### ดั่งดวงดารา (ประสบการณ์เกณฑ์ทหารฉบับเกือบสมบูรณ์) ### ตอนพิเศษ NC 18+
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ### ดั่งดวงดารา (ประสบการณ์เกณฑ์ทหารฉบับเกือบสมบูรณ์) ### ตอนพิเศษ NC 18+  (อ่าน 13068 ครั้ง)

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2018 11:25:18 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1


















  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2019 08:54:47 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
        สวัสดีเป้

   เป้ต้องไม่เชื่อแน่ว่าตอนนี้เราอยู่ไหน...เราให้เป้ทายสองครั้ง...ผิด...ไม่ใช่ที่บ้าน...แล้วก็ผิดอีก ไม่ใช่ที่เซเว่น

   ก็ได้ ๆ เฉลยนะ ตอนนี้เราอยู่ที่ค่ายทหาร....ตกใจล่ะสิ...หรืออาจจะไม่? เราก็ไม่รู้ว่ะ ใจหนึ่ง เราก็คิดว่าเป้ต้องตกใจแน่ ๆ เพราะว่าเราเคยบอกว่าเราจะไม่มีวันมาเป็นทหารเกณฑ์เด็ดขาด เรายอมตายดีกว่ามาเป็นพลทหารกิ๊กก๊อกรบกับหญ้าฆ่ากับมดแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็สมัครมาติดอยู่ปีหนึ่งจนได้

   แต่ก็ช่างมันเหอะ ว่าแต่ตอนนี้เป้เป็นไงบ้าง? ที่นั่นเป็นไง อาหารการกินพอได้ไหม? อากาศดีหรือเปล่า? ยังไงก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยล่ะ ยิ่งปอดไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ ถ้าเป็นไข้หนัก ๆ มามันจะแย่นะ

   คิด ๆ แล้วเราก็เศร้าว่ะ...เศร้าที่เวลามันผ่านไปเร็วแบบนี้...นี่ก็เกือบสี่ปีแล้วที่เป้ไม่ได้อยู่กับเรา เราโคตรคิดถึงเป้เลย คิดถึงตอนที่มีกันอยู่สองคน ตอนนั้นมันสนุกมากเลยนะ ชีวิตสมัยเรียนม.ปลาย ทุกอย่างมันดูซับซ้อนน้อยกว่านี้ เวลาผ่านไปช้ากว่านี้ ทุก ๆ วันมันเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตที่รอคอยเราอยู่ข้างหน้าช่างยาวไกล เฝ้ารอวันที่ชีวิตมันจะเป็นของเราสักที วันที่เราจะมีอิสระที่จะทำอะไร ๆ อย่างที่เราต้องการ...แต่ตอนนี้...ตอนที่เราทั้งคู่มาอยู่ในช่วงเวลานั้นแล้ว เรากลับรู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นจังเลยว่ะ อย่างจะหมุนเข็มนาฬิกากลับไปช่วงเวลานั้น ตอนที่เรานอนดูดาวด้วยกัน ตอนที่เป้เล่นกีตาร์ให้เราฟัง ตอนที่เรานั่งเป็นแบบให้เป้เขียน เราอยากย้อนกลับไปแล้วหยุดเวลาในวินาทีนั้นไว้ ถอดถ่านออกจากด้านหลังนาฬิกาแล้วโยนมันทิ้ง กระทืบมันให้จบดิน เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างนั้นตลอดไป...ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงดีมากเลยว่าไหม?

   ว่าแต่เป้เป็นไงบ้าง...อ่าว ถามไปแล้วนี่หว่า จะลบก็ไม่ได้ ไม่มีลิควิด...อย่างนั้นก็ช่างมันเหอะ ส่วนเราก็เรื่อย ๆ ช่วงแรก ๆ มันก็ยังไม่มีอะไรมาก นี่ก็เพื่อจะเข้าอาทิตย์แรก ทุกอย่างเลยยังเป็นเรื่องฝึกพื้นฐานทั่ว ๆ ไปอย่าง ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ท่าดงทาเดินอะไรแบบนั้นน่ะ แต่ที่ยากคือแดดร้อนจนตัวจะละลาย ใครจะไปคิดว่ะว่าแดดเมืองกาญฯ มันจะร้อนขนาดนี้ ตอนเราสมัครมา สัสดีเขาก็ถามว่าเราจะไปลงไหน เราก็เลือกจังหวัดกาญจนบุรี ใจคิดว่าแดดคงไม่ร้อนมาก ป่าไม้เยอะ ไอ้บ้า เก็งผิด มาถึงแดดแรงอย่างกับอยู่บนดวงอาทิตย์ เรานี่หน้ามืดไปหลายทีเหมือนกัน แต่โชคดีว่าหน่วยที่เรามาอยู่เป็นหน่วยฝึกฯ ของกองร้อยบริการรวมฝึกกับหน่วยบริการอื่น ๆ ไม่ใช่หน่วยรบ ฝึกเลยไม่ได้หนักหนามาก เข้าที่ร่มซะเยอะ จ่าติ๋ม ที่เป็นหนึ่งในครูฝึกทหารใหม่ (อย่าไปล้อชื่อแกล่ะ แกไม่ชอบ) เขาก็บอกว่าหน่วยที่เราฝึกอยู่ใกล้โรงพยาบาลค่าย นายทหารที่เป็น ผบ. โรงพยาบาลผ่านมาบ่อย แกเลยไม่อยากฝึกกลางแดดนาน ๆ เดี๋ยวผอ.โรงบาลค่ายมาเห็นเข้าจะโดนแดก (หมายถึงโดนด่าหรือโดนทำโทษน่ะ) แต่ความจริงเราว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอกว่ะ เราว่าครูฝึกแกกลัวทหารใหม่เป็นฮีทสโตรกตายมากกว่า เพราะถ้าทหารเกณฑ์ตายเป็นข่าวอีกคงจะลำบากกันทั้งค่าย

   ส่วนที่ยากสำหรับเราอีกอย่างก็คงเป็นสังคมมั้ง...คือเป้ก็รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นคนแบบนี้...ไม่ค่อยพูด เงียบ ๆ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ทำให้เราเป็นคนสังคมแคบ ๆ เหมือนที่เป้เคยบอกเราไง แต่พอมาอยู่นี่ เราเจอหมดทุกรูปแบบ ทั้งอดีตเด็กเดินยา คนเคยติดคุก ไปจนถึง คนจบปริญญา เด็กจบนอก ลูกหลานคนใหญ่คนโต มีหมดทุกรูปแบบ เลือกคุณค่าที่คุณคู่ควรเลยว่าอยากคบกับคนแบบไหน ส่วนเราก็ไม่ค่อยได้คุยกับใครหรอก ไม่รู้จะพูดอะไร... “ที่จริงเต้อก็ไม่ต้องรู้หรอกว่าจะพูดอะไร คิดอะไรได้ก็แค่พูด ๆ ไปเหอะ” เป้เคยพูดกับเราแบบนั้นซึ่งมันก็จริงของเป้นะ แต่เราว่าเราไม่อยากพูดมากกว่า แล้วคนอื่นมันก็ไม่อยากพูดอะไรกันด้วย คือเข้าใจไหม? การที่เอาผู้ชายเป็นร้อยคนมาอยู่รวมกันโดยที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอหน้ามาก่อน จะให้มันพูดอะไรกันล่ะ? แล้วสีหน้าแต่ละคนอย่างกับคนนักโทษในค่ายเอาชวิทช์ ทั้งสิ้นหวัง ท้อแท้ เหมือนคนจะตายวันนี้พรุ่งนี้ หลายคนบ่นถึงหน้าที่การงาน ครอบครัว แฟน ลูกเมีย แต่มันก็แค่นั้น ทุกคนต่างยอมรับมันอย่างง่ายดายในชะตากรรม ไม่มีการประท้วง เรียกร้อง หรือฟูมฟายอะไรเหมือนกับว่าเคยผ่านมันมานับครั้งไม่ถ้วน เวลานี้เลยเป็นเหมือนช่วงทำใจกับสิ่งที่ต้องเจอในวันข้างหน้ามากกว่า

   วันนี้เราคงเขียนถึงเป้ได้แค่นี้แหละ จ่าเขาเตรียมจะเป่านกหวีดเรียกรวมไปเข้าแถวก่อนขึ้นโรงนอนแล้ว ยังไงเราจะเขียนหาเรื่อย ๆ นะ

   โชคดี



พลทหารเต้อ
พลทหารของคุณจิตรกรเป้



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 20:52:56 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   นี่ก็เจ็ดวันแล้วที่เรามาอยู่ในค่าย ทำไมเวลามันถึงเดินช้าขนาดนี้ก็ไม่รู้นะ

   วันนี้เป็นวันอาทิตย์เลยมีเวลาว่างเยอะหน่อย ไม่รู้จะทำอะไรดี ตอนเช้าครูฝึกก็ให้ทหารใหม่ซักผ้า ทำความสะอาดรอบ ๆ หน่วยฝึกฯ ช่วงบ่ายก็เลยว่าง ตอนนี้ครูฝึกกำลังเปิดหนังให้ทหารใหม่ดูอยู่ในห้องประชุม เรื่องสไนเปอร์ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน เราเลยหลบมานั่งเขียนถึงเป้ดีกว่า แต่พอจะลงมือเขียนก็ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี...อือ...งั้น เราจะเล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลยแล้วกัน เผื่อว่าเป้จะสงสัยว่ามาอยู่นี่มันเป็นยังไง (“เริ่มเล่าได้แล้วน่า อย่าพูดเยอะ” ...เป้ต้องพูดแบบนี้แน่ ๆ เรารู้)

   วันแรกที่เราต้องมาเป็นทหาร มันเป็นวันเดิม ๆ อีกวันที่ไม่มีอะไรแปลกอะไรใหม่ เราตื่นตั้งแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัว อาชัยกับอาน้อยขับรถมาส่งเราที่ศาลากลางจังหวัด เป้จำอา ๆ เราได้ไหม อาชัยที่ ผอม ๆ โกนหัวล้าน ๆ ใส่แว่น ที่เป้เคยบอกว่าหน้าเหมือนป๋อมแป๋มเทยเที่ยวไทยไง ส่วนอาน้อยเป็นเมียของอาชัย ตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ผมดำยาวถึงกลางหลัง เจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป้เลย พูดเยอะ อย่างตอนที่นั่งอยู่ในรถระหว่างทางมาส่งเราก็พูดไม่หยุดว่าเราจะได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ เป็นอนาคตของชีวิต นั่นนี่ พูดไปก็ยิ้มไปเหมือนดีใจที่กำจัดภาระอย่างเราให้ออกไปจากชีวิตได้ พูดจริง ๆ ใครมันจะไม่ดีใจวะ เราอยู่ติดบ้านจนอายุยี่สิบกว่าแล้ว ลูกเต้าก็ไม่ใช่ เป็นแค่หลานนอกไส้ที่วันดีคืนดี พี่ผัวกับพี่สะใภ้รถคว่ำตายแล้วทิ้งลูกไว้ให้เลี้ยง ตัวเองก็เพิ่งแต่งงานมาได้ไม่ถึงสามปีดีก็ต้องมารับภาระ ฐานะก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แถมเลี้ยงไปเลี้ยงมากลับกลายเป็นรับเลี้ยงเด็กมีปัญหา เอาจริง ๆ นะ ถ้าเป็นเรา เราก็อยากจะกำจัดตัวเองไปให้พ้น ๆ เหมือนกัน

   ส่วนอาชัยดูเหมือนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เขาพูดอะไรประมาณว่า เสรีภาพ ความจำเป็นของทหารเกณฑ์ งบประมาณ ลามไปถึงโน่น ปัญหาคอรับป์ชั่น อะไรต่ออะไรตามประสาคนจบธรรมศาสตร์แหละ...ถึงจะเป็นคณะบัญชีก็เหอะ

   “ถึงยังไงมันก็เลยจุดที่จะแก้ไขอะไรแล้ว” ...เราจำได้ว่าพูดแบบนั้นออกไป

   พอถึงศาลากลางก็ไม่มีอะไรมาก ที่มากคือคน ทั้งคนที่จะไปเป็นทหาร ญาติ ๆ แล้วยังมีพวกพ่อค้าแม่ค้าที่ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงมาขายของอีก ทั้งอาหาร ขนม น้ำ มีแทบจะทุกอย่าง บรรยากาศเลยออกจะวุ่นวายและจอแจเหมือนตลาดสดช่วงเช้า ๆ มากกว่า

   ถึงเวลาสัสดีก็ประกาศขานชื่อออกลำโพงเพื่อแบ่งไปตามจังหวัดที่จะต้องไป แล้วก็ต้อนขึ้นรถบัสเก่า ๆ แบบรถเมล์ร่วมบริการน่ะ พอจะนึกออกไหม?

   ตอนนั้นเราจำได้ว่าอาชัยกับอาน้อยมายืนส่งอยู่ที่ข้างรถ อาชัยมองเราสายตากังวลนิด ๆ ปากคว่ำ มือทั้งสองข้างกอดอกแน่น ส่วนอาน้อยแกทั้งยิ้มทั้งโบกมือเหมือนแทบรอไม่ไหวที่จะส่งเราไปให้พ้น ๆ

   แล้วรถก็ออกวิ่งไปตามถนน...แดดเป็นสีใส ร้อน ลมที่พัดเข้ามาในตัวรถก็ร้อน ในหัวเราก็คิดแต่เรื่องค่ายทหาร คิดถึงข่าวทหารถูกซ่อมถูกซ้อมจนตาย คิดถึงสิ่งที่จะต้องไปเจอ วาดภาพในหัวแล้วก็กลัวจนตัวสั่น...จริง ๆ นะ ตอนนั้นเรากลัวจนไม่รู้จะบรรยายยังไงให้เป้เข้าใจ รู้เลยว่าทำไมไอ้พวกจับใบดำใบแดงถึงได้อ่อนเปลี้ยเสียขาขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าต้องไปเป็นทหาร (ไม่ได้เห็นกับตาหรอกดูในข่าวเอา เราสมัครมา พอเดินเรื่องเสร็จก็กลับบ้านเลย) พอเรามองไปรอบ ๆ รถก็เห็นคนอื่นอีกหลายคนที่มีท่าทางไม่ต่างจากเราเท่าไร ประหม่าจนสูบบุหรี่มวนต่อมวน หันหน้าออกไปนอกรถ ในตาดูไร้ความหวัง แต่ก็มีอีกหลายคนที่แทบไม่แสดงท่าทางว่ากลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย หลายคนหลับเหมือนกำลังอยู่ระหว่างทางไปท่องเที่ยว หลายคนคุยกันเหมือนพยายามหาเพื่อน อย่างคนที่นั่งข้าง ๆ เราตอนอยู่บนรถมันยิ้มตลอดทาง พูดว่าอยากเป็นทหาร บ้านขายปืน พ่อแม่อยากให้เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ฝอยไปตลอดทางจนเราเบื่อจะฟัง แต่เราก็ขอบใจมันนะที่ทำให้การนั่งรถไม่เงียบเกินไป มันยื่นบุหรี่ให้เรา แต่เราไม่คิดจะมาหัดเอาตอนนี้หรอก

   จ่าติ๋มแกก็เป็นนายทหารคุมรถเราด้วย แต่งตัวเต็มยศ ใส่หมวกเหล็กติดหน่วย สห. ที่เอวเหน็บปืนลูกโม่สีเงิน ไม่รู้แกคิดอะไรของแกอยู่ จู่ ๆ ก็โยนปืนใส่มือเราเฉย เราบอกไม่เอา ๆ กลัวจะทำลั่นก็ไม่ฟัง แต่ก็โชคดีหน่อยเพราะไอ้อ้วน (เราไม่รู้ชื่อมันหรอก แล้วมันก็ไม่รู้ชื่อเราเหมือนกัน) ดันอินเรื่องปืน จ่าติ๋มก็อินเรื่องปืน เลยคุยกันถูกคอ ส่วนเราก็กลับไปนั่งมองดูวิวแล้วก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดเพื่อทรมานตัวเองเหมือนเดิม...เรารู้ เราไม่ควรคิดเรื่องอย่างนั้น เป้คงจะบอกเราว่า “คิดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา อะไรยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ” ...ตอนนั้นเราอย่างให้เป้มาอยู่ด้วยกันกับเราจัง...อะไร ๆ มันคงง่ายกว่านี้เยอะเลย

   เราจำได้ว่าพอผ่านป้ายใหญ่ ๆ ที่เขียนว่า “ยินดีตอนรับสู้จังหวัดกาญจนบุรี” ได้ไม่เท่าไร รถก็เลี้ยวแล้วเข้าไปจอดข้างสนามกีฬาในร่ม จู่ ๆ จ่าติ๋มก็เปิดโหมดทหารโหดขึ้นมากะทันหัน เป่านกหวีดดังปรี๊ดแล้วเดินตะโกนไปทั่วทั้งรถว่าให้ลง พวกเราตกใจชิบเป๋ง รีบปรับเข้าสู่โหมดเอาชีวิตรอดแล้วกระโจนลงจากรถ ตั้งแถวกลางแดดจนเราต้องหยีตาสู้แสง หูอื้อเพราะเสียงนกหวีด กลัวก็กลัว ได้ยินเสียงคนพูดจากลำโพงไกล ๆ จ่าติ๋มเดินมาตะโกนอะไรใส่หน้าก็ไม่รู้แล้วดึงตัวเราให้ออกไปยืนหน้าแถว ยัดป้ายที่ทำมาจากฟิวเจอร์บอร์ดประกอบกับแป๊บน้ำสีฟ้าใส่มือ พูดอะไรอีกสองสามคำแล้วก็ไป อีกตั้งหลายนาทีกว่าเราจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตรงนั้นมันเป็นเหมือน...อธิบายยังไงดีล่ะ มันเป็นที่โล่ง ๆ คล้าย ๆ ที่จอดรถ ด้านขวามือเป็นอาคารหลังคาโค้งแบบสนามกีฬาในร่ม ฝั่งซ้ายมือมีเต็นท์ใหญ่เหมือนตามงานบวชงานแต่งกางไว้สี่ห้าหลังติดกัน ข้างในมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วแต่เหลืออีกสองเต็นท์ที่ว่างอยู่

   เรายืนเป็นหัวแถวถือป้ายว่าที่เขียนว่า “อ.เมือง จ.นนทบุรี” อยู่พักใหญ่ ๆ จนจ่าติ๋มแกจัดแถวจนพอใจก็สั่งให้เราเดินไปนั่งในเต็นท์ ก้าวแรกเราสะดุดจนเกือบหัวทิ่ม หัวเราะกันใหญ่ ได้ยินเสียงแซวจากลำโพงแล้วก็หัวเราะกันอีก เราโคตรอายเลยตอนนั้น แต่ก็ทำเป็นยิ้มแล้วก็ก้มหน้าเดินไปนั่งในเต็นท์

   พอตูดยังไม่ทันติดพื้น แม่ค้าพ่อค้าที่มาจากไหนไม่รู้ก็กรูกันเข้ามาขายของ ทั้งน้ำ ขนม ข้าว เรานี่งงมาก บางคนเดินเอาของมายัดใส่มือแล้วเดินไป สักพักเดินกลับมาเก็บตัง เรากว่าจะรู้ตัวก็มีของกินติดอยู่ที่มือเต็มไปหมด โชคดีว่าเรากดเงินเดือนงวดสุดท้ายติดตัวมาด้วยนะ ไม่งั้นมีหวังโดนแม่ค้าตีกระบานแยกแน่ ๆ (ซึ่งมาคิด ๆ ดูแล้ว แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้ จะได้ถูกส่งตัวกลับบ้านแล้วก็ไม่ต้องไปฝึก)

   สุดท้ายเราก็ได้ข้าวไข่เจียวที่เค็มจนสงสารไตตัวเองมากินหนึ่งกล่อง กะเพราไก่น้ำมันเยิ้ม ๆ โปะหน้าด้วยไข่ดาวแข็ง ๆ อีกกล่อง น้ำอัดลมกระป๋อง ขนมอีกสามสี่ถุง แล้วก็ชาดำเย็นอีกแก้ว

   บอกตรง ๆ เรากินไม่หมดหรอก แต่ก็ถูกยัดเยียดซื้อมาแล้วทำไงได้ล่ะ เราจำได้ว่าตอนนั้นมีครูทหารใหม่ (ครูทหารใหม่คือทหารเกณฑ์นี่แหละ แต่เข้ามาผลัดก่อนหน้านี้แล้วครูฝึกก็คัดเลือกมาช่วยฝึกทหารผลัดต่อ ๆ ไป เรามารู้ที่หลังว่าเขาชื่อมิ้นท์ ประหลาดดีนะ ผู้ชายชื่อมิ้นท์) มาแซวเราว่าซื้อกินขนาดนี้บ้านไม่มีกินเหรอ เราก็ไม่รู้จะตอบไงก็เลยได้แต่ยิ้มไป แล้วเขาก็บอกว่าแบ่งเพื่อนบ้างก็ได้นะแล้วชี้ไปที่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา

   ตอนที่เราเห็นไอ้เกื้อครั้งแรก (เรามารู้ชื่อมันทีหลัง) เราคิดนะว่าคนบ้าอะไรใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกมาเกณฑ์ทหาร จะรักสะอาดอะไรขนาดนั้นวะ แถมหน้าตาท่าทางมันก็ไม่น่าใช่ลูกคุณหนูบอบบาง คือเป็นคนผอมมาก ๆ มือไม้มีแต่กระดูก แก้มตอบขนาดใส่ผ้าปิดไว้ยังรู้ ผิวคล้ำแดง ผมยาวประบ่าแสกกลางอย่างกับหลุดมาจากละครสามหนุ่มสามมุมที่เป้ชอบดู

   ตอนครูมิ้นท์ถาม เราก็หันไปมองมัน มันก็หันมามองเรา ตัวเราเองก็ไม่รู้จะทำท่าทางยังไงก็เลยถามมันไปว่า “มีข้าวอีกกล่อง กินไหม” มันก็ส่ายหน้า เราก็เลยหันหน้าไปมองครูมิ้นท์แล้วก็บอกว่า “เขาไม่กินครับ” ครูมิ้นท์ก็มองเราอยู่สองสามวิ เราก็งง บรรยากาศทั้งมาคุ ทั้งอึดอัดยังไงแปลก ๆ บอกไม่ถูก เราก็มองครูมิ้นท์กับไอ้เกื้อสลับกันไปมาอยู่สองสามครั้ง แล้วครูมิ้นท์ก็เดินไป เราก็งง ทำอะไรไม่ถูก ข้าวก็หมาไม่ดม เราเลยเลิกกินแล้วก็นั่งอยู่เฉย ๆ

   สักพักควันบุหรี่ก็เริ่มลอยมาตามลมพร้อม ๆ กับเสียงประกาศเรื่องสิ่งของผิดกฎ

   “ใครมีของพวกอาวุธ เหล้า ยาเสพติด รวมไปถึงบุลงบุหรี่ที่ติดตัวมา เอาออกมายื่นใส่ถุงที่ครูทหารใหม่ได้เลย ทำด้วยความสมัครใจนะครับ อย่าให้ถึงขั้นต้องตรวจค้นหรือการเอาหมา K9 มาเดินดมทีละคน ถ้าไปถึงหน่วยแล้วค้นเจอจะเป็นปัญหาหนักนะครับ” พูดจบก็หัวเราะ ทุกคนหยิบทุกอย่างที่ผิดกฎออกมาใส่ถุงพราสติกอย่างง่ายดาย เรื่องตลกก็คือมีคนพกถุงยางกับที่ดัดขนตาเข้ามาด้วย...ซึ่งเราคิดว่าน่าจะมาจากคน ๆ เดียวกัน

   บุหรี่ก็เป็นของผิดกฎห้ามเอาติดตัวเข้าไปในหน่วยฝึกทหารใหม่ แต่ที่ไม่เหมือนกับของอย่างอื่นก็คือ ครูทหารใหม่เอาบุหรี่ทุกซองที่ได้มาแกะรวมกันใส่ถุงพราสติกอีกใบแล้วส่งวนไปรอบ ๆ ทุกคนที่ต้องการจะสูบก็ล้วงออกมาตามจำนวนที่ตัวเองต้องการแล้วก็ส่งต่อไป พอมาถึงเรา เราก็ส่งไปให้ไอ้เกื้อ แหนะ หยิบออกมาหลายตัวจนเกือบเต็มมือ ตอนนั้นเราคิดในใจ ข้าวไม่กิน เสือกสูบบุหรี่

   ตัวเราเองไม่สูบบุหรี่เป้ก็รู้ใช่ไหม? แต่เราก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ออกจะชอบกลิ่นบุหรี่ด้วยซ้ำเพราะมันเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้เราคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงห้องเช่าเล็ก ๆ หลังเก่า คิดถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก...ตอนที่เรามีความสุขมากกว่านี้ ถึงจะจำไม่ค่อยได้แล้วแต่มีความทรงจำหนึ่งที่เราชอบคิดถึงทุกครั้งที่ได้กลิ่นบุหรี่ มันเป็นบ่ายแก่ ๆ วันอาทิตย์ แสงแดดส้มจ้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างตามจังหวะลมที่พัดโดนม่านเก่า ๆ ลายดอกไม้ถูก ๆ เม็ดฝุ่นเล็ก ๆ ลอยอยู่ในลำแสง ถึงจะเล็กกะจ่อยร่อยแต่ก็พอมองเห็นได้ เสียงแม่เราฮำเพลงอะไรสักอย่างอยู่ในครัวระหว่างล้างจาน ส่วนเรานั่งอยู่บนตักพ่อหน้าจอทีวี ดูเขาเล่นเกมมาริโอ้ มือเรากดจอยเครื่องเกมแฟมมิลี่ที่ไม่ได้ต่อไว้ กลิ่นตัวของพ่อจะมีกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ โชยมา เราหัวเราะทุกครั้งที่ตัวมาริโอ้กระโดดลงเหว หรือโดนดอกไม้พ่นไฟ หรือเต่า พ่อเราก็หัวเราะเหมือนกัน เรากับพ่อจะนั่งกันอยู่แบบนั้นเป็นนานจนแม่ส่งเสียงดุมาจากในครัว พ่อเราก็จะพูดอะไรออกมาคำหรือสองคำก่อนจะถูกแม่ดุอีกครั้ง แล้วพ่อก็จะหัวเราะ ไม่นานเวลากลางวันก็กลายเป็นกลางคืน พ่อจะอุ้มเราไปวางไว้บนที่นอน เราจะถามพ่อว่าพรุ่งนี้มาริโอ้จะได้เจอเจ้าหญิงไหม? เราจำไม่ได้ว่าพ่อตอบว่าอะไร แต่เราจำได้ว่าเขายิ้ม...แล้วเราก็หลับไป...

   ความทรงจำนั้นเลือนจางจนเราจำไม่ได้แล้วว่าพวกท่านหน้าตาเป็นอย่างไร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยอยู่ด้วยกันแบบไหน ใจดีหรือเปล่า ดุหรือเปล่า เรารู้แค่ว่าพวกเขาจากไปเมื่อนานมาแล้ว และเราก็ยังอยู่ที่นี่ บนโลกใบนี้ พยายามดิ้นรนเพื่อมีชีวิตไปอีกวัน...นี่เราเขียนอะไรเนี่ย ทำไมหดหู่จังวะ

   กลับมาเข้าเรื่องเถอะ ถึงไหนแล้วล่ะ อ้อ บุหรี่ ใช่ ไอ้เกื้อมันก็หยิบบุหรี่มาสูบ ตอนที่มันเปิดผ้าปิดปากออกเราถึงได้รู้ว่ามันเป็นแผลที่ปากเหวะอยู่เหมือนกันดูจากรอยเย็บที่ยาวออกมาถึงริมฝีปากล่าง ไม่รู้ไปโดนอะไรมา เห็นแล้วเสียวแทน

   พอมันเห็นว่าเรามองมัน เราเลยหลบสายตามาจ้องพื้นตามเดิม

   เรานั่งอยู่แบบนั้นนานเหมือนกันนะ เป็นชั่วโมงกว่าจะมีรถบัสอีกคันมาจอด สภาพเหมือนเราเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเลย ลงจากรถ ตั้งแถว เดินมานั่งในเต็นท์ ขายของ กินข้าว เก็บของผิดกฎ สูบบุหรี่ ระหว่างนั่งรอพวกครูฝึกก็เริ่มพูดเรื่องทหารลงใต้ บอกว่าใครที่ถูกเรียกชื่อก็ของแสดงว่ายินดีด้วยที่จะได้รับใช้ชาติที่สามจังหวัดชายแดน

   “พวกที่ถูกเขียนข้อมือว่า ร. คือ รบพิเศษ ต้องไปฝึกที่หน่วยรบ ส่วน รพ. คือโรงพยาบาลค่ายปัตตานี กส. คือ กองการข่าวกรองพิเศษ ต้องไปฝึกแฝงตัวลงพื้นที่เป็นสายลับ ส่วนพวก สห. ก็ สารวัตทหาร ผลัดนี้เขาจะให้สารวัตทหารลงไปช่วยด้วย รด. คือรักษาชายแดน ยังไงก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่ะ”

   อะไรประมาณนี้แหละ พูดทั้งออกลำโพง เดินมาพูดรอบ ๆ ที่พวกเรานั่ง บางคนก็หัวเราะ ครูทหารใหม่บางคนเดินมาตบบ่าพวกเราที่นั่งอยู่แล้วก็บอกว่า ทำใจดี ๆ ล่ะ ถ้าโดนเรียกชื่อก็ต้องไป ตอนนั้นแหละที่เราเริ่มคิดว่าหรือว่าจะจริงวะ สมองเริ่มคิดอะไรเป็นตุเป็นตะ

   แต่ไม่ทันจะคิดอะไรต่อ นายทหารที่นั่งอยู่ในเต็นท์ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มเรียกชื่อแรก...ชื่อที่สอง....ที่สาม...ไปเรื่อย ๆ ชุดละ 5 คน คนที่ถูกเรียกก็ต้องรีบขานว่า “ครับ” ดัง ๆ ถ้าไม่ดังก็โดนพุ่งหลังประเดิมก่อนเลย (ท่าพุ่งหลัง เป็นท่ากายบริหารและท่าทำโทษประจำของทหารเกณฑ์ มีห้าจังหวะ หนึ่งคือยืนตรง สองก้มหลังเอามือแตะพื้น สามพุ่งขาออกไปข้างหลังจนเป็นท่าวิดพื้น สี่หดขากลับมา ห้ากลับมายืนตรง เรียกเป็นหนึ่งยก เวลาสั่งก็สั่งเป็นยก ๆ ไป) เราจำได้ว่าไอ้คนแรกลุกแต่ไม่ขาน โดนไปห้าสิบยก คนหลัง ๆ ก็โดนบ้างนิดหน่อยแต่เหมือนเขาจะรีบเพราะเริ่มสายมากแล้ว

   พอเรียกไปได้สักพักเราก็เริ่มจับสังเกตว่าเขาเรียกชื่อเรียงตามตัวอักษร เพราะงั้นเราก็ยังไม่ลุ้นอะไรมาก พอถึงตัว ต. ใจเรานี่แทบจะทะลุออกมาจากอก กลัวก็กลัว ใจหนึ่งก็คิดว่าไม่จริงหรอก ไอ้บ้า ใครมันจะเอาทหารเกณฑ์ไปฝึกรบพิเศษวะ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วเขาจะเอาทหารที่ไหนลงไปใต้ล่ะถ้าไม่เอาทหารใหม่ไป ยิ่งนั่งก็ยิ่งเครียด

   พอถึง ตนุภัตร แก้วเกล้า ,ตรัย จริยาประสิทธิ์ ,ตรัยรัตน์ เพียรอุตส่าห์ ,เตชิน พึ่งบุญมาก , ตรีภพ หมายทินกร

   เป้รู้ไหม คำแรกที่เราอุทานออกมาคืออะไร เราพูด ‘เชี่ย’ แล้วก็ตะโกนว่า ‘ครับ’ ออกมาโคตรดัง ขาก็วิ่งไปยังเต็นท์ที่นายทหารนั่งอยู่กับโต๊ะให้เร็วที่สุดจนร้องเท้าหูหนีบดีดส้นเท่าดังแปะ ๆ ไปตลอดทาง

   นายทหารที่นั่งอยู่แต่งตัวเต็มยศเลย เป็นชุดอ่อนสีเขียวเข้ม (ชุดอ่อนคือชุดที่สั่งตัด เป็นสีเขียวเข้มพื้น ๆ ต่างจากชุดฝึกที่จะเป็นลายพลาง) มีเครื่องประดับยศเต็มทั้งอกทั้งบ่า เขาก็ถามเราว่า ชื่ออะไร นามสกุลอะไร ใจเราก็คิด ก็เป็นคนเรียกมาไม่ใช่เหรอวะ แต่ก็ตอบไป แล้วก็ถามว่าเรียนจบอะไรมา ยื่นวุฒิผ่อนผันไหม สมัครหรือจับใบดำใบแดงมา ก่อนหน้านี่ทำงานอะไร ถามมาเป็นชุดเลย เราก็ค่อย ๆ รวบรวมสติแล้วก็ตอบไป จบ ม.ปลายภาคค่ำมาครับ สมัครมาเป็น 1 ปีครับ ก่อนหน้านี้ทำงานร้านสะดวกซื้อ (ระหว่างตอบก็มีนายทหารอีกคนใส่ชุดฝึกลายพรางเอาเทปกระดาษสีไข่พันรอบข้อมือเราสองสามรอบแล้วก็พูดเบา ๆ ว่า ‘ไม่ต้องคิดมาก ใจเย็น ๆ ดีใจด้วยที่ได้รับใช้ชาติที่สามจังหวัดชายแดนใต้’) พอพันแขนเสร็จเรานี่แทบเป็นลม โชคดีเขาสั่งให้เรานั่งก่อน แล้วเขาก็นั่งเขียนอะไรสองสามอย่างลงกระดาษ สักประมาณสามนาที ไม่ทันที่เราจะได้พักหายใจ เขาก็เรียกพวกเราให้ยืนขึ้น แล้วก็ชี้เรียงไปทีละคน

   “ร., ร., รพ., กส., ร.,”

   พอนายทหารพูดจบ ทหารชุดพรางคนเดิมก็เดินเอาปากกาเมจิกมาเขียนบนเทปที่ข้อมือเรียงตามลำดับ

   สรุป เราได้เป็นหน่วยรบพิเศษ เอาจริง ๆ ตอนนั้นเรายังเอ๋อ ๆ อยู่เลย ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ใจอ่ะ โคตรกลัว อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก สมองตื้อไปหมด เขาต้อนให้ขึ้นรถบัสอีกครั้งก็เดินตามเขาไป ตอนนั้นรู้เลยว่าไอ้พวกนักโทษประหารมันรู้สึกยังไงตอนกำลังเดินไปเข้าเครื่องฉีดยา รถวิ่งไปทางไหนก็ไม่รู้ นานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอรถหยุด จ่าติ๋มก็สั่งให้เรากับคนอื่นอีกราว ๆ สิบกว่าคนลงจากรถ

   “เอ้า ช้า หมอบ หมอบลงไป!!!” จู่ ๆ เสียงใครสักคนก็สั่งมาพร้อมกับเป่านกหวีด ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่เขาสั่งหมอบเนี่ยต้องทำยังไง เลยยื่นเงอะ ๆ งะ ๆ อยู่หลายวินาทีจนมีครูทหารใหม่มาทำให้ดู นอนคว่ำหน้าราบลงไปกับพื้นถนนยางมะตอย ตอนนั้นเวลาสักบ่ายสองบ่ายสามได้ พื้นนี่ร้อนกำลังดี ตาก็มองไปข้างหน้า เห็นรองเท้าคอมแบตคู่หนึ่งค่อย ๆ เดินมาแล้วก็หยุดห่างเราไปสักสองสามคืบได้

   คนที่สั่งเราหมอบเป็นคนแรกคือจ่ายักษ์ (เรามารู้ชื่อเขาทีหลังอีกนั่นแหละ) แกก็พูดประมาณว่ายินดีต้อนรับสู่หน่วยฝึกทหารใหม่ แล้วก็ชี้แจงว่าหลังจากนี้ให้ไปฝากของและเสื้อผ้าที่ติดตัวมาและ รับอุปกรณ์พวกชุด ของใช้ต่าง ๆ ที่ห้องประชุม “ทำอะไรให้มันรวดเร็ว อย่าชักช้า ทำเท่าที่สั่ง ตามที่สั่ง อย่างที่บอก ทราบ!”

   จบคำว่าทราบทุกคนก็เงียบ จ่ายักษ์ก็ตวาดอีกว่า เวลาบอกว่าทราบก็ให้รับว่าทราบ พวกเราถึงจะเข้าใจ

   เสร็จจากตรงนั้นเขาก็ให้พวกเราไปที่ห้องประชุมใต้โรงนอน พอไปถึงก็เจอโต๊ะตั้งไว้กลางห้อง พี่ครูทหารใหม่ก็ชี้แจงว่าให้นั่งเข้าแถวแล้วเดี๋ยวจะเรียกที่ละคน ที่โต๊ะแรกจะเป็นการฝากกระเป๋าสตางค์รวมไปถึงบัตรต่าง ๆ ทั้งบัตรประชาชน เอทีเอ็ม อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในนั้น ให้เอาใส่ถุงใสแล้วมัดปากถุงพร้อมเซ็นชื่อที่ถุง ถัดมาก็ฝากเงินที่ติดตัวมา ทำเหมือนกันคือใส่ถุงพลาสติกใส เซ็นชื่อกำกับ สุดท้ายคือลงชื่อในสมุดบัญชีว่าฝากอะไรไว้บ้างและฝากเงินไว้เท่าไร ตรวจจำนวนเงินในสมุดให้ตรงแล้วลงชื่อ พี่ครูทหารใหม่บอกว่าจะได้รับคืนหลังจากฝึกเสร็จแล้ว

   เสร็จจากตรงนั้นเขาก็จะให้ถุงพลาสติกใสใบใหญ่ ๆ มาอีกคนละใบแล้วบอกให้เดินไปอีกด้านของห้องเพื่อไปเจอกับครูเชาว์ ครูทหารใหม่เสนารักษ์ แกก็บอกให้เราแก้ผ้า...จริง ๆ เว้ยเป้ พอเจอหน้ากันครั้งแรกแกก็บอกให้เราแก้ผ้าเลย ตอนแรกเรานึกว่าเขาพูดเล่นหรือได้ยินผิด เราเลย ‘ฮะ?’ ไปทีหนึ่ง แกก็ย้ำคำเดิมแต่ดังขึ้นนิดหน่อย “แก้ผ้า เปลี่ยนชุด มึงไม่ต้องอาย ยังไงก็ได้เห็นกันหมดนี่แหละ เสร็จแล้วก็เอาเสื้อผ้าพลเรือนใส่ถุงใสแล้วโดนลงตะกร้าตรงโน้น” จบคำด้วยการชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ ๆ ตรงมุมห้อง

   แล้วรู้อะไรไหม? ไอ้การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนกลางวันแสก ๆ เนี่ยมันยากตรงไหน? ก็ไอ้ตรงถอดเสื้อผ้านี่แหละ ทั้งอาย ทั้งเขิน เหมือนจะขาดใจตายตรงนั้น แต่พอกางเกงในหลุดออกจากขาแล้วก็แล้วกัน ความรู้สึกก็ประมาณว่า ‘ก็แก้ผ้า แล้วไงล่ะ’

   พอถอดเสร็จครูเชาว์แกก็ถามขนาดกางเกง ให้ลองขนาดเสื้อ ชุดทหารชุดแรกที่เราใส่คือชุดฝึกของทหารใหม่ เป็นกางเกงสีเขียวเข้มขาสั้นแค่เข่าทรงคล้าย ๆ กางเกงนักเรียนแต่มีสายปรับระดับที่เอวทั้งสองข้าง มีหูเอาไว้ใส่เข็มขัด ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดคอวี ที่กลางหน้าอกมีคำสกรีนว่า ‘กองทัพบก’ แล้วก็หมวกแก๊บเป็นหมวกลายพลางมีตรากองทัพบกอยู่ข้างหน้า ชุดนี้กับรองเท้าผ้าใบและถุงเท้าสีดำรวมกันเรียกว่า ชุดฝึกทหารใหม่ หรือ AKA ชุดเป็นน้อย (เราก็ไม่เข้าใจ อะไรมันจะน่ารักขนาดนั้นวะ)

   นอกจากชุดนี้ก็ยังมีอีก 2 ชุดที่เขาแจกมา แต่เราจะเอาไว้เล่าทีหลังนะ

   หลังจากได้ชุดแล้วก็ไปรับเครื่องใช้ส่วนตัว อย่างผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กระจก ขันน้ำ อะไรอย่างนั้นน่ะ เราขี้เกียจเขียนว่ะ มันเยอะ เอาที่เราเห็นว่าน่าสนใจนะ ก็อย่าง ถังน้ำ ตอนแรกเราก็งง เอามาทำอะไรวะถังน้ำ มันเป็นถังสูงเท่าหัวเขาแบบมีหูหิวน่ะ คล้าย ๆ ถังสังฆทานแต่หนากว่าแล้วก็เป็นสีดำ มารู้ทีหลังว่าเอาไว้ใช้ซักผ้า อีกอย่างก็ เข็มกลัด ตอนแรกเราคิดว่าจะเอามาใช้กลัดเวลาเสื้อผ้าขาด ตลกตัวเอง คิดได้ไงวะ มันเอาไว้ใช้กลัดผ้าผู้ที่นอนให้ตึงติดอยู่กับเตียง ซึ่งมีประโยชน์มากเลยเวลามีตรวจเตียง

   ของทุกอย่างเขาจะห่อไว้ให้แล้วในผ้าห่ม (แบบที่เป็นเนื้อผ้าขุย ๆ สีเทา ๆ น่ะ) พอไปถึงเขาก็โยนให้คนละห่อ จากนั้นจ่าแย้ม (แกเป็นจ่าสรรพาวุธ ดูแลพวกอุปกรณ์แล้วก็ของใช้ของทหารทั้งหมด) แกก็จะขานทีละอย่าง ให้ทหารเช็คว่ามีไหม

   พอได้ของใช้ครบหมดทุกอย่างแล้ว จ่าแกก็พาขึ้นไปบนโรงนอน มันก็เป็นห้องกว้าง ๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้ามีประตูหน้าต่างตลอดทั้งความยาวห้อง ข้างในมีเตียงแบ่งเป็นสี่แถว สองแถวซ้ายนอนเอาหัวชนกัน สองแถวขวานอนเอาหัวชนกัน ตรงกลางกับริมทั้งสองข้างเว้นเป็นทางเดิน แต่ละเตียงจะมีตู้เก็บของ เป็นตู้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงเมตรกว่า ๆ ได้ สภาพก็ไม่ต้องพูดถึง บางตู้มือจับยังไม่มี แต่ไม่ต้องห่วง เขามีแม่กุญแจกับลูกกุญแจแจกให้ทุกคน

   อะไรต่อล่ะ...อือ...อ้อ จากนั้นก็ไปตัดผม ขนาดเราตัดผมมาจากบ้านแล้วนะ ทรงนักเรียนเลย ก็ยังต้องตัดอีก คราวนี้ก็สนุกพวกครูทหารใหม่เขาแหละ จับแบตตาเลี่ยนคนละอันแล้วก็ไถ ๆ บางคนก็ไถเป็นรูปดาวมั่ง อะไรมั่ง ถือว่าคลายเครียดไปได้บ้างเหมือนกัน

   กว่าจะตัดผมกันเสร็จก็เย็นพอดี จ่ายักษ์เป่านกหวีดเรียกรวมที่หน้าหน่วยฝึกฯ เพื่อตั้งแถวซึ่งก็แสนจะอลหม่านเพราะไม่มีใครรู้ว่าควรอยู่ตรงไหน เราก็ยืนไปทั่ว โดนคนนั้นคนนี้ผลักขึ้นมาเกือบหัวแถว จนจ่ายักษ์ทนไม่ไหวสั่งหมอบไปสองสามครั้งกว่าจะตั้งแถวกันได้ นรกต่อมาก็เดิน ใครจะไปคิดว่าไอ้การเดินให้มันพร้อมกันเนี่ยมันจะยากขนาดนี้ แต่จ่ายักษ์แกก็ไม่ได้ว่าอะไร



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 20:56:47 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   จากนั้นก็อาหารมื้อแรก

   เป้ เชื่อไหมเราจำได้แม่นเลย ข้าวมื้อแรกของชีวิตการเป็นทหารของเราคือแกงเขียวหวานไก่กับไข่ต้ม แล้วที่เขาบอกว่ามะเขือสองไร่ไก่สองตัวอ่ะ ไม่จริง เราขอเถียง ไอ้บ้า มะเขือสิบไรกับโครงไก่โครงเดียว อย่าได้ฝันว่าจะได้เห็นเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ อวบอ้วนลอยอยู่ในแกงให้นะ ไม่มีหรอก

   โรงเลี้ยง (AKAโรงอาหาร) ของหน่วยฝึกฯ เรามันไม่ใหญ่โตอะไรหรอก ก็เล็ก ๆ พอจุคนได้ร้อยกว่าคน พื้นปูกระเบื้อง หน้าตาข้างในก็คล้าย ๆ โรงอาหารโรงเรียนประถม มีช่องจ่ายอาหารอยู่ด้านหนึ่ง ด้านหลังเป็นประตูไปที่ล้างจาน โต๊ะที่ใช้กินข้าวก็เป็นโต๊ะไม้ติดกับเก้าอี้ มีฝาชีครอบข้าวกับกับข้าวไว้กลางโต๊ะ แถมด้วยขวดน้ำปลากับถ้วยพริกป่น

   ก่อนจะกินก็ขัดฉาก เป้ยังจำได้ใช่ไหมสมัยเรียนลูกเสือน่ะ ที่ต้องนั่งกับเก้าอี้ ยกแขนขึ้นมาขนานกับพื้น แขนซ้ายทับแขนขวา พอครูฝึกสั่งฉากก็ยกแขนซ้ายขึ้นแล้วก็ตบลงแขนขวาแรง ๆ ให้เป็นเสียงดัง ตอนแรกเราก็จำไม่ได้หรอก ต้องอาศัยดูไอ้คนที่มันมาถึงก่อนเอา (เออ เราลืมบอก คือก่อนเราจะมา มันมีคนมาถึงก่อนแล้วประมาณวันหรือสองวัน) แล้วจากนั้นก็ปฏิญาณตนก่อนรับประทานอาหาร โอย เราจะบอกว่าเหมือนลูกเสือเลย ไอ้ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อะไรนั่นนะ กว่าจะได้กินก็นั่นแหละปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง

   พอกินเสร็จก็เอาจานเอาช้อนไปล้าง มีที่คว่ำให้เรียบร้อย แล้วก็เป่ารวมเพื่อเดินกลับหน่วยฝึกฯ

   พอมาถึงหน้าหน่วยฝึกฯ จากยักษ์แกก็ชี้แจงว่าวันนี้ผู้กองจะลงมาอบรมช่วงก่อนขึ้นโรงนอน ให้ทุกคนอาบน้ำให้เรียบร้อย จากนั้นก็เป่าให้ทุกคนไปเตรียมเครื่องอาบน้ำ เราก็อาศัยดูจากไอ้พวกอยู่มาก่อนอีกนั่นแหละ มันก็มีพวกขันน้ำ สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู แล้วก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าหูหนีบ

   จากนั้นก็จ่ายักษ์ก็เป่ารวม บอกว่ามีเวลาแค่สามนาทีให้อาบน้ำ และไฮไลท์ก็คือ

   “ทุกคนต้องแก้ผ้า อย่าให้เหลือ” แล้วจ่ายักษ์ก็เปานกหวีด

   ตอนแรกส่วนใหญ่ก็เดินกันสบาย ๆ จ่ายักษ์ก็สั่งให้วิ่ง ทุกคนเลยวิ่ง เราก็วิ่งอ้อมไปด้านหลังหน่วยฝึกฯ ซึ่งมันจะมีโรงอาบน้ำอยู่ ข้างในก็อย่างที่เคยเห็นในหนังในละครนั่นแหละ กลางห้องจะเป็นอ่างน้ำ พวกทหารใหม่ก็แก้ผ้า ครูทหารใหม่ก็ตะโกน ‘เร็ว ๆ ๆ’ พวกเราก็รีบอาบ ๆ ๆ ไม่มีใครมองเห็นอะไรใครเลย เราพูดจริง ๆ ไม่มีใครมานั่งสนใจอะไรหรอก...อ่ะ โอเคมันก็มีโดนตัวอะไรกันบ้างแต่วินาทีนั้นไม่มีเวลามาแยแสหรอกว่าจะโดนอะไรกัน ไอ้พวกที่อยู่ติดอ่างน้ำก็คอยสาดน้ำมาข้างหลัง ไม่งั้นก็ต้องรีบอาบให้เสร็จเพื่อให้คนอื่นอาบบ้าง

   พออาบเสร็จก็ออกมาแต่งตัวข้างนอก ก็กลางแจ้งอ่ะ...ซึ่ง เราก็รู้สึกดีแบบแปลก ๆ นะ...ไม่รู้ว่ะ มันก็ให้ความรู้สึกอิสระดี...ยังไงก็เหอะ พอแต่งตัวเสร็จก็เอาเครื่องอาบน้ำไปเก็บบนโรงนอน แล้วก็รอเวลาเป่ารวม

   ครั้งแรกตอนที่จ่ายักษ์แกเอ่ยถึงผู้กอง เราก็คิดไปว่าน่าจะเป็นคนมีอายุหน่อย อย่างน้อยก็สี่สิบห้าสิบ ร่างกายกำยำใหญ่โต (ก็เป็นถึงผู้กองหน่วยฝึกฯ รบพิเศษหนิ) อะไรแบบนั้น แต่พอเจอตัวจริง แกเป็นผู้ชายตัวสูงอย่างมากก็ 160 ซม. อายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้า ผอมแต่ดูแข็งแรง เสียงดัง หน้าตาไม่ดุแต่ก็ไม่ใจดี ผิวคล้ำนิดหน่อย หัวเถิกเป็นมันวาวสะท้อนแสงไฟนีออนวิบวับ

   วันนั้นเราจำได้ว่าแกก็มาชี้แจงเรื่องความเป็นอยู่ การฝึก...เรียกว่าทำความเข้าใจดีกว่าว่าการปรับตัวจากพลเรือนมาเป็นทหารมันต้องเป็นยังไงบ้าง แล้วแกก็ถามขึ้นว่า “รู้ไหมว่าฝึกไปแล้วจะไปอยู่หน่วยไหนอะไรยังไงกัน” ทุกคนเงียบ ผู้กองแกก็หันไปมองจ่ายักษ์ จ่ายักษ์ก็ตะคอกว่า “มีคนบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนที่เลือกกันมาจากจุดคัดกรองน่ะ” คราวนี้เงียบยิ่งไปกันใหญ่ เงียบจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้อง (อันนี้จริง ๆ เพราะรอบ ๆ หน่วยฝึกฯ เป็นป่าหมด) คราวนี้ผู้กองแกก็ก้มหน้าดูกระดาษรายชื่อ   

   เป้ เราให้ทาย เขาเรียกชื่อใคร....

   “พลทหาร ตรีภพ หมายทินกร”

   เรารู้เลยไอ้อาการช๊อกของนางงามเวลาโดนประกาศชื่อเป็นไง อยากจะร้องให้ออกมาแต่ก็ต้องฝืนเก็บอาการแล้วขานว่า “ครับ” พร้อมกับลุกพรวดขึ้นยืน

   ผู้กองก็ถามว่า “ตอนเขาเขียนขอมือมาน่ะ เขาเขียนว่าอะไร” เราก็ตอบว่า “ร.ครับ” จ่ายักษ์ตะหวาดว่า “ดัง ๆ” เราก็พูดทวนคำเดินด้วยน้ำเสียงออกแนวตะโกนมากกว่า “เขาบอกไหมว่าย่อมาจากอะไร” เราก็บอกว่า “รบพิเศษครับ” เริ่มมีคนหัวเราะ รู้ตอนนั้นแหละว่าเราคงโดนเข้าให้แล้ว

   “กส.ล่ะ”

   “การข่าวกรองพิเศษครับ”

   “รพ.ล่ะ”

   “โรงพยาบาลปัตตานีครับ”

   “สห.ล่ะ”

   “สารวัตทหารครับ”

   “รด.ล่ะ”

   “รักษาชายแดนครับ”

   เท่านั้นแหละ แม่งปล่อยก๊ากกันทั้งกองร้อย แต่เราตอนนั้นรู้สึกอย่างอ้วกมากกว่า เป้ก็รู้ว่าเราไม่ชอบพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ รู้สึกขายหน้ายิ่งกว่าแก้ผ้าต่อหน้าคนเมื่อตอนเย็นอีก ทั้งขายหน้า ถูกหัวเราะเยาะ...บางอย่างก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย

   พอหัวเราะกันจนพอใจแล้ว ผู้กองก็ให้เรานั่งแล้วก็บอกว่า ร. คือ กองร้อยบริการ ที่ตั้งกองร้อยก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร กส. คือการสัตว์ อยู่ที่นครปฐม รพ.คือโรงพยาบาลค่าย อยู่ถัดจากค่ายที่เราอยู่ออกไป สห.ก็สารวัตรทหาร อยู่ติดกับกองร้อยบริการ รด.ก็หน่วยฝึกวิชารักษาดินแดน อยู่ติดกับหน่วยฝึกทหารใหม่นี่แหละ

   แล้วผู้กองแกก็ชี้แจงอีกสองสามเรื่อง ทั้งการวางตัว การเข้ากับคนอื่น ๆ ฟัง ๆ แกแล้วเราว่าแกก็เข้าใจหัวอกทหารเกณฑ์ดีมากเลยนะ คือแกรู้ว่าที่มานั่งอยู่ที่นี่น่ะ ไม่มีใครอยากมาหรอก แต่ก็ต้องมา ด้วยปัจจัยทั้งเรื่องงาน เรื่องหน้าที่ เรื่องครอบครัว แกก็ขอแค่อยู่ร่วมกันให้ได้ ผ่านการฝึกไปด้วยกันก็พอ

   พอแกชี้แจงจบก็ปล่อยให้จ่ายักษ์เรียกรวมที่หน้าหน่วยฝึกฯ สวดมนต์ ร้องเพลงชาติ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วก็เป่าขึ้นโรงนอน

   เราจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน แต่ทุกคนก็เริ่มเรียกเราว่า ‘ไอ้รบพิเศษ’ เราเกลียดฉายาไม่ว่าจะฉายาอะไรก็เหอะ เกลียดคนที่เรียกเราด้วยชื่อที่ไม่ใช่ชื่อเรา แถมยังหัวเราะเยาะใส่เราอีก...แต่เราจำที่เป้บอกเราได้นะที่เป้บอกว่า “ยิ่งเต้อทำท่าไม่ชอบ มันก็ยิ่งเรียกแบบนั้น แล้วมันก็จะกลายเป็นล้อ แต่ถ้าเต้อทำเป็นชอบ ทำเป็นเรื่องตลก มันก็จะเรียกแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ทางแก้ก็คือ ตะบันปากไอ้คนที่เรียกแบบนั้นสักคนสองคน แล้วเต้อก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้น แต่จะไม่มีคนเรียกเต้อแบบนั้นอีก หรือไม่ก็ช่างแม่ง มันก็แค่ชื่อที่คนอื่นเรียก ทำให้มันเป็นเรื่องตลก แล้วเต้อก็อาจจะมีเพื่อนที่เรียกเต้อแบบนั้นที่สักวันมันจะเริ่มเรียกเต้อด้วยชื่อจริง ๆ”

   ถึงตอนนี้เราจะยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี แล้วคนอื่นก็เรียกเราแบบนั้นกันหมดทั้งกองร้อยแล้ว...แต่ว่าเราคงไม่ไปต่อยปากใครเขาตอนนี้หรอก

   พอขึ้นโรงนอน จ่าแย้มก็มาสอนเรื่องผูกมุ้ง คือหน่วยเราบนโรงนอนไม่ได้ติดมุ้งลวด เวลาทหารนอนก็เลยต้องกางมุ้งนอน วิธีก็แค่เอาเชือกมาผูกกับหูมุ้งทั้งสี่มุม แล้วเอาเชือกอีกด้านไปผูกกับลวดสลิงที่ขึงไว้ตลอดแนวความยาวของโรงนอน เวลานอนก็เก็บชายมุ้งเข้าไปใต้ฟูก แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว

   พอแตรนอนดัง (มันเป็นเสียงเพลงที่ใช้แตรเป่า จะดังจากลำโพงไปทั่วค่ายทุกวัน เป็นสัญญาณว่าได้เวลานอนแล้ว ฟังครั้งแรกก็เพราะดี แต่พอฟังนาน ๆ เข้าก็หลอนเหมือนกัน ยิ่งมารู้ว่าเขายังใช้เล่นให้กับทหารที่เสียชีวิตด้วยยิ่งหลอน)

   พอไฟในโรงนอนดับ ทหารทุกคนก็พูดว่า “ราตรีสวัสครับครู” สามครั้ง แล้วก็เข้านอน

   คิด ๆ ดูแล้ว เราว่า วันแรกนี่แหละที่ได้นอนแบบสบายที่สุด


พลทหารเต้อไง
จะใครล่ะ



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 20:58:18 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราโคตรเกลียดทุกคนว่ะ

   นี่เราพูดจริง ๆ นะ มีแต่คนเรียกเราว่า ไอ้รบพิเศษ ๆ อยู่นั่นแหละ ตอนนี้ก็ลามไปถึงครูฝึกกับพวกครูทหารใหม่แล้ว เราก็พยายามยิ้มสู้เหมือนเป้บอกนะ แต่บางทีเราก็ไม่ชอบว่ะ แม่งเอ๊ย

   ตอนนี้ที่กองร้อยเราก็แบ่งหมวดกันเรียบร้อย เป็น อัลฟ่า บลาโว่ ชาลี เดลตา...โคตรจะอินเตอร์แนดชะนั่น เราอยู่หมวดบราโว่...เป็นต.เต่าคนเดียวในหมวดอีกต่างหาก...อยู่ที่ไหนเราก็เป็นแกะดำตลอดเลย จริงสิเราลืมบอก เขาแบ่งหมวดตามตัวอักษรชื่อ ก.ถึง ฮ. พอแบ่งหมวดเสร็จจ่ายักษ์ที่มาเป็นจ่าประจำหมวดเราก็ให้แนะนำตัวบอกชื่อแซ่อะไรพวกนั้น เหมือนวันแรกที่เปิดเทอมน่ะ ตอนนี้เราก็ยังจำชื่อพวกมันไม่ได้ทุกคนหรอก มีกันตั้งสามสิบสองคน ใครจะไปจำหมดวะ

   ส่วนเรื่องฝึก ตอนนี้เราก็ยังฝึกพวกท่าพื้นฐานกันอยู่ พวกซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ถอดหมวก หมอบ ท่าจัดแถว อะไรแบบนั้น ซึ่งแต่ละวัน...จริงดิ เรายังไม่ได้เล่าเลยนี่ว่าช่วงเช้าเราทำอะไรบ้างตั้งแต่ตื่นนอน งั้นเราเล่านะ

   ช่วงเช้า หลังจากตื่นนอน (ตอนตื่นนอน พอแตรตื่นดัง ก็ต้องตะโกนว่า อรุณสวัสดิ์ครับครู 3 ครั้งด้วย) ก็ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วขึ้นมาใส่รองเท้าถุงเท้าให้เรียบร้อยเตรียมตั้งแถวออกไปวิ่งรอบสนามในหน่วยฝึกฯ พอวิ่งเสร็จก็กลับมากายบริหาร พอเสร็จก็แยกย้ายไปทำความสะอาดรอบ ๆ หน่วยฝึกฯ พวกเก็บขยะ ล้างห้องน้ำ กวาดพื้น อะไรแบบนั้น หลังจากนั้นก็รอจ่าเป่านกหวีดรวมตั้งแถวเคารพธงชาติ แล้วจ่าเวรก็จะแจกแจงว่าหมวดไหนจะเข้าฐานฝึกอะไร อ้อ จ่าเวร ก็คือ จ่าที่เข้าเวรกำกับดูแลการฝึกทหารใหม่ในแต่ละวัน ชื่อเต็ม ๆ ว่า จ่าเวรรักษาการณ์ คือ รักษาการแทนผู้ฝึกที่เป็นผู้กองนั่นแหละ คนที่เข้าเป็นจ่าเวรจะใส่ปลอกแขนสีแดงเป็นสัญลักษณ์ คู่กับผู้ช่วยที่เป็นครูทหารใหม่หนึ่งคน

   พอแจกแจงเสร็จก็จะจำหน่ายเวรโรงเลี้ยง คือ ทุกวัน จะมีสองหมู่ (คือ หนึ่งหมวดจะมี 4 แถว เท่ากับ 4 หมู่ 2 หมู่ก็คือประมาณครึ่งหนึ่งของ 1 หมวด) ที่ต้องทำหน้าที่ไปโรงเลี้ยงก่อนเวลาข้าวเที่ยงประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อจัดถ้วยชามให้แต่ละโต๊ะ ตักข้าว จัดช้อนให้พอดี พอทหารใหม่กินข้าวเสร็จก็ต้องอยู่ต่อเพื่อทำความสะอาดโรงเลี้ยง เก็บจานของครูฝึกและครูทหารใหม่ไปล้าง (บางคนก็ล้างเอง) พอเสร็จก็กลับไปฝึกต่อ หน้าที่เวรโรงเลี้ยงก็จะวน ๆ กันไปทุกหมวด

   เวรโรงเลี้ยงถือว่าสบายแล้วก็เป็นไฮไลท์ที่เราตั้งหน้าตั้งตารอ เพราะมันสบายไม่ต้องฝึก ถึงจะรวมกันทั้งสามมื้อก็แค่ชั่วโมงครึ่งก็เหอะ แค่ได้มีเวลานั่งตากพัดลมเย็น ๆ ในโรงเลี้ยงก็ฉ่ำแล้ว แล้วพี่โรงเลี้ยงที่เป็นทหารประจำโรงเลี้ยงแกก็ใจดี ชื่อพี่กล้ากับพี่เก่ง ถึงจะชื่อคล้องจองกันแต่แกก็ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันนะ ดูหน้าก็รู้ว่าดีด แต่นิสัยดี ชอบเอาขนมมาให้เวรโรงเลี้ยงกิน พวกขนมถุงหรือไม่ก็ไข่ต้มที่เหลือ ๆ จากมื้อเช้า บางวันใจป๋าหน่อยก็แจกบุหรี่ให้ดูดกัน แต่ก็ต้องแอบ ๆ นะ ไม่งั้นโดนจับได้ก็เกม โดนซ่อมกันยกชุดเวรเลี้ยงเหมือนกัน

   แล้วอาทิตย์นี้ก็มีอีกอย่าง คือต้องเลือกบัดดี้ ก็ไอ้คนที่มีรายชื่ออยู่ถัดจากเรานั่นแหละ เราได้บัดดี้ชื่อซ่า ชื่อจริงมันชื่อ ดนัย พงษ์เทพ เป็นคนตัวสูง ผอม หน้าตางั้น ๆ ผิวออกขาวเหมือนคนจีน เป็นคนนครปฐมเลยพูดติดเหน่อ แต่โคตรน่ากลัว สักยันต์ลายทั้งตัว คิดว่าคงเคยติดคุกไม่ก็ค้ายามาแน่ ๆ เราเลยไม่กล้าคุยอะไรกับมัน แต่คงต้องรีบคุยแล้วแหละ เพราะจ่ายักษ์บอกว่าเดี๋ยวจะสุ่มถามเรื่องส่วนตัวบัดดี้

   “บัดดี้มึงชื่ออะไร ชื่อจริง ชื่อเล่น เป็นคนที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร เลขที่บ้าน เบอร์โทรติดต่อ มึงต้องรู้ ไม่รู้มึงเหนื่อย...ทราบ!”

   แล้วเราก็มองหน้าไอ้ซ่า...มันก็มองหน้าเรา แล้วต่างคนต่างก็ไม่ได้คุยอะไรกัน

   มันยากและเหนื่อยนะ ไอ้การเป็นทหารเนี่ย ทั้งเรื่องกฎระเบียบ การฝึก ความกลัวในใจ การทำโทษ คำขู่ของครูฝึก ไหนจะการต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นแบบนี้ ทุก ๆ วันมันเป็นเหมือนห้วงเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทหารหลายคนบ่น หลายคนเริ่มป่วยเพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน เราสังเกตว่าหลายคนเริ่มเงียบและสีหน้าไม่ค่อยมีความหวังมากนัก เหมือนแจกันแก้วที่เริ่มร้าวรอวันจะแตก ทุกคนต้องมีวันนั้น เรารู้ และสำหรับเรามันก็มาเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก

   มันเป็นวันธรรมดาอีกวัน ทุกคนนั่งอยู่ในห้องประชุมรอเวลาขึ้นโรงนอน แล้วจ่าติ๋มที่เป็นจ่าเวรวันนั้นก็เดินเข้ามาในห้อง หยิบสมุดบันทึกของใครสักคนขึ้นมา (ทหารทุกคนจะได้รับแจกสมุดปกลายไทยกับปากกาคนละชุดเอาไว้ใช้จดบทเรียนและปรกติจะจ่าจะสั่งให้ทหารทิ้งสมุดไว้ในห้องประชุม ทำให้ใครจะมาเปิดอ่านก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ทหารจะเอาสมุดมาเขียนบันทึกกันเสียหมด เรายังเอามาเขียนจดหมายถึงเป้เลย)

   “การันต์ คงพิสุทธิ์” แกอ่านชื่อบนปกสมุด “คนไหนวะ”

   ทหารคนหนึ่งยกมือ ขานรับ แล้วยืนขึ้น

   “สมุดมึงเหรอ” จ่าแกถามแล้วก็โบกสมุดไปมา เจ้าของสมุดพยักหน้า “มึงพยักหน้าเหรอ!”

   “ครับ! ของผมครับ!” ไอ้การันต์รีบขานรับก่อนถูกพุ่งหลัง

   จ่าแกนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกที่อยู่กลางหน้าห้อง โบกมือให้ไอ้การันต์นั่งลง แล้วเริ่มเปิดหน้าสมุด


   “วันที่ xx/xx/xxxx
   สุขสันต์วันเกิด วันเกิดเราเองแหละ ปีนี้ก็อายุ 22 แล้ว เป็นวันเกิดที่แปลกที่สุดเท่าที่เราเคยมีเพราะตอนนี้เราอยู่ในค่ายทหาร มาเป็นทหารเกณฑ์ ไม่มีใครรู้หรอก เพราะเราไม่ได้บอกใคร อยากบอกว่าเราเหนื่อยมาก ไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่รู้จักใครสักคน ใจก็เหงาเหมือนกัน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ ไม่รู้ว่าจะมีใครช่วยเขาทำไร่หรือเปล่า ป่านนี้คงกำลังลงตัดอ้อยกันแล้ว คิดถึงที่บ้าน คิดถึงแนน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงมั่ง จ่าก้องชอบขู่ว่าเมียทหารใหม่ชอบเลี้ยว เข้าใจป่ะ เลี้ยวคือไปมีแฟนใหม่ไง แต่เรารู้ว่าแนนไม่หนีเราไปไหนหรอกจริงไหม? ก็สัญญาไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่นี่เราเหงามากเลย เพื่อนก็ไม่มี แต่โชคดีว่าเรามีบัดดี้แล้ว ชื่อไอ้สม มันเป็นคนดีมากแล้วก็ตลกมากด้วย

   แนน เราคิดถึงเธอนะ ตั้งแต่คบกันมาห้าปีแนนไม่เคยลืมวันเกิดเราเลย ซื้อเค้กให้กินตลอด เรายังจำไม่เคยลืมเลยว่าครั้งแรกที่เราเป่าเทียน แนนบอกว่าอย่ารีบเป่า อธิษฐานก่อน ความจริงเราไม่เชื่อหรอก ใครมันจะไปเชื่อเรื่องแบบนี้จริงไหม แต่เราก็ทำท่าอธิษฐานแล้วก็เป่า แนนบอกว่าอย่าบอกใครว่าเราอธิษฐานว่าอะไร ไม่งั้นมันจะไม่เป็นจริง หลังจากนั้นทุก ๆ ปีเราก็เริ่มเชื่อมากขึ้นว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้ เพราะทุกปีเราจะอธิษฐานเหมือนเดิม...ขอให้แนนยังอยู่กับเราแบบนี้ต่อไปอีกปี แล้วมันก็เป็นจริงทุกปี แนน แนนทำให้ชีวิตเราดีขึ้นมากนะ จากคนที่ไม่คิดจะทำอะไร อยู่ไปวัน ๆ แต่พอมาเจอกับแนนเราก็อยากจะเป็นคนที่ดีกว่าแต่ก่อนเพื่อให้พ่อแม่แนนเห็นว่าเราดีพอสำหรับแนน เรารักแนนนะ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาบ่อย ๆ แต่เรารักแนนจริง ๆ สักวันเราจะเป็นคนที่ดีกว่านี้แล้วจะแต่งงานกับแนน...”



   แล้วเราก็น้ำตาไหลตอนนั้น เราร้องไห้เหมือนคนไม่เคยร้องไห้มาก่อน ทั้งความเหงา ความเศร้า ความกลัว ทุกอย่างมันไหลทะลักออกมา บันทึกของไอ้การันต์ทำให้เราคิดถึงเป้ คิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้กอดและรักกัน...ถ้าวันนั้นเราไม่ลืม ถ้าวันนั้นเราไม่เผลอหลับไป เรื่องทุกอย่างคงยังเหมือนเดิม เป้ก็คงยังอยู่ตรงนี้ กับเรา...

   เรื่องต่อจากนั้นเป็นเหมือนภาพในความฝัน จ่าก้องให้ครูทหารใหม่ยกเค้กออกมา ไอ้การันต์ที่ตอนนี้ร้องไห้จนตาแดงเดินออกมาเป่าเค้ก หลายคนในกองร้อยร้องไห้และตบมือ เราแบ่งเค้กกันกิน ก่อนจะขึ้นโรงนอน



พลทหารเต้อ
พลทหารที่แตกสลาย


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 20:59:48 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราจะไม่โกหกเป้นะ แต่ไอ้การเป็นทหารนี่มันก็มีข้อดีหลายอย่าง

   หนึ่งในนั้นก็คือการได้เห็นผู้ชายแก้ผ้าอาบน้ำทุกวัน อย่าเพิ่งโกรธนะเป้ เราไม่ได้คิดอะไรเลยแต่ไอ้การที่จะห้ามใจไม่มองมันก็แทบเป็นไปไม่ได้ แล้วส่วนใหญ่มันก็ไม่ได้น่าดูนักหรอก แต่ก็มีสองสามคนที่ทำให้เราตั้งตารอเวลาอาบน้ำ เขียนไปก็รู้สึกเหมือนเป็นคนหื่นกาม ยังไงก็เหอะ กองร้อยเราก็มีคนหน้าตาดีอยู่หลายคนนะ แล้วก็อย่างที่เป้รู้ เราชอบคนตัวเล็ก ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผู้ชายคนแรกที่เราหลงรักก็คือโฟรโด้จากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์...ไอ้บ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าเราเขียนแบบนั้นลงไป

   อย่างไอ้แก้ว ที่อยู่หมวดเดลต้า มันเป็นคนตัวเล็ก ๆ ไม่อ้วนไม่ผอม พูดจาเหน่อสุพรรณซึ่งเราคิดว่าน่ารักดี แล้วก็ไอ้จอมพล ที่อยู่หมวดอัลฟ่า ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นลูกคนมีเงิน ผิวขาวเนียนไปทั้งตัว เรียนจบนอก แถมยังคุยเก่ง ยิ้มน่ารัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรากับมันสลับกางเกงกัน ตอนใส่เราก็ว่าคับ ๆ พอมันเดินมาก็หัวเราะ บอกว่ากางเกงมันเพราะมันเขียนชื่อไว้ที่เอว เราก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ถอดคืนให้

   ส่วนไอ้ซ่า เป้เชื่อไหม จากตอนแรกที่เราคิดว่ามันเป็นคนน่ากลัว มาตอนนี้เราถึงรู้ว่าที่จริงมันเป็นคนติ๊งต๊อง...เราเคยเล่าแล้วใช่ไหมว่ามันเป็นบัดดี้เราแล้วเราก็ต้องพยายามคุยกับมัน ถามมันเรื่องส่วนตัวเยอะแยะ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่ามันเป็นคนใช่ได้คนหนึ่งเลยแหละ เรียนจบม.ปลายเหมือนกัน แต่มันทำงานเป็นพวกช่างทำอะลูมิเนียม พวกมุ้งลวดอะไรแบบนั้น มันบอกว่าถ้าหลุดทหารแล้วจะย้ายไปทำงานอู่รถใหญ่ ๆ เงินดีกว่า แล้วมันเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ อย่างวันดีคืนดีก็เรียกเราไปที่เตียงมัน (เตียงมันกับเตียงเราติดกัน เพราะหลังจากเลือกบัดดี้ จ่าก็ให้คนที่เป็นบัดดี้กันนอนข้างกัน) ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็เปิดประตูตู้เก็บของ เราถามว่ามีอะไร มันก็ดึงกางเกงลงพรืด เรางี้แทบตั้งตัวไม่ทัน ในใจคิด เอาแล้วไง แฟนตาซีทางเพศเราจะเป็นความจริงก็วันนี้แหละวะ! (เป้ เราพูดเล่น อย่าโกรธนะ) แต่ไม่ใช่ มันเอามือจับจู๋มันโชว์ให้เราดู บอกว่าแสบ ไม่รู้เป็นไร เราก็บอก เอ้า มาบอกเราทำไม ไปหาจ่าเหน่ง (จ่าเสนารักษ์) สิ มันบอกมันอาย อะไรของมันวะ เราก็ต้องเป็นธุระพามันไปหาจ่าเหน่งอีก พอไปถึงจ่าก็ดูให้ แล้วก็บอกว่าคงเสียดสีกับกางเกง เพราะกางเกงผ้ามันแข็ง แล้วไอ้ซ่าก็ไม่ได้ใส่กางเกงในตอนฝึก อีกสองสามวันถ้าไม่หายให้ไปหาแกใหม่ ไอ้ซ่าทำท่าโล่งอก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกว่า ‘นึกว่าจะต้องตัดทิ้งซะแล้ว’ ติ้งต้องจะตาย แล้วตอนฉีดยาอีก คือเวลาทหารใหม่เข้ามาเกณฑ์ทหารแรก ๆ มันจะต้องมีฉีดยาใช่ไหม พวกเราดีหน่อย หน่วยฝึกฯ อยู่ใกล้โรงพยาบาลเลยได้ไปฉีดที่โรงพยาบาลเลย แล้วนายทหารหญิงที่เป็น ผบ. โรงพยาบาลค่าย ก็มีอบรมเรื่องฮีทสโตรก AKA โรคลมแดด ที่มักจะเกิดกับทหารใหม่ที่ยังปรับตัวให้เข้ากับอากาศร้อนไม่ได้ อาการมันก็คือเป็นลมเพราะร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน เสียงเกลือแร่มาก “ร่างกายคนเราก็เหมือนกาต้มน้ำร้อนน่ะ เวลาเราต้มน้ำจนเดือดแล้วถอดปลั๊กออก น้ำข้างในก็จะยังร้อนอยู่ถึงผิวข้างนอกจะเย็นก็ตาม เพราะงั้นต่อให้เอาผู้ป่วยเข้าที่ร่มก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ที่ต้องทำก็คือระบายความร้อนจากภายในซึ่งต้องใช้ความชำนานของแพทย์ ทางที่ดีอย่าให้ป่วยเป็นโรดลมแดดเด็ดขาดเพราะถ้าร้ายแรงมาก ๆ ก็จะทำให้อวัยวะภายในหรือสมองสุกจนเหมือนโดนต้มและหยุดทำงาน หรือถ้าโชคดีหน่อย (หรือโชคร้ายก็ไม่รู้นะ) ก็จะนอนเป็นผักไปตลอดชีวิต” น่ากลัวฉิบหาย พวกครูฝึกก็กลัวนะไม่ใช่ไม่กลัว เพราะหน่วยฝึกฯ เราอยู่ใกล้ บก. (กองบัญชาการ เป็นคล้าย ๆ ออฟฟิศทำงานของนายทหารสูง ๆ อ่ะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกก็ทำงานที่นี่) ถ้าเกิดอะไรขึ้นถึงหู บก. แน่ ๆ ทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรร้ายแรงกับทหารใหม่ (อันนี้ครูทหารใหม่กับจ่าพูดให้ฟังนะ เราก็ฟัง ๆ แล้วจับใจความมาปะติดปะต่อกัน เขาไม่พูดตรง ๆ หรอก)

   กลับเข้าเรื่องฉีดยานะ ไอ้ซ่าที่เห็นสักยันต์ทั้งตัวนี่แหละ เห็นเข็มแล้วหน้าซีดเลย มองเราแล้วถามว่า “เขาฉีดไรกันวะ”

   เราก็บอก “ไม่รู้ เพราะไม่มีใครบอกว่าเป็นยาอะไร รู้แค่ว่าต้องฉีดแต่มันคงไม่ทำให้ตายหรอกมั้ง เขาก็ฉีดกันทุกผลัด”

   ไอ้ซ่าก็หน้าเสีย เราก็ถาม “เป็นไรหรือเปล่า” มันก็ไม่ตอบ

   พอถึงคิวเราไอ้ซ่าก็ยืนต่ออยู่ข้างหลังเราใช่ไหม แล้วก็ต้องเจาะเลือดตรวจด้วย พอหมอเจาะเลือดเรา ไอ้ซ่าเห็นเลือดวิ่งอยู่ในหลอดฉีดยาแล้วเป็นลมหงายหลังไปเลย ดีว่าหัวไม่ฟาดพื้น เราโคตรตลกอ่ะ พอฟื้นขึ้นมาก็ขอต่อรองกับจ่า บอกฉีดยาแต่ไม่เจาะเลือดนะครับ แต่จ่าไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องเจาะแล้วตอนเจาะเหมือนเด็ก ๆ คือมันก็นั่งใช่ไหมแล้วมันก็เรียกให้เรามายืนข้าง ๆ เอาแขนโอบเราแน่นแล้วซุกหน้ากับเอวเรา หัวเราะทั้งกองร้อย พอเสร็จเท่านั้นแหละ ยิ้ม บอกเสร็จแล้วเหรอ (เป้ มันเพื่อนเรานะ อย่าโกรธเลย ไม่มีอะไรจริง ๆ)

   แล้วไม่ใช่มันคนเดียวหรอก มีอีกหลายคนที่เห็นเหี้ยม ๆ หน้าอย่างกับมหาโจร เจอเข็มนางพยาบาลเข้าไป ร้องกันอย่างกับเด็ก

   พอกลับมาก้องร้อยมีแต่คนหัวเราะเรากับไอ้ซ่า บอกมึงเป็นคู่เกย์กันเหรอ ไอ้ซ่าแทนที่จะอารมณ์เสีย ดันมาทำท่าเด้าสะโพกอยู่ข้างหลังเราอีก ไอ้ห่า ถ้ามันรู้ว่าเราเป็นเกย์มันจะไม่ทำแบบนี้แน่นอน

   หลังจากเรื่องวันเกิดของไอ้การันต์ผ่านไป ไม่รู้ทำไม เรารู้สึกดีขึ้นมากเลยว่ะ มันเหมือนตัวเราเป็นแก้วที่ร้าวมานาน เจ็บปวด กลัวว่าตัวเองจะแตกเป็นเสี่ยง ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เราก็กลัว กลัวความเปลี่ยนแปลงนั้น กลัวว่าไอ้สิ่งที่อยู่ข้างในมันจะกระจัดกายไปทั่วทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่วันนั้นเราก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ จนไม่เหลือชิ้นดี รู้สึกแพ้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แข่งขัน (อย่าฮำเพลง “ไม่แข่งยิ่งแพ้” ของพี่เบิร์ดนะเป้ แล้วเพลงก็โคตรเก่าเลย จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เข้าใจว่าเป้ทำไมชอบฟังเพลงเก่า ๆ นัก) แต่มันไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้สึกเศร้า อาจจะเหงานิดหน่อย แต่ก็ไม่นานเพราะมีแต่เรื่องต้องทำ มีแต่คำสั่งที่ต้องทำตาม แล้วยังเพื่อนในหมวดอีก...

   เออ เราลืมบอกไป เราได้เป็นหัวหน้าหมวดด้วย ถึงจะแค่อาทิตย์เดียวก็เหอะ ตลกจริงไหม? ใครจะไปคิดว่าคนอย่างเราจะเป็นหัวหน้าคนอื่นกับเขาได้ เรื่องของเรื่องก็คือหลังจากฝึกมาได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ จ่าเชษฐ์ (เป็นจ่าประจำหมวดเราอีกคน คือหมวดหนึ่งจะมีจ่าประจำหมวดประมาณสามคน ของเรามี จ่ายักษ์ จ่าเชษฐ์ แล้วก็จ่าแมน) ก็มาเลือก วิธีการเลือกง่ายมาก จ่าให้พวกเราตั้งแถวหน้ากระดานแล้วแกก็เดินดูหน้าทีละคน ถามคำถามแปลก ๆ อย่าง เมื่อคืนชักว่าวไหม เมื่อเช้าที่โต๊ะกินข้าวมีไข่กี่ฟอง เมียจ่าแกชื่ออะไร (ใครจะไปรู้วะ) พอมาถึงเรา ก็แซวเรื่องรบพิเศษ เรียกเรา “นี่มันไอ้รบพิเศษนี่หว่า...ไหน ๆ ออกมายืนข้างนอกสิ” แล้วดึงเราให้เดินหน้าขึ้นมาสองก้าว ให้เราลองวันทยหัตถ์ ซ้ายหัน ขวาหัน หมอบ ดันพื้นท่าเตรียม เราก็ทำตาม สักพักก็เงียบไป ตัวเราตอนนั้นก็อยู่ท่าดันพื้นท่าเตรียม ก็ท่าวิดพื้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าแกทำอะไร พอสักพักจ่าเชษฐ์ก็สั่งให้เราลุกขึ้นยืนแล้วก็บอก “มึงเป็นหัวหน้าหมวดนะ ไป กลับไปเข้าแถว” แค่นั้นแหละ เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เหมือนกัน (แกมาบอกเราทีหลังว่า “มีมึงคนเดียวที่สบตากูตอนเดินผ่าน” ซวยแท้ ๆ)

   จากนั้นความบรรลัยก็บังเกิดสิครับ เพราะหัวหน้าหมวดมีหน้าที่จำหน่ายคนในหมวดเวลาตั้งแถว ตอนนอน หรือตอนที่จ่าสั่งให้รายงาน คือ เวลาจะทำอะไรก็ตาม ทหารต้องตั้งแถวแล้วนับจำนวนว่าครบไหม วันหนึ่งก็นับแทบจะเป็นร้อย ๆ รอบ วิธีก็สั่งให้คนในหมวดนับจำนวนคน ขาดก็ต้องไปหาว่ามันอยู่ไหน อาจจะหลงไปอยู่กับหมวดอื่น นอนป่วยอยู่ที่เต็นท์พยาบาล หรือจ่าเรียกไปใช้งานทำอะไรหรือเปล่า ซึ่งถ้าหาไม่เจอเราก็ซวย จากนั้นก็ต้องไปรายงานกับหัวหน้ากองร้อย (ก็ทหารใหม่นี่แหละ เลือก ๆ กันมาว่าใครดี) หัวหน้ากองร้อยเราเป็นหลานของจ่ายักษ์ (ที่รู้เพราะนามสกุลเดียวกัน) อยู่หมวดชาลี เป็นคนตัวไม่สูงมาก ผิวดำแดง ชื่อไอ้เล็ก

   เวลารายงานก็พูดดัง ๆ ว่า “หมวดบลาโว่ ยอดเดิมเท่านี้นาย จำหน่ายป่วยเท่านี้นาย จำหน่ายโรงเลี้ยง (ถ้าเป็นเวรเลี้ยง) เท่านี้นาย คงแถวเท่านี้นาย ครับ” แบบนี้

   ส่วนเรื่องที่เราโดนปลดออกจากหัวหน้าแม่งโคตรจะไม่ยุติธรรมเลย คือ หลังจากเราฝึกกันมาได้ประมาณสองอาทิตย์ คนในแถวเราหายไป มันชื่อไอ้เหมา คือมันเป็นคนเงียบ ๆ รูปร่างท้วม ทำอะไรจะช้า ๆ หน้าตาซื่อ ๆ พูดเหน่อเพราะบ้านอยู่เมืองกาญฯ เรียนไม่จบป.หกด้วยซ้ำ เราเห็นแล้วแหละว่ามันดูไม่ค่อยไหว หน้าตาเหนื่อยตลอด เราพยายามคุยกับมันว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไหวไหม จะไปเต็นท์พยาบาลหรือเปล่า (มันเป็นหน้าที่ของหัวหน้าหมวดน่ะที่จะต้องคอยสังเกตคนในหมวด) แล้วบัดดี้มันก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร คือเราจะบอกว่าถ้าทหารใหม่เจอบัดดี้ดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอบัดดี้เฮงซวยก็เหมือนตกนรก เพราะทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ตอนดึก ๆ จะเข้าห้องน้ำก็ต้องเรียกไปพร้อมกัน ถ้าคนหนึ่งไม่ไปอีกคนก็ไปไม่ได้ แล้วบัดดี้ไอ้เหมาเป็นคนแบบ...ให้เราพูดตรง ๆ ก็ขยะว่ะ คือมันไม่เอาอะไรเลย วัน ๆ ก็คุยแต่เรื่องติดคุกที่มันเคยไปติดมา หรือไม่ก็เรื่องยา หาเรื่องคนไปทั่ว ใครมองหน้าก็ถ่มน้ำลายลงพื้น ครูทหารใหม่มองหน้าก็มองกลับเหมือนอยากมีปัญหา แล้วชอบด่าไอ้เหมาว่าไอ้ถั่วงอก (บ้านไอ้เหมาปลูกถั่งงอกขาย เราก็ไม่เข้าใจมันไม่มีตรงไหนวะ) ตบหัวไอ้เหมาแรง ๆ หลายคนในหมวดเราก็เกลียดขี้หน้ามัน ตัวเราเองก็ไม่ชอบที่มันทำเหมือนกันแต่เราก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรด้วย...ให้เราพูดจริง ๆ เราก็กลัวมันจะมาทำอะไรเราเหมือนกัน คนแบบนี้ จะลุกขึ้นมาเอามีดปาดคอฆ่าคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...เป้ เรานี่โคตรขี้ขลาดเลยเน้อ แล้วไอ้ความขี้ขลาดของเรานี่แหละถึงทำให้เราได้บทเรียนที่โคตรจะแสบหน้าเลย

   กลับเข้าเรื่องนะ ถึงตอนไหนแล้วล่ะ...อ้อ ตั้งแถวตอนเย็น คือหลังจากกลับมาจากกินข้าว จ่าเวร (วันนั้นเวรจ่าเชษฐ์) แกเห็นว่าเย็นมากแล้วเลยเร่งให้พวกเราจำหน่ายทหาร เราตอนนั้นก็สะเหล่อเลินเล่อเองแหละ ใช้วิธีกะด้วยสวยตาไม่ได้ให้คนในหมวดนับ แล้วก็จำหน่ายว่าครบ แล้วจ่าแกก็ปล่อยไปอาบน้ำ แล้วก็เรียกตั้งแถวอีกครั้งตอนอาบเสร็จ คราวนี้แกก็ให้นับจำนวนคนก่อนจะร้องเพลงชาติตอนเย็น ปรากฏว่าคนในหมวดเราหายไป ตอนแรกที่คนขาดเรายังคิดว่ามันนับผิด เผลอโวยคนในหมวดไปว่า “นับดี ๆ ดิ” พอนับอีกรอบก็เจอว่าคนขาดอีก ทีนี้เราหน้าชาเลย คนในหมวดก็เหวอรับประทาน หันซ้ายหันขวา ทำอะไรไม่ถูกก็ลองมองดูดี ๆ ก็ถึงรู้ว่าไอ้เหมาหายไป เราก็รีบไปบอกจ่า พอดีกับหัวหน้าหมวดเดลต้ากำลังบอกเรื่องคนหายเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าทหารใหม่หายไป 2 คน ทีนี้พวกจ่าวุ่นวายกันยกใหญ่ สองสามคนเอามอเตอร์ไซออกตามหา พวกครูทหารใหม่ก็เดินไปหารอบ ๆ นอกหน่วยฝึกฯ พวกหัวหน้าหมวดรวมเรากับหัวหน้ากองร้อยก็เดินหาแถว ๆ หน่วยฝึกฯ ไปถึงโรงเลี้ยง คือรอบ ๆ หน่วยฝึกฯ มันเป็นป่า ไม่ได้รกอะไรมาก ก็เดินหากันไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นพวกเรายังพูดกันติดตลกเลยว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย มึงจะมาพริซั่นเบรคอะไรกันตอนนี้วะ คิดว่าเป็นไมเคิล สกอฟิวหรือไง” (เป้ก็รู้ว่าเราเป็นติ่งซีรี่ย์เรื่องนี้) พวกเราก็เดินหา ๆ กันในป่า ปากก็ตะโกนเรียกมันไปเรื่อย ๆ จนไปถึงโรงเลี้ยง ถามพี่โรงเลี้ยงว่าเห็นทหารใหม่บ้างไหม ก็ไม่มีใครเห็น (พี่เก่งยังหัวเราะ บอก “ไอ้พวกหนีแม่งบ้าฉิบหาย คิดจะเดินกลับบ้านหรือไงวะ ตังค์ก็ไม่มี ทำไมแม่งไม่มาหากูนี่ เดี๋ยวกูให้ตังค่ารถกลับบ้าน” แกบอกแบบนั้นแล้วก็หัวเราะแถมยื่นบุหรี่ให้พวกทหารใหม่สูบ แต่เราเดินออกมาก่อน)

   พอเดินกลับมาถึงหน่วยฝึกฯ ก็รายงานจ่าว่าไม่เจอ จ่าเชษฐ์ที่ปรกติดูเป็นคนรั่ว ๆ ตลก ๆ ตอนนี้แกก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ หน้าตาเครียดอยู่เหมือนกัน ทหารใหม่ก็นั่งอยู่หน้าหน่วยฝึกฯ ที่เป็นถนนยางมะตอย มีไฟสปอตไลต์ให้แสงพอมองเห็น ถึงจะแค่สองทุ่มแต่มันก็มืดมากจนแทบมองอะไรไม่เห็นถ้าไม่มีแสงไฟ

   ผ่านไปชั่วโมงกว่า โทรศัพท์จ่าเชฐษ์ก็ดัง แก่เดินไปคุยอยู่ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมาบอกว่าเจอตัวแล้ว พวกเราก็ตบมือหัวเราะเสียงดัง เอาจริง ๆ เราตอนนั้นใจหนึ่งก็อยากจะให้ไอ้เหมาหนีไปจนรอดนะ คือมันไม่มีความสุขเลย ดูหน้าก็รู้ มันปรับตัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้แถมยังโดนบัดดี้มันแกล้งตลอด

   อีกสักพักมอเตอร์ไซของจ่าแมนก็เข้ามาจอด มีไอ้เหมากับเพื่อนที่หนีไปกับมันอีกคนซ้อนท้ายมาด้วย พวกเราก็พากันตบมือต้อนรับเหมือนเป็นวีรบุรุษสงคราม จากเชษฐ์ก็หันมาตวาดว่าพวกมึงดีใจอะไรกันวะแล้วก็หัวเราะกันออกมา

   แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ รถกระบะก็วิ่งมาจอดที่หน้าหน่วยฝึกฯ จ่าเชษฐ์หน้าถอดสีและก็สั่งให้พวกเรายืนตรง คนที่เดินลงมาจากรถก็คือผู้กอง แกอยู่ในชุดธรรมดา เสื้อยืดกับกางเกงฟุตบอล มาถึงแกก็ตวาดเสียงดังว่า “ทหารหายเหรอจ่าเชษฐ์” จ่ารีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่าครับ พอผู้กองเห็นไอ้สองคนนั้นนั่งอยู่ก็บอกว่า “สองคนนี้เหรอ...พวกมึงลุก ขึ้นไปรอข้างบน” แกหมายถึงไปรอที่มุขกลางชั้นสองของโรงนอนซึ่งเป็น บก.หน่วยฝึกฯ (มันก็ห้องทำงานของแกกับจ่า ๆ นั่นแหละ)

   ทีนี้แกก็หันมาทางแถวทหาร “หัวหน้าหมวด ออกมานี่” แกสั่งเสียงดัง พวกเราสี่คนก็เดินออกไป ตอนนั้นใจเราหล่นไปที่ตาตุ่ม แกก็ถามว่าไอ้สองคนนี้มาจากหมวดไหน เราก็ขานรับกับไอ้หัวหน้าหมวดเดลต้า

   “ลูกน้องมึงหายไปตอนไหน” แกถามเราเสียงดังลั่น เราหน้าชาไม่รู้จะตอบยังไง เลยบอกไปตามตรงว่า “ไม่ทราบครับ”

   จบคำว่าไม่ทราบเท่านั้นแหละ แกก็ประเคนฝ่ามือมาตบเราจนหน้าเราหัน รู้ไหม วินาทีนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนตบ เกิดมาไม่เคยโดนมาก่อน ชาไปหมด แต่ไม่เจ็บอย่างที่คิด พอรู้ว่าโดนตบก็รู้สึกเจ็บจุกที่ลิ้นปี่เหมือนกำลังจะร้องไห้ มันไม่ใช่เพราะเจ็บหรืออะไรแต่เพราะอับอาย เหมือนตัวเราเป็นคนที่ไม่เคยต่อยมวยมาก่อนแล้ววันดีคืนดีก็ถูกเอานวมมาใส่มือ ส่งขึ้นไปบนสังเวียนให้คู่ต่อสู้ใช้เป็นกระสอบทราบ ไม่มีทางสู้ จนปัญญา และขายหน้า

   “มึงจะร้องเหรอ” ผู้กองถามเราอีก เราไม่ตอบ แกเลยประเคนมาให้อีกดอก คราวนี้เข้าบ้องหู แล้วแกก็ถามย้ำว่า “มึงจะร้องใช่ไหม”

   “ไม่ใช่ครับ” เราจะโกนตอบ ภาพตรงหน้าพร่าเพราะน้ำตา รสเลือดในปากเค็มเหมือนเราเคี้ยวแท่งเหล็กขึ้นสนิมอยู่

   “พวกมึงเป็นหัวหน้าหมวด ต้องรู้ว่าลูกน้องไปไหนสิ นี่เลือกกันมายังไงเนี่ย จ่าเชษฐ์!” แกจบคำไปหาจ่า

   “ให้จ่าประจำหมวดเลือกกันมาครับ” แกตอบแบบพินอบพิเทา

   “เลือกกันมายังไง ไม่มีความรับผิดชอบ คนหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้าไปรบมึงจะสู้อะไรเขาได้วะ”

   ‘กูไม่ได้จะไปรบ กูเป็นพนักงานเซเว่น’ ตอนนั้นเรานึกในใจแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

   จากนั้นแกก็มองหน้าเราอยู่สองสามวินาทีก่อนจะสั่งให้เรากับไอ้หัวหน้าหมวดเดลต้าไปล้างหน้าล้างตา

   “โคตรซวยเลยแม่งเอ๊ย” ไอ้หัวหน้าหมวดเดลต้าพูดระหว่างทางไปห้องน้ำกับเรา “มึงเป็นไงมั่งวะ”

   “ปากแตก” เราพูดแล้วก็ถ่มเลือดออกจากปาก “มึงอ่ะ”

   “โดนไปสองที ก็ยังพอทน” มันบอก “กูชื่อเบนซ์ มึงอ่ะ”

   “เต้อ” เราตอบไปแค่นั้นแล้วก็ไม่ได้พูดว่าอะไรอีก

   พอเดินออกมาก็เจอกับครูทหารใหม่สักคนเราจำชื่อไม่ได้ เขาก็ถามว่าเป็นไงบ้าง เราก็บอกว่าไม่ได้เป็นไรแล้วก็ยิ้มเก็บอาการออกมา สักพักจ่าเหน่งก็มาดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า เขาเห็นเราปากแตกเลยลองแหย่นิ้วเข้ามาในปากเรา นิ้วจ่าแกเค็มจนจะอ้วก สงสัยฉี่แล้วไม่ล้างมือ (เราพูดเล่นน่า) แล้วบอกว่าแผลไม่ใหญ่มากไม่กี่วันก็หาย แล้วก็บอกอย่าไปคิดมาก ทหารก็แบบนี้แหละ ต้องเข้าใจ อะไรก็ว่าไป แต่ใจเราอ่ะ ตอนนั้นคิดว่า ไม่เอาแล้ว ไอ้หัวหน้าหมวดอะไรเนี่ย เราพอ เสียงก็หายเพราะต้องตะโกนสั่งคนในหมวดเวลาเดิน ไหนจะร้องเพลงตอนเดินก็ต้องดังกว่าคนอื่น นับก้าวก็ต้องดังกว่าคนอื่น ดีกว่า เข้มแข็งกว่า ต้องดูแลคนอื่น รับผิดชอบคนอื่นซึ่งไม่ใช่เราสักนิด เราแค่อยากจะอยู่ของเฉย ๆ เงียบ ๆ ไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย

   ซึ่งก็เหมือนเทพเจ้าแห่งการเลือกหัวหน้าหมวดจะได้ยินคำขอร้องของเรา เพราะเช้าวันถัดมา จ่ายักษ์ก็เรียงรวมหมวด แล้วเลือกหัวหน้าหมวดคนใหม่

   อีกสองวันต่อมา รถตำรวจก็มาจอดที่หน้าหน่วยฝึกฯ บัดดี้ของไอ้เหมาโดนเรียกตัวขึ้นรถไป ปรากฏว่ามันหนีคดีพยายามฆ่ามา

   แล้วเรื่องเราเป็นหัวหน้าหมวดหนึ่งอาทิตย์ก็จบลงแค่นี้แหละ




พลทหาร เต้อ
หัวหน้าหมวดหนึ่งอาทิตย์


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:01:57 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   
:katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแล้วจั๊บ :katai4: :katai4:

    เป้ เป็นไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีหรือเปล่า นี่ก็เข้าหน้าฝนแล้วดูแลตัวเองด้วยล่ะไม่สบายก็กินยา ดึก ๆ ก็กินนมนอนอย่ามัวแต่เขียนภาพจนเพลินนะ

   ส่วนทางนี้เราก็ยังเหมือนเดิมแหละ ก็ฝึกเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ โชคดีหน่อยว่าช่วงนี้ฝนตกบ่อยมาก พอฝนตกหนัก ๆ จ่าก็จะงดฝึกแล้วให้ทหารนั่งพักผ่อนกันในห้องประชุม ถึงเวลากินข้าวก็ไปเอาเสื้อกันฝนมาใส่...จะเรียกว่าเสื้อกันฝนก็อาจจะไม่เห็นภาพ ให้คิดว่าเป็นชุดผู้คุมวิญญาณน่าจะเหมาะกว่า ทำจากผ้ายางสีเขียวแก่ เวลาใส่ก็คลุมขึ้นไปถึงหัว ชายยาวถึงหน้าแข้ง ใครตัวเตี้ยหน่อยก็เดินลางพื้นเป็นชุดราตรี ใส่ชุดกันฝนเสร็จก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วต่างคนต่างวิ่งไปโรงเลี้ยง

   ครั้งแรกที่ทำแบบนั้นเราจำได้ว่าสนุกมากเลย มันบ้ามาก ทุกคนใส่ชุดผู้คุมวิญญาณสีเขียวแล้ววิ่งลากร้องเท้าแตะไปตามถนนลาดยาง หลายคนถอดรองเท้าเพราะวิ่งไม่ถนัด ระยะทางจากหน่วยฝึกไปโรงเลี้ยงประมาณกิโลกว่า ๆ ได้ สองข้างทางเป็นป่า ทั้งป่ายูคาลิบตัส ป่าต้นรัก ป่าไผ่ ละอองฝนกรุ่นเป็นไออยู่บนยอดไม้ ลมและฝนปะทะใบหน้า กลิ่นชื้นคลุ้งอยู่ในจมูกและปอด

   แล้วจู่ ๆ เราก็นึกถามตัวเองว่า ‘นี่กูมาทำบ้าอะไรวะเนี่ย’ แล้วก็ยิ้มออกมา หัวเราะเหมือนเด็ก ๆ ตอนท้าแข่งวิ่งกับใครสักคนที่อยู่ข้าง ๆ เราลืมไปแล้วว่าหัวเราะได้สุดเสียงและสุดหัวใจได้ขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร

   เราว่าเราดีขึ้นเยอะแล้วนะถ้าเทียบกับวันแรก ๆ ทั้งร่างกายทั้งจิตใจ แล้วก็ไม่ค่อยรู้สึกเหงาแล้วเพราะเริ่มมีเพื่อน

   จริง ๆ นะเป้ เรามีเพื่อนแล้ว ถึงจะไม่ได้สนิทกันมากมายก็เหอะแต่ก็สนิทพอจะคุยด้วยได้ ที่เรารู้สึกว่าสนิทที่สุดก็คง เป็นไอ้ซ่า บัดดี้เรา มันก็แน่นอนอยู่แล้วแหละ ก็บัดดี้กันนี่หว่า แล้วก็ไอ้บอย มันเป็นคนในหมวดเราเองแหละแล้วก็อยู่หมู่เดียวกันด้วย เวลาไปเติมน้ำ (แต่ละหมวดจะมีถังน้ำเป็นของหมวดตัวเอง เวลาไปฝึกฐานไหนก็ต้องยกไปด้วย เวลาน้ำหมดก็ต้องไปเติมที่หน่วยฝึกรด. ที่มีเครื่องกรองน้ำใหญ่ ๆ) ไอ้บอยชอบชวนเราไปด้วย คือ ถ้าใครขี้เกียจก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้การไปเติมน้ำอ่ะมันมีดีหลายอย่าง คือหนึ่ง สามารถหลบไปอู้ได้อย่างน้อย ๆ ก็สิบนาที และ สองหน่วยฝึกรด. มีต้นมะม่วงหลายต้น แล้วลูกดกมาก ถึงจะเปรี้ยวจนน้ำตาเล็ดขนาดสุกงอมจนตกจากต้นเองยังเปรี้ยวจนเข็ดฟัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินเลย เรากับไอ้บอยชอบไปเก็บกินกัน เวลากินก็ต้องแอบ ๆ กิน ถ้าจ่ามาเห็นก็เกมโอเวอร์

   ต่อมาก็ไอ้เหมา เออ ไอ้คนที่มันหนีไปนั่นแหละ พอบัดดี้มันโดนตำรวจหิ้วไปก็เลยตัวคนเดียว จ่าแมนก็เลยให้มันเลือกว่าจะไปเป็นบัดดี้กับใคร มันก็เลือกเรา ตอนนี้เราเลยมีบัดดี้สองคนเวลาดึก ๆ จะเข้าห้องก็ต้องหิ้วไปกันหมด แล้วไอ้บ้าเหมาก็ฉี่เก่งเหลือเกิน คืนหนึ่งก็ต้องมีอย่างน้อยรอบหนึ่งอ่ะ เรากับไอ้ซ่าบางทีก็แกล้งหลอกผีมันเพราะมันเป็นโรคกลัวผีขึ้นสมอง

   สุดท้ายก็ไอ้เบนซ์ ก็ไอ้คนที่โดนตบพร้อมเราไง มันก็โดนปลดจากหัวหน้าหมวดเหมือนกัน แต่ทั้งเราทั้งมันก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลยนะ ไอ้เบนซ์ที่โดนเลือกเพราะดันจำหน่ายคนได้แม่น จ่าเลยเลือกมันมาทั้ง ๆ ที่ตัวมันเองก็ไม่ได้อยากเป็นเท่าไรหรอก เรากับมันอยู่คนละหมวด วัน ๆ เลยไม่ค่อยได้คุยกัน แต่พอมีเวลาว่างเมื่อไรมันก็ชอบมาชวนเราคุยเรื่อยแหละ หรือบางทีเรากับมันก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย แค่นั่งด้วยกันเฉย ๆ ...จะว่าไปแล้วมันก็น่ารักดีนะ เราหมายถึง มันเป็นคนตาโต ในตาสีน้ำตาลอ่อน ตัวเล็ก สูงแค่สักร้อยห้าสิบกว่า ๆ แต่เนื้อตัวมันมีมัดกล้ามดูน่าจับ ผิวขาวเหมือนไม่ค่อยได้ออกแดด ก้นกลม...ตายโหง เราเขียนอะไรไปเนี่ย แต่ก็ช่างมันเหอะ ที่แขนข้างขวาของมันมีรอยสักลายญี่ปุ่นรูปปลาอะไรสักอย่างลามไปถึงหน้าอก ส่วนอกซ้ายเป็นรูปหน้ายักษ์ ที่หลังสักยันต์เก้ายอด เราชอบดูเวลามันอาบน้ำ มันชอบลูบตัวไปมาด้วยสบู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งมันเห็นเราว่ามองมันอยู่ มันก็ยิ้ม ถามว่ามองอะไร เราก็แก้เก้อไปว่ารอยสักสวยดี มันก็ชี้ให้ดูว่านี่รูปปลา นี่หน้ายักษ์ อวดใหญ่ว่าสักมาโคตรเจ็บ (แต่ตาเรานี่แทบจะไม่ได้มองปลาที่แขนมันเลย พูดจริง ๆ) แล้วก็ให้ดูเก้ายอดที่ข้างหลัง จังหวะที่มันกำลังหันนี่แหละ มือเราดันไปโดนก้นมัน คือก็เฉียด ๆ แหละ แถมไม่ได้ตั้งใจสักนิด แต่แค่นั้นใจเราก็เต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ต้องแนบสะโพกตัวเองกับอ่างน้ำที่สูงแค่สะดือ...รู้สึกเจ็บตรงที่ ๆ มีความสุขอย่างประหลาด   

   นอกจากนั้นก็มีอีกหลายคนนะ คือมันก็พูดยากนะว่าเราสนิทหรือไม่สนิทกับใคร เพราะกลายเป็นว่าเราก็คุยได้หมดกับทุกคนในหมวดหรือทั้งกองร้อยด้วยซ้ำ ยิ่งหลังจากโดนผู้กองตบหน้าไป พวกมันก็ยิ่งเห็นใจเราแล้วก็เข้ามาชวนเราคุยเรื่อย กลายเป็นว่าการโดนลากไปตบหน้ากลางสี่แยกก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไปนะ เราไม่อยากจะเชื่อว่าเราคิดแบบนั้นจริง ๆ

   นี่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเยี่ยมญาติครั้งแรกแล้ว เมื่อคืนจ่าเขาก็เอาโทรศัพท์มือถือมาให้ทหารใหม่โทรหาญาติ แต่ละคนมีเวลาแค่หนึ่งหรือสองนาที ไอ้ซ่าเสือกโทรไปเกือบห้านาทีเต็ม ร้องห่มร้องไห้คิดถึงพ่อ (มันเรียก “ป๊า” น่ารักดี) พอวางสายก็หันมามองหน้าเราแล้วก็บอก “มึงมองไรวะบัดดี้” อ่าว มาดึงหน้าเข้มเก๊กแมนใส่เฉยว่ะ

   เราไม่ได้โทรหาใครหรอก ไม่รู้จะโทรทำไม จริง ๆ ใจก็ไม่อยากให้อาชัยกับอาน้อยมาเจอเราสภาพนี้เหมือนกันแหละ ตอนนี้น้ำหนักเราลงไปเกือบสิบกิโล (ที่รู้เพราะทุกวันจะต้องชั่งน้ำหนักตอนเช้า รวมทั้งวัดอุณหภูมิร่างกายด้วย มีปรอทให้ของใครของมัน) ตัวดำเมี่ยมเพราะตากแดดแถมยังเหม็นกลิ่นเหงื่อตลอดเวลา จะให้พูดจริง ๆ นี่ก็จุดต่ำสุดในชีวิตเราแล้วแหละมั้ง ไม่อยากให้เขามาเห็น...ความจริงเราไม่อยากเจอหน้าพวกเขามากกว่า

   “ใครมาเยี่ยมมึงวะ” ไอ้เบนซ์ถามเราตอนบ่ายวันอาทิตย์ก่อนเยี่ยมญาติอาทิตย์หนึ่ง

   “คงไม่มีหรอก มึงล่ะ” เราถามมันกลับ

   “พ่อกับแม่” มันว่ายิ้ม ๆ “มานั่งกินข้าวกับพ่อแม่กูก็ได้นะ”

   อะไรวะ รู้จักกันไม่ถึงเดือน จะให้ไปเจอพ่อแม่เลยเหรอ ไม่ดีมั้งเบนซ์ ถึงใจจะคิดแบบนั้นแต่เราก็ไม่ได้พูดไปหรอก “แล้วแฟนไม่มาเหรอ”

   มันเงียบ ส่ายหน้าเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ก่อนจะเงียบไป สายตามันมองไปที่บ่อน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากม้านั่งที่เรากับมันนั่งอยู่ ในตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนแวววับเป็นระยับกับแสงที่ผิวน้ำ ปากเผยอเปิดนิดหน่อยจนเห็นฟันกระต่าย เราเพิ่งสังเกตว่ามันมีขนตางอนยาวน่ามอง ไฝเม็ดเล็ก ๆ ที่เหนือริมฝีปากดูน่าจับต้องมากจนเราเกือบจะอดใจไม่ไหว เรารู้ว่าเรารู้จักกับมันมาไม่ถึงเดือน คุยกันจริง ๆ จัง ๆ แทบจะไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่บางอย่างในตัวมันกลับทำให้เรารู้สึกเหมือนรู้จักกับมันมานาน เหมือนว่าเราเห็นสิ่งที่เราไม่ได้เห็น ได้ยินในสิ่งที่ไม่ได้ยิน ภายนอกมันดูเป็นคนหัวเราะง่าย ร่าเริง คุยสนุก แต่เวลามันคิดว่าไม่มีใครมอง มันชอบนั่งเหม่อเหมือนคิดอะไรอยู่ในสมอง ในตานิ่งจริงจัง แล้วบางวินาที มันเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนมันจะสูดหายใจลึก ยืดตัวเหมือนเพิ่งตื่นนอนแล้วก็หันไปยิงมุกตลกใส่คนข้าง ๆ ...ราวกับว่ามันไม่อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกไปมากกว่านั้น

   มันเหมือนเป้มากเลยนะ สายตาของมันเวลาที่มองเหม่อเหมือนสายตาของเป้ตอนที่วาดภาพ ริมฝีปากสีแดงเหมือนเนื้อในของลูกทับทิมเผยอออกนิด ๆ ตอนปาดพู่กันลงบนผ้าใบก่อนจะหันมามองเราที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองข้างประสานปกปิดส่วนนั้นไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ขาข้างหนึ่งของเรายกขึ้นมาวางไว้ที่เบาะนั่ง อีกข้างวางลงกับพื้น

   ‘เต้อขายาวเหมือนกันนะ’ เป้พูดแบบนั้นตอนจัดท่าให้แล้วก้มลงจูบหัวเข่าเรา มันอุ่นและฉ่ำหวาน เราประคองหน้าเป้ขึ้นมาจูบ ‘พอแล้ว อย่าขยับ เดี๋ยวก็ไม่ได้วาดกันพอดี’

   แล้วคืนนั้นเราก็ฝัน ฝันว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องนั้นกับเป้ มันเป็นห้องกว้าง ๆ ที่มีหน้าต่างบานเล็กอยู่เหนือขึ้นไปจนเกือบถึงเพดาน ผนังเป็นปูนเปล่าเปลือย มีแจกันวางอยู่บนตู้ลิ้นชักไม้ด้านหลัง ทุกอย่างรอบด้านดูแห้งแล้งและไม่จริง ยกเว้นแสงที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เป้นั่งอยู่ด้านหลังเฟรมผ้าใบที่ตั้งอยู่บนขาตั้ง หยุดนิ่งเหมือนถูกสตาร์ฟไว้ เราลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั้น ก้มลงมองหน้าเป้ที่หยุดนิ่งอยู่ในท่ากำลังบรรจงร่างภาพด้วยดินสอ พยายามก้มตัวลงไปเพื่อจูบ แต่แล้วเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น เราวิ่งออกมาข้างนอกห้อง เห็นคนอื่น ๆ ในหมวดยืนเข้าแถวกันอยู่ จ่ายักษ์สั่งให้เราเข้าไปวิ่งในแถวด้วย เราทำตาม แต่แถวก็ไม่ได้เคลื่อนไปข้างหน้า เหมือนว่าทุกคนวิ่งอยู่กับที่ แล้วเราก็หันไปเห็นไอ้เบนซ์ยืนหันหลังอยู่กลางลานฝึก รอบด้านเป็นป่ายูคาลิปตัส ในอากาศมีกลิ่นใบไม้แห้งกับหญ้ากลางแดด เราค่อย ๆ เดินเข้าไปหามัน เรียกมัน ฝ่าเท้ารู้สึกถึงพื้นที่เป็นพื้นทรายผสมดินดำ แสงแดดเป็นสีน้ำเงินอมฟ้าดูเกินจริง ทุก ๆ ฝีก้าวที่เราเคลื่อนตัวเข้าไปหามัน เสื้อผ้าของไอ้เบนซ์ก็ค่อย ๆ ละลายหายไปในอากาศทีละชิ้นเหมือนเม็ดสีที่กระจายไปในอากาศยามต้องลม จนเราเอื้อมมือออกไปสัมผัสแผ่นหลังเปลือยเปล่าของมัน ประทับจูบที่รอยสักเก้ายอด แล้วไอ้เบนซ์ก็หันมา กระตุกยิ้มจนเห็นฟันกระต่ายแล้วก็โน้มคอเราลงไปประกบริมฝีปาก มือของมันสัมผัสเราตรงนั้น แล้ว...

   แล้วแตรตื่นนอนก็ดังขึ้นตอนนั้น พอผุดลุกขึ้นมาได้เราก็รู้ว่าจะต้องซักกางเกงใหม่สะแล้วสิ



เต้อ
พลทหารฝันเปียก



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:04:06 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13


  เม้นท์แรกกกกก ขอบคุณจั๊บบบบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ อะไร

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ความรู้สึกเหมือนนั่งอ่านจดหมายเลยมีฟีลหลายๆอารมณ์

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ความรู้สึกเหมือนนั่งอ่านจดหมายเลยมีฟีลหลายๆอารมณ์

ใช่ ๆ แล้วอะไรป่ะ ตอนเราไปเป็นทหาร ก็เขียนจดหมายแบบนี้แหละ ในสมุดลายไทยที่เขาแจกให้ ทุกคนเขียนหมด เป็นไดอารี่บ้างอะไรบ้าง ระบายอารมณ์กับสมุด...ถ้าใครไปเป็นจะรู้ว่าตอนนั้นอ่ะ เพื่อนที่ดีที่สุดคือสมุดกับปากกา ระบายอารมณ์ได้ทุกอย่างจริง ๆ  :m15: :m15: :m15:

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
:n1: :n1: ตอนใหม่จั๊บโผมมมมม  :n1: :n1:


           วันเยี่ยมญาติเป็นอะไรที่ห่วยแตก เราโคตรดีใจที่เป้ไม่ต้องมาเห็น

   เรื่องของเรื่องก็คือ กองร้อยเราซ้อมการแสดงในวันเยี่ยมญาติไว้หลายชุด ทั้งแถวชิด แฟนซีดริล (ไอ้ที่ทหารเข้าแถวหน้ากระดานแล้วควงปืนเล่นเวฟอะไรแบบนั้นน่ะ) หมวดเราได้แบกซุง ไอ้บ้า คือมันก็เป็นซุงท่อนใหญ่ ๆ ยาว ๆ อ่ะ ท่อนหนึ่งก็แบกกันสี่ห้าคน แล้วก็โชว์ยก โชว์วิ่งแบกซุง โชว์ความพร้อมเพรียงอะไรแบบนั้น เอาจริง ๆ เราไม่อยากทำเลยว่ะ โคตรจะไม่เท่ แล้วก็ซ้อมกันอยู่สองอาทิตย์ก่อนวันเยี่ยมญาติ ของเราอ่ะง่าย แต่โชว์อื่นอ่ะยาก แล้ววันดีคืนดี รอง.ผบ.มทบ. บอกว่าให้ไปโชว์ให้เขาดูก่อนวันเยี่ยมญาติ พวกเราก็ไปโชว์ให้ดู แล้วเกิดไรขึ้นครับ? รองฯ สั่งยกเลิกหมดครับ กลายเป็นว่าวันจริง โชว์กายบริหาร แล้วมีเวลาซ้อมกันแค่สามวัน ตายโหง แต่ยังดีที่รองฯ ไม่ได้สั่งยกเลิกแถวชิด ก็คือโชว์เข้าแถวแบบต่าง ๆ แหละ จัดแถวอย่างเป๊ะ ๆ รวดเร็ว ว่องไว เราก็ว่าโอเคนะ แล้วตอนโชว์ใส่ชุดฝึก เป็นชุดเสื้อมีปกกระดุมหน้าแขนยาวลายพรางพับแขนขึ้นมาถึงเหนือข้อศอก มีกระเป๋าที่อกกับเอว ใส่ทับเสื้อยืดคอวีตัวเดิม กางเกงขายาวลายเดียวกันมีกระเป๋าข้างตัวกับข้างขา หมวกแก๊ปใบเดิม รองเท้าคอมแบต

   วันนั้นทุกคนตื่นเต้นกันหมด ทั้งกองร้อยมีแต่เสียงหัวเราะถามกันว่าใครมาเยี่ยม แฟนมา ลูกมา พ่อแม่มา บรรยากาศมีแต่ความสุข เหมือนว่าประกายไฟของความหวังที่มอดดับไปนานกลับมาสว่างอีกครั้ง ตั้งแต่เช้าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเยี่ยมชนิดที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน บางคนนั่งขัดคอมแบตตั้งแต่เมื่อคืนให้เงาวับทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตอนเช้ายังไงก็ต้องไปย้ำดินทรายจนหมอง

   พอสาย ๆ ก็ตั้งแถวไปที่สนามที่ใช้โชว์ มันเป็นสนามขนาดใหญ่กว่าสนามฟุตบอลมาตรฐานไม่มาก ตรงกลางมีประรำพิธีประดับผ้าลายธงชาติดูโบราณยังไงชอบกล พวกญาติ ๆ นั่งอยู่ในเต็นท์สองหลังที่ตั้งขนาบข้างปะรำพิธี บางคนหอบลูกจูงหลานกันมาทั้งครอบครัว ก่อนเริ่มโชว์ก็มีพิธีเปิดอะไรไปตามเรื่อง ผบ.ฯ กับรองฯ ก็มานั่งเป็นประธาน มีกล่าวรายงาน ผบ.ฯ กล่าวต้อนรับอะไรก็ว่ากันไป

   โชว์เริ่มด้วยท่ากายบริหารไม่ได้หนักหนาอะไร แค่ร้อนแดดนิดหน่อยเพราะเริ่มสายแล้ว พอกายบริหารเสร็จก็เป็นการโชว์แถวชิด อันนี้หนักหน่อยเพราะต้องถือปืนไปด้วย (ปืนที่เราใช้เป็นปืน HK 33 หรือ ปลย. 11 เป็นปืนเก่ารุ่นสมัยสงครามโลก บางกระบอกสนิมกินจนเวลาจับสนิมเลอะติดมือ) น้ำหนักประมาณ 3-4 กิโลกรัม ไอ้หนักมันไม่เท่าไรหรอก ที่ลำบากจริง ๆ ก็คือการล้วงปืน (ล้วงปืน คือการใช้ง่ามนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาเหนี่ยวศูนย์หน้าปืนขึ้นมาจับ เป็นท่าเริ่มต้นของท่าประกอบปืนอื่น ๆ) สำหรับคนตัวเล็กมันไม่ค่อยเป็นปัญหาหรอก เพราะตัวเตี้ย ระยะห่างระหว่างปืนกับตัวเลยน้อย แต่สำหรับคนตัวสูง ๆ ล้วงปืนยากเพราะตัวยาว ต้องเอื้อมมือไปล้วงปืน ซึ่งจะทำจนตัวงอก็ไม่ได้ เสียกิริยา (เป็นภาษาทหารหมายถึงเสียบุคลิกภาพ ไม่เท่) มีวิธีเดียวคือใช้ง่ามนิ้วเหนี่ยวศูนย์หน้าขึ้นมา เราล้วงจนงามนิ้วถลอกเห็นเนื้อแดงเลย

   ยังไงก็เหอะ ตอนโชว์แถวชิดมันจะมีอยู่ท่าหนึ่งต้องตั้งแถวหน้ากระดานแล้วนับจำนวน ตอนนั้นแหละที่ทหารทุกคนจะเห็นญาติที่นั่งอยู่ในเต็นท์ชัดเจน เราอ่ะไม่ได้อะไรหรอกเพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคนมา แต่ไอ้คนข้าง ๆ เราอ่ะ จู่ ๆ มันก็พึมพำว่า ‘แม่’ แล้วหายใจฟึดฟัดทำเสียงจะร้องไห้ เราเลยค่อย ๆ พูดกับมันว่า ‘ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ได้เจอ เอาให้ผ่านตรงนี้ก่อน’

   ตอนนั้นแหละมั้งที่สายตาเรามองไปเห็นอาน้อยกับอาชัย

   อาชัยใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงิน ยืนกอดอก แว่นตากรอบดำของแกสะท้อนแสงจนเราไม่รู้ว่าเขามองเราด้วยสายตาแบบไหน ส่วนอาน้อยใช้สองมือประคองโทรศัพท์เหมือนกำลังถ่ายวิดีโอ แกยิ้มอยู่หลังกรอบโทรศัพท์แล้วก็โบกไม้โบกมือให้เหมือนรู้ว่าเรากำลังมองอยู่

   ตอนนั้นอารมณ์มากมายถาโถมเข้ามาในใจเรา ทั้งดีใจ โกรธ ภูมิใจ อับอาย กลัว ทุกอย่างประดังเข้ามาเหมือนคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง สมองว่างโล่งกลายเป็นพื้นที่สีขาว แทบจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครจนได้ยินเสียงนับดังที่ข้างตัว ตัวเราไม่รู้หรอกว่าเลขอะไร ก็ตะโกนไปมั่ว ๆ (ไม่มีใครรู้หรอก ทหารนับเลขเร็ว) แล้วหลังจากนั้นก็รวบรวมสติจนโชว์จบ

   “นี่เขาทำอะไรแกเนี่ย” อาชัยพูดกับเราเป็นคำแรกแต่เราชิงตัดบทด้วยการวันทยหัตถ์แล้วตะโกนว่า “สวัสดีครับคุณอา”

   อาชัยทำหน้าเหมือนเห็นผีเผด็จการทหารมายืนอยู่ตรงหน้า อาน้อยใช้มือปิดปากกลั้นขำ

   “อยู่เฉย ๆ” เราพูดออกมาเบา ๆ แล้วก่อนที่ความกล้าทั้งหมดของเราจะเหือดหายไป เราก็ก้มลงกราบแทบปลายเท้าของคนทั้งคู่อย่างที่จ่าสั่งให้ทำ เราเห็นขาของคนทั้งสองเหมือนจะถอยห่างออกไปแต่ก็ยั้งไว้ เรารู้พวกเขาไม่ได้ต้องการแบบนี้หรอก นี่มันก็แค่การแสดงที่เราต้องทำเพราะถูกสั่งมาจากจ่า แล้วหูตาก็มีเป็นสับปะรด เราไม่รู้ว่าถ้าไม่ทำตามที่เขาสั่งเราจะโดนอะไรตอนกลับไปหน่วยฝึกฯ

   พอลุกขึ้นมาเราก็ไม่กล้าจะมองหน้าคนทั้งคู่ อกตีบตันเหมือนก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจแข็งตายไปแล้ว ภาพตรงหน้าพร่าเลือนแต่เราก็รีบเช็ดด้วยแขนเสื้อ

   “สักพักเขาจะย้ายไปที่โรงเลี้ยง มีข้าวเลี้ยงเยอะเลย” เราจำได้ว่าพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ราบเรียบที่สุด แล้วก็เงียบกันไป ความอึดอัดกระจายอยู่ในอากาศที่เราหายใจเข้าไปในปอด รับรู้อยู่ในร่างกาย วนเวียนอยู่ในเส้นเลือด

   “อาชัยเขาจอดรถไว้ข้างใน...ตรงที่ติดกับ...เรือนจำ” อาน้อยพูดคำว่า ‘เรือนจำ’ ออกมาเหมือนเป็นคำต้องห้ามอะไรสักอย่าง เราพยักหน้ารับ

   “โรงเลี้ยงก็อยู่ตรงนั้นแหละ”

   “ผอมโซขนาดนี้เขาให้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า” อาชัยกอดอกแน่น ปากคว่ำ คิ้วขมวดเหมือนหงุดหงิด หัวโล้นมันเลื่อมเพราะอากาศร้อน

   “มีกิน ไม่ได้เลวร้ายอะไร” เราพูดแบบนั้น “แล้วรู้ได้ไงว่าต้องมาวันนี้”

   “เฟสบุ๊ก” อาชัยตอบ “เพจทหารเกณฑ์อะไรสักอย่าง จำไม่ได้”

   “น่าจะโทรไปบอกสักหน่อย เขาให้โทรกลับบ้านไม่ใช่เหรอ หรือเขียนจดหมายก็ได้” อาน้อยพูดพลางนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ ๆ

   เรากอดอก ยักไหล่ แล้วก็นั่งลงหันหน้าออกไปทางสนามด้านนอกเต็นท์ “ไม่อยากให้ลำบาก”

   อาชัยเค้นเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “ทำอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่เรียกลำบากเหรอ” อีกแล้ว แบบนี้อีกแล้ว “แกคิดอะไรอยู่ถามจริง ๆ เถอะ”

   “พูดเรื่องอะไร ‘คิดอะไรอยู่’ ทำอย่างกับไปฆ่าใครตาย” เราพูดออกมา จำไม่ได้เหมือนกันว่าน้ำเสียงฟังดูเป็นยังไง แต่มันคงก้าวร้าวน่าดู

   “นี่มึงเป็นบ้าเหรอไอ้เต้อ” อาชัยพูดเสียงเข้ม “มึงสมัครทหารเกณฑ์นะเต้อ มึงคิดว่าตัวเองเป็นอะไร? มึงไม่ได้ปรกติเหมือนชาวบ้านเขานะ กูบอกให้มึงไปหาหมอเอาใบ...”

   “เออ ใช่ แล้วมันเป็นยังไงเหรอ” เราสวนกลับพยายามลดเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ “รู้ว่าไม่ดี รู้ว่าเลว รู้ว่าทำให้ได้ดั่งใจไม่ได้ รู้ว่าเป็นบ้า! รู้มาตลอดนั่นแหละ จะย้ำทำอะไรนักหนา...แล้วไหนบอกว่าโตจนอายุยี่สิบแล้วหาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทำสักที นี่ก็ทำอยู่ พอทำแล้วก็มาบอกว่าไม่ดี จะเอายังไงกันแน่วะ”

   “มึงพูดกับกูแบบนี้เหรอเต้อ”

   “ชัย” อาน้อยพูดเสียงเข้มก่อนจะหันมาพูดกับเรา “อาชัยเขาหมายความว่า เต้อเองตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่เคยต้องลำบาก อยู่บ้านตลอด งานที่ทำก็เป็นงานพาร์ททาร์มในเซเว่น มันไม่ได้หนักหนาขนาดต้องตากแดดตากลมเหมือนเป็นทหารแบบนี้”

   “แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่ต้องลำบาก? นี่เคยทำงานเซเว่นเหรอถึงรู้ว่าไม่เหนื่อย แล้วก็พูดกันเองไม่ใช่เหรอว่าอยากจะให้ออกจากบ้านสักที ก็ทำแล้วไง ยังไม่พอใจอีกเหรอ

   อาชัยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่เราก็ดักคอไว้ “รู้หรอกว่าลำบากกันมามาก รู้ว่าไม่ได้อยากจะเลี้ยงให้มาเป็นแบบนี้ รู้ตลอดแหละไม่ใช่ว่าไม่รู้ ขอบคุณไม่ใช่ไม่ขอบคุณ นี่ถ้าตาย ๆ ไปได้ก็คงตายไปแล้ว”

   “ทำไมพูดแบบนั้น...” อาน้อยทำท่าจะยกมือลูบหัวเรา แต่เราปัดมือเขาออกแล้วก็บอกไปตรง ๆ ว่าพอเถอะ พอแล้วกับไอ้การแสดงเฮงซวยพวกนี้ ไอ้การแสร้งว่าเป็นครอบครัวแสนสุขปรกติทั่วไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่จริง ๆ ทุกอย่างกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเรา เพราะเราคนเดียว เราพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็บอกเขาว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว

   พอพูดจบเราก็ลุกขึ้นยืน มองหน้าคนสองคนนั้นที่ตอนนี้มองเราเหมือนคนแปลกหน้า อาชัยดูโกรธ อาน้อยดูเสียใจ

   ส่วนตัวเราเอง...รู้สึกเหมือนเป็นขยะชิ้นหนึ่ง


เต้อ



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:06:25 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
:haun4: :haun4: :haun4:ตอนใหม่จั๊บ :haun4: :haun4: :haun4:



   เป้เคยนอนอยู่บนเตียงแล้วรู้สึกเหมือนจมน้ำไหม? รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว หวาดกลัว หายใจไม่ออก รู้สึกเหนื่อยหน่ายและท้อแท้เหมือนกำลังจะตายอยู่ตรงนั้น แต่ใจหนึ่งก็เฝ้ารอวินาทีนั้นให้มาถึง อยากให้ทุกอย่างจบ ๆ ไปเสียที ไม่มีวันพรุ่งนี้ หรือวันต่อ ๆ ไป   

   เราเคยรู้สึกแบบนั้นนะ ตอนนี้เราก็รู้สึกอยู่...หลังจากวันเยี่ยมญาติเราก็รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการทำตามคำสั่งจ่า การฝึก ทุกอย่างแม้แต่การคุยกับคนอื่น ๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกดูดวิญญาณออกไปจากตัวทีละน้อย เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องเค้นกำลังออกมาจนแทบจะหมดตัวเพื่ออ้าปากพูดกับใครสักคน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเสียงเราหายตั้งแต่อาทิตย์แรกที่มาถึงทำให้เวลาพูดรู้สึกเหมือนคอถูกไฟลวก อีกส่วนเพราะเราไม่อยากคุยกับใคร เรารู้ มันฟังดูเป็นเรื่องงี่เง่าและปัญญาอ่อนมาก ๆ เหมือนที่เป้เคยบอกแหละ “เต้อจะมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ยังไงถ้าไม่รู้จักพูดกับคนอื่นเขา” เป้บอกแบบนั้นแล้วมันก็จริงมาก ๆ เพียงแต่...เพียงแต่เราไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำแบบนั้น

   ก่อนหน้านี้ที่เราบอกว่าเรามีเพื่อน มันไม่เชิงเป็นคำโกหก เรามีคนที่เราพอจะคุยได้อย่างไอ้ซ่า ไอ้เหมา ไอ้เบนซ์ แต่มันก็เป็นแค่ผิวเผิน เราไม่ได้รู้สึกอย่างที่เรารู้สึกกับเป้เลย เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เหมือนพวกมันเป็นส้มตำปูปลาร้า เราเป็นส้มตำไทย มันต่างกันลิบลับถึงจะเป็นส้มตำเหมือนกัน กับไอ้ซ่า มันเป็นคนตลกดีแต่ก็ห่าม ๆ บ้า ๆ บอ ๆ บางทีพูดจาอะไรไม่ค่อยเข้าหู ไอ้เหมาก็อ่อนแอเกินไป ฉลาดน้อยเกินไป แถมยังคิดพึ่งพาคนอย่างเรามากเกินไป แล้วไอ้เบนซ์ ถึงเราจะอยากคุยกับมันมากกว่าใครมันก็พยายามปิดกั้นตัวเองจนเราไม่รู้จะทำอย่างไรดี

   การฝึกมันไม่ได้หนักหนาหรอก ช่วงหลังจากวันเยี่ยมญาติก็เป็นการเปิดการฝึกอย่างเป็นทางการ เย็นวันเยี่ยมญาติวันแรกจ่า ๆ กับครูทหารใหม่ก็เลยรับชุดฝึกกันนิดหน่อย มันเป็นเหมือนพิธีที่ทำกันมาทุกผลัด คือเมื่อเปิดการฝึก ทหารก็จะเริ่มใส่ชุดฝึกแทนชุดเป็ดน้อย (จำชุดฝึกได้ไหม เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าคอมแบต) เขาก็เลยมีการทดสอบความทรหดกัน ทั้งพุ่งหลัง วิดพื้น ที่ยากหน่อยก็ ทำสะพานโค้งต่อกันไปเป็นแถวยาว ๆ แล้วให้คนที่หางแถวลอดไปจนถึงหัวแถวก่อนจะไปสะพานโค้งต่อเหมือนเล่นงูกินหาง แต่เป็นเว่อร์ชั่นสะพานโค้งแทน แล้วก็โหม่งโลก ยืนกางขา มือไขว้หลังแล้วเอาหัวทิ่มดิน กระบวนการทั้งหมดกินเวลาประมาณสองชั่วโมงของตอนค่ำเลยไม่ได้ร้อนอะไรมากมาย แล้วครูทหารใหม่ก็ค่อยฉีดน้ำจากสายยางบ้าง ขวดน้ำบ้างเป็นระยะ

   ถ้าถามเรา พอคิดย้อนกลับไป เราไม่ได้รู้สึกดีใจหรือภาคภูมิใจอะไรนักหรอก ตอนที่รับชุดกันพวกจ่ากับพี่ทหารใหม่ก็ตะโกนว่า “จะเอาไหม ชุดอ่ะ ทำได้แค่นี้ไม่ต้องเอา” เรายังคิดเลยว่า ‘เออ ไม่ให้ก็ไม่เอา’ แต่วินาทีนั้นสมองเราคิดแต่เรื่องอาชัยกับอาน้อย กับสิ่งที่พูดไป กับสิ่งที่เขาพูดมา มันเป็นความรู้สึกแบบนี้เรารู้สึกแย่ที่พูดไป แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะสิ่งที่พูดมันเป็นความจริง เป็นสิ่งที่เรารู้สึกจริง ๆ แล้วก็อยากให้เขารับรู้ ไม่ว่ามันจะทำร้ายเขามากแค่ไหนก็ตาม

   แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังรู้สึกเป็นคนอกตัญญูอยู่ดี

   เช้าวันต่อมากองร้อยเราก็ใส่ชุดฝึกกันเต็มรูปแบบ หลายคนป่วยจนต้องไปนอนที่เต็นท์พยาบาล มันก็ไม่แปลกหรอกเพราะเกือบทั้งหมดที่นอนอยู่ที่เต็นท์ก็เป็นสมาชิกหลักของเต็นท์พยาบาลกันอยู่แล้ว

   พอมาฝึกได้ไม่นานเราก็เริ่มแบ่งคนออกได้สามประเภทใหญ่ ๆ หนึ่งคือพวกหน่วยซีล พวกที่คิดว่าตัวเองอยู่ในหนังฮอลลีวูด เป็นนักรบเจนสงคราม มาฝึกเพื่อออกแนวหน้าไปรบกับข้าศึก คนพวกนี้จริงจัง เต็มที่กับชีวิต คุยโวไปเรื่อยว่าทำไอ้นั่นได้ดีกว่าคนอื่น ทำไอ้นี่ได้ดีกว่าคนอื่น คอยด่าไอ้พวกเต็นท์พยาบาล ค่อนขอดพวกกินแรง ตัวเองก็พยายามตีสนิทกับพวกจ่าหรือพวกครูทหารใหม่ พยายามบอกให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองจะเป็นทหารจนตัวตาย พวกที่สองคือพวกตีกิน (รวมถึงเราด้วย) คือก็อยู่ไปงั้นแหละ เอาตัวรอดไปวัน ๆ ทำอะไรได้ก็ทำ ทำอะไรไม่ได้ก็แค่ทำตามคำสั่ง ดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่ได้รู้สึกกดดันหรืออะไรมากมาย คนพวกนี้มักจะเป็นพวกชิล ๆ กับชีวิตหรือมีหน้าที่การงานอยู่แล้ว หรือพวกผ่อนผันเป็นหนึ่งปีหรือพวกจบป.ตรีเป็นแค่หกเดือน ก็มาเป็นให้จบ ๆ ไป ออกไปก็จะได้หางานทำ พวกนี้อัธยาศัยดี ไม่ค่อยเครียดกันมาก ส่วนใหญ่จะคุยเล่นกันมากกว่า ส่วนพวกสุดท้ายคือพวกเต็นท์พยาบาล เป็นพวกที่ป่วยจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางคนเจ็บขาเจ็บแขนตั้งแต่ก่อนมาฝึก ใส่รองเท้าไม่ได้เลยได้อยู่เต็นท์พยาบาลยาว ๆ บางคนก็ปวดตัว ปวดขา ร่างกายอ่อนแอ แต่ตอนวิ่ง ๆ เร็วกว่าคนอื่นก็มี แต่ก็มีหลายคนที่ป่วยมาก ๆ อย่างเป็นลม ปวดข้อพับ ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เป็นหวัดมีไข้ขึ้นสูง ซึ่งจะมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะตีป่วยเพื่ออู้เวลาฝึกมากกว่า

   ตัวเราเองเคยเข้าไปเต็นท์พยาบาลแค่ครั้งเดียว ตอนที่เริ่มฝึกปืนใหม่ ๆ มือขวาเราชาจนล้วงปืนไม่ขึ้น จ่าเห็นก็ถามว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็ฝึกต่อ แต่อีกสองสามครั้งเราก็ทำปืนหลุดมือตลอด โดนสั่งพุ่งหลังไปเกือบร้อย เราเลยยอมแพ้บอกจ่าแกไปว่ามือเราชา แต่เคยเป็นมาก่อนแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแค่พักสักสองสามชั่วโมงก็หาย แต่จ่าแกให้ไอ้เหมาพาเราไปเต็นท์พยาบาล พอไปถึงจ่าเหน่งก็ดูแขนเราให้ พอเห็นแผลที่ท้องแขนขวาเขาก็ถามว่าเป็นอะไรมา เราก็บอกว่ากระจกบาด จ่าเหน่งมองเราแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาให้เราพักอยู่เต็นท์พยาบาลเพราะวันนั้นไม่มีคนอยู่ช่วยแกทำความสะอาดเต็นท์ (ปรกติคนป่วยจะเป็นคนทำ) แกเลยใช้เราทำซะเลย

   หลังจากเปิดการฝึกแล้ว นรกต่อมาก็คือฝึกกับปืน ทุกวันทหารจะต้องเบิกปืนมาติดตัวไว้ใช้ฝึก ประกอบไปด้วยปืน HK 33 หนึ่งกระบอก ดาบปลายปืน บางวันก็จะมีสายสะพายกับปลอกดาบติดมาด้วย การฝึกช่วงแรกก็เป็นการฝึกท่าพื้นฐานตั้งแต่ ยืนตรง ท่าเคารพ ท่าระเบียบพัก ท่าพักตามปรกติ เทิร์นโปรมาหน่อยก็ท่าตรวจปืน ถ้าถอดดาบ เก็บดาบ กระโจมปืน และอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งถามว่าฝึกไปแล้วจำได้หมดไหม? ก็ไม่ ฝึกไปแล้วได้ใช่ไหม? ฮึ! ฝึกจบแล้วก็เอาความรู้คืนครูฝึกเหมือนเดิม

   แล้วยิ่งฝึกกันไปนาน ๆ ธาตุแท้สันดานเดิมของแต่ละคนก็เริ่มออก หลายคนเป็นคนเห็นแก่ตัว ขี้เกียจ ชอบอู้ สกปรก กลิ่นตัวแรง (อันนี้ไม่น่าจะใช่นะ) หลายคนชอบรังแกคนอื่นด้วยคำพูด อย่างบางคนกลิ่นตัวแรงก็ด่ามันทุกวัน มันตัวเหม็นใคร ๆ ก็รู้ แต่ไอ้การไปด่ามันก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นตัวมันจางหายไปที่ไหน บางคนก็ด่าคนอื่นว่าอู้ ขี้เกียจแต่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น แล้วหลายคนก็เริ่มเกลียดขี้หน้ากัน มันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่เอาผู้ชายเป็นร้อยคนมาอยู่ร่วมกันมันก็มีคนที่ต้องไม่ชอบกันบ้าง อย่างหมวดเรา ไอ้ฟิวกับไอ้แมน ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่มีอยู่วันหนึ่งเราเป็นเวรเลี้ยง พวกมันสองคนก็เป็นเวรเลี้ยงเหมือนกัน ทีนี้ ไอ้ฟิวมันสนิทกับพี่โรงเลี้ยงแล้วไปได้ขนมมากิน พี่โรงเลี้ยงก็บอกว่าให้เอาไปแบ่งกันกิน แต่ไอ้ฟิวเอาไปแอบกินคนเดียว พอไอ้แมนรู้ก็ด่าไอ้ฟิวว่าเห็นแก่แดก ตะกระ อะไรแบบนั้น ด่ากันไปด่ากันมา ไอ้ฟิวทนไม่ไหว ไปคว้ามีดปอกผลไม้จากโต๊ะกินข้าวจ่ามาได้จะเอามาแทงไอ้แมน ตอนแรกเราไม่ได้อยากไปยุ่งกับแม่งหรอก แต่เราเห็นจ่าโรงเลี้ยงกำลังเดินมา เราเลยจับมือไอ้ฟิว บอกให้มันว่าให้ปล่อยมีดถ้าไม่อยากเข้าคุก บอกไอ้แมนให้หุบปากแล้วไปล้างจานไกล ๆ

   พอจ่าแกเดินมาถามว่ามีอะไรกันเห็นเสียงดัง เราก็เลยบอกว่าเพื่อนมันเถียงกันนิดหน่อยครับไม่มีอะไร จ่าแกก็ดูท่าไม่อยากจะยุ่งอะไรมากแหละ ไม่ใช่หน้าที่แก แกก็เลยบอกว่ามึงอย่าทะเลาะกันนะมึง เข้าคุกไม่ใช่เรื่องตลก แกบอกแบบนั้นแล้วก็เดินไป

   จนถึงตอนนี้เราก็ยังงงอยู่ว่าเราไปเอาความกล้ามาจากไหนที่เดินไปคว้ามือไอ้ฟิวทั้ง ๆ ที่มันกำมีดอยู่ หรือเรากล้าบอกคนอย่างไอ้แมนให้หุบปากแล้วไปทำงานได้ยังไง อาจจะเพราะความเครียดจากการฝึก ความร้อนจากแสงแดด หรืออาจจะเพราะความกลัวที่จะต้องโดนซ่อมกันยกชุดเวรเลี้ยงแน่ ๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ายังไงก็ตามหลังจากนั้นไอ้ฟิวกับไอ้แมนก็ไม่มีปัญหากันอีก

   “ได้ข่าวว่าไปเป็นกรรมการห้ามมวยมาเหรอ” เย็นวันนั้นไอ้เบนซ์เดินมานั่งขัดรองเท้าคอมแบตข้าง ๆ เราที่ก็ทำอย่างเดียวกันอยู่กับพื้นที่มุมห้องประชุม

   ตอนแรกเราก็งง ๆ อยู่แต่สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ “เออ ข่าวเร็วนี่หว่า พวกจ่ารู้หรือยังเนี่ย”

   “น่าจะยังมั้ง ไม่มีใครไปบอกหรอก ถ้าจะรู้ก็รู้จากครูทหารใหม่” มันว่าแล้วก็เอามือข้างหนึ่งสวมเข้าไปในรองเท้า อีกมือก็เอาแปลงมาขัด

   ถึงตรงนี้เราเลยนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นครูมิ้นท์ ครูทหารใหม่ประจำหมวดเราก็อยู่โรงเลี้ยงด้วย แกอาจจะเห็นหรือไม่เห็นก็ได้ เพราะเรื่องมันเกิดเร็วมาก แต่เสียงทะเลาะกันของไอ้ฟิวกับไอ้แมนก็ดังอยู่ มันเลยมีเปอร์เซ็นต์สูงที่ครูมิ้นท์จะรู้เรื่อง แต่ตอนแกคุมแถวพวกเรากลับมาที่หน่วยฝึกฯ แกก็ไม่ได้พูดอะไร เราเลยได้แต่หัวเราะหึ ๆ อยู่ในคอ “ถ้าผู้กองรู้มีหวังโดนตบอีกแน่” ไอ้เบนซ์หัวเราะแล้วเอารองเท้าถูกหน้า “พูดแล้วยังเจ็บหน้าไม่หาย”

   เรากับไอ้เบนซ์เงียบกันไปสักพัก ตัวเราเองตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไร ใจหนึ่งก็เขินจนคิดเรื่องคุยไม่ออก ใจหนึ่งก็เกร็ง ๆ เพราะเรากับมันไม่ได้คุยกันมาอาทิตย์กว่าแล้ว

   “แล้วหมวดมึงเป็นไงบ้าง” จนแล้วจนรอดเราก็หาเรื่องคุยออกมาจนได้ ถึงจะฟังดูประหลาด ๆ หน่อยก็เหอะ

   “เรื่อย ๆ มีแต่พวกน่าเบื่อ” มันตอบ ช้อนตาสีน้ำตาลมองเราแล้วก็ยิ้ม ซึ่งมันแทบจะทำให้หัวใจเราละลายอยู่ในอก “ด่ากันไปด่ากันมา สักพักเดี๋ยวแม่งก็ฆ่ากันตายเองแหละ”

   “หมวดกูก็พอกันแหละ ทำไมแม่งมีแต่คนแบบนี้กันวะ” เราพูดออกมา รู้สึกอัดอั้นอยากหาที่ระบาย

   “คนยังไง”

   “ก็แบบ ใจร้าย” เราไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองพูดคำนั้นออกมา

   ไอ้เบนซ์ถึงกับหลุดหัวเราะ “ใจร้ายเหรอ นี่มึงเป็นอะไร ซินเดอเลล่าหรือไง”

   “กล้วยเหอะ” เราพยายามแก้เก้อ “แต่...ไม่รู้ว่ะ ตอนเรียนหรือตอนทำงานก็เจอคนแบบนี้บ้างนะ แต่ไม่เยอะเท่านี้”

   “มันก็แบบนี้แหละ...อยู่กับเพื่อนมึงไม่เป็นแบบนี้เหรอ”

   เราส่ายหน้า “กูไม่ค่อยพี่เพื่อนหรอก สมัยเรียนก็มีบ้าง แต่พอทำงานก็มีแต่คนที่ทำงาน”

   ไอ้เบนซ์ยกรองเท้าที่สวมมืออยู่ขึ้นมาเป่าไล่ฝุ่น “ทำงานไรวะ”

   “เซเว่น”

   มันหัวเราะ ฮึ ออกมา “แน่หล่ะ งานแบบนั้นมึงจะมาเจอคนแบบนี้ได้ไง คนแบบนี้มันพวกเด็กเดินยา ทวงหนี้โหด ปล้นฆ่าอะไรแบบนั้น”

   เราหลุดหัวเราะเสียงดังจนคนรอบ ๆ หันมามอง

   “มึงพูดเกินไปหรือเปล่า” เราตอบมันแต่ปากก็ยังไม่หุบยิ้ม...ไม่รู้เป็นอะไรเวลาอยู่ใกล้มันเราแทบหุบยิ้มไม่ได้เลย

   “ก็เออดิ” ไอ้เบนซ์ตอบกลับมาทำให้เราเหมือนเป็นคนโง่ “มึงต้องเข้าใจก่อนว่าในนี้ก็คือในนี้ มันเป็นบ่อฉลาม แม่งเถื่อน ไม่แน่จริงมึงก็อยู่อยาก คนมันก็พยายามทำข่มคนอื่น กูได้ยินบางคนบอกเคยเดินยา เป็นเอเย่น บางคนบอกเคยเข้าคุก มันก็เป็นลมปากคน เราไม่รู้หรอกว่ามันจริงไม่จริง เพียงแต่คนที่พูดแม่งก็อยากให้คนเห็นว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ สร้างภาพไปให้คนมันนับถือจะได้ไปโดนข่มหรืออะไรแบบนั้น”

   “งั้นมันก็โกหกสร้างภาพเหรอ ไม่น่าจะใช่นะ” เราตอบไอ้เบนซ์ไป ตาก็มองไปรอบ ๆ ห้องประชุมที่คนอื่น ๆ ในกองร้อยกำลังนั่งขัดรองเท้าอยู่ที่มุมต่าง ๆ มีหลายคนที่เราแน่ใจว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกมันพูดจริง ๆ

   “ไม่ทุกคนหรอก หลายคนมันก็เป็นอย่างที่มันพูดแหละ แต่หลายคนก็ไม่ได้เป็น มึงต้องแยกแยะเอง” พูดไปก็ถอดรองเท้าออกจากมือก่อนจะสวมข้างใหม่เข้าไป “แล้วในนี้ก็คือในนี้ พอออกไปข้างนอกพวกมันก็เป็นอีกคน เชื่อเหอะ มีไม่กี่คนหรอกที่เป็นแบบนี้ทั้งข้างในนี้แล้วก็ข้างนอก ดูตอนเยี่ยมญาติดิ พวกมันเป็นยังไงตอนเจอญาติ นั่นแหละคือพวกมันจริง ๆ ส่วนในนี้...” ไอ้เบนซ์มองไปรอบ ๆ เหมือนพยายามหาคำที่ตรงความหมายที่สุด “ก็แค่ละครฉากหนึ่ง พวกจ่า พวกครูทหารใหม่ก็ด้วย”

   “แล้วมึงล่ะ” เราแกล้งพูดเพื่อให้มันคุยกับเราต่อ

   “อะไร”

   “มึงทำอะไรมาก่อนมาเป็นทหาร”

   “มือปืน” มันตอบเรียบ ๆ จนเราหลงเชื่อไปหลายวินาที ก่อนจะหัวเราะออกมา “มึงเชื่อเหรอไอ้เต้อ”

   “ไอ้เชี่ย กูเชื่อนะมึง” เรายอมรับกับไอ้เบนซ์ตรง ๆ “เอาดี ๆ ดิ มึงทำงานอะไรมาก่อน”

   “กูเล่นกีตาร์”

   “เหรอ เป็นวงหรือเล่นคนเดียว”

   “เป็นวง เล่นตามผับกลางคืน”

   เราพยักหน้ารับก่อนว่า “เคยมีคนบอกกูว่าพวกนักดนตรีนี่ได้หญิงเยอะจริงหรือเปล่า” (เป้บอกเรื่องนี้กับเราเองนะ หรือจะเถียง)

   ไอ้เบนซ์เค้นเสียงหัวเราะ “อย่างมึงจะไปรู้อะไรเต้อ”

   ตอนนั้นเราคิดว่าเราหน้าแดงหน่อย ๆ “อ่าว พูดงี้หมายความว่าไง กูเคยนะเฮ้ย”

   “ไอ้เคยอ่ะ กูไม่แปลกใจหรอก” อีกฝ่ายมองหน้าเรา ยิ้มจนตาหยี “แต่กับผู้หญิงหรือเปล่าเนี่ย...” แล้วมันก็หัวเราะออกมา

   เราได้แต่พูดว่า “กล้วยเหอะ” แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

   “กูชอบคุยกับมึงนะเต้อ” ไอ้เบนซ์จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน “มึงไม่เหมือนคนอื่นดี”

   เราอยากจะถามว่าไอ้ ‘ไม่เหมือนคนอื่น’ ของมันเนี่ยแปลว่าอะไร แต่เสียงนกหวีดรวมแถวก็ดังขึ้นก่อน

   คืนนั้นเราคิดถึงไอ้เบนซ์ หน้าของมันตอนบอกว่า ‘ชอบคุยกับเรา’ รอยยิ้มของมัน รอยสักของมัน ริมฝีปากของมัน หลายครั้งเราเผลอหายใจแรงออกมาจนต้องใช้มือขวาปิดปากของตัวเองไว้ ส่วนมือซ้ายไม่ว่าง เราคิดถึงเสียงของมัน กลิ่นกายของมัน จินตนาการถึงตัวมันตอนกำลังลูบไล้สบู่ไปทั่วตัวตอนอาบน้ำ ฟองสีขาวที่ทิ้งตัวเป็นสาย ไม่นานร่างกายเราก็กระตุกสั่นก่อนจะหมดเรี่ยวแรงไป




พลทหารเต้อ
พลทหารหื่น V.2


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:09:27 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
  :mew4: :mew4: :mew4:ตอนใหม่จั๊บ  :mew4: :mew4: :mew4:


   พักหลัง ๆ มานี่ครูมิ้นท์ไม่รู้เป็นอะไร จี้เราจังเลย

   เราก็เข้าใจแหละว่าแกเป็นครูทหารใหม่ประจำหมวดเราก็ต้องใส่ใจคนในหมวดเป็นธรรมดา แต่แกดูเหมือนจะติดใจอะไรเราสักอย่าง (ไม่ใช่แบบนั้นนะเป้) เดี๋ยวสั่งเราหมอบ เดี๋ยวสั่งลุกนั่ง ทุกเช้าวันเสาร์ที่มีทดสอบร่างกายประจำอาทิตย์ก็ต้องมาคอยวิ่งประกบเราตลอด (ทุกวันเสาร์ช่วงเช้าจะมีการทดสอบร่างกายประจำสัปดาห์ ก็มีวิ่งสองกิโลเมตร ซิทอัพ วิดพื้น ดึงข้อ ทุกอย่างมีการจับเวลา นับครั้ง และบันทึกผลเอาไว้เพื่อติดตามสภาพร่างกายของทหาร ตัวเราก็อยู่ระดับกลาง ๆ ไม่ดีไม่แย่) บางวันเรียกหาเราเหมือนเราจะหนีหายไปไหน เราว่าเพราะพักหลัง ๆ เราเหม่อตลอด จ่าแกเลยสั่งให้ครูมิ้นท์ตามประกบกลัวเราหนีมั้ง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เราไม่ได้กำลังวางแผนจะสักลายแผนที่ค่ายลงตัวเราสักนิด แต่สติเรามันคิดเรื่องอื่นอยู่

   หลังจากวันนั้นที่เราคุยกับไอ้เบนซ์ไป ใจเราก็คิดแต่เรื่องมัน จริง ๆ นะ สลัดเท่าไรก็ไม่หลุดไปจากหัว เรารู้ว่ามันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก มันชอบผู้หญิงแต่เราไม่รู้ว่ามันรู้ไหมว่าเราคิดกับมันยังไง แล้วที่มันมาพูดแบบนั้นกับเรา เราไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ถ้ามันรู้ว่าเราชอบมัน มันจะพูดแบบนั้นเหรอ หรือมันรู้แต่ก็ยังพูด แล้วตัวมันเองก็ไม่ได้ทำท่าว่าจะรู้สึกไม่ดีอะไรสักนิด พอเรามองข้ามแถวไปหามัน มันก็ยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เราเหมือนปรกติ โอย คิดไปก็ปวดกระบาล ช่างแม่งเหอะ

   วันนี้เป็นวันเยี่ยมญาติวันสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้จะไม่เปิดให้เยี่ยมอีกเพราะทหารต้องเตรียมตัวเข้าป่า วันนี้เลยมีแต่คนเอาของมาเยี่ยมเยอะแยะเต็มไปหมด หลังจากวันเยี่ยมญาติวันแรกที่เปิดให้เยี่ยมที่สนามและโรงเลี้ยง หลังจากนั้นญาติจะมาเยี่ยมได้ที่หน่วยฝึกฯ ทุกวันอาทิตย์ วิธีก็คือญาติจะมาติดต่อที่โต๊ะอำนวยการที่หน้าหน่วยฝึกฯ (ชื่อทางการมาก แต่จริง ๆ มันก็คือโต๊ะเก้าอี้สองชุดต่อกันอยู่ในเต็นท์กันแดดเล็ก ๆ) จ่ากับพี่ทหารใหม่จะคอยนั่งเฝ้า เวลาญาติมาถึงก็แจ้งชื่อทหารกับจ่า เซ็นท์ชื่อเยี่ยม จ่าจะประกาศออกไมโครโฟนเรียกชื่อทหาร แล้วก็ไปหาที่เหมาะ ๆ นั่งคุยกัน

   นอกจากนั่งคุยแล้วญาติก็สามารถเอาอาหารมานั่งกินกับทหารหรือเอาของใช้บางอย่างมาให้ได้ พวกแป้ง สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน (ที่แจกมาอาจจะไม่พอ หรือถ้าอยากได้แบบของดี ๆ ก็เอามาใช้ได้) กางเกงใน (กางเกงในทหารที่แจกมาติดบั๊กผ้าแข็งมาก ถ้าใส่ติดต่อกันทุกวันจะเกิดอาการ ‘ล้อเบียด’ คือการที่ขอบกางเกงในเสียดสีกับผิวหนังน่องด้านในที่ค่อนข้างบาง ทำให้เป็นแผลแสบมากเวลาเดิน วิธีแก้ก็คืออย่าใส่กางเกงในทุกวัน ให้ใส่วันเว้นวัน หรือไม่ต้องใส่เลยเหมือนเราที่เดินโทงเทงตั้งแต่วันแรก) ยานวด ยาทา กีวี้ขัดรองเท้า มีดโกนหนวด (มีดโกนหนวดทหารก็ติดบั๊ก มันเป็นมีดโกนแบบถอดใบมีด โกนไปก็แสบหน้าไป ปาดไม่ดีก็เป็นแผล) กุญแจเอาไว้ล็อกตู้เก็บของ ๆ ตัวเอง (นี่ก็ติดบั๊กอีก กุญแจที่แจกมาไม่ค่อยทน แค่ดึงก็หลุดแล้ว แต่ก็อย่างว่ามันไม่ได้จำเป็นมากนัก เพราะทหารมีของเหมือนกันหมดทุกคน ไม่มีใครอยากได้ของใครหรอก)

   ญาติจะเข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่สาย ๆ ประมาณสิบโมง (ช่วงเช้าก็ทำกิจวัตรปรกติ วิ่ง กายบริหาร เก็บขยะ กินข้าวเช้า เข้าแถวเคารพธงชาติ) พอเคารพธงชาติเสร็จจ่าก็จะปล่อยให้ทหารไปทำกิจวัตรส่วนตัว พวกซักผ้า ขัดรองเท้า อาบน้ำ รอญาติมาเยี่ยม ถ้าจ่าเวรไม่เคร่งมากก็จะให้นอนรอบนโรงนอนได้ แต่ถ้าเจอจ่าเคร่ง ๆ แกก็จะให้ลงมาอยู่ข้างล่างให้หมด พอได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อตัวเองว่ามีญาติมา ก็วิ่งไปรับที่โต๊ะอำนวยการ สวัสดีทักทายกันเป็นพิธี แล้วก็ไปหามุมนั่งคุยกัน

   เราเคยเล่าไปแล้วใช่ไหมว่าเราบอกให้อาชัยกับอาน้อยไม่ต้องมาเยี่ยม ทำให้ทุกอาทิตย์เราไม่ได้รู้สึกว่ารอหรืออะไร...เอาจริง ๆ มันก็มีบ้างที่เราคิดว่าเขาคงไม่ทำตามที่เราบอกจริง ๆ แต่พอผ่านไปสองสามอาทิตย์เราก็เลิกคิดว่าเขาจะมาเยี่ยมอีก เราเลยอาศัยเกาะคนโน้นทีคนนี้ที ตลกแดกอ่ะพูดง่าย ๆ ที่เราไปเกาะบ่อยที่สุดก็คือไอ้จีน มันเป็นคนตัวอ้วน ๆ เตี้ย ๆ เหมือนโดเรม่อน อารมณ์ดี พูดตรง นอนกรนเสียงโคตรดัง พ่อแม่มันก็รูปร่างเหมือนมันนั่นแหละ แต่แม่มันทำกับข้าวอร่อย ทอดไข่ดาวมาให้กินเฉย ๆ ยังอร่อยเลยเป้คิดดู แล้วบัดดี้เราไอ้ซ่า พ่อมันก็ชอบซื้อขนมถุงมาแจกกับส้มตำไก่ย่างเพราะไอ้ซ่าชอบกินส้มตำมาก แล้วต้องเป็นตำไทยที่ทำน้ำตาลหกลงไปสักกิโลด้วยนะ คนห่าอะไร กินหวานจนน่ากลัว ตอนเรากินไปคำแรกนึกว่ามะละกอเชื่อม อีกคนก็ไอ้เหมา ใครจะไปคิดว่าติ๋ม ๆ แบบนี้มีแฟนนะเว้ย สวยด้วยไอ้บ้า เวลามาก็ชอบจูงกันไปคุยเงียบ ๆ สองคน บางทีเดินหายเข้าไปในป่า กลับออกมาท่าทางสบายตัวเดินป๋อมาเลย

   ส่วนไอ้เบนซ์เราไม่กล้าไปนั่งกินกับมันหรอก เอาจริง ๆ ก็เขินแหละ แล้วเห็นพ่อแม่มันเวลามาก็ชอบคุยกับมันท่าทางเครียด ๆ เราก็เลยไม่อยากเข้าไปกวน

   พอพูดเรื่องเยี่ยมญาติ เรามีเรื่องเล่าให้เป้ฟังสองเรื่อง เรื่องแรกก็เรื่องไอ้เน่า มันเป็นคนในหมวดเราเองแหละ ตัวมันเหม็นคนเลยเรียกมันว่าไอ้เน่า มันเป็นลูกคนมีเงิน (ข่าวลือว่าเป็นเจ้าของโรงสีหรืออะไรสักอย่าง) แฟนมันถือว่าสวยระดับโคโยตี้งานวัดเลยนะ ทีนี้ตอนแฟนมันมาเยี่ยมมันก็ชอบพากันหายไปแถว ๆ หน่วยฝึกรด.ที่อยู่ติดกับหน่วยฝึกฯ เรา แรก ๆ มันก็ไม่มีคนสงสัยหรอก แต่วันนั้นไอ้ซ่ามันจะไปเข้าห้องน้ำที่หน่วยฝึกรด. (ปรกติหน่วยฝึกฯ เราเขาจะไม่ให้ไปใช่ห้องน้ำหน่วยอื่น นอกจากเป็นวันเยี่ยมญาติ เพราะห้องน้ำหน่วยฝึกรด. สะอาดกว่า ดีกว่าของหน่วยเรามาก) ตอนไอ้ซ่าจะเดินเข้าไปมันก็ได้ยินเสียงผู้หญิง พูดประมาณว่า “ก็เร็ว ๆ สิ เดี๋ยวคนมาเห็น” แล้วก็มีเสียงไอ้เน่าพูดว่า “ก็กำลังถอดกางเกงอยู่” ไอ้ซ่า ด้วยความชั่ว มันก็เดินไปตรงห้องน้ำฝั่งผู้หญิง ลักษณะมันก็เหมือนห้องน้ำฝั่งผู้ชายแหละ มีอ่างอาบน้ำตรงกลาง ล้อมรอบด้วยกำแพงสี่ด้าน เหนือขึ้นไปเป็นช่องลมถ้าเขย่งเท้าก็จะมองเห็นด้านในได้ ไอ้ซ่าก็ส่องดู เห็นแฟนไอ้เน่านั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ ส่วนไอ้เน่าก็ยื่นอยู่ตรงหว่างขากำลัง...นั่นแหละ เราคงไม่ต้องเขียนลงไปนะ ไอ้ซ่าก็รีบกลั้นหัวเราะแล้ววิ่งมาเรียกเราไปดู แต่เป้เชื่อไหม เวลาแค่ประมาณ 5 นาทีจากหน่วยฝึกรด.จนไอ้ซ่ามาเจอเรากับไอ้เหมาแล้วก็ไอ้จีนกับเพื่อนในหมวดอีกสองสามคนวิ่งกันไปจะไปดู ปรากฏว่าพอไปถึง ไอ้เน่าเดินออกมาจากห้องน้ำกับแฟนมันแล้ว

   พอมันเดินมาเจอพวกเรา มันก็หน้าเสียหน่อย ๆ ถามว่าจะไปไหนกันวะ มีอะไรกันหรือเปล่ามากันเกือบหมดกองร้อย พวกเราก็เลยบอกว่า อ๋อ เปล่า จะมาเข้าห้องน้ำ

   หลังจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องตลกประจำกองร้อย เรื่องไอ้เน่า 5 นาที พวกจ่าก็ขยี้ใหญ่ ถามไอ้เน่าว่าเป็นไงบ้าง ทำมากี่ครั้งแล้ว ทำกันท่าไหมบ้าง ตลกชิบเป๋ง ไอ้เน่าก็เล่าหมดทุกขั้นตอนกระบวนยุทธ์ แล้วตั้งแต่นั้นมาแฟนไอ้เน่าก็ไม่เคยเหยียบมาที่หน่วยฝึกฯ อีกเลย

   ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องพริซั่นเบรกอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่ไอ้เหมา แต่เป็นคนจากหมวดอื่น ชื่อไอ้โฉด (ที่จริงมันชื่อไอ้แม็ก แต่มันมีแผลบากใหญ่จากขมับด้านขวาลงมาถึงแก้ม มีแต่คนคิดว่ามันโดนฟันมาหรืออะไร แต่เปล่า มันขับมอเตอร์ไซชนเสาไฟฟ้า) กับไอ้เอ คือวันเยี่ยมญาติเขาไม่อนุญาตให้ทหารใหม่เสพของผิดกฎทุกชนิด ทั้งเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด อะไรแบบนั้นน่ะ ทีนี้ ไอ้สองคนนี้มันไปแอบสูบบุหรี่ในป่า แฟนไอ้เอเป็นคนเอามาให้ ปรากฏว่าครูทหารใหม่ไปเห็นก็ไปบอกจ่าเวร วันนั้นรู้สึกเป็นเวรจ่าโอม แกขึ้นชื่อเรื่องความพิเรนทร์อยู่แล้วด้วย (อย่างเช่น ให้ทหารใหม่จับไข่กันเป็นแถวยาวแล้วเดินไปอาบน้ำ สั่งให้นุ่งผ้าขาวม้าวิ่งรอบหน่วยฝึกฯ อะไรแบบนั้น) พอจ่าโอมรู้แกก็เป่าเรียก บอกว่ามีคนแอบสูบบุหรี่ เย็นนี้ให้เตรียมตัวโดดบ่อขี้ได้เลย

   บ่อเกรอะ AKA บ่อขี้ หน่วยฝึกฯ เรามีอยู่สองบ่อขนาบห้องน้ำซ้ายขวา เป็นบ่อขนาดประมาณสองคูณสี่เมตรได้ ก่อด้วยปูนทั้งสี่ด้านมิดชิด สามในสี่ของตัวบ่อฝั่งอยู่ใต้ดิน ด้านบนมีฝาเหล็กเล็ก ๆ พอให้คนลอดลงไปได้ หน้าที่ของมันคือรับของเสียจากห้องน้ำมาเก็บไว้ ซึ่งถ้ามันเต็ม ก็ต้องมีคนเสียสละถังน้ำส่วนตัว เอามาผูกเชือกกับหูแล้วหย่อนลงไปตักเอากากใยไฟเบอร์ที่อยู่ในนั้นขึ้นมา เทลงท้องร่องข้าง ๆ ที่จะนำพาสิ่งเหล่านั้นไปสู่บ่อน้ำใกล้ ๆ หน่วยฝึกฯ ซึ่งไอ้พิธีตักบ่อขี้เนี่ยจะมีทุกอาทิตย์แหละเพราะบ่อมันเล็ก แต่ละหมวดจะส่งหมู่กล้าตายมาสองหมู่ช่วยกันตัก อ้วกแตกกันทุกอาทิตย์แหละ แต่จากประสบการณ์ตรงนะกลิ่นมันแรงแหละแต่ก็แค่ช่วงแรก ๆ พอผ่านไปสักพักจมูกจะชาไปเอง ที่มันอ้วกกันเราว่าเป็นจินตนาการในสมองพวกมันมากกว่า ว่าไอ้สิ่งที่มันตักขึ้นมาเนี่ย ไอ้น้ำสีน้ำตาลแดงปนเหลืองที่มีเม็ดมะเขือลอยเป็นเท็กเจอร์อยู่ด้านบนเนี่ย มันออกมาจากตูดของคนอื่น มันก็เลยคลื่นไส้กันขึ้นมา ถ้าไม่คิดอะไรก็เฉย ๆ มากกว่า (สำหรับเราที่เคยอยู่เซเว่นซึ่งมีห้องน้ำตันบ่อยครั้ง ถือว่าไม่ได้แย่อะไรนัก)

   กลับเข้าเรื่องไอ้โฉดกับไอ้เอนะ พอมันได้ยินแบบนั้นมันก็เครียด ตกบ่ายมันก็พากันหนี คือวันนั้นมันเป็นวันเยี่ยมญาติ จ่าโอมแกก็เลยไม่ได้เคร่งอะไรมากมาย ก็ปล่อย ๆ ทหารไปไม่ได้นับจำนวน จนถึงค่ำ ๆ (อีกแล้ว) ถึงได้รู้ว่าทหารหาย ตอนนั้นจ่าเชษฐ์รีบวิ่งมาเลยตะโกนเรียก “ไอ้เหมา มึงอยู่ไหน” ไอ้เหมารีบลุกบอก “อยู่นี่ครับ” จ่าเชษฐ์ก็ยิ้ม ๆ บอก “มึงไม่ไปกับเขาเหรอ” ไอ้เหมาบอก “ไม่ได้ไปครับ ตามไม่ทัน” กวนตีนขนาดนี้จ่าเลยแกล้งยันตูดมันเบา ๆ ไปทีหนึ่ง

   พอเราได้ยินแค่ว่าทหารหายแค่นั้นแหละ เราหันไปมองไอ้เบนซ์ที่อยู่อีกแถวแล้วแอบโบกมือไปมา ไอ้ห่านั่นก็ทำท่าหันซ้ายขวาเหมือนถูกตบหน้าแล้วก็หัวเราะ เราก็ด้วย

   ผ่านไปสักพักก็ตามเจอ แต่คราวนี้ไม่เหมือนก่อน เพราะพวกมันใส่เสื้อผ้าพลเรือนเสื้อยืดกับกางเกงบอลแล้วมีผู้หญิงอุ้มเด็กแดง ๆ ติดมาด้วยอีกคน ไม่มีใครตบมือหรือยิ้มแย้มอะไรเพราะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น หลายคนในหมวดเราเริ่มหันมองเราเหมือนรู้ว่าวันนี้คงมีคนนอนพร้อมแก้มชา ๆ สักคนหรือสองคนแน่ ๆ

   แต่พลิกโผ พอผู้กองมาถึงแกดูใจเย็นผิดปรกติ เดินขึ้นไปข้างบนมุขกลางที่ไอ้โฉดกับไอ้เอนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีการพูดคุยกันอยู่บนบก. เสียงค่อนข้างดัง แต่ไม่ได้รุนแรง จ่าโอมถูกเรียกขึ้นไปเลยถอดปลอกแขนแดงให้จ่ายักษ์เข้าเวรแทน จ่ายักษ์บอกให้ทหารใหม่ที่เหลือไปรออยู่ในห้องประชุม ผ่านไปสักชั่วโมงได้ผู้กองก็ลงมา ชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น

   เรื่องของเรื่องก็คือหลังจากจ่าโอมคาดโทษเรื่องสูบบุหรี่ ไอ้โฉดกับไอ้เอด้วยความกลัวความผิด ประกอบกับเพื่อนในหมวดของมันไปพูดว่าเพราะพวกมันสองคนนั่นแหละทำให้ซวยทั้งกองร้อย พวกมันก็เลยตัดสินใจหนี ด้วยการบอกให้แฟนไอ้เอไปซื้อเสื้อผ้าจากตลาดค่ายมาให้ (ตลาดค่าย เป็นตลาดสดทั่ว ๆ ไปแหละแต่อยู่ติดกับค่ายทหาร เลยเรียกตลาดค่าย) พอได้เสื้อผ้ามาก็เอาไปซ่อน รอจนตกเย็นพวกมันก็แอบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปทางโรงพยาบาลค่าย ซึ่งต้องผ่านคอกม้า สนามกอล์ฟ ดงหมา (เพราะมีหมาจรจัดเยอะ) และป่าไผ่ ระยะทางประมาณสามกิโลเมตรได้ (ตอนหลังมันมาบอกว่าเหมือนว่าจะเดินไกลกว่านั้นเพราะหลงทาง) กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลค่ายก็ค่ำพอดี พอไปถึงก็เจอแฟนไอ้เอกับแฟนไอ้โฉดแล้วก็ลูกมัน แต่ด้วยความที่แผนการพึ่งจะคิดกันสด ๆ ร้อน ๆ พวกมันสี่คนเลยไม่มีใครเตรียมเงินเดินทางมาด้วย แฟนไอ้เอก็เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าหมดแล้ว ส่วนแฟนไอ้โฉดก็มีเงินติดตัวมาแค่ค่ารถกลับบ้านเท่านั้น พวกมันเลยตัดสินใจเดินไปที่ตลาดซึ่งอยู่อีกฝั่งของค่าย (ระยะทางประมาณสี่กิโลเมตร) เพื่อไปกินก๋วยเตี๋ยว กินเสร็จก็นั่งกันอยู่หน้าเซเว่นเหมือนคนอดอาลัยตายอยากจนจ่าไปเจอ

   พอเล่าจบ ผู้กองแกก็เทศทหารเสียชุดใหญ่ บอกว่าอีกไม่เท่าไรก็ฝึกจบแล้ว อะไร ๆ มันจะง่ายกว่านี้ อย่าหนี ทั้งสี่เหล่าทัพหน่วยนี้ฝึกสบายที่สุด ไม่เชื่อให้ไปถามพวกหน่วยรบได้ อะไรต่ออะไรแบบนั้น

   พอจะจบ แกก็ถามว่า คราวที่แล้วใครโดนตบไป เรากับไอ้เบนซ์ก็ยกมือ แกก็ให้เรายืนแล้วบอกว่าคราวที่แล้วผู้กองอารมณ์ร้อนไปหน่อย อาจจะลงไม้ลงมือไปบ้างก็ขอโทษด้วย (แกก็พูดยืดยาวหน่อยแหละ แต่เราจับใจความแล้วย่อมาได้เท่านี้) แล้วถามเราว่าเจ็บไหม เรานึกในใจ ‘ไม่เจ็บมั้ง’ แต่ก็ตอบไปว่าไม่เจ็บ แกก็เหมือนจะรู้เลยบอก “ไม่เจ็บห่าอะไรปากแตกไม่ใช่เหรอ” เราก็รับว่า “ครับ” แล้วทั้งกองร้อยก็หัวเราะกันออกมา

   สรุปสุดท้าย ผู้กองก็ยื่นเงินให้จ่าโอมเอาไปให้เมียของไอ้เอกับไอ้โฉดนั่งรถกลับบ้าน เรื่องทั้งหมดก็เหมือนจะคลี่คลายใช่ไหม

   เปล่าเลยเป้ พอวันรุ่งขึ้น ไอ้เอกับไอ้โฉดโดนซ่อมด้วยการให้แบกซุงไปทั้งอาทิตย์ จ่ายังใจดีให้หมวดเราไปช่วยมันเลือกซุงที่ไม่หนักเกินไปสำหรับสองคน (เพราะพวกเราเคยฝึกแบกซุงมาก่อน) แต่ถึงจะเลือกซุงท่อนที่เบาที่สุดมันก็ยังหนักมากอยู่ดี ไอ้สองคนนั้นมันก็ไม่ใช่คนตัวใหญ่โตอะไร (ความจริงเราตั้งชื่อเล่นให้กองร้อยเราว่ากองร้อยฮอบบิต เพราะคนตัวสูงมีอยู่ไม่เกินสามสิบ ที่เหลืออย่างกับหลุดมาจากหมู่บ้านชายด์)

   เห็นแล้วก็สงสารแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งพอวนมาถึงเวรจ่าโอมอีกที แกยิ่งโกรธเพราะมันหนีตอนแกเข้าเวร แกเลยสั่งมันแบกซุงลงไปในคูน้ำข้าง ๆ เรือนจำซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงเลี้ยง แล้วให้มันลุกนั่งอยู่แบบนั้นตั้งนาน ตอนนั้นฝนก็ตก ไอ้เอกับไอ้โฉดก็ตัวสั่นเพราะหนาว ระหว่างนั้นจ่าโอมก็พูดปั่นไปเรื่อยว่าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด มาเป็นทหารมีเกียรติแต่กลับทำนิสัยเป็นหมาหนีหัวซุกหัวซุน ลำบากมันก็ลำบากกันทุกคนไม่ใช่ลำบากคนเดียว แล้วจบด้วยการถามพวกเราว่าอยากช่วยเพื่อนไหม ทุกคนตอบว่าอยาก ผลก็คือ ทั้งกองร้อยลงไปนั่งเป็นเพื่อนไอ้โฉดกับไอ้เอในคูน้ำ...ซึ่งก็เป็นน้ำครำเหม็น ๆ มีต้นกกขึ้นประปราย นั่งกันสักพักจ่าก็สั่งให้ขึ้นแล้วไปกินข้าวที่โรงเลี้ยง แต่ก่อนเข้าไปกินแกก็สั่งให้ไอ้สองคนนั้นไปนั่งข้างนอกที่ฝนตก ๆ แล้วไม่ให้กินข้าวเพราะ ‘เป็นไอ้คนไม่มีเกียรติ หนีทหาร ไม่สมควรได้กินข้าวของทหาร’ ผลก็คือ ทั้งกองร้อยต้องยกจานข้าวของตัวเองไปนั่งกินกับไอ้สองคนนั้น แล้วต้องผลัดกันป้อนข้าวให้มันสองคนจนกว่าจะอิ่ม มันร้องไห้ บอกว่าขอโทษ พวกเราบอกว่าไม่เป็นไร

   แล้วรู้อะไรไหม เรารู้ว่ามันคือการฝึก การทำให้ทหารเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้คิดถึงพวกพ้องคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง มันเป็นจิตวิทยา แล้วแม่งเวิร์ค เราร้องไห้ไปกับพวกมัน ร้องเพลง ‘เราและนาย’ ไปกับพวกมัน อ้าปากกินน้ำฝนไปกับพวกมัน แล้ววินาทีนั้นเราก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเอง สิ่งที่เราไม่เคยมีมาก่อน เรามีเพื่อน เพื่อนที่ไม่เคยคิดว่าจะมีได้ เพื่อนที่แก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้ากันได้อย่างไม่ขัดเขิน เพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ กันตอนไม่เหลืออะไร เพื่อนที่ให้กำลังใจกัน กอดคอสู้ไปด้วยกัน ฝ่าฟันความเหงา เศร้า และท้อแท้ไปด้วยกัน...มันเป็นแค่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้นที่เรารู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว



พลทหารเต้อ



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:11:06 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
  :mew4: :mew4: :mew4:ขอเม้นท์เป็นกำลังจึย  :mew4: :mew4: :mew4:




   สำหรับทหารเกณฑ์ การบริหารทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

   ทุก ๆ คนจะมีเสื้อยืดคอวีสกรีนกองทัพบกและชื่อตัวเองอยู่ข้างใต้คนละ 3 ตัว กางเกงขาสั้น (กางเกงเป็ดน้อย) คนละ 2 ตัว ชุดฝึกอีก 2 ชุด ถ้าไม่บริหารการใส่ให้ถูกต้อง เกลื้อนและสังคังจะถามหาเอาง่าย ๆ

   สำหรับเรา ช่วงแรก ๆ ที่ยังใส่ชุดเป็นเป็ดน้อยฝึกอยู่ออกจะลำบากนิดหน่อย เพราะมีกางเกงขาสั้นแค่สองตัว เราเลยต้องใส่เสื้อสองตัวกับกางเกงหนึ่งตัวสำหรับใส่ฝึกไปตลอดทั้งหกวัน ส่วนกางเกงกับเสื้ออีกตัวเอาไว้ใส่นอน พอวันเสาร์หรืออาทิตย์จะได้ซักผ้า ก็เอาชุดที่ใส่นอนมาใส่เป็นชุดฝึก แล้วซักเสื้อผ้าที่เหลือ

   แต่พอเปลี่ยนเป็นชุดฝึกแล้วเราเลยจัดตารางใหม่ จันทร์ถึงพุธจะใส่เสื้อยืด 1 ตัว ชุดฝึก 1 ชุด (ชุดฝึกต้องใส่เสื้อยืดด้านในด้วย) หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนไปใส่อีกชุดจนถึงวันศุกร์ ส่วนเสื้อยืดตัวสุดท้ายเราจะเก็บเอาไว้ใส่ตอนนอนเป็นชุดนอนกับกางเกงเป็ดน้อย พอถึงเวลาซักผ้าวันเสาร์ เราจะเอาชุดเป็ดน้อยที่ใส่นอนมาใส่ แล้วซักเสื้อผ้าที่เหลือทั้งหมด (เหลือถุงเท้าไว้คู่เดียว) พอวันอาทิตย์ วันเยี่ยมญาติ ก็ใส่ชุดฝึกที่เพิ่งซักเมื่อวาน ญาติจะได้ไม่เหม็นมาก (ทหารกลิ่นตัวแรงมาก ขนาดโคโลญที่เขาแจกมาก็ยังเอาไม่อยู่ แต่นาน ๆ ไปก็ชิน จมูกด้านกันไปเอง)

   อุปกรณ์อื่น ๆ ของทหารก็ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ไอ้ขโมยมันไม่มีหรอก มันจะมีก็แต่ตกหล่นหายไป อย่างพอช่วงครึ่งหลังการฝึก ทหารต้องแบกกระเป๋าสนาม (AKA ร๊อกแซก) ฝึกทั้งวัน ข้างในจะมีอุปกรณ์สนามพวกเต็นท์ สมอบก กระติกน้ำ หม้อข้าวสนาม เสื้อกันฝน เข็มขัดสนาม สายเก่ง อะไรพวกนี้ ทุกวันจะมีการเช็กอุปกรณ์ก่อนการฝึกทุกครั้ง ถ้าของใครหายก็เตรียมพุ่งหลังจนขาขาดได้เลย อย่างไอ้เหมาของหายเกือบทุกวัน โดนเพื่อนแกล้งบ้าง ทำหายเองบ้าง เรากับไอ้ซ่าต้องคอยดูให้แน่ใจว่าของมันอยู่ครบแล้วยังต้องมาห่วงของตัวเองอีก บางทีเราก็เผลอตวาดไอ้เหมาเหมือนกันเรื่องของหาย แต่พอมันทำหน้าซึม ๆ เหมือนลูกหมา เราก็อดรู้สึกผิดไม่ได้

   ช่วงนี้การฝึกเริ่มเน้นเรื่องความรู้มากขึ้น ทั้งการดูแผนที่ การใช้เข็มทิศ การกางเต็นท์สนาม การตอบโต้วิทยุสื่อสาร การใช้ทุ่นระเบิด มีบางฐานที่ต้องเข้าไปนั่งในห้องประชุมเหมือนนั่งเรียนในห้องเรียน ไอ้ซ่าบ่นว่าอุตส่าห์เรียนจบม.ปลายมาแล้วยังต้องมานั่งเรียนอีก เราเองก็คิดคล้าย ๆ กับมันแหละ แต่ไม่คิดจะบ่นอะไร เพราะให้นั่งเรียนในที่ร่ม ๆ แบบนี้ก็ยังจะดีกว่าไปฝึกกลางแดด

   นอกจากนี้ทุกวันพุธทั้งกองร้อยก็ต้องไปสนามยิงปืนเพื่อฝึกยิง HK 33 ไอ้ยิงอ่ะเราไม่ห่วงหรอก เพราะยังไงเราก็ฝีมือห่วยแตกอยู่แล้ว แต่ที่เราไม่ชอบก็ตรงที่ปืนดีดเข้าโหนกแก้ม เจ็บอย่างกับโดนชกแต่ก็ต้องทนยิงจนกว่าจะหมดกระสุน...แล้วอะไรอีกล่ะ....อือ...อ้อ เดินทางไกล ทุกอาทิตย์จะมีวันหนึ่งที่ทหารต้องแบกร๊อกแซก สะพายปืนคู่ใจออกเดินทางไกล มันก็ไม่ใช่ว่าไปเดินในป่าดงดิบอะไรหรอกก็เดินอยู่ในค่ายนี่แหละ แต่ด้วยความที่ค่ายมันใหญ่แล้วมีแต่ป่ารกเลยใช้เป็นเส้นทางเดินทางไกลได้ มันก็ไม่ได้ลำบากมาก ก็เดินไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเอง ออกจะสบายด้วยซ้ำไป ถ้าไม่นับเรื่องต้องแบกของเต็มหลังเราก็ไม่เห็นมันจะลำบากตรงไหน คนอื่น ๆ ในหมวดเราก็มีบ้างที่บ่น ๆ แต่ที่หนักสุดก็คงเป็นไอ้เหมา มันหน้าตาเหนื่อยตลอดเวลา หายใจถี่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยิ้มตลอดเวลาเราถามว่าไหวหรือเปล่า

   “เราไหวอยู่เต้อ ไม่กี่วันก็ได้กลับบ้านแล้ว ไม่ไหวได้ยังไง” มันชอบตอบเราแบบนี้เสมอ

   เป้รู้ไหม ศัตรูของทหารเกณฑ์ไม่ใช่ความเหนื่อย แดด การฝึก หรือครูฝึกด้วยซ้ำไป ศัตรูที่แท้จริงของทหารใหม่ทุกคนคือความเหงา การพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก จากคนรัก จากครอบครัว จากหน้าที่การงาน จากชีวิตเดิม ๆ ของตัวเอง หลายครั้งเราได้ยินหลายคนถามออกมาว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ มันมีความหมายอะไรหรือเปล่า หลายคนพูดถึงชีวิตของตัวเองและเวลาที่ต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ และคำว่าตอบแทนคุณแผ่นดินนั้นไม่ใช่คำตอบที่น่าพึงพอใจอีกต่อไป

   เพราะงั้นการคิดถึงโลกที่อยู่ภายนอกสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในนี้คือความหวัง ความหวังที่จะได้กลับบ้าน กลับไปยังชีวิตของตัวเอง กลับไปหาครอบครัว พ่อแม่ คู่ชีวิต เพราะแบบนั้นทำให้พวกมันลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า เดินไปกินข้าว สู้ทนกับคำด่าดูแคลน ทนกับความเหนื่อยหน่าย ไม่ยอมแพ้กับการถูกสั่งลงโทษ และศิโรราบต่อทุกคำสั่งที่ได้รับมา เพราะพวกเรารู้แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที จะได้กลับไปยังโลกที่พวกเราจากมา จะได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

   ถ้าเป้ถามเราว่า ‘เกณฑ์ทหารแล้วได้อะไร’ สำหรับเราในตอนนี้ ในวินาทีนี้ เราคงตอบว่า เราได้รู้ว่าอิสระภาพนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน เราเกิด เติบโต เรียน ทำงาน โดยมีสิ่งนั้นติดตัวมาตลอดโดยที่เราก็ไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับมันมากมายนัก เราใช้ชีวิตของตัวเองไปวัน ๆ เหมือนคนเดินละเมอ จมจ่อมอยู่กับตัวเอง ไม่คิดถึงอนาคตและพยายามไม่นึกถึงอดีต หาทางทำให้คนรอบข้างไม่มองเราด้วยสายตาสมเพชเวทนา รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการคิดหาทางเดินชีวิตของตัวเอง ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าต้องการอะไร เพราะแบบนั้นเราเลยเอาอิสรภาพของตัวเอง ใส่พานพุ่มยกช่อฟ้าใบระกาอย่างสวยงามยื่นให้กับกองทัพโดยที่ไม่แม้แต่จะคิดทบทวนให้ดี ช่วงแรก ๆ มันก็ดีหรอกนะ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องรู้สึก แค่ทำสิ่งที่ต้องทำ ทำตามที่คนอื่นบอก แต่มาตอนนี้เรากลับคิดถึงทุกอย่างนั้น คิดถึงชีวิตแบบอยู่ไปวัน ๆ ของตัวเอง คิดถึงสิ่งที่ได้ทำและจะทำต่อไป คิดถึงเป้ คิดถึงสิ่งที่เราทำกับเป้...คิดว่าจะขอโทษ อยากให้เป้รู้ว่าเราเสียใจมากแค่ไหนและต้องการให้เป้ยกโทษให้

   เราคิดถึงเป้มากนะ ถึงจะเขียนเรื่องลามกจกเปรตไปเยอะ แต่เราไม่เคยคิดอะไรไปมากกว่าให้เป้ได้อ่านและขำไปด้วยเลย ถ้าทำได้...เราก็อยากจะกลับไปอยู่กับเป้อีกครั้ง จริง ๆ นะ



พลทหารเต้อ
ที่เป็นของเป้คนเดียว


  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:12:19 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:ตอนใหม่จ้าตอนใหม่   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:



   ช่วงสุดท้ายของการฝึกคือการเข้าป่า พูดไปเหมือนเป็นอะไรยิ่งใหญ่อย่างกับหนังมหาสงครามกู้ชาติ แต่ที่จริงพวกเราก็แค่ไปเข้าค่ายที่เขาชนไก่แค่นั้นเอง

   ก่อนเข้าป่าที่หน่วยฝึกฯ เขาก็จัดให้ทหารใหม่มานอนกางเต็นท์ที่ด้านนอกหน่วย มันก็ไม่มีบ้าอะไรหรอก เหมือนจับปูใส่กระด้งมากกว่า เรากับไอซ่าช่วยกันกางเต็นท์นอน ซึ่งส่วนใหญ่เราทำของเราคนเดียวเพราะไอ้ซ่าช่วงหลัง ๆ มันไปสนิทกับพี่ครูทหารใหม่คนหนึ่งชื่อพี่แจ๊ค เห็นคุยกันถูกคออย่างกับผัวเมีย เราก็ไม่ได้อะไรกับมันหรอกเพราะเรากับมันก็ไม่มีอะไรเข้ากันได้อยู่แล้ว เหตุผลเดียวที่ไอ้ซ่ากับเราคุยกันก็เพราะเป็นบัดดี้กันมากกว่าจะเป็นเพื่อนกันด้วยใจจริง ๆ ส่วนไอ้เหมาก็ไม่ค่อยได้เรื่อง หยิบจับอะไรก็เป็นอันเจ๊งบ้งไปหมด เราเลยให้มันไปช่วยจ่าหาฝืนมาก่อไฟ พอตกค่ำก็ไม่เป็นอันนอน จ่าเอาแต่เป่านกหวีดเรียกทั้งคืน เดี๋ยวก็ข้าศึกบุก เดี๋ยวคนหาย เดี๋ยวกระโจมปืนแถว หนักหน่อยก็พี่ทหารใหม่เกิดผีบ้าอะไรเข้าสิงไม่รู้ เดินไล่ตัดสายโยงเต็นท์จนเต็นท์ทหารใหม่ล้มไปหลายสิบหลัง พวกเราต้องมานั่งกางใหม่ แต่จนแล้วจนรอดก็ผ่านคืนเหล่านั้นมาได้

   พออีกวันต่อมาพวกเราทั้งหมดก็เดินทางไปค้างคืนที่บนเขาชนไก่ด้วยการเดินเท้าจากค่ายซึ่งถ้านั่งรถคงกินเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น แต่เมื่อต้องเดินเท้าและแบกร๊อกแซกไปด้วย มันจึงกินเวลาไปนานหลายชั่วโมงเหมือนกัน

   หลายคนตื่นเต้นที่ได้ออกมาจากค่ายหลังจากทนอุดอู้อยู่ในหน่วยฝึกฯ มาแรมเดือนซึ่งความจริงมันไม่ใช่ครั้งแรกที่หน่วยฝึกฯ พาทหารไปฝึกภายนอก ที่จริงก่อนหน้านี้ก็เคยออกมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกก็ไปทัศนศึกษา (จ่าเรียกไปเที่ยว) ที่อุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ ก็ไม่มีอะไรให้ดูมาก แต่ผู้บรรยาย บรรยายสนุกมาก เป็นผู้พันที่แต่งตัวแบบทหารสมัยก่อนมาบรรยาย

   ส่วนอีกครั้งก็ไปฝึกเข้าฐานทดสอบร่างกายที่หน่วยรบซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยฝึกไปไม่มากนัก (นั่งรถหกล้อกันไปครึ่งชั่วโมงได้) ก็เป็นฐานแบบ โหนบาร์ ไต่บันไดลิง วิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง แล้วก็กระโดดหอ

   แต่ไม่มีสักครั้งที่พวกเราจะได้ออกไปค้างแรมข้างนอกเลย ครั้งนี้จึงพิเศษกว่า หลายคนทำหน้าตาเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรก เราเองตอนที่เดินผ่านตลาดแล้วเห็นคนคุยโทรศัพท์มือถือก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 เกือบลืมไปแล้วว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าไอโฟนอยู่ น่าแปลกที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ได้คิดถึงการพูดคุยกับคนอื่น ๆ ผ่านเครื่องมือไร้สายที่เรียกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่ได้คิดถึงอาชัยกับอาน้อย ไม่ได้คิดถึงคนที่เซเว่นที่เราเคยทำงาน ไม่ได้คิดถึงห้องนอนของตัวเอง เตียงของตัวเอง บ้านของตัวเอง เราแทบจะลืมไปหมดแล้วว่าสิ่งพวกนั้นมันมีรูปร่างและรสสัมผัสเป็นอย่างไร การเป็นทหารเกณฑ์ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการเอาแต่คิดถึงสิ่งที่อยู่ข้างนอกมันไม่ได้ช่วยอะไรมากมายนัก รังแต่จะทำให้เจ็บปวดเสียเปล่า ๆ เราเลยเลือกที่จะไม่คิดถึงมัน ลืมมันไป แกล้งทำเป็นว่าโลกภายนอกล่มสลายไปหมดแล้ว กลายเป็นดินแดนร้างที่เต็มไปด้วยซอมบี้เหมือนในซีรี่ย์เดอะวอร์คกิ้งเดธ และน่าแปลกนะ เราสามารถหลงลืมอะไรไปได้อย่างง่ายดายทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรามากขนาดนั้น ตอนนี้พอเราคิดถึงชีวิตก่อนหน้านี้ เรารู้สึกเหมือนกำลังคิดถึงฉากหนังเก่า ๆ สักเรื่องที่ได้ดูเมื่อนานมาแล้ว มันไม่เป็นจริง ไร้สาระ และบางครั้งก็เศร้ามาก

   พวกเราทุกคนเดินผ่านย่านชุมชน ตลาด หมู่บ้านพักของนายทหารรวมถึงบ้านพักของผู้กองด้วย บ้านพักแกเป็นห้องแถวสองชั้นที่ทำด้วยไม้เก่า ๆ ไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนยศของแก เมียผู้กองออกมายืนดูแถวทหารที่เดินผ่าน ในมืออุ้มลูกเล็ก ๆ พลางยิ้มให้คู่ชีวิตที่เดินเข้าไปทักทายพลางช่วยอุ้มลูก เขาจับมือเด็กคนนั้นโบกมือไปมาให้ทหาร...อย่างกับฉากในละครซิทคอม แปลกดีเหมือนกัน

   ผ่านไปอีกพักใหญ่ ๆ เราก็ไปถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง จ่ายักษ์นำสวดมนต์ไหว้พระและร้องเพลงชาติก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งไปตามไหล่ทางถนนลาดยาง พอสักสิบโมงได้พวกเราทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย

   มันเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ ตรงกลางมีร่องรอยกองไฟ พอไปถึงจ่าก็ให้ทหารกระจายตัวไปรอบ ๆ เป็นรูปตัวยู เอาสำภาระวางไว้และแบ่งหมวดฝึก

   การฝึกก็ไม่มีอะไรมาก ถึงจะเป็นเรื่องใหม่อย่างการใช้พลุแฟร์กำหนดจุดลงจอดเฮลิคอบเตอร์ การใส่หน้ากากกันแก๊สพิษ การหาอาหารตามภูมิประเทศ (ก็คือหาของแดกในป่านั้นเอง) แต่มันก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากมายนัก จ่าแกเองก็คงจะเหนื่อยเหมือนกันแหละเลยเหมือนว่าก็สอน ๆ ไปที รู้ว่าสอนไปแล้วก็ไม่ได้เอาไปใช้จริงอะไรหรอก

   ที่ดูเหมือนจะสนุกหน่อยก็พวกจ่า ๆ ที่ว่างไม่มีงานทำเลยได้รับหน้าที่ตรวจดูรอบ ๆ การฝึก เห็นแกขับรถฮัมวี่แว้นส์กันอย่างกับอยู่ในสนามแข่ง

   พอตกเย็น รอง.ผบ.มทบ. ก็มากล่าวเปิดการฝึก (คนละคนกับตอนเปิดการฝึกครั้งแรกนะ) แกก็พูดอะไรไปตามเรื่องตามราวของแก เราไม่ได้ฟังหรอก...เอาจริง ๆ ไหม โอเค เราเล่าก็ได้ เห็นแก่เป้เลยนะเราถึงเล่า คือ ตอนฝึกจุดพลุแฟร์ ไอ้โชค คนในหมวดเดียวกันกับเราเกิดตกใจพลุแฟร์แล้วกระโดดจนสะดุดก้อนหินล้ม กางเกงเลยขาดเป็นทางยาวจนเห็นตูด...แล้วมันก็ไม่ได้ใส่กางเกงใน พอตอนเข้าแถวมันตัวสูงกว่าเราเวลาเข้าแถวมันก็จะอยู่หน้าเราพอดี วันนั้นทั้งวันเราก็ไม่เป็นอันทำอะไรเลย เดินดูตูดขาว ๆ ของมันทั้งวัน

   หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปกางเต็นท์ ทำอาหาร (จ่าแกมีไก่สดกับข้าวสารแล้วก็เครื่องปรุงพวกน้ำตาลน้ำปลาให้ ที่เหลือก็หากันเอง บางคนญาติเอามาม่ามาให้ทหารเป็นกล่องใหญ่ ๆ ก็มี) เรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึง ไม่มีหรอก แล้วหลังจากนั้นก็แบ่งเวรกัน แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย กลายเป็นว่าเหมือนแบคแพคไปตั้งแค้มป์กันเล่น ๆ ทหารก็เดินไปเดินมาคุยหยอกกัน พวกจ่าก็ไปตั้งวงไฮโลกันอยู่ในศาลาที่พวกเขาใช้พัก แต่จนแล้วจนรอดไอ้เหมาก็หางานให้เราจนได้ มันดันไปขี้อยู่ในป่าแล้ววางปืนทิ้งไว้ ครูทหารใหม่เห็นก็ยึดปืนไป

   พอรู้ตัวแทนที่จะไปตามหาปืน ไอ้ห่าเหมาก็วิ่งทะเล่อทะล่าหูตาตื่นมาหาเรา บอก “ปืนหาย”

   เราก็ถามว่าแล้วหายได้ยังไง มึงไปวางไว้ไหน มันก็บอก มันไม่ได้ลืมวางทิ้งไว้ พี่ครูทหารใหม่เอาไป

   เราก็อ่าว ไหนบอกหาย แล้วมาบอกโดนขโมย มึงจะเอายังไงกันแน่วะ แต่จนแล้วจนรอดเราก็ต้องไปช่วยมันตามหา ปรากฏว่าพี่ครูทหารใหม่ที่เอาปืนมันไปคือพี่มิ้นท์ ตอนแรกเราก็เข้าไปถามดี ๆ พี่แกก็ดึงหน้าใส่บอกไม่รู้ ๆ

   เราก็เลยบอกว่า “ไม่เอาน่าพี่ พี่ก็รู้ ไอ้เหมามันเป็นยังไง อย่าไปแกล้งมันเลย”

   อีกฝ่ายมองเราเรียบ ๆ แล้วบอก “ปืนของเอ็งเหรอ” เราก็บอกว่าเปล่า “แล้วเอ็งจะเดือดร้อนทำไม”

   ใจเราตอนนั้นคือโกรธมาก อะไรของมันวะ ถามดี ๆ พูดดี ๆ ทำไมต้องกวน เราเลยตอบไปว่า “เปล่าพี่ แต่มันบัดดี้ผม”

   แล้วไอ้ครูพี่มิ้นท์ก็เดินหนีไป เราเลยให้ไอ้เหมาไปคุย คุยไปคุยมาปรากฏว่าพี่มิ้นท์มันเอาปืนไปให้จ่าแล้ว เรากับไอ้เหมาเลยโดนพุ่งหลังไปเป็นร้อยกว่าจะได้ปืนคืน ส่วนไอ้ซ่าไม่รู้หายหัวไปไหน คงไปคลุกอยู่กับพี่แจ๊คอีกแหละ

   เย็นวันนั้นเราเลยไม่คุยกับไอ้เหมาอีกเลย เราเบื่อที่ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้มันเต็มที พอมันมุดเข้ามานอนในเต็นท์เราก็เลยย้ายออกมานอนข้างนอกกับไอ้จีน ไอ้โชค แล้วก็ไอ้บอยที่ปูเสื้อกันฝนนอนกันอยู่ที่ลานโล่งเล็ก ๆ ห่างจากแถวเต็นท์ไม่เยอะนัก เราจำไม่ได้ว่าคุยเรื่องอะไรกันแต่มันโคตรตลก พวกเราสี่คนนอนมองดาวบนฟ้า เล่าเรื่องตลกลามกจกเปรตกันไปมาเหมือนรู้จักกันมานานหลายปีใต้ผืนดาวที่สว่างชัดกว่าครั้งไหน ๆ ที่เราเคยเห็น เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าท้องฟ้ามันจะเป็นระยับได้ขนาดนี้ ลมเย็น ๆ พัดผ่านมาหอบเอาเสียงหัวเราะของพวกเราไปตามสายลม นาน ๆ ครั้งจะมีคนเดินมาถามว่าคุยห่าไรกันเสียงดัง พวกเราก็ไม่สนใจหรอก เอาจริง ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยอะไรกันแล้วก็ไม่สนใจด้วย เรารู้แค่ว่า วันนี้ ตอนนี้ วินาทีนี้ เรามีความสุขและอยากหัวเราะออกมาเสียงดัง ๆ

   หลายครั้งเราคิดถึงเป้ขึ้นมา คิดถึงคืนนั้น ที่ดาดฟ้าบ้านเรา แต่เราก็พยายามไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัว การคิดถึงเป้บางครั้งมันก็ยากนะที่จะไม่รู้สึกเศร้าขึ้นมา

   ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ถึงคิวเราเข้าเวร มันก็ไม่มีบ้าอะไรหรอก แค่เดินถือปืนไปมา เราไปยืนดูกองไฟที่อยู่ตรงกลางลาน เห็นทหารสี่ห้าคนนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น บางคนแอบเอาขนมมานั่งกิน หลายคนแค่นอนแผ่ไปบนพื้นดินคลุกฝุ่น

   พอเดินเข้าไปข้าง ๆ กองไฟก็เห็นไอ้เบนซ์นั่งอยู่ตรงนั้น วางแขนไว้บนหัวเข่าสองข้างที่ยกชันขึ้นมาแล้วก็หยิบกินมาม่าแห้งจากซอง เราแกล้งเอาด้ามปืนเขี่ยมันเบา ๆ

   “อย่านั่งชันเข่า” เราบอกไปแบบนั้นตอนมันหันมามอง ในตาสีน้ำตาลวาววับสะท้อนแสงจากกองไฟ

   “ทำไมล่ะ” มันพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะบอกให้เรานั่งลงข้าง ๆ “กินไหม”

   เราแบบมือให้มันเทใส่ แต่มันกลับเทมาม่าใส่มือตัวเองแล้วป้อนใส่ปากเรา ตอนแรกก็คิดว่าทำไมมันดีจังวะ แล้วมันก็แกล้งเทมาม่าใส่หน้าเราจนไหลเข้าจมูก

   “ไอ้เบนซ์ ไอ้ห่า” เราร้องออกมาพลางไอ ไอ้เบนซ์หัวเราะ

   “ขอโทษ ๆ” มันว่าแล้วก็ตบหลังเราเบา ๆ จากนั้นก็เงียบไป มันเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ เท้าข้อศอกไปที่หัวเขา ส่วนคางก็วางไว้กับมือที่ประสานกัน จ้องมองเข้าไปในกองไฟ มองดูแมลงเม่าที่โง่งมคิดว่าแสงนั้นคือดวงจันทร์แล้วบินเข้าไปปลิดชีพตัวเอง

   “คิดอะไรอยู่” เราถามมัน มองดูและจากด้านข้าง ยิ่งมองจากมุมนี้มันยิ่งเหมือนเป้

   มันหันมองเราแวบหนึ่งแล้วยิ้มออกมา “คิดเรื่องหลังจากนี้น่ะ ว่าจะเอายังไงดี”

   “ไปตกหน่วยไหนล่ะ” พูดแล้วก็แย่งซองมาม่ามาจากมือมัน ล้วงนิ้วเข้าไปหยิบกิน

   “การสัตว์...” มันว่า “แต่คิดอยู่ว่าอยากสมัครลงใต้”

   ได้ยินแบบนั้นทำเอาเราสำลักมาม่าแห้งไปอีกรอบ ไอ้เบนซ์เห็นแบบนั้นก็หัวเราะแล้วเอนตัวไปด้านหลัง

   “พูดไปเรื่อยอ่ะมึงน่ะ” เราไอ้โครกออกมาพลางทุบหน้าอกตัวเอง

   “อาจจะพูดจริงก็ได้ มึงจะรู้ได้ยังไง” มันว่า “คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว จะตายทั้งทีก็ตายให้มันคุ้มค่าหน่อยจะเป็นอะไรไป”

   “มึงก็พูดเหมือนถ้ามึงตายจะทำให้โลกสงบสุขงั้นแหละ” เราหันมองมันตรง ๆ “มันไม่ใช่แบบนั้นนะเบนซ์...พูดไปก็ยืดยาว เอาเป็นว่า มันมีทางอื่นที่มึงไม่จำเป็นต้องลงไปตาย”

   อีกฝ่ายมองหน้าเราอย่างสงสัย “ยังไง”

   “มึงก็ไม่ต้องสมัครลงไปไง”

   มันหัวเราะ ยิ้มจนตาหยี แล้วบอกว่าเราพูดถูก “มึงไม่ต้องห่วงหรอกเต้อ มันไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หรอก แล้วถ้ากูจะไปตายกูก็อยากจะทำเรื่องอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่เคยทำ”

   เรานิ่วหน้า ถามว่า “เช่น?”

   “เช่นมีอะไรกับผู้ชายเป็นต้น” แล้วมันก็เอนตัวกลับมานั่งขัดสมาธิ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้ามันเป็นสีส้มนวลจากกองไฟ ขนตายาวทำให้ตามันดูน่าหลงใหล เรานึกอย่างจะเอื้อมมือไปสัมผัสผิดใบหน้านั้น แต่...

   ...แต่แล้วเสียงเป่านกหวีดก็ดังขึ้นลั่นเขาชนไก่ “ไอ้เวร ไปไหนกันหมดวะ” จ่ายักษ์ตะโกนลั่น เรารีบผุดลุกขึ้นแล้วขานว่า “ครับ” ดัง ๆ ก่อนจะวิ่งไปทางต้นเสียง จ่าแกสั่งพุ่งหลังไปยี่สิบยกก่อนจะสั่งให้พวกเข้าเวรกระจายตัวเดินไปรอบ ๆ ที่พัก

   เราเดินไปตามแถวเต็นท์เรื่อย ๆ สมองพยายามคิดหาเหตุผลต่าง ๆ ที่ทำให้ไอ้เบนซ์พูดเรื่องเหล่านั้นออกมา เราไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างในตัวมัน ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวมันเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งมันหมายความตามพี่พูดจริง ๆ หรือเปล่า แต่มันก็ทำให้เราเป็นห่วงได้สำเร็จ

   เราเดินไปเดินมาอยู่สักพักจนได้ยินเสียงเรียก หันไปหันมาอยู่ตั้งนานถึงจะรู้ว่าคนที่เรียกนอนอยู่ในเปลผ้าที่ผูกไว้กับต้นไผ่
   “เข้าเวรเหรอ” เสียงครูมิ้นท์ถามเรา ตัวมันเองยังนอนอยู่ในเปล มือคีบบุหรี่ ปากก็ปล่อยควันโขมง ใจหนึ่งเรายังเคืองเรื่องไอ้เหมาไม่หาย แต่ใจหนึ่งก็คิดได้ว่าถ้าไม่ตอบอาจจะมีปัญหาตามมาทีหลัง

   เราเลยตอบว่า ‘ครับ’ ไปคำหนึ่งก่อนจะตั้งท่าเดินหนี แต่พี่แกก็เรียกเราไว้อีก “ฝึกเสร็จแล้วไปอยู่ไหนล่ะเอ็ง”

   “กองร้อยครับ”

   ครูมิ้นท์ผุดลุกตัวขึ้นนั่ง อัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วดีดก้นกรองทิ้ง “มาอยู่ บก.ร้อยกับกูไหมล่ะ”

   ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเองคงขมวดคิ้วหนักเลยแหละ งงก็งงว่าอะไรคือ บก.ร้อย แล้วอะไรไปดลใจให้มันมาชวนเรา “บก.ร้อยคืออะไรล่ะพี่ ผมไม่รู้จัก แล้วจะให้ผมไปทำอะไร”

   “มึงจบอะไรมา” มันลุกขึ้นมานั่งแกว่งขาไกวเปลตัวเองไปมา

   “ม.6...แต่ว่า...”

   “ใช้คอมเป็นหรือเปล่า พวกพิมพ์เอกสาร พิมพ์งาน อะไรพวกนี้”

   ใครมันจะใช้ไม่เป็นวะ เด็กห้าขวบยังพิมพ์งานในเวิร์ดได้เลย เราคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ “ก็ได้แหละพี่ ง่าย ๆ”

   “มันไม่ง่ายนะเว้ย เอกสารราชการ มันมีแบบของมัน ก่อนหน้านี้เคยทำอะไรมาล่ะ”

   “ผมทำงานเซเว่นพี่”

   แล้วมันก็ร้อง “โอ๊ะ” ออกมาเหมือนเสียเวลาคุยกับเรา ตอนนั้นในหูเราเหมือนได้ยินเสียงเส้นด้ายความอดทนขาดดัง ‘ผึ่ง’ ไม่รู้มันมีปัญหาอะไรกับเรานักหนา ตั้งแต่เรื่องตามจี้ที่หน่วยฝึกฯ แล้วมาเรื่องไอ้เหมา แล้วยังเรื่องนี้อีก เราเลยทำเสียงจิ๊ปากดัง ๆ แล้วเดินหนีมา ตัวมันเองคงได้ยิน เราก็ตั้งใจให้มันได้ยินแหละ มันเลยเรียกเราไว้แล้วถามว่าเรามีปัญหาเหรอ

   “มีพี่ ผมบอกตรง ๆ ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรหรือมีปัญหาอะไรกับผม เห็นตามจี้ ๆ ผมมาเป็นเดือน แล้วเรื่องไอ้เหมาอีก เมื่อตอนเย็นผมถามดี ๆ พี่ก็กวน แล้วมาตอนนี้ยังมาพูดแบบนี้อีก ทำไมวะพี่ ผมทำงานเซเว่นมันต่ำต้อยมากเหรอ”

   เรารู้ว่าตอนนั้นเราพูดเสียงดังแต่เราไม่รู้ว่ามีจ่าเดินมาตรวจเต็นท์แถวนั้นพอดี แกเลยถามว่ามีอะไรกัน จะทะเลาะกันเหรอ เราก็เลยบอกว่าเปล่าครับ แล้วจ่าแกก็ไล่เราไปเข้าเวรต่อ

   พอวันต่อมาเราก็ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเช้าตรู่จ่าเป่านกหวีดเรียกรวมทหารแล้วพาออกเดินทางไกลขึ้นเขาชนไก่ บรรยากาศก็ไม่ได้มีอะไรเคร่งเครียด เดินแถวสลับวิ่งกันไป ส่วนทางก็ชันจนเหมือนเดินขึ้นบันไดแต่ก็ไม่ได้หนักหนา พอขึ้นไปถึงก็เจอศาลและซากองค์เจดีย์เก่า จ่าให้ทหารนั่งพักแล้วก็เล่าประวัติยืดยาว เราจำไม่ได้หรอก จากนั้นก็พักผ่อนกันสักครึ่งชั่วโมงได้ จ่ายักษ์เอากล้องถ่ายรูปมาส่งให้หัวหน้ากองร้อยเดินเก็บภาพทหาร

   จากนั้นพวกเราก็เดินกลับมาที่ค่ายพัก ตอนเดินกลับต่างคนต่างเดิน สาย ๆ ก็เริ่มออกฝึกอีกครั้ง ก็เป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปเหมือนเดิม การกะระยะทางด้วยตาเปล่า การใช้วิทยุสื่อสาร การพรางตัว พอค่ำ ๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางไกลตอนกลางคืน ไอ้เหมาที่กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจก็เริ่มออกอาการทั้ง ๆ ที่ก็เดินกันไปเป็นหมวดไม่รู้จะกลัวทำไม มีการฝึกการสังเกตการณ์ตอนกลางคืน การดูดาว การเล็งเป้าตอนกลางคืน แล้วก็มีฐานทดสอบความกล้า ตอนแรกก็ให้ทหารนั่งรอที่พื้นถนนยางมะตอย แล้วให้เดินออกไปที่ข้างทางซึ่งเป็นป่าทีละคน แล้วเสียงกรี๊ดก็เริ่มดังมา

   ไอ้เหมาหน้าเสีย ถามเราว่า “เขาทำอะไรกันวะ” แล้วเราจะรู้ไหมล่ะ ก็เลยบอกไปว่า “ไม่รู้” พอถึงคิวเรา เราก็เดินไป ระหว่างทางก็มีพี่ทหารใหม่ค่อยถือไฟฉายให้ทางเป็นระยะ พอไปถึงก็มีจ่านั่งอยู่หน้าปี๊บแล้วให้เอามือล้วง

   “ล้วงเข้าไป ล้วงแล้วต้องบอกได้นะว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในบ้าง อาจจะเป็นงูหรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องบอกให้ได้” ตอนแรกเราก็กล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตัดสินใจล้วงไป เพราะคิดว่าจ่าคงไม่ลงทุนไปเดินหางูมาให้ทหารใหม่จับหรอก พอล้วงลงไปก็จับ ๆ คลำ ๆ ดู ไม่นานก็รู้ว่าเป็นเปลือกเงาะ

   เราบอกจ่าไปแบบนั้น แกทำเสียงเซ็ง ๆ ว่า “มึงไม่กลัวหน่อยเหรอวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ร้องเสียงดัง ๆ ให้เพื่อนมึงกลัวหน่อยเร็ว”

   ไอ้เราก็ทำตาม แห่ม ร้องเพราะความกลัวนี่มันงานถนัดเราอยู่แล้วไง

   พอกลับมารวมหมวดอีกครั้งไอ้เหมาก็ถามเราว่า “เต้อร้องอะไรเหรอเมื่อกี้ กลัวเงาะเหรอ” แล้วก็ขำ เราก็นึกในใจ ‘จ้า ๆ พ่อทหารเดนตาย พ่อหัวใจแกร่งดุจหินผา’

   เช้าวันต่อมาเป็นวันกลับหน่วยฝึกฯ ผู้กองเรียกรวมทั้งกองร้อยแล้วบอกว่าจะให้ทุกคนเดินเท้ากลับไปที่วัดป่ากันเอง โดยต้องใช้เส้นทางผ่านป่าไปเท่านั้น เป็นการฝึกการหนีเอาตัวรอดจากเขตศัตรูหลังจากถูกจับเป็นเชลยศึกอะไรก็พูดไปเหอะ เราไม่ได้สนใจหรอก ไอ้เหมาก็หันมาบอกกับเราว่าให้รอมันด้วย ตัวเราเองใจก็ไม่ได้โกรธอะไรมันแล้วแหละ ทำหน้าเหมือนลูกหมาหิวนม เราก็เลยพยักหน้ารับไป ส่วนไอ้ซ่ามันก็เอาตัวรอดของมันได้หรอก

   พอจ่าแกเป่านกหวีดให้สัญญาณทหารร่วมร้อยก็วิ่งเตลิดเข้าป่าไปพร้อม ๆ กับรถฮัมวีที่พวกจ่าใช้ขับตามไล่ต้อนทหาร เราเองก็ชะลอฝีเท้าพยายามรอไอ้เหมา แต่พอหันไปรอบตัวก็เจอว่าไอ้ห่าเหมาหายไปแล้วช่วงชุลมุน ตัวเรากลายเป็นล้าหลังสุดกับคนอื่น ๆ ในกองร้อยอีกสี่ห้าคน พอได้ยินเสียงรถฮัมวี้ใกล้เข้ามาพวกเราก็รีบวิ่งกันหน้าตั้ง แต่แรงขามันจะไปเร็วเท่าแรงล้อรถได้ยังไง สุดท้าย ใครสักคนก็ตะโกนว่าหลบเข้าข้างทางก่อน เราเลยกระโดดลงข้างทาง มุดตัวลงไปในกองใบไม้แห้ง

   พอรถฮัมวี่มาถึงตอนแรกก็เหมือนจะผ่านไปเลย แต่จู่ ๆ ตัวรถก็หยุดกึก เข้าเกียร์ถอยหลังมาสักสามสี่เมตรแล้วคนในรถก็ตะโกนออกมาด้วยโทรโข่งว่า “ออกมาเลยพวกมึง กูเห็นหมดแหละแอบโดดลงข้างทางเมื่อกี้ ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวจะพาไปส่งที่ที่รวมพล” ตัวเราตอนแรกใจก็คิดจะออกไป แต่อีกใจหนึ่งก็รู้เกมพวกครูฝึกดีว่าถ้ามาทำใจดีแบบนี้ไม่มีหรอก ผ่านไปสักสองสามนาทีก็มีคนเดินออกไป ตอนแรกก็สองสามคน หลังจากนั้นจ่าก็พูดอีกว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ทำอะไรหรอก จะพาขึ้นรถไปส่งตอนนี้เขาไปถึงกันหมดแล้ว” พอจบคำนั้นก็มีคนออกไปเพิ่มจนสุดท้ายก็ครบหมด แล้วจ่าก็สั่งให้พวกมันถอดร๊อกแซกออกแล้วแก้ผ้า ตอนนั้นเรารู้เลยว่าอารมณ์คนถูกหวยมันเป็นยังไง พวกมันแก้ผ้าจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน บางคนโชคดีไปใส่กางเกงในมา บางคนโชคร้ายก็ตามนั้นแหละ แล้วจ่าก็สั่งให้พวกมันใส่สายเก่ง (เป็นสายรัดเหมือนเอี๊ยม ทำจากผ้าหนา ๆ ที่ปลายจะมีตะขอเอาไว้เกี่ยวกับเข็มขัดสนาม) แล้วไล่ต้อนพวกมันให้วิ่งกันต่อไป

   ตัวเราเองรอให้ผ่านไปอีกหลายสิบนาทีกว่าจะออกมาจากที่ซ่อนแล้วร้องเรียกคนที่เหลือ ตอนแรกคิดว่าจะมีคนที่รออยู่เหมือนเราสักคนหรือสองคนแต่กลายเป็นว่าเหลือเราคนเดียว ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว มีแค่เรา ป่า ทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา แล้วก็ความเงียบเชียบ

   มันประหลาดนะที่เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว การถูกปล่อยไว้คนเดียวแบบนี้ ถูกหลงลืม ปลีกวิเวก แปลกแยกจากคนอื่น ๆ รอบตัวมีแต่เสียงนก จักจั่น เสียงลมกระทบกับใบไม้แห้ง กลิ่นป่าหญ้าแห้ง ๆ ก็ชวนให้รู้สึกแร้นแค้นแต่สดชื่นอย่างประหลาด แสงแดดแรงกล้าแต่ก็อ่อนหวานในเวลาเดียวกัน เราเดินไปตามทางเล็ก ๆ แคบ ๆ โดยอาศัยดูรอยยางรถและรอยเท้าคอมแบตของคนที่เดินมาก่อนหน้า ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรมากนัก มันก็นานเป็นเดือน ๆ แล้วที่เราไม่ได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ แบบนี้ ไม่ต้องมีคำสั่ง ไม่ต้องมีคนที่เราต้องเป็นห่วงอย่างไอ้เหมา ไม่ต้องรีบร้อนทำอะไร เราแค่เดินไปเรื่อย ๆ ถูกหลงลืมจากโลกภายนอก ไม่คิดถึงเมื่อวานหรือพรุ่งนี้ มีแค่ตัวเราอยู่ตรงนั้น กับปัจจุบันที่ไม่ได้มีค่าความหมายอะไร

   ณ จุดใดจุดหนึ่งของการเดินทาง ป่าไม้ก็หายไปกลายเป็นลานหินโล่ง ๆ พื้นหินตะปุ่มตะป่ำบ้างมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ค้างอยู่ข้างใน มันคงเป็นทางน้ำ เวลาฝนตกตรงนี้คงกลายเป็นธารน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เลยออกไปเป็นเหมือนทางลาดชันคล้ายหน้าผา ไม่มีทางที่จะเดินเท้าลงไปได้แน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นวิวทิวทัศน์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมไม่น้อย

   เลยออกไปนั้นเป็นพื้นที่ด้านล่างที่ว่างโล่งของทุ่งนาและผืนป่าสลับกันไป ภูเขาที่อยู่ไกลลับ ๆ เขียวจนเราคิดคำมาบรรยายไม่ถูก แม่น้ำสีน้ำตาลขุ่นเลื้อยลัดเหมือนงูไปตามท้องทุ่ง พอลมพัดโบกมาต้นข้าวจะกระดิกไหวเป็นรูปทรงของสายลม

   เรานั่งลงใต้ร่มไม้ใกล้ ๆ กับทางลาดนั้น รู้สึกเหนื่อยจากแดดที่เกือบจะตรงหัวอยู่รอมร่อ แถมยังหิวจนตาลายเลยนึกขึ้นมาได้ว่ามีมาม่าติดอยู่ในกระเป๋าห่อหนึ่ง (ไอ้จีนให้มาเพราะแม่มันซื้อมาฝากเยอะจนกินไม่หมด) เราปลดสัมภาระทุกอย่างออก ทั้งกระเป๋า สายเก่ง เข็มขัดสนาม แล้วหยิบมาม่าห่อมาบดกินทั้งแห้ง ๆ แบบนั้นแหละ ตาก็มองดูวิวไปด้วย มือก็หยิบสมุดลายไทยออกมาเขียนถึงเป้ไปพลาง ๆ ถือว่าเป็นมื้อกลางวันที่ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมดหรอก

   พอกินมาม่าจนหมดเราก็กินน้ำตาม รู้สึกว่าน้ำในกระติกสนามจะพร่องลงเยอะ คงต้องรีบเดินไปให้ถึงวัดป่าก่อนจะขาดน้ำตาย

   ต้องเดินต่อแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะเป้




พลทหารเต้อ
พลทหารนักเดินป่า
   



คุยกันท้ายบท

                 ทำไมช่วงนี้ฝนตกบ่อย...ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตากผ้ากว่าจะแห้งก็สามวันสี่วัน เบื่อมาก

                 ยังไงก็เถอะ เรายังไม่เคยได้คุยกันเลยเน้อ เขียนเรื่องลงบอร์ดนี้มาสองสามเรื่อง จบบ้างไม่จบบ้าง 555++ แต่ยังไม่เคยแนะนำตัวเป็นเรื่องเป็นราว เราชื่อนวิน อายุเพิ่้งขึ้นเลขสาม...พออายุเท่านี้การเขียนนิยายกลายเป็นเรื่องยากจริง ๆ นะ ทั้งความคิดความอ่าน ทั้งอายุ ทั้งภาระ เคยคิดจะเลิกเขียนเป็นล้านรอบแต่ก็ไม่เคยเลิกได้สักที สำหรับเรา เลิกกินของทอดยังง่ายกว่าเลิกเขียนเรื่อง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีเรื่องได้ตีพิมพ์หรือได้เงินได้ทองจากเรื่องที่เขียนเลย...ยกเว้นเมื่อสักเกือบสิบปีก่อนมั้งที่เคยส่งหนังสือประกวดแล้วได้รางวัลชมเชยมา (เรื่อง Seven Days 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย...ไม่แน่ใจว่ายังเหลือในบอร์ดนี้หรือเปล่าเพราะเคยลงไว้...แต่ก็เกือบสิบปีแล้วมั้ง)  แต่ก็ยังใช้เวลาเขียนหนังสือ...ความจริงคือทั้งหมดที่เราอยากได้เป็นสิ่งตอบแทนคือมีคนอ่านเรื่องที่เราเขียนเยอะ ๆ แล้วบอกว่าไม่ดีหรือดีตรงไหนบ้าง...ปัญหาใหญ่สำหรับนักเขียน (หรือของเรานี่แหละ) ก็คือ ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องที่เขียนดีหรือไม่ดี ไม่รู้จะเอาไปให้ใครอ่าน ก็ได้แต่หวังว่านักอ่านที่น่ารักของบอร์ดนีั้จะช่วยวิจารณ์เรื่องของเราได้บ้าง

                 พูดเรื่องตัวเองมาซะเยอะแยะ ทุก ๆ คนเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ได้อ่านอะไรน่าสนใจบ้างหรือเปล่า ตัวเราเพิ่งอ่าน aristotle and dante discover the secrets of the universe จบ ชื่อยาวมาก 5555+ เป็นฉบับภาษาอังกฤษ แต่ศัพท์แสงไม่ยากมากนะ อ่านง่ายแต่ลึกซึ้ง คมคาย มีอะไร ๆ ให้คิดตามหลายอย่าง ถ้าใครไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็รอแปลไทยก็ได้ รู้สึกมีสำนักพิมพ์ซื้อมาพิมพ์แล้ว รอแต่ตีพิมพ์แหละมั้ง
 
                 ส่วนนิยายเรื่องนี้ของเรา เราเขียนจากประสบการณ์ตอนไปเกณฑ์ทหารของตัวเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่ทำตามที่สั่ง อย่างที่บอก...ชีวิตในค่ายทหารมันง่ายนะถ้าไม่คิดอะไร ไม่ต้องการอะไร แค่อยู่ไปและทำหน้าที่ของตัวเองไห้ดีที่สุด...แต่สำหรับเรา มาอยู่ข้างนอกสบายใจกว่าเยอะ กฏระเบียบไม่ต้องมี แล้วยังใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้อีกต่างหาก

                 ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจแฟน ๆ นักอ่านด้วยน๊ะจ๊ะ หวังว่าจะสนุกและใด้แง่คิดดี ๆ กลับไปคิดเล่น ๆ ให้เจ็บสมองเพลิน ๆ มีอะไรก็คอมเม้นท์กันได้น๊ะ เรายินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกคนจร้า



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:14:54 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :impress2: :impress2: :impress2:ตอนใหม่จั๊บบบบบบ:impress2: :impress2: :impress2:




   จำครั้งหลังสุดที่เราเขียนถึงเป้ได้ไหม ว่าเรานั่งกินมาม่าแห้งแล้วเราดูวิวไปพลาง เขียนถึงเป้ไปพลาง เหมือนชีวิตเราจะดีสุด ๆ เลยใช่ไหม

   แต่หลังจากนั้นน่ะสิ อย่างกับตกนรก

   เริ่มจาก พอเราจะออกเดินไปวัดป่าอีกครั้งปรากฏว่าไม่มีทางเดิน จำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้เราเดินมาตามทางเล็ก ๆ แคบ ๆ แล้วยังอาศัยดูรอยรองเท้าคอมแบตของคนอื่น ๆ ที่เดินมาก่อนหน้าเลยไม่มีทางหลงแน่ ๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า เราหาทางไปไม่เจอ เพราะตรงนั้นเป็นลานหินโล่ง ๆ ไม่มีทางเดินหรือรอยเท้าให้เดินตาม เราลองเดินไปรอบ ๆ ลานหินสองสามรอบก็ไม่เจอรอยเท้าสักรอบ เราเลยสุ่มเดินไปในป่าที่เราคิดว่าเป็นทิศเหนือ (ผู้กองบอกว่าให้มุ่งขึ้นเหนือจะเป็นทิศที่พาไปวัดป่าได้) เดินไปสักพักก็ยังไม่เจอท่าทีว่าจะถึงจุดหมาย กลายเป็นว่าเราเหมือนคนกระโดดขี่หลังเสือ จะเดินย้อนกลับก็ไม่ได้เพราะไม่รู้เส้นทาง ทำได้แค่เดินต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านไปจนบ่ายแก่ ๆ เราก็หยุดพักอีกครั้ง น้ำในกระติกแห้งจนหมด รอบตัวเป็นป่าไม่รกชัฏที่ดูไม่รู้เลยว่าทางออกมันอยู่ตรงไหน สายตาพร่า ในหูได้ยินแต่เสียงเต้นของเส้นเลือดดังตุบ ๆ ปากหอบหายใจถี่จนลำคอแห้งผาก

   เป็นวินาทีนั้นแหละมั้งที่เรารู้ว่าตัวเองหลงทางและยอมรับว่าเราคงหาทางออกไม่เจอแน่ ๆ แต่ตอนที่เรากำลังนั่งคิดอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดีจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องดังอยู่ใกล้ ๆ จนเราสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมามอง ปรากฏว่าเป็นวัว ไอ้บ้า จริง ๆ จะเป้ น้องโคตัวเบ้อเริ่มยืนอยู่ตรงหน้าเราห่างไปไม่ถึงสามเซนติเมตร แถมยังหายใจฟืดฟาดสะบัดขี้มูกใส่เราจนฉ่ำหน้า ตัวเราเองตอนนั้นก็ทั้งตกใจทั้งกลัว ได้แต่กลั้นหายใจแล้วคิดว่าจะแกล้งตายดีไหม (เหมือนเวลาเจอหมีไง) เห็นเราแบบนี้ก็เหอะ เราทั้งเกิดทั้งโตมาในเมืองไม่เคยเจอวัวตัวเป็น ๆ แบบนี้ ถ้าเป็นช้างก็ว่าไปอย่าง แต่นี่วัว ตัวใหญ่อย่างกับสัตว์ประหลาดไคจู (เราก็พูดเกินจริงไปแหละ แต่มันตัวใหญ่จริง ๆ นะ) เราก็ตัวแข็งทื่อไม่รู้จะทำไง ตาก็เลยมองอีกฝ่ายเขม็ง มันเป็นวัวสีขาวดูสมบูรณ์ดี ในตาดำใส ที่จมูกสนตะพายด้วยเชือกไนลอนสีแดง ที่คอมีกระดิ่ง เวลาเดินจะได้ยินเสียงกรุ้งกริ้ง ๆ

   น้องโคขาวตัวนั้นก็จด ๆ จ้อง ๆ เราอยู่สองสามนาทีแล้วแลบลิ้นเลียหน้าเราเฉย ลิ้นสากแถมเหม็นอีกต่างหาก เราเลยลองจับมันดูบ้าง รสสัมผัสมันแปลก ๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่จนแล้วจนรอดน้องโคก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็เดินไป

   เราตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก เลยตัดสินใจเดินตามน้องโคไปเฉยเลย แต่พอมันรู้ว่าเราเดินตามมันก็วิ่ง เราก็วิ่งตาม ปากเราพูดว่า ‘น้องโค ๆ รอก่อนดิ พากลับค่ายหน่อย’ ไม่รู้เหมือนกันว่าเราพูดออกไปทำไม ขำก็ขำ

   แล้วจู่ ๆ ขาเราก็รู้สึกเหมือนเหยียบลงไปในอากาศ หน้าทิ่มลงกับพื้นแล้วฟาดกับอะไรสักอย่าง ที่เราจำได้อย่างสุดท้ายก็คือเราเหมือนกำลังตกลงไปในพื้นที่ว่าง ตกลงไป...ตกลงไป...


   มารู้ตัวอีกครั้งฟ้าก็มืดแล้ว รอบตัวมืดไปหมด ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน หรือเกิดอะไรขึ้น มองเห็นแค่ท้องฟ้าสีดำมืดที่มีดาวเป็นประกายระยับ วินาทีแรกเราไม่รู้เลยว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำได้แค่ว่าออกมาจากที่พักแรม แล้วก็หลงทางไปเจอวัว แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดับไปเหมือนมีคนมาปิดไฟ

   พอลุกขึ้นนั่งได้ก็พยายามตั้งสติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รอบตัวมีแต่อากาศชื้น ๆ ของกลิ่นดิน ขยับตัวทีหนึ่งก็ได้ยินเสียงเศษใบไม้แห้งกรอบแกรบอยู่รอบตัว รู้สึกเจ็บที่หัวกับขาข้างขวา มือปัดป่ายไปมาในความมืดจนเจอผนัง เราเลยไถลตัวไปนั่งพิง ในสมองพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็จำอะไรไม่ได้ รู้แค่ว่าตอนนี้มืดแล้ว อาจจะหลายชั่วโมงหลังจากเราไปเจอกับน้องโค นั่งคิดอยู่สักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรามีไฟฉายติดตัวมานี่หว่า (สั่งซื้อมาจากกองร้อย) เลยถอดร๊อกแซกออก รู้สึกเหมือนกระดูกหัวไหล่จะแตกออกเป็นชิ้น ๆ แต่ก็กัดฟันทน

   พอล้วงเข้าไปจนถึงก้นกระเป๋าก็เจอกระบอกไฟฉายนอนอยู่ในนั้น เราคว้ามันออกมาส่องไปรอบ ๆ รู้สึกเหมือนกระเป๋าของตัวเองเป็นกระเป๋าวิเศษของโดเลม่อน ต้องขอบคุณพวกจ่า ๆ จริง ๆ ที่บอกให้เอาของทุกอย่างใส่มาให้หมด

   มันเป็นหลุมลึกสักหกหรือแปดเมตรได้ กว้างประมาณเมตรครึ่ง ขอบด้านข้างหลุมขรุขระเหมือนไม่ใช่ฝีมือคนขุด เราเลยนึกถึงข่าวเรื่องหลุมยุบขึ้นมาได้ ซึ่งเราคงไม่โชคดีขนาดว่าเดิน ๆ อยู่แล้วก็เกิดหลุมยุบใต้ตีนเราพอดีหรอก ถ้าจะให้เดาแบบเข้าข้างตัวเองสุด ๆ (คือถ้าเราไม่สะเหล่อเดินตกหลุมมาเอง) ก็คือ ดินมันยุบเป็นหลุมอยู่ข้างล่างแต่ดินบนปากหลุมมันไม่ได้ยุบตาม ผลคือไม่มีใครรู้ว่ามันมีหลุมอยู่ตรงนี้ พอมีใครมาเดินเหยียบที่ปากหลุม (ซึ่งในกรณีนี้ก็คือเรา) ดินปากหลุมมันก็หล่นลงมาพร้อม ๆ กับไอ้คนเหยียบ (ก็คือเราอีกเช่นกัน)

   ตอนนี้เราเลยตกลงมาติดอยู่ที่ก้นหลุมแบบนี้

   เราลองเอาไฟส่องที่ขาข้างขวาดู ปรากฏว่าไม่มีอะไรแตกหักออกมาให้เห็น แต่งอข้อเท้าไม่ได้ ถ้าโชคดีก็แค่ซ้นหรือแพลง ถ้าโชคร้ายกระดูกข้อเท้าอาจจะหักใน แต่รองเท้าคอมแบตเราก็รัดไว้แทนเฝือกได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็ตาม (อันนี้ไม่รู้นะ เราเดาแบบเข้าข้างตัวเองล้วน ๆ) ส่วนที่หัวเราลองจับดูก็ปรากฏว่ามีเลือดแห้ง ๆ ติดนิ้วมา คงหัวแตก ถึงตอนนี้เรายังมานั่งเขียนถึงเป้อยู่ได้ก็แปลว่าสมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เราเลยเอาผ้าพันคอ (สั่งมาจากกองร้อยอีกแหละ) มาโพกหัวห้ามเลือดไว้

   เอาหล่ะ แล้วถึงตรงนี้เอาไงต่อ...ก็คงต้องปืนขึ้นไป แต่ยังไงล่ะ ดินขอบหลุมเป็นดินปนทราย แค่จับก็แทบจะร่วนติดมือมา แถมขายังเจ็บแบบนี้คงปีนขึ้นไปได้ยาก

   หรือจะรอให้คนมาช่วย แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะมีคนมาช่วย เขาชนไก่ที่เป็นล้าน ๆ ไร่ เขาจะรู้เหรอว่าเรามาติดอยู่ในหลุมตรงนี้

   ทางเลือกเราก็มีแค่นี้แหละ เอาวะ เป็นไงก็เป็นกัน ในเดอะดาร์คไนท์ไรส์ บรู๊ส เวย์น ยังปีนหนีจากคุกหลุมได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้วะ ถอดสำภาระที่ไม่จำเป็นออกให้หมด ทั้งปืน สายเก่ง เข็มขัดสนาม กระเป๋าร๊อกแซก แล้วลองยืนดู ตอนแรกคิดว่าขาข้างขวาคงไม่เป็นอะไรมาก แต่จริง ๆ เป็นเยอะเหมือนกัน แค่ลงน้ำหนักเพื่อจะยืนสองขายังทำไม่ได้ แต่ยังไงก็คงไม่มีทางอื่น

   เราลองใช้สองมือตะกุยตามผนังหลุมหาจุดที่ดินแข็งพอจะรับน้ำหนักได้ แล้วก็เริ่มปีน สองสามก้าวแรกมันก็ง่ายอยู่หรอก ดินชั้นล่าง ๆ ร่วนซุยพอให้เราตะกายนิ้วจนเป็นช่องให้จับและแน่นพอจะพยุงน้ำหนักเราได้ ขาซ้ายที่ใส่คอมแบตอยู่ก็เตะผนังเป็นช่องเหยียบได้ไม่ยาก แต่พอถึงชั้นบน ๆ ดินก็ร่วนจนเกือบจะเป็นกองทราย แค่วางมือเบา ๆ ก็สลายหายไปจนจับต้องไม่ได้ ผลก็คือเราหงายหลังตกลงมาหลังจากปีนไปได้สักสามสี่เมตร ไม่เป็นไร ลองใหม่...รอบที่สอง...รอบที่สาม...รอบที่ห้า...รอบที่สิบสอง...หลังจากนั้นเราก็เลิกนับว่าปีนแล้วตกมากี่ครั้ง ทุก ๆ ครั้งมันเหมือนกับว่าปลายนิ้วเราเกือบจะเอื้อมไปถึงปากหลุม แต่พอรู้สึกแบบนั้นทีไรผนังหลุมก็จะแหลกสลายคามือแล้วเราก็ตกลงมาอยู่ก้นหลุมตามเดิม

   จนสุดท้าย...หลังจากผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ เราก็ถอดใจ...พอแล้วว่ะ...บางทีเป็นแบบนี้อาจจะดีกว่า เราก็เป็นแบบนี้มาตลอด ถอดใจเรื่องเรียน ถอดใจเรื่องงาน ยอมแพ้กับชีวิตของตัวเอง ยอมแพ้เรื่องเป้ ความจริงเกี่ยวกับการถอดใจและยอมแพ้อะไรไปกลางคันก็คือเมื่อเราลองได้ถอดใจในอะไรสักอย่างไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อ ๆ ไปมันจะง่ายขึ้น เราจะรู้สึกแย่น้อยลง รู้สึกเป็นคนขี้แพ้น้อยลง เกลียดตัวเองน้อยลง และไม่สนใจไยดีกับอะไรรอบตัวมากขึ้น ไม่สนว่าใครจะคิดยังไง ใครจะมองยังไง แล้วก็จะเริ่มคิดว่าคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตัวเราไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเรารู้สึกยังไง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาอาจจะเข้าใจก็ได้...เรารู้ว่าอาน้อยกับอาชัยน่าจะเข้าใจเราดี แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังดื้อด้านหลอกตัวเองว่าไม่มีใครเข้าใจและจมอยู่กับความเจ็บปวดที่ผ่านไปแล้ว ความเจ็บปวดที่เป้ทิ้งเราไป ความเจ็บปวดที่เป็นความผิดของเราเอง เราโทษตัวเองอยู่แบบนั้น ทรมานตัวเองด้วยการกีดกันคนอื่นให้ออกห่าง อยู่ตัวคนเดียว ไม่แยแสใคร และบางครั้งก็ทำร้ายคนที่ใส่ใจเรามากที่สุดไป

   ที่เราทำทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อแค่อยากจะบอกกับเป้ว่าเราขอโทษ กับทุกอย่างที่เราทำลงไป เรามันคนไม่เอาไหน ทำให้เป้ผิดหวัง และไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีทางจะทำให้เป้กลับมาได้อีกแล้ว เรารู้ แต่เราไม่รู้ว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้ และมันก็ฟังดูเป็นข้อแก้ตัวที่อุบาทว์มากจริง ๆ

   เราเงยหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่เหนือหลุมขึ้นไป แล้วก็คิดถึงวันนั้น...เป้จำได้ไหม วันที่เราจูบกันครั้งแรก

   ช่วงนั้นมีข่าวเรื่องปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่จะเกิดแค่ไม่กี่ครั้งในรอบสองสามร้อยปีแถมยังสามารถมองเห็นได้จากท้องฟ้าของกรุงเทพโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรด้วย

   “มานอนดูด้วยกันไหม” ตอนนั้นเป้ถามเราแบบนั้นหลังจากคุยเรื่องฝนดาวตก ระหว่างที่กำลังนั่งกินไอติมกันอยู่ริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท่าน้ำนนท์ พอได้ฟังแบบนั้นใจเราก็เต้นแปลก ๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเพราะคิดถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น...เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น...เป้ต้องหาว่าเราหื่นกามแน่ ๆ แต่ตอนนั้นเรากล้า ๆ กลัว ๆ คงเป็นเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนั้นมาก่อน เป้เองก็ดูเหมือนจะรู้เลยพูดว่า “ไม่ต้องดูกันสองคนก็ได้นะ มานั่งดูด้วยกันตรงนี้ เป้แค่อยากอยู่กับเต้อเฉย ๆ” แล้วก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้น ริมฝีปากแดงเรื่อที่ยกขึ้นจนตาหยีเล็ก คางเล็ก ๆ ดูน่าสัมผัส เป้ดูสมบูรณ์แบบเหลือเกินยามถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์สีส้มที่ใกล้ลาลับขอบฟ้า เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงโชคดีขนาดนี้ที่ได้ครอบครองเป้ไว้คนเดียว ที่เป้เลือกเราทั้ง ๆ ที่ทั้งเราทั้งเป้ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง แต่มันก็เป็นไปแล้ว...แล้วใบหน้านั้นก็บอกทุกอย่าง...ใบหน้าที่เราไม่อาจจะลบลืมเลือนไปได้และแน่ใจว่าจะไม่มีวันทำได้

   “ก็มาสิ...มานอนบ้านเต้อ จะได้ดูด้วยกัน” เราพูดออกไปแบบนั้นพลางละเลียดไอติมที่อยู่ในมือ

   เป้ทำตาโต ยิ้มกว้างอย่างซุกซนพลางพูดว่า “จริงเหรอ” อยู่หลายครั้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ เราเลยบอกว่าอย่าคิดไปไกล แค่มานอนดูดาวตกด้วยกัน แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเราก็คิดเตรียมจัดห้องนอนตัวเองให้เรียบร้อยแล้ว

   ไม่กี่วันต่อมาเป้ก็มายืนอยู่หน้าบ้านเรา สะพายกระเป๋ากีตาร์โปร่งคู่ใจมาด้วย

   เราแนะนำเป้ให้อาชัยกับอาน้อยรู้จัก บอกว่าเป็นเพื่อนจะมานอนดูดาวตกด้วยกันคืนนี้ เป้ยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อมผิดไปจากเวลาปรกติที่ดูห่าม ๆ พวกเขาดูไม่ได้สงสัยอะไรเราสองคน แค่บอกว่าอย่าชวนกันไปกินเหล้ากินเบียร์ล่ะ เราบ่นว่าใครจะไปกิน

   แล้วเราทั้งคู่ก็มานอนอยู่บนดาดฟ้าบ้านของเรา บนเสื่อบาง ๆ ที่เราค้นเจอในห้องเก็บของ เป้ยกแขนทั้งสองข้างหนุนหัว ปากฮำเพลงเพียงในใจ เพลงเก่า ๆ ที่เป้เคยดีดกีตาร์ร้องให้เราฟังบ่อย ๆ

   ผ่านไปได้หลายชั่วโมงเราก็เริ่มเบื่อแล้วบ่นว่าคงไม่ได้เห็นแล้วมั้ง เป้หัวเราะ บอกเราว่าอดทนเป็นไหม ก่อนจะผุดลุกขึ้นหยิบกีตาร์มาดีด

   เป้ร้องเพลงเพราะมากนะ เรารู้ว่าเราบอกไปหลายครั้ง แต่เราก็อยากจะบอกอีก แล้วบางครั้งเราก็นึกสงสัยว่ามีอะไรที่เป้ทำไม่เป็นบ้าง เป้เป็นจิตรกรที่มีอารมณ์อ่อนไหวที่สุดเท่าที่เรารู้จัก เป็นศิลปินภาพเหมือนที่วาดภาพออกมาได้เหมือนมีชีวิตจริง ๆ เป็นนักดนตรี เป็นนักร้อง เป็นนักกวีและนักเขียน เป็นนักแต่งเพลง และเป็นนักอ่านที่ขี้เล่นที่สุดเท่าที่เราเคยเจอ

   แล้วเป้ก็อยู่ตรงนี้ เป็นนักรักที่โรแมนติกและสมบูรณ์แบบ หลายครั้งเราต้องเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้านั้นเพื่อให้แน่ใจว่าเป้มีตัวตนอยู่จริง ๆ ไม่ใช่เพียงจินตนาการที่เราวาดฝันขึ้นมาเอง เป้เอียงหน้ารับสัมผัสนั้น ยิ้ม หัวเราะจนจับคอร์ดกีตาร์เพี้ยนไปหมด

   แล้วเสียงโห่ร้องจากที่ไกล ๆ ก็ดังขึ้น เราทั้งคู่เงยหน้ามองท้องฟ้าทันได้เห็นดาวตกดวงแรกวิ่งผ่านท้องฟ้าสีดำยามเที่ยงคืนไป เป้วางกีตาร์ไว้ข้างตัวตามเดิมและนอนลงกับเสื่อ เราทำแบบเดียวกัน

   “นั่นไงอีกดวงแล้ว” เรายกมือขึ้นชี้ เป้รีบตีมือเราบอกอย่าไปชี้เดี๋ยวนิ้วก็กุดหรอก เราหัวเราะ บอกว่าเป้เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ

   “เชื่อดิ เห็นดาวตกเขาไม่ให้ชี้ เขาให้อธิษฐาน” แล้วเป้ก็ยกมือพนมไว้ที่หน้าอก หลับตาแล้วทำปากงุบงิบ เราถามว่าหลับตาแบบนี้จะเห็นดาวตกได้ยังไง เป้บอกอย่าขัด กำลังอธิษฐานอยู่

   เสียงโห่ร้องเบา ๆ ยังดังมาจากที่ไกล ๆ อีกครั้งมันทำให้เรารู้ว่าตัวเองยังคงอยู่บนโลกนี้ที่มีคนอยู่อีกเป็นพันล้านคน และหลายร้อยล้านกำลังมองดูฝืนฟ้าเดียวกันกับเราทั้งคู่ หลายพันล้านในนั้นกำลังอยู่กับคนรัก ครอบครัว แฟน เพื่อน เฝ้าดูปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวตลอดช่วงชีวิต เรารู้สึกราวกับว่าไม่มีใครโดดเดี่ยวในค่ำคืนนี้ แม้แต่คนอย่างเรา

   “รู้ไหม ดาวหลาย ๆ ดวงบนนั้นมอดดับไปนานแสนนานแล้ว” เป้พูดขึ้นมา “ที่เรามองเห็นตอนนี้ก็คือแสงจากอดีตเมื่อหลายหมื่นหลายล้านปีก่อน หลายคนเชื่อว่าถ้าเราจ้องมองไปยังดาวสักดวงเราอาจจะพบต้นกำเนิดของเอกภพก็ได้”

   “โอ้โห...พ่อนักดาราศาตร์ พ่อสตีเฟ่น คิงส์” เราพูดน้ำเสียงล้อเลียน

   เป้นิ่วหน้าแล้วหันมองเราช้า ๆ “สตีเฟ่น ฮอร์กกิ้นส์หรือเปล่า ที่เป็นนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ สตีเฟ่น คิงส์นั่นมันนักเขียน ไอ้บ้า” แล้วก็หัวเราะออกมา เราเองก็ทั้งอายทั้งเขินเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ

   เราทั้งคู่นอนดูดาวตกกันเงียบ ๆ ไปนานหลายนาที มันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งเงียบสงบและน่าหลงใหล ราวกับว่าโลกทั้งโลกร้างไร้ผู้คน มีเพียงแค่เรากับเป้อยู่ที่นี่ บนดาดฟ้าบ้าน นอนดูเศษฝุ่นผงในห้วงอวกาศเผาไหม้ตัวมันเองเมื่อเคลื่อนผ่านชั้นบรรยากาศของโลก

   “เราอยากเป็นเหมือนดาวพวกนั้นนะ...” เป้พูดขึ้นในที่สุด “ส่องแสงอยู่นานแสนนานแม้ว่าตัวเองจะมอดดับไปแล้ว ส่องแสงไปไกลหลายพันล้านปีแสง คงอยู่ไปตลอดกาล”

   ณ วินาทีหนึ่งเป้เอื้อมมือมาจับมือเราไว้แล้วหันมายิ้ม มันไม่ใช่ครั้งแรกนะที่เราจับมือกันแต่เราไม่ค่อยมีโอกาสทำแบบนี้บ่อยนัก และก็ไม่รู้ว่าเราจะมีช่วงเวลานี้อีกหรือเปล่า เราเลยรวบรวมความกล้า ยันตัวขึ้นมองใบหน้าเป้ชัด ๆ และก่อนที่เราจะเปลี่ยนใจ เราก็จูบเป้

   มันไม่ใช่จูบที่ดีนักหรอก เรารู้ แต่มันก็เป็นจูบแรกของเรา เป้ยิ้มก่อนจะใช้มือโน้มคอเราลงไปจูบอีก มืออีกข้างล้วงลัดไปใต้เสื้อ

   “เดี๋ยว ๆ ๆ” เราร้องบอกเพราะใจนึกกลัวขึ้นมา เป้ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า สีหน้าตื่นกลัวนิด ๆ อย่างไร้สาเหตุ “ไป...ไปที่ห้องนอนนะ” เราบอกแบบนั้น เป้กลับมายิ้มอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น คว้ามือเราไปจับและเดินลงมาข้างล่าง เข้ามาในห้องของเรา ถอดเสื้อออกอย่างว่องไว ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอนที่นอนคร่อมทับร่างเราไว้บนเตียง มือถอดเสื้อเราออกอย่างรวดเร็ว ประพรมจูบไปทั่วร่างกายเรา พยายามปลดตะขอกางเกงนักเรียนเราออก แต่เราร้องห้ามไว้อีกครั้งก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นนั่งหันหลังพิงหัวเตียงแล้วเอามือปิดหน้าตัวเอง

   เป้ถามเราว่ามีอะไรหรือเปล่า เป้ทำอะไรผิดเหรอ ลุกขึ้นมานั่งทับตัวเราไว้และพยายามเอามือเราออก

   “เรา...เราไม่เคย...” พูดออกไปได้แค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ แล้วเป้ก็หัวเราะออกมา เราบอกว่าขำอะไรก็คนไม่เคยนี่หว่า แล้วเป้ก็เอามือเราออก บอกว่าขอโทษ เป้ไม่รู้ เดี๋ยวจะทำเบา ๆ นะ แต่เราห้ามเป้ไว้ ถามว่าแล้วเคยเหรอ เป้ยักไหล่เบ้หน้านิด ๆ แล้วบอกว่าก็ไม่เยอะหรอก ไม่ต้องกลัวน่าเป้ทำเป็น

   แล้วเราก็หัวเราะออกมาก่อนทุกอย่างจะดำเนินไปอีกครั้ง เป้ถอดกางเกงออก เลื้อยลัดตัวเองไปบนร่างเราด้วยใบหน้าและริมฝีปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเราร้องออกมาเสียงดังมากแค่ไหน

   แต่มันก็ดังพอให้อาน้อยขึ้นมาเช็กว่าทำอะไรกัน

   เขาเปิดประตูผัวะเข้ามาเพราะเราลืมล๊อก แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที อาน้อยร้องกรี๊ดเบา ๆ สั้น ๆ เป้ร้องว่า ‘เฮ้ย’ แล้วเอาหมอนมาปิดท่อนล่างตัวเองก่อนจะเสียหลักตกลงไปข้างเตียง หัวกระแทกผนังดังโป๊ก ขาสองข้างชี้ฟ้าขยับด๊อกแด๊กไปมาเหมือนขาปูเวลาโดนจับให้นอนหงาย เรารีบเอาผ้าห่มมาคลุมตัว

   “ทำอะไรกันน่ะ” อาน้อยพูดพลางหันหลังเอามือปิดหน้า

   “อาน้อย ออกไปก่อน” เราพูดออกมาจนได้

   พอแต่งตัวเสร็จอาชัยก็โทรเรียกรถแท็กซี่มารับเป้ไปส่งบ้าน อย่างน้อย ๆ แกก็ยังใจดีจ่ายค่ารถให้ แล้วคืนนั้นเรากับอาชัยอาน้อยก็มานั่งคุยกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดนด่าเสียยกใหญ่แล้วสั่งห้ามว่าไม่ให้พาใครมาทำอะไรแบบนี้ที่บ้านอีก (แต่เรากับเป้ก็ยังทำกันอยู่ดี ถูกไหม?)


   เราอยากจะให้เป้มาอยู่กับเราตรงนี้ด้วยจัง มาอยู่ตรงนี้ มองดูดาว มองดูแสงของอดีตจากกาแล็กซีอื่น ๆ พวกนั้น พยายามมองหาจุดกำเนิดของเอกภพ แต่เป้ก็ไม่อยู่ใช่ไหม? ไม่มีใครอยู่ตรงนี้ มันไม่มีอะไรจริงสักอย่าง ทั้งจดหมายนี่ หรือเป้ เราแค่คิดจินตนาการไปว่าเป้เป็นยังไงอยู่แบบไหน แต่ที่จริงไม่มีใครอยู่ตรงนี้สักคน มีแต่เรากับดาวบนฟ้า...แล้ว...แล้วเราก็ไม่อยากตาย ไม่อยากอีกแล้ว เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเฝ้ามองและคิดถึงแสงของเป้ที่ส่องสว่าง อยากจะมีลมหายใจเพื่อคิดถึงเป้ไปแบบนี้ และเราไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว เราพอแล้ว เราจะออกไปจากไอ้หลุมหัวกล้วยนี่แล้วกลับไปที่ค่าย อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับบ้าน แล้วทุกอย่างก็จะจบ เราพอแล้วกับไอ้การมานั่งสมเพชเวทนาตัวเองจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทรมานตัวเองเหมือนฤษีบำเพ็ญทุกรกิริยา มันโคตรปัญญาอ่อนเลย พระพุทธเจ้ายังรู้ว่ามันไม่เวิร์ค แล้วเขาก็เป็นคนที่เกิดมาแล้วเดินได้เจ็ดก้าวเลยนะเฮ้ย เราเป็นใครวะจะไปเถียงเขา

   เอาล่ะ เราต้องคิดอะไรสักหน่อย มันต้องมีอะไรที่เราใช่ได้บ้างสิ กระเป๋าโดเรม่อนก็อยู่นี่แล้ว จะไปกลัวอะไร

   ข้างในมีของตั้งเยอะ ตัดพวกเสื้อผ้ากับของใช้อย่างอื่นออกไปก็มี เสื้อกันฝน ผ้าใบที่ใช้เป็นเต็นท์นอน มุ้ง... (เราเอามาทำไมวะ) สมอบก...สมอบก

   ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมเราโง่แบบนี้วะ สมอปกเป็นเหล็กรูปร่างเหมือนหลังคาบ้าน ยาวสักฟุตหนึ่งได้ ปรกติเอาไว้ใช้โยงสายเต็นท์ให้เต็นท์ตั้งตรงและแข็งแรง เรามีอยู่แปดอัน (ที่จริงเขาให้พกคนละสี่อัน แต่เราเอาของไอ้เหมามาด้วย มันชอบทำหาย) ถ้าเราเอามันมาปักลงไปบนผนังหลุมเราก็จะได้ที่เหยียบที่น่าจะแข็งแรงพอ

   เอาวะ ลองดู...แต่ปืนกับล๊อกแซกล่ะ...เอาไงดี จะทิ้งเหรอ...เราว่าไม่น่าจะดีว่ะ อย่างน้อยก็ควรลองเอากลับไปด้วยก่อน เราเลยเอาเชือกไนลอนที่ใช้ผูกเป็นหูมุ้งมามัดต่อกันจนยาวได้หลายเมตรแต่ไม่รู้จะพอหรือเปล่า เราเลยเอาผ้าขาวม้า (ของแจกให้ทหารทุกคน) มาฉีกเป็นเส้น ๆ แล้วผูกต่อกันอีก แค่นี้น่าจะพอ เสร็จแล้วเราก็เอาปืนมาร้อยเข้าไปตรงโกร่งไกปืน ปลายด้านหนึ่งผูกไว้กับกระเป๋าร๊อกแซก อีกด้านก็ผูกเป็นเงื่อนกระตุกไว้ที่หูกางเกงข้างหลัง แค่นี้ก็จบ ถ้าถึงเวลามันหนักไปจริง ๆ ก็แค่กระตุกเงื่อนที่ผูกไว้กระเป๋ากับปืนก็หล่นไปก้นหลุมเหมือนเดิม

   ทีนี้ก็ต้องลองสมอบก เราลองปักสมอบกลงไปที่ผนังหลุมเต็มแรงแถมยังตอกด้วยส้นมืออีกสองสามครั้งจนแน่ใจว่าสมอจมมิดและแน่นพอ เราก็ลองขึ้นไปเหยียบดูด้วยขาข้างซ้าย สมอเคลื่อนนิดหน่อยแต่ก็รับน้ำหนักไหว

   เอาหล่ะ เราเอาสมอสองอันมากำไว้กับมือแน่น อีกหกอันที่เหลือใส่ไว้ในกระเป๋าที่ข้างขา แล้วเราก็เริ่มปีน...แล้วก็ปีน...ขยับขึ้นไปทีละนิด ตอกสมอบกด้วยมือจนเจ็บแต่ก็ไม่สนใจ ตอกสมอปก ขยับขาขึ้นไปเหยียบ ปักสมอด้วยมือทั้งสองข้าง ถึงจุดหนึ่งเราก็รู้ว่าปีนด้วยขาข้างเดียวแบบนี้ไม่ไหวแน่ เราเลยปักสมอบกด้วยมือข้างขวาด้วยแล้วขยับขาขวาขึ้นมาเหยียบ รู้สึกเหมือนข้อเท้าถูกแทงด้วยเข็มสักยี่สิบโหลได้ แต่มันไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องเจ็บ เรากัดฟันจนรู้รสเลือดในปาก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลาล่า ครอฟ จากเกมทูมไรด์เดอร์

   จนแล้วจนรอดเราก็มาจนเกือบถึงปากหลุม เหลืออีกประมาณเมตรกว่า ๆ ใจนึกกระหยิ่มก่อนจะควานมือไปในกระเป๋า...สมอบกหมดแล้ว ไอ้ฉิบหายเอ๊ย เราลืมกะระยะให้พอดีกับสมอที่มีอยู่ เอาไงดีวะ ตอนนี้เหลือสมอแค่อันเดียวคือที่อยู่ในมือข้างซ้าย ลองเขย่งเอื้อมไปที่ปากหลุมดู ปลายนิ้วโผล่พ้นขอบได้แบบเฉียดฉิว รู้สึกลมเย็น ๆ ที่ปลายนิ้ว แค่นี้คงไม่พอให้ปีนขึ้นไปได้ หรือปีนลงแล้วค่อยขึ้นมาใหม่...ไม่ดี อุตส่าห์มาถึงตรงนี้แล้ว แถมขาขวาก็เจ็บอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วย ถ้าลงไปแล้วขึ้นมาไม่ได้อีกล่ะ? เอาวะ ตายเป็นตาย

   เรารวบรวมกำลังเท่าที่เหลือทั้งหมดแล้วกระโดดสุดแรง ใช้สองมือปักสมอบกที่ขอบหลุม

   ได้ผล สมอปักลงบนพื้นข้างหลุมพอดี แต่ดินร่วนเกินไป สมอบกค่อย ๆ ครูดเป็นทางยาวส่วนตัวเราก็ไถลตกลงไปด้านล่าง

   วินาทีนั้นเราเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่หางตา และโดยไม่ทันคิด เราปล่อยมือขวาจากสมอปกแล้วคว้ามันไว้

   โชคดีที่ไอ้ที่เราคว้าได้เป็นมันเป็นรากไม้แห้ง ๆ ที่เหนียวพอดู

   เรายันตัวเองขึ้นมาจากปากหลุม ปากร้องบ้าบออะไรไม่รู้ออกมาดังลั่นก่อนจะนอนลงกับพื้น หอบหายใจถี่เอาอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด รู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลออกมา รับรู้รสเค็มของมันที่อยู่ในปาก

   ไอ้การมีชีวิตอยู่นี่มันยากเหมือนกันนะ...แต่มันก็รู้สึกโคตรจะดีเลย




พลทหารเต้อ เดอะแบตแมน
นักปีนหลุมในตำนาน



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:17:36 โดย keivet001 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :impress2: :impress2: :impress2:ตอนใหม่จั๊บบบบบบ:impress2: :impress2: :impress2:




   หลังจากนั้นเราก็สาวเอากระเป๋าร๊อกแซกกับปืนขึ้นมาด้วยความเบามือเพราะกลัวเชือกไนลอนที่ใช้ผูกหูมุ้งมาก่อนจะลื่นหลุดจากกัน ดูเหมือนว่าไอ้เชือกที่เราทำมันก็ยาวจนเกินพอดีไปเยอะเลย พอสำภาระขึ้นมาถึงปากหลุมแล้วเราก็ใส่สายเก่ง ติดเข็มขัดสนาม สะพายกระเป๋าร๊อกแซกขึ้นบ่า แล้วใช้ปืนเหมือนไม้ค้ำยันเวลาเดิน อีกมือก็ถือไฟฉายและออกเดินอีกครั้ง ใจก็นึกถามตัวเองว่ามาถูกทางหรือเปล่าวะ แต่ก็ไม่นาน พอเราเดินผ่านป่าออกมาได้ไม่มากก็เจอกับบ่อบัวแห้งขอดขนาดประมาณสนามบาสสองสนาม เลยออกไปเราก็เห็นเจดีย์ของวัดป่าสีทองอร่ามสะท้อนแสงจันทร์เดือนเพ็ญอยู่ห่างออกไปสักสองสามกิโลเมตรได้ ถึงจะไม่เห็นทางเดินแน่นอน รอบด้านเป็นป่ารกชัฏ แต่พอเห็นจุดหมายแล้วก็ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาได้มากเลย จากนั้นอะไรก็ง่ายแล้ว เราก็แค่เดินเป็นเส้นตรงมุ่งไปทางเจดีย์ใหญ่ ผ่ากลางบ่อบัวที่พื้นเป็นดินโคลนกึ่งแห้งกึ่งเปียกไป

   เดิน แล้วก็เดิน แล้วก็เดิน แล้วก็เดิน สายตาก็จ้องไปที่เจดีย์ ผ่านไปนานเท่าไรเราก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือทุก ๆ ก้าวของเรานั้นทำให้องค์เจดีย์ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

   จนสุดท้ายเราก็มาถึงด้านหลังองค์เจดีย์ใหญ่ จุดสิ้นสุดของป่าคือบนขอบกำแพงรอบองค์เจดีย์ เราเลยต้องค่อย ๆ ปีนลงมา

   ไม่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แสงไฟจากตัวพระอุโบสถที่อยู่ด้านล่างจากองค์เจดีย์ไปหลายเมตรล่อตาล่อใจให้เราเดินไปหา แต่ก็เหมือนมีโชคดีในโชคร้าย เพราะว่ามีบันไดที่สูงตั้งหลายร้อยขั้น สิ่งที่เราทำก็คือนั่งลงแล้วไถลตูดไปกับขั้นบันได ตอนแรกก็เหมือนเป็นความคิดที่ดีอยู่หรอก แต่ด้วยความที่บันไดปูด้วยหินอ่อนเราเลยลื่นไถลลงมาทีละเจ็ดแปดขั้นจนจุกตูด

   ถึงแบบนั้นเราก็หัวเราะออกมาคนเดียวเงียบ ๆ

   พอมาถึงพระอุโบสถ เราก็เดินปรี่ไปที่ก๊อกน้ำข้าง ๆ สกปรกไม่สกปรกก็ไม่สนใจแล้ว คอแห้งจะตาย พอกินน้ำจนอิ่มแล้วเราก็มานั่งพักที่ใต้ดวงไฟ หลังจากนี้อะไร ๆ ก็คงง่ายเพราะพอเลยจากวัดป่าไปก็เป็นหมู่บ้านนายทหาร ถ้าโชคดีอาจจะเจอนายทหารสั่งคนขับรถพาเรากลับค่าย ถ้าไม่ดีก็แค่เดินกลับเอง มันก็ไม่ได้ไกลอะไรนักหรอก

   หรือไม่ก็นอนมันตรงนี้แหละ พรุ่งนี้ค่อยกลับ...คิดแบบนั้นเราก็เอนตัวนอนลงกับพื้นปูนนั่นแหละ เพลียก็เพลีย เหนื่อยก็เหนื่อย...

   แต่ไม่ทันเราจะคิดอะไรต่อ เสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ก็ดังป๊อดแปด ๆ มา รู้สึกคุ้น ๆ เสียง แล้วก็ใกล้ขึ้น ๆ จนสุดท้ายก็มาจอดที่หน้าทางขึ้นองค์เจดีย์

   คนขับวาดขาลงมายืนข้าง ๆ รถมอเตอร์ไซค์ มือก็คว้าวิทยุทหารมาพูด

   “ยังไม่เจอครับจ่า” โอ้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราดันจำเสียงมันได้อีก เอาไงดีล่ะ แอบไหม? หรือวิ่งหนีดี?

   แต่ก็ไม่ทันแล้วแหละ มันหันมาเห็นเราพอดี ไอ้เราก็ไม่รู้จะทำไง ก็เลยเผลอยกมือทักเหมือนเพื่อนเล่นกับอีกฝ่ายไป

   “ผมอยู่นี่ครับครูมิ้นท์”


   เรื่องต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไร เราซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไอ้ครูพี่มิ้นท์กลับหน่วยฝึกฯ คนทั้งกองร้อยหลับกันไปหมดแล้ว มีแต่ไอ้พวกเข้าเวรที่ยืนเป็นคู่ ๆ ทั้งสามมุขบนชั้นสองของโรงนอน ตรงมุขกลางเราเห็นพวกจ่า ๆ ชะโงกหน้ามามองแล้วตะโกนบอกว่าให้ขึ้นไปรายงานตัว เราก็ยืนตรงแล้วตะโกนรับว่าครับไปดัง ๆ ใจคิดว่าพวกพี่ไม่คิดว่าผมจะเหนื่อยหรืออะไรบ้างหรือครับ

   ไอ้ครูมิ้นท์มาคว้าปืนกับร๊อกแซกไปถือแล้วช่วยจับเราเดินขึ้นบันได ตลอดทางตั้งแต่วัดป่ามาจนถึงตรงนี้มันไม่พูดอะไรกับเราสักคำ คงเห็นสภาพเราแล้วก็รู้แหละว่าไม่ได้ไปเที่ยวดรีมเวิร์ลมาแน่ ๆ

   พอขึ้นไปถึงพวกจ่ากับผู้กองก็ยืนจังก้ารอสั่งแดกเราเต็มที่

   คนแรกที่พูดกับเราก็คือจ่าติ๋ม แกตะโกนสั่งให้เรารายงานตัว เราก็ทำตาม “กระผม พลทหาร ตรีภพ หมายทินกร ขออนุญาตรายงานตัวครับ” ด้วยท่าทางที่...เป้ก็ต้องเข้าใจนะเว้ย เราตอนนั้นอยู่ในชุดฝึกมอมแมมมีแต่ฝุ่นดิน หัวก็โพกผ้าห้ามเลือดที่หัวแตก ส้นมือก็แตกมีเลือดซิบ ๆ เพราะใช้ตอกสมอบก ปกเสื้อเลอะเลือด แถมยังขาเดี้ยงไปข้างหนึ่ง มันก็จะสง่างามได้สักแค่ไหนล่ะ

   แล้วผู้กองก็บอกพอ ๆ แล้วถามว่ามึงไปไหนมา เราก็เล่าให้เขาฟัง (ตั้งแต่ออกมาจากที่พัก หลบรถฮัมวี่ลงข้างทาง ไปเจอลานหิน แล้วก็หลงไปตกหลุมยุบ ส่วนเรื่องน้องโคเราข้ามไป ก็มันน่าอายนี่หว่า) ระหว่างนั้นพวกจ่าเหน่งก็มาดูแผลที่หัวเรา แก่สรุปว่าคงต้องพาไปเย็บที่โรงพยาบาลค่าย ส่วนขา...ปรากฏว่าแย่กว่าที่คิดเพราะพอไอ้พี่มิ้นท์ช่วยเราถอดคอมแบตออกมาข้อเท้าก็บวมอย่างกับส้มโอ

   “กลับมาได้ก็ดีแล้ว...เรื่องอื่นค่อยมาคุยที่หลัง ตอนนี้พาทหารไปโรงพยาบาลก่อนไป” ผู้กองแกพูดออกมาเสียงเรียบ ดูไม่ค่อยยินดียินร้ายเท่าไรทำให้เราเดาอารมณ์ไม่ถูกว่าแกจะตะบันหน้าเราหลังจากนี้หรือเปล่า แต่ก็ช่างเหอะ

   พอผู้กองสรุปแบบนั้นจ่าแกก็ให้ไอ้ครูมิ้นท์ไปส่งเราที่โรงพยาบาลค่ายแถมยังกำชับว่าถ้าต้องนอนค้างก็ให้ครูมิ้นท์นอนค้างด้วย

   พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ให้เราเอกซเรย์ขอเท้า ปรากฏว่าไม่หัก แค่แพลง ที่บวมก็เพราะเราฝืนปืนขึ้นมาจากหลุมแถมยังถูกรองเท้าคอมแบตรัดซะแน่น ส่วนแผลที่หัวก็เย็บไปสี่ห้าเข็ม (แถมยังไม่ฉีดยาชาด้วย เจ็บเกือบตาย)

   กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็สว่างคาตาพอดี

   “เรื่องที่มึงเล่า จริงเหรอ” ไอ้ครูมิ้นท์ถามเราแบบนั้นตอนที่ทุกอย่างเกือบจะเสร็จหมดแล้ว เรากับมันมานั่งรอจ่ายยาอยู่ที่โถงทางเดิน

   เราถามมันกลับไปว่าพี่คิดว่าไงล่ะ ตอนนั้นคือเราทั้งหิว เหนื่อย ง่วง แถมยังเจ็บหัวกระบาลตุบ ๆ ไม่มีอารมณ์มาทำเข้มห่วงเรื่องระดับสายบังคับบัญชาบ้าอะไรแล้ว

   พอโดนเรากวนเข้าหน่อยมันก็เงียบ แล้วก็พูดว่ามันรู้ว่าเราเคืองมันอยู่ แต่ที่มันทำเพราะจ่าแกสั่งมา คือเรื่องของเรื่องจ่าเหน่งเห็นแผลที่ท้องแขนขวาเราแล้วก็ไปบอกจ่ายักษ์ที่เป็นจ่าประจำหมวดว่าเรามีแผลเหมือนกรีดข้อมือตัวเอง จ่ายักษ์เลยให้มันมาคอยตามดูเราเผื่อว่าคิดจะมาฆ่าตัวตายในค่าย ตัวมันเองก็ไม่ได้อยากทำหรอกแต่จ่าสั่งก็ต้องทำตาม

   เราพอได้ฟังแบบนั้นก็ถึงบางอ้อว่าที่มันมาตามจี้ ๆ เราอยู่เนี่ยก็เพราะแบบนี้นี่เอง แต่ใจอ่ะก็ยังเคืองไม่หายเรื่องที่มันพูดบนเขาชนไก่...แต่ก็ช่างเหอะ เอามาคิดมากก็ปวดกระบาลเปล่า ๆ ตอนนี้แค่ปวดแผลก็จะแย่อยู่แล้ว

   เรากับมันเงียบไปสักพัก บรรยากาศน่าอึดอัด จนแล้วจนรอดมันก็ถามเราจนได้ว่า “แล้วมึงกรีดแขนตัวเองจริงไหม”

   เราก็ตอบว่าจริง แต่มันนานแล้ว ตอนนี้เราไม่คิดอยากตายแล้ว

   “ทำไมวะ”

   “เรื่องส่วนตัวว่ะพี่ พูดไปก็ยืดยาวเปล่า ๆ”

   “ไม่ใช่ กูหมายถึงทำไมไม่อยากตายแล้ว”

   เรานิ่งคิดไปสักพักหนึ่งแล้วก็ตอบว่า “จะตายทำไม อยู่ ๆ ไปแบบนี้ก็สนุกดี”




เต้อ
พลทหารผ่านศึก




  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:19:13 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :impress2: :impress2: :impress2:ตอนใหม่จั๊บบบบบบ:impress2: :impress2: :impress2:



   หนึ่งอาทิตย์ก่อนจบการฝึกเป็นการตรวจสอบการฝึก

   หลัก ๆ ก็เหมือนสอบทดสอบความรู้ทั่วไปนั่นแหละ เริ่มตั้งแต่ท่าบุคคลมือเปล่าพวก ท่ายืน เดิน วิ่ง ทำความเคารพ ถอดหมวก ใส่หมวก ระเบียบพัก หมอบ ท่าคว้างลูกระเบิด ท่าเดินสวนสนาม จนไปถึงท่าบุคคลประกอบปืน ท่าตรวจอาวุธ ท่าเล็ง ท่ายิง แล้วก็สอบความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของอาวุธ ระเบิด ความรู้เรื่องอาวุธเคมี การใส่หน้ากากกันแก๊สพิษ อะไรพวกนั้น หลัก ๆ คือทดสอบทุกอย่างที่ฝึก ๆ กันมาร่วมสามเดือน โดยคนที่มาตรวจสอบก็ไม่ใช่ใครหรอก เป็นพวกจ่า ๆ จากหน่วยฝึกฯ รด. ที่อยู่ติดกัน

   เอาเข้าจริง ๆ ก็เหมือนตรวจ ๆ ไปงั้น ๆ ไม่ได้มีความจริงจังอะไร แถมหลายอย่างก็แค่สุ่มตัวแทนออกมาสองสามคน ไม่ได้ทดสอบทุกคน เพราะงั้นมันเลยไม่ได้กินเวลามากมายอะไร

   ส่วนเราเหรอ เหอะ หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลก็แทบจะกลายเป็นผีเฝ้าเต็นท์พยาบาลไปแล้ว วัน ๆ ก็คอยทำความสะอาดเต็นท์ ดูคนป่วย (ในกรณีที่มันป่วยจริง ๆ น่ะนะ) แต่มันก็อาทิตย์สุดท้ายแล้ว ใจแต่ละคนมันไปนอนอยู่บ้านกันหมดแล้ว ไม่ค่อยมีใครป่วยหรอก

   พอตรวจการฝึกจบไป อีกสองสามวันต่อมาก็เป็นการบำรุงหน่วยฝึกฯ ทำความสะอาด เก็บขยะ ทำความสะอาดปืน ไปจนถึงถอดหญ้า ถางพง อะไรก็ว่ากันไปแล้วแต่จ่าจะสั่ง ส่วนช่วงเย็นก็ซ้อมเดินสวนสนามเพื่อเตรียมเดินในพิธีจบการฝึก ตัวเราเองก็ไปซ้อมเดินกับเขาเหมือนกันถึงขาจะเจ็บจนจะหลุดออกมาทุกครั้งที่เดินตบเท้ากับพื้น แต่เราก็ทนเพราะไม่อยากเป็นขี้ปากใครว่ากินแรงคนอื่น แต่พอทุกเย็นหลังจากซ้อมเสร็จเราแทบถอดรองเท้าไม่ได้เพราะข้อเท้ากลับมาบวมอีกแล้ว จนแล้วจนรอดจ่าเหน่งก็สั่งให้เราหยุดแล้วไปประจำรถพยาบาล (มันเป็นรถพยาบาลเล็ก ๆ เก่า ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ขนอุปกรณ์ต่าง ๆ เวลาออกนอกหน่วยฝึกฯ มากกว่า) จนสุดท้ายเราก็กลายเป็นเด็กยกน้ำคอยเติมน้ำลงถังน้ำแข็งไป

   อ้อ แล้วเราโดนเปลี่ยนฉายาแล้วนะ จากไอ้รบพิเศษ ตอนนี้เราเป็น ไอ้ทาซาน อะไรของพวกมันก็ไม่รู้ คนเรียกเราคนแรกก็จ่ายักษ์นั่นแหละ

   เหตุการณ์ที่แกเรียกเราว่าทาซานครั้งแรกก็มีอยู่ว่า หน่วยเรามีหมาอยู่สองตัว ชื่อจ่าแดง (มันมีขนสีน้ำตาลออกแดง ๆ หน่อย) กับอีนวล จ่าแดงเป็นตัวผู้หนุ่มแน่นรูปร่างปราดเปรียว ที่มันชื่อจ่าแดงเพราะมันชอบมานั่งดูเวลาทหารฝึก แถมยังคอยเดินตรวจแถวตอนเช้า ๆ อีกต่างหากจนพวกจ่ายังชอบพูดกันเลยว่าจ่าแดงขยันตรวจทหารมากกว่าจ่าจริง ๆ เสียอีก

   ส่วนอีนวลเป็นตัวเมีย ตัวสีนวลไข่ไก่อายุน่าจะเยอะกว่าจ่าแดง

   ทีนี้ วันนั้นทหารใหม่ดันไปเล่นพิเรนทร์ เอาปากกาเมจิกไปเขียนตัวอีนวลจนลายไปหมด ผลก็คืออีนวลโดนหมาที่อื่นกัดจนเป็นแผลทั้งตัว ส่วนจ่าแดงที่เข้าไปช่วยอีนวลก็โดนกัดเจ็บหนักเหมือนกัน พอมันสองตัวกลับมาถึงหน่วยฝึกฯ พวกจ่า ๆ ก็เลยหายามาทำแผลให้ แล้วจู่ ๆ จ่ายักษ์ก็บอกว่า “เฮ้ย ไอ้ทาซาน มึงมานี่สิ” ตอนแรกเราก็งงว่าเรียกใคร จนแกชี้ เราถึงจะรู้ตัว คนอื่น ๆ ในกองร้อยหัวเราะกันใหญ่ แล้วแกก็มอบหมายภาระหน้าที่อันหนักอึ้งให้เรา นั่นก็คือ คอยทำแผลให้หมาของกองร้อยทั้งสองตัวจนกว่าจะจบการฝึก

   นั่นไงล่ะ ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ตอนนี้เราได้เป็นทั้งหน่วยรบพิเศษ ทาซานและสัตวแพทย์ ใครมันจะไปคิดวะ จริงไหมเป้?

   ยังไงก็เหอะเราก็ทำตามที่จ่าสั่ง ทั้งทำแผล ฉีดยา ป้อนยาให้หมาทั้งสองตัว ที่หนักสุดคงเป็นอีนวล มันมีแผลเหอะหวะที่ขาหลัง กลัดหนองเหม็นโชยไปทั่ว เราต้องคอยบีบหนองออกและใส่ยาให้เท่าที่จะทำได้ ตัวมันก็ร้องเอ๋ง ๆ ตลอด สงสารก็สงสารแต่ก็ต้องทำมันจะได้ไม่ตาย

   แล้วไอ้ครูมิ้นท์ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร พอเจออีนวลทีไรก็ทำท่าจะเตะ อีนวลก็กลัวจนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน เห็นบ่อย ๆ เข้าเราทนไม่ไหวก็บอกมันไปว่า พี่มิ้นท์ จะไปแกล้งมันทำไม มันเจ็บอยู่ พอได้ยินแบบนั้นไอ้ครูมิ้นท์ก็ไม่ตอบเรา มันมองเราหางตาเหมือนเราเป็นขยะสักชิ้นแล้วก็เดินไป

   โอ้โห พ่อเอ๊ย เข้มมากอย่างกับพี่ติ๊กเจษฯ ไอ้หัวกล้วย ชาติหน้าขอให้มึงเกิดเป็นหมาบ้างนะ จะได้รู้ว่ามันรู้สึกยังไง แล้วมันเป็นห่าอะไรของมันไม่รู้ ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลมันก็ไม่คุยอะไรกับเราอีกเลย ไม่มองหน้า ไม่มาตามจี้ ๆ เวลาฝึก ไม่แม้แต่จะมาอยู่ใกล้เกินสองเมตร บางวันเราเห็นตอนมันตื่นนอนก็ดูมึน ๆ อึน ๆ เหมือนคนเมาค้าง คงไปเมาที่ตลาดค่ายมาแหง ๆ แล้วตัวมันก็...จะว่าไป คือมันเป็นคนรูปร่างสูง ผิวไม่ขาวไม่ดำ แต่หน้าตาสูบผอมผิดมนุษย์ เบ้าตาลึก แก้มตอบติดกระดูก ถึงมันจะเป็นคนสูบบุหรี่แต่เราว่าแค่บุหรี่ไม่น่าจะเป็นได้ขนาดนั้น เราว่ามันต้องเล่นยาแน่ ๆ

   เออ ดีเหมือนกันดูดยามาก ๆ ให้ตาย ๆ ไปซะคนแบบนี้ ตัวเราเองถึงตรงนี้ก็ไม่อะไรกับใครแล้วเหมือนกัน บรรยากาศในหน่วยฝึกฯ ก็มีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ ทหารทุกคนเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้กลับบ้าน จิตใจเบิกบานจนชนิดที่เรียกได้ว่าเหมือนเป็นเด็กใส ๆ วิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งต่างจากความรู้สึกเราลิบลับ

   ครั้งแรกที่เรารู้สึกไม่อยากกลับบ้านก็คือเช้าวันหนึ่งก่อนงานปิดการฝึก คนในหมวดเรากำลังเดินเก็บขยะรอบ ๆ หน่วยฝึกฯ เป็นกิจวัตรเหมือนทุกวัน แล้วก็เหมือนเช้าวันอื่น ๆ พวกเราแอบไปนั่งอู้กันอยู่ข้างรถฮัมวี่ มันเป็นเช้าที่แดดแรงเป็นสีใส เสียงคุยของเพื่อนเราดังอยู่รอบตัว ไอ้ซ่าชวนไอ้เหมาไปเที่ยวบ้าน ไอ้จีนพูดว่าแม่มันจะเอารถกระบะมา ถ้าใครจะติดไปลงกรุงเทพฯ ก็มาได้ ส่วนคนอื่นก็คุยกันเรื่องกลับไปแล้วจะไปทำอะไร หลายคนพูดเรื่องของกิน พ่อแม่ แฟน แต่เราไม่มีความคิดพวกนั้นอยู่เลย ตรงหน้าของเราเป็นสนามหญ้าโล่ง ๆ ที่มีหญ้าขึ้นสูงถึงหัวเข่า กลิ่นอากาศชื้น ๆ ลอยมาตามลมเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก สายลมที่พัดเอื่อย ๆ ช่วยคลายร้อนได้ไม่มากนัก ผีเสื้อสีเหลืองส้มนับร้อย ๆ กำลังบินวิบวับไปมาตามแรงลมจนกลายเป็นรูปร่างของสายลมที่เคลื่อนอยู่รอบตัว ตอนนั้นเรานึกอยากให้เวลาวินาทีนี้มันยืดยาวออกไปไม่รู้จบ เสียงพูดคุยทำให้เราไม่รู้สึกเหงา แสงแดดและต้นหญ้าทำให้เราอยากจะจดจ้องมันอยู่แบบนั้นไปอีกนานแสนนาน

   มันน่าแปลกมากที่เรารู้สึกแบบนั้นทั้ง ๆ ที่หลังจากปืนขึ้นมาจากหลุมได้ เรื่องการกลับบ้านก็กลายเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราให้มีแรงลุกขึ้นจากที่นอนทุกวัน เป็นกำลังใจเดียวที่ทำให้เราปืนขึ้นมาจากหลุมนั่นแล้วเดินกลับหน่วยฝึกฯ เป็นเครื่องช่วยชีวิตต่อลมหายใจเราในยามที่เราคิดว่าตัวเองกำลังท้อแท้

   แต่มาตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งทำร้ายเรา เรารู้สึกเหมือนคนที่กำลังเดินกลับเข้าไปในเรือนจำทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งตรงกันข้าม มันแปลก แปลกเกินไป แม้แต่กับเราที่เป็นคนแปลก ๆ อยู่แล้วก็เถอะ

   คืนก่อนงานปิดการฝึก หน่วยฝึกฯ เราแปลงห้องประชุมเป็นผับขนาดย่อม ๆ (ที่จริงมันก็แค่ยกโต๊ะเก้าอี้ไปกองไว้หลังห้องแล้วปิดไฟ ทหารเอาไฟฉายมาถือโบกไปมา ส่วนจ่าก็เปิดเพลงรถบั้มเห่ย ๆ) เราเต้นอยู่ในความมืดนั้น เบียดเสียดกับทหารคนอื่น ๆ เหงื่อไหลไปทั่วตัวเพียงเพราะคิดว่าการได้ออกแรงคงจะช่วยให้เราสลัดความคิดบ้า ๆ ในหัวออกไปได้ แต่เปล่าเลย หลังจากเต้นอยู่แบบนั้นเป็นชั่วโมงเราก็เดินออกมาจากห้องประชุม รู้สึกเหมือนคนบ้าที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรหรือคิดอะไรอยู่ เสื้อชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ กลิ่นอากาศภายนอกเย็นและสดชื่นกว่าข้างในห้องประชุมมาก

   เรากำลังเดินไปห้องอาบน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ตอนที่รู้สึกถึงใครบางคนมาล๊อกคอเราจากข้างหลัง

   วินาทีแรกเราร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะยื้อร่างอีกฝ่ายจนลอยขึ้น

   “ไปไหนวะ” เสียงคุ้น ๆ ดังอยู่ที่ข้างหูเรา

   “ไอ้เบนซ์” เราร้องขึ้น รู้สึกถึงร่างกายของมันที่แนบอยู่ที่แผ่นหลัง ขาของมันโอบรอบเอวเราไว้แน่น “เล่นห่าอะไรเนี่ย ตกใจหมด”

   มันหัวเราะก่อนจะปล่อยตัวเองกลับไปยืนและเดินมาอยู่ข้าง ๆ “ตกลงจะไปไหน”

   “ไปเตะบอลมั้ง” เราตอบกวนมันไป ใจยังเต้นแรงไม่หาย “ถามอะไรแปลก ๆ ก็ไปห้องน้ำดิ”

   มันยิ้มออกมาก่อนจะว่า “มึงกับกูก็คุยกันครั้งแรกก็ตรงนี้ใช่ไหม”

   เรามองหน้ามันและพยายามเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอย่างที่เราคิดหรือเปล่า...ซึ่งถ้าเป็นจริงเราก็คงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป “ใช่ดิ ทำไม อยากโดนตบอีกทีเหรอ”

   มันหัวเราะออกมาก่อนที่เราจะเลี้ยวเข้าไปในห้องอาบน้ำ

   “เปล่า แต่แค่คิดว่าก็เร็วเหมือนกันนะ รู้จักกันไม่ได้เท่าไรก็ต้องไปแล้ว” ไอ้เบนซ์อยู่หน่วยการสัตว์ที่นครปฐม หลังจากฝึกเสร็จมันต้องไปอยู่นี่นั่น ส่วนเราอยู่กองร้อยบริการซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยฝึกฯ ไปแค่ไม่กี่เมตร

   เราเค้นหัวเราะออกมาพลางถอดเสื้อออก “เร็วห่าอะไร แค่นี้ ๆ ก็แทบจะตายอยู่แล้ว”

   มันหัวเราะอีก พอเราหันไปก็เห็นมันเปลือยกายล่อนจ้อนและกำลังตักน้ำขึ้นอาบ ตัวเราตอนนั้นตะโกนบอกตัวเองในสมองว่าให้เลิกจ้องมันได้แล้ว แต่ดูเหมือนสายตาเราจะไม่ทำตามจนเผลอมองไปหลายวินาทีกว่าจะละสายตาได้

   เราวักน้ำขึ้นจากอ่างด้วยมือสองข้าง ชโลมไปทั่วหัวเพื่อคลายร้อนและหวังว่าจะชะล้างเอาความคิดบ้า ๆ ในหัวออกไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เป็นแบบนั้น สุดท้ายเราก็ได้แค่ชันข้อศอกกับขอบอ่างน้ำและจ้องมองดูเงาสะท้อนที่บิดเบี้ยวของตัวเอง

   “คิดอะไรอยู่” จู่ ๆ ไอ้เบนซ์ก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เราแล้วทำท่าทางเดียวกัน

   เราบอกว่าเปล่าเสียงสูงนิด ๆ เพราะตื่นเต้น แต่สุดท้ายเราก็พูดออกมา “มึงเคยคิดไหม...แบบ ไม่อยากกลับบ้าน อยากอยู่แบบนี้ต่อไปอีกนิด...”

   ตอนแรกเราคิดว่ามันจะหัวเราะออกมาแล้วบอกว่าเราปัญญาอ่อนหรือบ้าไปแล้ว แต่ไอ้เบนซ์กลับเงียบไปสักครู่ แล้วก็บอกว่าเคย “อยู่แบบนี้มันก็สนุกดีนะ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องอะไรเลย ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน แค่อยู่ไปวัน ๆ ...แต่มันไม่ใช่ชีวิตจริงหรอกว่ะ เหมือนตอนเข้าค่ายลูกเสือตอนเด็ก ๆ มึงเคยไหม?”

   เราหัวเราะแล้วบอกว่าใครจะไม่เคยวะ “นั่นแหละ ตอนนั้นไปทำนั่นทำนี่ เดินทางไกล ร้องเพลงรอบกองไฟ ผจญฐาน อะไรต่ออะไร อยู่กับเพื่อนฝูง กอดคอร้องไห้ไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ชีวิตจริง โลกความจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นไง ทุก ๆ วันมึงก็ต้องต่อสู้กับทั้งตัวเองแล้วก็คนอื่น ๆ  สู้เพื่อให้มีเงิน เพื่อให้มีข้าวกิน เพื่อให้มีชีวิตต่อไป..ถ้าคิดแบบนั้น เป็นทหารก็สบายกว่าเป็นพลเรือนนะ”

   “คงงั้นมั้ง” เรายักไหล่พลางตอบมันไป แล้วไอ้เบนซ์ก็ตักน้ำสาดใส่หน้าเราเต็มขัน ซึ่งเราก็ตอบโต้มันไปแบบเดียวกัน กลายเป็นว่าเราทั้งคู่สาดน้ำใส่กันเล่นเหมือนเด็ก ๆ ตัวมันเปลือยเปล่า ส่วนเราใส่แค่กางเกงเป็ดน้อย ณ จุดใดจุดหนึ่งมันไล่ต้อนเราจนมุมที่ในห้องส้วม หลังเราแนบติดผนังห้องน้ำตอนที่มันราดน้ำในขันใส่เรา เราหัวเราะและบอกพอแล้ว เลิก ๆ เปียกไปหมดแล้ว

   มันหัวเราะออกมาก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวเราจนหน้าร่างกายของเรากระทบกัน มันก็พูดด้วยเสียงกระซิบเหมือนกำลังบอกความลับบางอย่าง “มึงเคยคิดจะบอกกูไหม”

   เรานิ่วหน้ายิ้ม ๆ พลางใช้มือลูบเม็ดน้ำออกจากใบหน้า “บอกอะไรมึงวะ” ไม่รู้ทำไมเราต้องตอบมันด้วยเสียงกระซิบเหมือนกัน

   “ที่มึงชอบกูไง”

   วินาทีนั้นเราพูดอะไรไม่ออกสักคำ สมองว่างโล่งเหมือนไม่เคยมีก้อนโปรตีนอยู่ตรงนั้น พยายามฝืนยิ้มและหัวเราะ แต่ไอ้เบนซ์ก็จ้องเราเขม็งจนเรารู้ว่าจะโกหกคงไม่ได้แล้ว

   “ไม่เคย...” เราตอบมันไป ไอ้เบนซ์ถามย้ำว่า ไม่เคยอะไร เราเลยบอกว่า “ไม่เคยคิดจะบอก เพราะรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นแบบนั้น”

   มันทำหน้าเบ้และยักไหล่ข้างหนึ่ง “อาจจะเป็นก็ได้”

   เราฝืนขำออกมาแล้วบอกมันว่าไม่ต้องมาทำเป็นพูดหรอกเบนซ์ มึงไม่ได้เป็น ดูก็รู้แล้ว แล้วอีกอย่างบอกไปแล้วเสียเพื่อนเราก็ไม่อยากบอก มันเป็นคนดีนะ หนึ่งในหลาย ๆ คนที่เราอยากเป็นเพื่อนต่อไปหลังจากฝึกจบ

   แล้วมันก็ถามว่า มันเนี่ยนะดี ดียังไง เราก็บอกว่า มันคุยสนุก หัวเราะง่าย ฉลาด ถึงบางครั้งมันจะดูเหมือนคิดอะไรอยู่ในหัวตลอดแต่มันก็ไม่คิดจะปิดตัวเองและคิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ

   ไอ้เบนซ์หัวเราะ มันบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีสาวที่ไหนมาสารภาพรักกับมันแบบนี้มาก่อนเลย “ถ้ามึงเป็นผู้หญิงนะ ป่านนี้ท้องไม่มีพ่อไปแล้ว”

   เราหัวเราะ สมองก็คิดว่ารู้งี้เทคยาคุมตั้งแต่ป.2ก็ดีหรอก

   แล้วเรากับมันก็เงียบกันไปหลายวินาที เสียงเพลงจากห้องประชุมเงียบไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตัวของไอ้เบนซ์ยังแนบอยู่กับหน้าอกเรา มันแนบสนิทจนเรารู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจไอ้เบนซ์ที่เร็วและแรงผิดปรกติ หัวมันอยู่ต่ำกว่าคางเราเล็กน้อย ลมหายใจมันรดอยู่ที่หน้าอก หลายวินาทีเรานึกอย่างจะซุกใบหน้าไปบนหัวของมัน แต่ถ้าทำแบบนั้นเราอาจจะโดนมันต่อยได้ ถึงมันจะเตี้ยกว่าเราหลายเซนติเมตร แต่มัดกล้ามของมันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

   “ก็ได้” จู่ ๆ มันก็กระซิบบอก

   “อะไรของมึง” เราถามกลับ

   “กูให้มึงจูบทีหนึ่ง”

   เรารู้สึกเหมือนสมองระเบิดออกเป็นเสี่ยง เลือดในตัวร้อนผ่าว หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น เราต้องถามมันซ้ำว่ามันพูดว่าอะไรนะ มันก็ทวนคำเดิม ช้า และกระซิบเสียงเบาแต่สั่นไหวแปลก ๆ

   ตอนนั้นเราถามมันว่าทำแบบนี้ทำไม แน่ใจเหรอ อะไรแบบนั้น แต่ไอ้เบนซ์ตัดบท ถามเราว่าจะเอาหรือไม่เอา ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว

   เราใช้สองมือประคองหน้ามันไว้และค่อย ๆ โน้มหัวลงไปจูบมัน

   ปากมันนิ่มและสั่นเหมือนไม่แน่ใจสิ่งที่กำลังทำอยู่ จังหวะขยับก็ดูเงะเงิ่น ลมหายใจแผ่วเบาถ่ายทอดออกมาจากมันแล้วเราก็รับมันไว้ พยายามจดจำและกักเก็บทุกอย่างไว้ในตัวเอง กลิ่นสาบของเหงื่อผสมน้ำให้ความรู้สึกจริงแท้ยิ่งกว่าความจริงใด ๆ ท่อนลิ้นที่กระทบกันของเรากับมันก็แทบจะไร้ที่ติ และ...และ...

   และก่อนที่อะไร ๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นจนเราทั้งคู่ต้องผละออกจากกัน

   จ่าเป่ารวมก่อนขึ้นโรงนอน

   เรากับมันตกลงกันว่าจะออกไปทีละคนเผื่อมีคนอยู่ข้างนอก เราออกไปก่อน พอเห็นว่าไม่มีใครก็ตะโกนเรียกไอ้เบนซ์ มันตามออกมา ใส่เสื้อผ้า แล้วไปรวมกับคนอื่น ๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   คืนนั้นเราแอบลงมาเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้บอกไอ้ซ่าหรือไอ้เหมา เข้าไปให้ห้องน้ำห้องเดิม ยืนตรงจุดเดิม และปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองออกมา



พลทหารเต้อ
คนหื่นกาม V.3



คุยกันท้ายบท

         เน็ตทรูเป็นอะไร ฝนตกหน่อย ก็ติด ๆ ดับ ๆ
         
         วันนี้ลงให้สองตอนควบไปเลยนะจ๊ะ เพราะคนเขียนมีฟามสุขมาก ๆ พยายามออกกำลังกายมาตั้งนานในที่สุดก็น้ำหนักลดลงมาได้!!! ได้!!! ได้!!! ครึ่งกิโล 5555+ ยังไงก็ต้องพยายามกันต่อไปเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แฟน ๆ ก็อย่าเอาแต่อ่านนิยายกันจนเพลินล่ะ ออกกำลังกายบ้าง เดี๋ยวจะไม่สบายง่ายแล้วลำบาก


ติดตามจ้า  :L2:

 :o8: :o8: ขอบคุณที่ติดตามจร้า จุ๊บ ๆ   :o8: :o8:


ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

 :impress2: :impress2: :impress2: ขอบคุณมาก ๆ จร้า  :impress2: :impress2: :impress2:


 

  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:21:27 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
เม้นไม่ค่อยเก่งแต่ตามอ่านตลอดน๊า  :-[

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :impress2: :impress2: :impress2:ตอนใหม่จั๊บบบบบบ:impress2: :impress2: :impress2:


   วันพิธีจบการฝึกอะไร ๆ ก็ดูรวดเร็วและเรียบง่ายกว่าที่คิด

   เช้าตื่นขึ้นมาจากที่นอน ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว เดินไปกินข้าวที่โรงเลี้ยง เดินกลับ เบิกปืนและเดินแถวไปรอพิธีที่สนามฟุตบอลหน้ากองร้อยบริการ

   ทุกคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้ม จ่า ๆ เองก็เหมือนกัน ถึงจะมีปั่น ๆ ว่าอาจจะไม่ได้กลับวันนี้นะเพราะนั่นนี่ บลา ๆ แต่ทหารทุกคนรู้เกมแกหมดแล้ว เลยไม่มีคนสนใจเท่าไรนัก

   เมื่อถึงเวลา ทหารก็ตั้งแถวเดินสวนสนาม หัวหน้ากองร้อยทหารใหม่กล่าวรายงาน ประธานกล่าวให้โอวาท แล้วทหารก็กล่าวคำปฏิญาณ จากนั้นก็จบ วินาทีนั้นทุกอย่างจบแล้ว การฝึกจบลงตรงนี้ แต่เราก็ยังไม่ได้กลับบ้าน

   ทหารเดินกลับไปยังหน่วยฝึกฯ เพื่อรับเงินเดือนหลังจากหักค่าสิ่งของที่สั่งกันมา (ของบางอย่าง เช่น กางเกงสีดำขาสั้น แหวนรุ่นทหาร ไฟฉาย ค่าตัดชุด กระเป๋าเดินทางใบใหญ่และกระเป๋าสะพายใบเล็ก เป็นของที่สั่งกันเองนอกเหนือจากของแจก ไม่มีการบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น ทหารต้องจ่ายเองโดยสั่งผ่านผู้กอง) บวกกับเงินที่พกติดตัวกันมา แล้วก็คืนเสื้อผ้าที่ใส่กันมาในวันแรก

   หลังจากนั้นจ่าก็แยกทหารออกเป็นชุด ๆ ชุดไหนจะไปตลาด ชุดไหนจะไปท่ารถ ชุดไหนจะไปขึ้นรถตู้ ใครมีญาติมารับก็ให้มาจอดที่หน่วยฝึกฯ และกลับไปได้เลย

   ทหารส่วนใหญ่ล่ำลากัน บางคนพิรี้พิไรและเสียน้ำตา...มันเป็นแบบนั้น ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาด้วยกันเป็นเวลาสามเดือน หลายคนด่ากัน ทะเลาะกัน แทบจะแทงกันตายเหมือนไอ้ฟิวกับไอ้แมน มาตอนนี้ก็กอดคอกันร้องไห้เหมือนจะลาไปตาย

   สำหรับเรา เราตัดสินใจติดรถจ่ายักษ์ไปลงที่ท่ารถทัวร์แต่จ่าแกจะออกสายหน่อย เราเลยมีเวลาดูคนอื่น ๆ อีกหลายชั่วโมง เราตบบ่าไอ้ซ่ากับไอ้เหมาสองสามครั้งและบอกมันว่าอีกสองอาทิตย์เจอกันที่กองร้อย พวกมันก็บอกแบบเดียวกันกับเราก่อนจะขึ้นรถพ่อไอ้ซ่าที่มารับกลับ (ไอ้เหมาติดรถไปด้วยเพราะบ้านอยู่ห่างกันไม่มาก..แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตรมั้ง เห็นไอ้เหมาบอกว่าจะไปต่อรถแถว ๆ บ้านไอ้ซ่าได้)

   พอพวกมันไปกันหมดแล้วเราก็ยังโอ้เอ้อยู่ที่กองร้อย เก็บของใช้ต่าง ๆ เข้ากระเป๋า เดินเล่นไปทั่วหน่วย ทักคนนั้นคนนี้ ไอ้จีนเดินมาขอแอดเฟสบุ๊คเรา เราก็รับแอด จากนั้นก็มีรายชื่อคนขอเป็นเพื่อนยาวเป็นหางว่าว คงตามจากเฟสไอ้จีนมา เรารับหมดทุกคนแหละ

   พอเราเดินมาถึงสุดตึกโรงนอน เราก็เห็นไอ้เบนซ์ยืนอยู่กับพ่อแม่ของมันข้าง ๆ รถเก๋งสีบรอนซ์เงิน ยังยืนคุยท่าทางเครียดเหมือนเดิมก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถไป แต่ก่อนที่มันจะก้าวขึ้นรถ มันก็หันมาเห็นเรายืนมองอยู่ มันยิ้มออกมาในที่สุด ยกมือบอกลา เราทำแบบเดียวกัน รู้สึกเหมือนหน้าอกถูกเจาะเป็นรูโหว่ใหญ่ แต่สุดท้ายมันก็ไปแล้ว รถเคลื่อนตัวออกไปตามถนนและเราก็มองตาม

   มันจบลงตรงนั้น การพูดคุย อาบน้ำ และจูบนั้นจบแล้วและเรากับมันคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก

   เสียงเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นมา เราหยิบขึ้นมาเช็กจึงเห็นว่าในรายชื่อขอเป็นเพื่อน มีชื่อไอ้เบนซ์ขึ้นมา...


   ช่วงเย็นของวันนั้นเราก็กลับมาถึงบ้าน บ้านที่เราอยู่มานานเป็นสิบปีแต่มันไม่เคยดูแปลกตาเท่านี้มาก่อน เหมือนเราจากมันไปนานจนลืมไปหมดแล้วว่ามันหน้าตาเป็นยังไง เราเปิดประตูเข้าบ้านไป อาน้อยเป็นคนแรกที่เราเจอ เขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกำลังดูข่าวหรืออะไรสักอย่างตอนเราเดินเข้าไป อีกฝ่ายร้องกรี๊ดออกมาเสียงเบาก่อนจะโผเข้ากอดเราเต็มแรง ปากก็ร้องเรียกอาชัยที่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน (เรารู้ว่าแปลก แต่บ้านนี้ก็แบบนี้แหละ ผู้ชายผู้หญิงแทบจะสลับหน้าที่กันไปหมด) พอเขาออกมาก็ยืนเท้าเอวมองเรากับอาน้อยอยู่สักพัก จนอาน้อยผละออกจากเราไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา

   วินาทีนั้นเรามีคำเป็นพันเป็นล้านที่นึกอยากจะพูด แต่ไม่มีสักคำที่หลุดรอดออกมา เราได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ แต่อาชัยก็เดินเข้ามาและกอดเราไว้

   “เจอมาเยอะล่ะสิ ไม่เป็นไรแล้ว ถึงบ้านแล้ว” เขาพูดออกมาแค่นั้น เพียงแค่นั้น และมากถึงขนาดนั้นมันก็พอแล้วที่เราจะกอดเขากลับและร้องไห้ออกมา

   ค่ำวันนั้นเราสามคนนั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันอย่างที่ไม่เคยทำมานานหลายปี อาน้อยกับอาชัยถามเราหลายอย่างเกี่ยวกับในค่าย อาน้อยถามเราเรื่องอาหารการกิน เสื้อผ้า อยู่อย่างไรแบบไหน ส่วนอาชัยถามเราเรื่องซ่อม เรื่องทำโทษ เรื่องพิสดารต่าง ๆ ที่เขาเคยได้ยินมาซึ่งเราก็ตอบตามความจริงว่าไม่มี อาชัยบอกว่าเราโชคดีแล้วที่ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

   หลังจากกินข้าวเสร็จอาชัยก็เดินหายขึ้นไปบนห้อง เราเดินไปช่วยอาน้อยล้างจานอยู่หลังบ้าน เราคุยกันหลายเรื่อง อาน้อยแอบถามเราเรื่องหนุ่ม ๆ เราบอกว่าไม่มีหรอก (จะบอกว่ามีได้ยังไงล่ะ) เรื่องเราชอบผู้ชายอาน้อยกับอาชัยรู้มานานแล้ว ตั้งแต่ไปเจอภาพผู้ชายโป๊ะในโน๊ตบุ๊คเราตอนเราเรียนม.4 แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามตรง ๆ และเราก็ตอบเขาว่าเราชอบผู้ชาย มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ หวือหวา หรือเต็มไปด้วยน้ำตาหรืออะไร มันเหมือนการนั่งคุยกันเรื่องทั่ว ๆ เหมือนจัดตารางกวาดบ้าน หรือปรึกษาเรื่องการเรียนต่อ มันค่อนข้างสำคัญแต่อาทั้งสองคนของเราเขารู้วิธีที่จะพูดมันออกมาได้โดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือไม่ควรพูดถึง พวกเขาเป็นแบบนั้น คุยด้วยได้ง่ายแบบนั้น และเข้าใจเราแบบนั้น...มันน่าตลกนะที่หลายปีมานี้เราลืมเรื่องพวกนี้ไปเสียสนิท

   ล้างจานเสร็จเราก็เตรียมจะขึ้นบ้านนอน ตอนที่อาชัยเรียกเราไว้ เขานั่งอยู่กับพื้นในห้องนั่งเล่น ตรงหน้ามีทีวีเครื่องเก่าตั้งอยู่ ส่วนตรงกลางระหว่างอาชัยกับทีวีมีเครื่องเล่นเกมเก่า ๆ หนึ่งเครื่อง

   อาชัยยื่นจอยสองให้เรา และเราก็รับมันมาถือไว้ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เขา

   อาชัยเลือกเกมคอนทร่า กดสูตรสามสิบอย่างคล่องแคล่วเหมือนทำมาเป็นล้านครั้งได้ และเกมก็เริ่มขึ้น เราจำไม่ได้ว่าเคยเล่นเกมนี้มาก่อน แต่บางอย่างบอกเราว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรากับอาชัยนั่งลงข้าง ๆ กันและเล่นเกม ฉาก ภาพ เสียง ทุกอย่างมันดูคุ้นตาจนเราแทบจะรู้ว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร หลบตรงไหน ต้องยิงตัวไหนก่อนตัวไหนถึงจะผ่านไปได้

   อาชัยถามเราหลายอย่าง ทั้งหลังจากนี้จะทำอะไร จะกลับค่ายไหมหรือจะหางาน สำนักงานตรวจบัญชีของอาชัยกับอาน้อยยังมีตำแหน่งว่างอยู่นะ แล้วจะกลับไปเรียนหรือเปล่า สนใจเรียนสายไหนบ้างไหม อะไรแบบนั้น

   เราก็ตอบไปว่าตอนนี้ยังไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น ตอนนี้อยากจะให้ผ่านเรื่องทหารไปก่อน เรื่องจะหนีไม่กลับค่ายเราคงไม่เอาเพราะอยากจะฝ่าฟันมันไปให้สุดด้วยตัวเอง เรารู้ว่าสำหรับอาชัยมันอาจจะฟังดูโง่ แกชอบพูดตลอดว่าคนที่ตายในสงครามคือวีรบุรุษ แต่คนที่เรียกพวกเขาว่าวีรบุรุษคือคนที่รอดชีวิตมาได้

   “แกไม่จำเป็นนะ” อาชัยพูดแบบนั้น เราถามว่าเรื่องอะไร แกก็ว่า “เรื่องพิสูจน์ว่าแกเก่ง หรือกล้า หรือดี...กับฉันแกไม่ใช่ลูก มันก็จริง...แต่ฉันกับเมียไม่เคยคิดกับแกเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากเป็นลูก”

   ได้ฟังแบบนั้นคอเราก็ตีบขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดก็เค้นเสียงพูดว่าขอโทษออกมาได้ ขอโทษที่พูดแบบนั้นไปตอนงานเยี่ยมญาติ เราคิดผิดไปและรู้ว่าอาน้อยกับอาชัยหวังดีและรักเรามากแค่ไหน

   และตัวคอนทร่าเราก็ตาย เป็นตัวสุดท้ายแล้วแต่อาชัยบอกให้เรากดยืมตัวเพราะจะไปเจอกับบอสแล้ว

   อาน้อยเดินออกมาจากหลังบ้านแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาด้านหลังเรากับอาชัยก่อนจะพูดขึ้นว่า “เหมือนตอนนั้นเลยนะ”

   เรากับอาชัยเงียบไปไม่ตอบ เหตุเพราะเกมกำลังถึงจุดสำคัญจนอาน้อยพูดเสียงน้อยใจว่า “พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย”

   “อะไรล่ะ อ่ะ ๆ เรื่องตอนไหนอีก” อาชัยพูดออกมาแบบนั้น มือกับตาก็ยังจดจ่ออยู่กับเกม

   อาน้อยแกล้งถอนหายใจยาวออกมา “ช่างมันเถอะ พูดไปก็ไม่มีใครฟัง”

   อาชัยหัวเราะแล้วว่า “ก็ฟังอยู่นี่ไงเล่า”

   “ก็ตอนนั้นไง วันที่เต้อมาอยู่กับเราวันแรก” อาน้อยหันมาพูดกับเราเป็นคำต่อไป “เต้อจำได้หรือเปล่า” ตัวคอนทร่าเราตายตอนนั้นพอดี เลยหันไปทางอาน้อยแล้วตอบว่า จำไม่ได้ครับ

   “เหรอ...ก็ไม่แปลกหรอกตอนนั้นเราสักห้าขวบได้มั้ง...”

   อาชัยพูดขึ้นว่า “สามขวบครึ่ง” อาน้อยหันไปถามว่าจริงเหรอ งั้นก็จำผิดสิ

   “อือ นั่นแหละ ตอนนั้นพ่อแม่เต้อเพิ่ง...” อาน้อยหยุดไปเหมือนนึกขึ้นได้ว่าเป็นเรื่องไม่ควรพูดถึง แต่อาชัยก็พูดต่อให้ไปว่า “เพิ่งจะเสียไป เอ้า พูดต่อสิ”

   “ใช่ เพิ่งจะเสียไป แล้วเต้อก็เพิ่งมาอยู่กับอา ตอนแรก ๆ พวกเรายังอยู่แฟรตดินแดงกันอยู่เลยเน้อ” อาน้อยหันไปหาอาชัย อีกฝ่ายพยักหน้า “เต้องอแงมาก ถามหาแต่พ่อกับแม่ อาก็ไม่รู้จะตอบยังไง บอกว่าพ่อแม่ไปสวรรค์แล้ว เต้อก็บอกว่าเต้อจะไปหาพ่อแม่ จะไปอยู่ด้วย...” อาน้อยหยุด “จนกระทั่งอาชัยนั่นแหละเอาเครื่องเกมออกมาเล่น พอเต้อเห็นก็ตื่นเต้นใหญ่บอกว่าจะเล่นบ้าง อาชัยก็เลยเอาเต้อไปนั่งตักแล้วเล่นเกมด้วยกัน พออาว่าเดี๋ยวเต้อจะสายตาเสียก็ไม่ฟัง แถมยังเถียงอีกแน่ะ” คำหลังหันไปว่าอาชัย อีกฝ่ายหัวเราะแล้วบอกว่า “ก็ไม่เห็นสายตามันจะเสียตรงไหน”

   “แต่ก็ต้องขอบคุณเต้อนะ เพราะเต้อนั่นแหละทำให้อาชัยเลิกบุหรี่ได้สักที”

   “ตอนนั้นก็ไม่ได้ติดอะไรขนาดนั้น” อาชัยพูดเถียงขึ้นลอย ๆ ตายังจด ๆ จ้อง ๆ อยู่กับหน้าจอโทรทัศน์

   “ไม่ติดขนาดนั้นอะไร สูบอย่างกับโรงสี” อาน้อยขึ้นเสียงแล้วก็ตีแขนอาชัยเบา ๆ “แต่พอเต้อไปอยู่ใกล้ ๆ แล้วไอบ่อยเข้าแถมยังเอามือปิดจมูกบอกว่าเหม็น อาชัยก็เลยเลิก” อาน้อยจบคำแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเรา มันเป็นรสสัมผัสที่เราไม่ได้รู้สึกมานานแสนนาน “มันเหมือนเมื่อไม่นานมานี้เองนะ ที่อาเจอกับเต้อครั้งแรกที่บ้านตายาย...ตอนที่จะพาเต้อมาอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเต้อตัวเล็กนิดเดียว ยังไม่รู้อะไรเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ร้องไห้งอแง แต่อากับอาชัยก็จูงมือเต้อคนละข้างแล้วเดินกลับมาบ้าน บอกเต้อว่ามาอยู่ด้วยกันนะ...มาเป็นลูกอา แล้วอาก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุดเท่าที่อาจจะทำได้” พูดแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากตาของอาน้อย มือของอาน้อยจับอยู่ที่มือเราแล้วจ้องมองรอยแผลที่แขน “มันก็นานมากแล้วนะ...ตอนนี้เต้อโตขึ้นเยอะเลย อารู้ว่ามีอะไรหลายอย่างที่อาทำผิดพลาดไป แต่เต้อก็อยู่ตรงนี้ อาดีใจนะ ดีใจมากที่มีเต้ออยู่ด้วย”

   ตัวคอนทร่าของอาชัยตายตอนนั้น...มันเป็นตัวสุดท้าย...แต่เกมก็เริ่มได้ใหม่เสมอ




พลทหารเต้อ



พลทหารเต้อ





เม้นไม่ค่อยเก่งแต่ตามอ่านตลอดน๊า  :-[

ขอบคุณจร้า แค่เม้นท์ก็ดีใจแล้ว มีกำลังใจมากขึ้นเป็นกองเลยจร้า



  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







TWITTER : @navin52805504[/center]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:23:16 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแน้ววว :katai4: :katai4: :katai4:




   สองอาทิตย์ที่ได้ลากลับบ้านเป็นสองอาทิตย์ที่ไวที่สุดในชีวิตเรา เพียงแค่พริบตาเดียว อิสรภาพสิบห้าวันของเราก็หมดลง

   เช้านั้นเราตื่นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า ยัดสัมภาระที่จำเป็นใส่กระเป๋ารวมไปถึงหนังสือหลายสิบเล่มที่เราไปเดินตะลุยเหมามาจากร้านหนังสือ ไหว้ลาอาชัยกับอาน้อยที่หน้าบ้าน ตอนแรกอาชัยจะขับรถไปส่งแต่เราบอกว่าไปเองดีกว่า อาชัยดูจะอารมณ์เสียนิดหน่อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร

   บ่าย ๆ เราก็มาถึงหน้าหน่วยฝึกทหารใหม่ (ก่อนฝึกจบจ่าชี้แจงว่าพวกที่ไปตกที่หน่วยร้อยบริการ โรงพยาบาลค่าย สารวัตรทหาร หน่วยฝึกรด. หน่วยบก.ใหญ่ ให้มารายงานตัวที่นี่ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยแยกย้ายกันไป) พอมาถึงก็เจอหน้าคนคุ้นเคยหลายคน รวมไปถึงไอ้ซ่า ไอ้เหมา ไอ้จีน และคนอื่น ๆ ในหมวด เราพยายามมองหาไอ้เบนซ์แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันไปรายงานตัวที่นครปฐมแล้ว

   ตั้งแต่กลับบ้านไปจนถึงวันนี้เรายังทำใจคุยกับมันไม่ได้ถึงจะมีเฟสบุ๊คมันก็เถอะ หลายครั้งเราอยากจะทักมันไปแต่ก็ไม่กล้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้ว่ามันจะคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรารู้ว่ามันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก แต่มันจะมาทำแบบนั้นทำไมล่ะถ้ามันไม่ชอบเราเลยสักนิด แต่มันก็พูดนะว่ายอมแค่ครั้งเดียว แต่ถึงแบบนั้นก็เหอะ ถ้ามัน...โอย พูดแล้วก็ปวดหัว พอเถอะ เดี๋ยวค่อยคิด

   พอมาถึงจ่าก็จับตรวจฉี่ก่อน ใครม่วงก็เตรียมตัวโดนซ่อมได้เลย โชคดีที่ไม่มี

   พอกลับมาคราวนี้บรรยากาศในหน่วยดูผ่อนคลายกว่าตอนฝึกเยอะ ทหารมีอิสระมากขึ้น จะกินข้าวไม่กินข้าวก็แล้วแต่ จะไปตลาดก็ไปไม่มีใครสน จะอาบน้ำเข้าห้องน้ำเมื่อไรก็เรื่องของมึง แล้วยังมีรถเจ๊เปรี้ยวขายข้าวเข้ามาถึงหน่วยฝึกฯ

   ทุก ๆ เที่ยงและเย็นเวลาเดิมของทุกวัน เจ๊เปรี้ยวจะขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงเข้ามาในค่าย มีทั้งข้าวกล่อง ขนม บุหรี่ น้ำขวดขายให้ทหาร แกไม่ใช่เจ้าเดียวหรอกที่ขับรถแบบนี้เข้ามาขาย ที่จริงมีหลายเจ้าเลย แต่ที่เจ้เปรี้ยวพิเศษกว่าเจ้าอื่นคือแกให้ทหารเซ็นท์ได้ คือเอาของไปก่อนจ่ายทีหลัง เอาอะไรไปแล้วเซ็นท์ชื่อไว้ พอถึงเวลาเงินเดือนออก แกก็จะมายืนดักหน้าหน่วยคอยเก็บตัง ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่เลวทีเดียว แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเหมือนกัน ถ้าทหารเกิดหนีหายไปจากค่าย (ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ) แกก็เข้าเนื้อ

   วันรุ่งขึ้นทหารก็เริ่มแยกย้ายไปตามหน่วยของตัวเอง งานแรกของหน่วยกองร้อยบริการก็คือ ขนตู้ เตียง และฟูกที่นอนไปที่หน่วย

   เรื่องของเรื่องก็คือหน่วยฝึกทหารใหม่ขอยืมอุปกรณ์พวกนั้นมาจากหน่วยกองร้อยบริการ พอใช้เสร็จก็ต้องขนกลับ ซึ่งถ้าไม่ขนทหารก็ไม่มีที่นอน

   พวกเราทุกคนช่วยกันขนของทุกอย่างจากชั้นสองของโรงนอนตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ แล้วยกตู้เตียงเข้าที่ เอาฟูกวาง ปูผ้าปูที่นอน จัดเตียงให้ทหาร กว่าจะเสร็จก็เกือบสองทุ่มพอดี

   พอทุกอย่างเรียบร้อย จ่าเชาว์ จ่าที่เข้าเวรวันนั้นก็เรียกรวมที่ห้อง บก.ร้อย (อ่านว่า บอ-กอ-ร้อย ย่อมาจาก กองบัญชาการกองร้อยบริการ) มันเป็นห้องมุขกลางชั้นล่างที่ใช้เป็นห้องทำงานของพวกจ่า ๆ ทหารร่วมร้อยกว่าคนนั่งอัดกันอยู่ในนั้นเพื่อฟังคำชี้แจง

   จ่าเชาว์เป็นจ่าตัวอ้วนป้อม ผิวดำ พูดเหน่อแบบคนกาญฯ เสียงแหลมเล็กแต่ฟังชัดเจนดี แกบอกว่าพรุ่งนี้เช้าผู้กองจะเข้ามาแจกแจงงานของกองร้อย ให้รีบเข้านอน แล้วก็เรื่องเวรเฝ้าคลังอาวุธจะเริ่มไล่จากทหารใหม่ก่อนไปตามรายชื่อ

   ก็แค่นั้น วันแรกเราไม่ค่อยอะไรหรอก เหนื่อยจะตายห่า แล้วของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก

   พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตีห้าตรงนกหวีดก็ดัง จ่าเชาว์เดินมาไล่ทหารให้ไปล้างหน้าล้างตารอผู้กองซึ่งกว่าแกจะมาก็เกือบแปดโมงเช้า

   ผู้กองของกองร้อยบริการ ชื่อผู้กองวัชระ พิชิตชัย AKA ผู้กองวัด เป็นผู้ชายอายุห้าสิบกว่า ๆ สูงไม่เกือบร้อยเจ็ดสิบแต่ดูแข็งแรงจนน่ากลัว ผิวคล้ำ สีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา แกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงพลังอย่างประหลาด คำแรกที่แกพูดกับทหารใหม่ก็คือสั่งหมอบ ลุก นั่ง อยู่แบบนั้นเป็นชั่วโมงจนทหารหลายคนเกือบทนไม่ไหว เราเองก็หน้ามืดไปหลายรอบ ระหว่างนั้นแกก็หันไปพูดกับพวกจ่ายักษ์ที่ยืนอยู่แถวนั้นว่า “ฝึกกันมายังไง แค่นี้ ๆ ก็หอบแล้ว”

   จนในที่สุดแกก็หยุด สั่งให้ทหารนั่งลงแล้วก็เริ่มชี้แจงเกี่ยวกับหน้าที่ของหน่วยกองร้อยบริการ

   “กองร้อยแกงโฮ๊ะอ่ะมึง นึกภาพออกไหม” แกให้คำจำกัดความแบบนั้น ซึ่งพออยู่ ๆ ไปเราก็ว่ามันจริงอย่างแกพูด เพราะมันจับฉ่ายจริง ๆ ตั้งแต่ตัดหญ้า ล้างจาน ทำกับข้าวที่โรงเลี้ยง ติดไปกับรถเก็บขยะไปเก็บขยะรอบค่าย จนไปถึงก่อสร้าง ทำถนน เข้าเวรกองรักษาการณ์ หรือแม้แต่ทำป้าย ทำเวที จัดเตรียมและตกแต่งสถานที่ในงานพิธีต่าง ๆ ก็เป็นงานของกองร้อยบริการทั้งหมด

   แล้วแกก็บอกว่าใครอยากทำงานอะไรที่นี่มีให้ทำหมด ขอให้ทำได้ ทำเป็นก็พอ จากนั้นแกก็เริ่มจ่ายงานประจำวัน โดยจะบอกว่าวันนี้มีอะไรทำบ้าง ใครจะทำก็ยกมือ

   งานของกองร้อยบริการเราแบ่งออกเป็นสองแบบคือ 1.พวกงานไม่ประจำ ทำเสร็จก็กลับมานอนที่กองร้อย เช่น ก่อสร้าง (ทำโรงจอดรถใหม่ที่หลังตึก บก.ใหญ่) คนสวน (คอยดูแลต้นไม้ที่เรือนเพาะชำแล้วก็เปลี่ยนต้นไม้ที่ตาย ๆ ไปแล้วรอบค่าย) พวกตัดหญ้า (งานในตำนานของทหารเกณฑ์) หรืองานอื่น ๆ กับ 2.พวกงานประจำ คือไปกินไปนอนที่หน้างานเลย อย่าง พวกโรงเลี้ยง (ไปนอนที่โรงเลี้ยงเลย) โรงกล้วย (เป็นโรงงานกล้วยอบแห้งเล็ก ๆ ของค่าย พวกนี้ก็นอนที่โรงกล้วยเหมือนกัน) ฝาย (เป็นฝายทดน้ำของค่าย ข้างในก็เป็นพวกไร่นาสวนผสม ใช้สาธิตให้ประชาชนเข้าชม) รวมไปถึงพวกจำหน่ายไปบ้านนายทหารก็รวมอยู่ในนี้เหมือนกัน พวกนี้จะไม่ค่อยได้เจอหน้าเจอตาหรอก จะเจอทีก็ตอนจ่ายเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยง

   ถึงตรงนี้บัดดี้สามคนของเราก็เป็นอันต้องแยกย้าย ไอ้เหมาไปอยู่โรงกล้วย ไอ้ซ่าไปอยู่ชุดทำฝ้าเพดานที่ชั้นสองของโรงนอนของกองร้อย ตัวเราเองไม่ได้มีความสามารถอะไรที่เขาต้องการ ก็กลายเป็นตัวฟรี ใครต้องการแรงงานไร้ฝีมือก็จะดึงเราไปช่วย อย่างงานแรกที่พวกเราทำก็คือตอนนี้กองร้อยกำลังเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาใหม่ พวกเราก็เลยต้องไปขนกระเบื้องหลังคาเก่าที่ช่างเขาขนลงมาวางกองไว้เอาไปทิ้งหลังกองร้อย ขนกันอยู่สองวันถึงจะเสร็จ จากนั้นก็ทำความสะอาดรอบ ๆ กองร้อย กวาดเศษกระเบื้อง ล้างห้องน้ำ ขนขยะไปทิ้ง ไปช่วยพวกตัดหญ้าขนเศษหญ้าไปทิ้ง ไปช่วยพวกก่อสร้างวางเสาโรงจอดรถใหม่ ไปช่วยหมู่ป้อมผูกผ้าตกแต่งสถานที่

   จนผ่านไปได้เกือบสามอาทิตย์เต็ม ๆ นั่นแหละเรื่องที่เราทำบัญชีเป็นดันไปเข้าหูผู้กอง

   เรื่องของเรื่องก็คือ ไอ้น้อย เพื่อนที่นอนเตียงข้าง ๆ เรามันจะไปสอบห่าอะไรสักอย่างนี่แหละ แล้วมันมีสอบบัญชีพื้นฐานด้วย มันเอาหนังสือบัญชีมานั่งอ่าน นอนอ่าน ตะแคงอ่าน แล้วก็บ่น ๆ ว่าทำไม่เป็น มันยาก เราเลยขอมันดูหนังสือที่มันอ่านซึ่งมันไม่ได้ยากเลย เป็นแค่บัญชีแยกประเภทรายรับรายจ่ายง่าย ๆ เราเลยนั่งสอนมันตั้งแต่ตีหน้าสมุดบัญชี ลงบัญชีทั่วไปก่อน แล้วค่อยแยกออกมาว่าเป็นรายรับหรือรายจ่าย แค่นั้นเอง

   สอนอยู่สามสี่วันมันก็เริ่มคล่อง หลังจากนั้นมันก็ขอให้เราติวภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิต ให้มันด้วย เราก็ไม่ได้เก่งอะไรนะ แต่ก็พอสอนได้เพราะเนื้อหามันไม่ได้เกินม.ปลายเท่าไร สอนกันอยู่เกือบเดือนกว่าจะเข้าใจ แล้วมันก็เขียนใบลาไปสอบ

   จนถึงตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงบ้างเพราะตั้งแต่ลาไปมันก็หายไปเลย อาจจะสอบตกแล้วซดน้ำยาล้างห้องน้ำลาโลกไปแล้วก็ได้

   แต่เรื่องไม่มันจบแค่นั้นดิ เพราะสองสามวันหลังจากไอ้น้อยลาไปสอบ พี่มิ้นท์ก็มาตามเราที่กำลังเดินกวาดถนนรอบ ๆ หน่วยอยู่

   “ไอ้เต้อ” นี่คือคำแรกที่มันคุยกับเราตั้งแต่เรื่องอีนวลที่หน่วยฝึกฯ “มึงทำบัญชีเป็นเหรอ”

   เราพยักหน้า ตอนนี้ยศเรากับไอ้พี่มิ้นท์เท่ากันแล้ว เป็นแค่พลลูกมือ เป็นทหารเกณฑ์กิ๊กก๊อก เลยไม่ต้องเคารพอะไรมันมาก

   แล้วมันก็ไม่ว่าอะไรต่อ แค่กวักมือให้เดินตามมันไป มันพาเราเดินขึ้นไปชั้นสองของบก.ร้อย หยุดที่หน้าห้องทำงานที่มีชื่อ “ร้อยเอก วัชระ พิชิตชัย” เขียนที่หน้าห้อง

   ใจเราตอนนั้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่าผู้กองถึงเจาะจงเรียกเราขึ้นมาหา ในหัวไม่ได้คิดเรื่องทำบัญชีห่าอะไรสักอย่าง คิดแต่เรื่องที่อาจจะทำผิดไป เรื่องที่แอบไปตลาดค่ายตอนดึก ๆ หรือแอบเอาขยะไปซุกไว้ในป่าหญ้า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว มือไม้สั่น หัวใจเต้นรั่วยิ่งกว่ากลองเพลงร๊อก

   ก่อนพี่มิ้นท์จะเคาะประตูก็บอกเราว่าอย่าลืมทำความเคารพตอนเจอผู้กองล่ะ แล้วก็เคาะประตู เสียงคนข้างในก็บอกว่าเข้ามา พี่มิ้นท์ก็เปิดประตูเข้าไป ยืนตรงแล้วพูดว่าขออนุญาตครับ ผมพาพลทหารตรีภพมาพบแล้วครับ แล้วผู้กองที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็บอกว่าให้เราเข้าไป

   พอเราเข้าไปอย่างแรกก็ทำเหมือนไอ้พี่มิ้นท์ทำ ขออนุญาตและรายงานตัวว่าพลทหารตรีภพมารายงานตัวครับ แกก็มองลอดแว่นมาทางเรา แล้วถามว่าเอ็งทำบัญชีเป็นเหรอ เราก็ตอบว่าครับ แล้วแกก็ถามว่าเรียนมาหรือยังไง เราก็ตอบว่าไม่ใช่ครับ อาสอน แกก็หัวเราะ มองหน้าพี่มิ้นท์แล้วบอกว่าผู้กองอยากได้คนทำบัญชีเก่ง ๆ เอ็งไม่ได้ร่ำเรียนมาจะทำเป็นเหรอ เราก็บอกว่าทำได้ครับ เพราะผมเรียนทำบัญชีกับอามาตั้งแต่อายุสิบสอง ช่วงปิดเทอมก็ไปเรียนพิเศษทำบัญชีตลอด พอทำจนคล่องแล้วก็เคยช่วยงานอาที่เปิดสำนักงานตรวจบัญชีครับ

   แกก็มองหน้าเราอีก แล้วถามว่าจะทำได้เหรอ ตอนนั้นเราอึกอักแต่ก็ย้ำคำเดิมไปว่าได้ครับ

   แกก็ก้มลงเขียนอะไรสองสามอย่าง ก่อนจะเงยหน้ามามองเราอีกครั้ง คราวนี้ผู้กองขอเบอร์อาน้อยไป แล้วก็ให้เราออกมาจากห้อง

   “ใครไปบอกผู้กองว่าผมทำบัญชีได้” คือคำแรกที่เราถามไอ้พี่มิ้นท์หลังจากลงมาข้างล่างแล้ว มันเบ้ปากยักไหล่

   เย็นวันนั้นอาน้อยโทรหาเราสองสามสายแต่เราไม่ได้รับ พอเช็กไลน์ก็เห็นแกส่งข้อความมา บอกว่าผู้กองโทรมาถามเรื่องเราทำบัญชีได้จริงหรือเปล่า เราเลยถามว่าอาน้อยตอบเขาไปว่ายังไง

   “จะบอกว่าไงล่ะ ก็บอกว่าเต้อทำบัญชีเก่งกว่านักบัญชีคนไหน ๆ ที่อารู้จักน่ะสิ”

   พอเช้าวันรุ่งขึ้น ผู้กองก็เรียกเราไปอีก คราวนี้แกพาเราเดินเข้าไปในห้องบก.ร้อย แล้วชี้ที่ว่าง ๆ ตรงมุมห้องแล้วบอกว่า

   “ไปหายกโต๊ะเก้าอี้มานั่ง แล้วบ่าย ๆ จะให้เริ่มทำบัญชีให้หน่อย ตั้งใจทำล่ะ อย่าให้ผิดพลาด ต้องสะอาดสะอ้านด้วยเพราะผู้กองจะต้องเอาไปให้นายทหารที่บก.ใหญ่ดู”

   แค่นั้น แล้วงานนรกแตกของเราก็เริ่มต้นขึ้น



พลทหารเต้อ
พลทหารนักบัญชี


-----------------------------------------------------------------------



:o8: :o8: :o8: เต้อทำบัญชีเป็นก็ม่ายบอก แอบเก่งนะเราน่ะ   :o8: :o8: :o8:

  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:25:00 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
   :katai4: :katai4: :katai4:ตอนใหม่มาแน้ววว :katai4: :katai4: :katai4:




   สมาชิกของบก.ร้อยประกอบไปด้วย พวกหมู่ พวกจ่าที่เข้า ๆ ออก ๆ กันทั้งวัน แล้วก็พวกพลทหาร ก็มีพี่เอประจำร้านขายของกองร้อย หรือเรียกว่าพีเอ็กซ์ (เซ็นได้ สิ้นเดือนก็หักออกจากเงินเดือน) พี่มินท์ที่ทำงานเอกสารจิปาถะตามแต่ผู้กองจะสั่งเป็นเหมือนเลขาส่วนตัวของผู้กองไปกลาย ๆ แล้วเป็นพลทหารคนเดียวที่มีสิทธิ์ใช้รถของผู้กองได้ พี่เจมส์ ที่รับผิดชอบพวกงานตกแต่งสถานที่ จัดเตรียมงานรื่นเริงต่าง ๆ ทั้งในค่ายและนอกค่าย พี่ภพ ที่ดูแลเรื่องคิดเงินเดือนทหาร พวกที่เข้ามาผลัดเดียวกับเราก็มี ไอ้คิง ไอ้ชาย ไอ้แมว ไอ้เฟิร์ส ไอ้แมวนี่แทบจะตัดไปได้เลยเพราะมันเป็นแค่หกเดือน ไม่เท่าไรก็ปลดแล้วเลยไม่ได้มีหน้าที่อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ที่อยู่นาน ๆ ก็มีไอ้คิงกับไอ้เฟิร์สที่เป็นสองปี ส่วนเรากับไอ้ชาย เป็นหนึ่งปีปลดพร้อมกับพี่มิ้นท์พี่เจมส์

   พอเราเข้ามาในบก.ร้อยแล้วถึงรู้ว่าทหารคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่มองพวกเด็กบก.ร้อยสองแบบ คือถ้าไม่ชอบพอกัน ก็เกลียดไปเลย พวกที่ชอบก็จะเพราะทำงานด้วยกันตลอด เข้าใจดีว่างานของเด็กบก.ร้อยคืออะไร ส่วนพวกที่เกลียดก็จะคิดว่าเด็กบก.ร้อยสบาย ทำงานให้ร่มทั้งวัน แถมผู้กองยังไม่ค่อยดุด่ามาก เอาง่าย ๆ พวกนั้นคิดว่าเด็กบก.ร้อยเป็นลูกรักผู้กองนั่นแหละ

   ช่วงแรก ๆ ที่เราเข้ามาทำบัญชีก็คิดว่าจะง่าย ๆ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะผู้กองให้เราทำบัญชีย้อนหลังไปเป็นปี เราต้องมานั่งไล่ทำตั้งแต่...เอาเป็นว่าถ้านี่คือการปลูกบ้านเราก็ต้องเริ่มตั้งแต่กำพร้ากำขวานเข้าป่าไปตัดไม้เลยแหละ แถมยังมียอดที่ต้องปิดให้ตรงเท่านั้นเท่านี้อีก ช่วงแรก ๆ เราเลยไม่ค่อยได้คุยอะไรกับใคร นั่งหน้าดำคล่ำเคร่งทำบัญชีอยู่คนเดียวทั้งวัน บางวันทำเพลินไปถึงดึกดื่น ผู้กองก็ถามทุกวันว่าใกล้หรือยัง จะเสร็จไหมชาตินี้ เรานึกในใจ ‘ก็ถ้าทำตั้งแต่ชาติที่แล้วป่านนี้ก็คงเสร็จแล้วแหละครับ’ แถมยังคาดโทษเราอีกว่าถ้ายังไม่เสร็จไม่ต้องเขียนใบลามานะ ผู้กองไม่เซ็นให้ (ใบลา คือ ใบลากลับบ้าน สำหรับทหารเกณฑ์ทุก ๆ สามเดือนจะได้ลาสิบห้าวัน)

   ผ่านไปได้สักสามอาทิตย์ บัญชีก็เริ่มเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง พอได้เนื้องานไปให้นายทหารดู ผู้กองก็ยิ้มออก บอกนายทหารชมเปาะว่าทำสะอาดดี ลายมือสวยอ่านง่าย (ก็แน่ล่ะ เรานั่งคัดทีละตัวอยู่เป็นอาทิตย์ ไม่สวยก็ให้มันรู้ไปสิ)

   นอกจากนี้ผู้กองยังให้เราทำบัญชีเบิกจ่ายเงินรายวันของงานก่อสร้างโรงจอดรถใหม่ด้วย ทำให้เราต้องทำงานกับไอ้พี่มิ้นท์ตลอด ไอ้ห่านี่ก็ทำท่าฮึดฮัด ก็ปรกติไม่มีคนมาตามเช็คไงว่าใช้จ่ายเงินอะไรไปบ้าง พอมีเราขึ้นมาเงินคงไม่สะพัดเหมือนก่อน

   มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนในบก.ร้อยเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเรา คงเพราะไม่มีใครรู้ว่าผู้กองเขาจะนึกอยากให้เราทำบัญชีเช็กเรื่องอะไรอีก ทั้งพีเอ็กซ์ เงินเดือนทหาร ทั้งเงินเบิกจ่ายอะไรตั้งหลายอย่าง แต่ตัวเราเองก็ไม่ได้แคร์อะไรมากนะ ใครจะคิดยังไงแบบไหนเราก็ไม่ได้สนใจมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเราก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กบก.ร้อยมาตั้งแต่ต้น กลางวันเราก็ไปกินข้าวโรงเลี้ยง กลางคืนเราไม่ก็เคยนอนในห้องบก.ร้อยเหมือนเด็กบก.ร้อยคนอื่น แถมพอถึงชื่อเราเข้าเวรเราก็เข้าเวรปรกติ

   พอคนอื่นถามว่ามาเข้าทำไม เด็กบก.ร้อยไม่ต้องเข้าเวร เราก็บอกว่าเราแค่ไปทำบัญชีให้ผู้กองไม่ใช่เด็กบก.ร้อย แล้วใครจะทำอะไรยังไงเราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก มันสิทธิ์ของแต่ละคน พอเรื่องไปถึงหูไอ้พี่มิ้นท์ มันก็พูดเสียงดัง ๆ ในบก.ร้อยว่า “ใครจะเข้าเวรก็เข้า ใครไม่เข้าก็นอนแค่นั้นแหละ เก่งเหลือเกิน”

   วันนั้นแหละมั้งที่เราคิดกับตัวเองว่าถ้าวันไหนมันตายนะ เราจะตามสืบมาให้ได้ว่าอัฐิมันเอาไปเก็บในโกศที่วัดไหน แล้วเราจะตามไปฉี่ใส่ป้ายหน้าโกศมันให้เหลืองอร่ามเลย

   สิ่งที่พอจะหล่อเลี้ยงจิตใจเราได้บ้างก็มีแต่ไอ้เบนซ์ การคิดถึงมัน คิดถึงจูบนั้น คิดถึงช่วงเวลาที่เรากับมันมีด้วยกันทำให้เรารู้สึกชุ่นชื่นขึ้นมาได้บ้าง จนกระทั่งผ่านไปได้สองเดือนนับตั้งแต่เราขึ้นกองร้อยมาไอ้เบนซ์ก็ส่งข้อความมาหาเราในเฟสบุ๊ค

   วินาทีแรกที่เห็นข้อความเราแทบกระโดดลงมาจากโรงนอน มันถามแค่ว่าเป็นไงบ้าง แต่เรารู้สึกเหมือนมันกำลังขอเราแต่งงาน (เป้ อย่าโกรธเราเลยนะ) ใจเต้นด้วยความดีใจจนแทบหลุดออกมาจากอก เรารีบพิมพ์ตอบมันไป บอกมันว่าตอนนี้เราทำอะไร เป็นยังไง โดยไม่ได้บอกเรื่องที่เราโดนคนทั้งบก.ร้อยเกลียดขี้หน้า เราพิมพ์คุยกันเกือบถึงเที่ยงคืน ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา แต่ถึงแบบนั้นเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องคืนนั้นในห้องน้ำ เรากับมันเหมือนมีกฎที่ตั้งขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครต้องเอ่ยอะไรออกมาว่าจะละเรื่องนั้นไป เราแค่คุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องตลก เรื่องบ้า ๆ บอ ๆ จนกระทั่งหลับไป หลังจากนั้นมันก็เหมือนเป็นกิจวัตรที่เรากับมันจะพิมพ์หากันทุก ๆ สามสี่วัน ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรหวานหรือใช้จำกัดความสัมพันธ์นี้ แต่แบบนั้นเราก็มีความสุขพอแล้ว

   หลังจากนั้นอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พอเข้าเดือนที่สาม งานก็เข้าเราอีกรอบ

   วันนั้นเป็นวันธรรมดาอีกวัน เราที่เริ่มงานน้อยลงบ้างแล้วมีเวลาว่างมากขึ้นเลยนั่ง ๆ นอน ๆ ดูหนังจากโน๊ตบุ๊คของพี่เออยู่ในบก.ร้อยกับพวกเด็กบก.ร้อยคนอื่น ๆ แล้วจู่ ๆ จ่าก็ยักษ์ก็ขับรถมาจอดที่หน้าหน่วย

   “ใครว่าง” แกถามเสียงเข้มแล้วมองมาทางพวกที่นั่งดูหนังอยู่ แค่นั้นแหละ เกมโอเว่อร์เลย เรา ไอ้แมว ไอ้ชาย ไอ้คิง ไอ้เฟิร์ส โดนเกณฑ์กันออกไปขึ้นท้ายรถกระบะจ่ายักษ์ ยังไม่รู้เรื่องเลยว่ามีอะไร จนไปถึงหน่วยฝึกทหารใหม่ก็เห็นรถสิบล้อจอดเรียงกันอยู่สามสี่คัน รถสิบล้อคันแรกจอดอยู่ตรงหน้าคลังอาภรณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับหน่วยฝึกฯ พอดี จ่าอ๊อด จ่าประจำคลังอาภรณ์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว แกยิ้มร่าหัวเราะแหะ ๆ จนพุงย้อย ๆ กระเพื่อมอยู่ในเครื่องแบบทหาร

   “ได้มาแค่นี้เหรอจ่า ห้าหกคนเนี่ยนะ”

   “เออ ๆ เอาไปก่อนเหอะน่า เดี๋ยวไปหามาให้เพิ่ม” จ่ายักษ์บอกแค่นั้นแล้วก็ขับรถออกไป

   พอไปแล้วจ่าอ๊อดก็หันมามองพวกเราที่ทำหน้าเหวอ ๆ ก่อนจะบอกว่าให้ทำอะไร งานก็คือ ยกเตียงพับที่อยู่ในรถสิบล้อลงมาวางเรียงในคลังอาภรณ์ จำนวนทั้งหมดประมาณหนึ่งพันเตียง

   แค่ได้ยินจำนวนเราก็แทบจะละลายกลายเป็นน้ำอยู่ตรงนั้น เป้ต้องเข้าใจนะว่าวันนั้นเป็นวันธรรมดาอีกวันของเมืองไทยที่แดดร้อนนรกแตก แล้วเตียงแต่ละอันก็ไม่ได้เบา ๆ พวกเราห้าคนจะยกหมดได้ยังไง

   แต่ทหารได้รับคำสั่งก็ต้องทำ พวกเราเลยเริ่มลงมือทำงาน จ่าให้ช่วยกันยกเป็นคู่ ๆ ตอนแรกเราคิดว่าเราจะเป็นเศษ แต่เปล่า ไอ้แมวโพลงออกมาว่ามันจะอยู่บนรถคอยจัดเตียงให้ คนอื่นก็เงียบ จนกระทั่งไอ้ชายพูดว่า เออ ๆ กูกับมึงเองไอ้ทาซาน แล้วงานยกเตียงหนึ่งพันตัวก็เริ่มต้นขึ้น

   ตอนแรก ๆ มันก็ยากหน่อยเพราะเรากับไอ้ชายสูงไม่เท่ากัน ไอ้ชายเตี้ยกว่าเราหลายสิบเซนติเมตร เวลายก ไม่มันต้องงอแขนเพื่อให้สูงพอ ก็เป็นเราที่ต้องย่อขาให้เตี้ยพอ ช่วงแรก ๆ ก็เลยยาก แต่ยกไปได้หลายสิบเรากับมันก็เริ่มทำงานกันเข้าขากันมากขึ้น ไอ้ชายขึ้นไปบนรถช่วยไอ้แมวยกเตียงลงมาให้เรา ส่วนเราก็ยกเตียงลงมาซ้อนกันสองเตียง แล้วไอ้ชายก็กระโดดลงมาช่วยเรายกเตียงไปวางไว้ในคลังอาภรณ์ (แถมจ่าอ๊อดยังเรื่องมาก จะให้วางซ้อนกันเป็นตั้ง ๆ ให้เท่า ๆ กันอีก เราล่ะเหนื่อย) หลังจากผ่านไปได้ไม่มาก ไม่รู้เหมือนกันตอนไหน แต่ไอ้ชายก็ถามเราเรื่องทำบัญชี ว่าเรียนมาเหรอ อะไรแบบนั้น เราก็ตอบไปตามความจริง แล้วจากนั้นก็คุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไป แล้วยังไงก็ไม่รู้ ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มพูดเรื่องตลก เล่าเรื่องในหมวดตอนอยู่หน่วยฝึกฯ เราเล่าเรื่องไอ้เน่ากับแฟนมัน พวกมันทุกคนขำใหญ่ รวมถึงจ่าอ๊อดด้วย

   ผ่านไปได้ครึ่งวันงานเดินไปได้เยอะ เที่ยง ๆ จ่าอ๊อดเลยสั่งข้าวสั่งน้ำจากเจ้เปรี้ยวมาเลี้ยงทหาร พวกเรากินกันเรื่อย ๆ แล้วก็คุยกันไม่หยุด กลายเป็นว่าเราคุยกับพวกมันทุกคนได้อย่างสนิทใจ จนกระทั่งไอ้เฟิร์สถามเราขึ้นมาว่าทำไมก่อนหน้านี้เราเงียบจัง เราก็บอกว่าเราเป็นแบบนี้แหละ อีกอย่างเราก็ไม่รู้จะคุยอะไร งานเราก็ยุ่ง ๆ

   ไอ้เฟิร์สก็บอกว่า มันคิดว่าเราไม่ชอบพวกมันซะอีก เราเลยบอกว่าเราเปล่า พวกมันมากกว่าที่ดูเหมือนจะไม่ชอบขี้หน้าเรา

   แล้วพวกมันก็หัวเราะ บอกว่าในบก.ร้อยไม่มีใครไม่ชอบเราเลยสักคน พวกพี่ ๆ รวมไปถึงจ่า ๆ มีแต่คนคิดว่าเราทำงานเก่ง อย่างเรื่องเข้าเวร หรือเรื่องที่ต้องมายกเตียงวันนี้ เราก็อ้างได้ว่ามีงานบัญชีที่ผู้กองให้ทำยังไม่เสร็จ แค่นี้เราก็ไม่ต้องมาแล้ว

   เรายิ้มแล้วหยุดคิด “เออว่ะ ทำไมกูไม่พูดวะ งั้นกูไปก่อนนะต้องไปทำบัญชี” แล้วทั้งหมดก็หัวเราะออกมา บอกว่าไม่ทันแล้ว

   พอครึ่งวันบ่าย จ่ายักษ์ก็ไปเกณฑ์หน่วยเดนตายมาจากฝายได้อีกหกคน งานเลยเดินเร็วขึ้นจนสุดท้าย งานที่เหมือนจะไม่เสร็จในวันเดียวก็เสร็จได้ตอนหกโมงเย็น

   ก่อนจะกลับกองร้อย จ่าอ๊อดก็บอกว่าพรุ่งนี้ก็มาอีกนะ มีงานอีกแต่เป็นพวกเสื้อผ้า ไม่เยอะไม่หนักเท่านี้หรอก พวกเราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็รับคำไปเพราะเป็นคำสั่ง

   ตอนเดินกลับกองร้อยพวกมันก็นัดกันว่าจะแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปกินข้าวที่ตลาดกัน แล้วไอ้ชายก็หันมาถามเราว่าจะไปด้วยไหม เราก็รับคำว่าไปสิ

   แต่พอมาถึงกองร้อย เราก็เจอกับไอ้พี่มิ้นท์นั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานเรา หน้าตาบึ้งตึงอย่างกับพ่อตาย มาถึงเรายังไม่ทันจะว่าอะไรมันก็ถามเราว่าหายหัวไปไหนมา มันเอาใบเสร็จมาให้ตั้งแต่บ่ายแล้ว เราก็บอกว่า อ่าว ไม่รู้ว่ารอ ผมไปช่วยยกเตียงที่คลังอาภรณ์มา ถ้าพี่มีอย่างอื่นต้องทำก็ไปทำก่อนก็ได้ ใบเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะนี่แหละเดี๋ยวผมกลับมาจัดการเอง

   มันก็มองหน้าเรา แล้วบอก “งานมึงทำเสร็จแล้วเหรอถึงไปช่วยงานคนอื่น”

   ตอนนั้นเราทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แถมยังมาโดนด่าอยู่คนเดียว เราเลยขึ้นเลย บอกเป็นกล้วยอะไรของมึงวะ งานกูก็ทำ จ่าสั่งกูก็ทำ มีเหตุผลหน่อย มันก็หันมาบอกว่า ด่าใคร ขึ้นมึงขึ้นกูกับใคร เพื่อนเล่นมึงเหรอ เราบอกว่าเออ ก็คุยกันสองคนเนี่ยจะมีใครล่ะ แล้วจะทำไม งานมึงมีมึงก็ทำไป งานกูมีกูก็ทำ พูดจบเราก็เดินออกมาจะไปอาบน้ำ มันก็เดิมตามเรามา กระชากเสื้อเราจากข้างหลัง เราสะบัดจนมือมันหลุด แล้วเรากับมันก็ตะลุมบอนกันเหมือนหมาสองตัวกัดกันอยู่ตรงทางเดินข้างนอกโรงนอน เราสู้มันไม่ได้หรอก ตัวก็ใหญ่กว่า สูงกว่า พอมันนั่งคร่อมเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่นอนให้มันต่อยหน้าไปสามสี่ทีจนมีคนมาแยกมันออก

   เรื่องก็จบลงแค่นั้น เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ทหารชกต่อยกันบ่อย ๆ เลยไม่มีใครเอาเรื่องไปบอกจ่าหรือผู้กอง เราเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก ดีไม่ดีจะได้เข้าคุกกันทั้งคู่

   อีกวันถัดมาพวกเราก็กลับไปที่คลังอาภรณ์อีกครั้ง คนอื่น ๆ รู้กันหมดแหละว่าเราโดนอะไรมาเมื่อวานเลยไม่มีใครพูดเรื่องเราตาเขียว เราก็ทำเหมือนไม่มีอะไร พูดหัวเราะกันเป็นปรกติ

   จนกระทั่งเที่ยง ๆ ตอนที่เรานั่งอยู่หน้าคลังอาภรณ์ กำลังคุยกันเรื่องอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเรื่องที่ไอ้เฟิร์สเป็นตุ๊ด (ซึ่งก็เป็นจริง ๆ ท่าทางออกขนาดนั้น รู้กันมาตั้งแต่หน่วยฝึกฯ แล้ว) แล้วแอบไปเจอกับเด็กบก.ใหญ่ ไอ้เฟิร์สบอกได้กันในป่ายูคาหลังหน่วยฝึกฯ แล้วพวกมันก็หัวเราะกันออกมา

   “แล้วมึงล่ะไอ้ทาซาน ชอบผู้ชายหรือเปล่า” จู่ ๆ ไอ้คิงก็ถามเราแบบนั้น

   “เออ” เราตอบไปแค่นั้นเพราะข้าวยังเต็มปาก

   “เออไรของมึงวะ” ไอ้ชายทำหน้างง

   “เออ ชอบผู้ชาย” เราพูดไปแบบนั้นเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วพวกมันทุกคนก็หัวเราะกันเหมือนเป็นมุกตลก ก่อนที่ไอ้คิงจะถามย้ำว่าเราพูดจริงเหรอ ซึ่งเราก็ตอบว่าจริง

   “จริงเหรอวะ ท่าทางไม่น่าจะใช่” ไอ้ชายว่า เราเลยแอบจับตูดมันทีหนึ่งแล้วบอก “อยากลองไหมล่ะ”

   ไอ้ชายสะดุ้งตัวโยนจนกล่องข้าวตกจากมือ ทุกคนหัวเราะออกมา

   แต่ไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ไอ้พี่มิ้นท์มันก็เดินมาจากทางหน่วยฝึกฯ มุ่งหน้ามาทางพวกเราที่นั่งกินข้าวกันอยู่ ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งมันเดินมาถึง แล้วบอกให้เราเดินตามมันไป ไอ้คิงเลยพูดว่า มีอะไรเหรอพี่ พวกผมช่วยจ่าจ๊อดขนของอยู่ ไอ้พี่มินท์ก็บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเรา ไอ้ชายก็บอกคุยตรงนี้ก็ได้พี่ ส่วนไอ้เฟิร์สก็ผสมโรง แต่ไอ้พี่มิ้นท์ก็บอกว่า ไม่ได้จะเอามันไปทำอะไรหรอกน่า แค่จะคุยเฉย ๆ

   เราเลยหันไปมองไอ้สองคนนั้น บอกว่าขอบใจมาก แต่ถ้าเราไม่กลับมาภายในสองสามชั่วโมงก็โทรแจ้งตำรวจด้วยนะ

   พวกมันขำออกมาตอนที่เราเดินตามไอ้พี่มิ้นท์ไป

   เรากับมันนั่งลงที่ม้านั่งข้างหลังหน่วยฝึกฯ มันนั่งเงียบ ๆ อยู่นานก่อนจะล้วงบุหรี่ขึ้นมาจะจุดสูบ เราดึงมวลบุหรี่ออกจากปากแล้วปาทิ้ง บอกมันว่าเหม็น

   ไอ้พี่มิ้นท์มองหน้าเรา ตาแข็งขมวดคิ้วแน่นเพราะโกรธแต่ก็ไม่ว่าอะไรก่อนจะทำท่าหยิบบุหรี่มวลใหม่ เราคว้าทั้งซองบุหรี่ทั้งไฟแช็กมันมา บอกมันว่ามีอะไรก็รีบ ๆ พูดมาเหอะเดี๋ยวเราต้องไปทำงานต่อ

   มันถอนหายใจยาว ทิ้งตัวพิงพนักแล้วหันไปทางอื่น ทำท่าอย่างกับเด็กเล็ก ๆ โดนยึดของเล่น

   จนแล้วจนรอดมันก็ถามเราออกมาว่า “เป็นไงมั่ง”

   เราเลยหันหน้าไปมองมัน ตั้งใจจะให้มันเห็นเบ้าตาข้างซ้ายที่เขียวช้ำกับในตาห้อเลือดเป็นสีแดง มันมองหน้าเราอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมองทางอื่นอีก แล้วก็บอกว่า “ถ้าไม่พูดแบบนั้นกูก็ไม่ต่อยมึงหรอก”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:26:58 โดย keivet001 »

ออฟไลน์ keivet001

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1


      ตอนนั้นเราจำได้ว่าเค้นเสียงหัวเราะประชดออกมาแล้วก็ตอบไปว่า “ถามจริงดิ พี่ต่อยทุกคนที่ขึ้นมึงขึ้นกู หรือด่าพี่ว่ากล้วยทุกคนเลยเหรอ ยอมรับเหอะ พี่ไม่ชอบขี้หน้าผม ผมก็ไม่ชอบขี้หน้าพี่” มันแทรงขึ้นว่า “ก็ไม่ใช่ขนาดนั้น” แต่เราก็พูดต่อ “โถ่พี่ ไม่ต้องมาโกหกหรอก ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมเข้าใจ คนชอบกันเกลียดกันมันเรื่องปรกติ แต่ผมก็ต้องอยู่นี่จนปลด พี่ก็เหมือนกัน หนีกันไปไหนไม่ได้หรอกเพราะงั้นต่างคนก็ต่างอยู่ดีกว่าไหม พี่ทำงานพี่ ผมทำงานผม”

   มันก็ยังหันหน้าไปทางอื่น ไม่พูดอะไรอยู่นาน เราเลยพูดต่อ “แล้วผมถามพี่จริง ๆ เหอะ พี่เป็นอะไรถึงเกลียดผมนัก”

   ไอ้พี่มิ้นท์ถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ก็บอกว่าไม่ได้เกลียด...แต่กูเคืองมึงเรื่องพี่ไปพูดกับคนอื่น”

   เราทำหน้างง ถามมันว่าคุยอะไรวะพี่ วัน ๆ ผมคุยอะไรกับใครที่ไหนพี่ก็เห็น

   “ก็เรื่องที่มึงไปพูดกับคนอื่นว่าเด็กบก.เก่า ๆ ขี้เกียจไม่ยอมเข้าเวร” มันบอกแล้วมองหน้าเราตรง ๆ

   ตอนแรกเราก็งง แล้วถามมันว่าใครบอก มันไม่ตอบ เราเลยบอกว่ากล้วยเหอะ เราไม่ได้พูดแบบนั้น เราพูดว่าใครจะทำอะไรก็ทำ เราไม่สนใจใครหรอกมันสิทธิ์ของแต่ละคน เราพูดแบบนี้ แล้วเราก็ถามย้ำว่าใครบอกมันว่าเราพูดแบบนั้น ไอ้พี่มิ้นท์ก็เงียบ ถามเราว่าพูดจริงเหรอ เราเลยบอกว่า จะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วแต่ แล้วก็ลุกขึ้นทั้งท่าจะเดินกลับไปทำงานต่อ

   “อ่าว” ไอ้พี่มิ้นท์ร้องออกมา “แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย กูยังพูดไม่จบเลย”

   “ไปทำงาน” เราบอก “แล้วพี่ ถ้าพี่ไม่อยากให้คนอื่นพูดกูพูดมึงกับพี่ พี่ก็ไม่ควรไปพูดแบบนั้นกับใครนะ” จบแล้วก็เดินกลับไปที่คลังอาภรณ์ต่อ ไอ้คิงกับไอ้ชายถามว่าเราคุยอะไรกับพี่มิ้นท์ เราบอกว่าก็คุยเรื่องเมื่อวานแหละ ไม่มีอะไรหรอก

   เช้าวันถัดมาผู้กองกลับมาจากออกตรวจงานต่างจังหวัด เราเลยหาผ้าก๊อดใหญ่ ๆ มาปิดตาไว้ เวลาใครถามก็บอกว่าเป็นตาแดง เรื่องเรากับไอ้พี่มิ้นท์มีเรื่องกันก็เลยยังไม่ถึงหูผู้กอง

   หลังจากนั้นไอ้พี่มิ้นท์ก็ไม่รู้ห่าอะไรเข้าสิง เริ่มจากตึง ๆ ใส่เราอยู่สองสามวัน หลังจากนั้นก็คุยกับเราดี ๆ แล้วก็เริ่มคุยเล่น ซื้อของกินจากตลาดมาให้เราบ้าง บางวันเห็นเราอยู่ทำงานในห้องบก.ดึก ๆ ก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนเรา ทำเป็นนั่งดูหนังอะไรไปตามเรื่อง พอเราเดินออกมามันก็ถามว่าเสร็จแล้วเหรอ อะไรแบบนั้น

   เราเองก็เบื่อแล้วว่ะ คือไม่รู้จะโกรธมันไปทำไมหรือจะให้มันได้อะไรขึ้นมา คนต้องเจอหน้ากันทุกวันแถมยังต้องทำงานด้วยกันบ่อย ๆ อีก ถ้ายังทำเป็นไม่คุยกับมันก็คงอยู่ยาก เราเลยคุยกับมันปรกติ แต่ก็ไม่ได้คุยเล่นเป็นเพื่อนอะไรแบบนั้นหรอก แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุยกันเฉพาะเรื่องงานที่จำเป็นต้องคุย

   ผ่านไปอีกเป็นอาทิตย์ บก.ร้อยก็มีงานเข้าอีกรอบ คราวนี้เป็นงานเลี้ยงที่บ้านผู้การ ผู้กองสั่งให้ทำหลายอย่าง ทั้งเวที เดินไฟ จัดโต๊ะ ทำผ้าระบายรอบ ๆ รั้วบ้านซึ่งเป็นงานของพี่เจมส์โดยเฉพาะ แกเป็นกะเทยตัวอ้วน ๆ กลม ๆ ดูน่ารักดี แถมยังยิ้มแย้มตลอดเวลา แกมาขอแรงเราไปช่วย เราซึ่งช่วงนี้ก็ว่าง ๆ อยู่จะมีก็แค่งานลงบัญชีเบิกจ่ายประจำวันของงานก่อสร้างโรงนอนเด็กบก.ใหญ่ กับ บัญชีรายรับรายจ่ายของคาร์แคร์ที่ผู้กองเป็นเจ้าของอยู่

   เราเลยไปช่วยเขาทำด้วย ทำกันอยู่สองสามวันก็เสร็จ (มีคนจากชุดช่างไม้ กับช่างไฟมาช่วยด้วยหลายคน) พอถึงวันงานผู้กองก็ให้พวกบก.ร้อยไปเป็นเด็กเสิร์ฟด้วย เราเลยอ้างว่ามีบัญชีต้องทำค้างอยู่ เลยรอด (มันก็ไม่เชิงอ้างหรอกเพราะเราต้องทำจริง ๆ) พอค่ำ ๆ ผู้กองก็โทรมาบอกพี่มิ้นท์ว่าโต๊ะไม่พอให้หามาเพิ่ม พี่มิ้นท์เลยเรียกเราขึ้นรถไปช่วยเขายกโต๊ะหน่อย มันกับเราขับรถกระบะไปที่ในฝายแล้วบอกจ่าก๊อบว่าของยืมโต๊ะกลมสองสามตัวซึ่งแกก็ให้และบอกว่าต้องเอามาคืนด้วยนะ พี่มิ้นท์ก็รับคำก่อนจะบึ่งรถไปบ้านผู้การ เอาโต๊ะลง ตั้งให้เรียบร้อย แอบเดินไปทักไอ้ชายกับไอ้คิงแป๊บหนึ่งแล้วก็กลับ

   “มึงหิวไหม” จู่ ๆ ไอ้พี่มิ้นท์ก็ถามเราพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ในปาก

   “ไม่...ทำไมเหรอ” เราหยิบบุหรี่ออกจากปากมันแล้วโยนออกนอกรถ

   “แล้วเอ็งจะเอาบุหรี่พี่ไปโยนทิ้งทำไมวะ” มันโวยวาย

   เราเลยบอกว่า “มันเหม็นพี่ ลงไปแล้วคอยสูบ”

   พูดจบไอ้พี่มิ้นท์ก็หยุดรถตรงสี่แยก ถ้าตรงไปก็กลับค่าย แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าไปทางอำเภอเมือง มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนตบไฟเลี้ยว

   “จะไปไหนเนี่ย”

   “เอ็งมีงานต้องทำต่อเหรอ”

   “เปล่า”

   “งั้นก็มาเหอะน่า พาไปเลี้ยง”

   มันพาเราขับรถเข้าไปในตัวเมือง (ซึ่งไม่ได้ห่างจากค่ายมากนัก) แล้วจอดรถที่ร้านผัดไทยร้านหนึ่ง

   “เอ้า ลงดิ” มันพูดเหมือนเราเป็นเด็กแล้วก็ดับเครื่อง ดูท่าจะเคืองเรื่องบุหรี่ เราเดินตามมันเข้าไปในร้านแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับมันที่ตอนนี้สั่งผัดไทยกุ้งสดไปสองจาน

   พี่มิ้นท์กับเราเงียบกันไปสักพัก แล้วมันก็ถามเราว่าได้เขียนใบลาหรือยัง เราก็ตอบไปว่ายัง มันก็บอก ทำไมไม่เขียนล่ะ ผลัดเดียวกันกับเราก็ทยอยเขียนส่งมาแล้วนะ เราเลยบอกไม่อยากทิ้งงานไป ถ้าลาไปก็ต้องมานั่งทำย้อนหลังอีก มันจะงงแล้วยุ่งยากเปล่า ๆ แล้วเราก็ถามมันว่าแล้วพี่ล่ะ ไม่ลาเหรอ เอาวันลาผมไปก็ได้นะ (ความจริงวันลามันให้กันไม่ได้หรอก แต่ว่าทหารบางคนก็เอาวันลาตัวเองมาขายหรือแลกเปลี่ยนกันแบบลับ ๆ เวลาจะตกลงกันก็ต้องไปแอบคุยหลังห้องน้ำหรือในป่า อย่างกับหนังสายลับ) มันก็บอกว่าตั้งแต่มันอยู่มาปีกว่า ๆ เพิ่งจะเคยลาไปครั้งเดียว คือหลังจากฝึกทหารใหม่เสร็จ เราก็เลยถามว่าทำไมล่ะ มันก็บอกว่างานบก.ร้อยมันยุ่ง ๆ ตลอดแหละ แล้วผู้กองก็ไม่ค่อยมีคนช่วย มันเลยไม่อยากลา

   เราคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะว่า “ถ้างานมันยุ่งจริงทำไมพี่ไปเป็นครูทหารใหม่ล่ะ”

   มันหัวเราะแล้วบอกว่า ผู้กองทำโทษมันเรื่องเอารถผู้กองไปชน “เอาไปแซวฟุตบาทมานิดเดียว ดูดิ นิดเดียวเอง” พูดแล้วก็ชี้ไปที่รถ ตรงล้อแม็กฝั่งซ้ายด้านหน้ามีลอยชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ใหญ่มาก “แกสั่งพี่ไปเป็นครูทหารใหม่เลย” แล้วก็หัวเราะออกมา

   “แกดุไหม ผู้กองวัด” เราถามจังหวะเดียวกันกับที่ผัดไทยถูกยกมาวางพอดี “เห็นบางคนบอกแกลงไม้ลงมือเลยไม่ใช่เหรอ”

   “เออดิ ต่อยก็ต่อยเลยนะไอ้เชี่ย แกเป็นนักมวยเก่า” ไอ้พี่มิ้นท์พูดทำเสียงจริงจัง

   “เหมือนที่พี่ต่อยผมอ่ะนะ” เราแกล้งแหย่มันเล่น มือก็ค่อย ๆ ใช้ช้อนส้อมเขี่ยถั่วงอกออกจากจาน ใจจริงจะให้เป็นมุกแต่พอเงยหน้ามองก็เห็นไอ้พี่มิ้นท์ยิ้มแหย ๆ แถมยังก้มหน้า สงสัยว่าจะเร็วไปว่ะ เราเลยบอกว่า “ขอโทษ ๆ ไม่ตั้งใจจะว่าหรืออะไร”

   แล้วไอ้พี่มิ้นท์ก็เงียบไปอีก ก่อนพูดว่า มันความผิดตัวเขาเองแหละที่อารมณ์ร้อนไปหน่อย ไม่ได้คิดให้ดี แถมก่อนหน้านั้นเรากับมันก็พูดไม่เข้าหูกันมาก่อนตั้งแต่เรื่องที่มันต้องตามจี้เราตอนฝึก ไปถึงเรื่องบนเขาชนไก่อีก ไหนจะเรื่องอีนวล หลาย ๆ อย่างมันเลยคิดว่าเราไม่ชอบหน้ามัน

   เราได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ บอกว่า ก็จริงแหละ เราไม่ค่อยชอบมันเท่าไรแต่ก็ไม่คิดจะเอาไปพูดนินทาลับหลังนะ เราไม่ใช่คนแบบนั้น

   มันก็บอก “รู้แล้วน่า แต่ตอนนั้นไม่รู้นี่หว่า ขอโทษได้ไหม”

   เราตอนนั้นใจในลึก ๆ ก็ดีใจนะที่มันพูดว่าขอโทษออกมา ไม่เคยคิดว่าคนแบบไอ้พี่มิ้นท์จะขอโทษใครเป็น เราเลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าเป็นเราได้ยินอะไรแบบนั้นมาก็คงทำแบบเดียวกันแหละ (อันนี้เราโกหก เป้ก็รู้คนแบบเราจะไปมีเรื่องชกต่อยอะไรกับใครเขาได้ อย่าว่าแต่คนเลย กับหมูกับหมาที่ไหนเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน)

   แล้วมันก็คุยเรื่องผู้กองต่อ “แต่ถ้าเอ็งไม่ได้ทำอะไรผิดเขาก็ไม่มายุ่งอะไรกับเอ็งหรอก หรือถ้าเอ็งไม่ได้ตั้งใจ หรือทำงานผิดนิดหน่อย อยากมากก็แค่โดนด่า ขนาดพี่เอารถเขาไปแซวมา เขายังไม่ต่อยเลย...”

   “แค่ให้ไปเป็นครูทหารใหม่ใช่ไหม” ว่าแล้วหัวเราะ

   มันหัวเราะตามแล้วก็บอกว่า “ที่จริงช่วงนั้นอ่ะ บก.ร้อยไม่ค่อยมีอะไร ว่าง ๆ ทหารก็ปลดไปเยอะแต่บก.ร้อยมีคนเหลือเฟือ แล้วครูทหารใหม่ก็ขาดพอดี หวยเลยมาลงกับคนที่เอารถไปชนมา” มันเงียบไปพักหนึ่ง ตักผัดไทยเข้าปากไปสองสามคำก่อนจะถามเรา “แล้วมึงเรียนจบม.ปลายมาใช่ไหม...ถ้าจำไม่ผิด”

   เราพยักหน้า เคี้ยวผัดไทยในปากแล้วถามมันกลับ “ม.ปลายภาคค่ำ...พี่ล่ะ”

   “วิศวะโยธา”

   “อ่าว แต่พี่เป็นสองปีไม่ใช่เหรอ”

   “ก็เออสิ แม่งโคตรซวย” มันพูดแล้วดูดน้ำเปล่าจากแก้วอึดใหญ่ “พี่อ่ะจบไม่ทัน คือวิชาเรียนอ่ะเก็บหมดแล้วแต่วุฒิออกไม่ทันเพราะพี่จบช่วงซัมเมอร์ ตอนแรกพี่ก็คิดว่าคงไม่โดนหรอก ทุกปีเขตพี่ก็คนสมัครเต็มทุกปี มาปีพี่นี่แหละเสือกต้องจับเอาสามสิบคน พี่ก็คิดว่าไม่น่าจะโดนเห็นคนจับกันเยอะเป็นร้อย ๆ ไปจับ เสือกโดน แล้ววุฒิม.ปลายก็หายไปแล้ว แม่ง”

   เราหลุดขำออกมา “มึงขำอะไรนักหนา ตลกเหรอ” มันว่าแต่ก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน “แล้วทำไมเอ็งไปเรียนภาคค่ำล่ะ”

   “ก็เรียนปรกติไม่จบอ่ะดิ ถามแปลก ๆ” เราตอบ แต่มันก็ถามต่อว่า “ทำไมวะ” เราเลยบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินผัดไทยต่อ วินาทีต่อมาไอ้พี่มิ้นท์มันก็พูดว่า “เรื่องนี่เหรอ” แล้วเอานิ้วของมันมาไล้ไปตามแนวของแผลที่ท้องแขนเรา ทำเอาเราสะดุ้งโหยงแล้วร้องตกใจว่า “เฮ้ย อะไรวะพี่”

   “มึงตกใจอะไรเนี่ย หวงเนื้อหวงตัวเหรอ”

   “หวงเหิงอะไรล่ะ ผมตกใจ มันจั๊กจี้”

   แล้วมันก็หัวเราะ “อย่างงี้ที่ไอ้แมวพูดก็จริงอ่ะดิ”

   “เรื่อง?”

   “ที่มึงชอบผู้ชาย”

   เราสำลักผัดไทยจนเส้นพุ่งออกมาจากจมูก ไอ้พี่มิ้นท์ปล่อยก๊ากออกมาก่อนจะค่อย ๆ ตบหลังเรา

   “ทำไม? ตกใจเหรอ”

   “ในกองร้อยนี่มันจะมีความลับได้บ้างไหมเนี่ย”

   “ไม่มีหรอก พูดจริง ๆ” มันว่าแล้วก็กินผัดไทยต่อด้วยหน้ายิ้ม ๆ



พลทหารเต้อ



-------------------------------------------------------


ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ขอบคุณจร้า รักน้า สงสัยจะติดนิยายเราแล้วจิ เม้นท์ บ่อย  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

  :n1: ติดตามผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่ :n1:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2018 21:28:44 โดย keivet001 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด