนสนิทผมมันนั่งฟังเงียบๆ พอผมเล่าจบไอ้ไฟน์ก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือมาวางบนไหล่ผม


"เขาก็แค่หึง"


"หึงบ้าอะไร" ผมแย้ง


ไอ้ไฟน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ "มึงแค่ไม่รู้ตัวต่างหากว่ามีคนสนใจมึงอยู่ แถมไอ้สารรูปขาวตี๋ บ้านทำกิจการร้านทองแบบมึง มันก็ล่อตาล่อใจ ไม่ใช่แค่กับผู้หญิงเท่านั้นด้วย ไอ้พี่โฬมนั่นก็ทีแล้วไม่ใช่รึไง มึงอาจจะคิดว่ามันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของมึง แต่มึงก็อย่าลืมว่าการที่มึงตะโกนบอกให้ประชาชีเขาได้ยินว่าโสดสนิทน่ะ มันก็เหมือนเปิดโอกาสให้ที่สนใจมึงอยู่มารุมทึ้งมึง"


"แต่พี่สองเขาก็รู้ว่ากูกังวลอะไรอยู่ เขาน่าจะเข้าใจกูสิ ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น" ผมระบายความอัดอั้น สิ่งที่ไอ้ไฟน์พูด มันมีเหตุผลก็จริง แต่ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกันนะ


ไอ้เวลถอนหายใจพรืด "มึงคิดให้ดีๆ มึงไม่ได้พูดว่าโสดแค่ครั้งเดียว แต่มึงพูดสองครั้งซ้อนติดๆ กัน คนเขาก็ต้องเชื่อ ต่อให้เขาสงสัยว่ามึงคบกับพี่สอง แต่ในเมื่อมึงยืนยันว่าโสด เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ มึงเป็นคนเปิดโอกาสให้คนอื่น ทั้งที่แฟนมึงเขาชัดเจนมาตลอด"


ผมทำหน้างอง้ำ เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้าข้างพี่สองกันหมด ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจถึงเหตุผลของผมบ้าง


"น๊อต..." ไอ้ไฟน์เรียก


"มึงคิดจริงๆ เหรอว่าไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่สอง"


ผมอ้าปากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก จึงได้แต่ปิดปากสนิท ไอ้ไฟน์พยักหน้าขึ้นลง "ใช่มั้ยล่ะ คนอื่นรู้ แต่เขาแค่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ยื่นขาเข้ามายุ่งหรือต่อให้สงสัยก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่อ้าปากถามตรงๆ"


ใช่แล้วล่ะ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิทของพี่สอง อาจจะทำหน้าแปลกๆ ใส่บ้างตอนแรกๆ แต่หลังจากนั้นทุกคนก็ยังทำตัวปกติ เหมือนทำเป็นมองข้ามสถานะความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของผมกับพี่สอง


ส่วนเพื่อนชั้นปีเดียวกับผมก็ดูเฉยๆ เวลาผมไปไหนมาไหนกับพี่สอง มีแค่ไอ้เหินที่เคยมองผมสลับกับพี่สองด้วยสายตาแปลกๆ แต่พอโดนพี่สองจ้องมันก็หลบสายตาไปทางอื่น


ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้า "กูนิสัยไม่ดีใช่มั้ยไฟน์ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายล่อลวงลูกชายชาวบ้านเขามาเป็นเกย์"


ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลเหลือบมองหน้ากัน


ผมมองหน้าไอ้ไฟน์ก่อนจะไล่สายตาไปทางไอ้เวล "พวกมึงกลับไปเถอะ กูจะอยู่ที่นี่"


"มึงจะไม่โดนพี่สองฆ่าหมกห้องแน่นะ" ไอ้เวลแสร้งถามติดตลก แต่มีความอยากรู้แฝงจริงๆ อยู่ครึ่งหนึ่ง


"เออ ตอนเปิดประตูให้พวกกู กูนี่ผงะถอยหลังไปสองก้าวเลยนะ" ไอ้ไฟน์กระซิบ ก่อนจะยกมือขึ้นดึงแก้มตัวเองประกอบ พลางสูดปาก "หน้างี้ตึงเปรี๊ยะ"


ผมส่ายหัว "ไม่หรอก"


พี่สองนานๆ ทีจะโกรธหรือโมโห คบกันมาจะหกเดือน ต่อให้โมโหแค่ไหนก็ไม่เคยใช้กำลังกับผม มีแค่เรื่องฝีปากที่จะคมกริบเป็นพิเศษ ใช้คำพูดทำร้ายใจคนฟัง


ผมเดินออกมาส่งเพื่อน ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลยืนยันจะให้ผมยืนส่งพวกมันแค่หน้าลิฟท์ ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิทด้วยความซาบซึ้ง ผมรู้สึกโชคดีที่มีมันสองคนเป็นเพื่อน


เดินกลับมาที่หน้าห้อง ใช้มือบิดประตูแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อตัวเองดันเผลอล็อกห้อง กุญแจก็ไม่ได้หยิบติดมือมา โทรศัพท์ก็อยู่ในห้องด้วย สะเพร่าจริงๆ


ก็อก ก็อก ก็อก


ผมตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตู ยืนรอไม่นานเสียงปลดล็อกก็ตามมา เจ้าของห้องตัวจริงขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผม ที่ผมออกไปจากห้องเมื่อกี้พี่สองคงได้ยินสินะ


"ลืมของเหรอ" เขาถามก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผมเดินเข้าห้อง


"เปล่า"


ระหว่างเดินผ่าน ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์มาจากตัวเขาจึงหยุดเดินแล้วเงยหน้าถาม


"พี่ดื่มเหรอ"


เขาเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าผ่อนคลายลงกว่าเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว


ผมกัดริมฝีปาก แล้วตัดสินใจเอื้อมมือไปจับแขนเขาในวินาทีนั้น


"พี่..."


คนถูกเรียกก้มหน้าลงรอฟัง


"เอากันแก้เครียดหน่อยมั้ย"


พูดจบก็กลั้นใจรอฟังคำตอบด้วยใจระทึก พี่สองมองผมด้วยสายตาเข้มขึ้น


"แน่ใจนะ"


ชะ...ชักไม่แน่ใจตอนพี่ถามนี่แหละ!


"น่ะ...แน่ เฮ้ย!!" สิ้นคำตอบผม พี่สองก็ช้อนร่างผมขึ้นอุ้ม เดินตรงเข้าห้องนอนโดยไม่ฟังเสียงร้องของผมสักนิด "พี่สอง เดี๋ยว! คุย...เฮ้ย อย่าเพิ่งถอด เดี๋ยวเสื้อขาด เอ๊ะ! บอกว่าอย่าดึง อ๊า!!!"

   
พี่สองจับผมลอกคราบ!!

   
ร่างสูงใหญ่กว่าตรึงมือผมไว้ที่ศีรษะทั้งสองข้างด้วยมือเดียว ริมฝีปากร้อนแรงพรมจูบไปทั้งใบหน้าและลำคอของผม ผมส่งเสียงอืออาเสียวเกร็งไปทั้งร่างเมื่อลิ้นร้อนๆ นั่นขบเม้มอยู่ที่ติ่งหู


พี่สองจับผมพลิกนอนคว่ำหน้า ก่อนจะดึงสะโพกผมขึ้น หน้าผมแนบอยู่กับหมอน ครางอู้อี้ไม่ได้ศัพท์เพราะสัมผัสนุ่มชื้นลากวนอยู่ที่ช่องทางอ่อนนิ่ม


"พะ...พี่สอง อื้อ อ"


ผมกำผ้าห่มแน่น ปากร้องครางเรียกชื่อพี่สองไม่หยุด เขาส่งผมจนถึงฝั่งฝันโดนที่ไม่ต้องใช้มือกับไอ้นั่นด้วยซ้ำ!


ผมนอนหอบแฮ่ก เมื่ออีกคนผละออกไป หางตาผมเห็นเงาร่างของเสื้อพี่สองลอยไปนอนอยู่หน้าประตู ตามด้วยกางเกงที่ลอยไปตกอยู่ใกล้ๆ กัน


"อยากได้กลิ่นไหน"


ผมเม้มปาก เมื่อได้ยินคำถามแสนตรงนั่น แม้จะขัดเขินแต่ก็ตอบกลับ "สตรอว์เบอร์รี"


พี่สองหายไปในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง


ผมเหลือบมองอีกคนก้าวขึ้นมานั่งบนเตียงใช้ปากฉีกซองถุงยางแล้วจับสวมให้ตัวเอง


พี่สองฉีกถุงยางอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะสวมกอดผมจากทางด้านหลัง บรรจงสวมถุงยางให้


"ผ...ผมอยากทำเอง" พี่สองชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วถามว่าแน่ใจเหรอ ผมกัดริมฝีปาก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับคนรัก "ให้ผมทำ" ผมย้ำเจตนาด้วยสีหน้าเขินจัด


"นี่กำลังง้อ?"


ไอ้คนพูดน้อยเกิดพูดมากขึ้นมาทันที ผมฟาดมือไปที่แขนเขาจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น


"น่าจะรู้ตั้งแต่ผมเสนอตัวแล้วมั้ย!!"


...จะถามให้เขินทำไมวะ...


ส่วนอ่อนไหวของพี่สองแข็งขืนชี้หน้าผม


เขาก้มมองน้องชายตัวเอง ปกปิดสีหน้าตื่นเต้นไม่มิด


"นอนลง" ผมสั่ง


พี่สองนอนลงอย่างว่าง่าย แถมยังยกมือขึ้นมารองศีรษะท่าทีสบายๆ ท้าทายผม


"เอาเลย อย่างที่มึงชอบ" เขาท้า


ผมขยับไปนั่งคร่อมลำตัวพี่สองไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเลียนิ้วตัวเองจนชุ่ม พี่สองมองตาไม่กระพริบ ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปยันหน้าท้องพี่สองไว้ อีกข้างหนึ่งเลื่อนไปที่ช่องทางด้านหลังแล้วสอดเข้าไปทีละนิ้ว


"โคตรเอ็กซ์" พี่สองชมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


ผมเหลือบตาขึ้นมองค้อนเขาก่อนจะเริ่มขยับมือ ระหว่างนั้นก็ครางซี้ดในลำคอ เมื่อรู้สึกว่าช่องทางนั้นคลายตัวแล้วผมก็ดึงมือออก ขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ แล้วจับท่อนเอ็นแข็งขืนนั่นเอาไว้ด้วยมือเดียว


ค่อยๆ กอดตัวลงนั่ง


"อื้อ อ อ"  จังหวะขยับเอวสวนรับกับจังหวะเด้งรับของพี่สอง เสียงครางระคมของเรายิ่งทำให้ผมฮึกเหิม พี่สองจับผมพลิกลงในท่าคลานเข่าก่อนจะตามมากระแทกกระทั้น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาด


ผมไม่น่าง้อเขาด้วยวิธีนี้เลย!


โอ๊ย เอวผม!!!!!!!!!!



ตื่นเช้ามาผมได้แต่ลอบก่นด่าพี่สองในใจ ร่างกายท่อนล่างหนักอึ้งราวกับเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ไอ้คนหึงโหด เดินเข้ามาในห้อง หน้าตาแช่มชื้นทั้งที่แทบไม่ได้นอน พอเห็นรอยยิ้มของเขาผมก็ตำหนิไม่ลง เฮ้อ ผมบอกแล้วว่าผมเสียเปรียบ


ผมกระพริบตา ก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกร่างกายกำลังจะแหลกสลาย ยิ่งบริเวณสะโพกยิ่งเจ็บหนึบ ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างจนถึงคอ พี่สองเดินมานั่งลงข้างเตียง พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เช่นเคย


ผมมองผ้าผืนเล็กในมือเขาแล้วขมวดหิ้วมุ่น หน้าพี่สองเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ขอบตาดำคล้ำ ใต้ตาบวม พอเห็นผมมองเขาปริบๆ พี่สองก็โน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผาก สัมผัสเย็นชื้นนั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย


"มึงไม่สบาย"


ผมอือออในลำคอ เพราะไม่อยากเปล่งเสียงให้ระคายคอ


"ขอโทษด้วย พี่ผิดเอง" เขาทำหน้ารู้สึกผิด เหมือนไม่โอเคกับตัวเอง


"ไม่เป็นไร" ผมปลอบเขาเสียงแหบ


เขาส่ายหัว "ไม่น่าทำรุนแรง จนมึงเจ็บ"


ทำผมล้มผมหนอนเสื่อได้เลยล่ะ


"พี่แค่เมา" ผมคลี่ยิ้มปลอบ ไม่ได้รู้สึกโกรธเขาอยู่แล้ว "ความจริงมันก็ตื่นเต้นดี เปลี่ยนรสชาติไง ผมชักเชื่อคำพูดนั่นแล้วล่ะ”


“คำไหน?”


ผมอมยิ้มก่อนจะเฉลย “ที่เขาว่านอนคุย ดีกว่านั่งคุยไง"


พี่สองหัวเราะหึๆ พลางยื่นมือมาลูบหัวผม


"ถ้ามึงยังไม่ดีขึ้น พี่คงต้องพาไปหาหมอ"


ผมส่ายหัวหวืด ฆ่าผมดีกว่า!


"แค่กินยาเดี๋ยวก็หาย" ผมสบตาพี่สอง "พี่เองก็ควรพักผ่อน ผมไม่อยากให้พี่ป่วย"


เขาก้มหน้าลงมาฉวยจูบ ดูดดุนริมฝีปากผมจนรู้สึกเจ็บ


ผมดันอกเขาออกแรงๆ  "เดี๋ยวติดไข้"


"ถ้าติดแล้วมึงหายก็ไม่เป็นไร"


ผมกลั้นยิ้ม ยื่นมือไปจับมือพี่สองไว้ "เราดีกันแล้วใช่มั้ย"


พี่สองยิ้มรับ


"ผมจะบอกป๊าเรื่องของเรา" ผมตัดสินใจแล้ว เหมือนที่เฮียน่านแนะนำตอนที่อยู่กับผมสองต่อสองว่าให้บอกความจริงกับทุกคนแต่เนิ่นๆ ดีกว่าปิดเรื่องนี้เอาไว้ ผมต้องสารภาพความจริงเพื่อเปิดพื้นที่และเวลาให้ครอบครัวได้มีเวลาทำใจและไม่รู้สึกว่าถูกผมหักหลัง


แต่ดูเหมือนพี่สองจะไม่ดีใจ เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งค้าง


"พี่ไม่ดีใจเหรอ"


เขาส่ายหน้า "ไม่ใช่ พี่ดีใจมาก แต่คิดว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะ" เขากระชับมือก่อนจะพลิกมาเป็นฝ่ายกุมมือผมไว้ "พี่เป็นแค่คนที่กำลังจะเรียนจบ ยังไม่มีงานการที่มั่นคง แม้จะมีสมบัติของพ่อแม่ แต่มันยังไม่พอสำหรับใช้ไปขอลูกชายคนเล็กของเจ้าของร้านทองใหญ่โตมาดูแล ป๊ามึงจะไม่พอใจหนักเข้าไปอีก เขาจะมองได้ว่าพี่เป็นลูกผู้ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อ้าปากรอแต่สมบัติพ่อแม่"


ผมซาบซึ้งในอกที่เขาคิดการณ์ไกลเผื่อผมขนาดนี้ "ผมคิดน้อยเอง"


"น๊อต"


ผมเงยหน้ามองคนเรียก


"พี่ดีใจจริงๆ"


น้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น และมั่นคง


ผมเม้มปาก รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา





ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่สอง มองออกว่าธรรศชอบน๊อตจริงๆ  :hao3:

น๊อต ชอบคิดในมุมมองตัวเองตลอด  :เฮ้อ:
พี่สอง  น๊อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ง้อแบบนี้ อีพี่หายโกรธแล้วเนอะ  :hao6:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด