นับหนึ่ง ถึง สิบสาม “รู้ไหมว่าร้านนั้นเป็นของไอ้วา” วันเสาร์เปิดประเด็น ขณะที่เรามานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว
เขาส่ายหน้า
“แล้วไอ้วามันรู้ไหมว่านายกำลังหางาน”
“ไม่น่ารู้นะครับ พี่เขายังบอกอยู่เลยว่าบังเอิญ”
“จะบังเอิญอะไรกันนักกันหนา” เสียงบ่นอุบอิบ ทำเอาเขาแอบอมยิ้ม อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ชนะ ดูเหมือนการทำให้วันเสาร์หงุดหงิดได้ ก็เป็นอะไรที่ไม่เลวนัก
“แล้วนี่เริ่มงานเมื่อไร”
“พรุ่งนี้ครับ”
“พรุ่งนี้เลยเหรอ”
“ครับ”
“ความจริงไม่เห็นต้องดั้นด้นออกไปทำงานเลย นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว” ขอยกระดับให้เป็นปริศนาธรรมกับการที่วันเสาร์ดูจะอารมณ์เสียเรื่องออกไปทำงานข้างนอกของเขาซะจริง ทั้งที่เวลาอยู่บ้านก็ไม่ได้มายุ่งอะไรมากมายสักหน่อย
จริงๆ แล้ว เราคุยกันแทบนับประโยคได้ และเราสบตากันแทบนับวินาทีได้…ใกล้ที่สุดคือช่วงเวลาที่เขายื่นถ้วยกาแฟออกไปให้ และใกล้ยิ่งกว่าคือตอนที่วันเสาร์เกิดมีอารมณ์อยากจะทำเรื่องอย่างว่า
แต่เหมือนทุกครั้ง…อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ เหน็บหนาวมาก
กอดที่ไม่อุ่น เขานึกเกลียดมัน…
“แล้วจะทำไปถึงเมื่อไร” วันเสาร์ถามเพิ่มเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบ
“ไม่รู้สิครับ อย่างน้อยก็เดือนนึง หรืออาจจะมากกว่านั้น”
“นี่นายไม่อยากอยู่บ้านขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมก็แค่อยากหาอะไรทำ พี่เสาร์จะเดือดร้อนอะไรอะครับ” เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับการคอยเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง และท่าทางอีกฝ่ายเองก็หาข้ออ้างมาเถียงไม่ออกถึงได้ยอมเงียบสักที
พี่ละเมียดค่อยๆ เดินเข้าฉาก ตักข้าวสวยลงบนจานของเราทั้งคู่ อมยิ้มกรุ้มกริ่มขณะเหลือบมองเรียวหน้าถมึงทึงของเจ้านายตัวเอง สำหรับคนที่อยู่รับใช้วันเสาร์มา 10 ปีกว่าอย่างเธอ แค่ชายตานิดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณชายคนโตกำลังปากหนัก แถมไม่ตรงกับใจเป็นที่หนึ่ง
เจ้าของริมฝีปากบวมอิ่มละเลียดตักข้าวไม่กี่เม็ดเข้าปาก เขาไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้คือวันที่ดีหรือแย่กันแน่ เพราะถึงจะได้งานตามหวัง แต่กลับต้องมาคอยทะเลาะกับวันเสาร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความสุขเขาลงไปเท่านั้น
เขากินข้าวต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ขอตัวลาขึ้นไปอาบน้ำ นอกจากยังอิ่มจากสปาเกตตี้ที่ร้าน Napoli แล้ว การต้องทนเห็นใบหน้าบึ้งตึงคร่ำเครียดของคนตรงข้าม ก็ไม่ได้ทำให้เขาเจริญอาหารขึ้นเลยสักนิด
ละเมียดกับละไมต่างส่งสายตาเป็นห่วงให้กัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล้าเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าวันเสาร์รวบช้อนส้อมทั้งที่กินไปได้แค่ไม่กี่คำ
“คุณเสาร์ก็ไม่ทานแล้วเหรอคะ”
เขาพยักหน้า กึ่งจะก้มหัวขอโทษ “ผมไม่ค่อยหิว”
“ถ้าไม่ทานข้าว งั้นก็รับผลไม้สักหน่อยเถอะค่ะ ขึ้นไปทานบนห้องก็ได้” ละไมรีบสาวเท้ากลับไปยังตู้เย็น หยิบถาดแตงโมแกะเมล็ดที่เธอทำเตรียมไว้แล้วออกมาจัดแบ่งใส่จาน ยื่นให้คนเป็นนายอย่างจงใจ “เอาไปแบ่งคุณหนึ่งด้วยนะคะ”
วันเสาร์ตีหน้ากระอักกระอ่วน หากก็ยอมพยักหน้าแล้วตรงขึ้นบันได เขาหมุนลูกบิดห้องรับรองอย่างไม่ลังเล รู้อยู่แล้วว่าเด็กด้านในคงไม่ได้ล็อกประตู เพราะว่าเขาสั่ง อย่างน้อยก็เพื่อให้สำเหนียกไว้ว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร ถึงยังไงห้องนี้ก็เป็นพื้นที่ในบ้านของเขา มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาทุกเมื่อ
เสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดออกมา เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง วางจานผลไม้ไว้กับโต๊ะตั้งโคมไฟ อากาศในห้องปนเปื้อนไปด้วยกลิ่นกายของคนที่เคยชิดใกล้อยู่แทบทุกคืน อะไรบางอย่างกำลังกระตุ้นให้เลือดในร่างสูบฉีดหนักขึ้น กว่าจะทันรู้ตัว ปลายจมูกของเขาก็ฝังลงกับหมอนใบใหญ่บนเตียงเสียแล้ว กลิ่นเหมือนแป้งเด็ก ผสมกับสบู่ลาเวนเดอร์ ช่อดอกปีบในแก้วเหล้าที่เพิ่งไปขโมยกลับมาจากห้องเขา ทำให้ภายในห้องนี้คละคลุ้งไปด้วยสารพัดกลิ่นหอม หอมไปหมดทุกอย่างจนชักน่าเวียนหัว
ครืด…ครืดด…
มือถือเครื่องบางที่เขาออกเงินซื้อให้สั่นอยู่ข้างโคมไฟ เขารีบคว้ามันไว้ก่อนที่คนในห้องน้ำจะได้ยิน หากแต่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอกลับชวนหงุดหงิดยิ่งกว่าการรู้ว่าเด็กในอาณัติบังอาจไปแลกเบอร์โทรศัพท์กับใครอื่นนอกเหนือจากเขาซะอีก
‘พี่นาวา’
นิ้วเรียวกดรับโดยไม่ลังเล เสียงเข้มกรอกผ่านสายห้วนๆ “มีอะไร”
“อ่าว ไอ้เสาร์เหรอ”
“เออ คิดว่าใครล่ะ”
“ก็กูโทรหาหนึ่งไม่ใช่มึง”
“โทรมาทำไม แล้วมีเบอร์หนึ่งได้ยังไง” เชื่อเถอะว่าปกติเขาไม่ค่อยอารมณ์เสียใส่นาวาเท่าไร ถ้าเทียบกับเจหรือเพื่อนคนอื่นซึ่งนับว่าไร้สาระกว่ามาก แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่นาวาเข้ามาวนเวียนรอบๆ ตัวนับหนึ่ง มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วกูจะมีเบอร์ลูกน้องตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”
“ไอ้ห่า กูถามจริง มึงรู้ไหมว่าหนึ่งกำลังหางาน”
“กูจะไปรู้ได้ไงล่ะ”
“แล้วมึงเสือกมาประกาศหาพนักงานอะไรตอนนี้”
“เอ้า ร้านกูคนไม่พอ เด็กเสิร์ฟลากลับบ้านไง”
ลมหายใจหนักๆ พ่นออกจากปาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเถียงต่อไม่ออก ถ้าจำไม่ผิด นาวาเคยบ่นให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าพนักงานร้านกำลังจะลาออก ต้องกลับบ้านต่างจังหวัดไปดูแลแม่ที่ป่วย แต่ถึงงั้นก็เหอะ เขาล่ะนึกเกลียดไอ้ความบังเอิญห่าเหวทั้งหลายนี่เหลือเกิน
“แล้วมึงให้หนึ่งทำตำแหน่งไร”
“ไอ้เสาร์ มึงโง่เหรอ กูเพิ่งพูดอยู่ว่าเด็กเสิร์ฟกูลาออก ก็ต้องจ้างมาเป็นเด็กเสิร์ฟสิวะ”
“ไม่เอา กูไม่อนุญาต มึงให้หนึ่งไปล้างจานในครัว แล้วเอาเด็กล้างจานออกมาเสิร์ฟแทน โอเคไหม”
“โทษนะ แต่มึงมีสิทธิ์อะไรในร้านกูอะ”
วันเสาร์จิ๊ปาก “กูไม่มีสิทธิ์อะไรในร้านมึงหรอก แต่กูมีสิทธิ์ในตัวพนักงานใหม่มึง”
“กูไม่โอเค กูจะให้หนึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟมึงมีปัญหาอะไร” นาวาเริ่มขึ้นเสียงบ้างแล้ว และเขาเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อด้วยเช่นกัน เราเถียงกันเรื่องนี้ต่ออีกสักพักอย่างกับว่าย้อนเวลาไปสมัยเป็นเด็ก แต่แล้วเขาก็ถูกต้อนจนมุมด้วยแค่ประโยคเดียว
“มึงไม่ควรมากำหนดชีวิตของหนึ่ง ทั้งๆ ที่มึงยังดูแลเขาได้ไม่ดีด้วยซ้ำ”
“ดูแลไม่ดี?” วันเสาร์ทวนคำ ก่อนจะพ่นหัวเราะ “ทุกวันนี้กูให้ที่นอน ให้ข้าว ให้ความสบายกับมันทุกอย่าง มึงยังบอกว่ากูดูแลไม่ดีอีกเหรอ”
“แต่มึงปล่อยให้หนึ่งเป็นลมเนี่ยนะ”
“มึงว่าไงนะ?”
“อ่าว นี่มึงไม่รู้เหรอ วันนี้หนึ่งเป็นลมที่ร้านกู สงสัยไม่ได้กินข้าวเที่ยง แต่กูดูแลให้แล้วมึงไม่ต้องห่วง”
เขาเผลอกำโทรศัพท์แน่นซะจนเส้นเลือดบนหลังมือนูนชัด ไม่มั่นใจว่ากำลังโกรธอะไรกันแน่ ระหว่างไอ้เพื่อนตัวดีที่ชอบมาจุ้นไม่เข้าเรื่อง เด็กตัวแสบที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟัง หรือว่าตัวเอง…
เสียงจากปลายสายดังขึ้นอีกครั้งดึงความสนใจของเขากลับมา “พรุ่งนี้เช้ากูจะรับหนึ่งไปทำงานนะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
นิ้วเรียวเลื่อนกดตัดสายไปเสียดื้อๆ ไม่รอให้อีกฝ่ายรับทราบหรือแม้กระทั่งโต้เถียง เขาวางมือถือกลับคืนจุดเดิม พอดีกับที่เสียงฝักบัวเงียบลง ไม่นานนักประตูห้องน้ำก็เปิดออก นับหนึ่งแทบจะวิ่งหนีกลับเข้าห้องน้ำอีกรอบเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งรออยู่บนเตียง
คนตัวเล็กอึกอัก ใบหน้าขึ้นสีเพราะตอนนี้เขานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว ขณะที่ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า สายตาจับจ้องไปยังชุดนอนผ้าซาตินซึ่งวางพาดทิ้งไว้ใกล้กับจุดที่วันเสาร์นั่งอยู่
“พี่เสาร์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“ทำไม ฉันจะเข้ามาตอนไหนก็ได้”
เจ้าของกลีบปากอิ่มพยักหน้าน้อยๆ ทำเป็นใจดีสู้เสือ เดินตรงไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียง แต่ยังไม่ทันได้สวมหรือแม้แต่ก้าวถอยหนี กลับถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน ร่างสูงกระชากเขาลงบนเตียงด้วยการกระตุกแรงๆ เพียงครั้งเดียว ชุดนอนถูกปล่อยลงพื้น เปลี่ยนมายันแผงอกกว้างที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างไม่คิดบอกกล่าว
“พ..พี่เสาร์ จะทำอะไรครับ” เขาถามคำถามเดิมๆ ซึ่งน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่ได้รับคำตอบ
หัวคิ้วหนาขมวดยุ่ง แววตาเรียวคู่สวยเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ยากจะตีความออก ริมฝีปากบางสีธรรมชาติเผยอออก
“ทำไมไม่บอกว่านายเป็นลม”
คราวนี้เป็นเขาเองที่มุ่นคิ้วเข้าหากัน ถ้าไม่ใช่วันเสาร์จิตสัมผัสก็คงเป็นนาวาที่คาบข่าวมาบอกเพื่อนตัวเอง
“อ้ะ” เขารีบเม้มปากหลังจากเผลอส่งเสียงแปลกๆ เจ้าชายน้ำแข็งจอมปลอม แท้จริงใจร้อนยิ่งกว่าไฟซะอีก ไม่รอกระทั่งให้เขาคิดคำตอบก็ชิงฝังจูบลงกับลำคอขาว ค่อยๆ กลายเป็นชมพูระเรื่อเมื่อปลายจมูกโด่งไล้ต่ำลงไปถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า
วันเสาร์ตามขบไปแทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน แถมยังออกแรงดูดผิวเนื้อเขาอย่างกับว่ามันเป็นขนม ทิ้งร่องรอยแดงช้ำน่ากลัวไว้ทั่วทุกหนแห่ง
“พี่เสาร์ อย่าทำอะไรเลยนะครับ พรุ่งนี้ผมเริ่มงานวันแรกนะ” รีบท้วงขึ้นเมื่อมือหยาบเริ่มเลื่อนต่ำลงไปทุกที
คนด้านบนไม่พูดอะไร จับข้อเท้าเขาไว้ แยกขาออกจากกันแล้วก้มลงจูบย้ำๆ ไปตามแนวเส้นเลือด ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่เคยปกปิดส่วนสงวนก็แทบไร้ความหมายและเกือบจะหลุดมิหลุดแหล่ หากแต่วันเสาร์ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดจะรุกล้ำเข้าไปในนั้นตามที่เขาเอ่ยขอ
ลมหายใจอุ่นเป่ารดไปทั่วทั้งร่าง ทำเอาอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศกลายเป็นรุ่มร้อนไปเสียอย่างนั้น ปลายจมูกโด่งคลอเคลียจากบนลงล่าง แล้วก็ไล่จากล่างขึ้นบนอีกครั้ง ซ้ำไปมาพาลให้สมองของเขาขาวโพลน จิตใจที่ใกล้จะล่องลอยถูกดึงรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงทุ้มแหบพร่า
ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาไว้ให้สบตากัน “มีอะไรทำไมไม่บอก”
“ก็…ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร…”
แววตาสีเข้มวูบไหว จ้องลึกลงมาจนเขาขนลุก แต่ถึงอยากจะหันหนีก็ทำไม่ได้ คำพูดต่อมาของวันเสาร์ทำเอาหัวใจของเขากระตุก ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นจุกอก ใบหน้าตื่นๆ กลายเป็นแดงเรื่อ
“ใครบอกว่าไม่สำคัญ”
ใครบอกว่าไม่สำคัญ…เขาทวนในใจ
มีคำถามอีกมากมายนับพันล้านผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยปาก คนที่ทิ้งตะกอนความรู้สึกไว้ให้กลับผละตัวออกไปยืนแข็งทื่อ ก่อนจะหันหลังก้าวเท้าออกจากห้องโดยไม่พูดไม่จา ทิ้งให้เขาได้แต่นอนสับสนด้วยว่าเต็มไปด้วยความงุนงงกับทั้งการกระทำและคำพูดนั้น
ไม่มีใครบอกหรอกว่าไม่สำคัญ…
แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าสำคัญนี่น่า…..
-----------------------------------------------
ฝนตกแน่ๆ!
เชื่อไหมว่าเช้าวันแรกของการเริ่มงานพิเศษ คนที่คอยแต่จะคัดค้านทุกทางอย่างวันเสาร์จะอาสาขับรถมาส่งเขาถึงที่ด้วยตัวเอง เจ้าของร้านคนคุ้นเคยเดินออกมาต้อนรับพวกเราตั้งแต่ยังจัดโต๊ะไม่เสร็จ
“ปกติมึงไม่ค่อยเข้าร้านไม่ใช่เหรอ”
“ก็หนึ่งมาทำงานด้วยทั้งที กูก็ต้องดูแลดีๆ หน่อยสิ” นาวาแอบอมยิ้มทันทีที่เห็นวันเสาร์ชักสีหน้า ดูจะพอใจใหญ่กับการได้แกล้งปั่นหัวเพื่อนสนิทเล่น
เขาพานับหนึ่งไปแนะนำตัวกับพนักงานคนอื่นอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่แม่ครัว เด็กล้างจาน เด็กเสิร์ฟ ไปจนถึงผู้จัดการร้าน ก็คือพี่ทรงยศ คนสัมภาษณ์งานนับหนึ่งนั่นเอง
“นี่แบงค์กับผึ้ง เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เหมือนกัน”
คนตัวเล็กก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับเด็กเสิร์ฟทั้งสองตรงหน้า เขาจำได้ดีว่าแบงค์คือพนักงานที่มักประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน ส่วนผึ้งก็คือผู้หญิงที่ยกสปาเกตตี้ออกมาให้เขาเมื่อวาน ทั้งคู่ส่งยิ้มให้เขาพลางชวนคุยสัพเพเหระอย่างเช่นว่า กินข้าวเช้ามาหรือยัง และ เป็นอะไรกับพี่นาวา
“หนึ่งอายุเท่าไรเหรอ น่าจะเด็กกว่าเรานะ”
“ผมอายุ 17 ครับ” ความจริงก็ย่าง 18 ในอีก 7 เดือนที่จะถึงนี้ อาจจะเพราะเขาเรียนเร็วไปปีนึงด้วยล่ะมั้ง
“เราสองคนอยู่ปีสองกันแล้วแหละ”
“งั้นผมขอเรียกพี่ผึ้งกับพี่แบงค์ละกันนะครับ”
“ตามสบายเลย เรียกยังไงก็ได้” ผึ้งส่งยิ้มหวาน หวานเหมือนน้ำผึ้งมาให้ หวานจนแม้แต่เขายังแอบหวั่นไหว แต่ถ้าให้เดา เขาว่าพี่แบงค์คงกำลังจีบพี่ผึ้งอยู่แน่ๆ เพราะเห็นสองคนนั้นยืนเล่นกันกระหนุงกระหนิงตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาเข้ามาในร้าน และถ้าให้พูดตรงๆ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเหมาะสมกันมากทีเดียว
“หนึ่ง…” นาวาเรียก น้ำเสียงเป็นกังวลอยู่หน่อย “อายุ 17 เหรอ”
“ครับ ทำไมเหรอครับ หรือว่ายังทำงานไม่ได้..”
“ไอ้เสาร์ นี่มึง” หันขวับไปเอาเรื่องผู้ชายร่างสูงด้านข้าง ซึ่งแม้จะตีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย แต่ก็สังเกตได้ว่าคงตกใจไม่น้อยเหมือนกัน
ก็แน่ล่ะสิ ความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง 20,000 บาท งานนี้คุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์คงมีหนาวบ้างแหละ
“มานี่ดิ” วันเสาร์เดินนำหน้าเจ้าของร้านออกไปคุยกันตรงมุมอับ ปล่อยให้ทรงยศเข้ามาดูแลพานับหนึ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คำถามแรกที่หลุดออกจากปากก็ทำเอานาวาแทบพ่นขำ
“แล้วถ้าอีกฝ่ายยินยอมอะ”
“ไอ้เหี้ย หนึ่งไม่ได้เต็มใจนอนกับมึงปะ” เขารีบเตือนสติ หากก็ยังกลั้นหัวเราะอยู่ โชคดีที่เขาเลือกเรียนวิชาโทกฎหมายตอนมหาลัย ทำให้ยังพอหลงเหลือความรู้ลางๆ ติดมาบ้าง
“มึงจะมารู้อะไร”
“ถึงจำเลยยินยอม แต่ก็ยังมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้อยู่ดี มึงไปมอบตัวเหอะ”
“สัส” วันเสาร์สบถ พร้อมฝากรอยตบไว้กลางศีรษะเขาไม่แรงนัก แต่ก็ไม่ได้เบาสักเท่าไรเลย
“แต่ถ้าประสงค์จะพาผู้เยาว์ไปเป็นเมียอันนี้มึงไม่มีความผิดนะ”
คนฟังส่ายหัว ทำเป็นปั้นหน้านิ่ง หันไปตามเสียงพวกพนักงานเมื่อครู่ซึ่งขณะนี้กำลังยืนล้อมเด็กใหม่ในเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ปักตัวอักษรคำว่า Napoli บนช่องกระเป๋า รับกับกางเกงแสลคตัวใหม่
“ใส่ได้พอดีเลย”
“มันดูแปลกๆ หรือเปล่าครับ” ร่างเล็กยกนิ้วขึ้นเกาแก้มตัวเอง พลางขยับขาไปมาอย่างไม่เคยชิน
“ไม่นะ ใส่ออกมาดูดีออก”
“เป็นไง ชอบไหม” นาวากระทุ้งศอกใส่คนข้างตัว พยักเพยิดหน้าไปทางนับหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มร้าน “หรือจะให้เปลี่ยนเป็นกระโปรง”
วันเสาร์ปรายตากลับมามองเขา แค่นั้นก็ทำเอาบรรยากาศรอบๆ เย็นวาบขึ้นมาได้
“ไอ้วา”
“แหม กูล้อเล่น…ก็นึกว่ามึงชอบ”
“ไอ้—”
ไม่ทันได้ยินว่าอีกฝ่ายจะพ่นคำด่าคำไหนออกมา เด็กในบทสนทนาก็เดินเตาะแตะมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขาเสียก่อน นับหนึ่งกะพริบตากลมเงยมองผู้ปกครองด้วยท่าทางติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ
“พี่เสาร์ กลับได้แล้วครับ”
“ไล่ฉันเหรอ”
ตอบว่า ครับ ได้ไหมล่ะ
“เปล่าครับ แค่ไม่อยากรบกวนเวลาพี่เสาร์”
ฝ่ามือใหญ่วางลงกลางศีรษะทุย โครงหน้าเรียวหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ กำชับเสียงแข็ง “ทำตัวดีๆ อย่าทำข้าวของเสียหายล่ะ ฉันไม่ชดใช้ให้นายนะ”
เขาบุ้ยปากใส่ “ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”
“เหรอ”
“มึงกลับไปได้ละ กูจะเปิดร้าน” สุดท้ายก็เป็นนาวาที่กล้าเอ่ยปากไล่คนที่เอาแต่ยืนเกะกะ จนเมื่อแน่ใจว่าวันเสาร์กลับไปแล้ว นับหนึ่งถึงได้ฤกษ์เริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการ
ทรงยศหยิบหนังสือเมนูอาหารออกมากางให้เขาดู นั่งอธิบายเป็นจริงเป็นจังว่าแต่ละเมนูคืออะไร ส่วนผสม เครื่องปรุงที่แตกต่าง ไปจนถึงจุดเด่นของแต่ละอย่าง มีแต่อาหารหน้าตาหรูหราแบบที่เขาไม่มีทางได้เคยลิ้มชิมมาก่อนในชีวิต แถมยังดูน่าทานเกินกว่าจะจินตนาการออก
แต่ถ้าให้อิงจากรสชาติของสปาเกตตี้คาโบนาร่าเมื่อวาน ก็บอกได้เลยว่าร้าน Napoli น่ะมาตรฐานสูงจริงๆ เพราะมันอร่อยมาก แถมยังทานง่าย แม้แต่คนที่ไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนอย่างเขาก็ยังรู้สึกถูกปากเลย
การเรียนรู้งานของเขายังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งแบงค์ ผึ้ง ทรงยศ รวมถึงนาวา คอยช่วยเหลือและสอนอะไรเขามากมายในเวลาอันจำกัด ทำไปทำมาเหมือนเขาไม่ได้มาทำงาน แต่ว่ามาเจอเพื่อนใหม่ซะมากกว่า ไม่ใช่แค่พนักงานที่ดูแลเขาดี แม้แต่ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารก็ยังสุภาพและน่ารักมากอีกด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ ทันทีที่รู้ว่ามีเด็กเสิร์ฟคนใหม่ก็เข้ามาทักทาย ลามไปถึงแซวพนักงานคนอื่นๆ ให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
บรรยากาศในร้าน Napoli อบอุ่นเหมือนดั่งเช่นเฟอร์นิเจอร์สีมะฮอกกานี ควบคู่ไปกับบทเพลงบรรเลงดังคลอออกมาจากลำโพงอันเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กระเช้าต้นไม้ตกแต่งร้าน คนตัวเล็กเผลอยิ้มลำพังยามคิดว่าการตัดสินใจมาหางานทำของเขาเป็นเรื่องถูกต้อง
แววตาเป็นประกายเหลือบสบเข้ากับเจ้าของร้าน ซึ่งจับจองโต๊ะตัวหนึ่งไว้สำหรับทำงาน นาวาส่งยิ้มตอบ นิ้วเรียวเลื่อนขยับแว่นสายตาก่อนจะผละออกจากแลปท็อป เดินตรงมาทางนี้
“เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”
เขารีบส่ายหัวหลายที เรียกรอยยิ้มใจดีได้อีกครั้ง
“เดี๋ยวพี่มานะ มีอะไรก็ถามพี่ยศละกัน”
“ครับ”
นาวาตบบ่าเป็นกำลังใจให้พนักงานใหม่ตัวน้อยขวัญใจเพื่อนสนิทเขาเอง ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากร้าน สายตาคมกริบกวาดมองทั้งซ้ายขวา เรียวขายาวย่องไปทางร้านกาแฟตรงข้าม Napoli กระจกบานใหญ่ฉายให้เห็นโต๊ะหน้ากลมทรงเตี้ยวางเรียงกันสามชุด ที่มุมท้ายสุดมีผู้ชายหน้าตาน่ากลัวกำลังก้มๆ เงยๆ สลับกับการยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ สาบานเลยว่าต่อให้หล่อราวเทพบุตรขนาดไหน ผู้หญิงแถวนั้นก็คงไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้หรอก
เขาส่งยิ้มให้กับพนักงานร้านซึ่งคุ้นเคยกันดี เลี้ยวขวาไปยังจุดหมายซึ่งดูท่าว่าจะยังไม่สังเกตว่าเขากำลังเดินมา มันน่าขำที่วันเสาร์ยังไม่รู้ตัว ทั้งที่เขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ สงสัยจิตใจไม่อยู่กะเนื้อตัว ป่านนี้คงลอยไปถึงในร้านของเขาล่ะมั้ง
“เฮ้ย” ตัดสินใจโพล่งออกไป จนคนบนเก้าอี้ถึงกับสะดุ้ง “ยังไม่กลับอีกเหรอคุณชาย”
“อะไรมึง”
“กูเนี่ยต้องถามว่าอะไรของมึง ทำไมไม่กลับไปอีกอะ”
“แล้วกูมานั่งดื่มกาแฟไม่ได้หรือไง”
เขาส่ายหน้า ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้าม “มึงทำตัวเหมือนคุณพ่อหวงลูกสาว”
“เหอะ กูเป็นยิ่งกว่าพ่อมันอีก”
“เป็นอะไร”
คนอีกฝั่งชะงักไปนิด เอ่ยตอบเสียงเรียบไม่น่าเชื่อ “ก็เจ้าของชีวิตมันไง กูซื้อมันมาตั้งล้านนึงนะ มึงลืมเหรอ”
“เฮ้อ มึงนี่นะ” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องส่ายหน้าเอือมระอา
ถ้าคิดว่าวันเสาร์เป็นผู้ใหญ่สุขุมมีเหตุผลและแข็งกระด้างล่ะก็ คุณคิด…ผิดครับ! ขอเอาชื่อตัวเองในฐานะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมเป็นเดิมพันเลยว่าวันเสาร์ที่คนอื่นเห็นน่ะแค่ภาพลวงตาชัดๆ ความจริงผู้ชายคนนี้เปราะบางเหมือนเศษแก้ว ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง มักซ่อนความเหงาเอาไว้เสมอ และเบื้องหลังของคนไม่มีหัวใจ ความจริงแล้วโหยหาความรักยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น
และที่ตอนนี้มานั่งปั้นหน้าเป็นตูด ก็คงเพราะกลัวเด็กคนโปรดหนีไปจากอ้อมอกตัวเองแน่ๆ
“ไอ้วา มึงรู้ไหมว่าทำไมหนึ่งถึงอยากทำงาน”
รอยยิ้มมุมปากถูกเก็บซ่อนอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้สิ อยู่บ้านเบื่อๆ รึเปล่า”
“เบื่ออะไรวะ”
“เบื่อมึงไง” เขาแกล้งหยอก แล้วตามหยอดด้วยคำถามสะกิดใจ “แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากให้หนึ่งออกมาทำงานล่ะ เป็นห่วงเหรอ หรือว่าคิดถึง”
แต่ถ้าให้เดา คงทั้งสองอย่างนั่นแหละ
“พูดอะไรของมึง” อีกฝ่ายรีบปั้นหน้าขรึมกว่าเก่า
“ตอบสิ”
“กูก็แค่คิดว่ามันไม่จำเป็น อยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ ทำไมต้องพาตัวเองมาลำบาก ไม่เข้าใจ”
“โหมึง ทำงานร้านกูไม่ได้ลำบากขนาดนั้นนะเว้ย”
คนสูงกว่ามีท่าทางสับสนและหงุดหงิดกับตัวเอง คำพูดแสนเย็นชาหลุดออกจากปากยามที่ถูกต้อนแทบจนมุม “แต่กูไม่ได้ซื้อนับหนึ่งมาเพื่อทำงานร้านอาหาร”
“ไอ้เสาร์” เขาเอ่ยเสียงต่ำลงในทันที ใบหน้าเหนื่อยใจส่อแววจริงจัง “นี่มึงคิดว่าหนึ่งเป็นแค่ทาสอารมณ์ของมึงเท่านั้นเหรอ”
คำถามของเขาคงส่งผลอยู่บ้าง คนตรงข้ามถึงได้หยุดเถียง แทบยังหลบตาหนีเสียอีก
“กูดูออกนะว่ามึงไม่ได้เห็นหนึ่งเป็นแค่นั้น เพราะงั้นมึงก็อย่าทำกับเขาเหมือนเป็นทาสมึงสิ ให้เขาได้ใช้ชีวิตบ้าง”
“…”
“หรือถ้าเป็นห่วงมากนักก็ไปนั่งเฝ้าในร้านเลยไป กูอนุญาต”
สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ดังลอดออกจากลำคอหนา หากก็ยอมลุกออกจากเก้าอี้แต่โดยดี สงสัยว่าคงเป็นห่วงมากจริงๆ วันเสาร์เดินตามเขากลับไปยังประตูร้าน Napoli ซึ่งมีแบงค์ยืนต้อนรับแขกอยู่ ได้ยินเสียงพึมพำแว่วขึ้นเบาๆ สงสัยว่าคุณชายด้านหลังเขาจะกำลังพยายามสรรหาข้ออ้างมาอธิบายการกลับมาของตัวเอง
ฝีเท้าหนักของเราทั้งคู่สะดุดเมื่อผลักประตูเปิดออก ภาพของพนักงานใหม่เอี่ยมทิ้งตัวลงในวงแขนของคนที่ดูเหมือนเป็นลูกค้าผู้ชายในชุดสูทผูกไทราคาแพง ใบหน้าของสองคนนั้นห่างกันราวไม้บรรทัด ถ้าเป็นฉากในละคร ก็ต้องเป็นตอนที่พระเอกเจอนางเอกครั้งแรก ก่อนจะตกหลุมรักเป็นแน่
“เฮ้ย!” ไวกว่าความคิด เขารีบกระชากแขนเพื่อนเลือดร้อนเอาไว้ทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตที่กำลังแผ่ขยายไปทั่ว คนอื่นๆ ในร้านเริ่มหันมามองพวกเราเป็นสายตาเดียว
ฝ่ามือหนาคว้าอุดปากวันเสาร์ไว้ พยักหน้าเรียกให้ทรงยศเข้ามาช่วยปราม เขาก้มหัวให้กับลูกค้าซึ่งดูจะตกใจกับผู้มาใหม่เมื่อครู่
“ขอประทานโทษนะครับ คุณลูกค้า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”
“พี่วา” นับหนึ่งรีบผละตัวออก แล้วแทรกขึ้นทันควัน “ผมผิดเองครับ เมื่อกี้เดินไม่ระวังไปชนคุณลูกค้าท่านนี้เข้า เกือบล้ม แต่เขาช่วยดึงตัวไว้ทัน”
เจ้าของร่างเล็กตีสีหน้าลำบากใจ เอาแต่หันไปก้มหัวขอโทษขอโพยคนในชุดภูมิฐานไม่รู้กี่รอบจนอีกฝ่ายต้องรีบยกมือขึ้นห้าม
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน”
“ยังไงเชิญที่โต๊ะก่อนครับ ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศษอยู่ด้วย” นาวาผายมือไปยังทางเดิน ลูกค้าคนอื่นๆ เลิกสนใจพวกเขาและหันกลับไปรับประทานอาหารต่อ บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายจนกลายเป็นสงบในที่สุด
ใช่ อาจจะสงบสำหรับคนอื่นในร้าน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กเสิร์ฟคนใหม่ เมื่อวันเสาร์สาวเท้าเข้ามาลากข้อมือเขาออกไปด้านนอกอย่างถือวิสาสะ และไม่มีใครกล้าเอ่ยปากห้าม
น้ำเสียงดุดันยื่นคำขาด ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามใดๆ “เลิกทำงานซะ”
“อะไรกันครับพี่เสาร์”
“นายมาทำงานแล้วก็โดนลวนลามแบบนั้น ชอบหรือไง”
“ผมไม่ได้โดนลวนลาม!” เขาหวีดร้อง ใช้จังหวะนี้สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม
แววตาแข็งกร้าวน่ากลัวจ้องเขม็ง และเขานึกสงสัยว่านอกจากน่ากลัวแล้วมันยังแฝงความรู้สึกอื่นไว้อีกไหม อารมณ์แปรปรวนของวันเสาร์ในช่วงนี้มันทำให้เขาเบื่อหน่ายก็จริง แต่มันก็ทำให้เขาสงสัยเต็มอก ความคาดหวังเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายในหลุมลึกของจิตใจ หากว่าเขาจะเข้าข้างตัวเองมากขึ้นสักนิด
ก็คงจะคิดว่า…กำลังถูกหวงแน่ๆ
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง…กับผู้ชายตรงหน้าคนนี้
“ถ้าฉันสั่งว่าไม่ให้ทำ ก็คือไม่ให้ทำ”
วันเสาร์ก็คงจะแค่เอาแต่ใจเหมือนทุกทีเท่านั้นแหละ…
----------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าหนูกำลังคิดว่าพี่เสาร์หวงหนูอยู่ล่ะก็ หนูคิด.....ถูกค่ะ! ส่วนอิพี่เสาร์ ถ้ายังปากหนักมากนักก็ระวังมีดบินไว้ให้ดี ทีมแม่เตรียมแสตนบายรออยู่แร้ว จัม!
ตอนนี้ก็มาแบบสั้นๆ ส่วนตอนหน้านั้น....ไม่มีอะไรให้ด่าเลยค่ะ อุๆๆๆ
ป.ล. เสาร์หน้างดนะคะ เจอกันอีกทีปีหน้าเลย Merry Christmas & Happy New Year ล่วงหน้าเลยละกันค่า ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม และเป็นกำลังใจให้มาตลอดน้า ปีหน้าก็จะขยัน(อู้งาน)ปั่นต้นฉบับเหมือนเดิมค่ะ ชุ้บๆ