✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿ นับหนึ่งถึงเสาร์ ✿ by 「aonair」: [UP!] CH 22  (อ่าน 15886 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านวันศุกร์มาแล้วก็เข้าใจพี่เสาร์ส่วนนึง แต่อีกใจก็สงสารน้อง อยากให้น้องใจแข็งกว่านี้ค่ะ อย่าไปตกหลุมรักเขาเลย คนใจร้าย

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4
น้องใจแข็ง กลัวน้องเจ็บมากกก

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไม่อยากให้น้องเจ็บเลย :katai1:

ออฟไลน์ marisa9397

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สงสารนับหนึ่ง ขอให้อิพี่เสาร์รู้สึกตัวเร็วๆข่ะ ไม่งั้นสงสัยจะต้องได้ใช้มีดที่เตรียมไว้  :laugh:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบสอง

 

ห้องรับรองที่เคยกลายเป็นห้องเก็บของของบ้านนี้ไม่ได้ฟังดูคับแคบเหมือนชื่อ มันกว้างแทบจะพอๆ กับห้องนอนคุณชายคนโตไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ว่าเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้ครบครันเท่ากันแค่นั้น และแน่นอนว่ามีห้องน้ำในตัวเช่นห้องอื่นๆ เรียกว่าเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ โดยไม่ต้องออกไปพบพานวันเสาร์ได้อีกตลอดกาล อืม…แต่ความจริง เราก็ยังอยู่บ้านเดียวกัน แค่ไม่ได้นอนร่วมเตียง ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เจอกันแล้วนี่น่า เดี๋ยวพี่เสาร์ก็ต้องมาฉุดกระชากลากถูเขาไปใช้งานอีกจนได้แหละ…

คนตัวเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน รีบปิดไฟ พาตัวเองเข้านอน การจะได้มีเวลาอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนั้นมากขึ้นหรือน้อยลง ก็ไม่ใช่กงการอะไรที่เขาต้องสนใจสักหน่อย นอนคนเดียวกับนอนสองคน มันจะไปต่างกันตรงไหน…

นับหนึ่งพลิกตัวกลับซ้ายกลับขวาอยู่นับล้านครั้ง ดวงตากลมปิดสนิทข่มตาหลับ หากสมองก็ยังคงเต็มไปด้วยอะไรต่างๆ นาๆ ที่เขาไม่สามารถอธิบายมันได้หมด กระชับผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมกายแทบจะมิดถึงหัว เครื่องปรับอากาศ 26 องศา ไม่ได้ทำให้เขาหนาวน้อยลง

สบู่กลิ่นลาเวนเดอร์ ยี่ห้อประจำที่เขาใช้ วันนี้หอมฟุ้งชัดเจนกว่าเคย คงเพราะปกติเขามักได้กลิ่นสบู่ของใครอีกคนแฝงตัวกลบจนมันปะปนกันอยู่ในวงแขนที่คอยโอบรัดตัวเขาเข้าหา ความอบอุ่นจากเลือดเนื้อแผ่ขยายทดแทนบทเพลงกล่อมนอนทุกคืน กลายเป็นความคุ้นชิน ที่ขณะนี้กำลังส่งผลเสียให้เห็นอย่างช้าๆ

เวลาภายในห้องผ่านไปนานหลายนาที และเขาก็ยังไม่สามารถพาตัวเองหลับได้ลง ที่สุดจึงลุกขึ้นมานั่งสำรวจเครื่องใช้แต่ละชิ้นราวกับคนบ้าที่ว่างนักหนา ตั้งแต่ตู้เสื้อผ้าบานเลื่อน โคมไฟบนหัวเตียง ชั้นวางของโล่งๆ ไปจนถึงแจกันอันเตี้ยที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ

อ่า จริงสิ แก้วดอกปีบของเขามันยังอยู่บนโต๊ะทำงานของวันเสาร์นี่น่า…แย่แฮะ ที่นอนไม่หลับเพราะไม่ได้กลิ่นดอกปีบแน่เลย ต้องรีบกลับไปเอาแล้วรึเปล่า

ขาเรียวโผล่พ้นจากผ้าห่ม กระโดดลงจากเตียงไวกว่าความคิด เขารีบพุ่งตัวไปยังบานประตูเพื่อไม่ให้ถูกต่อว่าหากเข้าไปรบกวนการนอนในเวลามืดค่ำมากไปกว่านี้ ลูกบิดประตูหมุนเปิดดังแกร๊ก ภาพตรงหน้าไม่ใช่พื้นกระเบื้องอย่างที่คิดไว้ หากแต่เป็นมนุษย์สูงใหญ่คนเดียวกับในความคิดตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา

“พี่เสาร์…” กลีบปากอิ่มเผยอออก อวัยวะภายในอกซ้ายสูบฉีดรัวแรงเพียงแค่ได้เห็นเสี้ยวหน้าคุ้นเคยแทรกผ่านความมืด

เจ้าของร่างหนาก้มมองเขาด้วยสายตาตื่นๆ ไม่แพ้กัน ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเรียบเฉยได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เสาร์ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า” คำตอบแสนสั้นฟังดูไม่น่าเชื่อถือ และคนพูดก็คงรู้สึกตัวถึงได้รีบขยายความ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้มันฟังมีเหตุผลมากขึ้นเลยก็ตาม “ฉันจะลงไปดื่มน้ำ”

คนฟังเลิกคิ้ว ยกนิ้วชี้ไปฝั่งตรงข้าม “แต่ว่า…บันไดอยู่ทางนู้นนะครับ”

เขาก็พยายามรักษาหน้าอีกฝ่ายพอตัวแล้วนะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เมื่อประตูห้องนอนเขากับทางลงบันได มันอยู่คนละด้านกันเลย และเจ้าของบ้านอย่างวันเสาร์ก็คงไม่เบลอถึงขนาดจะเดินอ้อมหลงมาไกลถึงนี่โดยไม่ได้ตั้งใจซะด้วยสิ

แบบนี้ จะให้คิดว่ายังไงได้บ้าง…

“แล้วนี่นายจะไปไหน” อีกฝ่ายถามกลับ ไม่คิดจะแก้ต่างอะไรต่อยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยขึ้นไปอีก

“ผมก็กำลังจะลงไปดื่มน้ำครับ”

ปากเจ้ากรรมตัดสินใจโกหกคำโตออกไปไวกว่าความคิด เขาแสร้งตีหน้าเป็น หันไปปิดประตูห้องแล้วเดินผ่านคนตัวสูงไปทางบันได วันเสาร์ก้าวตามมาไม่ห่าง

แสงไฟสว่างขึ้น เปิดตู้เย็นไล่สายตาไปตามชั้นต่างๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับนมพาสเจอร์ไรส์ขวดใหญ่ เขาเปลี่ยนเป้าหมายจากน้ำเปล่ามาเป็นนมสักแก้วก่อนนอน ปล่อยให้วันเสาร์หยิบเหยือกน้ำออกไปรินใส่แก้วอีกใบของตัวเอง

เราย้ายมานั่งจ้องหน้ากันบนโต๊ะกินข้าว น้ำหนึ่งแก้ว กับนมหนึ่งแก้ว ปริมาณแทบจะใกล้เคียงกัน ต่างฝ่ายต่างละเลียดดื่มทีละจิบสองจิบ แม้แต่เสียงกระดกยังดังชัดเมื่อทั้งบริเวณถูกเติมเต็มไปด้วยความเงียบชวนอึดอัด วันเสาร์ไม่พูดอะไรเลย และเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วย

เครื่องดื่มค่อยๆ ลดลงทีละนิด จนในที่สุดมันก็หมด เขาถอนหายใจสั้นๆ วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ สังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งเอาแต่จับจ้องมาไม่ยอมวางตา ภาพของมือเรียวคุ้นเคยตรงเข้ามาใกล้ ก่อนที่สัมผัสอุ่นวาบจะแตะลงบนขอบริมฝีปาก เขาเผลอกำมือที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะ พลางเม้มปากแน่น

คราบนมบางๆ ถูกปาดออกไป ค่อนข้าง…เบามือทีเดียว

“ทำไมชอบกินเลอะ” วันเสาร์ยอมเผยปาก “ทำตัวเป็นเด็ก”

“แล้วทำไมพี่เสาร์ชอบบ่น”

แววตาเรียบนิ่งถมึงทึงขึ้นเล็กน้อย จังหวะนี้ถ้าเป็นในนิยาย พี่เสาร์ต้องตอบกลับมาว่า ‘ที่บ่นก็เพราะรัก’ แล้ว แต่บังเอิญไม่ใช่ พี่เสาร์ไม่ใช่พระเอก แล้วเขาเองก็ไม่ใช่นางเอกด้วย สิ่งที่ได้กลับมาเลยเป็นแรงหยิกข้างแก้ม ระดับที่ว่าถ้าเนื้อหลุดติดมือไปได้ก็จะไม่แปลกใจเลย

“ก็เพราะนายดื้อไง”

เขายู่หน้า ลุกขึ้นคว้าแก้วกลับไปยังห้องครัว สายน้ำเย็นๆ จากก๊อกตรงซิงค์ล้างจานทำเอาเขาตื่นเกือบเต็มตา แต่ก็คงไม่เท่าแรงดันจากด้านหลังที่เล่นเอาสะดุ้งโหยง

“พ..พี่เสาร์?” ใบหน้าหวานเอี้ยวมองคนตัวสูงที่เพิ่งเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามารวบเอวเขาเข้าไปกอด น้ำหนักตัวที่ไม่ใช่น้อยเลยถูกทิ้งลงมา ขณะวางแก้วอีกใบลงในอ่าง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาต้องเป็นคนทำความสะอาดมัน

วันเสาร์กระชับอ้อมแขน ก้มศีรษะลงคลอเคลียอยู่กับซอกคอขาวซึ่งเริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อจากอุณภูมิในร่างที่ทำท่าว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากว่าอีกคนยังไม่ยอมหยุด

“เป็นอะไรครับเนี่—” ประโยคของเขาขาดห้วง เผลอหลับตาปี๋ เมื่อจู่ๆ ฟันซี่คมก็ขบหนักๆ เข้ากับใบหูข้างหนึ่ง

ลิ้นชื้นเล็มเลียไปตามร่องรอยความเจ็บเมื่อครู่ วันเสาร์เป็นแบบนี้เสมอเลย…ชอบกระทำรุนแรงก่อน แล้วตามมาปลอบประโลมแทบจะทันที มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแกล้งดึงลงนรก แล้วค่อยกระชากขึ้นสวรรค์ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อย

ปลายจมูกโด่งเป็นสันไล้ผ่านกรอบหน้าร้อนผะผ่าว ตามสูดดมกลิ่นกายหอมดั่งดอกไม้ ตั้งแต่ลำคอเรียว ย้ายมายังท้ายทอย ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจอยู่กับบ่าลาด มือหยาบกระตุกปลายแขนเสื้อเขาหน่อยๆ แค่พอให้หัวไหล่มนโผล่ออกมาทักทายแสงไฟด้านนอก ฝากรอยจูบไว้บนนั้นย้ำๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโลมเลียของวันเสาร์น่ะเข้าขั้นชั้นเซียน มันทำให้สมองของเขาล่องลอย และสูญเสียการควบคุมร่างกายตัวเองไปอย่างง่ายดายอยู่เสมอ

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบขึ้นเบาๆ

“ล้างแก้วสิ”

โคตรตัดอารมณ์!

แต่ก็ดี เพราะมันทำให้เขาตั้งสติได้ว่าไม่ควรถูกสัมผัสเสแสร้งพวกนี้มาปั่นหัวเล่น รีบจัดการทำความสะอาดแก้วน้ำทั้งสองใบให้เสร็จ ก่อนจะเหลียวหลังกลับไปสบตาคมที่คล้ายกับว่าจะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ในนั้น หากก็เดาความหมายของมันไม่ออก

“ปล่อยครับ ผมจะกลับห้องแล้ว” ปากบอกแบบนั้น ทั้งที่ลึกเข้าไปข้างใน เขาก็แอบหวังว่าจะได้อยู่แบบนี้ต่ออีกสักพัก…

และโชคดีที่คำพูดของเขาไม่เคยมีค่าพอให้คนแถวนี้รับฟัง วันเสาร์ถึงยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้น แทนที่จะยอมปล่อย แถมพ่วงด้วยคำถามกวนใจ

“นอนคนเดียวเป็นไง”

“ก็…ไม่เป็นไงหนิครับ” เขาหลบตา หันกลับมาจ้องอ่างล้างจานสีเงินขัดมัน “ปกติผมก็นอนคนเดียวอยู่แล้ว”

“อืม”

“แล้วพี่เสาร์นอนคนเดียวเป็นยังไงครับ”

“ก็ไม่เป็นไง…ปกติฉันก็นอนคนเดียวอยู่แล้ว”

“อ่า…ครับ”

อันนี้เรียกยอกย้อนปะ?

“งั้นผมไปนอน…” …ก่อนนะครับ

เขาอยากจะพูดให้จบ แต่เสียงมันกลับไม่ยอมเปล่งออกไป เมื่อถูกปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะลงข้างแก้ม วันเสาร์เลื่อนเชยคาง บังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นสบกันอีกครั้ง มองเห็นความรู้สึกบางอย่างเคลื่อนตัวไหวๆ อยู่ภายในแววตาสีนิลสุดหยั่งลึก

มันไม่ได้แสดงออกถึงความสุข แต่ก็ไม่ใช่ความเศร้า…มันไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากก็ไม่ได้สัมผัสถึงความเกลียดเช่นกัน

ดวงตาคู่นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ทีละนิด ภาพของวันเสาร์ที่เขาคุ้นเคยค่อยๆ เบลอ จนกลายเป็นเพียงสีดำสนิทในยามที่เขาปิดเปลือกตาลง ลมหายใจอุ่นร้อนรดรินใส่กันและกัน เขาเลื่อนมือกอบกุมมือใหญ่รอบเอวไว้โดยไม่ทันรู้ตัว

เวลาภายในห้องครัวราวกับหยุดลงชั่วขณะ ลมหายใจติดขัดเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ริมฝีปากของเราจวนเจียนแตะกัน…ก่อนที่คนด้านหลังจะเด้งตัวผละออกไปไกลเกือบเมตร

เหตุการณ์เมื่อครู่กลายเป็นแค่ความฝันที่จู่ๆ ก็สลายไป

“ขึ้นนอนได้แล้ว” เจ้าของบ้านเอ่ยเสียงเรียบ รีบเอื้อมมือไปกดปิดสวิตช์ไฟจนวิสัยทัศน์ข้างหน้าแทบมืดบอด

คนตัวเล็กพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับการมอง เผลอสะดุ้งเฮือกเมื่อใครอีกคนขยับเข้ามาจับมือเขาไว้ วันเสาร์กระตุกแขนเบาๆ เป็นสัญญาณให้เขาเริ่มก้าวขา

“ผ..ผมเดินเองได้ครับ”

“มันมืด เดี๋ยวก็ตกบันไดกันพอดี”

คำตอบนั้นทำเขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า ขนาดผู้ชายไร้หัวใจก็ยังเป็นห่---

“ฉันไม่อยากให้มีคนตายในบ้าน” วันเสาร์เสริมขึ้น เป็นอันจบบทสนทนา รวมทั้งความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระในหัวของเขาด้วย

ก็ไม่น่าหวังตั้งแต่แรก ว่าคนคนนี้จะมาเป็นห่วง…อะไรเล่า

เขาไม่รู้ว่านี่คือการคิดไปเองอีกหรือเปล่า แต่ระยะก้าวของวันเสาร์มันช่างเชื่องช้าผิดปกติ ขั้นบันไดก็มีเท่าเดิม แต่ทำไมใช้เวลาเดินนานกว่าที่เคยมากมายนัก ถ้าจะบอกว่าเพราะมันมืด ก็พอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่ว่า...เพราะอะไรคุณชายวันเสาร์ถึงยังไม่ยอมปล่อยมือจากเขาสักที ทั้งที่ยืนหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนตัวเองตั้งนานแล้ว

“เอ่อ...” เขาส่งเสียงผ่านความเงียบ พอดีกับที่วันเสาร์ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะตัดสินใจเอื้อนเอ่ยคำสุดท้ายของคืนนี้ “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“อืม”

เราเดินห่างจากกันคนละก้าว ทั้งที่สายตายังคงสบประสานท้าทายความมืดยามสิบสองนาฬิกา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า รสชาติของการจากลาเหมือนในภาพยนตร์มันเป็นยังไง แค่จะหันหลังให้เขา มันยังยากเลย…

เป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ยเรา…

เขาตัดสินใจหยิกแขนตัวเองไปที ก่อนจะรีบหันหลัง สาวเท้าไวๆ กลับไปทางประตูห้องรับรอง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องนอนส่วนตัวของเขา วันเสาร์เองก็ปิดประตูเข้าห้องไปแล้วเช่นกัน

สายน้ำจากก๊อกไหลผ่านฝ่ามือเล็กประสานเป็นดอกบัวตูม เขาบ้วนปากทำความสะอาดคราบนมที่อาจหลงเหลืออยู่ ตามด้วยการกวักน้ำลูบหน้าตัวเองอยู่หลายรอบ เงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่มันทำให้เขานึกพรั่นพรึง

เหมือนจะเข้าใจความหมายของอะไรบางอย่าง…

แววตานั้นของวันเสาร์มันคือความเหงา ส่วนแววตาของเขามันคือความคิดถึง ใช่รึเปล่า…





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------




“เป็นไงคะคุณหนึ่ง เมื่อคืนหลับสบายไหม” พี่ละเมียดทักทาย ขณะตักข้าวต้มปลาใส่ชามให้เขาจนเกือบพูน และพี่แกคงถามโดยไม่ได้มองหน้าเขาเลยสักนิดสินะ ถึงได้ไม่สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่ชัดขึ้นแค่ข้ามคืน หรือมันกลายเป็นภาพชินชาไปแล้วกับการที่เขาตาบวมอยู่แทบตลอดเวลา

“เอ่อ…ก็ ก็ปกติดีครับ”

กับผีน่ะสิ! นอนไม่หลับเลย!!

“เมื่อคืนคุณเสาร์ทำงานดึกเหรอคะ” คราวนี้เป็นพี่ละไมซึ่งเอ่ยปากถามคุณชายคนโตทันทีที่เห็นใบหน้าแลดูเหนื่อยอ่อนเหมือนคนอดนอน

เจ้าของร่างสูงนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้า “ครับ”

แม่บ้านทั้งสองเริ่มต้นบทเทศนาว่าด้วยการดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง คงเพราะไม่อยากเห็นใครล้มป่วยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก่อนที่พี่ละไมจะหันมาส่งคำถามให้

“แล้ววันนี้คุณหนึ่งจะออกไปหางานทำใช่ไหมคะ”

“ครับ จะลองดู”

“ขยันก็ดีนะคะ แต่ถ้าคุณหนึ่งได้งานแล้ว พี่คงคิดถึงแย่เลย”

“คิดถึงอะไรกันครับ” เขายิ้มขำ รู้สึกเหมือนว่ามีสายตาคู่อื่นกำลังจับจ้องอยู่ยังไงชอบกล

“ก็ปกติเจอหน้าคุณหนึ่งทั้งวัน ต่อไปก็จะเห็นกันแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นน่ะสิคะ”

พี่ละเมียดวางหม้อข้าวต้มลงบนตะแกรง เหลือบมองวันเสาร์ แล้วค่อยหันมาหาเขาอีกคน “จริงด้วยค่ะ คุณเสาร์ก็ต้องคิดถึงคุณหนึ่งแน่ๆ กลางคืนก็แยกกันแล้ว กลางวันยังจะไม่ได้เจอกันอีก”

เสียงกระแอมไอหนักๆ จากคนถูกพาดพิงดังขึ้นแทบจะทันที ร่างสูงใหญ่เหลือบตามองผู้อาวุโสกว่าเหมือนอยากจะเตือนไม่ให้พูดอะไรเหลวไหลไปมากกว่านี้

“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องคิดถึงนับหนึ่งนี่ครับ”

ละเมียด ละไม หันมองหน้ากันอย่างรู้ทัน รีบเอ่ยปากถามเด็กน้อย ที่ตอนนี้ปั้นหน้างอง้ำเพียงแค่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ “แล้วคุณหนึ่งจะไม่คิดถึงคุณเสาร์เหรอคะ”

“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องคิดถึงพี่เสาร์นี่ครับ” เขาสวนกลับ จงใจจ้องหน้าเจ้าของบ้านด้วยท่าทีกวนโมโห ซึ่งก็คงจะได้ผล เพราะอีกฝ่ายตีหน้าขรึม ส่งสายตาฟาดฟันประหนึ่งว่าถ้าลุกขึ้นมาบีบคอเขาตอนนี้ได้ ก็จะรีบลุกมาเลยอย่างนั้นแหละ

วันเสาร์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ชี้นิ้วมาทางเขา “แต่ความจริง ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายออกไปทำงานข้างนอกนะ”

“ทำไมครับ พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลอีกละ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น”

“แต่อยู่บ้านอย่างเดียวมันน่าเบื่อนะครับ”

“ก็มาหาฉันที่ห้องสิ รับรองมีเรื่องให้ทำเยอะแน่ๆ” วันเสาร์ไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าหวานที่ค่อยๆ ขึ้นสีเป็นลูกมะเขือเทศ ถ้าไม่โง่ก็คงพอเดาออกว่าเรื่องที่พูดถึงน่ะมันเรื่องอะไร

นับหนึ่งหลุบตาหนี พึมพำอยู่ในลำคอ “ใครจะไปอยากทำ”

และถึงจะพูดเบาแค่ไหน ก็ยังไม่วายมีใครแถวนี้ได้ยิน ถึงได้ยิ่งแกล้งทำให้เขาประสาทเสียแต่เช้า

“ไม่อยากจริงเหรอ เห็นร้องเสียงดังเชียว”

“พี่เสาร์!” คนเด็กกว่าตบโต๊ะฉาดใหญ่ พวงแก้มแดงเห่อร้อนส่ายไปมาเพื่อจะแก้ความเข้าใจผิดให้กับแม่บ้านทั้งสองคนซึ่งดูเหมือนจะช็อคจนอ้าปากค้างไปแล้ว

นับหนึ่งจ้องคนตรงข้ามตาเขียวปัด วันเสาร์ที่มักนิ่งเหมือนหุ่นยนต์ และเคร่งขรึมราวกับนักพรต ตอนนี้กลับฉายแววสนุกสนานเสียเต็มประดา แต่บอกเลยว่าเขาน่ะไม่สนุกด้วย! ที่ต้องร้องก็เพราะใครล่ะ ชอบใช้ความรุนแรง! ไม่ทะนุถนอม! ไม่อ่อนโยน!

อีกนิดนึงก็ฟ้องร้องข้อหาทารุณกรรมเยาวชนได้แล้วด้วยซ้ำ!!

“แล้วนี่จะไปยังไง” คนที่เพิ่งแกล้งเขาจนได้ใจไปหมาดๆ กลับมาฉาบหน้านิ่งตามปกติ เอ่ยถามเสียงเรียบ

“เอ่อ…ยังไม่รู้เลยอะครับ รถเมล์มั้ง”

วันเสาร์ย่นคิ้วหน่อยนึงอย่างใช้ความคิด “งั้น…”

อย่าบอกนะว่าจะไปส่ง…ถ้าใช่ ฝนคงตก ไม่ก็ฟ้าผ่าแน่ๆ

“งั้นก็เดินออกไปเองนะ”

อืม!! ฟ้าสว่างจ้าเลยอะ

“ครับ” เขาหลุดกระแทกเสียง ตักข้าวต้มเข้าปากได้คำสองคำก็รู้สึกไม่มีอารมณ์จะกินต่อ และถ้าจะถามเหตุผลก็คงตอบว่า เพราะเบื่อขี้หน้าคนร่วมโต๊ะอาหารนั่นแหละ

ทันทีที่นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสิบโมง เขาก็ได้ฤกษ์คว้ากระเป๋าย่ามมือสองที่พี่ละไมเคยให้ไว้ใช้ตอนไปซื้อของ เดินเท้าออกไปยังถนน โดยมีเจ้าของบ้านจับจ้องอยู่ตลอดจนลับสายตา ขนาดลุงชัยอาสาขับรถไปส่ง วันเสาร์ก็ยังออกปากห้าม ไม่รู้ว่าเพราะอยากแกล้งหรือไร้น้ำใจโดยนิสัยก็ไม่ทราบ

แต่ช่างปะไร คนอย่างนับหนึ่งไม่ใช่คุณหนูผู้ดีที่ไหนอยู่แล้ว เรื่องขึ้นรถเมล์น่ะไว้ใจเขา เผลอแป๊บเดียวก็มายืนจังงังอยู่หน้าห้างฯ ตอนเช้าวันธรรมดาแบบนี้คนยังไม่พลุกพล่าน เท่าที่เห็นก็แค่พนักงานเป็นส่วนใหญ่ เขาไม่รอช้า รีบเข้าไปแวะเวียนคาเฟ่เล็กๆ ที่เคยติดป้ายประกาศหาพนักงานเป็นที่แรก ทั้งเขาและผู้หญิงหลังเคาน์เตอร์ต่างส่งยิ้มพิมพ์ใจให้แก่กัน

“เอ่อ ยังรับพนักงานอยู่หรือเปล่าครับ”

พี่สาวคนสวยตีสีหน้าลำบากใจขึ้นมา น้ำเสียงแผ่วปลายทำเอาเขาใจแป้วไปด้วย

“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีได้คนแล้วอ่ะค่ะ”

“อ่า ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ”

เขาก้มหัว หลบมุมออกมายืนเกาะขอบรั้วเชื่อมบันไดเลื่อน สายตากวาดมองห้างร้านต่างๆ ตั้งแต่คลินิกเสริมความงาม ร้านอาหาร ไปจนถึงแผนกอุปกรณ์ไอที หลังจากทำใจจากความผิดหวังอันรวดเร็วเมื่อสักครู่ได้แล้ว จึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้าเดินเข้าออกแต่ละร้านเป็นว่าเล่น

แม้ว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะไม่สวยหรู ออกจะเต็มไปด้วยความลำบากกับการเรียนไปด้วย ช่วยงานอาจารย์รับค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ แถมกลับมาบ้านก็ยังต้องแบ่งเบาภาระงานบ้านของป้า ไปจนถึงรับงานพิเศษ ทั้งซักผ้าทั้งทำบายศรี แม้แต่รับเลี้ยงหมาก็ยังเคย แต่ยอมรับเลยว่าการเดินตะลอนหางานในห้างแบบวันนี้ บั่นทอนจิตใจเขาได้มากกว่าทุกสิ่งอย่างที่เคยประสบมา

ลองนึกภาพคุณโดนปฏิเสธซ้ำๆ วันละไม่น้อยกว่า 10-20 ครั้งดูนะ ตอนนี้กำลังเป็นแบบนั้นเลยแหละ ไม่ว่าจะแบกหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไปหาร้านไหนๆ ก็ล้วนได้คำตอบกลับมาว่า ขอโทษนะคะ ขอโทษด้วยครับ อย่างนี้ตลอด ซึ่งก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปิดรับพนักงาน แต่ปัญหาก็คือ ถ้ากลับบ้านไปทั้งที่ยังไม่ได้งานทำ พี่เสาร์ก็คงไม่อนุญาตให้เขาออกมาหางานอีกแล้วน่ะสิ

เขาพาตัวเองมานั่งพักบนเก้าอี้สาธารณะ ลูกค้าของห้างฯ เริ่มเยอะขึ้นจนชักตาลาย อาจจะเพราะว่าเป็นช่วงที่เด็กหลายคนปิดเทอม หน้าจอมือถือที่วันเสาร์เอามาวางคืนให้ฉายเวลาบ่ายสองกว่า และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ หน้าท้องส่งเสียงประท้วงเมื่อยังไม่ได้รับสารอาหารอะไร แถมเมื่อเช้ายังสะเออะกินข้าวไปนิดเดียวอีกต่างหาก โง่ชะมัด

 เรียวขาทั้งสองข้างลุกขึ้นออกเดินอีกครั้ง เขาจะมายอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ เขาต้องหางานทำ จะได้มีเงินเก็บ เอาไป…

“เฮ้ย” เผลอส่งเสียงอุทานจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อเหลือบไปเห็นป้ายประกาศรับสมัครเด็กเสิร์ฟจากร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งเขาเกือบตัดสินใจเดินผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ

มือข้างหนึ่งกระชับสายสะพายกระเป๋าย่ามพาดไหล่ ปั้นยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ด้านใน แม้ว่าในใจกำลังกระสับกระส่ายจากอาการหิวโซ แทบจะล้มแหล่มิล้มแหล่

“ยังรับสมัครเด็กเสิร์ฟอยู่ไหมครับ”

“อ๋อ ยังรับอยู่ครับ เดี๋ยวสักครู่นะครับ” พนักงานในเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวพูดกับเขาด้วยท่าทีสุภาพ แวบหายเข้าไปทางห้องครัว ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผู้ชายวัยราวๆ 35 ปี เห็นจะได้

คนในชุดสูทยิ้มทักทายเขา “สวัสดีครับ มาสมัครงานเหรอ”

“ครับ”

“มานั่งนี่ก่อน” เขาเดินตามไปนั่งบนโต๊ะอาหารใกล้กับประตูห้องครัวที่สุด

ถึงจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปทั่วห้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กกับวัยรุ่น จึงไม่เห็นลูกค้าในร้านมากเท่าไรนัก และเขาเดาเอาว่าคงเพราะราคาอาหารที่ค่อนข้างสูง ทำให้กลุ่มลูกค้าหลักเฉียดไปทางวัยทำงานขึ้นไป คาดว่าตอนนี้คงยังนั่งอยู่ในออฟฟิซที่ไหนสักแห่งซะมากกว่า

“พี่ชื่อทรงยศนะ เป็นผู้จัดการร้านของที่นี่”

“สวัสดีครับ” คนตัวเล็กรีบยกมือไหว้ เลยไปซับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นตามขมับ

“ลองแนะนำตัวหน่อย”

“ครับ ผม…ชื่อนับหนึ่งครับ เพิ่งจบมอหก”

คนตรงหน้าเลิกคิ้ว แทรกขึ้น “จริงเหรอ ตอนแรกนึกว่ายังอยู่มอต้นด้วยซ้ำ”

เขาทำแค่เพียงยิ้มแห้งๆ กลับไป โชคดีที่สุดของวันอาจจะเป็นการเหยียบย่างเข้ามาในร้านนี้ เพราะพี่ทรงยศ รวมไปถึงพนักงานหนุ่มตรงเคาน์เตอร์เมื่อครู่ ต่างพูดคุยและต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยดีเกินคาด

พี่ทรงยศซักถามเขาเรื่องชีวิตครอบครัว ประวัติการศึกษา ไปจนถึงประสบการณ์การทำงานเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาอยู่ไม่เท่าไร แกก็เผยยิ้มอีกครั้งพร้อมข่าวดีที่บทจะมาก็มาแบบแทบไม่ให้ตั้งตัวทีเดียว

“งั้นพรุ่งนี้ก็มาเริ่มงานเลยละกัน”

“จ..จริงเหรอครับ”

“จริงสิ”

“คือ นี่ผมได้งานแล้วเหรอครับ” เขาพูดจาตะกุกตะกัก ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองอย่างงุนงง จนอีกฝ่ายถึงกับหลุดขำ พยักหน้าย้ำชัดอีกหลายรอบ

“ใช่สิ เดี๋ยววันนี้พี่จะแจ้งเจ้าของร้าน แล้วพรุ่งนี้เช้าเราก็มาเริ่มงานได้เลย”

“ขอบคุณมากเลยครับ”

ให้พูดตรงๆ เขาเกือบร้องไห้แล้วเชียว ถึงกับพรวดพราดลุกขึ้นยืนแล้วก้มโค้งแทบจะต่ำกว่า 90 องศา แต่ความดีใจที่ล้นออกมาจุกอกกลับถูกแทนที่ด้วยอาการมึนศีรษะฉับพลัน เขารีบกะพริบตาถี่รัว มือสองข้างคว้าขอบโต๊ะยันตัวเองไว้ ได้ยินเสียงเรียกอย่างเป็นกังวลจากใครบางคน ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะกลายเป็นสีดำมืดสนิท ไม่รับรู้สิ่งใดอีก

นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาหมดสติไป…

กลิ่นฉุนจากหลอดยาดมทำเอาเขาแสบจมูก ใบหน้าเหนื่อยอ่อนเหยเก เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือลืมขึ้นเพื่อพบว่ากำลังนอนราบไปกับเก้าอี้โซฟา โต๊ะตัวเดิมกับที่นั่งสัมภาษณ์งานก่อนหน้านี้ หากถูกรายล้อมไปด้วยผู้ชายถึงสามชีวิต พี่ทรงยศ พนักงานตรงเคาน์เตอร์ และ…

คนที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันได้

“พี่…วา?”

“ลุกไหวไหม” เพื่อนสนิทของวันเสาร์ถาม ขณะพยายามประคองตัวเขาให้กลับมานั่งพิงเบาะ ผ้าเช็ดหน้าในมือซับลงตามขมับและกรอบหน้าเหวอ “กินอะไรรึยัง หิวไหม”

“พี่วามาทานข้าวเหรอครับ”

ฝ่ายถูกถามส่งเสียงหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู “พี่เป็นเจ้าของร้านนี้เองแหละ”

“ห้ะ”

“บังเอิญเนอะ”

เอาจริงดิ โลกกลมเกินไปไหม... ตั้งแต่คนแปลกหน้าที่แค่เดินลงมาช่วยซ่อมโซ่จักรยาน บังเอิญว่าเป็นเพื่อนสนิทเจ้าของชีวิตยังไม่พอ นี่ยังจะบังเอิญมาเป็นเจ้าของร้านที่เพิ่งรับเขาเข้าทำงานพาร์ทไทม์ด้วยอีกเนี่ยนะ

อย่างกะเขียนบทมาแล้วงั้นแหละ ไม่น่าเชื่อเลย

“แบงค์ เข้าไปดูในครัวซิว่าอาหารที่สั่งไปได้รึยัง” นาวาหันไปพูดกับพนักงานหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่คนชื่อแบงค์จะก้าวขาไปถึงครัว ประตูบานพับก็เปิดออกพร้อมผู้หญิงวัยรุ่นในชุดยูนิฟอร์มเชิ้ตขาวแบบเดียวกัน ในมือเธอถือถาดอาหาร มีจานเซรามิกใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาแต่ไกล

เธอเผยยิ้มให้เขา และวางจานสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าลงตรงหน้า เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกปั่นป่วนในท้องอีกครั้ง

“กินซะสิ” คุณเจ้าของร้านทิ้งตัวลงบนโซฟาตรงข้ามเขา พี่ทรงยศ กับพนักงานอีกสองคนเมื่อครู่ แยกย้ายกลับไปประจำตำแหน่งตัวเองดังเดิม

“จะดีเหรอครับ”

“รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมอีกรอบหรอก พี่ยังไม่อยากโดนไอ้เสาร์ฆ่านะ”

“ค..ครับ ขอบคุณมากครับ”

นาวาคิดผิดถนัด คนอย่างวันเสาร์…จะมาห่วงอะไรเขากันล่ะ

นับหนึ่งตักเส้นสปาเกตตี้เข้าปากอย่างเก้ๆ กังๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ลิ้มชิมรสชาติของอาหารชนิดนี้ และถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจมาก ไม่ใช่แค่เพราะกำลังหิว แต่ว่ามันอร่อยจริงๆ นาวาเอาแต่มองเขากิน พลางตั้งคำถามชวนคุยไปต่างๆ นาๆ

“แล้วทำไมถึงมาหางานทำล่ะ ไอ้เสาร์ดูแลนายไม่ดีหรือไง”

ศีรษะทุยส่ายไปมา “เปล่าครับ ผมแค่อยากเก็บเงินไปซื้อของ”

“ของอะไร แล้วเสาร์มันไม่จ่ายให้เหรอ”

ส้อมในมือวางพักลงบนจานเกือบเกลี้ยงเปล่า คนตัวเล็กอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง กว่าจะยอมปริปาก หากเสียงที่เปล่งออกมากลับเบาหวิว พวงแก้มใสขึ้นสีระเรื่อ ไม่ยอมสบตา ทำเอาภาพตรงหน้ายิ่งดูน่ารักขึ้นอีกหลายเท่า ถ้าจะบอกว่าอิจฉาเพื่อนตัวเองก็คงไม่ผิดนัก

“ผม…อยากซื้อของขวัญวันเกิด ให้พี่เสาร์..อะครับ”

เขาเลิกคิ้วให้กับคำตอบ ความอิจฉาเมื่อครู่ยิ่งพุ่งสูงเหนือชั้นบรรยากาศไปเลยทีเดียว รอยยิ้มบางๆ ปรากฏ ก่อนจะถือวิสาสะลูบศีรษะทุยอย่างนึกเอ็นดู “หนึ่งนี่เป็นเด็กดีจริงๆ เลยนะ”

“กะ ก็แค่..อยากตอบแทนอะไรบ้าง แค่นั้นเองครับ”

เพราะถึงผู้ชายคนนั้นจะโหดร้ายใจดำยังไง ก็ยังปฏิเสธความจริงที่ว่าวันเสาร์ช่วยชีวิตเขาให้หลุดพ้นจากชะตากรรมเด็กเล้าไม่ได้ ถ้าเขาไม่กลายมาเป็นเด็กในปกครองของวุฒิเวคินทร์ ป่านนี้เขาอาจนอนซมป่วยตายอยู่ที่ชั้นบนสุดของทาวน์เฮาส์นรก ยิ่งกว่านั้น วันเสาร์ยังให้ความสะดวกสบายกับเขาสารพัดอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยหวังว่าจะมีได้

ให้อะไรเขามากมาย ให้แทบทุกอย่าง ยกเว้นแค่…

“ปะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” นาวาลุกขึ้นหลังจากเขาดูดน้ำจนหมดแก้ว

รถคันหรูสีน้ำเงินเคลือบมุกราคาแสนแพงแล่นออกจากบริเวณลานจอด VIP มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านจัดสรรที่เขาคุ้นเคย เราขับผ่านรูปปั้นโลมา แวะทักทายรปภ.ตรงป้อม ก่อนจะเคลื่อนตัวสู่หน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่

“พี่ส่งแค่นี้นะ เดี๋ยวต้องไปทำธุระต่อ”

เขารีบก้มหัว ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ขอบคุณมากนะครับพี่วา”

“พรุ่งนี้เจอกัน”

“ครับ”

เมื่อรอจนแน่ใจแล้วว่านาวาขับรถออกจากซอยอย่างปลอดภัย เขาจึงหันหลังกลับเข้าบ้าน ลุงชัยที่เห็นเขาเป็นคนแรกผละมือออกจากสายยางรดน้ำ รี่เข้ามาทักทายพร้อมรับฟังข่าวดี และทั้งๆ ที่เขาตั้งใจจะเดินไปหาพี่ละเมียด พี่ละไมในครัว กลับต้องมาเจอคุณชายวันเสาร์กำลังก้าวขาลงบันไดมาก่อนซะได้

น้ำเสียงดูแคลน จนเขาเผลอกลอกตา “เป็นไง ไม่ได้งานล่ะสิ”

“ได้แล้วต่างหากล่ะครับ”

คนตัวสูงเลิกคิ้ว ก้าวขาตรงเข้ามาใกล้ “งานอะไร”

“เด็กเสิร์ฟครับ”

“ที่ไหน”

“Napoli”

วันเสาร์ขมวดคิ้วเครียด ใช่ว่าลืมไปแล้ว แต่แค่ไม่คิดว่าร้านอาหารอิตาเลียนของเพื่อนสนิทตัวเองจะบังเอิญมาเปิดรับพนักงานเอาช่วงเวลาเหมาะเจาะขนาดนี้ พอดิบพอดีซะจนอดคิดว่าเป็นแผนการบ้าๆ ของไอ้เพื่อนตัวดีที่คิดจะแกล้งปั่นหัวเขาเล่นหรือยังไง

ไอ้นาวา…

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

เนี่ย เปลี่ยนพระเอกให้แล้วนะคะ 55555555 พี่เสาร์มัวชักช้า ยืดยาดน่ารำคาญ ปากแข็งเก่ง ก็ต้องเจอแบบนี้จ้าาาา อุๆๆๆ //กำมีดขึ้นแล้วหมุนๆ กำมีดไว้โบกไปมา กำมีดขึ้นและลง...

ร่วมเป็นกำลังใจให้เราไม่เทได้ด้วยการ คอมเมนต์สักนิด ช่วยแชร์สักหน่อย กดเรตติ้งให้สักจึก รีวิวให้สักครั้ง หรือ ติดแท็กให้สักทวิต นะคะ ตีหัวลากคนอื่นเข้ามาอ่านกันเถอะค่ะ เราต้องฟอร์มทีมเงาแค้นพี่เสาร์ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสีแดง (สีแดงมาจากเลือดพี่เสาร์) 1 2 1 2 3 1 2 1 2 1 เฮ้ !


ติดตามสปอยหรืออัพเดทความไบโพล่าของนักเขียนได้ที่ :
• facebook.com/aonair13
• twitter.com/aonair13

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านเเล้วจะร้องไห้ สงสารน้องจริงๆนะชีวืตน้ิงก็เเย่อยู่เเล้วเเล้วทำไมยังต้องมาหลงรักคนเเย่ๆเเบบอีพี่เสาร์อีก อยากใฟ้พี่เสาร์รักน้องเยอะๆ เเล้วก็ให้น้องหนีไปไกลๆ ให้นังพี่เสาร์ดิ้นตายไปเลย อินมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สู้ๆค่ะ คอยติดตามอยู่เสมอ❤

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ในที่สุดน้องก็ได้ใกล้ชิดพระเอกมากขึ้น อยู่ร้านพี่วาก็จะได้ปิ๊งกันและพัฒนาความสัมพันธ์ เย่  :hao7:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พี่นาวาสู้ๆเค้า น้องหนึ่งหนีไปให้ไกลๆเลย ปล่อยให้พี่เสาร์งุ่นง่านไปคนเดียวเลย เย่~ :katai3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบสาม

 

“รู้ไหมว่าร้านนั้นเป็นของไอ้วา” วันเสาร์เปิดประเด็น ขณะที่เรามานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว

เขาส่ายหน้า

“แล้วไอ้วามันรู้ไหมว่านายกำลังหางาน”

“ไม่น่ารู้นะครับ พี่เขายังบอกอยู่เลยว่าบังเอิญ”

“จะบังเอิญอะไรกันนักกันหนา” เสียงบ่นอุบอิบ ทำเอาเขาแอบอมยิ้ม อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ชนะ ดูเหมือนการทำให้วันเสาร์หงุดหงิดได้ ก็เป็นอะไรที่ไม่เลวนัก

“แล้วนี่เริ่มงานเมื่อไร”

“พรุ่งนี้ครับ”

“พรุ่งนี้เลยเหรอ”

“ครับ”

“ความจริงไม่เห็นต้องดั้นด้นออกไปทำงานเลย นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว” ขอยกระดับให้เป็นปริศนาธรรมกับการที่วันเสาร์ดูจะอารมณ์เสียเรื่องออกไปทำงานข้างนอกของเขาซะจริง ทั้งที่เวลาอยู่บ้านก็ไม่ได้มายุ่งอะไรมากมายสักหน่อย

จริงๆ แล้ว เราคุยกันแทบนับประโยคได้ และเราสบตากันแทบนับวินาทีได้…ใกล้ที่สุดคือช่วงเวลาที่เขายื่นถ้วยกาแฟออกไปให้ และใกล้ยิ่งกว่าคือตอนที่วันเสาร์เกิดมีอารมณ์อยากจะทำเรื่องอย่างว่า

แต่เหมือนทุกครั้ง…อ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ เหน็บหนาวมาก

กอดที่ไม่อุ่น เขานึกเกลียดมัน…

“แล้วจะทำไปถึงเมื่อไร” วันเสาร์ถามเพิ่มเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบ

“ไม่รู้สิครับ อย่างน้อยก็เดือนนึง หรืออาจจะมากกว่านั้น”

“นี่นายไม่อยากอยู่บ้านขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ผมก็แค่อยากหาอะไรทำ พี่เสาร์จะเดือดร้อนอะไรอะครับ” เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับการคอยเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง และท่าทางอีกฝ่ายเองก็หาข้ออ้างมาเถียงไม่ออกถึงได้ยอมเงียบสักที

พี่ละเมียดค่อยๆ เดินเข้าฉาก ตักข้าวสวยลงบนจานของเราทั้งคู่ อมยิ้มกรุ้มกริ่มขณะเหลือบมองเรียวหน้าถมึงทึงของเจ้านายตัวเอง สำหรับคนที่อยู่รับใช้วันเสาร์มา 10 ปีกว่าอย่างเธอ แค่ชายตานิดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณชายคนโตกำลังปากหนัก แถมไม่ตรงกับใจเป็นที่หนึ่ง

เจ้าของริมฝีปากบวมอิ่มละเลียดตักข้าวไม่กี่เม็ดเข้าปาก เขาไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้คือวันที่ดีหรือแย่กันแน่ เพราะถึงจะได้งานตามหวัง แต่กลับต้องมาคอยทะเลาะกับวันเสาร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความสุขเขาลงไปเท่านั้น

เขากินข้าวต่ออีกเพียงนิดเดียวก็ขอตัวลาขึ้นไปอาบน้ำ นอกจากยังอิ่มจากสปาเกตตี้ที่ร้าน Napoli แล้ว การต้องทนเห็นใบหน้าบึ้งตึงคร่ำเครียดของคนตรงข้าม ก็ไม่ได้ทำให้เขาเจริญอาหารขึ้นเลยสักนิด

ละเมียดกับละไมต่างส่งสายตาเป็นห่วงให้กัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล้าเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าวันเสาร์รวบช้อนส้อมทั้งที่กินไปได้แค่ไม่กี่คำ

“คุณเสาร์ก็ไม่ทานแล้วเหรอคะ”

เขาพยักหน้า กึ่งจะก้มหัวขอโทษ “ผมไม่ค่อยหิว”

“ถ้าไม่ทานข้าว งั้นก็รับผลไม้สักหน่อยเถอะค่ะ ขึ้นไปทานบนห้องก็ได้” ละไมรีบสาวเท้ากลับไปยังตู้เย็น หยิบถาดแตงโมแกะเมล็ดที่เธอทำเตรียมไว้แล้วออกมาจัดแบ่งใส่จาน ยื่นให้คนเป็นนายอย่างจงใจ “เอาไปแบ่งคุณหนึ่งด้วยนะคะ”

วันเสาร์ตีหน้ากระอักกระอ่วน หากก็ยอมพยักหน้าแล้วตรงขึ้นบันได เขาหมุนลูกบิดห้องรับรองอย่างไม่ลังเล รู้อยู่แล้วว่าเด็กด้านในคงไม่ได้ล็อกประตู เพราะว่าเขาสั่ง อย่างน้อยก็เพื่อให้สำเหนียกไว้ว่ามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร ถึงยังไงห้องนี้ก็เป็นพื้นที่ในบ้านของเขา มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาทุกเมื่อ

เสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดออกมา เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง วางจานผลไม้ไว้กับโต๊ะตั้งโคมไฟ อากาศในห้องปนเปื้อนไปด้วยกลิ่นกายของคนที่เคยชิดใกล้อยู่แทบทุกคืน อะไรบางอย่างกำลังกระตุ้นให้เลือดในร่างสูบฉีดหนักขึ้น กว่าจะทันรู้ตัว ปลายจมูกของเขาก็ฝังลงกับหมอนใบใหญ่บนเตียงเสียแล้ว กลิ่นเหมือนแป้งเด็ก ผสมกับสบู่ลาเวนเดอร์ ช่อดอกปีบในแก้วเหล้าที่เพิ่งไปขโมยกลับมาจากห้องเขา ทำให้ภายในห้องนี้คละคลุ้งไปด้วยสารพัดกลิ่นหอม หอมไปหมดทุกอย่างจนชักน่าเวียนหัว

ครืด…ครืดด…

มือถือเครื่องบางที่เขาออกเงินซื้อให้สั่นอยู่ข้างโคมไฟ เขารีบคว้ามันไว้ก่อนที่คนในห้องน้ำจะได้ยิน หากแต่ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอกลับชวนหงุดหงิดยิ่งกว่าการรู้ว่าเด็กในอาณัติบังอาจไปแลกเบอร์โทรศัพท์กับใครอื่นนอกเหนือจากเขาซะอีก

‘พี่นาวา’

นิ้วเรียวกดรับโดยไม่ลังเล เสียงเข้มกรอกผ่านสายห้วนๆ “มีอะไร”

“อ่าว ไอ้เสาร์เหรอ”

“เออ คิดว่าใครล่ะ”

“ก็กูโทรหาหนึ่งไม่ใช่มึง”

“โทรมาทำไม แล้วมีเบอร์หนึ่งได้ยังไง” เชื่อเถอะว่าปกติเขาไม่ค่อยอารมณ์เสียใส่นาวาเท่าไร ถ้าเทียบกับเจหรือเพื่อนคนอื่นซึ่งนับว่าไร้สาระกว่ามาก แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่นาวาเข้ามาวนเวียนรอบๆ ตัวนับหนึ่ง มันก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วกูจะมีเบอร์ลูกน้องตัวเองไม่ได้หรือไงวะ”

“ไอ้ห่า กูถามจริง มึงรู้ไหมว่าหนึ่งกำลังหางาน”

“กูจะไปรู้ได้ไงล่ะ”

“แล้วมึงเสือกมาประกาศหาพนักงานอะไรตอนนี้”

“เอ้า ร้านกูคนไม่พอ เด็กเสิร์ฟลากลับบ้านไง”

ลมหายใจหนักๆ พ่นออกจากปาก หัวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเถียงต่อไม่ออก ถ้าจำไม่ผิด นาวาเคยบ่นให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าพนักงานร้านกำลังจะลาออก ต้องกลับบ้านต่างจังหวัดไปดูแลแม่ที่ป่วย แต่ถึงงั้นก็เหอะ เขาล่ะนึกเกลียดไอ้ความบังเอิญห่าเหวทั้งหลายนี่เหลือเกิน

“แล้วมึงให้หนึ่งทำตำแหน่งไร”

“ไอ้เสาร์ มึงโง่เหรอ กูเพิ่งพูดอยู่ว่าเด็กเสิร์ฟกูลาออก ก็ต้องจ้างมาเป็นเด็กเสิร์ฟสิวะ”

“ไม่เอา กูไม่อนุญาต มึงให้หนึ่งไปล้างจานในครัว แล้วเอาเด็กล้างจานออกมาเสิร์ฟแทน โอเคไหม”

“โทษนะ แต่มึงมีสิทธิ์อะไรในร้านกูอะ”

วันเสาร์จิ๊ปาก “กูไม่มีสิทธิ์อะไรในร้านมึงหรอก แต่กูมีสิทธิ์ในตัวพนักงานใหม่มึง”

“กูไม่โอเค กูจะให้หนึ่งเป็นเด็กเสิร์ฟมึงมีปัญหาอะไร” นาวาเริ่มขึ้นเสียงบ้างแล้ว และเขาเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อด้วยเช่นกัน เราเถียงกันเรื่องนี้ต่ออีกสักพักอย่างกับว่าย้อนเวลาไปสมัยเป็นเด็ก แต่แล้วเขาก็ถูกต้อนจนมุมด้วยแค่ประโยคเดียว

“มึงไม่ควรมากำหนดชีวิตของหนึ่ง ทั้งๆ ที่มึงยังดูแลเขาได้ไม่ดีด้วยซ้ำ”

“ดูแลไม่ดี?” วันเสาร์ทวนคำ ก่อนจะพ่นหัวเราะ “ทุกวันนี้กูให้ที่นอน ให้ข้าว ให้ความสบายกับมันทุกอย่าง มึงยังบอกว่ากูดูแลไม่ดีอีกเหรอ”

“แต่มึงปล่อยให้หนึ่งเป็นลมเนี่ยนะ”

“มึงว่าไงนะ?”

“อ่าว นี่มึงไม่รู้เหรอ วันนี้หนึ่งเป็นลมที่ร้านกู สงสัยไม่ได้กินข้าวเที่ยง แต่กูดูแลให้แล้วมึงไม่ต้องห่วง”

เขาเผลอกำโทรศัพท์แน่นซะจนเส้นเลือดบนหลังมือนูนชัด ไม่มั่นใจว่ากำลังโกรธอะไรกันแน่ ระหว่างไอ้เพื่อนตัวดีที่ชอบมาจุ้นไม่เข้าเรื่อง เด็กตัวแสบที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟัง หรือว่าตัวเอง…

เสียงจากปลายสายดังขึ้นอีกครั้งดึงความสนใจของเขากลับมา “พรุ่งนี้เช้ากูจะรับหนึ่งไปทำงานนะ”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปส่งเอง”

นิ้วเรียวเลื่อนกดตัดสายไปเสียดื้อๆ ไม่รอให้อีกฝ่ายรับทราบหรือแม้กระทั่งโต้เถียง เขาวางมือถือกลับคืนจุดเดิม พอดีกับที่เสียงฝักบัวเงียบลง ไม่นานนักประตูห้องน้ำก็เปิดออก นับหนึ่งแทบจะวิ่งหนีกลับเข้าห้องน้ำอีกรอบเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งรออยู่บนเตียง

คนตัวเล็กอึกอัก ใบหน้าขึ้นสีเพราะตอนนี้เขานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว ขณะที่ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า สายตาจับจ้องไปยังชุดนอนผ้าซาตินซึ่งวางพาดทิ้งไว้ใกล้กับจุดที่วันเสาร์นั่งอยู่

“พี่เสาร์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรครับ”

“ทำไม ฉันจะเข้ามาตอนไหนก็ได้”

เจ้าของกลีบปากอิ่มพยักหน้าน้อยๆ ทำเป็นใจดีสู้เสือ เดินตรงไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียง แต่ยังไม่ทันได้สวมหรือแม้แต่ก้าวถอยหนี กลับถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน ร่างสูงกระชากเขาลงบนเตียงด้วยการกระตุกแรงๆ เพียงครั้งเดียว ชุดนอนถูกปล่อยลงพื้น เปลี่ยนมายันแผงอกกว้างที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างไม่คิดบอกกล่าว

“พ..พี่เสาร์ จะทำอะไรครับ” เขาถามคำถามเดิมๆ ซึ่งน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่ได้รับคำตอบ

หัวคิ้วหนาขมวดยุ่ง แววตาเรียวคู่สวยเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ยากจะตีความออก ริมฝีปากบางสีธรรมชาติเผยอออก

“ทำไมไม่บอกว่านายเป็นลม”

คราวนี้เป็นเขาเองที่มุ่นคิ้วเข้าหากัน ถ้าไม่ใช่วันเสาร์จิตสัมผัสก็คงเป็นนาวาที่คาบข่าวมาบอกเพื่อนตัวเอง

“อ้ะ” เขารีบเม้มปากหลังจากเผลอส่งเสียงแปลกๆ เจ้าชายน้ำแข็งจอมปลอม แท้จริงใจร้อนยิ่งกว่าไฟซะอีก ไม่รอกระทั่งให้เขาคิดคำตอบก็ชิงฝังจูบลงกับลำคอขาว ค่อยๆ กลายเป็นชมพูระเรื่อเมื่อปลายจมูกโด่งไล้ต่ำลงไปถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า

วันเสาร์ตามขบไปแทบทุกจุดที่ริมฝีปากร้อนผ่าวลากผ่าน แถมยังออกแรงดูดผิวเนื้อเขาอย่างกับว่ามันเป็นขนม ทิ้งร่องรอยแดงช้ำน่ากลัวไว้ทั่วทุกหนแห่ง

“พี่เสาร์ อย่าทำอะไรเลยนะครับ พรุ่งนี้ผมเริ่มงานวันแรกนะ” รีบท้วงขึ้นเมื่อมือหยาบเริ่มเลื่อนต่ำลงไปทุกที

คนด้านบนไม่พูดอะไร จับข้อเท้าเขาไว้ แยกขาออกจากกันแล้วก้มลงจูบย้ำๆ ไปตามแนวเส้นเลือด ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่เคยปกปิดส่วนสงวนก็แทบไร้ความหมายและเกือบจะหลุดมิหลุดแหล่ หากแต่วันเสาร์ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดจะรุกล้ำเข้าไปในนั้นตามที่เขาเอ่ยขอ

ลมหายใจอุ่นเป่ารดไปทั่วทั้งร่าง ทำเอาอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศกลายเป็นรุ่มร้อนไปเสียอย่างนั้น ปลายจมูกโด่งคลอเคลียจากบนลงล่าง แล้วก็ไล่จากล่างขึ้นบนอีกครั้ง ซ้ำไปมาพาลให้สมองของเขาขาวโพลน จิตใจที่ใกล้จะล่องลอยถูกดึงรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงทุ้มแหบพร่า

ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างประคองใบหน้าเขาไว้ให้สบตากัน “มีอะไรทำไมไม่บอก”

“ก็…ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร…”

แววตาสีเข้มวูบไหว จ้องลึกลงมาจนเขาขนลุก แต่ถึงอยากจะหันหนีก็ทำไม่ได้ คำพูดต่อมาของวันเสาร์ทำเอาหัวใจของเขากระตุก ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นจุกอก ใบหน้าตื่นๆ กลายเป็นแดงเรื่อ

“ใครบอกว่าไม่สำคัญ”

ใครบอกว่าไม่สำคัญ…เขาทวนในใจ

มีคำถามอีกมากมายนับพันล้านผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยปาก คนที่ทิ้งตะกอนความรู้สึกไว้ให้กลับผละตัวออกไปยืนแข็งทื่อ ก่อนจะหันหลังก้าวเท้าออกจากห้องโดยไม่พูดไม่จา ทิ้งให้เขาได้แต่นอนสับสนด้วยว่าเต็มไปด้วยความงุนงงกับทั้งการกระทำและคำพูดนั้น

ไม่มีใครบอกหรอกว่าไม่สำคัญ…

แต่ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าสำคัญนี่น่า…..



-----------------------------------------------



ฝนตกแน่ๆ!

เชื่อไหมว่าเช้าวันแรกของการเริ่มงานพิเศษ คนที่คอยแต่จะคัดค้านทุกทางอย่างวันเสาร์จะอาสาขับรถมาส่งเขาถึงที่ด้วยตัวเอง เจ้าของร้านคนคุ้นเคยเดินออกมาต้อนรับพวกเราตั้งแต่ยังจัดโต๊ะไม่เสร็จ

“ปกติมึงไม่ค่อยเข้าร้านไม่ใช่เหรอ”

“ก็หนึ่งมาทำงานด้วยทั้งที กูก็ต้องดูแลดีๆ หน่อยสิ” นาวาแอบอมยิ้มทันทีที่เห็นวันเสาร์ชักสีหน้า ดูจะพอใจใหญ่กับการได้แกล้งปั่นหัวเพื่อนสนิทเล่น

เขาพานับหนึ่งไปแนะนำตัวกับพนักงานคนอื่นอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่แม่ครัว เด็กล้างจาน เด็กเสิร์ฟ ไปจนถึงผู้จัดการร้าน ก็คือพี่ทรงยศ คนสัมภาษณ์งานนับหนึ่งนั่นเอง

“นี่แบงค์กับผึ้ง เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เหมือนกัน”

คนตัวเล็กก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับเด็กเสิร์ฟทั้งสองตรงหน้า เขาจำได้ดีว่าแบงค์คือพนักงานที่มักประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน ส่วนผึ้งก็คือผู้หญิงที่ยกสปาเกตตี้ออกมาให้เขาเมื่อวาน ทั้งคู่ส่งยิ้มให้เขาพลางชวนคุยสัพเพเหระอย่างเช่นว่า กินข้าวเช้ามาหรือยัง และ เป็นอะไรกับพี่นาวา

“หนึ่งอายุเท่าไรเหรอ น่าจะเด็กกว่าเรานะ”

“ผมอายุ 17 ครับ” ความจริงก็ย่าง 18 ในอีก 7 เดือนที่จะถึงนี้ อาจจะเพราะเขาเรียนเร็วไปปีนึงด้วยล่ะมั้ง

“เราสองคนอยู่ปีสองกันแล้วแหละ”

“งั้นผมขอเรียกพี่ผึ้งกับพี่แบงค์ละกันนะครับ”

“ตามสบายเลย เรียกยังไงก็ได้” ผึ้งส่งยิ้มหวาน หวานเหมือนน้ำผึ้งมาให้ หวานจนแม้แต่เขายังแอบหวั่นไหว แต่ถ้าให้เดา เขาว่าพี่แบงค์คงกำลังจีบพี่ผึ้งอยู่แน่ๆ เพราะเห็นสองคนนั้นยืนเล่นกันกระหนุงกระหนิงตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาเข้ามาในร้าน และถ้าให้พูดตรงๆ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเหมาะสมกันมากทีเดียว

“หนึ่ง…” นาวาเรียก น้ำเสียงเป็นกังวลอยู่หน่อย “อายุ 17 เหรอ”

“ครับ ทำไมเหรอครับ หรือว่ายังทำงานไม่ได้..”

“ไอ้เสาร์ นี่มึง” หันขวับไปเอาเรื่องผู้ชายร่างสูงด้านข้าง ซึ่งแม้จะตีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย แต่ก็สังเกตได้ว่าคงตกใจไม่น้อยเหมือนกัน

ก็แน่ล่ะสิ ความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 บาท ถึง 20,000 บาท งานนี้คุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์คงมีหนาวบ้างแหละ

“มานี่ดิ” วันเสาร์เดินนำหน้าเจ้าของร้านออกไปคุยกันตรงมุมอับ ปล่อยให้ทรงยศเข้ามาดูแลพานับหนึ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คำถามแรกที่หลุดออกจากปากก็ทำเอานาวาแทบพ่นขำ

“แล้วถ้าอีกฝ่ายยินยอมอะ”

“ไอ้เหี้ย หนึ่งไม่ได้เต็มใจนอนกับมึงปะ” เขารีบเตือนสติ หากก็ยังกลั้นหัวเราะอยู่ โชคดีที่เขาเลือกเรียนวิชาโทกฎหมายตอนมหาลัย ทำให้ยังพอหลงเหลือความรู้ลางๆ ติดมาบ้าง

“มึงจะมารู้อะไร”

“ถึงจำเลยยินยอม แต่ก็ยังมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้อยู่ดี มึงไปมอบตัวเหอะ”

“สัส” วันเสาร์สบถ พร้อมฝากรอยตบไว้กลางศีรษะเขาไม่แรงนัก แต่ก็ไม่ได้เบาสักเท่าไรเลย

“แต่ถ้าประสงค์จะพาผู้เยาว์ไปเป็นเมียอันนี้มึงไม่มีความผิดนะ”

คนฟังส่ายหัว ทำเป็นปั้นหน้านิ่ง หันไปตามเสียงพวกพนักงานเมื่อครู่ซึ่งขณะนี้กำลังยืนล้อมเด็กใหม่ในเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ปักตัวอักษรคำว่า Napoli บนช่องกระเป๋า รับกับกางเกงแสลคตัวใหม่

“ใส่ได้พอดีเลย”

“มันดูแปลกๆ หรือเปล่าครับ” ร่างเล็กยกนิ้วขึ้นเกาแก้มตัวเอง พลางขยับขาไปมาอย่างไม่เคยชิน

“ไม่นะ ใส่ออกมาดูดีออก”

“เป็นไง ชอบไหม” นาวากระทุ้งศอกใส่คนข้างตัว พยักเพยิดหน้าไปทางนับหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มร้าน “หรือจะให้เปลี่ยนเป็นกระโปรง”

วันเสาร์ปรายตากลับมามองเขา แค่นั้นก็ทำเอาบรรยากาศรอบๆ เย็นวาบขึ้นมาได้

“ไอ้วา”

“แหม กูล้อเล่น…ก็นึกว่ามึงชอบ”

“ไอ้—”

ไม่ทันได้ยินว่าอีกฝ่ายจะพ่นคำด่าคำไหนออกมา เด็กในบทสนทนาก็เดินเตาะแตะมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขาเสียก่อน นับหนึ่งกะพริบตากลมเงยมองผู้ปกครองด้วยท่าทางติดจะรำคาญอยู่หน่อยๆ

“พี่เสาร์ กลับได้แล้วครับ”

“ไล่ฉันเหรอ”

ตอบว่า ครับ ได้ไหมล่ะ

“เปล่าครับ แค่ไม่อยากรบกวนเวลาพี่เสาร์”

ฝ่ามือใหญ่วางลงกลางศีรษะทุย โครงหน้าเรียวหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ กำชับเสียงแข็ง “ทำตัวดีๆ อย่าทำข้าวของเสียหายล่ะ ฉันไม่ชดใช้ให้นายนะ”

เขาบุ้ยปากใส่ “ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

“เหรอ”

“มึงกลับไปได้ละ กูจะเปิดร้าน” สุดท้ายก็เป็นนาวาที่กล้าเอ่ยปากไล่คนที่เอาแต่ยืนเกะกะ จนเมื่อแน่ใจว่าวันเสาร์กลับไปแล้ว นับหนึ่งถึงได้ฤกษ์เริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการ

ทรงยศหยิบหนังสือเมนูอาหารออกมากางให้เขาดู นั่งอธิบายเป็นจริงเป็นจังว่าแต่ละเมนูคืออะไร ส่วนผสม เครื่องปรุงที่แตกต่าง ไปจนถึงจุดเด่นของแต่ละอย่าง มีแต่อาหารหน้าตาหรูหราแบบที่เขาไม่มีทางได้เคยลิ้มชิมมาก่อนในชีวิต แถมยังดูน่าทานเกินกว่าจะจินตนาการออก

แต่ถ้าให้อิงจากรสชาติของสปาเกตตี้คาโบนาร่าเมื่อวาน ก็บอกได้เลยว่าร้าน Napoli น่ะมาตรฐานสูงจริงๆ เพราะมันอร่อยมาก แถมยังทานง่าย แม้แต่คนที่ไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อนอย่างเขาก็ยังรู้สึกถูกปากเลย

การเรียนรู้งานของเขายังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งแบงค์ ผึ้ง ทรงยศ รวมถึงนาวา คอยช่วยเหลือและสอนอะไรเขามากมายในเวลาอันจำกัด ทำไปทำมาเหมือนเขาไม่ได้มาทำงาน แต่ว่ามาเจอเพื่อนใหม่ซะมากกว่า ไม่ใช่แค่พนักงานที่ดูแลเขาดี แม้แต่ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารก็ยังสุภาพและน่ารักมากอีกด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ ทันทีที่รู้ว่ามีเด็กเสิร์ฟคนใหม่ก็เข้ามาทักทาย ลามไปถึงแซวพนักงานคนอื่นๆ ให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

บรรยากาศในร้าน Napoli อบอุ่นเหมือนดั่งเช่นเฟอร์นิเจอร์สีมะฮอกกานี ควบคู่ไปกับบทเพลงบรรเลงดังคลอออกมาจากลำโพงอันเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้กระเช้าต้นไม้ตกแต่งร้าน คนตัวเล็กเผลอยิ้มลำพังยามคิดว่าการตัดสินใจมาหางานทำของเขาเป็นเรื่องถูกต้อง

แววตาเป็นประกายเหลือบสบเข้ากับเจ้าของร้าน ซึ่งจับจองโต๊ะตัวหนึ่งไว้สำหรับทำงาน นาวาส่งยิ้มตอบ นิ้วเรียวเลื่อนขยับแว่นสายตาก่อนจะผละออกจากแลปท็อป เดินตรงมาทางนี้

“เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”

เขารีบส่ายหัวหลายที เรียกรอยยิ้มใจดีได้อีกครั้ง

“เดี๋ยวพี่มานะ มีอะไรก็ถามพี่ยศละกัน”

“ครับ”

นาวาตบบ่าเป็นกำลังใจให้พนักงานใหม่ตัวน้อยขวัญใจเพื่อนสนิทเขาเอง ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากร้าน สายตาคมกริบกวาดมองทั้งซ้ายขวา เรียวขายาวย่องไปทางร้านกาแฟตรงข้าม Napoli กระจกบานใหญ่ฉายให้เห็นโต๊ะหน้ากลมทรงเตี้ยวางเรียงกันสามชุด ที่มุมท้ายสุดมีผู้ชายหน้าตาน่ากลัวกำลังก้มๆ เงยๆ สลับกับการยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ สาบานเลยว่าต่อให้หล่อราวเทพบุตรขนาดไหน ผู้หญิงแถวนั้นก็คงไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้หรอก

เขาส่งยิ้มให้กับพนักงานร้านซึ่งคุ้นเคยกันดี เลี้ยวขวาไปยังจุดหมายซึ่งดูท่าว่าจะยังไม่สังเกตว่าเขากำลังเดินมา มันน่าขำที่วันเสาร์ยังไม่รู้ตัว ทั้งที่เขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ สงสัยจิตใจไม่อยู่กะเนื้อตัว ป่านนี้คงลอยไปถึงในร้านของเขาล่ะมั้ง

“เฮ้ย” ตัดสินใจโพล่งออกไป จนคนบนเก้าอี้ถึงกับสะดุ้ง “ยังไม่กลับอีกเหรอคุณชาย”

“อะไรมึง”

“กูเนี่ยต้องถามว่าอะไรของมึง ทำไมไม่กลับไปอีกอะ”

“แล้วกูมานั่งดื่มกาแฟไม่ได้หรือไง”

เขาส่ายหน้า ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้าม “มึงทำตัวเหมือนคุณพ่อหวงลูกสาว”

“เหอะ กูเป็นยิ่งกว่าพ่อมันอีก”

“เป็นอะไร”

คนอีกฝั่งชะงักไปนิด เอ่ยตอบเสียงเรียบไม่น่าเชื่อ “ก็เจ้าของชีวิตมันไง กูซื้อมันมาตั้งล้านนึงนะ มึงลืมเหรอ”

“เฮ้อ มึงนี่นะ” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องส่ายหน้าเอือมระอา

ถ้าคิดว่าวันเสาร์เป็นผู้ใหญ่สุขุมมีเหตุผลและแข็งกระด้างล่ะก็ คุณคิด…ผิดครับ! ขอเอาชื่อตัวเองในฐานะเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมเป็นเดิมพันเลยว่าวันเสาร์ที่คนอื่นเห็นน่ะแค่ภาพลวงตาชัดๆ ความจริงผู้ชายคนนี้เปราะบางเหมือนเศษแก้ว ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง มักซ่อนความเหงาเอาไว้เสมอ และเบื้องหลังของคนไม่มีหัวใจ ความจริงแล้วโหยหาความรักยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น

และที่ตอนนี้มานั่งปั้นหน้าเป็นตูด ก็คงเพราะกลัวเด็กคนโปรดหนีไปจากอ้อมอกตัวเองแน่ๆ

“ไอ้วา มึงรู้ไหมว่าทำไมหนึ่งถึงอยากทำงาน”

รอยยิ้มมุมปากถูกเก็บซ่อนอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้สิ อยู่บ้านเบื่อๆ รึเปล่า”

“เบื่ออะไรวะ”

“เบื่อมึงไง” เขาแกล้งหยอก แล้วตามหยอดด้วยคำถามสะกิดใจ “แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากให้หนึ่งออกมาทำงานล่ะ เป็นห่วงเหรอ หรือว่าคิดถึง”

แต่ถ้าให้เดา คงทั้งสองอย่างนั่นแหละ

“พูดอะไรของมึง” อีกฝ่ายรีบปั้นหน้าขรึมกว่าเก่า

“ตอบสิ”

“กูก็แค่คิดว่ามันไม่จำเป็น อยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ ทำไมต้องพาตัวเองมาลำบาก ไม่เข้าใจ”

“โหมึง ทำงานร้านกูไม่ได้ลำบากขนาดนั้นนะเว้ย”

คนสูงกว่ามีท่าทางสับสนและหงุดหงิดกับตัวเอง คำพูดแสนเย็นชาหลุดออกจากปากยามที่ถูกต้อนแทบจนมุม “แต่กูไม่ได้ซื้อนับหนึ่งมาเพื่อทำงานร้านอาหาร”

“ไอ้เสาร์” เขาเอ่ยเสียงต่ำลงในทันที ใบหน้าเหนื่อยใจส่อแววจริงจัง “นี่มึงคิดว่าหนึ่งเป็นแค่ทาสอารมณ์ของมึงเท่านั้นเหรอ”

คำถามของเขาคงส่งผลอยู่บ้าง คนตรงข้ามถึงได้หยุดเถียง แทบยังหลบตาหนีเสียอีก

“กูดูออกนะว่ามึงไม่ได้เห็นหนึ่งเป็นแค่นั้น เพราะงั้นมึงก็อย่าทำกับเขาเหมือนเป็นทาสมึงสิ ให้เขาได้ใช้ชีวิตบ้าง”

“…”

“หรือถ้าเป็นห่วงมากนักก็ไปนั่งเฝ้าในร้านเลยไป กูอนุญาต”

สุ้มเสียงไม่สบอารมณ์ดังลอดออกจากลำคอหนา หากก็ยอมลุกออกจากเก้าอี้แต่โดยดี สงสัยว่าคงเป็นห่วงมากจริงๆ วันเสาร์เดินตามเขากลับไปยังประตูร้าน Napoli ซึ่งมีแบงค์ยืนต้อนรับแขกอยู่ ได้ยินเสียงพึมพำแว่วขึ้นเบาๆ สงสัยว่าคุณชายด้านหลังเขาจะกำลังพยายามสรรหาข้ออ้างมาอธิบายการกลับมาของตัวเอง

ฝีเท้าหนักของเราทั้งคู่สะดุดเมื่อผลักประตูเปิดออก ภาพของพนักงานใหม่เอี่ยมทิ้งตัวลงในวงแขนของคนที่ดูเหมือนเป็นลูกค้าผู้ชายในชุดสูทผูกไทราคาแพง ใบหน้าของสองคนนั้นห่างกันราวไม้บรรทัด ถ้าเป็นฉากในละคร ก็ต้องเป็นตอนที่พระเอกเจอนางเอกครั้งแรก ก่อนจะตกหลุมรักเป็นแน่

“เฮ้ย!” ไวกว่าความคิด เขารีบกระชากแขนเพื่อนเลือดร้อนเอาไว้ทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตที่กำลังแผ่ขยายไปทั่ว คนอื่นๆ ในร้านเริ่มหันมามองพวกเราเป็นสายตาเดียว

ฝ่ามือหนาคว้าอุดปากวันเสาร์ไว้ พยักหน้าเรียกให้ทรงยศเข้ามาช่วยปราม เขาก้มหัวให้กับลูกค้าซึ่งดูจะตกใจกับผู้มาใหม่เมื่อครู่

“ขอประทานโทษนะครับ คุณลูกค้า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”

“พี่วา” นับหนึ่งรีบผละตัวออก แล้วแทรกขึ้นทันควัน “ผมผิดเองครับ เมื่อกี้เดินไม่ระวังไปชนคุณลูกค้าท่านนี้เข้า เกือบล้ม แต่เขาช่วยดึงตัวไว้ทัน”

เจ้าของร่างเล็กตีสีหน้าลำบากใจ เอาแต่หันไปก้มหัวขอโทษขอโพยคนในชุดภูมิฐานไม่รู้กี่รอบจนอีกฝ่ายต้องรีบยกมือขึ้นห้าม

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน”

“ยังไงเชิญที่โต๊ะก่อนครับ ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นพิเศษอยู่ด้วย” นาวาผายมือไปยังทางเดิน ลูกค้าคนอื่นๆ เลิกสนใจพวกเขาและหันกลับไปรับประทานอาหารต่อ บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายจนกลายเป็นสงบในที่สุด

ใช่ อาจจะสงบสำหรับคนอื่นในร้าน แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กเสิร์ฟคนใหม่ เมื่อวันเสาร์สาวเท้าเข้ามาลากข้อมือเขาออกไปด้านนอกอย่างถือวิสาสะ และไม่มีใครกล้าเอ่ยปากห้าม

น้ำเสียงดุดันยื่นคำขาด ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามใดๆ “เลิกทำงานซะ”

“อะไรกันครับพี่เสาร์”

“นายมาทำงานแล้วก็โดนลวนลามแบบนั้น ชอบหรือไง”

“ผมไม่ได้โดนลวนลาม!” เขาหวีดร้อง ใช้จังหวะนี้สะบัดแขนออกจากการเกาะกุม

แววตาแข็งกร้าวน่ากลัวจ้องเขม็ง และเขานึกสงสัยว่านอกจากน่ากลัวแล้วมันยังแฝงความรู้สึกอื่นไว้อีกไหม อารมณ์แปรปรวนของวันเสาร์ในช่วงนี้มันทำให้เขาเบื่อหน่ายก็จริง แต่มันก็ทำให้เขาสงสัยเต็มอก ความคาดหวังเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายในหลุมลึกของจิตใจ หากว่าเขาจะเข้าข้างตัวเองมากขึ้นสักนิด

ก็คงจะคิดว่า…กำลังถูกหวงแน่ๆ

แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง…กับผู้ชายตรงหน้าคนนี้

“ถ้าฉันสั่งว่าไม่ให้ทำ ก็คือไม่ให้ทำ”

วันเสาร์ก็คงจะแค่เอาแต่ใจเหมือนทุกทีเท่านั้นแหละ…

 

----------------------------------------------------------------------------------------------

ถ้าหนูกำลังคิดว่าพี่เสาร์หวงหนูอยู่ล่ะก็ หนูคิด.....ถูกค่ะ! ส่วนอิพี่เสาร์ ถ้ายังปากหนักมากนักก็ระวังมีดบินไว้ให้ดี ทีมแม่เตรียมแสตนบายรออยู่แร้ว จัม!

ตอนนี้ก็มาแบบสั้นๆ ส่วนตอนหน้านั้น....ไม่มีอะไรให้ด่าเลยค่ะ อุๆๆๆ

ป.ล. เสาร์หน้างดนะคะ เจอกันอีกทีปีหน้าเลย Merry Christmas & Happy New Year ล่วงหน้าเลยละกันค่า ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม และเป็นกำลังใจให้มาตลอดน้า ปีหน้าก็จะขยัน(อู้งาน)ปั่นต้นฉบับเหมือนเดิมค่ะ ชุ้บๆ


 :กอด1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ปากหนักจริงพี่เสาร์มีคนมาจีบนับหนึ่งเพิ่มจะรู้สึก

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องหนึ่งทำให้อิพี่มันหึงอีกเยอะๆรู้ก หมันไส้คนปากหนัก!

ออฟไลน์ Cyclopbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ปากหนักกว่าพี่เสาร์มีอีกมั้ย

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบสี่

 

“พี่วา ทำไมพี่เสาร์งี่เง่าแบบนี้” น้ำเสียงหงุดหงิดกรอกใส่โทรศัพท์เครื่องบางในมือ คนปลายสายหัวเราะน้อยๆ

“เพราะมันเป็นห่วงหนึ่งไง”

“พี่เสาร์เนี่ยนะจะเป็นห่วงผม”

“อือ ทั้งห่วงทั้งหวงเลยแหละ”

“มั่วแล้วครับ” เขาว่าเสียงอ่อย ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมลำคอที่ทำท่าจะกลายเป็นขวดมะเขือเทศในไม่ช้า ให้ตายก็ไม่เชื่อว่าเจ้าชายเย็นชานั่นจะมาหวงอะไรเขาได้ นี่นับหนึ่งนะ…ไม่ใช่วันศุกร์สักหน่อย

ถึงแม้ว่าการกระทำของวันเสาร์จะดูคล้ายว่าเป็นแบบนั้นก็เถอะ

“แล้วนี่พรุ่งนี้จะเอาไงดี ให้พี่ไปรับไหม”

“พี่เสาร์จะยอมไหมอะครับ”

“ไม่ยอมก็หนีออกมาเลย เดี๋ยวพี่ช่วย” นาวายังคงพูดติดตลก และถึงมันจะฟังดูน่าขำ แต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ ให้หนีจากวันเสาร์ ก็เหมือนเหยื่อที่กำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของฆาตรกร มันน่าจะยากประมาณนั้นเลยมั้ง

แต่จะยังไงก็เหอะ…เขาไม่ได้มีความคิดที่จะหนีสักหน่อย

“ผมคิดว่าพี่เสาร์แค่อยากขังผมไว้ให้คอยบำเรอพี่เขาอย่างเดียว”

“โหหนึ่ง ทำไมมองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้”

“ก็ถ้ามองโลกในแง่ดีแล้วมักจะผิดหวังนี่ครับ”

คนโตกว่าเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาล่ะนึกสงสารเด็กดีแบบนับหนึ่ง ชีวิตปกติสุขกลับพังทลายในชั่วข้ามคืน ชะตากรรมเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทั้งถูกบังคับให้เป็นเด็กเล้า แถมตอนนี้ยังมากลายเป็นราพันเซลของไอ้เสาร์ซะงั้นอีก ถ้าจะฝังใจจนกลัวขึ้นสมองก็คงไม่แปลก

“เอาล่ะ ยังไงพี่จะช่วยคุยให้ละกัน แต่หนึ่งก็ต้องช่วยด้วยนะ”

“ช่วย…ยังไงอะครับ”

“อ้อนไง ไปอ้อนไอ้เสาร์สิ”

“หา”

 

-----------------------------------------------



ก๊อกๆๆ

ไม่ว่าวันเสาร์จะห้ามเขาทำงานด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะอารมณ์เสียที่เขาแข็งข้อ เพราะอยากขังเขาไว้ในหอคอยให้คอยบริการตัวเองเท่านั้น หรือจะเพราะว่าห่วงว่าหวงอย่างที่พี่นาวาสันนิษฐาน ซึ่งเขาเชื่อสนิทว่าคงไม่จริง แต่ลงท้ายก็จบเหมือนกันคือเขาต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองได้กลับไปทำงาน!

ถ้าดื้อ ก็ไม่ได้โดนตามใจ งั้นก็คงต้องลองไม้อ่อนดูบ้างจริงๆ ล่ะมั้ง

“เข้ามา” เสียงขานรับดังลอดออกจากช่องประตู เขารีบกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดออก

วันเสาร์ย่นคิ้วทันทีที่เห็นหน้าเขา หนังสือในมือถูกพับเก็บไว้ข้างหมอน ดวงตากลมกะพริบมองพื้นที่ว่างบนเตียงหลังใหญ่ซึ่งมันเคยเป็นของเขาเมื่อไม่กี่คืนก่อน

“มีอะไร”

“เอ่อ…คืนนี้ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ” อยากตบปากตัวเองจัง ให้ตาย

ไม่มีคำตอบของคำถาม นอกจากการขยับตัวชิดขอบเตียงด้านหนึ่ง พอให้เขาได้แทรกกายเข้าไปเติมเต็มช่องว่างตรงนั้น มือเล็กดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเรียวขาซึ่งโผล่พ้นออกมาจากกางเกงนอนขาสั้นลายพระจันทร์ ใบหน้าหวานเอียงคอมองอีกฝ่าย

“พี่เสาร์อ่านหนังสืออยู่เหรอครับ”

“อืม”

“พี่เสาร์ยังไม่ง่วงเหรอ”

“ยัง”

“แล้วพี่เสาร์…”

เสียงกระแอมในลำคอดังขัด แววตานิ่งสนิททำเอาเขาประหม่า “อยากจะพูดอะไรกันแน่”

“พี่เสาร์ ให้ผมกลับไปทำงานที่ร้านพี่วาเถอะนะครับ”

เขาเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ถือวิสาสะเอื้อมกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างหน้าไม่อาย และถึงแม้ว่าวันเสาร์จะดูแปลกใจ แต่ก็ยังยอมให้เขาเล่นละครลิงต่อโดยไม่ขัดขืน

“นะพี่เสาร์ น้าา”

“เฮ้อ” คนตัวสูงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเบือนศีรษะหนีไปทางอื่น เล่นเอาเขาหน้าเสีย แต่ก็ใช่ว่าจะยอมล้มเลิกง่ายๆ

“ผมรู้นะว่าจริงๆ แล้วพี่เสาร์ใจดี เพราะงั้นให้ผมไปทำงานเถอะนะ นะครับ”

เนี่ย ก็คืองัดลูกอ้อนออกมาที่สุดแล้ว สาบานเถอะว่าตลอดชีวิต 17 เกือบจะ 18 ปี เขายังไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย และเพราะว่าไม่เคยนั่นแหละ คงทำให้มันออกมาดูปลอมเปลือกและทุเรศลูกกะตาน่าดู วันเสาร์ถึงได้หมดความอดทนจนสะบัดมือเขาออก

คำตอบแสนสั้นหากตัดสินชะตาของเขาอย่างเลือดเย็น “ไม่”

ตากลมแป๋วเมื่อครู่หมองลงทันทีราวกับมีใครมาดับสวิตช์ เขานั่งซึมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจถามออกไปเสียงอุบอิบ

“ทำไมพี่เสาร์ถึงไม่ให้ผมทำงาน”

“ไม่ให้ทำก็คือไม่ให้ทำ ทำไมต้องถามอยู่นั่น”

“ก็พี่เสาร์ไม่มีเหตุผลนี่น่า ผมแค่อยากหาอะไรทำเฉยๆ เอง”

“ก็ทำงานบ้านไปสิ กาแฟยังชงไม่อร่อยเลย ได้ฝึกบ้างหรือเปล่า”

คนตัวเล็กบุ้ยหน้า ริมฝีปากงอง้ำไม่ปิดบัง กาแฟไม่อร่อยแล้วดื่มทุกวันทำไมอะ งง ตัวเองจะชงได้สักแค่ไหนกัน

“งานบ้านพี่ละเมียดกับพี่ละไมก็จัดการหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ผมทำเลย อีกอย่าง ผมจะได้มีเงินเก็บเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเอาแต่รบกวนพี่เสาร์ด้วย”

“ทำไม จะเก็บให้ถึงล้านนึงแล้วเอามาไถ่ตัวเองเหรอ” ดวงตาเรียวสีนิลสวย หากดุดันน่าเกรงขาม วันเสาร์จ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนอยากจะบีบคอเอาคำตอบเสียให้ได้ และนี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจคนตรงหน้าเอาซะเลย เพราะในความโกรธนั้น…เขาสัมผัสได้ถึงความกลัวปะปนอยู่ด้วย

 กลัว? วันเสาร์น่ะเหรอจะกลัว…

แล้วกลัวอะไร กลัวเขาหาเงินล้านนึงมาไถ่ตัวเองได้เหรอ อย่าพูดให้ขำหน่อยเลย

“เปล่าสักหน่อย” ตอบกลับเสียงอ่อย ก่อนจะสรรหาสักอย่างในหัวออกมาเล่าเสริมเหตุผล “แต่ก่อนผมก็รับงานพิเศษมาทำที่บ้านตลอด แล้วจู่ๆ จะให้มานั่งๆ นอนๆ ทุกวันแบบนี้ มันก็เบื่อสิครับ”

ความเงียบโปรยตัวลงปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ ขณะที่เสียงเครื่องปรับอากาศค่อยๆ ดังชัดขึ้น ก็ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะเริ่มพยายามทำความเข้าใจคำอธิบายของเขาบ้าง…เล็กน้อย

“แต่ออกไปทำงานข้างนอกมันอันตราย นายอาจจะเจอลูกค้าโรคจิตก็ได้ อย่างวันนี้ก็เห็นแล้ว”

ถามจริงงง รอบตัวเขาตอนนี้ยังมีใครเหมาะสมกับคำว่าโรคจิตมากว่าวันเสาร์อีกเหรอ

“โธ่ พี่เสาร์ วันนี้มันไม่มีอะไรเลยนะครับ บอกแล้วไงว่าผมแค่เดินชนเขา แล้วเขามาช่วยประคองไม่ให้ล้มเท่านั้นเอง” จงใจขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย น้ำเสียงหนักแน่นคงพอทำให้คำพูดเขาฟังขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย “อีกอย่าง ผมก็ไม่ใช่ไข่ในหินที่ไหนสักหน่อย จะลำบากกว่านี้ หรือโหดกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว”

“อย่างเช่น?”

ดวงตากลมวูบไหว หยาดน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้กระทั่งคนที่เอาแต่ตีสีหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดก็ยังดูตกใจ บางทีวันเสาร์ก็อาจจะหลงลืมมันไปแล้ว แต่ว่าความเจ็บปวดและความหวาดกลัวที่เคยเกิดขึ้นกับเขา จะให้ลืมง่ายๆ คงทำไม่ได้หรอก…

“อย่างเช่นการถูกบังคับให้ขายตัวมั้งครับ”

ทั้งห้องเงียบสนิท เงียบสนิทจนได้ยินเสียงผ้านวมเคลื่อน จังหวะการหายใจของเราทั้งคู่ก็ชัดขึ้นในโสตประสาท เงียบชนิดว่าถ้ามีมดเดินผ่านอยู่ใต้เตียงตอนนี้ก็คงได้ยินเหมือนกัน

เขาสูดจมูกทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้น กะพริบตาถี่ หวังไล่มวลน้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อคลออีกรอบ บางทีการพูดให้คนคนนี้เข้าใจอาจจะยากเกินไป เขาไม่น่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าวันเสาร์จะยอมใจอ่อนเพียงแค่เขามาแสร้งทำตาหวาน พูดจาออดอ้อนใส่

ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจไง ลืมไปแล้วเหรอนับหนึ่ง…

“เดี๋ยว” มือหนาคว้าข้อมือเขาไว้ในวินาทีที่ตัดสินใจจะขยับตัวลงจากเตียง “จะไปไหน”

“ผมจะกลับไปนอนที่ห้อง…ถ้าพี่เสาร์ไม่อนุญาตให้ไปทำงาน งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ”

หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเคร่งขรึมจับจ้องเขาอย่างชั่งใจ แววตาของเราสองสบกันแน่นิ่งเป็นเวลานาน วันเสาร์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมปริปากสักที และเขาก็ทำได้แค่รอเมื่อไม่สามารถหนีไปไหน ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายคลายออกเล็กน้อย ค่อยๆ เคลื่อนลงกอบกุมฝ่ามือเขาเอาไว้เพียงหลวม มันเป็นโอกาสดีที่เขาจะรีบกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งหนี

แต่ว่าอะไรบางอย่าง…กลับทำให้เขาไปไหนไม่ลง

“ก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ย

“อะไรครับ”

“นายจะไปทำงานที่ Napoli ก็ได้ ฉันอนุญาต”

ดวงตากลมเบิกกว้าง ปากแดงอ้าค้างราวกับไม่เชื่อหู “จ...จริงเหรอครับ”

“อืม”

“พูดจริงนะ”

“อือ” คนโตกว่ากดเสียงต่ำลงด้วยรำคาญ นับหนึ่งฉีกยิ้มทั้งที่เกือบจะปล่อยโฮอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ว่าความดีใจมันพุ่งพล่านเกินไปหรือเปล่าถึงได้ทำให้เขาลืมสิ่งต่างๆ แล้วโถมตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าอย่างลืมตัว วันเสาร์เซไปด้านหลัง ก่อนจะรีบประคองทั้งสองร่างเอาไว้

“ขอบคุณมากนะครับ”

“…”

“พี่เสาร์ใจดีจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงสดใสผิดกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนลิบลับ มือหนายกขึ้นกลางอากาศ ลังเลระหว่างตอบรับอ้อมกอดไม่ตั้งใจนี่ หรือควรจะรีบดึงอะไรหนักๆ บนไหล่ออกไปดี

สุดท้ายก็จบลงด้วยการวางพักไว้กับสะโพกมน และดูเหมือนว่าเด็กซื่อบื้อจะเริ่มรู้ตัวขึ้นมาบ้าง ถึงได้รีบผละออกห่างแทบจะทันทีที่เขาสัมผัสถูกจุดอ่อนไหว

“เอ่อ งั้นผมกลับห้องแล้วดีกว่า” นับหนึ่งยิ้มเจื่อน ค่อยๆ ขยับตัวไปทางขอบเตียงทีละนิด แต่ก็คงช้ากว่าอีกคนที่จู่ๆ ก็เอื้อมมาคว้าเอวเขาเข้าหา ใกล้กว่าเคย

วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอด เรียวตาคมเหลือบลงมองเขาเหมือนดั่งลูกนกตัวน้อย “อยู่นี่แหละ”

“แต่ว่า…”

“นายเป็นคนมาขอฉันนอนด้วยไม่ใช่หรือไง”

คนตัวเล็กหน้าซีด นึกอยากย้อนเวลากลับไปตบปากพล่อยๆ เขาพยายามแกะตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุม รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดถึงลำคอ

“นอนนี่ก็ได้ แต่ว่าพี่เสาร์ห้ามทำอะไรแปลกๆ กับผมนะครับ”

วันเสาร์จิ๊ปาก เน้นแต่ละคำชัดเจน “ถ้ายังพูดมาก ฉันจะ ‘ทำ’ แน่”

“งะ งั้นผมรีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย” เขารีบตัดบท ทำท่าจะล้มตัวลงบนหมอนใบเดิมที่เคยคุ้น แต่กลับถูกมือใหญ่ตรงเข้าคว้าไหล่ไว้อีกรอบ อะไรกันนักกันหนา!

“เดี๋ยว”

“อะไรอีกครับ”

“ผมยังไม่แห้ง”

“ห้ะ” คิ้วเข้ารูปเลิกขึ้นแทนข้อสงสัย เขายกมือขึ้นจับปลายเส้นผมตัวเองก็พบว่ามันยังเปียกหมาด ไม่แห้งสนิทซะทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสน

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้”

“ไม่ได้ ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะเดือดร้อนฉัน”

ถามจริง? ถ้าเขาไม่สบาย วันเสาร์จะเดือดร้อนอะไร พูดอย่างกับว่าเคยมาดูแลเขางั้นแหละ ขนาดตอนที่นอนด้วยกัน ทำเขาเจ็บจนร้องไห้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ยังไม่เห็นคิดจะมาถามไถ่เลยสักคำ อย่าให้ต้องด่านะ

“แต่ผมขี้เกียจ”

สายตาตำหนิถูกส่งมาให้ ร่างสูงโปร่งลุกออกจากเตียงพลางถอนหายใจเบาๆ ตู้เสื้อผ้าถูกเลื่อนเปิดออก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมไดร์เป่าผมขนาดกะทัดรัด คนที่นึกอยากจะทำตัวใจดีขึ้นมาเสียบปลั๊กเข้ากับแผงใกล้หัวเตียง สายไฟยาวสองเมตรลากมาถึงกลางที่นอนคิงไซส์ ซึ่งยังมีเด็กบื้อนั่งปั้นหน้าฉงนอยู่ตรงนั้น

“ผมบอกว่าขี้เกี—” เขาถูกจับหันไปอีกทางโดยไม่ทันได้พูดจนจบประโยค แรงลมจากเครื่องเป่าผม 1000 วัตต์ กระทบเข้ากับหนังศีรษะเกือบทำเอาเขาสะดุ้ง

สัมผัสอุ่นวาบจากฝ่ามือใหญ่สอดเข้ามาระหว่างกลุ่มผมนิ่ม มันเพียงพอจะปิดปากเขาให้เงียบสนิท ใบหน้าขาวแดงเรื่อจากไอความร้อน วันเสาร์เองก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน…

ละอองน้ำจากเส้นผมที่ถูกขยี้ไปมาไม่แรงนักกระเด็นปรกลงบนเสื้อนอน เสียงเครื่องใช้ไฟฟ้าดังก้องอยู่ในหูนานหลายนาทีกว่าจะสงบลง เกิดแรงเขยื้อนบนเตียง พวงแก้มใสยิ่งเห่อแดงชัดเมื่อรู้สึกได้ว่าคนด้านหลังกำลังขยับเข้ามาใกล้ แทบจะแนบชิด มือข้างที่เคยถือไดร์เป่าผมเมื่อครู่เปลี่ยนมาแตะลงบนคางมน ปลายนิ้วเรียวเชยช้อนใบหน้าของเขาขึ้นสบตากัน

ริมฝีปากนุ่มหยุ่นทาบทับเข้ากับมุมปาก ก่อนจะกดย้ำไปตามแนวสันกราม ไล้กลับมาถึงใบหูร้อนฉ่า แทบไม่เผื่อเวลาให้เขาได้เตรียมใจหรือกระทั่งตั้งตัว วันเสาร์สอดมือเข้ามาผ่านชายเสื้อ จงใจหยอกล้อกับเม็ดทับทิมที่กำลังแข็งขืนอย่างลืมตัว รอยจูบถูกฝากไว้แทบทุกจุดไม่เว้นแม้แต่กลางลำคอซึ่งน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะปิดซ่อนมันได้ไม่มิด

“อื๊อ” เขาหลับตาปี๋ ยามที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอีกฝ่ายคีบดึงจุกสีหวานแรงๆ เพราะว่าเมื่อกี้วันเสาร์ดูอ่อนโยนผิดปกติเหรอ ถึงได้ทำให้เขาไม่ทันระวัง อารมณ์ในกายพุ่งพล่านจนแทบเตลิด แผ่นหลังบางเอนซบกับแผงอกแกร่ง ปล่อยให้มือกร้านลูบอยู่กับเป้ากางเกงซึ่งเริ่มนูนเด่นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

มันยิ่งกว่าคำว่าน่าไม่อายเสียอีก เมื่อเขาเผลอแอ่นสะโพกรับสัมผัสหยาบโลน ไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่ว่าทั้งร่างของเขากำลังกลายเป็นสีแดงเหมือนเม็ดพริกที่ใกล้สุก ทั้งแดง…และร้อน…

“น..ไหนว่า จะ อือ…ไม่ทำ อะ อะไรแปลกๆ ไง..”

เขาเพิ่งจะน้ำตาซึมจากการถูกสะกิดบาดแผลในความทรงจำ และตอนนี้หยาดน้ำตาที่ว่าก็กลับเอ่อคลอออกมาอีกครั้ง หากว่าด้วยแรงกระตุ้นทางเพศบ้าๆ ซึ่งเขาภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน วันเสาร์ดูจะพอใจเหลือเกินที่แกล้งเขาสำเร็จ และเหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้น ตอนที่ฝ่ามืออุ่นผลุบหายเข้าไปในกางเกงชั้นใน กอบกุมอะไรบางอย่างซึ่งอุ่นกว่านั้นหลายสิบเท่า

“ฮ…ฮ้ะ พี่เสาร์…” เขาส่งเสียงคราง ประคองตัวเองไว้ด้วยการยกมือขึ้นเกาะต้นแขนเป็นมัดทั้งสองข้าง เสื้อนอนของอีกฝ่ายถูกเขาขยุ้มจนแทบฉีกขาด แรงรูดรั้งหนักหน่วงทำเอาสมองปั่นป่วนเหมือนว่ากำลังลอยคว้างอยู่ในเครื่องซักผ้า

ฟันซี่คมไล่ขบไปตามลาดไหล่ รอยบนผิวตั้งแต่เมื่อคืนวานยังไม่จางลง แถมตอนนี้จะยิ่งเห็นชัดมากขึ้นอีก วันเสาร์แหย่ลิ้นเข้าไปในหูเขาสองสามครั้ง เล่นเอาขนอ่อนลุกชัน

“พะ..พี่เสาร์ หยุดเถอะครับ” คำพูดติดๆ ขัดๆ ถูกเปล่งออกไปอย่างยากลำบาก เขารู้สึกเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง มันทรมาน…

“หืม…” มือหนาวนเวียนหยอกเย้าอยู่กับแก่นกายสั่นระริก ถูกชะโลมไปด้วยหยาดของเหลวซึ่งเริ่มปริ่มออกมา รอวินาทีทะลัก “แต่ดูเหมือนตรงนี้ของนาย ไม่อยากให้หยุดนะ”

“อื๊อ!” นิ้วโป้งกดลงบนสุดส่วนหัวของมัน ร่างกายของเขาบิดเร่า เรียวขาขาวขยับถูไถไปมาด้วยเหลืออด ลิ้นชื้นลากไปตามซอกคอรวมทั้งกกหูทำเขาอยากจะคลั่ง

“พี่เสาร์ อื้อ..อ ผมจะ..”

แทบไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ ก็พอจับความได้ว่าอารมณ์สุขสมมันกำลังแล่นพล่านเตรียมตัวปะทุ เจ้าของร่างสูงยกยิ้ม พร้อมเพิ่มความเร็วจากมือขวา นิ้วทั้งห้าอีกข้างคอยช่วยปรนเปรอส่วนบน ไม่ยอมให้หลงเหลือพื้นที่ว่าง

“อ้ะ..อ๊า!”

นับหนึ่งกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่ความอัดอั้นภายในกายจะถูกปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามืออีกฝ่าย เขาแอ่นหน้าอก กระตุกอยู่ไม่กี่ครั้งจึงทิ้งตัวลงดังเดิม เสียงหอบหายใจหนักๆ ดังระงมไปทั่วห้อง

“พี่เสาร์…นิสัยไม่ดี ไหนบอกจะไม่ทำอะไรไงครับ” คนตัวเล็กบ่นอุบขณะรวบรวมสติกลับเข้าร่าง แต่คำพูดของเขามันไม่เคยมีน้ำหนัก คนด้านหลังถึงไม่แยแส แถมยังตามมากดจูบลงบนบ่าซ้ำอีกไม่รู้กี่รอบ

ราวกับว่าเรี่ยวแรงมันถูกดึงออกไปพร้อมกันด้วย ขนาดจะลุกยังล้มอยู่เรื่อย จนคนที่แกล้งให้เขาอยู่ในสภาพนี้ต้องอาสาช้อนตัวเขาขึ้น พาไปทำความสะอาดในห้องน้ำ อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบบ้าง ถึงตลอดมาจะไม่เคยมีเลยก็ตาม

วันเสาร์จัดการพาเขาไปเปลี่ยนกางเกง แล้วยังประคองกลับมาถึงเตียงโดยสวัสดิภาพ ไม่แตะต้องอะไรอีก แม้ว่าเมื่อครู่จะทำให้เขาอยู่ฝ่ายเดียว ไฟในห้องดับลง เขานอนตะแคงอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเรียบร้อย

“หนึ่ง” เสียงทุ้มดังแทรกความมืด แค่คำเรียกสั้นๆ ก็ทำให้เขารู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป

ร่างกายเบาโหวงจากเหตุการณ์แปลกๆ เมื่อครู่ ขยับเข้าไปซุกตัวอยู่ในวงแขนแกร่ง สบู่กลิ่นธรรมชาติโชยออกมาจากแผ่นอกหนาชวนหลงใหล อดไม่ได้ที่จะฟุบหน้าลงแนบบนนั้น

คนโตกว่าลูบหลังเขาเหมือนต้องการกล่อม ปลายจมูกโด่งจรดสูดดมความหอมจากกลุ่มผมแห้งสนิทด้วยฝีมือตัวเอง เวลาแค่ไม่กี่คืนที่ต่างฝ่ายต่างต้องนอนหลับไปเพียงลำพัง มันช่างอึดอัดราวกับว่าห้องนอนกว้างใหญ่นี้กลายเป็นห้องขัง อากาศเย็นเท่าเดิมยังกลายเป็นว่าหนาวเกินไป ผิดกับชั่ววินาทีนี้ถนัด

“พี่เสาร์…ขอบคุณนะครับ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่เจ้าเด็กน้อยในอ้อมกอดจะจมลงสู่นิทรา

รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหวานยามเปลือกตาปิดสนิท มันทำให้คนที่กำลังแอบมองอยู่นึกขำ หลับแล้วยังยิ้มอีกเนี่ย ปัญญาอ่อนหรือไง

อ่า…

ถ้านับหนึ่งปัญญาอ่อน งั้นเขาคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ เพราะเอาแต่จ้องคนข้างๆ จนไม่ยอมนอน...

คนที่ยังตื่นเต็มตาขยับตัวเล็กน้อย ริมฝีปากหยักเลื่อนลงฝากรอยจูบไว้กับหน้าผากมน ประโยคที่นาวาเคยบอกกับเขาดังก้องอยู่ในหัวสมองอีกครั้ง

 
‘นี่มึงคิดว่าหนึ่งเป็นแค่ทาสอารมณ์ของมึงเท่านั้นเหรอ’

‘กูดูออกนะว่ามึงไม่ได้เห็นหนึ่งเป็นแค่นั้น เพราะงั้นมึงก็อย่าทำกับเขาเหมือนเป็นทาสมึงสิ ให้เขาได้ใช้ชีวิตบ้าง’



สายตาคมเหลือบต่ำ พิจารณาโครงหน้าเรียว พวงแก้มใสยังคงสีชมพูระเรื่อยามต้องแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องสะท้อนเข้ามาผ่านบานหน้าต่าง ปลายนิ้วเย็นแตะเกลี่ยไปตามขมับสวยได้รูป

ทาสเหรอ…ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

ไม่ว่าเขาจะซื้อตัวนับหนึ่งมาและพยายามจะตีตราให้กลายเป็นสมบัติของตัวเองยังไง มันก็เป็นได้แค่เพียงจินตนาการเลื่อนลอยของเขาเท่านั้น รู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่กำลังนอนสงบอยู่ต่อหน้าเขา แท้จริงแล้วปีกกล้าขาแข้งแค่ไหน

ดื้อที่สุด รั้นที่หนึ่ง แล้วยังไม่เชื่อฟังเขายิ่งกว่าใครเสียอีก ต่อให้เขาจะขังอีกฝ่ายไว้ในกรงหรือสุดปลายยอดหอคอย คนอย่างนับหนึ่งก็คงจะหาทางทำลายมัน แล้วบินหนีไปได้อยู่ดี…

จวบจนตอนนี้ เขาเองยังไม่รู้ว่าการรับนับหนึ่งเข้ามาอยู่ด้วยเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด กระทั่งเหตุผลของมันเขาก็ยังไม่อาจหาคำตอบแน่ชัดให้กับตัวเองได้ แต่ว่าการตัดสินใจในวันนั้น กำลังส่งผลอย่างช้าๆ จนวันนี้มันทำให้เขากลัว

กลัวไปหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะหัวใจของเขาเอง…

 

 

--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
--------- ต่อ ---------





“มาทำอะไร”

วันเสาร์เอ่ยถามผู้ชายหน้าเป็นเจ้าของรถยนต์สีน้ำเงินเงาที่กล้ามาจอดขวางประตูบ้านเขาตั้งแต่เช้าตรู่ นาวาขำ แถมยังยักคิ้วขึ้นชวนให้คิดว่ากำลังถูกกวนประสาท

“กูมารับหนึ่งไปทำงาน”

“ไม่ให้”

“อะไร นี่มึงจะไม่ให้หนึ่งกลับไปทำงานจริงดิ”

“หมายถึง ไม่ให้ไปกับมึง” เจ้าของบ้านตอบกลับเสียงต่ำ เหล่ตามองเด็กในบทสนทนาที่เพิ่งวิ่งตามหลังออกมาจากบ้าน เสียงใสเจื้อยแจ้วดังขึ้นก่อนตัวเสียอีก

“พี่วา สวัสดีครับ”

“หวัดดีหนึ่ง สรุปอ้อนไอ้เสาร์สำเร็จแล้วเหรอ”

คนตัวเล็กฉีกยิ้ม ความจริงเขาอ้อนไม่สำเร็จ คำพูดคำจาแสนออเซาะทั้งหมดนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคนเย็นชา แต่น่าแปลกที่น้ำตาของเขาสามารถเปลี่ยนใจวันเสาร์ได้ ใบหูทั้งสองข้างค่อยๆ เปลี่ยนสีเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เผลอยกมือขึ้นสางผมที่เพิ่งสระสะอาดไปเมื่อคืน ความอบอุ่นของฝ่ามือหนาชัดเจนยิ่งกว่าไอร้อนของไดร์เป่าผม และความอบอุ่นที่กอบกุมร่างกายเขาไว้ ก็ยิ่งแจ่มชัดในความรู้สึก

วันเสาร์คนนั้น กำลังทำเขาสับสนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับครั้งไม่ถ้วน

“มึงจะไปไหนก็ไป เดี๋ยวกูไปส่งหนึ่งเอง” ร่างสูงปัดมือไล่เพื่อนสนิท ซึ่งเอาแต่ยืนยิ้มกริ่มอย่างหยอกล้อยามสังเกตเห็นร่องรอยแดงช้ำ ฉายชัดอยู่บนซอกคอขาวเนียนล่อสายตา

ไปอ้อนกันอีท่าไหนล่ะเนี่ย…?

“เออๆ รีบมาละกัน” นาวาตัดบทแล้วยอมกลับขึ้นรถ ขับออกจากซอย

รถยุโรปสีเทาขัดมันเคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้าน เพลงสากลฟังสบายดังคลอตลอดทาง Blue skies ของนักร้องสาว Lenka เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเขา

That it's gonna be blue skies for you and I. We'll step out of the shadows and walk into the light.

“ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างทำงาน ต้องรีบรายงานฉันทันที เข้าใจไหม” วันเสาร์เปิดปากหลังจากเงียบอยู่นาน

“ครับ”

“แล้วก็อย่าไปไว้ใจไอ้วาให้มากนัก มันไม่ได้ดีเลิศเหมือนที่นายคิดหรอกนะ”

แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะดีกว่าคนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้นะ…แต่ช่างเถอะ เขาเหนื่อยจะเถียงกับวันเสาร์แล้วเหมือนกัน เลยยอมทำเป็นพยักหน้ารับคำไปอย่างนั้นเอง ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเราก็เข้ามาถึงลานจอดรถ

คนตัวสูงเดินนำหน้าเขาไปยังประตูกระจก เมื่อมาถึงหน้าร้านก็พบว่าทรงยศ แบงค์ กับผึ้ง ซึ่งมาถึงก่อนกำลังจัดเตรียมเก้าอี้ใกล้เสร็จหมดแล้ว ทุกคนดูจะดีใจที่เห็นหน้าเขาอีกครั้งหลังจากเมื่อวานได้ข่าวว่าผู้ปกครองหน้าดุตรงนั้นอาจไม่อนุญาตให้เขากลับมาทำงาน

“วันนี้อย่าดื้อนะ” ฝ่ามือหนาวางแหมะลงกลางศีรษะทุย คนเด็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองพลางยู่ปาก ส่อแววดื้อชัดๆ

“ไม่เคยดื้อสักหน่อย”

“ไม่เคยไม่ดื้อต่างหากล่ะ” วันเสาร์สวนกลับ ดีดนิ้วเข้ากับหน้าผากมนไม่แรงนัก ก่อนจะขอตัวเดินออกจากร้าน แน่นอนว่าเขาอยากอยู่คุมจนกว่าจะเลิกงาน แต่ถ้าหากยังละเลยนัดประชุมเรื่องร้านอาหารร่วมทุนกับเจนภพอีก มีหวัง ฝั่งนั้นคงได้โอกาสตัดหางปล่อยวัดเขาเข้าจริงๆ

แผนการดำเนินงานเกี่ยวกับร้านอาหารกึ่งบาร์เป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่เพราะว่าเขาต้องการความละเอียดและรอบคอบมากเป็นพิเศษ เราพิจารณากันกระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างเช่น ชนิดของกระดาษทิชชู่ ไปจนถึงยี่ห้อกระทะในครัว เจเอง ถึงจะมองดูเหมือนไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ความจริงก็เก่งและใส่ใจมากทีเดียว เราวางแผนทุกอย่างด้วยความระวังเพื่อหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จจนอยู่ได้ ให้ไม่ขายขี้หน้าใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงนามสกุลของพวกเขาเองด้วย

“กูตัดน้องนนท์กับ BNK ออกนะงั้น” เจหยิบปากกาขีดฆ่าตัวเลือกนักร้องที่อยากเชิญมาเป็นแขกในวันเปิดตัวร้าน ซึ่งเราเริ่มจากการไล่รายชื่อศิลปินที่ต่างฝ่ายต่างมีคอนเนคชั่นอยู่บ้างเพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อ

“มึงไม่ควรใส่ BNK เข้ามาในตัวเลือกแต่แรก ไอ้ควาย”

จะเอา BNK48 มานั่งร้องเพลงในบาร์ แถมเป็นรุ่น 2 ด้วยนะ สมาชิกเกินครึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะกันเลย ทั้งที่พ่อตัวเองก็เป็นตำรวจยศใหญ่ แค่ซื้อบริการเด็กเล้าจากเจ๊หมวยยังแย่ไม่พอใช่ไหม อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าคุณอารู้เรื่องทั้งหมดนี้จะว่ายังไง ตัดออกจากกองมรดกก็ดูน้อยไปด้วยซ้ำ

“สัส ก็น้องๆ น่ารัก”

“ก็เหลือต้นกับพี่โอม กูว่าโอเคทั้งคู่ ให้มึงตัดสินใจเลยละกัน”

“เออ เดี๋ยวกูต้องเช็คคิวว่างก่อน”

“ตามนั้น”

มือถือเครื่องบางถูกหยิบขึ้นมาดูนาฬิกา พอดีกับที่คำถามจากคนตรงข้ามดังลอดเข้ามาในหู “แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อเปล่า”

“ไป”

“ไปไหน”

“ไปหาไอ้วา”

เจนภพยิ้มกริ่ม กระดิกนิ้วชี้ใส่หน้าเขาอย่างไม่กลัวตาย สาบานเลยว่าถ้าวันนี้เขาไม่ได้ตบหัวไอ้เพื่อนตัวดีสักทีคงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน

“แหม ไปหาไอ้วาหรือจะไปหาเด็กเสิร์ฟร้านมัน”

“ใคร ไอ้แบงค์เหรอ”

“ถุย! รู้อยู่แก่ใจ ทำมาเป็น” เขาล่ะนึกเกลียดตัวเองตอนเด็กๆ ที่ดันไปเลือกคบเพื่อนไม่คิดจนต้องมาทนปวดหัวอยู่แบบนี้

“แล้วถามทำไม มึงจะชวนกูไปไหนหรือไง”

“เออ ทีแรกก็ว่าจะชวน แต่มึงคงไม่สนใจกู เพราะมีคนอื่นที่สำคัญกว่าแล้วนี่” เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลทองกระแดะทำปากยื่นปากงอแกล้งแซวเขาไม่หยุด จนขีดความอดทนของเขาชักจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ในชีวิตกู มึงก็สำคัญน้อยที่สุดอยู่แล้ว”

เขาทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางประตูบานเลื่อน มีเสียงสบถก่นด่าไล่หลังตามมาไม่ห่าง “ไอ้เหี้ยเสาร์ กูจะฟ้องหนึ่ง!”

ฟ้องหนึ่ง?

เหอะ ไอ้เจไร้สาระขึ้นทุกวัน สงสัยคงเข้าใจอะไรผิดๆ ถึงได้ชอบมาแกล้งเขานัก ไอ้วาก็อีกคน ศุกร์ก็ด้วย ไม่เว้นแม้แต่พี่ละเมียด พี่ละไม กับลุงชัย ทุกคนคิดว่าเด็กลูกเจี๊ยบนั่นสำคัญกับเขาขนาดไหนกันเชียว…

 

 -----------------------------------------------



“อะ ซื้อมาให้” ถุงพลาสติก ด้านในบรรจุถ้วยไอศกรีมไซส์ใหญ่ถูกยื่นออกไปตรงหน้า ผู้ชายในชุดยูนิฟอร์มใหม่เอี่ยมเอียงคอมองเขาอย่างแปลกใจ

“อะไรครับ”

“ไอศกรีมไง ตาบอดเหรอ”

“ซื้อให้ผมเหรอครับ”

“หูหนวกด้วยใช่ไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งติดจะรำคาญ ขณะยัดถุงใบนั้นใส่มืออีกฝ่ายซึ่งยังดูสับสน เจ้าของร้านเดินทอดน่องออกมาส่งสายตาจับผิดใส่เขาแทบจะทันทีที่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่

“อะไรวะ มึงคุยงานเสร็จแล้วเหรอ เพิ่ง 6 โมงเอง”

“เออ”

นาวาหลุดขำ ได้แต่คิดในใจว่าวันเสาร์ช่างปากหนักเหลือเกิน ทั้งที่ดูออกง่ายขนาดนั้นว่าทั้งเป็นห่วงแล้วก็คิดถึงมากขนาดไหน วางพนันเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีติดคุยงานกับเจนภพ มีเหรอจะอยากกลับไปแบบนั้น มีหวังได้นั่งเฝ้ายาวเป็นจอมปลวกเกาะติดร้านแน่ๆ

ดวงตาเรียวกวาดสำรวจไปทั่ว เห็นว่าวันนี้ลูกค้าไม่ได้เยอะนักจึงกล้าเอ่ยปากขอ หรือจะพูดให้ถูกก็คือออกคำสั่งซะมากกว่า “ไอ้วา ให้หนึ่งพักก่อน”

“แล้วแต่คุณชาย จะพาเจ้าหญิงกลับบ้านเลยก็ได้ กูอนุญาต” คนเป็นเพื่อนยักไหล่ แต่เขาก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนจะลากเด็กเสิร์ฟคนใหม่ไปยังโต๊ะด้านในสุด ฝาถ้วยเปิดออกปรากฎเป็นไอศกรีมลูกโตถึงสามเฉดสี

นับหนึ่งกะพริบตามอง…ช็อกโกแลต วานิลลา สตรอเบอรี่ ล้วนแต่เป็นรสชาติโปรดของเขาทั้งสิ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มกว้างยามคิดว่าคนไม่แคร์โลกแบบวันเสาร์ เกิดจะความจำดีอะไรขึ้นมา ถึงได้เลือกไอศกรีมตรงกับใจเขาทุกอันไม่ผิดเพี้ยน ถ้าจะชมว่าใส่ใจกระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็ดูไม่ใช่วันเสาร์เอาซะเลย

น่าประหลาดใจจริงๆ

“รีบกินสิ เดี๋ยวก็ละลายหรอก”

คนตัวเล็กหยิบช้อนพลาสติกขึ้นตักส่วนของวานิลลาเข้าปากก่อนใครเพื่อน ความเย็นและความหวานละลายหลอมรวมกันอยู่ในโพรงปาก แทบจะทำให้เขาลืมอาการเมื่อยล้าจากงานทั้งวันไปได้เป็นปลิดทิ้ง เขาจงใจตักไอศกรีมสีชมพูจนพูนช้อน ยื่นออกไปจ่อหน้าอีกฝ่าย

“พี่เสาร์กินด้วยสิ”

“ไม่เอา”

“กินนน” น้ำเสียงยานคางทำเอาคนตรงข้ามเลิกคิ้ว ไม่ยอมขยับตัวจนคิดว่ากลายเป็นหิน

และในวินาทีที่เขากำลังจะยอมแพ้ วันเสาร์กลับเผยอปากออกแล้วรับเอาไอศกรีมสตรอเบอรี่เข้าปากอย่างจำใจ นับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของวัน ไม่สิ ของทั้งชีวิตนี้เลยดีกว่า ต้องจดไว้แล้วเอากลับไปเล่าให้แม่บ้านทั้งสองคนฟัง เดาได้เลยว่าพี่ๆ คงตกอกตกใจกันน่าดู

ท่าทางพะอืดพะอมทำเอาเขาเผลอกลอกตา วันเสาร์ทำเป็นยกมือขอน้ำเปล่าจากพี่ผึ้งที่เพิ่งเดินผ่านมาพอดี อย่างกับว่ากินของหวานแล้วมันจะตาย ทั้งที่ก็ดื่มกาแฟหวานๆ ฝีมือเขามาได้ตั้งเกือบเดือนยังไม่เห็นเป็นไร น่าหมั่นไส้ชะมัด

เจ้ามือไอศกรีมตรงหน้าไอโคลกอยู่สองสามที ก่อนจะหันมาถามเขาเรื่องอื่น ดูเหมือนเพิ่งนึกออก “แล้วนี่กินข้าวเย็นรึยัง”

“เพิ่งกินไปก่อนพี่เสาร์มาถึงแป๊บเดียวเองครับ”

“กินอะไร”

“พี่วาซื้อข้าวผัดกิมจิมาให้อะครับ ไม่เคยกินเลย เพิ่งได้ลอง อร่อยดี”

นิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะอย่างคนใช้ความคิด ข้าวผัดกิมจิไม่เคยกินมาก่อนเหรอ ตอนที่พี่ละเมียดซื้อกุ้งเผามาก็บอกว่าไม่เคยกิน สปาเกตตี้ก็เพิ่งได้กินครั้งแรกที่ร้านไอ้วา นี่ยังไม่นับบลูเบอรี่ชีสเค้กที่ศุกร์ลืมทิ้งไว้ในตู้เย็นนะ ทำเอาเขาเกิดอยากจะรู้เลยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาเด็กนี่เคยกินอะไรมาบ้าง

“แล้วอยากลองกินอะไรอีกไหม”

“อยากลองกินอะไรเหรอครับ…” นับหนึ่งทวน นึกถึงบรรดาเหล่าเมนูอาหารที่เขาเคยเห็นตามป้ายโฆษณาหรืออินเตอร์เน็ต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะคงจะร่ายไม่หมดในวันเดียวแน่ “อืม…ความจริง อะไรที่อร่อยผมก็อยากกินหมดแหละ”

เขาหัวเราะ ก่อนจะแกล้งยิงคำถามกลับทันควัน “แล้วพี่เสาร์ถามทำไมอะครับ ถ้าอยากกินแล้วจะพาไปกินเหรอ”

ไม่ได้คาดหวังถึงคำตอบของมันเลยสักนิด…

“อืม”

“ห้ะ?”

“ถ้าอยากกินก็จะพาไปกิน”

เอาจริงดิ นี่คือวันเสาร์แน่นะ ทำไมวันนี้มาแปลก ถ้าเป็นปกติต้องรีบตัดบทด้วยคำว่า ไม่ เสียงเข้มไปแล้ว แย่ละ ฝนต้องตก ฟ้าต้องผ่า ดินโคลนต้องถล่ม หรือว่าโลกจะแตกแน่นอนเลย!?

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ วางช้อนลงในถ้วยแล้วถือวิสาสะโน้มตัวเข้าหาคนตรงข้าม หลังมือแตะลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันด้วยความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“พี่เสาร์ไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมวันนี้ใจดีผิดปกติ”

“ปกติฉันก็ไม่ได้ใจร้ายสักหน่อย”

กล้าพูด!

“ไม่จริงอะ ปกติพี่เสาร์ใจร้ายจะตาย ใจร้ายตลอดเลย” เขากลับมานั่งตัวตรงตามเดิม คว้าเอาช้อนกลับขึ้นมา แซะเข้ากับเนื้อไอศกรีมที่เริ่มละลาย ใบหน้าบูดบึ้งไม่เห็นด้วยกับประโยคเมื่อครู่ ค่อยๆ คลายออก เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งถัดมา

“นั่นเพราะนายชอบทำตัวไม่น่ารักเอง”

หัวสมองพยายามประมวลผลและตีความคำพูดนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผยรอยยิ้มเขินๆ ใบหน้าหวานขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตากลมเป็นประกายระยับยามส่งอีกคำถามกลับไป แม้จะกระดากอายอยู่บ้างก็ตาม

“แล้วที่วันนี้ใจดี…เพราะว่าผมเริ่มน่ารักแล้วหรือเปล่าครับ”

เกิดช่องว่างความเงียบเหนือโต๊ะของพวกเราชั่วขณะ เจ้าของร่างสูงโปร่งนิ่งอัด นัยน์ตาคมวูบไหวหากไม่กะพริบเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังอึ้งกับความมั่นเกินเหตุของเขาหรือว่ากำลังสรรหาคำปฏิเสธที่จะไม่ฟังดูใจร้ายมากเกินไปอยู่ แต่พนันว่าคงไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริงแน่

“ไร้สาระ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ มือใหญ่คว้าเอาแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบขณะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

ตอนนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่ได้แต่นั่งนิ่ง ช้อนไอศกรีมหลุดออกจากมือทันทีที่สังเกตเห็นว่าใบหูของวันเสาร์กลายเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ พร้อมกับไอร้อนที่แล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใส

อย่าบอกนะว่าพี่เสาร์ก็คิดว่าเขาน่ารักจริงๆ…แบบนั้นมันช่างฟังดู…

ไร้สาระ สิ้นดี

 

 ----------------------------------------------------------------------------------------------

จ้าาาาา วันเสาร์ จ้าาา น้องน่ารักก็บอกสิว่าน่ารัก! ตอนนี้ไม่มีอะไรจะด่าพี่เสาร์เลยนะคะ รู้สึกไม่ชิน //เกาปาก ส่วนตัวแอบประทับใจพี่เสาร์ตอนเป่าผมให้น้องมาก ทำไมพี่ถึงอ่อนโยนล่ะคะ ขอทวงคืนคำด่ากับรอยมีดทั้งหมดที่ผ่านมาได้ไหม ฮรุก

ช่วงนี้แต่งได้ช้าหน่อย เพราะงานเยอะด้วย แล้วก็ติดอ่านนิยายด้วยค่ะ 555555555 เป็นการกลับมาอ่านนิยายในรอบ 3 ปีเลยอะ แต่ก็จะพยายามมาอัพตามตารางให้ได้ แต่ถ้าเกิดเสาร์ไหนมาไม่ทันจริงๆ ก็ขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ ฮือออ

อย่าลืมคอมเม้นหรือทวิตติดแท็กเป็นกำลังใจให้เราด้วยน้า ปีนี้ก็สู้ต่อกันอีกปีค่ะ จู้ๆ!

ปอลู : หน้าปกกับภาพแทรกน้องศุกร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว (ส่องสปอยได้ในเพจ/ทวิตค่ะ) รอตีพิมพ์ ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะคะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะได้ออกช่วงงานหนังสือปลายมีนาค่ะ เย่


 :mc4:

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดว่าน้องน่ารักก็บอกมาเหอะพี่เสาร์ เเหมยอมให้น้องขนาดนี้อะะะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
พี่เสาฟอร์มจัดน่ารักก็น่ารักซิ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบห้า



“ไอ้ห่า มึงคิดว่ามึงเป็นใครถึงมาสั่งกู” ใครบางคนก่นด่ากลับมาผ่านสายโทรศัพท์

“เพื่อนมึงไง”

“แล้วมึงจะให้กูบอกหนึ่งว่าไง”

“ก็บอกยังไงก็ได้ ให้หนึ่งไม่ต้องไปทำงานพรุ่งนี้ โอเคนะ”

“โอเคพ่อง”

วันเสาร์กดวาง โยนเครื่องมือสื่อสารไปไว้บนเตียง ขณะนั่งรอผลลัพธ์ของแผนการ…



-----------------------------------------------



ครืด…ครืดด…

ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มหันทางซ้ายทีขวาที ควานหาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ส่วนไหนสักแห่งบนเตียง เขากดรับโดยไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา แต่ก็รู้ได้ทันทีจากแค่คำทักทายแรก

“หนึ่ง”

“ครับพี่วา”

“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ให้หยุด”

“อ่าว ทำไมอะครับ ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า” เขารีบถามกลับ และคนปลายสายก็รีบตอบกลับมาทันทีเช่นกัน

“เปล่าๆ เอ่อ พี่แค่มองว่าพรุ่งนี้ลูกค้าคงไม่เยอะ หนึ่งจะได้พัก”

“แต่ผมเพิ่งเริ่มทำงานได้สองวันเองนะครับ ไม่ต้องพักก็ได้”

“ไม่ได้” นาวาโพล่งออกมา ก่อนจะรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “คือพี่เป็นห่วงหนึ่งน่ะ กลัวจะเหนื่อยเกินไป ไม่อยากให้ไอ้เสาร์หาว่าพี่ใช้งานหนึ่งหนักด้วย เดี๋ยวมันเกิดเป็นบ้าไม่ยอมให้หนึ่งมาทำงานต่อจะยุ่ง”

“แต่ว่า…”

“เอาน่า ทำงาน 6 วัน สำหรับหนึ่งมันก็เกินไปหน่อย เอาเป็นว่าต่อไปนี้พี่จะให้หนึ่งหยุดอาทิตย์ละ 2 วันแล้วกัน เริ่มพรุ่งนี้เลย”

“พี่วา แต่ผมไม่ได้…”

“เอ่อ พี่วางสายก่อนนะ ไว้คุยกัน”

“อะ…อ่าว”

สัญญาณขาดหายไปโดยไม่ทันให้เขาพูดอะไรสักคำ ความสงสัยมากมายประเดประดังเข้ามาในสมองชวนให้คิดมากไม่ได้ว่าเขาเผลอทำอะไรไม่ดีลงไปหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ นาวาถึงมาบอกให้เขาพักงานทั้งที่เขาไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อย

แกร๊ก

เสียงลูกบิดประตูเปิดออกดึงความสนใจของเขากลับมายังโลกแห่งความจริง นึกจะพรวดพราดเข้ามาในห้องคนอื่นโดยไม่บอกเลยก็ได้แบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกเหนือจากคุณเจ้าของบ้าน พ่วงตำแหน่งเจ้าของชีวิตเขาด้วย

วันเสาร์วางจานผลไม้ไว้ข้างๆ เขา ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ใกล้กัน “พี่ละไมปอกมาให้กิน”

“ขอบคุณครับ”

“คุยกับใคร” สายตาเรียวคมเหลือบลงมือโทรศัพท์ที่ยังค้างอยู่ในมือเขา เอ่ยปากถามอย่างกับรู้ทัน

“พี่วาครับ อยู่ดีๆ ก็โทรมาบอกให้ผมหยุดงานพรุ่งนี้อะ ยังงงอยู่เลย”

“ก็ดีแล้วหนิ”

“ไม่ดีสักหน่อย ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า” เขาพึมพำกับตัวเองในท้ายประโยค

“คิดอะไรมาก ไหนๆ ก็ได้หยุดแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาออกไปข้างนอก เอาไหม”

ฝ่ามือหนาแตะลงบนกลุ่มผมนุ่ม คนตัวเล็กเงยหน้า เลิกคิ้วใส่ ก้ำกึ่งระหว่างควรจะตกใจกับวันเสาร์ที่ใจดีขึ้นผิดหูผิดตา หรือว่าแค่ตอบรับมันดี

และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เขาได้เลือก “นายอยากไปไหน”

ไปไหน…

จะว่าไปตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านวุฒิเวคินทร์ เขายังไม่ได้ไปไหนเลยนอกจาก 7-11 ในปั๊มหน้าหมู่บ้าน กับห้างสรรพสินค้าใหญ่หนึ่งเดียวในละแวกนี้ แต่พอบทโดนถามว่าจะไปไหนดีเนี่ย ก็ดันคิดยากขึ้นมาแฮะ จะกลับบ้านก็ไม่มีให้กลับแล้ว หรือว่าสถานที่ท่องเที่ยว เขาก็ไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไร

อ่า…ทำไมยากจัง นี่มันยากกว่าคำถามโลกแตกอย่าง วันนี้กินอะไรดี อีกนะเนี่ย

“งั้น…ไปวัดกันไหมครับ” ฟังดูเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ดี

แต่ดูเหมือนจะทำให้คนถามผิดหวังอยู่มากทีเดียว “นายคิดอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วเหรอ”

“กะ ก็ผมไม่ได้ไปไหว้พระนานแล้วนี่ ความจริงพี่เสาร์ก็ควรเข้าวัดบ้างนะครับ จิตใจจะได้สงบ”

“หมายความว่าไง”

“ก็จะได้ชำระล้างจิตใจ ไม่คิดฟุ้งซ่านแต่เรื่องอย่างว่า…” รังสีอำมหิตบางอย่างถูกส่งมาให้จนรู้สึกได้ เขาค่อยๆ หลุบตาหลบใบหน้าถมึงทึงเหมือนว่าจะสามารถฆ่าใครสักคนได้ด้วยมือเปล่า แสร้งหัวเราะแห้ง แล้วถอนคำพูดทันควัน “ฮ่ะๆ ผมล้อเล่นอะครับ”

“ดูเหมือนว่าคืนนี้นายจะไม่อยากหลับนะ”

“เหวอ”

เขาถูกผลักลงนอนราบ ขณะที่จานผลไม้กลับจรลีไปอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟอย่างรวดเร็ว วันเสาร์ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขาไม่ให้โวยวาย อีกข้างตรึงข้อมือไว้เหนือศีรษะทั้งสองข้าง นี่ไงเหตุผลที่ควรเข้าวัดเข้าวา จะได้เลิกเอาสมองไปคิดแต่เรื่องบนเตียง!!

เจ้าชายเย็นชาบ้าบออะไร มาดูนี่ มา! วันเสาร์น่ะมันพวกโรคจิตหื่นกามชัดๆ

“พี่เสาร์อย่าทำบาปก่อนทำบุญสิครับ” แววตาสั่นไหวพยายามจ้องสบอีกฝ่ายทั้งที่ข้างในตื่นกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือไปอย่างนั้นเอง

“ทำบาป? ฉันเห็นนายชอบจะตาย ต้องเรียกว่าช่วยสงเคราะห์ให้สิถึงจะถูก”

ให้ตายเถอะ ถ้าต่อยอีกฝ่ายแล้วเขาจะไม่โดนปาดคอตายทีหลังก็คงทำไปแล้ว ทุเรศที่สุด ใครมันจะไปชอบ ในเมื่อเขาถูกบังคับขืนใจทุกครั้ง ความจริงเรื่องของเรามันก็บาปตั้งแต่วินาทีที่วันเสาร์เลือกใช้บริการเด็กขายจากแม่เล้านอกกฎหมายแล้วไม่ใช่หรือไง สำนึกซะบ้าง!

“พะ..พี่เสาร์ อย่าครับ” เขาร้องห้ามเมื่อคนด้านบนทาบทับลงมา กดจูบเข้ากับซอกคอระหง มือซุกซนดูจะเชี่ยวชาญการปลดกระดุมซะจริง เพราะกว่าเขาจะรู้ตัว เสื้อนอนก็หลุดออกจากกัน เผยให้เห็นแผ่นอกขาวแต้มจุดสีชมพูล่อตาซะแล้ว

ริมฝีปากอุ่นวาบตรงเข้าครอบครองติ่งไตที่เริ่มแข็งชันสู้เรียวลิ้นหนา ตวัดโลมเลียมันอย่างชำนิชำนาญ เขานึกเกลียดเวลาที่วันเสาร์หยอกเล่นกับเขาตรงส่วนนั้น เพราะว่ามันรู้สึกดีจนปฏิเสธไม่ได้ และมักทำให้เขาพลาดพลั้งเสียท่าให้อีกฝ่ายทุกที

“ฮื่อ…”

เขาเผลอกัดปากตัวเองหนักๆ สองมือทึ้งศีรษะคนด้านบน แต่เรี่ยวแรงจะผลักให้ออกห่างก็แทบไม่เหลือ เรียวขาบางเริ่มสีกันไปมา สูญเสียการควบคุมตัวเองทีละน้อย และแน่นอนว่าปฏิกิริยาของเขาคงทำให้วันเสาร์ชอบใจอยู่มากทีเดียวถึงได้ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ฝ่ามือกร้านลูบวนรอบๆ หน้าท้องแบนกระเพื่อมขึ้นลงด้วยอารมณ์ล้นทะลักในกาย ลิ้นชื้นผละออกจากเม็ดทับทิมที่กลายเป็นสีแดงช้ำหลังจากโดนดูดจนเกือบนึกว่าจะหลุดออกจากอก ลากไล้ลงมาจนถึงหลุมสะดือ หยดน้ำหวานถูกเคลือบชะโลมไปตามร่องเล็กๆ นั้นอย่างวาบหวาม เล่นเอาร่างเขากระตุก ทั้งซ่านเสียวและจั๊กจี้ในคราวเดียวกัน

การหยอกเย้าของวันเสาร์เป็นมืออาชีพซะจนเขาแทบคลั่ง สติที่ค่อยๆ เลื่อนลอยพร้อมกับมือทั้งสองข้างซึ่งเปลี่ยนจากการขัดขืนมาเป็นตอบรับตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ในวินาทีที่เขากำลังจะปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเกลียวคลื่น ท้องทะเลโหมกระหน่ำกลับนิ่งสนิทลงฉับพลันเหมือนมีใครเดินมาดับสวิตช์

วันเสาร์ฝากรอยจูบสุดท้ายไว้ใต้สะดือ ก่อนจะผละออกห่าง ลุกไปหยิบจานมะม่วงเมื่อครู่มาหยิบกินหน้าตาเฉยราวกับว่าเรื่องเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเป็นแค่ความฝันลอยๆ

บ้าบอ!! แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย

“พ..พี่เสาร์” ศีรษะเล็กผงกมอง แขนทั้งสองข้างพยายามยันตัวเองกลับขึ้นนั่งตามเดิม รีบกลัดกระดุมให้เข้าที่

คนตัวสูงปรายตามองเขาพลางเลิกคิ้วกวนประสาท “หืม?”

นับหนึ่งเม้มปากแน่น รู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนยั่วโมโห “กลับห้องไปได้แล้วครับ ผมจะนอนแล้ว” จงใจกระแทกเสียงเน้นย้ำคำต่อคำ

“แน่ใจเหรอว่าอยากให้ฉันกลับ”

“ครับ!”

เขาสะบัดหน้าหนี สูดหายใจเข้าออกแรงๆ ช่วยให้อารมณ์ที่เพิ่งเตลิดกลับมาสงบ ความคิดฟุ้งซ่านในหัวถูกขจัดออกด้วยการเพ่งจุดสนใจไปยังกลิ่นหอมโชยอ่อนจากช่อดอกปีบในแก้ว และท่าทีของเขาคงไม่เป็นไปตามที่วันเสาร์คาดการณ์สักเท่าไรถึงได้ดูหงุดหงิดนัก เรียวตาคมเหล่จ้องเขานิ่ง ไม่ยอมขยับตัวแม้จะโดนไล่สักกี่ครั้ง ถ้าอยากจะยืนกร่างทำตัวเป็นเจ้าบ้านอยู่ตรงนั้นทั้งคืนก็ตามใจ เพราะเขาจะนอนแล้ว!!

“แล้วถ้าฉันไม่กลับล่ะ”

“ก็ยืนไปละกันครับ ผมจะนอน”

คนตัวเล็กตรงไปดับไฟในห้อง ไม่สนใจจะกินผลไม้จากพี่ละไมสักชิ้นก่อน ชิงกระโดดขึ้นเตียงคลุมโปงทันที วันเสาร์มองกลุ่มก้อนยุกยิกต่อหน้าก่อนจะจิ๊ปากให้กับเด็กก้าวร้าวไม่มีมารยาท แบบนี้มันน่าสั่งสอนให้ถึงเช้า จะได้รู้ว่าควรพูดจาวางตัวกับผู้ใหญ่ยังไง โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่แบบเขา

“นับหนึ่ง” เสียงทุ้มต่ำไม่ได้รับการขานตอบ เขาทิ้งตัวลงบนเตียง กระชากผ้าห่มผืนหนาเปิดออก

แววตากลมสั่นริก ถดหนีได้ไม่กี่คืบก็ถูกร่างสูงใหญ่โถมตัวทับลงมาอีกครั้ง จัดการรวบข้อมือเขาไว้ด้วยมือเดียว ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนแสงจันทร์จากนอกหน้าต่างมองดูดุดันยิ่งกว่าเสือ ก็ลืมนึกไปว่าปิศาจร้ายไม่ได้ใจดีตลอดกาล…

“ลืมแล้วเหรอว่าฉันเป็นเจ้าของบ้าน ถ้าอยากจะนอนที่นี่ก็ได้” มืออีกข้างไล่ปลดกระดุมเขาออกอีกรอบอย่างกับกำลังเล่นสนุก ก่อนจะรุกไล่สอดแทรกเข้าไปภายในกางเกงขาสั้นชิ้นบางอย่างไม่ทันให้เตรียมตัว “แล้วก็เป็นเจ้าของตัวนายด้วย ถ้าอยากจะทำอะไรกับนาย…ก็ได้เหมือนกัน”

“อ๊ะ พี่เสาร์!”

คนถูกจู่โจมสะดุ้งยามที่ปลายลิ้นอุ่นแตะเลียวนอยู่กับฐานยอดอก จมูกโด่งไล่สูดดมความหอมจากสบู่กลิ่นโปรดสลับซอกคอซ้ายขวา

วันเสาร์ส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอ จงใจเขี่ยอวัยวะบางอย่างซึ่งเริ่มแข็งขืนจากภายใน ตั้งแต่ที่ถูกโลมเลียเมื่อครู่ “จะนอนทั้งๆ อย่างนี้จริงเหรอ”

อุณภูมิพุ่งสูงแล่นริ้วขึ้นสู่พวงแก้มใสจนมันกลายเป็นสีแดงฉ่า ใบหูร้อนวูบวาบ คล้ายกับว่าตัวเองกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงด้วยความอับอาย ถ้าจะโทษใครสักคน ก็ต้องโทษวันเสาร์นั่นแหละที่มาแกล้งให้สติเขากระเจิดกระเจิงจนเสียการควบคุมแบบนี้

ให้ตายเหอะ อยากมุดดินหนีชะมัด

ขนอ่อนลุกชันเมื่อฝ่ามือหยาบร่นกางเกงนอนเขาออกไปกองอยู่บนพื้น กอบกุมเอาจุดอ่อนไหวซึ่งกำลังผงกหัวทักทายอากาศภายในห้องไว้ ออกแรงรูดรั้งเป็นจังหวะจนเขาต้องรีบกัดปากตัวเองเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์พุ่งพล่านที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

มือข้างที่เคยตรึงร่างเขาเอาไว้ผละออกเมื่อไม่เห็นทีท่าการขัดขืน เพราะคงจะต่อต้านอะไรไม่ไหวอีกแล้ว ค่อยๆ เปลี่ยนมาให้ความสนใจกับร่องจีบสีสดด้านหลัง นิ้วเรียวปาดเอาหยาดของเหลวปริ่มแก่นกายของเขา ก่อนจะกดแทรกตัวเข้าไปด้านในปากถ้ำปิดสนิท พยายามเบิกทางให้พร้อมรับมือกับอะไรที่ใหญ่กว่านี้สักสิบเท่า

ดวงตาหวานเต็มไปด้วยหยดน้ำคลอหน่วย ใบหน้าแดงเรื่อลามถึงลำตัวแทบทุกส่วน เสียงครางต่ำสูงสลับกันดังระงมไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวนิ้วของวันเสาร์ก็สอดผ่านเข้ามาในตัวเขาได้ถึงสามนิ้วแล้ว เขาถูกนิ้วเรียวปรนเปรออย่างนั้นสักพัก กระทั่งความเจ็บปวดค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ

เสียงทุ้มแหบพร่ากระซิบถามข้างหู “เข้าไปได้หรือยัง”

คนตัวเล็กเม้มปาก ปรือตามองเจ้าของโครงหน้าเรียวด้านบนซึ่งดูเหมือนจะถูกผีตนไหนเข้าสิงแน่แล้ว ถึงได้ทำให้เรื่องบนเตียงของเราตอนนี้แลดูอ่อนโยนผิดปกตินัก คนแบบวันเสาร์มีเหรอจะมาถามความเห็นความสมัครใจจากคู่นอน โดยเฉพาะเด็กที่ถูกซื้อมาเช่นเขา

มันถูกต้องตามที่อีกฝ่ายว่า วันเสาร์เป็นเจ้าของตัวเขา…ถ้าอยากทำอะไรกับเขา ก็ย่อมได้

แต่ว่านี่มัน…ผิดคาดเกินไปเยอะแฮะ

“ถ้าไม่ตอบฉันจะถือว่าได้นะ” คนตัวใหญ่พูดย้ำ แววตาสีนิลทอแสงสบกับเขา ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ เขาปิดเปลือกตาลง เลือกที่จะเบือนหน้าหนีโดยไม่ให้คำตอบใดๆ …

นิ้วทั้งสามถูกชักออก ความแข็งแกร่งเคลื่อนแตะประชิดช่องทางที่กำลังขมิบไล่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ก่อนจะบดเบียดเติมเต็มโพรงว่างเปล่าด้วยความอุ่นร้อนที่เขาเคยคุ้นกับมันดี หากว่าวันนี้ ทุกอย่างกลับแตกต่างจากทุกครั้งแทบจะสิ้นเชิง

วันเสาร์ไม่ได้พรวดพราดยัดเยียดมันเข้ามา แต่กลับทำทุกอย่างด้วยความระวัง แรงหอบหายใจหนักๆ ทำให้รู้ว่าเจ้าของชีวิตคนนี้กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไว้มากแค่ไหน หยาดเหงื่อไหลจากขมับ หยดลงจากปลายคาง หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับทนทรมานนักหนา มือสองข้างดันข้อพับขาด้านในของเด็กใต้ร่างขึ้นเพื่อให้ตัวตนของเขาแนบลึกได้มากขึ้นกว่าเดิม

แรงตอดรัดถี่รัวที่ไม่รู้ว่าจงใจหรือเผลอไผลนั่น มันกำลังจะส่งให้เขาเป็นบ้า เขาสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะพ่นออกมาทางปากเพื่อสงบสติตัวเอง โน้มตัวลงฝากรอยจูบสลับกับดูดดึงไปตามซอกคอขาวและแผ่นอกบาง แทบไม่ให้เหลือพื้นที่ว่างสักจุดเดียว

เมื่อเห็นว่านับหนึ่งเริ่มผ่อนคลายแล้ว จึงเริ่มขยับแก่นกายออก แล้วดันเข้าไปใหม่ ซ้ำๆ เสียงครางหวานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างชวนฟัง ดูเหมือนวันนี้จะหวานยิ่งกว่าทุกที

“หนึ่ง” เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนกลับมาให้หันหน้ามองกัน แววตาสีน้ำตาลเข้ม สวยที่สุดตอนที่สบกับเขา คราบน้ำตากับแก้มสีมะเขือเทศเป็นภาพที่น่ามองและกระตุ้นให้สมองปั่นป่วน มัวเมาไปกับความคลั่งไคล้ซึ่งสาบานได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน

และนั่นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองเข้าใจได้ว่าทำไม ทำไมถึงรับเด็กคนนี้เข้ามา ทำไมถึงปล่อยไปไม่ได้ และทำไมถึง…

“อื๊อ..อ พี่เสาร์ พี่เสาร์…” เขาหายใจแรงขึ้นยามได้ยินเสียงใสๆ ครางชื่อของเขาซ้ำไปมา โดยเฉพาะเมื่อร่างกายของเราเชื่อมประสานเป็นหนึ่งเดียว

นับหนึ่งซูดปากระบายความเสียวซ่าน แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอหนา ดึงรั้งเข้าหากันจนสองร่างแทบจะหลอมรวม ความเจ็บปวดอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาแทบจะกลายเป็นแค่เรื่องโกหก ในเมื่อขณะนี้มันถูกทดแทนด้วยอารมณ์สุขสมเหนือกว่าจินตนาการถึง

น่าแปลกที่เมื่อ 4 วันก่อนเขาเพิ่งจะถูกขืนใจอย่างรุนแรง จนทำเอาหัวใจรวดร้าว แต่มาวันนี้เขากลับถูกโอบกอดอย่างนุ่มนวล เล่นเอาหัวใจพองโตแทบจะระเบิดออกจากอก

มันทำให้นึกสงสัยว่า บทรักแสนด้านชาตลอดมาของวันเสาร์…มันเริ่มมีคำว่ารักเจือจางอยู่ในนั้นบ้างแล้วหรือยัง?





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------


ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
--------- ต่อ ---------





“พะ..พี่เสาร์ รอหน่อยสิครับ” คนเด็กกว่าตะโกนตามหลัง ก่อนจะรีบหุบปากเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในเขตวัด วันเสาร์หยุดขาหันกลับมามองเหมือนเหนื่อยใจ

“แล้วทำไมเดินช้าล่ะ”

ถามได้!!

“ก็…ก็ผม…” ใบหน้าตื่นขึ้นสีระเรื่อ และเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงพอเดาเหตุผลได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะปั้นหน้าเรียบเฉยรอคำตอบ ดวงตากลมหลุบหนี เอ่ยกลับเสียงอุบอิบ “ก็ผมยัง ป..ปวดอยู่เลยนี่…”

“เหรอ”

เออ! ยังจะกล้าตีหน้าตายใส่เขาอีก ก็ใครกันล่ะที่ทำให้เขาระบมไปหมดทั้งตัวแบบนี้ แค่ฉาบหน้าเป็นผู้ชายใจดีหน่อยเดียว เขาก็พลาดท่ายอมให้วันเสาร์รุกล้ำจนสมองมันขาวโพลนไปหมด อาจเพราะว่าเขาถูกล่อลวงด้วยสัมผัสอบอุ่น ทั้งที่ปกติมักจะเหน็บหนาวหรือเปล่า…มันถึงทำให้ปล่อยตัวปล่อยใจง่ายดายเพียงนั้น

เรามีอะไรกันแทบทุกท่วงท่าเท่าที่จะนึกออก ความเจ็บปวดถูกทดแทนด้วยความอ่อนโยนผิดวิสัย ก่อเกิดเป็นอารมณ์ซ่านเสียวยากเกินกว่าจะควบคุม หยาดเหงื่อไหลรินชะโลมทั่วทั้งกาย เสียงครางดังเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อนจนแทบหมดลม และถึงจะอยากโวยวายยังไง ลึกๆ แล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กิจกรรมบนเตียงที่เพิ่งผ่านไปมันวิเศษมากแค่ไหน

ความร้อนจากกายหนาไม่เคยทำให้เขารู้สึกแผดเผามาก่อนเลยจวบจนกระทั่งเมื่อคืน และเขาก็อยากรู้เหลือเกินว่าความอบอุ่นจากเขามันเคยทำให้น้ำแข็งในใจวันเสาร์ละลายลงบ้างไหม…

คนในความคิดโน้มหน้าเข้าหา คำพูดจากปากหยักแทบจะทำให้เขาลืมเรื่องดีๆ ไปจนหมดสิ้น “แต่ว่านายดูมีความสุขมากเลยนะ”

“พี่เสาร์ พูดอะไรครับ” ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เหอะ

“ก็เห็นครางชื่อฉันทั้งคืนเลย”

หมัดลุ่นๆ พุ่งเข้าใส่แผงอกแกร่งอย่างหมดความอดทน เขาเลือกระบายความขัดเขินออกจากกายด้วยการส่งเสียงฮึดฮัดแล้วกระแทกเท้าปึงปังแซงหน้าไปยังเจดีย์ทรงสูงตระหง่านเสียดฟ้า

คิดเอาละกันว่าต้องหื่นเบอร์ไหนถึงกล้าพูดเรื่องแบบนั้นในสถานที่แบบนี้ได้ ไอ้ฉายาเจ้าชงเจ้าชายน้ำแข็ง มนุษย์หิมะเอลซ่าบ้าบออะไรนั่นอะ มันหลอกลวงทั้งเพ!

สถาปัตยกรรมสีทองอร่ามตัดสลับขาว โบสถ์ขนาดโอ่อ่ามุงกระเบื้องเคลือบ ฝาผนังแต่ละฟากฝั่งล้วนแต่งแต้มไปด้วยภาพจิตรกรรมแตกต่างกันออกไป แม้จะดูเก่าแก่แต่ก็ยังคงความงดงามไว้ได้อย่างครบถ้วน ดวงตาเป็นประกายกวาดสำรวจไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น อาจจะดูเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง แต่ก็ขอบอกเลยว่าใช่ เขาไม่เคยมาที่นี่ มากสุดคือวัดโทรมๆ ในซอยบ้าน ซึ่งมักจะเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกเด็กแว้นแถวนั้นมากกว่าจะเป็นแหล่งศึกษาธรรมหรือจรรโลงจิตใจ

เราใช้เวลาไม่นานในการสักการะพระพุทธรูป แต่หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินชมความสวยงามของพระอารามหลวง จบท้ายที่ไอศกรีมกะทิจากรถเข็นฝั่งตรงข้ามประตูวัดด้านหนึ่ง

“พี่เสาร์ หมา!” คนตัวเล็กรีบดึงสะกิดชายเสื้ออีกฝ่าย แล้วชี้ไปทางลูกหมาเร่ร่อนที่กำลังเลียบเคียงมาใกล้  เขายัดถ้วยไอศกรีมใส่มือคนโตกว่าแล้วย่อตัวนั่งยอง ดีดนิ้วเรียกเจ้าหมาน้อยสีน้ำตาลจนมันยอมเดินเข้ามาให้ลูบหัวเล่นอย่างชินมือ

วันเสาร์ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะย่อเข่าลงข้างกัน ทันได้ยินคำถามบางอย่างจากปากอิ่มเจื้อยแจ้ว

“พี่เสาร์ไม่อยากเลี้ยงหมาหรือแมวบ้างเหรอครับ เขาว่ากันว่าคนที่เลี้ยงสัตว์มักจะอ่อนโยนขึ้นนะ”

“ฉันไม่มีเวลา แค่ดูแลนายคนเดียวก็แย่แล้ว”

นับหนึ่งยู่ปาก หน้าตาดื้อๆ แบบนี้แหละที่ทำให้เขาอดรนทนไม่ไหว ต้องเอื้อมมือเข้าไปบีบจมูกรั้นสักทีอย่างนึกมันเขี้ยว เขาคว้าเอาวงแขนเรียวเล็กให้กลับขึ้นมายืนเต็มความสูงดังเดิม สายตาคมลอบมองเจ้าของเสี้ยวหน้าสดใส แดงก่ำจากแรงแดดช่วงบ่ายแก่ ยืนโบกมือลาให้กับหมาข้างทางอย่างกับว่าเป็นเพื่อนเก่า

นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี “ความจริงศุกร์มีสัตว์เลี้ยงอยู่ตัวนึงเหมือนกัน”

“ของพี่ศุกร์เหรอครับ”

“อืม เป็นหมูแคระ”

“เลี้ยงหมูเหรอครับ!” น้ำเสียงตกใจระคนตื่นเต้นเกือบทำเอาเขาหลุดขำ วันเสาร์พยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะออกตัวเดินนำไปทางจุดจอดรถ “ผมไม่เคยเห็นใครเลี้ยงหมูมาก่อนเลย แล้วมันเป็นยังไงครับ น่ารักไหม ชื่ออะไร ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง”

“ถามอะไรเยอะแยะ”

“พี่เสาร์ก็ตอบซี่” เขาเหลือบตามองมือเล็กๆ ที่กำลังเขย่าต้นแขนเขาไปมาเหมือนเด็กประถมตอนอยากได้ของเล่น

“ก็หมูปกติ ตัวผู้มั้ง ถ้าจำไม่ผิด…รู้สึกจะชื่อเจ้าดื้อ”

“เจ้าดื้อ” นับหนึ่งทวนคำ ก่อนฉีกยิ้มกว้าง “ชื่อน่ารักอะ ผมอยากเจอบ้างจัง”

“ไว้จะบอกศุกร์ให้ละกัน”

เขายิ้มอีกครั้ง ขณะพาตัวเองขึ้นไปประจำตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถ พวกเราเดินหน้าเข้าไปยังซอยคับแคบไม่ห่างจากตัววัดมากเท่าไรนัก มีร้านอาหารและโรงแรมตกแต่งอย่างหรูหราและมีสไตล์แอบซ่อนตัวอยู่ริมแม่น้ำ เสียงดนตรีสากลดังคลอออกมาจากลำโพง พนักงานหญิงตรงเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างเป็นมิตร โต๊ะไม้ติดริมระเบียงซึ่งถูกจองไว้เรียบร้อยแล้วคือจุดหมาย

ท้องฟ้ายามเย็นทอแสงสีส้ม ณ ปลายเมฆ ถูกไล่หลังตามมาด้วยผืนกำมะหยี่สีกรมท่า พระจันทร์สีนวลฉายชัดขึ้นทีละนิดเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์จวนเจียนลับขอบฟ้า สายน้ำนิ่งไม่สนิท มีเรือจากท่าต่างๆ ขับผ่านเพื่อทักทายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกอย่างที่ว่ามายังตราตรึงสู้กับสิ่งเดียวตรงหน้าไม่ได้…

ปลายยอดเจดีย์สูงใหญ่ของวัดอรุณฯ ตั้งตระหง่านย้อนแสงอยู่ที่อีกฟากฝั่ง แสงไฟสีทองขับเอารายละเอียดของสถาปัตยกรรมนั้นให้ยิ่งเด่นชัด ตัดกับความมืดในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพที่งดงามที่สุด เท่าที่เขาเคยซึมซับมาในช่วงชีวิตนี้เลยก็ว่าได้

“สวยมากเลยครับ” ประโยคชื่นชมหลุดออกจากปากราวกับคำเพ้อพรรณนา อวัยวะในอกซ้ายเต้นแรงให้กับทิวทัศน์อันแสนประทับใจ ก่อนที่จะยิ่งเต้นแรงกว่าเก่าเมื่อเขาเลื่อนสายตากลับมา สบเข้ากับแววตาคม เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนไม่คุ้นชิน

วันเสาร์มองเขาเหมือนว่าเอ็นดู แทนที่จะเป็นรำคาญเช่นทุกที และเจ้าตัวก็คงไม่รู้ตัวสักนิดถึงได้ไม่ยอมละสายตาไปไหนนานหลายวินาที จนกระทั่งพนักงานคนเมื่อครู่เดินกลับมาพร้อมเมนูสองเล่ม

เขาสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง แล้วเริ่มต้นสั่งอาหารซึ่งเป็นตัวเลือกจากวันเสาร์ไปแล้วเกือบ 95% ไม่นานเท่าไร อาหารหน้าตาน่าทานนับสิบจานก็เรียงรายออกมาเสิร์ฟจนเต็มพื้นที่โต๊ะตัวยาว ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาสองคนไม่มีทางกินหมด แต่ที่ตั้งใจสั่งมาเยอะขนาดนี้ก็คงเพราะอยากให้เขาได้มีโอกาสลิ้มรสอะไรที่ไม่เคยลอง

“อันนี้ก็อร่อย ลองกินสิ” เขาแอบหยิกมือตัวเองใต้โต๊ะเพื่อในแน่ใจว่าไม่ได้กำลังนอนฝัน เพราะว่าผู้ชายที่ชื่อวันเสาร์คนนั้น กำลังลงทุนตักข้าวผัดข้นๆ ใส่จานให้เขาอยู่ขณะนี้ ตามด้วยกุ้งและปลาหมึกตัวใหญ่

“มันคืออะไรครับ”

“เรียกว่าริซอตโต เป็นข้าวผัดอิตาเลียน แต่ที่ร้านไอ้วาไม่มีหรอกนะ”

เขาเพียงแต่พยักหน้า ก่อนจะลองตักแต่ละเมนูเข้าปากทีละอย่างจนเวียนครบ เกือบทั้งหมดเป็นอาหารนานาชาติซึ่งเขาไม่เคยเห็นหรือแม้แต่ได้ยินมาก่อน ถึงจะยังไม่คุ้นปากสักเท่าไร แต่ต้องยอมรับเลยว่าอร่อยมากทุกจาน

เราตบท้ายด้วยของหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วงของขึ้นชื่อ รวมทั้งเครปราดซอสส้มซึ่งเข้ากันได้ดีกับไอศกรีมวานิลลาหวานหอม แสงสีส้มจากหลอดไฟตามมุมต่างๆ กลิ่นอากาศยามหัวค่ำ กับเสียงเพลงสลับกับเสียงคลื่นไหวๆ บรรยากาศชั้นยอดที่คนอย่างเขาไม่น่าจะมีโอกาสได้สัมผัส กลับกลายเป็นจริงทั้งที่ไม่เคยกระทั่งนึกถึงมาก่อน คงจะไม่พูดคำนี้ไม่ได้…

“พี่เสาร์…ขอบคุณมากนะครับ”

“หืม?”

“ก็ขอบคุณที่วันนี้พาผมไปไหว้พระ แล้วยังพามากินของอร่อยๆ แบบนี้อีก”

คนตัวสูงยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ในขณะที่เขาได้รับอนุญาตให้ดื่มแค่น้ำแตงโมเท่านั้น “รู้ไหมว่าคำขอบคุณที่ดีที่สุด คือการเป็นเด็กดี”

ให้ตายเหอะ พูดจาอย่างกับว่าเขาเป็นลูกชายตัวเองงั้นแหละ

“ผมก็เป็นเด็กดีอยู่แล้ว”

อารมณ์ขันเล็กๆ เคลื่อนตัวอยู่ภายในแววตาคมเข้ม วันเสาร์ลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกมาหาเขา

“ขึ้นไปข้างบนกัน”

คนที่เพิ่งจะใช้นิ้วปาดเอาคราบน้ำหวานออกจากมุมปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมวางมือลง เพราะหากปล่อยให้วันเสาร์ยืนเก้ออยู่ต่ออีกแค่นิดเดียว มีหวังเขาต้องถูกจับโยนลงแม่น้ำแน่ คุณลูกค้าประจำดูชำนาญทางมากพอๆ กับที่สนิทสนมกับเด็กเสิร์ฟเกือบทุกราย เขาแอบเห็นว่าวันเสาร์หยิบธนบัตรสีเทาไม่รู้ตั้งกี่ฉบับยัดใส่มือพนักงานชาย หันไปกระซิบอะไรบางอย่างก่อนจะกระตุกแขนให้เขาเดินตามขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของร้าน ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นอายของความเป็นบาร์ เคาน์เตอร์ตัวยาวเรียงรายไปด้วยแก้วทรงสูง สุดปลายทางเป็นระเบียงยื่นออกไปให้ชมวิวยามค่ำคืน

ในมุมมองที่สูงขึ้น เขาสามารถเห็นภาพตรงหน้าได้กว้างกว่าเดิม และความพิเศษของมันก็คือความน่าประหลาดที่บาร์แห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ทำให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นส่วนตัวชนิดที่ว่าโลกนี้มีเพียงแค่เราเท่านั้น

วงแขนแกร่งวาดโอบรอบเอวเขา วางมือพักไว้กับเชิงสะโพกมน สายตาทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ในขณะที่เขากลับถูกอะไรบางอย่างบังคับให้จับจ้องไปยังโครงหน้าเรียวมีเสน่ห์ซึ่งไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็เถียงไม่ออกว่าไม่หล่อ เพราะวันเสาร์ดูดีสมฉายาเจ้าชาย และยิ่งดีกว่านั้นเมื่อดูคล้ายว่าจะไม่ใช่เจ้าชายน้ำแข็งดังคำกล่าวอ้าง กลับกัน วันเสาร์ในตอนนี้ช่างอบอุ่น…อบอุ่นเหมือนกับดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงสะท้อนผ่านผืนน้ำด้านล่าง อบอุ่นเหมือนบทบรรเลงที่คลอผ่านให้พอได้ยินแว่วๆ

แล้วก็อบอุ่นเฉกเช่นเดียวกันกับสัมผัสจากฝ่ามือกว้างที่เขาคุ้นเคย

เขาเลื่อนสายตากลับไปยังเจดีย์สีทองอร่าม “วันนี้ผมมีความสุขมากเลย”

“พี่เสาร์พาผมไปเที่ยวทุกอาทิตย์เลยได้ไหมครับ”

ริมฝีปากแดงอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งแสดงด้านเอาแต่ใจออกไป และในอีกไม่ช้าก็คงถูกบ่นหรือไม่ก็โดนตีแน่ๆ แต่…ทุกสิ่งที่กลัวกลับไม่เกิด จนต้องเหลือบขึ้นมอง เพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมองเขาอยู่เช่นกัน

ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความหมายอะไร หากในแววตาดำสนิทคู่นั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เขาไม่กล้าเดาออก ปากเป็นเส้นตรงเผยอเปิดพร้อมคำพูดตอบรับสั้นๆ แต่ดันทำเอาหัวใจเขากระตุกไปทั้งดวง

“อืม”

เป็นอีกครั้งที่เขาต้องลอบหยิกตัวเองแรงๆ และโชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงสักหลัง แถมมันยังเจ็บจนตอกย้ำให้รู้ว่านี่คือความจริงแน่แล้ว

รู้สึกได้ว่าวันเสาร์เผลอกระชับวงแขน ทำให้ปลายรองเท้าผ้าใบของเขาขยับเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย อวัยวะในอกสูบฉีดรัวเร็ว ถูกล้างสมองด้วยการกระทำต่างๆ ซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจ ทำไมบางครั้งวันเสาร์ก็ชอบทำเหมือนห่วงเขา และบางทีมันก็เลยเถิดไปจนคิดว่ากำลังหวงด้วยซ้ำ บางเวลา เขารู้สึกว่าวันเสาร์กำลังหึง และในพริบตาหนึ่ง เขาเคยสัมผัสได้ว่าวันเสาร์กำลังกลัว…หากว่าเขาจะหายไป

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันฟังดูเหมือนการคิดเข้าข้างตัวเองอย่างน่าไม่อาย ถ้าเกิดว่าไม่จริง…เขาคงกลายเป็นคนโง่ แถมมันยังน่าสมเพช…

ถึงอย่างนั้น…เขาก็ยังอยากจะลองเสี่ยง

“พี่เสาร์…” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปค่อนข้างอ่อนหวาน มือเล็กๆ เอื้อมดึงเสื้อเชิ้ตสีเข้มเข้าหา ปลายเท้าเขย่งสูง เจ้าของร่างโปร่งเองก็ให้ความร่วมมือด้วยการโน้มตัวลงต่ำอย่างกับว่าเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ บรรยากาศยามค่ำคืน ประดับด้วยหลอดไฟเคล้าเสียงเพลงช่างดูเป็นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง

ภายในห้องอับแสง ไร้ผู้คน ใบหน้าของเราค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันราวกับเป็นผลจากแรงโน้มถ่วง หัวใจเต้นถี่จนน่ากลัวว่ามันจะดังกลบเสียงดนตรีหรือเปล่า ลมหายใจอุ่นรดรินใส่อีกฝ่าย เขาเผลอกลั้นหายใจเมื่อปลายจมูกทั้งสองแตะกันผะแผ่ว วันเสาร์เอียงคอเล็กน้อย พลางกระชับสัมผัสบริเวณเอวคอด ต่างฝ่ายต่างปิดเปลือกตาลงช้าๆ

ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะ…

“ทำไมฉันถึงจะขึ้นไปไม่ได้!”

ดวงตากลมเบิกกว้างขณะเด้งตัวผละออกจากอ้อมกอด เสียงแหลมปรี๊ดของผู้หญิงที่ไหนสักคนดังขัดขึ้นก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะทันได้เกิด เราต่างตีหน้าไม่ถูก ทำทีเป็นถูไม้ถูมือแก้เขิน แล้วหันไปให้ความสนใจกับร่างอรชรในชุดกระโปรงพลิ้วสวยซึ่งกำลังกระแทกรองเท้าส้นสูงของเธอตรงขึ้นมายังพื้นที่ชั้นสองแห่งนี้

ใบหน้ากราดเกรี้ยวคลายออกแทบจะทันทีที่เห็นหน้าของผู้ชายข้างๆ เขา เธอดูฉงนไปนิด ก่อนจะเอ่ยคำทักทายเสียงติดประหลาดใจ

“อ้าว เสาร์”

“เกศ” วันเสาร์ทักกลับ ยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่มาบังเอิญเจอเกศรา เพื่อนสมัยมหาลัย พ่วงตำแหน่งพี่สาวของนายกันติกรณ์ คนรักของน้องชายเขาที่นี่ ตอนนี้

สายตาเรียวมองเลยไปทางผู้ชายแต่งตัวดี สวมแว่นตากรอบเงินอีกคนที่เพิ่งเดินตามมาทีหลัง ใครคนนั้นส่ายหน้าให้กับผู้หญิงคนเดียวในวงล้อม

“เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้เสียงดังเชียว”

“ก็พนักงานมากันไม่ให้เกศขึ้นมาบนนี้อะพี่อิฐ งงปะ”

“แต่ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังนี่” คนชื่อเกศสะบัดหน้าหนีคำสั่งสอนซึ่งฟังดูใจเย็นมากทีเดียว

พี่อิฐอะไรนั่นส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วค่อยหันมาทักทาย “ว่าไงเสาร์ มากินข้าวเหรอ”

“ครับพี่อิฐ สบายดีนะครับ”

คนโตกว่าพยักหน้าแทนคำตอบ ทั้งเกศและอิฐเลื่อนสายตามาทางเด็กปริศนาซึ่งขณะนี้ขยับไปหลบอยู่ด้านหลังวันเสาร์เรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่…?”

“นี่นับหนึ่ง เด็กที่บ้าน” วันเสาร์มอบตำแหน่งใหม่ให้เขา อย่างน้อยก็ขอบคุณที่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนรับใช้เหมือนทุกครั้ง

“อ๋อ ศุกร์เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน” หญิงสาวส่งยิ้มเป็นมิตร แตกต่างจากภาพลักษณ์เมื่อแรกเห็นลิบ “สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อเกศนะ เป็นเพื่อนเสาร์ ส่วนนี่พี่อิฐ แฟนพี่เอง”

“ส..สวัสดีครับ”

“จะหลบทำไม” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเอ็ดน้อยๆ แล้วดึงเขาให้ออกมาพบแขกทั้งสองเต็มตา พี่เกศ…เพื่อนพี่เสาร์ รู้สึกว่าหน้าคลับคล้ายละม้ายใครสักคนหรือเปล่านะ

คนในความคิดจ้องสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “คล้ายศุกร์จังเลยนะ”

เป็นคนที่ร้อยแล้วมั้งที่คิดแบบนั้น แต่ก็แน่นอนว่าคุณองครักษ์พิทักษ์น้องชายต้องรีบแย้งแทบจะทันควัน

“ไม่คล้ายสักหน่อย ศุกร์น่ารักกว่าตั้งเยอะ อย่าเอาเด็กนี่มาเทียบกับศุกร์ได้ไหม”

“เฮ้อ” เกศถอนหายใจหนักๆ ใส่ “ยังรักน้องออกนอกหน้าเหมือนเดิม”

วันเสาร์นิ่ง คำพูดถัดมาทำเอาบรรยากาศแปลกๆ ยิ่งดูแย่มากขึ้นสักล้านเท่าพันทวี

“อืม…ก็รักไง”

เราทั้งสี่ต่างเงียบสนิทเหมือนถูกใครมาดูดเสียงหายไป หลงเหลือไว้เพียงดนตรีคลอจากลำโพงของร้าน เกศสูดหายใจเข้าปอดแล้วพ่นออกมาทางปากอย่างเอือมระอา เธอหันไปกระซิบให้อิฐลงไปรอด้านล่าง ก่อนที่เขาจะโดนคนเป็นผู้ปกครองไล่กลับโต๊ะเช่นเดียวกัน

“ไปรอที่โต๊ะก่อน ถ้าอยากกินอะไรอีก ก็สั่งได้เลย”

“ครับ…”

ความจริงเขาไม่ได้อยากกินอะไรแล้ว ตอนนี้เขาอยากกลับบ้านมากกว่า…

เหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดทั้งวันดูราวกับความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง และทั้งๆ ที่เขาเผลอหลงระเริงไปว่ามันคงไม่ใช่ความฝัน แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับพังทลายลงง่ายดายเพียงแค่คำพูดเดียว ไออุ่นจากลมหายใจอีกฝ่ายยังคงติดตรึงอยู่บนปลายจมูก ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ความสุข…มันจบลงเร็วเกินไป เขายังไม่ได้เตรียมใจเลย…

บนบริเวณบาร์ชั้นสอง ทั้งเกศและเสาร์พากันย้ายมาเกาะขอบระเบียง เธอหยุดชื่นชมวิวตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามสารทุกข์สุขดิบจากเพื่อนมหาลัยซึ่งพักหลังมานี้ ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไร

“แล้วช่วงนี้เป็นไงบ้าง”

“ก็สบายดี”

“ได้ข่าวว่าจะเปิดร้านอาหาร”

“อืม หุ้นกับไอ้เจ แต่ยังมีเรื่องต้องเตรียมอีกเยอะเลย ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมแวะมาล่ะ”

“ต้องไปอยู่แล้ว”

เส้นผมตรงยาวถึงกลางหลังถูกสะบัดพาดไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง เกศราไล่พิจารณาโครงหน้าหล่อเหลาของคนที่เธอเคยมอบหัวใจให้กระทั่งมันแตกสลายและกลายเป็นยาพิษกัดกินตัวเธอ ภายหลังเรื่องราววุ่นวายชวนปวดหัว พวกเราทั้งหมดกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันได้อีกครั้งราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลก

“แล้วเกศเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่คบกับพี่อิฐก็ไม่ค่อยเจอเลยนะ”

เธอยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ แหวนเพชรบนนิ้วนางด้านซ้ายส่องประกายล่อแสงจันทร์ “เรากำลังวางแผนจะแต่งงาน”

“ยินดีด้วย” วันเสาร์เผยรอยยิ้มจริงใจที่สุดให้กับเพื่อนคนนี้ที่เขาเคยเผลอทำร้ายมาก่อน

“ขอบใจ”

ความเงียบโปรยตัวลงภายในห้องแคบๆ เริ่มก่อตัวเป็นความอึดอัดกินเวลานานหลายนาที กว่าที่หญิงสาวจะตัดสินใจเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ

“เสาร์…น่าจะตัดใจจากศุกร์ได้แล้วนะ เหมือนที่เราตัดใจจากเสาร์” เธอขยับเข้าใกล้ วางมือลงแตะบนบ่ากว้างด้วยความเป็นห่วง “ชีวิตคนเราต้องก้าวเดินต่อไป รู้ไหม”

“…”

“คนที่เกิดมาเพื่อคู่กับนายอาจไม่ใช่วันศุกร์ แต่เป็นคนอื่นก็ได้ แต่ถ้ายังเอาแต่ปิดกั้นหัวใจตัวเองแบบนี้ ก็อาจพลาดโอกาสที่จะได้เจอคนคนนั้นเข้า...หรือไม่ก็ อาจจะเสียคนคนนั้นไปนะ”

คนสูงกว่าขยับตัวหลบ ทำให้มือของเธอตกออกจากไหล่ ดูเหมือนว่าร่างสูงตรงหน้ากำลังพยายามหลีกหนีจากบางอย่าง และมันทำให้เธอรู้สึกสงสารจับใจ…สงสารเด็กคนนั้น…

“ไม่ว่าเกศจะพูดยังไง เราก็คงเปิดใจให้คนอื่นไม่ได้หรอก ในชีวิตนี้คงไม่มีใครจะมามีความสำคัญมากไปกว่าวันศุกร์อีกแล้ว”

เกศราจ้องอีกฝ่ายกลับแน่นิ่ง ใจจริงเธออยากหัวเราะออกมาให้ดังลั่นร้าน แต่ก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มบางๆ ออกไป เอียงคอถามด้วยความสงสัยเต็มอก “มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอเสาร์”

ฝ่ายถูกถามตีหน้าฉงน หัวคิ้วหนามุ่นเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งเธอเอ่ยประโยคถัดมาซึ่งทำเอาคนฟังแทบกลายเป็นหิน

“ทั้งที่ตอนนี้ นายควรจะไปทานข้าวเย็นกับน้องชายสุดที่รักของนายไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มาอยู่นี่กับเด็กที่เก็บมาเลี้ยงซะงั้นล่ะ”

ดวงตาคมเข้มลอกแลกเห็นได้ชัด เขารีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง สไลด์ปิด Airplane Mode ที่เปิดไว้ตั้งแต่เช้าเพื่อหวังจะหนีจากการติดต่อของเจนภพ ซึ่งเอาแต่ส่งข้อความไร้สาระมาไม่หยุดหย่อน อุปกรณ์สื่อสารในมือสั่นครืดคราดอยู่ในมือเขาราวกับเก็บกด ส่วนใหญ่เป็นเจนภพ แต่ Notification ท้ายสุดนั้นมาจากน้องชายคนสำคัญของเขาเอง

นิ้วเรียวเลื่อนเปิดอ่านข้อความซึ่งถูกส่งมาหลังจากฝาก Missed call ไว้กว่า 3 สาย

18:03 [ HelloFriday: พี่เสาร์อยู่ไหนครับ ]

18:03 [ HelloFriday: วันนี้เรานัดกินข้าวเย็นกันไม่ใช่เหรอ ]

18:15 [ HelloFriday: สงสัยพี่เสาร์ยุ่ง… ]

18:16 [ HelloFriday: งั้นไม่เป็นไรครับ ]

18:16 [ HelloFriday: ไว้เราเจอกันวันอื่นก็ได้ ]

18:17 [ HelloFriday: ศุกร์ขอไปดูหนังกับพี่กันต์แทนน้า ]

“พอดีรู้มาจากกันต์น่ะ” เกศทำลายความเงียบ ก่อนจะทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินลงไปด้านล่าง “งั้นเราไปหาพี่อิฐก่อนนะ ไว้คุยกัน”

วันเสาร์กำมือถือไว้แน่น แววตาดุดันสั่นไหวด้วยความสับสน แถมสมองยังยุ่งเหยิงไปหมด นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้รับสายหรือตอบข้อความจากวันศุกร์ และก็เป็นครั้งแรกที่เขาลืมนัดสำคัญของน้องชายสุดที่รักคนเดียวคนนี้ด้วย

ไม่จริง!

เขาตะโกนคำนี้อยู่ภายในใจเป็นร้อยล้านครั้งต่อวินาที ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะลืมเรื่องเกี่ยวกับวันศุกร์ ทั้งที่ปกติจะไม่มีทางลืมแน่นอน ไม่มีทาง…

.

‘ทั้งที่ตอนนี้ นายควรจะไปทานข้าวเย็นกับน้องชายสุดที่รักของนายไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้มาอยู่นี่กับเด็กที่เก็บมาเลี้ยงซะงั้นล่ะ’

.

แปลว่าตอนนี้เขาเห็นนับหนึ่งสำคัญมากกว่าวันศุกร์แล้วงั้นเหรอ?

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…



----------------------------------------------------------------------------------------------

นี่ไม่ใช่ความฝันค่ะ มาอัพแล้วหลังจากหายหน้าหายตา 555 หวังว่าทุกคนจะยังคิดถึงพี่เสาร์น้องหนึ่งกันอยู่นะคะ ตอนนี้เป็นตอนที่เหมือนจะมีความสุข แต่ก็สุขไม่ 100% สักที น่าสงสารน้อง พี่เสาร์ผีเข้าผีออกซะด้วย...ฮือ

ตอนหน้ามาเมื่อไรก็ยังไม่รู้ ช่วงนี้ยืนพื้นเดือนละตอนไปก่อนนะคะ เพราะจนปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววว่าบ.จะหาคนมาช่วยงานเราได้เลย งานล้นมือมากๆ คือต้องบอกก่อนว่าปกติแต่งนิยายในเวลางานมาตลอด 555555555555 อยู่บ้านปกติจะไม่ค่อยแต่งนะ มันคือเวลาพักผ่อน (อันน้อยนิด) ของเราอ่า เผื่อบางคนคิดว่าเราก็ว่างทำนู่นทำนี่ ทำไมไม่มาปั่นนิยาย 555 คือต้องพักบ้าง การแต่งนิยายไม่ใช่การพั๊กก ฮืออออ T____T แต่ขอย้ำว่าพี่เสาร์จบแน่นอน โปรดอย่าเพิ่งทิ้งกันน้าา

อย่าลืมคอมเม้น และติดแท็ก #นับหนึ่งถึงเสาร์ ในทวิตเตอร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ เริ้ป ❤
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2019 16:17:36 โดย mooaiir »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พี่เสาร์!! ยอมรับความจริงได้แล้วว่านับหนึ่งกลายเป็นคนนั้นของพี่ไปแล้ว อย่าจมอยู่แต่กับอดีต ก่อนที่น้องจะเจ็บไปกว่านี้ จัมม!!

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
นับหนึ่งแทนทีวันศุกร์เรียบร้อยแล้ววันเสาร์ :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
นับหนึ่งต้องทำลายกำแพงภายในใจของพี่เสาร์ให้ได้นะ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบหก

 

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…”

เขากดวางสายเป็นรอบที่ 5 ความพยายามที่จะติดต่อน้องชายหมดลง วันเสาร์เดินวนไปรอบๆ บาร์ว่างเปล่าเป็นเวลานานเพื่อสงบสติอารมณ์กระจัดกระจายของตัวเอง เขาเผลอขยี้หัว ทั้งทึ้งผมตัวเองอยู่หลายครั้ง อะไรบางสิ่งกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงภายในจิตใจ

ลมหายใจอุ่นพ่นออกจากปากเฮือกใหญ่ เขาหยุดฝีเท้า สะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆ นาๆ ในสมอง แล้วก้าวขากลับลงไปยังลานร้านอาหารด้านล่าง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ตรงข้ามกันมีเด็กที่เอาแต่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา เขาเผลอจ้องภาพนั้นอยู่เกือบนาทีจนอีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นเหมือนอยากจะถามบางอย่าง ทำให้เขาต้องรีบเบือนสายตาหนีไปทางพนักงานสักคน

“คิดเงินด้วยครับ”

เด็กเสิร์ฟในชุดยูนิฟอร์มเต็มยศเดินเข้ามาวางใบเสร็จลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งกล่องพลาสติกสีขุ่นบรรจุขนมบางชนิด “อันนี้ของแถมจากทางร้านครับ”

“อ่า” เขาเพียงแค่พยักหน้าแทนคำขอบคุณ แล้วส่งบัตรเครดิตในมือให้

หลังจากที่จัดการเรื่องจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันเสาร์ถึงเดินอ้อมหลังมาสะกิดเด็กที่เอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ให้ลุกขึ้น ไม่ลืมหันไปสบตากับเกศและอิฐซึ่งจับจองโต๊ะไม่ห่างไกลนักเป็นเชิงลา ก่อนจะก้าวขานำออกจากร้านไป

นับหนึ่งก้มลงมองของแถมในมือหลังจากเข้ามาประจำตำแหน่งบนรถ ถือวิสาสะเปิดออกดู พบว่ามันคือขนมกลีบลำดวนจัดวางจนเต็มกล่อง เขาลอบยิ้มบางๆ สงสัยว่าขนมหวานชิ้นนี้จะพอทำให้วันเสาร์กลับมาอารมณ์ดีขึ้นได้บ้างไหม

“พี่เสาร์ทานไหมครับ ขนมกลีบลำดวน”

“ไม่ล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับ ไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ

เขาอมอากาศไว้ในกระพุ้งแก้มเมื่อถูกเมินอย่างเห็นได้ชัด พยายามยื่นแขนออกไปจ่อขนมชิ้นนั้นใกล้ๆ ปากเป็นเส้นตรง

“ลองชิมหน่อยสิครับ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่น เบือนหน้าหนีเล็กน้อย สายตาคมจับจ้องเพียงแต่ถนนเบื้องหน้า “นายกินไปคนเดียวเถอะ”

“แต่ผมอยากให้พี่เสาร์กินด้วยนี่ กินหน่อยนะครับ นะ” เขายังคงคะยั้นคะยอ ยื่นแขนเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนขนมสีนวลเหมือนจะแตะโดนมุมปากอีกฝ่ายแผ่วๆ และนั่นคงทำให้ความอดทนที่มีต่อเขาขาดผึ่งลงทันที

“บอกว่าไม่กินไง!”

วันเสาร์ตะคอก ปัดมือเขาออก จนกลีบลำดวนขึ้นรูปสวยกระเด็นแตกอยู่บนผ้ายาง พร้อมกับร่างทั้งร่างของเขาที่ถูกแรงเหวี่ยงพาไปจนแนบติดประตู เนื่องจากอีกคนหักพวงมาลัยเข้าข้างทางกะทันหัน

รถยนต์ราคาแพงจอดตัวลงเทียบฟุตบาท แสงสลัวจากเสาไฟฟ้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยปรับทัศนวิสัยของเราภายในพื้นที่คับแคบ ความมืดของท้องฟ้ายามค่ำไม่ได้มองดูน่าเกรงกลัวมากไปกว่าแววตาแข็งกร้าวของผู้ชายตรงหน้าเขาตอนนี้

“ผะ..ผม ขอโทษครับ” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นสนิท ค่อยๆ ก้มตัวลงไปเก็บเศษของหวานบนพื้นใส่ทิชชู่ ขณะที่อีกคนเริ่มยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองราวกับจะไล่ความสับสนออกไป

เราปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน คนตัวสูงเหลือบมองร่างแน่นิ่งบนเบาะข้างกาย สลับกับกล่องพลาสติกของแถมจากร้านอาหารเมื่อครู่ เขาพยายามรวบรวมสติแล้วถอนหายใจออกมาทีเดียวยาวเหยียด คลายสีหน้าเคร่งเครียดออกแล้วเอื้อมมือไปสะกิดไหล่บางเบาๆ

“ขอโทษ” เขาเชยคางเรียวให้เงยหน้ากลับขึ้นมาสบตากัน “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตะคอก”

“…”

คนตัวเล็กไม่ตอบ ขอบตากลมโตนั่นแดงเรื่อคล้ายว่าหากเขาแตะโดนอีกแค่หน่อยเดียว เขื่อนในกระจกตานั้นคงแตกทะลัก ไม่วายปล่อยโฮออกมาแน่ มือหนาเลื่อนลูบศีรษะทุย โน้มหน้าเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เขาเดาว่าคงอ่อนโยนที่สุดแล้ว

“ไหน เมื่อกี้เขาให้อะไรมานะ กลีบลำดวนเหรอ”

ฝ่ายโดนถามพยักหน้า ยังไม่กล้าปริปากอะไร

“ป้อนฉันอีกรอบได้ไหม”

นับหนึ่งจ้องเขาอย่างไม่มั่นใจนัก กว่าจะยอมพยักหน้าลงอีกครั้ง แล้วเปิดกล่องบนตักออกซ้ำสอง ขนมไทยชิ้นพอดีคำถูกยื่นมาจ่ออยู่ต่อหน้า คราวนี้เขาไม่ลังเลที่จะรีบรับมันเข้าปาก มือเรียวควานหยิบอีกชิ้นป้อนคืนใส่ปากเจ้าของใบหน้าหม่น คาดหวังให้กลับมาสดใสตามเดิม

และก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลทีเดียวเมื่อนับหนึ่งค่อยๆ อมยิ้มขณะขยับปากเคี้ยว พวงแก้มขาวซีดจากความตกใจก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อน่าดูชมอย่างที่เขาชอบมอง

“อร่อยดีนะครับ” ปากอิ่มยอมส่งเสียง เรียกรอยยิ้มของเขากลับคืนมาเช่นกัน

เขายีกลุ่มผมนุ่มสองสามที พยักหน้าเห็นด้วย “อืม อร่อย” ก่อนจะกลับมาจับพวงมาลัย ออกรถตรงกลับบ้าน

พี่ละเมียดเป็นคนแรกที่ออกมาต้อนรับพวกเรา เธอเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่งสายตาหยอกล้อไปทางคุณชายคนโต วันเสาร์ส่ายหน้าให้กับแม่บ้าน โบกมือไล่ให้เด็กที่เลิกขวัญเสียแล้วขึ้นไปอาบน้ำเพื่อจะได้พักผ่อนหลังตะลอนออกไปเที่ยวทั้งวัน

เขาปลีกตัวเข้าไปหลบอยู่ในห้องนั่งเล่น หยิบโทรศัพท์กดโทรออกหาน้องชายตัวเองอีกครั้งแต่ก็ยังคงติดต่อไม่ได้อยู่ดี ขายาวเหยียดตึงไปตามแนวโซฟา หลังมือก่ายหน้าผาก คำพูดของเกศรายังคงดังวนเวียนซ้ำไปมาอยู่ในหัวของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน จนกระทั่งขณะนี้ เปลือกตาหนักอึ้งปิดลง เขาอาจต้องการพักเพื่อไตร่ตรองอะไรต่างๆ

ภายในความมืด ภาพของวันศุกร์ น้องชายที่เขานึกรักมาตลอด รักที่สุดเพียงแค่คนเดียวบนโลก วันนี้มันถูกตัดสลับกับภาพของเด็กอีกคนที่เพิ่งโผล่เข้ามาในชีวิตของเขาในวัยใกล้เบญจเพส ไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่ายังไง…ความบังเอิญเหรอ ก็อาจจะใช่ เพราะความบังเอิญทำให้ใครคนนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความคิดของเขาในทุกวัน ทีละนิด ทีละน้อย

กว่าจะทันรู้ตัว ความรู้สึกที่มีให้…ก็กัดกินเขาไปเกือบทั้งใจแล้ว

นานแค่ไหนไม่รู้ที่เขาเอาแต่หลับตาทบทวนเรื่องราวยุ่งเหยิงชวนปวดประสาท เสียงฝีเท้ากระโดกกระเดกจากบันไดบ้านดึงให้เขากลับมาสู่โลกปัจจุบัน เดาได้เลยว่านับหนึ่งคงวิ่งซนอะไรอีก

ครืดด…

โทรศัพท์ในมือออกแรงสั่น เขารีบเลื่อนกดรับทันทีโดยแทบไม่ต้องมอง เสียงใสๆ ของคนในความคิดดังขึ้น

“ฮัลโหลพี่เสาร์ พาหนึ่งไปกินข้าวมาเป็นไงบ้างครับ” วันศุกร์หัวเราะคิกคักติดท้ายประโยค

“ศุกร์ พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะลืมนัดของเรา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ศุกร์ดีใจด้วยซ้ำที่พี่เสาร์พาหนึ่งออกไปเที่ยว”

“แต่ว่า…”

“แล้วสรุปเป็นยังไงบ้างครับวันนี้ สนุกไหม”

เขาเผลอกำหมัด แววตาคมหม่นแสงหลุบต่ำลง ใจหนึ่งเขารู้สึกผิดต่อน้องชายถ้าจะบอกว่าวันนี้เขามีความสุขมากแค่ไหน แต่ถ้าเขาตอบว่าไม่ มันคงรู้สึกผิดต่อเด็กอีกคนอยู่มากเหมือนกัน

“ก็…ก็ดี”

“วันนี้ศุกร์ก็สนุกครับ พี่กันต์พามาดูหนังแล้วก็กินชาบูด้วยแหละ”

“เหรอ”

“ครับ แต่ไม่คิดว่าพี่เกศจะบังเอิญเจอพี่เสาร์เลยอะ”

“อ่า เกศไปกินข้าวกับพี่อิฐน่ะ” กำปั้นหลวมๆ คลายออก ความสับสนในใจยังคงล่องลอยวนเวียนอยู่ไม่หาย แต่เพราะว่าศุกร์พูดคุยกับเขาอย่างเป็นปกติ ทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่ได้ชวนอึดอัดมากเกินไปนัก เขาตอบโต้ตามธรรมชาติ พยายามจะไม่คิดเรื่องอะไรให้หนักสมองในเวลานี้

“พี่เกศชมหนึ่งให้ฟังใหญ่เลยครับ บอกว่าน่ารักๆ ไม่หยุดปากเลย”

เขาหลุดขำ ใบหน้าหวานแดงฉ่ำดั่งผลไม้ฤดูหนาวนั่นผุดขึ้นมาในหัว ‘น่ารัก’ ไม่ใช่คำที่เขาเคยใช้อธิบายถึงเด็กคนนั้นมาก่อน หากก็เถียงไม่ออกเลยว่าไม่จริง…

แต่เขาไม่มีทางชมคนอื่นให้วันศุกร์ฟังอยู่แล้ว “น่ารักตรงไหน”

“น่ารักตรงไหนเหรอ…” คนปลายสายทวนคำ รู้สึกเหมือนว่าเขาเห็นวันศุกร์กำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่ยังไงก็ไม่รู้ “อันนั้นพี่เสาร์คงต้องถามตัวเองแล้วล่ะครับ”

“พูดไร้สาระอีกแล้วนะศุกร์”

“ไร้สาระตรงไหนกัน นี่มันความจริงล้วนๆ”

ร่างโปร่งส่ายหน้า ก่อนจะชะงักไปนิดกับคำถามรุกไล่ลำดับถัดมา

“แล้วจู่ๆ ทำไมพี่เสาร์ถึงคิดจะพาหนึ่งออกไปเที่ยวล่ะครับ มีไรเปล่าเนี่ย” สาบานเลยว่าถ้าคนที่กำลังพูดแซวเขาอยู่ตอนนี้เป็นนายเจนภพ ไม่ใช่วันศุกร์ล่ะก็ มีหวังเขาได้ด่าไม่ก็ตบกะโหลกสักทีไปแล้ว

“เปล่า พี่ก็แค่…”

“ก็แค่?” คนเป็นน้องเว้นช่วง ความเงียบเพียงวินาทีทำเอาเขาลุ้นกับคำตอบเสียยิ่งกว่าตอนประกาศผลสอบไฟนอลซะอีก และถึงแม้เขาจะคาดหวังนักหนาให้พี่ชายจอมปากแข็งยอมตอบว่า ‘ก็แค่อยากใช้เวลาอยู่กับนับหนึ่ง’ หรือ ‘เราก็แค่ไปเดทกัน’ แต่คนอย่างวันเสาร์ก็คงไม่มีวันพูดออกมาแน่นอน

“พี่ก็แค่รำคาญที่ต้องมาฟังหมอนั่นบ่นว่าเบื่อ”

หราาาา เขาอยากถามกลับแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่เออออกลั้วหัวเราะให้กับความซึนของพี่ชายตัวเอง ทำมาเป็นบอกว่ารำคาญที่อีกฝ่ายบ่นว่าเบื่อ ก็เลยพาออกไปเที่ยวเล่นให้มันจบๆ ไปงี้เหรอ เชื่อก็บ้าแล้ว 19 ปีที่อยู่ด้วยกันมา ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจพี่คนนี้ได้ทั้งหมด แต่เรื่องนี้เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ คนแบบวันเสาร์…ถ้ารำคาญ ก็จะตัดทิ้งทันที ไม่มัวมาเสียเวลาใส่ใจอะไรทั้งนั้น

ส่วนไอ้การที่ปากบอกว่ารำคาญแต่ก็ยังตามใจเขา พาไปเที่ยว ไปกินอาหารดีๆ เนี่ย…มันช่างห่างไกลจากตัวตนปกติของวันเสาร์โดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เรียกว่ารักเขาก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วแหละ

“ศุกร์ดีใจนะครับ”

“ดีใจอะไร”

“ดีใจที่วันนี้พี่เสาร์ผิดนัดศุกร์”

คนโตกว่าเลิกคิ้วสูง “ทำไมถึงดีใจล่ะ พี่เสียใจนะ”

“ก็มันแสดงให้เห็นว่าพี่เสาร์เริ่มแคร์คนอื่นมากขึ้นแล้วไงครับ”

“โธ่ วันนี้พี่ก็แค่ลืม พี่จะแคร์คนอื่นไปมากกว่าศุกร์ได้ยังไง…”

เพล้งง!!

ปากหยักอ้าค้างทั้งที่ยังอธิบายไม่จบ เสียงอะไรสักอย่างตกแตกดังไกลมาจากทางห้องครัว เขาดันตัวเองลุกขึ้น สงสัยว่าพี่ละเมียดหรือพี่ละไมจะเผลอซุ่มซ่ามอะไรอีกหรือเปล่า เพราะใช่ว่าแกจะไม่เคย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ ศุกร์ได้ยินเสียงเหมือนอะไรแตก”

“ไม่รู้สิ สงสัยพี่ละเมียดทำจานแตกมั้ง…”

และเรื่องมันคงจบลงแค่ความสงสัยเท่านั้นถ้าไม่ใช่ว่าได้ยินคนในความคิดตะโกนตามหลังมาซะเสียงดังลั่นบ้าน

“คุณหนึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”

หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันแทบจะทันที ขาเรียววาดลงแตะพื้น รีบวิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่นไวกว่าความคิดหลายเท่า วันเสาร์พาตัวเองมายืนหอบน้อยๆ อยู่ต่อหน้าเด็กซุ่มซ่ามตัวจริง กำลังยืนขาสั่นหน้าซีดเผือดอยู่กลางวงล้อมเศษชิ้นส่วนเซรามิก มีพี่ละเมียดยืนส่งสัญญาณไม่ให้ขยับตัวไปไหน

“พะ..พี่เสาร์” นับหนึ่งมีท่าทางตกใจเมื่อเห็นใบหน้าคนเป็นนาย เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำข้าวของเสียหายสักหน่อย แค่ลงมารินนมดื่มเหมือนทุกคืน แต่ดันได้ยินเสียงแมวร้องจากด้านนอก เลยสะดุ้งจนทำแก้วตกแตกซะงั้น

และเขาก็แปลสีหน้าของวันเสาร์ไม่ออกด้วยว่ากำลังโกรธหรือว่าอะไรกันแน่

“คุณหนึ่งยืนเฉยๆ ค่ะ” พี่ละเมียดรีบเตือนเมื่อเขาเผลอก้าวขา

เสียงจากปลายสายโทรศัพท์ในมือเจ้าของบ้านดังลอดแว่วๆ แต่ก็จับความไม่ได้สักคำ

“เกิดอะไรขึ้นครับพี่เสาร์”

คนตัวสูงยกมือถือขึ้นแนบหูอีกครั้ง น้ำเสียงเรียบนิ่งหากแอบซ่อนความสั่นไหวเอาไว้ในนั้นเปล่งออกมาเพียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ “ไม่มีอะไร หนึ่ง…หนึ่งมันแค่ทำแก้วแตก”

“งั้นพี่เสาร์ไปดูแลหนึ่งก่อนเถอะครับ ไว้ค่อยคุยกัน”

น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอ แววตาคมจับจ้องไปยังภาพของนับหนึ่งซึ่งกำลังหันซ้ายทีขวาทีอย่างลนๆ พี่ละเมียดวิ่งกลับไปทางห้องเก็บของเพื่อหยิบไม้กวาด

เขาใช้เวลาชั่งใจอยู่ได้ไม่เกินวินาที “…อืม” ก่อนจะยอมตอบรับและกดวางสายน้องชายตัวเองทั้งที่ยังมีเรื่องต้องพูดให้จบ

“อย่าขยับ” เสียงทุ้มเอ็ดขณะก้าวข้ามแก้วที่แตกบนพื้นเข้าไปประชิด เขารู้สึกได้ว่าฝ่าเท้าตัวเองสัมผัสถูกละอองมีคมเล็กๆ แต่มันก็ไม่ได้กระเทือนผิวหนังของเขาสักเท่าไร

“พี่เสาร์ ทำอะไรครับ”

เจ้าตัวซุ่มซ่ามถามเมื่อเห็นเขาย่อตัวลงคุกเข่า ไล่หยิบเศษเซรามิกชิ้นใหญ่พอจะเห็นชัดด้วยตาเปล่าวางใส่มืออีกข้างอย่างระมัดระวัง เพราะว่าพี่ละเมียดชักช้า และก็เพราะเขากลัวเหลือเกินว่าเด็กที่อยู่นิ่งไม่เคยได้จะพลาดท่าเหยียบถูกคมแก้วจนได้แผลเลือดออกซะก่อน

ไม่นานนัก พี่ละเมียดก็ตามมาช่วยเขาเก็บกวาดจนพื้นกระเบื้องกลับมาสะอาดพร้อมเหยียบดังเดิม กระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นหนารวบเศษแก้วแตกนำไปทิ้งถังขยะด้านนอกรั้ว คนตัวเล็กยืนแข็งทื่อ ปล่อยให้วันเสาร์เอาแต่จับเขาหมุนไปพลิกมาอย่างกับเป็นหุ่นของเล่น ลูบสำรวจไปแทบจะทุกส่วนที่โผล่พ้นจากเนื้อผ้า

“ไม่ได้เป็นอะไรตรงไหนใช่ไหม”

เขาส่ายหน้า ก่อนจะบุ้ยปากเมื่อถูกตำหนิ

“ทำไมไม่ระวังเลย”

“ก็ผมตกใจนี่น่า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแมวร้องอะ”

“ขวัญอ่อนไปได้” วันเสาร์กลับมาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วางมือแปะลงกลางศีรษะพลางขยี้เส้นผมนุ่มเบาๆ เขาอยากรีบหยิกแก้มตัวเองให้แรงที่สุดตอนนี้เลย เพราะว่าวันเสาร์คนเย็นชาหายไปเกือบจะครบ 24 ชั่วโมงแล้ว และนั่นสามารถนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อันดับต้นของโลกได้ด้วยซ้ำ

จะว่าไม่ชิน ก็ใช่…แต่อีกใจเขาก็ชอบที่มันเป็นอย่างนี้

ถ้าขืนวันเสาร์ทำตัวอ่อนโยนตลอดไป มีหวังได้มีคนสำลักความสุขตายแน่เลย… บ้าจริงๆ

“ผมขอโทษนะครับ”

“อะไร”

“ก็ที่ทำแก้วแตก…”

ลมหายใจปล่อยพ่นออกจากปาก สัมผัสอบอุ่นเคลื่อนลงประคองโครงหน้าเรียวเล็กไว้ “ฉันไม่ได้ดุที่นายทำแก้วแตก แต่ฉันดุเพราะว่าเป็นห่วง—”

เชี่ย

วันเสาร์ชะงัก เหมือนมีคำคำนี้เด้งออกมาจากหน้าผากเขาในเสี้ยววินาทีที่พลั้งปากเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไป ซึ่งตามความเป็นจริง นั่นควรเป็นหนึ่งในคำต้องห้ามที่เขาจะไม่พูดให้เด็กคนนี้ได้ยินเด็ดขาด

ใช่…มันเป็นคำต้องห้ามสำหรับตัวเขาเองด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเขาพูดออกไป ก็เท่ากับว่าเขายอมรับ สิ่งที่เขายังไม่พร้อมยอมรับ…ความรู้สึกลึกสุดลึกในใจที่เขาพยายามกลบซ่อนมิดชิดมาโดยตลอด

“หมายถึงว่า…” เขาพยายามสรรหาเหตุผลโง่เง่าสักอย่างขณะเหลือบตามองกำแพงโล้นๆ “ฉันเป็นห่วงตัวเอง เพราะถ้านายเกิดเลือดตกยางออก มันก็ลำบากฉันต้องพาไปรักษา ถูกไหม”

“อ๋อ…ครับ”

บรรยากาศกระอักกระอ่วนทำเอาทั้งสองฝ่ายต่างเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ครั้นจะเดินหนีออกไปจากฉากก็ทำไม่ได้เพราะขามันไม่เขยื้อนซะงั้น กระทั่งเสียงของพี่ละเมียดดังขึ้นเรียกสติของเราให้กลับมาสนใจความเป็นจริงมากกว่าการละเล่นตีความหมายต่างๆ นาๆ ในหัวสมอง

“คุณเสาร์ คุณหนึ่ง จะเอาอะไรอีกไหมคะ”

“เอ่อ ไม่ครับ” เด็กน้อยตอบ ตามด้วยเจ้านาย “พี่กลับห้องนอนเลยก็ได้ครับ ตรงนี้ผมจัดการเอง”

“โอเคค่ะ”

เธอส่งยิ้มล่ำลาแล้วเดินทะลุหลังบ้านออกไปยังบ้านพักหลังเล็ก ซึ่งผู้เป็นพ่อสร้างไว้ให้คนรับใช้อาศัย เขาหันหน้ากลับมาก้มมองเจ้าของเรือนผมยุ่ง สีดำซีดๆ จากการออกแดดและไม่เคยดูแลนานหลายปี

เวลาในห้องครัวดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครยอมปริปากอยู่นานพอสมควร จนเขาต้องแสร้งกระแอมก้อนบางอย่างในลำคอเพื่อทำลายความเงียบอันไม่จบสิ้น

“งั้นฉันขึ้นนอนก่อน”

ดวงตาแววหวานช้อนจ้องคนสูงกว่า นับหนึ่งยื่นมือออกไปรั้งชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ทันท่วงที ความรู้สึกมากมายอัดแน่นเต็มอกเก็บซ่อนไม่มิดสักนิดเดียว วันเสาร์เองก็รู้อยู่หรอกว่าวันนี้ตัวเองใจดี และเด็กตรงหน้าก็คงดีใจ หลังจากเคยถูกเขาทำร้ายมาตั้งไม่รู้กี่หน

น้ำเสียงใสดุจแก้วกระจกเอื้อนเอ่ยเบาหวิว ยิ่งเชิญชวนให้เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อจะฟังมันได้ถนัด “คืนนี้…ผมขอนอนกับพี่เสาร์อีกได้ไหมครับ”

อ่า ให้ตายเถอะ เด็กนี่ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่ากำลังอ่อยเขาอยู่น่ะ

แค่นี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ขืนต้องนอนมองใบหน้าที่เอาแต่วนเวียนหลอกหลอนเขาอยู่ในห้วงความคิด มีหวังเขายิ่งเตลิดจนอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้

ยังไงก็ต้องตอกย้ำคำพูดของตัวเอง ที่ว่าไม่มีใครจะมาสำคัญไปมากกว่าวันศุกร์ไปได้อีกแล้ว และการที่เขาจะแคร์คนอื่นมากกว่าน้องชายของเขานั้นมันก็เป็นไปไม่ได้

“แต่ฉันว่า—”

“ไม่ได้เหรอครับ” คนตัวเล็กสวน สีหน้าคาดหวังกลายเป็นผิดหวังลงในทันที หัวคิ้วบางขมวดมุ่น แววตาหม่นแสงอย่างกับว่ากำลังทดสอบอะไรเขา

ไม่มีทาง…

“อ่า…”

ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง

ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทาง

ไม่มีทาง

“ก็ได้”

แม่งเอ้ย…

เขารีบเบือนหน้าหนีรอยยิ้มกว้าง สาวเท้าไวๆ ไปทางบันไดลาดตรงสู่ชั้นสอง นับหนึ่งดูอารมณ์ดี อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เขาเผลอปัดขนมกลีบลำดวนตกพื้น และมากกว่าตอนที่ทำแก้วนมหล่นแตก เราผลัดกันอาบน้ำ ก่อนจะจบลงบนเตียงหลังใหญ่ ยังคงตลบอบอวลไปด้วยภาพความทรงจำของเราสองคน

หลอดไฟติดเพดานดับลง คงไว้แต่แสงสลัวจากโคมตั้งโต๊ะ

สายตาเรียวหลุบมองต้นขาขาวเนียนโผล่พ้นชายกางเกงบ๊อกเซอร์สีกรมท่าตีลายตาราง สั้นเลยเข่าขึ้นมาในระดับอันตรายพอดู นี่ไง เหตุผลที่เขาไม่อยากให้เด็กนี่มานอนด้วย ในภาวะที่กำลังสับสนจนสมองแทบแตก เขาไม่อยากทำให้ตัวเองวุ่นวายใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“พี่เสาร์”

“ฮึ” เขารีบเงยหน้าหาเจ้าของเสียง หวังว่าเมื่อกี้คงดูไม่ออกว่ากำลังแอบมองขาอ่อนอยู่หรอกนะ

“ผมคุ้นหน้าพี่เกศมากเลยครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทพี่เสาร์เหรอ”

“ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แต่เกศเป็นพี่ของกันติกรณ์”

“กันติกรณ์…ใครครับ”

เหมือนว่าหนังตาเขาจะกระตุกไปครั้งนึงหลังจากได้ยินคำถามชวนหงุดหงิด นอกจากตอบว่ากันติกรณ์เป็นน้องชายเกศรา เขาก็ไม่เคยคิดจะตอบเป็นอย่างอื่นอีก ไม่อยากพูด…คำที่จะกลายมาเป็นมีดกรีดหัวใจเขา

แต่ว่า…ก็ช่างมันเถอะ สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนความจริงข้อนี้ไม่ได้อยู่ดี

“แฟนศุกร์”

“แฟนพี่ศุกร์” ฝ่ายเด็กกว่าทวนคำ ย้อนนึกไปถึงเย็นวันที่เขาย่องเข้าไปในห้องนอนของคุณชายคนเล็ก บนโต๊ะมีรูปของวันศุกร์ถ่ายคู่กับผู้ชายหน้าตาดีอีกคน ซึ่งเขาไม่เคยเจอหรือรู้จักมาก่อน และก็ใช่เลย ที่เขาคุ้นหน้าเกศราก็เพราะว่าเธอคล้ายคลึงกับผู้ชายในภาพที่เขาเคยเห็น ซึ่งก็คงจะเป็นกันติกรณ์นั่นเอง

“อ๋อ”

“อ๋ออะไร เคยเจอเหรอ” วันเสาร์หรี่ตาลงอย่างจับผิด

เขารีบโบกไม้โบกมือพัลวัน ตอบกลับเสียงอุบอิบเพราะว่ายังคงมีความผิดติดหลังตั้งแต่ตอนนั้น “เปล่าครับ ผมเคยเห็นรูปในห้องพี่ศุกร์”

“ไม่ต้องไปสนใจมันมาก ถ้าเจอก็ให้อยู่ห่างๆ ไว้”

เจ้าของร่างเล็กหลุดขำให้กับคำเตือน ก็พอเดาออกอยู่หรอกว่าคนขี้หวงเข้าขั้นหนักแบบวันเสาร์ จะปฏิบัติต่อแฟนน้องชายที่รักของตัวเองยังไง ต่อให้ไม่รู้จัก แต่เขาก็คิดภาพตามได้เป็นฉากๆ เลยว่าคนชื่อกันติกรณ์นั่นคงลำบากน่าดู แต่ก็น่านับถืออยู่เหมือนกันที่สามารถฝ่าฟันอีท่าไหนถึงไปคบกับวันศุกร์ได้ ทั้งที่พี่ชายเขาดุยิ่งกว่าเสือขนาดนี้

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่วันเสาร์เผลอยิ้มมุมปาก เพียงแค่ได้เห็นเด็กข้างกายส่งเสียงหัวเราะ อาจเพราะชีวิตของนับหนึ่งดูน่าเห็นใจ เขาถึงอยากทำให้เด็กคนนี้อารมณ์ดีงั้นเหรอ หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น…อะไรที่เขาเองรู้แก่ใจ แต่ยังไม่อาจยอมรับสักที

ความเงียบโปรยตัวเข้าปกคลุมพื้นที่ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ท้องฟ้าถัดจากหน้าต่างกลายเป็นผืนผ้ากำมะหยี่มืดทึบ ไฟหลอดเล็กสีส้มบนหัวเตียงส่องฉายเสี้ยวหน้าหวานใส กำลังหันมองเขาอย่างมีความหมาย เราต่างสบสายตากันโดยไม่พูดกล่าว มือเล็กเลื่อนวางทับบนหลังมือเขาก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนรู้สึกถึงลมหายใจผะแผ่ว

นับหนึ่งใช้มืออีกข้างบีบข้อเท้าตัวเองไว้ โดยหวังโง่ๆ ว่ามันจะช่วยสะกดกลั้นแรงเต้นของอวัยวะในอกซ้ายได้ ความบ้าบิ่นเกินตัวขับเคลื่อนให้เขากล้าคิดที่จะทดสอบอะไรบางอย่างซึ่งไร้หลักประกัน ถ้าหากว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดเพี้ยนไป…ก็คงคิดว่าวันเสาร์คนนี้อาจมีใจให้เขาไม่มากก็น้อย

เพราะคนใจร้าย…กลับมาใจดีแบบนี้

‘แล้วจูบของไอ้เสาร์เป็นยังไง ตายไปเลยปะ’

คำถามของเจนภพที่เขาไม่มีวันหาคำตอบให้ได้ ความจริงแล้วเขาเองอยากจะรู้เหมือนกัน ก็เลยขอลองเสี่ยงดูอีก สักครั้ง…

วันเสาร์จ้องเขากลับพลางมุ่นหัวคิ้วแน่นเป็นปม คนตัวสูงไม่ได้ขยับหนีไปไหน หากก็ไม่ได้ให้การตอบรับดีเท่ากับคราวก่อนหน้าบนชั้นสองของร้านอาหาร ริมฝีปากบวมอิ่มเคลื่อนชิดจวนจะสัมผัสเข้ากับปากหยักสีธรรมชาติอยู่รอมร่อ หัวใจของเขาเต้นโครมครามเสียงดังน่ากลัว ก่อนที่จะหยุดลงกะทันหันราวกับมีค้อนอันมหึมาฟาดทุบลงกลางอก ใบหน้าแดงก่ำถอดสีกลายเป็นซีดเผือด ในวินาทีที่ร่างทั้งร่างถูกมือหนาผลักไสออกห่าง ถอยถดไกลหนึ่งช่วงแขน

ดวงตากลมโตเบิกกว้างสั่นไหวด้วยความตกใจระคนผิดหวัง ขอบตาร้อนผ่าวพร้อมหยดน้ำคลอหน่วยแทบจะทันทีที่รู้ตัวว่าถูกปฏิเสธ ความอับอายไม่ได้มีมากเท่ากับความเสียใจอัดแน่นจนแทบอยากกรีดร้องออกมาให้ดังสุดเสียง แต่เขาก็กลับทำได้แค่เพียงมองจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่งราวกับต้องการบีบเค้นเอาคำอธิบายซึ่งเขาเองยังไม่กล้าที่จะรับฟัง บรรยากาศในห้องซึ่งเขาเคยคิดว่ามันช่างอบอุ่นเหมือนบ้าน บัดนี้กลับชวนอึดอัดจนนึกว่ามันเป็นคุกหรือป้อมปราการสักแห่ง

“ข..ขอโทษ” ไม่ใช่เขาที่เอ่ยปาก วันเสาร์บีบกระชับฝ่ามือทั้งสองข้างกับหัวไหล่มนสั่นเทิ้ม นัยน์ตาคมเข้มวูบไหวไม่ต่างกัน สีหน้ารู้สึกผิดแฝงไว้ด้วยความสับสน อีกทั้งซับซ้อนยากเกินจะเอ่ย “ฉันว่านายรีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

นับหนึ่งสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด กะพริบตาถี่ๆ เพื่อกักเก็บอารมณ์ในกายไม่ให้มันพรั่งพรูออกมา พยายามอย่างมากที่จะฝืนยิ้มแห้งเจื่อน เขาพยักหน้า ก่อนจะปลดตัวเองออกจากการเกาะกุม รีบล้มลงบนหมอน พลิกตัวหันหลังให้อีกฝ่ายซึ่งกำลังจะเข้านอนเช่นกัน

เจ้าของห้องเอื้อมปิดสวิตช์โคมไฟจนหลงเหลือไว้เพียงความมืด เขาทิ้งตัวลงบนหมอนอีกใบ สายตาทอดมองไปยังแผ่นหลังบางขดงอจนดูน่าสงสารจับใจ มือหนาเคลื่อนขยับออกไปด้านหน้าอย่างไม่ทันรู้ตัว อยากจะแตะสัมผัสเพื่อปลอบประโลม อยากจะดึงรั้งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่แล้วสุดท้ายเขากลับทำมันไม่ได้สักอย่าง…

ฟันซี่คมขบริมฝีปากล่างของตัวเองหนักๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างยากเย็น ถ้าเขายอมรับความรู้สึกเอ่อล้นที่มีให้กับเด็กตรงหน้า นั่นก็เท่ากับว่าเขากำลังจะทรยศความรักที่เคยมีให้กับวันศุกร์ตลอดมาทั้งชีวิต

เขาทำไม่ได้…..

เวลาภายในห้องนอนเคลื่อนตัวเชื่องช้า เงียบเชียบและหม่นหมอง ไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ที่แสงจากหลอดไฟสุดท้ายดับลง ร่างบางคลายกำปั้นออก ดึงรั้งผ้าห่มคลุมกายให้สูงขึ้น ปรารถนาให้ตัวเขาหายไปเลยได้คงดี

ดูเหมือนว่าคำถามของเจนภพ เขาคงตอบมันไม่ได้ตลอดกาล หลายครั้งที่วันเสาร์เกือบจูบเขา มันก่อร่างสร้างความคาดหวัง เก็บสะสมมากขึ้นทุกที แต่สุดท้ายกลับพบว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่เรื่องลวงตาเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าจุมพิตของเราจบลงด้วยการถูกขัดขวางร่ำไป แต่ว่าวันเสาร์อาจไม่เคยคิดที่จะจูบเขาแต่แรกอยู่แล้วมากกว่า ไม่เคยคิด และไม่มีวันทำ เขาก็แค่เด็กโง่ที่เอาแต่หลงเข้าข้างตัวเองอย่างน่าไม่อายและมันดูน่าสมเพช ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับฝันดี หากว่าตอนจบของมันทำให้เขารู้ว่าความจริงมันคือฝันร้าย

มาถึงตรงนี้เขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองกำลังจมดิ่งสู่หลุมลึกที่ใครต่างพากันเรียกมันว่าความรัก แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เจ้าของหลุมนั้นไม่เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันให้กับเขาเลย

น้ำตาที่ไม่ไหลออกจากตา มันหยดลงอาบหัวใจของเขาจนท่วมท้น อึดอัดเสียจนหายใจไม่ออก ทรมานกว่าสิ่งใดในโลกนี้ คือการเผลอไปรักคนที่ไม่มีวันรักเรา คำพูดนั้นน่ากลัวว่าคงจะจริง เพราะเขาได้สัมผัสถึงมันแล้ว

น่าแปลกที่ร่างกายของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่วาเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามันช่างห่างไกลนับล้านปีแสง…เขาควรเจียมเนื้อเจียมตัวว่าถูกซื้อมาเพื่อเป็นตุ๊กตาเอาไว้รองรับอารมณ์ช่วงครั้งคราวของวันเสาร์ ไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เป็นมากกว่านั้น และที่สำคัญคือ ไม่ควรรัก…

ไม่น่าไปรักเลยจริงๆ…





--------- มีต่อโพสล่างนะคะ ---------

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
--------- ต่อ ---------





.

.

ซู่…

มือเล็กๆ ของเด็กชายวัย 4 ขวบ ลูบชำระทำความสะอาดหลังจากเสร็จกิจภายในห้องน้ำของโรงพยาบาล เขาเพิ่งหายป่วยจากไข้หวัดใหญ่และกำลังเตรียมตัวกลับบ้านโดยมีคุณแม่นั่งรอจ่ายเงินค่ายาอยู่แถวเคาน์เตอร์

เงาวูบไหวด้านหลังแผ่นกระจกบนบานประตูดึงความสนใจของเขาให้หันไปมอง พบว่าเป็นผู้ชายวัยกลางคน ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มีสีหน้ากังวลปนลำบากใจ หากพริบตาต่อมา บุคคลที่ว่าก็รีบหันหลังหนีไปในกลุ่มคนจอแจข้างนอกนั่น

สังหรณ์บางอย่างจุกอยู่ที่ปลายสมอง เขาเดินไปรอบๆ ห้องน้ำไร้ผู้คนเพื่อสำรวจหาสิ่งผิดปกติ ศีรษะทุยก้มลงเล็กน้อย รีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องที่อาจเล็ดลอด ดวงตาใสเบิกกว้างเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎต่อหน้า

ตะกร้าใบเก่าใต้อ่างล่างมือ บรรจุเด็กทารกประมาณ 1 ขวบ นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวบนโลก เขาชั่งใจอยู่ได้เพียงครู่เดียว ก่อนจะคว้าลากเอาเลือดเนื้อนั้นออกมาจากมุมอับแสง

ความทรงจำในวินาทีแรกที่วันเสาร์ได้พบกับเด็กน้อยแปลกหน้าหมุนบิดเป็นเกลียวคลื่น กลับกลายเป็นฉากบนรถยนต์คันเก่าของแม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทารกคนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา ท้องฟ้าเบื้องบนสว่างใสปลอดโปร่ง

เขาได้ยินเสียงตัวเองในวัยเด็กหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนหลังพวงมาลัย

‘แม่ฮะ...ผมคิดชื่อให้น้องได้แล้ว’

‘หืม อะไรเหรอ?’

‘วันศุกร์ฮะ น้องชื่อวันศุกร์!’


ภาพในหัวเปลี่ยนไปอีกครั้งราวกับม้วนฟิล์มขาดๆ ที่ถูกนำมาตัดแปะเข้าไว้ด้วยกัน จากเด็กอายุ 4 ขวบ ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นพร้อมกันกับเด็กน้อยอีกคนที่มักอยู่เคียงข้างเขาแทบทุกเวลา แม้แต่บางเหตุการณ์ที่เขายังเผลอหลงลืมไป ก็ไหลกลับมารวมกันให้หวนคิดถึงอีกครั้ง

‘พี่เสาร์ วันนี้โบโบ้ห้องสองแกล้งศุกร์อีกแล้ว’ เจ้าตัวเล็กบ่นอุบขณะปีนขึ้นมาบนเตียงหลังใหญ่ที่มีเขานอนรออยู่ก่อน ดวงตากลมโตดั่งลูกกวางไม่ได้ดูบอบบาง หากว่าสู้คนอย่างน่าเอ็นดูทีเดียว ‘ศุกร์จะไปฟ้องคุณครูเมย์ ฟ้องแม่โบโบ้ด้วย’

‘แล้วโบโบ้แกล้งศุกร์แบบนี้ ศุกร์จะเกลียดโบโบ้รึเปล่า’

น้องชายส่ายหน้า ‘ไม่ครับ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน แต่โบโบ้ต้องมาขอโทษศุกร์ก่อน’

‘ดีแล้วล่ะ’
เขาในวัยสิบปีเอื้อมลูบกลุ่มผมนุ่มที่เพิ่งโดนจับตัดหน้าม้าจนเกือบแหว่ง วันศุกร์เป็นคนน่ารักและเป็นเด็กดีเสมอไม่ว่ากับใคร ถึงจะดูคล้ายว่าดื้อในบางที หรือแก่นไปบ้างไปบางครั้ง แต่ความจริงแล้วมีจิตใจอ่อนโยนและบริสุทธิ์มาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรักในตัวเด็กคนนี้

‘พี่เสาร์จุ๊บปลอบศุกร์หน่อย’

ใบหน้าหวานอ่อนเยาว์ขยับเข้ามาใกล้อย่างออดอ้อน เขายิ้มรับแล้วยื่นริมฝีปากแตะลงกับปากบางสีสด ก่อนจะพาอีกฝ่ายเข้านอน วงแขนเรียวพาดกอดคนเป็นน้องเอาไว้ ตบแผ่นหลังเบาๆ เป็นเชิงกล่อม

พ่อกับแม่ทำงานตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ว่าจะทำให้บ้านเรามีเงินทองใช้จ่ายไม่ขัดสนแต่สิ่งที่ขาดกลับเป็นสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว ซึ่งเขาไม่เคยสัมผัสได้เลย กระทั่งมีวันศุกร์โผล่เข้ามาในชีวิต ความสดใสของวันศุกร์ค่อยๆ เติมเต็มช่องว่างในใจเขาจนมันกลับมาสมบูรณ์

เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าวันศุกร์คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา คือความสุข ความอบอุ่น ความอ่อนโยน และความรัก ต่อให้ไม่มีพ่อกับแม่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเขามีน้องชายคนนี้อยู่ด้วยแล้ว นอกจากวันศุกร์เขาก็ไม่ต้องการใครอีก…

แค่วันศุกร์เท่านั้นที่เขาจะรักและให้ความสำคัญ

แค่วันศุกร์เท่านั้น

วันศุกร์เท่านั้น…

.

.



“ฮั่ก…” ดวงตาตื่นๆ ลืมเปิดท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืน คนตัวสูงพยายามควบคุมระดับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เหลือบมองเด็กข้างกายซึ่งดูเหมือนยังหลับสนิท หลังมือยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อออกจากขมับ

ความฝัน…

ภาพจำที่เต็มไปด้วยวันศุกร์ นั่นควรนับว่าเป็นฝันดี แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย สับสน และกระวนกระวายราวกับว่ามันคือฝันร้ายที่กำลังท้าทายอะไรเขา

แววตาสั่นไหวลอกแล่กไปทั่ว ความเครียดตรงเข้าจู่โจมจนเขาแทบหลุดความเป็นตัวเอง เพดานตรงหน้าราบเรียบอย่างที่เคย แต่เขากลับมองเห็นใบหน้าของน้องชายตัวเองฉายชัดอยู่บนนั้น ตะกอนความรู้สึกผิดตกผลึกอยู่ภายในส่วนลึกของใจ มันทำให้ร่างทั้งร่างของเขาหนักอึ้งและอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

บางสิ่งบางอย่างกำลังหลอกหลอนย้ำเตือนว่าเขาเคยสาบานกับตัวเองว่ายังไง ใช่…เขาจะรักและให้ความสำคัญกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น ชีวิตของเขานอกจากการมีวันศุกร์ ก็ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว…

มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิ วันเสาร์…

แล้วเขาจะไปรักคนอื่นได้ยังไงกัน

 

-----------------------------------------------



กลิ่นเหม็นจากก้นบุหรี่ลอยฟุ้งอยู่ภายในห้องนอน อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ อุ่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อดวงอาทิตย์ส่องสว่างอยู่เหนือท้องฟ้าด้านนอก เจ้าของร่างขดงอขยับตัว เปลือกตาค่อยๆ เปิดรับรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ เขาลุกนั่งพลางขยี้ตาสองสามที

ภาพของแผ่นหลังกว้างคุ้นเคยปรากฎอยู่ต่อหน้า วันเสาร์ที่นั่งไขว้ขาอยู่บนปลายเตียง ในมือคีบก้านบุหรี่ซึ่งเขาไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายก็สูบมัน บรรยากาศรอบตัวดูไม่ดีนัก และเขายังสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนว่าจะมีเรื่องย่ำแย่เกิดขึ้นอีกต่างหาก

“พี่เสาร์” ร่างสูงหันหลังกลับมาตามเสียงเรียก ขอบตาคล้ำทำเอาเขาตกใจไม่น้อย

“ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับ นี่กี่โมงแล้วครับ”

“ยังเช้าอยู่ นายไม่ต้องรีบหรอก”

เขาพยักหน้า ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว อย่างน้อยก็มีเวลาได้หลีกหนีจากความรู้สึกชวนอาเจียนแค่เพียงสบตากับอีกชีวิตในห้อง เขาพอเดาออกว่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันคงจะต้องกลายเป็นแบบไหน แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลยว่า มันจะอึดอัดมากมายขนาดนี้

บางที…เขาควรจะทำเป็นลืมมันซะ อย่างน้อยการที่ยังได้อยู่ในบ้านหลังนี้ และได้เห็นหน้าพี่เสาร์ต่อไป แม้ว่ามันจะเจ็บปวด แต่ก็ยังดี…

วันเสาร์พ่นควันออกจากปากหลังจากอัดขี้เถ้าเข้าปอดจนพอใจ ก้นบุหรี่ถูกขยี้ลงบนถาดแก้วเกรอะกรังเก็บเก่า เขายอมรับว่าเคยติดมันมากมาก่อน แต่ก็ลดลงไปเยอะจนเกือบจะเลิกถาวรได้แล้วตั้งแต่ที่วันศุกร์บอกว่าไม่ชอบ นี่คือมวนแรกในรอบปีที่เขาหยิบมันขึ้นมาสูบระบายความเครียดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะห่างหายไปนานหรือว่ายังไง แต่รสชาติที่เขาเคยคุ้น วันนี้กลับขมขื่นมากเกินกว่าทุกที

ประตูห้องน้ำเปิดออก นับหนึ่งในชุดไปรเวทแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ข้างในเดินมาหยุดต่อหน้าเขา เอียงคอเหมือนต้องการตั้งคำถามซึ่งเขาพอจะเดาออกอยู่แล้ว

“พี่เสาร์ไม่อาบน้ำเหรอครับ”

“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” เขาตอบกลับเสียงเรียบ เดินนำหน้าออกไปจากห้องโดยไม่เหลียวกลับไปมอง

เราเข้านั่งประจำที่บนโต๊ะตัวเดิม อาหารเช้าวันนี้เป็นแบบอเมริกัน ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด และขนมปังปิ้ง พี่ละไมส่งยิ้มให้กับเด็กน้อยหน้าใหม่ที่ตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเกือบจะสมบูรณ์

เธอวางกระปุกแยมสีแดงสดลง “พี่ซื้อแยมสตรอเบอรี่ ของโปรดคุณหนึ่งมาให้แล้วนะคะ”

คนตัวเล็กยิ้มรับ คว้าเอากระปุกแยมมาบิดเกลียวเปิดออก อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้เขาลืมบรรยากาศมาคุที่กำลังเคลื่อนตัวราวกับคลื่นใต้น้ำโดยไม่มีใครเห็น สายตาคมเข้มไร้แววคอยจับจ้องมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาไม่ห่าง

ไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น กระทั่งเขาจัดการอาหารบนจานจนหมดเกลี้ยง พี่ละเมียดเดินมารินน้ำเปล่าเติมให้ “เย็นนี้คุณหนึ่งจะกลับมาทานข้าวที่บ้านไหมคะ พี่ซื้อกรรเชียงปูมา คุณหนึ่งต้องชอบแน่ๆ เลย”

“กรรเชียงปูเหรอครับ ผมอยากกิน” เขาลากเสียงยานคางสดใส หวังว่าวันนี้นาวาจะยอมให้เขากลับบ้านเร็วหน่อย เพราะว่าเขาชอบอาหารทะเลมากเป็นอันดับต้นๆ แล้วก็ไม่อยากพลาดเมนูคืนนี้ซะด้วย

แม่บ้านทั้งสองคนรวบภาชนะบนโต๊ะหายกลับเข้าไปหลังครัว ทิ้งให้เขาเผชิญหน้ากับความอึดอัดที่แผ่ออกมาจากตัวเจ้านายไม่หยุดหย่อนเพียงลำพัง วันเสาร์เอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉย ค่อนไปข้างคร่ำเครียด ริมฝีปากปิดสนิทเป็นเส้นตรง แค่เหลือบมองหน่อยเดียวก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์หดหู่ยิ่งกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่ที่ปฎิเสธจูบของเขา…วันเสาร์ก็ดูเงียบขรึมผิดปกติ ทั้งที่คิดว่าคนคนนี้เริ่มสดใสขึ้นแล้วแท้ๆ แต่มันกำลังจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม กลายเป็นวันเสาร์คนไร้หัวใจที่ไม่เคยยิ้มเลย

“เอ่อ…” รวบรวมความกล้าส่งเสียงออกไป “พี่เสาร์จะไปส่งผมหรือเปล่าครับ”

คนถูกถามเม้มปาก ไม่ยอมแม้แต่สบตากับเขา “ฉันโทรบอกนาวาให้มารับนายแล้ว เดี๋ยวก็คงถึง”

“อ่า…วันนี้พี่เสาร์ติดงานเหรอครับ”

“เปล่า”

ใบหน้าเจื่อนๆ ชาวาบเมื่อได้ยินคำตอบ เขารู้สึกราวกับว่าระยะห่างระหว่างเรามันยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นทุกเสี้ยววินาที ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งอยู่แค่ตรงหน้า หากต่อให้เอื้อมมือออกไป ก็คงไม่ถึง…

“แล้วเย็นนี้พี่เสาร์จะไปรับผมไหมครับ”

“…”

เขาเกลียดความเงียบ เขาเกลียดวันเสาร์ที่ไม่ยอมสบตาเขา เขาเกลียดบรรยากาศแสนอึดอัดในขณะนี้ เขาเกลียดการที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดมากขนาดไหนถึงได้ทำให้เจ้าของชีวิตคนนี้เมินเฉยใส่เขาจนเหมือนกับว่าเราเป็นเพียงคนแปลกหน้า

ขอบตาทั้งสองข้างร้อนผะผ่าว เขากลอกตาขึ้นมองเพดานว่างเปล่าหวังช่วยสะกดกลั้นทุกอารมณ์อ่อนไหว ยามคิดว่าวันเสาร์คนที่อบอุ่นและใจดีกำลังจะหายไป กลับกลายเป็นผู้ชายใจร้ายอีกครั้ง

สงสัยเหลือเกินว่า เหตุใดฝันดี ถึงได้มีระยะเวลาสั้นนัก

“หนึ่ง” เสียงทุ้มดังขึ้นทำลายความเงียบ แต่ถ้าเขารู้มาก่อนว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ก็คงปรารถนาให้วันเสาร์เป็นใบ้ไปเลยมากกว่า “วันนี้ไปทำงานแล้วก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนะ”

“ทำไมครับ”

ถ้าลางสังหรณ์เมื่อเช้าของเขาผิดเพี้ยนไปบ้างก็คงดี แต่ว่า…

“ฉันไล่นายออก”


-----------------------------------------------


หมดคำจะพูด..... อิพี่เส้า ถึงเวลาตายของแกแล้ว //จุดระเบิด

ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ยังรอปาดคอพี่เสาร์มาตลอด วันนี้คงได้ฤกษ์ดีแล้ว ลงมือเลยค่ะ!! แล้วอย่าลืมทิ้งคอมเม้น หรือติดแท็กทวิตเป็นกำลังใจให้น้องหนึ่งเยอะๆ น้า น้องต้องสู้รู้ไหม T^T (เราเองก็เช่นกัน สู้กับงาน 5555) ฝากดักตีหัวเพื่อนๆ ให้เข้ามาอ่านเรื่องนี้กันเยอะๆ ด้วยนะคะ จะได้มีผู้สมรู้ร่วมคิดในการวางแผนฆ่าพระเอกเยอะๆ ถถถถถถถถ

#นับหนึ่งถึงเสาร์

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
วันเสาร์นายจะตายด้วยวิธีไหนดี เราจะให้นายเลือก! :z6:

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page

นับหนึ่ง ถึง สิบเจ็ด


 

ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท จนแม้แต่เสียงลมหายใจ เขาก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว คำพูดของวันเสาร์สะท้อนก้องอยู่ในหัวสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับม้วนเทปที่มันกระตุก

เขาส่ายหน้า พยายามฝืนหัวเราะเฝื่อนๆ “พี่เสาร์ล้อเล่นอะไรครับ”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น”

“…”

“ขึ้นไปเก็บข้าวของของนายซะ” วันเสาร์ลุกจากเก้าอี้ ขายาวสาวขึ้นบันไดโดยไม่เหลือบมองเขาแม้แต่นิด

เจ้าของดวงตากลมสั่นไหวรีบวิ่งตามขึ้นไปถึงในห้องนอนที่เขาเพิ่งใช้เวลาอยู่กับอีกคนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน หยาดน้ำใสเอ่อคลอเบ้า มือเล็กเอื้อมคว้าต้นแขนแกร่ง พลางออกแรงเขย่าอย่างต้องการคำอธิบาย

“ทำไมครับพี่เสาร์ ผมทำอะไรผิดเหรอ พี่เสาร์ไม่พอใจอะไรบอกผมสิ”

“ฉัน…แค่ไม่อยากเห็นหน้านายแล้ว” เพราะถ้าขืนยังอยู่ใกล้ๆ กัน ก็คงห้ามไม่ให้ใส่ใจ ห้ามไม่ให้รู้สึกอะไรด้วยไม่ได้…แต่เขาก็ทรยศความรู้สึกที่มีให้วันศุกร์ไม่ได้เช่นกัน เขาไม่ต้องการรู้สึกผิดต่อศุกร์ ไม่อยากรู้สึกผิดต่อตัวเอง 19 ปีที่ผ่านมา เขารักแค่วันศุกร์คนเดียวมาตลอด การที่จู่ๆ จะไปรักคนอื่นมากกว่านั้น…

มันไม่ควรเป็นไปได้ ไม่…ไม่ได้…

“พะ..เพราะว่าผม เอาแต่ใจตัวเองเหรอ…หรือว่าผมเรียกร้องมากเกินไป” น้ำเสียงเครือครางตะกุกตะกัก ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่น้ำตามันไหลออกมา อาบลงบนแก้มทั้งสองข้าง

คนตัวสูงกัดริมฝีปากตัวเองทันทีที่เห็นว่าเด็กตรงหน้าเริ่มร้องไห้ ฝ่ามือรวบกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน ใบหน้าเรียบเฉยเบือนหนีไปทางอื่น

ทั้งร่างชะงักเมื่อนับหนึ่งโผเข้ามากอด ซบหน้าฝังลงกับอก “ผม…ผมจะไม่ดื้อแล้ว ฮึก…” ศีรษะทุยส่ายไปมา ประโยคอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ผมไม่ไป..ทำงาน ละ..แล้ว พี่เสาร์จะ..ให้ผมอยู่บ้าน ตลอดไปก็ได้…”

หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปม เผลอกัดปากตัวเองหนักๆ พร้อมกระชับกำปั้นเพื่อกลั้นทุกอารมณ์หวั่นไหว เขาภาวนาให้นาวามาถึงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจเผลอไผลใจอ่อนให้กับความน่าสงสารของเด็กตรงหน้า ทั้งที่เขาควรใจแข็งให้เหมือนกับที่ตัวเองเป็นมาทั้งชีวิต

แต่ว่า…การที่เห็นนับหนึ่งปล่อยโฮ พร้อมพูดแต่ละคำเหล่านั้น มันกลับคล้ายว่ามีใครเอาคีมอันใหญ่มาบีบรัดหัวใจเขาจนแทบแหลกสลาย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเคยถูกความเจ็บปวดเข้าจู่โจมแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เขากำลังรู้สึกอยู่…

ไหล่บางที่กำลังสั่นเทิ้ม ผมม้ายุ่งเหยิงกับอ้อมกอดแนบแน่นราวกับเด็กน้อยที่กำลังงอแงไม่ให้พ่อแม่ทิ้งตัวเองไว้ ทุกอย่างในตอนนี้มันทำให้เขาเหมือนปิศาจใจร้าย แม้ว่าความจริงเขาจะไม่ได้ต้องการเห็นหยดน้ำตาจากนัยน์ตาแววใสนั้นเลยสักหยดเดียวก็ตาม ถ้าเป็นไปได้…เขาอยากโอบกอดร่างเล็กๆ อันแสนเปราะบางเอาไว้ อยากจะลูบหัวทุยปลอบขวัญ ก่อนจะจับมือพาไปร้านไอศกรีมเพื่อให้ได้เห็นรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าอ่อนเยาว์อีกครั้ง

แต่เขาก็ต้องฝืนที่จะไม่ทำ…

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเรียกสติ เขารู้ทันทีว่าตัวช่วยของเขามาถึงแล้ว และแค่ฟังจากเสียงกริ่งรัวย้ำๆ นั้นก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่านาวาคงกำลังโมโหมากทีเดียว

เขาพยายามแงะตัวเองจากการเกาะกุม สองมือหนาผลักหัวไหล่มนออกห่างอย่างจำใจ ใบหน้าขาวบู้บี้ เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาไม่น่าดู ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อมากพอๆ กับขอบตาสีก่ำ

“ไอ้วามารับแล้ว รีบเก็บของสิ”

คนตัวเล็กส่ายหัว เหมือนอยากจะพูดอะไร หากก็ไม่มีสุ้มเสียงใดเปล่งออกมา ยิ่งเสริมให้ภาพของนับหนึ่งดูน่าสงสารขึ้นอีกสักร้อยเท่าพันทวี เขาฝืนกลืนก้อนบางอย่างลงคอ ก่อนจะแสร้งดัดเสียงเข้ม

“ฉันจะเรียกวันศุกร์กลับมานอนบ้าน และฉันก็ไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้ว เข้าใจไหม”

อีกฝ่ายเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมรับ และเขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงช่วยปาดน้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด หากกลับยิ่งทำให้มันพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม ไม่นานเท่าไร ประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมใบหน้าตื่นๆ ของทั้งสามชีวิต นาวา พี่ละเมียด และพี่ละไม ซึ่งล้วนแต่จ้องเขาด้วยความไม่เข้าใจทั้งสิ้น

“เป็นเหี้ยไรของมึง”

ขอบคุณที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกเพื่อนสมัยเด็กต่อยหน้าตั้งแต่แรกเห็น ไอ้วากัดฟันกรอด ก่อนจะตรงเข้ามาดึงร่างบางเข้าไปหลบด้านหลังตัวเอง ตามมาด้วยเสียงประท้วงจากแม่บ้านทั้งสอง

“คุณเสาร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”

“นั่นสิคะ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไล่คุณหนึ่งออก”

เขาเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินตัดหน้าทุกคนลงไปด้านล่าง “รีบเก็บของแล้วก็ออกไปได้แล้ว”

ท่ามกลางความสับสน คนหนึ่งหลีกหนีกักขังตัวเองไว้ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง อีกหนึ่งยังคงเอาแต่สะอื้นไห้ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิด เขารู้ตัวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าทุกช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นเป็นแค่ความฝัน และวันเสาร์ที่ใจดีคือภาพลวงตา แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเลยว่าความจริงมันจะโหดร้ายมากมายถึงขนาดนี้

พี่ละเมียด พี่ละไม ช่วยกันขนกระเป๋าใส่กระโปรงหลังของรถคันสีน้ำเงิน พวกเธอเองก็ยังคงงุนงงกับการตัดสินใจฉุกละหุกของคุณชายตัวเอง

“คุณหนึ่งไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะพยายามคุยกับคุณเสาร์ให้เอง”

“ฝากคุณวาดูแลคุณหนึ่งด้วยนะคะ”

“ครับ” นาวาขานรับ ต่อเติมท้ายประโยคอยู่ภายในใจ ว่าไม่ใช่แค่จะดูแล แต่เขาจะทำให้ดีกว่าคุณหนูของพี่ทั้งสองคนอย่างแน่นอน

เจ้าของดวงตาบวมแดงถูกพาขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ นาวาจัดการรัดสายเข็มขัดนิรภัยให้ เมื่อเด็กตรงหน้ามีท่าทางไม่ต่างจากตุ๊กตาไร้วิญญาณ ตลอดทางบนรถเงียบสนิท เขาเองไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปลอบ และอีกฝ่ายก็ยังคงเอาแต่สะอึกสะอื้นไม่หยุด

ไม่นานนัก ยานพาหนะสี่ล้อก็ขับเคลื่อนเข้าจอดในรั้วบ้านหลังใหญ่ แม่ของเขาเป็นคนแรกที่ออกมารอต้อนรับพวกเรา นับหนึ่งสูดน้ำมูก ใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกลวกๆ แล้วพยายามทรงตัวเดินตรงไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ท่าทางใจดี ซึ่งมีหน้าตาคล้ายนาวาซะจนไม่ต้องถามเลยว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับ”

หญิงวัยกลางคนรับไหว้ สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “วา นี่ใคร”

“เดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังนะครับ”

ลูกชายคนเดียวก้มหัว ดึงแขนเขาเข้าไปในบ้าน ถูกจับขังไว้ยังห้องนอนซึ่งเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือละลานตา กองเอกสาร อีกทั้งสมุดจดโน้ตอีกปึกใหญ่ตั้งระเกะระกะไปตามพื้นไม้ บนผนังประดับด้วยภาพแขวนของหน้าร้านนาโปลีที่ผู้สืบทอดแสนภูมิใจ นาวาผละจากเขาไปทางตู้เย็นขนาดเล็ก ก่อนจะพาเขาไปนั่งพักบนเก้าอี้ทำงานพร้อมยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้

“ขอบคุณครับ” เขารับมาจิบ อย่างน้อยก็คงพอช่วยคลายความฝืดเคืองในลำคอจากบทดราม่าน้ำตาแตกตลอดช่วงเช้าได้บ้าง

พี่นาวาปล่อยให้เขาสงบจิตสงบใจอยู่เกือบชั่วโมง ขณะที่หายลงไปข้างล่าง ซึ่งเดาว่าคงไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้คนเป็นแม่ฟัง ก่อนที่เสียงประตูจะเปิดออกอีกครั้ง เจ้าของร่างโปร่งก้มลงลูบหัวเขาสองสามทีเป็นการปลอบ

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

ไม่เลย…เขาอยากตอบแบบนั้น แต่ก็ต้องจำยอมผงกหัวเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ากังวล “นิดหน่อยครับ”

เจ้าของห้องเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

“พี่วา…พี่เสาร์ได้บอกอะไรหรือเปล่าครับ ว่าทำไมถึงไล่ผมออก”

“ไม่เลย อยู่ดีๆ ก็โทรมาบอกให้พี่ไปรับหนึ่งมาอยู่ด้วย”

คนตัวเล็กก้มหน้าซึม น้ำตาที่แห้งเหือดไปเริ่มรื้นขึ้นมาอีกระลอก “ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิด หรือว่าพี่เสาร์เบื่อผมแล้ว”

หรือไม่ก็...แค่ไม่อยากเสียเวลาดูแลของเล่นเลียนแบบ ในเมื่อกำลังมีแผนจะเรียกวันศุกร์กลับบ้าน ตัวตายตัวแทนอย่างเขามันก็คงไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว เป็นหมาหัวเน่าให้เขาเฉดหัวออกจากบ้านก็ถูกต้อง

“ไม่หรอก” ฝ่ามืออบอุ่นเลื่อนบีบมือเขาไว้ “พี่ว่าพี่พอเดาออกนะว่าไอ้เสาร์เป็นอะไร”

“เป็นอะไรครับ”

“พี่คิดว่า...มันกำลังสับสนน่ะ”

“สับสน? เรื่องอะไรครับ”

นาวายกยิ้ม เลือกที่จะไม่ตอบ แม้ว่าเขาแทบจะฟันธงได้เลยว่าเพื่อนตัวดีจอมขี้เก๊กคงกำลังว้าวุ่นเรื่องที่ดันไปตกหลุมรักใครคนอื่นนอกเหนือจากน้องชายคนเดียวของตัวเองเข้า และแน่นอนว่ามนุษย์ประเภทวันเสาร์ต้องไม่ยอมรับหัวใจตัวเองง่ายๆ แน่

แต่ก็นับว่ายังดีที่เริ่มรู้สึกตัวได้ตั้งแต่ชาตินี้ ไม่อย่างนั้นเขากับเจนภพคงได้รอลุ้นกันหงำเหงือก ในที่สุดเจ้าของฉายาเจ้าชายน้ำแข็งผู้ซึ่งไร้หัวใจก็ได้พิสูจน์แล้วว่ารักเป็น รักที่หมายถึงรักจริงๆ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้องแล้วโมเมคิดเอาเองว่านั่นคือรักแท้มาตลอดเกือบยี่สิบปี

งี่เง่าจะตายห่า แถมปัญญาอ่อนฉิบหาย…

“เอ้อ จริงสิ พี่ว่าพี่จะเพิ่มค่าจ้างให้หนึ่งนะ” เขาแสร้งยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดหน้าตาเฉย

“ค่าจ้างที่ร้านเหรอครับ”

“อือ” เพราะรายรับที่ได้อยู่ตอนนี้ มีหวังเก็บไม่ทันซื้อของขวัญวันเกิดให้ไอ้เสาร์พอดี

“ตะ..แต่ว่าพี่วาก็ให้ค่าจ้างผมตั้งเยอะแล้วนะครับ แถมผมเพิ่งทำงานไปได้สองวันเอง..”

“งั้นตอนอยู่บ้าน พี่จ้างหนึ่งเพิ่มด้วยดีไหม ช่วยทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว หรือว่านั่งคุยเป็นเพื่อนพี่”

“เอ่อ…”

“เอาตามนั้นแหละ ไม่ต้องคิดเยอะหรอก” รีบตัดบท ไม่เผื่อเวลาให้อีกคนลังเล “แต่ว่าเย็นนี้เราไปกินข้าวข้างนอกกันก่อนดีกว่า”

เขาทิ้งให้นับหนึ่งนอนพักผ่อน เพราะคงร้องไห้จนเหนื่อยแย่แล้ว ประตูห้องปิดตัวลงช้าๆ ขณะหยิบมือถือเครื่องบางออกมาเปิดอ่านข้อความจากผู้ชายที่เพิ่งไล่เด็กบนเตียงออกจากบ้าน แต่ก็ยังตามมารังควานไม่ยอมปล่อย

10:47 [ WS: อยู่ไหน ]

10:47 [ NAWA: ถึงบ้านแล้วไอ้สัส ]

10:47 [ NAWA: มึงรีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดไรขึ้น ]

11:00 [ WS: วันนี้มึงพาเด็กนั่นไปกินอาหารทะเลหน่อยดิ ]

11:01 [ NAWA: กูบอกให้มึงอธิบาย!! ]

11:01 [ WS: กรรเชียงปู ]

11:05 [ NAWA: olo]

เพิ่งเอ่ยปากไล่เขาเอง ไม่ถึงชั่วโมงก็รีบลนลานถามหา แบบนี้จะเรียกว่าน่าสงสารหรือน่าสมเพชถึงจะเหมาะ แต่ถ้าให้ถูกคงเป็นน่าถีบ น่าถีบให้สำนึกว่า ถ้าเป็นห่วงนักก็อย่าเสือกไล่เด็กนั่นออกมาสิวะ ไอ้ควายเอ้ย!

แต่ช่างเถอะ เขาวางเดิมพันเลยว่าอีกไม่นาน วันเสาร์ก็ต้องรีบมาฉกลูกแกะน้อยๆ ของมันกลับไปซุกอก ไม่ก็โดนกรอบความคิดบ้าๆ ของตัวเองครอบงำจนฝืนทนคิดถึงนับหนึ่งไม่ไหวและเฉาตายไปเองในที่สุดนั่นแหละ

อ่า…แต่คนแบบวันเสาร์เพื่อนเขา น่ากลัวว่าจะได้ตายเพราะความคิดถึงซะมากกว่าแฮะ และน่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่ความรักสามารถทำให้คนหนึ่งคนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแสนโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้

“เฮ้อ” เขาถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนจะติดต่อกลับไปหาทรงยศเพื่อแจ้งข่าวว่าวันนี้นับหนึ่งคงไม่ได้ไปทำงาน

ผู้ลี้ภัยจมดิ่งสู่ห้วงนิทรานานหลายชั่วโมงจนเขาต้องคอยเดินเข้ามาเช็คว่ายังอยู่ดี ไม่ได้กลั้นใจตายไปเสียก่อนแล้ว นาฬิกาดิจิทัลบนโต๊ะทำงานขยับเปลี่ยนหมุนตัวเลขบนหน้าปัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลาสมควร บรรยากาศด้านนอกมืดลง ณ สุดขอบฟ้าส่องแสงสีส้มสลับชมพูน่าชม

หลังจากนับหนึ่งตื่นนอน พวกเรามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อทางภาคใต้ ซึ่งมาเปิดสาขายิ่งใหญ่อลังการอยู่ในตัวเมือง และเขาเองก็เป็นลูกค้าค่อนข้างประจำของที่นี่

แน่นอนว่า กรรเชียงปู คือเมนูแรกที่เขาเลือกสั่ง แต่มันก็ดูจะไม่ได้ทำให้เด็กตรงหน้ามีความสุขขึ้นตรงไหน ซ้ำร้ายจะยิ่งเซื่องซึมมากกว่าเก่า

เขาลอบถอนหายใจขณะจ้องมองคนตรงข้ามนั่งเขี่ยเม็ดข้าวเล่น ไม่ยอมตักเข้าปากสักคำ

“หนึ่ง”

“ครับ?”

“รักไอ้เสาร์ใช่ไหม”

ดวงตาคู่หม่นเบิกกว้าง ช้อนในมือร่วงหล่นกระแทกจานเสียงดังแกร็ง ใบหน้าขาวแดงวาบครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นซีดเผือดตามเดิม ความตกใจในแววตาค่อยๆ อับแสงลง ได้แต่ส่งเสียงตอบกลับเบาหวิว

“ครับ…ผมรักพี่เสาร์”

นั่นคือคำตอบที่นาวาคิดไว้ในหัวอยู่แล้ว ยกเว้นประโยคถัดมาซึ่งเขาไม่ได้คาดว่าจะได้ยิน

“แต่ว่าพี่เสาร์ไม่ได้คิดอะไรกับผม” น้ำเสียงสั่นเครือทำเอาคนฟังใจหาย

“ไม่หรอกหนึ่ง พี่ว่า…ทั้งสองคนใจตรงกันอยู่นะ”

“พี่วาอย่าปลอบผมด้วยคำโกหกเลยครับ”

เขาถอนหายใจหนักอึ้งอีกครั้ง “เปล่า พี่แค่พูดไปตามที่เห็น”

นับหนึ่งหลุบตาต่ำ กลับไปละเลียดอยู่กับข้าวพูนจาน ชัดเจนว่าคงไม่เชื่อข้อสันนิฐานที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงจากปากเขา และเขาก็ไม่กล้าย้ำ เมื่ออีกฝ่ายยังคงอยู่ในสภาวะไม่รับฟังอะไรแบบนี้

มือถือบนโต๊ะสั่นครืดต่อกันหลายครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นแชทสีเขียวยอดฮิต ห้องสนทนาของคุณชายบ้านวุฒิเวคินทร์เด้งขึ้นไปอยู่แถบบนสุด เรียกให้เขากดเข้าไปอ่านเป็นอันดับแรก

18:55 [ WS: มึง ]

18:55 [ WS: กินข้าวยัง ]

18:55 [ WS: กินอะไร ]

18:56 [ NAWA: กินอยู่ ]

18:56 [ NAWA: กรรเชียงปูตามที่มึงสั่งไง ]

18:56 [ NAWA: แต่หนึ่งไม่เห็นยอมกินเลย ]

18:56 [ NAWA: เอาแต่นั่งซึม ]

18:56 [ NAWA: กูไม่รู้จะทำยังไง ]

18:57 [ NAWA: ทำไมมึงถึงต้องทำงี้ด้วยวะ กูไม่เข้าใจจริงๆ ]

เป็นเวลานานหลายนาทีที่คนอีกฟากฝั่งเงียบหายไป ทั้งที่เมื่อกี้ยังตอบกลับเขาแทบจะเรียลไทม์วิต่อวิ และเขาก็ไม่น่าเสียเวลาไปคาดหวังว่าจะได้คำอธิบายดีๆ จากคนชื่อวันเสาร์เลย เมื่อรู้ๆ อยู่ว่าปากหนักใจหนักแค่ไหน แล้วนิ้วที่จิ้มแป้นโทรศัพท์อยู่นั่นก็คงหนักตามไปด้วยแล้วล่ะมั้ง

19:06 [ WS: ลองสั่งไอติมให้กินสิ ]

19:06 [ NAWA: มึงยังไม่ตอบคำถามกู!! ]

19:07 [ WS: ช็อกโกแลต วานิลลา สตรอเบอรี่ ]

19:07 [ WS: ถ้ามีวิปครีมก็ให้เขาใส่มาเยอะๆ ด้วย ]

19:07 [ NAWA: สัส ]

19:08 [ NAWA: กูงงว่าทำไมมึงต้องไล่หนึ่งออกมาทั้งที่มึงก็เป็นห่วงหนึ่งมากขนาดนี้ ]

วันเสาร์เงียบหายไปอีกครั้งหลังจากอ่านข้อความล่าสุดของเขาแล้ว ความจริงเขาอยากพิมพ์ลงไปเลยว่า ‘ทั้งที่มึงก็รักหนึ่งมากขนาดนี้’ ด้วยซ้ำ มันแสนจะชัดเจนและปิดบังไม่มิดเลยสักนิดเดียว ถึงอย่างนั้น วันเสาร์ก็ยังดันทุรังฝืนกลบเกลื่อนมันแล้วทำเป็นว่าไม่รักได้อย่างไร้ซึ่งความแยบยลใดๆ เขาไม่อยากพูดคำนี้ แต่ว่าการที่ไล่นับหนึ่งออกไปให้ไกลเพื่อหวังว่าจะยังปิดประตูหัวใจตัวเองไว้ได้ มันทำให้วันเสาร์กลายเป็นคนโง่ยิ่งกว่าโง่ โง่ที่ไม่รู้เลยว่าต่อให้พยายามปิดประตูบานนั้นยังไงก็ไม่เป็นผล ในเมื่อคนที่วันเสาร์ไม่อยากให้เข้าไปอยู่หลังบานประตู นั่งหัวโด่อยู่ข้างในตั้งนานแล้ว

แค่รอวันที่เจ้าของประตูจะรู้ตัวก็เท่านั้น…

 



-----------------------------------------------



 

“ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นฉลองครบรอบ 5 ปีของทางร้านด้วยนะคะ” พนักงานสาวลงทุนขนสารพัดนาฬิกานับสิบเรือนออกมาวางเรียงกันบนเคาน์เตอร์

หลังจากเลิกงานเด็กเสิร์ฟที่นาโปลีก่อนเวลาเล็กน้อย เขาก็ถือโอกาสพานับหนึ่งมาเดินดูของขวัญวันเกิดให้วันเสาร์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้บอกว่าเพื่อนคนนั้นไม่เคยสวมนาฬิกาเรือนอื่นนอกจากของขวัญปีใหม่จากวันศุกร์เลย และนับเป็นเรื่องที่วัดใจพอตัวถ้าหากจะซื้อนาฬิกาให้หมอนั่นเปลี่ยน แต่ก็น่าเสี่ยงอยู่เหมือนกัน

คนตัวเล็กเลือกยี่ห้อที่ไม่ได้แพงมากนัก คนอื่นอาจจะมองว่าไม่สมเกียรติวันเสาร์สักเท่าไร แต่เขาก็คิดว่าไม่ได้น่าเกลียดถึงขนาดจะใส่ออกงานไม่ได้เลย แถมเงินเก็บของนับหนึ่งก็ไม่ได้มีมากพอจะซื้อของจากร้านที่หรูไปมากกว่านี้ด้วย พูดกันตามตรง แม้ว่าเขาจะจ่ายค่าจ้างที่ร้านให้เกินมาตรฐานพนักงานอื่นไปค่อนข้างเยอะ บวกกับรายได้พิเศษจากการรับจ๊อบพ่อครัวจำเป็นให้ครอบครัวเขาทานมาตั้งหลายมื้อแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเพียงพอสำหรับสินค้าสักตัวในห้างนี้หรอก

“เฉพาะรุ่นพวกนี้ ลดพิเศษ 50% เลยนะคะ”

“เอ่อ…” ดวงตาใสกลอกมองไปทางซ้ายที ขวาที อย่างไม่มั่นใจนัก แค่จะหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ ยังไม่กล้า “พี่วาว่าอันไหนดีครับ”

“หนึ่งเลือกสิ หนึ่งเป็นคนให้ไม่ใช่เหรอ”

“อ่า…อันนี้ ดีไหมครับ” นิ้วเรียวชี้ไปทางหน้าปัดเรียบหรูสีดำวาวล่อแสง สายหนังสีดำเช่นเดียวกันยิ่งเสริมให้สินค้าเรือนนี้ดูลึกล้ำน่าค้นหา อีกทั้งยังมอบภาพลักษณ์ที่ดูเป็นทางการมากยิ่งขึ้น

“หนึ่งว่าดีไหมล่ะ ถ้าว่าดีก็เอาเลย”

“อืม…แต่ว่า เงินผมยังไม่พออะครับ รอก่อนดีกว่า”

พนักงานรีบทักทันทีที่ได้ยินคำว่ารอ “แต่โปรฯ นี้จัดแค่ 5 วัน แล้ววันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วนะคะ”

สีหน้ามีความหวังเมื่อสักครู่ หมองลงจนเห็นได้ชัด ท่าทางเป็นกังวลทำให้คนโตกว่าต้องยื่นมือเข้าช่วยอย่างที่เขาเต็มใจ

“งั้นก็ซื้อไปเลย ขาดอีกเท่าไร เดี๋ยวพี่ออกให้เอง”

“มะ ไม่เป็นไรครับพี่วา”

“ไม่เป็นไร เพราะว่าพี่ก็ไม่ได้ให้ฟรีๆ อยู่แล้ว”

นับหนึ่งเลิกคิ้ว พอดีกับที่เขาฉีกยิ้มกว้าง “หนึ่งต้องหอมแก้มพี่ทีนึงก่อน”

ทั้งพนักงานและเด็กฝากเลี้ยงต่างพากันเบิกตาโต หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มตีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะแสร้งก้มหัวหายเข้าไปหลังร้าน ทิ้งให้ลูกค้าทั้งสองอยู่เฝ้านาฬิกาทั้งหมดนั่นเพียงลำพัง

“อะ..เอ่อ…”

“แค่หอมแก้มเอง แลกกับเงินที่ขาด เป็นไง” นาวาโน้มตัวลง พลางยื่นแก้มเข้าหา

นับหนึ่งเผลอย่นคอหนีตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็คิดได้ว่า รอยยิ้มในแววตาของคนตรงหน้าไม่เคยดูน่ากลัวหรือน่าสงสัยเลยสำหรับเขา นาวาเป็นพี่ชายที่แสนดียังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น และถ้าคิดดูแล้ว การหอมแก้มคนที่เรานับถือเหมือนพี่แท้ๆ คนหนึ่ง ก็ดูไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แถมมันยังเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ฟังดูไม่เลวเลย สำหรับเงินที่ขาดไปเกือบ 3,000 บาท ซึ่งเขาคงหามาไม่ทันวันเกิดที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

เขายืนเกาเล็บตัวเองอย่างชั่งใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นริมฝีปากออกไปแตะแก้มอีกฝ่ายเพียงแผ่วๆ แล้วรีบเด้งตัวออก นาวายกยิ้มอีกครั้ง ลูบหัวเขาแสดงความเอ็นดู พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หย่อนเงินส่วนที่เหลือลงไปในกระปุกออมสินที่เขาพกมาด้วย

ในที่สุดความตั้งใจของเขาก็กลายเป็นจริง เมื่อพนักงานคนเมื่อครู่กลับออกมา พร้อมนำสินค้าตัวดังกล่าวไปห่อใส่ถุงติดโบว์ให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ขอบคุณครับ” เขารับถุงสีทึบมาถือไว้อย่างระวัง ไม่ลืมหันไปก้มหัวซ้ำให้คนข้างกาย “ขอบคุณมากนะครับพี่วา”

“ไม่เป็นไร”

นาวาแวะซื้อชานมไข่มุกให้เขาก่อนกลับขึ้นรถ นับว่าในเรื่องแย่ๆ ก็ยังมีอะไรดีๆ อยู่มากทีเดียว ถุงกระดาษหนาปั๊มโลโก้ยี่ห้อนาฬิกาถูกวางลงบนตักพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่เผยขึ้นบนใบหน้าเซื่องซึมตลอดระยะเวลา 10 วันที่ผ่านมา มีความหวังเล็กน้อยในใจว่า วันเสาร์คงไม่ได้เกลียดเขาถึงขนาดไม่รับของขวัญที่ตั้งใจซื้อให้ชิ้นนี้

รถยนต์สีน้ำเงินโฉบเฉี่ยวแล่นออกจากลานจอดขนาดกว้าง โดยมีผู้ชายคู่หนึ่งลอบมองตามจากมุมไกลๆ หนึ่งในสองเพ่งมองป้ายทะเบียนรถที่เขาจำได้ดี ก่อนจะเบ้ปากใส่อีกคนซึ่งเอาแต่ยืนอมยิ้มอย่างผู้ชนะ หลังจากเขาทั้งสองแวะออกมาหาอะไรกิน แล้วดันเดินผ่านคนคุ้นเคยกำลังเลือกสินค้าอยู่ในร้านนาฬิกา ซ้ำร้ายยังเผลอไปเห็นช็อตเด็ดที่ไม่ควรจะเห็นอย่างตอนที่เด็กตัวเล็กยื่นปากเข้าไปแนบแก้มพี่ผู้ชายอีกต่างหาก

“เห็นมะ พี่บอกแล้วว่านั่นอะพี่วาไม่ผิดแน่ ศุกร์ก็ไม่ยอมเชื่อ ส่วนเด็กนั่นก็คงจะเป็นนับหนึ่งที่ศุกร์เล่าให้ฟังนั่นแหละ” กันติกรณ์ยักไหล่

“ก็มันไม่น่าเชื่อหนิ หนึ่งจะหอมแก้มพี่วาได้ไงอะ”

“อ่าว แล้วทำไมจะไม่ได้อะ”

“ก็…ก็หนึ่ง…”

ให้ตายสิ เขาอยากจะเถียงแทบขาดใจ แต่พอคิดให้ดี เขากลับเถียงอะไรไม่ออก แม้อยากจะป่าวประกาศว่า นับหนึ่งเป็นเด็กของวันเสาร์ พี่ชายเขา แต่สถานะในตอนนี้ก็ทำให้พูดออกไปเต็มปากเต็มคำไม่ได้ ในเมื่อพี่ชายจอมปากแข็งของเขาเพิ่งปลดเด็กคนนั้นออกจากการครอบครอง ไม่ได้เป็นเด็กของวันเสาร์อีกต่อไปแล้ว…

แย่ชะมัด มีพี่ชายแบบนี้ นอกจากจะสงสารนับหนึ่งแล้ว เขายังรู้สึกสงสารตัวเองอีกด้วยนะเนี่ย

 

-----------------------------------------------

ป.ล. มีคนถามว่านามปากกาเราอ่านว่าอะไร อ่านว่า "ออน-แอร์" นะคะ (แต่อยากพิมพ์แบบนี้) งุงิ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
นับหนึ่ง ถึง สิบแปด

 

“พี่เสาร์ไม่ยอมกินข้าวอีกแล้วเหรอครับ” คุณชายคนเล็กเอ่ยถามแม่บ้านที่กำลังเก็บโต๊ะอาหาร ทั้งที่ข้าวยังเต็มจานและช้อนส้อมก็สะอาดเอี่ยมราวกับไม่ได้แตะถูกเลย

พี่ละเมียดพยักหน้า ท่าทางเหนื่อยใจอีกทั้งเป็นห่วง “ไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ”

“แต่เมื่อครู่พี่ยกผลไม้ไปให้ที่ห้องแล้ว ไม่รู้จะยอมทานไหม ยังไงคุณศุกร์ขึ้นไปดูหน่อยละกันค่ะ” พี่ละไมเสริม

เขาถอนหายใจยาวเหยียดขณะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ประตูห้องนอนของวันเสาร์เกือบจะปิดตายหลังจากวินาทีที่นับหนึ่งลากกระเป๋าออกจากบ้าน ตลอดสิบวันที่ผ่านมา พี่ชายของเขาก็เอาแต่ขังตัวเอง ไม่ออกไปพบเจอผู้คน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา และถ้าดูจากร่องรอยคล้ำใต้ตาลึกก็คงจะเดาได้ว่าไม่ได้นอนด้วยเช่นกัน

ก๊อกๆ

ประตูไม้เปิดออก ผู้ชายตัวใหญ่ในชุดไปรเวท ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไรหนวดผุดเป็นต่อ สีหน้าโรยราหมดสภาพกำลังนอนจ้องจอมือถืออยู่บนเตียง ไม่สมกับอดีตเจ้าของตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศเลยสักกะผีกเดียว กระป๋องเบียร์เปล่าวางระเกะระกะไปตามพื้น จนการก้าวขาแต่ละก้าวกลายเป็นคล้ายการละเล่นขนาดหย่อม ว่าจะหลบหลีกอย่างไรไม่ให้เตะถูกกระป๋องพวกนั้นแล้วลื่นล้มลงก้นจ้ำเบ้า

“พี่เสาร์ ทำไมไม่กินข้าวล่ะครับ” เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ วันเสาร์เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทีตกใจเล็กน้อย สาบานเถอะว่าเพิ่งสังเกตว่ามีใครอีกคนรุกล้ำเข้ามาในห้อง สมงสมองไปไหนหมดแล้วเนี่ย

“ศุกร์ กลับมาแล้วเหรอ”

“ครับ”

“ไปไหนมา”

มือหยาบกร้านคว้ากุมมือเขาไว้แนบแน่น มือถือเครื่องบางร่วงลงบนตัก หน้าจอสว่างวาบฉายห้องสนทนาของเพื่อนสนิทชื่อนาวา แต่กลับไม่มีข้อความใดพิมพ์ลงไป

“ศุกร์ไปกินข้าวกับพี่กันต์มาครับ ที่ห้างฯ ตรงนี้เอง” วันเสาร์ผงกหัวรับรู้ ไม่ต่อว่าที่เขาหนีออกไปพบคนที่ตัวเองนึกเกลียด

ความจริงมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่นับหนึ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิต วันเสาร์ก็ดูจะเพลาๆ เรื่องเขม่นเหม็นหน้าคนรักของเขาลงไปเยอะ แทบจะทำใจยอมรับได้แล้วด้วยซ้ำไป

เขาชั่งใจครู่เดียว ก่อนจะเสี่ยงเอ่ย “ศุกร์เจอพี่วาด้วยนะครับ”

“…”

“กับหนึ่ง”

มวลความเงียบก้อนมหึมากระจายตัวปกคลุมทั่วบริเวณแทบจะทันทีเมื่อเขาหลุดพูดชื่อต้องห้าม แววตาสีนิลสนิทสั่นไหวเพียงนิด ก่อนจะแสร้งกลับมาปั้นหน้าตายดังเดิม คงต้องบอกว่าทักษะการแสดงของวันเสาร์มันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรนานหลายนาที กว่าที่วันเสาร์จะยอมปริปาก

“เด็กนั่นไม่ต้องทำงานที่นาโปลีแล้วเหรอ”

คำว่า ‘เด็กนั่น’ ฟังดูห่างเหิน ขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเจ็บปวด และทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่าวันเสาร์กำลังเจ็บปวด แต่ก็ยังอยากจะแกล้งให้เจ็บแสบที่สุด ให้รู้สำนึกว่าการละทิ้งหัวใจตัวเองไปมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน

“ไม่รู้สิครับ ลาออกจากร้านไปเป็นคุณนายที่บ้านพี่วาแล้วหรือเปล่า”

คนฟังนั่งนิ่ง เผลอมุ่นหัวคิ้วหน้าเครียด จนเขาต้องรีบหันไปคว้าเอาจานผลไม้บนโต๊ะหัวเตียงมาพิจารณาก่อนจะหลุดหัวเราะ “ผลไม้น่าทานจังเลย พี่เสาร์กินสักหน่อยนะครับ”

“ไม่ล่ะ ศุกร์กินเถอะ”

เขากดเสียงต่ำ พลางยื่นส้อมจิ้มแอปเปิ้ลซีกฉ่ำไปจ่อตรงหน้า “พี่เสาร์อยากตายก่อนถึงวันเกิดตัวเองหรือไงครับ”

เรียวตาคมแลดูอ่อนแอเหลือบมองเขาเหมือนอยากจะเถียงกลับ ทว่าสุดท้ายก็ยอมรับแอปเปิ้ลเปลือกแดงเข้าปากอย่างจำใจ จานผลไม้นานาชนิดถูกยัดเยียดใส่มือ และเขาก็คงปฏิเสธไม่รอด

“เดี๋ยวนี้ศุกร์พูดจาใจร้ายขึ้นนะ พี่ต้องต่อว่ากันติกรณ์หน่อยแล้ว”

“ไม่เกี่ยวกะพี่กันต์สักหน่อย”

เจ้าของร่างเล็กยิ้มขำ ก่อนจะนั่งเฝ้าจนแน่ใจว่าคนเป็นพี่กินผลไม้ในจานหมดเกลี้ยงแล้ว ถึงได้ฤกษ์กลับห้องนอนตัวเอง ความกังวลก่อตัวลุกลามอยู่ภายในอก ขืนยังปล่อยให้วันเสาร์นอนเป็นผักไปวันๆ แบบนี้ต่อไป คงได้คิดถึงใครบางคนจนเฉาตายจริงๆ แน่

น่ากลัวชะมัด ไอ้คำว่ารักเนี่ย…

 

-----------------------------------------------



งานวันเกิดอายุครบ 23 ปี ของคุณชายวันเสาร์ วุฒิเวคินทร์ จัดขึ้นเล็กๆ เป็นส่วนตัวภายในคอนโดหรูชั้น 14 ของนายเจนภพ เจ้ามื้อปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมถึงมหาลัยต่างมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง และถึงแม้ว่าจะเป็นงานสังสรรค์ แต่วันเสาร์กลับดูไม่มีความสุขมากเท่าที่ควรเลย

“เลิกทำหน้าเหมือนโลกจะแตกได้ปะวะ” เจนภพกระโดดเข้ามาตบหลังเจ้าของวันเกิดเสียงดังป้าบ ก่อนที่เสียงกริ่งจะดังขึ้นอีกครั้ง แขกคนล่าสุดของงานคือนาวา พ่วงด้วยเด็กผู้ชายตัวเล็กอีกคนที่เอาแต่เดินเกาะชายเสื้อผู้ปกครองตัวเองไม่ห่าง

คงต้องขอบคุณผู้มาใหม่ที่ทำให้วันเสาร์มีสีหน้าอื่นนอกเหนือจากนิ่งเป็นหินบ้าง

เจรีบดึงมือนับหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “เป็นไงหนึ่ง ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ก็…สบายดีครับ”

“หนึ่งสบายดีเหรอ” เขาแกล้งทวนคำเสียงดัง แล้วหันไปตบบ่าเพื่อนจอมเย็นชาปุๆ “แต่ไอ้เสาร์ดูเหมือนจะไม่สบายเลยอะ”

“ไอ้เจ”

เจ้าของห้องหัวเราะ ยักไหล่ไม่ยี่หระ ก่อนจะเด้งตัวหลบมือหนาที่จงใจฟาดเข้ากลางศีรษะพอดิบพอดี เขาหันไปแลบลิ้นใส่แบบไม่กลัวตาย แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีเพลิงตัวยาว ปล่อยให้หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของนาวาที่ต้องรับไม้ต่อ

“แฮปปี้เบิธเดย์มึง” นาวาส่งกล่องของขวัญให้ ซึ่งแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นปากกาลูกลื่น ยี่ห้อ Montblanc แถมยังเป็นรุ่นท็อป ราคาหลายหมื่นอีกต่างหาก

“ขอบใจ”

วันเสาร์พยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้ววางกล่องปากกาไว้ข้างกับกล่องของขวัญขนาดใหญ่โตมโหฬารจากเจนภพ ซึ่งนอกจากจะห่อแน่นหนาแล้วยังลึกลับ กล่องซ้อนกล่องไปอีกเกือบสิบชั้น กว่าเขาจะเจอของด้านในจริงๆ ก็เล่นเอาเหนื่อยจนแทบปากล่องหนักอึ้งนี่ใส่หน้าคนให้ซะเลย ในขณะที่นาวาแค่เดินถือปากกากล่องเหลี่ยมชิลๆ มาเท่านั้น คงต้องบอกว่าเพื่อนสนิททั้งสองของเขามีความแตกต่างกันพอสมควร แต่ถ้านับจากเรื่องที่ชอบแกล้งยั่วโมโหให้เขาหัวปั่น ดูเหมือนพักหลังมานี้จะค่อนข้างสูสีทีเดียว

สายตาคมหม่นแสงกลับมาวูบไหวยามหันไปสบเข้ากับนัยน์ตากลมคู่สวยที่เขาเคยนึกชื่นชมอยู่แทบทุกคืน เด็กน้อยในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนขาดเข่าค่อยๆ ขยับเข้ามาหา ท่าทางหวั่นกลัว

มันผ่านมาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่เขาไม่ได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายเลย และก็เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์เต็มๆ ที่เขาได้แต่ทนทรมานอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง โดยมีใบหน้าของนับหนึ่ง อีกทั้งน้ำเสียง และกลิ่นกายหอมคอยตามหลอกหลอนจนไม่เป็นอันใช้ชีวิต

“เอ่อ…สุขสันต์วันเกิดครับ” นั่นคือเสียงที่เขานึกอยากได้ยิน แต่มันกลับฟังดูไม่สดใสเอาซะเลย ก็แน่ล่ะ เขาเพิ่งทำร้ายจิตใจเด็กนี่ไปเองนี่น่า แล้วยังอุตส่าห์หาของขวัญมาให้เขาอีก จะทำให้เขารู้สึกผิดจนตายเลยหรือไง

ถุงกระดาษสีทึบถูกยื่นออกมา นาวาพูดเสริมพลางฉีกยิ้มภูมิใจเหมือนคุณพ่อพาลูกชายมาพบคุณครูงานประชุมผู้ปกครองไม่ผิดเพี้ยน “หนึ่งตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อของขวัญให้มึงเลยนะ”

อ่า…นี่คือเหตุผลที่นับหนึ่งดิ้นรนจะออกไปทำงานให้ได้หรือเปล่า งั้นเขาก็สมควรจะดีใจสินะ แต่ว่า…ทำไมถึงต้องเป็นนาฬิกาล่ะ

หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นยามเปิดกล่องของขวัญออกดูและพบว่ามันคือนาฬิกาเรือนสวย เขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนประจำบนข้อมือตัวเองแวบหนึ่ง สีหน้าลำบากใจถูกฉาบทับด้วยความเคลือบแคลงทันทีที่กันติกรณ์โผล่หน้าเข้ามาในวงสนทนา

“อ่าว อันนี้ซื้อให้พี่เสาร์หรอกเหรอ นึกว่าพี่วาซื้อให้นายซะอีก เห็นนายหอมแก้มพี่วาที่ร้านนาฬิกาด้วยนี่”

“พะ..พี่กันต์!” ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของน้องชายเขาเอง

ใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นถมึงทึง จับจ้องคนตัวเล็กสลับกับเพื่อนตัวเองอย่างจับผิด เขาลอบสูดหายใจเพื่อสะกัดกลั้นสารพัดอารมณ์ในอก แล้ววางถุงของขวัญจากนับหนึ่งไว้บนโต๊ะรวมกันกับของคนอื่นๆ สุ้มเสียงเรียบนิ่งกรีดแทงหัวใจคนฟังเป็นครั้งที่ร้อยหรือไม่ก็พัน

“ขอบใจสำหรับของขวัญ แต่คงไม่มีโอกาสได้ใช้” เขาพลิกข้อมือขึ้น ฉายให้เห็นนาฬิกาสายหนังน้ำตาลราคาแพงชัดเจน “เพราะฉันมีเรือนที่ศุกร์ซื้อให้อยู่แล้ว คงไม่ถอดไปใส่เรือนอื่น”

นับหนึ่งชะงัก ใบหน้าซีดเผือดชาวาบเหมือนเพิ่งโดนลากไปตบกลางโรงอาหาร พยายามกลืนก้อนความเจ็บปวดลงคอ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกนาวาชิงตัดหน้าซะก่อน

“เฮ้ย ทำไมพูดงี้วะ หนึ่งตั้งใจซื้อให้มึงมากนะเว้ย”

เจ้าของนาฬิกากว่า 80% รีบเอ่ยปรามผู้ใหญ่ข้างตัวก่อนที่จะมีเรื่อง “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่วา” มือเล็กๆ เอื้อมกุมมือวันเสาร์ไว้อย่างถือวิสาสะ และก็แปลกที่คนใจร้ายกลับนิ่งเฉยยอมให้เขาจับ พยายามประคองน้ำเสียงสั่นเครือของตัวเอง “ถ้าพี่เสาร์ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าทิ้งมันได้ไหม เก็บไว้นะครับ…”

ฝ่ามือนุ่มเพิ่มแรงบีบไม่ทันรู้ตัว ก่อนที่สีหน้าเศร้าหมองจะเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจยามรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวหนังขาวอมเหลือง เขาพลิกหลังมือไล่แตะไปตามเนื้อตัวอุ่น จนหยุดลงแนบแก้มเรียว แทบกลายเป็นตอบจากการอดอาหารไม่รู้กี่มื้อ

“พี่เสาร์ไม่สบายเหรอครับ”

“เปล่า” วันเสาร์ปัดมือเขาออก ก่อนจะสะบัดตัวหนีไปทางกลุ่มเพื่อนที่เขาไม่รู้จัก

ทั้งนาวาและวันศุกร์ต่างส่ายหน้าให้กับเหตุการณ์ไม่สมเหตุผลเมื่อครู่ เพราะต่างมองทะลุปรุโปร่งว่าคนชื่อวันเสาร์น่ะทั้งหลงทั้งรักเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่กลับใจหนักเท่าผืนดิน ไม่ยอมรับความรู้สึกจริงๆ สักที และมันไม่ได้แค่ทำให้นับหนึ่งรวดร้าว แต่ตัววันเสาร์เองก็ด้วย รังจะเจ็บปวดมากกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ

ปาร์ตี้วันเกิดยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเจนภพเป็นคนคอยสร้างบรรยากาศซะส่วนใหญ่ เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืน บางคนขอตัวลากลับบ้านไปก่อน บ้างเมาแอ๋หลับคาพื้น และบางกลุ่มก็ยังนั่งคุยเล่นกันสนุก ขณะที่เจ้าของงานดันปลีกตัวไปจิบไวน์ทำมิวสิคอยู่คนเดียวด้านนอกระเบียง จากมุมนี้มองลงไปเห็นวิวสระว่ายน้ำด้านล่าง เงียบสงบและไร้ผู้คน

จนกระทั่งมีเงาของคนสองคนซึ่งเขาคุ้นเคยดี ขยับไปยืนหยุดอยู่ริมสระ ดูเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่าง ซึ่งเร้าให้เขาอยากจะรู้ซะเหลือเกิน

ร่างสูงโปร่งเคลื่อนกายออกจากห้องโดยไม่มีใครทันสังเกต เขากดลิฟต์ลงไปที่ชั้นของสระว่ายน้ำส่วนกลาง พาตัวเองหลบหลังเสาต้นใหญ่ ใกล้พอจะได้ยินสองคนนั้นคุยกันแว่วๆ หากก็ไกลพอที่จะซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น

“พี่วา…ผมว่าจะไปหาห้องเช่าถูกๆ อยู่” นับหนึ่งพูดขึ้นทั้งที่ทอดสายตามองพื้นน้ำสีฟ้าใส

“ทำไมล่ะ อยู่กับพี่ก็ได้หนิ”

“ไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมรบกวนพี่วาตลอดไปได้ยังไง”

“ตลอดไปที่ไหน ไอ้เสาร์มันก็แค่ฝากหนึ่งไว้กับพี่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็มาพาหนึ่งกลับไปเองแหละ ไม่เชื่อพี่เหรอ”

เสี้ยวหน้าหวานทว่ากลับเศร้าหมองเหลือบมองคู่สนทนาพร้อมน้ำตาคลอหน่วย “ไม่เชื่อครับ”

นาวานิ่งอึ้ง ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนั้น ภาพตรงหน้าเขาตอนนี้ แค่ปรายตามองนิดเดียว ก็รู้สึกสงสารจับใจแล้ว

อะไรบางอย่างส่งให้เขาเอ่ยปากถามคำที่ไม่ควรถาม “งั้นพี่จะซื้อตัวหนึ่งมาจากไอ้เสาร์ แล้วก็ย้ายมาอยู่กับพี่ถาวรเลย ดีไหม?”

สายลมเย็นๆ ยามค่ำคืนพัดผ่าน พาละอองน้ำแฝงกลิ่นคลอรีนกระทบผิวกายจนคนบนริมสระเผลอปิดเปลือกตาลง เสียงดนตรีลอดออกจากหน้าต่างห้องชั้น 14 ดังชัดขึ้นในโสตประสาท ต่างฝ่ายต่างยืนแน่นิ่ง ไม่ปริปากนานนับนาที ก่อนที่คนเด็กกว่าจะเผยรอยยิ้มฝืนๆ พลางส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำเสียงเบาหวิวเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรมานจากส่วนลึก

“ถ้าพี่เสาร์ใจดีได้ครึ่งนึงของพี่วาก็ดีสิ…”

นาวาพ่นลมหายใจออกจากปาก เบือนสายตากลับขึ้นไปยังพื้นที่ว่างเปล่าบนระเบียงห้องเจนภพ

ถ้าวันเสาร์ใจดีได้ครึ่งนึงของเขางั้นเหรอ…ไม่ใช่หรอก ความจริงแล้ววันเสาร์น่ะ ใจดี… ใจดีกว่าเขาเสียอีก สิ่งที่ต้องขอคือขอให้วันเสาร์ยอมรับและจริงใจกับตัวเองต่างหาก

หรือไม่ก็…ขอให้วันเสาร์กลับมาฉลาดไวๆ นั่นแหละ





---------- มีต่อโพสล่างนะคะ ----------

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
---------- ต่อ ----------





กล่องหนังเทียมสีดำด้านถูกเปิดออก นาฬิกาหน้าปัดดำกรอบเงิน สายหนังสีทึบ เรียบง่ายทว่าดูดีไม่น้อย ถึงจะไม่ใช่โมเดลตัวท็อปราคาสูงแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เขาออกจะชอบด้วยซ้ำไป

หลายวันมานี้เขาเอาแต่ปวดหัวจนนอนไม่หลับ แต่ปวดที่สุดก็คือคืนนี้ หลังจากไม่ได้เจอหน้านับหนึ่งมาร่วมสองอาทิตย์ พอได้เจอ…มันเหมือนกับว่าท้องทะเลแห้งเหือดกลับเต็มไปด้วยเกลียวคลื่นแห่งความสับสนอีกครั้ง หลายร้อยล้านความรู้สึกพรั่งพรูออกมาพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า เหงา คิดถึง รู้สึกผิด ทรมาน และเจ็บปวด เสี้ยวหนึ่งของใจ เขาอยากผลักไสเด็กคนนั้นออกไปให้ไกลแสนไกล แต่อีกส่วนกลับอยากดึงเข้ามากอดไว้ให้แน่นที่สุด

เขายกข้อมือตัวเองขึ้นพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจถอดนาฬิกาจากวันศุกร์ออกไปวางพักไว้บนโต๊ะทำงาน ของขวัญชิ้นใหม่พาดทับซ้ำรอยเดิมแทนที่ ใบหน้าของคนให้ยังคงลอยคว้างอยู่ในหัวสมอง

ร่างกายหนักอึ้งล้มแผ่บนเตียง หลังมือก่ายหน้าผากพลางขมวดคิ้วมุ่น ดูเหมือนอุณภูมิในตัวจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศมันหนาวมากกว่าทุกวัน

บทสนทนาของคนในห้วงความคิดคำนึงกับเพื่อนสนิทที่เขาฝากฝังเด็กคนนั้นไว้ย้อนกลับเข้ามาราวกับม้วนเทปที่ถูกฉายซ้ำ

‘ไอ้เสาร์มันก็แค่ฝากหนึ่งไว้กับพี่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็มาพาหนึ่งกลับไปเองแหละ ไม่เชื่อพี่เหรอ’

‘ไม่เชื่อครับ’

‘งั้นพี่จะซื้อตัวหนึ่งมาจากไอ้เสาร์ แล้วก็ย้ายมาอยู่กับพี่ถาวรเลย ดีไหม?’


เปลือกตาปิดสนิทหวังให้เลิกฟุ้งซ่าน แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลสักนิด มือหนาควานหาโทรศัพท์เครื่องบาง กดค้นหาเบอร์โทรเจ้าของชื่อ นาวา แล้วเอาแต่จดจ้องอยู่กับหน้าจอโดยที่ไม่ยอมแม้แต่กระดิกนิ้ว เขาถอนหายใจแล้วคว่ำหน้ามือถือกลับลงบนเตียง ผ่านไปได้ไม่ถึงนาทีก็หยิบมันขึ้นมาใหม่ ตั้งท่าจะโทรออกหานาวาอีกครั้ง แต่มือมันก็ไม่ยอมขยับสักที เหตุการณ์วนลูปอยู่นับสิบหนจนเขาชักรำคาญตัวเอง

สุดท้าย ไอ้นิ้วโป้งไม่รักดีก็เลื่อนไปหยุดอยู่ที่หน้า Contact ชื่อ ‘นับหนึ่ง’ เสียอย่างนั้น… น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอ ลังเลอยู่อีกนานสองนาน กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อกๆ

“พี่เสาร์ครับ”

เขารีบเด้งตัวออกจากเตียงนอน ลนลานถอดนาฬิกาบนข้อมือออก แล้วเก็บใส่กล่อง ห่มผ้าปิดไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะแสร้งกระแอมไอ ปรับสีหน้าให้นิ่งเฉยตามปกติ กลอนประตูปลดออก เผยให้เห็นใบหน้าเป็นกังวลของน้องชายต่างสายเลือด

“ศุกร์เอายามาให้ครับ ดูเหมือนพี่เสาร์จะไม่สบายใช่ไหม”

“เปล่าหนิ พี่สบายดี”

นั่นคือคำโกหกที่คงไม่เนียนเอาซะเลย ในเมื่อลมหายใจของเขาตอนนี้แทบจะกลายเป็นไฟอยู่รอมร่อ เขาเห็นว่าวันศุกร์ลอบส่ายหน้า สายตาผิดหวังที่ช้อนมองกันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนล้มเหลวในการใช้ชีวิต ตั้งแต่เมื่อไรที่เขากลายเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องในสายตาของครอบครัว หรือแม้กระทั่งผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องในสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง

“เมื่อกี้ศุกร์ได้คุยกับพี่วา”

คนเด็กกว่าย้ายไปนั่งบนปลายเตียงอย่างคุ้นเคย “พี่วาบอกว่าจะให้หนึ่งอยู่ที่บ้านถาวร”

“…”

“ศุกร์ว่าก็ดีนะครับ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกนิดๆ ยามได้ยินวันศุกร์พูดแบบนั้น เรียวตาอ่อนแรงเหลือบมองคนเป็นน้องที่เอาแต่พูดไปเรื่อยโดยไม่คิดว่ามันจะกระทบจิตใจเขาบ้างไหม หรือไม่ก็ตั้งใจจะพูดกระแทกกันอยู่แล้ว

“ถ้าพี่เสาร์ไม่อยากดูแลหนึ่งแล้ว ศุกร์ว่าก็ยังมีคนอื่นที่พร้อมจะดูแลหนึ่ง และอาจจะทำได้ดีกว่าด้วย”

“เด็กนั่นไปอยู่บ้านไอ้วา ก็รบกวนพ่อแม่มันเปล่าๆ” ในที่สุดเขาก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหว

“งั้นก็ให้ไปอยู่กับพี่เจ”

“ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ไอ้เจออกไปเมาเกือบทุกคืน หิ้วผู้หญิงขึ้นห้องก็บ่อย แล้วจะอยู่ได้ยังไง”

“หรือศุกร์จะให้พี่กันต์ซื้อบ้านให้หนึ่งอยู่ไปเลยดีอะครับ พี่เสาร์คิดว่าไง” เจ้าของร่างเล็กเลิกคิ้วถาม ใบหน้าแก่นๆ เอียงคอ จงใจกวนอย่างเห็นได้ชัด และถึงจะเป็นวันศุกร์แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำให้เขาโมโหเลย

“กันติกรณ์จะบ้าขนาดมาซื้อบ้านให้เด็กที่ไม่รู้จักหรือไงล่ะ”

“ถ้าศุกร์ขอก็ไม่แน่นะครับ เอ…หรือศุกร์ควรแนะนำหนึ่งให้กล้ารู้จัก ดูมันจะอยากได้น้องชายอยู่พอดี..”

“ศุกร์!” เส้นอะไรสักอย่างในตัวเขาขาดผึ่ง เผลอขึ้นเสียงโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าถมึงทึงให้กลับมาเป็นปกติ “เลิกพูดอะไรไร้สาระสักที”

เจ้าของคำพูดเจื้อยแจ้วเมื่อครู่ชะงัก ใบหน้ารั้นบึ้งตึง จ้องเขากลับเขม็ง และไม่ทันที่เขาจะได้ขอโทษหรืออธิบาย ก็ถูกสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ฟังดูหยอกเล่นอย่างเคย

“ทำไมครับ พี่เสาร์โกรธที่จะมีใครมาแย่งหนึ่งไปเหรอ”

“ปะ..”

“ถ้าพี่เสาร์กลัวจะมีใครมาแย่งหนึ่งไป แล้วพี่เสาร์จะไล่หนึ่งไปทำไมล่ะครับ”

วันศุกร์รุกไล่ตั้งคำถามอย่างท้าทาย ไม่เปิดโอกาสให้วันเสาร์ได้เถียงทันสักคำเดียว ความจริงเขาไม่อยากทะเลาะกับพี่ชายตัวเอง แต่ความดื้อด้านของวันเสาร์ นอกจากจะไม่น่ารักแล้วยังน่ารำคาญ น่าเบื่อ หรือแม้กระทั่งน่าต่อยซะด้วยซ้ำ

มันน่าโมโห ที่เห็นวันเสาร์เอาแต่ปฏิเสธหัวใจตัวเอง ทำมาเป็นปากหนักทั้งที่คิดถึงเขาแทบแย่ ความยึดติดผิดๆ เกี่ยวกับเขา มันกำลังจะทำให้วันเสาร์สูญเสียสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่อุตส่าห์หาจนเจอ และเขาก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากให้วันเสาร์ถูกทำร้ายด้วยฝีมือตัวเอง

“พี่ไม่ได้…”

“ถ้าพี่เสาร์ไม่ต้องการหนึ่งแล้ว งั้นศุกร์จะพาหนึ่งหนีไปให้ไกล ไปในที่ที่พี่เสาร์จะไม่มีวันหาเจออีกเลย!”

เขาทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ทั้งหมดในกาย ก่อนจะกระทึบเท้าหนี ปิดประตูตามหลังดังปัง ยอมรับว่าโกรธ โกรธมากที่สุด…

โกรธที่พี่ชายของเขากลายเป็นคนงี่เง่า โกรธที่วันเสาร์ทำร้ายจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ของนับหนึ่ง ซ้ำร้ายยังปล่อยความโง่เขลากัดกิดตัวเองจนแทบจะกลายเป็นคนไม่เต็มคน โกรธที่วันเสาร์พังทำลายความสุขของตัวเอง ทั้งที่กำลังจะเอื้อมคว้ามาได้อยู่แล้วในแค่ปลายนิ้วเดียวเท่านั้น

ที่โกรธ ก็เพราะเขาเป็นห่วง โกรธ…เพราะเขาอยากเห็นวันเสาร์มีความสุขยิ่งกว่าใคร

เพราะงั้นก็รีบๆ ยอมรับสักทีเถอะว่าคนที่ตัวเองรักน่ะ ไม่ใช่เขา ไม่เคยเป็นเขา แต่เป็นเด็กคนนั้นที่เพิ่งไล่ออกไปต่างหาก

ไม่อย่างนั้น…ความคิดถึง คงต้องฆ่าวันเสาร์ตายก่อนแน่ๆ

เสียงกุกกักดังลอดจากอีกฟากฝั่งประตู วันเสาร์ออกแรงเตะขอบเตียงดังปึก และหัวใจของเขาถูกบีบรัดจนเจ็บปวดมากยิ่งกว่ารอยแดงบนปลายนิ้วเท้า เล็บทั้งสิบพร้อมใจกันขยี้จิกทึ้งเส้นผมตัวเองจนแทบจะหลุดติดมือ เขาทิ้งตัวลงบนฟูกหนาอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน ความร้อนในร่างกายพุ่งสูงขึ้น พร้อมกับความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นทะลักไม่อาจปิดซ่อนไหว

ดูเหมือนว่ามันใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องปล่อยมือจากบางสิ่ง เพื่อที่จะได้ดึงรั้งบางอย่างเอาไว้…บางอย่างที่เขาไม่อยากสูญเสียไปตามปากว่า



-----------------------------------------------

 

พูดไม่ทันขาดคำ…

วันเสาร์จับไข้ ไม่สบายหนักในรอบ 10 ปี ร่างสูงโปร่งขดงออยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ริมฝีปากแห้งแตกซีดเผือด ผมเผ้ารุงรังไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเคย เป็นภาพที่นับว่าไม่น่าดู และถ้ามีสาวที่ไหนผ่านมาเห็นคงตกใจว่าเจ้าชายน้ำแข็งของพวกเธอกลายเป็นศพเน่าไปได้ยังไงกัน

“พี่เสาร์ลุกขึ้นมากินข้าวหน่อยสิครับ”

คนบนเตียงส่ายหน้า ยิ่งมุดหายจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับฟูกผืนใหญ่ เขามองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน ก่อนถอนหายใจยาวเหยียด

คำถามที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ดังแทรกความเงียบภายในห้อง

“พี่เสาร์คิดถึงหนึ่งใช่ไหม”

“…”

“ศุกร์รู้นะครับว่าพี่เสาร์กำลังสับสน แต่ศุกร์อยากให้พี่เสาร์ลองทบทวนความรู้สึกตัวเองให้ดี แล้วก็ยอมรับหัวใจตัวเองได้แล้ว ไม่งั้นอาจจะเสียคนสำคัญไปตลอดกาลเลยก็ได้”

วันเสาร์ยังคงแสร้งเป็นใบ้ ขณะที่เขาเริ่มท้อใจขึ้นมาจริงๆ เวลาภายในห้องถูกทิ้งให้ผ่านไปอย่างไร้ค่านานหลายนาที ก่อนจะตัดสินใจยกคำพูดในอดีตขึ้นมาทวนซ้ำอีกครั้ง แม้ว่ามันอาจเป็นเหตุการณ์ที่วันเสาร์ไม่อยากย้อนกลับไปนึกถึงอีกเป็นครั้งที่สอง

“ตอนศุกร์เข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุด…” คนโตกว่าขยับกายเล็กน้อย เขารู้ดีว่าวันเสาร์ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเรื่องนี้ แน่ล่ะ…ครั้งล่าสุดที่เขานอนโรงพยาบาล ก็คือหลังจากโดนกระสุนเฉี่ยว ซึ่งมันออกมาจากปลายกระบอกปืนที่วันเสาร์เป็นคนลั่นไกเองนี่น่า “พี่เสาร์จำได้ไหมว่าศุกร์บอกอะไรกับพี่”

คนฟังชะงัก พยายามทวนคำถามซ้ำๆ ในหัว พลางย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่เขาไม่อยากจำ

ตอนนั้นวันศุกร์เอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร ในขณะที่เขาก็เอาแต่พูดว่าขอโทษ ศุกร์อธิบายให้เขาเข้าใจว่าเขาเพียงแค่กลัวจะถูกทอดทิ้ง จนคิดไปเองว่านั่นมันคือความรัก ศุกร์บอกว่าเราคือครอบครัวเดียวกันเสมอ และตลอดไป…
 

‘ศุกร์อยากให้พี่เสาร์เข้มแข็งนะ แล้วพี่เสาร์ก็ต้องเดินหน้าต่อไปด้วย อย่ามายึดติดอะไรกับศุกร์เลย ศุกร์เชื่อว่าจะต้องมีใครสักคนรอคอยพี่เสาร์อยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ’


นั่นคือทั้งหมดที่เขานึกออก แต่ก็เหมือนว่าจะลืมมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งตอนนี้…

สงสัยว่าใครสักคนในที่ไหนสักแห่งที่วันศุกร์เคยพูดถึงนั้นคือใคร

จะใช่…หรือเปล่า

“จำได้ไหมครับ” วันศุกร์ทวน ครั้งนี้เขายอมพยักหน้า

“ศุกร์คิดว่าคนที่รอคอยพี่เสาร์อยู่ ก็คือนับหนึ่ง”

“…”

“ที่พี่เสาร์เคยบอกว่ารับหนึ่งมาเป็นตัวแทนศุกร์ มันคือเรื่องโกหกไม่ใช่เหรอครับ ถึงใครจะบอกว่าหนึ่งคล้ายศุกร์ แต่ศุกร์ว่าไม่คล้ายนะ พี่เสาร์ก็คงรู้ว่าเราไม่เหมือนกันเลย และทั้งๆ ที่ไม่เหมือน พี่เสาร์ก็ยังอยากให้หนึ่งคอยอยู่ข้างๆ นี่น่า”

ดูเหมือนวันนี้น้องชายของเขาจะพูดมากผิดปกติ วันศุกร์เอาแต่สาธยายสิ่งที่มีแต่จะตอกย้ำเขาไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ซ้ำร้าย เขายังไม่สามารถหาอะไรมาเถียงได้เลยแม้สักคำเดียว

“พี่เสาร์อะรักศุกร์ ศุกร์รู้…แต่ว่ามันคือความรักแบบครอบครัว เหมือนที่ศุกร์เองก็รักพี่เสาร์ เพราะว่าเรามีกันแค่พี่น้องสองคน พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยว่าง เราถึงผูกพันกันมาก แต่มันอาจจะทำให้พี่เสาร์เข้าใจความรู้สึกนั้นผิดไป”

คนบนเตียงเหลือบตามองใบหน้าแฝงความเป็นห่วงของเด็กที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิต นี่คือใบหน้าของคนที่เขาพร่ำสะกดจิตตัวเอง รวมทั้งบอกกับใครต่อใครว่ารักที่สุด และก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยทำร้าย…พอนึกย้อนกลับไปมันก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเกินจะจดจำ เขาเคยแม้กระทั่งเกือบจะข่มขืนน้องชายตัวเอง เคยเกือบจะลงมือพรากคนรักของศุกร์ไป ซึ่งนั่นคงเท่ากับว่าเขาจงใจจะพรากความสุขไปจากวันศุกร์ด้วย

เขามันบ้าที่เคยทำหรือเคยคิดอะไรทุเรศๆ เหล่านั้น ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้ต้องการเลยสักอย่าง…เขาไม่ได้อยากนอนกับน้องตัวเอง เขาไม่ได้อยากทำร้าย ไม่ได้อยากทำลายความสุขของอีกฝ่าย

มันก็แค่…ความกลัวโง่ๆ ว่าเขาจะถูกทอดทิ้งอีกครั้ง เหมือนตอนที่พ่อกับแม่ละเลยเขาไว้ลำพังตลอดมา แต่ว่าการปรากฏตัวของวันศุกร์ได้มาปิดผนึกบาดแผลแห่งความเหงาของเขา วันศุกร์กลายมาเป็นสัญลักษณ์แทนความสุขชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต ซึ่งเขาหวังว่าจะคงอยู่ที่เดิมตลอดไป เขาถึงหวาดระแวงทุกคนที่จะมาแย่งวันศุกร์ โดยเฉพาะกันติกรณ์… แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องยอมปล่อยมือและยอมแพ้…

หลังจากนั้น เขาพยายามเสาะหาความสุขชิ้นใหม่ซึ่งไม่เชื่อว่ามีจริง และก็เป็นตามที่คาด…ไม่เคยมีใครมาทดแทนวันศุกร์ได้เลย

จนกระทั่ง นับหนึ่งโผล่เข้ามาในชีวิตของเขา นับหนึ่ง คนที่เหมือนจะคล้าย แต่กลับไม่เหมือนวันศุกร์เลยสักนิด คนที่ดื้อกับเขาที่สุด ไม่น่ารักกับเขาที่สุด แต่ก็เป็นคนที่นำพาความสดใสเข้ามาหาเขามากที่สุด รอยยิ้มนั้นสวยที่สุด เสียงหวานๆ ยามเรียกชื่อเขาสลับกับคำก่นด่ามันน่าหัวเราะและก็น่าฟังที่สุด แก้มขาวๆ น่าดึงให้ช้ำที่สุด และปากอิ่มแดงนั้นก็น่าครอบครองที่สุดเช่นกัน…

เกือบ 20 ปี ที่เขาเอาแต่ยึดติดกับวันศุกร์ กลับถูกเด็กคนเดียวพังทลาย บิดเบือนความรู้สึกนั้นจนยุ่งเหยิงไปหมด เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ยอมรับความจริงได้สักที เรื่องที่วันศุกร์คือครอบครัวอันแสนล้ำค่า รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมองโลกในมุมที่แตกต่างออกไป เขาแคร์คนอื่นมากขึ้นทีละนิด โดยไม่รู้ตัว…เขากลับกลายเป็นคนที่ดีขึ้นทีละน้อย

เมื่อทบทวนมาจนถึงตรงนี้ คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า นับหนึ่งได้กลายมาเป็นความสุขของเขา แต่มันไม่ได้เหมือนกับครั้งก่อนซะทีเดียว เขาไม่ได้คิดแค่ว่าต้องการเหนี่ยวรั้งนับหนึ่งไว้เพื่อให้มาปิดแผลในใจตัวเอง แต่เขาปรารถนาให้เด็กคนนั้นมีความสุข…อยากให้นับหนึ่งยิ้ม อยากให้หัวเราะ อยากให้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ไม่ใช่แค่ว่าอยากให้นับหนึ่งเป็นความสุขของเขา แต่เขาอยากให้ตัวเองได้เป็นความสุขของนับหนึ่งด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะทำพลาดอีกครั้ง เมื่อเขาถูกความโง่เขลาครอบงำจนไม่อาจยอมรับหัวใจตัวเอง เผลอออกปากไล่คนที่ไม่ได้อยากให้ไปมากที่สุด… กว่าจะทันรู้ตัวในวันนี้ มันก็คล้ายว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว…

เสียงของวันศุกร์ดังขึ้นอีกครั้ง พาให้เขากลับมาสู่โลกปัจจุบัน

“พี่เสาร์…” คนตัวเล็กเว้นวรรค ก่อนจะเอ่ยถามเสียงจริงจัง “รักหนึ่งใช่ไหมครับ?”

มวลความเงียบตรงเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง วันเสาร์นิ่งสงบอยู่นาน ในสมองอันสับสนอัดแน่นไปด้วยหลากหลายความนึกคิด แต่สิ่งที่ชัดที่สุดก็คงเป็นความคิดถึง ยากเกินปฏิเสธได้ลง มันดูน่าอายและคงน่าสมเพชอยู่เหมือนกัน หากว่าคนปากแข็งอย่างเขา กลับเพิ่งจะมาปากพล่อยเอาซะตอนนี้

ในที่สุดก็ยอมพยักหน้าลงอย่างจำนน เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเพียงเบาๆ

“อืม”

วันศุกร์ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มปนระอา จำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหนกว่าที่พี่ชายของเขาจะยอมรับความรู้สึกตัวเองได้สักที เขาเอื้อมมือตบกองผ้าห่มปุๆ แล้วลุกออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวอะไร มือถือเครื่องบางหยิบออกมากดโทรหาใครบางคน

ไม่นานนักปลายสายก็ตอบรับ

“สวัสดีครับ”

“หนึ่ง นี่พี่เองนะ”

“ครับพี่ศุกร์” โชคดีที่เขาเคยแลกเบอร์กับอีกฝ่ายไว้

“ช่วยมาที่บ้านหน่อยสิ พี่เสาร์ไข้ขึ้นสูงมากเลย”

“ป..เป็นอะไรมากไหมครับ แล้วทานยาหรือยัง”

“ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินยาเลยแหละ หนึ่งรีบมาดูพี่เสาร์หน่อยเถอะ”

“ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

นับหนึ่งวางสายแทบจะทันที เขาเดาว่าคงรีบหันไปตะโกนบอกให้นาวาบึ่งรถมาที่บ้านแล้วแน่ๆ หวังว่าคราวนี้พี่ชายคนเก่งของเขาคงจะไม่โง่ถึงขนาดออกปากไล่เด็กนั่นอีกรอบหรอกนะ

เขานั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก เสียงล้อคุ้นหูก็ดังขึ้นหน้าบ้าน แต่บางทีคนบนห้องอาจจะไม่ทันรู้ตัวเพราะคงสะลึมสะลือจากพิษไข้ นาวากับนับหนึ่งวิ่งโร่เข้ามาทักทายแม่บ้านทั้งสองซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ริมรั้ว ก่อนจะพากันเข้ามาในบ้าน

คนเด็กกว่ายกมือขึ้นไหว้เขาทันที สีหน้าตื่นๆ ดูเป็นกังวลมากกว่าเขาสักร้อยเท่าเห็นจะได้ “พี่ศุกร์ พี่เสาร์เป็นไงบ้างครับ”

“ยังนอนซมอยู่เลย หนึ่งขึ้นไปดูหน่อยสิ”

อีกฝ่ายพยักหน้า สับขาไปทางบันไดตรงสู่ชั้นสองอย่างชำนาญทาง เสียงพี่ละไมดังไล่หลังกำชับให้ช่วยบังคับคุณชายให้กินข้าวลงท้องก่อนได้หามไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนตั้งใจจะทำอยู่แล้ว

ก๊อกๆ

เขาเคาะประตูตามมารยาท แม้ว่าใจจริงอยากจะรีบพุ่งเข้าไปหาเลยด้วยซ้ำ ได้ยินเสียงเคลื่อนตัวดังแว่วออกมา ตามด้วยเสียงแหบฟังดูไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังคงความเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน

“พี่บอกแล้วไงว่าไม่กิน”

ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกจากปาก เขาไม่รอ แล้วถือวิสาสะเปิดประตูไม้เข้าไปเผชิญหน้ากับร่างสูงขดงอด้านใต้ผ้าห่มผืนใหญ่

“แต่ถ้าไม่กินก็ไม่หายนะครับ”

สิ้นคำพูดนั้น คนบนเตียงก็พรวดพราดลุกขึ้นนั่งจนปวดแปล็บขึ้นสมอง หัวคิ้วขมวดยุ่งยามรู้สึกว่าห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางกำลังหมุนคว้างไปมาชวนคลื่นไส้ แววตาสีนิลสั่นระริกด้วยความตกใจเมื่อเด็กในความคิดตลอดสองอาทิตย์ที่เลยผ่าน ตรงเข้ามาประคองกายเขาไว้ไม่ให้ล้มคะมำซะก่อน

“พี่เสาร์เป็นยังไงบ้างครับ” นับหนึ่งจัดหมอนให้วันเสาร์ได้เอนหลังพิงหัวเตียง

“นาย…มาได้ยังไง”

“ขอโทษนะครับที่ผมกลับมา” ทั้งๆ ที่เขาถูกไล่ออกจากบ้านนี้แล้ว ไม่ควรเสนอหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “แต่ว่า ผมเป็นห่วงพี่เสาร์..”

ฝ่ามือหนาไล่แตะลำแขนเรียวเล็กราวกับต้องการให้แน่ใจว่านี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันหรือภาพหลอนที่จิตใต้สำนึกของเขาสร้างขึ้น

“หนึ่ง…”

“พี่เสาร์อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะครับ กินข้าวก่อนดีกว่า จะได้กินยา”

ร่างสูงส่ายหน้า แต่นับหนึ่งก็ยังหันไปยกถาดข้าวต้มปลามาตั้งไว้บนตัก จัดการคนอาหารในชามสองสามที ก่อนจะยื่นช้อนเข้าไปจ่อปากสีซีด

“กินข้าวนะครับพี่เสาร์ ผมป้อน”

คนป่วยชั่งใจเพียงครู่ ก่อนจะยอมพยักเพยิดหน้าแล้วอ้าปากรับอาหารคำแรกลงกระเพาะ สายตาสื่อความหมายนับล้านเอาแต่จับจ้องไปยังใบหน้าหวานที่เขาเคยคุ้นและแสนคิดถึงสุดขั้วหัวใจ เมื่อพิจารณาให้ดี นับหนึ่งเองดูซูบผอมลงจากแต่ก่อนนิดหน่อย ขอบตาบวมคล้ำไม่น่าดูเลย

“หนึ่ง”

“ครับ?”

สองสายตาสบประสาน ต่างฝ่ายต่างเก็บซ่อนความห่วงหาอาวรณ์ได้ไม่มิดเลยสักคนเดียว

“เป่าให้ด้วย มันร้อน” เขายกนิ้วชี้ไปยังชามข้าวต้มที่วันศุกร์เพิ่งยกขึ้นมาให้ไม่นานนัก นับหนึ่งดูผิดหวังกับประโยคเมื่อครู่ แต่แล้วก็คลี่ยิ้มออก

การที่วันเสาร์พูดจาตัดอารมณ์อย่างเคยแบบนี้มันยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนว่าเรื่องที่วันเสาร์ไล่เขาออกจากบ้าน เรื่องที่นาทีนี้เขาไม่ใช่สมาชิกใต้ชายคาวุฒิเวคินทร์อีกต่อไป ล้วนเป็นเพียงเรื่องโกหก

เขาป้อนข้าวต้มไปได้ครึ่งชาม วันเสาร์ก็กินต่อไม่ไหว แต่ก็ยังดีที่ยอมกินยา ก่อนจะจบลงด้วยการนั่งจ้องเขานิ่งๆ ฝ่ามือใหญ่กุมมือเขาไว้ไม่ปล่อย ความร้อนจากอีกฝ่ายแผ่ออกมาจนน่ากลัวว่ามือเขาจะไหม้หรือติดไฟซะก่อนหรือเปล่า

“อยู่กับไอ้วาเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ” เขาเว้นวรรค แล้วจึงถามกลับเสียงอ่อย “แล้วพี่เสาร์เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่…ไม่ดีเลย”

ดวงตากลมวูบไหว จับจ้องใบหน้าอ่อนแรงของคนป่วยพร้อมหัวใจเต้นรัว ความหวังเล็กๆ ถูกจุดติดเป็นครั้งที่ร้อย “หมายความว่าไงครับ”

“ฉัน…”

วันเสาร์กระชับการเกาะกุม บรรยากาศในห้องเงียบลงจนแทบจะได้ยินเสียงอวัยวะในอกซ้ายของทั้งสองคนดังแข่งกัน เจ้าของโครงหน้าเรียวหล่อเหลาเอาแต่เพ่งพินิจแววตากลมล่อแสงที่กำลังกะพริบมองเขาอย่างรอคอย ไม่มั่นใจว่าควรพูดคำไหนออกไปก่อนดี ขอโทษเหรอ หรือว่า…

ก๊อกๆๆ

“หนึ่ง กลับได้แล้วล่ะ” เสียงของนาวาดังขึ้นจากด้านนอก ทำเอาทั้งสองสะดุ้ง เกือบจะปล่อยมือจากกันแต่ก็ถูกวันเสาร์รั้งไว้ได้ก่อน “พี่ไปรอที่รถนะ”

เจ้าของบ้านขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนับหนึ่งทำท่าจะลุกหนี บางที…ตอนนี้มันอาจจะยังไม่สายไป..

“เอ่อ พี่วามาตามแล้วครั…อ้ะ!”

วันเสาร์ผลักผ้าห่มเกะกะออกห่าง ดึงกระชากคนตรงหน้าเข้าหาจนนับหนึ่งเซล้มลงบนเตียงอีกครั้ง ปลายจมูกรั้นฝังลงกับแผงอกอบอุ่นชวนคิดถึง ใบหน้าหวานแดงระเรื่อเงยสบเรียวตาสีนิลเต็มเปี่ยมด้วยความหมายแบบเดียวกัน…

“พี่เสาร์…”

ฝ่ามือร้อนผ่าวเลื่อนประคองท้ายทอยขาว ดวงตาแววใสของคนเด็กกว่าเบิกกว้างแทบถลนยามรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่น หากบัดนี้กลับแห้งผาก ริมฝีปากของเราแตะกันแนบสนิทเป็นครั้งแรกโดยไม่มีใครทันคาดคิดว่ามันจะเกิด ไอร้อนรดรินพาลให้สมองของเขาปั่นป่วนก่อนจะกลายเป็นขาวโพลน วันเสาร์ขยับปากกดจูบหนักๆ ลงมาซ้ำสอง มืออีกข้างยังคงกุมมือเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหายไป

หยาดน้ำเอ่อคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว นับหนึ่งเผลอสะอื้น ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้ตัวเองได้ลิ้มรสจูบจากผู้ชายที่เขาตกหลุมรัก แขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างหนา ตอบรับสัมผัสวาบหวามด้วยการยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น

ลิ้นร้อนแทบจะกลายเป็นเหล็กอ่อนๆ ลนไฟ แลบเลียขอบริมฝีปากบวมอิ่ม ก่อนจะถือวิสาสะแทรกตัวเข้าสำรวจทั่วโพรงปากอุ่นหวานหอม หยอกกระหวัดเกี่ยวรัดลิ้นเล็กงกๆ เงิ่นๆ ท่าทางวันเสาร์ดูเชี่ยวชาญมากเกินกว่าจะเป็นคนที่ไม่เคยจูบใครมาก่อนตามที่เจนภพเคยกล่าว อุณภูมิในร่างของเขาเริ่มพุ่งสูงตามคนป่วยไปติดๆ ทั้งใบหน้าและลำคอล้วนกลายเป็นสีแดงซ่านราวมะเขือเทศสุกง่อม น้ำใสปริ่มออกจากปลายหางตาเมื่อรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ทัน เสียงหัวใจของเขาเต้นระส่ำดังชัดออกมานอกอก น่าอายมากพอๆ กับท่าทีแสนประหม่าอย่างกับเด็กประถม

วันเสาร์จงใจดูดดุนลิ้นเขาอย่างหยอกเย้า ยอมถอนปากออกอย่างอ้อยอิ่งยามที่กำปั้นเล็กทุบเข้ากับอกแกร่งเพื่อส่งสัญญาณประท้วง เขารีบสูดเอาอากาศเข้าลึกสุดปอด ก่อนที่ปากหยักร้อนผ่าวจะตามลงมากดย้ำบนจุดเดิมซ้ำๆ อย่างกับว่ามันไม่เคยพอ

“อือ…”

เสียงดังจ๊วบจ๊าบชวนเขิน สะท้อนก้องอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม เกือบจะลืมไปแล้วว่านาวาอาจกำลังรอเขาอยู่ แต่จะทำยังไงดี ในเมื่อเขาไม่อยากกลับอีกแล้ว…

เราแลกจูบให้แก่กันไม่รู้ตั้งกี่รอบ คนตัวสูงเอาแต่ไล่ขบริมฝีปากอิ่มจากบนไปล่างสลับกันอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ทำเหมือนกับว่าปากของเขาเป็นขนมหวานที่รอคอยจะได้เชยชิมมาเนิ่นนาน วันเสาร์ส่งลิ้นเข้ามาทักทายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาแทบหลอมละลาย ก่อนจะผละออกไปเพียงไม่กี่วินาที ก็ทาบทับลงมาใหม่อย่างเอาแต่ใจ

เขาเองไม่ได้ขัดขืน…เพราะจูบจากวันเสาร์คือสิ่งที่เขาวาดหวังว่าจะได้เป็นเจ้าของมันสักวัน และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงแล้ว

หยาดน้ำตาคลอหน่วยรินไหลอาบแก้ม ความรู้สึกมากมายท่วมท้นจนเก็บไม่อยู่ จะว่าสุขมันก็สุขเหลือเกิน แต่จะว่าเศร้ามันก็เศร้าเหมือนกัน เพราะนี่คือการยอมรับว่าเขากำลังปล่อยให้วันเสาร์มามีอิทธิพลเหนือหัวใจตัวเองมากมายขนาดนี้

สัมผัสอุ่นวาบผละออกช้าๆ มือใหญ่ทั้งสองข้างเลื่อนประคองใบหน้าเขาไว้อย่างอ่อนโยน ดวงตาเรียวเข้มจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาสั่นไหว พร้อมเอ่ยคำขอเสียงกระซิบ

“หนึ่ง…กลับมาได้ไหม”

 

 ----------------------------------------------------------------------------------------------

ไฮ ไม่ได้แต่งไวขึ้นหรืออะไรทั้งนั้นค่ะ นี่ขุดเอาสต๊อกเก่าที่แต่งไว้แล้วมาลง ซึ่งจริงๆ มันก็ยังไม่ควรลงนะ 555 ปกติจะอัพตอนนึง เมื่อแต่งจบอีกตอนนึง เก็ทปะ แต่ตอนนี้คือแต่งไม่จบก็ต้องอัพอะ อยากอัพให้ได้ทุกเสาร์ ถ้าเป็นไปได้ T^T ไม่มีเวลาอ่านทวนก่อนอัพเลยอะ มันอาจจะมีคำผิดอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ยังไงรอกลับมารีไรท์อีกทีตอนจะรวมเล่มเลยละกัน 55555 (จะมีวันนั้นช่ะ) ถ้าทุกคนช่วยกันคอมเม้นหรือติดแท็กทวิตเป็นกำลังใจให้น้อนหนึ่ง น้อนก็จะมาหาทุกเสาร์ค่ะ ถถถถ

#นับหนึ่งถึงเสาร์

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ฮรื่ออ น้ำตาจะไหล วันนี้ที่รอคอยสุดๆ พี่เสาร์รู้ตัวแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด