### ดั่งดวงดารา (ประสบการณ์เกณฑ์ทหารฉบับเกือบสมบูรณ์) ### ตอนพิเศษ NC 18+
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ### ดั่งดวงดารา (ประสบการณ์เกณฑ์ทหารฉบับเกือบสมบูรณ์) ### ตอนพิเศษ NC 18+  (อ่าน 13145 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
   
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ขอบคุณจร้า รักน้า สงสัยจะติดนิยายเราแล้วจิ เม้นท์ บ่อย  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


อยากคอมเม้นยาวๆนะแต่เลาเกรงจายคนเขียน 555
+1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแน้ววว :katai4: :katai4: :katai4:



   ช่วงนี้อากาศเมืองกาญฯ ร้องตับจะแตก แถมเรายังต้องใส่เครื่องแบบชุดตัดให้เรียบร้อยด้วยเพราะทำงานในบก.ร้อย (เป็นเครื่องแบบผ้าหนาสั่งตัดตั้งแต่อยู่หน่วยฝึกฯ เสื้อเป็นเสื้อแขนยาวพับแขนใส่ทับเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า กางเกงขายาว ชายกางเกงยัดเข้าไปในคอมแบต) ยิ่งทำให้ร้อนไปกันใหญ่ ไม่เหมือนพวกที่ต้องไปทำงานข้างนอกหรอก ใส่ชุดฝึกที่เป็นผ้าบางกับรองเท้าผ้าใบได้ทั้งวัน แถมยังแอบไปอู้ตามหลืบตามมุมเมื่อไรตอนไหนก็ได้ถ้างานเสร็จแล้ว

   “ว่าไงจ๊ะน้องสาว” เราเงยหน้ามองก็เห็นไอ้พี่มิ้นท์ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะ แถมยังเอามือมาเชยคางเราเหมือนเราเป็นนางเอกในละครน้ำเน่า เราทำปากว่า ‘น้องสาวพ่อง’ ตอบมัน มันเลยวาดมือจะตบหัวเรา เราหลบแล้วเสียหลักตกเก้าอี้

   “เฮ้ย มึงเล่นอะไรกันวะ” เสียงจ่าเชษฐ์ดังมา “คนอื่นเขาจะทำงานกัน”

   “ก็พี่มิ้นท์อ่ะครับจ่า แกล้งผม ผมนั่งทำงานอยู่ดี ๆ ก็จะมาตบหัว ดูดิ”

   ไอ้พี่มิ้นท์มองเรายิ้ม ๆ ก่อนว่า “ผมเปล่านะจ่า ยังไม่ได้ทำอะไรมันสักหน่อย”

   จ่าเชษฐ์พูดเสียงเข้มว่า “พอเลยมึงทั้งสองคน ไอ้มิ้นท์งานการไม่มีทำหรือไง ผู้กองสั่งให้มึงไปดูงานก่อสร้างโรงนอนเด็กบก.ใหญ่ไม่ใช่เหรอ”

   “ตอนนี้หมวดอเนกแกดูทหารรื้อหลังคาโรงนอนเก่ากับถางหญ้าอยู่ครับ แต่เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก ไปซื้อของที่ร้านก่อสร้างแล้วจะดูด้วยว่าปูนกับอิฐบล็อกที่สั่งไปได้หรือยัง ไปไหม” คำหลังนั่นมันหันมาถามเรา เราก็พยักหน้ารับ นั่งทำงานร้อน ๆ แบบนี้สมองคิดอะไรไม่ออก ไปสูดอากาศข้างนอกบ้างคงดีกว่า

   แล้วพี่เจมส์ก็เดินเข้ามาในบก.ร้อยพอดี ท่าทางหงุดหงิดแล้วบ่น ๆ ว่าป้ายไวนิลที่เก็บไว้ในห้องเก็บของโดนหมากัดขาดอีกแล้ว พอแกเห็นพี่มิ้นท์จะออกไปข้างนอกแกเลยบอกว่า รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวขอติดรถไปด้วย จะไปร้านทำป้ายไวนิล

   ไอ้พี่มิ้นท์ทำท่าเหมือนไม่อยากรอ แต่พอโดนพี่เจมส์ตวาดไปว่ารอแค่นี้มึงจะตายเหรอ แกก็เลยจำยอม ผ่านไปได้สักพักพวกชุดช่างก็โทรหาพี่มิ้นท์ บอกว่าปูนที่จะใช้เทลงไปเป็นฐานของเสาโรงนอนใหม่ไม่พอ ต้องใช้วันนี้อีกสิบห้าถุง จนแล้วจนรอดก็กลายเป็น เรา ไอ้ชาย ไอ้เกื้อ (มันอยู่ชุดช่างก่อสร้าง) นั่งท้ายรถกระบะไปกับพี่มิ้นท์และพี่เจมส์

   รถวิ่งไปได้สักพักไอ้ชายก็พูดว่า “ช่วงนี้สนิทกับพี่มิ้นท์จังนะมึง” แล้วทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม

   เราก็มองหน้ามันงง ๆ แล้วว่า อะไรวะ มันก็บอก “ตอนแรกต่อยกันจะตายห่า มาเดี๋ยวนี้ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ ถามจริง ๆ เหอะ มึงกับพี่มิ้นท์เป็นอะไรกัน”

   ตอนนั้นเราขำก๊ากเลย บอกมันว่า “กล้วยเหอะ ไอ้พี่มิ้นท์เนี่ยนะ คิดได้ยังไงวะ” ซึ่งเราคิดแบบนั้นจริง ๆ คือไอ้พี่มิ้นท์มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ นิสัยมันถึงจะอารมณ์ร้อน ห่าม ๆ บ้า ๆ บอ ๆ แต่ก็เอาการเอางาน มีความรับผิดชอบสูง ตลก แถมยังจิตใจดี รูปร่างหน้าตามันก็ไม่ได้แย่ ตัวสูง ๆ ไม่อ้วนไม่ผอม (ตอนนี้มันอ้วนขึ้นกว่าตอนเป็นทหารใหม่นิดหน่อย) ผิวไม่ขาวไม่ดำ แต่มันติดตรงที่เราไม่ได้ชอบคนแบบนั้นน่ะสิ

   เอาจริง ๆ เราชอบคนตัวเล็กว่า มีเนื้อมีหนัง...แบบไอ้เบนซ์ หรือไอ้ชายนี่แหละ จะว่าไปไอ้ชายมันก็น่ารักดีนะ อารมณ์ดีตลอด ยิ้มน่ารัก แถมยังพูดเหน่อนครปฐมยิ่งน่ารักไปกันใหญ่

   “จริงเหรอ” ไอ้ชายถามย้ำ “วันก่อนยังเห็นมึงสองคนนอนทับกันในห้องบก.ร้อยอยู่เลย”

   คือเรื่องของเรื่องน่ะ วันนั้นไอ้พี่มิ้นท์มันไปกินเบียร์มาจากเล้าหมู (ที่กองร้อยเราเลี้ยงหมูกับเลี้ยงแพะด้วย เป็นโครงสาธิตเกษตรพอเพียง) มันก็กรึ่ม ๆ แหละตอนกลับมา เราก็นอนดูทีวีอยู่ในห้องบก.ร้อยกับทหารคนอื่น ทีนี้ มันเห็นเรานอนหงายอยู่ มันก็มาคร่อมตัวเราเลย แล้วซอยสะโพกดึ๊ก ๆ ปากก็พูดทำเสียงหื่น ๆ ว่า “ชอบไหมจ๊ะน้องสาว”

   เราก็บอก “น้องสาวพ่อง ลุก เหม็นเหล้า” มันก็ไม่ยอมแถมจับเรานอนคว่ำแล้วซอยสะโพกแรงกว่าเดิมอีก เราเลยพลิกตัวมานอนหงายพยายามสู้แรงมัน พอจะลุกยืนได้เราก็ตั้งท่าจะวิ่งหนี มันก็คว้าเอวเราไปนอนเหมือนเดิม เห็นมันผอม ๆ แบบนี้ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เราเลยร้องให้คนช่วยแต่คนอื่นก็เอาแต่นั่งขำ ตัวเราเองก็ขำนะไม่ใช่อะไร ผ่านไปได้สักพักเราเลยบอก พี่มิ้นท์ลุก ไม่ลุกจูบปากนะไอ้ห่า มันก็บอกคิดว่ากลัวเหรอ แล้วทำปากจู๋ใส่ เราเลยแลบลิ้นเลียปากมันไปทีหนึ่ง เท่านั้นแหละหัวเราะกันลั่นห้องบก.ร้อย ไอ้พี่มิ้นท์ก็อึ้ง ๆ แล้วผละออกจากตัวเราแถมยังหัวเราะออกมาใหญ่

   เราเลยบอก “ไปแล้ว ไม่ดูแล้วหนงหนัง” ใครสักคนถามเราว่าจะไปไหนล่ะ เราเลยบอก “เล่นแบบนี้จะเหลือเหรอ ไปห้องน้ำดิ”

   เสียงหัวเราะดังตามหลังเราออกมาตอนที่เราเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วจัดการกับตัวเอง


   พอได้ยินไอ้ชายเอาเรื่องนี้มาพูด เราก็ยิ่งตลกใหญ่ บอกมันไปว่าก็เล่นกันเฉย ๆ อยู่ด้วยกันก็เห็นไม่ใช่เหรอ ไอ้ชายยังไม่เลิก ทำมองหน้าเราแล้วบอก “ใช่เหรอ แค่เล่นกันจริง ๆ เหรอ”

   เราเลยบอกไอ้พี่มิ้นท์อ่ะเล่น แต่กับมันอาจจะจริงก็ได้นะชาย ไอ้เกื้อที่นั่งอยู่ด้วยก็ขำ บอกว่า “เอาแล้วมึงไอ้ชาย โดนไอ้ทาซานซอยตูดแน่”

   พอพวกเราไปถึงร้านก่อสร้างก็ไม่มีอะไร เรากับไอ้ชายก็ช่วยกันยกถุงปูนขึ้นท้ายกระบะ ไอ้เกื้อก็เดินไปเลือกเครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรไม่รู้ข้างในร้าน พี่เจมส์นั่งรอในรถ พอเรายกถุงปูนเสร็จพี่เจมส์ก็เลื่อนกระจกลงแล้วบอกเราว่า (ด้วยมาดคุณนายตัวอ้วน) ให้เดินไปดูไอ้เกื้อกับพี่มิ้นท์ที่อยู่ในร้านสิว่าจะเสร็จหรือยัง มันเย็นแล้วร้านทำป้ายเขาจะปิด ซึ่งเราก็ทำตามนั้น

   พอไปบอกพี่มิ้นท์แบบนั้น มันก็บอกว่าปล่อยให้มันรอไปเหอะ อย่าไปสนใจมันเลย สงสัยยังเคืองเรื่องโดนตวาดไม่หาย เราเลยเดินเตร็ดเตร่อยู่ในร้านต่อ ก็มันมีแอร์นี่หว่า อยู่ตากแอร์ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

   ผ่านไปสักพัก ไอ้พี่มิ้นท์ก็เรียกเราไปดูอะไรสักอย่าง พอเราไปถึงก็เห็นมันยืนถือที่ฉีดน้ำแบบที่เขาเอาไว้ใช้รีดผ้าน่ะ พอมันเห็นเราก็ไม่พูดอะไรหรอก ฉีดน้ำใส่หน้าเราเฉย เราบอก “พี่มิ้นท์เล่นอะไรเนี่ยพี่ ไอ้บ้าเปียกหน้าหมด” มันก็หัวเราะ พอเราเช็ดหน้าเสร็จก็จะแย่งที่ฉีดน้ำมาฉีดใส่หน้ามันบ้าง แต่มันก็หลบไปหลบมาจนเราเหนื่อย เลยเปลี่ยนเรื่องถามมันไปว่า ทำไมในร้านก่อสร้างมันถึงมีของแบบนี้ขายด้วย

   ไอ้พี่มิ้นท์ก็บอก “เอาไว้พรมน้ำใส่ปูนเวลาฉาบไง เอ็งนี่ไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลย ปูนพอฉาบไปแล้วมันจะแห้งไว ต้องเอาที่ฉีดน้ำฉีดไว้ให้ปูนมันเปียกเวลาฉาบจะได้ลื่น ๆ” แต่พอเจ๊เจ้าของร้านที่กำลังคิดเงินอยู่เห็นเข้า แกก็ร้องว่า “ไอ้หนู อย่าเอามาเล่น เจ๊เอาไว้ใช้รีดผ้า”

   แค่นั้นแหละ เรารีบกลั้นขำแล้ววิ่งออกมาข้างนอก พอคิดเงินเสร็จไอ้เกื้อกับพี่มิ้นท์ก็เดินออกมา เราเห็นหน้ามันแล้วยิ่งขำ ปล่อยไก่ตัวเท่าไดโนเสาร์

   “เหรอ เอาไว้ฉีดใส่ปูนเหรอ จบวิศวฯโยธาจริงป่ะเนี่ย หรือเอาไก่ไปแลกใบปริญญามา” เราแกล้งแหย่ มันก็ทำเป็นยกขาจะเตะแต่เราหลบทัน

   จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ไปร้านไวนิล พี่เจมส์บ่นอุบอิบว่ากว่าจะมาร้านเขาก็จะปิดแล้ว เลยได้ป้ายพรุ่งนี้เลย ถ้าผู้กองด่าแกจะโทษพี่มิ้นท์ ไอ้พี่มิ้นท์เลยแกล้งจับตูดพี่เจมส์แล้วบอก “เหรอจ๊ะอ้วน”

   เราหันไปมองไอ้ชายแล้วบอก “เห็นไหม มันก็เล่นแบบนี้กับทุกคนแหละ”


   พอสั่งทำป้ายเสร็จก็ขับรถกลับค่าย แต่ผ่านไปได้ครึ่งทางจู่ ๆ ไอ้พี่มิ้นท์ก็โดนวิญญาณตีนผีเข้าสิงรีบบึ่งรถจนเหมือนจะเหาะ พอไปถึงที่ก่อสร้างโรงนอนเด็กบก.ใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่หลังตึกบก.ใหญ่เยื้อง ๆ กับโรงจอดรถที่เพิ่งทำเสร็จไป ถึงได้รู้ว่างานงอก

   ผู้กองวัชรยืนเท้าเอวอยู่หน้าโรงนอนเก่าที่ตอนนี้โดนกิ่งไม้ใหญ่หักทับหลังคาไปครึ่งหนึ่ง

   เรื่องของเรื่องก็คือ บก.ใหญ่สั่งให้กองร้อยบริการขยายโรงนอนใหม่ให้ทหารของบก.ใหญ่ แต่ผู้กองแกดูแล้วแค่ต่อเติมคงไม่พอเพราะมันทั้งเก่าและเล็กมาก แกเลยสั่งให้รื้อโรงนอนเก่าออก ส่วนโรงนอนใหม่ก็ปลูกอยู่ถัดไปซึ่งมันยังเป็นป่ารกอยู่ มีทั้งไม้ใหญ่ไม้เล็กแล้วยังมีกองขยะที่พวกเด็กบก.ใหญ่เอามาทิ้งอีก

   ผู้กองเลยให้หมวดอเนกซึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ที่กองร้อยได้ประมาณหนึ่งเดือนมาคุมทหารถางป่าเก็บขยะ ซึ่งมันน่าจะเป็นงานง่าย ๆ แต่ก็เกิดเรื่องจนได้ คือในพื้นที่ ๆ ต้องถางมันมีต้นหูกวางใหญ่อยู่ หมวดแกเลยสั่งให้ทหารปีนขึ้นไปตัดกิ่งใหญ่ ๆ ออกก่อนแล้วค่อยโค่นต้น ทหารก็เลยหิ้วเลื่อยยนต์ปีนขึ้นไปตัดซึ่งมันก็เป็นงานปรกติ ไม่น่าจะอันตรายอะไร แต่มันมีกิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือโรงนอนเก่าพอพี่ ทหารก็ถามแล้วว่ามันอยู่เหนือโรงนอนนะหมวด จะตัดเลยเหรอ หมวดแกก็กะด้วยสายตาว่าไม่น่าจะตกมาโดนก็เลยสั่งตัด

   เท่านั้นแหละ ปรากฏว่ากิ่งมันตกลงมาโดนโรงนอนเก่าซึ่งมีทหารกำลังช่วยกันรื้ออยู่ข้างใน ผลก็คือโดนทหารไปสามคน คนหนึ่งโดนกิ่งไม้ปักเข้าที่น่อง ส่วนไอ้คนตัดก็พลาดตกต้นไม้ โชคดีว่าไม่เจ็บมาก

   พอผู้กองรู้เรื่องก็มาดู ถามหารถจะเอาทหารไปส่งโรงพยาบาล รถก็ไม่อยู่ แกก็ยิ่งอารมณ์เสีย

   “ไอ้มิ้นท์ มึงไปไหนมาวะ” คำแรกที่ผู้กองพูด แถมยังตะเบ็งเสียงลั่นค่าย

   พวกเราพอลงจากรถได้ก็ทำตัวลีบ ๆ ตั้งท่าจะเอาของลงจากรถ แต่ผู้กองก็ตะโกนมาอีกว่า “พวกมึงยังไม่ต้องไปไหน รออยู่ตรงนั้นแหละ”

   แล้วแกก็เรียกพี่มิ้นท์ไปถามว่า “ปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง มึงเห็นไหมว่าทหารเจ็บ ทำไมไม่ยอมมาดู หมวดเขาเพิ่งมาอยู่ยังไม่คล่องแคล่วเหมือนมึงที่อยู่มานานกว่า แล้วรถน่ะทิ้งเอาไว้ให้มึงเอาไว้ใช้งาน มึงก็เอาไปขับเล่นขับหัว มึงนี่มันน่านัก...” แกง้างมือจะชก เราเห็นพี่มิ้นท์หลับตาแน่นเกร็งตัวยืนตรงอยู่แบบนั้น แต่ผู้กองก็คลายมือออก แล้วตบหัวพี่มิ้นท์ฉาดใหญ่ ใหญ่ขนาดที่ว่าพี่มิ้นท์เซถลาหัวทิ่มไปเลยแหละ

   “พวกมึงก็เหมือนกัน” นั่นไง แกเดินมาทางพวกเราที่ยืนอยู่ข้างรถกระบะ “ไปนั่งรถเล่นสบายใจเฉิบ มึงมาเป็นทหาร รู้จักหน้าที่ตัวเองด้วย” แล้วไล่ตบหัวไปทีละคน ตั้งแต่พี่เจมส์ (“กูให้มึงสั่งทำป้าย มึงก็สั่งเขาในไลน์ก็ได้แล้วให้เขามาส่ง”) ไอ้เกื้อ (“งานมึงคือก่อสร้างไม่ใช่ซื้อของ”) ไอ้ชาย (“มึงก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรกับเขาหรอกเสือกอย่างจะไป”) แล้วจบที่เรา (“กูให้มึงทำงานสบาย ๆ ไม่ชอบชอบทำงานหนัก ๆ”) แรงตบอ่ะแรงจริง เสียงดังอ่ะดังจริง แต่มันไม่ได้เจ็บอะไรหรอก อาจจะแค่มึน ๆ มีดาวลอยในตาบ้างแต่ก็ดีกว่าโดนตบหน้าหรือต่อยเข้าเบ้าตาอีกรอบ

   พอจบจากตรงนั้นแกก็ให้พวกเราเดินกลับกองร้อย ส่วนไอ้เกื้อกับพี่มิ้นท์ก็อยู่ทำงานจนกว่าจะเคลียร์เสร็จ ผ่านไปได้ครึ่งทางพี่เจมส์ก็พูดขึ้นว่า “อีดก ดีนะว่าไม่โดนต่อย” แล้วพวกเราก็หัวเราะกันออกมา

   “ดาวขึ้นเลยอ่ะพี่เจมส์ วิ้งเลย” ไอ้ชายพูด

   “แล้วหมวดแกเป็นอะไรของแก ก็เห็นอยู่ว่ากิ่งไม้มันอยู่ข้างบน ก็ยังจะสั่งให้ตัดลงมา”

   “ก็ไม่คิดไง ถ้าคิดก็ไม่สั่งให้ตัดหรอก” พี่เจมส์ตอบเรา

   พอกลับมาถึงบก.ร้อยพวกเราถึงรู้ว่าโดนตบยังไม่พอ พวกเราโดนสั่งดองเวรไปห้าวัน (ดองเวรคือเข้าเวรติด ๆ กันหลาย ๆ กะหรือหลาย ๆ วัน) โชคดีว่าผู้กองแกสั่งให้เข้ากะสองทุ่มถึงห้าทุ่ม


   ห้าวันนั้นเราเลยต้องยกบัญชีขึ้นไปทำตอนเข้าเวรด้วย แต่โชคยังดีว่าเข้าเวรคู่กับไอ้ชาย เราเลยมีเพื่อนน่ารัก ๆ เอาไว้คุย พอคุยกับมันมาก ๆ เราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นคนน่าคบหา อัธยาศัยดี แล้วเวลามันพูดมันจะพยายามพูดแบบสำเนียงภาคกลาง แต่พอพูดยาว ๆ หรือเล่าเรื่องยาว ๆ เสียงมันจะค่อย ๆ เหน่อขึ้นเรื่อย ๆ พอเราทัก มันก็จะพูดว่า “อ้าว เหรอ” แล้วก็ยิ้ม แบบนั้นยิ่งทำให้เราหัวใจเต้นแรง

   หลังจากนั้น เวลามันเผลอหรือนั่งทำงานอยู่ เราก็จะแอบเข้าไปข้างหลังแล้วกอดมัน

   ก็มันน่ารักนี่หว่า



พลทหารเต้อ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


   
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ขอบคุณจร้า รักน้า สงสัยจะติดนิยายเราแล้วจิ เม้นท์ บ่อย  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


อยากคอมเม้นยาวๆนะแต่เลาเกรงจายคนเขียน 555
+1 ให้นะครับ :a2:


ม่ายเป็นไรจร้า มเ้นท์เถอะ อยากให้เม้นท์ จะด่าว่าตบตีเราก็ยอม  :o12: :o12::o12: :o12::o12: :o12::o12: :o12:   




  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:30:38 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
:katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแล้วจั๊บ :katai4: :katai4:



   การรับเงินของทหารแบ่งออกเป็นสองแบบคือ เงินเดือนที่จะออกทุกสิ้นเดือนกับเงินเบี้ยเลี้ยงที่จะออกทุก ๆ สองอาทิตย์

   วิธีการก็คือผู้กองจะบอกกับจ่ากอง (หมายถึง จ่ากองร้อย คือ จ่าที่เข้าเวรประจำอยู่กองร้อย จะผลัดเปลี่ยนกันไปแต่ละวัน) ว่าพรุ่งนี้เงินออก แล้วจ่ากองก็จะบอกกับทหารอีกที พอเช้ามืดของวันนั้นผู้กองก็จะมาที่กองร้อย นั่งประจำที่โต๊ะของแกซึ่งเด็กบก.ร้อยจะเป็นคนเตรียมไว้ให้ (แล้วแต่แกจะสั่งว่าจะจ่ายเงินที่ไหน บนชั้นสองของมุขกลาง ซึ่งเป็นโถงโล่ง ๆ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่เอาไว้ให้ทหารสวดมนต์ตอนเย็น หรือที่ข้างล่าง ในห้องประชุม ข้างหน้าหน่วย อะไรก็ว่าไป)

   พอผู้กองนั่งที่เรียบร้อย เด็กบก.ร้อย (คือพี่ภพ) ก็จะเอารายชื่อมาให้ผู้กองพร้อมกับยอดเงินที่หักจากบัญชีพีเอ็กซ์แล้ว ผู้กองก็จะจ่ายเงินตามรายชื่อนั้น แกก็จะเรียกชื่อทหารไปทีละคน พี่มิ้นท์จะนับเงินแล้วส่งให้ผู้กองตรวจอีกที ถึงจะยื่นให้ทหาร พอทหารรับเงินเสร็จก็จะบอกว่า ขอบคุณครับ ดัง ๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่ (หรือเดินออกไปทำงานเลย แล้วแต่ผู้กองจะสั่ง)

   ไคลแมกซ์ของการจ่ายเงินเดือนก็ตรงเรียกชื่อทหารนี่แหละ

   เรื่องของเรื่องก็คือ ในรายชื่อจะมีช่องไว้ช่องหนึ่ง ทหารคนไหนมีปัญหา เช่น หนีทหารไปพึ่งกลับมา ถูกจับได้ว่าเสพยาเสพติด แอบหนีเที่ยวตอนกลางคืนบ่อย แอบกินเหล้าในกองร้อย เมา หรืออะไรก็แล้วแต่จะถูกเขียนลงไปในช่องนั้นโดยด้วยตัวจ่าเองหรือจ่าบอกมาให้เด็กบก.ร้อยเขียนก็ได้ ตรงนี้แหละที่คนในกองร้อยจะเกลียดเด็กบก.ร้อย เพราะหลายคนคิดว่าเด็กบก.ร้อยเขียนกันเอง ไม่ชอบขี้หน้าใครก็เขียนแทงไป

   พอผู้กองเรียกชื่อก็จะเห็นว่ามีเขียนว่าอะไร ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องปรกติทั่วไปอย่าง ชกต่อย ยังทำงานที่สั่งไม่เสร็จ หรือแม้แต่ถ้าผู้กองมากองร้อยแล้วกองร้อยไม่เรียบร้อย แกก็จะเลื่อนจ่ายเงินเดือนไปดื้อ ๆ อาจจะสามวัน แปดวัน สองอาทิตย์ ก็แล้วแต่ บางคนอาจจะรวบยอดไปจ่ายรวมกับเบี้ยเลี้ยงครั้งต่อไปเลยก็มี

   แต่ถ้าร้ายแรงอย่าง กินเหล้าในกองร้อย (น้อยมากที่จะมีคนแทงเรื่องนี้เพราะจ่าก็กินด้วย) หนีเที่ยว หนีทหารพึ่งกลับมา ส่วนใหญ่ผู้กองจะลากยาวไปสามเดือน หกเดือน จ่ายแต่เบี้ยเลี้ยงไป ก็มี

   แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ เสพยาเสพติด บทลงโทษคือต่อย ที่เราได้ยินว่าผู้กองต่อย ผู้กองต่อย เราก็ยังไม่เคยเห็น เพราะใครก็ตามที่มีเรื่องติดตัวอยู่จะรู้ตัวดี ส่วนใหญ่เลือกที่จะแอบไปหลบไม่มารับเงินเดือนหรือหนีหายออกจากค่ายไปเลย

   จนกระทั่งเข้าเดือนที่สามหรือสี่นี่แหละ คือช่วงนั้นจ่าแกสังเกตว่าในกองร้อยมีคนเสพยากันเยอะ ทั้งกัญชา ยาบ้า แกเลยสุ่มตรวจช่วงกลางดึก ปรากฏว่าฉี่ม่วงกันไปหนึ่งในห้าของกองร้อย รวมไปถึงไอ้คิง เด็กบก.ร้อยด้วย พอวันจ่ายเงินเดือนผู้กองลงจากรถมา สั่งยกโต๊ะไปเก็บ (เป็นสัญญาณว่าแกจะไม่จ่ายเงินวันนี้) แล้วเรียกไอ้พวกเสพยาให้ลุกขึ้น แล้วแกไล่ชกหน้าไปทีละคน (ร่วมยี่สิบคนได้) กำหมัด สาวมือไปข้างหลัง ชกหน้า ก้าวไปข้าง ๆ กำหมัด สาวมือไปข้างหลัง ชกหน้า สีหน้าแกนิ่งเรียบไม่สะทกสะท้าน เหมือนเครื่องจักรสังหารที่ไร้ความรู้สึก (สยอง) แล้วเวลาแกชกห้ามใครหลบ ตั้งการ์ด ก้าวถอยหลัง หรือล้มเด็ดขาด ถ้าหลบ ตั้งการ์ด หรือถอย แกจะถามว่า “มึงสู้เหรอ” แล้วรัวหมัดใส่หน้าแบบไม่ยั้ง ถ้าล้ม แกจะใช้เท้างัดตัวให้ลุกขึ้นมายืนแล้วอาจจะโดนเตะสามสี่ที

   “เพราะงั้น ถ้าอยากจะให้เรื่องจบเร็ว ๆ มึงต้องยืนนิ่ง ๆ ที่เดียว จบ” ไอ้พี่มิ้นท์เคยบอกเราแบบนั้น

   แล้วไอ้เรื่องยาเสพติดก็เหมือนกัน เกิดมาเรายังไม่เคยเห็นเลยว่ารูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง ทั้งกัญชาหรือยาบ้า พอเข้ามาในนี้เราเห็นหมด เอาเข้าจริง ๆ มันก็รู้กันหมดและว่าใครเสพไม่เสพ ยาหาได้จากใครบ้าง ดูหน้าก็รู้กันแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะไม่พูดกันมากกว่า

   ยังไงก็เหอะ วันนั้นแหละคือวันที่เราได้เห็นคนโดนต่อยต่อหน้าครั้งแรก บางคนกำดาวไหล ปากแตก แต่ส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะคนท้าย ๆ) ไม่เจ็บมาก

   จากนั้นผู้กองก็สั่งให้จ่าพาไอ้พวกเสพยาไปโกนหัว ส่วนคนอื่น ๆ ที่นั่งรอเงินเดือนอยู่ แกก็ให้เด็กบก.ร้อย (“ไอ้มิ้นท์ ไอ้ทาซาน...ตกลงมึงชื่อห่าอะไรวะจำไม่ได้สักที...เออไอ้เต้อ ไปยกเก้าอี้กับรายชื่อมา”) แล้วแกก็ให้พี่มิ้นท์ขานรายชื่อ ส่วนเราเป็นคนนับเงินส่งให้ทหาร ตัวแกก็นั่งจับมือตัวเองถูไปมา พี่มิ้นท์เคยบอกว่าผู้กองแกมือเจ็บจนกระดูกร้าวเพราะต่อยทหารเยอะ

   บ่ายแก ๆ วันนั้นจ่าก็เกณฑ์พวกหัวโล้นไปซ่อมกลางแดด ทั้งพุ่งหลัง วิดพื้น วิ่ง ซิทอัพ พอผ่านไปได้สองสามชั่วโมงแกก็ให้ทหารไปพักแล้วจ่ายงานให้ไปทำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงงานทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบกซุงที่ตัดแล้วจากหลังบก.ใหญ่ไปตัดเป็นท่อน (ด้วยเลื่อยมือ) แล้วแบกไม้ท่อนไปเก็บ ขนกระเบื้องเก่า ๆ ไปไว้ในฝาย ทุบโรงนอนเก่าของเด็กบก.ใหญ่ อะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง (กองร้อยบริการมีงานไม่ขาดหรอก) จนไปถึงช่วงค่ำ ๆ เป็นแบบนี้อยู่เป็นสิบวันเหมือนกัน

   ตัวเราก็ไม่ได้สนใจมากหรอก สมน้ำหน้าพวกมัน แต่เรื่องมันมาเกิดหลังจากนั้นสักหกเจ็ดวันได้ ตอนนั้นสักห้าโมงเย็นนิด ๆ เรากำลังจะไปซื้อของใช้ที่ตลาดค่าย เดินออกมาจากห้องบก.ร้อยก็เห็นไอ้ชาย พี่มิ้นท์ พี่ภพ ไอ้คิงนั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินหน้าหน่วย เราเลยถามพวกนั้นไปว่าจะไปตลาด ไปไหม? หรือจะเอาอะไรหรือเปล่า พวกนั้นตอบว่าไม่เอาเราเลยเดินไปคนเดียว พอเดินไปได้จนเกือบจะออกจากค่ายแล้ว เราก็ได้ยินเสียงคนเรียก พอหันไปก็เห็นไอ้คิงวิ่งมา สีหน้ายิ้มแย้มแปลก ๆ หัวยังล้านเลี่ยนเพราะโดนโกนหัว พอมันมาถึงก็หอบ บอกว่าทำไมเราเดินเร็วจัง เราไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยบอกว่าเราอ่ะเดินปรกติ มึงขาสั้นเองหรือเปล่า มันก็ขำแล้วเรากับมันก็เงียบไป ตอนนั้นบรรยากาศแปลก ๆ คือปรกติไอ้คิงมันเป็นคนอารมณ์ดี งานการก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องหรอกแต่อัธยาศัยดี เรื่องเอกสารก็เรียนรู้เร็วเหมือนกัน (เห็นพี่ภพบอก) แต่ตอนนี้มันกลับมองเราแปลก ๆ มองแล้วก็มองไปทางอื่นแล้วมองเราอีก เราก็งงว่าอะไรของมัน เราเลยหันหลังแล้วเดินต่อ แต่พอเราหันหลังมันก็เดินมาข้าง ๆ เรา ตบไหล่แล้วถามว่าจะไปตลาดเหรอ เราก็บอก “อ่าว ก็เพิ่งบอกไปเมื่อกี้นี้ว่าจะไปตลาด อะไรของมึงเนี่ย” มันก็ขำออกมา


ตอนนั้นเรารู้สึกทะแม่ง ๆ เหมือนมันมีอะไรจะบอกหรือพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้ว่าอะไร เราเลยถามมันว่า “มึงมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย”

   มันก็บอกเปล่า ๆ แล้วถามเราว่าเป็นไงช่วงนี้ เราก็บอกก็ดี เรื่อย ๆ สมองก็พยายามประมวลผลว่ามันมีอะไร แล้วมันก็บอกว่ามันโคตรซวยเลย โดนจับได้ แล้วมันก็เล่าว่ามันดูดกัญชาไปนิดหน่อยเองแต่จ่าดันมาจับตรวจวันนั้นพอดี เงินเดือนก็ไม่ได้ ลูกก็ยังเล็ก ๆ แล้วมันก็ล้วงเอาโทรศัพท์มาเปิดรูปลูกมันให้ดู เราก็บอก “มึงเอาให้ดูเป็นล้านรอบและ” แล้วก็ถามมันว่าเมียก็ทำงานไม่ใช่เหรอ ในใจพอจะรู้แล้วว่ามันต้องการอะไร

   มันก็บอกเมียมันช่วยแม่ยายขายกับข้าวไม่ได้เงินประจำอะไร แล้วก็ไปขายได้ไม่ทุกวันหรอก ต้องดูลูกอย่างนั้นอย่างนี้ พูดแล้วก็เดินคอตกทำหน้าเศร้า ๆ บอกไม่เหมือนเราหรอกไม่มีภาระอะไร

   ตอนนั้นเราเกือบหลุดขำ ไอ้ห่า มึงเสียวก็เสียวสองคนกับเมีย มาตอนนี้พูดเหมือนเป็นความผิดของกูงั้นแหละ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ถามมันว่า “ไอ้คิง มึงต้องการอะไรพูดมาตรง ๆ เหอะ”

   มันก็ทำหน้ายิ้ม ๆ บอก มีให้ยืมสักสองพันไหม เราก็ตกใจ ไอ้ห่าค่าอะไรตั้งสองพัน ลูกมึงแดกทองแท่งเหรอ มันก็บอกค่านมค่าผ้าอ้อมค่าใช้จ่ายอะไรหลายอย่างอีก แล้วมันก็อ้อนว่า “นะ นะ เต้อ กูลำบากจริง ๆ เงินเดือนก็ไม่ได้แถมโดนผู้กองต่อยมาอีก” เราก็บอก “อ่าว มึงทำตัวมึงเองนะคิง ไม่มีใครเอากัญชากรอกปากมึงนะ” (ตอนนั้นเรายังคิดว่ากัญชาเสพด้วยกันเอาไปต้มน้ำกินเหมือนใบชา...ก็ ‘กัญชา’ มันมีคำว่า ‘ชา’ นี่หว่า)

   มันก็ก้มหน้า ส่วนเราก็ใจอ่อนแหละ มาพูดเรื่องลูกเรื่องเมีย แล้วเป้ก็รู้ว่าเด็กเล็ก ๆ เป็นจุดอ่อนเราอยู่แล้ว ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ลูกก็ไม่ใช่ ญาติโกโหติกาหรือก็เปล่า แต่เวลาเห็นข่าวระดมทุนให้เด็กหรือโพสขอความช่วยเหลือในเฟสบุ๊คที่เกี่ยวกับเด็ก ๆ เราต้องควักตังให้ทุกทีสิน่า

   จังหวะที่เรากำลังจะล้วงกระเป๋าตังออกมาไอ้คิงก็พูดขึ้นมาว่า “เต้อ กูพูดจริง ๆ ตอนนี้กูลำบาก ลูกก็ต้องดู เงินเดือนทหารก็น้อย แล้วตอนนี้ผู้กองยังไม่จ่ายเงินอีก...เอางี้ไหมเต้อ มึงให้กูก่อนสองพัน...แล้วมึงจะเอาอะไรกูยอมหมดทุกอย่างแหละ นะเต้อ กูลำบากจริง ๆ ถ้าไม่ลำบากกูไม่มาขอมึงแบบนี้หรอก”

   พูดแล้วมันก็คว้าข้อมือเราไปจับ ตอนนั้นเราคิดในใจว่าห่าอะไรของมึงวะ พูดจาวกวน ส่วนอีกมือเราก็กางกระเป๋าตังออกแล้วยื่นให้มันไปสองพัน

   พอได้เงินเท่านั้นแหละ ยิ้มเลยไอ้ห่า รีบรับเงินบอก “เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากันนะ” แล้วมันก็วิ่งกลับกองร้อยไป

   ตัวเราเองตะโกนเรียกมันจะถามเรื่องคืนเงินว่าจะคืนวันไหน แต่มันทำไม้ทำมือเหมือนจะบอกว่าคุยทีหลัง เราก็คิดในใจว่า ‘เฮ้ย อีกแล้วว่ะเรา โดนหลอกยืมเงินอีกแล้ว แต่อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยลูกมันไปหล่ะวะ ไม่ได้คืนก็ช่างมัน ถือว่าทำบุญไป’   หลังจากนั้นเราก็เดินไปตลาด ซื้อของใช้สองสามอย่างแล้วไปเจอไอ้จีนกับเพื่อนมันที่ไปตกหน่วยโรงพยาบาลค่ายเลยแวะกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน คุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่สักพักแล้วพวกมันก็กลับ ตัวเราก็กำลังเตรียมตัวกลับกองร้อยตอนโทรศัพท์ดังเตือนข้อความเฟสบุ๊ค

   ไอ้คิงข้อความมา บอกว่า ‘คืนนี้นะ’

   เรางงเลยถามมันว่า ‘อะไรคืนนี้’

   ‘ก็ที่บอกไง คืนนี้ เดี๋ยวข้อความมาบอก’

   เราก็ยิ่งงง อะไรของมันที่บอก มันบอกบ้าอะไร? ตอนคุยกันก็เล่าเรื่องชีวิตน่าสงสารอย่างกับละครหลังข่าว นี่ถ้ามีแม่ป่วยด้วยก็เอาลงเฟสบุ๊คพี่บิณ บรรลือฤทธิ์ ได้แล้วมั้ง บอกลูกยังเล็ก ๆ เมียทำงานไม่มีเงิน เงินเดือนทหารน้อย แล้วยังโดนจับเรื่องกัญชาอีก...มันบอกอะไรอีกล่ะ...มันลำบาก...ใครไม่ลำบากวะ...แล้วมันก็บอกว่าให้มันก่อนสองพันแล้วเดี๋ยวมันคืน...ไม่ใช่ดิ มันไม่ได้บอกจะคืน...มันพูดว่าอะไรนะ ‘แล้วมึงจะเอาอะไรกูยอมหมดทุกอย่างแหละ’ ...มันพูดแบบนั้น...ยอมหมดทุกอย่างแหละ...ยอมหมดทุกอย่าง...ยอมหมดทุกอย่าง

   เดี๋ยวดิ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ

   ตอนนั้นเราจำได้ว่าตัวเองยกมือขึ้นมาปิดปาก ขาสั่นมือสั่นไปหมด ใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก เดี๋ยวดิ มันพูดแบบนั้นหมายความว่าไงวะ มันหมายความอย่างที่เราคิดหรือเปล่า ไม่น่าจะใช่ ไอ้คิงมันชอบผู้ชายเหรอ ไม่จริงหรอก บ้าแล้ว มันมีเมียมีลูกขนาดนั้นแล้วยังจะเป็นอีกเหรอ แต่ถึงจะไม่มีเมียไม่มีลูกมันก็ไม่เป็นหรอก ถ้าเป็นเราก็ต้องรู้ดิ หรืออย่างน้อยก็มีสงสัยบ้าง แต่นี่มันไม่มีอะไรเข้าเค้าเลย แต่ทำไมมันพูดแบบนั้นล่ะ...เพื่อเงินเหรอ...เงินสองพันเนี่ยนะ....

   นี่เราทำอะไรไปวะเนี่ย...นี่เราซื้อบริการทางเพศครั้งแรกในชีวิตไปเหรอวะ!!!

   เราเดินกลับมาถึงกองร้อยตอนไหนก็ไม่รู้ มานั่งที่โต๊ะตัวเองได้ยังไงยังไม่รู้ตัวเลย สมองก็เอาแต่คิดว่ามันใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า ไอ้คิงเนี่ยนะ...ไม่ใช่ว่ามันเป็นคนเลวร้ายอะไร มันออกจะเป็นคนนิสัย...เดี๋ยวดิ นี่มันบริการทางเพศนะเฮ้ย มีอะไรเกี่ยวกับนิสัยวะ เราไม่ได้จะเป็นแฟนมันหรือคบกันอะไรสักหน่อย แต่มันเพื่อนมึงนะเต้อ มึงจะทำจริง ๆ เหรอ...แต่มึงก็ให้เงินมันไปสองพันแล้วนะ ไม่เอาก็โง่เลยนะมึง แล้วอ้อยมาถึงปากช้างขนาดนี้มึงจะไม่อ้าปากกินหน่อยเหรอ...อ้อยมาถึงปาก...นี่เราคิดอะไรอยู่วะเนี่ย

   เราพยายามตั้งสติทำงาน (ความจริงไม่มีอะไรให้ทำหรอก เพราะทำเสร็จไปตั้งแต่บ่ายแล้ว) พยายามตรวจบัญชีที่ทำไปว่าผิดตรงไหนหรือเปล่า แต่สมองก็คิดแต่เรื่องไอ้คิง คิดถึงร่างกายของมันตอนที่มันอาบน้ำซึ่งเราเห็นมาเป็นล้านครั้งได้แล้วมั้ง ตัวมันผอมจนเห็นซี่โครง แต่ผิวขาวเนียน ความสูงเท่า ๆ กับไอ้ชายซึ่งมันดีมากสำหรับเรา ในตามันเป็นสีดำสนิท ดำยิ่งกว่าสีดำไหน ๆ ที่เราเคยเห็นและมักจะเป็นประกายเวลามันพูดเรื่องตลกหรือเอาคลิปวิดีโอวิตถารมาให้ดู มันไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ของมัน

   นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย ทำงานสิวะ

   “เฮ้ย” จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากข้างหูพร้อม ๆ กับวงแขนที่มาโอบอยู่รอบคอเรา ไม่ต้องมองเรายังรู้เลยว่าคือไอ้พี่มิ้นท์

   เราถามมันว่า “อะไรพี่” โดยไม่มีท่าทีขัดขืนการกอดจากข้างหลังของมัน เราเลิกขัดขืนมันไปนานแล้วและรู้สึกว่านาน ๆ ครั้งถูกใครสักคนกอดมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถึงจะเป็นไอ้พี่มิ้นท์ก็ตาม

   “พี่ถามเอ็งตั้งนานทำไมไม่ตอบ”

   “ตอบอะไรล่ะพี่ ไม่ได้ยิน ทำงานอยู่” เราขยับตัวเป็นเชิงให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลัวว่าไอ้พี่มิ้นท์มันจะรู้ความคิดในสมองของเรา...ซึ่งมันประหลาดมาก ไอ้พี่มิ้นท์มันไม่ใช่เอ็กซ์เม็น มันจะอ่านใจได้ยังไงล่ะ

   อีกฝ่ายไม่ตอบ มันแค่ปลดแขนออกจากตัวเราแล้วเดินไปนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งห่างจากหน้าโต๊ะเราไปนิดหน่อย รู้สึกมันจะมองเราอยู่สองสามครั้งแล้วก็หันไปทำงานเอกสารอะไรสักอย่างให้ผู้กอง

   เรานั่งอยู่แบบนั้น รู้สึกเหมือนรอ แต่ก็ไม่เชิง มันเหมือนเราประหม่าจนไม่กล้าทำอะไรมากกว่า สายตาก็เอาแต่มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะสลับกับสมุดบัญชี มองสลับไปสลับมาอยู่เป็นชั่วโมงจนเราเริ่มปลอบใจแล้วว่าไอ้คิงคงไม่เอาจริงหรอก คิดแบบนั้นได้เราก็ถอนหายใจยาวออกมา คิดมากไปแล้วแหละเรา อย่างไอ้คิงมันไม่ทำแบบนั้นหรอก ไอ้บ้าทำเราเครียดเป็นชั่วโมง พรุ่งนี้ต้องไปคุยกับมันเรื่องคืนเงินสักหน่อย เรื่องจะได้จบสักที

   แต่ที่ไหนได้ ยังคิดไม่ทันจบเสียงเตือนมือถือก็ดังลั่นห้องบก.ร้อย ตอนนั้นให้ห้องมีแต่เรา พี่ภพกับไอ้แมวนอนอยู่ที่มุมห้อง ไอ้พี่มิ้นท์นั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ

   เรารีบคว้าโทรศัพท์มาดู มือสั่นจนโทรศัพท์หลุดมือแต่ก็คว้าไว้ทัน

   ‘กูรออยู่ห้องน้ำ’

   ข้อความมีแค่นั้น เรามองลอดหน้าต่างออกไปเห็นได้คิงยืนหันหลังอยู่ใต้ดวงไฟนีออนหน้าห้องน้ำ ก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่

   ข้อความเด้งขึ้นมาอีกที ‘รีบมาล่ะ’

   พอเราเงยหน้าขึ้นจากมือถือ ไอ้คิงก็เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว

   เราลังเลอยู่สองสามวินาที จนคิดว่า ‘เอาวะ เป็นไงเป็นกัน’ แล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ไอ้พี่มิ้นท์ถามเราว่าอะไรสักอย่าง แต่เราจับใจความไม่ได้...ที่จริงเราไม่รับรู้อะไรรอบตัวแล้วตอนนั้น ภาพรอบด้านระหว่างทางห้องบก.ร้อยไปห้องน้ำเป็นเหมือนทางเดินเบลอ ๆ ในความฝัน เราเดินไปถึงห้องน้ำซึ่งคล้าย ๆ กับห้องน้ำสาธารณะแบบที่มีหลาย ๆ ห้อง ตรงกลางเป็นทางเดินปูกระเบื้อง

   เราเรียกชื่อไอ้คิงสองสามครั้งแล้วมันก็ขานรับพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำห้องหนึ่งออกมา

   “เข้ามาดิ” มันบอกตอนที่เห็นเรายื่นเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่ พอเราเดินเข้ามามันก็ล๊อกประตูตามหลัง และเรากับมันก็มายืนประจันหน้ากันเงียบ ๆ หลายวินาทีเหมือนต่างคนต่างรอให้อีกฝ่ายทำอะไรสักอย่าง ไม่บอกก็รู้ว่านี่ก็ครั้งแรกของมันเหมือนกัน...ไม่ใช่เรื่องนั้นนะ มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะมันมีลูกแล้วตั้งคนหนึ่งจะไม่เคยได้ยังไง แต่เราหมายถึงที่มันทำแบบนี้...เอาตัวแลกตังค์...แถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีก

   จนในที่สุดมันก็หลบตาเราแล้วบอกว่า “กูไม่ให้ข้างหลังนะ”

   ตอนนั้นเราหูอื้อหน้าชาไปหมด เลยถามมันไปว่า “ห๊ะ”

   “จะทำอะไรก็ทำ แต่ข้างหลังไม่ให้นะ...แต่จะเอาก็ได้ แต่ถ้าเจ็บกูเลิก” ทำไมมันมีหลายแต่จังวะ

   หัวใจเราเต้นเร็วยิ่งกว่าเสียงรัวปืนเอ็มสิบหก ไอ้คิวค่อย ๆ ถอดเสื้อกับกางเกงมันออกจนเหลือแต่กางเกงในสีเทาแบบที่แจกให้ตอนมาเป็นทหารใหม่ ขอบยางยืดมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘กองทัพบก’

   เราบอกไปแล้วใช่ไหมว่าไอ้คิงมันไม่ได้เป็นคนหล่อหรือหน้าตาดีอะไร ตัวมันเล็ก จมูกโต ยาหยี หูกาง แต่พอมันมายืนกึ่งเปลี่ยนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ทำให้เราอึ้งอยู่นานเหมือนกัน ตัวมันขาวเนียนเหมือนคนเชื้อสายจีน ผิวในร่มผ้ามันขาวมากจนตัดกับผิวภายนอกร่มผ้าที่คล้ำกรำแดด ร่างกายผอมแต่ก็ดูมีเนื้อมีหนังกว่าตอนเป็นทหารใหม่ มือทั้งสองข้างที่มีเส้นเลือดปูดโปนเด่นชัดขยับเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด เดี๋ยวกอดอก เดี๋ยวเกาหัว ตัวก็ทิ้งน้ำหนักไปทางขาซ้ายทีขวาทีเหมือนมันประหม่าและไม่สบายใจ

   “เอาดิ” มันพูดออกมาในที่สุด และแบบนั้นยิ่งเหมือนเป็นคำท้าทายให้เราทำอะไรสักอย่าง เราเลยประทับจูบมันที่ปาก ปากมันแห้งและสั่น แต่ไม่นานมันก็ทำแบบเดียวกันตอบ มือของมันโอบร่างที่ยังสวมเสื้อผ้าครบทุกชิ้นของเราไว้ ความคับแน่นในกางเกงทำให้เรารู้สึกอึดอัด...แต่...แต่แบบนี้มันไม่ถูก

   เราผล่ะมันออก

   “อะไรของมึงเต้อ เร็ว ๆ เหอะน่า จะได้ไปนอน กูง่วงแล้ว” มันทำท่าจะกดเราให้นั่งลงไปกับพื้น แต่เราไม่ยอม

   “มึงไปนอนเหอะคิง กู...กูพอแล้ว” อีกฝ่ายขมวดคิ้วนิ่วหน้า เราเลยบอกว่า “เงินกูให้ เอาไปเหอะ จะคืนไม่คืนก็เรื่องของมึง แต่แบบนี้กูทำไม่ได้”

   ได้ยินแบบนั้นมันก็ยิ้มร่าออกมาก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาใส่อย่างรวดเร็วด้วยความเร็วแสงและปลดล๊อกประตูห้องน้ำ

   “ทำไมวะ” มันหันมาถามก่อนจะเดินออกไป

   “มึงเพื่อนกู กูทำไม่ลง...ไปเหอะน่า เดี๋ยวคนมาเห็น” เราพูดตัดบท มันถามว่าแล้วเราไม่ออกไปด้วยกันเหรอ เราเลยบอกว่าเราจะฉี่...ซึ่งเราโกหก

   เช้าสองสามวันต่อมาไอ้คิงมีแว่นตาอันใหม่มาใส่ ไม่ใช่แว่นสายตาหรอก เป็นแว่นกันแสงสำหรับคนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ สรุปว่ามันหลอกเอาเงินเราไปตัดแว่น

   เรื่องของเรื่องก็คือ (จากปากคำของไอ้ชายซึ่งสนิทกับไอ้คิง) ไอ้คิงมันไปสั่งตัดแว่นกับร้านแว่นในอำเภอไว้ กะว่าเงินเดือนออกจะเอาเงินไปจ่าย แต่พอถึงเวลาเงินออกปรากฏว่าโดนจับได้เรื่องกัญชาเลยไม่ได้เงินเดือน ร้านแว่นก็โทรมาทวงว่าเมื่อไรจะมาเอาแว่นแล้วขู่ว่ามันรู้จักนะว่าอยู่หน่วยไหน เดี๋ยวจะตามไปถึงหน่วยเลย ไอ้คิงด้วยความกลัวอายบวกกับอยากได้แว่นมาใส่หล่อ ๆ ด้วยเลยไปขอยืมเงินหลายคน ทั้งไอ้ชาย พี่ภพ พี่มิ้นท์แต่ทุกคนรู้แกว บอกว่าไม่ให้ แถมยังแนะนำว่าให้ไปคุยกับร้านแว่นขอเลื่อนเขาไปก่อน

   จนสุดท้ายหวยก็มาออกที่เรา เรานี่โง่เลย รู้งี้จับกดไปซะตั้งแต่ในห้องน้ำก็ดีหรอก

   หลังจากนั้นเราก็ไม่คุยกับไอ้คิงไปหลายวัน จนมีงานอำลาผู้การณ์ที่พวกเราต้องไปจัดเตรียมสถานที่ จัดดอกไม้และเวทีที่หน้าบก.ใหญ่ พี่เจมส์แกก็เลยต้องไปซื้อดอกไม้ที่ปากคลองตลาด นั่งรถไปกับหมู่อีกคน ก่อนไปก็สั่งว่าให้ไปตัดต้นกกมาด้วยจะเอามาประดับสถานที่

   พวกเราก็ไปช่วยกันผูกผ้าประดับสถานที่ เสร็จแล้วก็ไปตัดต้นกกตามคำสั่งเจ๊ใหญ่ โดยพี่มิ้นท์ไปขอแรงหมู่จากทหารขนส่งให้ขับรถหกล้อไปขน มันไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ต้นกกมันยาว เอาขึ้นรถกระบะมามันจะหักหมด

   พวกเรามี ไอ้คิง ไอ้เฟิร์ส พี่เอ แล้วก็พี่มิ้นท์ที่นั่งหน้าคู่คนขับคอยนำทางพาเราออกมานอกค่าย ลัดเลาะไปตามถนนไม่นานก็ไปถึงหนองน้ำกึ่งเปียกกึ่งแห้งที่มีต้นกกขึ้นหนา

   พอลงมาได้พี่เอก็ยื่นมีดพร้าให้เรากับไอ้เฟิร์ส พอพี่มิ้นท์ถามว่าทำไมพี่เอไม่ลงไปตัดล่ะ แกก็บอกว่าแกอ้วน ขาสั้น แถมใส่กางเกงขายาวมา ลงได้ที่ไหน...ก็ตามสไตล์พี่เอแหละ

   พอเห็นสภาพหนองที่ต้องเดินลงไปเราก็สองจิตสองใจ คือมันเป็นโคลนตมสีดำที่ดูไม่รู้เลยว่าจะลึกมากแค่ไหน แล้วเราก็ใส่กางเกงเป็ดน้อยขาสั้นมาอีก เพราะตอนแรกพี่เจมส์บอกว่าให้ไปตัดตามคลองที่ไหนมาก็ได้ เราก็คิดว่าจะได้ลงคลองเลยใส่กางเกงขาสั้น ไม่คิดว่าจะเป็นโคลนตมแบบนี้

   หมู่ที่ขับรถมาก็บอก ลงเลย ๆ ไม่มีอะไรหรอก เราก็เลยตอบไปว่า “โห่หมู่ ดูสภาพดิ ใครจะกล้าลง งูเงอมีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
   ไอ้พี่มิ้นท์ที่เพิ่งเดินลงมาจากรถก็สอดขึ้น “แหม่ อย่างงี้ทำมาเป็นกลัวงู ทีเข้าห้องน้ำดึก ๆ ไม่เห็นเอ็งจะกลัว” เราก็ขมวดคิ้วแล้วมองหน้ามันงง ๆ พูดอะไรของมันวะ ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าบุหรี่ที่มันคาบไว้ในปากออกมาแล้วปาทิ้ง มันทำหน้าเหวอ จะตบหัวเราแต่เราหลบทัน

   “ลง ๆ ไปเหอะ ที่บ้านหมู่ทำสวน ตมแบบนี้งูมันไม่มาอยู่หรอกแล้วก็คงไม่ลึกมาด้วย อยากมากก็หน้าแข้ง” หมู่แกบอกหน้าตาจริงจัง “เร็ว ๆ เข้าหมู่ต้องไปงานอื่นต่อ”

   ได้ยินแบบนั้นเราก็ใจชื้นแล้วตัดสินใจกระโดดลงไป โคลนลามขึ้นมาถึงหัวเข่า

   “หมู่ ไหนบอกไม่ลึกไง” ไอ้เฟิร์สร้องประท้วง แต่เราก็หัวเราะออกมาด้วยความขำในความโง่ของตัวเองที่ไปเชื่อคำหมู่ แกก็หัวเราะแล้วบอก “เออ ๆ หมู่ขอโทษ”

   ทหารก็แบบนี้แหละ ปั่นเก่งกันทุกคน

   แต่ไหน ๆ เราก็ลงไปแล้วเลยลงมือตัดต้นกกกับไอเฟิร์สสองคน ตัดแล้วก็โยนไปวางไว้ที่ริมหนอง พี่มิ้นท์กับไอ้คิงก็เอาขึ้นไปไว้ในรถ ส่วนพี่เอกับหมู่ยืนชี้นิ้วสั่ง ๆ กันอย่างเดียว ผ่านไปได้สักสองชั่วโมงก็ได้ต้นกกมาจนน่าจะพอ เรากับไอ้เฟิร์สเลยขึ้นจากหนอง ไปขอน้ำจากบ้านแถว ๆ นั้นล้างมือล้างขาแล้วขึ้นรถกลับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:34:25 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   ระหว่างทางพวกนั้นก็คุยกันอะไรไปตามเรื่องพลางสูบบุหรี่กันปุ๋ย ๆ เราไม่ได้ฟังอะไรมากหรอก เวียนหัว ต้องมานั่งดมบุหรี่อยู่แบบนี้ แถมรถก็มีหลังคาผ้าใบอีกยิ่งทำให้ไม่มีลมมาพัดควันออกไป เราเลยมานั่งอยู่ท้ายรถ

   “ว่าไงจ๊ะน้องสาว” ไอ้พี่มิ้นท์เดินมานั่งข้าง ๆ เรา

   พอหันไปก็เห็นมันกำลังอัดบุหรี่เข้าเต็มปอดเลยบอกมันไปว่า “ไปนั่งที่อื่นพี่ เหม็น”

   “เหม็นบ้าอะไรวะ เอ็งยังไม่ชินอีกเหรอ”

   “ชินเชินอะไรล่ะพี่ ผมไม่ชอบ” พูดแล้วก็ไอโครกออกมา

   ไอ้พี่มิ้นท์มองหน้าเราอยู่พักหนึ่งก่อนจะขยี้บุหรี่ที่พื้นรถแล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นนานหลายวินาทีก่อนจะพูดขึ้น “ไอ้เอ ตอนเข้าห้องน้ำมึงสูบบุหรี่ไหมวะ กูไม่รู้เป็นอะไรเข้าห้องน้ำทีไรก็ต้องสูบตลอด”

   พี่เอมองหน้าพี่มิ้นท์งง ๆ ก่อนจะพูด “ก็สูบนะ มึงถามทำไม”

   ไอ้พี่มิ้นท์ร้องตอบว่าเปล่า เสียงสูงเบาหวิว “แล้วมึงล่ะไอ้เฟิร์ส สูบบุหรี่ป่ะ”

   “นาน ๆ ครั้งพี่ สูบอย่างอื่นมากกว่า” แล้วก็หัวเราะกันออกมา ไอ้พี่มิ้นท์ด่าไอ้เฟิร์สว่าไอ้ทุเรศ แล้วหันไปหาไอ้คิง “มึงล่ะ เข้าห้องน้ำ ‘ดูด’ บุหรี่หรือเปล่าคิง”

   ไอ้คิงมองหน้าพี่มิ้นท์ก่อนจะหลุบมองลงต่ำเหมือนละอายใจแล้วก็ตอบไปว่า “ก็สูบ”

   ตอนนั้นเราไม่ค่อยเข้าใจว่ามันอะไรกันแน่ เพราะไอ้พี่มิ้นท์ก็พูดอะไรแบบนี้มาสองสามวันแล้ว วนเวียนอยู่แต่เรื่องห้องน้ำ ๆ จนพอเห็นไอ้คิงทำหน้าแบบนั้นเลยเข้าใจ

   “ยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว” เราพูดลอย ๆ ออกมา แล้วหันมองไปนอกรถ ใจไม่อยากมองหน้าไอ้พี่มิ้นท์ตอนนี้ หลายนาทีต่อมาเราก็ได้กลิ่นบุหรี่ใกล้ ๆ พอหันไปก็เห็นไอ้พี่มิ้นท์หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ เราเลยคว้าซองบุหรี่จากมือมันมาปาทิ้งออกไปนอกรถ

   “เฮ้ย ทำอะไรเนี่ย” ไอ้พี่มิ้นท์พูดเสียงดัง

   “ก็มันเหม็น บอกไปตั้งหลายทีแล้ว” เราพูดเสียงดัง “จะสูบก็ไปสูบไกล ๆ”

   ไอ้พี่มิ้นท์หน้าตาดูตกใจนิดหน่อยที่เราพูดน้ำเสียงโมโห แต่พี่เอก็พูดแทรงขึ้นมาว่า “เออ น้องมันก็บอกอยู่ว่าเหม็น มึงก็ไปสูบใกล้ ๆ มัน ไอ้นกขมิ้นนี่มึงไม่ได้เรื่องเลยว่ะ”

   ไอ้พี่มิ้นท์หันไปมองพี่เอแล้วบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด แต่พี่เอก็หัวเราะ ไอ้เฟิร์สกับไอ้คิงก็ถามว่านกขมิ้นอะไรเหรอ

   “ก็ไอ้มิ้นท์อ่ะ ชื่อเล่นจริง ๆ มันชื่อนกขมิ้น พอมาอยู่กองร้อยก็บอกชื่อมิ้นท์” ไอ้พี่มิ้นท์ถอดรองเท้าปาพี่เอ พี่เอหลบ ไอ้เฟิร์สเลยถามว่าพี่เอรู้ได้ยังไง พี่เอก็บอกว่าแกรู้จักกับพี่มิ้นท์มาตั้งนานแล้วบ้านอยู่ใกล้กัน

   “มึงจะพอได้ยังไอ้เอ ไอ้ห่านี่” พี่มิ้นท์ตวาด แต่พี่เอก็ยังหัวเราะต่อ

   แล้วพี่มิ้นท์ก็นั่งรถไปเงียบ ๆ ทำท่าทางเสียอารมณ์ ตัวเราก็เห็นหน้ามันแล้วก็อดขำไม่ได้ ผู้ชายบ้าอะไรวะชื่อนกขมิ้น

   “มึงขำอะไรไอ้เต้อ” ไอ้พี่มิ้นท์หันมามองหน้าเราแล้วชักสีหน้าใส่

   “เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับพี่นกขมิ้น” แล้วก็หัวเราะออกมา ไอ้พี่มิ้นท์คว้าคอเราไปกอดแล้วจี้ท้องเราแรง ๆ จนเราหัวเราะไม่หยุด พยายามหนีมันก็ไม่ยอม ฟัดกันไปมาอยู่แบบนั้นตั้งนานจนเหนื่อย “พอแล้วพี่ เหนื่อย” เราบอกมันไปแบบนั้น พอมันหยุดมือเราก็รู้ตัวว่าตอนนี้มันกอดเราแน่นจนหัวมันมาอยู่ใกล้กับหน้าของเรามาก มากจนได้กลิ่นหอมของแชมพูที่มันใช้

   “เอาอีกและ คู่จิ้นเล่นกันอีกและ” ไอ้เฟิร์สพูดแซวแล้วก็หัวเราะ ไอ้พี่มิ้นท์ก็ผละออกไปแล้วบอก “คู่จิ้นอะไรของมึง เพ้อเจ้อ”

   ไม่นานหลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาถึงค่ายซึ่งพี่เจมส์ก็กลับจากปากคลองพร้อมกับดอกไม้พอดี พวกเราก็ไปช่วยกันจัด
ดอกไม้ต่อที่หน่วยฝึกฯ ซึ่งตอนนี้ว่างอยู่เพราะเพิ่งฝึกทหารเสร็จไป พี่เจมส์ก็ไอเดียบรรเจิดจะทำเป็นรูปนกยูง หงส์ อะไรของแก งานเลยงอกขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายทำกันจนสามทุ่มกว่า ๆ ก็ยังไม่เสร็จ

   ตอนนั้นแหละที่ไอ้คิงมันมาขอโทษเรา มันเอาดอกไม้เหลือ ๆ มามัดเป็นช่อเล็ก ๆ แล้วเอามาให้เรา บอกว่าผิดไปแล้ว ตังเดียวจะคืนให้ แถมยังกอดเราอีก...แล้วมันก็ตัวเล็กนิดเดียวเราก็ใจอ่อนดิ เราก็เลยบอก “เออ ๆ แล้วแต่มึงเหอะ” (จนแล้วจนรอดเราก็ไม่เคยได้เงินคืนจากมันสักบาท)

   ส่วนเราก็ปิ๊งไอเดีย ทำดอกไม้เป็นช่อบ้างแล้วเอาไปให้ไอ้ชาย บอกมันว่า “ชายกูชอบมึงจริง ๆ นะ” แล้วก็กอดมันทำท่าจะหอม แต่ไอ้ชายไหวตัวทัน แหม่...อีกนิดเดียวแท้ ๆ

   พอไอ้พี่มิ้นท์มาเห็นก็พูดว่า แหม่ เปิดตัวแล้วเอาใหญ่เลยนะ เราเลยบอกอะไรพี่ ก็ผมรักมันจริง ๆ (ซึ่งก็ไม่เชิงเป็นเรื่องจริงหรอก กับไอ้ชายถ้ามันเอาจริง ๆ ผลออกมาก็คงจบเหมือนไอ้คิงนั่นแหละ)

   แต่ไอ้พี่มิ้นท์ทำหยอกไม่เลิกแล้วบอกว่า “ทำอะไรคิดว่าไม่รู้เหรอ”

   เป็นตอนนั้นแหละที่คิดว่าคงต้องพูดกับไอ้พี่มิ้นท์จริง ๆ จัง ๆ สักที เลยดึงมันออกมาข้างนอก พอให้พ้นหูพ้นตาของคนอื่น แล้วบอกมันว่า “พี่ พี่พูดมาตรง ๆ ดีกว่า พี่มีอะไร”

   มันก็ทำบุ้ยหน้า กอดอก แล้วก็บอกว่า “เปล่า”

   เราก็บอก “เปล่าบ้าอะไรล่ะ ทำมาเป็นพูดกระแนะกระแหนมาสามสี่วันแล้ว มีอะไรก็พูดมาเหอะ เรื่องผมกับไอ้คิงใช่ไหม อยากรู้ใช่หรือเปล่า ถ้าอยากรู้จะได้เล่า”

   ตอนนั้นเรารู้ว่าน้ำเสียเราคงฟังดูมีน้ำโหอยู่เยอะเหมือนกัน ก็มันน่าโมโหไหมล่ะ พูดอยู่นั่นแหละ เราก็อายเป็นนะเฮ้ยถึงเรากับมันจะสนิทกันก็เหอะ แล้วยิ่งเรื่องไปถึงหูไอ้พี่มิ้นท์ตอนนี้ไม่รู้มีใครรู้เรื่องอีกบ้าง

   มันคงรู้ว่าเราโมโห ท่าทางมันเลยดูอ่อนลงแล้วบอกว่า ก็รู้แหละ เพราะตอนที่ไอ้คิงมายืนเงินเรามันก็เห็นอยู่ คือวันนั้นมันนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินหน้ากองร้อยด้วย ไอ้คิงมันก็มายืมเงินไอ้พี่มิ้นท์กับคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครให้ พอมันเห็นเราเดินออกมาไอ้คิงก็รีบวิ่งตามเราไป หายไปสักพักไอ้คิงกลับมาก็บอกไอ้พี่มิ้นท์ว่าพรุ่งนี้ขอตามเข้าไปในอำเภอหน่อยนะ มีตังไปจ่ายค่าแว่นแล้ว

   ตอนแรกมันก็คิดว่าเราให้เงินไอ้คิงยืม แต่พอคืนนั้นมันเห็นไอ้คิงอยู่หน้าห้องน้ำแล้วสักพักเราก็เดินตามเข้าไปมันก็พอจะเดาเรื่องออก

   “มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่หรอก จริง ๆ นะ ที่เอ็งจะ...ยังไงล่ะ ซื้อหรือขายหรืออะไรกัน...พี่ก็แค่หยอกเอ็งเล่นเฉย ๆ”

   เราก็เลยร้องว่า “โว๊ะ ซื้อเซ้ออะไรล่ะพี่” แล้วก็เล่าให้ฟังว่าจริง ๆ มันเป็นยังไง เรื่องที่ตอนแรกไอ้คิงมันบอกว่าจะเอาเงินไปให้ลูก แล้วก็เรื่องในห้องน้ำที่จบลงด้วยสวรรค์ล่ม

   “แล้วพี่อย่าไปเล่าต่อนะ ผมไหว้ล่ะ ผมอาย ไอ้คิงมันก็อาย” เราบอกมันตรง ๆ แบบนั้น ซึ่งมันก็รับคำ

   เรากับไอ้พี่มิ้นท์เงียบกันไปนานโข นั่งกันอยู่ข้างสระน้ำใกล้ ๆ กับหน่วยฝึกฯ ตอนนั้นสักสี่ทุ่มได้ รอบด้านมืดสนิทและเงียบเชียบ จะมีก็แต่เสียงลมพัดกระทบใบไม้ที่ดังซอกแซกมาจากป่ายูคาลิบตัสที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

   “ทำไมเอ็งไม่ทำล่ะ” จู่ ๆ มันก็ถามเราขึ้นมาแบบนั้น เราก็เลยถอนหายใจและตอบตามความจริง

   “มันไม่ใช่ว่ะพี่ ไอ้คิงมันเพื่อน ผมทำไมลงหรอก จูบกับมันเหมือนจูบกับพี่กับน้อง ประหลาดไหมล่ะ”

   ไอ้พี่มิ้นท์ก็ขำ แล้วถามว่าถ้าเป็นพี่เจมส์ล่ะ เราก็บอกว่าจะบ้าเหรอ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าขนาดนั้น ไม่ได้หรอก แล้วถ้าไอ้เฟิร์สล่ะ เราบอกไม่เอาไม่ใช่แนว แล้วถ้าคนนั้นล่ะ คนนี้ล่ะ เราก็ตอบไปส่ง ๆ ว่าไม่เอา

   “แล้วไอ้ชายล่ะ” มันถาม “เห็นงุ้งงิงกันอยู่สองคนมานานแล้วหนิ”

   เราเบ้ปากยักไหล่ “ก็ไม่แน่...มันก็น่ารักดี” แล้วไอ้พี่มิ้นท์ก็หัวเราะออกมาก่อนว่า“ไหนบอกไม่เอาเพื่อนไง”

   “ก็ใช่ไง แต่มันก็มีข้อยกเว้นบ้าง”

   มันหัวเราะอีกแล้วก็เงียบไปหลายวินาทีก่อนว่า “แล้วถ้าพี่ล่ะ” มันถามออกมาแบบนั้น เรารีบหันมองหน้ามันแต่ตอนนั้นมืดมากเลยไม่เห็นว่าไอ้พี่มิ้นท์มีสีหน้ายังไง

   “โว๊ะพี่ ไร้สาระ” เราตั้งท่าจะเดินหนี แต่มันฉุดให้เรานั่งลง บอกว่าตอบมาก่อน เราเลยบอกส่ง ๆ ไปว่า “ไม่รู้ ๆ ถามอะไรไร้สาระว่ะ...ทำไม พี่ชอบผมเหรอ”

   มันไม่ตอบ เราเลยร้องเพลง “ชอบก็บ๊อก ไม่ชอบก็บ๊อก ไม่ต้องกลัวร๊อกเรื่องราคงราคา” แล้วทำท่าเต้นไปด้วย คิดว่ามันจะหัวเราะแต่มันก็เงียบไป อะไรของมันวะ อุตส่าห์ลงทุนเต้นขนาดนี้ยังไม่ขำ เราเลยจะเดินกลับไปทำงานจัดดอกไม้ต่อ ตอนที่กำลังเดินกลับไปนั่นแหละมันก็ถามว่า “ถ้าพี่ชอบเอ็งจริง ๆ เอ็งจะทำไง”

   เป้ ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำถามนั้นของมันเลยนะ เราพูดจริง ๆ ออกจะงงกับคำถามมันมากกว่าด้วย สมองก็คิดว่าอะไรของมันวะ จะอำอะไรเราอีกเนี่ย เราเลยบอกมันไปว่า “ชอบเชิบอะไรของพี่ พี่เนี่ยเหรอจะมาชอบผม เชื่อก็บ้าแล้ว” พูดจบเราก็กลับไปทำงานต่อ

   คืนนั้นกว่าเวทีจะเสร็จ จัดดอกไม้เข้าที่ เดินสายไฟ แต่งผ้าที่ผูกให้สวยงาม เก็บรายละเอียดตกแต่งและอะไรอีกหลายอย่างเวลาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า ถึงกองร้อยเราก็รีบไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว พี่เจมส์กับคนอื่น ๆ เรียกเราให้ไปต้มมาม่ากินด้วยกัน แต่เราบอกไม่เอาหรอก กินมาม่าเยอะสิวขึ้น แล้วก็ขึ้นโรงนอนไปนอน

   พอทิ้งตัวนอนเสียงข้อความเฟสบุ๊คก็ดังขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าไอ้เบนซ์เพราะพักหลัง ๆ มานี่ไม่ได้คุยกันเลย แต่ไม่ใช่ เป็นไอ้พี่มิ้นท์ มันบอกไฟที่เดินไว้ใช้ไม่ได้ ผู้กองสั่งแก้ ให้ไปช่วยมันหน่อย เราเลยพิมพ์ตอบไปว่า พี่ ผมกับไฟฟ้าทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือให้มันดูดผมจนตาย ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก มันก็บอก ช่วยถือไฟฉายให้ก็ได้ มาเป็นเพื่อนหน่อย มันกลัวผี เราก็เลยบอก ตลกเหรอ พรุ่งนี้ก็ได้มั้ง มันก็บอกต้องวันนี้ ผู้กองสั่ง เราก็ถอนหายใจยาว อะไรกันนักกันหนาวะ แล้วก็ลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อยืดกองทัพบกกับกางเกงผ้าเอวยางยืดขาสั้นสีดำที่สั่งมาตอนอยู่หน่วยฝึกฯ มัดเชือกที่เอวเป็นเงื่อนหูกระต่าย สวมรองเท้าผ้าใบแล้วเดินลงมาข้างล่าง

   พอมาถึงก็เห็นพวกพี่เจมส์ยังนั่งกินมาม่ากันอยู่ เราเลยถามว่าพี่มิ้นท์ไปไหนล่ะ เห็นบอกว่าไฟใช่ไม่ได้ ผู้กองสั่งแก้ พวกนั้นก็ทำหน้างง ๆ แล้วบอกไม่เห็นรู้เรื่อง สงสัยผู้กองโทรเข้ามือถือพี่มิ้นท์มั้ง

   ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ พี่มิ้นท์ก็เดินออกมาจากห้องบก.ร้อย จับแขนเราเดินไป

   มันพาเราเดินออกมาทางหลังกองร้อย เราถามมันว่าจะไปไหนเนี่ย ทำไมไม่ขับมอเตอร์ไซค์ของกองร้อยไป มันก็ไม่ตอบ แค่บอกว่าตามมาเหอะน่า เราก็บอกมันว่าปล่อยแขน มันก็เปลี่ยนจากจับข้อมือมาคล้องแขนเราเดินไปแทน ไอ้พี่มิ้นท์พาเราเดินลัดไปทางป่าไผ่แล้วไปโผล่กลางป่ายูคาลิบตัสหลังหน่วยฝึกฯ ที่ตรงนั้นมีกำแพงสูงสองเมตรตั้งอยู่ท่ามกลางป่ารกชัฏ เมื่อก่อนคงใช้สำหรับฝึกทหารแต่ไม่ได้ใช้มานานแล้วสภาพมันเลยเก่าคล่ำและมีตะไคร่ขึ้นปกกลุมจนเกือบเต็ม

   ไอ้พี่มิ้นท์พอมาถึงมันก็ผลักเราเบา ๆ จนหลังเราติดกำแพง ตอนแรกเราก็งง ๆ ว่ามันเป็นอะไรวะหรือเราไปพูดอะไรไม่เข้าหูมันอีกเลยจะพาเรามาต่อย แต่ไม่ใช่ วินาทีต่อมามันก็ประกบปากมันกับปากเรา ด้วยความตกใจเราก็พยายามใช้มือผลักมันออกแต่ตัวมันใหญ่กว่าแถมแรงเยอะ มันรวบข้อมือเราทั้งสองข้างด้วยมือมันข้างเดียวแล้วกดมันไว้กับกำแพงเหนือหัว ส่วนมืออีกข้างมันก็เอามารองหลังศีรษะของเราไว้ คงกลัวจะกระแทกปูนจนหัวแตก

   ผ่านไปหลายวินาทีก่อนที่มันจะถอนใบหน้าของตัวเองออกและจ้องหน้าเราอยู่นาน สีหน้าของไอ้พี่มิ้นท์ในความมืดนั่นมีทั้งความไม่แน่ใจ กลัว และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ลุกไหม้อยู่ในอก เราพยายามจ้องมองในตาของมันแต่รอบด้านก็มืดเสียจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแววตาแบบไหน

   “พี่ ปล่อยมือผมก่อน เจ็บ” เรากระซิบบอกมันแบบนั้น อีกฝ่ายทำตาม

   “พี่ขอโทษ เจ็บมากหรือเปล่า” พี่มิ้นท์พูดออกมาแล้วจับข้อมือของเราทั้งสองข้างไปและถูเบา ๆ ด้วยหัวแม่มือ มันก้มลงมองในความมืดนั้น ร่างกายของเราทั้งคู่อยู่ใกล้กันจนเราได้กลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ จากลมหายใจของมัน

   นานมากแล้วนะที่เราไม่ได้ใกล้ชิดกับใครสักคนมากขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราคิดถึงแต่เป้ คิดว่าสักวันจะได้ไปเจอเป้อีกครั้ง แล้วตลอดระยะเวลานั้นเราก็ไม่ได้คิดจะไปถึงขั้นนั้นกับใครเลย กับไอ้เบนซ์เราทำแบบนั้นได้ ที่เราจูบมันได้ก็เพราะมันมีอะไรหลายอย่างเหมือนเป้มาก ทั้งท่าทาง สายตา รูปร่าง เหมือนจนเราทำใจยอมรับและหลอกตัวเองไปว่ามันคือเป้ มันคือคนที่เราเฝ้ารอมานาน ถ้าเป็นมันเราอาจจะตัดใจและเริ่มต้นใหม่ได้ แต่มันก็จากไปแล้ว เหมือนเป้ที่จากเราไปเหมือนกัน เรารู้ว่ามันเป็นข้ออ้างที่งี่เง่าและไม่สมเหตุสมผล แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เรากล้าสาบานต่อหน้าภาพวาดโมนาลิซ่าเลย

   แล้วตอนนี้เราก็อยู่กับใครอีกคน คนที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด ไอ้พี่มิ้นท์มันเป็นคนดี เรารู้ แต่มันก็แค่นั้นเพราะมันไม่ใช่เป้ ไม่ใช่คนที่จูบเราใต้ฝนดาวตก ไม่ใช่คนที่มองดูร่างกายเปลือยเปล่าของเราด้วยสายตาจริงจัง ไม่ใช่จิตรกร นักดนตรี หรือนักกวี ไม้แม้แต่จะอ่อนไหวหรืออ่อนหวาน แต่มันก็เป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเรา และยอมรับร่างกายของเราด้วยความต้องการทางกาย เรารู้ว่าความสัมพันธ์นี้คงไม่ยืดยาว ไม่แม้แต่จะจริงจังอะไรได้ แต่ร่างกายเราก็ไม่สามารถทานทนต่อความต้องการได้อีกแล้ว

   เราเลยจูบมันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ครั้งแรกมันยากนะ ยากมาก แต่ครั้งต่อไปก็เริ่มง่ายขึ้น กลิ่นกายของมันมีทั้งกลิ่นบุหรี่และโคโลญผสมปนเป ลมหายใจร้อนผ่าวเหมือนกองไฟที่ลุกโชน ริมฝีปากแข็งและหนักแน่นของมันลื่นไหลไปตามใบหน้าเรา แก้ม ลำคอ ณ วินาทีหนึ่งไอ้พี่มิ้นท์ก็ถอดเสื้อของมันออกแล้วถอดเสื้อของเราตาม ทิ้งมันไว้กับพื้นที่ข้างขา ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนใบหน้าของตัวเองลงไปที่หน้าอก กลืนกินร่างกายเราเหมือนงูที่หิวกระหาย มือของมันค่อย ๆ แก้เงื่อนหูกระต่ายที่เราใช้ผูกรัดเชือกกางเกง แล้วมันก็เคลื่อนลงไป เคลื่อนลงไป...



เต้อ


------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนนี้ เขียนเอง เขินเอง แอร๊ยยยยย ไอ้พี่มิ้นท์ ไอ้บร้าาาาาา
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ชอบภาษาจัง อ่านเพลิน  o13

ขอบคุณจร้า  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:36:41 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แอร้ยยยยยยยยยย.......ค้างงงงงงงงงงง   :z3: :z3: :z3:

เพิ่งอ่าน.......ชอบมากกกกกกก
ดีใจที่ไรท์ ไม่เลิกเขียนไปเสียก่อน
ก็ถ้าไรท์เลิกเขียน คนอ่านก็ไม่ได้อ่านเรื่องนี้น่ะสิ

ก็คิดแต่แรกว่าไอ้พี่มินท์นี่แปลกอยู่ๆนะ    :laugh:
ที่แท้ก็แอบชอบเต้อจริงๆซะด้วย
รอฉาก....นั้นนะ   :-[
จะได้สมใจ เอ่อ...ทั้งเต้อ ทั้งคนอ่านด้วย  :sad4: :heaven
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 00:28:07 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แอร้ยยยยยยยยยย.......ค้างงงงงงงงงงง   :z3: :z3: :z3:

เพิ่งอ่าน.......ชอบมากกกกกกก
ดีใจที่ไรท์ ไม่เลิกเขียนไปเสียก่อน
ก็ถ้าไรท์เลิกเขียน คนอ่านก็ไม่ได้อ่านเรื่องนี้น่ะสิ

ก็คิดแต่แรกว่าไอ้พี่มินท์นี่แปลกอยู่ๆนะ    :laugh:
ที่แท้ก็แอบชอบเต้อจริงๆซะด้วย
รอฉาก....นั้นนะ   :-[
จะได้สมใจ เอ่อ...ทั้งเต้อ ทั้งคนอ่านด้วย  :sad4: :heaven
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ขอบคุณที่ติดตามจร้าาาาา เรื่องนี้ เลท 15 + โป๊มากไม่ได้เดี๋ยวโดนแบบจร้า  :pighaun: :t3: :pighaun:



:katai4: :katai4: :katai4: ปุกาดดดดดด  :katai4: :katai4: :katai4:

วันนี้เราขอหยุดหนึ่งวันนะจ๊ะ ขอตรวจต้นฉบับหน่อยน้าาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2018 20:06:35 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแน้ววว :katai4: :katai4: :katai4:



จู่ ๆ เช้าวันหนึ่งคุณนายใหม่ก็เข้ามาที่บก.ร้อย

   คุณนายใหม่เป็นเมียของผู้กองวัชระ แกเป็นผู้หญิงรูปร่างสมส่วน ผิวขาว แต่งตัวสมวัยแต่จัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง แกเดินเข้ามาในบก.ร้อยแล้วหยุดที่โต๊ะทำงานเรา

   “แกทำบัญชีอะไรของแก” คุณนายพูดออกมาแบบนั้นแล้วแทบจะโยนสมุดบัญชีที่แกถือมาด้วยลงที่โต๊ะ ตอนแรกเรายังไม่เข้าว่าแกพูดเรื่องอะไรเลยรับไปว่า “ครับ?”

   “ครับอะไร แกทำบัญชีผิด รู้ตัวหรือเปล่า ยอดไม่ตรง ฉันทะเลาะกับผู้กองแทบตาย รู้ตัวไหมว่าทำเรื่องไว้ใหญ่ขนาดไหน”

   เรานิ่วหน้าแล้วเปิดสมุดบัญชีที่แกเอามาด้วย เสียงจ่าสักคนปรามคุณนายว่าอะไรสักอย่างเราไม่ได้ยิน แต่คุณนายตอกกลับไปด้วยเสียงดังว่า “อย่ามายุ่ง”

   “แกแก้เดี๋ยวนี้เลยนะ” คุณนายพูดเสียงดังขึ้น

   “ผมไม่คิดว่ามันจะผิดนะครับ...ยอดมันปิดได้เท่านี้จริง ๆ” เราพูดไปตามตรงเพราะบัญชีเราตรวจแล้วตรวจอีกก่อนจะส่งผู้กอง มันไม่มีทางผิดได้

   “ฉันบอกผิดก็ผิดสิ” คุณนายกะโกนลั่น “อย่ามาเถียงฉันนะ ฉันเป็นใครแกเป็นใครรู้ตัวไว้ด้วย”

   ตอนนั้นเราไม่รู้จะพูดหรือบอกว่าอะไร ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้กองวัชระเดินเข้ามาในบก.ร้อยพอดี แกเลยจับมือเมียแกเดินออกไปข้างนอก คุยอะไรกันอยู่สามสี่คำ พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรา ให้เราเลิกทำบัญชี บอกเราสะเพร่า ถึงขั้นที่บอกว่า จะเลือกมันหรือฉันก็แล้วแต่ แล้วคุณนายก็กลับไป

   ให้เราเดาก็คงเรื่องเงินนั่นแหละ เราเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผู้กองให้เราทำบัญชีร้านคาร์แคร์ที่แกเป็นเจ้าของอยู่ ก่อนหน้านี้คุณนายใหม่เป็นคนทำบัญชีเอง จะปิดยอดอะไรแบบไหนก็แล้วแต่ใจ แต่พอเรามาทำแทนก็คงไปขัดแข้งขัดขาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้วคุณนายใหม่เขาก็ไม่ชอบขี้หน้าเราอยู่แล้ว เจอหน้ากันทีไรก็ทำเมินใส่แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร มาตอนนี้คงอดไม่ไหวแล้วจริง ๆ

   เช้าวันต่อมา พี่ภพก็มาบอกเราว่าผู้กองสั่งดองเวรเราที่กองรักษาการณ์ ให้เราไปเก็บของเดี๋ยวเขาขับรถไปส่ง
   กองรักษาการณ์ AKA กองการณ์ เป็นอาคารชั้นเดียวตั้งอยู่ติดกับประตูทางเข้าค่าย ทหารที่มาประจำที่นี่ส่วนใหญ่เป็นพวกตัวฟรีเหมือนเราตอนขึ้นกองร้อยแรก ๆ คือไม่มีความสามารถอะไรที่กองร้อยต้องการ หน้าที่ของทหารกองการณ์ก็คือเข้าเวรเป็นคล้าย ๆ ยามหน้าค่าย แบ่งเป็นสี่ชุดหมุนเวียนกันไป ชุดแรกประจำป้อมด้านหน้าค่ายคอยตรวจรถหรือให้สัญญาณคนในกองการณ์ยืนทำความเคารพเวลามีนายทหารเข้ามา ชุดที่สองนั่งประจำในกองการณ์ ชุดที่สามพักผ่อน (ในกองการณ์มีห้องนอนและห้องน้ำในตัว) ส่วนชุดสุดท้ายไปประจำอยู่ที่คลังอาวุธ (อยู่ด้านหลังค่าย เลยจากคลังอาภรณ์ไปนิดเดียว)

   พอเราไปถึงก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เลยโดนจับคู่กับพี่พงษ์

   พี่พงษ์แกเป็นผู้ชายตัวอ้วน ๆ ป้อม ๆ ที่กลิ่นตัวแรงที่สุดเท่าที่เราเคยเจอ แค่เดินเข้าใกล้ก็ทำเอาน้ำตาเล็ด ทุกคนเรียกแกว่าสกังค์ หรือไอ้ถาวร เพราะช่วงที่แกอยู่หน่วยฝึกฯ ป่วยถาวรเลยไม่ได้ฝึกอะไรกับใครมากมายนัก แต่ถามว่าแกเป็นคนเลวร้ายอะไรไหม ก็ไม่นะ แกก็คุยดี สุภาพ แถมเรากับแกยังชอบเกมออฟโทรนส์เหมือนกันเลยคุยกันได้ ส่วนเรื่องกลิ่นตัว...อยู่กับแกไปนาน ๆ แล้วจมูกเราก็ด้านไปเองเลยไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย

   พูดถึงเรื่องเข้าเวรที่คลังอาวุธ เรามีเรื่องผีจะเล่าให้เป้ฟัง อยากฟังไหม?

   เรื่องของเรื่องก็คือ ข้างในห้องนอนของกองการณ์มีเสาอยู่ตนหนึ่งซึ่งมีรอยปากกาเมจิกเขียนอยู่ที่บนเสาว่า “หอคอยคลังอาวุธมีผี” ตอนแรกเราเห็นก็ยังขำออกมาแต่พี่พงษ์ (ซึ่งอยู่กองการณ์มาปีกว่าแล้ว) บอกว่าเรื่องจริง เมื่อก่อนเคยมีเมียจ่าไปผูกคอตายที่หอคอยเพราะน้อยใจผัวที่ไปมีเมียน้อย

   “ไร้สาระว่ะพี่ ผีเผอมีที่ไหน” เราจำได้ว่าบอกกับพี่พงษ์ไปแบบนั้น แกก็มองเราด้วยสายตาหวั่น ๆ แล้วบอก “เจอกับตัวแล้วเต้อจะรู้”

   ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

   ห้าวันต่อมาเรากับพี่พงษ์ได้ไปเข้าเวรคลังอาวุธกะกลางคืน ตอนจ่ากองการณ์แบ่งเวรพี่พงษ์ก็พยายามประท้วงว่าขอเข้ากลางวันได้ไหม แต่จ่าไม่ยอม บอกว่าคำสั่งก็คือคำสั่ง ตอนนั้นเราก็งงนะว่าทำไมแกกลัวผีขนาดนั้น

   พอตกเย็นเราสองคนก็เดินไปเข้าเวรซึ่งต้องไปนอนค้างที่หอคอยเฝ้ายาม...จะเรียกว่าหอคอยก็จะฟังดูยิ่งใหญ่ไป มันเป็นเหมือนนั่งร้านทำด้วยไม้สูงสักห้าหรือหกเมตรได้ ปลูกอยู่บนเนินดินสูงจากพื้นประมาณสามเมตร หลังคาเป็นสังกะสี ใต้ถุนของนั่งร้านเป็นพื้นที่ว่าง ๆ ขนาดประมาณสองเมตรคูณสองเมตร มีเปลยวนเก่า ๆ ผูกไว้ให้ทหารนอน รอบด้านเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีหญ้าแห้งขึ้นคลุมดินสลับกับคลังอาวุธซึ่งเป็นอาคารหลังคาโค้งเหมือนโรงเก็บเครื่องบินในหนังแต่ครึ่งหนึ่งของตัวอาคารจะฝังอยู่ใต้ดิน

   การเข้าเวรหอคอยคลังอาวุธก็คือจะมีหนึ่งคนเฝ้าข้างบนหอคอย อีกคนอยู่ข้างล่างซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนอนหลับกันมากกว่าถ้าไม่มีผู้กองหรือจ่ามาเดินตรวจ

   “เต้อ ขอร้อง อย่าทำอะไรลบหลู่เขานะ พี่ใจคอไม่ดีเลยว่ะ” พี่พงษ์พูดกับเราด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อเดินไปถึงหอคอย ตอนนั้นเราคิดว่าแกก็คงพูดไปงั้นแหละเลยไม่ได้สนใจอะไร 

   พอเริ่มมืดพี่พงษ์ก็เดินไปเปิดไฟสปอร์ตไลท์ซึ่งจะส่องมาที่หอคอยตรง ๆ และบอกว่าแกขออยู่ข้างบนนะ ส่วนเรานอนแปลอยู่ข้างล่างซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร อยู่ตรงไหนเราก็หลับได้สบายอยู่แล้ว

   เราจำได้ว่าคืนนั้นเป็นคืนที่ค่อนข้างอากาศดีเลยแหละเพราะฝนเพิ่งตกไปช่วงสาย ๆ กลิ่นดินและความชื้นยังคงกรุ่นอยู่ในอากาศ ลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระยะแล้วเราก็นอนเปลอยู่ใต้หอคอย ไม่คิดว่าจะหลับหรอกแต่จนแล้วจนรอดก็หลับไปจนได้

   เรื่องหลังจากนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปหรืออะไร แต่กลางดึกจู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่รอบ ๆ ตอนแรกเราคิดว่าคงเป็นหมาจรจัดแถวนั้นเพราะในค่ายหมาเยอะมากแล้วมันชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ทหารเพราะมีคนให้ของกินประจำ เราก็เลยไม่ได้สนใจ ผ่านไปสักพักเราก็ได้ยินอีก คราวนี้เสียงดังกว่าเดิม ใกล้กว่าเดิม เราเลยพลิกตัวไปทางเสียงนั้นแล้วลืมตามอง

   ที่เราเห็นก็คือร่างเงาดำยืนอยู่ห่างออกไปสักหนึ่งเมตรได้ แสงไฟสปอตไลท์ซึ่งอยู่ข้างหลังของร่างนั้นทำให้เรามองไม่เห็นหน้าหรือลายละเอียดอย่างอื่น เห็นแค่ว่าเป็นร่างสีดำสูงเมตรกว่า ๆ ยืนอยู่ที่ปลายสุดของเนินดิน เราจ้องร่างนั้นอยู่หลายวินาทีก่อนที่เงาดำนั้นจะรู้ว่าเรามองอยู่ มันวิ่งเข้ามาหาเราทันทีด้วยความเร็วที่เกินกว่ามนุษย์คนไหนจะทำได้

   วินาทีนั้นเราคิดว่าคงเป็นจ่าหรือไม่ก็ผู้กองเดินมาตรวจเวรยาม เราเลยเด้งตัวลุกขึ้นยืนตรง คิดว่าคงโดนกระโดดถีบแน่ ๆ จึงหลังตาแน่น เกร็งตัวเตรียมรับแรงกระแทก...แต่ผ่านไปหนึ่งวินาที...สองวินาที...สามวินาที ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเลยค่อย ๆ ลืมตามอง...ที่ตรงหน้าไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีแม้แต่หมาสักตัว รอบด้านนอกจากแสงไฟสปอตไลท์แล้วก็มีแต่ความมืด เสียงลมพักกระทบต้องกับป่าไผ่ สายลมเย็นยะเยือกพัดโบกอยู่ในราตรีกาล

   ‘หรือว่าจะเป็นพี่พงษ์วะ’ เราคิดกับตัวเองแบบนั้นเลยลองปืนขึ้นไปดูบนหอคอย...บนนั้นเราเห็นพี่พงษ์นอนหันหลังอยู่ ตัวห่มผ้าจนถึงหัว ร่างกายกระตุกแปลก ๆ จนหอคอยสั่นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด นึกอยากจะเรียกชื่อแกให้หันมา...แต่ถ้าที่นอนอยู่ไม่ใช่พี่พงษ์ล่ะ...คิดได้แบบนั้นก็ยิ่งใจเสีย เราเลยค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปแล้วเอื้อมตัวไปใกล้ ๆ ร่างนั้น...แล้วเราก็ได้ยินเสียง...

   “คิมูชิ...คิมูชิเดสสสสสส อ๊า...”

   ไอ้ห่าเอ้ย ไอ้พี่พงษ์นอนดูคลิปโป๊ชักว่าวอยู่ เวรแท้ ๆ แล้วยังไงล่ะ จะเรียกก็ไม่กล้ากลัวจะไปขัดจังหวะ เราหรือก็กลัวเพราะ (คิดว่า) เพิ่งเจอผีมา แต่ก็นะ จะไปขัดความสุขคนก็บาปหนัก เราเลยค่อย ๆ ไต่ลงมาข้างล่างเงียบ ๆ มองดูนาฬิกากันมือถือซึ่งบอกเวลาตีสามสิบสาม อีกพักใหญ่กว่าจะสว่าง แต่จะหลับก็คงหลับไม่ลงแล้วเราเลยนั่งอยู่กับเปลใต้หอคอย พยายามคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่ จนกระทั่งสว่าง...


.............................................................



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:








ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:เอาไปอีกตอนจร้าาาา :katai4: :katai4: :katai4:




เราเข้าเวรอยู่อาทิตย์กว่า ๆ ไอ้พี่มิ้นท์ก็กลับมาจากลากลับบ้าน (ความจริงเรากับมันวางแผนกันว่าจะลาพร้อมกัน กะจะไปเที่ยวดูสะพานข้ามแม่น้ำแควสักหน่อย ไหน ๆ ก็อยู่เมืองกาญฯ จะครบปีแล้ว อาจจะจองรีสอร์ตสักห้อง แล้ว...นั่นแหละ ไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันบ้าง แต่พอยื่นใบลาไปผู้กองก็เซ็นให้แค่พี่มิ้นท์คนเดียว แกบอกว่าลาสองคนพร้อมกันไม่ได้ เด็กบก.ร้อยจากผลัดใหม่ยังทำงานกันไม่คล่อง คนเก่า ๆ ก็เหลือไม่กี่คน ถ้าลาพร้อมกันใครจะช่วยดูงานในบก.ร้อยล่ะ) พอมาถึงมันก็รีบมาหาเราที่กองการณ์ ถามเกิดอะไรขึ้น เราเลยเล่าให้มันฟัง

   “แล้วทำไมไม่โทรมาบอก” มันพูดออกมาแบบนั้นหลังจากด่าคุณนายใหม่ไปหลายคำ เรายิ้มแล้วบอกว่า “โทรบอกแล้วยังไง จะช่วยอะไรได้”

   มันก็ขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

   ความสัมพันธ์ของมันกับเรายากที่จะอธิบาย กลางวันเรากับมันเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันแทบจะตลอดเวลา เป็นเพื่อนที่พูดมุกตลกให้กันฟัง เป็นพี่น้องที่ช่วยเหลือกันและกัน แต่พอตกกลางคืน ไอ้พี่มิ้นท์ก็จะข้อความมาหาเรา นัดเจอที่ไหนสักที่ อาจจะเป็นห้องเก็บของ หลังคลังอาภรณ์ ป่ายูคาลิบตัสหลังหน่วยฝึกฯ ป่าไผ่ที่อยู่ติดกับสนามกอล์ฟ หรือแม้แต่ในรถของผู้กอง แล้วเราก็จะแนบชิดกัน กอดรัดกัน ปลดเปลื้องความเหนื่อยอ่อนของแต่ละวันออกมา ไหลลื่นไปในอารมณ์ที่ไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะใช้จำกัดความได้ แต่ทั้งเราและไอ้พี่มิ้นท์ก็ไม่เคยไปถึงจุดที่ถลำลึกมากเกินไป...เกินกว่าสัมพันธ์ทางกาย...เราทั้งคู่ต่างไม่ยอมให้ตัวเองเลยจากจุดนั้นไปราวกับว่าหวาดกลัวเส้นทางข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน...

   ตั้งแต่มีเรื่องไอ้พี่มิ้นท์เราก็คิดถึงเป้ตลอด คิดถึงช่วงเวลาที่เรากับเป้อยู่ด้วยกัน คิดถึงค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่าที่เราคุยกัน พลอดรักกัน และบอกรักกันเหมือนเป็นคำที่มีความหมายไม่สิ้นสุด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรารู้สึกผิดที่มีสัมพันธ์กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เป้ ทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งหลายปี และเลิกคบหากันไปนานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเราก็รู้สึกผิดอยู่ดี รู้สึกเหมือนคนหลายใจที่แอบมีคนอื่นโดยที่ไม่ได้บอกให้เป้รู้

   เป้ เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน...ตอนที่เรายังอยู่ที่กองร้อย...เป็นวันครบรอบวันที่เราได้เจอกันครั้งแรก จำได้หรือเปล่า?

   มันเป็นอีกวันที่เราต้องตื่นขึ้นมาตอนตีห้าครึ่ง อาบน้ำ ช่วยคนในบก.ร้อยจัดการงานเอกสารให้ผู้กอง ทำบัญชี ตรวจบัญชีที่ไอ้ไม้ทำ (ไอ้ไม้เป็นเด็กบก.ร้อยคนใหม่จากผลัดหลังเรา มันเรียนบัญชีพาณิชย์มาเลยให้มาช่วยงาน แถมมันยังติดอยู่สองปีก็จะได้ทำงานต่อจากเราได้หลังจากเราปลดไปแล้ว) บ่าย ๆ ก็ไปช่วยพี่เจมส์ติดป้ายไวนิลที่หน้าค่าย จัดสวนหย่อมเล็ก ๆ รอบ ๆ ป้ายนั่น กลับมาบก.ร้อยเพื่อตรวจบัญชีค่าใช้จ่ายของงานก่อสร้างโรงนอนของเด็กบก.ใหญ่อีกรอบ ก่อนจะส่งให้ผู้กองวันพรุ่งนี้ กว่าจะได้นั่งพักก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ ห้าโมงเย็นแล้ว

   ตอนนั่นแหละที่เราหยิบโทรศัพท์มาเล่น เฟสบุ๊คแจ้งเตือนวันครบรอบ...แล้วภาพนั้นปรากฏอยู่ตรงนั้น ในจอกระจกส่องแสงเรืองรอง...ภาพของเรา วันแรกที่เราเจอกัน....

   มันเป็นวันศุกร์ที่โรงเรียนเราจัดงานวันวิชาการ มีบูทจากโรงเรียนอื่น ๆ หลายโรงเรียนมาจัดและแนะแนวการศึกษา วันนั้นเราเบื่อจะตาย ช่วงบ่ายก็มีคาบกิจกรรม อาจารย์เลยปล่อยให้ห้องเราลงมาเดินในงานได้ แต่เราไม่ได้อยากเดินดูนักหรอก ก็มันไม่ได้มีอะไรให้ดูมากมายนักหนิ แถมเพื่อนเราส่วนใหญ่ก็อยู่คนละห้องมีเรียนกันหมด เราเลยมานั่งทำการบ้านที่ข้างสนามฟุตบอลแทน

   ตอนนั้นสักบ่ายสอง แดดเริ่มอ่อนแรงเป็นสีส้ม อากาศไม่ร้อนไม่เย็น เรานั่งทำการบ้านไปสักพักก็เหลือบเห็นใครมานั่งอยู่ที่โต๊ะห่างออกไปไม่มาก ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหรอก จนเงยหน้าก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งหันมาทางเรา ในมือก็ถือกระดานวาดภาพ อีกมือก็จับดินสอขีด ๆ เขียน ๆ อยู่

   คน ๆ นั้นมีใบหน้าที่สวยงามเหมือนภาพสีน้ำมันในพิพิธภัณฑ์ ผิวขาวเนียนเหมือนผิวของรูปปั้นหินอ่อน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้ม ตากลมใสเป็นสีดำสนิท ริมฝีปากอิ่มและแดงจัด ผมรองทรงแสกกลางถูกรวบไว้ด้านหลังด้วยที่คาดผมถูก ๆ เผยให้เห็นหน้าผากกว้างเป็นมันวาว วันนั้นเป้ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน เสื้อเชิ้ตมีปกตัวหลวมสีขาว แขนเสื้อยาวกึ่งพับกึ่งม้วนขึ้นไปถึงเหนือข้อศอก กางเกงสแล็คสีดำมีคราบหยดสีเปรอะไปทั่ว รองเท้าผ้าใบที่เป้สวมก็เขรอะไม่แพ้กัน

   พอเป้เห็นเรามองอยู่ก็ยิ้ม แต่เราไม่ได้ยิ้มตอบ ตอนนั้นไม่ได้สนใจเลยว่าเป้ต้องการอะไรหรือทำอะไรอยู่ เราแค่ก้มลงแล้วทำการบ้านต่อ ผ่านไปอีกหลายสิบนาทีเป้ก็เดินมาหาเราแล้วยื่นภาพที่เพิ่งเขียนเสร็จให้ดู

   “ชอบไหม” เป้พูดคำนั้นกับเราคำแรก

   มันเป็นภาพตัวการ์ตูนของเราเอง กำลังนั่งทำการบ้าน รอบ ๆ มีหนังสือวางเป็นตั้ง ๆ เหมือนคนบ้าเรียน เรามองภาพนั้นและหันมองเป้ ยักไหล่ ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

   “ไม่ชอบเหรอ” เป้ถามเราแล้วก็นั่งลงข้าง ๆ “เราวาดการ์ตูนไม่ค่อยเก่งเท่าไร ต้องฝึกอีกเยอะเลย...แต่ภาพเหมือนเราวาดเก่งนะ ได้คะแนนเต็มทุกที”

   เรามองหน้าเป้แล้วพยายามคิดว่าเป้ต้องการอะไร แต่จนแล้วจนรอดเราก็ได้แค่ร้องว่า ‘อ๋อ’ ออกมาเบา ๆ แล้วก็กลับไปทำการบ้านต่อ

   “ทำอะไรอยู่” เป้ถามเราอีกแล้วก็ชะโงกหน้ามาดูที่สมุดของเรา “ลายมือสวยจัง”

   เราโยกตัวหลบเป้ก่อนว่า “การบ้าน...ภาษาไทย”

   “ทำไมต้องหลบขนาดนั้น กลัวเหรอ” เป้พูดแล้วก็หัวเราะ “คนชอบคิดว่าเด็กช่างโหด แต่ที่จริงมุ้งมิ้งจะตายไป”

   เราหัวเราะแหย ๆ ออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเป้ต้องการอะไรเลยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน บรรยากาศชวนอึดอัด เพราะเป้ก็นั่งอยู่ตรงนั้น มองเราทำการบ้านเหมือนนักท่องเที่ยวนั่งดูช้างโชว์เตะฟุตบอล

   “แล้ว...เรียนช่างเหรอ” เราถามออกไปจนได้ ความจริงอยากจะให้บรรยากาศผ่อนคลายลงมากกว่า เราเป็นพวกแบบที่ถ้ารู้สึกอึดอัดจะคิดอะไรไม่ออกเลย

   “ใช่ จิตรกรรม ปีสองแล้ว” เป้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ก็เท่ากับ ม.5 นายล่ะ”

   “ม.4” เราตอบ “แล้ววันนี้มาทำอะไร”

   “อาจารย์ให้เรามาช่วยออกแนะแนวน่ะ...วันนี้มาวาดภาพเหมือน” ว่าแล้วก็ชูกระดานรองวาดกับดินสอขึ้นให้ดู เรายิ้มแห้ง ๆ แล้วก็พยักหน้าว่าเข้าใจ เป้เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “มันอาจจะฟังดูเพี้ยนหน่อย ๆ นะแต่เราว่านายหน้าแปลกดี”

   พอได้ฟังแบบนั้นเราก็หันมองเป้ช้า ๆ สมองพยายามคิดวิเคราะห์แยกแยะคำพูดของเป้ว่ามันควรจะหมายถึงอะไร เป้หัวเราะแล้วบอกว่า “ไม่ได้หมายถึง...คือเราหมายถึงว่านายมีโครงสร้างหน้าชัดดี ทั้งจมูก แก้ม คาง มันดูแปลก ๆ แต่ก็สวยดี”

   “เหรอ” เราขมวดคิ้วแน่น

   “แบบนั้นน่ะ เห็นไหม เวลาขมวดคิ้วระหว่างคิ้วจะย่นเป็นเส้นตรงสวยดี” ว่าแล้วก็เอาด้ามดินสอมาถูที่ระหว่างคิ้วเรา “จะว่าไหมถ้าจะขอเขียนภาพเหมือน”

   “ตอนนี้เหรอ” เราถาม “ตอนนี้เราทำการบ้านอยู่”

   “ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ เอาวันหยุดหรือไม่ก็ตอนเย็นที่ว่าง ๆ สะดวกไหม” เป้พูดรัวเร็ว แก้มแดงระเรื่อในแดดยามบ่าย

   ตอนนั้นเราไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ความจริงเราควรปฏิเสธ เป้เป็นใครก็ไม่รู้ ท่าทางก็ดูมีพิรุธแปลก ๆ และดูเหมือนเป้ก็สังเกตเห็นแบบนั้นเลยบอกว่า “ไม่ได้จะมาพาไปขายตรงหรอกน่า ไม่ต้องกลัวหรอก”

   สุดท้ายเราก็ส่ายหน้าตอบไปจนได้ เป้เงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาวออกมา “เอางี้” พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ขยับมานั่งข้าง ๆ เรา กอดคอ แล้วพูดว่า “เซลฟี่”

   แชะ...

   “เฟสบุ๊กอะไรล่ะ จะแท็กให้” เป้บอกแบบนั้นแต่ไม่ให้เราดูภาพ “บอกเฟสบุ๊คมาก่อน ถ้าไม่ชอบก็ค่อยเอาแท็กออก” ตอนแรกเราคิดจะไม่ให้ แต่เป้ก็เซ้าซี้ไม่เลิกสุดท้ายเราก็สะกดชื่อเฟสบุ๊คภาษาอังกฤษของเราให้เป้ไป ก่อนโทรศัพท์เราจะแจ้งเตือนว่ามีคนกดขอเพิ่มเพื่อน

   “ชื่อ...ทรีพบ เหรอ”

   “ตรีภพ” เราแก้ให้ ในใจคิดว่าคนบ้าอะไรจะชื่อทรีพบ

   “ชื่อโบราณจัง” เป้นิ่วหน้า “นามสกุล หมา...หมาย...หมายทินกร” พูดจบเป้ก็ยิ้มแปลก ๆ “บังเอิญจัง”

   เราหันมองหน้าเป้เพื่อรอฟังคำอธิบายแต่เป้ก็มองเรากลับเหมือนเราควรจะรู้ “ก็ชื่อเรา...กดรับเฟสบุ๊คสิ”

   ตอนนั้นเราไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ก็ทำตามนั้น หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา ดูรายชื่อขอเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คก็เห็นรูปโปรไฟด์เป้

   “รา...ระพี เหรอ” เราพยายามอ่านเกาะตัวอักษรภาษาอังกฤษ

   “ใช่” เป้พูดออกมาแล้วก็หัวเราะ

   เราส่ายหน้าแล้วบอก “ไม่เข้าใจ”

   “ก็...นามสกุลนายไง หมายทินกร แปลว่า มุ่งไปสู่พระอาทิตย์ ส่วนชื่อเรา ระพี แปลว่าพระอาทิตย์” พูดจบก็ยิ้มแล้วก็ยักคิ้วสองข้างเหมือนมันควรจะมีความหมายอะไรสักอย่าง

   เราก็ได้แต่พยักหน้างง ๆ แก้เก้อ ไม่กล้าบอกว่าไม่เข้าใจอีก โชคดีว่ามีคนมาตะโกนเรียกเป้ บอกว่าจะกลับแล้ว

   “ต้องไปแล้วหละ ยืมโทรศัพท์แป๊บนะ” เราไม่ทันตอบเป้ก็คว้าโทรศัพท์เราไป แล้วกดรับเพื่อนในเฟสบุ๊ค “อย่าอันเฟรนด์นะ เดี๋ยวเย็น ๆ แท็กรูปไปให้”

   แล้วเป้ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไป แต่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมากะโกนเรียกเรา ขาก็เดินถอยหลังไปด้วย “ชื่อเล่นอะไรล่ะ จะได้เรียกถูก”

   “เต้อ” เราตะโกนบอก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

   “เราเป้” แล้วก็ยกนิ้วโป้งสองนิ้วขึ้นมา ยิ้มจนตาหยีแล้วก็หันกลับไป

   เย็นวันนั้นเป้ก็โพสรูปลงเฟสบุ๊คแล้วก็แท็กเรามา ภาพออกมาเราดูไม่ได้เลย ตาเหลือกเห็นแต่ตาขาว ปากก็ยิ้มแหย ๆ เหมือนคนบ้า อีกไม่กี่นาทีต่อมาเป้ก็ส่งข้อความมาถามว่าชอบรูปหรือเปล่า เราก็ตอบว่าไม่ชอบ ลบออก แต่เป้ก็ไม่ยอม

   คืนนั้นเราก็เลยคุยกันถึงเรื่องเหตุผลที่ควรหรือไม่ควรลบรูปนั้นออกจากเฟสบุ๊ค แล้วก็อีกหลายเรื่อง และอีกวัน อีกวันต่อจากนั้น และต่อจากนั้นไปอีกจนถึงวันนี้ เราไม่เคยรู้สึกว่าเป้หนีหายจากเราไปไหน ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเป้กลายเป็นดวงอาทิตย์ที่เราจะมุ่งไปหาอยู่เสมอ ส่องแสงแรงกล้าอยู่ท่ามกลางอวกาศ สว่างไสวท่ามกลางความมืดมิดให้เราได้มีจุดหมายให้ก้าวเดินต่อไป ณ ช่วงเวลานั้นเราได้ครอบครองดวงดาวที่งดงามที่สุดในจักรวาลและเอกภาพ เราบอกรักกัน จูบกันใต้ดวงดาวที่ร่วงหล่นสู่พื้นโลก เป้ชวนเราไปที่บ้าน เข้าไปในห้องนอนของเป้ที่เป็นเหมือนโกดังเก็บภาพเสียมากกว่า เป้วาดเราที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนเก้าอี้และร่วมรักกันครั้งแรกที่พื้นห้องนั้น รอยจูบของเป้ยังประทับอยู่ที่แผ่นหลังของเรา เม็ดเหงื่อที่หยดลงมา กลิ่นสีที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศร้อนผ่าว


   ค่ำนั้นไอ้พี่มิ้นท์ข้อความมาบอกเราว่าให้ไปเจอกันที่ป่าไผ่หลังคลังอาวุธ เราอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย แล้วไปตามนัด มันเป็นคืนเดือนหงาย พระจันทร์กลมโตสุกสว่างอยู่กลางท้องฟ้าไร้เมฆ สองแสงสีเงินยวงแรงกล้าจนแทบจะแปลเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นกลางวัน เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินด้านหลังหน่วย ผ่านโรงเลี้ยงและโรงกล้วย เลี้ยวไปทางด้านหลังหน่วยฝึกฯ แล้วเดินลุยป่าเข้าไปที่หลังคลังอาวุธ

   พอไปถึงก็เจอกับไอ้พี่มิ้นท์อยู่ตรงนั้น กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรสักอย่าง เราร้องทัก อีกฝ่ายหันมาด้วยท่าทางตกใจนิดหน่อยก่อนจะยิ้มให้ในความมืด เราเลยเห็นว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ ไอ้พี่มิ้นท์เอาผ้าใบเต็นท์ที่ขโมยจากคลังอาภรณ์มาปูไว้บนที่ว่างระหว่างกอไผ่สองกอแล้วจุดเทียนไว้รอบ ๆ

   เราเห็นแล้วก็รีบเดินไปดับเทียน บอกว่าพี่จะบ้าเหรอเดี๋ยวใครมาเห็น แล้วแถวนี้มีแต่ใบไผ่แห้งเต็มไปหมด ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะว่ายังไง

   ไอ้พี่มิ้นท์ทำเสียงไม่พอใจ บอกว่าก็อยากทำให้ดี ๆ หน่อย แล้วถามเราว่าวันนี้วันอะไร

   ตอนแรกเราก็งง ๆ เลยบอกไปว่าวันจันทร์ มันก็ขำออกมาแล้วบอกให้เราคิดดี ๆ เรานิ่งคิดไปแล้วบอกว่า ก็วันจันทร์ไง จะวันอะไรล่ะ

   ไอ้พี่มิ้นท์เดินเข้ามาใกล้เราแล้วตบหัวเราเบา ๆ ก่อนบอกว่าวันนี้วันครบรอบแปดเดือนที่มันกับเรารู้จักกัน เราได้ยินแบบนั้นก็หลุดขำออกมา บอกมันว่า โอ้โห้ พ่อยอดนักรัก พ่อคาสซิโนว่า โรแมนติกเหลือเกิน

   ตัวมันเองก็เหมือนจะเขิน ๆ เลยแกล้งชกท้องเราเบา ๆ ไปหลายที เราบอกเจ็บก่อนจะล้มตัวลงบนผ้าใบ แล้วเราก็มีสัมพันธ์กันตรงนั้น ท่ามกลางป่าไผ่และแสงจันทร์ เสียงจักจั่นที่ดังอยู่รอบตัวกลบเสียงครางกระเส่าของเรายามสุขสม นาน ๆ ครั้งสายลมจะพัดมาลามเลียร่างกายเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่ รอยจูบหวานหอมและดูดดื่ม กลิ่นกายของไอ้พี่มิ้นท์มีแต่กลิ่นใบไผ่แห้งยามที่เราประทับจูบ และไม่นานร่างกายของเราก็ถูกเผาผลาญด้วยความร้อนจากพี่มิ้นท์ มันกลืนกินเราจนไม่มีอะไรเหลือ ทั้งวิญญาณและความรู้สึก

   เรานั่งกันอยู่แบบนั้นต่อไปอีกนาน ปล่อยให้สายลมเย็นพัดคลายความร้อนโดยที่ไม่พูดอะไรกันออกมาอีก เรานั่งมองดวงจันทร์บนฟ้า มองแสงของมันที่ลอดลงมาจากใบไผ่และตกกระทบกับพื้นเป็นรูปร่างประหลาด...แล้วเราก็คิดถึงเป้ขึ้นมา คิดถึงใบหน้านั้น รอยจูบนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดบาปเหมือนคนทรยศหักหลังคนรักของตัวเอง รู้สึกเกลียดตัวเองที่มาร่วมรักกับคนอื่นในวันครบรอบของคนรัก เศร้าที่เป้ไม่อยู่ตรงนี้แต่กลับมีอีกคนที่เราไม่ต้องการ แต่ถึงแบบนั้น...

   แล้วเราก็ร้องไห้ออกมา ไอ้พี่มิ้นท์ถามเราว่าเป็นอะไร ตอนแรกเราก็บอกว่าเปล่า แต่มันก็ไม่หนีไปไหน นั่งกับเราอยู่แบบนั้นจนเราหยุดร้อง และถามย้ำเราว่ามีอะไรหรือเปล่า อยากจะเล่าไหม

   มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถามเราแบบนั้น ทั้งอาชัย อาน้อย ครูที่โรงเรียน จิตแพทย์ ตำรวจ...แต่มันเป็นครั้งแรกที่เราอยากจะเล่า เราเล่าทุกอย่างออกมา ทุกเรื่อง เรื่องเป้ เรื่องของเราสองคน งานวันวิชาการ เรื่องที่เราจูบกันใต้ฝนดาวตก เรื่องที่เราร่วมรักกันในห้องที่มีแต่กลิ่นสี ทุกอย่างหลั่งไหลออกมาจากปากเราเหมือนสายน้ำเชี่ยวกราก คำพูดทุกคำที่พูดออกไปให้รสเหมือนอาเจียน ยิ่งพูดยิ่งเจ็บปวดเหมือนตัวเองกำลังแตกสลายออกเป็นชิ้น ๆ

   แล้วไอ้พี่มิ้นท์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยร่างกายที่มีเพียงแสงจันทร์และความมืดเป็นสิ่งนุ่งห่ม มันกอดเราไว้ พูดปลอบเรา จูบเราที่หัวแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้น มันกอบกู้ทุกอย่างที่เป็นเราขึ้นมาและประกอบเข้าด้วยกันเหมือนเป็นสิ่งง่ายดายที่สุดในโลกทั้ง ๆ ที่มีคนเคยพยายามทำแบบนั้นมาก่อนหลายคน เราไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเท่านี้มาก่อน และมันก็อยู่ตรงนั้น ด้วยร่างกายเปลือยเปล่าในแสงจันทร์

   “แล้วตอนนี้เขาไปไหนแล้ว...เป้น่ะ” ไอ้พี่มิ้นท์ถามขึ้นหลังจากเราเล่าเรื่องทุกอย่างจบลง เราเงียบไป ใจหนึ่งก็ไม่อยากตอบ อีกใจหนึ่งก็กลัวเกินกว่าที่จะไม่พูดอะไรออกไป

   “เสียแล้ว...” สุดท้ายเราก็พูดออกไปแบบนั้นและเริ่มต้นยอมรับความจริงว่าดวงอาทิตย์ของเราดับแสงไปแล้ว

.................................................................................................

คุยกันท้ายบท




                         :m15: :m15: tomb raider ออกภาพใหม่แล้ว ยังไม่มีตังซื้อเลย  :m15: :m15:


                         o18 o18 o18 เฮ็นโหลลลลล มายเฟรนด์ ๆ ๆ ๆ ๆ เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะช่วงนี้ สบายดีกันหรือเปล่า อากาศเปลี่ยนไวมาก เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดด จนเราต้องพกพาราติดตัวตลอด มายเฟรนด์ก็อย่าตากฝนป่อยนะ ไม่สบายขึ้นมาจะแย่เอา  :m8: :m8: :m8:


                         เมื่อวานนี้เราเพิ่งตรวจต้นฉบับเสร็จ แก้บานตะไทเลย  :m23: ทั้งสำนวน คำผิด คำซ้ำ แล้วมีเพิ่มอะไรอีกนิดหน่อย เลยกำลังคิดว่าจะอัพแก้ตอนเก่า ๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะว่างทำเมื่อไร ยังไงก็เถอะ เราจะอัพให้ได้อ่านกันแน่นอน  :m3: :m3: :m3:


                         เขียนจบไปอีกเรื่องสมองก็โล่งขึ้นมาถนัด ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ถ้าเราคิดเรื่อง คิดพล๊อตนิยายได้มันจะติดอยู่ในหัว ไล่ยังไงก็ไม่ไป บางทีเป็นหนักถึงขนาดนอนไม่หลับ คิดถึงช่วงตอนเศร้า ๆ ก็นั่งน้ำตาคลอขึ้นมาเฉย ๆ  :hao5: 5555+ แฟนเราบอก "สงสัยจ้องไปปรึกษาจิตแพทย์" ไอ้บร้าาาาา  :m31: :m31: :m31: แต่พอเขียนมันออกมาก็เหมือนได้ระบาย พอเขียนจบก็กลับมาชิวได้ปรกติ...ก็จนกว่าจะคิดพล๊อตใหม่ได้อ่ะนะ  :mew5: :mew5:


                         เรื่องนี้เขียนจบแล้วกะว่าจะส่งไปสำนักพิมพ์สักที่ หรือไม่ก็ขายเป็นอีบุ๊กค์หรือไม่งั้นก็เปิดออเดอร์กับ ookbee ยังไม่รู้เหมือนกัน ส่งไปสำนักพิมพ์ก็ไม่รู้ว่าจะได้พิมพ์ไหม ช่วงนี้เราว่าตลาดหนังสือมันเงียบ ๆ อย่าว่าแต่หนังสือเลย ตลาดไหน ๆ ก็เงียบ ๆ หมด (เราจะทำตามสันยาาาาา)  :z10: :z10: :z10: แต่ถ้าทำเองก็อยากจะหาคนมาวาดปก ทำรูปเล่มให้สวย ๆ จะได้ขายดี ๆ ซึ่งก็ต้องใช้ทุนอีกหลายตัง  :katai1: :katai1: :katai1:  แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคือการลงทุนและการลงทุนก็มีฟามเสี่ยง ยังไงแฟน ๆ เรื่องนี้ก็ออกความเห็นกันมาได้นะ เรารับฟังทุกคนจร้า

                         สุดท้ายของให้มายเฟรนด์ติดตามเรื่องนี้กันไปจนจบเลยน๊ะ ขอบคุณจร้า  :mew1: :mew1: :mew1:




  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 10:11:38 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เต้อ เป็นคนจริงจัง ยึดติด และเก็บกดมากเกินไป   :really2: :really2: :really2:
ทั้งที่เลิกลากับเป้ไปแล้ว ทั้งที่เป้เสียชีวิตไปแล้ว
พอเต้อ มีความสัมพันธ์ใหม่กับคนใหม่
ยังเกิดความรู้สึกผิดกับเป้อีก เพื่อ? :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แล้วเก็บความรู้สึกตั้งแต่ที่อาชัย อาน้อยจับได้เรื่องมีอะไรกับเป้
เรื่องทำร้ายร่างกายตัวเอง ไม่พูดความรู้สึกลึกๆของตัวเองไม่ว่ากับใคร
แต่คราวนี้ยอมพูดกับพี่มินท์ คงจะได้ระบายความเครียด รู้สึกดีๆบ้างสักที

ผู้กองนี่แปลกๆ ให้ความรู้สึกไม่ชอบใจ
เอาใจเมีย ตามใจเมีย มาทำโทษเต้อ ให้มาดองเวร
ทั้งที่บัญชีนั้น เต้อไม่ได้อาสาอยากทำ
ไม่ใช่เรื่องของทางราชการสักหน่อย เป็นธุรกิจส่วนตัวชัดๆ
ก็ให้นางเมียปัญญาอ่อน คุณนายใหม่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำบัญชีเองสิ
 
นางเมียไม่ได้เป็นข้าราชการทหารสักหน่อย
มาด่ากราด วางอำนาจกับทหารในกรมกองทหาร
นี่ถือว่ามีความผิดเลย
เต้อ ก็ไม่ได้เงินเพิ่มเลยสักบาท ประสาททั้งผัวทั้งเมีย   :angry2:  :angry2: :angry2:
อย่างนี้ถือว่าเบียดบังงานหลวง หาผลประโยชน์ใส่ตนนะเนี่ย
คอรัปชั่นอีกรูปแบบหนึ้ง
รอตอนใหม่นะ  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 18:57:29 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อัพเดท แก้คำผิด สำนวน คำซ้ำ ตั่งต่างแล้วนะจ๊ะ



เต้อ เป็นคนจริงจัง ยึดติด และเก็บกดมากเกินไป   :really2: :really2: :really2:
ทั้งที่เลิกลากับเป้ไปแล้ว ทั้งที่เป้เสียชีวิตไปแล้ว
พอเต้อ มีความสัมพันธ์ใหม่กับคนใหม่
ยังเกิดความรู้สึกผิดกับเป้อีก เพื่อ? :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
แล้วเก็บความรู้สึกตั้งแต่ที่อาชัย อาน้อยจับได้เรื่องมีอะไรกับเป้
เรื่องทำร้ายร่างกายตัวเอง ไม่พูดความรู้สึกลึกๆของตัวเองไม่ว่ากับใคร
แต่คราวนี้ยอมพูดกับพี่มินท์ คงจะได้ระบายความเครียด รู้สึกดีๆบ้างสักที

ผู้กองนี่แปลกๆ ให้ความรู้สึกไม่ชอบใจ
เอาใจเมีย ตามใจเมีย มาทำโทษเต้อ ให้มาดองเวร
ทั้งที่บัญชีนั้น เต้อไม่ได้อาสาอยากทำ
ไม่ใช่เรื่องของทางราชการสักหน่อย เป็นธุรกิจส่วนตัวชัดๆ
ก็ให้นางเมียปัญญาอ่อน คุณนายใหม่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำบัญชีเองสิ
 
นางเมียไม่ได้เป็นข้าราชการทหารสักหน่อย
มาด่ากราด วางอำนาจกับทหารในกรมกองทหาร
นี่ถือว่ามีความผิดเลย
เต้อ ก็ไม่ได้เงินเพิ่มเลยสักบาท ประสาททั้งผัวทั้งเมีย   :angry2:  :angry2: :angry2:
อย่างนี้ถือว่าเบียดบังงานหลวง หาผลประโยชน์ใส่ตนนะเนี่ย
คอรัปชั่นอีกรูปแบบหนึ้ง
รอตอนใหม่นะ  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ขอบคุณจ้รา อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว ติดตามกันไปเรื่อย ๆ น๊ะ

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1



   :katai4: :katai4: :katai4:มาแน้วจร้าาาา :katai4: :katai4: :katai4:




   “ยังไงพี่จะลองถามผู้กองให้นะว่าจะให้เอ็งกลับได้เมื่อไร” มันพูดออกมาแบบนั้นพรางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หินอ่อนหลังกองการณ์ แต่เรารู้ว่ามันยากมากนะ ไอ้การที่จะขอให้ผู้กองทำอะไรให้พลทหาร โดยเฉพาะมันเป็นคำสั่งของตัวเองโดยตรง เราเลยบอกพี่มิ้นท์ไปว่า “ได้ก็ดี แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อีกไม่กี่เดือนก็ปลดแล้ว อยู่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก”

   ไอ้พี่มิ้นท์พยักหน้าเซ็ง ๆ ก่อนบอกว่า “แล้ว...เอ็งจะว่างบ้างไหมเนี่ย” ถามแล้วก็มองหน้าด้วยสายตาซุกซนพลางขยับนิ้วมาแตะหลังมือเราเบา ๆ อย่างโหยหา เราเลยบอกว่าอีกสองสามวันจะไปเข้าเวรที่คลังอาวุธ มันก็ยิ้ม ๆ ออกมาก่อนจะกลับไปกองร้อย

   ส่วนที่ดีของการอยู่กองการณ์ก็คือการที่ต้องตื่นและนอนตามเวรของตัวเอง มันทำให้การรับรูปเรื่องวันเวลาบิดเบือนไป จนรู้สึกเหมือนวันเวลาเดินไปเร็วกว่าที่ควร แต่ข้อเสียของมันก็คือหลายครั้งเราไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร เดือนอะไร สมองมึนเบลอตลอดเวลาเพราะนอนน้อย รู้สึกเหมือนผีที่ติดอยู่ในร่างกายของคน ต้องผลักดันตัวเองเพื่อลืมตา เดิน เข้าเวร สิ่งที่ทำให้เรามีความหวังอยู่บ้างก็คือการได้เจอกับไอ้พี่มิ้นท์ตอนไปเข้าเวรที่คลังอาวุธ ได้เติมเต็มและอิ่มเอมในรสกามของมันกับการคิดถึงวันปลดประจำการที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เดือน

   แล้วจู่ ๆ คืนหนึ่งจ่าเชษฐ์ก็ขับมอเตอร์ไซค์มาที่กองการณ์ แกเป่านกหวีดเสียงดังเรียกพวกที่นอนอยู่ข้างในให้ออกมาตั้งแถวแล้วยื่นชุดตรวจฉี่ให้ทหารแต่ล่ะคน ตอนนั้นเราเห็นเลยว่าหลายคนหน้าซีดตัวสั่น หลายคนฉี่ไม่ออกจนจ่าต้องสั่งพุ่งหลังไปเป็นสิบยกกว่าจะยอมฉี่กัน

   ผลก็ปรากฏไปตามคาด เกือบทั้งกองการณ์มีฉี่ม่วง เรา พี่พงษ์ กับอีกสองสามคนรอด

   พอรู้ผลได้ไม่กี่นาทีผู้กองก็ขับรถเข้ามา แล้วก็เหมือนเดิม สั่งให้ทหารยืนเรียงกันแล้วต่อยไปคนละหมัดก่อนจะสั่งให้ตอนเช้าหาคนมาเปลี่ยนชุดกองการณ์ยกชุด

   เช้าวันรุ่งขึ้นเราเลยได้มาเตร็ดเตร่อยู่ที่กองร้อย

   ไอ้พี่มิ้นท์ยิ้มร่าตอนเห็นเรากลับมา เราเองก็เหมือนกัน พอกลับมาคราวนี้เราตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปวุ่นวายในบก.ร้อยอีก เราพอแล้ว ทำดีไม่ได้ดีก็ช่างมันเหอะ เราเลยกลับไปเป็นชุดตัวฟรีเหมือนเดิม หาข้ออ้างทำนั่นทำนี่ไปวัน ๆ รอเวลาอีกแค่ไม่เท่าไรก็ปลดแล้ว ส่วนผู้กองก็ทำเหมือนเราไม่มีตัวตน เลยสบายไป

   “ทำไมมึงไม่เขียนไปลาไปวะ” ไอ้คิงถามเราตอนที่เรากับมันไปช่วยพี่เจมส์ผูกผ้าตกแต่งที่หน้าค่าย เราบอกมันไปว่าเราไม่ค่อยอยากกลับเท่าไร เอาไว้กลับที่เดียวตอนปลดเลย แต่ที่จริงเราอยากอยู่ใกล้ ๆ ไอ้พี่มิ้นท์มากกว่า หลังจากเรื่องในป่าไผ่ การอยู่ใกล้ ๆ มันก็ทำให้จิตใจเราสงบมากกว่าเมื่อก่อน

   แล้วพี่เจมส์ก็เริ่มบ่นเรื่องหมาเข้าไปกัดผ้าที่ใช้ผูกประดับตกแต่ง (ไม่รู้แกเป็นอะไรกับหมามากนัก สงสัยชาติที่แล้วกินหมาเยอะ ชาตินี้มันเลยมาเอาคืน) ลามไปเรื่องในกองร้อยแล้วมาจบที่เรื่องงานปลดประจำการ ไม่รู้แกไปกินอะไรมา บ่นเก่งจังเลยวันนี้
   “ปลดแล้วพี่จะไปทำอะไร” เรานึกเรื่องมาคุยกับแกจนได้เพราะเบื่อฟังแกบ่นแล้ว

   พี่เจมส์บอกเราว่าปลดไปก็คงทำงานโรงแรมตามสายที่เรียนจบมา แล้วไอ้คิงก็เลยบอกว่าไม่อยู่ต่อล่ะพี่ จะได้ช่วยน้องด้วย แถมผู้กองก็ชวนให้อยู่ต่อไม่ใช่เหรอ แต่พี่เจมส์ทำปากเบ้ บอกว่าไม่เอาหรอก น่าเบื่อจะตาย เงินก็น้อย ไปทำข้างนอกเงินเยอะกว่า สบายใจกว่า แถมยังไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัวด้วย

   “แล้วมึงล่ะเต้อ จะไปทำอะไรต่อ” พี่เจมส์ถามเราแบบนั้น

   เราก็นิ่งคิดก่อนจะตอบไปว่าไม่รู้ ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทำอะไรต่อหลังจากนี้ อาจจะกลับไปทำเซเว่นเหมือนเดิมแต่ก็รู้สึกเหมือนถอยหลังลงคลองยังไงก็ไม่รู้ แล้วพี่เจมส์ก็บอกว่าเราน่าจะไปเรียนต่อนะ ปวส.หรือปริญญาตรีก็ยังดี วุฒิม.ปลายสามัญมันหางานยาก อีกอย่างเราก็ทำบัญชีเป็น งานบัญชีถ้ามีวุฒิก็ได้เงินเยอะนะ

   ที่พี่เจมส์พูดมามันก็จริงแหละ ประเทศนี้บ้านนี้เมืองนี้คลั่งใบปริญญาอย่างกับอะไร ถ้ามีสักใบก็คงหางานทำง่ายขึ้น ติดก็แต่จะเอาตังไหนไปเรียน ค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าหางานทำไปด้วยเรียนไปด้วยก็ยังพอมีหวัง แต่แบบนั้นสู้หางานทำไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ คิดไปคิดมาก็ชวนปวดหัว แล้วไหนจะเรื่องไอ้พี่มิ้นท์อีก

   ตอนนี้เราไม่อยากไปไหนไกลไอ้พี่มิ้นท์เลย เราหมายถึง...มันไม่ขนาดที่ว่าถ้าขาดมันไปเราจะตาย หรือคลั่งเป็นคนบ้า แต่เรารู้สึกว่าถ้าชีวิตเรามีมันอยู่ด้วยอะไร ๆ จะดีขึ้นเยอะเลย พี่มิ้นท์ช่วยเราไว้หลายอย่างและเราก็รู้สึกขอบคุณมันมากที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามันคอยอยู่ด้วยกันกับเรา รับฟังเรา และกอดเราไว้ แต่เราไม่รู้ว่ามันคิดยังไงกับเรื่องนี้...เรื่องเรากับมันหลังจากปลดทหารไปแล้ว เราไม่เคยคุยกันเรื่องส่วนตัว ชีวิตข้างนอกค่าย ครอบครัวของมัน งานของมัน หรือแม้กระทั่งแฟน เรากับมันละเรื่องพวกนั้นไว้เหมือนกับว่าไม่สำคัญอะไร

   หลายครั้งเราอยากคุยกับมันเรื่องพวกนี้นะ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามตรง ๆ แล้วมันเองก็ไม่มีท่าทางอยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่มันทำให้เรารู้สึกว่ามันยังต้องการเรามากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันอาจจะรู้สึกอย่างที่เรารู้สึกตอนนี้...เกินกว่าความสัมพันธ์ทางกาย แต่ก็อีกนั่นแหละ เราก็ไม่แน่ใจว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า ทุกอย่างที่เราเห็น รู้สึก เราอาจจะเห็นและรู้สึกเพราะเราอยากจะให้มันเป็นแบบนั้นก็ได้

   “ไอ้พี่มิ้นท์มันเคยพูดเรื่องหลังปลดไหม” เราถามพี่เจมส์ซึ่งสนิทกับพี่มิ้นท์มากกว่าใคร แกเบ้ปากแล้วยักไหล่มือก็ผูกผ้าประดับไปไม่หยุด

   แล้วไอ้คิงก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ได้ดีแล้วหนิ”

   จบคำพี่เจมส์ก็หันมามองหน้าไอ้คิงแล้วบอก “ไอ้คิง ตัวมึงเองดีแล้วเหรอถึงเอาเรื่องคนอื่นมาพูดน่ะ” ไอ้คิงเลยเงียบ วินาทีหนึ่งเรารู้สึกเหมือนทั้งสองคนมีอะไรปิดบังอยู่ เพราะพี่เจมส์แกหันมามองหน้าเราแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปผูกผ้า เหมือนต้องการจะอ่านความคิดว่ารับรู้ไปแค่ไหน แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรเลยไม่พูดอะไรออกไป จนกระทั่งผูกผ้าเสร็จ พี่เจมส์เดินกลับไปกองร้อยไปก่อน ส่วนเราไอ้คิงก็เดินไปตลาดหาข้าวกิน (มันมาอ้อนให้เราเลี้ยงข้าวมันอีก) ระหว่างทางกลับเราเลยถามมันไปว่าเรื่องที่พูดก่อนหน้านี้มันอะไรเหรอ

   ไอ้คิงก็มองหน้าเรางง ๆ ก่อนจะร้อง “อ้อ” ออกมาแล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่มีอะไร แต่เราก็คะยั้นคะยอถามจนในที่สุดมันก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมา

   “ไอ้เต้อ มันไม่ใช่เรื่องของกูที่จะมาบอกเรื่องนี้กับมึงเลยนะ แต่เพราะกูติดหนี้มึงอยู่กูเลยจะบอก แล้วถ้าเล่าแล้วถือว่าหายกันและอย่าไปบอกพี่มิ้นท์ว่ากูเป็นคนพูดนะ”

   เราทำหน้างงก่อนจะพยักหน้าตกลง ไอ้คิงเลยเล่าให้เราฟัง


   คืนนั้นเรายืนอยู่ข้างกองร้อย หลบแสงไฟนีออนไม่ให้ใครเห็น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่มาทำอะไรแบบนี้ นึกด่าตัวเองหลายคำพลางตบยุงที่มากัด มันอาจจะไม่จริงก็ได้ ไอ้คิงอาจจะคิดผิดหรือเข้าใจอะไร ๆ ผิดไป แต่สิ่งที่มันส่งมาก็ดูเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ

   แล้วเราก็มายืนอยู่ตรงนี้ ซุ่มเงียบในพุ่มไม้เหมือนทหารที่ปัญญาอ่อนที่สุดในโลก ชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้วยังไม่มีวี่แวว คิดถอดใจไปหลายครั้งแต่ก็ตัดใจไม่ได้สักที

   จนเมื่อเวลาล่วงไปเที่ยงคืนกว่า ๆ รถเก๋งสีดำสนิทก็วิ่งมาจอดที่หน้ากองร้อย คนขับเดินลงมาก่อน ตามด้วยอีกคน...ทั้งคู่คุยกันอยู่สองสามคำในความมืดก่อนคนขับจะกลับขึ้นรถและตัวรถก็แล่นออกไป

   “กินเหล้ามาเหรอ” เป็นคำแรกที่เราพูดกับไอ้พี่มิ้นท์หลังจากเดินออกมาจากที่ซ่อน มันมีท่าทางตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มออกมาแล้วบอกว่าไม่เท่าไร ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ สำรวจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วเข้ามากอดเรา ทำท่าจะจูบแต่เราผละออก “ไม่เอา เหม็นเหล้า”

   อีกฝ่ายถอนหายใจยาว “แล้วมาทำอะไรอยู่ตรงนี่ดึก ๆ ดื่น ๆ”

   เรายักไหล่ “ก็เห็นหายไปตั้งแต่เย็น ข้อความเฟสบุ๊คไปก็ไม่อ่าน คิดว่าไปตายที่ไหน”

   ไอ้พี่มิ้นท์ยิ้มแล้วเหล่ตามองเรา “แหนะ เป็นห่วงพี่เหรอ”

   เราหัวเราะออกมา มันเป็นการหัวเราะที่ฝืนที่สุดเท่าที่เราเคยทำเลย “ไร้สาระว่ะพี่ งั้นผมไปนอนแล้วนะ” จบคำก็หันหลังเดินไป ไม่นานไอ้พี่มิ้นท์ก็เดินมากอดคอเราเดินไปด้วย

   “วันนี้จะไปนอนไหนล่ะ ในบก.หรือโรงนอน” ไอ้พี่มิ้นถาม

   “ในบก.คนเยอะจะตาย เตียงก็ไม่มี” เราตอบไปแบบนั้น “แล้ววันนี้ไปกินเหล้ากับใครมา”

   “เพื่อน” ไอ้พี่มิ้นท์เอ่ยตอบเสียงเบาหวิว

   “เพื่อนที่เป็นผู้กองในบก.ใหญ่น่ะเหรอ”

   อีกฝ่ายหยุดเดินแล้วมองหน้าเรา



   เรื่องของเรื่องคือเมื่อไม่กี่วันก่อนไอ้คิงทะเลาะกับเมียแล้วเมียมันบล็อกเฟสบุ๊ค ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไอ้คิงเลยมาขอยืมโทรศัพท์พี่มิ้นท์ไปโทรหาเมียมัน พอโทรไปเมียมันก็รับแต่คุยกันได้ไม่กี่คำก็ตัดสายทิ้ง ไอ้คิงเลยใช้เฟสบุ๊คพี่มิ้นท์ส่งข้อความไปหาเมียมัน มันเลยเห็นแชตของพี่มิ้นท์ที่คุยกับผู้กองในบก.ใหญ่

   ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ บอกว่ามันโม้ มันเลยบอกว่าถ้าไม่เชื่อมันจะแคปหน้าแชตมาให้ดู ผ่านไปได้ครึ่งวันมันก็ส่งภาพพวกนั้นมา ไอ้พี่มิ้นท์ทำกับคนนั้นเหมือนที่ทำกับเราทุกอย่าง นัดกันตอนกลางคืนผ่านข้อความเฟสบุ๊ค ทำกันในค่าย หลายที่เป็นที่ ๆ มันกับเราเคยไปกัน พูดคุยกันด้วยคำหวาน เร้าอารมณ์ หลายข้อความแสดงถึงความต้องการอันไม่สิ้นสุดของคนทั้งคู่ และอีกหลายข้อความเป็นภาพที่เราไม่เคยคิดว่าไอ้พี่มิ้นท์จะกล้าทำขนาดนั้น

   ถึงตรงนี้ไอ้พี่มิ้นท์เงียบไปนาน เราเลยถามมันว่าเป็นอะไร

   “รู้ได้ยังไง” พี่มินท์ถามเสียงเรียบในความมืดที่อำพรางสีหน้าของมันไว้

   “สำคัญด้วยเหรอ” เราพูดน้ำเสียงติดตลก ขาก็เดินต่อไป “ไม่ต้องห่วงน่า ไม่เอาไปพูดหรอก”

   “เรื่องนั้นไม่สนใจหรอก ที่สนใจคือรู้ได้ยังไง” ไอ้พี่มิ้นท์เดินมาดักหน้าเรา “ใครบอก”

   “ไม่มีใครบอกหรอกน่า ผมดูโทรศัพท์พี่เองแหละถึงรู้” เราตัดบทโกหกไป

   อีกฝ่ายเค้นเสียงหัวเราะ “อย่ามาโกหกหน่าเต้อ เอ็งไม่ได้แคร์พี่ขนาดจะมาแอบดูโทรศัพท์พี่หรอก”

   จู่ ๆ เราก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม “ถ้างั้นก็แล้วแต่พี่แล้วกัน” เราพูดออกมาแล้วก็เบี่ยงตัวเดินหลบ แต่ไอ้พี่มิ้นท์ก็จับแขนเราไว้

   “นี่ถามจริง ๆ สนใจพี่บ้างหรือเปล่า” มันพูดเสียงเรียบแต่รัวเร็ว “...หรือพี่จะไปไหนมาไหนกับใครก็ไม่ได้สนใจอะไร”
   “อ่าว ก็มันเรื่องส่วนตัวของพี่ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ปล่อยเหอะ จะไปนอนแล้ว” เราพูดแล้วก็เกาะมือมันออกแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย ไอ้บ้านี่เวลาเมา ๆ ยิ่งแรงเยอะ

   “เรื่องส่วนตัว นี่ขนาดพี่ออกไปกับคนอื่นยังพูดว่าเรื่องส่วนตัวอีกเหรอ”

   “แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงวะ หึงพี่ งอนพี่ ด่าพี่เรื่องถ่ายรูปโป๊ตัวเองส่งไปให้คนอื่นดูเหรอ ก็มันตัวพี่ เรื่องของพี่ ผมจะไปสนใจอะไรเล่า” ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดเสียงโกรธมากแค่ไหน ถึงจะเบาเหมือนกระซิบแต่ก็เต็มไปด้วยความโมโห

   อีกฝ่ายปล่อยแขนเราตอนนั้น เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเค้นเสียงหัวเราะออกมา “ใช่ดิ เรื่องส่วนตัว กับเอ็งอะไร ๆ มันก็เรื่องส่วนตัวไปหมดจริงไหม งั้นพี่ก็ควรไม่สนใจเรื่องที่เอ็งมีคนอื่นด้วยสิ จะคบกันแบบนี้ใช่หรือเปล่า”

   “พี่พูดอะไร”

   “จะอะไรล่ะ ก็ทั้งไอ้คิง ไอ้ชาย แล้วไอ้เบนซ์อะไรนั่นที่เอ็งคุยในเฟสบุ๊คไง”

   ต้องใช้เวลาประมวลผลหลายวินาทีกว่าเราจะเข้าใจ “นี่พี่แอบดูโทรศัพท์ผมเหรอ”

   “ไม่ได้แอบ ก็เห็นวางอยู่ในห้องบก.ก็เอามาดู” มันเอามือล้วงกระเป๋า เบ้ปากและยักไหล่สองข้างตอนพูดเหมือนว่าสิ่งที่มันทำไม่ได้เป็นความผิดอะไร

   เราถอนหายใจยาว “ไอ้คิงผมก็เล่าไปแล้วว่ามันยังไง ส่วนไอ้ชายมันก็เพื่อน คุยเล่นกันมันเป็นอะไรวะพี่ แล้วไอ้เบนซ์...รู้ไหม ผมไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายให้พี่ฟังด้วยซ้ำว่ามันอะไรยังไง พี่หาว่าผมไม่แคร์พี่ แล้วพี่ล่ะแคร์ผมบ้างหรือเปล่า เคยถามผมไหมว่าบ้านอยู่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร ครอบครัวเป็นยังไง หรือเรื่องพื้น ๆ อย่างวันเกิดผมวันที่เท่าไรเดือนอะไร สีที่ชอบ ไซส์รองเท้า เคยแม้แต่จะคิดไหมว่าปลดไปแล้วจะเอายังไงต่อเรื่องพี่กับผม” เราเงียบ ไอ้พี่มิ้นท์ก็เงียบ “ยอมรับเหอะพี่ พี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมมากกว่าคนเอากันเฉย ๆ หรอก”

   พี่มิ้นท์เงียบไป มันมองหน้าเราในความมืดนั้นอยู่นาน สามลมพัดพาเอากลิ่นชื้นของเม็ดฝนมาพร้อม ๆ กับหยดน้ำที่เริ่มพร่างพรายลงมาจากท้องฟ้า “เอ็งคิดกับพี่แค่นั้นใช่ไหม” อีกฝ่ายพูดเสียบเรียบและเบา “แล้วคิดกับไอ้คนชื่อเป้แบบนี้ด้วยหรือเปล่า ตอนมันตายมันรู้ไหมว่าเอ็งคิดยังไงกับมัน”

   วินาทีนั้นจู่ ๆ น้ำตาเราก็คลอขึ้นมา ภาพตรงหน้าพร่าเลือนแม้แต่ในความมืดและเม็ดฝน การได้ยินคนอื่นพูดถึงชื่อนี้ทำให้เราทั้งโกรธและเศร้า พูดว่าเป้ไม่อยู่บนโลกใบนี้ พูดว่าเป้ไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว มันอาจจะเป็นความจริงสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเราไม่ใช่เลย เป้ยังอยู่กับเรา แสงของเป้ยังส่องสว่างอยู่ในวิญญาณของเรา “พี่ไม่มีสิทธิ์...” เรากล้ำกลืนน้ำตาของตัวเอง เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและตอกนิ้วชี้ไปที่หน้าอกของมันซ้ำ ๆ “พี่ไม่มีสิทธิ์พูดถึงเป้...พี่ห้ามพูด”

   แล้วมันก็จบลงตรงนั้น เราหันหลังกลับและเดินขึ้นไปบนโรงนอน ทิ้งตัวเองลงบนเตียงและร้องไห้ออกมาท่ามกลางเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำ รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่พูดเรื่องพวกนั้นให้ไอ้พี่มิ้นท์ฟัง คิดว่ามันเป็นคนที่ไว้ใจได้และจะไม่ทำร้ายเรา แต่เปล่าเลย มันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันก็เป็นแค่อีกคนที่ต้องจากไป...แม้ว่าเราจะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยมากแค่ไหนก็ตาม

   เช้าวันต่อมา ตอนที่ผู้กองเรียกหาคนไปเปลี่ยนเวรกองการณ์เราเลยยกมืออาสาไป


..................................................................


:o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:









ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ผิดหวังกับไอ้พี่มินท์........แถโคตรๆ.......   o22 o22 o22   :z13:
พูดได้ที่ตัวเองไปจู๋จี๋กับคนอื่นว่าทำไมเต้อไม่รู้สึกอะไร
แล้วที่ตัวเองทำมันสมควรเหรอ คบซ้อนเฉยเลย
ตัวเองคบกับเต้อแล้วทำแบบนี้ได้อย่างไร
ก็ทั้งคู่ไม่พูดกันชัดๆว่าคบเป็นแฟนกัน แล้วเต้อจะไปว่าอะไรมึงได้
ยังมาว่าทีเต้อมีคิง ชายน์ เป้ โอ้โฮ........มึงยังเลวได้อีก
ก็เต้อบอกมึงชัดทุกช่องไปแล้ว
คนตายก็ยังมาแขวะ ไอ้เลววววววววววว  :fire: :angry2: :serius2:
เต้ออย่าไปเสียดายไอ้เลวมินท์ หน้าอย่างใจอย่าง  :fire:
ตัดความรู้สึกที่มีกับมันไปเลย มันเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้  :z6: :z6: :z6:
รู้แต่เนิ่นๆน่ะดีแล้ว ถึงจะถลำใจไป ก็ดีที่ยังไม่บอกมันไป  :ling3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนจบ Part 1 :katai4: :katai4: :katai4:



   เรากลับมากองการณ์รอบนี้ พี่พงษ์แกก็มีอันต้องจำหน่ายกลับบ้าน

   เรื่องของเรื่องก็คือพอเรากลับมาเข้าเวรได้สองสามวันก็เห็นว่าพี่พงษ์แกไม่สบายแล้วเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากแค่ปวดหัวตัวร้อนก็เริ่มไอ มีไข้ขึ้นสูง เราเลยบอกจ่าให้พาแกไปโรงพยาบาลหน่อย ปรากฏว่าแกเป็นหนักจริง ๆ นอนโรงพยาบาลอยู่สองคืนแล้วหมอก็ทำเรื่องให้แกลากลับบ้านไป เราเลยต้องมาจับคู่เข้าเวรกับพี่อีกคน เราไม่รู้ชื่อแกหรอก จำชื่อไม่ได้   

   ช่วงเวลาสามเดือนหลังจากนั้นเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่ยุ่งยากสำหรับเราเลย ทุกอย่างดูนิ่งสงบเหมือนท้องทะเลหลังพายุ เรากลับมาเป็นตัวเองก่อนที่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น ก่อนเรื่องไอ้พี่มิ้นท์ เรื่องไอ้คิง เรื่องไอ้เบนซ์ เรื่องทำบัญชี เรื่องหลุมยุบ เรื่องที่หน่วยฝึกฯ เรื่องเป็นทหาร เรากลับไปเป็นเราคนนั้นที่นิ่งเงียบ ไม่สะทกสะท้าน ไร้อารมณ์ รู้สึกเหมือนดักแด้ที่ถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมอีกครั้ง ปลอดภัย ตัวคนเดียว...และโดดเดี่ยว

   การเข้าเวรทำให้เรามีเวลาพิจารณาตัวเองในหลาย ๆ แง่มุม เราพบว่าตัวเองชอบทำกับข้าวก็ตอนที่จ่ากองการณ์สั่งให้เราทำพะโล้ให้กินเพราะแกอยากกิน เราพบว่าตัวเองเป็นช่างตัดผมที่ไม่เอาไหน เราพบว่าตัวเองชอบนอนเปลผูกมากกว่านอนเตียง เราแต่งตัวเร็วมากกว่าที่เราคิด แค่ไม่กี่นาทีหลังจากตื่นนอนก็พร้อมเข้าเวรแล้ว ไม่ชอบคนพูดมาก เราชอบกลิ่นของอากาศช่วงตีสามเพราะมันมีกลิ่นของคืนวันเก่าและเช้าวันใหม่ เราชอบยืนตากฝนเพราะมันชุ่มฉ่ำ และไม่ชอบช่วงหลังฝนตกที่ร้อนอบอ้าว

   หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองดูโลกทั้งใบจากที่สูง มองดูผู้คนใช้ชีวิตของตัวเอง ยิ้ม หัวเราะ ทั้ง ๆ ที่เราก็นั่งอยู่ตรงนั้น ยิ้มไปกับมุกตลกพวกเขาแต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่เราจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของสถานที่แห่งนั้น...เราไม่ยอมเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนั้นหรือที่แห่งไหนอีก ไม่อีกแล้ว มันยุ่งยากมากเกินไป วุ่นวายมากเกินไป พยายามมากเกินไป และเมื่อทุกอย่างจบลงมันก็เจ็บปวดมากเกินไป

   ถ้าตอนนี้เป้ถามเราว่าการเป็นทหารหนึ่งปีให้อะไรกับเราบ้าง เราก็คงจะตอบว่าได้เรียนรู้ตัวเอง เรารู้เรื่องของตัวเองมากกว่าที่เรารู้ก่อนหน้านี้ รู้ว่าเราทำอะไรได้ไม่ได้ รู้ว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร เรื่องบางอย่างเราคิดว่าจะไม่ชอบก็ชอบ เรื่องบางอย่างคิดว่าเราชอบก็ไม่ชอบ

   ณ วันใดวันหนึ่งตอนที่เรานั่งอยู่บนหอคอยเฝ้ายามในคลังอาวุธ กำลังมองดูแสงแดดสีใสด้านนอก จ้องมองเมฆก้อนเล็กก้อนน้อยลอยอยู่ทนท้องฟ้า ยอดหญ้าสีน้ำตาลปนเขียวโบกไหวไปตามแรงลม ในอากาศมีกลิ่นหญ้าแห้งอบอวล แล้วสายตาเราก็เหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่เขียนด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินอยู่ที่เสาของหอคอยด้านหนึ่ง

“ความสุขของคุณคืออะไร”

   มันเขียนไว้แบบนั้น ง่าย ๆ แบบนั้น ดูไม่มีความหมายอะไรแต่มันกลับทำให้เรานิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน...ตั้งแต่เป้จากเราไป เราก็ไม่เคยรู้สึกถึงความสุขอีกเลย โลกทั้งโลกกลายเป็นสีเทาที่ไร้สีสัน วันเวลาเลยผ่านไปราวกับไม่มีความหมาย เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตเกิดขึ้นและเลยผ่านไปเหมือนสายน้ำที่หลั่งไหลออกจากอุ้งมือ ไม่มีค่าควรให้จดจำ เป็นเหมือนภาพฝันที่เลือนหายไปตามกาลเวลา...แล้วเราก็เบื่อที่จะให้มันเป็นแบบนั้นแล้วล่ะเป้ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราอยากจะจดจำทุกอย่างไว้ ทุกนาที ทุกเสี้ยววินาที เราอยากจะออกตามหาความสุขของตัวเองและใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการ

   ไม่แน่...ผีที่เราเจอ...ผีที่วิ่งเข้าหาเราในคืนนั้น...อาจจะแค่อยากเข้ามาถามเราด้วยคำถามนี้ก็ได้...

   วินาทีนั้นเราก็คิดได้ว่าเราอยากจะเรียนต่อ ไม่ใช่เพราะเราอยากเรียน ไม่ใช่เพราะเราอยากมีงานดี ๆ เงินเยอะ ๆ แต่เพราะเราเรียนได้...เราชอบบัญชีและอยากจะทำมันไปตลอดชีวิต และวินาทีนั้นเราก็ตัดสินใจไลน์ไปบอกอาชัยกับอาน้อย พวกเขาเห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้ว แถมยังจะส่งเราเรียน แต่เราบอกว่าเราอยากจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ไม่ใช่เพราะอยากทำ ไม่ใช่เพราะเราต้องทำ แต่แค่เพราะเราทำได้

   วันเวลาสามเดือนผ่านไปรวดเร็วอย่างน่าใจหาย ไม่นานจ่าก็พาคนมาเปลี่ยนชุดกองการณ์ที่จะปลดทหารในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

   หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นก็เป็นการฝึกเดินสวนสนามเตรียมพิธีปลดประจำการ บอกตรง ๆ ว่าไอ้ท่าทางต่าง ๆ เราก็ลืมไปหมดแล้ว ก็ต้องมารื้อฟื้นความรู้กันใหม่ ตั้งแต่ท่าเดิน สับมือ แบกอาวุธ ทุกอย่างทำกันกลางแดดร้อน ๆ ของช่วงเย็นทุกวัน เราพยายามหลบหน้าพวกบก.ร้อยเพราะไม่อยากวุ่นวายอะไรด้วยอีก ทั้งพี่เจมส์ ไอ้ชาย ที่ต้องปลดพร้อมกัน...ใช่ รวมไปถึงไอ้พี่มิ้นท์ด้วย แรก ๆ ที่เราไปอยู่กองการณ์มันก็พยายามไลน์มาหา ข้อความเฟสบุ๊คมาตลอด โทรมาแทบจะไม่หยุด หรือแม้แต่มาหาที่กองการณ์ บอกว่าขอโทษกับสิ่งที่มันพูดออกไปและอยากจะให้อะไร ๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เราก็บอกว่าพอแล้วทุกครั้ง เราบล็อกมันทุกทางเท่าที่จะทำได้ พอเจอหน้าก็พูดว่าเรื่องของมันกับเราจบแล้ว ไม่มีการนัดเจอตอนกลางคืน ไม่มีการนั่งรถไปกินผัดไทยด้วยกัน ไม่มีคำพูดตลก ๆ หรือหยอกล้อ ไม่มีคนที่จะคอยหยิบบุหรี่มันออกจากปากแล้วปาทิ้ง ไม่มีอีกแล้ว ผ่านไปไม่นานมันก็หยุดมาหาเรา เวลานี้เรากับมันมองกันไปมาเหมือนคนแปลกหน้า หลายครั้งเดินสวนกันตามทางเดิน เราพยายามก้มหน้าไม่สนใจมันหรือเลี่ยงไปทางอื่น ตัวมันเองก็ทำแบบเดียวกัน นาน ๆ ครั้งไอ้ชายหรือไอ้เฟิร์สจะมาชวนเราคุยหรือชวนไปตลาด ทุกครั้งเราก็จะคุยพอเป็นพิธีและบอกปฏิเสธ พวกมันเองก็คงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่แบบนี้เราว่าดีแล้ว การอธิบายเรื่องราวทุกอย่างมันยากและซับซ้อนเกินไป ให้มันคิดไปอย่างที่พวกมันต้องการก็พอ

   ส่วนไอ้คิงก็ไม่เคยถามเรื่องเรากับไอ้พี่มิ้นท์อีกเลย ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน จะให้เดามันคงเห็นข้อความในเฟสบุ๊คระหว่างเรากับไอ้พี่มิ้นท์ด้วยแหละมันถึงได้เอาเรื่องผู้กองในบก.ใหญ่กับไอ้พี่มิ้นท์มาบอกเรา แต่ก็เท่านั้นแหละ มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว...

   คืนก่อนงานปลดประจำการ จ่ากองเข้มงวดมากเรื่องแอบกินเหล้า แกกำชับว่าห้ามใครแอบออกไปเมาที่ไหนเด็ดขาด โดยเฉพาะไอ้พวกที่จะปลดพรุ่งนี้ ให้อดใจกันหน่อย แต่ก็เท่านั้น เราเห็นหลายคนเดินหายไปหลังเล้าหมู แล้วเสียงก๊ง ๆ แก๊ง ๆ ก็ดังมาตามลม

   เช้าวันนั้นเป็นอีกวันที่แดดแรง ผลัดปลดประจำการเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้า ผู้กองเรียกรวมเพื่อจ่ายเงินเดือนครั้งสุดท้าย พร้อมกับให้โอวาทอะไรไปหลายอย่าง รวมไปถึงพูดขอโทษหากทำอะไรเกินเลยไป ไม่ใช่ว่าแกเกลียดหรือต้องการทำร้ายจิตใจกัน แต่เพราะต้องการให้ทหารมีระเบียบวินัยและเชื่อฟังเพื่อที่จะให้งานที่ทำออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

   ตอนที่แกเรียกชื่อเราไปรับเงินเดือน แกพูดกับเราว่า “ขอบใจมากที่มาช่วยงาน แล้วถ้าอยากเป็นทหารต่อก็มาบอก” เราคิดในใจ ‘ฝันไปเหอะ’

   หลังจากรับเงินเดือนแล้วก็ไปกินข้าวเช้าที่โรงเลี้ยง ตอนกำลังเดินแถวไปโรงเลี้ยงเราได้ยินเสียงโหวกเหวกบนมุขกลาง ผู้กองคงสาวหมัดใส่ใครสักคน

   หลังจากกินข้าวเสร็จทหารผลัดปลดประจำการก็มีเวลาพักผ่อนอีกชั่วโมง พอจ่าเป่านกหวีดก็ออกไปตั้งแถวที่กลางสนาม บรรยากาศวันนั้นก็ไม่ต่างจากวันเยี่ยมญาติครั้งแรกตอนเป็นทหารใหม่ ญาติ ๆ ของทหารมานั่งกันอยู่ที่ในเต็นท์ข้างปะรำพิธี พอประธานมาถึงก็แสดงความเคารพ ไอ้พี่มิ้นท์เป็นตัวแทนกล่าวรายงาน ประธานกล่าวให้โอวาท แล้วทหารก็เดินสวนสนามพร้อมวงดุริยางค์ เดินเสร็จก็กล่าวคำปฏิญาณ ประธานเดินทางกลับ แล้วทุกอย่างก็จบ ทหารทุกคนถอดหมวกโยนไปในอากาศ หลายคนวิ่งไปหาญาติของตัวเอง

   ตัวเราไม่คิดว่าอาชัยกับอาน้อยจะมา แต่พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกก็แทบจะปล่อยโฮ

   “ทำไมไม่บอกว่าจะมา” เราพูดออกมาแล้วไหว้อาชัยส่วนอาน้อยกอดเราแน่น

   “ก็จะมาเซอไพรซ์ไง เซอไพรซ์” อาน้อยพูดแล้วก็ทำท่าทาง เรายิ้มและกอดอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม ส่วนอาชัยก็บ่นเรื่องไม่ยอมกลับบ้านเลย เราเลยบอกว่างานบัญชีมันยุ่งเลยไม่มีเวลากลับ พอพูดเรื่องนี้อาชัยก็ถามเราว่าเราพูดจริงเหรอเรื่องเรียนต่อ เราบอกว่าจริง อาน้อยเลยบอกว่าระหว่างเรียนก็มาช่วยงานที่สำนักงานก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปไหนไกล แต่เราบอกไปว่าอยากจะขอลองหางานทำข้างนอกก่อน ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็จะไปช่วยทำกับอาน้อย

   “ใกล้เกลือกินด่างอีกแล้ว” อาน้อยพูดแล้วบุ้ยหน้า

   หลังจากคุยกันได้อยู่ไม่นานจ่าก็เป่าเรียกรวมทหารไปกินข้าวเที่ยง ที่โรงเลี้ยงมีจัดโต๊ะจีนให้ทหารผลัดปลดประจำการ แถมด้วยวงดนตรีเล็ก ๆ จากทหารดุริยางค์ แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจกินหรือฟังเท่าไร หลายคนจิตใจกลับไปอยู่บ้านกันหมดแล้ว

   พอกินข้าวเสร็จก็เดินแถวกลับมาที่กองร้อย จากนั้นก็รอจ่าเป่าเรียกรวมเพื่อชี้แจ้งเรื่องอะไรสักอย่าง

   ระหว่างรอจ่าเรียกรวม เราเลยเดินไปล่ำลาเพื่อนเก่า ๆ ทั้งไอ้ซ่า ไอ้เกื้อ ส่วนไอ้เหมาหนีหายไปตั้งแต่ได้ลากลับบ้านป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย แล้วก็ไปลาพวกจ่า ทั้งจ่ายักษ์ จ่าเชษฐ์ ทุกคนตบบ่าเราแรง ๆ แล้วบอกว่าโชคดี (ยกเว้นจ่ายักษ์ที่บอกว่า ‘แล้วมึงก็อย่าไปเดินตกหลุมที่ไหนอีกล่ะไอ้ห่า’) แล้วแวะไปดูไอ้ไม้ทำบัญชีในห้องบก.ร้อยแวบหนึ่ง มันทำงานดีกว่าเราเป็นไหน ๆ ดูแล้วก็มีแรงฮึดขึ้นมาในใจว่าเราต้องเรียนจบบัญชีให้ได้ แล้วก็ไปคุยกับไอ้ชาย ขอถ่ายรูปกับมันเป็นที่ระลึก บอกมันว่าถ้าวันไหนเปลี่ยนใจก็ทักมานะ มันบอกเปลี่ยนใจห่าอะไรล่ะ

   แล้วจ่าก็เป่าเรียกรวมผลัดปลดประจำการ เรื่องที่แกจะชี้แจงก็คือเรื่องการย้ายชื่อตัวเองกลับภูมิลำเนา คือย้ายชื่อกลับทะเบียนบ้านตัวเองนั่นแหละ แล้วก็เรื่องสมุดประจำตัวกำลังสำรอง พูดอยู่ยืดยาวแล้วก็สั่งให้ทหารแยกย้าย

   ตัวเราเดินกลับไปที่เตียงที่นอนเมื่อคืน เก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ รู้สึกตัวเบาหวิวอย่างประหลาด พอเดินกลับลงมาก็เจอกับไอ้คิง มันยืนเหมือนรออะไรอยู่นานแล้ว

   “ว่าไงมึง” มันทักเราด้วยคำนั้นซึ่งฟังดูไม่ค่อยจะเป็นมันเท่าไร

   เราเลยถามว่า “ยังไงล่ะมึง จะยืมตังอีกเหรอ คราวนี้กูเอาจริงนะเฮ้ย ไม่ใจดีเหมือนครั้งก่อนแล้ว”

   มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า “เปล่า ๆ มีของขวัญมาให้” แล้วก็ยื่นกล่องเล็ก ๆ มา มันมีรูปทรงสี่เหลี่ยมยาว ๆ ห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญสีแดงและผูกโบสีเดียวกัน

   เราหัวเราะแล้วบอกว่า “รู้ใจซะด้วยนะว่าชอบสีแดง มึงแอบชอบกูเหรอ” มันเลยหัวเราะออกมา

   “เปิดวันนี้เลยนะ พอขึ้นรถแล้วเปิดอ่านเลย” ไอ้คิงบอกแบบนั้น เราก็ทำหน้างง ๆ แต่ไม่ทันจะถามอะไรมันก็บอกให้เราโชคดีแล้วก็เดินเดินหายไปในห้องบก.ร้อย ตัวเราเองก็รู้สึกงง มือก็ยัดกล่องของขวัญลงกระเป๋าเสื้อ

   พอเราเดินออกมาจนถึงหน้ากองร้อยก็เห็นรถของอาชัยกับอาน้อยจอดอยู่ห่างออกไปไม่มาก พวกเขาทั้งสองคนยืนอยู่นอกรถ อาน้อยโบกไม้โบกมือเหมือนกลัวเราจะมองไม่เห็น

   เราเอาของโยนลงท้ายรถ อาน้อยนั่งหน้า อาชัยเป็นคนขับ เราเปิดประตูด้านหลัง เหลียวมองตึกกองร้อยเป็นครั้งสุดท้าย มองดูความยิ่งใหญ่และเล็กกระจ้อยร่อยของมัน มองดูสีที่หลุดร่อน มองดูหลังคาใหม่เอี่ยม มองดูสถานที่ ๆ เราใช้คุ้มกะลาหัวมาหนึ่งปีเต็ม เวลานั้นเรารู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะบอกลา

   และวินาทีนั้นเราก็มองเห็นไอ้พี่มิ้นท์ ยืนอยู่ข้างตัวรถที่จอดห่างออกไปไกล คนที่มารับคงเป็นครอบครัวหรือไม่ก็คงเป็นญาติ ๆ มันยืนอยู่ตรงนั้น บนถนนลาดยางกลางแดดจ้า ตอนนี้มันอยู่ห่างออกไปเหลือเกิน ห่างจนเราไม่รู้ว่ามันทำหน้าตาอย่างไร มองเราแบบไหนท่ามกลางแสงแดดสีใสแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร รู้สึกอย่างไร มีหลายวินาทีที่เรานึกอย่างจะวิ่งเข้าไปและถาม ยังมีอีกเป็นพันคำที่เราอยากจะบอกกับมันและมีเรื่องอีกเป็นล้านเรื่องที่อยากจะทำกับมัน แต่ไอ้พี่มิ้นท์ก็อยู่ห่างเกินไป ไกลเกินกว่าที่คนอย่างเราจะเข้าใจหรือรับรู้ มันเป็นคนแบบที่ยากเหลือเกินที่จะเข้าใจได้ เราเคยคิดว่ารู้จักมันดี คิดว่ามันกับเราอยู่ใกล้กันจนไม่มีอะไรเหลือให้ต้องค้นหาอีกแล้ว แต่เปล่าเลย ที่จริงมันอยู่ไกลกว่านั้น ไกลเกินว่าคนอย่างเราจะเอื้อมถึง

   เรายกมือขึ้นเป็นเชิงลา ฝืนยิ้มและพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำแบบเดียวกันแล้วเราก็ก้าวขึ้นรถ

   อาชัยกับอาน้อยชวนเราคุยหลายต่อหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่กองร้อย เรื่องผู้กองวัด เรื่องไปติดอยู่ที่กองการณ์ เรื่องเรียนต่อ จะเรียนที่ไหน จะสอบยังไง อ่านหนังสือสอบบ้างหรือยังและอีกนับร้อย ๆ ตัวเราเองก็พยายามทำตัวร่าเริงเข้าไว้และไม่คิดถึงไอ้พี่มิ้นท์ คงอีกนานกว่าเราจะลืมมันได้

   ออกมาจากค่ายได้ไม่เท่าไรโทรศัพท์เราก็ดังขึ้น ดูเบอร์คนโทรเข้ามาก็รู้ว่าเป็นไอ้คิง มันโทรมาถามว่าได้เปิดกล่องของขวัญหรือยัง เราก็บอกว่ายังพลางมองของสิ่งนั้นที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ มันบอกให้เราเปิดแล้วก็ตัดสายไป

   อาชัยถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เราบอกว่าเพื่อนโทรมาให้เปิดกล่องของขวัญ ไม่รู้อะไร อาน้อยเลยบอกว่าก็แกะเลยสิ ตอนแรกเราบอกว่าจะไปเปิดที่บ้านแต่อาน้อยคะยั้นคะยอ เราเลยแกะ

   พอลอกกระดาษห่อออกถึงรู้ว่าเป็นกล่องใส่ปากกาอย่างดีสีดำทำด้วยหนังแถมยังสลักชื่อเราเป็นสีทองอร่ามอยู่บนกล่อง พอเปิดออกก็มีกระดาษโน้ตพับจนอ้วนกระเด็นออกมา ส่วนปากกาก็นอนอยู่ในช่องพอดี มันมีสีดำขลับจากหนังฟอก ที่เหน็บกระเป๋ากับรอยต่อของปากกาเป็นสีทอง

   อาน้อยเห็นก็ร้องว่า โอ้โห้ เพื่อนลงทุนนะเนี่ย สั่งปากกาสั่งทำให้ เราก็ยิ้ม ๆ คิดในใจว่าอย่างไอ้คิงเนี่ยนะจะสั่งทำปากกาให้เรา

   พอเปิดโน้ตออกอ่านถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ไอ้คิง


   ไอ้เต้อ นี่พี่มิ้นท์เองนะ
   พี่ก็ไม่รู้ว่าเต้อจะอ่านจดหมายฉบับนี้เมื่อไร แต่คงดีกว่าเอาแต่ส่งข้อความไปหาในเฟสบุ๊ค โทรศัพท์ไปหาหรือไปขอคุยต่อหน้าดี ๆ เพราะเต้อดูจะไม่เหลือทางเลือกให้พี่เลย เพราะงั้นขอร้อง อย่าโกรธ ช่วยอ่านให้จบก่อนแล้วเต้อค่อยตัดสินใจ โอเคไหม?

   อย่างแรกคือเต้อเข้าใจพี่ผิด ที่บอกว่าพี่ไม่แคร์เต้อ ไม่สนใจเต้อ คำถามวันนั้นที่เต้อถามพี่ พี่ขอตอบเต้อในจดหมายนะ

1.   เต้อบ้านอยู่จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมือง พี่รู้เพราะวันแรกที่เต้อมาถึงค่าย เต้อเป็นหัวแถวยืนถือป้าย จำได้ไหม?

2.   เต้อไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เต้ออยู่กับอาผู้หญิงกับอาผู้ชาย เต้อเล่าให้พี่ฟังเอง

3.   เต้อเกิดวันที่ 10 มีนาคม พี่ดูจากในเฟสบุ๊ค

4.   สีที่เต้อชอบคือสีแดง เพราะแก้วที่หัวแหวนรุ่นทหารของเต้อสีแดง แปรงสีฟันก็สีแดง ปากกา ไม้บรรทัดก็สีแดง สมุดบัญชีที่เต้อหยิบมาใช้ก็เลือกมาแต่ปกสีแดง ขนาดกางเกงในเต้อส่วนใหญ่ก็ยังเป็นสีแดง เพราะงั้นพี่เลยเดาว่าเต้อคงชอบสีแดง

5.   รองเท้าเต้อใส่ไซส์ 43 พี่เห็นตอนช่วยเต้อถอดรองเท้าคอมแบตตอนที่เต้อขาเจ็บ

6.   ส่วนเรื่องพี่กับเต้อหลังจากปลดทหาร พี่มีคอนโดอยู่แถวบางซื่อ มันก็ไม่ได้ใหม่อะไรหรอก เป็นคอนโดเก่า ๆ ของที่บ้านพี่ แต่พ่อแม่ให้พี่มาตั้งแต่เรียนจบ แล้วมันก็ไม่ได้ไกลจากบ้านเต้อมาก ถ้าเต้ออยากอยู่บ้านกับอาพี่ก็คงแวะไปหาได้บ่อย ๆ หรือเต้ออยากมาอยู่กับพี่ก็ไม่ต้องอยู่ไกลจากที่บ้านมาก พี่คิดเรื่องนี้ไว้ได้สักพักแล้ว กะว่าจะบอกตั้งแต่ตอนวันครบรอบ แต่จังหวะมันไม่เหมาะจริง ๆ

   ต้องการมากกว่านี้ไหม? เต้อไม่ชอบกินถั่วงอก พี่เห็นเต้อเขี่ยออกจากจานตอนกินผัดไทย เต้อชอบกินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสเส้นบะหมี่ที่ตลาดค่าย ใส่น้ำตาลไม่ใส่พริก เต้อมีความรับผิดชอบสูงมาก ไม่ชอบทำอะไรค้างคา เป็นคนไม่สู้คนแต่กล้าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิด เต้อลายมือสวยมากแต่ผูกผ้าระบายกับจัดดอกไม้ไม่ได้เรื่อง เต้อบอกว่าไม่ชอบกลิ่นบุหรี่แต่ก็ไม่เคยรังเกียจที่ต้องจูบพี่หลังจากที่พี่เพิ่งสูบมา เพราะงั้น พี่ว่าที่เต้อชอบหยิบบุหรี่พี่ไปทิ้งเพราะอยากจะแกล้งพี่มากกว่า เต้อไม่กินเหล้า พี่ไม่เคยเห็นเต้อกินสักครั้งแต่ก็อยากเห็นเต้อเมาเหมือนกันนะ คงตลกดี

   เห็นไหม พี่แคร์เต้อนะ แล้วพี่ก็อยากจะถามเต้อกลับด้วยคำถามเดียวกันว่าเต้อรู้อะไรเกี่ยวกับพี่บ้าง วันเกิดพี่ สีที่พี่ชอบ ไซส์รองเท้าพี่ ครอบครัวพี่ พ่อแม่พี่ บ้านพี่ เต้อรู้หรือเปล่า...พี่เดาว่าคงไม่รู้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเต้อไม่ได้สนใจพี่มากขนาดนั้นไง

   ตลอดเวลาที่พี่กับเต้อรู้จักกันมาจนถึงมีอะไรกันแล้วคล้าย ๆ ว่าจะคบกันเต้อไม่ได้สนใจพี่เลย พี่รู้ไม่ใช่ว่าพี่ไม่รู้ ตอนแรกพี่ก็คิดว่าถ้าคบกันไปเต้อคงเปลี่ยนไปเอง คิดว่าถ้าพี่ดีกับเต้อมาก ๆ เต้อคงสนใจพี่บ้าง แต่มันไม่มีทางหรอกจริงไหม? เพราะเต้อมีคนอื่นอยู่แล้ว คนที่เต้อรัก คนที่เต้อแคร์มากกว่าคนอื่น ๆ ในชีวิต จากที่เต้อเล่าให้พี่ฟัง พี่คิดว่าเขาคงเป็นคนดีมากเลยนะ แล้วก็รักเต้อมากด้วย...แต่เขาเสียแล้วนะเต้อ เขาไม่อยู่แล้ว ตอนนี้มีแต่พี่ที่อยู่ตรงนี้ คนที่แคร์เต้อ แล้วก็รักเต้อ รักมากด้วย พี่รู้ว่ามันไม่นานแต่พี่ก็ไม่เคยรู้สึกจริงจังแบบนี้กับใครมาก่อน แม้แต่ผู้กองที่บก.ใหญ่ที่พี่เคยคบด้วยก็ไม่ขนาดนี้

   ถึงตรงนี้พี่คงต้องเล่าให้เต้อฟังว่าพี่กับเขาเคยคบกันจริง ๆ แต่ก็เลิกกันไปได้หลายอาทิตย์ก่อนที่พี่จะเจอเต้อครั้งแรกที่หน่วยฝึกฯ วันนั้นที่พี่ไปข้างนอกกับเขาเพราะเขาอยากคุยด้วย ขอกลับมาคบกันอีกครั้ง แต่พี่บอกว่าพี่มีคนอื่นแล้ว พี่มีเต้อ

   เห็นไหม ขนาดเรื่องนี้เต้อยังไม่เคยถามพี่เลย วันนั้นที่เราทะเลาะกันเต้อไม่พูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แล้วที่พี่โกรธไม่ใช่เพราะว่าเต้อหาว่าพี่ไม่แคร์เต้อนะ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ยังพอแก้ที่ตัวพี่เองได้ แต่ที่พี่โกรธเพราะเต้อไม่แคร์พี่เลยต่างหาก

   สุดท้ายแล้วพี่มีเรื่องอยากจะถามเต้อเป็นเรื่องสุดท้าย พี่อยากจะถามเต้อว่ารักพี่บ้างหรือเปล่า?

   ถ้าเต้อตอบว่าไม่ พี่ก็เข้าใจ แล้วก็ขอให้เต้อโชคดีกับชีวิตในวันข้างหน้า เห็นเต้อโพสในเฟสบุ๊คว่าจะกลับไปเรียนต่อ พี่ดีใจนะ เต้อเก่ง พี่เชื่อว่าเต้อต้องทำได้แน่ ๆ แล้วสักวันพี่คงลืมเต้อได้เอง

   แต่ถ้ามีสักนิดในใจเต้อที่เต้อจะรู้สึกอย่างที่พี่รู้สึก คิดอย่างที่พี่คิดแล้วยังต้องการพี่อยู่ พี่ก็พร้อมจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ในชีวิตเต้อ พี่คงไม่กล้าขอให้เต้อลืมคน ๆ นั้น ไม่กล้าที่จะไปแทนที่ใครเพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งหมดที่พี่ขอจากเต้อก็แค่ที่ว่างเล็ก ๆ ให้พี่ได้อยู่กับเต้อ ได้กอดเต้อ ได้มีโอกาสแสดงให้เต้อเห็นว่าพี่แคร์เต้อมากแค่ไหน...พี่มันก็ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนะเต้อ ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน เป็นคนบ้า ๆ คนหนึ่งที่รักเต้อแล้วกำลังอ้อนวอนขอให้เต้อรักพี่กลับ

   ถ้าเต้อคิดว่ามันคุ้มค่าพอ เย็นวันนี้พี่จะรอเต้ออยู่ที่ทางรถไฟข้ามแม่น้ำแคว ที่ ๆ เต้อบอกว่าอยากมาดูไง ถ้าพี่สำคัญพอ ถ้าเต้ออยากจะอยู่ด้วยกัน ก็มานะ





รัก
พี่นกขมิ้น


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:








ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนจบ Part 2 จบจร้า :katai4: :katai4: :katai4:


   เราอ่านจดหมายนั่นจนจบ...ด้วยในตาที่พร่าจนแทบจะมองไม่เห็นตัวหนังสือ หยดน้ำหลายหยดตกลงบนหน้ากระดาษนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันก็เป็นไปแล้ว

   สิ่งต่อมาที่เราทำก็คือบอกให้อาชัยจอดรถ แกก็งง ๆ ว่าอยู่ดี ๆ ให้จอดทำไม แล้วร้องไห้เรื่องอะไร แต่เราไม่อยากอธิบายอะไรตอนนั้นเลยบอกอาชัยว่าอยากไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว อาชัยก็บอกว่ามันเย็นแล้วนะ แต่เราก็ยืนยัน อาน้อยก็งง ๆ แต่ก็บอกว่าไปเหอะ ไหน ๆ ก็มาถึงเมืองกาญฯ แล้ว

   เราใช้เวลาขับรถกันอยู่นานเป็นชั่วโมง กว่าจะมาถึงที่หมายก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอรถจอดยังไม่ทันสนิทเราก็กระโดดลงจากรถ มือก็กดโทรศัพท์ ปลดบล็อกเบอร์ไอ้พี่มิ้นท์แล้วกดโทรออก

   เสียงปลายสายรับแทนจะในทันที


   สวัสดีเป้
   มันนานมาแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เป้จากไป วันที่เป้ทะเลาะกับพ่อ วันที่เขาเมาแล้วบุกเข้ามาในห้องเป้แล้วขนภาพของเป้ออกไปเผาจนไม่เหลือ วันที่เป้วิ่งหนีออกมาจากบ้าน เดินขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยากลางดึก พยายามโทรหาเราแต่เราไม่ได้รับ


   “อยู่ตรงไหน” เราพูดเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น

   “อะไรอยู่ไหน” อีกฝ่ายทำเสียงเรียบ

   “ถามว่าอยู่ไหนก็ตอบมาเหอะน่า”


       เราถามเป้ได้ไหมว่าตอนนั้นเป้รู้สึกยังไงบ้าง ตอนที่เป้ปีนขึ้นไปบนขอบรั้วแล้วยืนอยู่บนนั้น เป้คิดถึงอะไร ทำหน้าแบบไหน กลัว สิ้นหวัง เศร้า...แล้วเป้คิดถึงเราบ้างไหมตอนที่ทิ้งตัวลงมาจากสะพาน...คิดถึงเราบ้างไหมว่าเมื่อเช้าวันใหม่มาถึงเราต้องได้รับข่าวร้าย คิดไหมว่าเราจะรู้สึกอย่างไร


   อีกฝ่ายเงียบไปสักพักแล้วบอกว่า กลับแล้ว วินาทีแรกที่ได้ยินแบบนั้นทำเอาเราใจเสีย แต่สักพักก็ได้ยินเสียงกระดิ่งรถไฟดังมาจากปลายสาย พอหันไปรอบ ๆ ก็เห็นรถไฟกำลังวิ่งมาตามราง

   “เอาดี ๆ ดิ ถ้ากลับแล้วจะได้กลับเหมือนกัน” เราพูดพลางเดินไปทางสะพานที่ตอนนี้ผู้คนเริ่มขยับหลบไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้รถไฟผ่าน

   “องเอาอะไร พูดจาดี ๆ” แล้วมันก็หัวเราะออกมา เป็นเสียงทุ้มเบาแบบที่เราเคยได้ยิน

   “อย่ามาทำเป็นตลกน่า ถามว่าอยู่ตรงไหน”

   “ก็บอกว่ากลับแล้วไง” มันตอบกลับมาตอนที่รถไฟกำลังเคลื่อนผ่านไป เรากับมันต้องหยุดคุยเพราะเสียงรอบข้างดังจนไม่ได้ยินอะไร กระทั่งขบวนรถไฟผ่านไป


   ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยลืมเป้เลย เป้เป็นดวงดาวที่สุกสว่างที่สุดในชีวิตเรา ส่องแสงให้เรา นำทางเราก้าวเดินไปข้างหน้าและเราก็จ้องมองเป้อยู่แบบนั้น ยืนมองความงดงามนั้นจากบนพื้นโลกแม้ว่าดวงดาวของเป้จะมอดดับไปนานแล้ว ทุกวัน ทุก ๆ นาที ทุก ๆ วินาทีเราเอาแต่คิดถึงเป้ อ้อนวอนต่อทุกอย่างให้เป้กลับมา ถึงจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ยังทำแบบนั้น นั่งจมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ไม่มีกำลังใจจะทำ คิด พูด หรือออกจากบ้านไปโรงเรียน พอไม่มีเป้อยู่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนภาพลวงตาที่มันไม่มีอะไรจริงสักอย่าง โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ ๆ ไร้ความหมาย บ้านกลายเป็นคุกที่เราต้องติดอยู่โดยไร้ทางออก อาชัยกับอาน้อยเป็นผู้คุมที่ทุบตีเราด้วยคำพูดว่าให้กลับไปเรียนหนังสือหรือไม่ก็หางามทำเป็นเรื่องเป็นราว แต่เราทำไม่ได้ เราทำไม่ได้และรู้สึกผิดเหลือเกินที่คืนนั้นเราไม่รับโทรศัพท์เป้...ที่เราไม่อยากรับโทรศัพท์เป้เพราะแค่เหนื่อยจากการเรียนและการบ้าน เวลาผ่านไปเราก็รู้สึกผิดมากขึ้น และมากขึ้น และมากขึ้น เราเอาแต่ทรมานตัวเองด้วยการกรนด่าความไร้ค่าของชีวิตตัวเอง รู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

   จนสุดท้ายวันหนึ่งเราก็ลุกขึ้นจากที่นอน คว้าคัตเตอร์จากโต๊ะอ่านหนังสือ เดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นจากเครื่องทำน้ำร้อนแล้วนั่งลงตรงนั้นใต้สายน้ำจากฝักบัวและกรีดแขนตัวเอง มันง่ายดายแบบนั้น เจ็บปวดแบบนั้น ทรมานจนแทบไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมา

   ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นอาชัยก็เข้ามาเจอเราแล้วพาส่งโรงพยาบาล เข้าพักในวอร์ดผู้ป่วยจิตเวชอยู่สองสามเดือน แล้วก็กลับมาอยู่บ้าน สมองไม่คิดเรื่องความตายอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องมีชีวิตอยู่หรืออนาคต เราแค่มีชีวิตไปวัน ๆ เข้าเรียนภาคค่ำเพราะอาชัยบอก หางานทำเพราะอาน้อยผลักดัน เราทำไปแบบนั้น ใช้ชีวิตไปเหมือนซอมบี้ที่ไม่มีความรู้สึกอะไร หลอกตัวเองไปวัน ๆ ว่าเป้ยังมีชีวิตอยู่ช่วยหล่อเลี้ยงลมหายใจอันรวยรินของเราให้ยังคงมีต่อไป จนมาถึงตอนนี้

   เรารู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเอาแต่จ้องมองแสงสว่างของเป้อยู่แบบนี้ เป้เป็นดวงดาวที่งดงาม แต่เป้ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แล้วรู้อะไรไหม...ตอนนี้เราเจอใครสักคนที่เห็นเราเป็นดวงดาวของเขา อยากจะมีเราอยู่ข้าง ๆ และเฝ้ามองเราเปล่งประกาย เราก็อย่างจะเป็นดวงดาวของเขานะ มันบ้ามากเลยใช่ไหม


   
   แล้วมันก็อยู่ตรงนั้น ที่ฝั่งตรงข้ามห่างออกไปไม่กี่เมตร ร่างสูงในชุดเครื่องแบบทหารถูกอาบด้วยแสงแดดสีส้มจ้าของดวงอาทิตย์ยามเย็น มันยืนหันหลังพิงราวจับด้านข้างทางเดิน หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์

   “กลับแล้วแน่เหรอ” เราถามมันออกมาแบบนั้นตอนที่กำลังเดินเข้าไปหามัน

   “ก็เออสิ” อีกฝ่ายตอบและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หันมาเห็นเราพอดี

   เราทั้งคู่ยิ้มออกมาระหว่างที่เดินเข้าหากันและกัน เราไม่เคยรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อน “เขียนอะไรมา น้ำเน่าฉิบหาย” เราพูดกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์

   “พูดจาให้มันดี ๆ ดิ พี่เป็นพี่เอ็งนะ” พี่มิ้นท์ทำเสียงดุ “แล้วที่ถามไปในจดหมายน่ะ ตอบได้บ้างหรือเปล่า”

   “อันไหนล่ะ” เราทำเป็นไม่รู้เรื่อง พยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด

   “พี่ชอบสีอะไร” พี่มิ้นท์ถามเสียงเรียบ

   “ชมพู”

   “ผิด น้ำตาล บ้านพี่อยู่ที่ไหน”

   “บางซื่อ”

   “ผิด เตาปูน รองเท้าพี่เบอร์อะไร”

   “69”

   “นั่นตีนคนเหรอ” พี่มิ้นท์พูดออกมา “49 วันเกิดพี่ล่ะ”

   “โห่ อันนี้ยาก ใบ้นิดหนึ่งดิ”

   “ทำไมเอ็งไม่เห็นต้องใบ้ให้พี่ พี่ยังรู้เลย อ๊ะ ห้ามแอบดูในเฟสบุ๊คนะ”

   เรารีบยกโทรศัพท์กลับมาแนบหู ก่อนจะถามปนเสียงหัวเราะ “ครึ่งเดือนแรกหรือครึ่งเดือนหลัง”

   “อะไรล่ะ บอกว่าไม่ใบ้ไง”

   “ตอบมาเหอะน่า” เราทำเสียงรำคาญ

   พี่มิ้นท์ถอนหายใจยาวก่อนว่า “ครึ่งแรก”

   “วันที่สิบ”

   “ผิด”

   “มากหรือน้อยไป”

   “ตกลงนี่จะเล่นใบ้คำกันใช่ไหมเนี่ย”

   “โถ่พี่ ให้โอกาสเต้อหน่อยดิวะ”   

   พี่มิ้นท์พูดว่าเออ ๆ แบบขอไปทีก่อนจะตอบคำถาม “มากไป”

   “งั้นก็วันที่ห้า”

   “วันที่หนึ่ง เดือนอะไร”

   เรานิ่งคิดก่อนตอบ “ครึ่งปีแรกหรือครึ่งปีหลัง”

   ไอ้พี่มิ้นถอนหายใจยาวออกมาอีก “วันที่ 1 กรกฎาคม”

   เราหัวเราะออกมาตอนที่มันมายืนอยู่ตรงหน้าเราห่างออกไปไม่กี่เซนติเมตร “คำถามสุดท้าย รักพี่บ้างหรือเปล่า”

   “ก็มาอยู่ตรงนี้แล้วไง ยังไม่ชัดอีกเหรอ”

   เรากับพี่มิ้นท์กดวางโทรศัพท์พร้อมกันตอนนั้น และเราก็มองมันเต็มตาเป็นครั้งแรก ในตาของมันมีสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายในแสงแดดสีส้ม ริมฝีปากบางยิ้มให้เราอย่างจริงใจ แก้มตอบแต่ไม่มากเท่าตอนเป็นครูทหารใหม่ มันอ้วนขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ดีแล้ว

   “เป็นไง ผมตอบถูกบ้างไหม” เรามองมันแล้วยิ้ม ไอ้พี่มิ้นท์หันมองทางอื่นแล้วหันกลับมาตอบ

   “ถูกแค่ข้อเดียว แต่ก็เกินพอแล้ว”

   แล้วก็หัวเราะกันออกมา ไม่รู้ทำไมแต่เรารู้สึกเหมือนในท้องมีล้มร้อนพัดอยู่ตลอดเวลา “ผมชอบนะ...ที่พี่เรียกผมว่าเต้อ”
   มันมองหน้าเราแล้วยิ้ม ยกมือขึ้นเกาคออย่างเขิน ๆ “งั้นเต้อก็แทนตัวเองว่าเต้อนะ พี่ชอบแบบนั้น”

   เราทั้งสองคนเหมือนมีแรงดึงดูดเขาหากันและกัน เราวางหัวไว้ที่หน้าอกของพี่มิ้นท์ ได้กลิ่นหอมของผิวเนื้อของเขาผสมกลิ่นแสงแดดที่อบอุ่น พี่มิ้นท์กอดเราด้วยแขนทั้งสองข้าง มันแข็งแกร่งและหนักแน่นยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า

   เรารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย กำลังลุกไหม้และส่องแสงจาง ๆ ออกมา


   เป้ รู้อะไรไหม เป้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราจนถึงตอนนี้ เป้ช่างงดงามและเจิดจ้า แต่เป้จากไปแล้ว ดวงดาวของเป้ดับไปนานแสนนานแล้วและเราก็ไม่สามารถเอาแต่จ้องมองแสงจากอดีตของเป้ได้อีกต่อไป มันเจ็บปวดเกินไป เศร้าเกินไป และโดดเดี่ยวเกินไป เราพอแล้วล่ะเป้

   เพราะอย่างนั้นเราเลยอยากจะเป็นดวงดาวสักดวงส่องแสงให้กับคน ๆ นั้นที่รอเราอยู่ ให้เขาได้เฝ้ามองและนำทางเขาเหมือนที่เป้เป็นให้เรา...แต่การจะเป็นแบบนั้นได้เราก็ต้องใช้ชีวิต หัวเราะและรัก ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเชื้อเพลิงเพื่อส่องแสงท่ามกลางความดำมืดของอวกาศ ไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อมีชีวิตอยู่ แต่เพื่อจดจำเป้ไว้ จดจำว่าครั้งหนึ่งเป้เป็นดาวที่ส่องแสงให้เรา เพื่อทุกคนจะได้ไม่ลืมว่าเราเป็นเราได้ในทุกวันนี้เพราะครั้งหนึ่งเป้เคยเคียงข้างเราอยู่เสมอ

   แล้วเมื่อสักวัน สักวันในอีกนานแสนนานแสงของเราจะต้องมอดดับลงเราจะได้ไม่นึกเสียใจในภายหลัง แล้วถ้าวันนั้นมาถึงเราก็อยากจะเจอเป้อีกสักครั้งนะ เราอยากเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้เจอมาให้เป้ฟังต่อหน้า ถ้ามีโอกาสแบบนั้นจริง ๆ ก็จะดีมากเลย

   

   “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ๆ ๆ ทำอะไรกันเนี่ย” เสียงอาน้อยดังมาก่อนจะจับเราแยกจากพี่มิ้นท์ “ไม่อายคนอื่นบ้างเหรอ”

   “ไม่เห็นเป็นไรเลย ผู้ชายด้วยกัน” เราพูดแล้วหัวเราะใส่อาน้อย อีกฝ่ายหยิกเราเข้าที่แขนแล้วแกล้งทำหน้าดุ

   “ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่ควรทำทั้งนั้นแหละ” อาชัยตัดบท “แล้วนี่ใคร”

   เราหันมองอาชัยที่ตอนนี้กอดอกแน่นหน้าตาบึ้งตึงนิดหน่อย “นี่พี่มิ้นท์ครับ พี่มิ้นท์นี่อาชัยกับอาน้อย”

   พี่มิ้นท์ยกมือไหว้  “พี่เหรอ...แค่พี่แน่เหรอ” อาชัยคาดคั้น เราตอบเบา ๆ ไปว่า ‘ก็ไม่ใช่หรอก’ จังหวะเดียวกันกับที่มีคนเดินเข้ามาเพิ่มอีกสามสี่คน

   “เออ เต้อ อาชัย อาน้อยครับ นี่พ่อแม่พี่ แล้วก็พี่สาวกับน้องชาย” พี่มิ้นท์หยุด กระแอมออกมาและพูดต่อ “ส่วนนี่ก็เต้อครับ แฟนผม”



   ปล. แต่คงต้องอีกนานมากเลยหล่ะ เพราะทางนี้มีเรื่องต้องคุยอีกเยอะเลย


พลทหารเต้อ
ดวงดาวที่ยังคงส่องสว่าง


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:








ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ยิ้มออกได้  หลังน้ำตาซึม............  :hao5:

อืมมม.......ก็ว่าไอ้พี่มินท์มันประหลาด
มันแปลกๆ เอาแต่อารมณ์เสียใส่เต้อ
ที่แท้เพราะคิดว่าเต้อไม่ใส่ใจ ไม่ได้รักตัวเอง
แล้วพี่มินท์ ก็รู้เรื่องเต้อ ใส่ใจมองอนาคตกับเต้อ 
มากกว่าที่เต้อรู้เรื่องมินท์เสียอีก  o22  o22  o22

ดีแล้วเข้าใจกันซะที   :3123: :L2: :3123:
เต้อก็ยิ้มได้ เป็นคนที่มีดวงดาวที่ยังคงส่องสว่าง
พี่มินท์  เต้อ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1:  :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้ำตาซึมเลยเรา ดีใจที่เต้อก้าวข้ามตรงนั้นและเริ่มชีวิตใหม่ได้ซักที ขอบคุณพี่มิ้นที่รักเต้อมากพอจะดึงเต้อออกมาจากโลกที่หยุดหมุนไปแล้วตรงนั้น  :hao5:

ออฟไลน์ อะไร

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
กรี๊ดดด"....นี่ แฟนผม" โอ๊ยยยยดีใจกับเต้อ เต็มอิ่มมากปลอดปล่อยความรู้สึกผิดความไม่ยอมปล่อยวางออกไปจากใจนะ แล้วเริ่มใหม่ //อ่านรวดเดียวจบเลย  ไม่คิดเลยว่าจะอ่านจบ ตอกแรกคิดว่ามันก็เล่าเรื่องชีวิตในค่ายทหารจะว่าน่าติดตามมากก็ไม่เชิง สมุกมากมันก็ไม่ใช่ แต่อารมณ์มันเหมือนแบบเจอคนไม่หล่อแต่ก็แอบเหลือบมองตลอดอ่ะ งงม่ะ 5555 มันเลยวางไม่ลง จะเทก็ไม่เท ยังอยากรู้ว่าจะเกิดไรขึ้นบ้าง เลยอ่านลากยาวจนจบ 555 เกือบพลาดไปแล้วเกือบจะวางไป หลังอ่านจบบอกเลยสนุกมากกกกกก ชอบบบบบบบบบบบ อีกอย่างดีด้วยทำให้เราได้มโมความฝึกเป็นอยู่ของทหารได้เป็นฉากๆ ดีใจที่ไอ้พี่มิ้นเข้ามาในชีวิตเต้อ โอ้โหหห!! ตอนอ่านจดหมายนี้ซึ้งมาก ก็ไม่คิดว่าอีพี่มิ้นจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆสังเกตุเต้อได้ขนาดนั้น มันก็นะ ถ้าเราสนใจใครชอบใครมันก็จะคอยมองคอยดูอยู่ตลอด อ่านจดหมายแล้วแบบ พี่มิ้นนนนกูร้องไห้เลยกูซึ้ง  สะอื้นฮักๆไปกับเต้อ 55555555 ชอบคนแบบเต้ออ่ะ ออกมาข้างนอกแล้วจะอะไรยังไงก็จัดเลยนะ คอนโดมี (รีดเดอร์สายหื่น) 55555555 รอตอนพิเศษจะได้ไหม ^^ ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้ เจ๋งมาก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี มีความอินตาม จะติดตามผลงานอื่นนะ

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ยิ้มออกได้  หลังน้ำตาซึม............  :hao5:

อืมมม.......ก็ว่าไอ้พี่มินท์มันประหลาด
มันแปลกๆ เอาแต่อารมณ์เสียใส่เต้อ
ที่แท้เพราะคิดว่าเต้อไม่ใส่ใจ ไม่ได้รักตัวเอง
แล้วพี่มินท์ ก็รู้เรื่องเต้อ ใส่ใจมองอนาคตกับเต้อ 
มากกว่าที่เต้อรู้เรื่องมินท์เสียอีก  o22  o22  o22

ดีแล้วเข้าใจกันซะที   :3123: :L2: :3123:
เต้อก็ยิ้มได้ เป็นคนที่มีดวงดาวที่ยังคงส่องสว่าง
พี่มินท์  เต้อ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1:  :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew1: :mew1:ขอบคุณที่ติดตามจร้า  :mew1: :mew1:


น้ำตาซึมเลยเรา ดีใจที่เต้อก้าวข้ามตรงนั้นและเริ่มชีวิตใหม่ได้ซักที ขอบคุณพี่มิ้นที่รักเต้อมากพอจะดึงเต้อออกมาจากโลกที่หยุดหมุนไปแล้วตรงนั้น  :hao5:

 :o12:  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: รักเลยยยยย  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:


ทำไมมันอบอุ่นเเบบนี้ย์ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :L2: :L2: :L2: :L2:


กรี๊ดดด"....นี่ แฟนผม" โอ๊ยยยยดีใจกับเต้อ เต็มอิ่มมากปลอดปล่อยความรู้สึกผิดความไม่ยอมปล่อยวางออกไปจากใจนะ แล้วเริ่มใหม่ //อ่านรวดเดียวจบเลย  ไม่คิดเลยว่าจะอ่านจบ ตอกแรกคิดว่ามันก็เล่าเรื่องชีวิตในค่ายทหารจะว่าน่าติดตามมากก็ไม่เชิง สมุกมากมันก็ไม่ใช่ แต่อารมณ์มันเหมือนแบบเจอคนไม่หล่อแต่ก็แอบเหลือบมองตลอดอ่ะ งงม่ะ 5555 มันเลยวางไม่ลง จะเทก็ไม่เท ยังอยากรู้ว่าจะเกิดไรขึ้นบ้าง เลยอ่านลากยาวจนจบ 555 เกือบพลาดไปแล้วเกือบจะวางไป หลังอ่านจบบอกเลยสนุกมากกกกกก ชอบบบบบบบบบบบ อีกอย่างดีด้วยทำให้เราได้มโมความฝึกเป็นอยู่ของทหารได้เป็นฉากๆ ดีใจที่ไอ้พี่มิ้นเข้ามาในชีวิตเต้อ โอ้โหหห!! ตอนอ่านจดหมายนี้ซึ้งมาก ก็ไม่คิดว่าอีพี่มิ้นจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆสังเกตุเต้อได้ขนาดนั้น มันก็นะ ถ้าเราสนใจใครชอบใครมันก็จะคอยมองคอยดูอยู่ตลอด อ่านจดหมายแล้วแบบ พี่มิ้นนนนกูร้องไห้เลยกูซึ้ง  สะอื้นฮักๆไปกับเต้อ 55555555 ชอบคนแบบเต้ออ่ะ ออกมาข้างนอกแล้วจะอะไรยังไงก็จัดเลยนะ คอนโดมี (รีดเดอร์สายหื่น) 55555555 รอตอนพิเศษจะได้ไหม ^^ ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้ เจ๋งมาก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี มีความอินตาม จะติดตามผลงานอื่นนะ

 :-[ :-[ :-[ :-[ :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :o8: :o8: :o8: ตอนพิเศษมีแน่นอนจร้า เอาแบบฟิน ๆ เลยน๊ะ  :haun4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ตอนพิเศษNC 18+



   เต้อกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดเข้าไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชื่อคนที่โทรเข้ามาปรากฏบนหน้าจอ ‘พี่มิ้นท์’

   “อยู่ไหนแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบ

   “เกือบถึงแล้วอีกนิดเดียว” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”

   “ก็บอกให้รอไม่ใช่เหรอ”

   ชายคนนั้นหัวเราะ “เดี๋ยวนี้ว่านอนสอนง่ายนะเรา”

   “พูดมากน่า” เต้อว่า ริ้มฝีปากกระตุกยิ้มน้อย ๆ “รีบมาแล้วกันเดี๋ยวเย็นแล้วรถติด”

   “ครับผม” พี่มิ้นท์ทำเสียงเข้มเหมือนตอนเป็นทหาร ก่อนที่ทั้งคู่จะวางสายจากกัน

   เต้อหันมองไปรอบตัว ห้องนอนของเขายังคงเหมือนเดิม เตียงตั้งอยู่ใต้หน้าต่างบานเกร็ดโดยมีผ้าปูที่นอนเรียบตึงปูทับด้วยผ้าห่มสีเลือดหมูยัดชายเข้าไปด้านใต้ หมอนวางไว้ที่ตำแหน่งหัวนอน ชั้นหนังสือและโต๊ะอ่านหนังสืออยู่ที่ปลายเตียง ตู้เสื้อผ้าที่ด้านในว่างเปล่าตั้งอยู่อีกด้านของห้อง หลังชิดติดกับผนัง ทุกอย่างดูว่างเปล่าและหนักอึ้งอย่างประหลาด เต้อลุกจากพื้นห้องไปทิ้งตัวนอนอยู่บนเตียง จ้องมองดูเพดาลห้องสีขาวและครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้น

   นี่ก็เดือนที่หกแล้วนับตั้งแต่ปลดประจำการมาแต่เต้อกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นเมื่อวานนี้เองที่ตัวเขายังนอนอยู่บนโรงนอนในค่ายทหาร ทุกอย่างเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว พี่มิ้นท์ได้งานทำเป็นผู้ช่วยวิศวกรที่ต่างจังหวัดทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันแค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งซึ่งแต่ละครั้งก็มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ส่วนตัวเขาเองก็วุ่น ๆ อยู่กับการตัดสินใจเรียนต่อ ไป ๆ มา ๆ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยทันทีดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ทั้งสอบนั่นสอบนี่วุ่นวายไปหมดและต้องติวหนังสือเก็งข้อสอบที่เขาเองก็ห่างหายไปนาน ถ้าต้องรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมดคงกินเวลานานอาจจะเป็นปีเลยด้วยซ้ำไป

   เต้อจึงตัดสินใจสมัครเรียนปวส.ภาคเสาร์อาทิตย์แทน แบบนี้ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เขาสามารถเรียนและมีเวลาทำงานไปด้วยได้ แถมยังมีเวลาว่างติวหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกตั้งสองปี ถึงจะไม่ใช่ทางที่เร็วที่สุดแต่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเข้าแล้ว

   จู่ ๆ เสียงแปลก ๆ คลายอะไรบางอย่างตกลงกระทบพื้นก็ดังมาจากด้านหลังตู้เสื้อผ้า ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งและมองไปจึงเห็นมุมของกรอบรูปโผล่ออกมาให้เห็น ชายหนุ่มจำได้แทบจะในทันทีว่ามันคืออะไร เขาจึงเดินไปที่ตรงนั้นและดึงมันออกมา

   กรอบรูปนั้นบรรจุภาพเหมือนของตัวเขาเอง ร่างกายเปลี่ยนเปล่านั่งอยู่บนเก้าอีนวมสีแดงดูหรูหราภายในห้องสีเทาด้วยปูนเปลือย ด้านหลังมีตู้ไม้สูงประมาณหน้าอกตั้งอยู่ บนหลังตู้มีแจกันจีนพื้นสีขาววาดลวดลายสีน้ำเงินวางไว้ ตัวเขาเองนั่งชันขาข้างหนึ่งขึ้นวางที่พนักแขน เท้าวางปิดที่ส่วนนั้น ส่วนขาอีกข้างวางราบอยู่กับพื้น แสงจากหน้าต่างบานเล็กเหนือขึ้นไปสาดมาที่ใบหน้าของเขาพอดี มันทำให้เขาเห็นใบหน้าตัวเองที่เสมองมา...คล้ายกลับว่าเขากำลังมองผ่านหัวไหล่ของผู้ที่มองดูภาพนั้นอยู่ มองผ่านไปยังจิตกรที่กำลังวาดเขาด้วยรอบยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก

   ร่องรอยของไฟที่ไหม้รูปภาพยังปรากฏอยู่ที่มุมทั้งสีและขอบรอบ ๆ รูปนั้น มารดาของชายคนรักเก่าของเขามอบมันให้กับเต้อในจาปนกิจศพ เธอร้องให้และยื่นมันให้กับเขาด้วยมือที่สั่นเทาและน้ำตา เต้อจำได้ดี จำสีหน้าของเธอที่เจ็บปวดได้ จำได้ว่าบิดาของชายคนนั้นนั่งอยู่ห่างออกไปด้วยสีหน้าอมทุกอย่างคนกรนด่าตัวเอง บางวินาทีเต้อก็อยากรู้ว่าชายกลางคนคนนั้นคิดหรือรู้สึกอย่างไรที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ลูกชายของตัวเองฆ่าตัวตาย...แต่มันไม่สำคัญแล้ว ไม่เลย...เพราะเป้จากไปแล้ว

   ชายหนุ่มมองดูภาพนั้นแล้วยิ้ม ไม่รู้สึกเศร้าอีกต่อไป...อย่างน้องก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ หลายครั้งเขาคิดถึงชายคนนั้น รอบยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็คิดถึงน้อยลงเรื่อย ๆ อาจจะเพราะมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ทั้งเรื่องเรียน ไหนจะงานที่สำนักงานของอาชัยกับอาน้อยที่เขาเริ่มทำงานได้มาสองสามเดือนแล้ว...จนแล้วจนรอดเขาก็ทนเสียงรบเร้าไม่ไหวจนต้องมาช่วยอาทั้งสองทำบัญชีจนได้ ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก แล้วอาของเขาก็ไม่เคยปฏิบัติกับเขาต่างจากลูกจ้างคนอื่น ๆ เลย

   เต้อหยิบรูปภาพมาตั้งไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ตัวเขาก็นั่งลงที่เก้าอีกพรางจ้องมองภาพนั้น คิดถึงวันนั้นที่เป้จับเขานั่งที่เก้าอี้นวมสีแดง จูบเขาที่หัวเข่าก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังผ้าใบและเริ่มต้นวาด เขาจำได้ว่าตัวเองทั้งอายและเขิน แต่อีกฝ่ายก็ทำให้มันกลายเป็นความทรงจำที่มีความสุข ชายหนุ่มจำไม่ได้แล้วว่าระหว่างนั้นพวกเขาคุยอะไรกัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ที่เขาคงจะจดจำไปอีกนาน

   ชายคนนั้นหันมองไปที่มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือก่อนจะหยิบสมุดลายไทยเล่มเก่ามาเปิดดู มันเป็นสมุดที่เขาเขียนจดหมายหาชายคนนั้นระหว่างที่รับใช้ชาติ เรื่องราวมากมายบรรจุอยู่ในนั้น ทั้งเหงา เศร้า สุข เสียงหัวเราะ ทุกเรื่องราวบรรจุอยู่ในนั้น ทุกความทรงจำ ทุกลายละเอียด ยิ่งอ่านไปยิ่งทำให้เต้อหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อปีที่แล้ว...ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปไม่นานแต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลเหลือเกิน...ความคิดและความรู้สึกในจดหมายเหล่านั้นช่างห่างไกลจากตัวเขาในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน

   เขากำลังเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ...ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว

   “ทำอะไรอยู่” เสียงอาชัยดังมาจากทางประตู จนเต้อสะดุ้งตัวน้อย ๆ พรางปิดสมุดลายไทยอย่างเบามือ “เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”

   “ครับ” ชายหนุ่มตอบ “สักพักพี่มิ้นท์ก็คงมาถึง”

   ชายกลางคนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงนอนและหันมองไปรอบ ๆ “ห้องว่างขึ้นมากเลยนะ”

   อีกฝ่ายยิ้ม “อะไร? เต้อเก็บไปแค่เสื้อผ้าเอง”

   ผู้เป็นอาพ่นลมหายใจปนหัวเราะออกมาก่อนจะเงียบไปพักหนึ่งและว่า “แกแน่ใจแล้วแน่เหรอ”

   ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรครับ”

   “จะเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องย้ายไปอยู่กับไอ้มิ้นท์ไง...อาว่ามันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”

   “อาชัย...ผมก็บอกไปแล้วว่า...”

   “รู้ว่าบอกแล้ว...แต่...” อีกฝ่ายยกมือถูหน้าตัวเองแรก ๆ “แต่มันเร็วมากเลยนะ...แป๊บ ๆ แกก็โตขนาดนี้แล้ว ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก...มีแฟน...แล้ว...”

    แล้วเสียงของชายกลางคนก็ขาดหายไปตอนนั้น ร่างเขาสั่นน้อย ๆ เพราะน้ำตาจนเต้อต้องมานั่งข้าง ๆ และโอบไหล่อีกฝ่ายไว้

   “เต้อก็ไม่ได้ไปไหนหนิ ยังไงก็ต้องเจอกันทุกวันที่ออฟฟิสอยู่แล้ว”

   “รู้...แต่จะอีกนานแค่ไหนล่ะ เดี๋ยวแกก็ต้องเรียนจบ แล้วก็ต้องหางานทำที่อื่น แต่งงาน หรืออาจจะมีลูก”

   “อาชัย” เต้อร้องออกมาพรางหัวเราะ “อาคิดเลยไปไกลแล้วนะ”

   “แล้วมันจริงไหมล่ะ”

   เต้อเงียบไปหลายวินาทีก่อนว่าต่อ “ก็อาจจะจริงก็ได้...แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเต้อก็จะเป็นลูกอาอยู่ดีนั่นแหละ”

   อีกฝ่ายหันมองชายหนุ่มด้วยในตาระเรื่อก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้ ทั้งคู่นั่งกอดกันอยู่แบบนั้นนานหลายนาทีก่อนเสียงเปิดประตูรั้วบ้านจะดังมาพร้อมกับเสียงอาน้อยตะโกนเรียกบอกว่าพี่มิ้นท์มาถึงแล้ว

   “ผมต้องไปแล้วนะครับ” เต้อว่าพรางลุกขึ้นและคว้ากระเป๋ามาสะพาย “มาเหอะ ไปส่งเต้อหน่อย”

   อีกฝ่ายทำมือทำไม้เป็นเชิงให้เต้อเดินลงไปก่อน “เดี๋ยวตามไป” เขาว่า

   เมื่อชายหนุ่มลงมาถึงด้านล่างก็เจอกับอาน้อยและพี่มิ้นท์กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก

   พี่มิ้นท์อยู่ในชุดทำงานเหมือนอย่างเคย เสื้อคลุมแขนยาวสีกรมท่าทับเสื้อเชิ้ตกับกางเกงแสล็กสีเดียวกัน...มองอีกฝ่ายแบบนี้แล้วเต้อรู้สึกว่าชายคนนั้นดูเท่กว่าตอนอยู่ในเครื่องแบบทหารเสียอีก

   ชายคนนั้นหันมายิ้มให้กับเต้อ เขายิ้มตอบ

   “มาแล้วเหรอ ทำไมลงมาเร็วจัง นี่อากำลังชวนมิ้นท์เขากินข้าวเย็นด้วยกันอยู่เลย”

   “ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ชายคนนั้นว่า “ผมกะว่าจะพาเต้อออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก”

   อาน้อยนิ่วหน้าแต่ก็ยิ้มออกมา “อะไรจะขนาดนั้น” แล้วก็หัวเราะออกมาเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาชัยเดินลงมาจากด้านบน

   “ยังไงล่ะ จะไปกันเลยหรือยังไง” เขาว่าทำเสียงเข้ม ซึ่งทำให้เต้อหลุดขำออกมา “ขำอะไร”

   “เปล่าครับ” เขาเอ่ยตอบผู้เป็นอาก่อนจะหันมองชายคนรัก “ไปเลยไหม”

   มิ้นท์พยักหน้าตอบก่อนจะลุกขึ้น ไหว้ลาอาทั้งสองคน อาน้อยรับไหว้และกอดชายคนนั้นไว้ บอกว่าฝากเต้อด้วยนะ ส่วนอาชัยทำท่าทางรับไหว้แบบขอไปที...ดูท่าว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าอาชัยจะทำญาติดีกับมิ้นท์ได้

   เต้อโยนกระเป๋าไว้ที่เบาะหลังก่อนจะเปิดประตูรถไปนั่งข้างคนขับแล้วตัวรถก็แล่นออกไป

   การบอกลามันเป็นเรื่องประหลาดสำหรับเต้อ...เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินจนกระทั้งได้เดินจากไป แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายที่สุดในโลก

    “แล้วยังไงต่อ” ผ่านไปได้ไม่นานเต้อก็เอ่ยถามชายคนนั้น

   “อะไร ‘ยังไงต่อ’”

   “ก็จะไปหาข้าวกินก่อนหรือจะเอาของไปเก็บก่อน”

   มิ้นท์โครงหัวไปมา “เข้าคอนโดก่อนดีกว่า”

   “รีบ ๆ เหอะ หิวจะตายห่าอยู่แล้ว”

   “พูดจาให้มันดี ๆ ดิ” มิ้นท์ว่า

   “แล้วจะทำไม”

   ไม่ทันขาดคำอีกฝ่ายก็ชกเข้าที่แขนของเต้อ

   “โอ๊ย ไอ้พี่มิ้นท์ มันเจ็บ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะชกคืน “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ”

   ชายคนนั้นหัวเราะออกมาก่อนว่า “ก็เต้อพูดกับพี่ไม่ดีก่อนนะ”

   “แล้วจะทำไม ต้องกราบต้องไหว้ทุกวันด้วยเลยไหม”

   “ต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พี่ทุกวันพระด้วย” ชายคนนั้นว่าพรางคว่ำปากและพยักหน้า

   “ฝันไปเหอะ คิดว่าตัวเองเป็นไร พระถังซำจั๋งหรือไง”

   มิ้นท์หัวเราะออกมาอีกก่อนทั้งคู่จะเงียบไป เขาสังเกตเห็นชายคนรักมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง “คิดอะไรอยู่”

   “ฮ๊ะ อ๋อ เปล่าหรอก” เต้อตอบออกมาแค่นั้นก่อนทั้งคู่จะเงียบกันไปตลอดทาง บางครั้งความเงียบของชายคนนั้นก็ทำให้มิ้นท์หวั่น ๆ อยู่ในใจ ตลอดหลายเดือนมานี่ทั้งคู่แทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย ตัวเขาเองก็ต้องไปทำงานต่างจังหวัด เต้อก็วุ่นวายกับเรื่องเรียน ทั้งคู่ต่างหัวหมุนกับชีวิตของตัวเองจนห่างเหินกันไปและมันยิ่งทำให้เขากลัว กลัวว่าชายคนนั้นจะเจอใครคนอื่น ยิ่งได้ออกไปพบเจอผู้คนหลากหลายทั้งเด็กรุ่นน้องที่เรียนด้วย ทั้งคนที่ทำงาน เขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเห็นถึงข้อเสียมากมายในตัวเขาและขอจบความสัมพันธ์นี้ ยิ่งชายคนนั้นช่างดีและงดงามแบบนั้น

   เต้ออาจจะไม่ใช่คนที่หล่อเหลาที่สุด แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็น่าถวินหา ในตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน จมูกโด่งเป็นสัน ริมผีปากบางมักเผยอออกน้อย ๆ ยามขบคิดอะไรในสมอง แก้มกลมดูน่ารัก อีกทั้งรูปร่างก็ได้สัดส่วนไม่ผอมไม่อ้วน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เทียบอะไรไม่ได้กับจิตใจของเขาเลย เต้อเป็นคนจิตใจดีที่สุดเท่าที่มิ้นท์เคยรู้จัก อ่อนไหว แน่วแน่ และไม่เคยเลยที่จะคิดถึงตัวเองก่อนคนอื่น ๆ เพราะแบบนั้นมิ้นท์ถึงได้รักอีกฝ่าย แต่หลายครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าชายคนนั้นรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมองเหม่อ ทุกครั้งที่เขาตัดขาดจากโลกภายนอก มิ้นท์กลัวเหลือเกินว่าชายคนนั้นจะกำลังคิดถึงใครคนอื่นอยู่...อาจจะเป็นใครสักคนจากอดีตหรือใครสักคนที่ไม่ใช่เขา

   มิ้นท์สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขารู้ว่าอีกฝ่ายรักเขา เต้อบอกเขาแบบนั้นหลายครั้งแต่ถึงแบบนั้นหลายครั้งมิ้นท์ก็อดรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับชายคนนั้น ตัวเขาเองมีข้อเสียหลายอย่างที่อีกฝ่ายไม่ชอบใจ ทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า บางครั้งก็ใช้เวลากับเพื่อนมากเกินไปซึ่งเขาก็พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ...แต่ถ้าวันหนึ่งมันไม่พอล่ะ ถ้าวันหนึ่งทุกอย่างพังทลายลงและเต้อมองเห็นแต่ข้อเสียของเขาล่ะ ถ้าวันนั้นมาถึงชายคนนั้นจะจากเขาไปหรือเปล่า

   ไม่นานหลังจากนั้นตัวรถก็แล่นเจ้ามาจอดในที่จอดรถของคอนโด มิ้นท์เดินนำอีกฝ่ายไปขึ้นลิฟต์ก่อนที่ทั้งคู่จะมาถึงจุดหมาย
 
   “นี่กุญแจ” มิ้นว่าพรางยืนสิ่งนั้นให้อีกฝ่าย “พี่เพิ่งไปปั๊มมา ลองไขดูสิว่าได้หรือเปล่า”

   เต้อทำตามคำนั้น เขาไขเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องก่อนจะเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายเตรียมไว้

   มันเป็นห้องสตูดิโอเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตอะไร มีส่วนห้องครัวอยู่ด้านหนึ่ง ห้องนั่งเล่นติดอยู่กับห้องนอนโดยมีผนักกระจกกั้นไว้ ห้องน้ำอยู่ติดกับประตูทางเข้า

   มิ้นท์โรยกลีบกุหลายไว้เป็นทางจากทางเข้าห้องไปจนถึงโต๊ะอาหารที่ถูกเอามาวางไว้กลางห้องนั่งเล่น รอบ ๆ ห้องมีเทียนจุดและวางไว้ตามพื้นและบนโต๊ะอาหาร

   “ไอ้พี่มิ้นท์ ไอ้บ้า เดี๋ยวไฟไหม้กันพอดี” เต้อร้องออกมาเป็นคำแรกก่อนจะเดินไปเป่าเทียน แต่เป่าอย่างไรมันก็ไม่ดับ

   “เป่าให้ตายก็ไม่ดับหรอก เทียนไฟฟ้า” ไอ้พี่มิ้นท์ว่าพรางแทรกตัวเดินนำอีกฝ่ายไปที่โต๊ะอาหาร โยนกระเป๋าเสื้อผ้าของเต้อไว้กับโซฟาก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายมานั่งที่เก้าอี้ “มาดิ พี่ทำข้าวเย็นไว้ให้แล้ว”

   เต้อมองดูอีกฝ่าย เขายิ้มออกมาเหมือนคนโง่ที่สุดในโลกแต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกมากกว่า “ไม่อร่อยไม่กินนะบอกไว้ก่อน”

   มื้อเย็นวันนั้นผ่านไปอยากเก้ ๆ กัง ๆ สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศที่มิ้นท์ทำเค็มเกินไปแถมเส้นยังแข็ง เต้อบอกอีกฝ่ายตามความจริงแต่เขาก็ฝืนกินจนหมด ทั้งคู่แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่และน่าหวาดหวั่นกำลังทั้งมิ้นและเต้อ

   เมื่อทั้งคู่จัดการกับอาหารจนหมด เต้อก็อาสาเก็บของทุกอย่างเข้าที่เพื่อให้มิ้นท์ไปอาบน้ำ อีกฝ่ายใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินออกมา สวมเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นและมีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่รอบคอ

   ร่างสูงผอมที่มีกล้ามเนื้อให้เห็นชัดเจนนั้นทำให้เต้อรู้สึกหวั่น ๆ ยามมองดูถึงจะเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งก็ตาม

   “ไอ้อาบน้ำสิ” อีกฝ่ายว่า

   “เต้อยังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ไม่เสร็จเลยพี่”

   “ไปเหอะน่า เดี๋ยวพี่เก็บให้” ชายคนนั้นว่าพรางดึงอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำ โยนผ้าเช็ดตัวอีกฝืนให้ “อยากให้อาบให้ด้วยไหม”

   “ทะลึ่งว่ะ” เต้อพูดออกมาแบบนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่าย

   ชายหนุ่มอ่านน้ำไม่นานนัก เขาใช้เวลาไปราวสิบนาทีก่อนที่จะเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันกายท่อนล่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกมา มิ้นท์ที่ยืนรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วก็ยกชุดสูทที่แขวนอยู่ในไม้แขวนขึ้นและถาม “นี่อะไร”

   “จะอ่ะไรล่ะ ก็ชุดนักเรียนไง” เต้อว่าทำสีหน้างง ๆ

   อีกฝ่ายทำตาโตและคว่ำปากนิดหน่อยพรางพยักหน้าช้า ๆ “ไม่เห็นเคยบอกว่ามีเครื่องแบบด้วย”

   “อะไรพี่ มันมีด้วยเหรอโรงเรียนที่ไม่มีเครื่องแบบน่ะ ถอยดิ จะไปแต่งตัว”

   อีกฝ่ายยิ้มออกมาก่อนว่า “ใส่ให้ดูหน่อย”

   “อะไร ไม่เอา” เต้อปฏิเสธ พยายามแทรกตัวออกจากตรงนั้นแต่อีกฝ่ายไม่ยอม “พี่มิ้นท์ ถอยพี่”

   “น่า ใส่ให้ดูหน่อย พี่ยังไม่เคยเห็นเต้อใส่เลย”

   อีกฝ่ายถอนหายใจและมองหน้าชายคนนั้น มองดูใบหน้าทะเล้นและรอบยิ้มกวน ๆ นั่น มันยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธได้ “แค่แป๊บเดียวนะ” จบคำก็คว้าเครื่องแบบมาจากมือมิ้นท์และปิดประตูห้องน้ำอีกครั้ง

   มันใช่เวลานานกว่าที่เต้อคิดไว้เป็นเพราะเขายังผูกเนคไทไม่คล่องมากนักเลยเสียเวลาไปนานพอดู แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเขาก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

   “พี่มิ้นท์” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายในห้องนั่งเล่น

   “เออ” ชายคนนั้นขานรับ เสียงดังมาจากในห้องนอน เต้อจึงเดินเข้าไปหาและเห็นว่ามิ้นท์กำลังจัดเรียงเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าอยู่ เมื่อชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาก็เผยอยิ้มกว้าง

   “ขำอะไรนักหนา” เต้อเอ่ยเสียงเรียบพรางมองดูอีกฝ่ายที่ตอนนี้สอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วร่างกายของเขา

   “ไม่ได้ขำ...แค่คิดว่า...เท่ดี” มิ้นท์ว่าพรางมองดูชายคนรักที่สวมเสื้อผ้าแปลกตาไป มันเป็นสุดสูทสีกรมท่าขลิบขอบด้วยแถบผ้าสีขาวเข้าชุดกับกางเกงแสล็กสีเดียวกัน เนคไทเป็นสีกรมท่าสลับแดงและขาวสวมทับบนเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ

   ชายหนุ่มจัดเน็คไทให้อีกฝ่ายพรางใช้มือลูบไปตามลำแขนของชายคนนั้น...เขาช่างดูน่าโหยหาและมันยิ่งทำให้มิ้นท์หวั่นใจ มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เคยทำให้เขาระเบิดอารมณ์ใส่อีกฝ่ายไปจนทั้งคู่เกือบเลิกกัน ความกลัวที่ว่าเขาอาจจะไม่ดีพอสำหรับชายคนนั้น ความกลัวที่เกือบทำให้เขาเสียอีกฝ่ายไป...ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด

   “เต้อ...พี่ถามอะไรตรง ๆ ได้ไหม” มิ้นท์ว่าพรางมองดูอีกฝ่ายตรง ๆ จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น “เต้อคิดอะไรอยู่เหรอ”

   อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย “หมายถึงอะไร”

   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว “ก็พี่เห็นเต้อเหม่อ ๆ ตั้งแต่ออกมาจากบ้าน ตอนกินข้าวก็ไม่ค่อยพูด...พี่เลย...เต้อคิดถึงเป้หรือใครอยู่หรือเปล่า”

   การพูดชื่อชายคนนั้นออกมาเป็นเหมือนยาพิษสำหรับทั้งเขาและเต้อ เขารู้ดี แต่มิ้นท์ก็ไม่อยากให้ความรู้สึกนี้กัดกินใจเขาต่อไปได้ ชายหนุ่มคาดหวังสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย แต่เปล่าเลย เขาคนนั้นแค่ถอนหายใจยาวออกมา

   “ไม่ใช่หรอก...เต้อแค่...” และเงียบไปพักหนึ่ง “พี่ไม่คิดว่ามันเร็วไปใช่ไหม”

   “เรื่อง?”

   “ที่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน...เต้อหมายถึงว่า ถ้าวันหนึ่งพี่เกิดเบื่อเต้อขึ้นมาแล้วไล่เต้อออกจากคอนโด...”

   “ฮ๊ะ” พี่มิ้นท์ทำสีหน้าจริงจัง “ไอ้บ้า พี่ไม่ทำแบบนั้นหรอก”

   อีกฝ่ายไม่ตอบ เขาแค่จ้องมองกลับมา ในตาดูจริงจังไม่แพ้กัน “พี่จะรู้ได้ไง ถ้าวันหนึ่ง...”

   “พี่ไม่มีวัน ไม่มีวันเด็ดขาดที่จะหยุดรู้สึกกับเต้อแบบนี้” มิ้นท์ยืนยันหนักแน่นก่อนจะยื่นมือขวาขึ้นช้อนที่คอด้านหลังอีกฝ่ายและชนหน้าผากเข้าหากัน “พี่ต่างหากที่ต้องกลัวว่าเต้อจะไปเจอคนอื่น...”

   “คนไหนอีกล่ะ” อีกฝ่ายย้อนมาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

   “ไม่รู้เหมือนกัน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน...เต้อเจอคนตั้งเยอะแยะ แล้วเราก็ห่าง ๆ กันไปตั้งหลายเดือน”

   ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “คิดมากอีกแล้ว...เต้อมีพี่คนเดียว คนเดียวจริง ๆ” เขาว่า “พี่ดีกับเต้อขนาดนี้ เต้อจะไปมีคนอื่นทำไม”

   มิ้นท์ยิ้มออกมาในวินาทีนั้นก่อนจะจูบอีกฝ่ายเนิ่นนาน มันเป็นรสจูบที่ทั้งคู่ไม่ได้ลิ้มรสมานานหลายเดือน มือของชายคนนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงไปปลดกระดุมสูท ดึงเนคไทให้หลุดจากรอบคอของชายคนนั้น อีกฝ่ายยินยอมอย่างว่างง่าย เขาไม่มีท่าทางต่อต้านได ๆ ยามชายคนนั้นค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตและถอดมันออกจากร่างกายเขา รอบจูบประทับที่หน้าอก เลื้อยลัดลงไปเรื่อย ๆ อย่างเชื่องช้า มือของมิ้นท์ปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว ถอดตะขอกางเกงและซิปอย่างง่ายดาย เต้อเผลอถอนหายใจเสียงดังออกมายามชายคนนั้นคร่อมปากดูดดื่มส่วนนั้นของเขา มิ้นท์ดันร่างของเต้อให้พิงกับประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจกเงาพรางซุกไซร้ใบหน้ากับส่วนนั้นของอีกฝ่าย เสียงครวญครางอย่างสุขแสนดังจากลำคอของเต้อ มือของเขาประคองศีรษะของมิ้นท์อย่างเบามือ

   ไม่นานมิ้นก็จับร่างเต้อให้หันหลังก่อนจะกัดกินบั้นท้ายของชายคนนั้น เสียงครางกระเส่าดังขึ้นอย่างรวยรินยามชายร่างผอมเลื้อยลัดท่อนลิ้นเข้าไปในทุกส่วนเว้าโค้ง เหงื่อกาฬของรสกามเริ่มผุดพรายขึ้นทั่วร่าง เต้อบิดร่างไปมายามมือของอีกฝ่ายเกาะกุมอยู่ที่ความเป็นชายของเขาและขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ

   “พอก่อนพี่...” เต้อร้องออกมาในวินาทีหนึ่งเมื่อเขารู้สึกเหมือนจะทานทนต่อรสรักไม่ไหว อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พลิกเต้อให้หันมาประชันหน้ากับเขา ดันสะโพกของตัวเองให้เบียดบดกับสะโพกของอีกฝ่าย ไอร้อนผ่าวของไฟราคะถ่ายถอดผ่ายริมฝีปากที่ประทับจูบกัน

   เต้อดันร่างของมิ้นท์ให้นอนลงบนเตียงนอนก่อนที่เขาจะโถมร่างคร่อมอีกฝ่ายไว้ ลากท่อนลิ้นสากกระด้างของตัวเองไปตามเรือนร่างของชายคนนั้น กัดกินหน้าท้องแข็งด้วยกล้ามเนื้ออย่างโหยหาก่อนจะละเลียดลิ้มรสส่วนนั้นของอีกฝ่ายอย่างเบาบาง มิ้นท์ครางครวญอยู่ในลำคอ มือของเขาเกาะกุมอยู่กับศีรษะของเต้อทั้งสองข้างพรางกระแทกกระทั้นสะโพกของตัวเองอย่างแรกจนเต้อสำลักหลายครั้ง

   “พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาพรางช้อนใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาจูบ

   “ไม่เป็นไร เต้อชอบให้พี่ทำแรง ๆ”

   อีกฝ่ายยิ้มออกมากับคำตอบนั้น เขาจับร่างของอีกฝ่ายให้นอนคว่ำหน้าช้อนบั้นท้ายให้ลอยเด่นในแสงสลัวก่อนจะละเลียดลิ้มรสมันอีกครั้ง

   ความฉ่ำชุ่มถูกละเลงอยู่ทั่วตรงจุดสำคัญ ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วตะเกียกตะกายเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย เต้อร้องออกมาอย่างสุขแสน รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกแผดเผาแต่กลับไม่เจ็บปวด มิ้นท์ขยับนิ้วมือของตัวเองเข้าออกอยู่นานหลายนาทีก่อนที่จะคร่อมร่างตัวเองแนบชิดกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ชอนไชความเป็นชายของเขาเข้าไปในร่างของเต้อที่แอ่นบั้นท้ายรับ รู้สึกถึงความอุ่นร้อนและรัดแน่นภายในนั้นจนเผลอคลางออกมา

   “เจ็บหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายที่ตอบรับด้วยการดันร่างขึ้นมาและเอี้ยวศีรษะมาประทับจูบที่ริมฝีปาก

   มิ้นท์ขยับสะโพกของตัวเองเข้าออก เต้อครางอย่างสุขสม จากเนิบช้ากลายเป็นแรงอย่างรัวเร็ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกเสียงครวญครางของคนทั้งคู่ หยดเหงื่อของมิ้นท์ตกกระทบที่แผ่นหลังของเต้อ เสียงหอบหายใจถี่ดังก้องอยู่ในห้องนั้น

   ไม่นานเต้อก็พลิกร่างตัวเองขึ้นทับร่างของอีกฝ่าย เขาบดสะโพกตัวเองลงไปจนแนบชิด โน้มร่างตัวเองนอนลงจูบชายคนรัก ลิ้มรสเค็มปร่าเหงื่อกาฬของอีกฝ่ายที่ริมฝีปาก ส่วนนั้นของเขาเบียดบดอยู่กับหน้าท้องของมิ้นท์ ส่วนนั้นของมิ้นท์แนบชิดอยู่ในร่างของเต้อ

   มิ้นท์กระแทกสะโพกของตัวเองเข้าหาบั้นท้ายของเต้ออย่างรัวแรง “ชอบให้พี่ทำแรง ๆ เหรอ”

   “ครับพี่มิ้นท์ แรง ๆ เลยพี่” อีกฝ่ายตอบรับพรางซุกตัวลงกอดมิ้นท์ รู้สึกถึงส่วนนั้นของตัวเองที่บดขยี้อยู่กับหน้าท้องของอีกฝ่าย ความเสียวซ่านแผดเผาจนเกือบถึงยอดปลาย “พี่มิ้นท์...เต้อจะออกแล้ว” เขาว่าพรางบดส่วนนั้นของตัวเองให้แนบชิดกับหน้าท้องอีกฝ่าย

   “ออกพร้อมพี่นะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาพรางเร่งเร้ารัวสะโพก เสียงผิวกระทบกันดังก้องในห้องนอนนั้นก่อนที่ทั้งคู่จะประสานทำนองรักครวญครางออกมาพร้อมกัน เต้อรู้สึกถึงน้ำรักที่อัดแน่นอยู่ในร่างของตัวเองและนำรักของเขาที่ทะลักทะล้นอยู่ที่หน้าท้องของพี่มิ้นท์ ทั้งคู่หอบหายใจถี่พรางประสานใบหน้าเข้าหากัน

   “รู้ไหม?” จู่ ๆ มิ้นท์ก็พูดขึ้นเคล้าเสียงหอบหายใจออกมา

   “อะไร?”

   “นี่ครั้งแรกเลยนะที่มีอะไรกันบนเตียงเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ”

   แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันออกมาก่อนที่เต้อจะจูบอีกฝ่ายอย่างเนิ่นนานเนิบช้า “ผมรักพี่นะ”

   “พี่รู้” อีกฝ่ายตอบกลับมาและต้องมองในตาคู่นั้น “พี่ก็รักเต้อเหมือนกัน


   ............................................................................. 


:haun4::haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:




ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ NonG_RaI

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านแล้วเพลินดีครับ
แอบมีน้ำตาซึมเล็กน้อย

ออฟไลน์ bojaemyboo

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านแล้วเพลินมากค่ะ มีให้เรื่องให้ลุ้น ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตทหาร กับเรื่องความรัก เต้อน่ารักดี มิ้นท์ก็แอบเป็นหนุ่มโรแมนติคนะคะ :กอด1:

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอฝากนิยายเรื่องใหม่หน่อยจั๊บ

ฮันเตอร์ สิงหนาท ⚔ สงครามโลกขนาน










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2019 08:55:17 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด