พิมพ์หน้านี้ - +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-09-2018 18:42:02

หัวข้อ: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-09-2018 18:42:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง


ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



(https://www.img.live/images/2018/09/20/-Fantak125ew-125632.png)

❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀

จะทำยังไงเมื่อคนที่ผมชอบ เห็นผมเป็นแค่ "น้องเทค"

❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀


พี่เทคสายสุภาพบุรุษ
ปะทะ น้องเทคสายกวน


* * * * * * * * * * * * * * *

"พี่สอง"

คนปากตรงกับใจ

“ไอ้น๊อต”

ลูกชายเจ้าของร้านทอง


* * * * * * * * * * * * * * *


แฮชแท็ก

#แฟนเทคSxN




❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀








❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀

นิยายเรื่องอื่นของเบบี้เยลโล่


❀ ::  ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม?  ( ซัน x บีสท์ ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.0)


❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀













หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 200961 ● บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-09-2018 18:44:52
[บทนำ]


ในวันที่การจราจรติดขัด หลังจากสายฝนโปรยปรายลงมาเมื่อช่วงหัวค่ำ ท้องถนนชุ่มฉ่ำ คราคร่ำไปด้วยแอ่งน้ำที่ยังตกค้างอยู่ข้างถนน ปัญหาท่อตันเป็นบางช่วงนั้น คล้ายกับการซ้ำเติมชีวิตคนกรุง ฝนตก รถติด ปัญหาโลกแตกที่แก้ยาก


เสียบรรยากาศหมด ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่แสนมีค่าสำหรับคนมีคู่แท้ๆ


เสียงรายงานการจราจรดังแว่วเข้ามาในหู ฟังจนท้อแท้ใจ กดปิดไปเลยยังสบายใจกว่า เส้นทางในกรุงเทพฯ น้อยนักที่จะปลอดโปร่งโล่งสบาย แถมอัตราแออัดยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ


ยิ่งก่อนหน้านี้มีนโยบายสนับสนุนการซื้อรถแบบลดแลกแจกแถมด้วย ยิ่งแล้วใหญ่


โชคดีที่เป้าหมายการเดินทางของผมวันนี้ไม่ได้ยาวไกลนัก


“อ้าวพี่...มาได้ไง”


ตี๋น้อยในสภาพกางเกงนอนเสื้อคอยืด หัวฟูไม่เป็นทรง เปิดประตูห้องให้แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ผมเดินตามร่างโปร่งของมันเข้าไปในห้องที่มีสภาพไม่ต่างจากห้องเก็บขยะ


“ถามไม่ตอบ” มันหันมาทวงคำตอบ พลางขยับแว่นให้เข้าที่


ผมยักไหล่


“ว่าง”


“ในวันวาเลนไทน์อ่ะนะ”


“...”


เมื่อเห็นผมเงียบมันก็กัดริมฝีปาก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้ว...กินอะไรมายัง” ถามในขณะเก็บซากเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนโซฟาออกเพื่อเคลียที่นั่งให้แขกไม่ได้รับเชิญอย่างผม


“ยัง”


“มีข้าวอยู่ในตู้เย็น พี่อุ่นเองได้มั้ย ผมขออาบน้ำแป๊บ”


ผมพยักหน้ารับ แล้วเข้าครัวไปหยิบเอากล่องอาหารสำเร็จรูปที่คุ้นตามาอุ่นในเตาไมโครเวฟ เดาว่าเจ้าของห้องก็ยังไม่ได้กินอะไร เลยหยิบของที่มันชอบติดมือมาอุ่นให้พร้อมกัน


ตั้งเวลาเสร็จก็เดินกลับไปนั่งรอที่โซฟา เล่นมือถือฆ่าเวลา


แม้จะแปลกใจตัวเองอยู่สักหน่อย ที่ ‘วัน’ แบบนี้กลับอยากเจอหน้าไอ้ตี๋น้อย น้องรหัสของไอ้ซันเพื่อนสนิท แต่ก็ปัดความคิดทิ้งไป ไม่รู้ว่าไม่อยากรู้คำตอบหรือไม่กล้าที่จะหาคำตอบ คว้ากุญแจรถได้ก็ตรงมาที่นี่


ก่อนหน้านี้ที่บอกมันว่า ‘ว่าง’ สารภาพตามตรงว่าผม ‘ตอแหล’


ครืด...


ผมเหลือบมองเบอร์ที่เด่นหราอยู่หน้าจอ ก่อนจะกดรับ "ฮัลโหล"


“พี่สองอยู่ที่ไหนคะ ไหนสัญญาว่าจะมารับดรีมไปดินเนอร์วันนี้” ดาวคณะอักษรปีสองทำเสียงกระเง้ากระงอด ผมเพิ่งมีโอกาสได้สอยเธอเมื่อสองวันก่อน


“โทษที ตอนนี้ไม่ว่าง”


“พี่สองทำแบบนี้กับดรีมได้ยังไงคะ พี่สอง! พี่สอง!”


ผมกดวางสาย


ติ๊งง


ผมวางมือถือไว้ เดินไปหยิบกล่องอาหารสำเร็จรูปที่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมาจากกล่องเทใส่จาน มีของผมกับไอ้ตี๋น้อย ไม่ลืมเทน้ำใส่แก้วออกไปวางไว้คู่กัน


“นึกว่าวันนี้มึงจะมีแขก” เอ่ยถามในขณะนั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามกัน ไอ้น๊อตเงยหน้าขึ้นสบตาผม


มันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร


“ผมอยู่คนเดียว”


“หึ”


ไอ้น๊อตทำหน้ายุ่งยาก


“ไม่มีใครอยู่หรอกพี่ก็เห็น ทั้งไอ้ไฟน์ ไอ้เวล หายหัวกันไปหมด”


ผมยิ้ม เหลือบมองหน้ามัน พลางเคาะนิ้วกับโต๊ะ


ผมชอบมองหน้ามัน เวลามันทำสีหน้าขัดเขินทำอะไรไม่ถูก


“ยิ้มโรคจิตใส่ผมอีกแล้ว"


“ยังไง"


มันชี้หน้า “แบบนี้ไง”


“ปกติก็หน้านี้"


“ไม่จริงหรอก ปกติหน้าจะนิ่งๆ เก็กหล่อ"


ผมหัวเราะ "แบบที่มึงชอบเลียนแบบ"
           

มันเบ๋ปากเหมือนไม่อยากยอมรับ


“พี่เถอะ ไม่ต้องมาตอแหลเลยว่าวันนี้ว่าง” ตากลมโตหรี่มองเหมือนคนรู้ทัน


“แค่แวะเอาอั่งเปามาให้”


“หือ อีกตั้งสองวัน” มันท้วง


“ให้ล่วงหน้า”


“...”


ผมหยิบของที่ยัดใส่กระเป๋าเป้ไว้เมื่อวันก่อนยื่นให้มัน มันรับไปแกะดู ปกปิดสีหน้ายินดีไม่มิด หึ มันเคยบ่นว่าอยากได้เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ไม่กล้าซื้อ


“ไหนว่าอั่งเปา”


“ก็อั่งเปา”


“แต่มันไม่ใช่เงิน”


ผมยักไหล่จ้องตามัน “เงินมึงมีเยอะแล้วจะอยากได้ไปทำไมอีก”


มันยิ้มกว้าง หูแดง


“ขอบคุณนะครับ”


ทำไมผมถึงได้รู้สึกตาพร่าเพราะรอยยิ้มของมันกันนะ



หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 21-09-2018 13:29:24
ตอนที่ 1 ลูกผู้ชายต้องมีทางเลือกเป็นของตัวเอง



วันนี้ไข่เจียวป้าสาโคตรเค็ม นึกว่ารถน้ำปลาคว่ำใส่กระทะ


“ไอ้น๊อต สรุปเลือกได้หรือยังว่าจะเข้าคณะไหน” ผมหันไปเลิกคิ้วให้เพื่อนในกลุ่ม ขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหาร รอขึ้นเรียนฟิสิกส์ในคาบบ่ายของอาจารย์นริศา กลุ่มของเรามีกันอยู่สามคน เป็นเพื่อนสนิทซี้ปึกไปไหนไปกันตั้งแต่เมายันตักบาตรเทโว
   

“โห ไอ้เลวอย่างไอ้น๊อตก็ต้องหมอสิวะ” เสียงเพื่อนอีกคนแสดงความเห็น ผมส่ายหัวปฎิเสธ เพราะยังคิดไม่ตกว่าอยากเรียนอะไรกันแน่


ถามพวกเฮียๆ เจ้ๆ ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กับการตัดสินใจของผมสักนิด


“กูชื่อเวลไอ้สัดอย่าสลับวอแหวนกับลอลิงครับ ฟายสมชื่อจริงๆ นะมึง”


“เวร...กูชื่อไฟน์ ดูปากกูชัดๆ ไฟน์ที่แปลว่าสบายดีไม่ใช่ฟายที่บ่งบอกสถานะมันสมองของมึง” ไอ้ไฟน์กระดกลิ้นออกเสียงอย่างกับเจ้าของภาษา ผมหัวเราะ พวกมันสองตัวก็แบบนี้ตลอด แต่ก็ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้เราเสือกมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน


คนหนึ่งก็เวล อีกคนหนึ่งก็ควาย เอ้ยไฟน์


NOT FINE WELL ชื่ออินเตอร์แม่งทั้งกลุ่ม (โคตรตรงข้ามกับหน้าตาที่เสือกตี๋ขาวถอดแบบเจ๊กจีนกันมาทั้งดุ้น) แต่ขอร้องว่าอย่าเอาชื่อเราทั้งสามคนมารวมกันเชียว เพราะผมจะกลายเป็นตัวกาละกิณีของกลุ่ม


ดูสิครับ ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลชื่อแม่งความหมายดีทั้งนั้น แล้วดูชื่อผมสิ...


เคยถามป๊าไปด้วยความสงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงตั้งชื่อให้ผมว่าน๊อต


ป๊าก็ยิ้มโคตรหล่อส่องสว่างไม่เกรงใจหน้าผากไร้เส้นผม ตอบผมด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำว่าตอนผมจะได้มาเกิดในท้องอันแบนราบของม๊า ป๊าเกิดหึงม๊าหน้ามืด น๊อตหลุดชกหน้าลูกชายร้านข้าวมันไก่ตรงข้ามกับบ้านผม


เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเดือดร้อนท่านผู้กำกับฯ ต้องมาเชิญตัวไปโรงพักเพื่อปรับทัศนะคติ เอ้ย เพื่อไกล่เกลี่ย สุดท้ายป๊าก็ควักตังค์ห้าร้อยจ่ายไปตามระเบียบ


กลับถึงบ้าน ป๊าก็รวบหัวรวบหางม๊ากินไม่เหลือสักคำ จนผมได้มาเกิดนี่แหละ


พูดเรื่องเรียนกันต่อ...


บอกตามตรงนะครับว่าตอนนี้ในใจของผมมีตัวเลือกอยู่สองคณะ


หนึ่งคือหมอ


สองคือวิศวะ


ผมเคยฝันเอาไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากสอบเข้าสองคณะที่ว่า ไม่คณะใดก็คณะหนึ่ง ถึงได้พยายามตั้งอกตั้งใจเรียน ตอนเลือกสายก็เลือกเรียนสายวิทย์ฯ ที่การบ้านเยอะโคตรพ่อโคตรแม่!!!


อ่านหนังสือแทบตายจนสายตาสั้น เพราะเพ่งอ่านหนังสือดึกดื่น ถ้าให้จัดอันดับเรื่องความตั้งใจเรียน ผมว่าต้องมีชื่อผมนี่แหละอยู่ในอันดับต้นๆ ของห้อง แต่ความตั้งใจของผมมันคงยังไม่มากพอ ผลสอบออกมาทีไร แพ้ไอ้ไฟน์ทุกที


เจ็บใจชะมัด


“กูยังเลือกไม่ได้ว่ะ” ผมส่ายหัวดิกแล้วหันไปถามพวกมัน “พวกมึงล่ะ”


“กูจะยื่นรับตรงแพทย์” ไอ้ไฟน์ตอบ ผมพยักหน้ารับ ไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าไหร่ก็ผลการเรียนมันอยู่ในระดับดีเยี่ยมอยู่แล้ว ขยันติวข้อสอบอีกนิดคงไม่พ้นมือมันหรอก


หมั่นไส้ไอ้พวกสอบได้ที่หนึ่ง มันไม่เบื่อบ้างเหรอที่หนึ่งแม่งทุกปี


คนเรามันต้องมีการพัฒนาไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่


“มึงล่ะ” ผมถามไอ้เวล มันเลิกคิ้วทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก


“กู...อยากลองยื่นรับตรงเภสัช”


ผมกับไอ้ไฟน์หันมาเลิกคิ้วให้กันก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้คนตอบที่นั่งอมยิ้มนิดๆ หลังจากตอบคำถามผม


“เอาจริงเหรอ” เสียงไอ้ไฟน์เหมือนไม่เชื่อหูตัวเองเท่าไหร่กับสิ่งที่หลุดออกจากไอ้แมวน้อยประจำกลุ่ม อย่าว่าแต่มันเลย ผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ คิดว่าตัวเองหูฝาดซะอีก


ก็ไอ้เวลมันไม่มีทีท่าว่าอยากจะสอบเข้าเภสัชฯ เลยสักนิด ความจริงผมคิดว่ามันจะสอบเข้าวิศวะฯ ด้วยซ้ำเพราะพ่อมันก็เป็นวิศวกร


“ตีนกูว่าง เอาไปแคะหูเล่นมั้ย” ไอ้เวลยักคิ้วกวนตีนตอบ


พวกผมสามคนเล่มเกมจ้องหน้ากัน ก่อนจะพร้อมใจกันระเบิดหัวเราะ เรียกความสนใจของคนรอบข้างแม้แต่ป้าขายข้าวแกงยังหันมามอง


ไอ้ไฟน์เม้มปากกลั้นหัวเราะส่งซิก พวกผมเลยรีบรวบจานไปเก็บ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องเพื่อเตรียมไปเรียนต่อในตอนบ่าย


บทสรุปของการเลือกเข้าคณะของพวกเราสามคนยังไม่แน่นอน จนกว่าจะมีรายชื่อติดเป็นเฟรชชี่บนเว็บบอร์ดประกาศผลนั่นแหละ


ผมเดินรั้งท้าย มองตามแผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองคนที่เดินกอดคอกันขึ้นบันไดพูดเรื่องมิสแม็กซิมปีล่าสุดแล้วถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าเมื่อเรียนจบไปแล้วอาจจะไม่ค่อยได้มีเวลามาเจอกันทุกวันอย่างเก่า แต่พอได้ฟังทางเลือกของพวกมันแล้วก็ทำให้ผมแอบใจหาย


ไอ้ไฟน์เลือกแพทย์


ไอ้เวลเลือกเภสัชฯ


เหลือก็แค่ผมคนเดียวที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ผมรู้ว่าพวกมันก็คงแอบหวังว่าผมจะตัดสินใจเลือกสักทางตามพวกมัน แต่ไม่รู้สิครับ...การเลือกคณะ มันก็เหมือนเลือกอนาคตข้างหน้าของเรา ไม่เหมือนกับการตัดสินใจเลือกว่าจะกินอะไร แล้วเกิดเปลี่ยนใจอยากกินอาหารจานใหม่ทีหลัง


“หน้าเป็นตูดเลยตี๋เล็ก” เสียงเฮียมอสถามขึ้นทันที หลังจากที่ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนรถและกำลังคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งมารยาทในการใช้รถบนท้องถนน


“บอกแล้วไงเฮียว่าอย่าเรียกตี๋เล็ก เรียกชื่อดิ น๊อตอ่ะน๊อต บอกตั้งกี่ครั้งแล้วยังจะเรียกอยู่ได้ เรียกตี๋เล็กมันไม่แมนเข้าใจมั้ย” ผมหันไปย่นหัวคิ้วต่อว่าเฮียที่อายุห่างกับผมสิบปี พี่ชายคนโตของบ้านผู้ที่ม๊ารักดุดแก้วตาดวงใจ เหอะ...ม๊าไม่รู้หรอกว่าม๊ากำลังจะตกกระป๋องเพราะลูกชายคนโปรดกำลังมีแฟน!


ใครจะรักป๊ากับม๊าเท่าน๊อต ไม่มีหรอก!


“ลื้ออย่ามาเรื่องมากน่าตี๋เล็ก ทีป๊าเรียกลื้อไม่เห็นงอแง” เฮียมอสส่ายหัวหน่ายๆ แต่ยังทำหน้าที่คนขับรถประจำตัวผมได้ดีเยี่ยม


เฮียจบโท ตอนนี้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายสารสนเทศในองค์กรเอกชน แต่เพราะที่ทำงานของเฮียอยู่ใกล้กับโรงเรียนผมที่สุด ดังนั้น หน้าที่คอยมารับผมตอนเลิกเรียนจึงตกเป็นของเฮียไปโดยปริยาย


แม้ผมจะปฏิเสธความหวังดีของทุกคนแล้วว่าผมกลับบ้านเองได้ แต่ศาลเตี้ยที่บ้านผมไม่ยอมรับยกมือคัดค้านมติเป็นเอกฉันท์จนผมได้แต่เม้มปากงอน


คอยดู...ผมจะสอบเข้ามหาลัยไกลๆ บ้านให้ได้!


“ขืนงอแงป๊าก็ตัดค่าขนมดิ ยังไงก็เถอะ...เฮียห้ามเรียก หลุดปากเรียกเมื่อไหร่จ่ายมาร้อยหนึ่ง ไม่งั้นเรื่องที่เฮียมีแฟนถึงหูม๊าแน่คอยดู” ผมยักคิ้วให้เฮียอย่างเป็นต่อ ก่อนจะหงายเงิบเมื่อเฮียยื่นมือมาผลักหัวผมอย่างแรง มันจะรู้ไหมว่าตัวเองมือหนัก หัวผมโขกกับหน้าต่างรถดังโป๊ก แทนที่จะสำนึกเสือกหัวเราะเยาะน้องตัวเองเฉ๊ย!!


“ป๊าหวัดดีครับ ม๊าหวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ป๊ากับม๊าทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน บ้านผมเป็นร้านขายทองครับ ตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าจนมาถึงพ่อผม เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในย่านค้าทองชื่อดังแถวนี้


“ตี๋เล็ก”


ผมหันไปเลิกคิ้วให้ป๊าขณะที่กำลังจะเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้าน


“เพื่อนป๊าที่สมาคมเขาเอาไอ้นี่มาขาย บอกว่ามันช่วยแก้ผื่นคันไม่ให้เป็นแผลเป็นได้ ลื้อเก็บใส่กระเป๋าไว้เลยน่า ถ้าใช้ดีบอกป๊า ป๊าจะสั่งให้เขาส่งมาให้ประจำ” ป๊ายื่นตลับยามาให้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าเสื้อ ด้วยความที่ผมเกิดมาตอนม๊าอายุใกล้จะสี่สิบทำให้ผมไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเฮียกับเจ้ ไม่ได้อาการรุนแรงนะครับ แค่แพ้ง่ายเท่านั้นแหละ


อย่างอื่นแข็งมาก...


โดยเฉพาะหัว ป๊าบ่นผมประจำ ฮ่าๆ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมวิ่งไปเปิดประตูห้องนอนทันทีที่ได้ยินเสียง เจ้มิวยืนยิ้มหวานอยู่หน้าประตู


“มีอะไรเจ้” ผมโผล่หัวออกไปนอกห้อง เอาตัวบังเจ้ไว้ เจ้มิวเป็นโรคประหลาดชอบเข้ามาอ่านการ์ตูนวายที่ห้องผม (อย่าเข้าใจผิดนะครับ การ์ตูนก็ของเจ้มิว ไม่ใช่ของผม)


เจ้มิวกรอกตามองบน ทำเสียงระอาใจใส่ผม “แหม...ตี๋ ลื้อจะหวงอะไรกับเจ้ ป๊าให้เจ้มาคุยกับลื้อหรอกเห็นทำหน้าเครียดๆ ไม่ได้มาเรื่องส่วนตัว” ผมหัวเราะ ยอมเบี่ยงตัวหลบให้เจ้มิวเดินเข้ามาในห้อง


เจ้มิวเดินไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของผม ก่อนจะเปิดประเด็น


“ลื้อเลือกคณะที่จะเรียนได้ยัง”


ผมหยุดคิดสักพัก ก่อนจะส่ายหัว


“ยังเลือกไม่ได้ น๊อตกำลังคิดอยู่ ไอ้ไฟน์เลือกแพทย์ ไอเวลเลือกเภสัช คะแนนพวกมันสูงอยู่แล้วด้วย นี่พวกมันก็ถาม แต่น๊อตยังลังเล”


“คะแนนลื้อก็ไม่แย่นี่” เจ้มิวออกความเห็น ความหมายคือถ้าผมจะเลือกไปยื่นคะแนนสอบกับพวกไอ้เวลหรือไอ้ไฟน์ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แถมผมยังเคยไปตอบปัญหาได้เหรียญเงินระดับประเทศมาแล้วด้วย


“เจ้คิดว่าไง ถ้าน๊อตจะเลือกวิศวะ”


เจ้เลิกคิ้ว ทำหน้าแปลกใจที่ได้ยินคำถามนี้จากผม


ผมยักไหล่


“แปลกใจจังที่ได้ยินว่าลื้อจะเรียนวิศวะ ป๊าขายทอง ม๊าเป็นคุณนายเก็บแผงค่าเช่า พี่ชายเรียนสารสนเทศ พี่สาวเรียนไฟแนนซ์ เพื่อนสองคนก็เรียนคนละทาง” เจ้มิวพูดขำๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผมจริงจัง


“น๊อตคุยกับป๊าหรือยัง”


ผมส่ายหัว ความคิดที่จะเรียนด้านนี้เริ่มเทมาหกสิบเปอร์เซ็นเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ส่วนเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะเมื่อช่วงเย็นมีแฮชแท็กเกี่ยวกับพี่ว๊ากขึ้นเทรนอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ ผมเข้าไปส่องอยู่เกือบชั่วโมงก่อนเข้าไปอาบน้ำ


รู้สึกว่ามันน่าสนใจ และคงดูเท่ไปอีกแบบหากผมอยู่ในชุดเสื้อช็อปวิศวะ


“คุยอะไรกันสองพี่น้อง”


เฮียมอสถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนผมเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ แถมยังเดินเข้ามาทั้งที่น้ำที่ผมยังหยดติ๋งๆ ผ้าเช็ดตัวพาดอยู่ที่คอก็ไม่รู้จักเช็ด ห้องมันเลอะน่ะเข้าใจกันบ้างไหม


“น๊อตบอกว่าจะเรียนวิศวะน่ะเฮีย” เจ้มิวอธิบาย เฮียมอสหันมาเลิกคิ้วมองผม ก่อนจะหันกลับไปหาเจ้มิวอีกรอบ


“วิศวะอะไร?”


“เออนั่นสิ” เจ้มิวเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อได้ยินคำถามเฮีย ก่อนที่สายตาทั้งสองคู่จะมาหยุดอยู่ที่ตัวผม ผมเม้มปาก ทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเล่นตัว


“อย่าลีลา” เฮียมอสเร่ง ผมหัวเราะแล้วเฉลย


“วิศวะโยธา”


“จะไหวเหรอ” ทั้งเฮียทั้งเจ้ถามขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“อะไรวะ น๊อตไม่โง่นะ” ผมทำหน้าหงิกงอ


“ไม่ได้บอกว่าลื้อโง่ แต่เท่าที่เจ้ฟังจากเพื่อนมา มันหนักเอาการอยู่นะ เรียนก็หนัก งานก็เยอะด้วย ขนาดแค่ปีหนึ่งเอง อย่าให้พูดถึงโปรเจ็คจบ ได้ยินมาว่าลากเลือดเลยนะ นี่ไม่ได้ขู่” เจ้มิวแก้คำพูดของผม ร่างผอมเพรียว แต่หน้าหมวยอินเตอร์ลากเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ผมแล้วเริ่มกล่อมแกมขู่


ผมขบคิดก่อนจะหันไปหาเฮียมอส


“เฮียคิดว่าไงอ่ะ”


“เอาที่ลื้อชอบสิ นี่มันอนาคตลื้อ” เฮียตอบสบายๆ เดินทางสายกลาง ไม่ได้ห้ามหรือฟันธง อย่างที่บอกว่าเฮียแก่กว่าผมสิบปี ห่างจากเจ้มิวเก้า เขาเลยดูเหมือนเป็นพ่อมากกว่าพี่ชาย


เสียแค่อย่างเดียว...


“แต่ลื้อต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ลื้อเลือกจะไม่ทำให้ลื้อเสียผู้เสียคน”


ผมกรอกตามองเพดาน ก็นี่แหละเฮียมอส


“พรุ่งนี้น๊อตจะไปส่งใบสมัครรับตรง หลังจากนั้นก็คือสอบ เฮียกับเจ้อย่าเพิ่งบอกป๊ากับม๊านะ ยังไม่แน่ว่าน๊อตจะสอบติด” ผมบอกแกมขอร้องเฮียกับเจ้ กลัวป๊าไม่ยอมให้เรียนทางนี้ เขามีความหลังฝังใจ อย่าให้ผมเล่าเลย เกี่ยวกับม๊านั่นแหละ


“ไอ้ตี๋เล็กของเฮียกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ” เฮียมอสหันมามองหน้าผมแล้วแซ็ว ยกมือขึ้นมายีหัวผมจนฟูด้วย


“จ่ายมาเลยร้อยหนึ่ง บอกว่าอย่าเรียกแบบนี้ไงเฮีย” ผมแบมือ เฮียตีมือผมดังเพี๊ยะแล้ววกกลับเข้าเรื่องหลัก


“จะไม่บอกเหรอว่าจะสอบเข้าที่ไหน”


ผมยิ้มเป็นต่อ ยักคิ้วให้เฮีย


“บอกก็ไม่สนุกสิ”


สิ้นคำตอบผม เฮียกับเจ้ก็ช่วยกันรุมเอาผ้าห่มมาคลุมหัวผมแล้วใช้หมอนตีอย่างหมั่นไส้ กว่าผมจะไล่เฮียกับเจ้ออกจากห้องนอนได้ก็หอบแฮ่ก จากนั้นก็หยิบมือถือมากดดูแฮชแท็กในทวิตเตอร์ต่อ ผมว่านี่แหละคือสายอาชีพที่เหมาะกับผม


ที่สำคัญถ้าผมสอบติด


ป๊าจะได้เอาไปคุยกับเจ้าของร้านขายข้าวมันไก่ได้ว่า ไอ้ตี๋เล็กของเฮียโกวิทย์น่ะสอบติดวิศวะโยธา หึๆ คราวนี้แหละ นอกจากจะไม่โดนป๊าด่าข้อห้าปิดบังซ่อนเร้น ยังจะได้รางวัลเป็นทองแท่งหลายบาท ที่ทำให้ป๊าหน้าบานอวดศัตรูคู่อาฆาตได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัวแน่ะ!!


สอบวันสุดท้าย


“น๊อต ผลสอบมึงออกเมื่อไหร่” ไอ้เวลถามคณะเก็บของใต้โต๊ะใส่กระเป๋าเป้ เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่ก็ทยอยเก็บของใส่กระเป๋า บ้างก็นั่งเขียนเฟรนชิพ บางคนเห็นมีคนมาสารภาพรักพร้อมกุหลาบช่อโตด้วยนะ เห็นแล้วขนลุกพิลึก


ก็โรงเรียนผมมันชายล้วนนี่!!


“วันที่ 15”


ผลสอบรอบแรกไอ้ไฟน์กับไอ้เวลประกาศไปแล้ว เหลือแต่สอบสัมภาษณ์ ผมบอกแล้วว่าเพื่อนผมมันเก่ง ติดทั้งคู่ มหาลัยเดียวกันด้วย เหลือก็แต่ผมที่ประกาศผลช้ากว่า


“กูกับไอ้ฟายรอดแล้ว เหลือก็แต่มึง มาตามนัดด้วย อย่าได้คิดเบี้ยว”


“นั่นสิ พวกกูอุตส่าห์ดั้นด้นตามมึงไปแล้วนะ อย่าให้เสียเครดิต” ไอ้ไฟน์พยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้เวล โดยไม่ลืมถลึงตาใส่คนพูดที่เรียกชื่อมันเพี้ยนอย่างตั้งใจ


“พวกมึงอย่าเพิ่งกดดันกู กูทำเต็มที่แล้วโว้ย นี่กูก็เครียดนะ ยังไม่ได้บอกป๊าด้วย” ผมยกมือขึ้นมาเท้าคาง “เออยังมีอีกเรื่องที่กูคาใจ”


ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลหยุดมือที่กำลังหยิบเฟรนชิพของเพื่อนๆ ขึ้นมาเขียน เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้ว


“พวกมึงรู้ได้ไงว่ากูจะสอบเข้าที่นี่” จริงๆ คือคาใจมากแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถาม ตอนที่พวกมันบอกผมว่าจะสอบเข้าที่นี่ ผมโคตรดีใจ


“จริงๆ ก็รอถามมึง แต่เคยเห็นมึงส่องแท็กนั่นบ่อยๆ ก็พอเดาได้ว่าจะสอบเข้าที่ไหน” ไอ้ไฟน์เป็นคนเฉลยคำตอบ ผมพยักหน้ารับ ก็จริงอย่างที่มันบอก ผมยังส่องแท็กนั้นเพื่อหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยู่บ่อยๆ ผมว่าเป้าหมายผมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก


“พวกมึงจะไปอยู่หอในหรือเปล่า” ผมถามความเห็นเพื่อนสนิท พวกมันหยุดคิดก่อนจะส่ายหัวพร้อมกัน พวกมันคิดเหมือนผม ผมก็ไม่อยากอยู่หอใน รู้สึกไม่ชินแปลกๆ ถ้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตัวเองไม่คุ้นเคย


“พวกเราไปอยู่ด้วยกันมั้ยล่ะ” ไอ้เวลออกความเห็น เราสามคนมองตากัน


“ไม่เวล” ไอ้ไฟน์ดีดมือ


“เหี้ยอะไรของมึงไฟน์” ผมชักสีหน้า ไอ้นี่ คนกำลังคุยกันเป็นการเป็นงาน


“ไม่เลวไง ทำไมมึงไม่ทันมุกกูล่ะตี๋เล็ก”


“กวนตีน ตี๋เล็กพ่อง!” ผมทั้งฉุนทั้งขำ เชี่ยไฟน์แม่ง


“งั้นตกลงตามนี้ ประกาศผลสอบเมื่อไหร่เดี๋ยวกูไปดูหอเอง ถ้าได้แล้ว…จะชวนพวกมึงไปดูทีหลัง ส่วนมึงไอ้ไฟน์ มึงต้องจ่ายค่าเช่า” ไอ้เวลสรุป


“ทำไมกูต้องจ่ายคนเดียว”


“กูจ่ายคนเดียวก็ได้ ถ้าพ่อกูเป็นเจ้าของโรงแรมย่านสีลม” ไอ้เวลมันไม่ตอบ แต่ประชดกลับ ไอ้ไฟน์ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแก้กลุ้ม


“มึงลำเอียงนะเวล ไอ้น๊อตมันก็ลูกเจ้าของร้านทอง”


“นั่นเงินป๊ากูต่างหาก” ต้องรีบปัดให้พ้นตัว ไอ้ไฟน์หันมามองหน้าผมอย่างหมั่นไส้


“เดี๋ยวกูกับไอ้เวลจ่ายค่าน้ำค่าไฟ” ผมกับไอ้เวลหันมาแท็กมือกัน ส่วนไอ้รูปหล่อพ่อรวยนั่นก็ได้แต่ส่งสายตาเอือมๆ มาให้พวกผมแทน


“กูว่าจะหาเวลาไปทำบุญอยู่” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“เออ…ดีเหมือนกัน เดี๋ยวพวกกูไปด้วย เผื่อผลบุญจะหนุนนำให้มึงสอบติดอย่างที่ตั้งใจ” ไอ้ไฟน์ได้ทีแซ็วผมอีกรอบ ไอ้นี่...เพื่อนเลว ฉลาดกว่ากูมึงก็พูดได้สิเว้ย


ผมยกนิ้วกลางส่งให้ไอ้ไฟน์ มันหัวเราะถูกใจหันไปแท็กมือกับไอ้เวล เปลี่ยนสีไวสัด!


“แล้วจะไปวันไหน” ไอ้เวลถาม


“วันพฤหัสนี้ สิบโมง อย่าเลท” ผมสั่ง


“ไอ้เหี้ย โคตรเช้า” ไอ้เวลบ่น แหงสิ ก็บ้านมันอยู่รังสิต ส่วนไอ้ไฟน์อยู่บางพลัด ส่วนผมอยู่ใกล้วัดที่สุด ฮ่าๆ


“กูขอสละสิทธิ์ตอนนี้ทันมั้ย” ไอ้ไฟน์โอดครวญ คว่ำหน้าหล่อๆ ของมันลงบนโต๊ะ


ผมยิ้มเดินไปตบบ่าของมันอย่างเห็นอกเห็นใจ


“ทำบุญบ้างเถอะมึง ชาติหน้าจะได้หลุดพ้นจากความเป็นควายบ้าง” ผมหัวเราะสะใจ


ไอ้ไฟน์เงยหน้าขึ้นมามองผมเคืองๆ “โถ...ไอ้สัด เดี๋ยวปั๊ดขวิดไส้แตก”


สิ้นคำตอบของไอ้ไฟน์ พวกเราสามคนก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน


ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างหน้า


ผมก็จะวิ่งชนละนะ




หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 210961 ● เทคที่ 1 โน่นก็หมอ นี่ก็เภสัช!
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-09-2018 16:03:28
ติดอยู่แล้ว สามทหารเสือ   o18
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 210961 ● เทคที่ 1 โน่นก็หมอ นี่ก็เภสัช!
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-09-2018 17:32:50
เง้อออออ............ อยากอ่านต่ออีก  :z3: :z3: :z3:

สนุกกกกกกกก  ชอบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 210961 ● เทคที่ 1 โน่นก็หมอ นี่ก็เภสัช!
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 21-09-2018 22:48:43
ห่วงน้องรหัสของเพื่อนเกินไปรึเปล่าพี่ ถึงขนาดยกเลิกนัดสาว ตี๋เล็กต้องเข้าวิศวะได้อยู่แล้ว รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 24-09-2018 13:14:24
ตอนที่ 2 : ลูกผู้ชายสายธรรมะ




‘พวกมึงอยู่ไหนแล้ว’


ผมกดเข้าแอพพลิเคชั่นไลน์แล้วพิมพ์ข้อความลงแชทกลุ่ม ขณะยืนอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่าน เมื่อนาฬิกาในข้อมือบ่งบอกเวลาสิบโมงเช้าตามเวลานัดหมาย


อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน เอ่อ...ไม่สิ ร้อนฉิบหายเลยแหละ โชคดีอย่างเดียวของผมก็คือวันนี้เป็นวันธรรมดาทางราชการ บริเวณวัดและมูลนิธิจึงไม่แน่นขนัดเหมือนช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ยิ่งถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนาจะยิ่งหนาแน่นจนแทบไม่มีอากาศหายใจ


‘โทษทีว่ะ รถติด ใกล้จะถึงแล้ว’


ไอ้ไฟน์ตอบกลับมาเป็นคนแรก


‘ใกล้แล้วเหมือนกัน’


ตามด้วยไอ้เวล


ผมถอนหายใจดับกระหายอาการหงุดหงิดในช่วงอก


ตัดสินใจเดินเข้าวัดแล้วเริ่มทำบุญประจำวันเกิด บริจาคกระเบื้อง และลอยเทียน ก่อนจะซื้อพวงพาลัยขึ้นไปกราบพระบนพระอุโบสถ


ผมเดินเข้าไปด้านในก่อนจะทิ้งตัวลงแล้วคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างพี่ผู้ชายคนหนึ่ง โชคดีที่มีคนนั่งกราบพระอยู่ในนั้นสองสามคน บรรยากาศจึงไม่ดูเงียบเหงาวังเวง


เมื่อหาจุดนั่งได้ก็จัดท่าด้วยการคุกเข่า พนมมือ ขยับแว่นนิดหนึ่ง ก้มลงกราบสามครั้ง แล้วเพ่งสายตาไปที่คำสวดอย่างตั้งอกตั้งใจ


“คุณพระคุณเจ้าครับ ขอให้ผมสอบติดที่ NU แล้วผมจะหมั่นมาทำบุญ ปล่อยนก ปล่อยปลา ถือว่าเมตตาลูกช้างตาดำๆ ด้วยนะครับ” ผมบ่นพึมพำเสียงเบาหลังจากสวดจบบท พยายามตั้งจิตอธิษฐานอย่างเอาเป็นเอาตาย


หวังให้สิ่งที่ผมขอ เดินทางไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไวๆ


ครืด...


อธิษฐานยังไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ส่งสัญญาณเตือนการโทรเข้า มันไม่ดังมากครับ แต่ก็ยังมีเสียงอยู่ ผมรีบหยิบขึ้นมากดรับ หางตาเห็นว่าพี่ผู้ชายข้างๆ เหลือบมองผมด้วย


ไอ้ไฟน์โทรมา


เพื่อนยาก...ควายสมชื่อจริงๆ โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลา เพื่อนมึงถูกด่าทางสายตาเลยเห็นไหม!!!


ผมรีบกระซิบบอกมันว่าอยู่ตรงไหน ให้มันขึ้นมาหาได้เลย พูดจบก็กดวาง


“ขอโทษครับ”


ผมพูดลอยๆ แสดงความมีมารยาทว่าผมลืมปิดเสียงโทรศัพท์ แต่ผมไม่ได้หันไปมองพี่เขานะ รีบก้มลงกราบพระสามทีก่อนจะหยิบเป้แล้วคลานถอยออกมา


แอบมองด้วยหางตา เห็นพี่ผู้ชายคนนั้นเขาขยับลุกตามออกมาเหมือนกัน


ผมเดินออกมาด้านนอก ใส่รองเท้าแล้วมายืนรอเพื่อนที่จุดเคาะระฆัง กะว่าจะเข้าไปพร้อมพวกไอ้ไฟน์กับไอ้เวลอีกทีเพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล เมื่อกี้นี้ผมว่าผมยังลืมอธิษฐานขอให้ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมราบรื่น


“นี่”


ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะนิ่งงัน


“กี่โมงแล้ว”


ผมก้มลงมองข้อมือขวาของตัวเองอัตโนมัติ


“สิบโมงสี่สิบห้าครับ”


“อืม” พี่เขาตอบรับในลำคอแล้วเงียบ ทำท่าจะหันหลังกลับ


ผมกัดปาก ก่อนจะตัดสินใจถามด้วยความไม่แน่ใจ


“พี่...อยู่วิศวะโยธา ม.NU ปะครับ”


เขาหันมาเลิกคิ้ว


“ผมเคยเห็นพี่ในแท็กของมหาวิทยาลัย” ผมอธิบาย


เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว ผมก็รีบขยายความ “แฮชแท็กพี่ว๊ากในทวิตเตอร์น่ะครับ มีรูปพี่ด้วย”


“อ่อ”


“ผมกำลังรอผลสอบอยู่เหมือนกัน” ผมบอกเขาน้ำเสียงตื่นเต้น นี่แหละ! ทางลัดไปสู่ตำแหน่งพี่ว๊ากของผม ผลบุญที่ผมทำเมื่อกี้ ส่งผลเร็วยิ่งกว่าจรวดเสียอีก


“ก็...ขอให้โชคดี”


พี่เขาอวยพร ผมยิ้มรับ


“นาย...”


พี่เขาทำหน้าลำบากใจ


“ครับ?”


“พอจะมีมือถือมั้ย”


“เอ๋?”


“มือถือโดนล้วงน่ะ” เขาอธิบาย


ผมพยายามควบคุมสีหน้า ไม่ให้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจจนมากเกินไป กลัวว่าพี่เขาจะรู้สึกไม่ดี แล้วล้วงเอามือถือขึ้นมา ไม่ใช่ว่าผมไว้ใจคนง่ายนะครับ แต่เพราะนี่มันในวัดอีกทั้งผมก็รู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร ถ้าพี่แกชิ่ง ผมตามถึงม. แน่!


“นี่ครับ” ส่งมือถือให้ พร้อมขยับเข้าไปคุมเชิง


เอาเป็นว่าถ้าพี่แกวิ่ง ผมก็ว่าผมพร้อมวิ่งตามอ่ะ


พี่เขารับไปก่อนจะกดโทรออก บทสนทนาประมาณว่าพี่เขาบอกตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ แล้วถามปลายสายกลับว่าอยู่ที่ไหน ก่อนลงท้ายด้วยคำว่า...เจอกัน กดวางสายแล้วเหลือบมองหน้าผมแวบหนึ่ง


“ขอบใจมาก”


“ยินดีครับ” ผมยิ้ม พลางยื่นมือไปรับมือถือคืน เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาผมเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของไอ้ไฟน์ที่เดินนำหน้าไอ้เวลขึ้นมาทางขึ้นพระอุโบสถ มันมองซ้ายขวาก่อนจะเจอผม ขายาวๆ ของมันเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงผมแล้ว


“เอ่อพี่...อ้าว” ผมหันกลับมาที่พี่คนเมื่อกี้ แต่ด้านหลังกลับว่างเปล่าเหมือนไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนี้ ผมหันหลังกลับไปหาไอ้ไฟน์


“มึงเห็นคนที่ยืนตรงนี้ปะ”


“เขาเดินออกไป ตอนมึงหันมามองกู” ไอ้ไฟน์ตอบ พลางทำสีหน้าสงสัย


“คนรู้จักมึงเหรอ” มันถาม


“เปล่า แต่กูเคยเห็นพี่เขานะ อยู่วิศวะโยธา ม. NU มือถือพี่เขาโดนล้วงเลยยืมของกูโทร.” ผมอธิบายให้เพื่อนสนิทฟัง ไอ้เวลยื่นแก้วน้ำเป็บซี่ให้ผม


“มึงก็ไว้ใจคนง่ายตี๋เล็ก ถ้าเป็นมิจฉาชีพขึ้นมา ซวยหมานะมึง” ไอ้ไฟน์บ่น ผมกรอกตาขึ้นฟ้า มึงไม่เห็นกูยืนคุมเชิงเขาอยู่เหรอ เขาวิ่งกูวิ่งอ่ะเพื่อน!


อีกอย่างหนึ่งที่มึงไม่รู้ก็คือ เพราะกูรู้จักหรอกถึงได้ยอมให้เขายืม ขืนถ้าเขาชิ่งมือถือกูจริง กูเดือดลงโซเชี่ยลแน่


“ร้อนจะตายห่า รีบไปไหว้พระเถอะ กูยังขอพรไม่จบเลยเมื่อกี้” ผมตัดบท เดินนำพวกมันกลับไปที่ทางเข้าพระอุโบสถอีกครั้ง ไอ้ไฟน์ทำท่าจะบ่น พอเห็นผมไม่สนใจมันก็ฮึดฮัดตามหลังผมกับไอ้เวลมา


“ขอให้เพื่อนของผมสมหวังนะครับ ขอท่านเทวดาคุ้มครองมันด้วย” ไอ้เวลอธิษฐานออกเสียง


ผมหันไปเขม่นมัน


“มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่าเขาให้อธิษฐานในใจถึงจะประสบความสำเร็จ”


“กูกลัวท่านจะไม่ได้ยิน”


ไอ้เวล...ไอ้เพื่อนกวนตีน


“กวนตีน” ผมด่ามันไร้เสียง เพราะยังอยู่ต่อหน้าพระ


หางตาเหลือบเห็นไอ้ไฟน์ก้มกราบพระ ก่อนจะนั่งสงบรอผมกับไอ้เวล


“มึงขอพรเผื่อกูด้วยหรือเปล่าไฟน์” ทวงครับทวง กลัวมันลืม


“จะเหลือเหรอ”


ผมยิ้ม ดีมาก


ผมกับไอ้เวลกราบพระอีกสามครั้งหลังอธิษฐานเสร็จ จากนั้นก็ทำบุญบริจาคค่าน้ำค่าไฟตามกำลังศรัทธา ออกจากวัดมาอีกทีก็เกือบเที่ยง เลยชวนกันมากินข้าวที่สยาม อากาศด้านนอกตอนนี้ช่างชวนก่อมะเร็งผิวหนังเหลือเกิ๊น


“พวกมึงจะมาลุ้นเป็นเพื่อนกูมั้ย” ผมเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนสนิทอีกสองคน ขณะเดียวกันก็จ้วงไอศครีมเข้าปากไปด้วย ก่อนหน้านี้พวกเราเพิ่งแวะไปถลุงซิสเลอร์กันมา แต่ยังไม่จุใจถึงได้ชวนกันแวะร้านไอศกรีมต่อ


“กูต้องไปต่างจังหวัดกับแม่ว่ะ” ไอ้ไฟน์พูดน้ำเสียงเสียดาย


“กูต้องเฝ้าร้าน แต่จะช่วยลุ้นแน่นอนเพื่อน” บ้านไอ้เวลเปิดร้านหมูกระทะ


ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เข้าใจว่าพวกมันต่างมีหน้าที่ ผมไปคอยลุ้นกับเฮียและเจ้ที่บ้านดีกว่า แบบนั้นผมจะได้อ้อนขอของขวัญได้ด้วย ผมค่อนข้างมั่นใจเลยแหละว่าน่าจะสอบติดเพราะทำข้อสอบได้ แต่ก็ลอบเผื่อความเสียใจไว้ลึกๆ เหมือนกัน


“หวังว่าเปิดเทอมเราจะได้เจอกันพร้อมหน้า” ผมพูดยิ้มๆ


ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลเงยหน้าขึ้นสบตาผมแล้วคลี่ยิ้ม


“มึงทิ้งกูไม่ได้หรอกตี๋เล็ก” ไอ้ไฟน์กวน


“กูตามไปลากคอมึงแน่” ไอ้เวลทำท่าทุบกำปั้น


“เออ กูไปตามนัดแน่” ผมรับคำ ก่อนจะยื่นกำปั้นไปตรงหน้า ไอ้ไฟน์กำมือก่อนจะยื่นชนกับกำปั้นผม ตามด้วยไอ้เวล


“เจอกัน!”


หลังแยกจากพวกไอ้ไฟน์ ผมก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สยามสักพัก เพราะยังไม่อยากกลับ ทั้งที่ไอ้ไฟน์อาสาขับรถไปส่ง ส่วนไอ้เวลมันขอตัวไปเดินประตูน้ำ พร้อมกางโพยให้ผมดูเป็นหลักฐาน แม่มันฝากซื้อของ


ครืด...


“ฮัลโหลเฮีย”


ผมกดรับสายเฮียน่าน พี่ชายคนรอง


“อยู่ไหนวะ”


“สยาม” ผมตอบ ขณะก้าวขาลงบันไดเลื่อน เตรียมกลับแล้วครับ ฝนทำท่าจะตก ผมไม่ชอบฝน มันทั้งชื้นทั้งแฉะ


“เฮียซื้อแผ่นเกมมาใหม่ รออยู่” ประโยคบอกเล่า แต่น้ำเสียงเบี่ยงไปทางประโยคคำสั่ง


“อือเนี่ย กำลังกลับแล้ว เฮียหยุดหลายวันเหรอ” ผมตอบเฮียน้ำเสียงตื่นเต้น ก้าวขาไวๆ เดินข้ามสะพานลอยมารอเรียกแท็กซี่


“เออ ให้ไว” พูดจบเฮียก็กดตัดสาย


ผมกวักมือเรียกแท็กซี่ประมาณสามคัน ถึงได้เริ่มออกเดินทาง ขึ้นรถเรียบร้อยก็คาดสายรัดนิรภัยก่อน แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดส่องแท็กพี่ว๊าก ผมรู้ว่าช่วงนี้ผมเป็นเอามาก แต่เห็นสาวๆ ในแท็กเขากรี๊ดรุ่นพี่กันก็พลอยทำให้ผมตื่นเต้นไปด้วย เพลินไปอีกแบบ โคตรเป็นอะไรที่ช่วยฆ่าเวลา


พอลงจากรถได้ผมก็รีบวิ่งแจ้นเข้าบ้านไปเล่นเกมกับเฮียน่านที่ห้องผม ขนาดป๊ากับม๊าเรียกตามหลัง ผมยังเพียงแค่หันไปยกมือไหว้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเกมของเฮียน่านหรอก ฮ่าๆ


++++++++++++++++++


“เฮีย”


ผมเอามือปิดตาสองข้าง ขณะที่นั่งอยู่ที่หน้าโน๊ตบุ๊คส่วนตัว ด้านหลังของผมมีเฮียมอส เฮียน่าน กับเจ้มิว ที่ยืนกอดอกรอระหว่างผมกดเข้าหน้าเว็บของมหาวิทยาลัย


“ว่า”


เฮียมอสกับเฮียน่านถามขึ้นมาพร้อมกัน


“ช่วยดูให้หน่อย ไม่กล้าว่ะ” พูดจบก็เบี่ยงตัวออก


ผมเปิดหน้าเว็บค้างไว้แล้ว เหลือแค่ดูผลเท่านั้น ใจมันหวิวๆ ชอบกล ก่อนหน้านี้ผมหยิบมือถือมาปิดเครื่องไว้ด้วย กลัวพวกไอ้ไฟน์กับไอ้เวลมันโทรเข้ามาบอกผล


ผมกลัวหัวใจจะวายตายก่อนได้เข้าเรียน


“มึงป๊อดจังวะตี๋เล็ก” เฮียมอสส่งเสียงดูถูก มือก็ผลักหัวผมให้พ้นทางไปด้วย


เงียบไปอึดใจ เฮียก็ยังเงียบ


“เฮีย”


ผมเรียก


“เออ” เฮียมอสตอบรับ


“ติดปะ”


“มึงทำใจดีๆ นะตี๋เล็ก” เฮียมอสทำเสียงปลอบ


ใจผมแป๊วไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็น


นี่กูสอบไม่ติดจริงดิ


“มึงทำดีที่สุดแล้วไอ้ลูกหมา” เสียงเฮียน่าน ตามมาด้วยแรงมือที่วางบนไหล่ผมแล้วตบปุๆ


ไอ้เหี้ย...ใจเสียไปแล้วแปดสิบเปอร์เซ็น


ผมหวังเอาไว้สูงมาก สูงยิ่งกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ นี่ก็เตรียมไปเซอร์เวย์มหาวิทยาลัยเอาไว้แล้วด้วย ไอ้เวลก็หาหอพักสำหรับเราสามคนได้แล้วเรียบร้อย รอแค่ขนของเข้าไปอยู่ ไอ้ไฟน์เป็นคนออกเงินค่ามัดจำ ถ้าเกิดว่าผมสอบไม่ติดขึ้นมา อายพวกมันฉิบหายเลย


หมั่นหน้าหมั่นโหนกเอาไว้เยอะ!


ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ รวบรวมกำลังใจแล้วเอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย


“มะ...ไม่ติดจริงดิ”


“ติด”


ผมเอามือลง หันไปมองเฮียหน้าง้ำ เสียใจที่ตัวเองสอบไม่ติดแต่ยังไม่ยอมแพ้ เขย่าแขนเฮียมอสที่ยืนอยู่ข้างๆ


“ฮือเฮีย... เฮียอ่านผิดหรือเปล่าวะ ทำไมน๊อตจะสอบไม่ติด คะแนนน๊อตไม่แย่เลยนะ เฮียดูใหม่อีกรอบไม่ได้เหรอ ระบบมันอาจจะผิดพลาดแสดงผลผิดก็ได้อ่ะ”


“ไอ้น๊อต” เฮียมอสปรามผมเสียงเข้ม


“เฮีย...” ผมเรียกเฮียเสียงหงอย


“มึงฟังกูให้ดีๆ”


ผมมองหน้าเฮียที่เอนตัวลงมาจนหน้าอยู่ในระดับเดียวกับผม พร้อมที่จะยอมรับความจริง เมื่อเฮียมันทิ้งน้ำหนักมือลงบนไหล่สองข้างของผมโคตรแรง


“มึงสอบติดตี๋เล็ก” เฮียพูดพลางกดยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์


ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อกี้เหมือนจะหูฟาด


“สอบติด?”


เฮียพยักหน้ารับ พลางยื่นมือมายีหัวผม ส่วนเฮียน่านกับเจ้มิวระเบิดหัวเราะพร้อมกัน รุมส่งมือมาขยี้หัวผมต่อจากเฮียมอส


“ดูหน้าน๊อตดิเฮีย จะร้องแล้วเนี่ย” เจ้มิวยังขำไม่หยุด


“เฮียกับเจ้แกล้งน๊อตเหรอ” ผมหน้างอหนักกว่าเดิม ปากแทบชนคิ้ว


“ก็ลื้ออยากปิดอั๊วเรื่องมหาลัยทำไมล่ะ” เฮียมอสไม่สำนึก แล้วแจกแจงความผิดของผมแทน ผมลุกขึ้นยืน ไล่มองหน้าเฮียสองคนจบลงที่ร่างเพรียมของเจ้มิว รู้สึกเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก


“ป๊า!!!!!!!!”


ผมแหกปากเรียกป๊าลั่นบ้าน ให้น้ำเสียงฟ้องแทนคำพูด รอไม่ถึงห้านาทีป๊ากับม๊าก็วิ่งเข้ามาในห้องผม


เฮียโกวิทย์ขาใหญ่ประจำซอยรีบร้อนจนแม้แต่กระดุมเสื้อยังติดผิดเม็ด บนหัวยังมีฟองแชมพู ทั่วร่างยังพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำ เหมือนวิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงของผม


ส่วนม๊าก็พอกหน้าได้แค่ครึ่งเดียวเหมือนกัน


ผมรีบเดินไปเกาะแขนฟ้องป๊าว่าโดนพวกเฮียรุมแกล้ง ต่อด้วยคำสารภาพเรื่องที่สอบเข้าวิศวะและขออนุญาตออกไปอยู่หอเดียวกับพวกไอ้ไฟน์แบบรวดเดียวจบ


ป๊าอ้าๆ หุบๆ ปากอยู่หลายที จนผมต้องขยับออกห่างจากป๊าหนึ่งก้าว ยืนก้มหน้ามองพื้น มือแกะเล็บไปด้วย


“ต้องไปให้ได้เหรอ”


ผมเงยหน้าขึ้น กระพริบตามองป๊าปริบๆ


“มันไกลอยู่น่า”


ป๊าทำหน้าลำบากใจ หันไปมองหน้าของม๊าเหมือนหาพวก ม๊ายกมือขึ้นกอดอก หยุดคิดพักหนึ่ง ก่อนจะเดินมายืนใกล้ผม


“เรื่องการศึกษาของลูก ก็ต้องให้ลูกเลือกเองสิป๊า”


ผมกลั้นยิ้ม เมื่อมีพวกเพิ่ม


ป๊าหันไปส่งสายตาให้เฮียมอส


“ผมอยู่ข้างม๊า”


ป๊าถลึงตาใส่เฮียมอส เลื่อนสายตากลับมาหยุดที่ผม แล้วเม้มปาก


“ป๊าไม่อยากให้น๊อตเรียนในสิ่งที่น๊อตชอบเหรอ” ผมถามเสียงแผ่ว กดเสียงดราม่าเบอร์สุด ป๊าทำหน้าเศร้าลงนิดนึง


“ลื้อก็รู้ว่าป๊ารักลื้อที่สุด”


“ป๊ายอมถอยให้น๊อตสักก้าวไม่ได้เหรอ” ผมอ้อน


“เฮีย...นี่ลูกนะ” ม๊าส่งเสียงยุกึ่งกดดัน


“จะเรียนไกลป๊าไม่ว่าเลย แต่ทำไมต้องวิศวะโยธา” ป๊าพูดเหมือนรับไม่ได้ น้ำเสียงจึงผสมความโมโหกึ่งน้อยใจ ผมขยับเข้าไปเกาะแขนป๊า


“มีลูกเรียนวิศวะโยธา ดีจะตายไป นะป๊านะ” เสียงอ้อนไม่พอ ต้องเขย่าแขนป๊าไปด้วย


“อาไฟน์กับอาเวล อีเรียนสาขาอะไรนะ”


ป๊าก้มหน้ามองผม


“หมอกับเภสัช” ป๊าอ้าปากจะพูด ผมเลยรีบต่อคำ “แต่น๊อตรู้สึกว่าไม่ใช่ทาง”


“...”


“อย่าฐิทิหน่อยเลยเฮีย อาน๊อตอีสอบติดนี่ ต้องปิดซอยฉลองด้วยซ้ำ อย่าทำหน้าเหมือนสระผมแล้วผมร่วงติดมือมาเป็นกำได้มั้ย” รู้สึกเจ็บแทนป๊าแปลกๆ ม๊าก็ช่างจี้ใจดำคู่ชีวิต


“อั๊วก็แค่เป็นห่วง ลูกอั๊ว...อั๊วเลี้ยงของอั๊วมาอย่างดี ต้องไปทำงานเป็นวิศวกร ตากแดดตากฝน ต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ เกิดอีเป็นอะไรขึ้นมาอั๊วจะทำยังไง” ป๊าอธิบายเหตุผล เป็นเหตุผลที่ผมเองก็ยังไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ


“ป๊า...” เจ้มิวเรียกป๊า น้ำตาคลอ


“มันเป็นอนาคตของน้องนะป๊า” เฮียมอสช่วยพูด


“นั่นดิป๊า” เฮียน่านสำทับ


“ไม่มีใครอยู่ข้างอั๊วเลยเรอะ” ป๊าเลิกคิ้วถาม ไล่มองผม ม๊า เฮียมอส เฮียน่าน เจ้มิว พวกเราส่ายหัวหวืด


“เออ อั๊วมันไม่มีใครรัก” ป๊าเชิดจมูก ผมกลั้นยิ้ม


“อาน๊อต” ป๊าเรียก ผมเกร็งตัวรอรับคำตัดสิน “คราวนี้อั๊วจะยอมให้ แต่ลื้อรู้ใช่มั้ยว่าป๊าเป็นห่วง”


ผมพยักหน้าขึ้นลง ส่งยิ้มให้ป๊า “รักป๊าโคตร”





หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 240961 ● เทคที่ 2 ทางลัด
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-09-2018 17:54:20
รักป๊าเหมือนกัน อย่าทำให้ป๊าผิดหวังนะอาน๊อต
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 240961 ● เทคที่ 2 ทางลัด
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2018 18:15:33
ครอบครัวน่ารัก ชอบบบบบบบบบบ
ป๊า ม้า ก็รักลูกมากๆ
ได้ยินเสียงลูกร้องเรียก เผ่นพรวดมาทั้งฟองแชมพูเต็มหัว
ส่วนม้าก็มาทั้งที่พอกหน้าได้แค่ครึ่งหน้า

พี่ว้าก มือถือถูกล้วงจริงเหรอ
แบบโทรหาเพื่อนเบอร์ก็ไปอยู่ที่เครื่องเพื่อนไง  :m20:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 240961 ● เทคที่ 2 ทางลัด
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-09-2018 18:39:15
สอบติดแล้ว.  :mc4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 240961 ● เทคที่ 2 ทางลัด
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 24-09-2018 22:56:16
ครอบครัวน่ารัก น็อตนี่มีแต่คนประคบประหงม
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 26-09-2018 15:58:03

ตอนที่ 3


วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเพิ่งย้ายเข้าหอ โดยมีป๊ากับม๊าขับรถมาส่ง ไอ้ไฟน์และไอ้เวลย้ายมาอยู่ก่อนหน้านี้ ของผมมีไม่เยอะมีแค่ชุดนักศึกษา ชุดนอน กับโน๊ตบุ๊ค ที่เหลือขอไอ้ไฟน์กับไอ้เวลใช้


“น๊อต มึงจำทางไปคณะได้แล้วแน่นะ” ไอ้ไฟน์ถามย้ำ เพื่อนผมในชุดนักศึกษาหล่อเหลาบาดตา วันนี้มันจัดทรงผมด้วย ส่วนไอ้เวลทรงเดิมเพิ่มเติมคือความยาวของเส้นผม


“มึงย้ำกูมารอบที่ห้าแล้วไฟน์” ผมทำเสียงเหม็นเบื่อไอ้เวลขำก๊าก


“ตอนกูมาแรกๆ มันก็ย้ำกูแบบนี้แหละ เหมือนมันจะลืมว่าคนเดินหาหออยู่น่ะ...คือกู”


“เปิดเทอมวันแรก กูแค่อยากกระตือรือร้น” ไอ้ไฟน์กดลิฟท์ แล้วหันมาเช็คทรงผมที่กระจกด้านหลัง


เรากำลังจะไปมหาลัยครับ เจ็ดโมงเช้า เวลากำลังดี


เมื่อเช้า...ไอ้เวลแหกปากปลุกทุกคนตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโก่งคอโห่ มันนึกว่าทุกคนจะตื่นเช้าเหมือนมันหรือไง


“คณะของกูกับพวกมึง อยู่คนละฟาก” ผมบ่น


วิศวะอยู่ใกล้ทางออกอีกประตูฉันท์ใด คณะแพทย์ก็อยู่ใกล้อีกหนึ่งประตูฉันท์นั้น


คณะเภสัชฯ ของไอ้เวลยิ่งแล้วใหญ่ อยู่คนละฝั่งไม่พอ...ไกลฉิบหายอีกต่างหาก


“ยังดี...ที่อยู่ม. เดียวกัน” ไอ้ไฟน์บิดขี้เกียจ เดินนำทุกคนออกจากลิฟท์


“กูจะให้ไอ้ไฟน์แวะไปส่ง มึงก็ไปด้วยกันดิ” ไอ้เวลชวน


ผมส่ายหัว


“เดี๋ยวกูไปเอง”


ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลหันมามองผม


“กูอยากลองใช้ชีวิต พวกมึงเข้าใจมะ”


“โถ...ไอ้คนมีอุดมการณ์” ไอ้ไฟน์ทำเสียงรับไม่ได้


ผมหัวเราะ


“ใครมันจะไปมีรถขับตั้งแต่เรียนไม่จบม.ปลายแบบมึง”


“แล้วไอ้ลูกเจ้าของร้านทองแบบมึงมันจนตรงไหนครับ” ไอ้เวลถามขึ้นมาอย่างหมั่นไส้


“ก็นั่นมันเงินพ่อกูโว้ย! รู้ไว้ซะด้วยไอ้ลูกเจ้าของร้านหมูกระทะสามสาขา!” ผมแขวะไอ้เวลกลับ ไอ้ไฟน์หัวเราะก๊าก ถูกอกถูกใจ


“เจอกันตอนเย็น”


ผมแยกกับเพื่อนที่เหลือ เดินไปขึ้นรถสาธารณะท่ามกลางประชากรที่ล้นหลาม รถคันที่ผมโดยสารมาอัดแน่นอย่างกับปลากระป๋องสามรส เมื่อรถจอดสนิทผมก็ก้าวลงอย่างระมัดระวังโดยก้าวเท้าขวาลงก่อนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยแล้วเดินตรงดิ่งไปที่คณะ


ด้านหน้าคณะ มีพวกพี่ๆ ยืนรอต้อนรับอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ บรรยากาศคึกคัก


พี่ผู้หญิงหน้าตาสดใส เดินเข้ามาหาผมแล้วเอ่ยแนะนำ “น้องปีหนึ่งใช่มั้ยคะ ลงชื่อทางนั้นก่อนเลย” ผมเหลือบมองป้ายชื่อที่แขวนอยู่บนอกพี่เขาแล้วแอบจดจำไว้ในใจ ‘พี่แนน’


“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ เดินไปตามทางที่พี่แนนชี้ ใช้สายตาเลื่อนดูชื่อตัวเองอยู่ไม่นานก็ก้มลงเซ็น ก่อนจะได้รับป้ายชื่อมาคล้องคอ


ด้านหลังป้ายชื่อของผมมีคำว่า ‘พี่น้องนำหน้าซอโซ่’


ผมก้มลงอ่านซ้ำอีกรอบด้วยความไม่แน่ใจ


‘พี่น้องนำหน้าซอโซ่’ พี่เขาต้องการจะสื่ออะไรวะ


“เฮ้ยมึง เด็กใหม่ปะ”


ผมพยักหน้ารับงงๆ เมื่อมีคนมาสะกิดไหล่


“พี่เขาเรียกรวมที่ห้องประชุมแล้ว วิ่งดิสัด” พูดจบก็ลากคอเสื้อผมให้วิ่งตามมัน


ผมวิ่งหอบแฮ่กๆ เข้าไปในห้องประชุมใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้คนที่มันลากผมติดมือมาด้วย มันเลิกคิ้วหันมามองป้ายชื่อผมกวนๆ


เชี่ยนี่...ไม่ได้รู้สำนึก


กูกับมึงไม่เคยรู้จักกันโว้ย!!!!


“คิดยังไงมาเรียนวิศวะ” ไอ้คนข้างๆ ถาม


“คิดแบบที่มึงคิดนั่นแหละ”


“อ่อ...สาวๆ กรี๊ด”


ผมหันขวับไปมองคนคิดเองเออเองตาโต ไม่ใช่โว้ย! นี่มึงคิดแค่นี้จริงๆ เรอะ!! ผมมองหน้าคนข้างตัวแล้วเหลือบมองป้ายชื่อมัน


“มึงอยู่ปีหนึ่งจริงดิซัน”


“ทำไม”


“กูว่าหน้ามึงมันเลยชั้นปีไปเยอะเลย”


“หึ เดี๋ยวมึงได้รู้” ไอ้ซันหัวเราะ แต่ผมรู้สึกขนลุกขนพองแปลกๆ ไม่รู้ทำไม


“ขอต้อนรับน้องๆ ปีหนึ่งทุกคนสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์พี่ชื่อหินอยู่ปีสาม ใครที่มาแล้วรีบหาที่นั่งเลยนะครับ เดี๋ยวเช้านี้พี่ๆ ปีสองจะเข้ามาจัดระเบียบแถว ขอให้ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ หากทำดีพี่มีรางวัล แต่หากทำงานพังพี่มีก็บทลงโทษให้น้องๆ เหมือนกัน หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ” รุ่นพี่ที่ยืนอยู่หน้าแถวใช้โทรโข่งสื่อสารกับพวกเรา ใจผมเต้นตึกๆ นี่แหละที่ผมรอคอย


“เฮอะ จะทำเบ่งทำไมวะ ดูก็รู้ว่าเฟค” เสียงเยาะหยันของเพื่อนด้านหลังกระซิบกับคนที่มาด้วยกัน ผมอยากหันหลังไปมองหน้าคนพูดใจจะขาดแต่ไม่กล้า ไม่เหมือนไอ้ซัน...มันหันไปมองหน้าคนพูดทันทีที่ได้ยิน


“พี่ขอแจ้งกำหนดการคร่าวๆ หลังจากจัดระเบียบแถวเสร็จเรียบร้อย จะเป็นการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่โดยคณะอาจารย์และผู้บริหารพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมรับน้องประชุมเชียร์เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนจะปล่อยกลับบ้าน” พี่หินอธิบายกำหนดการคร่าวๆ ให้ฟัง


“ซัน...” คนโดนเรียกหันมาเลิกคิ้ว “พี่ว๊ากของที่นี่โหดปะวะ” ผมอดหันไปถามเพื่อนใหม่ที่ไม่ได้ตั้งใจอยากรู้จักไม่ได้


ไอ้ซันมองผมเอือมๆ


“กูจะรู้มั้ย”


เออวะ! ลืมไปว่ามันก็เด็กใหม่


ผมขยับแว่นแก้เขิน “กูลืม”


รอประมาณสิบห้านาทีก็มีคณะของพี่ๆ สันทนาการเข้ามาช่วยแจ้งกฎระเบียบและแจกเพลงประจำคณะ พวกเราโดนแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม จากนั้นก็ร่วมกันฝึกร้องเพลง จัดระเบียบแถว เกือบสิบโมงพี่ๆ ถึงบอกลาและออกไปเป็นกลุ่ม


สิบนาทีต่อมาก็เริ่มฉายวิดิโอของมหาวิทยาลัย แล้วการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ก็เริ่มขึ้น กว่าจะจบตามกำหนดการก็เกือบเที่ยง ไอ้ซันที่นั่งข้างผม หลับไปสองตื่นพอดี


ไอ้ซันลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินประกาศพักเที่ยง


“จะไปไหนวะ”


ผมจะไม่ถามเลยถ้ามันไม่ได้เดินไปคนละทางกับตรงที่เขาแจกข้าวกล่อง และเผื่อว่ามันจะไปเข้าห้องน้ำ ผมจะได้เนียนไปกับมันด้วย


“แดกข้าว”


“ข้าวอยู่ตรงนู่น” ผมชี้


ไอ้ซันมองผมด้วยความรำคาญ “เจอกันตอนบ่าย ไม่ต้องตามกูมาด้วยนะ ไม่งั้นได้แดกตีนแทนข้าวแน่”


ชะอุ้ย ขาผมที่กำลังจะก้าวตามมันชะงักกึก แล้วกลับหลังหันไปทางตรงข้ามทันที


“น้ำ”


ผมงับช้อนที่ตักข้าวไว้ในปาก ขมวดคิ้วมองขวดน้ำตรงหน้า ค่อยๆ เงยหน้ามองคนที่ยื่นขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วส่งมาให้ พอเห็นหน้าคนยื่น ผมก็ยิ้มด้วยความดีใจ


“ขอบคุณครับ”


“มานั่งหลบมุมอะไรตรงนี้” พี่เขาถาม พลางทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม


“เขินน่ะพี่ กินข้าวคนเดียว” ตอบพลางรีบกลืนข้าวลงท้อง หยิบน้ำมากรอกลงท้องอั้กๆ ผัดกระเพราเผ็ดระดับปกติ แต่ดันไม่ปกติสำหรับคนที่ไม่ชอบกินเผ็ดแบบผม


“พี่จะเข้าห้องประชุมตอนบ่ายเหรอ” ผมถามน้ำเสียงตื่นเต้น


“รู้ได้ไง”


ผมยิ้ม ขยับแว่นตอบ “ผมเคยเห็นพี่ในแท็กพี่ว๊ากปีล่าสุดไง”


“อ่อ”


“ผมน๊อตนะครับ” ผมชูป้ายชื่อแนะนำตัว พี่เขาเหลือบมอง


“สอง...ลายมือน่ารักดีนี่”


ผมยิ้มรับ ไม่กล้าอวดว่าเคยได้แชมป์คัดลายมือตอนป.หก


“พี่จำผมได้ไง”


เราเคยเจอกันครั้งเดียวที่วัด แล้วเวลามันก็แค่แป๊บเดียวเอง แต่เขาดันจำผมได้


“แว่น นาฬิกา กระเป๋า” เขาชี้มือ


“อ๋อ...แล้วพี่เป็นเฮดว๊ากด้วยหรือเปล่า” ถ้าใช่...ผมจะได้ฝากตัว


“เปล่า แต่ก็ไม่เชิง”


ผมขมวดคิ้ว จะถามต่อ แต่หางตาเหลือบเห็นไอ้ซันที่เดินเข้ามาซะก่อน มันเองก็ชะงักตอนเห็นผม หึ จะมาหาที่นอนล่ะสิ


“อ้าว...พี่จะไปแล้วเหรอ” ผมหันมาถามพี่สองที่ลุกขึ้นยืน เขาหันมาพยักหน้าแล้วเดินออกไป พอดีกับไอ้ซันเดินมาถึงตัวผม


“มาทำอะไรตรงนี้”


“กินข้าว” ผมปิดฝากล่องข้าวลง เอายางรัดไว้ด้วย สู้ความร้อนแรงของผัดกระเพราไม่ไหวจริงๆ กินแล้วแสบท้อง


“มึงไม่มีเพื่อนคบหรือไง”


ถามเหมือนหาเรื่องเลยวะไอ้นี่


“มี แต่อยู่คนละคณะ”


“อ่อ”


“เออซัน มึงว่าปีนี้จะมีพี่เนียนมาอยู่ในชั้นปีเราปะวะ” ผมถาม เพราะก่อนหน้านี้เปิดกูเกิ้ลเข้าไปศึกษาเรื่องการรับน้องอย่างจริงจัง บางมหาวิทยาลัยตอนรับน้องจะมีพี่ๆ ปีสูงแอบเนียนเข้ามาเป็นพี่แฝงด้วย


“มึงหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่า” มันถามเหมือนรู้ทันความคิดผม


“ก็มันน่าสนุกจะตาย” ผมยิ้มกริ่ม ชะโงกหน้าไปพูดกับไอ้ซันเสียงเบา “มึงเห็นพี่คนเมื่อกี้ปะ เขาเป็นพี่ว๊ากด้วยนะ ที่กูบอกมึงเพราะชอบเห็นมึงหลับ ตอนบ่ายอย่าหลับเชียวนะเว้ย”


“เขาบอกมึงเหรอ”


ผมส่ายหัว


“เปล่า แต่กูอยากเป็นแบบพี่เขา”


“น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะ” ไอ้ซันหัวเราะเยาะ ก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ผม “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เนิร์ด ๆ อย่างนี้ใครเขาจะกลัว”


“เดี๋ยวกูจะไปทำเลสิคแล้ว” ผมอวด พลางเล่าแผนการสร้างกล้ามเนื้อที่มีในอนาคตให้เพื่อนใหม่ฟังอย่างออกรส ไอ้ซันเหลือบมองนาฬิกาในข้อมือเหลืออีกสิบห้านาทีก่อนเข้าห้องประชุม มันออกปากไล่ให้ผมไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเลี่ยงออกไป


ผมเดินเข้าห้องประชุมอีกครั้ง มองหาที่นั่งที่เคยนั่งแล้วเดินเข้าไปนั่งรออย่างเรียบร้อย


ก่อนเวลาเรียกรวมห้านาทีไอ้ซันก็ตามมา


พี่หินเรียกพี่สันทนาการเข้ามาเริ่มกิจกรรมแก้ง่วงประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ทั้งห้องประชุมจะเงียบกริบ เมื่อมีคนกลุ่มใหม่เดินเข้ามา


ผู้มาใหม่กลุ่มนี้ใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ตรงแขนเสื้อสวมปลอกสีเลือดหมูเข้ม เดินเรียงแถวไปยืนต่อกันเป็นแถวหน้ากระดาน หันหน้าเข้าหาปีหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง


ผมไล่สายตามองพี่ๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่คนสุดท้ายที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม


“สวัสดีครับ” พี่สองเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางแถวแล้วเอ่ยทักทาย


“สวัสดีครับ!/ค่ะ!!” พวกเราที่เหลือตะเบ็งเสียงทักทายกลับ


“น้องๆ หลายคนอาจจะทราบกันแล้วว่าพวกเราทั้งหมดเป็นใคร บางคนอาจจะมีคำพูดขำขันในใจว่าพวกพี่คือตัวตลกในสายตาของพวกคุณ หรือไม่...ก็มองว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่แสนจะไร้สาระ”


พี่สองกวาดตามองพวกเรายิ้มๆ บรรยากาศวังเวงกว่าเมื่อห้านาทีที่แล้วสองระดับ


“เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พี่สันฯ คงแจกกฎระเบียบในการรับน้องประชุมเชียร์เป็นเวลาหนึ่งเดือนให้ทุกคนไปแล้ว ไม่ทราบว่ามีใครได้หยิบขึ้นมาอ่านแล้วบ้างครับ”


เงียบกริบไปทั้งห้องประชุม


“รหัส 05701572”


ผมรีบก้มมองป้ายชื่อของตัวเอง ก่อนจะถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก


แต่...


ไอ้คนข้างตัวผมลุกขึ้นยืนพรึ่บ


ผมเม้มปาก เริ่มภาวนาในใจ


ซันมึงอย่าเพิ่งโชว์เหนือนะ สงบไว้เพื่อน สงบไว้!


“กฎข้อหนึ่งคืออะไร”


พวกเราที่เหลือกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นแอบเอาโพยขึ้นมากาง แต่ผมจำได้เพราะพี่สันฯ เขาพูดย้ำหลายรอบมากเมื่อเช้า


“ไม่ทราบครับ”


ผมใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินคำตอบไอ้ซัน


“เมื่อเช้าไม่ได้เข้ากิจกรรมเหรอครับ” พี่สองถามเสียงเข้มขึ้น


“เข้าครับ แต่ไม่ได้ฟัง”


ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าเฮือก แน่นอนว่าไม่ใช่ของไอ้คนที่ต่อปากต่อคำกับพี่สอง


“ซ้ายมือของรหัส 05701572 ลุกขึ้นครับ”


ผมเงยหน้า


“ไม่ได้ยินที่ผมเรียกเหรอครับ ซ้ายมือของรหัส 05701572 ลุกขึ้นยืน”


เอาไอ้พี่ใจดีเมื่อกี้คืนมา!!


ผมเม้มปาก ขยับแว่นอีกนิด ลุกขึ้นยืน ไม่ลืมใช้หางตามองไอ้ซันด้วยความเคือง


“กฎข้อหนึ่งคืออะไร”


“คะ...คือ”


“มั่นใจให้สมเป็นลูกผู้ชายหน่อยไม่ได้หรือไง” พี่สองกดดันด้วยคำพูด เสียงโคตรเข้มอ่ะ!


ผมเม้มปาก แล้วตะโกนสุดเสียง


“มาให้ตรงเวลา! เคารพต่อหน้าที่! ทำดีมีรางวัล! แต่ถ้าทำพังก็ต้องยอมเสียเวลาครับ!!”


ทุกสายตาโฟกัสอยู่ที่ผมเป็นจุดเดียว


พี่สองยิ้มมุมปาก “ดีมากครับ นั่งลงได้ทั้งคู่”


ผมนั่งลง สายตาก้มมองพื้นเหมือนหาเศษเหรียญที่ทำตกไว้


“ใช้ได้นี่หว่าไอ้แว่น”


ผมเชิ่ดจมูกขึ้น ไม่สนใจไอ้ซัน เคืองแม่ง ทำกูซวยไปด้วย


“ลองทวนกฎข้อแรกอีกครั้งดังๆ อีกครั้งพร้อมกันนะครับ เชิญ!”


“มาให้ตรงเวลา!”


“เคารพต่อหน้าที่!!”


“ทำดีมีรางวัล!!!”


“แต่ถ้าทำพังก็ต้องยอมเสียเวลา!!!!!!”


ท่อนสุดท้าย ตะโกนคอแทบแตก


กว่าพี่ว๊ากจะยอมปล่อยพวกผม ก็เล่นเอาอ่อนเปรี้ยเพลียแรง แต่ปล่อยตรงเวลาเป๊ะคือบ่ายสองโมง พวกเราทั้งชั้นปีจัดแถวทยอยออกจากห้องประชุม ทุกคนมีสีหน้าแช่มชื่น เหมือนชีวิตเพิ่งได้รับออกซิเจน


“ซัน มึงได้คำใบ้พี่รหัสว่าอะไรอ่ะ” ผมหันไปถามไอ้ซัน มันบิดขี้เกียจพลางหันมาเลิกคิ้วมองผมเหมือนจนปัญญาจะต่อกร


“ไม่ยุ่งสักเรื่องจะได้มั้ย”


ด่าว่าเสือกตรงๆ เลยก็ได้นะ


“ก็กูนับมึงเป็นเพื่อนแล้วอ่ะ” แล้วมึงก็ต้องเป็นเพื่อนกูด้วย


“ดูปากกูแล้วจำใส่สมองฉลาดๆ ของมึง” ไอ้ซันจิ้มหน้าผากผม


“กูไม่ใช่เพื่อนมึง และไม่มีวันเป็นด้วย”


ไอ้คนใจดำ!! ผมด่ามันทางสายตา


“ผู้นำว๊ากวันนี้แม่งขี้เก็กฉิบหาย”


ผมเลิกสนใจไอ้ซัน หยุดฟังบทสนทนาของคนที่เดินตามหลังมา


“มันเป็นหน้าที่ของพี่เขา พวกมึงไม่ควรวิจารณ์ อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่” หนึ่งในนั้นออกความเห็น ผมแอบชื่นชมมันในใจ


“พระเอกจริงๆ ไอ้ธรรศ” ไอ้คนที่มันวิจารณ์พี่สองรั้งคอเพื่อนมากอดแล้วออกปากแซ็ว


“มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่พวกมึงควรจะเข้าใจ” ไอ้ธรรศนั่นบอกเพื่อนเสียงปลง ก่อนจะชะงักเมื่อหันมาสบตากับผมพอดี ผมทิ้งสายตามองพื้นเมื่อถูกจับได้


“กูมาเรียน ไม่ได้มาให้ใครข่มใส่นี่หว่า”


“มึงเข้าใจคำว่ากิจกรรมมั้ยเหิน”


ผมล่ะอยากยืดอกปรบมือให้ไอ้ธรรศ


“นู่น มึงไปอยู่กับไอ้แว่นนั่นซะไป อย่ามาอยู่กับตัวร้ายอย่างกู”


ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงแว่นไหน


“พาลไอ้สัด”


ครืด...


ผมรีบล้วงหาโทรศัพท์ทันทีที่มีสายเข้า เงยหน้าขึ้นมาก็มองไม่เห็นไอ้ซันแล้ว


“ฮัลโหล”


“น๊อต มึงเลิกยัง” ไอ้ไฟน์ถามมาตามสาย


“เลิกแล้ว มึงอยู่กับไอ้เวลเปล่า” ผมถามหาไอ้เวล ขณะเดียวกันก็เดินเลี่ยงมาที่หน้าคณะ มารอรถกลับหอ


“เพิ่งรับมันขึ้นรถมาเนี่ย มึงรอหน้าคณะ เดี๋ยวกูวนรถไปรับ”


เยส!!


“มึงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกูที่สุดเลยฟาย”


“สัดน๊อต”


ผมหัวเราะ แล้วกดวางสาย ยืนรอไอ้ไฟน์ประมาณห้านาทีมันก็มาถึง พวกเราชวนกันไปกินซิสเลอร์ ไอ้ลูกเจ้าของโรงแรมออกปากเลี้ยง บอกว่าได้พี่รหัสโดนใจ ผมแปลกใจที่ทำไมมันหาเจอไว มันเลยเฉลยว่า


‘ตามหามาเป็นอาทิตย์แล้ว’


สรุปว่าไอ้ไฟน์เข้าค่ายรับน้องก่อนชาวบ้าน วันนี้คือวันเฉลยพี่รหัส


ส่วนไอ้เวล...วันนี้มันมีปฐมนิเทศอย่างเดียว รอรับน้องมหาวิทยาลัย แล้วค่อยแยกคณะ แต่ได้คำใบ้เรื่องพี่รหัสมาแล้ว เป็นมิสชั่นที่มันต้องตามหาพี่รหัส มันบ่นๆ ให้ฟังว่าต้องไปขอคำใบ้จากรุ่นพี่คณะวิศวกรรมศาสตร์คนหนึ่งที่มันได้ชื่อมา เอาไว้ค่อยไปตามหาทีหลัง


แน่นอนครับว่ามันต้องเรียกใช้บริการผมแน่นอน!


กลับถึงห้อง ผมก็โทรหาป๊า เล่าเรื่องที่มหาลัยวันนี้ลงกรุ๊ปไลน์แฟมิลี่ พวกเฮียๆ ขู่ผมเรื่องรับน้องกันใหญ่ หึ จ้างให้ก็ไม่ถอดใจหรอก เวลาล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่ม เฮียน่านก็ไล่ผมไปนอน


คืนนี้ผมฝันเห็นตัวเองได้เป็นพี่ว๊ากด้วย!






หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 260961 ● เทคที่ 3 น้องใหม่ใจสั่งมา
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-09-2018 18:22:58
ซันมีความน่าสงสัย น่าจะเป็นพี่เนียน
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 260961 ● เทคที่ 3 น้องใหม่ใจสั่งมา
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-09-2018 18:27:09
จะได้เพื่อนสนิทไหมนะ   :hao4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 01-10-2018 17:13:06

เทคที่ 4 : รับน้องนี้...มีแตก


ผมกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง รู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เอนเนอร์จีในร่างกายมอดไหม้ ดับสนิท ปลุกยังไงก็ปลุกไม่ขึ้น ปล่อยให้เสียงเพลงในมือถือเล่นคลอไปเรื่อยๆ จนกลับมารีเพลย์ใหม่อีกรอบ

   
“ขี้ไม่ออกเหรอน๊อต” ไอ้ไฟน์โยนหมอนใส่หัวผม


ผมหันไปถลึงตาใส่มัน“ไอ้ฟายยยย”

   
“เป็นเหี้ยไร” ไอ้เวลถาม เสียงมาก่อนตัว ถามจบมันก็เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียงในห้องนอนผม ไอ้ไฟน์ยืนพิงโต๊ะเขียนหนังสือผมอยู่

   
“มึง...” ผมเว้นจังหวะ มองหน้าเพื่อนสนิทอีกสองคน

   
“ทั้งชั้นปีคงมีกูคนเดียวที่หาพี่รหัสไม่เจอ” ผมพูดเสียงเครียด

   
“ขนาดไอ้ซัน ไอ้มนุษยสัมพันธ์ยอดแย่ของชั้นปีมันยังหาพี่รหัสเจอแล้ว แต่กู!” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง“คนที่มนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยมคนนี้ เสือกหาพี่รหัสไม่เจอ!”

   
“มึงได้คำใบ้มาตั้งแต่วันแรกแล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้เวลถาม


ผมมองหน้าไอ้เวลด้วยสีหน้ารับไม่ได้ คิดดูสิขนาดไอ้เวลมันยังหาพี่รหัสมันเจอแล้วตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แถมพี่รหัสแม่งโคตรเฟรนลี่ เดินเข้ามาใบ้มันก่อนด้วย


แต่ผม...ควานหามาเกือบเดือนก็ยังไม่เจอ!


“ชีวิตกูไม่เคยตกต่ำอะไรอย่างนี้มาก่อน มึงรู้มั้ย กว่ากูจะได้คำใบ้แต่ละที กูต้องเอาหนังหน้าหนาๆ เข้าสู้ ไหว้ถังขยะเอย นั่งคุยกับต้นไม้เอย กอดเสาประตูฟุตบอลเอย จุดธูปไหว้ศาลเจ้าที่เอย มึงรู้ไว้ด้วย เพื่อนมึงคนนี้น่ะ...ทำมาหมดแล้ว!” ผมระบายความอัดอั้นตันใจที่ประสบพบเจอ


“สรุปว่าคำใบ้คือ?”


“พี่น้องนำหน้าซอโซ่, คนใหญ่คนโต, ลูกคนเดียว, ยิ่งสูงยิ่งหนาว, คาดไม่ถึง” ผมพยายามทบทวนความจำ ไล่ออกมาแต่ละคำใบ้ที่ต้องสูญเสียยางอายบนหน้าแลกมา


“อันแรก...หมายถึงซ.โซ่ปะวะ อาจจะเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริงขึ้นต้นด้วยซ.โซ่” ไอ้เวลช่วยวิเคราะห์ พลางหยิบหมอนของผมมากอดแนบอก


“กูก็หาแล้ว เสียเวลาไปเพราะไอ้ซ.โซ่นี่อยู่เป็นอาทิตย์! แต่ปีสองมันไม่มีคนชื่อเล่นด้วยซ.โซ่ หรือว่ากูคิดผิดวะ” ผมขมวดคิ้ว


“หรือจะหมายถึง...”


ผม ไอ้เวล ไอ้ไฟน์ มองหน้ากัน


“ช. ช้าง!!!”


ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์มองหน้าผม ถามทางสายตาว่าปีสองมีคนชื่อนี้หรือเปล่า


“จริงๆ ก็มีอยู่คนหนึ่งนะ แต่...”


ผมต้องแย่งพี่รหัสกับไอ้ธรรศนี่สิ!



เช้าวันจันทร์ผมรีบเข้าคณะตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เดินทะเล่อทะล่าเข้าไปหาเป้าหมายที่ผมมีเรื่องจะเคลียร์ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในชีวิต เพราะวันนี้ต้องส่งคำตอบแล้วโว้ย


“ธรรศ”


ผมส่งเสียงเรียก เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้ว เพื่อนๆ ในกลุ่มมันก็เงียบกริบทันทีที่ผมเดินเข้าไป ไอ้เหินที่เคยด่าพี่สองถามผมด้วยสายตาว่ามึงมีเรื่องอะไรกับเพื่อนกู


“ขอคุยด้วยหน่อย” ผมขยายความ ไอ้ธรรศมองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ยอมเดินตามผมออกมาคุยที่ข้างเสาตึก


“พี่รหัสมึงคือพี่เชนใช่มั้ย”


ไอ้ธรรศเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ “คิดว่าใช่นะ”


ผมส่ายหัว “เขาอาจจะเป็นพี่รหัสกู”


ไอ้ธรรศขมวดคิ้ว “แน่ใจเหรอ”


คำถามเหมือนหาเรื่อง แต่สีหน้ามันปกติดี เหมือนเป็นแค่คำถามจริงๆ ทำให้ผมชักไม่มั่นใจว่ามันหาเรื่องหรือเปล่า


“ไม่ แต่ถ้าไม่ใช่พี่เชนก็คงไม่มีใครแล้ว” ผมยืดอกตอบด้วยความมั่นใจ


ไอ้ธรรศไม่โกรธที่ผมคิดจะแย่งพี่รหัสมัน มันยิ้ม สายตาอ่อนโย๊น อ่อนโยน กูเชื่อแล้วว่ามึงเป็นพระเอกเหมือนที่เพื่อนสนิทมึงแซ็วจริงๆ


“ถ้างั้น...เป็นไปได้มั้ยว่าจะมีพี่รหัสคนเดียวกัน”


“มึงไม่มีตัวเลือกอื่นเลยใช่เปล่า” ผมถามความเห็น มันยิ้มแล้วส่ายหัว


“งั้นก็คงไม่มีทางเลือก”


ผมทำหน้าหนักใจ วันนี้ต้องส่งคำตอบให้พี่สันฯ แล้วด้วย เป็นไงก็เป็นกันละวะ


“มีอะไรให้ช่วยมั้ย” ไอ้ธรรศเสนอความช่วยเหลือ ผมยิ้มขอบคุณมันจากใจ


“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”


ผมเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะแยกตัวออกมา ไอ้ธรรศเดินกลับไปหาเพื่อนมัน เห็นเพื่อนมันมองผมกันทั้งกลุ่ม ผมเดินตามหาเพื่อน (ที่คิดเอาเองว่าสนิท) มองหาไอ้ซัน เห็นนั่งหล่ออยู่กลางโรงอาหารก็รีบเดินเข้าไปทัก


“มานั่งหล่ออะไรตรงนี้”


“มึงยังหาพี่รหัสไม่เจอ?” มันถามกวนๆ ผมวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะหน้างอง้ำ


“กูเดาว่าเป็นพี่เชน”


“อะไรทำให้คิดว่าเป็นอะ...พี่เชน”


“กูคิดหัวจะแตก แต่ไม่รู้จริงๆ นี่เดาล้วนเลย พี่รหัสกูคงขี้อาย อย่างน้อยน่าจะมาให้คำใบ้กูบ้าง หรือเห็นว่ากูหล่อกว่า เขาเลยไม่ชอบขี้หน้ากูวะ” ผมบ่น


“เพ้อเจ้อ”


“เอ้า ก็มันจริงนี่ กูไปถามใครก็ไม่มีใครยอมบอกเลย อาจจะเป็นขาโหด หน้าเถื่อนที่ใครๆ ไม่อยากยุ่งก็ได้ มึงว่ากูจะซวยขนาดนั้นมั้ย” ผมย่นคิ้ว ไอ้ซันมองหน้าผม ผมมองหน้ามันปริบๆ ถามทางสายตาว่ากูพูดอะไรผิดเหรอ


ไอ้ซันยักไหล่ช่วยไม่ได้


“มึงจะตื่นเต้นทำไม เดี๋ยวก็เจอ”


มันก้มหน้าตักข้าวใส่ปากต่ออิ่มแล้วก็ลากคอเสื้อผมขึ้นเรียน พอเลิกคลาสก็ไปเข้าประชุมเชียร์ต่อ


“เป็นยังไงบ้างคะน้องน๊อต ได้คำตอบหรือยัง” พี่แนนถามผมด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่เราทำกิจกรรมสันทนาการกันจบไปแล้ว


“คิดว่าได้นะครับพี่”


“แล้วเรื่องประกวดเดือนภาคล่ะ ได้คำตอบหรือยัง” พี่แนนถามต่อ พลางยื่นขวดน้ำส่งให้ผมด้วย มีโน๊ตแปะอยู่บอกว่ามาจากพี่เทค พี่แนนเป็นคนส่งของให้ผมตั้งแต่เริ่มรับน้อง ทุกครั้งที่มีของมาจะมีโน๊ตแปะมาด้วย


“ผมว่ามีคนที่เหมาะกว่าผมอีกนะพี่ ไอ้ซันไง ถ้าส่งมันไปผมว่าสู้ระดับเดือนมหาลัยได้สบายเลย” ผมขยับแว่น


“พี่ชวนแล้ว แต่ไม่ได้ผล” พี่แนนตอบอ้อมแอ้ม


“ไอ้ธรรศก็หล่อออก” ผมเสนอทางเลือกใหม่ ไอ้ธรรศถึงจะหล่อน้อยกว่าไอ้ซัน แต่ความสูง บุคลิก หุ่น มันไม่แพ้ใคร จิตใจมันดี หน้าตาดูฉลาดด้วย


“พี่เลี้ยงเขาเล็งน๊อตไว้ไง น๊อตเหมาะจะส่งไปเป็นตัวแทนกว่าคนอื่น พี่ๆ ในสายของน๊อตก็เห็นด้วย พวกเขารู้จักน๊อตกันหมด ส่วนธรรศ...เขาอยู่คนละภาคกับเรานะน๊อต” พี่แนนอธิบาย


ผมอยากถามเกณฑ์ในการวัดคนเข้าประกวดเดือนของพี่เขา แต่ไม่กล้าพอ เดี๋ยวพี่แนนจะคิดว่าผมไม่มีมารยาท ทั้งที่พวกพี่ๆ เขาไว้วางใจ


“ผมอาจจะสู้คนอื่นไม่ได้”


“ถ้าเดือนคณะก็อาจจะใช่ แต่เดือนภาคยังไงน๊อตก็ดูเหมาะสมที่สุด เพียงแต่ว่า...” พี่แนนเหลือบมองแว่นผม “วันแข่งต้องใส่คอนแทคเลน พอจะไหวมั้ย”


ผมทำสีหน้าลำบากใจ เพราะไม่ชอบขึ้นเวที


“งั้นพี่แนนพอจะบอกผมได้มั้ยว่าพี่รหัสผมเป็นใคร ผมสาบานเลยว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่าพี่แนนช่วย”


พี่แนนหัวเราะ พลางส่ายหัว


“พี่บอกไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นโดนโกรธแน่”


“ถ้างั้น...”


“เฮ้ย ระวัง!!!!”


“น๊อต!!!!!”


ได้ยินเสียงตกใจของพี่แนนลอยเข้ามาในหู สมองผมตื่อไปชั่วขณะ มองเห็นแต่ดาวลอยอยู่เต็มฟ้า พี่ๆ หลายคนช่วยยกถังคูลเลอร์สแตนเลสที่คาดว่าก่อนหน้านี้คงบรรจุน้ำไว้เกือบเต็มออกจากแขนข้างหนึ่งของผม


“เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงคุ้นหูถามด้วยน้ำเสียงดุดันในขณะที่ผมนอนมองดาว


“โทษทีว่ะสอง ถังมันลื่น แล้วน้องมันนั่งอยู่อีกฝั่ง” คนก่อเหตุตอบพี่สองน้ำเสียงรู้สึกผิด


ผมพยายามลืมตา เห็นไอ้ซันเดินเข้ามาช่วยดูแผลที่หัว หน้ามันดุดันกว่าเสียงพี่สองอีก


“ทำอะไรไม่ระวังเลยวะ!!!!!”


ทุกคนเงียบกริบ


“เราว่าพาน้องเขาไปหาหมอก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่” ไม่รู้ว่าเสียงใครที่เป็นหน่วยกล้าตายช่วยเรียกความสนใจจากพี่สองและไอ้ซัน


“หัวผมแตกมั้ยพี่” ผมถามเสียงสั่นๆ เจ็บโว้ย!!!!!


“ยังดีอยู่ แต่แขนน่าจะมีปัญหานิดหน่อย โชคดีที่ไม่หัก” พี่สองตอบ พลางพันแขนผมห้อยไว้กับคอ แล้วช่วยพยุงตัวผมลุกขึ้น ไอ้ซันช่วยหิ้วปีกอีกข้าง


จากนั้นก็พาผมมาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตรวจดูอย่างละเอียดก็พบว่า ‘กระดูกแขนร้าว’ ต้องใส่เผือกหนึ่งเดือน ผมยืนช็อคจนไอ้ซันต้องตบแก้มเรียกสติ


“แค่ร้าว ไม่ได้หัก มึงจะทำตาแดงทำไม”


“ถ้าป๊ากูรู้ กูตายแน่” ผมพูดเสียงเพ้อ รู้สึกขนลุกขนชัน พี่สองทำหน้าหนักใจ ไม่พูดแต่ยืนดูอยู่ตลอด ก่อนหมอเจ้าของไข้จะพาผมที่หน้าเริ่มซีดไปเข้าเฝือกตามกระบวนการรักษา


พอเดินออกมาไอ้ซันก็ไม่อยู่แล้ว เห็นแต่พี่สอง


“ต้องให้โทรบอกครอบครัวให้มั้ย” พี่สองถามก่อนที่ผมจะเดินไปถึงตัว หน้าเขาเครียดมาก จนผมพูดอะไรไม่ออก ถ้าป๊าผมรู้อาจจะเรื่องใหญ่


“แค่เดือนเดียวเอง ผมไม่กลับบ้านก็ได้ ไม่ต้องบอกหรอกครับ”


“มันไม่ถูกต้อง” พี่สองตำหนิ


“ผมรู้ แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะพี่ ผมเข้าใจ ไม่มีใครอยากให้เกิด อีกอย่างป๊าผมเป็นคนตกใจง่ายถ้าเป็นเรื่องของผม” ผมนึกถึงหน้าขาใหญ่ของซอยหวาดๆ


“แต่ผมจะบอกม๊ากับเฮียแน่นอน” ผมสำทับ สีหน้าพี่สองผ่อนคลายลงนิดหน่อย


บอกม๊ากับเฮียมอส น่าจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็แค่โดนบ่น แต่เรื่องจะไม่ถึงคณบดีแน่นอน


“ไอ้ซันล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“มีธุระ นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่ไปรับยาให้ เสร็จแล้วจะไปส่งที่หอ”


“เดี๋ยวครับพี่” ผมเรียกพี่สองไว้พอเขาหันมาผมก็ยื่นกระเป๋าเป้ส่งให้


พี่สองเลิกคิ้วถามทางสีหน้า


“กระเป๋าเงินผมอยู่ในนี้ ค่ารักษาครับ”


พี่สองมองหน้าผม ก่อนจะดันมือผมกลับ


“พี่รับผิดชอบเอง”


พี่สองไม่ได้แค่ตอบ แต่ขู่ทางน้ำเสียง ทำให้ผมเก็บมือกลับโดยที่เขาไม่ต้องย้ำอีกรอบ ผมพึมพำขอบคุณแล้วนั่งรอพี่สองตามคำสั่ง รอประมาณครึ่งชั่วโมงพี่เขาก็กลับมา ก่อนถึงหอก็พาผมแวะกินข้าวด้วย


บริการดีชั้นเลิศ


“กุญแจผมอยู่ในนี้” ผมเอามือชี้กระเป๋า พี่สองเปิดซิปเอากุญแจมาไขเข้าห้อง พวกไอ้ไฟน์กับไอ้เวลยังไม่กลับ เพราะขณะนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็น


ผมเดินตามพี่สองเข้าไปในห้อง พี่เขาซื้อพวกขนมนมเนยจากร้านสะดวกซื้อมาด้วย โคตรรอบคอบอ่ะ ทั้งที่ผมบอกว่าผมมีรูมเมทอีกตั้งสองคนดูแลอยู่แล้ว แต่พี่สองก็ทำหน้าเคร่งบอกผมว่า


‘มันอยู่ในความรับผิดชอบของพี่’


“ขอบคุณนะครับพี่สอง” ผมทำท่ายกมือไหว้ประกอบคำขอบคุณ


“อย่าเพิ่งขยับมากล่ะ ดูแลตัวเองให้ดี มีอะไรก็โทรหาพี่ อ่อ เอามือถือมึงมา เดี๋ยวพี่เมมเบอร์ไว้ให้” ผมล้วงมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งให้พี่สอง เขากดยิกๆ ก่อนจะส่งมือถือคืนให้


หลังจากนั้นพี่สองก็คอยมารับหรือมาส่งเวลาที่เพื่อนผมไม่ว่าง ไอ้ลูกเจ้าของโรงแรมมีไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัดหลายวัน ส่วนไอ้เวลขับรถไม่เป็น พอไม่มีไอ้ไฟน์มันก็ต้องไปแท็กซี่ ไม่ก็รอรถของมหาลัย บางวันต้องโหนรถเมล์ไป


ผมเคยโหนรถเมล์ไปเองครั้งหนึ่งเพราะยืนรอแท็กซี่นาน พอเห็นรถเมล์มาก็กระโดดขึ้นทันที ปรากฎว่าพอพี่สองรู้ ผมก็โดนเทศนาไปครึ่งชั่วโมง


ผมได้แต่แอบเคืองในใจ ถึงผมจะหนังหน้าหนาขึ้นมาบ้างตอนตามหาพี่รหัส แต่ผมก็เกรงใจคนเป็นนะ


แล้วผมก็ดูแลตัวเองได้...


วันนี้เป็นวันเฉลยพี่รหัส ซึ่งมีพิธีชิงธงรุ่นไปแล้วในช่วงเช้า พวกเราทั้งชั้นปีใช้ความสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน จนสามารถคว้าธงรุ่นมาครอบครองได้อย่างสวยงาม


แม้แต่พี่ว๊ากก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงแล้ว หลังจากต้องทำหน้าตึงมาหลายเดือน


อื้อ! ไอ้ธรรศได้รับเลือกให้เป็นประธานชั้นปี 1 ด้วยนะครับ


คุณสมบัติมันครบ เก่ง ฉลาด มีความเป็นผู้นำ และเป็นหน้าเป็นตาของคณะได้ ผมว่ามันให้ความรู้สึกคล้ายๆ พี่สองนะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ


เมื่อสักครู่นี้พี่หินบอกเรื่องเซอร์ไพร้สพวกเราด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแต่ยังไม่ยอมเฉลยง่ายๆ เรียกเสียงฮือฮาและสร้างความประหลาดใจได้ทั้งชั้นปีรวมถึงผมด้วย


การให้พี่ปีสองมาแฝงตัวอยู่ในชั้นปีหนึ่งเพื่อสืบข่าว หรือเพื่อเป็นแกนนำในการดูแลบรรดาน้องใหม่ ผมยังเคยเดากับไอ้ซันเล่นๆ เลยว่าถ้ามีจริงก็น่าจะเป็นไอ้ธรรศ แต่พอมันได้รับเลือกให้เป็นประธานชั้นปี ไอ้ซันก็มองผมเหยียดๆ หาว่าสายตาของผมช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน


“น้องๆ ปีหนึ่งทุกคนมายืนเรียงแถวเป็นวงกลมด้วยครับ” พี่หินเคาะไมค์ก่อนจะเรียกรวม พวกเราปีหนึ่งทุกคนขยับไปยืนเรียงแถวตามคำสั่ง พอจะเดาได้ว่าพิธีที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้คือการเฉลยพี่รหัส


ผมมองหาไอ้ธรรศ มันก็มองหาผมอยู่


ต่างคนก็ต่างเดินเข้าหากัน อำนวยความสะดวกให้พี่รหัสสุดฤทธิ์ จะได้ไม่ต้องเดินหาให้ยุ่งยาก ไอ้ธรรศขามันยาวกว่าผม เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว


“แขนเป็นไงบ้าง” มันถาม พลางเหลือบมองแขนผม


“พรุ่งนี้หมอนัดถอดเฝือก จริงๆ มันหายแล้วแหละ”


“น้องๆ ทุกคนหลับตาลงด้วยครับ หลังจากนั้นให้พี่รหัสไปยืนตรงหน้าน้องของตัวเอง อย่าลืมหยิบสายสิญจน์ติดมือไปด้วยนะ จะได้ไม่ต้องเดินกลับไปกลับมา” พี่หินสั่งต่อ


ผมปิดตาลง จังหวะหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น แอบเงี่ยหูฟังเสียงรอบข้าง ได้ยินแต่เสียงเคลื่อนไหวรอบตัว


“ประธานปีสองไปไหนวะ”


เสียงพี่หินถามลอดเข้ามาในไมโครโฟนแล้วเงียบไป


รอบด้านอยู่ในความเงียบพักใหญ่ จนผมเริ่มขยับยุกยิก ได้ยินเสียงกระแอมส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ


ผ่านไปอีกอึดใจก็มีเสียงเคาะไมค์ดังขึ้นสองครั้ง


“เอาล่ะครับ พี่ปีสองพร้อมแล้ว ขอให้น้องปีหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ”


ผมค่อยๆ ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นก่อน พอมองเห็นคนตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง ขมวดคิ้ว แล้วหันไปทางขวามือเห็นพี่เชนยืนอยู่ตรงหน้าไอ้ธรรศ ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่คนตรงหน้าอีกครั้ง


“ยื่นแขนซ้ายมาดิ” คนตรงหน้าสั่ง


ผมกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนคนเดียวที่อยู่ในภาค ขณะเดียวกันก็ยกมือค้างข้างหนึ่งส่งให้ตามคำสั่ง


“ซัน...” คนโดนเรียกเหลือบตามอง “มึงสับสนบทบาทตัวเองหรือเปล่า” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ ว่าเพื่อนตัวเองมันฟังคำสั่งของพี่ปีสูงแล้วสับสนตรงไหน


“ก็ไม่นี่” มันยักไหล่ตอบ ตั้งอกตั้งใจผูกสายสิญจน์สีขาวที่ข้อมือให้ผม


ผมชักมือกลับแล้วโวยเบาๆ “อันนี้สงวนไว้ให้พี่รหัสกูผูกเว้ย” ไอ้ซันยึดแขนซ้ายผมไว้แน่น จนผมขมวดคิ้ว


“กูเป็นลูกคนเดียว ชื่อเล่นซ.โซ่นำ เป็นประธานชั้นปี 2 ปีที่แล้วเป็นเดือนมหาวิทยาลัย” ไอ้ซันพูดทั้งที่ยังก้มหน้า พอผูกเงื่อนเสร็จก็เงยหน้ามองผมกวนๆ


ผมถลึงตาโพลง


เดี๋ยวนะ...


เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหน


พี่น้องนำหน้าซอโซ่...หมายถึงพี่รหัสมีชื่อเล่นนำหน้าด้วยพยัญชนะ ซ.โซ่เหรอ


คนใหญ่คนโต...ประธานชั้นปี 2 (ใหญ่พอไหม)


ลูกคนเดียว...ชัดเจนยิ่งกว่าภาพ HD


ยิ่งสูงยิ่งหนาว…ระดับเดือนมหาวิทยาลัยปีที่แล้ว ยากจะอาจเอื้อมถึงจริงๆ ว่ะ


“ไง ค้างเลยเหรอมึง”


“พะ...พี่ซัน” ผมเปลี่ยนคำนำหน้าสรรพนาม ไม่อยากนึกสภาพหนังหน้าตัวเองตอนนี้


“ผม...”


พี่ซันมองหน้าผมยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยถาม


“พี่รหัส...” เขาโน้มหน้าลงมา “เถื่อนพอมั้ย สำหรับมึง”


ป๊า!


ช่วยด้วยแง๊!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


ผมนั่งหน้าง้ำ เหลือบมองพี่รหัสที่กำลังยืนแนะนำตัวอยู่หน้าแถว


หลังจากพี่ซันเดินมาเฉลยตัวก็กลับไปรวมกลุ่มกับปีสองส่วนผมถูกเรียกไปหน้าแถวพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคนที่ทายพี่รหัสผิด โดนลากไปเต้นเพลงชักกระตุกสองรอบพี่หินถึงอนุญาตให้กลับเข้าที่


ผมแอบเคืองตัวเองที่น่าจะสังหรณ์ใจตั้งนานแล้ว พี่ซันชอบโดนเรียกลงโทษอยู่บ่อยๆ แทบจะเป็นคนเดียวที่โดนเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็ชอบลากเอาผมติดมือไปซวยด้วยอีกคน


จริงๆ พี่ต้องการเอาคืนที่ผมด่าพี่ไว้ทางอ้อมใช่ไหมT^T


“พี่ว๊ากปี 2 เชิญที่หน้าแถวด้วยครับ” พี่ซันออกคำสั่ง พี่สองและพี่ๆ คนอื่นเดินเรียงแถวมายืนหน้ากระดาน แต่ยืนอยู่ด้านหลังห่างจากพี่ซันครึ่งก้าว


“ในฐานะเฮดว๊ากผมอยากขอบคุณน้องๆ ทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาตลอดการเข้าประชุมเชียร์” พี่ซันเว้นวรรคไล่มองพวกเราที่อยู่ด้านในด้วยรอยยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าโคตรช็อคของพวกเรา


เฮดว๊ากปีสองที่ทำตัวกลมกลืนกับพวกเราได้เป็นนานสองนาน ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าไอ้คนหน้านิ่งนี่จะเป็นเฮดว๊ากและประธานรุ่น!!


“ผมทราบดีตั้งแต่วันแรก ว่าอาจจะมีน้องบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับระบบโซตัสรวมถึงเห็นเรื่องการรับน้องเป็นกิจกรรมที่ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้ เบื่อหน่ายและอยากให้มันหายไปจากระบบการศึกษา ไม่ใช่แค่รุ่นของพวกคุณหรอกผมรู้ แม้แต่รุ่นของผมหรือที่สูงขึ้นไปก็มีเหมือนกัน แต่ทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้านเสมอ ข้อดีที่ผมเห็นได้ชัดที่สุดของระบบนี้คือความสมัครสมานสามัคคี ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างรุ่นเดียวกันในพิธีชิงธงเมื่อเช้านี้ และผมขอยืนยันว่าทุกสิ่งที่พี่ว๊ากทำล้วนแล้วแต่อยู่ในกรอบที่สามารถทำได้เท่านั้น เรามีขอบเขตการทำงานของเรา”


พี่ซันยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


ผมนึกไปถึงเพื่อนของไอ้ธรรศที่ค่อนข้างต่อต้านระบบโซตัสแบบสุดโต่ง จำได้ไหมครับว่าไอ้เหินมันด่าพี่สองเอาไว้ว่ายังไง ตอนนี้ได้ยินแว่วๆ ว่ามันกำลังสนใจอยากจะสมัครเป็นพี่ว๊ากประจำรุ่น และมีอีกหลายคนที่สนใจอยากจะสานต่อปณิธานนี้


ผมเห็นด้วยกับพี่รหัสของตัวเอง กิจกรรมนี้ทำให้พวกเรากล้าที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนในรุ่น กล้า...ที่จะให้ความช่วยเหลือและขอความช่วยเหลือ


ยิ่งโดยเฉพาะกับรุ่นพี่ด้วยแล้วยิ่งมีความสำคัญ


พวกเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกสี่ปี รุ่นพี่คืออีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราฟันฝ่าอุปสรรคข้างหน้าไปอย่างราบรื่น เพราะพวกเขามีประสบการณ์มากกว่า


ผมเบนสายตาไปยังร่างของพี่สองที่ยืนหล่อสนับสนุนพี่ซันอยู่ข้างหลัง ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาพี่สองโดนเรียกซ่อมจากพี่ว๊ากปีสามครั้งแล้วครั้งเล่า จนพวกเราใจเสีย


ต่อจากนั้นพี่ปีสี่ก็เรียกปีสามมาลงโทษต่ออีกทอด


ในขณะที่โดนลงโทษอย่างหนักหน่วง พวกพี่ว๊ากก็ก้มหน้ารับคำสั่งโดยไม่ปริปากบ่น เรียกน้ำตาจากเพื่อนร่วมรุ่นของผมไปได้เป็นกระบุง ผมเองยังแอบน้ำตาซึม


พวกพี่ๆ โดนลงโทษหนักกว่าที่พวกผมโดนเรียกซ่อมเยอะ


“ผมอยากเป็นตัวแทนขอโทษ หากสิ่งใดที่พวกเรารุ่นพี่ได้ล่วงเกินพวกคุณไว้ทั้งกาย วาจา ใจ ผมอยากให้พวกคุณระลึกเสมอว่า‘เรา’ ต่างก็เป็นรุ่นพี่และรุ่นน้องที่อยู่ในคณะเดียวกัน”


ผมรู้สึกฮึกเหิมเมื่อได้ยินคำว่า ‘เรา’


“พวกเรามีสายเลือดเดียวกัน ต่างเป็นพี่และเป็นน้อง ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นใครมาจากไหน ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้กิจกรรมนี้ประสบผลสำเร็จ ไม่ต้องเอ่ยชมหรือซาบซึ้งใจก็ได้เพราะสิ่งที่พวกเราได้กระทำเป็นไปโดยหน้าที่อยู่แล้ว แค่รักษาความสามัคคีและความเอื้อเฟื้อต่อกันของพวกคุณเอาไว้พวกเราก็ขอบคุณมากแล้ว ขอต้อนรับเข้าสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์นะครับรุ่นที่ 27 ขอบคุณครับ”


พี่ซันโค้งหัวลง พี่ๆ ปีสูงก็โค้งตามโดยไร้เสียงคำสั่งก่อนจะยืนตรงด้วยความภาคภูมิ


...เสียงปรบมือดังกึกก้อง...


ผมรู้สึกทึ่งในใจ แค่คำพูดของพี่ซันวันเดียวกลับสร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้เกิดขึ้นในใจผม


ไม่สิ...


ไม่ใช่แค่กับผม


ผมมองเพื่อนๆ รอบข้างแล้วก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม พวกเราชั้นปีหนึ่งต่างปรบมือและยิ้มชมเชยรุ่นพี่ของตัวเองด้วยความปลาบปลื้มและฮึกเหิม พวกรุ่นพี่เป็นแบบอย่างที่ดีและสร้างมุมมองที่โคตรประทับใจให้พวกเราปีหนึ่งทุกคน


หากเรามีรุ่นน้อง เราก็อยากส่งต่อสิ่งดีๆ นี้ให้กับน้องของเรา


ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ให้ตายสิ





หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100161 ● เทคที่ 4 รับน้องนี้...มีแตก
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-10-2018 17:52:45
ชอบพี่ซัน
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100161 ● เทคที่ 4 รับน้องนี้...มีแตก
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-10-2018 18:00:19
ชอบไหมพี่รหัสคนนี้   :hao3:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 03-10-2018 19:26:13

เทคที่ 5 :: น้อง พี่ ขี้อ่อย


หนึ่งปีสำหรับการใช้ชีวิตเป็นน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว (เร็วชนิดที่ว่าผมเปลี่ยนแฟนไปแล้วสองคน) เรียน สอบ ทำกิจกรรม แล้วก็สอบ วนๆ อยู่ในวัฎจักรนี้ และคงจะวนเวียนแบบนี้ไปจนกว่าจะเรียนจบ


ปิดเทอมเป็นเวลาหนึ่งเดือนผมกลับไปอยู่บ้านยาวเลย เฮียน่านกับม๊าพาผมไปเที่ยวเชียงใหม่มาด้วยบรรยากาศดี ของกินอร่อย สาวเชียงใหม่ก็สวยน่ารัก เฮียน่านลากผมขึ้นดอยสุเทพเข่าแทบทรุด!!!


ผม ไอ้ไฟน์ ไอ้เวล เพิ่งกลับมารวมตัวกันที่หอครบองค์ เมื่อวันก่อนนี่เอง


“ทำไมดูมึงสนิทกับพี่สองมากกว่าพี่ซันอีกวะ” ไอ้ไฟน์ถามขณะก้มตักเส้นหมี่ในชามก๋วยเตี๋ยว ผมที่กำลังจะสอยลูกชิ้นจากชามไอ้เวลชะงักแขนกึก


ไอ้เวลที่หันไปเช็คอีเมล์อีกด้านหันกลับมาตามเสียงไอ้ไฟน์เลยเห็นช็อตนี้เข้าพอดี มันหยิบกระดาษมาขยำแล้วปาใส่หัวผม ผมหัวเราะ มึงอย่าเผลออีกก็แล้วกัน!


“แบบไหนที่เรียกว่าสนิท”


ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่พี่สองกับพี่ซันพาผมไปถอดเฝือก วันนั้นเฮียมอสต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด ไอ้ไฟน์ก็ไม่ว่าง ไอ้เวลเลยติดสอยห้อยตามผมไปทำหน้าที่เพื่อนสนิท ตอนถอดเฝือกออกครั้งแรก ผมรู้สึกว่าแขนตัวเองโล่งแปลกๆ จึงนึกอยากใช้ผ้าผูกแขนคล้องคออีกสักสองสามวันเพื่อปรับตัวให้ชิน


แต่โดนพี่ซันด่าว่าปัญญาอ่อน เลยต้องพับความคิดเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก


“ชีทในห้องมึงปึกใหญ่ๆ นั่นก็ชื่อพี่สอง” มันชี้ไปที่ถุงของฝากถุงใหญ่ เมื่อวานพี่สองแวะมาหา พี่เขาไปเที่ยวญี่ปุ่นมา“ไอ้นั่นก็ของพี่สอง ไหนของพี่รหัสมึง”


“ก็เขาเป็นพี่เทคกู อีกอย่างพี่ซันบอกว่าของพี่สองก็เหมือนของเขานั่นแหละ แล้วเรื่องอะไรกูจะต้องไปเซ้าซี้พี่ซันให้โดนด่าฟรีด้วยวะ” ผมตอบ ตักลูกชิ้นเข้าปากเคี้ยวไปด้วย


“พี่ซันยุ่งมาก ทำนู่นทำนี่ตลอด พี่สองเขาไม่มีน้องรหัส มีกูเป็นน้องเทคคนเดียวเออ…มึงรู้ปะ พี่แนนเล่าให้กูฟังว่าผลการเรียนพี่ซันอยู่ในระดับหัวกระทิเล้ย บ้านก็รวยมาก งานยุ่งมาก ตอนแรกเขาไม่ได้อยากเป็นพี่ว๊ากหรือประธานรุ่นอะไรนั่นเลย พี่เขาโดนบังคับ” ผมเม้าท์พี่รหัสตัวเอง สาเหตุที่พี่สองไม่มีน้องรหัสเพราะตอนนี้ซิ่วไปเรียนคณะอื่นแล้ว


“โถ ไอ้ลูกเจ้าของร้านทอง มึงไปเรียนหรือไปเสือก” ไอ้ไฟน์ด่าผมแล้วหัวเราะ


“กูแค่รอบรู้” ผมแก้คำ


“แล้วมึงเป็นไงบ้างเลว” ไอ้ไฟน์หันไปถามไอ้เวล


“เวลไอ้สัด” ไอ้เวลหันมาแก้คำ “ของกูก็ดี เรื่อยๆ”


“มึงอ่ะไฟน์” ผมถามกลับ จริงๆ มันเปิดเทอมเร็วกว่าพวกผมสองคน 


ไอ้ไฟน์กรอกตามองเพดาน แล้วตักลูกชิ้นเข้าปาก “เหนื่อย” มันว่าง่ายๆ แล้วยิ้ม


“จะเหนื่อยตายก่อนมั้ย” ผมคาดการณ์


“เออ มึงไปดูสภาพห้องมันตอนนี้ อย่างกับรังหนู ชีทเกลื่อนพื้น หนังสือท่วมห้องมันแล้วมั้ง” ไอ้เวลสำทับ


“ก็กูยุ่ง” ไอ้ไฟน์แก้ตัว “พวกมึงว่างก็ช่วยกูเก็บสิ ตอบแทนค่าเช่าห้องกูไง”


“กลับห้องมึงแล้วรีบไปนอนซะไฟน์ ฝันเอา” ผมยกชามไปเก็บแล้วเปิดน้ำแช่ไว้ ล้างทีเดียวตอนเย็น ไอ้เวลยกชามของมันตามมาบ้าง เหลือไอ้ไฟน์ที่นั่งพิจารณาถั่วงอกในชาม


“แต่งตัวงี้จะไปไหนต่อ มึงเพิ่งเลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ” ไอ้เวลถาม


“ตอนเย็นพี่นนท์นัดเลี้ยงสายก่อนเปิดเทอม”


พี่นนท์คือปู่รหัส


“ไปไง”


“ไปเองดิ ร้านหมูกระทะใกล้ม.”


ผมบอกลาเพื่อนสนิท แล้วเดินลงบันไดมายืนรอรถที่หน้าหอ ผมไม่ได้จะไปก่อนเวลาครับ ไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น พอดีจะแวะห้างก่อน จะไปซื้ออุปกรณ์การเรียนใหม่ อันเก่าหายไปหมดแล้วตั้งแต่สอบเสร็จ


“จะไปไหน”


ผมเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ ก้มมองเจ้าของรถที่เคลื่อนมาจอดเทียบอยู่ข้างฟุตบาทที่ผมกำลังยืนอยู่


พี่สองชะโงกหน้ามาฟังคำตอบ ผมยิ้มแฉ่ง ได้คนไปส่งแล้วว่ะ


“ไปเซ็นทรัลฯ”ผมกลั้นยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูรถ รีบเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่ง


“พี่มาทำอะไรแถวนี้”


“หอโมอยู่ถัดไปซอยหนึ่ง”


พี่โมคือแฟนคนปัจจุบันของพี่สอง ดาวคณะศิลปศาสตร์ปีเดียวกัน


“เมื่อคืนไม่กลับห้องอีกล่ะสิ” ผมแซ็วแสร้งทำหน้ากรุ้มกริ่มจับพิรุธ พี่สองหัวเราะหึๆ ไม่ตอบแสดงว่ายอมรับ


“ได้ยินว่ามึงเลิกกับแฟน” พี่สองหันมาถามผม


ผมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเอ่ยชม “ข่าวไว”


พี่สองยิ้มรับ


“จะไปซื้ออะไร”


“ปากกา ดินสอ กระดาษรายงาน อะไรพวกนี้ ของเก่าหายหมดแล้ว” ผมยกมือขึ้นมาไล่รายการ ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างหล่นอยู่ตรงที่วางเท้า ทำเอาอึ้งไปเลย


พี่สองเหลือบมองตามสายตาผมก่อนจะกระแอม


“โทษที มึงเอาเท้าเขี่ยไปไกลๆ ก็ได้”


ผมหันไปเลิกคิ้ว ให้ผมเขี่ยถุงยางอนามัยในรถพี่น่ะนะ!!!!!


ไม่กล้าถามว่าใช้ไปหรือยัง กลัวได้คำตอบที่ทำให้ผมช็อคตาค้าง ผมยกมือขึ้นมาเกาแก้ม เมื่อคืนนี้คงเกิดศึกดุเดือดเผ็ดมันขึ้นในรถคันนี้แน่นอน!


พี่สองแม่งเจ๋ง...


ผมกระแอมในคอ เบนสายตามองไปข้างทางแทน “แฮ่ม! ผมไม่เสียมารยาทขนาดนั้นหรอก แค่ขออาศัยรถไปแป๊บเดียว”


“แล้วแต่” พี่สองเคาะนิ้วเป็นจังหวะขณะขับรถ


ขณะที่ยานพาหนะเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมาย ผมก็เตรียมของแล้วหันไปบอกคนขับ “พี่ส่งผมหน้าห้างก็ได้ รถติด” วันหยุดยิ่งติดหนึบเสียเวลาวนรถเปล่าๆ


“เดี๋ยวพี่ไปด้วย ยังไม่ได้ซื้อเหมือนกัน”


ผมพยักหน้าอือออ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าแชทไลน์


“แฟนใหม่?”


พี่สองถามขึ้นลอยๆ เมื่อเห็นผมนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


“จีบอยู่”


“อ่อ”


“อยากมีแฟนสวยแบบพี่” ผมพูดพลางยักคิ้ว ถึงไม่หล่อเท่าพี่แต่ผมจะหาแฟนสวยเท่าพี่ให้ได้ เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของผมที่โดนพี่ซันด่ามาแล้วร้อยรอบ แต่ผมไม่สำนึกหรอก เดี๋ยวพี่ซันเหนื่อยก็เลิกด่าไปเอง


“ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกเหรอ”


ผมหน้างอง้ำเมื่อพี่สองพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา


คืองี้...


พี่สองกับพี่ซัน เล่นกีฬาเก่งทั้งคู่ ผมในฐานะน้องรหัสและน้องเทคจึงหมายมั่นปั้นมือที่จะรับช่วงต่อ ระยะแรกผมซ้อมอย่างหนัก คิดว่าจะได้แสดงผลงานในงานกีฬาสี


กีฬาชนิดแรกที่ผมไปคัดตัวคือบาสเก็ตบอล ผลปรากฎว่าระหว่างแข่งคัดตัวผมโดนกระแทกล้มข้อศอกแตก โดนด่าเช็ดเลย


แต่ผมไม่เข็ดนะ


ไปคัดตัวนักฟุตบอลต่อ เพราะตอนเรียนมัธยมก็เคยเล่น น่าจะไม่ยาก พี่ซันก็พาผมไปคัดตัวตามที่ผมร้องขอ พี่มันเป็นตัวจริงในทีมอยู่แล้ว ทีนี้เรื่องก็เลยเกิดขณะลงแข่งคัดตัว เชือกรองเท้าผมหลุด แต่ผมไม่รู้ตัวเลยเหยียบสายรองเท้าตัวเองตอนวิ่ง


ล้มปากแตก...


ดีว่าฟันหน้าไม่หัก!


เจ็บตัวขนาดนี้ แสดงว่าฟ้าท่านคงไม่ต้องการให้ผมไปเป็นนักกีฬา ผมก้มหน้ายอมรับชะตากรรม พอพี่แนนเห็นว่าผมว่างก็ขันอาสาเป็นพี่ดัน สุดท้ายผมก็ได้รับหน้าที่เป็นคฑากรไม้สองในวันงานเปิดกีฬาสีมหาวิทยาลัย


งานกีฬาสีนี้แหละทำให้ผมได้เริ่มต้นจีบแฟนคนที่สอง ที่เพิ่งเลิกกันไปสดๆ ร้อนๆ


เข้าเรื่องต่อ...


หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในด้านกีฬา ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่…


ช่วงนั้นพี่สองเพิ่งคบกับพี่โม พี่ซันก็พาน้องฟ้ามาแนะนำให้ผมรู้จัก ตอนนั้นผมเลยเกิดไอเดีย ปิ๊ง!! ขึ้นมาในสมอง


ถึงผมหล่อสู้พี่สองกับพี่ซันไมได้ แต่ผมจะหาแฟนสวยๆ ให้ได้!!


“หมิวดาวคณะครุศาสตร์เลยนะ” ผมอวด


พี่สองมองผมด้วยหางตาแล้วส่ายหัว อย่าบอกนะว่า...


“คนนี้อย่ายุ่งเลย ยุ่งยาก”


โอ้มายก็อด!!!!


“หน้างอใส่อีก” พี่สองว่าขำๆ วนหาที่จอดได้แล้วก็ดับเครื่องยนต์


“ผมตามจีบมาเป็นเดือนแล้ว” ผมทำหน้าเสียดาย


พี่สองยกมือขึ้นมาผลักหัวผมด้วยความหมั่นไส้“ถ้าไม่ใช่มึงกูไม่พูดหรอก ผู้หญิงเขาเสียหาย”


“ครับ พ่อสุภาพบุรุษ” ผมรับคำ เดินนำพี่สองลงบันไดเลื่อนไปยังร้านเครื่องเขียน เมื่อถึงร้านเราก็แยกกันไปคนละทาง ต่างคนต่างหาสิ่งที่อยากได้ จนกระทั่ง...


“น๊อต”


ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ


“มาซื้อของเหรอ” ผมถามไอ้ธรรศ


“แป๊บนะ” ผมบอกมัน พลางหยิบมือถือขึ้นมากดรับ


“ครับ”


“เดี๋ยวมึงหาทางกลับเองนะ พอดีพี่มีธุระ โทษที” พี่สองโทรมา


“ไม่เป็นไรพี่ ผมเจอไอ้ธรรศพอดี” ผมรายงานตามปกติ เตรียมกดวาง ได้ยินเสียงพี่สองลอดแว่วๆ มาตามสาย เลยยกมือถือมาแนบหูอีกครั้ง


“พี่ว่าไงนะ”


“มึงอยู่กับไอ้ธรรศ?”


“อื้อ มันเดินเข้ามาทักเมื่อกี้”


“กลับถึงห้องแล้วส่งข้อความมาบอกด้วยนะ” พี่สองสั่ง


ผมกรอกตามองบน “รู้แล้ว”


ไอ้ธรรศเดินเข้ามาทักผมยังไม่เสร็จดีก็โดนโทรตามตัวเข้าคณะ มันขอโทษขอโพยผมยกใหญ่ขอเลี้ยงข้าววันหลัง พี่ซันก็โทรมาเลื่อนนัดเป็นพรุ่งนี้ ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างอีกชั่วโมง กำลังจะกลับแต่เฮียมอสโทรมาตามก่อน ผมโคตรดีใจเพราะเฮียมอสไปทำงานที่อเมริกา (โดนจับส่งไปดูงาน) เลยไม่ได้มาส่งผมเข้าหอ เฮียน่านเป็นคนมาส่ง


เฮียมอสขับรถมารับผมที่ห้าง ผมโทรบอกไอ้ไฟน์ว่าไม่กลับหอ จะกลับไปนอนบ้านเพราะเฮียมอสซื้อแผ่นเกมมาใหม่ ไอ้ไฟน์บ่นกระปอดกระแปดว่าอยากตามมาเล่นด้วย เฮอะ เวลานอนมึงยังไม่ค่อยจะมีเลยครับเพื่อน!


ถึงบ้านผมก็วิ่งลงจากรถ พอทักป๊ากับม๊าเสร็จก็เผ่นแนบขึ้นห้อง หลังจากนั้นก็หมกตัวอยู่ในห้องกับเฮียมอสยันเช้าของอีกวัน แทบสว่างคาตา แล้วผม...ก็เน่าตายอยู่ในห้องเฮียมอส


อาเมน...


“น๊อต!!!”


ผมสะดุ้ง ลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหันไปมองหน้าเฮียน่านที่หน้าประตู เฮียมอสนอนคว่ำหน้ากอดหมอนตายอยู่ใต้เตียง ในห้องมีแต่ถุงขนมกับแก้วน้ำวางระเกะระกะ


“ว่าไงเฮีย”


“ไฟน์โทรมาตั้งแต่เช้า นี่รอบที่สาม”


“ไม่เห็นได้ยินเสียง” ผมย่นคิ้ว


“โทรศัพท์บ้านครับคุณหนู” เฮียน่านประชด ผมคลานลงเตียง เดินลงไปชั้นหนึ่งของบ้าน ได้ยินเสียงป๊าแว่วๆ ว่าใส่กางเกงกลับด้าน เอาไว้ก่อนหน่าป๊า ขอรับโทรศัพท์ก่อน


“เออ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากรอกเสียง


“เชี่ยน๊อต! เพื่อนเวร” ไอ้ไฟน์ด่าทันที


ผมขมวดคิ้ว “ด่ากูทำเหี้ยไรฟาย”


“พี่สองของมึงมายืนทำหน้าทะมึงใส่กูอยู่หน้าห้องเนี่ย!” ไอ้ไฟน์กระซิบ“ติดต่อมึงก็ไม่ได้ คุยกันเองไอ้สัด” ผมตื่นเต็มตา ยืนนิ่ง มือเริ่มสั่น


ไอ้เหี้ยลืมสนิท…


“พะ...พี่สอง”


“อยู่ที่ไหน?”


“เอ่อ บ้านครับ”


“อืม”


ตอบรับแล้วกดตัดสายไปเหมือนเรื่องเมื่อกี้ผมแค่ฝันไปผมยืนมองโทรศัพท์ในมือนิ่ง


โดนโกรธปะวะเนี่ย


ผมไม่ทันมีเวลาได้คิดนาน เมื่อป๊าเดินเข้ามาไล่ให้ผมไปอาบน้ำ เพราะทุกคนรอกินข้าวอยู่ ผมเลยรีบปัดทุกเรื่องออกจากสมอง พอมีเรื่องอื่นให้ทำผมก็ลืมเรื่องพี่สอง


ผมนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโต๊ะกินข้าว วันนี้ครอบครัวเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ป๊าคีบเนื้อหมูใส่จานผมครั้งแล้วครั้งเล่า บอกว่าผอมลงอีกแล้ว ผมเถียงกลับทันที จะผอมได้อย่างไร ก็ในเมื่อระหว่างปิดเทอมน้ำหนักผมขึ้นมาตั้งสองกิโล


แล้วผมก็เพิ่งกลับเข้าหอได้ไม่ถึงสี่วันด้วยซ้ำ!


ม๊านั่งหัวเราะป๊า สัพยอกคู่ชีวิตที่ชอบเป็นห่วงผมเกินเหตุ


นอกจากเฮียมอสจะซื้อเกมมาฝากหลายแผ่นแล้ว ผมยังได้ของฝากเป็นรองเท้าไนกี้คู่ที่ผมอยากได้มานานด้วย เฮียน่านบ่นใหญ่เลยว่าเฮียมอสลำเอียง


ผมช่วยป๊าดูแลหน้าร้านตั้งแต่เช้าจรดเย็นทำยอดขายทองให้ป๊าตั้งหลายเส้น จวบจนฟ้าเริ่มมืดผมถึงเตรียมตัวไปร้านหมูกระทะ เฮียมอสเป็นคนขับรถมาส่ง ส่วนเฮียน่านเตรียมของกลับต่างจังหวัด


“พี่ซันผมถึงแล้ว พวกพี่นั่งอยู่ตรงไหน” ผมยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าร้าน ขนาดตอนนี้แค่เวลาหกโมงครึ่งคนยังเต็มร้านแล้วพี่ซันบอกพิกัดผมจบก็กดตัดสาย ผมเดินดุ่มๆ เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย ก่อนจะชะงักขากึก เมื่อสบตากับพี่สอง แต่แค่แวบเดียวเท่านั้นเพราะพี่เขาลุกขึ้นไปตักของเพิ่ม สวนทางกับผมที่กำลังจะเดินไปถึงโต๊ะ


“พี่สอง หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ พี่สองมองผมด้วยหางตาแล้วตอบรับในลำคอขณะที่พี่สองจะเดินผ่านไป ผมก็รีบอ้าปากขอโทษเรื่องเมื่อคืน “เมื่อคืนผมขอโทษนะพี่”


พี่สองชะงักขา เหลือบมองผมด้วยหางตาก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินต่อ


“พี่ๆ หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ไล่จากผู้อาวุโสที่สุดในสายตอนนี้ พี่นนท์ พี่กฤษ พี่ซัน ตามด้วยเพื่อนสนิทของพี่ซันคือพี่อาร์ต


“นั่งๆ ลูกพ่อ” พี่นนท์ตบพื้นที่ว่างข้างตัว


“มึงมาช้าจัดเลยหนึ่งแก้ว” พี่กฤษยื่นแก้วเบียร์สดให้ ผมรับมาวางบนโต๊ะด้วยความเกรงใจ เป็นน้องแต่ให้พี่รอ ก็จำต้องยอมเก็บปากเก็บคำ


“ขอหาอะไรรองท้องก่อนนะพี่ ท้องยังว่างอยู่” ผมลูบท้อง หยิบตะเกียบมาลงมือย่างหมูกระทะแล้วกินเงียบๆ พอพี่สองกลับมาที่โต๊ะ พวกพี่ๆ ก็เล่าเรื่องที่ไปประสบพบเจอมาในช่วงปิดเทอม พี่ซันปรึกษาพี่นนท์กับพี่กฤษเรื่องรับน้อง พี่กฤษอยู่คนละกลุ่มกับพี่เจประธานปกครองปี 3 (กำลังจะขึ้นปี 4) แต่แบ็คดีกว่าเพราะพี่กฤษเป็นหนึ่งในสภานักศึกษา


“อิ่มแล้วเหรอมึง” พี่ซันเหลือบมองผม ขณะเดียวกันก็ไล่เติมเบียร์ให้ทุกคน


“จุกแล้ว” ผมตบท้องปุๆ


“แล้วมึงเป็นเหี้ยไรไอ้สอง ลืมเอาปากมา?”


พี่ซันหันไปกัดพี่สองที่นั่งจิบเบียร์เงียบๆ สลับกับย่างเนื้อในกระทะส่งให้คนนู่นคนนี้ สายตาของคนทั้งโต๊ะจับจ้องไปที่พี่สองแทบจะทันที


พี่สองยักไหล่ “เปล่านี่” ปฏิเสธโดยไม่สบตาใครด้วยซ้ำ


“ทะเลาะกับเมีย?” พี่นนท์เดา ผมหูผึ่ง


“ทะเลาะจริง แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร” พี่สองตอบรับตามตรง


“โอ้ว สาวสวยคนนั้น คณะไหนวะ” เสียงอู้อ้าของพี่กฤษเรียกสายตาจากพวกเราทุกคน


ผมเงยหน้าขึ้นจากแก้วเบียร์ตรงหน้าไปมองสาวสวยคนที่พี่กฤษว่า ก่อนจะทำตาเป็นประกายวิบวับ ผงกหัวเห็นด้วย สวยจริงว่ะคนนี้


“น้องดา รองดาวนิเทศปีหนึ่ง” พี่ซันเก็บสายตากลับ


พี่ผมเป็นคนกว้างขวางครับ รู้จักไปหม๊ด!


“กูอยากได้เบอร์” พี่กฤษพูดเสียงตื่นเต้น ก่อนจะหันมาจ้องหน้าผม


“อะไรพี่” ผมระแวง


“มึงไป” พี่กฤษพยักพเยิดหน้าไปทิศทางที่น้องดายืนอยู่ ผมทำหน้าห่อเหี่ยว ทำไมต้องเป็นผมวะ ที่นั่งอยู่ด้วยกันนี่ ผมหล่อน้อยที่สุดเลยนะเว้ย!


“ดูทำหน้า มึงอยากมีแฟนเป็นดาวไม่ใช่หรือไงไอ้น๊อต” พี่กฤษด่า ผมทำท่ากระมิดกระเมื้อนเล็กน้อย ตอบเสียงกระซิบ


“ตอนนี้ก็จีบอยู่ สวยเหมือนกัน” ผมนึกถึงหมิว


พี่กฤษส่ายหัว หันไปพูดกับพี่ซัน “ป๊อดจริงน้องมึง” พี่ซันมองผมแล้วหัวเราะหึๆประณามทางสายตาว่า ‘อ่อนเอ้ย!’


“ไอ้สอง มึงออกไปแสดงให้ลูกกูดูเป็นบุญตาสิ” พี่นนท์หันไปสั่งพี่สอง


พี่สองเหลือบมองผมด้วยหางตา วางแก้วน้ำแล้วลุกเดินออกไปทันที ผมมองตามร่างสูงของพี่เทคตัวเอง ตัวลีบลงอีกสองนิ้ว พี่อาร์ตมองผมสลับกับพี่สอง ยิ้มนัยน์ตา แต่ไม่พูดอะไรเมื่อผมเลิกคิ้วถาม


ห้านาทีผ่านไปพี่สองเดินกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะยื่นมือถือส่งให้พี่กฤษ


“แจ่มจันทร์” พี่กฤษเอ่ยชม ก่อนจะหันมาหาผมที่นั่งมองปริบๆ


“มึงต้องพัฒนาตัวเองนะไอ้น๊อต ดูอย่างไอ้สองสิกูพูดนิดเดียว เบอร์มาแล้ว” ผมยู่ปากนึกเถียงพี่กฤษในใจ อยากจีบทำไมไม่ไปขอเอง เพื่อแสดงความจริงใจล่ะครับพี่


“ทีนี้...มึงเห็นคนที่นั่งอยู่โต๊ะนั้นมั้ย” พี่กฤษชะโงกหน้ามาหาผม ส่งสายตาไปทางทิศสองนาฬิกา มีสาวสวยนั่งอยู่กับเพื่อนผู้ชายอีกสามคน ผมหันมาพยักหน้าให้พี่กฤษ


“ไปขอเบอร์มาให้ได้” พี่กฤษออกคำสั่ง ผมทำคอตก ไหล่ห่อทันที


“ดงตีนเลยนะพี่”


“ไม่หรอก คนนี้เพื่อนกูเอง ในนั้นก็เพื่อนกู ไม่มีใครกล้าทำอะไรมึงหรอก เชื่อกู” พี่กฤษตบบ่าผมสองที ผมยกมือขึ้นมากุมขมับ เลี้ยงสายทีไร โดนแกล้งตลอด


ผมลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เดินไปยังโต๊ะเป้าหมาย เอ่ยขออนุญาตรบกวน และออกปากถามชื่อหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม เธอเหลือบมองโต๊ะที่ผมเดินออกมายิ้มๆ ก่อนจะหันมาตอบว่าชื่อ ‘จูน’ พี่ๆ ผู้ชายในโต๊ะซึ่งประกอบด้วยคนหน้าขรึมหนึ่ง หน้าดุอีกสอง


หนึ่งในสองของคนหน้าดุ ขยับที่ให้ผมนั่งเงียบๆ


ผมนั่งเกร็ง ก่อนจะรวบรวมกำลังใจหันไปสบตาพี่จูน เอาวะ! ตายเป็นตาย!!!!


“ผมขอเบอร์ได้มั้ยครับ”


“หืม” พี่จูนลากเสียง


ผมเม้มปาก แอบปาดเหงื่อในใจ “เบอร์พี่น่ะ”


“น้องอยากได้เหรอ” พี่จูนถาม ผมพยักหน้ารับ พี่จูนเหลือบมองคนหน้าขรึมหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม ผมเกร็งตัวขึ้นสองระดับ แฟนเขาแน่เลยไอ้น๊อตเอ้ย!ผมแอบหวังอยู่ในใจว่าถ้าผมจะได้กินยำตีนจริงๆ พวกพี่ๆ ของผมจะลุกมาปกป้องผมได้ทันท่วงทีก่อนที่ผมจะลงไปนอนนับดาว


“งั้นต้องแลกกัน” พี่จูนเสนอ


“ครับ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ หยิบมือถือออกมากดเบอร์ตามที่พี่จูนบอก ก่อนจะกดโทรเข้าเครื่องของเธอ พี่จูนยื่นแก้วเบียร์สดให้ผมหนึ่งแก้วด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ผมรับมายกดื่มอึกๆ หมดแก้วแล้วส่งคืน ก่อนจะขอตัวเดินกลับโต๊ะ


“เจ๋งนี่หว่าลูกพ่อ” พี่นนท์เอ่ยชม ผมยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก


“เมื่อกี้ผมคิดว่าจะโดนตีนซะแล้ว”


“นั่งอยู่กับพวกกูตั้งสิบตีน ใครจะอยากมีเรื่อง มึงนี่ขี้ระแวง” พี่กฤษด่า


ผมรีบยิ้มประจบ “ผมตื่นเต้นยิ่งกว่ารอผลสอบอีกนะพี่”


“เล่าให้กูฟังดิ๊ ได้มายังไง” พี่กฤษถาม


ผมยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนจะตอบด้วยความภาคภูมิใจ “แลกเบอร์”


พี่กฤษยกมือขึ้นตบหน้าผาก “กูว่าแล้ว”


“ทำไมไอ้กฤษ” พี่นนท์ถามด้วยความอยากรู้


“ไอ้โฬมมันสนใจลูกชายพี่อยู่ไง”


ผมชะงักมือที่กำลังหยิบแตงโมเข้าปาก น้องคนไหนวะ


“ไอ้น๊อต?” พี่นนท์ถามย้ำ พี่กฤษพยักหน้ารับแล้วหัวเราะ


ผมทำหน้าตื่น “เขาเป็นเกย์เหรอพี่ เมื่อกี้ผมสบตากับพี่เขาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย” นี่ตกใจจริงๆ นะ ขนลุกด้วย


“มันขอเบอร์มึงจากกูหลายทีแล้ว แต่กูไม่ให้ นี่มึงให้เขาเองกับมือ อย่ามาโทษกูก็แล้วกัน” พี่กฤษจิ้มหน้าผากผมจนหน้าหงาย ผมทำหน้าร่ำร้องขอความเห็นใจจากพระเจ้า ก็เมื่อกี้ไม่ใช่พี่หรือไงที่ส่งผมไปหาเขาน่ะ!!


“ผมชอบผู้หญิงนะพี่กฤษ พี่ควรจะช่วยปกป้องอธิปไตยของผมสิ” ผมโอดครวญ


“มึงจะกลัวอะไร แค่พี่รหัสกับพี่เทคของมึง ก็ไม่มีใครกล้าแหยมแล้ว” พี่กฤษเหลือบมองพี่ซันกับพี่สอง


“ถ้าผมต้องเสียอธิปไตยให้คนอื่น สู้ยื่นตูดให้พี่สองยังดีกว่า” ที่ไม่กล้ายื่นให้พี่ซันเพราะพี่มันถีบแน่ ผมบ่นขมุบขมิบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหยิบฝรั่ง แต่ชะงักแขนกึก เมื่อสบสายตาเข้ากับอีกสิบคู่


“อะไร...พวกพี่จะตกใจทำไม ผมพูดเล่น”


“ไอ้เหี้ย ขนลุกพรึ่บพรั่บเลย” พี่สองถูแขน


พี่อาร์ตหัวเราะถูกใจ “นึกว่าจะเปลี่ยนแนว”พี่สองเหลือบมองพี่อาร์ตก่อนจะส่ายหัว


มือถือพี่สองที่วางอยู่บนโต๊ะส่องสว่าง เขาหยิบขึ้นมาดูสีหน้าเครียดเกร็งขึ้นก่อนจะจางหายไปปล่อยให้เสียงรอสายดังจนหน้าจอดับ มีสายเรียกเข้ามาเป็นครั้งที่สองพี่สองหยิบมือถือมากำไว้แล้วส่งสายตาขอตัวให้คนทั้งโต๊ะ ลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปทางหน้าร้าน


ผ่านไปครึ่งชั่วโมงพี่สองกลับมาที่โต๊ะ แล้วบอกลาพี่นนท์ ผมนั่งอยู่กับพวกพี่ๆ จนเกือบห้าทุ่ม พี่ซันจึงพาผมกลับ ถึงห้องผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดเช็คทามไลน์เฟสบุ๊ค ก่อนสายตาจะสะดุดอยู่ที่การแจ้งเตือนสถานะเฟสบุ๊คของพี่สอง


ตรัยคุณ กอบกาญจ์กุล เป็นแฟนกับ Mo Inthira


ผมกดไลท์สถานะนั้น ก่อนจะกดออกจากเฟสบุ๊ครู้สึกโล่งใจแทนพี่สอง


คืนดีกันแล้วสินะ






หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100361 ● เทคที่ 5 น้อง...พี่...ขี้อ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 03-10-2018 19:59:17
แล้วตอนไหนจะรู้ตัว คนพี่หรือคนน้อง
แต่ต่างก็มีสาวตลอดเว

รอลุ้น
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100361 ● เทคที่ 5 น้อง...พี่...ขี้อ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-10-2018 20:21:52
เหมือนพี่สองสับสนแล้ว  ดูหวงๆ ห่วงๆ น๊อต
วันที่เจอทรรศก็ดูกลัวน๊อตไปกับทรรศ
พอน๊อตไม่ได้โทรกลับไปหา  ก็ร้อนรนตามถึงคอนโด
เจอหน้าน๊อตก็นิ่ง ไม่พูด   ที่เงียบๆกับโม
แล้วตกลงเป็นแฟนกับโม ก็เพราะน๊อตทำให้รีบยอมคบ

พี่สอง ชื่อจริงตรัยคุณ
แปลกๆนะ ชื่อเล่นสอง ชื่อจริงเป็นสาม   :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100361 ● เทคที่ 5 น้อง...พี่...ขี้อ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-10-2018 02:45:40
เอาล่ะซิ คนแก่เริ่มงงแล้ว ใครคู่ใคร  :really2:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-10-2018 19:07:12

เทคที่ 6 :: เด็กทำผิดรู้จักขอโทษ ผู้ใหญ่ย่อมเอ็นดู


ชีวิตคนเรามักไม่แน่ไม่นอน เหมือนกับชีวิตของผมตอนนี้ ต้องเก็กหน้าขรึมต่อหน้ารุ่นน้องปีหนึ่งที่นั่งเข้ากิจกรรมเชียร์กันอย่างขมักเขม้น น้องรหัสของผมเองก็ขมักเขม้นในการตามหาตัวผม พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ผมใช้ระยะเวลาในการตามหาพี่ซันจนวันสุดท้าย แต่ไอ้วิทย์! น้องรหัสของผม ตามหาผมเจอตั้งแต่อาทิตย์แรกด้วยซ้ำ


ไม่สนุกเลยว่าไหมครับ T^T


หากถามหาเหตุผล ก็เหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บให้ตัวเองเจ็บใจเล่นอีกรอบ พี่ซันให้ผมไปเป็นหนึ่งในพี่เนียน แรกๆ ก็สนุกอยู่ครับ ฟังรุ่นน้องนินทารุ่นพี่กันอย่างมันปาก แต่มันเริ่มไม่สนุกตรงอยู่ดีๆ ไอ้วิทย์มันก็โพล่งถามผมขึ้นมาท่ามกลางประชาชีรุ่นหนึ่งว่าผมคือพี่แฝงหรือเปล่า


ผมต้องหัวเราะแก้เก้อแล้วปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ดูหน้าก็รู้ว่ามันไม่เชื่อ!!


ปีนี้ไอ้เหินได้เป็นเฮดว๊าก มีไอ้ธรรศเป็นประธานรุ่นผู้แข็งขันคอยควบคุมการเข้าประชุมเชียร์ของน้องๆ หน้าที่ของผมคือสืบข่าวแต่ละวันไปบอกพวกมัน ว่าปฏิกิริยาของน้องๆ เป็นอย่างไรบ้างในการเข้าประชุมเชียร์ เพื่อที่พวกมันจะได้นำไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแผน ให้เข้ากับสถานการณ์


พี่ซัน ประธานชั้นปีที่สูงขึ้นไปก็รอฤกษ์งามยามดีในการเข้าว๊ากพวกไอ้เหินอีกที ผมรู้สึกว่ารุ่นตัวเองโชคดีนิดหน่อยที่ตอนนั้นพี่สองเป็นคนนำว๊าก มีเหตุการณ์ที่สร้างความแปลกใจให้ผมเกิดขึ้น คือหากพี่เจประธานปกครองปี 4 เข้าประชุมเชียร์


ถ้าเลี่ยงได้ พี่ซันจะเลี่ยงเสมอ

   
นานวันเข้าผมก็เริ่มชิน พี่สองกระซิบบอกผมว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผมจะไม่เข้าข้างพี่ซันก็ได้เพราะผมเป็นคนนอก แต่ขอแค่ว่าอย่าเข้าไปยุ่ง หากผมรู้สึกไม่เห็นด้วยก็ขอให้ยืนอยู่ทางสายกลาง


จะลองดีก็ได้...ถ้าอยากโดนตัดสายอ่ะนะ!!

   
“มึงคุยเรื่องรับน้องนอกสถานที่กับแนนหรือยังซัน” พี่สองเหลือบถามพี่ซันขณะกำลังเดินไปห้องประชุมงาน


หลังจากผ่านกิจกรรมเฉลยพี่รหัสและผูกข้อไม้ข้อมือให้ปีหนึ่งเสร็จสิ้น พวกเราปีสอง ปีสาม ที่เป็นตัวแทนแต่ละฝ่ายต้องอยู่ประชุมงานกันตอนเย็น พวกพี่ๆ ปีสี่ไม่ค่อยเข้าแล้วเพราะเตรียมตัวฝึกงาน

   
“กำลังจะคุยนี่ไง” พี่ซันหันมาตอบ แล้วเดินนำเข้าห้องประชุม

   
พี่สองที่กำลังจะเดินตามพี่ซันเข้าห้องประชุม เขาเดินผ่านผมไปแล้ว แต่ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว “หนักมั้ยนั่น” เขาเลิกคิ้วถาม สองมือของผมกำลังหอบแพ็กน้ำขนาดลิตรครึ่ง พี่แนนให้ผมเอามาเก็บไว้ที่ห้องประชุม

   
“สบายพี่” ผมยักคิ้วตอบ ทั้งที่ในใจหอบแฮ่ก

   
“เหลือเยอะมั้ย”

   
ผมส่ายหัว ยังเหลืออีกสองแพ็ก ผมเป็นคนอาสายกมาเก็บ เพราะคนอื่นๆ ก็มีหน้าที่รับผิดชอบ ช่วยกันได้ก็ต้องช่วย จะให้พวกสาวๆ ที่มีอยู่น้อยนิดออกแรงก็ยังไงอยู่

   
“งั้นเอามานี่ เดี๋ยวเอาเข้าไปวางข้างในให้” พี่สองฉวยเอาของในมือผมไปถือเองแล้วเดินเข้าห้องประชุมไป ผมอมยิ้มมองตามแผ่นหลังของพี่เทคตัวเอง...โคตรเท่

   
ถ้าพูดถึงความหล่อ และความเทพด้านการศึกษา พี่สองอาจจะสู้พี่ซันไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องสรีระแล้วล่ะก็...พี่เทคของผมกินขาด (พี่ซันสำหรับผมคือเทพที่จับต้องไม่ได้ครับ จับเป็นโดนตีน)

   
ผมเดินกลับไปยกของต่อ เสร็จแล้วก็เดินตัวลีบเข้าห้องประชุม นั่งฟังพี่ปีสูงสรุปกิจกรรม อ่อ ผมลืมบอกใช่ไหมว่าพี่กฤษดึงผมเข้าสภานักศึกษาด้วย แม้ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญ แต่ในระดับชั้นปีสองของวิศวะหากมีเรื่องต้องการแจ้งต่อสภานักศึกษาก็ต้องเข้าหาผมโดยตรง แม้แต่ไอ้ธรรศก็ยังต้องส่งเรื่องผ่านผม

   
เส้นสาย...ไม่ใช่เรื่องตลก การเป็นหนึ่งในสภานักศึกษาก็ไม่ใช่เรื่องตลกเช่นกัน แต่ละวันผมต้องวิ่งรอกไปนู่นมานี่ระหว่างคณะกับสภานักศึกษาขาแทบขวิด

   
“ปีนี้ เราเสนอให้ไปเข้าค่ายธรรมะ” พี่แนนออกเสียง

   
ผมขยับเข้าไปหาไอ้เหิน “สรุปกิจกรรมเสร็จแล้วเหรอ”

   
มันพยักหน้ารับ

   
“ไปทุกปีไม่เบื่อบ้างเหรอวะ” ผมกระซิบ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องหดหัวเข้ากระดอง เพราะทุกสายตาต่างสาดมาทางผมเหมือนเตรียมระดมยิงกระสุน F-16

   
“ออกไปข้างนอกไอ้น๊อต” พี่ซันสั่งเสียงดุ ผมทำหน้ารู้สึกผิด เก็บกระเป๋าแล้วเอ่ยขอโทษพี่ๆ ในห้องก้มหน้าเดินออกมา หันซ้ายหันขวาก็เดินไปนั่งหลบมุมที่ใต้ตึก

   
“มานั่งทำอะไรตรงนี้”

   
ผมเงยหน้ามองคนถาม ก่อนจะฉีกยิ้มส่งให้

   
“โดนไล่ออกมาครับ”

   
พี่โฬมหัวเราะหึๆ เหมือนรู้กิตติศัพท์ของผม

   
“ปากไวอีกล่ะสิ”

   
ผมพยักหน้าหงึกหงัก “แต่ผมลดเสียงแล้วนะ แค่คุยกับเพื่อนเอง”

   
“ต้องรอใครหรือเปล่า”

   
ผมเลิกคิ้วมองพี่โฬม พี่ยังไม่เลิกหวังอะไรในตัวผมอีกเหรอวะ พี่โฬมเหมือนเข้าใจความคิดผม เขาหัวเราะแล้วยื่นมือมาดีดหน้าผากผมด้วยความหมั่นไส้

   
“ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆ เลิกคิดไปนานแล้ว”

   
ผมทำหน้าโล่งอก

   
“แล้วพี่...”

   
“แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย ไม่นานหรอก แต่คุยที่นี่ไม่ได้ ไม่อยากมีปัญหา” ปัญหาที่ว่าคือพี่ซันกับพี่สองครับ

   
“งั้นร้านกาแฟหน้าม. ก็ได้ครับ”

   
ผมซ้อนท้ายเวสป้าของพี่โฬมไปหน้าม. เขาช่วยเปิดประตูร้านให้ผม แล้วเดินนำเข้าไปหาที่นั่ง สั่งกาแฟกับชาเขียวอย่างละแก้ว

   
“เรารู้จักโมมั้ย โม...ดาวศิลปศาสตร์” ผมพยักหน้ารับ


ไม่รู้จักได้ไง นั่นแฟนพี่สองคบมาตั้งปีแน่ะ

   
“พี่เทคเรายังคบอยู่กับโมหรือเปล่า”

   
“เมื่อวานยังเห็นไปเดทกันอยู่เลย” ผมตอบ พลางยกแก้วชาเขียวขึ้นดูด

   
“เหรอ”

   
ผมเงยหน้ามองพี่โฬม เมื่อนึกถึงสิ่งที่พอเป็นไปได้

   
“พี่คิดจะตีท้ายครัวพี่สองเหรอ”

   
“เฮ้ยเปล่า! คิดไปถึงไหน” พี่โฬมหัวเราะ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ผมมองไปที่ประตูทางเข้าร้าน ผมเลื่อนสายตาไปตามสัญญาณนั่น ก่อนจะชะงักกึก รีบทิ้งตัวลงใต้โต๊ะทันทีตามสัญชาตญาณ พี่โฬมเหลือบมองผม แล้วกลั้นยิ้ม

   
“นี่แหละ สิ่งที่อยากบอก”

   
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนกัน” ผมแก้ต่างให้พี่โม ที่เดินมากับชายหนุ่มที่ดูมีภูมิฐานคนหนึ่ง ใส่ชุดนักศึกษาม. เดียวกัน ดูสะอาดสะอ้าน เหมือนลูกผู้ดีมีตังค์อย่างไอ้ลูกชายเจ้าของโรงแรมเพื่อนผม

   
“เอ่อ...” เอออออออ เพื่อนที่ไหนเขาโอบเอวกันเดินวะ

   
พี่โมกับผู้ชายที่แปลกหน้าสำหรับผม เข้ามาสั่งเค้ก ได้แล้วก็เดินโอบเอวกันออกจากร้านท่าทางกระหนุงกระหนิง ผมหันไปสบตากับพี่โฬม

   
“ตามมั้ย” เขาถาม

   
ผมพยักหน้ารับทันทีโดยไม่ต้องคิด

   
พี่โฬมทิ้งเวสป้าไว้ที่หน้าร้านกาแฟ ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตามพี่โมไปไม่ห่างมาก ผมใจเต้นระทึก เหมือนกำลังดูหนังสายลับ และมีตัวเองเป็นคนแสดง รถยนต์คันสีดำที่เรากำลังตามอยู่เลี้ยวซ้าย ผมเงยหน้าไปมองป้ายแล้วชะงักอึ้ง

   
โฮเตล!!!

   
ผมชักเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ไม่อยากตามต่อ เหลือบมองอีกคนที่มีท่าทีสบายๆ พี่โฬมเลิกคิ้วถามผมทางสายตาว่าจะไปต่อหรือจะกลับ ผมสองจิตสองใจ ก็ตามมาขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องเสือก เอ้ย ต้องสืบให้ถึงที่สุดสิ!!

   
ผมรีบก้าวลงจากรถในขณะที่พี่โฬมจ่ายเงินอยู่ มองซ้ายมองขวาเห็นรถคันเมื่อกี้แวบๆ ผมแค่อยากรู้ว่าพวกเขามาทำอะไร แค่บังเอิญมาด้วยกัน แค่แวะมากินข้าว หรือทั้งคู่เข้าไปในห้องพักกันสองต่อสอง

   
ผมเดินตรงไปที่เค้าเตอร์ พอดีกับที่พี่โฬมเดินมาสมทบ กำลังจะตีสนิทถามพนักงานด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็...

   
“ไอ้น๊อต”

   
เสียงที่เรียกจากทางด้านหลังทำให้ขนแขนผมลุกซู่ ผมค่อยๆ หันหลังกลับไปทางต้นเสียง เห็นพี่สองยืนทำหน้าทะมึนอยู่ เขามองหน้าผม สลับมองหน้าพี่โฬม

   
เลิกคิ้วถามด้วยสายตาว่า

   
“มึงมาทำอะไรที่นี่”

   
ผมเม้มปาก เริ่มทำตัวไม่ถูก จะบอกว่าตามพี่โมมาก็ไม่มีหลักฐาน พูดไปลอยๆ เดี๋ยวโดนพี่สองซัดหมอบ แอบส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้คนที่ยืนอยู่ข้างกาย

   
“กูชวนน้องมาเอง”

   
ผมแทบจะยกตีนขึ้นมาก่ายหน้าผาก นี่คือจะช่วยจริงๆ ใช่ไหมครับพี่โฬม!! ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่สอง แล้วยิ้มประจบ “ผมแวะมาเข้าห้องน้ำ”

   
พี่สองทำหน้าไม่เชื่อ แหงอยู่แล้ว แต่มาถึงขั้นนี้ไม่เชื่อก็ต้องทำให้เชื่อ

   
ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่สอง พี่โฬมเดินตามหลังมาไม่ห่าง “แล้วพี่มาทำอะไรครับ นัดใครไว้เหรอ”


“เปล่า ตามมึงมา” พี่สองตอบ


ผมหลุบตามองพื้น อยากถามใจจะขาดว่าพี่เห็นแฟนพี่ด้วยหรือเปล่า แต่ไม่กล้า “ผมเสร็จธุระแล้ว กำลังจะกลับพอดี” แน่นอนว่าผมกำลังเตรียมชิ่ง


“งั้นไป รถจอดอยู่หน้าโรงแรม” ขาที่กำลังเตรียมชิ่งหนีของผมชะงักกึก พี่โฬมเองก็ชะงัก พี่สองหันมาเลิกคิ้วมองผมกดดัน


“ทำไม มึงมีปัญหาอะไร”


เปล่าครับ คำถามนี้พี่สองไม่ได้ถามผม


“กูพามา เดี๋ยวกูพาไปส่งให้ก็ได้” พี่โฬมตอบ ยื่นมือข้างหนึ่งมาคว้าแขนผม


เอ่อ...


พี่สองเหลือบมอง ก่อนจะสั่งสั้นๆ “ปล่อย”


พี่โฬมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องมีปฏิกิริยาแทนครับไม่งั้นงานงอก ผมดึงแขนของตัวเองกลับ พี่โฬมย่นหัวคิ้วแวบเดียวก่อนจะเลือนหายไปจากใบหน้า เขายอมปล่อยมือจากแขนผม ผมยิ้มขอโทษขอโพย


พี่สองมองหน้าพี่โฬมเป็นการเตือน ก่อนจะเดินมาคว้าสายกระเป๋าของผมเอาไว้ ออกแรงลากให้ผมเดินตามออกมาขึ้นรถที่เขาจอดทิ้งเอาไว้


ตั้งแต่ขับรถออกมาจากโรงแรม พี่สองปิดปากสนิท บรรยากาศในรถเงียบยิ่งกว่าป่าช้าได้ยินแต่เสียงจากช่องลมแอร์ ผมนี่เกร็งตั้งแต่ปลายตีนยันหนังศรีษะ


“คะ...คือ”


“เงียบ”


ผมปิดปากตามคำสั่ง นั่งตัวตรงแด่วยิ่งกว่าไม้บรรทัด


พี่สองจอดรถที่หน้าหอพักผม แต่ไม่ยอมปลดล๊อกประตู ผมที่ปลดสายคาดเบลล์เตรียมลงได้แต่กำกระเป๋าในมือไว้ พยายามหายใจให้เบาที่สุด


“คิดไง เข้าโรงแรมกับผู้ชาย”


ผมหันไปมองหน้าคนถาม สองตาของพี่สองยังมองตรงไปที่ด้านหน้า เมื่อเห็นผมไม่ตอบ เขาจึงหันหน้ามาแล้วสบตากับผมเข้าพอดี


ผมเปิดปาก “ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดี” เอ่อ แอบสะกดรอยตามคนอื่นนี่ถือเป็นความผิดด้วยหรือเปล่า แต่ผมหวังดีกับพี่สองนะ


“มึงโกหกไม่เก่ง”


ผมเม้มปาก


“พี่จะบอกเรื่องนี้กับไอ้ซัน” พี่สองสรุป ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ


“พี่ไม่มีเหตุผลเลย ผมโตแล้ว” ขืนพี่ซันรู้ ผมโดนด่าเช็ดดิ คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกช้างด้วย พี่ซันรู้ เฮียรู้ ถ้าเฮียรู้ ป๊ารู้ ตายไม่สงบศพไม่สวยแน่!


“แสดงว่ายอมรับ?”


ผมส่ายหัว


“ต่อให้ผมทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็มีสิทธิ์ตัดสินใจ” พี่สองมองหน้าผมเขม็ง จนผมเริ่มเกร็ง


เงียบไปหลายอึดใจ เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้น


“อยากทำอะไรก็ทำ”


พี่สองหันหน้าไปทางอื่น ผมเม้มปากโกรธๆ ทั้งที่ปกติพี่เทคของผมถือหางผมจะตายไป


ผมก้าวลงจากรถ ปิดประตูโดยไม่หันหลังไปมองสักนิด รีบก้าวขาไวๆ ขึ้นห้อง


ไอ้เหี้ย ทำไมกระบอกตามันร้อนๆ วะ


ผมเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกมาดูหนังหรือหาเรื่องทะเลาะกับพวกไอ้ไฟน์ หยิบมือถือขึ้นมาเช็คทามไลน์ในเฟสบุ๊คแก้เบื่อ แล้วอัพเดทสถานะเฟสบุ๊คส่วนตัว


‘ไม่เห็นต้องแคร์เลย’


กดโพสต์ไม่กี่นาที ก็คิดได้ว่าไม่ควรจุดประเด็น กำลังจะกดลบก็มีแจ้งเตือน


ตรัยคุณ กอบกาญจ์กุล ถูกใจโพสต์ของคุณ


มือผมค้างนิ่งอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์


ผมกดออกจากเฟสบุ๊คและปล่อยค้างสถานะที่โพสต์ไว้เหมือนเดิม เดินออกมาหาน้ำดื่มแล้วกลับห้องไปนอน พยายามข่มตาให้หลับก็หลับไม่ลง สุดท้ายจึงเดินไปค้นหาเกมในตู้มาเล่นคนเดียว จนหลับหาเตียงไปทั้งอย่างนั้น


“ทะเลาะกับไอ้สอง?”


พี่ซันถามผม ในขณะที่เรากำลังเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์หมาและแมว เพื่อทำกิจกรรม ‘คืนบ้านให้น้อง’ เป็นกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง ทั้งยังเป็นกิจกรรมที่สร้างประโยชน์และมีสาระตามคอนเซ็ปต์


ส่วนคำถามของพี่ซัน เกิดจากเพราะสองอาทิตย์มานี้ ผมกับพี่สองเราก็ยังเจอกันปกติ เพียงแต่ไม่ได้คุยเล่นกันเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปเซ้าซี้ชวนคุยก่อนอย่างที่เคยทำ ถ้าเจอพี่สองผมก็แค่เงียบเก็บปากเก็บคำ พี่ซันคงสังเกตมาได้สักพัก


ผมส่ายหัว “ไม่ได้ทะเลาะนะพี่ พี่สองเขาบอกพี่อย่างนั้นเหรอ”


“เปล่า กูไม่ถามมันอยู่แล้ว”


ผมหันไปค้อนให้พี่รหัสตัวเอง ใช่สิ ผมมันแค่น้องรหัสนี่


“ตกลงว่าไม่พอใจอะไรมัน” พี่ซันวกกลับเข้าประเด็นเดิม ผมกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอีกครั้ง แต่พี่ซันดันขู่ผมทางสายตาเสียก่อน


ผมกรอกตามองฟ้า ก่อนจะเบนหน้าไปมองบรรยากาศข้างทาง ลอบถอนหายใจ


“ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร แต่เหมือนพี่สองจะไม่พอใจที่เห็นผมกับพี่โฬมที่โรงแรม พี่อย่าบอกพี่สองนะว่าผมไปทำไม วันนั้นผมตามพี่โมไป แต่ตามได้ยังไม่ถึงไหน พี่สองก็โผล่มาซะก่อน” ผมลดเสียงจนเกือบกลายเป็นกระซิบ


“อยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่อง” พี่ซันผลักหัวผมจนหัวโขกกระจกรถ สีหน้าไม่ได้รู้สึกผิดสักนิดที่ทำผมเจ็บ ผมหน้างอ


“ผมแค่สงสัย พี่ไม่สงสัยเลยเหรอ”


“น๊อต” พี่ซันเรียก


ผมเงยหน้า สบตากับพี่รหัสตัวเอง


“มึงลืมไปหรือเปล่าว่านี่ไม่ใช่เรื่องของมึง”


“...”


เออว่ะ


“ผมควรขอโทษพี่สองก่อนใช่มั้ย” ที่ทำพฤติกรรมไม่ดีใส่


“คิดเอง” ไม่ปฏิเสธ แปลว่าใช่เลยมึงต้องทำไอ้ลูกหมา


“มึงรู้ดีกว่าใครว่าไอ้โฬมมันคิดไม่ซื่อ แต่มึงก็ยังไม่เลิกติดต่อกับมัน แถมยังไปไหนมาไหนกับมันสองต่อสอง กูเตือนมึงแล้วนี่” พี่ซันเริ่มดุ ผมทำหน้าห่อเหี่ยว


“พวกพี่น่ะคิดมาก พี่เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนคนรู้จักทั่วไป พี่น้องร่วมสถาบันอะไรแบบนี้ ผมอยากให้พวกพี่เข้าใจ ผมก็ผู้ชายนะ”


พี่ซันเบ๋ปากมองผม แล้วเปิดประเด็นใหม่ “มีคนมาบอกกูว่า มีคนลงรูปมึงกับไอ้โฬมแท็กเพจมหาวิทยาลัยด้วย มึงได้เช็คหรือเปล่า”


ผมพยักหน้ารับ “เช็คแล้ว แต่มันไม่ได้มีอะไรนี่ ผมจะเดือดร้อนทำไม”


พอผมตอบไปแบบนั้น พี่ซันเลยเลิกคุยกับผม หยิบหูฟังออกมาฟังเพลงเฉย จนผมต้องหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา รถแล่นไปตามถนนอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย ผมโดนพี่ซันสั่งห้ามเข้าไปในห้องที่มีกรงขังของหมากับแมว เพราะแพ้ขนแมว


หน้าที่ของผมหลักๆ คือทำความสะอาดบริเวณรอบนอก


แต่ขนาดผมโดนกันไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ ผมก็ยังจามฟิด


“ความจริงเราไม่ต้องลำบากมาก็ได้ ถ้าแพ้หนัก แค่แจ้งพี่ๆ เขาก็คงไม่มีใครว่า” ผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นพี่เพลินเดินถือขวดน้ำยื่นส่งให้ผมที่แอบมานั่งหลบลมร้อนใต้ร่มไม้ พี่เพลินเป็นหน่วยปฐมพยาบาล รู้จักกับพี่ซัน


“ขอบคุณครับ ผมแค่อยากมาร่วมกิจกรรม ช่วยไม่ได้มากแต่ก็ยังได้ช่วย” ผมเปิดฝาแล้วกรอกลงคออักๆ สดชื่นจริงโว้ย ฮัดชิ้ว!


“อะ มีคนฝากมาให้” พี่เพลินยื่นหน้ากากอนามัยให้ผม ผมขมวดคิ้วกำลังเดาว่าใคร


“สองน่ะ เสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างมือทันทีด้วยนะ ป้องกันไว้ก่อน” พี่เพลินเฉลยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลุกเดินจากไป ผมมองของที่อยู่ในมือ ก่อนจะกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม


กว่าจะเสร็จสิ้นกิจกรรมทั้งหมดก็บ่ายคล้อยแล้ว คณะของพวกเราร่วมกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับคนดูแลสถานที่และเก็บของเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับผมเองก็แทบหมอบสลบไสลเพราะยาแก้แพ้


ขนาดว่าดูแลตัวเองดีแล้วยังไม่สามารถทนทานต่อพลังขนแมว เพราะผมเผลอหยิบหน้ากากอนามัยของพี่ซันมาสวม แล้วสวมเอาด้านที่พี่ซันหันออกเข้ามาดมเต็มสูบ


อาการเลยกำเริบ น้ำตาไหล น้ำมูกก็ไหล พี่เพลินส่งยาแก้แพ้ให้ผมหนึ่งเม็ด ผมรับมาอย่างอิดออดเพราะไม่ประทับใจอาการหลังทานยาแก้แพ้ แต่ก็ต้องยอมกลืนลงท้องเพราะสายตาบังคับแกมข่มขู่ของพี่ซัน พี่สองก็ยืนกอดอกมองกดดันทางอ้อมอีกต่างหาก


แล้วผมจะไปสู้ใครได้ T^T





หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100661 ● เทคที่ 6 นึกไง...เข้าโรงแรมกับผู้ชาย
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-10-2018 19:50:52
โฬมชอบใครอ่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 08-10-2018 14:05:00


เทคที่ 7 ชอบนิดชอบหน่อย...อย่าทำโวย


ผมยืนมองน้องรหัสตัวเอง ทำหน้าเคร่งเครียดอยู่กับหน้าจอโน๊ตบุ๊ค


ขนาดผมเดินมาถึงตั้งนานแล้วมันก็ยังไม่รู้สึกตัว จนผมเดินไปอีกฝั่ง วางกระเป๋าลงเสียงดัง มันถึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะช่วยเก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วจดจ่ออยู่กับโน๊ตบุ๊คต่อ


“มึงจะขยันไปไหน” มึงดูกูสิ ดินกำลังพอกหางหมูจนแทบจะคลานแทนเดินอยู่แล้ว


“พี่ก็วางเกมแล้วเริ่มทำรายงานสักทีสิ” มันตอบโดยไม่มองหน้า ช่วงนี้ผมกำลังเห่อเกมใหม่จริงๆ ครับ เล่นมากจนโดนไอ้เหินเขม่นระหว่างเรียน


“น้องรหัสมึงไปไหน”


ผมถามหาหลานรหัส ที่รับเข้าสายมาได้สองเดือนแล้ว ไอ้วิทย์ชะงักมือ หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดูด ก่อนจะตอบ


“อยู่กับเพื่อนมันมั้ง”


ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะโน้มหน้าไปกระซิบถาม “มึงแน่ใจเหรอว่าแค่เพื่อน” เสือกล้วนๆ ไม่มีความควายผสม


ความจริงผมสงสัยตั้งแต่วันแรกที่ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันขยับเข้ามาเป็นหลานรหัสและหลานเทคตัวเองแล้ว ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แต่ไม่มีใครกล้าแซว ผมว่าไอ้ปริ้นมันอาจจะได้รับเชื้อหน้านิ่งมาจากพี่ซันและพี่สอง คนอื่นเลยค่อนข้างเกรงใจทั้งที่มันอยู่แค่ปีหนึ่งเอง


“เหมือนพี่กับพี่สองมั้ง”

   
ผมชะงักกึก ลนลานมองซ้ายมองขวา

   
“พูดอะไรของมึงเชี่ยนี่” ด่าพลางตบหัวมันไปด้วย

   
ใจสั่นแต่เช้าเลยไอ้เหี้ย!

   
“เล่นอะไรกันแต่เช้า” ผมชะงัก หันกลับไปมองต้นเสียง พี่สองเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามา ก่อนจะหยิบแก้วน้ำของผมไปดูดต่อหน้าตาเฉย ผมเหลือบมองตาถลน ยิ่งเห็นสายตาไอ้วิทย์ยิ่งแตกตื่นลนลาน

   
“เมื่อเช้าทำไมไม่รอ” พี่สองเงยหน้าถามผม

   
“ไอ้ไฟน์มาส่ง”

   
“อ่อ”

   
“ตั้งแต่เลิกกับพี่โม ผมไม่เห็นพี่ควงใคร” ไอ้วิทย์เงยหน้าถามพี่สอง ไม่ลืมใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองมาที่ผมด้วย ผมนั่งนิ่งตัวเกร็ง พี่สองเลิกกับพี่โมตั้งแต่เทอมที่แล้ว จบไม่สวยสุดๆ และเลิกขาด พี่สองบอกผมอย่างนั้น

   
พี่สองเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะยักไหล่ “เบื่อๆ”

   
ไอ้วิทย์หัวเราะ “งั้นพี่เอาพี่รหัสผมไปเก็บให้ที มากวนแบบนี้ผมไม่มีสมาธิเลย”

   
โอ้โห ไอ้วิทย์เดี๋ยวนี้มึงกล้าออกปากไล่พี่มึงตรงๆ เลยเหรอ ผมมองหาเศษกระดาษ แต่ตรงนั้นไม่มี เลยหยิบกระดาษทิชชู่ที่ม้วนอยู่ในแก้วกาแฟมาขยำ แล้วปาใส่หัวมัน

   
“หนอยแน่! ไอ้น้องเนรคุณ”

   
ไอ้วิทย์หัวเราะพลางยกมือขึ้นจัดทรงผม

   
“ผมได้คูปองลดอาหารมา พี่ไปกินกับพี่สองสิ” ไอ้วิทย์หยิบคูปองอาหารที่มันเสียบใส่แฟ้มไว้ยื่นส่งให้ผม พี่สองเป็นคนยื่นมือไปรับ

   
“กำลังหิวพอดี”

   
“พี่...คืนมันไป มันจะได้เก็บไว้กิน ช่วยประหยัดได้” ผมหันไปบอกพี่สอง

   
ไอ้วิทย์ส่ายหัว “ผมได้มาหลายใบ”

   
สุดท้ายผมก็ทนแรงรบเร้าของไอ้วิทย์ไม่ไหว เอาคูปองของมันไปใช้บริการที่โรงอาหารของคณะ พี่สอง...เทพที่จับต้องได้ในสายตาผม ก็ยังฮอตเหมือนเดิม พี่เขาส่งยิ้มให้ทุกคนที่เข้ามาทัก ใครขอคำปรึกษาก็ให้คำปรึกษาไม่มีอิดออด

   
ผมเหลือบมองพี่สองที่กำลังสอนการบ้านให้น้องหมวยปีสองผู้มีสรีระทางด้านร่างกายเข้าสเป็คพี่สอง สูง ขาว หุ่นดี เซ็กซี่ คัพ 34 ขึ้นไป แล้วลอบถอนหายใจ กินข้าวกันสองคนก็ต้องมีรุ่นน้องเดินถือหนังสือเข้ามาหาแบบนี้ตลอด ผมเข้าใจด้วยบุคลิคเฟรนลี่ของเขาทำให้ดูเข้าถึงง่าย


พี่สองจะไม่ปล่อยรังสีพิฆาตถ้าไม่จำเป็น ผิดกับพี่รหัสของผม คนเลยไม่กลัว

   
“หน้างออะไร”

   
ผมหันไปสบตาคนถาม เหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวพี่สอง ไม่รู้ว่าน้องหมวยลุกออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่สองเลิกคิ้วรอคำตอบ

   
“คิดอะไรนิดหน่อยครับ” ตอบก่อนจะหลุบตากินข้าวต่อ

   
“เหรอ...นึกว่าหึง


ผมเงยหน้า เมื่อกี้เหมือนจะหูแว่ว

   
“พี่ว่าอะไรนะ”

   
“บอกว่านึกว่าโมโหหิว”

   
“อ่อ”

   
พี่สองพาผมแวะไปเอาของฝากที่บ้าน แม่กับพ่อเขาไปเที่ยวเกาหลีมา ผมเองก็ได้ติดมือมาด้วยหลายถุง เพราะอิ่มมากผมเลยแอบงีบไปตื่นหนึ่ง เจ้าของบ้านก็ไม่ยอมปลุกปล่อยให้ผมนอนจนตื่นเอง ส่วนตัวเองนั่งดูหนังอยู่ข้างๆ ออกจากบ้านพี่สองก็เย็นมากแล้ว

   
“น๊อต”


พี่สองเรียก ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาปลดสายคาดเบลล์และเก็บของที่วางอยู่บนตัก ผมเงยหน้า ก่อนจะถอยร่น เมื่อพี่สองยื่นหน้าเข้ามา แผ่นหลังผมติดแง็กกับประตูรถ พี่สองยิ้มนัยน์ตา ขยับเข้ามาจนจมูกเกือบจะชนจมูกผม ผมรีบเบี่ยงหน้าหลบด้วยใจระทึก


ลืม...แม้กระทั่งยกมือขึ้นมาดันพี่สองให้ออกห่าง


ภายในรถเงียบสนิท ผมไม่รู้ว่าพี่สองมีสีหน้ายังไง แต่ผิวหน้าสัมผัสได้ว่าพี่เขาอยู่ใกล้มาก ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ


ตึก ตึก ตึก


เงียบไปหลายอึดใจ พี่สองถึงยอมขยับออกห่างให้มีช่องว่างระหว่างกัน ผมยังไม่กล้าหันกลับไปมอง จนพี่สองยื่นมือมาดันหน้าผมให้หันไปสบตา


ผมกระพริบตาปริบๆ


พี่สองมองเข้ามาในตาผม ก่อนจะถอนหายใจเหมือนคนจะด่าก็ด่าไม่ออก


“พะ...พี่ มีอะไรเหรอ”


ผมตัดสินใจถาม


“มึงชอบกูเหรอ”


“ฮะ...เอ่อ”


ผมเดินโซซัดโซเซเข้าห้องเหมือนคนสติเลื่อนลอย ผมไม่ได้ตอบคำถามของพี่สอง ปิดปากเงียบกริบจนพี่สองยอมปลดล็อกประตูรถให้ ทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตู ผมก็ลนลานก้าวขาลงจากรถแล้ววิ่งแหกปากไร้เสียงเข้าหอกระเจิดกระเจิง


เข้าห้องได้ก็คลานขึ้นเตียง ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งที่น้ำยังไม่อาบ ใจยังสั่นไม่หาย


“ไอ้น๊อต ออกมากินพิซซ่าด้วยกันดิ” ไอ้เวลเคาะประตูเรียกผมอยู่หน้าห้อง ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลา ไอ้ฉิบหาย สองทุ่มแล้ว


“มันไม่สบายเปล่าวะ เงียบฉี่เหมือนตาย” ไอ้เวลบ่น แสดงว่าวันนี้ไอ้ไฟน์กลับมานอนหอ ยิ่งกลับมารวมตัวกันครบแบบนี้ผมก็ยิ่งซุกหัวเข้าไปในผ้าห่มมากขึ้นอย่างคนขี้ขลาด


“ไอ้น๊อต ออกมาเปิด ไม่งั้นกูจะฝืนกฎ” ไอ้ไฟน์ขู่


กฎที่มันว่าคือต้องเคาะห้องขออนุญาตก่อนเสมอ แล้วถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามเข้า เพิ่งตั้งเมื่อปีก่อน เพราะไอ้ลูกเจ้าของโรงแรมมันพาสาวมานอนที่ห้อง แล้วไม่บอกเพื่อนสักคำ ผมนี่ทะเล่อทะล่าเข้าไป เห็นแผ่นหลังของสาวเจ้าเขาจังๆ เสื้อผ้ากระจัดกระจายรอบเตียง บนเตียงมีคนนอนกอดกันกลม ผมตาถลนจนแทบบอด


ผมมุดหัวออกจากผ้าห่ม เดินออกมาเปิดประตูในสภาพวิญญาณหาย ไอ้ไฟน์ยื่นมือมาแตะหน้าผากวัดไข้ ก่อนจะขมวดคิ้ว ผมเหลือบมองหน้ามัน กูไม่ได้ป่วย แต่กูว่ากูไม่น่าจะรอดอ่ะเพื่อน


ผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ไอ้เวลตามมานั่งข้างๆ ไอ้ไฟน์หยิบเก้าอี้มานั่งไม่ไกล เราสามคนหันหน้าเข้าหากัน ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลแอบมองตากัน


“ไอ้ลูกชายเจ้าของร้านทองมึงเป็นอะไร” ไอ้เวลถาม


“กูว่ากูไม่รอดแน่ ไอ้ลูกชายเจ้าของร้านหมูกระทะ” ผมโอดครวญ ยกมือขึ้นมาขยี้หัว ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลยิ่งทำหน้างง


“ทำไม ความลับแตกแล้วเหรอ” ไอ้ลูกชายเจ้าของโรงแรมคาดเดา พอเห็นผมเงียบมันก็ทำตาโตอุแม่เจ้าใส่


“จริงดิ?”


ไอ้เวลหันมาถามย้ำ เพราะสีหน้าของผมคงเป็นคำตอบให้ไอ้ไฟน์แล้ว


“เมื่อกี้พี่สองถามกูว่ากูชอบเขาเหรอ มึงว่าเขาแค่ระแคะระคายหรือเปล่า” ผมให้กำลังใจตัวเอง แต่พอนึกถึงหน้าพี่สองก่อนหน้านี้ จิตใจก็ห่อเหี่ยวลงอีกรอบ พี่สองดูมั่นใจมากว่าเขาคิดไม่ผิด


“ถ้าไม่มั่นใจเขาคงไม่ถามมึงให้เสียความสัมพันธ์” ไอ้ไฟน์ออกความเห็น


“กูเห็นด้วยกับไอ้ไฟน์ แล้วมึงจะเอาไงต่อ” ไอ้เวลตบไหล่พบปุๆ


“กูไม่รู้ มึง...แต่กูไม่ได้อยากชอบเขาจริงๆ นะ” ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้าเครียดๆ


ผมไม่รู้ว่าผมเริ่มชอบพี่สองตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เคยฉุกคิดเลยสักนิด ผมคอยเดินตามแผ่นหลังพี่สองจนชิน เราสนิทกันมาก เคยผลัดไปนอนที่บ้านของกันและกันจนเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่ผมเคยไปซุกหัวนอนห้องพี่ซัน แต่เพราะพี่ซันก็ชอบไปนอนที่ห้องพี่สอง เลยกลายเป็นว่าผมเองก็ชินเหมือนกัน


จนวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ ‘จูบ’ โดยไม่ตั้งใจขึ้น


ตอนนั้นเราฉลองเรียนจบให้พี่กฤษ เมากันตั้งแต่เย็น ตกดึกห้องพี่กฤษก็เกลื่อนไปด้วยศพนอนตาย ไอ้วิทย์ขอตัวกลับตั้งแต่ห้าทุ่มเพราะบ่ายของวันรุ่งขึ้นมีสอบเก็บรายวิชาที่รามฯ เหลือผมที่อาวุโสน้อยสุดจึงโดนไล่ให้ไปนอนที่ห้องพี่กฤษ


ผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ก่อนจะกลับมานอนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในห้องนอนไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว ไม่รู้ว่าพี่สองเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน หรือเพิ่งเข้ามาตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ


ผม…ที่สร่างเมาไปแล้วเพราะดื่มน้อยที่สุด


มองเห็นพี่สองนอนขาข้างหนึ่งอยู่บนเตียง อีกข้างตกอยู่ข้างเตียง หัวกับหมอนก็ไปคนละทาง เลยเดินเข้าไปหวังว่าจะจัดท่าให้ใหม่ด้วยความหวังดี แต่อนิจจังแค่ผมจับโดนแขนก็โดนพี่สองรวบตัวเข้าไปกอดแนบอก แล้วพลิกร่างให้ผมลงไปนอนด้านล่างแทน


อารามตกใจผมจึงได้แต่นอนตัวแข็ง หน้าพี่สองแดงเพราะเมามาก ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะส่งเสียงเรียก ใบหน้าของพี่สองก็โฉบลงมาฉวยเอาเสียงและลิ้นของผมไป ผมตัวแข็งทื่อเหมือนโดนฉีดฟอมาลีนหลังตาย


จนตั้งสติได้ ผมก็ดิ้นขลุกขลักแล้วยกเท้าถีบจนพี่สองหงายหลังไปอีกฝั่ง พอเห็นเขานิ่งไม่ขยับ ผมก็ลนลานตกใจรีบขยับเข้าไปดูเจ้าของร่างสูงใหญ่ กลัวว่าตัวเองจะลงน้ำหนักถีบแรงไป แต่พอเห็นชัดๆ ก็โล่งใจ เพราะเขาแค่หลับไปทั้งอย่างนั้น


ผมเลยกลั้นใจทิ้งตัวหลับ ตื่นตอนเช้าพี่สองก็ยื่นกาแฟดำให้ผมด้วยท่าทีปกติ ผมถึงรู้ว่าเขาจำอะไรไม่ได้เลย ผมคิดว่าดีเหมือนกัน ผ่านมาแล้วจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม ผมจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว


แต่ตัวผมเองดันลืมจูบนั้นไม่ลง!!


ยังสงสัยมาจนทุกวันนี้ว่าเพราะจูบกับผู้ชายครั้งแรกหรือเปล่า ผมถึงได้ลืมมันไม่ลง แต่สงสัยไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ผมเริ่มปลงตกกับอาการหัวใจไม่รักดี เก็บงำความรู้สึกไว้ให้ลึกที่สุด ขนาดเห็นเขาควงคนอื่น ผมยังแอบเจ็บลึกๆ อยู่ในอกเลย

   
“มึงว่าเขาจะเกลียดกูมั้ย” ผมขอความเห็นจากเพื่อนสนิทที่นั่งหน้าเครียดเป็นเพื่อนผม ไอ้ไฟน์มองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มเครียดๆ มันยื่นมือมาผลักหัวผม

   
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”

   
“กูไม่อยากโดนเกลียดนี่หว่า แล้วกูก็พยายามตัดใจอยู่”

   
“เขาคงไม่เกลียดที่มึงแอบชอบเขาหรอก เพื่อนเขาอีกสองคนก็มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ” ไอ้เวลออกความเห็น ผมพยักหน้ารับ พี่อาร์ตเป็นเกย์ ส่วนพี่ซัน...ถึงแม้ตอนนี้จะยังคาราคาซัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้ลงมือทำมิดีมิร้ายลูกชายบ้านอื่นไปแล้วเรียบร้อย

   
ปฏิกริยาของพี่สองตอนรู้ว่าเพื่อนสนิทคบผู้ชายก็ไม่ได้ส่งผลในทางลบ เขาไม่ได้ชักสีหน้าใส่เพื่อนด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังกังวลว่าที่เขาไม่หือไม่อือ อาจเป็นเพราะเรื่องมันไม่ได้เกิดกับตัวเองหรือเปล่า โดนผู้ชายด้วยกันชอบ คงไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่มั้ง

   
“กูไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว” ผมทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง

   
“มึงวิตกเกินไปแล้ว มึงแค่ชอบเขา ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มึงจะกลัวอะไร” ไอ้ไฟน์ให้กำลังใจ แต่ผมก็ยังห่อเหี่ยวอยู่ดี พี่สองอาจจะโกรธผมมากจนไม่อยากเห็นหน้าแล้วก็ได้


ผมตัดบทเพื่อนเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลกลับห้องไปถือหมอนกับผ้าห่มมารวมตัวที่ห้องผม คืนนี้เรานอนด้วยกันสามคน เบิกตาดูหนังกันจนเช้า


ก่อนที่พวกมันจะไปเรียน ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลเดินเข้ามากอดให้กำลังใจผมคนละที แต่กำลังใจของพวกมันคงมาไม่ถึงผม เพราะความกล้าของผมมันช่างน้อยนิด

   
ผมขาดเรียนสองวัน แทบเน่าตายคาห้อง ไม่ยอมก้าวออกไปไหนสักก้าวจนไอ้ลูกชายร้านหมูกระทะด่าแล้วด่าอีก ผมก็ยังขี้ขลาด

   
วันนี้ไอ้ธรรศส่งข่าวบอกว่ามีควิซย่อยห้ามขาด ผมยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำอยู่นาน พยายามทบทวนตัวเอง และบอกตัวเองว่าต้องเผชิญหน้ากับมัน ถึงได้ทำใจเดินตัวลีบมาเข้าสอบ แม้จะหวั่นในใจนิดๆ ว่าอาจเจอพี่สอง

   
แล้วก็เจอจริงๆ !!


ตั้งแต่ผมก้าวขาออกจากห้องสอบ ก็เจอพี่สองนั่งรออยู่หน้าห้อง ผมทำตัวลีบ หันหลังเดินเลี่ยงไปอีกทาง ได้ยินเสียงเพื่อนๆ ทักทายพี่สองอยู่ด้านหลัง

   
เอ่อ..

   
“จะไปไหน”

   
ชะอุ้ย!

   
ผมหยุดกึก พี่สองเดินแซงมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

   
“เอ่อ หวัดดีครับ” พูดจบก็อยากด่าตัวเองสักที

   
พี่สองดึงผมเข้าไปกอดคอ แล้วหัวเราะ “เพิ่งนึกได้เหรอ หิวแล้ว ไปกินข้าวกัน”

   
ผมขืนตัวไว้ พี่สองเลยเลิกคิ้วใส่ เขาทำตัวได้ปกติมาก เหมือนเมื่อสองวันก่อนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พี่จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” ผมหลบสายตา

   
พี่สองเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด เพราะเขาเลิกคิ้วก้มมองหน้าผม ให้เขาด่าหรือสั่งห้ามไม่ให้ผมคิดกับเขาแบบนั้น ยังดีกว่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหัวเราะ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าหาตัวเอง พลางโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมที่สูงแค่ระดับหูเขา

   
“มึงอยากชอบก็ชอบไป พี่ไม่ว่าหรอก”

   
เสียงเหย้าแหย่ดังทุ้มอยู่ในหู ผมยกมือขึ้นมากุมหัวใจ

   
โอ๊ยเหี้ยแม่ง ไอ้ขี้อ่อย!!!!





หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100861 ● เทคที่ 7 มึ ง ช อ บ กู เ ห ร อ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2018 18:24:06
พี่สอง ชอบน๊อตอยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ  o18
แล้วแอบเก๊กเนียนนิ่งๆ
มาว่าน๊อตแอบชอบตัวเอง  ยังไง  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100861 ● เทคที่ 7 มึ ง ช อ บ กู เ ห ร อ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-10-2018 18:39:22
รอบนี้ น็อต(สติ)หลุด ส่งซ่อมด่วน  :hao4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 100861 ● เทคที่ 7 มึ ง ช อ บ กู เ ห ร อ
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 08-10-2018 19:12:12
เริ่มก่อนแท้ๆ มาโบ้ยน้องเฉยเลย พี่สองมันร้าย  :hao7:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 15-10-2018 16:00:36

เทคที่ 8 ลูกผู้ชายกับความสัมพันธ์ที่ยังไม่มีชื่อเรียก 1/2

 

ช่วงนี้ผมมีลางสังหรณ์ว่าตัวเองกำลังโดนผู้ชายอ่อยใส่ และผู้ชายที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนใกล้ตัวที่ผมแอบชอบเขาอยู่ เป็นไอดอลด้านการวางตัว ด้านความคิดและพ่วงด้วยตำแหน่งพี่เทค

 
ใช่ครับ...พี่สองนั่นแหละ


เมื่อคืนพี่อาร์ตโทรนัดพี่ซันกับพี่สองให้ไปเจอที่ผับ หลังจากที่พี่ซันทำท่าซังกะตาย โดนน้องแฟนกีดกันความรัก พี่ซันอิดออดแต่ก็ยอมรับปาก ส่วนผมนั่งอยู่กับพี่สองพอดี เลยโดนลากติดมือไปด้วย


เรื่องจบลงด้วยดี พี่ซันได้แฟนมากอด ส่วนผม...เมายับ เมาชนิดที่ว่าเดินไปฉี่เองไม่ได้ต้องให้พี่สองช่วยลากไปเข้าห้องน้ำอ่ะคิดดู หลังจากแยกย้ายกันไป พี่สองก็หิ้วปีกผมไปค้างด้วยอย่างเคย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม

 
คิดไม่ออกว่าไม่เหมือนเดิมตรงไหนกันนะ...

 
ตื่นขึ้นมาตอนเช้า คนที่นอนอยู่อีกฝั่งของเตียงก็ไม่อยู่แล้ว ได้ยินเสียงเปิดน้ำในห้องน้ำ เขาตื่นก่อนผมอีกเช่นเคย ผมหยิบมือถือมานอนกดเล่นรอเวลา ไม่ถึงสิบนาทีพี่สองก็ออกมา

 
ผมเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพกางเกงกีฬาตัวเดียว เสื้อไม่ใส่ หัวเปียกชื้น น้ำยังหยดติ๋งๆ อยู่เลย บนไหล่มีผ้าขนหนูพาดอยู่ มองต่ำลงมาก็ต้องแอบกลืนน้ำลายดังเอื้อก

 
“ไปอาบน้ำสิ”

 
พี่สองโยนผ้าขนหนูบนบ่ามาคลุมหัวผม

 
ผมทำหน้างอ เขาทำเหมือนในห้องมีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวอย่างนั้นแหละ มันเปียกนะไม่รู้หรือไง ขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านพี่สอง เขาก็เรียกผมไว้ “เดี๋ยว”

 
ผมหันกลับไป ขณะเดี๋ยวกันก็ถอยห่างด้วยความตกใจไปด้วย เมื่อพี่สองเบี่ยงหน้าไปอีกด้าน จมูกเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว เขาเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบสบู่ยื่นส่งให้ผม ผมยื่นมือไปรับ หน้าเน้อนี่เห่อร้อนไปหมด


“ไปสิ”


ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่สอง สีหน้าเขาดูปกติมาก
 

“เอ่อครับ” ผมหายอึ้ง รีบลนลานวิ่งเข้าห้องน้ำ


หลังจัดการตัวเองเรียบร้อย พี่สองก็พาผมแวะไปกินข้าวต้ม แถมยังบังคับให้ผมเดินไปซื้อกาแฟให้อีกต่อ ส่วนตัวเองจอดรถรออย่างสบายใจ พอเห็นผมหน้างอก็ยื่นอมยิ้มที่แอบซุกไว้ตอนไหนไม่รู้มาให้ ผมเลยเลิกถือสาเขา รับมาแกะเข้าปาก


พี่สองส่งผมลงหน้าคณะ ส่วนตัวเองก็ไปคลุกอยู่ที่ห้องสมุด


วันนี้มีวิชาเรียนภาคปฎิบัติที่เราต้องแบกอุปกรณ์ไปลองใช้จริง แต่อนิจจังด้วยความซวยที่ผมสะสมมาแต่ชาติปางก่อน มีเพื่อนคนหนึ่งทำกล่องอุปกรณ์หล่นทับหลังมือผม ดีว่าผมชักมือกลับ เหตุการณ์จึงสิ้นสุดที่แค่ผมได้รอยช้ำกลับบ้านไปเป็นของแถม


ตอนที่พี่สองเห็นคือตอนที่เขาแวะรับผมที่คณะตอนสองทุ่ม วันนี้เลิกเลทไปหลายชั่วโมง พี่สองมารับผมด้วยชุดลำลอง ไม่ใช่ชุดนักศึกษาเมื่อเช้า เขาบอกว่าแวะมาดูเอกสารให้เพื่อน เลยแวะรับผมได้


“มือไปโดนอะไรมา” ผมชะงัก เหลือบมองหลังมือตัวเอง


“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ มันแค่เขียวน่ากลัว แต่ไม่เจ็บมากแล้ว” ผมหยิบสายคาดเบลล์มาติด แล้วรับชาเขียวที่พี่สองยื่นให้มาดู
 

“ได้ทายาหรือยัง”


ผมส่ายหัว

 
“เพื่อนอยู่ที่ห้องหรือเปล่าวันนี้” พี่สองถามต่อ
 

“ไอ้ไฟน์ไม่กลับ ไอ้เวลน่าจะอยู่ที่หอแฟน พี่แวะร้านขายยาให้ผมหน่อยก็ได้ เดี๋ยวซื้อยาไปทา จริงๆ ผมว่าปล่อยให้มันจางไปเองก็ได้นะ”


“งั้นแวะไปเอาของใช้ที่หอ แล้วไปนอนคอนโดพี่”


ผมทำตาโต พี่สองหันมายิ้มนัยน์ตา


“หรือจะให้พี่ไปค้างด้วย?”


ผมส่ายหัวแทบหลุด พี่สองหัวเราะ หันไปทำหน้าที่คนขับต่อ ทั้งที่รอยยิ้มยังติดอยู่ที่มุมปาก ห้องผมเล็กกว่าห้องพี่สอง ขืนไปนอนห้องผม อึดอัดตาย!

 
ผมนี่แหละจะแย่คนแรก ถ้าปุ๊บปั๊บเพื่อนผมเกิดนึกอยากกลับมานอนที่ห้องแล้วเจอพี่สองเข้า มันล้อผมยันลูกบวชแน่ พี่สองพาผมแวะไปเอาของใช้ส่วนตัว ก่อนจะแวะร้านขายยา ซื้อข้าวเย็น แล้วกลับคอนโดตัวเอง
 

ถึงห้องก็นั่งกินข้าวกล่องกันเงียบๆ พลางดูหนังไปด้วย กินเสร็จพี่สองก็ไล่ผมไปอาบน้ำ ผมนั่งเช็ดผมอยู่ที่ปลายเตียง พี่สองก็เดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพเรียบร้อย เขาเดินออกจากห้องนอนก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ในมือถือถุงยา
 

พี่สองนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหาผม “ส่งมือมา”

 
ผมยื่นมือส่งให้ตามคำสั่ง ปล่อยให้เขาทายาให้เงียบๆ ปลายนิ้วของพี่สองค่อยๆ บรรจงแตะยาลงบนหลังมือผมอย่างแผ่วเบา ผมมองการกระทำที่สั่นคลอนความมั่นคงในใจ แล้วเบนสายตาไปมองหน้าคมเข้มของพี่สองที่ยังตั้งอกตั้งใจทายาให้ผมอย่างระมัดระวัง


พี่สองเก็บหลอดยาใส่ถุงไว้เหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามผมด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 
“จูบได้มั้ย”


ผมเม้มปาก หลุบตาลง ไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้ปฎิเสธ


พี่สองยื่นมือมาประคองต้นคอของผม แล้วรั้งเข้าไปหาตัวเอง ผมตัวสั่นเมื่อริมฝีปากของพี่สองจรดลงกับริมฝีปากผม ผมไม่กล้าลืมตาด้วยซ้ำ มือสองข้างกำแน่น

 
ผมรู้ว่าตัวเองตื่นเต้นมาก


พี่สองขบเม้มที่ริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมรู้สึกได้ถึงแรงดันจึงค่อยๆ ถดตัวเข้าไปด้านในเตียง สุดท้ายแผ่นหลังก็เอนราบกับที่นอนโดยมีพี่สองคร่อมอยู่ด้านบน


“พี่...”


“ชู่ว...”


แล้วปากผมก็ไม่ว่างอีกครั้ง


จูบครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งแรกเพราะพี่สองสอดลิ้นเข้ามาด้วย เขาจับมือผมทั้งสองข้างไปคล้องไว้ที่คอ จูบครั้งที่สองร้อนแรงกว่าครั้งแรง แต่ผมก็ยังดีใจลึกๆ ที่พี่สองไม่ได้ล่วงเกินผมไปมากกว่าการจูบ


ผมหอบแฮ่กเอาอากาศเข้าปาก เมื่อพี่สองผละออกห่าง หลังจากได้อากาศเพียงพอ ผมก็เงยหน้าขึ้นสบตากับพี่สองที่ยังคร่อมร่างผมไว้อยู่ ผมเม้มปาก ใจโคตรสั่น


“รังเกียจหรือเปล่า” เขาถาม


ผมส่ายหัว “เปล่า”


“พี่ก็เหมือนกัน”

 
ผมกลั้นยิ้ม คนด้านบนแกล้งยื่นมือมาเขี่ยแก้มผมจนผมหลุดยิ้ม พี่สองยิ้มตอบแล้วยีหัวผม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาที่ว่างด้านข้าง เรานอนเงียบๆ ข้างกัน จนผมหลับไปทั้งอย่างนั้นจริงๆ


ตื่นขึ้นมา ผมก็รีบมองสำรวจตัวเอง ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรสูญหาย บนอกมีผ้าห่มคลุมร่างอยู่ ส่วนเจ้าของห้องไม่อยู่
 

เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากของพี่สอง


“ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้า จะได้มากินข้าวพร้อมกัน”


ผมพยักหน้ารับ รีบเข้าไปจัดการตัวเองแล้วออกมากินข้าวตามคำสั่ง


“ปากยังบวมอยู่นิดหน่อยนะ”


ผมที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับมื้อเช้าชะงักกึก ยิ่งกว่ากดสต็อปหุ่นยนต์อัตโนมัติ พี่สองยิ้มมุมปากที่ได้เห็นปฏิกิริยานี้ของผม ตอนแปรงฟันผมส่องกระจกดู มันก็ปกติดี แต่สายตาของไอ้คนเอ่ยปากล้อนี่สิ...ให้ตายเถอะ


ผมกัดริมฝีปาก หน้าจะไหม้อยู่แล้ว “ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”


ผมแทบมุดหน้าลงชามข้าวต้มอยู่แล้ว พี่สองหัวเราะหึๆ ไม่แหย่ผมอีก


มื้อเช้าผ่านไปด้วยดี ผมคิดว่างั้นนะ แม้จะต้องกัดฟันต่อสู้กับความขัดเขินที่พี่สองเย้าแหย่ก็เถอะ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ดี...
 

พี่สองไปส่งผมที่คณะ บังเอิญเจอกับพวกไอ้เหิน ไอ้ธรรศ ผมรีบจ้ำอ้าวไปหาพวกมัน เพื่อจะคุยเรื่องรายงานที่คุยค้างไว้ ตะโกนเรียกพวกมันเสียงลั่น ไอ้เหินหันกลับมาทำหน้าเหม็นเบื่อ ส่วนไอ้ธรรศหันมายิ้มให้ ก่อนจะมองเลยร่างผมไปที่รถที่ยังจอดอยู่หน้าคณะ แล้วหันมาหาผมอีกครั้ง


“มากับพี่สองอีกแล้วเหรอ”


ผมพยักหน้ารับ


“มือเป็นไงบ้าง”

 
“หือ?”
 

“ไอ้เหินเล่าให้ฟัง” อ่อ ไอ้เหินอยู่ภาคเดียวกับผม ในคลาสมันก็บ่นผมไปแล้วด้วย


“สบาย” ผมลากเสียงยาว


ผมกับไอ้เหินแยกไปเรียน มันแอบกระซิบถามเรื่องของพี่ซันกับน้องบีทส์ด้วย แต่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องเล่าให้มันฟัง คนที่อยู่ในวงในอย่างผมปิดปากสนิท มันเลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปถามไอ้ออย หลานรหัสของผมแทน
 

แต่เชื่อผมเถอะ มันสู้ไอ้คนปากหนักต่อยเจ็บอย่างไอ้ปริ้นองครักษ์พิทักษ์ไอ้ออยไม่ได้หรอก!!
 

ไอ้เหินเลยได้แต่เดินกลับมาบ่นงึมงำ ให้ผมสมน้ำหน้า ฮ่าๆ

 
“เมื่อเช้าเห็นพี่สองไปรับพี่โมที่คณะด้วย” ผมชะงัก สาวๆ โต๊ะหลังกำลังนินทาใครสักคนที่มีชื่อเดียวกับพี่เทคผม ไอ้วิทย์ที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามเลิกคิ้วถาม ผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดปาก ส่งสัญญาณให้เงียบ


“จะเป็นไปได้ไง สองคนนี้เลิกกันไปแล้ว” ใช่ เลิกไปนานแล้วด้วย
 

“เราเห็นจริงๆ นะเว้ยแก พี่โมนั่งรถไปกับพี่สองจริงๆ”


“จะรีเทิร์นเหรอ”


“งั้นมั้ง”


ผมหลุบตาลง ใช้ตะเกียบเขี่ยลูกชิ้นในชามเล่น ถ้าพี่สองจะกลับไปรีเทิร์นกับพี่โมจริง แล้วจูบเมื่อคืนกับเมื่อเช้ามันคืออะไร ผมรีบปัดความคิดออกจากสมอง


เลิกเรียน ผมก็กลับไปนอนบ้านเพราะมีวันหยุดต่อเนื่องสามวัน พี่สองไม่ได้มารับผมเพราะติดธุระ แต่บอกว่าวันจันทร์จะมารับกลับหอ โชคดีที่เจ้มิวก็กลับมานอนบ้านด้วยเหมือนกัน ผมเลยมีเพื่อนเล่นเกม


“มีความรักหรือเปล่าเนี่ยน๊อต”


“ทำไมเหรอเจ้”

 
“เห็นแป๊บๆ ก็แชท”
 

“เปล่า...พี่สองไง แล้วก็ในกลุ่มที่ทำรายงานด้วย” ผมเลิกกับหมิวดาวครุศาสตร์ตั้งแต่คบกันได้ยังไม่ถึงสามเดือน เพราะเธอขี้หึงมาก ไปกับเพื่อนก็ไม่ได้ โทรตามผมตลอด ยิ่งถ้าผมเล่นเกมด้วยแล้ว ยิ่งทะเลาะกันใหญ่โต เธอหาว่าผมไม่สนใจเธอมากเท่าที่ควร

 
เราเลยตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กัน แล้วเธอก็หันไปคบกับไอ้ธรรศประธานชั้นปีเดียวกับผมแทบทันทีในวันรุ่งขึ้น ถัดจากวันที่เลิกกับผม ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอคบซ้อนในขณะเดียวกับที่คบกับผมหรือว่ายังไงนะ แต่เรื่องนี้ทำให้ผมมองหน้าไอ้ธรรศไม่ติดไปช่วงหนึ่งเลย

 
จนสองคนนี้เลิกกัน ผมกับไอ้ธรรศถึงได้กลับมาคุยกันเหมือนเดิม
 

“รู้ยังว่าเฮียมอสคุยเรื่องแต่งงานกับป๊าแล้ว”


ผมหันไปมองเจ้มิวตาโต ผมไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย

 
“เฮียยังไม่กล้าเล่า เพราะลื้อเคยขู่ว่าห้ามพี่ๆ แต่งงานถ้าลื้อยังหาแฟนเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ไม่งั้นลื้อจะหนีออกจากบ้าน” เจ้มิวเย้า


ผมทำหน้าโอดครวญ นี่มันเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยผมอยู่ป.หก ให้ตายสิพวกเฮียกับพวกเจ้ยังอุตส่าห์จำได้อีกเหรอ


“แล้วแฟนเจ้ล่ะ”


“เลิกแล้ว”
 

ผมเลิกคิ้ว วางเกมในมือ ไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อแล้ว มีเรื่องให้เผือก


“ก็เห็นรักกันดี”


“พ่อแม่เขาไม่ชอบเจ้ เขาว่า...ไม่อยากได้ลูกสะใภ้เจ็กจีน” เจ้มิวตอบขำๆ


“ไม่เห็นเกี่ยวกัน”


“เกี่ยว...ถ้าเกิดวันหนึ่งน๊อตมีแฟน แล้วป๊ากับม๊าไม่ชอบ น๊อตจะดื้อคบต่อเหรอ”


คำถามของเจ้มิวทำให้ผมนิ่งงัน


“เขาไม่ได้บอกเจ้ตรงๆ หรอก แต่เจ้แอบได้ยินเอง เขาเลือกคนที่ดีพร้อมไว้รอลูกเขาแล้ว ตอนแรกแฟนเจ้ไม่ยอมหรอก แต่คนใหม่ก็คงดีกว่าเจ้จริงๆ มั้งท่าทีของเขาถึงเปลี่ยนไป พอมานั่งคุยกันจริงจังเราก็เลยตกลงเลิกกัน จบกันด้วยดี เพราะเจ้ก็คงทนอยู่กับคนที่ดูถูกครอบครัวเราไม่ได้”


“นี่มันปี พ.ศ. ไหนกันแล้ว” ผมบ่น

 
เจ้มิวพยักหน้า “โลกมันเปลี่ยนไปก็จริง แต่ความคิด ความเชื่อ ใช่ว่าจะหายไปตามกาลเวลานะน๊อต อีกอย่าง...ร้านของเรา คงเป็นเจ้ที่รับช่วงต่อ เฮียมอส เฮียน่าน หรือแม้แต่น๊อต ก็คงไม่คิดจะสานต่อกิจการของป๊าใช่มั้ยล่ะ” อนาคตอาเจ้ร้านทองพูดปลงๆ


“ใครไม่รักลูกป๊าก็ช่างหัวมัน”

 
ผมกับเจ้สะดุ้งหันไปเห็นป๊ากับม๊าเดินเข้ามา ป๊าทำหน้าบึ้ง ส่วนม๊าเดินเข้ามากอดเจ้มิวด้วยรอยยิ้มใจดี ส่วนเกินอย่างผมเลยขยับไปนั่งห่างๆ แต่ป๊าก็ยังตามมานั่งเบียดผมเหมือนเดิม ผมเลยถดตัวลงจากโซฟานั่งกอดขาป๊าไว้ข้างหนึ่ง


“อยู่เป็นอาเจ้ร้านทองก็ไม่อายใครใช่มั้ยม๊า” ผมเย้า ป๊าเคาะหัวผมหนึ่งที
 

“สวยและรวยอย่างนี้จะต้องอายใครหื้ออาน๊อต”


โอ้โห...ป๊าน่ะ ยกหางเจ้กว่าผมอีก

 
“ถ้าน๊อตไม่มีใครเอา ป๊าก็จะเลี้ยงน๊อตใช่เปล่า”


“จะเลี้ยงเสียข้าวสุกมั้ย” ป๊าหรี่ตาแกล้งผม


ผมเอามือลูบคาง “ถ้าป๊าไม่เลี้ยง ผมก็จะให้อาเจ้ร้านทองเลี้ยง”

 
เจ้มิวซับหางตา หันมาหัวเราะ


“ลื้อถามเจ้ยัง”


“หาเมียเลี้ยงก็ได้วะ”
 

ผมแสร้งทำหน้าน้อยอกน้อยใจ ทุกคนเลยหัวเราะ


ป๊ากับม๊านั่งดูหนังเป็นเพื่อนผมกับเจ้มิว กระหนุงกระหนิงกันไม่เกรงใจลูก ป๊าถามผมเรื่องเรียน รวมถึงแผนในอนาคตที่ผมอยากทำ ช่วงนี้ถามบ่อยครับ เพราะปีหน้าผมก็ขึ้นปีสี่แล้ว เรียนจบก็ต้องทำงาน


พี่ซันชวนผมไปทำงานด้วย แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ


ผมนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ดึกมากแล้วแต่ยังนอนไม่หลับ นอนไถทามไลน์ในเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะง่วง แต่ยิ่งไถก็ยิ่งติดลม จนไม่มีอะไรดูนั่นแหละ ผมถึงกดออกจากแอพ แล้วเปลี่ยนไปเปิดยูทูปดูคอนเสิร์ตพี่หนุ่มวงกะลา


นอนหลับตาฟังแล้วเปิดระดับเสียงให้สูงที่สุด ผมว่าให้อารมณ์ลึกซึ้งดีนะ มีความรู้สึกว่ามันเพราะกว่าเวลาปกติ


เสียงเพลงที่กำลังซึ้งของผมสะดุดลง เพราะมีสายเรียกเข้า

 
“ครับ”
 

พี่สองโทรเข้ามาตอนตีสอง


“นอนยัง”

 
“ยังครับ”


“นอนไม่หลับหรือว่าทำอะไรอยู่”

 
“ดูอะไรไปเรื่อยเลยไม่ง่วง อื้อ วันนี้เจ้มิวเล่าให้ฟังด้วยว่าเลิกกับแฟนแล้ว ป๊าโกรธใหญ่เลย” ผมเล่าความเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันให้พี่สองฟัง เขารับฟังเงียบๆ มีตอบรับในลำคอบ้างให้รู้ว่ายังอยู่ในสาย

 
“ไอ้ซันก็เหมือนจะมีปัญหากับแฟน” พี่สองเล่ากลับบ้าง
 

“หนักเหรอครับ”

 
“มันต้องพิสูจน์ตัวเอง ย่ำแย่แต่ก็ยังไม่ตาย ถ้าอยากจะไปเยี่ยมด้วยพรุ่งนี้เดี๋ยวพี่ไปรับ จะได้แวะไปหามันด้วยกัน”

 
“ได้ แล้วดึกป่านนี้พี่ไปไหนมา” ถามแล้วก็ชะงักเอง ดูละลาบละล้วงไปไหม ความสงสัยเรื่องพี่โมยังติดค้างอยู่ในใจผม แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมีสิทธิ์ถามหรือเปล่า
 

“กลับมานานแล้ว แต่นอนไม่หลับ” เขาสารภาพ


“มีเรื่องให้คิดเหรอ”

 
“อืม...คิดถึงมึง”


ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

 
“ไม่มีใครดูหนังผีเป็นเพื่อน”

 
ผมถอนหายใจ คนอุตส่าห์ใจเต้น!!!


“ผมก็มีประโยชน์แค่นี้แหละ”


พี่สองหัวเราะ ไม่ปฏิเสธ

 
“โปรเจ็คของพี่เป็นไงบ้าง”


“เริ่มแล้ว แต่ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แลกเปลี่ยนกับไอ้ซันเรื่อยๆ ยังไม่รีบ” น้ำเสียงของพี่สองดังราบเรียบ ฟังแล้วสงบ ผมเงยหน้าหยิบหมอนมากอดแนบอก


“มีอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็บอกได้เลยนะ”


พี่สองหัวเราะหึๆ “งานของตัวเองน่ะ เอาให้รอดก่อน” ผมยู่ปาก มีบางครั้งที่ผมเคยขอให้พี่สองช่วยออกความเห็น หรือไม่ก็ให้สาธิตให้ดูเลย


“รอดสิ ผมไม่เคยต้องซ่อมเลยนะ” ผมเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
 

“รู้...ว่าเก่ง” เขาหัวเราะ


“พี่ในสภาฯ โทรมาขอความร่วมมือในวันจัดนิทรรศการ อยากให้ผมดึงกระแสคู่จิ้นกับไอ้ธรรศมาโปรโมทงาน ผมคุยกับไอ้ธรรศแล้ว มันไม่มีปัญหา แฟนคลับในเพจเขาก็เชียร์ คนคงมาร่วมงานเยอะกว่าเดิมนิดหน่อย” ผมเล่า


ผมกับไอ้ธรรศเคยโดนจับคู่จิ้นกันตั้งแต่ปีหนึ่ง เนื่องจากวันงานกีฬาประจำปี ผม:7k’เป็นคฑากร ส่วนไอ้ธรรศรับหน้าที่ตากล้องจำเป็นของคณะ มันถ่ายรูปผม ส่วนเราก็โดนถ่ายรูปไปลงเพจอีกทีซะงั้น แท็ก #ธรรศน๊อต จึงเกิดขึ้น

 
“เดี๋ยวไปช่วยถ่ายรูปให้”
 

“ไม่ใช่ว่าพี่ต้องไปทำงานเบื้องหลังเหรอ” พี่สองยุ่งจะตาย


“เปลี่ยนไปทำเบื้องหน้าบ้างจะเป็นอะไรไป”

 
“พรุ่งนี้แวะรับผมด้วยนะ” ผมบอกเสียงเนือย เริ่มง่วงขึ้นมาแล้ว


“อืม...นอนเถอะ”

 
“ต้องวางมั้ย” ผมถาม
 

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่วางเอง”


ผมอมยิ้ม คำตอบพี่สองตรงกับใจผม อยากนอน...แต่ก็ไม่อยากวางสาย

 
“ฝันดี” เขาอวยพร
 

“ฝันดีครับ”


ผมรับคำ วางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนแล้วหลับตา




หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 15.10.61 ● เทคที่ 8 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-10-2018 18:46:15
พี่สอง....... จูบน๊อต
แล้วไปรับโมแฟนเก่า....... มันยังไงกันเนี่ย..........  :z6: :fire: :angry2:
แล้วยังมาหยอดน๊อต  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 15.10.61 ● เทคที่ 8 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-10-2018 19:30:11
แอบสงสารมิวอยู่นิดๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-10-2018 14:48:15

เทคที่ 9 ลูกผู้ชายกับความสัมพันธ์ที่ยังไม่มีชื่อเรียก 2/2


ระยะหลังมานี้ เวลาที่ใช้ในการจูบกันของผมกับพี่สองยาวนานขึ้นเรื่อยๆ จากจูบแผ่วเบาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร้อนแรงแล้วเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาอีกครั้ง สลับกันไปมา จนสมองผมว่างเปล่า พอได้สติจะดิ้นหนี พี่สองก็กดข้อมือผมไว้บนเตียงแล้วตามมาปิดปากผมไว้อีก ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ


“สายแล้ว”


ผมผลักอกเขาไว้แล้วเตือน ใบหน้าของพี่สองเลื่อนต่ำมาซุกอยู่ที่คอผม


เมื่อวานผมกับพี่สองไปนอนเฝ้าพี่ซันที่คอนโด พอพี่อาร์ตมาเปลี่ยนเวร พี่สองจึงพาผมมาค้างที่ห้องด้วยจะได้ไม่ต้องขับรถกลับไปกลับมา ผมเองก็สงสารเขา พี่ซันแย่ พี่สองกับพี่อาร์ตก็แย่ตามไปด้วย


“อืม...มึงไปอาบน้ำก่อนเลย” พี่สองบอกก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้ากับเตียง ผมเม้มปาก กระชับสาบเสื้อที่หลุดหลุ่ย เดินไปคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ


จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมก็ลงไปที่ด้านล่างคอนโด ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งกับกาแฟเย็นมาเผื่อพี่สอง แล้วให้เวลาคนที่อยู่ในห้องจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผมรู้...ว่าการที่ต้องฝืนอดทนต่อความต้องการของร่างกายมันทรมาน


รู้ดีแก่ใจว่าพี่สองไม่อยากบังคับผม เขากลัวว่าจะทำให้ผมกลัว


สถานะตอนนี้ก็แค่ เขาช่วยผม ผมช่วยเขา วินกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็ประมาทเขาไม่ได้หรอก อยู่ด้วยกันสองต่อสองทีไร พี่สองก็เข้ามาคลุกวงในผมทุกที


เสียเปรียบชะมัด!


ถ้าถามถึงคำจำกัดความของสถานะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่สอง ผมก็คงตอบได้เพียงว่า เรา...ก็ยังคงเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนั่นแหละ


วันนี้ผมกับพี่สองวางแผนจะนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย เพราะเรามีความเห็นตรงกันว่าอยากลองนั่งรถเมล์ไปเรียนด้วยกันดูบ้าง ก็...เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมรู้สึกว่าอยากจะเก็บมันเอาไว้เป็นความทรงจำ


“พี่นั่งรถเมล์บ่อยมั้ย” ผมถามในขณะที่เรายืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายรถเมล์


เขาหันมาเลิกคิ้ว “แล้วแต่สะดวก ก่อนจะซื้อรถ ก็นั่งรถเมล์บ้าง แท็กซี่บ้าง รถเมล์มันกะเวลาลำบาก” พี่สองคลายเน็คไทที่คอออกหลวมๆ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาลงหนึ่งเม็ด เหงื่อเริ่มผุดที่ไรผม


อากาศตอนแปดโมงของเมืองไทยก็ไม่ธรรมดาจริงๆ


เมื่อรถเมล์สายที่เรารอมาถึง พี่สองก็แตะเอวผมส่งสัญญาณ คนขึ้นรถเมล์สายเดียวกับเราเยอะมาก ผมเดินเข้าไปข้างในสุด พี่สองเดินตามผมเข้ามาแล้วเบี่ยงตัวเดินเข้าไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังผมอีกที


ผมเซไปด้านหน้าเมื่อรถออกตัว พี่สองยื่นมือมาจับเอวผมไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วส่งยิ้มล้อเลียน “ผมว่าผมเกาะดีแล้วนะ” ผมบ่นงุบงิบ ใช้บริการรถสาธารณะเมืองไทยต้องอาศัยสกิลขั้นสูง ไม่งั้นลำบากแย่


เชื่อไหมครับว่าผมจับเสาแน่นจนกล้ามขึ้น กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย


พี่สองหัวเราะหึๆ อยู่ข้างหู ไม่รู้ขำอะไรนักหนา…


“สอง ไอ้ซันเป็นไงบ้างวะ”


พี่ปอนเดินเข้ามาถาม ในขณะที่ผมกับพี่สองเดินเข้าคณะ น้องๆ ผู้หญิงมองพี่สองก็ซุบซิบกันใหญ่ครับ วันนี้เขาเซ็ทผมมาด้วย ผมยกมือไหว้พี่ปอน เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปรอคำตอบจากพี่สอง


“ดีขึ้นแล้ว” พี่สองเหลือบมองผมที่ขอแยกตัวออกมาทางสายตา


“เออกูว่าจะไปเยี่ยม...” พี่ปอนเดินคุยกับพี่สองไปทางอาคารเรียน ส่วนผมกำลังมุ่งหน้าไปที่ใต้ตึก นัดกับไอ้เหินไว้ พอเดินไปถึง ก็เห็นมันนั่งอยู่กับไอ้ธรรศ พี่โฬมก็อยู่ด้วย


ผมยกมือไหว้พี่โฬม “มาไกลถึงนี่เลยเหรอพี่”


“ไปเที่ยวมา...เลยเอาของฝากมาให้” พี่โฬมมองเลยไปที่ถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง พี่โฬมอยู่คุยเล่นด้วยอีกครึ่งชั่วโมงก็แยกตัวไป ผมกับไอ้เหินยังนั่งทำรายงานต่อหน้าดำคร่ำเครียด มีไอ้ธรรศคอยช่วยออกความเห็นอยู่ข้างๆ


“น๊อต”


ผมหันไปตามเสียงเรียก แล้วขมวดคิ้ว


“พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”


ไอ้เหินกับไอ้ธรรศเหลือบมองผม ก่อนจะก้มหน้า ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมหันไปมองหน้าพี่โมอีกครั้งแล้วลอบถอนหายใจ พี่โมไม่ชอบหน้าผมตั้งแต่ผมเลิกกับหมิว ได้ยินว่าสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน


ผมเดินนำพี่โม ไปหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะม้าหินข้างตึก


“พี่โมมีอะไรเหรอครับ”


“พี่ท้อง”


ผมเลิกคิ้ว ท้องแล้วมาบอกผมทำไม


“สามเดือนแล้ว”


ผมหลุบตามองพื้น


“พี่อยากคุยกับสอง” ประโยคนี้ดึงงามสนใจจากผมได้ผลชะงัด


ผมเงยหน้ามองพี่โม “พี่...ท้องกับพี่สองเหรอครับ”


พี่โมทำหน้ากลัดกลุ้ม ไม่ตอบคำถามผม แต่ผมกลับงงยิ่งกว่า พี่โมเลิกกับพี่สองไปเกินครึ่งปีแล้ว ท้องสามเดือน...ถ้าไม่เพราะท้องกับคนอื่น ก็เพราะกลับมายุ่งกับพี่สองในระหว่างที่เลิกกัน


ผมไม่อยากเข้าข้างพี่สอง จึงเลือกที่จะเงียบไม่แสดงความเห็น


“แฟนคนล่าสุดของพี่คือสอง”


“ทำไมพี่โมไม่ไปคุยกับพี่สองเอง”


“พี่รู้ แต่สองไม่ยอมคุยกับพี่ พี่เองก็ลำบากนะ ท้องโตขึ้นทุกวัน”


ผมมองหน้าพี่โม ล้วงเอามือถือออกมาต่อสายหาพี่สอง รอห้านาที ร่างสูงที่ผมโทรหาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เขาชะงักทันทีที่เห็นพี่โม แต่ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม


“มีอะไร”


“พี่โมบอกว่าท้องกับพี่”


“เป็นไปไม่ได้” เขาครางเหมือนไม่เชื่อหู


“สอง...แต่คืนนั้นโมอยู่กับสอง” พี่โมยืนยัน


พี่สองขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปตอบพี่โมเสียงหนักแน่น


“นอนบนเตียงเดียวกันก็ใช่ว่าจะมีอะไรกันเสมอไป อีกอย่าง...” พี่สองมองหน้าพี่โมสื่อความนัย “อย่าให้เราพูดเลย อายเปล่าๆ”


ผมไม่สามารถยืนฟังคนที่ผมมีใจให้ พูดคุยเรื่องบนเตียงกับคนอื่นได้จริงๆ ผมกำมือแล้วคลาย เงยหน้ามองพี่สองสลับกับพี่โม


“พวกพี่คุยกันเอาเองนะครับ”


พี่สองหันมามองผมสีหน้าจริงจัง “เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” ผมพยักหน้ารับ เดินเลี่ยงออกมา ไอ้เหินทำท่าจะถามแต่โดนไอ้ธรรศสะกิดห้าม จนเมื่อถึงเวลาเข้าเรียน พวกเราก็เก็บของเข้าเรียน ไอ้เหินไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก จวบจนพักเที่ยง ไอ้วิทย์ก็มาหาผม


“พี่”


ผมเงยหน้า เลิกคิ้วใส่ไอ้วิทย์ มันนั่งลง วางจานข้าวตรงที่นั่งฝั่งตรงข้าม


อย่าถามถึงไอ้เหินครับ เลิกปุ๊บเป็นหายหัว


“พี่กับพี่สองนี่ยังไง”


ลูกชิ้นที่ผมคีบไว้หล่นจากตะเกียบ ผมมองหน้าเจ้าของคำถาม ตั้งสติ แล้วขมวดคิ้วถามมันกลับ “อะไรคือยังไง”


ไอ้วิทย์ยักไหล่ “ก็อย่างเช่น มีซัมติง คนพิเศษแต่ไม่ใช่แฟน เป็นต้น”


“เป็นแค่พี่น้อง” ผมตอบ


ไอ้วิทย์ยิ้ม แล้วยื่นหน้ามากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “พี่น้องที่ไหนเล่นคลุกวงในกันในรถ” ผมทำตาโต มองซ้ายมองขวา กลัวว่าใครจะได้ยิน ไอ้วิทย์ทำหน้าคาดไม่ถึง


“ผมแค่เดาเล่นๆ เรื่องจริงเหรอเนี่ย”


ไอ้สัดวิทย์!!!


ไอ้วิทย์หัวเราะจนน้ำตาเล็ด ผมเลยอธิบายกับมันง่ายๆ ว่ามีแค่ผมที่ชอบพี่สอง แต่ความรู้สึกพี่สองผมเองก็ไม่อยากคาดเดา ไอ้วิทย์มันดันทำให้ผมช็อกกว่า ตรงที่มันบอกว่ามันรู้แล้วเรื่องที่ผมชอบพี่สอง


“กูดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”


“ถ้าไม่สังเกตก็ไม่รู้หรอก” ค่อยยังชั่ว


“แต่ผมว่าพี่สองก็รู้มาสักพักแล้ว” ผมชะงัก รู้สึกแขนขาอ่อนแรง


“เขาไม่ได้เคลียร์เรื่องนี้กับพี่ใช่มั้ย ผมว่าแล้ว เรื่องพี่โมผมว่าไม่ใช่พี่สองหรอก เพราะถ้าใช่จริง พี่สองยืดอกรับไปนานแล้ว พี่สบายใจได้ ไม่ต้องขมวดคิ้วแล้ว” ไม่รู้ว่าไอ้วิทย์อยากแค่พูดปลอบผมหรือเปล่า


ช่วงนี้ข่าวลือเรื่องพี่สองกับพี่โมมาแรงจนฉุดไม่อยู่ ถึงผมจะเชื่อมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษของพี่สอง แต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี ถ้าไปยุ่งกับคนที่มีซัมติงกับคนอื่น


ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่สอง


จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คุยกับพี่สองจริงจัง พ่อแม่พี่โมมาหาพี่สอง บังคับให้พี่สองรับผิดชอบพี่โม แต่พอพี่สองจะพาไปตรวจ พี่โมก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปตรวจกับครอบครัวพี่สอง เรื่องนี้ทำให้พี่สองปวดหัวมาก


ผมเลยปลีกตัวออกมา เว้นระยะห่างระหว่างตัวเองกับพี่สอง ขีดเส้นกั้นชนิดว่าถ้ามองเห็นพี่สอง ผมก็เผ่นแนบชนิดไม่เหลียวหลัง


สองเดือนผ่านไป พี่สองมาหาผมที่ห้อง


ผมมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงปลายเตียง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง พี่สองดูโทรมนิดหน่อย ใต้ตาดำคล้ำ หนวดไม่โกนด้วย


“เรื่องเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”


ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมไม่เคยถามพี่สองเลย


เป็นช่วงสองเดือนที่ผมรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในอกแต่บอกใครไม่ได้


“โมบอกว่าเครียดเลยแท้ง ความจริงน่าจะไม่ได้ท้องมากกว่า” พี่สองทำหน้าลำบากใจ เขาไม่เคยว่าร้ายผู้หญิง


ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าพี่สองแล้วคุกเข่าลง ยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าคมเข้มของเขา “พี่โทรมมากเลย” ผมรู้สึกว่าตัวเองอาลัยอาวรณ์กับเจ้าของร่างนี้ก็ตอนที่ได้เจอเขานี่แหละ ทั้งที่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมสามารถทำตัวได้อย่างปกติ


“ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาปลอบ “ต้องขอบคุณไอ้อาร์ต” พี่สองอธิบาย ผมไม่ได้ถามต่อว่าพี่อาร์ตไปทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเส้นสายในวงการแพทย์ของพี่อาร์ตไม่ธรรมดา


“จบเรื่องสักทีนะครับ”


พี่สองเอาหน้าแนบกับมือผม สายตาดูอ่อนล้า ผมใช้สองมือประคองหน้าพี่สอง แล้วยื่นหน้าไปกดจูบที่ริมฝีปาก เนิ่นนาน... ก่อนจะผละออก


พี่สองสบตาผมนิ่ง เขายิ้มมุมปาก ยื่นมือมาเช็ดมุมปากให้ผมด้วยท่าทีอ่อนโยน


“เป็นแฟนกันมั้ย”


“ละ...ล้อผมเล่นหรือเปล่า”


"ไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน” เขายืนยันเสียงหนักแน่น

   
ผมกลั้นยิ้ม

   
“เป็นแฟนกันนะ”

   
ผมหลุบตาลง ก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม”


พี่สองโน้มตัวลงมากดจูบผม จูบนี้เนิ่นนานกว่าจูบที่ผ่านมา ลิ้นของพี่สองชอนไชไปตามโพรงปากของผม ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังผมก็สัมผัสกับเตียง


ผมลืมตาโพลง ยกมือขึ้นดันหน้าอกพี่สองไว้

   
“เดี๋ยว”

   
พี่สองเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ


ผมเม้มปาก “จะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เราเพิ่งคบกันเองนะ”


“ช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน” คำตอบของพี่สองทำให้สองแก้มผมร้อนฉ่า จะตรงไปไหน...


ผมมองคนที่กำลังถอดเสื้อของตัวเองเขวี้ยงทิ้งไปข้างเตียง ก่อนจะเปิดปากสารภาพ


“ผมกลัว...” เจ็บ


พี่สองหันมายิ้มอบอุ่น เคลื่อนตัวมาคร่อมอยู่บนตัวผมอีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาครอบครองริมฝีปากผม ดูดดุนจนเกิดเสียง แล้วผละออกมากระซิบแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”


ผมดิ้นเร้าอยู่ใต้ร่างสูงใหญ่ เมื่อพี่สองสอดมือเข้ามาใต้เสื้อ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งคลึงที่ยอดอก มืออีกข้างสอดเข้าไปในกางเกงผม แล้วลูบไล้อยู่แถวๆ ท้องน้อย


ลมหายใจอุ่นร้อนของพี่สองปัดป่ายอยู่ติ่งหูจนขนลุกซู่ ถึงแม้ผมจะยังไร้ประสบการณ์ สำหรับการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชาย แต่ผมก็พยายามตอบรับสัมผัสของพี่สองด้วยความยินดี คนด้านบนพยายามปรนเปรอให้ผมได้ไปถึงฝั่งฝันก่อนเป็นครั้งแรกด้วยมือและปาก ร่างผมกระตุกเกร็ง ก่อนจะอ่อนระทวยในอ้อมกอดเขา


พี่สองถอดเสื้อกับกางเกงของผมออกแล้วโยนทิ้ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาไล่จูบติ่งหู ลำคอและไหปลาร้า ขณะเดียวกันก็ถอดปราการชิ้นสุดท้ายของผมออกไปด้วย


ผมยกขาข้างหนึ่งเบี่ยงหนี ไม่ให้พี่สองมอง


เขาเงยหน้ามองผมแล้วส่งยิ้มอบอุ่นมาให้อีกครั้ง “ไม่ต้องอาย พี่ไม่เคยรังเกียจน๊อต” เอ่ยปลอบพลางใช้มือแหวกขาของผมออกจากกัน ผมเม้มปาก ตาของเรายังมองสบกันอยู่ พี่สองพยายามปลอบประโลมไม่ให้ผมอายทางสายตา


ครั้งแรกที่พี่สองพยายามแทรกกายเข้ามา ผมเกร็งจนลืมหายใจ ช่องทางอ่อนไหวสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมอุ่นร้อนที่แทรกเข้ามาในร่าง ชั่วขณะนั้นผมกำผ้าห่มแน่น


พี่สองพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมด้วยปากและมือ พลางส่งเสียงบอกให้ผมผ่อนคลาย แต่ครั้งแรกมันยากเสมอ แม้เขาจะใช้น้ำลายช่วยหล่อลื่นบริเวณปากทางเข้าและสวมถุงยางอนามัยแล้วก็ตาม กว่าพี่สองจะแทรกกายผ่านเข้ามาได้ น้ำตาผมก็ไหลออกจากหางตาทั้งสองข้าง พี่สองกอดผมไว้


ผมหลับตา กัดฟันแน่น


“ขอโทษนะ อย่าร้องเลย พี่ไม่ทำแล้วก็ได้” พี่สองกระซิบข้างหู เสียงกัดฟันกระทบกันดัง ผมรู้ว่าเขาเองก็อดทนและทรมานไม่แพ้ผม


“ขะ...ขยับเลย ผมทนได้”


พี่สองเอียงหน้ามากดจูบซับน้ำตาให้ผมแทนคำพูด ก่อนจะใช้สองมือยันกับเตียง ค่อยๆ เริ่มขยับเอวสอบด้วยจังหวะช้าเนิบ แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเหมือนร่างกายท่อนล่างฉีกขาด แต่ความอ่อนโยนของพี่สองก็ช่วยชโลมหัวใจผมให้อุ่นขึ้น


ขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งของเขาช่วยปรนเปรอส่วนด้านหน้าจนผมบิดเกร็ง จวบจนถึงปลายทางของพี่สอง ผมก็พบความสุขสม
      

เสียงหายใจหอบกระเส่าของพี่สองดังอยู่ข้างหู เขากอดผมแน่น ผมรู้ว่าตัวเองกัดเขาแรงมาก แม้จะรู้สึกผิดและอยากลุกขึ้นมาทำแผลให้ แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้จะขยับตัว พี่สองค่อยๆ ถอนกายของจากตัวผมช้าๆ เขาหันซ้ายขวา คว้าเสื้อมาเช็ดทำความสะอาดตัวเองแล้วหยิบกางเกงมาสวม


ผมนอนมองเขาอย่างเหม่อลอย พี่สองเดินเข้ามาหา ก้มจูบหน้าผากชื้นเหงื่อของผมหนึ่งทีอย่างอ่อนโยน "พอแล้วเหรอ" ผมอดถามเขาไม่ได้
 

เขาเลิกคิ้ว พอเห็นผมอึกอักก็เข้าใจ "แค่นี้มึงก็ไม่ไหวแล้ว" เมื่อเห็นผมจ้องเขาก็อธิบายต่อ "พอแล้ว ครั้งแรกของมึง ดอกเดียวก็เกินรับ ค่อยทำยอดต่อคราวหน้า"
 
           
ผมซุกหน้าลงหมอน แก้มร้อนจัด
 
           
พี่สองหัวเราะ ก่อนจะลูบหัวผม “นอนเถอะ”

   
สองคำสั้นๆ ของเขาเป็นเหมือนสวิตช์ปิดรับการรับรู้ของผม

   
ระหว่างสะลึมสะลืออยู่นั้น พี่สองก็ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมากินยา จากนั้นผมก็ล้มตัวนอนสลบไสล จำได้เลือนรางว่ามีคนเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าให้ ก่อนจะตามมาด้วยอ้อมกอดอบอุ่น


ผมซุกหน้าเข้าหาความอบอุ่นนั้นแล้วหลับสนิท




หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 20.10.61 ● เทคที่ 9 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก 2/2 nc
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2018 20:13:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 20.10.61 ● เทคที่ 9 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก 2/2 nc
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-10-2018 02:34:52
เอาอีก เอาอีก  :hao6:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 26-10-2018 11:53:53

เทคที่ 10 ว่าด้วยเรื่องความหึง



หลังจากวันนั้น...

ที่ผมกับพี่สองตกลงเป็นแฟนกัน พี่สองก็เอ่ยขอให้ผมย้ายไปอยู่กับเขาที่คอนโด แต่…เพราะผมยังเกรงใจเพื่อนอีกสองคน หากต้องย้ายไปอยู่กับแฟนจริงๆ จึงต่อรองกับพี่สองว่าขอเป็นฤกษ์สะดวก ผู้ชายที่ควบตำแหน่งแฟนและพี่เทคก็พยักหน้ารับ

ผมจึงเก็บเสื้อผ้าบางส่วนไปไว้ที่คอนโดพี่สอง

ประจวบเหมาะกับเมื่อสองอาทิตย์ก่อน คราวซวยเรื่องโรคภัยวนบรรจบครบรอบมาถึงพอดี ผมล้มหมอนนอนเสื่อ ป่วยเป็นไข้เลือดออก ป๊ากับม๊าสลับกันมาเฝ้าผมที่โรงพยาบาล (พี่สองไปสลับเฝ้าช่วงกลางคืนได้เป็นบางวันเท่านั้นเพื่อไม่ให้ป๊ากับม๊าสงสัย)

พอผมออกจากโรงพยาบาล พี่สองก็ยึดตัวผมไว้ที่คอนโดยาวเลย

พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก พี่ซันโดนหักอก (ขอเม้าท์เรื่องพี่ซันหน่อยนะครับ) เมาหัวราน้ำทุกวัน ผมกับพี่สอง หรือแม้แต่พี่อาร์ตผู้มีอาชีพเป็นหมอฝึกหัด ต้องเฝ้าผลัดเวรยามกัน แต่ขนาดว่ามีคนเฝ้า พี่รหัสของผมยังโดนเขาตีหัวแบะ ต้องไปนอนเล่นที่โรงพยาบาล

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลผมเลยแทบไม่ได้กลับหอตัวเอง

ระหว่างไปไหนมาไหนกับพี่สอง ผมก็ยังทำตัวเป็นน้องเทคที่ตัวติดกับพี่เทค เราสองคนไม่ได้ทำอะไรให้ดูพิเศษ เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น

พี่สองโดนจับคู่จิ้นกับคนอื่นผมก็เฉย

ผมโดนจับจิ้นคู่กับไอ้ธรรศ พี่สองก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่หากวันไหนมีรูปผมกับไอ้ธรรศลงเพจคู่จิ้นถึงคอนโดเมื่อไหร่ เขาก็จะจับผมโยนขึ้นเตียงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

ผมเองก็ชอบ เปลี่ยนอารมณ์บ้างชีวิตจะได้ไม่จืดชืด

พี่สองปฏิบัติต่อผมดีมาก จากที่เคยดีอยู่แล้ว ยิ่งดีขึ้นไปอีก ที่สำคัญเขาห่วงความรู้สึกของผมก่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ

หากผมเริ่มประสาทเสีย เอาเรื่องของพี่ซันมาผูกโยงกับเรื่องของเรา พี่สองก็จะกอดผมนิ่งๆ แล้วเตือนสติผมเสมอว่า ‘ทำในสิ่งที่คิดว่าอยากทำจะได้ไม่เสียใจทีหลังที่ไม่กล้าพอ’

กลับมาพูดถึงเรื่องอาการหึงหวงกันต่อ

เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าพี่สองมีคนชื่นชอบเยอะ เนื่องจากเป็นเพื่อนกับเดือนคณะ อีกทั้งยังเป็นพี่ว๊ากปีสูงที่น้องๆ ต่างรู้จักและคุ้นเคย ดังนั้น จึงมีคนเข้าหาพี่สองเยอะตามไปด้วย

เวลาไปกินเหล้าด้วยกัน หากว่าพี่สองจะเช็คเรตติ้งให้ตัวเองบ้าง ผมก็ไม่ห้าม เพราะผมเองเข้าใจอารมณ์ของผู้ชาย แซวบ้าง ส่งสายตาให้บ้าง ผมเองก็ทำ

พี่สองไม่ใช่คนขี้หึงอาละวาด แต่เขาจะหึงเงียบๆ แล้วกลับไปจัดหนักผมที่คอนโด

ส่วนผมเป็นประเภทที่ว่า...ยิ่งหึงยิ่งเงียบ

เหมือนอย่างตอนนี้…

ผมนั่งมองน้องเทคของตัวเอง อ้อนให้พี่สองสอนกินเหล้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยใบหน้านิ่งสนิท วันนี้ผมใส่แว่นตามาด้วย เพราะแสบตาเนื่องจากนอนไม่พอติดต่อกันหลายวัน

“อันนี้ขมไปนิดนะพี่ ผมว่าลดอีกหน่อยน่าจะพอดี”

ไอ้ปิงพูดกับพี่สองตาเยิ้ม ผมยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมาขลุกขลิก ก่อนจะวางลงที่เดิม พี่สองเลื่อนจานข้าวเกรียบมาให้ เราทั้งคู่ยังไม่ได้กินข้าวเย็น เพราะกินข้าวเที่ยงกันตอนบ่ายสาม วันนี้เรานัดเลี้ยงสายเทค เนื่องจากอีกสองวันจะเป็นวันเกิดไอ้ปิง

“กูชงให้เอามั้ย”

ผมยื่นขาเข้าไปแทรก

“ไม่เอาครับ พี่สองเก่งกว่าพี่น๊อตอีก”

ไอ้ปิงส่ายหัวตอบผมด้วยท่าทีใสซื่อ

“หึ” ผมฉีกยิ้มมุมปาก

“พี่น๊อต เดี๋ยวแบมไปคุยโทรศัพท์แป๊บนึงนะคะ” น้องเทคในสายปีล่าสุดและเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในสายเทคเราชะโงกหน้ามากระซิบบอก

ผมวางแก้วเหล้าในมือลง

“เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน อยากออกไปสูดอากาศ” ผมกระซิบกลับ น้องแบมพยักหน้า หยิบกระเป๋ามาสะพายรอ ผมหันหน้าไปมองหน้าพี่สอง เขามองผมอยู่ก่อนแล้วแต่รอให้ผมพูด

“ผมจะออกไปสูดอากาศข้างนอกแป๊บนึง แบมจะไปคุยโทรศัพท์ด้วย” พี่สองมองเข้ามาในตาผม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่โทรศัพท์ผมที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างถังน้ำแข็งสื่อความนัย แล้วตอบรับในลำคอ ผมหยิบโทรศัพท์มาหย่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง เดินนำน้องแบมออกไปหน้าร้านเหล้า มองหาที่นั่งเงียบๆ

น้องแบมเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์แต่ยังอยู่ในสายตาผม

ผมทิ้งตูดลงนั่งได้ไม่ถึงสองนาทีพี่สองก็โทรเข้ามา ผมกดรับ แต่ไม่พูด พี่สองก็เช่นกัน เพียงแต่...ฝั่งของพี่สองจะมีเสียงของน้องเทคของผมคอยแทรกเข้ามาเป็นระยะ

“หงุดหงิดอะไรเหรอคะพี่น๊อต” น้องแบมทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผม ตอนที่รู้จักกันแรกๆ น้องนั่งตัวเกร็งเลยครับ ไม่กล้าพูดกับผมหรือพี่สองด้วยซ้ำ พอระยะเวลาผ่านไปถึงดีขึ้น

ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง หยิบสโมท็อคไร้สายขนาดจิ๋วออกจากหู

“เปล่านี่” ผมตอบยิ้มๆ

“เมื่อกี้แบมก็ทะเลาะกับแฟนค่ะ” สาวน้อยน่ารักชะโงกหน้ามากระซิบ

ผมเลิกคิ้ว “เพราะมากินเลี้ยงหรือเปล่า”

“ส่วนหนึ่งค่ะ เขาแค่หึงที่สายเทคของแบมมีแต่ผู้ชาย”

ผมพยักหน้ารับ พี่สองก็เป็นหน้าเป็นตาของคณะ ตัวผม...ถึงจะตี๋ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ไอ้ปิงก็สูงยาวเข่าดี

“ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจ พามารู้จักกันบ้างก็ได้นะ” ผมแสดงความเห็น ผู้ชายกับผู้ชายคุยกันได้ไม่ยาก กินเหล้าด้วยกันสองสามครั้งก็สนิทแล้ว

“แบมเกรงใจ เขาอยู่คนละม. กับเรา” น้องแบมสารภาพเขินๆ

“ไม่เป็นไรนี่ สบายใจเถอะน่า พี่สองมีตังค์เลี้ยง” ผมแกล้งเย้า น้องแบมหัวเราะ ก่อนจะถามผมเสียงเกรงใจ

“แฟนพี่น๊อตไม่หึงบ้างเหรอคะ”

“หึงใคร” ผมเลิกคิ้ว

“กับพี่ธรรศไง แบมเห็นเพจคู่จิ้นพี่น๊อตด้วย แบมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ เอ่อ ขอโทษนะคะถ้าแบมถามละลาบละล้วง ถ้าพี่ไม่สะดวกไม่ต้องตอบแบมก็ได้” น้องแบมเกาแก้ม

ผมกรอกตาขึ้นฟ้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่สองจะไม่ได้ฟังอยู่

“ถามได้ ถ้าตอบได้พี่จะตอบ แฟนพี่เขาไม่ขี้หึงหรอก” ผมหยุดคิด ก่อนจะต่อคำให้จบ “เขาโตพอจะคิดได้ พี่เองก็ไม่ชอบคนขี้หึง”

น้องแบมยิ้มตาหยี

“แล้วพี่น๊อตขี้หึงมั้ยคะ แบมขี้หึงนิดหน่อย ถ้าแฟนชอบไปอยู่ใกล้ๆ คนที่ชอบเขา แบมรู้สึกเหมือนเขาไม่ให้เกียรติเราเลย ทั้งที่รู้ว่าเราไม่ชอบให้เขาไปยุ่งกับใคร”

น้องแบมทำปากขมุบขมิบ ผมยิ้มนัยน์ตา ใช้นิ้วโป้งเขี่ยโทรศัพท์

“บางครั้งมันก็จำเป็น คำว่าสังคมมันก็มีทั้งคนที่เราชอบและไม่ชอบอยู่ร่วมกัน บางทีเราไม่ชอบแต่เพื่อนสนิทเราอาจจะชอบก็ได้ เข้าใจที่พี่ต้องการจะบอกมั้ย มันเป็นหน้าที่ของแฟนเราที่จะทำให้เราไว้ใจ ส่วนเราเองก็ต้องรู้จักแยกแยะ ไม่งี่เง่าในเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันถึงต้องมีคำว่าเหมาะสมไง”

“พี่น๊อตดูเข้าใจอะไรพวกนี้ดีจัง”

“พี่เป็นน้องคนเล็ก โตมากับพี่ๆ ที่อายุห่างกันน่ะ” ผมนึกถึงหน้าเฮียมอสกับเฮียน่านที่ชอบแกล้งผม แต่ก็ชอบสอนให้ผมรู้จักใช้สมองมากกว่าอารมณ์

“พี่น๊อตอย่าว่าแบมนะ แต่แบมสงสัยว่าพี่ปิงอาจจะชอบพี่สอง”

ผมหัวเราะ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

“งั้นมั้ง”

“เพื่อนในเซคแบมเม้าท์ว่าพี่สองคบแต่ดาวมหาลัย พี่ปิงจะมีหวังเหรอคะ”

ผมผงกหัว

“ก็อาจจะมีและไม่มี”

น้องแบมหัวเราะ “แต่แบมว่าพี่สองไม่ชอบพี่ปิงหรอก ถ้าชอบป่านนี้คงตอบรับพี่ปิงไปแล้ว ออกมานานแล้วแบมว่าเราเข้าไปข้างในกันดีมั้ยคะ กลัวพี่สองจะว่าเสียมารยาท แบมชวนพี่น๊อตออกมานานแล้ว” หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในสายเทคยิ้มให้ผมอย่างเกรงใจ ผมพยักหน้ารับ ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ผมไม่น่าหัวร้อนเพราะเรื่องแค่นี้เลย

“อ้าวไอ้น๊อต”

ผมหันไปเลิกคิ้วมองคนเรียก ไอ้เวลเดินตรงเข้ามาหาผม ผมมองเลยไปทางด้านหลังของมัน เห็นพวกพี่หิน ไอ้ไฟน์ก็ตามมาด้วย มันยักคิ้วทักทายส่งให้ “มาเที่ยวเหรอ”

ไอ้เวลพยักหน้า

ผมหันไปหาแบม “แบมเข้าไปก่อนได้มั้ย พี่ขอคุยกับเพื่อนแป๊บนึง หรือจะให้พี่เดินเข้าไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ แบมจำโต๊ะได้”

ผมมองตามร่างเล็กของน้องแบม ก่อนจะหันมาหาไอ้เวล คณะของมันมากันประมาณห้าคน ผมยกมือไหว้พี่หินกับพี่ลักษ์ ไอ้ไฟน์แนะนำเพื่อนในคณะของมันให้ผมรู้จักชื่อ ‘ซีน’

“ยังไม่มีโต๊ะกันใช่มั้ย” ผมถามเพื่อน พวกพี่หินยืนรออยู่ไม่ไกล

“เออ แล้วสาวน้อยคนเมื่อกี้เป็นใคร” ไอ้ไฟน์เริ่มซัก เมื่อกี้ผมไม่ได้แนะนำ

“แบม น้องเทคคนล่าสุด”

“แล้ว...” ไอ้ไฟน์เลิกคิ้ว มันรู้ว่าผมเข้าใจ

“อยู่ข้างใน กูหงุดหงิดนิดหน่อยเลยออกมาสูดอากาศ” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง หยิบมือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูเบอร์แล้วทำหน้ายุ่ง

“ไม่รับล่ะ” ไอ้เวลถาม เมื่อกี้ผมตัดสายพี่สองทิ้ง

“เดี๋ยวก็เข้าไปแล้ว”

ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยสายตาซักไซ้ ผมยักไหล่ ไม่ขยายความต่อ ขี้เกียจเล่า เดี๋ยวจะหงุดหงิดอีก

“พวกมึงไปนั่งกับกูมั้ยล่ะ หลายคนก็สนุกดี” ผมออกความเห็น

“เลี้ยงวันเกิดคนในสายไม่ใช่เหรอ” ไอ้เวลถาม ผมพยักหน้า

“เงินพี่สอง ตอนนี้แค่นั่งดื่มขำๆ ไม่มีอะไรแล้ว” ขั้นตอนการให้ของขวัญและอวยพรผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่พี่สองจะนั่งชงเหล้าให้คนดื่มเล่นๆ นั่นแหละ

“โอ้ งั้นกูก็ยิ่งต้องไป” ไอ้ไฟน์ทำเสียงสนุก พวกเราเลยได้ข้อสรุปว่าจะไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน ไอ้เวลหันไปถามพี่หิน พี่เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะสนิทกับพี่สองอยู่แล้ว ผมเดินนำทุกคนเข้าไปในร้าน เจอกับพี่สองยืนห่างจากประตูทางเข้าประมาณสิบเมตร

ผมเดินเข้าไปหา แล้วอธิบาย “ผมเจอไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เลยชวนไปนั่งกับเราด้วย” พี่สองพยักหน้ารับ เขายกมือไหว้พวกพี่หิน

“โต๊ะเบอร์สิบพวกพี่ไปถูกกันมั้ย พอดีผมจะออกไปหยิบของ จะให้ไอ้น๊อตออกไปช่วยถือของแป๊บเดียว” ผมกับพี่สองสบตากัน ก่อนจะเบือนหน้าไปคนละทาง พี่สองหันไปหาพี่หิน ส่วนผมก็หลุบตามองพื้น

“สบาย รีบไปรีบมาละกัน” พี่หินยักไหล่ ก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะเป้าหมาย ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์หันมามองหน้าผม มันยักคิ้วให้ แล้วหันหลังเดินตามพี่หินไปโดยไม่ถามอะไร

พี่สองเดินนำผมออกจากร้านออกมาเงียบๆ เปิดประตูรถด้านข้างคนขับก่อนจะส่งสายตาให้ผมเข้าไปนั่ง ผมกัดริมฝีปาก ยอมเดินเข้าไปนั่งโดยดี ผมรู้...ดื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่สองยืนห่างจากผมประมาณสิบเมตร พอผมนั่งเรียบร้อย ก็ขยับเข้ามาชิด

“มองหน้าพี่” เขาสั่ง พลางโน้มตัวเข้ามาหา

ผมหลุบตามองพื้น ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้น

“โกรธเหรอ” เขาถาม

ผมกลืนน้ำลาย พี่สองไวต่อความรู้สึกของผมเสมอ

“เปล่า”

“หึง?”

“...”

ผมสบตากับพี่สอง เขายิ้มรู้ทัน ยื่นหน้าเข้ามาจูบปากผมหนึ่งทีแล้วผละออก

“มึงก็รู้ว่าพี่ทำแบบนั้นทำไม” เขายื่นมือมาเช็ดมุมปากให้ผม คำตอบของพี่สองคือ เขาช่วยไอ้ปิงทำประชดแฟนมันที่นั่งอยู่โต๊ะสิบสอง แต่ที่ผมไม่พอใจเพราะผมเป็นฝ่ายเสนอตัวแล้วแต่ไอ้ปิงกลับเอ่ยปากขอพี่สองแทน โดยให้เหตุผลว่า ‘พี่สองดูน่าเกรงขามกว่า’

“ผมรู้ แค่อยากให้พี่รู้ไว้ว่าผมไม่พอใจ”

พี่สองมองหน้าผมด้วยสายตาวาววับ ก่อนจะก้มลงจูบผมดูดดื่มกว่าจูบแรกแล้วผละออก เขาดูดจนริมฝีปากผมชา ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดปากลวกๆ พี่สองยื่นนิ้วมาเชยคางผมขึ้นสบตาเขา แล้วยิ้มพอใจ

“รู้แล้วครับ”

“ผมไม่ชอบจริงๆ นะ” ผมย้ำ

พี่สองหลุดหัวเราะ

“แค่อยากเห็นมึงหึงเท่านั้นแหละ ต่อไปไม่ทำแล้ว”

“พี่น่าจะปล่อยให้ผมทำเอง” ผมรู้ว่าทำไมพี่สองถึงยอมตกปากรับคำ เขาไม่อยากให้ผมเป็นคู่ควงของไอ้ปิง แต่เขาน่าจะลืมไปว่าผมน่ะเหมาะสมเพราะใกล้ชิดสนิทสนมทางสายเทคมากกว่า

เขารู้ดีว่าถ้าเขาตัดสินใจทำอะไร ผมจะไม่หักหน้าเขา ถึงได้เป็นฝ่ายรับคำไอ้ปิง

“มึงก็รู้ว่าพี่หวง”

“ใช่ว่าพี่หวงเป็นคนเดียวนี่” ผมบอกเคืองๆ

พี่สองยื่นมือมายีหัวผม ผมปล่อยให้เขาจับ แต่เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วย พอเห็นผมยอมให้ก็แกล้งใหญ่เลยนะ

“อย่าหงุดหงิดเลย มันน่าฟัด” เขาว่า ผมจิ๊ปาก ไอ้พี่สองแม่งขี้โกง

“ไม่ต้องแกล้งเปลี่ยนเรื่อง”

“พูดเรื่องจริงก็หาว่าเปลี่ยนเรื่อง”

“ผมเคยบอกมั้ยว่าขี้หวง” ผมย่นคิ้ว

พี่สองยื่นมือมาเคาะที่หว่างคิ้วผม “พอจะรู้”

“เฮ้อ...ผมเสียเปรียบ” ผมถอนหายใจ แต่พี่สองหัวเราะ

“ก็ไม่แน่ว่ามึงจะเสียเปรียบ”

เขายื่นมือมาตรงหน้าผม ผมเม้มปาก เหลือบมองหน้าพี่สองแวบหนึ่ง ให้ตายสิ ใช้วิธีนี้ทีไรผมแพ้ทุกที พี่สองยิ้มเมื่อผมยื่นมือไปจับมือเขา “อย่าหงุดหงิดเลย” เขาบีบมือผมหนึ่งที

พี่สองเดินนำผมเข้าไปในร้านเหล้าเงียบๆ เดินมาถึงโต๊ะน้องแบมกับไอ้ปิงก็หายไปแล้ว ไอ้เวลบอกผมว่าน้องแบมกลับไปกับแฟนแล้ว ส่วนไอ้ปิงบอกว่าออกไปเคลียร์กับแฟนเลยขอตัวกลับก่อน ตอนนี้ที่โต๊ะจึงเหลือแค่พี่หิน พี่นาค พี่ไอ ไอ้เวล ไอ้ไฟน์ พี่สอง ผม

พี่หินสั่งเหล้าพร้อมกับแกล้มมาเพิ่ม

“ไปทำงานเป็นไงบ้างพี่” ผมถามพี่หินพี่สองชงเหล้าอ่อนๆ ส่งให้ผม

“ก็ดี แต่สังคมทำงานมันซับซ้อน เหนื่อยคนมากกว่าเหนื่อยงาน” พี่หินตอบยิ้มๆ ส่งกับแกล้มให้ไอ้เวล สองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่ไอ้เวลเป็นเฟรชชี่ใหม่ๆ

“เป็นลูกน้องเขาก็ต้องทำใจ” พี่นาคออกความเห็น หันไปชนแก้วกับพี่หิน

“มึงล่ะ ได้ที่ฝึกงานหรือยัง” พี่หินหันมาถามพี่สอง พี่สองเลิกลูบเอวผม หันไปคุยกับพี่หิน

“ได้แล้วพี่ ความจริงก็ไม่อยากใช้เส้นนะ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝึกงานที่บริษัทไอ้ซันได้ประโยชน์มากกว่าที่อื่น”

สาขาที่พี่สองยื่นใบสมัครอยู่ใกล้คอนโดของเขา

“มึงล่ะไอ้ตี๋ ตั้งแต่เลิกกับน้องหมิวไม่เห็นได้ยินข่าวว่าคบกับใคร” ผมสะดุ้ง เมื่อพี่หินเบนสายตามาเลิกคิ้วถาม ผมกรอกตามองฟ้า พี่สองที่นั่งข้างๆ นั่งมองแก้วเหล้ายิ้มๆ

“ก็มีคุยๆ อยู่ครับ”

พี่หินพยักหน้ารับ

“ไม่อยากเชื่อว่าพี่รหัสมึงจะเป็นเกย์” พี่หินพูดอย่างเสียงดาย ผมรู้ว่าพี่หินไม่ได้รังเกียจอะไร ที่พูดก็คงเพราะคาดไม่ถึงจริงๆ ตามประสาผู้ชายที่ตามเฮกันไปแอ่วสาว

“ก็ไม่ได้เป็นกับทุกคนหรอกพี่ มันเป็นเรื่องของความรู้สึก” พี่สองตอบ ก่อนจะยื่นแก้วไปชนกับพี่หิน ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์เหลือบมองผมสายตากรุ้มกริ่ม

พี่หินหัวเราะ ก่อนจะหันไปช่วยเพื่อนตัวเองออกไปเดินแอ่วสาวตามปกติ

“อ้าวสอง”

พวกเราทั้งกลุ่มหันไปมองผู้มาใหม่โดยไม่ได้นัดหมาย
   
พี่โม...

“มาเที่ยวเหรอคะ” พี่โมเกี่ยวแขนแฟนใหม่เดินเข้ามาทักพี่สอง

“ไม่ได้มาใส่บาตรก็แล้วกัน” คนรักของผมตีรวน

ไอ้เวลกับไอ้ไฟน์กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง

“พี่อิทคะ นี่พี่สองแฟนเก่าโม” พี่โมแนะนำแฟนใหม่ให้รู้จักแฟนเก่า ก่อนจะหันมาแนะนำแฟนใหม่ให้พวกเรารู้จัก “นี่พี่อิท...อิทธิรัฐ เศกสวัสดิ์” พวกเราทักทายกันด้วยรอยยิ้ม

ไอ้ไฟน์ทำปากอู้อ้า ผมหันไปเลิกคิ้วถามมันทางสายตาว่ามึงรู้จักเหรอ ไอ้ไฟน์ขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบบอก “ลูกรัฐมนตรีช่วยฯ”

ผมกับไอ้เวลสูดปาก ไอ้ลูกเจ้าของโรงแรมมันหูตากว้างขวางจริงๆ รู้จักคนใหญ่คนโต

“ยังชอบเที่ยวเหมือนเดิมเลยนะคะสอง” พี่โมขยับขึ้นมาหนึ่งก้าว พี่อิทยืนรอเธออยู่ด้านหลัง ผมสังเกตเห็นว่าเขาเหลือบมองไอ้ไฟน์เหมือนรู้จัก แต่เพื่อนผมมันเชิ่ดใส่ ทำเป็นมองไม่เห็น

“พวกเรามาฉลองวันเกิดให้น้องในสายน่ะครับ” ผมตอบแทน

พี่โมเหลือบมองผม ก่อนจะฉีกยิ้มหวานหยดให้ “ไม่เจอกันนานนะ” ผมยิ้มรับ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นใส่โมล่ะคะ เมื่อก่อนเรารักกันมากแท้ๆ” พี่โมยิ้มให้พี่สอง เธอท้าวมือสองข้างกับโต๊ะแล้วโน้มหน้าลงมาหาอดีตคนเคยรัก
   
พี่สองสบตาเธอ “ความจริงไม่ต้องเข้ามาทักกันจะดีกว่านี้”

แววตาพี่สองหม่นลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ผมเหลือบมองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามพี่สอง ปล่อยที่ว่างข้างพี่สองไว้ แน่นอนว่าเขามองตามร่างผม เราสบตากันแวบหนึ่ง

ผมยักไหล่ ไอ้ไฟน์ดูออกว่าผมพาล มันก้มหน้ามาซบไหล่ผมหัวเราะ

“ต้องขอบคุณสองที่ทำให้เราจบกัน โมถึงได้เจอพี่อิท” พี่โมพูดซื่อๆ เธอไม่ได้พูดเสียงดังแต่พวกเราอีกสามคนได้ยิน พี่อิทที่มากับพี่โมขยับห่างออกไปเหมือนไม่อยากเสียมารยาทแอบฟัง แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

“โมเคยเสียดายและเสียใจมากที่ต้องเลิกกับสอง” พี่โมเว้นวรรค

“แต่ตอนนี้โมว่าโมคิดถูกที่สุด ของที่สองเคยให้ สองคงไม่ว่าอะไรนะถ้าโมจะเอาไปบริจาคให้เด็กกำพร้า” เธอกรีดเล็บ ทำให้เรามองเห็นแหวนเพชรที่อยู่บนมือเธอ “สองเป็นคนใจดีคงไม่ถือหรอก โมรู้” ผมกำมือแน่น รู้สึกโกรธแทนคนของตัวเอง

“โมอยากรู้จริงๆ ว่าใครกันนะ ที่จะเก็บของเหลือจากโมมากินต่อ” เธอหัวเราะ ต้องยอมรับว่าพี่โมเป็นคนที่สวยสะกดคนมอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าใบหน้าสวยจัดนั่นไม่น่ามองเลยสักนิด

ผมก้มหน้านิ่ง ฟังพี่โมดูถูกพี่สอง ผมรู้ว่าพี่สองไม่ถือสาเพราะเขาไม่ทำร้ายผู้หญิง อาจจะไม่พอใจ แต่จะไม่เก็บมาใส่ใจ

“ตอนนี้ยังโสดอยู่ใช่มั้ยคะ” พี่โมมองหน้าพี่สองด้วยความเห็นใจ “ลืมโมซะเถอะ สองจะได้เริ่มต้นใหม่”

ไอ้ไฟน์กดไหล่ผมไว้ ผมหันไปหามันส่งสายตาให้มันปล่อย แต่มันส่ายหัวปฏิเสธ

พี่สองสบตากับผม ดูออกว่าผมคิดจะทำอะไร เขาส่ายหัว วางแก้วเหล้าในมือแล้วเงยหน้ามองพี่โมด้วยสายตาจริงจังและข่มขู่

“ถ้าโมยังคิดว่าเรายังลืมโมไม่ได้ บอกไว้ตรงนี้เลยว่าโมคิดผิด”

พี่โมหุบยิ้ม ทำหน้าไม่เชื่อ

“แม้แต่ความทรงจำดีๆ ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

พี่สองพูดด้วยคำพูดสุภาพ แต่สายตาเยาะเย้ย ไม่รู้เยาะเย้ยตัวเองหรือพี่โม ผมอย่างแรกอาจจะมีน้ำหนักมากกว่า ข้อเสียของพี่สองที่บางครั้งก็ทำให้ผมหงุดหงิด เขาใจดีและเป็นสุภาพบุรุษ แต่บางทีมันก็ควรจะมีข้อยกเว้นบ้าง

“ใคร”

พี่โมถามแววตาคาดคั้น พี่สองหัวเราะหึๆ ในลำคอ ผมเม้มปาก รู้ว่าพี่สองจะไม่มีวันหลุดปากบอกใคร ถ้ายังไม่ได้ขอความเห็นชอบจากผม

ไอ้เวลตบไหล่ผมสองที

“ไอ้อิท”

ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ไฟน์ มันกำลังกระดิกนิ้วเรียกท่านลูกรัฐมนตรีช่วยฯ คนนั้น พี่อิทหันมาเลิกคิ้วมองไอ้ไฟน์ ก่อนจะอมยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปหาไอ้ไฟน์ตามคำเรียก

ร่างสูงโปร่งของพี่อิทเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังเบาะนั่งไอ้ไฟน์ เพื่อนผมมันลุกขึ้นยืนมองหน้าพี่โมด้วยแววตาท้าทายและถือดี จนพี่โมมองตาวาว “ดูนี่” พูดจบก็โน้มคอพี่อิทลงมาจูบแก้มหนึ่งทีแล้วผละออก ผมทำหน้าโคตรช็อก เอ่อ เอาจริงๆ ยกเว้นพี่สองกับพี่อิทแล้ว ก็ดูเหมือนจะช็อกตาตั้งกันทั้งโต๊ะ

ไอ้ไฟน์กอดคอพี่อิทที่สูงกว่ามันลงมา แล้วเอ่ยขอพี่โม “คนนี้ขอนะ”

“พี่อิท!!” พี่โมร้องเรียกแฟนตัวเองเสียงดัง

“ไฟน์...” ไอ้ไฟน์ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก เมื่อผมจะอ้าปากถาม พี่สองกอดอกมองละครตรงหน้า คงมีแค่แฟนผมนี่แหละครับที่ยังนิ่งทุกสถานการณ์ ในเวลานี้ผมอยากเขย่าคอเสื้อเพื่อนตัวเองแล้วถามในสิ่งที่อยากรู้ใจจะขาด ไอ้เวลก็ไม่แพ้กัน แต่เมื่อกี้พี่หินเดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้างงงวย มันเลยต้องเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้พี่หินฟัง ไม่มีเวลามาซักไอ้ไฟน์

“โทษทีนะน้องโม” พี่อิทยิ้มนัยน์ตา

คำตอบของพี่เขาทำผมผงะ ไอ้ไฟน์ก็แทบเด้งหนี เมื่อพี่อิทยื่นมือมากอดเอวมันไว้

แม่เจ้าโว้ย!

“พี่อิททำแบบนี้กับโมได้ยังไงคะ!?” พี่โมโวยวาย พี่อิทหันมามองพี่โมตาดุ ดุแบบเออดุจริงๆ เมื่อกี้ยังสวมบทคุณชายผู้ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดีอยู่เลย!

“อย่าให้พี่ต้องพูดซ้ำ”

พี่โมเม้มปากฮึดฮัด ทั้งเจ็บใจทั้งอาย เธอมองหน้าพี่สอง แต่พอเห็นพี่สองไม่ได้มีท่าทีซ้ำเติมหรือสงสารก็หันมามองพี่อิทน้ำตาคลอ สะบัดหน้าเดินหนีไป

ผมเหลือบมองพี่สอง อยากรู้ว่าเขามีท่าทียังไง ที่เห็นคนรักเก่าโดนรังแก แต่พี่สองดันมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรู้สึกผิดในใจที่ตัวเองดีใจเมื่อเห็นพี่สองไม่ได้มีท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อคนรักเก่าของเขา

“ไปคุยกันหน่อยดีมั้ย” พี่อิทก้มมองหน้าไอ้ไฟน์ เพื่อนผมมันกรอกตามองบน ก่อนจะหันมามองพวกเราที่เหลือ “กูกลับก่อนละกัน”

“เดี๋ยวไฟน์” ผมห้าม ไอ้ไฟน์หันมาเลิกคิ้ว พี่อิทที่เดินไปแล้วหยุดยืนรอเพื่อนผมอย่างใจเย็น สาวๆ นี่เหลือบมองเขาเพียบ

ไอ้ไฟน์หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผม “ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดจบมันก็เดินออกไปกับพี่อิท แต่ไม่วายยังกวนตีนเขา ไอ้ไฟน์แกล้งเดินช้าแต่พี่อิทก็ยังหยุดรอมัน พอมันทำอ้อยอิ่งมากๆ พี่อิทเลยเดินกลับมาลากคอเสื้อมันออกไป

พวกเรานั่งดื่มต่อกันอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็แยกย้ายกลับ อย่าถามถึงเพื่อนพี่หินนะครับ เพราะพี่แกหายไปตั้งแต่บอกจะออกไปแอ่วสาวแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไอ้เวลไปกับพี่หินที่อาสาไปส่ง ส่วนผมก็ไม่ได้กลับหอตัวเอง โดนลากไปนอนไหนคงไม่ต้องเดา

กลับถึงห้อง ผมกับพี่สองก็สลับกันเข้าไปอาบน้ำ พี่สองเอาผ้าขนหนูมาพาดที่ไหล่ผมแล้วไล่ให้เข้าไปน้ำก่อน พอผมออกมาพี่สองก็เดินสวนทางไปอาบน้ำบ้าง ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนรัก ก่อนจะตัดใจคลานขึ้นไปนอนบนเตียงเงียบๆ

พี่สองเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ พลางสะบัดหัวไล่น้ำออกจากผม เขาเหลือบมองผมที่นอนมองอยู่บนเตียงก่อนจะวางผ้าขนหนูพาดไว้ที่เก้าอี้ เดินขึ้นเตียงมาเปิดผ้าห่มแล้วซุกตัวเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ผมขยับตัวเพื่อให้พี่สองนอนท่าสบายมากขึ้น

“คิดอะไรอยู่” เขาถาม

ผมขยับตัวหันไปเผชิญหน้ากับพี่สอง ยกมือขึ้นมาวางรองศีรษะตัวเองให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน “วันนี้มีแต่เรื่องให้หงุดหงิด”

“ขอโทษด้วยเรื่องโม” พี่สองก้มจูบหน้าผากผม

“ผมโกรธที่เขาว่ากระทบพี่ แต่ผมเป็นผู้ชาย ผมเลยทำได้แค่โกรธ” ผมสารภาพ พี่สองยกมือขึ้นมาลูบหัวผม เขาคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เพราะตั้งแต่อยู่ในรถก็ไม่พูดอะไรเลย

“มึงคิดถูกแล้ว เขาเป็นผู้หญิง”

“ผมไม่พอใจจริงๆ นะ”

พี่สองเลิกคิ้ว “เรื่องโม?” ผมพยักหน้ารับ ยอมรับเองแมนๆ ว่าแอบหวงเขากับแฟนเก่า

พี่สองโถมตัวมาฟัดแก้มผม เราสู้กันบนเตียงอยู่หลายท่า ก่อนผมจะนอนหอบแฮ่กอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวโตกว่า ผมเงยหน้ามองพี่สอง กอดเอวเขาด้วยสองมือ

“พี่เปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่อยากให้รู้เอาไว้ว่าตั้งแต่พี่จีบมึง” เขาก้มมองอกด้านซ้ายของตัวเอง “ในนี้มันก็มีแค่มึง”

เราสองคนส่งยิ้มให้กัน

ผมมองเข้าไปในตาพี่สอง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบหน้าของเขา นัยน์ตาคมเข้มมองการกระทำของผมเงียบๆ “ทำไมถึงได้หล่อขนาดนี้นะ” ผมพูดเพ้อๆ

พี่สองยิ้มนัยน์ตา

“คิดดังไปมั้ย”


หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ 25.10.61 ● เทคที่ 10 ว่าด้วยเรื่องความหึง
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-10-2018 20:09:14
โม โสมน้ามหน้า  :laugh:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 12-11-2018 18:38:21

เทคที่ 11 ลูกผู้ชายอย่ามุดหัวในกระดองเต่า


ช่วงเวลาที่ทำให้ผมตื่นเต้นจนต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่แปดโมงเช้าทั้งที่เป็นวันหยุดกำลังใกล้เข้ามา วันนี้ผมมีนัดกับพี่สอง เป็นนัดที่สำคัญมากสำหรับความสัมพันธ์ของเรา


พี่สองกำลังพาผมไปทำความรู้จักกับคนที่บ้าน

 
ในฐานะแฟน!!

 
ตอนที่เขาเอ่ยปากชวน ผมนี่ช็อกซีนีม่า ช็อกชนิดที่ว่า...ยืนค้างได้เกือบนาที จนพี่สองต้องสะกิดเรียก


พอได้สติผมก็เริ่มต้นซักเขาต่อว่าบอกที่บ้านไปแล้วใช่ไหม พี่สองยักไหล่สบายๆ บอกว่าตัวเองไม่มีความลับกับครอบครัว เขาบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ก่อนที่จะขอคบกับผมด้วยซ้ำ เพียงแต่...แค่ไม่ได้บอกเท่านั้นว่าเป็นผม

 
ผมอ้ำอึ้ง เพราะไม่เคยบอกใครนอกจากเพื่อนสนิททั้งสอง

 
พี่สองมองผมอย่างรู้ทัน ขยับปากบอกผมทั้งรอยยิ้มอบอุ่นว่า ‘ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ ยังไม่ต้องรีบร้อน’


ถึงแม้ว่าพี่สองจะปลอบผมอย่างนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกทะแม่งๆ แปลกใจกับท่าทางสบายอกสบายใจของพี่สอง และเริ่มตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะต้องไปแนะนำตัวกับครอบครัวของแฟนอย่างเป็นทางการ

 
แถมเรายังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่นี่สิ

 
“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเป็นตูด”

 
ผมเงยหน้ามองไอ้เวลที่เดินถือแก้วนมเข้ามานั่งดูโคนัน อย่างที่บอกว่าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จยังไม่ถึงเวลา จึงมานั่งทอดอารมณ์อยู่หน้าทีวี

 
“พี่สองบอกที่บ้านเรื่องของกูกับเขา”

 
ไอ้เวลทำตาโต “โคตรแมน” มันวางแก้วนม แล้วหันมาหาผม “แล้วเป็นไง โดนตีหัวแตก หรือโดนตัดออกจากกองมรดก”

 
ผมบีบมือตัวเอง ตอบเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ “น่าจะไม่โดนอะไรนะ”

 
ไอ้เวลสูดปาก “มึงเคยบอกว่าบ้านพี่เขาเป็นครูบาอาจารย์กันทั้งบ้านนี่”

 
ผมพยักหน้า

 
พ่อพี่สองเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน มีงานประจำคือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยภาคอินเตอร์ แม่ของพี่สองก็เป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยม สอนวิชาภาษาไทย คุณน้าเป็นลูกเสี้ยวไทยจีนไต้หวัน (สวยมาก)


พี่สองเคยเล่าตำนานความรักของพ่อแม่เขาให้ผมฟังว่า พ่อพบรักกับแม่ตอนมาเที่ยววัดพระแก้วกับเพื่อนๆ ตอนสมัยเรียน แต่แม่ไม่ยอมคุยด้วยเพราะเห็นเป็นฝรั่ง พ่อเลยพูดไทยใส่ แม่ถึงยอมให้เบอร์โทรศัพท์และเริ่มคุยกับมาเรื่อยๆ คบกันอยู่สองปี พ่อก็ขอแม่แต่งงาน แล้วย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร

 
“อรุณสวัสดิ์ครับพวกมึง”


ไอ้ไฟน์โผล่เข้ามาในระยะสายตา หน้ามันดูเหนื่อยมาก สภาพแทบดูไม่ได้ บนบ่ามีเสื้อกาวน์แขวนอยู่ มันวางเสื้อพาดกับเก้าอี้ เดินไปรินน้ำแล้วกลับมานอนตายอยู่ที่โซฟาข้างผม


“เมื่อคืนไปไหนมา”


ไอ้เวลถาม ไอ้ไฟน์มันไม่กลับห้องเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่ถามเพราะอาการมันดูไม่โอเค เหมือนคนใกล้จะตายเต็มที

 
“กูยังไม่ได้นอนเลย”


ไอ้เวลเลิกคิ้ว “ตี้?”


“ตี้เหี้ยอะไร” ไอ้ไฟน์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “กูปีสามแล้วไอ้เลว แค่เวลานอนยังไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปปาร์ตี้” มันหัวเราะเนือยๆ ก่อนจะยกขาขึ้นพาดโต๊ะ ทำท่าจะนอนตายอยู่ตรงนี้จริงๆ


“ไม่ไหวก็ไปอาบน้ำนอน อย่ามานอนตายตรงนี้” ผมไล่


ไอ้ไฟน์เหลือบมองหน้าผมแล้วทวงคำตอบ “เมื่อกี้มึงยังไม่ได้ตอบกู”


ผมเลิกคิ้ว เมื่อกี้มันถามผมว่าอะไรนะ


“มันกำลังเครียด พี่สองชวนไปบ้าน” ไอ้เวลเป็นฝ่ายตอบแทน


ไอ้ไฟน์ตวัดสายตามามองผม ก่อนจะถามผมเอือมๆ “จะเครียดเพื่อ? ทำเหมือนไม่เคยไป”


“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาบอกที่บ้านเรื่องกูแล้ว กูแค่กลัว” ผมแย้ง กลัวว่าพ่อกับแม่พี่สองจะไม่ต้อนรับ กลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุทำให้พี่สองกับครอบครัวมีปัญหากัน ตอนนี้ผมกังวลไปหมด


ไอ้ไฟน์ลุกขึ้นนั่ง ยื่นหน้าเข้ามาถามเสียงจริงจัง “เขาทำท่าจะรับไม่ได้?”


“พี่สองไม่ได้พูดอะไร แต่กูก็กังวล กูกับเขา...ผู้ชายทั้งคู่” ผมยักไหล่ ไอ้ไฟน์ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เหมือนเจอคนโง่กำลังจะตายนั่งอยู่ตรงหน้า แล้วเผอิญคนๆ นั้นคือผม


“มึงเคยถามตัวเองหรือเปล่า มึงกำลังทุกข์เพราะความรักของมึงกับเขา หรือมึงกำลังทุกข์เพราะกลัวคำพูดของคนอื่นกันแน่”

 
คำถามของไอ้ไฟน์ทำให้ผมนิ่งไป เป็นคำถามที่จี้ลงกลางใจผม


“กูเห็นด้วยกับไอ้ไฟน์ มึงคิดดูนะเพื่อนยาก สมัยนี้ต่อให้เป็นชายหญิงแล้วยังไง ทุกคู่ก็มีสิทธิ์เลิก มีสิทธิ์นอกใจ มีสิทธิ์ผิดหวังในความรักได้เหมือนกันทั้งนั้น ปัญหาครอบครัวในข่าวก็มีออกเยอะแยะ” ไอ้เวลทำท่ายกนิ้วนับ “ผัวนอกใจเมีย เมียนอกใจผัว พ่อฆ่าลูก แม่ตีลูก เพศมันไม่ได้การันตีความสำเร็จของชีวิตคู่นะไอ้น๊อต อย่าเพิ่งเถียง...กูไม่ได้บอกว่าเป็นเพศทางเลือกแล้วจะไม่เจอปัญหานี้ แต่กูกำลังชี้ทางสว่างให้มึงเห็นว่าเหรียญมันมีสองด้าน อย่าตีตนไปก่อนไข้”


ผมผงกหัว “กูเข้าใจที่มึงพูด แต่ที่กูกลัวคือฝั่งของกูเอง ป๊ารักกูแค่ไหนพวกมึงก็รู้ กูไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง แต่กูก็ไม่กล้าปล่อยมือ พวกมึงเข้าใจปะวะ”

 
ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลมองหน้าผม


“เขาดีกับกูมาก ให้เกียรติกู เข้าใจกูโดยที่กูไม่ต้องอ้าปากอธิบายด้วยซ้ำ กูคิดว่าเขาคือคนที่ใช่ คือคนที่กูรอ กูกลัวว่าสักวัน เกิดวันหนึ่งกูไม่มีเขาแล้ว กูจะเป็นยังไง” ผมอาจจะถึงขั้นทุรนทุรายเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เราคบกันได้ไม่นาน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่สองมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ

 
“มึงจะกลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้” ไอ้ไฟน์เตือนสติ “ความรักที่ไม่สมหวังมีใครบ้างวะที่ไม่เจ็บปวด จะมีก็นอกจากจะหมดรักไปแล้วเท่านั้นแหละ ตอนนี้มึงแค่กังวล มึงกลัวที่บ้านจะรู้ใช่มั้ย”


“ไฟน์พอเถอะ อย่าไปกดดันมัน” ไอ้เวลตัดบท แต่ไอ้ไฟน์ส่ายหน้า

 
“ไอ้น๊อตที่กูรู้จัก ไม่ใช่คนขี้ขลาด แทนที่จะมานั่งกังวลมึงก็วิ่งชนไปเลยสิ ได้ไม่ได้ก็ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย สมัยเรียนมอต้นมึงยังเคยเปรี้ยวพากูปีนกำแพงหนีเรียนไปดูคอนเสิร์ตพี่ตูนบอดี้สแลมด้วยซ้ำ” ไอ้ไฟน์ระลึกความหลัง


พอวันรุ่งขึ้นมึงกับกูก็โดนเรียกไปฟาดหน้าเสาธงนั่นไง


วิธีเรียกกำลังใจของมึงนี่แม่ง...


ผมมองหน้าเพื่อนสนิททั้งสอง “ขอบใจพวกมึงมากจริงๆ ที่เข้าใจกู”


“สบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ย กูจะได้ไปนอน” ไอ้ไฟน์หาว


“หึ จะไปนอนตายที่ไหนก็ไป” ผมไล่ด้วยความเป็นห่วง


“ฟาย...มึงนี่ดูเข้าอกเข้าใจไอ้น๊อตจริงๆ” ไอ้เวลแดกดัน


ไอ้ไฟน์ที่กำลังหยิบเสื้อกาวน์มาถือไว้ เงยหน้าขึ้นมองไอ้เวล


มันกระตุกยิ้มหนึ่งที “กูก็กำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะรู้สึกดีกับผู้ชาย”


!!!!!


เหยดเข้!!!!!!

 
“มึงว่าไงนะ!?” ไอ้เวลแก้มกระตุก


ไอ้ไฟน์ยักไหล่ขำๆ


“แค่สงสัยน่า”


“ใครวะกล้ามาล่อลวงมึง” ผมครางถาม


ไอ้ไฟน์หัวเราะ “กำลังอยู่ในช่วงทดลอง ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย” ผมอ้าปากค้าง ของแบบนี้มันทดลองกันเล่นๆ ได้ด้วยเหรอวะเพื่อน!!!! มึงเรียนหนักจนสมองกลับด้านแล้วใช่ไหมไอ้ลูกชายเจ้าของโรงแรม!


“ให้ตายเถอะ กูรู้สึกว่าไมเกรนจะขึ้น” ไอ้เวลยกมือขึ้นลูบหน้า ไอ้ไฟน์ยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนตัวเอง


ไอ้เวลมองตามหลังไอ้ไฟน์อึ้งๆ ก่อนที่มันจะหันมาขอความเห็นจากผม “มึงว่ามันอำพวกเราหรือว่ามันจะเอาจริงๆ วะ”


ผมกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นหน้าตาเหมือนท้องฟ้าจะถล่มของไอ้เวล ดูมันช็อกมากจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “มึงจะเลิกคบกันพวกกูหรือไง”


ไอ้เวลส่ายหัว “เปล่า” มันเงยหน้าขึ้นสบตาผมก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กูแค่กำลังสงสัยว่ามันจะอยู่ตำแหน่งไหน...รุกหรือรับ” ถามจบมันก็พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดทิ้งไป แล้วเปลี่ยนเรื่องมาถามผมถึงเวลานัดหมาย

 
เมื่อเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้วมันก็แยกเข้าห้องส่วนตัวไปเปิดเท็กซ์อ่านเล่นฆ่าเวลา


ก่อนถึงเวลานัดสิบนาทีพี่สองก็โทรมาหาผม   

 
“ตื่นเต้นเหรอ”

 
พี่สองหันมาถามขณะทำหน้าที่เป็นพลขับ

 
“ในความตื่นเต้นนั้นมีความกังวลอยู่ด้วย” ผมทำหน้าห่อเหี่ยว พี่สองเหลือบมองผมก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งมาลูบหัวแล้วผละออกไปจับพวงมาลัยไว้เหมือนเดิม

 
“ทำเหมือนไม่เคยเจอ”

 
ผมมองพี่สองเคืองๆ “มันเหมือนกันที่ไหน”

 
พี่สองหัวเราะในลำคอ “ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก แม่กับแด๊ดใจดี มึงก็รู้ อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นสิ” ถ้าเป็นผู้หญิงผมคงจะกรอกตามองบนใส่พี่สอง จะไม่ให้ผมกังวลได้ยังไง ก็ตอนแรกผมรู้จักครอบครัวของเขาด้วยฐานะน้องเทค แต่ตอนนี้สถานะของผมมันล่อแหลมแค่ไหน เขาไม่เข้าใจหรือยังไง

 
“พี่น่ะลูกชายคนเดียวของบ้านเลยนะ คุณน้าเขาจะยอมรับผมเหรอ”

 
“ถ้าแม่กับแด๊ดไม่ยอมรับ มึงจะยอมเลิกกับพี่เหรอ”

 
ผมกัดปาก

 
ยังจำได้ว่าพี่สองเคยเอ่ยปากขออะไรไว้

 
“ทำใจให้สบายเถอะน่า แค่ทำตัวปกติแบบที่มึงเป็นก็พอแล้ว” พี่สองปลอบ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อพี่สองเลี้ยวเข้าซอยบ้าน เขาแวะซื้อกับข้าวสี่ห้าอย่างมาด้วย

 
รถของพี่สองจะเคลื่อนเข้าสู่ตัวบ้านคุ้นตา

 
“น๊อต”

 
พี่สองเรียกขณะที่ผมกำลังลดมือลงปลดสายคาดเบลล์

 
“ครับ?”

 
เขายื่นมือข้างหนึ่งมากุมมือผมไว้ แล้วบีบเบาๆ

 
“อย่ายอมแพ้ พี่ก็จะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน”


ผมยิ้ม พยักหน้ารับคำ “อือฮึ”

 
ผมช่วยพี่สองขนของลงจากรถ คุณน้าทั้งสองเดินออกมารับเราทั้งคู่ ผมยกมือไหว้น้าษาหรือชื่อจริงก็คือคุณน้าคุณาลี ก่อนจะหันไปยกมือไหว้คุณน้าผู้ชาย

 
“สวัสดีครับน้าแซม” แซมมิก ตรัย แอนโทนี่ กอบกาญจ์กุล


ผู้ชายลูกครึ่งตัวสูงใหญ่ยิ้มรับด้วยความใจดี ก่อนจะเดินนำเข้ามาหา “หนักมั้ย น้าช่วย” น้าแซมยื่นมือมารับถุงกับข้าวในมือผมไปข้างหนึ่ง พี่สองเดินเข้าไปกอดแม่แล้วหอมแก้มซ้ายขวา เป็นภาพที่ผมเห็นทุกครั้งเวลามาเยือนบ้านหลังนี้

 
“ตรวจการบ้านดึกอีกแล้วใช่มั้ย ใต้ตาดำ เดี๋ยวก็แก่ไวหรอกแม่” พี่สองแซ็วแม่ตัวเอง น้าษาเอามือทุบแขนพี่สอง “เดี๋ยวเถอะ แม่จะตีให้หัวแบะ”

 
น้าแซมหัวเราะคู่แม่ลูกก่อนจะหันมาชวนผมเข้าบ้าน ผมช่วยน้าษาแกะถุงกับข้าวใส่จาน พี่สองกับน้าแซมมาช่วยยกกับข้าวออกไปวางที่โต๊ะอาหาร


ระหว่างกินข้าวพี่สองก็เล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้น้าษาฟัง สลับกับน้าแซวบ่นเป็นภาษาไทยเสียงชัดแจ๋วเรื่องเด็กๆ ที่มหาวิทยาลัยที่ตัวเองสอนอยู่ น้าษานั่งฟังลูกชายกับคนรักของตัวเองสลับกันเล่าเรื่องขำขันยิ้มๆ พลางหยุดถามเมื่อถึงจังหวะเวลา ไม่ลืมหันมาถามความเห็นของผม จนกระทั่งทุกคนอิ่ม ผมอาสาล้างจาน พี่สองร้องแซ็วมาตามหลังว่าอย่าให้ถึงกับหมดตัวเพราะต้องซื้อจานชามมาให้แม่ใหม่

 
ผมเก็บจานชามเข้าที่ก่อนจะเช็ดมือให้แห้ง แล้วเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น พี่สองกับน้าแซมกำลังออกความเห็นเรื่องฟุตบอลนัดล่าสุดกันอย่างออกรส น้าษากำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ เมื่อหันมาเห็นผมก็เอ่ยเรียกพี่สอง

 
“ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกแม่”

 
พี่สองเหลือบมองหน้าผมที่ซีดลงสองส่วน ก่อนที่ร่างสูงชะลูดตามกรรมพันธุ์จะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ผม เขายิ้มนัยน์ตาส่งให้ ก่อนจะคว้าข้อมือผมไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างข้างกัน

 
“ผมพาน้องมารู้จักแม่กับแด๊ด”

 
น้าษาขมวดคิ้ว

 
“ไม่ใช่ว่ารู้จักอยู่แล้วเหรอ”

 
“ฐานะใหม่ครับแม่” พี่สองอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผมกำลังเหงื่อแตกซิกๆ แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อ พยายามปั้นหน้านิ่ง เหลือบมองเสี้ยวหน้าของพี่สองที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

 
“ก็เอาสิ”


พี่สองหันมามองหน้าผม ก่อนจะหันไปสบตากับน้าษา

 
“น๊อต...แฟนผมครับ”

 
ตุบ!

 
ผมเหลือบมองน้าแซมที่กำลังยื่นมือเก็บรีโมทที่เผลอทำหลุดมือเมื่อกี้แล้วเก็บสายตากลับ หลุบตามองพื้น มือกำกางเกงแน่น

 
“ลูกหมายถึงบอยเฟรนด์?”

 
น้าษาถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

 
“He’s my boyfriend”

 
ไม่รู้ว่าผมกังวลจนหูอื้อไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินพี่สองตอบแม่ตัวเองไปแบบนั้น

 
“Oh Shit! พระเจ้า” น้าแซมมองหน้าลูกชายตัวเองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

 
ผมเหลือบมองปฏิกิริยาของน้าษาแล้วกุมมือตัวเองไม่ให้สั่นจนคนอื่นสังเกตเห็น น้าษาหลับตาแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดยาวแล้วลืมตาขึ้นมองตรงมาที่ผม

 
“แม่ขอคุยกับน๊อตตามลำพัง”

 
“มัม!!!” พี่สองเรียกคุณน้าด้วยภาษาอังกฤษ

 
“Shut up! Go away now” มือเรียวขาวชี้ไปที่ประตู

 
พี่สองดื้อแพ่ง นั่งปักหลักอยู่ที่เดิมจนคุณน้าโกรธหน้าแดง ก่อนจะหันไปมองน้าแซมน้ำตาคลอ น้าแซมมองหน้าภรรยาสลับกับลูกชายคนเดียว

 
“Hey boy”

 
น้าแซมเรียกลูกชายตัวเองสั้นๆ แต่ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร พี่สองมองหน้าผมด้วยความลำบากใจ ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจในที่สุด

 
“พี่ไปเถอะ ผมไม่เป็นไร”

 
“แน่นะ”

 
ผมพยักหน้า ทั้งที่ไม่มั่นใจสักนิด

 
พี่สองลุกเดินออกไปนอกห้องโดยไม่หันกลับมา น้าษาขยับมานั่งฝั่งตรงข้ามกับผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตา น้าแซมไม่ได้พูดอะไรแต่นั่งกดดันผมทางอ้อม

 
“จริงหรือเปล่าที่สองพูด ตอบน้ามาตามตรง ถ้าโดนบังคับก็บอกน้า น้าจะจัดการลูกชายของน้าเอง น๊อตไม่ต้องกลัว” ผมใจเต้นตึกตัก คนที่เป็นฝ่ายล่อลวงคงจะเป็นผมเองกระมังครับคุณน้า ไม่ใช่ลูกชายของคุณน้า

 
น้าษายื่นมือมากุมมือผมที่วางไว้บนตัก


“ว่ายังไงลูก น๊อตก็ดูปกติดี ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย”

 
“ผม...” ผมเม้มปาก สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “ผมขอโทษครับน้าษา”

 
“ที่สองพูดคือเรื่องจริงสินะ”

 
ผมก้มหน้าไม่ตอบ

 
“ผู้ชายทั้งคู่จะรักกันได้ยังไง น้าไม่เห็นด้วย”

 
ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ยิ่งกว่าตอนโดนเฮียมอสแกล้งบอกว่าสอบไม่ติดเสียอีก ผมไม่กล้าสบตาน้าษาด้วยซ้ำ

 
“ครอบครัวของน๊อตก็ยังไม่รู้ใช่มั้ย”

 
ก้อนแข็งๆ จุกอยู่ที่ลำคอ ผมพยายามกลืนมันลงไป ก่อนจะส่ายหัวยอมรับ ในใจลึกๆ นึกโทษพี่สองที่ลากผมมาทั้งที่ผมยังไม่พร้อม อะไรหลายอย่างก็ยังไม่มั่นคงด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาบอกผมว่ามันจะไม่เป็นไรแท้ๆ

 
“เลิกได้มั้ย”

 
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาน้าษาทันทีที่ฟังประโยคคำถามจบ น้าษาหน้านิ่งสนิท น้าแซมก็มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

 
“ผมขอโทษครับ แต่ผมสัญญากับพี่สองไว้แล้วว่าถ้าเป็นเรื่องของเรา...ผมจะตัดสินใจเองคนเดียวไมได้ ขอโทษจริงๆ ครับคุณน้า”

 
“น๊อตชอบลูกชายน้าตรงไหน หล่อ รวย ช่างเอาใจใช่มั้ย”

 
“ถ้าเป็นพี่สองผมก็รับได้ทั้งหมดเลย”

 
“หืม?”

 
“ผมตอบไม่ได้ว่าชอบเขาที่ตรงไหน แต่ทั้งหมดที่เป็นเขาผมชอบหมดเลย” ทั้งความเอาใจใส่ ความใจดี ความเก่ง ความดี ความปากหนัก ความขี้หวงหลบใน ทั้งหมดนั่นเลย

 
“ตกลงว่าจะไม่ยอมเลิกใช่มั้ย”

 
น้าษาพูดเสียงสั่น กระฉากใจผมแทบหลุดออกมา

 
“ว่ายังไง”

 
ผมผงกหัว ก้มหน้าชิดคาง หางตาเห็นเงาร่างคนลุกขึ้น

 
“งั้นก็ไม่ต้องเลิก”

 
เห...

 
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นน้าษานั่งยิ้ม ใบหน้าเป็นปกติไร้แววเคร่งเครียดเหมือนเมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้ น้าแซมเดินนำพี่สองเข้ามาในห้อง พอเห็นหน้าพี่สองผมก็รู้สึกอยากร้องไห้แปลกๆ แต่ต้องกลั้นเอาไว้

 
พี่สองเดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผมในท่าคุกเข่า เขายื่นมือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปหาน้าษาที่กระซิบกระซาบอยู่กับน้าแซม

 
“แม่แกล้งแฟนผมแรงไปแล้ว”

 
ดะ...เดี๋ยวนะ

 
“มีแฟนแล้วลืมแม่” น้าษาตอบกลับเสียงขึ้นจมูก

 
“ทีเวลาแม่อยู่กับแด๊ด แม่ยังลืมผมเลย” พี่สองเถียงกลับ เขาเลื่อนมือมาจับมือผมแล้วบีบส่งความอบอุ่นมาให้

 
“ไม่มีอะไรแล้ว แม่แค่อยากแกล้งรับขวัญ”

 
“ฮะ?”

 
น้าษาเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างผม แล้วอ้าแขนกอด “ยินดีต้อนรับนะคะน้องน๊อต ทีแรกน้าก็ว่าจะแกล้งแค่นิดเดียวเพราะสองขอไว้ แต่พอเห็นหน้าซีดๆ ของเราแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ไม่โกรธน้านะ”

 
ผมมองพี่สองที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ แล้วมองเลยไปที่น้าแซมที่ส่งยิ้มใจดีมาให้เช่นกัน

 
“ขอบคุณครับน้าษา”

 
ผมยิ้มกว้าง โล่งใจจนอยากร้องไห้



Talk : มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง วุฮ่าๆ




หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 12.11.61 ● เทคที่ 11 มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-11-2018 19:05:38
ใจน๊อตไปกองอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 12.11.61 ● เทคที่ 11 มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-11-2018 10:46:59
สำเร็จ.........ด้านพ่อแม่พี่สอง  :katai2-1:
ทำเอาใจหายใจคว่ำไปเลย ช่างแกล้งนะ  :z3: :sad4: :เฮ้อ:

โม นางสวย แต่ก็แปลกๆ  :really2:
มีอะไรที่สมองไม่สมกับความสวยของนาง  o22
เหมือนระบบตวามคิดนางเอียงกะเท่เร่
นี่ถ้านางไม่พาแฟนใหม่มาเยาะเย้ยสอง
นางคงกินแฟนใหม่เพลินไปแล้ว
เอ๊..........หรือเป็นโชคของอิฐกันนะ  ได้ไฟน์ สดใหม่ไปเป็นแฟน o18
เหมือนอิฐ เล็งไฟน์มานานแล้ว แต่ไฟน์ไม่รู้    :really2:
เลยเข้าทางอิฐจังเบอร์   :m20: :laugh: :pigha2:

พี่สอง  น๊อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 12.11.61 ● เทคที่ 11 มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-11-2018 14:18:16
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 12.11.61 ● เทคที่ 11 มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 13-11-2018 16:07:55
แม่กับแด๊ดน่ารัก แกล้งลูกสะใภ้หนักกว่าลูกชายตัวเองซะอีก
ครอบครับสุขสันต์
 :mew1:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 12.11.61 ● เทคที่ 11 มีคนหายใจไม่ทั่วท้อง
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-11-2018 21:39:38
 ใจหายใจคว่ำไปหมดเลย คิดว่าแม่พี่สองจะให้เลิกจริงๆแล้วซะอีก
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-11-2018 13:25:36

เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก


การไปกินข้าวกับครอบครัวของพี่สองในสถานะใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น (แม้ผมจะแทบหัวใจวายตาย) หลังจากที่โดนน้าษาแกล้งจนน้ำตาซึม พี่สองก็ลูบหัวปลอบผม ก่อนจะเฉลยด้วยรอยยิ้มว่าน้าษาจับได้นานแล้วแต่ไม่เปิดโปง รอให้พี่สองเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง

 
พี่สองแอบบอกผมว่าโดนพ่อต่อยไปหนึ่งที


ตั้งแต่มีแฟนชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ที่เคยกำเริบบ่อยครั้ง เพราะการเอาใจใส่ของพี่สองทำให้ตั้งแต่คบกันมาผมต้องกินยาแก้แพ้แค่สามครั้ง นับเป็นสถิติใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

 
อาทิตย์ที่แล้วผมไปเยี่ยมพี่ซันที่โรงพยาบาลพร้อมกับพี่สอง เพราะเกิดเรื่องกับน้องบีทส์ พี่ซันวิ่งพล่านเหมือนหมาโดนน้ำร้อน ขอความช่วยเหลือจากพี่ๆ จนติดหนี้บุญคุณชาวบ้านเขาไปตั้งเท่าไหร่ผมก็ยากจะหาคำตอบได้ บอกตามตรงว่าผมโคตรตกใจที่คนก่อเรื่องคือพี่เจ


ช่วงเวลาที่ผมรอฟังข่าวอยู่ที่ห้องพร้อมกับไอ้เวล เป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานใจที่สุด จนกระทั่งพี่สองโทรมาให้ผมไปเจอที่โรงพยาบาล ผมก็ดิ่งไปแทบจะทันที
 

น้องบีทส์ปลอดภัยดี แต่ต้องนอนรอดูอาการที่โรงพยาบาล ส่วนพี่ซันบาดเจ็บภายใน พอส่งน้องบีทส์ถึงมือหมอปุ๊บ ก็ล้มทั้งยืน โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นสาหัส หมอสั่งให้นอนโรงพยาบาล มีแม่พี่อาร์ตเป็นหมอเจ้าของไข้
 

กว่าจะผ่านเรื่องดราม่ามาได้เล่นเอาผมลุ้นจนเหนื่อย

 
“น๊อต”


ผมหันไปเลิกคิ้วใส่คนเรียก วางเกมในมือ พี่สองเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เขาเพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเมื่อตอนหกโมงเย็น ถึงห้องก็ปีนขึ้นเตียงนอน ตื่นขึ้นมาอีกทีราวๆ สองทุ่ม

 
“หยิบชุดให้สักชุดสิ”

 
ผมเบ๋ปากเมื่อได้ยินคำสั่ง ลงจากเตียงไปที่ตู้เสื้อผ้า “อยากได้แบบไหน”

 
“ยืดยีนส์”


ผมหยิบกางเกงตัวโปรดของพี่สองพร้อมกับเสื้อยืดสีดำออกมาหนึ่งชุด เดินกลับไปยื่นให้พี่สองที่นั่งเช็คมือถือผมอยู่ที่ปลายเตียง

 
เผลอไม่เคยได้ ไม่รู้จะระแวงอะไรนัก

 
“มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

 
พี่สองเงยหน้าขึ้นมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนดูอินสตาแกรมส่วนตัวของผม

 
“เห็นว่าเพิ่งไปกินชาบูกับเพื่อนมา”


ผมพยายามนึกถึงหน้าเพื่อนที่ไปด้วยกัน ผู้สามารถจุดประกายความไม่พอใจเล็กๆ ให้พี่สองได้ ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลตัดทิ้ง ยิ่งพี่หินยิ่งแล้วใหญ่ เหลือก็แค่ไอ้ธรรศ ไอ้เหิน และสุดท้ายคือเก้าหญิงสาวคนเดียวที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยความบังเอิญ

 
“พี่หินเลี้ยงที่ได้เลื่อนขั้น ไอ้เวลเลยชวน” ผมอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดงานเลี้ยง

 
“เหรอ”

 
ผมมองหน้าพี่สองเกร็งๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างเขาเงียบๆ

 
พี่สองยื่นมือถือส่งคืนให้ผม หลังจากเงียบไปพักใหญ่ “เพื่อนมึงมันคิดไม่ซื่อ” เขาพูดเปรยๆ พลางลุกขึ้นแต่งตัว

 
“เอาที่ไหนมาพูด”

 
“ไม่เชื่อก็แล้วแต่” เขายักไหล่ “ไปแต่งตัวไป เปลี่ยนแค่กางเกงก็ได้ ไอ้ซันนัดเจอ”

 
ผมขมวดคิ้ว

 
“พี่ไม่ไว้ใจผมเหรอ”


พี่สองที่หัวเพิ่งโผล่จากคอเสื้อหันมามองผม เหมือนแปลกใจที่ได้ยินคำถามนี้ แต่ก็ยอมตอบ “ไม่ใช่เรื่องของความไม่ไว้ใจ แต่แฟนใครใครก็หวงทั้งนั้น”

 
ผมหลุบตามองพื้นหันหน้าเข้ากำแพง

 
ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงคนเคลื่อนไหวดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ด้านหลังผม

 
“เขินก็หันหน้าเข้ากำแพง โกรธก็หันหน้าเข้ากำแพง”

 
เสียงเย้าดังอยู่ข้างหู

 
ผมรีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับพี่สอง เปลี่ยนเรื่องพูดทันทีทันใด “พรุ่งนี้เช้าผมต้องกลับบ้านนะ” พี่สองยิ้มรับ ยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่ง

 
“เดี๋ยวไปส่ง”

 
หลังจากแต่งตัวเสร็จ พี่สองก็ขับรถพาผมไปยังสถานที่นัดหมาย เมื่อไปถึงพี่สองโทรหาพี่ซันเพื่อถามหมายเลขโต๊ะที่นั่ง ก่อนจะเดินนำผมเข้าไป โดยมีสายตาหลายคู่มองมาที่เราอย่างสนใจ

 
สำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจะมีสายตาใครสักคนจับจ้องมาที่เรา คล้ายกับเวลาเราอยู่ในห้องเรียนแล้วเพื่อนก็ขออนุญาตเข้าห้องมาทีหลัง รู้จักหรือไม่รู้จัก ก็ดึงความสนใจจากเราให้หันไปมองได้

 
ผมเรียกมันว่าปฏิกิริยาอัตโนมัติ

 
เพียงแต่...

 
ไอ้คนที่เดินนำผมอยู่ตอนนี้ดันเซ็ตผมมาซะหล่อเลย สาวๆ หลายคนเลยมีท่าทีสนอกสนใจพุ่งมา ผมกับพี่สองเดินถึงโต๊ะที่มีพี่ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมก็ยกมือไหว้ไล่ตั้งแต่ พี่อั๊ต พี่แทน พี่ปลื้ม พี่อาร์ต พี่โต้ง พี่บาส

 
“ไอ้คู่นี้มันยังไง ตัวติดกันอย่างกับตังเม”

 
พี่บาสแซ็ว ผมเหลือบมองพี่สอง เห็นเขายิ้มตอบเพื่อนแทนคำพูด ก่อนจะตบเบาะข้างตัว ส่งสัญญาณให้ผมนั่ง

 
“ให้มันจูบปากกันให้ดูก็รู้แล้ว”

 
พี่ปลื้มออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ จนผมต้องชั่งน้ำหนักในใจว่าพี่มันแค่แซ็วหรือว่าคิดแบบนั้นจริงๆ

 
“จูบมั้ย”

 
พี่สองหันมาถามผมรับมุก ก่อนจะรับแก้วจากพี่ซันแล้วชนกันดังเกร๊ง ผมส่งค้อนให้เขาประหลับปะเหลือก ก็รู้ว่าเพื่อนชอบแกล้งผม แทนที่จะปรามเพื่อนสักหน่อย

 
“สอยลูกเจ้าของร้านทองจนได้สินะมึง เพื่อนกูกำลังจะเป็นหนูตกถังข้าวสาร”

 
“ข้าวสารพ่อง” พี่สองด่าพลางเขวี้ยงน้ำแข็งใส่พี่บาส ไอ้พี่บาสก็มุดหัวหลบอุตลุด ฮ่าๆ

 
พี่ซันหันมามองผมสีหน้าจริงจังจนผมต้องวางแก้วเหล้าในมือ “มึงโดนเพื่อนกูล่อลวงหรือเปล่าน๊อต กูให้โอกาสมึงเลือกในฐานะน้องกู ถ้ามึงไม่เต็มใจมึงมีสิทธิ์ที่จะถอนตัวตอนนี้ แล้วกูจะไม่ให้เพื่อนกูไปวุ่นวายกับมึงอีก” เขาเหลือบมองหน้าพี่สอง ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ผมอีกครั้ง

 
ผมมองหน้าพี่รหัสตัวเองด้วยความซาบซึ้ง

 
แต่ว่า...

 
“น้องมึงต่างหากที่เป็นฝ่ายล่อลวงกู” พี่สองทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง ผมเม้มปาก หลุบตามองแก้วเหล้าตัวเองตรงหน้า แม้จะรู้ว่ามันคือความจริงแต่มันก็อดเขินไม่ได้โว้ย!

 
“โอ้ ดูท่าไอ้สองจะเสียหมาว่ะ” พี่อาร์ตหัวเราะ หันไปชนแก้วกับพี่อั๊ต


“ผิดคาดสุดๆ” พี่อั๊ตพยักหน้าเออออ


พี่ซันมองหน้าผมด้วยสายตาอึ้งกิมกี่ ก่อนจะยกมือตบหน้าผาก “โธ่ เพื่อนกู”


ผมกระพริบตาใสซื่อไร้ความผิด ก่อนจะหยิบข้าวเกรียบมาใส่ปากแก้เก้อ อย่าพูดอะไรจะดีกว่า พูดไปก็เข้าตัว เพราะฉะนั้น...เงียบปากไว้เถอะ

 
พี่สองยิ้มรู้ทัน เขายื่นมือมายีหัวผม ก่อนจะหันไปคุยกับพี่ซัน “แล้วนี่มึงหนีเที่ยวได้ไง”

 
พี่ซันยักไหล่ “ไม่ได้หนี มีเมียนะครับไม่ได้มีผู้คุมส่วนตัว ขอมาดีๆ กูก็มาได้” ผมกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของพี่ซัน ไม่กล้าหัวเราะดังเหมือนพี่อาร์ตกับพี่บาส

 
“ไอ้สัด กูนึกว่าจะแน่” พี่สองด่าขำๆ


“เมียมันเด็กดีจะตายชัก” พี่โต้งจุ๊ปาก

 
พี่ซันพยักหน้าสารภาพ เหมือนไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ “แม่เขาเลี้ยงมาดี”

 
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ซัน น้องเป็นเด็กผู้ชายที่ร่าเริง ขี้เล่น บางทีชอบอ้อนด้วย อยู่ใกล้แล้วสบายใจ ไม่แปลกใจที่ชนมนุษย์หินอย่างพี่ซันซะแตกกระเจิง พี่สองยังเคยเปรยกับผมเล่นๆ เลยว่าอยากมีน้องชายแบบบีทส์


“มึงบอกที่บ้านแล้วเหรอ” พี่อาร์ตเปรยถามพี่สอง พลางก้มกดแอพลิเคชั่นไลน์ในมือถือ ให้เดาคงเป็นแฟน แต่ไม่ยักพามาเปิดตัว

 
พี่สองเลิกคิ้ว เหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะตอบเมื่อผมพยักหน้าให้เขาเบาๆ “พาไปเจอแม่กับแด๊ดมาแล้ว”


“เช็ดโด้”


พี่ๆ อุทานพร้อมกัน


พี่สองยักคิ้ว ยื่นมือมาเกี่ยวคอผมไปกอดหลวมๆ


“กูจริงจัง”

 
คำพูดของพี่สองเรียกเสียงโห่จากคนในโต๊ะ ผมดิ้นส่งสัญญาณให้เขาปล่อย พี่สองหัวเราะยอมปล่อยมือ ผมรู้ว่าเขาแค่แหย่เพื่อนของเขา ไม่ได้คิดจะประกาศความเป็นเจ้าของอะไรหรอก


ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเกม ปล่อยให้พี่สองคุยกับเพื่อนๆ อย่างรู้มารยาท เท่าที่ได้ยินผ่านๆ พี่ซันนัดทุกคนมาที่นี่ก็เพราะอยากเลี้ยงขอบคุณอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังรวบการเลี้ยงส่งพี่โต้งที่กำลังจะบินไปเรียนต่อโทบริหารฯ ที่อังกฤษ


สี่ทุ่มพี่บาสขอตัวออกไปก่อนเป็นคนแรกพร้อมกับหญิงสาวท่าทางน่ารักคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ไม่ไกล ถัดจากนั้นไม่นานพี่แทนกับพี่ปลื้มก็ขอตัวกลับเพราะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดในเช้าวันรุ่งขึ้น พี่ซันออกไปคุยโทรศัพท์ พี่สองกำลังไปเคลียร์บิลแทนพี่รหัสผม


“อาร์ต มึงยังไม่เลิกกินเด็กอีกเหรอ”

 
พี่โต้งโพล่งถามพี่อาร์ตที่กำลังพิมพ์แชทสนทนาด้วยรอยยิ้มติดมุมปาก
           

“หือ?”


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไอ้สัด”


พี่อาร์ตเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “มีความสุขจะให้กูร้องไห้เหรอ”


พี่โต้งหัวเราะหึๆ หันมาถามผมด้วยความคะนองปาก “มึงล่ะไอ้ตี๋ มีแฟนเป็นผู้ชายรู้สึกยังไง” แต่ผมกลับไม่รู้สึกขำด้วยสักนิด

 
ผมส่งยิ้มเจื่อนให้คำถามเขา ถ้าเป็นคนอื่นที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วยมากพอ ผมคงขำใส่แล้วกวนตีนกลับไปว่า ‘ก็ดีนะครับ โดนทะลวงประตูหลังก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ ดี’


“ไอ้โต้ง” พี่อาร์ตปรามเพื่อนทั้งเสียงและสายตา


พี่โต้งยักไหล่ “เรียกทำไม” แล้วหันมาส่งยิ้มเลวๆ ให้ผมหนึ่งที


“อย่าให้ไอ้สองรู้เชียวว่ามึงปากหมาใส่เด็กมัน”


แผ่นหลังผมชื้นเหงื่อ รู้สึกติดลบกับสายตาของพี่โต้ง ภาวนาให้พี่สองกลับมาเร็วๆ ผมไม่ได้สนิทกับเพื่อนที่สนามของพี่รหัสมากพอจะที่ต่อปากต่อคำ ไปเช็คบิลหรือไปช่วยเขาเก็บร้านวะ นานฉิบหาย


พี่โต้งหันไปเลิกคิ้วให้พี่อาร์ต สายตาของทั้งคู่จ้องสบกัน

 
“ไม่เป็นไรหรอกพี่” ผมรีบออกตัวเพราะไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เพื่อนสองคนสาดน้ำแข็งใส่กัน พี่อาร์ตหันมามองหน้าผม ก่อนจะสั่งผมให้เงียบปากทางสายตา ผมเลยก้มหน้าหยิบมือถือออกมาเล่นเกม


“มึงจะฟ้องมันว่างั้น?” พี่โต้งเลิกคิ้วกวน


“กูเตือนดีๆ”


ผมเม้มปาก เพ่งสมาธิกับเกมที่เล่นอยู่ พยายามไม่สนใจบทสนทนาที่แสนจะเย็นเหยือกของพี่อาร์ตกับพี่โต้ง ดูเหมือนว่าพี่โต้งจะไม่ชอบผมซะแล้ว ผมแอบยักไหล่


ในเมื่อไม่ชอบก็แค่ต่างคนต่างอยู่
 

“เฮอะ”


พี่โต้งกระชากเสียง ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกแล้ววางกระแทกโต๊ะจนผมสะดุ้ง


“กูกลับละ"
 

พี่โต้งลุกขึ้นยืน สายตาเขามองต่ำมาที่ผม ก่อนจะหันหลังเดินออกไปโดยไม่รอเสียงตอบรับจากพี่อาร์ต ผมมองตามแผ่นหลังของพี่โต้งจนแผ่นหลังนั้นหายไป จึงดึงสายตากลับ พี่อาร์ตถอนหายใจ ไม่พูดอะไรต่อ
 

ไม่นานหลังจากนั้นพี่สองก็เดินกลับมา


“เกิดอะไรขึ้น” เขาเลิกคิ้วถาม


“เปล่านี่” ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

 
“สีหน้ามึงดูไม่ดี ไม่สบายเหรอ หรือว่าปวดหัว” พี่สองถามน้ำเสียงห่วงใย ผมลอบสบตากับพี่อาร์ต “ทำไม ไอ้อาร์ตแกล้งอะไร” ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธ เมื่อพี่สองหันไปทำสีหน้าเอาเรื่องกับพี่อาร์ต ไอ้พี่นี่ก็ขี้แกล้งจริง


“หัวเน่าเลยนะกูเนี่ย” พี่อาร์ตชี้เข้าหาตัวเองขำๆ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังเปลี่ยนเรื่อง “กูว่าไอ้โต้งมันแปลกๆ นะ” เขาเกริ่น มองหน้าพี่สองไปด้วย พี่สองเลิกคิ้วมองหน้าเพื่อนสนิทตัวเอง แล้วเหลือบมองผม


“ไอ้โต้งสินะ”


ผมทำหน้าอ้ำอึ้ง รู้สึกทึ่งในมิตรภาพของพี่อาร์ตกับพี่สอง รู้อยู่หรอกว่าทั้งพี่รหัสผม พี่อาร์ตแล้วก็พี่สองสนิทกันมาก แต่ผมรู้ดีว่ากับพี่โต้ง พี่บาสและพี่ๆ ที่สนามคนอื่นๆ ก็สนิทกับกลุ่มพี่ซัน


เมื่อกี้ผมยังได้ยินเต็มสองหูว่าพี่อาร์ตเตือนพี่โต้งว่าอย่าทำให้พี่สองรู้อยู่ชัดๆ

 
แต่ตัวเองดันเป็นคนบอกเองซะงั้น!!
 

พี่สองหัวเราะ ยื่นมือมาดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”

 
ผมส่ายหัว “อย่าเลย ผมไม่ได้เป็นอะไร”
 

พี่สองทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่...


“ไอ้เหี้ยอย่า! สงบสติอารมณ์ก่อน”


ผมหันไปมองตามเสียง เมื่อได้ยินเสียงห้ามปรามกันดังเข้ามาแทรกบทสนทนาของผมกับพี่สอง ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงคุ้นตาที่เดินหน้าตึงเข้ามาที่โต๊ะของเรา
 

ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างนั้นชัดขึ้น


“เฮียน่าน!” ผมอุทาน ในขณะเดียวกันเฮียก็เดินมาถึงตัวผม เขากระชากแขนผมขึ้นทีเดียวผมก็ลอยไปอยู่ข้างเฮียแล้ว เพื่อนเฮียที่ตามมาห้ามก็ยืนเป็นกองหนุนอยู่ด้านหลัง

 
พี่สองกับพี่อาร์ตลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน

 
“มึงคิดไม่ซื่อกับน้องกู เลวระยำ!” เฮียน่านขึ้นมึงกู มองหน้าพี่สองด้วยสายตาโกรธจัด ผมกำมือที่สั่นของตัวเองแน่น จากคำพูดของเฮียไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขารู้เรื่องที่ผมพยายามปกปิดแล้ว


เป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีเอาซะเลย


ผมไม่กล้ามองหน้าเฮียด้วยซ้ำ

 
“ผมคิดว่าเราต้องคุยกันอีกยาว”
 

พี่สองสบตาเฮียน่าน

 
“แหงอยู่แล้ว” เฮียน่านรับคำ แล้วหันมามองหน้าผม เขาขบฟันแน่น อ้ำอึ้ง อ้าๆ หุบๆ ปากอยู่หลายครั้ง ก่อนจะทำหน้าจนปัญญาใส่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้น เห็นหน้าเฮียเหมือนเห็นผี”
 

“ฮะ...เฮีย” ผมปากคอสั่น ด้วยความกลัวจับจิต


ผมกลัวว่าเฮียจะโกรธแล้วเกลียดผม


เฮียน่านมองข้ามไหล่ผม หันไปคุยกับเพื่อน “พวกมึงไปสนุกต่อเถอะ กูมีเรื่องต้องทำ งานเลี้ยงมื้อนี้จดใส่บิลไว้ เดี๋ยวกูมาเคลียร์” พูดจบก็หันไปสบตาพี่สอง


“ไปที่ห้องมึงก็แล้วกัน”

 
ผมขยับไปยืนขวางหน้าเฮีย


"เฮีย...น๊อตขอเวลาแค่ห้านาที"


เฮียเบ๋หน้า
 

"แค่สามนาทีก็ได้" ผมชูสามนิ้วประกอบ ทำหน้าอ้อนวอนไปด้วย

 
"แค่สองนาทีเฮียจะไปรอตรงนู่น" เฮียชี้ไปที่ทางเลี้ยวก่อนถึงทางออก


"โอเค"

 
ผมหันมาสบตาพี่สอง พี่อาร์ตเดินเลี่ยงออกไป
 

"พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ผมเป็นคนล่อลวงพี่ ผมต้องรับผิดชอบ"

 
พี่สองเงียบมองหน้าผม
 

"จริงๆ นะ" ผมย้ำ


"ตอบคำถามพี่สักสองสามข้อ"


ผมพยักหน้า "ได้"
 

"พี่เป็นใคร"


แค่คำถามแรกก็ทำผมชะงัก ผมเหลือบมองเขา รู้ว่าคำตอบที่คนตรงหน้าต้องการคงไม่ใช่ประเภทว่า 'พี่คือพี่สองไงครับ'


"คิดนาน"


ผมเม้มริมฝีปาก "ฟะ...แฟน"
 

"ตอบให้เคลียร์"

 
"พี่เป็นแฟนผม"


"มึงคิดเล่นๆ กับพี่หรือเปล่า"


คราวนี้ผมตอบทันควัน "ผมจริงจังนะ"


ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคำถามนี้ มันเหมือนกับว่าผมแค่อยากทดลองคบเขาคั่นเวลาไปงั้นๆ ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้ผู้ชายด้วยกันยึดอาณานิคมประตูหลังเล่นหรอก


"พี่ก็เหมือนกัน" เสียงหนักแน่นและจริงจังนั้นทำให้ผมชะงัก


"เพราะงั้นพี่ถึงต้องไปคุยกับพี่ชายมึงให้รู้เรื่อง" พี่สองให้เหตุผล


"แต่เราเพิ่งคบกันได้ไม่นานเอง" คบกันยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำถูกจับได้ โคตรไว

 
พี่สองส่ายหน้าไม่เห็นด้วย "อย่าลืมว่าเรารู้จักกันมาก่อนหน้านั้นสามปี คิดว่าเรายังรู้จักกันได้ไม่ดีพออีกเหรอ" ผมไม่กล้าตอบว่า แก้ผ้าเดินในห้องก็ทำมาแล้ว
 

"ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ผมน่าจะเคลียร์กับทางบ้านให้เรียบร้อยก่อน ก่อนที่ผมจะพาพี่ไปเจอ" เหมือนที่เขาเคยทำให้ผม

 
พี่สองมีสีหน้าจนใจ เขายกมือขึ้นมานวดขมับก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตาเคร่งขรึม

 
"ไม่อยากจะใช้คำนี้พูดกับมึงเลย ให้ตายสิน๊อต ช่วยสำเนียกตัวเองไว้ด้วยว่ามึงน่ะ...เมียกู เรื่องยุ่งยากของทางบ้านมึง มึงต้องปล่อยให้ผัวอย่างกูพิสูจน์ตัวเอง"

 
"..."
 

ผมหลุบตาลงก่อนจะกรอกตามองซ้ายมองขวา


"ถ้าอยากได้กำแพง มึงต้องเดินไปที่ห้องน้ำหรือไม่ก็ออกไปนอกร้าน" พี่สองพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

 
"เฮียผมโหดมากเลย" ผมพึมพำ

 
พี่สองมองข้ามไหล่ผมไป ก่อนจะเบนสายตากลับมามองผม "คงไม่เท่าป๊ามึง" ผมรีบพยักหน้าสมทบ


"ระดับเฮียคูณสาม" ผมชูสามนิ้ว


พี่สองหลุดหัวเราะ

 
"กูไม่กลัวที่จะเข้าถ้ำเสืออยู่แล้ว" เขายื่นมือมาเคาะหน้าผากผม "มันคุ้มพอ เพราะลูกเสือตัวนี้กูโคตรอยากได้"


"บ้าเอ้ยทำไมพี่ต้องชอบอ่อยให้ผมใจสั่นอยู่เรื่อย" ผมโอดครวญ

 
"ยังมีอะไรจะพูดอีกมั้ย"


ผมยิ้มแสร้งทำสีหน้าจนใจ "ช่างเถอะ ขู่ก็แล้ว ไล่ก็แล้ว พี่ก็ยังยืนยันคำเดิม แค่นี้ผมก็วางใจแล้ว"
 

พี่สองยิ้มชำเลืองมองด้านหลังผมอีกครั้ง


"ไปกันเถอะพี่มึงเริ่มอารมณ์บูดแล้ว"


ผมนั่งเงียบกริบอยู่ในรถเฮีย ระหว่างที่เฮียกำลังขับรถตามพี่สองกลับคอนโด


“น๊อต”


“...” ผมเม้มปาก


“หายใจด้วย”


ผมสูดอาการเข้าปอดลึกๆ ตามคำสั่ง


“กลัวอะไร”


“กลัวเฮียเกลียด"
 

เฮียเงียบไปอึดใจ


“ทำไมถึงคิดงั้น ถึงเฮียจะโกรธ แต่ไม่มีทางที่เฮียจะเกลียดน้องตัวเอง”

 
นับได้ไม่กี่ครั้งที่เฮียน่านจะทำให้ผมซาบซึ้งจนรู้สึกน้ำตาปริ่มที่หางตา ปกติเขาจะคอยแกล้งผมผสมโรงกับเฮียมอสไม่หยุดแล้วไม่ค่อยโอ๋ด้วย ไม่เหมือนเฮียมอสที่แกล้งไปแอบถือหางไป
 

“ถ้าป๊ากับม๊ารู้ ก็ต้องโกรธเหมือนกัน”
 

ผมนึกถึงใบหน้าใจดีของป๊ากับม๊า คนที่รักผมมากที่สุดในบ้านก็คือป๊า


“ลื้อเต็มใจหรือเปล่า”


ผมเม้มปาก พยักหน้ารับแทนคำตอบ


“น๊อตก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้นะเฮีย รู้ตัวอีกทีก็ชอบเขาไปแล้ว” ผมสารภาพ พลางเหลือบมองป้ายคอนโดพี่สองที่อยู่ข้างหน้าแล้วกลืนน้ำลาย


“ยังชอบผู้หญิงได้อยู่ใช่มั้ย”
 

“เฮีย...”
 

“เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะตี๋เล็ก” เฮียตัดบทเสียงดุ ผมถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ขนาดเฮียน่านยังทำท่าจะรับไม่ได้ ไม่ต้องไปหวังถึงป๊าหรือเฮียมอสเลย


ยืนยันนอนยันได้เลยว่าเซย์โนแน่นอน
 

ถึงคอนโด เฮียน่านขับรถตามเข้าไปจอดข้างรถพี่สอง จากนั้นเราทั้งสามคนก็เดินตามกันเข้าลิฟท์เงียบๆ พอผมจะก้าวเข้าไปกระซิบกระซาบพี่สองหน่อย เฮียก็ดึงเสื้อผมไว้ จนผมเป็นฝ่ายยอมแพ้


พี่สองเปิดประตูเข้าไปในห้องก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหยิบน้ำกับแก้วออกมาวางไว้บนโต๊ะ ผมเดินนำเฮียไปที่โซฟารับแขกแล้วนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม


เฮียน่านเลือกที่นั่งตรงข้ามผมแล้วกอดอกมอง เขาตวัดสายตามองพี่สองที่เดินมาลูบหัวผมก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งเดียวกัน

 
"ขอเนื้อๆ ไม่เอาน้ำ" เฮียน่านเปิดปาก


ผมเหลือบตามองพี่สองก่อนจะขอเล่าเรื่องเอง ผมเป็นฝ่ายล่อลวงพี่สองผมต้องรับผิดชอบ อีกอย่างผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี อันไหนเล่าได้เล่าไม่ได้ผมมั่นใจว่าตัวเองเดาไม่พลาด

 
ผมเล่าที่มาที่ไปของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่สองคร่าวๆ เพราะบางส่วนเฮียรู้อยู่แล้ว อาทิเช่น พี่สองเป็นพี่เทคของผม จนกระทั่งผมชอบอีกฝ่ายก่อนและเผอิญพี่สองจับได้ทั้งยังตอบรับรักของผม เฮียน่านกอดอกฟังเงียบๆ มีเพียงแค่ตอนที่ผมสารภาพว่าชอบพี่สองก่อนเท่านั้นที่เฮียน่านยกมือขึ้นมาลูบหน้า


ผมเล่าจบก็หลุบตามองมือที่วางอยู่บนตัก

 
เกิดความเงียบขึ้นในขณะนั้น ผมใจสั่นจนรู้สึกว่าเหงื่อหลั่งออกมาจนฝ่ามือและแผ่นหลังเปียก ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในห้องยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม

 
"คิดจะบอกป๊าเมื่อไหร่"


ผมกลั้นหายใจเมื่อฟังคำถามจบ


"ผมรอให้เขาพร้อม" พี่สองตอบเสียงหนักแน่น เขาไม่วอกแวกด้วยซ้ำตอนเฮียน่านมองเขาด้วยสายตาดุดัน

 
เฮียน่านเลื่อนสายตากลับมาจ้องหน้าผม


"..." แต่ผมไม่มีคำตอบ


พี่สองแสดงความหนักแน่นให้ผมมั่นใจ ครอบครัวเขาก็เปิดแขนต้อนรับผมอย่างดี ไม่มีท่าทีในทางลบให้ผมลำบากใจ กลับเป็นตัวผมที่ยังรักตัวเองมากกว่า


ผมยังมีความเห็นแก่ตัว เป็นความเห็นแก่ตัวที่พี่สองเรียกมันว่า ‘ความกลัวเพราะความรัก’ ผมกลัวที่จะทำให้ป๊าเสียใจ กลัวม๊ารับไม่ได้

 
เฮียน่านถอนหายใจหนักๆ "ตี๋เล็กเอ้ยยยย"
 

ผมเหลือบตามองเฮียน่านแล้วหลุบตาลง
 

"มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนสารภาพกับป๊าว่าแอบจิ๊กเงินไปซื้อเกมนี่"


"ขี้ขลาด"


เฮียน่านดุ


เออยอมรับก็ได้ว่าขี้ขลาด ผมมองหน้าเฮียงอนๆ พี่สองยื่นมือมาวางบนหลังมือผมแล้วออกแรงกระชับ

 
"ผมไม่ได้จะหลบๆ ซ่อนๆ แต่มันยังไม่ถึงเวลา ผมยังเรียนไม่จบ ไอ้น๊อตก็เหมือนกัน เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ผมยังไม่มีหน้าไปขอคบกับน้องชายพี่ต่อหน้าคนที่เลี้ยงดูลูกชายของตัวเองมาอย่างดี" พี่สองมองสบตากับเฮียน่านก่อนจะมองต่ำมาที่ผม "ตอนนี้ผมทำได้แค่พยายามดูแลคนของผมให้ดีด้วยเงินของพ่อแม่ตัวเองอยู่ แต่สักวันที่ผมยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ ผมจะไปขอน้องชายพี่มาดูแลด้วยตัวเอง"


เฮียน่านมองผมสลับกับพี่สองเงียบไปหลายอึดใจจนผมใจแป้ว


"ถ้าวันหนึ่งไอ้ตี๋มันสำนึกได้ว่ายังชอบผู้หญิงอยู่ล่ะ" ผมเงยหน้ามองเฮียด้วยความตระหนก ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัวแล้วส่ายหัวรัว พี่สองเลื่อนสายตาลงมามองผมแล้วส่งยิ้ม


"ผมจะยอมปล่อยมือ"

 
ผมเม้มปาก รู้สึกขัดใจกับคำตอบนี้ ตรงข้ามกับเฮียน่านที่ขานรับด้วยความพอใจ


“แต่ผมจะชดเชยให้เขาด้วยความรักและความเอาใจใส่ ทั้งหมดที่ผมมีเขาจะเป็นเจ้าของ ผมจะทำให้เขามีความสุขจนไม่รู้สึกขาดอะไร” พี่สองก็ยังคงชัดเจนทั้งคำพูดและการกระทำอยู่เสมอ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ผมมั่นใจว่าเชื่อใจเขาได้

 
"กลับกัน...ถ้าวันหนึ่งมึงพบว่าตัวเองเลือกทางผิด มึงจะปล่อยมือน้องกูแล้วเดินออกไปง่ายๆ หรือเปล่า" คำถามของเฮียทำให้ผมนึกอยากสลัดมือพี่สองออกแต่ดันดิ้นไม่หลุด


"ผมตอบเรื่องของอนาคตไม่ได้ แต่สาบานได้ว่าตราบใดที่เรายังคบกัน ผมจะไม่มองใคร"


“ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

 
“ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”


คนที่พี่สองสบตาด้วยคือผม




----------------------------------------

Talk :: ชอบไม่ชอบยังไง บอกกันได้นะคะ ขอบคุณทุกๆ กำลังแรงใจค่ะ



หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-11-2018 14:52:35
ไปบอกพ่อกับแม่เลยน๊อต พี่สองยืนยันอย่างนี้   :hao3:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 20-11-2018 22:51:33
พี่สองและน้องน็อตต้องฝ่าฟันไปได้เนอะ
มีความชัดเจน หนักแน่น
เปิดอกครั้งนี้ของให้พี่กลายมาเป็นแบ็คด้วยเลย กำลังขาดกองหนุน 55
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-11-2018 02:05:58
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-11-2018 09:03:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 21-11-2018 21:30:31
สนุกง่าาา แต่เหมือนทล.เรื่องเดินเร็วไปหน่อย หรือจะไปเน้นเนื้อหาหนักในข่วงเป็นแฟนกัน เป็นกำลังใจให้น้องกะเฮียสองนาาา
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-12-2018 13:09:34
 :L2:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-12-2018 20:38:35
พี่โต้งนี่ยังไง ............
คิดไรๆกับพี่สองหรืเปล่า 
หรือแค่ปากเสีย ปากหมาเป็นปกติ  :fire: :angry2: :m31:

พี่สอง น่ารัก อบอุ่นมาก
ให้คำตอบเฮียน่านดี จนน็อตหงุดหงิดเรื่องถ้าน็อตเปลี่ยนไปชอบหญิง   :เฮ้อ:
คงยากเนาะ เพราะน็อตชอบพี่สองก่อน  :-[
พี่สอง  น็อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 20.11.61 ● เทคที่ 12 เมื่อความลับแตก
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 16-12-2018 07:45:26
 o13
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 11-01-2019 16:22:30
ตอนพิเศษ - นายตรัยคุณ


ณ วัดหัวลำโพง


'ขอให้การผ่าตัดของแม่ผ่านไปด้วยดี แข็งแรงและออกจากโรงพยาบาลในเร็ววัน'


แม่ผมแอดมิทเพราะมีนัดผ่าตัดเดอร์มอยด์ซีสต์


"กูอยู่บนพระอุโบสถแล้วเนี่ย มึงขึ้นมาเลย"


ผมเหลือบมองคนที่รีบหยิบมือถือขึ้นมากดรับด้วยหางตา เหมือนมันเองก็รู้ตัวว่าถูกมอง มันหันมาส่งยิ้มเกรงใจให้แล้วพึมพำขอโทษ ผมรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั่น เหมือนเคยเห็นที่ไหน เลยลองส่งเสียงเรียกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง


"นี่"


เด็กนั่นหันมา ก่อนจะทำสีหน้าแปลกใจ


“กี่โมงแล้ว”


“สิบโมงสี่สิบห้าครับ”


ผมลอบมองใบหน้าอีกคนผ่านๆ มั่นใจในคำตอบ โลกกลมจริงแฮะ


“พี่...” ผมชะงักขา “อยู่วิศวะโยธา ม.NU ปะครับ”


ผมหันหลังกลับไป เขาทำสีหน้าไม่มั่นใจรอคอยคำตอบ พอได้คำตอบจากผมก็ทำสีหน้าดีอกดีใจ แถมยังโม้เรื่องที่จะสอบเข้าเรียนที่เดียวกับผมให้ได้


“ก็...ขอให้โชคดี”


ไม่รู้จะพูดอะไรไปได้ดีกว่าการกล่าวคำอวยพรอีกฝ่ายให้สมหวัง คนได้รับคำอวยพรยิ้มรับจนตาปิด เออ พอยิ้มแล้วน่าเอ็นดูขึ้นเป็นกอง


“พอจะมีมือถือมั้ย”


“เอ๋?”


“มือถือโดนล้วงน่ะ” เป็นความซวยบรรลัยของวัน


อีกฝ่ายทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ควักมือถือส่งให้ผมด้วยท่าทีระแวดระวัง ตากลมโตคู่นั้นเหลือบมองตามมือถือตัวเองตาไม่กระพริบ


“ฮัลโหล” ไอ้ซันกดรับ


“กูอยู่ที่วัดฝั่งตรงข้าม มึงอยู่ไหน”


“ไอ้สอง?”


“เออ”


“เอาเบอร์ใครโทรมาวะ กูเกือบไม่รับสายแล้วเนี่ย”


“เดี๋ยวเล่า”


“เออ กูวนหาที่จอดรถอยู่ มึงรีบข้ามฝั่งมาเลย”


“โอเค เจอกันมึง”


ผมกดวาง แล้วคืนโทรศัพท์คืนอีกฝ่าย “ขอบใจมาก”


คนมีน้ำใจยิ้มรับ ก่อนจะมองผ่านไปทางด้านหลังของผม ผมหันหลังมองตามสายตามันเด็กสองคนนั่นมองผมสลับกับเพื่อนตัวเองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมหันกลับมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขาอีกครั้ง แล้วเดินเลี่ยงออกมา


หึ
น๊อตผู้ครองโลก
เจอกันอีกแล้วนะ



สามปีที่แล้ว...


ร้านเบเกอรี่หน้าปากซอยทางเข้าโรงเรียนเป็นร้านประจำที่ผมชอบไปนั่งทำอารมณ์เงียบๆ สั่งโกโก้เย็นหนึ่งแก้ว นั่งแช่ในร้านเป็นชั่วโมงเพื่อหาแรงบันดาลใจในการถ่ายรูป


หรือไม่...ก็หาไอเดียเขียนคอลัมป์แนะนำเที่ยวเมืองไทยเป็นภาษาอังกฤษให้หนังสือที่น้าสาวร่วมหุ้นกับแม่ผมเปิดสำนักพิมพ์ รวมทั้งใช้นัดติวหนังสือกับกลุ่มเพื่อนสนิท


"มองอะไรวะ"


ไอ้ฮยอนอินหรือชื่อภาษาไทยคือพีรภาส ลูกครึ่งไทย-เกาหลีเพื่อนห้องเดียวกันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแนะนำรถ


"เปล่า"


ปากบอกว่าเปล่าแต่สายตาจับจ้องหญิงสาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางประชากรแน่นขนัดร่วมสิบคนในโต๊ะยาว ถัดจากโต๊ะผมไปหลายช่วงโต๊ะ


"ปีหน้าม.หกแล้วมึงจะเรียนอะไร"


ผมเก็บสายตากลับ หันมาโฟกัสที่หน้าหล่อสไตล์เกาหลีแต่สูงเป็นเปรตวัดสุทัศน์


"วิศวะ"


"อ่อ นึกว่าจะเดินสายกลาง" มันสื่อถึงอาชีพครู


"ไม่ใช่แนว ไปห้องน้ำแป๊บ"


ผมลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห้องน้ำที่เคยใช้บริการประจำเมื่อเห็นน้องคนนั้นลุกเดินไปทางห้องน้ำ พอเห็นเธอหายเข้าไปฝั่งห้องน้ำหญิง ผมก็ผลุบเข้าไปทำธุระที่ฝั่งห้องน้ำชาย


"ไอ้น๊อตมึงยังไม่คืนแผ่นน้องโซระกูเลยนะ"


เด็กผู้ชายคนที่อยู่ในห้องน้ำตะโกนออกมา


"เออไอ้สัส" คนที่ยืนฉี่อยู่ข้างผมรูดซิปกางเกงก่อนจะตอบเพื่อนเสียงกึ่งปรามกึ่งอับอาย "ทวงไม่รู้เวล่ำเวลา"


ผมกลั้นยิ้มรู้ว่าเขาอายผม เหลือบตาขึ้นสังเกตเครื่องแบบของเขาผ่านกระจกขณะล้างมือ ดูเหมือนเขาจะอยู่โรงเรียนเดียวกับคนที่ผมหมายตา


"คนนี้เด็ดจริงถึงจะอายุเยอะไปหน่อย พูดแล้วภาพลอยมาในหัว" คนในห้องน้ำยังไม่หยุดเพ้อถึงนางในเอวี


คนที่ยืนอยู่ข้างผมมันเหลือบมองมาทางผมแวบหนึ่ง พอผมเลิกคิ้วให้ก็รีบหันหนี มันหันไปเหลือบมองห้องน้ำที่เพื่อนใช้ทำธุระ ก่อนจะเม้มปากแล้วตะโกนเสียงอับอาย "ไอ้ฟาย! ไอ้เหี้ยกูไปแล้วนะ" พูดจบก็เดินตัวตรงแน่วผ่านผมออกจากห้องน้ำไปพร้อมกับหูแดงๆ


ผมออกมายืนรอน้องผู้หญิงคนนั้นแล้วขอเบอร์โทร. เสียดายที่เธอขี้อายจนไม่กล้าให้ ผมเลยส่งยิ้มให้เธอแล้วเดินกลับโต๊ะ


"ทำไมรอยยิ้มเหี้ยแปลกๆ" ผมถามไอ้ฮยอนอินขณะทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ตัวเดิม


มันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วทำสีหน้าซึนเดเระ "สองชินกู (เพื่อน) มึงตาฝาดแล้ว" มันเก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อ "กูต้องไปแล้วเพื่อน ด่วนมากมื้อนี้กูเลี้ยงเอง" มันยักคิ้ว ส่งสายตาสื่อความหมายถึงธุระด่วนที่ว่า


ผมหัวเราะ ยกมือไล่มัน “เชิญไสหัวไป”


ผมนั่งอยู่ในร้านจนกระทั่งร้านใกล้ปิดถึงเก็บของแล้วกลับบ้าน


ผ่านไปสองอาทิตย์ผมก็เก็บไดอารี่เล่มหนึ่งได้ที่ป้ายรถเมล์ ไดอารี่เล่มนี้ถูกห่ออย่างดีปกติแล้วผมจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่เพราะชื่อหน้าปกนั่นกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผม


'น๊อตผู้ครองโลก'


ผมรู้สึกดีกับการยุ่งเรื่องชาวบ้านในครั้งนี้เพราะพอเปิดหน้าแรกก็เจอกับรูปๆ หนึ่งที่คุ้นหน้า ระหว่างเดินไปที่ร้านพี่นา ผมก็ฆ่าเวลาโดยการเปิดอ่านบันทึกในไดอารี่โดยไม่รู้สึกผิด


จวบจนกระทั่งหน้าสุดท้ายผมก็เดินถึงร้านเบเกอรี่จึงเขียนโน๊ตแปะถึงเจ้าของไดอารี่โดยระบุชื่อแทนตัวเองในกระดาษโน๊ตว่า 'ผู้คsองพิภพ' ฝากพี่เจ้าของร้านเอาไว้


เผื่อว่า 'น๊อตผู้ครองโลก' จะกลับมาที่ร้านแห่งนี้อีกครั้ง


พี่นาเล่าให้ฟังว่าตอนได้ไดอารี่คืน 'น๊อตผู้ครองโลก' คนนั้นถึงกับน้ำตาซึม หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของเขาอีกจนเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ จนกระทั่งเราบังเอิญไปเจอกันที่วัดหัวลำโพง เด็กนั่น...จำผมไม่ได้


ผมหวังว่าจะได้เจอเขาในวันเปิดเทอม


หนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม...


"สรุปงานไปถึงไหนแล้ว"


ไอ้ซันเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางหัวเสีย มันเพิ่งโดนพี่ปีสูงเรียกไปตำหนิ ความจริงเขาเรียกทั้งชั้นปี แต่เพื่อนผมมันชอบสวมบทพระเอกในคราบวายร้าย ทำเสียงเคร่งไล่เพื่อนออกมารอที่ใต้ตึก ส่วนตัวมันก็เดินท่อมๆ เข้าห้องประชุมไปคนเดียว


ไอ้ซันเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางอารมณ์ดี ใช่สิ...มันไม่ต้องคอยเก็กหน้าขรึมเหมือนพวกผม ต้องเท้าความสักเล็กน้อย...ตอนเปิดตัวพี่ว๊ากปีล่าสุดไอ้ซันมันดวงซวยท้องเสีย


ความซวยกว่าเลยมาตกที่ผมแทน


“ได้ทีมเกือบครบแล้ว ยังเหลืออีกตำแหน่งที่พวกกูต้องรอถามมึง” ผมเป็นตัวแทนสรุป เพราะโดยตำแหน่งแล้ว คนที่มีอำนาจรองจากไอ้ซัน ก็คือผม เอาเป็นว่าถ้ามันเกิดตายขึ้นมาในวันงาน ผมก็คือคนที่ต้องสวมหัวโขนแทนมัน


“ตำแหน่งอะไรวะ” ไอ้ซันเหลือบมองผม ขณะยกน้ำขึ้นกรอกลงคอ


“พี่เนียน”


มันขมวดคิ้ววางขวดน้ำ แล้วทำหน้าไม่เข้าใจว่าติดปัญหาที่ตรงไหน


“มึงจะรอทำไม ก็เลือกไปเลยสิ”


ผมมองหน้าไอ้ปอน ก่อนจะไล่สายตามองเพื่อนในโต๊ะ ซึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันส่งสายตาโยนหน้าที่อธิบายมาให้ผม


“พวกกูเลือกแล้ว”


“แล้ว?”


“มึง”


“ฮะ?”


“มึง” ผมชี้นิ้วไปที่มัน “เหมาะสมที่สุด”


ไอ้ซันทำหน้าไม่เห็นด้วย “ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ”


“มีมึงคนเดียวที่โดดงานเปิดตัวพี่ว๊าก...”


“เดี๋ยว” ไอ้ซันยกมือห้าม “จำเป็นเหรอที่ต้องเป็นหนึ่งในพี่ว๊ากเท่านั้น ปีสองมีเยอะแยะ มึงแค่เลือกมาสักคน”


ผมมองหน้าไอ้เชน มันถอนหายใจ


“ซัน มึงลองคิดดูนะ มึงทนรับความกดดันได้ มึงรู้แผนงานของเรา รู้ว่าต้องทำอะไร รู้จักพลิกแผลงสถานการณ์ เวลามีคนสงสัยหรือมาถามอะไร มึงแค่ตีหน้านิ่งคนก็ไม่กล้าเซ้าซี้แล้ว”


ไอ้ซันเลิกคิ้วถามแนน


“แนนก็คิดเหมือนเชน”


“ไอ้ปอน บอกเหตุผลกูมาสักข้อ” ไอ้ซันหันไปกดดันไอ้ปอน


“มึงจะได้ไปดูลาดเลา ว่าใครที่เหมาะกับตำแหน่งเฮดว๊ากและผู้นำรุ่นปีล่าสุด มึงรู้...ว่าคนไหนที่เหมาะสม”


ไอ้ซันจิ๊ปาก


ผมรู้ว่าเหตุผลที่พวกเราพูดมา ล้วนฟังขึ้นทั้งหมด


“เออ...กูยอม”


เฮดว๊ากปีสองยกมือยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้ว่าเพื่อนผมมันหัวเสียเพราะเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฮดว๊าก แต่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย วันเปิดตัวพี่ว๊ากมันดันท้องเสีย ไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลตั้งสองวัน


พวกเราต่างก็ทุ่มเท และเตรียมงานกันอย่างหนัก เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ไอ้ซันย้ำเสมอว่าทุกกิจกรรมต้องอยู่ในกรอบ เราเป็นรุ่นพี่ที่อยากมอบสิ่งดีๆ ให้น้อง


ไม่ใช่เจ้าชีวิตที่สั่งให้น้องทำทุกอย่างเอาตามความสะใจ


เหมือนอย่างที่มันโดนตอนอยู่ปี 1


โชคดี...ที่เหตุการณ์ไม่ได้เข้าขั้นเลวร้าย เพราะเรื่องถึงหูพี่ปีสูงที่สุดเสียก่อน


ลึกๆ ในใจ ผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ ‘น๊อตผู้ครองโลก’


เด็กคนนั้นน่าสนใจ ผมไม่รู้ชื่อจริงของเขาจึงแอบดูไม่ได้ว่าเขาเป็นน้องรหัสของใคร ถ้าเขาได้เป็นน้องรหัสผมก็คงดี


วันแรกของการเข้าประชุมเชียร์


เช้านี้อากาศเย็นสบาย เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกลงมาอย่างหนัก โชคดีที่หยุดตกไปตอนเช้าตรู่ นาฬิกาส่งเสียงปลุกตอนหกโมงเช้า ผมลุกขึ้นนั่งพับผ้าห่มก่อนจะลุกออกจากเตียงไปชำระร่างกาย ชุดนักศึกษาจะแขวนเตรียมไว้ที่ตู้เสื้อผ้าทุกคืน ตอนเช้าก็หยิบใส่ได้เลย


แต่งตัวเสร็จ ผมก็คว้าเสื้อช็อปมาพาดบ่าหยิบมือถือปิดไฟและออกจากห้องนอนลงมายังชั้นล่างของบ้าน


"Good morning" คำทักทายสำเนียงอเมริกันขนานแท้ส่งมาก่อนที่ผมจะเดินไปถึงโต๊ะอาหาร เจ้าของร่างที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคนนี้คือเจ้าบ้านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อาศัยอีกที


ผู้ชายอเมริกันผมทองตัวโตแต่พูดภาษาไทยได้ชัดทีเดียว


แม่กับแด๊ดมีผมเป็นลูกคนเดียว หลังจากแท้งครั้งแรก ก็พยายามที่จะมีลูกต่อ พอมีผม แม่ก็ไม่เคยตั้งท้องอีก เคยไปปรึกษาหมอเฉพาะทางก็เหมือนเดิม สาเหตุเกิดจากมดลูกของแม่


"อรุณสวัสดิ์ครับแด๊ดอรุณสวัสดิ์ครับแม่" ผมทักทายกลับเป็นภาษาไทย แม่เอี้ยวตัวมาส่งยิ้มก่อนจะหันไปตักข้าวต้มใส่ชาม ผมทอดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านซ้ายมือแด๊ด


"ข้าวต้มร้อนๆ" แม่ส่งชามใบโตให้ผม ข้าวต้มโรยด้วยผักชีส่งกลิ่มหอมคลุ้ง


"ขอบคุณครับมัม"


"ไม่ต้องทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่เมียแด๊ด" แด๊ดวางหนังสือพิมพ์ในมือลง พลางแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึมมองผมสลับกับแม่


"เมียพ่อ...แต่แม่ผม"


แม่หัวเราะแล้วเติมน้ำส้มใส่แก้วให้แด๊ด


"I don’t care. She’s my wife (ไม่สน เธอเป็นเมียพ่อ)"


"งั้นจ่ายค่าแม่ผมมา" ผมแบมือ


"จะเรียกเท่าไหร่" พ่อรับมุก


"หมดตัว"


"ดีล/ดีล" ผมกับพ่อแท็กมือกัน


"OK. I give up (ผมยอมแพ้)"


ผมหันไปหาแม่ "มัม...เสียใจด้วย ผมคงแย่งมัมมาไม่ได้"


แด๊ดลุกขึ้นไปหอมแก้มแม่ตบมุกแสดงความเป็นเจ้าของก่อนจะออกไปเตรียมรถ เช้านี้ผมวางแผนจะไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับแด๊ด ด้านหลังรถอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์และลังกระดาษใส่ ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นของของผมหมดเลย


หลังจากช่วยแม่ทำความสะอาดครัว ผมก็รับหน้าที่ปิดบ้าน แด๊ดแวะส่งแม่ที่โรงเรียน ก่อนจะเลยไปส่งผมที่มหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นผมก็โทรตามเพื่อนให้มาช่วยขนของลงจากรถ พวกเรานัดรวมตัวกันที่ห้องกิจกรรม ไอ้ซันมาถึงตั้งแต่ไก่โห่ มันหยิบกระดาษที่เตรียมมาแจกให้พวกผมคนละแผ่น เป็นรายละเอียดของหน้าที่ที่ต้องทำของแต่ละคน


ไอ้ซันบรีฟงาน ก่อนจะหายหัวไปทำหน้าที่ของตัวเอง


ระหว่างรอพักเที่ยงแนนเดินหน้าเครียดเข้ามาหาผม อาหารที่สั่งไว้ทำไม่ทัน จึงต้องเร่งหาร้านใหม่ ไอ้ปอนรับอาสาขับรถออกไปซื้อ คนที่เหลือจึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้น้องทุกคนได้กินก่อน ส่วนรุ่นพี่ต้องรอกินทีหลังจนกว่าน้องทุกคนจะกินอิ่ม


ผมเดินออกมาจากห้องกิจกรรม เพื่อตรวจความเรียบร้อยก่อนเข้าประชุมเชียร์ในตอนบ่าย ระหว่างทางเจอเพลิน เธอรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวจึงหยิบน้ำใส่มือให้ขวดหนึ่งแล้วเล่าให้ฟังว่าน้องรหัสไอ้ซันเสียสละข้าวให้เพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็นั่งกลืนน้ำลาย


ผมรู้สึกแปลกใจ จึงถามหาคนที่ว่า เมื่อเพลินชี้มือไปที่ม้านั่งข้างตึกจึงอดเดินไปดูด้วยตัวเองไม่ได้ว่าน้องรหัสไอ้ซันหน้าตาเป็นยังไง


เผื่อจะยัดเยียดสักตำแหน่งให้รับผิดชอบ...


เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งแปลกใจ กระเป๋าเป้ที่ถูกวางไว้ข้างเจ้าของดูคุ้นตา คนที่นั่งซู้ดปากกินข้าวพลางใช้มือเป่าปาก เหงื่อบนหน้าผากแตกซิก ทำให้ผมเผลอหลุดเก็ก ยืนยิ้มมองมันอยู่ครู่ใหญ่


โลกกลมชะมัด ถ้ามันคือน้องรหัสไอ้ซัน ก็ต้องเป็นน้องเทคของผมด้วย


ผมยื่นน้ำไปตรงหน้า คนที่นั่งกินข้าวอยู่ชะงัก เงยหน้ามองผม ปากยังคาบช้อน ตากลมโตของมันกระพริบปริบๆ ก่อนจะยิ้มตาสระอิส่งมาให้ ได้พูดคุยกันนิดหน่อย ไอ้ซันก็เดินเข้ามา มันส่งสายตาไล่ผม ผมส่งยิ้มนัยน์ตาขำๆ ไปให้มันแล้วเดินออกมา


ไอ้ซันยืนรอน้องรหัสมันตั้งแต่เช้า เจอตัวปุ๊บก็ตามประกบปั๊บตามแผน


ระหว่างประชุมเชียร์ ไอ้น๊อตให้ความร่วมมือและกระตือรือร้นต่อทุกกิจกรรมจนผมอดยิ้มไม่ได้ พอถึงช่วงเวลาเริ่มแผน ผมก็เรียกไอ้ซันตามแผนการว๊ากวันนี้ มันทำหน้าตากวนตีน ไม่ยอมให้ความร่วมมือจนคนข้างๆ คอยดึงเสื้อมันหลายครั้ง


สงสารน้องรหัสมันจริงๆ


จะว่าซวยก็ซวย


คนที่โดนแกล้งไม่รู้ตัว แสดงสีหน้าจนใจใส่เพื่อนใหม่ ไอ้ซันก็ทำซึนไม่รับรู้ นัยน์ตามันพราวระยับ กลั้นขำ แล้วหันหนีไอ้น๊อตหลายครั้ง ไอ้คนน้องก็หน้าซีดแล้วซีดอีก


พอเลิกประชุมเชียร์ไอ้ซันก็โผล่มาที่ห้องกิจกรรม แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น ‘น้องรหัสไอ้ซัน’ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานชั้นปีสอง พวกไอ้ปอนเล่าสนุกสนาน เพราะไอ้น๊อตมันน่าแกล้งจริงๆ


‘น้องรหัสไอ้ซันแม่งเด็กเรียนโคตร’ ไอ้ปอนนินทา ผมเห็นด้วย บุคลิกไอ้น๊อตมันเนิร์ดจริง


‘น้องมันซวยเพราะมึงจับฉลากได้เขาเป็นน้องรหัส’ ไอ้เชนออกความเห็น ไอ้ซันแสดงสีหน้าผู้บริสุทธิ์ต่อคำกล่าวหา


‘แต่กูชอบนะ ปากนิด จมูกหน่อย ตี๋อินเทรน’ คนออกความเห็นวิ่งหลบขวดน้ำที่ไอ้ซันเขวี้ยงใส่หัว มันแก้ตัวว่าแค่ล้อเล่น แต่ไอ้ซันชี้หน้าด่าว่าอย่าแม้แต่จะคิด


ผมนึกขำ ตากลมโตใต้แว่นหนาๆ ของมัน มักจะเบิกกว้างขึ้นเวลาโดนสุ่มเรียก จากนั้นก็จะทำสีหน้ากลั้นใจเหมือนจะตายเสียให้ได้


ผมได้ข่าวว่ามันโดนแกล้งสารพัดตอนตามหาพี่รหัส โดยเฉพาะกลุ่มผมยิ่งแกล้งหนัก ไอ้ซันสั่งข้ามเด็ดขาดว่าห้ามใบ้และห้ามให้ความช่วยเหลือ


มันแกล้งน้องมันยันหยดสุดท้าย


สีหน้าตอนเจอพี่รหัสครั้งแรกของไอ้น๊อตจึงเรียกว่าช็อกตาตั้ง มันพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ต่างจากรอยยิ้มดีใจตอนที่มันรู้ว่าผมเป็นพี่เทคลิบลับ


ไอ้น๊อตเป็นคนมีน้ำใจ มันคอยช่วยเหลืองานพี่ๆ ตลอด ใครใช้อะไรก็ไม่ค่อยส่ายหน้าปฏิเสธ เดินผ่านขยะข้างทางมันยังก้มเก็บไปใส่ถังขยะ เป็นเด็กที่มีความกระตือรือล้นต่อสิ่งเร้าใหม่ๆ และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง


สมกับเป็น ‘น๊อตผู้ครองโลก’


ครั้งหนึ่งมันเคยวิ่งกลับไปเอาหนังสือให้เพื่อนทั้งที่ฝนตกหนัก แถมตัวเองก็ไม่มีร่ม จนวันรุ่งขึ้นก็ไข้ขึ้นสูง พอผมดุ มันก็เถียง ‘ป๊าสอนให้ผมมีความรับผิดชอบ’


แต่บางที...มันก็ชอบลนลานทำเสียเรื่อง


ตอนไอ้น๊อตอยู่ปีสอง เป็นครั้งแรกที่ไอ้ซันระเบิดอารมณ์ใส่น้องรหัส สาเหตุเกิดจากไอ้น๊อตทำรายงานผมหาย รายงานฉบับนั้นไอ้ซันยืมไปดูอ้างอิงแล้วฝากน้องรหัสมันไว้ก่อนจะไปลงแข่งบาส ทั้งเล่มทั้งไฟล์เลย


ตอนมันมาสารภาพหน้าโคตรซีด ตาก็แดง แต่เพื่อนผมมันฟิวส์ขาด ด่าไอ้น๊อตเปิง หวิดจะต่อยน้องมันด้วยถ้าผมไม่ห้ามไว้ซะก่อน


คืนนั้นมันหอบเสื้อผ้ามานอนค้างที่คอนโดผม มานั่งอดหลับอดนอนเป็นเพื่อน ทั้งที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเนื้อหาวิชานี้มันยังไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ


ตอนไอ้น๊อตเลิกกับแฟนคนแรก มันเฮิร์ทหนักมาก อ้อนวอนขอให้ผมไปช่วยง้อ แต่ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสามารถเฉพาะบุคคล ไม่ควรให้มือที่สามเข้าไปยุ่ง เดี๋ยวแม่งจะยุ่งเข้าไปอีก มันเคืองที่ผมไม่ยอมช่วยอยู่เป็นเดือน จนไอ้ซันเบิ๊ดกะโหลกเข้าให้ เนื่องจากมันชอบทำหน้าประหลาดๆ ขัดแข้งขัดขาผม หลังจากโดนเบิ๊ดไปหนึ่งทีนั่นแหละ วิญญาณน้องเทคที่แสนดีของไอ้น๊อตถึงได้กลับเข้าร่าง


สามปีที่ได้รู้จักกันจริงจัง ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับคนๆ หนึ่งได้ขนาดนี้ ไอ้ซันชอบเหน็บผมบ่อยๆ ว่าลำเอียงถือแต่หางไอ้น๊อต ผมยังยิ้มขำๆ ใส่มันด้วยซ้ำ


จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเริ่มจับได้ว่าโดนแอบมองบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จากมองด้วยสายตาเคารพเทิดทูน แปรเปลี่ยนเป็นสายตาเคลิ้มฝัน จนบางครั้งอดไม่ได้ ต้องหยิบปากกามาเคาะหัวมันเรียกสติ


พอเห็นมันเขิน ผมก็แอบขำ


คนที่รู้จักกันมาสามปีเปลี่ยนไป ทำไมจะดูไม่ออก


หึๆ




----------------------------------------

Talk :: สวัสดีปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกท่านสุขสมหวัง สุขภาพแข็งแรง โบนัสงามๆ เพี้ยง!!



หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 11.1.62 ● เทคที่ 13 ผู้คSองพิภพ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-01-2019 17:38:32
ความในใจของอีพี่ สุดๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 11.1.62 ● เทคที่ 13 ผู้คSองพิภพ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-01-2019 20:40:23
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 11.1.62 ● เทคที่ 13 ผู้คSองพิภพ
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-01-2019 22:22:35
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ ● เทคที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 14-03-2019 18:14:30
เทคที่ 14 อย่าทำให้พี่เทคโกรธ (งานนี้มีเปลืองตัว) nc 2



ผมมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงในการซ้อมบาสก่อนที่พี่สองจะแวะมารับ ช่วงนี้ทีมบาสของเราลงซ้อมกันอย่างหนักเนื่องจากเวลาแข่งกระชั้นชิดเข้ามา อีกทั้งปีนี้พี่ซันประกาศต่อหน้าพวกเราทุกคนว่าถ้าไม่ได้แชมป์จะไล่เตะเรียงตัว


ไอ้พี่โหด!


สาเหตุที่ผมต้องมาซ้อมบาสเป็นประจำก็มาจากการที่ผมเกาะติดพี่สองหนึบ ทำให้ฝีมือการเล่นบาสของผมพัฒนาจนติดเป็นตัวสำรองของทีมบาสคณะ เป็นความภาคภูมิใจที่ผมอวดให้ป๊าฟังแล้วฟังอีกก็ไม่เบื่อ


"ตอนนี้มึงคบใครอยู่ปะ"


มือผมที่กำลังเช็ดหน้าอยู่ชะงัก ไอ้ธรรศเลิกคิ้วมองผม ท่าทางมันดูคาดหวังในคำตอบ จนผมใจเต้นตึกตัก ผมเม้มปากทำเฉไฉมองนู่นนี่ แต่ไอ้คนถามมันไม่ล้มเลิกความอยากรู้จนผมทนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไม่ไหว


"อยากรู้ไปทำไม"


ไอ้ธรรศหัวเราะ "ถามไม่ได้เหรอ"


"โสดอยู่ก็บอกมันไป" ไอ้เหินสอดปาก


ไอ้พวกที่เหลือพากันโห่หิ้ว ผมหัวเราะขำๆ รับน้ำเย็นที่ไอ้ธรรศเปิดฝาส่งมาให้ ยกขึ้นดื่มอักๆ แม่งเอ้ยจะอยากรู้ไปทำไม ถ้ากูใจกล้าตอบขึ้นมาเดี๋ยวพวกมึงจะมากันหน้าหงายซะเปล่าๆ


"จริงดิ" ไอ้ธรรศทำหน้าเหลือเชื่อ


ไอ้เหินทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่ไอ้ทรรศ ก่อนจะยืนยันคำพูดของตัวเอง "กูเพิ่งถามมันเมื่อวาน" เมื่อวานไอ้เหินแหกปากถามผมหน้าคณะ หน้าคณะ...ที่มีน้องๆ เดินผ่านให้ควัก ผมเลยได้แต่ตีหน้านิ่งสนิทแล้วตอบว่าไม่มี


"สรุปว่าตอนนี้มึงโสด?"


ไอ้ธรรศยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเพื่อทวงตอบ ไม่ยอมให้ผมเลี่ยงไปง่ายๆ


ผมมองหน้ามัน ก่อนจะตัดบทด้วยความรำคาญ


"โสดสนิท! ยุงสักตัวก็ไม่มีบินผ่านเข้ามา พอใจหรือยัง"


"เอาเว้ย ตี๋น๊อตสุดหล่อบอกว่าโสด คราวนี้ล่ะมึง สาวๆ รุมทึ้ง" ไอ้ศรแหกปากตะโกนลั่นสนาม ผมยกมือขึ้นกุมศีรษะ มึงจะตะโกนทำไม แค่นี้ยังเด่นกันไม่พอใช่ไหม


ไอ้ธรรศเดินไปหยิบลูกบาสมาชู๊ตลงห่วงบนเส้นสามแต้ม ก่อนจะวิ่งไปหยิบลูกบาสลูกเดิมมาเลี้ยงในมือ พอชู๊ตลงห่วงสามแต้มอีกครั้งมันก็หันมามองหน้าผม บนหน้ามีรอยยิ้มแฝงอยู่


"เพื่อนมึงยิ้มให้กู" ผมหันไปพูดกับไอ้เหิน แสร้งทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก


ไอ้เหินที่นั่งตรงข้ามผมหัวเราะสลับกับมองไปยังตำแหน่งที่ไอ้ธรรศยืน "มันกำลังดีใจ" มันตอบก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลังผมพลางยกมือขึ้นไหว้ "พี่สองหวัดดี มาตั้งแต่เมื่อไหร่พี่" คนที่เหลือส่งเสียงทักทายตามเกรียวกราว ส่วนผมสติกระเจิดกระเจิง มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!!


พี่สองยกมือรับไหว้รุ่นน้องยิ้มๆ ขณะเดียวกันก็เดินเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อยๆ


"มารับน้องเทคเหรอพี่" ไอ้ทรรศเดินถือลูกบาสเข้ามา


พี่สองเหลือบมองคนถามแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า "อืม"


ผมพยายามเรียกสติของตัวเองคืนมา รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ก่อนจะเงยหน้าบอกเพื่อนในทีมโดยควบคุมริมฝีปากของตัวเองไว้ให้มั่นคงที่สุด "คือมึง...กูไปก่อนนะ เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระสำคัญว่ะ"


พูดจบก็เผ่นแนบ ผมไม่รู้ว่าพี่สองคุยอะไรกับพวกไอ้ทรรศหลังจากนั้น เพราะผมพยายามสับขายาวๆ เดินนำเขาเพื่อหวังทิ้งห่างระยะ แต่พี่สองก็ก้าวยาวๆ ตามมา เขาไม่พูดอะไร เอาแต่เดินตามหลังผมมาจนกระทั่งถึงรถคันสวยของเขา


พี่สองเดินไปยืนฝั่งคนขับไม่ยอมปลดล็อกประตูรถ เราสองคนห่างกันแค่ตัวรถกั้น ผมเผลอกระชับสายกระเป๋าแน่น ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากกำลังรอ...รอว่าเขาจะพูดอะไร พี่สองเงยหน้าขึ้นเหลือบมองหน้าผม ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


"ไม่ยักรู้ว่ามึงโสดตั้งแต่ตอนไหน" เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ


ผมมือสั่น แต่พยายามควบคุมอาการลนลานเข้าไปนั่งเบาะด้านข้างคนขับแล้วรีบคาดสายเข็มขัดนิรภัย พี่สองไม่พูดอะไรอีก เขาขับรถต่อ สีหน้าเคร่มขรึม จนผมอยากร้องไห้


"กะ...โกรธเหรอ"


"กูสมควรโกรธหรือเปล่า"


ผมเม้มปาก สรรพนามที่เปลี่ยนไปของพี่สองกระทบใจผมอย่างแรง


"พี่...ผมแค่ตัดปัญหาไม่อยากให้ไอ้ทรรศเซ้าซี้" ผมพยายามอธิบาย


ผมแค่กังวลว่าถ้าบอกไปว่ามีแฟน ไอ้ธรรศมันจะถามต่ออีกว่าแฟนผมเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่คณะไหน มันรู้จักหรือเปล่า


ซึ่งผมจะไม่มีคำตอบให้มัน


"เงียบเถอะ ถ้ายังไม่อยากตายโหง" เขาขู่เสียงเข้ม


เออ! ไอ้พี่สอง ไอ้คนไม่มีเหตุผล!! ก็ยอมรับผิดแล้วไง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันบ้าง ผมเองก็เสียใจนะที่ทำให้พี่สองเสียความรู้สึก แม่ง ฮึก…


"ลงมา"


พี่สองเคาะกระจกรถด้านที่ผมนั่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านกระจก ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ คว้าเป้แล้วเปิดประตูรถ พี่สองกดล็อกรถแล้วเดินเข้าคอนโดไปคนเดียว ผมยืนมองแผ่นหลังนั่นด้วยความน้อยใจ ก่อนจะวิ่งตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้


บรรยากาศในห้องวังเวงจนผมสะท้าน


"ร้องทำไม"


ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนถาม พลางใช้หลังมือปาดหางตา นั่งโซฟาตัวเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเราห่างไกลกันขนาดนี้


"ขอโทษ พี่อย่า...ฮึก โกรธเลยนะ"


พี่สองมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ สู้ให้เขาอาละวาดหรือด่าผมตรงๆ ยังดีเสียกว่า ไม่รู้เลยหรือไงว่าความเงียบมันทำให้คนอื่นเขากังวล คิดไปถึงไหนต่อไหน


"กูอาจจะแคร์มึงมากเกินไป"


“พี่...”


"แคร์ว่ามึงรู้สึกยังไง แคร์ว่ามึงคิดยังไง จนบางทีอาจทำให้มึงรู้สึกอึดอัด" เขายกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ "แต่มึงไม่แคร์กูเลยสักนิด เฮอะ พูดออกมาได้เต็มปากว่าโสด ที่นั่งหัวโด่อยู่นี่ พ่อมึงเหรอ"


"พี่สอง!"


พูดจบผมก็ชะงัก เพราะรู้สึกตัวว่าตะคอกใส่เขา


สายตาอันตรายมองมาที่ผมอย่าอดทนอดกลั้น "บอกมาตามตรงดีกว่าว่ามึงแค่คบพี่รอวันเลิกหรือเปล่า" เขาเว้นวรรค แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับสายตาที่เย็นเหยียบพอกัน


"พี่จะได้ทำใจเอาไว้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ"


“...”


ผมรู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออก เหมือนมีมือมืดบีบหัวใจผมจนต้องเงยหน้าสูดเอาอากาศเข้าปอด น้ำตาไหลอย่างกับสั่งได้ เป็นการร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะความรักครั้งแรก


ถ้าพี่สองรู้เข้า ต้องภูมิใจแน่


"พี่จะต้องให้ผมนอนตายให้พี่ดูก่อนเหรอวะ ถึงจะพอใจ!" ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ต้องให้ผมควักหัวใจออกมาให้พี่ดูมั้ย" ผมตวัดสายตาขึ้นจ้องหน้าเขา "พี่รู้ดีแก่ใจ พี่รู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักตัวเองด้วยซ้ำ"


พี่สองกรอกตาขึ้นฟ้า


เขาเม้มปากมองไปรอบๆ ห้อง


เกิดความเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน ผมเงยหน้ามองเขา พี่สองก็ก้มมองผมอยู่ ร่างสูงใหญ่เหยียดยิ้ม แล้วเอ่ยปากถาม


"มีกูเป็นแฟนมันน่าอายขนาดนั้นเลยเหรอ"


พูดจบพี่สองก็เดินเข้าห้องน้ำ เสียงปิดประตูดังปัง


ผมมองประตูห้องน้ำนิ่ง ใจยังสั่นไม่หาย คำถามของพี่สองเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจผม บาดแผลที่เราต่างสร้างให้กันวันนี้มันเหวอะหวะจนผมมองไม่เห็นแสงสว่าง



++++++++++++++



"พี่สองให้พวกกูมารับมึงกลับหอ" ไอ้ไฟน์เคาะประตู ก่อนจะเดินนำไอ้เวลเข้ามา ผมเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะก้มหน้าซุกเข่าตามเดิม


รับรู้ถึงแรงยวบบนเตียง ตามด้วยเสียงถอนหายใจของไอ้ไฟน์


"เฮ้อ ทะเลาะอะไรกับพี่เขาวะ ไหนมึงลองเล่ามาดิ๊"


ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพื่อนสนิทผมมันนั่งฟังเงียบๆ พอผมเล่าจบไอ้ไฟน์ก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือมาวางบนไหล่ผม


"เขาก็แค่หึง"


"หึงบ้าอะไร" ผมแย้ง


ไอ้ไฟน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ "มึงแค่ไม่รู้ตัวต่างหากว่ามีคนสนใจมึงอยู่ แถมไอ้สารรูปขาวตี๋ บ้านทำกิจการร้านทองแบบมึง มันก็ล่อตาล่อใจ ไม่ใช่แค่กับผู้หญิงเท่านั้นด้วย ไอ้พี่โฬมนั่นก็ทีแล้วไม่ใช่รึไง มึงอาจจะคิดว่ามันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของมึง แต่มึงก็อย่าลืมว่าการที่มึงตะโกนบอกให้ประชาชีเขาได้ยินว่าโสดสนิทน่ะ มันก็เหมือนเปิดโอกาสให้ที่สนใจมึงอยู่มารุมทึ้งมึง"


"แต่พี่สองเขาก็รู้ว่ากูกังวลอะไรอยู่ เขาน่าจะเข้าใจกูสิ ทำไมต้องโกรธขนาดนั้น" ผมระบายความอัดอั้น สิ่งที่ไอ้ไฟน์พูด มันมีเหตุผลก็จริง แต่ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกันนะ


ไอ้เวลถอนหายใจพรืด "มึงคิดให้ดีๆ มึงไม่ได้พูดว่าโสดแค่ครั้งเดียว แต่มึงพูดสองครั้งซ้อนติดๆ กัน คนเขาก็ต้องเชื่อ ต่อให้เขาสงสัยว่ามึงคบกับพี่สอง แต่ในเมื่อมึงยืนยันว่าโสด เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ มึงเป็นคนเปิดโอกาสให้คนอื่น ทั้งที่แฟนมึงเขาชัดเจนมาตลอด"


ผมทำหน้างอง้ำ เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองคนเข้าข้างพี่สองกันหมด ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจถึงเหตุผลของผมบ้าง


"น๊อต..." ไอ้ไฟน์เรียก


"มึงคิดจริงๆ เหรอว่าไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่สอง"


ผมอ้าปากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก จึงได้แต่ปิดปากสนิท ไอ้ไฟน์พยักหน้าขึ้นลง "ใช่มั้ยล่ะ คนอื่นรู้ แต่เขาแค่มีมารยาทมากพอที่จะไม่ยื่นขาเข้ามายุ่งหรือต่อให้สงสัยก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่อ้าปากถามตรงๆ"


ใช่แล้วล่ะ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิทของพี่สอง อาจจะทำหน้าแปลกๆ ใส่บ้างตอนแรกๆ แต่หลังจากนั้นทุกคนก็ยังทำตัวปกติ เหมือนทำเป็นมองข้ามสถานะความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของผมกับพี่สอง


ส่วนเพื่อนชั้นปีเดียวกับผมก็ดูเฉยๆ เวลาผมไปไหนมาไหนกับพี่สอง มีแค่ไอ้เหินที่เคยมองผมสลับกับพี่สองด้วยสายตาแปลกๆ แต่พอโดนพี่สองจ้องมันก็หลบสายตาไปทางอื่น


ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้า "กูนิสัยไม่ดีใช่มั้ยไฟน์ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายล่อลวงลูกชายชาวบ้านเขามาเป็นเกย์"


ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลเหลือบมองหน้ากัน


ผมมองหน้าไอ้ไฟน์ก่อนจะไล่สายตาไปทางไอ้เวล "พวกมึงกลับไปเถอะ กูจะอยู่ที่นี่"


"มึงจะไม่โดนพี่สองฆ่าหมกห้องแน่นะ" ไอ้เวลแสร้งถามติดตลก แต่มีความอยากรู้แฝงจริงๆ อยู่ครึ่งหนึ่ง


"เออ ตอนเปิดประตูให้พวกกู กูนี่ผงะถอยหลังไปสองก้าวเลยนะ" ไอ้ไฟน์กระซิบ ก่อนจะยกมือขึ้นดึงแก้มตัวเองประกอบ พลางสูดปาก "หน้างี้ตึงเปรี๊ยะ"


ผมส่ายหัว "ไม่หรอก"


พี่สองนานๆ ทีจะโกรธหรือโมโห คบกันมาจะหกเดือน ต่อให้โมโหแค่ไหนก็ไม่เคยใช้กำลังกับผม มีแค่เรื่องฝีปากที่จะคมกริบเป็นพิเศษ ใช้คำพูดทำร้ายใจคนฟัง


ผมเดินออกมาส่งเพื่อน ไอ้ไฟน์กับไอ้เวลยืนยันจะให้ผมยืนส่งพวกมันแค่หน้าลิฟท์ ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนสนิทด้วยความซาบซึ้ง ผมรู้สึกโชคดีที่มีมันสองคนเป็นเพื่อน


เดินกลับมาที่หน้าห้อง ใช้มือบิดประตูแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อตัวเองดันเผลอล็อกห้อง กุญแจก็ไม่ได้หยิบติดมือมา โทรศัพท์ก็อยู่ในห้องด้วย สะเพร่าจริงๆ


ก็อก ก็อก ก็อก


ผมตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตู ยืนรอไม่นานเสียงปลดล็อกก็ตามมา เจ้าของห้องตัวจริงขมวดคิ้วเมื่อเห็นหน้าผม ที่ผมออกไปจากห้องเมื่อกี้พี่สองคงได้ยินสินะ


"ลืมของเหรอ" เขาถามก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผมเดินเข้าห้อง


"เปล่า"


ระหว่างเดินผ่าน ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์มาจากตัวเขาจึงหยุดเดินแล้วเงยหน้าถาม


"พี่ดื่มเหรอ"


เขาเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าผ่อนคลายลงกว่าเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว


ผมกัดริมฝีปาก แล้วตัดสินใจเอื้อมมือไปจับแขนเขาในวินาทีนั้น


"พี่..."


คนถูกเรียกก้มหน้าลงรอฟัง


"เอากันแก้เครียดหน่อยมั้ย"


พูดจบก็กลั้นใจรอฟังคำตอบด้วยใจระทึก พี่สองมองผมด้วยสายตาเข้มขึ้น


"แน่ใจนะ"


ชะ...ชักไม่แน่ใจตอนพี่ถามนี่แหละ!


"น่ะ...แน่ เฮ้ย!!" สิ้นคำตอบผม พี่สองก็ช้อนร่างผมขึ้นอุ้ม เดินตรงเข้าห้องนอนโดยไม่ฟังเสียงร้องของผมสักนิด "พี่สอง เดี๋ยว! คุย...เฮ้ย อย่าเพิ่งถอด เดี๋ยวเสื้อขาด เอ๊ะ! บอกว่าอย่าดึง อ๊า!!!"

   
พี่สองจับผมลอกคราบ!!

   
ร่างสูงใหญ่กว่าตรึงมือผมไว้ที่ศีรษะทั้งสองข้างด้วยมือเดียว ริมฝีปากร้อนแรงพรมจูบไปทั้งใบหน้าและลำคอของผม ผมส่งเสียงอืออาเสียวเกร็งไปทั้งร่างเมื่อลิ้นร้อนๆ นั่นขบเม้มอยู่ที่ติ่งหู


พี่สองจับผมพลิกนอนคว่ำหน้า ก่อนจะดึงสะโพกผมขึ้น หน้าผมแนบอยู่กับหมอน ครางอู้อี้ไม่ได้ศัพท์เพราะสัมผัสนุ่มชื้นลากวนอยู่ที่ช่องทางอ่อนนิ่ม


"พะ...พี่สอง อื้อ อ"


ผมกำผ้าห่มแน่น ปากร้องครางเรียกชื่อพี่สองไม่หยุด เขาส่งผมจนถึงฝั่งฝันโดนที่ไม่ต้องใช้มือกับไอ้นั่นด้วยซ้ำ!


ผมนอนหอบแฮ่ก เมื่ออีกคนผละออกไป หางตาผมเห็นเงาร่างของเสื้อพี่สองลอยไปนอนอยู่หน้าประตู ตามด้วยกางเกงที่ลอยไปตกอยู่ใกล้ๆ กัน


"อยากได้กลิ่นไหน"


ผมเม้มปาก เมื่อได้ยินคำถามแสนตรงนั่น แม้จะขัดเขินแต่ก็ตอบกลับ "สตรอว์เบอร์รี"


พี่สองหายไปในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง


ผมเหลือบมองอีกคนก้าวขึ้นมานั่งบนเตียงใช้ปากฉีกซองถุงยางแล้วจับสวมให้ตัวเอง


พี่สองฉีกถุงยางอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะสวมกอดผมจากทางด้านหลัง บรรจงสวมถุงยางให้


"ผ...ผมอยากทำเอง" พี่สองชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วถามว่าแน่ใจเหรอ ผมกัดริมฝีปาก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับคนรัก "ให้ผมทำ" ผมย้ำเจตนาด้วยสีหน้าเขินจัด


"นี่กำลังง้อ?"


ไอ้คนพูดน้อยเกิดพูดมากขึ้นมาทันที ผมฟาดมือไปที่แขนเขาจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น


"น่าจะรู้ตั้งแต่ผมเสนอตัวแล้วมั้ย!!"


...จะถามให้เขินทำไมวะ...


ส่วนอ่อนไหวของพี่สองแข็งขืนชี้หน้าผม


เขาก้มมองน้องชายตัวเอง ปกปิดสีหน้าตื่นเต้นไม่มิด


"นอนลง" ผมสั่ง


พี่สองนอนลงอย่างว่าง่าย แถมยังยกมือขึ้นมารองศีรษะท่าทีสบายๆ ท้าทายผม


"เอาเลย อย่างที่มึงชอบ" เขาท้า


ผมขยับไปนั่งคร่อมลำตัวพี่สองไว้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเลียนิ้วตัวเองจนชุ่ม พี่สองมองตาไม่กระพริบ ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปยันหน้าท้องพี่สองไว้ อีกข้างหนึ่งเลื่อนไปที่ช่องทางด้านหลังแล้วสอดเข้าไปทีละนิ้ว


"โคตรเอ็กซ์" พี่สองชมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


ผมเหลือบตาขึ้นมองค้อนเขาก่อนจะเริ่มขยับมือ ระหว่างนั้นก็ครางซี้ดในลำคอ เมื่อรู้สึกว่าช่องทางนั้นคลายตัวแล้วผมก็ดึงมือออก ขยับตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ แล้วจับท่อนเอ็นแข็งขืนนั่นเอาไว้ด้วยมือเดียว


ค่อยๆ กอดตัวลงนั่ง


"อื้อ อ อ"  จังหวะขยับเอวสวนรับกับจังหวะเด้งรับของพี่สอง เสียงครางระคมของเรายิ่งทำให้ผมฮึกเหิม พี่สองจับผมพลิกลงในท่าคลานเข่าก่อนจะตามมากระแทกกระทั้น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาด


ผมไม่น่าง้อเขาด้วยวิธีนี้เลย!


โอ๊ย เอวผม!!!!!!!!!!



ตื่นเช้ามาผมได้แต่ลอบก่นด่าพี่สองในใจ ร่างกายท่อนล่างหนักอึ้งราวกับเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ไอ้คนหึงโหด เดินเข้ามาในห้อง หน้าตาแช่มชื้นทั้งที่แทบไม่ได้นอน พอเห็นรอยยิ้มของเขาผมก็ตำหนิไม่ลง เฮ้อ ผมบอกแล้วว่าผมเสียเปรียบ


ผมกระพริบตา ก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกร่างกายกำลังจะแหลกสลาย ยิ่งบริเวณสะโพกยิ่งเจ็บหนึบ ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างจนถึงคอ พี่สองเดินมานั่งลงข้างเตียง พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เช่นเคย


ผมมองผ้าผืนเล็กในมือเขาแล้วขมวดหิ้วมุ่น หน้าพี่สองเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ขอบตาดำคล้ำ ใต้ตาบวม พอเห็นผมมองเขาปริบๆ พี่สองก็โน้มตัวลงมาจูบที่หน้าผาก สัมผัสเย็นชื้นนั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย


"มึงไม่สบาย"


ผมอือออในลำคอ เพราะไม่อยากเปล่งเสียงให้ระคายคอ


"ขอโทษด้วย พี่ผิดเอง" เขาทำหน้ารู้สึกผิด เหมือนไม่โอเคกับตัวเอง


"ไม่เป็นไร" ผมปลอบเขาเสียงแหบ


เขาส่ายหัว "ไม่น่าทำรุนแรง จนมึงเจ็บ"


ทำผมล้มผมหนอนเสื่อได้เลยล่ะ


"พี่แค่เมา" ผมคลี่ยิ้มปลอบ ไม่ได้รู้สึกโกรธเขาอยู่แล้ว "ความจริงมันก็ตื่นเต้นดี เปลี่ยนรสชาติไง ผมชักเชื่อคำพูดนั่นแล้วล่ะ”


“คำไหน?”


ผมอมยิ้มก่อนจะเฉลย “ที่เขาว่านอนคุย ดีกว่านั่งคุยไง"


พี่สองหัวเราะหึๆ พลางยื่นมือมาลูบหัวผม


"ถ้ามึงยังไม่ดีขึ้น พี่คงต้องพาไปหาหมอ"


ผมส่ายหัวหวืด ฆ่าผมดีกว่า!


"แค่กินยาเดี๋ยวก็หาย" ผมสบตาพี่สอง "พี่เองก็ควรพักผ่อน ผมไม่อยากให้พี่ป่วย"


เขาก้มหน้าลงมาฉวยจูบ ดูดดุนริมฝีปากผมจนรู้สึกเจ็บ


ผมดันอกเขาออกแรงๆ  "เดี๋ยวติดไข้"


"ถ้าติดแล้วมึงหายก็ไม่เป็นไร"


ผมกลั้นยิ้ม ยื่นมือไปจับมือพี่สองไว้ "เราดีกันแล้วใช่มั้ย"


พี่สองยิ้มรับ


"ผมจะบอกป๊าเรื่องของเรา" ผมตัดสินใจแล้ว เหมือนที่เฮียน่านแนะนำตอนที่อยู่กับผมสองต่อสองว่าให้บอกความจริงกับทุกคนแต่เนิ่นๆ ดีกว่าปิดเรื่องนี้เอาไว้ ผมต้องสารภาพความจริงเพื่อเปิดพื้นที่และเวลาให้ครอบครัวได้มีเวลาทำใจและไม่รู้สึกว่าถูกผมหักหลัง


แต่ดูเหมือนพี่สองจะไม่ดีใจ เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแข็งค้าง


"พี่ไม่ดีใจเหรอ"


เขาส่ายหน้า "ไม่ใช่ พี่ดีใจมาก แต่คิดว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะ" เขากระชับมือก่อนจะพลิกมาเป็นฝ่ายกุมมือผมไว้ "พี่เป็นแค่คนที่กำลังจะเรียนจบ ยังไม่มีงานการที่มั่นคง แม้จะมีสมบัติของพ่อแม่ แต่มันยังไม่พอสำหรับใช้ไปขอลูกชายคนเล็กของเจ้าของร้านทองใหญ่โตมาดูแล ป๊ามึงจะไม่พอใจหนักเข้าไปอีก เขาจะมองได้ว่าพี่เป็นลูกผู้ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อ้าปากรอแต่สมบัติพ่อแม่"


ผมซาบซึ้งในอกที่เขาคิดการณ์ไกลเผื่อผมขนาดนี้ "ผมคิดน้อยเอง"


"น๊อต"


ผมเงยหน้ามองคนเรียก


"พี่ดีใจจริงๆ"


น้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น และมั่นคง


ผมเม้มปาก รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา




หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-03-2019 22:04:05
พี่สอง มองออกว่าธรรศชอบน๊อตจริงๆ  :hao3:

น๊อต ชอบคิดในมุมมองตัวเองตลอด  :เฮ้อ:
พี่สอง  น๊อต   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-03-2019 23:12:52
ง้อแบบนี้ อีพี่หายโกรธแล้วเนอะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+ #แฟนเทค 14.3.62 ● เทคที่ 14 ปากพาจน (NC2)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-05-2020 15:32:55
 :pig4:
 :3123: